Professional Documents
Culture Documents
สงครามโลก 1,2 (ฉบับสมบูรณ์) -lnw Tong Physics
สงครามโลก 1,2 (ฉบับสมบูรณ์) -lnw Tong Physics
ประวัติศาสตร์การเข่นฆ่าที่โลกต้องเรียนรู้
วีระชัยโชคมุกดา
เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ : 978-616-7071-61-9
พิมพ์ครั้งแรก 2555
บรรณาธิการอำนวยการ : คธาวุฒิเกนุ้ย บรรณาธิการบริหาร : เริงวุฒิ
มิตรสุริยะ บรรณาธิการ:จรดล บารนี กองบรรณาธิการ : ชิตพล จันสด,
ชัยยง เผือกทอง,มุกรินทร์ แพรกนกแก้ว ศิลปกรรม : คีย์ริชเนสส์
พิสูจน์อักษร : ปรัศนี อักษรารูปเล่ม : ยิปซี กราฟิก ฝ่ายการตลาด :
นุชนันท์ ทักษิณาบัณฑิต ผู้จัดการทั่วไป :เวชพงษ์ รัตนมาลี จัดพิมพ์
โดย : ยิปซี กรุ๊ป จำกัด เลขที่ 37/117 รามคำแหง 98แขวง/เขต สะพาน
สูง กรุงเทพฯ 10240 โทร. 02-729-3537 โทรสาร. 02-729-4933
จัดจำหน่าย : บริษัท ยิปซี กรุ๊ป จำกัด โทร. 02-729-3537
สนใจสั่งซื้อหนังสือจำนวนมากเพื่อสนับสนุนทางการศึกษา สำนักพิมพ์ลด
ราคาพิเศษ ติดต่อ โทร. 02-729-3537
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามการลอกเลียนไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือนอกจาก
จะได้รับอนุญาตจาก ยิปซี สำนักพิมพ์
จัดจำหน่ายในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(eBook) โดย
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้เขียนจึงเริ่มลงมือโดยการนำต้นฉบับเดิมมา
เรียบเรียง และเพิ่มเติมเนื้อหาใหม่เข้าไปให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น กระทั่ง
สุดท้ายกลายเป็นหนังสือเล่มที่มีความหนาอย่างที่ผู้อ่านได้เห็นอยู่นี้
ผู้เขียนเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้จะให้ความรู้และความเข้าใจในปัญหา
ของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ครั้งนี้ได้อย่างดียิ่งและรอบด้านมากขึ้น
เมื่อ ยิปซี สำนักพิมพ์ ตัดสินใจจัดพิมพ์ออกมาใหม่ด้วยรูปเล่มที่
สวยงามแล้วทำให้ยิ่งมั่นใจว่านี่จะเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าและเหมาะควรที่
จะเก็บเอาไว้เป็นสมบัติได้อย่างดีเล่มหนึ่ง
กระนั้นดังที่ใครสักคนเคยว่าเอาไว้ ไม่มีอะไรสิ้นสุดและไม่มีอะไร
สมบูรณ์ แท้จริงในโลกนี้ หนังสือเล่มนี้กเ็ ช่นกันผู้เขียนเชื่อว่าไม่ว่าเราจะ
นำเสนอเรื่องราว เอาไว้ครอบคลุมและรอบด้านเพียงใดก็ตาม แต่กค็ งย่อม
ยังมีข้อบกพร่องอยู่ดีนั่นเอง ดังนั้นหากส่วนหนึ่งส่วนใดยังมีข้ออ่อนด้อย
ขอให้ผู้เขียนเป็นผูร้ ับความผิดพลาดนั้น เช่นกันหากแต่หนังสือเล่มนี้มี
ความดีอยู่บ้างผู้เขียนก็ขอมอบ ความดีนั่นแด่นักเขียนและ
นักประวัติศาสตร์ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพื่อคนทั้งโลกได้รู้จักอดีตของตนเอง
ผู้เขียนหวังใจเอาไว้ว่า หนังสือเล่มนีจ้ ะสามารถยังประโยชน์ต่อผู้อ่าน
ได้มากที่สุดและหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้อรรถรสที่สมบูรณ์พร้อมใน
เรื่องราวที่นำเสนอนี้เช่นกัน
ด้วยความขอบพระคุณอย่างยิ่ง
6/665
วีระชัย โชคมุกดา
บทนำ :
สงครามโลกกับความหมายแห่งความ
พินาศ
ในประวัติศาสตร์ของโลกที่ผ่านมา มีสงครามเกิดขึ้นมากมาย
หลายครั้ง บ้างเป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศหนึ่งต่อประเทศหนึ่ง
บ้างเกิดขึ้นระหว่างประเทศหนึ่งต่ออีกหลายประเทศ และหลายครั้งเช่นกัน
ที่เกิดสงครามระหว่างประเทศหลายประเทศกับคู่สงครามหลายประเทศ
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ถูกนับว่าเป็นสงครามโลก (World War)
มีการแสดงความคิดเห็นกันว่า สงครามโลกนั้น เป็นลักษณะความ
ขัดแย้ง ทางการทหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายชาติมหาอำนาจร่วมกัน
โดยมักจะเกิด ขึ้นในหลายทวีปทั่วโลกและกินเวลานานหลายปี ซึ่งคำว่า
สงครามโลก เป็นการอธิบายถึงสงครามที่มีขนาดใหญ่อย่างที่ไม่เคย
ปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
8/665
ปฐมบทของสงครามโลก ครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความขัดแย้งระดับโลกทีเ่ กิดขึ้นตั้งแต่ปี
1914 (พ.ศ. 2457) ถึงปี 1918 (พ.ศ. 2461) ระหว่างฝ่ายมหาอำนาจ
ไตรภาคี (พันธมิตร) (Triple Entente) ซึ่งประกอบไปด้วย จักรวรรดิ
รัสเซีย ฝรั่งเศส จักรวรรดิบริเทน ราชอาณาจักรอิตาลี สหรัฐอเมริกา และ
พันธมิตร กับฝ่ายที่ถูกเรียกว่ามหา อำนาจกลาง หรือไตรพันธมิตร
(Triple Alliance) ประกอบไปด้วย ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิ
เยอรมนี จักรวรรดิออตโตมัน ราชอาณาจักรบัลแกเรีย ซึ่งไม่เคยปรากฏ
สงครามขนาดใหญ่ที่มีทหารหรือสมรภูมิเกี่ยวข้องมากขนาดนี้มาก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นที่รู้จักกันว่า “สงครามครั้งยิ่งใหญ่”
(Great War) หรือ “สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งมวล” (War to End
All Wars) พบว่ามีทหารกว่า 70 ล้านคนมีส่วนร่วมในการรบ ผลจาก
สงครามทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40
ล้านคน
14/665
ประวัติศาสตร์โลกก่อนสงครามโลกจะปะทุ
โลกก่อนศตวรรษที่ 20 เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างขนาน
ใหญ่ แม้จะยอมรับกันว่ามูลเหตุแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดจากความ
ขัดแย้งกันภายในทวีปยุโรป ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือเป็นภูมิภาคที่ครอง
อำนาจยิ่งใหญ่ของโลกอยูก่ ็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยเช่นกันว่า แท้จริง
แล้วผลของการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นมา
ตลอดระยะเวลาในช่วงศตวรรษที่ 18 - 19 ก็มีผลอย่างมากด้วยเช่นกัน
สงครามโลกทั้งสองครั้งมีที่มาที่ไปจากยุโรปอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธ
ทั้งนี้เพราะแท้จริงแล้วยุโรปคือที่รวมของชาติที่กุมชะตากรรมของโลกเอาไว้
อันเป็นผลมาจากความเจริญและการพัฒนาในหลากหลายด้านที่มีมาอย่าง
ต่อเนื่องนั้นเอง
ดังนั้นก่อนที่เราจะก้าวเข้าไปในปริมณฑลของเรื่องราวแห่ง
สงครามโลก ครั้งที่ 1 เราจึงจำเป็นที่จะต้องมาย้อนกลับไปมองสภาพของ
ยุโรปในช่วงก่อนหน้า นั้นกันเสียก่อน
ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
การปฏิวัตอิ ุตสาหกรรม (Industrial Revolution) เป็นการ
เปลี่ยนแปลงอย่าง ใหญ่หลวงในบริเทนใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
และเทคโนโลยี เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และคริสต์ศตวรรษที่ 19
โดยมีจุดเริ่มจากเทคโนโลยีเครื่อง จักรไอน้ำ (ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
หลัก) ทำงานด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ)
15/665
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจถูกผลักดันด้วยการสร้าง
เรือ เรือกำปั่น และทางรถไฟ ที่อาศัยเครื่องจักรไอน้ำ ความเจริญก้าวหน้า
แผ่ขยาย ไปสู่ยุโรปตะวันตกและทวีปอเมริกาเหนือ และส่งผลกระทบ
ทั่วโลกในที่สุด
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นวลีที่นักประวัติศาสตร์ใช้เรียกเหตุการณ์ที่
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วมากในยุโรป สืบ
เนื่องมาจากการค้นพบแหล่งพลังงานจากถ่านหินราคาถูกที่มีเหลือเฟือกับ
นวัตกรรมทางเครื่องกล คือเครื่องจักรไอน้ำที่เริ่มด้วยการปั่นด้าย การทอ
ผ้าฝ้ายและผ้าขน สัตว์ ฯลฯ ทีผ่ ลักดันให้เกิดการขยายตัวของแรงงาน
อย่างมหาศาล ประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตที่มากมายมหาศาลและ
การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีอย่างมหาศาล รวมทั้งระบบโรงงานและ
ขั้นตอนการผลิตและการจัดการแบบใหม่ ปรากฏการณ์ต่างๆ ดังกล่าวทำ
ให้เมืองต่างๆ ในอังกฤษกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เริ่มแออัด
ช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมดังกล่าวตกอยู่ระหว่าง
ค.ศ. 1750 - 1850 โดยเริ่มขึ้นก่อนในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นเจ้า
อาณานิคมที่มีเมืองขึ้นรองรับผลิตภัณฑ์อยู่ทั่วโลกแล้วจึงได้ขยายไปทั่ว
ยุโรป
16/665
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มจากการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาใช้
ในการปั่นและทอผ้าฝ้ายและทอผ้าขนสัตว์ในแลงแคชเชียร์ที่ตั้งอยู่ตอน
กลางของสก๊อตแลนด์และทีบ่ ริเวณภาคตะวันตกของยอร์กเชียร์ (York-
shire) โรงงานทีใ่ ช้เครื่องจักรไอน้ำเหล่านี้ เกือบทั้งหมดมักตั้งอยู่ในเมือง
ทำให้ชุมชนเมืองเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งจากการอพยพของแรงงานจาก
ชนบทและจากการแต่งงานเร็วขึ้นของคนทำงานที่มีรายได้ประจำเพิ่ม
นอกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอแล้ว อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าก็เกิดขึ้น
ซึ่งแม้จะขยายตัวช้ากว่า แต่ก็ได้กลาย เป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อน
เศรษฐกิจ
17/665
เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง และความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์
และสาธารณสุข
2. การขยายตัวของสังคมเมือง เกิดเมืองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จาก การอพยพของผู้คนในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ทำให้เกิดปัญหา
สังคมตามมา โดยเฉพาะปัญหาชุมชนแออัดและเกิดอาชีพใหม่ๆ อย่าง
หลากหลาย ในขณะที่ ชนชั้นกลางหรือพ่อค้านายทุนเข้ามามีบทบาทใน
สังคมมากขึ้น
3. การแสวงหาอาณานิคมและลัทธิจักรวรรดินิยม ประเทศยุโรปที่มี
การ ปฏิวัตกิ ารผลิตด้านอุตสาหกรรมมีความจำเป็นต้องแสวงหาแหล่ง
วัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมและขยายตลาดระบายสินค้าที่ผลิตจึงเกิด
การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและเอเชีย
และ 4. ความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ในคริสต์ศตวรรษที่
20 การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้โลกมีการพัฒนาการผลิตภาค
อุตสาหกรรมก้าว หน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง เช่น มีการนำวัสดุอื่นๆ มาใช้ผลิต
แทนวัสดุธรรมชาติ เช่น พลาสติก และโลหะประเภทอัลลอยที่มนี ้ำหนัก
เบา ตลอดจนเกิดการผลิตในระบบโรงงานที่ใช้เครื่องจักรหุ่นยนต์หรือ
คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานเป็นต้น
เรียกว่าทั้งหลายทั้งปวงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมนำมาสู่การเปลี่ยน
แปลงให้กับยุโรปอย่างขนานใหญ่และรวดเร็ว
ลัทธิชาตินิยมและการทหาร
19/665
ลัทธิจักรวรรดินิยม มีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของ
ประเทศต่างๆ มีดังนี้
1. ทำให้ชาติมหาอำนาจขัดแย้งในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ส่งผล
ให้บรรยากาศทางการเมืองของโลกเข้าสู่ภาวะตึงเครียด และนำไปสู่
สงครามในที่สุด
2. ทำให้ชาติตะวันตกมีข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดน
ต่างๆ เป็นอาณานิคมของตน เพราะถือเป็นภาระหน้าที่ของคนผิวขาวที่จะ
นำอารยธรรมความเจริญไปเผยแพร่ยังดินแดนที่ล้าหลังและห่างไกลความ
เจริญ ส่งผลให้ประชากรในดินแดนอาณานิคมเกิดการซึมซับในวัฒนธรรม
วิถีการดำเนิน ชีวิต ความคิด และค่านิยมแบบตะวันตก
ผลที่เกิดขึ้นของจักรวรรดินิยมใหม่ในศตวรรษที่ 19 ทำให้บรรดา
ประเทศต่างๆ ในยุโรปประกาศความเป็นประเทศจักรวรรดิกันพร้อมหน้า
โดยแต่ละประเทศหรือแต่ละจักรวรรดิต่างก็แข่งขันกันสร้างเสริมอำนาจ
และบารมีของตัวเองให้ขจรขจายกันไปทั่วโลก
ขณะทีป่ ระเทศต่างๆ ในภูมิภาคอื่น คือไม่ใช่ยุโรปต่างก็ได้แค่ทำดี
ที่สุดคือพยายามทุกวิธีทางไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของบรรดา
จักรวรรดิแห่งยุโรปในเวลานั้น ---
2
จักรวรรดิสำคัญในยุโรปก่อนสงคราม
ใหญ่จะปะทุ
เพื่อความเข้าใจและมองเห็นภาพของการเมืองการปกครองของ
ยุโรปในเวลานั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จำเป็นที่เราจะต้องมาทำความรู้จักกับ
บรรดาชาติที่ประกาศตัวเป็นจักรวรรดิในเวลานั้นของยุโรปกันเสียก่อน
จักรวรรดิอังกฤษหรือจักรวรรดิบริเทน
จักรวรรดิอังกฤษ (British Empire แปลตามตัวคือ “จักรวรรดิบริ
เทน”) นับเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และในช่วงระยะเวลา
หนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจที่สำคัญของโลก โดยถือกำเนิดมาจากยุคแห่งการ
ค้นพบในทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่การสำรวจทางทะเลในคริสต์ศตวรรษที่
15 ทีท่ ำให้เกิดจักรวรรดิอาณานิคมของยุโรป (European colonial
empires)
25/665
ในศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิอังกฤษนับเป็นมหาอำนาจที่น่าเกรงขาม
มากที่สุด โดยเป็นทั้งมหาอำนาจทางทะเล มีอาณานิคมโพ้นทะเลมากที่สุด
จนได้ชื่อว่า “ดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดิน” เป็นประเทศอุตสาหกรรม
ชั้นนำและมั่งคั่งที่สุดด้วย
การก่อตั้งจักรวรรดิอังกฤษเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่ประเทศอังกฤษจะ
รวมตัวกันเป็นรัฐเดี่ยวทางการเมือง เมื่ออังกฤษและสก๊อตแลนด์ยังคงเป็น
ราชอาณาจักรที่แยกจากกัน
ในบางกรณีอังกฤษในยุคจักรวรรดิศตวรรษที่ 19 นี้ ยังเรียกหรือได้
ชื่อว่ายุค “วิคตอเรียน” (Victorian Age) ซึ่งชื่อนีไ้ ด้มาจากชื่อของพระ
ราชินีนาถวิคตอเรีย (ครองราชย์ ค.ศ. 1837-1901) ยอมรับกันอย่างกว้า
งๆ ว่า หลังจากสงครามนโปเลียน 1815 เมื่อสิ้นสุดสงครามใหญ่นี้แล้ว
อังกฤษก็เริ่มหันมาสนใจเหตุการณ์ภายในหมู่เกาะของตนเอง และเริ่ม
สนใจสร้างจักรวรรดิที่แท้จริง
ราชอาณาจักรสก็อตแลนด์และราชอาณาจักรอังกฤษนั้นได้ก่อตัวขึ้น
เป็นรัฐแยกกันตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 โดยแต่ละรัฐมีราชวงศ์และ
ระบอบการปกครองของตัวเอง ส่วนราชรัฐเวลส์ตกมาอยู่ภายใต้การ
ปกครองของอังกฤษจากบทกฎหมายรุดดลันในปี 1384 และรวมเข้าเป็น
ส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษในปี 1535 ขณะทีป่ ระเทศอังกฤษและส
ก็อตแลนด์นั้นรวมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก เมื่อครั้งที่พระเจ้าเจมส์
ที่ 6 แห่งสก๊อตแลนด์ได้ปกครองอังกฤษ เนื่องจากพระนางอลิซาเบธที่ 1
26/665
โลกและมีประชากรโลกเป็นหนึ่งในสามของโลกในช่วงที่มีการขยายตัว
สูงสุด ทำให้กลายเป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทั้งใน
ด้านดินแดนและประชากร
สหราชอาณาจักรมีรูปแบบการปกครองรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้
รัฐธรรมนูญ และมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีรัฐสภา โดย
พระมหากษัตริยท์ รงใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี ซึ่งมี
นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีนั้นเลือกโดย
รัฐสภา และมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรัฐสภาเช่นเดียวกัน ทั้งนี้รัฐสภาแห่ง
สหราชอาณาจักรเป็นระบบสภาคู่ แบ่งเป็นสองสภา คือ สภาขุนนาง เป็น
สภาสูง จากการแต่งตั้ง และสภาสามัญชน เป็นสภาล่าง มาจากการ
เลือกตั้ง และผู้นำของรัฐสภาคือพระมหากษัตริย์ สหราชอาณาจักรเป็น
หนึ่งในไม่กปี่ ระเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร แต่กฎหมาย
ส่วนใหญ่ของสหราชอาณาจักรนั้นปรากฏตัวอยู่ในรูปประเพณี
ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้จักรวรรดิอังกฤษมีสมเด็จ
พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งราชวงศ์วินด์เซอร์ เป็นพระมหากษัตริย์ ดังนั้น
เพื่อให้เราสามารถ มองเห็นภาพของช่วงแห่งสงครามชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอนำ
พระราชประวัติของกษัตริย์แห่งจักรวรรดิบริเทนในเวลานั้นมานำเสนอใน
ที่นี้
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 มีพระนามเดิมว่า จอร์จ เฟรเดอริค
เออร์เนส อัลเบิร์ต ทรงประสูติเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1865
28/665
แท้จริงราชวงศ์ของพระองค์นั้นคือ ราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและก็
อตธา ราชวงศ์นี้ เป็นราชวงศ์ที่เริ่มต้นในเยอรมนี เคยเป็นราชวงศ์ที่ครอง
ราชบัลลังก์ในหลายประเทศของยุโรป และปัจจุบันมีสาขาสืบทอดที่ยัง
ครองราชบัลลังก์เบลเยียม โดยผ่านทางเชื้อสายในสมเด็จพระราชาธิบดีเล
โอโพลด์ที่ 1 แห่งเบลเยียม และสหราชอาณาจักร รวมถึงเครือจักรภพ
โดยผ่านทางเชื้อสายในเจ้าฟ้าชายอัลเบิร์ต ในสหราชอาณาจักร ราชวงศ์
แซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา เป็นสาขาหนึ่งของราชวงศ์แซ็กซอน เชื้อสายเวต
ติน
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อราชวงศ์จากเดิมเป็นราชวงศ์
วินด์เซอร์ ในปี 1817 กล่าวคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พระองค์ได้
ทรงสละพระอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของเยอรมนีทั้งหมดในนามของ
พระประยูรญาติสัญชาติอังกฤษและเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จากแซ็กซ์-โคบูร์ก
และก็อตธาเป็นวินด์เซอร์ ในรัชกาลของพระองค์ พระราชบัญญัติ Stat-
ute of Westminster ได้แยกสถาบันพระมหากษัตริยอ์ อกต่างหาก
พระองค์จึงทรงปกครองดินแดนต่างๆ ในปกครองของอังกฤษแบบ
ราชอาณาจักรอิสระ และการกำเนิดขึ้นของลัทธิสังคมนิยม ฟาสซิสต์ และ
ลัทธิสาธารณรัฐนิยมของไอร์แลนด์ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางการเมือง
พระองค์ประสูติ ณ ตำหนักมาร์ลโบโร กรุงลอนดอน พระชนกคือ
เจ้าชายแห่งเวลส์ (หรือ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7) พระราชโอรสองค์โต
ในสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย และ เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์-โคบูร์ก
29/665
สหราชอาณาจักรและจักรวรรดิบริเทน อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นสมเด็จ
พระจักรพรรดิ แห่งอินเดียอีกด้วย เป็นเพียงกษัตริยอ์ ังกฤษพระองค์เดียว
ที่มีพิธีบรมราชาภิเษกที่อินเดีย
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงได้รับความทุกข์ทรมานจากการประชวร
ตลอดช่วงใหญ่ของปลายรัชกาล ในการเสด็จสวรรคตของพระองค์
เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสองค์โตเสด็จขึ้นครองราชสมบัตสิ ืบ
สันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป
พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัติตั้งแต่ 6 พฤษภาคม 1910 ผ่านช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 1914 ถึงปี 1919) จนกระทั่งเสด็จสวรรคตใน
ปี 1936
จักรวรรดิรุสเซีย[1]
จักรวรรดิรุสเซียสถาปนาขึ้นในปี 1721 (พ.ศ. 2264) โดยพระเจ้า
ซาร์ปเี ตอร์มหาราชสถาปนาขึ้นแทนที่ราชอาณาจักรรุสเซีย จักรวรรดิรุสเซีย
มีพื้นที่กว้างใหญ่ครอบคลุมยุโรปตะวันออก เอเชีย จนไปถึงอเมริกา นับ
ได้ว่าเป็นหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นจักรวรรดิหนึ่งที่
เจริญรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์รัสเซีย
จักรวรรดิรุสเซีย สถาปนาขึ้นแทนราชอาณาจักรรุสเซีย (Tsardom
of Muskovy) เป็นจักรวรรดิหนึ่งที่โดดเดี่ยวและไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป
จนกระทั่งพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงปฏิรูปจักรวรรดิให้ทันสมัย ถือ
31/665
เป็นการเปิดประตูต้อนรับยุโรปอย่างแท้จริง พระองค์ทรงปฏิรูปจักรวรรดิ
ใหม่หมด ทั้งการแต่งกาย การศึกษา ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิรุสเซียหลังรัชสมัยของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช
จึงกลายเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจชั้นแนวหน้าของโลกในสมัยนั้น
พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงรวบรวมอำนาจในรุสเซียให้มีความ
เป็นปึกแผ่นแล้วนำพาจักรวรรดิรุสเซียในขณะนั้นไปสู่ระบบรัฐของยุโรป
พระองค์ทรงเปลี่ยนจากอาณาจักรเล็กๆ เริ่มแรกในศตวรรษที่ 14 ให้
กลายเป็นจักรวรรดิ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรัชสมัยของพระองค์
รุสเซียขยายเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ยูเรเซีย ตั้งแต่ทะเลบอลติกจรด
มหาสมุทรแปซิฟิก และขยายออกไปมากที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 17
อย่างไรก็ตามแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล นี้มีประชากร 14 ล้านคน
ส่วนใหญ่อยูต่ ามชนบทและทำกสิกรรมทางตะวันตกของประเทศ ส่วนน้อย
ที่อยู่ในเมือง ซาร์ปเี ตอร์มหาราชได้ทำการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การ
ปกครอง และการทำศึกสงครามเสียใหม่ เพื่อให้เจริญก้าวหน้าโดยรับแนว
คิดจากตะวันตกมาทั้งสิ้น พระองค์ทรงเรียนรูก้ ลยุทธ์และการป้องกัน
มากมายจากตะวันตก แล้วยังสร้างกองทัพที่เข้มแข็ง ซึ่งมาจากการ
เกณฑ์ทหาร พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าซาร์พระองค์แรกที่เสด็จประพาส
ยุโรปด้วย พระองค์ทรงทำสงครามกับสวีเดนเพื่อชิงแผ่นดินส่วนที่ติดกับ
ทะเลบอลติกให้มีทางออกสู่ทะเลอีกทั้งยังให้เป็นประตูสู่ยุโรป และสร้าง
เมืองหลวงใหม่ชื่อว่า เซนต์ปเี ตอร์สเบิร์ก เมื่อนโปเลียนที่ 1 บุกรุสเซีย
32/665
ปีเตอร์มหาราช
เมื่อล่วงเข้าศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิอยู่ภายใต้การนำของพระเจ้า
ซาร์นิโคลัสที่ 1 ซึ่ง ทรงทำสงครามพิชิตแหลมไครเมียร์กับจักรวรรดิออต
โตมันรัสเซียก็พิชิตแหลมไค รเมียร์ได้สำเร็จซึ่งในขณะนั้นเองจักรวรรดิก็
33/665
เกี่ยวกับการสืบราชสมบัติในสเปน ฝรั่งเศสจึงตัดสินใจประกาศสงคราม
กับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้ ปรัสเซีย มีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทำให้ฝรั่งเศส
ต้องเสียอัลซาซ-ลอร์เรนน์ ให้แก่เยอรมนี ทั้งต้องเสียค่าปรับให้แก่
เยอรมนีอีกถึงหนึ่งพันดอลลาร์อเมริกาซึ่งถือว่ามหาศาลในเวลานั้น
ผลของสงครามครั้งนี้ยังส่งผลสำคัญอีกสองประการคือ (1) ชาว
ฝรั่งเศส ได้ขับไล่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ออกจากราชสมบัติ และร่วมก่อตั้ง
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ขึ้น และ (2) ทำให้ ปรัสเซียได้เป็นมหาอำนาจ
อันดับต้นๆ ในยุโรป และพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 ได้ประกาศจัดตั้งจักรวรรดิ
เยอรมนีขึ้น และสถาปนา ตนเองขึ้นเป็น ไกเซอร์ (จักรพรรดิ)แห่ง
เยอรมนี และสถาปนา บิสมาร์ค ให้เป็น เจ้าชายและอัครมหาเสนาบดี ณ
พระราชวังแวร์ซายส์ ในปี 1871
ด้วยการกำเนิดของสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 เป็นการเกิดขึ้นมา
ในยุคของความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกจึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่ฝรั่งเศส
ก้าวเข้าสู่ความอ่อนแออีกครั้งหนึ่ง
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสของสาธารณรัฐที่ 3 ถูกร่างขึ้นและสำเร็จภายใต้
ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายคือฝ่ายราชาธิปไตยและฝ่ายรีพับลิกัน ในปี
1875 โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดให้ประเทศมีประธานาธิบดี ซึ่งจะ
มาจากการเลือกตั้งในการประชุมร่วมกันของสมาชิกวุฒิสภาและ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกๆ 7 ปี
37/665
ความพ่ายแพ้ในสงครามกับปรัสเซียอย่างย่อยยับทั้งที่ก่อนหน้านี้
ฝรั่งเศสเคยมีสถานะเป็นมหาอำนาจ และมีอาณานิคมไพศาล ส่ง
ผลกระทบต่อจิตใจชาวฝรั่งเศสอย่างมาก อีกทั้งยังต้อผจญกับภัยวิบัตขิ อง
การจลาจลภายใน และสภาพการณ์คอรัปชั่นของรัฐบาลกรณีขุดคลองปา
นามาอีก เหล่านี้แทบทำให้ชาวฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้นสิ้นหวัง
กระนั้นรัฐบาลของสาธารณรัฐที่ 3 ก็ได้พยายามเต็มที่ในการ
สนับสนุนและส่งเสริมการอุตสาหกรรม เห็นได้จากการสร้างทางรถไฟ
มากมายหลายสาย อีกทั้งท่าเรือก็ได้รับการตกแต่งซ่อมแซมให้ดขี ึ้นหลาย
แห่ง อีกทั้งในปี 1878,1889 และปี 1900 ได้มีการจัดงานแสดงสินค้าที่กรุง
ปารีส ซึ่งวัตถุประสงคืก็เพื่อส่งเสริม วิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์ต่างๆ
รวมถึงการสรับสนุนธุรกิจการค้าทั้งภายใน และภายนอกประเทศ
นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้เริ่มต้นขยายอาณานิคมขึ้นมาใหม่อีก โดย
ได้เข้ายึดเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งอยู่นอกฝั่งทวีปแอฟริกาด้าน
ตะวันออกเฉียงเหนือ ไว้เป็นดินแดนในอารักขา นอกจากนั้นยังยึดเอา
ดินแดนทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาใกล้ๆ กับปากทางเข้าทะเลแดงไว้
ได้อีกหลายแห่ง ขณะทีใ่ นทวีปเอเชียก็ยังขยายผลต่อเนื่องนับแต่ได้เริ่มต้น
มาในสมัยนโปเลียนที่ 1
สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในอนาคตของประเทศชาติขึ้นมา
ทั้งที่เวลานั้นอังกฤษและเยอรมนีเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมแต่ฝรั่งเศส
กลับยังคงดำรงอยู่บนฐานของเกษตรกรรม มีอุตสาหกรรมหลักคือผ้าไหม
38/665
และการทำไวน์ก็ไม่ได้ส่งผลหรือประโยชน์อะไรต่อประเทศมากมายนัก อีก
ทั้งเมื่อมีการเปิดใช้คลองสุเอซก็ทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนยิ่งหลั่งไหลเข้า
มาในยุโรป พร้อมกันอิตาลีกก็ ลับเร่งผลิตสินค้าผ้าไหมออกมาตีตลาด
ฝรั่งเศสอีก ไม่เว้นแม้แต่ราคาไวน์ทตี่ กต่ำลงเพราะมีสินค้าจากที่อื่น เช่นที่
อเมริกาที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในยุโรปและราคาถูกกว่า ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจ
ภายในเริ่มเกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นในเวลานั้นฝรั่งเศสยัง
ถูกถือว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยอยู่
ดังนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งเศสแม้จะเป็นหนึ่งใน
มหาอำนาจที่มคี วามสำคัญ แต่กเ็ ป็นเพียงประเทศที่ป่วยไข้จากปัญหาทั้ง
ภายนอกและภายในเท่านั้น
ในช่วงสิ้นศตวรรษที่ 19 ประชาชนชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ได้มีเสียงใน
การบริหารบ้านเมืองของตน และมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลดังเช่นอังกฤษ
และชาวอเมริกัน และแม้จะป่วยไข้อยู่บ้างดังที่ได้กล่าวมาแต่กย็ ังได้รับการ
ยอมรับโดยทั่วไปว่าฝรั่งเศสยังเป็นประเทศประชาธิปไตยชั้นนำในยุโรป
อีกทั้งก็ยังเป็นเจ้าจักรวรรดิทางทะเลที่มีอาณาเขตครอบครองกว้างใหญ่
ไพศาลอยู่ ซึ่งจะเป็นรองก็เพียงแค่อังกฤษเท่านั้น
สิ่งที่ติดอยู่ในใจของชาวฝรั่งเศสเสมอมาก็คือ ความต้องการอยากได้
อาลซาส-ลอร์เรนน์ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุอันเป็นประโยชน์
ต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่เป็นอย่างมากอยู่ แม้ฝรั่งเศสกับเยอรมนีจะ
ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพต่อกัน แต่กเ็ ป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น ว่า
39/665
กันว่าการที่ฝรั่งเศสต้องพ่ายแพ้ต่อปรัสเซียในครั้งนั้น มีผลดีคือทำให้ชาว
ฝรั่งเศสมีพัฒนาการไปในทางรวมเป็นเอกภาพเดียวกันยิ่งขึ้น ชาวฝรั่งเศส
ต่างภาคภูมิใจและถือว่าประเทศชาติของตนใหญ่ยิ่งที่สุดในยุโรป และถือ
เสมอว่าวัฒนธรรมของตนเองดีเด่นที่สุดในโลก
จักรวรรดิเยอรมนี
จักรวรรดิเยอรมนี (German Empire) เป็นชื่อที่ใช้เรียกเพื่อ
หมายถึงรัฐเยอรมนีในช่วงตั้งแต่การประกาศเป็นจักรพรรดิเยอรมนีของ
วิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย (18 มกราคม 1871) ถึงการสละราชสมบัตขิ อง
จักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 (9 พฤศจิกายน 1918) รวมเวลา 47 ปี
ประวัติ ศาสตร์เยอรมนี เริ่มต้นด้วยอำนาจของอนารยชนเยอรมานิก
ทีล่ ุกขึ้นมาต้านทานการยึดครองโดยชาว โรมัน ซึ่งเมื่อจักรวรรดิโรมันล่ม
สลายชนชาติเยอรมันก็กลายเป็นกลุ่มชนผูม้ ีอำนาจใน ยุโรปเข้าแทนทีช่ าว
โรมันจนนำไปสูก่ ำเนิดจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ จักรวรรดิที่ 1 ใน
สมัยกลาง จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ธำรงอยูก่ ว่าพันปีแต่กเ็ ป็นเพียง
จักรวรรดิทมี่ องไม่เห็น เพราะรัฐต่างๆ ในเยอรมันร้อยกว่ารัฐต่างแยกตัว
เป็นอิสระจากพระจักรพรรดิ จนนโปเลียนยกเลิกจักรวรรดินี้ กลายเป็นส
มาพันธรัฐเยอรมันเป็นกลุ่มของรัฐต่างๆ ในเวลาต่อมาราชอาณาจักรป
รัสเซียสามารถรวมประเทศ เยอรมนีได้โดยการนำของบิสมาร์ค ก็กลาย
เป็นจักรวรรดิเยอรมัน หรือจักรวรรดิที่ 2
กล่าวกันว่าผู้ที่มีบทบาทแท้จริงในการรวมชาติเยอรมนีได้สำเร็จคือ
40/665
บิสมาร์ค
โดยเรื่องเริ่มต้นเมื่อ พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ทรงเสด็จขึ้น
ครองราชย์เมื่อปี 1816 พระองค์ยอมรับรองรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1850
ต่อจากนั้นรัฐสภาแห่งชาติก็ได้ทำการปฏิรูปบ้านเมืองกันขนานใหญ่ โดย
พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 ทรงเห็นว่าอนาคตของปรัสเซียนั้นจำต้องอาศัยกำลัง
ทางทหารทีเ่ ข้มแข็ง ดังนั้นพระองค์จึงทรงสร้างกองทัพใหญ่ โดยอาศัยการ
เกณฑ์ทหารเข้ามาฝึกตามระยะเวลา 3 ปี แล้วจึงปลดให้เป็นทหาร
กองหนุนต่อไปอีก 4 ปีหรือมากกว่านั้น แล้วก็เกณฑ์เข้ามาใหม่สืบเนื่องกัน
แบบการเกณฑ์ทหารในปัจจุบัน
ซึ่งการดำเนินการของพระองค์ทำให้ทรงสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวน
มาก และมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายรัฐสภาแห่งชาติก็ไม่อนุมัติโครงการของ
พระองค์อีกต่อไป เพื่อให้ต้องพระราชประสงค์ของพระองค์พระเจ้า
วิลเฮล์มที่ 1 จึงทรงแต่งตั้งให้บิสมาร์ค หรือออตโต ฟอน บิสมาร์ค ขึ้นมา
เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งบิสมาร์คก็สามารถดำเนินงานตามพระราชดำรัสของ
องค์พระมหากษัตริย์ได้อย่างดียิ่ง เขาไม่สนใจและไม่หวั่นการต่อต้านของ
ฝ่ายค้านดังนั้นงานที่เขาเข้าไปจัดการจึงสำเร็จลงอย่างก้าวหน้า
ภายใต้อำนาจการบริหารของบิสมาร์คนั้น ว่ากันว่า เขาคือผู้ที่ทำให้
เกิด การรวมชาติเยอรมนีแท้จริง และบางแหล่งก็ว่าเขาคือวิศวกรผู้สร้าง
เยอรมนีมาด้วยมือของตนเอง
41/665
จักรพรรดิที่ 2 ไกเซอร์วิลเฮล์มแห่งเยอรมณี
แม้ว่าบิสมาร์คจะกล่าวไว้เช่นนั้น แต่การอบรมให้นักเรียนตระหนัก
ถึงหน้าที่และอำนาจการบังคับบัญชาในแบบของปรัสเซีย ก็ทำให้เขาซึมซับ
ระบบนี้ไปด้วยและทำให้โลกทัศน์ของเขาเปลี่ยนไปในภายหลัง เมื่อเขาเป็น
ผู้ใหญ่ขึ้น เขากลับกลายเป็นนักอนุรักษ์นิยมผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการ
ปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสุดขั้ว
43/665
และปฏิบัติภารกิจ ของประเทศโดยไม่ยอมรับนับถือในนโยบายส่วนมาก
ของบิสมาร์ค
ปี 1914 จักรวรรดิเยอรมนีรุ่งเรืองสุดขีด มีอาณานิคมทั่วโลก ทั้งใน
แอฟริกา อาทิ โตโก แคเมอรูน นามิเบีย และ แทนซาเนีย ส่วนในเอเชีย
ก็มีบริเวณชิงเต่าของจีน และทางตอนเหนือของปาปัวนิวกินี รวมทั้ง
หมู่เกาะบางแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกด้วย
ต่อมาจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีมีปัญหากับเซอร์เบียจึงเกิดสงคราม
ขึ้นโดย จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีดึงจักรวรรดิเยอรมนีเข้าร่วมสงคราม
ในนามฝ่ายมหาอำนาจกลาง เป็นเหตุให้เยอรมนีเข้าร่วมสงครามโลกครั้ง
ที1่ ช่วงต้นสงครามฝ่ายมหาอำนาจกลางได้เปรียบฝ่ายสัมพันธมิตรหลาย
อย่างทั้ง กลยุทธ์ทางการสงคราม และความแข็งแกร่งของทหาร ระหว่าง
สงครามเยอรมนีได้ประดิษฐ์ แก๊สพิษ ที่ทำให้ทหารฝรั่งเศสหายใจติดขัด
และอาจถึงตายได้ แต่ระหว่างสงครามพระโอรสของพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 2
ได้ขอร้องพระบิดาให้ทำสนธิสัญญาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรแต่ไม่สำเร็จ
ช่วงท้ายของสงครามหลังจากที่อเมริกาเข้าร่วมสงคราม เยอรมนีกเ็ ริ่ม
เสียเปรียบ พันธมิตรของเยอรมนีทั้ง ออสเตรีย-ฮังการีก็ประกาศยอมแพ้
ส่วนบัลแกเรียและออตโตมันแพ้สงครามให้กับสัมพันธมิตร ทำให้เยอรมนี
ต้องต่อสูก้ ับพันธมิตรอย่างโดดเดี่ยวและได้แพ้สงครามในปี 1918 และได้
เป็นจุดจบของจักรวรรดิเยอรมนี
45/665
นอกจากนั้นยังได้ปกครองทั่วทั้งทางตะวันตกและทางเหนือ รวมทั้ง
ครึ่งหนึ่งของทวีปยุโรปเลยทีเดียว โดยทุกประเทศที่อยูภ่ ายใต้จักรวรรดินี้
มีรัฐบาลเป็นของตนเอง มิได้มรี ัฐบาลและศูนย์กลางทางการเมืองหรือ
รัฐบาลที่ประเทศเดียว
เมืองหลวงของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้น มีอยู่ 2 เมืองด้วยกัน
คือ กรุงเวียนนา ทีป่ ระเทศออสเตรีย และกรุงบูดาเปสต์ที่ประเทศฮังการี
ในยามนั้นจักรวรรดิแห่งนี้มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากจักรวรรดิ
รัสเซีย และเป็นอาณาจักรที่มปี ระชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 3 รองจาก
จักรวรรดิรัสเซียและจักรวรรดิเยอรมนี ซึ่งปัจจุบันนี้ พื้นที่ที่เคยเป็น
ส่วนหนึ่งของจักรวรรดินั้นมีประชากรรวมทั้งหมดถึง 73 ล้านคน
ออสเตรียและฮังการีต่างมีรัฐสภาเป็นของตนเอง และมี
นายกรัฐมนตรีเป็นของตนเอง แต่รัฐสภาทั้งหมดอยูภ่ ายใต้อำนาจของ
สมเด็จพระจักรพรรดิหรือสมเด็จพระราชาธิบดีแต่เพียงพระองค์เดียว ด้วย
อำนาจเบ็ดเสร็จและสภาของสำนักอิมพีเรียลนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับกองทัพ
ราชนาวี การต่างประเทศ และสหภาพต่างในจักรวรรดิ เป็นต้น
สภาคณะรัฐมนตรีของจักรวรรดิเป็นตัวควบคุมรัฐสภาทั้งหมด ซึ่ง
ประกอบด้วย 3 รัฐมนตรีทมี่ ีส่วนร่วมในการควบคุมด้วย คือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีผู้ส่วนร่วมคน
อื่นๆ อีก เช่นอาร์คดยุคและอาร์คดัชเชส รวมทั้งพระราชวงศ์อิมพีเรียล
48/665
จักรวรรดิออตโตมัน
จักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ถือกำเนิดขึ้นในปี
1453 หลังการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ มีสุลต่านเมห์เมตที่ 2
เป็นผู้นำ มีคอนสแตนติโนเปิล(อิสตันบูล) เป็นเมืองหลวง ในตอนแรกที่
ยึดคอนสแตนติโนเปิลได้ พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองคอนสแตนติโน
51/665
สังคมของชาวอิตาลีหลังจากการรวมชาติและตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่
ของยุคเสรีนิยม เป็นไปในลักษณะของสังคมทีแ่ บ่งแยกอย่างเด่นชัดทั้งใน
เรื่องของชนชั้น ภาษา ภูมิภาค และระดับทางสังคม
โดยทั่วไปลักษณะทางวัฒนธรรมของอิตาลีในเวลานั้นเป็นสังคมแบบ
อนุรักษนิยมโดยธรรมชาติ เช่น การเชื่อมั่นในคุณค่าของครอบครัวอย่าง
แรงกล้าหรือและค่านิยมของการนับถือบิดาเป็นใหญ่ในครอบครัว
ในการรวมชาติอิตาลีขึ้นมานั้น ราชอาณาจักรแห่งใหม่นี้กพ็ บเจอกับ
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ตลอดจนไปถึง
ปัญหาทางการเมือง สังคม และการแบ่งแยกชนชาติและชนชั้น ในช่วง
ยุคสมัยใหม่ของอิตาลีนี้สภาพทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศขึ้นอยู่กับ
การค้าขายจากต่างประเทศ และการส่งออกถ่านหิน
และจากการรวมชาตินี้เอง ทำให้อิตาลีกลายเป็นประเทศที่มอี ัตราการ
ทำงานของประชาชนในภาคเกษตรกรรมมากที่สุดในแถบยุโรปถึง 60%
ของ ประชากร และกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ ส่วน
ศาสนจักรเองก็มที รัพย์สินจำนวนมากมายจากการบริจาคในประเทศ และ
ยังมีการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศที่รุนแรงอีกด้วย ทำให้ช่องทาง
และโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศในภาค
เกษตรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วหลังจากการรวมชาติขึ้นมาได้ไม่นาน แต่
ถึงอย่างไรก็ตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อ
ประเทศทั้งหมดในช่วงระยะเวลานี้ ในขณะทีภ่ าคเกษตรกรรมทางใต้ของ
59/665
การรวมกลุ่มพันธไมตรีก่อนสงคราม
เมื่อโลกเข้าสูศ่ ตวรรษที่ 19 ยุโรปก็กลายเป็นเจ้าใหญ่นายโตของ
โลกไปแล้ว ที่สำคัญอำนาจของยุโรปยังแพร่ลามขยายอิทธิพลของตัวเอง
ออกไปเหนือบริเวณต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยในบริเวณซีกโลก
ตะวันตกได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก อเมริกากลางและ
อเมริกาใต้ ล้วนแต่รับและดำรงอยูต่ ามวัฒนธรรมยุโรป ขณะที่ทาง
แอฟริกาใต้ก็ไม่ต่างกัน วิถีและชีวิตแบบยุโรปได้แพร่ลามเข้าไปอย่าง
ต่อเนื่อง ที่สำคัญวัฒนธรรมของยุโรปก็ยังเป็นรากฐานของออสเตรเลียและ
นิวซีแลนด์อีกด้วย เรียกว่าเวลานั้นกว่าครึ่งโลกไปแล้วที่วัฒนธรรมและวิถี
คิดอย่างยุโรปกระจายเข้าไปมีอิทธิพลต่อผู้คน
และว่ากันว่าอิทธิพลของยุโรปไม่ได้มอี ยูเ่ พียงเท่านั้น หากแต่ชนชาว
ยุโรป ยังถือสิทธิเขาไปแบ่งปันเขตแดนในแถบทวีปแอฟริกาใต้ ทวีปเอเชีย
รวมไปถึงบรรดาหมู่เกาะต่างๆ ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกภาคกลางและ
ภาคใต้มาเป็น ของประเทศตัวเองแต่ละประเทศจำนวนมากมาย
65/665
เรียกได้ว่าเวลานั้นบรรดาประเทศสำคัญในยุโรปต่างแย่งกันเข้า
ครอบครองดินแดนของคน อื่นกันอย่างสนุกสนาน ทั้งนี้กเ็ พื่อแสดงให้
ประเทศคู่แข่งเห็นถึงศักดิ์ศรีและเกียรติศักดิข์ อง ประเทศตัวเอง และเพื่อ
ความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ ทางการค้า และเพื่อการเผยแพร่ศาสนา
ถึงขั้นที่ช่วงเวลานั้นได้มีการระบายสีลงในแผนที่ให้เห็นกันเลยว่าสีนี้เป็น
ของประเทศนี้สนี ั้นเป็นของประเทศนั้นจนเปรอะกันไปทั่วแผนทีโ่ ลก ที่
สำคัญการแพร่ลามอิทธิพลของชาว ยุโรปในช่วงเวลานั้นใช่ว่าจะมี
ความรู้สึกสำนึกก็หาไม่หากแต่กลับคิดว่า การที่ยุโรปเข้าไปยึดครองและ
แสวงหาผลประโยชน์ในแผ่นดินอื่นนั้น ก็เพราะเป็นภาระ ทีช่ าวยุโรปต้อง
ช่วยนำนานาประโยชน์จากอารยธรรมยุโรปไปสูบ่ รรดาชนที่ล้าหลัง ถือเป็น
การช่วยให้ชนเหล่านั้นมีสภาพและโชคชะตาที่ดขี ึ้น ครั้งนั้นชาว ยุโรปเรียก
มันว่า “ภาระของชนผิวขาว”
วิธีคิดอย่างที่ว่านี้เกิดขึ้นมาจริงในช่วงที่ยุโรปกำลังบ้าอำนาจและกำลัง
เห่อ เหิมกับการพัฒนาของตัวเองที่วางอยูบ่ นพื้นฐานของการเข้าไปสูบ
เลือดสูบเนื้อ ประเทศอื่นๆ เขา แต่ก็ไม่นานนัก ทั้งนี้เพราะในเวลาต่อมา
หลังจากที่ต่าง คนต่างก็คิดเข้าไปสร้างบารมีและอิทธิพลของตัวเองแล้ว
หลังปี 1870 ประเทศ ใหญ่ๆ ของยุโรปเองก็ต้องตกเข้าไปสู่วังวนของการ
แข่งขันกันเองและเป็นปฏิปักษ์ต่อ กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยเฉพาะเรื่อง
ทีเ่ กิดขึ้นมานี้ก็มีที่มาจากการแก่ง แย่งกันเป็นเจ้าของดินแดนต่างๆ แย่ง
กันค้าขายในตลาดโลกซึ่งอำนวยผลกำไรให้อย่างมหาศาล และรวมไปถึง
การเบ่งใส่กันเองอวดบารมีกันเองตาม เวทีการประชุมต่างๆ
66/665
เรียกว่าแข่งกันอวดบารมีและแข่งกันหาเล่ห์หาเหลี่ยมมาใช้ในการ
เจรจา กัน ผลสุดท้ายปรากฏว่าบรรดาประเทศทีแ่ ข่งขันกันนี้เองได้มกี าร
รวมตัวกันจนแยกออกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรมิตร
กับฝ่ายสนธิสัญญาฉันทไมตรี
กำเนิดภาคีสัญญาพันธมิตร
เพื่อให้เราได้มองเห็นภาพของการเกิดกลุ่มอำนาจสองฝ่ายจำเป็นที่จะ
ต้องย้อนรอยกลับ ไปมองถึงการเกิดกลุ่มเหล่านี้ก่อนสงครามโลกกัน
เสียก่อน
ย้อนกลับไปยังปี 1871 หลังจากที่ปรัสเซียทำสงครามมีชัยชนะต่อ
ฝรั่งเศส อย่างงดงามและได้ประกาศสถาปนาจักรวรรดิเยอรมนีขึ้น
เยอรมนีก็มีฐานะที่เข้มแข็งด้านการทหารอย่างมาก อาจจะกล่าวได้ว่ามาก
ที่สุดในยุโรปเวลานั้นเลย ก็ว่าได้ ขณะเดียวกันนั้นฝรั่งเศสซึ่งเคยเป็นเจ้า
อำนาจทางทหารมายาวนานกว่า 200 ปีกต็ ้องเสียตำแหน่งให้กับเยอรมนีไป
เพราะความพ่ายแพ้ด้วยเช่นกัน
ผลของชัยชนะของปรัสเซียครั้งนั้นทำให้เยอรมนีได้แคว้นหรือมณฑล
ทีส่ ำคัญสองแห่ง จากฝรั่งเศส นั่นคือมณฑลอาลซาสและลอร์เรน ซึ่งทั้ง
สองแห่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่เหล็กและถ่านหินซึ่งมีความสำคัญอย่าง
มากต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตและรุ่งเรืองในเวลานั้น
67/665
จากผลที่เกิดขึ้นมานี้เองที่ทำให้ในเวลาต่อมาเยอรมนีสามารถ
ปรับปรุงบ้านเมือง ของตัวเองให้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดทาง
อุตสาหกรรมบนแผ่นดินใหญ่ของยุโรป
และหากจะมีคู่แข่งอยู่ก็น่าจะมีชาติสำคัญทางอุตสาหกรรมอีก
ประเทศ เดียวเวลานั้นคือจักรวรรดิอังกฤษที่อยู่บนเกาะ
ความเติบโตและก้าวหน้าของเยอรมนีครั้งนั้นเองถือเป็นการเพาะ
เมล็ดพืชแห่งสงครามขึ้นมา
แม้ว่ากรุงเบอร์ลินจะกลายเป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองของ
ยุโรป ในเวลานั้นไปแล้วก็ตามที กระนั้น บิสมาร์ค หรือออตโต ฟอน บิส
มาร์ค อัครมหาเสนาบดีของเยอรมนี ผู้มีบทบาทอย่างสูงในการก่อตั้ง
จักรวรรดิเยอรมนีขึ้นมา ก็มีความหวาดเกรงอยูเ่ ช่นกันว่าวันหนึ่งฝรั่งเศส
อาจจะหาทางแก้แค้นทดแทนอย่างแน่นอน บิสมาร์คจึงพยายามดำเนิน
นโยบายธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ ในยุโรป ทั้งนีก้ ็เพื่อรักษาสถานะของเยอรมนี
ให้มั่นคงอยู่นานเท่านาน และด้วย นโยบายเช่นนี้เองที่บิสมาร์คมีความจำ
เป็นที่จะต้องทำให้เยอรมนีเข็มแข็งและฝรั่งเศสต้องอ่อนแอตลอดไป
สิ่งที่เขาคิดได้ก็คือ เยอรมนีจะต้องแวดล้อมไปด้วยเพื่อนฝูง และ
ฝรั่งเศส จะต้องโดดเดี่ยว ทีส่ ำคัญเขาจะต้องทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ฝรั่งเศส
และรุสเซียสามารถเข้ามาร่วมมือกันได้ เพราะหากว่าเมื่อใดที่ฝรั่งเศส
สามารถจับมือกับรุสเซียแล้ว หากเกิดสงครามขึ้นมาเยอรมนีกจ็ ะกลายเป็น
มีศัตรูสองด้านพร้อมกันทันที
68/665
กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เยอรมนีจะสามารถทำตัวเป็นศูนย์กลาง
ของ อำนาจและมิตรภาพได้ ทั้งนี้เพราะกว่าที่เยอรมนีจะสามารถประกาศ
ตัวเป็นจักรวรรดิเยอรมนีได้นั้นก็ต้องก่อศัตรูเอาไว้มากมายแล้ว ดังนั้น
นโยบายทุกอย่าง ทีเ่ ยอรมนีและบิสมาร์คคิดในเวลานั้นก็คือ จำเป็นที่สุดที่
จะต้องไม่ให้ฝรั่งเศสซึ่งคือศัตรูที่เยอรมนีกลัวที่สุดสามารถไปรวมตัวหรือ
จับมือกับใครได้
เมื่อเป็นดังนั้น เยอรมนีจึงใช้ยุทธวิธีทางการทูตเข้าไปดำเนินนโยบาย
การต่างประเทศของตัวเอง โดยบิสมาร์คเข้าไปสนับสนุนให้ฝรั่งเศสขยาย
อาณานิคมของตัวเองออกไปในแอฟริกา และเอเชียทั้งนี้เพราะเขารู้ดวี ่าการ
สนับสนุนฝรั่งเศสนั้นอาจทำให้ลดความ รู้สึกอยากแก้แค้นของฝรั่งเศสลง
ได้บ้าง ทีเ่ หนือไปกว่านั้นก็คือการที่ฝรั่งเศสขยายอาณานิคมอย่างต่อเนื่อง
ในแอฟริกา และเอเชียนั้นต่อไปแล้วก็จะต้องเกิดปัญหาขึ้นกับอังกฤษซึ่ง
เป็นเจ้าอาณานิคม ในแถบนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ย่อม
หมายถึงฝรั่งเศสไม่ได้มีศัตรูเพียงแค่เยอรมนีเท่านั้น
69/665
ไมตรีระหว่างประเทศให้มีอำนาจ กว่าอีกกลุ่มสัมพันธไมตรีที่ฝรั่งเศสอาจ
ตั้งขึ้นมาได้ในเวลาต่อมา ดังนั้นแนวความคิดเรื่องการรวมกลุ่มประเทศ
มหาอำนาจเพื่อคานอำนาจคนอื่นก็ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยที่การรวมกลุ่มกันครั้งแรกนั้นเริ่มที่เยอรมนีโดยบิสมาร์คคิดทำ
สัมพันธไมตรีกับรุสเซียและออสเตรียก่อน โดยเกิดการลงนามเซ็นสัญญา
กันขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1872 เรียกกันว่า สัญญาสันนิบาตสามจักรพรรดิ
สันนิบาตสามจักรพรรดิ มีอายุระหว่าง ค.ศ. 1872 - 1876 เกิดขึ้น
โดยการลงนามของสามจักรพรรดิของสามชาติคือ จักรวรรดิเยอรมนี
รุสเซีย และออสเตรีย
ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ก่อนทีป่ รัสเซียจะรวมตัวและกลายเป็น
จักรวรรดิเยอรมนีนั้น ครั้งหนึ่งปรัสเซียเคยเข้าไปช่วยเหลือรุสเซียในการ
ปราบกบฏชาวโปล ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1863 จึงถือ ว่าทั้งสองประเทศมีความ
สัมพันธ์กันอยู่บ้าง ขณะที่กับออสเตรียนั้น แม้ว่าออสเตรียจะแพ้สงคราม
กับปรัสเซียมาก่อนแต่นโยบายทีป่ รัสเซียนำมาใช้กับ ผู้แพ้สงคราม
ก่อนหน้านั้นทีโ่ อนอ่อนผ่อนปรนกันมาก็ทำให้ออสเตรียเกิดความ รู้สึกที่ดี
อยู่ไม่น้อย
ครั้นเมื่อบิสมาร์คเจรจาทาบทามประเทศทั้งสอง ทั้งสองฝ่ายจึง
สามารถโอนอ่อนเข้าหากันได้ โดยในเดือนกันยายน 1872 กษัตริย์ทั้งสาม
พระองค์คือ ฟรานซิส โจเซฟแห่งออสเตรีย ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่ง
71/665
2. ในกรณีที่ภาคีหนึ่งหรือสองประเทศแห่งสัญญานี้ ถูกประเทศนอก
ภาคี ประเทศใดก็ตามรวมสองประเทศขึ้นไปทำการโจมตี ภาคีหนึ่งหรือ
สองประเทศ ที่เหลืออยู่ตามสัญญานี้จะต้องเข้าช่วย
สัญญาลับนี้มอี ายุ 5 ปี มีการต่ออายุและเปลี่ยนแปลงแก้ไขในบาง
ประเด็นในปี 1887 และมีการต่ออายุเป็นครั้งคราวเรื่อยมาจนกระทั่งถึง
สงคราม โลกครั้งที่ 1 สัญญานีจ้ ึงได้เลิกร้างไป โดยอิตาลีปฏิเสธไม่ยอม
ร่วมกับเยอรมนีและออสเตรีย เพราะอิตาลีอ้างว่าฝรั่งเศสไม่ได้เป็น
ฝ่ายรุกราน
เรื่องราวการลงนามในสัญญาต่างๆ ในช่วงเวลานี้ของชาวยุโรปยังมี
มาก มายและสับสนกันอยู่ไม่น้อย กล่าวคือในระหว่างการลงนามที่กล่าว
ไปแล้วนั้น ปรากฏว่ายังมีการลงนามในสัญญาอื่นๆ อีก อาทิ สนธิสัญญา
อินชัวรันส์ ค.ศ. 1887 เป็นสัญญาระหว่างเยอรมนีกับรุสเซีย หลังสิ้นสุด
อายุสนธิสัญญาสันนิบาต สามจักรพรรดิ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นจะเกิด
สนธิสัญญาไตรมิตรขึ้นมาแล้วก็ตามที กระนั้นเยอรมนีกับรุสเซียก็ยัง
ลงนามในสัญญาฉบับนี้ อาจนับเป็นสัญญาลับ หลังออสเตรียก็ว่าได้
กล่าวคือ ด้วยความที่เยอรมนีกลัวว่าตัวเองจะมีปัญหากับฝรั่งเศสอย่าง
มากและระแวงที่สุดว่ารุสเซียอาจจะร่วมกับฝรั่งเศสได้ในที่สุด ดังนั้นจึงจำ
ต้องกันรุสเซียให้อยู่ห่างเอาไว้ก่อน จึงได้แอบทำสัญญากับรุสเซียฉบับนี้ขึ้น
มา โดยมีเงื่อนไขว่า รุสเซียสัญญาจะไม่ร่วมกับฝรั่งเศสหากว่าฝรั่งเศส
รุกรานเยอรมนี และเพื่อเป็นการตอบแทนเยอรมนีกส็ ัญญาว่าจะสนับสนุน
75/665
ผลประโยชน์ของรุสเซียทางแหลมบอลข่าน ทั้งที่แท้จริงแล้วในสนธิสัญญา
สันนิบาต สามจักรพรรดิก็มีค้ำอยู่ก่อนแล้ว
สนธิสัญญาอินชัวรันส์ มีอายุ 3 ปี หมออายุลงในปี 1890 ทั้ง
เยอรมนีและรุสเซียอยากต่ออายุแต่ปรากฏว่าบิสมาร์คผู้มีความสำคัญใน
การทำสัญญา นี้ถูกพระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 จักรพรรดิพระองค์ใหม่
ของเยอรมนีบังคับให้จำต้องลงจากตำแหน่งเสียก่อน และพระเจ้าไกเซอร์
วิลเฮล์มที่ 2 ก็รวบอำนาจ ในการบริหารบ้านเมืองมาอยู่ที่พระองค์แต่เพียง
ผูเ้ ดียว พระองค์เห็นว่าเยอรมนี ก็มีผลประโยชน์อยูใ่ นคาบสมุทรบอลข่าน
ด้วยเช่นกันดังนั้นจึงควรจะร่วมมือกับออสเตรียในการรักษาผลประโยชน์
ในคาบสมุทรบอลข่านเอาไว้ดกี ว่า ดังนั้น เมื่อรุสเซียเสนอขอต่ออายุ
สนธิสัญญาอินชัวรันส์ กษัตริย์แห่งเยอรมันจึงตอบปฏิเสธไป
เมื่อไม่ได้มีสัญญาลับกับเยอรมนีแล้ว ในปี 1891 รุสเซียจึงหันไปทำ
สัญญากับฝรั่งเศสขึ้นมาฉบับหนึ่ง เรียกสัญญาฉบับนี้ว่า สนธิสัญญาสัม
พันธ ไมตรีฝรั่งเศส-รุสเซีย หรือสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีสองประเทศ
ค.ศ. 1891
จุดนี้ต้องย้อนกลับไปดูที่ฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ฝรั่งเศส
พ่ายแพ้ต่อประเทศรัสเซียในปี 1871 แล้ว ฝรั่งเศสก็กลายเป็นประเทศ
ยิ่งใหญ่ที่โดดเดี่ยว และบาดเจ็บ ต้องอยูต่ ามลำพังและหาเพื่อนไม่ได้
ทั้งนี้เพราะบิสมาร์คใช้ทุกวิธีทางในการกีดกันฝรั่งเศสไม่ให้สามารถจับมือ
กับใครได้ กระทั่งถึงวันที่รุสเซีย เกิดความโกรธอย่างมากต่อเยอรมนีที่ไม่
76/665
ยอมต่อสัญญาอินชัวรันส์ ผนวกกับที่รุสเซียก็ยังต้องการเงินจำนวนมาก
เพื่อมาใช้จ่ายในการพัฒนาบ้านเมืองและฝรั่งเศสยินดีให้กู้ยืมมาก่อนหน้า
นับแต่ปี 1888 เป็นต้นมาแล้ว
ลักษณะความสัมพันธ์แบบช่วยเหลือฐานะเจ้าหนี้กับลูกหนี้ระหว่าง
ฝรั่งเศสกับรุสเซีย ส่งผลให้มิตรภาพทางการทูตระหว่างสองประเทศเกิด
ขึ้นมาโดยดี ดังนั้นจึงเกิดการทำสัญญากันขึ้นมาในปี 1891 โดยมีข้อตกลง
หลักว่า ทั้งสองประเทศจะร่วมกันในการรักษาสันติภาพให้เกิดขึ้นในยุโรป
ต่อมาในปี 1894 ก็ได้ขยายข้อตกลงโดยกำหนดให้เป็นอนุสัญญาลับ
ทางทหารระหว่างสองประเทศขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาป้องกัน
ช่วยเหลือโดยมีเงื่อนไขอย่างย่อๆ ว่า ในกรณีที่ฝรั่งเศสถูกอิตาลีซึ่งมี
เยอรมนีหนุนหลังอยู่เข้า โจมตี รุสเซียจะต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยูเ่ ข้า
โจมตีเยอรมนี และในกรณีทรี่ ุสเซีย ถูกเยอรมันหรือออสเตรียที่มเี ยอรมนี
หนุนหลังอยูโ่ จมตี ฝรั่งเศสก็จะต้อง ช่วยรุสเซียโดยการเข้าโจมตีเยอรมนี
และมีการกำหนดกำลังทัพที่ควรมีไว้ดังนี้ ฝรั่งเศสควรมีกำลังทัพ
1,300,000 นาย ขณะที่รุสเซียควรมี 700,000 ถึง 800,000 นาย
ดังนั้นสิ่งที่บิสมาร์คกลัวมากที่สุด คือ กลัวว่าฝรั่งเศสจะมีพันธมิตรก็
เกิด ขึ้นมาจริงในที่สุด เกิดขึ้นหลังจากที่เขาต้องลาออกจากตำแหน่งไป 4
ปี เท่านั้น กล่าวกันว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีที่เขาอยูใ่ นอำนาจเขาต้อง
ทำงานหนักทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ฝรั่งเศสสามารถกลับมามีอำนาจในยุโรปได้
77/665
อีกทั้งก็ต้องคิดว่าเป็นการฉลาดหรือไม่ ที่แม้จะวางตัวเป็นกลางใน
เวลานั้นก็จริงอยู่ แต่การกระทบกระทั่งกันอยูเ่ สมอและหวิดจะก่อให้เกิด
สงครามกับรุสเซียและฝรั่งเศสในเรื่องอาณานิคมก็เกิดขึ้นมาอยูเ่ สมอ โดย
สาเหตุก็มาจากเรื่องของดินแดนในอาณานิคม แต่กระนั้นจักรวรรดิบริเทน
ใหญ่ก็ได้แต่คิดเท่านั้น
ต่อเมื่อถึงปี 1899 - 1902 ปรากฏว่าได้เกิดสงครามโบเออร์[4]ขึ้นมา
ประเทศใหญ่ๆ ทางภาคพื้นยุโรปไม่ว่า ฝรั่งเศส รุสเซียและเยอรมนี ได้
คิดการทีจ่ ะเข้าไปบังคับอังกฤษให้ยุติการรบพุ่งกับพวกโบเออร์ แม้แนวคิด
ทีจ่ ะร่วมมือ กันบังคับให้อังกฤษหยุดและสร้างสันติภาพขึ้นจะไม่ได้เกิดขึ้น
มาจริงเพราะมหา อำนาจทั้งสามต่างเกรงในแสนยานุภาพของอังกฤษใน
เวลานั้นอยู่ กระนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นหรือแนวคิดที่ได้ยินมานี้กท็ ำให้อังกฤษ
ต้องหันกลับ มาคิดและพิจารณาให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน
นโยบายการวางตัวโดดเดี่ยวของตัวเอง
เมื่อพิจารณาไตร่ตรองกันดีแล้ว อังกฤษหรือบริเทนใหญ่ก็ได้เริ่ม
นโยบาย เปิดประเทศสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านขึ้นมาบ้าง โดยเริ่ม
จากการเข้าไปทาบทามเยอรมนีในปี 1898 เป็นครั้งแรก และอีกครั้งหนึ่ง
ในปี 1901 โดยมีรัฐบุรุษโจเซฟ เชมเบอร์เลน แต่ปรากฏว่าฝ่ายเยอรมนีไม่
สนใจ ทั้งกลับตีความหมายไปว่าอังกฤษกำลังอ่อนกำลังลงอีกต่างหาก
79/665
พลปืนเข้าประจำตำแหน่งในสงครามโบเออร์
กลายเป็นว่าเวลานั้นเยอรมนีก็เริ่มลำพองตัวเองแล้วว่าการที่อังกฤษ
เข้ามาทาบทาม นั้นแสดงให้เห็นว่าเยอรมนีกใ็ หญ่พอแล้วทีจ่ ะเข้มแข็งด้วย
ตัวเองและอีกอย่าง หนึ่งเยอรมนีกห็ ยิ่งเกินไปที่คิดว่าตัวเองสามารถจะ
ทำไมตรีกับใครก็ได้ตามข้อ เสนอของตัวเอง ทำให้ไม่สนใจอังกฤษหรือบริ
เทนใหญ่ในเวลานั้น
ดังนั้น ความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นไปด้วยดีกลับต้องแย่ลงเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเยอรมนีมีความคิดอยากที่จะเป็นที่ 1 ในทุกด้าน
80/665
