Professional Documents
Culture Documents
Volume
1/2
Pharmacotherapy
Survival Guide on
?
+
?
Rx
Volume
1/2
คํานํา
หนังสือ Survival Guide on Pharmacotherapy ชุดนี้ จัดทําขึ้นเพื่อใชในการเตรียมความพรอมเพื่อสอบ
ใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ประจําป 2557 โดยหวังเปนอยางยิ่งวาจะสามารถสรุปความคิดรวบยอดของเนื้อหา
ทางดานเภสัชบําบัด และเคมียา เพื่อใหผูอานไดแนวคิดและสามารถนําไปประยุกตใชไดทั้งในการสอบใบประกอบ
วิชาชีพ และการปฏิบัติงานเชิงวิชาชีพในอนาคต
กองบรรณาธิการขอเปนตัวแทนนักศึกษา ขอกราบขอบพระคุณคณาจารยภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก และ
ภาควิชาเภสัชเคมีที่ไดกรุณาประสิทธิ์ประสาทวิชา และเสียสละเวลาเพื่อมาตรวจทานเนื้อหาในหนังสือเลมนี้ในบาง
หัวขอ กองบรรณาธิการขอขอบคุณเพื่อน ๆ และนอง ๆ ทุกคนที่ไดรวมแรงรวมใจทําใหหนังสือชุดนี้เปนรูปเลม
พรอมใชงาน
... ขอใหทุกคน จงโชคดีในการสอบ ...
กองบรรณาธิการ
นันทพงศ บุญฤทธิ์ รอนี กาเดร
กุลธิดา ทรงเดชะ จิตตชนก ชาญสตบุตร
นีรชา พลอินทร ลัดดาวัลย จีนฉิ้ม
ธันวาคม 2556 มณสิณีย อินทรรองพล
Contents
Unit 1 : Pharmaceutical Care Antifungal Agents 176
22 Tuberculosis 181
1 Foundation of Pathophysiology 3
Anti-tuberculosis Agents 190
2 Clinical Laboratory 11
23 Sexual Transmitted Diseases 193
3 Pharmaceutical Care 23
4 Pharmaceutical Calculation 27
Unit 4 : Cardiovascular Diseases
5 Adverse Drug Reactions 33
6 Drug Interaction 39 24 Hypertension 203
Chapters
1 Foundation of Pathophysiology
2 Clinical Laboratory
3 Pharmaceutical Care
4 Pharmaceutical Calculation
5 Adverse Drug Reactions
6 Drug Interactions
7 Drug Use Evaluation
8 Prescribing Systems
9 Medication Errors
10 หลักการซักประวัติ และร้ านยาคุณภาพ
11 National List of Essential Medicines
12 Drug Labeling
13 High Alert Drugs
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
1 Foundation of Pathophysiology
นศภ.กนกวรรณ ส่องสุข
Pathophysiology
Pathophysiology = พยาธิสรีรวิทยา ศึกษาความผิดปกติทางหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากโรค เน้น Disease
mechanism (Disease mechanism เป็น Dynamic process) ประกอบด้วย
สิ่งที่ทําให้เกิดโรค (Cause of disease)
โรคทําให้เกิดอาการ (Symptom) และอาการแสดง (sign) อย่างไร
มีการกระตุ้นให้ร่างกายเอาชนะโรคอย่างไร
การบาดเจ็บและการตายของเซลล์
เพิ่มขึ้นใน Cytoplasm
การตายของเซลล์ (Cell death) มี 2 รูปแบบหลักๆ คือ necrosis และapoptosis โดยทั้งสองมีความแตกต่างกัน
Pharmaceutical Care
Chapter 1
Foundation of Pathophysiology
ภาพที่ 1.3 การเกิด necrosis (Korbling et al, 2003)
Apoptosis หรือ แบบแผนการตายของเซลล์ (programmed cell death) เป็นการควบคุมสมดุลระหว่างการแบ่งตัว
และการตายของเซลล์ ที่จําเป็นสําหรับพัฒนาการที่ปกติของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ Apoptosis สามารถถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก
เซลล์ได้ เช่น การกลายพันธุ์ โรคมะเร็ง การติดเชื้อไวรัส โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน และโรคทางระบบประสาท เป็นต้น สําหรับมนุษย์
มีก ารตายของเซลล์ถึ ง 109 เซลล์ ต่ อวั น ซึ่ง การ Apoptosis เป็ นรู ป แบบการตายที่ ต้ องใช้ พ ลัง งาน (แบบ necrosis ไม่ ต้ องใช้
พลังงาน)
Death receptors (DRs) ประกอบด้วยLigands และ Ligand receptors เช่น Tumor necrosis factor receptor (TNFR), Fas
receptor (FasR) และ TRAILR1 เป็นต้น เมื่อ Ligands ที่จําเพาะไปจับกับ DRs จะเกิดโครงสร้างเชิงซ้อนของโปรตีนที่เรียกว่า
death inducing signaling complex (DISC) ที่ประกอบด้วย adaptor protein และ initiator caspase ซึ่งโครงสร้างนี้จะ
กระตุ้นให้ pro caspase ทําลายจนนําไปสู่การเกิด Apoptosis
Pharmaceutical Care
Chapter 1
พบได้บ่อยคือ Hyperplasia, Hypertrophy, Atrophy และ Metaplasia
Hyperplasia เป็นความผิดปกติที่จํานวนเซลล์ที่เพิ่มมากขึ้นจนส่งผลให้อวัยวะนั้นๆ หรือเนื้อเยื่อเกิดการขยายตัวตามไป
ด้วย โดยสาเหตุมักเกิดจากการได้รับสารกระตุ้นจากภายนอกร่างกาย สําหรับปัจจัยภายในที่พบได้บ่อยคือ hormone-
induced uterus ซึ่งจะส่งผลให้มีการเพิ่มจานวนของกล้ามเนื้อเรียบและ epithelial cell จน uterus มีขนาดใหญ่ขึ้น
Hypertrophy เป็นความผิดปกติที่เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้อวัยวะนั้นๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย โดยจํานวน
Foundation of Pathophysiology
เซลล์จะยังเท่าเดิม ทั้งนี้เกิดจากความผิดปกติในกระบวนการแบ่งเซลล์ จากการตรวจเซลล์ที่เกิด hyperplasia จะพบว่า
มีส่วนประกอบของเซลล์หรือ DNA มากกว่าเซลล์ปกติ เนื่องจากมีความผิดปกติในการแบ่งเซลล์ขั้นตอน mitosis ภาวะ
hypertrophy นี้ สามารถพบได้ทั้งในภาวะปกติและภาวะที่เป็นโรค ซึ่งการเพิ่มขนาดของเซลล์ในภาวะปกติจะเกิดจาก
การใช้งานที่มากเกินไป หรือเกิดการจากกระตุ้นของฮอร์โมน เช่นนักเพาะกายหรือนักกีฬาที่มีการ ออกกําลังกายอย่าง
หนัก จะมีการกระตุ้นกล้ามเนื้อในส่วนนั้นๆ ส่งผลให้เซลล์มีการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งมีผลทําให้ Muscle fiber มีขนาดใหญ่
ขึ้น นอกจากนี้กล้ามเนื้อเรียบก็สามารถเกิด hypertrophyได้ เช่น การขยายตัวของ uterus ในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์
ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นของ estrogen หรือการขยายตัวของเต้านมระหว่างการตั้งครรภ์ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้น
โดย prolactin ส่วน hypertrophy ในภาวะที่เป็นโรคซึ่งพบได้บ่อยที่สุดคือกล้ามเนื้อหัวใจ เนื่องจากความผิดปกติของ
ระบบไหลเวียนเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง ลิ้นหัวใจผิดปกติแต่กําเนิด
Atrophy เป็นการฝ่อและเหี่ยวของเซลล์ ส่งผลให้อวัยวะนั้นๆ มีขนาดลดลง สามารถพบได้ทั้งในภาวะปกติและการเกิด
โรค ในภาวะปกติ เช่น การหดหรือฝ่อของกล้ามเนื้อ เซลล์สมอง เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ส่วน atrophy ที่เกิดโรคมักจะมี
สาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่
o การลดการทํางาน (Decreased workload) ภาวะนี้มักจะพบในคนไข้ที่ต้องนอนพักอยู่ในโรงพยาบาลนานๆ
ทําให้มีกิจกรรมการขยับตัวน้อยมากหรือผู้ที่ต้องเข้าเฝือกนานๆ จะเกิดกล้ามเนื้อลีบเล็กลง
o การขาดเลือดไปเลี้ยง (Decreased blood supply) มักจะพบในภาวะ Ischemia หรือภายหลังจากการเกิด
Atherosclerosis จนทําให้หลอดเลือดมีรูแคบลงเลือดจึงไปเลี้ยงลดลง
o การขาดสารอาหาร (Inadequate nutrition) ภาวะที่พบได้บ่อยคือ Marasmus ซึ่งผู้ป่วยมีการขาดโปรตีน
อย่างมาก ร่างกายจึงสลายกล้ามเนื้อเพื่อนําเอาโปรตีนมาใช้แทน หรือภาวะ Cachexia ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรค
เรื้อรังที่กินอาหารได้น้อยหรือเบื่ออาหารร่วมด้วย หรือผู้ป่วยโรคมะเร็งจะมีระดับของ tumor necrosis factor
(TNF) มากกว่าคนปกติโดย TNF จะมีฤทธิ์กดการหิวร่างกายขาดสารอาหารจึงทําให้เซลล์สร้างโปรตีนไม่ได้
o การกระตุ้นจากฮอร์โมนลดลง (Loss of endocrine stimulation) ระบบที่ได้ผลกระทบมากที่สุดคือระบบ
สืบพันธุ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิงเช่น หญิงวัยทอง (Menopause) เมื่อเกิดการขาดฮอร์โมน estrogen จะ
ทําให้มีการฝ่อของ Endometrium, Vaginal epithelium และเต้านม
o โรคมะเร็ง (Cancer) เป็นผลจากการขยายตัวของเซลล์มะเร็งจนกดการเจริญของเนื้อเยื่อข้างเคียง
Metaplasia คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์ชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการปรับตัวของเซลล์เมื่อได้รับ
อันตรายจากสิ่งที่มากระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถทนต่อสภาวะนั้นๆ ได้ และเซลล์จะปรับเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิด
เดิมได้เมื่อสิ่งกระตุ้นหมดไป เช่น เซลล์เยื่อบุหลอดลมของคนสูบบุหรี่เปลี่ยนจาก Ciliated columnar epithelial cell
เป็น Stratified squamous epithelium
8
การอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง
การอักเสบ (Inflammation) หมายถึง ปฏิกิริยาตอบสนองที่ซับซ้อนของเนื้อเยื่อ ต่อสิ่งที่ก่อภยันตรายและต่อเซลล์หรือ
เนื้อเยื่อที่เสียหายหรือตายลง
สิ่งที่เป็นส่วนประกอบของการอักเสบ
Unit 1
1. เซลล์เม็ดเลือด
Neutrophils
Monocyte & mononuclear phagocytes
Lymphocytes
Basophils and mast cells
Pharmaceutical Care
เกร็ดเลือด (platelet)
2. เซลล์และส่วนประกอบของ stroma (stromal elements)
endothelial cell
fibroblast
เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle cell)
Extracellular matrix proteins ได้แก่ collagen, elastic fiber, hyaluronic acid, proteoglycans,
glycoproteins เป็นต้น
โดยทั่วไปการอักเสบจะดําเนินไปเป็นลําดับ ได้แก่ การเริ่มต้น (initiation) การขยายผล (amplification) การสิ้นสุด
(termination) และสามารถจําแนกชนิดของการอักเสบตามลักษณะการเกิดโรคทางคลินิกและระยะเวลาที่เกิดปฏิกิริยา ได้เป็น
1. การอักเสบเฉียบพลัน (Acute inflammation) มีอาการของการอักเสบในช่วงเวลาเป็นนาที หรือชั่วโมง หรือวัน
2. การอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Sub-acute inflammation) มีอาการของการอักเสบในช่วงเวลาหลายวัน หรือหลาย
สัปดาห์
3. การอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) มีอาการของการอักเสบในช่วงเวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน
อย่างไรก็ตามการแบ่งเช่นนี้อาจไม่สอดคล้องกับปฏิกิริยาการอักเสบที่เกิดขึ้นจริงในเนื้อเยื่อซึ่งจะตรวจพบได้ด้วยกล้อง
จุลทรรศน์ จึงจะกล่าวถึงเฉพาะการแบ่งชนิดของการอักเสบทางพยาธิวิทยา ซึ่งอาศัยชนิดของเซลล์ก่อการอักเสบที่พบ ได้แก่
Acute inflammation และ Chronic inflammation
การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ 3 อย่างในการอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่
1. การขยายตัวของหลอดเลือด ทําให้มีเลือดมาเลี้ยงเพิ่มขึ้น
2. การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของหลอดเลือด ทําให้เซลล์และสารประกอบโปรตีนรั่วไหลออกนอกหลอดเลือดได้
3. การเคลื่อนตัวของเม็ดเลือดขาวออกจากหลอดเลือด เข้าสู่เนื้อเยื่อที่เกิดภยันตราย
ปฏิกิริยาการอักเสบเฉียบพลัน
ลักษณะเด่น: short duration , exudation of fluid & plasma proteins , emigration of neutrophils
การอักเสบเป็นหนอง (Suppuration) หนองเป็น exudate ที่มี neutrophil อยู่เป็นจํานวนมาก (neutrophil-rich)
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (pyogenic bacteria) ในบางกรณี แม้ว่าการอักเสบจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน แต่หาก
สาเหตุของโรคยังไม่ได้ถูกกําจัดไป จะยังคงพบ neutrophils อยู่เป็นจํานวนมาก ร่วมกับเซลล์ก่อการอักเสบแบบเรื้อรังและการ
ซ่อมแซม
ปฏิกิริยาการอักเสบเรื้อรัง
ลักษณะเด่น: Long duration, Lymphocytes & Macrophages, Fibrosis/Repair
ลักษณะสําคัญทางพยาธิวิทยาของการอักเสบเรื้อรัง
1. การแทรก (infiltration) ของเซลล์ก่อการอักเสบชนิด mononuclear ได้แก่ macrophage lymphocyte และ
plasma cell
2. การทําลายของเนื้อเยื่อ (tissue destruction)
3. การซ่อมแซม โดยการสร้างพังผืด หรือ connective tissue (fibrosis) มาแทนที่
9
รูปแบบสําคัญของการอักเสบที่พบทางคลินิก
การอักเสบชนิดที่มีของเหลวสะสม (Serous inflammation) เป็นการอักเสบที่มีสะสมของของเหลวซึ่งเกิดจากซีรัม
มักพบในช่วงแรกของ acute inflammation หรือในกรณีที่มีอันตรายที่ไม่รุนแรง (mild injury)
Chapter 1
การอักเสบชนิดที่มี fibrin สะสม (fibrinous inflammation) เป็นการอักเสบร่วมกับการรั่วของสารประกอบโปรตีน
ออกจากหลอดเลือดอย่างมาก (โดยเฉพาะ fibrinogen) ทําให้เกิดการจับตัวของ fibrin เป็น fibrinous exudate ซึ่งเป็นสารข้น
เหนียว มักพบในการอักเสบของเยื่อบุช่องลําตัว fibrinous exudate มีส่วนกระตุ้นการเจริญของ fibroblast และ หลอดเลือดฝอย
(capillary) ทําให้เกิดการสร้างพังผืด (scar) ขึ้นแทนที่ เรียกว่า organization ในที่สุดอาจเกิดการยึดติดระหว่างเยื่อบุช่องลําตัว
อย่างถาวร ทําให้การทําหน้าที่ของระบบอวัยวะผิดปกติไป
การอักเสบเป็นหนอง (Suppurative inflammation) มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หนองประกอบด้วย เม็ดเลือดขาว
Foundation of Pathophysiology
(ส่วนใหญ่เป็นชนิด neutrophils) รวมกับเนื้อเยื่อที่ตายและของเหลวที่รั่วออกจากหลอดเลือด
ฝี (Abscess) เกิดขึ้นเมื่อมีหนองสะสมอยู่ภายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อ pyogenic bacteria
ภายในเนื้อเยื่อที่อยู่ลึก ฝีสามารถขยายโตขึ้นเมื่อมีเนื้อตายและการสะสมของหนองมากขึ้น ตรงกลางโพรงฝี มักมีแต่เม็ดเลือดขาว
และเนื้อเยื่อที่ตาย ขอบนอกของฝีจะเป็น granulation tissue ที่มีการอักเสบ ลักษณะของเซลล์ก่อการอักเสบที่อยู่บริเวณขอบฝี
อาจเป็ น แบบ acute หรื อ chronic inflammation ก็ ไ ด้ ขึ้ น อยู่ กั บ อายุ ข องรอยโรค อาจพบ fibrosis เกิ ด ขึ้ น รอบขอบฝี ที่ เ ก่ า
(walled off abscess) ซึ่งเป็นกระบวนการซ่อมแซมที่มีส่วนช่วยจํากัดการขยายตัวหรือแพร่กระจายของการอักเสบติดเชื้อ
แผล (ulcer) แผลชนิ ด Ulcer เกิ ดจากการหลุดลอก (sloughing) ของเยื่อ บุห รือผิ วหนั งที่ มีการอัก เสบและตายลง
(Inflammatory necrotic tissue) ลักษณะการอักเสบที่พบร่วมกับ ulcer อาจพบมากหรือน้อยก็ได้และจะเป็นชนิด acute หรือ
chronic ก็ได้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ และอายุของรอยโรค
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่พบร่วมกับการอักเสบ
เมื่อเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ อาจมีอาการในหลายระบบของร่างกายนอกจากอวัยวะที่เกิดการอักเสบ กลุ่มอาการที่
เกิดขึ้น รวมเรียกว่า Acute phase reaction ประกอบด้วย
• อาการไข้ ซึ่งอาจพบร่วมกับอาการหนาวสั่น
• อาการง่วงนอนโดยมีการเพิม่ ขึ้นของ slow-wave sleep
• อาการเบื่ออาหาร (decreased appetite)
• ความดันโลหิตลดต่ํา
• การย่อยสลายโปรตีนในร่างกายเพิ่มขึ้น
• การสร้างสาร acute phase protein จากตับ เช่น C-reactive protein serum amyloid A complement
coagulation protein เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
1. รศ.ดร.ภญ.โพยม วงศ์ภูวรักษ์. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 561 – 301 Pathophysiology in Pharmaceutical
10
Unit 1
Pharmaceutical Care
มีมากในเซลล์ทุกชนิด
ค่าปกติ: 3.5 – 5 mEq/L
ภาวะที่มี serum K+ สูง (Hyperkalemia): Acute renal failure, Addison’s disease
ภาวะที่มี serum K+ ต่ํา (Hypokalemia): Cushing syndrome, Liver disease with ascites
(3) Bicarbonate (HCO3-)
Anion ที่สําคัญสําหรับของเหลวภายนอกเซลล์
ค่าปกติ: 24 – 35 mEq/L
ภาวะที่มี serum HCO3- สูง: Alkalosis, Hypoventilation
ภาวะที่มี serum HCO3- ต่ํา: Acidosis, Diabetic acidosis, Hyperventilation
(4) Chloride (Cl-)
Extracellular anion
ควบคุมสมดุล Acid – base และ Osmotic pressure
ค่าปกติ: 96 – 106 mEq/L
ภาวะที่มี serum Cl- สูง (Hyperchloremia): Cushing syndrome, Hypoproteinemia
ภาวะที่มี serum Cl- ต่ํา (Hypochloremia): Addison’s disease, Diabetic ketoacidosis
(5) Calcium (Ca2+)
ส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ประมาณ 98%
Ionized form สําคัญสําหรับการแข็งตัวของเลือด
(6) Phosphorous (PO43-)
สัมพันธ์กับระดับ Ca2+
จับ Ca2+ ประมาณ 85%
กรณีไตปกติ แต่มีระดับ PO43- ผิดปกติ: ระบบต่อมไร้ท่อผิดปกติ; มีการเปลีย่ นแปลงของกระดูก
Magnesium (Mg2+)
Cation ที่สําคัญภายในเซลล์ และปฏิกิริยาที่ต้องใช้เอนไซม์
การรับประทานอาหารตามปกติ มักไม่ทําให้ขาด Mg2+
1.4 Anion gap
Anion gap = (Na+ + K+) - (Cl- + HCO3-)
ในทางปฏิบัติจะนิยมตัดค่า K+ เพราะมีผลต่อค่า anion gap เล็กน้อย
ดังนั้น Anion gap = Na+ - (Cl- + HCO3-)
ค่าปกติ : 12 mEq/L
กรณี Anion gap > 15 mEq/L
Unmeasured anions สูงขึ้น
o การคั่งของ Acid metabolites ในผู้ป่วย Renal impairment
o การสร้างหรือการคั่งของ Formic acid ในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจาก MeOH
o การสร้างและการสะสมของ Lactic acid, Ketone acid, ในผู้ป่วย DM ที่ยังคุมอาการได้ไม่ดี
13
Unmeasured cations ต่ําลง
o เกิดการสูญเสีย Na+, K+, Ca2+, Mg2+ ในผู้ป่วย Renal impairment
กรณี Anion gap < 5 mEq/L
Chapter 2
Unmeasured cations เพิ่มขึ้น
o พิษจาก Li
o การคั่งของ Ca2+, mg2+ ในผู้ป่วยที่ต่อมไร้ท่อบกพร่อง
Unmeasured anions ลดลง
o สูญเสีย Albumin ในผู้ป่วย Renal impairment
Clinical Laboratory
1.5 Osmolality
(1) Serum osmolality (mg/dL) = 1.86 [Na+] + [glucose]/18 + [BUN]/2.8
Increased serum osmolality: Na+ overload, Dehydration, Acidosis
Decreased serum osmolality: Addison’s disease, H2O overload, Hepatic cirrhosis
(2) Urine osmolality
วัดความสามารถของไตในการทําให้เจือจางและเข้มข้น
บ่งชี้การทํางานของไตที่ไวกว่าค่า Specific gravity
Increased urine osmolality: Dehydration, Hyperglycemia
Decreased urine osmolaity: Diabetes inspidus, Water overload
1.6 Protein
(1) Total protein
ไวน้อยกว่าการหาค่า Albumin/Globulin ratio
ค่าปกติ: 6 – 8 g/dL
Hyperproteinemia: Dehydration, Hemoconcentration
Hypoproteinemia: Cirrhosis, Nephrotic syndrome
(2) Albumin
โมเลกุลโปรตีนที่มีขนาดเล็กที่สุด (ประมาณ 52 – 68% ของ Total protein)
ควบคุม Osmotic pressure ของ Plasma
เป็นตัวพาสารไม่ละลายน้าํ ที่มีความจําเป็น
ค่าปกติ: 4 – 6 g/dL
Hyperalbuminemia: Dehydration, Homoconcentration
(3) Globulin
Antibody ในระบบภูมิคมุ้ กันของร่างกาย
ค่าปกติ: 1 – 3 g/dL
Albumin/Globulin (A/G) ratio
ไวกว่าการวัด Total protein
ค่าปกติ: ประมาณ 2
A/G ratio ต่ํา: Liver disease, Malnutrition
1.7 Enzymes
(1) Amylase
สร้างจากตับอ่อน ต่อมน้ําลาย และตับ
Acute pancreatitis: ระดับ Amylase จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จะกลับเข้าสู่ระดับปกติภายใน 48 – 72 ชม.
ถ้าตรวจ Urine amylase พบว่าสูงนาน 1 สัปดาห์
(2) Lipase
สร้างจากตับอ่อน ทําหน้าที่ย่อยไขมัน
Acute pancreatitis: Lipase สูงนาน 10 วัน
14
(3) Acid phosphatase
พบมากที่ต่อมลูกหมาก
ใช้สําหรับยืนยันผลการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมาก
(4) Alkaline phosphatase
Unit 1
มักพบที่กระดูกและตับ
ระดับ Alkaline phosphatase สูง --> อาจมีความผิดปกติที่กระดูกและตับ
(5) Cholinesterase
Pseudocholinesterase (พบใน plasma) จะมีระดับลดลงในผู้ที่ไวต่อ Succinylcholine
ส่วนผูไ้ ด้รับสาร Organic phosphorous จะต้องมีการตรวจหา Pseudocholinesterase
Pharmaceutical Care
Chapter 2
Serum TG ต่ํา: Portal cirrhosis
Lipoproteins
Protein + Lipid (Chol, TG, Phospholipids, fatty acids)
สําหรับวินิจฉัยความผิดปกติของ Lipid metabolism ในโรคต่างๆ เช่น Nephrotic syndrome, DM เป็นต้น
2. Hematology
Clinical Laboratory
2.1 Complete blood count (CBC)
(1) Hemoglobin (Hbg, Hb, HgB)
เริ่มการรักษาภาวะ Anemia เมื่อ Hb < 10 g/dL
ค่าปกติ: ชาย 14 g/dL หญิง 12 g/dL
ทารกแรกเกิดค่า Hb สูงกว่าผู้ใหญ่
Hb = RBC (millions) X 3
Hb สูง: dehydration, Erythrocytosis
Hb ต่ํา: Anemia, cirrhosis, Hemorrhage
(2) Hematocrit (Hct, PVC, Crit)
เป็นการวัดอัตราส่วนร้อยละของจํานวน RBC ใน Plasma โดยการปั่นแยก
หลังการปั่นแยก มี WBC และ platelet ลอยข้างบน เรียกว่า Buffy coat
Hct ≈ 3 เท่าของ Hb (Hct = RBC (millions) X 9)
ค่าปกติ: ชาย 40% หญิง 35%
Hct สูง: Dehydration
Hct ต่ํา: Anemia, Hemorrhage
(3) Erythrocyte count (RBC count)
เป็นการนับจํานวนของ RBC (Life span ประมาณ 120 วัน)
ค่าปกติ: ชาย 4.5 millions/mm3 หญิง 4.0 millions/mm3
RBC count สูง: Anoxia, Shock
RBC count ต่ํา: Hemorrhage
(4) Leukocyte count (WBC count)
Granular: Neutrophil, Eosinophil, Basophil
Nongranular: Lymphocyte, Monocyte
Life span ของ WBC ประมาณ 13 – 20 วัน
Absolute neutrophil count (ANC) = % (Segs + Bands) X Total WBC count (cell/mm3)
ค่าปกติ: 5,000 – 10,000 cell/mm3
WBC สูง: Pain, Anorexia, Pneumonia, Rheumatic fever
WBC ต่ํา: Cirrhosis, Typhoid fever, Viral infection
(5) Differential white cell count (Diff)
สําหรับช่วยวินิจฉัยระยะและความรุนแรงของโรคบางชนิด
o Neutrophilia: Pneumonia, Rheumatic fever, MI
o Neutropenia: Septicemia, Typhoid fever
o Lymphocytosis: Typhoid fever, Viral hepatitis
o Lymphopenia: SLE, Cardiac failure
o Monocytosis: Cirrhosis, Typhoid fever
o Eosiophilia: Bronchial asthma
16
Polymorphoneuclear cells หมายถึง
o Neutrophils (PMNs, Polys, Segs) 50 – 70% ของ WBC
***Bands หรือ Stab หมายถึง Neutrophils ที่ยังโตไม่เต็มที่ มี nucleus ไม่ชัดเจน
o Eosinophils 2 – 5% ของ WBC
Unit 1
Chapter 2
ୖେ ୡ୭୳୬୲ ሺ୫୧୪୪୧୭୬ୱ/୫୫య ሻ
MCV ปกติ: Normocytic cells; MCV สูง: Macrocytic cells; MCV ต่ํา: Microcytic cells
ୌୠ ሺ୫%ሻ×ଵ
(2) Mean corpuscular hemoglobin (MCH) = ; หน่วย pg
ୖେ ୡ୭୳୬୲ ሺ୫୧୪୪୧୭୬ୱ/୫୫య ሻ
ୌୠ ሺ୫%ሻ×ଵ
(3) Mean corpuscular hemoglobin concentration (MCHC) = ; หน่วย g/dL
ୌୡ୲ ሺ%ሻ
MCH, MCHC ต่ํา: Hypochromic cells; MCH, MCHC สูง: Hyperchromic cells
Clinical Laboratory
2.4 Erythrocyte sedimentation rate (ESR) วัดอัตราการตกลงสู่ก้นหลอดของ RBC
สําหรับตรวจและติดตามผลของสภาวะที่มีการอักเสบ (Non – specific)
2.5 Reticulocyte count เป็น RBC ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ (ไม่มี Nucleus)
สําหรับตรวจการทํางานของไขกระดูก และติดตามการรักษาภาวะ Anemia
ค่าปกติ: 0.5 – 2.0%
Reticulocytosis: Chronic anemia; Reticulocytopenia: Aplastic anemia
2.6 Platelet count เป็นการตรวจนับจํานวนเกล็ดเลือด
ช่วยวินิจฉัยและติดตามการรักษา Hemorrhagic disease
2.7 G-6-PD Deficiency test
G-6-PD เป็น Enzyme ที่พบใน RBC เพื่อรักษาสมดุลระหว่างปฏิกิริยา Reduction และ Oxidation
สําหรับวินิจฉัย Hemolytic anemia เนื่องจากได้รับยาที่เป็น Oxidant เช่น Sulfonamides, Chloramphenicol
2.8 Hb electrophoresis สําหรับแยก Hb 12 ชนิดใน RBC
Hb A2: ประมาณ 2 -3 % ของ Hb ทั้งหมด
Hb F: พบขณะอยู่ในครรภ์ ประมาณ 2 – 3%; ในผู้ใหญ่ ประมาณ 0.8% ของ Hb ทั้งหมด
Hb S (Sickle cells): RBC จะบิดเบี้ยวคล้ายรูปเคียว
Hb A1C (Glycosilated Hb): ประมาณ 4 – 8% ของ Hb ทั้งหมด
2.9 การตรวจไขกระดูก
ตรวจเฉพาะกรณีจําเป็นเท่านั้น ได้แก่ โลหิตจางไม่ทราบสาเหตุ WBC ต่ําไม่ทราบสาเหตุ Plt ต่ําไม่ทราบสาเหตุ สงสัยเป็น
Leukemia หรือ Lymphoma มะเร็งมีการแพร่กระจายสู่ไขกระดูก ม้ามโตไม่ทราบสาเหตุ
3. Urinalysis (U/A)
3.1 Color
สี ข องปั ส สาวะปกติ จ ะเป็ น สี เ หลื อ งอ่ อ น หรื อ อาจเปลี่ ย นแปลงได้ ต ามยาหรื อ อาหารที่ รั บ ประทานเข้ า ไป เช่ น
Phenazopyridine สี ส้ ม ; Rifampin สี เ หลื อ งออกส้ ม หรื อ แดง; Nitrofurantoin สี น้ํ า ตาล; L-dopa, Alfa-methyldopa และ
Metronidazole สีแดงออกน้ําตาล; Betacyanin จากการรับประทานหัว beet สีแดง
3.2 Appearance
ปัสสาวะขุ่นเป็นลักษณะภายนอกที่พบได้บ่อย ต้องนึกถึงภาวะดังต่อไปนี้ การรับประทานอาหารที่มี phosphates มาก
การมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ (pyuria) การมีน้ําเหลืองออกมาในปัสสาวะ (chyluria) และการมี crystals ของนิ่วบางชนิดออกมา
กับปัสสาวะมากเกินไป
3.3 Specific gravity (Range: 1.001-1.030)
แปรผันตามสภาพสมดุลของน้ําในร่างกายขณะตรวจ แต่มีความหมายในบางกรณีเช่น ในผู้ป่วยที่มี intracranial trauma
ซึ่งอาจมีค่าต่ําเนื่องจากขาด antidiuretic hormone (vasopressin); ผู้ป่วยซึ่งเป็น primary diabetic insipidus อาจมีค่าต่ํากว่า
18
1.010 แม้หลัง overnight dehydration; ค่า Specific gravity ที่ต่ํา อาจเป็นลักษณะเริ่มแรกของการที่ไตถูกทําลายจากภาวะ
ต่างๆ เช่น sickle cell anemia นอกจากนี้ ยังใช้ในการประเมินภาวะสมดุลของน้ําในร่างกายของผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ค่า Specific gravity อาจรบกวนต่อการแปรผลการตรวจอื่น เช่น ถ้ามีค่าน้อยอาจมีผลทําให้ pregnancy test เป็น false
negative ได้ หรือถ้าค่ามากอาจทําให้การตรวจ protein ในปัสสาวะเป็น falsely positive เมื่อทําการตรวจด้วย dip-strips ค่า
Unit 1
Chapter 2
crystal และ Triple – phosphate crystal เป็นต้น)
4. Liver function test (LFT)
ตับมีหน้าที่ในการสร้างสารหลายอย่าง เช่น albumin, protein, fibrinogen, prothrombin, bile, enzyme หลาย
ชนิด ซึ่งสารเหล่านี้ใช้ดูการทํางานของตับได้
4.1 Total protein (ค่าปกติ 6.0 - 8.5 g/dL)
Clinical Laboratory
Albumin 3.5 - 5.0 g/dL
Globulin 2.5 - 3.5 g/dL
Serum albumin ลดลง บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเรื้อรังของตับและสามารถพบได้ในสภาวะ starvation,
hyperthyroidism, leukemia, nephritic syndrome
α1-globulin ต่ําเมื่อเนื้อตับถูกทําลาย
α2- และ ß-globulin จะสูงในภาวะน้ําดีคั่ง และจะมีระดับต่ําในรายที่มีตับอักเสบอย่างรุนแรง
β-globulinจะสูงในรายที่มตี ับแข็ง
Total protein จะเพิ่มใน multiple myeloma, dehydration, sarcoidosis และจะลดลงในภาวะ liver
failure, starvation, inflammatory bowel disease
4.2 Alkaline phosphatase
เป็น isoenzyme ที่ถูกสร้างจาก cell รอบ ๆ น้ําดี, กระดูก,ลําไส้ และรก
ค่าปกติ 30-115 units/L
ค่าจะสูงขึ้นในภาวะ biliary tract obstruction, Paget’s disease, hyperparathyroidism, osteolytic bone
tumor
ค่าจะลดต่ําลงในภาวะ hypophosphatasia, hypothyroidism, malnutrition
4.3 Bilirubin
เกิดจากการสลายตัวของ hemoglobin และ myoglobin ใน plasma จะจับกับ albumin เกิดเป็น unconjugated
bilirubin และจะถูก conjugate โดย microsomal enzyme เป็น conjugated bilirubin จะถูกส่งไปในท่อน้ําดี เรียกว่า direct
bilirubin
ค่าปกติ Total bilirubin 0.2 - 1.0 mg/dL
Unconjugate bilirubin 0.2 - 0.8 mg/dL
Conjugate bilirubin 0 - 0.2 mg/dL
Total bilirubin จะเพิ่ม ในภาวะ acute และ chronic hepatitis, cirrhosis, biliary tract obstruction,
hemolysis, fasting
Conjugate bilirubin เพิ่มในภาวะ obstructive liver disease, hepatitis, drug induced cholestasis
Unconjugate bilirubin เพิ่มในภาวะ hemolytic anemia,hepatocellular liver disease
4.4 Transaminase enzyme
ประกอบด้วย Serumglutamic-Oxaloacetic transaminase (SGOT) หรือ aspatate aminotransferase(AST)
และ Serum glutamic-pyruvic transaminase(SGPT) หรือ alanine aminotransferase(ALT)
ค่าปกติ AST 3 – 35 units/L, ALT 7 – 33 units/L
จะพบ AST เพิ่มขึ้นใน liver disease,acute myocardial infarction, pancreatitis, muscle trauma,
congestive heart failure, hemolysis
ALT จะเพิ่มขึ้นใน liver disease (specific กว่า AST), pancreatitis, biliary tract obstruction
20
4.5 Cholesterol
ค่าปกติ 140 - 260 mg/dL
ค่าเพิ่มขึ้นใน hypercholesterolemia - hyperlipidemia, biliary tract obstruction, pancreatitis,
hypothyroidism, diabetes mellitus
Unit 1
Chapter 2
ml โดยที่สีหรือลักษณะที่ปรากฏออกมาของอุจจาระไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้
ในทางตรงกั นข้ า ม bleeding จํ า นวนเล็ ก น้ อ ยอั น เนื่อ งมาจาก hemorrhoids , cancer หรือ อื่ น ๆ อาจมี
เลือดออกมามากกว่า 20 – 200 มล.
5.2 การตรวจหาเชื้อปรสิตโดยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic examination)
จุดประสงค์ในการตรวจดูลักษณะของอุจจาระโดยกล้องจุลทรรศน์นั้น ก็เพื่อหาพวก ไข่พยาธิ (eggs), ปล้องพยาธิ,
หรือพยาธิต่าง ๆ โดยวิธี Direct method
Clinical Laboratory
หา Protozoa และ Yeast
หาเซลล์เม็ดเลือด
เอกสารอ้างอิง
1. วันทนา เหรียญมงคล. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 561 – 301 Pathophysiology in Pharmaceutical Care เรื่อง
การแปลผลทางคลินิกสําหรับเภสัชกรคลินิก. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2. สาธิต ศิริบญ
ุ ฤทธิ.์ บทความฟื้นวิชาการตรวจปัสสาวะ (Urinalysis). เวชสารแพทย์ทหารบก ปีที่ 64 ฉบับที่ 2 เมษายน-
มิถุนายน 2554
22
Unit 1
Pharmaceutical Care
Medical record
Medical record (เวชระเบียน) เอกสารทางการแพทย์ทุกประเภท ที่ใช้บันทึกและเก็บรวบรวมเรื่องราวประวัติของ
ผู้ป่วยทั้งประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัว ประวัติการแพ้ยา เอกสารการยินยอมให้ทําการรักษาพยาบาล ประวัติการเจ็บป่วยใน
อดีตและปัจจุบัน ข้อมูลบ่งชี้เฉพาะของบุคคล การรักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาล ผลจากห้องปฏิบัติการ
Medical record (เวชระเบียน) ประกอบด้วย
• Admission Note
• Progress note
• Doctor’s order sheet
• Graphic sheet
• Laboratory test
• Discharge summary
Admission Note
Chief Complain: CC ประวัติความเจ็บป่วยสั้น ๆ เป็น อาการที่ทาํ ให้ ผู้ป่วยมาโรงพยาบาล
History of present illness: HPI/PI ประวัตปิ ัจจุบัน เป็นการลําดับเหตุการณ์ของการเจ็บป่วยปัจจุบัน ซึ่งอธิบายว่า
ผู้ป่วยมีอาการอย่างไร ระยะเวลา การเกิดอาการ
Past medical history: PMH ประวัติเจ็บป่วยในอดีต
• ประวัติเจ็บป่วย และการรักษาครัง้ ก่อน
• U/D
• ประวัติการใช้ยาก่อนเข้ารับการรักษา
Physical examination: PE
• V/S, GA, Heart, Lung, HEEN, Adb, Ext, NS (neurological sign)
• Allergy (all) การแพ้ยา สารอื่นๆ
• Family history (FH)
• Social history (SH) ประวัติการสูบบุหรี,่ การดื่มแอลกอฮอล์
• Diagnosis &Plan
Progress note
แบบฟอร์มที่แพทย์และทีมผู้ดูแลมีหน้าที่ต้องเขียนความเจริญก้าวหน้าในการดูแลรักษาผู้ป่วย จําเป็นต้องบันทึกทุกวัน
ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ
Doctor’s order sheet
ใช้สําหรับการสื่อสารระหว่างแพทย์ กับบุคลากรทางการแพทย์อื่น
• Order
Order for one day หนึ่งวัน
Order for continuation ต่อเนื่อง
24
Graphic sheet
• V/S, น้ําหนัก, ส่วนสูง, อาหาร, intake/output
• ความถี่ขึ้นกับคําสั่งของแพทย์
Unit 1
Laboratory test
• ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งหมด
Discharge summary แบบฟอร์มเขียนสรุป การวินิจฉัย การรักษา ผลการรักษา เพื่อเก็บในเวชระเบียนผู้ป่วยนอก
Subjective Data
ข้อมูลจากคําบอกเล่าของผู้ป่วยเกีย่ วกับ: CC, HPI, SH, FH
• อาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
• การรักษาพยาบาลเบื้องต้น
• การใช้ยาก่อนมา รพ
• อาการไม่พึงประสงค์จากยา
ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยการทดสอบอื่น (ไม่มีหลักฐาน) ขึ้นกับความทรงจํา ความรูส้ ึกของผู้ป่วย
Objective Data: V/S, PE, Lab, U/D เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้
• เป็นข้อมูลที่ได้จากการตรวจร่างกาย
• ห้องปฏิบัติการ
• ตรวจโรคโดยใช้เครื่องมือ
• การนับเม็ดยาคงเหลือ
• ข้อมูลบันทึกเภสัช
Assessment
• Etiology: ประเมินสาเหตุ ภาวะโรค dx, ระบุปญ ั หา
• Assessment if therapy is indicated
ประเมินความรุนแรง (mild, moderate, severe)
Duration (acute, subacute, chronic)
Prognosis or outcome (ผลการรักษา)
Assessment of current therapy
Optimal therapy (เลือกยาถูกต้อง)
ถูกขนาด ถูกรูปแบบ (dosage form) ระยะเวลาเหมาะสม
• ประเมินโดยใช้ IESAC!!!
- Indication
- Efficacy
- Safety
- Adherence
- Cost
Plan
• Goal ปัญหา เป้าหมายจําเพาะของผู้ป่วย
• Therapeutic ระบุยา รูปแบบยา ขนาดยา ตารางเวลายา ระยะเวลา
Current regimen ให้ต่อ หรือ หยุด หรือ New regimen
• Drug to be avoided ยาที่ต้องหลีกเลี่ยง เฉพาะยาที่ผู้ป่วยมีโอกาสจะใช้เท่านัน้
ยากับยา, ยากับโรค
25
• Therapeutic monitoring parameters
ให้การรักษามีการตอบสนองอย่างไร การตอบสนองทั้ง S&O บอกความถี่ในการติดตาม
• Toxicity monitoring parameters
Chapter 3
ติดตามทั้ง ทั้ง S&O จาก ADR, DI (ควรบอก % ด้วย) บอกความถี่ในการติดตามด้ว
• Patient education การให้ความรู้ผู้ป่วยทุกอย่างที่ควรรู้!!!
ยาที่ได้รับ การเก็บรักษา
การจัดการอาการข้างเคียงจากยา ADR, DI
Lifestyle
Pharmaceutical Care
Future plan
การติดตาม follow up
แนวทางการจัดการ กรณีการรักษาไม่ได้ผล
26
Unit 1
Pharmaceutical Care
สารละลายที่ต้องการ
เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้หนัก 50 kg ซึ่งต้องใช้สารละลาย Epinephrine 1:10,000 ปริมาณ 5 ml
แสดงว่าเงื่อนไขคือ
(1) ต้องนําสารละลาย Epinephrine 1:1,000 ปริมาณ 0.01 ส่วน คิดเป็นปริมาตร 0.01x ml
(2) ผสมกับตัวทําละลาย NSS ปริมาณ 0.09 ส่วน คิดเป็นปริมาตร 0.09x ml
Pharmaceutical Care
การวัดขนาดของร่างกาย (Anthropometry)
1. Body Mass Index (BMI) ใช้สําหรับประเมินภาวะโภชนาการ
นํ าหนักตัว (*+)
BMI=
ส่วนสูง(-. )
การแปลผลต้องระมัดระวัง เพราะมีเกณฑ์หลายเกณฑ์ เช่น
Chapter 4
น้ําหนักเกิน 25 – 29.9
โรคอ้วน > 30
ตารางที่ 4.4 BMI สําหรับผู้ใหญ่ ตามเกณฑ์ของกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุขไทย
2. Ideal body weight (IBW)
ใช้สําหรับคํานวณ Creatinine clearance
Pharmaceutical Calculation
ใช้สําหรับคํานวณขนาดยาบางชนิด เช่น Aminoglycosides
ใช้สําหรับประเมินภาวะโภชนาการ
ผู้ใหญ่ เพศชาย IBW (kg) = 50 + 2.3 (ความสูงเป็นนิ้วที่เกินจากห้าฟุต)
เพศหญิง IBW (kg) = 45.5 + 2.3 (ความสูงเป็นนิ้วที่เกินจากห้าฟุต)
เด็กอายุ 1 – 18 ปี IBW (kg) = [(ความสูงเป็นเซนติเมตร)2 x 1.65]/1,000
3. ร้อยละของ Ideal body weight (% IBW)
% IBW = [(kg)/IBW] x 100
4. Adjusted body weight
Adjusted body weight = IBW + 0.4 (W - IBW)
5. Lean body weight (LBW)
เพศชาย LBW (kg) = 0.3281Wt + 0.33929Ht – 29.5336
เพศหญิง LBW (kg) = 0.2957Wt + 0.41813Ht – 43.2933
Temperature conversion
5F = 9C + 160 ̊
เอกสารอ้างอิง
1. ฐิ ติ ม า ด้ ว งเงิ น และ ศรี รั ต น์ กสิ ว งศ์ . เอกสารประกอบการสอนรายวิ ช า 561 – 301 เรื่ อ ง Pharmaceutical
calculation คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
Pharmaceutical Care
แบบฝึกทักษะ
1. สารละลาย KCl 10% หมายถึง
3. ต้องการเจือจาง 50% solution ให้ได้ 10% 50 ml ต้องใช้ 50% solution และตัวทําละลายกี่ ml ตามลําดับ
7. แพทย์สั่ง Amoxicillin 0.5 gm PO qid มี Amoxicillin ความแรง 250 mg/cap ต้องจ่าย Amoxicillin กี่แคปซูลต่ อ
ครั้ง
8. 1 ml amp of epinephrine per 1:1,000 ต้องการ Epinephrine 0.4 mg ต้องนํา Epinephrine มากี่ ml
9. gr I เท่ากับกี่ mg
11. 37 ̊C เท่ากับกี่ ̊F
17. แพทย์สั่งจาก Codeine sulfate gr ¾ PO q 4 hr prn pain ยาที่มีอยู่ ระบุว่า Codeine sulfate 30 mg/tab จะให้
Chapter 4
ผู้ป่วยรับประทานครั้งละกี่ tab
19. ยาฉีด Heparin sodium 10 mg/5 ml vial และ 2mg/ml amp หรือ 10,000 USP unit/ml จงคํานวณว่า Heparin
sodium 1 mg เท่ากับกี่ USP unit
Pharmaceutical Calculation
20. Magnesium sulfate (120 mg∙mmol-1) 10% 10 ml หรือ 50% 2 ml มี Magnesium sulfate กี่ mEq/ml
23. ต้ อ งการจ่ าย Amoxicillin dry syrup ขนาด 50 MKD q 8 hr ให้ เด็ ก หนั ก 20 kg ต้ อ งจ่ ายยาน้ํ าเชื่ อ มที่ มี ค วามแรง
250mg/5ml ครั้งละกี่ ml
24. Max dose of amoxicillin = 2 – 3 gm ถ้าผู้ป่วยใช้ยา 500 mg/cap tid แต่มักลืมกินยามื้อกลางวัน จึงเปลี่ยนเป็นให้
วันละ 2 ครั้ง ต้องรับประทานครั้งละกี่แคปซูล
25. แพทย์สั่ง Ampicillin 0.5 gm PO qid โรงพยาบาลมียา Ampicillin 250 mg/cap ต้องจ่าย Ampicillin capsule ให้
ผู้ป่วยครั้งละกี่แคปซูล
26. Halcion® 0.25 mg Tab is available. Give pt 125 mcg Halcion® orally hs. How many tablets should the
nurse give to the patient per dose
27. Dose of vancomycin = 2000 mg/day bid ยามีความแรง 500 mg/vial ต้องใช้ยาครั้งละกี่ vial
28. Dose of KCl = 40 mEq/day (3,000 mg/day) bid จะต้องให้ KCl 10% solution ครั้งละกี่ ml
29. Dose of acetaminophen for 2 – 3 years old children = 160 mg q 6 hr จ ะ ต้ อ งจ่ า ย ย า 125 mg/5ml
paracetamol syrup ครั้งละกี่ ml
30. Lanoxin® injection 0.25 mg/ml 2 ml; usual dose = 15 – 25 mcg/kg/day (ให้ 20 mcg/kg/day) IV or IM
ผู้ป่วยหนัก 50 kg ต้องฉีดยากี่ ml
31. Dose of magnesium sulfate for hypomagnesemia in neonates: 25 mg/kg/dose IV every 8 hr for 2 – 3
doses ทารก 4 kg ต้องใช้ 10% solution ครั้งละกี่ ml
32. แพทย์สั่ง Epinephrine 0.4 mg SC q 3 hr prn for asthma มี Epinephrine 1 ml/amp strength 1:1,000 จะต้อง
ฉีดครั้งละกี่ ml
33. แพทย์สั่ง Calcium gluconate 1 gm IV stat ห้องยามี 10% calcium gluconate 10 ml/amp ต้องฉีดครั้งละกี่ ml
32
34. แพทย์สั่ง Ceftazidime 750 mg IM q 8 hr จากฉลากยา 1 gm/vial ต้องละลายด้วย sterile water for injection 3
ml จะต้องดูดสารละลายของยามาครั้งละกี่ ml
35. แพทย์ สั่ ง Morphine sulfate gr 1/6 IM q 3 – 4 hr prn ห้ อ งยามี Morphine sulfate 15 mg per ml ต้ อ งฉี ด ให้
Unit 1
ผู้ป่วยครั้งละกี่ ml
36. Usual dose of epinephrine สําหรับช่วยการหยุดเต้นของหัวใจ เท่ากับ 0.01 mg/kg หากผู้ป่วยหนัก 50 kg ต้องใช้
Epinephrine ความแรง 1:10,000 จํานวนกี่ ml
Pharmaceutical Care
37. Usual dose of epinephrine สําหรับช่วยการหยุดเต้นของหัวใจ เท่ากับ 0.01 mg/kg หากผู้ป่วยหนัก 50 kg ต้องใช้
Epinephrine ความแรง 1:10,000 จํานวน 5 ml แต่มีเฉพาะความแรง 1:1,000 ต้องนํามาเจือจางโดยใช้ D5W กี่ ml
38. Heparin sodium มี ค วามแรง 10,000 U/ml ต้ อ งการเตรี ย ม 50 U/ml ปริ ม าตร 500 ml ด้ ว ย D5W จะต้ อ งนํ า
Heparin sodium และ D5W มาอย่างละกี่ ml ตามลําดับ
39. Amphotericin B 50 mg in D5W 500 ml IV drip over 5 hrs with drop factor 15 gtt/ml. What’s the drip
rate in drops/min
40. Doxorubicin 100 mg in D5W 500 ml IV drip over 15 min with drop factor 15 gtt/ml. What’s the drip
rate in drops/min
41. The K+ 40 mEq in 200 ml of NSS is delivered at a rate of 10 mEq/hr. What’s the drip rate in
microdrops
42. NSS IV 1,000 cc, vein 100 cc/hr. What’s the drip rate in regular drops (15 drops/ml)
43. แพทย์สั่ง 1,000 ml D5W/8 hr ค่า drop factor = 10 gtt/ml ต้องตั้งอัตราการ drip เท่ากับกี่ drops/min
44. แพทย์สั่ง 1,000 ml D5W/8 hr ค่า drop factor = 10 gtt/ml พยาบาลตั้งอัต ราการ drip เท่ ากับ 21 gtt/min ซึ่ ง
คาดว่าจะเหลือ 500 ml เมื่อเวลาผ่านไป 4 hr แต่เหลือจริง 600 ml จะต้องตั้งอัตราการ drip ใหม่ ควรตั้งเท่ากับ กี่
drops/min เพื่อให้ 600 ml หมดภายในเวลา 4 hrs
45. Lidocaine 2 gm IV in 500 ml D5W at 2 mg/min via infusion pump ต้องตั้งค่า flow rate กี่ ml/hr
46. Aminophylline 500 mg IV in 200 ml D5W to infuse at 15 mg/min. What’s the rate in ml/hr
47. Add 225 mg of medication to 250 ml of IV solution and administer 3 mcg/kg/min via infusion pump
for a person who weighs 50 kg. What’s the flow rate in ml/hr?
48. Add magnesium sulfate 20 gm to Ringer’s solution 1000 ml IV. Star with bolus of 4 gm/30 mins, then
maintain a continuous infusion at 2 g/hr. What’s the flow rate in ml/hr for the bolus order
Chapter
5 Adverse Drug Reactions
นศภ.กมลชนก สมสวัสดิ์
1. Term used
ตารางที่ 5.1 คําศัพท์ที่มีการใช้บ่อย
ประเภท ความหมาย
ADR การตอบสนองต่อยาที่เป็นอันตรายและไม่ได้จงใจให้เกิดขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในขนาดการใช้ตามปกติในมนุษย์
โดยไม่รวมถึงการได้รับยาเกินขนาด หรือ การจงใจใช้ยาในทางที่ผิดจนเกิดอันตราย
Side effect ผลใด ๆ ที่ไม่ได้จงใจให้เกิดขึ้นจากเภสัชภัณฑ์ ซึ่งเกิดขึน้ ในการใช้ตามขนาดปกติในมนุษย์ และสัมพันธ์
กับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยา
Drug allergy ปฏิกิริยาที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านยาที่ได้รับเข้าไป
2. Classifications
ตารางที่ 5.2 การแบ่งประเภทของ ADRs ออกเป็น type A และ Type B
Type A Type B
สัมพันธ์กับขนาดยา ไม่สมั พันธ์กับขนาดยา
เป็นฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่ทํานายได้ ไม่สามารถทํานายฤทธิ์การเกิดได้ด้วยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ส่วนใหญ่พบตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัยทดลองยาในสัตว์ ไม่พบในขั้นตอนการวิจยั ทดลองยาในสัตว์
พบบ่อย มีโอกาสทําให้เกิดการเจ็บป่วยได้มาก แต่อาการที่เกิดขึ้น พบน้อย แต่อาการที่เกิดขึ้นมักรุนแรงเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง
มักไม่รุนแรงโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตน้อย
รักษาโดยการลดขนาดยา รักษาโดยการหยุดยา
Chapter 5
มักมีอาการเจ็บๆคันๆ เมื่อหายแล้วจะทิ้งเป็นรอยดํา
กรณีที่เป็นการแพ้ยาเดิมซ้ําๆ ผื่นจะต้องปรากฏในบริเวณที่เคยปรากฏก่อนหน้าทุกครั้งเสมอไปและอาจเกิดบริเวณ
ใหม่ได้
การวินิจฉัยแยกโรค: ผื่นที่มีลักษณะคล้าย fixed drug eruption เช่น ผื่นแมลงสัตว์กัดต่อย ผื่นแพ้สัมผัส
3.4 Eczematous drug eruption
Chapter 5
basophil หาก ได้รับ Ag ชนิดเดิมซ้ํา เซลล์ที่มี IgE เกาะอยู่จะแตกออก ปล่อยสารก่อการแพ้ เช่น histamine prostaglandin
และทําให้เกิดอาการแสดงต่างๆตามมา
อาการแสดง ขึ้นกับปริมาณ mediators ที่ถูกปล่อยออกมายังเนื่อเยื่อต่างๆ ได้แก่
• ทางผิวหนัง เช่น คัน ผื่นแดง ผื่นลมพิษ และ angioedema
• ทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมตีบ กล่องเสียงบวม
• ทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดเกร็งในท้อง และท้องเสีย
• เวลาที่เริ่มพบอาการ
• ยาที่ผู้ป่วยได้รับก่อนแสดงอาการ เวลาที่เริ่มใช้ยาแต่ละรายการขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับ และวิธีในการบริหารยา
• โรคหรืออาการที่ผู้ป่วยมาโรงพยาบาล โรคร่วมหรือโรคประจําตัวอื่นๆของผู้ป่วย
• ประวัติการแพ้ยา และอาหาร
Pharmaceutical Care
• ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
• ผลตรวจร่างกาย
• ประวัติการใช้ยาในอดีต
• อาการของผู้ป่วยภายหลังหยุดยาที่สงสัย
การประเมินความสัมพั นธ์ระหว่างยาและอาการไม่พึงประสงค์ มีหลายวิธี วิธีห นึ่งที่นิย มใช้คือ การประเมินโดยใช้
Algorithm ซึ่งมีข้อดีคือ ประเมิน ได้เร็ว ประกอบด้วยชุดคําถามที่อ่านง่าย ใช้ข้อมูลประกอบการประเมินที่ ชัดเจน ทําให้
รายงาน ADR ที่ ไ ด้ มี ม าตรฐานและมี ร ะบบยิ่ ง ขึ้ น ในปั จ จุ บั น ยั งไม่ มี Algorithm ใดที่ ไ ด้ รั บ การยอมรั บ ให้ เป็ น Gold
standard หรือถือว่าเป็น Algorithm ที่มีความแม่นยําในการประเมินมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
1. จันทิมา โยธาพิทักษ์ และ ปราโมทย์ ตระกูลเพียรกิจ บรรณาธิการ. ตรงประเด็นเรื่อง Adverse drug reaction
เล่ม 2 การประเมินผื่นแพ้ยา. กรุงเทพฯ: สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล(ประเทศไทย). 2551.
2. ธิดา นิงสานนท์ และ จันทิมา โยธาพิทักษ์ บรรณาธิการ. ตรงประเด็นเรื่อง Adverse drug reaction. พิมพ์ครั้งที่ 1
กรุงเทพฯ: สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล(ประเทศไทย). 2549.
Chapter
6 Drug Interaction
นศภ.กมลชนก สมสวัสดิ์
คําจํากัดความ
ปฏิ กิ ริ ย าระหว่ า งยา (Drug interaction) หมายถึ ง ปรากฏการณ์ ที่ เกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ระดั บ ยาหรื อ พารามิ เตอร์ ท าง
จลนศาสตร์ของยา หรือฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยาตัวหนึ่งในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้รับยาตัวอื่นร่วมด้วย
- Object drug คือ ยาที่ได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยานั้น
- Precipitant drug คือ ยาที่เป็นสาเหตุของผลกระทบนั้น
ทําให้ฤทธิ์ยาเปลี่ยนไปจากเดิม ส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลงหรือมากขึ้นจนเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้
การประเมินความรุนแรงของปฏิกิริยาระหว่างยา (assessment of severity of drug interaction)
แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1) Major หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตหรือเกิดความเสียหายอย่างถาวร
2) Moderate หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นทําให้ผู้ป่วยมีอาการเลวลง ต้องการการรักษาเพิ่มขึ้น/อยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้น
3) Minor หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นน้อย ไม่จําเป็นต้องให้การรักษา
หลักฐานหรือเอกสาร ( Documentation)
หมายถึง หลักฐานหรือเอกสารในการรวบรวมข้อมูลการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา แต่ไม่ได้บอกถึงอุบัติการณ์ความถี่และ
ความรุนแรงของปฏิกิริยาระหว่างยา แบ่งออกเป็น 5 ระดับดังนี้
1. เป็นที่แน่ชัด (Established) มี controlled studies ที่ยืนยันได้
2. น่ า จะใช่ (Probable) ยั ง ไม่ ไ ด้ พิ สู จ น์ ท างคลิ นิ ก แต่ มี ก ารทดลองยื น ยั น ได้ ใ นสั ต ว์ ท ดลอง case report
uncontrolled studied
3. น่าสงสัย (Suspected) มีข้อมูลบ้างแต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก
4. อาจจะใช่ (Possible) มีข้อมูลจากัดหรือน้อยมาก
5. ไม่ น่ าเป็ น ไปได้ (Unlikely) อาการทางคลิ นิ ก เปลี่ ย นไปไม่ ชั ด เจน ไม่ น่ าจะใช่ หรือ เอกสารยืน ยัน ที่ ได้ ไ ม่ มี
คุณภาพ หรือไม่อาจใช้พิสูจน์ได้
ตารางที่ 6.1 ระดับนัยสําคัญทางคลินิกของปฏิกิริยาระหว่างยา
ระดับนัยสําคัญ Severity Documentation
1 Major Suspected or
2 Moderate Probable or
3 Minor Established
4 Major/Moderate Possible
5 Minor Possible
Any Unlikely
ระยะเวลาที่เริ่มปรากฏผลทางคลินิก (onset)
1. Rapid ปฏิกิริยาเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
2. Delayed ปฏิกิริยาเกิดขึ้นใช้เวลานานเป็นวันหรือสัปดาห์
40
ตารางที่ 6.2 ปฏิกิริยาระหว่างยาความรุนแรงระดับ major (Sig 1)
Drug interaction Mechanism Management
Warfarin HMG-CoA Reductase Inhibition of WARFARIN hepatic ติดตาม ANTICOAGULANT parameters เมื่อ
Inhibitors metabolism is suspected ใช้ร่วมกันหรือไม่ใช้ร่วมกัน Atorvastatin และ
Unit 1
Chapter 6
changing the dose of the NSAID
Warfarin Barbiturates เพิ่ม metabolic clearance ของ ปรับขนาดยา Warfarin แต่ถ้าหยุดยา
Warfarin โดยไปกระตุ้น hepatic barbiturate จะต้องลดยา Warfarin และ ดูแล
microsomal enzyme ผู้ป่วยต่ออีก 2-3 สัปดาห์ หรือใช้ยากลุ่ม
Benzodiazepine แทน Barbiturate
Warfarin Thioamines ไม่ทราบ แต่มีผล ลด anticoagulant ติดตามผลของ Warfarin monitor
(Methimazole,PTU) effect coagulation parameters ปรับขนาดยาให้
Drug Interaction
เหมาะสม
Adrenaline Propranolol Nonselective beta-blocker จะไป เมื่อจะให้ adrenaline ควรหยุด beta-blocker
กระตุ้น alpha receptor เมื่อให้ร่วมกับ ก่อน 3 วัน หรือไม่ให้ Adrenaline เลย
epinephrine จะเพิ่ม Vascular monitor vital sings ของคนไข้ การลดปัญหา
resistant นาไปสู่การเพิ่มความดันโลหิต ให้ใช้ Selective beta blocker
ซึ่งจะกระตุ้น baroreceptor เป็นสาเหตุ
ให้เกิด bradycardia มีผลเพิ่ม blood
pressure และ เกิด bradycardia ตามมา
Amiodarone Fentanyl ไม่ทราบ แต่มีผลเกิด bradycardia ทาให้ Monitor hemodynamic function และให้
cardiac output ลดลง เกิด sinus arrest Inotropic Chronotropic และ pressure
hypotension support การแก้ไข bradycardia ให้ใช้
Adrenaline dose สูง ไม่ใช้ Atropine เพราะ
ไม่ตอบสนอง
Cisapride Antiarrythmic Agents Prolongation of the QT-interval ผล ไม่ควรใช้ (contraindicated) cisapride ใน
เพิ่มความเสี่ยงของ การเกิด life- ผู้ป่วยที่ได้รับ Class Ia (quinidine) และ Class
threatening cardiac arrhythmias III (sotalol) antiarrythmic agents
รวมถึง torsades de pointes
Cisapride Azole Antifungal Azole antifungal agents จะยับยั้งการ ไม่ควรใช้ (contraindicated) azole
Agents metabolism ของ cisapride ผ่าน antifungal agents ในผู้ป่วยที่ได้รับ cisapride
CYP3A4 (โดยเฉพาะ fluconazole ≥
200 mg/d จะยับยั้ง CYP3A4) ทําให้
ระดับยา cisapride ในเลือดเพิ่มขึ้น และ
อาจเกิด cardiotoxicity
Cisapride Carboxylic Anhydrase Prolongation QT- interval เนื่องจาก ไม่ควรใช้ (contraindicated) cisapride ใน
Inhibitors electrolyte loss เพิ่มความเสี่ยงของ ผู้ป่วยที่มภี าวะ potassium ในเลือดต่าอย่าง
การเกิด life-threatening cardiac รวดเร็ว เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่ม carbonic
arrhythmias รวมถึง torsades de anhydrase inhibitors เช่น acetazolamide
pointes
Cisapride Loop diuretics Prolongation QT- interval เนื่องจาก ไม่ควรใช้ (contraindicated) cisapride ใน
electrolyte loss เพิ่มความเสี่ยงของ การ ผู้ป่วยที่มภี าวะ potassium ในเลือดต่ําอย่าง
เกิด life-threatening cardiac รวดเร็ว เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่ม carbonic
arrhythmias รวมถึง torsades de anhydrase inhibitors เช่น acetazolamide
pointes
Cisapride Macrolide Antibiotics Macrolide antibiotics จะไปยับยั้งการ ไม่ควรใช้ (contraindicated) erythromycin,
metabolism cisapride ผ่าน CYP3A4 clarithromycin และ troleandomycin ใน
ทําให้ระดับยา cisapride ในเลือดเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับ cisapride
และอาจเกิด cardiotoxicity
Cisapride NNRTIs NNRTIs จะยับยั้งการ metabolism ไม่ควรใช้ (Do not administer) cisapride
cisapride ผ่าน CYP3A4 ทําให้ระดับยา ร่วมกับ NNRTIs
cisapride ในเลือดเพิ่มขึ้น ซึงจะเพิ่มความ
เสี่ยงในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ
รวมถึง life-threatening cardiac
arrythmias (eg.torsade de points)
Cisapride Phenothiazines Prolongation QT- interval เพิ่มความ ไม่ควรใช้ (contraindicated) cisapride ใน
เสี่ยงของ การเกิด life-threatening ผู้ป่วยที่ได้รับยากลุ่ม phenothiazines
42
Drug interaction Mechanism Management
cardiac arrhythmias รวมถึง torsades
de pointes
Cisapride Protease Inhibitors PIs จะยับยั้งการ metabolism cisapride ไม่ควรใช้ (contraindicated) cisapride ใน
Unit 1
Chapter 6
clavulanic acid คล้าย methotrexate จึงขัดขวางการ ถ้าจําเป็นต้องใช้ร่วมกัน ควรลดขนาดยา
ขจัดยาทาง tubular secretion ของ methotrexate และ monitor ระดับ
methotrexate เกิด methotrexate methotrexate ในเลือด นอกจากนี้ควรติดตาม
toxicity อาการไม่พึงประสงค์จาก methotrexate เช่น
leucopenia และ skin ulcerations
Thiopurines Allopurinol Allopurinol ยับยั้ง enzyme xanthine อาจต้องลดขนาดยาAzathioprine หรือ
(Azathioprine- oxidase ซึ่งเปลี่ยน Azathioprine -> Mercaptopurine ลง ¼ หรือ 1/3 ของขนาดยา
Drug Interaction
Allopurinol, Mercaptopurine -> 6 Thiouric acid ปกติ เมื่อให้ Allopurinol ร่วมด้วย
Mercaptopurine- ทําให้ผลทางเภสัชวิทยาและความเป็นพิษ
Allopurinol) ของ Thiopurines เพิ่มขึ้น
Lithium Haloperidol ยังไม่ทราบ แต่การใช้ร่วมกันมีผล ควรติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง
alteration in consciousness, 3 สัปดาห์แรกของการรักษา
encephalopathy, extrapyramidal
effects, fever, weakness, brain
damage และ seizure
Propranolol Chlorpromazine CPZ จะยับยั้ง first-pass hepatic ปรับลดขนาดยาเมื่อใช้ร่วมกัน แต่อย่างไรก็ตาม
Thioridazine metabolism ของ propranolol และ ห้ามใช้ thioridazine ร่วมกับ propranolol
เพิ่มฤทธิ์ของยา propranolol
Propranolol ยับยั้ง metabolism ของ
ยา thioridazine มีผลเพิ่มความเสี่ยง
cardiac arrhythmias
INHIBITORS
1A2 2C19 2C9 2D6 2E1 3A4,5,7 3A4,5,7
Amiodarone Cimetidine Amiodarone Amiodarone Diethyldithiocar Delaviridine Fluconazole
Cimetidine Felbamate Fluconazole Celecoxib -bamate Indinavir fluvoxamine
FQs Fluoxetine Fluvastatin Chlorpromazine Disulfiram Nelfinavir Gestodene
Pharmaceutical Care
เอกสารอ้างอิง
1. David ST. Drug Interaction Facts 2011. California: Facts & Comparisons® part of Wolters Kluwer
Healty., 2011.
Chapter
7 Drug Use Evaluation
นศภ. วดี นัคราบัณฑิตย์
Drug Use Evaluation (DUE)
เป็นระบบติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินการใช้ยา เพื่อประกันคุณภาพ การรักษาผู้ป่วย ให้มีความถูกต้อง เหมาะสม ตาม
เกณฑ์มาตรฐาน
Key point
Authorize: ได้ รับอนุญาต เป็ นทีตกลงกันมาก่อน
Structured: มีโครงสร้ างรูปแบบในการประเมิน
Ongoing: มีการทํากันอย่างต่อเนือง
เป้าหมาย
การใช้ยาอย่างเหมาะสม ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานตามที่ยอมรับ
การรักษาที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม
ป้องกันและแก้ไขปัญหา DRPs ที่เกิดขึ้น
ขั้นตอน
1. Define scope: Drug therapy problem
Subject Selection
มีการใช้ยาที่มีราคาแพง
จํานวนการใช้ยาที่เพิ่มขึ้น การใช้ยาที่หลากหลาย
อัตราการเกิด ADRs เพิ่ม
Therapeutic index แคบ
โรคที่มีแนวทางการรักษา (Disease with established guideline)
อัตราการรักษาที่ไม่ได้ผล
ประเทศไทย !!! ยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ (ยาในบัญชียา ง, จ2)
2. Develop criteria
Guideline& optimal use
การสร้างเกณฑ์ที่ถูกต้องต้องมีการกําหนด Guidelines ซึ่งจะต้องมี evidenced-base ยืนยัน
ระบุการใช้ยาที่ถูกต้อง มีหลักฐานข้อมูลการใช้ยา
ขึ้นกับผู้เชี่ยวชาญ
Criteria element
ข้อบ่งใช้
ขนาดยา รูปแบบ parameter ที่ติดตาม ระยะเวลา ข้อห้าม การให้คํานํา& ความรู้แก่ผู้ป่วย
ผลการรักษา
3. Approve criteria: มีการ Approve ดูว่า ok ไหม? นําไปใช้ได้ไหม?
4. Measure actual drug use (Data collection): การเก็บข้อมูล
Prospective DUE เป็นการประเมินการรักษาของผู้ป่วยก่อนที่จะได้รับยา เพื่อดูว่าการรักษาผู้ป่วยของแพทย์
เหมาะสมไหม เพื่อให้เภสัชและเจ้าหน้าที่สามารถแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะได้ยา
46
Concurrent DUE เป็นการติดตามผลการใช้ยาระหว่างที่ผู้ป่วยใช้ยาหลังจากได้รับยาไปบ้างแล้ว และยังมี
การใช้อยู่ทําให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที มีข้อมูลมากกว่า Prospective เพราะสามารถคุยกับผู้ป่วยและ
แพทย์ได้ : ลดค่าใช้จ่าย แต่เภสัชกรและเจ้าหน้าที่ต้องมีความรู้ความสามารถพอ
Retrospective DUE การประเมินจาก case ของผู้ป่วยย้อนหลัง โดยเอามาประเมินกับ Criteria ทําได้ง่าย
Unit 1
- ไม่ทําให้การรักษาหยุด ชะงัก
- เหมาะในโครงการนําร่อง
- ไม่ต้องเผชิญหน้า
- ได้ pattern ในการเปรียบเทียบการรักษา
- เป็นข้อมูลในการพัฒนา Criteria
5. Data analysis มีการวิเคราะห์ข้อมูล
6. Take intervention
7. DUE Follow ติดตามผลสําเร็จ
ประโยชน์การทํา DUE
ทําให้มีการใช้ยาที่เหมาะสม
สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น
ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างหลายวิชาชีพร่วมกัน
ข้อมูลในการศึกษาวิจัยต่อไป
ปัญหา อุปสรรค
ไม่มีการกําหนดผู้รับผิดชอบโครงการ
ไม่มีการวางระบบงานที่ดีขาดการประสานงานที่ดีและมีประสิทธิภาพ
ขาดความร่วมมือในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์
ขาดการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
Chapter
8 Prescribing Systems
นศภ.สุมนา จํารูญวรเกียรติ
ระบบการจ่ายยาผู้ป่วยนอก
ระบบการจ่ายยาผู้ป่วยนอก สามารถสรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้
แพทย์เขียนใบสั่งยา
ผู้ป่วยนําใบสั่งยามาที่ห้องจ่ายยาผูป้ ่วย
นอก
เภสัชกรตรวจสอบ กรณีมีปญ
ั หา ทําการแก้ไข หรือติดต่อแพทย์เพื่อปรึกษา
(ป้องกัน med errors)
จัดยาและเขียนฉลากยา
ตรวจสอบยาอีกครั้งก่อนจ่าย
ส่งมอบยาให้ผู้ป่วยพร้อมให้คําแนะนํา
แผนผังที่ 8.1 แสดงระบบการจ่ายยาผู้ป่วยนอก
บทบาทของเภสัชกรในงานจ่ายยาผู้ป่วยนอก
คัดกรองใบสั่งยา (Screening) : เช่น ยาใหม่ที่กําลังติดตามความปลอดภัย โรคเรื้อรัง โรคหรือความผิดปกติ
จากยา อันตรกิริยาระหว่างยา
การส่งมอบยาพร้อมให้คําแนะนํา : เภสัชกรต้องส่งมอบยาด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้องและมีความ
เข้าใจในการใช้ยา โดยควรสื่อสารถึงข้อมูลความเจ็บป่วย ประวัติการแพ้และข้อมูลการใช้ยาในผู้ป่วย เพื่ อ
ประเมินผู้ป่วย จะได้ทราบถึงสิ่งที่ต้องแนะนําเพิ่มเติมหรือแก้ไข
คําถามที่ควรถามก่อนจ่ายยาตามใบสั่งยา: ผู้ป่วยชื่ออะไร ? ป่วยเป็นอะไรมา?/มีอาการอะไร ? ประวัติแพ้ยามีไหม ? เคย
ใช้ยานี้มาก่อนหรือไม่ ? ถ้าเคยใช้อย่างไร ? ถ้าไม่เคยใช้ แพทย์ได้ชี้แจงวิธีใช้หรือไม่ ? ทราบหรือไม่ว่ายาใช้รักษาอะไรบ้าง ?
ระบบการจ่ายยาผู้ป่วยใน
ระบบการจ่ายยาผู้ป่วยนอก สามารถสรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้
แพทย์เขียนคําสั่งลง dorctor’s order sheet
ประเภทคําสั่ง ได้แก่ order for continue และ order for one day
ฝ่ายเภสัชกรรมจัดยา
- one day : ตามจํานวนที่ใช้ใน 24 ชม.
- continue : ตามจํานวนพอใช้ 3 วัน
- prn : จ่ายตามที่พยาบาลเขียนเบิกหรือ
จัดส่งไปที่หอผู้ป่วย
แผนผังที่ 8.2 แสดงระบบการจ่ายยาผู้ป่วยใน
48
ระบบการกระจายยาสําหรับผู้ป่วยใน
ตารางที่ 8.1 แสดงระบบการกระจายยาสําหรับผู้ป่วยใน
ระบบ คําอธิบาย ข้อดี ข้อเสีย
Floor Stock ระบบยาที่ พยาบาลประจําหอผู้ป่ วยจะส่งใบ - แพทย์พยาบาลใช้ยาได้ - โอกาสเกิด medication
Unit 1
Chapter
9 Medication Errors
นศภ.สุมนา จํารูญวรเกียรติ
มาตรฐานการจ่ายยาในโรงพยาบาล
มาตรฐานการจ่ ายยาในโรงพยาบาล คื อ จะต้ องมี กระบวนการและขั้ น ตอนในการจ่ ายยาที่ ทํ าให้ เกิด การจ่ ายยาที่
เหมาะสมและผู้ป่วยเข้าใจวิธีใช้ยาที่ถูกต้อง ตามหลัก 5R คือ
ถูกคน (right patient)
ถูกยา (right drug)
ถูกขนาด (right dose)
ถูกเวลา (right time)
ถูกวิถีทาง (right route)
ไม่มีความคลาดเคลื่อน
Category A ไม่มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น แต่มีเหตุการณ์ที่อาจทําให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้
มีความคลาดเคลื่อน แต่ไม่เป็นอันตราย
Category B มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย เนื่องจากความคลาดเคลื่อนไปไม่ถึงผู้ป่วย
Category C มีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ถึงแม้ว่าความคลาดเคลื่อนนั้นจะไปถึงผู้ป่วยแล้ว
Pharmaceutical Care
เอกสารอ้างอิง
1. โพยม วงศ์ภูวรักษ์. มาตรฐานการจ่ายยาในโรงพยาบาล. เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชา 561-404 จริยธรรม
การจ่ายยา (Dispensing Pharmacy). 2554.
2. ธิดา นิงสานนท์ และคณะ. ตัวชี้วัดระบบยาในโรงพยาบาล. สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย). กรุงเทพฯ.
2537.
Chapter
10 หลักการซักประวัตแิ ละร้ านยาคุณภาพ
นศภ.สุมนา จํารูญวรเกียรติ
หลักการซักประวัติผู้ป่วย
การซักประวัติเพื่อวินิจฉัยประเมินอาการ เพื่อพิจารณาการให้การรักษาตามภาคผนวก 1 ของเกณฑ์มาตรฐานผู้ประกอบ
วิชาชีพเภสัชกรรมของสภาเภสัชกรรม พ.ศ. 2545 และคู่มือทักษะตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชฯ พ.ศ.
2554 ประเด็นที่ต้องสื่อสารเพื่อหาข้อมูลความเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ และข้อมูลการใช้ยาในผู้ป่วยโรคทั่วไป มีแนวการซักประวัติ
ดังนี้
ใครคือผู้ป่วย ?
อายุเท่าไร ?
น้ําหนักของผู้ป่วย (ในกรณีที่เป็นเด็ก)
เพศชายหรือหญิง ถ้าเป็นหญิง กําลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ กําลังให้นมบุตรหรือไม่?
วันนี้มาด้วยโรคหรืออาการอะไร?
เริ่มมีอาการดังกล่าวตั้งแต่เมื่อไร เป็นมานานเท่าไร?
ความรุนแรงของอาการเป็นอย่างไร? เมื่อเปรียบเทียบกับวันแรกที่เริม่ เป็น
เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?
มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่?
มีสิ่งใดที่ทําให้อาการแย่ลงหรือดีขนึ้ เช่น ยา อาหาร หรือการปฏิบัตติ ัวอื่นๆ
โรคประจําตัวทีผ่ ู้ป่วยเป็น ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งสมุนไพรที่ได้รับ
อาชีพหรือสภาวะที่อาจเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย
ใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆเพื่อบรรเทาอาการมาก่อนหรือไม่?
ตอนนี้กําลังได้รับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอะไรอยู่หรือไม่?
มีประวัติแพ้ยาหรือสิ่งอื่นหรือไม่(ถ้ามี)มีอาการอย่างไร?
มีประวัติอาการไม่พึงประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแพ้ยาหรือไม่ (ถ้ามี)มีอาการอย่างไร?
ร้านยาคุณภาพ
วัตถุประสงค์
เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริบาลทางเภสัชกรรมของร้านยา โดยมุ่งหวังให้เกิดการบริการที่มีคณ ุ ภาพ ก่อให้เกิดผลลัพท์ที่ดี
ต่อสุขภาพ เป็นที่ยอมรับและเกิดความเชื่อถือจากประชาชน และสังคมโดยรวม
เพื่อเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการประเมิน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อการพัฒนาและรับรองคุณภาพการบริการของร้านยา
เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาความพร้อมของร้านยาเพื่อเข้าสู่การเป็ฯหน่วยบริการของเครือข่ายระบบบริการสุขภาพ
ภายใต้การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
พันธกิจ
ร้านยาจะเป็นที่พึ่งด้านสุขภาพของชุมชนโดยการจัดหาและให้บริการด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้คําแนะนําปรึกษา
เพื่อการรักษา การป้องกัน และการสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของการจัดการที่มี
ประสิทธิภาพควบคู่ไปกับจริยธรรม โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนและสังคมได้มีการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ ได้อย่าง
ถูกต้อง เหมาะสม และเกิดความปลอดภัย
มาตรฐานร้านยา
ร้ า นยาเสมื อ นหนึ่ ง เป็ น ที่ พึ่ ง ด้ า นสุ ข ภาพของชุ ม ชน เพื่ อ ให้ ป ระสบความสํ า เร็ จ ในการให้ บ ริ ก ารสุ ข ภาพตาม
วัตถุประสงค์ จักต้องประกอบด้วยมาตรฐานต่าง ๆ ดังนี้
มาตรฐานที่ 1 สถานที่ อุปกรณ์ และสิ่งสนับสนุนบริการ
มาตรฐานที่ 2 การบริหารจัดการเพื่อคุณภาพ
มาตรฐานที่ 3 การบริการเภสัชกรรมที่ดี
มาตรฐานที่ 4 การปฏิบตั ิตามกฎ ระเบียบ และจริยธรรม
มาตรฐานที่ 5 การให้บริการและการมีส่วนร่วมในชุมชนและสังคม
52
มาตรฐานที่ 1 สถานที่ อุปกรณ์ และสิ่งสนับสนุนบริการ
ความมุ่งหมายของมาตรฐานนี้เพื่อให้มีองค์ประกอบทางกายภาพที่เหมาะสมและสนับสนุนให้เกิดการบริการที่มีคุณภาพ
โดยมีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนที่เพียงพอและเหมาะสมสําหรับการให้บริการ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดระหว่างพื้นที่ที่ต้อง
ปฏิบัติการโดยเภสัชกร และพื้นที่บริการอื่น ๆ มีการจัดหมวดหมู่ของยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการเก็บรักษาที่เอื้อต่อการรักษา
Unit 1
Chapter 10
ข. ต้องแสดงตนให้สาธารณชนทราบว่าเป็นเภสัชกรผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการโดยสวมเครื่องแบบตามข้อกําหนดของสภาเภสัชกรรม
ค. มีมนุษยสัมพันธ์ และมีทักษะในการสื่อสารที่เหมาะสม
ง. มีสุขภาพอนามัยดี ไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อแก่ผรู้ ับบริการ
2.1.2 ผู้ช่วยปฏิบตั ิการ (ถ้ามี)
ก. แสดงตนและแต่งกายให้สาธารณชนทราบว่าเป็น ผู้ช่วยเภสัชกร
ข. ปฏิบัติงานภายใต้การกํากับดูแลของเภสัชกรผูม้ ีหน้าที่ปฏิบัติการ
หลักการซักประวัติและร้ านยาคุณภาพ
ค. มีสุขภาพอนามัยดี ไม่เป็นแหล่งแพร่เชื้อแก่ผรู้ ับบริการ
2.2 กระบวนการคุณภาพ
2.2.1 มีเอกสารคุณภาพที่จําเป็นและเหมาะสม เช่น ใบสั่งยา กฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้องแยกเป็นหมวดหมู่ตามประเภท
มาตรฐานหรือแนวทางการดูแลผูป้ ่วยที่น่าเชื่อถือ (standard practice guidelines) เป็นต้น
2.2.2 มีระบบการจัดการเอกสารคุณภาพและข้อมูลที่จําเป็นและเหมาะสม
2.2.3 มีการประกาศสิทธิผู้ป่วยที่ควรได้รับจากการบริการ
2.2.4 มีการวิเคราะห์และระบุความเสีย่ งที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรม เช่น ความปลอดภัย
ของการให้บริการ การจ่ายยาผิด เป็นต้น
2.2.5 มีการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เช่น
ก. ระบุผรู้ ับบริการที่แท้จริง
ข. ระบุความต้องการและความคาดหวัง
2.2.6 มีบันทึกการให้บริการสําหรับผู้รับบริการทีต่ ้องติดตามต่อเนื่อง เช่น แฟ้มประวัติการใช้ยา หรือ เอกสารคุณภาพ เช่น
รายงานอุบัติการณ์ รายงานการเฝ้าระวังอาการ อันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ
2.2.7 มีการตรวจสอบซ้ํา (double check) ในแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับผู้รับบริการเพื่อลดความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้น
2.2.8 มีตัวชี้วัดคุณภาพที่สําคัญ เช่น ความยอมรับหรือความพึงพอใจของผู้รับบริการ ร้อยละของการค้นหาหรือระบุปัญหาที่
แท้จริงของผู้รับบริการที่เรียกหายา จํานวนผู้ป่วยที่มีการบันทึกประวัติการใช้ยา เป็นต้น
2.2.9 มีการเพิม่ เติมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน
มาตรฐานที่ 3 การบริการเภสัชกรรมที่ดี
ความมุ่งหมายของมาตรฐานนี้เพื่อให้ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการให้บริการเภสัชกรรมบนพื้นฐานมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรม
อย่างมีคุณภาพ และก่อให้เกิดความพึงพอใจเกินความคาดหวังของผู้รับบริการ โดยมีรายละเอียดของมาตรฐานดังนี้
3.1 การจัดหา การควบคุมยาและเวชภัณฑ์
การบริหารเวชภัณฑ์ทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การจัดหา การเก็บ การควบคุม และการกระจาย จะต้องดําเนินการอย่างมี
ประสิทธิภาพและความปลอดภัย
3.1.1 มี เกณฑ์ ในการเลือ กสรรยา และผลิ ตภัณ ฑ์ สุขภาพที่ นํ ามาจําหน่าย เช่น การจัด หาผลิต ภัณ ฑ์ ที่ ผ่านการรับ รองตาม
มาตรฐานการผลิตที่ดี (GMP) และมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
3.1.2 มีการเก็บรักษาซึ่งมีเป้าหมายให้ยาคงประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี และปลอดภัยตลอดเวลา
3.1.3 มีบัญชีควบคุมและกํากับยาหมดอายุ
3.1.4 ต้องมีระบบควบคุมยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และยาควบคุมพิเศษอื่น ๆ ที่รัดกุมและสามารถ
ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
3.1.5 มีการสํารองยาและเวชภัณฑ์ที่จําเป็นต่อการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การช่วยชีวิต ยาต้านพิษที่จําเป็น หรือ การสํารองยา
และเวชภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความจําเป็นของชุมชน
3.2 แนวทางการให้บริการทางเภสัชกรรม
3.2.1 มีการส่งเสริมให้มีการใช้ยาอย่างเหมาะสม เช่น การไม่จําหน่ายยาชุด การคํานึงถึงความคุ้มค่าในการใช้ยา
3.2.2 ต้องระบุผู้รับบริการที่แท้จริง และค้นหาความต้องการและความคาดหวังจากการซักถามอาการ ประวัติการใช้ยา รวมถึง
ศึกษาจากแฟ้มประวัติการใช้ยา (ถ้ามี) ก่อนการส่งมอบยาทุกครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเฉพาะรายตามมาตรฐานการดูแลผู้ป่วย
3.2.3 มีแนวทางการประเมินใบสั่งยา
ก. ต้องมีความสามารถในการอ่าน วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมของใบสั่งยา
ข. มีการสอบถามและได้รับความเห็นชอบจากผู้สั่งจ่ายยาทุกครั้ง เมื่อมีการดําเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไข หรือ
การปรับเปลี่ยนใบสั่งยา
54
3.2.4 แนวทางการส่งมอบยา
ก. มีเภสัชกรเป็นผู้ส่งมอบยาให้แก่ผู้มารับบริการโดยตรง
ข. มีฉลากยาซึ่ง ประกอบด้วย ชื่อสถานบริการ ชื่อผู้ป่วย วันที่จ่าย ชื่อการค้า ชื่อสามัญทางยา ข้อบ่งใช้ วิธีใช้ ข้อควรระวัง
และวันหมดอายุ
Unit 1
National List of Essential
Chapter
11 Medicines
นศภ.สุมนา จํารูญวรเกียรติ
บัญชียาหลักแห่งชาติ
ส่วนประกอบของบัญชียาหลักแห่งชาติ
บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2554 ประกอบด้วยบัญชียาสําหรับโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุข บัญชียาจาก
สมุนไพร และเภสัชตํารับโรงพยาบาล ในบัญชียาสําหรับโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขประกอบด้วยรายการยา รวม 17
กลุ่ม สําหรับส่วนประกอบอื่นของบัญชี ได้แก่ บัญชียาจากสมุนไพรนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของบัญชียาสําหรับโรงพยาบาลและสถาน
บริการสาธารณสุข ซึ่งจะออกประกาศแยกกับยาแผนปัจจุบัน
ส่วนรายการเภสัชตํารับของโรงพยาบาลที่เป็นยาแผนปัจจุบันให้ใช้ฉบับ พ.ศ. 2551 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ส่วนบัญชียา
สําหรับงานสาธารณสุขมูลฐานนั้นเนื่องจากยังคงรายการยาตามบัญชีเดิมมาเป็นระยะเวลานาน คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชีหลัก
แห่งชาติเห็นว่าควรจะมีการทบทวนให้ทันสมัย เป็นปัจจุบันแล้วจึงจะทําการประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ.
