Professional Documents
Culture Documents
เรื่อง
การพัฒนาทักษะการอ่านโดยใชนิทาน
DEVELOPMENT OF READING SKILLS BY USING STORY
นางสาวภัทรินา กาโบะ
(การสอนภาษามลายู)
รายงานวิจัยชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนใน
สถานศึกษา1
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี
ปีการศึกษา 2564
ชื่อเรื่องวิจัย : การพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้นิทาน
ผู้วิจัย : นางสาวภัทรินา กาโบะ
สาขาวิชา : การสอนภาษามลายู
ปีทศี่ ึกษา : ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
ครูพี่เลี้ยง : นางฮะห์สนะ เจะโยะ
อาจารย์นิเทศก์ : ดร.ซูไรยา จะปะกียา
บทที่1
บทนำ
1.1ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาวิจัย
ภาษาในโลกนี้นับ ว่ามีความสำคัญกับมนุษย์และมนุษย์นำมาใช้อย่างแพร่ห ลายมากมายทั่วไป
ภาษาหนึ่งคือ ภาษามลายู ซึ่งเป็นภาษาที่สำคัญในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีประชากรใช้
ภาษามลายู ป ระมาณ300 ล้ านคนมี ส ถานภาพเป็ น ภาษาประจำชาติข องประเทศต่ างๆในประชาคม
อาเซียน ได้ แก่ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจากบรรดาภาษาทางการใน
ประเทศสิงค์โปร นอกจากนี้ภาษามลายูยังนับว่าเป็นภาษาราชการในอีกหลายประเทศ อาทิ ภาคใต้ ของ
ประเทศไทย ฟิลิป ปิน ส์ กัมพูชา แอฟริ กาใต้และติมอร์ตะวันออกอีกด้วย(อัตถากร หะยีอ , 2554) การ
รวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนทำให้สังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อสื่อสารและ
แข่งขันกันในการดำเนินการทางธุรกิจมากขึ้น ทำให้ภาษาที่สามารถใช้สื่อสารบทบาทและความสำคัญมาก
ขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษามลายูซึ่งมีประชาชนของไทยที่อาศัยอยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ใช้กันเป็น
จำนวนมากอยู่แล้วสามารถใช้สื่อสารกับประเทศในอาเซียนที่ใช้ ภาษาดังกล่าวได้เลย
ปัจจุบันชาวมลายูมีตัวอักษรสำหรับใช้ในการเขียนและจดบันทึก 2รูปแบบคือ อักษรญาวี และ
อักษรรูมี สำหรับสามจังหวัดชายแดนใต้ประชาชนส่วนใหญ่สามารถใช้ภาษามลายูเป็นภาษาในการพูด
สื่อสารได้ แต่ยังขาดทักษะด้านการเขียนและการอ่านซึ่งหลักสูตรอิสลามศึกษาตามหลักสูตร แกนกลางขั้น
พื้นฐาน2551พ.ศ ได้กำหนดให้สาระภาษามลายูเป็นสาระสำคัญที่ผู้เรียนอิสลามศึกษาต้องเรียนเพราะใช้
เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลามโดยสาระภาษามลายูมาตรฐาน1 ได้กําหนดมาตรฐาน
ของผู้เรียนไว้ว่า เข้าใจพึงรู้และกระบวนการฟัง พูด อ่าน และเขียน มีทักษะและ เห็ นคุณ ค่าในการใช้
ภาษามลายู เพื่ อ การเรี ย นรู้ ศึ กษาค้น คว้ าจากแหล่ งวิท ยาการเกี่ ย วกั บ อิส ลามและการสื่ อ สารอย่ าง
1
2
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษามลายู(รูมี)โดยใช้ นิทานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที6่ /3โรงเรียนบ้านลากอ จังหวัดยะลา
3
1.3 สมมุติฐานของการวิจัย
1.3.1 มีการพัฒนาทักษะการเรียนภาษามลายู(รูมี)ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียน
บ้านลากอ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ที่เรียนโดยใช้นิทานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ในการอ่านภาษามลายู(รูมี)นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนบ้านลากอ
จังหวัดยะลา ที่เรียนโดยใช้ทฤษฎีนิทานหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน
1.4 ขอบเขตของการวิจัย
ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการใช้ นิทานเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ภาษา มลายู(รูมี) และได้
กำหนดขอบเขตการวิจัยไว้ดังนี้
1.4.1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3ของโรงเรียนบ้านลากอ
จังหวัดยะลา ประจำปีการศึกษา2564จำนวนทั้งหมด24 คน
1.4.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่6/3ของโรงเรียนบ้านลากอ จังหวัดยะลา
ประจำปีการศึกษา2564 จำนวนทั้งหมด 10 คน ชาย 5 คน หญิง 5 คน
1.4.3 ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง คือ ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา2564 จำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ2ชั่วโมง รวม 6
ชั่วโมง ซึ่งรวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
1.4.4 ตัวแปรวิจัย
ตัวแปรต้น คือ นิทาน
ตัวแปรตาม คือการพัฒนาทักษะการเขียนภาษามลายู(รูมี)ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3
