Professional Documents
Culture Documents
64 V 294 S 234 V 5 K 5 e 4
64 V 294 S 234 V 5 K 5 e 4
กันว่า เธอจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นสาวสูงวัยมาดไฮโซได้ถึงเพียงนี้
“ถามจริง นักมวยกับเมียเนี่ย อะไรส�ำคัญกว่ากันคะ”
“ก็ต้องเป็นเมียสิ” รัชชานนท์ตอบพร้อมกับพับหนังสือพิมพ์วางไว้
ข้างตัวแล้วโอบไหล่ภรรยาดึงมาแนบร่าง
“เมียกลับมาทั้งที แทนที่จะสนใจกัน” สร้อยฟ้าค่อนด้วยน�้ำเสียง
อ่อนลง
“สนใจสิ” เขาเอ่ยเอาใจพร้อมกับจูบที่หน้าผากเธอฟอดใหญ่ ก่อนจะ
รีบเปลี่ยนเรื่องไปทันทีเพราะไม่อยากให้ภรรยางอนไปกันใหญ่ “แล้วไปเข้า
เฝ้าเจ้านางจันทาคราวนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะจ๊ะ”
“ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ เจ้านางทรงตื่นเต้นมากเรื่องที่จะน�ำสร้อย
อัจนาจักระมาแสดงโชว์ทเี่ มืองไทยพร้อมกับสินค้าหัตถกรรมของเวียงพูคำ�
รับสั่งถามฉันบ่อยๆ ว่าเจทีฮอลล์ที่ปิดปรับปรุงเพื่องานนี้จะเสร็จทันไหม”
เจทีฮอลล์ทสี่ ร้อยฟ้าพูดถึงนัน้ ก็คอื ห้องโถงใหญ่สำ� หรับจัดแสดงสินค้า
ที่มีขนาด ๓,๖๐๐ ตารางเมตร บนชั้นที่สี่ของห้างสรรพสินค้าเจทีเซ็นเตอร์
ซึ่งเป็นศูนย์การค้าแบบครบวงจรภายใต้แนวคิดในการจ�ำหน่ายสินค้าแห่ง
เดียวเบ็ดเสร็จที่รชั ชานนท์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง โดยหลังจากที่เจ้าสัวซ้ง
ซึง่ มีศกั ดิเ์ ป็นตาของเขาเสียชีวติ ลง ห้างหยกฟ้าก็กลายเป็นมรดกตกทอดมา
ถึงเขาและหม่อมราชวงศ์พฒ ุ ภิ ทั ร แต่ด้วยงานช่วยเหลือสังคมของคุณหมอ
หนุม่ ในขณะนัน้ รัดตัวเหลือเกิน อีกทัง้ ยังต้องดูแลนักเรียนในโรงเรียนแพทย์
ด้วย จึงมอบหมายให้เขาเป็นผู้จัดการด�ำเนินงานแทนทั้งหมด โดยต่าง
ถือหุ้นในบริษัทหยกฟ้ากันคนละครึ่ง
แต่หลังจากบ้านเมืองเริ่มขยายตัวขึ้นเป็นล�ำดับ ท�ำให้ความต้องการ
สินค้าและบริการของคนไทยเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย รัชชานนท์จึงคิดว่า
ห้างหยกฟ้าคงไม่อาจตอบโจทย์ได้แน่ เพราะมีขนาดเล็กและไม่สามารถขยับ
ขยายได้เนื่องจากถูกสถานที่ราชการขนาบทั้งสองข้าง จึงชักชวนเหล่าสิงห์
จุฑาเทพมาลงทุนเปิดบริษัทเจที ดีเวลลอปเมนต์ จ�ำกัด อีกบริษัทหนึ่งในปี
ซ่ อ น ก ลิ่ น 9
กับการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในเวียงพูค�ำเมื่อสิบสี่ปีก่อน ผู้คนก็เลยเอามา
ผูกโยงกับตอนเสียเวียงให้นายพลเซกอง กับตอนทีน่ ายพลเซกองถูกเจ้าหลวง
รังสิมนั ตุโ์ ค่นล้มอ�ำนาจ ซึง่ ช่วงเวลาทัง้ สามเหตุการณ์ กินเวลาสิบแปดปีตาม
ค�ำสาปแช่งของพญานาคตนนั้นพอดีค่ะ”
“จริงสิ” รัชชานนท์เกาคางอย่างครุ่นคิด “ตอนเวียงแตก สร้อยก็เพิ่ง
เกิด ตอนเราไปกู้เวียงกัน ตอนนั้นสร้อยก็อายุสิบแปดพอดี แล้วสิบแปดปี
ต่อมา เจ้าชายรัชทายาทก็สนิ้ พระชนม์ดว้ ยโรคพระทัยวายทัง้ ทีไ่ ม่มวี แี่ ววมา
ก่อนว่าจะเป็นโรคนัน้ แถมมีอทุ กภัยใหญ่อกี ต่างหาก มินา่ คนถึงเอามาลือกัน
แบบนี้แล้วสร้อยยังคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญอยู่เหรอ”
“เจ้าชายสหัสรังสีทรงเป็นโรคพระทัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์แล้ว
ค่ะ แต่ทางราชส�ำนักปิดเอาไว้ พอพระโรคก�ำเริบจนถึงขัน้ สิน้ พระชนม์ ผูค้ น
ทีไ่ ม่รมู้ าก่อนจึงประหลาดใจ คนเวียงยังงมงายเรือ่ งอาถรรพ์ไสยศาสตร์อยู่
เยอะค่ะ พอมีคนมาปลุกกระแสก็เลยยิ่งเชื่อกันเข้าไปใหญ่ว่ามันเป็นเพราะ
สร้อยนั่นจริงๆ ถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ท�ำลายสร้อยนั้นทิ้ง”
“แต่เจ้าหลวงก็ไม่ได้ท�ำ”
“ค่ะ เจ้าหลวงเป็นคนสมัยใหม่และก็รดู้ วี า่ พระราชบุตรมีพระวรกาย
อ่อนแอ เลยไม่เชือ่ โปรดให้เก็บสร้อยอัจนาจักระเอาไว้ในพิพธิ ภัณฑ์ภายใน
พระราชวังแล้วเปิดให้คนเข้าชมเสียเลย โดยไม่อนุญาตให้ใครเอาไปท�ำพิธี
อะไรทั้งสิ้น ไม่นานข่าวการเรียกร้องให้ท�ำลายสร้อยก็ซาลงค่ะ”
รัชชานนท์พยักหน้า “มีต�ำนานลี้ลับแบบนี้ก็ดีนะ คนไทยชอบ สงสัย
คงจะแห่กันมาดูไม่แพ้คราวที่เสื้อหยกจักรพรรดิจีนถูกน�ำมาแสดงที่ห้าง
บางกอกบาซ่าร์ จ�ำได้ไหม”
“จ�ำได้สิคะ ตอนนั้นห้างเรายังเป็นห้างเล็กๆ อยู่เลย คุณชายพาฉัน
กับลูกๆ ไปดู ตาภูกับยายกัณอายุสิบสองสิบสามเองมั้ง สองคนนั่นตื่นตา
ตื่นใจกันใหญ่” สร้อยฟ้าเอ่ยถึงหม่อมหลวงภูธเนศกับหม่อมหลวงกัณฐิกา
ลูกชายและลูกสาวอันเป็นที่รักแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้
ซ่ อ น ก ลิ่ น 11
“เออพูดถึงตาภู ปีนี้ถึงคราวเป็นเจ้าภาพจัดงานวันเกิดของย่าอ่อน
ไม่รู้จะจัดการกันไปถึงไหนแล้วนะคะ งานจะเริ่มเย็นนี้แล้ว”
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงลูกชายสร้อยหรอก รายนั้นลองท�ำอะไรแล้วก็ต้อง
ท�ำให้ส�ำเร็จ แล้วก็ต้องท�ำให้สมบูรณ์แบบเสียด้วย ท�ำอย่างกับไม่รู้จักลูก
ตัวเองงั้นแหละ เจ้านั่นน่ะมันหนึ่งในห้าลิงจุฑาเทพเชียวนะ” รัชชานนท์ตอบ
นึกไปถึงมาดเข้มจอมเจ้ากี้เจ้าการของภูธเนศ บุตรชายคนโตของตนขึ้นมา
“แหม ทีตวั เองเป็นห้าสิงห์นะคะ ทีลกู ฉันให้เป็นลิง” สร้อยฟ้าค้อนควัก
เพราะใครๆ ทั่วกรุงก็ขนานนามให้เหล่าลูกชายคนโตของห้าสิงห์จุฑาเทพ
เป็นห้าสิงห์จุฑาเทพรุ่นที่สอง จะมีก็แต่รัชชานนท์กับพี่น้องที่เรียกเป็นห้าลิง
จุฑาเทพทุกที
“ก็มันลิงจริงๆ นี่นา รวมตัวกันทีไรได้ปวดหัวทุกที” เขาหัวเราะ
“ท�ำอย่างกับสมัยหนุ่มๆ คุณชายไม่ท�ำให้หม่อมย่าเอียดกับย่าอ่อน
