Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 2 โครงสร้างและสมบัติที่สาคัญของพอลิเมอร์
http://www.pslc.ws/macrog/kidsmac/basics.htm
1
โครงสร้างมีผลต่อสมบัตทิ ่สี าคัญของพอลิเมอร์
โครงสร้างทางเคมี ขึ้นอยู่กับ:
- โครงสร้างทางเคมีของมอนอเมอร์ที่เป็นองค์ประกอบ
โครงสร้างทางกายภาพ ขึ้นอยู่กับ:
- ความสม่าเสมอในโครงสร้างทางกายภาพของพอลิเมอร์
- การจัดเรียงตัวกันของมอนอเมอร์
- ทิศทางการจัดเรียงตัวกันของหมู่แทนที่
- ความเป็นผลึก
2
2.1 โครงสร้างโมเลกุลของพอลิเมอร์
- พอลิเมอร์แบบเส้นตรง(เชิงเส้น)
- พอลิเมอร์แบบกิ่งก้าน
- พอลิเมอร์แบบร่างแห
- พอลิเมอร์แบบขั้นบันได
พอลิเอทิลนี
แบบเส้นตรง แบบกิ่งก้าน
• โมเลกุลรียงตัวใกล้ชดิ กัน • กิ่งก้านมีเกิดความเกะกะทาให้โมเลกุลเรียงตัวห่างกัน
• ความหนาแน่นสูง • ความหนาแน่นต่า
• ความเป็นผลึกสูง • ความเป็นผลึกต่า
• จุดหลอมเหลวสูง • จุดหลอมเหลวต่า
3
2.2 ไอโซเมอร์ (Isomer)
พอลิเมอร์ที่มอี งค์ประกอบเหมือนกัน แต่มีโครงสร้างโมเลกุลต่างกัน จะเรียกว่าเป็น
isomer ซึ่งมีชนิดต่าง ๆ ดังนี้
2.2.1 ไอโซเมอร์ชนิดตาแหน่ง (Position isomers)
เกิดจาการเชื่อมต่อในตาแหน่งที่แตกต่างกันของมอนอเมอร์ ซึ่งพบในมอนอเมอร์ท่มี ี
พันธะคูอ่ ยูท่ ่ปี ลายโมเลกุล (vinyl polymer)
CH2=CHR
tail head
การเชื่อมต่อแบบ head-to-tail
4
การเชื่อมต่อแบบ head-to-head หรือ tail-to-tail
การเชื่อมต่อของมอนอเมอร์อาจเกิดแบบผสมของการเชื่อมต่อแบบ head-to-head
หรือ tail-to-tail กับแบบ head-to-tail พอลิเมอร์ท่มี ีหมู่แทนที่ (head) ขนาดใหญ่
ทาให้เกิดการกีดขวาง (steric effect) การเชื่อมต่อจึงมักเกิดแบบ head-to-tail
5
พอลิเมอร์ชนิดไดอีน (diene polymer) สามารถเกิดการเชื่อมต่อของมอนอเมอร์ได้ท่พี ันธะคู่
ทัง้ 2 ตาแหน่ง เช่น H H
เชื่อมต่อที่คาร์บอนตาแหน่ง
C C
ที่ 1,2 หรือ 3,4 เพียงด้านเดียว
H CH n
1 2 3 4 CH2
H2C C C CH2
H H 1,2-poly(butadiene)
H2 H2
เชื่อมต่อที่พันธะคู่ทั้งสองด้าน C C C C
ที่คาร์บอนตาแหน่งที่ 1 และ 4 H H n
1,4-poly(butadiene)
2.2.2 จีโอเมทริคัลไอโซเมอร์ (Geometrical isomers)
ในสายโซ่หลักของโมเลกุลพอลิเมอร์มพี ันธะคูอ่ ยู่ ทาให้เกิดโครงสร้างเป็น cis- และ
trans- เช่น
H2C CH2 H2C CH3
C C C C
H CH3 H CH2
cis-1,4-poly(isoprene) trans-1,4-poly(isoprene) 6
2.2.3 สเตอริโอไอโซเมอร์ (Stereo isomers)
Stereo isomers: Two molecules with the same structural formula (same
connectivity) but different three-dimensional arrangements of atoms.