โรงเรียนบ้านลากอ
1.5 นิยามศัพท์
1.5.1ภาษามลายูห มายถึงภาษาที่ ใช่ในการสอนวิชาภาษามลายูให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที6่ /3 โรงเรียนบ้านลากอ
1.5.2อักษรรูมี(tulisan rumi) คืออักษรโรมันที่ใช้ เขียนในภาษามลายูในรายวิชาภาษามลายูชั้น
ประถมศึกษาปีท6ี่ /3 โรงเรียนบ้านลากอ
4
1.5.3นิ ท าน หมายถึ ง นวั ต กรรมที่ จ ะใช้ ในการพั ฒ นาทั ก ษะการอ่ า นของเด็ ก นั ก เรี ย นชั้ น
ประถมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนบ้านลากอ
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.6.1 ด้านผู้เรียน
1.6.1.1 เพื่อให้นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงและการเขียนภาษามลายู(รูมี)ได้ถูกต้องและ
สามารถสะกดคำศัพท์ได้ด้วยตนเอง
1.6.1.2 เพื่อให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษา มลายูรูมีโดยใช้
นิทานก่อนและหลังรูปทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยตนเอง
1.6.2 ด้านผู้สอน
1.6.2.1 สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
1.6.2.2 นำไปใช้ในหลักสูตรสถานศึกษาได้
บทที่2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาผลของการใช้นิทานในการอ่านออกเสียงของนักเรียนโรงเรียนบ้านลากอ อำเภอยะหา
จังหวัดยะลา ผู้ วิจั ย ได้ท ำการศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องโดยนำเสนอผลการศึกษา
ตามลำดับต่อไปนี้
1.หลักสูตรอิสลามศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551
2.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับบการอ่าน
2.1. ความหมายของการอ่าน
2.2. ความสําคัญของการอ่าน
2.3. จุดมุ่งหมายของการอ่าน
2.4. ประเภทของการอ่าน
2.5. การสอนอ่าน
2.6. ทฤษฎีการอ่าน
3.เอกสารที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาที่ควรคํานึงในการสอนอ่าน
4.เอกสารที่เกี่ยวข้องการใช้นิทาน
4.1 ความหมายของนิทาน
4.2 ลักษณะของนิทาน
4.3 จุดประสงค์ของนิทาน
4.4 ประเภทของนิทาน
4.5 หลักการเขียนนิทานสําหรับเด็ก
4.6 ประโยชน์ของนิทานที่มีต่อการเรียนการสอน
5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
หลักสูตรอิสลามศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน2551พุทธศักราชได้ยึด วิสัย
ทัศนของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551พุทธศักราชมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่ง เป็นกำลัง
ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้คุณธรรมวามเป็น มีจิตสำนึก พลเมืองไทยและ
เป็ น พลโลก ยึ ดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข มี
ความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จ ำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอา และการศึกษาตลอด
ชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่ าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เติม
5
6
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒ นาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้การ สื่อสาร
ทำงานการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรมนอกจากนี้หลักสูตรอิสลามศึกษา
กำหนดสมรรถนะเพิ่มเติม คือ ความสามารถในการอ่านอัล -กุรฺอาน เป็นความสามารถของผู้เรียนในการ
อ่าน-กุรฺอานตามหลักการอันเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ ศาสนาอิสลาม เพื่อการพัฒนาตนเองด้านการ
ยึดคุณธรรมจริยธรรมอิสลาม และการอยร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเหมาะสม และสันติสุข
คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรอิสลามศึกษา มุ่งพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ดังนี้ คือ
1.รักการอ่านอัล-กรุอาน
2.รักการละหมาด
3.รักความสะอาด
4.มีมารยาทแบบอิสลาม
5.มีความรับผิดชอบ
สาระการเรียนรู้
มาตรฐาน ย 1 รู้เข้าใจกระบวนการฟัง พูด อ่าน และเขียน มีทักษะและเห็นคุณค่าในการใช้ภาษา
มลายู เพื่ อ การเรี ย นรู ศึ ก ษาค้ น คว้ าจากแหล่ งวิท ยาการเกี่ ย วกั บ ศาสนาอิ ส ลามและการสื่ อ สารอย่า ง
สร้างสรรค์
2.1การอ่าน
2.2การอ่านถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการเรียนรู้ของนักเรียน และคุณภาพการอ่าน นักเรียนย่อม
ส่งผลกระทบถึงคุณภาพของการจัดการศึกษานักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย ของการ
อ่านไว้ดังนี้
2.1 ความหมายของการอ่าน
การอ่านถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการเรียนรู้ของนักเรียนและคุณภาพการอ่านของนัก เรียนย่อม
