You are on page 1of 21

ตารางวิเคราะห์ ข้อสอบมาตรฐานปลายภาค/รายปี วิชาวิทยาศาสตร์ เล่ม 2

ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ชุดที่ 1


มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
ว 4.1 ว 5.1 ว 6.1 ว 8.1
ข้ อ 1 2 1 2 3 4 1 2 3 4 5 6 7 1 2 3 4 5 6 7 8 9
1          
2          
3          
4          
5          
6          
7          
8          
9          
10          
11          
12          
13          
14          
15          
16          
17          
18          
19          
20          
21          
22          
23          
24          
25          
26          
27          
28          
29          
30          

1
มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
ว 4.1 ว 5.1 ว 6.1 ว 8.1
ข้ อ 1 2 1 2 3 4 1 2 3 4 5 6 7 1 2 3 4 5 6 7 8 9
31          
32          
33          
34          
35          
36          
37          
38          
39          
40          
41          
42          
43          
44          
45          
46          
47          
48          
49          
50          
51          
52          
53          
54          
55          
56          
57          
58          
59          
60          

2
ข้ อสอบมาตรฐานปลายภาค/รายปี ชุดที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์
วิชาวิทยาศาสตร์ เล่ม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 จานวน 60 ข้ อ

คาชี้แจง ให้นกั เรี ยนเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดหรื อเหมำะสมที่สุดเพียงคำตอบเดียว


1. ข้อใดเป็ นปริ มำณสเกลำร์
ก. โต๊ะสู งจำกพื้น 10 เมตร
ข. แอนออกแรง 5 นิวตัน ดันตูเ้ สื้ อผ้ำ
ค. รถยนต์วิ่ง 80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมงไปทำงเหนือ
ง. อ่ำงเดินจำกบ้ำนถึงโรงเรี ยนเป็ นทำงตรง 500 เมตร
2. ข้อใดเป็ นปริ มำณเวกเตอร์
ก. มวลของวัตถุ ข. ประจุไฟฟ้ำ
ค. แรงโน้มถ่วงของโลก ง. อุณหภูมิของอำกำศ
3. กำรเคลื่อนที่ในข้อใดต่ำงจำกข้ออื่น
ก. กำรหล่นของผลไม้จำกต้น
ข. กำรปำลูกบอลไปในสนำม
ค. กำรโยนลูกบำสเกตบอลลงห่วง
ง. กำรโยนลูกมะพร้ำวขึ้นรถบรรทุก
4. ฝนสังเกตกำรแกว่งของลูกตุม้ นำฬิกำโดยลูกตุม้ จะแกว่งกลับไปกลับมำซ้ ำรอยเดิม กำรเคลื่อนที่
ของลูกตุม้ นำฬิกำเป็ นกำรเคลื่อนที่แบบใด
ก. กำรเคลื่อนที่แนวตรง
ข. กำรเคลื่อนที่แนวโค้ง
ค. กำรเคลื่อนที่แบบวงกลม
ง. กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์โมนิกอย่ำงง่ำย
5. นักเรี ยนพบอุบตั ิเหตุจกั รยำนยนต์ชนรถบรรทุกบำดเจ็บบริ เวณสี่ แยกสำมย่ำน ถนนพญำไท
เขตปทุมวัน กรุ งเทพฯ นักเรี ยนจะแจ้ง 191 โดยบอกตำแหน่ งที่เกิดอุบตั ิเหตุจุดอ้ำงอิงที่
เหมำะสมที่สุดคือจุดใด
ก. ถนนพญำไท ข. เขตปทุมวัน
ค. สี่แยกสำมย่ำน ง. กรุ งเทพ ฯ
6. นักเรี ยนเดินทำงไปทำงทิศเหนือระยะทำง 500 เมตร แล้วเดินกลับทำงเดิม ระยะทำง 200 เมตร
ระยะทำงทั้งหมดที่นกั เรี ยนเดินเป็ นเท่ำใด
ก. 200 เมตร ข. 300 เมตร
ค. 500 เมตร ง. 700 เมตร

3
7. จำกข้อ 6. กำรกระจัดในกำรเดินของนักเรี ยนเป็ นเท่ำใด
ก. 200 เมตร ข. 300 เมตร
ค. 500 เมตร ง. 700 เมตร
8. เหตุกำรณ์ในข้อใดกำรกระจัดมีค่ำเป็ นศูนย์
ก. โยนลูกปิ งปองจำกโต๊ะลงสู่ พ้นื
ข. โยนลูกบำสเกตบอลเข้ำห่วง ซึ่งอยู่ห่ำงจำกจุดเริ่ มต้น 15 เมตร
ค. โหม่งลูกฟุตบอลขึ้นไปในแนวตรง แล้วลูกบอลตกลงบนศีรษะ
ง. ยืนอยู่บนหลังคำรถยนต์ โยนลูกบอลขึ้นไปในอำกำศแล้วลูกบอลตกลงสู่ พ้ืนดิน
9. ข้อใดบอกควำมแตกต่ำงระหว่ำงควำมเร็ วกับอัตรำเร็ วได้ถูกต้อง
ก. อัตรำเร็วและควำมเร็วจะมีค่ำเท่ำกันเสมอ
ข. อัตรำเร็ วมีขนำด ไม่มีทิศทำง แต่ควำมเร็ วมีท้ งั ขนำดและทิศทำง
ค. อัตรำเร็วเป็ นปริ มำณเวกเตอร์ ส่ วนควำมเร็ วเป็ นปริ มำณสเกลำร์
ง. หน่วยของควำมเร็ว คือ เมตรต่อนำที ส่ วนหน่วยของอัตรำเร็ ว คือ เมตรต่อวินำที
10 ข้อใดกล่ำวถึงอัตรำเร็วได้ถูกต้อง
ก. ม้ำวิ่งจำกบ้ำนไปถึงไร่ ทำงทิศเหนือ 80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
ข. กำนต์ขบั รถยนต์จำกกรุ งเทพฯ ถึงเชียงใหม่ 120 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
ค. แก้วขับรถยนต์ ซึ่งอ่ำนค่ำตัวเลขบนหน้ำปัดรถยนต์ได้ 70 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
ง. แก่นขับรถยนต์จำกทำงด่วนรำมอินทรำถึงทำงด่วนสำทร 90 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
11. รถจักรยำนยนต์มีอตั รำเร็ ว 80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง แสดงว่ำมีอตั รำเร็ วกี่เมตรต่อวินำที
ก. 80 เมตรต่อวินำที ข. 160 เมตรต่อวินำที
ค. 8,000 เมตรต่อวินำที ง. 22.22 เมตรต่อวินำที
12. รถบรรทุกขนทุเรี ยนจำกกรุ งเทพฯ เพื่อไปจังหวัดขอนแก่นเป็ นระยะทำง 400 กิโลเมตร ด้วย
อัตรำเร็วเฉลี่ย 80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง รถบรรทุกต้องใช้เวลำนำนเท่ำใดจึงจะถึงจังหวัด
ขอนแก่น
ก. 5 ชัว่ โมง ข 8 ชัว่ โมง
ค. 24 ชัว่ โมง ง. 80 ชัว่ โมง
13. จอยเดินจำกโรงเรี ยนถึงบ้ำนด้วยอัตรำเร็ วเฉลี่ย 2 เมตรต่อวินำที ใช้เวลำในกำรเดิน 100 วินำที
ระยะทำงจำกบ้ำนถึงโรงเรี ยนมีระยะทำงเท่ำใด
ก. 2 เมตร ข. 20 เมตร
ค. 100 เมตร ง. 200 เมตร

