You are on page 1of 106

แนวทางการพัฒนา

ภาษาอังกฤษของข้าราชการ วสท.สปท.

การจัดการความรู้ วสท.สปท. ปีงบประมาณ ๒๕๕๘


คำนำ

เอกสารการจัดการความรู้เรื่อง แนวทางการพัฒนาภาษาอังกฤษข้าราชการ วสท .ฉบับนี้ จัดทาขึ้น


โดยเน้นไปที่ความรู้ที่เกี่ยวกับ การบริหารจัดการในการจัดทาโครงการดอบรมภาษาอังกฤษข้าราชการของ
วสท. เพื่อใช้เป็นแนวทางสาหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการดาเนินการ เกี่ยวกับการจัดอบรม
ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าใครก็ ตามที่ได้รับมอบงาน ทั้งผู้ที่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม หรือผู้ที่โยกย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เมื่อ
ศึกษาจากเอกสารแนวทางฉบับนี้ก็จะสามารถดาเนินการได้ ทาให้ห น่วยมีเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางหรือคู่มือ
ตลอดจนใช้ในการอ้างอิงได้

ในเอกสารแนวทางฉบับนี้ ได้กล่าวไว้แล้วว่า เน้นไปที่การบริหารจัดการในการจัดอบรม แต่ใน


เนื้อหาเอกสารได้แทรก องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไว้ด้วย สาหรับให้ข้าราชการ และผู้ที่
สนใจได้เข้ามาศึกษาด้วยตนเอง ทางคณะกรรมการผู้จัดทา หวังว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่มี
ส่วนเกี่ยวข้อง กาลังพลของ วสท. ตลอดจนผู้ที่มีความสนใจ

คณะกรรมการจัดการความรู้ วสท.

ส.ค.๕๘
สำรบัญ

หน้า

บทที่ ๑ การจัดทาโครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ ๑
การจัดทาโครงการ ๒
ตัวอย่าง โครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ ๕
บทที่ ๒ หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม ๙
หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม ๙
ตัวอย่าง ตารางอบรมภาษาอ้งกฤษ ๑๐
บทที่ ๓ การจัดผู้บรรยาย/เอกสารตารา ๑๑
บทที่ ๔ ข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะ ๑๒
ภาคผนวก ๑๓
ผนวก ก ตัวอย่างหนังสือ ขออนุมัติโครงการพัฒนากาลังพล ๑๔
ผนวก ข ตัวอย่างหนังสือ ขอรับการสนับสนุนห้องเรียนในการอบรมภาษาอังกฤษ ๑๗
ผนวก ค ตัวอย่างหนังสือ รายงานผลการอบรมโครงการพัฒนากาลังพล ๑๙
ผนวก ง ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ๒๒

บทที่ ๑

การจัดทาโครงการอบรมภาษาอ้งกฤษ

เอกสารการจัดการความรู้เรื่อง แนวทางการพัฒนาภาษาอังกฤษข้าราชการ วสท .ฉบับนี้ จัดทําขึ้นโดย


เน้นไปทีค่ วามรู้ที่เกี่ยวกับ การบริหารจัดการในการจัดทําโครงการดอบรมภาษาอังกฤษข้าราชการของ วสท .
เพื่อใช้เป็นแนวทางสําหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการดําเนินการ เกี่ยวกับการจัดอบรมภาษา
อังกฤษ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับมอบงาน ทั้งผู้ที่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม หรือผู้ที่โยกย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เมื่อศึกษาจาก
เอกสารแนวทางฉบับนี้ก็จะสามารถดําเนินการได้ ทําให้หน่วยมีเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางหรือคู่มือ ตลอดจนใช้
ในการอ้างอิงได้ ช่วยให้ผู้ดําเนินงาน ทํางานได้เป็นอย่างราบรื่น ไม่ต้องเสียเวลาหาข้อมูล หากผู้รับผิดชอบเดิม
โยกย้ายไปอยู่หน่วยอื่น แล้วไม่ได้ส่งต่อข้อมูลไว้ให้ นอกจากนี้ หากให้ น .สัญญาบัตร ระดับ พ.ท.เป็น
ผู้รับผิดชอบ ก็สามารถทําได้ เพราะเอกสารแนวทางฉบับนี้ได้ระบุขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นไปตามลําดับขั้น มี
รายละเอียดการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย จะได้เป็นการแบ่งงานแทนที่จะมอบหมาย
ให้กับ นายทหารชั้นยศ พ.อ.ขึ้นไปซึ่งมีงานตามภารกิจของแต่ละกอง รวมทั้ งงานที่ได้รับมอบหมายเพิ่มเติม มาก
อยู่แล้ว

ในส่วนของการประเมิน การวัดผลสัมฤทธิ์สามารถทําได้ง่าย ในหัวข้อ การเข้าถึงความรู้ (Knowledge


Access) และ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) โดยดูจาก จํานวนช่องทางในการเข้าถึง
ความรู้ ซึ่งกําหนดไว้อย่างน้อย ๒ ช่องทาง สามารถทําได้โดย การเผยแพร่จากการจัดทําเป็นเอกสารแนวทาง
และอีกช่องทางคือการจัดทําเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ โดยการเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของ วสท . สําหรับการ
ประเมินในหัวข้อ การเรียนรู้ (Learning) ประเมินจาก จํานวนผู้ศึกษาองค์ความรู้ โดยกําห นดไว้ที่อย่างน้อย
ร้อยละ ๕๐ ของข้าราชการทั้งหมดของ วสท. ในเอกสารแนวทางฉบับนี้ ได้กล่าวไว้แล้วว่า เน้นไปที่การบริหาร
จัดการในการจัดอบรม ซึ่งจะได้แก่ผู้ที่จะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบดําเนินการ ได้แก่ นายทหารชั้นยศ
พ.อ.หรือ น.อ. และอาจมอบหมายให้ ระดับ พ .ท.หรือ น.ท. แต่ในเนื้อหาเอกสารได้แทรก องค์ความรู้เกี่ยวกับ
การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไว้ด้วย (รายละเอียดตาม ผนวก ง ) สําหรับให้ข้าราชการได้ศึกษาด้วยตนเอง
ดังนั้นสามารถประเมินจากจํานวนข้าราชการ วสท .ที่เข้าไปศึกษาองค์ความรู้ผ่านทางเว็บไซต์ โดยจัดทําช่อง
บันทึกสถิติจํานวนผู้เข้ามาศึกษาองค์ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ

สําหรับขั้นตอนการจัดการอบรม ประกอบไปด้วย ๔ ขั้นตอน ดังนี้

๑. จัดทําโครงการ
๒. กําหนดหัวข้อการอบรมและตารางการอบรม

๓. ประสานอาจารย์
๔. ประเมินผล

การจัดทําโครงการ

ในลําดับต่อไปจะนําเสนอขั้นตอนที่ ๑ คือ การจัดทําโครงการ การพัฒนาภาษาอังกฤษของข้าราชการ


วสท.สปท. เป็นการตอบสนองต่อนโยบายของกองทัพไทยในการพัฒนาขีดความสามารถของข้าราชการ เป็น
ส่วนหนึ่งที่ทําให้สามารถตอบสนองต่อการพัฒนากองทัพให้เจริญก้าวหน้าในอนาคต เพื่อเผชิญกับสภาวะ
แวดล้อมในปัจจุบันและแนวโน้มที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่า งรวดเร็ว ตลอดจนรองรับการเข้าสู่ประชาคม
อาเซียน การพัฒนาด้านภาษาอังกฤษจะทํา ให้การทํางานร่วมกัน การประสานงานค วามช่วยเหลือต่างของ
ประเทศในกลุ่มอาเซียนดําเนินไปได้เป็นอย่างดี

การจะพัฒนาภาษาอังกฤษของข้าราชการ วสท .สปท. ต้องมีการวางแผน การบริหารจัดการเพื่อให้


ได้ผลบรรลุเป้าหมายอย่างดีมีประสิทธืภาพ การจัดทําโครงการจึงเป็นสิ่งสําคัญเป็นจุดเริ่มต้นในการดําเนินงาน
ซึ่งจะทําให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ แผนงาน ภาพรวมในการดําเนินงาน ผลที่ได้ ผลการประเ มินโครงการ
ข้อขัดข้องข้อเสนอแนะ ในการนํามาใช้พัฒนาต่อไป

ในบทนี้จะนําเสนอเกี่ยวกับการจัดทําโครงการพัฒนาภาษาอังกฤษของข้าราชการ วสท .สปท. ซึ่งเมื่อมี


ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในงานด้านพัฒนาภาษาอังกฤษฯ สาม ารถนําความรู้ที่ได้จากการศึกษา
แนวทางฉบับนี้ ไปจัดทําโครงการและดําเนิน งานตามโครงการจนบรรลุเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะเป็น ใครก็ตามที่เข้า
มารับงานต่อหรือได้รับมอบงาน สําหรับหัวข้อการขียนโครงการมีดังนี้

๑. หลักการและเหตุผล
๒. วัตถุประสงค์
๓. ความสอดคล้อง
๔. ระยะเวลาดําเนินการ
๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ
๖. กลุ่มเป้าหมาย
๗. สถานที่ดําเนินการ
๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
๙. งบประมาณ

๑. หลักการและเหตุผล
ในหัวข้อนี้เป็นการกล่าวถึง การอธิบายความเป็นมาและภูมิหลังของการเสนโครงการ ความสําคัญ
ของโครงการ รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่จะอนุมัติเข้าใจที่มา เห็นความสําคัญ และเข้าใจ
โครงการที่เสนอมาก ความเป็นมา นํามาซึ่งการจัดทําโครงการเพื่อตอบสนองต่อนโยบาย แสดงถึงเหตุผล
ความสําคัญที่ต้องดําเนินการ ตลอดจนผลที่ได้รับ

๒. วัตถุประสงค์

ในหัวข้อนี้เป็นการกําหนดวัตถุประสงค์ข องโครงการ ถือเป็นการกําหนดทิศทางของการดําเนินงาน


และแนวทางปฏิบัติ การเขียนวัตถุประสงค์จะต้องชัดเจนและรัดกุมเพื่อให้ปฏิบัติได้สะดวก โดยกําหนดความ
ต้องการ ผลที่ได้เมื่อดําเนินการเสร็จสิ้น ต้องได้ผลตามที่ตั้งไว้ มีการประเมินว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่

๓. ความสอดคล้อง

ในหัวข้อนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของโครงการต่อนโยบายของหน่วยเหนือ

๔. ระยะเวลาดาเนินการ

ควรกําหนดระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ซึ่งต้องมีการกําหนด จํานวน ชั่วโมงการ


เรียนการสอน ให้เหมาะสมกับ หัวข้อการสอน และต้องประสานกับ กพผ.วสท. เพื่อตรวจสอบช่วงเวลาที่ว่างใน
แต่ละสัปดาห์ เมื่อทราบจํานวนวันและชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ที่สามารถนํามาใช้ดําเนินการในโครงการได้ ก็จะ
นําชั่วโมงที่ต้องใช้ทั้งหมดมาคํานวณหา จํานวนสัปดาห์ที่ต้องใช้ ดังนั้นจะทําให้ทราบระยะเวลาในการ
ดําเนินการ

๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ

ในหัวข้อนี้จะเป็นการกล่าวถึงกิจกรรมต่างๆ ที่วางแผนว่าดําเนินการตามโครงการ สําหรับตัวอย่าง


กิจกรรมที่ใช้ในโครงการพัฒนาภาษาอังกฤษ ได้แก่ กิจกรรมจัดการฝึกอบรมภาษาอังกฤษในลักษณะ Unit
School โดยการบรรยายการใช้ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน กิจกรรมส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวัน
เป็นต้น

๖. กลุ่มเป้าหมาย
จํานวนผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดที่ผู้ทําโครงการต้องการให้มาเข้าร่วมกิจกรรม จะต้องสอดคล้องกับ
วัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ การกําหนดกลุ่มเป้าหมายในการดําเนินการตามโครงการนการพัฒนาทักษะ

ภาษาอังกฤษ โดยแบ่งกลุ่ม ตามความเหมาะสม เข่น กลุ่ม น.สัญญาบัตร น.ประทวน หรือ แบ่งตามการวัดผล


การสอบภาษาอังกฤษ เป็นต้น

๗. สถานที่ดาเนินการ
ควรระบุสถานที่ที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ในการส่วนที่จัดโครงการเพื่อให้ผู้เข้าร่วม
โครงการสามารถติดตามได้โดยง่าย สําหรับการกําหนด สถานที่ดําเนินการตามกิจกรรมต่างๆ ในส่วนของการ
บรรยาย ต้องเตรียมสถานที่ จัดหาห้องบรรยายภายในวิทยาลัยเสนาธิการทหาร

๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
เป็นการบอกถึงผลที่ได้เมื่อโครงการเสร็จสิ้น และประโยชน์ที่ได้รับ การคาดคะเนผล/ประโยชน์จาก
การดําเนินโครงการที่จะเกิดขึ้นแก่บุคคลหรือส่วนรวม ควรเขียนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ

๙. งบประมาณ

เป็นการคํานวณงบประมาณที่ต้องใช้ในการดําเนินการตามโครงการ โดยทั่วไป งบประมาณ มี 4 หมวด


ได้แก่ หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าใช้สอย/ค่าใช้จ่ายต่างๆ หมวดวัสดุ และ หมวดค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด
สําหรับโครงการพัฒนาภาษาอังกฤษของข้าราชการ วสท .สปท. ประจําปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ไม่ได้ใช้
งบประมาณของทางราชการ

ตัวอย่าง การจัดทาโครงการ

โครงการพัฒนากาลังพลของ วสท.สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ

๑. หลักการและเหตุผล
ตามที่ กพ.ทหาร ได้ชี้แจงสรุปการดําเนินการที่สําคัญตามนโยบาย ผบ .ทสส. เพื่อกรุณาทราบ
จํานวน ๕ เรื่อง ซึ่งในเรื่องที่ ๓ การพัฒนากําลังพลของ บก .ทท. ด้านภาษาอังกฤษนั้น ผบ .ทสส. ได้กรุณา
อนุมัติกําหนดเป้าหมายการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ของกําลังพล บก .ทท. ประจําปีงบประมาณ
๒๕๕๘ ดังนี้.-

๑) ระดับ พ.อ. (พ.) / น.อ. (พ.) ตําแหน่ง รอง ผอ. สํานัก และ ผอ.กอง หรือเทียบเท่า มีผล
การทดสอบรายไตรมาสไม่น้อยกว่าที่กําหนด โดยไตรมาสที่ ๑ (ธ.ค.๕๗) ร้อยละ ๕๕ , ไตรมาสที่ ๒ (มี.ค.๕๘)
ร้อยละ ๖๐ , ไตรมาสที่ ๓ (มิ.ย.๕๘) ร้อยละ ๖๕ และไตรมาสที่ ๔ (ก.ย.๕๘) ร้อยละ ๗๐

๒) น.สัญญาบัตร สังกัดหน่วยส่วนการศึกษา ในไตรมาสที่ ๓ (มิ.ย.๕๘) ร้อยละ ๖๐

๓) น.ประทวน ในไตรมาสที่ ๓ (มิ.ย.๕๘) ร้อยละ ๔๐

ทั้งนี้ ให้ส่วนราช การ บก .ทท. จัดสถานที่สําหรับทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษกําลังพล


ในสังกัด ตามแนวทางที่ สปท . กําหนด และจัดกิจกรรมพัฒนาภาษาอังกฤษ โดยจัดการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพลในสังกัดในลักษณะ Unit School ส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวัน
จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษภายในหน่วย สําหรับผู้ที่มีผล
การทดสอบน้อยกว่าเป้าหมายที่กําหนด รวมถึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการ
พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ

ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนากําลังพลของ วสท.สปท. ด้านภาษาอังกฤษตามนโยบาย ผบ .ทสส.


ในการกําหนดเป้าหมายการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ของกําลังพล บก .ทท. ประจําปีงบประมาณ
๒๕๕๘ สามารถส่งเสริมการบูรณาการการศึกษาของกองทัพไทยเพื่อการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
ในปี ๒๕๕๘ และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ วสท.สปท. “วิทยาลัยเสนาธิการทหาร เป็นองค์กรชั้นนําในระดับ
อาเซียน มุ่งสู่ความเป็นเลิศในด้านการผลิตผู้นําด้านยุทธศาสตร์ทหาร และด้านการปฎิบัติการร่วม /ผสม”
ได้อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม ซึ่งมีความจําเป็นต้องสร้างความตระหนักให้กําลังพลของ วสท .สปท. เห็นถึง

ความสําคัญของการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถ
ตอบสนองต่อนโยบายและมาตรฐานการใช้ภาษาอังกฤษของกองทัพไทยได้

๒. วัตถุประสงค์

๒.๑ เพื่อให้กําลังพลของ วสท.สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒ นา


ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ และผ่านการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด

๒.๒ เพื่อให้กําลังพลของ วสท.สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ สามารถสื่อสาร


เป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันได้ด้วยการใช้ทั้ง ๔ ทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน ) ในระดับ ที่เหมาะสมกับ
ตําแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบ
๓. ความสอดคล้อง

นโยบายการพัฒนากําลังพลของ บก .ทท. ด้านภาษาอังกฤษที่ ผบ .ทสส. กรุณาอนุมัติกําหนด


เป้าหมายการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ของกําลังพล บก .ทท. ประจําปีงบประมาณ ๒๕๕๘ และ
วิสัยทัศน์ของ วสท.สปท.

๔. ระยะเวลาดาเนินการ
ระหว่าง ธ.ค.๕๗ - ก.ย.๕๘

๕. กิจกรรมของโครงการ ฯ

๕.๑ จัดการฝึกอบรมภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพล วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท .


รุ่นที่ ๕๖ ในลักษณะ Unit School โดยการบรรยายการใช้ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน สําหรับผู้ที่มีผลการทดสอบ
น้อยกว่าเป้าหมายที่กําหนดดังนี้.-

๑) เปิดห้องเรียนเพื่อฝึกอบรมภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน (๓๐ ชั่วโมง) ให้กับกําลังพล


วสท.สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ จํานวน ๒ ห้อง โดยมีผู้เรียนห้องละปร ะมาณ ๓๐ คน
รายละเอียดตามแนบ ๑

๒) ระยะเวลาการฝึกอบรม ตั้งแต่ ๑๔ ม.ค. - ๒๗ มี.ค.๕๘ รายละเอียดตามแนบ ๒

๓) เชิญอาจารย์ผู้สอนภายนอกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์

๔) ให้คณะที่ปรึกษาโครงการ ฯ ด้านภาษาอังกฤษของ วสท .สปท. กํากับดูแล


ความเรียบร้ อยในการจัดการเรียนการสอน โดยให้คําแนะนําและตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้
ภาษาอังกฤษ เพื่อการสอบ ECL ให้กับกําลังพลของ วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖
รายละเอียดตามแนบ๓

๕) จัดกลุ่มสัมมนาพัฒนาภาษาอังกฤษของกําลังพล วสท .สปท. เพื่อแลกเปลี่ยน


ความรู้ซึ่ง กันและกันอย่างใกล้ชิด และมีการติดตามการประเมินผลเป็นระยะอย่างเป็นรูปธรรม โดยแบ่งกลุ่ม
สัมมนาออกเป็น ๑๖ กลุ่ม รายละเอียดตามแนบ ๔

๖) แจกจ่ายแผ่นซีดีบันทึกพจนานุกรมศัพท์ทหาร และแบบเรียนการใช้ไวยากรณ์
ภาษาอังกฤษให้กับ นขต .วสท.สปท. (กอง ฯ ละ ๑ ชุด ) และนักศึกษ าหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ เพื่อใช้เป็น
แนวทางในการพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยตนเอง สําหรับกําลังพล วสท .สปท. ให้ ผอ. แต่ละกอง ฯ กํากับดูแล
และมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อการพัฒนาภาษาอังกฤษของกําลังพลในสังกัดอย่างต่อเนื่อง

๕.๒ ส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันให้แ ก่กําลังพล วสท .สปท. และนักศึกษา


หลักสูตร วสท. รุ่นที่ ๕๖

๑) ในส่วนของกําลังพล วสท .สปท. กําหนดให้ทุกวันพุธ ตั้งแต่เวลา ๐๗๓๐ –


๑๒๐๐ เป็นวันสนทนาภาษาอังกฤษ (English Conversation Day) โดยให้กําลังพล วสท .สปท. ทุกคน ใช้
ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

๒) ให้ นขต.วสท.สปท. ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนําเสนอศัพท์ภาษาอังกฤษวันละคํา


พร้อมยกตัวอย่างบทสนทนาหลังเคารพธงชาติทุก ๆ เช้า (Morning Talk)

๓) สําหรับนักศึกษาหลักสูตร วสท
. รุ่นที่ ๕๖ ให้อยู่ในกํากับดูแลของ .นอ. ปิยะ อาจมุงคุณ
ร.น.

