Professional Documents
Culture Documents
ประโยชน์และผลเสียของใบชาเขียว
ประโยชน์และผลเสียของใบชาเขียว
ผศ.จรินทร์ทิพย์ ประทุมรัตน์
รายงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาการ
เรียนรู้สารสนเทศ (GE20004)
มหาวิทยาลัยรายภัฏอุดรธานี
ประโยชน์และผลเสียของใบชาเขียวญี่ปุ่น
ผศ.จรินทร์ทิพย์ ประทุมรัตน์
รายงานนี้เป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาการ
เรียนรู้สารสนเทศ (GE20004)
มหาวิทยาลัยรายภัฏอุดรธานี
ก
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็ นสวนหนึ่งของรายวิชา
การรู้สารสนเทศ (GE20004) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา
2566 เพื่อให้ได้ศึกษาความรู้เรื่องประโยชน์และผลเสียของ
ใบชาเขียวญี่ปุ่นและได้ศึกษาอย่างเข้าใจ เพื่อเป็ นประโยชน์
กับการเรียนและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนรู้
และทำความเข้าใจในใบชาเขียวจะได้รู้จักประโยชน์
และผลเสียของใบชาเขียวญี่ปุ่น ซึ่งเป็ นประโยชน์ต่อผู้ที่
ต้องการศึกษาประโยชน์
และผลเสีย เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันในการ
ดูแลสุขภาพร่างกาย
การรับประทาน และการทำประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เพื่อที่
จะได้ใช้ประสิทธิภาพ
ของใบชาเขียวให้ได้มากที่สุด
ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะนำความรู้และเป็ น
ประโยชน์กับผู้อ่านหรือนักศึกษาที่กำลังศึกษาหาข้อมูล
แนวทางการการสื่อสารและการสร้างความเข้าใจระหว่าง
บุคคลเรื่องประโยชน์และผลเสียของใบชาเขียวญี่ปุ่น
ข
ภาณุพงศ์ ทุน
ทรัพย์
12 กันยายน
พ.ศ.2566
สารบัญ
เรื่อง หน้
า
คำนำ ก
สารบัญ ข
สารบัญภาพ ค
ค
ประวัติและความเป็ นมาของใบชาเขียว 1
แหล่งที่ปลูกใบชาเขียวญี่ปุ่น 3
ขบวนผลิตและแปรรูปชาเขียว 4
สายพันธุ์ของใบชาเขียวญี่ปุ่น 9
ประเภทของใบชาเขียวญี่ปุ่น 10
สรรพคุณของใบชาเขียว 12
ประโยชน์ของใบชาเขียว 14
ผลเสียของใบชาเขียว 19
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว 20
บทสรุป 23
บรรณานุกรม
ง
สารบัญภาพ
รูปภาพ ห
น้า
รูปภาพที่ 1 การเก็บเกี่ยวใบชาเขียว 4
รูปภาพที่ 2 การทำให้ใบแห้ง 5
รูปภาพที่ 3 การหมุนกลิ้ง 6
รูปภาพที่ 4 การแบ่งระดับ 7
รูปภาพที่ 5 การเขย่าใบชาเขียว 7
รูปภาพที่ 6 ขั้นตอนการผลิต 8
จ
ประวัติและความเป็ นมาของใบชาเขียว
ดังนั้นการดื่มชาจึงเป็ นวัฒนธรรมของประเทศจีนที่ถูกเผย
แพร่เข้ามาในญี่ปุ่น โดยพระสงฆ์เป็ นผู้มีบทบาทสำคัญในช่วงสมัย
นาระ จนถึงตอนต้นสมัยเฮอัน เริ่มมีการดื่มชากันในหมู่พระสงฆ์
และชนชั้นสูงในราชสำนักต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พระสงฆ์
4
ปลายศตวรรษที่ 12 รูปแบบของชาที่ถูกเตรียมขึ้นเรียกว่า
(tencha) โดยการวางชาผงไว้ในชามจากนั้นจึงเทน้ำร้อนเทลงใน
ชามและใช้ไม่ไผ่สำหรับชงชา ตีผสมชาผงกับน้ำร้อนให้เข้ากัน
ซึ่งเป็ นวิธีการที่ถูกนำติดตัวมาโดย (Eisai) และพระญี่ปุ่นรูปอื่น ๆ ที่
กลับมาจากประเทศจีน
และยังได้นำเมล็ดชากลับมายังประเทศญี่ปุ่นซึ่งต่อมาประเทศญี่ปุ่น
ก็ได้พัฒนารูปแบบการผลิตชา