4
14. พยำบำลจดอุณหภูมิร่ำงกำยของคนไข้เมื่อเวลำ 07.00 น. อุณหภูมิเป็ น 37 องศำเซลเซียส และ
จดอีกครั้งเวลำ 11.00 น อุณหภูมิเป็ น 30 องศำเซลเซียส อุณหภูมิของคนไข้เพิ่มขึ้นกี่เคลวิน
ก. 2 เคลวิน
ข. 12 เคลวิน
ค. 273 เคลวิน
ง. 312 เคลวิน
15. เทอร์มอมิเตอร์เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้วดั ระดับควำมร้อนในวัตถุ ดังนั้นควรเลือกของเหลวที่บรรจุใน
หลอดแก้วของเทอร์มอมิเตอร์ที่มีคุณสมบัติใด และนิยมใช้ของเหลวชนิดใด
ก. หดตัวเร็ว แต่ขยำยตัวช้ำ นิยมใช้ปรอทและตะกัว่
ข. หดตัวช้ำ แต่ขยำยตัวได้ดี นิยมใช้ปรอทและตะกัว่
ค. ขยำยตัวและหดตัวได้ดี นิยมใช้ปรอทและน้ ำใส่ สี
ง. ขยำยตัวและหดตัวได้ดี นิยมใช้ ปรอทและแอลกอฮอล์ใส่ สี
16. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
ก. หน่วยองศำเซลเซียสเป็ นระบบสำกลที่นิยมใช้ทวั่ โลก
ข. เทอร์มอมิเตอร์ในหน่วยองศำเซลเซียสมีจุดเยือกแข็งต่ำกว่ำ 0 oC
ค. เทอร์มอมิเตอร์หน่วยเคลวิน มีจดุ เยือกแข็งและจุดเดือดห่ำงกัน 100 ช่อง
ง. เทอร์มอมิเตอร์แบบธรรมดำมีขีดบอกอุณหภูมิจดุ เยือกแข็งและจุดเดือดที่ 0 – 212 oF
17. ข้อใดอธิบำยกำรถ่ำยโอนควำมร้อนได้ถูกต้อง
ก. ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกที่ต่ำไปสู่ ที่สูง
ข. ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกที่สูงไปสู่ ที่ต่ำ
ค. ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกที่อุณหภูมิต่ำไปสู่ อุณหภูมิสูง
ง. ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกที่อุณหภูมิสูงไปสู่ อุณหภูมิต่ำ
18. จำกภำพถ้ำนักเรี ยนจับที่หูของภำชนะที่ทำจำกโลหะ เหตุใดจึงรู ้สึกร้อน
ก. มีกำรแผ่รังสี จำกน้ ำร้อนมำยังมือ
ข. อนุภำคของอำกำศนำควำมร้อนจำกน้ ำมำยังมือ
ค. อนุภำคควำมร้อนเคลื่อนที่จำกน้ ำร้อนผ่ำนโลหะมำสู่ มือ
ง. อนุภำคของน้ ำเคลื่อนที่จำกน้ ำร้อนผ่ำนโลหะมำสู่ มือ

5
19. จำกภำพเป็ นกำรถ่ำยโอนควำมร้อนโดยวิธีใดตำมลำดับเรี ยงจำก 1 2 และ 3
2

ก. กำรแผ่รังสี ควำมร้อน กำรนำควำมร้อน กำรพำควำมร้อน


ข. กำรนำควำมร้อน กำรแผ่รังสี ควำมร้อน กำรพำควำมร้อน
ค. กำรพำควำมร้อน กำรนำควำมร้อน กำรแผ่รังสี ควำมร้อน
ง. กำรนำควำมร้อน กำรพำควำมร้อน กำรแผ่รังสี ควำมร้อน
20. ข้อใดกล่ำวถูกต้องเกี่ยวกับกำรถ่ำยโอนควำมร้อน
1. ด้ำมจับภำชนะที่ทำจำกโลหะต้องหุ้มด้วยพลำสติก
2. ร่ ำงกำยขับเหงื่อเพื่อระบำยควำมร้อน
3. ยืนเข้ำแถวกลำงแดดทำให้ร้อนมำก
ข้อ กำรนำควำมร้อน กำรพำควำมร้อน กำรแผ่รังสี ควำมร้อน
ก. 1. 2. 3.
ข. 2. 3. 1.
ค. 3. 1. 2.
ง. 1. 3. 2.
21. ข้อใดกล่ำวผิด
ก. กำรเกิดลมและพำยุ เนื่องจำกอุณหภูมิของอำกำศแต่ละพื้นที่แตกต่ำงกัน
ข. สวมเสื้ อผ้ำสี ขำวเดินกลำงแดดจะร้อนกว่ำปกติ เพรำะสี ขำวดูดควำมร้อนได้ดี
ค. กำรทำรำงรถไฟด้วยเหล็กต้องเว้นระยะห่ำงไว้ เพรำะเหล็กจะขยำยตัวเมื่อได้รับควำมร้อน
ง. ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน ดังนั้นเพื่อให้บำ้ นเย็นสบำยควรเลือกใช้สีโทนอ่อนทำภำยใน
22. ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
ก. บ้ำนทรงไทยระบำยควำมร้อนได้ดี เพรำะมีหลังคำทรงสู ง
ข. ตัวกลำงที่เป็ นของแข็งจะพำควำมร้อนได้ดีกว่ำของเหลวและแก๊ส
ค. ตัวนำควำมร้อนจะไม่ยอมให้ควำมร้อนผ่ำนได้ง่ำย จึงทำให้ตวั นำควำมร้อนมีอุณหภูมิสูง
ง. หำกหลังคำด้วยสังกะสี จะร้อนกว่ำมุงด้วยกระเบื้อง เพรำะสังกะสี พำควำมร้อนได้ดีกว่ำ