ส่งผลกระทบถึงคุณภาพของการจัดการศึกษานักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการอ่าน ไว้ดังนี้
8
2.2 ความสำคัญของการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสําคัญยิ่ง เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหา ความรู้ ใน
ทักษะ วิชา ด้านอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และนํามาใช้ในการดําเนินชีวิตต่อไป มีนัก ศึกษาได้กล่าวถึง
ความสําคัญของการอ่านไว้ ดังนี้
9
ชุ ติ ม าสั จ จานั น ท์ (2525,หน้ า 815)อธิ บ ายว่ า การอ่ า นทํ า ให้ เกิ ด การพั ฒ นาไม่ ว่ า จะเป็ น ด้ า น
สติปัญญาความรู้ความสามารถประสบการณ์พฤติกรรมและด้านการดําเนินชีวิตศีลธรรมจริยธรรม ค่านิยม
การอ่านช่วยปรับปรุงชีวิตให้สดใสสมบูรณ์ การอ่าน หมายถึงการมีชีวต อยู่( Reading is Living) เพราะ
ตราบที่โลกไม่ห ยุดหมุนวิทยาการต่างๆ จะเจริญอย่างมาก มีการค้นคว้าค้นพบทฤษฎีความรู้ใหม่ๆ ได้
เรียนรู้โดยไม่สิ้นสุดความสำเร็จของการศึกษา มักจะเจอผลมาจากความสามารถในการอ่านขอบเขตและ
ลักษณะของการอ่านอีกด้วย นอกจากนี้การอ่านยังทำให้ เกิดความสนุกสนานสร้างจินตนาการ ขยาย
ขอบเขตของชีวิตและเนื่องจากคน คือประชากรของประเทศชาติการอ่านจึงเป็นปัจจัยในการพัฒนาสังคม
วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย
ระวิ ว รรณ ศรี ค ร้ า มครั น (2527,หน้ า 1)กล่ า วว่ า ความเจริ ญ ของการอ่ า นอยู่ ที่ ว่ า ผู้ อ่ า นมี
ความสามารถในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ หรือไม่
1.สามารถเข้าใจในสิ่งที่อ่านไปแล้วมากน้อยแค่ไหน
2.สามารถจับใจความสําคัญได้หรือไม่
3.สามารถที่จะเปรียบเทียบหรือแยกความแตกต่างได้ว่าในบทความหรือสิ่งที่อ่านไปแล้วนั้นส่วน
ไหนที่เป็นความจริงเป็นเนื้อเรื่องที่สําคัญ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนหรื คิดเห็นโดยทั่วไป
4.สามารถที่จะเข้าใจและปฏิบัติตามที่อ่านมาได้อย่างถูกต้อง
ประเทิน มหาขันธ์(2530, หน้า161) ได้กล่าวถึงความสําคัญของการอ่านไว้ดังนี้
1.ช่วยให้ได้รับความรู้ หรือสนองในสิ่งที่อยากรู้
2.ช่วยให้พัฒนาตนเองทั้งงร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยนําความรู้ จากการอ่านมา
ปรับปรุงพัฒนาชีวิตของตนเองให้ดีขึ้น
3.ช่วยปรับปรุงสถานภาพของตนเองให้ดีขึ้นพัฒนาอาชีพของตนเองให้ก้าวหน้าจากการอ่าน
4.ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลิน ช่วยผ่อนคลาย
5.ช่วยให้ชีวิตปลอดภัยและพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าเพราะถ้าประชาชนอ่านหนังสือได้ ปฏิบัติ
ตามกฎหมายได้ถูกต้อง เกิดความสงบในบ้านเมือง
สุ ธี พ ร ปาคะดี ( 2531, หน้ า 20) ได้ ส รุ ป ว่ า การอ่ า นมี ค วามจำเป็ น ต่ อ ชี วิ ต มนุ ษ ย์ ใ นการ
ติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจและแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ดังนั้นการสอนอ่านอ่านจึง
เป็น ทักษะที่สำคัญที่ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและสามารถนำไปใช้
ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
วรรณี โสมประยูร(2537, หน้า121-122) ให้ความสําคัญของการอ่านไว้ ดังนี้
1.การอ่านเป็นเครื่องมือที่สําคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทุกระดับ
10
2.ในชีวิตประจําวันต้องอาศัยการอ่านติดต่อสื่อสารเพื่อทําความเข้าใจกับบุคคลอื่น
3.การอ่านช่วยให้บุคคลสามารถนําความรู้และประสบการณ์จากสิ่งที่อ่านไปปรับปรุงพัฒนา
อาชีพหรือธุรกิจการงาน
4.การอ่านสามารถสนองความต้องการพื้นฐานของบุคคลในด้านต่างๆ
5.ช่วยเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้ และประสบการณ์เพิ่มขึ้อย่างลึกซึ้ง และกว้างขวาง
7.การอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์หลายชนิด เป็นกิจกรรมนันทานาการที่น่าสนใจมากการอ่าน
เรื่องราวในอดีตช่วยให้คนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกดกทางวัฒนธรรมของไทย
บันลือ พฤกษะวัน(2538 , หน้า10-11) กล่าวถึงความสําคัญของการอ่านไว้ว่า
1.การอ่านเป็นเครื่องมือสําคัญในการเรียนรู้
2.นักเรียนที่อ่านเป็นย่อมได้รับการยอมรับสามารถอยู่ร่วมกับบุคคลในสังคมได้อย่างมั่นใจ
3.การอ่านได้อ่านเป็ เป็น นสิ่งที่ส่งเสริมให้ นักเรียนสามารถค้ นคว้าหาความรู้ เพิ่มเติมได้ อย่าง
กว้างขวาง
4.การอ่านเป็นเครื่องมือสําคัญในการประกอบอาชีพของผู้เรียนในอนาคต
5.การอ่านมีความจําเป็นต่อการเป็นพลเมืองดีในการรับรู้ ข่าวสาร เหตุการณ์บ้านเมือง