จนกลายเป็ นแหล่งผลิตชาที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมอีกที่หนึ่งของโลก
โดยศตวรรษที่ 13 ชาเขียวผงนี้ถูกใช้ครั้งแรกในพิธีกรรมทาง
ศาสนาในวัดพุทธนิกายเซน และนักรบซามูไร เริ่มมีการจัดเตรียม
และดื่มมัชชะ ที่พวกเขานำมาจากพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
นิกายเซนและกลายเป็ นรากฐานของพิธีชงชาถูกวางไว้นับแต่นั้นมา
จากนั้นพิธีชามีการพัฒนาและถูกปฏิบัติสืบเนื่องมาและเริ่ม
วิวัฒนาการเป็ นความงดงามทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของประเทศ
ญี่ปุ่น ด้วยรูปแบบที่ทำให้รู้สึกสงบหรือเงียบขรึมแต่แฝงไว้ด้วย
ความหมายอันลึกซึ้งที่มาพร้อมกับรสชาติละมุนของชา คือลักษณะ
ความอ่อนน้อมถ่อมตนยับยั้งชั่งใจ เรียบง่ายเหมือนจริง ความลึก
ซึ้ง อ่อนโยน และความสมดุลเรียบง่ายของสิ่งรอบตัว พื้นที่
ปราศจากเครื่องตกแต่งทางสถาปั ตยกรรมเป็ น ความงามที่ลึกซึ้ง
5
ในศตวรรษที่ 14 พระในวัดเซนได้กำหนดแบบแผนการดื่ม
ชาขึ้นมา แบบแผนงานดื่มชาในวัดเซนแพร่หลายออกไปในหมู่
นักรบและขุนนางจนกลายมาเป็ นต้นแบบของพิธีชงชาในสมัย (มุ
โระมะชิ) นักรบและขุนนางตลอดจนพ่อค้าชาวเมืองที่ร่ำรวยนิยม
จัดงานดื่มชาในงานเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งมักนำศิลปวัตถุหรูหราโอ่อ่า
ของจีนมาประดับประดากัน
จากนั้นเป็ นต้นมาการดื่มชาได้แพร่กระจายไปทุกระดับของ
สังคมในประเทศญี่ปุ่น
และต่อมาชาเขียวก็ยังคงหยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นสืบมา แม้กระทั้ง
ในปั จจุบันก็เป็ นอีกครั้งที่ชาเขียวได้ดึงดูดความสนใจอย่างมาก ใน
ฐานะของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ส่งเสริมร่างกายและมีประโยชน์
มากมาย
แหล่งที่ปลูกใบชาเขียวญี่ปุ่น
6
ในประเทศญี่ปุ่นมีแหล่งเพาะปลูกชาเขียวหลัก ๆ อยู่ที่เมือง
Uji จังหวัด Kyoto
จังหวัด Shizuoka และ จังหวัด Kagoshima คุณภาพของชาก็จะ
ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ใช้เพาะปลูก
สภาพภูมิอากาศในแต่พื้นที่ และการดูแลเอาใจใส่ กว่าจะเก็บเกี่ยว
ชาเขียวได้ในแต่ละครั้งนั้น เกษตรกรต้องดูแลเอาใจใส่เจ้าต้นชาเป็ น
อย่างมาก ในฤดูร้อนที่มีแมลงมากมายคอยรบกวนต้นชาอยู่หลาย
ชนิดทำให้เกษตรกรต้องทำงาน หนักท่ามกลางแดดที่ร้อนอบอ้าว
หากแมลงบุกมาก
ชาจะเกิดความเสียหายและเกิดโรคได้ง่าย การฉีดพ่นยากำจัดแมลง
นั้นก็สามารถทำได้เหมือนกัน
แต่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น มีการควบคุมการฉีดพ่นสารเคมีอย่างเข้ม
งวด สารเคมีที่ใช้นั้นต้องถูกต้อง
ตามมาตราฐานที่กำหนดไว้ซึ่งไม่ได้ช่วยให้แมลง หมดสิ้นไปทั้งหมด
ส่วนการเก็บเกี่ยวชาเขียวนั้นมีอยู่สามวิธี ได้แก่ ใช้มือเด็ด ใช้
กรรไกรตัด และใช้เครื่องจักร
ช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวชาเขียวในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็ น
Shincha หรือ Ichibancha
คือ การเก็บเกี่ยวชาในครั้งแรก หรือ ชาใหม่ (Nibancha) การเก็บ
เกี่ยวชาในครั้งที่สอง Sanbancha การเก็บเกี่ยวชาในครั้งที่สาม ใน
7