2554 ในวาระต่อไป
การจัดแบ่งกลุ่มยาและหมวดหมู่รายการยา
หมวดบัญชีย่อยตามบัญชียาหลักแห่งชาติ แบ่งเป็นบัญชีย่อย ก. ข. ค. ง. และ จ. โดยแต่ละบัญชีย่อยมีนิยามดังนี้
บัญชี ก หมายถึง รายการยาสําหรับสถานพยาบาลทุกระดับ เป็นรายการยามาตรฐานที่ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา
สุขภาพที่พบบ่อย มีหลักฐานชัดเจนที่สนับสนุนการใช้ มีประสบการณ์การใช้ในประเทศไทยอย่างพอเพียง และเป็นยาที่ควรได้รับ
การเลือกใช้เป็นอันดับแรกตามข้อบ่งใช้ของยานั้น
บัญชี ข หมายถึง รายการยาที่ใช้สําหรับข้อบ่งใช้หรือโรคบางชนิดที่ใช้ยาในบัญชี ก. ไม่ได้ หรือไม่ได้ผล หรือใช้เป็นยา
แทนยาในบัญชี ก. ตามความจําเป็น
บัญ ชี ค หมายถึง รายการยาที่ต้องใช้ในโรคเฉพาะทางโดยผู้ชํานาญ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากผู้อํานวยการของ
สถานพยาบาลนั้นๆ โดยมีมาตรการกํากับการใช้ซึ่งสถานพยาบาลที่ใช้จะต้องมีความพร้อมตั้งแต่การวินิจฉัยจนถึงการติดตาม
ผลการรักษา เนื่องจากยากลุ่มนี้เป็นยาที่ถ้าใช้ไม่ถูกต้อง อาจเกิดพิษหรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหรือเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อดื้อยาได้
ง่าย หรือเป็นยาที่มีแนวโน้มในการใช้ไม่ตรงตามข้อบ่งชี้หรือไม่คมุ้ ค่าหรือมีการนําไปใช้ในทางที่ผิด หรือมีหลักฐานสนับสนุนการใช้ที่
จํากัด หรือมีประสบการณ์การใช้ในประเทศไทยอย่างจํากัด หรือมีราคาแพงกว่ายาอื่นในกลุ่มเดียวกัน
บัญชี ง หมายถึง รายการยาที่มีหลายข้อบ่งใช้ แต่มีความเหมาะสมที่จะใช้เพียงบางข้อบ่งใช้ หรือมีแนวโน้มจะมีการสั่งใช้
ยาไม่ถูกต้อง หรือ เป็นรายการยาที่มีราคาแพงจึงเป็นกลุ่มยาที่มีความจําเป็นต้องมีการระบุข้อบ่งใช้และเงื่อนไขการสั่งใช้ยา การใช้
บัญชียาหลักแห่งชาติไปอ้างอิงในการเบิกจ่ายควรนําข้อบ่งใช้และเงื่อนไขการสั่งใช้ไปประกอบในการพิจารณาอนุมัติการเบิกจ่ายจึง
จะก่อประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ยาในบัญชี ง จําเป็นต้องใช้สําหรับผู้ป่วยบางราย แต่อาจทําให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย หรือก่อปัญหาเชื้อ
ดื้อยาที่ร้ายแรง การสั่งใช้ยาซึ่งต้องให้สมเหตุผลเกิดความคุ้มค่าสมประโยชน์จะต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยและพิจารณาโดยผู้
ชํานาญเฉพาะโรคที่ได้รับการฝึกอบรมในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากสถานฝึกอบรมหรือได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติจากแพทย
สภา หรือทันตแพทยสภาเท่านั้น และโรงพยาบาลจะต้องมีระบบการกํากับประเมินและตรวจสอบการใช้ยา (Drug Utilization
Evaluation, DUE) โดยต้องมีการเก็บข้อมูลการใช้ยาเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบในอนาคตได้
บัญชี จ หมายถึง
1) รายการยาสําหรับโครงการพิเศษของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีการกําหนดวิธีการใช้และการ
ติดตามประเมินการใช้ยาตามโครงการ โดยมีหน่วยงานนั้นรับผิดชอบ
2) รายการยาสําหรับผู้ป่วยที่มีความจําเป็นสําหรับผู้ป่วยน้อยรายและเป็นยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก มีระบบกํากับและ
อนุ มัติ ก ารสั่ งใช้ย า (authorized system) ที่ เหมาะสมโดยหน่วยงานสิ ท ธิประโยชน์ หรือ หน่ วยงานกลางที่ ได้ รับ
มอบหมาย
หมายเหตุ
1. ยาแต่ละชนิด จัดอยู่ในบัญชีย่อยได้มากกว่า 1 บัญชี หากว่าข้อบ่งชี้การใช้ยาชนิดนั้นมีหลายอย่าง และควรมีการกํากับ
การใช้ที่แตกต่างกัน
2. มาตรการกํากับการใช้ของยาในบัญชี ง. พิจารณาจัดทําได้ตั้งแต่การกําหนดแนวทางการพิจารณาการใช้ยา การติดตาม
ปริมาณการใช้ยา จนถึงการติดตามผลการใช้ยาในผู้ป่วยเฉพาะรายตามความเหมาะสม
56
รูปแบบยา ที่แสดงในบัญชี หมายถึง รูปแบบยาทั่วไปที่มิได้มีการพัฒนารูปแบบการบริหารยาเป็นพิเศษหรือเป็นการเฉพาะ ในกรณี
ที่หมายถึงรูปแบบยาซึ่งมีการพัฒนารูปแบบการบริหารยาเป็นพิเศษ จะระบุรูปแบบยานั้นๆ ไว้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างรูปแบบที่มีการพัฒนารูปแบบยาเป็นพิเศษ เช่น ยาเตรียมสําหรับออกฤทธิ์นานทุกชนิด เป็นต้น ยาบางชนิดมีการ
ระบุรูปแบบยาไว้อย่างจําเพาะเจาะจง เช่น Ibuprofen film coated tablet หมายถึง ยาเม็ด ibuprofen ชนิดเคลือบฟิล์มไม่
Unit 1
เอกสารอ้างอิง
1. คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ. คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ เล่ม 1 ยา
ระบบทางเดิ ม อาหาร (Thai National Formulary 2008 Volume 1 Gastro-intestinal system). ชุ ม นุ ม สหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย. 2552.
2. งานนโยบายแห่งชาติด้านยา กลุ่มงานพัฒนาระบบ สํานักยา. คําชี้แจงเกี่ยวกับบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2554.
[ฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต]. เข้าถึงครั้งล่าสุดเมื่อ 19 ส.ค. 2556. เข้าถึงได้จาก:
http://www.nlem.in.th/principles/medicine/explanation
Chapter
12 Drug Labeling
นศภ.สุมนา จํารูญวรเกียรติ
การเขียนฉลากยาและฉลากเสริม
ให้ขีดฆ่าข้อความที่ไม่ต้องการและวงรอบข้อความที่ต้องการ ดังภาพที่ 12.1
ร้านยาสมมติเภสัช เลขที่ 15 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โทร. 074201127
วันที่ 16 เม.ย. 2556
ชื่อผู้ป่วย นายเขียน รวดเร็ว
ชื่อยา Bidsacodyl (Dulcolax®) 5 mg จํานวน 20 เม็ด
ข้อบ่งใช้ รักษาอาการท้องผูก
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด/ช้อนชา/ช้อนโต๊ะ/ซีซี
วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร หลังอาหาร
เช้า กลางวัน บ่าย เย็น ก่อนนอน
หรือทุก............-.............ชั่วโมง
หรือเฉพาะเวลา.................ท้องผูก............................................
ฉลากเสริม ห้ามบดหรือเคี้ยวยา
ห้ามรับประทานยานี้พร้อมกับนมหรือยาลดกรด
ภาพที่ 12.1 ตัวอย่างฉลากยา แสดงวิธีการเขียนฉลากยา
การเขียนฉลากเสริม
ฉลากเสริม คือ ข้อความสําหรับคําแนะนําหรือข้อควรระวังที่สําคัญและจําเป็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ในการใช้แก่ผู้ป่วย
ตารางที่ 12.1 แสดงการแบ่งขั้นของโรคไตวายเรื้อรังและการจัดการในแต่ละขั้น
คําเตือน ข้อความ การนําไปใช้
อาการง่วงนอน อาจทําให้ง่วงนอน เหมาะกับเด็ก โดยไม่ต้องเพิ่มคําเตือนเกี่ยวกับ alcohol
อาจทําให้ง่วงนอน ไม่ควรขับรถหรือทํางาน เหมาะกับผู้ใหญ่ :
เกี่ยวกับเครื่องจักร CPM, tripolidine, hydroxyzine, dimenhydrinate,
หลีกเลี่ยงการดืม่ แอลกอฮอล์ diazepam, codeine, morphine, amitriptyline,
phenobarbital
อาหารและเครื่องดื่ม หลีกเลี่ยงการดืม่ แอลกอฮอล์ disulfiram like reaction: metronidazole,
tinidazole, chlorpropamide
ทานยาพร้อมหรือหลังอาหารทันที ระคายเคืองทางเดินอาหารหรือดูดซึมได้ดเี มื่อทานพร้อม
อาหาร : ASA, NSAIDs, metformin, theophlline,
tretinoin, prednisolone, ketoconazole
ทานครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนอาหาร หรือช่วง ยาที่อาหารมีผลต่อการดูดซึมหรือการออกฤทธิ์ :
ท้ อ งว่า ง โดยหากลื ม ให้ ท านหลั งอาหาร 2 penicillin V, ampicillin, didanosine
ชั่วโมง
ไม่ควรทนยาลดกรดพร้อมยานี้ enteric coated : omeprazole, ASA(Aspent®),
diclofenac(Voltaren®), bisacodyl(Dulcolax®)
ไม่ควรทานนม อาหารหรือยาที่มีธาตุเหล็ก ลดการดูดซึมลงหรือเกิดการตกตะกอน :
หรือยาลดกรดพร้อมยานี้ tetracyclines, fluoroquinolones
58
คําเตือน ข้อความ การนําไปใช้
แนะนําพิเศษ ทานยานี้ติดต่อกันทุกวันจนยาหมด antibiotics, ยารักษาโรคเรื้องรัง
ใช้ทานในปริมาณเล็กน้อยหรือทาบางๆ ยาใช้ภายนอก : topical steroids
Unit 1
และห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน
วิธีให้ยาแบบพิเศษ ละลายหรือผสมน้ําก่อนทาน ยาละลาย ผงยา ยาเม็ดฟองฟู่ ผงน้ําตาลเกลือแร่
ดื่มน้ําตามมากๆ ระคายเคืองทางเดินอาหาร : NSAIDs
ตกตะกอนในกระเพาะปัสสาวะ : sulfonamides
กลืนทั้งเม็ด ห้ามเคี้ยวหรือบดยา enteric coated, sustained release, รสไม่ดี
เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อให้ออกฤทธิ์ดีขึ้น : simethicone, ยาถ่ายพยาธิ
ปล่อยให้ยาละลายใต้ลิ้น ดูดซึมที่เนื้อเยื่อใต้ลิ้น : isosorbide dinitrate
ใช้เฉพาะภายนอก ห้ามรับประทาน ยาทาภายนอก
เขย่าขวดก่อนใช้ ยาน้ําประเภทต่างๆ เช่น mixture, syrup,
suspension, emulsions
ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงไฟหรือแสงอาทิตย์ photosensitivity : isotretinoin,
โดยตรง chlorpromazine, norfloxacin, doxycycline
ยานี้อาจทําให้ปัสสาวะหรืออุจจาระเปลีย่ นสี ferrous fumarate, rifampicin,
phenazopyridine
ระวัง ติดไฟได้ วางให้ห่างจากไฟ ยาพ่นสูด, ยาในรูปแบบสเปรย์
เอกสารอ้างอิง
1. อังคณา ช่วยชัย. การเขียนฉลากยาและฉลากเสริม. เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชา 561-404 จริยธรรมการ
จ่ายยา (Dispensing Pharmacy). 2554.
2. สภาเภสัชกรรม. คู่มือทักษะตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. 2554.
2554.
Chapter
13
ยาที่มีความเสี่ยงสูง (High-alert drugs)
High Alert Drugs
นศภ.วดี นัคราบัณฑิตย์
Dopamine***
ข้อบ่งใช้ (จําขนาด***)
ขนาดต่ํา 1-3 mcg/kg/min *** เพิ่ม Renal blood flow, urine out put
ขนาดกลาง 3-10 mcg/kg/min *** เพิ่ม CO
ขนาดสูง >10 mcg/kg/min *** เพิ่ม total peripheral resistance
*** ได้ยาเกินขนาด: severe hypotension, tachycardia, ARF
Note! *** DA(2:1) คือ DA 2 mg สารน้ํา 1 ml
ป้องกัน Extravasation ให้ยาทางหลอดเลือดใหญ่ ถ้าเกิด Extravasation ทําเหมือน adrenaline
Incompatibility (ความเข้ากันไม่ได้): Alkaline Sol (ex.bicarb)
60
Potassium chloride***
ข้อบ่งใช้: รักษาป้องกัน Hypokalemia
ผสมได้ทั้ง D5W NSS นิยาม NSS เพราะ Dextrose ทําให้เกิด hypokalemia
ติดตาม K, cardiac parameter
Unit 1
Dobutamine
Pharmaceutical Care
ข้อบ่งใช้: เพิ่ม CO
อาการได้ยาเกินขนาด: fatigue, HTN, tachycardia, arrthmia
Note!
• ป้องกัน Extravasation ให้ยาทางหลอดเลือดใหญ่ ถ้าเกิด Extravasation ทําเหมือน adrenaline
• ยาอาจถูกออกซิไดซ์เปลีย่ นเป็นสีชมพู ยังใช้ได้
• ห้ามใช้ ถ้ายาเปลี่ยนเป็นสีนา้ํ ตาล หรือสีเข้มขึ้น
• ค่อยหยุดใช้ เดียวเกิด Hypotension
• ระวังสับสนกับ Dopamine !!!
Phenytoin
ข้อบ่งใช้: คุมการชัก Tonic clonic complex partial
ใช้ป้องกันและรักษาอาการชักที่เกิดขึ้นระหว่างหรือหลังการผ่าตัดระบบประสาท
อาการได้ยาเกินขนาด: Nystamus, ataxia, seizure
Rapid IV: Cardiovascular toxicity, Hypotension
UNIT 2
Respiratory System Disorders
Chapters
14 Asthma
15 Chronic Obstructive Pulmonary Disease
16 Smoking Cessation
17 Drug-induced Pulmonary Disorders
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter 14 Asthma
นศภ. นนทิกานต์ ณ นิโรจน์
โรคหืด (asthma) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ของหลอดลมปอด ทําให้หลอดลมมี
ความไวต่อสิ่งกระตุ้น (hyperresponsive) เมื่อมีสิ่งกระตุ้นหลอดลมจะเกิด asthma attack หรือเรียกว่า acute exacerbation
ผู้ป่วยจะมีภาวะหลอดลมตีบ (bronchoconstriction) มีการหลั่งเมือก (mucus plugs) และเพิ่มการอักเสบ (inflammation) ทํา
ให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ดังแสดงในภาพที่ 14.1 จึงมีอาการหายใจลําบาก (breathlessness) ได้ยินเสียงวี้ด (wheezing)
แน่นหน้าอก (chest tightness) และไอ (coughing) โดยมักจะเกิดอาการในตอนกลางคืนหรือตอนเช้าตรู่ มีอาการอยู่เพียงชั่วคราว
(episodic) แต่สามารถกลับเป็นซ้ําได้อีก (recurrent) เมื่อสัมผัสสิ่งกระตุ้นหรือปัจจัยเสี่ยงของโรค
Chapter 14
Reduce Increase
Asthma
As needed rapid- As needed rapid-acting ß2 agonist
acting ß2 agonist
Controller Select one Select one To step 3 To step 4
options*** treatment, select treatment, add
one or more either
Low-dose inhaled Low-dose ICS plus Medium- or high- Oral
ICS* long-acting ß2 dose ICS plus long glucocorticosteroid
agonist acting ß2 agonist (lowest dose)
Leukotriene Medium- or high leukotriene Anti-IgE treatment
modifier** dose ICS modifier
Low-dose ICS plus Sustained release
leukotriene theophylline
modifier
Low dose ICS plus
sustained release
theophylline
* ICS = inhaled glucocorticosteroids
** = receptor antagonist or synthesis inhibitors
*** = Recommended treatment (shaded boxes) based on group mean data. Individual patient needs,
preferences, and circumstances (including cost) should be considered.
Alternative reliever treatments include inhaled anticholinergics, short-acting oral ß2-agonist, some long-acting
ß2-agonists, and short-acting theophylline.
Regular dosing with short and long-acting ß2-agonists is not advised unless accompanied by regular use of an
inhaled glucocorticosteroid.
แนวทางการจัดการภาวะโรคหืดกําเริบเฉียบพลัน (Exacerbation หรือ asthma attack)
ผู้ป่วยที่ควรนําส่งโรงพยาบาลทันที ได้แก่
ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลําบากขณะพัก, พูดไม่เป็นประโยค, กระวนกระวาย, ง่วงซึม, สับสน, หัวใจเต้นช้า,
หายใจเร็ว (RR> 30/min), หายใจเสียงวี้ดดังมากหรือไม่มีเสียงเลย, Pulse rate> 120/min (> 160/min ใน infants),
PEF < 60% of predicted or personal best แม้ ว่ า จะได้ รั บ ยาขยายหลอดลมแล้ ว , หรื อ ผู้ ป่ ว ยเหนื่ อ ยมาก
(exhausted)
ไม่ตอบสนองทันทีต่อยาขยายหลอดลม และยังคงไม่ตอบสนองอย่างน้อย 3 ชม.
หลังจากได้รับ oral glucocorticosteroid แล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-6 ชม.
อาการของโรคแย่ลงเรื่อย ๆ
ผู้ป่วยที่มีอาการระดับรุนแรงน้อย (mild attack) หมายถึง peak flow ลดลงน้อยกว่า 20%, nocturnal awakening
และใช้ rapid-acting ß2-agonists มากขึ้ น ผู้ ป่ ว ยมั ก จะสามารถรั ก ษาตั ว เองได้ ที่ บ้ า น ส่ ว นผู้ ป่ ว ยที่ อ าการรุ น แรงปานกลาง
(moderate) อาจจําเป็นต้องนําส่งโรงพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ที่มีอาการรุนแรงมาก (severe)
66
การรักษาภาวะ exacerbation
Inhaled rapid-acting ß2-agonists เริ่ ม ด้ว ย 2-4 puffs q 20 min ใน 1 ชม. แรก หลัง จากนั้ น 2-4 puffs q 3-4 hr
สําหรับ mild และ 6-10 puffs q 1-2 hr สําหรับ moderate
Unit 2
Chapter 14
2. Controllers เป็นยาที่ใช้ในการควบคุมอาการ มีดังนี้
Glucocorticosteroids เป็ น ยาที่ อ อกฤทธิ์ ต้ า นการอั ก เสบได้ ดี ที่ สุ ด แต่ มี คุ ณ สมบั ติ เ ป็ น flat dose-response
relationships นั่นคือเมื่อถึงจุดหนึ่ง การเพิ่มขนาดยาให้สูงขึ้น ไม่ได้ทําให้ผลการรักษาดีขึ้น จากตารางที่ 14.2 จะเห็นว่า
มีการระบุถึง low-, medium-, high-dose ICS ซึ่งหมายถึงขนาดยาแต่ละชนิด ดังแสดงในตารางที่ 14.3 ส่วนอาการ
ข้างเคียงแสดงในตารางที่ 14.4
ตารางที่ 14.3 แสดงขนาดยาต่อวันของยากลุ่ม Inhaled glucocorticosteroids สําหรับผู้ป่วยเด็กอายุมากกว่า 5 ปีและผู้ใหญ่
Asthma
Drugs Low dose (µg) † Medium Dose (µg) High Dose (µg) †
†
Beclomethasone dipropionate-HFA 100-250 > 250-500 > 500-1000
Budesonide* 200-400 > 400-800 > 800-1600
Flunisolide 500-1000 > 1000-2000 > 2000
Fluticasone propionate 100-250 > 250-500 > 500-1000
Mometasone furoate* 200 > 400 > 800
Triamcinolone acetonide 400-1000 > 1000-2000 > 2000
† Comparisons based on efficacy data.
* Approved for once-daily dosing in mild patients.
ตารางที่ 14.4 แสดงรายชื่อยากลุ่ม glucocorticosteroids ขนาดยา อาการข้างเคียง และข้อแนะนําพิเศษ
Drugs Usual doses Side Effects Comments
Inhaled: Inhaled: Beginning Inhaled: High daily doses may be Inhaled: Potential
Beclomethasone dose dependent on associated with skin thinning and but small risk of
Budesonide asthma control then bruises, and rarely adrenal side effects is well
Flunisolide titrated down over suppression. Local side effects are balanced by
Fluticasone 2-3 months to hoarseness and oropharyngeal efficacy. Mouth
Mometasone lowest effect dose candidiasis. Low to medium doses washing after
Triamcinolone once control is has produced minor growth delay or inhalation
Tablets or syrup: achieved. suppression in children. Attainment of decrease oral
Hydrocortisone Tablets or syrups: predicted adult height does not candidiasis.
Methylprednisolone For daily control use appear to be affected. Tablets or syrup:
Prednisolone lowest effective Tablets or syrups: Used long term, Long term:
dose 5-40 mg of may lead to osteoporosis, alternate day a.m.
prednisone hypertension, diabetes, cataracts, dosing produces
equivalent in a.m. or adrenal suppression, growth less toxicity.
QD suppression, obesity, skin thinning or Short term: 3-10
For acute attacks 40- muscle weakness. Consider coexisting day “bursts” are
60 mg/day in 1 or 2 conditions that could be worsened effective for
divided doses for by oral glucocorticosteroids, e.g. gaining prompt
adults or 1-2 herpes virus infections, Varicella, control
mg/kg/day in tuberculosis, hypertension, diabetes,
children. and osteoporosis
Long-acting ß2-agonists (LABAs) ไม่แนะนําให้ใช้เป็นยาเดี่ยว รูปแบบยาพ่นสูดจึงผสมกับ glococorticosteroids
68
Drugs Usual doses Side Effects Comments
Inhaled: Inhaled: Inhaled: less SE than oral. Inhaled: Salmeterol NOT to be
Formoterol (F) DPI-F: 1 inhalation Have been associated with used to treat acute attacks.
Salmeterol (Sm) (12 µg) bid an increased risk of severe Should not use as mono therapy
Unit 2
Sustained- MDI-F: 2 puffs bid. exacerbations and asthma for controller therapy. Always
release Tablets: DPI-Sm: 1 inhalation deaths when added to use as adjunct to ICS. Fomoterol
Salbutamol (S) (50 µg) bid usual therapy. has onset similar to salbutamol
Terbutaline (T) MDI-Sm: 2 puffs bid. Tablets: may cause and has been used as needed
Aminophylline Tablets: tachycardia, anxiety, for acute symptomps.
Respiratory System Disorders
Chapter 14
Asthma
Turbuhaler Easyhaler
เอกสารอ้างอิง
1. Global Initiative for Asthma. Global strategy for asthma management and prevention. 2012.
70
Isoproterenol
ข้อเสีย
- Nonspecific; ออกฤทธิ์ทั้ง B1(หัวใจ) และ B2(หลอดลม)
- ออกฤทธิ์สั้นเนื่องจากถูก metabolize ด้วย COMT ที่ intestinal mucosa และที่ตับ
- ไม่สามารถให้ทาง oral ได้
- กระตุ้นตัวรับβ-ทั้งสองชนิด เกิดSE ที่หัวใจ
- ออกฤทธิ์ได้เพียงระยะสั้น
ดังนั้น การพัฒนายามุ่งที่จะปรับปรุงให้ยามีสมบัติดังต่อไปนี้
- ออกฤทธิ์ได้ specific มากขึ้น, ถูก metabolize ได้ช้าลง, เพิ่ม oral bioavailability
- ทําให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ต่อ pulmonary B2 โดยเตรียมในรูป inhalation หรือ aerosol
- เพิ่มความเฉพาะเจาะจงต่อ β-2
- ทนต่อการ Metabolism
- เพิ่ม Oral Bioavailability
- พัฒนา Topical/Inhalation dosage form ลด SE
Terbutaline
2. ดัดแปลง meta-hydroxyl ให้เป็น hydroxymethyl เช่น Salbutamol (Albuterol)
Salbutamol
71
3. ทํา Esterification เช่น Bambuterol เมื่อโดน Esterase → terbutaline ในร่างกาย
Chapter 14
Bambuterol
4. การเพิ่ม Bulky group ที่ N-substitution เช่น Ritodrine ซึ่งพบว่าการเติมหมู่ Bulky group จะทําให้ผลต่อตัวรับ β-
2 ที่มดลูกเพิ่มขึ้น
Asthma
ตัวอย่างยากลุ่ม Selective beta-2 agonists อื่น ๆ
Metaproterenol Fenoterol
3’, 5’ OH ทําให้ selective ต่อ beta-2 และทน
ต่อ COMT
72
Unit 2
Respiratory System Disorders
Diagnosis
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเมื่อพยาธิสภาพลุกลามไปมากแล้ว อาการที่พบ ได้แก่ หอบเหนื่อยซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
และ/หรือ ไอเรื้อรังมีเสมหะโดยเฉพาะในช่วงเช้า อาการอื่นที่พบได้ คือ แน่นหน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด ในกรณีที่มีอาการอื่น ๆ
Unit 2
เช่น ไอออกเลือด หรือ เจ็บหน้าอก จะต้องหาโรคร่วมหรือการวินิจฉัยอื่นเสมอ ที่สําคัญ คือ วัณโรค มะเร็งปอด และหลอดลมพอง
(bronchiectasis)
GOLD guideline 2013 แนะนําแนวทางการวินิจฉัยไว้ว่า จะสงสัยว่าเป็น COPD เมื่อพบ key indicators ในผู้ป่วยที่
อายุมากกว่า 40 ปี โดยยิ่งพบหลาย key indicators ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็น COPD ซึ่ง key indicators ได้แก่
Dyspnea ซึ่งมีลักษณะเรื้อรัง (persistent) อาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป (progressive) และแย่ลงเมื่อออกกําลังกาย
Respiratory System Disorders
Chapter 15
≥2
Exacerbation history
3
Risk
Risk
2 1
A B
or or
SA ß2-agonist prn LA ß2-agonist
or
SA ß2-agonist and SA anticholinergic
B LA anticholinergic LA anticholinergic and LA ß2-agonist SA ß2-agonist and/or SA
Respiratory System Disorders
or anticholinergic
LA ß2-agonist Theophylline
C ICS + LA ß2-agonist LA anticholinergic and LA ß2-agonist SA ß2-agonist and/or SA
or or anticholinergic
LA anticholinergic LA anticholinergic and PDE-4 Inhibitor Theophylline
or
LA ß2-agonist and PDE-4 Inhibitor
D ICS + LA ß2-agonist ICS + LA ß2-agonist and LA anticholinergic Carbocysteine
and/or LA or SA ß2-agonist and/or SA
anticholinergic ICS + LA ß2-agonist and PDE-4 Inhibitor anticholinergic
or Theophylline
LA anticholinergic and LA ß2-agonist
or
LA anticholinergic and PDE-4 Inhibitor
SA= Short-acting; LA= Long-acting; ICS= Inhaled corticosteroid; PDE-4= phosphodiesterase-4
* Medication in this column can be used alone or in combination with other options in the first and
alternative choice columns
คําแนะนําในการให้ bronchodilators
- แนะนําให้ใช้ยาในรูปแบบพ่นสูด
- สามารถสั่งใช้เฉพาะเมื่อมีอาการ หรือใช้เป็นประจําทุกวันเพื่อควบคุมอาการ
- อาจพิจารณาใช้ short- or long- acting ß2-agonists ร่วมกับ anticholinergics หากอาการไม่ดีขึ้นเมื่อใช้ยา
เดี่ยว โดยการใช้ยาแบบ combination ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ต่างกัน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดอาการ
ข้างเคียงจากยาแต่ละชนิดได้
- ไม่แนะนําให้ใช้ theophylline เนื่องจากประสิทธิภาพต่ําและอาการข้างเคียงมาก ยกเว้นไม่มีทางเลือกอื่น
คําแนะนําให้การให้ Corticosteroids และ Phosphodiesterase-4 inhibitors (roflumilast)
- ICS และ PDE-4 Inhibitor สามารถเลือกใช้ได้เมื่อไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้ด้วย long-acting
bronchodilator
- การใช้ยาผสมของ ICS กับ LA ß2-agonist มีประสิทธิภาพดีกว่าใช้ยาแต่ละชนิดเดี่ยว ๆ และการใช้ยาผสม
ดังกล่าวร่วมกับ tiotropium จะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
- ไม่แนะนําให้ใช้ Long-term monotherapy with oral or inhaled corticosteroids ใน COPD
- การให้ ICS อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิด pneumonia
- การหยุดยา ICS อาจทําให้เกิด exacerbation ในผู้ป่วยบางราย
77
การจัดการภาวะ Acute Exacerbations
Acute exacerbation หรือ การกําเริบเฉียบพลันของโรค หมายถึง ที่มีอาการเหนื่อยเพิม่ ขึ้นกว่าเดิมในระยะเวลาอันสั้น
(เป็นวันถึงสัปดาห์) และ/หรือ มีปริมาณเสมหะเพิ่มขึ้น หรือมีเสมหะเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยต้องแยกจากโรคหรือภาวะ
Chapter 15
อื่นๆ เช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax
ประเมินความรุนแรงของ exacerbation ได้ ดังนี้
กลุ่มที่มีความรุนแรงน้อย หมายถึง ผู้ป่วยที่มีอาการหอบไม่มาก รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ การรักษา คือ เพิ่มขนาดและ
ความถี่ของยาขยายหลอดลมชนิดสูด สําหรับคอร์ติโคสเตียรอยด์ พิจารณาให้เป็นราย ๆ ไป โดยให้ prednisolone ขนาด 20-30
มก./วัน นาน 5-7 วัน ส่วนยาต้านจุลชีพพิจารณาให้ในกรณีทสี่ งสัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย
กลุ่มที่มีความรุนแรงมาก หมายถึง ผู้ป่วยที่มีลักษณะทางคลินิกดังนี้
Handihaler
เอกสารอ้างอิง
1. Global Initiative for Chronic Obstructive Lung Disease. Global strategy for the diagnosis, management,
and preventive of chronic obstructive pulmonary disease. 2013.
2. สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
แนวปฏิบัติบริการสาธารณสุข โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ยูเนียนอุลตร้าไวโอเร็ต; 2553.
3. Leader D [Internet]. [updated 2010 Jan 13; cited 2013 Aug 18]. Available from:
http://copd.about.com/od/copdbasics/a/MMRCdyspneascale.htm.
4. วัชรา บุญสวัสดิ์ [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2556]. เข้าถึงได้จาก:
http://eac2.dbregistry.com/site_data/dbregistry_eac/1/copd_new_guide.pdf.
Chapter
16 Smoking Cessation
นศภ. นนทิกานต์ ณ นิโรจน์
Nicotine
เป็นองค์ประกอบหลักที่ทําให้ติดบุหรี่ ซึ่งมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาเป็น ganglionic cholinergic receptor agonist ขนาด
ต่ํา จะเพิ่มความตื่นตัว และ cognitive function ผ่านการกระตุ้น cerebral cortex สําหรับขนาดสูงจะออกฤทธิ์กระตุ้น reward
center ใน limbic system หากสูบบุหรี่เป็นเวลานานจะเกิด physical and psychologic dependence และภาวะ tolerance
ทําให้มีการเพิ่มปริมาณการสูบมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลของนิโคตินเท่าเดิม
ผู้ป่วยที่มี physical dependent เมื่อหยุดสูบบุหรี่จะเกิด withdrawal symptoms ซึ่งมักเกิดภายใน 24 ชม. อาการ
รุนแรงมากในช่วง 3-4 วัน คงอยู่นานหลายสัปดาห์
Nicotine withdrawal symptoms แบ่งเป็นอาการทางกาย และอาการทางใจ แสดงดังตารางที่ 16.1
ตารางที่ 16.1 แสดงอาการถอนนิโคติน
อาการทางกาย (Somatic symptoms) อาการทางใจ (Affective symptoms)
หัวใจเต้นช้าลง อยากสูบบุหรี่ (เสี้ยนบุหรี่)
ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น ซึมเศร้า
น้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น วิตกกังวล
ไม่มเี รี่ยวแรง กระวนกระวาย
ปวดศีรษะ หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย
ท้องผูก สมาธิลดลง
เหงื่อออก นอนไม่หลับ
การให้คําแนะนําปรึกษาเลิกบุหรี่
ใช้ 5 A’s technique ดังนี้
Ask --> ถามว่าสูบบุหรี่หรือไม่
Advise --> แนะนําว่าควรเลิกบุหรี่
Assess --> ประเมิ น ว่ า สนใจเลิ ก บุ ห รี่ ห รื อ ไม่ และประเมิ น ระดั บ การติ ด นิ โคติ น (Fagerstrom Test for Nicotine
Dependence; FTND)
Assist --> ช่วยเหลือเพื่อให้เลิกบุหรี่ตามระดับความพร้อมของผู้ป่วยในการเลิกบุหรี่ (The Transtheoretical Model)
Arrange --> จัดการนัด และติดตาม
Fagerstrom Test for Nicotine Dependence (FTND)
เป็นเกณฑ์ประเมินระดับการติดนิโคติน จากคําถาม 6 ข้อ และแปลผลคะแนนตามตารางที่ 2
1. หลังตื่นนอนตอนเช้า คุณจะเริ่มสูบบุหรี่มวนแรกเมื่อใด
- ภายใน 5 นาที (3 คะแนน) - 31-60 นาที (1 คะแนน)
- 5-20 นาที (2 คะแนน) - นานกว่า 60 นาที (0 คะแนน)
2. รู้สึกยากลําบากเมื่ออยู่ในเขตปลอดบุหรี่หรือไม่
- รู้สึกลําบาก (1 คะแนน)
- ไม่รู้สึกลําบาก (0 คะแนน)
3. สูบบุหรี่วันละกี่มวน (1 ซอง = 20 มวน)
- ≥ 31 มวน (3 คะแนน)
- 21-30 มวน (2 คะแนน)
- 11-20 มวน (1 คะแนน)
- ≤10 มวน (0 คะแนน)
80
4. บุหรี่มวนใดที่ไม่อยากเลิกมากที่สุด
- มวนแรกตอนเช้า (1 คะแนน)
- มวนอื่นๆ (0 คะแนน)
5. คุณสูบบุหรี่จัดในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังตื่นนอนมากกว่าเวลาอื่นของวันใช่หรือไม่
Unit 2
- ใช่ (1 คะแนน)
- ไม่ใช่ (0 คะแนน)
6. ถ้าคุณป่วยจนต้องนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลเกือบตลอดเวลา คุณต้องการสูบบุหรี่หรือไม่
- ใช่ (1 คะแนน)
- ไม่ใช่ (0 คะแนน)
Respiratory System Disorders
Chapter 16
- ขนาดที่ใช้ (เป็น sugar free)
สูบ < 25 มวน/วัน : 2 mg (ใช้ได้วันละไม่เกิน 30 ชิ้น/วัน)
สูบ ≥ 25 มวน/วัน : 4 mg (ใช้ได้วันละไม่เกิน 15 ชิ้น/วัน)
- วิธีการบริหารยา
สัปดาห์ที่ 1-6: 1 ชิ้นทุก 1 – 2 ชม.
สัปดาห์ที่ 7-9: 1 ชิ้นทุก 2 – 4 ชม.
Smoking Cessation
สัปดาห์ที่ 10-12: 1 ชิ้นทุก 4 – 8 ชม.
- วิธีการใช้
Chew and park technique : เคี้ยวช้า จนได้รสเผ็ดซ่าแล้วพักไว้บริเวณกระพุ้งแก้ม จนรสซ่าหายไป ทําซ้ํา 30
นาที สลับข้างซ้ายขวาเพื่อลดการระคายเคือง (ดูดซึมช้าแต่คงที่)
งดอาหารและเครื่องดื่มทีมีความเป็นกรด 15 นาทีก่อนและระหว่างเคี้ยวยา เพราะจะทําให้ pH เปลี่ยนแปลง
ไม่ควรกลืนน้ําลายที่มีนิโคติน
- อาการไม่พึงประสงค์ : ระคายเคืองในช่องปาก คลื่นไส้ สะอึก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- ข้อดี-ข้อเสีย : น้ําหนักขึ้นช้า, ใช้เวลาใดก็ได้, มีความยืดหยุ่นในการปรับขนาด แต่เสียบุคลิกภาพ
Nicotine patch
- แผ่นแปะ มี 3 ขนาดคือ 10, 20, 30 ตารางเซนติเมตร (7 mg, 14 mg, 21 mg ตามลําดับ)
- ขนาดที่ใช้
สูบ ≤ 20 มวน/วัน: 20 cm3 (14 mg) 8 wks หรือ 10 cm3 (7 mg) 4 wks
สูบ > 20 มวน/วัน: 30 cm3 (21 mg) 4 wks หรือ 20 cm3 (14 mg) 4 wks หรือ 10 cm3 (7 mg) 4 wks
- วิธีการใช้
1 แผ่น แปะไว้ 24 ชม. แม้ขณะอาบน้ํา ยกเว้น เมื่อนอนไม่หลับ/ฝันร้าย
ติดแผ่นแปะบริเวณเรียบๆ ไม่เป็นรอยพับ
เปลี่ยนตําแหน่งที่ติดทุกวันเพื่อลดการระคายเคือง
ไม่ควรตัดแผ่นแปะเพื่อปรับขนาด
ใช้ติดต่อกัน ไม่เกิน 12 สัปดาห์
- อาการไม่พึงประสงค์ : ระคายเคือง, นอนไม่หลับ, ฝันร้าย (แก้โดย ดึงแผ่นแปะออกก่อนนอน), ปวดหัว
- ข้อดี-ข้อเสีย : ปรับขนาดยายาก แต่ duration นาน
Non-nicotine pharmacotherapy
Bupropion
- กลไก: ลดการเก็บกลับ dopamine, norepinephrine ในสมอง ทําให้ไม่เกิดอาการขาดนิโคตินเมื่อหยุดสูบบุหรี่
- เหมาะกับคนที่มีภาวะโรคซึมเศร้าร่วมด้วย
- ใช้ร่วมกับ NRT ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ขนาดยา: sustained release tablet 150 mg Max dose ไม่เกิน 300 mg ต่อวัน
- วิธีใช้: เริ่มด้วย 150 mg วันละครั้ง นาน 3 วัน, เพิ่มเป็นวันละ 2 ครั้ง นาน 7-12 สัปดาห์
เริ่มใช้ยาก่อนวันหยุดสูบบุหรี่ 1-2 สัปดาห์
- ข้อห้ามใช้: ผู้ป่วย bulimia, ผู้ใช้ยา MAOI, ผู้ป่วยโรคลมชัก
- ระวังการใช้ในผู้บาดเจ็บที่ศีรษะ; ผู้ได้รับยาลด threshold ของการชัก, theophylline, alcohol, tramadol; ผู้ที่มี
อาการถอนยาจาก alcohol; ผู้ป่วยโรคตับรุนแรง
- SE: นอนไม่หลับ, กระวนกระวาย, ปากแห้งคอแห้ง, ปวดศีรษะ, มือสั่น, ชัก (rare)
82
Varenicline
- กลไก: Partial agonist of alpha-4, beta2 nicotinic acethylcholine receptor subtype
Unit 2
Respiratory System Disorders
Clonidine
- ขนาดที่ใช้ 0.1- 0.75 mg/day
- อาการไม่พึงประสงค์ : ง่วงนอน ปากคอแห้ง ท้องผูก หัวใจเต้นเร็ว วิงเวียน
- ระวังการใช้ใน severe coronary insufficiency, MI, chronic renal failure
เอกสารอ้างอิง
1. สุ ช าดา สู ร พั น ธุ์ . เอกสารประกอบการสอนรายวิ ช า 561-301 เรื่ อ ง Smoking cessation. คณะเภสั ช ศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2553.
Drug-induced Pulmonary
Chapter
17 Disorders
นศภ. นนทิกานต์ ณ นิโรจน์
โรคปอดที่เกิดจากยา พบไม่บ่อย แต่มักมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการทางคลินิกแบบไม่จําเพาะ เช่น ไอ หายใจเสียงวี้ด
หรือหายใจลําบาก และแสดงอาการหลังได้รับยานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน (delayed onset) ยาที่มีรายงานการทําให้เกิด
ความผิดปกติของทางเดินหายใจ มีดังนี้
Cardiovascular drugs
Amiodarone: interstitial pneumonitis (fatal) ตรวจพบ phospholipid-filled macrophages (foamy alveolar
macrophage)
ACEIs: อาการไอแห้ ง ที่ ไ ม่ ต อบสนองต่ อ antitussive เนื่ อ งจากยากลุ่ ม นี้ ยั บ ยั้ ง การทํ า ลาย bradykinin, PGs และ
substance-P ทําให้ airway inflammation และ bronchial hyperreactivity
ß-blockers: อาจกระตุ้ น การกํ า เริ บ ของ COPD ในผู้ ป่ ว ยบางราย ทั้ ง selective (eg. propranolol) และ non-
selective (eg. Atenolol, metoprolol, bisoprolol) สามารถทําให้เกิดอาการกําเริบได้
NSAIDs
Aspirin: อาจกระตุ้นการกําเริบของโรคหืดในผู้ป่วยบางราย, Non cardiac pulmonary edema (salicylate levels >
40 mg/dl)
MTX
Granulomatous interstitial pneumonitis
Chemotherapy
Bleomycin: interstitial pneumonia
Illicit drugs
Heroin: Non cardiac pulmonary edema with hypercapnia
Cocaine
Antibiotics
Amphotericin B: Diffuse interstitial pneumonitis หรือ pulmonary edema
Nitrofurantoin: Acute interstitial pneumonitis
Nasal decongestants (tolerance and rebound swelling and congestion)
Oxymetazoline
Ephedrine
ก า ร แ พ้ ย า บ า ง ช นิ ด เช่ น penicillin, radio contrast media, general anesthesia เป็ น ต้ น อ า จ ทํ า ให้
bronchoconstriction และแสดงอาการของโรคปอดได้ นอกจากนี้ยาในรูปแบบพ่นสูด (inhaled medications) อาจทําให้เกิด
reflex bronchoconstriction เนื่องจากการระคายเคืองหลอดลม
เอกสารอ้างอิง
1. สุชาดา สูรพันธุ์. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 561-301 เรื่อง Drug-induced pulmonary disease. คณะเภสัช
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2553.
84
Unit 2
Respiratory System Disorders
Chapters
18 Bacterial Infection
19 Parasitic Infection
20 HIV and Opportunistic Infection
21 Fungal Infection
22 Tuberculosis
23 Sexual Transmitted Diseases
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Introduction to ID Pharmacotherapy,
Chapter
18.1 Antimicrobial Resistance and PK/PD
of Antimicrobial Agents
นศภ.รอนี กาเดร์
แบคทีเรีย (Bacteria)
แบคทีเรียถูกแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มตามการย้อมสีกรัม (gram stain) เป็นแบคทีเรียกรัมบวกซึ่งติดสีม่วง และแบคทีเรียกรัม
ลบติดสีชมพู แบคทีเรียกรัมบวกมีผนังเซลล์ประกอบด้วย peptidoglycan ในขณะที่แบคทีเรียกรัมลบมีผนังชั้นนอกที่ประกอบด้วย
lipopolysaccharide อีกชั้นหนึ่ง ผนังเซลล์เหล่านี้มีบทบาทสําคัญในการป้องกันแบคทีเรียจากการทําลายของระบบภูมิคุ้มกันและ
ยา และเป็น antigen ในการกระตุ้นร่างกายของ host ด้วย1,3
รูปร่างแบคทีเรีย
รูปร่างแบคทีเรียมีหลากหลาย เช่น รูปกลม ( coccus), รูปกลมอยู่เป็นคู่ (diplococci), รูปแท่ง ( bacilli), รูปแท่งอยู่
เป็นคู่ (diplobacilli), รูปกลมรี (coccobacillus), รูปคล้ายเครื่องหมายจุลภาค (comma), รูปคล้ายกระบอง (club rod) เป็นต้น
การแบ่งชนิดแบคทีเรีย
1) การแบ่งชนิดตามความต้องการออกซิเจน สามารถแบ่งชนิดของแบคทีเรียตามลักษณะของความต้องการออกซิเจนได้
ดังนี้
I. Obligate aerobes เป็นแบคทีเรียที่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโต ด้วย respiratory metabolism1,3
โดยมีเอนไซม์ superoxide dismutase ป้องกันตัวเชื้อจากพิษของออกซิเจน1 ตัวอย่างแบคทีเรียกลุ่มนี้ได้แก่
Pseudomonas, Nocardia, Mycobacteria3
II. Obligate anaerobes เป็นแบคทีเรียที่ถูกทําลายด้วยออกซิเจน1,3 เจริญได้ดีในสิ่งแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อย
กว่ า ร้ อ ยละ 0.5-3 โดย fermentation metabolism เป็ น เชื้ อ ที่ ไ ม่ มี เ อนไซม์ superoxide dismutase,
catalase, แ ล ะ cytochrome oxidase ซึ่ ง เป็ น เอ น ไซ ม์ ที่ ทํ า ล า ย toxic product จ า ก oxygen
metabolism1 ตัวอย่างแบคทีเรียกลุ่มนี้ได้แก่ Bacteroides, Clostridium3
III. Faculative anaerobes เจริญ ได้ ดี ในสิ่ งแวดล้ อ มที่ มี ห รื อ ไม่ มี อ อกซิ เจนก็ ไ ด้ 1,3 และสามารถเปลี่ ยนจาก
fermentation metabolism เป็น respiratory metabolism เมื่อมีออกซิเจน1 แบคทีเรียก่อโรคส่วนใหญ่จัด
อยู่ในกลุ่มนี้ ตัวอย่างแบคทีเรียกลุ่มนี้ได้แก่ E.coli, Corynebacteria, Listeria3
IV. Microaerophile เป็ น แบคที เรี ย ที่ ต้ อ งการออกซิ เจนเพี ย งเล็ ก น้ อ ยในการเจริ ญ เติ บ โตและไม่ ส ามารถ
เจริญเติบโตได้หากได้รับปริมาณออกซิเจนเท่าที่มีอยู่ในอากาศ (20%) ตัวอย่างแบคทีเรียกลุ่มนี้ได้แก่ Borrelia,
Helicobactor, Campylobactor3
V. Aerotolerant anaerobes แบคทีเรียในกลุ่มนี้คล้ายกับ faculative anaerobes แต่มี fermentation
metabolism ทั้ งในสิ่ งแวดล้ อ มที่ มี แ ละไม่ มี อ อกซิ เจน 1,3 ตั ว อย่ า งแบคที เรีย กลุ่ ม นี้ ไ ด้ แ ก่ streptococcus
pyogenes, Enterococcus faecalis
2) การแบ่งชนิดของแบคทีเรียโดยใช้ coagulation test
coagulation test เป็นการทดสอบคุณสมบัติของแบคทีเรียว่ามีการสร้างเอนไซม์ coagulase หรือไม่3 โดย
การเลี้ยงเชื้อในพลาสมาของกระต่าย เอนไซม์นี้มีฤทธิ์เปลี่ยน fibrinogen เป็น fibrin ทําให้เกิด thrombus และเกิดการ
แข็งตัวของพลาสมาในหลอดทดลอง จึงนํามาใช้แยกประเภทของเชื้อ Staphylococcus โดยชนิดที่สร้าง coagulase
(coagulase positive) คื อ Staphylococcus aureus3 ส่ ว นชนิ ด อื่ น ไม่ ส ร้ า ง coagulase ได้ แ ก่ S. epidermidis, S.
capitis, S.saprophyticus, S. haemolyticus, S. hominis3
3) การแบ่งชนิดของแบคทีเรียกรัมลบตามคุณสมบัติในการ ferment lactose
การ ferment lactose ใช้ในการแยกลักษณะของแบคทีเรียกรัมลบโดยพิจารณาจากคุณสมบัติว่าสามารถ
ferment lactose ได้หรือไม่ โดยเลี้ยงแบคทีเรียกรัมลบบนอาหารเลี้ยงเชื้อชื่อ MacConkey agar ซึ่งมี lactose เป็น
ส่วนประกอบ หากเชื้อ ferment lactose ได้ จะได้เป็นกรด ซึ่งทําให้ pH ของวุ้นต่ําลงกลายเป็นโคโลนีสีแดงหรือชมพู1,3
เชื้อบางชนิดสามารถ ferment lactose ได้เร็ว เช่น E.coli, Klebsiella, Enterobactor (Facultative) เชื้อบางชนิด
88
ferment ได้ ช้ า เช่ น Citrobactor, Serratia3 ส่ ว นเชื้ อ ที่ ไ ม่ ส ามารถ ferment ได้ เช่ น Peudomonas aeroginosa
(Aerobic), Salmonella , Shigella, Proteus, Yersinia (Facultative)
แบคทีเรียสําคัญที่ทําให้เกิดโรคในมนุษย์1,3
Unit 3
nosocomial infections
เชื้อที่ดื้อยามากคือ Methicillin resistant Staphylococcus aureus (MRSA) ซึ่งการรักษา
จะใช้ยาในกลุ่ม vancomycin, fosfomycin, fusidic acid, linnezolid
ส่วนเชื้อที่ไม่ดื้อยาคือ Methicillin sensitive Staphylococcus aureus (MSSA) จะใช้ยาใน
กลุ่ม cloxacillin, amoxi/clav, cefazolin, ceftriaxone, clindamycin, macrolides
• S. epidermidis เป็น coagulase negative, โคโลนีสีขาว, เป็น normal flora ที่ผิวหนังและเยื่อบุเมือก
ทําให้เกิดโรคจากการใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย เช่น สายสวนหลอดเลือด สายสวนทางเดิน
ปัสสาวะ และลิ้นหัวใจเทียม ทําให้ติดเชื้อที่แผล กระดูก เยื่อบุหัวใจ และในกระแสเลือด
- Streptococci เป็นแบคทีเรียรูปร่างกลมเรียงตัวเป็นสายโซ่ หรือบางชนิดเรียงตัวเป็นคู่ (diplococci) เคลื่อนไหว
ไม่ ได้ โด ย ส าม ารถใช้ ย าใน ก ลุ่ ม ต่ อไป นี้ ใน ก ารรั ก ษ า เช่ น penicillin, cephalosporin, macrolides,
clindamycin, vancomycin
• alpha-hemolytic streptococci หมายถึงสลายเม็ดเลือดแดงได้บางส่วน อาหารเลี้ยงเชื้อเป็นสีเขียว
S. viridans (Oral Streptococci) เป็น normal flora ที่ อาศัยอยู่ในช่องปาก ทําให้เกิดการ
ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฟันพุ และเกิด infective endocarditis, sepsis
S. pneumoniae เป็ น แบคที เรีย กลมเรีย งตั วเป็ น คู่ ทํ าให้ เกิ ด การติ ด เชื้ อ ในระบบทางเดิ น
ห า ย ใ จ ส่ ว น ต้ น , otitis media, sinisitis, laryngitis, pneumonia, invasive
pneumococcal disease, menigitis
o ชนิ ดมีแคปซูล เป็ นรูป คล้ายใบหอก และเป็ น virulence strain เชื้อ colonize ที่
nasopharynx และเข้าสู่ปอด หรือ eustachian tube ได้
o ชนิดไม่มีแคปซูล เป็น non virulent
• beta-hemolytic streptococci หมายถึงสลายเม็ดเลือดแดงได้สมบูรณ์ อาหารเลี้ยงเชื้อมีลักษณะใส
group A: S. pyogenes มี รู ป ร่ า งกลมเรี ย งตั ว เป็ น สายโซ่ เป็ น normal flora ในทางเดิ น
หายใจส่วนต้น, ทําให้เกิดหนอง, สร้าง toxin, tonsillitis, ติดเชื้อที่ผิวหนัง เป็นต้น
group B: S.agalactiae ทําให้เกิด menigitis, sepsis, pneumonia มากที่สุดในเด็ก ผู้หญิ ง
บางคนเป็นพาหะโดยมีเชื้อที่ทางเดินช่องคลอด และกระเพาะปัสสาวะ
• gamma-hemolytic streptococci หมายถึงไม่สลายเม็ดเลือดแดง เช่น Enterococcus faecalis, E.
faecium เป็น normal flora ในลําไส้เล็กและช่องคลอด
Aerobic gram negative bacilli
- Enterobacteriaceae เป็นกลุ่มของเชื้อที่อาศัยอยู่ในลําไส้ของมนุษย์และสัตว์
• Hospital & community acquired มั ก เป็ น เชื้ อ Citrobacter, Enterobacter, E.coli, Serratia,
Klebsiella, Proteus ซึ่ ง ใน ก า ร รั ก ษ า นิ ย ม ใช้ ย า ดั ง ต่ อ ไป นี้ amoxicillin/clavulanic acid,
ampicillin/sulbactam, piperacillin, piperacillin/tazobactam, cephalosporin รุ่ น ที่ 2-4,
carbapenem, amoniglycoside, quinolone เป็นต้น
• Community acquired มักเป็นเชื้อ Salmonella, Shigella มักเป็นเชื้อก่อโรคท้องเสีย ซึ่งในการรักษา
นิยมใช้ยาในกลุ่ม cephalosporin รุ่นที่ 3, quinolone
89
- Non-fermentative GNB
• Acinetobacter spp. (ดื้อยามาก) และ Pseudomonas spp. (ดื้อยาพอสมควร) เป็นเชื้อหลักในการติด
เชื้ อ ในโรงพยาบาล ในการรั ก ษามั ก ใช้ ย า piperacillin, piperacillin/tazobactam, ceftazidime,
Chapter 18
Cefoperazone/sulbactam, carbapenem, amoniglycoside, quinolone
• Burkhoderia pseudomallei เชื้ อ ก่ อ โ ร ค ใ น ชุ ม ช น ใ ช้ ย า ceftazidime, co-trimoxazole,
amoxicillin/clavulanate, cefoperazone/sulbactam
Anaerobes
- Gram positive cocci เช่ น Peptococcus เป็ น normal flora ในปาก การรั ก ษาเชื้ อ ในกลุ่ ม นี้ มั ก ใช้ ย าในกลุ่ ม
penicillin, ampicillin, cefoxitin, clindamycin
Bacterial Infections
- Gram positive bacilli เช่ น Clostridium difficile (ก่อ โรคท้ อ งเสี ย PMC), C. perfringens (มั ก สร้ าง toxin ไว้ใน
อาหาร), C. tetani (ก่อโรคบาดทะยัก) การรักษาเชื้อในกลุ่มนี้มักใช้ยาในกลุ่ม penicillin, ampicillin, piperacillin,
metronidazole, vancomycin
- Gram negative balcilli เช่น Bacteroides fragilis เป็น normal flora ในลําไส้ใหญ่ และมักติดเชื้อที่เท้าของผู้ป่วย
โรคเบาหวาน การรั ก ษาเชื้ อ ในกลุ่ ม นี้ มั ก ใช้ ย าในกลุ่ ม clindamycin, metronidazole, carbapenem, beta-
lactam/beta-lactamase inhibitors (BL/BI)
Antimicrobial Agents
ตารางที่ 18.1 ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียกรัมบวกรูปกลมของยากลุ่ม penicillin
เชื้อแบคทีเรีย Penicillin Ampicillin, Amoxicillin Cloxacillin
S. pneumoniae ++ ++ +
S. pyogenes ++ ++ +
Viridan strep ++ ++ +
Enterococcus + ++ -
S. aureus - - ++
Peptostreptococcus ++ ++ +
หมายเหตุ : ampicillin, amoxicillin ยากลุ่ม aminopenicillin, cloxacillin ยากลุ่ม penicillinase resistance penicillin
Beta-lactam/beta-lactamase inhibitors (BL/BI) เช่น amoxicillin/clavulanate ซึ่งยาในกลุ่มนี้สามารถฆ่าเชื้อ
ต่อไปนี้ได้ดีกว่ายาเดี่ยว
- เชื้อ staphylococcus
- เชื้อกรัมลบ เช่น H. Influenzae, E.coli
- แบคทีเรียที่ดํารงชีวิตโดยไม่ใช้ออกซิเจน
ตารางที่ 18.2 ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียกรัมลบรูปแท่งและแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการคํารงชีวิตของยากลุ่ม penicillin
เชื้อแบคทีเรีย Penicillin Ampicillin, Amoxicillin Cloxacillin
H. Influenzae - +/-* -
E. coli - +/-* -
Klebsiella spp - - -
Salmonella spp - +/-* -
Shigella spp - +/-* -
Bacteroides fragilis - - -
หมายเหตุ : * เชื้อเริ่มดื้อยาแล้ว เนื่องจากปกติสามารถฆ่ากรัมลบได้
90
ตารางที่ 18.3 ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของยากลุ่ม Carbapenem
เชื้อแบคทีเรีย imipenem meropenem ertapenem
S. pneumoniae ++ ++ ++
++ ++ ++
Unit 3
S. aureus (MSSA)
B. fragilis ++ ++ ++
Klebsiella pneumoniae ++ ++ ++
P.aeruginosa ++ ++ -
Acinetobacter spp ++ ++ -
หมายเหตุ : ยากลุ่มนี้สามารถฆ่าได้ทั้งแบคทีเรียกรัมบวกและกรัมลบ โดยเฉพาะการติดเชื้อกรัมลบในโรงพยาบาล
Infectious Diseases
Chapter 18
H. Influenzae
M. catarrhalis ++ ++ ++
Helicobacter +/- +/- ++
Mycoplasma ++ ++ +++
chlamydia ++ ++ ++
ตารางที่ 18.8 ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของยากลุ่ม Lincosamides
Bacterial Infections
เชื้อแบคทีเรีย Clindamycin Lincomycin
S. pneumonia
• PSSP ++ ++
• PRSP ++ ++
S. pyogenes + +
Viridan strep +/- +/-
Enterococci - -
MSSA ++ ++
MRSA - -
Bacteroides ++ ++
หมายเหตุ : ยากลุ่มนี้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก, anaerobes, และ protozoa ได้ดี แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อกรัมลบได้
ตารางที่ 18.9 ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของยากลุ่ม Fluoroquinolones
รุ่นของ Fluoroquinolones ออกฤทธิ์ครอบคลุม โรค
รุ่นที่ 1 กรัมลบ Enterobacteraiceae
• Norfloxacin (UTI, diarrhea)
รุ่นที่ 2 เพิ่มฤทธิ์ต่อเชื้อกรัมลบ Enterobacteraiceae,
• Ofloxacin Pseudomonas, Acinetobacter
• Ciprofloxacin (UTI, diarrhea, HAP)
รุ่นที่ 3 กรัมบวกและกรัมลบ Enterobacteraiceae, Streptococci,
• Levofloxacin Staphylocococcus, Enterococci,
• Moxifloxacin Chlamydia, Mycoplasma
(UTI, diarrhea, LRT)
ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของยา Metronidazole
• แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการดํารงชีวิต
- กรัมลบ เช่น Bacteroides, Fusobacterium, Porphyromonas
- กรัมบวก เช่น Clostridium, Peptostreptococcus, Peptococcus
• โปรโตซัว เช่น อมีบา (บิดมีตัว), Tricomonas (ตกขาว)
ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของยา Tetracycline, doxycycline, minocycline
• แบคทีเรียกรัมลบใช้ออกซิเจน : V. cholera, H. Influenzae
• แบคทีเรียกรัมบวกใช้ออกซิเจน : Streptococcus spp, Staphylococcus spp
• แบคทีเรียไม่ใช้ออกซิเจน
• แบคทีเรียอื่นๆ เช่น Leptospira, Ricketsia, Mycoplama, Chlamydia
92
ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของยากลุ่ม Aminoglycoside (aminoglycoside, gentamycin, streptomycin, kanamycin)
• แบคทีเรียกรัมลบ
• Mycobacterium เช่น MTB MAC (streptomycin, amikacin)
Unit 3
ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อของยา Co-trimoxazole
• แบคทีเรียกรัมลบ เช่น H. Influenzae และ E.coli, Salmonella, Shigella ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องเชื้อดื้อยา
• แบคทีเรียกรัมบวก เช่น Streptococci, Staphylococci ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องเชื้อดื้อยา
• แบคทีเรียและจุลชีพอื่นๆ เช่น Toxoplasma, Nocardia
Infectious Diseases
Chapter 18
เชื้อมีการสร้างสารบางชนิดมาทําลายยา (antibacterial inactivation)
- เอนไซม์ beta-lactamase ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดการดื้ออย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อ S. aureus ที่พบได้บ่อย
ว่ า ปั จ จุ บั น ร้ อ ยละ 95 ของเชื้ อ S. aureus มี ก ารสร้ า งเอนไซม์ beta-lactamase นอกจากนี้ อ าจพบใน
streptococci, enterococci แต่พบได้น้อยในเชื้อเหล่านี้ หรืออาจพบใน aerobic gram-negative bacteria
หรือ anarerobe bacteria (B. fragilis)
- เ อ น ไ ซ ม์ ที่ ทํ า ล า ย ย า ก ลุ่ ม aminoglycoside (aminoglycoside-modifying enzymes) เ ช่ น
adenyltransferase, acetyltransferase, phosphotransferase
Bacterial Infections
- Extended Spectrum Beta-lactamase (ESBLs) เป็นเอนไซม์ที่ผลิตจากเชื้อ K. pneumoniae และ E.coli
เป็ นหลัก โดยจะมี ผ ลทํ าลาย (hydrolyze) ยาในกลุ่ ม penicillin, cephalosporin รุ่ น ที่ 1-4 แต่ จะไม่ มี ผ ล
ทําลาย (do not hydrolyze) ยาในกลุ่ม carbapenem, cephamycins (cefoxitin) และเชื้อที่สร้างเอนไซม์
นี้ จ ะถู ก ยั บ ยั้ ง โดยยาในกลุ่ ม beta-lactamase inhibitors (BI) เช่ น clavulanic acid, sulbactam, และ
tazobactam
• การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุหุ้มเซลล์ด้านนอก (decrease penetration) บริเวณเยื่อบุหุ้มเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียจะมีช่อง
(porin) ที่ยาต้านจุลชีพจะผ่านเข้าไปออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ หากเชื้อลดการสร้างช่องเหล่านี้จะส่งผลให้ยาต้านจุลชีพ
บางชนิดไม่สามารถผ่านเข้าไปฆ่าเชื้อได้ การดื้อยาด้วยกลไกนี้อาจพบได้ใน P. aeruginosa
• การเปลี่ยนแปลง penicillin-binding proteins (alteration of target site) การเปลี่ยนแปลงของ PBPs จะทําให้การ
จับของยาต้านจุลชีพลดลง ซึ่งมักพบในเชื้อแบคทีเรียกรัมบวก เช่น MRSA, S. pneumoniae, Enterococci
• การปั้มยาออกนอกเซลล์ (Efflux pump) ยาต้านจุลชีพหลายชนิดสามารถถูกขับออกจากเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียผ่าน
efflux pumps หลายชนิ ด โดย efflux pump แต่ละชนิ ดสามารถขับ ยาออกได้แตกต่างกัน ส่งผลให้ การดื้ อยาอาจ
แตกต่างกัน ซึ่งมักพบในเชื้อ P. aeruginosa และ A.baumannii
เภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ของยาต้านจุลชีพ
(Pharmacokinetics and Pharmacodynamics of antimicrobial agent)
เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) หมายถึงความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงปริมาณระหว่างขนาดและระยะห่าง
ของการให้ ยากั บระดับความเข้มข้น ของยาในซีรัมหรือเนื้ อเยื่อ ส่วนเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics) หมายถึงความรู้
เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงปริมาณระหว่างระดับยาในซีรมั และ/หรือ ระดับยาในเนื้อเยื่อกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ซึ่งสําหรับยาต้านจุล
ชีพหมายถึงฤทธิ์ในการฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ
จากการศึกษาทางเภสัชพลศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กับเภสัชจลนศาสตร์พบว่า สามารถแบ่งยาต้านจุลชีพตามคุณสมบัติใน
การฆ่าเชื้อออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ concentration-dependent killing activity และ time-dependent killing activity
ซึ่งแต่ละประเภทจะมีค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ที่ใช้บ่งชี้ความสําเร็จในการรักษาที่แตกต่างกัน
Concentration-dependent killing activity หมายถึงความสามารถในการฆ่าเชื้อของยาต้านจุลชีพที่แปรผันตาม
ความเข้มข้นของยาที่เชื้อสัมผัส กล่าวคือ ความเข้มข้นของยายิ่งสูงมากเท่าไหร่ จะยิ่งทําให้เชื้อถูกฆ่าด้วยอัตราเร็วและปริมาณที่
มากขึ้นเท่านั้น ตัวย่างยาต้านจุลชีพที่มีคุณสมบัตินี้ เช่น ยาในกลุ่ม aminoglycosides, fluoroquinolone และ metronidazole
ค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ที่ใช้บ่งชี้ถึงความสําเร็จในการรักษาทางคลินิกและการฆ่าเชื้อคือ Cmax/MIC
หรื อ AUC/MIC จากการศึ ก ษาทางคลิ นิ ก ของยาในกลุ่ ม aminoglycosides พบว่ า Cmax/MIC ที่ ม ากกว่ า 10 จะสั ม พั น ธ์ กั บ
ประสิทธิภาพในการรักษาทางคลินิก ขณะที่ Cmax/MIC ของยากลุ่ม fluoroquinolone ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 12.2 จึงสัมพันธ์
กับประสิทธิในการรักษา แต่หากไม่สามารถเพิ่มขนาดยา fluoroquinolones ที่จะให้ Cmax/MIC มากกว่าหรือเท่ากับ 12.2 ได้
เนื่องจากการเพิ่มขนาดยาจะทําให้มีอาการไม่พึงประสงค์มากขึ้น ก็อาจใช้ค่า AUC/MIC ที่มากกว่า 125 สําหรับการติดเชื้อกรัมลบ
ที่ รุน แรง หรื อ AUC/MIC ที่ ม ากกว่ าหรื อ เท่ ากั บ 33.7 สํ าหรับ การติ ด เชื้ อ กรัม บวกที่ ไ ม่ รุน แรง นอกจากนั้ น ยังพบว่ าค่ า free
AUC/MIC (free AUC คือ AUC ที่คิดจาก AUC ของยาในรูปอิสระเท่านั้น) ที่มากกว่าหรือเท่ากับ 100 หรือ Cmax/MIC ที่มากกว่า
หรือเท่ากับ 8-10 จะสามารถลดการดื้อยาในระหว่างการรักษาได้ ดังนั้นยาต้านจุลชีพในประเภทนี้ต้องให้ยาในขนาดที่สูงพอจึงจะ
ได้ Cmax/MIC ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันการดื้อยาในระหว่างการรักษา
94
Time-dependent killing activity หมายถึงความสามารถในการฆ่าเชื้อของยาต้านจุลชีพในประเภทนี้ จะ
ขึ้นกับระยะเวลาที่เชื้อสัมผัสกับยา ณ ความเข้มข้นของยาที่สูงกว่า MIC (T>MIC ; time above MIC) หรืออีกนัยหนึ่งคือ
ความสามารถในการฆ่าเชื้อของยาไม่ได้แปรผันตามความเข้มข้นของยาที่เชื้อสัมผัส เนื่องจากความสามารถในการฆ่าเชื้อ
จะถึงจุดอิ่มตัวที่ความเข้มข้นของยามากกว่า 2-4 เท่าของ MIC ถ้าความเข้มข้นของยามากกว่า 2-4 เท่าของ MIC เชื้อ
Unit 3
ไม่ ไ ด้ ขึ้ น กั บ %T>MIC แต่ ขึ้ น กั บ AUC/MIC เช่ น azithromycin, glycopeptide, และ tetracyclines โดยพบว่ า
vancomycin ควรมีค่ า AUC/MIC มากกว่าหรือเท่ ากับ 400 หรือ free AUC/MIC มากกว่าหรือ เท่ ากับ 160 จึงจะมี
ประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อ Staphylococcus aureus ของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้ดี
เอกสารอ้างอิง
1. Johnson AG, Ziegler RJ, Lukasewycz OA, Hawley LB. BRS Microbiology and immunology. 4th ed.
Philadelphia; Wolters Kluwer/Lippincott & Wikins; 2002; 1-40.
2. Mims C, Dockrell HM, Goering RV, Roitt I, Wakelin D, Zuckerman M. Medical microbiology 3rd ed.
London: Mosby Ltd; 2004; 1-57
3. ณัฐาศิริ ฐานะวุฑฒ์, สุชาดา สูรพันธ์, มาลี โรจน์พิบูลสถิตย์, ศรีรัตน์ กสิวงศ์, สุทธิพร ภัทรชยากุล. Trends in
Infectious Disease Pharmacotherapy 2011. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จํากัด, 2554.
95
Medicinal Chemistry of
Chapter
18.2 Antimicrobial Agents
Chapter 18
นศภ.กานต์ณัฐา, นศภ.สรวงภัสสร, นศภ.สลิลลา
แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ ดังนี้
1. Inhibition of Cell Wall Synthesis : ß-lactam antibiotics ได้แก่ Penicillins, Cephalosporins,
Monobactams และ Carbapenems
2. Inhibition of Protein Synthesis ได้แก่ Tetracyclines, Chloramphenicol, Aminoglycosides Macrolides
Bacterial Infections
และ Lincosamides
3. Alteration of Cell Membranes ได้แก่ Polymyxins, Bacitracin, Vancomycin
4. Inhibition of Nucleic Acid Synthesis ได้แก่ Quinolones, Rifampin
5. Antimetabolite Activity ได้แก่ Sulfonamides & Dapsone Trimethoprim
1.1 Penicillin
O H H A (ß-lactam ring) + B (thiazolidine ring)
S => “Penam ring”
R C N 6 5 1 CH3
H 7 4 2 Absolute configuration; 3S, 5R, 6R (D-form)
N 3 => จําเป็นสําหรับการออกฤทธิ์
CH3
O PKa ≈ 2.65
H COOH
Ring A Ring B
Chapter 18
สังเคราะห์ peptidoglycan
ความไม่คงตัวของ penicillin
ปัญหาที่ 1: ความไม่คงตัวต่อกรดในทางเดินอาหาร
- Amide bond ใน ß-lactam มีความไวต่อปฏิกิริยาสูงทําให้ penicillin ไม่คงตัวหรือเกิดการสลายตัวได้ง่ายต่อ สภาวะ
กรด-ด่าง เอนไซม์ และโลหะหนัก
Bacterial Infections
- Penicillin ไม่ทนต่อกรดในกระเพาะอาหาร (pH 1-2) ถูกเปลี่ยนแปลงได้เป็ น penillic acid ซึ่งไม่มีฤทธิ์ท างเภสัช
วิทยา
การแก้ปัญหา เช่น
การเพิ่ม e- withdrawing group ที่ α-
carbon ของ amide chain (ตําแหน่งที่ 6 ของ NH 2
H
penam ring) จะลดความเป็น nucleophile O H
N
S
N
S
CH
CH 3
ของ carbonyl-oxygen ของ amide chain ทํา O
N CH
O
3
N CH 3
3
ให้เข้า attack ตรง carbonyl ของ ß-lactam O
COOH
O
COOH
ได้ลดลง
Phenoxymethylpenicillin α-aminobenzyl-penicillin
การแก้ปัญหา เช่น
OCH3
การเติม bulky group ลงบนตําแหน่ง O
ortho-position ของ benzene ring (หรือ S N O
heterocyclic ring) บน side chain ตําแหน่งที่ HN CH3
O S
OCH3 N HN CH3
6 จะช่วยปกป้อง amide bond บน side O
CH3
CH3 N CH3
chain และบน ß-lactam ring COOH O
COOH
Methicillin Oxacillin
*** การดู ด ซึ ม ของยา penicillins ในแต่ ล ะชนิ ด มี ค วามแตกต่ า งกั น ยากระจายเข้ า สู่ tissue ต่ า งๆ ได้ ดี ยกเว้ น
cerebrospinal fluid ยาจะเข้าสู่ cerebrospinal fluid ได้มากขึ้นในภาวะที่มีการอักเสบของ meninges ซึ่ง penicillin ขับออก
ทางไตได้ดี อย่างรวดเร็วโดย 10% ขับ ออกทาง glomerular filtration และ 90% ขับ ออกทาง tubular secretion การให้ ย า
penicillin ร่วมกับ Probenecid ซึ่งเป็นสารที่แย่งการขับออกทางท่อไตกับ penicillin จะทาให้การขับออกของ penicillin ทาง
tubular secretion ลดลง ***
98
การแบ่งกลุ่มยาตามความสามารถในการฆ่าเชื้อ
1. Acid resistance: Benzylpenicillin and congeners ได้ แ ก่ Benzylpenicillin (Penicillin G) ให้ โ ดยการฉี ด
เนื่องจากดูดซึมได้ไม่ดี และ Phenoxymethylpenicillin (Penicillin V) ซึ่งให้โดยการรับประทานได้
- ไม่ทนต่อเอนไซม์ ß-lactamase
Unit 3
Isoxazolyl penicillin ทั้ง 4 ตัว เป็นยาหลักใช้สําหรับรักษาโรคติดเชื้อ Staphylococci เมื่อใช้ Pen.G และ Pen.V
ไม่ได้ผล ไม่ควรใช้กับเชื้อแกรมบวกที่ยังไม่สามารถผลิตเอนไซม์ penicillinase เนื่องจาก Pen.G และ Pen.V ให้ผลในการรักษา
ดีกว่า (isoxazolyl penicillin จับ plasma protein ได้สูงมาก 95-98 %)
99
3. Extended spectrum penicillin
โดยการเติม inonized หรือ polar group ที่ตําแหน่ง α-carbon บน benzyl side ของ penicillin G มีฤทธิ์ต้านเชื้อ
gram-negative bacilli และ gram positive แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
Chapter 18
3.1 Aminopenicillins: broad spectrum ไ ด้ แ ก่ Ampicillin (Prodrug : talampicillin, bacampicillin,
pivampicillin, lenampicillin), Epicillin, Amoxycillin, Cyclacillin
- ไม่ทนต่อเอนไซม์ ß-lactamase
- ในโครงสร้างของยากลุ่มนี้จะมี amino group (-NH2) อยู่บน α-carbon ของ side chain ตําแหน่ง
ที่ 6 ทําให้ยาออกฤทธิ์ได้กว้างขึ้น (ทั้งแกรมบวกและลบ)
- มี ฤ ทธิ์ก ว้ างต่ อ ต้ า นเชื้ อ H. influenzae, E. coli, Salmonella spp., Shigella sp, และอี ก หลาย
Bacterial Infections
species ในวงศ์ Enterobacteriaceae และ penicillin-sensitive gram +ve bacteria
- ester ของ –COOH ทําให้ ampicillin แตกตัวได้ลดลงและละลายในไขมันได้ดีขึ้นจึงช่วยเพิ่มการดูด
ซึม (bioavailability สูงกว่า ampicillin)
- ไม่มี free –COOH จึงไม่ออกฤทธิ์ที่ทางเดินอาหาร ลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร
- ลดอุบัติการณ์ของ diarrhea
- หลังจากที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดจะเกิด hydrolysis โดยเอนไซม์ esterase ได้เป็น ampicillin
3.2 Carboxypenicillins: มี carboxyl group ที่ α-carbon ของ amide side chain ในตําแหน่งที่ 6 (ไม่ทนต่อ
กรดในกรณีที่เป็น free –COOH เนื่องจากเกิด autodecarboxylation)
- ไม่ทนต่อ ß-lactamase
Carbenicillin (disodium)
- carboxyl gr. ตรง α–carbon ทําให้ยา penetrate เข้าผนังของ
เชื้อ gram-ve bacilli ได้ดีกว่า penicillin กลุ่มอื่น
- carboxyl gr. เป็น e- withdrawing gr. แต่ตัวยากลับไม่ทนกรด
เนื่องจากเกิด autodecarboxylation
=> จึงให้ในรูป IV
3.3 Ureidopenicillins
- มีส่วนของ ureide อยู่ในโมเลกุล
- ไม่คงทนต่อกรดจึงใช้ในรูปยาฉีด
- ไม่ทนต่อ ß-lactamase
- Mezlocillin และ Azlocillin มี spectrum คล้ า ยกั บ
carbenicillin และ ticarcillin แต่ให้ฤทธิ์ต่อเชื้อ
P. aeruginosa สู งกว่า (โดย azlocillin ให้ ฤ ทธิ์สู งกว่ า
mezlocillin)
- Piperacillin ใ ห้ ฤ ท ธิ์ ที่ แ ร ง ก ว่ า azlocillin แ ล ะ
mezlocillin โดยเฉพาะต่อเชื้อแบคทีเรียแกรมลบและ P.
aeruginosa
100
อาการไม่พึงประสงค์
อาการไม่พึงประสงค์ที่สําคัญคือการเกิดการแพ้ยา (Hypersensitivity) ซึ่ง penicillins ทุกชนิดมีการแพ้ข้ามชนิดกันได้
คือ ผู้ที่แพ้ penicillin ชนิดใดแล้ว จะแพ้ยาในกลุ่ม penicillins ทุกตัวด้วย สารที่ก่อให้เกิดการแพ้คือ degradation product ของ
penicillin โดยเฉพาะสาร penicilloic acid อาการแพ้ ที่ พ บได้ แ ก่ anaphylactic shock (ซึ่ งมี อ าการที่ รุ น แรงมาก และเป็ น
Unit 3
อั น ตรายถึ งชี วิต ได้ ), serum sickness type (urticaria, fever, joint swelling, angioneurotic edema, intense pruritus) ,
skin rashes ส่วนอาการอื่นๆที่พบ ได้แก่ fever, oral lesions, interstitial nephritis, eosinophilia, hemolytic anemia เป็น
ต้น
นอกจากนี้การใช้ยา ampicillin ซึ่งเป็น broad spectrum penicillin ที่ดูดซึมได้น้อยอาจทําให้เกิดการทําลายเชื้อที่เป็น
normal flora ในลํ า ไส้ แ ละเกิ ด อาการท้ อ งเสี ย ได้ นอกจากนี้ อ าจทํ าให้ เกิ ด การติ ด เชื้ อ Clostridium difficile และทํ าให้ เกิ ด
Infectious Diseases
pseudomembranous colitis
1.2 Cephalosporins
Ring A Ring B
A = A (ß-lactam ring) + B (dihydrothiazine ring)
H => Cephem ring
R1 N S
7 6 1 2
8 5 4 3
O N R2
O
COOH
Cephalosporins เป็นยาที่มีสูตรโครงสร้าง กลไกการออกฤทธิ์ และความเป็นพิษที่คล้ายคลึงกับ penicillin
เปรียบเทียบกับ Penicillin G
- Spectrum เท่าๆ Pen.G
- Activity ต่อ gram +ve ต่ํากว่ามาก (1/1000 ของ Pen.G ต่อ S. aureus)
- ทนต่อ ß-lactamase ได้ดีกว่า
- ให้ gram –ve ดีกว่า
โครงสร้า งหลั ก ของ cephalosporins คื อ 7-Aminocephaosporanic acid (7-ACA) ซึ่ งการดั ด แปลงในตํ าแหน่ ง
ต่างๆ จะได้ยา cephalosporins ที่แตกต่างกันไป
Oral cephalosporin
เ ช่ น Cefaclor (oral suspension) Cefadroxil (oral suspension, capsule) Cefetamet pivoxyl
Cefodoxime proxetil เป็นต้น
Cephalosporin ที่ทนต่อกรดในทางเดินอาหารและให้โดยการรับประทานได้ จะต้องมี
1) phenylglycyl substituent บน side chain
- amino group ถูก protonate ได้เป็นประจุบวกในร่างกาย เป็น e- withdrawing group
- ทําให้มีลักษณะคล้ายกับ dipeptide และเป็น zwitterionic ion ส่งผลให้ดูดซึมได้ดีขึ้นโดยผ่าน carrier-
mediated transport
2) การทํ า –COOH ในตํ าแหน่ งที่ 4 ให้ อ ยู่ ในรูป ของ ester ที่ ท นต่ อ กรด และ lipophilic ซึ่ งจะสามารถเกิ ด
hydrolysis ต่อไปในพลาสมา
3) จะต้องมี phenylglycyl substituent และไม่มีหมู่ acetoxyl ที่ตําแหน่ง C3 จึงจะทําให้การดูดซึมในทางเดิน
อาหารดีขึ้น
101
Ester ที่ละลายในไขมันได้ดีและทนต่อกรดใน
กระเพาะอาหาร ทําให้ถูกดูดซึมได้ดีขึ้น เมื่อเข้า
Chapter 18
สู่ร่างกายจะเกิด hydrolysis โดยเอนไซม์
esterase ใน plasma
ไม่มี acetoxyl
gr. ใน ตน.ที่ 3
Bacterial Infections
การแบ่งกลุ่มยาตามความสามารถในการฆ่าเชื้อ
Cephalosporins แบ่ ง ได้ เ ป็ น 4 generations ตามความสามารถในการฆ่ า เชื้ อ โดยที่ first generation จะมี
ความสามารถในการเชื้อกลุ่ม gram positive ได้ดีที่สุด และ generation ถัดมาจะมีฤทธิ์ต่อ gram negative มากขึ้นเรื่อยๆ
Generation 1st 2nd 3rd 4th
ชื่อยา Cephalexin Cefaclor Cefixime Cefepime
Cephradine Cefuroxime axetil Cefpodoxime Cefpirome
Cefadroxil Cefprozil Cefdinir
Cefazolin Loracarbef Ceftibuten
Cefotetan Cefoperazone
Cefoxitin Cefotaxime
Cefuroxime Ceftazidime
Ceftizoxime
Ceftriaxone
คงทนต่อ
เอนไซม์ + ++ +++ +++
β-lactamase
ฤทธิ๋ต้าน - Narrow spectrum - ให้ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ - ให้ฤทธิ์ต่อ gram - ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ
แบคทีเรีย - ให้ฤทธิ์ต่อเชื้อ gram Klebsiella spp, negative ดีมาก gram positive สูง
positive มากกว่า Proteus spp, H. - ให้ฤทธิ์ต่อ กว่า third
- ให้ฤทธิ์แคบต่อ gram influenzae Pseudomonas generation
negative ให้ฤทธิ์ต้าน Enterobacter และ aeruginosa, - ให้ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ
เฉพาะ E. coli, Enterobacteriace Proteus spp, Enterobacteriace
Klebsiella บาง species Enterobacter ae, Enterococci
pneumoniae - ไม่มผี ลต่อ aerogenes และ gram
- ไม่ทนต่อเอนไซม์ ß- Pseudomonas - ให้ฤทธิ์เสริมกับยา negative สูง
lactamase aeruginosa และ ปฏิชีวนะกลุ่ม - ให้ฤทธิ์ดีต่อ
- มี Nephrotoxicity bacteroides sp. aminoglycoside Pseudomonas
สูง - ไม่เป็นพิษต่อไต - ไม่เป็นพิษต่อไต aeruginosa
- ไม่เป็นพิษต่อไต
Gram +ve +++ +++ ++ +++
Gram –ve + ++ +++ +++
Anaerobe - - ++ ++
P. aeruginosa - - ++ ++
102
*** ปั จ จุ บั น มี ย ากลุ่ ม fifth generation cephalosporin ได้ แ ก่ ceftobiprole และ ceftaroline ซึ่ ง เป็ น รุ่ น ที่
พั ฒ นาขึ้ น มาเพื่ อ ให้ มี ฤ ทธิ์ ต้ า นแบคที เรี ย กว้ า งทั้ ง gram positive และ gram negative โดยมี ผ ลกั บ gram positive ได้ แ ก่
methicillin-sensitive Staphylococcus aureus (MSSA), methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA),
methicillin-resistant coagulase-negative Staphylococci (MRCoNS), Streptococcus spp. แ ล ะ penicillin-resistant
Unit 3
Streptococcus pneumoniae (PRSP) และแกรมลบ ได้แก่ Enterobacter cloacae, Escherichia coli, Proteus vulgaris,
Pseudomonas aeruginosa, Serratia spp. และ Haemophilus influenza ***
อาการไม่พึงประสงค์
1. Allergy
การแพ้ยา cephalosporins คล้ายกับอาการที่เกิดจากการแพ้ยา penicillins แต่เนื่องจาก cephalosporins มี
Infectious Diseases
← NMTT
Cefoperzone
2. Toxicity
Local irritation จากการฉีดยา ทําให้เกิด severe pain จากการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และ thrombophlebitis จากการฉีด
ยาเข้าเส้นเลือดดํา renal toxicity ทําให้เกิด interstitial nephritis และ tubular necrosis ได้
3. Superinfection
ยาที่ไม่ได้ผลต่อ gram positive โดยเฉพาะ methicillin resistant Staphylococci อาจทําให้เกิดการติดเชื้อเหล่านีไ้ ด้
1.3 Carbapenems
1
6 5 2 มี –CH2- แทน –S- ใน thiazole ring ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
7 4 3 และ double bond ทําตําแหน่ง 2 ทําให้วงแหวน strain
N
O มากกว่าและทําให้ ß-lactam bond แตกได้ง่ายกว่า
COOH
- ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์โดยการจับกับ PBPs 1B และ 2 ของแบคทีเรีย gram positive และ gram negative
- ปัจจุบันจัดว่ายาปฏิชีวนะกลุ่มนี้มีขอบเขตการออกฤทธิ์กว้างมากที่สุด
โครงสร้างส่วนสําคัญของยาในกลุ่มนี้
1. มี db ที่ตําแหน่งที่ 2
2. 3-carboxyl gr.
3. 6α-hydroxylethyl side chain
SAR
1. ถ้าเติม ß-CH3 ในตําแหน่งที่ 1 จะทนต่อ DHP-1
2. หมู่แทนที่ในตําแหน่งที่ 2 จะมีผลต่อ spectrum ของยาเพิ่มความสามารถในการเข้า cell
103
*** ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กว้างครอบคลุม gram positive, gram negative, anaerobes และทนต่อ ß-lactamase หลายชนิด
แต่ไม่ได้ผลต่อ methicillin resisitant Staphylococci (MRSA) Carbapenem เป็น ß-lactam antibiotics of choice ในการ
รักษาการติดเชื้อ Enterobacter เนื่องจากสามารถทนต่อเอนไซม์ ß-lactamase ที่ผลิตจากเชื้อนี้ได้ ***
Chapter 18
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย
1. Imipenem
ถู ก inactive โด ย เอ น ไซ ม์ enzyme dehydropeptidase-1 (DHP-1) ที่ ไต ได้ จึ งมี ก า ร ให้ ร่ ว ม กั บ
dehydropeptidase inhibitors คือ cilastatin ซึ่งเป็น DHP-1 inhibitor ออกฤทธิ์กว้างที่สุด ใช้ในกรณีจําเป็นเมื่อใช้ยา
ปฏิชีวนะชนิดอื่นไม่ได้ผล
Bacterial Infections
ข้อเสีย
1) กระตุ้นการสร้าง chromosomal cephalosporinase ของแบคทีเรีย ซึ่งทําลาย ß-lactam antibiotic
ตัวอื่น (จึงไม่นิยมใช้เป็น first choice)
2) ทําให้ชักในผู้ป่วยโรคไต
CH3
H CH3
O OH
O NH
HO S H
NH2
O
การแทนที่ amino gr. ที่ตําแหน่ง 3 ด้วย N-formimimoyl moiety ซึ่งมีความเป็น nuclophile น้อย
ทําให้มีความคงตัวมากขึ้น
2. Meropenem
ไม่ ถู ก ทํ า ลายโดยเอนไซม์ นี้ ใช้ ใ นกรณี ก ารติ ด เชื้ อ ที่ ดื้ อ ต่ อ ยาอื่ น ๆ โดยที่ ไ ด้ ผ ลต่ อ Penicillin resistant
pneumococci (PRSP) Meropenem กินไม่ได้ สามารถให้ยาตัวเดียวได้ เนื่องจากไม่ถูกทําลายด้วย DHP-1 ไม่มีผล
กระตุ้นให้แบคทีเรียสร้าง chromosomal cephalosporinase
OH CH3 Meropenem มีหมู่แทนที่ขนาดใหญ่ที่ C3
H H
H 3C
CH3
และมี chiral methyl gr. ที่ C4 ซึ่ง ß-methyl gr.
