Professional Documents
Culture Documents
Chili
Chili
มณีฉัตร นิกรพันธุ
รองศาสตราจารย
ภาควิชาพืชสวน
คณะเกษตรศาสตร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม
II
สารบัญ
หนา
บทที่ 1 ตระกูล Solanaceae พริก (Capsicum sp.)
คํานํา 1
ลักษณะทางพฤกษศาสตร และการจัดจําแนก 2
การจัดจําแนกพริกโดยลักษณะทางพืชสวน 23
การจัดจําแนกพริกในประเทศไทยโดยใชการแยกชนิด
ทางพฤกษศาสตร 26
การจัดจําแนกพริกในประเทศไตหวันโดยใชการวิเคราะห DNA 26
ลักษณะทางพันธุกรรมและความสามารถในการผสมขามชนิด 29
บทที่ 2 การปลูกและดูแลรักษาพริกเพื่อผลสดและผลแหง 32
ก. การเตรียมเมล็ด 32
ข. การเตรียมแปลงเพาะกลา 32
ค. การเพาะกลาและดูแลรักษาตนกลา 33
ง. การเตรียมแปลงปลูก 33
จ. การยายกลาและดูแลรักษา 34
ฉ. การเก็บเกี่ยวผลสด และกระเทาะเมล็ด 35
ช. การจัดมาตรฐานผลสด 36
ญ. การตลาด 38
ฌ. การแปรรูปและวิธีการแปรรูป 38
บทที่ 3 โรคพริก แหลงพันธุกรรมที่ตานทานโรค การปองกันกําจัด
และคุณภาพของผลพริก 42
ก. โรคกุงแหง 42
ข. โรคผลเนา 43
ค. โรคยอดและดอกเนา 43
ง. โรคใบจุด 43
จ. โรคกลาเนา 43
III
สารบัญ
หนา
ฉ. โรคราแปง 47
ช. โรคเหี่ยว 47
ญ. โรคใบหงิกหรือใบดาง 48
แมลงศัตรูพริก 48
ความเผ็ดของพริกและพันธุกรรมที่ควบคุมความเผ็ด 56
การใชเอทธิลนี ควบคุมการแกของผลพริก 57
การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในผลพริก 58
บทที่ 4 การผลิตเมล็ดพันธุและแหลงผลิตเมล็ดพันธุพริกพันธุแทและ
พันธุล ูกผสม 60
ฤดูกาลผลิตเมล็ดพันธุพ ริก 60
การปฏิบัติในการผลิตเมล็ดพันธุพ ริกแท 60
การปฏิบัติในการผลิตเมล็ดพันธุพ ริกลูกผสม 61
ก. วันปลูกที่เหมาะสมสําหรับผลิตเมล็ดพันธุพริกลูกผสม 61
ข. การเพาะเมล็ด 61
ค. การเตรียมถุงดินหรือกระบะเพาะกลา 62
ง. การเตรียมแปลงปลูกพริก 62
จ. การดูแลรักษาตนกลา 62
ฉ. การยายกลา 63
ช. การดูแลรักษาพริกในแปลงปลูก 63
ญ. การแตงกิง่ และดอกพริก 63
ฌ. การเตรียมเกสรตัวผูและตัวเมีย 64
ด. การผสมพันธุด อกพริก 64
ท. การเก็บเกี่ยวผลพริกและเมล็ดพันธุพ ริก 65
IV
สารบัญ
หนา
บทที่ 5 การปรับปรุงพันธุพริก 76
การวางแผนการผสมพันธุพริก 91
ก. วิธีการคัดเลือกสายพันธุแบบบันทึกประวัติ
(pedigree method) 91
ข. วิธีการคัดเลือกแบบเมล็ดเดี่ยว
(single seed descent) 99
ค. วิธีการคัดเลือกหมู (mass selection) 99
ง. วิธีการผสมกลับ (backcross method) 102
จ. วิธีการผสมผสานของการคัดเลือกสายพันธุ
และการคัดเลือกหมู 108
ฉ. วิธีการคัดเลือกแบบวงจร (recurrent selection) 108
ช. วิธีการปรับปรุงพันธุลูกผสม (F1 hybrid) 110
บทที่ 6 การใชยีนตัวผูเปนหมันในการปรับปรุงพันธุพ ริกเผ็ด 122
การทดลองที่ 1 รวบรวมและปรับปรุงพันธุพริกเผ็ด 124
1.1 การรวบรวมพันธุพริกเผ็ดและผลิตเมล็ดพันธุแท 124
ผลการรวบรวมพันธุพริกเผ็ดและผลิตเมล็ด
พันธุแท 125
1.2 การผสมพันธุ 126
ผลการผสมพันธุ 126
1.3 การทดสอบพันธุลูกผสมชั่วที่ 1 126
ผลการทดสอบพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1 127
วิจารณ 133
สรุป 134
V
หนา
การทดลองที่ 2 รวบรวมและปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแม
และลูกผสมชั่วที่ 1 136
2.1 การคัดเลือกสายพันธุพ อ
ผลการคัดเลือกสายพันธุพอ 136
2.2 การผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของ
สายพันธุแม 136
ผลการผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของ
สายพันธุแม 137
2.3 วิธีการผสมพันธุ การทดสอบพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1
และการหาปริมาณสารแคบไซซินในพริก 139
การทดสอบพันธุลูกผสมชั่วที่ 1 139
การหาปริมาณสารแคบไซซินในพริก 139
ผลการทดสอบพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1 140
ผลการหาปริมาณสารแคบไซซิน 140
วิจารณ 145
การทดลองที่ 3 ศึกษาพันธุกรรมของพริกเผ็ดในสายพันธุที่มีเกสร
ตัวผูเปนหมัน 147
วิธีการทดลอง 148
ผลการศึกษาพันธุกรรมของพริกเผ็ดในสายพันธุทมี่ ีเกสรตัวผู
เปนหมัน 148
วิจารณ 151
บทที่ 7 โรคไวรัสในพริก 152
เชื้อสาเหตุของโรคไวรัสในพริก 155
พาหะนําโรคไวรัส 155
สัณฐานวิทยาของพริกตานทานไวรัส 155
ความปลอดภัยของพริก GMO สําหรับการบริโภค 156
เอกสารอางอิง 156
VI
สารบัญตาราง
หนา
ตารางที่ 1 คุณคาทางอาหารโดยเฉลีย่ ของพริกเผ็ดและพริกหวาน 2
ตารางที่ 2 ลักษณะทางพฤกษศาสตรของพริกชนิดตางๆ 22
ตารางที่ 3 การแยกชนิดพันธุพ ริกในประเทศไทย 28
ตารางที่ 4 ตารางการปฏิบัติงานในการผลิตพริกสด 35
ตารางที่ 5 โรคพริกและเชื้อสาเหตุ 44
ตารางที่ 6 พันธุพ ริกตานทานโรคและยีนที่ควบคุมความตานทานโรค 46
ตารางที่ 7 สายพันธุพ ริกตานทานโรคและมีลักษณะที่ดีทางพืชสวน
ไดมาโดยวิธกี ารปรับปรุงพันธุแบบตางๆ 87
ตารางที่ 8 ผลผลิตพริกสดและพริกแหงของลูกผสมขามพันธุ พอและแมพันธุพริก 113
ตารางที่ 9 การผสมตัวเองและผสมขามชนิดพริก C. annuum, C. chinense
และ C. baccatum 116
ตารางที่ 10 ยีนของพริก (Bassett. 1986) 117
ตารางที่ 11 ผลการทดลองการทดสอบพันธุลูกผสมชั่วที่ 1 ของพริก
ตารางที่ 12 ผลการทดลองการทดสอบพันธุลูกผสมชั่วที่ 1
แสดง % heterosis ของผลพริก 132
ตารางที่ 13 ผลการทดสอบความเผ็ดของพริกสายพันธุตางๆ 132
ตารางที่ 14 ปริมาณสารแคบไซซินตอกรัมของผลพริก และเปอรเซ็นต
ความดีเดนของลูกผสมชัว่ ที่ 1 ลูกผสมกลับครั้งที่ 1 และ
ลูกผสมกลับครั้งที่ 2 ของพริกเผ็ด 138
ตารางที่ 15 ผลผลิตและลักษณะทางพืชสวนของลูกผสมชั่วที่ 1
เปรียบเทียบกับพันธุก ารคาของพริกเผ็ด 143
VII
สารบัญรูปภาพ
หนา
รูปที่ 1 ลักษณะใบ ดอก และผลของพริก 7
รูปที่ 2 รูปรางของผลพริกในกลุม ตางๆ 27
รูปที่ 3 โครโมโซมของพริก 6 ชนิด 30
รูปที่ 4 ความสามารถในการผสมขามขนิดของพริก 31
รูปที่ 5 ผลผลิตพริกสดและพริกแหงที่ออกสูตลาดในชวงตางๆ
จากแหลงปลูกหลายแหง 37
รูปที่ 6 วิถีตลาดพริกเล็ก จังหวัดเชียงใหม 40
รูปที่ 7 วิถีตลาดพริกใหญ จังหวัดเชียงใหม 41
รูปที่ 8 โรคพริก 50
รูปที่ 9 การปฏิบัติในการผลิตเมล็ดพันธุพ ริกยักษลูกผสม 66
รูปที่ 10 ดอกพริกทีม่ ีเกสรตัวผูปกติและไมปกติ 80
รูปที่ 11 สายพันธุพ ริกสําหรับผลิตเมล็ดพันธุพ ริกลูกผสม 82
รูปที่ 12 การผลิตเมล็ดพันธุลกู ผสม F1 และสายพันธุพอและแมของพริกทีม่ ียนี
กลายพันธุ ms (genic male sterility) 85
รูปที่ 13 การผลิตเมล็ดพันธุลกู ผสม F1 และสายพันธุพอและแม
ของพริกทีม่ ียนี กลายพันธุ CMS (cytoplasmic male sterility) 86
รูปที่ 14 การกระจายของยีนที่ควบคุมลักษณะสีเหลืองของผลพริกยักษ 92
รูปที่ 15 แผนผังการคัดเลือกสายพันธุ (pedigree method) ของลูกผสม
เพื่อคัดสายพันธุแทที่ดี หลังจากผสมตัวเองแลว 8 ชั่วอายุ 90
รูปที่ 16 วิธีการคัดเลือกแบบเมล็ดเดี่ยว (single seed descent, SSD) 100
รูปที่ 17 แผนผังการคัดเลือกหมู (mass selection) ของลูกผสม
เพื่อคัดสายพันธุแทที่ดี 101
รูปที่ 18 การผสมกลับและผสมขามในการปรับปรุงพันธุพ ริกตานทานตอโรค
PMV และ CMV 103
รูปที่ 19 วิธีการผสมกลับ (backcross) กรณีที่ลักษณะที่ตองการควบคุม
โดยยีนขมคูเดียว 104
VIII
สารบัญรูปภาพ
หนา
รูปที่ 20 วิธีการผสมกลับ (backcross) กรณีที่ลักษณะที่ตองการถายทอด
ถูกควบคุมโดยยีนดอยคูเดียว 105
รูปที่ 21 แผนการปรับปรุงพันธุพริกหวานโดยใช C. annuum และ C. chinense 107
รูปที่ 22 การคัดเลือกแบบวงจร (recurrent selection) 109
รูปที่ 23 การปรับปรุงพันธุลูกผสมพริก (F1 hybrid) จากพันธุแทพนั ธุผสมเปด
และพันธุลกู ผสม 111
รูปที่ 24 ผลพริกลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1 x พริกหนุมเขียว 129
รูปที่ 25 ผลพริกลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1 x พริกบางชาง 130
รูปที่ 26 ผลพริกลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1 x พริกหนุมเขียวแมโจ 130
รูปที่ 27 ผลพริกลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1 x พริกหนุมขาวแมกงุ 131
รูปที่ 28 ดอกที่มีเกสรตัวผูสมบูรณ (ซาย) และดอกที่มีเกสรตัวผูฝอ (ขวา) ของพริก 137
รูปที่ 29 ผลผลิตตอตนของลูกผสมชัว่ ที่ 1 KY 1-1 BC2#10 x 1-3-7 138
รูปที่ 30 ผลผลิตและสารแคปไซซินของพอพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1 และพันธุการคา 144
บทที่ 1
ตระกูล Solanaceae
พริก (Capsicum spp.)
คํานํา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร และการจัดจําแนก
พริกมีแหลงกําเนิดในอเมริกาเขตรอน ตั้งแตกอนโคลัมบัส พบทวีปอเมริกา พันธุ
พริกที่ปลูกในปจจุบันถูกนํามาจากตัวอยางที่เก็บมาเพียงเล็กๆ นอยๆ เมื่อเทียบกับการกระจายตัว
ของพันธุกรรมในธรรมชาติ พริกพันธุป ลูกแบงไดเปน 3 กลุมใหญๆ ไดแก Capsicum
baccatumและ C. pubescens R. and P. ซึ่งแยกออกจากกันไดชัดเจนโดยลักษณะทาง
พฤกษศาสตรและอีกกลุมหนึ่งที่รวมๆ กันอยู ปจจุบันยอมรับใหแยกเปนอีก 3 ชนิด (species)
ดวยกันไดแก C. annuum L., C. frutescens L, และ C. chinense Jacq. (Pickersgill.
1988) (รูปที่ 1:1.1-1.28) อธิบายแยกชนิดไดดังนี้
ก. Capsicum annuum L.
เปนชนิดที่ปลูกมากและมีความสําคัญมากที่สุดเมื่อเทียบกับพริกชนิดอื่นๆ มี
แหลงดั้งเดิมอยูในอเมริกากลางไดแก ประเทศเม็กซิโกและประเทศใกลเคียง มีหลักฐานวาถูก
3
Capsicum baccatum L.
พริกชนิดนี้มีถนิ่ กําเนิดในประเทศโบลิเวีย (Heiser. 1976) มีหลักฐานทาง
โบราณคดีของประเทศเปรูวา พริกชนิดนี้ C. baccatum var. pendulum ปลูกโดยคนโบราณกอน
คริสตศตวรรษถึง 2500 ป (Pickersgill.1969a) การกระจายของพริกชนิดนี้พบในประเทศเปรู
ประเทศโบลิเวีย ประเทศประเทศอาเจนตินา และประเทศบราซิลตอนใต ตอจากนั้นไดกระจายไป
ยังตอนใตของประเทศสหรัฐอเมริกา ฮาวาย และประเทศอินเดีย ในศตวรรษที่ 17 มีการกระจาย
ของพริกชนิดนี้ถึงยุโรป พริกนี้ไมเปนทีน่ ยิ มปลูกในทวีปเอเชียและแอฟริกา ทัง้ นี้อาจเปนเพราะ
C. annuum และ C. frutescens ไดรับความนิยมอยูแ ลว จากการรวบรวมพันธุพ ริกในประเทศ
4
Capsicum frutescens L.
ถิ่นกําเนิดของพริกชนิดนี้อยูใ นอเมริกาใตเชนเดียวกับชนิดอื่น และพบหลักฐาน
ทางโบราณคดีในประเทศเปรูกอนคริสตศตวรรษถึง 1200 ป (Pickersgill. 1969a) พบวามีการ
กระจายพันธุอยูในประเทศบราซิลตอนใตไปถึงตอนกลางของทวีปอเมริกา หมูเกาะ West Indies
ทวีปแอฟริกา และทวีปเอเชีย พันธุทปี่ ลูกในอเมริกาเปนชนิดผลโต เรียกวา Tabasco pepper ซึ่ง
เปนพันธุท ี่รูจกั กันแพรหลาย นอกจากนี้ยังมีพนั ธุผลโตอื่นๆ อีก มีปลูกแถบทะเลคาลิเบียน ทวีป
ยุโรปและทวีปเอเชีย แตพันธุที่นยิ มในทวีปเอเชียเปนพริกผลเล็ก มีความเผ็ดมาก บางแหงใชพริก
พวกนี้ในการสกัดสาร oleoresin ในประเทศไทย มีรายงานวามีพริกชนิดนี้ 3 สายพันธุ ไดแก
พริกชี้ฟา พริกเกษตร และพริกขาว (Worayos. 1986) พริกชนิดนีม้ ลี ักษณะเดนทีม่ ีดอกเดี่ยว แต
พริกพันธุปา ของ C. frutescens มี 2-3 ดอก ในแตละขอ ดอกมีสีเขียวออน (greenish white)
ผลพริกของพันธุปาใชบริโภคไดและมีรสเผ็ด
6. ดอก 2 ดอกขึ้นไป
8. กลีบดอกสีขาว………………………………………......C. annuum
8. กลีบดอกสีเขียวออน
9. กานดอกตั้ง กลีบโคงไปดานหลัง………………..C. frutescens
9. กานดอกหอย กลีบดอกตรง…………………..C. chinense
ตารางที่ 2 ลักษณะทางพฤกษศาสตรของพริกชนิดตางๆ
ลักษณะตน
พริกเปนพืชไมพุม ลําตนตรง แตกกิ่งกานสาขาแบบรัศมี และกิ่งแขนงแตกสาขา
แบบทวีคูณ จาก 2 กิ่ง เปน 4 กิ่ง และ 8 กิ่ง เปนตน บอยครั้งมีกงิ่ แขนงแตกจากระดับใตดินเจริญ
คลายเปนตนใหมอยูรวมกันเปนกระจุก ตนมีขนาดพุม ลักษณะตางๆ กัน เชน พุมเตีย้ และพุมสูง
ลักษณะใบ
ใบเปนใบเดี่ยวมีขนาดตางๆ กัน กานใบมีความยาวประมาณ 0.5-2.5 ซม. ใบ
กวางมีรูปไข ขอบใบเรียบปลายใบแหลม ใบบางและสวนใหญไมมีขน
ลักษณะราก
มีรากแกวแข็งแรง แตมักจะชงักการเจริญเนื่องจากการยายกลา มีรากแขนงแตก
มากมาย และมีความยาวถึง 1-1.5 เมตร รากฝอย พบอยางมากบริเวณรอบๆ ตน
ลักษณะดอก
ดอกเปนดอกเดี่ยว เกิดที่ขอ อาจมีหลายดอกเกิดจากขอติดๆ กันจนดูคลายเปน
ดอกชอ กานดอกมีความยาว 1.5 ซม. กลีบเลี้ยงสัน้ ประมาณ 2 มม. มี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5
กลีบ เสนผาศูนยกลาง 8-15 ซม. แตกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอาจมี 4-7 กลีบก็ได กลีบดอกมีสี
ขาวหรือเขียวออน หรือมวง เกสรตัวผูมี 5-6 อัน อยูที่ฐานของกลีบดอก อับละอองเกสรมีสีฟาหรือ
23
ลักษณะของผล
ผลพริกไมแตกเปนชนิด berry มีเมล็ดมากมีทงั้ ผลหอย หรือผลตั้ง ผลเกิดที่ขอ
ขนาด รูปราง สี ความเผ็ด มีตางๆ กัน ความยาว 1-30 ซม. ผลออนมีสเี ขียวหรือมวง ผลสุกมีสีแดง
สม เหลือง น้าํ ตาล ครีม หรือมวง ความเผ็ดมีระดับตางๆ กัน ฐานของผลเปนฐานรูปถวยหรือรูป
จานรองถวยซึง่ ใชในการแยกประเภทของพริก เมล็ดมีสเี หลืองซีด ความยาว 3-5 มม.