๕.๓ สนับสนุนการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ

๑) กวก.วสท.สปท. ได้จัดทําบอร์ดประชาสัมพันธ์สําหรับการพัฒนาทักษะการใช้
ภาษาอังกฤษเพื่อการสอบ ECL และภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวันให้กับกําลังพลของ
วสท.สปท. รวมถึงการให้ นขต.วสท.สปท. ได้มีส่วนร่วมโดยการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนําเสนอศัพท์ที่น่ารู้และ
ตัวอย่าง บทสนทนาในแต่ละวัน

๒) การจัดสัมมนาเป็นภาษาอังกฤษในประเด็นที่สนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษภายใน วสท.สปท.

๓) การจัดชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (บรรยายภาษาไทย)

๔) ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งข้อมูลทางInternet หรือ Web Link ต่าง ๆ

๖. กลุ่มเป้าหมาย
๖.๑ น.สัญญาบัตร วสท.สปท. ระดับ พ.อ. (พ.) / น.อ. (พ.)

๖.๒ น.สัญญาบัตร วสท.สปท. ระดับตั้งแต่ พ.อ. / น.อ. ลงมา

๖.๓ น.ประทวน วสท.สปท.

๖.๔ นักศึกษาหลักสูตรวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที่ ๕๖

๗. สถานที่ดาเนินการ
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร
๘. ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
๘.๑ ทําให้กําลังพลของ วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษ าอังกฤษได้ด้วยตนเอง และสามารถนําทักษะการเรียนรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อการ
ทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ให้ได้ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด

๘.๒ ทําให้กําลังพลของ วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖ เกิดการเรียนรู้


และสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันได้ในบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกันภายใน วสท.สปท.

๘.๓ เป็นการสนับสนุนและตอบสนองต่อนโยบายของ ผบ .ทสส. ในการพัฒนาของกําลังพล


ด้านภาษาอังกฤษ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับกําลังพล วสท .สปท. ในการเข้าสู่การเป็นประชาคม
อาเซียนในปี ๒๕๕๘

๙. งบประมาณ
(งบประมาณปี ๒๕๕๗)

บทที่ ๒

หัวข้อการอบรมและตารางการอบรม

สําหรับบทที่ ๒ นี้ จะนําเสนอขั้นตอนที่ ๒ ของขั้นตอนในการจัดการอบรมภาษาอังกฤษซึ่งมี ๒ หัวข้อ


ได้แก่ การกําหนดหัวข้อการอบรม และการจัดทําตารางการอบรม

การกาหนดหัวข้อ การอบรม

การกําหนดหัวข้อการอบรม หรือหัวข้อการสอน ได้พิจารณาจาก หัวข้อที่จําเป็นที่จะต้องรู้และ


สามารถนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ โดยจะเริ่มจากเรื่องง่ายๆ และจะค่อยๆเพิ่มความยาก กล่าวคือเรียนจาก
ง่ายไปยาก

การจัดทาตารางการอบรม

ในการจัดทําตารางการอบรม จะต้องทําการการตรวจสอบ และคํานวณ เวลาสําหรับการอบรม การ


กําหนด จํานวน ชั่วโมงการเรียนการสอน ให้เหมาะสมกับ หัวข้อการสอน โดยการประมาณ หัวข้อการการ
อบรมที่กําหนดเรียบร้อยแล้วนั้นจะใช้จํานวนทั้งหมดประมาณกี่ชั่วโมง หลังจากนั้น ประสาน กับ กพผ .วสท.
เพื่อตรวจสอบช่วงเวลาที่ว่างในแต่ละสัปดาห์ เมื่อทราบจํานวนวันและชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์ที่สามารถนํามาใช้
ดําเนินการในโครงการได้ ก็จะนําชั่วโมงที่ต้องใช้ทั้งหมดมาคํานวณหา จํานวนสัปดาห์ที่ต้องใช้ ดังนั้นจะทําให้
ทราบระยะเวลาในการดําเนินการ

โดยทั่วไปจะใช้ ชม . ในตอนบ่ายวันพุธ และวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันที่ตารางสอนของ นศ .วสท.ไม่มีการ


จัดการเรียนการสสอ น ซึ่งจะเป็น ผลดีต่ออาจารย์ที่มีความประสงค์จะเข้าเรียนภาษาอังกฤษ จะได้ไม่ต้องติด
ภารกิจในการกํากับดูแล นศ. หากตารางสอน ตรงกับวิชาในหมวดวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ

จากการคํานวณเวลา ใช้เวลาในกา รสอน ๓๐ ชม. กับหัวข้อการสอน ๑๐หัวข้อ จะ ใช้ระยะเวลา


ดําเนินการประมาณ ๑๐ สัปดาห์ รายละเอียดสามารถดูได้จาก ตัวอย่าง การจัดทาตารางการอบรม ในหน้า
ถัดไป
๑๐

ตัวอย่าง การจัดทาตารางการอบรม

ตารางการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ (๓๐ ชั่วโมง)


ระยะเวลาการฝึกอบรม ตั้งแต่ ๑๔ ม.ค. – ๒๗ มี.ค.๕๘
สาหรับ
ห้องเรียนของกาลังพล วสท. ฯ และ ห้องเรียนของ นศ.วสท. ฯ รุ่นที่ ๕๖
โดย
คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์
(อ. มโนรัตน์ สมคะเนย์ / อ. ชุลี ปัญจะผลินกุล / Ms. Christine Gacuya)

ครั้งที่ วัน เดือน ปี เวลา หัวข้อบรรยาย ผู้สอน


๑ (พุธ) ๑๔ ม.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Formal/informal Greeting
and Introducing People
๒ (ศุกร์) ๑๖ ม.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Talking about one’s job
and daily activities
๓ (พุธ) ๒๑ ม.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Food and Dining
๔ (ศุกร์) ๒๓ ม.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Travel and Entertainment
๕ (ศุกร์) ๓๐ ม.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Asking and Giving Directions
๖ (ศุกร์) ๒๗ ก.พ.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Phone Conversation and
E-mail Writing
๗ (พุธ) ๑๘ มี.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Family and relationships
๘ (ศุกร์) ๒๐ มี.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Health and Lifestyle
๙ (พุธ) ๒๕ มี.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ Expressing Permission,
Obligation and Prohibition
๑๐ (ศุกร์) ๒๗ มี.ค.๕๘ ๑๓๐๐-๑๖๐๐ News and current events
หมายเหตุ
๑) ทั้ง ๒ ห้องเรียนใช้ตารางสอนเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการบริหารกําลังพล ฯและการรับส่งผู้บรรยาย ฯ
๒) ช่วงหยุดยาว ในครั้งที่ ๕ ไปครั้งที่ ๖ และ ครั้งที่ ๖ ไปครั้งที่ ๗ ควรจะมีการให้การบ้านผู้เรียนหรือมี
ช่องทางสําหรับการเรียนการสอนโดยการใช้ Internet หรือ E-mail ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
๑๑

บทที่ ๓

การจัดหาผู้บรรยาย / เอกสารตารา

ในบทที่ ๓ นี้ จะนําเสนอขั้นตอนที่ ๓ ของขั้นตอนในการจัดการอบรมภาษาอังกฤษซึ่ง ได้แก่ การ


จัดหาผู้บรรยาย และเอกสารตํารา สําหรับในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ในการจัดทําโครงการพัฒนาภาษาอังกฤษ
ของข้าราชการ วสท .สปท.นี้ ได้มีการประสานขอความอนุเคราะห์ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยเป็นคณะอาจารย์จ าก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์ ๓ ท่าน ได้แก่ อ. มโนรัตน์ สมคะเนย์ อ . ชุลี ปัญจะผลินกุล
และ Ms. Christine Gacuya มาบรรยายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยได้รับการประสานงานเป็นอย่างดีจาก น .อ.
ปัญญา ศรีสิงห์ ในการดําเนินงานติดต่อ

สําหรับเอกสารตํารา ได้นําข้อมูลไวยากรณ์ภาษาอังกฤษจัดทําในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อม


จัดทํา CD แจกจ่ายให้กับ นขต . วสท. ซึ่งรายละเอียดได้นํามาลงไว้ในอกสารนี้ไว้แล้วด้วย เพื่อความสะดวกไว้
เป็นข้อมูลให้กับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทําโครงการภาษาอังกฤษในปีต่ อๆไป ตลอดจนผู้ที่มีความสนใจ
อยากจะศึกษาหาความรู้ ทบทวนด้านภาษาอังกฤษด้วนตนเอง
๑๒

บทที่ ๔

ข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะ

จากการที่ได้มีการจัดอบรม พบข้อข้องที่สําคัญได้แก่ จํานวนผู้เข้ารับการอบรมซึ่งก็คือกําลังพลของ


วสท. มียอดเข้าเรียนหรือเข้าอบรมภาษาอังกฤษตามตารางที่ได้จัดทําและแจกจ่ายให้กําลังพลที่ต้องเข้าเรียน
รับทราบ มีจํานวนน้อยถึงน้อยมากในบางครั้ง เนื่องจาก บางครั้งมีภารกิจที่หน่วยหนือ สั่งให้ วสท . ไปปฏิบัติ
ต้องมีการใช้กําลังพลส่วนหนึ่งไปปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ทําให้ เหลือผู้ที่เข้าอบรมเป็นจํานวนน้อย ซึ่ง
เป็นภาพที่ดูไม่ค่อยเหมาะสม เพราะการจัดอบรมได้รับความอนุเคราะห์จากวิทยากรผู้บรรยายโดยไม่มีเสีย
ค่าใช้จ่าย

ดังนั้น มีข้อเสนอแนะ ในเรื่องดังกล่าว ได้แก่

๑. การวางแผน ต้องมีการติดตาม ประสานงานเพื่อหาข่าวล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ การ จัดตารางจะได้ไม่


ตรงกับช่วงที่มีงาน ซึ่งงานบางอย่างอาจจะมากระชั้นชิด งานบางอย่างอาจจะต้องมีการคาดการณ์
ล่วงหน้า โดยดูจากปฎิทินงานที่ต้องปฏิบัติตลอดทั้งปีของปีที่ผ่านมาซึ่ง กพผ. จะมีข้อมูลในส่วนนี้
๒. การประสานกับผู้บรรยายในการปรับเปลี่ยน โยกย้ายตารางการอบรม เพื่อไม่ให้เกิดภาพที่ไม่ค่อย
ดีที่มีผู้เข้าอบรมจํานวนน้อยมาก
๑๓

ภาคผนวก
๑๔

ผนวก ก ตัวอย่างหนังสือ ขออนุมัติโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้าน


ภาษาอังกฤษ

บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ กวก.วสท.สปท. (โทร. ๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓.๕/ วันที่ ธ.ค.๕๗
เรื่อง ขออนุมัติโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ

เรียน ผบ.วสท.สปท. (ผ่าน รอง เสธ.วสท.ฯ (๑))


อ้างถึง บันทึกการประชุม กรม สธร.บก.ทท. ครั้งที่ ๔/๕๘ วันพุธที่ ๑๙ พ.ย.๕๗
สิ่งที่ส่งมาด้วย โครงการพัฒนากําลังพล วสท
.สปท. และ นศ. หลักสูตร วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ
๑. ตามที่ กพ.ทหาร ได้ชี้แจงสรุปการดําเนินการที่สําคัญตามนโยบาย ผบ.ทสส. ที่กรุณาอนุมัติ
เป้าหมายผลการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) แนวทางการทดสอบวัดระดับและวิธีการพัฒนา
ภาษาอังกฤษของกําลังพล บก.ทท. ประจําปีงบประมาณ ๒๕๕๘ รายละเอียดตามอ้างถึงนั้น
๒. กวก.วสท.สปท. ในฐานะหน่วยรับผิดชอบ ขอเสนอโครงการพัฒนากําลังพล วสท .สปท.
และ นศ. หลักสูตร วสท. รุ่นที่ ๕๖ รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้.-
๒.๑ วัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ
๒.๑.๑ เพื่อให้กําลังพลของ วสท .สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษและผ่านการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด
๒.๑.๒ เพื่อให้กําลังพลของ วสท .สปท. และนศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ สามารถสื่อสาร
เป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันได้ด้วยการใช้ทั้ง ๔ ทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน ) ในระดับที่เหมาะสมกับ
ตําแหน่งและหน้าที่รับผิดชอบ
๒.๒ กิจกรรมของโครงการ ฯ
๒.๒.๑ จัดการฝึกอบรมภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่
๕๖ ในลักษณะ Unit School โดยการบรรยายการใช้ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน สําหรับผู้ที่มีผลการทดสอบ
ภาษาอังกฤษ(ECL) น้อยกว่าเป้าหมายที่กําหนด โดยมีระยะเวลาการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ ๑๔ ม.ค. –
๒๗ มี.ค.๕๘ ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสิน ทร์ในการจัดการฝึกการ
๑๕

อบรมภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นผลจากการร่วมหารือระหว่าง ผบ .วสท.สปท. และ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการ


วิชาการ (ผศ.ดร. ชัยชนะ ใจบุญ ) และคณะ ฯ เมื่อวันพุธที่ ๓ ธ.ค.๕๗ เวลา ๑๓๐๐ – ๑๔๐๐ ณ ห้อง ผบ .
วสท.สปท.
๒.๒.๒ ส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวั นให้แก่กําลังพล วสท .สปท.
และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ โดยกําหนดให้ทุกวันพุธ ตั้งแต่เวลา ๐๗๓๐ – ๑๒๐๐ เป็นวันสนทนาภาษาอังกฤษ
(English Conversation Day) และ ให้ นขต.วสท.สปท. ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนําเสนอศัพท์ภาษาอังกฤษวันละคํา
พร้อมยกตัวอย่างบทสนทนาหลังเคารพธงชาติทุก ๆ เช้า (Morning Talk)
๒.๒.๓ สนับสนุนการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการพัฒนาทักษะ
ภาษาอังกฤษ เช่น บอร์ดประชาสัมพันธ์สําหรับการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ , การจัดสัมมนาเป็น
ภาษาอังกฤษในประเด็นที่สนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างบรร ยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษ
ภายใน วสท.สปท., การจัดชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (บรรยายภาษาไทย) และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จากแหล่งข้อมูลทาง Internet หรือ Web Link ต่าง ๆ
๒.๓ ระยะเวลาดําเนินการโครงการ ฯ ระหว่าง ธ.ค.๕๗ - ก.ย.๕๘
๒.๔ ผลลัพธ์โครงการ ฯ และประโยชน์ที่ได้รับ
๒.๔.๑ ทําให้กําลังพลของ วสท .สปท. และ นศ .วสท. รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒนา
ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง และสามารถนําทักษะการเรียนรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อการ
ทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) ให้ได้ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด
๒.๔.๒ ทําให้กําลังพลของ วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ เกิดการเรียนรู้และ
สามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันได้ในบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกันภายใน วสท.สปท.
๒.๔.๓ เป็นการสนับสนุนและตอบสนองต่อนโยบายของ ผบ .ทสส. ในการพัฒนา
กําลังพลด้านภาษาอังกฤษ และเป็นการเต รียมความพร้อมให้กับกําลังพล วสท .สปท. ในการเข้าสู่การเป็น
ประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘
๓. ข้อเสนอ เห็นควรให้ดําเนินการดังนี.-้
๓.๑ ให้ กอก.วสท.สปท. ให้การสนับสนุนจัดรถรับส่งอาจารย์ภายนอก ฯ(สามารถเบิกจ่ายค่า
ทางด่วนในกรณีจําเป็นได้กับ รอง เสธ.วสท.สปท. (๒)) ระหว่างการฝึกอบรมภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน(๓๐ ชั่วโมง)
ให้กับกําลังพลวสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ตามข้อ ๒.๒.๑
๓.๒ ให้ กอก.วสท.สปท. สนับสนุนการจัดหาบอร์ดประชาสัมพันธ์สําหรับการพัฒนาทักษะ
การใช้ภาษาอังกฤษให้กับ กวก.วสท.สปท. ตามข้อ ๒.๒.๓
๑๖

๓.๓ ให้ กอก.วสท.สปท. จัดเตรียมอาหารว่าง , อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเครื่องฉายที่


ใช้ในระหว่างการเรียนการสอนสําหรับอาจารย์ ฯ ตามข้๒.๒.๑

๓.๔ สําเนาให้ นขต.วสท.สปท. ทราบ
จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา หากเห็นสมควรกรุณาอนุมัติตามข้อ ๓

น.อ.
(ปัญญา ศรีสิงห์)

- อนุมัติตามข้อ ๓ รอง ผอ.กวก.วสท.สปท. ทําการแทน


ผอ.กวก.วสท.สปท.

พล.ท.

ผบ.วสท.สปท.
พล.ร.ต. ร.น.
ธ.ค.๕๗
เสธ.วสท.สปท. น.อ.

ธ.ค.๕๗
รอง เสธ.วสท.สปท. (๑)

ธ.ค.๕๗
๑๗

ผนวก ข ตัวอย่างหนังสือ ขอรับการสนับสนุนห้องเรียนในการอบรมภาษาอังกฤษให้กําลังพลของ วสท.สปท.

บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ วสท.สปท. (กวก.ฯ โทร.๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓/ วันที่ เม.ย.๕๘
เรื่อง ขอรับการสนับสนุนห้องเรียนในการอบรมภาษาอังกฤษให้กําลังพลของ วสท.สปท.
เรียน ผอ.สจว.สปท.
สิ่งที่ส่งมาด้วย ตารางการอบรมด้านภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพลของ วสท.ฯ
๑. วสท.สปท.ฯ เปิดการอบรมภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพล วสท .ฯ และ กําลังพลของหน่วย
ใกล้เคียง (สจว.ฯ) เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายของ ผบ .ทสส. ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ในด้าน
ภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพลของ บก.ทท. โดย วสท.ฯ กําหนดเปิดการอบรมฯ ในห้วง ๑๘ พ.ค.๕๘ - ๒๙ มิ.ย.๕๘
รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย
๒. ข้อเสนอ เพื่อให้การอบรมฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย วสท .ฯ ขอรับการสนับสนุน
จาก สจว.ฯ ดังนี้ .-
๒.๑ ห้องเรียนเพื่อใช้ในการอบรมฯ จํานวน ๒ ห้องเรียน พร้อมเจ้าหน้าที่โสตทัศนูปกรณ์
๒.๒ ขอเชิญกําลังพลของ สจว.ฯ เข้าร่วมรับการอบรมฯ ในครั้งนี้ พร้อมทั้งส่งรายชื่อกําลัง
พลของ สจว.ฯ ที่จะเข้าร่วมการอบรมฯ มาที่ กวก.วสท.ฯ ภายใน ๘ พ.ค.๕๘ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ น.อ.ปัญญา ศรี
สิงห์ โทร ๐๘๐-๙๘๖-๓๔๕๖ เป็นผู้ประสานรายละเอียดต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา หากเห็นสมควรกรุณาอนุมัติตามข้อ ๒
(ลงชื่อ) พล.ท. เจิดวุธ คราประยูร
(เจิดวุธ คราประยูร)
ผบ.วสท.สปท.
๑๘

ตารางการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ (๓๐ ชั่วโมง)


ระยะเวลาการฝึกอบรม ตั้งแต่ ๑๘ พ.ค. - ๒๙ มิ.ย.๕๘
โดย
คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์
(อ. มโนรัตน์ สมคะเนย์ / อ. ชุลี ปัญจะผลินกุล / Ms. Christine Gacuya)

ครั้งที่ วัน เดือน ปี เวลา หมายเหตุ


๑ (จันทร์) ๑๘ พ.ค.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐ เกณฑ์การประเมินผล
๒ (พุธ) ๒๐ พ.ค.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐ - เวลาการอบรมฯ ต้องไม่
๓ (จันทร์) ๒๕ พ.ค.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐ น้อยกว่าร้อยละ ๘๐
๔ (พุธ) ๒๗ พ.ค.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐ - มีการทดสอบพื้นฐานก่อน
๕ (พุธ) ๓ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐ เข้าอบรมฯ และหลังอบรมฯ
๖ (จันทร์) ๘ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ - ๑๕๓๐
๗ (พุธ) ๑๐ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ – ๑๕๓๐
๘ (จันทร์) ๒๒ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ – ๑๕๓๐
๙ (พุธ) ๒๔ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ – ๑๕๓๐
๑๐ (จันทร์) ๒๙ มิ.ย.๕๘ ๑๒๓๐ – ๑๕๓๐

- เปิดอบรมฯ สําหรับนายทหารสัญญาบัตร จํานวน ๑ ห้องเรียน


- เปิดอบรมฯ นายทหารประทวน จํานวน ๑ ห้องเรียน

หมายเหตุ
- จํากัดจํานวนผู้เข้ารับการอบรมฯห้องละ๑๕ - ๒๐ นาย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เข้ารับการอบรมฯ

ตรวจถูกต้อง
(ลงชื่อ) น.อ. ปัญญา ศรีสิงห์
(ปัญญา ศรีสิงห์)
รอง ผอ.กวก.วสท.สปท
๑๙

ผนวก ค ตัวอย่างหนังสือ รายงานผลการอบรมโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖


ด้านภาษาอังกฤษ

k
บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ กวก.วสท.สปท. (โทร. ๐ ๒๒๗๕ ๕๙๘๑, โทร.ทหาร ๕๐๓๓๔๐๓)
ที่ กห ๐๓๑๗.๓.๕/ วันที่ เม.ย.๕๘
เรื่อง รายงานผลการอบรมโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ

เรียน ผบ.วสท.สปท. (ผ่าน รอง เสธ.วสท.ฯ (๑))


อ้างถึง บันทึกการประชุม กรม สธร.บก.ทท. ครั้งที่ ๔/๕๘ วันพุธที่ ๑๙ พ.ย.๕๗
สิ่งที่ส่งมาด้วย ๑. ตารางการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ
๒. สรุปผลการอบรมกําลังพล วสท.สปท. และ นศ. หลักสูตร วสท. รุ่นที่ ๕๖ ด้าน
ภาษาอังกฤษ
๑. ตามที่ กพ.ทหาร ได้ชี้แจงสรุปการดําเนินการที่สําคัญตามนโยบาย ผบ.ทสส. ที่กรุณาอนุมัติ
เป้าหมายผลการทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ECL) แนวทางการทดสอบวัดระดับและวิธีการพัฒนา
ภาษาอังกฤษของกําลังพล บก.ทท. ประจําปีงบประมาณ ๒๕๕๘ รายละเอียดตามอ้างถึงนั้น
๒. วสท.สปท. ได้ดําเนินการตามนโยบาย ผบ .ทสส. โดยให้ กวก .วสท.สปท. เป็นหน่วย
รับผิดชอบในการอบรมภาษาอังกฤษให้กับกําลังพล วสท .สปท. และนักศึกษาหลักสูตร วสท . รุ่นที่ ๕๖
รายละเอียดมีดังนี้.-
๒.๑ จัดการฝึกอบรมภาษาอังกฤษให้แก่กําลังพล วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ ใน
ลักษณะ Unit School โดยการบรรยายการใช้ไวยากรณ์ขั้นพื้นฐาน สําหรับผู้ที่มีผลการทดสอบภาษาอังกฤษ
(ECL) น้อยกว่าเป้าหมายที่กําหนด โดยมีระยะเวลาการฝึกอบรมภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ ๑๔ ม.ค. – ๒๗ มี.ค.๕๘
ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีรัชมงคลรัตนโกสินทร์ในการจัดการฝึกการอบรม
ภาษาอังกฤษ
๒.๒ ส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันให้แก่กําลังพล วสท .สปท . และ
นศ.วสท . รุ่นที่ ๕๖ โดยกําหนดให้ทุกวันพุธ ตั้งแต่เวลา ๐๗๓๐ – ๑๒๐๐ เป็นวันสนทนาภาษาอังกฤษ
(English Conversation Day) และ ให้ นขต.วสท.สปท. ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนําเสนอศัพท์ภาษาอังกฤษวันละคํา
พร้อมยกตัวอย่างบทสนทนาหลังเคารพธงชาติทุก ๆ เช้า (Morning Talk)
๒.๓ สนับสนุนการจัดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติในการพัฒนาทักษะ
ภาษาอังกฤษ เช่ น บอร์ดประชาสัมพันธ์สําหรับการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ , การจัดสัมมนาเป็น
ภาษาอังกฤษในประเด็นที่สนใจ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้ภาษาอังกฤษ
๒๐

ภายใน วสท.สปท., การจัดชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ (บรรยายภาษาไทย) และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยต นเอง


จากแหล่งข้อมูลทาง Internet หรือ Web Link ต่าง ๆ
๓. ผลลัพธ์ของการดําเนินการอบรมภาษาอังกฤษ
๓.๑ ทําให้กําลังพลของ วสท .สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ สามารถพัฒนาทักษะการ
ใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง และสามารถนําทักษะการเรียนรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อการทดสอบวัดระดับ
ภาษาอังกฤษ (ECL) ให้ได้ตามเกณฑ์ที่ กพ.ทหาร กําหนด
๓.๒ ทําให้กําลังพลของ วสท.สปท. และ นศ.วสท. รุ่นที่ ๕๖ เกิดการเรียนรู้และสามารถ
ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจําวันได้ในบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกันภายใน วสท.สปท.
๓.๓ เป็นการสนับสนุนและตอบสนองต่อนโยบายของ ผบ .ทสส. ในการพัฒนากําลังพล
ด้านภาษาอังกฤษ และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับกําลังพล วสท .สปท. ในการเข้าสู่การเป็นประชาคม
อาเซียนในปี ๒๕๕๘
๔. ข้อเสนอ เห็นสมควรดําเนินการ ดังนี้
๔.๑ รับทราบผลการอบรมโครงการพัฒนากําลังพล วสท.สปท. และนักศึกษา วสท. รุ่นที่
๕๖ ด้านภาษาอังกฤษ
๔.๒ สําเนาเรียนให้ กพผ.วสท.สปท. และสํานักงานประกันคุณภาพการศึกษา วสท.สปท.
ทราบ
จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา หากเห็นสมควรกรุณาอนุมัติตามข้อ ๔

น.อ.
(ปัญญา ศรีสิงห์)
รอง ผอ.กวก.วสท.สปท. ทําการแทน
ผอ.กวก.วสท.สปท.
- อนุมัติตามข้อ ๔

พล.ท.

ผบ.วสท.สปท.
พล.ร.ต. ร.น.
เม.ย.๕๘

เสธ.วสท.สปท. น.อ.
เม.ย.๕๘
รอง เสธ.วสท.สปท. (๑)

เม.ย.๕๘
๒๑

สรุปผลการอบรมภาษาอังกฤษของกาลังพล วสท.สปท. (๓๐ ชั่วโมง)

จํานวนชั่วโมงที่เข้ารับการศึกษา
ลําดับ ยศ-ชื่อ-สกุล สรุปผลการอบรม
(เวลาเต็ม ๓๐ ชม.)

๑. พ.ท.สันติ แย้มพุฒ ๑๘ ผ่าน


๒. น.ท.หญิง ปนัดดา ตระกูลรุ่ง ร.น. ๒๑ ผ่าน
๓. ร.อ.หญิง วิจักขณ์พร อ่องกลั่น ๑๘ ผ่าน
๔. ร.ต.หญิง จารุพร ขุมทอง ๒๗ ผ่าน
๕. ร.ต.หญิง ศิริลักษณ์ หอมกระจุย ร.น. ๒๔ ผ่าน
๖. จ.ส.อ. วุฒิชัย บุญวุฒิ ๒๔ ผ่าน
๗. จ.ส.อ.หญิง จามรี คําแก้ว ๒๑ ผ่าน
๘. จ.ส.อ.หญิง อุษา มั่งเจียม ๒๔ ผ่าน
๙. จ.ส.อ.หญิง กันยาวีร์ เพิกแสงสิริ ๒๔ ผ่าน
๑๐. พ.จ.อ.หญิง เบญจพร ไชยมาตย์ ๒๗ ผ่าน
๑๑. พ.จ.อ. ปณิธาน หงสกุล ๒๔ ผ่าน
๑๒. จ.อ. จตุพร โกศล ๒๔ ผ่าน
๑๓. ส.ต. สุเมธ สิทธิศรีจันทร์ ๑๘ ผ่าน
๑๔. จ.ต.หญิง ชนิตา อบอุ่น ๒๔ ผ่าน
๑๕. น.ส. กัญญพัฒน พรายแสง ๒๑ ผ่าน

------------------------------------

ตรวจถูกต้อง

(ลงชื่อ) น.อ. ปัญญา ศรีสิงห์


(ปัญญา ศรีสิงห์)
รอง ผอ.กวก.วสท.สปท. ทําการแทน
ผอ.กวก.วสท.สปท.
เม.ย.๕๘
๒๒

ผนวก ง ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ

Adjective & Adverb

1. ใช้ "จํานวน + นามเอกพจน์" เป็น adjective ขยายนามได้


- a ten-dollar note = ธนบัตรใบละ 10 ดอลล่าร์
- seven-day visit = การไปเยือน 7 วัน
2. ใช้ "นามเอกพจน์ + d หรือ ed" เป็น adjective ขยายนามได้
- Stringed instrument = เครื่องดนตรีประเภทสาย
- a four-legged animal = สัตว์สี่เท้า 1 ตัว
3. ใช้ "adverb + past participle" เป็น adjective ขยายนามได้
- well-known businessman = นักธุรกิจที่มีชื่อเสียง
- above-mentioned form = แบบฟอร์มดังกล่าว
- carefully written report = รายงานที่ถูกเขียนอย่างระมัดระวัง [carefully เป็น adverb ไม่ต้อง
ใช้ hyphen คั่น]
4. คํา adjective ที่คล้ายๆกัน แต่ความหมายต่างกัน
1. considerate = เกรงใจ considerable = มากมาย
2. continuous = เกิดติดต่อกันตลอดไม่ขาดระยะ continual = เรื่อยๆ แต่ขาดเป็นห้วงๆ
3. economic = เกี่ยวกับเศรษฐกิจ economical = ประหยัด
4. electric = ที่ใช้ไฟฟ้า electrical = ทางด้านไฟฟ้า
5. industrious = ขยัน industrial = เกี่ยวกับอุตสาหกรรม
6. imaginary = ไม่มีตัวตน imaginative = ช่างคิด, มีจินตนาการ
7. respectable = น่านับถือ respective = ตามลําดับ
8. wooden = ทําด้วยไม้ (wood = ไม้)
9. golden = ทําด้วยทอง (gold = ทอง)
10. woolen = ทําด้วยขนสัตว์ (wool = ขนสัตว์)

5. ตําแหน่ง adjective ที่ใช้ขยายนามแต่วางหลังนามที่น่าสนใจมีดังนี้ :-


5.1 ใช้ adjective ตามหลังคําสรรพนามต่อไปนี้
๒๓

someone Anyone no one


somebody Anybody nobody
something Anything nothing
somewhere Anywhere nowhere
- There is nothing new.
- I like to go somewhere quiet.
5.2 ถ้าผู้พูดต้องการเน้น ก็ให้วางไว้หลังนาม
- He bought a car, new, powerful, and expensive.
5.3 ถ้ามีบุพบทวลีให้วางหลัง adjective (adjective + บุพบทวลี)
- I know the person suitable for this position.
ถ้าเป็น past participle + บุพบทวลี ใช้หลักการเดียวกัน
- The book bought from the bookstore is about Japanese history.
5.4 adjective บางคําที่ลงท้ายด้วย -able, -ible เช่น available, responsible ใช้ขยายข้างหลังนามได้
- There are some tickets available.
5.5 ตัวเลขที่แสดงขนาดหรืออายุ ต้องวาง adjective ไว้ข้างหลัง
- twenty years old
- six feet high
- 10 miles long
6. ตําแหน่ง adjective ที่ใช้ตามหลัง Verb to be มีกรณีที่น่าสนใจเพิ่มเติมดังนี้ :-
6.1 Llinking verb ต่อไปนี้สามารถ + adjective หรือ v.3 ได้
appear get Look run stay
become grow Plead seem taste
Feel go Prove smell turn
Fall keep Remain sound
- When I get depressed, it's hard to see just hoe lucky I am. [+ v.3]
- He remained silent. [+ adjective]
*หมายเหตุ: Verb ที่ไม่ได้เน้นการกระทําแต่บรรยายลักษณะของประธานคือ sit, stand, lie ก็ +adjective ได้
- He sat motionless, waiting for her arrival.
๒๔

6.2 ใช้ adjective เน้นลักษณะของกรรม โดยวางไว้หลังกริยาและกรรม


# v. + กรรม + adjective;
v. ได้แก่คํากริยาต่อไปนี้ consider, find, keep, like, prefer, make, pull, dye, set, turn, wipe
- It is her job to wipe the table clean.
6.3 Adjective ต่อไปนี้ วางไว้หลัง Verb to be หรือ linking verb เท่านั้น จะวางไว้หน้านามไม่ได้ ได้แก่
afraid (เกรงกลัว), alike (เหมือนกัน), alive (ที่มีชีวิตอยู่), alone (ตามลําพัง), ashamed (ละอายใจ),
asleep (หลับ), aware (ระวัง), awake (ตืน่ ), sorry (เสียใจ), ill (ไม่สบาย), well (สบายดี), worth (มีค่า)
- He is well.
- Many years ago these two brothers looked very much alike.
7. หลักการเรียง adjective ที่ขยายหน้านาม เรียงจากหน้าไปหลังดังนี้
1. article, ชี้เฉพาะ, แสดงเจ้าของ, บอกปริมาณ; a, an, the, this, that, his, her, some, ...
2. ลําดับที่; first, second, third, fourth, ...
3. จํานวน; one, two, three, ...
4. ลักษณะพิเศษ, คุณภาพ, นิสัย; good, kind, surprising, modern, sweet, new, light, ripe, raw,
daring, dirty, clean, valuable, famous
5. ขนาด, รูปร่าง; big, little, round, narrow, large
6. อายุ; old, young
7. สี; red, green, black
8. สัญชาติหรือแหล่งที่มา; French, English, Thai
9. นามที่ทําหน้าที่ adjective ขยายนามด้วยกัน; leather bag
10. นามหลักที่ถูกขยาย(head noun)

-They live in the first two dirty large old brown English brick houses.
8. หลักการเรียงลําดับ adverb หลายชนิดที่ขยายกริยา
1 สถานที่ (place)
2. กริยาอาการ (manner)
3. ความถี่ (frequency)
4. เวลา (Time)
๒๕

* โดยมากใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เช่น go, leave, walk, fly, come


- She went to New York by plane several times last year.
* ถ้าเป็นกริยาที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เรียงกริยาอาการมาก่อนสถานที่
- She sang beautifully in the hall last night.
* กรณีมี adverb ชนิดเดียวกันมากกว่า 1 ตัวขยายกริยา ให้เรียงจากจุดเล็กสุดมายังจุดกว้างสุด
- Dan was born at seven o'clock on Sunday in August in 1975.
๒๖

Adjectives คาคุณศัพท์
คําคุณศัพท์คือคําที่ทําหน้าที่ขยายคํานามหรือคําสรรพนาม ที่สําคัญมีดังนี้
Descriptive adjectives
คือคําคุณศัพท์ที่บอกลักษณะ คุณภาพ ขนาด สี รูปร่าง ของคํานามที่มันประกอบเช่น

Beautiful สวยงาม
Ugly ขี้เหล่
New ใหม่
Old เก่า
Big ใหญ่
Small เล็ก
Clean สะอาด
Dirty สกปรก
Good ดี
Bad เลว
She is beatiful.
Daeng's room is dirty.
Tammy is a good tennis player.
1. การเรียงลําดับคําคุณศัพท์ที่มีอยู่ในประโยคเรียงได้ตามนี้
คําคุณศัพท์ที่บอกสี ที่มา(มาจากไหน) วัสดุ(ทําจากอะไร) จุดประสงค์(เพื่ออะไร) คํานาม

blue American leather sport shoes


red Thai silk business tie

2. ถ้ามีคําคุณศัพท์ที่บอกขนาด ความสูง ความยาวจะวางไว้ข้างหน้าจากข้อหนึ่ง


a small blue car
a thick glass bottle
๒๗

3. ถ้ามีคําว่า first, last และ next จะวางไว้หน้าจํานวนนับ


the first two weeks
the next three men
Demonstrative adjectives
คือคุณศัพท์ชี้เฉพาะได้แก่ This, That, These, Those
This ใช้กับคํานามเอกพจน์ที่อยู่ใกล้ (นี้)
That ใช้กับคํานามเอกพจน์ที่อยู่ไกล (นั้น)
These ใชักับคํานามพหูพจน์ที่อยู่ใกล้(เหล่านี้)
Those ใชักับคํานามพหูพจน์(เหล่านั้น)
This is my pen.
That is my motorcycle.
These books are theirs.
Proper Adjectives
คือคําคุณศัพท์ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติเป็นคําศัพท์ที่มีรูปมา
จากชื่อของประเทศเช่น
Thailand Thai คนไทย
Canada Canadian คนแคนาดา
U.S.A. American คนอเมริกัน
China Chinese คนจีน
Switzerland Swiss คนสวิส

Numeral Adjectives
คือคุณศัพท์ที่บอกจํานวนนับ ลําดับที่และจํานวนที่ไม่แน่นอน
จํานวนนับได้แก่ one,two, three, four,five,six,seven,eight, nine,ten......
ลําดับที่ได้แก่ first,second,third,fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, nineth,tenth.....
บอกจํานวนที่ไม่แน่นอนได้แก่คําว่า
many มาก
๒๘

much มาก
double ทั้งสอง
few /a few น้อย จํานวนน้อย สองสาม
several หลาย
a little/little เล็กน้อย
all ทั้งหมด
no ไม่มี
some มีบ้าง
enough. เพียงพอ
I have three dogs.
That's his second wife.
I will be away several weeks.
Possessive Adjectives
คือคําคุณศัพท์ที่แสดงความเป็นเจ้าของ
my ของฉัน
her ของเธอ
his ของเขา
its ของมัน
your ของคุณ
our ของพวกเรา
their ของพวกเขา
My book is on the table.
I lost her coat.
May I borrow your pen?
Quantitative Adjectives
คือคุณศัพท์ที่แสดงปริมาณบอกถึงความมากน้อยของสิ่งนับไม่ได้ได้แก่คําว่า
some บ้าง
๒๙

much มาก
little น้อย
enough เพียงพอ
all ทั้งหมด
no ไม่มี
any บ้าง
whole ทั้งหมด
Give me some food.
I do not have enough water.
Do you have any money?
๓๐

Article (หลักการใช้ a, an, the)

1. การใช้ a, an: Noun นับได้เอกพจน์ขึ้นต้นออกเสียงสระให้ใช้ an แต่ถ้าออกเสียงด้วยพยัญชนะ ให้ใช้ a


เช่น
- an hour ("แอน อาวร์")
- a university (อะ ยูนิเวอร์ซิตี้)

1.1 อาการเจ็บป่วย เช่น I have a cold. (ฉันมี(เป็น)ไข้หวัด


แต่ถ้าเป็นชื่อโรคไม่ใช้ article นําหน้า เช่น influenza (ไข้หวัดใหญ่)
1.2 ใช้ในสํานวนบอกอัตราส่วนต่อหน่วยเกี่ยวกับ จํานวน, ระยะทาง, ราคา, ความเร็ว
เช่น ten baht a kilo.
1.3 ใช้ในประโยคอุทาน เช่น What a pity!
1.4 ใช้นําหน้าบุคคลที่เรารู้จักแต่ชื่อ ไม่รู้จักตัว เช่น A Mr. Paul
1.5 ใช้นําหน้าชื่อเฉพาะของบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเปรียบเทียบ เช่น She thinks she is a Madonna.
1.6 ใช้นําหน้าบอกอาชีพ เช่น an engineer
1.7 ใช้เมื่อกล่าวไม่เจาะจง เช่น
- He sat on a chair. = เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง(ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นเก้าอี้ตัวไหน)
1.8 ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งนั้นเป็นครั้งแรก ถ้ากล่าวครั้งต่อไปจึงจะใช้ the
- We live in a hut, the hut is old.
1.9 ใช้ในสํานวนบางสํานวน เช่น
- go for a drive = ขับรถเล่น
- in a hurry = รีบร้อน
- make a wish = อธิษฐาน
- on an average = on the average = โดยเฉลี่ย
- take a rest = หยุดพัก
- take a seat = นั่ง
ฯลฯ

2. การใช้ the

2.1 The + Noun เอกพจน์ --> ใช้แทนที่ความหมาย noun นั้นทั้งประเภท เช่น


- The whale is a mammal.
2.2 ใช้กับ noun ที่มีอันเดียวสิ่งเดียว เช่น the sun, the moon, the earth, the ground
2.3 Noun ที่มีส่วนขยายอยู่ข้างหลัง หรือ นามที่ผู้สนทนารู้ว่ากําลังพูดถึง
๓๑

- The postman was late today. (บุรุษไปรษณีย์ที่มาประจํากําลังถูกพูดถึง )


