Professional Documents
Culture Documents
NMR 265
NMR 265
2548)
นิวเคลียรแมกเนติกเรโซแนนซ สเปกโตรสโคป
หลักการของ NMR
นิวเคลียรแมกเนติกเรโซแนนซสเปกโตรสโคป หรือที่เรียกโดยยอวา เอ็นเอ็มอาร (NMR) เปนเทคนิคที่เกี่ยว
ของกับการดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาในชวงคลื่นวิทยุ ซึ่งมีพลังงานอยูในชวงที่จะทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง "สปน"
ซึ่งเป นสมบัติเฉพาะของนิวเคลียสแตละชนิด (ตาราง 1) เมื่ออยูภายใตสนามแม เหล็ก ไมใชนิ วเคลียสทุกชนิดที่ จะ
สามารถเกิดการดูดกลืนคลื่นวิทยุได แตจะตองเปนนิวเคลียสที่มีคา "สปน" ไมเปนศูนยเทานั้น ตัวอยางเชน 1H, 13C,
31 19
P, F เปนตน ในที่นี้ 1H เปนนิวเคลียสที่มีความสําคัญมากที่สุดเนื่องจากเปนธาตุที่พบมากในสารประกอบอินทรียทั่ว
ไป เปนที่นาเสียดายวาคารบอนซึ่งเปนธาตุองคประกอบหลักของสารอินทรียนั้นมีเพียง 13C ซึ่งพบในปริมาณนอยมาก
(1 %) เทานั้นที่ใหสัญญาณ NMR ในขณะที่ 12C ไมใหสัญญาณเนื่องจากมันมีสปนเปนศูนย
ตาราง 1 ความสัมพันธของเลขสปนควอนตัมและตัวแปรตางๆของนิวเคลียสตัวอยาง
Spin เลขมวล เลขอะตอม ตัวอยาง
1
เปนจํานวนเทาของ ½ เลขคี่ เลขคูหรือคี่ H (½), C (½), 31P (½),
13
11
B (3/2), 17O (5/2)
2
จํานวนเต็ม (1,2,3,…) เลขคู เลขคี่ H (1), 14N (1)
12 18 32
0 เลขคู เลขคู C, O, S
αβspin
spin state
state
∆E
∆E ∆E
Energy B0 = 0
~ 1.41 tesla
B0 =
βαspin
spin state
state
~ 7.04 tesla
B0 =
รูปที่ 1 การจัดวางตัวของนิวเคลียรสปนเมื่อไดรับสนามแมเหล็กภายนอก
1
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
เมื่อนิวเคลียสที่ระดับพลังงานต่ําไดรับพลังงานที่เหมาะสมกลาวคือเทากับ ∆E ก็จะเปลี่ยนนิวเคลียรสปนและ
ขึ้นไปอยูที่ระดับพลังงานที่สูง เรียกวาเกิดการกลับตัว (flip) ของสปน ในทํานองเดียวกันนิวเคลียสที่ระดับพลังงานสูงก็
สามารถเปลี่ยนนิวเคลียรสปนเปนสปนตรงกันขามพรอมกับการคายพลังงานออกมาในปริมาณเทากับ ∆E ได การ
เปลี่ย นแปลงแบบนี้ เรียกวาเรโซแนนซ (resonance) ความแตกต างของระดั บ พลังงานสองระดับ นี้ เขีย นเป น ความ
สัมพันธกับความแรงสนามแมเหล็กไดตามสมการ (1)
hγ
∆E = B0 (1)
2π
การวัดสัญญาณ NMR
ในการวั ด สั ญ ญาณ NMR จะต อ งนํ า ตั ว อย า งที่ ล ะลายในตั ว ทํ า ละลายที่ เหมาะสม (ซึ่ ง จะต อ งปราศจาก
นิวเคลียสชนิดเดียวกับที่กําลังจะตรวจวัดสัญญาณ NMR ตัวอยางเชนหากจะวัดสัญญาณของโปรตอนในสารตัวอยาง
ตัวทําละลายจะตองไมมีโปรตอน เชน CCl4 หรือตองเปนตัวทําละลายที่มีดิวทีเรียมแทน เชน CDCl3) อยูในหลอดแกว
ยาวๆ ไปวางไวในสนามแมเหล็กที่มีความแรงมาก ซึ่งในยุคแรกๆ จะใชแมเหล็กไฟฟา ซึ่งสามารถเพิ่มความแรงได
อยางจํากัด โดยทั่วไปจะมีกําลังอยูที่ประมาณ 1.4 เทสลา ซึ่งที่สนามแมเหล็กขนาดนี้ โปรตอนอิสระจะเรโซแนนซที่
ความถี่ 6x107 Hz หรือ 60 MHz ในปจจุบันจะนิยมใชแมเหล็กแบบซูเปอรคอนดักเตอร ซึ่งจะตองหลอเย็นที่อุณหภูมิ
ประมาณ 4 K ดวยฮีเลียมเหลวตลอดเวลาจึงจะทํางานได แมเหล็กแบบนี้จะสรางสนามแมเหล็กที่เขมกวาแบบแมเหล็ก
ไฟฟาปกติมาก และความแรงสนามแมเหล็กนี้เองที่เปนตัวบงชี้ประสิทธิภาพของเครื่อง NMR โดยมักจะเปรียบเทียบ
ดวยตัวเลขสัญญาณความถี่ของโปรตอน เชนเครื่อง 500 MHz, 200 MHz หรือ 60 MHz โดยถายิ่งตัวเลขมาก ก็แสดง
