Professional Documents
Culture Documents
Spark 3
Spark 3
หลากหลายทางพันธุกรรม
ความหมายของพันธุกรรม
พันธุกรรม (Heredity)
มีตงิ่ หู ไม่มีตงิ่ หู
การถ่ ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ลักษณะทางพันธุกรรม
• ลักษณะทางพันธุกรรม เป็ นลักษณะของสิ่งมีชวี ติ
แต่ละชนิด ซึ่งลักษณะเหล่านีส้ ามารถถ่ายทอด จาก
พ่อแม่ สิ่งมีชวี ติ มีลักษณะเฉพาะตัว ลักษณะอย่างนี้
จะแตกต่างกันมากขึน้ เมื่อเราต่างพ่อแม่กัน เรียกว่า
ความแปรผันทางพันธุกรรม
ความแปรผันลักษณะทางพันธุกรรม
สามารถจาแนกได้ 2 ประเภท
1. ความแปรผันลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่ ต่อเนื่อง
(Discontinuous variation)
เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมที่สามารถแยกความแตกต่ างได้ อย่ าง
ชัดเจนเกิดจากอิทธิพลของกรรมพันธุ์เพียงอย่ างเดียว เช่ น
มีลกั ยิม้ – ไม่ มีลกั ยิม้ มีตงิ่ หู- ไม่ มีตงิ่ หู ห่ อลิน้ ได้ -ห่ อลิน้
ไม่ ได้
เป็ นลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้
อย่างชัดเจน เช่น ความสูง มีโครงร่าง สีผวิ ซึง่ เกิดจากจาก
อิทธิพลของกรรมพันธุ์และสิง่ แวดล้อมร่วมกัน เช่น ความสูง เมื่อ
ได้รบั สารอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ มีการออกกาลัง
กายก็จะทาให้ร่างกายสูงได้ ดังภาพตัวอย่าง
ความแปรผันทางพันธุกรรม ( GENETIC VARIATION )
ลักษณะของโครโมโซม
โครโมโซมและยีน
โครโมโซม (chromosome) คือสารพันธุกรรมที่อยู่
ในร่างกายมนุษย์ เป็ นตัวกาหนดลักษณะต่างๆ
เช่ น สี ตา สี ผม ความสู ง และควบคุม การทางาน ของ ร่ างกาย โครโมโซมจะอยู่
ในเซลล์ ทุกเซลล์ ในร่ างกาย ในคนปกติทวั่ ไป แต่ ละเซลล์ จะมีจานวนโครโมโซม
อยู่ท้งั หมด 23 คู่ หรื อ 46 แท่ง โดย ครึ่งหนึ่งคอื 23 แท่งเราจะได้ รับมาจากพ่อ
และอกี 23 แท่งจะได้ มาจากแม่
ภาพแสดงโครโมโซม
ลักษณะของโครโมโซม
• เมื่อมองเซลล์ผ่านกล้องจุลทรรศน์จะเห็นเส้นใยเล็กๆ พันกันอยูใ่ นนิวเคลียส เรียกว่า โครมา
ทิน (chromatin)
• เมื่อเริม่ แบ่งเซลล์ โครมาทินจะหดตัวสัน้ เข้ามีลกั ษณะเป็ นแท่ง เรียกว่า โครโมโซม
• แต่ละโครโมโซมประกอบด้วยแขน 2 ข้าง เรียกว่า โครมาทิด (chromatid)
• จุดที่เชื่อมแขนทัง้ 2 ข้างของโครโมโซมให้ติดกัน เรียกว่า เซนโทรเมียร์ (centomere)
จำนวนโครโมโซมของสิง่ มีชวี ติ
ลักษณะของเซลล์ท่ีกาลังแบ่งตัวจะเกิดโครงสร้าง
ดังนี้
โครมาทิน(chromatin)คือลักษณะเส้นยาวๆเล็กๆขดไปมา
โครโมโซม (chromosome)คือ เมื่อโครมาตินขดแน่น