6.การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ตัดสินใจในการเลื อกตัวแทนในด้านการเมืองการ
ปกครอง
7.การอ่านนับเป็นกิจกรรมสําคัญในการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้รับความสนใจ เพลิดเพลิน
และพัฒนาด้านจิตใจอีกด้วย
8.การอ่านช่วยให้ผู้เรียนทราบและสามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม
พัฒนาตนเองและอาชีพของตนได้
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2543,หน้า1) กล่าวว่า การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการแสวงหา
ความรู้และการใช้วิธีอ่านที่ถูกต้อง จึ งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ อ่านทุกคน จากความสำคัญ ของการอ่าน
ดังกล่าวสรุปได้ว่า การอ่านมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชี วิตของมนุษย์ใน
สังคมปัจจุบัน เพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็น ใช้เป็นเครื่องในการเรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในด้าน
อื่นๆต่อไป และสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ การดำเนินชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
2.3 จุดมุ่งหมายของการอ่าน
การสอนของแต่ละบุคคลแต่ละวัยและแต่ละอาชีพย่อมจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านที่แตกต่างกัน
ออกไป ซึ่งมีนักการศึกษาได้เสนอแนะจุดมุ่งหมายในการอ่านไว้หลายประการ ดังนี้
11
จากจุดมุ่งหมายที่กล่าวมาสรุปได้ว่าการอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาหาความรู้ เพื่อ
สนองความต้ อ งการของตนเองเพื่ อ ความสนุ ก สนานเพลิ ด เพลิ น และอ่ านเพื่ อ ให้ มี ค วามรู้ เท่ า ทั น ต่ อ
เหตุการณ์และการดํารงชีวิตในปัจจุบัน
2.4 ประเภทของการอ่าน
วิจิตรา แสงพลสิทธิ์และคนอื่น ๆ (2522 ,หน้า135) ได้แบ่งประเภทของการอ่านไว้ 2 ชนิด คือการ
อ่านออกเสียง คือการอ่านตามตัวหนังสือเพื่อให้ผู้อื่นฟัง ผู้อ่านจะต้องอ่านได้ ถูกต้องตามหลักภาษาและ
ความนิยม
1.การอ่านในใจ คือ การทําความเข้าใจกับตัวอักษร เป็นการอ่านเพื่อตัวผู้อ่านเองซึ่งจะ ได้รับ
ประโยชน์มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อ่านแต่ละคน
นอกจากนั้น ทัศนีย์ ศุภเมธี(2527,หน้า 67-70) ก็ได้แบ่งประเภทของการอ่านเป็น 2 ประเภท
เช่นเดียวกัน คือ
1.การอ่านในใจซึ่งเป็นสิ่งจําเป็นนมากในชีวิตประจําวันที่จะทําให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดบรรลุผล
อาทิเช่นการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญการอ่านเพื่อตอบคําถามการอ่านเพื่อเรียงลําดับเหตุการณ์
แม้แต่การอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน
2.การอ่านออกเสี ยง มีคุณ ค่าทางการเรียนมากช่วยให้ เด็กมีทักษะมากขึ้นอ่านได้ คล่องแคล่ ว
ถูกต้อง รู้จักความไพเราะของบทร้อยกรองต่าง ๆ
การอ่ า นออกเสี ย งมี ก ระบวนการแตกต่ า งจากการอ่ า นในใจทฤษฎี ท างจิ ต ภาษาศาสตร์
(Paycholinguistics) ได้อธิบายกระบวนการของการอ่านไว้ว่า กระบวนการของการอ่านเป็นการแสดง
ปฏิกิริยาร่วมระหว่างความคิดและภาษา กล่าวคือ ไม่ว่าผู้อ่านจะใช้วิธีออกเสียงปากเปล่า หรือออกเสียงใน
ใจต่างก็ใช้คิดของตนเองเข้าไปวิเคราะห์ความหมายของภาษาเขียนซึ่งใช้อ้างอิงมาจาก Goodmen 1968 ,
หน้า16) ได้สรุปกระบวนการของการอ่านไว้ดังในแผนผังข้างล่างนี้
13
ภาพที1่ แผนผังกระบวนการอ่าน
2.5 การสอนอ่าน
ปัจจุบันทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีบทบาทและมีความจําเป็นในชีวิตประจําวันเพิ่มขึ้นนักเรียน
นักศึกษาจําเป็นต้องใช้ทักษะการอ่านเพื่อการศึกษาหาความรู้วิทยาการแขนงต่ างๆแม้เมื่อจบการศึกษา
แล้วการอ่านก็ยังเป็นสิ่งที่จําเป็นในชีวิตประจําวันต่อไป ดังนั้นการสอนจำเป็นต้องปูพื้นฐานที่ดีและถูกต้อง
เพื่อพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
14
2.3 การสร้างภาพจากตัวหนังสือให้เป็นรูปธรรมจะช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ
และจําได้
2.4 ควรอ่านข้อความอย่างเร็ว 1รอบก่อนอย่าอ่านข้อความกลับไปกลับมาให้ อ่านไปเรื่อย ๆ
อาจจะเข้าใจได้ในที่สุด
2.5 ควรจับสายตาไว้เหนือตัวหนังสื อเล็กน้อย แล้วให้กวาดสายตาอ่า นจับข้อความเป็น กลุ่มๆ
อ่านจากบนลงไม่ใช่จากซ้ายไปขาว กล่าวคือ ต้องฝึกช่วงสายตกว้ างให้เท่ากับความยาว1 ช่วงบรรทัดเพื่อ
ไม่ให้เสียเวลาในการกวาดตา
2.6 ควรอ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้าก่อนเสมอ
2.7 มีสมาธิในการอ่าน วิธีการอ่านที่จะทําให้ได้ผ ลดีที่สุด คือ ผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจเรื่องที่