ปวดหัวงั้นแหละ” สร้อยฟ้าค้อนให้อีกทีพร้อมกับฟาดฝ่ามือลงบนอกสามี
“นี่แน่ะ มาว่าลูกฉัน”
“โอ๊ย” รัชชานนท์แกล้งร้องลั่น ก่อนจะหยิกแก้มภรรยาอย่างหยอก
เอิน “แหม ใครก็ตีไม่เจ็บเท่าเจ้าสร้อยฟ้าของฉัน”
“ขืนว่าลูกฉันอีก จะหยิกให้เนื้อเขียวด้วยเสียเลย”
“ไม่แล้วจ้ะ” รัชชานนท์หัวเราะ
ไม่นานนัก รถก็เคลื่อนตัวมาจอดที่หน้ารั้วอัลลอยลวดลายวิจิตรที่มี
ตราราชสกุลจุฑาเทพประดับหรา ซึง่ ธราธรสัง่ ให้เปลีย่ นจากประตูไม้เก่าแก่
มาเป็นแบบนี้เมื่อหลายปีก่อน
คนขับรถบีบแตรเสียงดัง ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มวิ่งมาเปิดประตูให้
รัชชานนท์มองดูคนที่มาเปิดประตูแล้วก็นึกย้อนไปถึงสมัยที่ตนเป็นหนุ่ม
เจ้าส�ำราญ ตอนนั้นเมาหัวราน�้ำกลับบ้านแทบจะทุกวัน เมื่อกลับมาก็จะเห็น
เจ้าสมบุญนัง่ สัปหงกคอยเปิดประตูให้อยูท่ กุ ครัง้ ไป แต่บดั นีค้ งไม่เห็นอีกแล้ว
12 ล อ อ จั น ท ร์
เพราะสมบุญตอนนี้กลายเป็นเจ้าของอู่สามล้อไปแล้ว คงไม่มีเวลามาเปิด
ประตูให้เขาอีกแน่
“จอดส่งฉันทีห่ น้าวังนะ” รัชชานนท์เอ่ยกับคนขับรถทีพ่ ยักหน้ารับค�ำ
“อ้าว คุณชายจะไม่เข้าบ้านก่อนหรือคะ” สร้อยฟ้าเอ่ยถามอย่าง
แปลกใจ เพราะหลังจากห้าสิงห์จุฑาเทพแต่งงานกันหมดแล้ว วังทีเ่ คยกว้าง
ขวางก็คับแคบลงด้วยสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้น
เหล่าคุณชายทัง้ สีจ่ งึ ต่างคนต่างปลูกเรือนขึน้ มาใหม่ภายในบริเวณวัง
เพื่อสร้างครอบครัวของตัวเอง โดยหม่อมราชวงศ์ธราธรก็ยังคงอยู่กับ
ครอบครัวในวังจุฑาเทพ ส่วนที่เรือนริมน�้ำนั้น ชั้นบนก็ท�ำเป็นห้องประชุม
ของเหล่าห้าสิงห์จุฑาเทพรุ่นที่สอง ชั้นล่างก็ต่อเติมให้เป็นห้องนอนส�ำหรับ
ทวดอ่อน พร้อมกับจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลยีส่ บิ สีช่ วั่ โมงด้วย เพราะ
ท่านสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก
“พี่ชายใหญ่โทร. ไปหาฉันที่ออฟฟิศเมื่อเช้า บอกมีเรื่องส�ำคัญจะคุย
ด้วย แต่ฉนั บอกมีเรือ่ งส�ำคัญกว่าต้องท�ำก่อน คือต้องไปรับสร้อยทีส่ นามบิน
ก็เลยต้องมาล่าช้ากว่าคนอืน่ จ้ะ” รัชชานนท์หยอดค�ำหวานจนภรรยายิม้ แป้น
“ป่านนี้คงมากันครบแล้ว ฉันไม่อยากให้คนอื่นรอน่ะ”
“ค่า...เชิญตามสบายค่ะ เดี๋ยวเก็บของเสร็จแล้วฉันจะตามมาก็แล้ว
กันนะคะ ห้าสิงห์จุฑาเทพมารวมตัวกันแบบนี้ กลุ่มแม่บ้านจุฑาเทพคงได้
รวมตัวกันด้วย”
“จ้ะ” รัชชานนท์หอมแก้มภรรยาหนึง่ ฟอด ขณะรถจอดทีห่ น้าอาคาร
สีครีมสองชั้นหลังใหญ่ ซึ่งมียอดโดมสูงอยู่เหนือหลังคากระเบื้องว่าวสีแดง
สด ที่ยอดโดมนั้นเองคือที่รวมตัวกันของเหล่าห้าสิงห์จุฑาเทพตั้งแต่สมัย
หนุ่มๆ จนกระทั่งถึงวันนี้
รัชชานนท์ลงจากรถแล้วก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดหินอ่อน เมื่อผ่าน
เข้าไปในตัวบ้านก็เห็นที่โถงใหญ่ก�ำลังจัดเตรียมสถานที่กันอยู่อย่างขะมัก-
เขม้น จึงเดินเลี่ยงไปขึ้นบันไดซึ่งทอดตัวสู่ห้องโดม
ซ่ อ น ก ลิ่ น 13
ไม่ทันเปิดประตู รัชชานนท์ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงดังออกมา
ท�ำให้รู้ว่าตัวเองคงมาเป็นคนสุดท้ายจริงๆ
เมื่อเปิดประตูเข้าไป คุณชายทั้งสามที่ก�ำลังนั่งล้อมโต๊ะไม้สักก็หันมา
มองเขาเป็นตาเดียว ก่อนจะพากันเผยยิ้มต้อนรับ หม่อมราชวงศ์ธราธร
ผู้เป็นพี่ใหญ่ลุกขึ้น แม้จะมีอายุย่างหกสิบห้าปีแล้ว แต่ก็ยังดูคล่องแคล่ว
ทะมัดทะแมง ด้วยเป็นคนชอบบุกป่าฝ่าดง ค้นหาอารยธรรมโบราณอยูเ่ ป็น
ประจ�ำราวกับเป็น อินเดียน่า โจนส์ เมืองไทย จึงท�ำให้ร่างกายแข็งแรงและ
สมาร์ตได้อย่างที่ควรจะเป็น
“ไง ชายเล็ก สร้อยฟ้าปล่อยตัวมาแล้วเหรอ” ธราธรตบไหล่เขา
“แหม พี่ชายใหญ่ก็ พูดเสียอย่างกับผมเป็นสัตว์เลี้ยงของสร้อย
งั้นแหละ ถึงได้ถูกกักตัวแบบนั้น”
“โอ๊ย...ไอ้เรื่องกลัวเมียของหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์น่ะ เมื่อก่อนมัน
ระบือไปไกลถึงวอชิงตันเชียวนะ” หม่อมราชวงศ์ปวรรุจเอ่ยอ้างถึงเมือง
สุดท้ายทีเ่ ขาไปเป็นเอกอัครราชทูตก่อนทีจ่ ะเกษียณอายุ หยอกเย้าน้องชาย
เรียกเสียงครื้นเครงจากทุกคนไม่น้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้
“มานั่งนี่สิ เดี๋ยวฉันรินเครื่องดื่มให้”
พูดจบปวรรุจก็เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์แล้วจัดการผสมเครื่องดื่ม
ให้เหมือนเคย ทั้งที่ตัวเองเคยก้าวถึงจุดสูงสุดในอาชีพการเป็นนักการทูต
โดยเป็นถึงเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. แต่กย็ งั ไม่ทงิ้ นิสยั ชอบดูแล
พี่น้องเหมือนเดิม
“มานั่งสิชายเล็ก” หม่อมราชวงศ์พุฒิภัทรตบที่เบาะเก้าอี้พร้อมร้อง
เรียกน้องชายร่วมมารดา
เมื่อรัชชานนท์เดินไปทรุดตัวลงนั่งประจ�ำที่ ปวรรุจจึงวางเครื่องดื่ม
เอาไว้บนโต๊ะตรงหน้าเขา
“ขอบคุณครับพี่ชายรุจ”
“ไม่เป็นไร” ปวรรุจตบไหล่น้องชายแล้วทรุดตัวลงนั่ง
14 ล อ อ จั น ท ร์
มันจะจบหรือเปล่านะครับ”
“เรือ่ งการเมืองอย่าพูดถึงเลยชายพีร”์ พุฒภิ ทั รเอ่ยปราม ก่อนจะหัน
ไปหาธราธร “มาพูดเรื่องที่พ่ชี ายใหญ่นัดพวกเรามากันในวันนี้ดีกว่าครับ”
เมื่อถูกเตือนธราธรก็ถอนหายใจออกมา “ที่เรียกพวกนายมาวันนี้
ก็เพราะเห็นว่าทุกคนต่างวางเรื่องงานที่รัดตัวเพื่อมาร่วมงานวันเกิดของ
ย่าอ่อนอย่างพร้อมเพรียงกันแล้ว พี่เห็นว่าครบองค์ประชุม ก็เลยอยาก
จะนัดพวกเราคุยถึงเรื่อง...ย่าอ่อน”
“ย่าอ่อน!” สีส่ งิ ห์จฑุ าเทพร้องเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะเป็นรัชชานนท์
