You are on page 1of 5

สถานะของสาร - โมเลกุลจะเรียงตัวชิดที่สุดเท่าที่จะท่าได้ แต่

Gas: รูปร่าง ปริมาตรไม่แน่นอน มีแรงยึด แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลไม่แรงเท่าพันธะโคเว


เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อย ความหนาแน่นต่่า เลนต์ และ พันธะไอออนิก
Liquid: มีปริมาตรแน่นอน ความหนาแน่นและ - ถ้าเป็ นโมเลกุลทีไม่มีข้ ว
ั จะท่าให้เกิด “การ
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูงกว่า gas ระเหิด” (เกิดที่ผิวหน้าของสารเท่านั้น)
Solid: มีรูปร่าง ปริมาตรแน่นอน อนุภาคชิดกัน 2) ผลึกโคเวเลนต์ร่างตาข่าย – ประกอบด้วย
และสัน
่ อยู่ตลอดเวลา ความหนาแน่นและแรงยึด อะตอมที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะ covalent
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลสูงมาก เป็ นโครงร่างตาข่าย มี Bp Mp สูง
- สมบัติเฉพาะตัวของสาร = จุดเดือด (Bp) 3) ผลึกโลหะ – ประกอบด้วยอะตอมที่ยึดเหยี่ย
จุดหลอมเหลว (Mp) วกัยด้วยพันธะโลหะ เหนียวและแข็งแรง ตี
• Bp Mp ต่่ากว่า T. ห้อง เป็ นแผ่นได้
• Bp > T.ห้อง > Mp = Liquid 4) ผลึกไอออนิก – ประกอบด้วยไอออน+ - ยึด
• Bp Mp สูงกว่า T. = Solid เหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างประจุไฟฟ้ า
แข็ง แต่ดปราะ
>> การเปลี่ยนสถานะของสาร << ** จะน่าไฟฟ้ าต่อเมื่อหลอมเหลว
• การหลอมเหลว: s l • การแข็ง หรือ ละลายน่้า **
ตัว : l s
• การกลายเป็ นไอ : l g • การ >> การเปลี่ยนสถานะของของแข็ง <<
ควบแน่น : g l Melting – ของแข็งได้ร บ
ั ความร้อนจนอนุภาค
• การระเหิด : s g • การเกาะตัว : g มี Ek สูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค ท่าให้
s อนุภาคห่างกันมากขึ้น จนกลายเป็ น ของเหลว
Sublimation – เกิดกับสารบางชนิดที่โมเลกุล
สมบัติของของแข็ง ไม่มีข้ ว
ั หรือมีน้อยมากก ( แรงยึดเหนี่ยวเป็ นแรง
>> การจัดเรียงอนุภาคของของแข็ง << ลอนดอนอย่างอ่อนๆ )
1) ของแข็งสัญฐาน – มีรูปร่านที่แน่นอน เป็ น ** เกิดที่ผิวหน้า only!! **
ผลึก ex) NaCl SiO2
2) ของแข็งอสัญฐาน – ไม่เป็ นผลึก สามารถน่า สมบัติของของเหลว
มาขึ้นรูปได้ ex) แก้ว พลาสติก >> ความตึงผิว <<
- พลังงานที่ต้องใช้ในการยึดเหนี่ยว เพิ่มพื้ นที่
>> ชนิดของผลึก << ผิวของของเหลว
1) ผลึกโมเลกุล – ประกอบด้วยโมเลกุลยึด - โมเลกุลของของเหลวที่อยู่ตรงกลางจะ
เหนี่ยวกับ ถูกดึงด้วยโมเลกุลรอบข้าง
• โมเลกุลไม่มีข้ ว
ั : แรงลอนดอน - โมเลกุลที่ผิวหน้าจะถูกดึงด้วยโมเลกุลที่อยู่
• โมเลกุลมีข้ ว
ั : แรงดึงดูดระหว่างขั้ว พันธะ ข้างๆกับข้างล่างท่าให้แรงดึงรวมแล้วมีทิศลง
ไฮโดรเจน ข้างล่าง
- แรงดึงผิว : แรงที่ดึงให้พ่ น
ื ผิวของของเหลว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล – ยึดเหนี่ยวมาก
เข้ามาภายในเพื่อให้มีพ่น
ิ ที่ผิสน้อยที่สุด ระเหยน้อย ( ต้องใช้พลังงานเพื่อจะเอาชนะ
ปั จจัย : มากกว่า)
1)ชนิดของของเหลว – ขึ้นกับแรงยึดเหนี่ยว การลดจ่านวนผิวหน้าโมเลกุลเหนือผิวหน้าของ
ระหว่างโมเลกุล ของเหลว – มีนอ
้ ย ระเหยเร็ว