H 3C S N
ทําหน้าที่ป้องกันการถูก hydrolysed โดย DHP-1
N
O
จึงใช้ยาเดี่ยวๆได้ และทนต่อทําลายของเอนไซม์
N O
COOH H ß-lactamase
3. Ertapenem
เป็นยากลุ่ม carbapenem ตัวใหม่ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับ imipenem และ meropenem ยามีความทนต่อ
เอนไซม์ ß-lactamase หลายชนิดทั้ง penicilinase, cephalosporinase และ Extended spectrum ß-lactamase
(ESBL) แต่ Ertapenem ไม่ทนต่อเอนไซม์ metallo-ß-lactamase
1.4 Monobactam
Infectious Diseases
1.5 Penems
Chapter 18
- เป็นสารที่มีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ ß-lactamase แต่ตัวมันเองมี weak antibacterial activity แต่จะช่วย
ทําให้ ยาในกลุ่ม ß-lactam ออกฤทธิ์ได้ดี ขึ้น โดยการช่วยเพิ่ ม spectrum ในการฆ่ าเชื้อของยา โดยมากจะอยู่ในรูป
combination ของ penicillin + ß-lactamase inhibitors เช่ น clavulanic acid + amoxycillin (Augmentin®)
หรือ tazobactam + piperacillin (Tazocin®)
- สารในกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียต่ําแต่สามารถยับยั้งโดยการเกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อนกับเอนไซม์ได้ทําให้เอนไซม์
Bacterial Infections
หมดฤทธิ์ (irreversible inhibitor)
Mechanism of action
- Tetracycline: จั บ ดั บ 30S ribosome ของแบคที เรี ย ทํ า ให้ ไ ม่ ส ามารถรวมตั ว กั บ 50S ribosome ส่ งผลให้
ribosome ไม่สามารถจับกับ amino acyl t-RNA และหยุดการสร้าง peptide chain (bacteriostatic)
- Minocycline: เป็ น more lipophilic tetracycline ส า ม า ร ถ แ ท ร ก cytoplasmic membrane ทํ า ให้
membrane รั่วและแบคทีเรียตายได้ (bactericidal)
106
SARs
- หมู่ แ ทนที่ ตํ า แหน่ ง 1, 2, 3, 4, 10, 11, 11a, และ 12 จํ า เป็ น ต้ อ งมี hydrophilic group ครบถ้ ว น การ
เปลี่ยนแปลงจะทําให้ฤทธิ์ antibiotic ถูกทําลาย
มี 6-β-OH (และ 5-OH) ไม่มี 6-OH group
Unit 3
Chapter 18
- Aminoglycoside ที่มี 2-DOS เป็นโครงสร้างหลัก แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
o 4,5-Di-O-glycosyl-2-deoxystreptamine aminoglycosides
มีโครงสร้างของน้ําตาลมาเชื่อมต่อที่ตําแหน่งที่ 4 และ 5 เช่น Neomycin และ Paromomycin
o 4,6-Di-O-glycosyl-2-deoxystreptamine aminoglycosides
มีโครงสร้างของน้ําตาลมาเชื่อมต่อที่ตําแหน่งที่ 4 และ 6 เช่น Kanamycin และ Gentamicin
Bacterial Infections
Mechanism of action
- Aminoglycoside จับ กั บ 30S ribosomal subparticle ทํ าให้ ค วามสามารถในการอ่ านรหั ส กรดอะมิ โนของ
ribosome เสียไป ทําให้เกิด translation ของ m-RNA ที่ผิดพลาด เกิ ดการสร้างโปรตีน ที่ผิดปกติ (nonsense
protein) ทํ า ให้ การทํ า งานของ bacterial membrane สู ญ เสี ย ไป จึ ง ทํ า ให้ aminoglycoside เข้ า สู่ เ ซลล์
แบคทีเรียได้มากขึ้น และในที่สุดก็ทําให้การสร้างโปรตีนหยุดชะงัก แบคทีเรียจึงตายในที่สุด (bactericidal) (ใน
ขนาดยาที่สูงมากจะมีผลกับเซลล์ของคนด้วย)
กลไกการดื้อยาของแบคทีเรียต่อ Aminoglycoside
- แบคทีเรียปลดปล่อยเอนไซม์ R-factor mediated enzyme 3 ชนิด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของยา
ทําให้ยาไม่สามารถจับกับ ribosome ได้แก่
o Aminoglycoside acetylase (AAC) เร่งปฏิกิริยา N-acetylation
o Aminoglycoside phosphorylase (APH) เร่งปฏิกริ ิยา O-phosphorylation
o Aminoglycoside nucleotide transferase (ANT) เร่งปฏิกิรยิ า O-adenylation
- กลไกการดื้อยาอื่น ๆ ที่พบได้ไม่มากเช่น P. aeruginosa ลดการ uptake เข้าสู่เซลล์ เป็นต้น
- การพัฒนายา: โดยการตัดหมู่ฟังก์ชันในตําแหน่งที่ถูก inactivated ด้วยเอนไซม์ออกไป และ การเติมหมู่ฟังก์ชันที่
เกะกะ (steric hindrance) เข้าไปในโครงสร้าง ทําให้เอนไซม์ไม่สามารถเข้าจับและเปลี่ยนแปลงหมู่ฟังก์ชัน ที่
เอนไซม์ไป inactivate ได้
SARs
Chapter 18
อาการไม่พึงประสงค์
- อาการที่พ บได้ บ่อ ยได้ แก่ GI disturbance (anorexia, nausea, vomiting, diarrhea), hypersensitivity, skin
rash, fever, transient hearing disturbance และอาจพบ cholestatic jaundice ได้ ด้ ว ยโดยเฉพาะเมื่ อ ใช้
erythromycin estolate
- Erythromycin เป็น enzyme inhibitors ของ cytochrome P450 ดังนั้นจึงอาจยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของยา
บางชนิดที่ต้องอาศัยเอนไซม์นี้ และทําให้ระดับยาเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้น
Bacterial Infections
2.4 Chloramphenicol: Inhibit 50s Ribosome
ประกอบด้วย nitrobenzene ring เป็น carcinogenesis ได้
ละลายในไขมันได้ สงู ดูดซึมได้ อย่างสมบูรณ์
สามารถผ่านรกและผ่านนํ +านม ขับออกทางนํ +าดี
มักทําให้ อยูใ่ นรูปเกลือ
⇒ Palmitate : oral suspension ทําให้รสขมน้อยลง
⇒ Hemisuccinate : injection ละลายน้ําได้ดีขึ้น เป็น
สารละลาย
Mechanism of action
- ออกฤทธิ์ในตํ าแหน่ ง 50s subunit ของ ribosome โดยการยั บ ยั้ งการสั ง เคราะห์ โปรตี น ในขั้ น ตอนของการ
transpeptidation ทําให้กรดอะมิโนไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้ จึงยับยั้งการสร้างโปรตีน
อาการไม่พึงประสงค์
- อาการไม่พึงประสงค์ที่สําคัญ คือการกด bone marrow ทําให้เกิด pancytopenia (เม็ดเลือดทุกชนิดมีจํานวน
ลดลง) ซึ่งจัดเป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง
- ในเด็กแรกเกิดร่างกายจะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและขับยา chloramphenicol ออกไปได้อย่างสมบูรณ์ ทําให้
เกิดมีการสะสมของยาเกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า “grey baby syndrome” ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการ ท้องเสีย, อาเจียน,
อ่อนเปลี้ย, ตัวมีสีเทาซีด ซึ่งภาวะนี้มีอัตราการตายถึง 40% จึงไม่ควรที่จะใช้ยานี้ในเด็กแรกเกิด ยกเว้นในกรณีที่
จําเป็นจริงๆเท่านั้น
- อาการอื่นๆที่พบได้เช่น hypersensitivity, GI disturbances
2.5 Lincosamide: Inhibit 50s Ribosome
Lincomycin Clindamycin
การแบ่งกลุ่มยา
- Prototype: Lincomycin
- Semi-synthesis: Clindamycin (high potency)
อาการไม่พึงประสงค์
- GI Distress
- Pseudomembranous colitis** (รักษาโดยใช้ Metronidazole or Vancomycin)
-
110
3. Antimetabolite Activity: รบกวนการสร้างกรดโฟลิค
3.1 Sulfonamide (Bacteriostatic)
Unit 3
Infectious Diseases
การแบ่งกลุ่มยา
- Absorbed and excreted rapidly : Sulfisoxazole , Sulfadiazine ,Sulfamethoxazole
- Poorly absorbed : Sulfasalazine
- Topically used : Sulfacetamide , Silver- Sulfadiazine(burn theraphy)
- Long-acting : Sulfadoxine (half-life 7-9 วัน) มักให้ร่วมกับ pyrimeyhamine
111
Chapter 18
Bacterial Infections
อาการไม่พึงประสงค์
- Crystalluria / Hematuria
- Kernicterus (toxic encephalopathy ในเด็กทารก ) : Billirubin สะสมที่สมอง ทําให้เกิด neurotoxic
- Hemolytic or Aplastic anemia
- Hypersensitivity ex. SJS
NOTE
- ละลายน้ําได้น้อยมาก มักทําให้อยู่ในรูปเกลือโซเดียม เพื่อเพิ่มการละลาย
- ต้องเป็น unionize form ยาจึงจะแทรกผ่านผนังเซลล์แบคทีเรียได้
- Metabolite บางตัวที่ไม่ละลายน้ําอาจทําให้เกิด Crytalluria ได้ (ต้องดื่มน้ําตามเยอะๆ)
- ทําให้ pH ในปัสสาวะสูงขึ้น โดยให้ sodium bicarbonate เพื่อเพิ่มการละลายของยาในปัสสาวะ
3.2 Trimethoprim
Chapter 18
ตําแหน่ง 6 มี F,ตําแหน่ง 7 มีหมู่แทนที่ piperidine,ตําแหน่ง 8 เปลี่ยนจาก N เป็นC
ทําให้มีฤทธิ์กว้างขึ้น,จับกับโปรตีนน้อยลง,ฤทธิ์นานขึ้น
Gen 3 ให้เพิ่มฤทธิ์ต่อ Anaerobe และ Pseudomonas ด้วยและลด phototoxicity เช่น Moxifloxacin
ฤทธิ์ต่อเชื้อแกรมบวกลดลง,เพิ่มฤทธิ์ต้าน streptococol & atrypical,สามารถต้านเชื้อ H.influenza และ
Morexella ได้, รักษา CAP (community acquire pneumonia) ได้
Gen 4 เพิ่ม activity ต่อ Gram + และ Anaerobe
Bacterial Infections
ฤทธิ์ครอบคลุม anaerobe, ฤทธิ์นานขึ้น กินแค่วันละครั้ง ไม่ต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยโรคไต แต่ถูกแปรรูปที่
ตับสูง,ตําแหน่งที่ 7 มีการเปลี่ยนจาก piperazine เป็น piperidine หรือเป็น piperazine ที่มีหมู่แทนที่ขนาด
ใหญ่อยู่
Toxicity
- Photoxicity เกิดกับสารที่มีฮาโลเจน ตน.8 แต่ในสารที่มี NH2 หรือ OCH3 ตน.5 จะมีผลนี้ต่ําสุด
- Drug interaction โดยไปยับยั้ง CYP1A2
- CNS toxicity (พบน้อยกว่า 1%) โดยไปจับ GABA receptor ในสมอง
- GI discomfort
- ผลต่อกระดูกอ่อนและ musculoskeleton
114
NOTE
- ยาตกตะกอนในปัสสาวะที่เป็นด่างในรูป less soluble zwitterions การละลายขึ้นกับ pH ถ้า pH เป็นกลางจะ
ละลายไม่ค่อยดี ถ้าเป็นกรดหรือด่างจะละลายดี
- ยาเกิด chelate ได้กับ antacid,เหล็ก,แร่ธาตุต่างๆ เกิดเป็น chelate ที่ไม่ละลาย (เหมือนTetracycline)
Unit 3
- การเกิด chelate จะขึ้นกับค่า pH ด้วย เช่น pH ต่ํา COOH ไม่แตกตัว จะไม่เกิดการ form complex แต่ถ้าใน
ด่าง COO- ก็จะเกิด chelate ได้ลดลง
สรุป
Infectious Diseases
115
Chapter 18
Infections
นศภ.รอนี กาเดร์
บทนํา
ส่วนประกอบของผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน
ผิ ว หนั ง ประกอบด้ ว ย 3 ส่ ว นหลั ก ได้ แ ก่ ชั้ น หนั ง กํ า พร้ า (epidermis) ชั้ น หนั ง แท้ (dermis) และชั้ น ไขมั น
Bacterial Infections
(subcutaneous fat) ชั้นหนังกําพร้าเป็นส่วนที่อยู่นอกสุด ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมีความหนาประมาณ 0.1-1.5 มิลลิเมตร ชั้นหนัง
แท้ประกอบด้วยส่วนต่างๆ เช่น เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือด เส้นประสาทรับความรู้สึก ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และรูขุมขน ชั้น
ไขมันมีความหนาแตกต่างกันในแต่ละอวัยวะโดยมีพังผืด (fascia) เป็นตัวแยกชั้นผิวหนังจากกล้ามเนื้อ1
เชื้อสาเหตุของการติดเชื้อบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน
เชื้อสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน ส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียประจําถิ่นที่อยู่บริเวณ
ผิวหนังซึ่ง ได้แก่ แบคทีเรียแกรมบวก เช่น beta-hemolytic streptococci หรือ staphylococcus aureus1รวมถึงเชื้อดื้อยา
ชนิ ด methicillin (methicillin resistant S. aureus) ซึ่ ง แบ่ ง เป็ น community acquired methicillin resistant S. aureus
(CA-MRSA) และ Hospital acquired methicillin resistant S. aureus (HA-MRSA)
สําหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ CA-MRSA ได้แก่ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อ CA-MRSA สูง นักกีฬา
ผู้ที่ติดยาเสพติด ทหาร และผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HA-MRSA ได้แก่ การมีประวัติได้รับยาต้านจุลชีพหรือเข้ารักษาตัวใน
โรงพยาบาลบ่อยๆ มีประวัตสัมผัสบุคลากรทางการแพทย์
การจัดระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ
Class 1 ผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการแสดงของ systemic toxicity เช่น ไข้ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ํา และโรค
ประจําตัวของผู้ป่วย (ถ้ามี) อยู่ในสภาวะคงที่ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยใช้ยาทาภายนอกหรือยารูปแบบรับประทาน
Class 2 ผู้ป่วยมีอาการหรืออาการแสดงของ systemic toxicity และโรคประจําตัวของผู้ป่วย (ถ้ามี) หรือ ไม่มีอาการ
หรืออาการแสดงของ systemic toxicity แต่โรคประจําตัวของผู้ป่วยอยู่ในสภาวะไม่คงที่ สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก ซึ่งใช้ยา
รูปแบบรับประทาน หรืออาจเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลระยะสั้นๆ
Class 3 ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น หัวใจเต้นเร็ว การรู้สึกเปลี่ยนแปลง หายใจเร็ว หรือ ความดันโลหิตต่ํา หรืออาการไม่
รุนแรงแต่โรคประจําตัวอยู่ในสภาวะไม่คงที่ อาจส่งผลรบกวนการตอบสนองต่อการรักษา
Class 4 ผู้ป่วยมีภาวะ sepsis หรือการติดเชื้อที่อาจรุนแรงถึงชีวิต
สําหรับ class 3 และ class 4 ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาลและได้รับยาต้านจุลชีพรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือด
ดํา ผู้ป่วยบางรายอาจต้องได้รับการผ่าตัดร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีการจัดระดับความรุนแรงในการติดเชื้อตามอาการและตําแหน่ง
การติดเชื้อดังนี้4,7
Uncomplicated คือ การติดเชื้อบริเวณผิวหนังชั้นบน เช่น impetigo, furuncles, erysipelas และไม่มีอาการและ
อาการแสดงของ systemic toxicity เช่น ไข้ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ํา
Complicated คือการติดเชื้อบริเวณเยื่ออ่อนที่ลึกลงไป และมีอาการและอาการแสดงของ systemic toxicity เช่น ไข้
หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ํา ซึ่งอาจต้องการการรักษาโดยการผ่าตัดร่วมด้วย
โรคพุพอง (Impetigo)
การติดเชื้อบริเวณผิวหนังชั้นบน พบได้บ่อยในเด็กโดยเฉพาะช่วงอายุ 2-5 ปี ในสภาวะอากาศร้อนหรือร้อนชื้น เป็นโรคที่
แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วโดยการสัมผัส หรืออาจแพร่กระจายในสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน เชื้อสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก beta-
hemolytic streptococci หรือ S. aureus รอยโรคจะพบเฉพาะผิวหนัง ส่วนมากเป็นบริเวณใบหน้าและแขนขา ลักษณะเป็นตุ่ม
น้ํ า สี เหลื อ งใสหรื อ ขุ่ น (bullous impetigo) แล้ ว แตกออกกลายเป็ น แผ่ น บางๆ สี น้ํ า ตาล (brown crust) ส่ วน nonbullous
impetigo เป็นตุ่มนูนล้อมรอบด้วย vesicle ขนาดเล็กๆ แล้วแตกออกกลายเป็นสะเก็ดแข็ง
116
การรักษา โรคนี้หายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยารักษา แต่สามารถใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อบรรเทาอาการ หรือ
ลดการเกิดรอยโรคใหม่ ซึ่งยาที่แนะนําในการรักษาควรพิจารณายาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อสาเหตุหลักในการเกิดโรค1 ได้แก่ penicillinase
resistant penicillins (dicloxacillin) หรือ first-generation cephalosporins (cephalexin) สําหรับผู้ที่แพ้ยากลุ่ม penicillins
จะสามารถใช้ยา erythromycin หรือยาทา mupirocin สําหรับยารูปแบบรับประทานนํานําให้ใช้ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาทา หรือมี
Unit 3
Chapter 18
เอกสารอ้างอิง
1. ณัฐาศิริ ฐานะวุฑฒ์, สุชาดา สูรพันธ์, มาลี โรจน์พิบูลสถิตย์, ศรีรัตน์ กสิวงศ์, สุทธิพร ภัทรชยากุล. Trends in
Infectious Disease Pharmacotherapy 2011. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จํากัด, 2554.
Bacterial Infections
118
Chapter
18.4 Urinary Tract Infections
Unit 3
นศภ.รอนี กาเดร์
บทนํา
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะเพศหญิง ความรุนแรงของการติดเชื้อในผู้ป่วย
แต่ละรายมีความแตกต่างกัน ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเล็กน้อยสามารถหายเองได้โดยไม่จําเป็นต้องใช้ยาต้านจุลชีพ หรือสามารถ
รักษาได้ด้วยยาต้านจุลชีพชนิดรับประทาน หรือผู้ป่วยบางรายอาจมีการติดเชื้อที่รุนแรงต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือบาง
Infectious Diseases
Chapter 18
การเพาะเชื้อในปัสสาวะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะ และมักทราบผลหลังจากเริ่มรักษาไปแล้วหรือ
บางรายอาจรักษาผู้ป่วยจนหายแล้ว ดังนั้นจึงนิยมตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะโดยตรวจดูคุณสมบัติทางกายภาพ คุณสมบัติทางเคมี
และการตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งสะดวกและรายงานผลรวดเร็วกว่า เพื่อช่วยในการวินิจฉัยเบื้องต้น เรียกการตรวจนี้ว่า
urine analysis
เชื้อสาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
เชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง คือ เชื้อ Escherichia coli (E.
Bacterial Infections
coli) ซึ่งเป็นสาเหตุได้ร้อยละ 75-90 ของผู้ป่วยทั้งหมด รองลงมาคือเชื้อ Staphylococcus saprophyticus ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่น
แม้ว่าจะพบน้อยแต่ก็อาจเป็นเชื้อก่อโรคได้ เช่น Enterococcus spp. และเชื้อแบคทีเรียกรัมลบรูปแท่งชนิดอื่นๆ เช่น Klebsiella
spp. และ Proteus mirabilis เป็นต้น
เชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน คือ เชื้อ E. coli เช่นเดียวกับการ
ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (มากกว่าร้อยละ 80) แต่ในบางครั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน อาจเกิด
จากการติดเชื้อกรัมบวก เช่น Enterococcus spp. และ S. aureus ได้เช่นกัน
การรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลันแบบไม่ซับซ้อน (acute uncomplicated cystitis) ในผู้ป่วยเพศหญิง
Cotrimoxazole แนวทางการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบของ IDSA ในอดีต (ค.ศ.1999) แนะนําให้ยา
cotrimoxazle เป็ น ตั ว เลื อ กแรกในการรั ก ษากระเพาะปั ส สาวะอั ก เสบ จากการศึ ก ษาของ Raz และคณะ พบว่ า การใช้ ย า
cotrimoxazole ในการรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างที่เกิดจากเชื้อ E.coli ที่ ดื้อต่อยา cotrimoxazle มี
โอกาสที่ ผู้ ป่ ว ยจะเกิ ด microbiological และ clinical failure ได้ สู ง 8 ดั ง นั้ น ในพื้ น ที่ ที่ มี ก ารดื้ อ ยาของเชื้ อ E.coli ต่ อ ยา
cotimoxazole ตั้งแต่ร้อยละ 10-20 ขึ้นไป จึงไม่ควรเลือกใช้ยา cotrimoxazole ในการรักษาเบื้องต้นโดยไม่ทราบความไวของ
เชื้ อ ในปั จ จุ บั น ประเทศไทยมี ค วามชุ ก ในการติ ด เชื้ อ E.coli ต่ อ ยา cotrimoxazole สู ง ถึ ง ร้อ ยละ 60-70 ดั ง นั้ น จึ งไม่ ค วรใช้
cottrimoxazole ในการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยที่ยังไม่ทราบผลเพาะเชื้อ กรณีที่ทราบผลเพาะเชื้อว่าเชื้อนี้ไวต่อยา จึง
สามารถเลือกใช้ cotrimoxazole ได้
Quinolones หลังจาก E.coli ที่ก่อโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในไทยมีการดื้อต่อ cotrimoxazole ในอัตรา
ที่สูง ทําให้ quinolones กลายเป็นตัวเลือกแรกในการนํามาใช้รักษาโรคนี้ ส่งผลให้ปริมาณการใช้ยา quinolones เพิ่มสูงขึ้นอย่าง
มาก จนทําให้ในปัจจุบันความไวของเชื้อ E.coli ต่อยากลุ่มนี้ในประเทศไทยลดลงเหลือเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น อย่างไรก็ดี ยากลุ่ม
นี้อาจให้ผลการรักษาที่ดีอยู่เนื่องจากความเข้มข้นของยาในปัสสาวะมีค่าสูงมาก น่าจะสามารถกําจัดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้
ถึงแม้เชื้อจะดื้อยาก็ตาม แนวทางการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบของ IDSA ปี ค.ศ. 2010 แนะนําให้ใช้ยา quinolone ในกรณี
ที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาที่แนะนําให้ใช้เป็นอันดับแรก ได้แก่ nitrofurantion monohydrate/macrocrystals, fosfomycin
Beta-lactams เนื่ อ งจากการดื้ อ ยา amoxicillin และ ยา ampicillin ของ E.coli ในประเทศไทยสู งมาก
ดังนั้นจึงไม่ควรเลือกใช้ยาดังกล่าวในการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบโดยไม่ทราบผลความไวของเชื้อ นอกจากนี้ยังพบว่ายา
ดังกล่าวให้ประสิทธิภาพการรักษาไม่ดีเท่า cotrimoxazole ในขณะที่ยา amoxicillin/clavulanate, cefdinir, cefaclor และ
cefpodoxime proxetil เป็นยาที่สามารถเลือกใช้ได้ แต่ไม่แนะนําให้ใช้เป็นตัวแรก เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ด้อยกว่ายาในกลุ่มที่
แนะนําให้ใช้เป็นอันดับแรก และควรยืดระยะเวลาในการรักษาให้นานขึ้นเป็น 7 วัน
Nitrofurantion monohydrate/macrocrystals IDSA ปี ค.ศ. 2010 แนะนําให้เป็นยาที่ควรเลือกใช้เป็น
อันดับแรกในการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบจากชุมชนในกรณีที่ไม่ทราบผลเพาะเชื้อ เนื่องจากเป็นต้านจุลชีพที่ยังมีอัตราการ
ดื้อยาที่ต่ํา
Fosfomycin IDSA ปี ค.ศ. 2010 แนะนํ า ให้ เป็ น ยาที่ ค วรเลื อ กใช้ เป็ น อั น ดั บ แรกในการรั ก ษากระเพาะ
ปัสสาวะอักเสบจากชุมชนที่ไม่ทราบผลเพาะเชื้อ เช่นเดียวกับ nitrofurantion monohydrate/macrocrystals เนื่องจากเป็นยา
ต้านจุลชีพที่ยังมีอัตราการดื้อยาที่ต่ํา
120
ยาต้านจุลชีพที่สามารถเลือกใช้ในการรักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลันแบบไม่ซับซ้อนในเพศหญิง ดัง
แสดงในตารางที่ 1 ซึ่งระยะเวลาในการรักษาจะอยู่ระหว่าง 1-7 วัน แตกต่างกันไปตามชนิดของยาต้านจุลชีพที่เลือก
กระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลันแบบซับซ้อน (acute complicated cystitis) การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพ
Unit 3
Ciprofloxacin 250 mg q 12 hr 3
Levofloxacin 250 mg OD 3
TMP-SMX* 160/800 mg q 12 hr 3
Fosfomycin 3 g single dose ให้ครั้งเดียว
Nitrofurantion 100 mg q 12 hr 5-7
Amoxycillin* 250 mg q 8 hr 7
500 mg q 12 hr
Amoxicillin-clavulanate 250/125 mg q 8 hr 7
500/125 mg q12 hr
Cefixime 400 mg OD 7
หมายเหตุ : *เลือกเฉพาะกรณีทราบผลความไวของเชื้อต่อยา
การรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน
การติดเชื้อในระบบทางเดินปั สสาวะส่วนบน เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าการติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัสสาวะ
ส่วนล่าง เนื่องจากมีการอักเสบทั่วร่างกายร่วมด้วย และมีอากาศที่เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดสูงกว่าการติดเชื้อในระบบทางเดิน
ปัสสาวะส่วนล่าง IDSA ปี ค.ศ. 2010 แนะนําให้ส่งเพาะเชื้อในปัสสาวะและหาความไวของเชื้อต่อยาในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่า
กรวยไตอักเสบ และควรเริ่มให้การรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านจุลชีพที่สามารถครอบคลุมเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินปัสสาวะได้ ซึ่ง
IDSA ปี ค.ศ. 2010 แนะนําการเลือกใช้ยาต้านจุลชีพกรรีที่ยังไม่ทราบผลการเพาะเชื้อ ดังนี้
• กรณีผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและอยู่ในพื้นที่ที่เชื้อ E.coli มีอัตราการดื้อต่อยากลุ่ม quinoloneไม่
เกิ น ร้ อ ยละ 10 สามารถใช้ ย า ciprofloxacin รู ป แบบรั บ ประทาน ในขนาด 500 mg วั น ละ 2 ครั้ ง เป็ น
ระยะเวลา 7 วัน โดยอาจให้ในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดําในขนาด 400 mg ก่อนให้ยารับประทานก็ได้หรือ
หากต้องการบริหารยาเพียงวันละครั้ง อาจเลือกใช้ยา levofloxacin 750 mg เป็นระยะเวลา 5 วัน
• กรณีผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องนอนโรงพยาบาลและอยู่ในพื้นที่ที่เชื้อ E.coli มีอัตราการดื้อต่อยากลุ่ม quonolones
เกิ น ร้ อ ยละ 10 ควรให้ ย าฉี ด ceftriaxone 1 g ฉี ด เข้ า หลอดเลื อ ดดํ า ทุ ก 24 ชั่ ว โมง หรื อ ยาฉี ด กลุ่ ม
aminoglycosiddes (gentamycin, amikacin) ฉีดเข้าหลอดเลือดดํา ทุก 24 ชั่วโมง
• ไม่ควรเลือกใช้ยากลุ่ม beta-lactams ในรูปแบบรับประทาน เนื่องจากยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพต่ําในการรักษา
กรวยไตอักเสบ
• ไม่แนะนําให้ใช้ cotrimoxazole โดยที่ยังไม่ทราบผลเพาะเชื้อเนื่องจาก E.coli มีอัตราการดื้อยานี้สูง แต่หาก
ทราบแล้วว่าเชื้อก่อโรคนั้นไวต่อยาก็สามารถเลือกใช้ยา cotrimoxazole ในรูปแบบรับประทาน ในขนาด
160/800 mg วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วันได้
• กรณีที่ผู้ป่วยจําเป็นต้องนอนโรงพยาบาลควรเริ่มการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดํา
โดยแนะนํ า ยากลุ่ ม quinolones, aminoglycosides, extended-spectrum penicillins แต่ อ ย่ า งไรก็ ดี
เนื่องจากประเทศไทยเชื้อ E.coli มีอัตราการดื้อยา ๆ quinolones ค่อนข้างสูง จึงควรให้ aminoglycosides
หรือ extended-spectrum cephalosporins เป็นอันดับแรก กรณี ไม่ทราบผลความไวของเชื้อต่อยา และ
กรณี ผู้ ป่วยมี ความเสี่ย งจะติ ดเชื้อ กรัมลบที่ สร้าง ESBLs ควรเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม extended-spectrum
cephalosporins (เช่น ceftriaxone, cefotaxime) และใช้ aminoglycosides เป็นอันดับแรก
ยาและขนาดยาต้านจุลชีพที่สามารถเลือกใช้ในการรักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน แสดงในตารางที่ 2
121
ตารางที่ 18.11 ยาต้านจุลชีพที่ใช้ในการรักษากรวยไตอักเสบ
ยาต้านจุลชีพ ขนาดยาและวิธีบริหารยา ระยะเวลาในการรักษา (วัน)
Ampicillin 1 g q 6 hr IV 10-14
Chapter 18
Ceftriaxone 1 g q 24 hr IV 10-14
Ciprofloxacin 400 mg q 12 hr IV 10-14
500 mg q 12 hr oral 10-14
Ofloxacin 400 mg q 12 hr oral 10-14
Levofloxacin 500 mg q 24 hr oral 10-14
750 mg q 24 hr IV 5
Bacterial Infections
Gentamycin 5-7 mg/kg q 24 hr 10-14
TMP-SMX 160/800 mg q 8-12 hr 10-14
เอกสารอ้างอิง
1. ณัฐาศิริ ฐานะวุฑฒ์, สุชาดา สูรพันธ์, มาลี โรจน์พิบูลสถิตย์, ศรีรัตน์ กสิวงศ์, สุทธิพร ภัทรชยากุล. Trends in
Infectious Disease Pharmacotherapy 2011. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จํากัด, 2554.
122
Chapter
18.5 Sepsis & Septic Shock
Unit 3
นศภ.รอนี กาเดร์
คําจํากัดความ
ภาวะ sepsis หมายถึง การมีภาวะติดเชื้อที่บ่งชี้ตําแหน่งได้ หรือสงสัยว่ามีแหล่งการติดเชื้อ ร่วมกับกลุ่มอาการที่แสดงถึง
การตอบสนองของร่างกายต่อการอักเสบ (systemic inflammatory response syndrome, SIRS) ซึ่งกลุ่มอาการ SIRS สามารถ
พบได้ทั้ งในผู้ป่ วยที่ มี ภ าวะติด เชื้อ หรือ ไม่ มีภ าวะติ ดเชื้ อ เช่น ผู้ป่ วยแผลไฟไหม้ ตับ อ่ อนอัก เสบ โดยภาวะ SIRS ต้ องมีเกณฑ์
Infectious Diseases
ดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อ คือ อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 38.3 หรือ น้อยกว่า 36 องศาเซลเซียส, HR มากกว่า 90 ครั้งต่อ
นาที, RR มากกว่า 20 ครั้งต่อนาที, มีปริมาณเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 หรือ น้อยกว่า 4,000 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
ภาวะ sepsis อย่างรุนแรง (severe sepsis) หมายถึง การมีภาวะ sepsis ร่วมกับภาวะพร่องของการไหลเวียนโลหิต
ไปสู่เนื้อเยื่อส่วนปลาย (tissue hypotension) หรือร่วมกับอวัยวะส่วนปลายส่วนปลายทํางานผิดปกติ (end-organ dysfunction)
อัตราการตายในผู้ป่วยที่มีภาวะนี้เป็นประมาณร้อยละ 402 อาการและอาการแสดงของภาวะ severe sepsis มีดังต่อไปนี้ ภาวะ
พร่องของการไหลเวียนโลหิตไปสู่เนื้อเยื่อส่วนปลาย (ระดับ lactate ในเลือดสูงกว่าปกติหรือมากกว่า 1 มิลลิโมล/ลิตร, capillary
refill นานขึ้น หรือพบภาวะผิวหนังเปลี่ยนสี) และอวัยวะส่วนปลายส่วนปลายทํางานผิดปกติ (PaO2/FiO2 น้อยกว่า 300, ปริมาณ
ปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 มิลลิลิตร/น้ําหนักตัวหนึ่ งกิโลกรัม/ชั่วโมง หรือ น้อยกว่า 45 มิลลิลิตรภายใน 2 ชั่วโมง, ระดับ serum
creatinine เพิ่มขึ้นมากกว่า 0.5 mg/dL หรือมากกว่า 2.0 mg/dL, มีภาวะลําไส้อัมพาต, ปริมาณเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000
เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร, ระดับ bilirubin >4 mg/dL, INR > 1.5)
ภาวะความดั น โลหิ ต ต่ํ าใน sepsis (sepsis induced hypotention) หมายถึง การมี ภ าวะ sepsis ร่วมกั บ
ความดันโลหิตต่ํา โดยความดันโลหิตต่ําในที่นี้ หมายถึง ความดัน systolic ต่ํากว่า 90 mmHg ความดันเฉลี่ย (mean arterial
pressure, MAP) ต่ํากว่า 70 mmHg หรือความดัน systolic ลดลงมากกว่า 40 mmHg เมื่อเทียบกับค่าพื้นฐานของผู้ป่วย
ภาวะ septic shock หมายถึง ภาวะความดันโลหิตต่ําที่เกิดจาก sepsis ที่ยังคงมีระดับความดันโลหิตต่ําอย่างต่อเนื่อง
แม้จะได้รับสารน้ําอย่างเต็มที่ และมีความจําเป็นต้องได้รับยากระตุ้นหัวใจ (inotropes) หรือ ยาตีบหลอดเลือด (vasopressors)
เพื่อควบคุมความดันโลหิต ผู้ป่วยภาวะนี้มีความจําเป็นต้องเข้ารักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤต และมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 50-80
อวัยวะที่ติดเชื้อและเชื้อก่อโรค
อวัยวะที่ติดเชื้อหลักในผู้ป่วยภาวะ sepsis ได้แก่ บริเวณทางเดินหายใจ ภายในช่องท้อง และทางเดินปัสสาวะ ประมาณ
ร้อยละ 21-68, 14-22, และ 14-18 ตามลําดับ3 สําหรับเชื้อก่อโรคที่เป็นสาเหตุหลักในภาวะนี้ได้แก่ เชื้อแบคทีเรียกรัมบวก เชื้อ
แบคทีเรียกรัมลบ และเชื้อรา คิดเป็นร้อยละ 40, 38, และ 17 ตามลําดับ3 อย่างไรก็ตามพบว่าเชื้อไวรัส และ rickettsiae สามารถ
ก่อให้เกิดภาวะ sepsis ได้เช่นกัน3
• ภาวะ sepsis จากเชื้ อ แบคที เรีย กรัม บวก เชื้ อ แบคที เรีย กรัม บวกที่ เป็ น สาเหตุ ห ลั ก เช่ น S. aureus, S.
pneumoniae (มีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 25), coagulase-negative staphylococci และ
Enterococcus species (สาเหตุหลักในการเกิด nosocomial bacteremia) ในขณะที่ S. pyogenes และ
viridans streptococcus เป็นสาเหตุส่วนน้อยในการก่อให้เกิดภาวะ sepsis
• ภาวะ sepsis จากเชื้อแบคทีเรียกรัมลบ จะพบสูงกว่าการติดเชื้อกรัมบวก (ร้อยละ 50 และ 25 ตามลําดับ)4
และยั งเป็ น สาเหตุ ของการเสีย ชี วิต จากภาวะ sepsis สู งกว่าการติ ด เชื้อ กลุ่ มอื่ น ๆ เชื้ อ ก่อ โรคหลั ก ในกลุ่ ม
แบคที เรีย กรั ม ลบได้ แ ก่ E.coli, P. aeruginosa นอกจากนั้ น ยั งอาจพบ Klebsiella spp., Serratia spp.,
Enterobacter spp. และ Proteus spp. ได้
• ภาวะ sepsis จากเชื้อรา ในปัจจุบันพบอุบัติการณ์การติดเชื้อราเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่า เชื้อที่เป็นสาเหตุ
หลักคือ Candida species โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อ Candida albicans ยังคงเป็นสาเหตุหลักในผู้ป่วยรายนี้
พยาธิสรีรวิทยา
ภาวะ sepsis เกิ ด จากการตอบสนองทางระบบภู มิ คุ้ ม กั น ของร่ า งกายต่ อ เชื้ อ ก่ อ โรค โดยมี pro-inflammatory
mediators ทําหน้าที่ในการกําจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ขณะที่ anti-inflammatory mediators ทําหน้าที่ในการควบคุมการ
ตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้น เมื่อการควบคุมระหว่างสองปัจจัยนี้เสียสมดุลไป พบว่าการอักเสบอักเสบเฉพาะที่ที่ทําหน้าที่
123
กําจัดสิ่งแปลกปลอม จะไปกระตุ้นการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (systemic inflammatory response) ทําให้ผู้ป่วยเกิด
ภาวะ sepsis, severe sepsis และ septic shock ตามมา
Chapter 18
กลไกการเกิดภาวะ sepsis ระดับเซลล์
กลไกการเกิดภาวะ sepsis จากแบคทีเรียกรัมลบ เกิดจากสาร lipopolysaccharide บริเวณผนังเซลล์ หรือ endotoxin
ซึ่งเป็นสารที่อยู่บริเวณผิวด้านนอกของผนังเซลล์เชื้อกรัมลบ ถูกหลั่งออกมาเมื่อมีการแตกของเซลล์แบคทีเรีย ในขณะที่ lipid A ที่
อยู่บริเวณด้านในสุดของ lipopolysaccharide ทําหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเชื่อว่าเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เกิดการ
กระตุ้ น เซลล์ macrophage และ inflammatory cascade ในภาวะ sepsis และ septic shock เมื่ อ endotoxin รวมตัว กั บ
โปรตีนในร่างกายเกิดเป็น lipopolysaccharide binding protein ซึ่งจะไปจับกับ CD 14 receptor บนผิวเซลล์ เกิดการกระตุ้น
Bacterial Infections
ให้หลั่ง cytokine mediator ต่างๆ
ส่วนภาวะ sepsis จากแบคทีเรียกรัมบวก พบว่า exotocin peptidoglycan ที่เป็นส่วนหนึ่งของผนังเซลล์เชื้อกรัมบวก
ประมารร้อยละ 40 มีคุณสมบัติ pro-inflammatory ซึ่งจะกระตุ้น CD 14 receptor ของเซลล์ macrophage เช่นเดียวกับเชื้อ
แบคทีเรียกรัมลบ นอกจากนี้เชื้อกรัมบวกบางชนิดยังสามารถสร้าง exotoxin ที่ทําให้เกิดภาวะ septic shock ได้ เช่น ภาวะ
toxic shock syndrome จากเชื้ อ S. aureus ที่ ส ร้ า งสาร toxic shock syndrome toxin-1 และเชื้ อ S. pyogenes สร้ า ง
pyrogenic exotoxin เป็นต้น
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วย sepsis สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะ early sepsis และ late sepsis โดยใน
ระยะ early sepsis อาการแสดงโดยทั่วไป ได้แก่ อาการไข้ หนาวสั่น และความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป สําหรับผู้ป่วย sepsis จากการ
ติดเชื้อแบคทีเรียกรัมลบ อาจพบอาการหายใจเร็ว (hyperventilation) เกิดขึ้นก่อนอาการไข้ และหนาวสั่น รวมทั้งทําให้เกิดภาวะ
respiratory alkalosis ซึ่งเป็ นการเปลี่ยนแปลงทางเมแทบอลึ ซึมที่ สามารถตรวจพบได้เป็น อันดั บแรก2 หากภาวะ sepsis ไม่
สามารถควบคุมได้ หรือเข้าสู่ระยะ late sepsis อาจพบอาการและอาการแสดงคือ อวัยวะต่างๆ เริ่มทํางานผิดปกติจนถึงทํางาน
ล้มเหลว ได้แก่ lactic acidosis, oliguria, leukopenia, pulmonary edema, hypoglycemia, DIC, ARDS, coma เป็นต้น
การรักษา
กระบวนการรักษา
1. Initial resuscitation
การรักษาควรเริ่มต้นอย่างรวดเร็วเมื่อตรวจพบภาวะ hypoperfusion โดยให้การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต การทํา Initial
resuscitation ในภาวะ sepsis-induced hypoperfusion ต้องทําภายใน 6 ชั่วโมงโดยมีเป้าหมายดังนี้
- CVP 8–12 mm Hg
- MAP ≥ 65 mm Hg
- Urine output ≥ 0.5 mL/kg/hr
- Superior vena cava oxygenation saturation (Scvo2) หรือ mixed venous oxygen saturation
(Svo2) เท่ากับ 70% หรือ 65% ตามลําดับ
หากให้การรักษาไปแล้วด้วยการให้สารน้ํา แต่ venous oxygen saturation ยังคงไม่ถึงเป้าหมายควรพิจารณาการให้
เลือดชนิด packed red cell ให้ได้ระดับ hematocrit เพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 30 หรือให้หยดยา dobutamine เข้า
หลอดเลือดดําอย่างต่อเนื่อง ในขนาดยาไม่เกิน 20 mcg/kg/min เพื่อให้ venous oxygen saturation ถึงเป้าหมาย
2. การวินิจฉัย
ให้ทําการเพาะเชื้อจากเลือดหรือบริเวณที่มีการติดเชื้อก่อนให้การรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ การทราบผลการเพาะเชื้อจะ
ช่วยให้สามารถเลือกยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมเชื้อที่สงสัย หากมีบริเวณที่มีการติดเชื้อที่สงสัยควรส่งสารคัดหลั่งหรือส่งเพาะเชื้อใน
บริเวณนั้นร่วมด้วย เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกยาได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น สําหรับการส่งตัวอย่างเพาะเชื้อจากเลือดต้องส่ง
ตัวอย่างเพาะเชื้อในขวดเพาะเชื้ออย่างน้อย 2 ขวด เพื่อเพิ่มโอกาสการพบผลเพาะเชื้อเป็นบวก
3. การรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ
หลักการใช้ยาต้านจุลชีพในผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis หรือ septic shock จากการติดเชื้อ คือ เริ่มให้ยาต้านจุลชีพที่มีฤทธิ์
ครอบคลุมเชื้อที่สงสัยอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน และลดอัตราการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะนี้ โดยควรเริ่มยา
ต้ านจุ ล ชี พ ภายใน 1 ชั่ ว โมงหลั ง การวินิ จ ฉั ย ภาวะ sepsis และ sepsis shock นอกจากนี้ ช นิ ด ของยาต้ านจุ ล ชี พ ที่ ใช้ สํ าหรั บ
124
empirical therapy ยังเป็นปัจจัยสําคัญในการเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยกลุ่มนี้ การพิจารณาเลือกใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อเป็น
empirical therapy ตามประเภทและบริเวณที่มีการติดเชื้อ แสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 18.12 แสดงยาต้านจุลชีพสําหรับ empirical therapy ในผู้ป่วยภาวะ sepsis และ septic shock
Unit 3
ประเภท/บริเวณที่มีการ ยาต้านจุลชีพ
ติดเชื้อ การติดเชื้อในชุมชน การติดเชื้อในสถานพยาบาล
rd
การติดเชื้อในระบบ 3 cephalosporins (เช่น ceftriaxone) Antipseudomonal penicillins
ทางเดินปัสสาวะ หรือ quinolones (เช่น levofloxacin, (เช่น piperacillin) ± Aminoglycosides
ciprofloxacin) หรือ Antipseudomonal cephalosporins
Infectious Diseases
Chapter 18
เครื่องช่วยหายใจ ร่วมกับมี MAP > 65 mmHg) ควรให้สาร crystalloids ปริมาตร 20 ml/kg ภายในระยะเวลา 30-60 นาที
ส่วนอาการไม่พึงประสงค์จากการให้สารน้ํา ได้แก่ systemic และ pulmonary edema
5. การให้ยาตีบหลอดเลือด (vasopressors) หรือยากระตุ้นหัวใจในการควบคุมความดันโลหิต (inotropes)
ควรเริ่มให้ยาตีบหลอดเลือด หรือยากระตุ้นหัวใจในผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ําอย่างเพียงพอแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถควบคุม
ความดันโลหิตได้ตามเป้าหมาย (SBP < 90 mmHg หรือ MAP < 65 mmHg) ยาตีบหลอดเลือดที่แนะนําคือ norepinephrine
Bacterial Infections
หรือ dopamine เป็ น ยากลุ่ม แรกในการควบคุ มความดั น โลหิ ต ในภาวะนี้ และอาจใช้ ร่วมกัน ได้ เพื่ อเพิ่ ม ความดั น โลหิ ต จาก
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาตีบหลอดเลือดระหว่างยา norepinephrine และ dopamine ในผู้ป่วย septic shock
พบว่า norepinephrine มีประสิทธิภาพดี กว่าในการควบคุมความดัน แต่อัตราการตายไม่แตกต่างกัน ส่วนยา epinephrine
จัดเป็นยาตัวเลือกที่สองในผู้ป่วย septic shock ที่ไม่ตอบสนองต่อการได้รับยา norepinephrine หรือ dopamine สําหรับยา
กระตุ้นหัวใจ dobutamine แนะนําให้ใช้ในผู้ป่วย septic shock ที่มีภาวะ myocardial dysfunction ร่วมด้วย
6. การรักษาด้วยยากลุ่ม corticosteroids
ผู้ป่วยภาวะ septic shock ในรายที่ความดันโลหิตไม่เพิ่มสูงขึ้นตามเป้าหมายจากการให้สารน้ําอย่างเต็มที่ร่วมกับการให้
ยาตี บ หลอดเลื อ ดหรื อ ยากระตุ้ น หั ว ใจ ควรได้ รั บ hydrocortisone ทางหลอดเลื อ ดดํ า โดยไม่ จํ า เป็ น ต้ อ งทดสอบ ACTH
stimulation test โดยขนาดยา hydrocortisone ที่แนะนํา คือ ≥ 300 mg/day และพิจารณาให้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงที่
ผู้ป่วยมีภาวะ shock และมีการใช้ยาตีบหลอดเลือดเท่านั้น
126
18.6
Lower Respiratory Tract Infection
Chapter (Pneumonia, Bronchitis)
Unit 3
นศภ.รอนี กาเดร์
บทนํา
โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อ (pneumonia) หมายถึงการติดเชื้อในเนื้อเยื่อ parenchyma ของปอด โดยเชื้อที่เป็น
สาเหตุได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส
Infectious Diseases
Chapter 18
1. แนวทางการรักษา CAP
การรักษาโดยทั่วไปแบ่งเป็นการรักษาเบื้องต้น (empirical therapy) และการรักษาที่มีผลเพาะเชื้อและความไวต่อยา
ปฏิชีวนะแล้ว (documented therapy) โดยเชื้อสาเหตุส่วนใหญ่ของ CAP ได้แก่ S. pneumoniae และ H.Influenzae สําหรับ
ประเทศไทย เชื้อ B. pseudomallei เป็นเชื้อที่พบได้ร้อยละ 11.0 ในการก่อโรค CAP ซึ่งต่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่พบเชื้อนี้
ได้น้อย ตามแนวทางการรักษาของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งแนะนําให้เลือกใช้ยา Ceftriaxone หรือ cefotaxime เป็นอันดับแรก
Bacterial Infections
พบว่ า ยาดั งกล่ าวไม่ ค รอบคลุ ม การรั ก ษาของการติ ด เชื้ อ B. pseudomallei ซึ่ ง เป็ น เชื้ อ ก่ อ โรคที่ พ บว่ า เป็ น สาเหตุ ห นึ่ งของ
pneumonia ในผู้ป่วยที่มีโรคร่วมหรือภาวะบางชนิด เช่น เบาหวาน ทาลัสซีเมีย โรคไตเรื้อรัง มีอาชีพเกษตรกรรม ดังนั้นผู้ป่วย
CAP ที่มีภาวะโรคร่วมดังกล่าว ควรใช้ยาที่ครอบคลุมเชื้อ B. pseudomallei ซึ่งได้แก่ ceftazidime และควรเลือกยาที่ครอบคลุม
เชื้ อ อื่ น ที่ เป็ น สาเหตุ ข อง CAP ด้ ว ย เพราะ ceftazidime ที่ ค รอบคลุ ม เชื้ อ B. pseudomallei นั้ น ไม่ ส ามารถครอบคลุ ม S.
pneumoniae ที่มักเป็นสาเหตุหลักของ CAP ได้
สําหรับการพิจารณาความรุนแรงของอาการในผู้ป่วย CAP นั้นมีเกณฑ์ที่เรียกว่า CURB-65 ใช้จําแนกผู้ป่วยตามความ
รุนแรง ซึ่งประกอบด้วย Confusion, Uremia, Respiratory rate, Blood pressure, อายุ (> 65 ปี) หากผู้ป่วยมีคะแนน > 2
คะแนน ผู้ป่วยจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น จึงจําเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง (< 2
คะแนน) จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตต่ํา สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ยกเว้นผู้ป่วยมีโรคอื่นร่วมด้วยที่ต้องได้รับการดูแลอย่าง
ใกล้ชิด นอกจากนี้ผู้ป่วย CAP ที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยใน หากมีอาการที่รุนแรง เช่น septic shock หรือต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ควร
พิจารณาให้ผู้ป่วยรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤต (ตารางที่ 1 และ 2)
ตารางที่ 18.13 ยาต้านจุลชีพสําหรับการรักษา CAP กรณีเป็นผู้ป่วยนอก
Chapter 18
Bacterial Infections
ตารางที่ 18.17 ขนาดยาต้านจุลชีพในการรักษา HAP, VAP, และ HCAP
อาการที่สัมพันธ์กับความรุนแรงของ AECB
อาการหลักของการเกิด AECB คือ 1) หายใจลําบาก (dyspnea) 2) ไอมีเสมหะเพิ่มขึ้น 3) เสมหะเขียวข้น หรือเป็นหนอง
โดยพบว่าหากมีอาการเพียง 1 ข้อ ความรุนแรงอยู่ระดับ mild มีอาการ 2 ข้อ ความรุนแรงอยู่ระดับ moderate และมีอาการ 3
ข้อ ความรุนแรงอยู่ระดับ severe โดยเชื้อสาเหตุของการเกิด AECB พบเชื้อ H.Influenzae, M. catarrhallis, S. pneuminiae
Infectious Diseases
เอกสารอ้างอิง
1. Dipiro JT. Pharmacotherapy : a pathophysiologic approach. 7th ed. New York: McGraw-Hill medical;
2008
2. Kasper DL, Harrison TR, Harrison's manual of medicine. 17thed. New York: McGraw-Hill; 2009
3. Koda-Kimble MA. Applied therapeutics : the clinical use of drug. 9th ed. Philadelphia: Wolters
Kluwer/Lippincott & Wikins; 2009
4. Mandell LA, Wunderink RG, Anzueto A, Bartlett JG, Campbell GD, Dean NC, Dowell SF, File TM Jr,
Musher DM, Niederman MS, Torres A, Whitney CG; Infectious Diseases Society of America; American
Thoracic Society. Infectious Diseases Society of America/American Thoracic Society consensus
guidelines on the management of community-acquired pneumonia in adults. Clin Infect Dis. 2007 Mar
1;44 Suppl 2:S27-72.
5. American Thoracic Society; Infectious Diseases Society of America. Guidelines for the management of
adults with hospital-acquired, ventilator-associated, and healthcare-associated pneumonia. Am J
Respir Crit Care Med. 2005 Feb 15;171(4):388-416.
6. ณัฐาศิริ ฐานะวุฑฒ์, สุชาดา สูรพันธ์, มาลี โรจน์พิบูลสถิตย์, ศรีรัตน์ กสิวงศ์, สุทธิพร ภัทรชยากุล. Trends in
Infectious Disease Pharmacotherapy 2011. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จํากัด, 2554.
131
Chapter
18.7 CNS Infections
Chapter 18
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
Meningitis
เยื่อหุ้มสมองแบ่งเป็น 3 ชั้น ได้แก่ Pia matter (ชั้นในสุดติดกับเนื้อสมอง), Arachnoid (ชั้นกลาง) และ Dura matter
(ชั้นนอกสุด) โดย meningitis เป็นการอักเสบของ sub-arachnoid space (อยู่ระหว่าง pia matter กับ arachnoid)
Meningitis เป็น most common type ของ CNS infections พบในผู้ป่วยเด็กและวัยชรา ถือเป็น severe infection,
Bacterial Infections
life threatening เนื่องจากมี mortality rate 5-30% แม้ได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ และ onset ของ mortality อยู่ที่ 24-
48 ชั่วโมง พบ 20% ของผู้ป่วยเกิด complications ได้แก่ ชัก สูญเสียการได้ยิน และสมองบวม (hydrocephalus)
การเกิด meningitis ในอดีตเป็นแบบ community base แต่ปัจจุบันพบเป็น nosocomial เพิ่มขึ้นจากการผ่าตัดสมอง
Clinical presentations
- Acute onset
- Adult: ปวดศี ร ษะ ไข้ คลื่ น ไส้ / อาเจี ย น ปวดกล้ า มเนื้ อ ซึ ม (lethalgy) คอแข็ ง (stiff neck) กลั ว แสง
(photophobia) ชัก สับสน สมองบวม
- Elderly: สับสน
- Neonate: ไม่มี meningeal signs มีอาการงอแง ไข้ ชัก ไม่กินอาหาร ระยะหลังอาจพบอาการคอแข็ง กระหม่อม
โป่ง (full fontanel)
Physical examination
- Nuchal rigidity (คอแข็ง)
- Photophobia
- Brudzinski’s sign (ผู้ป่วยงอขาทั้งสองข้าง เมื่อถูกยกศีรษะ)
- Kernig’s sign (เมื่อยกโคนขาตั้งฉากและงอเข่า ค่อยๆ เหยียดเข่าออกให้ตรง ผู้ป่วยจะเหยียดไม่ได้และมีอาการเจ็บ
ไปถึงหลัง)
Laboratory evaluation
- CSF examination
o Normal CSF: WBC < 10 cell/ml, protein < 50 mg/ml, glucose 50-60% ข อ ง serum
glucose
o Gram stain, culture, serologic test
- Peripheral WBC, blood culture, chemistry
132
ข้อห้าม/ข้อควรระวังในการทํา lumbar puncture
o ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
o มีประวัติ CNS disease
o Papilledema: อาการบวมของเส้นเลือดที่ตา แสดงว่าผู้ป่วยมีความดันในสมอง (intracranial pressure) มาก
Unit 3
Chapter 18
S.pneumoniae PCN susceptible
- Pen G 200,000 U/kg/day IV แบ่งให้วันละ 6 ครั้ง
PCN resistant
10-14 days
- Vancomycin (30-40 mg/kg/day) 1 g q 12 hrs +
{Ceftriaxone (100 mg/kg/day) 2 g q 12 hrs หรือ Cefotaxime (200 mg/kg/day)
2 g q 4-6 hrs}
Bacterial Infections
Gr. B Strep
Pen G, Ampicillin (200-400 mg/kg/day in 4 divided dose), Ceftriaxone 14-21 days
(S.galactiae)
S.aureus MSSA: Cloxacillin (200 mg/kg/day) 2 g q 4 hrs
MSRA: Vancomycin (30-40 mg/kg/day) 1 g q 12 hrs
L.monocytogenes Ampicillin 200-400 mg/kg/day in 4 divided dose + Gentamicin 14-21 days
N.menigitidis Pen G, Cefotaxime, Cetriaxone 7-10 days
E.coli
Klebsiella Cefotaxime, Cetriaxone 21 day
H.influenzae
P. aeruginosa Ceftazidime
Adjunctive corticosteroid therapy (Dexamethasone) 0.6 mg/kg q 6 hrs 2-4 วัน โดยให้ 10-20 นาทีก่อนหรือ
พร้อ มกั บ ยาต้ านจุ ลชี พ dose แรก เพื่ อ ลดการอั กเสบของเส้ น ประสาท เนื่ อ งจากเมื่อ เชื้ อ ตาย cell ของเชื้ อ แตก มี ก ารหลั่ ง
mediators ต่างๆ ทําให้เส้นประสาทอักเสบได้
Brain abscess
ปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อ ได้แก่ sinusitis, otitis media, dental infection, infective endocarditis,
lung abscess, intra-abdominal infection โดยใน 9-10 วั น แรกจะมี ก ารอั ก เสบทั่ ว ไปของเนื้ อ สมอง (cerebritis)
หลังจากนั้น 10-14 วันหลังการติดเชื้อเป็นระยะ capsule formation
เชื้ อ สาเห ตุ ได้ แก่ Streptococci 60-70% (S.milleri ใน ช่ อ งป าก ), Anaerobes (Bacteroid sp, provotella),
Staphylococcus, GNB, Toxoplasma gondii, nocardia sp.
การรักษา ผ่าตัดเอาหนองออก และให้ antibiotics ตามปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิด
ยาที่ ผ่ า นสู่ brain abscess ได้ ม าก คื อ metronidazole และยาที่ ผ่ า นได้ ในปริ ม าณที่ เพี ย งพอ ได้ แ ก่ penicillin,
cephalosporin, cefotaxime, ceftriaxone, carbapenem, vancomycin
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง CNS infections โดย ผศ.ดร.สุทธิพร ภัทรชยากุล
2. Tunkel AR, Hartman BJ, Kaplan SL, Kaufman BA, Roos KL, Scheld WM, et al. Practice Guidelines for
the Management of Bacterial Meningitis. CID. 2004;39:1267-84.
134
18.8
Chapter
Bone & Joint Infection
Unit 3
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
Osteomyelitis
กระดูกติดเชื้อจากทางกระแสเลือด (Hematogenous osteomyelitis)
- พบบ่อยในทารก เด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์
Infectious Diseases
- Infant มั ก เกิ ด จากการติ ด เชื้ อ S.aureus, S.galactiae, E.coli อาการที่ พ บ ได้ แ ก่ บวมบริ เวณที่ ติ ด เชื้ อ
เคลื่อนไหวน้อย น้ําเลี้ยงไขข้อ (joint effusion)
- Children มักเกิดจากการติดเชื้อ S.aureus, S.pyrogenes, H.influenzae อาการที่พบ ได้แก่ ไข้ ซึม งอแง
อักเสบบริเวณที่ติดเชื้อ
- Adult เชื้อ S.aureus เป็น most common pathogen (60%) เชื้ออื่นๆ ได้แก่ วัณโรคกระดูก และ E.coli
มักมีการติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง อาการที่พบ ได้แก่ ปวดหลัง ไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน น้ําหนักลด
- Elderly มักเกิดจากการติดเชื้อ GNB
- ติด เชื้อ fungi จาก catheter การฉีด สารเสพติ ด เข้ าเส้ นเลื อ ดดํ า (IVDA - ยั งพบเชื้ อ P.aeruginosa 78%,
GNB) การรับยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน
กระดูกติดเชื้อจากเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงที่มีการติดเชื้อ (Contiguous osteomyelitis)
- ติดเชื้อจากภาวะกระดูกหักแบบมีแผลเปิด หรือมีการปนเปื้อนขณะทําการผ่าตัดกระดูก เชื่อมต่อกระดูก ใส่ข้อ
เทียม มักพบในผู้ใหญ่
- เชื้อสาเหตุที่พบบ่อย คือ S.aureus เชื้ออื่นๆ เช่น GNB (E.coli, P.aeruginosa, Proteus spp)
- มีอาการไข้ต่ํา ปวด หนองไหลจากแผล
กระดูกติดเชื้อเนื่องจากเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ (Osteomyelitis due to vascular insufficiency)
- ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเบาหวาน โรคหลอดเลือดส่วนปลาย (PVD) มักพบบริเวณเท้า
- เชื้ อ ที่ พ บ เป็ น mixed infection ได้ แ ก่ Staphylococcus, Streptococcus, Enterobacteriaceae
anaerobes
Diagnosis & laboratory finding
- Blood culture, bone biopsy เพื่อหาเชื้อสาเหตุในการก่อโรค
- Imaging study: MRI (มีความไวมาก), CT scan, X-ray
- Non-specific: ESR, C-reactive protein
Treatment
- กรณี Hematogenous osteomyelitis และ Contiguous osteomyelitis ให้ parenteral antibiotic 4-6
สัปดาห์ หรือ parenteral antibiotic 2 สัปดาห์ และเปลี่ยนเป็นยากิน (กรณีอาการดีขึ้น) จนครบ 4-6 สัปดาห์
- กรณี Osteomyelitis due to vascular insufficiency ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องได้รับการผ่าตัด การผ่าตัดระดูกที่
สงสัยว่าติดเชื้อออกไปมาก ระยะเวลาการให้ยา antibiotic จะสั้นลง คือ ตัดกระดูกที่ติดเชื้อออกบางส่วน
ร่วมกับการให้ antibiotic 4 สัปดาห์ ตัดกระดูกที่ติดเชื้อออกทั้งหมดร่วมกับการให้ antibiotic 2 สัปดาห์ และ
ตัดกระดูกและเนื้อเยื่อส่วนที่เหนือขึ้นไปจากส่วนที่ติดเชื้อจะให้ antibiotic 1-3 วัน
- Bone concentrations antimicrobial therapy: clindamycin > vancomycin > nafcillin >
tobramycin > cefazolin
Specific antimicrobial therapy
MSSA
- 1st gen cephalosporin - cefazolin 2 g IV q 8 hrs (adult), 100 mg/kg/day IV devided dose
(children) กรณียารับประทานให้เป็น cephalexin 100 mg/kg/day
- Clindamycin 900 mg IV q 8 hrs or 600 mg IV q 6 hrs
135
- ก ร ณี penicillinase resistant penicillin: cloxacillin 2 g IV q 4-6 hrs (adult), 150 mg/kg/day IV
devided dose (children) กรณียารับประทาน - 100 mg/kg/day
MRSA
Chapter 18
- Vancomycin 1 g IV q 12 hrs หรือ fosfomycin 2 q IV 12 hrs หรือ fusidic acid 500 mg PO q 8 hrs
Streptococcus spp.
- Penicillin G 2 mu IV q 4 hrs or 4 mu IV q 6 hrs หรือ clindamycin 900 mg IV q 8 hrs or 600 mg
IV q 6 hrs หรือ ceftriaxone 1-2 g IV q 24 hrs
GNB
- Quinolones: ciprofloxacin 750 mg PO q 12 hrs or 400 mg IV q 8-12 hrs
Bacterial Infections
- 3rd gen cephalosporin: ceftriaxone 1-2 g q 24 hrs
- Aminoglycosides: amikacin, entamicin, netilmycin
P.aeruginosa
- Ceftazidime 2 g q 8 hrs หรือ imipenem 500 mg q 6 hrs หรือ piperacillin 3 g q 4 hrs
Anaerobes
- Clindamycin 900 mg IV q 8 hrs or 600 mg IV q 6 hrs
Mixed infection
- (Quinolones + clindamycin) หรือ imipenem หรือ piperacillin/tazobactam หรือ cefoxitin
Septic arthritis
เชื้อสามารถแพร่เข้าสู่ข้อได้ทางกระแสเลือด หรือจากกการติดเชื้อบริเวณข้างเคียงใกล้ข้อ
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การใช้ corticosteroid โรคข้ออักเสบ ดื่มแอลกอฮอล์ เบาหวาน การฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือดดํา
การใส่ข้อเทียม
Gonococcal arthritis มักพบในผู้ป่วยอายุ < 30 ปี ผู้ป่วยตั้งครรภ์ พบการติดเชื้อที่ข้อหลายข้อ
Non-gonococcal bacterial arthritis
- S.aureus เป็น most common ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ > 2 ปี
- H.influenzae (children < 2 yrs), Streptococci (Children, adult)
- GNB (P.aeruginosa, E.coli) จากการการฉีดสารเสพติดเข้าเส้นเลือดดํา (IVDA), UTI,
immunocompromised
- Shigella, salmonella, Campylobacter
- Pasturella multocida (cat bite), Eikenella corrodens (human bite)
อาการแสดงทางคลินิกเกิดขึ้นเร็ว พบอาการปวด บวม แดง บริเวณข้อ ไข้สูง หนาวสั่น
Diagnosis (joint fluid)
- พบ WBC > 100,000 /mm3 (บางราย > 50,000 /mm3)
- PMN > 90%
- Erythrocyte Sedimentation Rates (ESR) สูง หากตอบสนองต่อการรักษา ค่าจะลดลง
Treatment: การเจาะข้อเพื่อระบายหนองออก การให้ antimicrobial therapy
- Gonococcal arthritis: ceftriaxone 1 g IV q 24 hrs จากนั้ น อาจเปลี่ ย นเป็ น cefixime 400 mg PO
ระยะเวลาการรักษา 7-10 วัน
- Non-gonococcal bacterial arthritis: เชื้อ H.influenzae และ Streptococci รักษานาน 2 สัปดาห์ เชื้อ
S.aureus และ GNB รักษานาน 3 สัปดาห์ กรณีเชื้อ Pasturella, Eikenella ใช้ penicillin, ampicillin
เอกสารอ้างอิง
เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง Bone & joint infection โดย ผศ.ดร.สุทธิพร ภัทรชยากุล
136
18.9
Chapter
Infective Endocarditis
Unit 3
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (heart valve) หรือผนังเยื่อบุหัวใจ (endocardial tissue) เป็น uncommon disease และไม่
ค่อยพบในผู้ป่วยเด็ก แบ่งได้เป็น Acute bacterial endocarditis (ABE) เป็นการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงและรวดเร็ว มักสัมพันธ์
Infectious Diseases
Minor criteria
Chapter 18
- Predisposing heart condition, IVDA
- BT > 38oC
- Vascular phenomena
- Immunologic phenomena
- Microbiologic evidence นอกเหนือจาก major criteria
Definite IE
Bacterial Infections
- pathological criteria: culture vegetation พบผล positive
- clinical criteria: 2 major หรือ (1 major + 3 minor) หรือ 5 minor
Possible IE: (1 major + 1 minor) หรือ 3 minor
Treatment
ตารางที่ 18.22 Antimicrobial therapy
Microorganism Antimicrobial therapy Duration
Viridans strep PCN susceptible (MIC < 0.12 mcg/ml)
and S.bovis - Pen G 12-18 mu/day IV
4 wks
- Ceftriaxone 2 g IV/IM q 24 hrs
- Vancomycin 30 mg/kg/day divided 2 doses
PCN susceptible (MIC < 0.12 mcg/ml)
- Pen G 12-18 mu/day IV + gentamicin 3 mg/kg q 24 hrs IV/IM 2 wks
- Ceftriaxone 2 g IV/IM q 24 hrs + gentamicin 3 mg/kg q 24 hrs IV/IM
PCN resistant (0.12 mcg/ml < MIC < 0.5 mcg/ml)
- Pen G 24 mu/day IV + gentamicin 3 mg/kg q 24 hrs IV (2 สัปดาห์แรก)
4 wks
- Ceftriaxone 2 g IV/IM q 24 hrs + gentamicin 3 mg/kg q 24 hrs IV (2 wks แรก)
- Vancomycin 30 mg/kg/day divided 2 dose
Enterococci Susceptible to penicillin, gentamicin, vancomycin
- Pen G 18-30 mu/day + gentamicin 1 mg/kg q 8 hrs 4-6 wks
- Ampicillin 12 g/day + gentamicin 1 mg/kg q 8 hrs 4-6 wks
- Vancomycin 30 mg/kg/day + gentamicin 1 mg/kg q 8 hrs 6 wks
Susceptible to penicillin, vancomycin and resistant to gentamicin
- Pen G 24 mu/day IV + streptomycin 15 mg/kg/day divided 2 doses IV/IM
4-6 wks
- Ampicillin 12 g/day + streptomycin 15 mg/kg/day divided 2 doses IV/IM
- Vanco 30 mg/kg/day + streptomycin 15 mg/kg/day divided 2 doses IV/IM
Susceptible to vancomycin, gentamicin and resistant to penicillin
6 wks
- Vancomycin 30 mg/kg/day + gentamicin 1 mg/kg q 8 hrs
Staphylococci No prosthetic valve
- Cloxacillin 2 g q 4 hrs + gentamicin 1 mg /kg q 8 hrs (3-5 วัน)
6 wks
- Cefazolin 2 g q 8 hrs + gentamicin 1 mg /kg q 8 hrs (3-5 วัน)
- Vancomycin 30 mg/kg/day
Prosthetic valve: MRSA
- Vancomycin 30 mg/kg/day + rifampicin 300 mg q 8 hrs + gentamicin 1 > 6 wks
mg/kg q 8 hrs (2 wks)
Prosthetic valve: MSSA
- Cloxacillin 2 g q 4 hrs + rifampicin 300 mg q 8 hrs + gentamicin 1 mg/kg q 8 > 6 wks
hrs (2 wks)
HACEK group - Ceftriaxone 2 g OD IV/IM 4 wks
138
- Ampicillin 12 g/day IV
- Ciprofloxacin 500 mg PO q 12 hrs or 400 mg IV q 12 hrs
ตารางที่ 18.23 IE prophylaxis: regimens for dental procedure
Situation Antimicrobial prophylaxis Adult Children
Unit 3
139
Antimicrobial
Chapter 18
18.10
Chapter
Prophylaxis for Surgery
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
การใช้ antimicrobial เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด ทําได้ 2 กรณี คือ ป้องกันก่อนที่จะมีการติดเชื้อ (prophylactic
antibiotic) และป้องกันในรายที่มีความเป็นไปได้ว่าติดเชื้อ (antibiotic for presumptive treatment) จะช่วยลดอุบัติการณ์ของ
Bacterial Infections
การติดเชื้อหลังผ่าตัด แต่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุของการเกิดพิษจากยา การดื้อยา และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
Microbiology
- เชื้อก่อโรคได้มาจาก normal flora ของผู้ป่วย (endogenous)
- การปนเปื้อนจากอุปกรณ์ผ่าตัด (exogenous)
- Major pathogen: S.aureus (20%), coagulase-negative staphylococci (14%), Enterococcus,
E.coli, P.aeruginosa, Enterobacter
Antimicrobial selection
- Cefazolin มีประสิทธิภาพดีสําหรับใช้ในการป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัดส่วนใหญ่ ครอบคลุมเชื้อ S.aureus,
S.epidermidis และ GNB (E.coli, Klebsiella)
- Vancomycin กรณีเชื้อ MRSA, MRSE
- Cefoxitin สําหรับการผ่าตัด colorectal และการผ่าตัดไส้ติ่ง
- ไม่ควรใช้ 3rd gen cephalosporins ในการป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด เนื่องจากมีราคาแพง เพิ่มอุบัติการณ์
การดื้อยา ยาบางตัวมีฤทธิ์ต่อ staphylococci น้อยกว่า Cefazolin ครอบคลุมเชื้อที่พบได้น้อยมากในการ
ผ่าตัดทั่วไป (elective surgery)
Basic principle
- ให้ยาครั้งเดียวก่อนผ่าตัด 30 นาที ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง และมีความเข้มข้นสูงพอในระหว่างที่ทําการผ่าตัด
- เพิ่มจํานวนครั้งในการให้ยากรณีที่ใช้เวลาผ่าตัดนาน (> 4 ชั่วโมง) มีเลือดออกมาก และค่าครึ่งชีวิตของยาสั้น
ตารางที่ 18.24 Antimicrobial prophylaxis for surgery
Surgery Antimicrobial prophylaxis Allergic to beta-lactam (severe)
cardiovascular - Cefazolin 1-2 g IV - Clindamycin 600-900 mg IV
- Cefuroxime 1.5 g IV - Vancomycin 1 g IV
Biliary tract - Cefazolin 1 g IV - Clindamycin 600-900 mg IV plus
- Ciprofloxacin 400 mg IV
- Levofloxacin 750 mg IV
- Gentamicin 1.5 mg/kg IV
Endoscopic Retrograde - Ciprofloxacin 500-700 mg PO 2 hrs ก่อน
Cholangiopancreatography - Piperacillin/tazobactam 4.5 g IV 1 hr ก่อน
Colorectal - Cefazolin 1-2 g IV + metronidazole 500 mg IV - Clindamycin 600-900 mg IV or
- Cefoxitin 1-2 g IV Metronidazole 15 mg/kg plus
- Ampicillin/sulbactam 3 g IV - Ciprofloxacin 400 mg IV
- Ertapenem 1 g IV - Levofloxacin 750 mg IV
- Gentamicin 1.5 mg/kg IV
Gastroduodenal - Cefazolin 1.5 g IV - Clindamycin 600-900 mg IV plus
- Cefoxitin 1.5 g IV - Ciprofloxacin 400 mg IV
- Cefuroxime 1.5 g IV - Levofloxacin 750 mg IV
- Gentamicin 1.5 mg/kg IV
Head and neck - Cefazolin 2 g IV - Clindamycin 600-900 mg IV plus
gentamicin 1.5 mg/kg IV
Neurosurgery - Cefazolin 1-2 g IV - Vancomycin 1 g IV
- Clindamycin 900 mg IV
140
Surgery Antimicrobial prophylaxis Allergic to beta-lactam (severe)
Obstetric/gynecologic Cesarean section - Clindamycin 600-900 mg IV plus
- Cefazolin 1-2 g IV post cord-clamp - Ciprofloxacin 400 mg IV
Vaginal or abdominal - Levofloxacin 750 mg IV
Unit 3
เอกสารอ้างอิง
เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง Antimicrobial prophylaxis for surgery โดย ผศ.ดร.สุทธิพร ภัทรชยากุล
141
Intra-abdominal
Chapter
18.11 Infections
Chapter 18
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
Peritonitis
Primary peritonitis or Spontaneous Bacterial Peritonitis (SBP)
- มักพบในผู้ป่วย cirrhosis with ascites การติดเชื้อผ่านทางระบบเลือด ระบบน้ําเหลือง เคลื่อนจากหลอด
Bacterial Infections
อาหาร หลอดเลือดในช่องท้อง และภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
- มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน hepatic encephalopathy อาจมีไข้ต่ําๆ พบ WBC สูงใน ascetic fluid
- วิ นิ จฉั ย จาก ascetic fluid (WBC > 500 cell/mm3, Neutrophil > 250 cell/mm3), blood culture,
ultrasound, CT scan
- เชื้อที่เป็นสาเหตุหลัก ได้แก่ S. aereus, Klebsiella spp, S.pneumoniae
Treatment
- 1st line: cefotaxime 1-2 g q 6-8 hrs, ceftriaxone 1-2 g q 24 hrs 5-7 days
- Alternative: Extended spectrum penicillins, aztreonam, imipenem, amoxy/clav
- Primary prophylaxis: norfloxacin 400 mg q 12 hrs 7-14 days, ofloxacin 400 mg/day 10 days,
ciprofloxacin 500 mg BID 7 days, ceftriaxone 1g/day 7 days
- Secondary prophaylaxis: norfloxacin 400 mg OD
Secondary peritonitis
- เกิดหลังจากมีการทะลุหรือเกิดแผลในทางเดินอาหาร การผ่าตัดทางเดินอาหาร การอักเสบของอุ้งเชิงกราน
- เชื้อที่เป็นสาเหตุหลัก คือ E.coli, Bacteroides fragilis, polymicrobial
- อาการเกิ ด เร็ว ปวดท้ อง คลื่ น ไส้ อาเจีย น หายใจเร็วและตื้ น ไข้ WBC 15,000-20,000 /mm3 สู ญ เสี ยน้ํ า
ปัสสาวะออกน้อย ความดันโลหิตต่ํา หัวใจเต้นช้า
Treatment ดังตารางที่ 18.25 - 18.26
ตารางที่ 18.25 Initial empiric treatment สําหรับ complicated intra-abdominal infection
เชื้อมีการสร้าง beta-lactamase
- การผ่านของ antibiotic สู่ abscess ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของยา การจับกับโปรตีน ความสามารถในการแพร่
และคุณสมบัติการละลายในไขมัน
- ระยะเวลาการรักษา 5-7 วัน
Infectious Diseases
Acute appendicitis
พบอาการปวดท้ อ งช่ ว งล่ า งขวา ไข้ WBC สู ง เชื้ อ สาเหตุ ได้ แ ก่ Enterobacteriaceae, anaerobes (B.fragilis,
Prevotella melaninogenica) การรั ก ษาทํ า ได้ โ ดยการผ่ า ตั ด และให้ antibacterial therapy ระหว่ า งการผ่ า ตั ด กรณี
gangrenous/perforated ให้นาน 7-10 วันหรือจนกว่าไม่มีไข้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
Diverticulitis
ภาวะลํ าไส้ โป่ ง เน่ า อั ก เสบ และทะลุ พบอาการปวดท้ อ งช่ วงล่ า งซ้ าย ปั ส สาวะมี อุ จ จาระปน ไข้ WBC สู ง และมี
เลือดออก เชื้อสาเหตุ ได้แก่ Enterobacteriaceae, anaerobes การรักษาทําโดยการผ่าตัดและให้ antibacterial therapy
Acute cholecystitis
มักเกิดจากการมีนิ่วในถุงน้ําดี ภาวะแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่ abscess, peritonitis, liver abscess, cholangitis และ
bacterimia มีอาการปวดท้องช่วงบนขวา คลื่นไส้ อาเจียน WBC สูงเล็กน้อย ไข้ต่ําๆ มีการเพิ่มสูงขึ้นของ liver tranferase, T-
bili, ALP และ amylase เชื้อก่อโรคที่สําคัญ คือ Enterobacteriaceae (E.coli), anaerobes (B.fragilis), enterococci ให้การ
รักษาโดยผ่าตัดถุงน้ําดีออก (cholecystomy) หรือผ่าตัดเอาถุงและท่อน้ําดีออก (cholecystostomy)
Cholangitis
การอั ก เสบของตั บ และท่ อ น้ํ า ดี มี อ าการไข้ สู ง หนาวสั่ น ตาเหลื อ ง ตั ว เหลื อ ง WBC สู ง เชื้ อ ก่ อ โรค ได้ แ ก่
Enterobacteriaceae (E.coli), Clostridium perfringens, B.fragilis, Enterococci
ตารางที่ 18.27 Initial empiric treatment สําหรับ biliary infection in adults
Chapter 18
การใช้ยา quinolones, chloramphenicol, aminoglycosides, rifampicin
Treatment
- หยุดยาที่เป็นสาเหตุ
- สารน้ําทดแทนและ electrolyte
- 1st line: Metronidazole 250 mg PO QID or 500 mg PO TID 7-10 วัน
- Alternative: Vancomycin 125-500 mg PO QID 7-10 วัน
Bacterial Infections
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง Intra-abdominal infections โดย ผศ.ดร.ศิรมิ า มหัทธนาดุลย์
2. Solomkin JS, Mazuski JE, Bradley JS, Rodvold KA, Goldstein EJ, Baron EJ, et al. Diagnosis and
Management of Complicated Intra-abdominal Infection in Adults and Children: Guidelines by the
Surgical Infection Society and the Infectious Diseases Society of America. CID. 2010;150:133–64.
144
Infections in Immuno-
Chapter
18.12 compromised Hosts
Unit 3
นศภ.วัลลิยา อองพลากร
Risk factors for infections
- Damage to physical barrier จากเนื้องอก การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยาเคมีบําบัด IV catheter และ
Foley catheter
- Immune system defect: cell-mediated immunity (T-lymphocyte, macrophage), Humoral
Infectious Diseases
immunity (B-lymphocyte)
- Cancer patient: neutropenia (ANC < 500 cell/mm3), fever (BT > 38.3oC ห รื อ > 38oC น าน 1
ชั่วโมง)
Evaluation
- พบ signs & symptoms ของการอักเสบน้อย: cellulitis (ไม่พบอาการผิวหนังแข็ง แดง) pneumonia (ไม่พบ
infiltration) UTI (ไม่มี pyuria)
- Specimen stain & culture
- CXR, lab test (CBC, BUN/SCr, AST/ALT)
Bacterial causes of febrile episodes in neutropenic patients
- Gram positive: Staphylococcus sp (S.aureus, S.epidermidis), Streptococcus sp (S.pneumoniae,
S.pyogenes), Viridans group, Enterococcus faecalis/faeciuma, Corynebacterium sp
- Gram negative: E.coli, Klebsiella sp, P.aeruginosa, Enterobacter sp, Proteus sp, Salminella sp,
H.influenzae, Acinetobacter sp, Stenotrophomanas maltophilia, Citrobacter sp
Infecting pathogens
- Gram negative bacilli: most common (88.6%)
- Gram positive: low mortality rate
Initial antibiotic therapy
- Criteria for vancomycin use: central venous catheter infection, severe mucositis, MRSA
- Combination therapy: broad spectrum, synergistic effect, prevent resistance
145
Chapter 18
Bacterial Infections
Guide to treatment of patients who have persistent fever after 3-5 days of treatment and for whom the cause
of the fever is not found
- Initiation of antifungal agents: ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย antibiotic หลังใช้ยานาน 1 สัปดาห์
ประมาณ 1/3 พบ fungal infection DOC amphotericin B อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- Initiation of antiviral therapy: febrile neutropenia ที่ มี ตุ่ ม พอง (vesicular) แผลที่ ผิ ว หนั ง หรื อ มี
mucosal lesion มีโอกาสเป็น HSV, VZV
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรื่อง Infections in immunocompromised hosts โดยผศ.ดร.สุทธิพร ภัทรชยากุล
2. Young LS. Approach to Fever and Suspected Infection in the Compromised Host. In: Goldman L,
Ausiello D. Cecil medicine. 23rd ed. Philadelphia: Elsevier/Saunder; 2008.
146
Unit 3
Infectious Diseases
อาการและอาการแสดง
ระยะแรก: ไม่มีลักษณะพิเศษที่บ่งเฉพาะว่าเป็นมาลาเรีย มักมีอาการนําคล้ายกับไข้หวัด มีไข้ตา่ํ ๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
ตามร่างกาย มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ร่วมด้วย การเป็นไข้มาลาเรียจะแตกต่างจากไข้ทั่วๆ ไป โดยเฉพาะ malaria paroxysm มี
3 ระยะ คือ
Unit 3
การรักษาผู้ป่วยมาลาเรีย
1. การรักษาที่จําเพาะเจาะจง (Specific treatment) เพื่อกําจัดเชื้อมาลาเรีย >>> การให้ยาต้านมาลาเรียในระยะไม่
มีเพศ (schizontocidal drug) โดยเลือกให้จําเพาะกับชนิดของมาลาเรีย
2. การรักษาแบบประคับประคอง และบําบัดภาวะแทรกซ้อน (symptomatic and supportive care) เป็นการให้
การรักษาผู้ป่วยตามอาการ เช่น อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือกรณีมาลาเรียรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น
AKI, metabolic acidosis, hypoglycemia, hypotension, cerebral malaria
3. การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อมาลาเรีย (blocking transmission) ให้ยาฆ่าเชื้อมาลาเรียระยะมีเพศกับผู้ป่วย
Anti-malarial drugs
1. Cinchona alkaloids: quinine, quinidine
2. Quinolines; chloroquine, primaquine, mefloquine
3. Dihydrofolate reductase inhibitors and sulfonamide: pyrimethamine, sulfadoxine
4. Artimisinin derivatives; artimisinin artesunate, artemether
5. Other group; tetracycline, doxycycline, azithromycin, atovaquone
149
Chapter 19
Parasitic Infections
ภาพที่ 19.1 แสดงวงจรชีวิตของเชื้อมาลาเรีย
• Blood schizontocide: มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อระยะไม่มีเพศในกระแสเลือด ทําให้ไม่มีเม็ดเลือดแดงแตก และไม่เกิดอาการไข้
หนาวสั่น
Quinin, chloroquine, mefloquine, Halofantrine, tetracycline, artesunate, artemether
ชนิดของยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับชนิดของมาลาเรีย สําหรับประเทศไทยยาทีใ่ ช้รักษา P. falciparum โดยทั่วไปคือ mefloquine
ในรายที่เป็นมาลาเรียขึ้นสมองมักใช้ quinine + tretracycline นอกจากนี้ยังเริ่มใช้ artesunate และ artemether
สําหรับยาที่ใช้รักษา P. vivax, P. ovale, P. malariae คือ chloroquine
• Tissue schizontocide: มีฤทธิ์กําจัดเชื้อ P. vivax, P. ovale ที่หลงเหลืออยู่ในตับ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ํา
Primaquine (hypnozoite), pyrimethamine (primary tissue schizontocide)
• Gametocide: ออกฤทธิ์ต่อเชื้อระยะมีเพศในกระแสเลือด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ยาจะไปทําลายเชือ้ ระยะ
gametocyte ของ P. falciparum ในกระแสเลือด
Primaquine: P.falciparum
Chloroquine และ quinine: P. vivax, P. ovale, P. malariae
ตารางที่ 19.1 ยาป้องกันมาลาเรีย
ยา ขนาดแนะนํา
Mefloquine (250 mg) เด็ก: 5 mg/kg/wk ควรเริม่ 2-3 wk ก่อนเดินทางและกิน
ผู้ใหญ่: 1 เม็ด/wk ยาต่ออีก 4 wk หลังเดินทาง
Doxycycline (100 mg) เด็กอายุมากกว่า 8 yr: 1.5 mg/kg/day ควรเริม่ 1-2 วันก่อนเดินทาง และกินยา
ผู้ใหญ่: 1 เม็ด/day ต่ออีก 4 wk หลังเดินทาง
Maranil® สําหรับเด็ก น้ําหนักตัว 11-20 kg: 1 เม็ด OD ควรเริม่ 1-2 วันก่อนเดินทาง และกินยา
(Atovaqoune 62.5 mg + น้ําหนักตัว 21-30 kg: 2 เม็ด OD ต่ออีก 1 wk หลังเดินทาง
proguanil 25 mg) น้ําหนักตัว 31-40 kg: 3 เม็ด OD **ไม่แนะนําในหญิงตั้งครรภ์ และกําลัง
ให้นมบุตร
Maranil® สําหรับผู้ใหญ่ 1 เม็ด วันละครั้ง
(Atovaqoune 250 mg +
proguanil 100 mg)
150 1.
Helminthic Infection
พยาธิที่ทําให้เกิดโรคในคน แบ่งตามลักษณะรูปร่างของตัวพยาธิได้เป็น 2 ชนิด คือ พยาธิตัวกลม และพยาธิตัวแบน
1. พยาธิตัวกลม (Nematodes) ที่พบได้ในคนมีดังนี้ พยาธิไส้เดือน (Ascariasis), พยาธิเส้นด้าย เข็มหมุด (Enterobiasis),
Unit 3
พยาธิตัวกลม
• พยาธิไส้เดือน (Ascariasis)
วงชีวิต
พยาธิเข้าทางร่างกายโดยผ่านทางการกิน หลังจากนั้นตัวอ่อนจะเดินทางผ่านปอด ไปที่ลําไส้เล็ก เจริญเป็นตัว
แก่ และภายใน 1-2 wk เป็นระยะติดต่อ โดยเมื่อคนถ่ายอุจจาระออกมาก็จะมีไข้พยาธิปะปนมาด้วย
อาการ: เมื่อตัวอ่อนเดินทางผ่านปอด จะมีการทําลายเนื้อเยื่อทําให้เกิด ปอดอักเสบ มีอาการไอ ไข้สูง เจ็บหน้าอก อาจเกิด
bowel obstruction, liver abscess ได้
การวินิจฉัย: พบไข่ในอุจจาระ
การรักษา: ผู้ใหญ่ Albendazole 400 mg single dose
Megendazole 100 mg bid x 1-3 days or 500 mg single dose
Parentel pamoate 10-11 mg/kg single dose (Max. dose 1 gm)
เด็กอายุ 2-5 ปี Albendazole 200 mg
• พยาธิเส้นด้าย เข็มหมุด (Enterobiasis)
วงชีวิต
เมื่อคนกินไข่พยาธิเข้าไป พยาธิจะไปเจริญเป็นตัวแก่ที่ cecum, colon ตัวเมียจะออกมาวางไข่รอบทวารหนัก
และ larvae ตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ง่าย
**อยู่แต่ที่ลําไส้ใหญ่ ไม่ไปไหน เพราะฉะนั้นไม่ทําให้เกิดปอดอักเสบ เหมือนพยาธิไส้เดือน!
อาการ ตัวเมียจะคลานออกมาวางไข้บริเวณรอบทวารหนัก ทําให้ผปู้ ่วยเด็กมีอาการคัน ถ้าเกามาๆ ก็อาจทํา
ให้เกิดแผลอักเสบ ติดเชื้อได้ บางครั้งอาจทําให้ปวดท้อง เบื่ออาหาร น้ําหนักลดได้
การวินิจฉัย: พบไข่พยาธิบริเวณรอบทวารหนัก
การรักษา: ควรรักษาทั้งครอบครัว เนื่องจากติดต่อกันง่ายมาก และให้การรักษาซ้ําใน 2 สัปดาห์
Albendazole 400 mg single dose
Mebendazole 100 mg single dose
Pyrentel pamoate 10-11 mg/kg single dose (Max dose 1 gm)
• พยาธิแส้ม้า (Trichuriasis)
วงชีวิต
คล้ายพยาธิเข็มหมุด คือหลังจากคนกินไข่พยาธิ จะไปฟักตัวอยู่ที่ลําไส้ใหญ่ ไม่ย้ายทีไ่ ปไหน แต่จะชอนไชที่ชั้น
mucosa ทําให้อุจจาระมีเลือดปนได้
อาการ อาจมีถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปน ปวดท้องแบบปวดเบ่ง มีอาการอาเจียน เบื่ออาหาร หรือโลหิตจางได้
การวินิจฉัย พบไข่พยาธิในอุจจาระ, proctoscope
การรักษา: Albendazole 400 mg single dose (35% cured rate)
Megendazole 100 mg bid x 3 days (96% cured rate), 500-600 mg single dose
151
• Strongyloidiasis
วงชีวิต
Chapter 19
คนกินไข่พยาธิเข้าไป หรืออาจจะเกิดจากการติดโดยตรง โดยการไชเข้าสู่ผิวหนังได้ เนื่องจากพยาธิชนิดนี้มี free-
living cycle หลังจากนั้นอาจมีการขึ้นไปอยู่ที่ trachea หรือ alveoli หรือเมื่อกลืนก็มาอยู่ในกระเพาะอาหาร สามารถชอน
ไชไปยังอวัยวะอื่น ๆ ได้
อาการ ตัวแก่ในสําไส้ทําให้เกิดอาการอักเสบจากการฝังตัวที่เยื่อบุ ทําให้ผู้ป่วยอาหารไม่ย่อย ปวดท้อง ท้องเสีย
เรื้อรัง ขาดสารอาหาร หรือเมื่อพยาธิเดินทางไปสู่ trachea แล้วก็อาจทําให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอ หรือเมื่อพยาธิเข้าไปอยู่ที่ปอด
ก็อาจทําให้เกิด pneumonia และอาจเข้าสู่ระบบการไหลเวียนเลือด disseminated strongyloidiasis
การวินิจฉัย พบ larva ในอุจจาระ
Parasitic Infections
การรักษา Chronic infection
Ivermectin 200 mcg/kg single dose (DOC)
lbendazole 400 mg bid x 7 days (ภูมิคมุ้ กันบกพร่อง 800 mg bid x 21 days)
Mebendazole 100 mg tid x 2-4 wks
Disseminated infection
Ivermectin 5-7 days
• พยาธิปากขอ (Hookworm)
วงชีวิต
เข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยการชอนไชเข้าผิวหนัง คล้าย strongyloidiasis ตัวอ่อนสามารถทําให้เกิด pneumonia ได้
แต่มักไม่ค่อยไปที่อวัยวะอื่นๆ
อาการ ตัวอ่อน ทําให้เกิด rash pruritis, pneumonia fever
ตัวแก่ ทําให้เกิด anemia, ulcer
การวินิจฉัย พบไข่ในอุจจาระ
การรักษา Albendazole 100 mg bid x 3 days or 400 mg SD (cured rate 100%)
Mebendazole 100 mg bid x 3 days or 500 mg SD (cured rate 98%)
Pyrentel pamoate 10-11 mg/kg SD (Max 1 gm) or 3 days (cured rate 36%)
พยาธิตัวแบน
• พยาธิตัวตืด (Cestodes): พยาธิตืดหมู (Taenia solium)
วงชีวิต
พยาธิตัวตืดนั้น definite host คือ หมู ไม่ใช่คน แต่คนกินเนื้อหมู ที่มี larva อยู่ใน cyst ในกล้ามเนือ้ ของหมู
(ระยะสาคู) เมื่อคนกินเข้าไปมันจะไปแบ่งตัวในลําไส้คน และอาจไปฝังอยู่ใต้ผิวหนัง หรือขึ้นสมอง ทําให้เกิด neurocystic ได้
อาการ มีอาการปวดท้อง, N/V/D น้ําหนักลด หรืออาจเกิด cysticerocosis (neurocystic) ได้
การวินิจฉัย พบปล้องพยาธิในอุจจาระ หรือตัวอ่อนในอวัยวะต่างๆ
การรักษา Adult worm: Niclosamide 2 gm single dose
เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน รอประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วทานยาระบายตาม
Praziquantel 10 mg/kg or 150 mg single dose
Cysticercosis: Albendazole 400 mg bid 8-30 days
Praziquantel 50 mg/kg/day แบ่งให้ 3 ครั้ง x 15 days
***พยาธิตืดวัว (Taenia saginata) ไม่มรี ะยะสาคูในคน ดังนั้นคนกินเข้าไปแล้วจะไม่ก่อให้เกิดโรคเหมือนพยาธิตืดหมู
• พยาธิใบไม้ในตับ (Human liver fluke)
วงชีวิต
เกิดจากคนกินไข่พยาธิที่พบในหอย หรือปลาชนิดต่างๆ หลังจากนั้นก็จะไปฟักตัวในลําไส้ และเจริญเป็นตัวแก่
ในถุงน้ําดี
อาการ พยาธิเข้าไปในทางเดินน้ําดีในตับ และมีการอุดตันทางเดินน้าํ ดี ทําให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวด
ท้อง ตัวเหลืองตาเหลือง มะเร็งท่อน้ําดี
152 1.