การผสมพันธุพริก
ลักษณะทางพฤกษศาสตรของดอกพริกซึง่ มีเกสรตัวผู และตัวเมียอยูในดอก
เดียวกัน สงเสริมใหพริกมีการผสมตัวเอง สวนใหญในสภาพธรรมชาติ พริกมีการผสมขามมาก
จากการทดลองในประเทศอิตาลี พบวา การผสมขามมีตั้งแต 1 ถึง 46 เปอรเซ็นต (Belletti and
Quagliotti.1989) การผสมขามเกิดจากแมลงเปนสวนใหญ และมีสว นนอยที่เกิดจากลม ดังนัน้
พริกจึงมีความแปรปรวนในลักษณะของตน ดอก ผล รูปรางผล สีและความเผ็ดของผลพริก การ
ผสมขามนีเ้ กิดระหวางพริกชนิดเดียวกันแตตางพันธุ( intra-specific cross pollination) และเกิด
ระหวางพริกตางชนิดกันได (inter-specific cross pollination) การผสมพันธุพริกเกิดไดทุกเวลาใน
ชวงเวลากลางวัน ทั้งนีด้ อกพริกที่เจริญเต็มที่จะบานเมื่อไดรับแสงอาทิตย สวนใหญดอกบาน
ภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากดวงอาทิตยขึ้น (Erwin. 1932) การผสมเกสรทําใหเมล็ดติดดีในชวงเวลา
เชาหรือเย็น เมื่ออุณหภูมิของอากาศไมสูงเกินไป
การจัดจําแนกพริกโดยลักษณะทางพืชสวน
Erwin. 1932 ไดแยกพริกโดยอาศัยลักษณะของฐานรองดอกและกลีบเลี้ยง ไดมงุ
ในการจําแนกชนิดพริกเฉพาะใน C. annuum และมี C. frutescens คือกลุม Tabasco อยูดวย
ทั้งนี้เนื่องจาก พริกที่ปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกาเปน C. annuum แทบทัง้ สิ้น การแยกไดพริก
2 กลุมไดแกกลุมที่มฐี านรองดอกเปนรูปถวย ในกลุม นี้มี Tabasco และ Cayenne group
และอีกกลุมเปนกลุมที่มีฐานของดอกเปนรูปจานรองถวย ประกอบดวย Cherry, Celestial,
Perfection Tomato และ Bell group ตอมาพริกมีความแปรปรวนภายในชนิดมากขึ้น และมีพริก
ชนิดอื่นถูกนําไปปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกา Smith, et al. 1987 จึงไดเสนอการจัดจําแนก
ประเภทของพริกใหมโดยใชลักษณะของผลพริกในการจําแนกดังนี้ (รูปที่ 2)
24
6. พริกผลออนสีเหลือง
6.1 Small wax group ความยาวของผล 7.5 ซม. หรือสั้นกวานี้ แยกไดเปน 2 กลุม
ไดแก
6.1.1 รสไมเผ็ด เชนพันธุ Petite Yellow Sweet และ Tam Rio Grande Gold
6.1.2 รสเผ็ด เชนพันธุ Floral Gem, Cascabella และ Caloro
6.2 Long wax group ความยาวของผล 8.8 ซม. หรือมากกวา ปลายแหลมหรือ
ปลายทู แยกไดเปน 2 กลุม ไดแก
6.2.1 รสไมเผ็ดเชนพันธุ Sweet Banana, Hungarian Sweet Wax และ
Long Yellow Sweet
26
7. พริกผลเรียว ผลออนสีเหลือง
เมื่อแกจัดสีแดง ความยาวของผล 2.5-3.75 ซม. รสเผ็ดมาก ชื่อชนิด
C. frutescens
7.1 Tabasco group เชนพันธุ Greenleaf Tabasco และ Tabasco ใชสําหรับทํา
พริกดอง และทําซอส
การจําแนกพริกในประเทศไทยโดยใชการแยกชนิดทางพฤกษศาสตร
แมวาพริกไมใชพืชทีม่ ีรากฐานแตดั้งเดิมในประเทศไทย แตพริกเปนที่ยอมรับและ
ปลูกโดยทัว่ ไป มีความหลากหลายของพันธุพ ริกที่ปลูกกันทั่วไป มีกลุมนักวิทยาศาสตร
หลายกลุมไดพยายามศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร เพื่อแยกชนิดของพริก ไดแก อักษร. 2523
พยนตและคณะ. 2526 และ Worayos. 1986 สรุปการแยกพริกทีพ่ บในประเทศไทยไดตามตาราง
ที่ 3 จะเห็นไดวาการแยกชนิดของพริกในแตละรายงานไมตรงกัน อักษร. 2523 จัดจําแนกพริก
อยูในชนิด C. frutescens พยนตและคณะ. 2526 ไดจดั พริกในประเทศไทยวามีเพียง 2 ชนิดไดแก
C. annuum และ C. frutescens สวน Worayos. 1986 ไดรายงานวามี 3 ชนิดใหญๆ ไดแก
C. annuum, C. frutescens และ C. chinense และมีบางพันธุท ี่เขาใจวาอาจเปนชนิด
C. pubescens และ C. baccatum พริกสวนใหญทพี่ บจัดอยูใน C. annuum มากกวาชนิดอื่นๆ
ทั้งหมด การแยกชนิดของแตละรายงานไมตรงกัน เนื่องจากใชชื่อทองถิ่นของพริก เชนพริกชี้ฟา
ถูกจัดอยูใน C. annuum C. chinense และ C. frutescens ผูเขียนมีความเห็นวา ควรมีการจัด
จําแนกพริกชนิดตางๆ ใหม จากการจําแนกนี้ผูเขียนเคยใหนกั ศึกษาระดับปริญญาตรีและโท
ทดลองทํา พบวาพริกที่ปลูกมี 3 ชนิดไดแก C. annuum C. chinense และ C. frutescens ใน
กลุมพริกพวกนี้ C. annuum พบมากที่สดุ สวน C. chinense และ C. frutescens มีบางเปน
จํานวนนอย
ตารางที่ 3 การแยกชนิดพันธุพริกในประเทศไทย
ลักษณะทางพันธุกรรมและความสามารถในการผสมขามชนิด
พริกมีโครโมโซม n=12 Ohta (1962) ไดแสดงลักษณะของโครโมโซมพริก
หลายชนิด ดังรูปที่ 3 พริกทั้ง 6 ชนิดนี้มโี ครโมโซม 9 โครโมโซมที่เหมือนกัน ความแตกตางของ
พริกทัง้ 6 ชนิด ดูไดจากโครโมโซมที่เหลือ ถาโครโมโซมทั้ง 3 โครโมโซมมีความแตกตางกันนอย
การผสมขามชนิดเกิดขึ้นไดงา ย เชน C. frutescens ผสมกับ C. pendulum ถา โครโมโซมทัง้ 3
โครโมโซมมีความแตกตางกันมาก การผสมขามชนิดเกิดขึ้นไดยาก จากการศึกษาของ
Pickersgill. 1967, 1971 และ 1980 ไดรายงานวา การผสมพันธุข ามชนิดของพริกเกิดไดเสมอ
และพริกชนิดตางๆ สามารถผสมกันได แมกระทั่งพริกกลุมดอกสีขาว และกลุมดอกสีมวงซึ่งเปน
กลุมที่แยกกันอยางเห็นชัดเจนก็ยงั สามารถผสมขามชนิดได ความสามารถในการผสมขามชนิด
แสดงไวในรูปที่ 4 การผสมขามชนิดเกิดไดมากยิ่งขึน้ ถาใชเทคโนโลยีเขาชวย เชน ใชพริกชนิดใด
ชนิดหนึ่งเปนสะพานสําหรับการผสมกับพริกชนิดอืน่ ๆ ตัวอยางที่เห็นไดแกการใช C. chinense
เปนสะพานสําหรับ C. annuum และ C. frutescens ซึ่งทัง้ 2 ชนิดหลังนี้สามารถผสมขามชนิด
และเมล็ดลูกผสมที่ไดมางอกไดบางไมไดบาง พริกทั้ง 3 ชนิด สามารถถายทอดยีนซึ่งกันและกัน
และนําไปผสมกับพริกชนิดอื่นได นอกจากนี้การใชวิธีผสมพันธุ 2 ครั้ง (double fertilization) ก็ใช
ไดผลเชนการผสมระหวาง C. annuum และ C. baccatum var. pendulum อีกวิธีการหนึง่ ไดแก
การใชกาซไนตรัส ออกไซด (nitrous oxide, N2O) รมดอกตัวเมียของ C. annuum ที่ความดัน 6
บรรยากาศ เปนเวลา 4 ชั่วโมง กอนผสมพันธุกับเกสรของ C. baccatum การใชวิธีเลี้ยงตัวออน
ในสภาพปลอดเชื้อก็เปนอีกวิธีการหนึ่งที่ชว ยใหการผสมขามชนิดเกิดขึ้นไดเชนการผสมระหวาง
C. chinense และ C. pubescens
การผสมพันธุพ ริกขามชนิด และปญหาที่เกิดเนื่องจากพันธุกรรม ไดมีผูศึกษา
และรวบรวมไวหลายทาน อาทิ เชน Pickersgill. 1991 และ 1992 ประโยชนของการผสมขามชนิด
ไดถูกนําไปใชในการปรับปรุงพันธุพริกตานทานโรคไวรัส (Stevamovic, et al. 1992) ลูกผสมทีไ่ ด
จากการผสมขามชนิดนี้สามารถแสดงทีม่ าของยีน โดยใชความแตกตางของไอโซไซม (isozyme)
ของลูกผสมไดเชน Andrzejewski, et al. 1989/1990 ไดศึกษาไอโซไซมของลูกผสมขามชนิดของ
พริกและพอแมพันธุ พบวา การแยกไอโซไซมสามารถแสดงที่มาของยีนของลูกผสมวามาจากพอ
หรือจากแมพนั ธุใด แตไอโอไซมก็ไมสามารถใชไดเสมอไปในพอและแมทุกพันธุ
การจัดจําแนกพริกไทยใชโปรตีนของเมล็ด นํามาแยกออกจากกัน โดยใช
electrophoresis เปนวิธีการเกาแกที่ใชในพืชหลายชนิด พบวา สามารถใชวิเคราะหพันธุพ ืชไดวา มี
ความแตกตางกันของโปรตีน และสามารถใชตรวจสอบลูกผสมชั่วทีห่ นึง่ วาเปนลูกผสมที่เกิดจาก
พอและแมพนั ธุหรือไม Kale, et al. 1998 ไดใชวิธีการนีใ้ นการจําแนกพอแมลูกของพริก 11 พันธุ
ไดแก แมพันธุ 2 พันธุ, พอพันธุ 3 พันธุ และลูกผสมของพอแมพันธุเ หลานี้ 6 คูผสม พบวา
30
C. annuum
C. frutescens
C. pendulum
C. pubescens
C. microcarpum
C. chacoense
⎯ ลูกผสม F1 งอกปกติ
----- ลูกผสม F1 เจริญไดโดยการเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ
…… ผลและเมล็ดเจริญแตเมล็ดไมมีชีวิต
θθθθ ลูกผสม F1 บางสวนมีชีวิต
ลูกผสม F1 สวนใหญมีชีวิต
ΤΤΤΤΤ
ลูกศรบอกทิศทางของพันธุแม
บทที่ 2
การปลูกและดูแลรักษาพริกเพื่อผลสดและผลแหง
การปลูกและดูแลรักษาพริกเพื่อผลสดและผลแหงเปนวิธีการที่ไมพถิ พี ิถัน และ
ละเอียดเหมือนการปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ พริกอาจปลูกโดยใชเมล็ดหยอดลงในหลุมปลูกโดยตรง
หรือโดยการยายกลา ทําไดทั้ง 2 แบบ แตความนิยมปลูกแบบยายกลามีมากกวา เพราะการดูแล
รักษาตนกลาทําไดงา ยและใชพื้นที่เพียงเล็กนอย ไมเปลืองเมล็ดพันธุ และยาฆาแมลง เมื่อ
ยายกลาลงแปลงแลว ก็ตองดูแลรักษา โรค แมลง วัชพืช ปุย การใหน้ําใหถูกตอง ผลผลิตของ
พริกที่ไดจึงจะมีคุณภาพดี และมีปริมาณมาก ดังนัน้ ขั้นตอนการปลูกจึงแบงได ดังนี้
ก. การเตรียมเมล็ด
ข. การเตรียมแปลงเพาะกลา
ค. การเพาะกลาและการดูแลรักษาตนกลา
ง. การเตรียมแปลงปลูก
จ. การยายกลาและการดูแลรักษา
ฉ. การเก็บเกีย่ วผลสด และกะเทาะเมล็ด
ช. การจัดมาตรฐานผลสด
ญ. การตลาด
ณ. การแปรรูปและวิธีการแปรรูป
ก. การเตรียมเมล็ด
ควรใชเมล็ดพันธุที่ดี มีเปอรเซ็นตความงอกสูง มีลกั ษณะตรงตามพันธุ อาจเปน
เมล็ดที่ไดจากการคัดเลือกตนที่ดี หรือเปนเมล็ดทีซ่ ื้อมาจากรานขายเมล็ดพันธุ นําเมล็ดบรรจุใน
ถุงพลาสติกที่เจาะรูไวเพื่อใหน้ําซึมเขาได แชถุงเมล็ดพันธุลงในน้าํ ซึ่งมีสวนผสมของสารเคมี
ปองกันเชื้อรา เชน ไดเทนเอ็ม 45 หรือ ริดโดมิล หรือเบนเลท ควรแชไวหนึ่งคืน นําเมล็ดออกจาก
ถุงหอเมล็ดไวในถุงผาทีเ่ ปยกน้ําทิง้ ไวประมาณ 2 วัน จะสังเกตเห็นตุม สีขาวเล็กๆ จึงนําไปเพาะถา
หากเปนการหยอดเมล็ดลงหลุมปลูกโดยตรงอาจจะแชเมล็ดดังที่กลาวมาแลวหรือไมแชเมล็ดก็ได
ข. การเตรียมแปลงเพาะกลา
แปลงเพาะกลามักถกู เตรียมขึ้นใกลๆ แปลงปลูก เพื่อความสะดวกในการขนยาย
กลาควรเลือกบริเวณที่เนินทีน่ ้ําไมขังโดยเฉพาะในฤดูฝน คลุกปุยคอก และขี้เถาแกลบลงในดิน
แปลงเพาะในอัตราสวนที่สมควรเพื่อใหแปลงเพาะมีดนิ รวนซุย อัตราสวนที่ใชแลวแตสภาพดินใน
33
ค. การเพาะกลาและการดูแลรักษาตนกลา
หวานเมล็ดที่เตรียมไวในขอ ก. ลงในแปลงใหหางกันประมาณ 4 x 5 เซนติเมตร
เมื่อหวานแลวใชดินกลบบางๆ แลวจึงใชฟางคลุมหนาแปลง เมล็ดใชเวลางอกประมาณ 5-7 วัน
ควรใชตาขายคลุมแปลงอีกทีหนึ่งเพื่อปองกันฝนตกบนตนกลาโดยตรง ในฤดูฝนมีความ
จําเปนตองคลุมแปลงเพาะกลาดวยตาขายสีฟาหรือฟางขาวมัดเปนแผงโปรงๆ การคลุมนี้ทาํ ใน 2
สัปดาหแรกของการเพาะเทานัน้ แลวรื้อออก ใหตนกลาไดรับแสงแดดเต็มที่ ดูแลใหนา้ํ ตนกลา
สม่ําเสมอ รดน้ําตอนเชาและเย็น ฉีดยาปองกันแมลงและเชื้อราทุกๆ สัปดาหจนกระทั่งยายปลูก
กอนยายปลูกตองงดการใหน้ําลงเพื่อใหตน กลาชินตอสภาพแหง ทําใหตนกลาแข็งแรงและมีความ
ทนทาน เมื่อกลามีอายุ 40-45 วัน ก็ยา ยปลูกได
ง. การเตรียมแปลงปลูก
แปลงปลูกพริกตองเลือกแปลงที่ไมมนี ้ําขัง ถาหากระบบการใหน้ําเปนระบบให
ตามรอง พื้นที่ควรมีความสม่ําเสมอ พริกไมชอบน้ําขัง ดังนั้นการเตรียมแปลงก็แลวแตลักษณะ
ภูมิอากาศภูมปิ ระเทศและการปฏิบัติในแปลงเชน การปลูกพริกในฤดูหนาวซึง่ ปลูกในนา ก็มีการไถ
และยกรองรองที่ยกควรมีความยาวขนานทางทิศเหนือและใต การปลูกลักษณะนี้มกั ใหนา้ํ ตามรอง
แตบางทองที่เชนบานหัวเรือ จังหวัดอุบลราชธานี การปลูกไมยกรองเลย แตใหน้ําแบบฝกบัวรดน้าํ
แปลงพริกฤดูฝนจําเปนตองยกรองเสมอ ระดับพื้นที่อาจไมเรียบสม่ําเสมอเหมือนทีน่ า แตตองมี
ความลาดเทพอสมควรใหนา้ํ ระบายได เชน การปลูกพริกแถบอําเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหมซึ่ง
อาศัยน้าํ ฝนเปนหลัก
ระยะปลูกถาเปนพริกเล็กใชระยะระหวางแถว 60 เซนติเมตร และระยะระหวาง
ตน 50 เซนติเมตร สําหรับพริกใหญระยะระหวางแถว 100 เซนติเมตร และระยะระหวางตน 50-
60 เซนติเมตร
เมื่อเตรียมแปลงและขุดหลุมเรียบรอยแลว ตองรองกนหลุมดวยปุยคอก หรือปุย
หมักในอัตรา 3-4 ตันตอไร หรือประมาณหลุมละ 1 กิโลกรัม ปุยคอกอาจเปนขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู
ขี้เปด หรือขี้ไกก็ได แตตองเปนปุยคอกเกา ถาเปนปุย ขี้เปดและขี้ไก ตองลดอัตราการใชปุยคอกลง
34
ด ด
การใสปูนขาวในแปลงปลูกมักไมคอยปฏิบัติบอยนักในแปลงเกษตรกร แตควร
ใสปูนขาวในกรณีที่ดินเปนกรดมากๆ การใสปูนขาวควรใสตั้งแตเริ่มไถแปลง จะทําใหปูนขาวคลุก
กับดินไดทั่วถึง
จ. การยายกลาและการดูแลรักษา
เมื่อกลามีอายุ 40-45 วัน ทําการยายปลูกได วิธีการยายปลูกทําแบบงายๆ โดย
รดน้ําใหชมุ แลวจึงถอนตนกลาไมตองใหติดดิน หากตองการปองกันโรคราก็ชุบรากตนกลาในน้าํ ที่
มียาฆาเชื้อราแมนโคเซป (mancozeb) ซึ่งมีขายในชื่อไดเทนเอ็ม 45 กอนนําลงปลูกในหลุมที่
เตรียมไว กอนยายกลาลงหลุม ควรรดน้ําในหลุมปลูกใหชุม ฉีดยาควบคุมวัชพืชแลวจึงยาย วิธียาย
ใชนิ้วจิม้ ลงไปในดินแลวปกตนพริกลงไป ใชมือกดดินตรงโคนใหแนนอยาใหตนพริกลม ปลูกหลุม
ละ 2 หรือ 3 ตน แลวแตความพอใจ พริกใหญนยิ มปลูกหลุมละ 1-2 ตน สวนพริกเล็กนิยมปลูก
หลุมละ 2-3 ตน
การใหน้ําไมมกี ฎเกณฑเฉพาะตัว ตองดูความชุมชืน้ ของดินและสภาพที่ดนิ เปน
หลัก แตควรใหจนชุม ชืน้ ทัว่ ถึงและสม่าํ เสมอ การใหน้ําอาจใหประมาณ 10 วันตอครั้ง พริกไม
ชอบดินที่มนี า้ํ ขังหรือแฉะตลอดเวลา การใหนา้ํ อาจใหนา้ํ ตามรองหรือรดดวยฝกบัว สวนกรณีพริก
ฤดูฝนมักไมมแี หลงน้ําสําหรับรดอาศัยการตกของฝน ดังนัน้ ผลผลิตของพริกฤดูฝนก็ขึ้นอยูกับการ
กระจายตัวของฝนและจํานวนฝนที่ตก หากฝนทิ้งชวงก็เกิดความเสียหายตอผลผลิตได
การใสปุย นอกจากปุย รองพื้นและปุย คอกที่ใสแลวในกนหลุมปลูก เมื่อพริกเริ่ม
ออกดอกหรือหลังจากยายกลา 30 วัน ใสปุย 15-15-15 อัตราประมาณ 50 กิโลกรัมตอไร หากใน
ระยะแรกตนกลาที่ยา ยแคระแกร็นก็อาจใชปุยยูเรีย หรือแอมโมเนียมไนเตรทเรงการเจริญเติบโตได
ในอัตราประมาณ 20 กิโลกรัมตอไร อีกครั้งหนึง่
35
การกําจัดวัชพืชนั้นถามีการฉีดยาควบคุมวัชพืช กอนยายกลาก็ลดแรงงานที่ตอง
กําจัดวัชพืชโดยใชจอบไดมาก การกําจัดวัชพืชควรทําในระยะแรกกอนที่ใบและทรงพุมแผกวาง
คลุมดินถาทําหลังจากนั้นจอบจะทําความเสียหายใหกบั รากเพราะรากพริกหากินในระดับผิวดิน
เปนสวนใหญ การถางหญาดวยจอบ ควรทําประมาณ 2 ครั้ง หลังยายกลา 30 วัน และ 60 วัน
การกําจัดเพลีย้ ไฟ ไรขาว และโรคทางใบที่เกิดจากเชือ้ รา ใชสารเคมีแมทโทมิล
(methomyl) มีขายในชื่อการคาวาเลนเนท และสกายฉีดปองกันและควบคุมเพลี้ยไฟและไรขาว
สวนเชื้อราใชสารเคมีแมนโคเซปซึ่งใชชื่อการคาวาไดเทนเอ็ม 45 หรือพวกคอปเปอร (copper) ใช
ชื่อการคาวาโคไซด ฉีดควบคุม การฉีดมักทําประมาณ 3 ครั้ง หลังยายกลา 30 วัน 60 วัน และ 90
วัน หากตองการใหไดผลดีควรฉีดสารเคมีเหลานี้ทกุ ๆ 10-15 วัน แตตนทุนการผลิตก็จะสูงขึ้น การ
ปลูกพริกฤดูฝนบางแหงฉีดสารเคมีนอยมากหรือไมฉีดเลย เนื่องจากตองการลดตนทุนการผลิต
ผลสดที่ไดก็มคี วามเสีย่ งในเรื่องคุณภาพและปริมาณการผลิต การฉีดสารเคมีเหลานี้ควรงดการ
ฉีดพนทุกชนิดกอนเก็บเกี่ยว 15-20 วัน เพือ่ ไมใหมีสารพริกตกคางในผลพริก
ตารางที่ 4 ตารางการปฏิบัติงานในการผลิตพริกสด
อายุพืช การปฏิบัติงาน
0 - 40 วัน เพาะกลา
40 - 45 วัน ยายกลาลงปลูกในแปลง
70 - 75 วัน ถางหญา ใสปยุ 15-15-15 หรือ13-13-21 พนสารเคมีปองกัน
กําจัดเพลีย้ ไฟ ไรขาว และเชือ้ รา
100 - 105 วัน ถางหญา ใสปยุ 15-15-15 หรือ13-13-21 พนสารเคมีปองกัน
กําจัด เพลี้ยไฟไรขาว และเชื้อรา เริ่มเก็บเกี่ยวผลสด
ฉ. การเก็บเกีย่ วผลสดและกะเทาะเมล็ด
หลังจากยายกลาพริกลงแปลงแลวประมาณ 2 เดือนกวา ก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต
พริกสดได แรงงานที่ใชในการเก็บเกีย่ วมักเปนแรงงานจาง แรงงานหนึ่งคนจะเก็บพริกได
ประมาณ 30-40 กิโลกรัม เลือกเก็บผลพริกที่แกจัดทั้งสีเขียวและสีแดง โดยไมให
กระทบกระเทือนตอยอดดอกและผลออน พริกถูกนําไปแยกเกรดและสีในภายหลัง การเก็บทิ้งชวง
36
ช. การจัดมาตรฐานผลสด
เกษตรกรไมนยิ มคัดเกรดพริกมักขายพริกคละสี และคุณภาพการคัดทําโดย
พอคาเปนสวนใหญ ทั้งนี้เพื่อใหเหมาะสมตอตลาดที่สงขาย การคัดเกรดพริกสดและพริกแหง
จัดแยกไดดังนี้ (สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร 2536)
จังหวัด เดือน
มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
ภาคเหนือ
เชียงใหม
นครสวรรค
เพชรบูรณ
อุตรดิตถ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ชัยภูมิ
นครราชสีมา
เลย
ศรีสะเกษ
อุบลราชธานี
ภาคกลาง
พระนครศรีอยุธยา
ลพบุรี
ภาคตะวันออก
จันทบุรี
ระยอง
38
จังหวัด เดือน
มค. กพ. มีค. เมย. พค. มิย. กค. สค. กย. ตค. พย. ธค.
