Professional Documents
Culture Documents
ของแข็ง ของเหล็ว แก๊ส PDF
ของแข็ง ของเหล็ว แก๊ส PDF
สมบัติของของแข็ง
รูปร่างคงที่
สมบัติของของแข็ง
มีปริมาตรคงที่ ณ อุณหภูมิและความดันคงที่
ไม่สามารถไหลได้ในสภาวะปกติ เนื่องจากอนุภาคของ
ของแข็งอยู่ชิดติดกันมาก
การจัดเรียงอนุภาคของของแข็ง
ผลึก
ของแข็งอสัณฐาน
อนุ ภ าคองค์ ป ระกอบ
กระจายกั น อยู่ อ ย่ า งไม่
เป็นระเบียบ เช่น แก้ว ยาง
พลาสติก
การจัดเรียงอนุภาคของของแข็ง
ของแข็งในรูปผลึกอาจมีการจัดเรียงจัดตัวของโมเลกุลได้หลาย
รูปแบบ เรียกว่า การมีอัญรูปของของแข็ง
กามะถัน
ฟอสฟอรัส
คาร์บอน
กามะถัน
ประกอบด้วย S 8 อะตอมต่อกันเป็นวง
เป็นของแข็งผลึกสีเหลือง
ผลึกมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนม
เปียกปูน
พบมากในธรรมชาติ (เสถียรที่ 25 0c)
กามะถันมอนอคลินิก (Monoclinic sulphur)
ผลึกจะมีลักษณะเป็นแท่งยาวคล้ายเข็ม
เสถียรน้อยกว่ากามะถันรอมบิก
อยู่ตัวที่อุณหภูมิสูงกว่า 96 0c
ที่อุณหภูมิสูงกว่า 96 0c กามะถัน
รอมบิกจะกลายเป็นกามะถัน
มอนอคลินิกอย่างช้าๆ
สมบัติ กามะถันรอมบิก กามะถันมอนอคลินิก
สี เหลืองอ่อน เหลืองเข้ม
โครงสร้างเป็นสายยาวต่อกัน
ไป (พอลิเมอร์)
เสถียรมากกว่าฟอสฟอรัส
ขาว จึงใช้ทาไม้ขีดไฟ
ฟอสฟอรัสดา
มีโครงสร้างแบบโครงผลึกร่าง
ตาข่าย
เสถียรกว่าฟอสฟอรัสแดง
ติดไฟยาก
สมบัติ ฟอสฟอรัสขาว ฟอสฟอรัสแดง ฟอสฟอรัสดา
เป็นโครงสร้างที่พบได้ง่ายใน
ธรรมชาติ
เกิ ด จากอะตอมของคาร์ บ อนที่ มี
พันธะคู่อยู่ 1 พันธะมาต่อกัน
เป็ น โครงสร้ า งแบบระนาบ โดยมี
ลักษณะเชื่อมต่อกันไป สามารถนา
ไฟฟ้าได้ในแนวระนาบ
เพชร
เป็นโครงสร้างที่แข็งแรงทีส่ ุด
เกิดจากคาร์บอนที่เกิดพันธะเดี่ยว
ต่อกันทั้งหมดจนเป็นโครงร่าง
ตาข่ายที่แต่ละหน่วยมีพันธะยื่น
ออกมา 4 ข้าง
ฟลูเลอรีน
เป็นสารตระกูลคาร์บอนที่มโี ครงสร้าง
คล้ายลูกบอล
เกิดจากแกรไฟต์ที่ม้วนตัวขึ้นเป็นทรง
กลมที่ประกอบด้วยรูป 5 เหลี่ยม และ 6
เหลี่ยมเชื่อมกัน
เป็นตระกูลสารอะโรมาติกที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดก็ว่าได้สงั เคราะห์ได้ครั้งแรกเมื่อ
ค.ศ. 1985
สมบัติ แกรไฟต์ เพชร ฟลูเลอรีน
ของแข็งอสัณฐาน
อนุ ภ าคองค์ ป ระกอบ
กระจายกั น อยู่ อ ย่ า งไม่
เป็นระเบียบ เช่น แก้ว ยาง
พลาสติก
5.4 การเปลี่ยนแปลงสถานะของของแข็ง
การเปลี่ยนสถานะของของแข็งมี 2
ประเภท ได้แก่
การหลอมเหลว
การระเหิด
การหลอมเหลว
เมื่ อ ให้ ค วามร้ อ นแก่ ข องแข็ ง อนุ ภ าคของของแข็ ง จะมี
พลังงานจลน์มากขึ้น เกิดการสั่นจนบางอนุภาคมีพลังงาน
สูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค อนุภาคของของแข็ง
จึง อยู่ห่างกันมากขึ้น ของแข็ง จึง เกิดการเปลี่ ยนสถานะ