ที่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ท�ำไมหรือครับ”
“วันก่อนพี่เพิ่งพาย่าอ่อนไปเยี่ยมคุณอาเทวพันธ์ที่โรงพยาบาลมา”
“คุณอาเทวพันธ์หรือครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับถึงเข้าโรง-
พยาบาล” พุฒิภัทรอดถามไม่ได้ ด้วยจิตส�ำนึกของความเป็นนายแพทย์
“หมอบอกว่าเป็นเบาหวาน ความดัน แล้วก็โรคเครียด” ธราธรถอน
ใจอีกครัง้ “กลับมาจากโรงพยาบาล ย่าอ่อนก็ซมึ ๆ ไป วันก่อนมะปรางเข้าไป
พูดคุยด้วยถึงได้รวู้ า่ ย่าอ่อนยังรูส้ กึ ผิดอยูใ่ นใจเสมอทีไ่ ม่อาจท�ำตามเจตนา-
รมณ์ของท่านพ่อของพวกเราได้ เรือ่ งจะให้จฑุ าเทพดองกับเทวพรหม ยิง่ มา
เห็นสภาพของคุณอาเทวพันธ์เป็นแบบนีก้ ย็ งิ่ ท�ำให้ความรูส้ กึ ผิดในใจเพิม่ ขึน้ ”
“นัน่ สิ นอกจากคุณเกษราทีไ่ ด้ดบิ ได้ดแี ล้ว ลูกสาวอีกสองคนก็พลอย
หายสาบสูญกันไปหมดอย่างนัน้ ถึงจะร้ายจะดีกนั ขนาดไหนก็ยงั เป็นลูกอยู”่
“ใช่...ก่อนกลับ ย่าอ่อนยังรับปากว่าจะช่วยตามหาสองคนนัน่ อีกแรง
ด้วยนะ แต่คงไม่มปี ญ ั ญา เพราะอายุกม็ ากแล้ว เลยนัง่ อมทุกข์อยูค่ นเดียว”
“เอ...ทีพ่ ชี่ ายใหญ่เรียกพวกเรามาในวันนีก้ เ็ พราะต้องการให้พวกเรา
ช่วยกันตามหามารตีกับวิไลรัมภาหรือครับ แต่วิไลรัมภาเธอ...” รณพีร์
ทอดเสียงลงเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องร้ายๆ ในอดีตที่หญิงสาวท�ำเอาไว้
สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
“ไม่หรอก” ธราธรส่ายหน้า “พี่ไม่อยากให้คนจิตไม่ปกติอย่างนั้น
16 ล อ อ จั น ท ร์
เมื่อเหล่าคุณชายจุฑาเทพก้าวเข้าไปในห้องนอนของย่าอ่อน พวกเขา
ก็พบว่าผู้สูงวัยก�ำลังนอนอยู่บนเตียง โดยมีเหล่าหลานสะใภ้ห้อมล้อมคอย
ปฐมพยาบาลอยู่ กรองแก้วนั้นดูจะทะมัดทะแมงในการนี้มากกว่าใคร
เพราะเป็นถึงหัวหน้าพยาบาลหอผู้ป่วยศัลยกรรมของโรงพยาบาลชื่อดัง
“ย่าอ่อนเป็นอะไรไปหรือแก้ว” พุฒิภัทรเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากมาถึงเป็นคนแรก ก่อนจะเข้าไปจับข้อมือย่าอ่อนเพื่อตรวจชีพจร
“เป็นลมไปน่ะค่ะ”
“ท�ำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมได้” ธราธรเอ่ย
“คงเพราะจดหมายฉบับนีม้ งั้ คะ” ระวีรำ� ไพตอบพร้อมกับยืน่ กระดาษ
แผ่นหนึ่งให้สามี ก่อนจะเหลือบไปมองนางพยาบาลสาวคนใหม่เล็กน้อย
“นี่อย่าบอกนะว่า...”
“ค่ะ จดหมายจากคุณรัมภา คุณพยาบาลคนใหม่ไม่รู้ เห็นจ่าหน้าถึง
ย่าอ่อนเลยเอามาให้ ถึงเป็นลมล้มพับไปแบบนี้ละค่ะ”
ธราธรรีบดึงกระดาษแผ่นนั้นมาดู เหล่าคุณชายที่เหลือจึงเคลื่อนตัว
มายืนด้านหลังเพื่อให้เห็นข้อความในจดหมายฉบับนั้นด้วย
ส่วนที่ยืนเรียงรายราวกับแถวทหารกองเกียรติยศอยู่ตรงผนังนั้น
ก็คือบรรดาลูกๆ ของรณพีร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ร้อยเอก หม่อมหลวง
รณจักร นายทหารม้าสุดฮอตทีเ่ คยถ่ายโฆษณาน�ำ้ อัดลมสุดฮิตจนสาวๆ ทัว่
ไทยพากันหลงใหลมาแล้ว คนที่สองคือเรืออากาศตรี หม่อมหลวงรณภูมิ
นายทหารประจ�ำกองทัพอากาศไทย ผูซ้ งึ่ ไม่ชอบการแสดงทุกชนิด เรียกได้วา่
ลูกไม้หล่นไกลต้นจากมารดามาก ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นรับมรดกทาง
ความสามารถมาจากเพียงขวัญเต็มๆ นั่นคือหม่อมหลวงรณเรศ ซึ่งก�ำลัง
ร�่ำเรียนบัลเลต์ชั้นสูงอยู่ที่ฝรั่งเศส และน้องชายคนสุดท้องคือหม่อมหลวง
รณกร ซึง่ ศึกษาทางด้านภาพยนตร์อยูท่ สี่ หรัฐอเมริกา ทัง้ คูอ่ าศัยช่วงวันหยุด
คริสต์มาสกลับมาร่วมงานวันเกิดทวดอ่อน เพราะถือได้วา่ เป็นเหลนคนโปรด
ไม่ผิดกับสมัยบิดาเลยแม้แต่น้อย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ภูธเนศเอ่ยถามพลางกวาดตามองไปทั่ว
“คุณทวดป่วย” ธราธรตอบ ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “เราอาจ
ต้องเลื่อนงานวันเกิดออกไป หรืออาจต้องยกเลิก”
ภูธเนศกัดฟันแน่น สิ่งไม่คาดฝันเป็นศัตรูที่เขาไม่อาจต้านทานได้
งานทีเ่ ขาอุตส่าห์เตรียมคงจะต้องยกเลิกไป เพราะไม่มเี หตุผลทีเ่ ขาจะดึงดัน
ท�ำต่อ เนือ่ งจากสุขภาพของเจ้าของงานนัน้ ควรจะเป็นสิง่ ทีต่ ้องค�ำนึงถึงเป็น
อันดับแรก
“คุณทวดเป็นอะไรมากไหมครับ”
“ลุงภัทรของแกตรวจดูอาการให้แล้ว บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่
ตกใจจนช็อกหมดสติไปเท่านั้น ดีที่มีพยาบาลช่วยประคองไม่ให้ล้มหัวฟาด
พื้น” รัชชานนท์ตอบลูกชาย
“ตกใจหรือครับ ตกใจเรื่องอะไรครับ”
ได้ยนิ ค�ำถามเช่นนัน้ หม่อมหลวงกัณฐิกา จึงเดินมายืน่ กระดาษแผ่น
หนึ่งให้เขา ดูเหมือนน้องสาวคนเดียวของเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้อ่านมัน
ภูธเนศอ่านข้อความที่เขียนด้วยลายมืออ่อนช้อยสวยงามแล้วก็ต้อง
ซ่ อ น ก ลิ่ น 23
ตกใจ เพราะใจความของทุกอักษรนั้นเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
และค�ำสาปแช่งอันน่าสะพรึง
“วิไลรัมภา” เขาทวนชื่อที่ลงท้ายจดหมาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
น้องสาว “ใครกัน”
“กัณก็ไม่รู้ค่ะ คุณลุงใหญ่บอกให้รอคุณภูมาก่อน จะได้เล่าให้ฟัง
ทีเดียว”
ภูธเนศจึงหันไปมองผูเ้ ป็นลุง ซึง่ นัง่ เป็นประธานอยูด่ ว้ ยสีหน้าเคร่งขรึม
“วิไลรัมภาคือใครครับคุณลุงใหญ่”
ธราธรถอนใจ “เอาละ ในเมื่อมากันครบแล้ว ลุงก็จะเล่าให้พวกเธอ
ฟังอย่างละเอียดถึงที่มาที่ไปของจดหมายฉบับนั้น”
ทั้งภูธเนศและเหล่าจุฑาเทพเจเนอเรชันใหม่ต่างตั้งใจฟังกันทุกคน