เหนืออังกฤษให้ได้ ก็ยิ่งทำให้ช่องห่างระหว่างสองชาติเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ต่อเมื่อสภาไรซ์สตาคของ เยอรมนีผ่านกฎหมายทางนาวีซึ่งยอมให้สร้าง
กองทัพเรือตามโปรแกรมนาวีแบบใหม่ ซึ่งจะสามารถขยายกำลังและเข้า
ครอบครองน่านน้ำอันจะส่งผลต่อบริเทนใหญ่โดยตรง ทำให้อังกฤษเริ่ม
ตระหนกอย่างมากทั้งนี้เพราะหากแผนการนั้นของเยอรมนีสำเร็จ ย่อม
หมายความว่าความยิ่งใหญ่ทางนาวีของอังกฤษต้องถูกสั่นคลอนอย่าง
แน่นอน ดังนั้นอังกฤษจึงไม่อาจนิ่งเฉยอยูไ่ ด้ ค.ศ. 1902 อังกฤษจึงเริ่ม
นโยบายผูกมิตรกับชาติต่างๆ โดยเริ่มทำสนธิสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น
เป็นชาติแรก ต่อมาในปี 1904 ก็ได้เริ่มปรองดองกับฝรั่งเศสจนเกิด
สนธิสัญญาฉันทไมตรีอังกฤษ-ฝรั่งเศส ขึ้นในปี 1904 นั้นเอง
ในสายตาชาวโลกเวลานั้นมองว่า สำหรับประเทศใดๆ ในโลกเวลา
นั้น คูก่ รณีที่จะหันเข้ามาทำสัญญากันได้ยากที่สุดน่าจะเป็นอังกฤษกับ
ฝรั่งเศส ทั้งนี้เพราะทั้งสองชาติต่างมีเรื่องที่ทำให้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานับ
ร้อยๆ ปี ที่สำคัญ ฝรั่งเศสก็เพิ่งทำสัญญาไมตรีกับรุสเซียซึ่งเป็นศัตรู
สำคัญในเรื่องการขยายดินแดนในเอเชียของอังกฤษอีกชาติหนึ่งด้วย
เรียกได้ว่าอังกฤษและฝรั่งเศสนั้นพร้อมเสมอที่จะหันหน้ามารบกัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะเจาะคือ
1. เมื่ออังกฤษถูกเยอรมนีปฏิเสธเรื่องไมตรีที่เสนอ
2. เมื่อเยอรมนีตกลงใจสร้างกองกำลังทหารทางเรือ
81/665
และ 3. เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสเปลี่ยนท่าทีในความสัมพันธ์กับอังกฤษ
ภาย หลังการเลือกตั้งในฝรั่งเศสเมื่อปี 1902 ทำให้ความร่วมมือครั้งใหม่
เกิดขึ้นได้
แต่ เอาเข้าจริงๆ แล้ว ว่ากันว่าการทีฝ่ รั่งเศสเปลี่ยนท่าทีในความ
สัมพันธ์กับอังกฤษนั้น แท้จริงแล้วน่าจะมาจากการที่เวลานั้นฝรั่งเศสมี
นโยบายทีจ่ ะรุกและแผ่อำนาจ ของตัวเองเข้าไปในโมร็อกโกต่างหาก
หากว่าอังกฤษไม่ให้การสนับสนุนแล้วการแผ่อำนาจครั้งนั้นย่อมมีอุปสรรค
อย่าง มาก ดังนั้นเมื่อฝรั่งเศสหันมาทำไมตรีกับอังกฤษ จนสามารถลงนาม
ในสัญญาข้อตกลงต่างๆ ทีท่ ำขึ้นในปี 1904 แล้วฝรั่งเศสก็สามารถรุกเข้า
โมร็อกโกอย่างสะดวกสบาย
ข้อสัญญามิตรภาพระหว่างสองชาติ มีเนื้อหาคร่าวๆ ว่า ทั้งสองจะ
ปรองดองกันด้วยดีในกรณีพิพาทเรื่องสำคัญๆ ในแอฟริกาตะวันตก
สยาม มาดากัสการ์ หมู่เกาะนิวเฮบรีดิส สิทธิการจับปลาในนิวฟาวด์แลนด์
และทีส่ ำคัญที่สุดคือ ฝรั่งเศสยอมให้อังกฤษปฏิบัติการกับอียิปต์ได้ตาม
สะดวก กลับกันฝรั่งเศสก็ได้ประโยชน์จากอังกฤษคือปล่อยให้ฝรั่งเศสเข้า
ไปทำอะไรในโมร็อกโกได้ตามปรารถนา มีข้อแม้อยูเ่ พียงว่าฝรั่งเศสยึด
ได้แต่ต้องไม่สร้างค่ายคู ประตูหอรบหรือสร้างเครื่องต้านทานศาสตรา
วุธต่างๆ ขึ้นในบริเวณนั้น ทั้งนี้เพราะอังกฤษเกรงว่า การกระทำดังกล่าว
นั้นอาจจะกลายเป็นการคุกคามอังกฤษทางช่องแคบยิบรอลตาร์ได้
82/665
อันที่จริงเราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับรุสเซีย
เสียก่อน แท้จริงนั้นรุสเซียกับอังกฤษมีปัญหากันมาตลอดเวลา โดยเฉพาะ
มีความขัดแย้งกันในอดีตในเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์จากดินแดนสาม
แห่งของโลก นั่นคือ
1. บริเวณตะวันออกใกล้
2. ตะวันออกไกล
และ 3. ตอนกลางของทวีปเอเชีย
โดยทีท่ างตะวันออกใกล้นั้น รุสเซียหวังเสมอมาว่ารุสเซียจะเข้าไป
ปลดปล่อยผู้คนแห่งคาบสมุทรบอลข่านให้หลุดพ้นจากอำนาจของตุรกี
และหวังอยู่ เสมอเช่นกันทีจะเข้ายึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล)
นคร หลวงของตุรกีเอาไว้เป็นของตัวเองให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาอังกฤษก็มี
นโยบายปกป้องตุรกีให้พ้นจาก การรุกรานของรุสเซีย ทั้งนีก้ ็เพราะเพื่อหวัง
จะให้ตุรกีช่วยเหลือในการกีดกันรุสเซียไม่ให้ใหญ่ เกินไป แต่ปรากฏว่า
หลังปี 1900 เป็นต้นมาเมื่อเยอรมนีเข้าไป ทวีอิทธิพลของตัวเองในตุรกีเรื่อ
ยๆ ทำให้อังกฤษเกิดความตกใจและไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วรุสเซียหรือ
เยอรมนีกันแน่ที่จะทำลายผลประโยชน์ของอังกฤษ
ขณะทีท่ างตะวันออกไกล คือ จีน ญี่ปุ่น และแมนจูเรียนั้น อย่างทีร่ ู้
กันมาอย่างดีว่าอังกฤษเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในแผ่นดินจีนมาอย่าง
ยาวนาน แล้ว แต่เมื่อเข้าถึงปี 1888 ปรากฏว่าชาวรุสเซียเริ่มเข้าไปมี
บทบาททางการค้าในจีนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเข้าไปเป็นคู่แข่งกับพ่อค้า
84/665
และนี่คือที่มาที่ไปของบรรดาการรวมกลุ่มพันธมิตรหรือพันธไมตรีที่
เกิด ขึ้นมาในระหว่างก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมา และเมื่อ
เกิดขึ้นมาแล้วกลุ่มสองกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มที่ทะเลาะกันเองจนสร้างให้สงคราม
ในครั้งนั้นกลายเป็นสงครามโลกไปในที่สุด ---
4
วิกฤตการณ์ทางการเมืองและสงคราม
ก่อนสงครามโลก 1
กล่าวได้ว่า นับเป็นเวลาร่วม 10 ปีก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
นั้นในยุโรปได้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ อันเป็นปัจจัยและล้วนแต่เป็น
ส่วนหนึ่งของการสั่งสมและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1
แทบทั้งสิ้น
นับแต่ปี 1904 - 1913 ภาย ใต้การพัฒนาทางการทหาร ลัทธิ
ชาตินิยม และจักวรรดินิยม ที่ครอบงำไปทั่วทั้งยุโรป ทำให้ยุโรปต้อง
เผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ระหว่างชาติทตี่ ิดตามกันมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า
แต่กระนั้นคู่กรณีก็สามารถ ก้าวพ้นการเสื่อมเสียมาได้แทบทุกครั้ง
แต่กระนั้นด้วยแนวคิดชาตินิยมและการปลูกฝังที่มีอย่างต่อเนื่องสู่รุ่นลูก
รุ่นหลานก็ทำให้สั่งสมความเกลียดชังและขัดแย้งมาอย่างต่อเนื่อง
88/665
ทั้งนี้เพราะเยอรมนีต้องการให้ชาติของตนเองมีส่วนร่วมในการเจรจาด้วย
หากมีการพูดคุยกันในเรื่องของปัญหาโมร็อกโก
ปลายปี 1904 นั่นเอง ฝรั่งเศสก็ได้ขอให้สุลต่านโมร็อกโกยอมให้
ฝรั่งเศส เข้าไปปรับปรุงด้านการทหารและการคลัง ซึ่งหากองค์สุลต่าน
ยินยอมก็จะทำให้ ฝรั่งเศสมีอำนาจในโมร็อกโกเท่ากับทีเ่ วลานั้นอังกฤษมี
อำนาจเหนืออียิปต์อยู่ก่อนแล้ว
รัฐบาลเยอรมนีวางเฉยในระยะแรก แต่อีกสองหรือสามเดือนต่อมา
ไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 ของเยอรมนี เสด็จเยือนเมืองแทนเจียร์ของโมร็อก
โกอย่าง เป็นทางการในเดือนมีนาคม 1905 อีก ทั้งไกเซอร์ยังได้กล่าว
สุนทรพจน์ยอมรับในเอกราชและอธิปไตยของโมร็อกโก อีกทั้งในเวลานั้น
กระทรวงการต่างประเทศ ของเยอรมนีก็ได้เข้าขอร้องว่าหากจะมีการตกลง
เกี่ยวกับอนาคตของโมร็อกโกแล้ว ก็ขอให้มกี ารเปิดการประชุมระหว่างชาติ
ขึ้น
ผลที่เกิดขึ้นมานี้ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ
ฝรั่งเศสในเวลา นั้นโกรธอย่างมากถึงกับยืนยันที่จะให้เกิดสงครามขึ้นกับ
เยอรมนีให้ได้ แต่เมื่อเจรจากับพันธมิตรของตนเองอย่างรุสเซีย ซึ่งเวลา
นั้นยังไม่พร้อมจะไปออกรบกับใครได้เพราะกำลังติดพันในสงครามที่ทำ
กับญี่ปุ่นอยู่หรือเพิ่งจะพ่ายแพ้ญี่ปุ่นมา อีกทั้งเหตุการณ์ภายในประเทศ
ของตนเองก็ไม่น่าไว้วางใจนัก ขณะที่อังกฤษนั้นแม้ด้านการทูตจะแสดง
90/665
ออกถึงการสนับสนุนฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ แต่ก็ละเว้นการแสดงออกอย่าง
ตรงไปตรงมาว่าจะเข้าช่วยเหลือฝรั่งเศสหรือไม่หาก เกิดสงครามขึ้นมา
สุดท้ายฝรั่งเศสจึงจำต้องยอมจำนนต่อการกระทำของเยอรมนี ถึงขั้น
ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสต้องลาออกจาก
ตำแหน่ง และถือว่าเป็นความพ่ายแพ้ทางการทูตที่หน้าอายของฝรั่งเศส
แต่กระนั้นก็ใช่ว่าเยอรมนีจะได้รับชัยชนะ ทั้นี้เพราะในการประชุม
นานาชาติที่เยอรมนียืนยันให้จัดขึ้นที่เมืองอัลจาซี รา ในการลง
คะแนนเสียงเยอรมนีพ่ายเกมการทูต โดยอิตาลีเข้าข้างฝรั่งเศสอย่างเต็มที่
ทุกกรณี ส่งผลให้เยอรมนีสามารถทำได้กเ็ พียงแค่ยืนยันให้โมร็อกโกเป็น
เอกราชแต่เพียง ในนามเท่านั้น
อธิปไตยของสุลต่านหมดไป โมร็อกโกต้องเปิดประเทศให้ชาติต่างๆ
เข้ามาค้าขายได้โดยมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
ส่วนใหญ่จะมีเพียงฝรั่งเศสกับสเปนที่ได้มีอำนาจเข้ามาตรวจตราดูแลรักษา
โมร็อกโก และการ ประชุมในครั้งนี้เองที่ทำให้เยอรมนีเริ่มสงสัยและไม่
ไว้วางใจอิตาลีรวมถึงประเทศ ในค่ายฉันทไมตรีไตรมิตร และเป็นจุด
เพิ่มพูนความกินแหนงแคลงใจ
การผนวกบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินา
หรือวิกฤตการณ์บอลข่านในปี 1908
หากจะกล่าวถึงดินแดนที่น่าจะเป็นปัญหามากที่สุดในช่วงเวลาก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วคาบสมุทรบอลข่าน น่าจะเป็นดินแดนส่วนทีว่ ่านี้
91/665
ด้วยว่าที่ตั้งที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจและความเคลื่อนไหวไปจนถึงการ
เคลื่อนไหลของ กลุ่มชนที่หลากหลาย ทำให้เกิดเป็นแผ่นดินส่วนที่สร้าง
ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อตกลงในที่ประชุมคองเกรสแห่งเบอร์ลิน ค.ศ. 1878
บอสเนียและ เฮอร์เซโกวินา ต้องอยู่ภายใต้การตรวจตราดูแลรักษาของ
ออสเตรีย-ฮังการีทั้งที่แท้จริงแล้วทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างยอมรับว่าดินแดน
ทั้งสองรัฐนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน แต่กเ็ ป็นเพียงในนาม
เท่านั้น
ครั้นเมื่อถึงปี 1908 รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของออสเตรียและ
รัฐมนตรีการต่างประเทศของรุสเซียได้ทำความตกลงกันว่า ให้ออสเตรีย
ผนวกบอสเนียและเฮอร์เซ โกวินาเข้าเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันกับออสเตรีย
ได้ โดยมีข้อแม้ว่าออสเตรียจะต้องยอมเปิดช่องแคบดาร์ดาเนลส์และ
บอสฟอรัสให้เรือ รบรุสเซีย ผ่านเข้าออกได้ ซึ่งต่อมาออสเตรียก็รีบเข้ายึด
แผ่นดินทั้งสองมณฑลหรือสองรัฐนั้นเข้าเป็นของ ตนเองอย่างเงียบๆ โดย
ทีร่ ุสเซียกลับไม่ได้อะไรตอบ แทน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเปิดช่องแคบทั้ง
สองให้เรือรบผ่านไม่ใช่หน้าที่ของ ออสเตรียแต่ขึ้นอยูก่ ับอังกฤษที่ยึดถือ
นโยบายเดิมของตนเองตลอดมาว่าจะต้อง ปิดช่องแคบอยู่ตลอดเวลา
การที่ออสเตรียเข้าควบรวมสองมณฑลนั้นทำให้เซอร์เบียโกรธแค้น
อย่าง มาก ทั้งนี้เพราะเซอร์เบียนั้นต้องการรวมชาติสลาฟของตนเองอยู่
แล้วและประชากรส่วนใหญ่ในมณฑลทั้งสองนี้ก็เป็นชาวสลาฟ
92/665
เซอร์เบียหวังเอาไว้ว่าหากสามารถรวมประเทศได้แล้วก็จะส่งผลให้เซอร์เบี
ยกลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และอาจเป็นมหาอาณาจักรเซอร์เบีย
ของชาวสลาฟเลยทีเดียว
ผลของความโกรธในครั้งนี้ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี กับเซอร์เบียต้อง
ตั้งประจันหน้ากันจนเจียนจะเกิดการปะทะกันเป็นเวลาหลายเดือน แต่
หลังจากติดต่อและเจรจาพันธมิตรกันแล้วสุดท้ายเซอร์เบียก็จำต้องผ่อน
ท่าทีลง โดยเริ่ม จากเซอร์เบียนั้นคาดว่าหากเกิดสงครามขึ้นมาแล้วรุสเซีย
จะต้องเข้าช่วยเหลือ ตนเอง ทั้งนี้เพราะรุสเซียสนับสนุนนโยบายรวมชาติส
ลาฟมาแต่ต้น
แต่ปรากฏว่าด้วยปัญหาของรุสเซียที่มีอยู่ทำให้นอกจากไม่พร้อมที่จะ
ทำ สงครามแล้ว รุสเซียยังเชื่อว่าเยอรมนีกจ็ ะต้องเข้าข้างออสเตรีย-ฮังการี
อย่างแน่นอน ดังนั้นรุสเซียจึงจำต้องขอยอมจำนนก่อน สุดท้ายผลของ
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นนีก้ ็ทำให้ ออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีได้รับชัยชนะ
ทางการทูต
และยิ่งสำหรับออสเตรียแล้วไม่เฉพาะแค่ชัยชนะทางการทูตเท่านั้น
แต่ยังได้ผนวกเอามณฑลใหญ่ของตุรกีสองมณฑลอีกด้วย ออสเตรียรู้สึก
ถึงชัยชนะ สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ฮับสบูร์กไว้ได้ ส่วนเซอร์เบีย
และรุสเซียกลับ เสียหน้า ชัยชนะและพ่ายแพ้ของออสเตรียต่อเซอร์เบีย
ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความ คั่งแค้นไม่อาจสูญไปได้ กลับแปลงรูปลงสู่ใต้ดิน
93/665
ก่อเกิดสมาคมลับต่างๆ และมีการแพร่โฆษณาเพื่อการปฏิวัติต่อออสเตรีย
และคบคิดกันอย่างลับๆ เพื่อทำลายล้างออสเตรียต่อไป
ใช่เพียงเท่านั้น การกระทำของออสเตรียยังทำให้เสียพันธมิตรของ
ตนเอง ด้วย โดยในรุสเซียได้เกิดความไม่พอใจและเคียดแค้นเยอรมนี
อย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าการดำเนินการของออสเตรียนั้นมีเยอรมนี
เห็นชอบและหนุนหลังเสมอมา ทำให้รุสเซียเริ่มหันเข้าหาฝรั่งเศสและ
อังกฤษมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหวังว่าวันข้างหน้าบรรดาประเทศฉันทไมตรี
ไตรมิตรจะสามารถบีบออสเตรียไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับชาวสลาฟทางคาบสมุทร
บอลข่านได้
วิกฤตการณ์โมร็อกโก ครั้งที่ 2 ค.ศ. 1911
แม้ปัญหาโมร็อกโกจะถูกแก้ไขไปบ้างแล้วก่อนหน้านั้น แต่ก็
ดูเหมือนว่า ความลงเอยยังไม่สิ้นสุด ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะ
ผนวกดินแดนโมร็อกโก ให้ได้ ในปี 1911 บังเอิญเกิดเรื่องขึ้นภายในโมร็
อกโก เมื่อชาวพื้นเมืองได้ลุกขึ้น มาก่อการกบฏต่อฝรั่งเศสที่เวลานั้นมี
อำนาจอยู่ในนครเฟซ ทำให้ฝรั่งเศสใช้กำลัง เข้ายึดนครเฟซเอาไว้ได้ใน
ปลายปีนั้นเอง ด้วยการยกข้ออ้างว่าที่ตัวเองเข้าไปนั้นเพื่อคุ้มครององค์
สุลต่านรักษาความสงบ และพิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้กับชาวต่างชาติ
เหตุการณ์ครั้งนี้ก่อความหวั่นไหวไปทั่วทุกชาติในยุโรป ทั้งนี้เพราะ
ทุกชาติต่างรู้ดีว่าฝรั่งเศสนั้นหวังทีจ่ ะยึดครองโมร็อกโก โดยหวังเปลี่ยนให้
โมร็อกโก กลายเป็นประเทศในอารักขาของตนเองอยูแ่ ล้ว เหตุการณ์ที่เกิด
94/665
ในเวลานั้นเริ่มตั้งคำถาม และพูดคุยกันแล้วว่าสงครามใหญ่จะต้องเกิดขึ้น
มาแน่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรและเริ่มขึ้นที่ไหนก่อนเท่านั้น
สงครามออตโตมันกับอิตาลี ค.ศ. 1911
อาณาจักรหรือจักรวรรดิออตโตมัน ที่กำลังกลายเป็นคนป่วยแห่ง
ยุโรปในเวลานั้นดูเหมือนจะป่วยหนักขึ้นเพราะภาย ในของตนเองต้อง
ผจญกับการแก้ปัญหาการลุกขึ้นมาปฏิวัติของกลุ่มเติร์กหนุ่ม[5]ครั้นมาถึง
เดือนกันยายน 1911 อิตาลีก็ได้ส่งทหารเข้ายึดทริโปลีและซีเรไนกาและ
ประกาศตั้งตัวเองเป็นประเทศอารักขารัฐทั้งสอง
รัฐบาลเติร์หนุ่มของตุรกีในเวลานั้นซึ่งถือว่าดินแดนทั้งสองแห่งเป็น
ส่วน หนึ่งของจักรวรรดิตนเองก็ได้ลุกมาประกาศสงครามกับอิตาลี
พร้อมกับส่งกองทัพออกไปทำสงครามในดินแดนที่กล่าวมาทันที
การต่อสู้ดำเนินไปด้วยกำลังทัพของตุรกีที่มีอยู่น้อยนิดไม่อาจเปรียบ
กับของอิตาลีได้เลย เพียงปีเดียวสงครามก็สงบลง มีการลงนามใน
สนธิสัญญา โลซานน์ในเดือนตุลาคม 1912 โดยยอมให้อิตาลีได้ดินแดน
ทั้งสอง แห่งอีกทั้งอิตาลียังได้อารักขาหมูเกาะโดเดกานิสเป็นของแถมอีก
ด้วย
เรียกว่านอกจากจะพ่ายแพ้แล้ว ตุรกียังต้องบอบช้ำซ้ำเติมอีกต่างหาก
ในห้วงเวลานั้นเกิดการอภิปรายกันขนานใหญ่ในยุโรป ทั้งนี้เพราะรับรูก้ ัน
เสมอมาว่าตุรกีนั้นมีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับเยอรมนี แม้อิตาลีกจ็ ะเป็น
หนึ่งในกลุ่มสัมพันธไมตรีไตรมิตรด้วยแต่อิตาลีก็ไม่ได้แสดงออกหรือ
96/665
สนใจจงรักภักดีอะไรมากนัก อีกทั้งการที่อิตาลีบุกตุรกีขณะที่เยอรมนียัง
พยายามผูกสัมพันธ์กับตุรกีก็ยิ่งดูไม่เหมาะสม แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้วและ
เกิดขึ้นมาจนได้ทำให้เกิดรอยร้าวไปทั่วยุโรปแล้ว
สงครามบอลข่าน ค.ศ. 1912 - 1913
จำต้องย้อนกลับไปยังสงครามบอลข่านครั้งที่ผ่านมาก่อน ผลของ
สงครามครั้งนั้นทำให้เซอร์เบียกับออสเตรียบาดหมางกันอย่างมาก ทั้งยัง
เป็นผลกระตุ้นให้อิตาลีหันไปทำสัญญากับรุสเซียเพื่อต่อต้านออสเตรีย-
ฮังการี ทั้งนีก้ ็เพื่อกันไม่ให้ออสเตรีย - ฮังการีขยายอิทธิพลเข้าไปบอลข่าน
อีก ซึ่งการลงนาม สัญญานี้เกิดขึ้นในปี 1909 ก่อนที่อิตาลีจะทำสงคราม
กับตุรกี
ทหารชาวเติร์กระวังตรงรอการตรวจแถวในสงครามบอลข่านปี 1912
97/665
บรรดาวิกฤตการณ์และสงครามที่เกิดขึ้นมานี้ ล้วนแต่เป็นจุด
ประกายของสงครามใหญ่ทกี่ ำลังจะเกิดขึ้นมาทั้งสิ้น แม้วิกฤตการณ์จะ
ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่ากันว่าหลังสิ้นสงครามบอลข่านภัยแห่สงครามได้แผ่น
เข้าครอบงำทวีปยุโรปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น แม้สงครามการต่อสู้บน
คาบสมุทรบอลข่านจะยุติลงแล้วก็ตามแต่คาบสมุทรแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ใน
สภาพยุ่งเหยิง
บัลแกเรียต้องการแก้แค้นเซอร์เบีย ส่วนเซอร์เบียเมื่อได้ดินแดนมา
เพิ่มจนประเทศตนเองใหญ่โตขึ้นเป็นสองเท่าก็ยิ่งกระหายที่จะสร้าง “มหา
อาณาจักรเซอร์เบีย” โดยมองและหวังว่าจะรวมเอาดินแดนซึ่งเป็น
ที่อยู่อาศัยของชาวสลาฟจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี มาไว้เป็นของตน
โดยรุสเซียก็สนับสนุน อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะมองว่าตนเองจะได้กลายเป็น
มหาอำนาจในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง อีกทั้งความต้องการที่
จะได้ใช้ช่องแคบดาร์ดาเนลส์กับช่องแคบบอสฟอรัสได้โดยสะดวก ซึ่ง
แผนการนี้ของรุสเซียก็ไปขัดกับแผนของเยอรมนีที่ต้องการสร้างทางรถไฟ
จากเบอร์ลินไปยังแบกแดดและต่อออกไป จนถึงอ่าวเปอร์เซีย ตุรกีนั้น
อนุญาตให้เยอรมนีสร้างได้แต่ส่วนหนึ่งของเส้นทาง นีก้ ็ยัต้องผ่านเซอร์เบี
ยอยู่ดี ดังนั้นเยอรมนีจึงต้องยืนยันแข็งขันไม่ให้ชาวสลาฟรวมตัวกันได้
มาถึงชั่วโมงนี้ประเทศทั้งหมดในยุโรปต่างรู้อยู่แก่ใจทั่วไปแล้วว่า
การแย่งกันแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นไปทั่วนี้จะนำมาซึ่งสงคราม
101/665
อังกฤษด้วยการ เริ่มโครงการขยายกองทัพเรือและขยายอิทธิพลเหนือ
ดินแดนตะวันออก ฝรั่งเศสจึงได้โอกาสเสริมสร้างสัมพันธไมตรีกับรัสเซีย
และสร้างความเข้าใจอันดีกับอังกฤษ และในที่สุดเมื่อทั้งสามมหาอำนาจ
ตกลงในความขัดแย้งเรื่องอาณานิคม ทีเ่ คยมีต่อกันได้แล้ว จึงจัดตั้ง
Triple Entente (พันธมิตร หรือมหาอำนาจไตร ภาคี) ในปี 1907
และทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งป้อมและหันปากกระบอกปืนเข้าหากัน
พร้อมประกาศความยิ่งใหญ่ของตัวเองอย่างที่ไม่มีใครเกรงหรือกลัวใครกัน
จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 เมื่อ อาร์ค ดยุค
ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ [6](Archduke Franz Ferdinand)
มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่
เมืองซาราเจโวในแคว้นบอสเนีย โดยนักศึกษาชาตินิยมชาวเซอร์เบีย ชื่อ
กัฟริโล ปรินซิป (Gavrilo Princip) รัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีจึง
ตัดสินใจจะทำลายล้างเซอร์เบียให้ราบคาบ และเมื่อได้รับแรงสนับสนุน
จากเยอรมนี จึงยื่นข้อเรียกร้องที่เซอร์เบียไม่อาจยอมรับได้ ออส เตรีย-
ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
104/665
รัสเซียได้เข้าสนับสนุนเซอร์เบียและระดมพลเตรียมต่อสู้ เยอรมนีจึง
ได้เรียกร้องมิให้รัสเซียและฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซง ครั้นสองมหาอำนาจไม่
ปฏิบัติ ตาม เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซียในวันที่ 1 สิงหาคม
1914 และฝรั่งเศส ในวันที่ 3 สิงหาคม 1914 ตามลำดับ
และเพื่อให้มองเห็นภาพความขัดแย้งก่อนสงครามที่ปะทุขึ้นมาของ
สงครามโลกครั้งที่ 1 เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปดูถึงสภาพความตึงเครียด
ของการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าวกันเสียก่อน
105/665
กล่าวกันว่าในขณะที่ประเทศในยุโรปเวลานั้นต่างเผชิญหน้ากับความ
ตึงเครียดภายในประเทศอยู่แล้ว ความแตกแยกในระดับชาติระหว่าง
ประเทศก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้มคี วามพยายามที่จะให้หรือจัดให้มีการเจรจา
ทางการทูตเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาจนเกิดสนธิสัญญาฉบับต่างๆ
มากมายก็ตามที กระนั้นด้วยวิกฤตการณ์ทางการทูตที่เกิดขึ้นหลายครั้ง
และการแก้ปัญหาในแต่ละครั้งก็ได้แค่เพียงทำให้รอดพ้นจากการทำ
สงครามอย่างหวุดหวิดไปเท่านั้น หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้นยังส่งผลให้
เกิดการสะสมความระแวงและความแค้น จนในที่สุดก็นำมาสู่การเกิด
วิกฤตการณ์ที่ส่งผลให้ทุกฝ่ายต่างต้องเดินเข้าไปสู่ความพินาศในที่สุด
วิกฤตการณ์ซาราเจโว
สงครามบนคาบสมุทรบอลข่านระหว่างจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
และเซอร์เบียนั้นถูกพิจารณาว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยอิทธิพลของ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีได้เสื่อมถอยและการเจริญเติบโตของลัทธิรวม
เชื้อชาติสลาฟ และความเจริญขึ้นของลัทธิชาตินิยมภายในประจวบกับการ
เจริญเติบโตของเซอร์เบีย ซึ่งความรู้สึกต่อต้านชาวออสเตรียอาจจะมีความ
รุนแรงมากที่สุด จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีนั้นได้ยึดครองแคว้น
บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งมีจำนวนประชากรชาว
เซิร์บเป็นจำนวนมากในปี 1878 และจากนั้นก็ได้ถูกยุบรวมเป็นส่วนหนึ่ง
ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในปี 1908 ความรู้สึกรักชาติที่เพิ่มมากขึ้น
พร้อมกับทีจ่ ักรวรรดิออตโตมัน รัสเซียนั้นได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อ
106/665
กันต่อต้าน รัฐบาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิจนกระทั่งมีผลให้เกิดคดี
ฆาตกรรมขึ้นมา ดังนั้นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย-ฮังการีจึงถือเอาโอกาสนั้น
ในการเข้าไปย่ำยีเซอร์เบีย รวมไปถึงการปราบปรามพวกสลาฟที่คอย
รบกวนอยู่เสมอ พร้อมประกาศว่าเซอร์เบียจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิด
ขึ้นมาทั้งหมด
การประกาศออกมาเช่นนั้นของออสเตรีย-ฮังการี ในภาวะที่โลกหรือ
ยุโรป ในเวลานั้นต่างหันปากกระบอกปืนของกลุ่มเข้าหาและเตรียมพร้อม
กันอยู่เสมอ ตกตะลึงและพร้อมที่จะยกอาวุธขึ้นมาประทับบ่าทันที
กล่าว กันว่าจากการสอบสวนและดำเนินคดีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น
สรุปกันว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลออสเตรียไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่จะพิสูจน์
ให้ เห็นว่า รัฐบาลเซอร์เบียได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการลอบปลงพระชนม์
กระนั้นเคานต์แบคโทลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียในเวลานั้น
ก็ได้แสร้งทำเสมือนหนึ่งว่า ออสเตรียมีหลักฐานทีจ่ ะเอาผิดแก่เซอร์เบียและ
เริ่มลงมือตระเตรียมดำเนินแผน การขั้นต่อไปโดยถามเยอรมนีถึงความ
ช่วยเหลือที่เยอรมนีเคยสัญญาว่าจะให้แก่ ออสเตรีย
เยอรมนีตอบว่า ออสเตรียจะปฏิบัตปิ ระการใดต่อเซอร์เบียก็ได้
ตามแต่ปรารถนาและเห็นสมควร และอาจจะนับเอาว่าเยอรมนีสนับสนุน
เพราะเยอรมนีเป็นคู่สัญญาร่วมกัน เมื่อได้รับคำตอบเช่นนีก้ ็ดูเหมือนจะ
เป็นการเปิดโอกาสให้แก่ออสเตรียอย่างเต็มที่และโดยตรงนั้นเอง
108/665
ไกเซอร์ของเยอรมนีก็ได้ตรัสสั่งให้อัครมหาเสนาบดีของพระองค์ส่งวิทยุ
ด่วนไปยังกรุงเวียนนา เพื่อพยายามยับยั้งออสเตรีย พร้อมกันก็ได้ต่อสาย
ตรงไปขอร้องพระเจ้า ซาร์แห่งรุสเซียให้ช่วยพยายามธำรงสันติภาพเอาไว้
ให้ได้ก่อน
แต่ปรากฏว่า ความพยายามนั้นสายเกินแก้ไปเสียแล้ว ทั้งนี้เพราะ
รุสเซีย โดยพระเจ้าซาร์ได้สั่งหยุดการระดมพลตามคำขอด่วนของพระเจ้า
ไกเซอร์กจ็ ริง แต่เป็นการระงับเอาไว้เพียงวันเดียว ทั้งนี้เพราะบรรดาคณะ
รัฐมนตรีของพระ องค์ต่างมองเห็นว่า หากรุสเซียมัวแต่ชักช้าอยูอ่ าจจะส่ง
ผลให้รุสเซียต้องเสียหายอย่างมหาศาลในเวลาต่อมาดังนั้นรัสเซียจึงเดิน
หน้าระดมพลต่อไป ---
5
สงครามปะทุ
แท้จริงนับได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อ
ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
1914 นั่นเอง
ซึ่งเมื่อออสเตรีย-ฮังการียกทัพเพื่อเข้าโจมตีเซอร์เบียแล้ว ในวัน
ต่อมา รุสเซียก็ได้สั่งระดมพลเป็นบางส่วน มุ่งตรงมายังชายแดนของ
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี กลายเป็นการขยายวงการสงครามออกมาอีก
ชั้นหนึ่ง แทนที่จะเป็นเพียงสงครามระหว่าออสเตรีย-ฮังการี กับเซอร์เบีย
ก็เริ่มกลายเป็นออสเตรีย-ฮังการี ต้องมารบกับรุสเซียอีกฝ่ายหนึ่ง และเมื่อ
ยับยั้งเหตุการณ์เอาไว้ไม่ได้แล้ว เยอรมนีก็เลยต้องประกาศว่า การระดม
พลของรุสเซียในครั้งนี้ก็ย่อมหมายความ ว่ารัสเซียต้องการทำสงครามกับ
เยอรมนีเช่นกัน ทั้งนี้เพราะเยอรมนีมีพันธะตามข้อสัญญาอยูก่ ับ
ออสเตรีย-ฮังการีเดิมอยู่แล้ว
113/665
วันรุ่งขึ้น ว่าเบลเยียมจะยอมอนุญาตให้เยอรมนีเดินทัพผ่านเพื่อไปโจมตี
ฝรั่งเศสได้หรือไม่
ในข้อเสนอและคำขาดทีว่ ่านั้นมีเงื่อนไขว่า ถ้าเบลเยียมยินยอม
รัฐบาลเยอรมนีจะให้สัญญาว่าจะเคารพในเขตแดนและประชาชนชาวเบลเยี
ยม แต่ถ้าปฏิเสธ เยอรมนีก็จะกระทำต่อเบลเยียมเยี่ยงศัตรู
และแล้วคำตอบของเบลเยียมก็ได้รับคำชื่นชม โดยในครั้งนั้นคำตอบ
ของเบลเยียมมีอย่างเด็ดเดี่ยวและเชื่อมั่นว่า ความเป็นกลางของเบลเยียม
นั้นมีมหาอำนาจทั้งหลายรวมทั้งเยอรมนีด้วยเป็นผู้ค้ำประกัน ดังนั้นเบลเยี
ยมไม่ยินยอมให้ผู้ใดละเมิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ ก็ตาม
ย้อนกลับมามองทางมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิบริเทนใหญ่หรือ
อังกฤษ กันบ้าง เมื่อสงครามปะทุแล้ว ในวันที่ 1 สิงหาคม
เอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำ กรุงลอนดอนได้เข้าสอบถามกับรัฐบาล
อังกฤษว่า จะวางตัวเป็นกลางในสงคราม ครั้งนีห้ รือไม่ แถมมีเงื่อนไข
ต่อมาอีกว่าหากอังกฤษประกาศเป็นกลางเยอรมนีก็จะยอมรับความเป็น
กลางของเบลเยียมด้วย
แต่ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงการแผ่บารมีของเยอรมนีที่
อังกฤษหวาดระแวงอยู่แล้วมากเกินไป ดังนั้นไม่เพียงแต่ปฏิเสธข้อเสนอ
นั้นเท่านั้น ในวันที่ 2 สิงหาคม อังกฤษยังได้ส่งสารถึงฝรั่งเศสโดยบอก
และยืนยันว่ากองทัพเรือของอังกฤษจะเข้า ช่วยเหลือและป้องกันฝรั่งเศส
115/665
อย่างเต็มที่ถ้าหากว่าเรือรบของเยอรมนียกเข้ามา ทางช่องแคบของอังกฤษ
หรือมาทางทะเล เหนือ
แล้วอีกสองวันรัฐบาลอังกฤษก็ได้ยื่นคำขาดถึงเยอรมนีในกรณีที่
เยอรมนี กำลังจะรุกเข้าเบลเยียม โดยที่อัครมหาเสนาบดีของเยอรมนีก็ได้
ตอบกลับมาว่าเยอรมนีจำเป็นทีจ่ ะต้องเดินทัพผ่านเบลเยียม ทั้งได้แจ้งผ่าน
อัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเบอร์ลินอีกว่า อังกฤษไม่ควรเข้าร่วมสงคราม
เพียงเพราะ “เศษกระดาษชิ้นนิดเดียว”
ซึ่งนั้นหมายถึงสัญญาค้ำประกันความเป็นกลางที่ได้เคยทำขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นั่นเอง การกล่าวอย่างดูหมิ่นต่อสัญญาทีไ่ ด้ทำขึ้นมาเช่นนีข้ อง
116/665
ในเดือนพฤศจิกายน ต่อมาก็ได้ประกาศเข้าร่วมสงครามกับอังกฤษรบกับ
เยอรมนีด้วย
ความวุ่นวายที่กำลังดำเนินไปนี้ยังไม่มที ีท่าสิ้นสุดเมื่อจู่ๆ ตุรกีหรือ
จักรวรรดิออตโตมัน ก็ประกาศเข้าร่วมกับเยอรมนีเข้าทำสงครามอีก
ประเทศหนึ่ง
กลายเป็นว่าถึงเวลานี้ กลุ่มของเยอรมนี ก็มี เยอรมนี ออสเตรีย-
ฮังการี และตุรกี เรียกกันว่าฝ่ายมหาอำนาจกลาง ขณะทีฝ่ ่ายอังกฤษ
ฝรั่งเศส และรุสเซีย จะเรียกว่าฝ่ายสัมพันธมิตร
เพียงชั่วระยะเวลาเพียง 3 เดือน สงครามครั้งนั้นที่มีฝ่ายมหาอำนาจ
กลาง คือเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และตุรกี ต้องเข้าทำสงคราม
เผชิญหน้ากับฝ่ายสัมพันธมิตรที่มเี ซอร์เบีย รุสเซีย ฝรั่งเศส เบลเยียม
อังกฤษ มอนเตเนโกร และญี่ปุ่น
ซึ่งเวลานั้นอิตาลี แม้จะมีข้อผูกมัดและสัญญากับกลุ่มมหาอำนาจ
กลาง อยู่ก็ตาม แต่เมื่อเห็นว่ามหาอำนาจกลางมีตุรกีเข้าร่วมจึงประกาศขอ
วางตัวเป็น กลางเอาไว้ก่อน โดยอ้างว่า ในข้อสัญญานั้นมีว่าอิตาลีจะเข้า
ร่วมหรือช่วยคู่สัญญาต่อเมื่อประเทศคู่สัญญาถูกรุกเข้ามาโจมตีต่างหาก
เท่านั้น แต่กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องทีป่ ระเทศภาคีรุกเข้าไปโจมตีประเทศอื่น
อิตาลีจึงเป็นอิสระอยู่ภายนอกเงื่อนไขของสัญญานั้น
มาถึงเวลานีถ้ ือกันว่า ประเด็นแท้จริงของสงครามก็ได้แสดงตัวออก
มาให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วนั่นเอง กล่าวคือหลังสามเดือนเมื่อประเทศต่างๆ
118/665
สงครามโลก 1
สงคราม ค.ศ. 1914-1915
หลังจากทีก่ ระสุนนัดแรกดังขึ้นมาแล้ว แผนการการสงครามก็ถูก
นำมาใช้อย่างต่อเนื่อง
แนวรบด้านตะวันตก
ในแนวรบด้านตะวันตกนี้ หมายถึงการรุกเพื่อเข้าไปโจมตีฝรั่งเศส
ของเยอรมนี
กล่าวกันว่าแผนสงครามดั้งเดิมของเยอรมนีนั้นมีความมุ่งหมายที่จะ
ทุ่มเทกำลังทหารเข้าสู่ฝรั่งเศส และจะโจมตีฝรั่งเศสให้ชนะโดยเร็วที่สุด
คือไม่เกินสองหรือสามสัปดาห์ ซึ่งการที่จะให้สำเร็จดังนี้ จะต้องดำเนินไป
ตามแผนที่ชื่อว่า ชลีฟเฟน
120/665
นั่นคือ ต้องทุ่มเทกองทัพจำนวนมากเข้าสู่ฝรั่งเศสโดยผ่านทางเบลเยี
ยม เพราะเป็นทางตัดตรง แล้วจะตีโอบเป็นวงล้อมกองทหารฝรั่งเศสซึ่ง
เยอรมนีคาดเอาไว้ว่าจะมาตั้งรับอยู่ทางอัลซาซ
แผน การชลีฟเฟนนี้เป็นแผนที่ ชลีฟเฟน ซึ่งเป็นประธานคณะ
นายทหาร ฝ่ายเสนาธิการของเยอรมนีเป็นผู้คิดขึ้น และถือกันว่าเป็นแผน
ยุทธศาสตร์ชิ้นเยี่ยม แต่ปรากฏว่า มอลต์เก ซึ่งได้เข้ามารับตำแหน่ง
ประธานคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการแทนชลีฟเฟนได้ปรับ ปรุงแผนนี้
เสียจนกระทั่งแผนไม่ได้ให้ผลอย่างที่คาดเอาไว้แต่ต้นเลย
ทั้งนี้เพราะมอลต์เก ได้ทำให้ปีกขวาของกองทัพใหญ่อ่อนกำลังลง
ทำให้ขาดกำลังที่จำเป็นในการจะตีเข้าโอบล้อมทหารฝiรั่งเศส
แต่เดิม แผนการชลีฟเฟนได้มเี ป้าหมายเพื่อให้ปีกขวาของกองทัพ
เยอรมนีโจมตีเข้าสู่ทางตะวันตกของกรุงปารีส อย่างไรก็ตาม ด้วยความ
เชื่องช้าและความไร้ประสิทธิภาพของพาหนะม้าลากขัดขวางรถไฟขนเสบียง
ของเยอรมนี ทำให้กองทัพพันธมิตรสามารถหยุดยั้งการรุกของเยอรมนีได้
ที่ ยุทธภูมิแม่น้ำมาร์นครั้งที่ 1 (5-12 กันยายน)
ฝ่ายฝรั่งเศสนั้นแม้ว่าจะเพลี่ยงพล้ำไปในสัปดาห์แรกๆ เพราะถูก
โจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว กระนั้นภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลยอฟร์
กองทัพก็สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว กองทัพบกของฝรั่งเศส
สามารถต้านทาน การรุกของเยอรมนีได้อย่างกล้าหาญ
121/665
ทหารฝรั่งเศสทในสมรภูมิที่แม่น้ำมาร์น
การรบที่แม่น้ำมาร์นได้ยุติปัญหาทางแนวรบด้านตะวันตกเป็นระยะ
เวลา ถึงสามปี ในที่สุดได้ทำให้เยอรมันต้องพ่ายแพ้ในสงคราม ความหวัง
ทีเ่ ยอรมนีเคยยึดมั่นเอาไว้ว่าจะมีชัยชนะอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายมีเวลา
ทำให้สัมพันธมิตร สามารถหาทางเอาชนะเยอรมนีได้ในที่สุด
แนวรบด้านตะวันออก
เมื่อรุสเซียเคลื่อนทัพมาเป็นสองทางคือรุกไปทางทิศเหนือและ
ตะวันตกจากโปแลนด์เพื่อเข้าโจมตีปรัสเซียตะวันออกทางหนึ่ง
123/665
และอีกทัพหนึ่ง ก็ยกลงไปทางใต้เพื่อเข้าโจมตีออสเตรีย-ฮังการี
การเข้าโจมตีปรัสเซียตะวันออก กองทัพของรัสเซียต้องเข้า
ประจัญบาน กับกองทัพของเยอรมนีที่มอี าวุธที่ดีกว่าและทันสมัยกว่า อีก
ทั้งยังมีแม่ทัพที่ดกี ว่า นั่นคือมีนายพลฟอน ฮินเดนเบิร์ก และนายพลลู
เดนเดอร์ฟ เป็นผู้นำทัพของเยอรมนี
การรบที่เทนเนนเบิร์ก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25-30 สิงหาคม กับการรบที่
ทะเลสาบมาซูเรียน ในวันที่ 4-10 กันยายน ทั้งสองครั้งนีท้ ำให้กองทัพ
รัสเซีย ถูกกองทัพเยอรมนีเข้าตีแตกพ่ายอย่างไม่เป็นท่า จนดูเหมือนว่าจะ
ไม่สามารถจะกลับมารวมตัวกลับมาโจมตีใหม่ได้อีกต่อไป
ขณะทีท่ างด้านออสเตรียนั้น กลับปรากฏว่ารุสเซียมีชัยชนะติดต่อกัน
ได้หลายครั้ง โดยได้เข้ายึดครองภาคตะวันออกของกาลิเซียส่วนใหญ่ไว้ได้
และทำลายทั้งผู้คนและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ลงอย่างมหาศาล
ทำให้ฝ่ายเยอรมนีมองว่าจำเป็นที่จะต้องช่วยบรรเทาเหตุแห่งการ
โจมตี ของรัสเซียที่มีต่อออสเตรียลงได้บ้าง จึงได้วางปฏิบัติการตอบโต้
โปแลนด์
กองทัพรุสเซียวางแผนที่จะโจมตีหลายทิศทางโดยพุ่งเป้าหมายไปยัง
แคว้นกาลิเซียของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและปรัสเซียตะวันออกของ
เยอรมนี ถึงแม้ว่าการรุกเข้าไปยังแคว้นกาลิเซียจะประสบความสำเร็จอย่าง
งดงาม แต่ด้านปรัสเซียตะวันออกนั้นกลับถูกตีโต้ออกมาหลังความพ่ายแพ้
ทีย่ ุทธการเทนเนนเบิร์กและยุทธการทะเลสาบมาซูเรี่ยนครั้งที่ 1 ระหว่าง
124/665
เมื่อฝ่ายออสเตรียยังคงยืนกรานที่จะปราบปรามเซอร์เบียตามคำขาด
ทีไ่ ด้ประกาศเอาไว้ กระนั้นออสเตรียก็ไม่มีกำลังทหารมากพอที่จะเอาชนะ
เซอร์เบียได้ ที่สำคัญการที่เซอร์เบียสามารถต้านทานอำนาจของออสเตรีย
ได้ก็ยิ่งทำให้ออสเตรียแปลกใจและไม่คาดฝัน
กองทัพเซอร์เบียได้ต่อสู้กับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีผู้รุกรานระหว่าง
ยุทธภูมเิ ซอร์ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ได้เข้ายึดตำแหน่งที่มั่นทาง
ตอนใต้ของแม่น้ำดรินาและแม่น้ำซาวา อีกสองสัปดาห์ถัดมา กองทัพ
ออสเตรีย-ฮังการีถูกโจมตีโต้กลับอย่างหนักประสบความเสียหายรุนแรง
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของชัยชนะครั้งแรกของฝ่ายพันธมิตรและทำลายความ
หวังของกองทัพออสเตรีย-ฮังการีไปสิ้น ซึ่งทำให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการี
จำเป็นต้องรักษากองกำลังขนาดใหญ่ไว้ทางแนวรบเซอร์เบีย ซึ่งทำให้ความ
พยายามต่อต้านรุสเซียอ่อนแอลง กองทัพเซอร์เบียยังได้ชัยชนะเหนือ
กองทัพออสเตรีย-ฮังการีอีกครั้งในยุทธภูมิคาลูบารา
ออสเตรียได้ยกทัพเข้าไปโจมตีเซอร์เบียถึง 3 ครั้งในปี 1914 แต่
ปรากฏ ว่าไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่เมื่อตุรกีกระโดดเข้าร่วมสงคราม
โดยจับมือกับกลุ่มมหาอำนาจกลาง ทำให้สถานะของเซอร์เบียต้องลำบาก
มากยิ่งขึ้น ในปี 1915 เซอร์เบีย อัลเบเนีย มอนเตเนโกร ทั้งหมดก็ถูก
ยึดครอง
กล่าวกันว่าการยึดครองเซอร์เบียได้สำเร็จนั้นเพราะบัลแกเรียอีกชาติ
หนึ่งที่ได้เข้าร่วมรบกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในเดือนตุลาคม 1915
126/665
เป็นอันว่าแนวรบด้านนี้มหาอำนาจกลางสามารถเข้าไปยึดอำนาจได้
สำเร็จ
ในระหว่างเวลานั้นเอง อังกฤษก็ได้เริ่มรณรงค์ทางทะเลอย่าง
กว้างขวาง ทั้งนีก้ ็เพื่อที่จะสามารถเข้าไปทำลายบรรดาป้อมปราการต่างๆ
ของตุรกีที่เฝ้าป้องกันทางช่องแคบดาร์ดาแนลอันเป็นประตูทางเข้าสู่ทะเลดำ
แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มาก ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าตุรกีสามารถตัดกำลังและ
ช่องทางที่จะส่งเสบียงเข้าสู่รุสเซียได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในปี 1915 นั้นเอง อิตาลีก็ประกาศเข้าร่วมสงครามกับกลุ่ม
สัมพันธมิตร แต่ก็ไม่ถือว่าการทีอ่ ิตาลีเข้าร่วมจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้
มากทั้งนี้เพราะอิตาลีไม่ได้มีบทบาททางกำลังทหารและอาวุธอะไรมากนัก
สงครามทางทะเล
สงครามทางทะเลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แน่นอนว่าจะต้องเกิด
ขึ้นระหว่างอังกฤษกับเยอรมนี ที่เป็นเจ้าแห่งท้องทะเลอย่างแน่นอน
127/665
Emden เรือลาดตระเวนของฝ่ายเยอรมัน
กระนั้น ด้วยความทันสมัยและมีความเชี่ยวชาญในการทำสงคราม
ทางทะเลของอังกฤษทีม่ ีอย่าง ต่อเนื่องและยาวนานจนกระทั่งกลายเป็นเจ้า
แห่งราชนาวีทำให้อังกฤษได้เปรียบใน การทำการสงครามทางทะเลในการ
รบครั้งนี้เป็นอย่างมาก
128/665
กล่าวคืออังกฤษสามารถกักเขตฝั่งทะเลของเยอรมนี แล้วเริ่มทำการ
กวาดล้างเรือแพนาวาของเยอรมนีให้หมดไปจากท้องทะเลหลวง ซึ่งจะ
สามารถ ตัดการคมนาคมขนส่งซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำได้อย่างอิสระระหว่าง
เยอรมนีและโลกภายนอก ต่อจากนั้นอังกฤษก็เข้ายึดอาณานิคมของ
เยอรมนีทางแอฟริกา และเข้ายึดเส้นทางการคมนาคมทางทะเลเมดิเตอร์เร
เนียนระหว่างสัมพันธมิตร ตะวันตกทางคาบสมุทรบอลข่านเอาไว้ได้
ชัยชนะเช่นนี้ทำให้เยอรมนีจำเป็นต้องหายุทธวิธีเพื่อเอาชนะให้ได้
สุดท้ายจึงตัดสินใจรณรงค์ด้วยเรือดำน้ำแทน
กล่าวคือเมื่อเยอรมนีถูกกองทัพเรือของอังกฤษอุดช่องทางมิให้
กองทัพเรือของเยอรมนีออกมาได้ เยอรมนีกห็ ันมาใช้อาวุธแบบใหม่ใน
สมัย นั่นคือ เรือรบใต้น้ำ
ในตอนต้นปี 1915 เยอรมนีได้ประกาศให้น่านน้ำต่างๆ รอบเกาะ
อังกฤษ เป็น เขตสงคราม และประกาศเจตจำนงของเยอรมนีที่จะจมเรือ
สินค้าทุกลำที่ขนอาหารหรือยุทโธปกรณ์เข้ามาในเขตน่านน้ำดังกล่าว ไม่
เว้นแม้แต่เรือของชาติ ที่เป็นกลาง
การจมเรือลูซิเตเนียในเดือนพฤษภาคม 1915 พร้อมด้วยชีวิตของ
คนในเรือร่วม 1,200 คน ซึ่งในจำนวนนี้มชี าวอเมริกันรวมอยูด่ ้วยกว่า
100 คนส่งผลให้ชาวอเมริกันเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน และส่งผลให้
เกิดการเจรจา ทางการทูตกันขึ้นมา
129/665
กระนั้นก็ยังมีการโจมตีเรือสินค้าอื่นๆ อีกและมีชาวอเมริกันเสียชีวิต
เพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการโจมตีเรือกลไฟฝรั่งเศสชื่อซัสเซคส์
ทีท่ ำให้ชาวเมริกาเสียชีวิตอีกหลายคน ซึ่งการโจมตีเช่นนี้ทำให้เห็นอย่าง
ชัดเจนว่าเป็นความผิดตามสัญญาที่มไี ว้ว่าห้ามจมเรือสินค้าที่ไม่มอี าวุธ ทำ
ให้อเมริกา ต้องยื่นคำขาดแก่เยอรมนี ซึ่งส่งผลให้เยอรมนีจำเป็นต้องหยุด
ทำสงครามเรือรบใต้น้ำอย่างไม่มีขอบเขตไปได้เกือบหนึ่งปี
กระนั้นผลของสงครามใต้น้ำนี้ก็ยิ่งทำให้อเมริกันเกลียดชังเยอรมนี
มาก ขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็นำมาสูก่ ารเข้าร่วมสงครามของอเมริกาใน
ที่สุด
สงครามในแอฟริกา
ทางด้านอื่นๆ นั้นเมื่อประกายแรกของสงครามเกิดขึ้น สงครามก็ได้
เข้ามาพัวพันกับอาณานิคมทั้งหลายของอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมนีใน
ทวีปแอฟริกา เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1914 กองทัพอาณานิคมของอังกฤษ
และฝรั่งเศส ได้เข้าโจมตีรัฐในอารักขาของเยอรมนี นั่นคือโตโกแลนด์ อีก
สองวันต่อมา กองทัพเยอรมนีในนามิเบียก็ได้เข้าโจมตีแอฟริกาใต้ การรบ
ในทวีปแอฟริกายังมีขึ้นอย่างประปรายและรุนแรงตลอดช่วงเวลาของ
สงครามโลกครั้งที่ 1
การรบในเอเชีย
ใช่ เพียงแค่สงครามจะเกิดขึ้นในยุโรปเท่านั้น หากในเอเชียก็ปะทะ
ขึ้นมาด้วยเช่นกัน กระนั้นดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์ทฝี่ ่ายสัมพันธมิตรนำมา
130/665
ใช้นั้นก็คือการยกพล เข้าไปยึดครองบรรดารัฐอาณานิคมของเยอรมนี
กล่าวคือเริ่มจาก นิวซีแลนด์ได้เข้ายึดครองซามัวตะวันตกเมื่อวันที่ 30
สิงหาคม แล้ววันที่ 11 กันยายน ทหารเรือและกองทหารนอกประเทศของ
ออสเตรเลีย ได้ขึ้นฝั่งบนเกาะนิว พัมเมิร์น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนี
นิวกินี พร้อมกันญี่ปุ่นก็ได้เข้าโจมตีดินแดนอาณานิคมของเยอรมนีในไม
โครนีเซีย และภายในไม่กี่เดือนดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลของเยอรมนี
แถบมหาสมุทรแปซิฟิกก็ถูกกองทัพพันธมิตรยึดครองทั้งหมด
สงคราม ค.ศ. 1916
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1914 ผ่านมาจนถึงปี 1916
ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ บรรดามหาอำนาจของโลกที่แบ่งออกเป็นสอง
ฝ่ายต่างยังห้ำหั่นและมีความหวังว่าจะประสบชัยชนะอยูท่ ั้งคู่ ทางฝั่ง
แนวรบด้านตะวันตกทีเ่ ยอรมนีปักหลักอยู่ทแี่ วร์ดังและแม่น้ำซอมม์ ถูก
เปิดฉากขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปี 1916 นี้ โดยเริ่มจากการโจมตีแวร์ดังอย่าง
หนักของเยอรมนีเพื่อหวังที่จะเข้ายึดเมืองแห่งป้อมปราการนี้ให้ได้อย่าง
เบ็ดเสร็จ
กระนั้นภายใต้การนำของนายพลเปแตงของฝรั่งเศส ทหารเยอรมนีก็
ไม่อาจที่จะเข้ายึดได้แถมยังถูกรุกไล่กลับไปฐานของตัวเองอยูเ่ สมอ เช่นกัน
เขต แม่น้ำซอมม์ทหารเยอรมนีกต็ ้องต่อสู้กับกองทหารของอังกฤษและถูก
บีบให้ต้องถอยร่นออกไปเรื่อยๆ
131/665
ยุทธภูมิในการรบกันครั้งนี้ทำให้บรรดาทหารทั้งของเยอรมนีและ
ฝรั่งเศส-อังกฤษ ต้องสูญเสียชีวิตไปเป็นจำนวนไม่น้อย กระนั้นก็ไม่มีฝ่าย
หนึ่งฝ่ายใดสามารถฝ่าแนวรบของแต่ละฝ่ายผ่านเข้าไปได้ เรียกว่าไม่มีใคร
สามารถหาทาง เอาชนะอีกฝ่ายได้เด็ดขาดนั้นเอง
กระนั้นก็ว่ากันว่า สงครามในระยะนี้มีแต่ความสูญเสียซึ่งส่วนใหญ่
แล้ว ดูเหมือนฝ่ายพันธมิตรจะเสียมากยิ่งกว่า การรบในแนวรบตะวันตกนี้
ถูกเรียกว่า สงครามในแนวสนามเพลาะ นั้นคือการตั้งมั่นและรบกันเรื่อยๆ
วันที่ 1 กรกฎาคม 1916 เป็นวันแรกของยุทธการแม่น้ำซอมม์
กองทัพอังกฤษได้พบกับความสูญเสียที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์
ความสูญเสียกว่า 57,470 นายและเสียชีวิตกว่า 19,240 นาย ความ
สูญเสียส่วนใหญ่เกิด ขึ้นระหว่างชั่วโมงแรกของการรบ จนถึงตอนนี้การ
รุกของกองทัพอังกฤษในแนวรบด้านตะวันตกได้คร่าชีวิตทหารไปเกือบครึ่ง
ล้านนายแล้ว
ทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถที่จะโจมตีผ่านแนวรบของอีกฝ่ายได้เป็น
เวลา กว่าสองปี แม้ว่าการทำศึกยืดเยื้อของเยอรมนีที่ป้อมเปเดิง ตลอดทั้ง
ปี 1916 ประกอบกับความล้มเหลวของกองทัพพันธมิตรในแม่น้ำซอมม์
ทำให้กองทัพฝรั่งเศสใกล้ทจี่ ะล่มสลายเต็มที การทีก่ องทัพฝรั่งเศสยังคง
ยึดมั่นในหลักการเดิมๆ ในการใช้ทหารจำนวนมหาศาลนั้นเป็นวิธที ี่
ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง วิธีนี้ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสสูญเสียชีวิตทหารจำนวน
132/665
สูงลิบและได้นำไปสู่การขัดคำสั่งของทหารฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
การรุกเนวิลล์
ทางฝั่งแนวรบด้านตะวันออกนั้นเมื่อเข้าถึงปี 1916 รุสเซียที่
ก่อนหน้านี้ต้องพ่ายแพ้ต่อกองทหารของมหาอำนาจกลางมาก่อน ก็เริ่มฟื้น
ตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ฉะนั้นรุสเซียจึงได้เพิ่มความพยายามขึ้นโดยเฉพาะรุสเซี
ยมองว่าหากทาง ทหารเยอรมนีหรือมหาอำนาจกลางต้องมากังวลกับ
แนวรบด้านตะวันออกแล้ว ก็จะทำให้การรุกอย่างหนักที่แวร์ดังของ
เยอรมนีต้องเพลาๆ ลงด้วยเช่นกันทางหนึ่ง
ผลของสงครามในระยะนี้ปรากฏว่ารุสเซียสามารถเอาชนะกองทหาร
ออสเตรียได้อย่างงด งามทีเ่ มืองลุตส์ และเข้ายึดครองบัคโควินาส่วนใหญ่
เอาไว้ได้ แต่เมื่อกำลังจะเดินหน้ารุกต่อไปก็มีกองหนุนของเยอรมนีเข้ามา
ต่อต้านเอาไว้ กระนั้นผลจากชัยชนะอย่างต่อเนื่องในแนวรบด้าน
ตะวันออกของรุสเซีย นั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความสำเร็จและชื่นชมของ
ทหารฝ่ายพันธมิตรเท่านั้นหาก แต่ เรื่องที่เกิดขึ้นมานี้เป็นส่วนหนึ่งที่
ผลักดันและช่วยให้โรมาเนีย อีกหนึ่งประเทศใกล้เคียงแถบนั้นตัดสินใจ
ประกาศเข้าร่วมสงครามทั้งทีก่ ่อน หน้านี้ได้ประกาศว่าจะเป็นประเทศเป็น
กลางเอาไว้แล้ว การเข้าสู่สงครามของโรมาเนีย นั้นเข้าร่วมกับฝ่าย
พันธมิตร ทำให้กองกำลังของพันธมิตรมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น
กระนั้นกองทัพของบัลแกเรียที่ผสมกับตุรกีโดยการนำของนายพล
ฟอน แมกเคนเสน ก็ยังแข็งแกร่งและสามารถยกพลมารุกและเข้ายึดโรมา
133/665
หลุมหลบภัยและสนามเพลาะของฝ่ายฝรั่งเศสบริเวณสมรภูมิแวร์ดัง
ทหารในแนวรบสูดดมแก๊สพิษ
ได้ทราบถึงการที่ตัวเองตกลงใจลงไป ดังนั้นเมื่อสหรัฐได้รับแจ้งเรื่องนี้แล้ว
ก็จึงตัดสินใจประกาศ ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเยอรมนีในเดือน
กุมภาพันธ์ 1917
นอกจากนั้นก็ยังมองกันอีกว่ามีความจริงอีกเรื่องหนึ่งนั้นคือ ผลจาก
การโฆษณาและปฏิบัติการที่เป็นไปในแนวทางการก่อวินาศกรรมต่างๆ
ของตัวแทนฝ่ายเยอรมนี ทำให้ชาวอเมริกันรู้สึกไม่ชอบเยอรมนีมากยิ่งขึ้น
เรื่อยๆ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของนักลงทุนชาวอเมริกันหลายคน
ก็ขึ้นอยูก่ ับความสำเร็จของกองทัพสัมพันธมิตร โดยเฉพาะเห็นอย่าง
ชัดเจนว่าฝ่ายสัมพันธ- มิตรได้กู้เงินจากบรรดานายทุนชาวอเมริกาเป็น
จำนวนมาก โดยเงินกู้ส่วนนี้ได้นำมาซื้ออาวุธและเครื่องอุปโภคบริโภคใน
อเมริกาเสียเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นหากฝ่ายสัมพันธมิตรต้องพ่ายแพ้ ก็แน่นอนว่าอาจจะทำให้
ความ สามารถในการใช้เงินต้องมีปัญหาลงด้วยเช่นกัน อีกทั้งการกูแ้ ละ
การซื้อในตลาดอเมริกาก็ต้องถดถอยลงอย่างแน่นอน
ไม่เพียงเท่านั้นความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องของชาว
อเมริกัน ในเวลานั้นก็คือ ต่างคิดว่าหากฝ่ายมหาอำนาจกลางโดยการนำ
ของเยอรมนีชนะในสงครามครั้งนี้ แน่นอนว่าสวัสดิภาพของอเมริกาและ
ของโลกต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
ดังนั้นการกระโดดเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ของอเมริกาจึงกลายเป็น
การเปิดศักราชใหม่ของการสงครามในสงครามโลกครั้งนี้
138/665
ครานี้มาดูรายละเอียดของการเริ่มเข้าสู่สงครามกันบ้าง
เหตุการณ์การรบในปี 1917 นั้นได้พิสูจน์ถึงชัยชนะของฝ่าย
พันธมิตรได้เป็นอย่างดี และสงครามก็ใกล้จะยุติลง แต่ก็ยังไม่เห็นผลของ
สงครามจนกระทั่งปลายปี 1918 ผลจากการปิดล้อมของกองทัพเรือ
อังกฤษนั้นทำให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อเยอรมนี เยอรมนีได้โต้ตอบ
ด้วยการออกปฏิบัติการเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดขอบเขตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
1917 โดยมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การกำจัดเสบียงของฝ่ายตรงกันข้าม
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนกรกฎาคม เรือรบอังกฤษถูกยิงจมไปคิด
เป็นปริมาณเฉลี่ยกว่า 500,000 ตันต่อเดือน โดยความสูญเสียทีส่ ูงที่สุดใน
เดือนเมษายน (กว่า 800,000 ตัน) หลังจากเดือนกรกฎาคม ระบบขบวน
เรือคุ้มกันก็เริ่มได้ผล ทำให้เรือดำน้ำเยอรมนีปฏิบัติการได้ยากขึ้น ระหว่าง
นั้น อุตสาหกรรมของเยอรมนีก็หยุดชะงักไป
ชัยชนะของฝ่ายมหาอำนาจกลางที่ยุทธการแห่งคาร์ปาเร็ตโตได้ส่งผล
ให้ ฝ่ายพันธมิตรต้องมีการจัดตั้งสภาสูงสุดฝ่ายพันธมิตรขึ้น ตามผลของ
การประชุม ราเพลโลเพื่อให้มีการวางแผนร่วมกันของผู้บัญชาการฝ่าย
พันธมิตร ซึ่งก่อนหน้า นั้นกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศสต่างก็
แยกกันวางแผนของตนต่างหาก
ในเดือนธันวาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ลงนามในสนธิสัญญาพัก
รบกับรัสเซีย ทำให้ฝ่ายมหาอำนาจกลางดึงทหารจำนวนมากมารบทางด้าน
ตะวันตก เมื่อกองทัพเยอรมนีและกองทัพอเมริกันทีเ่ ข้ามาใหม่มา
139/665
พาณิชย์อเมริกันไปเจ็ดลำ และมีการตีพิมพ์ข้อความในโทรเลขซิ
มเมอร์แมนน์ วิลสันก็ได้เรียกร้องให้มีการประกาศสงครามกับเยอรมนี ซึ่ง
สภาคองเกรสก็ได้ประกาศสงครามเมื่อวันที่ 6 เมษายน 1917
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงครามโดยอยู่ข้างเดียวกับ
ฝ่ายพันธมิตร แต่ไม่เคยเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของฝ่ายพันธมิตรเลย
โดยเรียกตัวเองว่าเป็น “อำนาจผูใ้ ห้ความช่วยเหลือ” สหรัฐอเมริกามี
กองทัพเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้น ก็คิดเป็นจำนวนกว่าสี่ล้านนาย และ
ภายในฤดูร้อน 1918 ก็มกี ารส่งทหารใหม่กว่า 10,000 นายไปยังฝรั่งเศส
ทุกวัน ทางด้านฝ่ายเยอรมนี ก็ประมาทสหรัฐอเมริกามากเกินไป เพราะ
เชื่อว่าการส่งกำลังพลมายังทวีปยุโรปต้องใช้เวลาหลายเดือน ซึ่งเมื่อถึงเวลา
นั้น เรืออูของตนจะสามารถหยุดยั้งกองทัพอเมริกันเอาไว้ได้
กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองเรือรบไปยังสกาปาโฟลว์เพื่อเข้า
ร่วม กับกองเรือรบหลวงอังกฤษ และมีส่วนช่วยในการป้องกันกองเรือ
พาณิชย์ นาวิกโยธินจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาได้ถูกส่งไปยังฝรั่งเศส
ทางด้านอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็มีความต้องการให้ทหารอเมริกันเข้าเสริม
กำลังในพื้นที่ และไม่ต้องการใช้เรือเพื่อเป็นการขนส่งเสบียง ซึ่งฝ่าย
สหรัฐอเมริกาปฏิเสธความต้อง การแรก แต่ยินยอมตามความต้องการข้อ
หลัง นายพลจอห์น เจ. เพอร์ชิง ผู้บัญชาการทหารอเมริกันต่างประเทศ
ปฏิเสธที่จะใช้ทหารอเมริกันเพื่อเป็นกำลัง สนับสนุนให้แก่ทหารอังกฤษ
หรือทหารฝรั่งเศส เขาได้มแี นวคิดที่จะใช้เพื่อเป็น การบุกทางด้านหน้า
142/665
ทหารอเมริกันขึ้นจากสนามเพลาะมุ่งสู่การปะทะที่แนวหน้า
ฝ่ายพันธมิตรจะพรางเรือต่างๆ ของตนแล้วจัดเรือให้มีเรือขบวน
คุ้มกัน ซึ่ววิธีเหล่านีน้ ับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างดี ทั้งนี้เพราะเยอรมนี
ไม่สามารถ ที่จะหยุดยั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ อาหาร และอื่นๆ มิให้สามารถ
ส่งข้ามมหาสมุทร แอตแลนติกไปยังดินแดนต่างๆ ทางยุโรปในปี 1917
ได้
ในปี 1917 สหรัฐอยู่ในช่วงของการสร้างกองทัพใหญ่และกำลังฝึก
ทหาร ให้แก่กองทัพ แต่ทหารอเมริกันที่เดินทางไปทำสงครามที่โพ้นทะเลก็
มีจำนวนไม่มากนัก ว่ากันว่าในปลายปี 1917 มีทหารอเมริกัน 175,000
คนเท่านั้นที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศส และในตอนปลายสงครามมีทหาร
อเมริกันอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลสองล้านคน โดยการสงครามครั้งนั้น
144/665
กองทัพพันธมิตรและกองทัพรุสเซียฟื้นตัวแค่เพียงชั่วคราวเมื่อโรมา
เนีย เข้าสูส่ งครามเป็นฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม กองทัพ
เยอรมนีสามารถสมทบกับกองทัพออสเตรีย-ฮังการีในทรานซิลวาเนียและ
กรุงบูคาเรสต์ ถูกยึดครองโดยฝ่ายมหาอำนาจกลางเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม
ไม่นานนัก ความไม่สงบก็แผ่กระจายไปทั่วรุสเซีย ขณะที่ซาร์แห่งรุสเซีย
ยังคงบัญชาการรบอยูท่ ี่ แนวหน้า จักรพรรดินอี เล็กซานดราซึ่งไร้ความ
สามารถในการปกครองไม่สามารถ ปราบปรามกลุ่มผูป้ ระท้วงได้และก็นำ
ไปสู่การฆาตกรรมรัสปูติน ปลายปี 1916
เมื่อเดือนมีนาคม 1917 การชุมนุมที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ได้
ลงเอยด้วยการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรุสเซียและ
การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวของรุสเซียซึ่งมีความอ่อนแอและแบ่งปันอำนาจกับ
กลุ่มสังคม นิยมเปโตรกราดโซเวียต การจัดการดังกล่าวได้สร้างความ
สับสนและนำไปสู่ความวุ่นวายทั้งในแนวหน้าและในแผ่นดินรุสเซีย
กองทัพรุสเซียยิ่งมีประสิทธิ ภาพด้อยลงกว่าเดิม
สงครามและรัฐบาลชั่วคราวของรุสเซียไม่เป็นที่นิยมของประชาชน
มาก ขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจดังกล่าวได้ในไปสูก่ ารขึ้นครองอำนาจของ
พรรคบอล-เชวิค นำโดย วลาดีเมียร์ เลนิน ซึ่งเขาได้ให้สัญญากับชาว
รุสเซียว่าจะดึงรุสเซีย ออกจากสงครามและทำให้รุสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีก
ครั้ง
146/665
ชัยชนะของพรรคบอลเชวิคในการปฏิวัติเดือนตุลาคมนั้นตามด้วย
การสงบศึกชั่วคราวและการเจรจากับเยอรมนี ในตอนแรก พรรคบอล
เชวิคปฏิเสธข้อเสนอของเยอรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอรมนีทำสงครามต่อไป
และรุกถึงยูเครน เขาจึงต้องยอมเซ็นสนธิสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส เมื่อวันที่
