You are on page 1of 3

ขอนอบน้ อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้ า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ

ขอนอบน้ อมแด่พระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ดีแล้ ว


ขอนอบน้ อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบตั ิตามคำสัง่ สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ซึง่ เป็ นผู้ปฏิบตั ิดีแล้ ว
ศุภสมัยแห่งศาสนายุกาล นับจำเดิมแต่วนั อันเป็ นที่เสด็จดับขันธปริ นิพพานแห่งองค์สมเด็จพระ
พิชิตมารอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ าของเรานัน้ บัดนี ้ล่วงไปได้ แล้ ว ๒๕๖๒ ปี
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺฐิ ตา
ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส ฐานโส อุปกปฺปตีติ.
บัดนี ้ จักได้ แสดงพระธรรมเทสนาในทักษิณานุปทานกถา พรรณาเรื่ องการบำเพ็ญ
ทักษิณานุปาทาน กล่าวคืออานิสงส์แห่งการทำบุญอุทิศให้ แก่ดวงวิญญาณของท่านผู้วายชนม์
ปรารภเนื่องในโอกาสที่คณะญาติโยมสาธุชนทุกท่านทังบรรดาญาติ
้ พี่น้อง ได้ พร้ อมจิตพร้ อมใจ
กันทำบุญแจกข้ าวอุทิศให้ ดวงวิญญาณ คุณพ่อสมพุ๊ค สกุลไทย ซึง่ ได้ ละจากไปอย่างไม่มีวนั
กลับ โดยจะแสดงธรรมตามนัยพระบาลีอเุ ทศนี ้
การทำบุญแจกข้ าวนัน้ เกิดสาเหตุสำคัญมาจากการปรารภถึงญาติพี่น้องที่ลว่ งลับไป
แล้ ว ซึง่ ญาติโยมสาธุชนที่ยงั มีชีวิตอยูต่ ้ องการจะทำบุญอุทิศให้ เพราะว่า เมื่อตายไป หากยังไม่
เข้ าถึงนิพพาน ก็เป็ นคนมีกิเลสมีสงั ขารยังไม่หมดสิ ้น ซึง่ เป็ นเหตุปัจจัยชักนำให้ วนเวียน อยูใ่ น
สังสารวัฏ อาจเป็ นภูติ เป็ นเทพ เป็ นเปรต เป็ นดิรัจฉาน หรื อเป็ นสัตว์นรก แล้ วแต่เหตุปัจจัยที่
สะสมไว้ ช่วงที่ละจากมนุษย์โลกไป  ต้ องเป็ นไปด้ วยผลบุญ หรื อบาปที่เคยสร้ างเอาไว้ และ
โอกาสที่จะทำบุญเองนันหาได้ ้ ยาก เพราะบางคนอาจจะต้ องไปเกิดในทุคติภมู ิเพื่อเสวยกรรม
ต่อไป หรื อไปเกิดในสุคติภมู ิด้วยผลบุญกรรมที่ได้ ทำไว้ แต่ในทางพระพุทธศาสนานัน้ เมื่อผู้ตาย
เสียชีวิตละจากไปแล้ ว ต้ องทำบุญอุทิศให้ เพื่อให้ ผ้ ทู ี่ลว่ งลับไปแล้ วนันได้ ้ รับผลของทานที่
ญาติโยมสาธุชนทุกท่านได้ กระทำการอุทิศไปให้ และบุคคลที่ละไปแล้ ว จะได้ รับผลของทานที่
เขาอุทิศให้ นนั ้ ผู้อทุ ิศต้ องตังจิ
้ ตอธิษฐานอุทิศให้ ผ้ ทู ี่ลว่ งลับไปแล้ ว เมื่อไม่ได้ ตงจิ
ั ้ ตอธิษฐานผู้ที่
ล่วงลับไปแล้ วก็จะไม่ได้ ผลของทานนัน้ ดังเช่นญาติของพระเจ้ าพิมพิสาร เพราะญาติของพระ
เจ้ าพิมพิสารนันเคยเกิ