ผู้เป็นประมุขวังจึงเท้าความให้ฟังว่า เดิมทีหม่อมเจ้าวิชชากรซึ่งเป็นท่านปู่
ของพวกเขานั้น เป็นเพื่อนรักกับ หม่อมราชวงศ์เทวพันธ์ เทวพรหม ทั้งคู่
เป็นสหายทีร่ กั กันมาก ถึงขนาดสัญญากันว่าจะให้ลูกคนใดคนหนึง่ แต่งงาน
กันเพือ่ จะได้เกีย่ วดองกันสืบไป แต่เมือ่ หม่อมเจ้าวิชชากรสิน้ ชีพติ กั ษัย ค�ำมัน่
สัญญานัน้ จึงตกทอดมาถึงหม่อมเอียด ซึง่ เป็นมารดาและเป็นย่าของบรรดา
ลูกๆ ของท่านซึ่งถูกขนานนามภายหลังว่า ห้าสิงห์แห่งจุฑาเทพ
แต่เมื่อบรรดาห้าสิงห์จุฑาเทพเติบโตเป็นหนุ่ม พวกเขากลับอยาก
ลิขติ ชีวติ รักของตนเอง ต่างหาทางปฏิเสธการแต่งงานกับทายาทแห่งราชสกุล
เทวพรหม จนค�ำสัญญานั้นมีอันต้องถูกลบล้างไปโดยปริยาย เมื่อทายาท
คนสุดท้ายคือรณพีร์นั้นแต่งงานกับเพียงขวัญ
ธราธรเองนั้น แม้จะเกือบได้แต่งงานกับหม่อมหลวงเกษรา แต่
จนแล้วจนรอดก็กลับได้แต่งงานกับหม่อมหลวงระวีร�ำไพ ปวรรุจเอง
ก็ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับหม่อมหลวงกระถิน ลูกพี่ลูกน้องของหม่อมหลวง
เกษรา เพื่อไปแต่งงานกับวรรณรสา ผู้เคยเป็นถึงหม่อมเจ้าหญิงมาก่อน
ส่วนพุฒิภัทรก็ปฏิเสธการแต่งงานกับหม่อมหลวงมารตี น้องสาว
24 ล อ อ จั น ท ร์
ของหม่อมหลวงเกษราเพื่อแต่งงานกับกรองแก้ว อดีตนางสาวศรีสยาม
สุดท้ายมารตีก็ตกเป็นอนุภรรยาของนายพลพินิจ แต่หลังจากท่านนายพล
เสียชีวิต มารตีซึ่งไม่ได้รับทรัพย์สมบัติอะไรจากท่านเลย ก็หายสาบสูญไป
อย่างไร้ร่องรอย
เช่นเดียวกับวิไลรัมภา ซึ่งความจริงจะต้องแต่งงานกับรณพีร์ แต่ก็
แคล้วคลาดกันเพราะเรื่องร้ายแรงที่เธอท�ำกับหม่อมเอียดไว้ ท�ำให้รณพีร์
ได้แต่งงานกับเพียงขวัญ อดีตนางเอกภาพยนตร์ไทยชื่อดังในเวลานั้น
“ส่วนพ่อ...” รัชชานนท์เอ่ยเสริมขึ้น “ทวดเอียดหมายมั่นจะให้
แต่งงานกับหม่อมหลวงศินีนุช ลูกสาวของท่านนายพล หม่อมราชวงศ์
อนุพันธ์ เทวพรหม แต่พ่อก็กลับหนีไปจนได้พบกับแม่ของลูกที่หนองคาย
และแต่งงานกันในที่สุด”
“ใช่” สร้อยฟ้าพยักหน้า “แม้ตอนนี้หม่อมหลวงศินนี ุชจะได้แต่งงาน
กับนายทหารคนหนึง่ และกลายเป็นคุณหญิงไปแล้ว แต่เวลาพบกันตามงาน
ทีไร ก็ไม่อาจมองหน้ากันติดสักครั้ง”
จากนั้นธราธรยังเล่าให้ทุกคนฟังถึงชะตากรรมของหม่อมราชวงศ์
เทวพันธ์ว่า ในคืนวันที่รณพีร์แต่งงาน วิไลรัมภาก็หนีหายออกไปจากวัง
ท�ำให้ประมุขแห่งวังเทวพรหมกลับกลายเป็นคนติดเหล้า เงินทองที่มีก็
ร่อยหรอลง แม้เกษราจะพยายามค�ำ้ จุนเท่าไรก็ยงั ไม่พอจับจ่าย เพราะกลับ
ไปติดการพนันอีกด้วย ทั้งๆ ที่เลิกมาได้พักหนึ่งแล้ว จนกระทั่งร่างกาย
ทรุดโทรม ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ไม่นานมารตีก็แพ้คดีฟ้องร้อง
ค่าเลีย้ งดูจากกองมรดกของนายพลพินจิ แล้วหนีหายไปอีกคน จนบัดนีก้ ย็ งั
หาตัวทั้งคู่ไม่พบ
“อย่างนี้เอง คุณวิไลรัมภาถึงได้เคียดแค้นชิงชังพวกเรานัก” ภูธเนศ
ร�ำพึง
“วันก่อนลุงพาคุณทวดไปเยี่ยมคุณชายเทวพันธ์มา สภาพร่างกายที่
ทรุดโทรมของคุณชายท�ำให้คณ ุ ทวดถึงกับหลัง่ น�ำ้ ตาและเศร้าซึมไปหลายวัน
ซ่ อ น ก ลิ่ น 25
เลย”
“คงเพราะรู้สึกผิดในใจ ที่ไม่อาจท�ำตามเจตนารมณ์ของท่านปู่ได้
ใช่ไหมครับ” พันตรี หม่อมหลวงอศิรเอ่ยถามบิดา
“ก็น่าจะใช่”
“ท�ำไมคุณทวดถึงยึดมัน่ ค�ำสัญญาขนาดนัน้ ล่ะครับ เท่าทีฟ่ ังมา เรือ่ ง
ทุกอย่างมันก็นา่ จะลงตัวและจบไปตัง้ นานแล้วไม่ใช่หรือครับ สัญญิงสัญญา
อะไรก็ไม่มี หรือคุณชายเทวพันธ์มีบุญคุณอะไรกับท่านปู่มากหรือครับ”
สรุจเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นหนี้บุญคุณกันหนักหนาหรอก คนสมัยก่อนโดย
เฉพาะผู้มียศศักดิ์อย่างท่านปูซ่ ึ่งเป็นถึงหม่อมเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ
แม้จะเป็นเพียงค�ำสัญญาปากเปล่า เป็นเพียงการคุยกันเล่นสนุกๆ แต่เมื่อ
ลั่นวาจาออกไปแล้วก็ถือเป็นค�ำมั่นที่มิอาจบิดพลิ้วได้ ทั้งคุณทวดเอียดและ
คุณทวดอ่อนต่างก็เป็นคนรุน่ เก่าซึง่ ยึดถือเอาค�ำมัน่ สัญญาเป็นหลัก จึงท�ำให้
รูส้ กึ ผิดอยูใ่ นใจเสมอมาทีไ่ ม่อาจท�ำตามเจตนารมณ์ของท่านปูไ่ ด้ แม้จะต้อง
ฝืนใจพยายามบังคับหลานๆ ถึงห้าครั้งห้าคราก็ตาม ยิ่งมาได้รับจดหมาย
สาปแช่งแบบนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่” ปวรรุจตอบบุตรชาย
“มารวมตัวกันอย่างนี้ก็ดีแล้วนะ ลุงจะได้ถือโอกาสก�ำชับกับพวกเรา
เสียเลยว่า ให้ชว่ ยๆ กันดูแลคุณทวดหน่อย ระยะนีก้ ห็ มัน่ แวะเวียนไปพูดคุย
รับประทานอาหารกับท่านให้มากกว่าเดิมอีกสักหน่อย จะได้ไม่มเี วลามาคิด
เรือ่ งอดีตให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ ส่วนเรือ่ งจดหมายนัน่ ลุงกับอาๆ ของพวก
เธอจะจัดการเอง” ธราธรเอ่ยเสียงเครียด
“เรือ่ งคุณทวดไม่ตอ้ งห่วงนะครับคุณลุงใหญ่ ตอนนีค้ ณ ุ กัณก็มาช่วย
งานผมไปได้เยอะแล้ว คงมีเวลาไปดูแลคุณทวดได้มากกว่าเดิม” ภูธเนศเอ่ย
“ดีแล้วละ” ธราธรพยักหน้า “ทีนี้ก็เหลือเรื่องงานวันนี้ เจ้าภาพจะเอา
อย่างไรล่ะ หือ”
ภูธเนศถอนใจเบาๆ อย่างยอมจ�ำนนต่อสถานการณ์ “ก็คงต้องยกเลิก
26 ล อ อ จั น ท ร์
ภายในมีเครื่องอ�ำนวยความสะดวกครบครัน ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ�่ำ
ภายหลังที่ทวดอ่อนเริ่มเจ็บออดๆ แอดๆ พวกเครื่องมือช่วยชีวิตที่คัดสรร
โดยพุฒิภัทรก็ถูกน�ำมาจัดวางอยู่ในห้องอย่างครบครัน เตรียมพร้อมเหตุ
ฉุกเฉินเหมือนเช่นวันนี้
เมื่อภูธเนศผลักบานประตูเข้าไป พยาบาลประจ�ำตัวของทวดอ่อนก็