>>ความดันไอ<<
H-bond > di pole (แรงดึงดูดระหว่างขั้ว) >
- เวลาเก็บของเหลวไว้ในภาชนะปิ ด จะมีการ
London
ระเหยของของเหลวกลายเป็ นก๊าซ และเพราะอยู่
ในภาชนะปิ ด โมเลกุลของก๊าซจะเคลื่อนที่ชนกัน
2)อุณหภูมิ
ไปชนกันมาทั้งกับตัวโมเลกุลเอง กับภาชนะ และ
ความตึงผิว = 1
กับพื้ นผิวของของเหลว และท่าให้เกิดความดันขึ้น
อุณหภูมิ
เรียกว่า “ความดันไอ”

เมื่อของเหลวสัมผัสกับวัตถุจะเกิดแรงยึดเหนี่ยว
- เมื่อของเหลวระเหยมากขื้ นปริมาตรของ
ระหว่างโมเลกุล 2 ประเภท :
ของเหลวในภาชนะก็จะลดลง และท่าให้มีความดัน
1) แรงเชื่อมแน่น – แรงยึดเหนี่ยวระหว่าง
ไอสูงขึ้น และถ้าสูงสุดแล้วจะคงที่ เรียกว่า
อนุภาคของสารชนิดเดียวกัน
“ภาวะสมดุล” คือ ที่จริงยังมีการระเหยอยู่ แต่ ก็
2) แรงยึดติด - แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคขอ
มีการควบแน่นของไอกลายเป็ นของเหลวด้วย (ใน
งงสารต่างชนิดกัน
อัตราที่เท่ากัน) ท่าให้ดูว่าของเหลวยังมีปริมาตร
เท่าเดิม และความดันไอของของเหลวอยู่ในสภาพ
ผิวน่้าที่ติดข้างแก้ว มีระดับสูงกว่าบริเวณ
อิ่มตัว เกิด “สมดุลไดนามิก”
ตรงกลาง เพราะ แรงยึดติดระหว่างน่้ากับ
ปั จจัย :
แก้ว มากกว่า แรงเชื่อมแน่นระหว่างน่้ากับน่้า
- แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล – ยึดมาก ความ
ผิวปรอทตรงกลาง มีระดับสูงกว่าบริเวณขอบที่ติด ดันไอน้อย - อุณหภูมิ
แก้ว เพราะ แรงเชื่อมแน่นของปรอทกับปรอท – T.มาก ความดันไอมาก
มากกว่าแรงยึดติดระหว่างปรอทกับแก้ว
>> จุดเดือด << * สมบัติเฉพาะของของเหลว
>>การระเหย<< * - การ
- การของเหลวเปลี่ยนสถานะเป็ น gas อย่างช้าๆ ที่ของเหลวได้ร บ
ั ความร้อนจนความดันไอของ
- พลังงานจลน์ของโมเลกุลมีมากกว่าแรงยึด ของเหลวในฟองเท่ากับความดันบรรยากาศ แล้ว
เหนี่ยว หลุดไปเป็ นไอได้ - เกิดที่ผิว ฟองเคลื่อนขึ้นมาเหนือของเหลวจนหลุดออกจาก
หน้าเท่านั้น ผิวหน้าตลอดเวลา = การเดือด
ปั จจัย : - จุดเดือดปกติ – จุดเดือดของของเหลวที่ความ
อุณหภูมิ – T สูง ระเหยเร็ว ดัน 1 บรรยากาศ - ถ้าต้ม
พื้ นที่ผวิ ของภาชนะ – พื้ นที่มาก ระเหยมาก ของเหลวในความดันสูง จะเดือดช้า ความ
ดันสูง ( ถ้าความ
ดันสูง เราต้องใช้พลังงาน/ความร้อนมากขึ้นที่จะ - มีนอ
้ ยมากเลยใช้หน่วยเป็ น g/l or g/dm
3

