You are on page 1of 27

บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

บทที่ 4 อินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

4.1 อินทิกรัลตามเ ้น I
fixi dx
4.1.1 บทนิยามและการคาน ณ า นิ ทิกรัลตามเ ้น
4.1.2 ทฤ ฎีบทข & งกรีนในระนาบ -IS &( x, 1) dxdy
-
4.1.3 การเป็น ิ ระจากเ ้นทาง
4.2 อินทิกรัลตามผิ
4.2.1 บทนิยามและการคาน ณ า นิ ทิกรัลตามผิ
-NI
SSS &x4, 2) dxdy
4.2.2 ฟลักซ์
4.2.3 ทฤ ฎีบทข & ง โต๊ก
- &
4.2.4 ทฤ ฎีบทไดเ ร์เจนท์ ~
>6 เ"
·
·B

a ท/ · *
G
ัตถุประ งค์รายบท A C) '
+ผ !

เ"ย
เ&
1. นัก ึก า ามารถคาน ณ า ินทิกรัลตามเ ้นได้ ·

2. นัก ึก า ามารถนาทฤ ฎีบทข งกรีน ไปประยุกต์ใช้ในการแก้โจทย์ปัญ าได้ น น(อ

3. นัก ึก า ามารถนาแน คิดเรื่ ง การเป็น ิ ระจากเ ้นไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญ าได้


4. นัก ึก า ามารถคาน ณ า ินทิกรัลตามผิ ได้
5. นัก ึก า ามารถประยุกต์ใช้ทฤ ฎีบทไดเ ร์เจนท์และทฤ ฎีบทข ง โต๊ก ในการแก้ปัญ าได้
&: C, UC2UGUCpUC5

น้า 95
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

4.1 อินทิกรัลตามเ ้น
4.1.1 บทนิยามและการคาน ณ าอินทิกรัลตามเ ้น

ใน ั ข้ นี้ เราจะ ึก างานที่เกิดจากการเคลื่ น ัตถุไปตามเ ้นโค้งเรียบที่ มีแรงกระทา ซึ่งเ ้นโค้ง


เรียบนี้ ยู่ในปริภูมิ งและ ามมิติ เราเริ่มต้นด้ ยนิยามข ง ินทิกรัลตามเ ้นข งฟังก์ชันค่าจริง f ตาม
เ ้นโค้ง C เทียบกับตั แปร x ่ น ินทิกรัลตามเ ้นข งฟังก์ชั นค่าจริง g ตามเ ้นโค้ง C เทียบกับตั
แปร y และ ินทิกรัลตามเ ้นข งฟังก์ชันค่าจริง h ตามเ ้นโค้ง C เทียบกับตั แปร z ามารถนิยามได้
ในทาน งเดีย กัน

พิจารณาเ ้นโค้ง C กา นดโดย


R t   x t  i  y t  j  z t  k
เมื่ t   a, b  จะกล่า ่า C เป็นโค้งเรียบ
(Smooth curve) บนช่ ง  a, b  เมื่
นุ พั น ธ์ x  t  , y t  และ z  t  ต่ เนื่ ง
บนช่ งดังกล่า และ R  t   0
C จะกล่า ่าเป็น โค้งเรียบเป็นช่ ง
(Piecewise smooth curve) ถ้ า C
ามารถถู ก แบ่ ง กเป็ น โค้ ง เรี ย บย่ ยๆ
จาน นจากัด
มมติ ่ า C เป็ น โค้ ง เรี ย บเป็ น ช่ ง
โดยมี จุ ด เริ่ ม ต้ น ที่ P  P0 และจุ ด ิ้ น ุ ด ที่
Q  Pn (รู ป 4.1.1 a) แบ่ง C กเป็ น n
ช่ งย่ ยกา นดโดยจุด P0 , P1 ,..., Pn และใ ้
 xk , yk , zk  เป็ น พิ กั ด ข งจุ ด Pk า รั บ
k  1, 2,3,..., n ใ ้ P k  xk* , yk* , zk*  เป็นจุด
ที่ ยู่บน ่ นโค้งที่เชื่ มจุด Pk 1 และ Pk และ
ใ ้ xk  xk  xk 1 และกา นดใ ้ x คื
ค่ามากที่ ุดข ง xk , k  1, 2,..., n า รับฟังก์ชันค่าจริง f ตามเ ้นโค้ง C เทียบกับตั แปร x และ
พิจารณาผลบ ก  f  P k  xk
n

k 1

น้า 96
& (x , 4,7
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

เราจะนิยาม ินทิกรัลตามเ น้  f dx บนโค้ง


·C
C เทียบกับ x ดังต่ ไปนี้

ินทิกรัลตามเ ้น  f dx ข งฟังก์ชันค่าจริง f เทียบกับ x ตามเ ้นโค้งเรียบเป็นช่ ง C ถูก


C

กา นดโดย
 
n

 f dx  lim  f P k xk เมื่ ลิมิต าค่าได้


x 0
C k 1

ินทิกรัลตามเ น้  g dy และ  h dz นิยามในทาน งเดีย กัน


C =
C =

คุณ มบัติของอินทิกรัลตามเ ้น

ใ ้ f , f1 , f 2 เป็นฟังก์ชันค่าจริงที่นิยามบนเ ้นโค้งเรียบ C เทียบกับตั แปร x และ k เป็น


