Professional Documents
Culture Documents
ภาษาอังกฤษของข้าราชการ วสท.สปท.
คณะกรรมการจัดการความรู้ วสท.
ส.ค.๕๘
สำรบัญ
หน้า
บทที่ ๑ การจัดทาโครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ ๑
การจัดทาโครงการ ๒
ตัวอย่าง โครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ ๕
บทที่ ๒ หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม ๙
หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม ๙
ตัวอย่าง ตารางอบรมภาษาอ้งกฤษ ๑๐
บทที่ ๓ การจัดผู้บรรยาย/เอกสารตารา ๑๑
บทที่ ๔ ข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะ ๑๒
ภาคผนวก ๑๓
ผนวก ก ตัวอย่างหนังสือ ขออนุมัติโครงการพัฒนากาลังพล ๑๔
ผนวก ข ตัวอย่างหนังสือ ขอรับการสนับสนุนห้องเรียนในการอบรมภาษาอังกฤษ ๑๗
ผนวก ค ตัวอย่างหนังสือ รายงานผลการอบรมโครงการพัฒนากาลังพล ๑๙
ผนวก ง ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ๒๒
๑
บทที่ ๑
การจัดทาโครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ
๑. จัดทําโครงการ
๒. กําหนดหัวข้อการอบรมและตารางการอบรม
๒
๓. ประสานอาจารย์
๔. ประเมินผล
การจัดทําโครงการ
๑. หลักการและเหตุผล
๒. วัตถุประสงค์
๓. ความสอดคล้อง
๔. ระยะเวลาดําเนินการ
๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ
๖. กลุ่มเป้าหมาย
๗. สถานที่ดําเนินการ
๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
๙. งบประมาณ
๓
๑. หลักการและเหตุผล
ในหัวข้อนี้เป็นการกล่าวถึง การอธิบายความเป็นมาและภูมิหลังของการเสนโครงการ ความสําคัญ
ของโครงการ รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่จะอนุมัติเข้าใจที่มา เห็นความสําคัญ และเข้าใจ
โครงการที่เสนอมาก ความเป็นมา นํามาซึ่งการจัดทําโครงการเพื่อตอบสนองต่อนโยบาย แสดงถึงเหตุผล
ความสําคัญที่ต้องดําเนินการ ตลอดจนผลที่ได้รับ
๒. วัตถุประสงค์
๓. ความสอดคล้อง
ในหัวข้อนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของโครงการต่อนโยบายของหน่วยเหนือ
๔. ระยะเวลาดาเนินการ
๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ
๖. กลุ่มเป้าหมาย
จํานวนผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดที่ผู้ทําโครงการต้องการให้มาเข้าร่วมกิจกรรม จะต้องสอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ การกําหนดกลุ่มเป้าหมายในการดําเนินการตามโครงการนการพัฒนาทักษะ
๔
๗. สถานที่ดาเนินการ
ควรระบุสถานที่ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ในการส่วนที่จัดโครงการเพื่อให้ผู้เข้าร่วม
โครงการสามารถติดตามได้โดยง่าย สําหรับการกําหนด สถานที่ดําเนินการตามกิจกรรมต่างๆ ในส่วนของการ
บรรยาย ต้องเตรียมสถานที่ จัดหาห้องบรรยายภายในวิทยาลัยเสนาธิการทหาร
๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
เป็นการบอกถึงผลที่ได้เมื่อโครงการเสร็จสิ้น และประโยชน์ที่ได้รับ การคาดคะเนผล/ประโยชน์จาก
การดําเนินโครงการที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลหรือส่วนรวม ควรเขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
๙. งบประมาณ
ตัวอย่าง การจัดทาโครงการ
๑. หลักการและเหตุผล
ตามที่ กพ.ทหาร ได้ชี้แจงสรุปการดําเนินการที่สําคัญตามนโยบาย ผบ .ทสส. เพื่อกรุณาทราบ
จํานวน ๕ เรื่อง ซึ่งในเรื่องที่ ๓ การพัฒนากําลังพลของ บก .ทท. ด้านภาษาอังกฤษนั้น ผบ .ทสส. ได้กรุณา
อนุมัติกําหนดเป้าหมายการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ของกําลังพล บก .ทท. ประจําปีงบประมาณ
๒๕๕๘ ดังนี้.-
๑) ระดับ พ.อ. (พ.) / น.อ. (พ.) ตําแหน่ง รอง ผอ. สํานัก และ ผอ.กอง หรือเทียบเท่า มีผล
การทดสอบรายไตรมาสไม่น้อยกว่าที่กําหนด โดยไตรมาสที่ ๑ (ธ.ค.๕๗) ร้อยละ ๕๕ , ไตรมาสที่ ๒ (มี.ค.๕๘)
ร้อยละ ๖๐ , ไตรมาสที่ ๓ (มิ.ย.๕๘) ร้อยละ ๖๕ และไตรมาสที่ ๔ (ก.ย.๕๘) ร้อยละ ๗๐
ความสําคัญของการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถ
ตอบสนองต่อนโยบายและมาตรฐานการใช้ภาษาอังกฤษของกองทัพไทยได้
๒. วัตถุประสงค์
๔. ระยะเวลาดาเนินการ
ระหว่าง ธ.ค.๕๗ - ก.ย.๕๘
๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ
๓) เชิญอาจารย์ผู้สอนภายนอกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์
๗
๖) แจกจ่ายแผ่นซีดีบันทึกพจนานุกรมศัพท์ทหาร และแบบเรียนการใช้ไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษให้กับ นขต .วสท.สปท. (กอง ฯ ละ ๑ ชุด ) และนักศึกษ าหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ เพื่อใช้เป็น
แนวทางในการพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยตนเอง สําหรับกําลังพล วสท .สปท. ให้ ผอ. แต่ละกอง ฯ กํากับดูแล
และมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อการพัฒนาภาษาอังกฤษของกําลังพลในสังกัดอย่างต่อเนื่อง
๓) สําหรับนักศึกษาหลักสูตร วสท
. รุ่นที่ ๕๖ ให้อยู่ในกํากับดูแลของ .นอ. ปิยะ อาจมุงคุณ
ร.น.
