Professional Documents
Culture Documents
Fulltext#9 188406
Fulltext#9 188406
แนวคิดและเอกสารที่เกี่ยวข้ องกับงานวิจัย
นักภาษาศาสตร์ และนักจิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาความสามารถในการสื่อ
ภาษาของเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรี ยนรู้ภาษาของเด็ก ทําให้ เกิดการเสนอแนวคิดต่างๆ ไว้ ดงั นี ้
โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) ผู้นําแนวคิดเกี่ยวกับการเรี ยนรู้ภาษาในเด็ก (Jay,
2003) กล่าวว่า เด็กสามารถเรี ยนรู้และพัฒนาภาษาขึ ้นมาได้ เนื่องจากเด็กทุกคนล้ วนเกิดมาพร้ อม
กับกลไกการรับภาษาหรื อ LAD (language acquisition devices) ซึง่ กลไกดังกล่าวจะทําให้ เด็ก
สามารถเข้ าใจความซับซ้ อนของภาษาตลอดจนประเมินความเข้ าใจและการใช้ ภาษาว่าสอดคล้ อง
กับในสังคมหรื อไม่ ชอมสกียงั เน้ นอีกว่า ( Douglas, 1980) เด็กจะนําประโยคหรื อกลุม่ คําต่างๆ
เข้ ามาในระบบความคิด หลังจากนันเด็ ้ กจะเริ่มสร้ างระบบไวยากรณ์ขึ ้นโดยใช้ กลไกซึง่ ติดตัวมา
ตังแต่
้ กําเนิด นัน่ คือ อวัยวะในการพูด อวัยวะในการรับฟั ง และระบบประสาท
จากคําพูดดังกล่าวของชอมสกีจงึ ได้ เริ่มมีการศึกษาพัฒนาการทางภาษาในระดับคํา
ไปจนถึงระดับข้ อความและจัดพัฒนาการดังกล่าวขึ ้นเป็ นลําดับขันตามช่้ วงอายุดงั ที่ พิณทิพย์ ทวย
เจริญ (2547) และ ฮอฟ กินส์เบิร์ก ( Hoff-Ginsberg, 1997) ได้ อภิปรายไว้ โดยผู้วิจยั ได้ สรุป
พัฒนาการทางภาษาดังนี ้
พัฒนาการในระดับคําจะเริ่มตังแต่
้ ช่วงอายุ 11-16 เดือน ซึง่ เด็กในช่วงนี ้จะสามารถ
เปล่งเสียงที่เริ่ มคล้ ายเสียงในภาษาแม่ได้ มากขึ ้น เด็กจะสามารถสื่อความคิดแบบสรุปได้ ด้วยการ
ใช้ คาํ พูดแทน เช่น “หมํ่า” หมายถึง หิวหรื ออยากทาน เป็ นต้ น กล่าวได้ วา่ ในช่วงนี ้ เด็กจะพัฒนาคํา
ชุดแรกเพื่อสือ่ ความหมายได้ แต่เนื่องจากจํานวนของคําพูดที่อยูใ่ นช่วงนี ้มีการพัฒนาขึ ้นอย่าง
6
7
ทังนี
้ ้ พิณทิพย์ ทวยเจริ ญ (2547) ได้ กล่าวถึงองค์ประกอบทางสังคมซึง่ เกี่ยวข้ องกับ
สิง่ แวดล้ อมของเด็กโดยแบ่งตัวแปรออกเป็ น 2 ชนิด คือ
1. องค์ประกอบทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับภาษา กล่าวคือ สังคมที่มีการใช้ ภาษาซึง่ มี
บทบาทต่อเด็กในลําดับแรกและสําคัญที่สดุ คือ ครอบครัว ต่อมาจึงขยายออกไปในสังคมที่ใหญ่
ขึ ้น คือ โรงเรี ยน ชุมชน ภูมิภาค และชุมชนโลก แต่ท่ีสาํ คัญที่สดุ คือ ภาษาที่ได้ ยนิ ในครอบครัวโดย