2
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
(ก) (ข)
รูปที่ 2 ก) ถังใสแมเหล็กของเครื่องเอ็นเอ็มอารสเปกโตรมิเตอร ข) หลอดใสสารตัวอยาง
รูปที่ 3 แผนภาพแสดงสวนประกอบของเครื่องเอ็นเอ็มอารสเปกโตรมิเตอร
3
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
เอ็นเอ็มอารสเปกตรัมและขอมูลที่ไดจากเอ็นเอ็มอารสเปกตรัม
ขอมูลที่ได จากเครื่อง NMR ไมวาจะเปนแบบ CW หรือ FT จะมีลักษณะเหมือนกัน คืออยูในรูป ของ NMR
สเปกตรัม ซึ่งประกอบดวยความเขมของสัญญาณ (แกน y) พล็อตเทียบกับความถี่ (แกน x) โดยความเขมของสัญญาณ
จะไมมีหนวย (ใชเปนหนวยสัมพัทธ) และจะพล็อตเปนพีกในลักษณะกลับหัวกับอินฟราเรดสเปกตรัม พีกที่สูงแสดงวามี
การดูดกลืนคลื่นวิทยุที่ความถี่นั้นมาก ในการระบุความถี่นั้นไมนิยมใชหนวยความถี่โดยตรงดวยเหตุผลอยางนอย 2
ประการคือ 1) ความถี่ขึ้นอยูกับความแรงของสนามแมเหล็ก และ ความถี่ซึ่งอยูในชวงคลื่นวิทยุมักมีตัวเลขคอนขางมาก
(หลัก 107 Hz) ดังนั้นถาพล็อตสเปกตรัมในหนวยความถี่จะทําใหสเปกตรัมจากเครื่องที่มีสนามแมเหล็กที่แตกตางกันจะ
ไมสามารถนํามาเปรียบเทียบกันได และ 2) นิวเคลียสชนิดเดียวกันสวนใหญเกิดเรโซแนนซในชวงความถี่ที่แคบมาก
เมื่อเทียบกับความถี่ที่เกิดเรโซแนนซ เชน โปรตอนในสนามแมเหล็กขนาด 9.4 T จะมีชวงความแตกตางของความถี่ที่
เกิดการเรโซแนนซจากต่ําสุดไปสูงสุดไมเกิน 4000 Hz เมื่อเทียบกับคาความถี่ที่เกิดการเรโซแนนซซึ่งอยูในชวง 4x108
Hz ซึ่งคิดเปนเปอรเซ็นตแลวมีคานอยมาก การแสดงตัวเลขความถี่ตรงๆ จึงไมคอยเหมาะสมนัก วิธีแกปญหาคือการ
อางอิงถึงความถี่ในลักษณะสัมพัทธเทียบกับความถี่อางอิงคาหนึ่ง ซึ่งคํานวณไดตามสมการ (3)
δ = (ν - νref)/νref (3)
4
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
วาจะใชสนามแมเหล็กเทาใดก็จะไดเคมิคัลชิฟตของโปรตอนเทาเดิมเสมอ เนื่องจากแมความถี่ของการดูดกลืนของ
สัญญาณโปรตอนที่สนใจจะเปลี่ยนไป แตความถี่ของสารอางอิงก็เปลี่ยนตามไปดวย เมื่อนํามาหาคาสัมพัทธโดยการ
หาร ตัวเลขที่ไดจึงมีคาคงเดิม หนวยของเคมิคัลชิฟตคือ ppm ตัวเลขเคมิคัลชิฟตของโปรตอนทั่วไปจะอยูในชวง 0-10
ppm แตอาจมีคาติดลบหรือมากกวา 10 ppm ก็ไดหากโปรตอนนั้นอยูภายใตสภาพแวดลอมที่ผิดปกติ
มีคําศัพทที่ควรจะตองทราบเกี่ยวกับการกําหนดความถี่/เคมิคัลชิฟตใน NMR สเปกตรัม กลาวคือหากคาตัว
เลขเคมิคัลชิฟตมาก แสดงวาความถี่ที่เกิดการดูดกลืนคลื่นวิทยุมีคาสูง นั่นคือ ∆E มีคามากดวย ยานนี้จะเรียกวายาน
downfield (หรือ deshield - ดูขางลาง) สวนดานตัวเลขเคมิคัลชิฟ ตนอย ก็จะกลับกัน ยานนี้จะเรียกวายาน upfield
(หรือ shield - ดูขางลาง)
ในการใชเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมเพื่อหาขอมูลเกี่ยวกับโครงสรางของโมเลกุลใหพิจารณาประเด็นตางๆ ซึ่งจะให
ขอมูลตอไปนี้
1. จํานวนชนิดของสัญ ญาณ (number of signals) จะใหขอมูลเกี่ยวกับ จํานวนชนิ ดของโปรตอนที่ แตกตางกัน ใน
โมเลกุล
2. ตํ า แหน ง ของสั ญ ญาณ (positions of the signals) ซึ่ ง ก็ คื อ เคมิ คั ล ชิ ฟ ต จ ะให ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ สภาพแวดล อ ม
อิเล็กตรอน (electronic environment) ของโปรตอนแตละกลุมนั้น