มากขึ้นและหดสัน้ ลง มีลกั ษณะเป็ นแท่ง
โครมาติด (chromatid)คือ แขนสองข้างของโครโมโซม
เซนโทรเมียร์ (centromere) คือ จุดเชือ่ มระหว่างแขนทัง้
สองข้างของโครมาติด
คนโครโมโซม 46 แท่ ง หรื อ 23 คู่
แบ่ งออกเป็ น 2 ชนิด
1. โครโมโซมร่ างกาย (autosome)ซึ่งมีลกั ษณะ
เหมือนกันในเพศชายและเพศหญิงจานวน 22 คู่
2. โครโมโซมเพศ (sex chromosome) เป็ นตัว
กาหนดลักษณะของเพศคือคู่ที่ 23 ซึ่งเพศชาย
แทน XY และเพศหญิง XX
รูปแสดง โครโมโซมของเซลล์ร่างกายเพศชายและเพศหญิง
หมายถึง หน่วยพื้นฐานของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่อยู่บน
ดีเอ็นเอ เรียงกันเหมือนสร้อยลูกปั ดในโครโมโซม
ทาหน้าที่ ควบคุมลักษณะต่างๆ ทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไป
สู่ลกู หลาน ผ่านเซลล์สบื พันธุ์
มนุษย์มียนี ประมาณ 50,000 ยีน ยีนแต่ละยีนควบคุมลักษณะ
ทางพันธุกรรม เพียงลักษณะเดียว
ยีน (gene)
ยีนที่ควบคุมลักษณะพันธุกรรมบางอย่างมี 2 ชนิด คือ
1. ยีนเด่น (dominant gene)คือ ยีนที่แสดง
ลักษณะนัน้ ๆ ออกมาได้แม้มีเพียงยีนเดียว เช่น
ความสูง ถนัดขวา ตาสีนา้ ตาล ผมหยักศก มีลกั ยิ้ม
เป็ นต้น
2. ยีนด้อย (recessive gene) คือ ยีนที่แสดง
ลักษณะให้ปรากฏออกมาได้ ก็ต่อเมื่อมียนี ด้อยทัง้
สองยีนอยู่บนคู่โครโมโซม เช่น เตี้ย ถนัดซ้าย
ตาสีฟ้า ผมเหยียดตรง ไม่มีลกั ยิ้ม เป็ นต้น
ผมหยิก ผมหยิก ผมตรง ผมตรง
A ผิวปกติซึงเป็ นลักษณะเด่น
แบบฝึ กหัดข้ อ1 a ผิวเผือกซึ่งเป็ นลักษณะด้อย
พ่อ แม่
รุ่นพ่ อแม่ Aa Aa
1
เซลล์ สืบพันธุ์ A a A a
รุ่นลูก AA Aa Aa aa
ดีเอ็นเอ เป็ นสารพันธุกรรม มีชื่อวิทยาศาสตร์ วา่ กรดดีออกซี ไรโบนิ วคลีอิก ซึ่ งเป็ น
กรดนิวคลีอิก (กรดที่พบในใจกลางของเซลล์ทุกชนิด) ที่พบในเซลล์ของสิ่ งมีชีวติ ทุกชนิด
ได้แก่ คน สัตว์ พืช เชื้อรา แบคทีเรี ย ไวรัส เป็ นต้น ดีเอ็นเอบรรจุขอ้ มู ลทางพันธุกรรม
ของสิ่ งมีชีวิตชนิ ดนั้นไว้ ซึ่ งมีลกั ษณะที่ ผสมผสานมาจากสิ่ งมีชีวิตรุ่ นก่อน ซึ่ งก็คือ พ่อ
และแม่ และสามารถถ่ายทอดไปยัง สิ่ งมีชีวติ รุ่ นถัดไป ซึ่งก็คือ ลูกหลาน
ส า ย พ อ ลิ นิ ว ค ลี โ อ ไ ท ด์
(Polynucleotide) 2 สาย ยึดกันโดยการ
จับคู่กันของเบส โดยในสายพอลิ นิวคลี โอไทด์
(polynucleotide) ปลาย 3’ ของนิ วคลีโอ
ไทด์ (nucleotide) หนึ่ งจะจับกับปลาย 5’
ของนิ วคลีโอไทด์ (nucleotide) อีกอันหนึ่ ง
แต่ละสายมีทิศทางจากปลาย 5’ ไปยัง 3’ เรี ยง
ตัวกลับสวนทิศทางกัน (antiparallel)
ข้ อสรุปเกีย่ วกับ DNA ดังนี้
เซลล์พืช เซลล์สัตว์
การแบ่งเซลล ์ (CELL