ภาคตะวันตก
นครปฐม
ประจวบคีรีขันธ
ราชบุรี
ภาคใต
ชุมพร
ณ. การตลาด
พอคาคนกลางเปนผูท ําการรวบรวมผลผลิตพริกจากแหลงผลิตไปยังตลาด
ปากคลองตลาด และตลาดสี่มุมเมือง มีพอ คาหลายระดับ เชน พอคาทองที่นาํ พริกจากไรเกษตรกร
ไปขายยังตลาดภายในจังหวัดหรือสงขายใหแกพอคาทองถิ่น พอคาทองถิ่นรับซื้อและขายตอ
ใหกับพอคาขายสงในตัวจังหวัดหรือในกรุงเทพฯ ที่ปากคลองตลาดและตลาดสี่มุมเมือง พอคาขาย
สง ขายใหกบั โรงงานแปรรูป และพอคาขายปลีกแลวจึงถึงผูบริโภค ดังนั้นการสงขายพริกจาก
เกษตรกรถึงมือผูบริโภคตองผานพอคาระดับตางๆ 4 กลุมดวยกัน
จากการสํารวจวิถีตลาดของพริกเล็กและพริกใหญ ของจังหวัดเชียงใหม พบวา
พอคารวบรวมทองที่มีบทบาทสําคัญในการรวบรวมพริกรอยละ 88.3 ของผลผลิตพริกเล็กสดใน
จังหวัด (สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร 2536) (รูปที่ 6) สวนพริกใหญ รอยละ 64.6 ถูกรวบรวม
โดยพอคารวมรวมทองที่ (รูปที่ 7) พอคารวบรวมทองที่ขายใหกบั พอคารวบรวมทองถิ่น พริก
ถูกแปรรูปเปนพริกแหงโดยพอคารวบรวมทองถิ่นกอนสงขายใหพอคาขายสง
ด. การแปรรูป และวิธีการแปรรูป
พริกสดถูกแปรรูปเพื่อทําซอส และอาหารรูปตางๆ โดยโรงงานทําซอส โรงงาน
น้ําพริกแกง โรงงานดอง และโรงงานทําพริกแหง พอคารอซื้อพริกพวกนี้เมื่อมีราคาถูก
ตอนกลางฤดูหรือเขาโรงงานตางๆ โดยเฉพาะการซื้อเพื่อทําพริกแหง ตองซื้อในชวงที่ฝนตกนอย
ทําใหเปอรเซ็นตของน้าํ ในผลต่ําและสะดวกในการทําพริกแหง พริกสดประมาณ 3-5 กิโลกรัม ทํา
พริกแหงได 1 กิโลกรัม กรณีการแปรรูปเปนพริกแหงนี้ เกษตรกรหลายแหงนิยมแปรรูปเอง และ
ขายใหพอคาในรูปที่แปรแลว พริกใหญของจังหวัดเชียงใหมบางสวนถูกแปรรูปเปนพริกแหงโดย
เกษตรกร การแปรรูปทําในแหลงปลูกพริก โดยมีวิธกี ารงายๆ มีขนั้ ตอนดังนี้
39
1. ใชไมไผสานยกพื้น เรียงพริกบนยกพืน้
2. สุมไฟใตยกพืน้ ประมาณ 2 คืน 2 วันติดตอกัน และพลิกกลับผลพริกใหใหได
รับความรอนโดยทั่วถึง
3. นําไปตากแดดอีก 3 วัน ตองพลิกกลับผลพริกเปนบางครั้งเพื่อใหแหงสนิท
4. บรรจุกระสอบปานรอพอคามาซื้อ
พริกเล็กแปรรูปเปนพริกแหงโดยไมใชฟน แตตากแดดและพลิกกลับผลพริก
ประมาณ 4-5 แดด บางจังหวัดเชน จังหวัดนาน นิยมตากพริกบนหลังคาสังกะสี มองเห็นเปนสีแดง
ไปทั่ว
พอคาทองถิน่ ทําการแปรรูปพริกแหง โดยวิธีการอบในเตาที่ใชเชื้อเพลิง เชน ถาน
ลิกไนท ซึ่งจะแปรรูปในปริมาณครั้งละมากๆ
พริกที่แปรรูปสวนใหญเปนพริกสีแดงทีม่ ตี ําหนิสงขายตลาดสดไมได หรือพริก
ลนตลาดสด สวนพริกสีเขียวที่แปรรูปเปนพริกแหงมีนอยมาก เมื่อแปรรูปแลวมีสีขาว มีบางกรณี
ใชปนผสมกับพริกไทยปนเพือ่ ใหราคาพริกไทยถูกลง
วิธีการแปรรูปพริกแหงที่กลาวมาแลว ซึ่งกระทําโดยเกษตรกรและพอคาไดขาด
ขั้นตอนการแปรรูปที่ถูกตองตามกรรมวิธี วิธที ี่ถกู ตองนั้นควรคัดเลือกพริกที่ไมมีตาํ หนิ สีแดงจัดทั้ง
ผลลางน้ําใหสะอาด แชในน้ํายาคลอรีนเขมขน 100 สวนในลานเพื่อฆาเชื้อโรคเปนเวลา 30 นาที
แลวลวกหรือตมในน้าํ เดือด 10 นาที จึงนําไปอบที่อุณหภูมิ 50-70 ํซ หนึ่งวันแลวตากแดดใหแหง
หรือใชตูอบแหงแสงอาทิตย (วิชัย 2536) เกษตรกรไมอาจทําตามขัน้ ตอนที่ถูกตองไดเพราะตนทุน
พริกแหงจะมีราคาสูง
40
พริกสด พริกแหง
88.3 4.3
เกษตรกร
พอคารวบรวมทองที่ พอคารวบรวมทองที่
พริกแหง 34.2
พอคารวบรวมทองถิน่ พอคารวบรวมทองถิน่
20.8 13.1
พอคาปลีก พอคาปลีก
20.8 13.1
ผูบริโภค ผูบริโภค
พริกสด พริกแหง
33.7
เกษตรกร
64.6 1.7
พอคารวบรวมทองที่ พอคารวบรวมทองที่
56.2 1.7
18.9 1.7
พอคาปลีก พอคาปลีก
18.9 1.7
ผูบริโภค ผูบริโภค
บทที่ 3
โรคพริก แหลงพันธุกรรมที่ตานทานโรคและการปองกันกําจัด
ก. โรคกุงแหง
เกิดจากเชื้อราหลายชนิดไดแก Colletotrichum piperatum, Colletotrichum
capsici และ Colletotrichum gloeosporiodes (ลักษณา. 2536 และ Giatgong. 1980) เปนโรค
ที่ระบาดรวดเร็ว และมักเปนขณะที่ผลพริกเจริญเติบโตเกือบเต็มที่ สังเกตเห็นไดชัดบนผลพริก
เปนจุดสีนา้ํ ตาลช้ําๆ บางแผลมีเสนใยของราสีดําปนอยู แผลขยายวงกวางออก (รูปที่ 8.1) ทําให
เกิดผลเนา เมื่อสังเกตเห็นโรคแลวกําจัดไมทัน คุณภาพและผลผลิตลดลงอยางมาก มักระบาด
ลุกลามทั้งหมูบ าน ควรทําการปองกันกําจัดกอนโรคเกิดการระบาด โดยใชเมล็ดพันธุจ ากพริกที่
ไมเปนโรคนี้ แชเมล็ดในยาฆาเชื้อรากอนปลูกดวยยาไดเทนเอ็ม 45 และหลังจากปลูกควรพนยา
ฆาเชื้อรา ทุกๆ 7-15 วันตอครั้ง
พันธุพ ริกที่ตานทานตอโรคนี้ เชน พริกเหลือง และพริกหยวก (ลักษณา. 2536)
และมีรายงานวา พริก Capsicum annuum cvs. Chinese Giant, Yolo Y, Hungarian Yellow
Wax, Spartan Emerald, และ Paprika ตานทานตอโรคกุงแหงที่เกิดจากเชื้อ Colletotrichum
capsici (Bassett. 1986) (ตารางที่ 6)
โรคกุงแหงที่เกิดจากเชื้อ Colletotrichum gloeosporiodes มีรายงานวาจาก
การถายเชื้อนีใ้ นพันธุพริก 89 พันธุ มี พันธุตานทาน เชน พันธุ Janghong เปนตน (Choi, et al.
1990)
43
ข. โรคผลเนา
เกิดจากเชื้อสาเหตุ Alternaria solani, Colletotrichum capsici, Diaporthe
phaseolorum, Phomopsis sp. และ Vermicularia capsici เชื้อราเหลานี้มกั เกิดหลังจากที่
ผลพริกเกิดบาดแผลเนื่องจากแมลง ยกเวนเชื้อ Colletotrichum capsici ซึ่งทําใหเกิดแผลที่ผลได
โรคผลเนานี้บางครั้งเรียกวาโรคกุงแหงเทียม (รูปที่ 8.2) การปองกันไมใหเกิดบาดแผลที่ผล และ
ปองกันการขาดธาตุแคลเซียม และโปแตสเซียมจะลดการเปนโรคนี้ไดมาก
ง. โรคใบจุด
เกิดจากเชื้อ Cercospora capsic, Cercospora unamunoi, Cladosporium
capsici และ Alternaria sp. แผลที่เกิดจากเชื้อเหลานี้เปนจุดสีน้ําตาลและอาจมีเชื้อราอยูตรง
กลางของวงเปนสีเหลือง ถาเปนมากใบพืชจะเหลืองและรวง (รูปที่ 18.3 และ 8.4) การ
ปองกันกําจัดโดยใชยากําจัดเชื้อราเดอโรซานและรอฟรัลก็ใชไดผล (ลักษณา. 2536) การใชพันธุ
ตานทานโรคก็เปนวิธีการปองกันที่ดที ี่สุด พันธุตานทานโรคใบจุดนี้มีรายงานจากประเทศอินเดีย
วาพันธุตา นทานตอเชื้อรา Cercospora capsici ไดแกพันธุ California Wonder, Canape
(F1), Merrimack Wonder และ Capsicum microcarpum (ตารางที่ 6) (Bassett. 1986)
โรคตากบ ซึง่ เกิดจาก Anthracnose (รูปที่ 8.5) พบในพริกยักษ
จ. โรคกลาเนา
เกิดจากเชื้อรา Fusarium sp., Pythium sp., Phytophthora sp. และ
Rhizoctonia ทําใหตนกลาเหี่ยวแหงตาย เชื้อราอาศัยในดินหรือติดมากับเมล็ด เชื้อรามักทําลาย
ลําตนสวนที่อยูติดดิน ตนพืชแสดงอาการคลายขาดน้าํ ปองกันและกําจัดโดยคลุกเมล็ดกับยาฆา
เชื้อรา เชน ไดเทนเอ็ม 45 หรือ ริโดมิล และพนยาใหตนกลา
พริกที่โตแลวมีโอกาสเปนโรคเนาตายได ถาความชืน้ ในดินสูง หรือมีฝนตกชุก มี
44
ตารางที่ 5 โรคพริกและเชื้อสาเหตุ
_______________________________________________________________________________
เชื้อสาเหตุ ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาไทย
_______________________________________________________________________________
Alternaria solani
(Ell. & G. Martin) Sor. Fruit rot โรคผลเนา
Alternaria sp. Leaf blight โรคใบแหง
Cercospora capsici
Heald & Wolf Frogeye leaf spot โรคใบจุดตากบ
Cercospora unamunoi
Castellani Leaf spot โรคใบจุด
Choanephora cucurbitarum
(Berk. & Rav.) Thaxt Wet rot, Blossom rot โรคยอดและดอกเนา
โรคพริกหัวโกรน
Cladosporium capsici Leaf spot โรคใบจุด,โรคยอด
และกิ่งแหง
Colletotrichum capsici (Syd.)
Butler & Bisby Fruit rot โรคผลเนา
Colletotrichum piperatum Anthracnose โรคกุงแหง
Diaporthe phaseolorum
(Cke. & Ell.) Sacc. Fruit rot โรคผลเนา
Erwinia carotovora
(Jones) Holland Bacterial soft rot โรคเนาเละ
45
_______________________________________________________________________________
เชื้อสาเหตุ ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาไทย
_______________________________________________________________________________
Fusarium oxysporum
Schlecht. f. sp.
vasinfectum (Atk.)
Snyd. & Hans. Fusarium wilt โรคเหี่ยวหรือโคนเนา
Gloeosporium sp. Anthracnose โรคแอนแทรคโนส
Helicotylenchus dihystera - ไสเดือนฝอยทําลายราก
_______________________________________________________________________________
เชื้อสาเหตุ ยีนควบคุมความตานทานโรค พันธุตา นทานโรค เอกสารอางอิง
_______________________________________________________________________________
Virus (Tobacco Mosaic Virus) 1 ยีนขม (L) Keystone Resistant Holmes.1937
Giant
YW
Yolo Y
Florida VR2
Florida VR2-34
XVR 3-25
Dutch greenhouse CVS.
Verbeterde Glas
_______________________________________________________________________________
ฉ. โรคราแปง
เกิดจากเชื้อรา Oidiopsis sp. จะมองเห็นเชื้อราเปนผงคลายแปงบนใบพริก
อาจมีจุดสีนา้ํ ตาลและสีเหลืองปนอยู การปองกันกําจัดโดยใชกํามะถันผงละลายน้าํ พนจะชวยลด
การระบาดของโรคนี้ได แตตองกําจัดสวนของพืชที่เปนโรคนี้ออกจากแปลงปลูก
ช. โรคเหี่ยว
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Pseudomonas solanacearum ตนพริกแสดงอาการเหี่ยว
ในเวลากลางวัน (รูปที่ 8.6) และฟนในตอนกลางคืน ถาเปนโรคมากก็จะเหีย่ วตาย ทั้งนี้เนื่องจาก
เชื้อดังกลาวไดเขาไปในตนพริกและทําลายทอน้าํ และอาหาร เมื่อเฉือนตนจะเห็นบริเวณนี้เปนสี
น้ําตาลออน ถาบีบลําตนที่เปนโรคในน้ําจะเห็นน้าํ สีขาวขุนไหลออกมาจากลําตน
โรคนี้ไมมียาปองกันและกําจัด แตควรหลีกเลี่ยงโดยเลือกพื้นทีท่ ี่ไมมีพชื ตระกูลนี้
ปลูกมากอนและไมควรปลูกซ้ําที่เดียวกัน โรคดังกลาวนี้อาศัยในดิน และอาจมากับน้ําที่ใชรด
ตนไมดวย
48
ญ. โรคใบหงิก หรือโรคใบดาง
เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด เชน Cucumber Mosaic Virus ใบพริกมีอาการใบ
หงิกหรือใบดาง (รูปที่ 8.7) โดยเฉพาะใบออนมีอาการมากกวาใบแก ทําการปองกันกําจัดโดยการ
ปองกันเพลีย้ ไฟ เพลี้ยออนและไรขาวเพราะเปนตัวนําโรคไวรัส การฉีดยาฆาแมลงชนิดตางๆ จะ
ชวยลดจํานวนแมลงเหลานีล้ ง หากพืชแสดงอาการตองกําจัดโดยถอนและเผาทิ้ง ไมมีวิธีการ
ปองกันและรักษาถาพืชแสดงอาการแลว การใชพนั ธุตานทานเปนวิธกี ารที่ดีทสี่ ุด แตพันธุ
ตานทาน ดังกลาวยังไมปรากฏวามี เนื่องจากไวรัสมีหลายชนิด แมวาตานทานไวรัสชนิดหนึง่
แตอาจไมตานทานไวรัสอีกชนิดหนึ่ง พริกก็ยงั แสดงอาการเปนไวรัสตามเดิม พันธุพ ริกที่
ตานทานตอโรค Tobacco Mosaic Virus ไดแก พันธุ Keystone Resistant Giant, YW, Yolo Y,
Florida VR2, Florida VR 2-34, XVR 3-25 และ Dutch greenhouse cvs.
Verbeterda Glas เชื่อวามียนี ตานทานหนึง่ ยีนที่มีคุณสมบัติเปนยีนขม (ตารางที่ 6)
(Holmes. 1937) พันธุดงั กลาวแมวานํามาปลูกในประเทศไทยก็อาจแสดงอาการของโรคไวรัสอัน
เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดอื่นได
อาการของพริกที่เกิดจากการขาดธาตุอาหารมีการแสดงออกคลายโรคใบหงิกและ
ใบดาง (รูปที่ 8.8 และ 8.9)
แมลงศัตรูพริก
แมลงศัตรูพริกที่กลาวมาแลวไดแก เพลีย้ ออน เพลีย้ ไฟ และไรขาว ซึ่งเปนตัว
พาหะนําเชื้อไวรัส แตยังมีศตั รูอื่น เชน ไสเดือนฝอย หนอนผีเสื้อ หนอนเจาะสมอฝายหรือ
หนอนอเมริกนั และหนอนแมลงวัน เปนตน
การกําจัดแมลงศัตรูพริกไมไดใชวิธีการปรับปรุงพันธุเพื่อใหตานทานตอแมลง
เหลานี้ เนื่องจากวิธีการนี้สลับซับซอนและยากกวาการปรับปรุงพันธุเพื่อหาพันธุตานทานโรค จึง
ทําใหการผสมพันธุเ พื่อหาพันธุตานทานแมลงศัตรูพืชโดยเฉพาะเพลีย้ ออน เพลี้ยไฟ และไรขาว ไม
ประสบผลสําเร็จเชนเดียวกับพันธุตา นทานโรค ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะทีท่ ําใหพริกตานทานตอ
แมลงเหลานีเ้ ชนมีขนมากทีผ่ ล ผิวของผลหนา หรือมีรสที่ไมพงึ ประสงคตอแมลง ซึ่งลักษณะ
เหลานี้ไมเปนที่ ประสงคของคนเชนกัน จึงเปนการยากที่จะหาจุดเหมาะสมเพื่อใหมลัี กษณะทาง
พืชสวนที่ดี และมีความตานทานตอแมลงดวย การปองกันกําจัดจึงใชยาฆาแมลง การปลูกพืช
หมุนเวียน การทําความสะอาดในแปลงปลูกและบริเวณขางเคียงเปนหลัก ยาฆาแมลงเปนวิธกี ารที่
ใหผลมากที่สดุ และนิยมใชมากที่สุด
49
รูปที่ 8 โรคพริก
ความเผ็ดของพริกและพันธุกรรมที่ควบคุมความเผ็ด
ความเผ็ดของพริกเปนคุณสมบัติพิเศษของพริกในการชูรสอาหาร ความนิยม
บริโภคพริกของกลุมชนหลายกลุมเกิดจากความนิยมรสเผ็ด คนในแถบเขตรอนมีความนิยม
รสเผ็ดมากกวาคนในเขตหนาว รสเผ็ดเกิดจากสารแคบเซซิน (capsaicin) ซึ่งมีโครงสรางทางเคมี
ดังนี้ C18H27NO3 สารนี้ละลายในไขมัน ไมมีกลิน่ ไมมีสี โครงสรางทางเคมีของสารนี้รายงาน
ครั้งแรกโดย Nelson. 1920 ในผลพริกพบวามีสารนีม้ ากที่สุดบริเวณไสกลางของพริกซึ่งเปนสวน
ที่เมล็ดติดอยู มีสารกระจายอยูในเมล็ด เนื้อและเปลือกของผลพริกดวย ผลพริกเมื่อไดรับความ
รอนพบวาสารแคปเซซิน เพิม่ มากกวาตอนทีย่ ังไมไดรับความรอน (Huffman, et al. 1978) ความ
เผ็ดนี้ทดสอบไดโดยใชสารเคมี 1 % vanadium oxytrichloride ใน carbon tetrachloride หยดลง
ในของเหลวทีต่ องการทดสอบ ถามีสีฟา แสดงวามีสาร capsaicin วิธีการทดสอบอยางงายทีส่ ุด
ไดแกการชิม มีวิธกี ารวัดความเผ็ด เสนอโดย Rajpoot และ Govindarajan. 1981 โดยใชการ
วัดปริมาณสารแคบเซซินอย (capsaicinoids) และการแยกสารดวยกระดาษ (paper
chromatography) แยกสารแคบเซซินอยและวัดการดูดแสง (absorbance) ของสารที่ 615 นาโน
มีเตอร (nm) แลวคํานวณคาความเผ็ดจากสูตร
พันธุกรรมที่ควบคุมความเผ็ดของพริก มีรายงานที่มีความขัดแยงกันจากงานวิจยั
ของ Webber. 1912 ระบุวาความเผ็ดของพริกถูกควบคุมโดยยีนเดี่ยวและเปนยีนขม เนื่องจาก
ลูกผสมของพริกที่ไดจากการผสมพริกเผ็ดและพริกหวานนัน้ มีอัตราสวนของพริกเผ็ดกับไมเผ็ด 5:1
แตจากรายงานของ Ohta. 1962 รายงานวา ความเผ็ดของลูกผสมชั่วที่หนึ่งของพริกเผ็ดและ
พริกหวานนัน้ มีระดับความเผ็ดที่แตกตางกันและจากการวิเคราะหความเผ็ดของลูกผสมชั่วที่สอง
และลูกผสมกลับกับพอแม (backcross population) พบวา ความเผ็ดถูกควบคุมโดยยีนหลายยีน
และมียีนที่เปนหลักและยีนประกอบ ทําใหระดับความเผ็ดมีระดับตางๆ กัน
57
ความเผ็ดของพริกเกิดจากสารแคปไซซิน (8-methyl-N-vanilly)-6-nonenamide
กระตุนความรูส ึกเผ็ด (pungent sensation) และความเจ็บปวดทางสรีรวิทยา (physiological
pain) (Furuse et. al. 2003) สารแคบไซซินกระตุนประสาทสวนที่ทาํ ใหเกิดความเจ็บปวด เมื่อ
ทดลองกับหนู พบวา หนูที่ตา งพันธุก ันมีความไวตอการกระตุนนี้ตา งกันดวย
Jordt and Julius (2002) รายงานวา พริกผลิตความเผ็ดซึ่งเปนสาร vanilliod
สําหรับขับไลสัตวเลี้ยงลูกดวยนม นกเปนสัตวที่ไมมีการกระตุน ใหเกิดการเจ็บปวดโดยสาร
vanilliod ดังนั้นจึงเปนตัวนําเมล็ดพริกกระจายทั่วไป ไกก็เชนเดียวกันที่ไมถูกกระตุน โดยความเผ็ด
ของพริก แตหนูมีประสาทรับการกระตุนนี้ เนื่องจากหนูมีตอมรับการกระตุนจากสาร vanilliod
Cruz et al. ไดศึกษาการใหสารแคปไซซิน (capsaicin) สกัดจากพริก (Capsium
annuum) ในอัตรา 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ใหแกหนู วามีผลตอการใชไดทางชีววิทยา
(bioavailability) ของยาแอสไพริน (acetylsalicylic acid) และ Salicylic acid หรือไม และพบวา
เมื่อใหสารแคบไซซิน 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 1 ครั้ง ระดับแอสไพรินในเลือดไมเปลี่ยนแปลง แต
ระดับของ salicylic acid ลดลง 44 เปอรเซ็นต เมื่อเทียบกับมาตรฐาน (control) เมื่อให 300
มิลลิกรัม/กิโลกรัม 1 ครั้ง ตรวจไมพบแอสไพรินในเลือดเลย ขณะที่ salicylic acid ลดลง 59
เปอรเซ็นต และเมื่อใหสารแคบไซซินในอัตราดังกลาวเปนเวลา 4 อาทิตย ปรากฏวา ตรวจไมพบ
แอสไพรินในเลือดเลย และ salicylic acid ลดลง 63 และ 76 เปอรเซ็นต ตามลําดับ เมื่อเทียบกับ
มาตรฐาน ผลแสดงใหเห็นวาการบริโภคพริกลดการใชไดทางชีววิทยาของยาที่ใหทางปาก อาจเปน
ผลจากการที่สารแคบไซซินมีผลตอลําไส
การใชเอทธีลีนควบคุมการแกของผลพริก
การใชสารเคมีเชน เอทธีลีน (ethelene) ในการทําใหผลพริกแกสม่าํ เสมอ เปน
วิธีการที่ใชในตางประเทศ แตไมมีการใชสารเคมีนี้เลยในการปลูกพริกในประเทศไทย ชื่อการคา
ของสารเคมีนี้เรียกวา ethephon ผลของการใชสารเคมีนี้ทาํ ใหเกิดเยือ่ แยกตัว (abscission layer)
ที่ฐานของผล (fruit receptacle junction) นอกจากนีย้ ังทําใหกระบวนการสุกของผลเกิดขึ้นดวย
จึงทําใหการแกของผลพริกในแปลงเดียวกันเกิดขึ้นพรอมๆ กัน เพือ่ ความสะดวกในการเก็บเกีย่ ว
ดวยเครื่องจักร และการเก็บสงตลาด Mao และ Motsenbocker (2002) ไดทดลองใช ethephon
กับพริก C. frutescens L. หรือเรียกชื่อวา tabasco pepper พันธุ Mcllhenny Select และ Hard
Pick พบวามีการเปลี่ยนแปลงของสีของผลพริก มีความสัมพันธกบั แรงที่แยกผลจากตน (fruit
detachment force) ในพันธุพริกทัง้ สอง ในพันธุ Mcllhenny Select แรงที่แยกผลจากตนลดลง
อยางมีนยั สําคัญเมื่อผลพริกแกในขั้น 3 และ 4 (ผลแกเขียวอยูในขัน้ 0 และผลแกแดงอยูในขั้น 7)
สวนพันธุ Hard Pick ผลพริกแกอยูในขัน้ 5 และ 6 แรงที่แยกผลจากตนของพริกทัง้ สองพันธุ
58
วล
คมีในผลพริก
ี (phytochemical) และการตานการออกซิเดชั่น
(antioxidant) ของพริกชนิดตางๆ เชน C. annuum, C. frutescens และ C. chinense พบวา อยู
ใตอิทธิพลของความแก (Howard, et al. 2000) สารเคมีดังกลาวหมายถึง แคโรตีนอยด
(carotenoid), ฟราโวนอยด (flavonoid) สารละลายที่รีดิวสได (total soluble reducing
equivalent), ฟนอลิค เอซิค (phenolic acid) และแอสคอบิค เอซิค (ascorbic acid) พบวา ความ
เขมขนของสารเหลานี้ รวมทั้งการตานการออกซิเดชั่นในผลพริกเพิ่มขึ้น เมื่อพริกเริม่ แก ผลพริกที่มี
ระดับแอลแอสคอรบิค เอซิค (L-ascorbic acid) และแคโรตีนอยดสูงเมื่อแก ใหวิตามินซี
124-338 เปอรเซ็นต RDA และใหวิตามินเอ 0.33-336 RE/100กรัมตอโปรวิตามิน A (provitamin
A) ตามลําดับ ระดับของฟนอลิคเอซิค แคปแวนติน (capxanthin) และซีแซนติน (zeaxanthin)
เพิ่มขึ้นเมื่อผลพริกแก แตระดับของลูทีน (lutein) ลดลง ความเขมขนของฟราโวนอยดแตกตางกัน
มากระหวางพริกชนิดตางๆ และมีความสัมพันธในทางลบกับการตานการออกซิเดชั่น
Garcia-Pineda et al. (2001) ไดศึกษาถึงพืชที่มบี าดแผล ความเครียดนี้ทาํ ใหมี
การผลิตสาร oxidative burst ซึ่งเปน ascorbate พริกมีสาร ascorbate สูงที่สุดในกลุมพืชตางๆ
สารนี้เปนตัวตานการออกซิเดชั่น (anti-oxidant) ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งจึงไดศึกษาการแสดงออกของยีน
ascorbate oxidase และการทํางานของเอ็นไซม ascorbate oxidase ในระหวางทีพ่ ืชเกิด
ความเครียด พบวายีน ascorbatge oxidase เปนยีนที่มชี ุดเดียว (single copy gene) และ
mRNA ของยีนดังกลาวปรากฏขึ้นหลังจากพืชเปนแผลหรือไดรับกรด arachidonic และเอ็นไซม
cellulase แตอยางไรก็ตาม เอ็นไซม ascorbate oxidase เพิ่มขึ้นเพียงเล็กนอยเทานัน้
59
(Capsicum annuum
L. var. Bronowichka Ostra ไดแยกสารโดยวิธี HPLC และตรวจหาโครงสราง (structure) โดยใช
วิธีโครมาโตกราฟค (analytica HPLC) และสเปคโตรสโคปคเทคนิค (spectroscopic) ไดแยกสาร
ทั้งหมด 9 ชนิด มี 2 ชนิด ซึง่ พบเปนครั้งแรกในอาณาจักรพืช (plant kingdom) และอีก 6 ชนิด พบ
เปนครั้งแรกในผลพริก (Capsicum annuum L.)