3. ความเข ม ของสั ญ ญาณ (intensity of the signals) ซึ่ งแสดงในรูป พื้ น ที่ ใต พี ก จะให ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ จํา นวนของ
โปรตอนแตละชนิด
5
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
จํานวนชนิดของสัญญาณที่ปรากฏ: นิวเคลียสที่อยูในสภาพแวดลอมเหมือนและตางกัน
แมวาความแตกตางของพลังงานในสองสถานะของนิวเคลียสของโปรตอนจะคํานวณไดจากสมการ (1) และ
เปนคาเฉพาะตัวของนิวเคลียสและความแรงของสนามแมเหล็ก ถาเปนเชนนั้นเทคนิค NMR ก็คงจะไมคอยมีประโยชน
เทาใดนักเนื่องจากมันคงจะบอกไดแตเพียงความแตกตางของนิวเคลียสตางชนิดกัน แตในความเปนจริงกลับพบวาแม
แตนิวเคลียสชนิดเดียวกันหากอยูในสภาพแวดลอมที่ตางกันเล็กนอย มันจะ "รูสึก" ถึงความแรงของสนามแมเหล็ก
(field strength) ที่ไมเทากัน ในระดับเบื้องตนนี้ขอเจาะจงใชคําวาสภาพแวดลอมโดยใหหมายถึงสภาพแวดลอมทางเคมี
(chemical environment) เทานั้นกอน กลุมของนิวเคลียสที่อยูในสภาพแวดลอมทางเคมีเดียวกันนี้จึงเรียกไดวาเป น
โปรตอนที่ chemically equivalent กัน และนิวเคลียสที่อยูในสภาพแวดลอมทางเคมีที่แตกตางกันเรียกวาเปน
นิวเคลียสที่ chemically non-equivalent กัน
นิวเคลียสที่อีควิวาเลนตกันจะดูดกลืนคลื่นวิทยุที่ความถี่เดียวกัน ในขณะที่นิวเคลียสที่ non-equivalent กันจะ
ดูดกลืนที่ความถี่แตกตางกันเล็กนอย แตก็จะอยูในชวงแคบๆ ที่ใกลเคียงกับความถี่ที่คํานวณไดตามสมการ (1)
ตามปกติ นิ ว เคลี ย สที่ ต อ อยู กั บ อะตอมเดี ย วกั น มั ก จะ chemically equivalent กั น (รู ป ที่ 5) ตั ว อย า งเช น
โปรตอนทั้งสามตัวบนหมูเมทิล หรือ CH2 โปรตอนในคลอโรอีเทน ดังนั้นในสารประกอบนี้จึงแสดงสัญญาณ NMR 2
กลุม ในขณะที่สารประกอบเชน 1,2-ไดคลอโรอีเทนจะแสดงสัญ ญาณ NMR เพียงกลุมเดียวเนื่องจากโปรตอนทั้ งสี่
equivalent กันหมดเพราะโมเลกุลมีสมมาตร อยางไรก็ตามพึงเขาใจวาการที่โปรตอนเหลานี้อีควิวาเลนตกันเปนผลมา
จากการเฉลี่ยเนื่องจากการหมุนอยางอิสระของพันธะเดี่ยว หากการหมุนนี้ถูกจํากัดเชนเมื่ออยูในวงแหวนหรือเมื่อมี
พันธะคูจะทําใหโปรตอนที่อยูบนคารบอนอะตอมเดียวกันอาจอยูภายใตภาวะแวดลอมที่ไมเหมือนกันก็ได ตัวอยางเชน
ในสารประกอบคลอโรอีทีน ในกรณีนี้ โปรตอนทั้งสามตัวจะไม อีควิวาเลนตกันเลยจึงเห็นสัญญาณถึง 3 ชุด (สัญญาณ
ของ ขึ้นใกลกันมากจนเกือบจะซอนทับกัน แตจะเห็นชัดเจนเมื่อขยาย) นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่ทําใหโปรตอนที่
ตอบนอะตอมเดียวกันอาจไมอีควิวาเลนตกัน เชนการอยูใกลกับจุดศูนยกลางสเตอริโอเจนิก ซึ่งอยูนอกเหนือขอบเขต
ของเอกสารชุดนี้
H Cl Cl Cl H Cl
H H H H
H H H H H H
6
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
Ha
Ha
Hb
Hb
ในโมเลกุลที่เปนวงแหวน หากวงแหวนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงคอนฟอรเมชันอยางรวดเร็วก็จะทําใหเกิดการ
เฉลี่ยไดคลายคลึงกับในระบบที่เปนโซเปด เชน ไซโคลเฮกเซน (รูปที่ 6) จริงๆ แลว ณ ขณะใดขณะหนึ่ง โมเลกุลนี้จะมี
โปรตอนอยู 2 ประเภทที่แสดงดวยสัญลักษณ Ha และ Hb อยางละ 6 ตัว แตเนื่องจากโมเลกุลนี้มีการเปลี่ยนคอนฟอรเม
ชันที่อุณหภูมิปกติอยางรวดเร็วเมื่อเทียบกับเวลาที่ใชในการบันทึก NMR สเปกตรัมจึงทําใหสัญญาณของ Ha และ Hb
เฉลี่ยกันกลายเปนสัญญาณเดียว แตถาหากลดอุณหภูมิลงไปมากๆ ทําใหการเปลี่ยนคอนฟอรเมชันเกิดชาลงก็จะเห็น