DIVISION)
การเจริ ญเติบโต และการสื บพันธุ์ของสิ่ งมีชีวิตเกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์
2 ขบวนการ คือ การแบ่งตัวของนิ วเคลียส และการแบ่งตัวของไซโทพลาซึ ม เมื่อ
การแบ่งตัวของนิวเคียสสิ้นสุด ขบวนการแบ่งตัวของไซโทพลาซึมทันที
1. การแบ่ งตัวแบบไมโทซิส
2. การแบ่ งตัวแบบไมโอซิส
การแบ่งเซลล ์แบบไมโทซิส
(mitosis)
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิ ส เป็ นการแบ่งเซลล์ เพื่อเพิ่มจานวนเซลล์ของร่ างกาย
ในการเจริ ญ เติ บโต ในสิ่ งมี ชีวิตหลายเซลล์ หรื อ ในการแบ่ งเซลล์ เพื่อการสื บ พันธุ์ ใน
สิ่ งมีชีวติ เซลล์เดียว
ไม่มีการลดจานวนชุดโครโมโซม ( 2n ไป 2n หรื อ n ไป n )
• มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีมากที่สุด
• ระยะนี้ โครโมโซมจะมีความยาวมากที่สุด
• เซลล์มีการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีมากที่สุด
หรื อมีเมทาบอลิซึมสูงมาก
• เพิ่มจานวนโครโมโซม (Duplication) ขึ้นมา
อีกชุดหนึ่ง และติดกันอยูท่ ี่เซนโทรเมียร์
( 1 โครโมโซม มี 2 โครมาทิด)
2. ระยะโฟรเฟส (prophase)
• โครมาทิดหดสั้นมากที่สุด จึงสะดวก
ต่อการเคลื่อนที่ ของโครมาทิดมาก
Interphase- I
มีการสังเคราะห์ DNA อีก 1 เท่าตัว หรื อ
มีการจาลองโครโมโซม อีก 1 ชุด และยัง
ติ ด กั น อยู่ ที่ ป มเซนโทรเมี ย ร์ ดั ง นั้ น
โครโมโซม 1 แท่ง จึงมี 2 โครมาทิด
ไมโอซิส I (Meiosis - I)
Prophase - I
โฮโมโลกัส โครโมโซม มาจับคู่แนบชิ ดกัน ทา
ให้ มี ก ลุ่ ม โครโมโซม กลุ่ ม ละ 2 ท่ อ น (
bivalent) แต่ละกลุ่ม ประกอบด้วย 4 โคร
มาทิ ด ( tetrad) และเกิ ด การแลกเปลี่ ย น
ชิ้นส่วนของโครมาทิด
( crossing over)
ไมโอซิส I (Meiosis - I)
Metaphase - I
Anaphase - I
Telophase - I
โครโมโซมจะไปรวมอยู่ แต่ ละขั้วของเซลล์
ในระยะนี้ จะมีการสร้ างเยื่อหุ ้มนิ วเคลี ยส มา
ล้อมรอบโครโมโซม และแบ่งไซโทพลาสซึ ม
ออกเป็ น 2 เซลล์ เซลล์ละ n
ไมโอซิส II (Meiosis - II)
ภาพ 4 ภาพ 5
ี่ ดจากการ
ความผิดปกติทเกิ
ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
โรคพันธุกรรม
โรคพันธุกรรมมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ
โครโมโซมและความผิดปกติของหน่ วยพันธุกรรมหรือยีน
ความผิดปกติของโครโมโซม
้ วนของโครโมโซมขาดหายไปหรือเกินมา
เกิดจากชินส่
่
หรือจานวนโครโมโซมเปลียนไปจากเดิ ม ย่อมจะส่งผลต่อ
้ เพราะโครโมโซมเป็
ลักษณะทางพันธุกรรม ทังนี ้ ่ ข
นทีอยู ่ อง
ยีนจานวนมาก
ความผิดปกติของโครโมโซมย่อมก่อให้เกิดโรค