2.4 Noun ที่ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง
- We live in a hut, the hut is old.
2.5 ชื่อหมู่เกาะ(พหูพจน์) เช่น the Marshalls แต่ชื่อเกาะ(เอกพจน์)ไม่ใช้ the เช่น Sicily
2.6 ชื่อเทือกเขา(พหูพจน์) เช่น the Himalayas แต่ชื่อภูเขา(เอกพจน์)ไม่ใช้ the เช่น Mount Everest
2.7 ขั้วโลก ใช้ the เช่น the North Pole
2.8 ชื่อคลอง, ชื่อแม่น้ํา, ชื่อทะเล, ชื่อมหาสมุทร, ชื่อทะเลทราย ใช้ the แต่ทะเลสาบไม่ใช้ the
2.9 ชื่อโรงแรม, ชื่อโรงภาพยนต์ ใช้ the
2.10 ชื่อหนังสือพิมพ์, สมาคม, องค์การ, บริษัท, ห้างร้าน ใช้ the
2.11 ชื่อเรือ ใช้ the เช่น the Queen Elizabeth
2.12 superlative degree (ขั้นสุด) ใช้ the เช่น the tallest girl, the most interesting book
2.13 เครื่องจักรและสิ่งประดิษฐ์ ใช้ the เช่น the telephone, the bicycle
2.14 Noun ต่อไปนี้ใช้ the ได้แก่ the cinema, the theatre, the radio
2.15 ใช้ the + adjective หรือ the + Verb3 จะมีความหมายเป็น Noun พหูพจน์ ใช้ Verb พหูพจน์ เช่น
the rich, the poor, the old, the young, the blind, the deaf, the sick, the dead, the disabled,
the injured, the wounded, the unemployed, the brave
2.16 เชื้อชาติ, สัญชาติ ใช้ the จะมีความหมายว่า พลเมืองของประเทศนั้น เช่น the British = คนอังกฤษ
2.17 ชื่อเครื่องดนตรี ใช้ the เช่น the guitar, the piano แต่ชื่อกีฬาไม่ใช้ the เช่น volleyball, cricket,
chess, cards
2.18 หน้า adjective บอกลําดับที่ ใช้ the เช่น the first chapter
2.19 ชื่อประเทศที่เป็นพหูพจน์, หมู่เกาะ, สาธารณรัฐ, สห ใช้ the เช่น the Philippines, the
Netherlands, the Republic of China แต่ปกติแล้ว ประเทศจะไม่ใช้ the เช่น Thailand
2.20 ชื่อภาคใช้ the เช่น the Far East, the south of Spain แต่ถ้าใช้ southern Spain ไม่ต้องมี the

@ กรณีที่ไม่ใช้ Article

1.ชื่อมื้ออาหาร เช่น breakfast


2. ชื่อทะเลสาป, ภูเขา เช่น Lake Superior
3. ชื่อภาษา, ชื่อวิชา เช่น French, Mathematics
4. ชื่อวัน เช่น Wednesday
5. เทศกาล, ฤดู เช่น Chrismas, Easter, spring, summer, winter
6. ชื่อเมือง, รัฐ, ประเทศ เช่น Texas, Thailand
7. ชื่อทวีป เช่น Asia, Europe
๓๒

8. นามนับไม่ได้ และนามพหูพจน์ , นามไม่มีตัวตน, นามที่บอกวัสดุ ไม่ใช้ a และ an เช่น tigers, life,


wood
9. สํานวนเกี่ยวกับ bed, home, work ต่อไปนี้ไม่ใช้ the คือ go to bed, in bed, finish work, start
work, at work, go home, at home
10. คํานามต่อไปนี้ ในความหมายปกติไม่ใช้ the แต่ถ้าใช้ในความหมายอื่นจะใช้ the ได้แก่ bed, church,
court, prison, hospital, market, class, school, college, university เช่น
- go to bed = ไปนอน แต่ go to the bed = ไปที่เตียง
- go to prison = ถูกขังคุก แต่ go to the prison = ไปที่คุก(เพื่อไปทําอย่างอื่นไม่ได้ไปเพื่อถูกขัง )
11. ไม่ใช้ article ตามหลัง kind of, sort of, type of, make of, brand of, variety of, species of,
เช่น this brand of cigarette
12. Verb ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง คัดเลือก คือ appoint, choose, elect, select หรือ make ให้บุคคล
ใดบุคคลหนึ่งได้ดํารงตําแหน่งที่มีเพียงตําแหน่งเดียว ไม่ต้ องใช้ article หน้าตําแหน่งนั้น เช่น
- He was made President.
13. ชื่อกีฬาทุกชนิด
๓๓

Articles

คํา article แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ


A. Indefinite Article ได้แก่ a, an
B. Definite Article ได้แก่ the

A. Indefinite Article ได้แก่ a, an

หลักการใช้ a, an
1. ใช้ an นําหน้าคําที่ขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o,u หรือออกเสียงสระไม่ว่าจะเขียนขึ้นต้นด้วยพยัญชนะก็ตาม
เช่น an elephant, an hour, an umbrella, an apple
2. ใช้ a, an นําหน้าคํานามเอกพจน์ที่นับได้เสมอที่มีความหมายเป็น "หนึ่ง"
She has a dog.
Give me an apple.
3. ใช้ a,an นําหน้าคําที่บอกอาชีพ
Junior's father is a doctor.
I want to be a teacher.
4. ใช้ a, an นําหน้านามเอกพน์ที่แปลเป็นต่อ...(หน่วย)
Oranges cost 50 baht a kilogram.
5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่น
a stomachache, a headache, a fever
I ate somtam at lunch and now I have a stomachache.
6. ใช้ a,an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น
What a nice dress!
What an old man!
เราจะไม่ใช้ a,an กับสิ่งต่อไปนี้
1.กับคํานามที่นับไมได้ (uncountable nouns)
2.ไม่ใช้นําหน้าชื่อวิชา ชื่อกีฬา ชื่อประเทศ ชื่อเมือง ชื่อมหาวิทยาลัย
3.ไม่ใช้หน้าคําที่เป็นมื้ออาหาร breakfast, lunch, dinner
๓๔

B. Definite Article ได้แก่ the

หลักการใช้ the
1. ใช้กับคํานามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ที่เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิ่งไหน
2. ใช้ the นําหน้าคํานามที่มีสิ่งเดียว
the sun, the moon, the sky
3. ใช้ the นําหน้าชื่อครอบครัวเช่น
The Browns, The Lees
4. ตามปกติเราใช้ the นําหน้าชื่อหนังสือพิมพ์เช่น
The Nation, The Times, The Sun
5. ใช้ the กับชื่อสถนาที่
ทะเล the Pacific
เทือกเขา the Himalayas
แม่นํ้า the Mississippi
ทะเลทราย the Sahara
โรงแรม the Plaza
โรงหนังโรงละคร the Playhouse
พิภิธภัณฑ์ the National Museum
ชื่อประเทศที่มีคําว่า Republic, Kingdom, State
6. ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี
the piano
I play the guitar.
7. ใช้ the ก่อนคําว่า same
Your shirt is the same color as mine.
8. ใช้ the + คําคุณศัพท์เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ
the rich, the sick, the poor
9. ใช้ the กับคํานามที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่ากําลังพูดถึงสิ่งใด

เราจะไม่ใช้ the กับสิ่งต่อไปนี้


1.ไม่ใช้ the นําหน้านาม+จํานวนเช่น
room 255
2.ไม่ใช้ the เมื่อเราพูดถึงสิ่งของหรือบุคคลโดยทั่วไป
I'm afraid of spiders.
๓๕

Auxiliaries (กริยาช่วย)

1. การใช้ must และ have to

1.1 ใช้แทนกันได้ในความหมายที่แสดงข้อผูกมัดหรือสิ่งที่ต้องกระทํา แต่ must ใช้แสดงอํานาจของผู้พูดหรือ


ความจําเป็นของผู้พูด ส่วน have to แสดงถึงการที่ต้องทําเพราะปัจจัยภายนอก เช่น ระเบียบ ไม่ใช่คําสั่งของ
ผู้พูด, must จะใช้กับปัจจุบันกาลอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นอดีตจะใช้ had to และถ้าเป็นอนาคตจะใช้ will,
shall + have to
# ข้อสังเกต: Verb to be + to = จะต้อง; มีความหมายเป็นอนาคตกาล เช่น I am to meet my friend
here today.
- You must go now.

1.2 สําหรับ have to ถ้าทําเป็นปฏิเสธหรือคําถามต้องใช้ Verb to do เข้าช่วย


- You do not have to buy a new bycicle.
- Do you have to buy a new car?

2. การใช้ Verb to do ได้แก่ do, does, did แทน Verb อื่นในประโยคเพื่อไม่ให้ต้องกล่าวซ้ํา และใช้เน้น
กริยาในประโยคว่าต้องทําเช่นนั้นจริงๆ เช่น
- He speaks English better than his sisters do. [ใช้ do แทนกริยา speaks เพื่อไม่ให้ต้องกล่าวซ้ํา]
- Peter does attend church regularly! [ใช้ does เน้นกริยา attend ในประโยคว่าต้องทําเช่นนั้นจริงๆ]

3. การใช้ need

3.1 ถ้าเป็น verbช่วย ใช้เหมือน verb ช่วยทั่วๆไป คือ ไม่ต้องเติม -s หรือ -ed ที่ need และตามด้วย
infinitive ไม่มี to, ใช้เฉพาะในประโยคคําถามและปฏิเสธหรือกึ่งปฏิเสธ
- She need not go so early, need she?
- You need not do your assignment.
- Need you bring so much baggage?
- She asked whether she need go.

3.2 ถ้าเป็นกริยาหลัก ต้องตามด้วย infinitive มี to เหมือนกริยาหลักทั่วไป เพื่อไม่ให้มีกริยาซ้อนกริยาใน


ประโยคเดียวกัน
- She said she needed to see a doctor.
- You do not need to see a doctor.
- Farmers are needing rain for their rice fields.
๓๖

3.3 กรณีประธานของประโยคไม่ได้ทําเอง หรือ กรณีถูกกระทํา


# ประธาน + need + to be + V.3
# ประธาน + need + V.ing
ใช้ในความหมายซ่อมแซมดูแล
- My house needs to be repainted.
- My house needs repainting.

สําหรับปฏิเสธของ need ในรูปอดีตมี 2 แบบ คือ


# did not need to + V.1 [ไม่จําเป็น และไม่ได้ทํา]
# need not have + V.3 [ไม่จําเป็น แต่ทําไปแล้ว]

- I didn't need to worry. [ไม่จําเป็นต้องกังวล และไม่ได้กังวล]


- I needn't have worried. [ไม่จําเป็นต้องกังวล แต่กังวลไปแล้ว]

4 การใช้ dare

4.1 ถ้าเป็นกริยาช่วยให้ใช้เหมือนกริยาช่วยทั่วๆไป

4.2 ถ้าใช้เป็นกริยาแท้ ใช้กับ to V.1 เช่น


- He dares to swim across the Chao Praya River.

5. การใช้ would rather หรือ would sooner = ชอบมากกว่า, อยากที่จะ

5.1 # กรณีที่เป็นปัจจุบันหรืออนาคต ใช้ would rather + V.1 ไม่มี to


- I would rather read this book.
# กรณีที่เป็นอดีต ใช้ would rather + have + V.3
- We would rather have come yesterday
* ถ้าเป็นปฏิเสธให้เติม not ไว้หลัง rather
- She would rather not discuss it right now.
* ถ้าเป็นคําถามให้เอา would้หน้ไ าประโยค
- Would you rather stay at home?

5.2 Subject + would rather + ประโยค [ประธานของประโยคหลังต้องไม่ใช่ประธานคนเดียวกับประธาน


ข้างหน้า]
# ประธาน1 + would rather + ประธาน2 + V.2 [แสดงความปรารถนาในปัจจุบัน]
๓๗

# ประธาน1 + would rather + ประธาน2 + had + V.3 [แสดงความปรารถนาในอดีต]


- I would rather you came tomorrow.
- I would rather you did not tell her.
- We would rather you had completed your task last Friday.

5.3 would like = ต้องการ; เป็นการพูดอย่างสุภาพ หรือ ใช้แสดงการเชื้อเชิญ


- I would like a cup of coffee.
- Would you like to go to a movie?

6. การใช้ had better หรือ had sooner = น่าจะ, ควรจะ..ดีกว่า; ใช้แนะนําถึงสิ่งที่ควรทํา เช่นเดียวกับ
should หรือ ought to แม้จะมีรูปอดีต แต่ความหมายเป็นปัจจุบัน ใช้กับ infinitive ไม่มี to
- You had better get your visa extended before it expires.
- You had better leave before it rains

7. การใช้ could, must, may, might, should, ought to กับเหตุการณ์ในอดีตหรือตรงข้ามกับความจริง ให้


ใช้ perfect infinitive คือ have + V.3
7.1 could + have + v.3
# ใช้แสดงความสามารถในอดีตว่าทําได้แต่จริงๆแล้วการกระทําไม่ได้เกิดขึ้น
- My brother could have driven you to the airport. Why didn't you ask him to?
# ใช้แสดงการคาดคะเนสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ในอดีต
- I could not have won, so I did not go for the race.
# ใช้แสดงการคาดคะเนสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต
1:- I wonder how Jack knew about Maty's marriage.
2:- He could have it from Mike.
7.2 must + have + v.3 ; ใช้แสดงการคาดคะเนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต
- Since the road is wet this morning, it must have rained last night.
7.3 may หรือ might + have + v.3; ใช้แสดงการคาดคะเนเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต
1:- Why didn't Peter come?
2:- He might have forgotten.
7.4
# ought to + have + v.3 ; ใช้แสดงสิ่งที่ควรทําในอดีตแต่ไม่ได้ทํา
# should + have + v.3 ; ใช้แสดงสิ่งที่ควรทําในอดีตแต่ไม่ได้ทํา หรือ สิ่งที่ไม่ควรทําแต่ทําไปแล้ว
- She ought to have worked hard last year, but she did not.
- The Prime Minister should not have dissolved the Paliament, but he did.
๓๘

Comparison

1. การเปรียบเทียบขั้น positive degree เพื่อแสดงความเท่าเทียมกัน


1.1 # as + adjective หรือ adverb + as
- Do it as well as you can.
- His house is as large as mine.
# not + so/as + adjective/adverb + as , (ปฏิเสธ)
- The cost of living in the provinces is not so high as in the provinces.

1.2 # as + many + Nounนับได้ + as


# as + much + Nounนับไม่ได้ + as
- He drinks as much coffee as I.
1.3 # the same + as ...
# the same + Noun + as
- Don and Dan are the same height.
- My car is the same as yours.
1.4 # to be + like + นามหรือสรรพนาม
- She is like her father.
1.5 # look + alike
# to be + alike
- The twins look alike.
- Your car and mine are alike.

1.6 # to be similar to ...


# to be different from ... หรือ differ from (กรณีไม่เท่ากัน)
- Your bag is similar to mine.

2. การเปรียบเทียบขั้น comparative degree


2.1 ถ้าต้องการระบุว่ามากกว่ากันกี่เท่า
# twice/ three times/ four times + as + adjective/ adverb + as
- Your car is twice as expensive as mine.
๓๙

2.2 เปรียบเทียบสัดส่วนที่เพิ่มหรือลดตามกัน แปลว่า ยิ่ง...ยิ่ง


# The + comparative + ประโยคบอกเล่า, the + comparative + ประโยคบอกเล่า
- The less he says about it, the better it will be.
- The more we learn, the wiser we become.
- The more medicine I take, the worse I feel.
- The more he tried to help her, the less she seemed to appreciate it.

2.3 ใช้ much, far, rather, a bit, a lot ขยาย comparative degree ได้ จะใช้ very ขยายไม่ได้
- You look much happier today than you did yesterday.
- He is far more intelligent than his classmates.
- She is very much better today. [very ขยาย much ไม่ได้ขยาย better]
- Could you speak a bit more slowly than you do?
- Sam plays a lot better than Fred.

2.4 ประโยคเปรียบเทียบที่มีคําต่อไปนี้ ให้ตามด้วย to ไม่ใช่ than


@ inferior to = เลวกว่า
@ superior to = เหนือกว่า
@ junior to = อ่อนกว่า
@ senior to = แก่กว่า
- He is senior to me by three years. [ไม่ใช้ than me]

3. การเปรียบเทียบขั้น superlative degree


3.1 สังเกตวลีที่ใช้ในขั้นสุด เช่น in the world, in France, in the family, in the class, one of the ...,
... that I have ever + v.3, ... of all
- He is the riches man in the world.
- Phuket is one of the most important cities of Thailand.
- Sam is the cleverest man that I have ever known.

3.2 comparative degree + than any other + Nounเอกพจน์ จะมีความหมายเท่าขั้น superative


- She is more beautiful than any other girl in her group.
๔๐

3.3 adjective และ adverb ขั้นกว่าและขั้นสุดที่ไม่เปลี่ยนไปตามกฏ คือ :-

Positive Comparative Superlative


good (adj.)
better best
well (adv.)
bad (adj.)
worse worst
badly (adv.)
much, many more most
little less least
Far farther, further farthest, furthest
later latest
late
latter last
elder eldest
old
older oldest

* ข้อสังเกต:
@ later, latest ใช้กับเวลาที่ล่ากว่า, ล่าสุด
@ latter, last ใช้กับตําแหน่งหรือลําดับหลังกว่า, หลังสุด
@ elder, eldest ใช้ประกอบหน้านามเฉพาะพี่น้องท้องเดียวกัน
@ older, oldest ใช้ได้ทั้งคน, สัตว์, สิ่งของ
๔๑

Comparisons

การเปรียบเทียบมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ

1. การเปรียบเทียบในขั้นปกติ มีโครงสร้างดังนี้ คําที่นํามาเปรียบเทียบอยู่ระหว่างคือคําคุณศัพท์ (adjective)


และคํากริยาวิเศษณ์ (adverb)

as.........as ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่เท่ากัน
Natee is as old as Ladda.
not as....as /not so ........as ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่ไม่เท่ากัน
Today is not so hot as yesterday.

the same......as ใช้แสดงการเปรียบเทียบที่เท่ากัน คําที่ใช้ระหว่าง the same ......as จะต้องเป็นคํานาม


เช่น Kanda's salary is the same as mine. หรือ Kanda gets the same salary as me.

Note: หลัง as/than ถ้าไม่มี verb ตาม เราจะใช้ me/ him/ her/ them/ us

2. การเปรียบเทียบในขั้นกว่า (comparative degree) เป็นการเปรียบเทียบคน 2 คน สิ่งของ 2 สิ่งมี


โครงสร้างดังนี้
adj./adv +er than

more +adj./adv than

He is older than me.


She is happier than him.
She is more intelligent than me.

Note: 1.ในการเปรียบเทียบขั้นกว่าเราสามารถใช้ a bit , a little, a lot, much, far,หรือ rather ขยาย


adjective หรือ adverb เช่น
Prannee works much harder than Nittaya.
The blue car is rather nicer than the red one.
๔๒

2. ในการเปรียบเทียบขั้นกว่าเมื่อต้องการแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นหรือแปรตรงต่อกัน
และในข้อความในส่วนที่สองมักจะเป็นผลของข้อความในส่วนแรกมีโครงสร้างดังนี้
the + adj./adv ขั้นกว่า + (N) + (clause), the+ adj./adv ขั้นกว่า + (N) +(clause)

The harder you study, the more you learn.


The faster you drive, the more dangerous it is.

3. การเปรียบเทียบในขั้นสูงสุด (superlative degree) เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นที่สุดมีโครงสร้างดังนี้

the +adj./adv +est

the most +adj./adv

Tom is the tallest in the class.


Sunee is the most beautiful woman in Chiang Mai.
และถ้าเราต้องการจะเปรียบเทียบให้เห็นว่าน้อยที่สุดใช้โครงสร้างนี้

the least +adj./adv


This is the least expensive shirt I've ever bought.

การเปลี่ยนขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุด

1. เติม er และ est ในคําพยางค์เดียว

Tall taller tallest สูง


long longer longest ยาว
short shorter shortest สั้น
young younger youngest อ่อน
thick thicker thickest หนา
Harder Harder hardest แข็ง
๔๓

He is tall.
He is taller than me.
He is the tallest player on the team.

2. เป็นคําพยางค์เดียวมีสระเดียวและตัวสะกดเดียวทําเป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุดด้วยการเติม
ตัวสะกดอีกตัวแล้วเติม er และ est

Big Bigger biggest ใหญ่


Hot Hotter hottest ร้อน
Thin Thinner thinnest ผอม
Fat Fatter fattest อ้วน
Sad Sadder saddest เศร้า

She is fat.
She is fatter than her sister.
She is the fattest girl in the company.

3. คําพยางค์เดียวและสองพยางค์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม er ในขั้นกว่า เติม est ในขั้น


สูงสุด

Dry drier driest แห้ง


Lucky luckier luckiest โชคดี
Easy easier easiest ง่าย
Pretty prettier prettiest น่ารัก สวยงาม
Lazy lazier laziest ขี้เกียจ
Happy happier happiest มีความสุข

Math is easy.
Math is easier than chemistry.
Math is the easiest subject at school.
๔๔

4. คําที่มีสองพยางค์และลงด้วย er, re, le และ ow เติม er ในขั้นกว่าและเติม est ในขั้นสุงสุด

Clever cleverer cleverest ฉลาด


Simple simpler simplest ง่าย
Narrow narrower narrowest แคบ
Shallow shallower shallowest ตืน้
Bitter bitterer bitterest ขม
Noble nobler noblest มีเกียรติ

I am clever.
I am cleverer than you.
I am the cleverest student in my grade.