เป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว
เรี ย กอุ ณ หภู มิ ที่ ข องแข็ ง เปลี่ ย นสถานะเป็ น ของเหลวที่
ความดัน 1 บรรยากาศว่า จุดหลอมเหลว
การระเหิด
การเปลี่ ย นสถานะของของแข็ ง
กลายเป็ น ไอโดยไม่ ผ่ า นสถานะ
ของเหลว เรียกว่า การระเหิด
การระเหิ ด เป็ น การเปลี่ ย นแปลงที่
เกิดกับสารบางชนิดที่ไม่มีขั้วหรือมี
ขั้ ว น้ อ ยมาก และมี แ รงยึ ด เหนี่ ย ว
ระหว่ า งอนุ ภ าคเป็ น แรงแวนเดอร์
วาลส์อย่างอ่อน
การระเหิด
เมื่ออนุภาคของสารได้รับความร้อน
จากสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย จะ
ทาให้อนุภาคของสารนั้นแยกออก
จากผลึ ก โดยเฉพาะอนุ ภ าคที่ อ ยู่
บริเวณผิวหน้าของผลึกจะหยุดออก
และเคลื่อนที่เป็นอิสระได้ง่าย
ของแข็ ง บางชนิ ด เช่ น แนฟทาลี น
(ลูกเหม็น) พิมเสน หรือการบูร
5.5สมบัติของของเหลว
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยกว่า
ของแข็ง
จัดเรียงอนุภาคไม่เป็นระเบียบ
มีที่ว่างระหว่างอนุภาคเล็กน้อย
ไหลได้ สามารถเทของเหลวจากภาชนะ
หนึ่งไปภาชนะหนึ่งได้
สมบัติของของเหลว
รูปร่างของของเหลวจะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ
มีปริมาตรคงที่ที่อุณหภูมิและความดันคงที่
สามารถแพร่ได้
สมบัติของของเหลว
สมบัติของของเหลวที่จะทาการศึกษา
มีดังนี้
ความตึงผิว
การระเหย
ความดันไอกับจุดเดือดของของเหลว
5.5.1 ความตึงผิว
หยดน้าบนใบไม้ แมลงบนผิวหน้าของน้า
ความตึงผิว
แรงที่ดึงผิวของของเหลวเข้ามาภายในเพื่อให้พื้นที่
ผิวของของเหลวเหลือน้อยที่สุดเรียกว่า แรงดึงผิว
ความตึงผิว
แรงดึงผิวของของเหลว
• จะทาให้ของเหลวปริมาณน้อยๆ มี
รูปร่างค่อนข้างเป็นทรงกลม เช่น 1 หยด
• รูปทรงกลมมีพื้นที่ผิวน้อยที่สุด
• ผิวของเหลวถูกดึงจนตึงเปรียบเสมือน
แผ่นยางยืดบางๆ ปกคลุมของเหลวไว้
หยดน้าบนใบไม้ • น้ามีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่
แข็งแรงและมีแรงดึงผิวมาก
ความตึงผิว
ในกรณีที่เพิ่มพื้นที่ผิวของของเหลว โมเลกุลที่อยู่ด้านในจะต้อง
เคลื่อนที่ออกมายังพื้นผิวของของเหลว โมเลกุลเหล่านี้ต้องใช้
พลังงานเพื่อเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่อยู่รอบข้าง
งานที่ต้องใช้ในการขยายพื้นที่ผิวของของเหลว 1 หน่วย
เรียกว่า ความตึงผิว
ความตึงผิวของของเหลวจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลในของเหลว
ถ้าของเหลวใดมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูง ความตึงผิวจะ
มีค่าสูงด้วย
ความตึงผิว
ตารางแสดง ความตึงผิวของของเหลวบางชนิดที่อุณหภูมิ 25 ๐C
ของเหลว สูตร ความตึงผิว(N/m)
ปรอท Hg 0.4855
น้า H2 O 0.0720
เบนซีน C6 H6 0.0282
เอทานอล C2H5OH 0.0220
เฮกเซน C6H14 0.0179
ไดเอทิลอีเทอร์ C2H5OC2H5 0.0167