๕.๓ สนับสนุนการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
๑) กวก.วสท.สปท. ได้จัดทําบอร์ดประชาสัมพันธ์สําหรับการพัฒนาทักษะการใช้
ภาษาอังกฤษเพื่อการสอบ ECL และภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวันให้กับกําลังพลของ
วสท.สปท. รวมถึงการให้ นขต.วสท.สปท. ได้มีส่วนร่วมโดยการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนําเสนอศัพท์ที่น่ารู้และ
ตัวอย่าง บทสนทนาในแต่ละวัน
๘
๒) การจัดสัมมนาเป็นภาษาอังกฤษในประเด็นที่สนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษภายใน วสท.สปท.
๓) การจัดชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (บรรยายภาษาไทย)
๖. กลุ่มเป้าหมาย
๖.๑ น.สัญญาบัตร วสท.สปท. ระดับ พ.อ. (พ.) / น.อ. (พ.)
๗. สถานที่ดาเนินการ
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร
๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
๘.๑ ทําให้กําลังพลของ วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษ าอังกฤษได้ด้วยตนเอง และสามารถนําทักษะการเรียนรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อการ
ทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ให้ได้ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด
๙. งบประมาณ
(งบประมาณปี ๒๕๕๗)
๙
บทที่ ๒
หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม
การกาหนดหัวข้อ การอบรม
การจัดทาตารางการอบรม
ตัวอย่าง การจัดทาตารางการอบรม
บทที่ ๓
การจัดหาผู้บรรยาย / เอกสารตารา
บทที่ ๔
ข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะ
ภาคผนวก
๑๔
บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ กวก.วสท.สปท. (โทร. ๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓.๕/ วันที่ ธ.ค.๕๗
เรื่อง ขออนุมัติโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ
น.อ.
(ปัญญา ศรีสิงห์)
พล.ท.
ผบ.วสท.สปท.
พล.ร.ต. ร.น.
ธ.ค.๕๗
เสธ.วสท.สปท. น.อ.
ธ.ค.๕๗
รอง เสธ.วสท.สปท. (๑)
ธ.ค.๕๗
๑๗
บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ วสท.สปท. (กวก.ฯ โทร.๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓/ วันที่ เม.ย.๕๘
เรื่อง ขอรับการสนับสนุนห้องเรียนในการอบรมภาษาอังกฤษให้กําลังพลของ วสท.สปท.
เรียน ผอ.สจว.สปท.
สิ่งที่ส่งมาด้วย ตารางการอบรมด้านภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพลของ วสท.ฯ
๑. วสท.สปท.ฯ เปิดการอบรมภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพล วสท .ฯ และ กําลังพลของหน่วย
ใกล้เคียง (สจว.ฯ) เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายของ ผบ .ทสส. ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ในด้าน
ภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพลของ บก.ทท. โดย วสท.ฯ กําหนดเปิดการอบรมฯ ในห้วง ๑๘ พ.ค.๕๘ - ๒๙ มิ.ย.๕๘
รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
๒. ข้อเสนอ เพื่อให้การอบรมฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย วสท .ฯ ขอรับการสนับสนุน
จาก สจว.ฯ ดังนี้ .-
๒.๑ ห้องเรียนเพื่อใช้ในการอบรมฯ จํานวน ๒ ห้องเรียน พร้อมเจ้าหน้าที่โสตทัศนูปกรณ์
๒.๒ ขอเชิญกําลังพลของ สจว.ฯ เข้าร่วมรับการอบรมฯ ในครั้งนี้ พร้อมทั้งส่งรายชื่อกําลัง
พลของ สจว.ฯ ที่จะเข้าร่วมการอบรมฯ มาที่ กวก.วสท.ฯ ภายใน ๘ พ.ค.๕๘ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ น.อ.ปัญญา ศรี
สิงห์ โทร ๐๘๐-๙๘๖-๓๔๕๖ เป็นผู้ประสานรายละเอียดต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา หากเห็นสมควรกรุณาอนุมัติตามข้อ ๒
(ลงชื่อ) พล.ท. เจิดวุธ คราประยูร
(เจิดวุธ คราประยูร)
ผบ.วสท.สปท.
๑๘
หมายเหตุ
- จํากัดจํานวนผู้เข้ารับการอบรมฯห้องละ๑๕ - ๒๐ นาย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ
ตรวจถูกต้อง
(ลงชื่อ) น.อ. ปัญญา ศรีสิงห์
(ปัญญา ศรีสิงห์)
รอง ผอ.กวก.วสท.สปท
๑๙
k
บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ กวก.วสท.สปท. (โทร. ๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓.๕/ วันที่ เม.ย.๕๘
เรื่อง รายงานผลการอบรมโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ
น.อ.
(ปัญญา ศรีสิงห์)
รอง ผอ.กวก.วสท.สปท. ทําการแทน
ผอ.กวก.วสท.สปท.
- อนุมัติตามข้อ ๔
พล.ท.
ผบ.วสท.สปท.
พล.ร.ต. ร.น.
เม.ย.๕๘
เสธ.วสท.สปท. น.อ.
เม.ย.๕๘
รอง เสธ.วสท.สปท. (๑)
เม.ย.๕๘
๒๑
จํานวนชั่วโมงที่เข้ารับการศึกษา
ลําดับ ยศ-ชื่อ-สกุล สรุปผลการอบรม
(เวลาเต็ม ๓๐ ชม.)