่
พันธุกรรมต่างๆ ซึงความผิ ดปกติของโครโมโซมแบ่งได้เป็ น
2 แบบ คือ
ี่ ดก ับออโตโซม
1. ความผิดปกติทเกิ
ี่ ดก ับโครโมโซมเพศ
2. ความผิดปกติทเกิ
ตัวอย่ างความผิดปกติที่เกิดกับออโตโซม
- กลุ่มอาการดาวน์ (Down's syndrome)
สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติของออโตโซม
โดยคู่ที่ 21 เกินมา 1 โครโมโซม
ลักษณะอาการ
เด็กในระยะแรกตัวอ่อนปวกเปี ยก ศีรษะแบน
ดั้งจมูกแบนตาห่ าง ตาชี้ขนึ้ บน มีลนิ้ จุกปาก
นิว้ มือสั้ นหัวใจพิการแต่
กาเนิด อายุส้ั น และปัญญาอ่อน
อาการของดาวน์ ซินโดรม
ลักษณะอาการที่ปรากฏ
จะมีลกั ษณะ หัวเล็ก
หน้ าผากแบน คางเว้า หูผดิ ปกติ ตาเล็ก
นิว้ มือบิดงอและกาเข้ าหากันแน่ น หัวใจพิการ ระบบย่ อยอาหาร
ผิดปกติ มีลกั ษณะปัญญาอ่อนอยู่ด้วย เสียชีวติ ก่ อนอายุ 1 ขวบ
รู ปแสดง ลักษณะกลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด
- กลุ่มอาการพาทัว (Patau Syndrome)
รู ปแสดงลักษณะกลุ่มอาการพาเทา
กลุ่มอาการคริดูชาต์ (Cri-du- cha syndrome)
เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 5 หายไป 1 โครโมโซม
ลักษณะอาการ
มีศีรษะเล็กกว่ าปกติ หน้ ากลม ใบหูทตี่ ่ากว่ าปกติ
ตาห่ าง มีอาการปัญญาอ่อน มีเสี ยงร้ องแหลมเล็กคล้ายเสี ยงแมวร้ อง
รู ปแสดง ลักษณะกลุ่มอาการคริดูชาต์
ความผิดปกติที่เกิดกับออโตโซม หรื อโครโมโซม
ร่ างกายคู่ที่ 1-22
- กลุ่มอาการไคลน์ เฟลเตอร์
(Klinefelter Syndrome)
สาเหตุ โครโมโซมเพศผิดปกติเกินกว่า
คนป กติ 1 โ คร โม โซม คื อ XXY มี
ประมาณ 1.3 ใน 1,000 ของผูช้ าย มีการ
เกิ ดกับแม่ที่มีอายุมาก จานวนโครโมโซม
มี 47 โครโมโซม พบในเพศชาย
อาการ อัณฑะเล็ก รู ปร่ างสู ง หน้าอกโต
เป็ นหมัน มี ส ภาพทางสมองและจิ ต ใจ
ร ะ ดั บ ต่ ากว่ า ป กติ ( ปั ญ ญ า อ่ อ น) มี
โครโมโซม = 47 โครโมโซม
(44+XXY)
รูปแสดงลักษณะกลุ่มอาการไคลน์ เฟลเตอร์
ความผิดปกติที่เกิดกับโครโมโซมเพศ
- กลุ่มอาการซูเปอร์ เมน (Super men)
1. โรคฮีโมฟีเลียเป็นโรคที่เกิดจากยีนด้อยบนโครโมโซมเพศ เมื่อพ่อเป็นโรคฮีโมฟีเลีย
แต่งงานกับแม่ที่เป็นพาหะ จงหาว่าที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็นโรคฮีโมฟีเลีย ร้อยละเท่าไร
2. โรคตาบอดสี เป็ นโรคที่เกิดจากยีนด้อยบนโครโมโซมเพศ เมื่อนนท์ปกติแต่งงาน
กับแป้ งเป็ นโรคตาบอดสี จงหาว่าลูกสาวที่เกิดมาจะมีโอกาสเป็ นโรคตาบอดสี ร้อยละ
เท่าไร
2.โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการถ่ ายทอดยีนด้อยที่อยู่บนโครโมโซมร่ างกาย คู่ที่1-22