3 มีนาคม 1918 ซึ่งทำให้รุสเซียได้ออกจากสงคราม แต่ว่าต้องยอมยก
ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล ของรุสเซีย รวมไปถึงฟินแลนด์ มลรัฐบอลติ
ก บางส่วนของโปแลนด์และยูเครน แก่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง แผ่นดินส่วน
ทีเ่ ยอรมนีได้รับจากสนธิสัญญาดังกล่าว สามารถชดเชยความล้มเหลวของ
การรุกฤดูใบไม้ผลิได้ แต่ว่าด้านอาหารและยุทธปัจจัยนั้นได้รับเพียง
เล็กน้อยเท่านั้น
เนื่องจากพรรคบอลเชวิคได้เซ็นสนธิสัญญาเบรสต์-ลีโตเวส
พันธมิตรไตรภาคีจึงล่มสลาย กองทัพพันธมิตรได้นำกองกำลังขนาดเล็ก
ของตนเข้ารุกรานรุสเซียเพื่อป้องกันเยอรมนีมิให้ใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรจำนวนมากของรุสเซีย และสนับสนุนกองทัพรุสเซียขาวใน
สงครามกลางเมืองรุสเซีย กองทัพพันธมิตรขึ้นบกที่เมืองอาร์คแองเจิลและ
วลาดิวอสต็อก
จักรวรรดิออตโตมันกับตะวันออกกลาง
จักรวรรดิออตโตมันเข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางใน
สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งได้เซ็นสัญญาพันธมิตรออตโตมัน-เยอรมนีใน
เดือนสิงหาคม 1914 ซึ่งได้คุกคามต่อความมั่นคงของเขตคอเคซัสของ
147/665
ตะวันออกดีขึ้น กองทัพออสเตรีย-ฮังการีได้รับกำลังสนับสนุนจากทหาร
เยอรมนี ซึ่งก็ได้แก่พลรบวายุ และ Alpenkorps ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ได้เริ่มการรุกครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1917 และได้ชัยชนะงดงามที่
เมืองคาปอร์เรตโต้ กองทัพอิตาลีต้องถอยร่นไปเป็นระยะทางกว่า 100
กิโลเมตร และมารวบรวมกองทัพใหม่ได้ที่แม่น้ำ Piave นับตั้งแต่การรบ
ทีย่ ุทธการแห่งคาปอร์เรตโต้ กองทัพอิตาลีประสบกับความสูญเสียอย่าง
หนัก รัฐบาลอิตาลีจำเป็นต้องเกณฑ์ทหารซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี เมื่อปี
1918 กองทัพ ออสเตรีย-ฮังการีก็ประสบความล้มเหลวที่จะโจมตีผ่านแนว
ฝ่ายพันธมิตรระหว่างยุทธการแห่งที่ราบสูง Asiago และท้ายที่สุดก็
พ่ายแพ้ยับเยินในยุทธการ แห่งวิตโตริโอ วีเนโตในเดือนตุลาคมปีนั้น
และท้ายที่สุดจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก็ยอมจำนนในต้นเดือน
พฤศจิกายน 1918
แนวรบด้านบอลข่าน
เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับรุสเซีย จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีจึง
สามารถ ส่งกองทัพได้เพียงหนึ่งในสามเพื่อเข้าโจมตีเซอร์เบีย ออสเตรีย-
ฮังการีต้องพบกับความสูญเสียอย่างหนักกว่าจะยึดครองเมืองหลวงของ
เซอร์เบีย กรุงเบลเกรด แต่ว่ากองทัพเซอร์เบียก็สามารถตีโต้กองทัพ
ออสเตรีย-ฮังการีได้จนหมดตอนปลายปี 1914 สิบเดือนต่อมา ออสเตรีย-
ฮังการีต้องใช้กองทัพจำนวนมากเพื่อสูก้ ับอิตาลี ทูตของเยอรมนีและ
152/665
ออสเตรีย-ฮังการีพยายามชักชวนให้บัลแกเรียร่วมเข้าโจมตีเซอร์เบีย ด้าน
มอนเตเนโกรเข้าเป็นพันธมิตรกับเซอร์เบีย
ในเดือนตุลาคม ฝ่ายมหาอำนาจกลางได้เข้าโจมตีทางทิศเหนือ และ
อีก สี่วันต่อมา กองทัพบัลแกเรียก็เข้าโจมตีทางทิศตะวันออก กองทัพ
เซอร์เบียต้อง สูศ้ ึกทั้งสองด้าน จากนั้นก็ประสบกับความพ่ายแพ้ และต้อง
ถอยไปถึงอัลเบเนีย กองทัพเซอร์เบียพยายามสู้อีกครั้งหนึ่งแต่กพ็ ่ายแพ้
และต้องนำเรือมาลำเลียงผู้คนหนีไปยังกรีซ
ช่วงปลายปี 1915 กองทัพพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่เธสสโลนิกิของกรี
ซ เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลกรีซประกาศสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
แต่ว่ากษัตริย์ กรีก พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 ได้ออกพระบรมราชโองการ
ให้รัฐบาลพ้นจากตำแหน่ง ก่อนที่กองทัพพันธมิตรจะขึ้นบกสำเร็จ
แนวรบเธสสโลนิกิหยุดนิ่งที่ในตอนท้าย กองทัพพันธมิตรก็สามารถ
โจมตีผ่านได้สำเร็จ เนื่องจากกองทัพฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ถอนตัวออก
ไป กองทัพบัลแกเรียพ่ายแพ้ใน ยุทธการโดโบล โพล แต่ว่าไม่กวี่ ันต่อมา
กองทัพบัลแกเรียก็สามารถรบชนะกองทัพอังกฤษและกองทัพกรีซได้ที่
ทะเลสาบ Doiran อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการถูกยึดครอง บัลแกเรีย
จึงได้เซ็นสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ 29 กันยายน 1918 และถอนตัวออกจาก
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
แนวรบด้านตะวันตก ค.ศ. 1917-1918
153/665
สัมพันธมิตรได้เริ่มทำการรุกในแนวรบด้านตะวันตกหลายครั้ง แต่
ไม่สำเร็จผลตามความคาดหวัง ในช่วงต้นปีนั้นเยอรมนีได้ถอยร่นมา
กระทั่งถึงแนวฮินเดนเบิร์ก (หรือแนวซิกฟริด) อันเป็นสนามเพลาะที่มี
ชื่อเสียงว่าสร้างอย่างตั้งใจจะให้เป็นป้อมปราการที่แข็งแรงเพื่อมิให้ศัตรูตี
แตกได้
อังกฤษทำการรุกในการรบที่อาร์ราส และฝรั่งเศสก็เปิดแนวรุกใน
สงคราม ที่ไอสเน การรุกของฝรั่งเศสไม่สำเร็จ ต้องสูญเสียกำลังทหารไป
จำนวนมาก จนเกิดความกระด้างกระเดื่องกันไปทั่ว
ขณะทีอ่ ังกฤษในระยะแรกนั้นนับได้ว่าประสบความสำเร็จดี แต่ก็
ต้องเสียดินแดนที่รบได้มาก่อนนั้นกลับไปอีกหน
ต้นปี 1918 แม้ว่าเยอรมนีจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการทำ
สงคราม โดยใช้เรือดำน้ำอย่างที่หวัง แต่เมื่อเข้าสู่ต้นปี 1918 เยอรมนีกม็ ี
ความหวังใหม่ว่าจะมีชัยชนะในสงครามอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะรัสเซียได้
ประกาศออกจากสงครามไปแล้ว ขณะที่อิตาลีกก็ ำลังเหนื่อยๆ ลงไป
เยอรมันสามารถย้ายแนวรบ ทั้งหมดไปในแนวรบด้านตะวันตกทำการรุก
ใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย
ในวันที่ 8 มกราคม 1918 ทั้งสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ได้ออก
แถลงการณ์ ทีเ่ ข้าร่วมสงครามและความมุ่งหมายของตน ซึ่งถือเป็น
ปฏิบัติการทางจิตวิทยา เรียกกันว่า แถลงการณ์สิบสีข่ ้อ ซึ่งมีความสำคัญ
อย่างมากในภายหลังโดยเฉพาะในการทำสนธิสัญญาสันติภาพ
154/665
ดูเหมือนจะเป็นการเสนอเงื่อนไขในการทำสันติภาพต่อกัน กระนั้น
มหา อำนาจกลางก็ไม่อยากเจรจาปรองดองโดยการยึดแถลงการณ์นี้
นายกรัฐมนตรี เยอรมนีกล่าวว่า คำเรียกร้องเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า
ฝ่ายสัมพันธมิตรคิดว่าตนชนะสงครามแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น กระนั้น
แถลงการณ์นี้ก็มผี ลเพราะทำให้ เกิดกำลังใจขึ้นในกลุ่มสัมพันธมิตรอย่าง
มาก ขณะเดียวกันก็ทำให้ทางเยอรมนี เห็นและท้อแท้ลงไปอีกมาก จน
จำเป็นต้องเริ่มปฏิบัติการรุกครั้งสุดท้าย
นายพลเยอรมนี อิริค ลูเดนดอร์ฟ ได้ร่างแผนปฏิบัติการมิคาเอล
ขึ้นเพื่อ วางแผนการรุกในแนวรบด้านตะวันตก ระหว่างปี 1918 โดย
แผนการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อตัดกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศส
ออกจากกันด้วยการหลอกหลวงและการรุกหลายครั้ง โดยคณะผู้นำ
เยอรมนีหวังว่าการโจมตีอย่างเด็ดขาดก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่สงคราม
อย่างเต็มรูปแบบ ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1918
โดยโจมตีกองทัพอังกฤษทีอ่ เมนส์ และสามารถรุกเข้าไปได้ถึง 60
กิโลเมตร ซึ่งนับว่าเป็นการรุกที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสงครามครั้งนี้
ส่วนแนวสนามเพลาะของอังกฤษและฝรั่งเศสถูกเจาะผ่านด้วย
ยุทธวิธกี ารแทรกซึม ก่อนหน้านั้น ได้มกี ารโจมตีโดยการระดมยิงปืนใหญ่
อย่างหนักและการรุกโดยใช้กำลังพลจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม ตลอด
การรุกฤดูใบไม้ร่วง กองทัพเยอรมนีใช้ปืนใหญ่เพียงเล็กน้อยและจะ
แทรกซึมผ่านกองทหารข้าศึกทีอ่ ่อนแอแทน การโจมตีของกองทัพเยอรมนี
155/665
ให้เกิดการรณรงค์ต่อต้านสงครามอย่างหนักในเยอรมนี และกำลังใจของ
ทหารในกองทัพถดถอย ผลผลิตทางอุตสาหกรรมทรุดลงอย่างหนัก โดย
คิดเป็น 53% ของผลผลิตทางอุตสาหกรรมในปี 1913
ชัยชนะที่มาเยือนของสัมพันธมิตร
เมื่อกองทัพอเมริกันหน่วยแรกได้เริ่มต้นเข้าทำสงครามในเดือน
เมษายน 1918 โดย การเข้าไปเป็นฝ่ายผลัดเปลี่ยนกับทหารของฝรั่งเศส
และอังกฤษ ทหารอเมริกันที่ยังไม่ชำนาญจึงมักจะทำให้เสียพื้นที่อยู่เสมอ
จนกระทั่งผ่าน การต่อสู้มาระยะหนึ่งจึงเริ่มมีความคุ้นเคยกับการทำ
สงครามมากขึ้น
นายพลเพอร์ชิงได้ขอร้องให้ทหารอเมริกาได้เข้ารับผิดชอบใน
ส่วนหนึ่งของแนวรบ และให้ถือแยกออกเป็นกองทัพหนึ่งต่างหาก หลังจาก
นั้นทหารอเมริกันหน่วยที่ 2 ก็ได้เข้าโจมตีทหารเยอรมนีที่รุกเข้ามา ณ ชา
โต-ไทเออรี่ ให้แตกพ่ายและเป็นผลงานชิ้นแรกของอเมริกันที่สำเร็จ
ว่ากันว่าถึงเดือนกรกฎาคม 1918 มีทหารอเมริกันในฝรั่งเศสอยู่ถึง 1
ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นการเข้ามาได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้เพราะเมื่อสิ้นเดือน
พฤษภาคม ทหารเยอรมนีได้เข้ามาถึงแม่น้ำมาร์นแล้วและสามารถ
ช่วยเหลือสัมพันธมิตรได้อย่างได้ผลเหมือนที่กล่าวมา
ฝ่ายพันธมิตรได้โจมตีโต้กลับ ซึ่งเป็นทีร่ ู้จักกันว่าหรือเรียกกันว่า
การรุกร้อยวัน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1918 ในยุทธการแห่งอเมนส์
กองทัพพันธมิตรสามารถรุกเข้าไปในแนวรบเยอรมนีได้ 12 กิโลเมตรใน
159/665
ทหารช่างอเมริกาเดินทางกลับจากแนวหน้าในสมรภูมิเซนต์มิอิล(Battle of St Mihiel)ส่วนหนึ่ง
ในการสงครามการรุกร้อยสันในปี 1918
ขณะที่กองทัพอังกฤษที่สามภายใต้การบัญชาการของนายพลบีนง
พบว่าแนวรบของข้าศึกเปราะบางลงเนื่องจากมีการถอนกำลังออกไป จึงได้
โจมตีด้วยรถถัง 200 คันไปยังเมืองบาโปม และในยุทธการแห่งอัลเบิร์ต
กองทัพดังกล่าวได้รับคำสั่งเฉพาะว่า “ทำลายแนวรบของข้าศึก เพื่อที่จะ
โอบหลังแนวรบ ของศัตรู ณ เวลานี้” (ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับกองทัพอังกฤษ
ทีส่ ี่ทเี่ มืองอเมนส์) ผู้บัญชาการทหารฝ่ายพันธมิตรพบว่าการโจมตีทางจุด
ต้านทานของศัตรูทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต และเห็นว่าควรจะผ่านจุด
เหล่านีไ้ ป จากนั้นจึงมีการโจมตี อย่างรวดเร็วเพื่อชิงความได้เปรียบจาก
การโจมตีที่ประสบความสำเร็จ และยกเลิกการโจมตีหากพบว่าความเร็วใน
การรุกลดลงจากเดิมแล้ว
161/665
เมื่อเยอรมนีถอยไปเรื่อยจนถึงแนวฮินเดนเบิร์ก อเมริกันรบครั้ง
ใหญ่และชนะที่แซงต์มีฮิลและอาร์กอนน์ อังกฤษในขณะนั้นกำลังรบพุ่งอยู่
ทางเหนือ และมีชัยต่อเนื่องหลายแห่ง ในเดือนตุลาคม แนวรบฮินเดน
เบิร์กก็แตก ซึ่งก็ถึงเวลาที่ทางเสนาธิการเยอรมนีจะต้องคิดแล้วว่าจะยอม
ให้เยอรมนีถูกบุกหรือ ยอมเจรจาสันติภาพ ---
7
สงครามสิ้นสุด สันติภาพกำลังมา
เยือน
หลังฮินเดนเบิร์กแตก ก็ดูเหมือนจะถึงเวลาที่เยอรมนีต้อง
ยอมรับความจริงของความพ่ายแพ้แล้ว ในเดือนกันยายน บัลแกเรีย ได้
ขอทำสัญญาสันติภาพขึ้นทั้งนี้เพราะบัลแกเรียแพ้สงครามแก่กรีซและ
เซอร์เบีย
ในเดือนตุลาคมทหารอังกฤษภายใต้การบังคับบัญชาของของนายพล
แอลเลนบาย ได้รบชนะตุรกี ทั้งเข้ายึดเมโสโปเตเมีย ซีเรีย และ
ปาเลสไตน์ไว้ได้
ขณะทีท่ างด้านออสเตรีย ก็มีปัญหาภายในประเทศอย่างหนักจนใกล้
จะเกิดการปฏิวัติภายในขึ้นมาแล้ว
163/665
ส่วนอิตาลี เวลานั้นก็ดูเหมือนจะมีกำลังใจขึ้นมาเพื่อเห็นและรับรู้ถึง
ชัยชนะอย่างต่อเนื่องของฝ่ายสัมพันธมิตร ดังนั้นจึงได้รวบรวมพลเข้าไปตี
แนวรบ ด้านออสเตรีย และได้ดินแดนที่อิตาลีต้องเสียไปก่อนหน้าเมื่อครั้ง
ทีแ่ พ้ ณ คอปอเรตโต กลับคืนมาหมด ส่วนจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก็
เกิดมีกลุ่มชาตินิยม หลายกลุ่มลุกขึ้นมาก่อการกบฏ พร้อมกับตั้งรัฐบาล
ปกครองตัวเองขึ้นมา แล้วแยกเป็นพวกๆ กันไป
ดังนั้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน 1918 ออสเตรียจึงได้ขอสงบศึก และ
อีกสองสามวันต่อมากษัตริย์ออสเตรียก็ได้ประกาศสละราชบัลลังก์
ฝ่ายเยอรมนีที่ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วในเวลานั้น จำเป็นที่จะต้องขอ
ทำสัญญาสงบศึกด้วย ทั้งนี้เพราะเมื่อเยอรมนีต้องสูญเสียพันธมิตรไป
พร้อมกันพลเมืองในประเทศก็เริ่มอดอยาก หิวโหย มีการหลอกหลวง
และกำลังเสื่อมโทรม อย่างหนัก พร้อมกันบรรดาทหารก็กำลังสูญเสีย
ความเชื่อมั่นอย่างหนัก ทีส่ ำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นชาวเมืองและสังคมเยอรมนี
กำลังหวาดเสียวต่อฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน ทั้งนี้เพราะความพ่ายแพ้
และยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องของสงครามทำให้ เยอรมนีต้องเข้าสู่ภาวะ
ขาดแคลนหากผู้คนต้องฝ่าความหนาวของฤดูหนาวครั้งใหม่โดยที่ไม่มี
อะไรพอเพียงแล้วละก็การจลาจลและปัญหาอื่นๆ ต้องติดตาม มาอีกมาก
เมื่อกองทัพเรือถูกคำสั่งให้ออกทะเลเพื่อมิให้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรเข้า
โจมตี บรรดาลูกเรือต่างรู้ดีว่าพวกตัวเองจะต้องประสบกับความหายนะ
164/665
ให้การเคลื่อนย้ายกองกำลังเยอรมันทั้งหมดออกจากดินแดนทาง
ตะวัน ตกของแม่น้ำไรน์ บวกรัศมีหัวสะพานอีก 30 กิโลเมตรจากทางขวา
ของแม่น้ำไรน์ทเี่ มืองไมนซ์ โคเบลนซ์ และโคโลญน์ พร้อมทั้งให้มกี าร
ยึดครองโดยกองกำลังพันธมิตรและสหรัฐอเมริกาในภายหลัง
ให้ถอนกำลังเยอรมันทั้งหมดในแนวรบด้านตะวันออกไปยังดินแดน
เยอรมันเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1914
พลเรือนฝรั่งเศสเก็บกวาดซากปรักหักพังในมาตุภูมิ
ปฏิเสธสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟส์กับรัสเซียและสนธิสัญญาบูคา
เรสต์กับโรมาเนีย
166/665
พันธมิตรจะกักกันกองเรือเยอรมัน
และให้มีการส่งมอบยุทธปัจจัย: ปืนใหญ่ 5,000 กระบอก ปืนกล
25,000 กระบอก ปืนครก 3,000 กระบอก เครื่องบิน 1,700 ลำ
เครื่องยนต์รถจักร 5,000 เครื่อง และรถเดินราง 150,000 คัน
ในเวลา 11 นาฬิกา วันเดียวกันนั้น การสงบศึกก็มีผลทราบหรือรับรู้
กันทั่วไป เสียงปืนใหญ่ทยี่ ังคงดังต่อเนื่องสงบลงทันที ฝ่ายพลเรือนทำการ
เฉลิม ฉลองกันอย่างเต็มที่ และรอยยิ้มก็เริ่มเบิกบานบนใบหน้าชนชาว
ยุโรปและชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 ลงอย่าง
เรียบร้อยแล้ว
ค่าเสียหายของผู้พ่ายแพ้
หลังความพ่ายแพ้ของเยอรมนีและมหาอำนาจกลางเกิดขึ้นและสิ้นสุด
สงครามโลกครั้งที่ 1 ลง คณะผู้แทนฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร่วมประชุมกันที่
พระราช วังแวร์ซายส์ ในฝรั่งเศส เมื่อเดือนมกราคม 1919 ประกอบด้วย
ประเทศผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรห้าประเทศคือ บริเทนใหญ่ ฝรั่งเศส
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอิตาลี และผู้แทนของชาติต่างๆ รวม 32 ชาติมา
ร่วมประชุม ในการประชุมนั้นได้มีการดำเนินการร่างสนธิสัญญาสงบศึกขึ้น
การเจรจาระหว่างฝ่ายพันธมิตรเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 1919
ในอาคาร Salle de l'Horloge ของกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส โดย
เริ่มจากการประชุม ของคณะผู้แทน 70 คนจาก 26 ประเทศมีส่วนร่วมใน
การประชุม ส่วนเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ผู้แพ้สงครามถูกยกเว้นไม่ได้
167/665
รับเชิญเข้าร่วมประชุม สหภาพโซเวียต(เปลี่ยนมาจากรุสเซียแล้ว)ก็ถูกห้าม
มิให้เข้าประชุมด้วย เนื่องจากได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพแยกต่างหากกับ
เยอรมนีแล้วในปี 1917
จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม 1919 บทบาทที่สำคัญที่สุดของการเจรจา
ความซับซ้อนและเงื่อนไขอันยุ่งยากของสันติภาพอยู่ระหว่างการประชุมของ
“สภาสิบ” ซึ่งประกอบด้วยบุคคลสำคัญจาก 5 ประเทศผู้ชนะสงครามหลัก
เท่านั้น (สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี ญี่ปุ่น) ด้วย
รูปร่างแปลกประหลาดอันไม่เหมาะสมและไม่เป็นทางการในการตัดสินใจ
ของที่ประชุม ญี่ปุ่นจึงได้ถอนตัวออกจากการประชุมหลัก จึงเหลือเพียง
“สี่มหาอำนาจ” เท่านั้น ต่อมาภายหลัง อิตาลีก็ได้ถอนตัวจากการประชุม
เช่นกัน (กลับมาเซ็นสัญญาในเดือนมิถุนายนเพียงชั่วคราวเท่านั้น) ทำ
ให้การครอบครองฟิอูเม (ปัจจุบัน คือ ริเจกา) ถูกปฏิเสธ ดังนั้น เงื่อนไข
สุดท้ายของฝ่ายพันธมิตรจึงเหลือเพียง “สามมหาอำนาจ” เท่านั้น คือ
สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ส่วนทางด้านเยอรมนีนั้นถูก
ห้ามมิให้เข้าร่วมประชุม ในการเจรจา ดังกล่าวนั้น เป็นการยากที่จะ
ตัดสินใจในฐานะธรรมดาเนื่องจากว่าเป้าหมายของแต่ละประเทศแตก ต่าง
กัน ซึ่งสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น “การประนีประนอมอย่างไม่มีความสุข”
โดยในแต่ละประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะ 3 มหาอำนาจผูช้ นะนั้น
มีความต้องการแตกต่างกัน กล่าวคือ
168/665
เป้าหมายของฝรั่งเศสเน้นไปทางการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัย
จาก การรุกรานของเยอรมนี จากการรบบนแนวรบด้านตะวันตก ฝรั่งเศส
สูญเสียทหารไปราว 1.5 ล้านนาย รวมไปถึงพลเรือนอีกกว่า 400,000 คน
สงครามได้สร้างความเสียหายแก่ฝรั่งเศสพอๆ กับเบลเยียม
นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส จอร์จส์ คลูมองโซ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนใน
การล้างแค้นเยอรมนี โดยต้องการให้เยอรมนีกลายเป็นอัมพาต ทั้งทางการ
ทหาร เศรษฐกิจและการเมือง
169/665
ภาพความเสียหายของโรงพยาบาลเชลซีจากการทิ้งระเบิดโดยเรือเหาะของกองทัพอากาศฝ่าย
เยอรมัน
เรียกร้องให้ขยายการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีต่อไปอีก เพื่อให้ฝรั่งเศส
สามารถควบคุมสินค้าเข้าและสินค้าออกของประเทศผู้แพ้สงคราม คลูมอง
โซนั้นเป็นบุคคลที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มผู้นำทั้งสี่ จนได้รับฉายา “Tigre”
(เสือ) ด้วยเหตุผลดังกล่าว
จอร์จส์ คลูมองโซแห่งฝรั่งเศสต้องการค่าปฏิกรรมสงครามจาก
เยอรมนี เพื่อฟื้นฟูความมั่งคั่งของประเทศที่ได้รับความเสียหายและเห็นว่า
การเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามนั้นจะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอลง
โดยเฉพาะอย่าง ยิ่ง ความปรารถนาที่จะเอาแคว้นอัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งถูก
ฉีกออกไปจากฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ปี 1871
กลับคืน หรือถ้าเป็นไปได้ก็แสวงหา แม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนธรรมชาติติด
กับเยอรมนี
ขณะที่อเมริกาก็ดูเหมือนจะมีมติสวนกับฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด
กล่าวคือ นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อเดือน
เมษายน 1917 สหรัฐอเมริกาก็ต้องการให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุดโดยที่
ไม่มผี ู้แพ้และผู้ชนะ ก่อนสงครามยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้
ผลักดันให้ข้อเสนอหลักการสิบสี่ข้อ ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าความ
ต้องการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้เป็นจุดมุ่งหมายในการทำสงครามของ
สหรัฐอเมริกา มหาชนชาวเยอรมันคิดว่าสนธิสัญญาสันติภาพควรจะมี
เงื่อนไขออกมาประมาณนี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ทว่าหลักการ
ดังกล่าวไม่เคยประสบผลเลย
171/665
9. ควรจะมีการปรับแนวเขตแดนของประเทศอิตาลีควรจะตั้งอยู่บน
แนวเขตแดนของชาติที่สามารถจำได้
10. ประชาชนของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีเดิม ควรจะได้รับการ
ป้องกัน และช่วยเหลือ รวมไปถึงได้รับโอกาสอย่างเสรีที่จะพัฒนาตนเอง
11. โรมาเนีย เซอร์เบียและมอนเตเนโกรควรจะได้รับการฟื้นฟูจาก
ความ เสียหายของสงคราม เซอร์เบียมีอาณาเขตทางออกสู่ทะเล และความ
สัมพันธ์ระหว่างรัฐบอลข่านต่อกันนั้นตั้งอยู่บนคำแนะนำของชาติพันธมิตร
ตามประวัติ ศาสตร์บนเส้นของความจงรักภักดีและความรักชาติ และ
นานาชาติสมควรที่จะรับรองความเป็นอิสระทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ
รวมไปถึงความมั่นคงในดินแดนของตน
12. ส่วนแบ่งของตุรกีจากจักรวรรดิออตโตมันเดิมควรจะได้รับความ
ช่วย เหลือให้มเี อกราช แต่เชื้อชาติอื่นๆ ซึ่งตอนนี้อยูภ่ ายใต้การปกครอง
ของตุรกีควรจะได้รับการรับรองถึงความปลอดภัยในชีวิตและโอกาสอย่าง
เสรีทจี่ ะได้รับการพัฒนาตนเอง และช่องแคบดาร์ดาแนลส์ควรจะถูกเปิด
เป็นเส้นทางเดิน เรือเสรีแก่ทุกประเทศ
13. รัฐอิสระของโปแลนด์ควรจะถูกสถาปนาขึ้นซึ่งรวมไปถึงดินแดน
ทีป่ ระชาชนโปแลนด์อาศัยอยู่ ซึ่งควรจะถูกรับรองทางออกสู่ทะเลเป็นของ
ตัวเอง รวมไปถึงความเป็นอิสระทางการเมืองและเศรษฐกิจ และความ
มั่นคงในดินแดนของตนตามข้อตกลงของนานาชาติ
174/665
14. การรวมตัวกันของประชาชาติควรจะถูกก่อตั้งขึ้นภายใต้พันธะที่
แน่นอนเพื่อจุดประสงค์ที่สามารถให้ความช่วยเหลือกันได้กับทุกฝ่าย และ
ให้ การรับรองแก่รัฐที่มขี นาดเล็กกว่าเทียบเท่ากับตนเอง โดยการจัดตั้ง
องค์การสันนิบาตชาติขึ้นมา
ในการประชุมเพื่อร่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์หลักการสิบสี่ข้อนี้ถูก
อภิปรายจนตกไปในที่สุด
ขณะทีอ่ ังกฤษ ก็มแี นวความคิดอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้สนับสนุนการเรียกเก็บ
ค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตทีน่ ้อยกว่าการ
เรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษเพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของ
เยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น เขายัง
กังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนด การปกครองด้วยตนเอง
และต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับ
ฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่าง
ประเทศทีย่ ิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสองแห่ง ซึ่งได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษา
ผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งที่สนับสนุน
การปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิสัญญาลับ
มีคำกล่าวบ่อยๆ ว่าลอยด์ จอร์จเดินทางสายกลางระหว่างข้อเสนอ
อันเพ้อฝันของวิลสันและข้อเสนอพยาบาทของคลูมองโซ อย่างไรก็ตาม
ข้อเสนอของเขานั้นเป็นข้อเสนอที่แสนบอบบางกว่าที่ปรากฏในตอนแรก
175/665
มหาชนชาวอังกฤษต้องการให้เกิดการลงโทษเยอรมนีให้หนักเหมือนกับ
ข้อเสนอของฝรั่งเศส เพื่อให้รับผิดชอบต่อผลของสงครามที่เกิดขึ้น และได้
สัญญาไว้เช่นสนธิสัญญา การเลือกตั้ง ค.ศ. 1918 ซึ่งลอยด์ จอร์จได้รับ
ชัยชนะ นอกจากนั้นยังมีการบีบคั้นจากพรรคอนุรักษนิยม ในความ
ต้องการแบบเดียวกันกับชาวอังกฤษ เพื่อปกปักรักษาจักรวรรดิอังกฤษ
ซึ่งสุดท้ายก็สามารถร่วมกันร่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ค.ศ. 1919
สำเร็จขึ้นมา โดยมีสาระสำคัญพอสรุปออกมาได้ว่า
1. เยอรมนีต้องคืนมณฑลอัลซาซ-ลอร์เรนให้กับฝรั่งเศส
2. ดินแดนบางส่วนของเยอรมนีตะวันออก (ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำ
ไรน์) ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดครอง
3. เยอรมนีต้องมอบวัสดุในการทำสงคราม กองทัพเรือ เรือรบใต้น้ำ
ตลอดจนเรือสินค้าให้แก่ฝ่ายพันธมิตร
4. กำหนดให้เยอรมนีมีกำลังทหารไม่เกิน 1 แสนคน
5. ห้ามเยอรมนีมีรถถัง เครื่องบิน และปืนใหญ่ขนาดหนัก
6. การลงทุนเป็นเจ้าของของเยอรมนีในต่างแดนต้องถอนคืน โดย
มอบ ให้ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น เข้าปกครองในนามของสันนิบาตชาติ
7. มณฑลเกียวเจาของจีน ให้ประเทศญี่ปุ่นเข้าปกครองชั่วคราว
8. ให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดในสงคราม และให้เยอรมนีใช้ค่า
ปฏิมา กรรมสงคราม
176/665
9. ห้ามเยอรมนีเข้าเป็นสมาชิกองค์การสันนิบาตชาติ
10. ประเทศโปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และฟินแลนด์ได้
รับเอกราช
ผู้แทนของเยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้เมื่อวันที่ 28
มิถุนายน 1919
กล่าวกันว่าความทารุณโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้
ประเทศคู่ สงครามมีความเกลียดชังและอาฆาตกันอย่างรุนแรง เมื่อ
สงครามสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลาง ฝ่ายที่ชนะจึง
บีบบังคับให้ฝ่ายแพ้ ยอมรับเงื่อนไขในสนธิสัญญาสันติภาพ
การบีบบังคับให้เยอรมนีลงนามในครั้งนั้นมีผลทำให้เยอรมนีต้อง
สูญเสีย ดินแดนของตัวเองให้แก่ประเทศรอบข้าง เช่น ดินแดนส่วนใหญ่
ในปรัสเซียตะวันตกทีต่ ่อมาเรียกว่า ฉนวนโปแลนด์ ให้แก่โปแลนด์ ซึ่ง
ดินแดนดังกล่าวนี้ทำให้โปแลนด์มที างออกสู่ทะเลบอลติก นอกจากนั้น
เยอรมนีต้องสูญเสียดินแดนทางด้านตะวันออกอีกมากมาย คิดเป็นร้อยละ
13.1 ของอาณาเขตเยอรมนี ก่อนสงคราม และสูญเสียพลเมืองไป
ประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนพลเมืองของเยอรมนีก่อนสงคราม และ
อื่นๆ อีกมากมาย
รายละเอียดในการเสียดินแดนของจักรวรรดิเยอรมนีในครั้งนั้นมี
ดังนี้
177/665
* อำนาจอธิปไตยของอัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งเป็นดินแดนของเยอรมนี
ตามสนธิสัญญาแฟรงก์เฟิร์ต เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1871 ให้คืนแก่
ฝรั่งเศส (คิดเป็นดินแดน 14,522 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ
1,815,000 คน (ประมาณการปี 1905) คลูมองโซเชื่อมั่นว่าเยอรมนีมี
ประชากรมากเกินไป และการยึดครองดินแดนอัลซาซ-ลอร์เรนดังกล่าวจะ
เป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอลงและทำให้ฝรั่งเศสแข็งแกร่งขึ้น
* ดินแดนชเลวิกตอนเหนือต้องคืนให้แก่เดนมาร์ก ตามผลของการ
ลงประชามติ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1920 (คิดเป็นดินแดน 3,984
ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 163,600 คน) ส่วนดินแดนชเลสวิก
ตอนกลาง รวมทั้งเมืองเฟลนส์เบิร์ก ยังคงเป็นของเยอรมนี จากผลของ
การลงประชามติในปี 1920
* ส่วนใหญ่ของแคว้นโพเซนและปรัสเซียตะวันตก ซึ่งปรัสเซียได้รับ
มาหลังจากการแบ่งดินแดนโปแลนด์ เมื่อปี 1772-1795 ต้องคืนให้แก่
โปแลนด์ (คิดเป็นดินแดน 53,800 ตารางกิโลเมตร รวมไปถึงดินแดน
510 ตารางกิโลเมตร ประชากร 26,000 คน จากอัปเปอร์ซิลีเซีย) ซึ่ง
ดินแดนส่วนที่ฉีกออกมานั้นได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์
อย่างสมบูรณ์หลังจากเหตุการณ์ก่อจลาจลเมื่อปี 1918-1919 แต่ประชาชน
ไม่ยอมรับการลงประชามติ การรวมเอาดินแดนปรัสเซียตะวันตกและการ
ละเมิดสิทธิชนกลุ่มน้อยของรัฐโปแลนด์ ทำให้พลเมืองปรัสเซียตะวันตก
178/665
จำนวนทหารในกองทัพของฝ่ายสัมพันธมิตรมหาอำนาจกลางมี
ประมาณ 21 ล้านคน คิดค่าสูญเสียในสงครามอย่างหยาบๆ ประมาณ
150,000,000,000 ดอลลาร์อเมริกา และประมาณว่าค่าสูญเสียในทางอ้อมก็
คงไม่น้อยไปกว่ากัน
และชีวิตที่สูญเสียก็ยากเกินกว่าจะนับได้ ทั้งนี้เพราะนอกจากที่เสีย
ไปในการรบแล้วยังพบว่ามีผู้ที่อดอยากและหิวตายไปเป็นจำนวนมาก ไม่
เพียงเท่านั้นยังมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกนับล้านๆ คน
ว่า กันว่าสงครามครั้งนีเ้ ป็นบทเรียนอันดียิ่งของชาวโลกในการ
แสวงหาอำนาจและการ ทำสงครามกระนั้นแท้จริงมนุษย์ก็ไม่เคยตระหนัก
ถึงความพินาศที่มากับการทำ สงครามนั้นเลย ---
8
บทสรุปสงครามโลก 1
การสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่ 1 นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่
โลกทั้งใบอยูไ่ ม่น้อย โดยเฉพาะภายหลังจากการลงนามในสนธิสัญญา
แวร์ซายส์แล้ว โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ซึ่งพอจะสรุปออกมา
ได้ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องอาณาเขต เยอรมนียอมยกมณฑลอัลซา
ซ-ลอร์เรนให้แก่ฝรั่งเศส และดินแดนบางส่วนให็แก่เบลเยียม ส่วนหนึ่ง
ของโปเสนและปรัสเซียตะวันตกให้แก่โปแลนด์ ทั้งยังต้องยกเมเมลให้แก่
ลิทัวเนีย ดานซิกให้เป็นนครอิสระ ลุ่มแม่น้ำซาร์ให้อยูภ่ ายใต้การปกครอง
ของสันนิบาตชาติ แต่ฝรั่งเศสมีสิทธิพิเศษที่จะใช้ถ่านหินที่ขุดได้จากแคว้น
ซาร์เป็นเวลา 15 ปี พลเมืองส่วนมากเป็นชาวเยอรมนี ในปี 1935 มีการลง
ประชามติว่าจะเข้าร่วมอยู่กับเยอรมนี
187/665
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องเมืองขึ้น เยอรมนีต้องยอมยกเมืองขึ้น
ทั้งหมด ของตนเองให้กับประเทศต่างๆ นั่นคือ เมืองขึ้นในแอฟริกาแบ่ง
ให้แก่บริเทนใหญ่ เบลเยียม และฝรั่งเศส ดินแดนเกือบทั้งหมดในจีนและ
ทั้งหมดในมหาสมุทรแปซิฟิกต้องยกให้แก่ญี่ปุ่น
เกิดประเทศเอกราชขึ้น นั่นคือ โปแลนด์ ฮังการี ยูโกสลาเวีย เชก
โกสโลวาเกีย ลิทัวเนีย ลัตเวีย เอสโตเนีย ฟินแลนด์ และออสเตรีย
ฝูงชนสองข้างทางในนตรซานฟรานซิสโกต่างโบกไม้โบกมือต้อนรับประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันด้วย
ความยินดี
ด้านเศรษฐกิจ เยอรมนีจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่บรรดาประเทศ
ชนะ สงคราม โดยการจ่ายเป็นเงินสด เป็นวัสดุ หรือเป็นแรงงาน และจะ
188/665
ต้องจ่ายค่าเสียหายด้านผลงานศิลปะที่ถูกทำลายไป และจะต้องฟื้นฟู
เขตแดนที่ต้องเสียหายด้วยปศุสัตย์ เครื่องจักรกล และถ่านหิน
ด้านการทหาร เยอรมนีถูกกำหนดให้เหลือกำลังพลเพียง 100,000
คน และต้องมอบกระสุนและอาวุธทั้งหมดให้แก่สัมพันธมิตร เหลือเพียง
เรือรบไม่กลี่ ำในนาวีเยอรมนี ถูกบังคับให้เลิกมีเครื่องบินทหาร
ป้อมปราการที่เฮลิโกแลนด์และกีลถูกทำลายลง และดินแดนแถบ
ไรน์แลนด์เป็นเขตปลอดทหาร
การเกิดสันนิบาตชาติ สนธิสัญญาแวร์ซายส์กำหนดให้มีการจัดตั้ง
สันนิบาตชาติขึ้น โดยมีความมุ่งหมายสำคัญคือ การส่งเสริมความร่วมมือ
ระหว่างชาติ และการให้ได้มาซึ่งความสันติและความมั่นคงปลอดภัยของ
ชาติต่างๆ ความมุ่งหมายดังกล่าวนีด้ ูเหมือนจะเป็นอุดมคติ ที่
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันยึดมั่น และได้เป็นผู้ร่างแผนเสนอที่ประชุมที่
แวร์ซายส์
ทีส่ ำคัญเหนืออื่นใด ว่ากันว่าการเกิดสงครามโลกและสิ้นสุดลง เป็น
การสิ้นสุดลงพร้อมกันกับลัทธิจักรวรรดินิยมด้วยเช่นกัน ประเทศที่เคย
แสวงหาอำนาจและการแสวงหาดินแดนเริ่มตระหนักในการควบคุมดูแล
ประเทศอื่นๆ การล่าอาณานิคมเริ่มชะงักลงพร้อมกับที่บรรดาประเทศใน
ตะวันตกเริ่มหันมาดูประเทศแม่ของตัวเองมากขึ้น
แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 จะทำ
ให้ ผู้คนค่อนโลกเข้าใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ใช่ว่า
189/665
สยามกับสงครามโลกครั้งที่1
ในด้านความสัมพันธ์กับนานาชาตินั้น กล่าวได้ว่า สยามหรือไทย
ในเวลา ต่อมา ได้ลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับทั้งสองประเทศ
มหาอำนาจ ในสอง ฝ่ายมานานพอสมควรแล้ว นั้นคือกับอังกฤษ สยาม
ได้ทำสนธิสัญญาบาวริ่งขึ้น เมื่อปี 1855 (พ.ศ. 2398) ตรงกับรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทีก่ ับกับเยอรมนีสยามก็ได้มี
การลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพการค้าและการเรือ ในปี 1862 (พ.ศ.
2405)
ช่วงทีเ่ กิดสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้า อยู่หัวฯ รัชกาลที่ 6 ได้ทรงครองราชย์อยู่ พระองค์ทรงสำเร็จการ
ศึกษาวิชาการทหารจากประเทศอังกฤษ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์
ในปี 1910 (พ.ศ. 2453)
191/665
พระองค์ทรงสนับสนุนลัทธิชาตินิยมและการทหาร โดยการจัดตั้ง
องค์กร ลักษณะกึ่งทหาร (paramilitary) ขึ้นในประเทศสยาม เช่น ตั้ง
กองลูกเสือชาวบ้าน เป็นต้น
ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ จะทรงนิยมอังกฤษอย่าง
มาก ก็ตาม เมื่ออังกฤษหรือสหราชอาณาจักรและประเทศในกลุ่ม
สัมพันธมิตรได้ประกาศสงครามต่อจักรวรรดิเยอรมนีในเดือนสิงหาคม
1914 รัฐบาลสยามก็มิได้เข้าร่วมกับฝ่ายอังกฤษ แต่ประกาศความเป็น
กลางเอาไว้
192/665
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทางนิตินัยนั้นรัฐบาลได้แถลงความเป็นกลาง
ไว้ การกระทำของรัฐบาลหลายอย่างในช่วงเริ่มสงครามก็ได้บ่งบอกถึงการ
สนับสนุน ฝ่ายสัมพันธมิตร
ในปีแรกๆ ของสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้พยายามชักชวน
สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ที่วางตัวเป็นกลางให้เข้าร่วมสงครามกับ
ฝ่ายสัมพันธ มิตร โดยเฉพาะ เมื่อสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้สูญเสีย
กำลังพลและอาวุธ ยุทโธปกรณ์จากการรบไปมาก จึงต้องการให้ประเทศ
อื่นๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ร่วมด้วย แต่ประธานาธิบดีวิลสันของสหรัฐฯ ใน
เวลานั้นยังยึดถือความเป็นกลางอย่างเหนียวแน่น
จนกระทั่งในเดือนเมษายน 1917 สหรัฐฯ จึงเข้าร่วมกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยและในการที่สหรัฐฯ ร่วมสงครามกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น ทำให้มีแนวโน้มว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะชนะฝ่าย
เยอรมนี ด้วยเหตุที่สหรัฐฯ ยังมีศักยภาพ
194/665
การประกาศสงครามทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในหมู่ทหารกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งนิยมเยอรมนี ทหารกลุ่มนีไ้ ด้ก่อกบฏขึ้นในปีเดียวกัน (กบฏครั้งนีเ้ ป็น
กบฏครั้งที่ 2 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6) นักเรียนสยามทุกคนที่เรียนอยู่
ในเยอรมนี (ส่วนมากเป็นนักเรียนวิชาทหาร) ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควร
ถูกสั่งให้กลับหรือให้ไป เรียนต่อประเทศอื่น และได้ออกกฎหมายยึด
ทรัพย์สินสยามในจักรวรรดิเยอรมนี
ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศได้ตกอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดใน
ประวัติ ศาสตร์ ประมาณหนึ่งปีหลังจากการประกาศสงคราม (ในเดือน
มิถุนายน 1918) สยามได้ส่งกองทัพที่มกี ำลังพล 1,300 นายไปยังฝรั่งเศส
เพื่อไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเพื่อแสดงต่อฝ่ายสัมพันธมิตรว่า
สยามได้เข้าร่วมสงคราม “ทางรูปธรรม” ด้วย
แต่เพียงหกเดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918
สงครามโลก ครั้งที่ 1 ก็ได้ยุติลง
ภายหลังจากการยุติสงคราม สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้หาวิธี
ลงโทษจักรวรรดิเยอรมนีอย่างเด็ดขาด จึงได้เสนอสนธิสัญญาสันติภาพ
เพื่อลดกำลังทหารของจักรวรรดิเยอรมนี และให้เยอรมนีเป็นผู้รับผิดชอบ
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บังคับให้ฝ่ายเยอรมนียอมรับสนธิสัญญานี้ ซึ่ง
แม้ว่า ฝ่ายเยอรมนีจะถือว่าสนธิสัญญานีเ้ ป็นมาตรการลงโทษที่เด็ดขาด
เกินไป แต่ก็จำต้องยอมลงนาม
196/665
สงครามครั้งใหม่
สงครามโลกครั้งที่ 2 ( World War II หรือ Second World
War) เป็นความขัดแย้งในวงกว้างครอบคลุมทุกทวีปและประเทศ
ส่วนใหญ่ในโลก โดยสามารถแบ่งความขัดแย้งได้เป็นสองภูมิภาค
นั้นคือ (1) ในทวีปเอเชีย บ้างว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1931 บ้างก็ว่าปี
1937 ใน สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และอีกส่วนหนึ่งคือ (2) ในทวีป
ยุโรป เริ่มต้นเมื่อปี 1939 จากการรุกรานโปแลนด์ ของเยอรมนี และ
ดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี 1945
คาดว่ามีผเู้ สียชีวิตในสงครามครั้งนี้มากกว่า 60 ล้านคน นับเป็น
สงคราม ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติ
201/665
ประมาณกันว่าสงครามโลกครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเป็นมูลค่าราว 1 ล้าน
ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ตามค่าเงินในปี 1944 ยังผลให้เป็นสงครามที่ใช้เงิน
ทุนและชีวิต มากที่สุดด้วยเช่นกัน
ผลของสงครามครั้งนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ แต่ว่าชาติ
ตะวันตก ในทวีปยุโรปก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากับ
สหภาพโซเวียต กลายเป็นประเทศมหาอำนาจและนำไปสูส่ งครามเย็นที่
ดำเนินต่อมาอีก 45 ปี สหประชาชาติได้รับการสถาปนาขึ้น ด้วยความหวัง
ว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งเช่นที่เกิดขึ้นนี้ได้อีก ภายหลัง
203/665
สงครามมีการเคลื่อนไหวในทวีปเอเชียและแอฟริกาเพื่อเรียกร้องเอกราช
จากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศในยุโรป
ขณะเดียวกัน ยุโรปตะวันตกได้พยายามรวมตัวกัน ดังจะเห็นได้จาก
การ ก่อตั้งสหภาพยุโรป ในเวลาต่อมาเป็นต้น ---
2
ความเปลี่ยนแปลงหลังสงครามโลก 1
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ อันเป็นสนธิสัญญาสันติภาพทีเ่ กิดขึ้นเพื่อ
นำมา บังคับใช้กับประเทศผู้แพ้สงครามหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น
ดังทีไ่ ด้กล่าวไปบ้างแล้วในภาคที่ผ่านมา แม้มันจะเป็นสนธิสัญญาที่เขียน
ขึ้นมาเพื่อบังคับใช้ และเพื่อเป็นการปิดฉากสงครามใหญ่ที่มนุษยชาติไม่
ต้องการพบเจออีกต่อไปก็จริงอยู่ แต่ผลของมันในเวลาต่อมากลับทำให้
สนธิสัญญาฉบับนี้ถูกมองว่าเป็น จุดระเบิดครั้งใหม่ของสงครามใหญ่ที่
กำลังจะติดตามมา
กระนั้นไม่ว่าผลที่ออกมาจะดีหรือไม่อย่างไรอย่างน้อยที่สุด
สนธิสัญญา ฉบับนี้ก็ทำให้เกิดการก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติขึ้นมาใน
เวลานั้น
สันนิบาตชาติ
205/665
สงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีการเสนอปัญหานี้ให้องค์การสันนิบาตชาติ
พิจารณาตัดสินให้มอบหมู่เกาะโอลันด์อยูภ่ ายใต้อำนาจ อธิปไตยของ
ฟินแลนด์ แต่ต้องเป็นดินแดนปลอดทหารและมีสถานภาพกึ่งอิสระ
เป็นต้น
ผลงานขององค์การสันนิบาตชาติที่ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น
เหตุการณ์รุนแรงที่เกาะคอร์ฟู (Corfu Incident) ในปี 1923 อิตาลีใช้
กำลังเข้ายึดครองเกาะ คอร์ฟูของกรีซ เพื่อบีบบังคับรัฐบาลกรีซให้ชดใช้
ค่าเสียหายกรณีฆาตกรรมนายพลอิตาลี เหตุการณ์นี้ท้าทายความมี
ประสิทธิภาพของการประกันความมั่นคงร่วมกันขององค์การสันนิบาตชาติ
ซึ่งองค์การสันนิบาตชาติ ไม่สามารถยับยั้งหรือลงโทษอิตาลีได้ ทั้งๆ ที่กรีซ
และอิตาลีต่างก็เป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติ
เหตุการณ์ญี่ปุ่นรุกรานแคว้นแมนจูเรียของจีนในปี 1931 องค์การสัน
นิ บาตชาติก็ไม่สามารถใช้มาตรการใดลงโทษญี่ปุ่นได้
209/665
วิกฤตการณ์ระหว่างประเทศที่แสดงถึงความล้มเหลวขององค์การสัน
นิ บาตชาติที่ชัดเจนที่สุด คือ สงครามอบิสซิเนียหรือเอธิโอเปีย
(Abyssinian War) ที่อิตาลีส่งกองทัพบุกอบิสซิเนียโดยไม่
ประกาศสงครามเมื่อปี 1935 และสามารถ ยึดกรุงแอดดิสอาบาบาได้ในปี
1936 ซึ่งสมัชชาขององค์การสันนิบาตชาติได้ลงมติประณามอิตาลีว่าเป็น
ฝ่ายรุกราน อิตาลีจึงตอบโต้องค์การสันนิบาตชาติ ด้วยการลาออกจากการ
เป็นสมาชิกองค์การสันนิบาตชาติในปี 1937
210/665
แม้องค์การสันนิบาตชาติจะได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จในช่วงต้นๆ หลาย
กรณี แต่ต่อมาก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลง ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจาก
องค์ประกอบ ต่างๆ ดังนี้
1. การที่ประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิก ทำให้
กฎข้อบังคับขององค์การสันนิบาตชาติบังคับใช้ได้ผลก็เฉพาะกับประเทศ
สมาชิกที่ไม่ค่อยมีอำนาจและบทบาทมากนัก ไม่มีผลบังคับประเทศ
มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่
2. ประเทศมหาอำนาจโจมตีประเทศอื่น มหาอำนาจหลายประเทศได้
แสดงความก้าวร้าวรุกรานประเทศอื่นเสียเอง ได้แก่ ฝรั่งเศสและเบลเยียม
เข้ายึดครองเหมืองถ่านหินในแคว้นรูห์ ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นโลหิตใหญ่ของ
เยอรมนี เยอรมนีตอบโต้ด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศ
การที่ประเทศต่างๆ ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการดำเนินงาน ของ
องค์การ สันนิบาตชาติ ซึ่งมีจุดหมายที่จะนำสันติภาพมาสู่มนุษยชาติ ทำ
ให้การดำเนิน งานขององค์การนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ กระนั้นการก่อกำเนิด
องค์การสันนิบาตชาติขึ้นมาอย่างน้อยก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า แท้จริงทุก
ชาติต่างตระหนักถึงภัยแห่งสงครามที่เกิดขึ้นมา
การละเมิดสนธิสัญญา
ดังที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า ผลของการบังคับใช้สนธิสัญญาตาม
ข้อตกลง และเงื่อนไขที่เกิดขึ้นมานั้น ชาวเยอรมนีมปี ัญหาและไม่พอใจใน
มาตรา 231มากที่สุด
211/665
ชาติมหาอำนาจร่วมก่อสงคราม
ดังที่รกู้ ันอยู่ว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดหรือปิดฉากลงหลังปี
1919 กระนั้น ใช่ว่าปัญหาความขัดแย้งและปัญหาต่างๆ ของโลกจะหมด
ลงไป กลับกันปัญหาที่มีอยู่ดูเหมือนยังไม่ได้แก้ แต่กลับยังเพิ่มปริมาณ
และปัญหาอื่นๆ เข้ามาอีกมากกระทั่งสุดท้ายก็นำมาสู่การเกิดขึ้นของ
สงครามครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2
เพื่อให้เราได้มองเห็นความเป็นไปของสังคมโลกและความ
เปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นกับบรรดาประเทศต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้อง
ย้อนกลับมาดู สภาพการณ์ของบรรดาประเทศสำคัญๆ ที่เป็นผู้มีบทบาท
และเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 กันเสียก่อน บรรดา
ประเทศสำคัญที่ว่านี้ ส่วนมากจะเป็นบรรดาประเทศที่เคยเกี่ยวข้องและ
เป็นผู้นำของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้วนั้นเอง เพียงแต่ในบทนีเ้ ราจะมา
215/665
ดูสภาพการณ์ของบรรดาประเทศต่างๆ ในช่วงนับจากหลังสงครามโลกครั้ง
ที่ 1 กระทั่งถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ฝ่ายอักษะ
เยอรมนี ค.ศ. 1918-1939
หลังปี 1918 เยอรมนีกลายเป็นประเทศผู้แพ้สงครามที่เจ็บปวดและ
บอบ ช้ำมากที่สุด สภาพการณ์ทางสังคมและการเมืองภายในประเทศของ
เยอรมนีเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากผลกระทบภายนอกอย่างรวดเร็ว ใน
ระหว่างสงคราม โลกครั้งที่ 1 ระหว่างทีก่ องทัพเยอรมนีกำลังประสบ
ชัยชนะในแนวหน้า พระเจ้าไกเซอร์และบริวารได้รับการสนับสนุนจาก
ประชาชนของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่บรรดากลุ่มโซเชียลลิสต์ แต่
เมื่อเยอรมนีเริ่มเพลี่ยงพล้ำในสงครามครานั้นความแตกแยกภายใน
เยอรมนีก็เริ่มเกิดขึ้น ตึงเครียดถึงขั้นที่ทำให้พระเจ้าไกเซอร์ต้องทรงสละ
ราชสมบัติและเสด็จหนีไปประทับอยู่ยังประเทศเนเธอร์แลนด์
รัฐบาลชั่วคราวที่ตั้งขึ้นมาในเวลานั้นต้องดูแลประเทศแทนรัฐบาลของ
พระมหากษัตริย์ และแปลงระบบการปกครองมาเป็นระบบสาธารณะ โดย
มีสมาชิกรัฐสภาแห่งชาติซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งได้มาเข้าร่วมประชุมกัน
ในปี 1919 และในครั้งนั้นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
คือ นายเฟอเดอริก อีแบรต์ ผู้นำกลุ่มโซเชียลลิสต์ และมีการร่าง
รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐที่เกิดใหม่เรียกกันว่ารัฐธรรมนูญไวมาร์
216/665
ในเยอรมนีเวลานั้นเกิดกลุ่มที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลขึ้นเป็น
สามกลุ่มคือ
1. กลุ่มนิยมกษัตริย์
2. กลุ่มคอมมิวนิสต์
และ 3. กลุ่มโซเชียลลิสต์แห่งชาติ ซึ่งกลุ่มหลังนีร้ ู้จักกันดีในนามนา
ซี
กลุ่มนาซีมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้นำ
เพราะ มีนโยบายไปทางชาตินิยมซึ่งถูกใจประชาชน ที่สำคัญกลุ่มนี้มี
เป้าหมายที่จะฟื้นฟูเยอรมนีให้มีสภาพเหมือนเมื่อก่อนจะเกิด
สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังประกาศที่จะขจัดภาวะการไร้
งานให้หมดไป และทีเ่ หนืออื่นใดยังประกาศทีจ่ ะกอบกูเ้ กียรติของชาติ
เยอรมนีให้ได้
ว่ากันว่า นาซีเป็นชาตินิยมในความหมายแคบเพียงว่าเยอรมนีสำหรับ
เยอรมนี “ที่แท้จริง” ในด้านเชื้อชาติทฤษฎีนี้ถือว่า เยอรมนีที่แท้จริงก็คือผู้
ทีถ่ ือเลือดของติวตัน เพราะถือว่าชนพวกนี้เป็นชนที่มีคุณสมบัติที่ดีงาม
เหนือชนชาติใดๆ ลัทธินี้เป็นลัทธิชาตินิยมจัดที่สุด พวกนาซีส่งเสริมการไม่
เชื่อถือคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะคัมภีรเ์ ก่า ซึ่งนาซีถือว่าอันตรายต่อลัทธิ
ของตนเองด้วย ว่าเป็นวรรณคดีของชาวยิวไม่ใช่ของตัวเองหรือติวตัน
218/665
นาซีใช้เครื่องหมายสวัสดิกะ ซึ่งอ้างว่าเป็นเครื่องหมายที่พวกชนเผ่า
เยอรมนีโบราณเผ่าต่างๆ ใช้กัน เป็นเครื่องหมายของพรรค โครงการของ
พรรคนาซีที่สำคัญคือมีโครงการที่จะรวมรัฐเยอรมนีเข้าเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันด้วย ซึ่งนั้นก็หมายถึงอาณาเขตของเยอรมนีจะต้อง
ขยายออกไปรวมเอาถิ่นที่มีชนเชื้อชาติเยอรมนีอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่เข้าไว้
ด้วย
ต่อจากนั้นนาซีก็ได้ทำโฆษณาชวนเชื่อโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่ง
พวกนาซีถือว่าเป็นเอกสารที่แสดงความสบประมาทชาวเยอรมนี ที่สำคัญ
พวก นาซีไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลระบอบอื่นๆ ทั้งสิ้น กล่าวคือรัฐบาลใน
อุดมคติของนาซีก็คือรัฐบาลที่รวมอำนาจทั้งหมดไว้ที่รัฐบาลกลาง และมีรัฐ
เป็นรัฐทหารภายใต้การบงการของพรรค การประชุมผู้นำนาซีอาวุโสไม่ว่า
ครั้งใดมักจะมีการต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ความเกลียดชังกันระหว่างเชื้อชาติ
และอาชญากรรม ร้ายแรงมักจะเกิดติดตามมาเสมอ
ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ นาซีได้มีการจัดกันเป็นกลุ่มขึ้น โดยมี
ระเบียบวินัยเคร่งครัด และปกครองอย่างทหาร โดยเรียกตัวเองว่า
กองทหารสตอร์ม ทรูพ ทหารเหล่านี้จะสวมเสื้อเชิร์ตสีน้ำตาล แขนข้าง
หนึ่งจะสวมเครื่อง หมายสวัสดิกะ กองทหารนี้จะทำการรักษาการในการ
ประชุมต่างๆ ของพวกนาซี
โดยเหตุที่ฮิตเลอร์เป็นผู้นำพรรค และมีเสียงมากที่สุดในรัฐสภา
เยอรมนี ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี ฟอน ฮินเดนเบิร์ก
219/665
การโฆษณาชวนเชื่อได้เพิ่มความน่าเชื่อถือและความแข็งแกร่งของ
แนวคิดของนาซี และสร้างความมีชื่อเสียงให้แก่ฟือห์เรอร์ ซึ่งก็คือ
225/665
โครงสร้างทางกฎหมายของนาซีเยอรมันนั้นได้รับสืบทอดมาจาก
สาธารณรัฐไวมาร์ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของตัวกฎหมายเกิดขึ้น
รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของศาลไปพอสมควร พรรคนาซีถือ
ว่าเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงพรรคการเมืองเดียวใน
เยอรมนี พรรคการเมืองอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศจะถูกยุบพรรค กฎหมาย
ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนส่วนมากได้ถูกตัดออกจากกฎหมายไรช์เกสเซทเท
(กฎหมายแห่งจักรวรรดิไรช์) คนกลุ่มน้อยบางพวก เช่น ชาวยิว
นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และเชลยสงครามลิดรอนสิทธิและหน้าที่ที่พึงมี
และร่างกฎหมายวอล์คซ์ซตราฟเกสเซทซบุค ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นมาในปี
1933 แต่ยังไม่ได้นำออกมาใช้จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนั้น พรรคนาซียังได้จัดตั้งศาลใหม่ขึ้นมา คือ
วอล์คส์เกอร์ริชท์ ชอฟ หรือ ศาลประชาชน ในปี 1934 แต่มีหน้าที่จัดการ
เฉพาะเกี่ยวกับคดีทเี่ กี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น โดยตั้งแต่ปี 1943 จนถึง
เดือนกันยายน 1944 ศาลประชาชนได้มีคำสั่งประหารชีวิตไปกว่า 5,375
คน และตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1944 จนถึงเดือนเมษายน 1945 ศาล
มีคำสั่งประหารชีวิตอีกไม่ต่ำกว่า 2,000 คน ผู้พิพากษาของศาลประชาชน
เป็นนักกฎหมายชื่อดัง โรแลนด์ ไฟรซ์เลอร์ ตั้งแต่ปี 1942 จนถึงปี 1945
ร่างกฎหมายที่สำคัญในสมัยของนาซีเยอรมนีส่วนใหญ่แล้วจะมาจาก
ความเห็นชอบของฮิตเลอร์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น กฎหมายของนาซี
235/665
เยอรมนีจึงเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ และส่วนใหญ่เป็นการละเมิด
สิทธิมนุษยชน โดยตัวอย่างกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ในนาซีเยอรมนี ได้แก่
กฤษฎีกาว่าด้วยเพลิงไหม้รัฐสภาไรช์ตาร์ก
รัฐบัญญัติมอบอำนาจ
ไรช์ซทัททัลเทอร์
การทหาร
กองทัพแห่งนาซีเยอรมนี เรียกว่า Wehrmacht ซึ่งเป็นชื่อเรียกของ
กองกำลังติดอาวุธของเยอรมนีตั้งแต่ปี 1935 ถึงปี 1945 อันประกอบด้วย
Heer (กองทัพบก) Kriegsmarine (กองทัพเรือ) Luftwaffe
(กองทัพอากาศ) และองค์การทางทหาร Waffen-SS (กองกำลังรักษา
ประเทศ) ซึ่งทางพฤตินัยแล้วเป็นส่วนหนึ่งของ Wehrmacht เช่นกัน ใน
สมัยของนาซีเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ถือได้ว่าเป็นผู้บัญชาการทหาร
สูงสุดทั้งกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพ อากาศ
กองทัพบกเยอรมันถูกจำกัดจำนวนไว้ที่ 100,000 นายตามที่กำหนด
ไว้ในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ฮิตเลอร์ซึ่งมีความเกลียดชังเนื้อหาใน
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เขาได้แอบสร้างอาวุธอย่างลับๆ ทั้งในประเทศและ
นอกประเทศ หรือนำเข้าอาวุธจากต่างประเทศ โดยที่ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่
อาจตรวจจับได้ หลังจากนั้นก็สั่งระดมพลทั้งประเทศในปี 1935 ซึ่งชาว
เยอรมันตั้งแต่ 18-45 ปีจะต้องไปเกณฑ์ทหาร รวมไปถึงการสร้าง
236/665
กองทัพอากาศอีกในปีเดียวกัน แต่ทว่าทั้งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต่าง
ก็ไม่ได้ต่อต้านแต่ประการใด เนื่องจากยังเชื่อมั่นว่าฮิตเลอร์จะปรารถนา
สันติภาพ ต่อมา กองทัพเรือเองก็ได้รับการเพิ่มจำนวนจากผลของข้อตกลง
การเดินเรืออังกฤษ-เยอรมัน
กองทัพเยอรมันได้พัฒนาแนวคิดที่ได้ริเริ่มขึ้นในสมัย
สงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นปฏิบัติการร่วมระหว่างกองทัพบกและ
กองทัพอากาศ ซึ่งเมื่อรวมกับรูปแบบการรบโบราณ อย่างเช่น การล้อม
และ “การรบแห่งการทำลาย ล้าง” กองทัพเยอรมันสามารถได้รับชัยชนะ
อย่างรวดเร็วในช่วงต้นของสงคราม โลกครั้งที่ 2 ซึ่งนักข่าวหนังสือพิมพ์
ชาวอเมริกันเรียกว่า “การโจมตีสายฟ้าแลบ” นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน
เชื่อว่ามีทหารเยอรมันในกองทัพไม่ต่ำกว่า 18,200,000 นาย กองทัพ
เยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 สูญเสียชีวิตทหารไปอย่างน้อย 5,533,000
นาย
ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคนาซีได้ใช้กองทัพในการล้าง
ชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นทีร่ ู้กันดีตั้งแต่นายทหารชั้นสัญญาบัตรไปจนกระทั่ง
ผู้บัญชาการ ระดับสูง และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและการ
สังหารหมู่ประชาชนในเขตยึดครอง ซึ่งถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามต่อ
มวลมนุษยชาติ
การพัฒนาทางด้านการทหารของนาซีเยอรมนีเจริญไปจนถึงขั้นมี
โครงการทดลองระเบิดปรมาณูของตัวเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สองคน ออต