ค่าคงที่
1. กฎการคูณด้ ยค่าคงที่ ~ Igk f dx  k  f dx
C C

2. กฎการบ ก  f  f 2 dx   f1 dx   f 2 dx
" icEng
·*
1
-

C - C C

3. กฎของทิ ทางตรงข้าม
-
 
C
f dx   f dx
C

เมื่ C แทนเ ้นโค้งที่มีทิ ตรงข้ามกับโค้ง C

4. กฎการแบ่งช่ ง  f dx   f dx   f dx
·C
0 C
C C 1 2

เมื่ C เป็นโค้งเรียบเป็นช่ ง ซึ่งประก บด้ ยเ ้นโค้ง


<
และ และ
C1 C2 C1  C2  

การ าค่าอินทิกรัลตามเ ้นใน Parametric form


ในการ าค่า ินทิกรัลตามเ ้น  f dx พิจารณาตั ถูก
C

ิ น ทิ เ กรต f  x, y, z  ถ้ า f  x, y, z  ต่ เนื่ งบนโค้ ง C


และถ้ า C ามารถถู ก ก า นดโดย มการ ิ ง ตั แปรเ ริ ม
r  t   x  t  i  y  t  j  z  t  k เ มื่ นุ พั น ธ์ ั น ดั บ นึ่ ง
r   t  าค่ า ได้ แ ละไม่ เ ป็ น ู น ย์ บนช่ ง a  t  b แล้

น้า 97
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

b b
dx
 f dx   f  x  t  , y  t  , z  t   dt ท าน งเดี ย กั น  g dy   g  x  t  , y t  , z t   dy dt และ
C a
dt C a
dt
b
dz
 h dz   h  x  t  , y t  , z t   dt dt
C a

&
ตั อย่างที่ 4.1.1 ใ ้ C เป็น ่ น นึ่งข งพาราโบลา y  3x 2 จากจุด  0, 0  ถึง 1,3
จง า 1)   x 2  y  1 dx
C

2)   x 2  y  1 dy
C

ิ ธี ท า พิ จ ารณา มการ ิ ง ตั แปรเ ริ ม โดยก า นดใ ้ xt และ y  3t 2 เมื่ 0  t 1 จะได้


่า dx  dt และ dy  6t dt
1
1
 4t 3 
1
1) C  x2
 y  1 
dx  t  3t  1 
dt 
2
42
t  1  3  t   34  1  73
dt  2

0 0  0
1
1 1
 4 t2   1
2) C  x2
 y  1 dy  0  t  3t  1
2
 62
tdt   6 0  4t  t  dt  6 t  2   6 1  2   9 #
3

 
 0

ตั อย่างที่ 4.1.2 จง าค่า  xe yz dz เมื่ C เป็นเ ้นโค้งที่ถูกกา นดโดย มการ ิงตั แปรเ ริม
C

x  t , y  2t , z  t เมื่ 1 t  2 ได้ ่า dz  dt


2 2
ิธีทา  xe dz   t  e2t  dt     te2t dt
2 2
yz

C 1 1

1  2t 2  21
 e  e8  e2  #
4  1 4

ในกรณีที่ ินทิกรัล ปรากฎพร้ มๆ กัน เราจะเขียน ินทิกรัลเ ล่านี้ร มกัน โดยใช้เครื่ ง มาย
นิ ทิกรัลเพียงตั เดีย นั่นคื

 f  x, y  dx  g  x, y  dy   f  x, y  dx   g  x, y  dy และ
C C C

 f  x, y, z  dx  g  x, y, z  dy  h  x, y, z  dz   f  x, y, z  dx   g  x, y, z  dy   h  x, y, z  dz
C C C C

น้า 98
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่า งที่ 4.1.3 จง าค่าข ง  xy 2 dx  x 4 y dy เมื่ C เป็นเ ้ นโค้งพาราโบลา y  2 x2 จากจุด


C

 0, 0  ไปยัง 1, 2 

ิธีที่ 1 ใช้ มการ ิงตั แปรเ ริม คื


ใ ้ x  t, y  2t 2
เมื่ t  0 ถึง t  1
และจะได้ ่า dx  dt, dy  4t dt

1 1
ดังนั้น  xy
2
dx  x y dy
4
  t  2t 
2 2
dt   t 4  2t 2  4t dt
C 0 0
1
  4t 5  8t 7 dt
0
1
 4t 6 8t 8 
 
 6 8  0
1
2 
  t 6  t8 
3 0
2  5
   1 
3  3

ิธีที่ 2 การใช้พิกัด x, y
1 2 2
 y
 xy
2
dx  x y dy
4
  x  2x 2 2
 dx      y dy
C 0 0
2
1 2
1
  4 x dx    y 3 dy
5

0 0
4
1 2
 x6  1  y 4 
 4    
 6 0 4  4 0
4 2
 1  1
6 3
5
 #
3

น้า 99
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.4 จง า I   xy dx  2 y 2 dy เมื่ C คื ่ นโค้งที่เริ่มจากจุด  2, 0  ไปยังจุด  0, 2 


C

โดยเคลื่ นที่ท นเข็มนา ิกา ไปตาม งกลม x2  y 2  4 และจาก  0, 2  ไป  0, 0  ตามแกน y


การ าค่า ินทิกรัลตามเ ้นนั้นทาได้ 2 ิธี คื ิธีข งการใช้ มการ ิงตั แปรเ ริม และ ธิ ีข งการ
ใช้พิกัด x, y

ิธีที่ 1 การใช้ มการ ิงตั แปรเ ริม


พิจารณา C1 : มการ ิงตั แปรเ ริม คื
ใ ้ x  2cos t, y  2sin t

t 0 ถึง t
2
ดังนั้น dx  2sin tdt & dy  2cos tdt

พิจารณา C2 : มการ ิงตั แปรเ ริม คื


ใ ้ x  0, y  t เมื่ t2 ถึง t 0
ดังนั้น dy  dt

  xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy
C C1 C2

 
2 2
จะได้ า่  xy dx  2 y 2 dy    2cos t  2sin t  2sin t  dt   2  2sin t   2cos t  dt
2