ขบวนผลิตและแปรรูปชาเขียว
ผ่านปลูกในคุณภาพดีเช่นกัน เพราะส่วนสำคัญมาจากสภาพ
แวดล้อมทางธรรมชาติทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศ และยังมีอีก
หลายเรื่องที่เป็ นข้อควรรู้ของการปลูกชาเขียว ที่ญี่ปุ่นเองก็มีไม่กี่ที่
ที่สามารถปลูกชาเขียวได้ผลผลิตดี ที่รู้จักกันดีจะเป็ นบริเวณ เมืองอู
8
จิ เกียวโต ที่เกษตรกร
มีประสบการณ์ทั้งเทคนิค การปลูกและการเก็บเกี่ยว
รูปภาพที่ 1 การเก็บเกี่ยวใบชาเขียว
ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวใบชาจะเริ่มในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
เมื่อใบอ่อนได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากต้นชาโดยยอดอ่อน
ที่ดีที่สุดนั้น เรียกว่า ichibancha โดยผู้เชี่ยวชาญจะคัดเลือกเฉพาะ
ส่วนที่เป็ นใบอ่อนที่สุดและเขียวที่สุดของเพื่อเป็ น namacha หรื
อ “ชาสด” นั่นเอง
ก่อนนำใบชาเข้าสู่ขั้นตอนหลัก ๆ ในการผลิต ดังนี้
รูปภาพที่ 2 การทำให้ใบแห้ง
รูปภาพที่ 3 การหมุนกลิ้ง
3. การหมักหรือการทำปฏิกิริยาออกไซด์
(Oxidation/Fermentation) เป็ นกระบวนการทางเคมีที่
ออกซิเจนถูกดูดซึมเพื่อปลดปล่อยเอนไซม์ที่ทำปฏิกิริยากับอากาศ
โดยจะเริ่มต้นเมื่อเยื่อบุผิวใบแตกหักระหว่างการทำปฏิกิริยา
ออกไซด์ส่งผลให้ใบเปลี่ยนเป็ นสีทองสว่าง ขั้นนี้เองเป็ นปั จจัยสำคัญ
10
4. การทำให้แห้งหรือการก่อไฟ ขั้นตอนนี้จะทำให้ใบแห้ง
เสมอกันทั่วทั้งใบ โดยใช้ความร้อนประมาณ 120-200 องศา
ฟาเรนไฮต์ต่อเนื่อง เพื่อหยุดกระบวนการหมักของปฏิกิริยา
ออกไซด์
ซึ่งการหยุกกระบวนการหมักของปฏิกิริยาออกไซด์สามารถกระทำ
ได้ 2 วิธี คือ การอบไอน้ำโดยใช้ความร้อน หรือโดยการคั่ว จะ
ทำการวางใบชาไว้ในอ่างเหล็กขนาดใหญ่ประมาณ 20-30 วินาที
และให้ความร้อนถึง 100 องศาเซลเซียส เป็ นการหยุดการทำลาย
เอนไซม์ที่เป็ นสาเหตุของการหมัก ใบชาจึงยังคงเขียว ส่วนการ
ทำให้แห้งโดยการคั่วจะส่งผลให้ใบชาเปลี่ยนเป็ นสีดำและแห้ง
คงเหลือความชุ่มชื้นเพียง 2-3% อย่างไรก็ตาม ความร้อนมากเกิน
ไปอาจทำให้ชาสูญเสียรสชาติ
สี และกลิ่นหอมได้
ขั้นตอนทั้งหมดข้างต้น ไม่ได้หมายถึงชาทุกชนิดต้องผ่านขั้นตอนนี้
แต่เป็ นเพียงภาพรวมของกระบวนการแปรรูปใบชาเท่านั้น
รูปภาพที่ 4 การแบ่งระดับ
การผลิตชาแต่ละชนิดจะมีจุดต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อย ก็ได้รสชาติที่
ต่างกัน เช่น การผลิตชาขาวมีขั้นตอนที่สั้นที่สุด เนื่องจากไม่ต้อง
ผ่านกระบวนการหมุนกลิ้งและกระบวนการหมักหรือการทำ
ปฏิกิริยาออกไซด์ ยอดใบชาที่ยังอ่อน ๆ จะถูกเก็บและนำมาตากไว้
ให้แห้ง ก่อนจะนำมาเข้าสู่ขั้นตอนการทำแห้งโดยใช้ความร้อนอบไอ
น้ำทันที เนื่องจากชาขาวไม่มีกระบวนการหมัก ทำให้สีของใบชายัง
ออกเป็ นสีเขียวขาวอยู่หากพูดถึงการผลิตชาดำ เป็ นชาที่ผ่านขั้น
ตอนการแปรรูปมากที่สุด
12
รูปภาพที่ 5 การเขย่าใบชาเขียว
ส่วนชาเขียวเริ่มต้นจากการทำให้ใบชาแห้งเหี่ยวเป็ นอันดับแรก
หลังจากนั้นวางบนกระทะก่อไฟหรือนำใบชามาอบไอน้ำ เพื่อ
ป้ องกันปฏิกิริยาออกไซด์ สุดท้ายคือ การหมุนกลิ้งใบและทำให้แห้ง