วางนิตยสารในมือลงแล้วยืนขึ้นค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย
“คุณทวดเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ เมื่อครู่ก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมารับข้าวต้ม นี่ก็หลับไป
ได้ครู่ใหญ่แล้วค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียง น�้ำหนักที่กดลงบน
ฟูกคงท�ำให้ทวดอ่อนรู้สึกตัว จึงลืมตาขึ้นมา ก่อนจะยิ้มให้เขา
“คุณภูหรือลูก”
“ครับคุณทวด” เขาตอบพร้อมกับช้อนมือบางขึ้นมากุมไว้ “คุณทวด
รู้สึกอย่างไรบ้างครับ”
“ก็เพลียๆ นิดหน่อย คนแก่ก็อย่างนี้แหละ”
ทวดอ่อนเอ่ยขณะขยับลุก ภูธเนศจึงเข้าช่วยประคองแล้วปรับหมอน
ให้กลายเป็นเบาะอิงหลัง
“ถ้าอย่างนั้นคุณทวดต้องพักผ่อนมากๆ นะครับ แล้วก็อย่าคิดมาก
เรื่อง...” เขาทอดเสียงลงอย่างลังเล
“จดหมายนั่นใช่ไหม”
“เอ่อ...ครับ”
ทวดอ่อนถอนใจเฮือก ดวงตาหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด “คุณภูรู้เรื่อง
หมดแล้วใช่ไหมลูก”
“ครับ คุณลุงใหญ่กับคุณพ่อเล่าให้ฟังเมื่อครู่”
“เฮ้อ...ถึงจะเคยมีเรือ่ งมีราวกัน แต่ทวดก็ยงั รูส้ กึ เสมอนะว่าทีแ่ ม่รมั ภา
เป็นแบบนี้ ก็เพราะทวดเองนั่นแหละ”
28 ล อ อ จั น ท ร์
อะไรต่อมิอะไรได้ ขี้คร้านจะเปิดหนีไปไกลปืนเที่ยงเหมือนพ่ออีกคน”
“เป็นความคิดที่ดีนะครับ เผื่อจะได้เจอเจ้าหญิงกลางไพรเหมือน
คุณพ่อเจอคุณแม่ไงครับ”
“โอ๊ย สมัยนี้แล้ว เจ้าหญิงที่ไหนจะอยู่ในป่าในดง เวียงพูค�ำก็สงบมา
ช้านาน คงไม่มีเจ้าหญิงมาซ่อนตัวอีกแล้วมั้ง”
“ว่าได้หรือครับ บางทีอาจมีเจ้าจากเมืองไหนมาท�ำตกหล่นเอาไว้สกั คน
ก็ได้” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เออ ช่างคิดนะพ่อคุณ” ทวดอ่อนหัวเราะเอิก๊ ก่อนจะโบกมือ
“ไม่เอาละ ทวดนอนต่อดีกว่า ง่วงเหลือเกิน ไม่รู้คุณพยาบาลคนใหม่
เอายาอะไรให้กิน”
เขาหันไปมองตามสายตาท่าน ก็เห็นคุณพยาบาลคนใหม่นั่งยิ้มเจื่อน
อยู่
“คุณภูจะไปท�ำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงคนแก่อย่างทวดหรอก”
“ไม่ห่วงได้ไงกันล่ะครับ ทวดของผมทั้งคน” เขาหยอดค�ำหวานขณะ
พยุงและจัดหมอนให้ท่านนอนสบายๆ ก่อนจะช้อนมือท่านมากุมไว้อีกครั้ง
“ผมจะรอคุณทวดหลับก่อนแล้วค่อยไป”
“อือๆ” หญิงชราพยักหน้าหงึกๆ สักพักหม่อมหลวงภูธเนศก็ได้ยิน
เสียงกรนเบาๆ
เขามองใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านอย่างนึกเป็นห่วง เพราะระยะหลังนี้
สุขภาพร่างกายของทวดอ่อนก็ไม่ค่อยจะดี ยิ่งมาเจอเรื่องจดหมายบ้าๆ
นั่นอีก ก็ยิ่งทรุดลง
หลังจากนัน้ ครูใ่ หญ่ ชายหนุม่ ก็ลกุ ขึน้ แล้วก�ำชับให้พยาบาลดูแลทวด
อ่อนให้ดี อย่าให้ล้มไปอีก ก่อนออกจากห้องแล้วเดินกลับไปที่ตึกใหญ่เพื่อ
จะผ่านไปที่คฤหาสน์รัชชานนท์ซึ่งอยู่ด้านหลัง ระหว่างทางเขาสังเกตเห็นว่า
พวกพนักงานจัดงานก�ำลังขนของกลับขึ้นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่กัน
อย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะหญิงสาวหน้าใสคนนั้น
30 ล อ อ จั น ท ร์
ภูธเนศชะงักฝีเท้าเมือ่ สะดุดตากับใบหน้าขาวใสราวดวงจันทร์ประดับ
ทีไ่ ม่วา่ จะพิศครัง้ ใดก็ทำ� ให้เพลิดเพลินเจริญใจทุกครัง้ อดไม่ได้ทจี่ ะกอดอก
แล้วเอนตัวพิงเสาเรือนเพื่อมองดูเธออย่างตั้งใจ
“คุณภูคะ”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก หันไปมองก็พบว่าเป็นน้องสาวร่วมอุทรผู้มี
ใบหน้าสวยหวานคล้ายมารดาสมัยเป็นสาวทโมนไพรอยูท่ จี่ งั หวัดหนองคาย
ผิดกันก็ตรงตัดผมบ๊อบสัน้ ทันสมัย ไว้ผมหน้าม้าข้างหน้า ดูนา่ รักไปอีกแบบ
“อ้าว คุณกัณ”
“มาท�ำอะไรตรงนี้คะเนี่ย”
“เอ่อ...ก�ำลังดูคนงานขนของอยู่น่ะ”
“ดูท�ำไมคะ มีอะไรน่าสนใจหรือไง”
“เปล่านี”่ เขายักไหล่ทำ� ไก๋ “ก็แค่...แบบ...อยากให้ทกุ อย่างเรียบร้อย”
“งั้นหรือคะ” กัณฐิกาหันไปชะเง้อดูเหล่าพนักงานอย่างไม่เชื่อนัก ดีที่
สาวคนนั้นเดินกลับเข้าไปในตึกแล้ว
“แล้วนี่เรามีอะไรหรือเปล่า” ภูธเนศรีบดึงความสนใจของน้องสาว
กลับมา ก่อนที่เธอจะเห็นผู้หญิงสวยใสคนนั้นถือของเดินออกมาจากในวัง
“อ้อ คุณพ่อกับคุณแม่ให้มาตามค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องงานแสดงสินค้าหัตถกรรมเวียงพูค�ำกับสร้อยอัจนาจักระนั่น
แหละค่ะ”
“อ้อ” ภูธเนศพยักหน้า นึกไปถึงครั้งที่เห็นสร้อยเส้นนั้นครั้งแรก
ตอนที่ไปเยือนพระราชวังหลวงแห่งเวียงพูค�ำ เมื่อต้องเดินทางตามมารดา
ไปเข้าเฝ้าเจ้าหลวงรังสิมันตุ์ ผู้มีศักดิ์เป็นพระมาตุลา หรือลุงของเขา
ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่ามันเป็นสร้อยที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความลึกลับ
ด�ำมืดเสียจริงๆ
หม่อมหลวงสองพี่น้องเดินไปตามถนนลาดยางสองเลนที่เชื่อมบ้าน
ซ่ อ น ก ลิ่ น 31
ทุกหลังกับวังจุฑาเทพเอาไว้ด้วยกัน จนกระทั่งไปถึงคฤหาสน์สองชั้นสไตล์
โมเดิร์นคลาสสิกของหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์ ซึ่งเป็นอาคารที่เน้นความ
เรียบหรู ดูดีมีสไตล์ ผนังอาคารทาสีครีมล้อกับวังจุฑาเทพเหมือนกับ
กระเบื้องหลังคาที่ใช้เป็นสีแดงสดเช่นเดียวกัน ต่างกันตรงที่เป็นกระเบื้อง
โมเนีย มิใช่กระเบื้องว่าว และจุดเด่นของอาคารหลังนี้ก็น่าจะเป็นห้องโถง
แปดเหลี่ยม ซึ่งอยู่ที่มุมด้านทิศตะวันออกของอาคารนั่นเอง
สองพี่น้องเดินเข้าไปในห้องโถงแปดเหลี่ยมก็เห็นบิดามารดาก�ำลัง