C1 0 0

 
2 2
  8cos t sin 2 t dt   16sin 2 t  cos t dt
0 0
 
 sin t  3
 sin t  2
2 3
 8    16  
 3 0  t 0
8  3   16  3  
  sin  0   sin  0
3  2  3  2 
8 16 8
  
3 3 3

น้า 100
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

0 0
และ  xy dx  2 y
2
dy    0  t  dt   2t 2 dt
C2 2 2

0
 2t 3 
 
 3 2
16
 0
3
16

3

  xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy
C C1 C2

8 16
 
3 3
8

3

ิธีที่ 2 การใช้พิกัด x, y
จะเ ็น ่าเ ้นโค้ง C1 คื x2  y 2  4 รื นั่นคื y  4  x2
0 2
จะได้ ่า  xy dx  2 y dy
2
  x 4  x 2 dx   2 y 2 dy
C1 2 0

0 2
 1 2 3
  2 y3 
    4  x2  2    
 2 3 2  3 0
0
1 3
 2
   4  x 2  2    y 3 
2

3 2 3
0

1 2 8 16 8
 8  0  8  0    
3 3 3 3 3
0 0
และ  xy dx  2 y 2 dy   xy dx   2 y 2 dy
C2 0 2

2 3 0 2 16
  y   0  8  
3 2 3 3

8 16 8
ดังนั้น  xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy   xy dx  2 y 2 dy    
C C1 C2
3 3 3

น้า 101
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

4.1.2 ทฤ ฎีบทของกรีน (Green’s Theorem)

Green’s Theorem ดคล้ งกับ ินทิกรัล 2 ชั้น โดยบริเ ณที่ต้ งการ ินทิเกรตเป็น โค้งปิด ใน
ระนาบ xy
Q P
ใ ้ P  x, y  และ Q  x, y  แทนฟังก์ชันข ง x และ y ซึ่ง และ ต่ เนื่ งบน A
x y
และบนโค้งปิด C แล้

 Q P 
 P dx  Q dy     x  y dxdy
C A

เมื่ การ ินทิเกรตตาม C มีทิ ท นเข็มนา ิกา เช่น

  P dx  Q dy   P dx  Q dy   P dx  Q dy   P dx  Q dy
C C1 C2 C3

จะเ ็น ่าเ ้นโค้ง C ประก บด้ ยโค้งเรียบ C1 , C2 และ C3 ในทิ ท นเข็มนา ิกาและ C เป็น
โค้งปิด ดังนั้นโดย Green’s Theorem จะได้

 Q P 
 P dx  Q dy     x  y dxdy
C A

น้า 102
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.5 จงใช้ Green’s Theorem ในการ าค่า ินทิกรัลตามเ ้น I   x 2 dx  x3 ydy เมื่ C
C

ประก บด้ ยเ ้นตรงจาก  0, 0  ถึง  2, 0  และตามด้ ย ่ นข ง งกลม x2  y 2  4 ในค ทรันท์ที่ 1


จาก  2, 0  ถึง  0, 2  และตามด้ ยเ ้นตรงจาก  0, 2  ถึง  0, 0  ในทิ ท นเข็มนา ิกา

จะเ ็น ่า โค้ง
ดังนั้น จาก Green’s Theorem
Q P
 P dx  Q dy    x  y dA
C A

I     3x 2 y  dA
A

2 4 y 2

  3x 2 y dxdy
0 0

เปลี่ยนไปพิกัดเชิงขั้ ใ ้ x  r cos , y  r sin 



2 2
จึงได้ I    3  r cos    r sin   rdrd
2

0 0

2 2
   3r 4 cos 2  sin  drd
0 0

2
2
 r5 
 3 cos  sin    d
2

0  5 0 ใ ้ u  cos

3 5  cos3   2 du   sin  d
  2   
5  3 0

25 
3
3
  cos    cos 0  
5
 2 
32 32
   0  1  #
5 5

น้า 103
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.6 กา นดเ ้นโค้ง C ประก บด้ ยเ ้นโค้ง C1 และ C2 ดังรูป

จง าค่า    y dx  x dy 
C

1. โดยใช้ Green’s Theorem


2. โดยใช้ มการ ิงตั แปรเ ริมในการ
า ินทิกรัลตามเ ้นโค้ง C : C1  C2

ิธีทา 1. Green’s Theorem


เนื่ งจากโค้ง C เป็นโค้งปิด ซึ่งประก บด้ ยเ ้นโค้ง C1 และ C2 ในทิ ท นเข็มนา ิกา ทาใ ้ได้
พื้นที่ A ดังรูป
   x   y 

  y dx  x dy 
C
  
A

x
dA
y


 1
   2 r drd (ใช้พิกัดเชิงขั้ )
0 0
1
 r2 
 2    0

 2 0
1
 2   
2
2. โดยใช้ มการอิงตั แปรเ ริม
พิจารณา C1 : ใ ้ x  t, y  0, t  1 ถึง t  1
พิจารณา C2 : ใ ้ x  cos t, y  sin t, t  0 ถึง t 
 dx   sin t dt , dy  cos t dt

   ydx  xdy    ydx  xdy    ydx  xdy


C C1 C2

 1
  

   0 dx   t dt      sin t   sin t  dt   cos t  cos t dt 
 1  0 0 
1
t2 
      sin 2 t  cos 2 t  dt
 2  1 0