237/665
นอกจากนี้แล้ว พรรคนาซียังได้พยายามสร้างความจงรักภักดีและ
มิตรภาพ โดยการสนับสนุนบริการกรรมกรแห่งชาติ และองค์การยุวชนฮิต
เลอร์ ด้วยวิธีการเกณฑ์ให้เข้าร่วมกับองค์กรของรัฐ ในการสนับสนุน
โครงการดังกล่าว โครงการสถาปัตยกรรมหลายแห่งได้รับหน้าที่ให้ทำการ
ก่อสร้าง โครงการเคดีเอฟได้ผลิตเคดีเอฟ-วาเกิน หรือที่ภายหลังรู้จักกัน
ในนาม “โฟล์คสวาเกน” (รถของประชาชน) ซึ่งมีราคาถูก และชาว
เยอรมันสามารถจะมีกำลังซื้อได้ และมันยังถูกสร้างขึ้นมาในข้อที่ว่าจะ
พัฒนาขีดความสามารถของมันให้เป็นพาหนะ สงครามได้ และที่สำคัญ
อย่างยิ่ง คือ การสร้างออโตบาน ซึ่งเป็นถนนที่ไม่จำกัด ความเร็วสายแรก
ของโลก (ทว่าข้อมูลจากบางแห่งกลับไม่เชื่อว่าพรรคนาซีจะเป็นผู้ริเริ่ม
โครงการออโตบาน)
สาธารณสุข
นาซีเยอรมนีได้ให้ความสำคัญแก่ด้านสาธารณสุขอย่างมาก ไม่
เหมือน กับที่หลายคนเข้าใจ จากการศึกษาวิจัยของโรเบิร์ต เอ็น. พร็อก
เตอร์ จากหนังสือ The Nazi War on Cancer ของเขา เขาเชื่อว่านาซี
เยอรมนีเป็นประเทศทีม่ ีการต่อต้านบุหรีอ่ ย่างหนักที่สุดในโลก คณะวิจัย
เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล และนักวิทยาศาสตร์
ชาวเยอรมันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าควันพิษจากบุหรี่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเป็น
ครั้งแรกของโลก ต่อมา นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมันได้ทำการวิจัยศึกษา
การระบาดวิทยา และในปี 1943 ผลการทดลอง ที่ศึกษาจากอีเบอร์ฮาร์ด
239/665
ฮิตเลอร์ได้กล่าวว่าเพศหญิงที่ใช้แรงงานหนักเหมือนกับเพศชายใน
ช่วง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่จะไม่เป็นผลดีต่อครอบครัว เนื่องจาก
ว่าในตอน นั้น เพศหญิงจะได้รับอัตราค่าจ้างเพียง 66% เมื่อเทียบกับอัตรา
ค่าจ้างของเพศชาย จากคำแถลงดังกล่าว ฮิตเลอร์จึงมิได้พิจารณาขึ้นอัตรา
ค่าจ้างให้แก่สตรีชาวเยอรมัน แต่บอกให้พวกเธออยู่กับบ้านแทน
พร้อมกับทีว่ ่าขอให้สตรีชาว เยอรมันลาออกจากงานที่ทำนอกบ้านเสีย และ
ให้สนับสนุนรัฐเกี่ยวกับกิจการสตรีอย่างแข็งขัน
ในปี 1933 ฮิตเลอร์ได้เลือกเอาเกอร์ทรุด ชอลทซ์-คลิงก์ ขึ้นเป็น
ผู้นำสตรีแห่งจักรวรรดิไรช์ ซึ่งเธอได้กล่าวถึงบทบาทหลักของสตรีในสังคม
คือ การให้กำเนิดบุตร และสตรีควรจะมีหน้าที่รับใช้บุรุษ ดังที่เธอเคย
กล่าวว่า “ภารกิจของสตรีคือการทำนุบำรุงเรือนของตน และยอมรับ
ความจำเป็นของชีวิต ตั้งแต่ วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายของบุรุษ”
ซึ่งแนวคิดนี้ยังมีอิทธิพลไปถึงสตรีชาวอารยันที่ได้แต่งงานกับบุรุษ
ชาวยิวอีกด้วย จึงทำให้เกิดเหตุการณ์การประท้วงโรเซนสเทรซเซ ที่สตรี
ชาวเยอรมัน กว่า 1,800 คน (พร้อมทั้งญาติ 4,200 คน) เรียกร้องให้นาซี
ปล่อยสามีชาวยิวของพวกเธอ
การปกครองแบบนาซีส่งผลให้สตรีชาวเยอรมันไม่กล้าที่จะศึกษาหา
ความรูต้ ่อในระดับมัธยมศึกษา วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย จำนวนสตรีที่
ศึกษา ในระดับมหาวิทยาลัยลดลงอย่างมากในสมัยนาซีเยอรมนี ซึ่งลดลง
จาก 128,000 คน ในปี 1933 เหลือเพียง 51,000 คน ในปี 1938 จำนวน
241/665
สมาชิกนาซีเยอรมันหน้าร้านค้าของชาวยิวที่มีสัญลักษณ์ดาวดาวิด กระตุ้นให้ชาวเยอรมันฝักใฝ่นาซี
ต่างบอยคอตต์พ่อค้าชาวยิว
ภายหลังจากที่พรรคนาซีก้าวขึ้นสู่อำนาจแล้ว ชาวยิวจำนวนมากถูกยุ
ให้ หนีออกนอกประเทศ ซึ่งชาวยิวจำนวนมากก็ทำเช่นนั้น ในช่วงเวลาที่
กฎหมาย เมืองเนิร์นแบร์ก ผ่านในปี 1935 ชาวยิวถือว่าสูญเสียสัญชาติ
246/665
เยอรมันและถูกปฏิเสธจากตำแหน่งการงานของรัฐ ซึ่งทำให้ชาวยิวจำนวน
มากตกงานในประเทศ โดยชาวเยอรมันจะเข้าทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่ว่าง
อยูน่ ั้น เหตุการณ์ทโี่ ดดเด่นก็คือ รัฐบาลพยายามที่จะส่งตัวชาวยิวเชื้อสาย
โปแลนด์กว่า 17,000 คนกลับสู่โปแลนด์ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่นำไปสูก่ าร
ลอบสังหารเอิร์ท วอม รัท ทูตชาวเยอรมัน โดยเฮอร์สเชล กรินสปัน ชาว
ยิวเชื้อสายเยอรมันที่อาศัยอยู่ในปารีส การลอบสังหารนีท้ ำให้เกิดข้ออ้าง
แก่พรรคนาซีที่จะปลุกระดมให้เกิดการต่อต้านชาวยิวในวันที่ 9
พฤศจิกายน ซึ่งมุ่งจะทำลายธุรกิจของชาวยิวเป็น พิเศษ เหตุการณ์ต่อต้าน
นีถ้ ูกเรียกว่า คริสทัลนัชท์ หรือ “คืนแห่งการทุบกระจก” “คืนคริสตัล”
เพราะกระจกหน้าต่างร้านค้าที่ถูกทุบทำให้ถนนดูเหมือนถูกโรยด้วยคริสตัล
จนกระทั่งเดือนกันยายน 1939 ชาวยิวกว่า 200,000 คนหลบหนีออกนอก
ประเทศ และรัฐบาลจะทำการยึดทรัพย์สินของชาวยิวเหล่านั้นเป็นของ
แผ่นดิน
พรรคนาซียังได้ดำเนินการสังหารชาวเยอรมันที่ “อ่อนแอ” และ “ไม่
เหมาะสม” อย่างเช่น พฤติการณ์ ที-4 ซึ่งมีการสังหารคนพิการและผู้ป่วย
เป็น จำนวนหลายหมื่นคนในความพยายามทีจ่ ะ “รักษาความบริสุทธิ์ของ
เชื้อสายอันยิ่งใหญ่”
อีกประการหนึ่งที่โครงการที่นาซีใช้เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ทาง
เชื้อชาติคือ เลเบนสบอร์น หรือ “น้ำพุแห่งชีวิต” ทีไ่ ด้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี
1936 โดยมีเป้าหมาย เพื่อที่จะให้ทหารเยอรมัน (ซึ่งส่วนใหญ่คือ หน่วย
247/665
ศาสนา
พรรคนาซีได้นำสัญลักษณ์มาจากคริสต์ศาสนามารวมเข้ากับ
อารยธรรม โบราณ และยังได้เสนอคริสต์ศาสนาเชิงบวก ซึ่งได้ทำให้ชาว
เยอรมันคริสต์จำนวนมากเชื่อว่าหลักของลัทธินาซีเป็นไปตามหลักธรรม
ของคริสต์ศาสนา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงสงครามโลก2 ก็ตาม
ทั้งหมดทีกล่าวมานี้คือภาพรวมของนาซีเยอรมัน ภายใต้การนำของ
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และทำให้โลกเข้าสู่ภาวะของความหวาดกลัวอยู่หลายปี
อิตาลี ค.ศ. 1918-1939
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นประเทศต่อไปที่สำคัญและต้องกล่าวถึงก็คือ
อิตาลี
สงครามโลกทีเ่ กิดขึ้นในครั้งที่ 1 ทำให้เกิดความไม่สงบแผ่กระจาย
ไปทั่วทั้งอิตาลี การนัดหยุดงานกลายเป็นเหตุการณ์ประจำวันที่เกิดขึ้น
พร้อมกันความยากจนและการว่างงานมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ธุรกิจต่างๆ มี
ปัญหา แต่ปรากฏ ว่ารัฐบาลกลับไม่ได้แก้ไขอะไรได้และสถานการณ์ไม่ได้
ดีขึ้นแม้สงครามจะสิ้นสุดไปแล้วก็ตาม
ปี 1919 เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำคณะเชิร์ตดำ หรือ ฟาสซิสต์ ได้เริ่ม
เข้ามาจัดการให้บ้านเมืองเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เขาได้ขอร้องให้
ชาวอิตาลีที่รักชาติได้เข้ามาช่วยทำให้อิตาลีพ้นจากสภาพความไม่มีขื่อแป
ซึ่งข้ออ้าง ที่เขาบอกกับประชาชนก็คือเกิดจากความไม่พอใจและศัตรู
251/665
เมื่อเป็นเช่นนี้นายพลฟรังโก จึงได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำของ
สเปน ขณะทีผ่ ลประโยชน์ของอิตาลีในเมดิเตอร์เรเนียนก็ได้รับคืนกลับมา
ความขัดแย้งกันระหว่างชาติก็สิ้นสุดลง
มุสโสลินีเริ่มเซ็นสัญญาทางการค้ากับบรรดาประเทศมหาอำนาจ
หลาย ประเทศ โดยเฉพาะสัญญาที่ทำกับอัลเบเนีย ค.ศ. 1927 ทำให้
อัลเบเนียตกอยู่ในทำนองชาติในอารักขาของอิตาลี ในปี 1938 ทหารอิตาลี
ก็ได้ยาตราเข้าสู่อัลเบเนียและเข้ายึดเอาประเทศของเขาด้วยกำลัง
หลังจากเข้ายึดอัลเบเนียแล้วเรื่องของ สนธิสัญญาอักษะโรม-เบอร์
ลิน กลายเป็นหัวข้อทีส่ นใจกันในระยะนั้น ทั้งนี้เพราะมองกันว่า ทั้งอิตาลี
และเยอรมนีทจี่ ับมือกันแน่นอยู่นั้นจะพยายามดึงเอารัสเซียมาเข้าพวก เพื่อ
เปิดฉาก สงครามกับบรรดาประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอื่นๆ หรือไม่
ที่สำคัญมีข่าวลือออกมาว่าอิตาลีกำลังจะส่งกองทหารเข้าไปยึดเมือง
ซาวอย นีซ เกาะคอซิกา และประเทศตูนิเซีย จากฝรั่งเศสอีก ยิ่งทำให้ไฟ
แห่งสงครามถูกกระพือและกล่าวถึงกันอย่างต่อเนื่อง กระนั้นในปีนั้นอิตาลี
ก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่มีการพูดคุยกัน และเมื่อมีการประกาศสงคราม
ระหว่างฝรั่งเศส อังกฤษ กับเยอรมนีขึ้น อิตาลีกลับประกาศวางตัวเป็น
กลางในระยะแรก แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่าฝรั่งเศสเริ่มเพลี่ยงพล้ำแล้ว อิตาลี
ก็ประกาศเข้าสู่สงครามอยู่กับฝ่ายเยอรมนี ในปี 1940
ญี่ปุ่น ค.ศ. 1918-1939
256/665
ในบรรดาประเทศผู้นำในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายอักษะนั้น
เยอรมนี และอิตาลี มีบทบาทอยู่ในสงครามแถบยุโรปและฝั่งตะวันตก
ขณะทีฝ่ ั่งตะวันออกนั้นมีชาติมหาอำนาจจากเอเชียเป็นชาติผู้นำ และชาติที่
ว่านี้ก็คือ ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น นับได้ว่าเป็นชาติมหาอำนาจชาติเดียวที่อยู่นอกกรอบของทวีป
ยุโรป กระนั้น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ
ญี่ปุ่นก็มีไม่น้อยไปกว่าชาติใดๆ เลย
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ในปี 1919 แล้ว อาณานิคมของ
เยอรมนี ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือตกไปอยู่ในการปกครองของ
ญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาแว ร์ซายส์ โดยสัญญาลับที่ได้ทำไว้กับ
ฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นญี่ปุ่นจะได้สิทธิต่างๆ ของเยอรมนีในมณฑลชานตุง
ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่จีนที่ถือว่า ญี่ปุ่นละเมิดสิทธิของตนเอง ดังนั้น
จึงมีความพยายามเจรจาและมีการเปิดการประชุมเพื่อตกลงปัญหากันขึ้น
โดย ในการประชุมทีว่ อชิงตันเมื่อปี 1922 ญี่ปุ่นก็ถูกบังคับให้คืนชานตุง
แก่จีน และยังให้ถอนทหารของตนเองออกจากไซบีเรีย และยังให้ยอมรับ
สิทธิต่างๆ ของจีนในฐานะประเทศเอกราช
สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ไม่ได้ทำให้ญี่ปุ่นหยุดยั้งการรุกรานประเทศต่างๆ ใน
เอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่นมีความต้องการแมนจูเรียของจีน ซึ่งเป็นดินแดนที่
มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ จึงส่งกองทหารไปยึด
และจีนจำต้องส่งทหารออกไปปราบแต่ก็ถูกญี่ปุ่นตีแตกกลับมา ในปี 1931
257/665
ญี่ปุ่นเชื้อว่าบรรดาชาติมหาอำนาจในยุโรปสนใจแต่ยุโรปไม่ใช่จีน
ดังนั้น จึงไม่มีความเกรงกลัวใดๆ ว่าชาติมหาอำนาจเหล่านั้นจะมาเข้า
ยุ่งเกี่ยวด้วย ดังนั้นจึงเริ่มรุกต่อนั้นคือในปี 1932 ญี่ปุ่นก็สามารถเข้ายึด
เอามณฑลชานตุงทั้งหมดเอาไว้ในอำนาจของตัวเอง และได้ทำการก่อตั้งรัฐ
ใหม่ขึ้นมา เรียกว่า แมนจูกัว โดยกำหนดให้ดินแดนนี้อยู่ภายใต้หรือใน
ความอารักขาของญี่ปุ่น และได้แต่งตั้งให้ ปูยี จักรพรรดิที่ถูกขับออกจาก
จีนให้มาเป็นจักรพรรดิหุ่น และใช้พระนามใหม่ว่า กังเต้
จีนได้ทำเรื่องร้องต่อสันนิบาตชาติ เมื่อพิจารณาแล้วสันนิบาตชาติ
ก็ได้ลงมติว่าแผ่นดินส่วนนี้เป็นของจีน สันนิบาตชาติของให้ญี่ปุ่นถอน
ทหารออกไปเสียจากแมนจูเรีย แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ที่สำคัญ
ได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกภาพของสันนิบาตชาติอีกต่างหาก
ดังนั้นในปี 1934 รัฐบาลของญี่ปุ่นก็ได้แจ้งให้ชาติมหาอำนาจอื่นๆ
ทราบว่าข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องของทัพเรือจะสิ้นสุดลงในปี 1936 ดังนั้น
ญี่ปุ่นจะมุ่งสร้าง เรือของตนเองให้เท่าเทียมกับสหรัฐอเมริกา และหากเป็น
ไปได้จะให้เท่าเทียมกับอังกฤษที่เป็นมหาอำนาจทางนาวีเลยทีเดียว
ดังนั้นจากปี 1936 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
ญี่ปุ่นก็ได้เริ่มทำสงครามกับจีน และหวังที่จะเข้าครอบครองดินแดน
ทั้งหมดของตะวันออกและทางใต้ของจีน และบรรดาหมู่เกาะต่างๆ ใน
มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ที่สำคัญญี่ปุ่นหวังเอาไว้ว่าจะ
ขับไล่มหาอำนาจชาติยุโรป ให้ออกไปเสียจากดินแดน
258/665
ฝ่ายสัมพันธมิตร
ฝ่ายสัมพันธมิตร เดิมเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นประกอบด้วย
5 ชาติ มหาอำนาจเป็นหลักนั้นคือ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และ
ญี่ปุ่น ต่อมาก็มีสหรัฐอเมริกาเข้ามาร่วมแต่ปรากฏว่าเมื่อมาถึง
สงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลี และญี่ปุ่นประกาศเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอักษะ
ดังนั้นทำให้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ ในระยะแรกมีผู้เข้าร่วมในกลุ่มผู้นำ
ฝ่ายสัมพันธมิตร คือ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกา เป็นชาติ
สุดท้าย
รัสเซีย หรือสหภาพโซเวียต ค.ศ. 1918-1934
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ. 1917 เมื่อพระเจ้าซาร์แห่ง
รัสเซียเสด็จกลับจากแนวหน้ามายังพระราชวังเครมลิน การปฏิวัติโดย
ประชาชนก็ทำท่าจะเริ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะประชาชนชาวรัสเซียกำลังเบื่อหน่าย
กับการทำสงครามอย่างต่อเนื่องและยืดเยื้อ ที่สำคัญประชาชนต้องประสบ
กับภาวะความจนและอดอยาก ไม่มงี านทำและล้มตายในการรบไปไม่น้อย
พระเจ้าซาร์ ถูกจับกุมในขณะเสด็จไปยังกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และถูก
บังคับให้สละราชสมบัติ
เมื่อมีการตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นมา การจลาจลก็ยังคงดำเนินต่อไป
ตามท้องถนน มีการจัดตั้งกลุ่มโซเวียต (สภาคนงาน) ขึ้นเป็นกลุ่มๆ และ
มีการเรียกร้องให้รัสเซียยุติสงครามอย่างต่อเนื่อง และด้วยความรู้สึกหลัง
การโค่นล้มซาร์ลงได้ เมื่อมีรัฐบาลใหม่ที่เข้าปกครองในฐานะชนชั้น
259/665
ปกครองเช่นเดิมทำให้ประชาชนเริ่มไม่ไว้วางใจผู้ปกครองกลุ่มใหม่อยู่เช่น
เดิม และเรียกสงครามที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นอย่างเย้ยหยันว่า “สงครามของ
ซาร์”
แม้จะมีความพยายามจากเคเรนสกี้ผู้นำฝ่ายค้านคนหนึ่ง ที่พยายาม
ปลุกกระแสรักชาติแต่ก็ไม่สำเร็จกลับกันยังถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศต่อ
ชาติอีกด้วย
หลังโค่นล้มซาร์ลงได้แล้ว บรรดาผู้นำหัวรุนแรงที่ก่อนหน้านี้เคยถูก
พระเจ้าซาร์เนรเทศออกนอกประเทศก็เริ่มเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ
260/665
ทั้งนี้เพราะประชาชนชาวรัสเซียต่างเมื่อรู้เรื่องการแสดงท่าทีรุกรานเช่น นั้น
ต่อรัสเซียต่างก็หันเข้าไปร่วมมือกับพรรคที่ปกครองประเทศตนเองมากยิ่ง
ขึ้น ทั้งนี้เพราะแท้จริงแล้วประชาชนชาว รัสเซียในเวลานั้นเกรงกลัวการมี
การปกครองแบบระบบกษัตริย์มากกว่าเรื่องใดๆ
และ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้รวบรวมกองทัพขึ้นเพื่อต่อต้านการ
เข้ามารุกราน ประเทศของตนเอง และได้ทำการปราบปรามบรรดาหัวหน้า
พวกปฏิวัติ ซ้อนที่คิดจะขจัดอำนาจการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ลง
ได้ กองทัพแดงเต็มไปด้วยชาวนาชาวไร่ผกู้ ระหายทีจ่ ะทำการรบเพื่อช่วย
รัสเซียไม่ ให้มพี วกใหม่มาปกครอง พวกชาวไร่ชาวนาถือว่าพวกทีต่ ่อต้าน
ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นพวก ที่พยายามจะเอาพวกจอมปลอม พวกขุนนางที่
ถูกเนรเทศ หรือพวกนายพลเข้ามามีอำนาจทั้งนั้น
ในที่สุด ค.ศ. 1920 สหภาพสาธารณรัฐโซเวียตโซเชียลลิสต์ ก็เริ่ม
สงบขึ้นมาบ้าง โดยพรรคคอมมิวนิสต์มอี ำนาจในการปกครองประเทศ
รัสเซียใหม่ และกว่าจะได้รับการรับรองจากบรรดานานาชาติก็ต้องผ่านไป
กว่า 16 ปี บรรดา ชาติอื่นๆ จึงจะเริ่มยอมรับว่านี่คือหนึ่งในประเทศที่ต้อง
สนใจ
ในปี 1921 เลนินได้วางแผนเศรษฐกิจของโซเวียตใหม่ โดยการ
ผ่อนคลาย การควบคุมอย่างเด็ดขาดที่ได้กระทำกับอุตสาหกรรมลง และ
เริ่มสนับสนุนให้เอกชนเข้าทำการค้าขายและส่งเสริมนายทุนและ
ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจชาวต่าง ประเทศให้เข้ามาชวยพัฒนาประเทศ
263/665
สหภาพโซเวียตที่ด้อยพัฒนาอยู่ในเวลานั้น แม้ว่าในทางทฤษฎีดินแดน
ทั้งหมดจะเป็นของรัฐ ชาวไร่ ชาวนา ก็ยังได้รับ อนุญาตให้ทำการ
เพาะปลูกในไร่นาของตนได้อย่างอิสระ เลนินอยู่ในตำแหน่งและ
ถึงแก่กรรมในปี 1924 โจเซฟ สตาลิน ก็ได้ก้าวเข้ามารับตำแหน่งแทน
เมื่อสตาลินก้าวเข้ามาเป็นผู้นำประเทศคนใหม่ ในพรรคคอมมิวนิสต์
ก็เริ่มเกิดความแตกแยกขึ้น กล่าวคือ สตาลิน คิดแต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ใน
ประเทศ รัสเซียเท่านั้น และไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีของเลนินที่ว่า ความ
สำเร็จของลัทธิคอมมิวนิสต์รัสเซียจะมีได้กด็ ้วยการปฏิวัตทิ ั่วโลก ในขณะที่
ทรอตสกี้ต้องการให้รัสเซียเป็นผู้นำในการปฏิวัติของโลก ความแตกแยกนี้
สตาลินเป็นฝ่ายชนะ ทรอตสกี้ถูกขับออกจากพรรคและถูกเนรเทศในเวลา
ต่อมา
ในฐานะทีเ่ ป็นผู้นำของพวกคอมมิวนิสต์ สตาลินยอมรับเอาแผนและ
โครงการหลายอย่างในสมัยทรอตสกี้มาปฏิบัติต่อ พรรคคอมมิวนิสต์
ภายใต้การนำของสตาลิน เริ่มดำเนินการผลิตตามแผนเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า
แผนการห้าปี รัฐบาลยังคงควบคุมการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อไป
อุตสาหกรรมหลัก เช่น เกษตร เหมืองแร่ การขนส่ง และการสร้างทาง ได้
รับความสนใจจากรัฐบาล ว่าเป็นการพัฒนาที่จำเป็นอันดับต้นๆ
ต่อมาเมื่อมีการพบแผนทำลายล้างรัฐบาลสตาลินโดยฝ่ายที่เป็น
ปฏิปักษ์ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มเปิดฉากการทำลายล้างครั้งใหญ่
ขึ้นมา ผู้คนนับพันที่ต่อต้านนโยบายและปฏิบัติการของรัฐบาลถูกประหาร
264/665
อยู่ในการครอบครองของรัสเซียเพียงแต่รัสเซียอยากได้มาเป็นเวลานาน
แล้ว
ในปี 1936 เมื่อเยอรมนีและญี่ปุ่นได้ลงนามร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์
สหภาพโซเวียตประท้วงและได้ถอนการอนุญาตที่ได้ให้ญี่ปุ่นมีสิทธิจับปลา
ในน่าน น้ำไซบีเรีย แม้จะยอมให้สิทธินี้คืนในเวลาต่อมาก็ตาม และปัญหา
ก็มาเกิดอีกเมื่อดินแดนแมนจูกัว ไม่เคยมีการปักปันเขตแดนกันอย่าง
ชัดเจนระหว่างโซเวียตกับญี่ปุ่นดังนั้นในปี 1938 จึงเกิดข้อพิพาทเรื่อง
เขตแดนแห่งนี้ขึ้นมากับญี่ปุ่น แต่ก็เลิกราไปในที่สุด
เมื่อเยอรมนีบุกเข้าโปแลนด์ ในปี 1936 โซเวียตก็ได้ส่งกองทหาร
ของตัวเองเข้าไปในแถบนั้นทันทีเพื่อยึดเอาดินแดนที่เคยเป็นของโซเวียต
มาก่อนสงครามโลก พร้อมกันสหภาพโซเวียตก็ได้บีบบังคับให้เอสโตเนีย
ลัตเวีย และลิทัวเนีย ตกลงยินยอมทางการทหารแต่ตนเองบางประการ
และเพื่อจะสามารถ ควบคุมทางตะวันออกของทะเลบอลติก รัสเซียจึงเข้า
รุกรานฟินแลนด์ ซึ่งสุดท้ายรัสเซียก็ได้ยึดครองฟินแลนด์สำเร็จ
อังกฤษหรือบริเทนใหญ่ ค.ศ. 1918-1939
ก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษหรือบริเทนใหญ่เริ่มมองออกว่า
จะเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาอันอาจจะ
เกิดขึ้นและรักษามาตรฐานการครองชีพให้คงอยูเ่ ช่นเดิม อังกฤษจึงเริ่ม
ออกมาตรการ การควบคุมรายจ่ายลง พร้อมกันก็ได้จัดตั้งกำแพงภาษีเพื่อ
ป้องกันสินค้าอังกฤษ และเพิ่มภาษีกับชนชั้นสูงที่ร่ำรวย
266/665
รัฐบาลชุดนี้ได้พยายามเข้ามารักษาความสงบ และมีนโยบายไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
กิจการภายในของประเทศอื่น ต่อต้านสังคม นิยม แต่กไ็ ม่มีแนวทางหรือ
ความคิดใหม่ๆ อะไร ต่อเมื่อนายโบนาร์ลอร์ เสียชีวิตลงในปี 1923
อังกฤษก็ได้นายสแตนเลย์ บอลด์วิน อดีตรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังสมัยโบนาร์ลอร์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน กระนั้นก็
ไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก แม้ว่านายสแตนเลย์ จะได้ยกเลิกนโยบายการค้า
เสรีเพื่อกันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาตีตลาดอังกฤษแล้วแต่ก็ยังไม่เกิดความ
พอใจ ปีต่อมาปี 1924 เกิดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนขึ้นมาใหม่ ครานี้
พรรคแรงงานเดินเกมการเมืองจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยนายแรมซา
ย แมคโด แนลด์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี กระนั้นก็ไม่อาจแก้ปัญหาที่
ยุ่งเหยิงลงได้ ที่สำคัญ พรรคแรงงานได้เริ่มนโยบายเห็นใจพรรค
คอมมิวนิสต์รัสเซียก็ยิ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ จนสุดท้ายก็ต้องยุบสภา
ลงอีกครั้งหนึ่ง
ค.ศ. 1924-1929 พรรคอนุรักษ์นิยมได้รับเลือกให้เข้ามาตั้งรัฐบาล
อีกครั้ง ครานี้ได้สแตนเลย์ บอลด์วิน เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และได้
นายวินสตัน เชอร์ชิล มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กระนั้นก็ไม่
อาจช่วยอะไรได้ โดยเฉพาะนโยบายทีพ่ ยายามผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็ง
ค่าขึ้น และเริ่มนโยบาย การค้าเสรีที่ซ้ำเติมทำให้คนหันไปซื้อสินค้าจาก
ต่างชาติซึ่งราคาถูกว่ามากขึ้น ส่งผลด้านลบกลับมายังอังกฤษอีกครั้ง
268/665
เปียหรืออบิสซิเนีย อังกฤษก็ไม่ได้ร่วมมือกับสันนิบาตชาติอย่างจริงจังยอม
ให้อิตาลีรุกต่อไป และยังพยายามผูกมิตรกับอิตาลีต่างหาก
ค.ศ. 1938 อังกฤษก็เข้าร่วมประชุมข้อตกลงมิวนิค ยอมให้เยอรมนี
เข้าครอบครองแคว้นสุเดเทนของเชคโกสโลวาเกีย และอังกฤษยังกลัว
สงครามอยูน่ ั้นเองเพราะเวลานั้นอังกฤษรู้ดวี ่าหากเกิดสงครามขึ้น ฝรั่งเศส
ก็ไม่พร้อมแถม อเมริกาอาจจะวางตัวเป็นกลางก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นและ
สงครามเกิดขึ้นก็หมายถึงความพ่ายแพ้ของอังกฤษอย่างแน่นอน
แต่กระนั้น เมื่อฮิตเลอร์เข้ารุกรานโปแลนด์ในปีต่อมาอังกฤษก็ยื่นประท้วง
และให้เยอรมนีถอนทหารแต่เมื่อเยอรมนีไม่ปฏิบัติตาม อังกฤษจึงต้อง
ประกาศสงครามในวันที่ 3 กันยายน 1939
ฝรั่งเศส ค.ศ. 1918-1939
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝรั่งเศสพบว่า ด้วยความที่ประเทศ
ของ ตัวเองกลายเป็นสนามรบในครั้งนั้น ความเสียหายเกิดขึ้นกับฝรั่งเศส
มากมาย ไม่ว่าโรงงานอุตสาหกรรมถูกทำลาย เหมืองแร่ไม่อาจใช้งานได้
ไร่นาและเมือง ใหญ่น้อยพังพินาศ และไร่องุ่นก็ต้องถูกทิ้งให้รกร้าง
ว่างเปล่า สิ่งทีฝ่ รั่งเศสจะต้อง เร่งดำเนินการก็คือ การเร่งกอบกูเ้ ป็นการ
ด่วน และอีกภาระหนึ่งก็คือ ต้องเร่งสร้างสวัสดิภาพและความมั่นคงทาง
ด้านการทหารให้แก่ชาติในอนาคต
กระนั้นปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินก็ตั้งประจันหน้าให้รัฐบาล
ต้องรีบแก้ไขอยู่
271/665
ภาวะที่เกิดขึ้นมานี้ส่งผลให้อเมริกาต้องเร่งรีบหามาตรการและทำ
อะไร สักอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่กำลังจะลุกลามไปทั่วประเทศของตัวเอง 4
มีนาคม 1933 แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์ ได้รับการเลือกตั้งให้เข้ามาเป็น
ประธานาธิบดี ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำกำลังดำเนินมาอย่างรุนแรง
ที่สุด เพียงไม่กี่วันหลังจากรับตำแหน่งรูสเวลต์ ก็ได้ประกาศใช้นโยบายนิ
วดีล เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองอย่างเร่งด่วน ที่สำคัญก็คือ
การธนาคาร อุตสาหกรรม การให้มีงานทำ การสงเคราะห์ชาวนา และการ
แก้ปัญหาความยากจน
ปีเดียวกันนั้นเอง สภาคองเกรสได้ออกกฎหมายทีม่ ีเงื่อนไขสำคัญคือ
ให้ฟิลิปปินส์หนึ่งในประเทศอาณานิคมของอเมริกา ได้ทดลองปกครอง
ตนเองเป็นเวลาสิบปี แต่กฎหมายนี้กย็ ังเปิดช่องให้อเมริกาได้ตั้งฐานทัพเรือ
ทีฟ่ ิลิปปินส์ ได้ และระยะนี้เองฟิลิปปินส์จะทำการปกครองตนเองโดยมี
สหรัฐเป็นผู้ดแู ล และหากฟิลิปปินส์สามารถตั้งมั่นอยู่ได้ก็จะให้มีอิสระ
เอกราชอย่างสมบูรณ์
ค.ศ. 1934 วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญา
การ ค้าขายในระหว่างกันและกันกับคิวบา ยังผลประโยชน์แก่คิวบาอย่าง
มากมาย ทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกายอมลดค่าภาษีให้แก่สินค้าของคิวบาที่ส่ง
เข้ามาขายในอเมริกา และปีเดียวกันนั้นเองก็เลิกกฎหมายอันไม่เป็นที่
พอใจของคิวบา ทำให้ปัญหาความรุนแรงและต่อต้านสหรัฐอเมริกาลดลง
อย่างมาก
276/665
ก็ได้ทำสัญญารวมทั้งหมด 5 ฉบับซึ่งถือเป็นการแผ้วถางทางไปสู่ความ
ร่วมมือกันในกลุ่มแพนอเมริกา
ในปี 1935 เมื่อปรากฏว่าฝั่งยุโรปเริ่มปรากฏปัญหาต่างๆ ขึ้นมาบ้าง
แล้ว บรรดาชาติในยุโรปพยายามที่จะดึงอเมริกาให้เข้าร่วม หากแต่สภา
คองเกรสกลับประกาศความเป็นกลาง
ในวันที่ 5 ตุลาคม 1935 ประธานาธิบดีรูสเวลต์ ได้สั่งห้ามขน
อาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังอิตาลีและเอธิโอเปีย ทั้งนี้เพราะเกิดภาวะสงคราม
ขึ้นระหว่าง ประเทศทั้งสอง แต่กลับไม่ใช้มาตรการนี้ในสงครามที่เกิดขึ้น
ในเอเชียระหว่าง ญี่ปุ่นกับจีน โดยสหรัฐอ้างว่าเพราะสงครามในตะวันออก
นั้นเป็นสงครามทีไ่ ม่ได้มีการประกาศ และเมื่อเกิดสงครามขึ้นในปี 1939
สหรัฐอเมริกาก็ประกาศความเป็นกลางขึ้นมาแก่สหรัฐอเมริกา พร้อมกัน
สภาคองเกรสก็ได้ยกเลิกข้อห้ามการจัดส่งอาวุธไปยังประเทศคู่สงคราม
และในเดือนมีนาคม 1941 สหรัฐ อเมริกาก็ได้ผ่านกฎหมายเลนด์ลีส โดย
กฎหมายนี้ได้ยกเลิกกฎเกณฑ์ต่างๆ และประกาศความเป็นกลางพร้อมกับ
ให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างกว้างขวาง
กระนั้นในเวลาต่อมาสหรัฐก็ไม่อาจที่จะวางตัวนิ่งเฉยอยู่ได้เมื่อถูก
ญี่ปุ่นโจมตีทเี่ พิร์ลฮาเบอร์ สหรัฐจึงประกาศเข้าร่วมสังฆกรรมในฝ่ายสัม
พันธ มิตรในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน ---
4
ปัจจัยแห่งชนวนสงคราม
ระยะเวลาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 คือปี 1918-1919 ไป
จนถึงช่วงทีเ่ กิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมานั้น นับเป็นระยะเวลา 20 ปี
ของความ หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ และแข่งขันกันเช่นเดิม เหมือนที่เคย
เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 กระนั้นก็ใช่ว่า ทั้งหลาย
ทั้งปวงจะกลับมาซ้ำรอย อย่างเช่นเดิมไปเสียหมด ทั้งนี้ก็เพราะในช่วงเวลา
ดังกล่าวนีไ้ ด้เกิดข้อแม้ และเงื่อนไขใหม่ๆ ในสังคมโลกให้ได้กล่าวถึงและ
สนใจกันเพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งในบทนี้ เราจะเข้าไปดูสภาพการณ์ ความวุ่นวาย
ทีเ่ กิดมาจากสาเหตุหรือปัจจัย ต่างๆ ในช่วง 20 ปีของความหวาดระแวง
กันนี้
ความหวาดระแวงคอมมิวนิสต์
ก่อนอื่น นับว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปทำความรู้จักกับ
คอมมิวนิสต์กันเสียก่อน
279/665
คอมมิวนิสต์สมัยใหม่มักจะยึดตามคำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์
ของคาร์ล มาร์กซ์และฟรีดริช เองเกลส์ ทีว่ ่าด้วยการแทนที่ระบบวัตถุแบบ
ทุนนิยมที่เน้นกำไรเป็นหลัก ด้วยระบอบสังคมคอมมิวนิสต์ทผี่ ลผลิต
โดยรวมที่ได้มาจะกลายเป็นของส่วนรวม
ลัทธิมาร์กซ์กล่าวไว้ว่ากระบวนการดังกล่าวสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
โดยการปฏิวัติรัฐประหารต่อบรรดานายทุนและชนชั้นสูง จากนั้นจึงเปลี่ยน
ถ่ายการปกครองไปสูส่ ถานะของการปกครองระบอบสังคมนิยม การ
กระทำดังกล่าว เรียกกว่าอำนาจเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ (Dictat-
orship of the Proletariat) ระบอบคอมมิวนิสต์ที่แท้จริงที่ไม่มรี ัฐบาล
บริหารยังไม่เคยเกิดขึ้น และยังเป็นไปได้ในแง่ทฤษฎีเท่านั้น เพราะ
ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ระบอบคอมมิว นิสต์” ตามทฤษฎีของ
มาร์กซ์คือ รัฐที่ปกครองโดยตลอดกาล หรือ รัฐบาลแนว สังคมนิยม
ความคิดที่มีรากฐานไปสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์มีมานานมากแล้วในโลก
ตะวันตกนานกว่าที่มาร์กซ์และเองเกลส์จะเกิดเสียอีก ความคิดที่ว่านี่ย้อน
ไปได้ ถึงยุคกรีกโบราณที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับ
ตำนานเกี่ยวกับยุคทองของมนุษยชาติ ที่ๆ สังคมอยู่ด้วยกันด้วยความ
สามัคคีปรองดองกันเสีย ก่อน จึงร่วมกันสร้างความงอกงามทางวัตถุใน
ภายหลัง แต่บางคนก็แย้งว่า ตำราสาธารณรัฐ (The Republic) ของ
เพลโตและผลงานอื่นๆ ของนักทฤษฎีรัฐศาสตร์ ในยุคโบราณ เพียงแค่
สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ในด้านการอยูร่ วมกันในสังคม อย่างปรองดอง
281/665
ในเวลาต่อมา บอลเชวิคประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศ
หลังจากการล้มล้างรัฐบาลรักษาการณ์ในการปฏิวัติรัสเซีย (Russian
Revolution of 1917) ปีต่อมา พรรคดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค
คอมมิวนิสต์ ซึ่งจากนั้นมาทำให้เกิดข้อแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างระบอบ
คอมมิวนิสต์และระบอบสังคมนิยม
การปรากฏตัวของพรรคคอมมิวนิสต์ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
กับรุสเซีย นำพาความหวาดระแวงไปทั่วทุกหัวระแหง
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วชัยชนะของบอลเชวิคนำพาพรรคคอมมิวนิสต์
และระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์มาสู่โลก หลังจากนั้นได้มีความ
พยายามที่จะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งการปกครองที่คล้ายคลึงกันในบริเวณ
อื่นของโลก ซึ่งประสบความสำเร็จในฮังการีและบาวาเรีย
การกระทำดังกล่าวนำมาซึ่งความกลัวต่อการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์
ในหลายชาติยุโรปตะวันตก ยุโรปกลาง และทวีปอเมริกา ดังนั้นในปี
1919 ฝ่ายไตรภาคีถึงกับตั้งรัฐพรมแดนขึ้นประชิดชายแดนด้านตะวันตก
ของรัสเซีย โดยหวังว่าจะสามารถจำกัดคอมมิวนิสต์ไม่ให้แพร่ขยายออกมา
จากรัสเซีย
กำเนิดลัทธิฟาสซิสต์
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่นานนัก ลัทธิฟาสซิสต์ ก็ได้
ถือกำเนิดขึ้นมาในอิตาลีอีก
286/665
ฟาสซิสต์และนาซี ดังนั้นเพื่อตั้งแนวป้องกันการรุกล้ำและขยายอุดมการณ์
คอมมิวนิสต์ พันธมิตรตะวันตกจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับนาซี
เยอรมันที่น่าจะสามารถเป็นแนวป้องกันพวกคอมมิวนิสต์ได้อย่างดี
โดยเฉพาะสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสนั้นได้ดำเนินแผนการของ
ตนเพื่อเอาใจฝ่ายเยอรมนีในตอนปลายทศวรรษ 1930 ภาย ใต้แผนการ
การเอาใจฮิตเลอร์ เพื่อหวังให้ฮิตเลอร์ต้านอำนาจของคอมมิวนิสต์
เยอรมนีนั้นได้รับข้อเสนอว่าตนจะสามารถขยายพื้นที่ของตนไปทาง
ทิศตะวันออกได้ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งจากทั้งอังกฤษและ
ฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์ดังกล่าวนี้แทนที่จะส่งผลดีด้านการเมืองกลับกันมัน
ได้เพิ่มความ ทะเยอทะยานของฮิตเลอร์ให้มีโอกาสมากยิ่งขึ้น และ
หลังจากนั้นฮิตเลอร์ก็ได้เริ่มแผนการต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่สงครามในไม่ช้า
การล่าอาณานิคมใหม่
การล่าอาณานิคม คือ หลักการการผนวกดินแดนหรืออำนาจทาง
เศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องใช้กำลังทหารเข้าช่วย
ประเทศมหาอำนาจผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 อาจจะยังคงรักษา
ดินแดนของตนเอง รวมทั้งยังได้ดินแดนของชาติ และดินแดนใน
อาณานิคมเพิ่มขึ้นมาจึงไม่มีความเดือดร้อนหรือเจ็บปวดสักเท่าไร หากแต่
บรรดาประเทศ ที่ต้องเสียดินแดนไปในช่วงก่อนหน้านั้นไม่ได้คิดเช่นนั้น
เมื่อแนวความคิดเรื่องชาตินิยมถูกกระตุ้นขึ้นในบรรดาประเทศส่วนใหญ่
292/665
ของโลก แทบทุกชาติต่างตั้งคำถามและความหวังในการสร้างชาติของ
ตนเองกันแทบทั่วหน้า
อิตาลีนั้นได้รับความขมขื่นจากดินแดนเพียงน้อยนิดซึ่งได้รับหลังจาก
สงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างการประชุมที่แวร์ซายส์ อิตาลีนั้นหวังจะได้
ดินแดนจำนวนมากจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี แต่กลับได้เพียง
ดินแดนสองสามเมืองเท่านั้น และคำสัญญาที่ขออัลเบเนียและเอเชีย
ไมเนอร์ก็ถูกผู้นำฝ่ายพันธมิตรอื่นๆ ละเลย
ทางด้านเยอรมนี หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีต้อง
สูญเสียดินแดนให้แก่ลิทัวเนีย ฝรั่งเศส โปแลนด์ และเดนมาร์ก โดย
ดินแดนทีเ่ สียไปที่เป็นทีร่ ู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ ฉนวนโปแลนด์ นครเสรี
ดานซิก แคว้นมาเมล (รวมกับลิทัวเนีย) มณฑลโปเซน และแคว้นอัลซา
ซ-ลอร์เรนของฝรั่งเศส และดินแดนทีม่ ีคุณค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด คือ
แคว้นซิลิเซียตอนบน ส่วนดินแดน ที่มีค่าทางเศรษฐกิจอีกสองแห่ง คือ
ซาร์แลนด์และไรน์แลนด์ นั้นอยู่ใต้การยึดครองของฝรั่งเศส
ดินแดนที่ถูกฉีกออกไปจำนวนมากนี้ คนที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันก็เข้ามา
อาศัยเป็นจำนวนมาก
ผลของการสูญเสียดินแดนดังกล่าวก่อให้เกิดความขมขื่นแก่ชาว
เยอรมัน และมีความสัมพันธ์อันเลวร้ายกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้การ
ปกครองของพรรคนาซี เยอรมนีกเ็ ริ่มต้นการแสวงหาดินแดนเพิ่มเติม
ตั้งใจที่จะฟื้นฟูดินแดน อันชอบธรรมของจักรวรรดิเยอรมนี โดยที่สำคัญก็
293/665
สหภาพโซเวียตมีความต้องการอย่างยิ่งที่จะเอาดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมด
กลับคืน
ฮังการี ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ถูกฉีกออกไปเป็นดินแดนจำนวนมหาศาล หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรตัดแบ่ง
จักรวรรดิ ออสเตรีย-ฮังการีเดิม แต่ว่าฮังการียังคงต้องการที่จะคงความ
เป็นมิตรต่อกันกับเยอรมนี โดยในช่วงนีแ้ นวคิดฮังการีอันยิ่งใหญ่ กำลัง
ได้รับความสนับสนุนในหมู่ชาวฮังการี
โรมาเนีย ซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็น
ผูช้ นะ สงคราม กลับรู้สึกว่าตนจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ในช่วงต้น
ของสงครามโลกครั้งที่ 2 จากผลของสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ
ทำให้โรมาเนียต้องสูญเสียดินแดนทางทิศเหนือให้แก่สหภาพโซเวียต คำ
ตัดสินกรุงเวียนนาครั้งที่ 2 ทำให้โรมาเนียต้องยกแคว้นทรานซิลวาเนีย
ตอนบนให้แก่ฮังการี และสนธิสัญญาเมืองคราโจวา โรมาเนียต้องยก
แคว้นโดบรูจากให้แก่บัลแกเรีย ในโรมาเนียเองก็มีแนวคิดโรมาเนียอัน
ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะรวมตัวกับนาซีเยอรมนี
บัลแกเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ได้สูญเสียดินแดนให้แก่กรีซ โรมาเนียและยูโกสลาเวีย ในช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 1 และในสงครามคาบสมุทรบอลข่านครั้งที่ 2
ฟินแลนด์ ซึ่งสูญเสียดินแดนให้แก่สหภาพโซเวียตในช่วงต้น
สงครามโลก ครั้งที่ 2 (สงครามฤดูหนาว) ดังนั้นเมื่อเยอรมนีโจมตี
295/665
ของตนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พวกชาตินิยมจีนทางตอน
ใต้ของแมนจูเรียได้พยายามขับไล่กองทัพญี่ปุ่นออกไป สงครามครั้งนี้กิน
เวลาไปสามเดือนและสามารถผลักดันกองทัพจีนลงไปทางใต้ แต่ว่าเมื่อ
วัตถุดิบที่ได้รับในแคว้นแมนจูเรียก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของ
ประเทศ กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นจึงวางแผนที่จะเสาะหาวัตถุดิบเพิ่มเติม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ทรัพยากรน้ำมัน
เพื่อที่จะเยียวยาความเสียหายดังกล่าวและเพื่อเป็นการรักษาแหล่ง
ทรัพยากรน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ อาจทำให้ญี่ปุ่นต้อง
เผชิญหน้ากับการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งยังครอบครองแหล่ง
น้ำมันอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างเช่น หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์
โดยการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการล่าอาณานิคมของตะวันตกอาจจะนำไปสู่
ความขัดแย้งกับสหรัฐ อเมริกาได้ เดือนสิงหาคม 1941 สหรัฐอเมริกาซึ่ง
นำเข้าน้ำมันจากญี่ปุ่นเป็น จำนวนกว่า 80% ได้ประกาศคว่ำบาตรทางการ
ค้า ทำให้เศรษฐกิจและกำลัง ทหารของญี่ปุ่นกลายเป็นอัมพาต ญี่ปุ่นมี
ทางเลือก คือ ยอมเอาใจสหรัฐอเมริกา เจรจาประนีประนอมหาแหล่ง
ทรัพยากรอื่นหรือใช้กำลังทหารเข้ายึดแหล่งทรัพยากรตามแผนการเดิม
ญี่ปุ่นได้ตกลงใจเลือกทางเลือกสุดท้าย และหวังว่า กองกำลังของตนจะ
สามารถทำลายสหรัฐอเมริกาได้นานพอที่จะบรรลุวัตถุ ประสงค์เดิม
ดังนั้นญี่ปุ่นจึงโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาเบอร์ ในวันที่
7 ธันวาคม 1941 ซึ่งได้กลายมาเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงของญี่ปุ่น
298/665
นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ยังชี้ว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีกได้แก่
ลัทธิโดดเดี่ยว
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกาได้มีแนวคิด ที่จะ
โดดเดี่ยวทางการเมืองกับประเทศภายนอก โดยที่สหรัฐอเมริกาจะเข้าไป
ยุ่งเกี่ยวกับเหตุ การณ์ในซีกโลกตะวันตกและมหาสมุทรแปซิฟิกเท่านั้น
สหรัฐอเมริกาตัดสินใจ ที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทวีปยุโรป
แต่ว่ายังคงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แนบแน่น ด้วยเหตุเช่นนี้ส่งผล
ให้ความรู้สึกของประชาชนในอังกฤษ และฝรั่งเศสก็มแี นวคิดที่จะ
โดดเดี่ยวเช่นกัน และเบื่อหน่ายสงคราม นายเนวิล แชมเบอร์เลน กล่าว
ถึงเชคโกสโลวาเกียว่า : “โอ้ ช่างเลวร้ายและมหัศจรรย์เหลือ เกินที่เราชาว
อังกฤษไปขุดสนามเพลาะและพยายามใส่หน้ากากกันก๊าซพิษที่นั่น
เพราะว่าความขัดแย้งอยู่ไกลจากตัวเรานัก ระหว่างคนสองจำพวกที่เราไม่
รู้จัก ข้าพเจ้านั้นเป็นบุคคลแห่งสันติภาพมาจากส่วนลึกของวิญญาณของ
ข้าพเจ้า” ปรากฏว่าภายในไม่กี่ปี โลกก็เข้าสู่สงครามเบ็ดเสร็จ
ลัทธินิยมทหาร
ความนิยมทางการทหารของผู้นำเยอรมนี ญี่ปุ่นและ อิตาลี ได้นำไป
สู่ความก้าวร้าวรุนแรง ประกอบกับที่กองทัพของทั้งสามประเทศ นั้นถูก
ประเทศอื่นมองข้ามไป ดังที่เห็นได้จากเยอรมนีประกาศเกณฑ์ทหารอีก
ครั้งในปี 935 ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และเป็นการ
ขัดต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์
299/665
ลัทธิชาตินิยม
ลัทธิชาตินิยม มีความเชื่อว่า คนชาติพันธุ์เดียวกันควรจะอยูร่ วมกัน
ทั้งในดินแดนเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกันและอยูร่ ่วมกันทางมนุษยชาติ
ผู้นำของเยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่นมักจะใช้แนวคิดดังกล่าวเพื่อให้ได้รับแรง
สนับสนุน จากปวงชนในประเทศ ลัทธิฟาสซิสต์นั้นตั้งอยูบ่ นรากฐานของ
ลัทธิชาตินิยม และคอยมองหา “รัฐชาติ” ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ฮิต
เลอร์ และพรรคนาซีนำลัทธิชาตินิยมไปในเยอรมนี ซึ่งประชาชนเยอรมัน
ได้มศี รัทธาอย่างแรงกล้า ในอิตาลี แนวคิดที่จะสร้างจักรวรรดิโรมันใหม่
ขึ้นมาได้ดึงดูดชาวอิตาลีจำนวนมาก และในญี่ปุ่น ด้วยความทระนงใน
หน้าทีแ่ ละเกียรติยศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์จักรพรรดิ ได้ถูกเผยแพร่ใน
ญี่ปุ่นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว
และลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ พรรคนาซีได้นำแนวคิดทางสังคมของ
ชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้กล่าวถึงชนชาติทิวทัน และชนชาติสลาฟว่าจำเป็นต้อง
แย่งชิงความเป็นใหญ่ และจำเป็นต้องแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรที่มอี ยู่
อย่างจำกัด โดยได้กล่าวว่าชนชาติเยอรมัน คือ “เชื้อสายอารยัน” ซึ่งมีแนว
คิดอย่างชัดเจนว่าชาวสลาฟต้องตกเป็นเบี้ยล่างของชาวเยอรมัน ในช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 2ฮิตเลอร์ได้ใช้แนวคิดการแบ่งแยกเชื้อชาติดังกล่าวเพื่อ
พวกทีไ่ ม่ใช่อารยัน โดยพวกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวอย่าง
ร้ายแรง ก็คือ ชาวยิว ชาวโซเวียต และยังมีการกีดกันพวกรักร่วมเพศ ผู้ที่
300/665
ที่มาหรือชนวนแห่งสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1939-1945 ว่ากัน
ว่าที่มาของสงครามในครั้งนี้เกิดขึ้นจากปัญหาอันมาจากการดำเนินการ
ทางการทูต ของประเทศมหาอำนาจในยุโรป กล่าวคือเริ่มกันตั้งแต่การทำ
สนธิสัญญาสันติ ภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย เฉพาะสนธิสัญญา
แวร์ซายส์ ที่ทำความไม่พอใจให้แก่บรรดาประเทศที่พ่ายสงครามหลาย
ประเทศ โดยเฉพาะเยอรมนีที่ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงครามและต้องเสีย
ดินแดน หรือแม้แต่การที่อิตาลีซึ่งแม้จะชนะในสงครามแต่ก็ไม่พอใจใน
เรื่องการแบ่งดิน แดนกันภายหลังสงคราม และแม้แต่สหรัฐอเมริกาเองใน
เวลานั้นก็ไม่ยอมรับต่อสัญญาฉบับนี้โดยกล่าวว่า สนธิสัญญาฉบับนี้ไม่
ยุติธรรม
กระนั้น หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ลง บรรดาประเทศ
มหาอำนาจต่างๆ ก็พยายามที่จะระงับไม่ให้เกิดสงครามครั้งใหม่ขึ้นมาได้
302/665
ต้องการ ครอบครองนั้นคือบริเวณรอบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและ
ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา สงครามครั้งนีย้ ังเป็นความต้องการล้างอายที่
อิตาลีพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ต่อเอธิโอเปียในยุทธการอัดวาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1896
อันทำให้อิตาลีต้องเสื่อมเสียเกียรติภูมิเป็นอย่างยิ่ง
เอธิโอเปียเป็นดินแดนเป้าหมายชั้นดีในการยึดครองเป็นอาณานิคม
ด้วยหลายสาเหตุ จากการแข่งขันแย่งชิงทวีปแอฟริกาของชาติ
จักรวรรดินิยมยุโรป ในเวลานั้นเหลือดินแดนที่เป็นอิสระอยู่เพียงแห่งเดียว
คือเอธิโอเปีย การได้ยึดครองเอธิโอเปียจะทำให้อิตาลีสามารถรวมดินแดน
นี้เข้ากับเอริเทรียและและอิตาเลียนโซมาลีแลนด์ที่ตนยึดครองไว้ก่อนได้
อนึ่ง เอธิโอเปียเองก็มกี ำลังทหารที่อ่อนแอจากการที่ทหารชนพื้นเมืองใน
เอธิโอเปียมีอาวุธเพียงหอกกับโล่ และกองทัพอากาศก็มอี ากาศยาน
ประจำการเพียง 13 ลำเท่านั้น
สนธิสัญญาอิตาลี-เอธิโอเปีย ฉบับ ค.ศ. 1928 กำหนดให้พรมแดน
ระหว่าง โซมาลีแลนด์ของอิตาลีกับเอธิโอเปียมีความยาว 21 ลีก (ราว
73.5 ไมล์) โดยขนานไปตามชายฝั่งเบนาดีร์ (Benadir) ในปี 1930
อิตาลีได้สร้างป้อมขึ้นที่โอเอซิสเวลเวล (Welwel) ในบริเวณเขตโอกาเดน
(Ogaden) และส่งทหารนอกประจำการชาวโซมาลีที่เรียกว่าดูบัต
(dubat) เข้ามาประจำการ ป้อมที่สร้างขึ้นที่เวลเวลนั้นอยูน่ อกเหนือเขต
จำกัด 21 ลีกและรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของเอธิโอเปีย
305/665
ทวีปแอฟริกาได้โดยอิสระ เพื่อเป็นการประกันความมั่นคงในความร่วมมือ
กับอิตาลี
ถัดจากนั้นมาในเดือนเมษายน อิตาลีก็ได้ใจยิ่งขึ้นจากการเข้าร่วม
เป็นสมาชิกข้อตกลงแนวสเตรซา ซึ่งเป็นข้อตกลงในการกำหนดทิศทางการ
ขยายอำนาจของเยอรมนี ถึงเดือนมิถุนายน แผนการของอิตาลีดำเนินไป
ได้โดยสะดวก มากขึ้น จากการแตกร้าวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นระหว่าง
สหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศสอันมีมูลเหตุจากข้อตกลงทางนาวีของทั้งสอง
ประเทศ
ในเดือนเมษายน 1935 กองทัพบกและกองทัพอากาศแห่ง
ราชอาณาจักร อิตาลีในแอฟริกาตะวันออก ได้เริ่มการสะสมกำลังขึ้นอย่าง
จริงจัง ในไม่กเี่ ดือน ถัดมาได้มีการเคลื่อนกำลังทหารราบปกติ ทหารราบ
ภูเขา และหน่วยเชิ้ตดำ รวม 8 หน่วย เข้ามาในเอริเทรีย และส่งกำลัง
ทหารราบปกติ 4 หน่วยเข้ามาประจำการในโซมาลีแลนด์ของอิตาลี ตัวเลข
ของทหารชุดดังกล่าวมีรวม 680,000 คน โดยยังไม่ได้นับรวมกับทหาร
อิตาลีที่ประจำการในแอฟริกาตะวันออก กองทหาร อาณานิคม และ
จำนวนทหารที่เสริมกำลังเข้ามาระหว่างสงคราม เช่น ในเอริเทรียมีทหาร
อิตาลีอยู่แล้ว 400,000 คน และในโซมาลีแลนด์ของอิตาลี 220,000 คน
ก่อนหน้าจะมีการส่งกำลังเสริมเข้ามา เป็นต้น กองทัพขนาดใหญ่ ที่จัดตั้ง
ขึ้นในแอฟริกาตะวันออกนี้ยังมีหน่วยลำเลียงและหน่วยสนับสนุนจำนวน
307/665
การประชุมลดกำลังอาวุธและสันนิบาตชาติ
เรื่องนี้เริ่มจากเยอรมนีโดยฮิตเลอร์สั่งถอนผู้แทนออกจากการประชุม
ลดกำลังและอาวุธและจากสันนิบาตชาติ โดยให้เหตุผลว่า ฝรั่งเศสกีดกัน
และไม่ยอมให้เยอรมนีเสริมสร้างอาวุธได้เท่าเทียมประเทศอื่นๆ โดย
อังกฤษและอิตาลีแสดงท่าทีเห็นใจเยอรมนี และเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
ลงเยอรมนีก็ได้ยอมลงนามในสัญญาไม่รุกรานระหว่างกันกับโปแลนด์เป็น
เวลา 10 ปี ผลทีเ่ กิด ขึ้นนีท้ ำให้อังกฤษมองว่าฮิตเลอร์นั้นใฝ่สันติและควร
ได้รับความไว้วางใจ
เหตุการณ์รุนแรงในออสเตรีย
และการเริ่มสั่งสมอาวุธของเยอรมนี
กรกฎาคม 1934 เกิดความวุ่นวายขึ้นในออสเตรีย โดยฮิตเลอร์
สนับสนุน ให้นาซีออสเตรียสังหารนายกรัฐมนตรีออสเตรียเสีย แต่ปรากฏ
ว่าเมื่ออิตาลีเคลื่อนทัพเข้าประชิดพรมแดนออสเตรีย ก็ได้ออกมาเตือน
เยอรมนีไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ฮิตเลอร์เข้าใจดีว่าเยอรมนียังไม่พร้อมที่จะทำ
สงครามดังนั้นจึงรีบออก มาปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการกระทำของนาซี
ออสเตรีย ปี 1935 แคว้นซาร์ได้มกี ารลงประชามติว่าจะกลับมาเป็น
ส่วนหนึ่งของเยอรมนี ปลายปีนั้นเองฮิตเลอร์ก็ประกาศเพิ่มกำลังทหารเป็น
600,000 คนทันที
อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี ได้ร่วมการประณามการละเมิดสิทธิตาม
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ของเยอรมนี แต่กไ็ ม่มีการลงโทษ ที่สำคัญเยอรมนี
312/665
ยังสามารถทำข้อตกลงกับอังกฤษเพื่อเพิ่มกองกำลังทัพเรือได้อีกในเดือน
มิถุนายน 1935 เท่ากับอังกฤษยอมรับการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายส์ของ
ฮิตเลอร์แล้วนั้นเอง ทำให้เยอรมนีฉวยโอกาสเสริมกำลังครั้งใหญ่อย่าง
ต่อเนื่อง ปลายปี 1938 กองทหารเยอรมนีก็มีกำลังพลถึง 51 กองพล
ประมาณ 800,000 คน และมีกองหนุนและเรือรบ เรือลาดตระเวน และ
เรือพิฆาตรวมกันถึง 21 ลำ มีเรือดำน้ำถึง 47 ลำ และมีกำลังเครื่องบินถึง
2,000 กว่าลำ
การส่งทหารเข้าไรน์แลนด์ ในเดือนมีนาคม 1936
เมื่อบุกเข้าไรน์แลนด์ทั้งที่ไม่มีสิทธิและฝ่ายสัมพันธมิตรกลับวางเฉย
ไม่ได้ออกมาต่อต้าน ผลที่เกิดขึ้นมานี้ทำให้มสุ โสลินีแห่งอิตาลีเริ่มมองว่า
ฝ่ายสัมพันธมิตรอ่อนแอโดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส มุสโสลินีเริ่มหัน
มาหาและสร้างสัมพันธ์กับฮิตเลอร์ โดยทั้งสองฝ่ายได้เริ่มสถาปนาแกนร่วม
อักษะ โรม-เบอร์ลิน ขึ้นมาเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1936 ไม่เพียงเท่านั้นใน
เวลาต่อมาฮิตเลอร์ ก็ได้ไปลงนามในสนธิสัญญาเยอรมนี-ญี่ปุ่น ในวันที่
25 พฤศจิกายน 1936 อีก แม้กติกาที่กำหนดไว้คือให้ความร่วมมือในการ
ต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่แท้จริงก็คือการขยายแนวร่วมอักษะโรม-เบอร์ลิน
นั้นเอง
สงครามกลางเมืองสเปน
สงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War) เป็นการรบใน
ประเทศสเปน ที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายต่อต้าน
313/665
1931 รัฐบาลของสาธารณรัฐสเปนมาจากพวกหัวซ้ายและพวกสายกลาง
และกฎหมายปฏิรูปหลายฉบับก็ถูกผ่านออกมา อย่างเช่น กฎหมายว่าด้วย
การแบ่งปันที่ดินแห่งปี 1932 ซึ่งเป็นการแจกจ่ายดินแดนให้กับชาวนาที่
ยากจน ชาวสเปนกว่าล้านคนมีชีวิตอยูใ่ นสภาพถูกปกครองจากเจ้าของ
ที่ดินในลักษณะของกึ่งศักดินา การปฏิรูปหลายอย่างและการห้ามศาสนา
เข้ามามีส่วนทางการเมือง รวมทั้งการตัดกำลังทางทหารและการปฏิรูป ทำ
ให้เกิดการต่อต้านอย่างหนัก
ย้อนกลับมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1931 สเปนได้มกี ารประกาศใช้รัฐ
ธรรม- นูญฉบับใหม่ โดยมีเนื้อหาส่วนใหญ่กล่าวถึงเสรีภาพและการ
แสดงความคิดเห็น ของประชาชน แต่ว่ามีการกีดกันพวกคาทอลิกอย่าง
รุนแรง ซึ่งเป็น กลุ่มทีค่ ัดค้าน ต่อการก่อตั้งรัฐประชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่
รัฐธรรมนูญดังกล่าว ยังจัดให้ประ ชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้ง และการแบ่งแยก
ศาสนาออกจากการ เมืองอย่างสมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับ
มอบอำนาจให้แก่รัฐบาลในการแทรกแซงกิจการของศาสนาได้ รวมไปถึง
การห้ามมีการสอนศาสนาในโรงเรียนเอกชน การริบทรัพย์สินบางประการ
ของคริสตจักร และการสั่งยุติลัทธิเยซูอิต โดยสรุปก็คือรัฐบาลสเปนที่มา
จากการปฏิวัติแห่งปี 1931 เป็นรัฐบาล ที่ต่อต้านศาสนาอย่าง จริงจัง
315/665
ไม่เพียงแต่จะมีการสนับสนุนการก่อตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมาเท่านั้น แต่การ
ทำให้ เกิดการแบ่งแยกระหว่างการ เมืองกับศาสนาทำให้มกี ารต่อ ต้าน
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1933 สมเด็จพระ
สันตะปาปาปิอุส ที่ 11 ได้ติเตียนการกีดกันเสรีภาพของรัฐบาลสเปน และ
316/665
การยึดทรัพย์สินของคริสต-จักรและโรงเรียนสอนศาสนาต่างๆ ผ่านทาง
จดหมายที่ท่านส่งมา
ตั้งแต่พวกหัวซ้ายจัดได้พิจารณาแล้วเห็นว่าทิศทาง ของการต่อต้าน
ศาสนาตามรัฐธรรมนูญนั้นกลายเป็นเรื่อง ทีไ่ ม่อาจยอมรับได้อีกต่อไป จึง
มีผใู้ ห้ความเห็นออกมาว่า “สาธารณรัฐในฐานะของรัฐภายใต้รัฐธรรมนูญ
นั้นถึงคราวล่มสลายมาตั้งแต่เริ่มแรก” พวกเขา ยังบอกอีกด้วยว่าการ
เผชิญหน้ากันในฐานะคู่ปฏิปักษ์กันจะนำไปสู่สาเหตุที่นำ ไปสู่การล้มสลาย
ของระบอบประชาธิปไตยและการปะทุของสงครามกลางเมือง
ผู้ที่เข้าร่วมทั้งในการรบและตำแหน่งที่ปรึกษาในสงครามกลางเมือง
สเปน จำนวนมากนั้นไม่ใช่พลเมืองชาวสเปน รัฐบาลต่างชาติจำนวนมากได้
ให้การสนับสนุนทางการเงินและการทหารจำนวนมากให้แก่จอมทัพ ฟราน
ซิสโก ฟรังโก ส่วนฝ่ายที่อยู่ข้างเดียวกับสาธารณรัฐสเปนที่ 2 กลับได้รับ
การสนับสนุนเพียงเล็ก น้อยและถูกขัดขวางอย่างร้ายแรงจากการสั่งห้าม
ขนส่งอาวุธที่สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสประกาศขึ้น
อย่างไรก็ตาม การประกาศ สั่งห้ามขนส่งอาวุธนั้นก็ไม่ได้ประสบ
ความสำเร็จมากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมา
รับผิดชอบต่อ การทีป่ ล่อยให้เรือสัญชาติฝรั่งเศสขนอาวุธไปให้ฝ่าย
สาธารณรัฐได้ ถึงแม้ว่าอิตาลีจะออกมาเรียกร้องฝรั่งเศส แต่อิตาลีเองก็มี
ส่วนพัวพันต่อฝ่ายชาตินิยมอยู่มาก การกระทำการอย่างลับๆ ของหลาย
317/665
ชาติในทวีปยุโรปได้เป็นสัญญาณ ที่จะนำไปสู่สงครามอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
หนึ่ง
ทั้งสองประเทศฟาสซิสต์ คืออิตาลีภายใต้การนำของเบนิโต มุสโส-
ลินี และนาซีเยอรมนีภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ส่งทหาร
เครื่อง-บิน รถถัง และอาวุธเพื่อทำการสนับสนุนจอมทัพฟรังโก รัฐบาล
อิตาลีได้จัดหา “กองทหารอาสาสมัคร” และเยอรมนีได้ส่ง “กองพันนก
แร้ง” (Legion Condor) โดยอิตาลีได้ส่งทหารไปยังสเปนกว่า 75,000
นาย ส่วนเยอรมนีส่งทหารไป 19,000 นาย
สหภาพโซเวียตได้ให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายสาธารณรัฐด้วยการส่ง
ทรัพยากรมาให้ แต่ไม่เคยปรากฏว่ามีทหารโซเวียตมากกว่า 700 นายใน
สเปน เลย อาสาสมัครชาวโซเวียตมักจะขับเครื่องบินและขับรถถังที่ซื้อมา
จากรัฐบาล สเปน สเปนได้ขอแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือของโซเวียตนี้
ด้วยทองคำสำรองอย่างเป็นทางการของธนาคารแห่งสเปน ซึ่งทำให้ได้รับ
ความช่วยเหลือตอบแทน แต่ทว่าเป็นการขายโก่งราคาของสหภาพโซเวียต
โดยมูลค่าความช่วยเหลือทีไ่ ด้รับมาจากสหภาพโซเวียตคิดเป็น 500 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของมูลค่าทองคำสำรองของสเปนเมื่อ