------------------------------------
ตรวจถูกต้อง
ผนวก ง ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
-They live in the first two dirty large old brown English brick houses.
8. หลักการเรียงลําดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1 สถานที่ (place)
2. กริยาอาการ (manner)
3. ความถี่ (frequency)
4. เวลา (Time)
๒๕
Adjectives คาคุณศัพท์
คําคุณศัพท์คือคําที่ทําหน้าที่ขยายคํานามหรือคําสรรพนาม ที่สําคัญมีดังนี้
Descriptive adjectives
คือคําคุณศัพท์ที่บอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคํานามที่มันประกอบเช่น
Beautiful สวยงาม
Ugly ขี้เหล่
New ใหม่
Old เก่า
Big ใหญ่
Small เล็ก
Clean สะอาด
Dirty สกปรก
Good ดี
Bad เลว
She is beatiful.
Daeng's room is dirty.
Tammy is a good tennis player.
1. การเรียงลําดับคําคุณศัพท์ที่มีอยู่ในประโยคเรียงได้ตามนี้
คําคุณศัพท์ที่บอกสี ที่มา(มาจากไหน) วัสดุ(ทําจากอะไร) จุดประสงค์(เพื่ออะไร) คํานาม
Numeral Adjectives
คือคุณศัพท์ที่บอกจํานวนนับ ลําดับที่และจํานวนที่ไม่แน่นอน
จํานวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten......
ลําดับที่ได้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth.....
บอกจํานวนที่ไม่แน่นอนได้แก่คําว่า
many มาก
๒๘
much มาก
double ทั้งสอง
few /a few น้อย จํานวนน้อย สองสาม
several หลาย
a little/little เล็กน้อย
all ทั้งหมด
no ไม่มี
some มีบ้าง
enough. เพียงพอ
I have three dogs.
That's his second wife.
I will be away several weeks.
Possessive Adjectives
คือคําคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ
my ของฉัน
her ของเธอ
his ของเขา
its ของมัน
your ของคุณ
our ของพวกเรา
their ของพวกเขา
My book is on the table.
I lost her coat.
May I borrow your pen?
Quantitative Adjectives
คือคุณศัพท์ที่แสดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของสิ่งนับไม่ได้ได้แก่คําว่า
some บ้าง
๒๙
much มาก
little น้อย
enough เพียงพอ
all ทั้งหมด
no ไม่มี
any บ้าง
whole ทั้งหมด
Give me some food.
I do not have enough water.
Do you have any money?
๓๐
2. การใช้ the
@ กรณีที่ไม่ใช้ Article
Articles
หลักการใช้ a, an
1. ใช้ an นําหน้าคําที่ขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o,u หรือออกเสียงสระไม่ว่าจะเขียนขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ตาม
เช่น an elephant, an hour, an umbrella, an apple
2. ใช้ a, an นําหน้าคํานามเอกพจน์ที่นับได้เสมอที่มีความหมายเป็น "หนึ่ง"
She has a dog.
Give me an apple.
3. ใช้ a,an นําหน้าคําที่บอกอาชีพ
Junior's father is a doctor.
I want to be a teacher.
4. ใช้ a, an นําหน้านามเอกพน์ที่แปลเป็นต่อ...(หน่วย)
Oranges cost 50 baht a kilogram.
5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่น
a stomachache, a headache, a fever
I ate somtam at lunch and now I have a stomachache.
6. ใช้ a,an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น
What a nice dress!
What an old man!
เราจะไม่ใช้ a,an กับสิ่งต่อไปนี้
1.กับคํานามที่นับไมได้ (uncountable nouns)
2.ไม่ใช้นําหน้าชื่อวิชา ชื่อกีฬา ชื่อประเทศ ชื่อเมือง ชื่อมหาวิทยาลัย
3.ไม่ใช้หน้าคําที่เป็นมื้ออาหาร breakfast, lunch, dinner
๓๔
หลักการใช้ the
1. ใช้กับคํานามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ที่เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิ่งไหน
2. ใช้ the นําหน้าคํานามที่มีสิ่งเดียว
the sun, the moon, the sky
3. ใช้ the นําหน้าชื่อครอบครัวเช่น
The Browns, The Lees
4. ตามปกติเราใช้ the นําหน้าชื่อหนังสือพิมพ์เช่น
The Nation, The Times, The Sun
5. ใช้ the กับชื่อสถนาที่
ทะเล the Pacific
เทือกเขา the Himalayas
แม่นํ้า the Mississippi
ทะเลทราย the Sahara
โรงแรม the Plaza
โรงหนังโรงละคร the Playhouse
พิภิธภัณฑ์ the National Museum
ชื่อประเทศที่มีคําว่า Republic, Kingdom, State
6. ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี
the piano
I play the guitar.
7. ใช้ the ก่อนคําว่า same
Your shirt is the same color as mine.
8. ใช้ the + คําคุณศัพท์เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ
the rich, the sick, the poor
9. ใช้ the กับคํานามที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่ากําลังพูดถึงสิ่งใด
Auxiliaries (กริยาช่วย)
2. การใช้ Verb to do ได้แก่ do, does, did แทน Verb อื่นในประโยคเพื่อไม่ให้ต้องกล่าวซ้ํา และใช้เน้น
กริยาในประโยคว่าต้องทําเช่นนั้นจริงๆ เช่น
- He speaks English better than his sisters do. [ใช้ do แทนกริยา speaks เพื่อไม่ให้ต้องกล่าวซ้ํา]
- Peter does attend church regularly! [ใช้ does เน้นกริยา attend ในประโยคว่าต้องทําเช่นนั้นจริงๆ]
3. การใช้ need
3.1 ถ้าเป็น verbช่วย ใช้เหมือน verb ช่วยทั่วๆไป คือ ไม่ต้องเติม -s หรือ -ed ที่ need และตามด้วย
infinitive ไม่มี to, ใช้เฉพาะในประโยคคําถามและปฏิเสธหรือกึ่งปฏิเสธ
- She need not go so early, need she?