Chowdhury and Mukhopadhyay (2003) ไดรายงานวา สารสะกัดจากพริก
ถูกใชเปนยาสําหรับบําบัดการบวมที่ผิวหนัง การเคล็ดขัดยอกและการเจ็บปวดตามขอ นอกจากนี้
สารแคบไซซินนี้ยังเปนสารตานการออกซิเดชั่น (anti-oxidant) ตานเชือ้ รา และรักษาโรคผิวหนัง
Perez-Galvez et al. (2003) ไดรายงานวา จากการบริโภคอาหารที่มีแคโรที
นอยดสูง (carotenoid) ทําใหลดความเสี่ยงของโรคกลามเนื้อหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิดพริกสี
แดง (Capsicum annuum L, hit 2 hit 2) และผลิตภัณฑจากพริกสีแดงมีแคโรทีนอยดหลายชนิด
ซึ่งอาจกลายเปนแคโรทีนอยดของเลือดและเนื้อเยื่อของคน ทดลองโดยใช paprika oleoresin ซึ่ง
ไดจากพริกสีแดง ซึ่งมี zeaxanthin, beta-cryptoxanthin, beta-carotene, paprika
oxocarotenoid capsanthin และ capsorubin ใหคนทดลองกิน paprika oleoresin ซึ่งมีสาร
ตางๆ ดังกลาว แลว วัดการดูดซึมของแคโรทีนอยด พบวามีเพียง zeaxanthin, beta-cryptoxanthin
และ beta-carotene ที่ตรวจพบในคน สวนแคโรทีนอยดของพริกไดแก capsanthin และ
capsorubin นั้นพบต่ํามากในคน อยางไรก็ดี oreolesin ก็เปนแหลงทีเ่ หมาะสําหรับ provitamin A
carotenoids beta-carotene, beta-cryptoxanthin และ macular pigment zeaxanthin
Morre and Morre (2003) ไดแสดงใหเห็นถึงผลที่สงเสริมกันของชาเขียวทีน่ ําเอา
สารคาเฟอินออกแลวและสารวานิลอยด (vanilloid) ทีม่ ีสารจากพริกในอัตราสวนชาเขียวเขมขน
25 สวนตอสารจากพริก 1 สวนเพิ่มประสิทธิภาพในการทําลายเซลมะเร็ง (cancer) ในอาหารที่
เลี้ยง ได 100 เทาของชาเขียวอยางเดียวพบวา ชาเขียว (tea catechin) และสารจากพริก
(Capsicum vanilloid) ยับยัง้ กิจกรรมของโปรตีน (enzyme) ที่เปนเปาหมายได
60
บทที่ 4
การผลิตเมล็ดพันธุและแหลงผลิตเมล็ดพันธุพริกพันธุแทและพันธุลกู ผสม
ฤดูกาลผลิตเมล็ดพันธุพรกิ
ฤดูหนาวเปนฤดูที่เหมาะสมสําหรับการผลิตเมล็ดพันธุพ ริก ทัง้ พันธุแทและพันธุ
ลูกผสม เนื่องจากมีอากาศแหง ความชื้นในอากาศมีนอ ย ทําใหโรคทางใบมีโอกาสระบาดนอยมาก
ผลพริกเจริญสมบูรณมีเมล็ดติดมาก เมล็ดพริกสะอาดมีคุณภาพดี เมล็ดพันธุลกู ผสมถูกผลิตใน
ฤดูกาลนี้ทงั้ หมดสวนเมล็ดพันธุแทมีการผลิตในฤดูหนาวและฤดูฝน ทั้งนีเ้ นื่องจากการเก็บเมล็ด
พันธุเ ปนผลพลอยไดจากการผลิตพริกสด แตการผลิตเมล็ดพันธุพริกลูกผสมเปนการผลิตเพื่อ
เมล็ดพันธุโดยเฉพาะไมมีการขายผลสดเลย และสวนใหญเปนพันธุพ ริกตางประเทศทั้งสิน้
การปฏิบัติในการผลิตเมล็ดพันธุพริกพันธุแท
เมล็ดพริกพันธุแท ผลิตโดยกสิกรที่ปลูกพริกสดจําหนายและมักเก็บจากแปลง
พริกที่ผลิตผลสดจําหนายโดยเลือกเก็บจากตนที่ใหผลผลิตดีมีผลพริกขนาดใหญ หรือเลือกเก็บ
จากผลพริกทีแ่ หงแลวจากพริกแหงที่ผลิตจําหนายโดยเลือกผลที่มีขนาดใหญและสีสวย กสิกร
นิยมใชวิธีการหลังนี้มากกวาวิธกี ารแรก เพราะสะดวกตอการคัดเลือกโดยไมทราบวาการเลือกวิธีนี้
ไดผลไมดีเทาวิธีการเลือกตน สวนการปลูกและดูแลรักษาก็ใชวิธกี ารเดียวกับวิธีการที่อธิบายไว
ขางตนในการผลิตพริกเพื่อผลสดและผลแหง
61
ผลพริกที่เก็บเพื่อทําเมล็ดพันธุควรเก็บผลในชวงกลางของการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ
เชนในการเก็บเกี่ยวผลครั้งที่ 3 ไมควรเก็บผลพริกที่เก็บในระยะตนหรือระยะสุดทายของการเก็บ
เกี่ยว ทัง้ นีต้ องการใหไดผลพริกที่สมบูรณและควรเลือกเก็บจากแปลงทีห่ างไกลจากพริกพันธุอื่น
และเปนแปลงพริกที่อยูตอนกลางของแปลง เพื่อใหไดพริกพันธุแท
การตากผลพริกควรตากแดดใหแหง แลวกระเทาะเมล็ดตามวิธีการที่ไดอธิบาย
แลวขางตน จะเลือกใชวิธกี ระเทาะจากผลแหงหรือผลสดก็แลวแตความสะดวกในการปฏิบัติงาน
การปฏิบัติในการผลิตเมล็ดพันธุพริกลูกผสม
เมล็ดพันธุพริกลูกผสมมีการผลิตมากในประเทศไทย เปนเมล็ดพันธุท ี่ผลิตเพือ่
จําหนายตางประเทศแทบทัง้ สิ้น พริกที่ปลูกเพื่อการผลิตเมล็ดพันธุไดแก พริกยักษหรือพริกหวาน
และพริกเผ็ด การผลิตทําในพืน้ ที่แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอิสานเปนสวนใหญ มี
บางสวนที่ทาํ การผลิตในภาคเหนือ หรือพยายามทดลองผลิตในภาคเหนือ แตยังไมไดผลเทาที่ควร
จึงมีการผลิตในภาคเหนือนอยมากเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอิสาน การผลิตเมล็ดพันธุพ ริก
ลูกผสมทําได 2 วิธีไดแก การผลิตเมล็ดพันธุโดยการตอนเกสรตัวผูออกจากดอกตัวเมีย(รูปที่ 9:9.1-
9.10)และการผลิตเมล็ดพันธุโดยไมตองตอนเกสรตัวผูออกจากดอกตวั เมีย ในตางประเทศทีม่ ี
อากาศหนาว การผลิตและผสมพันธุพ ริกตองปฏิบัติในลักษณะที่แตกตางจากประเทศไทย โดย
ปลูกในเรือนกระจกหรือพลาสติก (รูปที่ 9:9.11-9.12)
ก. วันปลูกที่เหมาะสมสําหรับการผลิตเมล็ดพันธุพริกลูกผสม
ฤดูหนาวเปนฤดูกาลที่เหมาะสมสําหรับการปลูกพริกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ ไมควรปลูกใน
ฤดูกาลอืน่ เหมือนการผลิตพริกผลสด เพราะผลผลิตเมล็ดพันธุตา่ํ และคุณภาพเมล็ดพันธุไมดี
เทาฤดูหนาว จากประสพการณของผูเขียน พบวาในภาคเหนือวันปลูกที่เหมาะสมอยูในชวงตน
เดือนตุลาคม ประมาณวนั ที่ 1-5 ตุลาคม ไมควรปลูกชาหรือเร็วกวานี้ สําหรับในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือจะปลูกเร็วกวานี้ เนื่องจากเก็บเกี่ยวขาวเร็วกวาภาคเหนือ
ข. การเพาะเมล็ด
นําเมล็ดเพาะในกะบะทราย ที่อบดวยแมททิลโบรไมด กรณีการเพาะของกสิกรมักไมอบ
ดินเลย รดน้าํ ใหชุม หลังจากเมล็ดเริ่มงอกมีใบจริง 1-2 ใบ ใหยายลงจิ้มในถุงดินหรือกะบะเพาะ
กลาทีเ่ ตรียมไว การเพาะเมล็ดใหเพาะตัวผูกอนตัวเมียประมาณ 10 วัน ใชเมล็ดตัวผูตอตัวเมีย
อัตรา 1:4
62
ค. การเตรียมถุงดินหรือกะบะเพาะกลา
เตรียมถุงดินสําหรับเพาะกลา กสิกรเลือกใชถุงดินมากกวากะบะเพาะกลา เพราะมีราคา
ถูกกวา หาซื้องาย แมวา การเตรียมจะเสียเวลามากกวาก็ตาม กลาพริกควรปลูกในถุงดินเพื่อความ
สะดวกในการยายกลา และกลาไมกระทบกระเทือน ดินที่เตรียมใชดินรวน 2 สวน ขีว้ ัวเกา 1 สวน
แกลบดิบหรือแกลบดํา 1 สวน ปุย 15-15-15 เล็กนอย ผสมคลุกดินใหทั่วถึง อบดินดวยแมททิล
โบรไมด กสิกรมักไมอบดินเพราะคาใชจา ยจะสูงขึน้ กรอกดินลงถุงขนาด 4 x 6 นิ้วเจาะรูดานขาง
ถุง 3-4 รู พื่อระบายน้ํา ถามีกะบะเพาะกลาใชแทนถุงดินก็ได เรียงถุงดินใหเปนระเบียบ รดน้ําให
ชุมประมาณ 3 ชั่วโมง กอนนํากลาจิ้มลงถุงทีเ่ ตรียม
ง. การเตรียมแปลงปลูกพรกิ
แปลงปลูกพริกควรเลือกแปลงที่อยูห า งจากพริกพันธุอนื่ ประมาณ 1-2 กิโลเมตร เพื่อ
ปองกันเกสรพริกพันธุอนื่ ปลิวหรือแมลงนําเกสรพริกอื่นมายังเกสรตัวเมียของพันธุพ ริกที่ตองการ
ผสม การทําแปลงควรทําแปลงทิศเหนือและใต เตรียมแปลงสําหรับปลูกแปลงคู ขนาดแปลง
กวาง 1 เมตร ปลูกแปลงแถวคู ระยะระหวางตนหาง 25-30 ซม. ระยะระหวางแถว 60 ซม. ปลูก
แปลงแถวเดี่ยวก็ได แตกสิกรนิยมปลูกแปลงคู เพราะจํานวนตนตอไรมีมากกวาปลูกแปลงแถว
เดี่ยว พื้นที่ 1 ไร จะมีจํานวนตนประมาณ 3,000 - 3,200 ตน คลุมแปลงปลูกดวยพลาสติกสีเงินที่
เจาะชองไวสําหรับกลา ถาไมมีพลาสติกอาจใชวัสดุคลุมชนิดอื่นๆ เชน ฟางขาว กากถั่ว เปนตน
หลุมปลูกควรเตรียมเรียบรอยกอนยายกลา รองกนหลุมดวยปุย 15-15-15 อัตรา 50
กิโลกรัมตอไร หรือ 15 กรัมตอตน ปุยคอกอัตรา 1 ตันตอไร หรือ 300 กรัมตอตน และยาฟูรา
ดาน (ยาฆาแมลง) อัตรา 2 กิโลกรัมตอไร หรือประมาณ 20-30 เกล็ดตอตน ผสมปุยและยาคลุก
กับดินในหลุมอยางดี มิฉะนั้นปุย วิทยาศาสตรและยาฟูราดานจะทําใหกลาตาย ถาสัมผัสถูกราก
พืชโดยตรง
จ. การดูแลรักษาตนกลา
พนยาฆาเชื้อราและยาฆาแมลงประมาณสัปดาหละ 1 ครั้ง ถาหากมีโรคทางใบระบาด
หรือมีแมลงมากอาจพนยาอัตราที่ถี่กวานี้ ประมาณ 3-4 วันตอครั้ง หลังจากจิม้ กลาประมาณหนึ่ง
สัปดาห ควรคลุมแปลงกลาดวยตาขายพลาสติกหรือวัสดุพรางแสง เพื่อใหตนกลาตั้งตัวได และ
ปองกันฝนตกนอกฤดูหรือน้าํ คางที่อาจทําอันตรายใหกบั กลา หลังจากกลาตัง้ ตัวไดใหรื้อที่คลุม
กลาออกใหไดรับแสงแดดเต็มที่
63
ฉ. การยายกลา
ยายกลาเมื่อมีอายุ 30-35 วัน ลงในหลุมปลูกที่เตรียมไว กอนยายควรปลอยน้ําเขา
แปลง เพื่อใหหลุมปลูกชุมชื้นกอนยายปลูก แตไมควรใหแปลงเปยกแฉะขณะทีท่ ําการยายกลา
การยายกลาควรทําในตอนบายหรือตอนเย็น เพื่อใหตนไมมีเวลาตั้งตัวในตอนกลางคืนที่อากาศ
เย็นหลังยายกลารดน้ําใหชุม กลาตนตัวผูและตัวเมียใหแยกกันคนละแปลง อัตราตนตัวผูตอตน
ตัวเมียประมาณ 1:4
ช. การดูแลรักษาพริกในแปลงปลูก
หลังจากยายกลาประมาณ 5-7 วัน ใสปุย 15-0-0 โดยการเจาะฝงปุยหางจากตนประมาณ
15 ซม. ไมควรใชปุยยูเรีย เขาใจวาปุยยูเรียมีสว นทําใหเมล็ดพริกเกิดสีดํา(ขอมูลนี้ไดจากการ
สังเกต)
หลังยายกลา ประมาณ 20 วัน ละลายปุย 15-0-0 และปุย 15-15-15 อัตรา 2 ชอนโตะตอ
น้ํา 20 ลิตร รดโคนตนพริกระวังอยาใหถูกใบพริกเพราะปุยทําใหใบไหมได
หลังยายกลาประมาณ 30 วัน ใสปยุ 15-15-15 โดยการเจาะฝงปุยอัตรา 10-15 กรัมตอตน
เมื่อผสมพันธุพริกเสร็จแลว ใสปุย 14-14-21 โดยการเจาะฝงปุยอัตรา 10-15 กรัมตอตน
การใหน้ํา ควรใหน้ําสม่ําเสมอ อยาใหขังแฉะในรองน้ํา ใหน้ําตามรอง และตักรดโคนตน
การพนยาฆาเชื้อราและแมลงซึง่ มีเพลี้ยออนและเพลี้ยไฟ ควรพนประมาณสัปดาหละครัง้
ถาหากมีโรคหรือแมลงระบาดพนยา 3 วันตอครั้ง
พริกอาจตองการแรธาตุอื่นๆ เพื่อเสริมการเจริญเติบโตซึ่งเปนแรธาตุรอง เชน บอแรกซ
พนประมาณ 2 ครั้งในระยะเวลาที่หา งกันประมาณหนึ่งเดือน อัตราที่ใชประมาณ 2 ชอนโตะตอ
น้ํา 20 ลิตร และยังนิยมพนแคลเซี่ยมคลอไรดประมาณ 2 ครั้งอยางนอย ในอัตรา 2 ชอนโตะตอ
น้ํา 20 ลิตร ควรพนหลังจากผลพริกโตประมาณ 2 ซม. แลว ในการใหแรธาตุ อาหารเหลานี้ไมควร
ผสมแรธาตุรวมกับยาฆาแมลงหรือยาฆาเชื้อราโดยเด็ดขาด
ด. การแตงกิง่ และดอกพรกิ
แตงกิ่งลางของตนพริก โดยเด็ดทิ้ง เริ่มไวกิ่งประมาณขอที่ 7 ดอกแรกและดอกที่สองให
เด็ดทิ้ง ไมควรผสมพันธุดอกที่หนึง่ และสองเพราะจะทําใหตนชงักการเจริญเติบโต และการติด
เมล็ดของดอกอื่นๆ ลดลงดวย
64
ต. การเตรียมเกสรตัวผูและตัวเมีย
เก็บดอกพริกจากตนตัวผู เลือกดอกที่จะบานในวันตอไป สังเกตสีกลีบดอกมีสีขาวเด็ด
กลีบดอกออกใหเหลือแตเกสรตัวผู ถามีดอกตัวผูมากใชตาขายรอนเกสรตัวผูลอดตาขาย สวน
กลีบดอกติดอยูบนตาขาย เก็บเกสรตัวผูห อกระดาษใสปบที่มีปนู ขาวดิบ ถาเกสรตัวผูมีความชืน้
มากใหตากแดดออนๆ หรือ มีตาขายพรางแสงแดดประมาณหนึ่งชัว่ โมง แลวจึงเก็บใสปบที่มปี ูน
ขาวดิบ ปูนขาวดิบจะดูดความชืน้ ในอากาศภายในปบ จึงทําใหเกสรตัวผูที่อยูภายในหอกระดาษ
แหง ซิลิกาเจลก็ใชแทนปูนขาวดิบได แตมีราคาแพงกวาและเมื่อสารดังกลาวดูดความชืน้ แลว
เกล็ดซิลิกาเจลเปลี่ยนสีจากสีฟาเปนสีชมพู จึงนําซิลกิ า เจลไปอบที่อณ ุ หภูมิประมาณ 60 ํซ เพือ่
ไลความชื้นออกจนกระทัง่ เกล็ดเปลี่ยนเปนสีฟาตามเดิม จึงนํามาใชตอ ไป สวนปูนขาวดิบนัน้ เมื่อ
ดูดความชื้นแลวจะกลายเปนผงละเอียด นําไปโรยในแปลงที่ปลูกพริกเพื่อปรับระดับความเปน
กรด-ดางของดิน เกสรตัวผูท ี่แหงแลวนํามาใสภาชนะที่มีผาขาวบางปดปากภาชนะ แลวเคาะเอา
เฉพาะละอองเกสรตัวผูที่มีสเี หลืองออนๆ เกสรตัวผูนี้ควรเตรียมใหมทุกวัน
เตรียมดอกตัวเมียเพือ่ ทําการผสมขึน้ กับชนิดของกรรมพันธุของตัวเมีย ถาเปนดอกทีม่ ีเกสร
ตัวผูและเกสรตัวเมีย ตองใชคีมคีบเกสรตัวผูทงิ้ ตั้งแตดอกพริกยังอายุนอย กลีบดอกมีสีเขียวออน
การตอนดอกตัวเมียมักทําในตอนบายและเมื่อดอกบานเต็มที่กลีบดอกมีสีขาวจึงผสมพันธุได ถา
เปนดอกตัวเมียที่เกสรตัวผูฝอ เนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมภายในไซโตรพลาสซึม
(cytoplasmic male sterility) ก็ไมจําเปนตองตอนเกสรตัวผู ใหตรวจดูวาตนตัวเมียตนนัน้ มีเกสร
ตัวผูที่ฝอจริงหรือไม หากตนใดที่มีดอกซึง่ มีเกสรตัวผูปกติก็ใหถอนทิง้ ทันที โอกาสเชนนีเ้ กิดขึ้นได
ถาอุณหภูมิของสถานที่ปลูกสูง ลักษณะทางพันธุกรรมภายในไซโตรพลาสซึมอาจไมแสดงออกถา
เปนดอกตัวเมียที่เกสรตัวผูฝอ เนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมของโครโมโซม (genic male
sterility) ในกลุมพันธุตัวเมียจะมีตนที่ดอกมีเกสรตัวผูสมบูรณและตนทีด่ อกมีเกสรตัวผูฝอใน
อัตรา 1:1 ใหคดั ตนตัวเมียที่มีดอกสมบูรณเพศออกทิง้ ประมาณ 50 เปอรเซนต คงเหลือไวเฉพาะ