ความตึงผิว
ุ หภูมิ 25 ๐C
จากตารางแสดงความตึงผิวของของเหลวบางชนิดที่อณ
ปรอทมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคเป็นพันธะโลหะมีความ
แข็งแรงมาก ความตึงผิวของปรอทจึงมีค่าสูง
ไดเอทิลอีเทอร์มีแรงลอนดอนเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
ซึ่งมีความแข็งแรงน้อย ความตึงผิวจึงมีค่าน้อย
น้า ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน จึงมีค่าความตึงผิวมาก
ความตึงผิว
ตารางแสดง ความตึงผิวของน้าที่อุณหภูมิต่างๆ
อุณหภูม(ิ ๐C) 10 25 50 75 100
อุณหภูมิมีผลต่อความตึงผิวของน้า อย่างไร
ความตึงผิว
เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนจะทาให้ความตึง
ผิวของของเหลวนั้นเปลี่ยนไปด้วย
เช่น น้า ความตึงผิวจะลดลงเมื่อ
อุณหภูมิเพิ่มขึ้น
การเติมสารบางชนิด เช่น น้าสบู่ลงไป
ในน้า จะทาให้ความตึงผิวของน้า
เปลี่ยนแปลงด้วย
ปัจจัยที่มีผลต่อความตึงผิวของของเหลว
1) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
- ถ้าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมาก พลังงานที่ใช้ในการขยาย
พื้นที่ผิวจะมาก
- ถ้าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลน้อย พลังงานที่ใช้ในการขยาย
พื้นที่ผิวจะน้อย
ปัจจัยที่มีผลต่อความตึงผิวของของเหลว
2) อุณหภูมิ
- เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น พลังงานจลน์ของแต่ละโมเลกุลจะเพิ่มขึ้น แต่
แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลลดลง ทาให้ความตึงผิวลดลง
- เมื่ออุณหภูมิลดลง พลังงานจลน์ของแต่ละโมเลกุลจะลดลง แต่แรง
ดึงดูดระหว่างโมเลกุลเพิ่มขึ้น ทาให้ความตึงผิวเพิ่มขึ้น
ความตึงผิว
เมื่อของเหลวสัมผัสกับวัสดุหรือบรรจุอยู่ใน
ภาชนะจะมีโมเลกุลของสาร 2 ชนิดที่
แตกต่างกัน คือ
1.โมเลกุลของของเหลว
2. โมเลกุลของสารที่เป็นวัสดุหรือทาภาชนะ
ความตึงผิว
ความตึงผิวของน้าและปรอทในหลอดทดลอง
ความตึงผิว
ก า ร เ ป ลี่ ย น ส ถ า น ะ จ า ก
ข อ ง เ ห ล ว ก ล า ย เ ป็ น ไ อ
เรียกว่า การระเหย
การระเหย
การระเหย
โมเลกุ ล ของของเหลวที่ เ คลื่ อ นที่ ช นกั น เอง
หรื อ ชนกั บ ผนั ง ภาชนะแล้ ว มี ก ารถ่ า ยโอน
พลังงานให้แก่กัน ถ้าโมเลกุลที่มีพลังงานมาก
อยู่ บ ริ เ วณผิ ว หน้ า ของของเหลวและมี
พลั ง งานสู ง มากกว่ า แรงยึ ด เหนี่ ย วระหว่ า ง
โมเลกุ ล โมเลกุ ล เหล่ า นั้ น จะหลุ ด ออกจาก
ผิวหน้ากลายเป็นไอไปเรื่อยๆ
การระเหย
ขณะที่ของเหลวเกิดการระเหยจะดึง
พลังงานส่วนหนึ่งไปใช้ในการเปลี่ยน
สถานะ
ทาให้อุณหภูมิของของเหลวลดลง
ของเหลวจึงดูดพลังงานจาก
สิ่งแวดล้อมมาแทน
การระเหย
การตากผ้าในที่มีแดดจัดกับการตากผ้าในที่ร่ม ผ้าในที่ใดจะ
แห้งเร็วกว่ากัน เพราะเหตุใด?