- You need not do your assignment.
- Need you bring so much baggage?
- She asked whether she need go.
4 การใช้ dare
4.1 ถ้าเป็นกริยาช่วยให้ใช้เหมือนกริยาช่วยทั่วๆไป
6. การใช้ had better หรือ had sooner = น่าจะ, ควรจะ..ดีกว่า; ใช้แนะนําถึงสิ่งที่ควรทํา เช่นเดียวกับ
should หรือ ought to แม้จะมีรูปอดีต แต่ความหมายเป็นปัจจุบัน ใช้กับ infinitive ไม่มี to
- You had better get your visa extended before it expires.
- You had better leave before it rains
Comparison
2.3 ใช้ much, far, rather, a bit, a lot ขยาย comparative degree ได้ จะใช้ very ขยายไม่ได้
- You look much happier today than you did yesterday.
- He is far more intelligent than his classmates.
- She is very much better today. [very ขยาย much ไม่ได้ขยาย better]
- Could you speak a bit more slowly than you do?
- Sam plays a lot better than Fred.
* ข้อสังเกต:
@ later, latest ใช้กับเวลาที่ล่ากว่า, ล่าสุด
@ latter, last ใช้กับตําแหน่งหรือลําดับหลังกว่า, หลังสุด
@ elder, eldest ใช้ประกอบหน้านามเฉพาะพี่น้องท้องเดียวกัน
@ older, oldest ใช้ได้ทั้งคน, สัตว์, สิ่งของ
๔๑
Comparisons
การเปรียบเทียบมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ
as.........as ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่เท่ากัน
Natee is as old as Ladda.
not as....as /not so ........as ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่ไม่เท่ากัน
Today is not so hot as yesterday.
Note: หลัง as/than ถ้าไม่มี verb ตาม เราจะใช้ me/ him/ her/ them/ us
2. ในการเปรียบเทียบขั้นกว่าเมื่อต้องการแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นหรือแปรตรงต่อกัน
และในข้อความในส่วนที่สองมักจะเป็นผลของข้อความในส่วนแรกมีโครงสร้างดังนี้
the + adj./adv ขั้นกว่า + (N) + (clause), the+ adj./adv ขั้นกว่า + (N) +(clause)
การเปลี่ยนขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุด
He is tall.
He is taller than me.
He is the tallest player on the team.
2. เป็นคําพยางค์เดียวมีสระเดียวและตัวสะกดเดียวทําเป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุดด้วยการเติม
ตัวสะกดอีกตัวแล้วเติม er และ est
She is fat.
She is fatter than her sister.
She is the fattest girl in the company.
Math is easy.
Math is easier than chemistry.
Math is the easiest subject at school.
๔๔
I am clever.
I am cleverer than you.
I am the cleverest student in my grade.
9. คําที่ไม่เป็นไปตามกฎ
good (well) better best ดี
Bad worse worst เลว
much, many more most มาก
Little less least น้อย
Few fewer fewest น้อย
Near nearer nearest ใกล้
Far farther/ further farest/ furthest ไกล
Old older/elder oldest/ eldest แก่ เก่า
๔๖
Connective (คาเชื่อม)
1. แสดงสาเหตุของการกระทํา จะเชื่อมด้วยคําที่มีความหมายว่าเพราะว่า
1.1 คําเชื่อม + ประโยค ได้แก่
- Because I have to work to pay for my tuition, I don't have time for many social events.
2. แสดงผลของการกระทําหรือผลที่เกิดขึ้น เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน
- She had such much work that she had no free time.*
- She had so much work that she had no free time.
๔๗
* ในประโยคที่ใช้ such... that ถ้า adjective ที่ขยายหน้านามเป็น much หรือ many หรือมี article a
ตามหลัง ใช้ so...that แทนได้
3. แสดงความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์
in order to = เพื่อ
so as to = เพื่อ
to = เพื่อ
despite = ถึงแม้ว่า
in spite of = ถึงแม้ว่า
notwithstanding = ถึงแม้ว่า
- Despite the large advertising campaign, the business lost many customers.
1. ทําหน้าที่เป็นประธานของกริยาเช่น
Walking is good for your health.
2. ทําหน้าที่เป็นกรรมของกริยาเช่น
He stops smoking.
3. ทําหน้าที่เป็นกรรมตามหลังคําบุพบทเช่น
Thank you for coming.
4. ใช้ในคํานามผสมเช่น
Swimming pool
Sleeping pill
insist of ประกอบด้วย
keep on ทําต่อไป
look forward to รอคอย
think of คิดถึง
It's no use ไม่มีประโยชน์
2.forget ลืม
forget + to v 1 ลืมทําอะไรบางอย่าง
Don't forget to buy some milk on your way home.
forget + v ing ทําสิ่งนั้นไปแล้วแต่ลืม
และตามด้วยโครงสร้างนี้I'll never forget ........ing
I'll never forget meeting Bill Clinton when he visited Thailand.
3. stop หยุด
stop +to v 1 หยุดทําอะไรบางอย่างเพื่อไปทําอย่างอื่นแทน
Employess stop to have a break at 10 a.m.
stop + v ing เลิกทําหรือหยุดทําไปแล้ว
You should stop eating too much.
4.regret เสียใจ
regret +t o v 1เสียใจที่จะต้องบอกว่า
I regret to tell you that your dog died today.
regret + v ing เสียใจที่ได้ทําอะไรลงไปแล้ว
I regret drinking too much last night.
๕๑
5. try
try + to V1 พยายามทําบางอย่างในสิ่งที่ยาก
I tried to study but I was too tired.
try +Ving ลองทําบางอย่าง
I tried calling you but your line was busy.