ท่าให้ความดันไอของฟอง เท่ากับความดัน) - P เพิ่ม D เพิ่ม T เพิ่ม D ลด


*เกิดทั้งก้อน*
>> กฎความดันย่อยของดอลตัน <<
สมบัติของแก๊ส
- ความดันรวมของแก๊สผสมที่ภาวะเดียวกัน
>> ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส <<
เท่ากับผลบวกของความดันย่อยของแก๊สแต่ละ
- ใช้อธิบายสมบัติทางกายภาพของแก๊ส
ชนิดในแก๊สผสม
1) โมเลกุลของแก๊สไม่มีแรงกระท่าต่อกัน
2) ปริมาตรของแก๊ส = 0
3) โมเลกุลของแก๊สเคลื่อนที่อย่างอิสระ (ไม่เป็ น
ระเบียบ ) เป็ นแนวเส้นตรง 4) โมเลกุลของแก๊ส
เมื่อชนกันเอง หรือชนกับภาชนะ จะมีการถ่ายเท
>> การแพร่ของแก๊ส <<
พลังงานจลน์กัน
- EFFUSION ( การแพร่ผ่าน ) การที่แก๊ส
5) โมเลกุลเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่เท่ากัน แต่มี
เคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผ่านรูเล็กๆโดย
พลังงานจลน์เท่ากัน - แบ่ง
ไม่มีการชนกันระหว่างโมเลกุล
แก๊สออกเป็ น 2 ชนิด
- DIFFUSION ( การแพร่ ) การที่แก๊สเคลื่อนที่
1) แก๊สจริง – ไม่เป็ นไปตามทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยมีการชนกันระหว่าง
2) แก๊สอุดมคติ – เป็ นไปตามทฤษฎีจลน์ของ
โมเลกุลตลอกเวลา
แก๊ส
>> กฎการแพร่ของ เกรแฮม
<<
>> ปริมาตรของแก๊ส <<
ปั จจัย :
- เท่ากับ ปริมาตรของภาชนะที่บรรจุแก๊ส
1) มวลโมเลกุล
P1V1 =
>> กฎของบอยล์ << - ตัวหนักมาก ก็ จะวิ่งช้า
2) ความหนาแน่น
>> กฎของชาร์ล <<
- ความหนาแน่น ต่่า

>> กฎของเกย์สูสแซก<< แพร่เร็ว

>> การท่าน่้าแข็งแห้ง <<


CO2 (g)
>> กฎแก๊สสมบูรณ์ <<
เพิ่ม P ลด V

>> ความหนาแน่นของแก๊ส << CO2 (g)


ท่าให้บริสุทธิ ์ ท่าให้แห้ง

CO2 แหลวแห้ง + บริสุทธิ์

CO2 เหลว แข็ง

ท่าให้ P = 18atm. T = 25 c
o

CO2 แห้ง ( s )
>> การสกัดสารโดยใช้CO2 ในรูปของของไหล <<
- ใช้แทนตัวท่าละลายที่เป็ นสารอินทรีย์ พวก
เฮกเซน เพราะไม่ทท่าปฏิกิร ย
ิ ากับสารอื่น ไม่
ตกค้าง
- ของไหล : เหมือนกับของเหลว (มีความ
สามารถในการละลาย)
เหมือนกับแก๊ส ( ขยายตัวได้
ง่าย ไหลได้ )

You might also like