6
23. บริ เวณด้ำนล่ำงของภำชนะหุงต้มอำหำรที่ทำจำกโลหะควรเคลือบด้วยสี ใด จึงจะทำให้ภำชนะ
ร้อนได้เร็วและช่วยประหยัดพลังงำน
ก. สีขำว ข. สี ดำ
ค. สีเงิน ง. สี แดง
24. รถยนต์ที่วิ่งบนถนนที่ร้อนจัด ยำงรถยนต์มกั ระเบิด เนื่องมำจำกสำเหตุใด
ก. กำรหดตัวของเนื้อยำงรถยนต์
ข. กำรหลอมเหลวของเนื้อยำงรถยนต์
ค. กำรหดตัวของอำกำศในยำงรถยนต์
ง. กำรขยำยตัวของอำกำศในยำงรถยนต์
25. เมื่อวำงแก้วที่มีน้ ำชำร้อนทิ้งไว้สักครู่ ปรำกฏว่ำน้ ำชำในแก้วมีอุณหภูมิเท่ำกับอำกำศ เหตุกำรณ์
นี้เกี่ยวข้องกับเรื่ องใด
ก. กำรนำควำมร้อน ข. กำรแผ่รังสี ควำมร้อน
ค. สมดุลควำมร้อน ง. กำรดูดกลืนควำมร้อน
26. อุปกรณ์ใดต่อไปนี้ใช้หลักกำรขยำยตัวของวัตถุเมื่อได้รับควำมร้อน
ก. สวิตช์ไฟฟ้ำ ข. เครื่ องเตือนไฟไหม้
ค. ถ่ำนไฟฉำย ง. มอเตอร์ไฟฟ้ำ
27. เมื่อเทน้ ำเดือดลงในภำชนะที่ทำจำกแก้วหนำ เหตุใดแก้วจึงแตกร้ำว
ก. แรงดันของไอน้ ำทำให้ภำชนะแตกร้ำว
ข. เกิดกำรหดตัวของภำชนะทั้งด้ำนในและด้ำนนอก
ค. เกิดกำรขยำยตัวของภำชนะทั้งด้ำนในและด้ำนนอก
ง. ด้ำนในของภำชนะขยำยตัวขณะที่ดำ้ นนอกไม่เปลี่ยนแปลง
28. ข้อใดเรี ยงลำดับควำมสำมำรถในกำรขยำยตัวของสำรตำมสถำนะได้ถูกต้อง
ก. น้ ำแข็ง น้ ำ ไอน้ ำ
ข. ไอน้ ำ น้ ำ น้ ำแข็ง
ค. น้ ำ ไอน้ ำ น้ ำแข็ง
ง. ไอน้ ำ น้ ำแข็ง น้ ำ
29. “สำเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิบนโลกสู งขึ้น คือ แก๊สโอโซนในชั้นบรรยำกำศถูกทำลำยจนเกิดรู
โหว่ รังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์จึงผ่ำนมำยังพื้นผิวโลกมำกขึ้น” จำกข้อควำมดังกล่ำว
แสดงว่ำชั้นบรรยำกำศใดถูกทำลำย
ก. โทรโพสเฟี ยร์ ข. มีโซสเฟี ยร์
ค. สตรำโตสเฟี ยร์ ง. เอกโซสเฟี ยร์

7
30. เหตุผลในข้อใดที่มนุษย์ใช้ประโยชน์จำกชั้นบรรยำกำศไอโอโนสเฟี ยร์ในกำรส่ งคลื่นวิทยุ
ก. มีรังสีอินฟรำเรดจำนวนมำกและแตกตัวให้คลื่นวิทยุได้
ข. มีประจุไฟฟ้ำอิสระอยู่มำก สำมำรถสะท้อนคลื่นวิทยุได้
ค. มีไอน้ ำซึ่งดูดซับประจุไฟฟ้ำของคลื่นวิทยุและสะท้อนคลื่นวิทยุได้
ง. มีควำมหนำแน่นของอำกำศมำกที่สุด คลื่นวิทยุไม่สำมำรถผ่ำนได้จึงสะท้อนกลับ
31. หำกนักเรี ยนนัง่ เครื่ องบินขึ้นไปสู งจำกพื้นโลก อำกำศในชั้นบรรยำกำศจะมีกำรเปลี่ยนแปลง
อย่ำงไร
ก. ควำมหนำแน่นและควำมดันลดลง
ข. ควำมหนำแน่นและควำมดันเพิ่มขึ้น
ค. ควำมหนำแน่นเพิ่มขึ้นควำมดันลดลง
ง. ควำมหนำแน่นลดลงควำมดันเพิ่มขึ้น
32. จำกตำรำงกำรดูดกลืนรังสี อลั ตรำไวโอเลตของชั้นบรรยำกำศ บรรยำกำศชั้นใดช่วยป้องกัน
รังสีอลั ตรำไวโอเลตมำกที่สุด
ปริ มำณกำรดูดกลืนรังสี อลั ตรำไวโอเลต (%)
ชั้นบรรยำกำศ ก่อนผ่ำนชั้นบรรยำกำศ หลังผ่ำนชั้นบรรยำกำศ
โทรโพสเฟี ยร์ 60 40
สตรำโตสเฟี ยร์ 60 20
มีโซสเฟี ยร์ 60 50
เอกโซสเฟี ยร์ 60 60

ก. โทรโพสเฟี ยร์ ข. สตรำโทสเฟี ยร์


ค. มีโซสเฟี ยร์ ง. เอกโซสเฟี ยร์
33. ข้อใดกล่ำวผิด
ก. ถ้ำตำกผ้ำในวันที่มีควำมชื้นสัมพัทธ์สูง เสื้ อผ้ำจะแห้งช้ำ
ข. ในฤดูหนำวผิวหนังจะแตกและแห้ง เพรำะอำกำศมีควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
ค. ก่อนฝนตกอำกำศร้อนอบอ้ำว ทำให้เหงื่อระเหยได้นอ้ ย เพรำะมีไอน้ ำในอำกำศมำก
ง. อำกำศอิ่มตัวด้วยไอน้ ำ คือ อำกำศที่มีควำมชื้นสัมพัทธ์สูง ซึ่งไม่สำมำรถรับไอน้ ำได้อีก
34. วัดควำมดันอำกำศที่ยอดดอยอินทนนท์ได้ 260 มิลลิเมตรของปรอท ซึ่งยอดเขำใหญ่วดั ควำมสู ง
ได้ 2,000 เมตร ดังนั้นยอดดอยอินทนนท์มีควำมสู งต่ำงจำกยอดเขำใหญ่กี่เมตร
ก. 2,060 เมตร ข. 2,260 เมตร
ค. 3,500 เมตร ง. 5,500 เมตร