ตนที่มีดอกซึ่งเกสรตัวผูฝอ ดอกตัวเมียเหลานี้ไมตองทําการตอนเกสรตัวผู สามารถผสมเกสรได
ทันทีที่ดอกเจริญเต็มที่ กลีบดอกมีสีขาว
ถ. การผสมพันธุด อกพริก
นําเกสรตัวผูทเี่ ตรียมไวใสในแหวนผสมพันธุ โดยใชแหวนสวมทีน่ วิ้ ชีข้ างซาย แลวนําไป
แตะปลายเกสรตัวเมียในดอกที่เจริญเต็มที่ ทําเครื่องหมายเปนหางโลหะคลองไว เพื่อเปน
เครื่องหมายวาดอกนี้ผสมพันธุแลว การผสมดอกพริกควรทําในเวลาเชาเมื่อน้ําคางแหงแลว
ประมาณ 08.00 น.ถึง 10.00 น. หากทําไมเสร็จใหผสมพันธุในตอนบาย ประมาณ 16.00 น. เปน
ตนไป การผสมพันธุตองเลือกเวลาที่อุณหภูมิไมสูงเกินไปเมล็ดจึงจะติดดี
65
ท. การเก็บเกีย่ วผลพริกและเมล็ดพันธุพริก
หลังผสมพันธุป ระมาณ 30 วันเมื่อผลพริกมีสีแดงทัง้ ผล จึงเก็บผลได ผาผลพริก
ตามยาวแคะเมล็ดออก เมล็ดที่มีสีดําใหคดั ทิ้ง ตากเมล็ดในที่รมรําไรหรือกลางแดดที่มีตาขาย
พรางแสงประมาณ 2-3 แดด คัดทําความสะอาดสิง่ ที่เจือปนทิง้ เมื่อเมล็ดเย็นแลวจึงบรรจุใน
ถุงพลาสติกเพือ่ เตรียมสงขาย
66
บทที่ 5
การปรับปรุงพันธุพริก
พันธุพ ริกที่ใชภายในประเทศไทยแทบทั้งหมดเปนพันธุแทที่ไดจากการคัดพันธุ โดย กรม
วิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ เกษตรกร และสถาบันการศึกษา สวนบริษทั ไดเริ่ม
ปรับปรุงพันธุพ ริกลูกผสมออกจําหนาย กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณเปน
หนวยงานหลักทีท่ ําการปรับปรุงพันธุพริก หวยสีทน พริกจินดา พริกไรเม็ดเล็ก พริกมัน และพริกไร
เม็ดใหญเปนตน วิธีการปรับปรุงพันธุใชวธิ ีการคัดเลือกสายพันธุ (pedigree method) และวิธีการ
คัดเลือกหมู (mass selection) พริกหวยสีทนไดรับการปรับปรุงพันธุโดยกรมวิชาการเกษตรนําโดย
นายบรรจง สิกขะมลฑล และคณะ (กรมวิชาการเกษตร 2519) ตั้งแต พ.ศ. 2516 ที่โครงการไรนา
ตัวอยางหวยสีทน ไดใชวิธีการคัดเลือกสายพันธุและตามดวยวิธกี ารคัดเลือกหมู แลวจึงนํา
สายพันธุท ี่คัดเลือกไดปลูกเปรียบเทียบกับพริกพันธุพ ื้นเมืองหลายพันธุ พบวามีลกั ษณะดีเดนจึง
รับรองพันธุใหเปนมาตรฐาน ตั้งชื่อพันธุวา หวยสีทน 1 ตอมาศูนยวิจัยพืชสวนศรีสะเกษ โดย
นายเบลเยี่ยม เจริญพานิช (ศูนยวิจยั พืชสวนศรีสะเกษ 2535) ไดคัดเลือกพริกหวยสีทน 1และ
พันธุพ ริกพื้นเมืองอีกหลายพันธุ จนกระทั่ง พ.ศ.2534 ไดพันธุพริกหวยสีทน 1 นพ. 3-2-1
พริกหวยสีทน 1 นพ.4-1-1 และพริกหัวเรือประกวดขอนแกน 23-1 ซึ่งมีผลผลิตสูงกวาพริกพันธุ
พื้นเมืองอืน่ ๆ แตเมื่อนําไปทดสอบในแปลงเกษตรกรหลายแหงปรากฏวา ผลผลิตพริกหวยสีทนที่
คัดจากศูนยศรีสะเกษยังใหผลผลิตนอยกวาพันธุห วยสีทน 1 และพันธุของเกษตรกร ทั้งนี้เนื่องจาก
พริกที่คัดเลือกมีอายุการเก็บเกี่ยวที่ยาวกวาสายพันธุอื่น มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 8 เดือน เมือ่
นํา ไปปลูกเปรียบเทียบในชวงเวลาสัน้ ทําใหมีผลผลิตต่ํากวาพันธุอนื่ ๆ
นอกจากการปรับปรุงพริกพันธุห ว ยสีทน 1 นักวิชาการของกรมวิชาการเกษตรไดปรับปรุง
พริกพันธุอนื่ เชน พริกมันซึง่ เปนพริกชี้ฟา เนื้อหนารสเผ็ดปานกลาง ใชสําหรับทําพริกแหง โดยปลูก
คัดเลือกพันธุท ี่สถานีทดลองพืชสวนทาชัย ไดคัดเลือกตนพริกที่ใหผลดก แข็งแรง ปราศจากโรค
ผลโต ผลออนสีเขียวเขม เมือ่ แกผลสีแดงเขม สําหรับพริกชนิดอื่นเชน พริกไรเม็ดใหญและพริกไร
เม็ดเล็กก็ไดรับการปลูกเปรียบเทียบพันธุโดยสถานีทดลองของกรมวิชาการเกษตร นําพันธุทดสอบ
จากพันธุพ นื้ เมืองของเกษตรกร พบวา พันธุพริกไรเม็ดใหญ พันธุพนื้ เมืองน้าํ ปาดใหผลผลิตสูงสุด
สวนพันธุพริกไรเม็ดเล็กพันธุพริกเมืองนครพนม 2 ใหผลผลิตสูงสุด ในการเปรียบเทียบ ดังกลาว
สําหรับพริกขี้หนูเล็กไดรับการปรับปรุงพันธุโดยอาจารยถาวร โกวิทยากร จาก
มหาวิทยาลัยขอนแกน ไดปรับปรุงพันธุพ ริกชอมีผลขนาดเล็ก ใหผลผลิตสูง โดยการผสมพันธุ
และคัดเลือกสายพันธุ
77
ก. Genic male sterility (ms) ซึ่งรายงานโดย Shifriss. 1973 เปนยีนกลายพันธุท เี่ กิดใน
ธรรมชาติ พบประมาณ 0.01% ในแปลงพริก ยีนนีถ้ ูกนําไปใชในบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ
พริกลูกผสม โดยถายทอดยีนนี้ ลงในสายพันธุตวั เมียที่ใชเปนแมพันธุ ในการใชยีนนี้
สายพันธุตวั เมียจะมีดอกที่มเี พศผูปกติ 50% ดังนัน้ ตองคัดตนที่มเี พศผูปกติทงิ้ ในระยะ
เปนตนกลาครึง่ หนึ่ง เหลือไวเฉพาะตนทีม่ ีเกสรตัวผูฝอ การตรวจสอบนี้งา ยมองเห็นไดชัด
แตไมมีวิธีการอื่นที่ดีกวานี้ เนื่องจากยีน ms ไมมียีนทีส่ ามารถใชเปนเครื่องหมายแสดง
(linked marker gene) ขอเสียของยีนนีไ้ ดแกการใชยีนนี้ในลูกผสมชั่วที่ 1 หากปลูกใน
สภาพที่อุณหภูมิต่ําทําใหการพัฒนาของเกสรตัวผูในลูกผสมผิดปกติ ทําใหการติดผลมี
ปญหาดวย แตอยางไรก็ดีขอเสียนี้กเ็ ปนไดเฉพาะบางกรณีเทานัน้ ผูเขียนไดเคยเยี่ยมชม
การผลิตเมล็ดพันธุพ ริกลูกผสมในประเทศเกาหลีประมาณ พ.ศ. 2530 แทบทุกบริษัทใช
ยีนกลายพันธุน ี้ในการผลิตและประสพผลดีมาก
การขยายพันธุลกู ผสมโดยใชยนี กลายพันธุ ms จําเปนตองมีสายพันธุ 3 สาย
พันธุ
ไดแก สายพันธุตัวเมียที่มยี ีนกลายพันธุ ms/ms สายพันธุตัวผูท ี่มยี ีนกลายพันธุอ ยูหนึ่ง
ยีน ms + /ms (ms+ เปนยีนปกติ) และสายพันธุป กติ ms+/ms+ ทําการขยายพันธุ
ลูกผสมและพอแมพันธุ ตามรูปที่ 11 และ 12 สายพันธุตัวเมียที่มยี นี กลายพันธุ (A line)
ไมสามารถขยายพันธุดว ยตัวเองเพราะไมมีเกสรตัวผู จึงตองใชเกสรตัวผูจากสายพันธุ
ตัวผูที่มยี ีนกลายพันธุ (B line) จึงไดลูกครึ่งหนึง่ มีเกสรตัวผูปกติ และครึ่งหนึ่งมีเกสรตัวผู
ฝอ เมื่อไดสายพันธุ ตัวเมียที่มียนี กลายพันธุแลวตองการผลิตลูกผสม จึงตองใชเกสร
79
น m
กติ
ข. Cytoplasmic genic male sterility (CGMS) ยีนตัวผูเปนหมันนีพ้ บครั้งแรกโดย
Peterson. 1958 การที่ตัวผูเปนหมันเนื่องจากปฏิกิริยาระหวางไซโตพลาสซึมที่เปน
หมัน (s-type) กับยีนดอยในนิวเคลียส ms ยีน ยีนดอยนี้แสดงออกเมื่ออยูในไซโตพลา
สซึมแบบนี้เทานัน้ S ms/ms ถามียนี อืน่ อยูดวยจะไมแสดงออก เชน S ms+/ms, S
ms+/ms+, N ms/ms, N ms+/ms, และ N ms+/ms+ (ms+ - ยีนตัวผูปกติ, N-ไซโตพลา
สซึมปกติ) พริกที่มยี ีนดังกลาวมีเกสรตัวผูที่ปกติ ยีนตัวผูเปนหมันแบบ CGMS มีขอดี
มากกวาแบบแรกที่กลาวมาแลวเพราะสายพันธุตัวเมียมีเกสรตัวผูฝอหมดสามารถใชใน
การผลิตเมล็ดพันธุลกู ผสมได แตความยุง ยากอยูท ี่การหาสายพันธุ 3 สายพันธุ เพื่อเปน
พอแมพนั ธุ ไดแก สายพันธุต ัวผูฝอ (S ms/ms) สายพันธุที่ใชในการผลิตสายพันธุต ัวผูฝอ
(N ms/ms) และสายพันธุตัวผูปกติ (N ms+/ms+ หรือ S ms+/ms+) ตามรูปที่ 13 สาย
พันธุตวั ผูฝอไมมีเกสร (A line) ตองขยายพันธุโดยอาศัยเกสรตัวผูจากสายพันธุที่มียนี
ดอยเหมือนกัน (B line) แตมีไซโตพลาสซึมที่ปกติ (N ms/ms) เมื่อไดแมพันธุก ็ผลิต
ลูกผสมโดยใชเกสรจากสายพันธุปกติ (C line) จะไดลูกผสมที่มีเกสรตัวผูปกติ
80
รูปที่ 11.5 สายพันธุตวั ผูท ี่มียนี ปกติ (C line) สําหรับผสมกับสายพันธุ A line จะไดลูกผสม
ชั่วทีห่ นึง่
85
⊗
ผสมตัวเอง
X X
สายพันธุพ อ
(ขยายพันธุ)
ms/ms : ms+/ms ms+/ms : ms/ms
คัดทิ้ง X
สายพันธุแม สายพันธุแม maintainer
A line B line ลูกผสม F1
เกสรตัวผูปกติ
ms+/ms
ผสมตัวเอง ⊗ ⊗ ผสมตัวเอง
N ms+/ms+ N ms/ms
เกสรตัวผูปกติ X X เกสรตัวผูป กติ
C line B line
(ขยายพันธุพอ) (ขยายพันธุพอ)
S ms+/ms S ms/ms
เกสรตัวผูปกติ เกสรตัวผูฝ อ
F1 hybrid A line
(ขยายพันธุลูกผสม) (ขยายพันธุแม)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีการปรับปรุงพันธุ ความตานทานโรค สายพันธุพ ริกตานทาน เอกสารอางอิง
แมลง และอืน่ ๆ และสายพันธุท ี่มีลกั ษณะดี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interspecific ตานทานตอ tobacco ใช L ยีนใน C. Stevanovic,
hybridization mosaic, frutescens et al. 1992
และ tobamovirus p 55 และ
backcrossing L 606 และ
C. pendulum
C 131
2. โรครา
Backcrossing ตานทานตอ C. annuum Milkova,
Phytophthora et al. 1989
capsici
Selection ตานทานตอ Capsicum Byung-Soo.
Xanthomonas สายพันธุ 1988
campestris PI 163192,
pv. vesicatoria PI 1271322,
PI 308787,
PI 1369994,
PI 1244670,
PI 1241670,
PI 1377688,
PI 1224451
ตานทานตอ PI 163192, Byung-Soo.
Phytophthora PI 123469, 1988
capsici PI 201232,
PI 201234,
PI 224445,
P 51,
AC 2258,
89
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีการปรับปรุงพันธุ ความตานทานโรค สายพันธุพ ริกตานทาน เอกสารอางอิง
แมลง และอืน่ ๆ และสายพันธุท ี่มีลกั ษณะดี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Riogrande,
Gosung
3. ลักษณะที่ดที าง
พืชสวน
Single seed ความหนาของ pericarp C. annuum Casali, et al.
descent และความยาวของผล สายพันธุ 1986
Agronomico
10 G
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
วิธีการปรับปรุงพันธุ ความตานทานโรค สายพันธุพ ริกตานทาน เอกสารอางอิง
แมลง และอืน่ ๆ และสายพันธุท ี่มีลักษณะดี
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Crossing ความหนาของ pericarp C. annuum Gvozdenovic,
และน้ําหนักผล สายพันธุ et al. 1992
L22-3/12 และ
L22-3/3
4. แมลง
Screening ทนทานตอ Western C. annuum Ferry and
flower thrips สายพันธุ Schalk. 1991
(Frankliniella Keystone
occidentalis Resistant
(Pergande) Giant, Yolo
Wonder L,
Mississippi
Nemaheart,
Sweet Banana,
California
Wonder
การวางแผนการผสมพันธุพริก
การวางแผนการผสมพันธุพ ริกคลายกับการวางแผนการผสมพันธุมะเขือเทศ เนื่องจาก
พืชทัง้ สองเปนพืชผสมตัวเอง อาจสรุปการปรับปรุงพันธุพ ริกโดยใชวธิ กี ารตอไปนี้
ก. วิธกี ารคัดเลือกสายพันธุแบบบันทึกประวัติ (pedigree method)
ข. วิธกี ารคัดเลือก แบบเมล็ดเดี่ยว (single seed descent)
ค. วิธกี ารคัดเลือกหมู (mass selection)
ง. วิธกี ารผสมกลับ (backcross method)
จ. วิธีผสมผสานของการคัดเลือกสายพันธุ และการคัดเลือกหมู
ฉ. วิธีการคัดเลือกแบบวงจร (recurrent selection)
ช. วิธีการปรับปรุงพันธุลูกผสม (F1 hybrid)
รูปที่ 14 การกระจายตัวของยีนที่ควบคุมลักษณะสีเหลืองของผลพริกยักษ
รูปที่ 14.1 ลูกผสมชัว่ ที่ 1 (F1) ของพริกยักษชนิดผลออนสีเหลือง และผลสุกสีแดง
จํานวนที่ปลูก จํานวนที่คัดเลือก
ตน สายพันธุ ตน สายพันธุ
F1 50 50
F2 5000 250
F3 250 125 50
F4 125 90 40
………………………..
F5 ………………………. 90 80 35
………………………
F6 80 15
F7 ปลูกทดสอบหลายซ้ํา 15 4
F8 - F10 ปลูกทดสอบหลายซ้ํา 4 1
⊗ - ผสมตัวเองของ F2
⊗ - ผสมตัวเองของ F3
⊗ - ผสมตัวเองของ F4
⊗ - ผสมตัวเองของ F5
- แจกเมล็ดเพือ่ นําไปคัดพันธุ
ตามสถานทีต่ างๆ
⊗ ⊗ ⊗ - คัดตนที่ดีไปขยายพันธุโดยผสมตัวเอง
- ทดสอบในสถานที่ตางๆ จนแนใจ
จึงแจกเมล็ดใหกสิกร
จํานวนที่ปลูก จํานวนที่คัดเลือก
ตน สายพันธุ ตน สายพันธุ
F1 50 50
F2 5000 5000
F3 5000 5000
F4 5000 5000
………………………..
F5 ………………………. 5000 250
………………………
F6 250 15
F7 ปลูกทดสอบหลายซ้ํา 15 4
F8 - F10 ปลูกทดสอบหลายซ้ํา 4 1
คัดพันธุ ⊗ F1 ⊗ F1 คัดพันธุ
ตาน ตาน
ทาน F2 F2 ทาน
ตอ ตอ
PMV BC1 BC1 CMV
F2BC4 X F2BC4
F1
F6 ปลูกทดสอบและขยายเมล็ด
ขยายพันธุใหมแจกกสิกร
A B
X ตองการถายทอดยีน RR จากพันธุ A ไปยังพันธุ B
RR rr
X BC1 กับ F1
Rr rr
ผสมตัวเอง
rr Rr
ทิ้ง
rr Rr RR
ทิ้ง ทิ้ง นําไปใช
A B
X ตองการถายทอดยีน rr จากพันธุ A ไปยังพันธุ B
rr RR
ผสมตัวเอง
Rr
RR Rr rr
RR Rr rr
ทิ้ง ทิง้
นําไปใช
รูปที่ 20 วิธีการผสมกลับ (backcross) กรณีที่ลักษณะ ที่ตองการถายทอดถูกควบคุมโดยยีนดอย
คูเดียว
106
ผสมกลับ
X AMA 3 BC1
ผสมกลับ
X AMA 3 BC2
ผสมกลับ
X AMA 3 BC3
ผสมกลับ
X AMA 3 BC4
Miyashi X
ผสมตัวเองและคัดเลือก
ผสมตัวเองและคัดเลือก
พันธุพริกที่ดี
จ. วิธีการผสมผสานของการคัดเลือกสายพันธุ และการคัดเลือกหมู
การปรับปรุงพันธุโดยวิธนี ี้เปนการนําเอาวิธกี ารคัดเลือกสายพันธุแบบบันทึกประวัติในขอ
ก. มาใชในการคัดเลือกสายพันธุ และในชั่วอายุหลังๆ ทําการคัดเลือกหมูดงั ไดอธิบายไวในขอ ค.