• พยาธิตัวจี๊ด (Gnathostomiasis)
วงชีวิต
พยาธิตัวจี๊ดจะฟักตัวเต็มวัยในสัตว์ เมื่อคนกินเข้าไปแล้วจะไม่สามารถแบ่งตัวได้ แต่คนจะได้รับตัวอ่อนของ
พยาธิตัวจี๊ด โดยการกินอาหารสุกๆ ดิบๆ จากปลาน้ําจืด เช่น Sushi, Sashimi และพบตัวแก่บริเวณเนื้อเยื่อสมอง เข้าไปใน
Infectious Diseases
Chapter 19
Chemistry นศภ.กิตติกานต์ เทพแก้ว
Antimalarial Agents
แบ่งกลุ่มยาตามโครงสร้าง
Aminoquinolines and Arylamino alcohols
Parasitic Infections
- Cinchona alkaloids: Quinine
- 4-Quinolinemethanols: Mefloquine
- 8-Aminoquinolines: Primaquine
- 9-Aminoacridines: Quinacrine
- 4-Aminoquinolines: Chloroquine
Antifolate (Dihydrofolate reductase inhibitors and sulfonamide)
- Biguanide: Proguanil
- 2,4-Diaminopyrimidine: Pyrimethamine, Trimethoprim
- Sulfonamides & Sulfones: Sulfadoxine, Dapsone
Artemisinin: Artesunate, Artemether, Arteether
Miscellaneous: (Atovaquone)
แบ่งกลุ่มยาตามเป้าหมายยา
Apicoplast: Protein, DNA and Fatty Acid synthesis
- Drug: Antibiotic
Food Vacuole: Hemoglobin degradation and heme polymerization
- Drug: Quinoline, Artemisinin
Cytoplasm: Folate metabolism
- Drug: Antifolate, Artemisinin
Mitochondria: Electron transport
- Drug: Atovaquone
Aminoquinolines and Arylamino alcohols
ยากลุ่มนี้เป็นยาต้านมาลาเรียกลุ่มใหญ่ และมีความสําคัญในแง่การนํามาใช้รักษาทางคลินิก โดยยาทุกตัวในกลุ่มมีสูตร
โครงสร้างหลักเป็น “quinoline ring”
ยาในกลุ่มนี้จะมีความเป็นเบส ที่ pH ของร่างกาย ยาจะไม่แตกตัว ทําให้สามารถ
ซึมผ่ านเข้าไปในเซลล์ เม็ ดเลือ ดแดงได้ส่ งผลให้ ยาสามารถเข้ าไปในตัวเชื้อในส่วน food
vacuole ซึ่งจะมีสภาวะเป็นกรด ดังนั้นเมื่อยาเข้าสู่ food vacuole แล้วยาจะเกิดการแตก
ตัวทําให้ยาออกมาจาก food vacuole ไม่ได้
Quinoline ring
Cinchona alkaloids ที่สําคัญมี 4 ชนิด เป็น optical isomer กัน 2 คู่คือ Quinine และ Quinidine กับ Cinchonine
และ Cinchonidine
Carbon ตําแหน่ง 8 และ 9 จะต้องมี comfiguration ที่ต่างกันจึงจะมีฤทธิ์ ถ้ามี configuration เหมือนกันจะไม่มีฤทธิ์
เช่น 8S:9S, 8R:8S
Quinine กับ Quinidine แตกต่างกันตรง configuration ของ C-atom ที่ตําแหน่งที่ 8 และ 9
Quinine เป็น 3R 4S 8S 9R
Quinidine เป็น 3R 4S 8R 9S (more toxic & more potent)
Cinchonine (3R 4S 8S 9R) และ Cinchonidine (3R 4S 8R 9S)
ในส่วนของ quinoline ring จะไม่มี 6 - methoxy group
4-Quinolinemethanols
Mefloquine มีสูตรโครงสร้างคล้าย quinine derivative โดยมีการแทนที่ quinuclidine ring ด้วย piperidine ring
ดังนั้นถ้าดื้อต่อยา quinine ก็จะดื้อยา mefloquine ร่วมด้วย และถ้าแพ้ยา quinine ก็จะแพ้ยา mefloquine ด้วย
8-Aminoquinolines
Primaquine ได้จากการพัฒนาสูตรโครงสร้างของ methylene blue ออกฤทธิ์เป็น tissue schizontocide มีผลฆ่าเชื้อ
ในเซลล์ตับ (exoerythrocytic) ได้
สูตรโครงสร้างของยาจะมี methoxy group ในตําแหน่งที่ 6 เช่นเดียวกับ quinine และ amino 2 หมู่ ที่ถูกกั้นด้วย
carbon 4 – 6 อะตอม
155
9-Aminoacridines
Quinacrine ได้ nucleus จาก quinine และ methylene blue รวมกันได้ เป็ น acridine ring มี 3 ring โดยมี side
chain เป็น amino 2 หมู่ ที่ถูกกั้นด้วย carbon 4 – 6 อะตอม
Chapter 19
Parasitic Infections
4-Aminoquinolines
Chloroquine: การแทนที่ C-8 ด้วย Cl จะเพิ่มฤทธิ์ การเกิด alkylation ที่ C-3, C-8 จะทําให้หมดฤทธิ์ การแทนที่ N-
ethyl group ด้วย Hydroxyethyl จะได้ Hydroxychloroquine ซึ่งจะมีความเป็นพิษลดลง
Antifolate
Biguanides : proguanil
Proguanil หรือ chloroguanide จะถูกเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้เป็น metabolite ที่เป็น triazine derivatives คือ
cycloquanil ซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ dihydrofolate reductase
Halogen ใน phenyl ring หากอยู่ในตําแหน่ง para จะให้ activity สูงสุด และการเติม Cl ใน phenyl ring ที่ตําแหน่ง
ที่ 3 จะเพิ่มฤทธิ์ให้มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มคี วามเป็นพิษมากเพิม่ ขึ้นด้วย
156 1.
Artemisinin
Unit 3
Infectious Diseases
Dioxy bridge (endoperoxide) ใน dioxypine ring มี ค วามสํ า คั ญ ต่ อ ฤทธิ์ antimalarial activity โดยหากเป็ น
deoxyartemisinin จะไม่มีฤทธิ์ (inactive)
Atovaquone
Antihelminthic agents
Benzimidazole: Mebendazole, Albendazole, Thiabendazole
N
N
H
Benzimidazole ring
ยากลุ่มนี้มีโครงสร้างหลักเป็น Benzimidazole ring มีการละลายน้ําต่ํา จึงเหมาะแก่การออกฤทธิ์ในทางเดินอาหาร
กลไกออกฤทธิ์ยับยั้ง Fumarate reductase ของพยาธิ การเกิด metabolism โดยการเติม OH ที่ C-5
Mebendazole Thianendazole
SAR:
ตําแหน่ง C4 ถ้ามีหมูแทนที่ ฤทธิ์จะน้อยลง
ตําแหน่ง C5 ถ้ามีหมู่แทนที่ t1/2 จะนานขึ้น เพราะถูกขับออกช้า
เปลี่ยนจาก 2-(4-Thiazoyl) เป็น 2-Phenol จะเพิ่มความเป็นพิษต่อไตมากขึ้น เนื่องจาก ตําแหน่ง 5 เกิด conjugate
กับ glucuronide แล้วได้สารที่ไม่ละลายน้ําตกค้างที่ไต
เปลี่ยน 2-(4-Thiazoyl) เป็น 2-carbamate จะทําให้ฤทธิ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะออกฤทธิ์โดย
- ยับยั้ง Glucose uptake จาก host
- ยับยั้งการรวมตัวของ M-tubulin ไปเป็น tubulin ซึ่งมีความสําคัญต่อการขนย้าย cell
157
Tetrahydropyimidies: Pyrantel pamoate
Chapter 19
Parasitic Infections
Pyrentel pamoate
Pyrantel มี ฤ ทธิ์ เ ป็ น depolarizing neuromuscular blocking agent ทํ า ให้ เ กหลั่ ง Acetylcholine และยั บ ยั้ ง
cholinesterase ซึ่งทําให้เกิด paralysis
การทําเป็นเกลือ palmoate ทําให้ละลายน้ําได้น้อยลง แต่มีความจําเพาะกับพยาธิมากขึ้น
Ivermectin
Ivermectin สกั ด จากเชื้ อ รา Streptomyces avermitilis ได้
ส าร Avermectins ซึ่ งเป็ น 16-membered macrocyclic lactones
สารที่ ไ ด้ จ ะเป็ น ของผสมระหว่ า ง Dihydroavermectin B1α และ B1 α
อั ต ราส่ วน 80:20 เมื่ อ เกิ ด ป ฏิ กิ ริ ย า reduction ที่ double bond
ตําแหน่ง C-22 และ C-23 จะได้ Ivermectin ทําให้มีฤทธิ์มากขึ้น
Ivermectin ถู ก ดู ด ซึ ม อย่ า งรวดเร็ ว และจั บ กั บ plasma Ivermectin
protein ได้สูง
ก ล ไ ก ข อ ง Ivermectin เป็ น α -aminobutyric (GABA)
agonist จ ะ เห นี่ ย ว นํ า ใ ห้ เกิ ด ก า ร influx ข อ ง Cl- ทํ า ใ ห้ เกิ ด
hyperpolarization และ muscle paralysis
Praziquantel
Praziquantel เป็ น isoquinoline derivatives มี กลไกเพิ่ ม
cell membrane permeability ต่อ Calcium ทําให้เกิดการกดตัวของกล้ามเนื้อ และเป็นอัมพาต
SAR:
4-oxo สําคัญต่อการออกฤทธิ์
2-acyl/thioacyl (N-C=O) (เมื่อเปรียบเทียบฤทธิ์เรียงจากน้อยไปมากดังนี้ open chain,
cyclic aliphatic, Aromatic ตามลําดับ)
Niclosamide Praziquantel
Niclosamide
Halogenated salicylanilides มี amide ในโครงสร้ า ง ทํ า ให้ ก ารละลายต่ํ า ต้ อ งเคี้ ย วยา มี ก ลไกยั บ ยั้ ง การเกิ ด
Oxidative phosphorylation ส่งผลให้ยับยั้งการสังเคราะห์ ATP
158 1.
Anti-amoebiasis agents
Ipecac alkaloids: Dehydroemetine
Dehydroemetine มี ฤ ทธิ์ เป็ น systemic amoebicides ด้ ว ยกลไกยั บ ยั้ ง การ
เคลื่ อ นที่ ข อง mRNA บน ribosome ตั ว ยาไม่ ล ะลายน้ํ า จึ งทํ า อยู่ ในรู ป เกลื อ di HCl ที่
Unit 3
เอกสารอ้างอิง
Lemke TL. Antiparasitic agents. In: Lemke TL, William DA, Roche VF, Zito SW, editors. Foye’s Principles
of medicinal chemistry. 6th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2008. p. 1084-111.
Chapter
20 HIV and OIs Infections
นศภ.จิตต์ชนก ชาญสตบุตร
HIV infection
HIV เป็ น enveloped single-stranded RNA virus เป็ น subfamily
ของ retroviruses มี 2 ประเภทคือ HIV-1 พบได้มากทั่วโลก และ HIV-2 พบมาก
ในทวีป Africa
Pathogenesis
- เชื้ อ HIV เข้ า สู่ ร่ า งกายมนุ ษ ย์ โ ดยอาศั ย gp 160 (ประกอบด้ ว ย
gp120 และ gp41) ซึ่ ง มี ค วามจํ า เพาะต่ อ CD4 receptor บน T-
cell, monocytes, macrophages, dendritic cells และ brain
mocroglia โดยจะหลอมรวมเข้ากับ membrane หลังจากนั้นก็ uncoated protein ที่หุ้ม nucleic acid ไว้ เพื่อ
เตรียมสําหรับ replication
- HIV จะใช้ enz. RNA-dependent DNA polymerase (Reverse transcriptase) ในการถอดรหั ส RNA สาย
เดี่ยว เพื่อสร้างเส้นคู่ DNA และนํา DNA เข้าสู่ cell ปกติของ host โดยอาศัย integrase enz.
- DNA ก็จะทําหน้าที่ transcription และ translation เพื่อสร้างโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเชื้อ
- โปรตีนที่เป็นองค์ประกอบของเชื้อ จะถูกส่งไปยังเซลล์เมมเบรน และถูกขนส่งออกไปนอกเซลล์โดยการ budding
จากนั้นโปรตีนของเชื้อจะถูกตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกด้วย protease enz. ได้เป็นโปรตีนที่จําเป็นในการประกอบ
เข้ากันเป็นเชื้อ HIV ตัวใหม่
ภาพที่ 1 แสดง Pathogenesis ของการติดเชื้อ HIV
160
การติดต่อ
- การมีร่วมเพศ
- ผ่านทางการสัมผัสเลือด, การได้รบั เลือด, การใช้เข็มร่วมกัน
- การติดเชื้อจากแม่สลู่ ูก, การให้นม
Unit 3
4. PIs (Protease inhibitors): Indinavir (IDV), Ritonavir (RTV), Saquinavir (SQV), Lopinavir/Ritonavir
(LPV/r), Atazanavir (ATV), Darunavir (DRV)
Chapter 20
กลไกการออกฤทธิ:์ ออกฤทธิ์ยับยั้งการทํางานของ protease ของเชื้อ ทําให้โปรตีนสายยาวตั้งต้นที่ถกู สร้างขึ้นไม่ถูก
เปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนของเชื้อ HIV โดยยาจะเข้าไปจับกับ binding site ของ enz. ทําให้ enz. ไม่สามารถทํางานได้ แต่เชื้อ HIV ยัง
สามารถถูกสร้าง และปลดปล่อยจากเซลล์ของ host แต่เป็นเชื้อที่ไม่สมบูรณ์และไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อต่อเซลล์อื่นๆ ได้
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส
สูตรยาต้านไวรัส
***สูตรยา GPO-VIR S30 NVP 200mg + 3TC 150mg + d4T 30mg
GPO-VIR S40 NVP 200mg + 3TC 150mg + d4T 40mg
GPO-VIR Z NVP 200mg + 3TC 150mg + AZT 250mg
- TDF เป็น NtRTIs ใช้อย่างระมัดระวังในผู้ที่มี CrCl ผิดปกติ และผูส้ งู อายุ และผูต้ ิดเชื้อ HIV ที่ติดเชื้อ HBV ร่วมด้วย
- d4T มีผลข้างเคียงระยะสั้นน้อย แต่ควรหยุดยาเมื่อใช้นานกว่า 6-12 เดือน โดยเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่น
- EFV เป็น NNRTIs ใช้ในผู้ป่วยแพ้หรือเกิด hepatitis รุนแรงจาก NVP แต่ห้ามใช้ EFV ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก
162
การประเมินผลการรักษาด้วยยา ARV
การติดตามประเมินผลปัจจุบันคือ การตรวจ viral load และระดับ CD4 โดยทั่วไปแล้วถ้าผู้ป่วยรับประทานยาในขนาด
ที่ถูกต้อง สม่ําเสมอ ผู้ป่วยจะมี viral load ลดลงจนน้อยกว่า 50 copies/ml ในเวลา 6 เดือน ถ้า viral load > 50 copies/ml
ให้สงสัยว่าการรักษาล้มเหลว และหากระดับ CD4 ลดลง อาจมีอาการบ่งถึง clinical failure เช่น ติดเชื้อฉวยโอกาส
Unit 3
ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วย ARV
Sign Symptom Risk Prevention Treatment
Skin Rash
NVP 14.8% -เกิด 2-3 วันแรกถึงหลาย wk -ใช้ NVP ในเพศหญิง คน -เริ่ม NVP 200 mg q -ให้ antihistamine
EFV 26% -ส่วนใหญ่เป็นผื่นแบบ MP rash แอฟริกา เอเชีย 12 hr ใน 2 wk แรก -หยุดยาถ้ามีอาการ
-EFV มี incident เพิ่มขึ้น ในรายที่ไม่เคยได้รับยา มากขึน้
ในเด็ก มาก่อน
BM suppression
AZT พบภาวะ -เกิด 2-3 วันแรกถึงหลายเดือน -AZT ขนาดสูง -เลี่ยงการใช้ AZT ใน -เปลี่ยนยา
โลหิตจาง 1.1- -มีอาการอ่อนเพลีย เพิม่ โอกาสติด -มี neutropenia มาก่อน ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยว -ให้เลือดเมื่อจําเป็น
0.4% และ เชื้อ bac จาก neutropenia -ใช้ยากด BM ร่วม เช่น -ตรวจ CBC ทุก 3-6 -ให้ folic acid
neutropenia cotrimoxazole mo
1.8-8.0%
Hepatotoxicity
เกิดจาก ARV -NNRTIs 60% เกิด hepatitis ใน -ติดเชื้อ HBV/HCV ด้วย -ติดตาม LFT: AST, -หยุดยา ARV
กลุ่ม NNRTIs, 12 wk โดย 50% ของผู้ที่มีตับ -พิษสุราเรื้อรัง ALT ตอนเริ่มต้น wk หลังจาก LFT ปกติ
PIs, NRTIs ทุก ผิดปกติจาก NVP จะมีผื่นร่วมด้วย -ใช้ยาที่มีพิษต่อตับร่วม ที่ 2 และ 4 จากนั้น ให้เริ่มยาชนิดอื่น
ชนิด -NRTIs เกิดหลังรับยาหลายเดือน -NVP-associated ตรวจทุก 1 mo ใน 3 แทนยาที่สงสัย
จนถึงปี ได้แก่ AZT, ddI, d4T ส่วน hepatic events พบใน mo แรก และทุก 3-6
3TC, FTC, TDF เกิดในผู้ป่วยที่มี หญิงที่มี CD4 > 250 mo
HBV ร่วมด้วย cell/mm3 หรือชายที่มี
-PIs เกิดหลังใช้ยาหลายสัปดาห์ถึง CD4 > 400 cell/mm3
หลายเดือน ก่อนเริ่ม ARV
Nephrotoxicity
เกิดจาก IDV -กรณี IDV เกิดหลังจากรับยาหลาย IDV และ TDF -IDV ให้ผู้ป่วยดื่มน้ําให้ -หยุดยา ARV
และ TDF เดือน น้อยมากที่จะทําให้เกิด CKD -มี Hx.เป็นโรคไตมาก่อน เพียงพอ -ให้ supportive
Lab: Cr สูง -มีการใช้ยาที่มีพิษต่อไต -ติดตาม Scr, K, P, therapy
-ส่วน TDF เกิดได้หลังจากรับยา ร่วม urinalysis -ให้ e’lyte ทดแทน
หลายสัปดาห์หรือหลายเดือน TDF
Lab: Cr สูง, proteinuria, -สูงอายุ, นน.ตัวน้อย,
glucosuria, hypoK, hypoP, met. CD4 ต่ํา
acidosis
163
Sign Symptom Risk Prevention Treatment
Lactic acidosis, hepatic steatosis + pancreatitis (severe mitochondrial toxicity)
Chapter 20
NRTIs: d4T -เกิดหลังจากได้รับยาหลายเดือน -d4T มีความเสี่ยงมากสุด -ไม่ควรให้ d4T+ddI -หยุดยาต้านทั้งหมด
และ ddI ส่วน -เริ่มด้วยอาการแบบ nonspecific รองลงมาคือ ddI, AZT -ห้ามให้ d4T+ddI ใน -ให้การรักษาแบบ
AZT พบน้อย GI prodrome เช่น N/V เบื่ออาหาร -เพศหญิง หญิงตั้งครรภ์โดย supportive care
ปวดท้อง อ่อนเพลีย น้ําหนักลด -ความอ้วน, BMI สูง เด็ดขาด โดยให้ IV fluid
จากนั้นอาการจะรุนแรง ชีพจรเต้น -d4T+ddI โดยเฉพาะใน อย่างเพียงพอ บาง
เร็ว หายใจเร็ว หอบ ดีซ่าน หายใจ หญิงตั้งครรภ์ รายอาจต้องได้ IV
ลําบาก อวัยวะทํางานล้มเหลว -ใช้ ddi+hydroxyurea bicarb, H/D
AZT และ PIs บาง ถึงหลายเดือน hyperglycemia ยาที่เป็นสาเหตุถ้า แทน d4T, AZT
ชนิด พบ 3-5% -มี polyuria, polydipsia, -มีประวัติ DM ใน สามารถทําได้ เป็นสูตร NNRTI-
polyphagia, fatigue ครอบครัว -ตรวจ FBS ก่อน based regimen
เริ่มยา 1-3 เดือน -เมื่อจําเป็นต้อง
หลังเริ่มยา และ ให้การรักษาให้ใช้
Infectious Diseases
Peripheral neuropathy
เกิดจาก ddI 12- -เกิดหลังรับยาหลายสัปดาห์ถึง -เคยเป็น peripheral -หลีกเลี่ยงการใช้ -อาจเปลี่ยนยาอื่น
34%, d4T 52% หลายเดือน neuropathy ยาในผู้ที่มีปัจจัย แทนเมื่อมีอาการ
พบเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ -เกิดเร็วขึ้นในผู้ที่มี -ผู้ป่วย advanced เสี่ยงของภาวะนี้ มากขึ้น
ยานานขึ้น neuropathy มาก่อน HIV Dz. -หลีกเลี่ยงการใช้ -การรักษาด้วยยา
-ใช้ d4T + ddI ยาร่วมกัน อาจใช้ยา
-มีอาการชาของเท้าและนิ้วเท้า -ใช้ยาที่ทําให้ gabapentin, TCA,
อาจปวดแบบ painful intracellular activity lamotrigine,
neuropathy ของ ddI เพิ่มขึ้น เช่น oxycarbamazepin
เกิดน้อยกับแขนและมือ TDF, hydroxyuria, e, topiramate,
-บางรายมีอาการมาก หยุดยา ribavirin tramadol,
capsaicin cream,
แล้วยังมีอาการถาวร topical lidocaine
Cardiovascular effects including MI, CVA
PIs: MI, CVA -เกิดหลังได้รับยาเป็นเวลานาน -เสี่ยงต่อ CAD เช่น -ประเมิน cardiac -life style
MI พบ 0.3-0.6% เป็นเดือน เป็นปี สูบบุหรี่ สูงอายุ HTN risk factor modification
CVA พบ 0.1%/ปี -อาการของ coronary artery DM DLP -เฝ้าระวังการเกิด -ป้องกันและ
dz. (CAD) -มี Hx. or Fx มาก่อน hyperlipid, รักษาภาวะเสี่ยง
hypergly เช่น hyperlipid,
-life style HTN DM
modification -เปลี่ยนยาเป็น
กลุ่ม NNRTI
165
การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อ HIV จากมารดาสู่ทารกด้วยยา ARV
- ขณะตั้งครรภ์
• ไม่เคยได้รับยา ARV ก่อนเริ่มตั้งครรภ์ พิจารณาตาม CD4
Chapter 20
CD4 count ระยะเวลาการให้ยา
3 สูตรแรกที่แนะนํา
(cells/mm ) การเริ่มยา การหยุดยา
< 350 AZT + 3TC + LPV/r เริ่มยาทันทีโดยเร็วที่สดุ ไม่ต้องหยุดยาหลังคลอด
> 350 AZT + 3TC + LPV/r เริ่มยาเร็วที่สดุ เมื่ออายุครรภ์ หยุดยาหลังคลอดพร้อมกันทุกตัว
ตั้งแต่ 14 สัปดาห์ขึ้นไป
CD4 < 350 cells/mm3 ให้ยาชนิดเดิม + AZT CD4 < 350 cells/mm3 Full term
• AZT + 3TC 1 เม็ด + LPV/r 300 mg q 3 hr or - รักษาด้วยยาต้านไวรัส • GA > 35 wk
(200/50) 2 เม็ด q 12 hr (เริ่มยา 600 mg ครั้งเดียวจน ต่อเนื่อง (ถ้า CD4 < 200 -AZT (syr) 4 mg/kg q 12 hr x 4
เร็วที่สุดไม่สนอายุครรภ์) (ถ้า คลอดเสร็จ cells/mm3 ให้ TMP- wk (เริ่มภายใน 1 hr หลังคลอดดี
CD4 < 200 cells/mm3 ให้ SMX 2 เม็ด q 24 hr) ที่สุด)
Infectious Diseases
Chapter 20
ข้อบ่งชี้การเริ่มยา
ยาป้องกัน ข้อบ่งชี้ในการ ยาป้องกัน ข้อบ่งชี้ในการ
ใหม่
หยุดยาป้องกัน หยุดยาป้องกัน
Pneumocystic 1st line CD4 > 200 เหมือน Primary prophylaxis CD4 > 200 CD4 < 200
jiroveci TMP-SMX 1 DS PO OD or 1 cell/mm3 cell/mm3 cell/mm3 หรือเกิด
pneumonia (PCP) SS PO OD > 3 months > 3 months PCP ในขณะทีม่ ี CD4
Alternative > 200 cell/mm3
TMP-SMX 1 DS PO tiw
Dapsone 100 mg PO OD or
การรักษา 21 วัน TMP & 75-100 MKD ของ SMX Dapsone 100 mg/day PO mmHg) ควรได้รับ prednisolone ใน
PO q 8 hr Clindamycin 300-450 mg PO 72 ชม. ทีเ่ ริ่มรักษา PCP โดยให้
TMP-SMX DS (160/800mg) 2 q 6-8 hr + Primaquine 30 mg • วันที่ 1-5: 40 mg PO bid
tab PO tid base PO OD • วันที่ 6-10: 40 mg PO OD
Moderate to severe disease Atovaqoune 750 mg PO q 12 • วันที่ 11-21: 20 mg PO OD
TMP-SMX 15-20 MKD ของ hr with meal หรือให้ยา IV methylprednisolone
Infectious Diseases
TMP & 75-100 MKD ของ SMX Moderate to severe disease ขนาด 75% ของยา prednisolone
IV q 6 hr or 8 hr หรือ PO เมือ่ Clindamycin 600-900 mg IV or
อาการดีขนึ้ 300-450 mg PO q 6-8 hr + *A-a gradient:
Primaquine 30 mg base PO Alveolar to arterial gradient
OD x 21 days
Pentamidine 4 MKD IV infuse
นาน >60 min
Oropharyngeal candidiasis Fluconazole 100 mg PO OD Itraconazole oral solution ใช้ยากลุ่ม azoles นานๆ อาจทําให้เชื้อ
ระยะเวลาการรักษา 7-14 วัน Clotrimazole oral troches 10 200 mg PO OD ดื้อยา ไม่แนะนําให้ใช้ยาเพื่อป้องกัน
mg PO 5 ครั้ง/วัน Posaconazole oral solution หากจําเป็นต้องใช้ แนะนําให้ใช้
Nystatin suspension 4-6 ml 400 mg PO bid x 1 then 400 Fluconazole 100 mg PO tiw หรือ
PO qid mg OD Itraconazole oral solution 200 mg
PO OD
Esophageal candidiasis Fluconazole 100 mg (Max. Voriconazole 200 mg PO, IV
ระยะเวลาในการรักษา 14-21 วัน 400 mg) PO, IV OD bid
Itraconazole oral solution Posaconazole 400 mg PO bid
200 mg PO OD Amphotericin B (AMB) 0.6
MKD IV OD
Uncomplicated vulvovaginal Fluconazole 150 mg PO x 1 Itraconazole oral solution
candidiasis dose 200 mg PO OD x 3-7 days
Topical clotrimazole or
miconazole x 3-7 days
Aspergillosis Voriconazole 6 mg/kg IV q AMB 1 MKD IV **อาจเกิด drug interaction ระหว่าง
12 hr x 1 day ต่อจากนั้น 4 Lipid formation AMB 5 MKD voriconazole กับ PIs or NNRTIs
mg/kg IV q 12 hr หลังจากนั้น IV
200 mg PO q 12 hr
Cryptococcal meningitis Induction therapy Induction therapy
AMB 1 MKD IV x 2 wk Fluconazole 800-1200 mg/day
AMB 0.7 MKD IV + PO or IV
fluconazole 800 mg/day PO
or IV
Consolidation therapy Consolidation therapy
Fluconazole 800 mg/day OD Itraconazole 200 mg/day PO bid
x 8-10 wk
Maintenance or suppression Maintenance or suppression
therapy therapy
Fluconazole 200 mg/day PO Itraconazole 200 mg PO bid
OD AMB 1 mg/kg IV weekly
Penicilliosis Severe disease Severe disease
AMB 0.6 MKD IV x 2 wk AMB 0.7 MKD IV x 2 wk
ต่อจากนัน้ itraconazole 400 ต่อจากนัน้ AMB 0.4-0.5 MKD
mg PO OD x 10 wk IV x 2 wk ต่อจากนั้น x 10-12
Mild disease wk
Itraconazole 400 mg PO OD Itraconazole 200 mg/day IV
x 8 wk x 10-12 wk
Maintenance or suppression Mild disease
therapy Itraconazole 200 mg PO tid
Itraconazole 200 mg PO OD x 3 day จากนั้น 200 mg PO
bid x 12 wk
169
OIs ยาที่เลือกใช้เป็นอันดับแรก ยาอื่นๆ ที่อาจใช้แทนกันได้ หมายเหตุ
Histoplasmosis Moderate to severe disease Moderate to severe disease
(Disseminated) Liposomal AMB 3 mg/kg IV x AMB 0.7 mg/kg IV x 2 wk หรือ
Chapter 20
2 wk ต่อจากนั้น itraconazole AMB lipid complex 5 MKD IV x 2
200 mg PO tid x 3 days wk ต่อจากนั้น itraconazole 200
หลังจากนัน้ ให้ bid x 12 wk mg PO bid x 12 wk
Less severe disease
Itraconazole 200 mg PO tid x
3 days หลังจากนั้นให้เป็น bid x
12 mo
Maintenance or suppression
เอกสารอ้างอิง
1. Jellinger PS, Smith DA, Mehta AE, Ganda O, Handelsman Y, Rodbard HW, Shepherd MD, et al. American
Association of Clinical Endologists’ Guidelines for Management of Dyslipidemia and Prevention of
Atherosclerosis. Endocrine Practice. 2012:18(Suppl 1);1-78.
2. Weng TC, Yang YHK, Lin SJ and Tai SH. A systematic review and meta-analysis on the therapeutic
equivalence of statins. Journal of Clinical Pharmacy and Therapeutics. 2010:35;139–51.
3. Rosenson RS and Freeman MW. Statins: Actions, side effects, and administration [webpage on internet].
Last review Feb 8, 2013. Cited Mar 9, 2013. Available from : http://www.uptodate.com/contents/statins-
actions-side-effects-and-administration.
170
Unit 3
Infectious Diseases
การติดตามผลการรักษา
เนื่องจากโรคเกลื้อนมักเกิดซ้ําได้ นอกจากการปฏิบัติตนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในบางราย อาจจําเป็นต้องให้การรักษาเพื่อ
ป้องกันการกลับเป็นซ้ํา ได้แก่
1. ยาทามาตรฐาน กลุ่มยาสระผมฆ่าเชื้อรา เช่น แชมพูผสม selenium sulfide, ketoconazole ฟอกตัวสัปดาห์ละครั้ง
2. ยารับประทาน ในรายที่แพ้ยาทาหรือไม่สะดวกที่จะใช้ยาทา พิจารณาให้ Ketoconazole 400 mg เดือนละ 1 ครั้ง
หรือ วันละ 200 mg ติดต่อกัน 3 วัน เดือนละครั้ง
Infectious Diseases
โรคกลาก (Dermatophytosis)
Dermatophytosis เป็นโรคติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte ซึ่งจะก่อโรคในสวนของผิวหนังที่สร้างเคอราติน (keratin)
เท่านั้น ฉะนั้นจะเกิดโรคได้ที่ผิวหนังชั้นขี้ไคล (stratum corneum) เส้นผมและเล็บ
โรคกลากที่ศีรษะ (Tinea capitis)
เป็นโรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ และเส้นผม พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ สามารถติดต่อได้จาก
การใช้สิ่งของร่วมกัน จะเกิดผมร่วง หลายๆหย่อม มีขอบเขตชัดเจน มีสะเก็ดคล้ายรังแคที่หนังศีรษะ
ผู้ป่วยจะคันและอยากเกา เกิดจากเชื้อราพวก Trichophyton, Epidermophyton
โรคกลากที่ผิวหนัง เป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังทั่ว ๆ ไป มีอาการคันมาก
ลักษณะผื่นที่พบบ่อย ได้แก่
1. เป็นวงขอบนูนแดง (Annular lesion หรือ Ringworm) ผื่นของกลากชนิดนี้มีลักษณะเป็น
วงกลม หรือรีหรือวงแหวนมีขุย อาจพบตุ่มน้ําใสที่ขอบ ตรงกลางวงอาจราบลงได้ในขณะที่ขอบขยาย
ออกเรื่อย ๆ บางครั้งเกิดหลายวงซ้อนกันหรือเรียงต่อกันก็ได้
2. ผื่นนูนแดง มีขุย (Papulosquamous lesion) ลักษณะเป็นผื่นนูนแดงมีขุยหรือสะเก็ด
หนาปกคลุม
โรคกลากที่เล็บ (Tinea unguium)
(ดูในเรื่องโรคเชื้อราที่เล็บ)
การรักษา
การรักษามาตรฐาน (Standard treatment)
1.1 ยาทา
- Keratolytic ไดแก benzoic acid compound (Whitfield’s ointment)
- Undecylinic acid (Desenex)
- Tolnaftate
- Imidazole ไดแก clotrimazole, econazole, ketoconazole, miconazole
- Allylamine
ระยะเวลาที่ให้ขึ้นกับตําแหน่งที่เป็นคือ กลากที่ผิวหนังทั่วไป ให้นาน 2 - 4 สัปดาห์ กลากที่หนังศีรษะ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
อย่างน้อย 6 - 8 สัปดาห์
1.2. ยารับประทาน ได้แก่ griseofulvin (micronized) 0.5 – 1 g/day (ดูตามตาราง) ข้อบ่งชี้ในการใช้ คือ กลากที่
หนังศีรษะ เส้นผมและเล็บ หรือ กลากที่ผิวหนัง ที่เป็นบริเวณกว้าง ไม่ตอบสนองต่อยาทาเป็นเรื้อรังหรือกลับเป็นซ้ําบ่อย ๆ หรือ
รายที่มีโรคตามระบบอื่น ๆ หรือได้ยากดภูมิต้านทาน
173
Chapter 21
Fungal Infection
การรักษาทางเลือก (Alternative treatment)
ยารับประทาน ใช้ในรายที่แพ้ยา griseofulvin มีข้อห้ามในการใช้ยา griseofulvin ไม่ตอบสนองหรือไม่สะดวกในการให้
ยาในการรักษามาตรฐาน ยาที่ใช้ ได้แก่
- Ketoconazole
- Itraconazole
- Terbinafine
การรักษาประคับประคอง (Supportive treatment)
• ใส่เสื้อผ้าและรองเท้าโปร่งที่อากาศถ่ายเทได้
• ใช้ยาลดเหงื่อ เช่น 6.25 - 20% aluminium chloride ถ้าเป็นในบริเวณที่อับและเหงื่อออกมาก เช่น รักแร้ ฝ่าเท้า
• ใช้ undecylinic acid หรือ tolnaftate powder โรยเท้า
• ไม่ควรใช้สิ่งเหล่านี้ร่วมกับผู้อื่น เช่น หวี เสื้อผ้า กรรไกรตัดเล็บ รองเท้า
• ใน T. capitis ใช้ selenium sulfide หรือ ketoconazole shampoo สระผมร่วมด้วยเพื่อลดจํานวน spore
โรคเชื้อราที่เล็บ (Onychomycosis)
Onychomycosis คือ การติดเชื้อราที่เล็บ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของความผิดปกตของเล็บเกิดได้ทั้งที่เล็บมือและ
เล็บเท้า แต่มักพบที่เล็บเท้ามากกว่า แบ่งตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุได้ 2 กล่ม
1. เกิดจากเชื้อกลาก เรียก tinea unguium เป็นชนิดที่พบได้บ่อยทีสุด
2. เกิดจากเชื้อราอื่น ๆ พบได้น้อย มักพบในรายที่เป็นโรคอื่น ๆ ของเล็บ หรือมการบาดเจ็บที่เล็บมาก่อน
การรักษา
โรคเชื้อราที่เล็บมือ
การรักษามาตรฐาน (Standard treatment)
Griseofulvin (micronized) 0.5-1 g/day นาน 4 - 6 เดือน หรือจนกว่าเล็บจะงอกปกติ ถ้าภายใน 3 เดือนอาการไม่ดี
ขึ้นหรือเลวลง ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การรักษาทางเลือก (Alternative treatment)
Itraconazole 200 mg วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน เดือนละครั้งนาน 2 เดือน (pulse therapy)
Terbinafine 200 mg วันละครั้งนาน 6 สัปดาห์
Adjunctive treatment การถอดเล็บโดยวิธีการใช้ยาทา (40 % urea) หรือการผ่าตัด อาจพิจารณาในรายที่เล็บหนามาก
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
174
โรคเชื้อราที่เล็บเท้า
การรักษามาตรฐาน (Standard treatment)
Griseofulvin (micronized) 0.5 - 1 g/day นาน 8 - 12 เดือน หรือจนกว่าเล็บจะงอกปกติ ถ้าภายใน 3 เดือน อาการ
ไม่ดีขึ้นหรือเลวลงให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
Unit 3
Itraconazole 200 mg วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน เดือนละครั้ง นาน 3 - 4 เดือน (pulse therapy)
Terbinafine 200 mg วันละครั้ง นาน 12 สัปดาห์
Adjunctive treatment
การถอดเล็บโดยวิธีการใช้ยาทา (40% urea) หรือการผ่าตัด อาจพิจารณาในรายที่เล็บหนามาก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
Infectious Diseases
การติดตามผลการรักษา : วัดความยาวของเล็บปกติเดือนละครั้ง
โรคติดเชื้อแคนดิดา (Candidiasis)
Candidiasis เป็นผื่นที่ผิวหนังและเยื่อบุต่าง ๆ ที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม candida ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นจาก Candida
albicans ซึ่งเป็นเชื้อราที่พบเป็นปกติ (normal flora) ในเยื่อบุช่องปาก ทางเดินอาหารและช่องคลอด เชื้อแคนดิด้าจะก่อโรคใน ผู้
ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้
(1) Non-immunologic factors เช่น มีแผลถลอก อับชื้น การได้รับยาปฏิชีวนะหลายๆ ชนิดทําให้ มีการทําลายเชื้อ
แบคทีเรียที่พบปกติบนเยื่อบุ (normal bacterial flora) การขาดธาตุเหล็ก โรคเบาหวาน Cushing syndrome ภาวะตั้งครรภ์
การได้รับยาคุมกําเนิด เป็นต้น
(2) Immunologic factors ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น เอดส์ ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหรือเป็นโรค
เรื้อรังอื่น ๆ
การวินิจฉัย
ลักษณะทางคลินิก ขึ้นกับตําแหน่งที่เป็น
บริเวณเยื่อบุช่องปาก ที่พบบ่อยมี 3 แบบ คือ
- ผื่นเป็นฝาขาวคล้ายคราบน้ํานม ถ้าขูดออกจะพบเป็นรอยถลอกมีเลือดออกง่าย พบได้บ่อยที่สุด
- เป็นผื่นแดง เป็นแผลตื้นๆ ผิวเลี่ยน มักมีอาการเจ็บ พบบ่อยบริเวณลิ้น เพดาน โดยเฉพาะใต้ฟันปลอม
- ผื่นแดง เปื่อยเจ็บที่มุมปากทั้ง 2 ข้าง
บริเวณอวัยวะเพศ
- ที่ช่องคลอด มาด้วยผื่นแดง คัน มีตกขาวคล้ายครีม
- ที่อวัยวะเพศชายมักเป็นบริเวณ glans penis, prepuce ลักษณะเป็นผื่นแดง คัน อาจมีตุ่มหนองร่วมด้วย
บริเวณผิวหนัง
มักเป็นบริเวณซอกพับต่าง ๆ เช่น ใต้ราวนม รักแร้ ขาหนีบ โดยเฉพาะในคนอ้วน ลักษณะเป็นผื่นแดง คัน แฉะ
ผิวหนังเปื่อยลอก ขอบเขตชัดเจน มักมีตุ่มแดงขนาดเล็ก ๆ หรือตุ่มหนองกระจายอยู่ที่บริเวณขอบ ๆ ของผื่น (satellite lesion)
ในคนที่มือและเท้าโดนน้ําบ่อย ๆ พบผื่นที่ซอกนิ้วได้
ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ เล็บอักเสบ
พบมากที่เล็บมือ พบในคนที่มือสัมผัสน้ําบ่อย ๆ อาการมีบวมแดง เจ็บ บางครั้งพบหนอง ผิวหนังรอบเล็บแยก
ออกจากแผนเล็บ อาจมีความผิดปกตของเล็บร่วมด้วย เช่น ผิวเล็บเป็นคลื่น เปลี่ยนเป็นสีน้ําตาล
การรักษา
การรักษามาตรฐาน (Standard treatment)
ยาต้านเชื้อราชนิดใช้เฉพาะที่ บริเวณเยื่อบุช่องปาก
- Nystatin oral suspension (4 - 6 แสน IU) อมกลั้วปากแล้วกลืน วันละ 5 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์
- ยาอม clotrimazole (1 มก.) วันละ 5 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ บริเวณผิวหนัง ขอบเล็บและอวัยวะเพศชาย
- Imidazole cream ทาวนละ 2 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ บริเวณชองคลอด
- ยาเหน็บช่องคลอด nystatin และกล่ม imidazole
ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน ใช้ในรายที่เป็นบริเวณกว้างหรือภูมิคุ้มกันผิดปกติหรือไม่ตอบสนองต่อยาทา
- Ketoconazole 200 mg/day นาน 10 – 14 วัน
175
การรักษาทางเลือก (Alternative treatment)
ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน
- Itraconazole 100 – 200 มก./วัน นาน 10 – 14 วัน
Chapter 21
- Fluconazole 50 – 100 มก./วัน นาน 7 วัน
การรักษาประคบประคอง (Supportive treatment)
รักษาปัจจัยเสี่ยง
ในรายที่ติดเชื้อที่อวัยวะเพศ ให้รักษา sexual partner ด้วย
Fungal Infection
176
นศภ.พิชานี ศักดิ์ศรีศิริสกุล
ภาพแสดงกระบวนการสังเคราะห์ cell membrane ของเชื้อรา (Ergosterol) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกการออกฤทธิ์ของยา
Infectious Diseases
Classification
แบ่งตามประโยชน์ในการรักษา
1. Systemic antifungal infection : ได้แก่ Amphotericin B, Flucytosine, Ketoconazole
2. Superficial antifungal infection : แบ่งออกเป็น
- รักษาโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังผม และเล็บจากเชื้อกลุม่ Dermatophytes ได้แก่ ยาทา เช่น Tolnaftate,
Naftifine, Clotrimazole, Miconazole และยากิน ได้แก่ Griseofulvin, Ketoconazole
- รักษาโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังหรือเยื่อบุที่มีความชุ่มชื้น จากเชื้อ candida ได้แก่ Amphotericin B, Nystatin,
Clotrimazole และ Miconazole
แบ่งตามฤทธิ์ในการรักษาและวิธกี ารบริหารยา
- ฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา : polyene antibiotic Amphotericin B, Nystatin ส่วนกลุม่ อื่นมีฤทธิ์ยับยั้ง
- ยากิน : Fluconazole, Flucytosine, Ketoconazole
- ยาทา : Nystatin, Miconazole, Tolnaftate, Naftifine
- ยาฉีด IV : Amphotericin B, Fluconazole
แบ่งตามโครงสร้างทางเคมี
177
Synthesis Compound
1. Sulfur containing compound : ได้แก่ อนุพันธ์ของ Thiocarbamates เช่น
Chapter 21
ถ้าเปลี่ยนหมู่ methyl บน phenyl ring เป็นหมู่ halogen หรือ carboxylic จะได้สารไม่มีฤทธิ์
Fungal Infection
ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ squalene epoxidase ซึ่งออกฤทธิ์จําเพาะเจาะจงต่อเชื้อรามากกว่าในเซลล์สัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยนม ทําให้ลดปริมาณของ sterol ที่เป็นองค์ประกอบใน fungal cell membrane ลง ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
คุณสมบัติทางเคมีและการทําหน้าที่ของ membrane และ integral protein เช่น ด้านการขนส่งสารอาหารเข้าเซลล์,
การควบคุมสมดุล pH, เกิดการสร้าง hydrocarbon squalene ซึ่งเมื่อสะสมจะทําให้เกิดความเป็นพิษในเซลล์เชื้อรา
มี spectrum of action ที่แคบ ใช้รักษา กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุต
2. Imidazoles and Triazoles
ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในรูปแบบยา
เฉพาะที่
ให้โดยการกินจะดูดซึมไม่ดี
2 เปลี่ยนส่วน Ketal เป็น Oxime Oxiconazole
ฆ่าเชื้อราได้กว้าง แต่ใช้ได้เฉพาะ
Infectious Diseases
ทางผิวหนัง
Chapter 21
Fungal Infection
3. Allylaminesynthetics
Natural Products
1. Griseofulvin :
สกัดจาก Penicillium griseofulvum
ยับยั้ง dermatophyte แต่ไม่มผี ลต่อ Candida, Cryptococcus, ยีสต์
ไม่ค่อยละลายน้ํา ต้องเตรียมให้ยาอยู่ในรูป micronize form เพื่อเพิ่มการดูดซึม
ยากระจายได้ทั่วร่างกายและสะสมในผิวหนังเล็บตับและไขมันจับกับ keratin ได้ดี
MOA : ทําลาย mitotic spindle ทําให้เซลล์หยุดแบ่งตัวระยะ metaphase ทําให้
เกิด DNA ที่ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถ replicate ได้
โครงสร้างมี 2 chiral centers 4 isomers แต่ isomer ที่ให้ฤทธิ์มีเพียง isomer ที่แสดงในรูปการเปลี่ยนหมู่ -Cl ไปเป็น
-F สารยังมีฤทธิ์แต่เปลี่ยนเป็น -Br หรือ -I สารจะหมดฤทธิ์ Carbonyl ใน ring A และ Methoxy ของ Ring C ไม่จําเป็น
ต่อการออกฤทธิ์และถ้าเปลี่ยน Methoxy ของ Ring C ไปเป็น Propoxy หรือ Heptoxy จะช่วยเพิ่มการละลายในไขมัน
แต่ไม่ควรเกิน 7 carbon atom
Griseofulvin เกิด metabolism โดยเกิด Demethylation ของ methoxy ที่ Ring C แล้วตามด้วยการเกิด
conjugation กับ Glucuronic acid
2. Polyene
Polyene Membrane Disruptors = ออกฤทธิ์ทําลายเยื่อหุม้ เซลล์ของเชื้อรา
ใช้กับการติดเชื้อราแบบฝังลึก (deep-seated fungal infections)
โครงสร้างเป็น Macrocyclic lactone ที่ประกอบด้วย 2 ส่วนของ hydrophilic region และ lipophilic region แยก
จากกัน - Hydrophilic region ประกอบด้วย hydroxyl group (alcohol), carboxylic group และ sugar
- Lipophilic region ประกอบด้วย chromophore of 4-7 conjugated double bonds
จํ า นวนของ conjugated double bond ที่ เ พิ่ ม ขึ้ น มี ผ ลเพิ่ ม ฤทธิ์ antifungal activity และลด toxicity ต่ อ
mammalian cells
180
Amphotericin B มี 7 conjugated double bonds (มากที่สุด) มีความเป็นพิษต่อเชื้อรามากกว่า mammalian cell
10 เท่า และเป็นยาตัวเดียวที่ใช้แบบ systematic ได้
MOA : ยาเข้าแทรกใน fungal membrane ทําลายโครงสร้างและรบกวนการทํางานของ fungal cell membrane
เกิดการรั่วของและสารองค์ประกอบที่จําเป็นต่อเซลล์เกิดการรั่วไหลออกจากเซลล์ เช่น ions และ small molecules
Unit 3
ทําให้เซลล์เชื้อราตายในที่สุด
Polyene structure ทําให้ยามีความชอบจับกับ sterol-containing membranes ของเซลล์เชื้อรามากกว่า (เนื่องจากมี
ลักษณะเป็น planar structure มากกว่า cholesterol-containing membranes ที่พบใน mammalian cells) จึงเกิด
ความเป็นพิษกับเซลล์เชื้อรามากกว่า
การแทรกเข้า ไปใน cholesterol-containing membranes จะเกิด ได้เมื่อ ยาเกิด การจัด เรียงโมเลกุล เป็น polyene
Infectious Diseases
micelles ก่อน
Amphotericin B
มีโครงสร้างเป็น conjugated heptaene
มีความเป็นพิษต่อ mammalian cell ต่ํากว่า Nystatin สามารถให้แบบ systemic โดยให้ทาง IV
ไม่ถูกดูดซึมผ่าน BBB แต่สามารถใช้รักษาการติดเชื้อราใน CNS โดยฉีดเข้าไขสันหลัง (intrathecal)
Drug of choice สําหรับ systemic, life-threatening fungal infections
ปกติเตรียมในรูป deoxycholic acid complex สําหรับ IV
ยามีความเป็นพิษสูง โดยเฉพาะ nephrotoxicity ซึ่งความเป็นพิษนี้แก้ไขโดยเตรียมให้อยู่ในรูปของระบบนําส่ง
ยาแบบ liposomal encapsulation และ lipid complex formulation เนื่องจากมีผลทําให้อนุภาคของยา
แขวนลอยตัวได้ดีในกระแสเลือดและแทรก (penetrate) เข้าสู่ site of infection ได้ดีกว่าเนื้อเยื่อปกติ (แทรก
ผ่าน ergosterol containing membrane ดีกว่า cholesterol containing membrane)
Flucytosine (5- flucytosine)
เป็นยาต้านเชื้อราที่มีขอบเขตการฆ่าเชื้อแคบ เฉพาะเชื้อราที่สร้าง cytosine deaminase
เท่ า นั้ น ที่ ไ วต่ อ flucytosine เอนไซม์ ตั ว นี้ จ ะ metabolized flucytosine ไปเป็ น 5-
flucytosine (5-FU) ภายหลังจาก uptake ยาเข้าไปในเซลล์เชื้อราแล้วหลังจากนั้น 5-FU จะ
ถูก metabolized ต่อไปเป็น 5-fluorodesoxyuridine และ 5-fluorouridine ซึ่งจะทําให้
เกิดการยับยั้งการสังเคราะห์ DNA และทําให้การทดลองของ RNA ผิดปกติไป
เสริมฤทธิ์ amphotericin B ในการกําจัดเชื้อราพวก Candida , Aspergillus และ Cryptococcus neoformans การ
ใช้ flucytosine เดี่ยวๆจะทําให้เกิดเชื้อดื้อยาได้เร็วมาก ดังนั้นจึงนิยมใช้ร่วมกับ amphotericin B หรือ fluconazole
เพื่อลดการดื้อยาและเป็นการเสริมฤทธิ์ของยาทั้งสองตัวด้วย
จําหน่ายในรูปของยาเม็ดและยาฉีดเข้าเส้น มีค่าครึ่งชีวิต 3-5 ชั่วโมง ขับออกทางไตในผู้ป่วยที่มีการทํางานของไต
บกพร่อง
อาการข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นแพ้ ระดับเม็ดเลือดขาวต่ํา เกร็ดเลือดต่ํา เป็นต้น ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์เนื่องจาก
อาจทําให้เกิดความพิการในทารกได้
Chapter 22
ประวัติศาสตร์ของวัณโรค
Tuberculosis
นศภ.สุรพงศ์ อาจหาญ
Pathogenesis
คนที่ได้รับเชื้อวัณโรคทุกคนไม่จําเป็นต้องป่วยเป็นวัณโรค ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของร่างกาย การเกิดวัณโรคปอดแบ่งออก
เป็น 4 ระยะตาม Dannenberg
ระยะที่ 1 สัปดาห์แรกหลังได้รับเชื้อ เชื้อวัณโรคเข้าสู่ปอด และ 90% ของเชื้อถูกทําลายโดย alveolar macrophage
ระยะที่ 2 ใน 2-3 สัปดาห์แรก เชื้อที่เหลือเพิ่มจํานวนกระตุ้น monocyte ในเลือดให้เข้ามาเกิดเป็น Primary tubercle
แต่ไม่สามารถกําจัดเชื้อได้เชื้อจึงเพิ่มจํานวนมากขึ้น
ระยะที่ 3 ระหว่ า งสั ป ดาห์ 4 - 8 หลั ง ได้ รั บ เชื้ อ เกิ ด cell-mediated immunity (CMI), delayed type
hypersentivity reaction (DTH) ขึ้น ยับยั้ง เชื้อและทําลายเนื้ อเยื่อด้ วยเกิด caseous necrosis เชื้อบางตั วเปลี่ยนแปลงเป็ น
domant bacilli อยู่เฉยๆ โดยไม่แบ่งตัว ถ้า CMI ดีก็ควบคุมไม่ให้เชื้อแพร่ไปที่อื่นได้ ถ้าไม่ดีหรือควบคุมไม่ได้ เชื้อถูกนําไปที่ต่อม
น้ําเหลือง และสามารถแพร่ไ ปทางระบบน้ฎาเหลืองและกระแสเลือดได้โดยผ่านทาง thoracic duct ไปยัง อวัยวะอื่นๆ ถ้าทํ า
Tuberculin test จะได้ผลบวก
ระยะที่ 4 เกิด liquefaction เกิดโพรงแผลในปอด เชื้อเพิ่มจํานวนมากขึ้นเกิดเป็นวัณโรคปอด เชื้อสามารถแพร่กระจาย
ออกทางหลอดลมไปติดต่อผู้อื่น และแพร่ไปทางหลอดน้ําเหลืองและหลอดเลือดไปอวัยวะอื่นๆ ผู้ป่วยมีอาการ ไข้ อ่อนเพลีย เบื่อ
อาหาร เพราะมีการหลั่ง cytokine, monocyte
ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค
1. โรคติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์(HIV/AIDS)
2. โรคเรื้อรัง ได้ แก่ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตเรื้อรัง โรคปอดฝุ่นทราย (ซิลิโคซิส;silicosis)
3. โรคมะเร็งระบบเลือด ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ําเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลิวคีเมีย;leukemia)
4. ภาวะภูมิคุ้มกันตํ่า ได้แก่ การได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้สูงอายุ การขาดสารอาหาร
5. การผ่าตัดกระเพาะอาหารหรือลําไส้
6. การดื่มสุรา การสูบบุหรี่
7. การไม่ได้รับวัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG vaccine) ตั้งแต่แรกเกิด
8. การอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมคับแคบและอากาศไม่ถ่ายเท แสงแดดส่องไม่ถึง
9. การอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคที่ยังมีอาการไอและมีเชื้อ (ถ้าอยู่กับผู้ป่วย วันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 6 เดือน จะมีโอกาส
ติดเชื้อร้อยละ 50 หากอยู่ 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 2 เดือนก็มีโอกาสติดเชื้อร้อยละ 50)
อาการแสดง
มักจะค่อย ๆ เป็นด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ําหนักตัวลด ไอนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
หรือเป็นไข้ต่ํา ๆ ตอนบ่าย ๆ มีเหงื่อออกตอนกลางคืนต่อมาจึงมีอาการไอ ระยะแรก ๆ ไอแห้ง ๆ ต่อมาจะมีเสมหะไอมากเวลาเข้า
นอน หรือตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังอาหาร อาการไอจะเรื้อรังเป็นแรมเดือน แต่บางคนอาจไม่มีอาการไอเลยก็ได้ ผู้ป่วยอาจรู้สึก
แน่นหรือเจ็บ หน้าอกโดยที่ ไ ม่มีอาการไอในรายที่เ ป็นมาก จะหอบหรือไอเป็นเลือดก้อนแดง ๆ หรื อดํา ๆ แต่น้ อยรายที่จะมี
182
เลือดออกมากถึงกับช็อกในรายที่เป็นน้อย ๆ อาจไม่มีอาการอะไรเลย และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการเห็น "จุด" ในปอดในฟิล์ม
เอกซเรย์บางคนอาจมีอาการเป็นไข้นานเป็นแรมเดือน โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ถ้าเกิดในเด็กอาการมักจะรุนแรงกว่าผู้ใหญ่
เพราะมีภูมิคุ้มกันน้อย อาจแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น กระดูกไต
ลําไส้ ฯลฯ ในกรณีที่เป็นวัณโรคนอกปอดจะพบอาการเฉพาะที่ เช่น ต่อมน้ําเหลืองโต มีน้ําในช่องเยื่อหุ้มปอด ปวดตามข้อ ผิวหนัง
Unit 3
อักเสบเป็นตุ่มแผล เป็นต้น
สาเหตุและการติดต่อ
สาเหตุของวัณโรคคือเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งพบได้เป็นจํานวนมากในรอยโรคที่มีลักษณะโพรงแผล วัณ
โรคแพร่สู่บุคคลข้างเคียงได้โดยเชื้อวัณโรคติดไปกับละอองฝอย ซึ่งเกิดจากการไอของผู้ป่วย ฝอยละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 10
Infectious Diseases
Chapter 22
4. ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยดื้อยา หรือมีประวัติวัณโรคดื้อยาในครอบครัว
5. ผู้ป่วยที่ติดยาเสพติด
(4) การตรวจทางพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อ
(5) ก า ร ใ ช ้ เท ค นิ ค ใ ห ม ่ อ ย ่ า ง อื่ น เ ช ่ น Polymerase chain reaction (PCR), Ligase chain reaction (LCR),
Transcription mediatedamplification (TMA) ยังไม่เหมาะสม ที่จะนํามาใช้ในการวินิจฉัยวัณโรคปอด ตามห้องปฏิบัติการทั่วไป
เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง และต้องอาศัยความชํานาญของเจาหน้าที่เทคนิคมาก การประเมินค่าใช้จ่ายต่อผลประโยชน์จะไม่
Tuberculosis
คุ้มคา ยกเว้นในบางกรณีโดยเฉพาะการวินิจฉัยวัณโรคนอกปอด เช่น การใช PCRในการวินิจฉัยวัณโรคเยื่อหุ้มสมอง Adenosine
deaminase activity ในการวินิจฉัยวัณโรคเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น
การจําแนกผู้ป่วยวัณโรค
เพื่อประโยชน์ในการกําหนดสูตรยา (Regimen), องค์การอนามัยโลกได้กําหนดจําแนกผู้ป่วยดังนี้
(1) วัณโรคปอดย้อมเสมหะพบเชื้อ คือ
1.1 ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเสมหะ โดยวิธีย้อมเชื้อ เป็นบวกอย่างน้อย 1 ครั้ง ร่วมกับมีความผิดปกติของภาพรังสีทรวงอก
เข้าได้กับวัณโรคปอด
1.2 ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเสมหะ โดยวีธีย้อมเชื้อ เป็นบวกอย่างน้อย 2 ครั้ง ถึงแม้ว่าภาพรังสีทรวงอกไม่พบสิ่งผิดปกติ
(2) วัณโรคปอดย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ ให้ถือเกณฑ์ดังนี้
2.1 ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเสมหะโดยวิธีย้อมเชื้อ เป็นผลลบอย่างน้อย 3 ครั้ง และผลเพาะเชื้อเป็นลบหรือไม่ทราบ แต่มี
อาการทางคลินิกและภาพรังสีทรวงอกผิดปกติเข้าได้กับวัณโรคปอด
2.2 ผู้ป่วยที่มีผลตรวจเสมหะโดยวิธี ย้อมเชื้อเป็นผลลบ แต่มีผลการเพาะเชื้อพบเชื้อวัณโรค
ระบบยาที่แนะนํา มีดังต่อไปนี้
1. ระบบยาสําหรับผู้ป่วยที่ยังไม่เคยได้รับการรักษามาก่อน (หรือไม่เกิน 1 เดือน)
การให้ยาแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะเข้มข้น (intensive phase) และระยะต่อเนื่อง (maintenance phase) ระบบยา
ที่เหมาะสมกับประเทศไทย ทั้งในแง่ประสิทธิภาพที่ดี ราคายาที่เหมาะสม และอัตราการกลับเป็นใหม่ของโรคที่ต่ํา (relapse) ได้แก่
1.1 ผู้ป่วยใหม่ย้อมเสมหะพบเชื้อ
1.1.1 ระบบยาที่ใช้เวลา 6 เดือน 2HRZE(S)/4HR หรือ 2HRZE(S)/4H3R3
1.1.2 ระบบยาที่ใช้เวลา 8 เดือน 2HRZE(S)/6HE
1.1.3 ระบบยาที่ใช้เวลา 9 เดือน 2HRE/7HR
หมายเหตุ :
1) แนะนําให้ใช้สูตร 6 เดือนเป็นหลัก ให้ใช้ยาอย่างน้อย 4 ชนิด ในระยะเข้มข้นเนื่องจากมีอัตราเชื้อต้านยาปฐมภูมิต่อ INH
สูง ยกเว้นในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาเช่น ทนฤทธิ์ Pyrazinamide ไม่ได้ อาจใช้ 2HRE/7HR ได้
2) ต้องพยายามจัดระบบการรักษาระยะสั้นแบบให้กินยาภายใต้การสังเกตโดยตรง Directly observed treatment, short
coutse (DOTS) ทุกราย เพื่อป้องกันการดื้อยา
3) การให้ยาแบบสัปดาห์ละ 3 ครั้ง มีเงื่อนไขว่าต้องให้ผู้ป่วยกินยาต่อเจ้าหน้าที่ทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับยาจริง
4) การใช้ยาในระยะ 2 เดือนแรก มีความสําคัญต่อการรักษามาก ควรจัดให้อยูใ่ นการควบคุมอย่างใกล้ชิดหรือ DOTS
5) ยา Ethambutol และ Streptomycin อาจใช้แทนกันได้
6) ยารับประทานทุกขนานควรใช้วันละครั้งเดียวเวลาท้องว่าง เช่น ก่อนนอนโดยจัดรวมอยู่ในซองเดียวกัน
7) เพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด ต้องให้แน่ใจว่า ผู้ป่วยใช้ยาทุกขนานครบตามระบบยานั้น ในผู้ป่วยบางรายที่ไม่รับประทาน
ยาบางขนาน ซึ่งอาจจะทําให้เกิดภาวะดื้อยา และการรักษาไม่ได้ผลดี จึงสนับสนุนให้ใช้ยา Rifampicin ร่วมกับยาอื่นรวม
2-3 ขนานในเม็ดเดียวกัน (Fixed-dose combination) ซึ่งมีกําหนดสัดส่วนที่แน่นอนโดยเลือกยาชนิดที่ได้มีการศึกษา
เกี่ยวกับ Bioavailability ในคนจากสถาบันที่เชื่อถือได้
185
1.2 ผู้ป่วยใหม่ย้อมเสมหะไม่พบเชื้อ
1.2.1 ให้การรักษาเหมือน new smear-positive pulmonary tuberculosis คือสูตรยา 6 เดือน
1.2.2 ในรายที่เสมหะตรวจย้อมสีไม่พบเชื้อ (smear negative) และการเพาะเชื้อให้ผลบวกหรือลบก็ตาม ร่วม
Chapter 22
กับภาพรังสีทรวงอกมีรอยโรคขนาดน้อยมากและไม่มีโพรง กล่าวคือ มีขนาดรอยโรครวมกันทั้งปอดแล้วไม่เกิน 10 ตร.ซม. อาจให้
การรักษา 6 เดือน ด้วยระบบยา 2HRZ/4HR
2. ระบบยาสําหรับผู้ป่วยเสมหะบวก ที่เคยได้รับการรักษามาแล้ว (Retreatment)
คําจํากัดความ
(1) Treatment failure หมายถึง ผู้ป่วยที่กําลังรักษาอยู่ด้วยระบบยาระยะสั้น 6 เดือนนานเกิน 5 เดือน แล้วเสมหะยัง
Tuberculosis
ตรวจพบเชื้อ
(2) Relapse หมายถึง ผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษาหายมาแล้วหยุดยาแล้ว โรคกลับเป็นใหม โดยมีผลตรวจเสมหะ
(direct smear หรือ culture) เป็นบวก
(3) Default หมายถึง ผู้ป่วยที่ขาดยาติดต่อกันนานเกินกว่า 2 เดือน
การรักษาซ้ําในกรณีผู้ป่วย relapse, default และ treatment failure
1. ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาจนครบสูตรยาและแพทย์สั่งจําหน่ายหายแล้วแต่ผู้ป่วยกลับป่วยเป็นวัณโรคอีก (Relapse)
จากการศึกษาพบว่าเชื้อมักจะไม่ดื้อต่อยาในกรณีนี้ให้ใช้ระบบระยะสั้นเดิม แล้วส่งเสมหะก่อนเริ่มให้ยาเพื่อเพาะเชื้อและ
ทดสอบความไวของยา
2. ในกรณีที่ผู้ป่วยรับยาไม่สม่ําเสมอหรือขาดการรักษา (Default) หรือไม่ครบขนานหรือบางขนานที่ระบบยาสั้น และคาดว่
าเชื้ออาจจะดื้อต่อยาบางขนาน แต่ไ ม่ใช่การดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) โดยเฉพาะดื้อต่อยา RMP ให้ใช้ระบบยา
2HRZES/1HRZE/5HRE
การติดตามและประเมินผลการรักษา
(1) ผู้ป่วยวัณโรคปอดที่มีเสมหะย้อมสีพบเชื้อทนกรด และได้รับการรักษาด้วยยารักษาวัณโรคด้วยระบบมาตรฐาน
การตรวจเสมหะด้วยกล้องจุลทรรศน์ (และการเพาะเชื้อถ้ากระทําได) เป็นวิธีการหลักในการประเมินผลการรักษาที่สําคัญและไวกว่
าการทําภาพรังสีทรวงอก จึงต้องได้รับการตรวจย้อมสีเสมหะเพื่อตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 3 ช่วงเวลาระหว่างรักษา คือ หลังการ
รักษา 2 เดือนเพื่อดูอัตราการเปลี่ยนของเสมหะจากบวกเป็นลบ (conversion rate) ช่วงที่สองหลังการรักษา 5 เดือน เพื่อดูว่ามี
การรักษาล้มเหลวหรือไม่ และเมื่อสิ้นสุดการรักษาเพื่อดูอัตราการหายใจจากโรค (cure rate) เสมหะที่ส่งตรวจแต่ละครั้งควรจะต้
องประกอบด้วยเสมหะ 2 ตัวอย่าง ที่เก็บในตอนหลังตื่นนอนหนึ่งตัวอย่าง และอีกหนึ่งตัวอย่างจะเก็บขณะที่ผู้ป่วยมารับการตรวจ
รักษาหรืออย่างน้อยที่สุดหนึ่งตัวอย่าง ถ้าหากสามารถจะเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะได้ควรจะทําการเพาะเชื้อร่วมด้วย
ภาพรังสีทรวงอกผู้ป่วย อาจถ่ายภาพรังสีทรวงอกก่อนการรักษา และควรถ่ายภาพรังสีทรวงอกอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดการรักษา
เพื่อเป็นภาพรังสีทรวงอกที่ใช้ในการเปรียบเทียบหากผู้ป่วยมีอาการหลังหยุดการรักษา การถ่ายภาพรังสีทรวงอกระหว่างการรักษา
ไม่จําเป็น ยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลงที่เลวลงระหว่างการรักษาหรือสงสัยว่ามีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น
(2) ผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ตรวจเสมหะย้อมสีไม่พบเชื้อด้วยวิธีตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน ไ์ ม่ว่าผลการเพาะเชื้อเป็นบวก
หรือลบก็ตาม โดยทั่วไปให้ใช้อาการแสดงทางคลินิกดูผลการรักษา แต่ควรตรวจเสมหะเมื่อสิ้นสุดการรักษาระยะเข้มข้นเพื่อป้องกัน
ความผิดพลาดในผลการตรวจเสมหะก่อนรักษา หรือผู้ป่วยได้รับยาไม่สม่ําเสมอ
(3) ผู้ป่วยที่ขาดยาเกิน 2 วัน ในระยะเข้มข้นหรือเกิน 7 วัน ในระยะต่อเนื่อง ต้องติดตามทันทีเพื่อหาสาเหตุและ
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความสําคัญของการกินยาให้ครบถ้วน
วัณโรคของอวัยวะนอกปอด
อาศัยหลักการเช่นเดียวกับวัณโรคปอด ต้องตรวจพบเชื้อวัณโรคจึงจะเป็นการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน เนื่องจากวัณโรคของ
อวัยวะนอกปอดมจํานวนเชื้อวัณโรคน้อย โอกาสที่จะตรวจพบเชื้อจึงมีน้อยกว่า การวินิจฉัยโรคส่วนใหญ่อาศัยการตรวจชิ้นเนื้อทาง
พยาธิวิทยา การตรวจน้ําที่เจาะได้จากอวัยวะต่างๆ ร่วมกับอาการและอาการแสดงที่เข้าได้กับวัณโรคเป็นเครื่องช่วยในการวินิจฉัย
เกณฑ์การวินิจฉัยวัณโรคนอกปอด
(1) ผู้ป่วยที่มีอากรทางคลินิกและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเข้าได้กับวัณโรคนอกปอด
(2) ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจทางพยาธิวิทยาเข้าได้กับวัณโรคนอกปอด
(3) ผู้ป่วยที่มีผลการเพาะเชื้อจากสิ่งส่งตรวจพบเชื้อวัณโรค
186
การรักษาวัณโรคนอกปอด ให้การรักษาเหมือนวัณโรคปอด ยกเว้นการรักษาวัณโรคเยื่อหุ้มสมองให้ใช้เวลารักษา 9-12
เดือน
การรักษาผู้ป่วยในกรณีพิเศษต่างๆ
Unit 3
การรักษาวัณโรคในสตรีมีครรภ์
สตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็นวัณโรค ควรได้รับการรักษาด้วยยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยคือ INH rifampicin และ ethambutol
ถึงแม้ว่ายาทั้ง 3 ขนานดังกล่าวจะผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ได้ แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานว่าเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ สําหรับ
streptomycin อาจมีผลต่อทารกในครรภ จึงไม่ควรใช้ ส่วนยารักษาวณโรคชนิดอื่น อาทิ pyrazinamide ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า
เป็นอันตรายต่อทารก แต่ที่ไม่นิยมเพราะฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของยาที่อาจเกิดต่อมารดในช่วงที่ให้นมบุตรสามารถให้ยาได้เหมือนปกติ
Infectious Diseases
Chapter 22
ดื้อยาหลายขนานซึ่งพบได้มากขึ้นในปัจจุบันนี้นับว่าเป็นปัญหาที่สําคัญมาก เชื่อว่าเกิดจากการรักษาโดยใช้ยาที่คุณภาพไม่ไ ด้
มาตรฐานและวิธีการรักษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่สม่ําเสมอร่วมกับการระบาดของเอดส์
2. การรักษา MDR-TB
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือส่งไปรักษาในโรงพยาบาล
(1) ถ้าทราบผลของการทดสอบความไวของยา ให้เลือกใช้ยาอย่างน้อย 3-4 ขนาน ที่มีความไวต่อเชื้อวัณโรค โดยให้
ระยะเวลาของการรักษายาวนาน 18-24 เดือน หรือตรวจเสมหะและเพาะเชื้อไม่พบเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี
Tuberculosis
(2) การผ่าตัด (surgical resection) เป็นวิธีที่อาจจะนํามาใช้ร่วมกับการรักษาทางยาในกรณีที่มี localized disease
และสภาพร่างกายทนการผ่าตัดได้ โดยเฉพาะในรายที่ไม่สามารถให้การรักษาวัณโรคด้วยยาเพียงอย่างเดียวได ช่วงที่มีความเสี่ยง
จากภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย ควรเป็นช่วงที่ตรวจเสมหะไม่พบเชื้อแล้วหลังได้รับยารักษา (sputum conversion)
หมายเหตุ :
ควรส่งเสมหะเพื่อทดสอบความไวต่อทุกราย
ในยา 3-4 ขนานที่เลือกใช้ ควรมียาชนิดฉีด 1 ขนานโดยให้ฉีดทุกวันหรือฉีด 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทําต่อเนื่องเป็น
เวลา 4-6 เดือน
ให้ตรวจเสมหะย้อมสีทนกรดทุกเดือนขณะทําการรักษา
ควรให้การรักษาแบบ DOTS ทุกราย
ยารักษาวัณโรค
Isoniazid
เริ่มนํามาใช้ในปีพ.ศ. 2495 ใช้รักษาทั้งการติดเชื้อหลบซ่อนและการติดเชื้อแบบแสดงอาการ
ออกฤทธิ์ขัดขวางการสร้าง mycolic acid ในขั้นตอนที่ต้องใช้ออกซิเจน ซึ่ง mycolic acid เป็นกรดไขมัน
แสดงตําแหน่งการออกฤทธิ์ของยา Isoniazid, Rifamycins, Pyrazinamide ข น า ด ย า ว ซึ่ ง
เ ป็ น
ส่ ว นประกอบ
ของผนั ง เซลล์
ยา isoniazid ฆ่ า เชื้ อ ที่ กํ า ลั ง แบ่ ง ตั ว ได้
อย่างรวดเร็ว
บริหารยาอาจทําได้โดยการรับประทาน
อาจใช้ ฉี ด เข้ า กล้ า มเนื้ อ หรื อ เข้ า หลอด
เลือดดําได้ ขนาดปกติ 3 - 5 mg/kg/day
ขนาดยาสู งสุ ด 300 mg/day ระดั บ ยา
สูงสุด 1-2 ชั่วโมง หลังรับประทาน ระดับ
ยาอาจถูกดูดซึมน้อยลงหากรับประทาน
ร่วมกับน้ํา ตาลกลูโ คสหรือแลกโตส ยา
ผ่านเข้าระบบประสาทส่วนกลางได้ดี ถูก
กําจัดทางตับโดย acetylation โดยไม่มี
ความสัมพันธ์ ระหว่างระดั บยาในเลือ ด
และการเป็นพิษต่อตับ
ผลข้างเคียงของยา isoniazid
ทํ า ให้ ร ะดั บ aminotranferases เพิ่ ม
สูงขึ้นได้ถึง 5 เท่าของค่าปกติ โดยไม่มี
อาการทางคลิ นิ ก พบประมาณร้ อ ยละ
10-20 และสามารถกลับลงสู่ระดับปกติ
ได้เอง โดยไม่ต้องหยุดยา
188
Rifamycins
Rifamycins ประกอบด้วย rifampin, rifabutin และ rifapentine เป็นยาตัว
สําคัญในการรักษาวัณโรคทุกรูปแบบและจําเป็นตลอดระยะเวลาการรักษา ออก
ฤทธิ์ขัดขวางการสร้าง RNA ในขั้นตอน transcription โดยจับกับส่วนβ-subunit
Unit 3
Chapter 22
59 ปีหรือผู้ป่วยไตวายโดยส่วนใหญ่ให้ยา 5-7 วันต่อสัปดาห์ ในช่วง 2 - 4
เดือนแรก จากนั้นจึงลดเหลือ 2-3 วันต่อสัปดาห์
ผลข้างเคียงที่สําคัญที่สุด คือ พิษต่อระบบหู ทั้งการได้ยินและการทรง
ตัว พบปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นในผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาขับปัสสาวะร่วม
ด้วย ผู้ใช้ยา streptomycin ขนาดสูง หรือขนาดยาสะสมมากกว่า100-120
กรัม ผลข้างเคียงอื่น ได้แก่ พิษต่อระบบประสาท พบมีอาการชารอบปากได้
Tuberculosis
ทันทีหลังฉีดยา พิษต่อระบบไตโดยพบน้อยกว่ายาตัวอื่น (amikacin,kanamycin, or capreomycin) ดังนั้น ควรตรวจการทํางาน
ของไต การได้ยินเสียง รวมถึงการทรงตัวไว้เป็นพื้นฐานก่อนเริ่มยาสเตร็บโตไมซิน
เอกสารอ้างอิง
1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคติดเชื้อและพาหะนําโรค;วัณโรค.ฝ่ายโรคเรื้อนและมัยโคแบคทีเรียอื่น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์
สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
2. ณรงค์กร ซ้ายโพธิ์กลาง. วัณโรคปอด:ความรู้สําหรับประชาชนทั่วไป.คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. บัญญัต ปริชญานนท์. ยงยุทธ โพธารามิก. สงคราม ทรัพย์เจริญ.แนวทางการวินิจฉัยและรักษาวัณโรคในประทศไทย
พิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับปรับปรุง).สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์:2543.
4. ฐิตินันท์ อนุสรณ์วงศ์ชัย, ฉันชาย สิทธิพันธ์.การใช้ยารักษาวัณโรค.จุฬาอายุรศาสตร์. ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2549.
190
นศภ.ภัทรนันท์ พงศ์นฤเดช
Classification
แบ่งตามการใช้ทาง clinic
- First line คือ Isoniazid, Ethambutol, Streptomycin, Rifampin, Pyrazinamide
Infectious Diseases
First-line drug
First-line drug ADR
Isoniazid (INH), (H)
กลไก inhibit the synthesis of mycolic acids Hepatitis ***
เป็น enzyme inhibitor (ระวัง! เมื่อใช้ร่วมกับ Peripheral neuropathy ***( ผูป้ ่วยที่เป็น slow
phenytoin → สูง) acetylator จะมีความเสี่ยงมากขึน้ ) ดังนั้นควรกิน Vit B6
ขับออกทางไต เป็นหลัก เสริม จะลด S/E นี้ลงได้
วิธีจํา INH: Hemolysis ในผู้ป่วย G6PD deficiency
I nhibit the synthesis of mycolic acids CNS toxicity (memory loss, insomnia and seizure)
N europathy เพราะยานีผ้ ่าน blood brain barrierได้ดี
H epatotoxicity Lupus-like syndrome
SAR: Ring Substitution: Activity ลดลง Allergic reaction
ต้องเป็น H จึงจะ active หากเป็น alkyl จะ inactive
Chapter 22
OH ที่ตําแหน่ง 1,8,21,23 ต้อง free
Napthalene ring
Tuberculosis
ถ้า ring open จะ inactive
ปกติจํานวน double bond ของ ring ใหญ่มี 3 ตําแหน่ง ถ้าลดจํานวนฤทธิ์จะลดลง
Ethambutal ( EMB ) , ( E )
กลไกของยา คือ ยับยั้งการสร้าง mycobacterial cell Optic neuritis
wall (มี arabinogalactan) โดยยาจะยับยั้งเอนไซม์
arabinosyl transferase ทําให้สร้าง arabinogalactan เป็น amino alcohol มี 2 chiral center
ไม่ได้ SAR : เปลี่ยนทุกอย่าง activity ลด
ในผู้ป่วยโรคไตทีม่ ี CrCl < 10 ml/min ต้องลด dose ของ
H
ยานี้ลงครึ่งหนึ่ง HO N OH
N
ห้ามใช้ยานี้ในเด็กอายุ < 5 ปี H
ไม่ใช้เดี่ยวๆ
Pyrazinamide ( PZM ) , ( Z )
โครงสร้างคล้าย INH แต่ไม่มี cross-resistant Hepatotoxicity ***
กลไกของยา คือ ยาจะถูกกินด้วย macrophage แล้วออก Hyperuricemia (อาจทําให้เป็น gout ได้)
ฤทธิ์ โดยเชื่อว่ามีการรบกวนการสร้าง DNA ของเชื้อใน Myaigia
macrophage O
ขับออกทางไตเป็นหลัก N
NH2
SAR: เปลี่ยนโครงสร้าง → ฤทธิ์ลด **
ที่ pH 7: Inactive N
ที่ low pH : มีฤทธิ์เป็น bacteriocidal
Streptomycin( S )
กลไกของยา คือ ยับยั้ง bacterial protein synthesis Ototoxicity ***
โดยยาจะจับกับ 30s ribosome แบบ irreversible Nephrotoxicity ***
โมเลกุลใหญ่ ดูดซึมได้ไม่ดี จึงนิยมให้ IV O CH3
ใช้เมื่อมีอาการรุนแรง คือ เชื้อลุกลามจนเกิด TB- HO H O HO OH
meningitis ( เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรค ) โดยใช้แบบ O HO N
Combind First line drug 5 ตัว HO O O NH2
ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน N OH NH2
HO HN
CH3 NH2
H2N
192
Second-line drug
Second-line drug ADR
Cycloserine
Unit 3
กลไกของยา คือ ยับยั้งการสร้าง cell wall Peripheral neuropathy ดังนั้นควรกิน Vit B6 เสริม จะ
ลด S/Eนี้ลงได้
เปลี่ยนเป็น enol form ได้ CNS dysfunction ( depression, psychosis)
Infectious Diseases
Chiral carbon
Ethionamide
มีโครงสร้างคล้าย Isoniazid Gastric irritation อย่างรุนแรง
กลไกของยา คือ inhibit the synthesis of mycolic Hepatotoxicity
acids (cell wall) Neurologic effect ( memory loss, insomnia and
Thioamide seizure) เพราะยานี้ผา่ น blood brain barrierได้ดี
Sexual-transmitted
Chapter
23 Diseases (STDs)
นศภ.สุรพงศ์ อาจหาญ และ นศภ.นันทพงศ์ บุญฤทธิ์
1. โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
โรคหนองใน เป็นโรคที่มีอุบัติการณ์สูงที่สุดในกลุ่มกามโรค เนื่องจาก
เชื้อสามารถผลิตสารต้านยาเพนนิซิลินขึ้นได้ และยางครั้งการติดเชื้อเกิดขึ้นแต่ไม่
มีอาการทําให้สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้มาก อีกทั้งถ้าหากผู้ป่วยไม่เข้ารับ
กกการรักษาก็จะทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้น โดยเฉพาะในเพศหญิงที่จะทําให้
เกิดการอักเสบของอุ้งเชิงกราน เป็นผลให้เป็นหมันหรือท้องนอกมดลูกได้ง่าย ซึ่ง
มีอันตรายอาจถึงแก่ชีวิตได้
สาเหตุของโรค
เชื้ อ แบคที เ รี ย Neisseria gonorrhoeae เป็ น gram – negative diplococcic เชื้ อ โรคเข้ า สู่ ร่ า งกายทางเยื่ อ บุ ท่ อ
ปัสสาวะในผู้ชาย ละทางปากมดลูกและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ทําให้เกิดโรคโดย เชื้อแบคทีเรียเกาะจับเซลล์เยื่อบุชนิดที่ไม่มีขนโบก
และสร้างสารพิษ lipopolysaccharide endotoxin รวมทั้งสร้างเอ็นไซม์ IgA proteases ทําให้ความสามารถในการก่อโรคเพิ่ม
มากขึ้น
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัว 1 – 14 วัน แต่ที่พบบ่อยคือ 3 – 5 วัน โรคหนองในติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือ
ทางทวาร การร่วมเพศทางปาก จะทําให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก หากช่องคลอด
หรืออวัยวะ ดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อก็สามารถติดเชื้อนี้ได้ โดยที่ไม่จําเป็นต้องมีการร่วมเพศ ถ้ามี คู่ขามาก ก็จะยิ่งมีโอกาสติด
เชื้อเพิ่มขึ้น การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วม ไม่ทําให้เกิดการติดเชื้อ
อาการ
หนองใน ในผู้ป่วยชาย
หนองในที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจมีอาการหรือไม่มีอาการเลยก็ได้ หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการแสบในท่อ
ปัสสาวะและมีหนองไหลหรือ อาจมีอาการถ่า ยปัส สาวะลํา บาก ในกรณี ที่ไ ม่ ไ ด้รั บการรั กษา การอัก เสบจะลุกลามเข้าไปถึ ง
posterior urethra
หนองในในผู้หญิง
บริเวณที่พบเชื้อหนองในได้มากที่สุดคือ ท่อปัสสาวะและปากมดลูก ผู้ป่วย
หญิงจะเป็นโรคหนองในโดยไม่มีอาการในอัตราที่สูงกว่าผู้ป่วยชาย ซึ่งอาการแสดงจะพบ
มีการตกขาว ปัสสาวะแสบ ปวดท้องน้อย
อาการแทรกซ้อน
ในผู้ชาย ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีหนองไหลอยู่ 3-4 เดือน และเชื้อหนองใน
อาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ทําให้ท่อปัสสาวะอักเสบ ซึ่งอาจทําให้ท่อปัสสาวะตีบ
ตันได้ อาจทําให้ต่อมลูกหมาก อักเสบหรือเป็นฝีที่ผนังของท่อปัสสาวะ ในบางราย อาจ
ทําให้อัณฑะ อักเสบ (อัณฑะปวดบวม และ เป็นหนอง) ซึ่งอาจ ทําให้กลายเป็นหมันได้
ในผู้หญิง เชื้ออาจลุกลามทําให้ต่อมบาร์โทลิน (Bartholin gland) ที่แคมใหญ่เกิด การอักเสบ หรือเป็นฝีบวมโต หรืออาจ
ทําให้มดลูกอักเสบ หรือปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งถ้าอักเสบ รุนแรงเมื่อหายแล้ว อาจทําให้ท่อรังไข่ตีบตันกลายเป็นหมัน หรือทําให้
ตั้ ง ครรภ์ น อกมดลู ก ได้ ทั้ ง สองเพศ เชื้ อ อาจเข้ า กระแสเลื อ ดไปที่ ข้ อ (หนองในเข้ า ข้ อ ) ทํ า ให้ ข้ อ อั ก เสบเฉี ย บพลั น ซึ่ ง เป็ น
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก ข้อที่พบได้บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ นอกจากนี้ ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พบได้น้อย
มาก เช่น เยื่อหุ้ม สมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ (Endocarditis) ซึ่งอาจทําให้ลิ้นหัวใจรั่วได้
194
การรักษา หนองในชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน (uncomplicated gonorrhea)
หนองในที่อวัยวะเพศและทวารหนัก ให้ยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
- ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
- cefixime 400 mg กินครั้งเดียว
Unit 3
- ให้รักษาโรคหนองในเทียมร่วมด้วย
- ติดตามรักษาคู่เพศสัมพันธ์แม้ไม่มีอาการ
3. โรคแผลริมอ่อน (Chancroid)
โรคแผลริมอ่อน (Chancroid) มีชื่อเรียกหลายชื่อ ได้แก่ soft sore, soft chancre และ
ulcus molle เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Haemophilus ducreyi ผู้ป่วยจะเกิดอาการเร็วหลังจากได้รับ
เชื้ อ โดยเกิด แผลสกปรกแผลเดีย วหรื อ หลายแผลที่ อ วัย วะเพศบริเ วณที่ ไ ด้รั บ เชื้ อ และมั ก มีต่ อ ม
น้ําเหลืองบริเวณใกล้เคียงโตด้วย ในประเทศไทยโรคนี้พบบ่อยเป็นอันดับ 3 รองจากหนองในเทียมและ
หนองใน และพบบ่อยที่สุดในกลุ่มโรคที่เป็นแผลที่อวัยวะเพศ
สาเหตุของโรค
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคนี้คือ Haemophilus ducreyi \
อาการ
แผลริมอ่อนเป็นโรคที่เกิดเฉพาะที่และเป็นอย่างเฉียบพลัน ภายใน 3-5 วันหลังได้รับเชื้อจะเกิดแผลเริ่มแรกตรงที่ได้รับ
เชื้อคือ บริเวณที่อวัยวะสืบพันธุ์ได้แก่ แคม ปากช่องคลอด ช่องคลอด หรือปากมดลูก บริเวณดังกล่าว จะมีอาการอักเสบบวมแดง
จากนั้นฝีจะแตกออกเป็นแผลลึก เจ็บแสบมาก เลือดจะออกง่าย ก้นแผลจะมีเนื้อตายติดอยู่ ปกคลุมด้วยหนองสีเทาปนเหลือง ขอบ
195
แผลจะนูนกะรุ่งกะริ่งแต่ไม่แข็ง ในรายที่ติดเชื้อรุนแรงจะพบแผลที่มีหนองกลิ่นเหม็นมาก ร้อยละ 50 จะพบต่อมน้ําเหลืองที่ขาหนีบ
บวม (bubo) และอักเสบร่วมด้วย ในเพศหญิงมักไม่แสดงอาการ
Chapter 23
การรักษา ให้ใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
- ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
- ofloxacin 400 mg กินครั้งเดียว
- ciprofloxacin 500 mg กินครั้งเดียว
- erythromycin 500 mg กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 7 วัน
- ติดตามและรักษาคู่เพศสัมพันธ์แม้ไม่มีอาการ
หมายเหตุ
Sexual-transmitted Diseases
1. หญิงมีครรภ์ หญิงในระยะให้นมบุตรหรือผู้ป่วยเด็กที่มีอายุตา่ํ กว่า 18 ปีไม่ควรใช้ ofloxacin, ciprofloxacin ในกรณี
หญิงมีครรภ์ให้ใช้ ceftriaxone หรือ erythromycin stearate
2. กรณีที่ต่อมน้าํ เหลืองบริเวณขาหนีบอักเสบ ไม่ว่าจะมีหนองหรือไม่กต็ าม ควรให้ยาฉีดหรือยากินชนิดใช้ครั้งเดียว ต่อด้วย
ยา erythromycin 500 mg กินวันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร นาน 14 วัน
3. กรณีที่ต่อมน้าํ เหลืองบริเวณขาหนีบอักเสบและมีหนองชดเจน (bubo) ควรเจาะดูดหนองออก โดยใช้เข็มเจาะผ่าน
ผิวหนังปกติ ไม่ควรใช้วิธีผ่าหนองออกเหมือนฝีทั่วไป เพราะจะทําให้รอยแผลที่เกิดจากการผ่าหายช้า
4. องค์การอนามัยโลกและศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกาแนะนําให้ใช้ยา ciprofloxacin 500 mg กินวันละ 2 ครั้ง นาน 3
วัน
5. ยาอื่นๆ ที่แนะนําได้แก่ azithromycin 1 g กินครั้งเดียวขณะท้องว่าง และก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง
6. ถ้ารักษาไม่หายอาจเป็นโรคอื่น เช่น Behcet’s disease, atypical herpes,immune reconstitution inflammatory
syndrome (IRIS ) ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
7. กรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย แผลอาจหายช้าและต้องใช้เวลานานขึ้น ควรใช้ยา erythromycin stearate
4. โรคหูดหงอนไก่
HPV หรือในชื่อเต็มว่า Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดชนิดต่าง ๆ มีมากกว่า 180 สายพันธุ์ แต่ละสาย
พันธุ์ก็ก่อโรคหูดแตกต่างกันไป ที่สําคัญมีหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะ
เพศ
สาเหตุ
โรคหูดหงอนไก่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี human papilloma virus (HPV) โดยเป็นการติดเชื้อที่ชั้นหนังกําพร้า ระยะฟัก
ตัวของเชื้อไวรัสเอชพีวีนาน 1–6 เดือน
อาการ
ลักษณะโรคหูดหงอนไก่ปกติจะมีตมุ่ หงอนไก่ คล้ายตุ่มหูด หรือหงอนของไก่ สีแดงสด บริเวณอวัยวะเพศ หรือข้างเคียง
ถ้ากระทบแรงๆ อาจจะมีเลือดออกได้ บางครั้งถ้าอยู่ในช่องคลอดลึกอาจจะมองไม่เห็นแต่ มีอาจมีอาการตกขาวได้ ถ้าอยู่แถวปาก
ช่องคลอด ก็จะเห็นได้ง่าย
การรักษา ให้ทายาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
- tincture podophyllin 25% ทาที่หูดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ทิ้งไว้ให้แห้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทาในช่องคลอดหรือบริเวณ
ทวารหนัก ห้ามใช้ยานี้ทาหูดที่ปากมดลูก เนื่องจากทําให้เกิด cervical dysplasia ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์ (อาจทําให้ทารกตายใน
ครรภ์ได)ห้ามทายานี้เกินกว่า 10 ตารางเซนติเมตร หรือ 0.5 มิลลิลติ ร ต่อครั้ง (อาจทําให้เกิดพิษจากยาได้)
- trichloroacetic acid (TCA) 80 -100% ทาหูดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ห้ามใช้ยานี้ทาหูดที่ท่อปัสสาวะ
วิธีทายา
- ทายาที่หูด
- ทาวาสลีนเพื้อป้องกันเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ หูด
- แนะนําให้ผู้ป่วยใช้น้ําและสบู่ล้างยาออกหลังจากทายาประมาณ 1-4 ชั่วโมง
- ห้ามผู้ป่วยทายาเอง
- imiquimod 5% ทาหูดก่อนนอน (ทิ้งไว 6-10 ชั่วโมงแล้วล้างออก) ทาวันเว้นวัน (สัปดาห์ละ 3 ครั้ง) นาน 16
สัปดาห์ ห้ามใช้ยานี้ทาหูดที่ปากมดลูก ภายในช่องคลอด และห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์
196
5. เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดจากเชื้อเริมที่เรียกว่า herpes simplex viruses type 1 (HSV-1)
หรือ type 2 (HSV-2) เริมที่อวัยวะเพศส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ HSV-2 ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการ หากมีอาการจะเกิดตุ่ม
น้ําที่อวัยวะเพศ เมื่อตุ่มน้ําแตกจะเกิดแผลเล็กซึ่งมีอาการปวดแสบปวดร้อน แผลเริมจะใช้เวลาหายประมาณ 2-4 สัปดาห์ เมื่อหาย
Unit 3
แล้วสามารถเกิดเป็นซ้ําได้
อาการของโรคเริม
เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน หรือกําลังมีอาการของโรคนี้อยู่ อาการเริ่มแรกจะมีตุ่มน้ําพองใส
เป็นกลุ่ม มีอาการปวดแสบและคันมาก ต่อมาตุ่มน้ําจะแตกออกเป็นแผล เมื่อแผลหายแล้วเชื้อไวรัสยังคงหลบซ่อนในปมประสาท
Infectious Diseases
Chapter 23
สาเหตุ ติดเชื้อ Trichomonas Vaginalis
ปัจจัยเสี่ยง เพศสัมพันธ์, ระดับ estrogen สูง, ช่องคลอดมีความเป็นกรดสูง
Epidemiology ประมาณ 10% ของการติดเชื้อของช่องคลอด
ระยะฟักตัว ประมาณ 4-20 วัน
การติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์
อาการ ผู้ชาย รู้สึกคันในท่อปัสสาวะเหมือนมีตัวไต่อยู่ข้างใน ส่วนน้อยอาจมีน้ําใสๆไหลออกจากท่อปัสสาวะ
Sexual-transmitted Diseases
ผู้หญิง ตกขาวสีเหลืองแกมเขียวหรือสีเทาอมเหลือง มีลักษณะเป็นฟองอากาศเล็กๆอยู่ในของเหลวตกขาว กลิ่นเหม็น
คล้ายปลาเน่า ผนังช่องคลอดแดง อาจพบปัสสาวะแสบขัดและคันช่องคลอดร่วมด้วย
การรักษา
แนวทางการรักษาอันดับแรก แนวทางการรักษาทางเลือก
First line drug Second line drug
• Metronidazole 200 mg/tab,400 • Tinidazole PO 2 g single dose หรือ
mg/tab PO 2 g single dose หรือ M: 1000 mg x 2 pc x 1-2 d
M: 400 mg x 3 pc x 7 d F: 500 mg x 2 pc x 6 d
F: 200 mg x 4 pc x 7 d ควรจ่ายยาเหน็บช่องคลอดร่วมด้วย เช่น Clotrimazole vaginal
suppo 100 mg เหน็บ hs x 6 d หรือ 200 mg เหน็บ hs x 3 d
คําแนะนํา
• รักษาคู่นอนของผู้ป่วย Trichomoniasis ควบคู่กันไปด้วย
• งดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7-10 วัน และหลีกเลี่ยงการรักษาในช่วงการตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรก
Vaginal Candidiasis
สาเหตุ ติดเชื้อ Candida albican (80-90%)
ปัจจัยเสี่ยง การตั้งครรภ์, ระดับ Glycogen เพิ่มจากการรับประทานยาคุมกําเนิด
การรับประทานยาปฏิชีวนะที่เป็น board spectrum บ่อย ๆ, โรคเบาหวาน
ระยะฟักตัว ประมาณ 2-5 วัน
ไม่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อาการ ผู้หญิง ตกขาวมีสีขาวปนเทาหรือสีครีม ลักษณะเป็นมูกคล้ายนมเปรี้ยวหรือเนยแข็ง ไม่มีกลิ่น ร่วมกับมีอาการคันช่อง
คลอดมากและอาจลามมาบริเวณอวัยวะเพศด้านนอกด้วย นอกจากนี้ยังพบปัสสาวะแสบขัดและเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์
การรักษา
แนวทางการรักษา
ใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่
• Fluconazole PO 150 mg pc
• Itraconazole 100 mg/tab PO 200 mg x 2 pc 1 d
• Ketoconazole 200 mg x 2 x 5 d
• Ketoconazole 400 mg x 1 pc x 5 d
• Clotrimazole 100 mg/tab สอดช่องคลอด 1 tab hs x 7 d
• Clotrimazole 100 mg/tab สอดช่องคลอด 2 tab hs x 3 d
• Clotrimazole 100 mg/tab สอดช่องคลอด 5 tab hs x 1 d
หมายเหตุ:ไม่มีข้อมูลสนับสนุนเรื่องการรักษาคู่เพศสัมพันธ์
198
คําแนะนํา
• รักษาความสะอาดอวัยวะเพศ ระวังอย่าให้อับชื้น หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด และหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
• หญิงมีครรภ์หรือหญิงในระยะให้นมบุตรห้ามใช้ยากิน ให้ใช้ยาสอดช่องคลอดหรือยาทา
Unit 3
• ไม่ควรใช้ยากินในผู้ที่การทํางานของตับผิดปกติหรือมีประวัตเิ ป็นโรคตับอักเสบ
Bacterial Vaginosis
สาเหตุ มีการแทนที่ Lactobacillus sp. ซึ่งเป็น Normal Flora บริเวณช่องคลอด จากเชื้อต่างๆ ดังนี้
• Anaerobic bacteria (Prevotella sp., Mobiluncus sp.)