5. คํากริยาวิเศษณ์ที่ลงท้ายด้วย ly ให้เติม more ในขั้นกว่าและเติม most ในขั้นสุงสุด

Slowly more slowly most slowly ช้า


Loudly more loudly most loudly ดัง
Quickly more quickly most quickly เร็ว

6. คําที่สามารถเติมได้ทั้ง er, est หรือ more, most


Clever cleverer cleverest ฉลาด
more clever most clever
Quiet quieter quietest เงียบ
more quiet most quiet
handsome handsomer handsomest หล่อ
more handsome most handsome
Cruel crueler cruelest ใจร้าย
more cruel most cruel
Common commoner commonest ธรรมดา
more common mos t common
๔๕

7. คําคุณศัพท์ที่มีสองพยางค์ออกเสียงยาวใช้ more และ most


Useful more useful most useful มีประโยชน์
Selfish more selfish most selfish เห็นแก่ตัว
Honest more honest most honest ซื่อสัตย์
Fertile more fertile most fertile อุดมสมบูรณ์

8. คําคุณศัพท์ที่สามพยางค์ขึ้นไปให้ใช้ more และ mostได้เท่านั้น


dangerous more dangerous most dangerous อันตราย
Beautiful more beautiful most beautiful สวยงาม
interesting more interesting most interesting น่าสนใจ
Difficult more difficult most difficult ยาก
important more important most important สําคัญ
Suitable more suitable most suitable เหมาะสม

9. คําที่ไม่เป็นไปตามกฎ
good (well) better best ดี
Bad worse worst เลว
much, many more most มาก
Little less least น้อย
Few fewer fewest น้อย
Near nearer nearest ใกล้
Far farther/ further farest/ furthest ไกล
Old older/elder oldest/ eldest แก่ เก่า
๔๖

Connective (คาเชื่อม)

1. แสดงสาเหตุของการกระทํา จะเชื่อมด้วยคําที่มีความหมายว่าเพราะว่า
1.1 คําเชื่อม + ประโยค ได้แก่

as = เพราะว่า now that = เนื่องจาก บัดนี้


because = เพราะว่า seeing that = เนื่องจาก
for = เพราะว่า in as much as = โดยเหตุที่
since = เนื่องจาก in view of the fact that = เนื่องจากความจริงที่ว่า

- Because I have to work to pay for my tuition, I don't have time for many social events.

1.2 คําเชื่อม + นามหรือวลี ได้แก่

because of = เพราะว่า on the score of = ด้วยเหตุที่


due to = เพราะว่า on account of = เนื่องด้วย
owing to = เพราะว่า on the grounds of = เพราะว่า
by reason of = เพราะว่า thanks to = เนื่องจาก, เพราะว่า
by virtue of = โดยเหตุที่

- I rejected his proposal on the score of expense.

2. แสดงผลของการกระทําหรือผลที่เกิดขึ้น เชื่อมข้อความที่เป็นเหตุเป็นผลกัน

consequently = ดังนั้น thus = ดังนั้น


hence = ดังนั้น so + adjective หรือ adverb + that = มากจนกระทั่ง
therefore = ดังนั้น such + นาม + that = มากจนกระทั่ง
so = ดังนั้น

- She had such much work that she had no free time.*
- She had so much work that she had no free time.
๔๗

* ในประโยคที่ใช้ such... that ถ้า adjective ที่ขยายหน้านามเป็น much หรือ many หรือมี article a
ตามหลัง ใช้ so...that แทนได้

3. แสดงความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์

3.1 คําเชื่อม + ประโยค ได้แก่


in order that = เพื่อว่า
so that = เพื่อว่า
lest = เพื่อว่าจะได้ไม่

- You had better be careful, lest you should stumble. = ระวังหน่อยเพื่อจะได้ไม่หกล้ม

3.2 คําเชื่อม + v.1 ได้แก่

in order to = เพื่อ
so as to = เพื่อ
to = เพื่อ

- I work hard so as not to fail again.

3.3 คําเชื่อม + v.ing ได้แก่

for the purpose of = เพื่อ with the object of = เพื่อ


with a view to = เพื่อ with the intention of = เพื่อ
with the aim of = เพื่อ with an eye to = เพื่อ
in the hope of = เพื่อ

- He works hard with the aim of passing the examination.


4. แสดงเหตุผลขัดแย้งกัน

4.1 คําเชื่อม + ประโยค ได้แก่

although = ถึงแม้ว่า though = ถึงแม้ว่า


๔๘

however = อย่างไรก็ตาม notwithstanding the fact that = ถึงแม้ว่า


but = แต่ in spite of the fact that = ถึงแม้ว่า
yet = แม้กระนั้นก็ตาม nevertheless = อย่างไรก็ตาม
still = แม้กระนั้นก็ตาม even if = ถึงแม้ว่า
- He was thirsty, however, he refused to drink any soft drink.
4.2 คําเชื่อม + นามหรือวลี ได้แก่

despite = ถึงแม้ว่า
in spite of = ถึงแม้ว่า
notwithstanding = ถึงแม้ว่า

- Despite the large advertising campaign, the business lost many customers.

5. แสดงเงื่อนไข (ดูเรื่อง if-clause ประกอบ)

5.1 คําเชื่อม + ประโยค

as long as = ตราบใดที่, ถ้า suppose = สมมุติ


so long as = ตราบใดที่, ถ้า if = ถ้า
providing = ถ้า, โดยมีเงื่อนไขว่า unless = ถ้า...ไม่
provided that = ถ้า, โดยมีเงื่อนไขว่า in case = ในกรณีที่, เผื่อว่า
supposing (that) = สมมุติว่า on the condition that = โดยมีเงื่อนไขว่า
- As long as you work harder, you will improve.
5.2 คําเชื่อม + นามหรือวลี ได้แก่
in case of = ในกรณีที่
in the event of = ในกรณีที่
- Push red button in case of emergency.
6. ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
or = มิฉะนั้น
or else = มิฉะนั้น
otherwise = มิฉะนั้น
- Come early, or there won't be any seats left.
๔๙

Gerunds กริยาที่เติม ing

คือการนําเอาคํากริยามาเติม ing ทําหน้าที่เป็นประธานกริยา เป็นกรรมและใช้ในคํานามผสมมีลักษณะการใช้


ดังนี้

1. ทําหน้าที่เป็นประธานของกริยาเช่น
Walking is good for your health.
2. ทําหน้าที่เป็นกรรมของกริยาเช่น
He stops smoking.
3. ทําหน้าที่เป็นกรรมตามหลังคําบุพบทเช่น
Thank you for coming.
4. ใช้ในคํานามผสมเช่น
Swimming pool
Sleeping pill

กริยาที่ใช้ตามด้วย gerund ได้แก่คําว่า


admit ยอมรับ
miss พลาด
finish เสร็จสิ้น
postpone เลื่อน
deny ปฎิเสธ
avoid หลีกเลี่ยง
keep (on) ทําต่อไป
mention เอ่ยถึง
understand เข้าใจ
quit เลิก
stop หยุด
dislike ไม่ชอบ
imagine จินตนาการ
practise ฝึกฝน
risk เสี่ยง
can't help อดไม่ไหว
object to คัดค้าน
๕๐

insist of ประกอบด้วย
keep on ทําต่อไป
look forward to รอคอย
think of คิดถึง
It's no use ไม่มีประโยชน์

กริยาที่ตามหลัง gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมายแตกต่างกัน


1. remember จําได้
remember + to v 1จําได้ว่าจะต้องทําอะไรบางอย่าง
I hope I remember to pay the phone bill.
remember + v ing จําได้ว่าได้ทําอะไรไปแล้ว
I still remember going to my first dance.

2.forget ลืม
forget + to v 1 ลืมทําอะไรบางอย่าง
Don't forget to buy some milk on your way home.
forget + v ing ทําสิ่งนั้นไปแล้วแต่ลืม
และตามด้วยโครงสร้างนี้I'll never forget ........ing
I'll never forget meeting Bill Clinton when he visited Thailand.

3. stop หยุด
stop +to v 1 หยุดทําอะไรบางอย่างเพื่อไปทําอย่างอื่นแทน
Employess stop to have a break at 10 a.m.
stop + v ing เลิกทําหรือหยุดทําไปแล้ว
You should stop eating too much.

4.regret เสียใจ
regret +t o v 1เสียใจที่จะต้องบอกว่า
I regret to tell you that your dog died today.
regret + v ing เสียใจที่ได้ทําอะไรลงไปแล้ว
I regret drinking too much last night.
๕๑

5. try
try + to V1 พยายามทําบางอย่างในสิ่งที่ยาก
I tried to study but I was too tired.
try +Ving ลองทําบางอย่าง
I tried calling you but your line was busy.

6. sorry
sorry +to V1 เป็นการขอโทษในบางสิ่งที่กําลังกระทําหรือกําลังจะกระทํา
I'm sorry to have troubled you.
sorry for /about + Ving เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว
I'm sorry for troubling you.

กริยาต่อไปนี้ตามได้ทั้ง gerund (V.-ing) หรือ infinitive (to v1) แต่ความหมาย


เหมือนกันได้แก่คําว่า
hate เกียด
love รัก
like ชอบ
prefer ชอบมากกว่า
begin เริ่มต้น
start เริ่มต้น
continue ดําเนินต่อไป
๕๒

HAVE, GET และ MAKE ในรูป causeative :- ใช้เพื่อแสดงว่าประธานของประโยคไม่ได้เป็นผู้กระทําการ


นั้นเอง

1. กรณีกรรมของ have, get เป็นสิ่งของ และถูกกระทําโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ประธาน


# have + something + v.3 = have something done
# get + something + v.3 = get something done
- Ellen was absent this morning because she had her tooth filled.

2. กรณีกรรมของ have, get เป็นบุคคลผู้ซึ่งกระทําให้


# have + someone + v.1 = have someone do something
# get + someone + to v.1 = get someone to do something
- Professor Black had us write compositions every Friday.
- She gets a man to fix the puncture.

3. กรรมของ make ที่ถูกกระทําไม่จําเป็นต้องเป็นสิ่งของ จะเป็นบุคคลก็ได้ ในทางกลับกัน กรรมของ make


เป็นผู้กระทําจะเป็นสิ่งของก็ได้ ดัง นั้นการเลือกใช้ Verb หลัง make จะต้องดูที่กรรม
# make + กรรมที่เป็นผู้กระทํา + v.1
# make + กรรมที่เป็นผู้ถูกกระทํา + v.3
- A biting wind made the girls shiver under their blankets. (กรรมที่เป็นผู้กระทํา)
- It's difficult to make oneself heard above this din. (กรรมที่เป็นผู้ถูกกระทํา)
๕๓

Helping or Auxiliary Verbs กริยาช่วย

กริยาช่วยมีด้วยกันทั้งหมด 24 ตัวดังนี้

รูปปฎิเสธ คําย่อ
is is not isn't
Am am not -
Are are not aren't
Was was not wasn't
Were were not weren't
Do do not don't
Does does not doesn't
Did did not didn't
Has has not hasn't
Have have not haven't
Had had not hadn't
Can can not can't
Could could not couldn't
May may not mayn't
Might might not mightn't
Will will not won't
Would would not wouldn't
Shall shall not shan't
Should should not shouldn't
Must must not mustn't
Need need not needn't
Dare dare not daren't
ought ought not oughtn't
used to used not to usedn't to
๕๔

verb to be ได้แก่คําว่า is, am, are, was, were แปลว่า"เป็น, อยู่, คือ"
be เป็นรูปเดิมเมื่อกระจายรูปจะได้เป็น is,am,are เปลี่ยนเป็นช่องที่สองคือ was were และ
เปลี่ยนเป็นช่องที่สามคือ been

ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)


is ใช้กับประธานเอกพจน์
am ใช้กับประธานคําว่า I
are ใช้กับประธานพหูจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
was ใช้กับประธานเอกพจน์
wereใช้กับประธานพหูพจน์
หน้าที่ของ verb to be
1.ทําหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นในประโยค continuous tense และประโยค Passive voice
They are watching tv.
She was writing to her parents.
A dog was killed by bad man.
2.ใช้กับประโยคที่มีคํานาม (noun) หรือคําคุณศัพท์ (adjective) ตามหลัง
We are students.
3.ใช้กับประโยคขอร้องและคําสั่ง (ในรูปของ be) เช่น
Be careful!
Be gentle!

Verb to do ได้แก่คําว่า do, does, did


ใช้กับ Present tense (ปัจจุบันกาล)
does ใช้กับประธานเอกพจน์
do ใช้กับประธานพหูพจน์
ใช้กับ Past tense (อดีตกาล)
did ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และประธานพหูพจน์
๕๕

Verb to do
ใช้กับ present Simple หรือ past Simple เมื่อเราต้องการเปลี่ยนจากประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม
และประโยคปฎิเสธ
Present Simple
She goes to school by bus.
She doesn't go to school by bus.
Does she go to school by bus?

Past Simple
Dum went to the post office yesterday.
Dum didn't go to the post office yesterday.
Did Dum go to the post office yesterday?
Note: เมื่อเอา Verb to do เข้ามาช่วยกริยาจะต้องเป็น V1เสมอ

Verb to have ได้แก่คําว่า has,have,had


has ใช้กับประธานเอกพจน์
have ใช้กับประธานพหูพจน์
had ใช้ได้ทั้งประธานเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปของ past
1. เราจะใช้กับ Present Perfect Tense และ Past Perfect tense เช่น
Frank has seen the rainbow.
Frank hasn't seen the rainbow.
Has Frank seen the rainbow?

They have watched the movie.


They haven't watched the movie.
Have they watched the movie?

2. Verb to have ที่เป็นกริยาแท้แปลว่า "มี" "รับประธาน"เช่น


I have a new dress.
๕๖

I have lunch early every day.


เมื่อต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและคําถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
We don't have a new home.
Do we have a new home?

can could แปลว่า "สามารถ"


1.ใช้กล่าวถึงความสามารถว่าสามารถทําสิ่งนี้สิ่งนั้นได้เช่น
I can play the piano.
I can speak French.
ในรูปประโยคปฎิเสธและคําถามสามารถใช้ can ได้เลยเช่น
She can't drive.
Can you drive?

2.เราจะไม่ใชั can กับ infinitive หรือ participles แต่เมื่อจําเป็นเราจะใช้คําอื่นแทนเช่น


Are you be able to go home late?
She will be able to drive soon.
3.could เป็น past ของ can เราใช้ could สําหรับความสามารถทั่วไป หรือการอนุญาตเช่น
She could speak three languages when she was five.
He finished his home work. He could go out to play.

3. เราใช้ can และ could

3.1 กับความสามารถ (ability)


I can use a computer.
3.2 การขอหรือการให้อนุญาต
Can I use your bicycle?
You can leave early today.
แต่ถ้าเป็นแบบสุภาพหรือเป็นทางการเราจะใช้ could เช่น
Could you hand me that book,please?
๕๗

3.3 การขอร้อง (requests)


Can you .... ?
could you...? สุภาพกว่า
Do you think you could...?
can you take this bag?
Could you loan a hundred baht?
Do you think you could help me move this box?
3.4 เสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ (offers) เช่น
Can I turn the air on for you ?
3.5 พูดถึงความเป็นไปได้และคาดคะเนในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น (possibility and probability)
ใช้ can กับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ เช่น
This road can be dangerous at night.

may might
1.ใช้กับการพูดถึงการมีโอกาสของบางสิ่งบางทีอาจเป็นจริงหรืออาจจะเกิดขึ้นเช่น

We may take a day off next week.


He might call me tonight.
2. might ไม่ได้เป็น past ของ may เราจะใช้ might เมื่อเรามีโอกาสที่น้อยกว่า may เช่น
I may go to visit my parents in this weekend. (บางทีโอกาสจะเป็น 50%)
Jane might go with me. (บางทีโอกาสจะเป็น 30% )

3.การใช้ may/might กับ have ใช้แสดงการคาดคะเนที่อาจจะเกิดขึ้นในอดีต


may/might + have +V3
She may have gone out when I phoned her.
A: I can't find my book.
B:You might have left it at school.
4. ใช้ may might ในการขออนุญาตเช่น
May I sit here?
I wonder if I might have another cup of coffee?
๕๘

5. ใช้ may ในการอนุญาตและไม่อนุญาตเช่น


Children may not play alone in the pool.
A: May I turn the TV on?
B: Yes, of course you may.

will would
will
1.ใช้เมื่อเราพูดถึงอนาคต
I will go to school early tomorrow.
2.ใช้ will แสดงการขอร้องอย่างสุภาพเช่น
Will you open the door for me please?
would เป็นอดีตของคําว่า will
1.ใช้ในประโยคขอร้องที่สุภาพกว่า will
Would you turn the volume down please?
2.ใช้กับประโยค Would you mind if....
Would you mind if I smoke?
3. ใช้ would กับคํา rather แปลว่า ควรจะ....ดีกว่า ตัวย่อ 'd rather
ใช้ในการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
I'd rather study harder this year than go to summer school.
4. ใช้ would กับ like to ในีรูปคําถามเป็นการเชื้อเชิญเช่น
Would you like to go dancing with me?

shall should
shall
1.ใช้ในประโยคอนาคตกาล (Future tense) ตามปกติแล้ว shall ใช้กับ ประธาน I และ We
2. ใช้ในการเสนอหรือให้คําแนะนํา และใช้เมื่อขอคําแนะนําเราจะใช้
Shall I...?
Shall we ...?
Shall I carry your books?
๕๙

Shall we go shopping?
Should
1.ใช้เมื่อพูดเกี่ยวกับภาระหน้าที่และความคิดเห็นที่ใกล้เคียงกันเช่น
People should be careful about food.
She shouldn't act like that in public.
2. ใช้ Should I....? สําหรับการขอคําแนะนํา การยื่นมือช่วยเหลือ เช่น
Should I go out with him ?
Should I help you clean up this area?
3. ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ควรจะทําแปลว่า"ควรจะ" เช่น
You work all day. You should take a rest.
4. ใช้ should have +V3 ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตโครงสร้างนี้ใช้กับสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดหรือไม่ได้
เกิดขึ้นเช่น
They should have arrived here by now.
I should have written a note for him
5. ใช้กับประโยค if clause เช่น
If I had a lot of money, I would be happy.

must
แปลว่า "ต้อง"ตามด้วยกริยาช่องที่ 1มีหลักการใช้ดังนี้
1. ใช้แสดงความจําเป็นที่ต้องกระทํา
You must hand your homework in tomorrow.
2. ใช้ในการให้คําแนะนําหรือการสั่งกับตัวเราเองหรือกับบุคคลอื่นเช่น
He really must stop drinking.
You must sit there for two hours.
You mustn't talk in the classroom.
3. เราใช้ have to แทน must ได้
ความแตกต่างระหว่างการใช้ must และ have to
must เป็นการสั่งความจําเป็นมาจากบุคคลที่กําลังพูดหรือกําลังฟัง
have to พูดถึงความจําเป็นที่มาจากภายนอกบางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย
๖๐

กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
I must go home now. It's going to rain soon.
You must stop smoking.
I have to stop smoking because I'm sick.
mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทําสิ่งนั้นสิ่งนี้
haven"t got to, don't have to ใช้พูดในบางสิ่งที่ไม่สําคัญเช่น
You mustn't tell Dang. มีความหมายว่า (Don't tell Dang.)
You don't have to tell your wife. หมายความว่า
(You can if you like, but it is not necessary.)
4. ใช้ must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจเช่น
The boy keeps crying. He must be really sick.

need เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้
1. เมื่อใช้เป็นกริยาแท้ need + to +V1
He needs to clean his car.
You need to water the flowers.
ถ้าต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคําถาม ให้เอา Verb to do มาช่วย
You don't need to help him.
Do we need to reserve the room?
2.เมื่อใช้เป็นกริยาช่วยเราไม่ค่อยใช้เท่าไหร่ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นการใช้
needn't เช่น
You needn't explain. I understand.
3. การใช้ needn't + have +V3 แสดงถึงการกระทําที่ไม่จําเป็นต้องทําในอดีตแต่ทําไปแล้วเป็นการเสียเวลา
เปล่า
Your mother needn't have cooked for us. We ate out.

dare แปลว่า "กล้า "เป็นได้ทั้งกริยาช่วยและกริยาแท้


1. เป็นกริยาแท้ dare + to +V1และเมื่อต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธ
และประโยคคําถามให้เอา Verb to do มาช่วยเช่น
๖๑

She dare to say what is right.


I doesn't dare to tell him the truth.
2. เป็นกริยาช่วยเราไม่นิยมใช้เป็นประโยคบอกเล่าแต่เราจะใช้ daren't
กับคนบางคนไม่กล้าทําบางสิ่งบางอย่างในขณะที่ พูด
I daren't look.
I daren't touch it.

ought แปลว่า "ควรจะ" มีหลักการใช้ดังนี้


1.ใช้ ought ตามด้วย to เสมอใช้ในการแนะนําสิ่งที่ควรทําให้กับคนอื่นรวมทั้งตัวเราเองด้วยมีความหมาย
ใกล้เคียงกับคําว่า Should เช่น
I really ought to teach her English.
People ought not to cross the road over there.
2.ใช้ ought to+ have +V3 พูดถึงสิ่งที่ควรทําในอดีตแต่ไม่ได้ทํา
You ought to have phoned him yesterday.

used to แปลว่า "เคย"


ปัจจุบันเราไม่นิยมใช้ used to ในรูปแบบของกริยาช่วยแล้ว
เราใช้เฉพาะเป็นกริยาแท้พูดถึงสิ่งที่ทําเป็นนิสัยในอดีต
ซึ่งปัจจุบันได้หยุดไปแล้วเช่น
I used to eat a lot.
She used to be shy.
เมื่อเป็นประโยคคําถามและประโยคปฎิเสธเราจะเอา Verb to do เข้ามาช่วย
เมื่อเอา Verb to do จะต้องเปลี่ยน use ให้เป็นกริยาช่องที่ 1
Did you use to have a dog?
I didn't use to watch the news. (เป็นประโยคปฎิเสธเรานิยมใช้ never used to )
I never used to watch the news.
(be) used to +noun / ing แปลว่า "เคยชิน"
I am used to driving at night.
She is used to the cold weather.
๖๒

If-clause

1. If-clause แบบที่1 ใช้สมมุติในสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นจริง ประโยค if-clause เป็น present simple


ประโยค main-clause จะเป็น future simple
# if-clause ==> v.1
# main-clause ==> will, shall, can, may + v.1
- If it doesn't rain tomorrow, we will have a picnic.
- I will be able to do this exercise if I try.