สงครามเริ่มต้น
สาธารณรัฐเม็กซิโกได้ให้การสนับสนุนรัฐบาลสเปนอย่างเต็มที่ใน
สงครามกลางเมืองครั้งนี้ด้วย เม็กซิโกยังปฏิเสธนโยบายไม่แทรกแซง
กิจการภายในของอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเม็กซิโกก็สามารถจับได้ว่าทั้งสอง
318/665
ก็แอบให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายกบฏเช่นเดียวกัน ตรงกันข้ามกับ
สหรัฐอเมริกา เม็กซิโกมิได้มีความรู้สึกว่าตนวางตัวเป็นกลางระหว่าง
รัฐบาลและสภาทหารนั้นเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ท่าทีของเม็กซิโกทำให้
ฝ่ายรัฐบาลมีความหวังมากขึ้น หลังจากประเทศกลุ่มละตินอเมริกัน
ส่วนใหญ่ทางแถบอเมริกาใต้ซึ่งมีท่าทีเปิดเผยน้อยกว่า แต่ว่าการช่วยเหลือ
ของเม็กซิโกทำได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น เนื่องจากมีการปิดพรมแดน
ฝรั่งเศส-สเปน ทำให้ฝ่ายชาตินิยมสามารถหายุทโธปกรณ์เพิ่มเติมได้ตาม
ปกติ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
อย่างไรก็ตาม เม็กซิโกก็ยังสามารถส่งวัตถุดิบมาสนับสนุนฝ่ายสาธาร
ณ- รัฐได้ รวมไปถึงส่งเครื่องบินอย่างเช่น เบลแลนกา ซีเอช-300 และ
สปาร์ตัน ซูส ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ประจำการอยู่ในกองทัพอากาศเม็กซิโก
ไอร์แลนด์เป็นเพียงประเทศเดียวที่มีอาสาสมัครสนับสนุนฝ่าย
ชาตินิยม มากกว่าฝ่ายสาธารณรัฐ ถึงแม้ว่ารัฐบาลไอร์แลนด์จะประกาศว่า
การที่ผู้ใดมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้จะเป็นการผิดกฎหมายก็ตาม แต่ว่ามี
ชาวไอริชประมาณ 250 คนที่จากบ้านเกิดไปเพื่อรบให้กับฝ่ายสาธารณรัฐ
และพวกเสื้อฟ้าอีกประมาณ 700 คนที่ไปรบให้กับฝ่ายชาตินิยม
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเสื้อฟ้ามาถึงสเปน พวกเขากลับไม่ยอมรบกับ
พวก แบ็คซให้กับฝ่ายชาตินิยม เนื่องจากมองเห็นถึงความเหมือนกัน
ระหว่างการดิ้นรนของพวกเขากับความทะเยอทะยานของพวกแบ็คซ
พวกเขายังเห็นว่าฟรังโกนั้นสู้เพื่อปกป้องลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ มากกว่าจะ
319/665
การผนวกออสเตรีย
เข้ากับเยอรมนี ซึ่งเรียกว่าอันชลุสส์
วันที่ 11 มีนาคม 1938 ฮิตเลอร์ได้บีบบังคับให้ ดร.คูร์ท ฟอน
ชุชนิกก์ นายกรัฐมนตรีออสเตรียลาออก แล้วกองทัพของเยอรมนีกบ็ ุก
ออสเตรียในวัน
321/665
ฮิตเลอร์โบกมือให้ฝูงชนที่สนันสนุนหลังจากนายกฯ ออสเตรียประกาศรวมประเทศเข้ากับเยอรมนี
อย่างเป็นทางการ (Anschluss) เมื่อ 14 มีนาคม 1938
เพื่อให้เราได้มองเห็นภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมานี้ชัดยิ่งขึ้น จำเป็น
ที่จะต้องหันมาดูนโยบายการต่างประเทศของมหาอำนาจประชาธิปไตยกัน
บ้าง
อันที่จริงแล้วปัญหาของความอ่อนแอของบรรดาประเทศมหาอำนาจ
ประชาธิปไตยนั้นมาจากนโยบายที่ขัดแย้งกันเองอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่
ได้มกี ารมาทำความตกลงกันอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อครั้ง
ทีฝ่ รั่งเศสยกทัพ เข้ายึดแคว้นรูห์ ในปี 1923 นั้น อังกฤษไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้เพราะผลที่ติดตามมานั้นก็คือทำให้เยอรมนี มีข้ออ้างที่จะไม่จ่าย
ค่าปฏิกรรมสงคราม
ขณะที่ในเรื่องของการลดอาวุธและกำลังทหารนั้นก็ขัดแย้งกัน
อังกฤษได้ยอมให้เยอรมนีมีกำลังทางเรือ 35% ของกองเรืออังกฤษ ทำให้
ฝรั่งเศสไม่พอใจอย่างมากทั้งนี้เพราะฝรั่งเศสไม่ต้องการให้เยอรมนีมีอาวุธ
และกำลังมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงของสันนิบาตชาติ
นอกจากนั้นนโยบายผ่อนปรนของอังกฤษและฝรั่งเศสต่อประเทศ
มหาอำนาจอักษะก็ดูจะเป็นปัญหา ทั้งนี้เพราะฝรั่งเศสและอังกฤษคิดว่า
หากยอมผ่อนปรนเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วอาจจะนำมาสู่สันติภาพได้ แต่
ความจริงแล้ว ยิ่งผ่อนปรนก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าแท้จริงฝ่ายที่ผ่อนปรน
นั้นไม่มีอำนาจที่แท้จริงแล้ว
นโยบายคัดค้านคอมมิวนิสต์ของฮิตเลอร์ทำให้อังกฤษพอใจ จึง
พยายาม วางตัวเป็นกลางต่อกรณีต่างๆ ที่ฮิตเลอร์ปฏิบัติ
324/665
อังกฤษยังอยากวางตัวเป็นกลางและไม่ต้องการให้สงครามโลกครั้ง
ใหม่ เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะรู้ว่าหากเกิดสงครามใหญ่อีกครั้งครานี้จะหนัก
กว่าครั้งที่ผ่าน มา กระนั้นแม้รู้ว่าเยอรมนีกำลังสั่งสมกำลังทหารและอาวุธ
แต่อังกฤษก็ยังวาง นิ่งเฉยอยู่
วินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีอำนาจพอพยายามเตือนรัฐบาล
อังกฤษให้เตรียมสั่งสมกำลังทหารได้แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีแชมเบอร์เลน
ก็ยังคงรักษานโยบายผ่อนปรนต่อไปเรื่อยๆ ในปี 1938
ฝ่ายฝรั่งเศสนั้น ไม่พอใจต่อนโยบายของพรรคนาซี แต่กไ็ ม่กล้า
ตัดสินใจ ทำอะไรลงไปถ้าอังกฤษไม่ให้ความสนับสนุนด้วย ฮิตเลอร์เข้าใจ
ดีว่าฝรั่งเศส ยังไม่พร้อมที่จะทำสงคราม ทั้งนี้นอกจากอย่างที่กล่าวแล้ว
ฝรั่งเศสยังมีปัญหา เรื่องเสถียรภาพการเมืองภายในที่ขับเคี่ยวกันอย่าง
ต่อเนื่องระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ และขวาจัดคือพรรคฟาสซิสต์ ดังนั้น
เมื่อเยอรมนีเข้ายึดไรน์แลนด์ ในปี 1936 ฝรั่งเศสจึงไม่อาจที่จะทำอะไรได้
มากกว่ายินยอมให้เยอรมนีทำลงไป
สงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดฉากยอมรับกันแท้จริงเมื่อเยอรมนียกทัพ
บุกโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 จำเป็นอย่างยิ่งทีเ่ ราจะต้องย้อน
กลับไปดูถึงสาเหตุของสงครามในครั้งนี้กันก่อน
ชนวนทีน่ ำไปสู่การบุกโจมตีโปแลนด์ คือ ปัญหาเรื่องเมืองดานซิก
และแนวฉนวนโปแลนด์ ซึ่งอดีตนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีมาก่อน แต่ก็
ต้องยอมสูญเสียไปตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เดือนเมษายน 1939 ฮิต
325/665
เลอร์เรียกร้องให้โปแลนด์คืนเมืองดานซิก และยินยอมให้เยอรมนีสร้าง
ถนนและทางรถไฟข้ามฉนวนโปแลนด์ แม้ว่าข้อเรียกร้องของฮิตเลอร์จะมี
น้ำหนัก เพราะพลเมืองส่วนใหญ่ของดานซิกเป็นชาวเยอรมนี แต่กรณีเชค
โกสโลวาเกีย เป็นตัวอย่างทีท่ ำให้ โปแลนด์ไม่ยอมเจรจากับฝ่ายเยอรมนี
ทั้งนี้เพราะกลัวว่าจะเป็นการยินยอมให้เยอรมนียึดครองโปแลนด์ทั้ง
ประเทศอย่างที่เคยทำกับเชคโกสโลวาเกียมาก่อน
โปแลนด์ได้รับการค้ำประกันจากอังกฤษว่าจะช่วยเหลือถ้าหากว่ามี
การ กระทำที่คุกคามต่ออิสรภาพของโปแลนด์ ดังนั้นจึงมีความเชื่อมั่นและ
กล้าแข็งขืนต่อข้อเรียกร้องของฮิตเลอร์
กระนั้นอีกด้านหนึ่งฮิตเลอร์ได้ลงนามในสนธิสัญญากับรัสเซียเมื่อ
วันที่24 สิงหาคม 1939 เรื่องการไม่รุกรานกันรวมไปถึงการตกลงแบ่ง
ดินแดนในโปแลนด์ ก็ยิ่งทำให้ฮิตเลอร์เชื่อมั่นว่าหากเข้าโจมตีโปแลนด์ได้
อังกฤษและฝรั่งเศสจะไม่กล้าเข้าแทรกแซง
ดังนั้นเมื่อโปแลนด์ปฏิเสธข้อเรียกร้องเยอรมนีจึงยกทัพบุกโปแลนด์
ทันที 1 กันยายน 1939 อังกฤษยื่นคำขาดให้เยอรมนีออกจากโปแลนด์
โดยมีเส้นตาย กำหนดคือเวลา 11.00 น. ของวันที่ 3 กันยายน ปรากฏว่า
เยอรมนีไม่ยอมถอน ทัพตามกำหนด ดังนั้นอังกฤษจึงต้อง
ประกาศสงครามกับเยอรมนี และหลังจาก นั้นไม่นานเมื่ออังกฤษ
ประกาศสงครามแล้วฝรั่งเศสก็ประกาศสงครามติดตามมา นับเป็นการ
เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ---
6
ความสัมพันธ์ก่อนสงครามจะระเบิด
ขึ้น
นับเป็นประเด็นที่ต้องมาทำความเข้าใจกันอีกสักนิด ในกรณีของ
ความสัมพันธ์ในระหว่างบรรดาประเทศมหาอำนาจของยุโรปและบางชาติ
ที่เข้าร่วม ในสงครามในครั้งนี้
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในกลุ่มอักษะ ที่ในระยะแรกนั้นมีเยอรมนี
และอิตาลีเป็นประเทศหลัก ต่อมาก็มีญี่ปุ่น และช่วงแรกเริ่มของสงครามก็
ยังมีโซเวียตอยู่ด้วย
ขณะที่ฝ่ายมหาอำนาจประชาธิปไตยนั้นแท้จริงแล้วมีเพียงประเทศ
หลัก อยู่เพียง 2 ชาติ นั้นก็คือ อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งก็คือกลุ่ม
สัมพันธมิตรเดิมจาก สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นเอง แต่ในเวลาต่อมาเมื่อ
รัสเซียเกิดปัญหากับเยอรมนี ก็ได้ประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร
327/665
และต่อมาอีกอเมริกาก็กระโดดเข้ามาร่วมในการทำสงครามในครั้งนี้ด้วย
จนกระทั่งฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถเอาชนะในสงครามครั้งนี้ได้
ความสัมพันธ์ของฝ่ายอักษะ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา บรรดาการปกครองในประเทศ
ต่างๆ ของมหาอำนาจตะวันตกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือหลังจากที่
รัสเซียเกิดการปฏิวัติและเปลี่ยนมาเป็นประเทศที่ปกครองภายใต้พรรค
คอมมิวนิสต์ขึ้น บรรดาชาติต่างๆ ในยุโรปเกิดความเกรงกลัวว่า ลัทธิ
คอมมิวนิสต์จะแพร่หลาย เข้าไปเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศของ
ตัวเอง ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศส ในฐานะประเทศประชาธิปไตยต้องตั้งมั่น
และประกาศตัวเป็นมหาอำนาจประชาธิปไตยขึ้นมา
กระนั้น ด้วยภาวะของความตกต่ำทางเศรษฐกิจที่เกิดกระจายตัวกัน
ทั่วทุกประเทศในแถบ ยุโรปเวลานั้น ทำให้แต่ละชาติจำเป็นที่จะต้องหันเข้า
มาหาตัวเองและต้องใช้ทุกวิธีทางในการ รักษาเสถียรภาพทางการเมืองการ
ปกครองและเศรษฐกิจของชาติให้อยู่รอดให้ได้
เยอรมนี คือชาติแรก ที่ต้องจัดการกับตัวเองให้เข้มแข็งให้มากที่สุด
ทั้งนี้เพราะนอกเหนือจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลกแล้วเยอรมนีก็ได้รับ
ผล กระทบอย่างมากจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซายส์ทที่ ำให้เยอรมนีต้อง
มีค่าใช้จ่าย และ สูญเสียแผ่นดินอีกหลายส่วนไป
ประชาชนชาวเยอรมนีที่ไม่พอใจการบีบคั้นของชาติชนะสงครามต่าง
พยายามและหาทางป้องกันตัวเองด้วยการแสดงความรักชาติมากยิ่งขึ้น
328/665
กระทั่งสุดท้ายทำให้เกิดกลุ่มเผด็จการฝ่ายขวาชาตินิยมในนามพรรคนาซี
ขึ้นมา ซึ่งนำโดยฮิตเลอร์
แต่ถึงอย่างไร แม้ว่าเยอรมนีจะใช้ความพยายามทุกวิธที างแต่ด้วย
ความ เป็นผูป้ ราชัยในสงครามครั้งยิ่งใหญ่ทำให้เยอรมนียังกลายเป็น
ประเทศโดดเดี่ยวด้านความสัมพันธ์อยู่นั่นเอง การเกิดผู้นำเผด็จการขึ้นมา
ในประเทศมีข้อดี อย่างหนึ่งนั้นคือผู้นำสามารถมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จใน
การที่จะนำพาประเทศ ชาติเพื่อก้าวไปให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ
แน่นอนที่สุดว่า เมื่อระบอบเผด็จการฝ่ายขวาเกิดขึ้นย่อมมีความคิด
แตกต่างจากเผด็จการฝ่ายซ้ายอย่างโลกคอมมิวนิสต์ ดังนั้นในระยะแรก
เยอรมนีโดยการนำของฮิตเลอร์จึงประกาศการต่อต้านคอมมิวนิสต์กับชาติ
อื่นๆ ด้วย
ขณะทีใ่ นอิตาลี ซึ่งในอดีตนั้นก็เป็นหนึ่งในประเทศสัมพันธมิตรที่
ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 มา แต่ก็ยังต้องประสบปัญหาจากภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำ ด้วย เมื่อมุสโสลินีก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของอิตาลี มุสโสลินี
เป็นหัวหน้าพรรคฟาสซิสต์ ซึ่งก็คือพรรคเผด็จการฝ่ายขวาของอิตาลี ใน
ระยะแรกอิตาลีกย็ ังไม่ได้สนใจเยอรมนีมากนัก ทั้งนี้เพราะถึงอย่างไรก็ยัง
จับมือกันเหนียวแน่นกับบรรดาประเทศประชาธิปไตยอยู่
329/665
แต่ภายหลังจากที่อังกฤษและฝรั่งเศสต้องยินยอมผ่อนปรนต่อ
เยอรมนีในหลายกรณี อีกทั้งเมื่ออิตาลีมีความต้องการที่จะเข้ายึดเอธิโอ
เปียในเดือนตุลาคม 1935 เอธิโอเปียเป็นประเทศเอกราชประเทศสุดท้าย
ของแอฟริกามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะวัตถุดิบด้านต่างๆ ทำให้
อิตาลีมีความต้องการที่จะเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในประเทศนั้น มุสโสลินี
ไม่สนใจคำคัดค้านจากองค์การสันนิบาตชาติที่ลงโทษอิตาลีว่าเป็นผู้รุกราน
อีกทั้งเมื่อมีการลงโทษอิตาลีทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ก็ยิ่งเหมือน
เป็นการบีบอิตาลีมากยิ่งขึ้นแม้สุดท้ายแล้วอังกฤษจะยกกองทัพเรือเข้าสู่
330/665
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อขู่ขวัญแต่อิตาลีก็ไม่สนใจยังคงเข้ายึดเอธิโอเปีย
จนสำเร็จ
ประจวบกับในปี 1936 เยอรมนียกทัพเข้ายึดเขตไรน์แลนด์ โดยที่
อังกฤษ และฝรั่งเศสไม่อาจทำอะไรได้ อิตาลีกย็ ิ่งเห็นถึงความอ่อนแอของ
ฝ่ายมหา อำนาจประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น พร้อมกันก็เห็นถึงความเติบโต
และอำนาจของฮิตเลอร์มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นอิตาลีจึงเริ่มหันเข้าหา
เยอรมนี โดยสุดท้ายมีการเปิดเจรจาและได้ร่วมลงนามในการสถาปนา
แกนร่วมโรม-เบอร์ลิน (Rome-Berlin Axis) ขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม
1936 นั้นเอง นับเป็นการจับมือของประเทศเผด็จการฝ่ายขวาขึ้นอย่าง
ชัดเจนและมั่นคง เป็นการรวมกลุ่มทาง การเมืองที่ประกาศต่อต้าน
ประชาธิปไตยนั่นเอง
เมื่อสงครามเอธิโอเปียสิ้นสุดลง สงครามกลางเมืองในสเปนก็เกิดขึ้น
กลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาทีม่ ีนายพลฟรังโกเป็นผู้นำ เข้ายึดการปกครองจาก
รัฐบาลฝ่ายซ้ายซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์ สงคราม
รุนแรงมากขึ้น พรรคนาซีของเยอรมนีและพรรคฟาสซิสต์ของอิตาลี ได้ส่ง
กำลังทหารและอาวุธเข้าช่วยเหลือนายพลฟรังโกทำการปฏิวัติ เช่นกัน
รัสเซียก็ได้เข้าช่วยเหลือรัฐบาลของสาธารณรัฐสเปน แต่ปรากฏว่ากลุ่ม
ประเทศมหาอำนาจตะวันตกหรือมหาอำนาจประชาธิปไตยกลับวางตัวเป็น
กลาง
331/665
สงครามโลก2 เริ่มต้นที่โปแลนด์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่สามารถกำหนดจุดเริ่มต้นอย่างชี้ชัด
แน่นอนได้ นักประวัติศาสตร์จึงเลือกหลายช่วงเวลาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ
สงครามโลกครั้งนี้แตกต่างกันไปตามแนวคิดของตน ซึ่งได้แก่ เหตุการณ์
ญี่ปุ่นรุกรานแมนจูเรีย ในปี 1931 อิตาลีรุกรานเอธิโอเปีย ในปี 1935
สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในปี 1937 เยอรมนีรุกรานโปแลนด์ ในปี
1939 ญี่ปุ่นโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ในปี 1941 และเยอรมนีรุกราน
สหภาพโซเวียต ในปี 1941 และยังมีนักเขียนบางท่านทีใ่ ห้ความเห็นว่า
สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะเกิดขึ้นทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะยุติ
ลงในปี 1918
ผู้เข้าร่วมสงครามแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายสัมพันธมิตรเดิม
ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียต
335/665
สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นกลายเป็นว่าเป็นการรบระหว่างสองแนวคิด
พื้นฐานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายหนึ่งคือ ฝ่ายทีต่ ้องการจะ
เปลี่ยนแปลง โลกใหม่ และอีกฝ่ายที่พยายามจะรักษาแนวทางเดิมของโลก
เอาไว้
สงครามเริ่มแล้ว
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิเยอรมันซึ่งเป็นฝ่ายแพ้
สงคราม ได้ถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เป็นผลให้
จักรวรรดิเยอรมันล่มสลาย และกลายมาเป็น “สาธารณรัฐไวมาร์” ผลจาก
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมนีต้องจำกัดขนาดกองทัพและการขยาย
อาณาเขตของตน ทั้งยังต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนมหาศาล
ส่วนในรัสเซียนั้น ได้เกิดสงคราม กลางเมืองขึ้น จนนำไปสูก่ าร
เปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ในนามประเทศ
สหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมาไม่นานประเทศนีก้ ็อยูภ่ ายใต้การปกครองของโจ
เซฟ สตาลิน ที่ประเทศอิตาลี เบนิโต มุสโสลินีได้ยึดอำนาจปกครอง
ประเทศแล้วตั้งตนเป็นผู้เผด็จการฟาสซิสต์ พร้อมให้คำสัญญาต่อ
ประชาชนว่าจะสร้างจักรวรรดิโรมันใหม่ นอกจากสองประเทศเหล่านี้แล้ว
ก็ยัง ก่อให้เกิดแนวคิดเผด็จการขึ้นในหลายประเทศ และการล่มสลายของ
สถาบันกษัตริย์
ด้านประเทศจีน รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งได้เริ่มแผนการรวมชาติ เพื่อ
ต่อต้านเหล่าขุนศึกก๊กต่างๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระในช่วงกลางทศวรรษ 1920
337/665
แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลจีนกลับต้องเข้าไปพัวพันกับ
สงครามกลางเมืองเพื่อต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเป็นพันธมิตรเก่า
ขณะทีใ่ นปี 1931 จักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในจีน ได้เพิ่ม
กำลังทหารในจีนอย่างขนานใหญ่ เพื่อเป็นแผนการขั้นแรกในการเข้า
ปกครองทั้งทวีปเอเชีย โดยใช้กรณีมุกเดนเป็นสาเหตุในการรุกรานแมน
จูเรีย หลังจากนั้นทั้งสองชาติเกิดการรบขนาดย่อยขึ้น หลายครั้ง
จนกระทั่งถึงการพักรบตางกู ในปี 1933
กลางปี 1937 ตามข้อตกลงหยุดยิงที่สะพานมาร์โคโปโล ญี่ปุ่นเริ่ม
การรุกรานจีนอย่างเต็มตัว สหภาพโซเวียตได้รีบให้ความช่วยเหลือแก่จีน
เพื่อยุติความร่วมมือกับเยอรมนีทมี่ ีอยู่ก่อนหน้า กองทัพญี่ปุ่นได้ผลักดัน
กองทัพจีนให้ล่าถอย โดยเริ่มจากทีเ่ มืองเซี่ยงไฮ้ และสามารถยึดนานกิง
อันเป็นเมืองหลวงในขณะนั้นได้ในเดือนธันวาคม ถึงเดือนมิถุนายน 1938
กองทัพจีนสามารถยับยั้งการรุกคืบของกองทัพญี่ปุ่นได้จากเหตุอุทกภัยที่
แม่น้ำฮวงโห ในช่วงเวลานี้พวกเขาก็ได้เตรียมการป้องกันที่เมืองอู่ฮั่น แต่ก็
ยังถูกตีแตกในเดือนตุลาคม
ระหว่างนั้น กองทัพญี่ปุ่นและกองทัพสหภาพโซเวียตได้มกี ารปะทะ
กันประปรายที่ทะเลสาบคาซานในช่วงเดือนพฤษภาคม 1939 ต่อมาจึง
บานปลาย เป็นสงครามตามแนวชายแดนที่ร้ายแรง และยุตลิ งโดยไม่เกิด
การเปลี่ยนแปลง ดินแดนใดๆ
338/665
เรียกว่าสงครามในเอเชียเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ในยุโรปยังไม่เริ่มกระสุน
นัดแรก ดังนั้นจึงไม่ยอมรับกันว่านี่เป็นสงครามโลก ครั้งที่ 2
สงครามนานกิง ธันวาคม 1937-มิถุนายน 1938
แม้สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับญี่ปุ่นตั้งแต่การเข้ายึดเซี่ยงไฮ้
กระทั่งถึงการเข้าครอบครอนานกิง จะไม่ถูกนักประวัติศาสตร์นับว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของสงครามโลก กระนั้นสงครามที่เกิดขึ้นในนานกิงก็ปฏิเสธไม่
ได้เช่นกันว่า มันคือ ความปวดร้าวหนึ่งของสงครามและอันที่จริงแล้วมันก็
เป็นจุดด่างหนึ่งของสงครามโลกในครั้งนี้นั่นเอง
กรณีนานกิง นี้บางแหล่งเรียกว่า “การสังหารหมู่ที่นานกิง” (Nank-
ing Massacre) หรือรู้จักกันในนาม “การข่มขืนที่นานกิง” เป็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ทหารกองทัพจักพรรดิญี่ปุ่นเข้าบุกยึด
เมืองนานกิงไว้ได้ในวันที่ 13 ธันวาคม 1937 ในยุทธการนานกิง เป็น
ส่วนหนึ่งในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 และต่อมาก็คือส่วนหนึ่งของ
สงครามโลกครั้งที่ 2
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทหารกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่นได้ทำการ
ทารุณกรรมแก่เชลยสงคราม สังหารพลเรือน โดยการทารุณกรรมต่างๆ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “การข่มขืน” พลเรือนหญิงจำนวน
20,000-80,000 คน ซึ่งเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้นเพื่อให้สามารถ
มองเห็นความโหดร้ายของสงครามที่เกิดขึ้นมาเราจำเป็นต้องกลับไปดูการ
สงครามในครั้งนี้กันก่อน
339/665
ปลายเดือนพฤศจิกายน ทหารญี่ปุ่นสามกองทัพดาหน้าเข้าหานานกิง
ทัพหนึ่งมุ่งตะวันตกทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำแยงซี ทหารกองนี้เข้ามาทาง
แม่น้ำ ไป๋เหมา ซึ่งอยูท่ างตะวันตกเฉียงเหนือของเซี่ยงไฮ้ โดยเดินทัพมา
ทางรถไฟสายนานกิง-เซี่ยงไฮ้
ทัพทีส่ อง เตรียมตัวบุกจู่โจมนานกิงทั้งทางน้ำและทางบกอยูท่ ี่
ทะเลสาบ อ้ายหู ทัพนีเ้ คลื่อนจากเซี่ยงไฮ้ลงมาทางตะวันตก และเดินทัพ
อยูท่ างทิศใต้ของทัพของนาคาจิมา โดยผู้นำทัพนี้คือ พลเอกมัตสึอิ อิวา
เนะ
ทัพทีส่ ามภายใต้การนำของพลโทยานากาวา ไฮสุเขะ เดินห่างจากทัพ
ของพลเอกมัตสึอิลงไปทางใต้และหักเลี้ยวเข้าหานานกิงจากทาง
ตะวันตกเฉียงเหนือ
ก่อนที่จะบุกถึงนานกิงนั้นทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองซูโจวและฆ่า
ทุกคนที่พบ การบุกเข้าเมืองซูโจวครั้งนีท้ ำให้จำนวนประชากรลดลงจาก
350,000 คนลงเหลือไม่ถึง 500 ชีวิต
จนถึงรุ่งสางของวันที่ 13 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นสามารถบุกผ่าน
ประตูเมืองนานกิงเข้ามาได้
หลังจากทีก่ องทัพญี่ปุ่นบุกเข้านานกิงได้เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการเข้า
ปลด อาวุธทหารจีนทีย่ อมแพ้และยอมตกเป็นเชลย โดยมีคำสั่งต่อทหาร
ญี่ปุ่นว่าให้กำจัดคนจีนและเชลยทุกคนที่จับได้ และจากที่ประชุมตกลงว่า
จะทำการแบ่งเชลยออกเป็นจำนวนเท่าๆ กัน และจะถูกนำออกมาจากที่
340/665
เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นไม่สามารถหาอาหารมาให้แก่เชลยศึกอย่าง
เพียง พอได้ จึงคิดทำการสังหารเชลยศึกเสีย แต่กฎหมายระหว่างประเทศ
ในขณะนั้นได้ให้การคุ้มครองแก่เชลยศึกอยู่ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ จึงได้มี
รับสั่งแก่ทหารทุกนายให้ยกเลิกการใช้คำว่า เชลยศึก กับชาวจีนที่ถูกจับได้
และนำเชลยศึกเหล่านั้นไปทำการสังหารที่บริเวณแม่น้ำแยงซี การสังหาร
เชลยศึกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม (ซึ่งถูกเรียกว่า String
Gorge Massacre) ทหารญี่ปุ่น ใช้เวลาในช่วงเช้าเพื่อมัดเชลยศึก
เหล่านั้นเข้าด้วยกันเป็นจำนวนหลายแถว และเปิดฉากยิงใส่ด้วยปืนกล
เชลยศึกทีถ่ ูกมัดอยู่ไม่สามารถหนีได้ ทำได้เพียงกรีดร้องเท่านั้น เชลยศึก
ราว 57,500 คนถูกสังหาร
342/665
เรียกว่าความเจ็บปวดในครั้งนี้ของชนชาวจีนไม่อาจลืมเลือนได้ และ
แม้จะสามารถยึดเมืองหลวงของจีนได้สำเร็จแต่ก็ใช่ว่าสงครามจะสิ้นสุดลง
แล้ว กลับกันสงครามทางภาคพื้นตะวันออกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ต่อจากนั้นกองทัพ ญี่ปุ่นยังคขยายออกไปทั่วแผ่นดินจีนอย่างต่อเนื่อง ถึง
เดือนมิถุนายน 1938 กองทัพจีนสามารถยับยั้งการรุกคืบของกองทัพญี่ปุ่น
ได้จากเหตุอุทกภัยที่แม่น้ำ ฮวงโห ในช่วงเวลานีพ้ วกเขาก็ได้เตรียมการ
ป้องกันที่เมืองอู่ฮั่น แต่ก็ยังถูกตีแตกในเดือนตุลาคม
อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วเช่นกัน การที่ญี่ปุ่นยกทัพยึดแมนจูกัว
ก่อนหน้านั้น ใช่เพียงแค่ต้องทำสงครามเพียงกับจีนเท่านั้น แต่ต้อง
กระทบกระทั่งกับโซเวียตที่มีชายแดนติดกันอยู่ด้วย รปะทะกันระหว่าง
ทหารญีป่ ุนกับทหารโซเวียต ตามแนวขายแดนแม้ระยะแรกจะเป็นเพียง
การยิงกันเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดท้ายก็นำมาสู่สงครามที่สำคัญและร้ายแรง
โดยเริ่มตั้งแต่ยุทธการที่ทะเลสาบคาซาน
ยุทธการทะเลสาบคาซาน
ยุทธการทะเลสาบคาซาน (Battle of Lake Khasan) หรือ
เหตุการณ์ชางกูเฟิง ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่าง แมนจูกัว ซึ่ง
เป็นดินแดนยึดครองของจักรวรรดิญี่ปุ่นได้รุกล้ำอาณาเขตเข้าไปยังดินแดน
ของสหภาพโซเวียตการรุกล้ำอาณาเขตดังกล่าวนั้นเกิดจากความเชื่อของ
ฝ่าย ญี่ปุ่นที่ว่าสหภาพโซเวียตตีความตามสนธิสัญญาปักกิ่งผิดไป ซึ่งเป็น
สนธิสัญญาทีไ่ ด้รับการลงนามมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิรัสเซีย และประเทศ
345/665
ด้วยความแคลงใจในเจตนาและความสามารถของสหภาพโซเวียต
และเพราะระบบความมั่นคงโดยรวมของทวีปยุโรปถูกบั่นทอน โดย
ข้อตกลงมิวนิคและเหตุการณ์หลายๆ อย่าง สหภาพโซเวียตเกรงว่า
สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสไม่ปรารถนาที่จะให้ความร่วมมือทางการ
ทหารแก่ตน และวิตกว่าอาจจะ เกิดสงครามระหว่างเยอรมนีกับ
สหภาพโซเวียต โดยทีฝ่ ่ายสัมพันธมิตรอาจเอนเอียงเข้ากับฮิตเลอร์ เป็น
การทำให้สหภาพโซเวียตต้องทำสนธิสัญญาไม่รุกรานระหว่างนาซี-โซเวียต
ซึ่งทำให้ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ตกตะลึง รวมไป ถึงข้อตกลงลับระหว่าง
ทั้งสอง ที่จะแบ่งกันครอบครองโปแลนด์ และกลุ่มประเทศ ใน
ยุโรปตะวันออก
กลับมาทางด้านตะวันออกอีกครั้ง ต้นเดือนกันยายน 1938 กองทัพ
โซเวียตตีกองทัพญี่ปุ่นแตกพ่าย ส่วนกองทัพเยอรมันก็เริ่มการรุกราน
โปแลนด์
ด้วยคำมั่นสัญญาที่มีกับโปแลนด์ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส อังกฤษ และ
บรรดา ประเทศในเครือจักรภพ จึงประกาศสงครามกับเยอรมนี แต่ก็ได้
ให้ความช่วยเหลือโปแลนด์เพียงแค่การส่งกองทหารฝรั่งเศสขนาดเล็กเข้า
ไปปฏิบัติการในซาร์แลนด์เท่านั้น
เยอรมนีเริ่มบุกโจมตีโปแลนด์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 และ
สามารถรุกคืบไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าโปแลนด์จะต่อสู้อย่างทรหด แต่กไ็ ม่
สามารถต้านทานการรุกรานแบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) คือเยอรมันใช้
349/665
ปฏิบัติการทางอากาศควบคู่กับการใช้ขบวนยานเกราะที่ติดตามด้วย
กองกำลังเครื่อนที่เร็วยกทะลวงเข้าโจมตี
กลางเดือนกันยายน หลังจากทำสัญญาสงบศึกชั่วคราวกับญี่ปุ่นแล้ว
สหภาพโซเวียตจึงเริ่มแผนการรุกรานโปแลนด์ของตนเอง และประสบ
ความสำเร็จ ถึงต้นเดือนตุลาคม โปแลนด์จึงถูกแบ่งเป็นเขตยึดครองของ
ทั้งเยอรมนีและสหภาพโซเวียต
กรณีการยกทัพเข้ายึดโปแลนด์ของเยอรมนีในเดือนกันยายน 1939
นั้นนับกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นหรือเริ่มแรกของสงครามโลกที่แท้จริง ดังนั้น
เพื่อความเข้าใจเราต้องกลับไปดูการสงครามในครั้งนั้นกัน
การรุกรานโปแลนด์ของเยอรมนี กันยายน 1939
การรุกรานโปแลนด์ หรืออาจเป็นทีร่ ู้จักกันว่า “การทัพเดือน
กันยายน” แต่ในทัศนะของชาวโปแลนด์กลับเรียกสงครามครั้งนีว้ ่า
“สงครามป้องกันมาตุภูมิปี 1939”
การรุกรานโปแลนด์เป็นแผนการโจมตีของนาซีเยอรมนี
สหภาพโซเวียต และสโลวาเกีย ต่อโปแลนด์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นจุดเริ่มต้น
ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 กันยายน หนึ่งสัปดาห์หลังการ
ลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม
1939 เมื่อเยอรมนีและสหภาพโซเวียตแบ่งแยกและปกครองโปแลนด์
ทั้งหมด
350/665
เบื้องหลังของเหตุการณ์ในครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างแน่นอน เริ่มจาก
พรรคนาซีนำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนีเมื่อปี
1933 เยอรมนีก็ได้มีนโยบายในการขึ้นครองความเป็นประมุขในทวีปยุโรป
เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ในระยะยาว ในช่วงแรก ฮิตเลอร์ได้ใช้
นโยบาย ทอดไมตรีกับโปแลนด์ และนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาไม่
รุกรานกันระหว่างเยอรมัน-โปแลนด์ เมื่อปี 1934
เยอรมนีพยายามโน้มน้าวให้โปแลนด์ยอมเข้าร่วมกับสนธิสัญญา
ต่อต้าน องค์การคอมมิวนิสต์สากล เพื่อร่วมมือกันต่อต้านสหภาพโซเวียต
โดยที่เยอรมนีมีเป้าหมายจะครอบครองดินแดนของสหภาพโซเวียต ทั้งนี้
โปแลนด์จะได้รับปันดินแดนบางส่วนทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
แต่ชาวโปแลนด์ล้วนทราบดีว่าประเทศของตนจะต้องตกอยู่ใต้อำนาจ
ของเยอรมนีหากยอมทำตามเช่นนั้น และเอกราชของโปแลนด์กถ็ ูกคุกคาม
ด้วย นอกเหนือจากความต้องการในดินแดนของสหภาพโซเวียต พรรคนา
ซียังตั้งใจที่จะสร้างแนวชายแดนใหม่ขึ้นกับโปแลนด์ เนื่องจากฝ่าย
พันธมิตรได้ฉีกเอาแคว้นปรัสเซียตะวันออกออกไปตั้งแต่ครั้งหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 (เป็นส่วนที่เรียกว่า “ฉนวนโปแลนด์”) ชาวเยอรมัน
ส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะรวมนคร เสรีดานซิกกลับเข้าสู่แผ่นดิน
เยอรมนี แม้ว่านครดานซิกจะมีชาวเยอรมันอาศัย อยูม่ าแต่เดิมนับตั้งแต่
คริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่เนื่องจากเป็นดินแดนทางออกทะเลที่ค่อนข้างยาว
ทำให้เป็นข้อขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับโปแลนด์มาโดยตลอด โปแลนด์ได้
351/665
รับดินแดนดังกล่าวไปครอบครองหลังจากผลของสนธิสัญญา แวร์ซายส์
เนื่องจากดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครองของปรัสเซียซึ่งเยอรมนีมี
ความต้องการเรียกร้องดินแดนกลับคืน ฮิตเลอร์ได้ใช้สาเหตุดังกล่าวใน
การปลุกระดมลัทธิชาตินิยมภายในประเทศเยอรมนี โดยให้สัญญาแก่
ประชาชน ว่าตนจะปลดปล่อยชนกลุ่มน้อยชาวเยอรมันทีย่ ังหลงเหลืออยู่
ในดินแดนดังกล่าวให้กลับคืนสู่เยอรมนี
ครานี้กลับมามองอีกด้านหนึ่ง คือสหภาพโซเวียตนั้นนับแต่ปลาย
ทศวรรษ 1930 สหภาพโซเวียตพยายามที่จะสร้างพันธมิตรต่อต้าน
เยอรมนีกับสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และโปแลนด์ ปรากฏว่าการเจรจา
ต่างๆ ประสบกับความยากลำบาก สหภาพโซเวียตยืนยันกับมหาอำนาจ
ยุโรปในสมัยนั้นว่าเขตอิทธิพลของตนลากจากฟินแลนด์ไปจนถึงโรมาเนีย
และต้องการความช่วยเหลือทางทหารนอกจากประเทศที่ถูกโจมตีโดยตรง
แล้ว แต่ยังรวมถึงทุกประเทศที่โจมตีประเทศในเขตอิทธิพลนี้ด้วย
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเจรจากับฝรั่งเศสและอังกฤษ ความ
ต้องการ ของสหภาพโซเวียตในการยึดครองรัฐบอลติก (ลัตเวีย เอสโต
เนีย และลิทัวเนีย) ก็ได้ปรากฏให้เห็นออกมาอย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้
ฟินแลนด์ ยังถูกรวมไปอยูใ่ นเขตอิทธิพลของโซเวียตเช่นเดียวกัน และ
ท้ายที่สุด สหภาพโซเวียตยังได้ต้องการสิทธิที่จะส่งกองทัพเข้าไปยัง
โปแลนด์ โรมาเนีย และรัฐบอลติก เมื่อสหภาพโซเวียตรู้สึกว่าความมั่นคง
ของตนถูกคุกคาม ทำให้รัฐบาลของประเทศ ต่างๆ ปฏิเสธข้อเสนอนั้น
352/665
สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นการเพิ่มพื้นที่ป้องกันเพิ่มเติมทางด้าน
ตะวันตก นอกจากนั้น ยังได้เป็นการเพิ่มเติมดินแดนซึ่งเคยถูกผนวกเข้า
กับโปแลนด์เมื่อยี่สิบปีก่อนคืน และเป็นการรวมประชากรชาวยูเครน
ตะวันตก ชาวยูเครนตะวันออกและชาวเบลารุสเข้าด้วยกันภายใต้รัฐบาล
โซเวียต ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่ประชากรดังกล่าวนี้อาศัยอยูภ่ ายในรัฐ
เดียวกัน ผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน มองเห็นประโยชน์จากการทำ
354/665
แต่ว่ากลับไม่ได้ให้คำรับรองว่าจะช่วยเหลือด้วยการส่งกำลังทหารเข้าไป
เพิ่มเติมในการป้องกันโปแลนด์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เนวิลล์
แชมเบอร์เลน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลอร์ด ฮา
ลิแฟกซ์ ยังคงหวังว่าเยอรมนีจะยอมทิ้งแผนการเพื่อยึดครองนครดานซิก
เสีย เขาและผู้สนับสนุนของเขายังคงเชื่อว่าสงครามนั้นอาจจะหลีกเลี่ยงได้
และหวังว่าเยอรมนีจะยอมผ่อนปรนในประเด็นปัญหาเรื่องดังกล่าว
ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียด เยอรมนีได้เปลี่ยนท่าทีของตนเป็น
แข็งกร้าว เมื่อวันที่ 28 เมษายน 1939 เยอรมนีได้ฉีกสนธิสัญญาไม่
รุกรานกันระหว่างเยอรมัน-โปแลนด์ของปี 1934 และข้อตกลงการจำกัด
ขนาดของกองทัพเรือกรุงลอนดอน ของปี 1935 ทิ้งไป
ต้นปี 1939 ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพเยอรมันเตรียมพร้อม
สำหรับ ความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ในโปแลนด์
หลังจากนั้น เยอรมนีก็ได้ลงนามในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนท
รอพ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 1939 ในตอนท้ายของสนธิสัญญา เยอรมนี
และสหภาพโซเวียตได้วางแผนกันอย่างลับๆ เพื่อยึดครองยุโรปตะวันออก
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จะรักษาท่าที
เป็นมิตรกับสหภาพโซเวียต
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เยอรมนีมั่นใจได้ว่าสหภาพโซเวียตจะรักษาความ
เป็น กลางกับตนระหว่างการรุกรานโปแลนด์
356/665
โปแลนด์จึงขายเครื่องมือยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมากของตนที่ได้ผลิต
ออกมา เพื่อเป็นการเพิ่มเงินทุนการผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรม
ในปี 1936 ทางรัฐบาลโปแลนด์ได้ออกคำสั่งให้เก็บระดมเงินทุนเพื่อ
เสริมกำลังให้แก่กองทัพบกของโปแลนด์ กองทัพโปแลนด์มขี นาดไม่ต่ำ
กว่าหนึ่งล้านนาย ทว่าพลทหารกว่าครึ่งเพิ่งถูกเรียกระดมพลในวันแรกของ
การรุกราน ทั้งยังไม่สามารถตั้งตัวกันได้ติด เนื่องจากการคมนาคมทางบก
ถูกตัดขาด จากการโจมตีของกองทัพอากาศเยอรมนี กองทัพโปแลนด์ยังมี
ยานเกราะน้อยกว่าเยอรมนี ยิ่งกว่านั้นยังถูกส่งกระจายออกไปร่วมกับ
กองทหารราบ ทำให้ไม่สามารถบังเกิดประสิทธิผลอย่างเต็มที่
โปแลนด์เคยมีประสบการณ์การรบในสงครามโปแลนด์-โซเวียตมา
แล้ว จึงพัฒนาและปรับปรุงระบบกองทัพ ไม่เหมือนกับการรบแบบสนาม
เพลาะในสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามครั้งนีเ้ ป็นการรบโดยอาศัย
ประสิทธิภาพการเคลื่อน ไหวของทหารม้า ซึ่งมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก
โปแลนด์นั้นมีข้อได้เปรียบจากประสิทธิภาพของทหารม้า แต่ว่ากลับไม่
ต้องการทีจ่ ะพัฒนาต่อไป เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในราคาแพง และ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่พบว่าได้มีการคิดค้นพบนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา
เลย ทั้งทีก่ องทัพโปแลนด์นั้นมีกองพลน้อยทหารม้าซึ่งใช้เป็นทหารราบ
เคลื่อนที่เร็ว และก็ยังมีประวัติการรบกับทหารราบและทหารม้าเยอรมันที่
ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้ว
กองทัพเยอรมนี
360/665
กองทัพเยอรมันมีความเหนือกว่ากองทัพโปแลนด์ ทั้งทางด้าน
จำนวน และด้านคุณภาพ ทั้งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมการ
รบครั้งนี้ กองทัพบกเยอรมันได้แบ่งรถถังจำนวน 2,400 คัน ออกเป็น 6
กองพลแพนเซอร์ และใช้หลักนิยมทางทหารแบบใหม่เพื่อใช้ในการรบ ซึ่ง
เป็นการนำกองพลยาน เกราะไปปฏิบัติการร่วมกับทหารหน่วยอื่นๆ มี
หน้าทีห่ ลัก คือ เจาะผ่านแนวรบ ของศัตรู แยกศัตรูออกจากกัน แล้วจึง
ปิดล้อมและทำลาย หลังจากนั้นหน่วยทหารยานยนต์ประเภทอื่นๆ และ
ทหารเดินเท้าจึงจะติดตามไป ส่วนกองทัพอากาศทำหน้าที่ยึดครองน่านฟ้า
ทั้งโดยยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเครื่องบินทิ้งระเบิดซึ่ง
ทำหน้าทีท่ ำลายแหล่งเสบียงและการคมนาคมของศัตรู เมื่อรวมปฏิบัติการ
ทั้งหมดเข้าด้วยกันจะได้เป็นรูปแบบการโจมตีสายฟ้าแลบ
นักประวัติศาสตร์สองคน คือ บาซิล ลิดเดลล์ ฮาร์ตและ เอ. เจ. พี.
เทย์เลอร์ ได้กล่าวว่า “โปแลนด์เป็นสนามทดสอบการโจมตีสายฟ้าแลบ
อย่างเต็มรูปแบบ” อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์อีกหลายคนไม่เห็นด้วย
กับแนวความคิดนี้
เครื่องบินรบมีบทบาทสำคัญมากในการทัพครั้งนี้ มีการใช้เครื่องบิน
ทิ้งระเบิดเพื่อทำลายเมืองเป้าหมาย และสามารถสังหารพลเรือนของฝ่าย
ศัตรูได้เป็นจำนวนมาก กองทัพอากาศเยอรมันมีเครื่องบินรบ 1,180
เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด จังเกอร์ เจยู-87 สตูก้า 290 เครื่อง
เครื่องบินธรรมดา 1,100 เครื่อง เครื่องบินขนส่ง 550 เครื่องและ
เครื่องบินลาดตระเวนอีก 350 เครื่อง เมื่อรวมกันแล้วก็มจี ำนวนมากกว่า
361/665
ผู้บัญชาการรบของแต่ละแนวนั้นมีอำนาจบังคับบัญชาทหารม้าและ
ทหารช่างกล สหภาพโซเวียตเริ่มทำการรบกับโปแลนด์เมื่อวันที่ 17
กันยายน 1939
กองทัพสโลวาเกีย
อีกชาติหนึ่งที่กระโดดเข้าร่วมโจมตีโปแลนด์คือ สโลวาเกีย
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1939 สาธารณรัฐสโลวักได้จัดตั้งเป็นรัฐหุ่นเชิด
โดยได้รับการสนับสนุนของเยอรมนี ในดินแดนของสโลวาเกีย เมื่อวันที่ 2
พฤศจิ กายน 1938 พื้นที่ส่วนใหญ่ของสโลวาเกียนั้นถูกยึดครองโดย
ฮังการี ซึ่งเป็นผลมาจากการตอบแทนที่กรุงเวียนนา และบางส่วนของสโล
วาเกียยังถูกยึดครองโดยโปแลนด์และเยอรมนีอีกด้วย
ระหว่างการประชุมอย่างลับๆ กับผู้แทนเยอรมันระหว่างวันที่ 20-21
กรกฎาคม 1939 รัฐบาลสโลวาเกียนั้นตกลงใจที่จะร่วมรบกับโปแลนด์
นอกจากนั้นยังยอมให้เยอรมนีใช้ประเทศของตนเป็นดินแดนเพื่อใช้เตรียม
กำลังพล เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม สโลวาเกียก็ประกาศระดมพล (ได้ทหาร
จำนวนกว่า 160,000 นาย) และจัดตั้งกองทัพใหม่ภายใต้ชื่อรหัสว่า “เบอร์
โนลัค” โดยมีทหารประจำ การ 51,306 นาย ทหารสโลวักพบกับการ
ต้านทานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นระหว่างการรุกราน
แผนการเริ่มต้นของเยอรมนี
363/665
แผนการรุกรานโปแลนด์ของฝ่ายเยอรมนีร่างขึ้นโดย นายพล
ฟรานซ์เฮลเดอร์ หัวหน้ากองเสนาธิการเยอรมัน โดยการรุกรานจะอยู่
ภายใต้อำนาจบัญชาการของนายพล วอลเทอร์ ฟอน เบราคิทช์ ซึ่งเป็น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของการรุกรานครั้งนี้
ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้น ก็ได้มีความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่
ก่อนหน้านี้แล้ว และนำไปสู่หลักการปิดล้อมและทำลายข้าศึกจำนวนมาก
ทหารราบซึ่งเคลื่อนที่ได้ช้า แต่ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากปืนใหญ่เร็ว
และการส่งกำลังบำรุงที่ดี มีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนการทำการรบของรถถัง
และรถบรรทุก ทหาร เพื่อเพิ่มความเร็วให้แก่การโจมตี และการปิดล้อม
แนวของข้าศึก ในการ รุกรานโปแลนด์ครั้งนี้ได้มีการนำเอาแผนการการรบ
ด้วยยานเกราะ (หรือที่นักหนังสือพิมพ์อเมริกันเรียกว่า การโจมตีสายฟ้า
แลบ) ไปใช้โดยนายพล ไฮนส์ กูเดอเรียน โดยใช้วิธีการให้ยานเกราะเจาะ
ผ่านแนวข้าศึก จากนั้นก็รุกเข้าไปทาง ด้านหลัง แต่ว่าแท้จริงแล้ว การรบ
ในโปแลนด์ยังคงเป็นการรบแบบแนวรบดั่งในอดีต เนื่องจาก
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของฝ่ายเยอรมนีนั้นสงวนยานเกราะและกองกำลัง
เครื่องยนต์ไว้เพื่อสนับสนุนการทำการรบของทหารราบ ซึ่งกลับกันจาก
แผนการการโจมตีสายฟ้าแลบ
ภูมิประเทศในโปแลนด์นั้นเหมาะมากสำหรับปฏิบัติการด้วยยาน
เกราะ ถ้าหากลมฟ้าอากาศเป็นใจ โปแลนด์มีลักษณะเป็นที่ราบ ซึ่ง
สามารถทำการรบได้เป็นแนวยาวเกือบ 5,600 กิโลเมตร ชายแดนของ
364/665
โปแลนด์ติดต่อกับเยอรมนี ทั้งทางทิศตะวันตกและทิศเหนือติดต่อกันกว่า
2,000 กิโลเมตร รวมไปถึงชายแดนด้านทิศใต้อีกเกือบ 300 กิโลเมตร ซึ่ง
เยอรมนีได้รับมาจากข้อตกลงมิวนิค และส่งผลให้สโลวาเกียตกอยูใ่ น
กำมือของเยอรมนี ซึ่งหมายความว่า แนวชายแดนด้านทิศใต้ตกอยูใ่ น
สภาวะล่อแหลม
เสนาธิการของเยอรมนีได้วางแผนการโจมตี โดยแยกกันโจมตีออก
เป็นสามทิศทางหลัก คือ
การโจมตีหลักทางชายแดนด้านตะวันตกของโปแลนด์ กองทัพกลุ่ม
ใต้ ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลเกิร์ด ฟอน รุนด์ชเทดท์ จากแคว้น
ซิลีเซีย แคว้นโมราเวียน และจากชายแดนสโลวัก ด้านกองทัพที่แปดของ
นายพลโยฮันเนส บลัสโควิทซ์ จะโจมตีไปทางทิศตะวันออกตรงเมือง
ลอด์ซ ด้านกองทัพ ที่สิบสี่ของนายพลวิลเฮล์ม ลิสท์ จะมุ่งหน้าสู่เมืองครา
โควและโอบกองทัพโปแลนด์ทเี่ ทือกเขาคาร์พาเธียน และกองทัพที่สิบของ
นายพลวอลเทอร์ ฟอน ไรเชนเนา ทางตอนกลางร่วมกับกองกำลังยาน
เกราะของกองทัพกลุ่มใต้จะเข้าตีทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี
และมุ่งหน้าสู่ใจกลางของโปแลนด์
สายที่ 2 จะโจมตีมาจากทางตอนเหนือของแคว้นปรัสเซีย นายพล
เฟดอร์ ฟอน บอค ผู้บัญชาการกองทัพกลุ่มเหนือ ร่วมกับกองทัพที่สาม
ของนายพลจอร์จ ฟอน คึชเลอร์ จะโจมตีลงมาทางใต้ และกองทัพที่สขี่ อง
กึนเธอร์ ฟอน คลุเกอ จะโจมตีไปทางตะวันออกสู่ฉนวนโปแลนด์
365/665
เนื่องจากนักการเมืองโปแลนด์จำนวนมากเกรงว่าหากตนต้องล่าถอย
ออกจากแคว้นซิลีเซียแล้ว อังกฤษและฝรั่งเศสก็อาจจะยอมตกลงเซ็น
สนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอรมนีเสียเอง ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์อันนำไป
สู่การลงนามในข้อตกลงมิวนิค ในปี 1938
นอกจากนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรก็มิได้ให้คำมั่นว่าจะช่วยธำรงรักษา
แนวชายแดนของโปแลนด์หรือบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นพิเศษ ดังนั้น
โปแลนด์จึงไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของฝรั่งเศสที่ให้จัดวางกองทัพหลังแนว
ป้องกันธรรมชาติ คือ หลังแม่น้ำวิสตูล่า และแม่น้ำซาน แม้ว่านายพลบาง
นายของโปแลนด์จะได้พยายามสนับสนุนแผนการดังกล่าวก็ตาม แผน
ตะวันตกทีไ่ ด้ร่าง ขึ้น ไม่อนุญาตให้กองทัพโปแลนด์ถอยกลับเข้ามาสู่
ประเทศ แต่ให้ค่อยๆ ล่าถอย มายังตำแหน่งแม่น้ำสำคัญ ซึ่งจะทำให้
โปแลนด์ระดมพลจนครบจำนวน และจะสามารถโจมตีโต้กลับได้
พร้อมกับการเข้าตีเยอรมนีของฝ่ายสัมพันธมิตรตาม ที่ได้สัญญากันไว้แล้ว
และแผนการขั้นสุดท้ายของโปแลนด์ คือ แผนการถอนทัพกลับข้ามแม่น้ำ
ซานไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเตรียมตัวทำศึกยืดเยื้อกับเยอรมนีที่
เขตหัวสะพานโรมาเนีย
ส่วนทางด้านฝรั่งเศสและอังกฤษก็ประเมินว่ากองทัพโปแลนด์จะ
สามารถตั้งรับไว้ได้เป็นเวลาสองถึงสามเดือน ขณะที่โปแลนด์คาดว่าจะ
สามารถ ตั้งรับได้เป็นเวลาหกเดือน แผนการทั้งหมดนี้ โปแลนด์คาดว่า
ฝ่ายสัมพันธมิตร จะทำตามสนธิสัญญาทางทหารและจะโจมตีเยอรมนี
367/665
กองทัพทหารม้าพ้นสมัยของโปแลนด์เตรียมรับมือยานเกราะติดอาวุธหนักของฝ่ายเยอรมนี
กองทัพโปแลนด์เผชิญหน้ากับกองทัพหลักของเยอรมนี แต่ทว่าก็มี
การป้องกันอย่างเปราะบางเช่นกัน ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพโปแลนด์อีก
กว่าหนึ่งในสามได้กระจุกอยู่ทางภาคเหนือของประเทศตามหัวเมืองหลัก
เท่านั้น ได้แก่ ลอดซ์และวอร์ซอ
การกระจายกำลังของกองทัพโปแลนด์นี้จะทำให้หมดโอกาสที่กองทัพ
โปแลนด์จะหยุดยั้งการรุกรานของเยอรมนี นอกจากนั้นแล้ว กองทัพ
โปแลนด์ส่วนใหญ่ยังต้องเดินเท้า กองทัพโปแลนด์จึงไม่สามารถผนึกกำลัง
กันได้เลยเมื่อถูกบุกทะลวงเข้าใส่โดยกองกำลังยานยนต์ของเยอรมนี
369/665
การตัดสินใจด้วยเหตุผลทางการเมืองดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นความผิด
พลาด เดียวของยุทธศาสตร์จากกองบัญชาการระดับสูงของโปแลนด์
เท่านั้น การโฆษณาชวนเชื่อของโปแลนด์ก่อนสงครามนั้นได้ปลูกฝังแก่
ประชาชนว่าการรุกรานของเยอรมนีจะถูกขับไล่ออกไปได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเมื่อโปแลนด์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ประชาชนจึงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์
ดังกล่าวมาก ประชาชนชาวโปแลนด์ไม่ได้เตรียมตัวพร้อมรับมือกับ
สถานการณ์การยึดครองเลยประชาชนจำนวนมากรู้สึกเสียขวัญและ
หลบหนีไปทางทิศตะวันออก และยังก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในประเทศ
ซึ่งส่งผลให้ขวัญกำลังใจของทหารตกต่ำ ลง และการขนส่งทางถนนของ
โปแลนด์กลายเป็นอัมพาต
การโฆษณาชวนเชื่อยังได้ส่งผลร้ายต่อกองทัพโปแลนด์เอง เนื่องจาก
กองกำลังยานยนต์ของเยอรมนีได้ทำการกีดขวางการติดต่อสื่อสารของ
กองทัพ โปแลนด์ ทำให้ข่าวจากสนามรบถูกบิดเบือนไป โดยหนังสือพิมพ์
และสถานีวิทยุ มักจะกล่าวสดุดีถึงชัยชนะและปฏิบัติการทางทหารที่วาด
ฝันขึ้น ทำให้กองทัพโปแลนด์ถูกโอบล้อมหรือไม่กต็ ้องยืนหยัดสู้กับศัตรูที่
มีจำนวนเหนือกว่ามาก เมื่อทหารเหล่านั้นมีความเชื่อว่าพวกตนกำลังทำการ
ตีโต้หรือกำลังจะได้รับกำลังเสริมเพิ่มเติมจากสถานที่รบอื่นๆ ซึ่งกองทัพ
ของตนได้รับชัยชนะมาแล้ว
การรุกรานของเยอรมนี (1 กันยายน 1939)
370/665
การโจมตีหลักของเยอรมนีนั้นจะเข้ามาทางแนวชายแดนทางด้าน
ตะวันตก โดยได้รับการสนับสนุนจากการโจมตีสายที่ 2 ซึ่งมาจากแคว้นป
รัสเซีย ทางทิศเหนือ และพันธมิตรของเยอรมนี คือ สโลวาเกีย ก็บุกมา
จากทางทิศใต้ โดยมุ่งหน้าสู่กรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์
ฝ่ายสัมพันธมิตรประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 กันยายน
1939 แต่ว่ารัฐบาลของทั้งสองประเทศก็ไม่อาจให้ความช่วยเหลือทางการ
ทหารแก่โปแลนด์ได้มากนัก ตามแนวชายแดนฝรั่งเศส-เยอรมนีได้มกี าร
สู้รบกันอย่างประปราย ถึงแม้ว่ากองทัพเยอรมันจะรักษาแนวชายแดน
เพียงน้อยนิดก็ตาม (กว่า 85% ของกองกำลังยานยนต์เยอรมันกำลังทำ
การรบในโปแลนด์) เมื่อเวลา ผ่านไป ความเหนือกว่าทางยุทธวิธี
ยุทโธปกรณ์และจำนวนของกองทัพเยอรมัน ก็ได้ทำให้กองทัพโปแลนด์
จำเป็นต้องล่าถอยไปยังกรุงวอร์ซอและเมืองโลฟว์ ส่วนทางด้านลุควาฟเฟ
สามารถครองน่านฟ้าได้ในช่วงเวลาแรกๆ ของการรุกราน ลุควาฟเฟนั้นได้
ทำลายระบบการติดต่อสื่อสารของโปแลนด์ ซึ่งทำให้กองทัพเยอรมัน
สามารถรุดหน้าต่อไป สนามบินโปแลนด์ถูกยึด ระบบการเตือนภัยล่วง
หน้าไม่ทำงาน และทำให้การส่งกำลังบำรุงของโปแลนด์ประสบปัญหาอย่าง
หนัก กองทัพอากาศของโปแลนด์ขาดเสบียง เครื่องบินของโปแลนด์ 98
ลำได้บินไปยังประเทศโรมาเนียซึ่งยังคงเป็นกลางอยู่ กองทัพอากาศ
โปแลนด์ซึ่งเคยมีเครื่องบินอยู่ 400 ลำ เมื่อวันที่ 1 ถูกทำลายจนเหลือ
เพียง 54 ลำ เมื่อวันที่ 14 และหลังจากนั้น กองทัพอากาศโปแลนด์กไ็ ม่
สามารถออกปฏิบัติการได้อีกต่อไป
371/665
สนับสนุนการรุกรานของเยอรมนี นายโมโลตอฟได้กล่าวสุนทรพจน์
หลังจากโปแลนด์พ่ายแพ้ว่า:
“เยอรมนี กับประชากร 80 ล้านคน นั้น ได้รับการยอมรับจาก
ประเทศเพื่อนบ้านในความยิ่งใหญ่ และมีกำลังทหารอันแข็งแกร่งอย่าง
แท้จริง โดยได้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพวกจักรวรรดินิยมในทวีปยุโรป
อย่างอังกฤษและ ฝรั่งเศสอย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเหตุผลที่หลายประเทศ
ประกาศสงครามกับเยอรมนี โดยอ้างว่าเป็นการทำตามพันธะที่มตี ่อ
โปแลนด์ บัดนี้จึงเห็นได้ชัดเจน แล้วว่า ความประสงค์อันแท้จริงของคณะ
รัฐมนตรีจากประเทศเหล่านี้ผิดแผกไปจากความ ตั้งใจช่วยเหลือประเทศที่
ถูกยึดครองอย่างโปแลนด์กับเชคโกสโลวาเกียมากเพียง ใด”
เมื่อถึงวันที่ 17 กันยายน การตั้งรับของโปแลนด์กถ็ ูกทำลาย เหลือ
เพียง แต่ความหวังที่จะล่าถอยและไปรวมตัวกันใหม่ในเขตหัวสะพานโรมา
เนีย แต่ทว่าแผนการก็เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน เมื่อกองทัพแดงอัน
เกรียงไกรของสหภาพโซเวียตจำนวน 800,000 นายเข้าโจมตีทาง
ทิศตะวันออก ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน สนธิสัญญาสันติภาพริกา และสนธิสัญญา
ไม่รุกรานระหว่างโปแลนด์-สหภาพโซเวียต รวมทั้งสนธิสัญญาระหว่าง
ประเทศอีกเป็นจำนวนมาก
นักการทูตของโซเวียตได้อ้างว่าสหภาพโซเวียตกำลังปกป้องชาวยูเค
รน และชาวเบลารุสในโปแลนด์ตะวันออกเมื่อประเทศโปแลนด์ใกล้จะล่ม
สลาย นายโมโลตอฟได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 17 กันยายน ว่า
375/665
“เหตุการณ์ที่ได้นำไปสู่สงครามเยอรมนี-โปแลนด์ได้เผยให้เห็นถึง
ความ เปราะบางภายในและความอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดของโปแลนด์
โปแลนด์นั้นเปรียบเสมือนกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว... กรุงวอร์ซอในฐานะ
เมืองหลวงของโปแลนด์นั้นล่มสลายไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงถิ่นแถว
ของรัฐบาลโปแลนด์อีก ชาวโปแลนด์ถูกทอดทิ้งจากผู้นำที่หมดประกาย ซึ่ง
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้อีกแล้ว จะไม่มีโปแลนด์
กับรัฐบาลโปแลนด์อีกต่อไป ความสัมพันธ์และสนธิสัญญาใดๆ ที่
เชื่อมโยงระหว่างโปแลนด์กับสหภาพโซเวียตก็ได้สิ้นสุดลง สถานการณ์ที่
ได้เกิดขึ้นในโปแลนด์ทำให้รัฐบาลโซเวียตต้อง หันมาเอาใจใส่กับความ
ปลอดภัยของรัฐนี้ โปแลนด์อาจกลายเป็นแหล่งกำเนิด ของกองกำลังอัน
ไม่คาดคิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับสหภาพโซเวียตได้... นอกเสียจาก
จะมาอยู่ในความคุ้มครองของรัฐบาลโซเวียต เพื่อรักษาชะตากรรม ของ
พี่น้องร่วมสายเลือดกันกับเรามิให้เปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ ชาวยูเครนและ
ชาวเบลารุส (พวกรัสเซียขาว) ซึ่ง อาศัยอยู่ในโปแลนด์มาแต่เดิม ผู้ซึ่ง
ปราศจากสิทธิอันชอบธรรมและไม่ได้รับการเหลียวแลในชะตากรรมของ
พวกเขา เลย รัฐบาลโซเวียตเห็นว่าเป็นหน้าทีอ่ ันสูงส่งทีจ่ ะให้ความ
ช่วยเหลือแก่ชาว ยูเครนและชาวเบลารุสพี่น้องของเราซึ่งอาศัยอยูใ่ น
โปแลนด์เหล่านี้”
แนวชายแดนด้านตะวันออกของโปแลนด์นั้นได้รับการป้องกันโดย
กองกำลังพิทักษ์ชายแดน ซึ่งมีกำลังพลประมาณ 25 กองพัน จอมพลเอ็ด
เวิร์ด ริดซ์ สมิกลีไ่ ด้ออกคำสั่งให้กองกำลังเหล่านี้ล่าถอยโดยไม่ต้านทาน
376/665
การรุกรานของสหภาพโซเวียต แต่ว่าก็ยังเกิดการรบประปรายหลายครั้ง
เช่น ยุทธการกรอดโน ซึ่งทหารและพลเรือนท้องถิ่นพยายามป้องกันเมือง
ไว้อย่างเหนียวแน่น ระหว่าง การรุกราน ทหารโซเวียตได้สังหารชาว
โปแลนด์อย่างเลือดเย็น
ด้านองค์การชาตินิยมแห่งยูเครนก็ได้ลุกขึ้นสู้กับชาวโปแลนด์ และผู้
ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ทั้งหลายก็ลุกขึ้นก่อการปฏิวัตใิ นท้องถิ่น ปล้นขโมย
ทรัพย์
377/665
ครอบครัวพลเรือนชาวโปแลนด์หนบภัยสงครามในกรุงวอร์ซอว์
และสังหารชาวโปแลนด์ ขบวนการเหล่านี้ต่อมาได้รับการฝึกฝนจาก
กลุ่มผู้ตรวจ การพลเรือนแห่งราชการภายในของสหภาพโซเวียต (เอ็นเควี
ดี) การรุกรานของสหภาพโซเวียตในครั้งนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาล
โปแลนด์เริ่มเชื่อว่าตนจะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ก่อนการโจมตีของ
378/665
สหภาพโซเวียตในทางตะวันออก จึงมีคำสั่งให้ทัพโปแลนด์ที่ตั้งรับเยอรมนี
ในเขตตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเริ่มการถอยทัพ ขณะที่ยังคงรอคอย
ความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรว่าจะมาโจมตีทางตะวันตกของ
เยอรมนี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโปแลนด์ปฏิเสธที่จะยอมจำนนหรือเจรจากับ
เยอรมนี กองทัพโปแลนด์ส่วนที่เหลือได้รับคำสั่งให้อพยพออกจาก
โปแลนด์และรวมตัวกันใหม่ในฝรั่งเศส
ในเวลาเดียวกันนี้ กองทัพโปแลนด์พยายามจะเคลื่อนตัวไปยังเขต
หัวสะพานโรมาเนีย และยังคงต้านทานการรุกรานของเยอรมนี ตั้งแต่วันที่
17-20 กันยายน กองทัพโปแลนด์สองกองทัพคราโคว และลูบลิน ถูกตรึง
ไว้ที่โทมาซอฟ ลูบเบลสกี้ ซึ่งเป็นยุทธการที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของการ
รุกรานครั้งนี้ ด้านเมืองโลฟว์ ก็ยอมจำนนเมื่อวันที่ 22 เนื่องจากถูกบีบ
จากกองทัพโซเวียต เมืองนี้เคยถูกกองทัพเยอรมันโจมตีเมื่อสัปดาห์ก่อน
กองทัพเยอรมันจับมือกับกองทัพโซเวียตในระหว่างการล้อมเมืองครั้งนั้น
ส่วนทางด้านเมืองหลวง กรุงวอร์ซอ ก็มกี ารต้านทานอย่างหนักจาก
ทหารโปแลนด์ทลี่ ่าถอยเข้าสู่เมืองหลวง อาสาสมัครพลเรือนและกองทหาร
อาสาสมัคร จนกระทั่งวันที่ 28 กันยายน ปราการมอดลิน ยอมจำนนเมื่อ
วันที่ 29 กันยายน หลังจากการรบเป็นเวลานานถึง 16 วัน เหล่าทหารที่
ถูกตัดขาดสู้จนกระทั่งตำแหน่งถูกล้อมไว้โดยกองทัพเยอรมัน ส่วนทีท่ ่า
เวสเทอร์แพลท ได้ยอมจำนนไปตั้งแต่วันที่ 7 กันยายนเรียบร้อยแล้ว
379/665
ไฟสงครามลามทั่ว
ตะวันตก-ตะวันออก
ระหว่างทีก่ ำลังเกิดการรบในโปแลนด์อยู่นั้น กองทัพญี่ปุ่นก็
เปิดฉากการ โจมตีเมืองฉางซา ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทาง
ยุทธศาสตร์ของจีนเป็นครั้งแรก แต่ก็ถูกตีพ่ายในตอนต้นเดือนตุลาคม
การโจมตีฉางซาหรือเรียกอีกนามว่า ยุทธการฉางซาในครั้งนีน้ ับได้ว่าเป็น
ช่วงเวลาต่อเนื่องในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 กระนั้นก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง
ของสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วด้วยเช่นกัน
ยุทธการฉางชา (17 กันยายน-6 ตุลาคม 1939)
ยุทธการฉางซา เป็นส่วนหนึ่งของสงครามจีน-ญี่ปุ่นที่ยังคงดำเนิน
ต่อไป หลังจากการสู้รบเป็นเวลาสองปี ในช่วงต้นเดือนกันยายน นายพล
ญี่ปุ่น โตชิโซะ นิชิโอะ ของ “กองทัพโพ้นทะเลญี่ปุ่นในจีน” และพลโท
385/665
ถึงแม้ว่าการใช้แก๊สพิษจะถูกห้ามตามอนุสัญญาเจนีวา กองทัพญี่ปุ่น
ได้ใช้แก๊สพิษต่อที่ตั้งของทหารจีน เมื่อวันที่ 23 กันยายน กองทัพญี่ปุ่น
สามารถ ขับไล่ทหารจีนออกจากพื้นที่แม่น้ำซินเชียงได้ และกองพลที่ 6
และที่ 13 ข้ามแม่น้ำโดยมีการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่และเคลื่อนพลต่อ
ลงไปทางใต้ตามแม่น้ำมีหลัว
การสู้รบอย่างหนักยังคงดำเนินต่อไปหลังวันที่ 23 กันยายน และ
กองทัพ จีนล่าถอยไปทางทิศใต้เพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายญี่ปุ่นติดตามมา ใน
ขณะทีก่ องพัน สนับสนุนเข้ามาถึงในทางตะวันออกและทางตะวันตก
สำหรับกลยุทธ์การโอบล้อมกองทัพจีน เมื่อวันที่ 29 กันยายน ญี่ปุ่นเข้าถึง
ชานเมืองฉางชา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายญี่ปุ่นไม่สามารถยึดเมืองนีไ้ ด้เนื่องจาก
เส้นทางเสบียงถูกตัดขาดโดยกองทัพจีน และในวันที่ 6 ตุลาคม กองทัพ
ญี่ปุ่นทีฉ่ างชาได้ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ส่วนที่เหลืออยู่
ล่าถอยไปทางทิศเหนือ
ชัยชนะครั้งนี้เป็นของทหารจีน และฉางชาถือเป็นเมืองหลักเมืองแรก
ทีไ่ ม่ตกอยูใ่ นเงื้อมมือหลังการโจมตีของญี่ปุ่น ผู้บัญชาการ เสวี่ย เยวี่ย ผู้
เป็นขุนศึก ที่มสี ีสันและพันธมิตรของเจียงไคเช็ค ได้รับการชื่นชมจาก
ชัยชนะที่ฉางชา การรักษาเมืองฉางชาไว้ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถขยาย
อิทธิพลลงไปทางตอนใต้ของจีนได้
ทางฝั่งยุโรปเริ่มลุกลาม
387/665
ส่วนการรบทางฝั่งยุโรป ภายหลังการรุกรานโปแลนด์และแบ่งเป็น
เขตยึดครองของทั้งเยอรมนีและสหภาพโซเวียตมีการลงนามในสนธิสัญญา
กำหนด สิทธิปกครองลิทัวเนีย
ฟินแลนด์ปฏิเสธไม่ยอม ยกดินแดนบางส่วนและไม่ยอมให้โซเวียตสร้าง
ฐานทัพเรือในดินแดนของตน
การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1939 เมื่อทหารใน
กองทัพแดง ราวหนึ่งล้านคนบุกเข้าจู่โจมตามแนวรบหลายจุดบริเวณ
พรมแดนระหว่างสหภาพโซเวียตกับฟินแลนด์ กองทัพฟินแลนด์บัญชาการ
โดยจอมพลมานเนอร์ไฮม์ สามารถต่อต้านการโจมตีได้อย่างมี
ประสิทธิภาพแม้ว่าจะมีกำลังพล น้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน
กุมภาพันธ์ ทหารรัสเซียเข้าไปในฟินแลนด์ได้สำเร็จ หลังใช้ปืนใหญ่ระดม
โจมตีแนวป้องกันตามคอคอดคาเรเลีย ซึ่งอยูท่ างทิศใต้ของฟินแลนด์รวม
ทั้งการโจมตีทางอากาศ สงครามสิ้นสุดลงในวันที่ 12 มีนาคม 1940 เมื่อมี
การลงนามในสัญญาสันติภาพมอสโก โดยฟินแลนด์ยอมยกดินแดนบาง
ส่วนให้โซเวียตและยอมให้โซเวียตก่อสร้างฐานทัพ เรือบนคาบสมุทรฮังโก
การรุกรานฟินแลนด์ในครั้งนี้ทำให้สหภาพโซเวียตถูกขับออกจากสันนิบาต
ชาติ
เหตุการณ์นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญหนึ่งในสงครามลวง
กล่าวคือเริ่มตั้งแต่สหภาพโซเวียตโจมตีฟินแลนด์เมื่อวันที่ 30 กันยายน
1939 ประชาชนส่วนใหญ่ของอังกฤษและฝรั่งเศสนั้นมีความเห็นเข้าข้าง
ฟินแลนด์ และเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งสองร่วมกันช่วยเหลือฟินแลนด์ แต่ว่า
กองทัพฟินแลนด์ก็สามารถยันทัพโซเวียตได้ สหภาพโซเวียตนั้นก็ถอนตัว
ออกจากสันนิบาตชาติ แผนการส่งทหารของอังกฤษและฝรั่งเศสเข้าไป
390/665
ช่วยเหลือฟินแลนด์นั้นได้ถูกคัดค้านอย่างหนัก กองทัพอังกฤษนั้นได้
ประชุมก่อนที่จะส่งไปช่วยเหลือฟินแลนด์ ทว่าก็มิได้ส่งไปก่อนที่สงคราม
ฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง แต่กลับส่งไปช่วยเหลือนอร์เวย์ในการทัพนอร์เวย์
แทน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม หลังจากสงคราม ฤดูหนาวยุติ นายกรัฐมนตรี
ฝรั่งเศสก็ขอลาออก เนื่องจากประสบความล้มเหลว ที่จะส่งความ
ช่วยเหลือไปยังฟินแลนด์
จนกระทั่งเดือนเมษายน 1940 ทางด้านสหภาพโซเวียตและเยอรมนี
ได้บรรลุสนธิสัญญาการค้าระหว่างกัน ซึ่งสหภาพโซเวียตได้รับเครื่อง
ประกอบทาง ทหารและทางอุตสาหกรรมของเยอรมนีโดยแลกกับการส่ง
วัตถุดิบให้กับเยอรมนี ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกปิดล้อม
เมืองท่าโดยราชนาวีสหราชอาณาจักร
และเดือนเมษายน 1940 เช่นกันเยอรมนีกเ็ ริ่มขยายแนวรบโดยการ
รุกรานเดนมาร์กและนอร์เวย์ เพื่อควบคุมการขนส่งแร่เหล็กจากสวีเดน ซึ่ง
ฝ่ายสัมพันธมิตรพยายามที่จะขัดขวาง เดนมาร์กได้ยอมจำนนอย่างรวดเร็ว
และถึงแม้ว่านอร์เวย์จะได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว
ก็ตาม แต่เยอรมนีก็ยังสามารถพิชิตนอร์เวย์ได้ในเวลาเพียงสองเดือน
ความไม่พอใจต่อผลของการทัพนอร์เวย์ของชาวอังกฤษได้นำไปสู่การ
เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรจากเนวิลล์ แชมเบอร์เลน
เป็นวินสตัน เชอร์ชิล เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1940
391/665
การรุกไปพิชิตนอร์เวย์ของเยอรมนีนั้นมีความสำคัญต่อสงคราม
ครั้งนี้อยู่ไม่น้อยทั้งนี้เพราะมันถือว่าเป็นการยิงกันครั้งแรกของสองฝ่าย
กล่าวคือ ระหว่างช่วงเวลาที่เรียกว่าสงครามลวง ดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายกำลัง
มองหาแนว รบที่ 2
สำหรับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะฝรั่งเศสนั้นมีความต้องการที่จะ
หลีกเลี่ยงมิให้เกิดการรบแบบสนามเพลาะอีกครั้งแบบในสงครามโลกครั้ง
ที่ 1 ซึ่งได้เกิดขึ้นตามแนวรบด้านตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่ง
สร้างความสูญเสียและสิ้นเปลืองอย่างมากมาแล้ว
สำหรับฝ่ายเยอรมนี นายทหารระดับสูงนั้นมีความเห็นว่าเยอรมนียัง
มีทรัพยากรไม่เพียงพอทีจ่ ะทำการรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนี้ ดังนั้น
จึงควรโจมตีนอร์เวย์ก่อน เพราะนอร์เวย์เป็นแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญ หาก
สามารถยึดครองดินแดนแถบสแกนดิเนเวียเหล่านี้ก็จะถือว่าได้เปรียบทาง
ยุทธศาสตร์ ซึ่งต่อจากนั้นจึงจะสามารถแผ่อิทธิพลออกไปในภายหลังได้
นอร์เวย์ในขณะนั้นยังคงวางตัวเป็นกลาง นอร์เวย์เป็นจุดยุทธศาสตร์
ที่สำคัญของทั้งสองฝ่ายโดยมีสองสาเหตุ
อย่าง แรกคือความสำคัญของเมืองท่านาร์วิก ซึ่งสามารถขนส่งเหล็ก
และ โลหะจากสวีเดน ซึ่งเยอรมนีต้องการมาก เส้นทางเดินเรือดังกล่าวยัง
เป็นเส้นทางสำคัญมากเป็นพิเศษในช่วงที่ทะเลบอล ติกได้กลายเป็นน้ำแข็ง
อีกทั้งนาร์วิกก็ยังมีความสำคัญต่ออังกฤษมาก โดยเฉพาะเมื่ออังกฤษทราบ
392/665
นายทหารระดับสูงของเยอรมนีนั้นเพ่งความสนใจไปยังความเป็น
กลาง ของนอร์เวย์มาก ตราบเท่าทีเ่ รือรบฝ่ายสัมพันธมิตรยังไม่แล่นเข้าสู่
น่านน้ำของ ทะเลนอร์เวย์ เรือขนส่งสินค้าของเยอรมนีกย็ ังคงปลอดภัยที่
จะแล่นไปตามชายฝั่งของนอร์เวย์และขนส่งโลหะจากสวีเดนซึ่งเยอรมนี
นำเข้าอยู่
ทางด้านฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น หลังสิ้นสุดสงครามฤดูหนาว ฝ่ายสัม
พันธมิตร ตัดสินใจว่า หากปล่อยให้นอร์เวย์หรือสวีเดนถูกยึดครองจะก่อ
ให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี และมีโอกาสทำให้กลุ่มประเทศเป็นกลางเข้า
เป็นพันธมิตรกับเยอรมนีได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสคน
ใหม่ คือ ปอล เรย์โนด์ นั้น มีท่าทีรุนแรงกว่านายกรัฐมนตรีคนก่อนและ
ต้องการดำเนินการกับเยอรมนี ขณะที่เชอร์ชิลก็ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะ
โจมตีและยึดครองนอร์เวย์ให้ได้ ทั้งนี้เพราะเขามีความต้องการที่จะย้าย
การสู้รบให้ไกลไปจากแผ่นดินของอังกฤษ และฝรั่งเศสเพื่อป้องกันมิให้
เมืองของตนเองถูกทำลาย
เยอรมนีเริ่มต้นการบุกเดนมาร์กและนอร์เวย์ในวันที่ 3 เมษายน
1940 เมื่อเรือขนเสบียงได้ออกจากฝั่งเพื่อการรุกของกองกำลังหลัก ขณะที่
ฝ่ายสัมพันธ มิตรเริ่มต้นแผนการในวันต่อมา เรือดำน้ำฝ่ายสัมพันธมิตร
จำนวนสิบหกลำได้รับคำสั่งให้ไปประจำยังเมือง Skagerrak และ Kat-
tegat เพื่อใช้ตรวจการและแจ้งเตือนกองทัพเยอรมนีในการเตรียมตัวเข้า
394/665
Stauning มีความเห็นว่าการต้านทานกองทัพเยอรมันต่อไปนั้นจะก่อให้
เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ จึงยอมจำนนต่อกองทัพเยอรมัน
มหาชนชาวเดนมาร์กประหลาดใจมากกับการตัดสินใจดังกล่าวและ
รัฐบาลก็ให้ชาวเดนมาร์กทุกคนยอมร่วมมือกับเยอรมนี เป็นอันว่า
เดนมาร์กถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 1940 นั่นเอง
ส่วนในนอร์เวย์นั้น เมื่อเยอรมนีเริ่มการบุก กองทัพอังกฤษก็ได้เริ่ม
วางแผนการโจมตีโต้ทันที ความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการการโจมตีโต้กลับ
นั้นเกิดความขัดแย้งกัน กองทัพอังกฤษนั้นต้องการที่จะยึดเมือง Trond-
heim ในนอร์เวย์ตอนกลาง ขณะที่เชอร์ชิลนั้นต้องการที่จะยึดเมืองท่านาร์
วิกคืน ดังนั้น จึงได้ประนีประนอมกันด้วยการส่งทหารไปทั้งสองตำแหน่ง
แต่สุดท้ายกองทัพสัมพันธมิตรต้องถอนตัวออกจากนอร์เวย์ และ
กองทัพนอร์เวย์ยอมจำนน เยอรมนีก็เริ่มการยึดครอง
การยิงกันระหว่างเยอรมนีกับฝ่ายสัมพันธมิตรในนอร์เวย์ถือว่าเป็น
การปะทะกันครั้งแรกของสองฝ่ายอย่างแท้จริง อีกมุมหนึ่ง ฝรั่งเศสและ
สหราชอาณาจักรมองว่าสหภาพโซเวียตพยายามจะเข้าสู่สงครามโดยอยู่ข้าง
เยอรมนี
ชัยชนะอันสวยงามและสงครามยืดเยื้อของอักษะ
396/665
ในวันเดียวกับที่ยึดครองนอร์เวย์สำเร็จ เยอรมนีก็ใช้ยุทธวิธีสงคราม
สายฟ้าแลบหรือยุทธวิธีบลิทซครีก[8]โจมตีฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศต่ำ
คือเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์และเบลเยียม
ฝรั่งเศส ได้แต่เฝ้าจับตามองเยอรมนี ช่วงก่อนสงคราม ฝรั่งเศสมี
การสร้าง แนวป้อมปราการเพื่อป้องกันเยอรมัน เรียกว่า แนวมากิโนต์
ด้านเยอรมันก็มีการสร้างแนวป้องกันเช่นกัน เรียกว่า แนวซีกฟรี๊ด
ด้านเบลเยียม และฮอลแลนด์ ต่างก็หวาดกลัวการบุกของเยอรมนี
แต่ก็ไม่มีการประสานงานกันกับอังกฤษและฝรั่งเศสเลย
10 พฤษภาคม 1940 เวลาเช้าตรู่ กองทัพใหญ่ของเยอรมันจำนวน
141 กองพล คิดเป็นทหาร 3,350,000นาย รถถัง 2,445 คัน ปืนใหญ่
7,378 กระบอก เครื่องบินรบ 5,446 ลำ แบ่งเป็นสี่กองทัพใหญ่ ทัพแรก
บุกเข้าทางทะเลฟรีเซียน ทัพหนึ่งบุกจากอิสเซลสู่อูเทรค ทัพที่ 3 บุกเข้า
โจมตีเมืองมาสตริคและป้อมปราการอีเบน-อีเมล ทัพที่ 4ใช้กำลังพลมาก
กว่าทัพอื่น บุกเข้าสู่ป่าเดนส์เพื่อข้ามแม่น้ำเมิร์ส
กองทัพอากาศเยอรมันทำการโจมตีสนับสนุนกองทัพบกอย่างใกล้ชิด
มีการส่งพลร่มเข้าโจมตีที่มั่นสำคัญ
กองทัพฮอลแลนด์ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว เยอรมนีสามารถยึด
สนาม บินร็อตเตอร์ดัมส์ได้ รวมทั้งส่งเครื่องบินระดมทิ้งระเบิดเมือง
ร็อตเตอร์ดัมส์อย่างหนัก จนฮอลแลนด์ประกาศยอมแพ้ พระราชีนิวิลเฮล์
มิน่า และรัฐบาลฮอลแลนด์ ลี้ภัยไปอังกฤษ
397/665
กองทัพเบลเยียมระดมกำลังสู้เยอรมนีอย่างเต็มที่ โดยหวังใช้
ป้อมปราการอีเบน-อีเมล ในการป้องกันข้าศึก แต่เยอรมนีกลับยึดป้อมนี้
อย่างง่ายดาย โดยใช้ทหารพลร่ม และยึดในเวลา 36 ชั่วโมง
กองทัพของเยอรมันที่บุกจากเมืองมาสตริกได้บดขยี้แนวป้องกันของ
เบลเยียมพินาศ และบุกเข้าสู่กรุงบรัสเซลส์ และเมืองอันทเวิร์ป และยึดได้
ในที่สุด
398/665
ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรอพยพออกจากสมรภูมิดันเคิร์กเมื่อปี 1940
ด้านป่าอาเดนส์ เบลเยียมหวังใช้ป่าทึบและเส้นทางคดเคี้ยวในการ
ป้องกันการบุกของหน่วยยานเกราะเยอรมัน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทัพ
เยอรมนี บุกผ่านแนวป่าอย่างรวดเร็ว และบุกข้ามแม่น้ำเมิร์สได้ในเวลา 2
วัน
พระเจ้าเลโอโปล กษัตริย์แห่งเบลเยียม พยายามขอความช่วยเหลือ
จากกองทัพสัมพันธมิตร แต่ไม่ได้รับการตอบรับ กองทัพเยอรมนีอยูใ่ น
สภาพพร้อมที่จะโจมตีแนวมากิโนต์ บุกกรุงปารีส หรือกวาดล้างกองทัพ
อังกฤษทางชายฝั่งทะเลก็ได้ วันที่ 26 พฤษภาคม พระเจ้าเลโอโปล พร้อม
ทหาร 300,000 นาย ยอมแพ้ต่อกองทัพเยอรมัน
จากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ ลอร์ด กอร์ด แม่ทัพอังกฤษจึงให้
กองทหารอังกฤษถอนมาทีด่ ันเคิร์กเพื่อที่จะถอยกลับอังกฤษ กองทัพ
อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยียม โปแลนด์บางส่วนจำนวน 400,000 นาย ต่าง
มารวมกันทีด่ ันเคิร์กเพื่อถอยเข้าสูอ่ ังกฤษ ท่ามกลางการระดมโจมตีของ
กองทัพอากาศเยอรมนี อังกฤษได้ระดมเรือกว่า 887 ลำเข้าลำเลียงพล ใน
เวลา 10 วัน สามารถลำเลียง ทหารกลับอังกฤษได้จำนวนถึง 335,000
นาย
ขณะทีก่ ำลังส่วนหนึ่งของเยอรมนีเข้าถล่มดันเคิร์ก กองทัพอีกส่วนก็
รุกเข้าตีฝรั่งเศส ใช้เวลาเพียง 10 วันก็บุกข้ามแม่น้ำซอมม์ได้ ทัพเยอรมนี
บุกเข้าตีหลายด้าน ทั้งแคว้นบริตานี เมืองลีออง
399/665
แม้ว่าความร่วมมือระหว่างสหภาพโซเวียตและนาซีเยอรมนีจะมีมาก
ขึ้นแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจที่มีอย่างกว้างขวาง แม้ด้าน
การทหาร เล็กน้อยก็ตาม รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนประชากรและความ
ตกลงเกี่ยวกับชาย แดน อาจกล่าวได้ว่าสหภาพโซเวียตเป็นพันธมิตรโดย
พฤตินัยของเยอรมนีแล้ว แต่การยึดครองรัฐบอลติก เบสซาราเบียและ
นอร์ทบูโควิน่าของโซเวียตก็ได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่เยอรมนี
พฤติการณ์ดังกล่าว เมื่อผนวกกับความตึง เครียดที่เพิ่มมากขึ้นที่มาจาก
ความไม่สามารถบรรลุความร่วมมือระหว่างนาซี-โซเวียตได้เพิ่มเติมอีก ทำ
402/665
ให้ความสัมพันธ์ทั้งสองเริ่มเสื่อมทรามลง มาถึงปลายเดือนสภาพการณ์
ความสัมพันธ์ของสองชาติก็เข้าสู่วาระของการรอเวลา ทำสงครามกันเท่านั้น
เมื่อฝรั่งเศสถูกยึดครองและพ้นไปจากสงครามแล้ว ฝ่ายอักษะก็มี
กำลัง มากยิ่งขึ้น คู่แข่งทีเ่ หลืออยู่อีกเพียงหนึ่งเดียวคือ อังกฤษก็ดูเหมือน
จะบอบช้ำอยู่ไม่น้อย
กองทัพอากาศเยอรมนีจึงเริ่มเปิดแนวรบใหม่นั้นคือทำยุทธการแห่งบ
ริเทน นั่นก็คือการเตรียมการรบภาคพื้นในอังกฤษ (ปฏิบัติการสิงโตทะเล)
ขณะทีท่ างด้านอื่นๆ สงครามย่อยก็มีปรากฏให้เห็นทั้งนี้เพราะอังกฤษเป็น
ประเทศที่มีอาณานิคมมากมายทั่วโลก
ยุทธการบริเทน เป็นการรบทางอากาศที่กองทัพอากาศเยอรมัน เปิด
การ โจมตีทางอากาศเพื่อชิงความได้เปรียบกับกองทัพอากาศหลวงของส
หราชอาณา จักร ก่อนที่จะดำเนินการบุกทางทะเลและการทิ้งทหารพลร่ม
จากอากาศในปฏิบัติการสิงโตทะเล (Operation Sea Lion) ที่ทาง
เยอรมันได้วางแผนไว้ก่อนหน้า
ต้น เหตุของการรบครั้งนี้มาจากความคิดของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และ
นายทหารในกองทัพบกเยอรมนีที่เชื่อว่าการบุกหมู่เกาะบริเทนข้าม ทะเลจะ
ไม่สามารถทำได้โดยง่ายถ้ากองทัพอากาศหลวงไม่ถูกทำลายเสียก่อน
เป้าหมายหลักของลุฟวาฟเฟิลในการเปิดศึกทางอากาศคือ เพื่อ
บั่นทอน หรือทำลายกองกำลังทางอากาศของอังกฤษจนอ่อนแอกว่าที่จะ
ยับยั้งการบุกได้
403/665
ส่วนเป้าหมายรองก็คือทำลายโรงงานผลิตเครื่องบินและ
สาธารณูปโภค ต่างๆ รวมทั้งทิ้งระเบิดใส่พื้นที่ที่มีความสำคัญทางการเมือง
เพื่อข่มขู่ชาวบริเทน ให้ยอมแพ้หรือยอมสงบศึกด้วย
กระนั้น แม้เยอรมนีจะมีเครื่องบินรบที่ดีกว่าและนักบินที่มี
ประสบการณ์ มากกว่า (สืบเนื่องจากการรุกรานโปแลนด์ก่อนหน้านี้) แต่
ความเด็ดขาดของ กองทัพอากาศหลวงและจำนวนเครื่องบินที่มากกว่า ทำ
ให้ฝ่ายเยอรมนีประสบ กับความล้มเหลวในการทำลาย หรือแม้แต่จะ
บั่นทอนกำลังของกองทัพอากาศ หลวงของอังกฤษ (หรือแม้แต่จะทำลาย
ขวัญกำลังใจของชาวบริเทน) และพ่าย แพ้ไปในที่สุด
ยุทธการบริเทนถือเป็นการรบครั้งแรกที่สู้กันทางอากาศตลอดทั้งศึก
รวมถึงเป็นศึกที่มีปฏิบัติการณ์ทิ้งระเบิดที่ยาวนานและสูญเสียมากที่สุดเท่า
ทีเ่ คยมีมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นศึกที่มีการทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ (ที่มี
จุดประสงค์ เพื่อทำลายเศรษฐกิจ หรือการผลิตของศัตรู ไม่ใช่การทำลาย
ข้าศึกโดยตรง) ที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ยังไม่ได้ถูก
นำมาใช้จริง
กระนั้นแม้เยอรมนีจะไม่อาจเอาชนะอังกฤษด้วยการทิ้งระเบิดอย่าง
หนัก เหนือเกาะอังกฤษในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 1940 ที่เรียกว่า
สงครามเหนือเกาะอังกฤษ ได้ สงครามทีด่ ูเหมือนจะจบลงเร็วก็ต้องยืดเยื้อ
และต่อเนื่อง ต่อไป
404/665
เด็กหนุ่มท่ามกลางความเสียหายของร้านหนังสือกลางกรุงลอนดอนภายหลังการโจมตีทางอากาศของ
เยอรมันเมื่อ 8 ตุลาคม 1940 ขณะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ "The Histiry of London"
(ประวัติกรุงลอนดอน)
ส่วนอิตาลีก็เริ่มการปฏิบัติการทางทะเลของตนในทะเลเมดิเตอร์เร
เนียน ด้วยการปิดล้อมเมืองมอลต้าในเดือนมิถุนายน และสามารถพิชิตโซ
มาลิแลนด์ ในเดือนสิงหาคม และเปิดฉากการรบในแนวรบทะเลทรายใน
ตอนต้นของเดือนกันยายน
405/665
ส่วนทางด้านญี่ปุ่นก็เพิ่มการปิดล้อมจีนโดยการโจมตีอินโดจีน
ฝรั่งเศส
เป็นอันว่าสงครามเริ่มขยายไปทั่วโลกแล้วเว้นไว้ก็เพียงสหรัฐอเมริกา
เท่านั้น ทั้งนี้เพราะนโยบายเป็นกลางครั้งนั้นทำให้อเมริกาสามารถกอบโกย
ผลประโยชน์จากการค้าอาวุธอยู่มาก
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ฝ่ายสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นกลางก็ได้ออก
มาตรการ ในการช่วยเหลือจีนและฝ่ายสัมพันธมิตร เริ่มจากในเดือน
พฤศจิกายน 1939 สหรัฐอเมริกาขายอาวุธและยานพาหนะจำนวนมาก
ให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ระหว่างปี 1940 สหรัฐอเมริกาก็สนับสนุนการห้าม
ขนส่งสินค้า รวมไปถึงน้ำมัน เหล็ก เหล็กกล้า และชิ้นส่วนของเครื่องจักร
แก่ญี่ปุ่น และในเดือนกันยายน สหรัฐอเมริกาก็ตกลงขายเรือประจัญบาน
เพื่อแลกกับฐานทัพเรือโพ้นทะเลกับ อังกฤษ
ในตอนปลายเดือนกันยานั้น เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่นก็ได้ทำ
สนธิสัญญาสามฝ่ายรวมตัวกันเป็นฝ่ายอักษะ ยกเว้นสหภาพโซเวียต ที่ยัง
ไม่เข้าสู่สงครามที่แท้จริง
สหภาพโซเวียตแสดงโดยนัยว่ามีความสนใจจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่ง
ของสนธิสัญญาดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน 1940 สหภาพโซเวียตก็ได้
ส่งข้อเสนอทางเศรษฐกิจที่เยอรมนีประทับใจมาก ขณะทีเ่ ยอรมนียังคงปิด
เงียบในตอนแรกและก็ตอบตกลงในตอนหลัง
406/665
สหรัฐอเมริกายังคงสนับสนุนสหราชอาณาจักรและจีนต่อไปโดย
นโยบายให้กู้-ยืม และก็ยังได้สร้างพื้นที่ปลอดภัยแบบหยาบๆ มีพื้นทีเ่ ป็น
ครึ่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจะคอย
คุ้มกันกองเรือสินค้าของอังกฤษ ---
9
สงครามโลกช่วงที่ 2 ความพ่ายแพ้
อักษะเริ่มปรากฏ
ไม่นานหลังจากสนธิสัญญาดังกล่าว โชคก็มิได้เข้าข้างอิตาลีอีก
ในเดือน ตุลาคม อิตาลีเริ่มรุกรานกรีซ แต่ภายในไม่กี่วันก็ถูกขับไล่และ
ถูกตีจนต้องถอย ร่นเข้าไปในอัลเบเนีย ซึ่งก็ถูกรุกจนมุม
หลังจากนั้นไม่นาน ในทวีปแอฟริกา กองทัพกลุ่มประเทศ
เครือจักรภพอังกฤษก็ได้เข้าโจมตีลิเบียในปฏิบัติการเข็มทิศและดินแดน
แอฟริกาตะวันออก ของอิตาลี ในตอนต้นของปี 1941 เมื่อกองทัพอิตาลี
นั้นถูกผลักให้เข้าไปสู่ดินแดนลิเบียโดยกองทัพกลุ่มประเทศเครือจักรภพ
นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลก็ได้ออก คำสั่งให้ส่งกองทัพเข้าไปช่วยเหลือกรีซใน
ปฏิบัติการแสงเหลือบ
408/665
กองทัพเรืออิตาลีได้พบกับความปราชัยครั้งสำคัญ เมื่อราชนาวี
อังกฤษ สามารถทำลายเรือประจัญบานของอิตาลีไป 3 ลำในยุทธนาวีตา
รันโต และเรือรบอีกหลายลำระหว่างยุทธนาวีแหลมมะตะปัน
ไม่นานนัก เยอรมนีก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออิตาลี ฮิตเลอร์ได้ส่ง
กองทัพ ของเขาสู่ลิเบียในปฏิบัติการดอกทานตะวันในเดือนกุมภาพันธ์
และภายในเดือน มีนาคม กองทัพฝ่ายอักษะก็ทำการรุกหนักกับกองทัพ
ของกลุ่มเครือจักรภพทีล่ ดจำนวนลงไป และภายในหนึ่งเดือน กองทัพ
เครือจักรภพก็ถูกตีถอยร่นกลับสู่อียิปต์ เว้นแต่เมืองท่าโทบรุค กองทัพ
เครือจักรภพพยายามจะขับไล่กองทัพอักษะออกไปในปฏิบัติการรวบรัด
และอีกครั้งในปฏิบัติการขวานศึกระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือน
มิถุนายน แต่ก็ล้มเหลวทั้งสองครั้ง ตอนต้นของเดือนเมษายน กองทัพ
เยอรมนีก็โจมตีกรีซและยูโกสลาเวีย และในท้ายที่สุด กองทัพ
สัมพันธมิตรก็ต้องอพยพหลังจากความพ่ายแพ้ในยุทธการเกาะครีตใน
ตอนสิ้น เดือนพฤษภาคม
ย้อนกลับมามองในทวีปเอเชีย สมรภูมใิ นจีน ซึ่งกองทัพบกญี่ปุ่นได้
ดำเนินการมานานก่อนทีจ่ ะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ
โดยได้ทำการยึดครองเมืองและบริเวณชายฝั่งของจีนเป็นส่วนใหญ่ รวมถึง
การจัดตั้งประเทศแมนจูกัวซึ่งมีจักรพรรดิปูยเี ป็นประมุข และได้ทำการ
ยึดครองกรุง นานกิง ทีเ่ ป็นเมืองหลวงของจีน (ของรัฐบาลก๊กมินตั๋งในยุค
409/665
จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของขบวนการฝรั่งเศสเสรี
ฝ่ายสัมพันธมิตร ก็ประสบความสำเร็จในการทัพซีเรียและเลบานอน ใน
มหาสมุทรแอตแลนติก ประชาชนอังกฤษมีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นจาก
การที่ราชนาวีอังกฤษสามารถ จมเรือธงเยอรมันบิสมาร์คลงสู่ก้นทะเลได้
สำเร็จ และที่สำคัญสุด กองทัพอากาศ อังกฤษสามารถต้านทานการโจมตี
411/665
ปฏิบัติการบาร์บารอสซาเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้ง
ทาง ด้านกำลังพล พื้นที่ปฏิบัติการ และความสูญเสียที่เกิดขึ้น ความ
ล้มเหลวในยุทธการบาร์บารอสซาเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นสาเหตุโดยรวมที่
ทำให้นาซีเยอรมนีต้องประสบกับความพ่ายแพ้ และเป็นจุดเปลี่ยนของนาซี
เยอรมนีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จากการเปิดการโจมตีของนาซีทำให้เกิดการ
รบใหม่ขึ้นมาคือแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งเป็นยุทธบริเวณทีใ่ หญ่ที่สุดใน
โลกตราบจนถึงปัจจุบัน
เบื้องหลังเหตุการณ์
อย่างที่รับรูก้ ันดีว่า สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอปได้รับการ
ลงนาม ไม่นานก่อนหน้าการรุกรานโปแลนด์ของเยอรมนีและ
สหภาพโซเวียตในปี 1939 ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสนธิสัญญาดังกล่าวมีเนื้อหา
เป็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน แต่ทว่าได้มขี ้อตกลงลับระหว่างนาซีเยอรมนี
และสหภาพโซเวียตว่าจะแบ่งเขตอิทธิพลของทั้งสองชาติ
สนธิสัญญาดังกล่าวสร้างความตกตะลึงให้กับโลกเนื่องจากความเป็น
อริดั้งเดิมของทั้งสองฝ่าย รวมถึงอุดมการณ์ทตี่ รงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามเมื่อสนธิสัญญาได้รับการลงนามแล้ว ทั้งนาซีเยอรมนีและ
สหภาพโซเวียต ก็กลายเป็นประเทศคูค่ ้าที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์
ทางการทูตอย่างเหนียวแน่น โดยที่สหภาพโซเวียตเป็นผูส้ ่งน้ำมันและ
วัตถุดิบต่างๆ ให้กับเยอรมนี ซึ่งช่วยให้เยอรมนีรอดพ้นจากการปิดล้อม
ทางทะเลของอังกฤษ ในขณะทีเ่ ยอรมนี ก็ส่งมอบเทคโนโลยีทางการทหาร
414/665
ให้กับสหภาพโซเวียต แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายก็ยังคงความคลางแคลงในเจตนา
ของอีกฝ่าย
หลังจากเยอรมนีได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะร่วมกับอิตาลีและญี่ปุ่น
เยอรมนี ได้เจรจาเชิญชวนให้สหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิกด้วย หลังจาก
การเจรจานานสองวันในกรุงเบอร์ลินระหว่างวันที่ 12-14 พฤศจิกายน
เยอรมนีได้ส่งข้อเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรให้แก่สหภาพโซเวียตเพื่อ
เชิญชวน ทางด้านสหภาพโซเวียตได้ส่งข้อเสนอของตนกลับมาในวันที่ 25
พฤศจิกายน 1940 แต่ไร้ท่าทีตอบสนองจากเยอรมนี เนื่องจากความเป็น
อริต่อกันของทั้งสองประเทศเพิ่มมากขึ้นทุกที และเมื่อเกิดข้อพิพาทที่
ขัดแย้งกันขึ้นในยุโรปตะวันออก จึงเป็นผลให้การปะทะกันทางทหารเป็น
สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 สตาลินได้สั่งประหารและคุมขัง
ประชาชนจำนวนหลายล้านคนระหว่างการกวาดล้างครั้งใหญ่ ซึ่งผูท้ ี่ถูกสั่ง
ประหารและคุมขังนั้นได้รวมไปถึงบุคลากรทางทหารที่มคี วามสามารถ ทำ
ให้กองทัพแดงอ่อนแอและขาดผู้นำ การกระทำของสตาลินนี้ ได้ทำให้นาซี
เยอรมนีใช้เป็นข้ออ้างและเหตุผลเพื่อเตรียมการรุกรานและเพิ่มความ
เชื่อมั่นในความสำเร็จ นอกจากนี้ พรรคนาซียังได้ใช้ความโหดร้ายดังกล่าว
ในการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งมีเนื้อหากล่าวหาว่า กองทัพแดงเตรียมการที่จะ
รุกรานเยอรมนี และการรุกรานของเยอรมนีนั้นเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน
ตัว
415/665
แต่นายพลของเขาได้แย้งว่าการยึดครองสหภาพโซเวียตภาคพื้นยุโรป
จะทำให้เกิดความสิ้นเปลืองมากกว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
แต่ฮิตเลอร์ได้คาดหวังผลประโยชน์หลายประการที่จะได้หลังจากการ
เอาชนะสหภาพโซเวียต โดยเขาตั้งใจเอาไว้ว่า เมื่อสหภาพโซเวียตพ่ายแพ้
แล้ว จะทำให้สามารถปลดประจำการทหารส่วนใหญ่ในกองทัพเพื่อนำไป
แก้ปัญหาการขาดแรงงานของเยอรมนีในขณะนั้น เนื่องจากเมื่อการรบ
สำคัญสิ้นสุดลงแล้ว ประเทศก็ไม่ต้องการทหารจำนวนมากอีกต่อไป
อีกทั้ง ยูเครนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตก็จะกลายเป็นแหล่งอาหาร
ราคาถูกทีอ่ ุดมสมบูรณ์ให้กับชาวเยอรมนี เนื่องจากมีความเหมาะสมต่อ
เกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากสหภาพโซเวียตมีประชากรมากมาย ทำให้ฮิตเลอร์มอง
โซเวียต เป็นแหล่งแรงงานทาสราคาถูกซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางภูมิ
ยุทธศาสตร์ให้กับประเทศเยอรมนีอย่างมาก
ความพ่ายแพ้ของสหภาพโซเวียตจะยิ่งทำให้จักรวรรดิอังกฤษซึ่ง
กำลังจะพ่ายแพ้อยู่แล้ว ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ เยอรมนีก็สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำมันบากู เพื่อตอบสนอง
ความต้องการทางเศรษฐกิจได้
ในวันที่ 5 ธันวาคม ฮิตเลอร์ได้รับทราบแผนการรุกรานที่เป็นไปได้
และอนุมัติแผนการทั้งหมด ต่อมา ในวันที่ 18 ธันวาคม ฮิตเลอร์ได้
417/665
สตาลินว่าอาณาจักรไรซ์ ที่สามไม่น่าที่จะโจมตีประเทศของตนหลังจากที่
เพิ่งเซ็นสัญญา โมโลตอฟ-ริบเบนทรอพมาได้เพียงสองปีเท่านั้น
สตาลินยังเชื่อด้วยว่ากองทัพนาซีคงจะจัดการสงครามกับเกาะบริเทน
ให้เสร็จเสียก่อนถึงจะเปิดสมรภูมิรบใหม่กับตน แม้ว่าจะมีคำเตือนหลาย
ครั้งหลายคราวมาจากหน่วยข่าวกรองของเขา แต่สตาลินก็ยังปฏิเสธที่จะ
เชื่อการรายงานทั้งหมด โดยเกรงว่าข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นการปล่อยข่าว
โคมลอยจาก กองทัพอังกฤษ เพื่อที่จะจุดชนวนสงครามระหว่างนาซีและ
โซเวียต อีกทั้งการที่รัฐบาลเยอรมันออกมาช่วยทำการลวงสตาลิน โดย
กล่าวว่า พวกเขาแค่กำลัง เคลื่อนกำลังทหารให้ออกมานอกระยะของ
เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษ และยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าพวกเขา
พยายามจะหลอกรัฐบาลอังกฤษให้เชื่อว่ากองทัพนาซีกำลังจะบุก
สหภาพโซเวียตอีกด้วย แต่ตามจริงพวกเขากำลังเตรียมตัวในการบุกเกาะบ
ริเทนอยู่ต่างหาก
และหลังจากเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่สตาลินได้รู้ ทำให้การเตรียม
ตัวตั้งรับการโจมตีของเยอรมนีเป็นไปอย่างไม่จริงจัง อย่างไรก็ตาม ควร
สังเกตกรณีที่ ดร. ริชาร์ด ซอร์จ สายลับของโซเวียต ได้ให้ข้อมูลที่กล่าว
ถึงวันที่เยอรมนี จะบุกโซเวียตได้อย่างถูกต้อง รวมถึงอาร์น บัวร์ลิง นัก
ถอดรหัสชาวสวีเดนที่ทราบวันที่เยอรมนีจะบุกก่อนที่โซเวียตจะทราบอีก
ด้วย
421/665
การโต้แย้งที่เกิดขึ้นทำให้แผนการในการส่งกำลังบำรุงต้องหยุดชะงัก
และทำให้การบุกล่าช้าไปอีกถึงหนึ่งเดือนกว่าๆ ตามกำหนดการการบุกใน
เดือนพฤษภาคม
กลยุทธ์ สุดท้ายที่ฮิตเลอร์และนายพลของเขาร่วมกันวางขึ้นคือการ
แบ่งกองกำลังออกเป็น สามกลุ่มกองทัพโดยแต่ละกลุ่มกองทัพถูกจัดให้
ยึดภูมิภาคที่กำหนดไว้รวมถึง เมืองใหญ่ๆ ในสหภาพโซเวียต เมื่อการบุก
สหภาพโซเวียตเริ่มต้นขึ้น จะแบ่งแนวทางการบุกออกเป็นสามทางโดย
เคลื่อนพลไปตามเส้นทาง ที่เคยถูกบุกในประวัติศาสตร์ (อ้างอิงตามการ
บุกราชอาณาจักรรัสเซีย ของนโปเลียน โบนาปาร์ต) กลุ่มกองทัพเหนือถูก
มอบหมายให้เคลื่อนพลผ่านดินแดน รอบทะเลบอลติก แล้วจึงเคลื่อนไป
ยังรัสเซียตอนเหนือ โดยทำการยึดหรือทำลายเมืองเลนินกราด (เมือง
เซนต์ปเี ตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) ส่วนกลุ่มกองทัพ กลางถูกมอบหมายให้
มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองสโมเลนสก์ แล้วทำการยึดมอสโก โดยต้องทำการ
เคลื่อนพลผ่านประเทศเบลารุสในปัจจุบันและผ่านภูมิภาคกลาง แถบ
ตะวันตกทีส่ าธารณรัฐสังคมนิยมรัสเซียครอบครองอยู่ และกลุ่มกองทัพใต้
จะต้องเปิดการโจมตีในส่วนที่เป็นใจกลางของยูเครนที่เป็นศูนย์กลาง ทาง
เกษตรกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น โดยยึดเมืองเคียฟ ก่อนที่จะ
เคลื่อนพลมุ่งไปทางทิศตะวันออกผ่านทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซียตอนใต้ไป
ยังแม่น้ำโวลกาและเทือกเขาคอเคซัสที่อุดมไปด้วยน้ำมันดิบ
423/665
มาดูฝ่ายโซเวียตกันบ้าง เมื่อสหภาพโซเวียตก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่
1940 ในตอนนั้นสหภาพโซเวียตคือชาติมหาอำนาจ จากการแปรรูป
อุตสาหกรรมอย่าง รวดเร็ว กล่าวคือในทศวรรษที่แล้วทำให้ผลผลิตทาง
อุตสาหกรรมของโซเวียตเป็นรองแค่สหรัฐอเมริกา และมีผลผลิตเท่าเทียม
กับประเทศนาซีเยอรมนี การผลิตยุทโธปกรณ์นั้นเพิ่มขึ้นอย่างคงที่
โดยเฉพาะในช่วงไม่กปี่ ีก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่เศรษฐกิจของโซเวียต
นั้นถูกกำหนดไปที่การผลิตอุปกรณ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากใน
ช่วงต้นทศวรรษที่ 1930 หลักการปฏิบัติของกองทัพแดงนั้นถูกพัฒนาให้
ทันสมัยยิ่งขึ้นแล้วจึงประกาศให้เป็นหลักปฏิบัติภาคสนามของกองทัพในปี
1936 จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจดังกล่าวขึ้น
424/665
ฮิตเลอร์และนายทหารนาซีระดับสูงศึกษาแผนที่สงครามของรัสเซีย 7 สิงหาคม 1941
ทั้งวิทยุไม่กี่รุ่นที่มีอยู่นั้นก็ไม่ได้ถูกเข้ารหัสและมีสภาพการใช้งานที่ไม่
แน่นอน รวมถึงยุทธวิธีต่อสู้ทางอากาศที่ยังล้าสมัยอยู่
กองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียตกระจัดกระจายกันออกไป ไม่มีความ
พร้อมในการทำศึก และมีกองกำลังหน่วยต่างๆ ที่อยูแ่ ยกจากกัน โดยไม่มี
การลำเลียงไปยังจุดรวมพลเมื่อการรบเกิดขึ้น แม้ว่ากองทัพแดงจะมี
ปืนใหญ่ชั้นดีจำนวนมาก แต่ปืนส่วนใหญ่กลับไม่มีกระสุน กองปืนใหญ่
มักไม่สามารถเข้าสู่การรบได้เพราะไม่มีการลำเลียงพล กองกำลังรถถังนั้น
มีขนาดใหญ่และคุณภาพ ดี แต่ขาดการฝึกและการสนับสนุนทางเสบียง
รวมถึงมาตรฐานในการบำรุงรักษายังแย่มาก กองกำลังถูกส่งเข้าสู่การรบ
โดยไม่มีการจัดการเติมเชื้อเพลิง, สนับสนุนเสบียงกระสุน หรือทดแทน
กำลังทหารที่สูญเสียไป โดยมีบ่อยครั้งที่หลัง จากการปะทะเพียงครั้งเดียว
หน่วยรบถูกทำลายหรือถูกทำให้หมดสภาพ รวมไปถึงความจริงทีว่ ่า
กองทัพโซเวียตกำลังอยู่ในช่วงจัดระบบหน่วยยานเกราะ ให้กลายเป็น
กองพลรถถังยิ่งเพิ่มความไม่เป็นระบบของกองกำลังรถถังมากยิ่งขึ้น ไปอีก
ในช่วงก่อนสงคราม แน่นอนว่า สหภาพโซเวียตได้ประกาศโฆษณา
ชวน เชื่อออกมาโดยตลอด โดยกล่าวว่ากองทัพแดงนั้นแข็งแกร่งมาก และ
สามารถเอาชนะผู้รุกรานไม่ว่าหน้าไหนได้อย่างง่ายดาย
จากการทีโ่ จโซฟ สตาลินมีนายทหารประจำการทีจ่ ะรายงานเฉพาะสิ่ง
ทีเ่ ขาต้องการได้ยินเท่านั้น กอปรกับความเชื่อมั่นอย่างไร้มูลเหตุใน
สนธิสัญญาว่าด้วยการไม่โจมตีต่อกัน สตาลินถูกชักนำให้เชื่อว่าสถานภาพ
428/665
การรบที่นครเคียฟประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และสามารถ
ปิดล้อมและทำลายกองทัพโซเวียตได้ถึงสี่กองทัพ และมุ่งหน้าต่อไปยัง
คาบสมุทรไครเมียและเขตอุตสาหกรรมยูเครนตะวันออก
สถานการณ์เริ่มตีกลับ
ในช่วงปฏิบัติการบาร์บารอสซา กองทัพกว่าสามในสีข่ องฝ่ายอักษะ
และกองทัพอากาศส่วนใหญ่ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากฝรั่งเศสและทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน ไปยังแนวรบด้านตะวันออก
สหราชอาณาจักรซึ่งเป็นแกนหลักของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เหลืออยู่ไม่
ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป โดยได้รีบทำการพิจารณายุทธศาสตร์หลัก
ใหม่ทันที ในเดือนกรกฎาคม สหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตก็ได้
รวมตัวกันจัดตั้งพันธมิตรทางทหารในข้อตกลงอังกฤษ-โซเวียต และใน
ช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่าง การรุกรานอิหร่านของอังกฤษ-โซเวียตเพื่อรักษา
ฉนวนเปอร์เซียและแหล่งน้ำมันในอิหร่าน ในเดือนสิงหาคม
สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกันตั้งกฎบัตรแอตแลนติกขึ้น
และในเดือนพฤศจิกายน กองทัพเครือจักรภพที่ทำการโจมตีโต้กลับ
ในแนวรบทะเลทราย ปฏิบัติการนักรบศักดิ์สิทธิ์ และสามารถตีได้ดินแดน
ที่เคยถูกยึดครองโดยกองทัพฝ่ายอักษะทั้งหมด
แล้วสงครามก็ยิ่งขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้นเมื่อญี่ปุ่นได้อาศัยโอกาส
ในช่วงที่เยอรมนียังได้รับชัยชนะในทวีปยุโรป เพื่อการแสวงหาทรัพยากร
430/665
จากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ (อินโดนีเซียและหมู่เกาะของ
อินโดนีเซียในปัจจุบัน) แต่ว่าการเจรจากลับถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายน
ในเดือนกรกฎาคม ญี่ปุ่นได้กลายมาเป็นมหาอำนาจทางการทหารใน
คาบสมุทรอินโดจีน เพราะนอกจากจะสามารถบังคับให้ดัตช์ยอมจำนนได้
แล้ว ยังสามารถโจมตีประเทศจีนได้อีกด้วย และเมื่อสงครามจำเป็น ญี่ปุ่น
ก็ได้พัฒนา สถานภาพทางยุทธศาสตร์เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาและ
สหราชอาณาจักร รัฐบาลของประเทศตะวันตกจึงตอบโต้ด้วยการทำให้
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหยุดชะงัก
431/665
สหรัฐอเมริกา (ญี่ปุ่นต้องอาศัยนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐอเมริกากว่า
80%) ได้ตอบโต้ด้วยการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์ ญี่ปุ่น
ถูกบีบบังคับ ให้เลือกว่าจะถอนตัวออกจากเอเชีย หรือเข้ายึดแหล่งน้ำมัน
ด้วยกำลังทหาร กองทัพญี่ปุ่นเลือกอย่างหลัง และนายทหารระดับสูง
จำนวนมากคิดว่าการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นเป็นการประกาศสงคราม
เป็นนัย
แผนของกองบัญชาการกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น นั่นคือ การสร้างแนว
ป้องกันขนาดใหญ่ซึ่งลากยาวผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เพื่ออำนวย
ความสะดวกในการทำสงครามป้องกันประเทศ ขณะเดียวกันกับการ
แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในเอเชียอาคเนย์ และเพื่อการป้องกัน
การเข้าแทรก แซงจากภายนอก ญี่ปุ่นจึงพยายามวางแผนที่จะทำลาย
กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นแผนขั้นแรก
ต้นเดือนตุลาคม หลังจากที่กองทัพฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะในยูเครน
และแถบทะเลบอลติก โดยมีเพียงเลนินกราดและเซวาสโตปอลทื่ยังคงรบ
ต้าน ทานอยู่เท่านั้น ยุทธการแห่งมอสโกก็เริ่มขึ้น
หลังจากผ่านการรบอันรุนแรงเป็นเวลาสองเดือน กองทัพฝ่ายอักษะ
เกือบจะเข้าพิชิตกรุงมอสโกแล้ว แต่เมื่อฤดูหนาวอันโหดร้ายใน
สหภาพโซเวียตมาถึง กองทัพของฝ่ายอักษะก็ต้องหยุดชะงักลง
แม้ว่าเยอรมนีจะได้ดินแดนมามากมายมหาศาล แต่ว่าจุดประสงค์
ทางยุทธศาสตร์กลับไม่บรรลุผลใดเลย นครสองแห่งที่สำคัญของโซเวียต
432/665
ยังไม่แตก และกองทัพแดงยังคงสามารถต้านทานการบุกของฝ่ายอักษะได้
และยังคงเหลือขีดความสามารถทางทหารอยู่มาก โดยหลังจากนี้ ระยะ
แห่งการโจมตีสายฟ้าแลบในทวีปยุโรปได้ยุติลงอย่างสมบูรณ์
เมื่อถึงต้นเดือนธันวาคม สหภาพโซเวียตได้รับกองหนุนที่ระดมมา
จากพรมแดนด้านตะวันออกซึ่งติดกับเขตแมนจูกัวของญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการ
ยืนยันจาก ข่าวกรองแล้วว่า กองทัพโซเวียตจะสามารถต้านทานกองทัพ
ควันตงของญี่ปุ่นได้ ในวันที่ 5 ธันวาคม กองทัพโซเวียตก็ทำการโจมตี
กลับครั้งใหญ่ ตามแนวรบ ที่ยาวต่อเนื่องกันกว่า 1,000 กิโลเมตร และ
สามารถผลักดันกองทัพอักษะได้เป็นระยะทางถึง 100-250 กิโลเมตร
ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นได้โจมตีประเทศในอาณัติดินแดน
ของอังกฤษ เนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา และในเวลาเดียวกันนั้นญี่ปุ่น
โจมตีเอเชียอาคเนย์และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง รวมไปถึงโจมตี
ฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และยกพลขึ้นบกในไทยและเข้ายึด
ดินแดนมาลายา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และพม่า ช่วงเวลาดังกล่าวนี้
ดูเหมือนว่าฝ่ายอักษะจะกำลังได้รับชัยชนะอีกครั้งหนึ่งทั้งนี้เพราะสามารถ
เข้ายึดดินแดนทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ขณะที่
ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องเป็นฝ่ายตั้งรับและต้องสูญเสียดินแดนกับกำลังทหาร
มากมาย กระนั้นการเปิดการโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ของญี่ปุ่นในครั้งนั้น
แท้จริงก็คือจุดเริ่มต้นของการปิดฉากสงครามอันยิ่งใหญ่ในนาม
สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเอง ---
10
สงครามช่วงที่ 3 ก่อนการพ่ายแพ้
นักประวัติศาสตร์แบ่งช่วงเวลาของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
ตั้งแต่ปี 1939-1945 ออกเป็น 4 ช่วง ดังทีเ่ ราได้กล่าวไปแล้วบางช่วง มา
ถึงช่วงที่ 3 ของสงครามคือนับกันตั้งแต่ปี 1942 เป็นต้นมาถึงกลางปี 1943
ผลจากการโจมตีเพิร์ล ฮาเบอร์ ของฝ่ายอักษะโดยญี่ปุ่น ทำให้สหรัฐ
อเมริกาจำเป็นต้องกระโดดเข้าร่วมในสงครามอย่างเต็มตัว
จากการโจมตีครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีนและ
ฝ่าย สัมพันธมิตรตะวันตกประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที ส่วนทางด้าน
เยอรมนี อิตาลีและกลุ่มประเทศตามสนธิสัญญาสามฝ่าย ก็ได้ตอบสนอง
โดยการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา
ในเดือนมกราคม 1942 สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร
สหภาพโซเวียตและจีน ร่วมด้วยอีกยี่สิบสองรัฐบาลซึ่งเป็นประเทศเล็กหรือ
เป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ รวมไปถึงการ
434/665
รับรองกฎบัตรแอตแลนติก เป็นการสร้างพันธมิตรเพื่อต่อต้านอำนาจของ
ฝ่ายอักษะ แต่สหภาพโซเวียตมิได้ยึดมั่นตามการเปิดเผยใดๆ และการคง
ความเป็นกลางกับญี่ปุ่น และจะทำการตัดสินใจตามหลักการของตนเพียง
ฝ่ายเดียว
อำนาจอักษะยังคงสามารถทำการรุกต่อไปได้ ญี่ปุ่นเกือบจะสามารถ
ครอบครองเอเชียอาคเนย์ทั้งหมดได้ โดยมีความสูญเสียเพียงเล็กน้อยใน
ตอนปลายเดือนเมษายน 1942 ญี่ปุ่นยึดพม่าจากอังกฤษ และได้รับ
นักโทษสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรจำนวนมากจากยุทธการฟิลิปปินส์
ยุทธการมาลายา การทัพอินโดนีเซียและยุทธการสิงคโปร์ และได้รับ
ชัยชนะในยุทธนาวีหลายครั้งในทะเล จีนใต้ ทะเลชวาและ
มหาสมุทรอินเดีย
ต่อมา ได้เคลื่อนมาทิ้งระเบิดที่ฐานทัพเรือดาร์วิน และจมเรือรบ
ฝ่ายสัมพันธมิตรอีกหลายแห่งนอกจากที่อ่าว เพิร์ล ฮาเบอร์ แต่ในทะเล
จีนใต้ ทะเลชวาและมหาสมุทรอินเดีย แต่ความสำเร็จที่แท้จริงเพียง
อย่างเดียวก็คือทีย่ ุทธการชิงชาครั้งที่ 2 ในตอนต้นของเดือนมกราคม
1942 เท่านั้น และก็ยังถูกทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ณ
กรุงโตเกียวในเดือนเมษายน
ทางด้านเยอรมนีก็สามารถทำการรุกต่อได้เช่นเดียวกัน เนื่องจาก
ทหารเรือสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยมีประสบการณ์จากการบังคับเรือดำน้ำ
กองทัพเรือเยอรมนีสามารถทำลายทรัพยากรฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้ชายฝั่ง
435/665
ความรู้ดังกล่าวจนได้รับชัยชนะเด็ดขาดในยุทธนาวีมิดเวย์เหนือกองทัพ
เรือญี่ปุ่น
เพลิงไหม้เรือยูเอสเอส เวสต์เวอร์จิเนียที่เพิร์ลฮาเบอร์
จุดเปลี่ยนของสงครามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดยิ่งขึ้นเมื่อเกิดยุทธนาวีที่
เกาะมิดเวย์
437/665
และเรือรบมาเป็นจำนวนมากในการรบแบบล้างผลาญ ในตอนต้นของปี
1943 กองทัพญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้บนเกาะกัวดาลคาแนลและล่าทัพกลับไปใน
ปฏิบัติการคี
ไม่ห่างกันความพ่านแพ้ในยุทธการเอล อาลาเมน ของเยอรมันก็เป็น
อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายอักษะเริ่มอ่อนแรง
ยุทธการเอล อาลาเมน เกิดขึ้นและเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 1942
เมื่อกองทัพหน่วยแอฟริกัน ของจอมพลเออร์วิน รอมเมล ถูกกองทัพ
อังกฤษและนิวซีแลนด์รุกไล่จนต้องถอยร่นจากเอล อาลาเมน และยุติลง
ในเดือนตุลาคม 1942
ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรทีเ่ อล อาลาเมน ถือเป็นจุดสำคัญอีก
ครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะชัยชนะครั้งนี้ทำให้สัมพันธมิตรสามารถป้องกันอียิปต์
และคลองสุเอซ จากการยึดครองของฝ่ายเยอรมนี และสามารถยุติความ
เป็นไปที่ที่จะมีการเชื่อม กำลังของฝ่ายอักษะทางตะวันออกกลางกับยูเครน
และชัยครั้งนี้ยังทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถขับไล่ฝ่ายอักษะออกจาก
แอฟริกาเหนือ ทหารเยอรมนีและอิตาลีจำนวนกว่า 275,000 คนต้อง
ยอมแพ้ในเดือนพฤษภาคม 1943 สงครามทะเลทรายที่เกิดขึ้นทำให้
เยอรมันต้องสูญเสียทรัพยากรและกำลังพลไปจำนวนมาก อันส่ง
ผลกระทบต่อเนื่องถึงแนวรบด้านรัสเซียซึ่งต้องการแรงช่วยจากทรัพยากร
เหล่านี้อยู่
439/665
กองทัพโซเวียตได้ตัดสินใจที่จะตั้งรับที่สตาลินกราด ซึ่งอยูใ่ น
เส้นทางเดินทัพของฝ่ายอักษะพอดี
ตอนกลางเดือนพฤศจิกายน เมื่ออากาศหนาวมาเยือน กองทัพอักษะ
เกือบจะพิชิตสตาลินกราดในการรบในเมืองอันขมขื่นได้แล้ว แต่กองทัพ
โซเวียต ก็ทำการตีโต้อย่างหนัก โดยเริ่มจากการล้อมกองทัพเยอรมันที่ส
ตาลินกราดในปฏิบัติการยูเรนัส ตามด้วยการโจมตีสันเขารีจเฮฟ ใกล้กรุง
มอสโกในปฏิบัติการ มาร์ส กระนั้นเมื่อมีการตีโต้อย่างหนักจากโซเวียต
กองทัพเยอรมนีซึ่งไม่คุ้นเคย กับอากาศหนาวอันโหดร้ายของรัสเซีย ต้อง
ประสบปัญหาอย่างหนักและทารุณ เส้นทาเสบียงอาหารถูกตัดขาดด้วย
หิมะ และที่สำคัญอาวุธยุทธภัณฑ์ก็เริ่มขาดแคลน และไม่สามารถถอย
กลับได้ ทั้งนี้เพราะเยอรมนีบุกถลำลึกมากเกินไป
ในตอนต้นของเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพเยอรมันและพันธมิตรฝ่าย
อักษะประสบกับความสูญเสียมหาศาล กองทัพเยอรมันในสตาลินกราดถูก
บีบบังคับให้ยอมจำนน จึงทำให้แนวรบด้านตะวันออกผลักดันไปยังจุด
ก่อนการรบในฤดูร้อน ว่ากันว่ากองทัพเยอรมนีที่มกี ำลังพลกว่า 100,000
คนต้องยอม จำนน และความพ่ายแพ้ครั้งนีเ้ ป็นความพินาศของกองทัพ
เยอรมนี ทั้งนี้เพราะ นอกจากไม่สามารถควบคุมเส้นทางน้ำมันอย่างที่หวัง
แล้วยังทำให้กองทหารของโซเวียตยิ่งได้ใจมากยิ่งขึ้น
ทางด้านทิศตะวันตก ด้วยความวิตกกังวลว่าญี่ปุ่นอาจใช้เกาะมาดา
กัสการ์ ซึ่งเป็นฐานทัพของวิชีฝรั่งเศส กองทัพอังกฤษจึงสั่งดำเนินการ
441/665
สงครามช่วงที่ 4 ปิดฉากด้วยชัยชนะ
หลังจากเดือนพฤษภาคม 1943 เป็นต้นมาดูเหมือนฝ่ายอักษะจะ
ต้องตกเป็นฝ่ายรับแต่ถ่ายเดียวแล้ว สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ได้
ทุ่มกำลังทรัพยากรต่างๆ ผนวกกับความพยายามของอังกฤษและประเทศ
อาณา นิคมที่ต้องการเอาชัยชนะมาให้ได้
กล่าวคือภายหลังจากศึกบนเกาะกัวดาลคาแนล ก็เกิดปฏิบัติการทาง
ทหารมากมาย ในเดือนพฤษภาคม 1943 กองทัพอเมริกันถูกส่งออกไป
โจมตีกองทัพญี่ปุ่นในการทัพหมู่เกาะอลูเตียน และปฏิบัติการหลักในการ
ยึดครองเกาะรอบราบูล เพื่อตัดขาดกำลังสนับสนุน ให้ชื่อว่าปฏิบัติการล้อ
เกวียนและการแหกช่องโหว่ในแนวป้องกันในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง
การทัพหมู่เกาะกิลเบิร์ตและหมู่เกาะมาร์แชล เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม 1944
กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรก็สามารถประสบความสำเร็จทั้งในสองปฏิบัติการ
และยังสามารถ ทำลายฐานทัพเรือหลักของกองทัพเรือญี่ปุ่นบริเวณหมู่เกาะ
443/665
การรุกรานเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตร หรือในชื่อรหัสว่า
ปฏิบัติการฮัสกี ( Operation Husky) เป็นหนึ่งในปฏิบัติการหลักใน
444/665
ใช้ในการรุกครั้งนี้ได้ยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งอิตาลีด้านตะวันตกที่เมืองซาแลร์
โนภายใต้ชื่อ “ปฏิบัติการหิมะถล่ม” ( “Operation Avalanche”)
ขณะเดียวกันยึงมีปฏิบัติการสนับสนุนอีก 2 ชุดดำเนินไปพร้อมกันที่เมือง
คาลาบรีอา (ในชื่อ “ปฏิบัติการเบย์ทาวน์”) และเมืองตารันโต (ในชื่อ
“ปฏิบัติการสแลปสติ๊ก”)
การโจมตีบนแผ่นดินของอิตาลีสามารถมาเฉลี่ยกับความล้มเหลว
หลาย ครั้งก่อนหน้าได้ ภายหลังจากการโจมตีเกาะซิซิลีเพียงเวลาไม่นาน
ผลปรากฏว่าชนชั้นต่างๆ รวมไปถึงกษัตริย์อิตาลีได้ขับไล่และเข้าจับกุมตัว
มุสโสลินี กอง ทัพฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้เข้าโจมตีแผ่นดินใหญ่อิตาลีเมื่อ
ตอนต้นของเดือนกันยายน
ตามด้วยการหย่าศึกระหว่างอิตาลีกับกองทัพสัมพันธมิตร โดยเมื่อ
หลังจากสนธิสัญญาดังกล่าวถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนชาวอิตาลีเมื่อวันที่
8 กันยายน ฮิตเลอร์ได้ตอบสนองโดยการส่งกองทัพเข้าไปช่วยเหลืออิตาลี
แต่ปลดอาวุธกองทัพอิตาลี และทำลายอำนาจทางทหารของอิตาลีทั้งหมด
จากนั้น ก็ได้สร้างแนวป้องกันขึ้นมาหลายชั้นด้วยกัน
เมื่อวันที่ 12 กันยายน ฮิตเลอร์ได้ส่งกองกำลังพิเศษเข้าไปช่วยเหลือ
มุสโสลินี จากนั้นก็ได้สร้างสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีขึ้นเป็นรัฐบริวารใน
การปกครองของเยอรมนี ทางด้านกองทัพสัมพันธมิตรก็ได้ทะลวงผ่าน
แนวป้องกัน เยอรมันได้จนมาถึงแนวป้องกันหลัก แนวฤดูหนาว เมื่อกลาง
เดือนพฤศจิกายน ในเดือนมกราคม 1944 กองทัพสัมพันธมิตรได้โจมตี
446/665
กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นประกอบไปด้วยทหารจากหลาย
ประเทศด้วยกันได้แก่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา
นอกจากนี้ทหารจากกองกำลังฝรั่งเศสเสรีและโปแลนด์ก็ได้รวมเข้ากับ
กองกำลังสัมพันธมิตรด้วย เมื่อทหารที่ทำการจู่โจมจากเกาะอังกฤษเข้าสู่
ฝรั่งเศสได้แล้ว ยังมีกองทหารจากหลายประเทศเข้ามาร่วมกับพันธมิตร
หลังจากนั้นด้วย ได้แก่ เบลเยียมเชคโกสโลวาเกีย กรีซ เนเธอร์แลนด์
และนอร์เวย์
การบุกหัวหาดนอร์มังดีอย่างแท้จริงเริ่มต้นตั้งแต่คืนวันที่ 5
มิถุนายนโดยมีเครื่องบินทิ้งพลร่มและเครื่องร่อนลงมา และกองทัพอากาศ
ฝ่ายพันธมิตร เริ่มเปิดการทิ้งระเบิดใส่กองทัพเยอรมันที่ประจำอยู่ตาม
เมืองริมชายฝั่งของฝรั่งเศส รวมถึงการยิงปืนใหญ่จากเรือรบพันธมิตร
จนกระทั่งการบุกข้ามทะเล ของกองกำลังหลักเริ่มต้นขึ้นในตอนเช้าของ
วันที่ 6 และดำเนินต่อไปอีก 2 เดือน จนถึงการปลดปล่อยปารีสในตอน
ปลายของเดือนสิงหาคม 1944 ที่ปิดฉากการรบนี้ลง
แผนการครั้งนี้ ถูกกำหนดวันไว้คือวันที่ 5 มิถุนายน โดยจะมีพลร่ม
ลงไปหลังแนวก่อน คือวันที่ 4 มิถุนายน แต่สภาพอากาศเลวร้าย จึงเลื่อน
มาอีก 1 วัน เมื่อถึงเที่ยงคืนวันที่ 5 มิถุนายน พลร่ม และเครื่องร่อนได้
ลงหลังแนวรบ เพื่อตัดกำลัง และ คุมสะพาน ไม่ให้พวกเยอรมันที่อยู่หลัง
แนวรบ ส่งกำลังมาหน้าแนวได้ทัน ได้มีการทิ้งหุ่นพลร่มปลอมในบางจุด
ด้วย
450/665
กว่าแปดเดือน รวมไปถึงเอสโตเนียซึ่งทำการต่อต้านการยึดครองอีกครั้ง
ของสหภาพโซเวียต
ด้านแนวรบด้านตะวันออก เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ปีเดียวกัน
กองทัพโซเวียตได้กระหน่ำโจมตีเป็นชุดอย่างหนักต่อเยอรมนี โดยเริ่ม
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ไล่ตั้งแต่ปฏิบัติการบากราติออนในเบลารุส ซึ่ง
สามารถทำลายกองทัพ กลุ่มกลางของเยอรมนีลงเกือบทั้งหมด ตามด้วย
ปฏิบัติการในยูเครนและโปแลนด์ตะวันออก ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าว
ทำให้ขบวนการกู้ชาติโปแลนด์ ได้เริ่มต้นก่อการจลาจล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในกรุงวอร์ซอ และการจลาจลในสโลวาเกียทางตอนใต้ แต่ทั้งการก่อ
จลาจลทั้งสองครั้งได้ถูกปราบปรามลงโดยกองทัพเยอรมัน ส่วนการโจมตี
โรมาเนียได้ทำลายกองทัพเยอรมันไปเป็นจำนวนมาก และทำให้เกิดการ
รัฐประหารในโรมาเนียและบัลแกเรีย และทั้งสองก็ได้เข้ากับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร
ในเดือนกันยายน 1944 กองทัพแดงได้เคลื่อนทัพไปยังยูโกสลาเวีย
ทำให้กองทัพเยอรมันในกรีซ อัลเบเนียและยูโกสลาเวียต้องถอนกำลังออก
ไป เมื่อถึงจุดนี้ พลพรรคชาวยูโกสลาฟวิก ภายใต้การนำของจอมพลโจซิบ
โบรซ ติโต ซึ่งได้ครอบครองดินแดนจำนวนมากในยูโกสลาเวียและโจมตี
กองทัพเยอรมันต่อไปทางทิศใต้
ในเซอร์เบีย กองทัพแดงได้มีส่วนช่วยเหลือพลพรรคในการ
ปลดปล่อยกรุงเบลเกรด เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
452/665
กองทัพแดงได้โจมตีฮังการีครั้งใหญ่ในการรุกบูดาเปสต์ ซึ่งกินเวลานาน
ก่อนที่กรุงบูดาเปสต์จะแตกในเดือนกุมภาพันธ์ 1945
เนื่องจากชัยชนะหลายครั้งในคาบสมุทรบอลข่าน ทำให้ฟินแลนด์ ซึ่ง
ปฏิเสธการยึดครองฟินแลนด์ของสหภาพโซเวียตระหว่างการรบในสงคราม
ต่อเนื่อง และนำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกด้วยเงื่อนไขที่
เสียเปรียบ และทำให้ฟินแลนด์เปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตรแทน
ถึงต้นเดือนกรกฎาคม กองทัพเครือจักรภพ ซึ่งตั้งมั่นอยูใ่ นเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ สามารถคลายวงล้อมของกองทัพญี่ปุ่นที่รัฐอัสลัมลงได้
และสามารถผลักดันให้กองทัพญี่ปุ่นถอยไปได้จนถึงแม่น้ำชินด์วินด์
ขณะทีก่ องทัพ จีนสามารถยึดเมืองมิตจีนาในประเทศพม่าได้ ส่วนทางด้าน
ประเทศจีน กองทัพญี่ปุ่นเริ่มได้รับชัยชนะอย่างมาก จากการยึดเมืองฉาง
ชาไว้ได้ในที่สุดในตอนกลางเดือนมิถุนายน และยึดเมืองเหิงหยางได้เมื่อ
ต้นเดือนสิงหาคม
จากนั้นจึงได้เคลื่อนทัพต่อไปยังมณฑลกวางสี สามารถเอาชนะ
กองกำลังหลักของจีนได้ที่กุ้ยหลินและหลิวโจวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน
และประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อกองทัพญี่ปุ่นในจีนและใน
คาบสมุทรอินโดจีนในกลางเดือนธันวาคม