พ่อแม่จะเป็ นผู้คอยเสริ มและกระตุ้นการพัฒนาภาษาและเชาวน์ปัญญาให้ เด็ก
2. องค์ประกอบทางสังคมที่ไม่ใช่ภาษา กล่าวคือ สังคมในระดับครอบครัวนันมั ้ กจะ
เสริมพัฒนาการเรี ยนรู้ของเด็กโดยการมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน การที่เด็กได้ มีโอกาสออกไปนอก
บ้ านตามสถานที่ตา่ งๆ ที่เหมาะสมกับวัยก็เป็ นการเสริมการเรี ยนรู้ของเด็กเช่นกัน
นักภาษาศาสตร์ เชิงจิตวิทยาเชื่อว่า ปั จจัยอันได้ แก่ การอบรมเลี ้ยงดูจากครอบครัว
ระดับชนชันและภาวะทางเศรษฐกิ
้ จ โอกาสในการศึกษา และการเติบโตในชุมชนที่แตกต่างกันจะ
ส่งอิทธิพลต่อพัฒนาการทางภาษา มีงานวิจยั หลายชิ ้นสนับสนุนแนวความเชื่อในเรื่ องนี ้ อาทิ
การศึกษาเปรี ยบเทียบเด็กที่รับการเลี ้ยงดูจากพ่อแม่เอง ซึง่ เรี ยกว่า กลุม่ เด็กธรรมดา กับกลุม่ เด็กที่
ขาดพ่อแม่และได้ รับการเลี ้ยงดูจากสถานเลี ้ยงเด็กกําพร้ าของ แมคเคอบี ้ ( McCurby,1961) พบว่า
เด็กในสถานเลี ้ยงเด็กจะมีร่างกายแข็งแรงกว่า เด็กธรรมดาในระยะ 5 เดือนแรก หลังจากนันเด็ ้ ก
ธรรมดาจะดูสดชื่นแข็งแรงและร่าเริ งกว่าเพราะได้ มีการพบปะใกล้ ชิดกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกับผู้
เป็ นแม่ ในระยะ 1 ขวบ เด็กในสถานเลี ้ยงดูเด็กจะดูแข็งแรงกว่าเพราะได้ มีโอกาสวิ่งเล่นอย่างอิสระ
มากกว่าเด็กธรรมดาซึง่ จะถูกดูแลและได้ รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่หรื อครูอยูต่ ลอดเวลา แต่ในทาง
ด้ านพัฒนาการจะมีความล่าช้ าในการพัฒนาทางคําพูดและพัฒนาการทางนิสยั บางประการ เช่น
การรักษาความสะอาดและการควบคุมตนเอง หากพิจารณาเปรี ยบเทียบแล้ วจะพบว่าเด็กธรรมดา
จะได้ เปรี ยบกว่าเพราะได้ รับการดูแลอย่างใกล้ ชิดจากพ่อแม่โดยตรงและสมํ่าเสมอกว่า ซึง่ ทําให้
พัฒนาการทางภาษาชัดเจนมากกว่าเด็กในสถานเลี ้ยงดู ข้ อสรุปดังกล่าวสอดคล้ องกับ เดล
(Dale,1976) ที่วดั ผลพัฒนาการของเด็กจากพ่อแม่ที่มีระดับการศึกษาต่างกันว่าพ่อแม่ถือเป็ นส่วน
สําคัญที่จะพัฒนาระดับสติปัญญาของลูกอย่างมาก พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงจะสัง่ สอนอบรมลูกได้
ซึง่ เด็กลักษณะนี ้จะสามารถเรี ยนรู้คําศัพท์ตา่ งๆ ได้ รวดเร็ วกว่าปกติ นอกจากนี ้ผลการศึกษาของ
เดลยังพบอีกว่าเด็กที่มีพอ่ แม่การศึกษาสูงมักพูดถึงคําศัพท์ที่เป็ นวัตถุสงิ่ ของต่างๆ รอบตัว