# ถ้าเป็นความจริงเสมอ main-clause ให้ใช้ present simple


- If the ice falls into the water, it floats.

# กริยาใน main-clause เป็นคําสั่ง หรือ ขอร้อง ให้ใช้ present simple


- If the teacher asks you, tell him the truth. (คําสั่ง)
- If you leave, please turn out the light. (ขอร้อง)

# If-clause แบบที่1นี้ สามารถใช้ should แทน if ได้


- Should he refuse to leave, telephone Mr. John.
= If he refuse to leave, telephone Mr. John.

# unless = if not; ประโยคหลัง unless จะเป็นประโยคบอกเล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็นปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ


- Malee will not come unless she has time.
- Malee will not come if she has no time.

2. If-clause แบบที่2 ใช้สมมุติในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรือไม่เป็นจริงในปัจจุบัน ประโยค if-clause เป็น


past simple ประโยค main-clause จะเป็น future in the past หรือ conditional tense
# if-clause ==> v.2
# main-clause ==> would, should, could, might + v.1
- If I had more time, I would read more books. [ขณะปัจจุบันนี้ไม่มีเวลามากพอ]
- If I were you, I would not let him say such things. [ใช้ were กับทุกบุรุษ ไม่ใช้ was]
๖๓

# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย were ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน


- If he were to leave (If he left) )today, he would be there by Friday.
= Were he to leave today, he would be there by Friday.

3. If-clause แบบที่3 ใช้สมมตุในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย หรือตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต ประโยค if-clause


เป็น past perfect ประโยค main-clause จะเป็น future perfect in the past หรือ perfect conditional
# if-clause ==> had + v.3
# main-clause ==> would, should, could, might + have + v.3
- If I had had her e-mail address, I would have written to her.

# ถ้าเป็นเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันสังเกตจาก now ให้เปลี่ยน Tense ใน main-clause จาก would


have + v.3 เป็น would + v.1
- If there had been no floods last year, the crop would be better now.

# เราสามารถละ if โดยเอากริยาช่วย had ในประโยค if-clause มาไว้หน้าประโยคแทน


- If I had known that, I would have lent you mine.
= Had I known that, I would have lent you mine.

*หมายเหตุ: นอกจากคําว่า if แล้ว ยังมีคําอื่นๆที่ใช้ในประโยคเงื่อนไข ได้แก่


a) suppose หรือ supposing = สมมุติว่า
b) on condition that หรือ on the condition that = โดยมีเงื่อนไขว่า
c) so long as หรือ as long as = ถ้า, ตราบใดที่
d) what if = สมมุติว่า
๖๔

Infinitive - Gerund - Participle


1. ใช้ infinitive without to ตามหลังกริยาช่วยต่อไปนี้ คือ will, would, shall, should, can, could,
may, might, need, would rather, had better
- She will go to Singapore next week.
# ยกเว้น
a) need และ dear ถ้าใช้เป็นกริยาหลัก ต้องมี to
b) ought และ used ต้องใช้ infinitive มี to คือ ought to, used to
c) Verb to be และ Verb to have ใช้ infinitive มี to คือ is, am are, was, were, has, have,
had
- She needed to see her sister.
- She is to meet her sister at school today.
- She ought to study English.
2. หลังกริยาต่อไปนี้ + กรรม + infinitive ไม่มี to ก็ได้ gerund ก็ได้ คือ feel, hear, see, observe,
notice, smell, watch
- We saw them come across the road.
- We saw them coming across the road.
3. ใช้ gerund ตามหลัง กริยาต่อไปนี้
admit = ยอมรับ deny = ปฏิเสธ favor = สนับสนุน practise = ฝึกฝน
appreciate = รู้คุณค่า dislike = ไม่ชอบ imagine = นึกคิด quit = เลิก
avoid = หลีกเลี่ยง enjoy = ชอบ mind = รังเกียจ recall = จําได้
consider = พิจารณา escape = หลีกเลี่ยง miss = พลาด risk = เสี่ยง
delay = ถ่วงเวลา finish = จบ, สําเร็จ postpone = เลื่อน suggest = เสนอแนะ
- Do you enjoy working here?
- I will quit smoking.
4. กริยาที่ตามหลัง preposition ทุกตัว ต้องใช้ gerund
- I succeeded in finding my job.
๖๕

5. ใช้ gerund ตามหลังสํานวนต่อไปนี้


approve of = เห็นด้วย have a bad time = ประสบความลําบาก
be accustomed to = คุ้นเคยกับ, เคยชินกับ have a difficult time = ประสบความลําบาก
be busy = ยุ่งอยู่กับ have a good time = สนุก
be no good = ไม่มีประโยชน์, เป็นการไร้ประโยชน์ have a hard time = ไม่สนุก
ิbe no use = ไม่มีประโยชน์, เป็นการไร้ประโยชน์ have difficulty = มีความยุ่งยากลําบาก
be opposed to = คัดค้านที่จะ, ไม่เห็นด้วย have much difficulty = มีความยุ่งยากลําบากมาก
be tired of = เบื่อ have trouble = มีความยุ่งยากลําบาก
be used to = เคยชินกับ have much trouble = มีความยุ่งยากลําบากมาก
be worth = มีค่าควรแก่ insist on = ยืนกราน
can't bear = ทนไม่ได้ it's no use = เป็นการไร้ประโยชน์
can't help = อดไม่ได้ it's worth = มีคุณค่าสําหรับ
can't resist = อดไม่ได้ keep on = ทําต่อไป
can't stand = ทนไม่ได้ look forward to = ตั้งหน้าตั้งตาคอย
carry on = ทําต่อไป object to = คัดค้านต่อ
confess to = สารภาพ put off = เลื่อน
don't mind = ไม่รังเกียจที่จะ take to = ติดเหล้า, อุทิศตัว, หันไปทาง
forget about = ลืมเกี่ยวกับ Would you mind ... = คุณรังเกียจไหมที่จะ...
give up = เลิก, หยุด Do you mind ... = คุณรังเกียจไหมที่จะ
go on = ทําต่อไป * be = is, am, are, was, were, be, been
- We are looking forward to seeing you.
6. ปกติแล้ว infinitive และ gerund ใช้แทนกันได้ เช่น continue to write = continue writing
ยกเว้นกริยาต่อไปนี้ที่ทําให้ infinitive และ gerund มีความหมายต่างกัน
# verb + infinitive = มีความหมายเป็นอนาคต คือจะทําในอนาคต
# verb + gerund = มีความหมายเป็นอดีต คือได้ทําไปแล้ว
- stop + infinitive = หยุดเพื่อจะทําอย่างอื่น
- stop + gerund = หยุดหรือเลิกทําในสิ่งที่เคยทํามา
- forget + infinitive = ลืมที่จะทํา
- forget + gerund = ลืมว่าได้ทําไปแล้ว
- remember + infinitive = จําได้ว่าจะ...
- remember + gerund = จําได้ถึงสิ่งที่ผ่านมา
๖๖

- regret + infinitive = เสียใจในสิ่งที่จะทํา


- regret + gerund = เสียใจในสิ่งที่ทําไปแล้ว
- try + infonitive = พยายามที่จะทําสิ่งนั้น
- try + gerund = พยายามกับสิ่งนั้นมาแล้ว
- Don't foget to send me your email address. [ลืมที่จะทํา]
- She fogot turning off the light. [ลืมว่าได้ปิดไฟแล้ว]
7. กริยาต่อไปนี้ สามารถตามด้วยกรรมได้เลย ไม่ต้องมี preposition มาคั่นอีก ได้แก่ discuss, enter, join,
lack, marry, resemble, solve
- Students try to enter universities.
8. การใช้ participle phrase นําหน้า เพื่อขยายประโยคทั้งประโยค เป็นการรวม 2 ประโยคเข้าด้วยกันโดยใช้
participle phrase มีหลักการดังนี้
8.1 กรณีประธานเป็นผู้กระทํา (active) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกัน ให้ใช้
present participle (Verb- ing)
- I walked in the dark. I stepped on something soft.
= Walking in the dark, I stepped on something soft.
* ประธานของประโยคต้องเป็นคนเดียวหรือสิ่งเดียวกับประโยคหลัง
8.2 กรณีประธานเป็นผู้กระทํา (active) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดก่อนและหลังห่างกันนานหรือต่างกรรมต่าง
วาระ ให้ใช้ perfect participle (Having +V.3)
- She completed her work. She went to the cenema.
= Having completed her work, she went to the cenema.
8.3 กรณีประธานเป็นผู้ถูกกระทํา (passive) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดใกล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกัน ให้ใช้
past participle (V.3)
- Trapped in a high branch of the tree, the cat could be reached by a man using a
long ladder.
8.4 กรณีประธานเป็นผู้ถูกกระทํา (passive) และเหตุการณ์ทั้ง 2 เกิดก่อนและหลังห่างกันนาน ให้ใช้
perfect participle (Having been + V.3)
- Having been scolded, he left home.
๖๗

8.5 ถ้าประธานของทั้ง 2 ประโยคไม่ใช่คนเดียวกันหรือสิ่งเดียวกัน จะตัดประธานตัวใดตัวหนึ่งออกไม่ได้ แต่


ให้เปลี่ยนกริยาในประโยคหน้าเป็น Verb-ing หรือ V.3 และเรียกโครงสร้างประโยคนี้ว่า absolute phrase
- The sun having set, they went home.
- All things taken into consideration, you have done it right.
9. หลักการใช้ present participle ทําหน้าที่เป็นเหมือนคุณศัพท์ขยาย noun
9.1 ถ้าใช้ขยายหน้านาม มีความหมายเป็น active คือนามที่ถูกขยายเป็นผู้กระทํา
- The boy is afraid of the barking dog.
9.2 ถ้าใช้ขยายข้างหลังนามประธาน จะทําหน้าที่คล้ายกับ adjective clause
- The man who was driving the car turned left.
= The man driving the car turned left.
10. หลักการใช้ past participle ทําหน้าที่เหมือนคุณศัพท์ขยาย noun
10.1 ถ้าใช้ขยายหน้านาม มีความหมายเป็น passive คือนามที่ถูกขยายเป็นผู้ถูกกระทํา
- The tired man sat down to rest.
10.2 ถ้าใช้ขยายข้างหลังนาม แต่ต้องมีบุพบทวลีมาขยายร่วมด้วย
- The book bought from the bookstore is about Thai history.
11. Verb ต่อไปนี้
alarm = ทําให้ตกใจ frighten = ทําให้ตกใจ
amaze = ทําให้ประหลาดใจ frustrate = ทําให้ไม่สมหวัง
amuse = ทําให้เพลิดเพลิน interest = ทําให้สนใจ
annoy = ทําให้รําคาญ please = ทําให้พอใจ
astonish = ทําให้ประหลาดใจ puzzle, perplex = ทําให้งง
bore = ทําให้เบื่อ relieve = ทําให้โล่งใจ
charm = ทําให้จับใจ, เป็นเสน่ห์ satisfy = ทําให้พอใจ
confuse = ทําให้สับสน scare = ทําให้ตกใจ
convince = ทําให้เชื่อ shock = ทําให้ตกใจ
daze = ทําให้งง stun = ทําให้งง
delight = ทําให้ยินดี surprise = ทําให้ประหลาดใจ
disappoint = ทําให้ผิดหวัง terrify = ทําให้ตกใจ
๖๘

disgust = ทําให้สะอิดสะเอียน threaten = ขู่ให้กลัว


embarrass = ทําให้ลําบากใจ thrill = ทําให้สยองขวัญ
exhaust = ทําให้เหนื่อย tire = ทําให้เหนื่อย, ทําให้เบื่อ
excite = ทําให้ตื่นเต้น upset = ทําให้สบายใจ
fascinate = ทําให้สนใจ, ตรึงใจ
@ ถ้าใช้ในรูป Verb แท้ แปลว่า ทําให้...
- Peter's courage astonished us. [ทําให้..ประหลาดใจ]
@ ถ้านํามาใช้เป็น complement ของ Verb to be ในรูป present participle และ past participle
ความหมายจะต่างกัน คือ
# V. to be + V.-ing มีความหมายทาง active = น่า...
# V. to be + V.3 มีความหมายทาง passive = รู้สึก...
- That lecture was boring. [น่าเบื่อ]
- Peter was tired after examination. [รู้สึกเหนื่อย]
๖๙

Irregalar Verbs
Infinitive Past Simple Past Participle Thai
Become became become กลายเป็น
Begin began begun เริ่มต้น
bend bent bent โค้ง งอ
Bet bet bet พนัน
Bite bit bitten (or bit) กัด ขบ ฉีก
Bleed bled bled เลือดออก
Blow blew blown พัด เป่า ตี
Bring brought brought นํามา เอามา
Build built built สร้าง ก่อสร้าง
Burst burst burst ระเบิด
Buy bought bought ซือ้
Cast cast cast ขว้าง
Catch caught caught จับ ได้รับ
Choose chose chosen เลือก
Cling clung clung เกาะ เอาเป็นที่พึ่ง
come came come มา
cost cost cost ราคา
dig dug dug ขุด
dive dived (or dove) dived ดํานํ้า
do did done ทํา
draw drew drawn ลาก วาด เขียน
drink drank drunk ดืม่
drive drove driven ขับ(รถ)
eat ate eaten กิน
fall fell fallen ตก หล่น
fight fought fought ต่อสู้
fling flung flung โยน พุ่ง เหวี่ยง
fly flew flown บิน
๗๐

forbid forbade forbidden ห้าม ไม่อนุญาต


forget forgot forgotten ลืม
freeze froze frozen เย็นจนแข็ง หนาว
get got got (or gotten) เอา ได้รับ
give gave given ให้
go went gone ไป
grind ground ground บด ลับ
grow grew grown เติบโตขึ้น
hang (pictures) hung hung แขวน ห้อย
hang (people) hanged hanged แขวนคอ
have had had มี
hide hid hidden ซ่อน
hurt hurt hurt ทําร้าย ทําอันตราย
know knew known รู้
lay laid laid วาง ออกไข่
lead led led นํา พา
leave left left ละทิ้ง จากไป
lend lent lent ให้ยืม
lie lay lain นอน
light lit lit จุดไฟ
make made made ทํา
mistake mistook mistaken ทําผิด
pay paid paid จ่าย ชําระ ใช้ให้
quit quitted (or quit) quit หยุด ยุติ เลิก
ride rode ridden ขี่ ขับ
ring rang rung สั่นกระดิ่ง ดัง
rise rose risen ขึ้น ลุกขึ้น
run ran run วิ่ง
saw sawed sawn เลื่อย
say said said พูด
see saw seen เห็น
๗๑

seek sought sought ค้นหา


sell sold sold ขาย
set set set ตั้ง วาง จัด
shake shook shaken เขย่า สั่น
shine shone shone ส่องแสง
shrink shrank shrunk หดลง สั้นลง
sing sang sung ร้องเพลง
sink sank sunk จม ถอยลง
slide slid slid สื่นไถล เลื่อนไป
speak spoke spoken พูด
spin spun spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
split split split แตก แยก
spring sprang sprung โดดอย่างเร็ว เด้ง
sting stung stung ต่อย แทง
stink stank stunk ส่งกลิ่นเหม็น
strike struck struck ตี ต่อย กระทบ
string strung strung ผูกเชือก ขึงสาย
strive strove striven พยายาม ขันสู้
swear swore sworn สาบาน ปฏิญาณ
swell swelled swollen โตขึ้น หนาขึ้น
swim swam swum ว่ายนํ้า
swing swung swung แกว่ง เหวี่ยง
take took taken เอา จับหยิบ
teach taught taught สอน
tear tore torn ฉีก ขาด
think thought thought คิด
throw threw thrown เหวี่ยง ขว้าง
wake woke waken ตื่น ปลุก
wear wore worn สวม ใส่
weave wove woven ทอผ้า สาน
weep wept wept ร้องไห้
๗๒

wring wrung wrung บีบ คั้น


write wrote written เขียน

Parallelism การสร้างประโยคให้มีโครงสร้างที่สอดคล้องกัน

@ การใช้คาที่สอดคล้องกัน

1. Noun
- In the past, USA was the country of opportunity and (of) liberty to millions of
oppressed people abroad.
[ทั้ง opportunity และ liberty เป็น Noun ทั้งคู่ มี of อยู่ข้างหน้า เพื่อให้รู้ว่า คําทั้งสอง ขยาย country ตัว
เดียวกัน โดยมี and เชื่อม แต่จะตัด of หน้า liberty ออกก็ได้ ข้อสังเกตุอีกอย่างคือ การลงท้ายด้วยเสียงสระ
ที่เหมือนกัน ทําให้ประโยคนอกจากจะได้ดุลย์แล้ว ยังมีความไพเราะอีกต่างหาก แต่ข้อสอบอย่างเช่น TOEFL
ก็มักจะหลอก โดยการเอาคําที่ไม่ใช่นาม แต่ออกเสียงสอดคล้องกับนาม มาใส่แทนที่คําที่ถูกต้อง ทําให้ผู้เข้า
สอบเข้าใจผิดได้]

2. Adjective
- The new secretary is competent, cooperative, and hardworking.

3. Adverb
- This apparatus works smoothly and quiety.

4. Verb
- When he was a young boy, Mark Twain would walk along the piers, watch the river
boats, swim and fish in the Mississippi.

@ การใช้ phrase หรือ clause ที่สอดคล้องกัน


- Usually, industries are located in regions that have abundant natural resources,
good transportation systems and large population. [phrase]
- She asked how much the course cost and when it began. [clause]

@ การใช้ infinitive และ gerund ที่สอดคล้องกัน


- Natural fertilizers are used to enrich the soil and to increase yield.
- They enjoy eating in Thai restaurants and going shopping afterwards.
๗๓

@ Parallelism ในประโยคคาสั่ง
- Heat the bread for five minutes and remove it from the oven.

@ คําเชื่อมต่อไปนี้ ต้องใช้โครงสร้างขนาน (parallel structure)


# not only...but also...
# both...and...
# neither...nor...
# either...or...
# whether...or...

- She not only loves him but also gives him everything.