ด้านสมรภูมิมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพอเมริกันยังคงกดดันแนว
ป้องกัน ของญี่ปุ่นตามหมู่เกาะต่างๆ ต่อไป กลางเดือนมิถุนายน 1944
กองทัพอเมริกัน ได้ทำการโจมตีหมู่เกาะมาเรียน่าและปาเลา และได้รับ
453/665
ชัยชนะเด็ดขาดต่อราชนาวีจักรวรรดิญี่ปุ่นในยุทธนาวีทะเลฟิลิปปินส์
ภายในเวลาไม่กี่วัน ตอนปลายเดือนตุลาคมกองทัพอเมริกันยกพลขึ้นบกที่
เกาะเลเต และหลังจากนั้นไม่นาน กองทัพเรือของสัมพันธมิตรก็ได้รับ
ชัยชนะครั้งใหญ่ต่อกองทัพญี่ปุ่นอีกครั้งในยุทธนาวีอ่าวเลเต
วันที่ 16 ธันวาคม 1944 กองทัพเยอรมันทำการตีโต้ที่ป่าอาร์เดน
เนอร์กับฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตก ซึ่งกินเวลาไปหกสัปดาห์จนกระทั่ง
กองทัพเยอรมัน ถูกตีจนพ่ายแพ้กลับไป ส่วนในแนวรบด้านตะวันออก
กองทัพโซเวียตโจมตีถึงฮังการี และกองทัพเยอรมันจำเป็นต้องทิ้งกรีซและ
ยูโกสลาเวีย ขณะทีใ่ นอิตาลี กองทัพสัมพันธมิตรยังคงยันกัน ไม่สามารถ
ตีผ่านแนวป้องกันของเยอรมันได้
กลางเดือนมกราคม 1945 สหภาพโซเวียตโจมตีโปแลนด์ สามารถ
ผลักดันกองทัพเยอรมันจากแม่น้ำวิซตูล่าถึงแม่น้ำโอเดอร์ และยึดครองป
รัสเซียตะวันออก
4 กุมภาพันธ์ ผู้นำของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ
สหภาพโซเวียต ได้เข้าร่วมการประชุมที่ยอลต้า ซึ่งได้ข้อสรุปถึงการแบ่งปัน
ดินแดนของ เยอรมนีภายหลังสงคราม และกำหนดเวลาที่สหภาพโซเวียต
จะเข้าโจมตีญี่ปุ่น
ในเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกได้เข้าสู่
แผ่นดินของเยอรมนีและเข้าประชิดแม่น้ำไรน์ ขณะทีก่ องทัพโซเวียตโจมตี
โพเมอราเนียตะวันออก ถึงเดือนมีนาคม กองทัพสัมพันธมิตรตะวันตกได้
454/665
ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพสหรัฐอเมริกาได้รุกเข้าสู่
ฟิลิปปินส์ หลังจากได้ชัยในเกาะเลเตเมื่อปลายปี 1944 จากนั้นก็ยกพลขึ้น
บกทีล่ ูซอนเมื่อเดือนมกราคม 1945 และที่เกาะมินดาเนาเมื่อเดือนมีนาคม
ขณะทีก่ องทัพ ผสมอังกฤษและจีนสามารถเอาชนะกองทัพญี่ปุ่นได้ในพม่า
ตอนเหนือ ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนมีนาคม จากนั้นก็รุกถึงกรุงย่าง
กุ้งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม
456/665
กองทัพอเมริกันยังคงมุ่งหน้าเข้าสูญ
่ ี่ปุ่น สามารถยึดเกาะอิโวจิมาใน
เดือนมีนาคม และเกาะโอกินาวาในเดือนมิถุนายน ขณะทีเ่ ครื่องบินทิ้ง
ระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาได้ทำลายเมืองต่างๆ ของญี่ป่น
457/665
และเรือดำน้ำอเมริกันก็เข้าปิดล้อมเกาะญี่ปุ่น ทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ
และสังคมในญี่ปุ่น แต่เหล่าผู้นำของญี่ปุ่นได้ตัดสินใจที่จะสู้ต่อไป และ
หวังว่าความพ่ายแพ้อันนองเลือดจะเกิดแก่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร และ
จากนั้นก็จะจบลงด้วยการเจรจาสันติภาพ
วันที่ 11 กรกฎาคม เหล่าผู้นำของฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้าประชุมกัน
ทีเ่ มืองพอตสดัม ประเทศเยอรมนี ได้ข้อสรุปว่าที่ประชุมให้การรับรอง
เกี่ยวกับข้อตกลงต่างๆ กับเยอรมนี และย้ำถึงความจำเป็นของญี่ปุ่นที่จะ
ต้องยอมแพ้อย่างไม่มเี งื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวในตอนต้นว่า
“อีกทางเลือกหนึ่ง ของญี่ปุ่นก็คือหายนะเหลือแสน” ( “the alternative
for Japan is prompt and utter destruction”)
ภายหลังจากการประชุมนี้ สหราชอาณาจักรได้มกี ารเลือกตั้งทั่วไปปี
1945 และคลีเมนต์ แอตลีย์ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีของสหราชอา
ณา จักรแทน วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีคนเดิม
ญี่ปุ่นได้ปฏิเสธข้อเสนอทีพ่ อตสดัม สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจทิ้ง
ระเบิดปรมาณูทั้งสองลูกบนแผ่นดินญี่ปุ่น ที่เมืองฮิโรชิมา (6 สิงหาคม)
และเมืองนางาซากิ (9 สิงหาคม)
ด้านสหภาพโซเวียตก็ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และโจมตีแมนจูเรีย
ของญี่ปุ่นระหว่างปฏิบัติการพายุสิงหาคมในวันที 8 สิงหาคม ซึ่งเป็นผลมา
จากการประชุมทีย่ อลต้า เนื่องจากญี่ปุ่นเกรงกลัวต่ออำนาจของ
สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ 15
458/665
สมาชิกช่วงหลักและช่วงเวลาการเข้าร่วมสงครามของประเทศต่างๆ
ทั่วโลก
แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายอักษะ และฝ่ายสัมพันธมิตร
ฝ่ายอักษะ
สมาชิก
ประเทศหลัก
* นาซีเยอรมนี
* ฟาสซิสต์อิตาลี
* จักรวรรดิญี่ปุ่น
ประเทศสมาชิกรอง
* ฮังการี
* โรมาเนีย
* บัลแกเรีย
460/665
* ยูโกสลาเวีย
ประเทศผู้ทำสงครามร่วม
* ฟินแลนด์
* อิรัก
* ไทย
รัฐบาลหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่น
* แมนจูกัว
* มองโกเลียใน
* รัฐบาลหวาง จิงเว่ย
* พม่า
* สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2
* อินเดีย
* เวียดนาม
* กัมพูชา
* ลาว
รัฐบาลหุ่นเชิดของอิตาลี
* มอนเตเนโกร
461/665
รัฐบาลหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี
* สโลวาเกีย
* เซอร์เบีย
* สาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลี
* อัลเบเนีย
* ฮังการี
รัฐบาลหุ่นเชิดร่วมระหว่างนาซีเยอรมนีและอิตาลี
* โครเอเชีย
* กรีซ
* พินดัสและมาซิโดเนีย
ประเทศผู้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายอักษะ
* วิชีฝรั่งเศส
* เดนมาร์ก
* สหภาพโซเวียต (ก่อนหน้า ค.ศ. 1941)
* สเปน
ฝ่ายสัมพันธมิตร
ตามช่วงเวลาการรุกรานโปแลนด์
462/665
สหรัฐอเมริกา
* คอสตาริกา : 8 ธันวาคม 1941
* สาธารณรัฐโดมินิกัน : 8 ธันวาคม 1941
* เอลซัลวาดอร์ : 8 ธันวาคม 1941
* เฮติ : 8 ธันวาคม 1941
* ฮอนดูรัส : 8 ธันวาคม 1941
* นิการากัว : 8 ธันวาคม 1941
* สาธารณรัฐจีน† : 9 ธันวาคม 1941 (ทำสงครามกับ จักรวรรดิ
ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1937)
* เครือจักรภพฟิลิปปินส์ : 9 ธันวาคม 1941
* กัวเตมาลา : 9 ธันวาคม 1941
* คิวบา : 9 ธันวาคม 1941
หลังจากประกาศก่อตั้งสหประชาชาติ
* เม็กซิโก : 22 พฤษภาคม 1942
* บราซิล : 22 สิงหาคม 1942
* เอธิโอเปีย : 14 ธันวาคม 1942 (ก่อนหน้านั้น อยู่ภายใต้การ
ยึดครองของอิตาลี)
465/665
ผู้นำและบุคคลสำคัญใน
สงครามโลกครั้งที่ 2
ความสมบูรณ์ของเรื่องราวในสงครามโลกครั้งที่ 2 จะไม่สมบูรณ์ได้
หากว่า เราไม่ได้มาทำความรู้จักกับบรรดาผู้นำ สำคัญๆ ที่ถือเป็นสมอง
และหัวใจหลัก ของการทำสงครามอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ฉะนั้นบทนีเ้ ราจะ
มาทำความรู้จักกับบรรดาผู้นำคนสำคัญในแต่ละฝ่ายกัน
ฝ่ายอักษะ
เยอรมนี
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
นี่คือท่านผู้นำที่โลกยกย่องว่าเป็นจอมเผด็จการอันดับหนึ่ง อดอล์ฟ
ฮิตเลอร์
468/665
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
สนใจการต่อสู้กระนั้นก็ยอมรับกันว่าเขาเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด
แม้ว่าจะขี้เกียจอย่างมาก โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้เวลานานๆ
เขาเป็นเด็กช่างฝัน มีเพื่อนไม่มากนัก พรรคนาซีของเขามักจะทำการ
ประชาสัมพันธ์อยู่เสมอว่า ฮิตเลอร์ในวัยเด็กมีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
โดยเขามักจะนำเพื่อนๆ ทุกคนในสนามเด็กเล่นอยูเ่ สมอ อีกทั้งยัง
ประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังว่า ฮิตเลอร์สนใจในการค้นคว้าประวัติศาสตร์
ซึ่งที่จริงแล้ว มีคนแย้งอยู่เสมอว่า เขาไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การบุก
รัสเซียของนโปเลียนเลยแม้แต่ผิวเผิน ทำให้เขาประสบกับความพ่ายแพ้ใน
รัสเซียเช่นเดียวกับนโปเลียน หนึ่งในวีรบุรุษที่เขาโปรดปราน
สำหรับวิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะ
รุนแรง กับพ่อ เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูก
สิ้นสุดลงในปี 1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับ
ผลกระทบอะไรมากทางการเงิน ครอบครัวของเขาย้ายไปเมือง Linz ที่นี่
ฮิตเลอร์ตัดสินใจเรียนวาดภาพ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ในการวาดภาพ
ของเขาได้ถูกทำลายลงด้วยการขาดความเพียรพยายามของเขา ฮิตเลอร์
ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน
ต่อมาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงิน
เดินทางไปกรุงเวียนนา หวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่า
ตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบัน
472/665
วิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเสธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียน
สถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า
ว่ากันว่า ฮิตเลอร์อับอายมากที่ล้มเหลวเช่นนี้ จนไม่กล้าบอก
ความจริงกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นอยูใ่ นเวียนนาต่อไปว่าตนเอง
เป็นนักเรียนศิลปะ
ฮิตเลอร์ใช้ชีวิตไร้เป้าหมายอยู่ในเวียนนา 6 ปีหลังจากนั้น โดยไม่
ทำงาน อาศัยเงินบำนาญของพ่ออยู่ไปวันๆ บางวันก็ออกไปดูผลงานศิลปะ
บางวันก็ไปหลับอยู่ในบาร์ ไปอาศัยอยูท่ ี่พักของคนเร่ร่อน ซึ่งเป็นของชาว
ยิว ทั้งยังมีเพื่อน ในวงการศิลปะและความบันเทิงเป็นชาวยิวที่
เป็นใหญ่เป็นโต ทำให้ฮิตเลอร์ อิจฉาคับแค้นใจขึ้นไปทีละน้อย
ในระยะเวลาทีฮ่ ิตเลอร์เป็นจิตรกรคนยาก ฮิตเลอร์ได้พบกับความสุข
ทีเ่ รียกว่าความรัก เธอเป็นหญิงที่สวยงามและมีฐานะดีพอสมควร เป็นส่วน
ทีท่ ำให้ฝ่ายชายเกรงและอายที่จะขอหล่อนแต่งงาน ขณะเดียวกันฝ่ายหญิง
ก็ไปคบกับหนุ่มชาวยิวและทั้งคูก่ ็แต่งงานกัน ขณะที่ฮิตเลอร์เองก็ตกงาน
และในใจเขามีความแค้นอย่างมากในเวลานั้น (นี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้
ฮิตเลอร์เองจดจำและเก็บไว้ในใจ)
ค.ศ. 1907 แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง การเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิต
เลอร์เสียใจสุดซึ้ง เพราะรักแม่มากและมากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิต
เลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่ แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยังอยู่ในมือ
473/665
ภายหลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะได้
รีดนาทาเร้นเยอรมันเพียงประเทศเดียวตามสนธิสัญญาแวร์ซายส์
บ้านเมืองระส่ำระสาย ความอดอยากหิวโหยแผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ ผู้นำ
เยอรมันแบ่ง แยกออกเป็นหลายฝ่าย มีทั้งสังคมนิยมแบบขวาจัดกลางขวา
กลางซ้าย ไปจน ถึงซ้ายจัดทีม่ ีผู้นำเป็นยิว ซ่องสุมกำลังคนนับแสนเพื่อ
เปลี่ยนประเทศเยอรมันให้เป็นคอมมิวนิสต์โดยการหนุนของรัสเซีย ใน
ปลายปี 1919 สิบโทฮิตเลอร์ผู้โด่งดังจากการได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขน
เหล็กในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาได้รับการคัดเลือกให้ไปเรียนปฏิบัติการ
จิตวิทยาในด้านประชาสัมพันธ์มวลชนทีม่ หาวิทยาลัยมิวนิค เขาฝึกหนักใน
เรื่องการใช้คำพูดให้คนที่ด้อยการศึกษาซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ให้เข้าใจใน
เนื้อหาและมองเห็นภาพคล้อยตาม ฮิตเลอร์ได้ย้าย ไปอยูม่ วิ นิค
เมืองหลวงของบาวาเรีย ซึ่งเป็นแคว้นเอกเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
เยอรมัน และที่นี่ถือได้ว่าเป็นบันไดให้ฮิตเลอร์ก้าวย่างขึ้นไปสู่ถนน
การเมืองระดับชาติโดยที่เขาไม่เคยคิดไม่เคยคาดฝันมาก่อน เขาอยากเป็น
ศิลปินแต่กลับเริ่มต้นชีวิตการเมืองอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อคูร์ต ไอส์เนอร์ หัวหน้าพรรคอินดีเพนเดนท์โซเซียลลิสท์
ประกาศว่า บาวาเรียได้เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมแล้ว ซึ่งในสายตา
ของฮิตเลอร์ สังคมนิยมดังกล่าวคือการปฏิวัติยึดอำนาจโดยชาวยิว
ทำนองเดียวกันกับการปฏิวัตทิ ี่รัสเซีย คาร์ล มาร์กซ์ ผู้เผยแพร่ลัทธิ
สังคมนิยม รวมทั้งบรรดาผู้นำสังคมนิยมทั้งที่เยอรมันและรัสเซียล้วนเป็น
ยิว ฮิตเลอร์มีปรัชญาด้านการเมืองแบบชาตินิยมว่า เยอรมันเป็นอารยชาติ
477/665
หนึ่งในแปดของผลผลิตอุตสาหกรรม รวมทั้งทรัพย์สินที่เป็นสังหาและอสัง
หาของชาวเยอรมันที่อยู่นอกประเทศต้องถูกริบหมด
เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว ฮิตเลอร์ได้ออกไปปฏิบัติการฝึกซ้อม
ฝีปากในค่ายทหารต่างๆ เขาพูดทุกอย่างออกมาจากใจและด้วยความ
รักชาติอย่างแท้จริง สิ่งที่สำคัญของเขาคือ ความหวังในการกอบกู้ประเทศ
ชาติให้กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง การพูดทุกครั้งเขาไม่เคยละเว้นโจมตีพวก
ยิวและยกย่องสายเลือดเยอรมัน เพราะหลังสงคราม ยิวระดับปัญญาชน
ได้เข้ามาเป็นใหญ่ในรัฐบาลจนถึงกับร่างกฎหมายใหม่ ยกเลิกข้อห้ามจำกัด
สิทธิต่างๆ ของยิว เพื่อให้ยิวมีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ากับพลเมืองเยอรมัน
ทุกประการ นอกจากฮิตเลอร์เป็นนักปราศรัยเองแล้ว ตัวเขาก็เป็นนักฟัง
การปราศรัยของพรรคการเมือง อื่นและมักไปร่วมการชุมนุมอยู่เสมอด้วย
ฮิตเลอร์ได้รับทราบข้อมูลด้านลึกในระหว่างการเดินทางไปบรรยาย
ให้กับหน่วยทหารว่า ยิวและลัทธิมาร์กซิสต์จะทำการปฏิวัติโดยการ
เผยแพร่คำสอนและส้องสุมกำลังคนเพื่อบ่อนทำลายเยอรมัน กองทัพจึงให้
ฮิตเลอร์ทำหน้าทีเ่ ป็นสายลับเข้าไปในพรรคแรงงานเยอรมัน (GWP) โดย
ทางกองทัพเกรงว่าพรรคใหม่นี้อาจสนับสนุนการปฏิวัติของคอมมิวนิสต์
แอนตัน เดร็กเลอร์ หัวหน้าพรรคได้ชักชวนฮิตเลอร์ให้เข้าร่วมงานกับ
พรรค เมื่อเขาได้อ่านนโยบาย ของพรรคแล้วเห็นว่ามันตรงกับสิ่งที่เขา
ต้องการ นั่นคือการเป็นสังคมนิยมแบบ เยอรมันและการต่อต้านมาร์ค
ซิสต์ เขาได้รับอนุมัติจากคาร์ล เมร์ ผู้บังคับบัญชา ให้เข้าเป็นสมาชิก
479/665
พรรคแรงงานเยอรมันได้ เขาจึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคลำดับที่ 44 มี
ตำแหน่งในคณะบริหารพรรคเป็นผู้จัดการโฆษณาชวนเชื่อ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุดลง พร้อมๆ กับความ
พ่ายแพ้ของ เยอรมนี ฮิตเลอร์เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากได้
รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษจากฝ่ายอังกฤษ เยอรมนีถูกจำกัด
ในทุกๆ ด้าน ด้วยสนธิสัญญาแวร์ซายส์ (The Treaty of Versailles)
ฮิตเลอร์มีความเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเขาและกองทัพเยอรมนี เกิด
ขึ้นมาจากศัตรูที่อยู่ภายใน (Enemy within) มากกว่า และเขาเชื่อว่าศัตรู
ที่อยู่ภายในนั้นหักหลังประเทศเยอรมัน พวกนั้นก็คือ พวกยิว พวก
คอมมิวนิสต์ หรือมาร์กซิสต์ และพวกนักการเมือง สนธิสัญญาแวร์ซายส์
จำกัดทุกอย่าง กองทัพ เยอรมันถูกลดลงเหลือเพียง 100,000 คน
เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง
เรียกได้ว่า ช่วงชีวิตในวัยเด็กและวัยหนุ่มตอนต้นของเขาอาจไม่
สวยงาม นัก หรือจะพูดให้กระจ่างขึ้นก็ต้องว่า เขาต้องพานพบกับ
ความผิดหวังอยูเ่ สมอ นั้นเอง เริ่มจากพบว่าครอบครัวของตัวเองมีพ่อที่
เผด็จการ แม่ที่แสนดีต้องทนทุกข์และเจ็บปวด ต่อมาเมื่อสนใจการเรียน
ศิลปะเขาก็ต้องผิดหวังเมืองสถาบัน ศิลปะชั้นสูงในเวียนนาไม่อนุญาตหรือ
ยอมรับให้เขาเข้าเรียน กลายเป็นบาดแผล ในจิตใจที่ทำให้เขาต้องเก็บ
บ่มมันเอาไว้
480/665
จำเป็นต้องทำความเข้าใจการเมืองในประเทศเยอรมันช่วงนี้กัน
เสียก่อน
ค.ศ. 1918 เป็นช่วงที่เยอรมันจะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามนั้น
ปรากฏว่าเป็นเวลาเดียวกับที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่พอใจรัฐบาลอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั่นเอง ก็เกิดการปฏิวัติขึ้นใน
ประเทศเยอรมัน ส่งผลให้ไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 กษัตริย์ของเยอรมันใน
เวลานั้นต้องเสด็จลี้ภัยไปยังฮอลแลนด์และทรงสละราชสมบัติในเวลา
ต่อมา
ฟรีดริซ เอแบร์ท (Feiedrich Ebert) ผู้นำพรรคสังคม
ประชาธิปไตยเยอรมัน (German Social Democrat) ได้รับตำแหน่ง
ผู้นำรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในประเทศในเดือนมกราคม
1919
ในปี 1919 ฮิตเลอร์ก็ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่คือการทำงานด้าน
การเมืองโดยได้เข้าร่วมในพรรค National Socialist German
Workerûs Party หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมนีว่า National Sozial-
istische Deutsche Arbeiter Partei ภายหลัง เปลี่ยนมาเรียกสั้นๆ
ว่า National Sozialist หรือ NAZI นั่นเอง
ในการเลือกตั้งปี 1919 นั้น พรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมัน ซึ่ง
ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนเยอรมัน หรือที่เรียกกันว่าสภาไรค์ซ
ตาก (Richstag) ก็ได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาโดยจับมือกับพันธมิตรอีก
484/665
ขายหมดเกลี้ยง แถมด้วยบัตรฟรีให้กับครอบครัวของทีมงานและนักเรียน
อีก 2,000 ใบ ศูนย์ประชุมทีส่ ามารถบรรจุคนได้ 9,000 คน แน่นขนัดจน
ไม่มที ี่จะยืน ฮิตเลอร์ได้เขียนบันทึกไว้ว่า สองนาทีก่อนสองทุ่ม ฉัน
เดินทางไปถึงศูนย์ประชุม ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะมอง
ไปทางไหนก็พบกับคนนับพันที่อยู่กันแน่นไปหมดจนไม่มีที่ยืน
จากการทีฮ่ ิตเลอร์ทำเกินหน้าเดร็กเลอร์หัวหน้าพรรค คณะกรรมการ
จึงได้นัดประชุมเพื่อบั่นทอนบทบาทของฮิตเลอร์ลง แต่ผลการประชุมกลับ
ตรงกันข้ามด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ฮิตเลอร์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใน
การหาเงินเข้าพรรค, เป็นคนหาสมาชิกเข้าพรรค, เป็นคนสร้างชื่อเสียงให้
พรรค, เป็นคนประสานงานระหว่างสาขาของพรรค และถ้าหากบั่นทอน
บทบาทของฮิตเลอร์ลง เขาอาจพาพรรคพวกออกไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาแข่ง
ในที่สุดคณะกรรมการพรรคได้เสนอตำแหน่งประธานบอร์ดอันดับหนึ่งให้
กับฮิตเลอร์ แต่เขาไม่หลงกลในตำแหน่งประธานบ้าบอนั่น เขาโวยวายลั่น
ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พรรคไม่มีวันเงยหน้าอ้าปากมาได้จนถึงทุกวันนี้ ว่า
แล้วเขาก็เดินออกจากพรรคไป หลังจากนั้นเขาได้เขียนใบลาออกจากพรรค
ทางฝ่ายคณะกรรมการพรรคตระหนกตกใจต่างซัดทอดกันเอง แต่
การเมืองก็คือการเมือง การเมืองสะอาดไม่มใี นโลกนี้ คณะกรรมการจึง
รวมหัวกันใช้แผนอุบาทว์โจมตีฮิตเลอร์ด้วยใบปลิวหลายหมื่นใบ โปรย
เต็มถนนทั่วทุกชุมชนในเมืองมิวนิค เนื้อความกล่าวหาว่า ฮิตเลอร์เป็นผู้
ทรยศ ใช้พรรคเป็นบันไดไปสู่อำนาจ, ฮิตเลอร์ยักยอก ทรัพย์ของพรรคไป
486/665
ว่ากันว่าวิธีการรวบรวมสมาชิกเข้าสู่พรรคก็คือ ฮิตเลอร์จะนัดชุมนุม
ตามโรงเบียร์ในเมืองมิวนิค โดยเปิดให้คนมาฟังดื่มเบียร์ฟรี โรงเบียร์ที่มี
ชื่อในมิวนิคที่ฮิตเลอร์ไปพูดประจำคือ “ฮอฟ บรอย เฮาส์” ตั้งอยู่ใน “มา
เรียนพลาส” ในมิวนิค ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเบียร์และร้านขายอาหารที่มีชื่อ
การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคย่อมหมายถึงความสำเร็จในวงการ
การเมืองก้าวสำคัญของเขาแล้ว และนับจากนี้ไปการเมืองเยอรมันก็อยูใ่ น
กำมือของเขา
ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการ
ล้มราชวงศ์โรมานอฟของพระเจ้าซาร์ในประเทศรัสเซีย และแผ่ขยายเข้าสู่
เยอรมัน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในเยอรมัน ฮิตเลอร์ซึ่งสังกัด
อยูใ่ นลัทธิชาตินิยมขวาจัด ได้นำกำลังเข้าโจมตีสหภาพแรงงานซึ่งเป็น
หัวหอกของพวกคอมมิวนิสต์ ตลอดจนกลุ่มธุรกิจของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ในเดือนกันยายน 1921 ฮิตเลอร์ถูกจับส่งตัวเข้าคุกเป็นเวลา 3
เดือนจากคดีทำร้ายนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามความเป็นเผด็จการของฮิต
เลอร์เริ่มต้นขึ้นหลังจากวันที่เขาออกมาจากคุก เขาได้ก่อตั้งกองกำลัง
ส่วนตัวเรียกว่า Sturm Abteilung : SA เป็นหน่วยกำลังสำหรับ
อารักขาฮิตเลอร์และเล่นงานทำร้ายฝ่ายตรงข้าม โดยมีแฮร์มานน์ เกอริง
อดีตเสืออากาศในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นหัวแรงคนสำคัญในการฝึก
กองกำลังทีค่ ัดเลือกมาจากทหารผ่านศึกให้มรี ะเบียบ วินัยแบบทหาร
กองกำลังเอสเอแต่งเครื่องแบบด้วยเชิ้ตสีกากี สวมทับด้วยแจ็กเก็ตสีเทา
489/665
ต่อมาฮิตเลอร์ได้พบกับสาวงามปราดเปรียววัย 17 ปีที่เป็นลูกจ้าง
ทำงาน อยูใ่ นร้านถ่ายรูปของฮอฟฟ์มานนั่นเอง เธอชื่อ อีวา บราวน์ เมื่อเจ
ลิรู้เรื่องนี้เธอทะเลาะกับฮิตเลอร์อย่างรุนแรงเป็นประจำ และในวันที่ 18
กันยายน 1931 ขณะทีฮ่ ิตเลอร์เดินทางไปฮัมบูร์ก เจลิได้กระทำ
อัตวินิบาตกรรมด้วยการยิงตัวตาย ฮิตเลอร์เสียใจมาก จึงเลิกทาน
เนื้อสัตว์หันมาทานมังสวิรัติตลอดชีวิต
การเสียชีวิตของเจลิยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ มีคำถามที่สงสัย
การตายอย่างซ่อนเร้นมีเงื่อนงำว่า เจลิตายเพราะฮิตเลอร์ใช้กำลังทำร้าย
ก่อนที่ เธอยิงตัวตาย หรือเจลิตั้งครรภ์ หรือว่านายพลฮิมม์เลอร์หัวหน้า
หน่วยเอสเอสสังหารเพราะเธอคุกคามขู่เข็ญแบล็กเมล์ฮิตเลอร์
พรรคนาซีเริ่มได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากยอดของสมาชิก
พรรคนาซี ในปี 1927 ทีม่ ีอยู่ประมาณ 72,000 คน ได้เพิ่มเป็น 178,000
คนในปี 1929 หรือเพียง 2 ปีต่อมา
ใน ปี 1929 นี้เอง ที่ไฮนริชน์ ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler)
นักธุรกิจทีร่ ่างกายอ่อนแอ และล้มเหลว ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้นำระดับสูงสุด
คนหนึ่งของพรรค นาซี ได้ทิ้งฟาร์มเลี้ยงไก่ของเขา เข้าร่วมกับฮิตเลอร์
และได้เป็นหัวหน้าหน่วย Waffen SS (Armed SS) ซึ่งเป็นหน่วย
อารักขาของฮิตเลอร์ (Hitler bodyguard) โดยในขณะนั้นมีจำนวน
เพียง 200 คน แต่ก็เป็นสองร้อยคนที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อ
คานอำนาจกับหน่วย SA
493/665
กลายเป็นว่านับจากนั้นฮิตเลอร์ไม่เกรงกลัวมหาอำนาจชาติใดอีก
ต่อไป และที่สำคัญที่สุดในสายตาของชาวโลกก็คือการฉีกสนธิสัญญานั้นก็
เท่ากับการเตรียมตัวเพื่อทำสงครามอีกครั้งของเยอรมันนั้นเอง
พร้อมกันพรรคนาซีของฮิตเลอร์ยังเข้ามาดำเนินนโยบายการเมือง
อย่าง เต็มที่ ว่ากันว่านาซี เป็นชาตินิยมในความหมายแคบเพียงว่า
เยอรมันสำหรับเยอรมัน “ที่แท้จริง” ในด้านเชื้อชาติทฤษฎีนถี้ ือว่า
เยอรมนีที่แท้จริงก็คือผู้ที่ถือ เลือดของติวตัน เพราะถือว่าชนพวกนี้เป็นชน
ทีม่ ีคุณสมบัตทิ ี่ดีงามเหนือชนชาติ ใดๆ ลัทธินเี้ ป็นลัทธิชาตินิยมจัดที่สุด
พวกนาซีส่งเสริมการไม่เชื่อถือคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะคัมภีรเ์ ก่า ซึ่งนาซี
ถือว่าอันตรายต่อลัทธิของตนเองด้วยว่าเป็นวรรณคดีของชาวยิวไม่ใช่ของ
ตัวเองหรือติวตัน
นาซีใช้เครื่องหมายสวัสดิกะ ซึ่งอ้างว่าเป็นเครื่องหมายที่พวกชนเผ่า
เยอรมนีโบราณเผ่าต่างๆ ใช้กัน เป็นเครื่องหมายของพรรค โครงการของ
พรรคนาซีที่สำคัญคือมีโครงการที่จะรวมรัฐเยอรมันเข้าเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันด้วย ซึ่งนั้นก็หมายถึงอาณาเขตของเยอรมันจะต้อง
ขยายออกไปรวมเอาถิ่นที่มีชนเชื้อชาติเยอรมันอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่เข้าไว้
ด้วย
ต่อจากนั้นนาซีก็ได้ทำโฆษณาชวนเชื่อโจมตีสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่ง
พวกนาซีถือว่าเป็นเอกสารที่แสดงความสบประมาทชาวเยอรมนี ที่สำคัญ
พวก นาซีไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลระบอบอื่นๆ ทั้งสิ้น กล่าวคือรัฐบาลใน
504/665
อุดมคติของนาซีก็คือรัฐบาลที่รวมอำนาจทั้งหมดไว้ที่รัฐบาลกลาง และมีรัฐ
เป็นรัฐทหารภายใต้การบงการของพรรค การประชุมผู้นำนาซีอาวุโสไม่ว่า
ครั้งใดมักจะมีการต่อสู้กันอย่างเปิดเผย ความเกลียดชังกันระหว่างเชื้อชาติ
และอาชญากรรม ร้ายแรงมักจะเกิดติดตามมาเสมอ
ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ นาซีได้มีการจัดกันเป็นกลุ่มขึ้น โดยมี
ระเบียบ วินัยเคร่งครัด และปกครองอย่างทหาร โดยเรียกตัวเองว่า
กองทหารสตอร์ม ทรูพ ทหารเหล่านี้จะสวมเสื้อเชิร์ตสีน้ำตาล แขนข้าง
หนึ่งจะสวมเครื่องหมายสวัสดิกะ กองทหารนี้จะทำการรักษาการในการ
ประชุมต่างๆ ของพวกนาซี
ฮิตเลอร์ใช้นโยบายบังคับความร่วมมือ โดยการเปลี่ยนเยอรมันให้
กลาย เป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ โดยการเข้าคุมวิถีชีวิตของประชาชนทุก
ด้าน โดยใช้กำลังตำรวจและตำรวจลับที่เรียกกันว่าเกสตาโป ทำให้ชาว
เยอรมันไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล พรรคการเมืองอื่นๆ ถูกยุบลง จึง
เหลือเพียงพรรคเดียวคือพรรคนาซี
แล้วรัฐบาลนาซีก็เข้าควบคุมทุกอย่างภายในรัฐ เริ่มตั้งแต่โยกย้าย
หรือปลดข้าราชการเพื่อให้นาซีเข้าทำงานแทน ยุบสหภาพแรงงาน ห้ามมี
การนัดหยุดงาน เข้าควบคุมระบบการศึกษา เขียนตำราขึ้นมาใหม่เพื่อให้
สอดคล้องกับ ทฤษฎีของนาซี โดยเฉพาะตำราประวัติศาสตร์และชีววิทยา
ที่จะหล่อหลอมแนวคิดว่าการบรรลุและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จะทำได้ก็ด้วย
การใช้กำลังเท่านั้น
505/665
พร้อมกันเยาวชนจำนวนมากก็เข้าร่วมในขบวนการยุวฮิตเลอร์ โดยมี
หน้าที่สอดแนมการสอนหรือการบรรยายของอาจารย์ทั้งในโรงเรียนและ
มหาวิทยาลัยเพื่อรายงานต่อตำรวจลับ
ในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มสร้างความมั่นคงภายนอก เพื่อประวิงเวลา
การรุกรานจากภายนอกออกไป ทำให้เยอรมันไม่ต้องพะวักพะวนกับ
สงครามที่อาจจะมีขึ้น และสามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศได้อย่าง
เต็มที่ เช่น เซ็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกันระหว่างเยอรมันกับ
โปแลนด์ เพื่อทำให้มั่นใจว่า โปแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสจะไม่
รุกรานเยอรมัน หากเยอรมัน รบกับฝรั่งเศส หรือในกรณีที่เยอรมันบุก
ฝรั่งเศส
ต่อจากนั้นสมาชิกพรรคนาซีของฮิตเลอร์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่าง
ต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะทุกชนชั้นในสังคมเริ่มมีความไว้วางใจต่อการปกครอง
ของรัฐบาล เผด็จการ ใครทีไ่ ม่เห็นชอบก็มักจะถูกติดตามความเคลื่อนไหว
หรือไม่ก็มักถูกขู่บังคับ และจับตัวส่งเข้าคุก
ความรุ่งเรืองของฮิตเลอร์มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะเขาเป็นผู้ที่มี
ความเชื่อมั่นในความคิดที่จะรวมชนเผ่าเยอรมันให้เข้าอยู่ภายใต้การ
ปกครองเดียวกัน และเร่งรีบเสนอที่จะทำให้คำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่
ประชาชนในครั้งที่หาเสียงได้ปรากฏ
โดยเรื่องแรกที่ชัดเจนในการดำเนินการของเขานั้นคือ การลงมือกับ
ชาว ยิว ฮิตเลอร์ออกกฏข้อบังคับต่างๆ มาใช้กับชาวยิว ทั้งนีเ้ พื่อเปิด
506/665
โอกาสให้กับตำรวจเยอรมันข่มขู่และทารุณต่อชาวยิวได้ สิ่งที่เกิดขึ้นใน
ระยะแรกทำให้ชาวยิวจำนวนมากต้องหนีออกนอกประเทศ และพวกที่ยัง
เหลืออยูก่ ต็ ้องประสบกับการทารุณกรรมต่างๆ อาทิ สูญเสียตำแหน่งหน้าที่
ราชการ สูญเสียความเป็น พลเมือง ถูกริบธุรกิจและทรัพย์สิน ถูกขับไล่
ออกจากการค้าและอาชีพที่ทำอยู่ และถูกเยาะเย้ยถากถาง และอีกจำนวน
มากที่ถูกจับกุมและส'งตัวเข้าคุกโดยไร้สาเหตุ
ต่อจากนั้นก็ได้เริ่มมีการบีบคั้นทางการเมืองขึ้น ซึ่งศัตรูของนาซีจะ
ถูกสังหาร จำคุก โบย หรือไม่ก็เนรเทศ มีการตรวจและกรองข่าวใน
หนังสือพิมพ์ พิจารณาคำปราศรัย การสอนศาสนาทั้งยิว คาทอลิก และโป
รเตสแตนท์ ถูกขัดขวางและบางครั้งก็ถูกห้าม โบสถ์บางแห่งถูกทำลาย
ต่อมาอีกก็มีการเข้าควบคุมการบริหารงานอุตสาหกรรมรัฐบาลเข้าไป
ควบคุมการให้การศึกษาอย่างเด็ดขาด โดยเรื่องที่ใช้สอนและสำคัญที่สุด
นั้นก็คือความคิดของนาซีในเรื่องรัฐของชนเผ่าเยอรมันทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อมาฮิตเลอร์ก็ได้เริ่มสร้างรัฐที่ปกครองด้วย
อำนาจเด็ดขาดของนาซี ว่ากันว่าแผนการดำเนินงานการปกครอง
ภายในประเทศของ ฮิตเลอร์นั้นร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าแผนการต่างประเทศ
โดยกิจการทุกอย่างในประเทศไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง ศาสนา
สังคม เศรษฐกิจ หรือการศึกษากลายเป็นของรัฐ และพวกนาซีเท่านั้นที่
สามารถและได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิทางการเมืองได้ ว่ากันว่าลัทธิการ
507/665
ปกครองอย่างทหารและการเตรียมสงครามกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และ
เวลานั้นเยอรมันทั้งชาติก็กลายเป็นค่ายทหาร
และฮิตเลอร์ก็กลายเป็นอัศวินแห่งชาติ ในการปกครองของฮิตเลอร์
ในเวลานั้นมีผู้ช่วยที่สำคัญอีกหลายคนที่ควรกล่าวถึงอาทิ นายรูดอล์ฟ
เฮสส์ เป็นรองหัวหน้าพรรคนาซี นายโจเซฟ เกบเบลส์ รัฐมนตรี
โฆษณาการ นายเฮอร์มันน์ เกอริง รัฐมนตรีกลาโหม นายไฮนริช
ฮิมม์เลอร์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดร.ฮาลมา ชัคท์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ
เป็นต้น
ในเดือน มีนาคม 1935 ฮิตเลอร์เริ่มสร้างกองทัพอย่างขนานใหญ่
กองทัพอากาศ หรือ Luftwaffe ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ จริงๆ
แล้วเยอรมันมีการฝึกนักบินมาล่วงหน้านีอ้ ย่างลับๆ มากว่าสองปีแล้ว ใน
นามนักบินพลเรือน
ขณะเดียวกันชาวเยอรมันที่อยู่ในออสเตรีย โปแลนด์ และเชคโกสโล
วาเกีย ต่างก็พากันสนับสนุนรัฐบาลให้เข้าร่วมกับเยอรมัน
กล่าวคือภายใต้การนำอย่างเบ็ดเสร็จของฮิตเลอร์ เยอรมนีกเ็ ริ่ม
ขยายอาณาเขตของตัวเองออกไปจนเริ่มเกินเส้นแดนที่ระบุเอาไว้ใน
สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ลุ่มแม่น้ำซาร์กลับเข้ามาอยู่กับเยอรมนีในปี 1935
และในปี 1938 ออสเตรียก็เข้ามารวมกับเยอรมนีด้วยวิธีอันชลูสส์ คือการ
รวมดินแดนนั้นเอง และปีเดียว กันนั้นเยอรมนีก็ใช้วิธีการยึดครองด้วย
กำลังทหารจนได้เชคโกสโลวาเกียมารวม การกระทำของเยอรมนีในครั้งนี้
508/665
ทำให้ฝรั่งเศสและอังกฤษต้องยอมรับรองตามข้อตกลงที่เรียกกันว่า
สัญญามิวนิค ในปี 1939 ต่อจากนั้นก็เริ่มส่งทหารเข้ายึดครองเขตอิสระ
ดานซิกและเมเมล
ย้อนมาดูความสำเร็จในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของฮิตเลอร์กันอีกสัก
นิดปี 1933 ฮิตเลอร์วางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของเยอรมัน โดยมอบให้
Dr. Schacht อดีตผู้ว่าการธนาคารไรซ์ (Reichbank) เป็น
ผู้รับผิดชอบ ซึ่งแผนการดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก และส่งผล
ให้ ปี 1937 เยอรมันสามารถลดจำนวนคนว่างงานลงได้จำนวนมาก สร้าง
ผลผลิตทางอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมหาศาล ยกระดับคูณภาพชีวิตของ
ชาวเยอรมันให้สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ชาวเยอรมันล้วนต่างภาคภูมิใจใน
ความเป็นชนชาติเยอรมัน ซึ่งคงจะโทษชาวเยอรมันไม่ได้ที่มีความรู้สึก
ภาคภูมิใจเช่นนี้ เพราะสิ่งมหัศจรรย์ทฮี่ ิตเลอร์สร้างขึ้นให้กับประเทศ
เยอรมันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ ในพื้นที่ใดในโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นในประเทศที่พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 และ
ถูกควบคุมในทุกรูปแบบจากสนธิสัญญาแวร์ซายส์ อย่างเช่นประเทศ
เยอรมัน มันก็เป็นสิ่งทีช่ าวเยอรมันควรจะภาคภูมิใจ และยกย่องฮิตเลอร์
อย่างสุดขั้ว ในฐานะผู้สร้างชีวิตใหม่ ผู้สร้างอนาคตและความหวังของชาติ
เมื่อเยอรมันมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว ฮิตเลอร์ก็เริ่มมองไปที่
การ ครอบครองยุโรปและการสร้างอาณาจักรไรซ์ที่สาม โดยแผนการ
แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 1936 ฮิตเลอร์เซ็นสัญญาไม่รุกรานกัน
509/665
ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในสเปน ฮิตเลอร์ไม่รอช้าที่จะส่งรถถัง
เครื่องบิน และช่างเทคนิค เข้าไปช่วยในนาม คอนดอร์ (Condor
Legion)
ฮิตเลอร์ส่งกองกำลังคอนดอร์ ลีเจี้ยน (Condor Legion) เข้าไป
สนับสนุน สงครามกลางเมืองในสเปน ฝ่ายของนายพลฟรังโก จุดประสงค์
ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกำลังพลของเขา ในขณะเดียวกันอิตาลี
ภายใต้การนำของ จอมเผด็จการมุสโสลินี ก็ส่งทหารเข้าร่วมกับนายพลฟ
รังโก กว่าหกหมื่นคน กองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ได้ทำการ
ทดลองการใช้เครื่องบินแบบสตูก้า (Stuka) ในการดำทิ้งระเบิด เพื่อ
พัฒนาเทคนิคต่างๆ เมื่อนำมาใช้ในการเตรียม การรุกแบบสายฟ้าแลบที่
เยอรมันได้เตรียมการไว้
ภายหลังสงครามกลางเมืองในสเปน กล่าวกันว่า กองทัพอากาศ
เยอรมันมีนักบินที่มีประสบการณ์มากกว่าชาติใดๆในโลกทีเดียว
การร่วมกันในสงครามกลางเมืองในสเปน ยังทำให้อิตาลีเข้ามาร่วม
เซ็นนสัญญาเป็นฝ่ายอักษะกับเยอรมันในวันที่ 21 ต.ค. 1936 ทั้งๆ ที่ใน
สงคราม โลกครั้งที่ 1 อิตาลีอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเยอรมัน แผนการดึงอิตาลี
ออกจากฝ่ายสัมพันธมิตรของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จเกินคาด
511/665
นักสู้ฝ่ายกบฏขว้างระเบิดมือใส่ทหารฝ่ายนิยมกษัตริย์ในสงครามกลางเมืองสเปน 12 กันยายน
1936
ช่วงนี้เยอรมันและอิตาลีต่างร่วมกันเดินเกมทางการ เมืองระหว่าง
ประเทศอย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะการแสดงออกมาว่า สุเดเทนคือ
เป้าหมายสุดท้ายของฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้ต้องการสงคราม เช่นเดียวกับ
ชาติยุโรปอื่นๆ ทีต่ ้องการสันติ จนในที่สุดเมื่อเวลา 01.00 ของวันที่ 30
กันยายน 1938 อังกฤษและฝรั่งเศสก็ตกลงกันในข้อตกลงมิวนิค (the
Munich Agreement) ทีจ่ ะมอบทุกสิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยง
สงคราม โดยจะยินยอมมอบดินแดน 10,000 ตารางไมล์ให้ ส่งผลให้เชค
โกสโลวาเกียสูญเสียแหล่งถ่านหิน 66 เปอร์เซ็นต์ของตน พร้อมทั้งอีก 70
เปอร์เซ็นต์ของแหล่งพลังงานไฟฟ้า 86 เปอร์เซ็นต์ของแหล่งเคมี 70
เปอร์เซนต์ของแหล่งแร่เหล็ก
แชมเบอร์เลนกลับไปยังกรุงลอนดอน พร้อมด้วยถ้อยวาจาอมตะทีว่ ่า
“สันติภาพในเวลาของเรา” (Peace in our time) เขาไม่รู้เลยว่า ใน
ขณะทีเ่ ขากำลังตกลงกับฮิตเลอร์ที่มิวนิคนั้น ฮิตเลอร์ได้ตกลงกับมุสโสลินี
ผู้นำอิตาลีว่า เมื่อเวลาแห่งสงครามมาถึง เยอรมันและอิตาลี จะร่วมกัน
ต่อสู้กับอังกฤษ และฝรั่งเศส
ในที่สุด เยอรมันก็เข้าครอบครองซูเดเตน ตามด้วยการเข้าผนวกเชค
โก สโลวาเกียทั้งประเทศ รัฐบาลเชคต่อสู้อย่างสิ้นหวัง โดยปราศจากความ
ช่วยเหลือจากโลกภายนอก 15 มีนาคม 1939 ฮิตเลอร์ส่งทหารเข้ายึดโบฮี
เมีย (Bohemia) และมอราเวีย (Moravia) และรุกเข้าสู่กรุงปราก
(Prague) ยึดปราสาท โบราณของกษัตริยโ์ บฮีเมีย เป็นที่พำนักของฮิต
516/665
ให้สถานการณ์ในฉนวนดานซิกยุติลงก่อน มุสโสลินีถึงยินยอมให้เคาน์ ซิ
อาโน (Count Ciano) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของ
อิตาลี ลงนามในสนธิสัญญาเหล็ก (the Pact of Steel) ในกรุงเบอร์
ลินของเยอรมัน เมื่อ 21 พฤษภาคม 1939
เมื่อฮิตเลอร์จัดการปัญหาทางใต้ได้แล้ว เขาก็ต้องการความมั่นคง
ทางชายแดนด้านรัสเซีย อย่างน้อยตอนนี้ ก็ยังไม่ถึงเวลาทีเ่ ยอรมันจะรบ
กับรัสเซีย ในวันที่ 22 สิงหาคม 1939 ฮิตเลอร์ก็ส่งริบเบนทรอปไปมอ
สโคว์ เมืองหลวงของรัสเซีย เพื่อร่วมลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกราน
ซึ่งกันและกัน ระหว่างเยอรมันกับรัสเซีย ในวันที่ 23 สิงหาคม ท่ามกลาง
ความงุนงงของโลก เพราะต่างรู้ดวี ่า นาซีเยอรมันนั้นเป็นศัตรูกับ
คอมมิวนิสต์อย่างสิ้นเชิง วินสตัน เชอร์ชลิ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เป็น
นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ถึงกับกล่าวว่า สนธิสัญญานี้ไม่ใช่สนธิสัญญา
ธรรมดาแน่นอน
เมื่อจัดการทางด้านรัสเซียเรียบร้อยแล้ว ฮิตเลอร์ก็ส่งข้อเสนอไปยัง
อังกฤษ ผ่านทางเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเบอร์ลินว่า เยอรมันจะ
รับรอง ความปลอดภัยของเครือจักรภพอังกฤษ และจะจำกัดการเติบโต
ทางทหารของเยอรมัน หากอังกฤษสัญญาจะไม่เข้าร่วมในปัญหาโปแลนด์
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ฮิตเลอร์กำลังพบกับ
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เขาก็ได้ข่าวว่า อังกฤษได้ลงนามความร่วมมือทาง
ทหารกับโปแลนด์ ในกรณีที่คู่สัญญาถูกรุกรานที่กรุงลอนดอนแล้ว
520/665
เป็นอันว่าความพยายามที่จะโดดเดี่ยวโปแลนด์ของเขาไร้ผล แผนการที่จะ
บุกโปแลนด์ในวันที่ 26 สิงหาคม 1939 ก็หยุดชะงักลงไปด้วยเช่นกัน
หลังจากทีอ่ ังกฤษลงนามความร่วมมือทางทหารกับโปแลนด์ ฮิตเลอร์
มีความเครียดเป็นอย่างมาก คนใกล้ชิดถึงกับกล่าวว่า เขาดูแก่ลง เก็บตัว
เงียบ นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานานๆ จากอาการดังกล่าว ชีใ้ ห้เห็น
ว่า เขาไม่ต้อง การสงคราม ไม่ต้องการให้เกิดการล้มตาย แต่ใน
ขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการครอบครองโปแลนด์ หรืออาจจะครอบครองทั้ง
ยุโรป โดยที่ไม่มีสงคราม ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มันเป็นไปไม่ได้
สาเหตุ 3 อย่างที่สร้างความเครียดให้กับฮิตเลอร์ในช่วงนี้ คือ
1. แรงกดดันจากอังกฤษที่มีต่อเยอรมัน เกี่ยวกับปัญหาในโปแลนด์
เพื่อป้องกันการขยายตัวของสงคราม
2. ฮิตเลอร์กำลังพยายามหาเงื่อนไข ที่จะขจัดความร่วมมือทางทหาร
ระหว่างอังกฤษและโปแลนด์
3. ท้ายที่สุด ในกรณีที่หาทางออกอื่นใดไม่ได้ ฮิตเลอร์ต้องการพิชิต
โปแลนด์ให้ได้เร็วที่สุด โดยใช้ สงครามสายฟ้าแลบ (Lightning war-
Blitzkrieg) เพื่อ ให้การรบยุตลิ งก่อนที่อังกฤษและฝรั่งเศสจะส่งกำลังเข้า
มาช่วย หรือเปิดแนวรบตามชายแดนเยอรมัน ฝรั่งเศส
ฮิตเลอร์ขบคิดปัญหาทั้ง สามข้อตลอดเวลา 9 วันก่อนการบุก
โปแลนด์ วันที่ 27 สิงหาคม 1939 ฮิตเลอร์ประกาศเส้นตายในการบุก
521/665
เข้าสู่โปแลนด์ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเครื่องบินของกองทัพอากาศเยอรมันหรือ
ลุฟวาฟ (Luftwaffe) กองทหารโปแลนด์ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ด้วย
ประสิทธิภาพของอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ต่างกันลิบลับ ทหารโปแลนด์จึงถูก
กวาดล้างไปจากแนวรบอย่างไม่ยากเย็นนัก
ฮิตเลอร์ รอคอยอย่างใจจดใจจ่อต่อปฏิกิริยาของอังกฤษและ
ฝรั่งเศส จนกระทั่งเวลา 09.00 น. ของวันที่ 3 กันยายน 1939 เขาก็ได้รับ
ข่าวจากลอนดอนว่า อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมันแล้ว
ความวิตกของฮิตเลอร์เป็นความจริง ข่าวนีแ้ พร่ไปทั่วเยอรมัน ประชาชน
ต่างฟังข่าวด้วยความเงียบงัน ไม่มใี ครต้องการให้สงครามเกิดขึ้น ไม่มี
แม้แต่คนเดียว ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เป็นสาเหตุของสงครามในครั้งนีอ้ ย่าง
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ฮิตเลอร์ เยอรมัน และสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมันกลายเป็นสาธารณรัฐและสิ้นสุด
สถาบันกษัตริย์ เศรษฐกิจในเยอรมันตอนนั้นตกต่ำมาก คนตกงานถึง 6
ล้านกว่าคน ประชาชนก็โทษรัฐบาล การเมืองระส่ำระสาย ซึ่งงนีเ่ ป็น
จุดเริ่มต้นของ ฮิตเลอร์ ซึ่งนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
จะเรียกฮิตเลอร์ ว่า “ผู้นำทีใ่ ครๆ ต้องการ” ก็ได้ เพราะว่าถึงแม้ฮิต
เลอร์ จะเป็นถึงผู้นำแห่งเยอรมนีที่มีอำนาจมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตฟู่ฟ่า
เลย ผิดกับผู้นำหลายๆ คน เช่น เขาดื่มชาชนิดที่สามัญชนดื่ม อาหารที่เขา
กินก็เป็นแบบ ทีส่ ามัญชนกิน (อาหารจานโปรดของเขาคืออาหารกรรมกร
523/665
และอดีตผู้บัญชาการสูงสุดของกองบัญชาการกองทัพเยอรมันด้านตะวันตก
(Oberbefehlshaber West, OB West)
กลุ่มสมคบคิดทางทหารมีอยู่หลายกลุ่มตั้งแต่กลุ่มพลเรือน
นักการเมือง และเหล่าปัญญาชน โดยกลุ่มที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น ไครเซา
เออร์ ไครส และในสมาคมลับอื่นๆ ส่วนมอลท์เคอเป็นผู้ที่ต่อต้านการ
สังหารฮิตเลอร์ แต่เขาต้องการให้มีการพิจารณาคดีความของฮิตเลอร์แทน
มอลท์เคอกล่าวว่า “เราทั้งหมดเป็นเพียงมือสมัครเล่น และก็จะ
ดำเนินการ (ลอบสังหาร) ผิดพลาด” มอลท์เคอยังเชื่อว่าการสังหารฮิต
เลอร์จะเป็นการ หลอกลวง ฮิตเลอร์และลัทธิชาติสังคมนิยมได้เปลี่ยน
“การกระทำผิด” ให้กลาย เป็นระบบ และสิ่งใดก็ตามที่เข้าไปขัดขวางก็
สมควรที่จะหลีกเลี่ยง
527/665
ฮิตเลอร์ท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองที่ถูกทิ้งบอมบ์แห่งหนึ่งในเยอรมันเมื่อปี 1944
แผนการที่จะล้มล้างและป้องกันฮิตเลอร์จากการเริ่มสงครามโลกครั้ง
ใหม่ได้ก่อตัวขึ้นระหว่างปี 1938-1939 แต่ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจาก
ความไม่แน่ใจของนายพลฟรานซ์ ฮัลเดอร์ และนายพลวัลเทอร์ ฟอน เบ
528/665
ราคิทช และความล้มเหลวของชาติตะวันตกในการรับมือกับท่าทีแข็งกร้าว
ของฮิตเลอร์ จนกระทั่งถึงปี 1939 กลุ่มทหารผู้สมคบคิดได้มกี ารเลื่อน
เวลากำหนดการของแผนการออกไป หลังจากความเป็นที่นิยมของฮิตเลอร์
เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลหลังจากได้รับชัยชนะในยุทธการแห่งฝรั่งเศส
ในปี 1941 ได้มีกลุ่มสมคบคิดกลุ่มใหม่ นำโดยพันเอกเฮนนิง ฟอน
เทรสคอว์ ซึ่งเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของจอมพลเฟดอร์ ฟอน บอค
(ผู้บัญชา การกองทัพกลุ่มกลางในปฏิบัติการบาร์บารอสซา) เทรสคอว์ได้
เกณฑ์เอากลุ่มผู้ต่อต้านเข้ามาทำงานในกองทัพเดียวกันอย่างเป็นระบบ
และสร้างเป็นเครือข่ายของกลุ่มต่อต้านในกองทัพบก เนื่องจากฮิตเลอร์ได้
รับการป้องกันอย่างแน่นหนา และไม่มีกลุ่มผูส้ มคบคิดสามารถเข้าใกล้ฮิต
เลอร์ได้ ทำให้ไม่สามารถ ทำอะไรได้มากนัก
ระหว่างปี 1942 นายพลโอสเตอร์และพันเอกเทรสคอว์ประสบความ
สำเร็จได้ในสร้างเครือข่ายของกลุ่มผูต้ ่อต้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมี
ตัวจักร สำคัญ คือ นายพลฟรีดริช ออลบริตช์ หัวหน้าสำนักงานใหญ่
กองทัพเยอรมันที่เบนด์เลอร์บล็อค ใจกลางกรุงเบอร์ลิน ผูม้ ีอำนาจ
ควบคุมระบบสื่อสารอิสระในการสนับสนุนผู้ร่วมขบวนการได้ทั่วประเทศ
ซึ่งเป็นการทำให้แผนการก่อรัฐประหารเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
ปลายปี 1942 พันเอกเทรสคอว์และนายพลออลบริตช์ได้วางแผน
การลอบสังหารฮิตเลอร์ และวางแผนล้มล้างระหว่างการเยือน
กองบัญชาการใหญ่ กองทัพกลุ่มกลางของฮิตเลอร์ ที่เมืองสโมเลนสก์ ใน
529/665
ฮิมม์เลอร์อาจกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง แต่ทั้งหมดก็ยังเป็น
เพียงแค่สมมุติฐาน
ในวันที่ 7 กรกฎาคม 1944 นายพลสไตฟฟ์เกือบจะสามารถสังหาร
ฮิตเลอร์ได้ทกี่ ารแสดงเครื่องแบบใหม่ ณ ปราสาทเคลสไชม์ ใกล้กับ
ซัลซบูร์ก อย่างไรก็ตาม สไตฟฟ์มีความรู้สึกว่าตนไม่สามารถสังหารฮิต
เลอร์ได้ พันเอกสเตาฟเฟนเบิร์กจึงตัดสินใจที่จะสังหารฮิตเลอร์ และ
ก่อการรัฐประหารในกรุงเบอร์ลินไปพร้อมๆ กัน
ในวันที่ 11 กรกฎาคม สเตาฟเฟนเบิร์กเข้าประชุมร่วมกับฮิตเลอร์
โดยถือกระเป๋าเอกสารซึ่งบรรจุระเบิดไว้ภายใน แต่เนื่องจากคณะสม
คบคิดตัดสินใจว่านายไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ และแฮร์มานน์ เกอริงควรจะถูก
สังหารไปด้วยในคราว เดียวกัน เพื่อให้ปฏิบัติการวาลคิรีมีโอกาสประสบ
ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เขาจึงไม่ลงมือในนาทีสุดท้าย เนื่องจากฮิมม์เลอร์ไม่
เข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์ อันเป็นปกติวิสัยของเขาอยู่แล้ว
ในวันที่ 15 กรกฎาคม สเตาฟเฟนเบิร์กเดินทางมายังรังหมาป่าอีก
ครั้งหนึ่ง แต่เงื่อนไขดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไป แผนการของสเตาฟเฟนเบิร์ก
คือ การวางกระเป๋าใส่เอกสารบรรจุระเบิดไว้ในห้องประชุมของฮิตเลอร์
ก่อนจะถอนตัว ออกจากการประชุม รอจนเกิดการระเบิดขึ้น และบินกลับ
ไปยังกรุงเบอร์ลิน และเข้าร่วมกับผู้ก่อการคนอื่นที่เบนด์เลอร์บล็อค
ปฏิบัติการวาลคิรีก็จะเริ่มต้นขึ้น และกองทัพหนุนก็จะทำการควบคุม
เยอรมนีทั้งหมด และคณะผู้นำนาซีทั้งหมด ก็จะถูกจับกุม เบคก็จะได้รับ
533/665
สเตาฟเฟนเบิร์กนายทหารผู้ลอบสังหารฮอตเลอร์ด้วยการจุดระเบิดในกระเป๋าเอกสารเมื่อวันที่20
กรกฎาคม 1944แต่ไม่สำเร็จ ภายหลังนายทหารผู้นี้ถูกจับกุมและโดนยิงเป้า
เอสเอสได้มาขัดขวางการประหารชีวิต ฟรอมม์เดินทางไปพบเกิบเบิลส์เพื่อ
ขอผลตอบแทนจากการขัดขวางการก่อรัฐประหาร เขาถูกจับกุมตัวทันที
และถูกประหารในเดือนมีนาคม 1945 เนื่องจากประสบความล้มเหลวใน
การป้องกันการก่อรัฐประหารดังกล่าว
การลอบสังหารฮิตเลอร์ในครั้งนี้แม้ไม่ทำให้เขาเสียชีวิต และเขา
สามารถ จัดการปิดบัญชีได้เรียบร้อยแต่ผลของการบาดเจ็บก็ทำให้เขามี
ปัญหาสุภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ของชีวิตฮิตเลอร์
ดูเหมือนจะได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะในเวลาต่อมาได้มกี าร
นำเรื่องไปเขียนเป็น นวนิยาย ทำเป็นละครหรือภาพยนต์จำนวนมากมาย
วาระสุดท้าย
แน่นอนที่สุดว่า เรื่องราวประวัติชีวิตของฮิตเลอร์ อีกช่วงทีน่ ่าสนใจ
ที่สุด นั่นก็คือ วาระสุดท้ายของเขา
ฮิตเลอร์ เป็นจอมเผด็จการ ที่รักและห่วงแหนชาติของตัวเองอย่าง
มาก ที่ผ่านมาเขาได้สั่งสังหารชาวยิวไปแล้วกว่า 6 ล้านคน ผลจาก
สงครามที่เกิดขึ้น ในครั้งนั้น แม้เขาจะไม่ได้เป็นผู้กระทำทั้งหมดแต่ก็
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือผู้จุดชนวนเริ่มต้นการสั่งหารและเข่นฆ่ากันในนาม
ของอำนาจ
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เขาพ่ายแพ้แน่นอนที่สุดว่าโลกทั้งใบย่อมอยากรู้
ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร?
538/665
บรรดาลูกน้องพยายามเกลี่ยกล่อมให้ฮิตเลอร์หลบหนีไปอยู่ที่ภูเขา
แถว Berchtesgaden เพื่อบัญชาการกองทัพทีย่ ังเหลืออยูซ่ ึ่งจะทำให้
อาณาจักรไรซ์จะยังอยู่ต่อไปได้ ทว่าล้มเหลว ฮิตเลอร์บอกกับคนเหล่านั้น
ว่าการตัดสินใจของตนนั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว เขาถึงกับพยายามจะให้มกี าร
ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องนี้
รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อ โจเซฟ เกิบเบิลส์ (Joseph
Goebbels) ก็ได้พาครอบครัวของตนซึ่งประกอบด้วยลูกเล็กๆ ถึงหกคน
เข้ามาอยู่กับฮิตเลอร์ ในบังเกอร์
ฮิตเลอร์เริ่มต้นค้นเอกสารของตนเพื่อเลือกว่าชิ้นไหนจะต้องถูกเผา
ทำลาย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดและดูเหมือนเขาจะยอมรับสภาพ
ความ จริงได้ แต่กระนั้นก็ไม่เว้นที่จะแสดงความเป็นผู้นำที่น่านับถือโดย
อนุญาตให้คนรอบข้างไปจากบังเกอร์ได้เกือบทั้งหมด
บรรดาลูกน้องของเขาทำตามและมุ่งหน้าไปทางใต้ซึ่งเป็นพื้นที่รอบ
Berchtesgaden โดยอาศัยขบวนรถบรรทุกและเครื่องบิน จะเหลืออยูก่ ็
เพียงลูกน้องจำนวนหนึ่งที่ยังอยู่ในบังเกอร์ เช่นลูกน้องคนสนิทของฮิต
เลอร์คือ Martin Bormann, ครอบครัวของเกิบเบิลส์, องครักษ์จาก
กองทัพและจากหน่วยเอส เอส, เลขานุการสองคนของฮิตเลอร์ รวมไปถึง
เพื่อนสาวคนสนิทของเขาคืออีวา (Eva Braun)
วันที่ 23 เมษายน เพื่อนของฮิตเลอร์และรัฐมนตรีกระทรวง
ยุทธภัณฑ์ คือ อัลเบิร์ต สเปียร์ (Albert Speer) ได้มาขอพบกับฮิต
540/665
เลอร์เป็นครั้งสุดท้าย และได้แจ้งให้ท่านผู้นำทราบอย่างตรงไปตรงมาว่า
เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของฮิตเลอร์ ที่ให้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในเยอรมัน
นั้นคือยังคงรักษาโรงงานและอุตสาหกรรม สำหรับเยอรมันในช่วงหลัง
สงคราม
ฮิตเลอร์รับฟังด้วยความเงียบงัน ไม่มกี ารแสดงออกใดๆ ทำให้
สเปียร์ประหลาดใจมาก ในช่วงบ่ายวันนั้น ฮิตเลอร์ได้รับโทรเลขจากเกอริ
ง (Goering) ผู้ซึ่งไปถึงเขตปลอดภัยใน Berchtesgaden เรียบร้อย
แล้ว ดังนี้
ท่านผู้นำ
จากการตัดสินใจของท่านที่จะอยู่ในบังเกอร์ในกรุงเบอร์ลิน ท่านจะ
เห็นด้วยหรือไม่ว่าข้าพเจ้าจะรับช่วงต่อความเป็นผู้นำของอาณาจักรไรซ์ต่อ
จากท่านพร้อมด้วยอำนาจเต็มที่ในการสั่งการใดๆ ทั้ง ในประเทศและต่าง
ประเทศในฐานะรองของท่าน ตามกฎหมายของท่านที่ออกเองเมื่อวันที่ 29
มิถุนายน 1941 หากว่าไม่ได้คำตอบจากท่านหลังเวลาสิบนาฬิกาของคืนนี้
ข้าพเจ้าจะขอถือว่าท่านได้สูญเสียอำนาจในการสั่งการและจะถือกฎหมาย
ของท่านฉบับนั้นเป็นหลักและจะทำการใดๆ เพื่อผลประโยชน์อันสูงสุดของ
ประเทศและประชาชนของเรา ท่านก็ทราบดีว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อท่าน
ในเวลาอันเลวร้ายที่สุดของชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถสรรหาคำใดๆ
มาอธิบายความคิดข้าพเจ้าได้ ขอให้พระเจ้าทรงปกป้องท่านและดลบันดาล
ใจให้ท่านเดินทางมาที่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
541/665
ยังภักดีอยู่เสมอ
Hermann Goering
หลังอ่านจดหมายจบลง ว่ากันว่าฮิตเลอร์เดือดดาลเป็นยิ่งนักและได้
รับการแนะนำจากบอร์มานน์ให้ส่งโทรเลขกลับไปหาจอมพลเกอร์ริงเพื่อจะ
บอกว่า เกอริงได้ทำการทรยศอย่างร้ายแรง แม้ว่าโทษของเขาจะถึงตายแต่
เนื่องจากได้รับใช้ฮิตเลอร์มาแสนนาน ถ้าเกอร์รงิ จะลาออกจากทุกตำแหน่ง
ก็จะได้รับการยกเว้นโทษ
บอร์มานน์ได้ออกคำสั่งให้กับพวกเอสเอสที่อยูใ่ กล้ Berchtes-
gaden เพื่อจับกุมเกอร์ริงและลูกน้อง
ก่อนรุ่งสางของวันที่ 25 เกอร์ริงถูกจับขังไว้
วันต่อมาคือวันที่ 26 เมษายน กองทัพปืนใหญ่ของกองทัพโซเวียต
ได้ทำการโจมตีตึกบัญชาการโดยตรงเหนือบังเกอของฮิตเลอร์
ในเย็นวันนั้น เครื่องบินขนาดเล็กที่ขับโดยนักบินทดสอบหญิงนามว่า
Hanna Reitsch และผู้โดยสารคือนายพลประจำกองทัพอากาศคือ
Ritter von Greim ได้ร่อนลงบนถนนใกล้ๆ บังเกอร์อย่างอาจหาญ
โดยท่านนายพลได้รับบาดเจ็บที่เท้าจากการระดมยิงจากภาคพื้นดินของ
กองทัพโซเวียต
ภายในบังเกอร์นั้นเอง นายพล Greim ได้รับการแต่งตั้งจากฮิต
เลอร์ให้สืบทอดตำแหน่งแทนเกอร์ริ่ง นั้นคือได้เลื่อนขั้นเป็นจอมพลที่
542/665
เพื่อการแก้แค้น ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งให้จับกุมลูกน้องคนสนิทของ
ฮิม เลอร์ที่อยูใ่ นบังเกอร์คือ พลโท Hermann Fegelein ประจำหน่วย
เอสเอส และสามีของน้องสาวของอีวา บราวน์ และนำเขาขึ้นไปยังสวนของ
ตึกบัญชาการเพื่อ ยิงทิ้ง
เมื่อถูกทอดทิ้งจากทั้งเกอร์ริ่งและฮิมเลอร์ รวมไปถึงการรุกรานของ
กองทัพโซเวียตจนมาถึงกรุงเบอร์ลินแล้ว ฮิตเลอร์ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับ
วาระ สุดท้ายของตนเอง
เย็นวันที่ 28 เขาได้เขียนพินัยกรรมเป็นครั้งสุดท้ายและยังเขียน
คำสั่งเสียทางการเมืองซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อบรรยายความรู้สึกที่เขาเคย
เขียนลงในหนังสือ Mein Kampf ในช่วงระหว่างปี 1923-1924 เขามุ่งที่
จะโยนความผิดไปให้ชาวยิวสำหรับทุกสิ่งรวมไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2
เขายังได้อ้างอิงไปถึงการ คุกคามของเขาต่อชาวยิวในปี 1939 พร้อมกับ
บอกเป็นนัยๆ ถึงห้องรมควันพิษ ที่เกิดจากการคุกคามนั้นและว่า...