(object-centered) ในขณะที่เด็กที่พอ่ แม่มีการศึกษาตํ่ามักพูดถึงคําศัพท์ที่เกี่ยวกับตัวเด็กเอง
(child-centered) มากกว่า ดังนัน้ เด็กที่มีพอ่ แม่มีการศึกษาสูงจึงสามารถรับรู้คําศัพท์ใหม่ๆ ได้
กว้ างขวางกว่า ทังนี ้ ้ เฮนเดอร์ สนั อ้ างใน โรนัลด์ (Henderson,1970 อ้ างใน Ronald, 1986) กล่าว
12
สิง่ แวดล้ อม เช่น ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว การอบรมเลี ้ยงดู หรื อแม้ กระทัง่ โอกาสที่เด็กจะได้
มีปฏิสมั พันธ์หรื อทํากิจกรรมกับสังคมภายนอกร่วมด้ วย จึงทําให้ สงิ่ แวดล้ อมเหล่านี ้เป็ นปั จจัย
สําคัญยิ่งต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็ก
2. การละ (ellipsis)
ฮัลลิเดย์และฮาซาน (Halliday and Hasan, 1976) กล่าวว่า การละเป็ นการแสดง
ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแทนที่รูปภาษาหนึง่ ด้ วยการไม่ปรากฏรูปภาษาใดๆ อาจกล่าวได้ วา่
การละเป็ นการแทนที่ด้วยอรูป (substitution by zero) หรื อการละไว้ ในฐานที่เข้ าใจนัน่ เองซึง่ มี
ทังหมด
้ 3 ประเภท คือ การละด้ วยหน่วยนาม (nominal ellipsis) การละด้ วยหน่วยกริ ยา (verbal
ellipsis) และการละด้ วยหน่วยอนุพากย์ (clausal ellipsis) ในขณะที่วิภา ฌานวังสะ ( Wipah
Chanawangsa, 1986) กล่าวในงานวิจยั ภาษาไทยว่า ในภาษาไทยการละถูกนํามาอ้ างถึง
ปรากฏการณ์ท่ีอนุพากย์ของโครงสร้ างภาษาไม่สมบูรณ์ และการไม่สมบูรณ์ขาดองค์ประกอบของ
ภาษานันสามารถอธิ
้ บายได้ โดยการพิจารณาจากโครงสร้ างของภาษาที่ปรากฏในตอนต้ น ซึง่ การ
ละในภาษาไทยมีทงหมด ั้ 3 ประเภท ดังนี ้ (ตัวอย่างจาก วิภา ฌาณวังสะ)
2.1 การละหน่ วยนาม (nominal ellipsis) คือ การละหน่วยเดิมที่เป็ นคํานามซึง่
อาจเกิดอยูใ่ นตําแหน่งของประธานหรื อกรรมก็ได้ ตัวอย่างเช่น
“ตุ้มไม่มีรองเท้ าจะใส่แล้ วØ คูเ่ ก่าก็ขาดØ คูใ่ หม่ก็ขาด”
จากตัวอย่าง Ø เป็ นการละหน่วยนาม “รองเท้ า” ซึง่ ปรากฏในประโยคที่นํามาก่อน
2.2 การละหน่ วยกริยา (verbal ellipsis) คือ การละหน่วยกริ ยาเดิมมี 3
ลักษณะ ได้ แก่ การละหน่วยกริ ยาหลัก (nuclear ellipsis) การละหน่วยกริ ยาช่วย (auxiliary
ellipsis) การละทังหน่
้ วยกริ ยาหลักและกริ ยาช่วย (total ellipsis) ตัวอย่างเช่น
ก.“กําลังกินอะไรอยู”่
ข.“Ø ก๋วยเตี๋ยว”
จากตัวอย่าง Ø ในคําพูดของ ข. เป็ นการละรูปทังกริ ้ ยาช่วย “กําลัง” และกริ ยาหลัก
“กิน” ที่ปรากฏในประโยคคําถามของ ก.