8
35. จำกตำรำงเปรี ยบเทียบควำมชื้นสัมพัทธ์ของอำกำศโดยใช้ไฮกรอมิเตอร์กระเปำะเปี ยกและ
กระเปำะแห้ง พบว่ำอุณหภูมทิ ี่อ่ำนได้ เป็ นดังนี้
วัน / เดือน / ปี ไฮกรอมิเตอร์
o
กระเปำะเปี ยก ( C) กระเปำะแห้ง (oC)
วันที่ 10 ธันวำคม พ.ศ. 2552 20 24
วันที่ 15 ธันวำคม พ.ศ. 2552 25 29
จำกข้อมูลข้ำงต้น ข้อใดสรุ ปได้ถูกต้อง
ก. ทั้งสองวันมีควำมชื้นสัมพัทธ์เท่ำกัน
ข. วันที่ 10 ธันวำคม 2552 มีอุณหภูมิต่ำกว่ำวันที่ 15 ธันวำคม พ.ศ. 2552
ค. วันที่ 15 ธันวำคม 2552 มีควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่ำวันที่ 15 ธันวำคม พ.ศ. 2552
ง. วันที่ 10 ธันวำคม 2552 มีผลต่ำงของอุณหภูมินอ้ ยกว่ำวันที่ 15 ธันวำคม พ.ศ. 2552
36. คุณสมบัติใดเป็ นสำเหตุให้อำกำศมีแรงดัน
ก. ขยำยตัวได้ง่ำย ข. เคลื่อนที่ได้
ค. มีไอน้ ำปะปนอยู่ ง. ต้องกำรที่อยู่
37. อุปกรณ์ในข้อใดไม่ ได้ใช้หลักกำรแรงดันอำกำศ
ก. หลอดของยำหยอดตำ
ข. ตุ๊กแกเกำะติดกับผนังห้อง
ค. แผ่นสติกเกอร์ที่ติดกระจก
ง. กำรสูบหมึกเข้ำในปำกกำหมึกซึม
38. เพรำะเหตุใดอำกำศจึงดันน้ ำในบำรอมิเตอร์น้ ำ ได้สูงกว่ำปรอทในบำรอมิเตอร์ปรอท
ก. น้ ำระเหยได้ง่ำยกว่ำ
ข. น้ ำมีน้ ำหนักมำกกว่ำปรอท
ค. น้ ำมีควำมหนำแน่นมำกกว่ำปรอท
ง. น้ ำมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำปรอท
39. เมื่อนักเรี ยนนัง่ รถขึ้นบนภูเขำสู งจะรู ้สึกหูอ้อื เนื่ องจำกสำเหตุใด
ก. ควำมดันอำกำศลดลง
ข. ควำมชื้นในอำกำศมำก
ค. อุณหภูมิของอำกำศเพิ่มขึ้น
ง. ปริ มำณไอน้ ำในอำกำศมีมำก
40. ถ้ำเปรี ยบเทียบควำมชื้นสัมพัทธ์ก่อนฝนตกจะได้ค่ำควำมชื้นสัมพัทธ์ใกล้เคียงกับข้อใด
ก. ในถ้ ำ ข. ในป่ ำ
ค. ทุ่งนำ ง. บริ เวณชำยหำด

9
41. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ สำเหตุกำรเกิดลมบก ลมทะเล
ก. ปรำกฏกำรณ์ขำ้ งขึ้นข้ำงแรมจำกดวงจันทร์
ข. อุณหภูมิของอำกำศเหนือพื้นดินและเหนือพื้นน้ ำ
ค. ควำมสำมำรถในกำรรับและคำยควำมร้อนของพื้นดินและพื้นน้ ำ
ง. ควำมกดอำกำศที่แตกต่ำงกันระหว่ำงเหนือพื้นดินและเหนือพื้นน้ ำ
42. สถำนที่ใดมีปริ มำณไอน้ ำในอำกำศมำกที่สุด
ก. ในถ้ ำที่มีคำ้ งคำวอำศัยอยู่ ข. ในทะเททรำย
ค. ในห้องที่ติดเครื่ องปรับอำกำศ ง. ในสวนป่ ำอุทยำนแห่งชำติ
43. นักเรี ยนสังเกตบนท้องฟ้ำพบเมฆสี ดำก่อตัวในแนวตั้งหนำทึบมียอดเป็ นรู ปทัง่ แสดงว่ำ
ลักษณะอำกำศจะเป็ นอย่ำงไร
ก. กำลังมีฝนตกปอย ๆ
ข. กำลังมีพำยุฝนฟ้ำคะนอง
ค. มีหมอกลงจัดและกำลังมีหิมะตก
ง. จะเกิดปรำกฏกำรณ์พระอำทิตย์ทรงกรด
44. ในตอนเช้ำมืดนักเรี ยนจะสังเกตเห็นหมอกเกิดขึ้นเหนื อพื้นดิน ข้อใดอธิบำยกำรเกิดหมอกได้
ถูกต้อง
ก. มีฝ่ ุนละอองในอำกำศมำก
ข. อำกำศมีควำมชื้นสัมพัทธ์ต่ำ
ค. มีอำกำศเย็นอยู่เหนืออำกำศร้อน
ง. มีไอน้ ำในอำกำศสู งและอำกำศเย็น
45. พำยุที่พดั ผ่ำนประเทศกัมพูชำมีควำมเร็วสู งสุ ดใกล้ศูนย์กลำง 120 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง แสดงว่ำ
เป็ นลมพำยุประเภทใด
ก. พำยุไต้ฝ่ นุ ข. พำยุโซนร้อน
ค. พำยุดีเปรสชัน ง. พำยุทอร์นำโด
46. กำรพยำกรณ์ใดเป็ นกำรเตือนภัยให้กบั ประชำชนได้ดีที่สุด
ก. กำรบอกถึงปริ มำณน้ ำฝนเฉลี่ยใน 1 ปี
ข. กำรบอกเวลำขึ้นและตกของดวงอำทิตย์
ค. กำรประกำศให้ทรำบล่วงหน้ำเกี่ยวกับสึ นำมิ
ง. กำรบอกอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุ ดในรอบวัน

10
47. จำกพยำกรณ์อำกำศ “ประเทศไทยมีควำมกดอำกำศต่ำ” แสดงว่ำอำกำศในประเทศไทยเป็ น
อย่ำงไร
ก. มีอุณหภูมิต่ำ ข. มีอุณหภูมิสูง
ค. เกิดพำยุฝนฟ้ำคะนอง ง. อำกำศสงบเงียบ
48. ถ้ำโลกเรำไม่มีบรรยำกำศห่อหุ้ม อุณหภูมิในช่วงกลำงวันและกลำงคืนจะเป็ นอย่ำงไร
ก. อุณหภูมิช่วงกลำงวันสูงมำกและกลำงคืนสู งมำก
ข. อุณหภูมชิ ่วงกลำงวันต่ำมำกและกลำงคืนสู งมำก
ค. อุณหภูมชิ ่วงกลำงวันสูงมำกและกลำงคืนต่ำมำก
ง. อุณหภูมิชว่ งกลำงวันและกลำงคืนมีค่ำคงที่และเท่ำกัน
49. ตอนเช้ำที่มีหมอกลงจัดมีผลต่อทัศนวิสัยในกำรขับขี่ยำนพำหนะ เพรำะเหตุใด
ก. ทำให้มองเห็นถนนได้ในระยะใกล้ๆ เท่ำนั้น
ข. มีลมพำยุทำให้มีหมอกจึงอันตรำยต่อกำรขับขี่
ค. แสงแดดที่ส่องกระทบหมอกทำให้มองไม่เห็น
ง. ทุกข้อที่กล่ำวมำ
50. กิจกรรมใดไม่ได้ ช่วยป้องกันให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
ก. ปิ ดเครื่ องปรับอำกำศ ข. ลดกำรเผำขยะ
ค. เพิ่มปริ มำณไอน้ ำในอำกำศ ง. ปลูกป่ ำชำยเลน
51. เพรำะเหตุใดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกจึงมีผลต่อสิ่ งมีชีวิต
ก. ปริ มำณแก๊สออกชิเจนลดลง
ข. สิ่ งมีชีวติ ได้รับรังสีที่เป็ นอันตรำย
ค. ปริ มำณแก๊สไนโตรเจนเพิม่ มำกขึ้น
ง. สิ่ งมีชีวิตบำงชนิดหยุดเจริ ญเติบโตเพรำะขำดแสงแดด
52. ข้อใดเป็ นกำรควบคุมกำรเกิดฝนกรดได้ดีที่สุด
ก. ลดกำรผลิตสำรพวกกำมะถัน
ข. ใช้น้ ำและไฟฟ้ำอย่ำงประหยัด
ค. ลดกำรใช้อุปกรณ์ที่ทำให้เกิดสำร CFCs
ง. เพิ่มจำนวนออกซิเจนในอำกำศให้มำกขึ้น
53. เพรำะเหตุใดแก๊สโอโซนในบรรยำกำศจึงมีปริ มำณลดลง
ก. มนุษย์นำมำใช้ปริ มำณมำก
ข. เกิดจำกมีฝนตกปริ มำณมำก
ค. ถูกทำลำยโดยสำรที่ใช้ในตูเ้ ย็น
ง. เกิดจำกกำรปล่อยดำวเทียมโคจรบนชั้นบรรยำกำศ