 1  1 
        1 dt  t 0

 #
 2  2  0

น้า 104
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ปัญ าเกี่ย กับพื้นที่ตามแน โค้ง

ใ ้ C เป็ น เ ้ น โค้ ง เรี ย บบนระนาบ xy และ


f  x, y  เป็นฟังก์ชันที่มีค ามต่ เนื่ งและไม่เป็นลบบน
เ ้ นโค้ ง C ถ้ า ต้ งการ าพื้ น ที่ ่ น นึ่ง ที่เ กิ ดจากจุ ด
 x, y  ไปยังค าม ูง f  x, y  แล้ เคลื่ นไปตามเ ้น
โค้ง C จะมี ีธีการ าดังนี้

 Ak  f  xk , yk  sk
n
 A   f  xk , yk  sk
k 1
n
A  lim  f  xk , yk  sk
n 
k 1

A   f  x, y  ds
C

 พื้นที่ผิ A   f  x, y  ds
C

เมื่ ds คื ค ามยา ่ นโค้ง


 xk    yk 
2 2
 sk 

พิจารณาตั แปรเ ริม x  x t  และ y  y t  , a  t  b


2 2
 x   y 
 sk   k    k  tk
 tk   tk 

b 2 2
 dx   dy 
 พื้นที่ผิ A   f  x, y  ds   f  x  t  , y  t        dt
C a  dt   dt 

น้า 105
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.7 จง าค่า ินทิกรัลตามเ น้  1  xy 2  ds จากจุด  0, 0  ไปยัง 1, 2  ตามเ ้นโค้ง C


C

ที่เขียนในรูป มการ ิงตั แปรเ ริม ดังนี้ x  t , y  2t , 0  t  1


dx dy
ิธีทา จาก x  1, y  2t จะได้  1, 2
dt dt

 
1

 1  xy  ds   1  t  2t 
2
 2
12  22 dt
C 0
1
 5  1  4t 3  dt
0

1
 5 t  t 4 
0

 5 1  1 2 5 #

ตั อย่างที่ 4.1.8 จง า   x  y 2  z  ds เมื่ C เป็น ่ นข งเ ้นตรงที่มี มการ ิงตั แปรเ ริม คื


C

x  t , y  2t , z  t  1, 0  t  1
dx dy dz
ิธีทา จากโจทย์กา นด จะได้  1,  2, 1
dt dt dt
2 2 2
 dx   dy   dz 
   x  y  z  ds
2
   x  y 2  z          dt
C C  dt   dt   dt 
1
  t   2t    t  1 12  22  12 dt
2

 
0
1
 6  4t 2  1 dt
0
1
 4t 3 
 6  t
 3 0
 4  
 6   1    0  
 3  
1
 6
3
6
 #
3

น้า 106
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.9 จง าค่า ินทิกรัลตามเ ้น   xy  z 3  ds ตามเ ้นโค้งที่มี มการ ิงตั แปรเ ริม คื
C

x  cos t , y  sin t , z  t , 0  t  2
dx dy dz
ิธีทา   sin t ,  cos t , 1
dt dt dt
2 2 2 2
 dx   dy   dz 
   xy  z  ds  0 cos t sin t  t   dt    dt    dt  dt
3 3

C
2

  cos t sin t  t    sin t    cos t 


2 2
 3
 1 dt
0
2
   cos t sin t  t  sin 2 t  cos2 t  1 dt
3

0
2
   cos t sin t  t 
3
2 dt
0 เทคนิคการเปลี่ยนตั แปร
2 2
 2  cos t sin t  2  t 3 dt u  cos t
0 0 du   sin t dt
2 2
 cos t  t 
2 4
 2   2 
 2 0  4 0
2 2
 2   0 
4
 cos 2 2  cos 2 0 
2 4  
2
 16 4
4
 4 2 4 #

&
การคาน ณค่าอินทิกรัลตามเ ้นของ นามเ กเตอร์ (Line Integral of a vector field)
·

กา นดใ ้ F  x, y, z   u  x, y, z  i  v  x, y, z  j  w  x, y, z  k เป็น นามเ กเต ร์ (Vector
-on = war = mes =

/
field) และ C เป็ น เ ้ น โค้ ง เรี ย บที่ มี เ กเต ร์ บ กต าแ น่ ง เป็ น r t   x t  i  y t  j  z t  k ,
-
~
at b /
 dx dy dz 
 d r  dxi  dy j  dzk   i 
·  dt dt
j  k  dt
dt  pdot
ินทิกรัลตามเ ้นข ง บน คื
น-
#
F C
< · -

%
b
 dx dy dz 
F dr   udx  vdy  wdz    u  v  w  dt
C C a
dt dt dt  CVOSS

=
:
** -> hเบอร
#nikul เอก
/
Y , USA, / น้า 107

Edi
Line Int
= dedicato
/x + &
3
" dr= dy
เจนเ+อ
-

& ~> สนาม


#
/ บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

·di
F= +

ตั อย่างที่ 4.1.10 จง าค่า &


F  d r เมื่ กา นดใ ้ F   y 2  z 2  i   2 yz  j  x 2 k เมื่ C เป็น

+T ren
=
C

· +

เ น้ โค้งเรียบที่มี มการ ิงตั แปรเ ริม x  t 2 , y  2t, z  t, 0  t 1
ิธีทา
-
F   y 2  z 2  i   2 yz  j  x 2 k
=


 