6. sorry
sorry +to V1 เป็นการขอโทษในบางสิ่งที่กําลังกระทําหรือกําลังจะกระทํา
I'm sorry to have troubled you.
sorry for /about + Ving เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
I'm sorry for troubling you.
กริยาช่วยมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัวดังนี้
รูปปฎิเสธ คําย่อ
is is not isn't
Am am not -
Are are not aren't
Was was not wasn't
Were were not weren't
Do do not don't
Does does not doesn't
Did did not didn't
Has has not hasn't
Have have not haven't
Had had not hadn't
Can can not can't
Could could not couldn't
May may not mayn't
Might might not mightn't
Will will not won't
Would would not wouldn't
Shall shall not shan't
Should should not shouldn't
Must must not mustn't
Need need not needn't
Dare dare not daren't
ought ought not oughtn't
used to used not to usedn't to
๕๔
verb to be ได้แก่คําว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็น, อยู่, คือ"
be เป็นรูปเดิมเมื่อกระจายรูปจะได้เป็น is,am,are เปลี่ยนเป็นช่องที่สองคือ was were และ
เปลี่ยนเป็นช่องที่สามคือ been
Verb to do
ใช้กับ present Simple หรือ past Simple เมื่อเราต้องการเปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม
และประโยคปฎิเสธ
Present Simple
She goes to school by bus.
She doesn't go to school by bus.
Does she go to school by bus?
Past Simple
Dum went to the post office yesterday.
Dum didn't go to the post office yesterday.
Did Dum go to the post office yesterday?
Note: เมื่อเอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็น V1เสมอ
may might
1.ใช้กับการพูดถึงการมีโอกาสของบางสิ่งบางทีอาจเป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่น
will would
will
1.ใช้เมื่อเราพูดถึงอนาคต
I will go to school early tomorrow.
2.ใช้ will แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น
Will you open the door for me please?
would เป็นอดีตของคําว่า will
1.ใช้ในประโยคขอร้องที่สุภาพกว่า will
Would you turn the volume down please?
2.ใช้กับประโยค Would you mind if....
Would you mind if I smoke?
3. ใช้ would กับคํา rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather
ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
I'd rather study harder this year than go to summer school.
4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคําถามเป็นการเชื้อเชิญเช่น
Would you like to go dancing with me?
shall should
shall
1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กับ ประธาน I และ We
2. ใช้ในการเสนอหรือให้คําแนะนํา และใช้เมื่อขอคําแนะนําเราจะใช้
Shall I...?
Shall we ...?
Shall I carry your books?
๕๙
Shall we go shopping?
Should
1.ใช้เมื่อพูดเกี่ยวกับภาระหน้าที่และความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันเช่น
People should be careful about food.
She shouldn't act like that in public.
2. ใช้ Should I....? สําหรับการขอคําแนะนํา การยื่นมือช่วยเหลือ เช่น
Should I go out with him ?
Should I help you clean up this area?
3. ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ควรจะทําแปลว่า"ควรจะ" เช่น
You work all day. You should take a rest.
4. ใช้ should have +V3 ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตโครงสร้างนี้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้
เกิดขึ้นเช่น
They should have arrived here by now.
I should have written a note for him
5. ใช้กับประโยค if clause เช่น
If I had a lot of money, I would be happy.
must
แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องที่ 1มีหลักการใช้ดังนี้
1. ใช้แสดงความจําเป็นที่ต้องกระทํา
You must hand your homework in tomorrow.
2. ใช้ในการให้คําแนะนําหรือการสั่งกับตัวเราเองหรือกับบุคคลอื่นเช่น
He really must stop drinking.
You must sit there for two hours.
You mustn't talk in the classroom.
3. เราใช้ have to แทน must ได้
ความแตกต่างระหว่างการใช้ must และ have to
must เป็นการสั่งความจําเป็นมาจากบุคคลที่กําลังพูดหรือกําลังฟัง
have to พูดถึงความจําเป็นที่มาจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย
๖๐
กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
I must go home now. It's going to rain soon.
You must stop smoking.
I have to stop smoking because I'm sick.
mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทําสิ่งนั้นสิ่งนี้
haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางสิ่งที่ไม่สําคัญเช่น
You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.)
You don't have to tell your wife. หมายความว่า
(You can if you like, but it is not necessary.)
4. ใช้ must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจเช่น
The boy keeps crying. He must be really sick.
need เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เมื่อใช้เป็นกริยาแท้ need + to +V1
He needs to clean his car.
You need to water the flowers.
ถ้าต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคําถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย
You don't need to help him.
Do we need to reserve the room?
2.เมื่อใช้เป็นกริยาช่วยเราไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นการใช้
needn't เช่น
You needn't explain. I understand.
3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทําที่ไม่จําเป็นต้องทําในอดีตแต่ทําไปแล้วเป็นการเสียเวลา
เปล่า
Your mother needn't have cooked for us. We ate out.
If-clause
Irregalar Verbs
Infinitive Past Simple Past Participle Thai
Become became become กลายเป็น
Begin began begun เริ่มต้น
bend bent bent โค้ง งอ
Bet bet bet พนัน
Bite bit bitten (or bit) กัด ขบ ฉีก
Bleed bled bled เลือดออก
Blow blew blown พัด เป่า ตี
Bring brought brought นํามา เอามา
Build built built สร้าง ก่อสร้าง
Burst burst burst ระเบิด
Buy bought bought ซือ้
Cast cast cast ขว้าง
Catch caught caught จับ ได้รับ
Choose chose chosen เลือก
Cling clung clung เกาะ เอาเป็นที่พึ่ง
come came come มา
cost cost cost ราคา
dig dug dug ขุด
dive dived (or dove) dived ดํานํ้า
do did done ทํา
draw drew drawn ลาก วาด เขียน
drink drank drunk ดืม่
drive drove driven ขับ(รถ)
eat ate eaten กิน
fall fell fallen ตก หล่น
fight fought fought ต่อสู้
fling flung flung โยน พุ่ง เหวี่ยง
fly flew flown บิน
๗๐
Parallelism การสร้างประโยคให้มีโครงสร้างที่สอดคล้องกัน
@ การใช้คาที่สอดคล้องกัน
1. Noun
- In the past, USA was the country of opportunity and (of) liberty to millions of
oppressed people abroad.