11
54. สำร CFCs ส่ งผลต่อบรรยำกำศระดับพื้นดิน อย่ำงไร
ก. ทำให้รังสีอลั ตรำไวโอเลตลดลง
ข. ทำให้รังสี อลั ตรำไวโอเลตเพิ่มมำกขึ้น
ค. ทำให้ปริ มำณแก๊สออกซิเจนในอำกำศลดลง
ง. ทำให้ปริ มำณแก๊สคำร์บอนมอนอกไซด์ในอำกำศมำกขึ้น
55. วัสดุที่ทำจำกเหล็กเมื่อวำงไว้กลำงแจ้งจะเกิดรอยลักษณะสี เขียวอมฟ้ำเกำะบริ เวณผิว จำกนั้นจะ
เกิดกำรสึกกร่ อน กระบวนกำรดังกล่ำวเกิดจำกสิ่ งใด
ก. อำกำศมีอุณหภูมิสูงขึ้น
ข. ฝุ่นละอองจำกกำรจรำจร
ค. กำรกัดกร่ อนของฝนกรด
ง. สำร CFCs ในชั้นบรรยำกำศ
56. กิจกรรมใดของมนุษย์ ที่เป็ นผลทำให้เกิดแก๊สเรื อนกระจกมำกที่สุด
ก. กำรคมนำคม ข. กำรเผำไหม้
ค. กำรทำเกษตรกรรม ง. กำรทำอุตสำหกรรม
57. กำรเกิดภำวะเรื อนกระจกเกี่ยวข้องกับเหตุกำรณ์ใดน้อยที่สุด
ก. กำรเกิดอุทกภัย ข. เกิดภำวะแห้งแล้ง
ค. ทำให้สิ่งมีชีวิตกลำยพันธุ์ ง. ผลผลิตกำรเกษตรลดลง
58. กำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกมีสำเหตุจำกข้อใดมำกที่สุด
ก. อุทกภัย ข. โคลนถล่ม
ค. ซึนำมิ ง. กิจกรรมของมนุษย์
59. แก๊สใดที่เป็ นสำเหตุทำให้เกิดฝนกรดมำกที่สุด
ก. ออกซิเจน ข. ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ค. มีเทน ง. คำร์บอนไดออกไซด์
60. ข้อใดไม่ใช่ ผลกระทบจำกกำรเกิดรู โหว่โอโซน
ก. ทำให้เกิดโรคต้อกระจก
ข. ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
ค. ทำให้มีปริ มำณแก๊สออกซิเจนมำกขึ้น
ง. ทำลำยแพลงก์ตอนซึ่งอำหำรของสัตว์น้ ำ

12
เฉลยข้อสอบมาตรฐานปลายภาค/รายปี วิชาวิทยาศาสตร์ ม. 1 เล่ม 2 ชุดที่ 1

1. ง. 11. ง. 21. ข. 31. ก. 41. ก. 51. ข.


2. ค. 12. ก. 22. ก. 32. ข. 42. ง. 52. ก.
3. ก. 13. ง. 23. ข. 33. ง. 43. ข. 53. ค.
4. ง. 14. ก. 24. ง. 34. ค. 44. ง. 54. ข.
5. ค. 15. ง. 25. ค. 35. ข. 45. ก. 55. ค.
6. ง. 16. ค. 26. ข. 36. ง. 46. ค. 56. ง.
7. ข. 17. ง. 27. ง. 37. ค. 47. ข. 57. ค.
8. ค. 18. ค. 28. ข. 38. ง. 48. ค. 58. ง.
9. ข. 19. ง. 29. ค. 39. ก. 49. ก. 59. ข.
10. ค. 20. ก. 30. ข. 40. ข. 50. ค. 60. ค.

13
แนวเฉลยละเอียดข้อสอบมาตรฐานปลายภาครายปี วิชาวิทยาศาสตร์ ม. 1 เล่ม 2 ชุดที่ 1
1. ตอบ ง.
ควำมเร็ว กำรกระจัด แรง เป็ นปริ มำณเวกเตอร์ ซึ่งมีท้ งั ขนำดและทิศทำง ส่ วนควำม
สูงเป็ นปริ มำณสเกลำร์ ซึ่งมีแต่ขนำดเพียงอย่ำงเดียว
2. ตอบ ค.
แรงโน้มถ่วงของโลกมีท้ งั ขนำดและทิศทำง คือ ขนำด 9.8 นิวตัน ทิศทำงสู่ จุด
ศูนย์กลำงโลก จึงจัดเป็ นปริ มำณเวกเตอร์
3. ตอบ ก.
กำรหล่นของผลไม้จำกต้นเป็ นกำรเคลื่อนที่ในแนวตรง ส่ วนกำรปำลูกบอลไปใน
สนำม กำรโยนลูกบำสเกตบอลลงห่วง และกำรโยนลูกมะพร้ำวขึ้นรถบรรทุก เป็ นกำร
เคลื่อนที่ในแนวโค้ง
4. ตอบ ง.
กำรเคลื่อนที่แบบฮำร์โมนิกอย่ำงง่ำยเป็ นกำรเคลื่อนที่แบบสั่น โดยวัตถุจะเคลื่อนที่
กลับไปกลับมำซ้ ำทำงเดิมโดยผ่ำนตำแหน่งสมดุล
5. ตอบ ค.
เนื่องจำกจุดอ้ำงอิงสี่แยกสำมย่ำนอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด
6. ตอบ ง.
B นักเรี ยนเดินทำงได้ระยะทำง = AB + BC
= 500 + 200 เมตร
200 เมตร
= 700 เมตร
500 เมตร C จุดสุดท้ำย