นั่งคุยกันกะหนุงกะหนิงอยู่ตรงโซฟาน่าสบาย ซึ่งก็เป็นภาพที่เห็นกันจน
ชินตามาตั้งแต่เด็ก เห็นทีไรก็พานท�ำให้หัวใจอิ่มเอมทุกครั้งกับความรัก
ที่พวกท่านทั้งสองมีให้กันและกันเสมอมา
“อ้าว มาแล้วเหรอเจ้าภู ไปไหนมาล่ะ พ่อหาเสียทั่วก็ไม่เจอ”
“ผมไปเยี่ยมคุณทวดมาครับ คุณพ่อให้คุณกัณไปตามผมมา มีอะไร
หรือเปล่าครับ”
“แม่เองจ้ะที่มีธุระจะคุยด้วย” สร้อยฟ้าเอ่ยขึ้นขณะเขากับน้องสาว
ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ
“ก็เรือ่ งทีแ่ ม่ไปเวียงพูคำ� คราวนีน้ นั่ แหละ แม่ไปเข้าเฝ้าเจ้านางจันทามา
ทรงเป็นห่วงเหลือเกินว่าเจทีฮอลล์จะเสร็จไม่ทันงาน”
“ก็ไม่น่ามีปัญหานะครับ ก่อนออกมาผมก็แวะไปดู เห็นช่างท�ำงาน
กันอยู่แข็งขัน น่าจะทันนะครับ”
“เห็นไหมล่ะสร้อย ฉันบอกว่าทันก็ทันสิน่า” รัชชานนท์เอ่ย
“ค่า...” สร้อยฟ้าลากเสียงยาวกึ่งประชด
ผู้เป็นสามีหัวเราะ ก่อนจะหันมาหาลูกชาย “เอ่อเจ้าภู เดือนหน้าพ่อ
จะต้องไปดูงานที่สิงคโปร์ พ่อเลยกะว่าจะให้ภูเป็นประธานจัดงานเต็มตัวไป
เสียเลย จะไหวไหมล่ะ”
“ได้ครับคุณพ่อ”
“เห็นเจ้านางตรัสว่าจะให้องค์รัชทายาท เจ้าชายศตรัศมีเป็นหัวหน้า
32 ล อ อ จั น ท ร์
คณะมาด้วยนะ” ผู้เป็นแม่เสริม
“ไอ้เจ้า...เอ่อ...เจ้าชายศตรัศมีมาด้วยหรือครับ”
ภูธเนศเกือบหลุดปากออกไป เพราะปกติเมื่ออยู่ด้วยกันตามล�ำพัง
เขาก็มักจะพูดคุยสนิทสนมกับเจ้าชายรัชทายาทองค์นี้เสมอๆ เนื่องจากเป็น
ทั้งพระญาติและพระสหายสนิทของพระองค์ตงั้ แต่ยงั ทรงพระเยาว์ รวมไป
ถึงครัง้ ทีไ่ ปศึกษามหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ แม้เมื่อจบการศึกษาแล้ว
ต่างคนจะต่างแยกย้ายกันกลับมาตุภูมิ แต่ก็ยังคงติดต่อและไปมาหาสู่กัน
เสมอ
“แล้วพระองค์จะเสด็จมาเมืองไทยเมื่อไหร่ครับคุณแม่”
“น่าจะราวๆ กลางเดือนหน้า หมายก�ำหนดการที่แน่นอน ทางโน้น
คงแจ้งให้เราทราบอีกทีจ้ะ”
“ถ้าอย่างนัน้ พรุง่ นีผ้ มจะเซตทีมงานขึน้ มาสักชุด เพือ่ ดูแลการจัดงาน
โดยเฉพาะก็แล้วกันนะครับ”
“ให้กณ ั ช่วยไหมคะ” กัณฐิกาเสนอตัวพร้อมรอยยิม้ กรุม้ กริม่ บนใบหน้า
“คุณนุชมาลาออกแล้วไม่ใช่หรือคะ”
“อ้าว เลขาฯ ภูลาออกแล้วเหรอ ท�ำไมแม่ไม่รู้”
“ก็คณ ุ แม่หนีไปเทีย่ วเวียงพูคำ� เสียหลายวันนีค่ รับ” ภูธเนศยิม้ “คุณนุช
เธอมาลาออกเมื่อวันก่อน บอกว่าแฟนคุกเข่าขอแต่งงาน เธอว่าแต่งกันแล้ว
ว่าที่สามีอยากให้ไปช่วยงานที่บริษัทของครอบครัวน่ะครับ”
“ตายจริง ท�ำไมมันฉุกละหุกอย่างนี้ล่ะ” รัชชานนท์เอ่ย
“ฝ่ายผู้ชายเป็นคนจีนหัวโบราณหน่อยครับ หาฤกษ์มาได้กเ็ ลยอยาก
ให้รีบแต่งตามฤกษ์ เพราะกลัวว่าเลยไปจะไม่ดีกับชีวิตครอบครัวน่ะครับ
เห็นว่าเป็นวันวาเลนไทน์พอดีด้วย คุณนุชเลยจะอยู่ช่วยงานอีกถึงแค่สิ้น
เดือนมกราฯ เท่านั้นครับ”
“แล้วนี่ได้คนใหม่หรือยัง ไม่มีคนช่วย เราเองจะล�ำบากนะลูก งาน
ก็จะจัดช่วงต้นกุมภาฯ พอดีไม่ใช่เหรอ”
ซ่ อ น ก ลิ่ น 33
“ก็ประกาศรับสมัครไปสองสามวันแล้วครับ มีคนมาสมัครเยอะ
เหมือนกัน ว่าจะนัดสัมภาษณ์พร้อมกันทีเดียววันศุกร์นี้ครับ จะได้เริ่ม
ท�ำงานหลังปีใหม่เลย มีเวลาอยูก่ บั คุณนุชอีกสักเดือน จะได้ให้ชว่ ยเทรนงาน
ให้ด้วย”
“ก็ดีนะ ศุกร์นี้แม่ว่าง ไว้จะเข้าไปช่วยดูด้วย อยากได้คล่องๆ ท�ำงาน
เก่งอย่างคุณนุช จะได้ช่วยเบาแรงภูบ้าง ไม่งนั้ ท�ำงานหนักอยู่คนเดียว เดีย๋ ว
ไม่มีเวลาหาลูกสะใภ้ให้แม่ละยุ่งเลย”
“โธ่คุณแม่ วกมาเข้าเรื่องนี้เสียได้”
“ก็จริงไหมล่ะ” ผู้เป็นมารดาค้อนเข้าให้ ก่อนจะพยักพเยิดไปที่
น้องสาว
“ท�ำแต่งานจนยายกัณจะแซงหน้าแต่งงานก่อนซะละมั้ง”
“อ้าว คุณแม่คะ ท�ำไมวกมาที่กัณได้ล่ะเนี่ย”
“อย่าให้พูดเลย ไปเวียงพูค�ำคราวนี้ ผู้กองวชิระไม่เห็นหน้าใครบาง
คนก็ถึงกับหน้าบึ้งตึงทีเดียว นี่ถ้ากัณไม่เบี้ยวแม่แล้วไปด้วยกัน ผู้กองคง
ไม่อารมณ์บูดใส่คนโน้นคนนี้กระมัง”
“คุณแม่...” กัณฐิการ้องขึ้นด้วยความเขินอายจนหน้าแดงก�่ำ
เพราะพันตรีวชิระนั้นเป็นคนรักของเธอ ทั้งคู่พบกันเมื่อครั้งที่ไป
เรียนอยู่ที่อังกฤษ สองคนปลูกต้นรักด้วยกันอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้กันใน
วงสังคมว่าเป็นคูร่ กั ทีห่ วานแหววทีส่ ดุ สร้อยฟ้าเองก็ไม่ได้ขดั ขวางอะไร กลับ
ยินดีและเห็นชอบด้วยซ�้ำเพราะรู้จักกับผู้กองหนุ่มคนนี้ดี เนื่องจากบิดา
ของเขาก็คือ พลเอกจุมพล วงสะหวัน หรือที่มารดามักเรียกติดปากว่า
บักจ่อย เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เป็นเด็กอยู่กลางไพรกว้างนั่นเอง
“ไม่คุยด้วยแล้ว” หม่อมหลวงสาวสะบัดบ๊อบ ก่อนจะลุกเดินออกไป
ด้วยความขัดเขินจนไม่อาจนั่งอยู่ได้แล้ว
สร้อยฟ้านั่งยิ้ม มองตามลูกสาวไปจนลับตา ก่อนจะหันกลับมาหา
บุตรชาย
34 ล อ อ จั น ท ร์
“ยังไงแม่ฝากเรื่องจัดงานกับภูด้วยนะ”
“ไม่ตอ้ งห่วงครับคุณแม่ ผมจะดูแลให้อย่างเต็มทีเ่ ลยครับ” ชายหนุม่
เอ่ยอย่างหนักแน่น
“อืม ภูรับปากแบบนี้แม่ก็เบาใจ ขอบใจนะ”
๒
ทันทีที่รถบีเอ็มดับเบิลยูสีเข้มเงางามแล่นอย่างรวดเร็วมาจอด
ทีห่ น้าห้างสรรพสินค้าเจทีเซ็นเตอร์ ทีต่ งั้ อยูใ่ จกลางย่านราชประสงค์ เจ้าหน้าที่
รักษาความปลอดภัยของห้างก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปิดประตู
ให้ภูธเนศก้าวลงจากรถ ก่อนจะตะเบ๊ะให้เขาด้วยท่าทางขึงขัง
“ขอบใจ...ลุงแม้น” ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย
แค่นั้นก็ท�ำเอายามรักษาการณ์สูงอายุยิ้มแก้มแทบปริแล้ว เพราะ
