You are on page 1of 3

แบบทดสอบเรื่อง ทุกข์ของชาวนาในบทกวี

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำสั่ง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. พระราชนิพนธ์เรือ่ งทุกข์ของชาวนาในบทกวีถือ พระองค์ที่มีต่อชาวนา
เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องใด ง. แสดงถึงความเข้าพระทัยปัญหาต่างๆ ของ
ก. บทความ ชาวนา
ข. สารคดี ๖. สิ่งที่นักเรียนควรศึกษาและพิจารณาในการ
ค. เรียงความ อ่านเรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี
ง. การเขียนบรรยายความ ก. กลวิธีการนำเสนอ
๒. บทกวีที่ผู้พระราชนิพนธ์ยกมากล่าวเป็นผลงานของใคร ข. แนวความคิดที่แจ่มแจ้งชัดเจน
ก. จิตร ภูมิศักดิ์ ค. การใช้ถ้อยคำและการผูกประโยค
ข. วาณิช จรุงกิจอนันต์ ง. ลำดับความให้ผู้อ่านเข้าใจได้สะดวก
ค. อังคาร กัลยาณพงศ์ ๗. สรรพนามในบทกวี ผลงานของจิตร ภูมิศักดิ์
ง. เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ใช้ว่า "กู" แสดงว่าผู้ที่พูดคือใคร
๓. เนื้อความในเรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี แสดงให้ ก. ผู้เขียน
เห็นถึงพระราชอัธยาศัยของผู้นพิ นธ์อย่างไร ข. ชาวนา
ก. ชอบเป็นกวี ค. ผู้อ่าน
ข. เข้าใจปัญหาของชาวนาจีน ง. ไม่เฉพาะใคร
ค. แสดงบทกวีทัศน์ของชาวนา ๘. “รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย”
ง. เข้าใจปัญหาและความทุกข์ยากของชาวนา จากข้อความนี้เป็นบทกวีของใคร
๔. ผู้นิพนธ์แสดงทัศนะต่อชาวนาอย่างไร ก. หลี่เชิน
ก. เป็นอาชีพที่ทำงานหนัก ข. จิตร ภูมิศักดิ์
ข. เป็นกระดูสันหลังของชาติ ค. อังคาร กัลยาณพงศ์
ค. ชาวนาลำเลิกผู้บริโภคข้าว ง. เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ง. สังคมช่วยเหลือชาวนาในด้านรายได้น้อยมาก ๙. คุณค่าของ “ไม่มีนาที่ไหนว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย”
๕. เรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี แสดงแนว คือข้อใด
พระราชดำริเกี่ยวกับบทกวีไทยและบทกวีจีนส่วนที่ ก. ความประหลาดใจ
สำคัญที่สุด อย่างไร ข. ความสะเทือนใจ
ก. กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนากัน ค. ข้อคิด
ข. ทรงชี้ให้เห็นกลวิธีนำเสนอของกวีทั้งสองที่ ง. คติธรรม
แตกต่าง
ค. สะท้อนให้เห็นพระเมตตาธรรมอันเปี่ยมล้นของ
๑๐. เทคนิคในการนำเสนอเนื้อหาบทกวีจีน คือวิธี ใด ๑๕. ข้อใดมีลักษณะการเล่นคำได้ไพเราะทำให้เห็น
ก. บรรยายให้เห็นความเป็นอยู่ของชาวนา ภาพมากที่สุด
ในยุคนั้น ก. เปิดข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
ข. เสมือนกับนำชาวนามาบรรยาย เรื่องของ ข. ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
ตนให้ผู้อ่านฟัง ค. เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ค. บรรยายความรู้สึกอันเกิดจากความ ง. สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
สะเทือนใจ ออกเป็นบทกวี ๑๖. พระองค์ทรงสรุปความเรียงเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ง. บรรยายภาพที่เห็นเหมือนจิตรกรวาดภาพ ก. ชาวนาต้องเป็นชาวนาต่อไป
ให้คนชมสะเทือนใจ ออกเป็นบทกวี ข. ต่อไปคนจะกินอาหารเม็ด
๑๑. ตามความเห็นของผู้แต่งเห็นว่าเหตุใดชาวนายังคง ค. ความทุกข์ของชาวนานี้สะเทือนใจยิ่งนัก
เป็นชาวนาอยู่อย่างนั้น ง. กวีและชาวนาเป็นทุกข์พอ ๆ กันเสมอมา
ก. เขามีอุดมคติ ๑๗. ข้อใดมีความหมายตรงกับ “เหงื่อหยดบนดิน
ข. เขารักความเป็นชาวนา ภายใต้ต้นข้าว”
ค. เขาเป็นชาวนาด้วยความเคยชิน ก. เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ง. เขาไม่รู้หนทางที่จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ ข. เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
๑๒. "เมื่อครั้งเป็นนิสิต ข้าพเจ้าได้เคยอ่านผลงาน ค. น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
ของจิตร ภูมิศักดิ์ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ศึกษาอย่าง ง. จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