[ทั้ง opportunity และ liberty เป็น Noun ทั้งคู่ มี of อยู่ข้างหน้า เพื่อให้รู้ว่า คําทั้งสอง ขยาย country ตัว
เดียวกัน โดยมี and เชื่อม แต่จะตัด of หน้า liberty ออกก็ได้ ข้อสังเกตุอีกอย่างคือ การลงท้ายด้วยเสียงสระ
ที่เหมือนกัน ทําให้ประโยคนอกจากจะได้ดุลย์แล้ว ยังมีความไพเราะอีกต่างหาก แต่ข้อสอบอย่างเช่น TOEFL
ก็มักจะหลอก โดยการเอาคําที่ไม่ใช่นาม แต่ออกเสียงสอดคล้องกับนาม มาใส่แทนที่คําที่ถูกต้อง ทําให้ผู้เข้า
สอบเข้าใจผิดได้]
2. Adjective
- The new secretary is competent, cooperative, and hardworking.
3. Adverb
- This apparatus works smoothly and quiety.
4. Verb
- When he was a young boy, Mark Twain would walk along the piers, watch the river
boats, swim and fish in the Mississippi.
@ Parallelism ในประโยคคาสั่ง
- Heat the bread for five minutes and remove it from the oven.
- She not only loves him but also gives him everything.
@ Parallelism ในประโยคเปรียบเทียบ
- Driving a car is similar to riding a bicycle in many ways.
๗๔
Prepositions บุพบท
1. การใช้ in on at กับเวลา
at ใช้ระบุเวลา ณ จุดใดจุดหนึ่ง เช่น
at noon เวลาเที่ยงวัน
at night เวลากลางคืน
at midday เวลาเที่ยงวัน
at six o'clock เวลาหกโมงเช้า
at Christmas ในวันคริสต์มาส
at ใช้กับสํานวนที่เกี่ยวกับเวลา เช่น
at first ในตอนแรก
at once ในทันที
at last ในท้ายสุด
at lunch time ในเวลาอาหารกลางวัน
at present ขณะนี้
on ใช้กับวันของสัปดาห์ทั้งหมดเช่น
on Sunday วันอาทิตย์
on Monday วันจันทร์
on Tuesday วันอังคาร
on Wednesday วันพุธ
on Thursday วันพฤหัสบดี
on Friday วันศุกร์
on Saturday วันเสาร์
in ใช้กับส่วนของวันเช่น
in the morning ในตอนเช้า
in the afternoon ในตอนบ่าย
in the evening ในตอนเย็น
in ใช้กับเวลาหรือระยะเวลาที่ยาวขึ้นเช่นเดือน ปี และฤดู
in 2000 ในปี 2000
in summer ในฤดูร้อน
in June 1999 ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1999
in the 21th century ในศตวรรษที่ 21
in the past ในอดีต
in time ทันเวลา
in the future ในอนาคต
in a few months ในอีก 2-3 เดือน
in two hours ภายในสองชั่วโมง
in a week's time ในหนึ่งสัปดาห์
2. การใช้ in on at กับสถานที่
at ใช้กับบ้านเลขที่เช่น
at 224 Mango Street, at 987 Big Elm Road, at 67 Sukhumvit Road
at ใช้กับสถานที่ซึ่งเป็นจุดเล็กๆเช่นในระดับเมืองหรือใช้
กับสถานที่เล็กๆหรือระบุตําแหน่งที่แน่นอนเช่น
at home ที่บ้าน
at the hospital ที่โรงพยาบาล
at the airport ที่สนามบิน
at the bus station ที่สถานีขนส่ง
at the meeting ที่ประชุม
at the window ที่หน้าต่าง
at the river ที่แม่นํ้า
at the concert ที่คอนเสิร์ต
at the door ที่ประตู
at the party ที่งานเลี้ยง
๗๖
at ที่ใช้กับสํานวนอื่นๆเช่น
at work ขณะทํางาน
at best อย่างดีที่สุด
at will ตามความต้องการ
at least อย่างน้อยที่สุด
at loss ขาดทุน
at worst อย่างแย่ที่สุด
at large มีอิสระ
on ใช้เชื่อมต่อระหว่างสองที่เช่น
on Silom Road บนถนนสีลม
on the way home ในระหว่างทางกลับบ้าน
on ใช้กับตําแหน่งบนพื้นผิวเช่น
on the table บนโต๊ะ
on the ceiling บนเพดาน
on the sidewalk บนทางข้างถนน
on the floor บนพื้น
on the train บนรถไฟ
on a bicycle บนรถจักรยาน
on the wall บนผนัง
on the coast บนชายฝั่ง
on paper บนกระดาษ
on ใช้กับสํานวนต่อไปนี้
on business ว่าด้วยเรื่องธุรกิจ
on tour ในขณะท่องเที่ยว
on the radio ในวิทยุ
on air ขณะออกอากาศ
on television ในโทรทัศน์
on the phone ทางโทรศัพท์
on purpose โดยตั้งใจ
on fire ในขณะไฟไหม้
๗๗
in ใช้กับสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่เช่นเมืองจังหวัด ประเทศหรือทวีปเช่น
in Chiang Mai ในจังหวัดเชียงใหม่
in Asia ในทวีปเอเชีย
in the world ในโลก
in the army ในกองทัพ
in the sky ในท้องฟ้า
in the river ในแม่นํ้า
in the sea ในทะเล
in the parking lot ในลานจอดรถ
นอกจากนี้ยังยังมีคําว่า
during แปลว่า ระหว่าง
till, until ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า จนกระทั่ง จนถึง
before ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า ก่อน
after ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า หลัง
from ใช้กับเวลาหรือสถานที่แปลว่า นับตั้งแต่
from...to แปลว่า จาก...ถึง
from...till แปลว่า ตั้งแต่...ถึง
between... and แปลว่า ระหว่าง...ถึง