ในสายโซ่ของ vinylic polymers มักมีการจัดทิศทางของหมู่แทนที่ในลักษณะที่แตกต่าง
กัน ขึ้นอยู่กับทิศทางการเข้าทาปฏิกิริยาของมอนอเมอร์ การจัดเรียงตัวของหมู่แทนที่
ในโมเลกุลของพอลิเมอร์นเี้ รียกว่า แทกติซิตี (tacticity) ถ้าพิจารณาสเตอริโอเคมีของ
ทิศทางของหมู่แทนที่เหล่านีจ้ ะแยกได้เป็น 2 แบบ คือ แบบ levorotatory (l) (left,
counterclockwise) และ แบบ dextrorotatory (d) (right, clockwise)
Chiral center 7
แทกติซิตี (tacticity) มีลักษณะที่แตกต่างกัน 3 แบบ
8
ซินดิโอแทกติก (Syndiotactic) หมู่แทนที่ท่เี กาะอยู่บนอะตอมของคาร์บอนที่ไม่
สมมาตรจัดเรียงตัวอยูค่ นละด้านของระนาบสมมาตร สลับกันอย่างเป็นระเบียบซึ่ง
เกิดจากการที่มอนอเมอร์ เข้าเชื่อมต่อกับสายโช่พอลิเมอร์ที่กาลังขยายตัว แบบ
head-to-tail เช่นเดียวกับแบบ isotactic
9
อะแทกติก (Atactic) หมู่แทนที่ท่เี กาะอยู่บนอะตอมของคาร์บอนที่ไม่สมมาตร
จัดเรียงตัวอยู่ทั้งสองด้านของระนาบ สลับเป็นกันแบบสุม่ (random) การเชื่อมต่อ
ของมอนอเมอร์เข้ากับสายโซ่พอลิเมอร์เกิดได้ทงั้ แบบ head-to-tail และ head-to-
head หรือ tail-to-taiil
10
ความเป็นระเบียบของโครงสร้าง : isotactic และ syndiotactic เป็นระเบียบ
มากกว่า atactic
11
2.3 พันธะเคมีของพอลิเมอร์
พันธะปฐมภูมิ (primary bond): เป็นพัธะที่เกิดภายในโมเลกุลของพอลิเมอร์ พันธะที่
สาคัญที่สุดคือ พันธะโควาเลนท์ (covalent bond) เกิด
จากการใช้วาเลนซ์อิเลกตรอน (valence electron) ของ
อะตอมภายในโมเลกุล
13
2.4 ความเป็นผลึกของพอลิเมอร์ (Crystallinity of polymers)
สารโมเลกุลเล็ก – น้าหนักโมเลกุลต่า
- เกิดการตกผลึกได้ง่ายเมื่อลดอุณหภูมิลงถึงจุดหนึ่ง
- ได้ผลึกที่สมบูรณ์
- มีอุณหภูมิหลอมตัว (melting point) ชัดเจน ช่วงการหลอมเหลวแคบ
พอลิเมอร์ – น้าหนักโมเลกุลมาก
- สายโซ่โมเลกุลยาว
- โอกาสเกิดเป็นผลึกยาก
- มีทงั้ พอลิเมอร์ท่เี ป็นผลึกสมบูรณ์ (perfectly crystalline polymers) (พบได้
ยากมาก), พอลิเมอร์กึ่งผลึก (semi-crystalline polymers) ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็น
‘ผลึก’ (crystalline region) และส่วน ‘อสัณฐาน’ (amorphous region) และ พอลิเมอร์
อสัณฐาน (amorphous polymers) ที่ไม่เกิดผลึกเลย
- ดีกรีของความเป็นผลึก (degree of crystallinity, 0-100) ของพอลิเมอร์
ขึ้นอยู่กับชนิดและโครงสร้างของโมเลกุล 14
โอกาสพบสูง: semi-crystalline polymers และ amorphous polymers
Crystalline region
Amorphous
region
semi-crystalline polymers
Crystalline region เป็นส่วนที่โมเลกุลเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
Amorphous region เป็นส่วนที่โมเลกุลเรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