Infectious Diseases
• Gardnerella vaginalis
• Mycoplasma hominis
ปัจจัยเสี่ยง มีคู่นอนหลายคน, ใช้น้ํายาสวนล้างช่องคลอด
มีจํานวน Lactobacillus sp. บริเวณช่องคลอดน้อย, ใส่ห่วงอนามัย
ระยะฟักตัว ประมาณ 8-14 วัน
อาการ ตกขาวมีสีขาวปนเทา ลักษณะเป็นน้ําใสจํานวนมาก มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นคาวปลา อาจรู้สึกแสบ คัน หรือเจ็บ
ในช่องคลอด บางคนอาจไม่มีอาการแสดงก็ได้
การรักษา
แนวทางการรักษาอันดับแรก แนวทางการรักษาทางเลือก
First line drug Second line drug
ใช้ยาอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ • Tinidazole PO 2 g x 1 hs x 3 d
• Metronidazole PO 400 mg x 2 pc x 7 d • Tinidazole PO 1 g x 1 hs x 5 d
• Clindamycin PO 300 mg x 2 pc x 7 d
• Tinidazole PO 500 mg x 2 pc x 7 d
หมายเหตุ:ไม่มีข้อมูลสนับสนุนเรื่องการรักษาคู่เพศสัมพันธ์
คําแนะนํา
• รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ทําความสะอาดมือและอวัยวะเพศก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงผ้าอนามัยแบบ
สอด
7. Syphilis
โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิด
จากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum เมื่อได้รับ
เชื้ อ จะกระจายไปตามกระแสโลหิ ต ทํ า ให้ เ กิ ด พยาธิ
สภาพได้เกือบทุกอวัยวะ สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ
(1) จากมารดาสู่ทารก โดยมารดาที่มีเชื้อซิฟิลิสสามารถ
ส่ ง เชื้ อ ผ่ า นรกไปสู่ ท ารกในครรภ์ ทํ า ให้ ท ารกติ ด เชื้ อ
ตั้งแต่กําเนิด (2) ทางเพศสัมพันธ์ จากคู่สมรสที่มีเชื้ อ
ถ่ายทอดให้อีกฝ่าย
ระยะฟักตัว โดยเฉลีย่ 2 - 4 สัปดาห์
199
แนวทางการรักษา
Chapter 23
Sexual-transmitted Diseases
คําแนะนํา:
• รักษาคู่นอน แม้ว่าจะไม่แสดงอาการ
• ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคซิฟิลิส ควรได้รับการตรวจหาเชื้อ HIV สําหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความชุกของการติดเชื้อ
HIV สูง หากผลตรวจครั้งแรกเป็น negative ให้ตรวจซ้ําหลังจากนั้น 3 เดือน
• ผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาท เช่น meningitis, hearing loss, iritis, neuroretinitis, และ optic neuritis เป็นต้น
ควรได้รับการตรวจ CSF analysis, ocular slit-lamp ophthalmologic examination, and otologic examination
และปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสม
แนวทางการวินิจฉัยแยกโรค
เพศชาย
มีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ ไม่มีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ
หลังติดเชื้อ 2-10 หลังติดเชื้อ 1- มีแผลที่อวัยวะเพศ ไม่มีแผลที่อวัยวะเพศ
วัน และมีหนอง 4 สัปดาห์ และ
ออกมาก หนองสี หนองออกไม่ ติ่งเนื้อขรุขระที่
ขาวข้น มีแผลเดียว หรือ ตุ่มนูนบนผิวหนัง มี
มาก เป็นมูกใส 2 แผลชนกัน รอยบุ๋มตรงกลาง ปลายอวัยวะเพศ
หนองในแท้
หนองในเทียม แผลขอบแข็ง หูดหงอนไก่
แผลริมอ่อน ขอบ มีตุ่มเล็กๆขึ้น ไม่มีตุ่มเล็กๆ หูดข้าวสุก
ไม่เจ็บ พบหลัง ไม่ชัด เลือดออก
ติดเชื้อ 10-90 ง่ายและเจ็บ พบ ต่อม
วัน ตุ่มคันมาก ตุ่มเล็กๆอยู่เป็น
หลังติดเชื้อ 2-7 วัน กลุ่ม หลังติด น้ําเหลืองที่
ลามได้ พบ ขาหนีบโต
ซิฟิลิส ตุ่มตามง่าม เชื้อ 4-7 วัน
มือง่ามเท้า หรือเป็นๆหายๆ
ฝีมะม่วง
แผลริมอ่อน หิด เริมที่อวัยวะเพศ
200
เพศหญิง
เอกสารอ้างอิง
1. อังคณา เจริญวัฒนาโชคชัย. เอกจิตรา สุขกุล. นภาพร วิบูลยานนท. ปริศนา บัวสกุล. แนวทางการรักษาโรคติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์. พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ; 2553.
2. สารานุกรมทางการพยาบาลและการสาธารณสุข จ.พะเยา.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ [webpage on internet]. Last review
Mar 31, 2011. Cited August 10, 2013. Available from : http: //www.bcnpy.ac.th/ wiki/index.php/โ ร ค ติ ด ต่ อ
ทางเพศสัมพันธ์.
3. กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สํานักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์. แนวทางการรักษาโรคติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์ พ.ศ.2549 ; 2549: 1-29.
4. ชั ย เลิ ศ พงษ์ น ริ ศ ร.ภาวะตกขาว (Vaginal Discharge) [webpage on internet]. Last review Nov 21, 2010. Cited
August 10, 2013. Available from : http://www.med.cmu.ac.th
UNIT 4
Cardiovascular Diseases
Chapters
24 Hypertension
25 Dyslipidemias
26 Cardiac Arrhythmias
27 Acute Coronary Syndromes
28 Peripheral Artery Diseases
29 Heart Failure
30 Stroke
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
24 Hypertension
นศภ.กัญญารัตน์ ดั่งศิริโชค
Hypertension
ความดันโลหิตสูง หมายถึง ระดับ systolic blood pressure (SBP) ≥ 140 mmHg และ/หรือ Diastolic blood
pressure (DBP) ≥ 90 mmHg
Isolated systolic hypertension หมายถึง ระดับ SBP ≥ 140 mmHg แต่ DBP < 90 mmHg
ตารางที่ 24.1 ประเภทของภาวะความดันโลหิตสูงสําหรับผู้ใหญ่ตาม JNC 7
โรคความดันเลือดสูงได้เป็น 2 ประเภทตามสาเหตุ
1. Primary or Essential Hypertension คือ โรคความดันเลือดสูงที่ไม่สามารถระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดพยาธิสภาพได้
(no identifiable cause) ประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยด้วยโรคความดันเลือดสูงจะได้รับการวินิจฉัยด้วย primary
Hypertension ซึ่งปัจจัยหลักที่อาจเป็นสาเหตุของ primary Hypertension ได้แก่
ปัจจัยทางพันธุกรรม
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น การสูบบุหรี่ (smoking), โรคอ้วน (obesity) และ ภาวะไขมันในเลือดสูง
(hyperlipidemia), การรับประทานเกลือมากเกิน (excessive salt intake), การไม่ออกกําลังกาย และ
ความเครียด เป็นต้น
2. Secondary Hypertension คือ โรคความดันเลือดสูงที่สามารถตรวจพบสาเหตุ ที่ก่อให้เกิดภาวะความดันเลือดสูง
เช่น โดยมักมีสาเหตุจากการเกิดภาวะโรคอื่นๆเช่น renal artery constriction, pheochromocytoma, Cushing’s
disease, aldosteronism, thyroid diseases เป็นต้น หรืออาจเกิดขึ้นเนื่องมาจากการใช้ยา เช่น oral
contraceptives, oral decongestants เป็นต้น
พยาธิสรีรวิทยา ปัจจัยเสี่ยง และลักษณะแสดงทางคลินิก
พยาธิกําเนิดของการเกิดภาวะความดันเลือดสูง ตาม hydraulic equation ความดันโลหิตของร่างกายเป็นสัดส่วน
โดยตรงกับปริมาณเลือด โดยทฤษฎีจะเกี่ยวโยงสาเหตุของโรคกับ hemodynamic parameters ที่สาํ คัญ 2 ตัว คือ cardiac
output, CO และความต้านทานของหลอดเลือด (Peripheral vascular resistance, PVR) ดังสมการต่อไปนี้
BP = CO × PVR
หลักการรักษาผู้ป่วยความดันเลือดสูง
เป้าหมายในการรักษาภาวะความดันเลือดสูง (Goal of therapy) คือ
(1) ลดความดันเลือดให้อยู่ในระดับเป้าหมาย (goal blood pressure) และลดความเสี่ยงในการทุพลภาพหรือเสียชีวิต
จากโรคหัวใจ หลอดเลือด และไต
(2) การใช้ยาจะต้องมีการคํานึงถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนการดําเนินชีวิตของ
ผู้ป่วย
เป้าหมายในการรักษาภาวะความดันเลือดสูง คือ ระดับความดันโลหิต <140/90 mmHg สําหรับผู้ป่วยความดันเลือด
สูงที่มีโรคเบาหวาน (diabetes mellitus) หรือโรคไตเรื้อรัง (chronic kidney disease) ร่วมด้วย เป้าหมายของระดับความดัน
เลือด คือ <130/80 mmHg และกรณีที่มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ระดับความดันโลหิต <125/75 mmHg
205
Chapter 24
Hypertension
แผนภาพที่ 24.1 การจัดการภาวะความดันโลหิตสูง
การปรับเปลี่ยน life style
ตารางที่ 24.3 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตเพื่อป้องกันและส่งเสริมการรักษาโรคความดันเลือดสูง
206
ยาลดความดันโลหิต
ยาลดความดันโลหิตแบ่งออกเป็นหลายกลุม่ ตามกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้
1. Diuretics
2. Beta blockers
Unit 4
ภาพที่ 2 การออกฤทธิ์ของกลุ่มยาขับปัสสาวะ
1.1 Thiazide (HCTZ, Indapamide, Metolazone)
ใช้ในการลดความดันโลหิตที่เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับเกลือแร่โดยเฉพาะ Na+ มากเกินไป และในระยะยาว
มีผลต่อการลด peripheral vascular resistance (PVR)
MOA : ลดการดูดกลับ Na ที่ distal lube
ADR : Dose-related metabolic & electrolyte disturbance [hypokalemia, hypomagnesemia]
รบกวนการ metabolism glucose & lipid [hyperglycemia, hyperlipidemia]
Hyperuricemia
ข้อควรระวัง : ในผู้ป่วยที่มี CrCl < 30 ml/min/1.732 จะใช้ยาไม่ได้กลุ่มนีไ้ ม่ได้ผล
1.2 Loop diuretics (Furosemide)
DOC for HT w/ chronic renal disease or failure
MOA : ยับยั้งการดูดกลับ Na ที่ loop of Henle
ADR : เหมือนยากลุ่ม thiazide
ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ sulfa (ในโครงสร้างมีหมู่ sulfonamide)
1.3 Aldosterone receptor antagonist (Spironolactone, Eplerenone)
MOA : ยับยั้งการดูดกลับ Na และน้ํา, inh. vasoconstriction
ADR : Hyperkalemia, Hirsutism, เต้านมโตในผู้ชาย, ประจําเดือนมาไม่ปกติ, impotence เพราะเป็น antagonist
ต่อ androgen, progesterone
ข้อควรระวัง : การใช้ยากลุ่มนีร้ ่วมกับ NSAIDs, ACEI, ARB, K-sparing, และ K-supplement โดยอาจทําให้เกิด
Hyperkalemia เพราะเป็น antagonist ต่อ mineralocorticoid
207
1.4 Potassium sparing diuretics (Amiloride, Triamterene)
ใช้ในการป้องกันการเกิด hypokalemia จากยาขับปัสสาวะตัวอื่น
MOA : ยับยั้งการดูดกลับ Na ที่ distal และ collecting tubule
Chapter 24
ADR : Hyperkalemia
2. Beta blocker
เป็นยากลุม่ หลักที่ใช้ในการลดความดันโลหิตในผูป้ ่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับ MI, HF โดยพบว่าสามารถลดอัตรา
การตายใน MI, HF
MOA :
Hypertension
- ยับยั้งแบบ competitively กับ catecholamine ที่บริเวณ cardiac receptor (β1-receptor) และ non-
cardiac receptor (β1-receptor)
- ผลลดการหลั่ง renin ที่ไต
- ลดการหลั่ง norepinephrine
- ป้องกัน presser response ที่เกิดขึ้นตอบสนองต่อการออกกําลังกาย หรือความเครียด ที่กระตุ้นให้มกี ารหลั่งของ
catecholamine มากขึ้น
ADR : อ่อนแรง (หายได้เมื่อกินยาต่อเนื่อง 1-2 สัปดาห์), Bradycardia
ข้อควรระวัง : ระวังในผู้ป่วย DM, ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรค Asthma และ COPD
β-blocker แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 Selective β 1-adrenergic blocking agents (Atenolol, Bisoprolol, Metoprolol, Carvedilol)
MOA : มีฤทธิ์ที่เจาะจงต่อการยับยั้ง b1-adrenergic receptor ที่หัวใจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย
เบาหวาน, หอบหืด แต่พบว่ายาในกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ cardioselective ลดลงเมื่อเพิ่มขนาดยา
- Carvedilol : ยาเป็น racemic mixture โดยมี S (-) isomer ที่ออกฤทธิ์เป็น nonselective β-
blocker แต่ทั้งS (-), R (+) isomer มีฤทธิ์ในการยับยั้งที่ α-adrenergic receptor เท่าๆกัน
2.2 β -adrenergic blocking agents with intrinsic sympathomimatic activity (Pindolol)
MOA : ออกฤทธิ์ในการลด cardiac output, heart rate ไม่มาก แต่มีฤทธิ์ลด total peripheral
resistance ได้ชัดเจนกว่ายาในกลุม่ อื่น สามารถใช้ในผู้ป่วยภาวะ bradycardia จากการใช้ b-blocker อื่นๆ
ข้อดี : สามารถใช้ได้ดีในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีภาวะ peripheral vascular disease, เบาหวาน และ
lipid disorders เพราะยาไม่มผี ลลด HDL และไม่มีผลเพิ่มระดับ triglycerides
2.3 Non selective β -adrenergic blocking agents (Nodolol, Propranolol, Pindolol, Timolol)
- Propranolol : ใช้ในการรักษา mild to moderate hypertension ในกรณีของ severe
hypertension ยา propranolol จะใช้ในการป้องกัน reflex tachycardia ที่เกิดจากการใช้
vasodilators
MOA : ยับยั้งทั้ง β1 และ β2adrenergic receptors ยามีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตโดยลด
cardiac output และทําให้หัวใจเต้นช้าลง และมีผลในการยับยั้งการหลั่งของ renin ที่ถูกกระตุ้นให้หลั่ง
เพิ่มขึ้นโดย catecholamine
ข้อดี : ใช้ในการลดความดันโลหิตในระดับ mild to moderate hypertension โดยจะลดควมดัน
โลหิตโดยไม่ทําให้เกิดอาการ postural hypotension
2.4 α, β -adrenergic blocking agents (Labetalol)
เป็น non-selective β-blocker และมีฤทธิ์ในการยับยั้งที่ α-adrenergic receptors
208
3. Angiotensin converting enzyme inhibitors (Enalapril, Captopril)
DOC : การลดความดันโลหิตของผู้ป่วยที่มีภาวะ HF, DM, MI, CKD, stroke
MOA : ออกฤทธิ์ในการลดระดับ angiotensin II ซึ่งทําให้ลดการหลั่งของ aldosterone และมีผลทําให้ลดการคั่ง
ของน้ําและเกลือแร่ และลด left ventricular hypertrophy ได้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ลดความดันโลหิตโดยไม่มผี ลทํา
Unit 4
Chapter 24
สามารถลดความดันโลหิตได้ในท่ายืนได้มากกว่าท่านอน เนื่องจากยาทําให้เกิดการคั่งของน้ําและเกลือแร่ ดังนั้นต้อง
ให้ร่วมกับ diuretic
MOA : ยับยั้งแบบ selective ที่ α1-adrenergic receptor ใน arteriole และ venule ดังนั้นเนื่องจากยาออก
ฤทธิ์จําเพาะในการยับยั้งที่ α1-adrenergic receptor ทําให้ยามีข้อดีกว่า non- selective α-adrenergic
receptor antagonist อื่นๆคือ ไม่ทําให้เกิด reflex tachycardia
ข้อดี : ไม่รบกวนการ metabolism ของ lipid profiles
ADR : postural hypotension, dizziness, palpitation, headache, lassitude
Hypertension
7. Direct Vasodilator (hydralazine, minoxidil, nitropusside, diazoxide, fonoldopam)
MOA : ออกฤทธิ์ในการคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือดแดง ดังนั้นจึงมีผลในการลด systemic vascular
resistance ยาในกลุ่มนี้ลด arterial resistance และลด arterial blood pressure แต่เนื่องจากร่างกายมีการ
กระตุ้นของ compensatory response ที่เกิดจาก baroreceptor reflex, sympathetic nervous system, การ
กระตุ้นของ renin angiotensin system (RAS) ซึ่งการเกิด compensatory response นี่เองจะต้านฤทธิ์ลดความ
ดันโลหิตของ vasodilator ดังนั้นยาจะออกฤทธิ์ได้ผลดีเมื่อได้รับยาในกลุ่มอื่นที่ต้านการทํางานของ compensatory
response
ข้อดี : เนื่องจากยายังคงมี sympathetic reflex อยู่ จึงไม่เกิด orthostatic hypotension หรือ sexual
dysfunction
- Hydralazine
MOA : ออกฤทธิ์โดยตรงในการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งผลจากการออกฤทธิ์ของ
ยาทําให้เกิดการกระตุ้นของระบบ sympathetic nervous system และทําให้เพิ่ม heart rate และ
contractility ของหัวใจ รวมทั้งมีผลเพิม่ การหลั่งของ renin และเกิด fluid retention
ADR : headache, nausea, flushing, hypotension, palpitating, tachycardia, dizziness, anorexia
210
ตารางที่ 24.4 ตัวอย่างยาลดความดันโลหิตรูปแบบรับประทาน
Unit 4
Cardiovascular Diseases
Hypertension Chapter 24
211
212
Unit 4
Cardiovascular Diseases
หลักการเลือกใช้ยาลดความดันโลหิตในสภาวะโรคร่วมต่าง ๆ
Hypertensive crisis
1. Hypertensive emergency : ภาวะที่มีระดับความดันเลือดสูงรุนแรง (BP >180/120 mmHg) พร้อมทั้งผู้ป่วยมี
ภาวะแทรกซ้อนของ target organ damage ร่วมด้วย เช่น hypertensive encephalopathy, intracerebral
hemorrhage, acute myocardial infarction, acute left ventricular failure with pulmonary edema,
unstable angina pectoris เป็นต้น
GOAL : ลดค่าความดันหลอดเลือดแดงเฉลีย่ ลง 25% ของความดันที่วัดได้ กรณีไม่มีภาวะแทรกซ้อนพิจารณา
ลดความดันเลือดลงอีกจนถึงระดับ 160/100-110 mmHg ภายในระยะเวลา 2-6 ชั่วโมง ไม่ควรลดระดับความดันเลือด
อย่างรวดเร็ว เพราะอาจขาดเลือดไปเลีย้ งสมอง หัวใจ หรือ ไต ได้ เมื่อความดันเลือดอยู่ในระดับ 160/100 mmHg แล้ว
การลดระดับความดันเลือดลงไปอีกจนถึงระดับปกติ ควรกระทําอย่างช้าๆ โดยใช้เวลา 24-48 ชั่วโมง และเริ่มให้ยาลด
ความดันเลือดแบบรับประทาน
การหยุดยาลดความดันเลือดแบบฉีดเข้าเส้นต่อเนื่องจะต้องค่อยๆ ลดขนาดของยาลง เพื่อป้องกัน rebound
2. Hypertensive urgency : ภาวะที่ความดันเลือดอยู่ในระดับสูงรุนแรง ไม่มีการกําหนดระดับความดันเลือดที่แน่นอน
โดยผู้ป่วยไม่แสดง target organ damage ที่จําเป็นต้องรักษาเร่งด่วน แต่อาจมีอาการแสดงเช่น ปวดศีรษะมาก, หายใจ
หอบเหนื่อย, เส้นเลือดฝอยที่จมูกแตก (epistaxis) หรือ อาการกระวนกระวาย เป็นต้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้มกั เป็นผู้ป่วยความ
ดันเลือดสูงที่หยุดการรับประทานยาลดความดันเลือดด้วยตนเอง หรือรับประทานยาไม่สม่ําเสมอ หรือการควบคุมความ
ดันเลือดโดยยาไม่ดีพอ
ผู้ป่วยกลุม่ นี้สามารถลดระดับความดันเลือดลงโดยใช้ยารับประทาน เพื่อให้ระดับความดันลดลงมาอยูใ่ นระดับ
ที่เหมาะสมภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยทั่วไปผู้ป่วยควรได้รับยาทีม่ ีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้นเช่น captopril, labetalol
หรือ clonidine แล้วติดตามดูระดับความดันเลือดและอาการของผูป้ ่วย หากความดันเลือดไม่ลดลงเลย อาจจําเป็นต้อง
ให้ยาซ้ํา เป้าหมายคือ ให้ DBP < 120 mmHg โดยไม่แนะนําการลดระดับความดันเลือดอย่างเร่งรีบโดยยาฉีดเข้าหลอด
เลือดหรือใช้ยารับประทานพร้อมกันหลายตัวในผู้ป่วยภาวะความดันเลือดสูงเร่งด่วน
213
หลีกเลี่ยงการใช้ยา short acting nifedipine ในการลดระดับความดันเลือดในภาวะความดันเลือดสูงวิกฤต
เนื่องจากการลดระดับความดันเลือดอย่างรวดเร็วเกินไปโดยไม่อาจควบคุมได้ อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีดังที่กล่าว
มาแล้ว เนื่องจากการขาดเลือดไปเลี้ยงยังอวัยวะสําคัญ
Chapter 24
ตารางที่ 24.5 ยาฉีดเข้าหลอดเลือดดําสําหรับภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต
Hypertension
เอกสารอ้างอิง
1. Chobanian V., Bakris L., Black R., Cushman C., Lee A., Izzo L., et al. Seventh Report of the Joint
National Committee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood
Pressure.2003:42;1206-1252
2. จุฑามณี สุทธิสสี ังข์, รัชนี เมฆมณี. เภสัชวิทยา เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2, ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล, กรุงเทพฯ, 2542
3. ประวิทย์ ตันประเสริฐ. การใช้ยา ACE inhibitor ในเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ, 2541.
4. ยุพิน สังวรินทะ และคณะ. เภสัชวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 3, ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,
กรุงเทพฯ. 2539.
214
1. Imidazolines
มีสูตรคล้ายคลึงกับพวก Naphazoline, Xylometazoline (α1-agonists) เช่น Clonidine Hydrochloride
ออกฤทธิ์กระตุ้น α2 ใน cardiovascular control centers ของ CNS ใช้เป็น centrally acting
antihypertensive agent
2. Guanidine Derivatives
Open-ring imidazoline เช่น Guanabenz และ Guanfacine
กระตุ้น α2 ใน CNS, antihypertensive
3. Phenylethylamine Derivatives
ได้แก่ α-methylnorepinephrine, ไม่มีในรูปของยา
เป็น metabolite ของ methyldopa
215
Renin inhibitors
Chapter 24
Pepstatin(pentapeptide)
Hypertension
Aliskiren (non-peptide)
Angiotensin II receptor antagonists (ARB)
Pharmacophore ของ Angiotensin II ประกอบด้วยส่วนของ
- Phenolic gr. ของ Tyr4 - His6 residue
- Ar. ring ของ Phe8 - C terminal carboxylate
Open chain
Unit 4
Cardiovascular Diseases
isostere
ACE inhibitors
ACE เป็นเอนไซม์ที่ไป hydrolyze substrate โดยจะอาศัย Zn2+ เป็น cofactor ในการช่วยเร่งปฏิกิริยา hydrolysis
Enzyme
substrate
Chapter 24
4. Proline และ –methyl gr. เกิด hydrophobic interaction กับ ACE
Hypertension
Prodrug
2+
ตัดได้ –COOH ไว้จับกับ Zn
e- withdrawing
SAR:
ตน. 2,6 : alkyl gr. แสดงถึง duration
ตน. 3, 5: -COOH gr. ที่ protect ด้วย ester gr.
ตน. 4: Ar ring ที่แทนที่ด้วย e- withdrawing ที่ –m, -o
218
First Generation
Nifedipine
Second Generation
Cardiovascular Diseases
- เพิ่มความจําเพาะต่อหลอดเลือด
- Half life นานขึ้น
- Less negative inotropic
Isradipine
Nondihydropyridine
Benzothiazepine
ที่ pH ร่างกายจะมีประจุบวก จึงยับยั้ง Ca2+ channel
ที่ open state เท่านั้น
Diltiazem
Aralkyl amine
Verapamil
ที่ pH ร่างกายจะมีประจุบวก จึงยับยั้ง Ca2+ channel ที่ open state เท่านั้น
219
β-blockers (BB)
เป็นกลุ่มที่ใช้เป็น antihypertensive drug
Chapter 24
สูตรโครงสร้างคล้ายกับ β-agonist
Napthalene OH
H
N C H3
C H3
block ที่ β ได้ด,ี กระตุ้น β ได้เล็กน้อย
Hypertension
Pronethalol แต่ถูกถอนเนื่องจากทําให้เกิด thymic tumors
C H3
Oxymethylene
O NH C H3
OH potency มากกว่า Pronethalol ~ 20 เท่า
Propanolol
C H3
O NH C H3
α OH Block ได้ทั้ง β1 และ β2
α-naphthyloxypropanolamine
นําไปสู่การพัฒนาตัวยาในกลุ่ม aryloxypropanolamine
Cardioselective β1-blocker
Cardiovascular Diseases
O NH C H3
α OH
C H3
O NH
O NH
H 3C C H3
C H3
Practolol Acebutolol
การแทรก -CH2- ระหว่าง amide กับ aromatic ring
C H3
Potency พอๆกับ propanolol
O N
H
C H3
ออกฤทธิ์ที่ β1 เท่านั้น ไม่ออกฤทธิ์ที่ β2 เลย
OH
O
Atenolol
NH2
221
การมี ether-substituent ที่ตําแหน่ง para ก็ให้ลักษณะการออกฤทธิ์เช่นเดียวกับ Atenolol
C H3 CH3
Metopolol Betaxolol
Chapter 24
O N CH3 O N C H3
H H
OH OH
O O
C H3
Hypertension
ไม่มตี ําแหน่งที่เกิด H-bond ได้
Diuretics
1. Proximal tubule : Osmotic diuretic & Carbonic anhydrase inhibitor ( มีการดูดกลับของ Na+, Cl-,
H2O,Ca2+ 65%-70% ดูดกลับ HCO3-, phosphate, urate 80%-90% ดูดกลับน้าตาล, amino acids, low-MW proteins
100%)
2. Ascending loop of Henle : Loop agent (มีการดูดกลับของ Na+ 20%-25% แต่จะมีการดูดกลับของโซเดียม
มากกว่าปกติเมื่อ proximal tubule sodium transport ถูกยับยั้ง)
3. Distal convoluted tubule :Thiazides ( มีการดูดกลับของ Na+ 5%-8%)
4. Collecting tubule : Aldosterone antagonist (มีการดูดกลับของ Na+ 2%-3% แต่ตําแหน่งนี้ บางส่วนจะถูก
ควบคุมโดย mineralocorticoids, aldosterone และมีการแลกเปลี่ยนของ Na+ กับ K+ และ H+ คือ การดึง Na+ เข้าเซลล์จะแลก
กับการขับ K+ ออกจากเซลล์ ดังนั้นหากได้รับยาขับปัสสาวะที่ยับยั้งตําแหน่ง 1,2,3 ข้างต้น จะท้าให้เพิ่มการไหลของปัสสาวะมาที่
ตําแหน่ง 4 มากขึ้นเกิดการกรองที่ตําแหน่ง 4 เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดการดูดกลับ Na+ เพิ่มขึ้น และเพิม่ การขับออกของ K+ และ H+
มากขึ้น ท้าให้เกิดภาวะ hypokalemia และ alkalosis ได้ แต่ถ้ายามายับยั้งตําแหน่ง 4 อย่างเดียว จะท้าให้ลดการดูดกลับของ
Na+และลดการขับออกของ K+ ท้าให้ยาในกลุ่มนี้ จัดอยู่ในกลุ่มยา potassium – sparing )
Efficacy & Duration of action
Low-ceiling : Thiazide
High-ceiling : loop diuretic e.g. ethacrynic acid, furosemide, bumetanide, muzolimine
กลุ่มยาขับปัสสาวะมี 5 กลุ่มดังนี้
1. Osmotic agent
Low MW จึงสามารถกรองเข้าสู่ Bowmann’s capsule ได้ ส่งผลให้เกิด hypertonic solution เกิดภาวะ
ขับน้ําออก
Highly soluble , Non pharmacological effect, Not reabsorption
เช่น Mannitol (IV), Sorbitol(IV), Isosorbide (oral) ช่วยลดความดันภายในลูกตาได้, Urea(IV)
2. Carbonic anhydrase inhibitors (CAI)
พัฒนาจากยากลุ่ม sulfonamides (sulfamyl gr.)
ออกฤทธิ์ที่ proximal tubule & collecting tubule
กลไกในการออกฤทธิ์ คือ 1. ยับยั้ง CAI ที่ proximal tubule cells ภายในเซลล์ส่งผลให้ H+ ภายในเซลล์
ลดลง H+ ลดลงท้าให้การแลกเปลีย่ นระหว่าง Na+ กับ H+ ระหว่าง luminal fluid กับภายในเซลล์ลดลง
ส่งผลให้ลดการดูดกลับของ Na+ และลดการขับออกของ H+ 2. ยับยั้ง CAI ที่ luminal brush border
membrane ของ proximal tubule ท้าให้ลดการสร้าง CO2 ส่งผล ให้ลดการ uptake ของ CO2 เข้าสู่เซลล์
proximal tubule cell ท้าให้ลดการดูดกลับของ HCO3-ส่งผลท้าให้เกิดภาวะ acidosis และภาวะ
metabolic acidosis อาจจะส่งผลให้การ ท้างานของยา diuretic ลดลงเพราะ H+ ทีเพิ่มขึ้นจะไปแลกเปลี่ยน
กับ Na+ ภายในเซลล์เพิ่มขึ้น ท้าให้เกิดการดูดกลับ Na+ เพิ่มขึ้นได้ 3. ยับยั้ง CAI ที่ collecting tubule
ภายในเซลล์ท้าให้ลด ปริมาณ H+ ภายในเซลล์ และส่งผลให้เกิดการแลกเปลีย่ น Na+ กับ K+ มากกว่าการ
แลกเปลีย่ น ของ H+ ภายในเซลล์ ส่งผลให้มีการขับออกของ K+ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจากกลไกการยับยั้งทั้ง 3
บริเวณส่งผลให้มีการขับออกของ Na+, HCO3-และ K+ เพิ่มสูงขึ้นของการใช้ยา diuretic ใน 4-7 วันแรก
Parent compound: Acetazolamide รักษา glaucoma & epilepsy SE: acidosis
222
Methazolamide เป็น adjunctive รักษาภาวะ chronic simple glaucoma SE: acidosis,
Ethoxzolamide เป็น adjunctive รักษาภาวะ glaucoma & epilepsy
Unit 4
Cardiovascular Diseases
3. Benzothiadiazine (Thiazides)
พัฒนาจากยากลุ่ม sulfonamides (sulfamyl gr.)
ตําแหน่งออกฤทธิ์ distal tubule
SAR :
1. Benzene ring ต้องมี sulfamyl gr. และต้องไม่มหี มู่แทนที่ตําแหน่ง 7 ที่หมู่ sulfamyl gr. ต้องมีหมู่ halogen ที่
ตําแหน่ง 6 จะมีฤทธิ์เพิ่มสูงขึ้น
2. enhance activity : ตําแหน่ง 3,4- double bond ถ้าเป็น พันธะเดี่ยวที่ตําแหน่ง 3,4 จะให้ฤทธิ์สูงสุด 10 เท่า
และ less toxic , ตําแหน่งที่ 3 มีหมู่ที่ชอบไขมันมาแทนที่จะเพิ่มฤทธิ์ สูงขึ้น, lower alkyl gr. Such as methyl
gr. จะท้าให้มีฤทธิ์เพิ่มสูงขึ้น
3. ตําแหน่งที่ 1 ของ heterocyclic ring อาจจะเป็น SO2 หรือ C=O ก็ได้
Chapter 24
Hypertension
5. Potassium sparing diuretic
ยากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะอ่อนที่สุดเมื่อเทียบกับยาในกลุ่มอื่นๆ
ยาออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมกลับของ Na+ ที่ distal tubule และ collecting duct ซึ่งจะมีการดูดซึมกลับของ
Na+ ในปริมาณต่ําอยู่แล้ว
ไม่นิยมนํามาใช้เดี่ยวๆแต่มักนิยมใช้กับยากลุ่มอื่นๆ
การแบ่งชนิดตามกลไกการออกฤทธิ์
1. Aldosterone antagonist
spironolactone : ออกฤทธิ์เป็น competitive antagonist ของ aldosterone
เข้าสู่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารชื่อ canrenone ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับ aldosterone สามารถแย่งจับกับ
aldosterone receptor ได้ดี SE: hyperkalemia
224
2. Non aldosterone antagonist
Triamterene : (oral) เป็น pteridine derivative (pyrimidine+pyrazine) ที่รบกวนการแลกเปลีย่ น ion ที่ distal
tubule
Unit 4
Triamterene
Cardiovascular Diseases
Clorexolone
เพิ่มเติม
อนุพันธ์ของ purine base (xanthine) ที่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะคือ caffeine, theobromine,
theophylline โดยเรียงตามลาดับความแรงได้แก่ Theophylline > Theobromine > Caffeine
Chapter 25 Dyslipidemia
นศภ.กัญญารัตน์ ดั่งศิริโชค
ภาวะไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia)
หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีระดับ cholesterol และ triglycerides(TG) สูงกว่าระดับปกติ ซึ่งจะนําไปสูภ่ าวะการเกิดการ
อุดตันและแข็งตัวของเส้นเลือด (atherosclerosis) และการเกิดภาวะการอักเสบอย่างรุนแรงของตับอ่อน (pancreatitis)
Lipoprotein
การลําเลียงไขมันในร่างกายซึ่งได้แก่ cholesterol, triglycerides(TG), free fatty acid และ phospholipid (PL) ซึ่ง
เป็นสารที่ไม่ละลายน้ํานั้น จะถูกลําเลียงรวมกันในลักษณะที่เรียกว่า lipoprotein โดยจะมีการรวมตัวของไขมันเหล่านี้กับโปรตีนที่
เรี ย กว่ า apolipoprotein (Apo) ดั ง ตารางที่ 1 ซึ่ ง จะทํ า หน้ า หลั ก เช่ น ทํ า ให้ โ ครงสร้ า งของ lipoprotein คงตั ว (structure
stability), เป็น ligand ในการจับกับ receptor, กําหนด metabolic fate ของ lipoprotein, เป็น cofactor สําหรับกระบวนการ
metabolism ของ lipoprotein เป็นต้น
กระแสเลือดโดยรวดเร็วโดยการใช้ Apo E ที่อยู่ในโมเลกุลจับกับ Apo E และ Apo B-48 receptor ที่ตับ ซึ่งเมื่อเข้าไป
ในตับแล้วจะถูกย่อยต่อไปใน lysosome เพื่อปลดปล่อย cholesterol ester ให้ได้เป็น cholesterol อิสระ และนําไปใช้
ประโยชน์ ใ นการนํ า ไปสร้ า งผนั ง เซลล์ , เก็ บ ไว้ ใ นตั บ ในรู ป ของ cholesteryl ester, ขั บ ออกทางน้ํ า ดี ใ นรู ป ของ
cholesterol หรือ bile acid หรือถูกนําไปสร้างเป็น lipoprotein อีกครั้ง
Chapter 25
Dyslipidemias
ภาพที่ 25.3 กระบวนการนําส่งไขมันในร่างกายแบบ endogenous pathway
LDL เป็น lipoprotein ที่มีความสําคัญมากในการนําส่ง cholesterol ทั่วร่างกาย โดยร่างกายจะส่ง cholesterol ให้สู่
เซลล์ที่ต้องการใช้ cholesterol เป็นจํานวนมากเช่นเซลล์ที่ทําหน้าที่ในการสร้าง steroid hormone และน้ําดี โดยลําเลียงไปในรูป
ของ LDL ซึ่งเซลล์นั้นๆจะมีการรับ cholesterol โดยการเพิ่มการสร้าง LDL-receptor ที่ membrane มากขึ้น ซึ่งเมื่อ LDL จับ
กับ LDL–receptor แล้วจะเกิดกระบวนการ endocytosis และถูกย่อยโดย enzyme ภายใน lysosome ได้เป็น Cholesteryl
ester, cholesterol, free fatty acid ละนํามาใช้ในเซลล์ต่อไป ส่วน Apo B-100 ซึ่งทําหน้าที่ในการจับกับ receptor จะถูกย่อย
สลายไป และ LDL-receptor จะกลับไปทําหน้าที่อีกครั้งที่ membrane
Atherosclerosis
LDL จะถูก Oxidize ได้โดยกระบวนการ peroxidation และจะถูกเก็บกินโดย macrophage เกิดเป็น foam cell ลอย
ไปตามกระแสเลือด เมื่อมีรอยแตกที่เส้นเลือด foam cell จะไปแปะติดบริเวณนั้นจนเกิดเป็น plaque ทําให้เส้นเลือดแข็งตัว และ
อุดตันในที่สุด
ตารางที่ 25.3 การคํานวณ 10-year risk for CHD โดยใช้ Framingham Risk Score
229
3. ในกรณีที่ระดับ LDL-C ของผู้ป่วยสูงกว่าระดับเป้าหมายให้พยายามลดระดับของ LDL-C โดยแนะนําการปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมชีวิตที่ให้ผลในการรักษา(therapeutic lifestyle change; TLC)กับผู้ป่วยทุกรายการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ
ดําเนินชีวิต หมายถึง การกําจัดปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากการดําเนินชีวิตประจําวันให้หมดสิ้นไป
Chapter 25
NCEP ATP III ได้แนะนําขั้นตอนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตที่ให้ผลในการรักษาดังแสดงในรูป
Dyslipidemias
แผนภาพที่ 25.1 ขั้นตอนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตที่ให้ผลในการรักษาตาม NCEP ATP III
4. พิจารณาเริ่มการใช้ยาลด LDL-C โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงต่อการเกิด CHD และระดับ LDL-C
Pharmacotherapy of Dyslipidemia
ยาลดระดับไขมันในเลือดมี 6 กลุ่ม
1. HMG CoA Reductase ได้แก่ Simvastatin, Lovastatin, Pravastatin, Fluvastatin, Atorvastatin, Rosuvastatin
MOA : ยับยั้ง enz. HMG Co A reductase ที่ตับ, เพิ่ม LDL receptor ทําให้ LDL ใน plasma ลดลง และเพิ่ม serum
LDL clearance [ยากลุ่มนี้ทุกตัวอยู่ในรูป active drugs ยกเว้น Simvastatin, Lovastatin ที่เป็น Prodrug]
ประโยชน์ : ลดการเกิด coronary event, ลด strokes, ลด CHD mortality , ลดการผ่าตัด by pass หลอดเลือดหัวใจ, ลด
อัตราการตายโดยรวม
ADR : Myopathy ,Myalgia ,Myositis, Rhabdomyolysis, เพิ่ม liver enzyme, เพิ่ม creatin kinase
Contraindication :
- ห้ามใช้ในคนที่เป็น active หรือ chronic liver desease ( มี enz. Transminases> 3 เท่าของค่าปกติ)
- ห้ามใช้ร่วมกับยาที่เป็น CYP 450 inhibitor
- ห้ามใช้ในหญิงให้นมบุตรและหญิงมีครรภ์
D/I : ยากลุ่ม Statins จะเกิด D/I กับยาที่เป็น CYP 3A4 inhibitor ทําให้มี Statins ในเลือดมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด
Myopathy, Myositis
2. Cholesterol absorption Inhibitor ได้แก่ Ezetimibe
MOA : ออกฤทธิ์ที่ brush border ของลําไส้ ยับยั้งการดูดซึมอาหาร และcholesterol ที่ brush border ของลําไส้ (ไม่มี
ผลต่ อ TG และ vitamin ที่ ล ะลายในไขมั น ), ลดปริ มาณ cholesterol ที่ ไ ปตั บ และเพิ่ ม LDL receptor ที่ตั บ ให้จั บ กั บ
cholesterol มากขึ้น
Therapeutic effect : - GI สามารถกําจัด cholesterol ได้เพิ่มขึ้น 70%
- ความเข้มข้นของ cholesterol ที่ตับลดลง 50%
- ตับเพิ่มการสร้าง cholesterol ขึ้น 90%
- Cholesterol ถูกดึงออกจากกระแสเลือดผ่านทาง LDL receptor เพิ่มขึ้น 20%
Dose : Ezetimibe 10 mg OD พร้อมหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
การออกฤทธิ์เป็นแบบ dose dependent
- 5 mg LDL-C ↓ 15.7 %, HDL-C ↑ 2.9%
- 10 mg LDL-C↓ 18.0 %, HDL-C ↑ 3.5%
230
ADR : Diarrhea, arthralgia, cough, fatigue
Contraindication : ห้ามใช้กับคนที่เป็นโรคตับ หรือคนที่มี enz.transminase สูงขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุ
DI : - ไม่เกิดปฏิกิริยากับ statins, warfarin, oral contraindication, sulfonylurea
- เกิด D/I กับ bile acid resin
Unit 4
gene ที่สร้าง apo C-III , กระตุ้น gene ที่สร้าง LDL receptor, กระตุ้น gene ที่สร้าง Lipoprotein Lipase ทําให้ TG
ลดลง, ลดการสร้าง TG ในตับ, เพิ่มการสร้าง apo A I / II และเพิ่มความสามารถของ LDL ในการจับกับ receptor ของ
ตับ
Therapeutic effect : - ลด TG 20-50% ( เด่น: เหมาะกับผู้ป่วย hypertriglyceridemia)
- เพิ่ม HDL-C 10-20%
- ลด LDL-C 5-20% (ไม่เด่น) ใน mixed type dyslipidemia อาจจะเพิ่ม LDL
ประโยชน์ : ลดการเกิด coronary event เช่น MI, angina แต่เพิ่มอัตราการตายโดยรวม และอัตราการตายจาก non-
CHD
Dose : 1.Gemfibrozil 600 mg BID ก่อนอาหาร 30 นาที
2. Bezafibrate 200 mg bid-tid หรือ Retard 400 mg OD
3. Fenofibrate 54-160 mg QD กินพร้อมมื้ออาหาร
4. Clofibrate 1000 mg BID
ADR : ↑ LFT, Myopathy, Rhabdomyolysis, dyspepsia, nausea, abdominal pain, cholesterol gallstones
Contraindication : ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับ, ไตขั้นรุนแรง
4. Anion exchage resin ได้แก่ Cholestyramine, Colestipol, Colesevelam
MOA : ยับยั้งการ reuptake ของ bile acid และทําให้ bile acid สูญเสียไปทางอุจจาระ เนื่องจาก ยากลุ่มนี้ไม่ถูก
ดูดซึม
Therapeutic effect : - ลด LDL-C 15-20%
- เพิ่ม HDL-C 3-5%
- เพิ่ม TG 3-10%
ประโยชน์ : ลดการเกิด coronary event, ลดอัตราการตายจาก CHD
ADR : ท้องผูก โดยเฉพาะ Cholestyramine แต่พบน้อยกับ Colesevelam
Contraindication : TG > 400mg/dl , Complete biliary obstruction
D/I : Resin สามารถจับกับ digoxin, thyroxine, warfarin, thiazide, β-blockers ได้ ดังนั้น เวลาบริหารยาควรให้ยา
พวกนี้ก่อน Resin 1 hrหรือหลัง Resin4 hr
5. Nicotinic acid
MOA : ยับยั้ ง adenylcyclaseใน adipose tissue ทํา ให้ cAMP synthesis ลดลง lipase enzyme ทํา งานลดลง
การย่อยไขมันลดลง เกิด free fatty acid จาก adipose tissue ไปสู่ blood น้อยลง ตับขาด free fatty acid เป็นผลให้
VLDL ใน plasma ลดลง, และลด fractional clearance ของ apo A-I ทําให้ HDL เพิ่มขึ้น
Therapeutic effect - ลด TG 20-50%
- เพิ่ม HDL-C 15-35%
- ลด LDL-C 5-25%
- ลด Lp(a) 38%
ประโยชน์ : ลดการเกิด coronary event และอาจจะลดอัตราการตายโดยรวม
ADR : Nausea, Flushing, itching, tingling, pruritus, Hyperglycemia, Hyperuricemia, Hepatotoxicity
Contraindication : โรคตับเรื้อรัง, โรค gout ขั้นรุนแรง, เบาหวาน ,hyperuricemia
D/I : ใช้ร่วมกับยาลดความดัน ทําให้เกิด hypotension, รบกวนผลของยารักษาโรคเบาหวานและโรค gout
231
ตารางที่ 25.4 ประสิทธิภาพของยาชนิดต่างๆต่อระดับไขมันในเลือด
Chapter 25
Dyslipidemias
เอกสารอ้างอิง
1. เภสัชวิทยาเล่ม 2. โครงการตํารา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่, 2537.
2. RangHP, Dale MM, eds. Pharmacology. Edinburg: Churchill Livingstone, 2000.
3. Katzung BG, ed. Basic and clinical pharmacology, 8th ed. New York: Lange medical books/McGraw-
Hill; 2001.
4. DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, et al. Pharmacotherapy: A pathophysiologic approach. 7th ed. New
York: MCGRAW-HILL Medical Publishing Division; 2008.
232
Management of hyperlipoprotein
1. Diet
2. Bile acid-sequestrants
Cardiovascular Diseases
Cholestyramine (Questran)
- Copolymer
98% polystyrene, 2% divinylbenzene, quaternary ammonium compound
- เมื่อรับประทานจะไม่ถูกย่อยโดยเอนไซม์ใน GI และไม่ถูกดูดซึม ไม่มี systemic side effect
233
- MOA :
1. Cholesterol ในตับ
เนื่องจากยาจับกับ bile acid anion ในลําไส้เล็ก ลดการ reabsorp bile acid bile acid ลดลง
Chapter 25
ตับเปลี่ยนแปลง Cholesterol ไปเป็น bile acid ทําให้ Cholesterol ลดลง
2. การสังเคราะห์ high-affinity LDL receptors ที่ membrane ของตับ
3. rate ของ clearance & catabolism ของ LDL
Colestipol hydrochloride (Colestid)
- Copolymer
Dyslipidemias
tetraethylenepentamine, epichlorohydrin
- MOA : เหมือน Cholestyramine
Colesevelam
- เพิ่ม Polatability
- Property ~ Cholestyramine & Colestipol
- Higher potency
- ไม่ทําให้ท้องผูก เนื่องจากอุจจาระมีลักษณะนุ่ม คล้ายเจล ทําให้ง่ายต่อการขับถ่าย
- MOA : เหมือน Cholestyramine
Colestimide
- มีฤทธิ์ทาง Pharmacological ที่คล้ายกับ Cholestyramine
Clofibrate (prodrug)
- Active form คือ Clofibric acid
- MOA : lipoprotein clearance, VLDL, ผลน้อยต่อ Cholesterol ใน plasma,
ไม่เพิ่ม HDL
*ถอนออกจากตลาดแล้ว...มีแต่ derivative ที่มีการใช้อยู่
Fenofibrate
3. Gemfibrozil types
- Aliphatic chain, 2 methyl group
- MOA : เหมือน clofibrate
235
5. HMG-CoA reductase inhibitor
Cholesterol biosynthesis
Chapter 25
Dyslipidemias
Rate-limiting step
Rate-Limiting Step
Pravastatin
- ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าสองตัวแรก
- ให้ระดับยาสูงสุด (peak) ในเลือดภายใน 1 ชม.
- เนื่องจากอยู่ในรูปของเกลือ Na+ ของ 3,5-dihydroxycarboxylate compound จึงออกฤทธิ์ ได้เร็วกว่าพวก
lactone ที่เป็น prodrug
Rosuvastatin calcium
Chapter
26 Cardiac Arrhythmia
นศภ.กัญญารัตน์ ดั่งศิริโชค
Cardiac arrhythmia
เป็นความผิดปกติของอัตราการเต้นของหัวใจ หรือความไม่สม่ําเสมอของจังหวะการเต้นของหัวใจเนื่องจากมีความผิดปกติ
ของตําแหน่งที่มีการปล่อยสัญญาณการเต้นของหัวใจ หรือขัดขวางการส่งผ่านสัญญาณไฟฟ้าดังกล่าว ซึ่งส่งผลรบกวนการเต้นโดย
ปกติของหัวใจที่สอดคล้องกัน และส่งผลลด cardiac output
Chapter 26
b. Sinus arrest
2. Conduction block
a. Sinoatrial (SA) block
b. Atrioventricular (AV) block
c. Bundle branch block (BBB)
1. Atrial flutter (AFL) เป็น “supraventricular tachyarrhythmia ที่มีการกระตุ้นของหัวใจห้องบนแบบเป็นระเบียบ
Cardiac Arrhythmias
และสม่ําเสมอ มีลักษณะคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่มีรูปร่างของ P wave รูปแบบเดียว มีความถี่ระหว่าง 250-350 ครั้งต่อนาที
Procainamide
MOA : คล้าย quinidine แต่มีข้อดีคือมี anticholinergic effects ต่ํากว่า quinidine และไม่ออกฤทธิ์ยับยั้ง
ที่ α-adrenergic receptor
ADR :
- หัวใจ : คล้าย quinidine แต่เกิดได้น้อยกว่าและอาจทําให้ QT- interval นานขึ้นและถ้าฉีดเข้าหลอด
เลือดดําในขนาดสูงจะทําให้ความดันโลหิตลดลงอย่างฉับพลัน และกดการทํางานของหัวใจ
- ระบบอื่ น ๆ : มั ก มี ปั ญ ญาเกี่ ย วกั บ การใช้ ย าในระยะยาว เช่ น การเกิ ด อาการที่ ค ล้ า ย lupus
erythematosus และมักมีอาการของ arthralgia, arthritis
ประโยชน์ : คล้าย quinidine โดยใช้ในการรักษา atrial และ ventricular arrhythmias มักใช้เป็น second
line ในการรักษา sustained ventricular arrhythmia ที่เกี่ยวกับ acute MI
241
Disopyramide
มีฤทธิ์คล้าย quinidine โดยมีฤทธิ์ anticholinergic effects ที่เด่นชัดกว่า quinidine ดังนั้นในการ
ใช้ยาเพื่อการรักษา atrial flutter or fibrillation จึงมักนิยมใช้ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ลด AV conduction
Chapter 26
ADR :
- หัวใจ : คล้าย quinidine และอาจเกิดอาการ negative inotropic ทําให้เกิด heart failure ใน
ผู้ป่วยบางคน
- ระบบอื่นๆ : dry mouth, urinary retention, blurred vision, constipation, ทําให้อาการ
glaucoma แย่ลง
1.2 Class IB ได้แก่ Lidocaine, Mexiletine, Tocainide
Cardiac Arrhythmias
Lidocaine (ยาฉีด)
MOA : ออกฤทธิ์จําเพาะในการยับยั้ง Na+ channel โดย lidocaine สามารถจับได้ทั้งที่ activated และ
inactivated Na+ channel โดย lidocaine มีผลยับยั้ง Na+ channel ของ depolarized cell ได้มากกว่า
normal cardiac tissue
นอกจากนั้นยังมีผลกดการทํางานของเซลล์ใน SA node, ลด slope ของ phase 4 depolarization,
ลด automaticity ใน depolarized cell และลด triggered activity ที่เกิดจากการเหนี่ยวนําของ digitalis
ADR :
- หัวใจ : ภาวะความดันโลหิตต่ํา กดการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ และอาจทําให้เกิด acute MI ได้
เมื่อให้ยาในขนาดสูงโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะ congestive heart failure
- ระบบอื่นๆ : paresthesia, tremor, nausea, lightheadedness, hearing disturbance, slurred
speech, convulsion ซึ่งพบได้เมื่อให้ยาในขนาดสูงและฉีดยาอย่างรวดเร็ว
ประโยชน์ : DOC for ventricular arrhythmia และสามารถลดการเกิด ventricular fibrillation ในช่วงวัน
แรกๆหลังจากการเกิด acute MI
Mexiletine และ tocainide (ยากิน) : ออกฤทธิ์เหมือน lidocaine
ADR :
- tremor, blurred vision, lethargy, nausea
- tocainide ทําให้เกิด agranulocytosis กดการทํางานของไขกระดูกและเกร็ดเลือดต่าํ
ประโยชน์ : ใช้รักษา ventricular arrhythmia และพบว่า mexiletine สามารถลดอาการปวดทีเ่ กิดจาก
diabetic neuropathy และ nerve injury ได้
Amiodarone
MOA : ออกฤทธิ์เป็น non competitive α,β-adrenoceptor antagonist และมีฤทธิ์ในการยับยั้งที่ inactivate
Na+ channel รวมทั้งมีฤทธิ์ในการยับยั้งที่ K+ channel และ weak Ca2+ channel ยามีผลยืดระยะเวลาในการ
เกิด action potential duration, ลด AV conduction, prolong QT interval, prolong QRS duration ซึ่งผล
เ ห ล่ า นี้ ทํ า ใ ห้ ยั บ ยั้ ง ก า ร เ กิ ด abnormal automaticity, recurrent ventricular fibrillation, sustained
ventricular tachycardia ที่ใช้ยาในกลุ่มอื่นไม่ได้ผล
ADR : ในผู้ป่วย sinus หรือ AV nodal disease ทําให้เกิด bradycardia และ heart block และอาจทําให้เกิด
heart failure ในผู้ป่วยบางคน, fetal pulmonary fibrosis นอกจากนั้นอาจเกิดการผิดปกติของระบบประสาท,
การทํางานของ thyroid เป็นต้น
Drug interaction : ยามี ผล ลด กา รขั บอ อก ขอ ง warfarin, theophylline, quinidine, procainamide,
flecainide
ประโยชน์ : ใช้ในการรักษา Supra และ Ventricular arrhythmias โดยใช้ในกรณีที่จําเป็นเท่านั้น
Satolol
MOA : ออกฤทธิ์เป็น non selective b-blocker ที่ออกฤทธิ์โดยการ prolong action potential duration
ประโยชน์ : ใช้ในการรักษา supraventricular และ ventricular arrhythmias
Chapter 26
Chemistry นศภ.เอมจิตร สุขสกุล
Classes of Antiarrythmia Drug จะแบ่งออกเป็น 4 class
Class Drugs Mechanism
+
IA Quinidine, procainamide, disopyramide Na channel blocker
Cardiac Arrhythmias
IB Lidocaine, phenytoin, tocainide, mexiletine Na+ channel blocker
IC Encainide, flecainide, moricizine, propafenone Na+ channel blocker
II β-blocker Block β receptor
III Amiodarone, bretylium, satolol K+ channel blocker
IV Ca2+ channel blocker Block calcium channel
Class I : ยาเป็นเบสอ่อน (pka 7.5-9.5) การออกฤทธิ์จะขึ้นกับ pH
กรณี Acidosis (ในสภาวะ ischemic myocardium)
• ยาจะถูก protonate และสามารถที่จะจับที่ Na+ channel ได้ดีเนื่องจากเกิด interaction แบบ ionic bond
กับ receptor ทําให้จับได้นานและหลุดช้า และยาจะจับในขณะ open state ได้มากกว่า close state
กรณี Alkalosis
• ยาจะอยู่ในรูป free base ยาจะหลุดออกเร็ว
Quinidine Procanamide
- block Na+ channel ใน open state - Tx. ventricular tachycardia
Lidocaine
- Tx. premature ventricular contraction
- จับกับ Na+ channel ทั้งขณะ active และ inactive
Cardiovascular Diseases
Class IC
Class II
245
Class III
Chapter 26
Bretylium tosylate เ ดิ ม เ ป็ น β - Methanesulfoanilide Amiodarone
+
blocker แต่สามารถจับ K channel - เป็นทั้ง class II & III ยาคล้ายT4 ดังนั้น enzyme ที่ใช้เปลี่ยน
ได้ จึงมี S/E hypotension - (-)enantiomer → β>K+ T4 เป็น T3 จึงไปจับยานี้แทน
Cardiac Arrhythmias
- (+)enantiomer→K+> β ทําให้ T3 น้อยลงทําให้เกิด
hypothyroidism ได้
Class IV
Ca2+ channel blocker กลุ่ม non-dihydropyridine
Diltiazem Verapamil
2+
ที่ pH ร่างกายจะมีประจุบวก จึงยับยั้ง Ca channel ที่ open state เท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
1.เอกสารประกอบการสอน ผศ.ดร.ลือลักษณ์ ล้อมลิ้ม. ยาที่ใช้ในระบบหัวใจและหลอดเลือด. 2554.
246
Unit 4
Cardiovascular Diseases
หลอดเลือดหัวใจตีบ (IHD)
ASA 75-162 mg/day
Unit 4
ควบคุมอาการได้
รักษาโดยการใช้ยาและให้ความรู้แก่ผู้ป่วย
ลดปัจจัยเสีย่ ง
มีอาการเจ็บหน้าอก
Cardiovascular Diseases
ควบคุมอาการไม่ได้
งดสูบบุหรี่
ยากลุ่ม Beta-blockers
Chapter 27
dihydropyridines เสริมได้ ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการให้ยาในกลุ่ม beta blockers ร่วมกันกับ non-dihydropyridines เนื่องจาก
เพิ่มความเสี่ยงในการลดการนําสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ (AV nodal conduction) อัตราการเต้นและการบีบตัวของหัวใจได้
ผลไม่พึงประสงค์ที่พบได้ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก สําหรับความดันโลหิตต่ํา เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ใจสั่น หน้าแดง
ปลายมือปลายเท้าบวมและพบมากในยากลุ่ม dihydropyridine ในขณะที่กลุม่ non-dihydropyridine มักพบว่าหัวใจเต้นช้าลง
Ranolazine (Ranexa®)
เป็นยาทางเลือกใหม่สําหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการเจ็บหน้าอกได้ด้วยยาที่กล่าวมาข้างต้น กลไกการออกฤทธิ์ยัง
การรักษาเพื่อป้องกันการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายและเสียชีวิต
ยาต้านเกล็ดเลือด
ผู้ป่วยทุกรายควรได้ยา aspirin 75-162 mg วันละครั้งตลอดชีวิตหากไม่มีข้อห้ามใช้หรืออาจใช้ยา clopidogel 75 mg
วันละครั้งแทน หากไม่สามารถใช้ยา aspirin ได้
ยากลุ่ม Renin-Angiotensin-Aldosterone blockers
ผู้ป่วยทุกรายทีเ่ ป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน LV systolic dysfunction (LVEF ไม่เกินร้อยละ 40) และโรคไต
เรื้อรังควรได้รับยากลุ่ม ACEIs หาไม่มีข้อห้ามใช้ หรืออาจพิจารณาให้ยากลุ่ม ARBs ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถทนผลไม่พึงประสงค์ของ
ยา ACEIs ได้
การรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือการทํา revascularization มี 2 วิธี คือ percutaneous coronary intervention,PCI) หรือ
coronary artery bypass graft surgery,CABG) ซึ่งมักไม่เป็นการรักษาที่เป็นทางเลือกแรก แต่จะเป็นการรักษาหลักสําหรับผู้ป่วย
ที่มีความเสี่ยงสูง หลอดเลือดเส้นหลักมีการตีบตันอย่างรุนแรง > 50% มีการตีบตันหลายตําแหน่งที่ไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิต
ด้วยยา หรือเป็นการรักษาทางเลือกสําหรับผู้ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
Non-ST Elevation Acute Coronary Syndrome (NSTEMI)
กลุ่มอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome, ACS) มีสาเหตุจากการตีบแคบของหลอดเลือด ทํา
ให้มีเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจึงมีอาการแสดงคือ เจ็บเค้นหน้าอกเฉียบพลัน (angina chest pain) โดย ACS
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆคือ
ชนิดที่มีการยกตัวขึ้นของ ST-segment หรือ STEMI
ชนิดที่ไม่มีการยกตัวของ ST-segment หรือ NSTEMI ซึ่งยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยตามการ
เพิ่มขึ้นของเอนไซม์ที่จําเพาะต่อกล้ามเนื้อหัวใจ คือ
- unstable angina (UA)
- NSTEMI
Pathophysiology
กลุ่มอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเกิดจากการสะสมของไขมัน (fatty plaque) บริเวณหลอดเลือดหัวใจย่างต่อเนื่อง
และมีการสร้างเยื่อหุ้ม (Fibrous cap) เพื่อหุ้ม fatty plaque เอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไป fatty plaque มีขนาดใหญ่ขึ้นและ fibrous
cap เริ่มบางลง ท้ายสุดเกิดการแตกของ plaque แล้วส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเกล็ดเลือดและ clotting factors ต่างๆมาเกาะกัน
เป็นลิ่มเลือด (thrombus formation) เพื่ออุดรอยแตก และในช่วงที่แตกของ plaque นี้จะมีกระบวนการสร้างลิ่มเลือดเกิด
มากกว่าและเร็วกว่ากระบวนการสลายลิ่มเลือด จึงเกิดการอุดตันบริเวณหลอดเลือดที่แตก ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และ
หากเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนือ่ งจะทําให้เกิดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจได้
250
ปัจจัยเสี่ยงสําหรับโรคนี้ เช่นเดียวกับโรค angina
อาการแสดง
ผู้ป่วยมีอาการเจ็บค้นหน้าอกคล้ายมีวัตถุหนักทับบนหน้าอก เจ็บร้าวไปคอ กราม หัวไหล่ แขน หรือช่องท้อง โดยอาการ
Unit 4
Chapter 27
Morphine ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยยังคงมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงแม้ได้รับยากลุม่ nitrates แล้ว หรือในผูท้ ี่มีข้อ
ห้ามใช้ยาในกลุ่ม nitrates โดยนอกจากฤทธิ์ลดปวดแล้วยังมีผลทําให้ง่วง ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายจาก
ความวิตกกังวลอีกด้วย
Aspirin ผู้ป่วยทุกรายที่ไม่มีประวัติแพ้ยาหรือมีข้อห้ามใช้ aspirin ควรได้รับยาในรูปแบบ non-enteric
coated ขนาด 162-325 mg เคี้ยวแล้วกลืนทันที เพื่อป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิม่ เติม
Beta-blockers ช่วยลดความต้องการใช้ oxygen ของกล้ามเนื้อหัวใจด้วยการลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลด
การรักษาในระยะเฉียบพลัน
1. การรักษาแบบคุกคาม (invasive strategy) ในผู้ป่วย NSTEMI ที่มีความเสี่ยงปานกลางหรือสูงควรได้รับการทํา
PCI ซึ่ ง การตั ด สิ น ใจว่ า จะทํ า PCI ภายใน 12 ชั่ ว โมงนั บ จากเกิ ด อาการ (early PCI) หรื อ หลั ง จาก 12 ชั่ ว โมง
(delayed PCI) อยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีแผนการทํา PCI ควรได้รับยาก่อนและหลังการทํา PCI
ดังต่อไปนี้
ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet) ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามใช้ โดยควรได้รับยากลุ่มนี้ 2 ชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกัน
คือ aspirin และ P2Y12 receptor inhibitors
- Aspirin ขนาด 162-325 mg เคี้ยวแล้วกลืนทันที กรณีทีที่ยั งไม่ไ ด้รับยา หลั งจากนั้นเริ่มให้ aspirin
maintenance dose ใน 24 ชั่วโมงหรือวันถัดไป ขนาดยา 75-162 mg
P2Y12 inhibitors โดยยากลุ่มนี้ป้องกันไม่ให้ adenosine diphosphate (ADP) จับที่ P2Y12 inhibitor จึง
ป้อ งกั นไม่ ให้ เกล็ ดเลือ ดถู ก กระตุ้ น ส่ งผลให้ ไ ม่ เกิ ด การเกาะกลุ่ มของเกล็ ดเลื อด เนื่ อ งจากยาในรู ปแบบ
รับประทานออกฤทธิ์ช้า จึงควรให้ loading dose ก่อนการทํา PCI หลังจากนั้นจึงตามด้วย maintenance
dose
- clopidogrel : loading dose 300-600 mg, maintenance dose 75 mg OD
- Ticagrelor : loading dose 180 mg, maintenance dose 90 mg BID
- Prasugrel : loading dose 60 mg, maintenance dose 10 mg QD
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) ในผู้ป่วย NSTEMI ที่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือด 2 ชนิดแล้ว
ควรได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดร่วมด้วย เพื่อยับยั้ง activated clotting factor ชนิดต่างๆ โดยยาต้าน
การแข็งตัวของเลือดที่มีการนํามาใช้รักษา NSTEMI ได้แก่
- Unfractionated heparin (UFH) ออกฤทธิ์ยับยั้ง thrombin (factor II a) โดยอ้อม และออกฤทธิ์
ยับยั้ง activated clotting factor อื่นๆได้แก่ factot IXa,Xa,XIa และ XIIa และยังออกฤทธิ์ป้องกันการ
เปลี่ ย นจาก fibrinogen ไปเป็ น fibrin อี ก ด้ ว ย ระหว่ า งที่ ใ ช้ ย านี้ ค วรติ ด ตามค่ า activated partial
thromboplastin time (aPTT) เพื่อประเมินผลการรักษา เนื่องจากยานี้จับกับโปรตีนในร่างกายได้สูง
ทําให้ทํานายฤทธิ์ของยาได้ยาก ขนาดยาของ heparin ที่แนะนําสําหรับการทํา PCI และไม่ได้ทํา PCI คือ
60 U/kg IV (ขนาดสูงสุด 4000 U), 12 U/kg/hr (ขนาดสูงสุด 1000 U/hr)
- Low molecular weight heparin (LMWH) ออกฤทธิ์ยับยั้ง factor Xa และ thrombin เป็นหลัก
ยานี้ ส ามารถทํ า นายฤทธิ์ ต้ า นการแข็ ง ตั ว ของเลื อ ดได้ ง่ า ยกว่ า UFH ดั ง นั้ น ผู้ ที่ ไ ด้ รั บ LMWH จึ ง ไม่
252
จําเป็นต้องติดตาม aPTT หรือ anti-Xa โดยขนาดยาของ enoxaparin แนะนําสําหรับการทํา PCI และ
ไม่ได้ทํา PCI คือ 1 mg/kg q 12 hr หากผู้ป่วยมี CrCl< 30 ml/min ลดขนาดยาเหลือ 1 mg/kg OD
- Fondaparinux (anti-Xa inhibitor) ออกฤทธิ์ ยั บ ยั้ ง เฉพาะ factor Xa แบบผั น กลั บ ได้ จึ ง มี ผ ล
Unit 4
ป้องกั นการเปลี่ย นจาก prothrombin (Factor II) ไปเป็ น thrombin (Factor IIa) โดยขนาดยาของ
fondaparinux แนะนําสําหรับการทํา PCI และไม่ได้ทํา PCI 2.5 mg SC QD
- Bivalirudin (direct thrombin inhibitor) ยาออกฤทธิ์จับกับ thrombin (factor IIa) ได้โดยตรง จึง
ป้องกันการเปลี่ยนจาก fibrinogen เป็น fibrin ทําให้ไม่มีการสร้างลิ่มเลือดเกิดขึ้น สําหรับผู้ที่ไม่มีแผน
ทํา PCI ไม่แนะนําให้ใช้ยานี้ โดยขนาดยาของ Bivalirudin ในผู้ที่จะทํา PCI คือ 0.75 mg/kg IV,1.75
Cardiovascular Diseases
mg/kg/hr
ยาต้ า นเกล็ ด เลื อ ดจํ า เพาะ Glycoprotein IIb/IIIa (GP IIb/IIa inhibitor) ออกฤทธิ์ ยั บ ยั้ ง GP IIb/IIa
receptor ทําให้ fibrinogen และ von Willebrand factor (vWF) ไม่สามารถจับกับ receptor ได้ ทําให้ไม่
เกิดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด โดยให้ยากลุ่มนี้ร่วมกับ aspirin และ P2Y12 inhibitor ในผู้ป่วยก่อนทํา PCI
ซึ่งยากลุ่มนี้ได้แก่
- Abciximab ขนาดที่แนะนําคือ 0.25 mg/kg IV, ตามด้วย 0.125 mcg/kg/min (หยุดยา 12 ชั่วโมงหลัง
ทํา PCI) สําหรับผู้ที่ไม่ทํา PCI ไม่แนะนําให้ใช้
- Eptifibatide ขนาดที่ แ นะนํ า สํ าหรั บ การทํ า PCI และไม่ ไ ด้ ทํ า PCI คื อ 180 mcg/kg IV ตามด้ว ย 2
mcg/kg/min (ขนาดสูงสุด 15 mg/h) หยุดยา 18-24 ชั่วโมงหลังทํา PCI
- Tirofiban ขนาดที่แนะนําสําหรับการทํา PCI และไม่ได้ทํา PCI คือ 0.4 mcg/kg/minx30 นาที ตามด้วย
0.1 mcg/kg/min หยุดยา 18-24 ชั่วโมงหลังทํา PCI
Chapter 27
Beta-blockers ผู้ป่วยที่มีการทํางานของหัวใจห้องล่างซ้ายลดลงหรือมี left ventricular ejection
fraction (LVEF) ไม่เกินร้อยละ 40 ควรได้รับยาในกลุ่มนีต้ ลอดไป เว้นแต่เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยาหรือมีข้อ
ห้ามใช้
Angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEIs) หรือ Angiotensin II receptor blockers
(ARBs) มีผลช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ํา โดยควรเริม่ ยาภายใน 24 ชั่วโมงในผู้ที่มี LVEF ไม่เกินร้อยละ 40
หรือมีโรคหัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โดยการให้ยาจะต้องมีการตรวจวัดระดับ K และ
Chapter 27
> 67 kg ให้ในขนาด 15 mg IV bolus ตามด้วย 50 mg IV 30 นาที ตามด้วย 35 mg ใน60 นาที
- tenecteplase (TNK-tPA)
< 60 kg ให้ในขนาด 30 mg IV bolus 60-69.9 kg ให้ในขนาด 35 mg IV bolus
70-79.9 kg ให้ในขนาด 40 mg IV bolus 80-89.9 kg ให้ในขนาด 45 mg IV bolus
80-89.9 kg ให้ในขนาด 45 mg IV bolus ≥ 90 kg ให้ในขนาด 50 mg IV bolus
- reteplase (rPA) ให้ในขนาด 10 U IV bolusx2doses ห่างกัน 10 นาที
นอกจากยาละลายลิ่มเลือดแล้ว ผูป้ ่วยควรได้รับยาต่อไปนีร้ ่วมด้วย
dose แล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องได้รับ loading dose ซ้ําอีก สามารถให้ aspirin 81-325 mg และ clopidogrel 75 mg วัน
ละครั้งต่อได้เลย
ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ( anticoagulant) สามารถให้ยาเดิมต่อได้ ยกเว้นผู้ที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดร่วมกับ
fondaparinux ควรเปลีย่ นเป็นชนิดอื่น
ยาต้านเกล็ดเลือดจําเพาะ Glycoprotein IIb/IIIa ให้ในผู้ป่วยบางรายที่ได้รับ UFH ทั้งนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ที่ทํา
หัตถการ
Chapter 27
drugs,corticosteroids,warfarin เป็นต้น
การหลีกเลี่ยงยาหรือสารที่อาจทําให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ผู้ป่วยควรได้รับคําแนะนําให้หลีกเลี่ยงการใช้
ยาที่อาจมีผลกระตุ้นให้การเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยกลุม่ ยาที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ COX-2 inhibitor หรือ
NSAIDs อื่น ยกเว้น naproxen, Sympathomimetics หรือ Metamphetamine, Hydralazine,minoxidil, Alpha-
blockers, Cocaine
เอกสารอ้างอิง
1. โพยม วงศ์ภูวรักษ์, สุชาดา สูรพันธุ์, ฐิติมา ด้วงเงิน .เภสัชบําบัดในโรคเรื้อรังที่พบบ่อยและกรณีศึกษา เล่ม 1. สงขลา:
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2556.
2. โพยม วงศ์ภูวรักษ์, สุชาดา ชุติมาวรพันธ์, อภิฤดี เหมะจุฑา. คู่มือทักษะตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถทางวิชาชีพของผู้
ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สภาเภสัชกรรม.
258
Unit 4
Cardiovascular Diseases
โดยที่ค่า ≥ 1 normal
0.9-1.3 normal person at rest
0.7-0.9 mild PAD
Unit 4
- Stop smoking
- Walking exercise program (หนักเพียงพออย่างสม่ําเสมอ) ทําให้เดินได้นานขึ้นโดยไม่ปวด ชะลอการเกิด IC โดย
แนะนําให้เดินอย่างน้อย 30-45 นาที อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- Supportive measures คือ ดูแลรักษาเท้า ไม่ใช้elastic support
- Surgical intervention เช่น Stent, Revascularization
- ควบคุมหรือรักษาปัจจัยเสี่ยงร่วมอื่นๆ เช่น ไขมัน ความดันเลือด น้ําตาลในเลือด
Pharmacologic การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด โดยเป็นการให้ตลอดชีวิต ซึ่งได้แก่
1. Aspirin โดยให้ในขนาด 75-150 mg/d อาจช่วยลด cardiovascular events และลดอัตราการตาย แต่ไม่ชัดเจน
ว่าช่วยป้องกันหรือชะลอการพัฒนา PAD โดยในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะ CAD หรือ CVA อยู่แล้ว ยานี้เป็น drug of
choice
2. Clopidogrel ใช้ในขนาด 75 mg/d ช่วยลด cardiovascular events และอัตราการตายได้มากกว่า aspirin แต่
เนื่องจากราคาแพงกว่า และเป็นยาที่ต้องการใบสั่งยาจากแพทย์ จึงจัดให้เป็นยารอง กรณีใช้ aspirin ไม่ได้
3. Ticlopidine ใช้ในขนาด 500 mg/d ช่วยลดcardiovascular events และอัตราการตาย แต่มีผลเสียด้านระบบ
เลือดที่รุนแรง เช่น เกล็ดเลือดต่ํา, agranulocytosis , เม็ดเลือดขาวต่ํา จึงไม่แนะนําให้ใช้ แต่จะใช้ในกรณีที่ใช้
aspirin หรือ clopidogrel ไม่ได้
4. aspirin 50 mg+dipyridamole ER 400 mg เพิ่มการลด cardiovascular events ได้ แต่ไม่มีนัยสําคัญ เพิ่มความ
เสี่ยงต่อเลือดออก จึงไม่แนะนําให้ใช้
การใช้ยารักษาภาวะ IC
Cilostazol เป็ น ยาที่ มี ก ลไก phosphodiesterase inhibitor และมี ฤ ทธิ์ vasodilator และ antiplatelet โดยใช้ ใ น
ขนาด 50-100 mg bid ซึ่งยานี้สามารถเพิ่มระยะทางการเดินได้นานขึ้นโดยไม่ปวด ห้ามใช้ใน HF ทุกราย เพราะเพิ่ม
อัตราการตาย ใช้เมื่อไม่สามารถผ่าตัดรักษาได้หรือรักษาด้วยโปรแกรมการออกกําลังกายไม่ได้ผล โดยใช้ยานี้ร่วมกับยา
ต้านเกล็ดเลือด และจะเห็นผลการรักษาเมื่อใช้ยานี้ไปและประมาณ 2-4 สัปดาห์
Pentoxifyline ใช้ในขนาด 1.2 g/d ซึ่งยานี้จะลดความหนืดของเลือด, เพิ่มความยืดหยุ่นของเม็ดเลือดแดง จึงเพิ่มการ
ไหลของเลือด เพิ่มการนําออกซิเจน มีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด แต่ให้ผลไม่แตกต่างจากยาหลอก จึงไม่
แนะนําให้ใช้ยานี้ใน IC
การใช้ยาขยายหลอดเลือดจําพวก CCB, α-blocker, papaverine ไม่ได้ผล
Ginkgo biloba extract 120 mg/d มีประโยชน์เล็กน้อยในการรักษาภาวะ IC
เอกสารอ้างอิง
1. จุราพร พงศ์เวชรักษ์ .Pharmacotherapy for Peripheral Arterial Diseases. สงขลา: ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะ
เภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2553.
Chapter
29 Heart Failure
นศภ.ปาลิตา อุดมเจริญทรัพย์
Heart failure
ภาวะหัวใจล้มเหลว มีสาเหตุจากความผิดปกติของการทํางานของหัวใจส่งผลให้หัวใจไม่สามารถรับเลือดได้ตามปกติ หรือ
หัวใจไม่สามารถบีบตัวส่งเลือดซึ่งมีออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้เพียงพอ
Pathophysiology
การทํางานของหัวใจผิดปกติชนิดต่างๆส่งผลให้ cardiac output ลดลงและไม่พียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
ร่างกายจึงมีกลไกชดเชยเพื่อทําให้ร่างกายไหลเวียนของเลือดปกติด้วยการกระตุ้นระบบต่างๆดังนี้
1. Sympathetic nervous system (SNS) เมื่อ cardiac output ลดลงจะกระตุ้นการหลั่ง norepinephrine เพื่อเพิ่ม
แรงการบีบตัวของหัวใจ และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ข้อเสียกระตุ้น SNS คือ เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากการ
เพิ่มการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ และเสี่ยงต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
2. Renin-angiotensin-aldosterone system (RAAS) การลดลงของ cardiac output จะทําให้เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง
ไตจึงมีกลไกชดเชยด้วยการลดการขับน้ําและเกลือโซเดียมที่หน่วยไต (เพิ่ม preload) และกระตุ้นการหลั่ง rennin เพื่อเปลี่ยน
angiotensinogen ให้ เ ป็ น angiotensin I จากนั้ น angiotensin I จะถู ก เปลี่ ย นต่ อ เป็ น angiotensin II โดย angiotensin
converting enzyme หลังจากนั้น angiotensin II ทําให้หลอดเลือดหดตัว (เพิ่ม afterload) และในระยะยาวทั้ง angiotensin II
และ aldosterone จะทําให้เกิด tissue fibrosis ได้
3. Neurohormonal systems อื่นๆ ร่างกายยังมีกระบวนการหลั่งฮอร์โมนอื่นๆที่จะช่วยเพิ่ม cardiac output ดังนี้
a. Endothelin-1 (ET-1) สร้างจากหลายแหล่งรวมทั้งเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ผลของการกระตุ้นคือจะเพิ่มอัตราการเต้น
ของหัวใจ และจะเกิด cardiac remodeling ในระยะยาว
b. Natriuretic peptides ซึ่งผลของการหลั่งสารนี้คือ ทําให้หลอดเลือดขยายตัว, เพิ่มการขับน้ําและเกลือออกจาก
ร่างกาย, ยับยั้งการดูดกลับเกลือโซเดียมที่ collecting tubule ซึ่งเป็นผลทางอ้อมจากการยับยั้งการหลั่ง aldosterone, ลดการ
กระหายน้ําและเกลือจากการยับยั้งการหลั่ง vasopressin ที่ pituitary และลดการเกิด ventricular hypertrophy
c. Arginine vasopressin ทําให้ หลอดเลือ ดหดตัวและแรงบีบ ตัวของหัว ใจเพิ่มขึ้ น นอกจากนี้ยั งมีผลกระตุ้น V2
receptor ที่ collecting duct ที่หน่วยไตทําให้เพิ่มการดูดกลับน้ําเข้าสู่ร่างกาย
4. Ventricular hypertrophy and remodeling เมื่อเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจทํางานหนัก ทําให้เกิดการหนาตัวขึ้นของผนัง
กล้ามเนื้อหัวใจโดยเฉพาะหัวใจห้องล่าง นําไปสู่การเกิด cardiac remodeling คือ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด โครงสร้าง และ
การทํางานของหัวใจ ทําให้การหดและคลายตัวของหัวใจลดลง เสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิด HF
เกิดจากความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ หรือโรคของหลอดเลือด โดยสาเหตุหลักคือ โรคหลอด
เลือดหัวใจตีบ โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ และโรคความดันโลหิตสูง หรืออาจเกิดจากการได้รับยาหรือสารเคมีบาง
กลุ่ม เช่นน anthracyclines, cyclophosphamide, tratsuzumab
อาการ อาการแสดง และการวินิจฉัยโรค
อาการและอาการแสดงของภาวะหั วใจล้ มเหลวเฉีย บพลัน ได้ แก่ หายใจลํา บาก อ่อ นเพลี ย ไม่ สามารถทํา กิจ วัต ร
ประจําวันได้ตามปกติ และอาการอื่นๆที่เกิดจากการคั่งของน้ํา เช่น ขาบวม มีน้ําคั่งในช่องปอดหรือเยื่อหุ้มปอด เป็นต้น
การประเมินความรุนแรงของ HF
บ่งตามค่า LEVF เป็น systolic และ diastolic heart failure แล้ว ยังแบ่งประเภทตามอาการและความสามารถในการ
ทํากิจวัตรประจําวันของผู้ป่วย เกณฑ์ที่นิยมใช้ คือ New York Heart functional class (HYHA FC) ซึ่งใช้ประเมินสภาวะของ
ผู้ป่วยขณะนั้น นอกจานี้ยังมีการแบ่งประเภทของภาวะหัวใจล้มเหลวตามปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือโรคร่วมของ
ผู้ป่วย ซึ่งใช้เกณฑ์ของ American College of Cardiology (ACC)/ American Heart Association (AHA) ในการประเมินทั้ง
NYHA FC และ ACC/AHA ดังแสดงในตารางที่ 1
262
ตารางที่ 29.1 การแบ่งระดับภาวะหัวใจล้มเหลวตาม ACC/AHA stage และ NYHA functional class
ACC/AHA stage NYHA functional class
A -
ผู้ป่วยเสี่ยงต่อ HF เช่น โรค HT, DM แต่การทํางานของหัวใจ
Unit 4
ยังคงเป็นปกติ และไม่มีอาการของ HF
B I (asymptomatic)
เป็ น โรคเกี่ ย วกั บ หั ว ใจ เช่ น กล้ า มเนื้ อ หั ว ใจขาดเลื อ ด, LV - ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่มีอาการแสดงของ HF
hypertrophy, LV systolic dysfunction - ผู้ป่วยสามารถทํากิจวัตรประจําวันได้ตามปกติ
C II (mild HF)
Cardiovascular Diseases
Chapter 27
B Structural heart failure ACEIs หรือ ARBs
beta blockers
C Symptomatic HF ACEI หรือ ARB, beta blockers, ยาขับปัสสาวะ, ยาสําหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
- aldosterone antagonist
- ARBs
- Digoxin
Heart Faiulre
- Isosorbide dinitrate + hydralazine
D Refractory HF เช่นเดียวกับ stage C
Renin-angiotensin system inhibitors
การกระตุ้น rennin-angiotensin system มากกว่าปกติก่อให้เกิดผลเสียในแง่เร่งการดําเนินของโรคให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงต้องยับยั้งการกระตุ้นระบบดังกล่าวด้วยยา ได้แก่ ACEIs, ARBs ส่วน aliskiren กําลังอยู่ในระหว่างการศึกษาในผู้ป่วย HF
Angiotensin converting enzyme inhibitor (ACEIs)
ออกฤทธิ์ยับยั้งการจับของ angiotensin II กับ receptor โดยตรง โดยยาในกลุ่มนี้ลดการเกิด LV remodeling และลด
อัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้เช่นเดียวกับกลุ่ม ACEIs แต่ยาในกลุ่ม ARBs เป็นทางเลือกในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้
ยาในกลุ่ม ACEIs ได้
Beta blockers
ยา bisoprolol, carvedilol และ metoprolol succinate ชนิ ด ออกฤทธิ์ เ นิ่ น สามารถลดอั ต ราการเข้ า รั ก ษาใน
โรงพยาบาล และลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตได้ ซึ่งการเริ่มยาในกลุ่มนี้ควรทําในขณะที่ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของ HF
เพราะยามีผลลดแรงบีบตัวของหัวใจ ทําให้ cardiac output ลดลง อาจส่งผลให้อาการหัวใจล้มเหลวของผู้ป่วยเลวลงได้ และห้าม
เริ่มยาในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการของหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรือเพิ่งหายจากอาการดังกล่าว นอกจากนี้ห้ามให้ยาในผู้ทีมีโรคหืดหรือ
ปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ควบคุมอาการไม่ได้
Aldosterone antagonists
ได้แก่ spironolactone และ eplerenone ออกฤททธิ์ยับยั้ง aldosterone ไม่ให้จับกับ receptor ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
และผนังหลอดเลือด จึงสามารถป้องกันการเกิด fibrosis ที่กล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ข้อควรระวังในการใช้ aldosterone
antagonists คือ ภาวะ K สูง โดยเฉพาะในผู้ที่มีการทํางานของไตลดลง ในผู้สูงอายุ รวมทั้งกรใช้ยานี้ร่วมกับยากลุ่ม ACEIs หรือ
ARBs
Isosorbide dinitrate และ hydralazine
Isosorbide dinitrate ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดดํา (ลด preload) ส่วน hydralazine ออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือดแดง
(ลด afterload) โดยการใช้ยา 2 ชนิดดังกล่าวร่วมกันนั้น ควรเลือกใช้สําหรับผู้ป่วย CHF ที่มีข้อห้ามใช้ยาหลัก หรือใช้ยาหลักใน
ขนาดที่เหมาะสมแต่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองการรักษา
Digoxin
ออกฤทธิ์เพิ่มแรงในการบีบตัวของหัวใจ (positive inotropic) ทําให้ cardiac output โดยการใช้ยานี้ควรปรับขนาดยา
เพื่อให้มีระดับยาในเลือดระหว่าง 0.5-1 ng/L และควรติดตามการทํางานของไต และระดับ K ในเลือดเป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะ
K ต่ําอาจเสริมการเกิดพิษจากยา Digoxin ได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นการเกิด HF ดังนี้
จํากัดปริมาณน้ําต่อวันไม่เกิน 2 ลิตร
จํากัดปริมาณโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2 กรัม
จํากัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลต่ํา
งดสูบบุหรี่
264
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Decompensated Heart Failure, ADHF)
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการหรืออาการแสดงของ HF ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและรุนแรงจน
เป็นเหตุต้องเข้ารับการรักษา ซึ่งมักจะมีอาการแสดงดังต่อไปนี้
กลุ่มอาการน้ําเกิน เช่น หอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก แขนขาบวม ท้องมาน เป็นต้น
Unit 4
ใช่ ไม่ใช่
Chapter 27
blood pressure น้อยกว่า 90 mmHg หรือมีอาการแสดงของความดันโลหิตต่ํา
เอกสารอ้างอิง
1. โพยม วงศ์ภูวรักษ์, สุชาดา สูรพันธุ์, ฐิติมา ด้วงเงิน. เภสัชบําบัดในโรคเรื้อรังที่พบบ่อยและกรณีศึกษา เล่ม 1. สงขลา:
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2556.