  2t   t 2 i  2  2t  t  j   t 2  k
2 2

%
E
 3t i  4t j  t k
- -
2 2 4 -

และเ กเต ร์บ กตาแ น่งคื r  t   t 2 i  2t j  tk  d r   2t  i  2 j  k dt


·
 
+
-


  F dr 
   3t 2   2t    4t 2   2    t 4  1 dt · st) = trinet +
C 0 - ↳

ar = &CHYY+&Ctrip Ast
1
  6t 3  8t 2  t 4 dt
0
dt
1 ↳

* hldt
 6t 8t t 
4 3 5

&
-
~

arr = Let 726


   
 4 3 5 0
6 8 1
  
↓ = -

4 3 5 -

·WSEdr =
238 119 / Paready
  #
60 30 C

ตั อย่ า งที่ 4.1.11 จง า  F  d r เมื่ เมื่


เป็ น ่ นโค้ ง ด้ า นบนข ง งกลม
F  yi  x j C

-- ,
สม C
=2 โ.>เป
= -

x  y  4 ที่มีทิ ทางท นเข็มนา ก


2 2
ิ า จากจุด  2, 0  ไปยัง  2, 0 
=
=

<- x%-
ิธีทา า มการ ิงตั แปรเ ริม
ใ ้ x  2cos , y  2sin  , 0     SO) = ห
+
·ม

 r    2cos  i  2sin  j
สม1
<

 d r   2sin   i   2cos   j d Oa
=

& ~
 F dr
↳ - ↓

~I
· ·


& 
 2sin  i  2cos  j  2sin  i  2cos  j d  ค5ต
1 เธ ตาร7มั
-

  4sin 2   4cos2   d  4  cos2   sin 2   d

-
 4cos 2 d
- -
- -

 
 sin 2 
  F dr   4cos 2 d   4  2 sin 2  sin 0  0
C 0 ~  2  0

aawumo=?
Cof น้า 108

SEdr = Spaxtedx,
C Pr
< 7)
C
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.12 Line Integral along different paths


ใ ้ F  xi  y j จง า  F  d r จากจุด  0, 0  ไปยัง  2, 4  ตามเ ้นโค้งต่ ไปนี้
C

1. เ ้นตรงที่เชื่ ม 2 จุด
2. ่ นโค้งข งพาราโบลา y  x2 ที่เชื่ ม 2 จุด

ธิ ีทา 1. เ ้นตรงที่เชื่ ม 2 จุด (ดังรูปที่ 1)


จะเ ็น ่าเ ้นตรงที่เชื่ มจุด  0, 0  และ  2, 4  มี มการเป็น y  2 x
ดังนั้น พิจารณา มการ ิงตั แปรเ ริม ใ ้ x  t, y  2t, 0  t  2
 r  t   ti  2t j  d r   i  2 j  dt

จากโจทย์ F  xi  y j  ti   2t  j
 F dr   t 1   2t  2  dt  5t dt
2
2
 5t 2  4
  F dr   5t dt     5   10
C 0  2 0 2
2. ่ นโค้งข งพาราโบลา y  x2 ที่เชื่ ม 2 จุด (ดังรูปที่ 2)
พิจารณา มการ ิงตั แปรเ ริม ใ ้ x  t, y  t 2 , 0  t  2
 r  t   ti  t 2 j


 d r  i  2t j dt 
จากโจทย์ F  xi  y j  ti   t 2  j

 F dr   t 1   t 2   2t  dt  2t 3  t  dt


2
2
 2t 4 t 2   1 4 22 
  F dr    2t  t  dt  
3
     2     8  2  10
C 0  4 2 0  2 2

จะเ ็น ่าตั ย่างนี้ ค่า  F  d r มีค่าเท่ากันทั้ง งเ ้นทาง ซึ่งโดยทั่ ไปแล้ ไม่จาเป็น


C

น้า 109
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

การคาน ณงานด้ ยอินทิกรัลตามเ ้น

ใ ้ F เป็ นแรงที่ก ระท ากับ ัตถุ ที่


เคลื่ นที่ ไ ปด้ ยระยะทาง S ตามแน
เ ้ น ตรง L (ดั ง รู ป ) ถ้ า แรง F ท ามุ ม 
กั บ เ กเต ร์ นึ่ ง น่ ย T ในทิ ทาง
เดีย กับการเคลื่ นที่ข ง ัตถุ แล้ งานที่ ได้
คื W   F cos  S   F  T  S
นั่นคื งาน คื แรงในทิ ทางเดีย กับการเคลื่ นที่ข ง ัตถุ คูณกับระยะทางที่ ัตถุเคลื่ นที่ไป
แต่ปัญ าที่เราพบ ซับซ้ นก ่านี้ ถ้า ัตถุเคลื่ นที่ไปตามเ ้นโค้งเรียบ C และมีแรงต่างๆ กระทา
กับ ัตถุทจี่ ุดต่างๆ

ใ ้ r  t  เป็ น เ กเต ร์ บ กต าแ น่ ง Unit


tangent vector to C at t คื
r   t  dr
T t   
r   t  ds
dr dr dt 1 dr 1 dr
พิ ูจน์     
ds dt ds ds dt dr dt
dt dt

ต้ งการคาน ณงานที่มีแรงขนาดต่างๆ กระทากับจุดต่างๆ ขณะที่ ัตถุเคลื่ นที่ไปตามเ ้นโค้ง C