ตัวอยางการปรับปรุงพันธุพริกโดยวิธกี ารนี้ ไดแก การปรับปรุงพันธุพริกขี้หนูเม็ดใหญ พันธุหว ยสี
ทน 1 โดย นายบรรจง สิกขะมลฑลและคณะ (กรมวิชาการเกษตร 2519) ไดปรับปรุงพันธุพริกขี้หนู
โดยใชวิธีการคัดเลือกสายพันธุแบบบันทึกประวัติใน พ.ศ. 2516 คัดเลือกได 200 สายพันธุแลว
นํามาปลูกแบบตนตอแถว ทําการผสมตัวเองของตนที่คดั เลือก นําเมล็ดที่ผสมตัวเองภายในตน
เดียวกันมาปลูกเปนกลุม สายพันธุละ 600 ตน แลวคัดเลือกกลุมที่ดีนาํ ไปปลูกแลวจึงทําการ
คัดเลือกหมู จนไดพันธุที่ดีเพื่อทดสอบเปรียบเทียบกับพันธุพ นื้ เมืองในสถานที่ตางๆ จึงขอรับการตั้ง
ชื่อรับรองพันธุว า หวยสีทน 1
ใช
น ง
ปที่ 2 นําเมล็ดที่ผสมตัวเอง
จากตนที่ดีมาปลูกเปน
แถว และผสมพันธุแบบ
เจอกันหมด
รอบที่ 2
ปที่ 3 OOOOOOO ปลูก คัดเลือกตนที่
ดี และผสมตัวเอง
ปที่ 4 นําเมล็ดที่ผสมตัวเอง
จากตนที่ดีมาปลูกเปน
แถว และผสมพันธุแบบ
เจอกันหมด
รูปที่ 22 การคัดเลือกแบบวงจร (recurrent selection)
110
ช. วิธีการปรับปรุงพันธุล กู ผสม
การใชเมล็ดพันธุลูกผสมของพริก (hybrid seed) นิยมใชในตางประเทศ เชน
สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปนุ และไตหวัน พันธุลูกผสมสวนใหญเปนพริกหวาน สวนพริกเผ็ดมีนอย
เนื่องจากประเทศเหลานัน้ นิยมบริโภคพริกหวานเปนหลัก สําหรับประเทศไทยใชพริกเผ็ดเปน
สวนใหญ ตลาดพริกหวานมีนอยมาก พันธุพริกหวานสั่งเขาจากตางประเทศทั้งหมด สวนพริกเผ็ด
ที่ใชเปนพันธุผสมเปดแทบทัง้ หมด กสิกรเปนผูคัดเลือกบาง หนวยงานของรัฐบาลแจกจายบาง
หรือบริษัทเมล็ดพันธุจัดจําหนายบาง แตแนวโนมของการใชลกู ผสมพริกเผ็ดไดเริ่มขึ้นโดย
บริษัทหลายแหงทําการปรับปรุงพันธุพริกลูกผสมออกจําหนาย ในอนาคตความตองการพริก
ลูกผสมอาจมีสูง ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกสิกรเริ่มมีความเขาใจและไดทดลองใชพนั ธุเ หลานี้ ทั้งนีเ้ นื่องจาก
พริกลูกผสมใหผลผลิตสูงกวาพันธุแทมีความสม่ําเสมอมากกวาและอาจมีขอดีในแงความตานทาน
โรค ลูกผสมพริกนิยมใชลกู ผสมชั่วที่หนึ่ง (F1 single cross hybrid) โดยใชยีนตัวผูเ ปนหมันในรูป
ของ genic male sterility หรือ cytoplasmic genic male sterility ก็ได แตตนทุนการผลิต
เมล็ด ลูกผสมชั่วแรกคอนขางสูงเนื่องจากผลผลิตของเมล็ดพันธุแทใหผลผลิตต่ํา ดังนั้นอาจ
หลีกเลี่ยงไดโดยใชพันธุลูกผสมสามทาง (three way cross) หรือลูกผสมสี่ทาง (double
cross) เพื่อลดตนทุนการผลิตเมล็ดลูกผสม แตลูกผสมสองวิธีหลังนี้มีคุณสมบัตไิ มดีเทาลูกผสม
ชั่วทีห่ นึง่ แตราคาเมล็ดพันธุถ ูกกวา
วิธีการดําเนินงานในการปรับปรุงพันธุลูกผสมชั่วที่หนึ่งทําไดโดย ทําการทดสอบหา
ความสามารถในการรวมตัวกับพันธุผสมเปด ซึ่งเรียกวาความสามารถในการรวมตัวทั่วไป
(general combining ability) ซึ่งใชประโยชนในการปรับปรุงพันธุรวม (synthetic variety) หรือ
ทดสอบหาความสามารถในการรวมตัวกับพันธุแท ซึ่งเรียกวาความสามารถในการรวมตัวแบบ
เฉพาะเจาะจง (specific combining ability) ซึ่งใชประโยชนในการปรับปรุงพันธุล ูกผสมเทานัน้
ความสามารถในการรวมตัวนี้เปนการชี้ใหเห็นวาพันธุทตี่ องการปรับปรุงนั้น เมื่อนําไปผสมพันธุก บั
พันธุอนื่ ลูกผสมที่ไดมีแนวโนมที่ใหผลผลิตและคุณสมบัติอื่นๆ ดีกวาพอแมหรือไม หากมี
คุณสมบัติที่ดีกวาก็นาํ พอแมพันธุมาผสมตัวเองจนกระทั่งพอแมพนั ธุเ ปนพันธุแทหรือพันธุบริสทุ ธิ์
แลวจึงผสมระหวางพอและแมพันธุเพื่อใหไดลูกผสมชั่วที่ 1 (รูปที่ 23)
111
ประเมินพันธุลูกผสม F1
คัดเลือกลูกผสมที่ดีทดลองหลายสถานที่
ขยายพันธุคูผสมที่ดแี จกกสิกร
รูปที่ 23 การปรับปรุงพันธลูกผสมพริก (F1 hybrid) จากพันธุแท พันธุผสมเปดและพันธุลูกผสม
112
น้ําหนักสดของลูกผสม
X 100
(น้ําหนักสดแมพนั ธุ + น้ําหนักสดพอพันธุ)
2
3
% น้ําหนักแหงคํานวณจากสูตร
น้ําหนักแหงของลูกผสม
X 100
(น้ําหนักแหงแมพนั ธุ + น้ําหนักแหงพอพันธุ)
2
115
m
_______________________________________________________________________________
พันธุ % การผสมตัวเอง % การผสมขา ม
_______________________________________________________________________________
C. annuum 99.15
C. chinense 80.00
C. baccatum 87.75
C. annuum1 x C. chinense2 65.00
C. annuum x C. baccatum 100.00
C. chinense x C. annuum 100.00
C. chinense x C. baccatum 100.00
C. baccatum x C. annuum 80.00
C. baccatum x C. chinense 66.67
_______________________________________________________________________________
1
ชื่อแรกเปนตัวเมีย
2
ชื่อหลังเปนตัวผู
เครื่องหมาย
sw1-swn Sulfury white immature fruit color (ผลออนสีขาวเหลือง) : เปนยีนควบคุมสี
เขียว shade ตางๆ หลายๆ ยีน รวมกันมีผลตอลักษณะแบบเพิม่ เทาตัว
(duplicate) หรือรวมตัว (accumulative) อยูในกลุมเดียวกัน (linkage group)
A-6.5-0-18.8-sw1
t High B carotene content (ระดับ B carotene สูง) : มีผลสงเสริม
(complementary) กับยีน B
y(r) Yellow or orange mature fruit color (ผลสุกสีเหลืองหรือสีสม) อยูที่
โครโมโซม trisomic IN
ys Yellow spot (จัดสีเหลือง) : จุดสีเหลืองที่กลีบดอกของ C. pendulum
ลักษณะยีนขม (monogenic dominant) ในการผสมขามชนิดกับ C. annuum,
C. chacoense, C. chinense, และ C. frutescens
yt1, yt2 Yellow top (ยอดสีเหลือง) : ใบออนสีเหลืองและคอยๆ เขียว
ยีนตานทานโรคและไสเดือนฝอย
Bs1 Bacterial spot resistance : ตานทานตอ X. campestris pv. vesicatoria
race 1 ใน C. chacoense PI 260435
Bs2 (Bs) Bacterial spot resistance : ตานทานตอ race 2 ของ pv. Resicatoria ใน
C. annuum PI 163192
eta Tobacco etch virus (TEV) resistance : ตานทานตอ TEV ใน C. annuum
พันธุ Cayenne SC 46252 และ PI 264281 ลักษณะขมยีน ya และเปนยีนคู
ดวย (allelic with ya)
*etav Resistance in Avelar to TEV และ PVY : ทนทานตอ PMV และ TEV-S
ลักษณะขมยีน eta และ ya และเปนคูดวย (allelic with eta and ya)
*etc1 Resistance to PMV and TEV-C : ตานทานตอ PMV และ TEV-C ใน
C. chinense PI 159236 เปนคูกับ etav (allelic with etav) เมื่อรวมกับยีน etav
เปน etav/etc1 มีผลทําใหออนแอตอ PMV
etc2 Resistance in C. chinense PI 152225 to PVY, PMV, และ TEV-S
(etc, etf) (ตานทานตอ PVY, PMV, และ TEV-5 ใน C. chinense PI 15225 : มียีนตางๆ
ตอไปนี้ etc2 > etc1 > etav > eta > ya
119
เครื่องหมาย
L3 Localization of pepper strains of TMV in C. chinense (ตําแหนงของยีน
TMV ใน C. chinense) : มียีนตางๆ ดังนี้ L3 > L2 > L1 > L+
L2(L) Localization of common strain of TMV in C. frutescens (cv. Tabasco)
and in certain cvs. of C. annuum (ตําแหนงของยีน TMV ใน C. frutescens
(cv. Tabasco) และในบางพันธุของ C. annuum) : พบใน C. baccatum
vars. pendulum และ microcarpum
L1 Imperfect localization of TMV (ตําแหนงของยีน TMV ที่ไมชัดเจน) พบใน
(L1L1) C. annuum เปนยีนขมไมสมบูรณ (incomplete dominance) ของ L2/L+ ที่มี
ตอบางสายพันธุของ TMV เปนผลใหมจี ุดสีเหลืองทีพ่ ริกโดยเฉพาะที่อุณหภูมิ
สูง ยีนมีตาํ แหนงที่โครโมโซม trisomic BR
N Root-knot nematode resistance to M. incognita and M. incognita race
acrita : ตานทานตอไสเดือนฝอยชนิด M. incognita และ M. incognita
สายพันธุ acrita
V1, V2 Veinbanding virus resistance (ตานทานโรคไวรัสทอน้ําทออาหาร) : ยีนทัง้
สองควบคุมปฏิกิริยา 4 แบบ ตอโรคไวรัส ซึ่งยีน V1/V1 และ V2/V2 เทานั้นที่
ตานทาน ความตานทานนีพ้ บในบางสายพันธุของ C. chinense,
C. frutescens, C. pendulum และ C. pubescens
ยีนความคุมสัณฐานวิทยา (mophology)
ca Canoe : ปลายใบเลี้ยงและใบจริงมวนขึ้น มองเห็นใตใบ
*dw1 Dwarf (แคระ) : ตนแคระประมาณ 6 นิ้ว และลดความสามารถในการสืบพันธุ
(fertility) ของตัวเมียลง
dw2 (dw) Dwarf warf (แคระ) : ตนแคระประมาณ 4-6 นิ้ว มีจํานวนขอปกติ 8-10 ขอ ได
จากการผสมระหวาง C. baccatum var. pendulum x C. annuum
fa Fasciculate (ทรงพุม ) : ดอกและผลเปนกลุม มีขอหลายขอติดกัน
(compound node) ตนเปนทรงพุม มีแนวโนมที่ไมทอดยอด (determinate)
fi1 Filiform threadlike leaves (ใบเปนเสน) : กนของผล (blossom) มีรูปรางไม
(fi mutant1) แนนอน ตัวเมียมีความสามารถในการสืบพันธุ (fertile)
fi2 เหมือน fi1 : ใบเลี้ยงและใบจริงแคบ กลีบดอกเปนเสน ชองรังไข (carpel) ไม
รวมกับยอดเกสรตัวเมีย (pistil) ตัวเมียเปนหมันแทบทั้งหมด
120
เครื่องหมาย ลักษณะ
Fr Frilly (หยัก) : ปลายใบหยัก
(H1) H Hairless stem in C. annuum var. munimum (Blanco) (กิ่งไมมีขนใน
C. annuum var. minimum (Blanceo)) : ยีนไมมีขน ขมลักษณะ กิ่งมีขนใน
cv. Golden Dawn แตมีรายงานวาใน C. annuum อื่น ลักษณะมีขนขม
ลักษณะไมมีขนในอัตรา 15 : 1 (digenic inheritance) ดังนัน้ กิง่ กาน และใบ
แสดงลักษณะไมมีขนในระดับตางๆ กัน
O Oblate or round fruit shape in C. annuum and C. chinense (ผลรูปไข
หรือผลกลมใน C. annuum และ C. chinense) : ยีนผลรูปไขหรือกลม ขม ผล
รูปยาว อยูในกลุม (linkage) A-6.5-0-18.8-sw1
P (D) Pointed fruit apex (ปลายผลแหลม : ยีนปลายผลแหลม ขมยีนปลายผลมน
แบบไมสมบูรณ (incompletely dominant)
pc1, pc2, pc3 Polycotyledon (ใบเลี้ยงมาก) : ตนกลามีใบเลี้ยง 2-4 ใบ และลําตนแตกหลาย
กิ่งไมแตกกิง่ เปนคูๆ (pseudo-dichotomous) การพัฒนาของกานไมเทากัน
(unequally developing shoots) nonallelic ตอกัน
r1 Roundleaf (ใบกลม) : ความยาวของใบลดลง แตความกวางไมลด อัตราสวน
ความยาว/ความกวาง จาก 1.50 เปน 1.24
ru Rugose or savoyed mature leaves (ใบที่เจริญเต็มที่เปนคลื่น) : พบใน
ลูกผสมระหวาง C. chinense x C. annuum ใบที่เจริญเต็มที่สีเขียวเขมกวาใบ
ปกติ แยกไดงายโดยดูจากใบเลี้ยงที่อวบน้ํา ปลายใบโคงลง ตนกลาแข็งแรง
อัตราการรอดชีวิตสูง
tu Cotyledons and leaves are rolled up like a tube, with only the abaxial
surface exposed (ใบเลี้ยงและใบจริงมวนคลายทอเห็นแตใตใบ)
up (p, u) Upright or erect pedicel and fruit orientation (กานดอกและผลชี้ขึ้น) : การ
แสดงของยีนในพริกบางชนิดไมแสดงออกทั้งหมด ยีนอยูบนโครโมโซมตําแหนง
trisomic NO
wl Willlow leaf (ใบวิลโล) : ใบแคบเหมือน fi แตกวางกวา nonallelic ตัวเมียเปน
หมันมาก (highly sterile) ตัวผูไมเปนหมัน (fertile) ติดผลแบบไมตองใชเกสร
ตัวผู (parthenocarpic) ผลไมมีเมล็ด
121
เครื่องหมาย ลักษณะ
ยีนควบคุมความเปนหมัน
fs1 Female – sterile mutant in C. annuum (ยีนกลายพันธุตวั เมียเปนหมันใน
C. annuum : ตนโตกวาธรรมดา ตัวผูไมเปนหมัน (fertile) ติดผลแบบไมตองใช
เกสรตัวผู (parthenocarpic) ผลไมมีเมล็ด
fs2 (fs) Female-sterile mutant in C. annuum PI 159276 (ยีนกลายพันธุตวั เมียเปน
หมันใน C. annuum PI 159276 : เหมือน fs1 ตัวผูไมเปนหมัน (fertile)
ms Male-sterile nuclear gene induces male sterility in S cytoplasm in
genotype Sms/ms (ยีนในนิวเคลียสทีต่ ัวผูเปนหมัน ทําใหเกิดความเปนหมัน
ใน S ไซโตพลาสซึม ในสภาพยีน Sms/ms : แหลงของ S ไซโตพลาสซึมมี 3
แหลง ทําใหเกิดปฏิกิริยาความเปนหมันเหมือนกัน เมือ่ ใชกับยีน ms และ
restorer ยีนทีต่ างกัน
ms1,ms2,ms3 Spontaneous male-sterile mutants from C. annuum cvs. Allbig,
California Wonder, and Gambo, respectively (ยีนกลายพันธุท าํ ใหตัวผู
เปนหมันจาก C. annuum พันธุ All big, California Wonder, และ Gambo
ตามลําดับ : nonallelic
ms9 ms509 r-radiation-(ms9) and chemical (EMS)-induced (ms509, ms705) male-
ms705 sterile mutants (ยีนตัวผูเปนหมัน ms9 ไดจากรังสีแกมมา ms509 และ
ms705 ไดจากการใชสารเคมีกระตุน) : ยีน ms509 ใชในการปรับปรุงพันธุ
พริกหวานลูกผสมชั่วที่ 1 พันธุ Lamuyo-INRA
ยีนควบคุมสรีรวิทยาของพริก
C Capsaicin or pungent fruit (ผลมีรสเผ็ด) : ยีนนี้ขนึ้ กับยีนอืน่ ๆ (modifiers)
ในการเพิ่มหรือลดความเผ็ด ตําแหนงอยูบนโครโมโซม 11 ของ trisomic JA
Gi Graft incompatible (ทาบกิ่งไมติด) : ปฏิกิริยาของ C. annuum เมื่อทาบกิง่
กับพืชในตระกูล Solanaceae
Ps (S) Pod separates easily from calyx (ผลแยกออกจากฐานรองดอกไดงาย) :
แตกตางจากพวกเนื้อผลนิม่ S ผลแยกออกจากฐานรองดอกงายเมื่อผลแก ยีน
นี้ขึ้นกับยีนอืน่ ๆ ดวย (modifiers และ background genotype)
S (Ps) Soft juicy fruit in Paprika (ผลนิ่มและอวบน้ําใน Paprika) : แตกตางจาก Ps
พบใน C. chinense ลูกผสมของ PI 152225 x Tabasco (Ps, S)
122
บทที่ 6
การใชยีนตัวผูเปนหมันในการปรับปรุงพันธุพ
ริกเผ็ด
บทนํา
1.1 การรวบรวมพันธุพริกเผ็ดและผลิตเมล็ดพันธุแท
รวบรวมพันธุพ ริกเผ็ดหรือพริกหนุม จากแหลงปลูกหลายแหง เชน แปลงเกษตรกร
และตลาดสด ภายในประเทศ จํานวน 10 พันธุ ซึง่ พันธุเหลานี้มีเกสรตัวผูปกติ และรวบรวมพันธุ
125
ผลการรวบรวมพันธุพริกเผ็ดและผลิตเมล็ดพันธุแ ท
จากการปลูกเพื่อศึกษาลักษณะสายพันธุท งั้ 15 สายพันธุ พบวามีพริก
บางสายพันธุท ี่มีลักษณะนาสนใจ ไดแก พริกหนุมขาวแมกุงเปนพริกที่มี ฝกขนาดใหญ ยาว ติด
ผลดก ผลสีขาวเหลือง และมีรสเผ็ด พริกหนุมเขียวมีลําตนแข็งแรง ผลสีเขียวออน ผลยาว ใหญ
และมีรสเผ็ดปานกลาง อีกสายพันธุท ี่มีลกั ษณะดี มีลาํ ตนสูงและแข็งแรง เก็บเกี่ยวไดนาน
และมีรสเผ็ดคือ พริกฝาง การ คัดเลือกสายพันธุท ี่ดีเพือ่ นํามาใชเปนสายพันธุพ อและสายพันธุแม
พบวาสายพันธุทเหมาะสมสําหรับเปนสายพันธุพ อ ไดแก สายพันธุหมายเลข 2 (พริกหนุมเขียว
แมโจ), 3 (พริกหนุมเขียว), 6 (พริกหนุมขาวแมกุง), 8 (พริกบางชาง) และ 9 (พริกฝาง) ซึ่งมี
126
ุ
พบวา ไดเมล็ดพันธุจากทั้ง 5 พันธุ สวนพันธุแมซงึ่ ตองใชสายพันธุท ี่มียนี พิเศษในการผลิตเมล็ด
พันธุ ก็พบวามีเมล็ดพันธุแทซึ่งไดจากการผสมระหวางแมพันธุ และพันธุพ อซึง่ มียนี อื่นๆ เหมือนแม
พันธุ ยกเวน ยีนทีท่ ําใหตัวผูเปนหมัน ไดเมล็ดพันธุแทของแมพนั ธุ 2 พันธุ โดยวิธกี ารดังกลาว
1.2 การผสมพันธุ
ปลูกสายพันธุแ มที่คัดเลือกไว 2 พันธุ ไดแก CF 21789 (หมายเลข 12) KY 1-1
(หมายเลข13) พันธุละ 25 ตน ปลูกสลับกับสายพันธุพอ ที่คัดเลือกไว 5 พันธุ ไดแก พริกหนุม ขาว
แมกุง (หมายเลข 6), พริกหนุมเขียว (หมายเลข 3), พริกบางชาง (หมายเลข 8), พริกหนุมเขียว
แมโจ (หมายเลข 2) และพริกฝาง (หมายเลข 9) ใชระยะหางระหวางตน 60 เซนติเมตร และ
ระหวางแถว 80 เซนติเมตร แตละคูผสมปลูกในมุง พลาสติกสีฟา เพื่อกันแมลง ขนาด 5 x 10 เมตร
เริ่มผสมพันธุเวลาเชา 08.30 – 11.00 น. เก็บดอกจากตนสายพันธุพ อ พันธุละ
10-20 ดอก แบบรวมตน แตะเกสรตัวผูกับดอกสายพันธุแม และทําเครื่องหมาย ผสมดอกในตน
สายพันธุแมประมาณ 20 ดอก/ตน การผสมใชเวลาประมาณ 2 อาทิตย หลังผสมพันธุแลว 45-50
วัน ผลพริกเริ่มสุกแดง และเก็บเมล็ดได พันธุลกู ผสมชัว่ ที่ 1 ที่ทาํ การผสมพันธุนี้ไดแก CF 21789
X หนุมขาวแมกุง, CF 21789 X หนุม เขียว, CF 21789 x หนุมเขียวแมโจ, CF 21789 x บางชาง,
CF 21789 x ฝาง, KY 1-1 x หนุมขาวแมกุง, KY 1-1 x หนุมเขียว, KY 1-1 x หนุม เขียวแมโจ,
KY 1-1 x บางชาง และ KY 1-1 x ฝาง
ผลการผสมพันธุ
ไดเมล็ดพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1 จากการผสมขามระหวางพันธุแมที่มยี ีนตัวผูเปนหมัน
2 พันธุ กับพันธุพอที่คัดเลือก 5 พันธุ พบวาไดเมล็ดพันธุลูกผสมชัว่ ที่ 1 ดังนี้ CF 21789 X หนุม
ขาวแมกงุ , CF 21789 X หนุมเขียว, CF 21789 x หนุมเขียวแมโจ, CF 21789 x บางชาง, CF
21789 x ฝาง, KY 1-1 x หนุม ขาวแมกงุ , KY 1-1 x หนุมเขียว, KY 1-1 x หนุมเขียวแมโจ, KY 1-1
x บางชาง และ KY 1-1 x ฝาง
และ KY 1-1 x ฝาง และพันธุพ อ 5 สายพันธุ ไดแก พริกหนุม ขาวแมกุง, พริกหนุมเขียว, พริก
หนุมเขียวแมโจ, พริกบางชาง และพริกฝาง ทดสอบที่สถานีวิจัยของบริษัทเอกชนทีจ่ งั หวัดเชียงราย
และที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม ระหวางเดือนตุลาคม 2541 ถึงเดือนกุมภาพันธ 2542 วางแผนการ
ทดลองแบบบลอกสมบูรณ (randomized complete block design) มี 3 ซ้ํา เมื่อผลพริกแกเขียว
บันทึกผลผลิตเฉลี่ยตอไร และคํานวณความดีเดนของลูกผสม (heterosis) ในดานผลผลิตกับสาย
พันธุพ อโดยใชสูตรดังนี้
สําหรับการวัดความเผ็ดของพริกโดยวิธีใชคนชิม จัดตัวอยางพริกที่ตองการ
ทดสอบ หัน่ เปนชิ้นเล็กๆ ใชคน 10 คนทดสอบ และใหคะแนนความเผ็ดระดับ 1 ถึง 5 (1 = ไมเผ็ด,
2 = เผ็ดเล็กนอย, 3 = เผ็ดปานกลาง, 4 = เผ็ดมาก และ 5 = เผ็ดที่สดุ ) หาคาเฉลี่ยแตละตัวอยาง
จากผลคะแนนจาก 10 คน
พันธุลกู ผสมชัว่ ที่ 1 ไดแก CF 21789 X หนุม ขาวแมกุง, CF 21789 X หนุมเขียว, CF 21789 x
หนุมเขียวแมโจ, CF 21789 x บางชาง, CF 21789 x ฝาง, KY 1-1 x หนุม ขาวแมกุง, KY 1-1 x
หนุมเขียว, KY 1-1 x หนุม เขียวแมโจ, KY 1-1 x บางชาง และ KY 1-1 x ฝาง ปลูกเปรียบเทียบ
กับพันธุพอ 5 พันธุ ไดแก พริกหนุมขาวแมกุง, พริกหนุมเขียว, พริกหนุมเขียวแมโจ, พริกบางชาง
และพริกฝาง
มีพริกลูกผสม 3 สายพันธุ ที่ใหผลผลิตเฉลี่ยตอไรสูง ไดแกพริกลูกผสมชั่วที่ 1
KY 1-1 x พริกหนุมเขียว (รูปที่ 24) ใหผลผลิตสูงสุดคือ 4,189 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ
KY 1-1 x พริกบางชาง (รูปที่ 25) ใหผลผลิตเฉลี่ย 4,153 กิโลกรัมตอไร และ KY 1-1 x พริกหนุม
เขียวแมโจ (รูปที่ 26) ใหผลผลิตเฉลีย่ 4,014 กิโลกรัมตอไร สําหรับการปลูกทดสอบที่สถานี
ทดลองของบริษทั (เซมินีส เวเจทเทเบิ้ล สีดส) ที่จังหวัดเชียงราย พบวา พริกลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1
x พริกหนุมเขียว (รูปที่ 24) ใหผลผลิตสูงสุดคือ 3,156 กิโลกรัมตอไร รองลงมาคือ KY 1-1 x พริก
หนุมขาวแมกงุ (รูปที่ 27) ใหผลผลิตเฉลีย่ 3,033 กิโลกรัมตอไร และ KY 1-1 x พริกบางชาง (รูป
ที่ 25) ใหผลผลิตเฉลี่ย 2,853 กิโลกรัมตอไร สวนผลผลิตเฉลี่ยของลูกผสมชั่วที่ 1 คูอื่นๆ และสาย
พันธุพ อพันธุอนื่ ๆ ไดแสดงไวในตารางที่ 11 นอกจากนั้นจากการเปรียบเทียบความดีเดนของ
ลูกผสม ( heterosis ) ในดานผลผลิต พบวาลูกผสมชัว่ ที่ 1 สวนใหญมีเปอรเซ็นตความดีเดนของ