แอลกอฮอล์ในภาชนะเปิดปากแคบกับภาชนะเปิดปากกว้าง
ปริมาตรเท่ากัน วางที่เดียวกัน เวลาผ่านไปปริมาตร
แอลกอฮอล์ในภาชนะใดเหลือน้อยที่สุด เพราะเหตุใด ?
การระเหย
ขณะมีเหงื่อบนร่างกาย เมื่อยืนอยู่ในที่ที่มีลมพัดผ่านหรือ
อากาศถ่ายเทได้ดีกับที่ไม่มีลม ที่ใดจะช่วยให้เหงือ่ แห้งเร็ว
กว่ากัน เพราะเหตุใด ?
การระเหย
ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหย
ความร้อน
การเพิ่มพื้นที่ผิว
การอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท
ความร้อน
ความร้อนหรืออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น
ทาให้พลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุล
ของน้าเพิ่มขึ้น
ทาให้จานวนโมเลกุลของน้าที่มี
พลังงานจลน์สูงพอที่จะเอาชนะแรง
ยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีมากขึ้น
การระเหยของน้าจึงเกิดได้เร็ว
การเพิ่มพื้นที่ผิว
การเพิ่มพื้นที่ผิวหน้าของของเหลวที่สัมผัส
กับอากาศ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ของเหลว
เกิดการระเหยเร็วขึ้น
เพราะว่าเป็นการเพิ่มจานวนโมเลกุลของ
ของเหลวที่มโี อกาสหลุดอออจากผิวหน้า
ของของเหลวได้มากขึ้น
การอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท
การอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท
การเคลื่ อ นที่ ข องอากาศท าให้
โ ม เ ล กุ ล ข อ ง ไ อ บ ริ เ ว ณ เ ห นื อ
ของเหลวเกิดการเคลื่อนที่และลด
จ านวนโมเลกุ ล ของไอบริ เ วณ
ผิวหน้าของของเหลว
เป็ น ผลให้ โ มเลกุ ล ของของเหลว
บริเวณผิวหน้ากลายเป็นไอได้มาก
ขึ้นหรือระเหยได้มากขึ้น
5.5.3 ความดันไอกับจุดเดือดของของเหลว
ความดันไอกับจุดเดือดของของเหลว
จากรูปภาพการระเหยในระบบปิด
โมเลกุลที่ระเหยกลายเป็นไอยังอยู่ที่ว่างเหนือของเหลว
โมเลกุลที่อยู่ในรูปของไอจะชนกันเอง หรือชนกับผนังภาชนะ
ตลอดเวลา จึงมีแรงดันเกิดขึ้น
ปริมาตรของของเหลวลดลง ปริมาตรของไอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทา
ให้ความดันไอเหนือของเหลวเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันไอบางส่วนก็จะควบแน่นกลับไปเป็นของเหลว
ความดันไอกับจุดเดือดของของเหลว
การเปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างของเหลวกับไอเกิดขึ้น
ต่อเนื่อง
จนกระทั่งอัตราการเปลี่ยนจากของเหลวเป็นไอเท่ากับอัตราการ
เปลี่ยนไอเป็นของเหลว ทาให้จานวนโมเลกุลที่กลายเป็นไอ
เท่ากับจานวนโมเลกุลที่ควบแน่นเป็นของเหลว
ณ ขณะนี้ปริมาตรและความดันไอของของเหลวจะคงที่ ความ
ดันของไอเหนือของเหลวขณะที่มีค่าคงที่นี้เรียกว่า ความดัน
ไอของของเหลว
ความดันไอของของเหลวกับอุณหภูมิ
ความดันไอของของเหลวกับอุณหภูมิ