Polychlorotrifluoroethylene Nylon 6
Polytetrafluoroethylene Polyisoprene
Polypropylene Polyisobutylene
17
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเกิดผลึกของพอลิเมอร์มี 2 ทฤษฎี คือ
Amorphous matrix 18
2.ทฤษฎีโฟลด์ – เชน ลาเมลา (Folded–chain lamella theory)
อธิบายการพับงอไปมาของโมเลกุลขนานกันออกไปด้านข้างเรื่อยๆ เท่าๆ กันอย่างเป็น
ระเบียบ และ สม่าเสมอ ทาให้ได้ผลึกที่มผี ิวหน้าเรียบ และมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ๆ
บางๆ อยูเ่ ป็นชั้นๆ แต่ละชั้นเรียกว่า ‘lamellae’ ซึ่งมีความหนาประมาณ 100 Å
lamellae switchboard
บางครัง้ การพับงอของโมเลกุลพอลิเมอร์อาจไม่สม่าเสมอ ส่วนไม่สม่าเสมอที่ยื่น
ออกมาจะจัดตัวอยู่ในลักษณะอสัณฐาน การจัดตัวแบบนีเ้ รียกว่า switchboard model
การเกิดผลึกแบบโฟลด์ – เชน ลาเมลา นีส้ ่วนใหญ่ได้จากสารละลายพอลิเมอร์ท่ถี ูก
ระเหยตัวทาละลายออก แต่ก็มที ่ไี ด้จากการทาให้พอลิเมอร์ที่หลอมเย็นตัวลงอย่างช้า19ๆ
อธิบายการยืดตัวออกของโมเลกุลพอลิเมอร์เมื่อถูกดึง
20
ทฤษฎีโฟลด์ – เชน ลาเมลา ใช้อธิบายการเกิดผลึกแบบสเฟียรุไลท์ (Spherulite) ซึ่ง
เกิดจากผลึกของพอลิเมอร์เกิดกระบวนการนิวคลีเอชัน (nucleation)
นิวคลีเอชัน เกิดจากโมเลกุลของพอลิเมอร์ท่กี าลังหลอมเหลวเคลื่อนที่เข้ามาใกล้
กันจนเกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลขึ้น
บริเวณเล็ก ๆ ที่มีการจัดตัวอย่างเป็นระเบียบเรียกว่า นิวเคลียส (nucleus)
แต่ละโมเลกุลพอลิเมอร์พับไปมาเกิดเป็น lamellae รวมตัวกัน จากนั้นขนาดของ
ผลึกจะค่อยๆ โตขึ้นเป็นวงกลมกลายเป็นสเฟียรูไลต์ (spherulite)
Amorphous region Crystal nucleus Tie molecule
lamellae
A polymer crystalline sphereulite 21
Crystal Growth of Poly(ethylene succinate) Spherulites
Source: http://www.op.titech.ac.jp/lab/okui/murayam/index_e.html
22
ส่วนอสัณฐาน (Amorphous region)
โมเลกุลของพอลิเมอร์จัดตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ
สายโซ่ของพอลิเมอร์เกี่ยวพันกันไปมา (chain entanglement)
Tg Tm Td
Increase temperature
24
อุณหภูมิสาคัญที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนสถานะของพอลิเมอร์ ได้แก่ อุณหภูมิเปลี่ยน
สถานะคล้ายแก้ว (Glass transition temperature, Tg) และ อุณหภูมิการหลอมตัวของ
ผลึก (crystalline melting temperature, Tm)
25
2. อุณหภูมิการหลอมตัวของผลึก (crystalline melting temperature, Tm)
การเปลี่ยนสถานะแบบนีเ้ กิดขึ้นกับบริเวณที่โมเลกุลมีการจัดเรียงตัวอย่างป็นระเบียบ (ผลึก)
ช่วงการหลอมเหลวของผลึกกว้าง 50 C
อุณหภูมิต่ากว่า Tm อุณหภูมิสูงกว่า Tm
พอลิเมอร์มีลักษณะแข็ง ผลึกถูกหลอมทาให้สายโซ่