2.3 การละหน่ วยอนุพากย์ หรื อประโยค (clausal ellipsis) คือ การละส่วนใด
ส่วนหนึง่ ของส่วนประกอบของประโยค วิภา ฌานวังสะ ( Wipah Chanawangsa, 1986) กล่าวว่า
การละหน่วยอนุพากย์หรื อประโยคมักเกิดในบทสนทนาที่มี 3 ลักษณะ คือ บทสนทนาเชิงคําถาม-
คําตอบ ( question and response sequence) บทสนทนาที่เป็ นการแจ้ งให้ ทราบ -คําถาม
( statement and question) และ บทสนทนาที่เป็ นการแจ้ งให้ ทราบหรื อเสนอความคิดเห็นทังคู ้ ่
( statement and statement) ตัวอย่างเช่น
ก.“พงศ์จะไปเรี ยนต่อที่กรุงเทพฯ”
ข. “เมื่อไรØ”
18
3. การซํา้ (repetition)
โบกรองด์และเดรสเลอร์ (Beaugrande and Dressler, 1981) กล่าวว่า การซํ ้าเป็ น
การใช้ รูปภาษาเดิมซํ ้าอีกครัง้ หลังจากที่หน่วยภาษานันปรากฏแล้
้ วในตอนต้ น โดยจําแนกการซํ ้า
ออกเป็ น 4 ประเภท คือ การซํ ้ารูป การซํ ้าบางส่วน การซํ ้าโครงสร้ างและการซํ ้าความหมาย ดังนี ้
3.1 การซํา้ รูป (recurrence) คือ การใช้ รูปคําเดิมซํ ้าในข้ อความหรื อการใช้
หน่วยภาษาเดิมทังหมดซํ ้ ้าอีกครัง้ สามารถเกิดได้ ทงในระดั
ั้ บคํา วลีและประโยคโดยไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงรูปภาษาเลยและรูปภาษาที่ปรากฏซํ ้าต้ องอ้ างถึงสิง่ เดียวกันหรื อมีความหมาย
เดียวกัน สอดคล้ องกับชลธิชา บํารุงรักษ์ (2539) ที่กล่าวถึงการซํ ้ารูปในงานวิจยั ภาษาระดับ
ข้ อความในภาษาไทยว่า การซํ ้าในภาษาไทยเกิดขึ ้นได้ ทงในระดั ั้ บคํา ระดับกลุม่ คําหรื อวลี หรื อ
ระดับประโยค แต่ในการซํ ้ารูปนี ้ชลธิชา บํารุงรักษ์ ได้ แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด (ในหัวข้ อการซํ ้ารูปผู้วิจยั
ใช้ ตวั อย่างของชลธิชา บํารุงรักษ์ เพราะครอบคลุมเนื ้อหาที่เป็ นภาษาไทย) คือ
3.1.1 การซํา้ รูปทัง้ หมด (complete recurrence) คือ ปรากฏการณ์ที่เกิด
จากการที่มีสว่ นของเนื ้อความมีรูปภาษาเหมือนกันและไม่เปลี่ยนแปลงรูปภาษานันเลย ้ ตัวอย่าง
ของการซํ ้าทังหมดเช่
้ น
“...ประโยคที่หนึง่ บอกว่า รายงานต่างๆ ซึง่ ปรากฏอยูใ่ นหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี ้ ไม่
ถูกต้ อง เค้ าใช้ คําว่า incorrect แปลว่าไม่ถกู ต้ อง...คือพูดว่า ผิด ทังหมด ้ incorrect นะฮะ
ภาษาอังกฤษแปลว่ายังงัน...ไม่ ้ ได้ แปลว่า คลาดเคลื่อนนะฮะแปลว่า ผิด เลย นะฮะ...incorrect ไม่
มีทางแปลเป็ นอย่างอื่นต้ อง แปลว่า ผิด ผิด ผิด นะฮะ ผิด อย่างเดียว นะฮะ...”
จากตัวอย่าง มีลกั ษณะของการซํ ้ารูป คือ คําว่า “incorrect” และ “ผิด” ซึง่ ประเภท
ของคํายังคงเดิม
3.1.2 การซํา้ รูปบางส่ วน (partial recurrence) คือ การซํ ้ารูปภาษาที่เคย
ปรากฏมาก่อนแล้ วซํ ้าเฉพาะแค่บางส่วน หรื อเป็ นการใช้ องค์ประกอบพื ้นฐานของคําหรื อรูปภาษา
เดียวกันแต่เปลี่ยนให้ มีประเภทของคําต่างกัน นอกจากนี ้การซํ ้าบางส่วนยังสามารถปรากฏกับคําที่
มีชนิดของคําเหมือนหรื อต่างกันก็ได้ เช่นเดียวกับ โบกรองด์และเดรสเลอร์ ( Beaugrande and