@ Parallelism ในประโยคเปรียบเทียบ
- Driving a car is similar to riding a bicycle in many ways.
๗๔

Prepositions บุพบท

1. การใช้ in on at กับเวลา
at ใช้ระบุเวลา ณ จุดใดจุดหนึ่ง เช่น
at noon เวลาเที่ยงวัน
at night เวลากลางคืน
at midday เวลาเที่ยงวัน
at six o'clock เวลาหกโมงเช้า
at Christmas ในวันคริสต์มาส

at ใช้กับสํานวนที่เกี่ยวกับเวลา เช่น
at first ในตอนแรก
at once ในทันที
at last ในท้ายสุด
at lunch time ในเวลาอาหารกลางวัน
at present ขณะนี้

on ใช้กับวันของสัปดาห์ทั้งหมดเช่น
on Sunday วันอาทิตย์
on Monday วันจันทร์
on Tuesday วันอังคาร
on Wednesday วันพุธ
on Thursday วันพฤหัสบดี
on Friday วันศุกร์
on Saturday วันเสาร์

on ใช้กับวันที่ วันสําคัญทางศาสนาหรือทางราชการ และวันหยุดต่างๆ


on May 1st ในวันที่ 1 พฤษภาคม
on Christmas Day ในวันคริสต์มาส
on New Year's day ในวันขึ้นปีใหม่
on holiday ในวันหยุด
on vacation ในวันหยุด
on time ตรงเวลา
๗๕

on Songkran day ในวันสงกรานต์

in ใช้กับส่วนของวันเช่น
in the morning ในตอนเช้า
in the afternoon ในตอนบ่าย
in the evening ในตอนเย็น
in ใช้กับเวลาหรือระยะเวลาที่ยาวขึ้นเช่นเดือน ปี และฤดู
in 2000 ในปี 2000
in summer ในฤดูร้อน
in June 1999 ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 1999
in the 21th century ในศตวรรษที่ 21
in the past ในอดีต
in time ทันเวลา
in the future ในอนาคต
in a few months ในอีก 2-3 เดือน
in two hours ภายในสองชั่วโมง
in a week's time ในหนึ่งสัปดาห์
2. การใช้ in on at กับสถานที่
at ใช้กับบ้านเลขที่เช่น
at 224 Mango Street, at 987 Big Elm Road, at 67 Sukhumvit Road

at ใช้กับสถานที่ซึ่งเป็นจุดเล็กๆเช่นในระดับเมืองหรือใช้
กับสถานที่เล็กๆหรือระบุตําแหน่งที่แน่นอนเช่น
at home ที่บ้าน
at the hospital ที่โรงพยาบาล
at the airport ที่สนามบิน
at the bus station ที่สถานีขนส่ง
at the meeting ที่ประชุม
at the window ที่หน้าต่าง
at the river ที่แม่นํ้า
at the concert ที่คอนเสิร์ต
at the door ที่ประตู
at the party ที่งานเลี้ยง
๗๖

at ที่ใช้กับสํานวนอื่นๆเช่น
at work ขณะทํางาน
at best อย่างดีที่สุด
at will ตามความต้องการ
at least อย่างน้อยที่สุด
at loss ขาดทุน
at worst อย่างแย่ที่สุด
at large มีอิสระ

on ใช้เชื่อมต่อระหว่างสองที่เช่น
on Silom Road บนถนนสีลม
on the way home ในระหว่างทางกลับบ้าน

on ใช้กับตําแหน่งบนพื้นผิวเช่น
on the table บนโต๊ะ
on the ceiling บนเพดาน
on the sidewalk บนทางข้างถนน
on the floor บนพื้น
on the train บนรถไฟ
on a bicycle บนรถจักรยาน
on the wall บนผนัง
on the coast บนชายฝั่ง
on paper บนกระดาษ

on ใช้กับสํานวนต่อไปนี้
on business ว่าด้วยเรื่องธุรกิจ
on tour ในขณะท่องเที่ยว
on the radio ในวิทยุ
on air ขณะออกอากาศ
on television ในโทรทัศน์
on the phone ทางโทรศัพท์
on purpose โดยตั้งใจ
on fire ในขณะไฟไหม้
๗๗

on the list ในรายชื่อ


on pleasure เพื่อความสนุกสนาน
on duty ในขณะปฎิบัติหน้าที่
on guard เตรียมพร้อม

in ใช้กับสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่เช่นเมืองจังหวัด ประเทศหรือทวีปเช่น
in Chiang Mai ในจังหวัดเชียงใหม่
in Asia ในทวีปเอเชีย
in the world ในโลก
in the army ในกองทัพ
in the sky ในท้องฟ้า
in the river ในแม่นํ้า
in the sea ในทะเล
in the parking lot ในลานจอดรถ

นอกจากนี้ยังยังมีคําว่า
during แปลว่า ระหว่าง
till, until ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า จนกระทั่ง จนถึง
before ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า ก่อน
after ใช้เกี่ยวกับเวลาแปลว่า หลัง
from ใช้กับเวลาหรือสถานที่แปลว่า นับตั้งแต่
from...to แปลว่า จาก...ถึง
from...till แปลว่า ตั้งแต่...ถึง
between... and แปลว่า ระหว่าง...ถึง
by แปลว่าด้วย(ใช้กับการเดินทางด้วยยานพาหนะแปลว่า ) ข้าง ใกล้
in front of แปลว่า ข้างหน้า
outside แปลว่า ข้างนอก ภายนอก
inside แปลว่า ข้างใน ภายใน
behind แปลว่า ข้างหลัง
๗๘

Present Subjunctive คือ infinitive without to (v.1 ไม่มี to) ใช้กับกริยาที่เกี่ยวกับการเสนอแนะ ขอร้อง
หรือ คําสั่ง
# V. + that + present subjunctive
# It is (หรือ was) + adjective + that + present subjunctive

V. + that It is + adjective + that


1. advise that = แนะนําว่าควร 1. It is advisible that = เป็นการสมควรที่ว่า
2. ask that = ขอร้องว่าควร 2. It is better that = เป็นการดีกว่าที่ว่า
3. command that = สั่งว่าต้อง 3. It is crucial that = จําเป็นยิ่งที่ว่า
4. decree that = บัญชาว่า 4. It is desirable that = เป็นการสมควรที่ว่า
5. demend that = เรียกร้องว่า 5. It is essential that = เป็นการจําเป็นที่ว่า
6. It is imperative that = เป็นการจําเป็นที่ว่า, เป็นการ
6. desire that = ปรารถนาให้เป็นว่า
รีบด่วนที่ว่า
7. insist that = ยืนกรานว่าจะต้อง 7. It is important that = เป็นการสําคัญที่ว่า
8. move that = เสนอว่า 8. It is necessary that = เป็นการจําเป็นที่ว่า
9. It is preferable that = เป็นการดีกว่าว่า, เป็นการ
9. maintain that = ยืนยันว่า
สมควรกว่าที่ว่า
10. order that = สั่งว่าต้อง 10. It is resolved that = ลงมติว่า
11. pray that = อ้อนวอนว่า 11. It is right that = ลงมติว่า
12. prefer that = อยากให้เป็นว่า...
12. It is strange that = เป็นการแปลกที่ว่า
มากกว่า
13. propose that = เสนอว่าควร 13. It is urgent that = เป็นการด่วนที่ว่า
14. recommend that = แนะว่าควร
15. request that = ขอร้องว่าควร
16. require that = กําหนอว่าต้อง
17. stipulate that = ระบุว่า
18. suggest that = แนะว่าควร
19. urge that = กระตุ้นว่าควร
๗๙

* ข้อสังเกต
1. present subjunctive จะมีรูปเดียวกับ infinitive ไม่มี to และจะเหมือนกันสําหรับประธานทุกบุรุษและ
ทุกพจน์ โดยไม่คํานึงว่า Verb ใน mainclause จะเป็น tense ใด
2. โดยปกติจะมี should อยู่หน้า present subjunctive แต่เรานิยมละไว้ ดังนั้น v.1 จะใช้ในรูปที่ถือว่า
ประธานเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น ใช้ have เสมอ ไม่ใช้ has, จะไม่มีการเติม s ที่กริยา แม้ว่าประธานเป็น
เอกพจน์
3. ถ้า present subjunctive เป็น Verb to be คือ is, am, are, ... ให้ใช้ be แทนหมด
เช่น
@ สําหรับ V. + that
- They prefer that I not serve them anything alcoholic. [present subjunctive คือ serve
เป็นปฏิเสธจะเติม not ไว้หน้า]
- She recommended that he go with her. [ไม่ใช้ went หรือ goes]
- My boss insists that I be on time. [ไม่ใช้ am]
@ สําหรับ It is + adjective + that
- It is essential that she have it was her physical check-up done every year.
๘๐

Pronoun
1.ตารางสรุป personal pronoun

possessive possessive reflexive


ประธาน กรรม
adjective pronoun pronoun
I me my mine myself
We us our ours ourselves
You you your yours yourselves
He him his his himself
She her her hers herself
It it its its itself
They them their theirs themselves
One one one's one's oneself
# กลุ่มนามสามารถมีโครงสร้างดังนี้ a + noun + of + possessive pronoun
# A worker is doing his work now. [กรณีที่ประธานไม่ระบุเพศที่ชัดเจน ให้ใช้เพศชาย]
- I have a pen.
- Give me a pen please.
- This is my pen. (possessive adjective ต้องตามด้วย noun)
- This pen is mine. (possessive pronoun ใช้โดดๆไม่ต้องมีนาม)
- He blamed himself. [himself เป็นกรรมของverb "blamed"]
- I myself am going to speak to her. [myself ใช้เน้น I หรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้า]
2. สรรพนามไม่ชี้เฉพาะ ใช้ Verb เอกพจน์ ได้แก่
anybody somebody nobody everybody each
anyone someone no one everyone every + Noun
anything something nothing everything either, neither
- Everybody has finished his work.
- I think that every person would find it worth his while to see that play.
๘๑

3. การใช้ one another และ each other


# one another = ซึ่งกันและกัน ใช้กับจํานวนสิ่ง ที่มีมากกว่า 2
# each other = ซึ่งกันและกัน ใช้กับจํานวนสิ่ง ที่มีเท่ากับ 2
- Students are not allowed to talk to one another while they are studying.
- When the two boys heard a knock on the door; they look at each other and said
nothing.
4. การใช้ other
4.1 กรณีชี้เฉพาะ
# the other หรือ the other + Noun เอกพจน์ = อีกหนึ่งที่เหลือนี้/นั้น
# the others หรือ the other + Noun พหูพจน์ = อีกหลายสิ่งนี้/นั้น
- There are two girls in this room; one is big and the other is small.
- She got grad 4 but the other students in the class didn't.
4.2 กรณีไม่ชี้เฉพาะ
# others หรือ other + Noun พหูพจน์ = อื่นๆทั่วไป
- One student is diligent, others are lazy.
5. การใช้ another = " อีกหนึ่ง, อีกสิ่งหนึ่งจากหลายสิ่ง " เป็นเอกพจน์ไม่ชี้เฉพาะ
# another หรือ another + Noun เอกพจน์
- One student may like to spend his vacation at the library, another may choose a
computer room.
6. การใช้ Relative clause
6.1 ถ้าเป็น defining relative clause จะใช้ชี้เฉพาะเจาะจงนามที่มันขยาย แต่ non-defining relative
clause จะทําเพียงขยาย noun ให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
- The soldiers who have returned from the war are welcomed. [defining relative
clause ถ้าตัดออก จะทําให้ประโยคสื่อความหมายไม่ได้ ]
- Uncle Sam, who was my favorite, has written many books. [non-defining relative
clause ตัดออกแล้วประโยคก็ยังสื่อความหมายได้ ]
๘๒

6.2 defining clause ที่มี relative pronoun เป็นกรรมสามารถละไว้ในฐานที่เข้าใจได้ ส่วน non-


defining clause จะละไม่ได้
- The man (whom) I met in Bangkok has written many books. [ละ whom ได้]
- Uncle Sam, who was my favorite, has written many books. [ละ who ไม่ได้]
6.3 คําแสดงเจ้าของ ให้ใช้ whose (คน) และ of which (สิ่งของ) ทั้งใน defining clause และ non-
defining clause
- I will not go about with a man whose manners are bad. (= ฉันจะไม่ไปกับผู้ชายผู้ซึ่ง
มารยาทของเขา[ผู้ชายคนนั้น]นั้นแย่)
- The house of which the roof is blue is my sister's. (บ้าน(อัน)ซึง่ หลังคาของมัน[บ้านหลัง
นั้น]เป็นสีน้ําเงินเป็นของน้องสาวฉัน)
6.4 ถ้า defining clause มี preposition จะนิยมวาง preposition ไว้ท้าย clause แต่ถ้าเป็น non-
defining จะวางไว้หน้าหรือท้ายก็ได้
# defining clause
- That is the man (whom) you talked about. [นิยมวาง preposition ไว้ท้าย clause]
- The person from whom I borrowed this book has left here for USA. [ถ้าวาง
preposition ไว้หน้า clause จะละ whom ไม่ได้]
# non-defining clause [ละ whom ไม่ได้]
- The Director, to whom the letter was addressed, was not in the office.
- The Director, whom the letter was addressed to, was not in the office.
6.5 ถ้ามี quantity word เช่น all, both, some, three, four, ... ให้ใช้โครสร้าง: quantity word + of +
whom, which
- There are many private universities, all of which are famous.
๘๓

Quantifier (Determiner) คาคุณศัพท์บอกปริมาณ


@ some, any การใช้ในกรณียกเว้น
ปกติเราจะใช้ any กับประโยคคําถามหรือปฏิเสธ ใช้ some กับประโยคบอกเล่า กรณีต่อไปนี้ จะใช้ any และ
some ต่างออกไป
ทั้ง any และ some ใช้กับ Nounนับได้พหูพจน์ และ Nounนับไม่ได้
# 1) เราใช้ any ในประโยคบอกเล่าได้ เมื่อ
(1.1) ถ้า any หมายถึงคนไหนก็ได้ที่ไม่เจาะจง อะไรก็ได้ที่ไม่เจาะจง โดยไม่มีข้อยกเว้น
- Any student who wants to go home early may do so.
(1.2) ถ้าประโยคนั้นแสดงความไม่แน่ใจ เช่น wonder, doubt
- I wonder whether anyone is there.
(1.3) ถ้ามีคําที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ ได้แก่ hardly, never, rarely, scarcely, seldom, without
เช่น - A ferocious tiger in circus is one which shows without any thought from trainer.
# 2) เราใช้ some เมื่อ
(2.1) คําถามที่ขึ้นต้นด้วย question word
- Where can I buy some books?
(2.2) เป็นคําถามปฏิเสธ
- Arn't there some student here?
(2.3) คําถามเชิญชวนที่ผู้ถามหวังจะได้คําตอบรับ
- Could I have some coffee, please?
@ การใช้ few, a few, little, a little

ใช้กับ Noun นับได้ ใช้กับ Noun นับ


ความหมาย
พหูพจน์ ไม่ได้
มีความหมายใน
a few a little มีอยู่บ้าง, พอจะใช้ได้
ทางบวก
มีความหมายในทางลบ few little มีน้อยมาก, ไม่พอ
หมายเหตุ: ถ้ามี just หรือ only มาขยายเพื่อเน้นคํา ต้องใช้ a few หรือ a little
๘๔

- He has few friends. (เขามีเพื่อนน้อยมาก)


- The theater is almost filled but there are a few seats left. (ยังพอหาที่นั่นได้)
- He knows little English. (รู้ภาษาอังกฤษน้อยมาก ไม่พอใช้งาน)
- He knows a little English. (รู้พอใช้งานได้)
- Only a few student can pass the final examination.
- Only a few can pass the final examination.
@ การใช้many กับ much
1. คําที่ตามด้วย Noun นับได้พหูพจน์ ได้แก่ many, a good many, a great many, a large number of,
a great number of
- We visited many places around Bangkok.
2. คําที่ตามด้วย Noun นับไม่ได้ ได้แก่ much, a great deal of, a good deal of, a large amount of, a
great amount of
- Much gold was bought from the poore workemen.
3. คําที่ตามด้วยได้ทั้ง Noun นับได้พหูพจน์ และ Noun นับไม่ได้ ได้แก่ a lot of, lots of, plenty of, all of,
most of, none of, some of , ...<ตัวเลข>... percent of
- Ten percent of the students have troubles.
- Ten percent of the gold is yours.
หมายเหตุ: many a ... หรือ more than a + ... Noun เอกพจน์นับได้ ใช้ Verb เอกพจน์
เช่น - More than a pen is taken from his box.
@ การใช้ most และ most of

most + Noun นับได้พหูพจน์ หรือ Nounนับไม่ได้


most of + the .../ these .../ those .../ my .../ your ... + Noun นับได้พหูพจน์ หรือ Noun
นับไม่ได้
- Most students like statistics. [Noun นับได้พหูพจน์]
- Most water was dried. [Nounนับไม่ได้]
- Most people like ...
- Most of the people like ...
๘๕

@ การใช้ both, both of

both
both + Noun นับได้พหูพจน์
ใช้ Verb พหูพจน์
both of the + Noun นับได้พหูพจน์
both of + Pronounที่เป็นกรรม
- Both are diligent.
- Both girls are diligent.
- Both of the girls are diligent.
- Both of them are diligent.
๘๖

Sentenses
ประโยคในภาษาอังกฤษประกอบด้วยส่วนใหญ่ ๆ 2 ส่วนคือ ภาคประธาน (Subject ) และภาคแสดง
(Predicate)

ภาคประธาน (Subject) ภาคแสดง (Predicate)


Everybody passed the final examination.
The beautiful girl is in my class.
The girl who is sitting over there is my daughter.

ภาคประธาน ( Subject )

Subject อาจเป็นคํา Noun, Pronoun , Infinitives, Gerunds, etc. เช่น We study English
everyday.
ในกรณีที่ Subject ประกอบด้วยคํานามกับส่วนขยายเราเรียกคํานามนั้น ๆ ว่า คํานามหลัก (Head
Noun) และเรียกส่วนขยายว่า modifier เช่น These beautiful flowers are from my garden.
ส่วนขยายหรือ modifier มีหลายประเภท เช่น คํากํากับนาม (Determiner) คําคุณศัพท์ คํานาม บุพ
บทวลี และอื่น ๆ ส่วนขยายจะมีทั้งอยู่หน้า head noun และที่อยู่หลัง head noun เช่น
The teachers work very hard.
These intelligent children will have a bright future.
The old brick house is very attractive.
The very tall girl who is standing over there is my student.

Predicate ประกอบด้วยคํากริยาและส่วนประกอบอื่น ๆ ดังต่ออย่าง เช่น John speaks five


languages.

คํากริยาอาจแบ่งออกเป็น ประเภทใหญ่ ๆ คือ กริยาแท้ (main verb) กับ กริยาช่วย (auxiliary


verb)
กริยาแท้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- สกรรมกริยา (transitive verb) เช่น Mary bought a new car. Peter saw a bird.
- อกรรมกริยา (intransitive verb) เช่น We wake up at six o’clock everyday. Mary
runs.
กริยาช่วย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
-Primary auxiliary verbs ได้แก่ be, do, have
๘๗

* Primary auxiliary verbs เป็นได้ทั้งกริยาแท้และก็กริยาช่วย เช่น


I am a student. (am เป็นกริยาแท้)
I am doing my homework. (am เป็นกริยาช่วย doing เป็นกริยาแท้)

- Modal auxiliary verbs ได้แก่ will, would, shall,should,can,could,may,might,Must etc.


* Modal auxiliary verbs เป็นกริยาช่วยที่อยู่ตามลําพังไม่ได้ จะใช้คู่กับกริยาแท้ เช่น
I can speak four languages.

* Predicate นอกจากจะประกอบด้วย verb phrase แล้วยังอาจประกอบด้วยส่วนอื่น ๆ อีกเช่น


1.ส่วนขยายกริยา (adverb) เช่น John walked slowly. Jane rarely smiles.
2.ส่วนที่เป็นกรรม (object) เช่น He likes cakes. We have finished the work.
3.ส่วนเสริมประธาน (subject complement) เช่น John is a student.
4.ส่วนเสริมประธาน (object complement) เช่น They call me Dan D2B.
แบบฝึกหัด

1. ในประโยค The tall and beautiful American woman who lives next door is my teacher. คําใด
เป็นคํานามหลัก ?
A. American woman B. Woman
C. The tall and beautiful American woman D. Who lives next door
2. ในประโยค The little Chinese boy over there is my nephew. คํา Chinese เป็น...........?
A. Head noun B. Verb C. Modifier D. Adverb
3. ในประโยคต่อไปนี้ คําใดเป็น Head nounในภาคประธาน คําใดเป็น Verb ในภาคแสดง Most students
like their teachers.
A. Most เป็น Head noun, like เป็น verb B. Students เป็น Head noun, their เป็น verb
C. Students เป็น Head noun, like เป็น verb D. Most students เป็น Head noun, like their
teachers เป็น verb
4.ในประโยค The computers work very well. very well ทําหน้าที่เป็น........................?
A. Adverb B. Object C. Subject complement D. Object
complement
๘๘

Subject-Verb Agreement

@ one of + Noun พหูพจน์ จะใช้ Verb เอกพจน์ เข่น


- One of us does not like fast food.

@ one of + Noun พหูพจน์ + who, that, หรือ which จะใช้ Verb พหูพจน์ เช่น
- He is one of those who are millionaires.

@ ประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย either..or, neither..nor, ..or.., not only..but also.. กริยาที่ใช้ ให้ใช้ตาม
ตัวหลังที่อยู่ใกล้กริยาที่สุด เช่น

- You or he goes to the market today.

@ ประธานที่ขึ้นต้นด้วยนามผสมต่อไปนี้ถือว่าเป็นนามเอกพจน์เสมอให้ตามด้วย Verb เอกพจน์:-


every..., everyone, everybody, everything, someone, somebody, something, anyone,
anybody, anything, no one, nobody, nothing. เช่น

- Nobody is in the house.

@ ประธานที่ขึ้นต้นด้วย either, neither, each

ความหมาย
# either = ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งระหว่าง...
# neither = ไม่ใช่ทั้งสอง ...
# each = แต่ละ...

โครงสร้าง
# either + Noun เอกพจน์
# either of (the) + Noun พหูพจน์

# neither + Noun เอกพจน์


# neither of (the) + Noun พหูพจน์

# each + Noun เอกพจน์


# each of (the) + Noun พหูพจน์
๘๙

ตัวอย่าง
- Either bus goes to downtown.
- Either of the buses goes to downtown.

- Neither man has done good work.


- Neither of the men has done good work.

- Each boy is eating.


- Each of them is eating.
- Each boy and girl is eating.

@ a number of + Noun พหูพจน์ (= มาก) ใช้ Verb พหูพจน์


@ the number of + Noun พหูพจน์ (= จํานวน) ใช้ Verb เอกพจน์
- A number of students have contributed to the success of this party.
- The number of students in the class is limited to sixteen.

@ ประธานที่เป็น The + v.3 หรือ The + adj. จะใช้ Verb พหูพจน์ เช่น the wounded, the injured, the
poor, the rich, the young, the old
- The wounded were taken to the hospital.