อ่านและมีความสามารถในการอ่านเร็ว ดังที่ ถนอมวงศ์ ลำยอดมรรคผล (2537, หน้า54) กล่ าวไว้ว่า
ผู้อ่าน ทั้งงหลายปรารถนาจะมีสามารถดังนี้
1.อ่านได้เร็ว
2.เข้าใจทุกเรื่องที่อ่าน
3.ใช้เวลาอ่านน้อยแต่ได้ประโยชน์จากการอ่านมาก
4.มีเวลามากพอที่จะอ่านได้ตามต้องการ
5.อ่านแล้วจําได้มากที่สุด
6.นําความรู้ ความคิดและสาระไปใช้ได้ดีและมากที่สุด
ความสามารถทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้วนั้นผู้อ่านแต่ละคนจะมีไม่ครบถ้วนแต่อาจเรียกได้หาก
ได้รับการฝึกที่ถูกต้องนั่นคือฝึกอ่านเพื่อจับใจความสําคัญและเมื่อผู้อ่านสามารถจับใจความสําคัญเป็นแล้ว
ต่อไปก็จะสามารถอ่านได้เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาอ่านสิ่งที่ไม่สําคัญ หรือส่วนที่ไม่ต้องการในการอ่าน
อีกต่อไป
วิภาดา ประสานทรัพย์(2542 ,หน้า76) ยังได้กล่าวถึงการสอนอ่านว่า ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่
ใช้ในการรับสารนเดียวกับทักษะการฟังและมีความสําคั ญมากในยุคเช่นนี้ เนื่องจากผู้คนเป็นจํานวนมากที่
สื่อสารกันด้วยตัวหนังสือในการสอนทักษะการอ่านได้ทําการแบ่งกิจกรรม ออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้ คือ
1.กิจกรรมการสอนช่วงก่อนการอ่าน
เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีความสนใจ หรือเพื่อเป็นการโน้ม น้าวให้
นักเรีย นให้เข้ามาสู่เรื่องที่จ ะอ่าน โดยอาศัยกิจกรรมที่สําคัญอย่างหนึ่งคือการคาดการล่ วงหน้านั่นคือ
ก่อนที่นักเรียนจะได้อ่านเรื่องราวของบทเรียนที่ครูได้เตรียมมาสอนก็จะให้นั กได้ลองคาดเดาเรื่องราวนั้นๆ
16
3.กิจกรรมการสอนหลังการอ่าน
กิจกรรมที่หลังจากการอ่านจัดได้ว่ามีประโยชน์มากเพราะนอกจากจะเป็น เหมือนการสรุปเรื่อง
ที่อ่านแล้วยังสามารถใช้เวลานี้ในการรวบรวมความคิดในด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องคําศัพท์จากเรื่อง
2.6 ทฤษฎีการอ่าน
ณรงค์ ทองปาน(2526 , หน้า 3 ) ได้กล่าวถึงความพร้ในการอ่านของนักเรียนว่าเกิดมาจากปัจจัย
ที่สําคัญ 2 ประการ คือ ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวเด็ก และปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวเด็ก
ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี
1.ความพร้อมทางด้านร่างกาย ได้แก่ ความสามารถในการมองเห็น ความสามารในการ ฟัง การ
ออกเสียงนอกจากนี้ยังรวมถึงเพศด้วย
17
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาที่ควรคำนึงในการสอนอ่าน
การวิเคราะห์ด้านจินตนาการและพัฒนาการเด็กร่วมกับจิตวิทยาด้านการอ่านออกเสียง
ของเด็กในแต่ละวัยตามที่ บันลือ พฤกษะวัน(2521 ,หน้า24 -25 ,134-136) ดังนี้
1) อายุ6-12 ปี
1.1) อายุ6-7 ปี สนใจนิทานสัตว์ และต้นไม้พูดได้
1.2) อายุ8 ปี สนใจเทพนิยาย สภาพการดํารงชีวิต การเล่นเครื่องเล่นต่างๆ
1.3) อายุ9 ปี สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตจริง สนใจเรื่องธรรมชาติแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
1.4) อายุ10 ปี สนใจเรื่องผจญภัย เรื่องต่างแดน การท่ องเที่ ยว และชีวประวัติบุคคลสําคัญ
เด็กชายบางคนเริ่มสนใจเครื่องยนต์กลไก การประดิษฐ์ ตํานานและนิทาน เกี่ยวกับอภินิหาร
1.5) อายุ11 ปี เริ่มสนใจเรื่องลึกลับ ผสมการผจญภัย
18
4 เอกสารที่เกี่ยวข้องการใช้นิทาน
4.1 ความหมายของนิทาน
นิทานเป็นประสบการณ์ทางการศึกษา โดยมีความสุขสนุกสนานเป็นองค์ประกอบสําคัญ และได้มี
ผู้ให้ความหมายของนิทานไว้หลายประการดังนี้
เกริก ยุ้นพันธ์(2539 ,หน้า8) ได้ให้ความหมายของนิทานหมายถึงเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกัน มาตั้งแต่
สมัยโบราณเป็นการผูกเรื่องขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานแฝงคําสอนจรรยาในกา ใช้ชีวิตเป็นการ
ถ่ายทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องของผู้เล่าให้คนรุ่นใหม่ฟัง
19
4.3 จุดประสงค์ของนิทาน
สมศักดิ์ปริปุรณะ (2542 , หน้า7-13) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของนิทานไว้ดังนี้
1.ใช้เป็นเครือ่ งมือในการถ่ายทอดวัฒนธรรม
1.1 เพื่อลดความตึงเครียดของครอบครัว
20
4.4 ประเภทของนิทาน
การแบ่งประเภทของนิทานสามารถแบ่งได้หลายประเภท เช่น แบ่งตามเขตพื้นที่แบ่งตามยุคสมัย
แบ่งตามดรรชนีแบบเรื่องหรือแบ่งตามชนิดของการเล่านิทาน แต่ที่นิยมกันมากคือ การ แบ่งตามรูปแบบ
ของนิทาน
การแบ่งประเภทของนิทามตามรูปแบบของนิทาน สามารถจําแนกและแบ่งได้ตามเนื้อหา สาระที่