้ ดเป็ นเปรต แต่เนื่องจากท่านไม่ได้ ตงจิ ั ้ ตอุทิศไปให้ เปรตเหล่านันเลยไม่
้ ได้
รับผลของทานที่พระองค์ได้ ทำไว้ อนึง่ นัน้ ทานที่ญาติอทุ ิศให้ ผ้ ลู ว่ งลับไปแล้ วจะได้ รับผลหรื อไม่
ได้ รับผลนัน้ พระผู้มีพระภาคเจ้ าตรัสไว้ สองอย่าง คือ สิ่งที่เป็ นฐานะ กับ อัฎฐานะ อะไร คือ สิ่ง
ที่เป็ นฐานะ กับ อัฎฐานะ คือ
บุคคลบางคนบนโลกนี ้ เป็ นผู้ประพฤติผิดศีล ๕ อยากได้ ของเขา มีจิตคิดปองร้ าย เป็ น
มิจฉาทิฏฐิ บุคคลนันเมื
้ ่อตายไปย่อมเข้ าสูน่ รก อาหารใดของสัตว์นรก เขาย่อมเลี่ยงอัตภาพ
ด้ วยอาหารในนรกนัน้ นี ้เป็ นอัฏฐานะ คือบุญที่ญาติอทุ ิศให้ ยอ่ มไม่สำเร็จผล
บุคคลบางคนบนโลกนี ้ เป็ นผู้ประพฤติผิดศีล ๕ อยากได้ ของเขา มีจิตคิดปองร้ าย เป็ น
มิจฉาทิฏฐิ บุคคลนันเมื้ ่อตายไป ย่อมเข้ าถึงกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อาหารใดของสัตว์เดรัจฉาน
เขาย่อมเลี ้ยงอัตภาพด้ วยอาหารของสัตว์เดรัจฉานนัน้ มีชีวิตอยูไ่ ด้ ด้วยอาหารของสัตว์เดรัจฉาน
นัน้ นี ้เป็ นอัฏฐานะ คือบุญที่ญาติอทุ ิศให้ ยอ่ มไม่สำเร็จผล
บุคคลบางคนบนโลกนี ้ เป็ นผู้รักษาศีล ๕ ไม่มีความอยากได้ ของคนอื่น เป็ นสัมมาทิฏฐิ
บุคคลนันเมื
้ ่อตายไป ย่อมเข้ าถึงความเป็ นสหายของมนุษย์ เขาย่อมเลี ้ยงอัตภาพในโลกมนุษย์
นัน้ ย่อมมีชีวิตอยูใ่ นโลกมนุษย์นนั ้ ด้ วยอาหารของพวกมนุษย์ นี ้เป็ นอัฏฐานะ คือบุญที่ญาติ
อุทิศให้ ยอ่ มไม่สำเร็จผล
บุคคลบางคนบนโลกนี ้ เป็ นผู้รักษาศีล ๕ ไม่มีความอยากได้ ของคนอื่น เป็ นสัมมาทิฏฐิ
บุคคลนันเมื
้ ่อตายไป ย่อมเข้ าถึงความเป็ นสหายของเทวดา เขาย่อมเลี ้ยงอัตภาพในเทวโลกนัน้
ย่อมมีชีวิตอยูใ่ นเทวโลกนัน้ ด้ วยอาหารของเทวดา นี ้เป็ นอัฏฐานะ คือบุญที่ญาติอทุ ิศให้ ยอ่ มไม่
สำเร็จผล
บุคคลบางคนบนโลกนี ้ เป็ นผู้ประพฤติผิดศีล ๕ อยากได้ ของเขา มีจิตคิดปองร้ าย เป็ น
มิจฉาทิฏฐิ บุคคลนันเมื
้ ่อตายไป ย่อมเข้ าถึงเปตติวิสยั เขาย่อมเลี ้ยงอัตภาพในเปตติวิสยั นัน้
ด้ วยอาหารของสัตว์ที่เกิดในเปรตติวิสยั หรื อด้ วยอาหารที่ ญาติ มิตร เสนาอำมาตย์ ทำบุญ
อุทิศไปให้ เขาเลี ้ยงอัตตภาพอยูใ่ นเปรตติวิสยั นัน้ มีชีวิตอยูใ่ นเปรตติวิสยั นันด้
้ วยอาหารของ
สัตว์ที่เกิดในเปรตติวิสยั หรื อด้ วยอาหารที่ ญาติ มิตร เสนาอำมาตย์ ทำบุญอุทิศไปให้ นี ้เป็ น
ฐานะ คือบุญที่ญาติอทุ ิศให้ ยอ่ มสำเร็จผล
ถ้ าหากว่า ผู้ลว่ งลับไปแล้ ว ไม่ได้ รับผลของทานนัน้ ญาติสาโลหิตเหล่าอื่นของเขาย่อม
ได้ รับผลของทานนัน้ ถ้ าหากว่า ญาติสาโลหิตของเขาไม่ได้ รับ แม้ สหายเหล่าอื่นของเขาย่อมได้