อย่างรวดเร็วครั้งสุดท้าย ด้วยวิธีการดังกล่าว จึงทำให้ใบชายังคงมีสี
เขียว จากกระบวนการผลิตที่ง่ายและน้อยขั้นตอน ทำให้ชาเขียวยัง
คงมีสารในพืชที่มีประโยชน์หลงเหลืออยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ๆ
นั่นเอง ทั้งนี้ชาเขียวเองยังสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ ชา
เขียวอบไอน้ำและชาเขียวคั่ว
13
รูปภาพที่ 6 ขั้นตอนการผลิต
สายพันธุ์ของใบชาเขียวญี่ปุ่น
Yabukita พันธุ์นี้มีรสชาติและกลิ่นหอมที่เต็มไปด้วยความ
สดชื่นเป็ นพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ดูแลยากพอตัว ส่วนใหญ่จะ
นำไปผลิตเป็ นชาประเภท Sencha
ประเภทของใบชาเขียวญี่ปุ่น
สรรพคุณของใบชาเขียว
ชาเขียวถูกนำมาใช้ในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึง
โรคซึมเศร้า ซึ่งในประเทศจีน
มีการใช้ชาเขียวเป็ นยามามากกว่า 4,000 ปี แล้ว ช่วยทำให้เจริญ
อาหาร แก้เมาเหล้า ทำให้สร่างเมา ช่วยแก้หวัด แก้ร้อนใน ช่วยขับ
เหงื่อ ขับสารพิษตกค้าง ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์ สงบประสาท
ระบายความร้อนจากศีรษะและเบ้าตา ทำให้สดชื่น ตาสว่าง ไม่ง่วง
นอน และช่วยทำให้หายใจสดชื่น ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ระบาย
21
1. ใช้ชาเขียวร่วมกับขึ้นฉ่าย จะช่วยลดความดันโลหิต
2. ใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
22
3.ใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะช่วยลดความดันโลหิต
ลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดอาการบวมน้ำ
4. ใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้ จะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
7. ใช้ชาเขียวร่วมกับหัวต้นหอม จะช่วยแก้ไข้หวัดและช่วยขับ
เหงื่อ
8. ใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้อาการ
วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
ประโยชน์ของใบชาเขียว
และผู้ที่อยู่ในโปรแกรมการกำจัดไขมันหรือลดน้ำหนักดังจะได้กล่าว
ในข้อถัดไป
มีการพิสูจน์แล้วว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวสามารถ
ช่วยชะลอความแก่ชราและช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้ แม้ว่าใน
อาหารอื่น ๆ จะมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิ
ตามินบี เบต้าแคโรทีน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่า
คุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ
ของโพลีฟี นอลในชาเขียวจะเหนือกว่า การดื่มชาเขียวนอกจากจะ
ดื่มเพื่อแก้กระหายแล้ว ในชาเขียวยังมีกาเฟอีน (Caffeine) และธิ
โอฟิ ลลีน (Theophylline) ซึ่งเป็ นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการทำงาน
ของระบบประสาทส่วนกลาง ที่ช่วยแก้อาการง่วงนอนและทำให้
ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า กาเฟอีนยังช่วยกระตุ้นสมอง
เพิ่มสมาธิ เพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกาย เพิ่มความดันโลหิต
ช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น และยังมีสารจำพวก
alcohol และ aldehyde
ที่มีกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนได้
ว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและไขมันได้ จึง
ส่งผลต่อการควบคุมน้ำหนักของร่างกาย และยังมีงานวิจัยที่แสดง
ให้เห็นว่า การดื่มชาเขียวสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดย
รวมได้ และยังช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) เพิ่มไขมันดี (HDL) ที่
เป็ นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นการดื่มชาเขียวจึงสามารถ
ช่วยลดความอ้วนได้ โดยมีรายงานการทดลองที่แสดงให้เห็นว่า
25
อาสาสมัครชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียว
วันละ 9 ถ้วย สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้เฉลี่ย 8 มิลลิกรัม
ต่อเดซิลิตร ส่วนผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจนีวา ในสวิตเซอร์
แลนด์ ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร The American Journal of
Clinical Nutrition ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 นักวิจัยได้พบว่า
ผู้ที่ดื่มกาเฟอีนและชาเขียว
จะมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีมากกว่าคนที่ได้รับกาเฟอีนเพียง
อย่างเดียว ในขณะที่อีกงานวิจัยหนึ่งได้พบว่า คนที่มีระดับ
คอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง เมื่อเสริมด้วยชาสกัดจากชาเขียวและชา
ดำ
เป็ นเวลานาน 3 เดือน จะมีระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงถึง 16%
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลการวิจัยโดยใช้แต่สารสกัดจากชาเขียว ไม่
พบว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าการเติม
ชาดำเข้าไปจะทำให้ผลวิจัยประสบความสำเร็จ
การดื่มชาเขียวมีผลช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรค
มะเร็งต่าง ๆ ได้ โดยผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็ นประจำจะมีอัตราการเป็ น
มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร
มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อนต่ำกว่าผู้ที่
ไม่ได้ดื่ม โดยมีสาร EGCG เป็ นสารต้านพิษ และช่วยยับยั้งการ
เจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลาย
เนื้อเยื่อส่วนดี (แต่ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ว่าชาเขียวสามารถ
รักษาโรคมะเร็งได้) ซึ่งในปี 1994 วารสารของสถาบันมะเร็งแห่ง
ชาติ ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการดื่มชาเขียวสามารถ
ช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งหลอดอาหารในหมู่ชาวจีนทั้งหญิง
และชายได้เกือบถึง 60% ส่วนนักวิจัย
จากมหาวิทยาลัยปูร์ดู ได้สรุปว่า สารประกอบในชาเขียวสามารถ
ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ส่วนนิตยสาร Herbs for
Health ได้อ้างตัวอย่างรายงานจากญี่ปุ่นว่าคนที่ดื่มชาเขียว 10
แก้วต่อวัน จะปลอดโรคมะเร็งนานกว่าคนที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 3
แก้วต่อวัน ถึง 3 ปี (ในชาเขียว 3 แก้ว
มีโพลีฟี นอลประมาณ 240-320 มิลลิกรัม) ซึ่งสอดคล้องกับงาน
วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น
ที่สถาบันวิจัยมะเร็ง Saitama ที่สรุปว่า การเกิดโรคมะเร็งเต้านม
หรือการขยายตัวของโรคนั้น
28
ชาเขียวมีฤทธิ์ต่อต้านและยับยั้งการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
จากข้อมูลในปั จจุบันได้แนะนำว่าการบริโภคอาหารที่มีสารต้าน
อนุมูลอิสระสามารถช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ เพราะสารต้านอนุมูล
อิสระจะไปยับยั้งขบวนการออกซิเดชั่นของไขมัน อันจะนำไปสู่การ
ลดการเกิดของหลอดเลือดแข็งตัว (antherosclerosis) และลด
ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ในที่สุด สาร EGCG สามารถช่วย
ยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือด ซึ่งเป็ นสาเหตุของ
อาการหัวใจวายและลมชักได้
และจากผลการวิจัยอื่น ๆ ยังพบอีกว่าชาเขียวนั้นมีสรรพคุณเทียบ
เท่ากับยาแอสไพรินในการยับยั้งการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ซึ่ง
เป็ นสาเหตุหลักของโรคหัวใจวายและหลอดเลือดสมอง
สารไทอะนีน (Theanine) เป็ นกรดอะมิโนที่ทำให้ชาเขียวมีรส
กลมกล่อม สามารถช่วยควบคุมการทำงานของสมองและลดความ
ดันโลหิตได้ นอกจากชาเขียวจะมีสาร EGCG แล้ว
ชาเขียวยังมีสารอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย เช่น วิตามินและเกลือ
30
แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบพลัคในช่องปากได้อีกด้วย
ซึ่งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการพบว่า สาร catechins
สามารถช่วยยับยั้งกระบวนการผลิตกลูแคนของเชื้อ
Streptococcus mutans ในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(เชื้อชนิดนี้เป็ นสาเหตุของการเกิดฟั นผุ) จึงอาจกล่าวได้ว่าการดื่ม
ชาเขียวหลังมื้ออาหารจะสามารถป้ องกันโรคฟั นผุได้เป็ นอย่างดี
ชาเขียวสามารถช่วยลดกลิ่นปากและแบคทีเรียในช่องปากได้
โดยช่วยทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นและป้ องกันการติดเชื้อ ซึ่งจาก
การศึกษาของมหาวิทยาลัยเพส สหรัฐอเมริกา พบว่าสารสกัดจาก
ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและ
ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็ นสาเหตุของโรคต่าง ๆ มีงานวิจัยที่ระบุว่า ถุง
ชา (tea bag) สามารถช่วยบำบัดโรค “sick-house syndrome”
หรือ มลภาวะภายในอาคารเป็ นพิษ (Indoor Air Pollution) ซึ่ง
เป็ นอาการป่ วยที่มีสาเหตุมาจาก
การแพ้อากาศภายในอาคารหรือที่อยู่อาศัย เช่น สารเคมีจากสีทา
บ้าน เฟอร์นิเจอร์
ที่มีสาร formaldehyde ซึ่งผสมอยู่ในสารเคมีเพื่อการตกแต่งบ้าน
ซึ่งจากการทดลองพบว่าใบชาเขียวหรือดำ ทั้งใหม่และแบบที่ชง
แล้ว สามารถช่วยดูดสารนี้ไว้แล้วไม่ปลดปล่อยสารกลับเข้าสู่
บรรยากาศหลังจากดูดไว้แล้ว วิธีการก็คือให้ทิ้งใบชาไว้ที่อับ เช่น
ในตู้เก็บถ้วยชาม ใบชา
จะลดปริมาณของสาร formaldehyde ที่มีอยู่ในอากาศได้ชาเขียว
32
ให้กลิ่นรสจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากชนิดหนึ่ง ส่วน
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของชาเขียวในรูปของอาหาร ได้แก่ เค้ก
ขนมปั ง ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ลูกอม หมากฝรั่ง ฯลฯ
และยังถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันและน้ำมัน เพื่อป้ องกันไม่
ให้เหม็นหืนเร็ว จนมีการศึกษาวิจัยถึงความเป็ นไปได้ที่จะนำสาร
สกัดจากชาเขียวมาใช้เป็ นสารกันบูดสำหรับอาหารสด รวมไปถึง
การนำชาเขียวมาผสมกับเส้นใยผ้า สำหรับเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า
ผ้าเช็ดตัว เป็ นต้น
และยังมีการนำไปใช้เป็ นส่วนผสมในแผ่นใยกรองอากาศ
สำหรับเครื่องปรับอากาศ
ซึ่งก็นับว่าเป็ นการเพิ่มช่องทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ
เป็ นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า
หรือผลิตภัณฑ์ได้
ผลเสียของใบชาเขียว
3. คาเฟอีนอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คน
ที่เป็ นเบาหวานจึงต้องระวัง
ในการดื่มชาชนิดนี้
4. อาจทำให้ผู้ที่มีภาวะวิตกกังวลมีอาการแย่ลงได้
5. การดื่มชาเขียวปริมาณมากในขณะให้นมบุตรอาจทำให้
คาเฟอีนส่งผ่านไปยังเด็ก
ทางน้ำนม ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้ โดยมีคำแนะนำว่า
คุณแม่ที่ให้นมบุตรไม่ควรดื่ม
ชาเขียวเกินวันละ 2 แก้ว
6. การดื่มชาเขียวในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงใน
การแท้งลูก คนท้อง
35
จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชนิดนี้ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั้งหลาย
เช่น กาแฟ ชา และโกโก้
7. แม้จะมีความเชื่อว่า ชาเขียวสามารถรักษาและยับยั้งเซลล์
มะเร็งได้
แต่สารที่พบในชาเขียวก็ทำปฏิกิริยาต่อยารักษามะเร็งได้เช่นกัน
โดยเฉพาะยาบอร์ทีโซมิบ (Bortezomib)
8. วิตามินเคที่พบมากในชาเขียวอาจทำให้ฤทธิ์ละลายลิ่ม
เลือดของยาวาร์ฟารินลดลง
ซึ่งอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันตามอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะใน
หลอดเลือดสมองและหัวใจ
ดังนั้นก่อนรับประทานชาเขียวและสมุนไพรอื่น ๆ ควรปรึกษา
แพทย์หรือเภสัชกรด้วย
และระบบทางเดินอาหาร
แต่ก็ยังไม่มีการทดลองในมนุษย์โดยตรง
ข้อควรระวังในการดื่มชาเขียว
สำหรับผู้ที่ไม่ควรบริโภคชาเขียวหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อน
การบริโภค ได้แก่ ผู้ที่มีปั ญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ โรคความดันโลหิต
สูง เป็ นโรคไต เป็ นไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ
ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติหรือมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ ผู้ป่ วยที่
กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด สตรีมีครรภ์ กระเพาะอาหาร
อักเสบ รวมไปถึงผู้ที่กังวลง่ายหรือมีอาการผิดปกติ
ทางระบบประสาท
จากงานวิจัยหลายชิ้นได้ระบุว่า อุณหภูมิและเวลามีผลต่อการ
ลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียว ซึ่งบางบทความที่
เผยแพร่ในบ้านเรา ได้ระบุว่า “เป็ นเรื่องน่าห่วงสำหรับคนไทยนิยม