นักวิทยาศาสตร์ได้กาหนดให้จุดเดือดของของเหลว
ที่ความดัน 1 บรรยากาศ เป็น จุดเดือดปกติ
สาหรับจุดเดือดของของเหลวที่ความดันอื่นๆ จะมีค่า
แตกต่างกัน
ความดันไอของของเหลวกับอุณหภูมิ
เนื่องจากของเหลวแต่ละชนิดมีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลที่ไม่
เหมือนกัน
ของเหลวที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยจะกลายเป็นไอ
ได้ง่าย มีจุดเดือดต่า ความดันไอสูง
ส่วนของเหลวที่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากจะกลายเป็น
ไอได้ยาก มีจุดเดือดสูง ความดันไอต่า
ความดันไอของของเหลวกับอุณหภูมิ
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อย
อนุภาคอยู่ห่างกันมากเมือ่ เทียบกับ
ของแข็ง ของเหลว
แพร่กระจายเต็มภาชนะที่บรรจุ
ความหนาแน่นต่ากว่าของเหลว
ของแข็ง
สามารถบีบอัดได้ง่าย
สมบัติของแก๊ส
1. แก๊สประกอบด้วยอนุภาคที่มีขนาดเล็กมาก จนถือได้ว่า
อนุภาคของแก๊สไม่มีปริมาตรเมื่อเทียบกับขนาดภาชนะที่
บรรจุ
2. โมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกันมาก ทาให้แรงดึงดูดและแรง
ผลักระหว่างโมเลกุลน้อยมาก จนถือได้ว่าไม่มีแรงกระทา
ต่อกัน
ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
3. โมเลกุลของแก๊สเคลื่อนที่อย่าง
รวดเร็ ว ในแนวเส้ น ตรง เป็ น
อิสระด้วยอัตราเร็วคงที่และไม่
เป็ น ระเบี ย บ จนกระทั่ ง ชนกั บ
โมเลกุ ล อื่ น หรื อ ชนกั บ ผนั ง
ภาชนะจึงจะเปลี่ยนทิศทางและ
ความเร็ว
ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
4. โมเลกุลของแก๊สที่ชนกันเอง
หรื อ ชนกั บ ผนั ง ภาชนะ จะ
เกิ ด การถ่ า ยโอนพลั ง งาน
ให้แก่กันได้แต่พลังงานรวม
ของระบบมีค่าคงที่
ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
กฎของบอยล์
กฎของชาร์ล
กฎรวมแก๊ส
กฎแก๊สสมบูรณ์
กฎของบอยล์
นักวิทยาศาสตร์ได้ทาการทดลองเพื่อศึกษาความสัมพันธ์
ระหว่างปริมาตรกับความดันของแก๊ส โดยความคุมให้อุณหภูมิ
คงที่ ได้ผลการทดลองดังตาราง
กฎของบอยล์
การทดลอง V P PV
ครั้งที่ (cm3) (mmHg) (mmHg.cm3)
1 5.00 760 3.80 × 103
2 10.00 380 3.80 × 103
3 15.00 253 3.80 × 103
4 20.00 191 3.82 × 103
5 25.00 151 3.78 × 103
6 30.00 127 3.81 × 103
7 35.00 109 3.82 × 103
8 40.00 95 3.80 × 103
9 45.00 84 3.78 × 103
ความสัมพันธ์ระหว่างความดันกับปริมาตรของแก๊ส
กฎของบอยล์
สามารถสรุ ป กฎของบอยล์ ไ ด้
ดั ง นี้ เมื่ อ อุ ณ หภู มิ แ ละมวล
ของแก๊ ส คงที่ ปริ ม าตรของ
แก๊สจะแปรผกผันกับความดัน
กฎของบอยล์
V α 1
P
PV = k1 โดย k1 เป็นค่าคงที่
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิในหน่วยองศา