“นอกจากนี้ข้าพเจ้าจะสร้างความกระจ่างว่าเวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่
ลูกหลานของเผ่าอารยันเป็นล้านๆ จะตายเพราะความอดอยาก ไม่เพียงแต่
ผู้ใหญ่ นับล้านจะทรมานจากความตาย และไม่เพียงแค่ผู้หญิงและเด็ก
หลายแสนคนจะถูกเผาหรือตายจากระเบิดทีท่ ิ้งในเมือง โดยปราศจาก
อาชญากรที่จะรับโทษ ทัณฑ์นี้ แม้ว่าจะเป็นแบบมีอารยธรรมยิ่งกว่า”
หลังเขียนพินัยกรรมแล้วฮิตเลอร์ยังมีภารกิจด้านหัวใจหรือความรู้สึก
อีก นั่นคือก่อนเที่ยงคืน ของวันนั้น ฮิตเลอร์แต่งงานกับอีวา บราวน์โดยมี
544/665
พิธีแบบพลเรือนเพียงสั้นๆ และมีการฉลองการแต่งงานนี้ในห้องของเขา
เอง
แชมเปญถูกนำมาแจกจ่าย ผู้ซึ่งอยูใ่ นบังเกอร์กร็ ับฟังฮิตเลอร์รำพัน
ถึงอดีตอันแสนหวาน ฮิตเลอร์สรุปว่า ความตายจะช่วยปลดปล่อยเขา
ภายหลังที่ถูกทรยศโดยเพื่อนและผู้สนับสนุนคนเก่าแก่
บ่ายของวันที่ 29 เมษายน กองทัพโซเวียตได้คืบคลานห่างจากบัง
เกอร์ของฮิตเลอร์เพียงไมล์เดียว และคนในบังเกอร์ได้ทราบข่าวล่าสุดจาก
โลกภายนอกถึงความหายนะและความตายของมุสโสลินี ผู้ซึ่งถูกจับกุม
ยิงเป้าและถูกแขวนห้อยหัว ก่อนที่จะถูกทิ้งลงไปในท่อ โดยกลุ่มใต้ดินชาว
อิตาเลี่ยน
ฮิตเลอร์บัดนี้เตรียมพร้อมแล้วสำหรับจุดจบโดยการทดลองยาพิษกับ
สุนัขตัวโปรดของเขาที่ชื่อ Blondi เขายังมอบแคปซูลยาพิษให้กับ
เลขานุการหญิง ของเขาและขอโทษว่าเขาไม่สามารถให้ของขวัญยามจาก
กันที่ดกี ว่านี้ พวกเธอ สามารถใช้มันได้หากพวกโซเวียตบุกเข้ามาในบัง
เกอร์
ประมาณ 2.30 น.ของเช้ามืดวันที่ 30 ฮิตเลอร์ได้ออกมาจากห้องมา
กล่าว คำลากับพวกลูกน้อง เขาจับมือกับคนเหล่านั้นด้วยคราบน้ำตาและ
ความเงียบ เมื่อฮิตเลอร์จากไป ทุกคนก็ขบคิดถึงเหตุการณ์สำคัญที่
พวกเขาเพิ่งประสบพบ ความตึงเครียดมหาศาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านีไ้ ด้จาง
545/665
หายไปเมื่อพวกเขารู้ว่าฮิตเลอร์ใกล้ถึงจุดจบแล้ว พวกเขาถอนหายใจและ
ตามด้วยการแสดงความยินดี เช่นเต้นรำ
ตอนเที่ยง ฮิตเลอร์เข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์ของการสู้รบ
เป็น ครั้งสุดท้ายและได้ทราบว่ากองทัพโซเวียตอยูห่ ่างออกไปแค่หนึ่งช่วง
ตึกเท่านั้น
เวลาบ่ายสอง ฮิตเลอร์นั่งรับประทานอาหารซึ่งเป็นมังสวิรัตเิ ป็นมื้อ
สุดท้าย
คนขับรถของเขารับคำสั่งให้ไปหาน้ำมันมาสองร้อยลิตร นำมายังสวน
ของตึกบัญชาการ
ฮิตเลอร์และภรรยาคืออีวาได้กล่าวคำอำลากับบอร์มานน์, เกิบเบิลส์,
นายพลเกรบส์ และเบิร์กดอร์ฟ รวมไปถึงทหารองครักษ์และบรรดา
ลูกน้องเป็นครั้งสุดท้าย และฮิตเลอร์กับภรรยาก็ได้เข้าไปในห้องส่วนตัวใน
ขณะที่บอร์มานน์และเกิบเบิลส์ยืนอยู่เงียบๆ ข้างนอก
สักครู่พวกเขาก็ได้ยินเสียงปืนพกแต่ต้องรออีกสักพัก จนเมื่อเวลา
3.30 น. ทั้งคู่ก็ได้เข้าไปและพบศพของฮิตเลอร์นอนเหยียดอยู่บนโซฟาชุ่ม
ไปด้วยเลือดทีเ่ กิดจากรอยกระสุนบนขมับด้านขวาของเขา ส่วน เอวา
บราวน์ตายจาก การกินยาพิษ ในขณะที่เสียงปืนใหญ่จากโซเวียตดังมาตก
ใกล้ๆ ศพของคนทั้งสองก็ถูกนำขึ้นไปยังสวนของตึกบัญชาการ ถูกราด
ด้วยน้ำมันและเผาไฟ
546/665
และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือเรื่องราวและชีวิตส่วนตัวรวมทั้งอุปนิสัย
ใจคอ ของฮิตเลอร์ ผู้ทถี่ ูกโลกมองว่าเป็นจอมเผด็จการสามารถสั่งฆ่าคน
ได้อย่างเลือด เย็นทั้งที่แท้จริงแล้วเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน
และนี่คือความลับของฮิตเลอร์ ที่น่าสนใจ
1. “ไฮล์ ฮิตเลอร์” ได้แรงบันดาลใจมาจากทีมเชียร์ลีดเดอร์ของมหา
วิทยาลัย ฮาร์วาร์ด Ernst Hanfstaengl เพื่อนสนิทของฮิตเลอร์ ได้ถูก
ส่งตัวไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อกลับมา เขาได้เล่าเรื่องเชียร์
ลีดเดอร์ของที่นั่นให้ฮิตเลอร์ฟัง และท่าทางของเชียร์ลีดเดอร์ กับคำปลุก
เร้าใจว่า ùRah, rah, rahû ก็ได้ถูกดัดแปลงมาเป็น “Sig Heil, Heil
Hitler,” หรือ ไฮล์ ฮิตเลอร์ นั่นเอง
2. ฮิตเลอร์เลี่ยงการเกณฑ์ทหาร ในฐานะชาวออสเตรีย ฮิตเลอร์ต้อง
เกณฑ์ทหารเมื่ออายุ 20 ปี นักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า การที่เขาเปลี่ยน
ที่อยู่บ่อยๆ ในช่วงอายุเท่านั้น เป็นเพราะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้เอง หลังจากหลบ
ไปหลบมาได้ 5 ปี ฮิตเลอร์ถูกตามตัวพบในมิวนิค เยอรมนี และเข้า
เกณฑ์ทหารทีอ่ อสเตรีย แต่เขาไม่ผ่านการทดสอบทางร่างกาย และถูก
ปล่อยตัวไป
3. ฮิตเลอร์ขี้โรค ฮิตเลอร์เป็นคนขี้กลัวในเรื่องของการเจ็บป่วย
อย่างไรก็ตาม เขามีโรคร้ายหลายโรคมาก ส่วนมากเป็นโรคเกี่ยวกับ
ระบบประสาทที่ทำงานผิดปกติ นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังเป็นโรคความดัน
โลหิตต่ำเรื้อรัง พาร์คินสัน เป็นต้น
557/665
กองทัพอากาศภายใต้การบังคับบัญชาของเขาก็ทำสงครามสายฟ้า
แลบ ซึ่งสามารถทำลายการต่อต้านของโปแลนด์ และขยายการโจมตีไปยัง
ประเทศต่างๆในยุโรป หลังจากชัยชนะในยุทธการที่ฝรั่งเศส ในปี 1940
ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นจอมพลแห่งจักรวรรดิไรซ์ และเป็นผู้สืบ
ตำแหน่งของฮิตเลอร์อย่าง เป็นทางการ
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสถานการณ์ของฝ่าย
เยอรมันอยู่ในขั้นวิกฤติ ในเดือนเมษายน 1945 เกอริงซึ่งอยูใ่ นออสเตรีย
พยายามรวบอำนาจขึ้นเป็นผู้นำเยอรมัน เพราะเขาเชื่อว่าฮิตเลอร์ถูก
ปิดล้อมอยูท่ ี่กรุงเบอร์ลิน และหมดหนทางที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาเสนอ
ให้มกี ารเจรจาสงบศึกกับฝ่ายพันธมิตร แต่การกระทำดังกล่าวทำให้ฮิต
เลอร์ออกคำสั่งจับเขาในฐานะผูท้ รยศ ขี้ขลาดและยอมแพ้ อย่างไรก็ตาม
เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 เขาก็ยอมจำนนต่อ
กองทัพที่ 7 ของสหรัฐอเมริกาในอีก 2 วันต่อมา
ในการไต่สวนคดีอาชญากรสงครามของศาลพิเศษพิจารณาคดี
อาชญา กรรมสงครามแห่งนูเนมเบิร์ก เขาได้รับการบำบัดการติดยาเสพติด
และสามารถ โต้แย้งข้อกล่าวหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาปฏิเสธว่าไม่มี
ส่วนพัวพันใดๆ กับการกระทำที่เหี้ยมโหดของระบอบนาซี โดยอ้างว่าเป็น
งานลับของฮิมม์เลอร์ อย่างไรก็ตามเขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 15
ตุลาคม 1946 แต่เขาก็กินยาพิษตายในห้องขังไม่กชี่ ั่วโมงก่อนกำหนดการ
ประหาร เกอริงถึงแก่กรรมขณะอายุ 53 ปี
564/665
แต่ต่อมาไม่นาน เหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศเยอรมันในขณะนั้น
เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองโดยมีพรรคการเมืองอยู่พรรคหนึ่งซึ่งชื่อ
ว่า พรรคเยอรมันนาซี (Nazi) หรือ “พรรคเยอรมันเนชั่นโซเซียลลิสต์”
เพิ่งจะถูกก่อตั้ง ขึ้นมาใหม่ ช่วงเวลานั้นพรรคกำลังระดมสมาชิกอย่างหนัก
และก็เป็นช่วงที่พรรคทำการเปิดรับสมัครสมาชิกพรรคอีกด้วยจากการ
ติดตามความ เคลื่อนไหวและนโยบายของพรรคอยูต่ ลอดเวลานั้น ทำให้
เกิบเบิลส์ให้ความสนใจต่อพรรคเยอรมันนาซีเป็นอย่างมาก
และอีกเหตุการณ์หนึ่งทีท่ ำให้ ดร.เกิบเบิลส์ตัดสินใจกระโจนเข้าสู่
การเป็นสมาชิกพรรคเยอรมันนาซีก็คือ การที่เขาได้มีโอกาสเข้าฟังการกล่าว
ปราศรัย ของฮิตเลอร์ ปรากฏว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ ฮิตเลอร์ทำให้
เกิบเบิลส์เกิดความศรัทธายิ่งนัก จนทำให้เขาตกลงใจสมัครเข้าร่วมเป็น
สมาชิกพรรคเยอรมันนาซี ในทันทีโดยไม่ลังเล
เมื่อได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคแล้วเขาได้รับความไว้วางใจจากฮิตเลอร์
ให้เข้ามาทำใน ด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ภายในพรรค ด้วยความ
สามารถ อันอัจฉริยะด้วยแล้วเขาได้สร้างผลงานด้านต่างๆ ที่โดดเด่น
หลายชิ้นให้แก่พรรคจนสามารถประกาศเผยแพร่พรรคและนโยบายของ
พรรคจน เป็นทีร่ ู้จักอย่างกว้างขวางจนนำไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายใน
การเลือกตั้ง ครั้งต่อมา
เมื่อพรรคเยอรมันนาซีได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล
แล้ว จึงได้มีดำริจากฮิตเลอร์ว่า ควรจะมีการก่อตั้งหน่วยงานด้านการ
566/665
จนในที่สุดฮิตเลอร์ตัดสินใจยิงตนเองกับภรรยาจนเสียชีวิต
เกิบเบิลส์เองก็ตัดสินใจทำตามแบบนายของตนโดยการ กรอกยาพิษให้ลูก
ของตนจนตายทั้งหมด 6 คน แล้วจัดการตนเองกับภรรยาด้วยการยิงตัว
ตายตามกันหมดทั้งครอบครัว เมื่อ 1 พฤษภาคม 1945 อย่างน่าเศร้าสลด
- ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ (Heinrich Himmler) (1900-1945)
ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ หนึ่งในสมาชิกพรรคนาซี เป็น ลูกน้อง คนสำคัญ
ของ ฮิตเลอร์ เขามีชื่อเสียงมากในฐานะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของเหล่า
ตำรวจเยอรมันในสมัยนั้น ฮิมม์เลอร์ได้เข้าร่วมพรรคนาซีในปี 1925
ในปี 1926 ถึง 1930 เขาได้เป็นแกนนำสำคัญในการเผยแพร่โฆษณา
ชวนเชื่อของพรรค ในปี 1929 เขาก็ได้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญเป็น
ผูบ้ ัญชา การกองทหาร “ชูทซ์ทรัฟเฟล” (Schutztraffel) หรือที่เป็นที่
รู้จักกันในนาม “กองทหาร SS” ซึ่งเป็นกองทหารชั้นหัวกะทิ ของนาซี
และในปี 1945 เขาได้เป็นผู้นำของเหล่า “เกสตาโป” (Gestapo
คือ หน่วยตำรวจลับของฮิตเลอร์)
ในปี 1936 ถึงปี 1945 เขาได้รับมอบหมาย หรือยัดเยียดหน้าที่
สำคัญจากฮิตเลอร์ ให้กระทำภารกิจอันใหญ่หลวง นั่นก็คือ การกวาดล้าง
ถอนรากถอน โคนผู้ที่เป็นปรปักษ์กับพรรคนาซีอย่างไร้ความปราณี โดย
เฉพาะกับชาวยิว ซึ่งเชื่อได้เลยว่า การใช้ก๊าซพิษในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น
ล้วนเป็นความคิดของเขาทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังได้คุมทัพในแนวรบทาง
พรมแดนของเยอรมันอีกด้วย
568/665
เนื่องจากเขาบอกกับเคย์เทลว่า ฮิตเลอร์ควรจะเจรจาสันติภาพกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร ดีกว่าสู้รบในสงครามอันสิ้นหวังนี้
หลังสงคราม ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1945 เขาถูกจับกุมตัวโดย
กองพลทหารราบที่ 36 แห่งสหรัฐอเมริกา ระหว่างการถูกควบคุมตัว เขา
ประสบกับภาวะหัวใจขาดเลือดอีกครั้งหนึ่ง และได้ถูกนำตัวไปพิจารณาคดี
ทีเ่ กาะอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษแจ้งข้อกล่าวหาเขาในฐานะอาชญากรสงคราม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสุขภาพอันย่ำแย่ของเขา เขาจึงถูกปล่อยตัวโดยไม่
มีการพิจารณาคดีในปี 1948 และอาศัยอยูใ่ นฮานโนเฟอร์ จนกระทั่ง
เสียชีวิตในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1953
เออร์วิน โยฮานเนส อูเก้น รอมเมล
เออร์วิน โยฮานเนส อูเก้น รอมเมล (Erwin Johannes Eugen
Rommel) หรือมักจะรู้จักกันในนาม จิ้งจอกทะเลทราย เกิดเมื่อวันที่ 15
พฤศจิกายน 1891 และเสียชีวิตในวันที่ 14 ตุลาคม 1944)
รอมเมล เป็นจอมพลที่โด่งดังที่สุดของกองทัพนาซีเยอรมนีใน
สงคราม โลกครั้งที่ 2 และอาจเป็นจอมพลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงคราม
ด้วยเช่นกัน
รอมเมลเป็นนายทหารที่ได้รับการเชิดชูเกียรติขั้นสูงใน
สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยได้รับเหรียญกล้าหาญ Pour le Merite
สำหรับการกระทำการอันกล้าหาญ ในแนวรบอิตาลี
572/665
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามีชื่อเสียงโด่งดังจากการบังคับบัญชา
“กอง พลปีศาจ” (Ghost Division) ในระหว่างการรุกรานฝรั่งเศสในปี
1940 แต่ฉายา “จิ้งจอกทะเลทราย” ของเขาได้มาจากอัจฉริยภาพทางการ
ทหารและความเป็น ผู้นำที่น่าเกรงขามของเขาในการบังคับบัญชากองกำลัง
ผสมเยอรมัน-อิตาเลียน ในแนวรบแอฟริกาเหนือ
รอมเมลได้รับการนับถือว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีมนุษยธรรมสูงคนหนึ่ง
กองพลน้อยแอฟริกาอันโด่งดังที่เขาบังคับบัญชาอยู่ไม่เคยถูกกล่าวหาว่าก่อ
อาชญากรรมสงครามเลย ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกกองพลน้อยแอฟริกา
ของ รอมเมลจับกุมได้หรือยอมจำนนจะถูกปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมยิ่งไป
กว่านั้น รอมเมลยังปฏิเสธคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาขั้นสูงกว่าในการฆ่า
ทหารและพลเรือนชาวยิวอีกด้วย
573/665
ซากเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรฝีมือของหน่วย Afrika Corps ภายใต้การนำของนายพลรอ
มเมล นายพลผู้นี้ได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงในเรื่องภาวะผู้นำและความเชี่ยวชาญในยุทธการจาก
ฝ่ายสัมพันธมิตร
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 รอมเมลต้องสงสัยว่าร่วมแผนการลับ
เพื่อ ลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในเดือนกรกฎาคม 1944 แต่ไม่ประสบ
ความสำเร็จ เขาถูกฮิตเลอร์บังคับให้ฆ่าตัวตายโดยการกลืนยาพิษ และได้
รับการฝังศพอย่างสมเกียรติ
นอกจากบุคคลสำคัญที่กล่าวมาแล้ว ในฝ่ายเยอรมนียังมีผู้นำที่
น'าสนใจอีกหลายคน นับแต่
* ไรน์ฮาร์ด เฮย์ดริช ผู้บัญชาการหน่วยเกสตาโปและกองกำลังเอส
ดีในกรุงปราก ประเทศเชคโกสโลวาเกีย
* เอริช แรดเดอร์ จอมพลเรือ (Gro?admiral) แห่งกองทัพเรือนา
ซีเยอรมนี (Kriegsmarine) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 1939-30 มกราคม
1943
* คาร์ล โดนิทซ์ เป็นจอมพลเรือต่อจากแรดเดอร์ และเป็น
ประธานาธิบดี แห่งเยอรมนีเป็นเวลา 23 วันหลังจากการตายของฮิตเลอร์
เป็นผู้บัญชาการกองเรืออูระหว่างยุทธบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติก
* กึนเธอร์ ลึทเจนต์ นายพลเรือแห่งกองทัพเรือเยอรมันในช่วง
สงคราม โลกครั้งที่ 2 และได้เสียชีวิตไปพร้อมกับการจมของเรือ
ประจัญบานบิสมาร์ค
574/665
ปิดฉากอีกหนึ่งจอมเผด็จการชื่อก้องโลกไปในระยะเดียวกับการ
สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ปีเอโตร บาโดลโย
ในจำนวนคนสำคัญของอิตาลีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกเหนือ
จากมุสโสลินีแล้วปิเอโดร บาโดลโย ก็นับเป็นหมายเลข 2 ของการเป็น
ผู้นำอิตาลี
ปีเอโตร บาโดลโย ดยุคที่ 1 แห่งแอดดิสอาบาบา มาร์ควิสที่ 1 แห่ง
ซาโบตีโน (เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1871-เสียชีวิตเมื่อ 1 พฤศจิกายน
1956) เป็นนักการเมืองเป็นสมาชิกพรรคฟาสซิสต์และเป็นนายพลสังกัด
กองทัพแห่งราชอาณาจักรอิตาลีภายใต้ยุคเผด็จการของนายกรัฐมนตรีเบนิ
โต มุสโสลินี ผลงาน อันยอดเยี่ยมของเขาในสงครามอิตาลี-อบิสซิ
เนียครั้งที่ 2 ทำให้เขาได้รับการปูนบำเหน็จเป็นขุนนางยศดยุคแห่งแอดดิส
อาบาบา
ในวันที่ 24 กรกฎาคม 1943 หลังจากทีอ่ ิตาลีต้องเผชิญกับการ
โต้ตอบอย่างหนักจากฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้สภาใหญ่ของพรรคฟาสซิสต์
ลงมติไม่ไว้วางใจในตัวมุสโสลินี และตามติดด้วยการถอดถอนและจำคุกมุ
สโสลินี ทำให้จอมพลบาโดลโยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ให้
เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งอิตาลีแทน และเมื่อความสับสนในสถานการณ์ได้
แผ่ขยายไปในหมู่ชาวอิตาลี เขาก็ได้ทำการลงนามสงบศึกกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร
577/665
เมื่อการสงบศึกได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการ ประเทศอิตาลีจึงเกิด
ความระส่ำระสายขึ้นจากสงครามกลางเมือง สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้
จอมพลบาโดลโยและพระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ 3 ต้องหนีออกจาก
กรุงโรม และทิ้งกองทัพไว้โดยไม่มีคำสั่งให้ติดตามมาด้วย
ถัดจากนั้นในวันที่ 13 ตุลาคม ปีเดียวกัน จอมพลบาโดลโยและ
ราชอาณาจักรอิตาลีก็ได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับนาซีเยอรมนี
ทีเ่ มือง บรินดีซี อย่างไรก็ตาม เขาก็มิได้อยูใ่ นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ
อิตาลีได้นานนัก เพราะกระแสของโลกภายนอกต้องการให้ประเทศนี้มี
นายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่พวกฟาสซิสต์ คนที่ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้แทน
บาโดลโยคืออีวาโนเอ โบนอมี นักการเมืองจากฝ่ายพรรคแรงงาน
ประชาธิปไตย
นอกจากนี้ยังมีคนที่สมควรกล่าวถึงและรู้จักอีกคือ
อูโก คาวาเยโร ผู้บัญชาการทหารบกแห่งกองทัพราชอาณาจักรอิตาลี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาได้นำทัพอิตาลีในการทำสงครามกับกรีซซึ่ง
ประสบกับความล้มเหลว
อาร์ตูโร ริคาร์ดี ผู้บัญชาการทหารเรือแห่งราชนาวีอิตาลีระหว่าง
ค.ศ. 1940-1943
อิตาโล บัลโบ ผู้บัญชาการทหารอากาศแห่งกองทัพอากาศราชอาณา
จักรอิตาลีตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1940 และเป็นผู้
ควบคุมกองทัพที่ 10 ของอิตาลีในลิเบียตราบจนเสียชีวิต
578/665
ข้อเสนอของญี่ปุ่นว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์เท่าเทียมกัน เข้าไว้ในพันธะสัญญา
ขององค์กร แม้กระนั้น ก็แทบจะไม่มีสัญญาณใดๆ ในช่วงทศวรรษ 1920
ถึงวิกฤตความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นกับ สหรัฐอเมริกาเลย
นโยบายเปิดเสรีการค้าของญี่ปุ่นที่ใช้ความร่วมมือทางการทูตโดย
สันติ เป็นสื่อ ก็ตรงกับนโยบายเปิดประตูความสัมพันธ์และการค้า ซึ่งริเริ่ม
โดยวุฒิสมาชิก จอห์น เฮย์ ในช่วงต้นศตวรรษด้วยซ้ำ ด้วยความไว้วางใจ
ในข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศว่าจะเป็นหนทางเสริมสร้างสันติภาพ
และความมั่นคงในประเทศและภูมิภาคเอเชียได้
สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ เจ้าชายไซองจิ มากิโนะ และผู้นำที่
สนับสนุน ระบอบรัฐธรรมนูญคนอื่นๆ ในวังต่างพากันให้ความเห็นชอบ
กับนโยบาย ความร่วมมือทางการทูตของชาติมหาอำนาจ อังกฤษ-สหรัฐฯ
และจีนกันหมดทุกคน เจ้าชายไซองจิขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้แทนชาติ
ญี่ปุ่นไปร่วมประชุมสันติภาพ ที่กรุงปารีส โดยมีมากิโนะ และ จินดะ สุเท
มิ เป็นผู้ช่วย เจ้าชายไซองจิเคยกล่าวไว้ว่า “หน้าที่ของฉันในการรับใช้
สมเด็จพระจักรพรรดิมี 2 ด้าน คือคอยหลบเลี่ยงความเสียหายใดๆที่อาจ
กระทบต่อรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น และส่งเสริมเกียรติสนธิสัญญาที่ทำไว้กับ
นานาชาติ”
แต่ในไม่ช้าสถานการณ์ในประเทศจีนทำลายภาพฝันที่จะมีความ
สงบสุขอย่างถาวรในประเทศจีนจนสิ้น เริ่มตั้งแต่ความสำเร็จของ แผนยึด
แดนเหนือ ของเจียงไคเช็ก ในปี 1926 เพื่อรวมชาติจีนให้อยู่ภายใต้การ
583/665
ทหารกบฏบางส่วนก็ฆ่าตัวตายหนีความผิดแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หลังจากจักรพรรดิทรงประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคมแล้ว
ในระหว่างบริหารประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลานานในช่วงสงคราม เขาเป็น
ตัวอย่างของนายทหารที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิอย่างยิ่งยวด มี
หลักฐานหลายครั้งว่าเขาดำเนินนโยบาย ด้วยความเคารพในแนวทางที่
สมเด็จพระจักรพรรดิทรงมีพระประสงค์ แม้จะมีเหตุผลด้านอื่นที่ดกี ว่า
หลังสงครามเขาถูกจับกุมตัวนำขึ้นพิจารณาคดีในศาลอาชญากรสงคราม
ในวันที่ถูกจับเขาพยายามยิงตัวตาย แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ คำให้การของ
เขาต่อศาลอาชญากร สงครามนั้นยืนยันความรับผิดชอบแต่ผู้เดียวในการ
ก่อสงคราม รวมไปถึงคำให้การทีช่ ี้ว่า สมเด็จพระจักรพรรดิฮโิ รฮิโตะมิได้
ทรงเกี่ยวข้องกับการเริ่มสงคราม
ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง ฮิเดะกิ โตโจได้ถูกตัดสินลงโทษประหาร
ชีวิตในข้อหาอาชญากรรมสงคราม ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2491 ตาม
คำพิพากษาของศาลอาชญากรสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่ง เถ้า
กระดูกของโตโจ ประดิษฐานทีศ่ าลเจ้า Yasukuni ภายหลังได้มกี าร
สำรวจทรัพย์สินของนายพลผู้เฒ่าอาชญากรสงครามที่ทางสัมพันธมิตร
อายัดไว้ และพบว่าเขาไม่มที รัพย์สมบัติอะไรเหลืออยูเ่ ลยนอกจากบ้าน
เก่าๆ หนึ่งหลัง ซึ่งในเวลาต่อมาฝ่ายสัมพันธมิตรตัดสินใจส่งคืนให้กับ
ภรรยาหม้ายของโตโจไป
บุคคลสำคัญของญี่ปุ่น
591/665
เจ้าชายฟุมิมะโระ โคะโนะเอะ
ฟุมิมะโระ โคะโนะเอะ โคชาคุ 12 ตุลาคม 1891-16 ธันวาคม
1945) เป็นนัการเมืองของญี่ปุ่ในสมัยโชวะ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
34, 38 และ 39 ของญี่ปุ่น
เจ้าชายฟุมิมะโระ เกิดในตระกูลฟุจิวะระ สายตระกูลโคะโนะเอะ ซึ่ง
เป็น ตระกูลเก่าแก่ที่ทรงอำนาจมายาวนาน เจ้าชายได้รับการศึกษาทั้ง
ภาษาอังกฤษและเยอรมัน เป็นพระโอรสในเจ้าชายโคะโนะเอะ อัตสุมาโระ
ผูค้ ัดค้าน สังคมคอมมิวนิสต์แบบรัสเซีย บิดาของเขาเกือบจะได้เป็น
นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นแล้วหากไม่เสียชีวิตไปก่อน ตระกูลโคะโนะเอะนั้น
มีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง แต่มีฐานะที่ไม่มั่นคงเทียบเท่าตระกูลคุโจ ซึ่ง
เป็นพระญาติในพระจักรพรรดิโชวะเนื่องจากมี สมเด็จพระจักรพรรดินเี ท
เม คอยสนับสนุนอยู่นั่นเอง
หลังจากการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าชายฟุมิ
มะโระได้ทำการปลิดชีพพระองค์เองโดยการเสวย โพแทสเซียมไซยาไนด์
เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสงคราม และเพื่อรักษาเกียรติยศของราชวงศ์
และประเทศ
การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายส่งผลให้มีการฆ่าตัวตายมากมายในหมู่
นักการเมือง และเหล่าราชวงศ์รวมไปถึงนักธุรกิจที่มสี ่วนร่วมกับสงคราม
อนึ่งเชื่อกันว่าเหตุผลที่เจ้าชายปลิดชีวิตตนเองนั้นเป็นเพราะไม่อาจยอมรับ
ความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นได้ บวกกับการที่ทรงมีปัญหากับสมเด็จพระ
592/665
จักรพรรดิจนถูกปลดจากตำแหน่งจึงทำให้ทรงเครียดและหาทางออกด้วย
วิธีนี้
นอกจากนี้ก็มีคนสำคัญที่น่ารู้จักอีกดังนี้
มิสมี ะซะ โยะไน นายกรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่นในปี 1940 และเป็นรัฐมน
ตรว่าการกระทรวงกองทัพเรือตั้งแต่ปี 1944-ค.ศ. 1945
คุนิอะกิ โคะอิโซะ ผู้บัญชาการกองทัพและนายกรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น
ตั้งแต่ปี 1944-1945
คันทะโร ซุซุกิ นายกรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1945 เขาได้ตกลง
ในการยอมจำนนต่อกองทัพพันธมิตร
ฝ่ายสัมพันธมิตร
สหราชอาณาจักร
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล
นามเต็มว่า เซอร์วินสตัน เลโอนาร์ด สเปนเซอร์-เชอร์ชิล (Sir
Winston Leonard Spencer-Churchill) เกิดเมื่อวันที่ 30
พฤศจิกายน 1874 เป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่มชี ื่อเสียงในช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 2 เขายังได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม เมื่อปี
1953
เชอร์ชิลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีวาระแรกระหว่าง ในระหว่างปี
1940-1949 โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากเยอรมนีบุก
593/665
สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่ง
ยาวนานที่สุด คือเป็นตั้งแต่ปี 1933-1945 และเป็นประธานา-ธิบดีเพียง
คนเดียวของสหรัฐ อเมริกา ทีไ่ ด้รับเลือกถึงสี่สมัย ก่อนการประกาศญัตติ
ข้อที่ 22 ในปี 1951 (22nd Amendment) ซึ่งจำกัดให้ประธานาธิบดี
สามารถดำรงตำแหน่งได้แค่สองสมัยเท่านั้น
แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ เป็นผู้นำของประเทศในช่วงสงครามโลกครั้ง
ที่ 2 และแนวคิดของเขายังก่อให้ เกิดองค์กรระหว่างประเทศ คือสห
ประชา ชาติ ถึงแม้ว่าเขาจะประสบปัญหาด้านสุขภาพในช่วงวิกฤตของ
ประเทศก็ตาม รูสเวลต์ เสียชีวิตขณะยังดำรงตำแหน่งเมื่อปี 1945 โดยไม่
ได้เห็นชัยชนะของสหรัฐฯ และฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุ
รวม 62 ปี
* แฮร์รี เอส. ทรูแมน
แฮร์รี เอส. ทรูแมน ( Harry S. Truman) เกิดวันที่ 8
พฤษภาคม 1884 เสียชีวิตวันที่ 26 ธันวาคม 1972 เป็นรองประธานาธิบดี
คนที่ 34 (ค.ศ. 1945) และประธานาธิบดีคนที่ 33 ของสหรัฐอเมริกา โดย
รับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ที่เสียชีวิตขณะยัง
ดำรงตำแหน่ง
ในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรูแมนเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญมาก
มาย เขารับตำแหน่งในขณะที่สหรัฐและพันธมิตรเริ่มได้เปรียบใน
สงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นคนอนุมัติให้ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ประเทศญี่ปุ่น
596/665
เริ่มแผนมาร์แชลล์ ในการฟื้นฟูทวีปยุโรปช่วงเริ่มแรกของสงครามเย็น
การก่อตั้งสหประชาชาติและสงครามเกาหลี
นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่มีบทบาทในสงครามและควรรู้จักอีกคือ
จอร์จ มาร์แชลล์
จอร์จ มาร์แชลล์ (George Marshall) เป็นจอมพลแห่ง
กองทัพบกสหรัฐ อเมริกาและหัวหน้านายทหาร และ หลังจากสงคราม เขา
ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา
และเป็นผู้ริเริ่มแผนการมาร์แชลล์
จอมพลจอร์จ แคตเลตต์ มาร์แชลล์ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม
1880 และเสียชีวิตในวันที่ 16 ตุลาคม 1959
จอมพลจอร์จ มาร์แชลล์ เกิดที่เมืองยูเนียนทาวน์ รัฐเพนซิลเวเนีย
ได้รับการศึกษาจากสถาบันการทหารเวอร์จิเนียและเข้าเป็นทหารทันทีที่จบ
การศึกษา ต่อมาได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในบังคับบัญชาของ
นายพลจอห์น เพอร์ชิง และร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการ
เลื่อนยศและตำแหน่งก้าวหน้าเป็นลำดับถึงตำแหน่งหัวหน้าคณะ
เสนาธิการทหารบก ได้รับ ยศทางทหารระดับ “นายพลห้าดาว” ต่อมาคือ
ยศ “จอมพล” ซึ่งตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกษียณอายุเมื่อปี 1945
หลังจากนั้นอีก 2 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง
ประเทศในปี 1947
597/665
จากบทบาทในแผนฟื้นฟูยุโรป ทำให้มาร์แชลล์ได้รับรางวัลโนเบล
สาขา สันติภาพ เป็นนายทหารชาวอเมริกันคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนี้
ได้มีการก่อตั้ง “มูลนิธิจอร์จ ซี. มาร์แชลล์” ขึ้นที่สถาบันการทหาร
เวอร์จิเนียเพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลจอร์จ มาร์แชลล์ นอกจากนีย้ ังได้รับ
เหรียญ อิสริยาภรณ์อัศวินชั้นสูงสุด (Knight or Dame Grand
Cross-GCB) จากสหราชอาณาจักร
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) หรือไอค์
(Ike) เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป และเป็นผู้
วางแผนและควบคุมการบุกฝรั่งเศสและเยอรมนี
ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ มีชื่อแต่กำเนิดคือ เดวิด ดไวต์ ไอ
เซนฮาวร์ เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1890 และเสียชีวิตเมื่อ 28 มีนาคม
1969
ดไวต์ เดวิด ไอเซนฮาวร์ เกิดทีเ่ มืองเดนิสัน มลรัฐเทกซัส
สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรคนที่ 3 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน เติบโตมา
ในเมืองอบีลนี มลรัฐแคนซัส สมรสกับ มามี เจนีวา เดาด์ (Mamie
Geneva Doud) ในปี 1916ภายหลังทีเ่ ข้ารับการศึกษาในโรงเรียนนาย
ร้อยทหารบกเวสต์พอยต์ และเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มียศเป็นนายพลห้าดาว (เทียบได้กับยศจอมพล
ในบางประเทศ)
598/665
หลังสงครามเขาหันเป็นนักการเมืองจนได้ ดำรงตำแหน่ง
ประธานาธิบดี คนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา (ค.ศ.1953 - ค.ศ.1961)
ดักลาส แมกอาร์เธอร์
ดักลาส แมกอาร์เธอร์ (Douglas MacArthur) เป็นจอมพลแห่ง
กองทัพบกสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นผู้บัญชาการกองกำลัง
สหรัฐฯ ในตะวันออกไกล เขาบัญชาการกองกำลังสหรัฐฬนฟิลิปปินส์ก่อน
ที่จะย้ายไปบัญชาการกองกำลังที่ออสเตรเลีย
พลเอกดักลาส แมกอาร์เธอร์ เกิดที่เมืองลิตเติล ร็อก มลรัฐอาร์คัน
ซอ เมื่อ 26 มกราคม 1880 เข้ารับการศึกษาวิชาทหารที่โรงเรียนนายร้อย
เวสพอยต์ เข้าเป็นทหารที่กรมทหารช่างเป็นครั้งแรก ในสงครามโลกครั้งที่
1 ได้เข้าสู่สมรภูมิที่ประเทศฝรั่งเศสและได้รับเหรียญกล้าหาญ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แมกอาร์เธอร์ได้เป็นผู้บัญชาการ
กองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกไกลและได้ช่วงชิงพื้นทีม่ หาสมุทรแปซิฟิก
ด้านตะวันตกเฉียงใต้จากประเทศญี่ปุ่น (ค.ศ. 1942-1944) โดยใช้
ประเทศออสเตรเลียเป็นฐาน
ถ้อยวลีที่มีชื่อเสียงที่แมกอาเธอร์กล่าวแก่ชาวฟิลิปปินส์ระหว่างถอย
หนีกองทัพญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์คือ “ข้าพเจ้าจะกลับมา” (I Shall Return)
และเมื่อ กลับมาตามคำสัญญาหลังการถอยไปตั้งหลักที่ออสเตรเลีย แมก
อาเธอร์ได้ประกาศอีกครั้งในขณะที่เดินลุยน้ำลงจากเรือที่อ่าวเลย์เตว่า
599/665
ดักลาส แมกอาร์เธอร์
โจเซฟ สตาลิน
ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอม-มิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (ค.ศ.
1922-1953) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิเมียร์ เลนิน และนำโซ เวียตก้าว
ขึ้นเป็นมหาอำนาจของ โลก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2ก็เป็นหนึ่งในขั้ว
อำนาจในการทำ สงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา
603/665
สงครามยานเกราะ เขาโดดเด่นเรื่องการวางแผนการรบที่เต็มไปด้วย
รายละเอียดมากมาย เขาเน้นระเบียบวินัยและความเข้มงวด เขาเป็นหนึ่ง
ในบรรดานายทหารไม่มาก นักที่รอดพ้นจากการกวาดล้างกองทัพครั้งใหญ่
ของสตาลิน ช่วงปี 1937-1938
ค.ศ. 1938 ชูคอฟ เป็นผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพโซเวียตมองโกเลียที่
1 และเป็นผู้บัญชาการรบกับกองทัพกวางตุ้งของญี่ปุ่นที่บริเวณพรมแดน
มองโกเลียกับรัฐแมนจูกัวของญี่ปุ่นในสงครามอย่างไม่เป็นทางการช่วง
1938-1939 ที่เริ่มจากการกระทบกระทั่งรายวันตามแนวพรมแดน โดย
ญี่ปุ่นหวังจะทดสอบ กำลังในการป้องกันเขตแดนของฝ่ายโซเวียต จนเรื่อง
นีก้ ลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า การรบแห่งฮาลฮิน
โกล ญี่ปุ่นทุ่มกำลังพล 80,000 นาย รถถัง 180 คัน และอากาศยาน 450
ลำเข้าสู่สงคราม งานนี้ชูคอฟสามารถ พิชิตฝ่ายญี่ปุ่นได้โดยง่าย และได้รับ
ตำแหน่งเป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียตแต่ชื่อเสียงของเขาไม่เป็นที่รู้จักใน
ภายนอก เพราะช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ชาติตะวันตกไม่
สนใจการรบแบบยานเกราะเคลื่อนที่ที่เขานำมาลอง ใช้ที่ ฮาลฮิน โกล
สงครามสายฟ้าแลบของเยอรมันต่อ ฝรั่งเศส จึงสร้างความประหลาดใจให้
กับผู้คนมากมาย
ชูคอฟ ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเอกในปี 1940 ระหว่างเดือน
มกราคม-กรกฎาคม 1941 เขาเป็นประธานเสนาธิการกองทัพแดง แต่
607/665
สำเร็จอย่างดีเยี่ยม โดยที่นี่กองทัพเยอรมันประสบความปราชัยในช่วงฤดู
ร้อนเป็นครั้งแรก จึงถือว่าเป็นชัยชนะที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับทีส่ ตาลิ
นกราด
หลังจากนั้น ชูคอฟ ก็ดูแลเรื่องการปลดปล่อยการปิดล้อมเลนินก
ราดทีป่ ระสบความสำเร็จ เดือนมกราคม 1944 ชูคอฟ นำกองทัพโซเวียต
ในการรุกทีม่ ีชื่อรหัสว่า ปฏิบัติการเบรเกรชั่น ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นปฏิบัติ
การณ์ทางทหาร ที่สุดยอดที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เดือนเมษายน
พ.ศ. 2488 กองทัพโซเวียต ยึดกรุงเบอร์ลินได้ และเยอรมนียอมแพ้โดย
ไม่มีเงื่อนไข
หลังสงครามจบสิ้น ชูคอฟเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขต
ยึดครอง โซเวียตในเยอรมนี และเป็นผู้ว่าการทหารที่นั่น ความที่เขาเป็นที่
นิยมชมชอบจาก คนหลายฝ่ายอย่างมาก จึงมองกันว่าเขามีแนวโน้มเป็น
อันตรายอย่างมากกับระบอบเผด็จการสตาลิน ปี 1946 เขาจึงถูกเก็บเข้ากรุ
และโดนย้ายมาเป็นผู้บัญชาการเขตการทหารโอเดสซา ซึ่งห่างไกลจาก
เมืองหลวง และไม่ค่อยมีความ สำคัญทางยุทธศาสตร์ หลังการตายของส
ตาลิน เขาก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยได้ขึ้นเป็น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในปี 1953 และเป็นรัฐมนตรี
กระทรวงนี้ในปี 1954
มิถุนายน 1957 ชูคอฟ ได้ขึ้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลาง
สภาเปรสซิเดียม แต่ถูกนิกิต้า ครุสชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตยุคนั้นปลด
609/665
เหตุการณ์ที่น่าสนใจใน
สงครามโลกครั้งที่ 2
การฆ่าล้างพันธุ์
ความโหดร้ายของสงครามนำมาสูก่ ารเข่นฆ่าอย่างไร้ความปราณี ใน
การรบกันนั้นความตายถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากแต่ใน
สงครามโลก ครั้งที่ 2 นี้ยังมีรอยหรือบาดแผลสำคัญที่จารเอาไว้ในหน้า
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ซึ่งคงสร้างความอับอายให้แก่มนุษย์ไปอีกนาน
เหตุการณ์ที่ว่านั้นคือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวโดยนาซี รวมไปถึงการฆ่าผู้คน
ในค่ายกักกันในกรณี ต่างๆ อย่างไร้ความปราณีและมนุษยธรรมด้วย
การล้างชาติพันธุ์โดยนาซีได้สังหารชาวยิวในทวีปยุโรปเป็นจำนวน
อย่าง น้อย 6 ล้านคน รวมไปถึงเชื้อชาติอื่นๆ อีกที่ถูกพวกนาซีลง
ความเห็นว่าเป็นพวกที่ “ไม่คู่ควร” หรือ “ต่ำกว่ามนุษย์” (รวมไปถึงผู้ที่
611/665
บรรดาหญิงสาวต่างริ้อกองรองเท้าของเพื่อนๆ ที่ถูกสังหารในค่ายกักกันเอาชวิตซ์
ขณะเดียวกัน ก็การใช้แรงงานโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นกัน
ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในดินแดนตะวันออก อย่างเช่น ในโปแลนด์ แต่
ยังมีผู้ใช้แรงงาน อีกกว่าล้านคนในตะวันตก ในเดือนธันวาคม 1945
หลักฐานของฝรั่งเศสได้ระบุว่า มีเชลยสงครามชาวเยอรมันกว่า 2,000 คน
ตายหรือพิการทุกเดือนในอุบัติเหตุ จากการเก็บกวาดทุ่นระเบิด
การทิ้งระเบิดปรมาณู
614/665
อีกเหตุการณ์หนึ่งทีส่ ั่นสะเทือนความรู้สึกของผู้คนทั้งโลก ใน
สงครามโลก ครั้งที่ 2 ก็คือ การทิ้งระเบิดปรมาณูหรือระเบิดนิวเคลียร์ครั้ง
แรกและครั้งเดียวแต่ 2 ลูกและ 2 เมือง ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองฮิโรชิมาและ
เมืองนางาซากิของญี่ปุ่น
การทิ้งระเบิดปรมาณูในครั้งนี้นอกจากจะทำให้คนทั้งโลกสบายใจขึ้น
ว่าสงครามคงจะจบสิ้นลงเสียทีก็จริง แต่อนุภาพของระเบิดที่ปรากฏต่อ
สายตา และการรับรู้ของผู้คนก็ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวและเริ่มต่อต้านไม่
ให้มีการนำมันมาใช้ในสงครามใดๆ อีก
การทิ้งระเบิดปรมาณูหรือนิวเคลียร์ที่ฮโิ รชิมาและนางาซากิ เป็นการ
โจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลาย
สงคราม โลกครั้งที่ 2 โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี
เอส. ทรูแมน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และวันที่ 9 สิงหาคม 1945
หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่างๆ 67 เมืองของญี่ปุ่น
อย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง
“ระเบิดปรมาณู” หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มชี ื่อเล่นเรียก
ว่า “เด็กน้อย” หรือ “ลิตเติลบอย” ใส่เมืองฮิโรชิมาในวันจันทร์ที่ 6
สิงหาคม 1945 ตามด้วย “ชายอ้วน” หรือ “แฟตแมน” ลูกที่ 2 ใส่เมืองนา
งาซากิโดยให้จุดระเบิดทีร่ ะดับ สูงเหนือเมืองเล็กน้อย นับเป็น
ระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำ
สงคราม
615/665
สภาพร่างกายจากแผลเพลิงไหม้กรณีทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาของเด็กชายผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์
เป้าหมายต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ไมล์
และเป็นเขตชุมชุนที่สำคัญขนาดใหญ่ ระเบิดต้องสามารถทำลายล้างและ
สร้างความ เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายมียุทโธปกรณ์และที่
ตั้งของทหารต้องได้รับการระบุที่ตั้งแน่นอน เพื่อป้องกันหากการทิ้งระเบิด
เกิดข้อผิดพลาด
ผูร้ อดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น เรียกจุดที่ระเบิดถูกทิ้งลง
ใส่ ฮิโรชิมา ว่า “ฮิบะกุชะ” ในภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาไทยว่า “จุด
ระเบิดที่มีผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่น” ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่น จึงมีนโยบายต่อต้าน
การใช้ระเบิด ปรมาณู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และประกาศเจตนาให้โลกรูว้ ่า
ญี่ปุ่นมีนโยบายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์, ในวันที่ 31 เดือนมีนาคม
2008 “ฮิบะกุชะ” มีรายชื่อผูเ้ สียชีวิตจากทั้งสองเมืองของญี่ปุ่น ที่ถูกจารึก
ไว้ประมาณ 243,692 คน และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้
เสียชีวิตทีถ่ ูกจารึกไว้เพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 คน โดยแบ่งออกเป็น เมือง
ฮิโรชิมา 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน
สวัสดิกะ, การสดุดีแบบนาซี และโฟล์คสวาเกน
สวัสดิกะ,การสดุดีแบบนาซี และโฟล์คสวาเกน นับเป็นประเด็นย่อย
ทั้งนี้ที่ทั้ง 3 ประเด็นนี้มารวมอยู่ด้วยกันนั้นก็เพราะ มันกลายเป็นภาพ
เป็นสัญ-ลักษณ์ และกลายเป็นความรู้องค์รวมเมื่อเรากล่าวถึงหรือมา
สนใจในเรื่องราวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เยอรมนี และสงครามโลกครั้งที่ 2
เริ่มต้นกันที่เครื่องหมายสวัสดิกะกันก่อน
618/665
และมีอิทธิพลต่อการใช้สัญลักษณ์นี้อย่างแพร่หลาย ส่วนสาเหตุทฮี่ ิต
เลอร์นำ “สวัสติกะ” มาใช้เป็นสัญลักษณ์ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์มี
ที่มาจากชนชาติอารยัน เผ่าพันธุ์ของเขาเอง ซึ่งฮิตเลอร์เชื่อว่าเก่งกล้าเหนือ
เผ่าพันธุอ์ ื่นๆ และ สวัสติกะเป็นสัญลักษณ์แห่ง “การต่อสู้เพื่อชัยชนะของ
ชนชาติอารยัน”
การออกแบบธงประจำพรรคนาซีเริ่มขึ้นในฤดูร้อนปี 1920 โดย
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดยใช้ธงที่มพี ื้นหลังสีแดง วงกลมสีขาว และสัญลักษณ์
สวัสดิกะสีดำ ตรงกลาง โดยทีส่ ีบนพื้นธงได้แสดงความเชื่อมโยงถึง
จักรวรรดิเยอรมัน เนื่องจากเลือกใช้สีบนธงตรงกับสีธงชาติจักรวรรดิ
เยอรมัน นอกจากนี้ ธงประจำพรรคนาซียังมีความหมายมากกว่านั้น ตาม
ทีฮ่ ิตเลอร์ได้เขียนเอาไว้ใน Mein Kampf ว่า สีขาว หมายถึง ชาตินิยม
สีแดง หมายถึง สังคมนิยม และเครื่องหมายสวัสดิกะ ซึ่งใช้เป็น
เครื่องหมายของ เชื้อชาติอารยัน
เมื่อพรรคนาซีเข้าบริหารประเทศ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 1933
ธงชาติสีดำ-แดง-ทองถูกประกาศเลิกใช้เป็นธงชาติของนาซีเยอรมนี ต่อมา
คำสั่งในวันที่ 12 มีนาคม รัฐบาลได้ประกาศใช้ธงสามสี คือ ดำ-ขาว-แดง
ซึ่งเป็นธงชาติทใี่ ช้มาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิเยอรมัน และธงสวัสดิกะของ
พรรคนาซีให้เป็นธงชาติ ของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งสองแบบ ใน
ปี 1935 หลังจากประธานาธิบดี พอล ฟอน ฮินเดนเบิร์ก
ถึงแก่อสัญกรรม ฮิตเลอร์ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฟือห์เรอร์ การใช้
621/665
ฮิตเลอร์พิจารณาการ ทำความเคารพดังกล่าวว่าเป็นการแสดงถึง
จิตวิญญาณ อันกระหายสงครามของชาวเยอรมัน ขณะทีฮ่ ิมม์เลอร์มองว่า
เป็นการมอบความสัตย์พร้อมกับหอกทีช่ ูปลายขึ้น จากคำกล่าวอ้างดังกล่าว
มีการอ้างสนับสนุนอยู่บางส่วน นักประวัติศาสตร์ได้ถกเถียงกันมานานแล้ว
ว่าการทำ ความเคารพในแบบเดียวกันถูกใช้เฉพาะแต่ในการสถาปนา
กษัตริย์เยอรมันในสมัยโบราณเท่านั้น
ส่วนทางด้านสารานุกรมโบรคเฮาส์ได้ตอกย้ำแนว คิดดังกล่าว โดย
แจ้งว่าการทำความเคารพแบบดังกล่าว สันนิษฐานว่านำมาจากกิริยา
ท่าทางที่ใช้ระหว่างการราชาภิเษกของกษัตริย์เยอรมันในยุคกลางตอนต้น
พร้อมกับเปล่งเสียงออกมาว่า “ไฮล์” ตามทฤษฎีอารยันของพรรคนาซี
ผู้ปกครองโรมันสมัยโบราณชอบท่องเที่ยวไปตามยุโรปตอนเหนือ ดังนั้น
พรรคนาซีจึงมีความเชื่อว่า ชาวโรมันได้นำเอาการทำความเคารพดังกล่าว
กลับไปยังกรุงโรมด้วย
ตั้งแต่ปี 1933 จนถึงปี 1945 การสดุดีฮิตเลอร์ถือว่าเป็นการทักทาย
แบบเยอรมันโดยทั่วไป การเปล่งเสียงว่า “ไฮล์ ฮิตเลอร์” (อันมี
ความหมายว่า “ฮิตเลอร์ จงเจริญ”) ถูกใช้ในการแสดงความเคารพต่อ
ประชาชนโดยตรง หรือกับนายทหารระดับสูงของหน่วยเอสเอส ส่วนการ
ทำความเคารพตัวฮิตเลอร์เอง นั้นให้ใช้คำว่า “ไฮล์ ไมน์ ฟือห์เรอร์” (ผู้นำ
ของเรา จงเจริญ) หรือจะเปล่งเสียง ง่ายๆ ว่า “ไฮล์” เมื่อกล่าวถึงตัวฮิต
เลอร์เป็นบุคคลที่สาม
624/665
การสดุดีฮิตเลอร์ซึ่งเป็นการดัดแปลงมาจากการทำความเคารพแบบ
โรมันถูกใช้ในหลายประเทศด้วยความหมายหลายประการก่อนหน้า
สงคราม โลกครั้งที่ 2 อย่างเช่น การทำความเคารพแบบเบลลามี ซึ่งใช้
เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิญาณความจงรักภักดีต่อธงชาติสหรัฐอเมริกา
ตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
และการทำความเคารพแบบโรมันมีส่วนคล้ายกับการสดุดีฮิตเลอร์ ในปี
1942 จึงได้มีการยกเลิกการแสดงความเคารพดังกล่าวเนื่องจากสาเหตุนี้
และยังได้มีการยกเลิกการแสดงความเคารพแบบดังกล่าวในอีกหลาย
ประเทศ ในประเทศสเปน การทำความเคารพแบบฟาสซิสต์เป็นที่นิยม
น้อยลง ภายหลังการถึงอสัญกรรมของฟรานซิสโกฟรังโก ในปี 1975
ถึงแม้ว่าจะมีการใช้กันอยู่ในกลุ่มนีโอฟาลังก์
หลังปี 1945 การแสดงความเคารพดังกล่าวและการใช้ถ้อยคำ
ประกอบ ถูกห้ามในประเทศเยอรมนีและออสเตรียภายหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนการแสดงความเคารพยังคงมีใช้กันอยูโ่ ดยกลุ่ม
นีโอนาซี ซึ่งใช้ตัวเลข 88 ในการ สื่อความหมายว่า “ฮิตเลอร์ จงเจริญ”
(เลข 8 หมายถึง ตัวอักษร H ในภาษาอังกฤษ) การทำความเคารพ
รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า การทำความเคารพแบบคือเนน ซึ่งประกอบด้วย
นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางก็ถูกห้ามในประเทศเยอรมนีเช่นกัน
และสุดท้ายก็มาถึง ความอมตะของโฟล์คสวาเกน
626/665
บางคนอาจจะยังไม่รู้หรือเคยได้รู้มาก่อนว่า แท้จริงแล้วยี่ห้อหรือตรา
สำคัญของรถคลาสสิกเจ้าหนึ่งของโลก ทีม่ ีชื่อว่า โฟล์คสวาเกน (Volk-
swagen) นั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นคนคิดขึ้นมา หรืออาจกล่าวได้ว่าเขา
นั้นเองทีด่ ำริให้มันได้ถือกำเนิดมาในโลกนี้ จนกลายเป็นที่รู้จักและยังมีคน
นิยมมาจนถึงปัจจุบัน
เจ้ารถโฟล์คสวาเกนที่ว่านี้แท้จริงก็คือ รถเต่า ที่คนไทยเราเรียกหรือ
ฝรั่งก็เรียกว่า โฟล์คบีทเทิล นั่นเอง
ว่ากันว่า บันทึก ในฤดูร้อนปี 1932 ฮิตเลอร์วาดร่างออกแบบรถขึ้น
มา ระหว่างนั่งอยู่ในร้านอาหารทีเ่ มืองมิวนิค ที่เขาคิดเช่นนั้นก็เพราะว่าใน
ระยะแรก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมัน ในฐานะเป็นผู้นำ
กลุ่มอักษะ ได้ใช้ยุทธวิธที ั้งกำลังพลและกำลังอาวุธทีม่ ากด้วยประสิทธิภาพ
แล้วส่งไปตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วภูมิภาค เพื่อหวังจะยึดครองโลก
หนึ่งในบรรดาจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งต้องอาศัย
พาหนะที่ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับทุกสภาพ
อีกทั้งในเวลาต่อมาเขาก็คิดต่อยอดเอามาได้อีกว่าเพราะอยากให้
ผู้คนเยอรมันมีรถยนต์ขับขี่ ดังนั้นจึงเกิดคำว่าโฟล์คสวาเกน ขึ้นซึ่งมี
ความหมายว่า “รถของประชาชน”
คำว่า Volk ในภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ประชาชน
ส่วนคำว่า wagen นั้นแปลว่า รถยนต์
627/665
ฮิตเลอร์มีบัญชาให้ออกแบบสร้างรถยนต์ที่ดั้นด้นไปทุกแห่งหนได้
โดยไม่ต้องง้อน้ำ และต้องออกแบบให้เรียบง่าย ลดค่าใช้จ่ายทั้งในการ
ผลิตและซ่อม บำรุง วิศวกรเยอรมันชื่อ “ดร. เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่” ใช้
ความเป็นอัจฉริยะ และประสบการณ์ที่ได้จากการออกแบบ ทำรถยนต์ที่
สนองความปรารถนาของ จอมเผด็จการได้อย่างครบถ้วน และยังแถมให้
ด้วยความต้องการที่จะให้คนเยอรมัน มีคุณภาพชีวิตที่เทียมทัน ไม่
น้อยหน้าคนอเมริกันทีม่ ีรถที่สร้างทำง่ายๆ อย่างรถฟอร์ด Model T ใช้
กันเกลื่อนแทบทุกครัวเรือนในอเมริกา ซึ่งฮิตเลอร์มีบัญชาให้ปอร์เช่
เดินทางไปศึกษาด้วยตนเอง รถยนต์ที่ ดร.ปอร์เช่ ออกแบบสร้าง ให้ใน
เวลาอันรวดเร็วทันตามบัญชาของผู้เผด็จการ นอกจากจะเหมาะสำหรับใช้
ในการทำสงครามทะเลทรายตามความต้องการหลักของฮิตเลอร์แล้ว ยัง
เหมาะที่จะให้ใช้เป็นพาหนะของคนเยอรมันได้ถ้วยหน้า
ในปี 1938 รถโฟล์คคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกัน
อย่างจริงจังด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์
628/665
ภาวะหลังสงคราม
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุตลิ งเมื่อปี 1954 ประเทศมหาอำนาจอักษะ
เป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม กระนั้นทั้งประเทศที่ชนะและพ่ายแพ้สงครามต่าง
ต้องประสบกับความยากลำบากด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะความ
เสียหายอันเกิด จากสงครามและกินพื้นที่กว้างไปทั่วโลก
ได้มีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจำนวน
มาก กว่า 60 ล้านคน ประกอบไปด้วยทหารอย่างน้อย 22 ล้านคน และ
พลเรือนอย่างน้อย 40 ล้านคน
สาเหตุเสียชีวิตของพลเรือนส่วนใหญ่นั้นมาจากโรคระบาด การอด
อาหาร การฆ่าฟัน และการทำลายพืชพันธุ์ ด้านสหภาพโซเวียตสูญเสีย
ประชากรราว 27 ล้านคนระหว่างช่วงสงคราม คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของ
ความสูญเสียทั้งหมด ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
636/665
โซเวียตในโปแลนด์ และการทิ้งระเบิดใส่เมืองเดรสเดนจนมีผู้เสียชีวิตใน
หลักแสน
นอกจากนั้น ยังมีความสูญเสียบางประการที่เป็นผลทางอ้อมของ
สงคราม อย่างเช่น ทุพภิกขภัยในแคว้นเบงกอล (1943) เป็นต้น
สนธิสัญญาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา อังกฤษ สหภาพโซเวียต
และฝรั่งเศส ได้เข้าร่วมประชุมร่างสนธิสัญญาสันติภาพขึ้นหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการลงนามกันที่กรุงปารีสเมื่อปี 1947 ตาม
สนธิสัญญาสันติภาพนี้ ประเทศอิตาลี และบริวารของเยอรมนีคือ
บัลแกเรีย ฮังการี โรมาเนีย และฟินแลนด์ ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม
จำกัดอาวุธ และเปลี่ยนแปลงเขตแดน
โดยอิตาลีต้องเสียแคว้นทริเอสเต (Trieste) ให้อยู่ภายใต้การ
อารักขาของสหประชาชาติ เสียแคว้นเวเนเซีย (Venezia) กิเลีย (Gilia)
และเกาะเล็กๆ ในทะเลอาเดรียติกให้แก่ยูโกสลาเวีย เสียดินแดนบางส่วน
ให้ฝรั่งเศส เกาะโดเด คาเนส (Dodecanese) ตกเป็นของกรีซ
อาณานิคมในแอฟริกา ได้แก่ โซมาลิแลนด์ (Somaliland) เอริเทรีย
(Eritria) ลิเบีย (Libya) อยู่ในความดูแลของ 4 มหาอำนาจ ได้แก่
อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา
638/665
นอกจากนี้อิตาลียังถูกจำกัดกำลังทหาร โดยกองทัพบกจะมีกำลัง
ทหาร ได้ไม่เกิน 185,000 คน กองทัพเรือและกองทัพอากาศมีได้อย่างละ
ประมาณ 25,000 คน ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เขตแดนประเทศต่างๆ ในยุโรปหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ชาวเยอรมนีที่อยู่ต่างแดนจะถูกส่งกลับคืนเยอรมนี กรุงเบอร์ลินถูก
แบ่ง ออกเป็น 4 เขต เช่นกันและอยู่ในความคุ้มครองของ 4 มหาอำนาจ
พรรคนาซีถูกพิจารณาโทษว่าเป็นอาชญากรสงคราม
ส่วนญี่ปุ่นนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ให้สหรัฐอเมริกาเข้ายึดครอง
ทั้งนี้เพราะ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ลงทุนในการทำสงครามกับญี่ปุ่นมาโดย
ตลอด โดยได้มีการตั้งองค์กรสำคัญขึ้นมาควบคุมดูแลได้แก่
กองบัญชาการสูงสุดสำหรับมหา อำนาจพันธมิตร มีชื่อย่อว่า SCAP โดย
มีผู้บัญชาการทหารสูงสุดคือ นายพลดักลาส แมคอาเธอร์ องค์กรนีเ้ ป็น
คณะบุคลากรขนานใหญ่อันประกอบด้วยฝ่ายพลเรือนและทหาร โดยมี
เป้าหมายคือเพื่อเข้าไปควบคุมและสร้างให้ญี่ปุ่นเป็นรัฐปลอดทหาร การ
ลงโทษอาชญากรสงคราม และการสร้างระบอบประชาธิปไตย
โดยองค์กรนี้ได้ดำเนินการสร้างญี่ปุ่นให้เป็นรัฐปลอดทหาร โดยการ
ทำลายกำลังแสนยานุภาพญี่ปุ่นเป็นขั้นตอน ที่สำคัญคือ การทำลาย
กองทัพ อาวุธยุทโธปกรณ์ ยุบหน่วยราชการทหาร สลายกำลังพลที่มอี ยู่
กว่า 2 ล้านให้คืนถิ่นเกิดจนหมด และอพยพทหารอีกกว่า 3 ล้านคนใน
ดินแดนโพ้นทะเลที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่กลับประเทศและปลดประจำการ
ดินแดนที่ญี่ปุ่นได้ครอบครองได้คืนแก่เจ้าของเดิมหมด ที่สำคัญคือ
หมู่เกาะริวกิวและคูรลิ มีการลงโทษอาชญากรสงครามอย่างต่อเนื่องโดย
ผู้ต้องหา รายสำคัญจะถูกส่งไปพิจารณาคดีที่ศาลระหว่างประเทศ และ
ต้องเสียค่าปฏิกรรมสงคราม
641/665
องค์การสหประชาชาติกับสงครามเย็น
นับเป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่
1 ผู้ชนะในสงครามครั้งนั้นได้จัดตั้งองค์กรสันติภาพขึ้นในนามของ
“สันนิบาตชาติ” และหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศ
ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้ก่อตั้งองค์การ สหประชาชาติขึ้น เมื่อวันที่ 24
ตุลาคม 1945 ด้วยความพยายามที่จะรักษาสันติภาพทั่วโลก อีกหน
ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มิได้เปลี่ยนแปลงพรมแดนของประเทศ
ใดประเทศหนึ่งมากนัก ไม่มีชาติใดสิ้นสภาพหรือเกิดรัฐขึ้นมาใหม่ในระยะ
แรกผู้ชนะสงครามได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพลเรือนแทนการ
เปลี่ยนแปลงพรมแดน ซึ่งก็ได้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแก่ชาวเยอรมันใน
สหภาพโซเวียตและ ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกา
ต่อมา สันติภาพที่เพิ่งจะได้มาก็ได้ก่อให้เกิดความยุ่งยาก มีหลาย
ปัญหา ที่ยังไม่ได้สะสาง และความต้องการของนานาประเทศต่างขัดแย้ง
กันเอง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียต
ได้เสื่อมลงตั้งแต่ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะจบลงแล้ว และชาติ
มหาอำนาจแต่ละฝ่ายต่าง ก็เริ่มการขยายอิทธิพลของตนเองอย่างรวดเร็ว
ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้ก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น ด้วย
ความพยายามที่จะรักษาสันติภาพทั่วโลก โดยมีผลอย่างเป็นทางการ เมื่อ
วันที่ 24 ตุลาคม 1945 และปรับใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ในปี 1948อัน เป็นมาตรฐานสามัญซึ่งทุกชาติสมาชิกจะต้องบรรลุความ
642/665
สัมพันธ์ระหว่างสัมพันธ มิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียตได้เสื่อมลง
ตั้งแต่ก่อนทีส่ งครามโลกครั้งที่ 2 จะจบลงแล้วและชาติอภิมหาอำนาจ
แต่ละฝ่ายต่างก็เริ่มสร้างเขตอิทธิพลของตนเองอย่างรวดเร็ว
ทวีปยุโรปได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้วยอิทธิพลของ
ฝ่ายสัมพันธมิตร ตะวันตกและสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า
“ม่านเหล็ก” ซึ่งได้ลากผ่านประเทศเยอรมนีและประเทศออสเตรีย
สหภาพโซเวียตได้สร้างค่ายตะวันออกขึ้น โดยการผนวกดินแดนหลาย
ประเทศซึ่งถูกยึดครองอยู่ในลักษณะของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ซึ่ง
เดิมจะต้องผนวกรวมเข้ากับเยอรมนี ตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาโมโลตอ
ฟ-ริบเบนทรอพ อย่างเช่น โปแลนด์ตะวันออก
643/665
บทสรุปสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในยุโรปและทั่วโลกตั้งแต่ปี
1939-1945 ว่ากันว่ามีผลสะท้อนมาจากนโยบายการต่างประเทศของ
บรรดาประเทศมหาอำนาจในยุโรป
สงครามเริ่มต้นจากการรุกรานของฮิตเลอร์ ในปี 1938 และ 1939
เยอรมันและฝ่ายอักษะอาจจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ หากว่า ไม่เปิดแนวรบ
จนกว้างเกินไป และทีส่ ำคัญคือหากไม่เปิดศึกกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งนั้น
นำมาสู่หายนะของฝ่ายอักษะในที่สุด
มีอีกหลายเรื่องหลายประเด็นที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงโดยเฉพาะกรณี
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น
การล้างชาติพันธุ์โดยนาซีได้สังหารชาวยิวในทวีปยุโรปเป็นจำนวน
อย่าง น้อย 6 ล้านคน รวมไปถึงเชื้อชาติอื่นๆ อีกที่ถูกพวกนาซีลง
ความเห็นว่าเป็นพวกที่ “ไม่คู่ควร” หรือ “ต่ำกว่ามนุษย์” (รวมไปถึงผู้ที่
647/665
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารสหราชอาณาจักรได้รับการ
ปล่อยตัว 37,853 นาย ทหารเนเธอร์แลนด์ 28,500 นาย ทหาร
สหรัฐอเมริกา 14,473 นาย แต่พบว่าทหารจีนถูกพบว่าได้รับการปล่อยตัว
เพียง 56 นาย
อ้างอิงจากการศึกษาร่วมกันของนักประวัติศาสตร์ ได้สรุปว่า มีชาว
จีนมากกว่า 10 ล้านคนถูกเกณฑ์โดยกองทัพญี่ปุ่น และถูกใช้แรงงาน
อย่างทาส เพื่อวงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา ทั้งในแมนจูกัวและทาง
ภาคเหนือของประเทศจีน
650/665
ห้องสมุดรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณว่าในเกาะชวาว่าชาว
อินโดนีเซียกว่า 4 ถึง 10 ล้านคนต้องถูกบังคับให้ทำงานแก่กองทัพญี่ปุ่น
ระหว่าง สงคราม ชาวอินโดนีเซียบนเกาะชวากว่า 270,000 คนได้ถูกส่งไป
ทำงานในดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งมีเพียง 52,000
คนเท่านั้นที่สามารถกลับคืนสู่ถิ่นเดิมได้ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1942
ประธานาธิบดีรูสเวลต์ได้ลงนามในแผนการหมายเลข 9066 ซึ่งได้ทำการ
กักตัวชาวญี่ปุ่น ชาวอิตาลี ชาวเยอรมัน และผู้อพยพบางส่วนจากหมู่เกาะ
ฮาวาย ซึ่งหลบหนีหลังจากการโจมตีที่ฐานทัพเรือเพิร์ล ฮาเบอร์ ในช่วง
เวลาระหว่างสงครามเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลขของชาวญี่ปุ่นซึ่งถูกกักตัว
โดยสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีจำนวนกว่า 150,000 คน รวมไปถึงชาว
เยอรมันและชาวอิตาลีซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเกือบ 11,000 คน
ขณะเดียวกัน ก็การใช้แรงงานโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเช่นกัน
ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในดินแดนตะวันออก อย่างเช่นในโปแลนด์ แต่ยัง
มีผู้ใช้แรงงานอีกกว่าล้านคนในตะวันตก ในเดือนธันวาคม 1945 หลักฐาน
ของฝรั่งเศสได้ระบุว่ามีเชลยสงครามชาวเยอรมันกว่า 2,000 คน ตายหรือ
พิการทุกเดือนในการอุบัติเหตุจากการเก็บกวาดทุ่นระเบิด
นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ต่างๆ อันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความ
น่าหวาดเกรงต่อโลกอีกมาก โดยเฉพาะสงครามที่เริ่มใช้อาวุธเคมีและอาวุธ
เชื้อโรค
651/665
แม้จะมีสนธิสัญญาระหว่างชาติที่คัดค้านต่อการใช้ก๊าซพิษของญี่ปุ่น
และกองทัพแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ใช้อาวุธเคมีหลายครั้ง ซึ่งถูกลงนามโดย
สันนิบาตชาติเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1938 แล้วก็ตาม แต่ว่ายังได้มกี าร
ใช้ก๊าซพิษและอาวุธชีวภาพกับพลเรือนชาวเอเชียซึ่งถูกมองว่า “ต่ำกว่า”
ตามคำ โฆษณาของกองทัพญี่ปุ่น และจากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์
พบว่าการจะใช้อาวุธเคมีจะต้องมีคำสั่งโดยตรง (rinsanmei) จากสมเด็จ
พระจักรพรรดิฮโิ รฮิโตะเท่านั้น ดังตัวอย่างเช่นพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้มี
การใช้ก๊าซพิษกับค่าย 375 ระหว่างยุทธการอู่ฮั่น ระหว่างเดือนสิงหาคม
จนถึงเดือนตุลาคม 1938ทางด้านอิตาลีก็ได้มีการใช้ซัลเฟอร์มัสตาร์ด
ระหว่างการทัพในเอธิโอเปีย
ส่วนอาวุธเชื้อโรคก็ได้ถูกทดลองกับมนุษย์ภายในค่ายกักกันของ
กองทัพแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ดังเช่นภายในค่าย 731 และ
ได้ถูกรวบรวม โดยพระราชกฤษฎีกาภายในกองทัพกุนทวงในปี 1936
อาวุธเหล่านี้ถูกใช้อย่าง แพร่หลายภายในจีน และทหารผ่านศึกชาวญี่ปุ่น
บางคน ก็ได้ใช้กับทหารมองโกเลียและทหารโซเวียตช่วงปี 1939 ระหว่าง
ยุทธการคัลคนิน กอล และตามหลักฐานของออสเตรเลียได้ระบุไว้ว่ามีการ
ทดลองก๊าซไซยาไนด์กับเชลยสงครามชาวออสเตรเลียและชาวดัตช์ระหว่าง
เดือนพฤศจิกายน 1944 บนหมู่เกาะไค
นับตั้งแต่ปี 1945 ถึง 1951 มีนายทหารเยอรมันและญี่ปุ่นจำนวน
มากได้ถูกดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมสงคราม โดยถูกตั้ง
652/665
ข้อหาว่าได้ก่ออาชญากรรมต่อต้านสันติภาพ ก่ออาชญากรรมต่อมวล
มนุษยชาติ การทำสงครามเพื่อการรุกราน และข้อหาอื่นๆ นายทหารอาวุโส
เยอรมันจำนวนมากได้หลบหนีขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรมีการพิจารณาจำเลย
นูเรมเบิร์ก และนายทหารญี่ปุ่นในศาลทหารพิเศษนานาชาติแห่งภาคพื้น
ตะวันออกไกล รวมไปถึงอาชญากรรมอื่นๆ ในเขตเอเชียและมหาสมุทร
แปซิฟิก ส่วนนายทหารชั้นผู้น้อยลงมาก็ถูกตัดสินว่าผิดในข้อหาที่เบาลงมา
แต่กลับไม่มีการให้ความสำคัญกับการละเมิดกฎหมายนานาชาติกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตรใดๆ เลย รวมไปถึง อาญชากรสงครามฝ่ายสัมพันธมิตร
และการทิ้งระเบิดตามหัวเมืองสำคัญของฝ่ายอักษะ หรือสหภาพโซเวียตใน
ยุโรปตะวันออก
สงครามครั้งนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ แต่ว่าชาติตะวันตกใน
ทวีป ยุโรปก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากับ
สหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศมหาอำนาจและนำไปสู่สงครามเย็นที่
ดำเนินต่อมาอีก 45 ปี สหประชาชาติได้รับการสถาปนาขึ้น ด้วยความหวัง
ว่าจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งเช่นที่เกิดขึ้นนี้ได้อีก ภายหลัง
สงครามมีการเคลื่อนไหวในทวีปเอเชียและแอฟริกาเพื่อเรียกร้องเอกราช
จากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศในยุโรป ขณะเดียวกัน
ยุโรปตะวันตกได้พยายามรวมตัวกัน ดังจะเห็น ได้จากการก่อตั้งสหภาพ
ยุโรป เป็นต้น
653/665
ไทยในฐานะของผู้แพ้สงครามนายควง อภัยวงศ์ได้ลาออกจากเก้าอี้
นายกรัฐมนตรี และร้องขอให้ มรว.เสนีย์ ปราโมชขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
แทน ด้าน มรว.เสนีย์ก็สามารถเจรจากับอังกฤษ และสามารถตกลงกันได้
ในที่สุด
เป็นอันว่า แม้เริ่มต้นไทยเราจะเป็นฝ่ายอักษะแต่ด้วยกลยุทธ์ทางการ
ทูต และด้วยความหวังดีของคนอีกกลุ่มหนึ่งในนาม “เสรีไทย” สุดท้ายก็
ทำให้เราสามารถก้าวฝ่าข้ามวิกฤตครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
โลกไปได้อย่างสวยงามและกล่าวขานถึงจนวันนี้ ---
เชิงอรรถ