พิจารณาดังรูป ข. จะได้งาน Wk คื Wk   Fk  Tk  Sk เมื่ Sk คื ค ามยา ่ นโค้ง เริ่มจาก Pk 1
ถึง Pk
n
ดังนั้น งานร ม คื W    Fk  Tk  Sk
k 1

n
 W  lim   Fk  Tk  Sk   F  T dS
n 
k 1 C

W   F dr เนื่ งจาก T  d r


C
ds

น้า 110
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่างที่ 4.1.13 จง างานที่เกิดจากแรง F  x3 yi   x  y  j กระทากับ ัตถุที่เคลื่ นที่ตามเ ้นโค้ง


พาราโบลา y  x2 จาก  2, 4  ถึง 1,1

พิจารณา มการ ิงตั แปรเ ริม


ใ ้ x  t, y  t 2 ,  2  t  1
 r  t   ti  t 2 j


 d r  i  2t j dt 
จากโจทย์ F  x3 yi   x  y  j  t 3  t 2 i  t  t 2  j

 F  d r   t 5  1  2t  t  t 2  dt


1
1
 t 6 2t 3 2t 4 
 W   F  d r   t  2t  2t dt   
5 2 3
   12
C 2 6 3 4  2

ตั อย่างที่ 4.1.14 ใ ้ ัตถุเคลื่ นที่ใน นามด้ ยแรง F  y 2 i  2  x  1 y j ในทิ ท นเข็มนา ิกา จาก
จุด  2, 0  ไปตาม งรี มการ x2  4 y 2  4 ไปถึง  2, 0  และกลับจาก  2, 0  ไปตามแกน x จง า
งานในการเคลื่ นที่ข ง ัตถุนี้
ิธีทา

 W   F  d r   F  dr   F  dr
C C1 C2

พิจารณา C1 ใ ้ มการ ิงตั แปรเ ริม เป็นดังนี้


x  2cos t , y  sin t , 0  t  
 r  t   2cos ti  sin t j


 d r  2sin ti  cos t j dt 
จาก F  y 2 i  2  x  1 y j
 F   sin 2 t  i  2  2cos t  1 sin t j

น้า 111
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

 F  d r   2sin 3 t    4cos t  2  cos t  dt

  2sin 3 t    4cos2 t  2cos t   sin t  dt

 F  d r   2sin 3 t  4cos2 t sin t  2cos t sin t  dt



 W1   F  d r  2 sin 3 t  2cos 2 t sin t  cos t sin t dt
C1 0


 2 1  cos 2 t  sin t  2cos 2 t sin t  cos t sin t dt
0

 2 sin t  3cos 2 t sin t  cos t sin t dt
0
ใ ้ u  cos t

 2  3cos 2 t  cos t  1 sin t dt du   sin t dt
0
  u2 
 cos 2 t  2  3u 2  u  1 du  2 u 3   u   c
 2 cos3 t   cos t   2 
 2 0
 cos 2    cos 2 0 
 2  cos3    cos     cos3 0   cos 0  
 2   2 
 1   1 
 2  1   1  1   1   0
 2   2 
พิจารณา C2 พิจารณา มการ ิงตั แปรเ ริม
x  t , y  0,  2  t  2
แต่จาก F  y 2 i  2  x  1 y j  0i  0 j
 F dr  0

 W2   F dr  0
C2

 W  W1  W2  0 #

น้า 112
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

4.1.3 Independence of path ค ามเป็นอิ ระของเ ้นทาง

โดยทั่ ๆ ไป ค่าข ง ินทิกรัลตามเ ้น  F  d r ขึ้น ยู่กับ ่ นโค้ง (เ ้นทาง) C แต่ในบางกรณี


C

ค่า ินทิกรัลจะเ มื นกัน า รับทุกๆ ทางเดินที่ ยู่ในบริเ ณ D ที่มีจุดเริ่มต้นและจุดปลายเดีย กั น (ดัง


รูป) ในกรณีนี้ เราจะเรียก ินทิกรัลตามเ ้นนี้ ่า เป็น ิ ระจากเ ้นทาง ใน D ดังนั้น ใน ั ข้ นี้ เราจะ
ึก าค ามเป็น ิ ระข งเ ้นทางและ ึก า ่า นามเ กเต ร์ F ชนิดใดที่จะทาใ ้เกิดเ ตุการณ์เช่นนี้

Conservative vector fields

นามเ กเต ร์ F จะกล่า ่า Conservative ในบริเ ณ D ถ้า F คื gradient ข งฟังก์ชัน


 และ  เป็น Continuously differentiable function เรียก  ่าเป็น Scalar potential ข ง F
นั่นคื

F   า รับ  x, y  ใน D

ตั อย่ า งที่ 4.1.15 จงแ ดง ่ า นามเ กเต ร์ F  2 xyi  x 2 j เป็ น Conservative ที่ มี Scalar
potential คื   x2 y
 
ิธีทา เนื่ งจาก   i j
x y
 2 

x
 x y  i   x2 y  j
y
 2xyi  x 2 j F #

น้า 113
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ข้ ังเกต ไม่เป็นการง่ายที่จะต บได้ ่า F เป็น Conservative รื ไม่ นั่นคื ไม่ง่ายที่จะ า Scalar


potential ข ง F ซึ่งทาใ ้ F  f เราจะ ึก าต่ ไป เพื่ ต บคาถามข้างต้น ก่ น ื่นนัก ึก าต้ ง
รู้จักค าม มายข งบริเ ณที่เรียก ่า simply connected (ดังรูป) รื กล่า ได้ ่า เป็นบริเ ณที่ไม่มีรู
นั่นเ ง

A simply connected region A region that is not simply connected

ทฤ ฎีบท ใ ้ F  x, y   f  x, y  i  g  x, y  j เป็น นามเ กเต ร์ที่ f  x, y  และ g  x, y  เป็น


ฟังก์ชันต่ เนื่ ง ซึ่งมี นุพันธ์ย่ ย ันดับ นึ่งต่ เนื่ งในบริเ ณเปิด D ที่เป็น Simply connected จะ
f g
กล่า ่า F เป็น conservative ใน D ก็ต่ เมื่  ดังนั้น ถ้า F เป็น Conservative แล้
y x
   
จะต้ งมี Scalar potential  ซึง่ f i  g j  F    i j นั่นคื f  และ g
x y x y

ตั อย่ า งที่ 4.1.16 จงใช้ ท ฤ ฎี บ ทข้ า งต้ น ทด บ ่า F  x, y    x  y  i   y  x  j เป็ น


Conservative
ิธีทา ใ ้ f  x, y   y  x และ g  x, y   y  x
f g
 1 ,  1
y x
f g
จะเ ็น ่า ไม่มีจุดใดในระนาบ xy ที่จะทาใ ้ 
y x
ดังนั้น F ไม่เป็น Conservative #

น้า 114
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่า งที่ 4.1.17 ใ ้ F  x, y   2 xy3 i  1  3x 2 y 2  j จงแ ดง ่า F เป็น Conservative บน


ระนาบ xy และ า Scalar potential function  ข ง F
f
ิธีทา ใ ้ f  x, y   2 xy3   6 xy 2
y
g
และใ ้ g  x, y   1  3x 2 y 2   6 xy 2
x
f g
  ดังนั้น F เป็น Conservative นั่นคื จะ ามารถ า Scalar potential  ข ง
y x
F ซึง่ F   i.e.

 f  2 xy 3 (1)
x

และ  g  1  3x 2 y 2 (2)
y

ิธีที่ 1 จาก (1)    2xy 3dx

 x2 y3  G  y  (3) เมื่ G  y เป็นค่าคงที่ข งการ ินทิเกรต



  3x 2 y 2  G  y  (4)
y

แต่จาก (2)  1  3x 2 y 2 (5)
y
จากการเปรียบเทียบ (4) และ (5) จะได้ G  y   1

นั่นคื G  y    G  y  dy   1 dy  y  c เมื่ c เป็นค่าคงที่


ดังนั้น จาก (3) จะได้ ่า   x2 y3  y  c
ิธีที่ 2 เรา ามารถเริ่มจาก มการ (2) จะ า  โดยการ นิ ทิเกรตเทียบ y ทั้ง งข้าง จะได้
   1  3x 2 y 2 dy  y  x 2 y 3    x  *
เมื่   x เป็นค่าคงที่ข งการ ินทิเกรต

 2xy 3     x  **
x

แต่จาก (1) จะได้   2xy3 ***


x
เปรียบเทียบ ** และ *** จะได้   x  0 i.e.   x   C เมื่ C เป็นค่าคงที่
ดังนั้น จาก * จะได้   x2 y3  y  C

น้า 115
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ตั อย่ า งที่ 4.1.18 จงแ ดง ่ า นามเ กเต ร์ F   e x sin y  y  i   e x cos y  x  2  j เป็ น


Conservative และ า Scalar potential function  า รับ F
f
ิธีทา ใ ้ f  x, y   e x sin y  y   e x cos y  1
y
g
และใ ้ g  x, y   e x cos y  x  2   e x cos y  1
x
f g
  ดังนั้น F เป็น Conservative นั่นคื จะมี Scalar potential function  ซึง่
y x
 
F    i j
x y

  f  x, y   e x sin y  y (1)
x

 g  x, y   e x cos y  x  2 (2)
y

ิธีที่ 1 จาก (1) จะได้     e x sin y  y  dx

  e x sin y  xy  G  y  (3)

  e x cos y  x  G  y  (4)
y

แต่จาก (2)  e x cos y  x  2 (5)
y
ดังนั้น จากการเปรียบเทียบระ ่าง (4) และ (5) จะได้ G  y   2

 G  y    2 dy  2 y  C

ดังนั้น จาก (3) จะได้   ex sin y  xy  2 y  C


ิธีที่ 2 จาก (2) จะได้     e x cos y  x  2 dy  e x sin y  xy  2 y    x  *

  e x sin y  y     x  **
x

แต่จาก (1)  e x sin y  y ***
x
เปรียบเทียบ ** และ *** จะได้    x   0 i.e.   x   C
ดังนั้น จาก * จะได้   ex sin y  xy  2 y  C #

น้า 116
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

Testing for a conservative vector field in the plane

ตั อย่างที่ 4.1.19 จงแ ดง ่า นามเ กเต ร์ F  ye xy i   xe xy  x  j เป็น Conservative function


รื ไม่
ิธีทา ใ ้ f  ye xy และ g  xe xy  x
f   
  y  e xy   e xy  y   y  e xy  xy   e xy
y y y y
 xye xy  e xy
 e xy  xy   1
g   xy   
และ   x  e   e xy  x    1  xye xy  e xy  1
x  x x  x

จะเ ็น ่า f  g ดังนั้น F ไม่เป็น Conservative function #


y x

Fundamental Theorem on Line Integrals

Recall ถ้า นุพันธ์ ันดับ นึ่งข ง f ต่ เนื่ งบน a xb แล้


b b

 d  f  x    f   x dx  f b   f  a 
a a

ทฤ ฎีบท ใ ้ F เป็น นามเ กเต ร์ ซึ่ง Conservative บนบริเ ณ D


ใ ้  เป็น Scalar potential function for F (i.e.   F )
ใ ้ C เป็นเ ้นโค้งเรียบ ใน D ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ P และจุดปลายที่ Q แล้