by แปลว่าด้วย(ใช้กับการเดินทางด้วยยานพาหนะแปลว่า ) ข้าง ใกล้
in front of แปลว่า ข้างหน้า
outside แปลว่า ข้างนอก ภายนอก
inside แปลว่า ข้างใน ภายใน
behind แปลว่า ข้างหลัง
๗๘
Present Subjunctive คือ infinitive without to (v.1 ไม่มี to) ใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเสนอแนะ ขอร้อง
หรือ คําสั่ง
# V. + that + present subjunctive
# It is (หรือ was) + adjective + that + present subjunctive
* ข้อสังเกต
1. present subjunctive จะมีรูปเดียวกับ infinitive ไม่มี to และจะเหมือนกันสําหรับประธานทุกบุรุษและ
ทุกพจน์ โดยไม่คํานึงว่า Verb ใน mainclause จะเป็น tense ใด
2. โดยปกติจะมี should อยู่หน้า present subjunctive แต่เรานิยมละไว้ ดังนั้น v.1 จะใช้ในรูปที่ถือว่า
ประธานเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น ใช้ have เสมอ ไม่ใช้ has, จะไม่มีการเติม s ที่กริยา แม้ว่าประธานเป็น
เอกพจน์
3. ถ้า present subjunctive เป็น Verb to be คือ is, am, are, ... ให้ใช้ be แทนหมด
เช่น
@ สําหรับ V. + that
- They prefer that I not serve them anything alcoholic. [present subjunctive คือ serve
เป็นปฏิเสธจะเติม not ไว้หน้า]
- She recommended that he go with her. [ไม่ใช้ went หรือ goes]
- My boss insists that I be on time. [ไม่ใช้ am]
@ สําหรับ It is + adjective + that
- It is essential that she have it was her physical check-up done every year.
๘๐
Pronoun
1.ตารางสรุป personal pronoun
both
both + Noun นับได้พหูพจน์
ใช้ Verb พหูพจน์
both of the + Noun นับได้พหูพจน์
both of + Pronounที่เป็นกรรม
- Both are diligent.
- Both girls are diligent.
- Both of the girls are diligent.
- Both of them are diligent.
๘๖
Sentenses
ประโยคในภาษาอังกฤษประกอบด้วยส่วนใหญ่ ๆ 2 ส่วนคือ ภาคประธาน (Subject ) และภาคแสดง
(Predicate)
ภาคประธาน ( Subject )
Subject อาจเป็นคํา Noun, Pronoun , Infinitives, Gerunds, etc. เช่น We study English
everyday.
ในกรณีที่ Subject ประกอบด้วยคํานามกับส่วนขยายเราเรียกคํานามนั้น ๆ ว่า คํานามหลัก (Head
Noun) และเรียกส่วนขยายว่า modifier เช่น These beautiful flowers are from my garden.
ส่วนขยายหรือ modifier มีหลายประเภท เช่น คํากํากับนาม (Determiner) คําคุณศัพท์ คํานาม บุพ
บทวลี และอื่น ๆ ส่วนขยายจะมีทั้งอยู่หน้า head noun และที่อยู่หลัง head noun เช่น
The teachers work very hard.
These intelligent children will have a bright future.
The old brick house is very attractive.
The very tall girl who is standing over there is my student.
1. ในประโยค The tall and beautiful American woman who lives next door is my teacher. คําใด
เป็นคํานามหลัก ?
A. American woman B. Woman
C. The tall and beautiful American woman D. Who lives next door
2. ในประโยค The little Chinese boy over there is my nephew. คํา Chinese เป็น...........?
A. Head noun B. Verb C. Modifier D. Adverb
3. ในประโยคต่อไปนี้ คําใดเป็น Head nounในภาคประธาน คําใดเป็น Verb ในภาคแสดง Most students
like their teachers.
A. Most เป็น Head noun, like เป็น verb B. Students เป็น Head noun, their เป็น verb
C. Students เป็น Head noun, like เป็น verb D. Most students เป็น Head noun, like their
teachers เป็น verb
4.ในประโยค The computers work very well. very well ทําหน้าที่เป็น........................?
A. Adverb B. Object C. Subject complement D. Object
complement
๘๘
Subject-Verb Agreement
@ one of + Noun พหูพจน์ + who, that, หรือ which จะใช้ Verb พหูพจน์ เช่น
- He is one of those who are millionaires.
@ ประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย either..or, neither..nor, ..or.., not only..but also.. กริยาที่ใช้ ให้ใช้ตาม
ตัวหลังที่อยู่ใกล้กริยาที่สุด เช่น
ความหมาย
# either = ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งระหว่าง...
# neither = ไม่ใช่ทั้งสอง ...
# each = แต่ละ...
โครงสร้าง
# either + Noun เอกพจน์
# either of (the) + Noun พหูพจน์
ตัวอย่าง
- Either bus goes to downtown.
- Either of the buses goes to downtown.
@ ประธานที่เป็น The + v.3 หรือ The + adj. จะใช้ Verb พหูพจน์ เช่น the wounded, the injured, the
poor, the rich, the young, the old
- The wounded were taken to the hospital.