เป็นเรื่องราวของนิทานซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้อธิบายถึงวิธีการแบ่งประเภทของ นิทานตามรูปแบบ
นิทาน ไว้ดังนี้
เกริก ยุ้นพันธ์(2539 ,หน้า20-22) ได้กล่าวถึง การแบ่งประเภทของนิทานตามรูปแบบของ นิทาน
โดยได้แบ่งนิทานออกเป็ นประเภทต่าง8 ๆประการไว้ คือ
1. เทพนิทานหรือเทพนิยายหรือเรื่องราวปรัมปรา เป็นนิทานหรือนิยายที่เกินเลยความเป็น
21
4.5 หลักการเขียนนิทานสำหรับเด็ก
สวัสดิ์เรืองวิเศษ (2520 ,หน้า71- 76) ได้เขียนหลักเกณฑ์ที่สําคัญในการเขียนเรื่อง สําหรับเด็กไว้
ดังต่อไปนี้
1.จุดมุ่งหมายในการเขียน ผู้เขียนจะต้องทราบว่าจะเขียนเรื่องเพื่ออะไรซึ่งจําแนกได้อย่างกว้างๆ 2แบบ
คือ
1.1 เขียนเรื่องเพื่อใช้เล่าให้เด็กฟัง หรือใช้สําหรับอ่านให้เด็กฟัง
22
1.2 เขียนเพื่อให้เด็กอ่านเอง
ทั้งนี้เพราะจุดมุ่งหมาย 2 ข้อดังกล่าวจะต้องใช้วิธีเขียนที่แตกต่างกัน
2.ศึกษาธรรมชาติของเด็ก
ในการเขียนเรื่องสําหรับเด็กไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใด ผู้เขียนจะต้ผู้ฟังว่ามีความต้องการและความ
สนใจอย่างไรบ้างซึ่งจะต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปว่าเป้นเด็กวัยใดช่วงอายุประมาณเท่าใด เพศหญิงหรือ
เพศชาย เพราะธรรมชาตความสนใจของเด็กแตกต่างกันออกไปตามวัยและเพศ นอกจากนี้ผู้เขียนจะต้อง
ศึกษาถึงสภาพแวดล้อมของสิ่งที่เด็กสนใจด้วยเพื่อจะนำสิ่งเหล่านั้นมาเขียนให้มีชีวิตชีวาและดูสมจริง
3.การวางโครงเรื่อง
หลังจากศึกษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วก็นำมาวางโครงเรื่องให้ สัมพันธ์กัน โครงเรื่องควร
เป็นลักษณะสั้นๆ ไม่สลับซับซ้อน อ่านหรือฟังแล้วสามารถจับใจความได้ถ้าเป็นเด็กโต ความยาวและความ
สลับซับซ้อนของเรื่องก็ควรจะเพิ่มขึ้น ลักษณะตัวละครควรออยู่วัยเดียวกับผู้อ่าน การวางโครงเรื่องควรให้
ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับท้องเรื่อง หรือไห้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นชวนคิดตามเนื้อเรื่องไม่
กวนไปมา และมีการลำดับความคิดอย่างต่อเนื่องกันไปโดยสมบูรณ์ไม่ขาดตอน ข้อควรระวังคือไม่ควรสอน
แทรกความคิดหรือแสดงให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดความรู้สึกถูกเหยีด หยามหรือถูกตำหนิติเตียนจะทำให้เกิด
ความเบื่อหน่ายและความไม่สบายใจ
4.การใช้สํานวนภาษา
ภาษาที่ใช้เขียนนิทานสําหรับเด็กเล็กๆ ควรเป็นคําธรรมดาที่จะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ โดยไม่ต้อง
คิดหาคําแปล เป็นคําสั้นๆที่กะทัดรัด้ มีความหมายในตัวเองชัดเจนการเรียบเรียง ถ้อยคําให้สละสลวย
และมีความสืบเนื่องสัมพันธ์อย่างราบรื่นไม่ติดขัด ชวนให้เด็กคิดตาม ใน บางครั้งถ้าเขียนนิทานขึ้นเพื่อเล่า
ให้เด็กฟัง จะใช้คํามากๆ คํายาวๆ สะกดยาวๆ ได้ แต่ก็ควรเ คนที่เด็กชอบและเข้าใจได้ด้วย
จากหลักการเขียนดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ผู้เขียนต้องสื่อความหมายให้ผู้อ่านสร้าง จินตนาการ
และมีอารมณ์ร่วมในการอ่าน โดยศึกษาศึกษาธรรมชาติของเด็ก กําหนดจุดมุ่งหมาย ของเรื่องไว้ วางโครง
เรื่องที่ไม่สลับซับซ้อนกันมาก และควรใช้คําสั้นๆ ที่กะทัดรัดมีความหมา ตัวเองชัดเจนราบรื่นไม่ติดขัด
ประโยชน์ของนิทานที่มีต่อการเรียนการสอน
นิทานเป็นเรื่องราวที่ช่วยเด็ก ให้เกิดความเข้าใจในเชิงรูปธรรมเพราะมีตัวละคร พฤติกรรม และ
ปัญหาของตัวละครซึ่งเป็นเด็กวัยเดียวกันย่อมโน้มน้าวให้อยากประพฤติเลียนแบบ หรือ เอาอย่างได้
ม.ล. จ้อย นันทิวัชรินทร์(2526, หน้า44-46) กล่าวถึงคุณค่าของนิทานว่า การเล่ านิทานเป็นการ
เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ วิ ธีหนึ่งที่ไม่มีแบบแผนเป็นการเรียนรู้ ที่ได้ผลเร็วมากกว่าเรียนรู้อย่างมีระบบ
23
แบบแผน เด็ ก จะพอใจที่ จ ะเรี ย นรู้ ป ระสบการณ์ จากนิ ท านตั้ งแต่ เมื่ อ อ่ านหนั งสื อ เองได้ จึ งแสวงหา
ประสบการณ์จากการอ่าน และได้เลือกสิ่งที่ต้องการอ่านด้วยตนเองซึ่งจะช่วยส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
ล้วน เลิศอาวาส(2542 ,หน้า6) กล่าวถึงประโยชน์ของนิทาน สรุปได้ว่านิทานเป็นเรื่องที่เด็กชอบ
ฟังนิทานมีทั้งอารมณ์ขบขัน ตื่นเต้น รัก โกรธ หลง เศร้าโศกของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช เทวดา
ภูติปีศาจ นิทานยังช่วยส่งเสริมทั กษะการอ่าน พูด ฟัง และเขียนสัมพันธ์เป็ นสื่อ ระหว่างครอบครัว ครู
ศิษย์ และสังคม ให้มีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน
จากที่ ก ล่ าวมา สรุ ป ได้ ว่า นิ ท านเป็ น สื่ อ ในการพั ฒ นาทั ก ษะการฟั ง พู ด อ่ า นและเขี ย นได้ ด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอ่าน เพราะนิทานเป็นสิ่งที่เด็กระยะเริ่มฝึกอ่า นสนใจการใช้นานเป็นสื่อในการ
พัฒนาทักษะการอ่านจะทําให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว สามารถจําคํา อ่านคําและนําคําไปใช้ได้การ
พัฒนาทักษะการอ่านจะทําให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว สามารถจําคํา อ่านคำ และนําคําไปใช้ได้อย่าง
เหมาะสม นอกจากนี้ นิ ท านยั งสามารถปลู กฝั ง คุณ ธรรม จริยธรรม ค่านิ ยม ที่ ดี แก่ผู้ อ่า น รวมทั้ งให้
ความรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย การเลือกนิทานเพื่อให้เป็นสื่อใน
การพัฒนาทักษะการอ่านสําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา6ควรเลือกเรื่องที่มีตัวละครเป็น สัตว์
หรือคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็ก เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน มีตัวละครไม่มากนัก ไม่น่ากลัว โหดร้าย ครู
ต้องใช้ภาษาง่ายๆ ที่เหมาะสมกับเด็ก ใช้ท่าทางน้ำาเสียง รูปภาพ ประกอบการเล่า นิทานจึงจะน่าสนใจ
บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้ศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกับการอ่านและ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้นิทานในการพัฒนาการอ่าน
เพ็ ญ จา สุ ริ ย กานต์ ( 2544 ,บทคั ด ย่ อ )ได้ ศึ ก ษาการใช้ นิ ท านอี ส ปเป็ น สื่ อ สํ า หรั บ นั ก เรี ย นชั้ น
ประถมศึกษาปีที่6ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน80/80 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การ อ่านออก
เสียงคําควบกล้าของนักเรียนก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกอ่านออกเสียงคําควบกล้ำและได้ ศึกษาความสนใจ
ของนักเรียนต่อการฝึกอ่านออกเสียงคําควบกล้ำาโดยใช้นิทานอีสปเป็นสื่อ พบว่า ชุดฝึกการอ่านออกเสียง
มีประสิทธิภาพ80.69/85.60 และพบว่าผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงคํา ควบกล้ำาของนักเรียนเพิ่มขึ้น
จากก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05และนักเรียนมี ความสนใจต่อการฝึกอ่านออกเสียงคํา
ควบกลำาโดยใช้นิทานอีสปเป็นสื่อในระดับ“มาก”
บทที่3
วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของการอ่าน ออก
เสียงในด้านการอ่านได้ถูกต้องตามอักขรวิธี อ่านได้ชัดเจน อ่านได้คล่องแคล่วของนักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปี ที่6/3จํานวน10 คน ก่อนและหลังการใช้นิทาน
ผู้วิจัยได้ดําเนินการวิจัยโดยกระทําตามลําดับขั้นดังนี้
1.ระเบียบวิธีวิจัย
2.ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3.เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
4.ขั้นตอนในการดําเนินงาน
5.การเก็บรวบรวมข้อมูล
6.การวิเคราะห์ข้อมูล
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาป6/3 ของโรงเรียนบ้านลากอ จํานวน23 คน
กลุ่ มตัว อย่าง เป็ น นั กเรีย นชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/3ของโรงเรียนบ้ านลากอ อำเภอยะหาจังหวัดยะลา
จำนวน 10 คน โดยมี ขั้ น ตอนการสุ่ ม กลุ่ ม ตั ว อย่ า งนั ก เรี ย นโดยคั ด เลื อ กแบบเจาะจงนั ก เรี ย นที่ ท ำ
แบบทดสอบก่อนที่มีคะแนนต่ำสุดจำนวน 10 คน ในโรงเรียนบ้านลากอ
24
25
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน ออกเสียง
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี6/3และนิทานจํานวนที่3เรื่อง ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึนเองโดยมี ขั้นตอนการสร้าง
แบบทดสอบและนิทาน ดังนี้
1.ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษามลายูจากหนังสือ
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และศึกษาหนังสือภาษามลายูของชั้น
ประถมศึกษาปีท6ี่ แล้วนำเอาคำที่นักรียนควรรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่6 คําในหนังสือภาษามลายูซึ่งได้ศึกษา
แล้วว่าเป็นคําที่นักเรียนอ่านไม่ได้ซึ่งเป็นคำที่ใช้ทดสอบจำนวนทั้งสินแบ่งเป็น2ตอน
2.นําคําในแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภามลายูมาให้นักเรียนทั้งหมดอ่านแล้วนำ
แบบทดสอบมาปรับปรุงอีกครั้ง
3.นําคําที่ได้จากแบบทดสอบมาแต่งนิทานจํานวน4เรื่อง
4.นําแบบทดสอบและนิทานไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ
5.นําแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออกเสียงและนิทานไปปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง
6.นํ าแบบทดสอบวั ด ความสามารถในการอ่ านออกเสี ย งมาวั ด ผลอี ก ครั้งโดยแบบทดสอบมี
ลักษณะเป็นคำและประโยคสั้นๆที่เหมาะสมกับระดับชั้นของนักเรียนซึ่งเกณฑ์ในการสร้างแบบทดสอบ
ก่อน-หลังในการอ่านเสียงมีดังนี้
1.6.1) ประกอบด้วยคําศัพท์พื้นฐานที่กําหนดไว้ในชั้นประถมศึกษาปีที่6 จำนวน 137 คํา
1.6.2) คำศัพท์ที่ประกอบด้วยสระภาษามลายู A E I O U
1.6.3) รวมคำศัพท์ที่มาทดสอบทั้งหมด 150 คำ
3.4 ขั้นตอนในการดำเนินงาน
ผู้ วิ จั ย นำแบบทดสอบวั ด ความสามารถในการอ่ านออกเสี ย งของนั ก เรี ย นไปใช้ ท ดสอบกั บ
ประชากรจำนวน 26 คนจากนั้นคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง 10 คนที่มีคะแนนต่ำที่สุดโดยมีขั้นตอนการสอบ
ดังนี้
1.นำนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมาฝึกอ่านโดนยใช้นิทานที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาจำนวน 3 เรื่องโดย
การฝึกให้นักเรียนออกเสียงและสะกดคำศัพท์ที่ต้องการเน้นก่อนที่จะอ่านพร้อมกันจากนั้นให้นักเรียนอ่าน
นิทานพร้อมกัน แล้วให้นักเรียนแต่ละคนตอบปากเปล่าในเนื้อเรื่องที่ได้อ่านจนกระทั่งครบ 3 เรื่อง เวลา 6
ชั่วโมง
26
3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล
1.นํ า แบบทดสอบก่ อ น- หลั ง ในการอ่ า นออกเสี ย งฉบั บ ของผู้ ดํ า เนิ น การสอบที่ ได้ บั น ทึ ก
ข้อผิดพลาดในการอ่านของนักเรียนเป็นรายบุคคล แล้วมาแปลสัญลักษณ์ให้ครบทุกสัญลักษณ์ โดยขีดรอย
คะแนนลงในแบบบันทึกการอ่าน
2.รวบรวมความถี่ของข้อผิดพลาดในการอ่านออกเสียงของนักเรียนในแต่ละด้านจากที่ได้กําหนด
ไว้ แล้วให้คะแนนความสามารถในการอ่านออกเสียงของนักเรียนคิดคะแนนเต็ม100 คะแนน โดยการหัก
คะแนน
3.เกณฑ์ในการให้คะแนนวัดทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนกําหนดไว้3ด้านดังนี้
3.1ความสามารถในการอ่านได้ถูกต้อง เป็นการให้คะแนนโดยคำละ 1 คะแนน จากนั้นนำคำที่
นักเรียนอ่านได้ถูกต้องมาหาร้อยละ ซึ่งการตัดสินว่าอ่านถูก -ผิดนั้น ใช้หลักการอ่านเป็นหลัก โดย
มีรายละเอียดในการพิจารณา คังต่อไปนี้
3.1.1 ออกเสียงพยัญชนะ สระหรือตัวสะกด ไม่ถูกต้องพิจารณาหักคำละ 1 คะแนน
3.1.2 อ่านไม่ได้ หมายถึง อาการที่เด็กหยุดคิดสะกดนานเกินควร เมื่ออ่านมาถึงคำที่ยาก
คำใดคำหนึ่ง โดยนิ่งอยู่นานเกินกว่า 4-5 วินาทีจนผู้ดำเนินการสอบต้องบอกคำอ่านให้พิจารณา
หักคำละ 1 คะแนน
3.1.3 อ่านผิด หมายถึง อ่านออกเสียงผิดโดยใช้คําอื่นแทน เช่น Jalan อ่านว่า Jangan
ให้พิจารณาหักคำละ 1 คะแนน
3.2 ความสามารถในการอ่านออกเสียงได้ชัดเจนในการนี้จะใช้มาตรฐานเสียง การอ่านของทาง
ราชการในส่วนกลางเป็นเกณฑ์ โดยพิจารณาคิดเป็นร้อยละของคําที่อ่านได้ ดังต่อไปนี้
3.2.1 ออกเสี ย ง R L ไม่ ชั ด เจน เช่ น Rumah อ่ านเป็ น Lumah Lubang อ่ านเป็ น
Rubang เป็นต้น พิจารณาหักเป็น 1 คะแนน
3.2.2 อ่านผิดแล้วกลับอ่านแก้ใหม่ให้ถูก พิจารณาหักคําละ1คะแนน
4. ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษามลายูที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น
ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน
27
5. นําข้อมูลที่ได้จากการทดสอบการสอนโดยใช้นิทานเป็นสื่อนั้นมาวัดความสามารถในการอ่าน
ออกเสียงมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากแบบทดสอบ
ก่อน-หลังเรียนมาบรรยายผล
3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลมีขั้นตอนในการวิเคราะห์ดังนี้
1 นําคะแนนการอ่านออกเสียงของนักเรียนก่อน-หลัง การฝึกฝนโดยใช้นิทานเป็นรายบุคคลมาคิด
เป็นร้อยละ
2 นำคะแนนรวมที่ได้จากการอ่านออกเสียงจากแบบก่อนและหลังการฝึกออกเสียงโดยใช้นิทาน
ของนักเรียนเป็นรายบุคคลมาหาความถี่ตามระดับความสามารถที่กำหนดไว้ดังนี้
ระดับความสามารถในการอ่านสูงมากได้คะแนนตั้งแต่ร้อยละมากกว่า80ของคะแนนเต็ม
-ระดับความสามารถในการอ่านสูงได้คะแนนระหว่างร้อยละ 61-89 ของคะแนนเต็ม
-ระดับความสามารถในการอ่านปานกลางได้คะแนนระหว่างร้อยละ56 - 60ของคะแนนเต็ม
-ระดับความสามารถในการอ่านตํ่าได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ55 ของคะแนนเต็ม
3. นําความถี่ของนักเรียนที่ได้คะแนนความสามารถตามข้อ 1มาคํานวณเป็นค่าร้อยละ ของกลุ่ม
ตัวอย่างทั้งหมด
สถิติที่นํามาใช้วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้มีดังต่อไปนี้
สถิติที่ใช้ในการหาค่าเฉลี่ย ศึกษาพัฒ นาการเป็นร้อยละของโอกาสที่พัฒ นาได้ของแต่ล ะคนตาม
สมการ ดังนี้
คะแนนหลังการพัฒนา – คะแนนก่อนการพัฒนาคะแนนเต็ม
ร้อยละของคะแนนพัฒนาการ= ×100
– คะแนนก่อนการพัฒนา