A จุดเริ่ มต้น
7. ตอบ ข.
กำรกระจัด คือ ระยะทำงในแนวตรงจำกตำแหน่งเริ่ มต้นไปยังตำแหน่งสุ ดท้ำยของ
วัตถุ นั้นคือ ระยะ AC
AC = AB - BC
= 500 - 200 เมตร
= 300 เมตร

14
8. ตอบ ค.
กำรกระจัด คือ ระยะทำงในแนวตรงจำกตำแหน่งเริ่ มต้นไปยังตำแหน่งสุ ดท้ำยของ
วัตถุ กำรโหม่งลูกบอลขึ้นไปในแนวตรงและตกกลับลงมำยังตำแหน่งศีรษะตำแหน่ง
เริ่ มต้นกับตำแหน่งสุ ดท้ำยจึงเป็ นตำแหน่งเดียวกัน ระยะทำงจำกตำแหน่งเริ่ มต้นไป
ตำแหน่งสุดท้ำยมีค่ำเป็ นศูนย์ กำรกระจัดจึงมีค่ำเป็ นศูนย์
9. ตอบ ข.
ควำมเร็วและอัตรำเร็ วมีหน่วยเป็ นเมตรต่อวินำที หรื อกิโลเมตรต่อชัว่ โมง แต่
อัตรำเร็วมีขนำดเพียงอย่ำงเดียวจึงเป็ นปริ มำณสเกลำร์ ส่ วนควำมเร็ วมีท้ งั ขนำดและ
ทิศทำง จึงเป็ นปริ มำณเวกเตอร์
10. ตอบ ค.
จำกข้อ ค. บอกถึงอัตรำเร็ วซึ่งเป็ นปริ มำณสเกลำร์เนื่องจำกบอกขนำดเพียงอย่ำง
เดียว ไม่บอกทิศทำง
11. ตอบ ง. ระยะทำง
อัตรำเร็ว = เวลำ
ระยะทำง 80 กิโลเมตร = 80 x 1,000 เมตร
เวลำ 1 ชัว่ โมง = 60 x 60 วินำที
80 x 1,000 เมตร
ดังนั้น อัตรำเร็ว =
60 x 60 วินำที

= 22.22 เมตรต่อวินำที
12. ตอบ ก.
ระยะทำง
อัตรำเร็ว =
เวลำ
80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง = 400 กิโลเมตร
เวลำ
เวลำ = 400 กิโลเมตร
80 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
เวลำ = 5 ชัว่ โมง

15
13. ตอบ ง.
ระยะทำง
อัตรำเร็ว =
เวลำ
ระยะทำง
2 เมตรต่อวินำที =
100 วินำที
2 เมตรต่อวินำที x 100 วินำที = ระยะทำง
200 เมตร = ระยะทำง
14. ตอบ ก.
จำนวนช่องของระบบเซลเซียสและระบบเคลวินมีจำนวน 100 ช่องเท่ำกัน
อุณหภูมิคนไข้ เพิ่มขึ้น = 39 – 37 เซลเซียส
= 2 เซลเซียส
ดังนั้น อุณหภูมิคนไข้ เพิ่มขึ้น = 312 - 310 เคลวิน
= 2 เคลวิน
15. ตอบ ง.
ของเหลวที่ใช้บรรจุในหลอดแก้วกลวงเพื่อทำเทอร์มอมิเตอร์ นิยมใช้ปรอทหรื อ
บิวทิลแอลกอฮอล์ใส่สีแดงเพรำะขยำยตัวได้ดีเมื่อได้รบั ควำมร้อน และหดตัวได้ดีเมื่อ
อุณหภูมิลดลง
16. ตอบ ค.
หน่วยองศำเซลเซียสมีอุณหภูมิจุดเยือกแข็งที่ 0 องศำเซลเซียส และจุดเดือดที่ 100
องศำเซลเซียส หน่วยองศำฟำเรนไฮต์มีอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ที่ 32 องศำฟำเรนไฮต์ และ
จุดเดือดที่ 212 องศำฟำเรนไฮต์ หน่วยเคลวินมีอุณหภูมิจุดเยือกแข็งที่ 273 เคลวิน และ
จุดเดือดที่ 373 เคลวิน ซึ่งหน่วยวัดอุณหภูมิที่เป็ นหน่วยสำกลใช้ทวั่ โลก คือ เคลวิน
17. ตอบ ง.
กำรถ่ำยเทควำมร้อนระหว่ำง 2 บริ เวณที่มีอุณหภูมิแตกต่ำงกันด้วยวิธีกำรนำควำม
ร้อน กำรพำควำมร้อน และกำรแผ่รังสี ควำมร้อน จะถ่ำยเทจำกบริ เวณที่มีอุณหภูมิสูง
กว่ำไปยังบริ เวณที่มีอุณหภูมติ ่ำกว่ำ จนกระทัง่ อุณหภูมิท้ งั 2 บริ เวณเท่ำกัน จึงจะหยุดกำร
ถ่ำยเทพลังงำน เรี ยกว่ำ กำรถ่ำยโอนควำมร้อน
18. ตอบ ค.
ควำมร้อนจะถ่ำยเทจำกอนุภำคหนึ่งไปยังอีกอนุภำคหนึ่งของตัวกลำง โดยตัวกลำง
ไม่เคลื่อนที่ไปด้วย ซึ่งเรี ยกกำรถ่ำยโอนควำมร้อนด้วยวิธีน้ ีว่ำ กำรนำควำมร้อน

16
19. ตอบ ง.
กำรนำควำมร้อน คือ กำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำกอนุภำคหนึ่ งไปยังอีกอนุภำคหนึ่ง
ของตัวกลำงโดยตัวกลำงไม่เคลื่อนที่ไปด้วย
กำรพำควำมร้อน คือ กำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำกที่มีอุณหภูมิสูงไปยังที่มีอุณหภูมิ
ต่ำ โดยตัวกลำงที่ได้รับควำมร้อนจะเคลื่อนที่ไปพร้อมอนุภำคควำมร้อน
กำรแผ่รังสี คือ กำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำกที่มีอุณหภูมิสูงไปยังที่มีอุณหภูมิต่ำโดย
ไม่ตอ้ งอำศัยตัวกลำง
20. ตอบ ก.
ดูคำอธิบำยจำกข้อ 19.
21. ตอบ ข.
เสื้ อผ้ำที่สวมในฤดูร้อน ควรเลือกสี อ่อน เพรำะไม่ดูดกลืนควำมร้อน เมื่อสวมใส่
จะรู ้สึกเย็นสบำย แต่ถำ้ เป็ นเสื้ อโทนเข้มหรื อเสื้ อสี ดำจะดูดควำมร้อนมำก
22. ตอบ ก.
บ้ำนทรงไทยช่วยระบำยควำมร้อนได้ดี เพรำะมีใต้ถุนสู ง และมีหลังคำทรงสู ง
สังกะสีจะนำควำมร้อนได้ดีทำให้บำ้ นร้อน ตัวนำควำมร้อนที่ดีจะยอมให้ควำมร้อนผ่ำน
ได้ดี ซึ่งตัวนำควำมร้อนที่ดีที่สุด คือ เงิน ตัวกลำงที่พำควำมร้อนได้ดีที่สุด คือ แก๊ส
รองลงมำ คือของเหลว ส่ วนของแข็งไม่พำควำมร้อน
23. ตอบ ข.
สีดำจะดูดควำมร้อนได้ดี จึงทำให้ภำชนะร้อนเร็ ว และไม่สิ้นเปลืองพลังงำน
24. ตอบ ง.
อำกำศภำยในยำงรถยนต์ขยำยตัวเมื่อได้รับควำมร้อนจึงเกิดแรงดัน ทำให้ยำง
ระเบิดได้
25. ตอบ ค.
อำกำศเหนือถ้วยน้ ำชำมีกำรพำควำมร้อนจำกในแก้วออกมำภำยนอกทำให้น้ ำชำมี
อุณหภูมิลดลงจนเท่ำกับอุณหภูมิของอำกำศบริ เวณนั้น ซึ่งเป็ นหลักกำรของสมดุลควำม
ร้อน
26. ตอบ ข.
กริ่ งไฟฟ้ำที่อยู่ในเครื่ องเตือนไฟไหม้จะเกิดเสี ยง เมื่อแผ่นโลหะในวงจรซึ่งทำจำก
ทองเหลืองและเหล็กขยำยตัวเมื่อได้รับควำมร้อน โดยทองเหลืองขยำยตัวได้มำกทำให้
เกิดกำรโค้งงอสัมผัสกับวงจร จึงทำให้กระดิ่งดังขึ้น