สัญญาณ 2 ชุดเนื่องจาก Ha และ Hb ตามลําดับ
การระบุจํานวนโปรตอนที่ไมอีควิวาเลนตกันในสารประกอบที่เปนวงแหวน หากวงแหวนนั้นไมสามารถเปลี่ยน
แปลงคอนฟอรเมชันได ดังเชนในกรณีของวงแหวนเบนซีน ดังนั้นโปรตอนทั้ง 6 ของเบนซีนจึงอีควิวาเลนตกันและ
ปรากฏสัญญาณ NMR เพียงชุดเดียว แตคลอโรเบนซีนจะมีสัญญาณถึง 3 ชุด (รูปที่ 7) อยางไรก็ตาม จํานวนชุดของ
สัญญาณที่สามารถมองเห็นไดจริงในสเปกตรัมยอมขึ้นกับความสามารถในการแยก (resolution) ของเครื่องสเปกโตร
มิเตอรที่ใชดวย ในกรณีของเบนซีนที่ถูกแทนที่บอยครั้งจะเห็นจํานวนชุดของสัญญาณนอยกวาจํานวนชุดของโปรตอนที่
ไมอีควิวาเลนตกันทั้งนี้เนื่องจากสัญญาณของโปรตอนที่ไมอีควิวาเลนตกันอาจบังเอิญมาซอนทับที่ตําแหนงเดียวกันได
H Cl
H H H H
H H H H
H H
แบบฝกหัด จงระบุจํานวนชุดของโปรตอนที่ไมอีควิวาเลนตกันของสารประกอบตอไปนี้
1. แนพทาลีน 2. ไซลีน (ทั้งสามไอโซเมอร) 3. บิวเทน 4. เมทิลไซโคลเฮกเซน 5. 2-คลอโรไนโตรเบนซีน
ตําแหนงของสัญญาณ: บอกสภาพแวดลอมของนิวเคลียส
ดังที่กลาวมาแลววานิวเคลียสชนิดเดียวกันไมจําเปนจะตองเกิดการเรโซแนนซหรือดูดกลืนคลื่นวิทยุที่ความถี่
เดียวกันทั้งนี้ขึ้นอยูกับสภาพแวดลอมของนิวเคลียสนั้นๆ โปรตอนในสนามแมเหล็กขนาด 9.4 T เมื่อคํานวณความถี่
ของการดูดกลืนคลื่นวิทยุจากสมการ (1) จะไดวามีคาเทากับ 4x108 Hz แตในความเปนจริงความถี่ของการดูดกลืนที่วัด
ไดจะมีคาต่ํากวานี้เนื่องจากคาที่คํานวณไดเปนของโปรตอนอิสระ แตในโมเลกุลของสารอินทรียโปรตอนจะไมไดอยูใน
สภาพอิสระ โดยจะมีอิเล็กตรอนมาลอมรอบ ทําใหโปรตอนนิวเคลียส "รูสึก" ถึงสนามแมเหล็กที่นอยกวาความเปนจริง
แตความแตกตางนี้จะไมมากนัก เชนในกรณีนี้จะอยูในชวงเพียง 4000 Hz เมื่อเทียบกับคาความถี่ของโปรตอนอิสระที่
7
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
เกิดการเรโซแนนซในสนามแมเหล็กขนาดเดียวกันแตก็มากพอที่จะแยกแยะความแตกตางของโปรตอนสวนใหญที่อยู
ในสภาพแวดลอมที่แตกตางกันออกจากกันได
การที่นิวเคลียสรูสึกถึงสนามแมเหล็กนอยกวาความเปนจริงเนื่องจากการบดบังของอิเล็กตรอนนี้เรียกวาการ
ชีลด (shielding) หากบริเวณรอบนิวเคลียสที่กําลังพิจารณานั้นมีความหนาแนนของอิเล็กตรอนสูง นิวเคลียสยอมจะถูก
ชีลดมาก ทําใหมองเห็นสนามแมเหล็กนอยกวาคาจริงมาก สัญญาณเรโซแนนซจึงเกิดที่ความถี่ต่ํากวาคาที่ควรจะเปน
ในกรณีของนิวเคลียสอิสระมาก ในกรณีนึ้คาเคมิคัลชิฟตจะมีตัวเลขนอยหรือติดลบ (อยูทางดานขวามือหรือ upfield) ใน
ทางกลั บ กั น หากรอบนิ วเคลี ย สมี ค วามหนาแน น ของอิ เล็ ก ตรอนต่ํ าก็ จ ะเกิ ด สั ญ ญาณเรโซแนนซ ใกล เคี ย งกั บ ของ
นิวเคลียสอิสระมากขึ้น (อยูทางดานซายมือหรือ downfield) เรียกวาเกิดการดีชีลด (รูปที่ 8)
B as experienced
by the nuclei
Applied B0
∆E ∆E
ν, δ ν, δ
ปจจัยที่สงผลตอความหนาแนนอิเล็กตรอนที่แวดลอมโปรตอนหนึ่งๆ มีหลายอยางซึ่งจะสงผลรวมกันและผล
รวมของปจจัยตางๆ นี้จะทําใหเกิดความแตกตางของเคมิคัลชิฟตขึ้น ปจจัยดังกลาวไดแก
ผลของอิเล็กโตรเนกาติวิตี
เปนผลการเปลี่ยนแปลงคาเคมิคัลชิฟตอันเนื่องมาจากความแตกตางของอิเล็กโตรเนกาติวิตีของอะตอมที่
กําลังพิ จ ารณากับ ของอะตอมที่ เป น หมูแทนที่ เมื่อพิ จ ารณาชนิ ดของหมู แทนที่ ที่เปน เฮทเทอโรอะตอมที่ ตออยู บ น