2.1 โรคธารั ส ซี เมีย (Thalassemia) เกิ ด จากยีนด้อยบนโครโมโซมออโต
สร้างสาร ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็ นสารสี แดงในเม็ดเลือดแดง ลดน้อยลง เม็ดเลือดแดง
มี ล ัก ษณะผิ ด ปกติ แ ละแตกง่ า ย ก่ อ ให้ เ กิ ด อาการซี ด เลื อ ดจางเรื้ อรั ง และมี
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา ผูท้ ี่เป็ นโรคนี้ ได้รับยีนที่ควบคุมการสร้างเม็ดเลือด
แดงผิดปกติมาจากทั้งพ่อและแม่ ผูป้ ่ วยจะมีอาการซี ดเหลืองและตับ ม้ามโตมา
ตั้งแต่เด็ก ร่ างกายเติบโตช้า ตัวเตี้ย และน้ าหนักน้อยไม่สมอายุ หน้าแปลก จมูก
แบน หน้าผากโหนกชัน กระดูกแก้ม และขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันยื่นเขยิน ลูก
ตาอยูห่ ่างกันมากกว่าคนปกติ
2.2 โรคคนเผือก (Albinos)
ผู้ทเี่ ป็ น โรคคนเผือก เป็ นผลมาจากการขาดเอนไซม์ ทใี่ ช้ ในการสังเคราะห์ เม็ดสีเมลานิน
จึงส่ งผลทาให้ มีผวิ หนัง ผม ขน และม่ านตาสีซีด หรื อสีขาว เพราะขาดเม็ดสี เมลานิน หรื อ
มีน้อยกว่ าปกติ ทาให้ ทนแสงแดดจ้ าไม่ ค่อยได้
ลักษณะผิวเผือก เป็ นผลมาจากการขาดเอนไซม์ ทใี่ ช้ ในการสั งเคราะห์ เม็ดสี
เมลานิน จึงส่ งผลทาให้ ผวิ หนัง เส้ นผม นัยน์ ตา และเซลล์ผวิ หนังมีสีขาว
รู ปแสดงลักษณะของคนผิวเผือก
รูปแสดงลักษณะของคนผิวเผือก
2.3 โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดรู ปเคียว
หรื อโรคซิกเกิลเซลล์ (Sickle-cell)
สาเหตุเกิดจากยีนด้อยสร้ างเม็ดเลือดแดงผิดปกติจงึ ลาเลียงออกซิเจนได้ น้อย
ผู้ป่วยจะมีอาการอ่ อนเพลีย เหนื่อยง่ าย
บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
ประวัติการทดลองของเมนเดล
เกรกอร์ โยฮั น น์ เมนเดล เกิ ด ในปี
ค.ศ.1822 เป็ นบาทหลวงชาวออสเตรี ยมีความ
สนใจศึ กษาด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะด้าน
พันธุศาสตร์ เขาได้ใช้สถานที่ภายในบริ เวณวัด
เพื่ อท าการทดลองสิ่ ง ต่า งๆ ที่ เ ขาสนใจ เมน
เดลเริ่ มต้นทดลองเป็ นครั้งแรกในปี ค.ศ.1856
เรื่ องที่เขาทาการทดลองคือ การรวบรวมต้นถัว่
ลันเตา ( Pisum sativum ) จนกระทั่ง ปี
ค.ศ. 1900 เมนเดลยัง ได้รั บ การยกย่ อ งว่ า
เป็ น บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
-ปลูกง่าย
-ช่วงอายุส้ นั
-มีเมล็ดมาก
-มีการถ่ายละอองเรณู ในดอก
เดียวกัน
-มีลกั ษณะของ ลาต้น ดอก ฝัก และ
เมล็ดแตกต่างกัน อย่างชัดเจน
ลักษณะถั่วลันเตาที่นามาศึกษา
หากนาพืชต้นสูงพันธุ์แท้ (TT)
ผสมกับต้นเตี้ยแคระ (tt) จะได้