แต่ไม่เปราะ (คล้ายยาง) โมเลกุลของพอลิเมอร์สามารถ
เนื่องจากมีผลึกอยู่ เคลื่อนที่ผ่านกันได้
เป็นของเหลวหนืด
Amorphous polymers: มีเฉพาะ Tg ไม่มี Tm อุณหภูมิที่ amorphous polymer เกิดการหลอม
ตัวจะเรียกว่า อุณหภูมิหลอมไหล (melt flow temperature, Tf)
Semi-crystalline polymers: มีทงั้ Tg และ Tm
ถ้ามีการให้ความร้อนแก่พอลิเมอร์จนมีพลังงานมากพอที่จะทาลายพันธะโควาเลนท์ ซึ่งก็
หมายถึงการทาลายโมเลกุลของพอลิเมอร์ ทาให้สมบัติของพอลิเมอร์เปลี่ยนไป เราเรียก
อุณหภูมิที่ทาให้พอลิเมอร์เกิดการสลายตัวนี้ว่า ‘อุณหภูมิสลายตัว ’ (degradation
temperature, Td) 26
ผลของอุณหภูมิต่อสมบัตทิ างกายภาพของพอลิเมอร์
Tg Tm Td
Increase temperature
27
ปัจจัยที่มผี ลต่อ Tg ของพอลิเมอร์
28
Polymer Tg / C Tm / C
Poly(cis-Butadiene) -102 1
Poly(trans-Butadiene) -58 148
Poly(cis-Isoprene) -63 128
Poly(trans-Isoprene) -66 65
Poly(dimethylsiloxane) -127 -40
Poly(ethyl acrylate) -24 -
Poly(ethyl cellulose) 43 -
Poly(ethyl methacrylate) 65 -
Poly(formaldehyde) -82 181
Nylon 6 (caprolactam) 52 225
Poly(methyl methacrylate), atactic 105 120
Poly(methyl methacrylate), syndiotactic 115 200
Source: http://www.sigmaaldrich.com 29
การหาค่า Tg และ Tm ของพอลิเมอร์
Dilatometry: อาศัยการเปลี่ยนแปลงปริมาตรจาเพาะ (specific volume) ของพอลิ
เมอร์เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป ซึ่งสามารถนาไปคานวณหา Tg และ Tm ได้
Tg
Tm
Sample temperature 30
Differential Scanning Calorimetry (DSC): DSC consists of two pans, i.e. sample pan
and the reference pan. These two pans are located on top of a heater. The computer assembly
will turn on the heaters and the heating (about 10 °C per minute). The heating rate stays exactly
the same through out the experiment. The DSC experiment is all about the measurement of how
much heat that the sample pan heater has to put out as compared to the reference pan heater.
Sample pan
Reference pan
2 cm
0.8 cm
Heat flow
Tg Tc Tm
Temperature
Above Tg, polymers have a lot of mobility. When they reach the right temperature, they will
have gained enough energy to move into very ordered arrangements, which we call crystals.
When polymers fall into these crystalline arrangements, they give off heat. We can see this
drop in the heat flow as a big dip in the plot of heat flow versus temperature. The temperature
32
at the lowest point of the dip is called ‘crystallization temperature (TC)’.