คารบอนเดียวกันกับที่โปรตอนที่สนใจเกาะอยู จะพบวาคาเคมิคัลชิฟตของโปรตอนนั้นจะเพิ่มขึ้น (พีกปรากฏที่บริเวณ
ซึ่ง downfield มากขึ้น) เมื่ออิเล็กโตรเนกาติวิตีของธาตุที่ตออยูนั้นเพิ่มขึ้น ดังตัวอยางในตาราง 2 เนื่องจากในคารบอน
อะตอมมีหมูแทนที่ที่ดึงอิเล็กตรอนไดดีตออยูนี้ ความหนาแนนของอิเล็กตรอนรอบๆโปรตอนที่ตออยูกับคารบอนนั้นจะ
ลดลง จึ ง เกิ ด การดี ชิ ล ด ขึ้ น ปรากฏการณ ลั ก ษณะนี้ เรี ย กว า ไดอะแมกเนติ ก ชี ล ดิ ง เฉพาะที่ (local diamagnetic
shielding)
8
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
ผลจากการเกิดเรโซแนนซของอิเล็กตรอน
ปจจัยใดก็ตามที่สงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลงความหนาแนนอิเล็กตรอนที่แวดลอมโปรตอนใดๆ ยอมทําให
เกิด shielding หรือ deshielding effect ได ตัวอยางเชน NMR สเปกตรัมของไนโตรเบนซีนจะมีสัญญาณ 3 ชุดเกิดที่
ตํ าแหน ง 8.2, 7.7 และ 7.5 ppm ตามลํ าดั บ ซึ่ งเป น สัญ ญาณของออรโท พารา และเมตาโปรตอนตามลํา ดั บ หาก
พิจารณาจากอินดักทีฟเอฟเฟกตอยางเดียวดูเหมือนจะขัดแยงกับโครงสรางเนื่องจากหมูไนโตรอยูหางจากตําแหนง
พารามากที่สุด จึงนาจะมีผลกระทบนอยกวาตําแหนงเมตา แตที่จริงแลวผลของเรโซแนนซของหมูไนโตร (ซึ่งเปนหมูดึง
อิเล็กตรอน) จะมีมากที่ตําแหนงออรโทและพารา ในขณะที่ตําแหนงเมตามีผลกระทบจากอินดักทีฟเอฟเฟกตเทานั้น
สวนตําแหนงออรโทไดรับทั้งอินดักทีฟ และเรโซแนนซเอฟเฟกต ซึ่งมีทิศทางไปทางเดียวกันจึงถูกดีชีลดมากที่สุด และ
มีเคมีคัลชิฟตสูงที่สุดดวย (รูปที่ 9)
9
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
10
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
หากพิ จารณาแนวโน ม ของการเปลี่ ย นแปลงค าเคมิ คั ลชิฟ ต โดยใช ช นิ ด ของไฮบริไดเซชั น ของคารบ อนที่
โปรตอนที่สนใจตออยูดังกลาวขางตน โปรตอนที่ตออยูกับ sp-hybridized carbon ก็นาจะมีเคมิคัลชิฟตในบริเวณที่
downfield กวาเคมิคัลชิฟตของโปรตอนที่ตออยูกับ sp2-hybridized carbon เพราะ sp ไฮบริไดซออรบิทัลของคารบอน
นั้นมี s-character ถึง 50 % แตที่จริงแลวไมเปนเชนนั้น โปรตอนที่ตออยูกับ sp-hybridized carbon จะมีเคมิคัลชิฟตใน
ชวง 2-3 ppm ซึ่งเกิดจากปรากฎการณที่เรียกวาแมกเนติกแอนไอโซโทรป (magnetic anisotropy) ซึ่งจะไดกลาวถึงใน
หัวขอถัดไป
nucleus
induced magnetic
lines of force
circulating
electron
external
B0 magnetic field
รูปที่ 10 สนามแมเหล็กเหนี่ยวนําซึ่งเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนเมื่อไดรับสนามแมเหล็ก B0
+
H3C
C C _ C O _
H H
11
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
หากโปรตอนใดวางตัวอยูในตําแหนงที่ไดรับอิทธิพลของสนามแมเหล็กเหนี่ยวนําซึ่งมีทิศทางเดียวกันกับ B0
และเกิดการเสริม แรงสนามแมเหล็ก ขึ้น นี้ โปรตอนนั้ น จะได รับ สนามแมเหล็ก ที่ มี ค วามแรงรวมมากขึ้น เรีย กได วา
โปรตอนนั้นถูก deshield หรือไดรับ deshielding effect สวนโปรตอนใดวางตัวอยูในตําแหนงที่ไดรับอิทธิพลของสนาม
แมเหล็กเหนี่ยวนําซึ่งมีทิศทางตรงกันขามกับ B0 สนามแมเหล็กก็จะหักลางกันไปบางสวนความแรงรวมของสนามแม
เหล็กที่โปรตอนนั้นไดรับจึงนอยลง เรียกไดวาโปรตอนนั้นถูก shielded หรือเกิด shielding effect จากตั ว อย า ง