รุ่นลูก (F1 ) ที่มียีนแบบ Tt ซึ่งมี
ลักษณะต้นสูง
เมื่อนารุ่นลูก (F1 ) มาผสมพันธุ์
กัน โอกาสที่ยีนจะเข้าคู่กันมี
3 แบบ คือ TT, Tt, tt ใน
อัตราส่วน 1:2:1 ดังนั้น
รุ่นหลาน (F2) จะมีลักษณะ
ต้นสูง และต้นเตี้ยแคระ
ในอัตราส่วน 3:1
3. กฎแห่ งลักษณะเด่ น กล่ าวว่ า ลักษณะเด่ นจะข่ ม
ลักษณะด้ อยเมื่อยีนเด่ นอยู่คู่กบั ยีนด้ อย ลักษณะ
ทีแ่ สดงออกมาเป็ นลักษณะของยีนเด่ นเท่ านั้น
Test – cross
• เป็ นการผสมเพือ่ ทีจ่ ะทดสอบ genotype ของสิ่งมีชีวิต
ว่าเป็ น พันธุแ์ ท้หรือพันธุท์ าง โดยนาไปผสมกับ
Homozygous recessive
ดังนี้
เมล็ดกลม - RR หรือ Rr
เมล็ดกลม x rr เมล็ดกลม x rr
เมล็ดกลม เมล็ดกลม : เมล็ดขรขุระ
1 : 1
ดังนั้น เมล็ดกลม = RR เมล็ดกลม = Rr
Back cross
ระบบหมู่เลือดเอบีโอจัดเป็ นหมู่เลือดที่สาคัญที่สุดในการให้เลือดระบบหมู่
เลื อ ดเอบี โ อเป็ นระบบหมู่ เ ลื อ ดที่ พ บก่ อ นระบบอื่ น ๆ ค้น พบโดย
Landsteiner ในปี พ.ศ. 2443
ลักษณะของยีน ในกรุ๊ ปเลือดต่างๆ
การกระจายของหมู่เลือดใน Group A = มียนี AO หรื อ AA
คนไทย Group B = มียนี BO หรื อ BB
A 22 % Group AB = มียนี AB
B 33 % Group O = มียนี OO
AB 8 %
O 37 %
ในการให้เลือดเราจะต้องได้เลือดจากคนเลือดหมู่เดียวกันหรื อเข้ากันได้คือ
ไม่มีสารต้านต่อแอนติเจนของเลือดที่จะให้ ดังแสดงในตาราง
หมู่โลหิตอาร์เอชลบในหญิง
ในมารดาที่มีหมู่อาร์เอชลบ แต่บิดามีหมู่อาร์เอชบวก ในกรณี มารดาตั้งครรภ์แรก และ
ลูกในครรภ์มีหมู่โลหิ ตอาร์เอชบวกเหมือนพ่อ ลูกคนแรกจะปลอดภัย ถ้าตั้งครรภ์ในท้อง
ถัดมา ถ้าลูกในครรภ์มีหมู่โลหิ ตอาร์ เอชลบเหมื อนแม่ก็ไม่เป็ นปั ญหา แต่ถา้ ลูกมี หมู่
โลหิ ตอาร์ เอชบวกจะส่ งผลให้ภูมิตา้ นทานที่ มารดาสร้างขึ้นหลังคลอดลูกคนแรก ไป
ทาลายเม็ดโลหิ ตแดงของลูกคนที่สองและคนต่อๆ ไปได้ ถ้ามีหมู่โลหิ ตอาร์ เอชบวก ทา
ให้ลูกเกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง และรายที่รุนแรงอาจตายในครรภ์ได้
ความก้าวหน้าและผลของเทคโนโลยีชวี ภาพ
การโคลนพืช
การโคลนพืชซึ่งเป็ นที่รู้จกั กันมาก เนื่องจากมี
การนามาใช้ในวงการอุตสาหกรรม อย่างแพร่ หลายใน พ.ศ.
2537 ที่เรี ยกว่า การเพาะเลีย้ งเนื้อเยื่อ
้ อ
หลักการเพาะเนื อเยื ่
การโคลนนิ่ ง (Cloning)
การโคลนสั ตว์
การโคลนนิ่งสัตว์ดว้ ยวิธีการทางวิทยาศาสตร์มีอยู่ 2 วิธี คือ การถ่ายฝาก
นิวเคลียส และการแยกเซลล์หรื อตัดแบ่งตัวอ่อนในระยะก่อนการฝังตัว
ดร.เอียน วิลมุต นักวิทยาศาสตร์ ชาวสกอต ได้ โคลนแกะดอลลีส่ าเร็จในปี พ.ศ. 2540
้