เซลเซียส (๐C) และเคลวิน(K) กับปริมาตรของแก๊ส เมื่อความ
ดันคงที่ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้กาหนดให้อุณหภูมิ -273 ๐C มี
ค่าเท่ากับ 0 K ซึ่งสามารถเขียนแสดงความสัมพันธ์ของ
อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียสกับเคลวินได้ดังนี้
T(K) = t (๐C) + 273
กฎของชาร์ล
ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส(๐C)
และเคลวิน (K) กับปริมาตรของแก๊ส
การทดลอง T V V/T
ครั้งที่ (๐C) (cm3) (cm3/๐C)
1 10 100 10.0
2 50 114 2.3
3 100 132 1.3
4 200 167 0.8
กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิเคลวินกับ
ปริมาตรของแก๊ส
กฎของชาร์ล
สามารถสรุ ป กฎของชาร์ ล ได้
ดั ง นี้ เมื่ อ มวลและความ
ดั น ของแก๊ ส คงที่ ปริ ม าตร
ของแก๊สจะแปรผันตรงกับ
อุณหภูมิเคลวิน
กฎของชาร์ล
VαT
V = k โดย k เป็นค่าคงที่
2 2
T
V1 V2 V3 Vn
= = =…= = k2
T1 T2 T3 Tn
ตัวอย่างการคานวณกฎของชาร์ล
V1
จากกฎของชาร์ล = V2
T1 T2
20 L = V2
373K 273K
V2 = 20L 273K
373K
ตัวอย่างการคานวณกฎของชาร์ล
V2 = 14.6 L
P = K
T
เมื่อมวลและปริมาตรคงที่ ในภาวะต่างๆจะได้ว่าอัตราส่วน
ระหว่างความดันกับอุณหภูมิ (K) ของแก๊สคงที่
กฎของเกย์-ลูสแซก
P1 = K และ P2 = K ดังนั้น
T1 T2
ตัวอย่าง แก๊สชนิดหนึ่งบรรจุอยู่ในกระบอกสูบขนาด 10
ลิตร ภายใต้ความดัน 4.68 atm ที่อุณหภูมิ 22 0C ถ้า
อุณหภูมิเพิ่มเป็น 600 0C ความดันของแก๊สจะเท่ากับกี่ atm
กฎรวมแก๊ส
เนื่องจากกฎของบอยล์และชาร์ลกล่าวถึงเฉพาะ
ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับความดัน
ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรกับอุณหภูมิ
แต่การเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติอาจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
ดังนั้นจึงมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ปริมาตร ความดัน
และอุณหภูมิของแก๊สในขณะที่มีมวลคงที่
กฎรวมแก๊ส
1
จากกฎของบอยล์ V α
P
จากกฎของชาร์ล V α T
• รวมกฎของบอยล์และกฎของชาร์ล
T
V α
P
กฎรวมแก๊ส
k 3T
V = P
โดย k3 เป็นค่าคงที่
PV
= k3
T
P1V1 P2V2
จากกฎรวมแก๊ส =
T1 T2
ตัวอย่างการคานวณกฎรวมแก๊ส
แทนค่าในสมการ
760mmHg 10.0 L = 900mmHg 11.5L
273K T2
900mmHg 11.5L 273K
T2 =
760mmHg 10.0 L
T2 = 372 K
T (K ) = t (๐C) + 273
t (๐C) = 372 ๐C - 273 = 99 ๐C
อุณหภูมิของแก๊สที่เปลี่ยนแปลง = 99๐C - 0 ๐C = 99 ๐C
ตัวอย่างการคานวณกฎรวมแก๊ส
P1V1 P2V2
จากกฎรวมแก๊ส =
T1 T2
ตัวอย่างการคานวณกฎรวมแก๊ส
แทนค่าในสมการ
760 mmHg x 500 cm3 = P2x 250cm3
298 K 273 K
= 1390 mmHg
ความดันสุดท้ายของแก๊ส 1390 mmHg