ในรูปที่ 11 (ก) ไฮโดรเจนบนวงเบนซีนวางตัวอยูในตําแหนงที่สนามแมเหล็กเหนี่ยวนํานั้นอยูในทิศทางเดียวกับสนาม
แมเหล็กภายนอกทําใหมันถูก deshield ดังนั้นจึงพบวาอะโรมาติกโปรตอนจะมีเคมิคัลชิฟตซึ่ง downfield มาก (6-8.5
ppm)
ในกรณี ของเทอรมินัลแอลไคน (terminal alkynes) นั้น การเคลื่อนที่ของพายอิเล็กตรอนในพันธะพายสอง
พั น ธะของแอลไคน ทํ าให บ ริเวณรูป ทรงกระบอกรอบแนวแกนของพั น ธะ C-C นั้ น มี ค วามหนาแน น อิเล็ก ตรอนสู ง
อิเล็กตรอนเหลานี้เมื่ออยูในสนามแมเหล็กก็จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กทุติยภูมิในลักษณะเดียวกับกับที่กลาวไป
แลว จากรูปที่ 11 (ข) จะเห็นวาอะเซติลินิกโปรตอน (acetylenic protons) นั้นวางตัวอยูในตําแหนงของสนามแมเหล็ก
เหนี่ยวนําซึ่งมีทิศทางหักลางกับ B0 โปรตอนเหลานี้จึงถูก shielded ทําใหมีคาเคมิคัลชิฟตในชวงซึ่ง upfield กวาที่นา
จะเปนเมื่อพิจารณาผลของไฮบริไดเซชันเพียงอยางเดียว
เมื่อโมเลกุลของสารประกอบที่มีหมูคารบอนิลไดรับแรงกระทําจากสนามแมเหล็กภายนอก พายอิเล็กตรอน
ของพันธะ C=O ก็จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กในทํานองเดียวกันกับกรณีของสารประกอบอะโรมาติกและแอลไคน
ได (รูปที่ 11 (ค)) จึงพบวาโปรตอนซึ่งไดรับอิทธิพลของสนามแมเหล็กเหนี่ยวนําซึ่งเกิดจาก C=O จะมีคาเคมิคัลชิฟต
ซึ่ง downfield มาก ตัวอยางเชนโปรตอนของกรด คารบอกซิลิก และโปรตอนของแอลดิไฮดจะมีคาเคมิคัลชิฟตในชวงที่
downfield มากๆ เนื่องจากโปรตอนไดรับผลทั้งจากแมกเนติกแอนไอโซโทรปและผลจาก inductive effect ของหมูแทน
ที่บนคารบอนดวย
นอกจากนี้ก็ยังมีปจจัยปลีกยอยอื่นอีกที่อาจมีผลกระทบตอเคมิคัลชิฟต เชนการเกิดพันธะไฮโดรเจนเปนตน
หากมีหลายอิทธิพลรวมกัน ผลลัพธที่เกิดขึ้นมักจะใกลเคียงกับผลรวมของการเปลี่ยนแปลงเคมิคัลชิฟตเนื่องจากอิทธิ
พลทั้งหมด ซึ่งมีสูตรคํานวณเคมิคัลชิฟตของทั้งระบบที่เปนอะลิฟาติกและอะโรมาติกไดอยางแมนยําพอสมควร แตใน
ระดับนี้ยังไมจําเปนตองคํานวณได
หากพิจารณาโดยรวม จะเห็นแนวโนมทั่วไปที่เดนชัดของเคมิคัลชิฟตของโปรตอนบางกลุมซึ่งสามารถสรุปได
ดังนี้ (ดูรปู ที่ 12 ประกอบ)
- โปรตอนที่ตออยูกับ (หรือตออยูไมไกลจาก) คารบอนที่มีหมูแทนที่ที่ดึงอิเล็กตรอนไดดี จะมี chemical chift สูง
(downfield shift)
- พีกของโปรตอนที่ตอกับ O หรือ N อาจปรากฏใหเห็นหรือไมก็ได และไมไดมีเคมิคัลชิฟตอยูบริเวณใดบริเวณหนึ่ง
ตายตัว
- π-system ของ แอลคีน, แอลไคน, และอะโรมาติก จะ deshield โปรตอนของมันไดมาก ทําใหปรากฏพีกที่บริเวณ
downfield
- โปรตอนของคารบอกซิลิก และแอลดิไฮด เปนกลุมที่มีเคมิคัลชิฟตสูงกวาโปรตอนกลุมอื่นๆ
12
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
O H X H X H
H
H H
10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0
รูปที่ 12 แสดงแผนภาพเคมิคัลชิฟตของโปรตอนเอ็นเอ็มอาร
พื้นที่ใตพีก: บอกจํานวนโปรตอนในแตละกลุม
พื้นที่ใตพีกของสัญญาณเอ็นเอ็มอารจะเปนสัดสวนโดยตรงกับจํานวนโปรตอนที่ทําใหเกิดสัญญาณนั้น เครื่องอิ
เล็กทรอนิกอินทิเกรเตอร (electronic integrator) จะอินทิเกรตเพื่อหาพื้นที่ใตพีกของแตละพีกหรือกลุมพีกแลวแสดงผล
เปนรูปขั้นบันได (stepped curve) เหนือพีกนั้นๆ และอาจแสดงคาเปนตัวเลขดวย ความสูงของขั้นบันไดนี้จะเปนสัด