ขันตอนการโคลนสั
ตว ์
4. พันธุวศ
ิ วกรรม (Genetic Engineering)
พันธุ วิศวกรรมหรื อการดัดแปรพันธุ กรรม หมายถึง การนาเอายีน
จากสิ่ งมีชีวิตหนึ่ งไปถ่ายฝากให้กบั สิ่ งมีชีวิตอื่น โดยมียีนพาหะพาไปทาให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะต่างไปจากพันธุ์เดิมที่มีอยูใ่ นธรรมชาติ
ขั้นตอนของกระบวนการพันธุวศิ วกรรมหรื อดัดแปรพันธุกรรม
สิ่ งมีชีวติ ที่ผา่ นการตัดแต่งยีนแล้ว เรี ยกว่า GMOs
(Genetically Modified Organisms) เช่น การผลิตฮอร์ โมน การ
พัฒนาสายพันธุ์จุลินทรี ยใ์ ห้สามารถย่อยสลายคราบน้ ามัน
การพัฒนาพันธุ์พืชให้ ต้านทานโรคและแมลง
การพัฒนาพันธุ์พืชให้ มคี ุณภาพผลผลิต
ความหลากหลาย
สิ่ งมีชีวต
ิ หลากหลาย ของระบบนิเวศ B
ความ
ทาให้ระบบนิเวศ (Ecological diversity) I
หลากหลาย O
หลาก
D
หลาย I
วิวฒั นาการ ความหลากหลาย V
ทาให้เกิด ของสิ่ งมีชีวต
ิ
สิ่ งมีชีวติ ชนิ ดใหม่ๆ ทาง E
(Species diversity)
R
ชี ว S
I
ความแปรผัน ความหลากหลาย ภาพ T
ทางพันธุ กรรมเป็ น ของพันธุ กรรม Y
พื้น านของ (Genetic diversity)
วิวฒ
ั นาการ
่ าง อาศัยอยูใ่ นแหล่งทีอยู
กบ เขียด อึงอ่ ่ เ่ ดียวกัน
นักเรียนคิดว่า???
แหล่งทีอยู่ ่ นี จั้ ดเป็ นความหลากหลายทางชีวภาพ
หรือไม่ เพราะอะไร
ม้า ลา
ความหลากหลายทางพันธุกรรมมีสาเหตุด ังนี ้
1. การผ่าเหล่า (Mutation) หมายถึง ลูกทีเกิ่ ดมามีลกั ษณะแตกต่างจากพ่อแม่ อาจเกิดขึน้
่
เองตามธรรมชาติ หรือได ้ร ับสารเคมี เช่น ธาตุกมั มันตร ังสี สิงแวดล ้อมเป็ นพิษ
สุนัขพันธุ ์ต่างๆ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
่ ชวี ต
2. ความหลากหลายของชนิ ดของสิงมี ิ (species diversity)
่ ชวี ต
หมายถึง ความหลากหลายของชนิดสิงมี ่ อยู่ในพืนที
ิ (species) ทีมี ้ หนึ
่ ่งนั่นเอง
่ ชวี ต
เช่น ความหลากหลายชนิ ดของสิงมี ่ ชวี ต
ิ ในทะเล ความหลากหลายของสิงมี ิ ในป่ า
ความหลากหลายของชนิดของสิงมี
่ ชวี ต ้ ดงั นี ้
ิ เกิดขึนได้
1. การวิวฒ ้
ั นาการแบบทีละเล็กละน้อย จนกระทังสามารถปร บั ตัวได ้ เช่น
วิวฒ
ั นาการของยีราฟตามแนวคิดของชาลส ์ ดาร ์วิน
ความหลากหลายของชนิดของสิงมี
่ ชวี ต ้ ดงั นี ้
ิ เกิดขึนได้
่ เหมาะสมกับการดารงชีวต
2. การคัดเลือกพันธุ ์ตามธรรมชาติ จะคัดเลือกสายพันธุ ์ทีดี ิ เอาไว ้
่
เช่น ลักษณะปากของนกฟิ นซ ์ทีเหมาะสมกั บการกินอาหาร
ความหลากหลายทางชีวภาพ
่ สงมี
ได ้แก่ ทะเลและมหาสมุทร ซึงมี ิ่ ชวี ต ้ ชายฝั่งทะเล
ิ อาศัยอยู่เป็ นจานวนมากตังแต่
ทีมี ้ั
่ ทงหาดทราย ้