@ ถ้าหน้าประโยคเป็น Here, There, Why, Where, How, How much ให้ใช้ Verb ให้สอดคล้องกับ
ประธานที่ตามหลัง
- There was damage done to the crops. [damage เป็นประธานนับไม่ได้ จึงใช้ was]
- Here comes the train. [train เป็นประธานเอกพจน์]
- Where are your pens? [pens เป็นพหูพจน์]

@ คําต่อไปนี้มีรูปเอกพจน์ แต่ใช้ Verb พหูพจน์ ได้แก่ cattle=วัวควาย, people=คน, police=ตํารวจ,


youth=เยาวชนคนหนุ่มสาว, children = เด็กๆ, public = สาธารณชน
- Police do not clock off at five past.

@ คําต่อไปนี้เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ในรูปเดียวกัน ได้แก่ deer, sheep, poultry, fish


- There are seven fish in the pond.

@ คําต่อไปนี้ เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค ได้แก่


- statistics [1.วิชาสถิติ (เอกพจน์), 2. ข้อมูลทางสถิติ(พหูพจน์)]
๙๐

- politics [1.วิชาการปกครอง(เอกพจน์), 2. เรื่องทางการเมือง(พหูพจน์)]


- athletics [1.การกรีฑา(เอกพจน์), 2.กิจกรรมกรีฑา(พหูพจน์)]

@ คําต่อไปนี้เป็นพหูพจน์เสมอ จึงใช้กริยาพหูพจน์
shorts = กางเกงขาสั้น
clothes = เสื้อผ้า
arms = อาวุธ
ashes = เถ้าถ่าน
bowels = เครื่องใน
glasses = แว่นตา
spectacles = แว่นตา
goods = สินค้า
scissors = กรรไกร
sandals = รองเท้าแตะ
slacks = กางเกงขายาว
slippers = รองเท้าแตะ
riches = ทรัพย์สมบัติ
thanks = ขอบคุณ
tactics = ยุทธวิธี
trousers = กางเกงขายาว

- These goods are on sale.

@ เศษส่วน! การใช้ Verb จะขึ้นอยู่กับ Noun ที่ตามเศษส่วน


# เศษใช้บอกเลขจํานวน ส่วนใช้บอกลําดับ
# ถ้าเศษมากกว่า 1 ให้เติม s ที่ส่วน
# ระหว่างเศษและส่วนมีเครื่องหมาย hyphen "-" คั่น

- One-third of the students like this story.


- Two-fifths of the money is yours.

@ กรณีที่มีประธาน 2 ตัวเชื่อมด้วย and ถ้ามี article นําหน้าประธานทั้งสองแห่ง ใช้ Verb พหูพจน์ แต่ ถ้ามี
article นําหน้าประธานตัวแรกเพียงตัวเดียว ให้ใช้ Verb เอกพจน์ เนื่องจากถือว่าเป็นประธานตัวเดียวกัน เช่น
๙๑

- The lawyer and the executor are here. [lawyer กับ executor เป็นคนละคนกัน]
- The lawyer and executor is here. [lawyer กับ executor เป็นคนเดียวกัน]

@ ประธาน 2 ตัว ที่เชื่อมด้วยคําต่อไปนี้ ให้ใช้ Verb ตามประธานตัวหน้า


accompanied by = ติดตามโดย
along with = รวมทั้ง
as well as = รวมทั้ง
besides = นอกเหนือจาก
but = ยกเว้น, นอกเหนือจาก
except = ยกเว้น, นอกเหนือจาก
excluding = นอกเหนือจาก
in addition to = นอกเหนือจาก
in company with = พร้อมด้วย
including = รวมทั้ง
like = เช่นเดียวกันกับ
no less than = รวมด้วย
no one but = ไม่มีใครนอกจาก
not = ไม่ใช่
or = หรือ
plus = บวก, รวม
together with = รวมทั้ง
with = รวมทั้ง

- Paul as well as his friends has gone to Finland for training.

@ ถ้ามีวลี (phrase) หรือ อนุประโยค(clause) ให้ใช้ Verb ตามเป็นประธานที่อยู่ข้างหน้าวลี หรือ อนุประโยค


นั้น
- A box of apples was derivered here yesterday.
- The video player which you gave me works properly.

@ ประธานต่อไปนี้มีรูปเป็นพหูพจน์แต่ความหมายเป็นเอกพจน์ จึงใช้ร่วมกับ Verb เอกพจน์


# ชื่อวิชา: เช่น mathematics, statistics, economics
# ชื่อโรค: เช่น mump, measles, AIDS
# ชื่อหนังสือ, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, ภาพยนตร์: เช่น Star Wars
๙๒

# ชื่อบ้านหรือชื่อโรงแรม:
# ระยะทาง: เช่น fifty miles
# น้ําหนักหรือส่วนสูง: เช่น two tons
# จํานวนเงิน: เช่น six dollars
# ระยะเวลา: เช่น seven years
# ชื่ออาหารหรือเครื่องดื่มที่เสริฟด้วยกันหรือรวมเป็นหน่วยเดียวกันโดยเชื่อมด้วย and: เช่น bacons and
eggs
# a pair of + Noun พหูพจน์ : เช่น a pair of shoes (ถ้าเป็น shoes เฉยๆจะใช้ Verb พหูพจน์)
# news, billiards, molasses, whereabout, summoms, advice, furniture, food, clothing, the
United States
# สําหรับ collective noun เช่น committee, crowd, group, class, team, family, cabinet, crew,
jury, fleet, government คําเหล่านี้ถ้าใช้ในความหมายเอกพจน์หรือพหูพจน์ ก็ให้ใช้ Verb เอกพจน์หรือ
พหูพจน์ตามคําเหล่านั้น เช่น
- The committee has agreed to a plan. [committee มีความหมายเป็นเอกพจน์ หมายถึงกลุ่ม
คณะกรรมการ จึงใช้ Verbเอกพจน์ คือ has]
- The committee are having dinner. [committee มีความหมายเป็นพหูพจน์ หมายถึง
กรรมการในคณะซึ่งมีหลายคน จึงใช้ Verbพหูพจน์ คือ are]

@ ประธานที่ขึ้นต้นด้วย infinitive + คําขยาย (To V1+คําขยาย) หรือ gerund + คําขยาย (Ving+คําขยาย)


ถือเป็นเอกพจน์ ให้ใช้กับ Verb เอกพจน์ เช่น
- To study huge population is a big problem.
- Working ten hours a day in the mill is quite tiring.

@ ประธานสองตัว ตัวหนึ่งเป็นบอกเล่า อีกตัวเป็นปฏิเสธ ให้ใช้ Verb ตามประธานตัวที่เป็นบอกเล่า เช่น


- You, not I, were appointed secretary.
- Not riches, but honour makes the man.

@ ประธานที่ขึ้นต้นด้วย all of ... , some of ... , most of ... , half of ... , none of ... ให้ใช้ Verb ตาม
Noun ที่ตามหลังคําเหล่านี้ เช่น
- Most of the meat is unfit to eat. (Noun เอกพจน์)
- Most of the students are diligent. (Noun พหูพจน์)
- All of this furniture is new. (Noun นับไม่ได้)
๙๓

Idiom

@ Easy as A-B-C = ง่ายยิ่งกว่าพูด เอ-บี-ซี


@ Easy as pie = ง่ายเหมือนกินพาย
แต่เดี๋ยวนี้จะมีโฆษณาโทรศัพท์มือถือ ใช้ว่า Easy as 1-2-3 = ง่ายยิ่งกว่านับ 1-2-3
สรุปก็คือ สํานวนเหล่านี้ให้ความหมายเหมือนสํานวนไทยว่า "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก"

@ what's going on? = * what's happening?

@what's up? = * How are you?


* What are you doing?
* what is happening?
๙๔

Tenses

Present Simple Tense


ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นจริง เกิดขึ้นเป็นประจําหรือปกติวิสัย ความจริงตลอดไป
และมักมี adverb of frequency (คํากริยาวิเศษณ์ที่บอกเวลา)อยู่ด้วย

adverb of frequency ได้แก่คําว่า


always สมํ่าเสมอ
usually โดยปกติ
often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
seldom ไม่ใคร่จะ
never ไม่เคย
I always go to bed at 10 p.m.
The sun rises in the east.
I never drink coffee.

โครงสร้าง S+V (s,es)

plays with a ball.


He, She, It
comes home.
read a book.
I, You, We,They
drive a car.
เมื่อเราต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคําถามให้เอา V to do(do,does)
มาเป็นกริยาช่วยในประโยคคําถามที่เป็นแบบ yes-no questionsให้เอา
do,does วางไว้หน้าประโยค
Does he, she, it work?
Do you, we, they, I study?
๙๕

ให้เอา V to do(do,does)มาช่วยในประโยคคําถามแบบ wh-questions เช่น


Where do you come from? I come from Surin.
How do you do?

ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลังคํา do, does


does not
He, She,It work.
(doesn't)

I, You, We,They do not (don't) study.

Note: เมื่อเอา V to do มาใช้ในประโยคปฎิเสธและประโยคคําถามกริยาแท้ไม่ต้องเติม s หรือ es

Past Simple Tense

โครงสร้าง S+V2

ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบสิ้นลงไปแล้วในอดีตและมักจะมีคําบอกเวลาอยู่ด้วย
เช่นคําว่า yesterday, last week, last month, last year, last summer, ago
We went to Canada last summer.
My family came to visit me last week.
เมื่อเราต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธและประโยคคําถาม ให้นําเอา V todo(did) มาช่วย

Did he, she, it work?


Did you, we, they, I work?
ให้เอา V to do(did)มาช่วยในประโยคคําถามแบบ wh-questions เช่น
What did you do ? I cleaned my car.
ประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง did ได้เลย
๙๖

He, She,It did not (didn't) work.


I, You,
did not (didn't) work.
We,They
Note: เมื่อนําเอา did มาใช้ในประโยคกริยาแท้จะต้องเปลี่ยนเป็นช่องที่ 1เหมือนเดิม
คําว่า be กระจายรูปเป็น is am are (present) was were (past)
I was angry because they were late.
Was it sunny when you went out?

Present Continuous Tense (Progressive Tense)


โครงสร้าง S+ is,am,are +Ving
ใช้กับเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือการกระทํานั้นๆยังไม่สิ้นสุดลง
I'm going to the market now.
They are watching their favorite television program.

I am playing with a ball.


He, She, It is coming home.
You, We,They are reading a book.
เมื่อต้องการทําเป็นประโยคคําถามให้นําเอาV tobe มาวางไว้หน้าประโยคได้เลย
Am I playing with a ball?
Is he, she, it coming home?
Are you, we, they reading a book?
เมื่อต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธก็เติม not หลัง Vtobe ได้เลย
I am not playing with a ball.
He, She, It is
is coming home.
not(isn't)
You, We,They are
are reading a book.
not(aren't)
๙๗

Past Continuous Tense (Progressive Tense)


โครงสร้าง S+Vtobe(was,were) +Ving

ใช้เพื่อบรรยายเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้นในอดีตแล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเข้ามาแทรก
เหตุการณ์ที่กําลังกระทําหรือกําลังเกิดขึ้นใช้ past continuous
เหตุการณ์ที่เข้ามาแทรกใช้ past simple
While Jeda was eating breakfast, the mailman came.
It was raining when we arrived.
As Decha was making his lunch, he cut his hand.

Note: เราใช้คําว่า when while as เป็นตัวเชื่อมระหว่างสองเหตุการณ์ มีหลักการณ์ใช้ ดังนี้


when+ past simple, past cotinuous
while+ past cotinuous,past simple
as+ past cotinuous,past simple
แต่ถ้าคําว่า when while as วางอยู่ตรงกลางประโยคไม่ต้องใส่เครื่องหมายคอมมา (,)

Presnt Perfect Tense


โครงสร้าง S+ havs,has +V3
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดําเนินมาถึงปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะดําเนินต่อไปอีก
มักจะเห็นคําว่า since กับ for อยู่ด้วย
การใช้ since กับ for
since = starting of period (เวลาตั้งแต่จุดใดจุดหนึ่งในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน )
since 1990, since May, since Monday, since Christmas
since 3 o'clock, since I was a student
for = period of time (ระยะเวลาจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน)
for 2 days, for 5 months, for 10 yeras, for 3 hours
for a week, for 30 minutes, for a long time, for ages
๙๘

I have studied English since I was 10 years old.


She has known him since last year.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงโดยไม่ได้ระบุเวลา
We have washed our hands.
I have just had a snack.
ใช้ present perfect tense เพื่อให้ข้อมูลใหม่หรือประกาศให้ทราบกับสิ่งเพิ่งเกิด
Ouch! I have just cut myself.
การใช้ just already yet ในประโยค present perfect
just = เพิ่งจะ
Suda has just arrived home.
already =เรียบร้อยแล้ว
A: Don't forget to phone the restaurant.
I've already phoned to make a reservation.
yet =ยัง ใช้กับประโยคปฎิเสธและประโยคคําถาม
She hasn't finished her letter yet.
Has it stopped raining yet?
ใช้กับคําว่า today, this morning, this evenning กับเวลาที่ยังไม่สิ้นสุดในขณะที่พูด
I've drunk three glasses of water today.
เมื่อต้องการทําเป็นประโยคคําถามให้เอา V to have (has,have)มาวางไว้ประโยคได้เลย

Has he, she, it worked?


Have you, we, they, I finished?

เมื่อต้องการทําเป็นประโยคปฎิเสธให้เติม not หลัง verb "to have" (has,have)


I have(haven't) played a game.
He, She, It has not
read a book.
(hasm't)
You, We,They have
driven a car.
not (haven't)
๙๙

Past Perfect tense


โครงสร้าง S+ had+V3

ใช้แสดงความสัมพันธ์ของสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วไปแล้วในขณะที่กําลังพูด ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก่อนเราใช้ Past Perfect tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังเราใช้เป็น past simple tense
When Paul arrived, Mary had just left.
It rained after we had finished playing football.

Note: การใช้ after และ when เชื่อมระหว่างสองประโยค


after ตามด้วย past perfect แล้วตามด้วย past simple
(after + past perfect,past simple)
when ตามด้วย past simple แล้วตามด้วย past perfect
(when+ past simple,past perfect)

Present Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง S+ have,has +been+Ving
ใช้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและดําเนินมาจนถึงปัจจุบันหรือพึ่งสิ้นสุดลง
I have been studying English for 2 years.
We have been waiting here since 9 o'clock.
A: How long has it been raining?
B: It has been raing for an hour.

Past Perfect Continuous Tense


โครงสร้าง S+had+been+ Ving
ใช้พูดถึงการกระทําหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซํ้าๆหรือตลอดเวลาในอดีตและได้สิ้นสุด ลงไปก่อนเวลาหนึ่งเวลาใด
ในอดีต
She had been working hard all day.
He had been smoking for 20 years.
๑๐๐

Future Simple tense


โครงสร้าง S + will, shall + V1

I will/shall play tomorrow.


We will/shall cook next week.
He/she it will move next year.
You will work tonight.
They will leave next month.
ใช้แสดงถึงการกระทําหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งมักจะมีคํา adverb of time อยู่ด้วยเช่น
tomorrow, next week, next month, next year, tonight, an hour
Who do you think will win the game next week?
I will go to the park tomorrow.
การใช้ to be going to เมื่อเราได้ตัดสินใจทําบางสิ่งแล้ว หรือตั้งใจว่าจะทําและใช้กับการคาดคะเนเช่น
I'm going to the bank tomorrow.

Future Continuous Tense


โครงสร้าง S+will,shall +be+Ving
ใช้เมื่อเราพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทําที่กําลังกระทําอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคตโดยมีคําบอกเวลาอยู่ด้วย
เช่น this time next week, at 9 o'clock tomorrow,this time tomorrow
At 9 o'clock tomorrow, we will be traveling to New York.
Future Perfect Tense
โครงสร้าง S+ will,shall +have +V3
ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทําซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นลง ณเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
The show will already startedby the time we arrived.
They will have finished by tomorrow.
Future Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง S+ will,shall +have been +Ving
ใช้เพื่อเน้นการกระทํานั้นๆยังคงดําเนินอยู่ในอนาคต
By 2001 the company will have been operating in Bangkok for 20 years.
๑๐๑

Types of Sentences
1. ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentences)
2. ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentences)
3. ประโยคคําถาม (Interrogative Sentences)
4. ประโยคคําสั่ง (Imperative Sentences)
5. ประโยคอุทาน (Exclamatory Sentences)

ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentences)

1. ถ้าในประโยคบอกเล่ามี verb to be (is, am, are, was, were) เป็นกริยาแท้ ให้เติม not หลัง verb
to be
Somsak is an engineer. >>> Somsak is not an engineer หรือ Somsak isn’t an
engineer.
2. ถ้าในประโยคบอกเล่ามีกริยาช่วยให้ใส่ not หลังกริยาช่วย กริยาช่วย ได้แก่ is, am, are, was, were,
have, has, had, can, could, may, might, shall, should, would, must etc.
Jim will leave tomorrow. >>> Jim will not leave tomorrow. หรือ Jim won’t leave
tomorrow.
3.ถ้าในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be หรือกริยาช่วยให้ใช้ verb to do (do, does, did) ช่วย โดย
เติม not หลัง do, does, did
Students go to school everyday. >>> Students do not go to school everyday.
* เราใช้ did ถ้าคําในประโยคเป็น Past Tense.
* เราใช้ do กับ I, we, they และคําที่เป็นพหุพจน์
* เราใช้ does กับ he, she, it, และคําที่เป็นเอกพจน์

ประโยคคาถาม (interrogative Sentences)

Yes – No Question คือประโยคคําถามที่ต้องการตอบว่า yes หรือ no


Wh - Question คือประโยคคําถามที่ต้องการข้อมูลบางอย่าง เป็นคําถามที่ขึ้นต้นด้วยคําที่ใช้สําหรับ
ตั้งคําถามซึ่งขึ้นต้นด้วยตัวอักษร wh หรือ h ซึ่งได้แก่ what, when, where, why, how, who, which
วิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคําถามแบบ Yes – No Question
1. ในกรณีที่ประโยคบอกเล่าประกอบด้วย verb to be, verb to have, หรือ กริยาช่วย ให้ย้าย
verb to be, verb to have หรือ กริยาช่วยไปไว้หน้าประธานของประโยค แล้วใส่เครื่องหมายคําถามท้าย
ประโยค
๑๐๒

They are very kind >>> Are they very kind?


2. ในกรณีที่ประโยคไม่มี verb to be, verb to have หรือกริยาช่วยให้ใช้ do, does, did มาช่วย
วางไว้หน้าประธาน
Jack lived in Udon Thani Last year. >>> Did Jack live in Udon Thani last year.

ประโยคคาสั่ง ( Imperative Sentences) คือ ประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคํากริยาในรูปที่ยังไม่ผัน เช่น Sit


down, Open the door. Put it here. Stop. Call her now. ถึงแม้ว่าประโยคคําสั่งจะไม่ระบุประธาน
ของประโยคแต่เราก็ทราบว่าประธานของประโยคคือ you ซึ่งถูกละไว้ในฐานที่เข้าใจ

ประโยคอุทาน (Exclamatory) คือ ประโยคที่มักเริ่มด้วย what , how โดยไม่มีการสลับที่กันระหว่าง


ประธานกับกริยามักจะมีเครื่องหมาย ! กํากับ เช่น What a noise she’s making ! How nice you look !

แบบฝึกหัด
1. รูปประโยคปฏิเสธของ Bruce was at home yesterday. คือ

A. Bruce not was at home yesterday.


B. B. Bruce was not at home yesterday.
C. Bruce not at home yesterday.
2. รูปประโยคปฏิเสธของ Jane will come to see you tomorrow.

A. Jane will not come to see you tomorrow.


B. Jane shall not come to see you tomorrow.
C. Jane not come to see you tomorrow.
3. รูปประโยคปฏิเสธของ Sompong studies English everyday. คือ

A. Sompong does not study English everyday.


B. Sompong does not studies English everyday.
C. Sompong do not study English everyday.
D. Sompong not studies English everyday.
4. รูปประโยคปฏิเสธของ The children like to watch cartoons. คือ

A. The children does not like to watch cartoons.


B. The children do not like to watch cartoons.
C. The children did not like to watch cartoons.
๑๐๓

5. ประโยค Thai food is popular in America. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคําถาม จะเป็น


A. Is Thai food popular in America ?
B. Does Thai food popular in America ?
C. Is popular in America Thaifood ?
6. ประโยค Somsri works hard everyday. เมื่อเปลี่ยนเป็นประโยคคําถาม จะเป็น

A. Does Somsri work hard everyday ?


B. Does Somsri works hards everyday ?
C. Do Somsri work hard everyday ?
D. Did Somsri work hard everyday ?
7. ประโยค we studied English last year. เมือ่ เปลี่ยนเป็นประโยคคําถาม จะเป็น

A. Do we study English last year ?


B. Did we studied English last year ?
C. Did we study English last year ?
D. Does we study English last year ?

*********************

You might also like