สวนกับพื้นที่ใตพีก ถาเครื่องสเปกโตรมิเตอรไมไดใหคามาเปนตัวเลขใหใชคาความสูงของพีกซึ่งวัดดวยไมบรรทัดหรือ
ใชการนับจํานวนชองของกระดาษกราฟเพื่อใชในการคํานวณอัตราสวนของพีกเทียบกับพีกอื่นๆ เมื่ อ คํ าน ว ณ
อัตราสวนระหวางพื้นที่ใตพีกของสัญญาณแตละพีกได ก็จะทราบอัตราสวนของโปรตอนแตละชนิด ตัวอยางเชน เมื่อ
พิจารณาโปรตอนเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมของเมซิทิลีน (1,3,5-ไตรเมทิลเบนซีน) (รูปที่ 13) จะเห็นวาอัตราสวนระหวาง
พื้นที่ใตพีกของเมทิลโปรตอนตอพื้นที่ใตพีกของอะโรมาติกโปรตอนในสารประกอบนี้มีคาประมาณ 3:1 ซึ่งจะสอดคลอง
กับอัตราสวนของจํานวนโปรตอนแตละชนิดในสารประกอบนี้ (9:3)
รูปที่ 13 โปรตอนเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมของเมซิทิลีน
13
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
รูปที่ 14 โปรตอนเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมของพาราเทอรเชียรีบิวทิลเบนซีน
14
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
1 6 15 20 15 6 1
15
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
16
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
H H H or H
รูปที่ 17 รูปแบบการคัปปลิงที่พบบอย
17
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
H or H
H H X
H H H H
H
H H H
Y
H H or H
H H or H H or H
X X
H H H Y
H Y H H
H H
ลักษณะของพีกที่แสดงในรูปเปนเพียงการประมาณเทานั้น ในความเปนจริงลําดับและตําแหนงที่แนนอนของ
พีกจะผันแปรไดมากขึ้นกับสภาพแวดลอมของโปรตอนที่เกี่ยวของ นอกจากนี้ในตัวอยางที่ซับซอนขึ้นอาจพบเห็นการ
ซอนทับกันของพีกไดคอนขางบอย จึงอาจไมสามารถวิเคราะหลักษณะการ split ของพีกไดอยางชัดเจน ตัวอยางเชนใน
1
H NMR สเปกตรัมของโพรพิลเบนซีนและไอโซโพรพิลเบนซีนที่แสดงในรูปที่ 18 จะเห็นการแยกพีกชัดเจนในบริเวณ
อะลิฟาติก แตพีกบริเวณอะโรมาติกซึ่งควรจะมี 3 กลุมกลับรวมเปนกอนเดียวกันเนื่องจากกําลังแยกของเครื่องสเปก
โตรมิเตอรไมเพียงพอที่จะบอกความแตกตางของพีกที่เกิดเรโซแนนซที่ความถี่ใกลเคียงกันได
18
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
19
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
20
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
คาคงที่ของการคูควบสามารถวัดไดจากการทดลอง นอกจากนี้ยังสามารถคํานวณไดหากทราบโครงสรางของ
โมเลกุลที่แนนอน แตในระดับนี้จะขอละทฤษฎีไวกอน แตจะกลาวถึงประโยชนอีกประการหนึ่งคาคงที่ของการคูควบคือ
ใชทํานายคอนฟอรเมชัน และฟ กกิวเรชันของโมเลกุล รวมทั้งระบุตําแหนงของสัญ ญาณวาตรงกับโปรตอนตัวใดใน
โมเลกุล ตัวอยางเชน โปรตอนที่อยูในลักษณะซิส ซึ่งกันและกัน จะมีคาคงที่ของการคูควบต่ํา (10-12 Hz) กวาโปรตอน
ที่อยูในลักษณะทรานส (>15 Hz) และโปรตอนที่พันธะ C-H ที่อยูติดกันทํามุมฉากซึ่งกันและกันวงแหวนไซโคลเฮกเซน
จะมีคาคงที่ของการคูควบต่ํากวาเมื่อพันธะ C-H ทั้งสองทํามุม 0o และ 180o ตามลําดับ
จากขอมูลทั้งสี่ประการที่โปรตอนเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมใหแกเราไดแกจํานวนชุดของโปรตอนที่ อีควิวาเลนต
กันจํานวนโปรตอนในแตละชุด ประกอบกับ chemical shift และลักษณะการสปลิตของสัญญาณซึ่งเปนตัวบอกสิ่งแวดลอม