หาดหิน และหาดโคลนจนถึงไหล่ทวีป พืนทะเลหรื ้
อพืนมหาสมุ ทร รวมทัง้
แนวปะการงั
ระบบนิ เวศป่ าชายเลน
เป็ นป่ าบริเวณชายฝั่งทะเลและปากแม่นาของประเทศ
้
เป็ นบริเวณนากร่้ อย สภาพดินเป็ นดินเลน ดินมีแร่ธาตุและ
สารอาหารต่างๆ อุดมสมบูรณ์ พรรณไม้ทส ่ี าคัญทีพบในป่
่ า
ชายเลน ได ้แก่ ต ้นโกงกาง ต ้นแสม ต ้นโปรงแดง เป็ นต ้น
ระบบนิ เวศป่ าไม้
เป็ นระบบนิ เวศที่ มี ค วามหลากหลายทางชีว ภาพ มี ก าร
ไหลเวียนของแร่ธาตุเป็ นแหล่งทีอยู่ ่อาศัยของพืชและสัตว ์ เป็ น
แหล่ ง อาหาร ยาร ก ั ษาโรค นอกจากนี ้ป่ าไม้ย ัง ช่ว ยร ก
ั ษา
อุณหภูมข ิ องโลกไม่ให ้สูงเกินไป
ผลของความหลากหลายทางชีวภาพ
1. ผลทีมี่ ตอ่ มนุ ษย ์ มนุ ษย ์สามารถคัดเลือกสายพันธุ ์พืชและ
สัตว ์มาใช ้ประโยชน์ตามต ้องการได ้ ไม่วา่ จะเป็ นการคัดเลือกสายพันธุ ์มา
ใช ้เป็ นอาหาร เครืองนุ ่ อ
่ ่ งห่ม ทีอยู ่ าศัย หรือใช ้เป็ นยารกั ษาโรค เช่น การ
เลือกใช ้แรงงานจากสัตว ์ๆ ให้เหมาะสม เลือกใช ้พืชตกแต่งสวนหย่อม
ช ้างลากท่อนซุง ใช ้พืชตกแต่งสวนหย่อม
ผลของความหลากหลายทางชีวภาพ
่ ตอ
2. ผลทีมี ่ สัตว ์และพืช ความหลากหลายทางชีวภาพทา
ให้สัตว ์และพืชอยูร่ วมกันในธรรมชาติอย่างสมดุล เช่น อยู่รวมกันแบบพึงพา ่
อาศัย กัน แบบอิง อาศัย กัน หรือ แบบเบีย ดเบีย นที่เรีย กว่ า ปรสิต ซึงอาจ ่
้
เกิดขึนระหว่ า งพืชกับ พืช สัตว ์กับ สัตว ์ หรือ สัตว ์กับ พืช จึง มีการถ่า ยทอด
พลังงานทาให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ
การตัดไม้ทาลายป่ า ้ นดิบ
การขุดเจาะนามั
สาเหตุทที่ าให้ความหลากหลายทาง
่
ชีวภาพเปลียนแปลง
การใช ้สารเคมีตา่ งๆ เช่น สารเคมีกาจัดศัตรูพช ื ปุ๋ ย สารเคมี
กาจัดหญ ้าหรือวัชพืชทาให ้ห่วงโซอาหารถูกทาลาย สิงมี ่ ชวี ต
ิ
บางชนิ ดขาดแคลนอาหาร แต่สงมี ่ิ ชวี ต
ิ บางชนิ ดอาจเพิม ่
ปริมาณอย่างรวดเร็ว ทาให ้เกิดการเสียดุลธรรมชาติ
สาเหตุทที่ าให้ความหลากหลาย
่
ทางชีวภาพเปลียนแปลง
2. ภัยธรรมชาติ
เช่น ไฟไหมป้ ่ า น้าท่วม เกิดพายุ แผ่นดินไหว ภูเขา
ไฟระเบิด หรือเกิดภาวะแห้งแล ้ง แต่ธรรมชาติสามารถ
ุ ธรรมชาติได ้ เนื่ องจากภัย
เกิดการปร ับตัวเข ้าสู่ดล
้ บ่อยครงเท่
ธรรมชาติเกิดขึนไม่ ้ั ากับการกระทาของ
่ ดขึนเกื
มนุ ษย ์ทีเกิ ้ อบทุกวัน
2. จัดให ้มีศน
ู ย ์อนุ ร ักษ ์หรือพิทก ่ ชวี ต
ั ษ ์สิงมี ่ าเนิ ด
ิ นอกถินก
่ น ทีพั
เพือเป็ ่ กพิงชัวคราวที
่ ่
ปลอดภั ย ก่อนนากลับไปสู่
ธรรมชาติ เช่น สวนพฤกษศาสตร ์ ศูนย ์เพาะเลียงสั ้ ตว ์
้ ม เป็ นต ้น
นาเค็