ลูกผสมสูงเชน ลูกผสมชัว่ ที่ 1 CF 21789 x พริกฝางมีเปอรเซ็นตความดีเดนของลูกผสมเทากับ
261.58 ลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1 x พริกฝาง มีเปอรเซ็นตความดีเดนของลูกผสมเทากับ 237.93
และ KY 1-1 x บางชางมีเปอรเซ็นตความดีเดนของลูกผสมเทากับ 233.97 สวนเปอรเซ็นตความ
ดีเดนของลูกผสมคูอื่นๆ ไดแสดงไวในตารางที่ 12 ผลจากการปลูกทดสอบพันธุลกู ผสมชั่วที่ 1 ทั้ง
10 สายพันธุเปรียบเทียบกับสายพันธุพ อทั้ง 5 สายพันธุ ในสองสถานที่ โดยพิจารณาผลผลิต
เฉลี่ยตอไร และเปอรเซ็นตความดีเดนของลูกผสมชั่วที่ 1 พบวาลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1 x พริกหนุม
เขียวและ KY 1-1 x พริกหนุมขาวแมกงุ มีลักษณะทีด่ ีเปนที่ตองการของตลาดเพือ่ การบริโภคผล
สด เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุพอทั้งสองสายพันธุ (พริกหนุมขาวแมกุงและพริกหนุมเขียว ) ซึ่ง
เปนพันธุท ี่เกษตรกรใชอยูในปจจุบัน และลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1 x พริกบางชาง, KY 1-1 x พริก
หนุมขาวแมกงุ และ KY 1-1 x พริกฝาง มีลักษณะทีด่ ี ที่เปนที่ตองการของตลาดเพื่อใชในการทํา
พริกแหง โดยเปรียบเทียบกับสายพันธุพ อทั้ง 3 สายพันธุ (พริกบางชาง, พริกหนุม เขียวแมโจ และ
พริกฝาง)
จากการหาปริมาณสารแคบไซซินในพริกทัง้ หมด ที่หองปฏิบัติการภาควิชา
พืชสวน โดยวิธีวัดคาการดูดกลืนแสง พบวาพริกบางชางมีปริมาณสารแคบไซซินสูงที่สุดโดยมีคา
ความเผ็ดเปน 0.01175 scoville unit รองลงมาคือลูกผสมชั่วที่ 1 CF 21789 x พริกหนุมเขียวมี
คาความเผ็ดเปน 0.00949 scoville unit KY 1-1 x พริกหนุมเขียวแมโจ มีคาความเผ็ดเปน
129
0.00632 scoville unit KY 1-1 x พริกหนุมเขียว มีคา ความเผ็ดเปน 0.00560 scoville unit และ
CF 21789 x พริกบางชางมีคาความเผ็ดเปน 0.00379 scoville unit เมื่อวัด heterosis ของความ
เผ็ดพบวา KY 1-1 x พริกหนุมเขียวแมโจ, CF21789 x พริกหนุมเขียว, KY1-1 x พริกหนุมเขียว
มีคา heterosis สูง ผลของการวิเคราะหของแตละสายพันธุไดแสดงไวในตารางที่ 13 และเมื่อ
เปรียบเทียบกับผลการทดสอบโดยใชคนทดสอบจํานวน 10 คน พบวาใหผลการทดลองทีม่ ี
แตกตางกัน โดยคาเฉลี่ยที่ไดจากการทดสอบโดยใชคนจํานวน 10 คน พบวาพริกฝางมีระดับ
ความเผ็ดสูงสุดโดยมีคาเฉลีย่ ของคะแนนเปน 4.9 รองลงมาคือลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1 x พริกหนุม
ขาวแมกงุ มีคาเฉลี่ยของคะแนนเปน 4.3 และ KY 1-1 x พริกฝางมีคาเฉลี่ยของคะแนนเปน 4
ผลการทดลองในลูกผสม ชั่วที่ 1 คูอื่นๆ ไดแสดงไวในตารางที่ 13
ตารางที่ 13 ผลการทดสอบความเผ็ดของพริกสายพันธุตางๆ
สายพันธุ คาความเผ็ด1(scoville % ระดับความเผ็ด3
unit) heterosis2
พริกหนุมขาวแมกุง 0.00153 0 3.1
พริกหนุมเขียว 0.00094 0 2.1
พริกหนุมเขียวแมโจ 0.00056 0 2.5
พริกบางชาง 0.01175 0 1.3
พริกฝาง 0.00045 0 4.8
CF 21789 X พริกหนุมขาว 0.00054 -64.70 2.7
แมกุง
CF 21789 X พริกหนุมเขียว 0.00949 909.57 1.7
CF 21789 X พริกหนุมเขียว 0.00090 60.71 2.2
แมโจ
CF 21789 X พริกบางชาง 0.00379 -67.74 0.4
133
จากการหาปริมาณสารแคบไซซินในพริก พบวาผลการทดลองทั้งสองวิธีใหผลการ
ทดลองที่แตกตางกันโดยการหาปริมาณสารแคบไซซินโดยการวัดคาการดูดกลืนแสงพบวาพริก
บางชางมีคาความเผ็ดสูงที่สดุ สวนการหาคาความเผ็ดโดยใชคนทดสอบ 10 คนพบวาพริกฝางมี
คาความเผ็ดสูงที่สุดอยางไรก็ตามพบวาลูกผสมที่เกิดจากสายพันธุพอตางกันมีระดับความเผ็ด
แตกตางกัน มีการกระจายตัวแบบตอเนือ่ ง แสดงวาความเผ็ดควบคุมโดยยีนจํานวนมากและ
ยีนเดนเปนตัวกําหนดความเผ็ด โดยมีสิ่งแวดลอมเปนตัวทําใหระดับความเผ็ดผันแปร
สรุป
รวบรวมสายพันธุพริกจากแหลงปลูกหลายแหลงในประเทศจํานวน 10 สายพันธุ
มาปลูกเพื่อศึกษา และประเมินพันธุร วมกับสายพันธุพริกที่เกสรตัวผูเปนหมันจากตางประเทศ
5 สายพันธุท าํ การคัดเลือกพันธุเ พื่อหาสายพันธุทจี่ ะนํามาใชเปนพอ-แม ผสมตัวเองสายพันธุพอที่
ผานการคัดเลือกจํานวน 5 สายพันธุ 2 ครั้ง จากนัน้ ผสมขามระหวางสายพันธุเกสรตัวผูเปนหมัน
2 สายพันธุ และสายพันธุพ อ 5 สายพันธุ ไดลูกผสมชั่วที่ 1 จํานวน 10 สายพันธุ ปลูกทดสอบ
พันธุลกู ผสมเปรียบเทียบกับสายพันธุพ อที่สถานีวิจัยของบริษัทเอกชนแหงหนึ่ง และภาควิชา
พืชสวน มหาวิทยาลัยเชียงใหม พบวามีลกู ผสม 3 สายพันธุ คือ KY 1-1 x พริกบางชาง KY 1-1 x
135
กัน น
ปร
136
การทดลองที่ 2 รวบรวมและปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแมของลูกผสมชั่วที่ 1
(กฤษดา และมณีฉัตร. 2545)
2.1 การคัดเลือกสายพันธุพอ
นําพริกที่รวบรวมได 12 พันธุ ซึ่งมีเกสรตัวผูปกติมาผสมตัวเอง 3 ครั้ง โดยแตละ
ตนผสมตัวเองและเก็บเมล็ดจากตนที่มีลกั ษณะดีเอาไวมาปลูกเปนเมล็ดชั่วที่ 3 ทําการปลูก
เปรียบเทียบโดยวางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณในบล็อก (randomized complete block
design; RCBD มี 12 หนวยการทดลองๆ ละ 3 ซ้ํา เริม่ ทําการบันทึกเมื่อตนพริก โตเต็มที่ อายุ
ประมาณ 85- 90 วัน โดยบันทึกลักษณะทางพืชสวน ไดแก สีผลออน สีผลแก การวางตัวของผล
ความยาวผล ความกวางผล ความสูงของลําตน ลักษณะทรงพุม ความมีรสของผล ความเปนหมัน
และผลผลิต สามารถคัดเลือกสายพันธุพอได 3 สายพันธุ ไดแก 1-3-7 3-3-7 และ 4-3-7
ผลการคัดเลือกสายพันธุพ อ
จากการคัดเลือกสายพันธุพอ พบวาสามารถคัดเลือกสายพันธุพ อไดดังนี้ สาย
พันธุ 1-3-7 ผลออนสีเขียว ผลแกสีเขียว ทรงพุม สูง 80 เซนติเมตร ไมแผกวาง ดอกไมมีความเปน
หมันของเกสรเพศผู ผลรูปทรงยาว ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ผลหอยลง ผลผลิต 2,027.2
ก.ก/ไร สายพันธุ 3-3-7 ผลออนสีเหลืองผลแกสีเขียว ทรงพุม สูง 80 เซนติเมตรไมแผกวาง ดอกไม
มีความเปนหมันของเกสรเพศผู รูปทรงผลยาวผลยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ผลหอยลง
ผลผลิต 3,104 ก.ก/ไร สายพันธุ 4-3-7 ผลออนสีเหลือง ผลแกสเี ขียว ทรงพุมสูงประมาณ 80
เซนติเมตร ไมแผกวาง ดอกไมมีความเปนหมันของเกสรเพศผู รูปทรงผลยาว 15 เซนติเมตร
ผลหอยลง ผลผลิต 2,468.8 ก.ก/ไร
2.2 การผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแม
คัดเลือกลูกผสมชั่วที่ 1 ของนงลักษณ (2542) ที่สรุปจากการทดลองแลววาให
ผลผลิต และมีความเผ็ดสูง คือ ลูกผสม CF 21789 และ KY 1-1 จีโนไทฟ (Sms+/ms) มาผสม
ตัวเอง และสุมเมล็ดผสมตัวเองชัว่ ที่ 2 มาปลูกเพือ่ คัดเลือกตนที่มีเกสรเพศผูเ ปนหมันจีโนไทฟ
Sms/ms พรอมกับปลูกพริกบางชางเพื่อนํามาผสมกลับ เมื่อพบตนทีม่ ีเกสรเพศผูเปนหมัน ซึ่งดอก
พริกแสดงลักษณะเกสรที่เปนหมัน (รูปที่ 28) จึงนําพริกบางชางมาผสมกลับ และนําลูกที่ไดมา
ผสมตัวเองเพือ่ คัดเลือกตนที่มีเกสรเพศผูเ ปนหมันมาผสมกลับ จากการคัดเลือกดังกลาวทําใหได
สายพันธุแม 3 สายพันธุ คือ CF 21789BC2#14 CF 21789BC2#16 และ KY 1-1BC2#10
137
ผลการผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแม
จากการผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแม 2 ครั้ง พบวาสามารถ
เพิ่มปริมาณสารแคปไซซินได ใหผลที่แตกตางกันทางสถิติ โดยที่ พันธุลูกผสมชั่วที่ 1 KY 1-1 มี
ปริมาณสารแคปไซซิน 7,493 scoville unit ลูกผสมชั่วที่ 1 CF 21789 มีปริมาณสารแคปไซซิน
1,313 scoville unit สายพันธุผสมกลับครั้งที่ 1 KY 1-1BC1#10 มีปริมาณสารแคปไซซิน 8,063
scoville unit CF 21789BC1#14 มีปริมาณสารแคปไซซิน 5,290 scoville unit และ
CF 21789BC1#16 มีปริมาณสารแคปไซซิน 4,703 scoville unit สายพันธุผสมกลับครั้งที่ 2
CF 21789BC2#16 มีปริมาณสารแคปไซซิน 10,110 scoville unit KY 1-1BC2#10 มีปริมาณ
สารแคปไซซิน 9,147 scoville unit และ CF 21789BC2#14 มีปริมาณสารแคปไซซิน 7,220
scoville unit การเปรียบเทียบเปอรเซ็นตความดีเดนดานปริมาณสารแคปไซซิน พบวา สายพันธุ
CF 21789BC2#16 มีเปอรเซ็นต heterosis 114.96 เปอรเซ็นต CF 21789BC1#14 มีเปอรเซ็นต
heterosis 36.48 เปอรเซ็นต สายพันธุ KY 1-1BC2#10 มีเปอรเซ็นต heterosis 13.44
เปอรเซ็นต CF 21789BC1#14 มีเปอรเซ็นต heterosis 302.89 เปอรเซ็นต CF 21789BC1#16 มี
เปอรเซ็นต heterosis 258.18 เปอรเซ็นต และ KY 1-1BC1#10 มีเปอรเซ็นต heterosis 7.60
เปอรเซ็นต (ตารางที่ 14)
การทดสอบพันธุล ูกผสมชั่วที่ 1
นําสายพันธุลกู ผสมทัง้ 9 สายพันธุ ไดแก CF 21789 BC2 #14 x 1-3-7,
CF 21789BC2 #16 x 1-3-7, CF 21789BC2 #14 x 3-3-7, CF 21789BC2 #14 x 4-3-7,
CF 21789BC2 #16 x 3-3-7, CF 2735BC2 #16 x 4-3-7, KY 1-1# 10 x 1-3-7, KY 1-1BC2
#10 x 3-3-7 และ KY 1-1BC2#10 x 4-3-7 สายพันธุพอ 3 สายพันธุ ไดแก 1-3-7, 3-3-7 และ
4-3-7 มาปลูกเปรียบเทียบกับพันธุก ารคา 3 สายพันธ ไดแก พันธุจอมทอง 2 พันธุเ ขียว และพันธุ
สันปาตอง วางแผนการทดลองแบบสุมสมบูรณ ในบล็อก (RCBD) มี 15 หนวยการทดลองๆ ละ
3 ซ้ํา โดยใชขนาดแปลง 1 x 6 เมตร ระยะปลูก 50 x 50 เซนติเมตร และคํานวณ ความดีเดนของ
ลูกผสม (heterosis) โดยเปรียบเทียบผลผลิตตอตนของลูกผสมกับสายพันธุพอ
การหาปริมาณสารแคปไซซินในพริก
นําพริกลูกผสมของนงลักษณ (2542) ไดแก ลูกผสมชัว่ ที่ 1 CF 21789 (KY 1-1 x พันธุ
บางชาง) และ KY 1-1 (CF 21789 x พันธุบ างชาง) BC1 (back cross ครั้งที่ 1) ไดแก ลูกผสมกลับ
ชั่วที่ 1 CF 21789BC 1 #14, CF 21789BC1 #16 และ KY 1-1BC1 #10 และ BC2 (back cross
ครั้งที่ 2) ไดแก ลูกผสมกลับ ชัว่ ที่ 2 CF 21789BC2 #14, CF 21789BC2 #16 และ KY 1-1
BC2 #10 หาปริมาณสาร แคปไซซินเพื่อตรวจสอบผลการผสมกลับ พรอมกันนั้นนําพริก
ลูกผสมชั่วที่ 1 ไดแก CF 21789BC2 #14 x 1-3-7,CF 21789BC2 #16 x 1-3-7, CF
21789BC2 #14 x 3-3-7, CF 21789BC2 #14 x 4-3-7, CF 21789BC2 #16 x 3-3-7, CF
21789BC2 #16 x 4-3-7, KY 1-1BC2 #10 x 1-3-7, KY 1-1BC2 # 10 x 3-3-7 และ KY 1-
1BC2 # 10 x 4-3-7 สายพันธุพอ ไดแก 1-3-7, 4-3-7 และ 3-3-7 และสายพันธุการคา ไดแก
พันธุจ อมทอง 2,หนุมเขียว, และสันปาตอง จากแปลงทดสอบความเผ็ดโดยวิธกี าร
spectrophotometry ที่คาดูดกลืนแสง 750 นาโนเมตร แลวนํามาหาคาความดีเดนของลูกผสมกับ
140
ผลการหาปริมาณสารแคปไซซิน
การหาปริมาณสารแคปไซซิน โดยการใชวิธี spectrophotometry ที่คาดูดกลืน
แสง 750 นาโนเมตร พบวา ลูกผสมชั่วที่ 1 มีสารแคปไซซินอยูในชวง 1,020 – 7,520
scoville unit (ตารางที่ 15 รูปที่ 30) ลูกผสมที่มีปริมาณสารแคปไซซินมากที่สุด ไดแก ลูกผสม
ชั่วที่ 1 CF 21789BC2#16 x 1-3-7 มีปริมาณสารแคปไซซินตอน้ําหนักผล 1 กรัมเทากับ 7,520
scoville unit เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุการคา พบวา มีปริมาณสารแคปไซซินมากกวาสายพันธุ
การคาทุกสายพันธุ และเมื่อนํามาเปรียบเทียบกับสายพันธุพอ 1-3-7 ที่มีปริมาณสารแคปไซซินสูง
ที่สุด 9,310 scoville unit พบวา ลูกผสมทั้งหมดมีปริมาณสารแคปไซซินนอยกวาสายพันธุพอ
ดังกลาว ในดานเปอรเซ็นตความดีเดนของลูกผสม พบวา KY1-1BC2#10 x 3-3-7 มีเปอรเซ็นต
heterosis สูงที่สุด คือ 364.76 เปอรเซ็นต มีปริมาณสาร แคปไซซิน 4,880 scoville unit
รองลงมา ไดแก ลูกผสมชั่วที่ 1 CF 21789BC2#16 x 3-3-7 มีเปอรเซ็นต heterosis 324
เปอรเซ็นต มีปริมาณสารแคปไซซิน 4,460 scoville unit และลูกผสมชั่วที่ 1 CF 21789BC2#14 x
3-3-7 มีเปอรเซ็นต heterosis 71 เปอรเซ็นต มีปริมาณสารแคปไซซิน 3,720 scoville unit
ตามลําดับเมื่อทดสอบโดยใชคนชิม พบวาใหผลที่แตกตางกันโดยมีคาเฉลี่ยของคะแนนอยูระหวาง
2.1–3.3 คะแนน อยูในระดับที่เผ็ดเล็กนอยถึงเผ็ดปานกลาง ซึ่งสายพันธุที่มีระดับคะแนนสูง
ที่สุดไดแก ลูกผสม ชั่วที่ 1 CF 21789BC2#16 x 3-3-7 3.3 คะแนน รองลงมาไดแก ลูกผสม
ชั่วที่ 1 CF 21789BC2#14 x 1-3-7 3.0 คะแนน อยูในระดับที่เผ็ดปานกลาง ตามลําดับ
141
142
ผลผลิตตอตน(กิโลกรัม
0
0.2
0.4
0.6
0.8
1
1-3
-7
4-3
27 -7
40
BC 3-3
27 2 # -7
35 10 x
BC 1-
27 2#14 3-7
35
BC X 1-
27 2#14 3-7
35
BC X 1-
27 2#14 3-7
35
BC X 1-
27 2#14 3-7
35
BC X 1-
27 2#14 3-7
35
พันธุ
BC X 1-
27 2#14 3-7
35
BC X 1-
27 2#14 3-7
รูปที่ 30 ผลผลิตและสารแคปไซซินของพอพันธุ ลูกผสมชั่วที่ 1 และพันธุการคา
35
BC X 1-
2 # 3-7
14
X1
-3
จ อ -7
มท
อง
หน 2
ุมเข
ีย
สัน ว
ปา
ตอ
ง
0
ผลผลิตตอตน
1000
2000
3000
4000
5000
6000
7000
8000
9000
10000
ปริมาณสารแคปไซซิน
ปริมาณสารแคปไซซิน(scoville unit
143
144
วิจารณ
บก
าห ผ อ
ตรงกันขาม
จากการรวบรวมพันธุพ ริกในจังหวัดเชียงใหมและไดรับจาก
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร นํามาปลูกและประเมินพันธุไดสายพันธุที่เหมาะเปนสายพันธุพ อ 3
สายพันธุ ไดแก 1-3-7 3-3-7 และ 4-3-7 มีลักษณะผลยาว ความเผ็ดปานกลาง เกสรเพศผูไมเปน
หมัน และใหผลผลิตสูง จากการผสมกลับเพื่อปรับปรุงความเผ็ดของสายพันธุแมซึ่งมีเกสรเพศผู
เปนหมัน 2 ครั้ง ทําใหไดสายพันธุแมทมี่ ีปริมาณสารแคปไซซินเพิ่มขึ้น 3 สายพันธุ ไดแก CF
21789BC2#14 CF 21789BC2#16 และ KY1-1BC2#10 นําสายพันธุแมผสมตัวเองเพื่อคัดเลือก
ตนที่มีเกสรเพศผูฝอ จีโนไทฟ Sms/ms เพื่อใชเปนตนแม เมื่อผสมขามสายพันธุพอแมโดยวิธีผลิต
ลูกผสมชั่วที่ 1 (F1 hybrid) ไดลูกผสมชั่วที่ 1 9 คูผสม เมื่อนํามาปลูกเปรียบเทียบกับสาย
พันธุพ อ และสายพันธุก ารคา 3 สายพันธุ คือ พริกหนุมจอมทอง 2 พริกหนุม เขียว และพริก
หนุมสันปาตอง พบวาพริกลูกผสมสวนใหญใหผลผลิตสูงกวาสายพันธุพอ และสายพันธุก ารคา
พริกลูกผสมใหผลผลิต 3,206.27 ถึง 6,149.28 กก./ไร สายพันธุพ อใหผลผลิต 3,128.64 ถึง
5,405.92 กก./ไร ลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1BC2#10 x 1-3-7 ใหผลผลิตเฉลี่ยสูงทีส่ ุด 6,149.28
กก./ไร มีความดีเดนของลูกผสม 5.20 เปอรเซ็นต สวนลูกผสมชัว่ ที่ 1 ที่มีเปอรเซ็นตความดีเดน
ของลูกผสมในดานผลผลิตสูงที่สุด คือ ลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1BC2#10 x 3-3-7 มีเปอรเซ็นตความ
ดีเดนของลูกผสม 38.66 เปอรเซ็นต ใหผลผลิต 5,504 กก./ไร ซึ่งลูกผสมชัว่ ที่ 1 KY1-
1BC2#10 x 1-3-7 มีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญกับพริกหนุมจอมทอง 2 ที่ใหผล
ผลิต 5,363.2 กก./ไร แต ลูกผสมชั่วที่ 1 KY1-1BC2#10 x 3-3-7 ไมมีความแตกตางกันทาง
สถิติกับพริกหนุมจอมทอง 2
การศึกษาความเผ็ดของพริกทั้ง 15 สายพันธุ ดวยวิธกี ารวัดคาการดูดกลืนแสงที่
ความเขมแสง 750 นาโนเมตร พบวา พริกสายพันธุ 1-3-7 มีปริมาณสารแคปไซซินตอน้าํ หนักผล
1 กรัม สูงที่สดุ 9,310 scoville unit แตเมื่อทดสอบโดยคนชิมใหผลตางกัน โดยที่พริกลูกผสม
146
การทดลองที่ 3 ศึกษาพันธุกรรมของพริกเผ็ดในสายพันธุที่มีเกสรตัวผูเปนหมัน
(กนกวรรณ. 2546)
เมล็ดพันธุลูกผสมกลับทีน่ ํามาศึกษาความเปนหมัน 3 สายพันธุ จากการทดลอง
ที่ 2 (กฤษดา และมณีฉัตร. 2545) ไดแก พันธุ KY1-1#10BC1, พันธุ CF 21789#14BC1 และ
CF 21789#16BC1 จะมีลักษณะความเปนหมันติดมาดวย เนื่องจากเมล็ดพันธุดังกลาวไดจากการ
ผสมพันธุพริกสายพันธุพ ริกพันธุแมที่เปนหมัน (Smsms) กับตนพอปกติ (NMsMS) ใหลูกผสม
ชั่วที่ 1 (F1 hybrid) เปนตนพริกทีม่ เี กสรตัวผูไมเปนหมัน (SMsms) เมื่อนําลูกผสมชั่วที่ 1
มาผสมตัวเองไดลูกผสมชั่วที่ 2 ที่มีลักษณะดังนี้ คือ SMsMS SMsms และ Smsms (Ms-ยีนตัวผู
ปกติ, N-ไซโตพลาสซึมปกติ, S-ไซโตพลาสซึมที่เปนหมัน) อัตราสวนของตนพริกที่มีเกสรปกติตอ
ตนพริกที่มีเกสรตัวผูเปนหมัน 3:1 จากนั้นคัดเอาเฉพาะลักษณะ Smsms ไวและนํามาผสมกลับไป
ยังตนพริกสายพันธุพอที่มียนี ปกติ NMsMs เพื่อปรับปรุงลักษณะความเปนหมัน โดยทําการผสม
กลับ 1 ครั้ง
วิธีการทดลอง
1) เพาะเมล็ดพริกในถุงพลาสติก 3 สายพันธุ คือ KY1-1#10BC1,
CF 21789#14BC1 และ CF 21789#16BC1 ซึ่งเปนพันธุพ ริกลูกผสมกลับ เมื่อตนกลามีอายุ
ประมาณ 30 วันคัดเลือกตนกลาที่แข็งแรงและสมบูรณ พันธุละ 3 ตน ยายปลูกลงกระถางดินเผา
รองกนกระถางดวยปุย 15-15-15 15 g/ตน ปุย คอก 300 กรัม/ตน และยาฟูราดาน 20-30 เกล็ด/
ตน
2) นํากระถางตนกลาแตละพันธุมาวางเรียงไวในมุง ตาขายสีฟาที่เตรียมไว
ระยะหางระหวางตน 60 เซนติเมตร เขียนปายชื่อแตละพันธุติดไวที่กระถางพรอมหมายเลขลําดับ
ตนใสปุยบและพนยากันโรคและแมลงสัปดาหละครั้ง
3) ตนพริกจะเริ่มออกดอกหลังจากยายปลูกประมาณ 45 วัน ใหผสมพันธุ
ตัวเองโดยใน 1 ตนจะทําการผสมตัวเอง 2 แบบ คือ (1) ใชเกสรตัวผูที่อยูภายในตนเดียวกันและ
(2) ใชเกสรตัวผูระหวางตนในพันธุเดียวกนั ใหครอบดอกพริกที่มีกลีบดอกสีขาวและยังตูมอยูดวย
ถุงกระดาษขนาด 2 x 2 เซนติเมตรในตอนเย็น และชวยผสมดอกพริกในตอนเชาเวลาประมาณ
8.00-10.00 น. เมื่อทําการผสมเกสรแลวใหครอบถุงกระดาษไวตามเดิมประมาณ 1 สัปดาหเขียน
ปายชื่อแขวนไวที่ดอกที่ผสมเกสรแลว ทําการผสมตัวเองแบบนี้ประมาณ 3 สัปดาห
4) หลังจากผสมเกสรแลวประมาณ 40-50 วัน ผลผลิตจะเริ่มแดงและเก็บ
เกี่ยวได การเก็บผลผลิตใหเก็บแยกตนและแยกพันธุกนั แกะเมล็ดออกจากผล ผึง่ ลมใหแหง บันทึก
ขอมูลโดยนับจํานวนผลผลิต/ตน ชัง่ น้าํ หนักเมล็ด/ตน และน้ําหนักเมล็ดเฉลี่ย/ผล
148
ผลการศึกษาพันธุกรรมของพริกเผ็ดในสายพันธุทมี่ ีเกสรตัวผูเปนหมัน
1. เมื่อผสมตัวเองโดยใชเกสรตัวผูภายในตนเดียวกัน ใหผลดังนี้
KY1-1#10BC1
KY1-1#10BC1 ตนที่ 1 (KY1-1#10-1BC1 ) ใหผลผลิตตอตน 5 ผล/ตน ให
น้ําหนักเมล็ดตอตนเทากับ 0.312 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลีย่ ตอผล 0.062 กรัม/ผล สวน
ตนที่ 2 (KY1-1#10-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 22 ผล/ตน ใหนําหนักเมล็ดตอตนเทากับ 3.153 กรัม/
ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลีย่ ตอผล 0.143 กรัม/ผล และตนที่ 3 (KY1-1#10-3BC1 ) ใหผลผลิตตอ
ตน 6 ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 0.665 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.111 กรัม/
ผล (ตารางที่ 16)
CF 21789#14BC1
CF 21789#14BC1 ตนที่ 1 (CF 21789#14-1BC1) ใหผลผลิตตอตน 28 ผล/ตน
ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 7.749 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.277 กรัม/ผล สวนตนที่ 2