ตัวอย่างการคานวณกฎรวมแก๊ส
อาโวกาโดร ได้ศึกษาสมบัติของ
แก๊สและได้สรุปว่า “ที่อุณหภูมิ
และความดันคงที่ แก๊สที่มี
ปริมาตรเท่ากัน จะมีจานวน
โมเลกุลเท่ากันด้วย”
กฎของอาโวกาโดร
กฎของอาโวกาโดร
V1 = K และ V2 = K ดังนั้น
n1 n2
กฎของชาร์ล V = k 2T
กฎของอาโวกาโดร V = k 4n
กฎแก๊สสมบูรณ์
รวมความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน
nT
V α
P
V = R nT
P
กฎแก๊สสมบูรณ์
PV = nRT
R คือ ค่าคงที่ของแก๊ส
กฎแก๊สสมบูรณ์
หมายเหตุ
1. n คือ จานวนโมลของแก๊ส
2. แก๊สใดๆ 1 mol มีปริมาตร 22.414 L ที่ STP
( ที่ STP คือ ที่อุณหภูมิ 0 0C หรือ 273 K ความดัน 1 atm)
แทนค่า หาค่า R จากสูตร ดังนี้ PV = nRT
1 atm x 22.414 L = 1 mol x R x 273 K
1 atm x 22.414 L
R = 1 mol x 273 K
= 0.08206 L .atm . K-1 .mol-1
กฎแก๊สสมบูรณ์
3. ค่าคงที่ของแก๊สในสูตร PV = nRT สามารถหาได้ 3
ทาง ถึงมีหน่วยได้ 3 แบบ ดังตาราง
ค่า R เมื่อ
0.082058 L .atm . K-1 .mol-1 P มีหน่วย atm
62.364 L . torr. K-1 .mol-1 P มีหน่วย torr
8.3145 J. K-1 .mol-1 P มีหน่วย Pa และ V มีหน่วย m3
กฎแก๊สสมบูรณ์
4. เนื่องจากจานวนโมลของแก๊ส (n) = มวล (m)
มวลโมเลกุล (M)
จาก PV = nRT
แทนค่า n ได้
PV = m RT
M
ตัวอย่างการคานวณกฎแก๊สสมบูรณ์
จากสูตร PV = m RT
M
ตัวอย่างการคานวณกฎแก๊สสมบูรณ์
จากสูตร PV = m RT
M
แทนค่า P x 498 L = 885 g x 0.0821 L .atm . K-1 .mol-1 x 294 K
32 g . mol-1
ตัวอย่างที่ 8 แก๊สธรรมชาติในแหล่งแก๊สธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ประกอบด้วยมีเทน 3.20 X 105 L ที่ความดัน 1500 atm
อุณหภูมิ 45 0C แก๊สธรรมชาติในแหล่งนี้มีแก๊สมีแทนอยู่กี่
กิโลกรัม
กฎแก๊สสมบูรณ์
ความหนาแน่นของแก๊สหาได้จากกฎของแก๊สสมบูรณ์ ดังนี้
PV = m RT
M
PM = m RT
V
PM = d RT
d = PM
RT
ตัวอย่างการคานวณกฎแก๊สสมบูรณ์
การแพร่ผ่าน เป็นกระบวนการที่แก๊สภายใต้ความดัน
ค่าหนึ่งเคลื่อนที่ออกจากภาชนะที่บรรจุ แก๊สจะเคลื่อนที่
ผ่านรูเล็กๆไปสู่อีกภาชนะหนึ่งโดยโมเลกุลไม่ชนกัน
การแพร่ผ่านของเกรแฮม
สรุปกฎการแพร่ผ่านของเกรแฮม
ได้ ดั ง นี้ ที่ อุ ณ หภู มิ แ ละความ
ดั น เดี ย วกั น อั ต ราการแพร่
ผ่ า นของแก๊ ส เป็ น สั ด ส่ ว น
ผกผั น กั บ รากที่ ส องของมวล
ต่อโมลของแก๊ส
การแพร่ผ่านของเกรแฮม
การแพร่ ผ่ า นของแก๊ ส
เป็ น ไปเช่ น เดี ย วกั บ การ
แพร่ ของแก๊ส คือ แก๊สที่
เบากว่าจะแพร่ผ่านได้เร็ว
กว่าแก๊สที่หนักที่อุณหภูมิ
และความดันเดียวกัน
การแพร่ผ่านของเกรแฮม
ตัวอย่างที่ 10 จงเปรียบเทียบอัตราการแพร่ผ่านของแก๊ส
ไฮโดรเจนกับฮีเลียมที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน