Professional Documents
Culture Documents
y
rcit
1
โปรแกรมวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร
ive
บทคัดย่อ
ce Un
สารอนุมูลอิสระเป็นสารที่ไวต่อปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุทาให้เซลล์ถูกทาลาย หรือ
เสื่อมสภาพ และก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา สารต้านอนุมูลอิสระจึงถูกนามาใช้ป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ
en at
ในปั จจุบั นการบริโภคชาสมุ นไพรต้ านสารอนุมู ลอิส ระเป็น อีกหนึ่งทางเลือ กที่ ได้รั บความนิยมอย่า งแพร่ห ลาย
fer bh
สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สาคัญ และสูญสลายไปในธรรมชาติได้น้อยกว่าสารประกอบฟีนอลิก
on aja
ชนิดอื่นๆแม้เก็บรักษาไว้นาน การศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า ใบสะระแหน่และใบว่านแร้งคอดามี flavonol
lC tR
คอดา คือ ระหว่าง 8.82 –17.13 และ 1.30 –2.50 มิลลิกรัม ตามลาดับ และผลการแปรรูปเป็นชาสมุนไพร พบว่า
tio g P
100.86 รองลงมา คือ เครื่องดื่มชาใบทับทิม และเครื่องดื่มชาใบว่านแร้งคอดา คือ ประมาณ 32.53 และ 15.42
ha
มิลลิกรัม ตามลาดับ
คาสาคัญ : ฟลาโวนอยด์ / ใบสะระแหน่ / ใบทับทิม / ใบว่านแร้งคอดา
mp
Ka
Abstract
The free radicals are sensitively reacting with oxidation agent in the body. Their chief
rd
danger comes from the damage they can do when they react with important cell. Cells may
e3
function poorly or die if this occurs. To prevent free radical damage the body has a defense
Th
system for antioxidant. In present, consuming herb tea is popular type choice extensively.
Flavonoids are antioxidant that important. It is decays to natural less than the other phenolic
compounds, even long maintained. This study was found that kitchen mint leaves and Crinum
latiffolium leaves were flavonol elements and the soft pomegranate leaves was flavanonol
elements. Ethanol extract of pomegranate leaves had the most highest of total flavonoids which
was between 13.10 to 21.55 mg (quercetin/g dry weight), followed by the kitchen mint leaves
and Crinum latiffolium leaves which were between 8.82 to 17.13 and 1.30 - 2.50 mg
(quercetin/g/dry weight), respectively. The effect of privatization found that the kitchen mint
leave tea (two grams of plant per 200 ml of water) had the most amount of total flavonoids was
approximately 100.86 mg (quercetin/g dry weight), followed by the pomegranate leaves tea and
the Crinum latiffolium leave tea were approximately 32.53 and 15.42 mg (quercetin/g dry weight),
respectively.
Keywords: flavonoids / Kitchen mint leaves / Pomegranate leaves / Crinum latiffolium leaves
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 323
ที่มาและความสาคัญของปัญหา
ในปั จ จุ บั น ทั่ ว โลกได้ ใ ห้ ค วามส าคั ญ กั บ การใช้ พื ชสมุ น ไพรเพื่ อ ป้ อ งกั น และรั ก ษาโรคต่ า งๆมากมาย
ซึ่งสาเหตุ และกลไกการเกิดโรครวมถึงความแก่ชรามีผลอันเนื่องมาจากการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกาย
โดยปฏิกิริยาดังกล่าวมีสาเหตุสาคัญจากอนุมูลอิสระในร่างกาย การศึกษาสารต้านอนุมูลอิสระจึงมีบทบาทสาคัญ
ในการป้องกันโรคต่างๆ สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาตินับว่ามีความปลอดภัยมากที่สุดต่อการบริโภค และ
พืชสมุนไพรก็เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติที่สาคัญและสามารถหาได้ง่าย ซึ่งมีสารที่เป็น
องค์ประกอบ คือ สารกลุ่มพอลิฟีนอล และสารประกอบฟลาโวนอยด์ หลายชนิดได้แก่ ฟลาโวน ไอโซฟลาโวน
ฟลาโวนอล ฟลาวาโนน ฟลาวาโนนอล และแอนโทไซยานิน อีกทั้งสารประกอบฟลาโวนอยด์ยังสู ญสลายไป
y
rcit
ในธรรมชาติได้ช้ากว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด (นิธิดา พลโคตร และคณะ, 2556, หน้า 1-8)
สมุนไพรในประเทศไทยมีหลากหลายชนิด ซึ่งสามารถนามาแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทาให้สะดวกต่อ
ive
การบริ โภคได้ การนาพืชสมุนไพรมาทาเป็นเครื่องดื่ม โดยเฉพาะนามาผลิ ตเป็นชาก็เป็น อีกทางเลือกหนึ่งของ
ce Un
การแปรรูปผลิตภัณฑ์สาหรับเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระจาก
แหล่งธรรมชาติโดยตรงซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค พืชสมุนไพรที่ผู้วิจัยเลือกมาทาการศึกษาวิจัยครั้ง นี้
en at
คือ ใบสะระแหน่ ใบทับทิม และใบว่านแร้งคอดา ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง
fer bh
โดยนามาศึกษาผลของการแปรรูป และระยะเวลาการเก็บรักษาต่อปริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
on aja
เพื่อหาความเหมาะสมในการใช้เป็นชาสมุนไพรต้านอนุมูลอิสระของใบสะระแน่ ใบทับทิม และใบว่านแร้งคอดา
lC tR
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
na he
ว่านแร้งคอดา
2. เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการใช้เป็นชาสมุนไพรต้านอนุมูลอิสระของใบสะระแน่ ใบทับทิม และ
Na en
ใบว่านแร้งคอดา
ha
mp
ขอบเขตการวิจัย
ในการศึกษาวิจัย และการวิเคราะห์ปริมาณของสารประกอบฟลาโวนอยด์ในใบชาสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่
Ka
1. ขอบเขตเชิงเนื้อหา
e3
2. ขอบเขตเชิงตัวแปร
2.1) ตัวแปรที่ศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1
2.1.1) ตัวแปรต้น คือ ชนิดของพืช ได้แก่ สะระแน่, ทับทิม และว่านแร้งคอดา
2.1.2) ตัวแปรตาม คือ ชนิดของสารประกอบฟลาโวนอยด์
2.1.2.1) ฟลาโวนและไอโซฟลาโวน
2.1.2.2) ฟลาวานอล
2.1.2.3) ฟลาวาโนนอล
2.1.2.4) แอนโทไซยานิน
2.1.2.5) แซนโทน
2.1.2.6) แคลโคน และออโรน
2.2) ตัวแปรที่ศึกษาตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2
2.2.1) ตัวแปรต้น คือ ชนิดของต้นพืช ได้แก่ สะระแน่, ทับทิม และว่านแร้งคอดา
2.2.2) ระยะเวลาหลังการชงชา โดยมีกาหนดเวลาดังต่อไปนี้ คือ 1, 2, 5, 10, 20, 40
และ 60 นาที
2.2.3) ระยะเวลาการเก็บรักษา โดยมีกาหนดเวลาดังต่อไปนี้ คือ 0, 1 และ 2 เดือน
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 324
กรอบแนวความคิด
สารประกอบฟลาโวนอยด์เป็นสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติประเภทหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในอาหารที่เป็นพืช เช่น
ผักและผลไม้ โครงสร้างพื้นฐานของสารประกอบฟลาโวนอยด์เป็นฟีนอลเบนโซไพโรน (phenylbenzopyrones)
ประกอบด้วยคาร์บอน 15 ตัว (C6-C3-C6) จัดเรียงเป็น 3 ring เรียกเป็น ring A, B, และ C โดย ring A และ B
เป็นวงเบนซีน (benzene ring) ส่วน ring C เป็น heterocyclic pyran ring ซึ่งอยู่ตรงกลางของโครงสร้าง
(วิภพ สุทธนะ, 2556, หน้า 567-582) ในธรรมชาติสารประกอบฟลาโวนอยด์มีมากกว่า 4,000 ชนิด ส่วนใหญ่
y
rcit
อยู่ในรูปฟลาโวนอยด์ไกลโคไซค์ซึ่งมีหมู่ไฮดรอกซิลหนึ่งหมู่ หรือมากกว่าในโมเลกุลของสารประกอบฟลาโวนอยด์
จะเกิดพันธะกับโมเลกุลของน้าตาลโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส (glucose) แรมโนส (rhamnose) อะราบิโนส
ive
(arabinose) และไซโลส (xylose) (Narikawa, Shinoyama & Fujii, 2000, pp. 1317-1319)
ce Un
en at
fer bh
on aja
ภาพที่ 1 โครงสร้างพื้นฐานของฟลาโวนอยด์
lC tR
(aromatic amino acids) ได้แก่ ฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) ไทโรซีน (tyrosine) และมาโลเนท (malonate)
โดยทาหน้าที่เป็นสารให้สีที่สาคัญในพืชช่วยในการกรองรังสีอัลตราไวเลต และการช่วยตรึงไนโตรเจน (วิภพ สุทธนะ,
Ka
อุลตร้าไวโอเลตป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระและป้องกันการถูกคุกคามจากไวรั ส
(Pielta, 2000, pp.1035-1042)
Th
สารประกอบฟลาโวนอยด์สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยตามตาแหน่งของหมู่ ฟังก์ชันซึ่งแทนที่ในโครงสร้าง
พื้นฐาน ได้เป็น 7 กลุ่ม ได้แก่
1) ฟลาโวนอล (flavonols) เช่น เคอร์ซิติ (quercetin), แคมป์เฟอรอล (kaempferol), ไมริซิติน
(myricetin)
2) ฟลาโวน (flavones) เช่น ลูติโอลิน (luteolin), อาพิจินิน (apigenin), ไครซิน (chrysin)
3) ฟลาวาโนน (flavanones) เช่น เฮสเพอริติน (hesperetin), นารินจินิน (naringenin), อีริโอดิคทิออล
(eriodictyol)
4) ฟลาวานอล (flavanols) เช่น แคทิชิน (catechin), แกลโลแคทิชิน (gallocatechin), อีพิแคทิชิน
(epicatechin), อีพิแกลโลแคทิชิน (epigallocatechin), อีพิแคทิชิน-3-แกลเลต (epicatechin-3-gallate),
อิพิแกลโลแคทิชิน-3-แกลเลต (epigallocatechin-3-gallate)
5) ฟลาวาโนนอล (flavanonols) เช่น แทกซิโฟลิน (taxifolin)
6) ไอโซฟลาโวน (isoflavones) เช่น เดดซีน (daidzein), จีนิสตีน (genistein), ไกลซิตีน (glycitein),
ฟอร์โมโนเนติน (formononetin)
7) แอนโธไซยานิดิน (anthocyanidins) เช่น ไซยานิดิน (cyanidin), เดลฟินิดิน (delphinidin) มาลวิดิน
(malvidin), พีลาร์โกนิดิน (pelargonidin), พีโอนิดิน (peonidin), พีทูนิดิ (petunidin)
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 325
ประโยชน์ของฟลาโวนอยด์
ด้านสุขภาพ
ฟลาโวนอยด์ เป็นสารพฤกษเคมีที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระพบในเม็ดสีชนิดละลายในน้าของผัก
ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ใบไม้ และเปลือกไม้ ฟลาโวนอยด์มีอยู่มากมายหลายชนิด และพืชแต่ละชนิดจะมีฟลาโวนอยด์
แต่ ล ะประเภทในความเข้ ม ข้ น ที่ ต่ า งกั น ไป แท้ จ ริ งแล้ ว มี ก ารศึ ก ษาหลายชิ้ น พบว่ า ฟลาโวนอยด์ บ างชนิ ด
มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระเหนือกว่าวิตามินซีหรือวิตามินอีถึง 50 เท่า และฟลาโวนอยด์ในองุ่นแดง
มีความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันแอลดีแอล (LDL-fat) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการอุดตันของ
เส้นเลือดแดงและการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมากกว่าวิตามินอีถึงกว่าหนึ่งพันเท่าฟลาโวนอยด์ชนิดต่างๆ
y
rcit
ที่พบบางส่วนมีดังนี้
1) แคเทคิน (Catechin) เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลพอลิฟีนอล-ฟลาโวนอยด์ มีคุณสมบัติในการยับยั้ง
ive
การเจริญเติบโตของแบคทีเรียกลุ่มสแตฟไฟโลคอกคัส (Staphylococcus) ซึ่งดื้อต่อยาหลายชนิดการติดเชื้อ
ce Un
แบคทีเรียชนิดนี้ทาให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ แคเทคินยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของผู้ที่รับประทาน
อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และยังช่วยป้องกันฟันผุและโรคเหงือกได้อีกด้วย ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่า
en at
แคเทคินอาจช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งปอดช่วยป้องกันการทาลายของดีเอ็นเอ (DNA)
fer bh
จากอนุมูลอิสระ และยังช่วยชะลอการเกิดของโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว แคเทคินพบมาในชาเขียว องุ่น (น้าองุ่น,
on aja
ไวน์องุ่น)
2) เรสเวอราทรอล (Resveratrol ) สมาชิกสาคัญอีกหนึ่งจากตระกูลพอลิฟีนอลฟลาโวนอยด์มีการศึกษา
lC tR
สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งร้ายให้กลับคืนเป็นเซลล์ปกติได้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเรสเวอราทรอลพบในในผิวและ
เมล็ดขององุ่น (ไวน์แดง) และถั่วลิสง
Na en
ที่ทรงพลัง และยังโดดเด่นในการเชื่อมโยงและสร้างความแข็งแรงให้เส้นสายโปรตีนคอลลาเจนโดยเฉพาะคอลลาเจน
บริเวณเนื้อเยื้ออ่อน เส้นเอ็น และกระดูก ด้วยเหตุผลดังกล่าว OPCs จึงช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด
Ka
ด้านการใช้สีจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
ฟลาโวนอยด์เป็นแหล่งของสีย้อมธรรมชาติ ส่วนใหญ่ให้สีเหลือง สีส้ม หรือส้มแดง เช่น ลูทิโอลิน
(Luteolin) จากพืชในตระกูล Reseda luteola จะให้สีเหลืองเควอซีทีน (Quercetin) จากเปลือกหอมหัวใหญ่
ให้สีเหลืองเข้มมอริน (Morin) จากแก่นขนุนจะให้สีเหลืองเข้มคาร์ทามิน (Carthamin) จากดอกคาฝอยให้
สีเหลืองปนน้าตาล (วิจิตร อุดอ้าย, 2546, หน้า 1-285)
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 326
ด้านการแพทย์
y
ในระบบทางเดิ น อาหารฟลาโวนอยด์ จ ะถู ก ย่ อ ยโดยน้ าย่ อ ย และถู ก ดู ด ซึ ม ที่ ล าไส้ เ ล็ ก เป็ น ส่ ว นใหญ่
rcit
ส่วนฟลาโวนอยด์ที่ไม่ถูกดูดซึมที่ลาไส้เล็ก และฟลาโวนอยด์ที่ถูกดูดซึมแล้วถูกขับออกทางน้าดีจะเข้าสู่ลาไส้ใหญ่และ
ive
ถูกสลายโดยจุลชีพบางชนิดทาให้ได้กรดฟินอลิคซึ่งจะถูกดูดซึมกลับเข้ากระแสเลือดอีกครั้ง โดยฟลาโวนอยด์ที่อยู่ใน
กระแสเลือดก็จะไปยังเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายและสามารถถูกกาจัดได้ทางไตโดยที่เซลล์ของเนื้อเยื่อ
ce Un
ต่างๆ ฟลาโวนอยด์อาจผ่านกระบวนการเมแทบอลิซึมหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างซึ่งอาจทาให้ฤทธิ์ทางชีวภาพ
เปลี่ยนแปลงไปได้ (Hollman, 2004, pp.74–83) ในการการศึกษาทางคลินิกสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ได้ถูกพั ฒนา
en at
fer bh
เป็นยารักษาโรคมะเร็งซึ่งมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์และชักนาการตายของเซลล์มะเร็งโดยไม่ส่งผลกระทบ
ต่อเซลล์ปกติและสามารถยับยั้งการพัฒนา และความรุนแรงของโรคมะเร็ง เช่น การอักเสบการสร้างหลอดเลือดใหม่
on aja
การแพร่กระจายรวมถึงการเอาชนะปัญหาการดื้อยาของเซลล์มะเร็งได้และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไก การ
lC tR
แบบหลายขนานของเซลล์ ม ะเร็งด้ วยโดยกลไกการออกฤทธิ์ข องสารกลุ่ มฟลาโวนอยด์ เกี่ ยวข้ องกับ การยับ ยั้ ง
Na en
การส่ งสั ญ ญาณภายในเซลล์ และการแสดงออกของยี น ส์ ที่ ขึ้ น อยู่ กั บ ทรานสคริ ป ชั น แฟคเตอร์ NFκB รวมถึ ง
ha
การทาให้เกิดความเสียหายที่ระดับไมโทคอนเดรียของซึ่งส่งผลต่อสถานะเชิงพลังงานของเซลล์มะเร็ง
mp
Ka
rd
e3
Th
ภาพที่ 3 การเปลี่ยนแปลงทางสัณฐานวิทยาของเซลล์ที่ตายแบบอะพอพโตซิส
(ที่มา : Gewies, 2003, pp.1-26)
การวิเคราะห์หาปริมาณฟลาโวนอยด์
1) การหาปริมาณฟลาโวนอยด์โดยเฉพาะกลุ่ม
การวิเคราะห์หาปริมาณฟลาโวนอยด์โดยเฉพาะกลุ่ม หรือโดยเฉพาะชนิดนั้น สามารถทาได้โดยมักใช้
เทคนิค HPLC (High-Performance Liquid Chromatography), UV-Visible สเปคโตรโฟโตมิเตอร์ (UV-Visible
Spectrophotometer) และการตรวจวัดด้วยรังสีอุลตราไวโอเลต PDH (Photo-diode array) หรือ
MS (Mass spectrometer) เนื่องจากสารประกอบฟลาโวนอยด์จ ากพืชมักอยู่ในรูปออร์โทไกลโคซิดิค (O-
glycosidic) โดยจับกับ น้าตาล เช่น กลูโคส (glucose) กาแลคโตส (galactose) แรมโนส (rhamnose) อะราบิโนส
(arabinose) และรูติโนส (rutinose) แต่ในการวิเคราะห์หาปริมาณฟลาโวนอยด์จะทาการวิเคราะห์เฉพาะส่วน
y
rcit
อะไกลโคน ดั งนั้ น ต้ อ งใช้ ก รดไฮโดรไลซ์ น้ าตาลออกไปจากโมเลกุ ล ซึ่ งโดยมากนิ ย มใช้ ก รดไฮโดรคลอริ ก
(Hydrochloric acid) ก่อนที่จะนามาวิเคราะห์ด้วยเทคนิคและเครื่องมือที่กล่าวไว้ในข้างต้น
ive
2) การหาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
ce Un
วิธีสเปคโตรโฟโตมิตรีเป็นวิธีในการทดสอบโครงสร้างสารประกอบเชิงซ้อนของอะลูมิเนียมเป็นหนึ่งในวิธี
ที่นิยมใช้มากที่สุดในการหาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด องค์ประกอบของสารประกอบเหล่านี้ถือเป็นตัวแปรสาคัญ
en at
สาหรับการประเมินคุณค่าอาหารหรือตัวอย่างพืชสมุนไพร วิธีนี้ถูกริเริ่มโดย Christ and MŨller ในปี 1960
fer bh
เพื่อวิเคราะห์วัตถุดิบพืชสมุนไพร และได้รับการปรับปรุงอีกหลายครั้งงานวิจัยในวารสารวิชาการต่างๆ เป็นเครื่อง
on aja
บ่งชี้ถึงความผันแปรในเงื่อนไขการทดลองเมื่อเกิดปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบเชิงซ้อนของอะลูมิเนียมฟลาโวนอยด์
(Aluminium-flavonoid complex) ดังที่แสดงในตารางที่ 1 แสดงให้เห็นการอธิบายโดยสรุปสั้นๆ จากรายงานวิจัย
lC tR
ซึ่งได้ใช้ปฏิกิริยาดังกล่าวในกระบวนการหาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในตัวอย่างหลายชนิดที่แตกต่างกัน
na he
1
10 % 40 404 Rutin
preparation HCl Stepanova 2003
Th
Glacial
Propolis 2% 30 415 Galangin Cvek et al. 2007
CH3COOH
Herbs 2% – 60 420 Quercetrin Ordonez et al. 2006
Herbs 1.5 % – 2 415 Quercetrin Chen et al. 2007
Oregano 2% – 10 430 Rutin Licina et al. 2013
Aronia 10 % CH3COOK 30 415 Quercetin Horszwald et al.
2013
Praveen and
Fruits 2% – 10 415 Catechin
Awang2007
Gouveia and
Herb extract 10 % CH3COOK 30 415 Rutin
Castilho 2011
Herbs 0.1 M CH3COOK 20 410 Rutin Zhang et al. 2013
Tea 25 g/L CH3COONa 15 430 Rutin Cimpoiu et al. 2011
Honey 10 % NaNO2+NaOH 11 510 Quercetin Mãrghitas et al. 2009
Wines 1% NaNO2+NaOH 5 510 Catechin Ivanova et al. 2010
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 328
y
Eghdami and
rcit
Herbs 10 % NaNO2+NaOH 5 510 Quercetin
Sadeghi2010
ive
ที่มา : Anna Pekal & KrystynaPyrzynska, 2014, pp.1776–1782
ce Un
ปฏิกิริยาโดยทั่วไปเป็นดังนี้
en at
fer bh
on aja
lC tR
na he
tio g P
การเกิดปฏิกิริยาเป็นดังนี้
ha
mp
Ka
rd
e3
Th
ตะกอนสีขาว โซเดียมไอออน
y
ออกซิเจนได้ง่าย
rcit
ive
ce Un
en at
fer bh
on aja
lC tR
na he
tio g P
Na en
ha
mp
Ka
rd
ขั้นที่ 4 เติม NaOH เข้าไปในปฏิกิริยาโดย OH- จาก NaOH เข้าไปจับกับ H+ และ NO3- จาก Al(NO3)3
e3
เข้าจับกับ Na+
Th
สารเชิงซ้อนของอะลูมิเนียม-เคอร์ซิติน
จากแนวทางการวิจัยและความสาคัญดังกล่าวจึงมีนักวิจัยได้ให้ความสนใจในการศึกษาและสกัดสาร
ฟลาโวนอยด์จากพืชและสมุนไพร ตลอดจนผักและผลไม้เป็นจานวนมากดังนี้ โดยในปี 2556 นิธิดา พลโคตร และ
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 330
y
rcit
นอกจากนั้ น ได้ มี ก ารศึ ก ษาผลของอุ ณ หภู มิ ที มี ต่ อ ปริ ม าณฟลาโวนอยด์ ใ นดอกไม้ ที่ รั บ ประทานได้
14 สายพันธุ์ (5 กลุ่มสี) คือ กุหลาบ (Rosa damascena Mill) ชบา (Hibicusrosasinensis Linn.)
ive
เข็ม (IxoraLobbii Loud.) ขี้เหล็ก (Cassia siamea) ขจร (Telosma minorcraib) ปลัง (Basella alba Linn.)
ce Un
แค (Sesbaniagrandiflora (L.) Pers.) กล้วยไม้ (Dendrobium hybrids) เฟื่องฟ้ า (Bougainvillea hybrid)
อัญชัน (Critoriaternatea L.) ดาวเรือง (Tageteserecta L.) ดาวกระจาย (Cosmos sulphureus Cav.)
en at
เล็บมือนาง (Quisqualisindica Linn.) และพวยพวง (Catharanthusroseus L.) พบว่าการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ
fer bh
4 องศาเซลเซียสร่วมกับการใช้ภาชนะบรรจุภัณฑ์แบบ Active modified atmosphere สามารถชะลอ
on aja
การสูญเสียฟลาโวนอยด์ได้โดยในภาชนะบรรจุที่มีค่าการซึมผ่านของออกซิเจน (OTR) เท่ากับ 12,000 ถึง 14,000
cm3/m2/วัน สามารถชะลอการสูญเสียฟลาโวนอยด์ได้ดีที่สุด ยกเว้นสาหรับดอกเฟื่องฟ้าที่เก็บรักษาในภาชนะ
lC tR
จาก สารสกัดจากตัวทาละลายอื่นอีก 3 ชนิด คือ Hexane, Ethyl acetate, และ Butanol และจากการศึกษาเคมี
mp
วิธีดาเนินงานวิจัย
e3
1. การเตรียมใบชาสมุนไพรและสารสกัดหยาบ
1.1 เก็บตัวอย่างใบพืชสมุนไพร 3 ชนิด ได้แก่ สะระแหน่ทับทิม และว่านแร้งคอดา จากตาบลเทพนคร
Th
3. การหาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
3.1 สร้างกราฟมาตรฐาน quercetin โดยวิธี Aluminium nitrate colorimetric method โดยปิเปต
5% NaNO2 0.15 มิลลิลิตร ลงในสารละลาย quercetin ในเมทานอล 2 มิลลิลิตร เจือจางด้วยน้ากลั่น 1 มิลลิลิตร
ตั้งทิ้งไว้ 6 นาที เติม 10% Al(NO3)3 0.15 มิลลิลิตร ตั้งทิ้งไว้ 6 นาที จากนั้นเติม 1 M NaOH 1 มิลลิลิตร ตั้งทิ้งไว้
12 นาที นาไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ 510 นาโนเมตร
3.2 หาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในสารสกัดหยาบ ด้วยวิธีเช่นเดียวกับสารมาตรฐาน quercetin
3.3 หาปริมาณฟลาโวนอยด์ ทั้งหมดในน้ าชาสมุ นไพร ด้ว ยวิธี เช่น เดี ยวกั บสารมาตรฐาน quercetin
โดยปิเปตตัวอย่างหลังจากการชง 1, 2, 5, 10, 20, 40, และ 60 นาที
y
rcit
ผลการวิจัย
ive
1. ผลการเตรียมสารสกัดหยาบจากตัวอย่างใบชาสมุนไพร
ce Un
พืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ที่ได้เลือกมาใช้ในการวิจัยนี้ ได้แก่ สะระแน่ ทับทิม และว่านแร้งคอดา ส่วนที่เลือก
นามาใช้คือ ส่วนของใบทั้งหมด ยกเว้นใบทับทิมได้คัดเลือกมาใช้เฉพาะส่วนยอดและใบอ่อนเท่านั้น การวิจัยนี้ได้นา
en at
ใบชาสมุนไพรตัวอย่างมาสกัดโดยทาการสกัดใบชาสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด ที่ผลิตใหม่ที่มีอายุการเก็บรักษา 1 เดือน และ
fer bh
2 เดือน จึงทาให้ได้สารสกัดหยาบรวมทั้งหมด 9 ตัวอย่าง ผลของการสกัดพบว่า สารสกัดหยาบที่ได้มีลักษณะ
on aja
ที่ใกล้เคียงกัน คือ เป็นของกึ่งแข็งสีเข้ม โดยสารสกัดหยาบของใบสะระแน่มีสีเขียวคล้า สารสกัดหยาบของใบทับทิม
มีสีแดงคล้า และสารสกัดหยาบของใบว่านแร้งคอดามีสีน้าตาลดา ซึ่งพืชทั้ง 3 ชนิด ให้ปริมาณสารสกัดหยาบ
lC tR
ของสารสกัดจากมากไปน้อย
tio g P
ตารางที่ 2 ค่าผลผลิตร้อยละของสารสกัดหยาบ
Na en
น้าหนัก (กรัม)
% yield
ha
ลาดับที่ ชื่อพืช
ผลิตใหม่ อายุการเก็บรักษา 1 เดือน อายุการเก็บรักษา 2 เดือน เฉลี่ย
mp
2. ผลการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้น
เนื่ อ งจากสารประกอบฟลาโวนอยด์ เ ป็ น สารประกอบพอลี ฟี น อลิ ก กลุ่ ม ใหญ่ มี ห มู่ ฟั งก์ ชัน มากมาย
ที่แตกต่างกัน จึงต้องศึกษาองค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้น เพื่อแยกกลุ่มย่อยของฟลาโวนอยด์ ควบคู่ไปกับการศึกษา
เชิงปริมาณด้วย การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้นในการวิจัยนี้ แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่
1) การศึกษาการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้นด้วยเทคนิคทินแลร์โครมาโตกราฟี (TLC)
2) การศึกษาชนิดของฟลาโวนอยด์ของสารสกัดหยาบ
2.1 ผลการศึกษาการวิเคราะห์ องค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้นด้วยเทคนิคทินเลเยอร์โครมาโทรกราฟี
(TLC)
ตารางที่ 3 ค่า Rf ของพืชตัวอย่างทั้ง 3 ชนิด และสารมาตรฐานเคอร์ซีทิน (quercetin) ในตัวทาละลายชนิดต่างๆ
เมทานอล : เอทิลอะซีเตท เมทานอล : เอทิลอะซีเตท เมทานอล : เอทิลอะซีเตท
ตัวทาละลาย (1 : 3) (w/w) (1 : 1) (w/w)) (3 : 1) (w/w)
สารที่ศึกษา ค่า Rf ค่า Rf ค่า Rf
quercetin 0.9444 0.8667 0.7647
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 332
y
สารสกัดใบว่านแร้งคอดา 0.9500 0.8917 0.8431
rcit
*สารสกัดเอทานอลของใบทับทิมไม่สามารถแยกสารได้ด้วยตัวทาละลายทั้ง 3 ชนิดนี้
ive
ce Un
จากตารางที่ 3 ค่า Rf ของสารสกัดหยาบของใบสะระแหน่ตัวที่ 1 มีค่าใกล้เคียงกับ quercetin ในทุก
สภาวะ ส่วนสารสกัดหยาบของใบว่านแร้งคอดามีค่าใกล้เคียงใน 2 สภาวะแรก แต่มีค่าสูงที่สภาวะที่ 3 แสดงให้เห็น
en at
ได้ว่ า สารสกัด หยาบของใบสะระแหน่มี quercetin เป็นองค์ ประกอบ สารสกัด หยาบของใบว่า นแร้งคอด า
fer bh
มีความเป็นไปได้ที่จะมีสารประกอบฟลาโวนอยด์กลุ่มฟลาโวนอลเป็นองค์ประกอบแต่ไม่ใช่ quercetin ส่วนสารสกัด
on aja
หยาบของใบทับทิมไม่มีสารประกอบฟลาโวนอยด์กลุ่มฟลาโวนอลเป็นองค์ประกอบ และไม่สามารถแยกสารจากสาร
สกัดหยาบของใบทับทิมได้ด้วยเทคนิค TLC เนื่องจากโมเลกุลของรงควัตถุภายในใบทับทิมมีความเป็นขั้วสูงกว่า
lC tR
2.2 ผลการศึกษาชนิดของฟลาโวนอยด์ของสารสกัดหยาบ
tio g P
2) Anthocyanin test
ha
3) ปฏิกิริยากับด่าง
mp
ดั ง ที่ แ สดงในภาพที่ 4 ผลการศึ ก ษาพบว่ า มี ส ารกลุ่ ม ฟลาโวนอยด์ ใ นทุ ก ๆ สารสกั ด แต่ มี ช นิ ด ของ
ฟลาโวนอยด์ที่แตกต่างกัน ดังแสดงในตารางที่ 3
Ka
rd
e3
Th
ตารางที่ 4 ผลการทดสอบชนิดของฟลาโวนอยด์
ลาดับที่ ชื่อพืช Expected compounds
1 สะระแหน่ flavonol, flavone, xanthone
2 ทับทิม flavanonol
3 ว่านแร้งคอดา flavonol, flavone, xanthone
จากผลการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีเบื้องต้นของสารสกัดหยาบเอทานอลของใบพืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด
y
พบว่า สารสกั ดหยาบของใบสะระแหน่มี quercetin เป็ นองค์ป ระกอบซึ่ ง quercetin เป็ นสารประกอบ
rcit
ฟลาโวนอยด์ กลุ่ม ฟลาโวนอล (flavonol) สารสกัดหยาบของใบทับทิ มไม่ มี quercetin เป็น องค์ ประกอบ
ive
แต่สารประกอบฟลาโวนอยด์กลุ่มฟลาวาโนนอล (flavanonol) เป็นองค์ประกอบ ส่วนสารสกัดหยาบของใบว่านแร้ง
คอดาไม่มี quercetin เป็นองค์ประกอบ แต่มีสารประกอบฟลาโวนอยด์กลุ่มเดียวกับ quercetin คือ ฟลาโวนอล
ce Un
(flavonol) เป็นองค์ประกอบ
en at
2.3 ผลการศึกษาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
fer bh
2.3.1 ผลการทากราฟมาตรฐาน quercetin
on aja
กราฟมาตรฐานของ quercetin
lC tR
0.70
y = 0.0034x + 0.2529
0.60
na he
R² = 0.9857
0.50
ค่าการดูดกลืนแสง
tio g P
0.40
Na en
0.30
ha
0.20
0.10
mp
ค่าความเข้มข้น (µg/mL)
0.00
Ka
0 20 40 60 80 100 120
ภาพที่ 5 กราฟมาตรฐานของ quercetin
rd
e3
2.3.2 ผลศึกษาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในสารสกัดหยาบ
Th
25
21.5508
y
rcit
0
0 1 2
ระยะเวลาการเก็บรักษา (เดือน)
ive
ภาพที่ 6 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดกับระยะเวลาการเก็บรักษาของใบชาสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด
ce Un
จากการศึกษาปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในสารสกัดหยาบเอทานอลของพืชสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด พบว่า
en at
ใบทั บ ทิม มี ป ริ มาณฟลาโวนอยด์ ทั้ งหมดสู งที่ สุ ด รองลงมาคื อ ใบสะระแหน่ และใบว่ า นแร้ งคอด า ตามล าดั บ
fer bh
นอกจากนี้ยังทาให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดกับระยะเวลาการเก็บรักษา กล่าวคือ
on aja
ระยะเวลาการเก็บรักษามีความสัมพันธ์แบบแปรผกผันกับปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้ งหมด คือ เมื่อเก็บรักษายิ่งนาน
lC tR
ก็จะส่งผลให้ปริมาณฟลาโวนอยด์ลดลง สาหรับใบสะระแหน่มีอัตราการสูญเสียสารประกอบฟลาโวนอยด์คิดเป็น
ประมาณร้อยละ 20 ในช่วงเดือนแรก และลดลงอีกประมาณร้อยละ 30 ในช่วงเดือนที่สอง ส่วนใบทับทิมมีอัตราการ
na he
ตารางที่ 6 ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาใบสาระแหน่
e3
ระยะเวลาหลัง
การชง (นาที)
ผลิตใหม่ อายุการเก็บรักษา 1 เดือน อายุการเก็บรักษา 2 เดือน
1 56.0811 49.1558 32.4537
2 80.6589 61.1053 68.5737
5 145.8379 85.5474 89.6211
10 151.6768 91.7937 93.9663
20 178.3779 123.0253 113.9274
40 179.9705 123.4326 123.7042
60 204.2274 121.3958 135.5179
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 335
200
100 ผลิตใหม่
1 เดือน
50
2 เดือน
0
y
1 2 5 10 20 40 60
rcit
ระยะเวลาหลังการชง (นาที)
ive
ภาพที่ 7 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรใบสะระแหน่กับระยะเวลา
ce Un
หลังการชง ณ เวลาต่างๆ
en at
ตารางที่ 7 ปริมาณฟลาโวนอยด์ทงั้ หมดในน้าชาใบทับทิม
fer bh
on aja
ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด (mg/ g dry weight)
lC tR
ระยะเวลาหลังการชง(นาที)
ผลิตใหม่ อายุการเก็บรักษา1 เดือน อายุการเก็บรักษา 2
na he
เดือน
1 12.6284 12.9000 10.7274
tio g P
200
quercetin epuivalent/g dry weight)
ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด (mg
150
100 ผลิตใหม่
1 เดือน
50
2 เดือน
0
1 2 5 10 20 40 60
ระยะเวลาหลังการชง (นาที)
ภาพที่ 8 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรใบทับทิมกับระยะเวลาหลังการชง
ณ เวลาต่างๆ
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 336
y
rcit
10 17.1095 17.7884 17.6526
ive
20 35.3053 26.2074 22.8126
ce Un
40 41.8232 35.1695 26.7505
en at
60 66.8084 38.5642 35.9842
fer bh
on aja
200
(mg quercetin epuivalent/g
lC tR
ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
150
na he dry weight)
100 ผลิตใหม่
tio g P
50 1 เดือน
2 เดือน
Na en
0
1 2 5 10 20 40 60
ha
ระยะเวลาหลังการชง (นาที)
mp
Ka
ภาพที่ 9 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรใบว่านแร้งคอดากับระยะเวลา
หลังการชง ณ เวลาต่างๆ
rd
e3
จากผลการศึ ก ษาปริ ม าณฟลาโวนอยด์ ทั้ ง หมดในน้ าชาสมุ น ไพรทั้ ง 3 ชนิ ด พบว่ า น้ าชาสมุ น ไพร
Th
ใบสะระแหน่มี ป ริ ม าณฟลาโวนอยด์ ทั้ ง หมดสู งที่ สุ ด รองลงมาคื อ น้ าชาใบทั บทิ ม และน้ าชาใบว่า นแร้งคอด า
ตามลาดับ ทั้งนี้ ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรขึ้นอยู่ชนิ ดของพืชสมุนไพร ส่วนของพืชที่นามาใช้
ลักษณะทางกายภาพของใบชาสมุนไพร และกรรมวิธีการผลิตชาสมุนไพร สาหรับในการทดลองนี้ได้แสดงให้เห็นว่า
น้าชาสมุนไพรสะระแหน่มีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด เนื่องจากใบสะระแหน่มีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
ที่สูง ประกอบกับลักษณะทางกายภาพของใบสะระแหน่ที่ผ่านการแปรรูปเป็นชาสมุนไพรที่บางและแห้งกรอบ
เมื่อถูกสกัดด้วยน้าร้อนซึ่งน้าเป็นตัวทาละลายที่มีขั้วสูง จึงสกัดสารประกอบฟลาโวนอยด์ออกมาได้ อีกทั้งมีอุณหภูมิ
ที่สูงช่วยให้ผนังเซลล์ของใบสะระแหน่แตกโดยง่าย ส่วนใบทับทิมเป็นพืชที่มีป ริมาณสารประกอบฟลาโวนอยด์ที่สูง
แต่หลังผ่านการแปรรูปเป็นชาสมุนไพร ชาใบทับทิมมีลักษณะทางกายภาพที่แข็งและใบหนากว่าชาใบสะระแหน่มาก
จึงสกัดสารประกอบฟลาโวนอยด์ออกมาได้น้อยกว่าน้าชาสมุนไพรใบสะระแหน่ และสุดท้ายน้าชาใบว่านแร้งคอดา
ซึ่งมี ปริ มาณฟลาโวนอยด์ทั้ งหมดต่าที่ สุด เนื่อ งจากใบว่านแร้ งคอด ามี ปริม าณฟลาโวนอยด์ต่าที่สุ ด คือ ต่ากว่ า
ใบสะระแหน่และใบทับทิมมาก นอกจากนี้ ยังพบว่าระยะเวลาการเก็บรักษามีผลต่อปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
ที่ล ดต่ าลง โดยจากภาพที่ 8 ถึ ง 9 จะเห็ น ได้ ชัด ว่ า ปริ ม าณฟลาโวนอยด์ ทั้ งหมดจะล ดต่ าลงอย่า งมากในช่ ว ง
ระยะเวลาการเก็บรักที่ 1 เดือน แต่ช่วงระยะเวลาการเก็บรักษาที่ 2 เดือน กลับมีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
ที่ลดลงจากตัวอย่างใบชาสมุนไพรที่ผ่านการเก็บรักษาที่ 1 เดือน เพียงเล็กน้อย ที่ผลการทดลองเป็นเช่นนี้สามารถ
อธิบายได้ว่า ในช่วงระยะเวลาการเก็บรักษาระหว่าง 0 ถึง 1 เดือน ใบชาสมุนไพรที่เพิ่งผลิตใหม่จะยังมีโครงสร้าง
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 337
y
rcit
ที่เท่ากันแตกต่างกันตามไปด้วย ดังที่ได้แสดงไว้ในตารางที่ 9 ซึ่งคานวนปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดจากค่าเฉลี่ยของ
ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรที่ผ่านระยะเวลาการเก็บรักษา ณ เวลาต่างๆ ในระยะเวลาหลังการชง
ive
2 ถึง 10 นาที ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการบริโภคน้าชา แต่อย่างไรก็ตามปริมาณการบริโภค
ce Un
ชายังต้องคานึงถึงผลข้างเคียงของการบริโภคพืชชนิดนั้นๆ ด้วย
en at
ตารางที่ 9 ปริมาณฟลาโวนอยด์ทงั้ หมดในน้าชาใบสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด
fer bh
ชนิดของเครื่องดื่มน้าชา *ปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมด
on aja
สมุนไพร [มิลลิกรัม quercetin/เครื่องดื่ม 200 มิลลิลิตร
lC tR
ใบทับทิม 32.5342
tio g P
ใบว่านแร้งคอดา 15.4253
*คานวณจากค่าเฉลี่ยของปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดในน้าชาสมุนไพรที่ผ่านระยะเวลาการเก็บรักษา ณ เวลาต่างๆ
Na en
สะระแหน่ มี ป ริ ม าณฟลาโวนอยด์ ทั้ งหมดมากที่ สุ ด รองลงมาคื อ น้ าชาใบทั บ ทิ ม และน้ าชาใบว่ า นแร้ งคอด า
rd
หยาบของใบทับทิมมีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงกว่าสารสกัดหยาบของใบสะระแหน่ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก
ในลักษณะทางกายภาพของใบสะระแหน่ที่มีใบบางและความหนาแน่น น้อยกว่าใบทับทิมจึงทาให้มีพื้นที่ผิวสัมผัส
Th
สรุปและอภิปรายผลการวิจัย
สารสกัดหยาบของใบสะระแหน่มี quercetin เป็นองค์ประกอบซึ่ง quercetin เป็นสารประกอบ
ฟลาโวนอยด์ กลุ่ม ฟลาโวนอล (flavonol) สารสกัดหยาบของใบทับทิ มไม่ มี quercetin เป็น องค์ ประกอบ
แต่สารประกอบฟลาโวนอยด์กลุ่มฟลาวาโนนอล (flavanonol) เป็นองค์ประกอบ ส่วนสารสกัดหยาบของใบว่านแร้ง
คอด าไม่ มี quercetin เป็ น องค์ ป ระกอบ แต่ มี ส ารประกอบฟลาโวนอยด์ ก ลุ่ ม เดี ย วกั บ quercetin คื อ
ฟลาโวนอล (flavonol) เป็นองค์ประกอบ
สารสกั ด เอทานอลของใบทั บ ทิ ม มี ป ริ ม าณฟลาโวนอยด์ ทั้ งหมดมากที่ สุ ด คื อ ระหว่ า ง 13.1036 ถึ ง
21.5508 มิลลิกรัม quercetin/g dry weight รองลงมาคือ ใบสะระแหน่ และใบว่านแร้งคอดา คือระหว่าง 8.8210
ถึง 17.1351 และ 1.3068 ถึง 2.5052 มิลลิกรัม quercetin/g dry weight ตามลาดับ
ผลการแปรรู ป เป็ น ชาสมุ น ไพร พบว่ า เครื่ อ งดื่ ม ชาสมุ น ไพรใบสะระแหน่ (พื ช 2 กรั ม ต่ อ น้ า 200
มิลลิลิตร) มีปริมาณฟลาโวนอยด์ทั้งหมดสูงที่สุด คือประมาณ 100.8614 มิลลิกรัม quercetin รองลงมา คือ
การประชุมวิชาการระดับชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครัง้ ที่ 3 (ฉบับที่ 2) 338
การนาผลการวิจัยไปใช้และข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป
1. ทาการแยกสารให้บริสุทธิ์และนาไปวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมีด้วยเครื่องมือชัดสูงต่อไป
2. นาชาสมุนไพรที่ผลิตได้ไปแนะนาให้ผู้ที่สนใจบริโภคและพร้อมทั้งให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
เอกสารอ้างอิง
y
rcit
นิธิดา พลโคตร, ฉันทนา อารมณ์ด,ี ปรียา พวงสาลี หวังสมนึก และอรวรรณ มนทกานติรัตน์. (2556).
การตรวจหาปริมาณฟลาโวนอยด์และปริมาณแคโรทีนในเกสรบัวหลวง. วิทยานิพนธ์เภสัชศาสตร-
ive
มหาบัณฑิต สาขาเภสัชภัณฑ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ce Un
วิภพ สุทธนะ. (2556). ฤทธิ์ต้านมะเร็งของฟลาโวนอยด์ : กลไกการออกฤทธิ์. แขนงวิชาเคมีคลินิก
สาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา.
en at
วิจิตร อุดอ้าย. (2546). เอกสารประกอบการสอนวิชาเคมีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ. พิษณุโลก : มหาวิทยาลัยนเรศวร.
fer bh
ศิริพร โอโกโนกิ, ชฎารัตน์ ดวงรัตน์, สมบัติ เชาวนพูนผล และทรงยศ อนุชปรีดา. (2550). การวิจัยสารต้านอนุมูล
on aja
อิสระจากสมุนไพรไทย(รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ : สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
อรสุรินทร์ ฮวบบางยาง. (2554). ผลของอุณหภูมิและการบรรจุต่อคุณค่าทางอาหารของดอกไม้ที่รับประทานได้.
lC tR
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.
tio g P
Anna Pekal & Krystyna Pyrzynska. (2014). Evaluation of Aluminium Complexation Reaction for
Flavonoid Content Assay. Food Anal. Methods, 7, 1776–1782.
Na en
Narikawa, Shinoyama & Fujii. (2000). A -rutinosidase from Penicillium ruglosum IFO 7242. That is
ha
Pielta, P.G. (2000). Flavonoids as Antioxidant. Journal of Nation Products, 63, 1035-1042.
e3
Hollman, P.C.H. (2004). Absorption, Bioavailability and Metabolism of Flavonoids. Pharm Biol, 42,
74–83.
Th