รับ แม้ ทานที่ญาติอทุ ิศไปให้ ยอ่ มไม่ไร้ ผล นี ้เป็ นการกล่าวถึงการอุทิศผู้ลว่ งลับไปแล้ ว
ต่อจากนี ้ จะว่าถึงการตอบแทนมารดาบิดาที่ทา่ นได้ ลว่ งลับไปแล้ วสำหรับบุตรธิดาทัง้
หลาย
ในทางพระพุทธศาสนานัน้ ท่านกล่าวไว้ วา่ ทิศเบื ้องหน้ า คือ มารดาบิดา อันบุตร ควร
บำรุง ด้ วยฐานะ ๕ อย่าง คือ ท่านเลี ้ยงเรามาแล้ ว เลี ้ยงท่านตอบ ๑ ช่วยทำกิจของท่าน ๑ ดำรง
วงศ์สกุล ๑ ประพฤติตนให้ เหมาะสมกับความเป็ นทายาท ๑ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ ว จักทำบุญ
อุทิศให้ ทา่ น ๑ เมื่อบุตรบำรุงปฏิบตั ิตอ่ ท่านด้ วย ฐานะ ๕ อย่างนี ้แล้ ว ท่านก็ยอ่ มอนุเคราะห์
ด้ วยฐานะ ๕ อย่าง คือ ห้ ามเสียจากบาป ๑ ให้ ตงอยู ั ้ ใ่ นความดี ๑ ให้ ศกึ ษาศีลปะ ๑ ให้ มีคู่
ครองที่สมควร ๑ มอบทรัพย์มรดกให้ ตามกาลเวลา ๑ นี ้เป็ นอานิสงส์ของการบำรุงมารดาบิดา
ซึง่ ในวันนี ้ บุตรและธิดาก็ได้ ทำบุญอุทิศให้ แก่คณ ุ พ่อสมพุ๊ค สกุลไทย ก็นบั ว่าเป็ นการบำรุง
ตอบแทนมารดาบิดา ในข้ อที่วา่ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ ว จักทำบุญอุทิศให้ และ ทักษิณานุ
ปาทานที่ญาติโยมสาธุชนทุกท่านได้ มาทำบุญในที่นี ้ ก็ได้ ชื่อว่าตังอยู ้ ใ่ นสงฆ์แล้ ว ทังยั
้ งสำเร็จผล
แก่ผ้ ทู ี่ได้ ทำและผู้ที่ได้ ลว่ งลับไปแล้ ว เพราะว่าวันนี ้ทังญาติ
้ โยมสาธุชนทังหลายก็
้ ได้ ท ำสิ่งทัง้ ๓
อย่างให้ สำเร็จแล้ ว คือ ๑. ทำบุญอุทิศให้ ๒. ส่งบุญ ๓. ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ได้
อนุโมทนาบุญฉะนันจึ ้ งนับได้ ว่า การบำเพ็ญทักษิณานุปาทานที่ทา่ นทังหลายได้้ พากันกระทำ
ร่วมกันอุทิศนี ้ เป็ นเหตุก่อให้ เกิดประโยชน์แก่ทา่ นผู้วายชนม์ ดังอุเทศที่อตั มภาพได้ ยกไว้ เป็ น
เบื ้องต้ นว่า
อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺฐิ ตา
ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส ฐานโส อุปกปฺปตีติ.
ทักษิณาที่เราได้ ให้ แล้ วนี ้ ได้ ตงอยู
ั ้ ใ่ นสงฆ์แล้ ว และย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผ้ ลู ว่ งลับไป
แล้ วสิ ้นกาลนาน
อิมินา กตปุญเญน ด้ วยอำนาจกุศลสมภารในส่วนทักษิณานุปาทานนี ้ ที่ทา่ นสาธุชนทัง้
หลาย ได้ สมานฉันท์ร่วมใจกันบำเพ็ญ ณ กาลบัดนี ้ ขอจงสำเร็จเป็ นวิปากราศีอำนวยทิพยสุข
สมบัติ แด่คณุ พ่อสมพุ๊ค สกุลไทย ตามสมควรแก่คติวิสยั ในสัมปรายภพ สมดังเจตนาทุก
ประการเทอญ
รับพระธรรมเทศนามาแสดง ก็สมควรแก่การเวลา จึงขอสมมติยตุ ิลงคงไว้ แต่เพียงเท่านี ้
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี.้

You might also like