(CF 21789#14-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 27 ผล/ตน ใหน้ําหนักเมล็ดตอตน 6.442 กรัม/ตน และให
น้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.239 กรัม/ผล และตนที่ 3 (CF 21789#14-3BC1) ใหผลผลิตตอตน 20
ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 5.461 กรัม/ตน และใหน้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.273 กรัม/ผล
CF 21789#16BC1
CF 21789#16BC1 ตนที่ 1 (CF 21789#16-1BC1) ใหผลผลิตตอตน 9 ผล/ตน
ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 1.265 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.141 กรัม/ผล สวนตนที่ 2
(CF 21789#16-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 11 ผล/ตน ใหน้ําหนักเมล็ดตอตน 4.202 กรัม/ตน และให
น้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.382 กรัม/ผล และตนที่ 3 (CF 21789#16-3BC1) ใหผลผลิตตอตน 26
ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 3.550 กรัม/ตน และใหน้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผลเทากับ 0.136 กรัม/
ผล
2. เมื่อทําการผสมตัวเองโดยใชเกสรตัวผูระหวางตนที่อยูภายในพันธุเดียวกัน
ใหผลดังนี้
KY1-1#10BC1
KY1-1#10BC1 ตนที่ 1 (KY1-1#10-1BC1 ) ใหผลผลิตตอตน 12 ผล/ตน ให
น้ําหนักเมล็ดตอตน 0.581 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.048 กรัม/ผล สวนตนที่ 2
(KY1-1#10-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 26 ผล/ตน ใหนาํ หนักเมล็ดตอตน 3.319 กรัม/ตน และให
149
CF 21789#14BC1
CF 21789#14BC1 ตนที่ 1 (CF 21789#14-1BC1) ใหผลผลิตตอตน 24 ผล/ตน
ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 8.311 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.346 กรัม/ผล สวนตน
ที่ 2 (CF21789#14-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 34 ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 8.077 กรัม/ตน
และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.238 กรัม/ผล และตนที่ 3 (CF21789#14-3BC1) ใหผลผลิตตอ
ตน 28 ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 7.422 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.265 กรัม/
ผล
CF21789#16BC1
CF21789#16BC1 ตนที่ 1 (CF21789#16-1BC1) ใหผลผลิตตอตน 17 ผล/ตน
ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอ ตน 2.211 กรัม/ตน และใหนา้ํ หนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.130 กรัม/ผล สวนตนที่ 2
(CF21789#16-2BC1) ใหผลผลิตตอตน 17 ผล/ตน ใหน้ําหนักเมล็ดตอตน 4.296 กรัม/ตน และให
น้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.253 กรัม/ผล และตนที่ 3 (CF21789#16-3BC1) ใหผลผลิตตอตน 44
ผล/ตน ใหนา้ํ หนักเมล็ดตอตน 8.675 กรัม/ตน และใหน้ําหนักเมล็ดเฉลี่ยตอผล 0.197 กรัม/ผล
2. การศึกษาความเปนหมันของพริกเผ็ดจากความงอกของละอองเกสรตัวผู
KY1-1#10BC1
KY1-1#10BC1 ตนที่ 1 (KY1-1#10-1BC1) ใหเปอรเซ็นตความงอกของ
ละอองเกสร 7 เปอรเซ็นต ตนที่ 2 (KY1-1#10-2BC1) ใหเปอรเซ็นตความงอกของละอองเกสร 24
เปอรเซ็นต และตนที่ 3 (KY1-1#10-3BC1 ) ใหเปอรเซ็นตความงอกของละอองเกสร 11 เปอรเซ็นต
CF 21789#14BC1
CF 21789#14BC1 ตนที่ 1 พันธุ (CF21789#14-1BC1) ใหเปอรเซ็นตความงอก
ของละอองเกสร 48 เปอรเซ็นต ตนที่ 2 (CF 21789#14-2BC1) ใหเปอรเซ็นตความงอกของ
ละอองเกสร 43 เปอรเซ็นต และตนที่ 3 (CF 21789#14-3BC1) ใหเปอรเซ็นตความงอกของละออง
เกสร 37 เปอรเซ็นต
CF 21789#16BC1
150
โรคไวรัสในพริก
เชื้อสาเหตุของโรคไวรัสในพริก
โรคไวรัสในพริกของประเทศสหรัฐอเมริกาพบวามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส
หลายชนิด (Bassett 1986) เชน TMV (tobacco mosaic rivus) มียีน L เปนยีนตานทาน ดังที่
กลาวมาแลวขางตน SLTMV (Samsun latent strain of TMV) มียีน L2 และ L3 เปนยีนตานทาน
CMV (cucumber mosaic virus), PVY (potato virus Y), TEV (tobacco etch virus), TSWV
(tomato spotted virus), PMV (pepper mottle virus) และ TRSV (tobacco ring spot virus)
พาหะที่นาํ โรคไวรัส
เปนความเขาใจโดยทัว่ ๆ ไปวาวัชพืชเปนตัวนําโรคไวรัสใหแกพริก แตจากการ
ทดสอบ โดย Whitam (1974) ไดถายเชื้อไวรัส CMV, PVY, TEV และ TSWV จากวัชพืช 18 ชนิด
(species) ใหแกพริกพบวาเปนไปไดดวยความลําบาก การถายเชือ้ ที่มากที่สุดพบใน Solanum
nigrum (black night shade) 26/42 ตามดวย Medicago anabica (spotted bur clover)
15/85, Rudbeckia amplexicaulis (Blackeyed Susan) 12/54, Melilotus officinalis (yellow
sweet clover) 10/51, Geranum carolinianum (cranesbill) 8/40 และ Senecio glabellus
(butterweed) 5/69 ในการถายเชื้อไวรัสทั้งหมด 615 ครั้ง พบวา เปนโรคไวรัส CMV 47 ครั้ง, PVY
45 ครั้ง, TEV 21 ครั้ง และ TSWV 7 ครั้ง ผลการศึกษานี้คอนขางแตกตางจากความเขาใจวาวัชพืช
เปนแหลงทีถ่ ายเชื้อไวรัสใหแกพืช การวิจยั ดังกลาวทดลองที่ประเทศสหรัฐอเมริกา หากมีการวิจยั
เชนนี้ในประเทศไทยบางก็คงเปนการดี เพราะวัชพืชในประเทศไทยตางชนิดกันกับพืชทีก่ ลาว
มาแลว
พืชที่ผลิตเปนอาหารเชน มะเขือเทศ มะเขือ ยาสูบ มัสตารด และแตงแคนตาลูป
ที่ปลูกใกลตน พริกจะถายทอดเชื้อไวรัสใหแกพริกได เชน มะเขือเทศ ถายเชื้อไวรัส CMV, TEV,
TMV และ potato virus X (PVX) ใหแกพริกได แตงแคนตาลูปถายเชื้อไวรัส CMV ใหแกพริก
มะเขือถายเชือ้ ไวรัส CMV และ TEV ใหแกพริก ยาสูบถายเชื้อไวรัส TMV, TEV และ PVX ใหแก
พริก และมัสตารด ถายเชื้อไวรัส PVX ใหแกพริกได
สัณฐานวิทยาของพริกตานทานไวรสั
Sandha et al. (1999) ศึกษาถึงลักษณะทางสัณฐานวิทยาของพริกทีต่ านทานตอ
โรคไวรัส (cucumber mosaic virus) พบวา พันธุพ ริกที่ตานทานตอโรคไวรัสมีความหนาของสาร
เคลือบใบ (cuticle) และผิวใบหนากวาพันธุพริกที่ออนแอตอไวรัสอยางมีนัยสําคัญหลังจากที่พนั ธุ
พริกที่ออนแอตอไวรัสไดรับเชื้อไวรัสแลวผิวใบสูญเสียลักษณะทีเ่ ปนระเบียบ โดยพาลิเสดเซล
(palisade cell) เรียงตัวไมเปนระเบียบ และเซลยังแตกหักดวย นอกจากนี้สปอนจีเซล (spongy
155
เอกสารอางอิง
Blank, A. F. and W. R. Moluf. 1997. Gene action and early testing for combining ability
in sweet peppers (Capsicum annuum L.). J. Genet. & Breed. 51 : 319-324.
Bosland, P. W. 1992. `NuMex Sunglo'. `MuMex Sunflare', and `NuMex
Sunburst' ornamental chile peppers. HortScience (1992) 27 (12) 1341-
1342 [En, 4 ref.] Department of Agronomy & Horticulture, New Mexico State
University, Las Cruces, NM 88003, USA.
Briggs, F. N. and P. F. Knowles. 1967. Introduction to plant breeding. Reinhold
Publishing Corporation. pp. 426.
Byung-Soo, K. 1988. Characteristics of bacterial spot resistant lines and
Phytophthora blight resistant lines of Capsicum pepper. Journal of the Korean
Society for Horticultural Science (1988) 29 (4) 247-252 [Ko, en, 31 ref.]
Dep. Hort. Coll. Agric., Kyungpook Natn Univ., Taegu 702-010, Korea
Republic.
Casali, V. W. D., J. G. Padua, and J. P. Campos. 1986. Breeding lines of
sweet pepper obtained by single seed descent method.
Capsicum Newsletter (1986) No. 5, 32 [En] Univ. Vicosa, Fitotecnia Dep.,
36570. Vicosa, Brazil.
Chen, X. S. 1985. Determination of combining ability and analysis of heterosis
in pollen line C. annuum var. grossum Sendt. Acta Horticulture Science
12 (4) : 267 - 272.
Chen, Z. L., H. Gu, Y. Li, Y. Su, P. Wu, Z. Jiang, X. Ming, J. Tian, N. Pan and L. J. Qu.
2003. Safety assessment for genetically modified sweet pepper and tomato.
Toxicology, vol. 188, Issues 2-3; 297-307.
Chowdhury, B., S. Mukhopadhyay, D. Bhattacharayay and A. K. De. 2003. Capsaicin a
unique anti-oxidant, anti-inflammatory, analgesic compound with antifungal
activity against dermatophytes. Medical science Research vol. 24, Issue 10.
Cruz, L., G. Castaneda-Hernandez and A. Navarrete. 2003. Ingestion of chilli pepper
(Capsicum annuum) reduces salicylate bioavailability after oral asprin
administration in the rat. Area Farmaceutica, Facultad de estudios Superiores
159
Cheng, S. S. 1989. The use of Capsicum chinense as sweet pepper cultivars and
sources for gene transfer. Tomato and pepper production in the tropics.
Proceedings of the international
symposium on integrated management practices. Asian
vegetable Research and Development Center P.O. Box 205, Taipei, 55-62.
Choi, J. K., D. Y. Park, Y. H. Woo, and J. M. Sung. 1990. Studies on the resistance of
red pepper varieties to Phytophthora blight and anthracnose. Research
Reports of the Rural Development Administration, Horticulture 32(2)1-9 [ko,
en, 15 ref.]. Pyongchang-gun Rural Guidance Office, Ryongchang, Kangweon,
Korea Republic.
De Candolle, A. 1886. Origin of cultivated plants. 2nd Edition, Hafner Publishing Co.,
New York, NY 1967.
Erwin, A. T. 1932. The peppers. Iowa Agr. Expt. Sta. Bul. 293 121-151.
Eshbaugh, W. H. 1979. A biosystematic and evolutionary study of the Capsicum
pubescens complex. Natt. Geogr. Soc. Res. Repts., 1970 Projects:143-162.
Eshbaugh, W. H. 1980. Chilli peppers in Bolivia FAO/IBPGR Plant. Gen. Resources
Newsl., 43:17-19.
Fausto de S. S., W. R. Maluf, L. A. A. Gomes and V. P. Campos. 2002. Inheritance of
resistance to Meloidogyn incognita race 2 in the hot pepper cultivar Carolina
Cayenne (Capsicum annuum L.). Department os de Biology, Agriculture and
Fitopatologia, Universidade Federal de Lavras, Caixa Postal 37,37200-000
Lavras, Mg, Brazil. http://www.funpecrp.com.br/gmr/year2002/vol3-1/gmr0006-
abstract.htm. Genet.Mol. Res. 1(3):271-279.
Ferrari, V., G. Celani and S. Porcelli. 1988. Research methodology on the pungency of
chili peppers (Capsicum annuum L.). Sementi Elette 6(34): 9-15.
160
Jen, F. M., W. J. Yueh, L. S. Fang, S. T. Rong and L. M. Engle. 2003. Analysis of the
genetic diversity of Capsicum spp (pepper) using random amplified polymorphic
DNA analysis. Journal of Agricultural Research of China. Vol. 50 Issue 4, p. 29-
42 Ref. 41 ref.
Jiang, J. Z., D. H. Wang, Z. Y. Wang and Y. S. Han. 1987. A study on the genetic
parameters of the capsaicin content of pepper fruit. Scientia Agricultura
Sinica. 20(6):39-43.
Jordt, S. E. and D. Julius. 2002. Molecular basis for species-specific sensitivity to ‘ Hot ‘
chili peppers. Department of Cellular and Molecular Pharmacology, University of
California, San Francisco, CA 94143, U. S. A. Cell Vol 108, Issue3, pg 421-430.
Kaan, F., and G. Anais. 1978. Breeding large fruit red peppers (C. annuum) in the
French West Indies for climatic adaptation
and resistance to bacterial (Pseudomonas solanacearum, Xanthomonas
vesicatoria) and viral diseases (Potato Virus Y), Annu. Rep. pp. 265-273.
Station Amelioration des Plants, INRA, Domaine Duclos, Petit-Bourg,
(Guadeloupe (in French), in Plant Breed. Abstr. 1978.48. Abstr. No.
8867. Reprinted in Capsicum 77. Third Eucarpia (Congr., Avignon-Montfavet,
Frence, July 5-8, 1977. E. Pochard (Editor). Station Amelioration des Plants
Maraicheres, INRA Montfavet 84140, Vancluse) France.
Kale, P. B., N. G. V. Rao, D. T. Desmukh and B. H. Naik. 1998. Identification of
Capsicum cultivars by electrophoresis of soluble seed proteins. Vegetable
Science. Vol 25, Issue 2. P.131-132. Ref. 5 ref.
Kaul, B. L. and P. P. Sharma. 1988. Heterosis and combining ability studies for
some fruit characters in bell pepper (Capsicum annuum L.) Vegetable
162
Milerue, N. and M. Nikornpun. 2000. Studies on heterosis of chili (Capsicum annuum L.)
Kasertsat J. (Nat. Sci.) 34:190-196.
Milkova, L. and S. Daskalov. 1984. Khykub a Hybrid Cultivar of Pepper Base on
Induced Male Sterility. Mutation Breeding Newsl. 24 : 9.
Milkova, L., M. Vitanov, and S. Daskalov. 1989. Phytostopa new
cultivar resistant to Phytophthora capsici. Capsicum Newsletter (1988, publ.
1989) No. 7. 62 [En] Institute of Genetics Acad. D. Kostoff, Sofia, Bulgaria.
Mishra, R. S., R. E. Lotha, S. N. Mishra, P. K. Paul, and H. N. Mishra. 1989. Results of
heterosis breeding on chilli (Capsicum annuum L.) Capsicum Newsletter (1988,
publ. 1989) No. 49-50 [En] Department of Horticulture, Orissa University of
Agriculture & Technology, Bhubaneswar 751003, India.
Morre, D. J. and M. D. Morve. 2003. Synergistic Capsicum – tea mixtures with
anticancer activity. The journal of Pharmacy and Pharmacology. Vol. 55 (Issu 7):
987-994.
Ohta, Y. 1962. Genetical studies in the Genus Capsicum. Kihara Inst. Biol. Res.,
Yokohama, Japan (in Japanese, English summary). pp 94.
Palloix, A., E. Pochard, T. Phaly, A. M. Daubeze. 1990. Recurrent selection for
resistance to Verticillium dahliae in pepper. Euphytica (1990) 47(1) 79-89 [En,
19 ref.] INRA, Station d' Amelioration des Plants Maraicheres, BP 94-84140
Montifavet, France.
Perez – Galvez, A., H. D. Martin, H. Sies and W. Stahl. 2003. Incorporation of
carotenoids from paprika oleoresin into human chylomicrons. The British Journal
of Nutrition Vol. 89, Issue 6 : 787 – 793.
Peterson, P. A. 1958. Cytoplasmically inherited male sterility in Capsicum. Am. Nat.
92, 111-119.
Pickersgill, B. 1967. Interspecific isolating mechamisms in some South American
chilli peppers. Amer. J. Bot., 54:654.
Pickersgill, B. 1969a. The archeological record of chilli peppers (Capsicum spp.)
and the sequence of plant domestication in Peru. American Antiquity, 34:53-
61.
164
Safford, W. E. 1926. Our heritage from the Amercican Indians. Smithson. Inst. Annu.
Rep. 405-410.
Sandha, M. S., J. S. Hundal and S. S. Cheema. 1999. Role of anaomical traits in
resistance to cucumber mosaic virus in chilli. XVI. International Botanical
Congress. Abstract Number : 5253. Poster No. 1757.
Shifriss, C. 1973. Additional spontaneous male sterile mutants in Capsicum annuum
L. Euphytica 22 : 527-529.
Singh, J. 1987. Heterosis potential in hot pepper (Capsicum annuum L.)
Capsicum Newsletter, No.6, 52-53. Dep. Veget. Crops,
Landscaping & Floricult., Punjab Agric. Univ. Ludhiana 141004, India.
Smith, P. G., B. Villalon, and P. L. Villa. 1987. Horticultural
classification of peppers grown in the United States. Hortscience, Vol.
22(1)11-13.
Stevanovic, D., Z. Miladinovic, D. Savic, and V. Todorovic. 1992. Use of the
interspecies hybridization method in the selection and breeding of new
red pepper varieties. Savremena poljoprivreda 40(1-2) 32-36. Institut za
Povrtarstvo, Smederevska Palanka, Yugoslavia.
Subodh, J. 1987. Extent of heterosis retention and genetic variability in segregating
generation in Capsicum. Capsicum Newsletter. No. 6, 51. Indian Agric. Res.
Inst., Reg. Sta., Katrain, Kullu, HP 175129 India.
Tase, L. 1985. Comparative Study of Some Cultivars and Hybrids of Sweet Pepper for
Early Production. Bulletin II Shkencave Bujquesore. 24(4) : 39-44.
Terry, B. and S. C. Shich. 2000. Chili pepper in Asia. Capsicum and Eggplant
Newsletter 19: 38-41.
Thomas, V., A. Schreiber and C. Weisskope. 1998. Simple method for quantitation
of capsaiciniods in peppers using capillary gas chromatography. Journal
of Agricultural and food chemistry 46(7): 2655-2663.
Villalon, B., F. J. Dainello, W. N. Lipe, and R. M. Taylor. 1986. `Tam Mild Chile-
2' Chile Pepper. HortScience 21(6) : 1468-1469. Texas Agric. Exp. Sta.,
2415 East Highway 83, Weslaco, TX 78596, USA.
166
Villalon, B., F. J. Dainello, and D. A. Bender. 1992. `TAM Veracruz' hot jalapeno
pepper. HortScience (1992) 27(2)184-185 [En, 2 ref.] Texas Agricultural
Experiment Station, 2415 East Highway 83, Westlaco, TX78596, U.S.A.
Vito, M. Di., F. Saccardo, A. Errico, V. Zema, and G. Zaccheo. 1993. Genetics of
resistance to root-knot nematodes (Meloidogyne spp.) in Capsicum chacoense,
C. chinense and C. frutescens. Journal of Genetics & Breeding. (1993) 47(1)
23-26 [En, 13 ref.] Istituto di Nematologia Araria, CNR,70126 Bari, Italy.
Wisut, C. 1999. Situation of vegetable seed production in Thailand, In Proceeding
of the Training Course for Vegetable Production Extension, Kaen Inn Hotel,
Khon Kaen, Thailand, Department of Agriculture Extension, Ministry of
Agriculture and Cooperation. Bangkok, Thailand.