17
27. ตอบ ง.
แก้วเมื่อได้รับควำมร้อนจะมีกำรขยำยตัว ซึ่งภำชนะที่ทำจำกแก้วหนำจะมีกำร
ขยำยตัวด้ำนในมำกกว่ำด้ำนนอก จึงทำให้ภำชนะแตกร้ำวได้
28. ตอบ ข.
สำรจะขยำยตัวได้ดีเมื่อมีสถำนะเป็ นแก๊ส ของเหลว และของแข็งตำมลำดับ
29. ตอบ ค.
บรรยำกำศชั้นสตรำโตสเฟี ยร์เป็ นชั้นบรรยำกำศที่แก๊สโอโซนอยู่ปริ มำณมำก ซึ่ง
ช่วยดูดกลืนรังสีอลั ตรำไวโอเลตที่ส่องลงมำยังผิวโลกให้เหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของ
สิ่ งมีชีวิต
30. ตอบ ข.
บรรยำกำศชั้ นไอโอโนสเฟี ยร์ ห รื อเทอร์ โ มสเฟี ยร์ มี ป ระจุ ไ ฟฟ้ ำอิ สระอยู่ ม ำก
สำมำรถสะท้อนคลื่นวิทยุได้ และส่ งสัญญำณวิทยุได้ในระยะไกล
31. ตอบ ก.
เครื่ องบินโดยสำรจะบินอยู่มนบรรยำกำศชั้นสตรำโตสเฟี ยร์ ซึ่งควำมหนำแน่น
และควำมดันอำกำศจะแปรผกผันกับควำมสู งที่เพิ่มขึ้น
32. ตอบ ข.
บรรยำกำศชั้นสตรำโตสเฟี ยร์มีโอโซนอยู่มำก ซึ่งช่วยดูดซับรังสี อลั ตรำไวโอเลต
ที่จะผ่ำนชั้นบรรยำกำศลงมำยังพื้นโลก
33. ตอบ ง.
อำกำศที่อิ่มตัวด้วยไอน้ ำ คือ สภำพอำกำศที่ทีควำมชื้นสัมพัทธ์ 100 % ซึ่งอำกำศ
ไม่สำมำรถรับน้ ำได้อีก
34. ตอบ ค.
ควำมดันอำกำศยอดดอยอินทนนท์ = 260 มิลลิเมตรของปรอท
ควำมดันอำกำศที่ระดับน้ ำทะเล = 760 มิลลิเมตรของปรอท
ดังนั้น ควำมดันอำกำศลดลง = 760 – 260 มิลลิเมตรของปรอท
= 500 มิลลิเมตรของปรอท
เมื่อควำมดันอำกำศลดลง 1 มิลลิเมตรของปรอท = 11 เมตร
ถ้ำควำมดันอำกำศลดลง 500 มิลลิเมตรของปรอท = 500 x 11 เมตร
ดังนั้น ยอดดอยอินทนนท์สูง = 5,500 เมตร
ดังนั้น ยอดดอยอินทนนท์สูงต่ำงจำกยอดเขำใหญ่ = 5,500 – 2,000 เมตร
= 3,500 เมตร

18
35. ตอบ ข.
อุณหภูมิตำมปกติของวัน ดูได้จำกกระเปำะแห้ง ซึ่งวันที่ 10 อ่ำนค่ำได้ต่ำกว่ำ วันที่
15 ส่วนค่ำควำมชื้นสัมพัทธ์ในวันที่มีอุณหภูมิสูงจะมีค่ำสู งกว่ำวันที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งดูได้
จำกตำรำงอ่ำนค่ำควำมชื้นสัมพัทธ์ ซึ่งวันที่ 10 มีควำมชื้นสัมพัทธ์ 60 % ส่วนวันที่ 11 มี
ควำมชื้นสัมพัทธ์ 71 %
36. ตอบ ง.
จำกสมบัติของอำกำศที่ตอ้ งกำรที่อยู่ จึงมีผลทำให้อำกำศมีแรงดัน
37. ตอบ ค.
แผ่นสติกเกอร์ที่ติดกระจกใช้กำวติด ซึ่งไม่ได้ใช้หลักกำรของแรงดันอำกำศ
38. ตอบ ง.
น้ ำมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำปรอท จึงทำให้ควำมสู งของน้ ำในบำรอมิเตอร์ที่ใช้น้ ำ
สูงกว่ำที่ใช้ปรอท
39. ตอบ ก.
เมื่อควำมสู งเพิ่มขึ้นควำมดันอำกำศจะลดลง ร่ ำงกำยจึงปรับควำมดันในร่ ำงกำย
ไม่ทนั จึงทำให้รู้สึกหูอ้อื
40. ตอบ ข.
ก่อนฝนตกจะมีควำมชื้ นสัมพัทธ์สูง ซึ่งใกล้เคียงกับควำมชื้นสัมพัทธ์ ในป่ ำเพรำะ
มีปริ มำณไอน้ ำอยู่มำก
41. ตอบ ก.
ปรำกฏกำรณ์ขำ้ งขึ้นข้ำงแรมไม่มีผลต่อกำรเกิดลมบกลมทะเลแต่มีผลต่อกำรเกิด
น้ ำขึ้นน้ ำลง ส่ วน ควำมกดอำกำศ อุณหภูมิ และควำมสำมำรถในกำรรับและคำยควำม
ร้อนของพื้นดินและพื้นน้ ำมีผลต่อกำรเกิดลมบก ลมทะเล
42. ตอบ ง.
บริ เวณที่มีตน้ ไม้มำกจะมีปริ มำณไอน้ ำในอำกำศมำก เพรำะต้นไม้มีกำรคำยน้ ำใน
รู ปของไอน้ ำออกสู่ อำกำศ
43. ตอบ ข.
ลักษณะเมฆดังกล่ำว คือ เมฆคิวมูโลนิมบัส เป็ นเมฆที่ก่อตัวในแนวตั้ง พัฒนำมำ
จำกเมฆคิวมูลสั มีลกั ษณะหนำทึบขนำดใหญ่ สี ดำมืด ยอดมีลกั ษณะเป็ นรู ปทัง่ ซึ่งทำให้
เกิดพำยุฝนฟ้ำคะนอง
44. ตอบ ง.
ถ้ำอำกำศมีไอน้ ำในปริ มำณมำก เมื่อไอน้ ำกระทบกับอำกำศร้อนจะเกิดหมอก
บริ เวณนั้นได้ เพรำะไอน้ ำจะกลัน่ ตัวเป็ นหยดน้ ำขนำดเล็ก