ของโปรตอนแตละชุดจะทําใหสามารถโยงไปถึงโครงสรางของสารตัวอยางได บอยครั้งเพียงทราบสูตรโมเลกุลของสาร
และโปรตอนเอ็นเอ็มอารสเปกตรัมก็สามารถบอกสูตรโครงสรางได ดังนั้นอาจกลาวไดไมผิดวาโปรตอนเอ็นเอ็มอารเปน
เทคนิคที่มีความสําคัญที่สุดในการวิเคราะหโครงสรางของสารอินทรียและผูเรียนวิชาเคมีอินทรียพึงหัดแปลผลจากเอ็น
เอ็มอารสเปกตรัมใหคลองแคลวจากโจทยตัวอยางตอไป
13
C NMR สเปกตรัม
นอกเหนือจากโปรตอนแลวยังมีนิวเคลียสอื่นอีกที่สามารถใหสัญญาณ NMR ได แตในบรรดานิวเคลียสเหลานี้
มี C ที่มีการใชงานกันอยางกวางขวางที่สุดรองลงมาจาก 1H เนื่องจากมันเปนธาตุที่เปนองคประกอบพื้นฐานของสาร
13
อิ น ทรี ย ทุ ก ชนิ ด 13C มี นิ ว เคลี ย ร ส ป น เป น 1/2 เช น เดี ย วกั บ โปรตอน หลั ก การของ 13C NMR ก็ เหมื อ นๆ กั บ ของ
โปรตอนนั่นเอง แตอาจมีรายละเอียดปลีกยอยที่แตกตางออกไปดังนี้
- 13C NMR เปนเทคนิคที่มีความไว (sensitivity) ต่ํากวา 1H NMR มากเนื่องจาก 13C เปนไอโซโทปที่มีปริมาณนอย
มากในธรรมชาติ ดังนั้นในการบันทึกคารบอนสเปกตรัมจะตองใชสารตัวอยางปริมาณมากกวาโปรตอนหลายเทา และใช
เวลานานกวามาก
- ความถี่ที่เกิดการเรโซแนนซ เนื่องจาก คา γ ของ 13C มีคาต่ําเพียงประมาณ 1/4 ของโปรตอน ดังนั้นเมื่อคํานวณจาก
สมการ (1) จะเห็นวา ∆E ของ 13C จะมีคานอยกวาของ 1H ที่ความแรงของสนามแมเหล็กเทากัน เชน บนเครื่อง NMR
ที่มีความแรงสนามแมเหล็ก 9.6 T โปรตอนในสภาพอิสระจะเรโซแนนซที่ 400 MHz ในขณะที่ 13C จะเกิดการเรโซ
แนนซที่ความถี่ 100 MHz
- ชวงความถี่ที่เกิดการเรโซแนนซของ 13C มีคามากกวาของโปรตอน เมื่อเทียบเปนสเกลเคมิคัลชิฟตจะอยูในชวงจาก
0-200 ppm (ใชเททระเมทิลไซเลนเปนมาตรฐานเชนเดียวกับโปรตอน)
- แมวา 13C จะสามารถเกิดการคัปปลิงกับ 13C ขางเคียงได แตโอกาสที่จะเกิดก็มีเพียง 1/104 เทานั้น เราจึงไมสามารถ
สังเกตเห็นได แตที่จะพบไดคือการคัปปลิงระหวาง 13C กับโปรตอนที่อยูขางเคียง แตเนื่องจากคาคงที่ของการคูควบใน
กรณีนี้มักจะสูงมากจนเกิดการซอนทับของกลุมพีกไดงาย การบันทึกคารบอนสเปกตรัมจึงนิยมกระทําในรูปแบบที่มีการ
กํา จัดการคัป ปลิ งระหวางคารบ อน-โปรตอนออกไปแลว ซึ่ งทํ าได ห ลายวิธี เช น การใส ค ลื่น วิท ยุ ในช วงเดี ยวกั บ ที่
โปรตอนเกิ ด การเรโซแนนซ เข า ไปในขณะที่ กํ า ลั ง บั น ทึ ก สั ญ ญาณ การกระทํ า เช น นี้ เรี ย กว า การทํ า ดี คั ป ปลิ ง
(decoupling) ก็จะไดคารบอนสเปกตรัมที่ทุกพีกจะมีลักษณะเปน singlet หมดไมมีการสปลิตเนื่องจากโปรตอนหรือ
คารบอนที่มาตออยู แมการกระทําเชนนี้จะเปนการทําลายขอมูลที่มีคาบางสวนไปแตก็ชดเชยมาดวยคุณภาพสเปกตรัม
ที่ดีขึ้น ขอมูลสวนที่หายไปสามารถใชเทคนิคชั้นสูงอื่นๆ เพื่อนํากลับคืนมาได
- เนื่องจากการวัดคารบอนสเปกตรัมมักกระทําพรอมกับดีคัปปลิง ซึ่งจะทําใหเกิดผลขางเคียงคือความเขมหรือพื้นที่ใต
พีกของสัญญาณคารบอนจะไมไดเปนสัดสวนโดยตรงกับปริมาณของนิวเคลียสที่มีอยูอีกตอไป เราจึงไมสามารถอินที
เกรตหาจํานวนคารบอนที่ไมอีควิวาเลนตกันไดในทํานองเดียวกับโปรตอน
21
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
C-X
C-N
C-O
Alkyne
Nitrile
Aromatic
C=C
C=O
22
เอกสารนี้จัดทําโดย ธีรยุทธ วิไลวัลย และ วรวรรณ พันธุมนาวิน ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2548)
23