Experimental Conditions
33
Peak area = Hm
Tg
(on set)
Tc Tm
(on set) (on set)
Tc Tm
(mid point) (mid point)
DSC thermogram
34
Hm %Crystallinity
35
PLA
Stress relaxation
36
Source: http://www.intechopen.com/source/html/42247/media/image4.png
1st heating scan
Cooling scan
DSC thermogram
PP (Hm* = 207.1 J/g)
37
สมบัติการละลายของพอลิเมอร์
(Dissolution property of polymer)
พอลิเมอร์ละลายยากกว่าสารโมเลกุลเล็กเพราะ:
โมเลกุลมีขนาดใหญ่ ยาว ขดไปมา ทาให้โมเลกุลของตัวทาละลาย
บางชนิดมีโครงสร้างเป็นร่างแหหรือตาข่าย แทรกตัวเข้าไปยาก
มีแรงยึดหเนี่ยวระหว่างสายโซ่โมเลกุลสูง
การละลายของพอลิเมอร์เกิดขึ้นเมื่อ แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของตัวทาละลายกับ
พอลิเมอร์ มากกว่าแรงดึงดูดระหว่างสายโซ่ของพอลิเมอร์
การคานวณค่าการละลายของพอลิเมอร์ ():
Vi
ค่าการละลายของตัวทาละลายต้องใกล้เคียงกับค่าการละลายของพอลิเมอร์ จึงจะ
สามารถละลายกันได้
39
ค่า Molar interaction constant ค่า Solubility parameter
ของหมู่ฟังก์ชันต่าง ๆ
พอลิเมอร์ solubility parameter (MPa)1/2
หมู่ฟังก์ชนั Molar interaction constant, Fi
[(MPa)1/2cm3mol-1] พอลิ(ไวนิลคลอไรด์) 20.3
พอลิสไตรีน 21.5
-CH3 438
พอลิอะคริโลไนไทรล์ 25.3
-CH2- 272
พอลิซัลโฟน 20.3
>CH< 57
นอร์มอล-เฮกเซน 14.9
>C< -190
คาร์บอนเททระคลอไรด์ 17.8
-CH(CH3)2- 495
เบนซีน 18.6
-O- 149
คลอโรฟอร์ม 19.0
-CO-(ether) 563
เททระไฮโดรฟิวแรน 19.4
-COO- (ester) 634
อะซีโทน 20.1
เมทานอล 29.7
น้า 47.9
40
Example: จงหาค่า Solubility parameter ของ poly(methyl methacrylate) ที่ 25 C
ถ้าความหนาแน่นของพอลิเมอร์มคี า่ เท่ากับ 1.188 g/cm3 ที่ 25 C
CH3
PMMA CH2 C
n
C O
OCH3
41
• หา Vi จากความหนาแน่น
43
ความเค้น (Stress) หมายถึง แรงต้านทานภายในเนื้อวัสดุท่มี ีตอ่ แรงภายนอกที่มา
กระทาต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ แต่เนื่องจากความไม่เหมาะสมทางปฏิบัติ และความยาก
ในการวัดหาค่านี้ เราจึงมักจะพูดถึงความเค้นในรูปของแรงภายนอกที่มากระทาต่อ
หนึ่งหน่วยพื้นที่ ด้วยเหตุผลที่วา่ แรงกระทาภายนอกมีความสมดุลกับแรงต้านทาน
ภายใน ความเค้น แบ่งได้เป็น 3 แบบ ตามชนิดของแรงที่มากระทา ดังนี้
Tensile stress ความเค้นที่เกิดจากแรงดึง
Compressive stress ความเค้นที่เกิดจากแรงกดหรืออัด
Shear stress ความเครียดที่เกิดจากแรงเฉือน
F
F F F F
F
ความเค้น (stress, ) = F
เมื่อ F = แรงกระทา (N)
A
A = พื้นที่ท่ไี ด้รับแรงกระทา (cm2) 44
ความเครียด (Strain) คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ (Deformation) เมื่อมีแรง
ภายนอกมากระทา การเปลี่ยนรูปของวัสดุนีเ้ ป็นผลมาจาการเคลื่อนที่ภายในเนือ้ วัสดุ
การเปลี่ยนรูปของวัสดุแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1. การเปลี่ยนรูปแบบอีลาสติกหรือความเครียดแบบคืนรูป (Elastic deformation
or elastic strain) เป็นการเปลี่ยนรูปในลักษณะที่เมื่อหยุดให้แรงกระทา อะตอมซึ่ง
เคลื่อนไหวเนื่องจากผลของความเค้นจะเคลื่อนกลับเข้าตาแหน่งเดิม ทาให้วัสดุคง
รูปร่างเดิมไว้ได้ ตัวอย่างเช่น ยางยืด, สปริง
45
Original form… Original form…
Return to original form after force removed… Deform after force removed…
L - L0
strain, =
L0
Gauge length
L เมื่อ L0 = ความยาวเริ่มต้น
L0
L = ความยาวหลังได้รับแรงกระทา
Tensile specimen
VDO: http://www.youtube.com/watch?v=Oz8fW68RY6I
47
วิธีวัดสมบัตเิ ชิงกลเทนไซล์
เตรียมชิน้ ตัวอย่างวัสดุเป็นรูปร่างและขนาดมาตรฐาน
Gauge length
Tensile specimen
L0
Gauge length: the distance along the specimen upon which extension calculations
are made.
http://www.engr.uky.edu/~asme/hpv/
http://www.engineeringarchives.
com/les_mom_tensiletest.html 48
วิธีวัดสมบัตเิ ชิงกลเทนไซล์ (ต่อ)
ดึงชิน้ ตัวอย่าง (tensile experiment) โดยค่อยๆ เพิ่มค่าแรงดึงจากน้อยไปมาก
วัดการยืดตัวของชิน้ ตัวอย่างต่อขนาดของแรงที่ใช้ในการยืด
F
Stress, =
L0 A
L-L 0
L Strain, =
L0
วาดกราฟระหว่างความเค้น (stress, ) และการยืดตัวของชิ้นตัวอย่างหรือที่เรียกว่า
ความเครียด (strain, )
อัตราส่วนระหว่าง และ เรียกว่า โมดูลัสของยัง (Young’s modulus) ซึ่งหาได้จาก
ค่าความชันของกราฟ
49
Tensile Testing of HDPE
http://www.youtube.com/watch?v=I28m4FZzqro&feature=related 50
Hooke’s Law: ในช่วงของวัสดุท่ีมีคุณสมบัติเป็น elastic ความเค้น () จะเป็นปฏิภาค
โดยตรงกับความเครียด ()
ความเค้น ( ความเครียด ()
= E
E = /
เมื่อ E เป็นค่าคงที่ ที่เรียกว่าโมดูลัสความยืดหยุ่น (Elastic modulus) หรือ โมดูลัสของยัง
(Young’s modulus) ซึ่งหาได้จากค่าความชันของกราฟระหว่างความเค้น () กับ
ความเครียด () โดยการลากเส้นตรงสัมผัสจุดเริ่มแรกของเส้นโค้ง ซึ่งเรียกว่า initial
tangent modulus A
Elongation at break B
ความเค้น (Stress)
51
ความเครียด (Strain)
จากค่าโมดูลัสและลักษณะของกราฟ สามารถจาแนกพอลิเมอร์เป็น 4 ชนิด ได้แก่
52
ความเค้น (Stress)
ความเครียด (Strain)
Stress,
Stress, Hard and brittle Soft and tough
Stress,
Strain, Strain, 54
Elongation at break
E = /
Stress,
Yield point
Strain,
56
เอกสารอ้างอิง
1. อโนดาษ์ รัชเวทย์. 2552. พอลิเมอร์ (พิมพ์ครัง้ ที่ 1). กรุงเทพฯ. ดวงกมล.
2. Malcolm P. Stevens. 1999. Polymer Chemistry: an introduction (3rd ed.). New York: Oxford
University Press.
3. ปรีชา พหลเทพ. 2536. โพลีเมอร์ (พิมพ์ครัง้ ที่ 8). กรุงเทพฯ. สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
57