19
45. ตอบ ก.
ลมที่เกิดในทะเลจีนใต้ มีควำมเร็ วลมรอบศูนย์กลำง ไม่เกิน 62 กิโลเมตรต่อ
ชัว่ โมง เรี ยกว่ำ ดีเปรสชัน ควำมเร็ วลมรอบศูนย์กลำง ตั้งแต่ 63-117 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
เรี ยกว่ำ โซนร้อน และถ้ำควำมเร็ วลมรอบศูนย์กลำง มำกกว่ำ 117 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง
เรี ยกว่ำ ไต้ฝ่ นุ
46. ตอบ ค.
กำรพยำกรณ์เกี่ยวกับกำรบอกเวลำขึ้นและตกของดวงอำทิตย์ ควำมกดอำกำศ เป็ น
กำรพยำกรณ์อำกำศที่บอกเป็ นประจำทุกวัน กำรบอกปริ มำณฝนเฉลี่ยใน 1 ปี เป็ นกำรทำ
ให้ทรำบสถิติในรอบปี แต่กำรพยำกรณ์เกี่ยวกับกำรเกิดพำยุหรื อกำรเกิดสึ นำมิเป็ นกำร
เตือนภัยล่วงหน้ำ
47. ตอบ ข.
หำกอำกำศมีควำมกดอำกำศต่ำ แสดงว่ำอำกำศบริ เวณนั้นมีอุณหภูมิสูง
48. ตอบ ค.
ชั้นบรรยำกำศที่ห่อหุ้มโลกอยู่ ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้มีควำมเหมำะสมกับ
กำรดำรงชีวิตของสิ่ งมีชีวิต โดยกลำงวันจะช่วยดูดซับควำมร้อน ส่ วนกลำงคืนจะช่วย
คำยควำมร้อน ทำให้อุณหภูมิอบอุ่น ซึ่งหำกไม่มีช้ นั บรรยำกำศจะทำให้ช่วงเวลำกลำงวัน
มีอุณหภูมิสูงมำก และช่วงกลำงคืนจะมีอุณหภูมิต่ำมำก
49. ตอบ ก.
หมอกที่ลงจัด จะทำให้มองเห็นถนนไม่ชดั ซึ่งทำให้เกิดอุบตั ิเหตุบ่อยครั้ง โดย
หมอกจะเกิดขณะที่ลมสงบและไม่มีแสงแดด
50. ตอบ ค.
ปริ มำณไอน้ ำในอำกำศเป็ นสำเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
51. ตอบ ข.
ปริ มำณแก๊สในอำกำศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เกิดจำกปรำกฏกำรเรื อนกระจก แต่
กำรเกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกทำให้ปริ มำณรังสี อลั ตรำไวโอเลต ซึ่งเป็ นอันตรำยต่อ
สิ่ งมีชีวิต สำมำรถส่ องผ่ำนชั้นบรรยำกำศลงมำได้ปริ มำณมำก
52. ตอบ ก.
สำรพวกกำมะถัน เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ เป็ นต้น เมื่อ
รวมตัวกับน้ ำฝนทำให้เกิดกรดซัลฟิ วริ ก ซึ่งเป็ นฝนกรดที่เป็ นอันตรำยต่อพืช และ
สำมำรถกัดกร่ อนวัตถุก่อสร้ำงที่ทำจำกหิ นปูนได้

20
53. ตอบ ค.
สำรที่ใช้ทำควำมเย็นในตูเ้ ย็นและเครื่ องปรับอำกำศเป็ นสำร CFCs ซึ่งทำลำย
โอโซนในบรรยำกำศ
54. ตอบ ข.
สำร CFCs ทำลำยชั้นบรรยำกำศที่ช่วยกรองรังสี อลั ตรำไวโอเลตจำกดวงอำทิตย์
ทำให้ปริ มำณรังสี อลั ตรำไวโอเลตผ่ำนมำยังระดับพื้นดินมำกขึ้น
55. ตอบ ค.
รอยสี เขียวอมฟ้ำที่เกิดขึ้นบริ เวณผิวของเหล็ก เป็ นปฏิกิริยำที่เกิดจำกฝนกรดทำ
ปฏิกิริยำกับโลหะ
56. ตอบ ง.
แก๊สที่เป็ นสำเหตุใหเกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจกมำกที่สุด คือ แก๊ส
คำร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสำเหตุใหญ่มำจำกอุตสำหกรรม รองลงมำ คือ แก๊สมีเทน ที่เกิด
จำกกำรทำเกษตรกรรม
57. ตอบ ค.
กำรกลำยพันธุ์ของสิ่ งมีชีวิตมีสำเหตุหลำยอย่ำง เช่น กำรได้รับสำรเคมี สำร
กัมมันตภำพรังสี เป็ นต้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกับกำรเกิดปรำกฏกำรณ์เรื อนกระจก
58. ตอบ ง.
กิจกรรมต่ำงๆ ของมนุษย์ เช่น กำรเกษตร อุตสำหกรรม คมนำคม เป็ นต้น ทำให้
เกิดแก๊สต่ำงๆ สะสมในชั้นบรรยำกำศ ซึ่งทำลำยชั้นบรรยำกำศ และเป็ นสำเหตุทำให้เกิด
กำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก
59. ตอบ ข.
ฝนกรดมีสำเหตุจำกกำรรวมตัวของน้ ำฝนและแก๊สหลำยชนิด เช่น ซัลเฟอร์ได
ออกไซด์ แก๊สออกไซด์ของไนโตรเจน แก๊สคำร์บอนมอนนอกไซด์ เป็ นต้น
60. ตอบ ค.
รู โหว่โอโซนเกิดจำกกำรทำลำยโอโซนในชั้นบรรยำกำศ แต่ไม่ได้ทำให้ปริ มำณ
ออกซิเจนเพิม่ มำกขึ้นเพรำะโอโซนไม่ได้เปลี่ยนเป็ นออกซิเจนในอำกำศ

21

You might also like