Dressler, 1981) ที่กล่าวว่า เป็ นการใช้ องค์ประกอบพื ้นฐานของคําหรื อรูปภาษาเดียวกันแต่
เปลี่ยนให้ มีประเภทของคํา (word class) ต่างกัน เช่น จากคํานามเป็ นคํากริ ยาหรื ออาจเป็ นการซํ ้า
เพียงเฉพาะบางส่วนของรูปภาษาที่อาจเป็ นชนิดคําเดิมก็ได้ ตัวอย่างเช่น
20
เปิ ล้ กล้ วย ส้ ม” เป็ นคําเฉพาะของคําว่า “ผลไม้ ” ซึง่ เป็ นคําทัว่ ไป เป็ นต้ น ในประเด็นนี ้จะต่างกับ
การใช้ คําจ่ากลุม่ ในลักษณะของโครงสร้ างของคํากล่าวคือ คําจ่ากลุม่ สามารถเป็ นได้ ทงเป็ ั ้ นคําศัพท์
หรื อเป็ นวลีก็ได้ แต่หากเป็ นการใช้ คําเฉพาะเจาะจง-ทัว่ ไป จะเป็ นเพียงแค่คําศัพท์อย่างเดียวเพื่อใช้
ในการเชื่อมโยงกันทางความหมายในระดับคํา (Lyons, 1995) ตัวอย่างเช่น
“ก่อนหน้ านี ้เห็นเขาว่าบนภูกระดึงมี สตั ว์ป่า1ชุกชุมมาก เช่น ควายป่ า(1) มีกวางป่ า(2)ที่
เรี ยกกันว่า เมอ อยูต่ ามทุ่ง…ผมพบก็มีหมูป่า(3)ฝูงเดียว ถ้ ามีกวางสวยๆ (4)เดินเล่นให้ เห็น…”
จากตัวอย่าง “สัตว์ป่า” เป็ นคําทัว่ ไปของคําเฉพาะ “ควายป่ า, หมูป่า, กวางป่ า, กวาง
สวยๆ”
5.4 การใช้ คาํ ที่มีลักษณะเกี่ยวข้ องกันแบบคําแสดงองค์ ประกอบย่ อย -
ทัง้ หมด (meronymy and co-meronymy) คือ การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยและ
ทังหมด
้ เช่น คําว่า “แขนเสื ้อ” เป็ นคําแสดงองค์ประกอบย่อยของคําว่า “เสื ้อ” หรื อ คําว่า “หลังคา
เพดาน พื ้น กําแพง” เป็ นคําแสดงส่วนประกอบย่อยของคําว่า “บ้ าน” ตัวอย่างเช่น
“ต้ นสน 1 ริ มผามักจะมีกิ่งก้ านงอยอกย้ อน ส่งถึงอาการที่ต้องดิ ้นรนต่อสู้กบั แรง …ผิว
ลําต้ น (1) แตกหยาบเป็ นร่องลึก ดูกร้ านบึกบึน ใบสน (2) แหลมๆ กระจายเป็ นกํา…”
จากตัวอย่าง “ต้ นสน” เป็ นคําแสดงองค์ประกอบทังหมดโดยมี ้ “ผิวลําต้ น” และ “ใบ
สน” เป็ นคําแสดงองค์ประกอบย่อย
5.5 การใช้ คาํ ตรงกันข้ าม (antonymy) คือ การแสดงความสัมพันธ์ของคําที่มี
ความหมายตรงข้ ามกัน เช่น คนอ้ วน-คนผอม ตัวอย่างเช่น
“บางคนตะคริ วกิน รองเท้ ากัด ยิ่ง คนอ้ วนด้ วยแล้ วท่าทางจะกลับ
เสียให้ ได้ คนผอมนี่เห็นคุณค่าตอนนี ้เอง”
จากตัวอย่าง “คนอ้ วน” และ “คนผอม” เป็ นคําตรงกันข้ าม
5.6 การใช้ คาํ ที่สัมพันธ์ กันหรือคําที่เข้ าคู่กัน (collocation) คือ การใช้ คาํ เข้ า
คูก่ นั เป็ นความสัมพันธ์ที่เกิดจากการใช้ คําศัพท์ที่มีความหมายเกี่ยวข้ องกันอย่างต่อเนื่องใน
ข้ อความเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
“จากวัดพระแก้ วต่อไปแถบทิศเหนือที่เที่ยวเป็ น นํ ้าตก 1แทบทังสิ ้ ้น…เพราะธารนํ ้า 2นี ้
เองจึงทําให้ เกิดป่ าดงดิบขึ ้น เป็ นธรรมชาติที่ผิดกับธรรมชาติภายนอกในคนละรูป ไม่มี ต้นสน3 ไม่มี
เนินหญ้ า4 มีแต่โขดหิน5 ต้ นไม้ 6หลักพันขึ ้นทึบแน่น…”
จากตัวอย่าง คําว่า “นํ ้าตก ธารนํ ้า ต้ นสน เนินหญ้ า โขดหิน ต้ นไม้ ” เป็ นคําที่เข้ าชุด
ในกลุม่ เดียวกันที่บรรยายถึงสภาพธรรมชาติรอบๆ ตัว
27