 F  d r   Q     P 
C

ดังนั้น Line Integral  F  d r เป็น ิ ระจากเ ้นทาง ใน D


C

ตั อย่างที่ 4.1.20 จง า Line Integral  F  d r เมื่ F   e x sin y  y  i   e x cos y  x  z  j


C

และ C เป็นเ ้นโค้งที่ กา นดโดย r  t    t 3 sin  6  i    cos   t     j , 0  t 1


 2  2  2 2 

น้า 117
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ิธีทา จากตั ย่างที่ 4.1.18 จะเ ็น ่า F เป็น Conservative vector field และ The scalar
potential  ข ง F คื
  e x sin y  xy  2 y  c
   
จากโจทย์ เมื่ t  0; r  0   0i   cos  0    j  0i  0 j
2  2 
        
เมื่ t  1; r 1   sin  i   cos     j  i  j
 2 2  2 2  2

ดังนั้น  F  d r    Q     P    1,      0, 0 
C  2
       
 e1 sin  1    2     e0 sin 0  0  0 
 2  2   2 
 3  3
 e  0  e
 2  2

น า ม เ ก เ ต ร์ ที่ ต่ เ นื่ ง F จ ะ เ ป็ น
Conservative ใน D ก็ ต่ เมื่  F  d r  0 ในทุ ก ๆ
C

closed curve C ใน D

ตั อย่างที่ 4.1.21 ใ ้ F  x, y   e y i  xe y j
(a) จงแ ดง ่า F เป็น Conservative vector field
(b) จง างานที่เกิดจากการเคลื่ นที่ข ง ัตถุ จากจุด 1, 0  ไปยัง  1, 0 ตามครึ่ง งกลม C ที่
กา นดโดย x2  y 2  1 โดยมีแรง F กระทา ยู่

 y 
ิธีทา (a) จะเ ็น ่า
y
 e   e y   xe y 
x
ดังนั้น F เป็น Conservative vector field
ดังนั้นจะมี Scalar potential  st. F  

น้า 118
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ


นั่นคื  ey (1)
x

และ  xe y (2)
y
จาก (1);   x, y    e y dx  e y x  G  y  (3)

 xe y  G  y 
y
ดังนั้น จาก (2) จะได้ G  y   0
นั่นคื G  y   k เมื่ k เป็นค่าคงที่

จาก (3);   x, y   xe y  k

ดังนั้น w   F dr
C

   1,0    1,0 
  1 e0  1e0

 1  1
 2 #

ข้อ ังเกต การเป็น ิ ระจากเ ้นทาง ทาใ ้เราทราบ ่า ไม่ ่าจะได้เ ้นทางใด จาก 1, 0  ถึง  1, 0
ต่างก็จะได้งานเท่ากัน

พิจาณากราฟ
บน C1 ; y  0 , x  t เมื่ t  1 ถึง t  1
ดังนั้น r t   xi  y j  ti  0 j
ดังนั้น d r  i  0 j  dt
และ F t   e0 i  te0 j  i  t j
ดังนั้น F  d r  1 dt
1
ดังนั้น w   F  d r   1dt
C 1

 t 1  1  1  2
1

น้า 119
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

รื
บน C2 ; x  cos t , y  sin t , 0  t  
ดังนั้น r t    cos t  i  sin t  j
ดังนั้น d r    sin t  i   cos t  j  dt

และ F  e y i  xe y j  esin t i  cos tesin t j


ดังนั้น F  d r    sin t  esin t  cos2 tesin t  dt

ดังนั้น  F  d r     sin t  cos 2 t  esin t dt
C2 0

ซึ่งเป็นการยากที่จะคาน ณการ ินทิเกรต แต่จากทฤ ฎีบท จะเ ็น ่า เ ้น C2 จะได้ w  2 เช่นกัน #

Work expressed in scalar form

ใ ้ F  x, y   f  x, y  i  g  x, y  j
และ r  x, y   xi  y j

ดังนั้น dr 
 dxi  dy j 
ดังนั้น F dr  fdx  gdy

ดังนั้น w   F dr
C

  fdx  gdy
C

ทาน งเดีย กัน ในปริภูมิ ามมิติ


w   F  d r   fdx  gdy  hdz #
C C

ตั อย่างที่ 4.1.22 พิจารณาโค้งปิด ดังรูป จง างานที่เกิดจากแรง


F  x, y    x  xy 2  i  2  x2 y  y 2 sin y  j : f i  g j

กระทากับ ัตถุที่เคลื่ นที่ไปตามโค้งปิด C

น้า 120
บทที่ 4 ินทิกรัลตามเ ้นและตามผิ

ิธีทา
w   F dr
C

  fdx  gdy
C

 g f 
    x  y dA
A

  
    x  2 x y  2 y 2 sin y    x  xy 2 dydx
2

A
y 
1 1
   xy  2 xy dydx
0 x2
1 1
   2 xy dydx
0 x2
1
1
  x  y 2  2 dx
x
0
1
  x 1  x 4  dx
0
1
  x  x5 dx
0
1
 x2 x6 
  
 2 6 0
1 1
 
2 6
2

6
1
 #
3

Alternative Forms of Green’ Theorem

ใ ้ D เป็น Simply connected region บนโค้ง C (ทิ ท นเข็มนา ิกา) ถ้า นามเ กเต ร์
F  Pi  Q j ามารถ า นุพันธ์ได้และต่ เนื่ งบน D
ดังนั้น  F  d r   Pdx  Qdy     Q  P dA
C C  x y  D

น้า 121

You might also like