Heart Faiulre
266
Unit 4
Cardiovascular Diseases
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันในระยะเฉียบพลัน
ยาที่แนะนําให้ใช้เป็นลําดับแรกในการรักษา ได้แก่ ยาละลายลิ่มเลือด rt-PA (recombinant tissue-type plasminogen
activator) หรือ alteplase และยา aspirin เท่านั้น หากไม่มีข้อห้ามใช้ โดยผู้ป่วยควรได้รับ rt-PA ภายใน 3 ชั่วโมงและ aspirin
ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการของโรค
การใช้ยาละลายลิ่มเลือด rt-PA
Cardiovascular Diseases
Chapter 27
การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
การป้องกันการกลับเป็นซ้ําของโรคโดยการใช้ยา โดยผู้ป่วยทุกรายที่เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบจากภาวะหลอด
เลือดแดงแข็ง ควรได้รับการป้ องกันการกลับเป็นซ้ํา ด้วยยาต้า นการเกาะกลุ่มของเกล็ดดเลือ ด ได้แก่ aspirin,
clopidogrel,ticlopidine และยาผสมของ aspirin/dipyridamole ดังรายเอียดต่อไปนี้
- Aspirin เป็นยาที่สามารถช่วยป้องการการกลับเป็นซ้ําของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้ ขนาดที่แนะนําคือ
50-325 mg/วัน
Heart Faiulre
- clopidogrel โดยแนะนําให้ใช้ในขนาด 75 mg/วัน เป็นยาทางเลือกในการป้องกันการกลับเป็นซ้ําในโรคหลอด
เลือดสมองตีบหรืออุดตัน เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถใช้ aspirin หรือยาผสม aspirin/dipyridamole ได้
- Ticlopidine ใช้ในขนาด 250 mg วันละ 2 ครั้ง สามารถลดการกลับเป็นซ้ําของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุด
ตันได้ ผลไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้คือ ผื่น อาการท้องร่วง หรือ thrombocytopenia และภาวะ neutropenia ได้
แต่อุบัติการณ์ไม่สูง จึงแนะนําให้ใช้ยาเป็นทางเลือกสุดท้าย
นอกจากยาที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมียาอีกชนิดหนึ่งที่แนะนําให้ใช้ในการป้องกันการกลับเป็นซ้ําของโรคหลอด
เลือดสมองตีบหรืออุดตันในผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากหลอดเลือดแข็ง คือยา cilostazol ซึ่งเป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่ออก
ฤทธิ์ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด โดยยับยั้ง phosphodiesterase III โดยยานี้สามารถลดอัตราการกลับเป็น
ซ้ําของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้ ซึ่งขนาดที่แนะนําของยานี้คือ 100 mg วันละ 2 ครั้ง ส่วนผลไม่พึง
ประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น คือ อาการปวดศีรษะ อาการเวียนศีรษะ อาการทางระบบทางเดินอาหาร ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
1. โพยม วงศ์ภูวรักษ์, สุชาดา สูรพันธุ์, ฐิติมา ด้วงเงิน .เภสัชบําบัดในโรคเรื้อรังที่พบบ่อยและกรณีศึกษา เล่ม 1. สงขลา:
ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2556.
2. จุราพร พงศ์เวชรักษ์ . การใช้บําบัดในโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด. สงขลา: ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะ
เภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2553.
270
Unit 4
Cardiovascular Diseases
Chapters
31 Diabetes Mellitus
32 Thyroid Disorders
33 Adrenal Gland Disorders
34 Gynecologic Disorders
35 Drug Use in Pregnancy and Lactation
36 Contraceptives
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
31 Diabetes Mellitus
นศภ.สุวิมล ทิพย์วารี
Pathophysiology & classification
ระดับน้ําตาลในกระแสเลือดโดยปกติจะถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนซึ่งผลิตจากเซลล์ของตับอ่อน ฮอร์โมนที่สําคัญในการ
ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด คือ
1.อินซูลิน ผลิตจาก β – cell ของ islet of Langerhans คอยควบคุมไม่ให้ระดับน้ําตาลภายในเลือดสูงเกินไป
2.กลูคากอน ผลิตจาก α – cell ของ islet of Langerhans คอยควบคุมไม่ให้ระดับน้ําตาลภายในเลือดต่ําเกินไป
เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลทําให้ระดับน้ําตาลในกระแส
เลื อ ดสู ง เกิ น โดยปกติ น้ํ า ตาลจะเข้ า สู่ เ ซลล์ ร่ า งกายเพื่ อ ใช้ เ ป็ น พลั ง งานภายใต้ ก ารควบคุ ม ของฮอร์ โ มนอิ น ซู ลิ น ซึ่ ง ผู้ ที่ เ ป็ น
โรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนําน้ําตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลจึงทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดสูงขึ้น
ตารางที่ 31.1 แสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างของเบาหวานประเภท 1 และ 2
Type 1 diabetes Type 2 diabetes
เกิดจาก cellular-mediated autoimmune * เกิดจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistant)
ทําลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อน และมีการหลั่งอินซูลินลดลง (insulin deficiency)
ตับอ่อนไ่ม่ทํางาน ทําให้ขาด insulin ตับอ่อนทํางานไม่ปกติ คือ มีการหลั่งอินซูลินมากหรือน้อยเกินไป
Onset age < 40 มักเกิดตอนเด็ก Onset age > 40 (มักเป็นอายุประมาณ 30-40 ปีขึ้นไป)
อาการแสดงทั่วไป คือ polyphagia (กินจุ), polyuria ไม่มีอาการแสดง
(ปัสสาวะบ่อย), polydipsia (กระหายน้ํา) ผู้ป่วยมีรูปร่างผอมหรือ้วนก็ได้
ผู้ป่วยมีรูปร่างผอมบาง มีประวัตคิ รอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน - ใช้หรือไม่ใช้อินซูลินก็ได้
จําเป็นต้องใช้ insulin
Cellular-mediated autoimmune คือ การเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อต้านทําลายตับอ่อนของตัวเองจนไม่สามารถ
สร้างอินซูลินได้ ประกอบด้วยปัจจัยหลัก 2 ประการคือ (1) ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์สามารถ่่ายทอดทางพันธุกรรมและมี
ความสัมพันธ์กับ HLA (Human leukocyte antigen) ซึ่งเป็นกลุ่มของยีนบนโครโมโซมคู่ที่ 6 (2) สิ่งแวดล้อม ได้แก่
การติดเชื้อไวรัส คาดว่าเกิดจากความคล้ายคลึงกันระหว่างโครงสร้างของไวรัสกับแอนติเจนของเบต้า-เซลล์ แต่เชื้อไวรัส
นั้นก็เป็นเพียงปัจจัยเบื้องต้นที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง autoreactive T cell ขึ้นในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
อยู่แล้ว ซึ่งจะนําไปสู่การเกิด autoimmune และเกิดการทําลายเบต้าเซลล์ในที่สุด
อาหาร เช่น นมวัว เนื่องจากในนมวัวนั้นก็จะมีอินซูลินของวัวด้วย หากร่างกายเกิดมีการสร้างแอนติบอดีต่ออิซูลินของวัว
ก็อาจจะมาจับกับอินซูลินของคนปกติได้ เนื่องจากโครงสร้างของอินซูลินของวัวกับของคนนั้นมีความคล้ายกันมาก
Gestational Diabetes โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เป็นภาวะความผิดปกติของการทนต่อกลูโคสระหว่างตั้งครรภ์ พบมากในหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุมาก อ้วน หรือมีประวัติ
ครอบครัวเป็นเบาหวาน เบาหวานประเภทนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตของทารก เนื่องจากทารกได้รับระดับน้ําตาลในเลือดที่
สูงผ่านรก แล้วในขณะคลอดต้องตัดรกออก ระดับน้ําตาลในเลือดของทารกที่สูงอยู่จะลดอย่างรวดเร็ว จึงเกิดภาวะช็อคและทารก
อาจเสียชีวิตได้ 90% จะกลับสู่ปกติภายหลังคลอด แต่ 17% - 63% พัฒนาเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ภายในเวลา 15-16ปี
Other specific type
เช่น โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบชนิดชัดเจน โรคของตับอ่อน ความผิดปกติของฮอร์โมน
ยา หรือสารเคมี ซึ่งยาบางชนิดที่ทําให้ระดับน้ําตาลในเลือดสูงขึ้น : steroid, thiazide, nicotinic acid, thyroid hormone,
dilantin, β-adrenergic agonist, α-interferon และโรคบางชนิด เช่น โรคของตับอ่อนที่ทําให้เกิดการทําลายของตับอ่อน
ได้แก่ การอักเสบ, การตัดตับอ่อน, มะเร็งตับอ่อน
274
เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน
จากแนวทางรักษาโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา ฉบับปี ค.ศ. 2013 (ADA guideline 2013) แสดงไว้ดังนี้
- HbA1C มากกว่า 6.5%
- Fasting blood glucose (FBS) มากว่า 126 mg/dL (ระดับน้ําตางในเลือดหลังงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งควรมี
Unit 5
การตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยค่าต่างวันกัน) หรือ
- 2-hour plasma glucose (oral glucose tolerance test; OGTT) มากกว่า 200 mg/dL เป็น ระดั บน้ํ าตาลในเลือ ด
หลังทดสอบโดยการรับประทานกลูโคส 75 g มาแล้ว 2 ชั่วโมง หรือ
- ผู้ป่วยมีอาการของภาวะน้ําตาลในเลือดสูงเกิน ร่วมกับการตรวจวัดระดับน้ําตาลในเลือดแบบสุ่ม (random blood
glucose) มากกว่าหรือเท่ากับ 200 mg/dL ครั้งเดียว
Endocrine and Hormonal System Disorders
Goal of treatment
1. เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวที่สุด
2. ปราศจากอาการต่างๆของเบาหวาน
3. ลดการเกิด microvascular และ macrovascular
ตารางที่ 31.2 แสดงเป้าหมายการควบคุมระดับน้ําตาลหลังการรักษา
การควบคุมเบาหวาน เป้าหมาย
ควบคุมเข้มงวดมาก ควบคุมเข้มงวด ควบคุมไม่เข้มงวด
ระดับน้ําตาลในเลือดขณะอดอาหาร 70 - 110 mg/dL 90 - <130 mg/dL ใกล้เคียง 130 mg/dL
ระดับน้ําตาลในเลือดหลังอาหาร 2 ชั่วโมง < 140 mg/dL - < 180 mg/dL
ระดับน้ําตาลในเลือดสูงสุดหลังอาหาร - < 180 mg/dL -
Hemoglobin A1c < 6.5% < 7.0% 7.0 – 8.0%
การรักษา
เบาหวานชนิดที่ 1 เนื่องจากร่างกายขาดอินซุลินโดยสมบูรณ์ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย จําเป็นต้องได้รับ
การรักษาด้วยการใช้ยาฉีด อินซูลินเข้าใต้ผิวหนัง ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รายละเอียดดังนี้
Insulin
เป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ anabolic และ anticatabolic มีผลต่อเมแทบอลิซึมของโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ทําให้มีการนํา
กลูโคสเข้าเซลเนื้อเยื่อเป้าหมาย เผาผลาญให้พลังงานหรือนําไปเก็บไว้ในรูปอื่น ช่น ไกลโคเจน ไขมัน ที่ร่างกายสามารถนํามาใช้เป็น
พลังงานเมื่อจําเป็น และทําให้ระดับน้ําตาล กรดไขมันอิสระในเลือดลดลง
ข้อบ่งใช้
- เบาหวานชนิดที่ 1 ทุกราย
- เบาหวานชนิดที่ 2 ที่ใช้ยารับประทานร่วมแล้วยังไม่สามารถได้ระดับ HbA1C ตามเป้าหมาย หรือเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่
สามารถได้ระดับ HbA1C ตามเป้าหมายมาตลอด
- เบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ที่มีระดับน้ําตาล ณ เวลาใดๆ สูงกว่า 200 มก./ดล. ร่วมกับมีภาวะใดภาวะหนึ่งต่อไปนี้
กล้ามเนื้อหัวใจตาย, ภาวะคีโตนในเลือดหรือปัสสาวะ, hyperosmolar non-ketotic state, มีความเจ็บป่วยที่รุนแรงใน
เวลาเดียวกัน เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด
- Gastational diabetes
- เบาหวานชนิดที่ 2 ที่ตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์
- เบาหวานชนิดที่ 2 ที่แสดงอาการน้ําหนักลด lethargy
- เบาหวานชนิดที่ 2 ที่แสดงอาการมาก ร่วมกับมีระดับน้ําตาล ณ เวลาใดๆ สูงกว่า 400 มก./ดล. และหรือระดับน้ําตาล
หลังงดอาหารเกิน 270 มก./ดล.
- ภาวะน้ําตาลสูงวิกฤติ
275
แบบแผนของการให้ insulin
หลักการทั่วไปของการให้ insulin คือต้องให้มี insulin ที่ครอบคลุมมื้ออาหาร (prandial or meal-time) และขณะพัก
(resting or basal) สําหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 รูปแบบที่เหมาะสมที่สุดคือรูปแบบที่เป็น multiple daily injection ขนาด
Chapter 31
ความต้ อ งการ insulin อยู่ ที่ 0.5-0.6 ยู นิ ต ต่ อ กิ โ ลกรั ม น้ํ า หนั ก ตั ว ต่ อ วั น ซึ่ ง ร้ อ ยละ 50 จะเป็ น basal insulin (NPH, Lente,
Ultralente, Glargine) ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นสามส่วนให้สําหรับมื้ออาหารแต่ละมื้อ (Regular, Lispro, Aspart, Glulisine) สามารถ
ปรับเพิ่มขนาด insulinได้ครั้งละ 2-4 ยูนิต จนกระทั่งได้ระดับ FPG ตามเป้าหมาย (80-110 มก./ดล.) ในทางตรงข้ามหากเกิดภาวะ
น้ําตาลต่ําเกินไป (< 70มก./ดล.) ให้ปรับลด 4 ยูนิตหรือลดลงร้อยละ 10 ของขนาดเดิม โดยหลักการปรับจะปรับตามมื้ออาหารที่
บริโภคและระดับน้ําตาลที่เวลาต่างๆที่วัดด้วยตนเอง ดังนี้
Diabetic Mellitus
ตารางที่ 31.3 แสดงหลักการปรับการให้ insulinตามระดับน้ําตาลที่เวลาต่างๆที่วัดด้วยตนเอง
เวลาที่ตรวจวัดระดับน้ําตาล ชนิดและมื้อของ insulin ที่ต้องปรับ มื้ออาหารที่ต้องปรับ
ก่อนอาหารเช้า (fasting) ชนิ ด ออกฤทธิ์ น านปานกลางและยาวที่ ใ ห้ ก่ อ น อาหารว่างก่อนนอน
อาหารเย็นหรือก่อนนอน
ก่อนอาหารเที่ยง ชนิดออกฤทธิ์สั้นที่ให้ก่อนอาหารเช้า อาหารเช้าและอาหารว่างตอนสาย
ก่อนอาหารเย็น ชนิดออกฤทธิ์นานปานกลางให้ก่อนอาหารเช้าและ อาหารกลางวันและอาหารว่างตอนบ่าย
หรือชนิดออกฤทธิ์สั้นที่ให้ก่อนอาหารกลางวัน
ก่อนนอน ชนิดออกฤทธิ์สั้นที่ให้ก่อนอาหารเย็น อาหารเย็น
หลังอาหาร 2 ชั่วโมง ชนิดออกฤทธิ์สั้นหรือเร็วที่ให้ก่อนอาหาร อาหารแต่ละมื้อหรืออาหารว่าง
ตีสามหรือหลังจากนั้น ชนิดออกฤทธิ์นานปานกลางที่ให้ก่อนอาหารเย็น อาหารเย็นและอาหารว่างก่อนนอน
ตารางที่ 31.4 เปรียบเทียบคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ของอินซูลินประเภทต่างๆ
ชนิดของอินซุลิน Onset (ชั่วโมง) Peak (ชั่วโมง) ระยะเวลาในการ ระยะเวลาในการ ลักษณะยา
ออกฤทธิ์ (ชั่วโมง) ออกฤทธิ์สูงสุด
(ชั่วโมง)
Rapid-acting
Aspart 0.25-0.5 1-2 3-5 5-6 ใส
Lispo 0.25-0.5 1-2 3-4 4-6 ใส
Glulisine 0.25-0.5 1-2 3-4 5-6 ใส
Short-acting
Regular 0.5-1.0 2-3 3-6 6-8 ใส
Intermediate-acting
Neutral 2-4 4-6 8-12 14-18 ขุ่น
protamine
hagedorn (NPH)
Long-acting
Detemir 2 6-9 14-24 24 ใส
Glargine 4-5 - 22-24 24 ใส
ปริมาณที่ต้องการ ดูดอินซูลินน้ําใสออกมาเท่ากับปริมาณที่ต้องการ
6. กลับมาดูดอินซูลินชนิดน้ําขุ่นที่ต้องการ แล้วนําไปฉีดทันที โดยใช้สําลีชุบแอลกอฮอล์ทําความสะอาดผิวหนัง บริเวณที่ฉีด
ยาใช้มือข้างหนึ่งดึงผิวหนังบริเวณที่จะฉีดยกให้สูงขึ้นเป็นลําแล้วแทงเข็มฉีดยาเข้าไปให้ตรงให้ ตั้งฉากกับผิวเข้าชั้นใต้
ผิว หนั งให้มิ ดเข็ม กดลูก สู บดั นยาลงไปให้สุ ดจนหมดถอนเข็ มฉี ดยาออก ใช้ สํา ลีก ดตํ าแหน่ ง ที่ฉี ดยาไว้ชั่ วขณะ ถ้ า มี
เลือดออกหรือรู้สึกปวดหรือมีน้ําใสไหลออกมา ไม่ควรคลึงหรือนวดบริเวณที่ฉีดยา เพราะอาจทําให้การดูดซึมเร็วขึ้นกว่า
ปกติได้
เบาหวานชนิดที่2 จากแนวทางการรักษาเบาหวาน ฉบับปี ค.ศ. 2013 โดยสมาคมโรคเบาหวานของประเทศสหรัฐอเมริกา(ADA
Guideline 2013) แนะนําว่า
ปรับเปลีย่ นพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกําลังกาย และลดน้าํ หนัก
เริ่มต้นการรักษาด้วย Metformin
หมายเหตุ : SU-sulfonylureas; TZD-thiazolidinediones; DPP-4-i-DPP-4 inhibitor; GLP-1 RA- GLP-1 receptor agonists
รูปที่ 31.2 แสดงแนวทางการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
277
ยาที่ใช้ในการรักษา
ยาที่ใช้ในการรักษาเบาหวานชนิดรับประทานแบ่งออกตามกลไกการออกฤทธิ์ได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.กระตุ้นการหลั่ง insulin (Insulin secretagogues)
Chapter 31
- Sulfonylurea (SU)
- Non-Sulfonylurea (NSU)
2.เพิ่มความไวของเนื้อเยื่อต่อ insulin (Insulin sensitizers)
- Biguanides
- Thiazolidinedione(TZD)
3.ลดการดูดซึมของกลูโคสที่ทางเดินอาหาร
Diabetic Mellitus
α-glucosidase Inhibitor
1. ยาในกลุ่ม sulfonylurea
First generation : Tolbutamide
Chlorpropamide
Second generation : Glibenclamide
Gliclazide Potency, Pharmacokinetics, Safety ดีกว่า .
Glipizide
Glimepiride
Machanism Of Action : กระตุ้นการหลั่ง insulin เมื่อ SU จับกับ SUR(sulfonylurea receptor) ที่ cell ของตับอ่อนทํา
ให้ ATP-dependent K+ channel ปิด ทําให้มี K+ สะสมอยู่ภายในเซลล์มากขึ้น เกิด depolarize ทําให้ Ca2+ channel เปิด
ออก Ca2+จากภายนอกเซลล์จะเคลื่อนที่เข้าสู่เซลล์ระดับ Ca2+ ที่สูงขึ้นในเซลล์ทําให้ insulin ถูกหลั่งเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น
ข้อบ่งใช้
1. เลือกใช้เป็นยาตัวแรกสําหรับผูป้ ่วย Type 2 DM ที่มีน้ําหนักตัวตามปกติ
2. ผู้ป่วยที่มี response ดีๆ คือ FBS < 240 mg/dl
3. เพิ่งได้รับการวินจิ ฉัยว่าเป็นเบาหวาน
4. เบต้าเซลล์ยังทํางาน
วิธีการใช้ยา
- กินก่อนอาหาร 30 นาที เพื่อไปเตรียม phase 1 ของการหลั่งอินซูลิน
- เริ่มด้วย dose ต่ํา แล้วค่อยๆ เพิ่มในช่วง 1-2 สัปดาห์ หากผลไม่น่าพอใจ ให้ลองเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นในกลุ่มเดียวกันก่อนและ
หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลีย่ นไปใช้ยากลุ่มอื่น หรือเพิ่มยากลุม่ อื่นเข้าไป
- ต้องปรับ dose ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องไต เนื่องจากอาจทําให้เกิดภาวะ hypoglycemia ได้ง่าย โดย
Glipizide = Gliclazide < Glibenclamide
- ใช้ second generation
ข้อห้ามใช้
- มีประวัติการแพ้ยากลุ่ม sulfonylurea หรือ sulfa
- ผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะน้าํ ตาลในเลือดต่ําได้ง่าย เช่น ผู้ป่วยที่ตับ/ไตบกพร่อง (การขับยาช้าลง)
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
- Pancreatic diabetes
- ระหว่างที่เกิดภาวะ ketoacidosis, hyperosmolar hyperglycemic coma
- ภาวะตั้งครรภ์
- ภาวะติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน หรือภาวะเครียดอื่นๆ เช่น การผ่าตัด บาดเจ็บ ไข้สูง เป็นต้น
278
วิธีการใช้
ขนาดเม็ด Time to Duration ขนาดต่อวัน
ชื่อสามัญ ชื่อการค้า จํานวน ทางขจัดยา
(mg) peak (hr) (hr) (mg)
ครั้ง/วัน
Tolbutamide Orinase 250,500 3-4 6-10 500-3000 2-3 ไต 100%
Unit 5
หมายเหตุ :
ยาที่ NICE Guidline แนะนําให้ใช้มี 3 ตัว
1. Gliclazide : half life สั้น เกิด hypoglycemia น้อยกว่ายาตัวอื่น จึงมีความปลอดภัยในการใช้กับผูป้ ่วยสูงอายุหรือ
ผู้ป่วยโรคไต
2. Glybenclamide : มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้ดี แต่มโี อกาสเกิด hypoglycemia ได้มาก จึงไม่เหมาะกับผู้ป่วย
สูงอายุหรือผูป้ ่วยโรคไต
3. Glimepiride : เป็น second choice เนื่องจากมีโอกาสเกิด hypoglycemia ต่ํา และกระตุ้นความอยากอาหารและทํา
ให้น้ําหนักเพิ่มน้อยกว่ายาตัวอื่น
2. ยาในกลุ่ม Non-sulfonylurea
Machanism Of Action :
- กลไกการออกฤทธิ์เหมือน SU แต่จับ SUR ที่คนละตําแหน่งกัน
- ออกฤทธิ์เร็วและสั้นกว่ายากลุ่ม SU (ดีกว่า SU)
- ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินขึ้นกับระดับกลูโคสภายในเลือด ถ้าระดับกลูโคสต่ํา ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการ
หลั่งอินซูลินก็ลดลงด้วย ซึ่งต่างจาก SU ที่ไม่ขึ้นกับระดับกลูโคส
ข้อบ่งใช้
- ผู้ป่วยที่แพ้ยาซัลฟา
- ผู้ที่ทานอาหารไม่ค่อยเป็นเวลา เนื่องจากกระตุ้นการหลั่ง insulin ได้เร็วภายใน 30 นาทีหลังให้ยา ดังนั้น หากมีการเลื่อนมื้อ
อาหารหรืองดอาหารก็สามารถงดยามื้อนั้นได้
วิธีการใช้ยา
- ยาดูดซึมได้เร็วจึงรับประทานยาก่อนอาหาร 15 นาทีหรือพร้อมอาหารคําแรกก็ได้
- หากงดอาหารก็งดยา หากเพิ่มมื้ออาหารก็เพิ่มมื้อยา
ข้อห้ามใช้
- ผู้ป่วยที่ตับบกพร่องเนื่องจากเมทาบอไลท์ผ่านตับ
ขนาดเม็ด Time to Duration ขนาดต่อวัน วิธีการใช้จํานวน
ชื่อสามัญ ชื่อการค้า
(mg) peak (hr) (hr) (mg) ครั้ง/วัน
Repaglinide Novonorm 15-30 4-6 0.5,1,2 0.5-4 2-3
Nateglinide Starix 20 4 125 60-120 2-3
279
3. ยาในกลุ่ม Biguanides
Machanism of Action
Chapter 31
- ลดการสร้างน้ําตาลจากตับ (decrease glycogenolysis และ decrease gluconeogenesis)
- ทําให้น้ําตาลเข้าเซลล์ดีขึ้น โดยการเพิ่มจํานวน GLUT-4 [insulin-stimulated glucose transport in muscle cell] ซึ่งทํา
หน้าที่พากลูโคสเข้าเซลล์กล้ามเนือ้ ลาย
ข้อบ่งใช้้
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
- ผู้ป่วยอ้วน (BMI >25)
Diabetic Mellitus
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
วิธีการใช้ยา
- เริ่มรับประทาน 500 mg วันละ 1-2 ครั้งพร้อมอาหาร
- ค่อยๆปรับยาเพิ่มทุก 2-3 สัปดาห์ เพราะยาจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้ยาไปแล้ว 1-2 สัปดาห์
( SU ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์)
- ขนาดยาสูงสุดคือ 2.5 กรัมต่อวัน
ข้อห้ามใช้
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
- ภาวะเลือดมีออกซิเจนน้อย
- ติดเชื้ออย่างรุนแรง
- ไตบกพร่องมากดูจากค่า serum creatinine
ผู้ชาย Scr > 1.5 mg/dL
ผู้หญิง Scr > 1.4 mg/dL
- ภาวะอื่นๆทีม่ ีโอกาสเกิด lactic acidosis เช่น โรคตับ โรคหัวใจล้มเหลว ภาวะขาดน้ํา ติดแอลกอฮอล์
Time to peak ขนาดเม็ด ขนาดต่อวัน วิธีการใช้จํานวน
ชื่อสามัญ ชื่อการค้า
(hr) (mg) (mg) ครั้ง/วัน
Metformin Glucophage 2-3 500,850,1000 500-2500 2-3
4. ยาในกลุ่ม Thiazolidinedione (TZD)
Machanism of Action
- ยาจับ PPAR-γ (peroxisome proliferators – activated receptor -γ) แล้วกระตุ้น insulin responsive genes ที่ควบคุม
carbohydrate และ lipid metabolism
- ลด insulin resistance ของกล้ามเนื้อ ไขมัน
- ลดการปล่อย free fatty acid จากไขมัน
- เพิ่มการหลั่ง adinopectin จากไขมัน
ข้อบ่งใช้้
- ใช้เป็นยาเดีย่ วหรือร่วมกับยาชนิดอื่น
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมด้วย
- ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถทนต่อ Metformin
วิธีการใช้ยา
- การปรับขนาดยาจะต้องรอให้ยาออกฤทธิ์สูงสุดก่อน คือประมาณ 3-4 สัปดาห์ (1เดือน)
- ก่อนเริ่มใช้ยาควรตรวจการทํางานของตับ(ค่า ALT)
- ไม่จาํ เป็นต้องรับประทานยาพร้อมอาหาร
- รับประทานยาวันละครั้ง
280
- Monitor ค่า ALT ทุก 2 เดือนในปีแรกของการใช้ยา และ
- หยุดใช้เมื่อระดับเอนไซม์ตับ (ALT) สูงเกินกว่า 3 เท่าของค่าปกติ
- ไม่ต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วย renal insufficiency
Unit 5
ข้อห้ามใช้
1. NYHA (New York Heart Association) ห้ามใช้ในผู้ป่วย congestive HF class III และ IV (ถ้า Europe ห้ามใช้ ทุก class)
2. ตั้งครรภ์
3. โรคตับระยะเฉียบพลัน
4. ค่าเอนไซม์ตับสูงกว่า 2.5-3 เท่าของคนปกติ
Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 31
เกิดจากการสังเคราะห์จากสารที่พบในน้ําลายของ Gila monster มีโครงสร้างเป็นเปปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 39
ตัว ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ GLP-1สามารถจับกับ GLP-1 Receptor ได้ดีกว่า GLP-1 และไม่ถูกทําลายโดย DPP-IV เนื่องจาก
กรดอะมิโนตําแหน่งที่ 2 เป็น glycine ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง มีจําหน่ายในรูปสารละลายปราศจากเชื้อขนาด 250 mcg/ml ขนาดใช้
เริ่มต้นคือ 5 mcg วันละ 2 ครั้ง ให้ก่อนอาหารเช้าและเย็น สามารถปรับขนาดยาได้สูงสุด 10 mcg วันละ 2 ครั้งหลังจากใช้ไปแล้ว
1 เดือน ใช้เป็นยาเสริมการควบคุมน้ําตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับ metformin, sulfonylurea หรือ combination
ของยาทั้งสองแล้วยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ําตาลได้ อาการข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน
Diabetic Mellitus
7. ยาในกลุ่ม Dipeptidyl peptidase IV Inhibitor (DPP-IV Inhibitor) : Sitagliptin (Januvia®),
Vildagliptin (Galvus), Saxgliptin (Onglyza)
กลไลการออกฤทธิ์ คือ ยับยั้งเอนไซม์ DPP-IV ทําให้ Incretin hormone มีฤทธิ์นานขึ้น (เพิ่มประสิทธิภาพของ GLP-1 แต่
ไม่ได้เพิ่มปริมาณ) เป็นยารับประทานเริ่มต้น 100 mg วันละครั้งตอนเช้า ใช้เป็นยาเดี่ยวหรือยา combine ก็ได้ (ต้องปรับขนาดยา
ในผู้ป่ วยโรคไต) ข้อดี ของยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ คือ การจับกับreceptorต้องใช้ ATP ถ้า glucoseต่ําจะไม่มีพลังงานใช้ในการจับกับ
receptor จึงไม่ทําให้เกิด hypoglycemia
ตารางที่ 31.5 แสดงสรุปความแตกต่างของยารักษาเบาหวานแต่ละกลุ่ม
กลุ่มยา กลไกการออกฤทธิ์ การลด HbA1C ข้อดี ข้อเสีย
Metformin กระตุ้น AMP-kinase 1.5-2% ไม่เกิดภาวะน้ําตาลใน คลื่นไส้อาเจียน เกิด
(ลดการสร้าน้าํ ตาลที่ตับ) เลือดต่าํ เกิน และไม่ทํา lactic acidosis และ
ให้น้ําหนักเพิ่ม ขาด vit B12
Sulfonylureas ปิดKATPchannels บนเบ 1-2% มีประสิทธิภาพในการ เกิดภาวะน้าํ ตาลใน
ตาเซลล์ (เพิ่มการหลั่ง ลด HbA1C และราคา เลือดต่าํ เกิน และทําให้
อินซูลิน) ถูก น้ําหนักเพิ่ม
Thiazolidinediones กระตุ้น PPAR-Y(เพิ่ม 0.5-1.5% ไม่เกิดภาวะน้ําตาลใน ทําให้น้ําหนักเพิ่ม บวม
ความไวต่ออินซูลิน) เลือดต่าํ เกิน และเกิดภาวะหัวใจ
ล้มเหลว
α-glucosidase ยับยั้ง intestinal α- 0.3-1% ไม่เกิดภาวะน้ําตาลใน เกิดอาการท้องอืด ผาย
inhibitor glucosidase (ลดการ เลือดต่าํ เกินและลด ลม ท้องร่วง
ย่อยและดูดซึม ระดับน้ําตาลหลังมื้อ
คาร์โบไฮเดรต) อาหาร
DPP-4 inhibitor ยับยั้ง DPP-4 activity , 0.6-0.8% ไม่เกิดภาวะน้ําตาลใน ประสิทธิภาพปานกลาง
เพิ่มความเข้มข้นของ เลือดต่าํ เกิน ราคาแพง
incretin (เพิ่มการหลั่ง
อินซูลิน)
GLP-1 receptor กระตุ้น GLP-1 receptor 0.7-1% ไม่เกิดภาวะน้ําตาลใน บริหารยาโดยการฉีด
agonists (เพิ่มการหลั่งอินซูลินลด เลือดต่าํ เกิน และลด เข้าใต้ผิวหนัง เกิด
การหลั่งกลูคากอน) น้ําหนัก คลื่นไส้อาเจียน
Insulin กระตุ้น insulin 1.5-3.5% ประสิทธิภาพดีและลด บริหารยาโดยการฉีด
receptor (เพิ่มการนํา microvascular risk เข้าใต้ผิวหนัง ทําให้เกิด
กลูโคสเข้าเซลล์และลด น้ําตาลในเลือดต่าํ เกิน
การหลั่งน้ําตาลที่ตับ) และเพิ่มนําหนัก
282
Acute & long term complications
ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน คือ Hyperglycemic crisis (ภาวะน้ําตาลในเลือดสูงวิกฤต) : พบได้ในผู้ปว่ ยเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2
จําแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก
1. Diabetic ketoacidosis (DKA) เกิดจากการที่ร่างกายเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนอินซูลินอย่างสมบูรณ์(absolute insulin
Unit 5
deficiency)เป็ น ผลให้ เ กิ ด กระบวนการสลายไขมั น (lipolysis) เพื่ อ ให้ พ ลั ง งงานแก่ ร่ า งกาย ผลิ ต ผลที่ เ กิ ด ขึ้ น จาก
กระบวนการนี้ได้แก่ ketone body (β-hydroxybutyrate และ acetoacetate) ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเลือดเป็นกรด
(metabolic acidosis)
2. Hyperglycemic hyperosmolar state (HHS) เป็นภาวะที่ร่างกายไม่ได้เกิดภาวะพร่องฮอร์โมนอินซูลินอย่างสมบูรณ์
เช่นใน DKA โดยมีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้บางส่วน(relative insulin deficiency) จึงไม่มีกระบวนการสลายไขมัน
Endocrine and Hormonal System Disorders
Medicinal
Chapter
Hypoglycemic Agents
Chapter 31
Chemistry นศภ.มณสิณีย์ อินทร์รองพล
Hypoglycemic Agents
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. Insulin
2. Oral antidiabetic drug
Diabetic Mellitus
1. Insulin
ปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะสามารถสังเคราะห์ insulin เองได้
โดยจะมี human preproinsulin เป็นสารตั้งต้น ซึ่งจะสังเคราะห์ที่
β cell ของตับอ่อน โดยจะได้เป็นสายโปรตีนที่มี 110 amino acid
ในสายของ human preproinsulinจะประกอบด้วยsignal peptides,
A chain, B chain และ connecting peptide หลังจากที่สร้าง
human preproinsulin เรียบร้อยแล้ว ส่วน signal peptides จะเป็น
ตัวส่ง human preproinsulin เข้าสู่ rough endoplasmic reticulum
แล้วถูกตัดส่วนของ signal peptides ออกได้เป็น proinsulin ซึ่งจะถูก
เปลี่ยนต่อไปเป็น insulin ใน Golgi complex โดย proinsulin จะถูก
ตัดเอาส่วนของ connecting peptides และ amino acid บางตัวออกไป
สุดท้ายแล้วจะได้ insulin ที่ประกอบด้วย amino acid ทั้งหมด 51 ตัว
มีมวลโมเลกุลประมาณ 5,800 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ chain A และ B
ระหว่าง chain ทั้งสองจะมี disulfide bonds ที่ตําแหน่ง A7-B7 และ
A20-B19 และมี disulfide bond ภายใน chain A ที่ตําแหน่ง A6-A11
การแบ่งชนิดตามการออกฤทธิ์
Unit 5
Endocrine and Hormonal System Disorders
Rapid-acting
1. Lispro (Humalog®) เปลี่ยน proline-lysine ในตําแหน่ง 28-29B
เป็น lysine-proline เพิ่มความเกะกะแก่ insulin monomer
ทําให้ลด stability ของ Insulin dimer ส่งผลให้ insulin
แตกตัวอยู่ในรูป Monomer ซึ่งเป็น Active form มากขึ้น
Chapter 31
1. NPH มีการเติม Zn และ Protamine ใน insulin เพื่อให้ form Hexamer เพิ่มขึ้น และมี
อัตราส่วนของ Hexamer มากกว่า monomer ส่งผลให้ onset ช้าลง แต่เพิ่ม duration
Long-acting
1. Glargine (Lantus®) เพิ่ม arginine อีก 2 ตัว ในตําแหน่ง
31-32B Arginine เป็น base จึงทําไห้ ค่า pI
(isoelectric point) สูงขึ้น จาก 5.4 เป็น 6.7
Diabetic Mellitus
ทําให้โปรตีนละลายน้ําได้ลดลง ยาจึงตกตะกอน
เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายและค่อยๆปลดปล่อย
cirulation
Gen1 Gen2
Endocrine and Hormonal System Disorders
Tolbutamide Glipizide
Glimepiride
2. Non sulfonylurea
ยาในกลุ่มนี้จะมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกับยาในกลุ่ม sulfonylurea เนื่องจากยากลุ่มนี้พัฒนาขึ้นมาโดยเอา benzoic
acid มาแทนที่ sulfonylurea ซึ่งจะได้สารที่มีฤทธิ์คล้ายคลึงกัน นอกจากนี้ยัง on/off เร็วกว่า
Meglitinide Repaglinide
3. Biguanides
MOA : ออกฤทธิ์เพิ่มความไวของเซลล์ในการตอบสนองต่อ insulin และลดการสร้าง glucose จากตับ โดยยับยั้ง
กระบวนการ gluconeogenesis
Metformin
( Dimethylbiguanide )
Chapter 31
H O H H O H
H H
OH H OH H
OH O OH
H OH H OH
Glycosidic linkage
MOA : แย่งจับกับEnzyme Alpha – glucosidase แทน Substrate ตามธรรมชาติ
Diabetic Mellitus
(Oligosaccharide , Trisaccharide , Disaccharide ) เพื่อป้องกันไม่ไห้ Hydrolyze พันธะ Glycosidic ได้เป็น Glucose
5. Thiazolidinediones
MOA : ยากลุ่ ม นี้ จ ะออกฤทธิ์ ที่ PPAR-gamma receptor ( Peroxisome proliferator – activated recepter)ใน
nuclese ซึ่งจะช่วยเพิ่ม sensitivity ของ insulin โดยเพิ่มการจับของ insulin ที่ receptor, เพิ่มปริมาณ insulin receptor และ
inhibitory signal ใน insulin effector pathway และนอกจากนี้ยังออกฤทธิ์เพิ่ม sensitivity ของ insulin ที่ adipocyte และ
hepatocyte อีกด้วย
Pioglitazone Rosiglitazone
Sitagliptin Saxagliptin
(This page is intentionally left blank)
288
Unit 5 Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter
32 Thyroid Disorders
นศภ.สุวิมล ทิพย์วารี
ต่อมธัยรอยด์มีหน้าที่สร้างและหลั่งฮอร์โมน ได้แก่ ไตรไอโอโดธัยรอกซิน (Triiodothyroxine , T3 ) และ ธัยรอกซิน
( Thyroxine , T4 ) ซึ่งจะทําหน้าที่ควบคุมขบวนการเมตะบอลิซึมและควบคุมการทํางานของร่างกาย ในสภาวะปกติ การควบคุม
การทํางานของต่อมธัยรอยด์ในการสร้างและหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมนจะมีความสัมพันธ์กับการทํางานของต่อมใต้สมอง ( Pituitary
gland ) และสมองส่ ว นฮั ย โปธาลามั ส (Hypothalamus) โดยฮอร์ โ มนจากต่ อ มใต้ ส มองส่ ว นหน้ า ชื่ อ Thyroid Stimulating
Hormone (TSH หรือ Thyrotropin) จะทําหน้าที่ควบคุมการสร้างและหลั่งธัยรอยด์ฮอร์โมน, สําหรับ Thyroid Stimulsting
Hormone ( TSH )นั้ น จะถู ก ควบคุ ม โดยฮอร์ โ มนที่ ห ลั่ ง จากสมองส่ ว นฮั ย โปธาลามั ส (Hypothalamus) ที่ เ รี ย กว่ า Thyroid
Releasing Hormone (TRH) ซึ่งจะทําหน้าที่กระตุ้นการสร้างและหลั่ง TSH นอกจากนี้ TSH ยังถูกควบคุมโดยระดับธัยรอยด์
ฮอร์โมนในกระแสเลือดด้วยกลไก Negative feedback กล่าวคือ ถ้าร่างกายมีระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนในกระแสเลือดสูงจะกดการ
สร้างและหลั่ง TSH ทําให้ระดับ TSH ในกระแสเลือดต่ําลง ตรงกันข้ามถ้าร่างมีระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนในกระแสเลือดลดลงจะ
กระตุ้นการสร้างและหลั่ง TSH ให้มีระดับสูงขึ้น นอกจากนี้ระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนในกระแสเลือดยังมีกลไก Negative feedback
ในการควบคุม TRH อีกด้วยดังแผนภูมิที่ 1
Hypothalamus
- เมตาบอลิซมึ ของเซลล์และการสร้างโปรตีน
- เสริมฤทธิ์ที่ β- adrenergic receptor
- ฤทธิ์ต้าน insulin
อาการทางคลินิก
- basal metabolic rate เร็ว ช้า
Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 32
มีทั้งการใช้ยา antithyroid, การใช้ Radioactive iodine (RAI), การผ่าตัด
1. Antithyroid Drugs เป็นยากลุ่ม Thioamides มียา 2 ชนิด คือ propylthiouracil (PTU) และ methimazole
1.1 Propylthiouracil (PTU) (URACIL® 50 mg / tab )
Mechanism of action : block การ converse ของ T4 ไปเป็น T3 ที่ peripheral จึงสามารถ block
ฮอร์โมนที่มีอยู่แล้วได้ด้วย, on set เร็วกว่า methimazole จึงใช้ได้ดีกว่าในภาวะที่มี thyroid hormone
มากๆ (thyroid storm)
Dose 100–200 mg pc Q 6 – 8 hr (max 1200 mg / day) ใช้ยาประมาณ 6–8 สัปดาห์
Thyroid Disorders
1.2 Methimazole (TAPAZOLE® 5,10 mg / tab )
มีฤทธิ์แรงกว่า PTU 10 เท่า, มี half life นานกว่า PTU
Dose 30–40 mg PO QD (max 60 mg / day) ใช้ยาประมาณ 6–8 สัปดาห์
ยาที่ให้ร่วมในการรักษา
1. Beta – blocker, CCB, Steroid
การให้ยาในกลุ่ม Thioamide ในช่วง 4 – 6 สัปดาห์แรก จะยังมีอาการ hyperthyroidism อยู่จึงมีการให้ยาใน
กลุ่ม beta – blocker เพื่อลดอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ลดความวิตกกังวล จนผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะ euthyroid จึงหยุดยา ตัวที่นิยม
ใช้คือ propranolol เนื่องจากมีข้อดีคือ สามารถ block การ converse T4 ไปเป็น T3 แต่ถ้าใช้ beta – blockerไม่ได้ อาจใช้
CCB หรื อ Steroid โดย steroid สามารถ block การ converse T4 ไปเป็ น T3 ที่ peripheral ได้ และใช้ ใ นภาวะ thyroid
storm ไม่ใช้ระยะยาวเนื่องจาก side effect
Iodide-containing preparation (Inorganic iodine)
ยับยั้งการหลั่ง thyroid hormone ทําให้เกิด negative feedback ต่อการสร้าง thyroid hormone และลดการ
สร้างหลอดเลือดเข้าไปเลี้ยงต่อมไทรอยด์ มี 2 ชนิด คือ Lugol ‘s solution กับ SSKI (Saturated solution of potassium
iodide) จะใช้ในภาวะ thyroid storm โดยจะให้ก่อนผู้ป่วยจะผ่าตัด
2. Radioactive iodine
สารกัมมันตรังสีไอโอดีนที่อาจนํามาใช้ได้คือ 131I, 125I แต่ที่นิยมใช้กันมากคือ 131I อยู่ไนรูปเกลือโซเดียม เตรียมอยู่
ในรูปสารละลายและแคปซูลสําหรับรับประทาน ให้ประสิทธิภาพเร็วรองจากการผ่าตัด เหมาะกับผู้ป่วยอายุมาก มีโรคที่เป็็น
ปัญหากับการผ่าตัด เช่่นหัวใจ รับประทานยาเม็ดหรือรักษาโดยการผ่าตัดแล้้วไม่่ได้้ผล มีอาการปานกลางถึงมาก ต่อมไทรอยด์โต
ปานกลาง
3. การผ่าตัด
ให้ประสิทธิภาพเร็ว เหมาะกับผู้ป่วยอายุน้อย มีอาการปานกลางถึงมาก ต่อมไทรอยด์โตมาก ตั้งครรภ์ (second
trimester) ผู้ป่วยที่ปฏิเสธหรือทนยา, RAI ไม่ได้
Hypothyroidism :
การรักษาใช้ Thyroid hormone replacement ให้ได้ทั้งในรูป T3 หรือ T4
จากธรรมชาติ : thyroid extract ( มีทั้ง T3และT4 )
จากการสังเคราะห์จะมี T4 อย่างเดียว : L- thyroxine sodium (Eltroxin®)
L- thyroxine sodium (Eltroxin®) เป็น Drug of choice ของการรักษาภาวะที่มี thyroid hormone ต่ํา สามารถ
converse เป็น T3 มี half life 9-10 วัน ขนาดยาที่ใช้ 1.6 – 1.7 mcg / kg / day (50 -300 mcg / day) รับประทานก่อนอาหาร
ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ระวังการใช้ร่วมกับยาบางตัว เช่น amiodarone, beta blocker ทําให้เกิดการ block การเปลี่ยนจาก T4 ไป
เป็น T3 ส่วนยาบางตัวจะเพิ่มการ converse จาก T4 ไปเป็น T3 เช่น ยากันชัก ยาวัณโรค จึงต้องทําการ monitor เมื่อใช้
ยาร่วมกัน ควรระวังในกรณีคนไข้สูงอายุ, คนที่เป็นโรคหัวใจ ถ้าเราให้ฮอร์โมนมาก อาจทําให้หัวใจเต้นแรง , osteoporosis จึงต้อง
ให้ในขนาดที่ลดต่ําว่าคือ 25–50 mcg / day
เอกสารอ้างอิง
1. วรนุช แสงเจริญ, ผู้จัดทํา. Thyroid Disorders [Power point]. สงขลา: ภาควิชาเภสัชกรรมคลินิก คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2553.
292
Chapter
Medicinal Anti-thyroid Drugs
Chemistry
Unit 5
นศภ.ณัฐวดี เรือนวงค์
Thyroid diseases
Hypothyroidism
- Myxedema เป็นแต่แรกเกิด ตัวเตี้ย แคระแกรน
Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 32
ในเนื้อเยื่อ และ external gland มากกว่า T4
- Activity : T4 : liver, kidney
T3 : muscle, brain
- T3 มีฤทธิ์มากกว่า T4 เนื่องจากลักษณะโครงสร้างของ T3 จะจําเพาะกับการจับกับ receptor มากกว่า T4
เพราะ aromatic ring ของ 3,5-deiodothyronines อยู่ใน ลักษณะตั้งฉากกัน ช่วยลดการชนกันระหว่างหมู่
iodine ที่ตําแหน่ง 3 และ 5 และ 2’,6’-H และการไม่มีหมู่ Iodine ที่ตําแหน่ง 5’ ของ T3 จะส่งผลให้มีฤทธิ์
Thyroid Disorders
ดีกว่า T4 เพราะตําแหน่ง 5’-I จะรบกวนหมู่ –OH บน outer ring ในการเข้าจับที่ receptor
Anti-thyroid compounds
Thiouracil R=H
Methylthiouracil R=CH3
Propylthiouracil(PTU) R=n-C3H7
ยากลุ่ ม นี้ อ อกฤทธิ์ ยั บ ยั้ ง thyroid peroxidase enzyme (TPO) แต่ ย าเหล่ า นี้ จ ะไม่ มี ผ ลต่ อ iodine trap หรื อ thyroid
hormone ที่ปล่อยออกจากต่อมไปแล้ว ยาในกลุ่มนี้คือ thioamides ซึ่งเป็นพวก Thioureylenes จากการศึกษาพบว่าฤทธิ์ anti-
thyroid มากที่สุด คือ PTU นอกจากนี้พบว่า PTU สามารถยับยั้งการเปลี่ยน T4 ไปเป็น T3 ได้ ดังนั้น PTU สามารถลด Thyroid
hormone ได้ทั้งในต่อมและนอกต่อมไทรอยด์ PTU และ MMT สามารถเกิด thioenol tautomeric forms ได้ (thioketo เปลี่ยน
กลับไปเป็น thioenol ได้)
Methimazole (MMI)
MMI มีฤทธิ์ในการยับยั้ง thyroid peroxidase และมีฤทธิ์ที่นานกว่า PTU แต่ยา MMI ไม่ สามารถยับยั้ง deiodination
ของ T4 ที่ peripheral ได้ เชื่อกันว่าผลนี้อาจเกิดเนื่องมาจาก ที่ตําแหน่ง N1 มีหมู่ methyl group เป็นหมู่แทนที่ ต่อมามีการ
ปรับปรุงรสชาติของ MMI และลดอัตราการปลดปล่อย MMI เข้าสู่ร่างกาย ได้เป็นยา prodrug ที่ชื่อว่า Carbimazole
(This page is intentionally left blank)
294
Unit 5 Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 33 Adrenal Gland Disorders
นศภ.พิมพ์ปภัสสร เตชพัฒนากร
Adrenal Gland Disorders
Physiology
Cushing's syndromes
Addison's disease
Primary hyperaldosteronism
Clinical use of steroids
Physiology
ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่เหนือไตทั้งสองข้าง (ภาพที่ 1)
ซึ่งต่อมหมวกไตส่วนนอก (adrenal cortex) จะถูกควบคุมโดย hypothalamus-
pituitary-adrenal cortex axis (HPA) ที่ทํางานโดยอาศัย negative feedback loop
(ภาพที่ 2) โดยต่อมหมวกไตส่วนนอกนี้มีหน้าที่ในการหลั่งฮอร์โมนที่สําคัญ เช่น cortisol,
aldosterone และ sex hormones
เป็นระยะเวลานาน
- Cushing’s disease (70%)
- Ectopic ACTH syndrome (10%)
- Ectopic CRH syndrome (1%)
ACTH independent Cushing’s syndrome: เกิ ด จากความผิ ด ปกติ
ของตัวต่อมหมวกไตเอง
- Adrenal Cushing’s syndrome: adrenal tumor (20%),
adrenal hyperplasia (1%) ภาพที่ 33.3 อาการแสดง Cushing’s syndrome
การรักษา
วิธีการผ่าตัดหรือการใช้รังสีบําบัดเพื่อการกําจัด tumors ที่ทําให้มีการสร้าง cortisol สูงขึ้นเป็นการรักษาหลัก (80%) ไม่
ว่าจะเป็นชนิด ACTH dependent หรือ independent
การใช้ยา แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์
- ยายับยั้งการสร้าง steroids: metyrapone, aminoglutethimide, ketoconazole
การใช้ยากลุ่มนีร้ ่วมกันจะช่วยเสริมประสิทธิภาพและลดอาการข้างเคียง
ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถผ่าตัดได้
หลังหยุดใช้ยา อาการต่างๆจะกลับมาอีก
- Adrenolytic agents: mitotane
เป็น cytotoxic drug มีฤทธิ์ในการลดการสังเคราะห์ cortisol และกด ACTH
อาการข้างเคียง 80% พบ lethargy และนอนไม่หลับ
- ยารบกวนการหลั่ง ACTH: cyproheptadine, bromocriptine, valproic acid, octreotide
ใช้ในรายที่ผ่าตัดไม่ได้ และใช้ยาอื่นไม่ได้ผล เนื่องจากได้ผลการรักษาน้อย
- Glucocorticoid receptor blocking agents: mifepristone, spironolactone
ยาไปยับยั้งที่ receptors ทําให้ระดับฮอร์โมนยังคงสูงอยู่ ให้ตดิ ตามจากอาการทางคลินิก
Adrenal insufficiency
ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง (adrenal insufficiency)
หมายถึงภาวะทีต่ ่อมหมวกไตส่วนนอก ทํางานลดลงผิดปกติ มีผลทําให้
ปริมาณฮอร์โมนทีส่ ร้างจากต่อมนี้ เช่น cortisol และ aldosterone มี
ระดับต่ําผิดปกติ จนทําให้เกิดอาการแสดงทางคลินิกขึ้นมาได้ เช่น
ระดับน้ําตาลและโซเดียมในเลือดต่ํา ระดับโปแตสเซียมในเลือดสูง
ความดันโลหิตต่ํา เป็นต้น (ภาพที่ 4)
Chapter 33
infection, trauma, infarction เป็นต้น
Tertiary adrenal insufficiency: สาเหตุอื่น เช่น การได้รับคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) จากภายนอกเป็น
ระยะเวลานานจนทําให้เกิดการกดการทํางานของ HPA axis หรือเกิดจากความผิดปกติที่เกิดจากพยาธิสภาพในระดับ
hypothalamus เช่น การมีเนื้องอก
อาการแสดงทางคลินิก
Chapter 33
occlusive dressing, ใช้เป็นเวลานาน
High potency: betamethasone dipropionate & clobetasol propionate มักใช้ในโรคสะเก็ดเงิน ผื่นผิวหนังที่ดื้อ
ยาสเตียรอยด์แบบความแรงปานกลาง หรือใช้ในบริเวณผิวหนังที่หนาเช่นที่ขาหรือเท้า ไม่ควรใช้กลุม่ นีท้ าบริเวณหน้า ขาหนีบหรือ
บริเวณรักแร้ซึ่งเป็นบริเวณที่ดูดซึมยาได้ดีมาก อาจเกิดผลข้างเคียงได้
Moderate potency: ตัวอย่างยากลุ่มนีไ้ ด้แก่ betamethasone valerate, desoximetasone และ fluocinolone
acetonide ซึ่งมักใช้ในโรคผิวหนังผื่นแพ้ต่างๆที่ใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดอ่อนแล้วไม่ได้ผล
การหยุดยา corticosteroid
การใช้ยา corticosteroid ขนาดสูงหรือติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทําให้เกิดภาวะ HPA axis suppression นั่นคือ
ยาจะไปกดการทํางานของ HPA axis ทําให้ไม่มีการสร้างฮอร์โมนตามปกติ การหยุดยาทันทีอาจทําให้ผู้ป่วยเกิดอาการแสดงของ
ภาวะ adrenal insufficiency หรือเกิด steroid withdrawal syndrome โดยจะมีอาการ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย
มีไข้ ความดันโลหิตต่ํา เป็นต้น
Endocrine and Hormonal System Disorders
ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวได้แก่
ผู้ที่ได้รับยา prednisone ≥ 20 mg/day เป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์
ผู้ที่ได้รับยา prednisone มื้อเย็นหรือก่อนนอนร่วมด้วย เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์
ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของ Cushingoid appearance
การปรับลดขนาดยาสามารถทําได้หลายวิธี เช่น
ลดขนาดยา 2.5-5 mg prednisone หรือเทียบเท่าทุก 7 วันจนกระทั่งถึง physiologic dose
ลดขนาดยาลง 5-10% ทุก 7 วันจนกระทั่งถึง physiologic dose
ลด 2.5 mg prednisone หรือเทียบเท่าทุก 1-2 สัปดาห์ กรณีใช้ daily-therapy และ 5 mg ทุก 1-2 สัปดาห์
สําหรับ alternative-day-therapy
เมื่อลดขนาดยาจนกระทั่งเหลือ physiologic dose แล้วเปลี่ยนไปใช้ hydrocortisone 20 mg/day หลังจากนั้นทุก 2-4
สัปดาห์จึงสามารถลดขนาดลงได้ 2.5 mg จนกระทั่งเหลือ 10 mg/day และวัดระดับ plasma cortisol หากมีระดับปกติสามารถ
หยุดยาได้ทันที
ในระหว่างปรับลดขนาดยา ถ้ามีอาการกําเริบขึ้นหรือมี adrenal insufficiency หรือเกิด withdrawal syndrome ควร
เพิ่มขนาดยาให้เท่ากับตอนเกิดอาการ เมื่ออาการดีขึ้นจึงเริม่ ลดขนาดยาใหม่ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นกว่าเดิม
ตารางที่ 4 แสดงอาการข้างเคียงจากการใช้ยา corticosteroids
วลี ↓ ความหมาย วลี ↓ ความหมาย
หน้าจันทร์แรม moon face เด่น pressure hypertension
แกมอ้อยเชื่อม hyperglycemia เจอ RC polycythemia
เอื้อมไม่ไหว proximal muscle weakness ขี่ immune immune suppression
ยายมีหนวด hursutism wound healing delayed wound healing
ปวดกระดูก osteoporosis addicting steroid steroid addiction
ลูกทะเล Na retention คอยให้โต growth retardation
เท่เหมือนควาย buffalo hump โผล่ PU peptic ulcer
ลายหน้าท้อง striae ดู coag coagulopathy
หมอง skin hyperpigmentation แฝงจิตเพ้อ mental disorder
กินจนอ้วน truncal obesity เฮ้อ pancreatitis pancreatitis
ด่วน mismens abnormal menstruation
เอกสารอ้างอิง
1. ฉวีวรรณ รัตนจามิตร. Pathophysiology and Pharmacotherapy in Adrenal Gland Disorders. เอกสาร
ประกอบการสอนวิชา 561-302 Pharmacotherapy. 2010.
2. อุษณีย์ วนรรฆมณี. การรักษาภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง. เข้าถึงเมื่อ: 14 สิงหาคม 2556. เข้าถึงได้จาก:
http://www.thaihp.org/index.php?option=other_detail&lang=th&id=42&sub=26.
301
Chapter 33
Chemistry นศภ.มัฆวัน วาจาสัตย์, นศภ.ทัศนา ประวิเศษ และ
นศภ.ชนัดดา ภัทรกิจนิรันดร์
Steroid hormone and related products
สเตียรอยด์ฮอร์โมนและสารที่เกี่ยวข้องใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิด ได้แก่ ยาคุมกําเนิด, ฮอร์โมนทดแทน, ยาต้าน
Chapter 33
H
H H C h o le s te ro l
HO
P 4 5 0 s c c s id e c h a in c le a v a g e
O O O
OH
1 7 α- h y d r o x y la s e 3 β- H S D
H H H
3 β- H S D
2 1 - h y d r o x y la s e
2 1 - h y d r o x y la s e
1 7 ,2 0 - L y a s e
A ld o s te ro n e s y n th a s e
1 1 β- h y d r o x y la s e
OH OH
O HO O
OH O O CH
HO
H H H
H H H H H H
O HO O
H y d r o c o r tis o n e ( c o r tis o l) D e h y d r o e p ia n d r o s te r o n e A ld o s te ro n e
[g lu c o r tic o id ] [D H E A ] [M in e r a lo c o r tic o id ]
3 β- H S D
O
O
A ro m a ta s e H
H
H H
H H HO
O E s to n e
A n d r o s te n e d io n e
[E s tr o g e n ]
1 7 β- H S D 1 7 β- H S D
OH OH OH
H 5 α- r e d u c ta s e H A r o m a ta s e H
H H H H H H
O O HO
5 α−d ih y d ro te s to s t e r o n e T e s t o s te r o n e E s tr a d io l
[A n d r o g e n ] [A n d r o g e n ] [E s tr o g e n ]
OH OH
H 5 α- r e d u c t a s e H
H H H H
O O
5 α−d ih y d r o te s to s te r o n e T e s to s t e r o n e
3 β- H S D 1 7 β- H S D
OH O
H H
H H H H
HO O
H
5 α−a n d ro s t a n e - 3 α,17β-d io l A n d ro s te n e d io n e
5 α- re d u c ta s e 5 β- r e d u c t a s e
1 7 β- H S D 3 β- H S D 3 α- H S D
O O O
H H H
H H H H H H
HO HO HO
H H H
A n d r o s te r o n e E p ia n d r o s te r o n e E t io c h o la n o lo n e
304
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสเตียรอยด์เพื่อให้ได้อนุพันธุ์ที่มีคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ที่เหมาะสม
1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อเพิ่มการละลายไขมัน ได้แก่
การทําเป็น ester ของ aliphatic acid เช่น testosterone cyclopentylpropionate ช่วยเพิ่ม duration of action
Unit 5
ของยาฉีด IM เนื่องจากตัวยาจะค่อยๆถูกปลดปล่อยออกมา
Endocrine and Hormonal System Disorders
JUM
2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อเพิ่มการละลายน้ํา ได้แก่
การทําเป็น ester ของ sodium succinate ฃ่วยทําให้สามารถบริหารยาทาง IV ได้
Chapter 33
Adrenal Gland Disorders
Steroid Hormones
แบ่งเป็น
o Sex Hormones
- Estrogens
- Progestins
- Androgens
o Adrenal Cortex Hormones
- Mineralocorticoids
- Glucocorticoids
I. Estrogens
Endogenous estrogen ที่ผลิตในร่างกายที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้แก่ estradiol, estrone, estriol
> >
การแบ่งประเภทของเอสโตรเจนตามโครงสร้างทางเคมี
I.I. Steroidal estrogens & deri.
I.II. Diethylstilbestrol & deri.
I.III. Phytoestrogens
I.IV. SERMs & Antiestrogens
I.V. Aromatase inhibitor
JUM
Chapter 33
Estrogens (Conj. Equine estrogen, CEE) ซึ่งกําหนดให้มี sodium estrone sulfate 50-65%, sodium equilin sulfate 20-
35% ส่วนเภสัชตํารับบริทิช (BP) กําหนดให้มี sodium estrone sulfate 70-85%, sodium equilin sulfate 6.5-15% ยานี้เป็น
ฮอร์โมนทดแทนในหญิงวัยหมดประจําเดือน โดย sulfate ester จะถูกตัดออกภายในร่างกายจึงจะได้สารที่มีฤทธิ์
นอกจากนี้ยังมีฮอร์โมนที่สังเคราะห์จาก soy sterol ได้แก่ cenestin ประกอบด้วย sodium equilenin sulfate ใช้เป็น
ฮอร์โมนทดแทน
Tamoxifen Toremifene
ยาทั้งสองเป็น antagonist ที่เต้านม แต่เป็น agonist ที่เยื่อบุโพรงมดลูก ตับ กระดูก และ ระบบหัวใจและหลอดเลือด
โดย N-desmethyltamoxifen ซึ่งเป็นเมทาบอไลท์ของ tamoxifen มีฤทธิ์เป็น anti-estrogen ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านม แต่
เนื่องจากยาเป็น agonist ที่เยื่อบุโพรงมดลูกจึงเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
Clomiphene
Raloxifene
309
Chapter 33
Raloxifene เป็น antagonist ที่เต้านม และ เยื่อบุโพรงมดลูก แต่เป็น agonist ที่กระดูก ใช้รักษาภาวะกระดูกพรุน
เมื่ อ Fulvestrant จั บกั บตั วรั บสายโซ่ ยาวทํ าให้ conformation ของตั วรั บเปลี่ ยนแปลงไปไม่ สามารถแสดงผลทาง
ชีววิทยาได้ จึงมีผลเป็น antagonist ใช้รักษามะเร็งเต้านม
I.V Aromatase inhibitor
ยากลุ่มนี้ใช้ในการรักษามะเร็งเต้านมชนิด ER positive ซึ่ง aromatase เป็น enz ที่เปลี่ยน androstenedione และ
testosterone เป็น estrogen การยับยั้ง enz นี้จะช่วยลดการเจริญของ cancer
ยาในกลุ่มนี้ประกอบด้วย 2 ชนิด ได้แก่ Steroidal Aromatase inhibitors (type 1) และ Non-Steroidal Aromatase inhibitors
(type 2)
II. Progestins
Progestins ทําหน้าที่เกี่ยวกับสร้างเยื่อบุโพรงมดลูก ทําให้สารคัดหลั่งบริเวณปาก
มดลูกเหนียวขึ้น และช่วยในการตั้งครรภ์ เช่น กดการเกิดเลือดประจําเดือนและลดการบีบตัว
ของมดลูก ในระหว่างการตั้งครรภ์จะทําหน้าที่เตรียมการหลั่งน้ํานม ในทางคลินิก ยาในกลุ่มนี้
ใช้ เ ป็ น คุ ม กํ า เนิ ด ใช้ ผ สมกั บ estrogen ในตํ า รั บ ฮอร์ โ มนทดแทน ใช้ รั ก ษาภาวะขาด
progesterone เป็นต้น
เมื่อให้ progesterone ทางการกินจะถูกทําลายอย่างรวดเร็ว โดยเมทาบอลิซึมที่ตับ
เมทาบอไลท์ ห ลั ก ที่ ถู ก ขั บ ออกทางปั ส สาวะได้ แ ก่ 5β-pregnane-3α,20S-diol โดย 5β-
reductase และ 3α- , 20α-hydroxysteroid dehydrogenase
การแบ่งประเภทของโปรเจสตินตามโครงสร้างทางเคมี
II.I. Progerterones & deri.
II.II. Testosterone & 19-nortestosterone
II.III. Miscellaneous synthetic progestins
Chapter 33
Adrenal Gland Disorders
นอกจากนี้ ยังพบว่า 19-norprogesterone ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่ไม่มีคาร์บอนตน. ที่ 19 ยังคงมีฤทธิ์เป็น progestin นั่นคือ
คาร์บอนตน. ที่ 19 ไม่จําเป็นต่อการออกฤทธิ์ จึงนําไปสู่การพัฒนายาในกลุ่มอนุพันธ์ 19-nortestosterone ยาในกลุ่มนี้ได้แก่
norethindone และ norethinodrel ซึ่งยาทั้ง 2 เป็น geometric isomer กัน โดย norethindone มีฤทธิ์แรงกว่า 10 เท่า
III. Androgens
Endocrine and Hormonal System Disorders
Androgen มีฤทธิ์ที่สําคัญ 2 ชนิด คือ androgenic activity ซึ่งเกี่ยวกับลักษณะของเพศชาย และ anabolic activity
ซึ่งเกี่ยวกับการสร้างกล้ามเนื้อและโปรตีนในร่างกาย androgen ทําให้มีขนดกตามใบหน้าและร่างกาย ทําให้มีเสียงทุ้มต่ํา เพิ่ม
กล้ามเนื้อ ทําให้กระดูกยาวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทําให้ไขมันใต้ผิวหนังลดลง กระตุ้นการสร้าง sperm และเพิ่มจํานวนของต่อม
ไขมัน
Androgen ผลิตใน interstitial cells ในอัณฑะ ได้แก่ testosterone และ 5α-dehydro-testosterone ซึ่ง 5α-DHT
มีฤทธิ์ androgen สูงที่สุด
Metabolism ของ testosterone และ 5α-dehydro-testosterone ได้แก่การเกิด oxidation บน ketone ที่ตน. 17
และ reduction ของ ketone ในตน. 3 เป็น alcohol เมทาบอไลท์หลักที่พบในปัสสาวะได้แก่ androsterone
การแบ่งประเภทของแอนโดรเจนตามโครงสร้างทางเคมี
III.I. 17α-alkyltestosterone
III.II. Antiandrogens
III.III. 5α- reductase inhibitors
III.I 17α-alkyltestosterone
เนื่องจาก testosterone ไม่คงตัวเมื่อให้โดยการรับประทาน จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ได้แก่ การเติมหมู่ alkyl
เล็กๆ เช่น methyl บนตน. 17α ใน 17α- methyltestosterone ซึ่งทําให้ยาออกฤทธิ์นานขึ้น สามารถให้ทางปากได้ แต่ยามี
ฤทธิ์เพียง 50% ซึ่งการเติมหมู่ alkyl บนตน. 17α ทําให้มีฤทธิ์เป็น progestin
313
Chapter 33
จากยาต้นแบบ คือ 17α- methyltestosterone การเติมหมู่ 9-F และ 11β-OH ทําให้ได้ยา fluoxymesterone ซึ่งมี
ฤทธิ์แอนโดรเจนแรงกว่า testosterone 5-10 เท่า ส่วนการเติมพันธะคู่บนคาร์บอนตน. 1,2 ได้ยา methandrostenolone ซึ่งมี
III.II Antiandrogens
เป็นสารที่ออกฤทธิ์ antagonist ต่อ androgen receptor มีประโยชน์ ในการรักษาภาวะ hyperandrogenism เช่ น
ภาวะขนดกในเพศหญิง (hirsutism) สิว ภาวะศีรษะล้าน และมะเร็งต่อมลูกหมาก ยาที่ดี ควรไม่มีพิษ มีฤทธิ์ antiandrogen ที่แรง
และ ไม่ควรมีฤทธิ์ของฮอร์โมน
V. Glucocorticoids
Glucocorticoid แบ่ ง กลุ่ ม ตามฤทธิ์ ก ารกั ก เก็ บ โซเดี ย ม เนื่ อ งจากฤทธิ์ ก ารกั ก เก็ บ โซเดี ย มจะพบควบคู่ กั บ ฤทธิ์
glucocorticoid เสมอ หากยามีฤทธิ์การกักเก็บโซเดียมสูงก็จะเป็นข้อจํากัดของการใช้ยาในทางคลินิก
กลูโคคอร์ติคอยด์ทมี่ ีฤทธิ์กักเก็บปานกลางถึงต่ํา
315
หากใช้ hydrocortisone เป็นกลูโคคอร์ติคอยด์อ้างอิง โดยให้ฤทธิ์ต้านอักเสบ ฤทธิ์ต้านอักเสบที่ผิวหนัง และฤทธิ์กักเก็บ
โซเดียมสัมพัทธ์มีค่าเท่ากับ 1 จากตารางจะเห็นว่า การเปลี่ยนหมู่ 11β-OH ใน hydrocortisone เป็น 11-one ใน cortisone
และ prednisone ทําให้ฤทธิ์ต้านอักเสบที่ผิวหนังหายไป การทําเป็น 1-ene เช่นใน prednisolone ทําให้เพิ่มฤทธิ์ต้านอักเสบและ
Chapter 33
ฤทธิ์ต้านอักเสบที่ผิวหนังขึ้น 4 เท่า และ ลดฤทธิ์กักเก็บโซเดียมเหลือ 0.6 เท่า
กลูโคคอร์ติคอยด์ทมี่ ีฤทธิ์กักเก็บโซเดียมต่ําหรือไม่มีฤทธิ์กักเก็บโซเดียม
Lowest potency
Hydrocortisone 1.0%
Hydrocortisone 2.5%
Amenorrhea
ภาวะขาดประจําเดือน หรือ amenorrhea สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
Primary amenorrhea: การไม่เคยมีประจําเดือนมาก่อน ใช้เกณฑ์อายุ 15 ปี (เกณฑ์เดิมใช้อายุ 16 ปี) โดยสาเหตุที่
สามารถพบได้ คือ
- Tuner syndrome: เป็นภาวะที่รงั ไข่ไม่ทํางาน (gonadal failure) ซึ่งทําให้ไม่มีการพัฒนาของร่างกายไปเป็น
หญิงสมวัย ไม่มเี ต้านม ผู้ป่วยมีโครโมโซมเป็น 46X0
- Congenital absence of vagina: ผู้ป่วยมีโครโมโซมเป็น 46XX มีการพัฒนาของเต้านม แต่ไม่มมี ดลูก และไม่
มีช่องคลอด เนื่องจากการพัฒนาของเนื้อเยื่อ Mullerian duct ผิดปกติ
- Androgen insensitivity: ผู้ป่วยมีโครโมโซมเป็น XY คือ เป็นชาย จึงไม่มีการสร้างมดลูก และมีตอ่ มเพศซึ่ง
เป็นของเพศชายคอยสร้างฮอร์โมน แต่เนื้อเยื่อทั่วไปจะไม่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชาย จึงทําให้ลักษณะ
ภายนอกของเป็นหญิง
- Imperforated hymen หรือ ภาวะเยื่อพรหมจารีไม่ขาด
- มีความผิดปกติ เช่น เนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง จึงทําให้ระบบการทํางานของฮอร์โมนเสียไป
Secondary amenorrhea: การที่ประจําเดือนขาดหายเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน แบ่งสาเหตุออกเป็น 4 ส่วน
- Outflow tract and uterus: การตั้งครรภ์, การตีบตันของปากมดลูก (cervical stenosis), มีแผลเป็นของ
เยื่อบุโพรงมดลูก (Asherman Syndrome)
- Ovary: ไม่มีการตกไข่, ovarian failure, Polycystic ovarian syndrome (มีถุงน้ํามากมายในรังไข่ ผู้ป่วยมัก
มีรูปร่างอ้วน ขนดก ประจําเดือนมาไม่สม่ําเสมอ)
- Pituitary: micro/macroadenoma
- Hypothalamus: anorexia nervosa, ออกกําลังกายหักโหม, ภาวะเครียด, ขาดสารอาหาร
Complications and Prognosis
Osteoporosis: ความเสีย่ งสูงในผูป้ ่วยที่อายุน้อย และแม้ว่าประจําเดือนมาแล้ว ก็ยังคงมีความเสีย่ งสูงอยู่
- ให้ Estrogen replacement therapy นานกว่า 6 เดือน
- อาจพิจารณาให้ calcium 1.5 g/day
- ในผู้ที่มีมดลูกให้เลือกใช้ Estrogen replacement therapy ร่วมกับ Progestin เพื่อป้องกัน
endometrial hyperplasia
Endometrial hyperplasia & carcinoma
- ให้ low dose oral contraceptive หรือ cyclical progestogen
- Combined cyproterone acetate + EE ป้องกัน endometrial hyperplasia, รักษาสิว, ลด
ขนดก, แต่อาจทําให้ภาวะ glucose intolerance แย่ลง
Infertility
Psychological distress
318
Dysmenorrhea
อาการปวดประจําเดือน (Dysmenorrhea) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ Primary dysmenorrhea ซึ่งพบได้บ่อยถึง
90% และ Secondary dysmenorrhea
Unit 5
↓
การบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและมดลูกหดตัวแรงขึ้น
Endometriosis
Endometriosis หรือ ภาวะเยือ่ บุมดลูกเจริญผิดที่ คือ ภาวะที่มีการเจริญเติบโตของเซลล์์เยื่อบุโพรงมดลูกภายนอก
มดลูก ซึ่งส่วนมากจะพบบริเวณอุง้ เชิงกราน ซึ่งสาเหตุที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกพร้อม
เลือดประจําเดือนไหลย้อนกลับ (retrograde menstruation) ผ่านทางท่อรังไข่เข้าไปในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน ทําให้เกิดเยื่อบุ
โพรงมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุมดลูกที่เจริญผิดที่เหล่านี้จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน estrogen และ progesterone เหมือนกับเยื่อ
บุโพรงมดลูกในมดลูก ซึ่งการเกิดวงจรดังกล่าวซ้ําๆอาจนําไปสู่การเกิดพังผืดตามมา
319
อาการแสดง อาจแตกต่างกันไปตามตําแหน่งที่มีการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูกผิดที่ โดยอาการที่สามารถพบได้คือ ปวด
ประจําเดือน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ประจําเดือนมามากและนานผิดปกติ ปวดขณะถ่ายอุจจาระ
หรือปัสสาวะระหว่างมีประจําเดือน คลําได้ก้อนในช่องท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดในกรณีทเี่ ยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ใน
Chapter 34
ลําไส้ และ มีบุตรยาก
การรักษา
- Definitive surgery: การผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออก ในรายที่อาการรุนแรงมากและไม่ต้องการมีบตุ รอีก โดย
แนะนําให้ผู้ป่วยได้รับ hormone replacement therapy 0.625 mg/day conjugated equine
estrogen
Gynecologic Disorders
- Conservative surgery: การผ่าตัดเอาเฉพาะรอยโรคออกไป รักษามดลูกและรังไข่ไว้ พยายามทําให้อุ้งเชิง
กรานกลับมาเป็นปกติ
- GnRH agonists: Standard of treatment (ต่างประเทศ) Nafarelin, Leuprolide, Goserelin
Nafarelin (nasal solution), Leuprolide (depot), Goserelin (3.6 mg implant)
ได้รับการ approved ให้ใช้ในภาวะ pelvic pain และ implant shrinkage ใน endometriosis
ลดการหลั่ง FSH และ LH จากต่อมใต้สมอง โดยการ down regulation ทําให้ลดการหลั่งฮอร์โมน
เพศจากรังไข่ มีผลให้ระดับของฮอร์โมนเพศต่ําลงเหมือนเข้าสู่ช่วง menopause
อาการข้างเคียง: ร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ลดความต้องการทางเพศ ลดมวลกระดูก
อัตราการกลับเป็นซ้าํ ภายใน 5 ปีอยู่ที่ 50%
- Danazol: synthetic 17-alpha ethinyl testosterone (นิยมใช้ในประเทศไทย)
การใช้ยาทําให้เกิด pseudomenopausal state โดยไปยับยั้งการหลั่ง LH และ FSH ลดการ
หลั่งฮอร์โมน estrogen และ progesterone ไม่มีการตกไข่ ไม่มีประจําเดือน และมี androgen สูง
เริ่มยา วันที่ 5 ของรอบเดือนเพื่อลดการเกิด spotting
400-800 mg x 6-9 months, effective in 95%
การใช้ยาสามารถลดระดับ HDL (48%) และเพิ่มระดับ LDL (19%) และจะกลับเป็นปกติภายใน 1
เดือนหลังหยุดยา
อาการข้างเคียง: น้ําหนักเพิ่ม ปวดกล้ามเนื้อ มีสิว หน้ามัน ร้อนวูบวาบ
- Estrogen-Progestin combination: Second-line therapy ในผู้ที่มีอายุน้อยและอาการไม่รุนแรง
ใช้เพื่อชักนําให้เกิดภาวะ pseudo-pregnancy
High dose COC ทานยาติดต่อกันเป็นเวลา 6-9 เดือนโดยไม่ทานเม็ดแป้งหรือหยุดยาเลย
- Progestin: Second-line therapy ในผู้ที่ไม่สามารถใช้ GnRH agonist หรือ Danazol ได้
กดการทํางานของ hypothalamic-pituitary-gonadal (HPG) axis โดยจะมีฤทธิ์นาน 6-12 เดือน
หลังหยุดยา
Medroxyprogesterone acetate รับประทาน 30-50 mg/day x 3-4 months หรือฉีด IM
100 mg q 2 weeks x 8 weeks หรือ 200 mg monthly x 4 months
อาการข้างเคียง: breakthrough bleeding, น้ําหนักเพิ่ม, บวม, กระวนกระวาย
- Expectant management: ติดตามการดําเนินไปของโรคในรายที่อาการไม่รุนแรง
Infertility
Infertility หรือ ภาวะมีบุตรยาก: การที่คู่สมรสไม่สามารถมีการตั้งครรภ์ได้ โดยที่มคี วามสัมพันธ์ทางเพศกันอย่าง
สม่ําเสมอและไม่ได้คุมกําเนิดมาเป็นระยะเวลา 1 ปี
Primary infertility: ภาวะมีบตุ รยากในคู่สมรสที่ไม่เคยมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นมาก่อนเลย
Secondary infertility: ภาวะมีบุตรยากในคูส่ มรสที่เคยมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยที่ไม่ว่าการ
ตั้งครรภ์นั้นที่เป็นการตั้งครรภ์ที่สนิ้ สุดลงด้วยการแท้งหรือการคลอดก็ตาม
Fecundability: โอกาสที่คู่สมรสจะตั้งครรภ์ในหนึ่งรอบประจําเดือน ซึ่งคู่สมรสปกติมี fecundability rate อยู่ที่
ประมาณร้อยละ 20-25 และจะเป็นอัตราที่คงที่ทุกรอบเดือน
Fecundity: โอกาสที่คสู่ มรสจะมีการตั้งครรภ์และการตั้งครรภ์นั้นสามารถดําเนินไปจนถึงการคลอดบุตรมีชีพ ภายใน 1
รอบประจําเดือน
320
Male (25-40%)
Etiology in male infertility
- ความผิดปกติของการทํางานของต่อมที่ผลิตฮอร์โมนทางเพศ
- ความผิดปกติของอวัยวะเพศ เช่น erectile dysfunction, ejaculatory failure
Unit 5
Female (40-55%)
Etiology in female infertility
- Decrease ovarian reserve เนื่องจากอายุมากขึ้น
- ความผิดปกติอื่นๆที่ทําให้การตกไข่ผิดปกติ เช่น oligomenorrhea หรือ amenorrhea
- การตีบตันของท่อนําไข่ หรือ uterus injury รวมถึงภาวะ endometriosis
- กาสร้างเมือกบริเวณปากมดลูกไม่เหมาะสม หรือมีการสร้าง antibody ต่ออสุจิ
Management of female infertility
- Ovulatory disorders
PCOS ลดน้ําหนัก, ให้ clomiphene ± metformin, surgery
Hyperprolactinemia bromocriptine 12.5-25 mg TID
Hypothalamic amenorrhea pulsatile GnRH
Pituitary amenorrhea gonadotropins injection
- Ovulation induction
Clomiphene citrate 50 mg 1-2 tab x 5 days เริ่มยาวันที่ 5 ของรอบเดือน
Gonadotropins injection
GnRH (buserelin, triptorelin)
GnRH antagonist (genirelix, cetrorelix) ช่วยชะลอการตกไข่ที่ยงั ไม่สมบูรณ์
เอกสารอ้างอิง
1. ฉวีวรรณ รัตนจามิตร. Pharmacotherapy in Gynecological Disorders, Infertility. เอกสารประกอบการสอนวิชา
561-302 Pharmacotherapy. 2010.
2. โอภาส เศรษฐบุตร. Endometriosis and Infertility. เข้าถึงเมื่อ: 15 สิงหาคม 2556. เข้าถึงได้จาก:
http://www.med.cmu.ac.th
3. Schillings WJ, McClamrock HD. Amenorrhea. In: Berek JS editor. Berek & Novek ‘s gynecology
Gynecology. 14th eds. New York : Lippincott Williams & Winkins. 2007.
Drug Use in Pregnancy and
Chapter 35 Lactation
นศภ.พิมพ์ปภัสสร เตชพัฒนากร
Pregnancy and Lactation
เป็นยากลุม่ ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในการใช้ระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการศึกษาในมนุษย์เป็นที่
เรียบร้อยแล้ว ไม่พบว่ามีความเสีย่ งของการเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ระหว่างช่วงไตรมาสแรกของการ
Category A
ตั้งครรภ์ หรือโอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์เกิดได้ค่อนข้างน้อย เช่น วิตามินรวม
(multivitamin)
ผลการทดลองไม่พบความเสี่ยงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่มกี ารทํา
Category B การทดลองในมนุษย์ หรือการทดลองพบความเสีย่ งที่จะเกิดอันตรายต่อตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลอง แต่
การศึกษาในสตรีมีครรภ์ไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว
การทดลองพบความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลอง แต่การศึกษาในสตรีมีครรภ์ไม่
Category C พบความเสีย่ งดังกล่าว หรือยังไม่มีการศึกษาทดลองทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลอง จึงยังไม่มีข้อมูลเพียงพอใน
การสรุปว่ายาดังกล่าวมีผลเสียหรือไม่ ยาทั่วไปจะอยู่ในกลุ่มนี้
ยาที่มีการพิสจู น์แน่นอนแล้วว่ามีผลเสียต่อทารกในครรภ์ทั้งในมนุษย์และสัตว์ทดลอง แต่มีความจําเป็นต้อง
Category D ใช้เพื่อรักษาอาการผิดปกติของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ และประโยชน์ที่ใช้ในการรักษาจากการใช้ยานั้นมี
มากกว่าความเสี่ยงที่ทารกในครรภ์จะได้รับอันตรายจากยา เช่น ยากันชัก, ยาระงับอาการซึมเศร้า (TCA)
ยาที่มีข้อห้ามการใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น Thalidomide, DES เนื่องจากมีการศึกษาที่แน่นอนทั้งใน
Category X มนุษย์และสัตว์ทดลองว่าทําให้เกิดความเสี่ยงหรืออันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือมีรายงานการเกิดอันตราย
ต่อทารกในครรภ์ของมนุษย์ที่ชัดเจน มากกว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ยาเพื่อการรักษา
Drug affecting fetal teratogenesis
Treatment in selected chronic disease
Drug therapy in breast-feeding, lactation suppression
Drug affecting fetal teratogenesis
ยาหรือสารเคมีสามารถทําอันตรายต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ได้โดยตรงจากฤทธิ์ของยาเอง หรือจาก metabolites
ของยาหรือสารนั้น นอกจากนัน้ ความผิดปกติที่เกิดกับตัวอ่อนยังขึ้นอยู่กับขนาดของยาหรือสารที่ทารกได้รับด้วย ยาบางชนิด
ก่อให้เกิดความผิดปกติเมื่อได้รับในขนาดสูง เช่น ethyl alcohol และยาบางชนิดเมื่อได้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทําให้เกิดความ
พิการแก่ทารกได้ เช่น Thalidomide
ความผิดปกติหรือพิการที่เกิดขึ้นกับตัวอ่อนจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเฉพาะของ teratogen และ teratogenic agents จะมี
threshold effect นั่นคือ การได้รับยาในขนาดทีต่ ่ํากว่า threshold จะให้ผลไม่แตกต่างจากการที่ไม่ได้รับยา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว
threshold คือขนาดยาประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดที่ทําให้ตัวอ่อนจํานวน 50% ตายหรือเกิดความผิดปกติ ข้อที่พึงตระหนักไว้ใน
การใช้ยาของสตรีมคี รรภ์ก็คือ ผลการทดลองความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง ไม่สามารถทํานายผลที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนได้อย่าง
แน่นอน
ยาที่ไม่ควรใช้ตลอดระยะของการตั้งครรภ์ (ตารางที่ 33.1) เนื่องจากมีการพิสูจน์เป็นที่ทราบแน่นอนว่ามีคุณสมบัติในการ
เป็น teratogen ทําให้เกิดความผิดปกติ หรือความพิการแต่กําเนิด (teratogenic effect) ในมนุษย์
ตารางที่ 35.1 แสดงยาหรือสารเคมีที่ไม่ควรใช้ตลอดระยะของการตั้งครรภ์
ยา (drugs) ความผิดปกติ (teratogenic effect)
Alcohol Fetal alcohol sysdrome
Angiotensin converting enzyme inhibitors Severe neonatal renal insufficiency, Decrease skull ossification
Anticholinergic drugs Neonatal meconium ileus
322
ยา (drugs) ความผิดปกติ (teratogenic effect)
Androgenic drugs Musculinization of female fetus
Diethyl stilbestrol Adenosis of the vagina of young women exposed in utero
Fetal thyroid agenesis (when exposed in early gestation)
Unit 5
Iodine
Goiter, hypothyroidism (when exposed in late gestation)
Isotretinoin
Ebstein’s anomaly of fetal heart, Fetal goiter,
Lithium
Fetal nephrogenic diabetes insipidus
Misoprostol Mobieus sequence
Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 35
- Metoclopramide แม้จะอยู่ใน Preg. cat B แต่อาจทําให้เกิด extrapyramidal symptom
- Dimenhydrinate, Diphenhydramine เป็นยาต้านการอาเจียนตัวหนึ่งที่นิยมใช้ในสตรีมีครรภ์
- Ondansetron มีประสิทธิภาพในการต้านการอาเจียนได้ดี
Heartburn, Indigestion
- antacid พวกสารผสมของ Al กับ Mg แต่ยาลดกรดพวก Mg จะมีขอ้ ดีกว่าในกรณีที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
- ถ้าสตรีมีครรภ์มีอาการของ indigestion flatulance สามารถใช้ยา Disfatyl, Simethicone ได้
Chapter 35
- Cefotaxime
- Ceftriaxone
อาจจะปลอดภัยเมื่อใช้ในขนาดต่ํา, ทําให้การหลั่งน้ํานมเพิ่มขึ้น ควรติดตามอาการง่วงซึม หรือดูดนมได้
Chlorpromazine
น้อยลงที่อาจเกิดกับทารก
Cimetidine ควรเลือกใช้อันดับรองจากยาตัวอืน่ ในกลุ่ม ที่อาจจะปลอดภัยกว่า
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่ม Fluoroquinolone เนื่องจากมีรายงานว่าทําให้เกิด arthropathies ใน
Ciprofloxacin
ตัวอ่อนของสัตว์ทดลอง
เอกสารอ้างอิง
1. ฉวีวรรณ รัตนจามิตร. Priciples of pharmacotherapy in pregnancy and lactation. เอกสารประกอบการสอนวิชา
561-302 Pharmacotherapy. 2010.
2. นันทวรรณ กิติกรรณากรณ์. การใช้ยาในสตรีมีครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตร (Drug used in pregnancy and
lactation). เข้าถึงเมื่อ: 16 สิงหาคม 2556. เข้าถึงได้จาก; http://drug.pharmacy.psu.ac.th/article/file/104_การใช้
ยาในสตรีมีครรภ์.doc.