ผู้บริหารระดับสูงน้อยคนนักที่จะจดจ�ำพนักงานระดับล่างได้ถึงขนาดเรียก
ชื่อได้อย่างแม่นย�ำเช่นนี้ การจดจ�ำใบหน้าและชื่อของคนนับเป็นคุณสมบัติ
เฉพาะตัวของภูธเนศทีท่ ำ� ให้พนักงานทุกคนรักเขา แม้เขาจะเจ้าระเบียบและ
ต้องการให้ทุกอย่างเนี้ยบที่สุด จนบางครั้งก็ถึงกับเป็นเจ้านายจอมเฮี้ยบ
ก็ตาม
เมือ่ ภูธเนศเดินผ่านประตูห้างซึง่ จะยังไม่เปิดให้ผ้คู นทัว่ ไปเข้าออกได้
36 ล อ อ จั น ท ร์
จนกว่าห้างจะเปิดในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า เขาก็หยุดยืนนิ่งแล้วกวาดตา
มองไปทั่วชั้นล่างซึ่งเป็นแผนกเสื้อผ้าสตรีและสินค้าชั้นสูงประเภทเครื่อง
ประดับและนาฬิกาแบรนด์ดังอย่างพินิจ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ดีมาก พนักงานสวมชุดยูนิฟอร์มของห้างยืนประจ�ำจุดต่างๆ พร้อมจะให้
บริการลูกค้าที่จะเข้ามาจับจ่ายสินค้าแล้ว
เขาไม่เดินตรงดิง่ ไปทีบ่ นั ไดเลือ่ นซึง่ ตัง้ อยู่กลางห้างสรรพสินค้าทันที
แต่เดินวนไปรอบชัน้ เพือ่ ตรวจตรารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทีอ่ าจผิดพลาด
ได้ จนกระทั่งรู้สึกสะดุดตาเข้ากับพนักงานหญิงคนหนึ่ง เขาหยุดยืนต่อ
หน้าเธอที่เริ่มดูลนลานขึ้นมาแล้ว
“คุณจิ๊บใช่ไหม”
“คะ...ค่ะ” พนักงานสาวตอบละล�่ำละลัก
“ป้ายชื่อไปไหน” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม
“อุ๊ย” หญิงสาวอุทานอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋า
เสื้อกั๊กแล้วหยิบป้ายชื่อออกมา
“ฉะ...ฉันลืมตะ...ติด ติดค่ะ”
ภูธเนศยกมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะดึงเอาป้ายชื่อจากมือเธอไปกลัด
ลงบนอกเสื้อกั๊กให้
“วันหลังอย่าลืมอีก เวลาลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ เขาจะได้รู้ว่า
คุณเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่แผนกไหน เข้าใจไหม...คุณจิ๊บ”
“ค...ค่ะ”
“ดีมาก” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินส�ำรวจต่อไปทั่วชั้น จากนั้น
ก็ทำ� เช่นเดียวกันกับแผนกบุรษุ และแผนกเด็กทีช่ นั้ สอง แผนกเครือ่ งใช้ไฟฟ้า
เตียงนอน เครื่องแก้วที่ชั้นสาม ปิดท้ายด้วยการเดินตรวจงานปรับปรุง
เจทีฮอลล์ที่ชั้นสี่
“งานจะเสร็จทันก�ำหนดไหมครับคุณวิบูลย์” เขาเอ่ยถามหัวหน้างาน
ควบคุมการปรับปรุงพื้นที่
ซ่ อ น ก ลิ่ น 37
“ทันแน่ครับหม่อม”
“งั้นก็ดี” ภูธเนศพยักหน้า “งานนี้เป็นงานระดับประเทศ ผมไม่อยาก
ให้มีอะไรผิดพลาด”
“ไม่มีแน่นอนครับหม่อม”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินไปที่โถงลิฟต์แล้วขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น
สิบสี่ ซึ่งเป็นโซนส�ำนักงานผู้บริหารระดับสูง จากนั้นก็เดินเข้าห้องท�ำงาน
อันโอ่โถง ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ประจ�ำต�ำแหน่งหลังโต๊ะท�ำงานขนาดใหญ่
ที่ประกอบจากไม้อย่างดี เบื้องหลังเป็นผนังกระจกสูงจดเพดาน ท�ำให้
ในเวลาว่างหรือต้องการใช้ความคิด เขาสามารถหมุนเก้าอีห้ นั ไปมองทิวทัศน์
ของเมืองหลวงได้อย่างชัดเจนทีเดียว
นุจรี เลขานุการของเขาก้าวตามมาติดๆ เธอวางถ้วยกาแฟหอมกรุ่น
ลงบนโต๊ะ ก่อนจะรายงานก�ำหนดการต่างๆ ในวันนี้อย่างคล่องแคล่ว
ภูธเนศยกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะท�ำเสียงในล�ำคออย่างพึงใจ
“ถ้าคุณลาออกไปแล้ว ต่อไปนี้ผมจะได้ดื่มกาแฟอร่อยๆ แบบนี้
อีกไหมเนี่ย”
“แหม แค่กาแฟส�ำเร็จรูปเองค่ะ ใครๆ ก็ชงได้” เลขานุการสาวยิ้ม
แป้น
“ไม่รู้สิ” เขายักไหล่ “ดื่มกาแฟที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือคุณ”
“งั้นบ่ายนี้ก็ลองให้พวกที่มาสัมภาษณ์ชงกาแฟให้ชิมสิคะ” เธอบอก
พร้อมกับวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ หน้าแฟ้มเขียนว่าประวัติผู้สมัครงาน
“ใครชงได้อร่อยถูกใจท่านกรรมการผูจ้ ดั การใหญ่กร็ บั เข้าท�ำงานเลย ไม่ตอ้ ง
สัมภาษณ์อะไรให้ยุ่งยากอีก”
เขายิ้ม “ชงกาแฟอร่อยแต่ท�ำงานไม่เป็นก็แย่นะ”
“ก็ต้องเลือกเอาละค่ะ” นุจรีหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินออกจากห้อง
ไป
ภูธเนศมองตามไปอย่างนึกเสียดาย เพราะเลขานุการทีร่ ใู้ จและท�ำงาน
38 ล อ อ จั น ท ร์
“อืม เธอว่าดูดีหรือยัง”
“สวยแล้วจ้า” เพือ่ นสาวเอ่ย ก่อนจะเดินไปเปิดตูเ้ สือ้ ผ้าท�ำเป็นฉากกัน้
ส�ำหรับแต่งตัว สักครู่เธอก็เห็นผ้าขนหนูร่วงลงกองที่ข้อเท้า “อย่างเธอน่ะ
แต่งอะไรก็ดูงามไปหมดแหละ”
“เธอก็พูดเกินไป”
ลออจันทร์เอ่ยอย่างถ่อมตน แต่ก็อดเหลือบมองและยิ้มให้ตัวเอง
ในกระจกไม่ได้
“เธอนี่โชคดีจังนะลออ สมัครงานปุ๊บก็ถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์ปั๊บ
ฉันสิ ร่อนใบสมัครไปทิ้งไว้เป็นชาติแล้ว ยังไม่เห็นมีใครเรียกสักที”
วีณาบ่นอุบ ก่อนจะปิดประตูตู้หลังจากสวมชุดชั้นในเรียบร้อย
พร้ อ มกั บ น� ำ ชุ ด ฟอร์ ม ของบริ ษั ท รั บ จั ด เลี้ ย งออกมาแขวนไว้ ต รงที่ จั บ
ประตูตู้
ลออจันทร์มองวีณาที่สวมเพียงชุดชั้นในอย่างพินิจ เพื่อนสาวนับได้
ว่ามีทรวดทรงเอวองค์งดงามไม่น้อย แถมยังดูมีมัดกล้ามนิดๆ อีกต่างหาก
หน้าท้องของเธอเป็นลอนอย่างน่าอัศจรรย์ คงเพราะต้องท�ำงานหาเงินส่งให้
แม่และน้องสาวทีต่ า่ งจังหวัด จึงท�ำให้เธอดูแกร่งใช่ยอ่ ย ส่วนใบหน้าน่ะหรือ
ก็ไม่ได้ขรี้ วิ้ ขีเ้ หร่อะไร ออกจะขาวใสเหมือนอย่างชาวเหนือ แม้จะดูจดื ไปนิด