ที่ดื่มชาเขียวแช่เย็นที่มีขายตามท้องตลอด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชา
เขียวเป็ นประจำอย่างญี่ปุ่น
เขาจะไม่ทำกัน เพราะชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ยัง
ร้อนอยู่เท่านั้น
ในทางกลับกันก็เป็ นโทษต่อร่างกายหากดื่มชาเขียวแช่เย็น เพราะ
37
นอกจากจะไม่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระและขับสารพิษออกจาก
ร่างกายแล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอัน
เป็ นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันใน
ร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และไปอุดตันตามผนัง
ลำไส้ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น หลอดเลือดหัวใจ
อุดตัน
เส้นเลือดตีบ มะเร็งลำไส้ ฯลฯ เป็ นต้น” แม้ว่าจะไม่มีงานวิจัย
รองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเป็ นโทษต่อร่างกายมากมายขนาด
นั้นก็ตาม แต่บางข้อมูลกลับระบุว่า การดื่มชาเขียวร้อนหรือเย็น
(แบบชงเอง) ไม่น่าจะมีความแตกต่างกันการบริโภคชาเขียวใน
ปริมาณสูงและติดต่อกันเป็ นระยะเวลานานอาจส่งผลเสียต่อตับได้
เพราะมีรายงานการวิจัยในหนูเม้าส์ พบว่าสาร epigallocatechin
gallate (EGCG) ส่งผลให้ตับถูกทำลายเล็กน้อยเมื่อบริโภคในขนาด
สูง (2,500 มก./กก.)
ติดต่อกัน 5 วัน และความเป็ นพิษต่อตับจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อบริโภคชา
เขียวในขณะเป็ นไข้
สำหรับบางคนที่ดื่มชาเขียวก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่น
กัน แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก
ซึ่งถ้าเกิดอาการแพ้ก็ควรหยุดบริโภคชาเขียวและไปพบแพทย์ทันที
39
ส่วนข้อมูลจากนายกสมาคมแพทย์แผนจีน ได้ให้ข้อมูลเพิ่ม
เติมว่า ถึงแม้ว่าชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายก็ตาม แต่
ในความเป็ นจริงแล้วชาเขียวก็มีสารที่เป็ นโทษต่อร่างกายด้วยเช่น
กัน แต่ไม่ถึงกับเป็ นอันตรายมากนัก ส่วนมากจะเกิดกับผู้ที่มีสภาพ
ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง
เมื่อดื่มแล้วทำให้มีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ มีอาการระคายเคือง
กระเพาะอาหาร ท้องผูก ฟั นดำ และหากดื่มอย่างต่อเนื่องก็อาจ
เป็ นการเสพติดได้
40
บทสรุป
ใบชาเขียว มีถิ่นกำเนิดมาจากหลายประเทศแต่ละประเทศก็
เอาใบชาเขียวไปประโยชน์แตกต่างกันหรือคล้าย ๆ กัน การดื่มชา
ได้แพร่กระจายไปทุกระดับของสังคมในประเทศญี่ปุ่น
และต่อมาชาเขียวก็ยังคงหยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นสืบมา แม้กระทั้ง
ในปั จจุบันก็เป็ นอีกครั้งที่ชาเขียวได้ดึงดูดความสนใจอย่างมาก ใน
ฐานะของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ส่งเสริมร่างกายและมีประโยชน์
มากมายช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยวชาเขียวในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็ น
Shincha หรือ Ichibancha
คือ การเก็บเกี่ยวชาในครั้งแรก หรือ ชาใหม่ (Nibancha) การเก็บ
41