(This page is intentionally left blank)
326
Unit 5 Endocrine and Hormonal System Disorders
Chapter 36 Contraceptives
นศภ.กิตติกา บัวทอง
ยาคุมกําเนิด
การคุมกําเนิดเป็นวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจหมายถึงการตั้งครรภ์ในขณะที่ครอบครัวยังไม่
พร้อม หรือการตั้งครรภ์ในครอบครัวที่มีลูกหญิง ชายเพียงพอกับความต้องการแล้ว การตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ที่เกิดเพราะไม่ได้
คุมกําเนิด หรือความล้มเหลวจากวิธีการคุมกําเนิด อาจสร้างปัญหาตามมาได้หลายประการ ตั้งแต่ความไม่พร้อมด้านวุฒิภาวะของ
พ่อแม่ ความไม่พร้อมทางเศรษฐานะ ปัญหาครอบครัวและสังคม ส่งผลให้เด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์เป็นเยาวชนที่
ไม่มีคุณภาพ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของประเทศในภายภาคหน้า การคุมกําเนิดมีหลากหลายวิธี ได้แก่
1. ยารับประทานคุมกําเนิด (Combined Oral contraceptives & Progestin-Only Pills)
2. ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills)
3. ยาฉีดคุมกําเนิด
4. ยาฝังคุมกําเนิด
5. ห่วงคุมกําเนิด (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD))
6. แผ่นแปะคุมกําเนิด
ซึ่งมีคุณสมบัติ ข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
1. ยารับประทานคุมกําเนิด (Combined Oral contraceptives & Progestin-Only Pills)
Combined Oral contraceptives (COCs)
ยาคุมกําเนิดรูปแบบผสมประกอบไปด้วย Progestin และ estrogen ในขนาดต่ําๆ เพื่อเลียนแบบฮอร์โมน
progesterone และ estrogen ที่มีอยู่ในร่างกายผูห้ ญิง ซึ่งยับยั้งการหลั่ง Follicle Stimulating Hormone(FSH) จึงมีผลกดการ
เจริญของ follicle แต่ว่าในบางเดือนอาจมี follicle เจริญเป็นไข่ได้ แต่จะไม่มีการตกไข่ เนื่องจากโปรเจสตินในยาคุมกําเนิดจะ
ยับยั้งการหลั่งของ Lutenising Hormone(LH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ไข่ตก
เอสโตรเจนช่วยทําให้เยื่อบุมดลูกมีความคงตัว ลดปัญหาความแปรปรวนของการหลุดลอกของเยื่อบุมดลูก และการมี
เลือดออกระหว่างรอบเดือน (breakthrough bleeding) และการเสริมฤทธิ์ของเอสโตรเจนกับโปรเจสติน จากการเพิ่มปริมาณ
ตัวรับของโปรเจสติน ทําให้สามารถลดปริมาณของโปรเจสตินในเม็ดยาได้
โปรเจสตินยังทําให้เยื่อบุมดลูกไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว ยับยั้งการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว ทําให้ปาก
มดลูกข้นเหนียว ขัดขวางการผ่านของอสุจิ และยังอาจมีผลต่อการบีบตัวของท่อนําไข่ทําให้เวลาที่ไข่เดินทางมาพบกับอสุจิไม่พอดี
กัน
ยารับประทานคุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนผสม(Combined Oral Contraceptives, COCs) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือชนิด
ฮอร์โมนระดับเดียว(monophasic) ชนิดฮอร์โมนสองระดับ(biphasic) และชนิดฮอร์โมนสามระดับ(triphasic) โดยชนิดฮอร์โมน
ระดับเดียว ประกอบด้วยปริมาณฮอร์โมนทั้งสองในขนาดคงที่เท่ากันทุกเม็ดรวม 21 เม็ด ส่วนชนิดฮอร์โมนสองระดับและสามระดับ
แบ่งระดับฮอร์โมนได้ตามลําดับการรับประทาน(7 เม็ดและ 14 เม็ด สําหรับฮอร์โมนชนิดสองระดับ และ 6 เม็ด, 5 เม็ดและ 10 เม็ด
สําหรับฮอร์โมนสามระดับ) สําหรับฮอร์โมน 2-3 ระดับทําเพื่อเลียนแบบระดับฮอร์โมนแต่ละรอบเดือนตามธรรมชาติ ลดปัญหาการ
มีเลือดออกกระปริดกระปรอย
ฮอร์โมนในยารับประทานคุมกาเนิดชนิดฮอร์โมนผสม
เอสโตรเจนสังเคราะห์ : ที่เป็นองค์ประกอบใน COCs มีด้วยกัน 2 ชนิดคือ Ethinyl oestradiol(EE) และ Mestranol
(Mestranol 50 mcg สมมูลกับ EE 35 mcg; Metranol ถูกเปลี่ยนเป็น EE ที่ตับก่อนจึงออกฤทธิ์) แต่ในทางปฏิบัติไม่นิยมเลือกยา
คุมกําเนิดที่มี Mestranol
แบ่งระดับ COCs ได้เป็น
- Low strength preparations (Very low dose) มี EE 20 mcg/เม็ด
- Standard preparations(Low dose) มี EE 30-35 mcg/เม็ด
- High strength preparations(High dose) มี EE 50 mcg/เม็ด
328
โปรเจสตินหรือโปรเจสโตเจน: มีสองกลุ่มตามโครงสร้างคือ ชนิดที่มีโครงสร้างคล้ายกับโปรเจสเตอโรน ธรรมชาติได้แก่
medroxyprogexterone acetate (MPA) ส่วนอีกชนิดจะมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน แบ่งออกได้ดังนี้
กลุ่ ม 17-hydroxyprogesterone ไม่ มี ฤ ทธิ์ แ อนโดรเจน และมี ฤ ทธิ์ ต้ า นเอสโตรเจนน้ อ ย เช่ น Cyproterone
acetate(มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน) และ Medroxyprogesterone acetate (MPA)
Unit 5
Chapter 36
- การเริ่มรับประทานแผงต่อไป ถ้าใช้แบบแผงละ 21 หรือ 22 เม็ด เมื่อหมดแผง ให้เว้นระยะ 7 แล้วจึงเริ่มเม็ดแรกของ
แผงต่อไปในวันที่ 8 และในระหว่างที่เว้นระยะ จะมีเลือดประจําเดือนมา ไม่ต้องสนใจว่ารอบเดือนจะมีเร็วหรือช้า มากหรือน้อย
- กรณีใช้แบบแผงละ 28 เม็ด เมื่อกินจนหมดแผง เริ่มแผงต่อไปได้เลย ไม่ต้องเว้นระยะ 7 วัน เนื่องจาก 7 เม็ดสุดท้าย
ของแผงนั้นเป็นเม็ดที่ไม่มฮี อร์โมน เทียบเท่ากับการ เว้นระยะ 7 วัน
ตารางที่ 36.2 แสดงการเริ่มใช้ยา ยาคุมกําเนิดรูปแบบผสม
Fully or nearly fully breastfeeding
Contraceptives
< 6 เดือน หลังคลอด: เริ่ม COCs 6 เดือน หลังคลอด
> 6 เดือนหลังคลอด : ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม COCs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
7 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม COCs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
Partially breastfeeding
< 6 สัปดาห์หลังคลอด: เริ่ม COCs 6 สัปดาห์ หลังคลอด
หากประจําเดือนมาก่อน 6 สัปดาห์ให้ใช้ Backup method จนกระทั่งครบ 6 สัปดาห์
>6 สัปดาห์หลังคลอด: ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม COCs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
7 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม COCs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
Not breastfeeding
< 4 สัปดาห์หลังคลอด: เริ่ม COCs ในช่วงวันที่ 21–28 หลังคลอด และไม่จําเป็นต้องใช้ Backup method ในช่วง 7 วัน
แรก
> 4 สัปดาห์หลังคลอด : ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม COCs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
7 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม COCs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
No monthly bleeding
No monthly bleeding เริ่ม COCs เวลาใดก็ได้ และต้องใช้ Backup method ในช่วง 7 วันแรก
After abortion
After abortion - หากเริ่มกิน COCs ภายใน 7 วันหลังแท้ง ไม่ต้องใช้ Backup method ในช่วง 7 วันแรก
- หากเริ่มกิน COCs > 7 วันหลังแท้ง เริ่ม COCs เวลาใดก็ได้ และต้องใช้ Backup method
ในช่วง 7 วันแรก
After taking emergency contraceptive pills (ECPs)
เริ่ม COCs ในวันหลังจากที่ใช้ยา ECPs ร่วมกับใช้ Backup method ในช่วง 7 วันแรก
การเริ่ ม รั บ ประทานยา การเริม่ รับประทานยาแผงใหม่เมือ่ มีการเปลี่ยนรูปแบบฮอร์โมนคุมกําเนิด: สามารถหยุดวิธีเดิมได้
แ ผ ง ใ ห ม่ เ มื่ อ มี ก า ร เลย และเริ่มรับประทานยาได้ทันที โดยไม่จําเป็นต้องรอให้ประจําเดือนมาก่อน กรณีเปลีย่ นจาก
เปลี่ ยนรูป แบบฮอร์ โมน การฉีดยามาเป็น COCs เริ่มรับประทานได้เมื่อครบกําหนดที่ต้องฉีดยาเข็มถัดไป และไม่จําเป็นต้อง
คุมกําเนิด ใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมทั้ง 2 กรณี
การปฏิบัติตัวเมื่อลืมรับประทานยาคุมกําเนิด
กรณีลมื กินยาคุมทีม่ ีปริมาณ EE 30-35 ไมโครกรัม จํานวน 1-2 เม็ด ไม่ว่าระยะใด (รวมถึงการเริม่ แผงใหม่ช้า ไป 1-2
วัน) หรือ ลืมกินยาคุม ที่มปี ริมาณ EE 20 ไมโครกรัม จํานวน 1 เม็ด ไม่ว่าระยะใด (รวมถึงการเริม่ แผงใหม่ช้าไป 1 วัน)
กินเม็ดสุดท้ายที่ลมื ทันทีที่นึกได้/ ไม่จําเป็นต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วม
กรณีลืมกินยาคุม ที่มีปริมาณ EE 30-35 ไมโครกรัม จํานวนตั้งแต่ 3 เม็ดขึ้นไป หรือลืมกินยาคุม ทีม่ ีปริมาณ EE 20
ไมโครกรัม จํานวน ตั้งแต่ 2 เม็ดขึน้ ไป
ช่วงสัปดาห์แรก หรือ สัปดาห์ที่ 2 ของการเริ่มกินยาคุมกําเนิด
- กินเม็ดสุดท้ายที่ลืมทันทีที่นึกได้
- กินเม็ดต่อๆ ไป ตามปกติ ซึ่งอาจ หมายถึงการกินสองเม็ดพร้อมกัน
330
- ใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมด้วยหรืองดเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้กินยาครบ 7 เม็ดติดต่อกัน
- กินยาคุมฉุกเฉินถ้ามีเพศสัมพันธ์ ใน 5 วันที่ผ่านมา
ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการเริ่มกินยาคุมกําเนิด
- กินเม็ดสุดท้ายที่ลืมทันทีที่นึกได้
Unit 5
Chapter 36
Headache: ปวดศีรษะรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
Eye problems: สูญเสียการมองเห็น มองเห็นภาพซ้อน เห็นแสงวูบวาบ
Severe leg pain: ปวดน่องหรือต้นขารุนแรง
8. ผลไม่พึงประสงค์อื่นๆ: ความต้องการทางเพศลดลง(ผลจากโปรเจสติน) ติดเชื้อราช่องคลอด(ผลจากเอสโตรเจนน้อย
หรือโปรเจสตินมาก) บวม และเจ็บตึงเต้านม(ผลจากปริมาณเอสโตรเจนเกิน) หน้าเป็นฝูา ปูองกันด้วยการใช้เอสโตรเจนต่ํา
Progestin-Only Pills
Contraceptives
ยาเม็ดคุมกําเนิดที่ประกอบไปด้วย low doses ของprogestin ซึ่งเลียนแบบฮอร์โมน progesterone ใน
ร่างกายผู้หญิง สามารถใช้ในหญิงให้นมบุตร เนื่องจากไม่มีฮอร์โมน estrogen ซึ่งมีผลในการยับยั้งการหลั่งน้ํานม
Progestin-only pills (POPs) อาจเรี ย กว่ า “minipills” และ progestin-only oral contraceptives มี เ ฉพาะ
โปรเจสตินในปริมาณต่ํา จํานวน 28 เม็ด โปรเจสตินเป็นชนิดใดชนิดหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ ethynodiol diacetate
0.5 mg, noresthisterone 0.35 mg, levonorgestrel 0.03 mg, norgestrel 0.075 mg, desogestrel 0.075
mg *** ประเทศไทย lynestrenol 0.5 mg (Exluton®)
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยการทําให้ mucous บริเวณปากมดลูกข้นเหนียว ทําให้เสปิร์มเข้าผสมกับไข่ได้ยากขึ้นและ
รบกวน menstrual cycle รวมทั้งป้องกันการตกไข่ได้อีกด้วย
ประสิทธิภาพของ Progestin-Only Pills
Breastfeeding women: ในการใช้ยาคุมกําเนิดชนิด POPs จากผู้ใช้ยา 100 คน พบว่า 99 คนที่ไม่
ตั้งครรภ์ และหากไม่มีข้อผิดพลาดในการใช้ยาคุมกําเนิดPOPs เลยจะพบว่า โอกาสการเกิดการตั้งครรภ์ในผู้ที่ใช้ยา
100 คน มีน้อยว่า 1 คน ซึ่งในผู้ใช้ยาคุมกําเนิดชนิดนี้แต่ไม่ได้ให้นมบุตรพบว่าจะมีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิดต่ํา
กว่า นั่นคือ ในการใช้ยาคุมกําเนิดชนิด POPs จากผู้ใช้ยา 100 คน พบว่า 90-97 คนที่ไม่ตั้งครรภ์
ตารางที่ 36.3 แสดงสภาวะของผูป้ ่วยกับการใช้ยา Progestin-Only Pills
Condition POPs
Serious active liver disease (jaundice, active hepatitis,
severe cirrhosis, liver tumor) or ever had jaundice while
(method without hormones)
using COCs
Blood clot in your legs or lungs (not superficial clots) /
not on anticoagulant therapy (method without hormones)
History of breast cancer
(method without hormones)
barbiturates, carbamazepine, lamotrigine,
oxcarbazepine, phenytoin, primidone, topiramate,
(another method but not progestin-only pills)
rifampicin, rifabutin, or ritonavir
วิธีการรับประทาน
- เริ่ม POPs เม็ดแรก ในวันแรกทีม่ ีประจําเดือนมา ถ้าไม่สามารถเริม่ ได้วันแรกที่มีประจําเดือนมา ก็ยงั สามารถกินได้ใน
วันถัด ๆ ไป แต่จะต้องไม่เกินวันที่ 5 ของการมีประจําเดือน ถ้าสามารถปฏิบัตไิ ด้ดังกล่าว ไม่ต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมด้วยใน 2
วันแรก
- หากเกินวันที่ 5 ของการมีประจําเดือน ต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมด้วยใน 2 วันแรก
332
ตารางที่ 36.4 แสดงการเริ่มใช้ยา ยาคุมกําเนิดรูปแบบ POPs
Fully or nearly fully breastfeeding
< 6 เดือน หลังคลอด: เริ่ม POPs 6 เดือน หลังคลอด
> 6 เดือนหลังคลอด : ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
Unit 5
2 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม POPs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
Partially breastfeeding
< 6 สัปดาห์หลังคลอด: เริ่ม POPs 6 สัปดาห์ หลังคลอด
หากประจําเดือนมาก่อน 6 สัปดาห์ให้ใช้ Backup method จนกระทั่งครบ 6 สัปดาห์
Endocrine and Hormonal System Disorders
>6 สัปดาห์หลังคลอด: ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
2 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม POPs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
Not breastfeeding
< 4 สัปดาห์หลังคลอด: เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ และไม่จําเป็นต้องใช้ Backup method ในช่วง 7 วันแรก
> 4 สัปดาห์หลังคลอด : ไม่มรี อบประจําเดือน : เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ (Not pregnant) + Backup method ในช่วง
2 วันแรก
มีรอบประจําเดือน : เริ่ม POPs เช่นเดียวกับผู้ที่มปี ระจําเดือนปกติ
No monthly bleeding
No monthly bleeding เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ และต้องใช้ Backup method ในช่วง 2 วันแรก
After abortion
After abortion - หากเริ่มกิน POPs ภายใน 7 วันหลังแท้ง ไม่ต้องใช้ Backup method
- หากเริ่มกิน POPs > 7 วันหลังแท้ง เริ่ม POPs เวลาใดก็ได้ และต้องใช้ Backup method
ในช่วง 2 วันแรก
After taking emergency contraceptive pills (ECPs)
เริ่ม POPs ในวันหลังจากที่ใช้ยา ECPs ร่วมกับใช้ Backup method ในช่วง 2 วันแรก
*รับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่มีช่วงที่หยุดยา และเนื่องจากระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาแต่ละเม็ดมีเพียง 24
ชั่วโมง (ระดับฮอร์โมนลดลงเท่ากับระดับก่อนรับประทานยาหลังจาก 24 ชั่วโมง) แนะนําให้รับประทานในช่วงบ่ายถึงช่วงเย็น
เพราะถ้าลืมรับประทานยา ก็ยังคงอยู่ในระยะเวลาที่แก้ไขด้วยการรับประทานซ้ําภายใน 3 ชม.ได้และมูกปากมดลูกจะข้นเหนียว
สูงสุดที่ 4 ชม.หลังจากรับประทานยา
การปฏิบัติเมื่อลืมรับประทานยา POPs
1. ถ้าลืมรับประทานยาและนึกได้ภายในไม่เกิน 3 ชม.นับจากเวลาที่ควรได้รับประทานยา ให้รับประทานเม็ดที่ลืมทันที
และรับประทานเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ
2. ถ้าลืมรับประทานยาตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป และมีเพศสัมพันธ์ภายใน 2 วัน(48ชม.) ต่อมาพิจารณาให้ยารับประทาน
คุมกําเนิดฉุกเฉินและรับประทาน POPs ต่อไป โดยต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมใน 2 วันต่อมา
ข้อดีและข้อด้อยของ POPs
ข้อดีของ POPs คือปลอดจากผลไม่พึงประสงค์จากเอสโตรเจน และเป็นทางเลือกสําหรับสตรีที่มีข้อห้ามใช้หรือไม่
เหมาะสมที่จะได้รับเอสโตรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบใน COCs และเหมาะสมสําหรับสตรีหลังคลอดและให้นมบุตร เนื่องจากโปรเจส
ติน ไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพและปริมาณน้ํานม ยามีฮอร์โมนทุกเม็ดทั้ง 28 เม็ด จึงรับประทานยาทุกวัน ไม่ต้องนับวันที่หยุดยา
รับประทานยา ลดโอกาสเกิดเลือดจาง ลดการปวดประจําเดือน ลดโอกาสเกิดมะเร็งเยื่อบุมดลูก ลดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอก
มดลูก
ข้อด้อยคือ การรับประทานยาให้ตรงเวลากันทุกวันมีความสําคัญมากกว่า COCs เนื่องจากกลไกทําให้มูกปากมดลูกข้น
เหนียว ต้องใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง ความสามารถยับยั้งการผ่านของอสุจิลดลง 22 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยา และที่ 24 ชั่วโมง
ความสามารถนี้จะหมดไป
333
ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills)
มีหลาบรูปแบบ ได้แก่ Progestin-only pills : levonorgestrel หรือ norgestrel
Combined oral contraceptives : estrogen และprogestin (levonorgestrel,
Chapter 36
norgestrel, หรือ norethindrone (หรืออาจเรียกว่า norethisterone)
ประสิทธิภาพของยาคุมกําเนิดฉุกเฉิน
จากผู้หญิง 100 คน ที่มีเพศสัมพันธ์ 1 ครั้ง ในช่วง 2 หรือ 3 สัปดาห์แรก ของรอบเดือนโดยที่ไม่ได้มีการคุมกําเนิด พบว่า
จะมีการตั้งครรภ์ 8 คน แต่หากใช้ progestin-only ECPs มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่จะตั้งครรภ์
ยารับประทานคุมกาเนิดที่มีโปรเจสตินอย่างเดียว : Levonorgestrel 750 mcg /tablets(Madonna®, Postinor®)
Contraceptives
วิธีใช้และประสิทธิภาพ:
การรับประทานยา 750 mcg 2 ขนานห่างกัน 12 ชม. แนะนําให้รับประทานยาขนานแรก 1 เม็ด โดยเร็วที่วุดเท่าที่
ปฏิบัติไ ด้ ภายใน 24 ชม. นับจากมี เพศสัมพันธ์ที่ไ ม่ไ ด้ปูองกัน และรับประทานอีก 1 เม็ ด ภายใน 12 ชม.ต่อมานับจากการ
รับประทานยาเม็ดแรก พบว่าการรับประทานยาแบบดังกล่าวลดอัตราการตั้งครรภ์ได้ร้อยละ 88
การรับประทานยา 1.5 mgครั้งเดียว: พบว่าการรับประทานยาทั้ง 2 เม็ด(1.5 mg) พร้อมกันในครั้งเดียว ภายใน72-120
ชม. หลังมีเพศสัมพันธ์ ที่ไม่ได้ปูองกัน มีประสิทธิภาพและผลข้างเคียงไม่แตกต่างกันกับวิธีรับประทาน 2 ขนานห่างกัน 12 ชม. ***
สตรีที่มีการรับประทานยาที่มีฤทธิ์แรงในการเหนี่ยวนําเอนไซม์ที่แปรสภาพฮอร์โมน ให้รับประทานยา 3-4 เม็ด(2.25-3.0 mg)
พร้อมกันในครั้งเดียว
ผลข้ า งเคี ย ง: คลื่ น ไส้ ร้อ ยละ 16-23 อาเจี ย นร้ อ ยละ 3-6 ซึ่ ง ถ้ า อาเจี ย นภายใน 2 ชม.ของการรั บ ประทานยา ให้
รับประทานซ้ํา และสามารถรับประทานยาต้านการอาเจียนก่อน 0.5-1 ชม. ภาวะที่พบบ่อยคือการรบกวนระยะเวลาของรอบเดือน
ถัดไป อาจมีเลือดออกภายใน 7 วันร้อยละ 16 หรืออาจมีรอบเดือนมาช้ากว่าเดิมตั้งแต่วันที่ 7 ขึ้นไปร้อยละ 15
ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนผสม:
สูตร Yuzpe regimen = EE 50 mcg+ Norgestrel 500 mcg ลดอัตรการตั้งครรภ์ได้ 75% เมื่อรับประทาน 2 เม็ดทันที
ภายใน 72 ชม.ดีที่สุดภายใน 24 ชม. และอีก 2 เม็ดภายใน 12ชม.
สูตรอื่นๆ เช่น EE 50 mcg+ Levonorgestrel 250 mcg หรือ EE mcg+ Norethidrone 1 mg
ฮอร์โมนคุมกาเนิดในรูปแบบอื่นๆ
ยาฉีดคุมกําเนิด
ยาฉีดคุมกาเนิดที่มีโปรเจสตินอย่างเดียว: ชนิดฉีดเข้ากล้าม
Unit 5
ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
1. Depo-medroxyprogesterone acetate (DMPA) ขนาดยา 104 mg/0.65 ml ใน prefilled syringe ฉีดครั้งเดียว
เข้าใต้ผิวหนังทุก 12-14 สัปดาห์ ขนาดน้อยกว่าแบบฉีดเข้ากล้าม สามารถฉีดเองได้ด้วยตนเอง หลังจากได้รับการสอนวิธีการฉีดที่
ถูกต้อง
*** ยาฉีดคุมกําเนิด ไม่ใช่ยาออกฤทธิ์เนิ่น(sustained release) อย่างยาคุมกําเนิดชนิดฝังใต้ผิวหนัง การฉีดทุก 2-3 เดือน
ทําให้ลักษณะการปลดปล่อยตัวยาเป็น peak ทําให้ระดับยาสูงกว่าชนิดฝังใต้ผิวหนังซึ่งจะให้ระดับยาค่อนข้างต่ําอย่างคงที่แต่อยู่ใน
ระดับที่ให้ประสิทธิภาพในการคุมกําเนิด
การเริ่มฉีดยาคุมกําเนิด
- เริ่มฉีดภายใน 5วันแรกของการมีรอบเดือน กรณีฉีดเลย 5 วันแรกของการมีประจําเดือน ให้ใช้ยาคุมแบบอื่นร่วมด้วย 2
สัปดาห์
- หลังคลอดไม่เกิน 4 สัปดาห์ ฉีดยาได้เลย โดยไม่จําเป็นต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วม
- > 4 สัปดาห์หลังคลอด รอบเดือนเริ่มมา ให้ฉีดยาได้ภายใน 7 วันแรกของการมีรอบเดือน
- > 4 สัปดาห์หลังคลอด รอบเดือนยังไม่มา ให้ฉีดยาได้เลยโดยใช้วิธีคุมกําเนิดอื่นร่วมเป็นเวลา 7 วัน
กรณีให้นมบุตรเต็มที่ :
< 6 เดือนหลังคลอด เริ่มฉีดได้เมื่อครบ 6 สัปดาห์หลังคลอด
รอบเดือนยังไม่มา ให้เริ่มได้ระหว่าง 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือนหลังคลอด
> 6 เดือนหลังคลอด
รอบเดือนยังไม่มา ให้ฉีดยาได้เลย โดยใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมเป็นเวลา 7 วัน
รอบเดือนมา ให้เริ่มได้ภายใน 7 วันแรกของการมีประจําเดือน
กรณีให้นมบุตรบางส่วน :
< 6 สัปดาห์หลังคลอด ฉีดยาเมื่อครบ 6 สัปดาห์หลังคลอดเป็นอย่างน้อย
> 6 สัปดาห์ หลังคลอด
รอบเดือนยังไม่มา ให้ฉีดยาได้เลย โดยใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วมเป็นเวลา 7 วัน
รอบเดือนมา ให้เริ่มได้ภายใน 7 วันแรกของการมีประจําเดือน
กรณีแท้งในระยะสามเดือนหรือหกเดือนแรกของครรภ์ ฉีดยาภายใน 7 วันโดยไม่จําเป็นต้องใช้วิธีอื่นคุมกําเนิดร่วม
กรณีเปลี่ยนจากฮอร์โมนคุมกําเนิดในรูปแบบกิน แผ่นติดผิวหนัง หรือแบบวงแหวนสอดช่องคลอด
ให้ฉีดยาระหว่างที่ยังรับประทานยาที่มีฮอร์โมน หรือไม่เกิน 7 วันหลังจากรับประทานยาฮอร์โมนเม็ดสุดท้ายหรือไม่เกิน
ระยะ hormone-free ของแต่ละวิธี
ยาฝังคุมกําเนิด
โปรเจสติ น ฝั ง ใต้ ผิ ว หนั ง คุ ม กาเนิ ด (Progestine subdermal implant): เป็ น รู ป แบบ sustained released มี
ประสิทธิภาพสูงกว่าการรับประทานยาคุมกําเนิดและถุงยางอนามัย ใช้ฝังท่อนแขนบนด้านใน ปัจจุบันมีสองรูปแบบที่มีโปรเจสติน
ต่างกัน
1. Norplant system: บรรจุ levonorgestrel ทําให้มูกปากมดลูกข้นเหนียว
2. Implanon (Etoplan): Etonogestrel ยับยั้งการตกไข่แต่ยังมี follicle เจริญได้บ้าง
การเริ่มฝังยา: เริ่มฝังในวันแรกของการมีประจําเดือน หรือไม่เกินวันที่ 5(สําหรับ Implanon) หรือวันที่ 7 (สําหรับ
Norplant) ถ้าช้ากว่านี้ต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย
*** เหมาะกับสตรีที่ต้องการคุมกําเนิดเป็นระยะเวลา 2-5 ปี มีประสิทธิภาพทันทีหลังจากฝังกายใน 24 ชม. มีระดับยาสม่ําเสมอ
335
ห่วงคุมกําเนิด (Intrauterine System (IUS) หรือ Intrauterine Device (IUD))
ห่วงคุมกาเนิดชนิดมีฮอร์โมน (Levonorgestrel Intrauterine system, LNG IUS) : เป็นห่วงคุมกําเนิดใส่ในโพรงมดลูก
ปล่อยฮอร์โมน levonorgestrel สู่โพรงมดลูก ในไทยชื่อ Mirena® เป็นรูปตัว T โครงเป็น polyethylene โดยมีตัวยาอยู่ในปลอก
Chapter 36
ที่อยู่รอบแกนด้านตั้ง ในปริมาณ 52 mg จะถูกปลดปล่อยออกมาในโพรงมดลูก 20 mcg/day สามารถคุมกําเนิดได้ 5-7 ปี
การเริ่มใช้: ใส่ห่วงได้ภายใน 7 วันแรกของรอบเดือน โดยไม่จําเป็นต้องใช้วิธีคุมกําเนิดอื่นๆร่วมด้วย หรือใส่ได้ทันที
หลังจากมีการขูดมดลูกในรายที่แท้งในช่วง 3 เดือนแรกของการครรภ์ หรือเริ่มเมื่อใดก็ได้ที่แน่ใจว่าไม่ต้องครรภ์
แผ่นแปะคุมกําเนิด
ฮอร์ โมนผสมคุม กํา เนิด ชนิ ดแผ่ นติ ดผิว หนั ง (Transmal contraceptive patch) : มีเ พียงชนิ ดเดี ยวชื่อ Evra® หรื อ
Contraceptives
Ortho-Evra®มีขนาดยาว 1.75 นิ้ว มีพื้นที่ผิว 20 ตร.ซม. มีสามชั้น ชั้นนอกสุดเป็น Structural support ชั้นกลางมี adhesive
และบรรจุ EE mg( 750 mg สําหรับ Ortho-Evra) และ Norelgestromin ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ของ norgestimate ปริมาณ 6 mg
ชั้นที่สามเป็นแผ่นใส ปิดปกป้องชั้นกลาง และจะถูกดึงออกมาเมื่อต้องการใช้ชั้นกลางซึ่งสัมผัสผิวหนัง จะนําส่งฮอร์โมนในขนาด
norelgestromin 150 mcg และ EE 20 mcg/day เข้ า สู่ก ระแสเลื อ ดทุ ก วัน เป็น เวลา 7 วัน ออกฤทธิ์ ในการยั บยั้ ง การตกไข่
เช่นเดียวกับ COCs แต่มีระดับฮอร์โมนที่คงที่ ในหนึ่งเดือนใช้ 3 แผ่น
การเริ่มใช้ยาและใช้ต่อเนื่อง: ติดแผ่นคุมกําเนิดภายใน 24 ชม.ของการเริ่มมีรอบเดือนมา ถ้าช้ากว่าให้ใช้วิธีอื่นคุมด้วย 7
วัน *** แปะสัปดาห์ละแผ่น ติดผิวหนังไม่ซ้ํากันเพื่อนลดการระคายเคือง สัปดาห์ที่สี่ไม่ต้องแปะปล่อยให้ประจําเดือนมา ตําแหน่งที่
แนะนําให้แปะคือ ท่อนแขนด้านนอก แผ่นหลังด้านบน ลําตัวท่อนบน (ยกเว้นหน้าอกหรือเต้านม) หรือตะโพก ผิวหนังต้องแห้ง ไม่
มีครีมหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ โดยแกะชั้นพลาสติกใสออก ทาบแผ่นกับผิวหนังและกดรอบๆ ประมาณ 10 วินาที
เอกสารอ้างอิง
1. World Health Organization. Family Planning: A Global Handbook for Providers. 2011
(This page is intentionally left blank)
336
Unit 5 Endocrine and Hormonal System Disorders
UNIT 6
Renal disorders
Chapters
37 Acid-Base Imbalance
38 Fluid Imbalance
39 Electrolyte Imbalance
40 Acute Kidney Injury (AKI)
41 Chronic Kidney Disorders (CKD)
42 Drug induced nephrotoxicity
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
37 Acid-Base Imbalance
นศภ.ลัดดาวัลย์ จีนฉิ้ม
ในแต่ ล ะวั น ร่ า งกายมี จ ะการ metabolism ของคาร์ โ บไฮเดรต โปรตี น และไขมั น จะให้ ส ารที่ ใ ห้ H+ ซึ่ ง มี ผ ลต่ อ การ
เปลี่ยนแปลงของกรดด่างของร่างกาย โดยค่า pH ปกติของร่างกายคือ 7.35 – 7.45 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสมดุลกรดด่าง
ร่ า งกายจะมี ก าร compensate โดยใช้ ร ะบบ buffer ในเลื อ ดมี ส ารที่ ทํ า ให้ ห น้ า ที่ เป็ น buffer คื อ hemoglobin, protein,
carbonic acid และ phosphate กลไกในการในการควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกายจะทํางานผ่าน 3 ระบบ โดยที่แต่ละระบบจะ
ใช้ระบบ buffer หนึ่งระบบหรือหลายระบบก็ได้คือ
1. ระบบหายใจ จะมีเฉพาะระบบ Bicarbonate-carbonic acid buffer เท่านั้น
H2O + CO2 H2CO3 H+ + HCO3-
เมื่อมีการเพิ่มขึ้นของ CO2 จะมีการเพิ่มขึ้นของ H+ ทําให้ความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการวัดค่า pCO2 ใน arterial
blood gas จะสามารถบอกได้ว่าปอดมีคาวามเป็นกรดด่างมากน้อยเพียงใด ปอดทําการควบคุมกรดด่างได้โดยการ เพิ่ม
หรือลดการระบายลมหายใจออก
- เพิ่มการระบายลมหายใจออก CO2 และ H+ ลดลง ความเป็นกรดลดลง pH ของเลือดเพิ่มขึ้น
- ลดการระบายลมหายใจออก มีการคั่งของ CO2 และ H+ ความเป็นกรดเพิ่มขึ้น pH ของเลือดลดลง
2. ระบบไต หากระบบหายใจไม่สามารถทําให้กรดด่างกลับมาอยู่ในช่วงสมดุลได้ ไตจะต้องขับ H+ ออกทาง proximal
tubule และ distal tubule และสร้าง HCO3- ขึ้นมา ระบบ buffer ที่ไตมี 3 ระบบคือ
- Bicarbonate-carbonic acid system H+ ถู ก ขั บ ออกไปทางปั ส สาวะ และ HCO3- จะถู ก ดู ด ซึ ม กลั บ เข้ า สู่
ร่างกายลดความเป็นกรดในร่างกาย
- Phosphate buffer system: ระบบนี้เกิดได้ทั้งที่ proximal tubule และ distal tubule แต่จะเด่นที่ distal
tubule เนื่องจากบริเวณนี้จะมี Phosphate มากขึ้น การปรับสมดุลกรดด่างคือการขับ Phosphate ออกและ
ดูดซึม HCO3- กลับเข้าสู่ร่างกายลดความเป็นกรดในร่างกาย
- Ammonia buffer system เกิ ด โด ย เซ ล ล์ ข อ ง distal tubule จ ะ metabolism glutamine ให้ เป็ น
ammonia (NH3) และ NH3 จะรวมกับ H+ ใน lumen ทําให้เกิดเป็น NH4+ ขับออกทางปัสสาวะโดยไม่มีการ
ดูดกลับ ทําให้ลดปริมาณ H+ ในร่างกายได้
3. การควบคุมโดย cell สารที่ทําหน้าที่เป็น buffer ในเซลล์โดยทั่วไปคือ โปรตีนและฟอสเฟต ส่วนในเม็ดเลือดแดงมี Hb
เป็น buffer การควบคุมกรดด่างเกิดจากการผ่านเข้าออกเซลล์ของ H+
ความผิดปกติของสมดุลกรด – ด่าง
ผู้ป่วยที่มีภาวะ acidemia คือมี pH ในเลือด < 7.35 และมีภาวะ alkalemia เมื่อ pH ในเลือด > 7.45 การวัดความ
เปลี่ยนแปลงของกรดด่างจะวัดจาก arterial blood gas (ABG) ร่วมกับการวัดค่า serum electrolyte โดยที่จะได้ค่า serum pH,
PaCO2, serum HCO3 โดยที่ serum HCO3 อาจจะใช้ค่า total CO2 จากการวัด serum electrolyte แทนได้
ตารางที่ 37.1 แสดงค่าปกติที่ใช้ในการประเมินภาวะกรดด่างในร่างกาย
Laboratory test ช่วงปกติ
Arterial blood gas (ABG)
pH 7.35 – 7.45
pO2 90 -100 mmHg
pCO2 34 - 45 mmHg
serum HCO3 23 -30 mEq/L หรือ mmol/L
Hypoalbumin… Adjusted Anion gap = Anion gap - [(4- serum albumin) x 2.5]
การแปลความการตรวจต่างๆ เพื่อประเมินภาวะกรด-ด่าง
ดูค่า pH ว่าเป็นกรดหรือด่าง
วิเคราะห์ถึงสาเหตุเริ่มต้นว่ามาจาก respiratory (โดยดูที่ CO2) หรือ metabolic (โดยดูที่ HCO3)
Renal Disorders
หาก pH เป็นกรดให้ดูว่าเกิดจาก respiratory คือมี CO2 คั่งจากการหายใจได้น้อยลง ค่า pCO2 จะสูง หรือจากภาวะ
metabolic คือจะมี H+ คั่งจะทําให้ค่า HCO3- ต่ํา
หาก pH เป็นด่างให้ดูว่าเกิดจาก respiratory คือมีการขับ CO2 สูงจากการหายใจเร็ว ค่า pCO2 จะต่ํา หรือจากภาวะ
metabolic คือมีการสูญเสีย H+ หรือ มี HCO3- คั่งจะทําให้ค่า HCO3- สูง
พิ จ ารณาว่า ความเปลี่ ย นแปลงที่ เกิ ด ขึ้ น ร่ างกายมี ก าร compensate หรือ ไม่ หรื อ ว่าผู้ ป่ วยเกิ ด mix acid – base
imbalance
ภาพที่ 37.1 แสดงสรุปการวิเคราะห์ความผิดปกติของกรด-ด่างจากผล ABG
Chapter 37
ล้มเหลว
2. การกินสารที่มีฤทธิ์เป็นกรดเข้าไป เช่น ASA
3. การขับ H+ ออกจากร่างกายลดลง เช่น ในผู้ป่วยที่ไตล้มเหลว
4. มีการสูญเสีย HCO3- มากขึ้น เช่น ท้องเสียอย่างรุนแรง มี gastric fistula มีการดูดกลับ HCO3- ลดลง
อาการแสดงของ metabolic acidosis อาการแรกที่เห็นได้ชัดคือ hyperventilation หากร่างกายเป็นกรดรุนแรง
อาจจะกดศู น ย์ ห ายใจ ผู้ ป่ ว ยจะหายใจแบบ Kussmaul’s respiration (หายลึ ก และเร็ ว ) จะเกิ ด peripheral
Acid-Base Imbalance
vasodilatation มีอาการหน้าแดง HR สูง อาจจะมีอาการทาง GI ได้ คืออาการ N/V เบื่ออาหารได้โดยเฉพาะในคนที่ไต
ล้มเหลวและมีภาวะ acidosis ไม่รุนแรง และอาจจะส่งผลต่อระดับ serum K ได้บ้าง
การรักษาภาวะ metabolic acidosis คือการรักษาที่สาเหตุ และการให้สารที่มีฤทธิ์เป็นด่าง คือ bicarbonate, เกลือ
ของกรดอินทรีย์ และ THAM (tromethamine)
1. Sodium bicarbonate มีทั้งรูปแบบ oral และ IV solution การคํานวณขนาดยาคือ
Dose (mEq) = 0.5 L/kg x BW (kg) x [ 24 – observed serum HCO3-]
sodium bicarbonate มีน้ําหนักโมเลกุลเป็น 84 (HCO3- 1 mmol = 1 mEq) sodium bicarbonate 1000
mg จะให้ HCO3- 11.9 mEq
การให้ยาทางปาก ใช้กรณีที่ไม่รุนแรง ยานี้มีอาการข้างเคียง คือทําให้ปวดท้องอืด
- แบบเม็ด 300 mg (ให้ HCO3- 3.6 mEq/เม็ด), 600 mg (ให้ HCO3- 7.2 mEq/ เม็ด)
- ยาเม็ดแบบเคี้ยว ต้องเคี้ยวยาให้ละเอียดและดื่มน้ําตามหนึ่งแก้วเต็ม
- ยาเม็ดแบบฟองฟู่: ละลายในน้ําให้ละลายหมดก่อนดื่ม
การให้ ย าโดยการฉี ด IV จะใช้ ใ นกรณี ที่ รุ น แรง อาจจะทํ า ให้ เ กิ ด metabolic alkalosis และ/หรื อ
hypernatremia ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไตบกพร่อง จะนิยมใช้ 2 ความเข้มข้นคือ
- 7.5% sodium bicarbonate จํา นวน 10 ml จะให้ HCO3- 8.92 mEq ขนาดบรรจุ 10 ml, 50
ml
- 8.4% sodium bicarbonate ใน 1 ml มี sodium และ bicarbonate อย่างละ 1 mEq
2. เกลื อ ของกรดอิ น ทรีย์ ได้ แ ก่ Lactate, Acetate และ Citrate ต้ อ งผ่ านกระบวนการ metabolism และ
เปลี่ยนเป็น bicarbonate ดังนั้นระยะเวลาการออกฤทธิ์จะช้ากว่า sodium bicarbonate สารเหล่านี้ 1 mEq
จะให้ HCO3- 1 mEq สารละลาย Citrate ที่ใช้ในการรักษา metabolic acidosis คือ Shohl’s solution ซึ่ง
ประกอบด้วย citric acid และ sodium citrate คิดเป็น citrate 1 mEq/ml
3. THAM (tromethamine) จะเพิ่ม serum HCO3- ได้ทันที มีข้อดีกว่า sodium bicarbonate คือจะไม่ทําให้
pCO2 และ Na+ ในเลือดเพิ่มขึ้น จึงใช้ได้ในกรณี metabolic acidosis ที่มี respiratory acidosis ร่วมด้วย
THAM ความเข้มข้น 36 mg/ml ในปริมาตร 3.3 มิลลิลิตรจะมี THAM อยู่ 1 mEq ในการรักษา metabolic
acidosis ควรให้ใน ขนาด 1–2 mEq/kg/dose หรือ 3–6 ml/kg/dose
Metabolic alkalosis คือภาวะที่มี serum HCO3- มากเกินไปโดยมีสาเหตุดังนี้
1. การได้รับ HCO3- หรือมี HCO3- precursor เช่น carbonate citrate และ acetate มากเกินไป
2. การสู ญ เสี ย H+ หรื อ ของเหลวที่ มี Cl- สู งแต่ HCO3- ต่ํ า เช่ น การสู ญ เสี ย gastric HCl จาก ท้ อ งเสี ย หรื อ
อาเจียน หากมี pyloric stenosis อย่างรุนแรง อาจจะมี Na+ และ K+ ต่ําด้วย
3. Diuretic จะเพิ่มการขับ NaCl ทําให้มีการกระตุ้น aldosterone เพิ่มการดูดกลับของ Na+ และขับ H+ และ
K+ ออกจากร่างกาย ทําให้เกิด alkalosis และ hypokalemia
อาการแสดงของ metabolic alkalosis ไม่มีอาการแสดงที่จําเพาะ แต่อาจจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว
และอาจมี tetany จากการลดลงของ Ca2+ และ K+ กลไกลการชดเชยคือการแลกเปลี่ยน H+ ในเซลล์กับ Na+ และ K+ ที่
อยู่นอกเซลล์ และลดการขับ CO2 ด้วยการหายใจลดลง
การรักษาภาวะ metabolic alkalosis ต้องรักษาที่สาเหตุ ถ้า pH สูงอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต (pH > 7.6) ต้องรีบ
ลด pH เช่น hemodialysis ในกรณีไม่รุนแรงจะแบ่งการรักษาออกตามการตอบสนองต่อ saline ได้ดังนี้
1. ตอบสนองต่อการรักษาด้วย saline (urine chloride < 10 mmol/L) โดย metabolic alkalosis แบบนี้จะ
เกิดขึ้นหลังจากหยุดใช้ยาขับปัสสาวะแล้วประมาณ 24-48 ชั่วโมง หรืออาจจะเกิดจากการขาดน้ํานอกเซลล์
342
ผู้ป่วยจะมีการลดลงของ Na+ และ K+ ในเลือดร่วมด้วย จึงต้องให้ทดแทนในรูปของ Cl- เช่น NaCl และ KCl
โดยให้ NSS หรื อ NSS/2 และเสริ ม KCl ด้ ว ยให้ rate 50 – 100 ml/hr หากไม่ ต อบสนองอาจจะให้
ammonium chloride หรือ arginine chloride (ไทยไม่นิยมใช้)
2. ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย saline (urine chloride > 20 mmol/L) โดย metabolic alkalosis แบบนี้
Unit 6
ดังนี้
1. มี ค วามผิ ด ปกติ ซึ่ งจํ า กั ด การระบาย CO2 ออกจากปอด หรื อ มี ก ารเพิ่ ม การสร้า ง CO2 เช่ น การสํ า ลั ก สิ่ ง
แปลกปลอมเข้าไป, โรคหอบหืด, airway obstruction, การใช้ยากลุ่ม beta-blocker
2. ความผิดปกติของ neuromuscular เช่น stroke, การบาดเจ็บของ brain stem หรือ cervical cord รวมทั้ง
การได้รับ narcotic หรือ sedative เกินขนาด
3. การได้รับยาที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น barbiturate, benzodiazepine, opioids
4. ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น sleep apnea, tumor
5. ปัญหาจากเครื่องช่วยหายใจ เช่นเครื่องช่วยหายใจเสีย
อาการแสดงของภาวะ respiratory acidosis จะมี อ าการทาง neuromuscular ผู้ ป่ ว ยจะมี อ าการปวดศี ร ษะ
เนื่องจากการขยายตัวของเส้นเลือดในเสมอง หายใจลําบากง่วงซึม จําสิ่งต่างๆไม่ได้ สับสน หัวใจเต้นเร็วและผิดจังหวะ มี
ภาวะ hyperkalemia
การรักษาภาวะ respiratory acidosis จะไม่มีการรักษาที่จําเพาะ แต่จะแก้ไขที่สาเหตุและให้ออกซิเจน ถ้ามีปัญหา
การขับ CO2 รุนแรง (PO2 <40 mmHg) จะต้องรีบช่วยหายใจ เช่นการใส่ท่อ ใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยมีแนวทางการ
รักษาดังนี้
1. รักษาที่สาเหตุ เช่น หยุดยาที่กดการหายใจ ให้ยาขยายหลอดลม
2. โดยทั่ ว ไปจะไม่ รัก ษาโดยการฉี ด sodium bicarbonate เนื่ อ งจากสามารถเปลี่ ย นเป็ น CO2 ได้ เว้ น แต่ มี
respiratory acidosis ที่ รุ น แรงและผู้ ป่ ว ยมี อ าการทางสมอง หากผู้ ป่ ว ยไม่ ต อบสนองต่ อ ออกซิ เจนและ
sodium bicarbonate อาจจะให้ doxapram (ยากระตุ้นการหายใจ)
3. หากระบายลมหายใจออกได้น้อยที่เกี่ยวกับระบบประสาทสามารถให้ medroxyprogesterone acetate 20
mg วันละ 3 ครั้ง
Chapter 37
Metabolic alkalosis [HCO-3] เพิ่มขึ้น pCO2 ควรเพิ่มไม่เกินกว่า 0.5-0.7 mmHg X [HCO-3] เพิ่มขึ้น
Respiratory acidosis pCO2 สูงขึ้น - Acute [HCO-3] ควรเพิ่มไม่เกินกว่า 0.1 x pCO2 ที่เพิ่มขึ้น
- Chronic [HCO-3] ควรเพิ่มไม่เกินกว่า 0.4 x pCO2 ที่เพิ่มขึ้น
Respiratory alkalosis pCO2 ลดลง - Acute [HCO-3] ควรลดไม่ต่ํากว่า 0.2 x pCO2 ที่ลดลง
- Chronic [HCO-3] ควรลดไม่ต่ํากว่า 0.4-0.5 x pCO2 ที่ลดลง
Acid-Base Imbalance
Mixed acid-base disorder คือความผิดปกติของกรด-ด่างหลายแบบในขณะเดียวกัน โดยเฉพาะกรณีที่การชดเชยของ
ร่างกายผิดปกติด้วยสาเหตุดังนี้
1. Respiratory acidosis ร่วมกับ metabolic acidosis เกิดในผู้ป่วยที่เป็น cardiorespiratory arrest ใน
ผู้ป่วยช๊อคที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง และผู้ป่วยที่เป็น metabolic acidosis ที่มีการหายใจล้มเหลว การรักษาคือ
การลด pCO2 โดยการเพิ่มอัตราการหายใจ ใช้เครื่องช่วยหายใจให้ O2 และการให้ sodium bicarbonate
2. Respiratory alkalosis ร่วมกับ metabolic alkalosis พบในผู้ป่วยที่มี Respiratory alkalosis ซึ่งเกิดได้
จากการที่เครื่องช่วยหายใจระบายอากาศเร็วเกินไป ภาวะ hypoxia ร่วมกับการเกิด metabolic alkalosis
จากสาเหตุต่างๆ เช่น การอาเจียน การใช้ยาขับปัสสาวะ การรักษาคือ ให้ NaCl และ KCl และปรับลดอัตรา
การหายใจลง
3. Metabolic acidosis ร่วมกับ respiratory alkalosis พบในผู้ป่วยโรคตับระยะ progress หรือผู้ป่วยที่ได้
ASA เกินขนาด การรักษาคือควรแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง
4. Metabolic alkalosis ร่ ว มกั บ respiratory acidosis พบในผู้ ป่ ว ยปอดอุ ด กั้ น เรื้ อ รั ง และ respiratory
acidosis ที่ได้รับการรักษาด้วยการกําจัดเกลือ และการใช้ยาขับปัสสาวะ การรักษาคือ ต้องลด serum HCO3-
ร่วมกับการให้ NaCl และ KCl และปล่อยให้ไตขับ HCO3- ที่คั่งอยู่ออกไป
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการบรรยายในหัวข้อ Acid-Base imbalance โดย รศ.ดร. โพยม วงศ์ภูวรักษ์ และ รศ.วิบุล วงศ์ภูว
รักษ์
344
Unit 6
Renal Disorders
การคํานวณน้ําที่ขาด
1. คํานวณจากน้ําหนักตัว : BW ลด 3 kg แสดงว่าขาดน้ํา ~ 3 ลิตร
2. คํานวณจากค่า serum sodium: กรณี hypernatremia เท่านั้น (ค่าปกติของ serum Na คือ 140 mEq/L)
Deficit water = % TBW x lean body weight (kg) x ([serum Na/140] – 1)
% TBW สําหรับเด็ก = 0.6 ผู้หญิงสาว = 0.5 ผู้ชายหนุ่ม = 0.4 ผู้หญิงสูงอายุ = 0.4 ผู้ชายสูงอายุ = 0.5
ตั วอย่ า ง เด็ ก ชายอายุ 2 ปี มี อาการท้ อ งเสี ย และมี ไ ข้ 39 C น้ํ าหนั กชั่ งเมื่ อ 3 สั ป ดาห์ ก่ อ น 12.9 kg ขณะนี้ ห นั ก 11.4 kg
เด็กคนนี้ควรได้รับของเหลวเท่าไหร่
วิธีทํา 1. maintenance water require = (100x10) + (2.9x50) = 1145 ml
2. ผู้ป่วยรายนี้มีน้ําหนักลดลง = 12.9 - 11.4 = 1.5 kg
deficit water (สูญเสียน้ําไป) = 1.5 L x 1000 ml/ L = 1500 ml
3. Continuing water loss (จากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น) = (39-37) x 0.1 x 1145 = 229 ml
Total water require = 1145 + 1500 + 229 = 2874 ml
รูปแบบของการขาดน้ํา (dehydration)
ต้องพิจารณาสมดุลของโซเดียมควบคู่กันไป ซึ่งภาวะขาดน้ําเกิดได้ 3 ลักษณะ ดังนี้
1. Isotonic dehydration: สูญเสีย H2O พอๆ กับสูญเสีย Na+
2. Hypertonic dehydration: สูญเสีย H2O > Na+
3. Hypotonic dehydration: สูญเสีย H2O < Na+
ของเหลวที่ใช้ทดแทนการขาดน้ํา
กรณีที่ขาดน้ําระดับน้อยถึงปานกลางคือขาดน้ํา < 5% BW – 10% BW อาจจะทดแทนการขาดน้ําโดยการให้ ORS ซึ่ง
จะมี Na 75 mEq/L มี osmalarity 245 mmol/L แต่สําหรับเด็กจะใช้สูตรที่มี Na 45 mEq/L
346
กรณีที่ขาดนําระดับรุนแรงคือ ขาดน้ํา > 10% BW จะทดแทนโดยใช้ IV solution ซึ่งมีหลายตัวให้เลือกใช้ดังตาราง
ตารางที่ 32.1 แสดงรายละเอียดของสารน้ําที่มีการใช้บ่อย (Common IV Solution)
Solution type Dextrose Na+ K+ Cl- Ca+ Lactate-
Unit 6
ขณะนี้มีภาวะ poor skin turgor, orthostatic hypotension, collapse neck skin มีค่า lab ดังนี้
Serum : Na+ = 121 mEq/L, K+ = 3.1 mEq/L, BUN = 38 mg/dL, Cr = 1.2 mg/dL, Urine : Na+ = 52 mEq/L
(ปกติไม่เกิน 20 mEq/L), urine osmolarity = 290 mOsm/kg
ผป.รายนี้มีอาการขาดน้ําเนื่องจากยา คือผิวหนังเต่งตึงลดลง BP ต่ํา เส้นเลือดที่คอแฟบ และจากอาการแสดงคาดว่า
ขาดน้ําประมาณ 5% ของนน.ตัว
หากค่า Na+ ที่ต้องการ = 135 mEq/L
Sodium deficit = (135-121) x (0.5 x 60) = 420 mEq
คํานวณน้ําที่ขาดจาก นน. ที่ลดลง = 60 - 56 = 4 kg นั่นคือ ผป. ขาดน้ํา 4 ลิตร
maintenance water requirement = (10x100) + (10x50) + (40 x 20) = 2300 ml
Total water requirement = 2300 + 2000 ml = 4300 ml
การทดแทนน้ําและโซเดียมถ้าคิดเป็น mEq/L จะได้ = 420/4300 = 67 mEq/L
+
ดังนั้นควรเลือกใช้ NSS/2 ทดแทน เนื่องจากจะได้ Na 67 mEq/L ใกล้เคียงกับ 67 mEq /L ที่ต้องการและให้จํานวน
4.3 L โดยแบ่งให้ 1/3 ใน 12 hr แรก และตามด้วย 2/3 ใน 24-48 hr ต่อมา การทดแทน Na จะต้องไม่ให้ Na ในเลือดเพิ่มขึ้นเกิน
12 mEq/L/day
Hypernatremia เป็ น ภาวะที่ Na+ > 150 mEq/L และมี ค่ า serum osmolarity สู ง กว่ า ปกติ อาการที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ การ
เปลี่ยนแปลงระดับของ Na+ เช่นกัน และมักจะรุนแรงมื่อมี Na+ > 145 mEq/L อาการที่พบได้แก่ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง
เป็นตะคริว ซึม กระวนกระวาย และฉุนเฉียวง่าย สาเหตุของการเกิดภาวะ Hypernatremia คือ
1. Hypernatremia ที่มีการสูญเสียน้ํามากเพียงอย่างเดียว มักจะเกิดจากไตไม่สามารถเก็บน้ําเอาไว้ได้ เช่น โรคเบาจืด โดย
ปกติการขาดน้ําเพียงอย่างเดียวจะทําให้ Hypernatremi เว้นแต่คนที่ศูนย์กระหายผิดปกติ หรือหมดสติ
2. Hypernatremia ที่มีการได้รับ Na มากเกินไป เช่น การได้รับ hypertonic saline ทาง IV มากเกินไป, มี hormone
mineralocorticoid มากเกินไป
3. Hypernatremia ที่มีการสูญเสีย hypotonic fluid เช่น การสูญเสียน้ําทางไตที่เกิดจาก osmotic dieresis จาก DM ,
การยาขับปัสสาวะ, เสียน้ําทาง GI ฯลฯ
การรักษาภาวะ Hypernatremia
1. กรณีที่มีภาวะขาดน้ํา คํานวณน้ําที่ขาดและทดแทนด้วย D5W โดยทดแทน 50% ของน้ําที่ขาดเป็นเวลา 12-24 ชม. อีก
50% ทดแทนใน 24-48 ชม. ต่อมา หากยังสูญเสียน้ําอยู่ก็บวกน้ําที่ยังคงสูญเสียไปด้วย ความเร็วในการให้ขึ้นกับระดับ
ความรุนแรง โดยถ้าผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงให้ลด sodium ลง 0.5 mEq/L/hr หรือหากมีอาการอาจจะลด sodium ลง 1
mEq/L/hr แต่การลด sodium ลงอย่างรวดเร็วอาจจะทําให้สมองบวมน้ําได้
2. ในกรณี sodium excess ให้ loop diuretics เช่น furosemide 1 mg/kg/day เพื่อลด fluid over load พร้อมกับให้
D5W ในปริมาณเท่ากับปัสสาวะที่ถูกขับไป ถ้าหากเกิดภาวะ renal failure ให้ทํา dialysis
349
ความผิดปกติของสมดุลโพแทสเซียม
Serum K+ ค่ าปกติ 3.5-5.0 mEq/L, ปริม าณที่ ร่างกายต้อ งการ 2-3 mEq/kg/day Na+- K+ ATPasse จะขนส่ ง Na+
ออกจากเซลล์แลกกับการเอา K+เข้าเซลล์ K ทําหน้าที่เกี่ยวกับ Membrane polarization สําหรับการนําส่งกระแสประสาทและ
Chapter 39
การหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การวัดระดับ K ในเลือดทําได้ยาก เนื่องจาก K ส่วนใหญ่อยู่ในเซลล์ การประมาณการขาด K คร่าวๆ
คือ ถ้า K ในเลือด 3 mEq/L แสดงว่าขาด K 200 mEq/L และทุก 1 mEq/L ที่ลดลงจะขาด K 200-400 mEq/L (0.27 mEq/L
ของ K ที่ลดลงจะขาด K 100 mEq)
Intracellular acid-base control การแลกเปลี่ยนไอออน (Na+, K+, Ca2+) ผ่านโดย active transport เมื่อมี H+ ใน
เลือดมากเกินไป H+ จะถูกนําเข้าเซลล์เพื่อลดความเป็นกรดของเลือด โดยแลกเปลี่ยนกับ K+ ทําให้ร่างกายมีภาวะ
Alkalosis (Alkalosis – Hypokalemia, Acidosis- Hyperkalemia) ปัจจัยที่มีผลต่อระดับของ potassium ในเลือด
Electrolyte Imbalance
o ก า ร นํ า K+ เข้ า เซ ล ล์ ([K+] ): Metabolic alkalosis, Insulin ม า ก เกิ น , β2- agonist (epinephrine,
salbutamol), Nutrition (anabolism), กระตุ้น Na+- K+ ATPase (catecholamines)
o ก า รนํ า K+ อ อ ก จ า ก เซ ล ล์ ([K+] ): Metabolic acidosis, β2- blocker (propanolol), ข า ด Insulin,
Hyperosmolality, Cell lysis, Hemolysis, ยับยั้ง Na+- K+ ATPase (digitalis toxicity)
Pseudohyperkalemmia : เกิดโดยการเจาะเลือดแล้ว RBC แตก ทําให้ K+ในเลือดสูงกว่าที่เป็นจริง
Pseudohyokalemmia: ผู้ ป่ ว ย leukemia ที่ มี WBC สู งเมื่ อ วางทิ้ งไว้ ใน T ห้ อ ง K+จะเข้ า WBC ทํ าให้ K+ในเลื อ ด
ลดลง
ตารางที่ 39.2 อาการแสดงของ Hyperkalemia และ Hypokalemia
Hypokalemia Hyperkalemia
- EKG findings: T waves ราบลงหรือกลับหัว, - EKG findings: Peaked T waves, S-T segment
S-T segment ต่ําลง ต่ําลง, P wave หายไป, QRS complex กว้างขึ้น
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง - กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- สูญเสีย reflect , Paralysis, ชีพจรอ่อน, ลําไส้เคลื่อนไหวช้า, - Paresthesis, ทางเดินอาหารเคลื่อนไหวมากผิดปกติ
ซึมเศร้า, สับสน, ความดันต่ํา - Flaccid Paralysis
Chapter 39
Nebulized salbutamol 10 -20 mg nebulized 15 min
3. Serum K > 7 mEq/L with EKG change
Calcium chloride 10% 5-10 ml IV 2-5 min
NaHCO3 50 mEq IV 5 min อาจจะไม่ได้ผลในคน ESRD
lucose + insulin ± mix 50 g glucose และ 10 unit RI ให้ IV 15-30 min ถ้าคน hyperglycemia อยู่ให้
แค่ insulin
Electrolyte Imbalance
Glucose + insulin แ ล ะ ไม่ ดี ขึ้ น ภ า ย ใน 30-60 min ให้ add Nebulized salbutamol 10 -20 mg
nebulized 15 min ถ้าผู้ป่วยมีภาวะร่างกายเป็นกรดให้ NaHCO3
ให้ furosemild 40-80 mg IV
Dialysis
ความผิดปกติของสมดุลแมกนีเซียม
Serum Mg2+ ค่ า ปกติ 1.5-2.5 mEq/L เป็ น intracellular electrolyte ในเซลล์ ม าเป็ น อั น ดั บ สองรองจาก K ( ICF
39%; ECF 1%; Bone 60% ) มีหน้าที่เป็น cofactor ที่สําคัญของเอนไซม์หลายชนิด และหากขาด Mg จะทําให้ Na+/K+ ATPase
ทํางานได้ไม่ดี เกิดความผิดปกติของสมดุล K การดูดซึม Mg ถูกยับยั้งโดย phosphorus, calcium และไขมัน การควบคุม Mg
ขึ้นกับการขับออกทางไต และ Parathyroid hormone
Hypomagnesemia ภาวะที่มี Serum Mg < 0.8 mmol/L หรือ 1.8 mg/d มีสาเหตุ ดังนี้
1. GI loss – malabsorption, routine laxative, GI fistula, NG suction, กินอาหารน้อยลง, PN ที่มี Mg ไม่พอ
2. Renal loss เ ช่ น glomerulonephritis, tubular disorders, interstitial nephritis, hypercalcemia,
hyperaldosteronism, hyperthyroidism, hypophosphatemia, diabetic ketoacidosis, SIADH
3. ยา Diuretics, Digoxin, Ethanol, Calcium, Insulin, Amphotericin B etc. ดังแสดงในตารางที่ 39.4
ตารางที่ 39.5 แสดง Drug- induce hypomagnesemia
Drug Mechanism
Antacid, Diuretics, Citrate, Cisplatin, Drug-induced metabolic alkalosis
Adrenaline, Terbutaline, Albuterol, Insulin
Cholesterol, neomycin, laxative abuse Decrease GI absorption
Loop diuretics Inhibit Mg reabsorption,
Cisplatin Carboplatin -nephrotoxic Renal Mg wasting
Aminoglycosides Inhibit proximal tubule of Mg transport
อาการแสดง
Neuromuscular irritability : Hyperactive deep tendon reflexes, Muscle cramps, Muscle fibrillation,
Trousseau and Chvostek signs, Dysarthria and dysphagia from esophageal dysmotility
CNS hyperexcitability : Irritability and combativeness, Disorientation, Psychosis, Ataxia, vertigo,
nystagmus, and seizures (at levels < 1 mEq/L)
Cardiac arrhythmias : สาเหตุม าจาก hypomagnesaemia เพี ยงอย่ างเดี ยว หรือ ร่วมกับ hypokalemia ส่ งผลให้
activity ของ ATPase ลดลง
การรักษาภาวะ Hypomagnesemia
1. กรณีไม่รุนแรง รับประทาน Magnesium oxide capsule หรือ magnesium sulfate solution
2. กรณีรุนแรง ฉีด magnesium sulfate solution แบบ empirical ขนาด 1 mEq/kg ฉีดในวันแรก และ 0.5 mEq/Kg
ใน 2-5 วันต่อมา
352
Hypermagnesemia ภาวะที่มี Serum Mg > 1.2 mmol/L หรือ 13.0 mg/dl อาการแสดงเช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน
ความดันโลหิตต่ํา การหายใจถูกกด และอาจจะหมดสติได้ ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
1. ได้ยาลดกรด/ยาถ่าย/ยาสวนทวารที่มี Mg มาก เช่น Magnesium hydroxide, Magnesium sulfate
2. แม่และทารกที่แม่ได้รับ Mg ในระหว่างคลอด (Pre-eclampsia)
Unit 6
ความผิดปกติของสมดุลแคลเซียม
ในร่ า งกายเรามี calcium อยู่ ป ระมาณ 1000-1200 กรั ม ส่ ว นใหญ่ พ บอยู่ ใ น bone เกิ น กว่ า 85 % ในรู ป ของ
phosphate และ carbonate ในแต่ละวันร่างกายจะได้รับ calcium 1-3 กรัม ส่วนใหญ่ขับออกทางระบบทางเดินอาหาร
ค่าปรกติในเลือดประมาณ 8.8-10.2 mg/dL หรือ 2.2-2.6 mmol/L (conversion factor ในการเปลี่ยนหน่วย = 0.25)
โดยประมาณ 55% อยู่ในรูปของ non-ionized form และจะจับกับ plasma protein ที่เหลือ ส่วน 45% จะอยู่ในรูป
ของ ionized form จะทําหน้าที่เกี่ยวกับ neuromuscular stability และสัดส่วนของ ionized ต่อ nonionized calcium จะ
ขึ้นกับ pH โดยที่ภาวะ acidosis ทําให้มีการเพิ่มของ ionized form ส่วนภาวะ alkalosis จะมีการลดลง ของ ionized form Ca-
excitation-contraction coupling มี ห น้ า ที่ stabilize cell membrane permeability และ excitability การดู ด ซึ ม ใน GI-
active transport มี vitamin D และ parathyroid hormone ช่วยในการดู ดซึม และถูกยั บยั้ งโดยสารที่ ทํ าให้ Ca ไม่ ละลาย
เช่น ฟอสเฟต
Corrected Serum Calcium Level
Protein bound 40%, Complexed 5-15%, Free form 47%
ถ้า Albumin ลดลง จะทําให้ Free calcium ลดลงด้วย
Corrected Ca = Observed Ca + 0.8 (Normal albumin-Observed albumin)
Ex. Serum Ca = 10, Albumin = 2.5 ; Corrected Ca = 10 + 0.8 (4-2.5) = 11.2
Hypocalcemia คือ ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ํา คือ มีระดับของแคลเซียมในเลือดต่ํากว่า 8.8 mg/dl หรือต่ํากว่า 2.2 mmol/l
โดยจะมี อาการชา ปวดเสียวคล้ายหนามแทงที่ป ลายนิ้ ว และรอบปาก เซื่องซึม หดหู่ ภาวะผิดปกติ ทางจิ ต มึน งง ไม่ รู้สึกตั ว
Hyperactive reflexes Chvostek’s sign และ Trousseau’s sign (มื อจี บ ) และการชั ก เกร็ ง (tetany) สาเห ตุ ที่ ทํ าให้
Hypocalcemia มีดังนี้
1. เกิดจาก acute pancreatitis
2. massive soft tissue infection (necrotizing fasciitis)
3. acute and chronic renal failure
4. pancreatic and small bowel fistulas
5. hypoparathyroidism และภาวะที่ เกิ ด hypocalcemia ชั่ ว คราว ซึ่ ง เกิ ด ได้ บ่ อ ยในผู้ ป่ ว ยหลั งผ่ า ตั ด parathyroid
adenoma และมี atrophy ของ gland ที่เหลือ
6. ภาวะที่มี hypocalcemia แต่ไม่ มีอาการมัก พบในผ้ปู่ วยที่มี hypoprotienemia ร่วมด้วย ส่วนถ้าผู้ป่วยที่มี severe
alkalosis อาจจะมี serum calcium ปกติ แต่มีอาการของ hypocalcemia ได้
ตารางที่ 39.6 แสดง Drug-induced hypocalcemia
Drug Mechanism
Anticonvulsants ( phenytoin, carbamazepine) , Alcohol, Decrease intestinal absorption
Corticosteroids
Calcitonin, Bisphosphanate, Gallium nitrate, Mithramycin Decrease mobilization from bone
Loop diuretics, MgSO4 ซึ่งใช้รักษา Pre-eclampsia Increase renal excretion
EDTA-urine excrete of complexs, Neomycin, Phosphate Complexation of Ca
353
การรักษาภาวะ hypocalcemia
1. Calcium : Oral calcium as carbonate, chloride, gluconate and gluceptate salts (not as phosphate)
IV Calcium gluconate, Calcium chloride
Chapter 39
2. Vitamin D (with oral calcium)
ergocalciferol (D2)
dihydrotachysterol (DHT)
calcifediol [25-(OH)D]
calcitriol [1,25-(OH)2D]
Electrolyte Imbalance
Hypercalcemia คือภาวะที่มีระดับแคลเซียมในเลือดสูง ระดับของแคลเซียมในเลือดสูงกว่า 10.2 mg/dl หรือสูงกว่า 2.6
mmol/l อาการของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียนเซื่องซึม หดหู่
ภาวะผิดปกติทางจิต มึนงง ไม่รสู้ กึ ตัว และ coma เป็นต้น สาเหตุของการเกิดภาวะ Hypercalcemia คือ
1. ผู้ที่เป็นมะเร็งของกระดูก (bone neoplasm)
2. ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในเลือดสูง (hyperparathyroidism)
3. ภาวะระดับวิตามิน D ในเลือดสูงจากการได้รับวิตามิน D มากเกินไป (hypervitaminosis D)
4. ภาวะระดับวิตามิน A ในเลือดสูงจากการได้รับวิตามิน A มากเกินไป (hypervitaminosis A)
5. ภาวะที่กรดเกินในร่างกาย(Acidosis)
6. เกิดจากการใช้ยาขับปัสสาวะกลุม่ Thaiazide เป็นต้น
7. Drug-induced hypercalcemia ดังแสดงในตารางที่ 39.7
ตารางที่ 39.7 แสดง Drug-induced hypercalcemia
Drug Mechanism
milk – alkali syndrome, Calcium carbonate Increase absorption from intestine
Vitamin D, 25-hydroxycholecalciferol,
1,25-dihydroxycholecalciferol (Calcitriol)
Thiazide Increase Ca tubular absorption-reducing Ca urine excrete
Lithium&Calcium channel blocker Increase Ca renal tubular reabsorption
การรักษาภาวะ Hypercalcemia
1. Furosemide : เพิ่มการขับ calcium ออกทางไต
2. Calcitonin : เพิ่มการ uptake calcium ของกระดูก
3. Plicamycin (mitramycin) : hypercalcemia จากมะเร็ง : ยับยั้ง bone resorption (การสลายกระดูก)
4. Bisphosphonates : ยังยั้ง bone resorption disodium etidronate
5. Phosphate : รักษา acute hypercalcemia ที่เกิดจาก hypophosphatemia
6. Corticosteroid : antagonizing activation ของ vitamin D ในตับ ลดการดูดซึม Ca ใน GI และลด Bone
resorption
ความผิดปกติของสมดุลฟอสฟอรัส
ค่า Serum phosphorus = 2.5-5 mg/dL หรือ 0.8-1.6 mmol/L 75% อยู่ในกระดูก, Important ICF electrolytes
ส่วนใหญ่-รูปที่ไม่จับกับ serum protein และ divalent anion (HPO4-2) และประมาณ 20% อยู่ในรูปของ monovalent anion
(HPO4-) ทําหน้าที่ สร้างพลังงาน ADP และ ATP และปลดปล่อย O2 จาก Hb phosphorus มีในอาหารทั่วไป เนื้อและนม
การควบคุม Plasma phosphorus ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
1. GI absorption : ขึ้นกับปริมาณ vitamin D
2. Renal excretion สัมพันธ์กับระดับ Ca และควบคุมโดย PTH
3. PTH : เพิ่มการปล่อย P ออกจากกระดูก, เพิ่มการดูดซึม P ในลําไส้, ลด tubular P reabsorption ทําให้ P ลดลง
4. Cellular shift เข้าเซลล์ : glucose, insulin, alkalosis, ออกจากเซลล์: metabolic acidosis, Cell lysis
354
Hypophosphatemia ภาวะที่มี serum phosphorus < 0.8 mmol/L หรือ < 2.5 mg/dl โดยถ้า < 1 mg/dl จะถือว่า
รุนแรง hypophosphatemia อาการแสดงที่อาจจะมีคือ กล้ามเนือ้ อ่อนแรง ปวดกระดูก Paresthesis. Respiratory distress,
Hemolytic anemia, Cardiomyopathy, ชัก, โคม่า สาเหตุที่ทําให้เกิด hypophosphatemia มีดังนี้
1. การนํา P เข้าเซลล์ ทําให้ P ใน serum ลดลง refeeding syndrome, anabolic steroid, Acute alkalosis, ฟื้นตัว
Unit 6
จาก burn
2. GI loss : อาเจียน, ท้องเสีย, NG suction, ได้รับสารที่จับกับ P เช่น antacid และ sucralfate และผู้ที่ขาด vitamin D
3. Renal loss : จากความผิดปกติของท่อไต เช่น renal tubular acidosis, hyperparathyroidism, Hypomagnesium,
Hypopotassium, acidosis, ขาด vitamin D และการใช้ยาขับปัสสาวะ
4. การได้รับฟอสฟอรัสไม่เพียงพอ เช่น รับ fluids/parenteral nutrition เป็นเวลานานโดยไม่ได้รับฟอสฟอรัสร่วมด้วย,
Renal Disorders
พิษสุราเรื้อรังไม่ค่อยกินอาหาร
5. การทํา Hemodialysis
6. Drug-induced hypophosphatemia ดังแสดงในตารางที่ 39.8
ตารางที่ 39.8 แสดง Drug-induced hypophosphatemia
Drug mechanism
adrenaline, bronchodilators, Insulin Drug induced alkalosis Distribution into cells
Endocrine function
- หลั่งสาร rennin ที่เซลล์ juxtaglomerular apparatus
- สร้างและเมตาบอลิซึมสาร prostaglandins และ kinins
- สร้างและหลั่ง erythropoietin ที่กระตุ้นการเจริญของเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก
Metabolic function
- activated vitamin D3 ให้อยู่ในรูปที่ active ซึ่งมีบทบาทในการควบคุม Ca&PO4 balance
- Gluconeogenesis
- เมตาบอลิซึมของ exogenous compound เช่น insulin และ steroid
Excretory function
- ขับ metabolic waste product
- ควบคุมสมดุลของน้ํา electrolyte และกรดเบส
การวัดการทํางานของไต
ดูจากค่า GFR เป็นค่าปริมาณพลาสมาที่กรองผ่าน glomerulus ต่อหน่วยเวลา (L/hr, ml/min) ปกติจะใช้ Creatinine
เป็นตัวแทนวัดค่า GFR ซึ่ง Creatinine เป็นสารที่อยู่ในร่างกาย ได้จากการเมตาบอลิซึมกล้ามเนื้อ ปกติ sCr มีค่า = 0.5-1.5
mg/dL ซึ่งจากค่าต่างๆทําให้สามารถนํามาประมาณค่า CrCl ได้ โดยใช้ Crockcroft-Gault Equation
Acute Kidney Injury (AKI)
AKI หมายถึง ภาวะไตวายเฉียบพลันคือภาวะทีม่ ีทํางานของไตลดลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ทํา
ให้มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ BUN และ sCr เทียบจาก baseline ไม่ว่า baseline จะปกติหรือไม่ก็ตาม หากกรณีทมี่ ี
baseline ผิดปกติอยู่แล้วมีภาวะไตวายเฉียบพลันขึ้นอีก จะเรียกว่า AKI on top จาก KDIGO guideline 2012 ได้ระบุเกณฑ์ของ
การวินิจฉัย AKI ไว้ดังนี้
Increase in SCr by ≥ 0.3 mg/dL (≥ 26.5 µmol/L) within 48 hours; or
Increase in SCr to ≥ 1.5 times baseline, which is known or presumed to have occurred within the
prior 7 days; or
Urine volume ≥ 0.5 mL/kg/h for 6 hours.
และมีเกณฑ์ในการวินิจฉัย AKI อีกเกณฑ์หนึ่งที่ชื่อว่า RIFLE criteria ซึ่งจะใช้ SrCr/GFR หรือ urine output ในการประเมินดังนี้
ตารางที่ 40.1 แสดงเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะไตวายเฉียบพลัน โดยใช้ RIFLE criteria
GFR/SrCr criteria Urine output (UOP) criteria
Risk SrCr▲ 50% or GFR ▼25% < 0.5 mg/kg/h x 6 h
Injury SrCr▲ 100% or GFR ▼50% < 0.5 mg/kg/h x 12 h
Failure SrCr > 4 mg% or SrCr▲ 200% < 0.5 mg/kg/h x 24 h or
or GFR ▼75% anuria x 12 h
Loss Irreversible ARF > 4 weeks
ESRD End-stage Renal Disease > 3 months
356
ประเภทของ AKI แบ่งตามสาเหตุการเกิด
1. Prerenal azotemia (55 – 60%) เป็นความผิดปกติที่เกิดก่อนถึงเนื้อไต โดยมีสาเหตุมาจาก volume depletion,
hypotension, หัวใจทํางานลดลงใน post MI หรือ HF, การอุดกั้นของหลอดเลือดที่ renal artery, การได้รับยาบางตัว
เช่น NSAIDs ทําให้เลือดที่ไหลไปเลี้ยงไตน้อยลง การทํางานของไตก็ลดลง
Unit 6
การจัดการกับภาวะไตวายเฉียบพลัน
1. ประเมินหาสาเหตุและจัดการทีส่ าเหตุ
2. Fluid therapy
ในคนที่ขาดน้ําให้สารน้ําให้เพียงพอเพื่อเพิ่ม renal perfusion
ในคนที่มีภาวะน้ําเกิน (volume overload) จะต้องจํากัดน้ํา และให้ 1 – 2 mg/kg furosemide
3. ติดตามการเปลี่ยนแปลงของ electrolyte/acid- base imbalance และแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ถ้า blood pH < 7.1 (metabolic acidosis) ให้ NaHCO3 แต่ถ้าให้เยอะไปก็ HyperNa, hyperosmolarity,
volume overload, hypoK
ถ้ า มี ภ าวะ HyperK (abnormal EKG**) ถ้ า ไม่ รุ น แรง: Resin 1 g/kg repeat q 1 hr Kayexalate® : Na
resin (hyperNa, HTn), Kalimate® : Ca resin ถ้ารุนแรง ให้ Insulin + dextrose (1 Unit : 4 g เพื่อนํา
K เข้าเซลล์), NaHCO31 – 2 mEq/kg (K movement), Ca gluconate (ต้านฤทธิ์ของ K ที่หัวใจ)
4. ให้ nutrition ที่เหมาะสม (low K, low P)
5. Renal replacement therapy (RRT) ในคนที่มี AEIOU คือ ความผิดปกติของ Acid- base/Electrolyte อย่างรุนแรง
Intoxication เช่น Li, salicylic acid, methanol, phenobarb ฯลฯ volume overload และ Uremia โดยจะมีการ
ฟอกเลือด 2 แบบคือ Intermittent ฟอกเลือดครั้งละ 4 ชั่วโมง หรือ Continuous RRT ต้องฟอกเลือดตลอดเวลา
357
ภาวะ AKI สามารถ reversible ได้ หากกําจัดสาเหตุและรักษาได้ทันเวลา (โดยเฉพาะสาเหตุจาก pre-renal และ
obstruction) และจะต้องป้องกันไม่ได้มีการดําเนินของโรคไปเป็น chronic kidney disease (CKD) บทบาทของเภสัชกรคือ
ร่วมมือกับสหสาขาวิชาชีพป้องกันการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน หรือหากเกิดขึ้นแล้วจะต้องรักษาให้ทันท่วงทีและหาทางป้องกัน
Chapter 40
การเกิดซ้าํ ที่สําคัญคือจะต้องตระหนักถึงความสําคัญของการปรับขนาดยาตามการทํางานของไตสําหรับยาที่มีการขับออกทางไต
หรือมีพิษต่อไต
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารบรรยายหัวข้อ Acute Kidney Injury (AKI) โดย อ.อุษณีย์ วนรรฆมณี
2. Palevsky et al. KDOQI US Commentary on the 2012 KDIGO Clinical Practice Guideline for Acute Kidney
Injury. Am J Kidney Dis. 2013;61(5):649-672.
358
Unit 6
Renal Disorders
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด CKD
เมื่อเกิดภาวะ CKD สิ่งที่ตามมาคือ มีอัตราการตายสูงขึ้น การอยู่โรงพยาบาลนานขึ้น โอกาสในการเกิดโรคทางหลอด
เลือดและหัวใจก็เพิ่มขึ้น และที่สําคัญคือค่าใช้จ่ายในการรักษาจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน หรือลดปัจจัยกระตุ้น
การเกิดโรครวมถึงลดปัจจัยการกระตุ้นการดําเนินไปของโรคน่าจะเป็นสิ่งที่สําคัญ โดยที่ปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อ CKD มีดังนี้
ปัจจัยที่บอกว่าผู้ป่วยมีโอกาสที่จะเกิดภาวะ CKD คือ สูงอายุ ไตมีขนาดเล็กและน้ําหนักแรกเกิดน้อย family Hx, เศษ
ฐานะไม่ค่อยดี, systemic inflammation และที่สําคัญคือ dyslipidemia
ปัจจัยหรือโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของภาวะ CKD คือ Hypertention, DM และ Glomeruloneohritis
ปั จจั ยที่ ทํ าให้ ภ าวะโรค CKD พั ฒ น าไป อ ย่ างรวด เร็ ว คื อ hyperglycemia, Hypertention, protienuria,
hyperlipidemia, smoking และ ภาวะอ้วน
พยาธิสภาพของการเกิด CKD
CKD เกิดจากการเนื้อถูกทําลายทําให้สูญเสียการทํางานของไตแบบ irreversible ซึ่งจะทําให้โรคดําเนินไปเรื่อยๆ ซึ่งจะ
ทําให้ไตมีขนาดเล็กลง เกิดภาวะความดันสูงใน glomerular และเกิดภาวะ protienuria ดังนั้นจะต้องมีการจัดการที่เหมาะสมใน
แต่ละระยะของ CKD เพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปเร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ
และที่สําคัญคือจะต้องเตรียมพร้อมผู้ป่วยสําหรับการทํา RRT ในคนที่โรคพัฒนามาถึงระยะสุดท้ายแล้ว การจัดการกับผู้ป่วยในแต่
ละระยะจะแตกต่างกันดังตาราง
360
ตารางที่ 41.2 การจัดการกับภาวะ CKD ตามระดับความรุนแรงของโรค
Stage GFR (ml/min/1.73 m2) Action
1 >= 90 Dx & ลด risk factors ติดตาม GFR ทุก 1 ปี (6 เดือน ถ้ามี proteinuria)
2 60 – 89 stage 1 + ประมาณการ progress ติดตาม GFR ทุก 1 ปี (6 เดือน ถ้ามี
Unit 6
proteinuria)
3 30 – 59 stage 2 + ประเมิน& Tx complication ติดตาม GFR ทุก 6 เดือน (1 ปี ถ้าไต
ทํางานปกติ)
4 15 – 29 stage 3 + เตรียมพร้อมเริ่ม Renal Replacement Therapy ติดตาม GFR ทุก 3
เดือน (6 เดือน ถ้าไตทํางานปกติ)
Renal Disorders
5 (ESRD) < 15 stage 4 + เริม่ RRT & Treat complication ติดตาม GFR ทุก 3 เดือน
อาการแสดงทางคลินิกของภาวะไตวายเรื้อรัง
stage 1, 2 มักไม่ค่อยมีอาการ
Stage 3-5 ก็มักจะพบว่ามีภาวะ anemia, 2° hyperparathyroidism, CVD, malnutrition, fluid และ electrolyte
ผิดปกติ
Uremic symptoms: อ่อนเพลีย, หายใจสั้นๆ, สับสน, N/V, bleeding และเบื่ออาหาร มักพบในผู้ป่วย ESRD ซึ่ง
มักจะมีอาการคันผิวหนัง, ทนหนาวไม่ได้, น้ําหนักเพิ่ม, peripheral neuropathies ซึ่งอาการและอาการแสดงของ
กลุ่มอาการ uremic จะเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจให้ผู้ป่วยได้รับ RRT
การรักษาภาวะไตวายเรื้อรัง (CKD) เพื่อชะลอการ progress ของโรค และป้องกันการเกิด complication
Non-pharmacologic therapy
o Low protein diet (0.6-0.8 g/kg/day)
Pharmacologic therapy รักษาโรคร่วมที่อาจจะส่งผลต่อการ progress ของ CKD
o Hyperglycemia การลดน้ําตาลในเลือดจะช่วยลด microvascular complication และ nephropathy ได้
โดยที่ เ ป้ า หมายในการรั ก ษาคื อ FBS 90 -130 mg/dl, PG <180 mg/dl, HbA1C < 7% ยาที่ ใ ช้ จ ะ
เช่นเดียวกับโรคเบาหวานทั่วไป และไม่มีหลักฐานว่ายาตัวไหนจะสามารถลดการเสื่อมของไตได้ดีกว่ากัน
1. กลุ่ม biguanide ได้แก่ Metformin ห้ามใช้ในคนที่ sCr > 1.5 ในผู้ชาย หรือ > 1.4 ในผู้หญิ ง ระวัง
การเกิด metabolic acidosis
2. ก ล่ ม SU Glibenclamide ห้ า ม ใช้ ใน ค น ที่ GFR < 30 mL/min/1.73m2 แ ต่ glipizide แ ล ะ
gliclazide สามารถใช้ได้ใน ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโดยไม่ต้องปรับขนาดยา แต่ต้องระวังในผู้ป่วยที่ eGFR
น้อยกว่า 10 mL/ min/1.73m2
3. กลุ่ม thiazolidinedione : สามารถใช้ได้ในผู้ป่วย CKD โดยไม่ต้องปรับขนาดยา แต่ต้องระวังภาวะบวม
และหัวใจวายจากการที่มีเกลือและน้ําคั่ง
4. กลุ่ม alpha-glucosidase inhibitors ได้แก่ acarbose และ miglitol ไม่แนะนําให้ใช้ ถ้า eGFR น้อย
กว่า 30 mL/min/1.73m2
5. Insulin เป็นยาที่เหมาะสําหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เมื่อการทํางานของไตลดลงอย่างมาก
o Hypertension เป้าหมายคือ คุมความดันให้ได้ ปรับใหม่เป็น BP < 140/90 mmHg จะสามารถลดอัตราการ
ลดลงของ GFR และ albuminuria ได้ใน non-DM pt และ. DM
1. DOC คื อ ACEI หรื อ ARB และถ้ า พบว่ า หลั งใช้ ย า sCr เพิ่ ม มากกว่ า 30% หรื อ serum K > 5.5
mmol/L ให้หยุดยา S/E ที่สําคัญ hyperkalemia
2. 2nd line คือ nondihydropyridine CCB
361
Chapter 41
Chronic Kidney Disease
≥ 22 mEq/L
Hyperkalemia (K >5.5 mEq/L) การรั ก ษาขึ้ น กั บ สภาวะและความรุ น แรง โดยที่ เป้ า หมายคื อ K 4.5 -5.5
mEq/L
o จะต้องให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มี K สูง
o ให้ Caion exchange resin ได้แก่ Kayexalate® หรือ Kalimate ®
o NaHCO3 Metabolic acidosis ร่วมด้วย
o ให้ Glucose+insulin เพิ่มการ uptake K เข้าตับ
Hyperphosphatemia (PO43->5.5 mEq/L)เกิด จากไตมี ก ารขั บ Mg ลดลง เมื่ อ GFR < 30 mL/min มั ก เป็ น
ร่วมกับ hyperparathyroidism, hypocalcemia จะต้องรักษาเพื่อป้องกันการเกิด calcification
o โดยการจํากัดอาหารที่มี PO43- เช่น พวกโปรตีน เนื้อ นม เบียร์
o ให้ ส ารที่ เ ป็ น phosphate binder เช่ น aluminium hydroxide, calcium carbonate, calcium
acetate, calcium citrate, และ savelamer ซึ่งต้องรับประทานพร้อมอาหาร ซึ่งประสิทธิภาพในการ
จั บ กั บ PO4 3 - คื อ Al(OH)3> Ca acetate > CaCO3> savelamer แ ต่ calcium base จ ะ ต้ อ ง
หลีกเลี่ยงในคนที่มี Ca สูงอยู่แล้ว
2. Hyperparathyroidism (iPTH > 300 pg/ml)
Correct ระดับ Ca2+ และ PO43-
ให้ Vit D หรื อ Vit D analogue เพื่ อ เพิ่ ม การดู ด ซึ ม Ca หวั ง ให้ ไ ปมี ผ ล negative feedback ไปลด PTH
(indirect effect) ให้กินพร้อมอาการ แต่ถ้าต้องการผลเพื่อจับกับ PTH เลย (direct effect) ให้กินห่างจากมื้อ
อาหาร 2 hr ขนาดยาขึ้นกับระดับ iPTH และการตอบสนอง SE คือ hyper Ca, hyper PO4
ตารางที่ 41.3 Target Ca, PO, PTH in CKD patients (โดยที่ Calcium x phosphate < 55)
Stage Target PO Target Ca Target iPTH
3 35 – 70 pg/ml
2.7 – 4.6 mg% Normal range
4 70 – 110 pg/ml
ESRD 3.5 – 4.5 mg% 8.4 – 9.5 mg% 150 – 300 pg/ml
3. Hematologic complication คือ ภาวะ anemia ผู้ป่วยจะมีอาการ เพลีย เหนื่อย สับสน ซึม จึงต้องมีการป้องกัน
และรั ก ษาภาวะดั ง กล่ าวเพื่ อ เพิ่ ม คุ ณ ภาพชี วิ ต ของผู้ ป่ ว ย โดยต้ อ งการให้ Hb > 12 g/dl ยาที่ ใช้ ในการรั ก ษาคื อ
Erythropoietin (EPO) ซึ่งจะใช้ในคนที่มี Hb > 10 g/dl และคนที่ได้ EPO ต้องให้ระดับมี Hb >10 g/dl แต่ไม่ควร
เกิน 13 g/dl
การให้ Erythropoietin (EPO) ให้ SC จะมี T1/2 ยาวกว่ า IV แบ่ งให้ 2-3 dose/wk SE คื อ hypertension,
myalgia, flu-like syndrome
4. Iron deficiency จ ะ มี Absolute iron deficiency SF < 200 ng/ml, TSAT < 20% แ ล ะ functional iron
deficiency SF ≥ 200 ng/ml, TSAT < 20% การรักษาคือ
Oral : FeSO4 , Fe fumarate, Fe gluconate ที่ให้ elemental iron 200 mg/day
IV: Iron dextran (ทําให้เกิด anaphylaxis ได้), Iron sucrose และ Fe gluconate
363
5. Cardiovascular complication คื อ การเกิ ด hypertension โดยที่ เ ป้ า หมายของการรั ก ษาคื อ Pre-HD : <
140/90 mmHg และ Post-HD :< 130/80 mmHg วิธีการรักษาคือ
จํากัดเกลือ 2 – 3 g/d
Chapter 41
DOC คือ ACEI และ ARB
ถ้ามีความดันสูงช่วงกลางคืน ก็เลือก long acting
การให้ยาลดความดันขณะที่มีการฟอกเลือด ขึ้นอยู่กับความดันของแต่ละคน
ถ้า BP สูงขณะฟอก ยาที่ให้ก็ไม่ควรเป็นยาที่ออกทางเครื่องฟอกได้ง่าย เช่น CCB, hydralazine
ยาจะออกจากเครื่องฟอกไตได้มากน้อยแค่ไหนมันขึ้นกับปัจจัยใดบ้าง
• 1/3 ของคนที่เกิด bilateral renal arteriole stenosis ที่จะการมีเพิ่ม SrCr > 30% หลังจากใช้ยา แล้ว
ไม่ reversible จึงเป็นขอห้ามใช้ยาในคนที่เป็น bilateral renal arteriole stenosis
• การป้องกันและการจัดการ คือเริม่ ต้นใช้ low dose, short acting แล้วค่อยเปลีย่ นเป็น long actingแต่
สําหรับ OPD pt ควรเริ่มต้นด้วย low dose, long acting ติดตาม RFT และ serum K และหลีกเลี่ยง
การใช้ร่วมกับ anti-HT ตัวอื่น, diuretics และ dehydration
Renal Disorders
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารบรรยายหัวข้อ drug induced nephrotoxicity โดย อ.อุษณีย์ วนรรฆมณี
2. In: DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, Matzke GR, Wells BG, Posey LM, eds. Pharmacotherapy: A
Pathophysiologic Approach. 7th ed. New York; McGraw-Hill. 2008
UNIT 7
EENT Disorders
Chapters
43 Common Eye disorders
44 Nose & thorax disorders
45 Common ear disorders
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
45 Common Eye disorders
นศภ.บวรรัตน์ ลาภประเสริฐ
1. โรคต้อหิน (Gluacoma)
โรคต้อหินเกิดจากการมีความดันในลูกตาสูงขึ้น(increase intraocular pressure ; IOP) ทําให้มีการทําลายเส้นประสาท
ตาอย่างถาวร (irreversible optic nerve) และสูญเสียการมองเห็นได้ (blindness) โดยมีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต้อหิน ได้แก่
- มีประวัติคนในครอบครัว - DM – สายตาสั้น (Myopia) - มี IOP - ได้รับ steroid เป็นระยะเวลานาน
- มี eye injury - High BP
ปัจจัยที่ทําให้ IOP สูงขึ้น คือ มีการสร้าง aqueous humor เพิ่มขึ้น หรือ มีการระบาย aqueous humor ลดลง
การแบ่งประเภทของต้อหิน
1. Primary glaucoma
1.1 Open angle glaucoma
สาเหตุ : เกิดจากท่อไหลเวียนของน้ําหล่อเลี้ยงตาอุดตัน ()
อาการ : ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ อาการค่อยเป็นค่อยไป จะมีอาการเมือ่ stage หลังๆ , มีความรุนแรงน้อยกว่าต้อหินมุมปิด
และตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาดี
1.2 Close angle glaucoma
สาเหตุ : เกิดจากท่อระบายน้ําตาถูกปิดโดยกล้ามเนื้อม่านตา (iris) โดยมุมระหว่าง iris และ cornea แคบ, มีการโค้งของ
iris
อาการ : อาการจะเกิดขึ้นทันที (acute attack) เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามาก คลื่นไส้ อาเจียน เห็นภาพไม่ชัด ถ้าไม่รักษา
อาจทําให้ตาบอดได้ การรักษาส่วนใหญ่จะผ่าตัดหรือมีการซ่อมแซม iris
2. Secondary glaucoma เช่น trauma, steroid induced, postoperative, pigmentary, lens change
3. Congenital glaucoma
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น (ต้อหินมุมเปิดและปิด)
ต้อกระจก (cataracts)
Iris ยึดติดกับ cornea
มีการเสื่อมของ optic nerve และ retina
ไม่สามารถระบาย aqueous humor ได้
ตาบอด (blindness)
Drug induced glaucoma
1. Open angle glaucoma เช่น ophthalmic corticosteroid (high risk) รวมไปถึง systemic, nasal/inhaled,
ophthalmic anticholinergics
2. Close angle glaucoma เช่น topical or systemic anticholinergics, topical sympathomimetics
Pharmacotherapy
1. Beta – adrenergic blocking agents
2. Miotics
3. Sympathomimetics
4. Carbonic anhydrase inhibitors
5. Prostaglandin analogs
6. Hyperosmotic agents
370
1. ยาที่ลดการสร้าง aqueous humor
Beta –blocker นิยมใช้เป็น First line ใน Open angle glaucoma
เช่น timolol maleate ออกฤทธิ์เป็น nonspecific ได้แก่ Timolol maleate Alcon®, Glauco Oph®
Betaxolol ออกฤทธิ์เป็น specific ได้แก่ ได้แก่ Betopic® และ IOP ได้มากกว่า timolol
Unit 7
Chapter 43
เกิด rebound congestion
Ophthalamic antihistamine ได้แก่ antazoline phosphate, pheniramine maleate
กลไก : ยับยั้ง histamine1 – receptor S/E : burning, stinging
*ควรระวังการใช้ antihistamine ในผู้ป่วยต้อหินมุมปิด เพราะอาจทําให้เพิ่ม IOP
คําแนะนํา : หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ให้ประคบเย็น
4. โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส (Viral conjunctivitis) หรือ pink eye
Contact lens
ข้อบ่งใช้ : ใช้ในการรักษาภาวะสายตาสั้น(myopia) สายตายาว(hyperopia) สายตาเอียง(stigmatism) สายตายาวในวัยสูงอายุ
(presbyopia)
ข้อห้ามใช้ :
- อาชีพในโรงงานผลิตโลหะ สายเคมี บุหรี่ เนื่องจากสารพิษอาจไปจับกับ contact len ทําให้เกิดพิษต่อกระจกตาได้
- chronic conjunctivitis , blepharitis, recurerent viral or bacterial or fungal infections
ประเภทของ contact lens ประกอบด้วย hard contact lens, Rigid gas-permeable lens และ soft contact lens
ตารางที่ 43.1 แสดงการเปรียบเทียบ contact lens แต่ละแบบ
Lens characteristics Hard lens Soft lens RGP lens
rigidity +++ 0 +++
Durability +++ + ++
Oxygen transmission 0 + +++
Chemical absorption 0 +++ 0
Visual acuity +++ + +++
Photophobia +++ + ++
Spectacle blur +++ 0 ++
Comfort + +++ ++
Adaptation period Weeks Days Days
Extended were No Yes yes
Preservative : ในปัจจุบันนิยมใช้ polyquaternium – 1 หรือ polyaminopropyl (biguanide) เนื่องจากมีประสิทธิภาพใน
การกําจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ยีสต์และมีรายงานอาการข้างเคียงต่าํ กว่ากลุ่มเก่า เช่น benzalkonium Cl, sorbic acid , EDTA
373
Drug – contact lens interactions :
1. Changes in tear film and or production
1.1 tear volume decreased : anticholinergics drug, TCA, antihistamines
Chapter 43
1.2 tear volume increased : cholinergic agents, reserpine
2. Lid or corneal edema : oral contraceptives, conjugated estrogen
3. Ocular inflammation : isotretinoin
ยาเทคนิคพิเศษ : การใช้ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา
1. ล้างมือให้สะอาด
เอกสารอ้างอิง
1. Fiscella RG, Lesar TS, Edward DP. In : Dipiro JT , Talbert RL , Yee GC , Matzke GR , Wells BG and Posey
LM. Pharmacotherapy A Pathophysiologic Approach. 7th ed. New York: The McGraw Hill companies;
2008. 1551 - 1563 .