ละเอียด หรือวิเคราะห์อะไร... " น่าจะเป็นช่วงใด ๑๘. “ข้าวแต่ละเม็ด คือความยากแค้นแสนสาหัส”
ของบทพระราชนิพนธ์เรื่องทุกข์ของชาวนาในบทกวี ตรงกับข้อใด
ก. ช่วงความนำ ก. สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
ข. ช่วงเนื้อเรื่อง ข. เบื้องหลังสิทุกทน และขมขื่นจนเขียวคาว
ค. ช่วงความลงท้าย ค. เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ง. ช่วงสรุป ง. จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำเค็ญเข็ญ
๑๓. สารสำคัญของบทกวีทั้งสองมีส่วนเหมือนกันคือข้อใด ๑๙. บทกวีวรรคใดที่บอกถึงความเหนื่อยยากชัดเจนที่สุด
ก. วิธีการนำเสนอ ก. เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ข. สะท้อนให้เห็นเมตตาธรรมที่มีต่อชาวนา ข. ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
ค. แสดงถึงความเข้าใจปัญหาต่างๆ ของชาวนา ค. น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
ง. กล่าวถึงชีวิตและความทุกข์ยากของชาวนา ง. สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
๑๔. ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้คือข้อใด ๒๐. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการผลักดันให้ชาวนามา
ก. คุณของแผ่นดิน สู่ โรงงานอุตสาหกรรมหรืองานบริการ
ข. คุณค่าของข้าว ก. การได้เงินเร็วกว่า
ค. คุณค่าของชาวนา ข. ค่าตอบแทนที่สม่ำเสมอ
ง. ทั้ง ข และ ค. ค. เป็นงานที่มีเกียรติกว่า
ง. ได้รับสวัสดิการที่ชัดเจน ๒๔. ข้อใดเป็นการเขียนเชิงบรรยาย
๒๑. “เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วน ยากเย็น ก. ก ข. ข
ปูดโปนกีเ่ ส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเปิบกิน ค. ค ง. ง
น้ำเหงือ่ ที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน ๒๕. ข้อใดเป็นอธิพจน์ที่โน้มน้าวใจ
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน” ก. ก ข. ข
บทประพันธ์นี้แสดงเจตนาตามข้อใด ค. ค ง. ง
ก. ให้เห็นใจชาวนา ๒๖. ข้อใดเป็นโวหารอุปลักษณ์
ข. ให้คิดช่วยเหลือชาวนา ก. ก ข. ข
ค. ให้สำนึกบุญคุณของชาวนา ค. ค ง. ง
ง. ให้เห็นความเหน็ดเหนื่อยของชาวนา ๒๗. ข้อใดเป็นจินตพจน์อ่านแล้วสะเทือนใจ
๒๒. ที่ผู้นิพนธ์กล่าวว่า “สมัยที่ข้าพเจ้าได้เห็นเอง ก. ก ข. ข
ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันนัก” หมายความว่า ค. ค ง. ง
อย่างไร ๒๘. “รอบข้างไม่มีนาที่ไหนว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย”
ก. ภาพชีวิตของชาวนาไทยกับจีนไม่มีอะไร ข้อความนี้เป็นโวหารใด
แตกต่างกันเลย ก. อุปมา ข. อุปลักษณ์
ข. แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ค. อติพจน์ ง. ปฏิพากย์
ชาวนาก็ไม่เคยพัฒนาตัวเอง บทกวีต่อไปนี้ใช้สำหรับตอบข้อ ๒๙ – ๓๐
ค. ไม่ว่าใครก็ตามต่างเห็นเหมือนกันว่าชีวิต “ไม่มีนาที่ไหนว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย”
ชาวนาไม่มีคุณค่าอะไร ๒๙. กวีเสนอข้อความที่มีลักษณะเป็นอย่างไร
ง. ไม่ว่าสมัยใดชาวนาก็ยังประสบปัญหา ก. สอดรับกันดี ข. เป็นเหตุเป็นผลดี
และมีชีวิตทุกข์ยากมาตลอด ค. เป็นความตรงกันข้ามกัน
๒๓. ข้อใดแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง ง. เป็นความเป็นไปไม่ได้
ก. ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนายังพรวนดิน ๓๐. ข้อใดไม่น่าจะเป็นแนวคิดแทรกที่เกิดจากการอ่าน
ข. เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว ข้อความนี้
ค. รอบข้างไม่มีที่นาที่ไหนว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย ก. ชาวนาถูกเอาเปรียบ
ง. ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น ข้าวแต่ละเม็ดคือ ข. ชาวนาเป็นทาสของที่ดิน
ความยากแค้นแสนสาหัส ค. เป็นการทำนาที่ไร้ผล
คำตอบต่อไปนีใ้ ช้สำหรับตอบข้อ ๒๔-๒๗ ง. ชาวนาเอาเงินไปทำอย่างอื่น
ก. ข้าวเมล็ดหนึ่งจะกลายเป็นหมื่นเมล็ด
ข. เหงื่อหยดบนดิน ภายใต้ต้นข้าว
ค. ตอนพระอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนาก็ยังพรวนดิน ****************************
ง. ข้าวแต่ละเม็ด คือความยากแค้นแสนสาหัส

You might also like