@ ถ้าหน้าประโยคเป็น Here, There, Why, Where, How, How much ให้ใช้ Verb ให้สอดคล้องกับ
ประธานที่ตามหลัง
- There was damage done to the crops. [damage เป็นประธานนับไม่ได้ จึงใช้ was]
- Here comes the train. [train เป็นประธานเอกพจน์]
- Where are your pens? [pens เป็นพหูพจน์]
@ คําต่อไปนี้เป็นพหูพจน์เสมอ จึงใช้กริยาพหูพจน์
shorts = กางเกงขาสั้น
clothes = เสื้อผ้า
arms = อาวุธ
ashes = เถ้าถ่าน
bowels = เครื่องใน
glasses = แว่นตา
spectacles = แว่นตา
goods = สินค้า
scissors = กรรไกร
sandals = รองเท้าแตะ
slacks = กางเกงขายาว
slippers = รองเท้าแตะ
riches = ทรัพย์สมบัติ
thanks = ขอบคุณ
tactics = ยุทธวิธี
trousers = กางเกงขายาว
@ กรณีที่มีประธาน 2 ตัวเชื่อมด้วย and ถ้ามี article นําหน้าประธานทั้งสองแห่ง ใช้ Verb พหูพจน์ แต่ ถ้ามี
article นําหน้าประธานตัวแรกเพียงตัวเดียว ให้ใช้ Verb เอกพจน์ เนื่องจากถือว่าเป็นประธานตัวเดียวกัน เช่น
๙๑
- The lawyer and the executor are here. [lawyer กับ executor เป็นคนละคนกัน]
- The lawyer and executor is here. [lawyer กับ executor เป็นคนเดียวกัน]
# ชื่อบ้านหรือชื่อโรงแรม:
# ระยะทาง: เช่น fifty miles
# น้ําหนักหรือส่วนสูง: เช่น two tons
# จํานวนเงิน: เช่น six dollars
# ระยะเวลา: เช่น seven years
# ชื่ออาหารหรือเครื่องดื่มที่เสริฟด้วยกันหรือรวมเป็นหน่วยเดียวกันโดยเชื่อมด้วย and: เช่น bacons and
eggs
# a pair of + Noun พหูพจน์ : เช่น a pair of shoes (ถ้าเป็น shoes เฉยๆจะใช้ Verb พหูพจน์)
# news, billiards, molasses, whereabout, summoms, advice, furniture, food, clothing, the
United States
# สําหรับ collective noun เช่น committee, crowd, group, class, team, family, cabinet, crew,
jury, fleet, government คําเหล่านี้ถ้าใช้ในความหมายเอกพจน์หรือพหูพจน์ ก็ให้ใช้ Verb เอกพจน์หรือ
พหูพจน์ตามคําเหล่านั้น เช่น
- The committee has agreed to a plan. [committee มีความหมายเป็นเอกพจน์ หมายถึงกลุ่ม
คณะกรรมการ จึงใช้ Verbเอกพจน์ คือ has]
- The committee are having dinner. [committee มีความหมายเป็นพหูพจน์ หมายถึง
กรรมการในคณะซึ่งมีหลายคน จึงใช้ Verbพหูพจน์ คือ are]
@ ประธานที่ขึ้นต้นด้วย all of ... , some of ... , most of ... , half of ... , none of ... ให้ใช้ Verb ตาม
Noun ที่ตามหลังคําเหล่านี้ เช่น
- Most of the meat is unfit to eat. (Noun เอกพจน์)
- Most of the students are diligent. (Noun พหูพจน์)
- All of this furniture is new. (Noun นับไม่ได้)
๙๓
Idiom
Tenses
โครงสร้าง S+V2
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบสิ้นลงไปแล้วในอดีตและมักจะมีคําบอกเวลาอยู่ด้วย
เช่นคําว่า yesterday, last week, last month, last year, last summer, ago
We went to Canada last summer.
My family came to visit me last week.
เมื่อเราต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคําถาม ให้นําเอา V todo(did) มาช่วย
ใช้เพื่อบรรยายเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นในอดีตแล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาแทรก
เหตุการณ์ที่กําลังกระทําหรือกําลังเกิดขึ้นใช้ past continuous
เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ past simple
While Jeda was eating breakfast, the mailman came.
It was raining when we arrived.
As Decha was making his lunch, he cut his hand.
ใช้แสดงความสัมพันธ์ของสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วไปแล้วในขณะที่กําลังพูด ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก่อนเราใช้ Past Perfect tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังเราใช้เป็น past simple tense
When Paul arrived, Mary had just left.
It rained after we had finished playing football.
Types of Sentences
1. ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentences)
2. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentences)
3. ประโยคคําถาม (Interrogative Sentences)
4. ประโยคคําสั่ง (Imperative Sentences)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory Sentences)
1. ถ้าในประโยคบอกเล่ามี verb to be (is, am, are, was, were) เป็นกริยาแท้ ให้เติม not หลัง verb
to be
Somsak is an engineer. >>> Somsak is not an engineer หรือ Somsak isn’t an
engineer.
2. ถ้าในประโยคบอกเล่ามีกริยาช่วยให้ใส่ not หลังกริยาช่วย กริยาช่วย ได้แก่ is, am, are, was, were,
have, has, had, can, could, may, might, shall, should, would, must etc.
Jim will leave tomorrow. >>> Jim will not leave tomorrow. หรือ Jim won’t leave
tomorrow.
3.ถ้าในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be หรือกริยาช่วยให้ใช้ verb to do (do, does, did) ช่วย โดย
เติม not หลัง do, does, did
Students go to school everyday. >>> Students do not go to school everyday.
* เราใช้ did ถ้าคําในประโยคเป็น Past Tense.
* เราใช้ do กับ I, we, they และคําที่เป็นพหุพจน์
* เราใช้ does กับ he, she, it, และคําที่เป็นเอกพจน์
แบบฝึกหัด
1. รูปประโยคปฏิเสธของ Bruce was at home yesterday. คือ
*********************