374
Unit 7
EENT Disorders
2. Allergic rhinitis
Seasonal allergic rhinitis : มักจะเป็นซ้ําๆ ตามฤดูกาล เช่น ฤดูฝน
Perennial allergic rhinitis : มักจะเป็นคลอดทั้งปี เกิดขึ้นทุกวัน และเมื่อถึงฤดูฝนอาการจะยิ่งแย่ลงไปอีก
สาเหตุ
- เกิดจากสิ่งกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ (allergens) เช่น ฝุ่นละออง เกสร บุหรี่ ขนสัตว์ เป็นต้น
พยาธิสภาพ
1. Sensitization phase : Ag จะไปกระตุ้นการทํางานของ IgE แล้วมีการเกาะ mast cell
2. Early phase response : mast cell หลั่ง mediator ทําให้มีอาการ คัน (itching) และ จาม (sneezing)
3. cellular recruitment : มีการชุมนุมกันของเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
ตารางที่ 44.1 แสดงการเปรียบเทียบอาการระหว่าง common cold และ allergic rhinitis
Sign Common cold Allergic rhinitis
Sneezing Occurs Common
Nasal discharge Mucopurpulent Watery occurs
Occur esp. d 1-3 Anytime
Itching nose and eyes Occurs Common
Watering and redness of eye Common Common
Nasal congestion Common Common
Cough Common Uncommon
Fever Rare Absent
376
ภาวะแทรกซ้อน : sinusitis, otitis media with effusion, nasal polyps, sleep apnea, asthma, hyposmia
การรักษา
ยาบรรเทาอาการต่างๆ ได้แก่
Unit 7
- Antihistamine
- Decongestants
- Corticosteroids
- Cromolyn sodium : stabilization of mass cells
- Ipratopium bromide : anticholinergic agent (reduce rhinorrhea)
EENT Disorders
ยาที่ใช้ในโรคทางจมูกและคอ
1. ยาลดอาการคัดจมูก (Nasal decongestant)
เกิดจาก : การติดเชื้อ, การอักเสบ, การแพ้ ทําให้เกิด vasodilation ของเส้นเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูก
การออกฤทธิ์ : มีฤทธิ์เป็น sympathomimetic ทําให้เกิด vasoconstriction
*ยากลุ่มนีไ้ ม่ไดมีผลต่อการหลั่ง histamine จึงไม่สามารถลดอาการน้ํามูกไหลได้
ตารางที่ 44.2 : การแบ่งประเภทยาตามระยะเวลาในการออกฤทธิ์
Duration Drugs
Ephedrine, naphazoline, phenylephrine, tetrahydrozoline
Short – acting (≤ 4 – 6 hrs)
Need to be doses every 3 – 6 hours
Intermediate – acting ( 8 – 10 hrs) Xylometazoline
long – acting (≥ 10 hrs) Oxymetazoliine
* Need to be doses twice daily
รูปแบบของยากลุ่ม nasal decongestant
1. Topical preparation มี 3 รูปแบบ ได้แก่
nasal spray นิยมใช้ในเด็กโตและผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่ในเด็กเล็ก
drops : ใช้ในเด็กเล็ก อายุ > 2 ปี
inhaler : ใช้เมื่อมีอาการไม่มากนัก
อาการข้างเคียง : uncommon แต่อาจเกิด local irritation, trauma
* Not use longer than 3 – 5 days เพราะอาจทําให้เกิด recound effect
(Rebound effect หรือ Rhinitis medicamentosa เกิดจาก prolonded vasoconstriction )
การแก้ไขภาวะ Rhinitis medicamentosa
1.หยุด topical decongestant
2. ใช้ topical saline solution (0.4 – 0.6 %)
- มีฤทธิ์เป็น soothe , moisten nasal mucosa
- ลดการคะคายเคืองจาก rebound congestion
- เหมาะสําหรับสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรและเด็กอายุ < 2 ปี
หลังแก้ไขแล้ว mucous membrance จะกลับเข้าสู่ปกติภายใน 1 – 2 สัปดาห์
2. Oral preparation เช่น pseudoepedrine, phenylephrine
กลไก : constrict all vascular and stimulate CNS
อาการไม่พึงประสงค์ : กระวนกระวาย, นอนไม่หลับ, ตื่นเต้น , ใจสั่น, หัวใจเต้นเร็ว, ปวดศีรษะ
ข้อควรระวัง
- ผู้สูงอายุและเด็กอายุ < 6 ปี
- ผู้ป่วยโรคหัวใจและมีความดันโลหิตสูง
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เนื่องจาก S/E ยาทําให้มีอาการ tremor, nervousness ทําให้คล้ายกับการเกิด hypoglycemia
377
- benigh on prostatic hypertrophy เนื่องจาก ยาทําให้เกิดการหกตัวของ urinary sphrincter
ข้อห้ามใช้
ผู้ที่กําลังใช้ยารักษาอาการซึมเศร้าในกลุ่ม MAOIs
Chapter 44
2. ยาลดน้ํามูก
น้ํามูกไหลเกิดจากภาวะ viral rhinitis or common cold , allergic rhinitis
พยาธิสภาพ : มีการหลั่ง histamine จาก mast cells เพราะฉะนั้นยาที่ใช้ในการรักษาจะมีฤทธิ์เป็น antihistamines ที่ central
and peripheral histamine1 receptors (H1-receptor : อยู่ที่หลอดลม, gut, CNS)
ประเภทของยาลดน้ํามูก
3. Intranasal corticosteroids
ใช้ในการรักษา allergic rhinitis เนื่องจากโรคภูมแิ พ้ใช้ antihistamine ไม่ค่อยได้ผล
ยากลุ่มนีไ้ ด้แก่ beclomethasone, budesonide, flunisolide, triamcinolone
การออกฤทธิ์ : ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก คันในโพรงจมูกและน้ํามูกไหล
กลไกการออกฤทธิ์ : inhibit the activity of multiple cell type (e.g. mast cell, basophil, eosinophil,
neutrophils and other mediators )
อาการไม่พึงประสงค์ :
Minor ADR
Most common : จมูกแห้ง(local dryness), ระคายเคือง(irritation), headache, epistaxis , local infection
with candida albicans
378
3. ไอ (Cough)
Cough reflex
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในระบบทางเดินหายใจ สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นจะไปกระตุน้ ปลายประสาท vagus จึงเกิดการ
Unit 7
Postnasal drip syndrome อาจเกิดจาก allergic rhinitis , sinusitis 1th generation antihistamine
(PNDS) ทํ า ให้ มี น้ํ า มู ก ไหลลงคอไปกระตุ้ น cough +decongestant
***พบมากสุด receptor ทําให้ไอ (มักไอตอนตื่นนอน) - sinusitis ต้อง + antibiotic
- allergic rhinitis ต้อง+ corticosteroid nasal
spray
Chapter 44
การรักษา รักษาตามอาการ เช่น ยาขับเสมหะ หรือยาละลาย เสมหะ และไม่มีความจําเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ
เพราะว่าไม่มีการติดเชื้อของแบคทีเรีย
เสมหะและมีลกั ษณะข้น สีเขียว หรือสีเหลือง – แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย
การรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น amoxicillin + ยาขับเสมหะ หรือยาละลายเสมหะ
2. ไอแห้ง (ไม่มีเสมหะ) มักเกิดจากการระคายเคือง หรือคันบริเวณลําคอ ซึ่งอาจเกิดจากควันบุหรี่,อากาศเย็น , Asthma ,
GERD, ยา angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEI)
mechanism of action : ยามี free sulfhydryl group (-SH) ซึ่งสามารถทําลาย disulfide linkage ของ
mucopolysaccharide ของเสมหะได้ทําให้โมเลกุลของ mucopolysaccharide มีขนาดเล็กลง ทําให้เสมหะมี
ความเหนียวข้นหนืดน้อยลงและละลายน้ําได้มากขึ้นจึงขับออกได้ง่าย
Adverse reaction : GI irritation , N/V
2.1 Acetylcysteine
dosage form : ซองละ 100. 200 mg
Dose :
<2 year : ½ -1 ซอง (100 - 200 mg)
>2 year : 1-2 ซอง (200-400 mg) วันละ 2 ครั้ง นาน 5-10 วัน
Adverse reaction : คลื่นไส้ อาเจียน ไม่สบายท้อง จุกเสียดท้อง อาจมีไข้ ผื่นลมพิษ ผื่นแดง
2.2 Carbocysteine
* น้ําจะช่วยให้ mucus มีความหนืดน้อยลง เป็น more liquid mucus ดังนั้นการดื่มน้ํามากๆ จะช่วยลดความเข้มหนืดของ
mucus ลงได้
4. ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)
Sinusitis เป็นการอักเสบของโพรงอากาศรอบๆ จมูก ซึ่งมักเกิดร่วมกับ/หลังจากการอักเสบชองเยื่อบุช่องจมูก (rhinitis) โดย
sinus แบ่งออกเป็น
1.Maxillary sinus ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ดา้ นข้างของจมูกหรือใจ้แก้มลงไป
2. Ethmoid sinus อยู่บริเวณโคนจมูก และหัวตาแต่ละข้าง
3. Frontal sinus บริเวณหน้าผาก
4. Sphenoid sinus อยู่บริเวณตรงกลางของกะโหลกศีรษะ
ระบาดวิทยา
พบได้ในทุกลุ่มอายุ และมักจะพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของการติดเชือ้ URI และมีประวัติโรคภูมิแพ้
การแบ่งประเภทของ Sinusitis
ไซนัสอักเสบฉับพลัน (acute sinusitis) : มีอาการระหว่าง 4 สัปดาห์
ไซนัสอักเสบกึ่งฉับพลัน (subacute sinusitis) : มีอาการระหว่าง 4-12 สัปดาห์
ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (chronic sinusitis) : มีอาการระหว่าง 12 สัปดาห์ขึ้นไป
สาเหตุของการเกิด Sinusitis
เป็นหวัดแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง , ภูมิแพ้
อื่น ๆ เช่น ภูมิแพ้ เนื้องอกภายในจมูก
1. ไซนัสอักเสบฉับพลัน (acute sinusitis)
สาเหตุ
มักจะเกิดหลังจาก Viral URI โดยเฉพาะเป็นมากกว่า 7 – 10 วัน
อาการไอ น้ํามูกไหลสีเขียวปนเหลือง
ปวดศีรษะและใบหน้าในเด็กโตและผู้ใหญ่ ปวดหน้าจะเป็นมากขึ้นเวลาก้ม อาจปวดไปที่ฟันหรือเหงือกได้
381
Chapter 44
อาการเช่น คัดจมูกเรื้อรัง น้ํามูกข้นเหลืองหรือเขียวเป็นเรื้อรัง เสมหะข้นบริเวณคอหอย ปากมีกลิ่นเหม็น ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
เจ็บคอจาก postnasal drainage การรับกลิ่นเสีย อาจเกิด อาการปวดเมื่อยตามตัว
อาการผู้ใหญ่ : คัดแน่นจมูก ไข้ ปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณโพรงอากาศที่อักเสบ น้ํามูกและเสมหะข้น น้ํามูกอาจเป็น
น้ํามูกปนหนอง
อาการเด็ก : มีอาการของโรคหวัดนานกว่าปกติ เช่น มีน้ํามูกและไอ มากกว่า 10 วัน และอาการของโรคหวัดมักแรงกว่า
ปกติ
5. เจ็บคอ (Pharyngitis)
เจ็บคอ (Sore throat) : เป็นอาการของโรคหลายชนิด เช่น common cold, diphtheria
เจ็ บ คอ (Pharyngitis) : การอั ก เสบบริ เวณคอหอยและบริ เวณเนื้ อ เยื่ อ ของระบบน้ํ า เหลิ อ งที่ อ ยู่ บ ริ เวณใกล้ เคี ย ง
เนื่องมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
382
Acute pharyngitis
Tonsillopharyngitis, pharyngotonsillitis, tonsillitis คือ การอักเสบของpharynx และ lymphoid tissue โดยรอบ
ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อไวรัส (ส่วนใหญ่) หรือ เชื้อแบคทีเรีย (GAS: 5-10% ในผู้ใหญ่, 15-30% ในเด็ก) ส่วนใหญ่ในประเทศไทยพบ
10-50%ในเด็กนักเรียนและ 26-34%ในผู้ป่วยอายุ>15ปี
Unit 7
เชื้อก่อโรค
virus เช่น rhinovirus, coronavirus, HSV, adenovirus
bacteria: Streptococcus pyrogenes (group A β-hemolytic streptococci : GAS) จะพบได้มากที่สุด(15%)
ภาวะแทรกซ้อนของ GAS pharyngitis
rheumatic heart disease
EENT Disorders
acute glomerulonephritis
otitis media
peritonsillar abscess
ตารางการวินิจฉัยแยกโรคของอาการเจ็บคอ
Chapter 44
ไข้รูมาติกหรือหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน
Amoxicillin เป็น Drug of choice ให้นาน 10-14 วัน
ผู้ใหญ่ 250 mg bid-tid
เด็ก 500 mg bid-tid (หรือ 25-50 mg/kg/day devide bid-tid)
Penicillin V มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ Amoxicillin ในการรักษา GAS pharangitis ให้นาน 10 วัน
ผู้ใหญ่ 500 mg bid-tid
ยาเทคนิคพิเศษ : การใช้ยาหยอดจมูก
1. ถ้ามีน้ํามูกให้กําจัดเอาน้ํามูกออกจากจมูกให้หมด
2. ล้างมือให้สะอาด
3. เปิดฝาครอบขวดยาออก
4. นั่งตัวตรงเอียงศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย
5. หยดยาในรูจมูกตามที่กําหนดโดยไม่ให้ปลายหลอดหยดสัมผัสกับโพรงจมูก
6. นั่งในท่าเดิมต่อประมาณ 5 นาที เพื่อป้องกันยาไหลย้อนกลับ
7. ทําความสะอาดปลายหลอดหยดด้วยน้ําสะอาด ซับให้แห้งแล้วปิดฝาเก็บให้เรียบร้อย
ข้อแนะนําอื่นๆ
- ยาหยอดจมูกที่ใช้บรรเทาอาการคัดจมูก ควรใช้เมื่อจําเป็น และใช้ยาติดต่อกันไม่เกิน 3 – 5 วัน
- ถ้ายาหยอดจมูกเปลี่ยนสีหรือมีตะกอนให้ทิ้งไป
- ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น
384
ยาเทคนิคพิเศษ : พ่นจมูก
1. ถ้ามีน้ํามูกให้กําจัดเอาน้ํามูกออกจากจมูกให้หมด
2. นั่งตัวตรงเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยหรือตั้งศีรษะตรง หรือก้มศีรษะ
Unit 7
เอกสารอ้างอิง
1. Khaliq Y, Forgie S, Zhanel G. In : Dipiro JT , Talbert RL , Yee GC , Matzke GR , Wells BG and Posey LM.
Pharmacotherapy A Pathophysiologic Approach. 7th ed. New York: The McGraw Hill companies; 2008.
1779 - 1788 .
Chapter
45 Common Ear Disorders
นศภ.บวรรัตน์ ลาภประเสริฐ
1.โรคของหูชั้นนอกที่พบบ่อย
สิ่งแปลกปลอมเข้าหู : มักจะเกิดในเด็กเล็ก ทําให้เกิดอุดตัดและปวดหูมาก
ขี้หอู ัดแน่น (impacted cerument) : มีการสะสมของขี้หูมาก อาจเกิดจากต่อมไขมันมีการผลิตไขมันมาก
Swimming otitis externa : มักจะพบในนักกีฬาว่ายน้ําหรือผู้ที่ว่ายน้ําเป็นประจํา
การรักษา : หยอดยาหลังว่ายน้าํ Boric acid2% + alc 30% อัตราส่วน 1 : 1
น้ําส้มสายชูกลั่น 8 หยด + alc 70% จํานวน 10 ml
ติดเชื้อราในช่องหูชั้นนอก (otomycosis) :
สาเหตุ : เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน, ติดเชื้อซ้ํา, เคยได้รับการผ่าตัดหู, ภูมิคุ้มกันบกพร้อง, อากาศร้อน ชื้น
เชื้อราที่พบบ่อย ได้แก่ Aspergillus, Candida, Yeast
อาการ คัน หูอื้อ น้ําไหลจากหู หูมกี ลิ่นเหม็น การได้ยินลดลง ช่องหูบวมแดง และจะมองเห็น hyphae ของเชื้อรา
การรักษา : ใช้ยาหยอดหูที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา ได้แก่ nystatin, amphotericin B, 1% gentian violet
ฝีที่หูชั้นนอก (Acute furunculosis)
สาเหตุ: เกิดจากเกิดจากเชื้อ Staphylococcus, Streptococcus
เชื้อราที่พบบ่อย ได้แก่ Aspergillus, Candida, Yeast
อาการ ปวดหูมาก ใบหู ช่องหูจะบวม หากโยกใบหูจะปวดมากยิ่งขึ้น
การรักษา :
ยากิน : cloxacillin หรือ dicloxacillin
ยาหยอดหู : chloramphenicol
ยาทา : tetracycline, gentamicin
2.โรคของหูชั้นกลางที่พบบ่อย
โรคหูน้ําหนวกหรือหูชั้นกลางอักเสบ (otitis media)
- Acute otitis media เป็นโรคติดเชื้อของหูชั้นกลาง พบได้บ่อยในเด็ก อายุ 6 เดือน – 3 ปี
สาเหตุเกิดจาก
- เด็กเล็ก ดูดนม นอนราบ หรือ เป็นหวัดบ่อยๆ
- ว่ายน้ําหรือดําน้ําบ่อย
- โรคของจมูก เช่น หวัด ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ
- น้ําคั่งในหูนาน
โดยเชื้อที่พบบ่อย ได้แก่ Streptococcus pneumoniae, Hemophillus influenza, Moraxella catarrhalis
อาการ : ไข้ ปวดหู หูอื้อ , มี effusion เป็นหนองข้น หรือน้ําใสคล้ายน้ําหนองไหลออกจากหู , เยื่อแก้วหูทะลุ
* ในเด็กจะมีร้องไห้งอแง เบื่ออาหาร อาเจียน นอนไม่หลับ มักใช้นิ้วแหย่รูหู ไม่ยอมให้จับหู มักพบร่วมกับการติดเชื้อ
ในทางเดินหายใจมานานหลายวัน
การรักษา :
DOC : amoxicillin (20 – 45 mg/kg q 12 hr )
หลังจากได้ amoxicillin 3 วันแล้วถ้าอาการทางคลินิกไม่ดีขึ้น ถือว่าการรักษาล้มเหลว
ยาทางเลือกที่แนะนําให้ใช้ คือ
- Amoxicillin/clavulanate
- Oral 2 nd snd 3 rd generations cephalosporins (eg. Cefuroxime, cefixime, cefdinir)
- Ceftriaxone IM
- Azithromycin, clindamycin
ภาวะแทรกซ้อนของ AOM ได้แก่ hearing loss, meningitis, brain abscess, perforation of tympanic
membrance
386
อาการวิงเวียนศีรษะ (vertigo)
อาการเวียนศีรษะเป็นภาวะสิ่งแวดล้อมอยู่กับที่แล้วร่างกายเราเหมือนไม่นิ่ง หรือ ร่างกายเราอยู่นิ่ง แต่เหมือนสิ่งแวดล้อม
เคลื่อนที่ โดยเกิดจากความผิดปกติที่ vestibular system นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆ เช่น ทรงตัวไม่อยู่ คลื่นไส้ อาเจียน
เหงื่อแตก ตากระตุก
สาเหตุของ vertigo แบ่งได้เป็น
1. peripheral vestibular apparatus (cochlear) เช่น labyrinthitis, meniere’s dz labytrinthine dysfunction,
ยากลุ่ม Aminoglycosides
- มีอาการรุนแรงมากกว่า เพราะเกิดขึ้นในหู
- ทําให้เกิดการสูญเสียการได้ยินและมีเสียงในหู (tinnitus) ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน
2. central vestibular apparatus
- มีอาการรุนแรงน้อย
- มีความผิดปกติของระบบประสารทส่วนกลาง เช่น branstem , cerebellum, vascular , demyelinating dz
ยาสําหรับอาการเวียนศีรษะ (antivertigo agents)
- ยาแก้เวียนศีรษะ เช่น dimenhydrinate
- ยาจําเพาะสําหรับสาเหตุเฉพาะโรค
- กายภาพบริหาร เช่น ให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ บนพื้นราบในท่าที่สบายทีส่ ุด
- การรักษาด้วยการผ่าตัด เมื่อรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล
Chapter 45
o Aminoglycoside เช่น neomycin, soframycin, gentamicin ใช้ได้ผลดีต่อเชื้อ E.coli, Klebsella,
Salmonella แต่ไม่ค่อยได้ผลกับเชื้อ Pseudomonas
o กลุ่ม Polypeptide เช่น polymyxin B, bacitracin, gramicidin โดย
polymyxin B → gram positive esp. Pseudomonas
bacitracin, gramicidin → gram positive และ anaerobe
o กลุ่มอื่น ๆ เช่น tetracycline, erythromycin ออกฤทธิ์กว้าง แต่ฆ่า pseudomonas ไม่ได้
ยาเทคนิคพิเศษ : การใช้ยาหยอดหู
1. ล้างมือให้สะอาด
2. ถ้ายาหยอดหูเย็นกว่าร่างกาย ให้เอาขวดยาใส่ในฝ่ามือและกําไว้สัก 2 – 3 นาที
3. เอียงศีรษะให้หูข้างที่จะหยอดยาหันขึ้นข้างบน
4. หยอดยาโดยระวังอย่าเอาหลอดหยดสอดเข้าไปในรูหู เพราะหลอดหยดอาจทําให้เกิดบาดแผลได้
5. นอนตะแคงหรือเอียงศีรษะในท่าเดิม 3 – 5 นาที หรืออาจเอาสําลีใส่ในรูหูข้างที่หยอดยาเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้
ยาไหลออกจากรูหู
388
Unit 7
EENT Disorders
Chapters
46 Rheumatoid Arthritis (RA)
47 Osteoarthritis (OA)
48 Gout
49 Connective Tissue Disease
50 Osteoporosis and Osteomalacia
. PHARMACETICAL SCIENCES .
PRINCE OF SONGKLA UNIVERISTY
Rx 30 (Pharm Care) & 31 (Chem)
(This page is intentionally left blank)
Chapter
46 Rheumatoid Arthritis
นศภ.จริยา เพิ่มวัฒนชัย
Definition
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis, RA) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่
ยังไม่ทราบพยาธิกําเนิดแน่ชัด มีลักษณะเด่นคือ มีการอักเสบเรื้อรังของข้อต่อโดยเฉพาะข้อมือและข้อนิ้วมือร่วมกับมีการอักเสบ
ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอาการแสดงนอกข้อ นําไปสู่การผุกร่อนและการทําลายข้อรวมทั้งเนื้อเยื่อแต่ละระบบอย่าง
ต่อเนื่อง ทําให้สมรรถภาพในการทํางานลดลงและเกิดอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเร็วกว่าประชากรทั่วไป
Etiology
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายองค์ประกอบรวมกัน ได้แก่ พันธุกรรม ฮอร์โมน และการติดเชื้อบางชนิด เช่น
Mycoplasma, Epstein-Barr virus เป็นต้น อัตราส่วนในผู้หญิงต่อผู้ชายคิดเป็น 2-5 : 1 พบได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่พบบ่อยที่สุด
ในช่วงอายุ 40-70 ปี และพบมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
Pathophysiology
ยังไม่ทราบชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากกระบวนการดังต่อไปนี้
เมื่อมี antigen เข้ามาใน joint
เกิดกระบวนการ antigen presentation ให้กับ T-lymphocyte
จากนั้น T-lymphocyte จะกระตุน้ Macrophage ให้หลั่ง cytokine
และกระตุ้น B-cell หลั่ง antibody เพื่อจับกับ antigen
เกิดกระบวนการอักเสบจากการหลั่ง cytokine ต่าง ๆ ออกมา
(เช่น IL-1, IL-2, IL-6, IL-10, TNF-, IFN-γ)
จากนี้ยังมี การกระตุ้นเซลล์ชนิดอื่นๆ ที่ อยู่ในเยื่อบุ ข้อ เช่น fibroblast-like synoviocyte, B-cells, dendritic cells
และ monocyte ทําให้มีการสร้าง cytokine มากขึ้นและก่อให้เกิดการทําลายโครงสร้างของข้อมากขึ้นในที่สุด
Sign and symptom
อาการนํา
ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อย ปวดข้อ น้ําหนักลด ไข้
อาการที่เกิดขึ้นกับข้อ (articular involvement)
มีอาการปวดข้อและมีการยึดติดของข้อ นอกจากนี้ยังมีการอักเสบร่วมด้วย ได้แก่ ปวด บวม แดง ร้อน โดยข้อ
ที่ เจ อ บ่ อ ย สุ ด คื อ ข้ อ ก ล างนิ้ วมื อ (proximal interphalangeal joint, PIP) รอ งล งม า คื อ ข้ อ โค น นิ้ วมื อ
(metacarpophalangeal joint, MCP) แ ล ะ ข้ อ ป ล าย นิ้ ว มื อ (distal interphalangeal joint, DIP) ต าม ลํ าดั บ
นอกจากนี้ยังสามารถพบที่ข้ออื่น ๆ ได้ด้วย เช่น โคนนิ้วเท้า ข้อเข่า ข้อศอก โดยมักเกิดในลักษณะที่สมมาตรในทั้ง 2 ข้าง
เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีการทําลายกระดูกอ่อนผิวข้อ (bone erosion) กล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ ข้อลีบ เกิดการดึง
รั้งของเอ็นจนทําให้เกิดข้อผิวรูป (deformity) และพิการตามมาได้
392
Unit 8
Bone and Joint Disorders
Chapter 46
- C-reactive protein ไม่ specific ค่าอาจเพิ่มในคนปกติ
- ANA (antinuclear antibody) positive ไม่ specific
- Hematology เพื่อดูว่าเกิดภาวะ anemia (เม็ดเลือดแดงจะมีสีและขนาดปกติ)
- X-ray พบ joint space narrow ร่วมกับ bone erosion
Differential Diagnosis
Rheumatoid Arthritis
Gouty : ช่วงที่ gout attack มีอาการปวดรุนแรง มีค่า uric acid ในเลือดสูง
OA : มักเป็นข้อใหญ่ ๆ, มักเกิดที่ DIP มากกว่า, X-ray พบ joint space narrow + osteophyte แต่ไม่พบ erosion
Treatment
Nonpharmacological
- ให้ความรู้เรื่องโรคและการปฏิบัติตัว
- พักข้อที่เกิดการอักเสบ เพื่อลดอาการปวด
- ลดน้ําหนัก กรณีน้ําหนักเกิน เพื่อลดแรงต่อข้อ
- ใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อลดการใช้ข้อ เช่น walker
- ผ่าตัดเปลี่ยนข้อ
Pharmacological
- ยาลดอาการปวด/อักเสบ
1. NSAIDs
2. Low dose oral corticosteroid
3. Intra-articular corticosteroid injection
- ยากลุ่ม Disease Modifying Anti-Rheumatic Drugs (DMARDs)
1. Methotrexate (MTX)
2. Antimalarial
- Chloroquine
- Hydroxychloroquine
3. Gold
- Auranofin (oral)
- Gold sodium thiomalate (IM)
4. Penicillamine
5. Sulfasalazine (SSZ)
6. Leflunomide (LEF)
- DMARDs กลุ่ม immunosuppressive drugs
1. Azathioprine (AZA)
2. Cyclophosphamide
3. Cyclosporin (CsA)
- Biological agent
1. Etanercept
2. Infliximab
3. Adalimumab
4. Anakinra
394
หลักการเลือกใช้ยา
MTX หรือ DMARD ตัวอื่น
± NSAIDs
Unit 8
± Prednisolone
ภายใน 3 เดือนหลัง Dx RA
Response Poor response
Bone and Joint Disorders
Poor response
Chapter 46
ยากลุ่ม Disease Modifying Anti-Rheumatic Drugs (DMARDs)
- ช่วยลดการดําเนินไปของโรค ป้องกันการทําลายข้อ การสูญเสียการทํางานของข้อ
- หญิ ง วั ย เจริ ญ พั น ธุ์ ควรมี ก ารคุ ม กํ า เนิ ด ขณะใช้ ย า โดยเฉพาะ MTX และ Leflunomide เพราะอาจเกิ ด
teratogenic ได้
- นิยมใช้ ได้แก่ Methotrexate, ยา antimalarial, Sulfasalazine และ Leflunomide
Rheumatoid Arthritis
- เคยนิ ย มใช้ ใ นอดี ต ได้ แ ก่ Azathioprine, Penicillamine, Cyclosporine, Cyclophosphamide และ Gold
ใช้น้อยลงในปัจจุบันเนื่องจากมีผลข้างเคียงมากและมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ํา
Methotrexate (MTX)
- MOA : inhibit leukotriene synthesis และ inhibit dihydrofolate reductase
- มักเลือกเป็นอันดับแรก : ออกฤทธุ์เร็ว ประสิทธิภาพดี ใช้ได้นาน 2-5 ปี
- ขนาดยา : 7.5 mg/wk เพิ่มได้จนถึง 10-20 mg/wk อาจให้ 3 tab 1 ครั้งใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 tab จ-พ-ศ
- ต้องให้ Folic acid 1-2 mg/day เสริม เพื่อลดผลข้างเคียงคือ ผมร่วง, แผลในปาก, คลื่นไส้
Antimalarial
- Chloroquine & Hydroxychloroquine
- ประสิทธิภาพต่ํา แต่ปลอดภัยกว่ายาอื่น เนื่องจาก ไม่กดไขกระดูก ไม่เกิดพิษต่อตับและไต
- ขนาดยา : Chloroquine 250 mg/day
Hydroxychloroquine 300-400 mg/day
- หากเกิดอาการคลื่นไส้ อาจให้กินยาก่อนนอน
Gold Auranofin (oral)
- ประสิทธิภาพต่ํา
- Side effect มาก
- Onset 6 เดือน
- มักต้องหยุดยาจากผลข้างเคียง ท้องเสีย
2 Gold sodium auro-thiomalate (IM)
- ประสิทธิภาพต่ํา
- Side effect มาก
- Onset 3-6 เดือน
Penicillamine
- MOA : inhibit pymimidine synthesis
- ประสิทธิภาพดี แต่ onset ช้า (3-6 เดือน) จึงไม่ค่อยนิยมใช้
- ขนาดยา : 250 mg/day สามารถเพิ่มเป็น 500 mg/day ได้หลังใช้ 4-6 สัปดาห์
- กรณีแพ้ Penicillin ถ้าจําเป็น อาจพิจารณาใช้ได้ เนื่องจากเกิด cross reactivity ได้น้อยมาก
Sulfasalazine (SSZ)
- MOA : Inhibit T-cell activity, ลด B-cell proliferation
- นิยมใช้ ประสิทธิภาพดีเทียบเท่า antimalarial
- Onset 8-12 wk
- ขนาดยา : 500 mg/day 1 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 2-3 g/day
- กรณีกินยาแล้ว N/V อาจเปลี่ยนเป็นกินพร้อมอาหาร ถ้าเป็นมากพิจารณาเปลี่ยนยา
Leflunomide (LEF)
- MOA : inhibit pymimidine synthesis, inhibit tyrosine kinase (ในเซลล์ที่กําลังแบ่งตัว
- มักใช้ add กับ MTX หรือยาอื่น ๆ
- ประสิทธิภาพดี onset 1 เดือน
- ขนาดยา : LD 100 mg/day 3 วัน ตามด้วย 20 mg OD
396
ตารางที่ 46.1 แสดงผลข้างเคียง การติดตาม และข้อห้ามใช้ของยากลุ่ม DMARDs
ยา Common Side Effects Serious Side Effects Monitor ข้อห้ามใช้
Methotrexate คลื่นไส้, แผลในปาก, ท้องเสีย, กดไขกระดูก CBC - ไตเรื้อรัง
Unit 8
Chapter 46
Azathioprine คลื่นไส้, ท้องเสีย, ปากอักเสบ - กดไขกระดูก CBC q 1-2 wk - หญิงตั้งครรภ์
(AZA) - พิษต่อตับ LFT (Cat. D)
- ตับอ่อนอักเสบ
Cyclophos- N/V - กดไขกระดูก CBC - หญิงตั้งครรภ์
phamide - Nephritis Urinalysis (Cat. D)
Cyclosporin N/V, เหงือกโต, ปวดหัว - HT CBC - Preg. Cat : C
Rheumatoid Arthritis
(CsA) - Hyperglycemia Urinalysis
- พิษต่อไต
Biological agent
- ใน RA พบว่า TNF- เป็น cytokine ที่กระตุ้นการอักเสบ พบเป็นปริมาณมากในบริเวณเยื่อบุข้อและน้ําไขข้อ
ซึ่ง TNF- นี้ มีบทบาทใน RA ได้แก่
1. กระตุ้นการหลั่ง cytokine อื่น ๆ ได้แก่ IL- 1, IL-6, GM-CSF, chemokines
2. ก ระตุ้ น ก ารห ลั่ ง inflammatory mediator ได้ แ ก่ PGE2, leukotrienes, platelet activating
factor (PAF), nitric oxide และ oxygen radicals
3. กระตุ้นการทํางานของ lymphocyte, dendritic cell, neutrophil ในแง่ของการอักเสบ
ดังนั้นจึงมีการนํา Anti-TNF agent มาใช้ ได้แก่ Etanercept, Infliximab, Adalimumab
- นอกจากนี้ยังมีการนํายากลุ่ม IL-1 receptor antagonist มาใช้ด้วย ได้แก่ Anakinra
- ก่อนเริ่มให้ยากลุ่ม Biological agent ต้องทํา skin test และ chest radiograph เพื่อตรวจดู Tuberculosis
- ผู้ป่ วยต้องมีเกณฑ์ การไม่ ตอบสนองต่อ การรัก ษาด้วย DMARDs ก่ อน จึ งเริ่มใช้ Biological agent ร่วมกั บ
DMARDs ตามหลักการเลือกใช้ยา โดยเกณฑ์การไม่ตอบสนองต่อการรักษา ได้แก่
1. ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย DMARDs โดยผ่านการใช้ยาในขนาดเต็มที่ (standard target doses)
ดังแสดงในตารางที่ 3 หรือในกรณีที่ผู้ป่วยทนยาในขนาดเต็มที่ไม่ได้เนื่องจากเกิดผลข้างเคียง
2. ได้ DMARDs อย่างน้อย 3 ชนิ ด ได้แก่ MTX, LEF, Antimalarial, SSZ, AZA, gold injection, CsA
โดยหนึ่งในยา DMARDs ที่เคยใช้ควรเป็น MTX (ถ้าไม่มีข้อห้าม) และต้องได้รับยา DMARDs ในขนาด
เต็มที่ (standard target doses) ต่อเนื่องกัน > 3 เดือน
3. มีข้อห้ามในการใช้ DMARDs เช่น ติดเชื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้, ตั้งครรภ์/ให้นมบุตร, หัวใจล้มเหลว
NYHA function class III/IV (เฉพาะกลุ่ม anti-TNF), มีประวัติโรคมะเร็งภายในระยะเวลา 10 ปี
- กรณีผ่าตัดไม่เร่งด่วนควรหยุดล่วงหน้าก่อน เช่น Etanercept ควรหยุดล่วงหน้า 2 สัปดาห์
- การพิจ ารณาให้ Biological agent ตัวที่ 2 สามารถทํ าได้ในกรณี ผู้ ป่ วยแพ้ ยา Biological agent ชนิ ดแรก
รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยาตัวแรก การให้ Biological agent ตัวที่ 2 แนะนําให้เลือกที่มีกลไกต่างกัน
- ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้ Biological agent
1. โรคที่มีการอักเสบและทําลายของปลอกหุ้มประสาท (demyelinating disease )
2. ภ า ว ะ progressive multifocal leukoencephalopathy (PML), อ า ก า ร ท า ง autoimmune
diseases อื่น ๆ และมะเร็งต่อมน้าเหลืองในผู้ป่วยเด็ก
3. เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค
Etanercept
- ประสิทธิภาพดี ออกฤทธิ์เร็วกว่า MTX
- ให้ร่วมกับ MTX เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
- ฉีด SC 25 mg 2 ครั้ง/wk
398
Infliximab
- ประสิทธิภาพดี ออกฤทธิ์เร็ว
- ให้ร่วมกับ MTX
- IV drip 3 mg/kg/ครั้ง ในสัปดาห์ที่ 0, 2, 6 และทุก 8 สัปดาห์
Unit 8
Adalimumab
- ให้ร่วมกับ MTX เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
- ฉีด SC 40 mg q 2 wk
Anakinra
- ไม่ควรให้ร่วมกับยากลุ่ม Anti-TNF agent เนื่องจากเพิ่มการกดไขกระดูก
Bone and Joint Disorders
เอกสารอ้างอิง
1. สุ ป ระภาดา สุ ปิ งคลั ด , สมชาย อรรฆศิ ล ป์ . การรั ก ษาแนวใหม่ ในโรคข้ อ อั ก เสบรู ม าตอยด์ (New Treatments in
Rheumatoid Arthritis).
2. สมาคมรู ม าติ ส ซั่ ม แห่ ง ประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิ บั ติ ก ารใช้ ส ารชี ว ภาพในการรั ก ษาโรคข้ อ อั ก เสบรู ม าตอยด์
(Guideline for Biological Therapy in Rheumatoid Arthritis):1-36.
3. ศราวุ ฒิ อู่ พุ ฒิ นั น ท์ . หลั ก การใช้ ย าในโรคเกาต์ ข้ อ เสื่ อ ม และข้ อ อั ก เสบรูม าทอยด์ (Pharmacotherapy of Gout,
Osteoarthritis and Rheumatoid arthritis). เภสัชบําบัด3. 2552;60-90.
47
Osteoarthritis (OA)
Chapter
นศภ.จริยา เพิ่มวัฒนชัย
Definition
เป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นในข้อ ตําแหน่งที่มีผลเด่นชัดคือ กระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) มีการเสียหายเกิดขึ้น
อย่างช้า ๆ ต่อเนื่องมากขึ้นตามกาลเวลา ไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ นอกจากนี้กระดูกบริเวณใกล้เคียงก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย
เช่น ขอบกระดูกในข้อ เกิดการสร้าง osteophyte (กระดูกงอก) มักเกิดในข้อที่ต้องรับน้ําหนัก
Anatomy and physiology
กระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) เป็นพื้นผิวของข้อต่อ ทําให้การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปโดยราบรื่น และทํา
หน้าที่รับแรงที่ผ่านสู่ข้อ โดยกระจายแรงไปยังส่วนต่าง ๆ ของข้อ คุณสมบัตินี้ต้องอาศัย collagen (เป็นแรงตึงผิวของกระดูกอ่อน
ผิ ว ข้ อ เพื่ อ ให้ รู ป ร่า งคงอยู่ แ ละปกป้ อ งโครงสร้ า งภายใน), proteoglycan (เพิ่ ม elasticity และต้ า นต่ อ แรงกด) และ water
ส่วนประกอบเหล่านี้เรียกรวมว่า matrix
อายุ สําคัญที่สุด มักพบในคนอายุ >40 ปี
- อายุ >55 ปี พบ hip OA ในชาย > หญิง , พบ interphalangeal and thumb OA ในหญิง > ชาย
Sign and symptom
ปวดข้อ (ไม่มีอักเสบ บวม แดง ร้อน) ถ้าพักแล้วจะดีขึ้น
Bone and Joint Disorders
หลักการเลือกใช้ยา
Mild-moderate pain Paracetamol up to 4g/day ± Topical capsaicin
If fail or inflammation NSAIDs
Not response Others NSAIDs or Opioid
401
ยาแก้ปวด/ลดการอักเสบ
Paracetamol เป็น drug of choice : max dose 4 g/day
- ลดขนาดยาสูงสุดลง 50-75% ในผู้ที่มีภาวะตับบกพร่อง หรือมีประวัติติดแอลกอฮอล์
Chapter 47
- DI : Paracetamol (ขนาดสูง/ใช้นาน) + Warfarin ยับยั้ง metabolism Warfarin ถ้าจําเป็ นต้องใช้ร่วมกัน
ไม่ควรใช้เกิน 2 g/day
NSAIDs
- หลักในการใช้ NSAIDs ใน OA คือ ใช้ขนาดยาต่ําสุดที่มีประสิทธิภาพในการลดปวดและอักเสบ
- ใช้หลังจาก Paracetamol ไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบของข้อ
- ผู้ป่วยแต่ละคน ตอบสนองต่อการใช้ NSAIDs ต่างกัน
Osteoarthritis
- ขณะใช้ยาควรดื่มน้ํามาก ๆ เพื่อลด nephrotoxicity โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ
- หลังใช้ยา 1 เดือนแล้วไม่ได้ผล ให้หยุดหรือเปลี่ยนยา
- หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ที่มีประวัติโรคหืด
- ผู้ที่มี ภาวะเสี่ย งต่อระบบหั วใจและหลอดเลือดสู งได้แก่ IHD, Stroke ไม่ค วรใช้ NSAIDs และ specific COX-2
inhibitors แนะนําให้ใช้ Paracetamol หรือ opioids แทน
- COX-2 inhibitors :
• ประสิทธิภาพไม่แตกต่างกับ Non-selective NSAIDs
• ใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน GI
• ข้อห้ามใช้ : หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร, แพ้ยากลุ่ม Sulfonamide
• หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือหลอดเลือดสมอง
Tramadol
- ใช้ยาเดี่ยว หรืออาจใช้ร่วมกับ NSAIDs/Paracetamol
- ขนาดที่ใช้ 50-100 mg ทุก 4-6 hrs (max dose 400 mg/day)
- side effect : มึนงง N/V
- ระวังการใช้ในผู้ที่มีประวัติชัก หรือกินยาที่ลดระดับ seizure threshold เช่น SSRI, TCA, Opioid, MAOI เพราะ
จะเพิ่มโอกาสเกิดชักได้ง่าย
Opioid : Morphine, Methadone, Propoxyphene, Codeine, Oxycodone
- ใช้กรณีปวดรุนแรงและให้ในระยะเวลาสั้น ๆ
- side effect : มึนงง N/V ง่วง ท้องผูก
- ระวังการใช้ขนาดสูงในคนแก่ เนื่องจากทําให้ง่วงและกดการหายใจ
Glucocorticoids
- ไม่แนะนํา systemic corticosteroid ใน OA เนื่องจากอาการข้างเคียงจากการใช้ยาระยะยาว
- ใช้ฉีดเข้าข้อให้กับผู้ป่วยที่อาการกําเริบรุนแรง
- ไม่ควรฉีดซ้ําภายใน 4-6 เดือน หลังฉีดครั้งแรก และไม่ควรใช้ >3-4 ครั้ง/ปี (ใช้บ่อย จะเร่งการทําลายกระดูกอ่อน)
- ยาที่ใช้ : Triamcinolone 40 mg ฉีดเข้าข้อ
- ข้อบ่งใช้ : มีน้ําในข้อ, มีข้อห้ามในการใช้ยา NSAIDs
Topical analgesics
- เช่น capsaisin 0.075% หรือ 0.25% จากพริก ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างและหลั่ง substance P
- ใช้เดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยาอื่น
- ทาวันละ 4 ครั้ง (ไม่ต้องถูนวด) หลัง 2 wk อาการปวดลดลง สามารถลดความถี่การทาได้
Symptomatic slow-acting drug/Structure modifying drug
ผลระยะยาวสามารถป้องกันและชะลอโรค OA
Hyaluronic acid
- รักษา OA ที่เป็นปานกลางถึงมาก ใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล
- ช่วยเพิ่มความหนืดและการทํางานของน้ําไขข้อ เคลื่อนไหวดีขึ้น ลดอาการปวด
- ฉีดเข้าข้อ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง นาน 3-5 สัปดาห์
- side effect ปวดบริเวณที่ฉีด
402
Glucosamine sulfate
- เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง glycosaminoglycans ในกระดูกอ่อน ช่วยในการสร้าง ซ่อมแซม และชะลอการทําลาย
cartilage นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้มีการสร้าง hyaluronic acid
- รับประทาน 500 mg ac TID หรือชนิดผง 1,500 mg 1 ซองละลายน้ํา 1 แก้ว ac OD ใช้นาน 6-8 wk เพื่อลด
Unit 8
Chapter 47
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแต่จะมีค่าเอนไซม์ของตับสูงขึ้นและเมือ่ หยุดยาหรือลดขนาดยาลง ค่าเอนไซม์ของตับ
จะกลับมาสู่ปกติ
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้ NSAIDs มีผลต่อตับเพิ่มขึ้น ได้แก่
1. ผู้ป่วยที่มีอายุมาก
2. มีประวัติตับอักเสบ
3. โรคพิษสุราเรื้อรัง
Osteoarthritis
4. ผู้ป่วยที่ใช้ยา NSAIDs ในขนาดสูงมากใช้ระยะเวลานาน
- กลุ่มปัจจัยเสีย่ ง ควรเลือกยา Ibuprofen, Ketoprofen
ผลข้างเคียงต่อไต
- PGI และ PGE ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากเอนไซม์ COX-1 ที่ไต มีหน้าทีข่ ยายหลอดเลือดที่ไต, ควบคุม renal blood
flow, glomerular filtration rate และเพิม่ การขับน้ําและเกลือโซเดียมออกจากร่างกาย
- NSAIDs จะยับยั้งการทํางานของ COX-1 ในไต จึงทําให้เกิด edema, hypertension, hyperkalemia โดยเฉพาะ
ผู้ป่วย DM ที่มีการทํางานของไตบกพร่อง หรือในผู้ป่วยที่ได้รับยากลุม่ BB, ACEI, K-sparing diuretic
- การป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตจากยา NSAIDs
1. ดื่มน้ํามาก ๆ
2. ในผู้ที่มีความเสี่ยง ควรเลือกยาที่มีผลกระทบต่อไตน้อยและใช้ยาขนาดต่ํา
3. หลีกเลี่ยงการใช้ half life ยาว
4. หลีกเลี่ยงยา Indomethacin เนื่องจากมีรายงานเกิดการอักเสบของไตได้บ่อย
นศภ.กรวิช นวลแก้ว
Analgesics (ยาระงับปวด)
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1.) Narcotic analgesics (Opioids) จะออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง (CNS)
2.) Non-narcotic analgesics (NSAIDs) จะออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนปลาย (PNS)
Bone and Joint Disorders
Chapter 47
D
D
Osteoarthritis
Morphinans - Lack of E ring Benzomorphanes - Lack of E, C ring
Lack of 6-OH
Lack of 7-8 DBs
E D
Tertiary amine
Ether bridge
Bone and Joint Disorders
SAR of Morphines
I. Modifications on aromatic ring system (3-OH group):
1. Phenyl ring Essential for activity.
2. Remove of 3-OH Activity ↓
3. Etherification and Esterification Activity ↓
II. Modifications on alicyclic ring system (6- OH group):
1. Etherification and Esterification Activity↑ (Lipophilicity↑) เข้าสมองง่าย
Example: Codeine, Heroin
2. Oxidation to Ketone
- มี 7, 8-double bond Activity ↓ (สูญเสีย Conformation)
- ไม่มี 7, 8-double bond Activity ↑
Position gives more potent compounds. Example: Dihydromorphine, Dihydrocodeine.
3. Remove of 6-OH Activity↑ (ถ้าไม่มี 7, 8-double bond ก็ยิ่ง Activity↑)
III. Modifications of Nitrogen:
1. Quaternary N and N-Oxide Inactive (มีประจุบวก จึงไม่เข้าสมอง)
2. ขนาดของ Nitrogen บอกถึง ความแรงและคุณสมบัติของการเป็น Agonist, Antagonist
- ถ้าเติม N-methyl จะเป็น Agonist
- หากเพิ่มขนาดของ Nitrogen เป็น 5 atom หรือเป็น N-cycloalkyl methyl Antagonistic properties ↑
- เพิ่ม C มากขึ้น C6 หรือเป็น N-Aralkyl (Aromatic ต่อ Alkyl) ฤทธิ์จะเป็น Agonist Activity ↑
3. ตําแหน่ง axial และ Equatorial
407
Chapter 47
Osteoarthritis
IV. Modifications of Ether Bridge:
1. Break Ether Bridge and open piperidine ring Activity ↓ Reduce activity by 90%
Morphine sulfate / HCl
ใช้สําหรับ Severe และ chronic pain โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ตําแหน่ง binding sites opioid agonist ผ่านการจับ
enkephalin receptor และเหนีย่ วนําให้เกิดการปลดปล่อย substance P ซึ่งเป็นสารสื่อประสาท จึงทําให้อาการปวดลดลง
Morphine เป็น Prototype opioid ซึ่ง selective ต่อ µ-receptor
โดย (-)-morphine เป็น form ที่ active และมี 5 chiral center คือ (-)-5(R), 6(S), 9(R), 13(S), 14(R)
B to C ring cis , C to D ring trans
Antidote คือ Naloxone (Pure antagonist)
Heroin Codeine
2-3X morphine (Acetylation), Duration 4-5 hr Weak agonist, Half life 3.5 hr
Increased lipid solubility, which leads to ถูก Metabolize เป็น morphine ซึ่งก็มีฤทธิ์ analgesic
enhanced and rapid CNS penetration. ADR: codeine เมื่อให้ทาง IV จะทําให้ Histamine หลั่ง
ออกมาทําให้เกิด Hypotention pruritis allergic ต่าง ๆ
ดังนั้น Codeine จะไม่ให้ทาง IV
408
1.2 Morphinans
Lack of E ring
Lack of 6-OH
Unit 8
1.3 Benzomorphans
Pentazocine (Talwin)
Mixed agonist/antagonist
1/3X, Low addiction, Short
duration เพราะออกฤทธิ์
Agonist ที่ κ opioid receptor
และ Weak antagonist ที่ µ
opioid receptor
6, 7-Benzomorphans Nucleus
Bremazoxine
Longer druration, 200X
No addiction, Dose not depress breathing
409
1.4 Phenylpiperidines
Chapter 47
Osteoarthritis
Fentanyl
50-100X Morphine. Fast onset, Short duration.
Used as an analgesic & anesthetic
Transdermal patches
Duration of action (1-2 hr.) สัน้
เพราะว่ามีการ Re-distribution ออกมาจากสมอง
Loperamide (Imodium)
Polar groups decrease intestinal absorption and
eliminate CNS activity. Inhibits GI muscle contraction
by interaction with opioid receptor.
Diphenoxylate (Lomotil)
Antidiarrheal – Not analgesic at therapeutic doses and
can be dispensed with Atropine
Diphenoxylate
สรุป
- Piperidine ring ก่อให้เกิด Side effect เช่น Addiction, Depress breathing
- Fast onset and short duration เพราะถูก esterase ตัดได้ง่าย
- Quaternary piperidine ring จําเป็นในการออกฤทธิ์ ยกเว้น Fentanyl
- Aromatic ring และ Amine (เบส) จําเป็นในการออกฤทธิ์ยกเว้น Phenyl ring
1.5 Diphinylpropylamines
Methadone
1x morphine, less sedative, longer acting
1 dose every 72 hours will prevent heroin withdrawal
410
Propoxyphene
Unit 8
Chapter 47
- เป็นเอนไซม์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ
- มีความสําคัญคือสังเคราะห์ PGs ที่ช่วย
รักษาสมดุลของเลือด (homeostasis
maintenance) เช่น platelet aggregation
ควบคุม blood flow ในไตและกระเพาะ
อาหาร และควบคุมการหลั่งของ gastric
Osteoarthritis
secretion
- การยับยั้ง COX-1 มีผลทําให้เกิดผล
ข้างเคียงต่าง ๆ เช่น GI side effect
• COX-2
- เป็นเอนไซม์ที่ถูกเหนีย่ วนําได้
- ปกติพบได้ที่ ไต สมอง กระดูก ระบบ
อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิง Neoplasia และ
ระบบทางเดินอาหาร
- มีบทบาทสําคัญในขบวนการอักเสบและ
ความเจ็บปวด
• มีคุณสมบัตเิ ป็น Strong organic acid; pKa ~ 3-5 สามารถแตกตัวให้ประจุลบที่ physiological pH (~7.4)
• สามารถจับกับ plasma protein binding ได้สูงมาก (~90-99%) โดยเกิดพันธะแบบ ionic bond ซึ่งเป็นแรงหลักที่ใช้ใน
จับ ยาอื่นที่มีประจุลบสามารถเกิด drug interaction กับ NSAIDs โดยแย่งจับกับ plasma protein binding
• เนื่องจากยาส่วนใหญ่มี carboxylic group (-COOH) จึงถูก metabolize โดยการเกิด glucuronide conjugation
(phase II) เป็นหลัก
• NSAIDs ทําลายเนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหารโดยเกี่ยวข้องกับกลไก 2 อย่างคือ
1. เนื่องจากเป็นสารที่มคี ุณสมบัติเป็นกรดจึงเข้าทําลายเนื้อเยื่อในทางเดินอาหารได้โดยตรง
2. ยับยั้งการสังเคราะห์ PGs ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่ง PGs มีฤทธิ์ cytoprotective effect
แบ่งออกตามโครงสร้างเคมีออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่
1.) Aspirin and salicylic acid derivatives 2.) Pyrazolone and Pyrazolidinedione derivatives
3.) N-Arylanthranilic Acid derivatives 4.) Arylalkanoic Acids derivatives
5.) Phenyl α-methyl acetic acid derivatives 6.) Oxicams
7.) Selective COX-2 inhibitors
412
2.1 Aspirin and salicylic acid derivatives
Unit 8
Acetylation
Chapter 47
2.1.3.) Aniline and p-Aminophenol derivatives
Osteoarthritis
Aniline p-Aminophenol
- ยาในกลุ่มนี้มีฤทธิ์แก้ปวดและไข้ แต่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น Acetaminophenol (Acetanilide และ
Phenacetin; ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง)
- กลไกการออกฤทธิ์ของ Acetaminophen ยังไม่ชัดเจน
SAR
o p-aminophenol derivatives มี ค วาม เป็ น พิ ษ น้ อยกว่ า aniline derivatives แต่ ว่ า โครงสร้ า งของ p-
aminophenol ก็ยังมีพิษมากอยู่เช่นกัน
o การเติ ม methyl- และ propyl- group ที่ phenolic hydroxyl group จะได้ อ นุ พั น ธ์ (derivatives) ที่ มี
ผลข้างเคียงมากกว่าอนุพันธ์ที่เติม ethyl group
o การเติมหมู่แทนที่ที่ลดความเป็นเบสของ nitrogen atom จะทําให้ฤทธิ์ลดลง ยกเว้นถ้าหมู่แทนที่นั้นเกิดการ
สลายตัวแล้วให้ amino group เช่นเดิมก็จะยังคงให้ฤทธิ์อยู่ เช่น acetyl group
o แต่ในกรณีที่เป็น amide ของ aromatic ring (acyl group ของ aromatic ring) จะเกิด hydrolysis ยากกว่า จึง
ทําให้ฤทธิ์ของสารลดลง
414
2.2 Pyrazolone and Pyrazolidinedione Derivatives
3,5-Pyrazolidinedione Derivatives
Unit 8
Bone and Joint Disorders
Phenylbutazone Oxyphenbutazone
- ให้ฤทธิ์ต้านการอักเสบเป็นหลัก มีฤทธิ์แก้ไข้และลดปวด
- ใช้รักษา RA และ OA
- ผลข้างเคียงเช่น GI irritation ทําให้เกิดการคั่งของน้ําและ Na+ และ blood dyscrasia การใช้ควรใช้แค่ 7-10 วัน
เนื่องจากกดไขกระดูก
2.3 N-Arylanthranilic Acid Derivatives
ยาในกลุ่มนี้ให้ฤทธิ์ต้านอักเสบเป็นหลัก มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้
Meclofenamate ใช้ใน RA (as secondary agent) และ Mefenamic acid ใช้แก้ปวดใน Dysmennorhea
มีผลข้างเคียงต่อ GI (N/V, diarrhea, ulceration, headache, drowsiness และ hematopoietic toxicity) จึงทําให้
จํากัดการใช้
ดูดซึมในทางเดินอาหารได้ดี ให้ระดับยาสูงสุด 2-4 ชั่วโมง (Meclofenamate ถูกดูดซึมได้ดีกว่าเนื่องจาก non-polar
มากกว่า)
จับกับ plasma protein ได้มากกว่า 99%
415
2.4 Arylalkanoic Acids
Chapter 47
Osteoarthritis
SAR
ในโครงสร้างมี acidic function group เช่น carboxylic acid และ enolic functional group ซึ่งแตกตัวให้ประจุลบ
เพื่อจับกับ Cationic residue ในเอนไซม์ COX
Acidic functional group เหล่านี้จะอยู่ใกล้กับส่วนโครงสร้างที่เป็น flat surface (aromatic center) โดยมี C 1
atom มาคั่นกลาง ซึ่งระยะห่างตรงนี้มีความสําคัญ ถ้าเพิม่ มากกว่า C 1 atom จะทําให้ฤทธิ์ลดลง
การเพิ่มโครงสร้างที่เป็น lipophilic part ที่ไม่มรี ะนาบเดียวกันกับ aromatic (heteroaromatic) center เข้าไปใน
โครงสร้างจะทําให้เพิ่มฤทธิ์
การเติม methyl group บน C-atom (α-C) ที่คั่นกลางระหว่าง acidic functional group กับ aromatic ring
• มีแนวโน้มที่จะเพิ่มฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดความเป็นพิษ และเรียกชื่อลงท้ายสารที่มีการเติม α-methyl
group นี้ว่า “-profen” ซึ่งมาจากโครงสร้างที่เป็น 2-substituted propionic acid
• การเติมหมู่แทนที่ที่มีขนาดใหญ่กว่า methyl group จะทําให้ได้สารที่มีฤทธิ์ลดลง
• ทําให้ได้ chiral center เกิดขึ้น และฤทธิ์ต้านการอักเสบเกิดจาก (S)-(+)-enantiomer แต่ในรูปที่ใช้จะเป็น
racemic mixture เนื่องจาก R-enantiomer สามารถเปลี่ยนเป็น S-enantiomer ได้ในร่างกาย
2.4.1 Indole Acetic Acid Derivatives
1) Indomethacin
- ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบเป็นหลัก มีฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้บ้าง
- ใช้ใน RA OA AS ใช้กดการบีบตัวของมดลูก และส่งเสริมการปิดของ ductus arteriosus ในเด็ก
- จํากัดการใช้เนื่องจากมีความเป็นพิษสูง
– ทําให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและ bleeding
– ทําให้เกิด CNS toxicity (ranging form headaches to psychoses and suicidal tendencies) เนื่องจาก
เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เป็น metabolite ที่คล้ายกับ serotonin
– Bone marrow depression; aplastic anemia and thrombocytopenia
416
2) Sulindac
Unit 8
Bone and Joint Disorders
- ได้จากดัดแปลงโมเลกุลของ indomethacin
- ในโครงสร้างมี indene ring (bioisosteric ของ indole ring ของ indomethacin)
- ตัวยามีคณ
ุ สมบัติเป็น pro-drug เมื่ออยู่ในร่างกายจะถูก metabolize ได้เป็น active sulfide metabolite (major
metabolite)
Metabolism of Sulindac
Pyrrole
1) Tolmetin (Sodium)
- ใช้รักษา RA OA และ AS เช่นเดียวกันกับยาตัวอื่นในกลุ่ม
- ออกฤทธิ์สั้นเนื่องจากเกิด phase I oxidation ได้อย่างรวดเร็วมาก ได้เป็น
dicarboxylic compound และเกิด glucuronide conjugation ได้มากยิ่งขึ้น
- ตัวยามี T1/2 น้อยกว่า 5 ชั่วโมง
417
2) Ketorolac (Tromethamine)
- มีโครงสร้างคล้ายกับ Tolmetin
Chapter 47
- มี T1/2 ที่ยาวนานกว่าเนื่องจากไม่เกิด dicarboxylic
metabolite (4-6 hr)
- เป็นตัวเดียวที่เตรียมในรูป oral และ IM
- ให้ฤทธิ์แก้ปวดเป็นหลัก แม้ว่าจะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและแก้ไข้
- ใช้แก้ปวดหลังผ่าตัดแทน narcotic analgesic ได้ (โดยที่ 15-
30 mg ของ ketorolac เทียบเท่า 12mg ของ morphine)
Osteoarthritis
2.4.3 Phenyl Acetic acid Derivatives
1) Diclofenac (Sodium)
Chapter 47
Osteoarthritis
2.6 Oxicams
Chapter 47
- ยาในกลุ่มนี้ถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ตามขนาดของ COX-2 active binding site จึงทําให้จับกับ COX-2 ได้ดีกว่า
COX-1 (ยาจับกับ COX-1ได้ไม่ดเี นื่องจากมี steric effect ของ isoleucine residue)
- ใน COX-1 ส่วนของ isoleucine ที่มีขนาดใหญ่จะอยู่ใกล้กับ active site กีดขวางการเข้าของโครงสร้างที่ rigid และ
bulky เช่นหมู่ sulfonamide หรือ sulfonyl side chain ซึ่งเป็นส่วนโครงสร้างพบได้ในตัวยากลุ่ม selective cox-2
inhibitors
Osteoarthritis
การจับเอนไซม์ COX-1 และ COX-2 ของ Non-selective COX inhibitor, Selective COX inhibitor
Flurbiprofen; Non-Selective COX inhibitors
Celecoxib; Selective COX-2 inhibitors
เอกสารอ้างอิง
1. Wilson CO, Gisvold O, Block JH, Beale JM. Wilson and Gisvold’s Textbook of Organic Medicinal and
Pharmaceutical Chemistry . Lippincott Williams & Wilkins; 2004.
2. Patrick GL. An introduction to medicinal chemistry . Oxford University Press; 1995.
3. Patrick GL. Medicinal Chemistry . BIOS; 2001.
422
Unit 8
Bone and Joint Disorders
Chapter 48
Gout
ภาพที่ 48.2 แสดงอาการที่เกิดขึ้น และการเกิด tophus
Diagnosis
วินิจฉัยประกอบกัน ดังนี้
1. ประวัติครอบครัวเป็นโรค gouty
2. มีประวัติ hyperuricemia
3. ตําแหน่งที่เป็น เช่น นิ้วหัวแม่มือ
4. อาการ คือ ปวด บวม แดง ร้อน กดเจ็บ
5. เจาะ joint fluid พบ uric acid crystal
จาก American College of Rheumatology ได้กําหนดเกณฑ์สําหรับการวินิจฉัยโรค gout ไว้โดยต้องมี 6 จาก 12 ข้อ
จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น gout
1. ข้ออักเสบเฉียบพลัน ≥1 ครั้ง
2. อาการปวดข้อถึงจุดสูงสุดภายใน 1 วัน
3. ข้ออักเสบเป็นชนิดข้อเดียว
4. ข้ออักเสบมีลักษณะบวมแดง
5. มีอาการปวดและบวมของข้อโคนหัวแม่เท้า (metatarsophalangeal joint)
6. การอักเสบของข้อโคนหัวแม่เท้าเป็นข้างเดียว (unilateral) หรือ Podagra
7. ข้อกลางเท้า (tarsal joint) อักเสบเป็นข้างเดียว (unilateral)
8. มีปุ่มใต้ผิวหนัง
9. ระดับกรดยูริกในเลือดสูง
10. พบลักษณะข้อบวมชนิดไม่สมมาตรทางภาพรังสี
11. พบลักษณะถุงน้ําใต้เปลือกกระดูก (subcortical bone cyst) ทางภาพรังสี
12. ตรวจไม่พบเชื้อโรคจากน้ําไขข้อที่ได้ในขณะที่มีข้ออักเสบ
Goal of therapy
1. ลดอาการปวดขณะเกิด acute gout attack
2. ป้องกันการเกิด gout attack ซ้ํา
3. ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
4. ระดับ uric acid ในเลือด ≤6 mg/dL
Treatment
Nonpharmacological
- งดการดื่มเบียร์และสุรา
- ออกกําลังกายเป็นประจํา
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มี purine สูง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทําให้ uric acid สูง เช่น thiazide diuretic
- ประคบเย็น เพื่อช่วยลดอาการปวด
- ลดการใช้ข้อ
426
Pharmacological
- Acute gout attack
1. NSAIDs
2. Colchicine
Unit 8
3. Corticosteroids
- Long term control
1. Allopurinol
2. Probenecid
3. Sulfinpyrazone
Bone and Joint Disorders
Chapter 48
3. congestive heart failure
4. anticoagulant therapy
- ข้อควรระวังในการใช้ NSAIDs สําหรับโรค gout
1. การให้ NSAIDs ควรระวังในผู้ป่วยสูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) มีประวัติหรือมีแผลในกระเพาะอาหาร มีการ
ทํางานของไตบกพร่อง (NSAIDs ชนิดฉีดจะมีผลต่อการทํางานของไตมากกว่า NSAIDs ชนิดกิน)
2. ถ้าใช้ยา indomethacin ให้ระวังการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์เฉพาะของ indomethacin ซึ่งได้แก่
Gout
อาการปวดศีรษะ และมึนงง (dizziness) และการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ (สับสน) ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้
จะหายไปเมื่อลดขนาดยาลง
ตารางที่ 48.1 แสดงขนาดยา NSAIDs ที่ใช้ในโรค gout
NSAIDs ขนาดยาที่แนะนํา
Indomethacin เริ่ม 75 mg ตามด้วย 50 mg tid
Diclofenac เริ่ม 100 mg ตามด้วย 50 mg tid
Ibuprofen 1,200-2,400 mg/day
Ketoprofen 50 mg qid
Naproxen เริ่ม 750 mg ตามด้วย 250 mg tid
Piroxicam 40 mg/day
Sulindac 200 mg bid
Colchicine
- 2nd line
- กลไก คื อ ลด neutrophil migration สู่ เ นื้ อ เยื่ อ บุ ไ ขข้ อ หากให้ ย าช้ า จะไม่ ส ามารถยั บ ยั้ ง การชุ ม นุ ม ของ
neutrophil ในโพรงเยื่อบุไขข้อได้ทําให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งการอักเสบลดลง
- ลดอักเสบ แต่ไม่มีฤทธิ์ลดปวด
- ใช้ในผู้ที่มีข้อห้ามใช้ NSAIDs
- ควรเริ่มยาใน 24-48 ชั่วโมง
- ขนาดยา : รับประทาน 0.6 mg q 1-2 hr จนอาการอักเสบหายไป (max < 10 mg/day)
- Side effect : N/V/D, ปวดท้อง ถ้าเกิดอาการอาจลดขนาดยาลงได้
- ระวังในผู้ป่วยโรคตับ, ไต, GI
- DI : cyclosporine, statin, macrolide
- ลดขนาดยาลง 50% ใน 1) CrCl <10ml/min 2) อายุ > 70 ปี
Corticosteroids
- ใช้เมื่อมีข้อห้ามในการใช้ยา NSAIDs เช่น เลือดออกทางเดินอาหาร, ไตวาย, มีข้ออักเสบหลายข้อ, มีอาการอักเสบ
รุนแรง หรือกรณีที่ใช้ NSAIDs และ Colchicine แต่ตอบสนองไม่เพียงพอ
- กรณีที่ใช้ยา Corticosteroids ควรพิจารณาใช้ยา Colchicine ขนาดต่ํา (0.6 mg/day) ร่วมด้วยเพื่อป้องกันการ
กําเริบซ้ํา
- ถ้ าเกิ ด ก ารอั ก เส บ เพี ย ง 1-2 ข้ อ พิ จ ารณ าให้ intra-articular corticosteroid เช่ น Triamcinonlone
hexacetonide 20-40 mg
- ถ้ า อั ก เสบหลายข้ อ พิ จ ารณาให้ oral prednisolone 30-60 mg 3-5 วั น จากนั้ น จึ ง ค่ อ ย ๆ ลดขนาดยาลง
ครั้งละ 5 mg ในช่วง 10-14 วัน แล้วหยุดยา
428
การรักษาในช่วง Long term control : ยาลดระดับ uric acid
- พิจารณาให้เมื่อมีภาวะดังต่อไปนี้
1. มีปุ่ม tophus
2. มีการกร่อนของข้อกระดูกในภาพถ่ายรังสี
Unit 8
3. มีก้อนนิ่วที่ไต
4. มีระดับกรดยูริกในซีรั่ม ≥9.0 mg/dL
5. มีการขับ uric acid ทางปัสสาวะ > 800 mg ใน 24 ชม.
6. เกิด acute gout attack ≥ 2 ครั้ง/ปี
- การให้ยาลดระดับ uric acid ในเลือดนั้น เริ่มหลังเกิด acute gout attack 3-4 สัปดาห์
Bone and Joint Disorders
- ขณะที่ ใ ช้ ย าลดระดั บ uric acid ในเลื อ ด ต้ อ งได้ ย าป้ อ งกั น การเกิ ด acute gout attack ด้ ว ย เพราะการ
เปลี่ยนแปลงระดับ uric acid อาจทําให้เกิดอาการขึ้นมาได้ โดยยาที่นิยม ได้แก่
1. Colchicine 0.6-1.2 mg/day
2. NSAIDs low dose
และหยุดใช้ยาป้องกันเมื่อ
1. กรณี ไม่มี tophus หยุดเมื่อไม่มีข้อกําเริบและควบคุมระดับ uric acid ตามเกณฑ์เป็นระยะ
เวลานาน 6-12 เดือน
2. กรณีมี tophus หยุดเมื่อควบคุมระดับ uric acid ตามเกณฑ์และปุ่ม tophus หายไปเป็นระยะ
เวลานาน 6-12 เดือน
- ขณะที่ผู้ป่วยได้ยาดลดระดับ uric acid หากมีอาการ acute gout attack ขึ้นมา ไม่ควรปรับขนาดยา
- ในรายที่มีประวัตินิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือมีการขับ uric acid ออกทางปัสสาวะ≥ 800 mg/day ต้องให้ยาลด
กรดยูริกชนิดยายับยั้งการสร้างกรดยูริกไปตลอด
- ยาลดระดับ uric acid แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
ยาเร่งการขับ uric acid (Uricosuric agents) : Probenecid, Sulphinpyrazone
แนวทางการใช้ยาเร่งการขับ uric acid (Uricosuric agents)
1. อายุ < 60 ปี
2. หน้าที่การทํางานของไตปกติ (การใช้ยา probenecid ควรมีค่า CrCL >50 mL/min)
3. มีการขับ uric acid ออกทางไต <800 mg/day
4. ไม่มีประวัติหรือตรวจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะ (no urolithiasis)
Probenecid
- MOA : ยับยั้งการดูดกลับของ uric acid ที่ proximal tubule
- ดื่มน้ํา >2 L/day
- อ า จ ใ ห้ ร่ ว ม กั บ urinary alkalinizers เ ช่ น Potassium citrate, NaHCO3,
Acetazolamide เพื่อทําให้ปัสสาวะเป็นด่าง uric acid ละลายได้ดีขึ้น
- ขนาดยา : 0.5-2 g/day แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
- Side effect : N/V, nephrolithiasis
- ข้อห้ามใช้ : CrCl <30 mL/min
Sulphinpyrazone
- 100 mg tid
2 ยายับยั้งการสร้าง uric acid (Xanthine oxidase inhibitor) : Allopurinol
แนวทางการใช้ยายับยั้งการสร้าง uric acid (Xanthine oxidase inhibitor)
1. มีปุ่ม tophus
2. มีการขับ uric acid ออกทางไต >800 mg/day
3. มีประวัตหิ รือตรวจพบนิ่วในทางเดินปัสสาวะ
4. ใช้ยาเร่งการขับ uric acid ออกทางไตไม่ได้ผลหรือมีข้อห้ามใช้
429
Allopurinol
- MOA : ลดการสร้าง uric acid โดยการยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidase และลดระดับ
ของ PRPP ภายในเซลล์
Chapter 48
- Allopurinol จะถูกเปลี่ยนเป็น Oxypurinol เพื่อเป็น active metabolite ที่ตับประมาณ
60-70% ของ Allopurinol
- ขนาดยา : เริ่ม 100 mg OD และเพิ่มเป็น 300 mg OD
- ปรับขนาดยาตามค่า CrCl
- กรณีแพ้ Allopurinol ให้ใช้ Oxypurinol
- side effect : N/V, pruritic macopapular, ไข้, กดไขกระดูก
Gout
- rare side effect : SJS
- DI : Azathioprine เพราะยาถูกทําลายด้วย xanthine oxidase ดังนั้นถ้าใช้ร่วมกัน ระดับ
ยาจะสูงขึ้น แก้ไขโดยลดขนาดยา Azathioprine 50%
ตารางที่ 48.2 แสดงขนาดยา allopurinol ตามค่าการทํางานของไต
CrCl (ml/min) Maintenance dose Allopurinol (mg/day)
>100 300-400
80 250
60 200
40 150
20 100
10 100 mg 2 วันครั้ง
เอกสารอ้างอิง
1. ศราวุฒิ อู่พุฒินันท์. หลักการใช้ยาในโรคเกาต์ ข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาทอยด์ (Pharmacotherapy of Gout,
Osteoarthritis and Rheumatoid arthritis). เภสัชบําบัด3. 2552;1-35.
2. Ernst ME, Clark E, Hawkins DW. Chapter 96: Gout and hyperuricemia. In: Dipiro JT, Talbert RL, Yee
GC, MAtzke GR, Wells BG, Oosey BG. Pharmacotherapy : A Pathophysiologic Approach. 7thed. New
York: The Mcgraw-Hill companies,Inc; 2008.1539-50.
430
Unit 8
Bone and Joint Disorders
Scleroderma
เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีการสร้างเนื้อเยื้อเกี่ยวพันเพิ่มมากขึ้นในผิวหนังและอวัยวะภายใน เรียกอีกหนึ่งชื่อว่า
“โรคหนังแข็ง” พบในเพศหญิง > เพศชาย ∼ 4 เท่า (อายุเฉลี่ย ∼ 40 ปี) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
Localized scleroderma (พบน้ อ ย) ผิ ว หนั งมี ลั ก ษณะแข็ ง ตึ ง เฉพาะที่ แ ละจํ า กั ด อยู่บ ริ เ วณผิ ว หนั ง และ
เนื้อเยื่อลึกใต้ผิวหนัง (deep tissue) เท่านั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- Morphoea: ผิวหนังแข็งเป็นหย่อม มีรูปร่างกลม รี หรือไม่แน่นอน
- Linear: มักพบในเด็ก ผิวหนังแข็งเป็นแถบ พบบ่อยที่ผิวหนังบริเวณแขนขา
Systemic scleroderma ผิวหนังมีลักษณะแข็งตึงเป็นบริเวณกว้าง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- Limited scleroderma ผิวหนังมีลักษณะแข็งผิดปกติ เกิดขึ้นบริเวณนิ้วมือ มือ แขน ขา ใบหน้า คอ และ
ลํ า ตั ว แต่ ไ ม่ พ บพยาธิ ส ภาพของอวั ย วะภายใน ซึ่ ง อาจเรี ย กว่ า “CHEST syndrome” คื อ Calcinosis
(มีการสะสมของ Ca2+ บริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง), Raynaud’s phenomenon (หลอดเลือดหดเกร็งเมื่อสัมผัส
ความเย็นทําให้ปลายนิ้วมือซีด), Esophageal dysfunction (เกิดกรดไหลย้อน/ทางเดินอาหารเคลื่อนที่ลดลง),
Sclerodactyly (ผิวหนังหนาและแข็งบริเวณนิ้วมือและมือ) และ Telangiectasias (หลอดเลือดฝอยขยายตัว
ทําให้เกิดจุดรอยแดงบนผิวหนัง)
- Diffuse scleroderma (พบบ่อย) อาการผิวหนังแข็งผิดปกติเกิดขึ้นทั่วร่างกาย เช่น นิ้วมือ มือ แขน ขา
ใบหน้า คอ และลําตัว นอกจากนี้ยังพบพยาธิสภาพของอวัยวะภายในร่วมด้วย เช่น ปอด หัวใจ ไต หลอด
อาหาร และทางเดินอาหาร เป็นต้น
- Sine scleroderma คล้ายกั บ limited หรือ diffuse cutaneous systemic sclerosis แต่ไม่ มีอาการ
ผิดปกติเกิดขึ้นที่ผิวหนัง
อาการ (systemic sclerosis)
ปลายนิ้วมือบวม ผิวหนังหนาและแข็งตัวขึ้น, Raynauds’s phenomenon (นิ้วมือซีดมาก รู้สึกชาหรือปวดทันที
เมื่อมีการสัมผัสความเย็น), ปวดข้อหลายข้อ, อาจมีภาวะ polymyositis + muscle pain + weakness, หลอดอาหารส่วนล่าง
ถูกทําลาย กลืนลําบาก, อาหารดูดซึมไม่ดี + อาหารลงสู่กระเพาะอาหารน้อยลง (หลอดอาหารแคบลง) weight loss,
ตับถูกทําลาย/ดีซ่าน (พังผืดปิดกั้น draining system ของตับ), หายใจลําบาก (พังผืดที่ถุงลมปอด) เป็นต้น
การวินิจฉัย: physical examination (sign/symptoms), laboratory test, antibody to centromeres, ANA
การพยากรณ์โรค: ไม่ดี เกิดพยาธิสภาพที่ปอด หัวใจ และไต
การรักษา: ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถควบคุมการดําเนินของโรคได้ มีเพียงเฉพาะยาที่บรรเทาอาการของโรคและ
ลดการเกิด organ damage ได้เท่านั้น คือ
- NSAIDs: บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- Corticosteroids: บรรเทาการเกิด polymyositis
- Cyclophosphamide: ลดการทําลายปอด
- Antacid, histamine-blocking drugs (ranitidine), proton pump inhibitors (omeprazole): บรรเทา
อาการ heartburn จากกรดไหลย้อน
- Nefidipine/angiotensin II receptor blocker: บรรเทาอาการ Raynauds’s phenomenon
432
Polymyositis and dermatomyositis
Polymyositis: มีการอักเสบและเกิดการเสื่อมของกล้ามเนื้อ
Dermatomyositis: polymyositis + การอักเสบของผิวหนัง
อาการทั้ง 2 ชนิดทําให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยมีลักษณะเฉพาะคือ กล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณหัวไหล่ และสะโพก
Unit 8
นอกจากนี้ยังสามารถเกิดกับกล้ามเนื้ออื่นได้ทั่วร่างกายแบบสมมาตรด้วย
พบในเด็กอายุ 5-15 ปี ซึ่งอาการเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด และผู้ใหญ่อายุ 40-60 ปี เพศหญิง > เพศชาย ∼ 2 เท่า
อาการ (polymyositis)
กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบสมมาตรบริเวณหัวไหล่ สะโพก และต้นขา, ปวดข้อ, กลืนลําบาก ซึ่งเกิดอย่างช้า ๆ
หรือทันทีทันใด และอาการรุนแรงขึ้นในหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน, ไข้ อ่อนเพลีย และน้ําหนักลด, Raynauds’s
Bone and Joint Disorders
phenomenon (หลอดเลื อ ดหดเกร็ ง เมื่ อ สั ม ผั ส ความเย็ น ทํ า ให้ ป ลายนิ้ ว มื อ ซี ด ) แต่ มั ก ไม่ เ กิ ด กั บ อวั ย วะภายใน
ยกเว้น ในลําคอและหลอดอาหาร
อาการ (dermatomyositis)
อาการเหมือนกับ myositis ร่วมกับการมีผื่นและอาการอื่น ๆ โดยผื่นจะมีลักษณะคล้ายดอกทานตะวัน
(heliotrope rash) มัก พบบริเ วณใบหน้า ร่วมกับมีหนั งตาบวมและเป็นสีม่ว ง นอกจากนี้ยั งมีผื่นเกือบทั่ว ร่างกาย
แต่ส่วนใหญ่พบมากที่ข้อนิ้วมือ (knuckles) และด้านข้างของมือ
การวินิจฉัย: กล้ามเนื้ออ่อนแรงบริเวณหัวไหล่และสะโพก, มีผื่นลักษณะเฉพาะ (heliotrope rash), มีการเพิ่มขึ้น
ของ muscle enzymes (creatine kinase), ผลการตรวจ electromyography ผิดปกติ
การรักษา
- NSAIDs: บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- จํากัดการทํากิจกรรมเมื่อมีการอักเสบของกล้ามเนื้อ
- Corticosteroid (oral prednisolone: high dose) ทําให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น บรรเทาอาการปวดบวม และ
ควบคุมอาการของโรค หลังใช้ยา ∼ 6-12 weeks, muscle enzyme กลับสู่ค่าปกติและกล้ามเนื้อแข็งแรง
เป็นปกติ ให้ปรับลดขนาดยาลง
- ผู้ใหญ่: ใช้ low dose prednisolone ติดต่อกันหลายปีหรือตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ํา
- เด็ก: หลังใช้ low dose prednisolone ติดต่อกันประมาณ 1 ปี อาจพิจาณาให้มีการหยุดยาได้โดยไม่มีการ
กลับเป็นซ้ําอีก
- Immunosuppressive (methotrexate, cyclophosphamidel, cyclosporin) เพื่อใช้แทน steroid
Mixed connective tissue disease (MCTD)
อาการคล้ายคลึงกับ scleroderma, polymiyositis และ dermatomyositis พบในเพศหญิง > เพศชาย ∼ 4 เท่า
(อายุ 5-80 ปี)
อาการ
Raynauds’s phenomenon (หลอดเลือดหดเกร็งเมื่อสัมผัสความเย็นทําให้ปลายนิ้วมือซีด) ซึ่งเกิดก่อนอาการอื่นหลาย
ปี, นิ้วมือบวมจนมีลักษณะคล้ายไส้กรอก, กลืนลําบาก (พบน้อย), heartburn และหายใจลําบาก, มีผื่นสีม่วงรูปผีเสื้อ
ที่ใบหน้า (purplish butterfly), มีผื่นสีแดงบริเวณข้อนิ้วมือ, หนังตาเป็นสีม่วง, เส้นเลือดบริเวณใบหน้าและมือแตก
แขนงคล้ายแมงมุม, ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งคล้ายกับ scleroderma, ข้ออักเสบ, ผมบาง
การวินิจฉัย: physical examination (non-specific), blood test (Ab to ribonucleoprotein specific กับ
MCTD)
การรักษา
- Corticosteroids: first line treatment
- Mild case: ASA หรือ NSAIDs ตัวอื่น (ibuprofen) หรือ COX-2 inhibitors หรือ low dose corticosteroids
- More severe: high dose corticosteroids
- Severe: immunosuppressive drug (cyclophosphamide, methotrexate)
การพยากรณ์โรค: มีโอกาสเสียชีวิตสูงถึงแม้จะมีการรักษาอย่างเหมาะสมแล้ว เนื่องจากมีการดําเนินไปของโรค
∼ 13 % และมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจทําให้เสียชีวิตได้ภายใน 6-12 ปี
433
Sjogren syndrome
เป็นโรคที่มีเม็ดเลือดขาวแทรกอยู่บริเวณต่อมต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ทําให้น้ําคัดหลั่งจากอวัยวะต่าง ๆ น้อยลง ส่งผลให้
Chapter 49
อวัยวะต่าง ๆ แห้งมาก เช่น ตา ปาก และ เยื่อบุต่าง ๆ เป็นต้น พบในเพศหญิง > เพศชาย
อาการ
ปากและตาแห้ง (sicca complex/sicca syndrome), ตาแห้ง, ปากแห้ง (yeast infection), เยื่อบุต่างๆ แห้ง เช่น
เยื่อบุทางเดินอาหาร เยื่อบุทางเดินหายใจ เยื่อบุช่องคลอด, ข้ออักเสบ, ต่อมน้ําเหลืองโต (พบบ่อย)
การวินิจฉัย
Physical examination: schirmer test: ดู ป ริ ม าณน้ํ า ตา โดยการวางกระดาษกรองใต้ เ ปลื อ กตาแต่ ล ะข้ า ง
คนที่เป็นโรคจะทําให้กระดาษกรองเปียกน้อยกว่า 1/3 ของปริมาณปกติ: นิยมใช้), ophthalmologist (ดูการเกิด damage
434
Unit 8
Bone and Joint Disorders
แคลเซี ย ม 1,200 mg/day (แคลเซี ย มในนมดู ด ซึ ม ได้ ดี แต่ แ คลเซี ย มในผั ก และผลไม้ ดู ด ซึ ม ได้ ไ ม่ ดี ), วิ ต ามิ น ดี
400-800 IU/day (คนที่เสี่ยงในการขาดวิตามินดี)
Caffeine เพิ่มการขับออกแคลเซียม fracture risk เพิ่มขึ้น เพิ่มขนาดแคลเซียมในผู้หญิงสูงอายุ
วิตามินเอ > 1.5 mg/day หรือขาดวิตามินเค fracture risk เพิ่มขึ้น
การเพิ่มโปรตีนในอาหาร เพิ่ม bone density
Bone and Joint Disorders
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มี alcohol
Exercise: ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี BMD เพิ่มขึ้น แต่การออกกําลังกายมากเกินไป จะทําให้เกิดภาวะ
amenorrhea (bone loss) ได้
- การรักษาแบบใช้ยา
Antiresorptive (ป้องกันการกัดเซาะกระดูก) ดังนี้
Calcium
ป้องกันภาวะ secondary hyperparathyroidism & bone loss
ขนาด: 200-1500 mg/day (การดูดซึมเป็นแบบ rate limiting แบ่งให้)
CaCO3 salt of choice (รับประทานพร้อมอาหาร: absorption: ต้องอาศัยกรดในการแตกตัว)
Vitamin D & metabolites
1, 25 (OH)2 vit D (calcitriol) GI absorption of calcium (not approved !! เพราะทํ า ให้ เ กิ ด
ภาวะhypercalcemia)
ขนาด: 50,000 IU once a week x 8 weeks (ติดตาม serum calcium & 25-OH vitamin D)
ผู้ป่วยโรคตับ: poor absorption fat ถ้า serum vitamin D ต่ํา ให้ 25-OH vitamin D
ผู้ป่วยไต: ให้ calcitriol (ติดตาม serum calcium)
Chapter 50
BMD, risk of fracture
Approved: ป้องกันและรักษาภาวะ postmenopausal osteoporosis อาการข้างเคียง: hot flashes,
DVT, leg cramp
Osteomalacia
โรคของระบบโครงสร้างกระดูก ที่ เกิด จากความบกพร่อ งในกระบวนการสร้างเนื้ อกระดู ก ทํ าให้ ก ระดู ก เปราะบาง
และแตกหักได้ง่าย หากเกิดในเด็กจะทําให้เกิดภาวะ rickets (กระดูกมีการเสียรูปและการเจริญเติบโตลดลง)
เอกสารอ้างอิง
1. ฉวีวรรณ รัตนจามิตร . Osteoporosis & oateomalacia. เอกสารประกอบการสอนวิชา 561-401
pharmacotherapy II. 2011.
2. มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสาหรับโรคกระดูกพรุน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร:
ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด; 2553.
438
Unit 8
Bone and Joint Disorders