แต่ถ้าได้แต่งแต้มด้วยเครื่องส�ำอางมีราคาอีกสักหน่อย มีหวังหนุ่มๆ เดิน
ตามกันเกรียว
“เธอไม่ลองไปแคสติงเป็นดาราหรือนางงามดูล่ะ ฉันว่าหุ่นดีๆ อย่าง
เธอ อย่างน้อยก็ต้องได้เข้ารอบสุดท้ายสักเวทีละน่า”
“โอ๊ย ฉันแสดงเป็นที่ไหนล่ะ แล้วเรื่องนางงามน่ะ แค่คิดว่าต้อง
นุ่งน้อยห่มน้อยไปยืนอยู่บนเวทีให้คนจ้องกันตาเป็นมัน ฉันก็ขาสั่นพั่บๆ
แล้ว” วีณากล่าวพร้อมหยิบกระโปรงมาสวม
ลออจันทร์ยักไหล่ “งั้นถ้าฉันได้เข้าไปท�ำงานที่ห้างเจที ฉันจะลองดู
ต�ำแหน่งที่เหมาะกับเธอดูนะ”
40 ล อ อ จั น ท ร์
ลออจันทร์ถึงกับยืนตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นตัวจริงของเขาอย่างใกล้ชิด
อย่างนี้เป็นครั้งแรก เขาดูหนุ่มกว่าที่เธอคิดส�ำหรับต�ำแหน่งผู้บริหารห้าง
สรรพสินค้าติดอันดับต้นๆ ของประเทศ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาเกลีย้ งเกลา
การแต่งกายก็สะอาดสะอ้าน เขาดูดไี ปทุกกระเบียดนิว้ เมือ่ อยูใ่ นชุดสูทสีเทา
เข้าคู่กบั เนกไทสีด�ำและเชิ้ตสีขาวสะอาด
“เชิญนั่งสิ” เขาผายมือมายังเก้าอี้หัวโต๊ะด้านตรงกันข้าม
ดวงตาด�ำขลับของเขาที่จ้องเธออย่างไม่วางตา ผนวกกับริมฝีปาก
ได้รูปสวยเป็นกระจับเวลาขยับพูดท�ำเอาเธอเหมือนถูกสะกดเอาไว้ จน
น้องสาวของเขาต้องย�้ำอีกครั้ง คล้ายเตือนสติเธอ
“เชิญค่ะ”
“ค่ะ” ลออจันทร์เอ่ยเสียงสัน่ ก่อนจะทรุดตัวลงนัง่ วางเอกสารทีห่ อบ
หิ้วมาไว้บนโต๊ะ
“ดูจากประวัติแล้ว ผลการเรียนของเธอค่อนข้างได้เปรียบทุกคน
เลยนะ” สร้อยฟ้าเอ่ยขึ้น
“ฉันโชคดีน่ะค่ะ ที่มีเพื่อนและอาจารย์คอยช่วยเหลือ”
ประธานการสัมภาษณ์ยมิ้ ก่อนจะเริม่ ถามค�ำถามเธอสลับกับลูกสาว
อยู่เกือบสิบห้านาที สร้อยฟ้าสัมภาษณ์เธอเป็นภาษาฝรั่งเศสบ้าง ภาษาไทย
บ้าง ส่วนกัณฐิกาใช้ภาษาอังกฤษกับเธอล้วนๆ แต่ภูธเนศกลับไม่ปริปาก
สักค�ำ เอาแต่จ้องเธอจนผู้เป็นมารดาถึงกับต้องสะกิด
“มีอะไรจะถามไหมตาภู”
เขาหันไปมองมารดา ก่อนจะก้มลงดูประวัติแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม
เธอ “ท�ำไมถึงไปเรียนอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์”
“คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันเดินทางไปท�ำงานทีป่ ารีสตอนฉันอายุได้สกั
สิบปีค่ะ ฉันก็เลยมีโอกาสได้ไปเรียนที่นั่น และอย่างที่บอกคือฉันได้เพื่อน
กับอาจารย์ดี จึงเป็นแรงผลักดันให้ฉนั สามารถเข้าเรียนทีซ่ อร์บอนน์ได้ค่ะ”
ลออจันทร์ตอบอย่างชัดถ้อยชัดค�ำ เล่นเอาสร้อยฟ้านัง่ ยิม้ อย่างพึงใจ
ซ่ อ น ก ลิ่ น 43
ไว้จะเสียหมด
ภูธเนศยกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะท�ำเสียงงึมง�ำในล�ำคออย่างพึงใจ
“รสชาติดีนะครับ คุณแม่กับคุณกัณจะลองดูสักถ้วยไหมครับ”
“ไม่ละ” สร้อยฟ้าโบกมือ “มีอะไรจะถามอีกไหม”
“ไม่มีแล้วครับ”
รองประธานกรรมการส่ายหน้า ก่อนจะหันมายิม้ ให้เธอ “คงไม่มอี ะไร
แล้ว คุณกลับไปก่อนนะ แล้วถ้าทางเราสรุปกันได้ยงั ไงจะให้ฝา่ ยบุคคลโทร.
ไปแจ้งนะ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเก็บข้าวของ
เดินออกจากห้องประชุมทันที
เมื่อลออจันทร์เดินออกมาจากห้องได้ เธอก็ถึงกับเป่าปากออกมา
ด้วยความโล่งอก ตอนนีผ้ ่านไปหนึง่ เปลาะแล้ว หากส�ำเร็จ เธอก็จะสามารถ
ก้าวต่อไปตามแผนได้ แต่ถ้าไม่ ก็คงต้องหาทางแทรกซึมเข้ามาที่นี่ด้วยวิธี
อื่นต่อไป
“เรียบร้อยดีนะคะ” นุจรีเอ่ยถาม
“ค่ะ” เธอยิ้มให้ ก่อนจะบอกลาแล้วปลีกตัวเดินไปที่โถงลิฟต์แล้วกด
เรียกลิฟต์
ระหว่างรอ ลออจันทร์กวาดสายตามองไปรอบๆ ทีน่ ตี่ กแต่งได้อย่าง
หรูหราน่าดูชม พื้นหินอ่อนเงาวับราวกับมีคนมาขัดถูทุกครึ่งนาที กลางโถง
มีโคมระย้าคอยส่องสว่าง ที่สุดทางเดินมีงานประติมากรรมรูปร่างแปลกๆ
ที่ดูท่าจะมีราคาแพงประดับอยู่ แต่ที่ท�ำให้เธอสนใจที่สุดกลับเป็นแผ่น
โปสเตอร์โฆษณาที่ติดอยู่ตรงผนังระหว่างลิฟต์
มันเป็นโปสเตอร์ทมี่ รี ปู สร้อยเส้นหนึง่ เป็นจุดขาย ด้านบนมีตวั อักษร
เขียนว่า ‘งานแสดงสร้อยอัจนาจักระและนิทรรศการสินค้าหัตถกรรมจาก
เวียงพูค�ำ ๑-๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕’
ไพลินเม็ดใหญ่ทปี่ ระดับอยู่กลางสร้อยนัน้ ช่างงดงามจนเธออดไม่ได้
ซ่ อ น ก ลิ่ น 45
ที่จะยื่นปลายนิ้วออกไปลูบไล้มนั แม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง
มิใช่ของจริงก็ตาม
“The Third Eye”
เสียงนั้นท�ำเอาลออจันทร์ถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อหันไปมองก็พบกับ
ชายหนุ่มซึ่งเธอไม่อยากจะพบมากที่สุดในตอนนี้
“หม่อม”
“ขอโทษที่ท�ำให้ตกใจ” เขาเอ่ยพร้อมกับล้วงสองมือเข้าไปในกระเป๋า
กางเกงอย่างมีมาด ก่อนจะพยักพเยิดไปที่โปสเตอร์
“ไพลินเม็ดนั้นถูกขนานนามว่า The Third Eye ครับ”
“เอ่อ...ค่ะ” เธอพยักหน้า “มันสวยมากเลยค่ะ”
“สวย มีเสน่ห์ และลึกลับ”
ภูธเนศเอ่ย ก่อนจะหันมามองเธอด้วยแววตามีความหมาย ราวกับ
เขาก�ำลังหมายถึงเธอ
“ลึกลับด้วยหรือคะ”
“มันมีต�ำนานอันมีมนตร์ขลังน่ะ”
เสียงเตือนจากลิฟต์ดังขึ้นก่อนประตูจะเปิด ขัดจังหวะการสนทนา
ของทั้งคู่ ภูธเนศกดปุ่มให้ประตูเปิดค้างไว้แล้วผายมือให้เธอ ลออจันทร์
จึงรีบก้าวเข้าไป แต่พอเธอหมุนตัวหันกลับไปจะกดปุ่มลงชั้นล่าง เขาก็ก้าว
ตามเข้ามา
หัวใจของเธอหล่นตุบลงไปเต้นอยู่ที่ตาตุ่ม เธอเบิกตากว้างมองเขา
กดปุ่มลงชั้นล่างด้วยความรู้สึกปวดมวนท้องชอบกล
หลังจากประตูปดิ ภูธเนศก็ถอยมายืนล้วงกระเป๋าอยูข่ า้ งๆ ลออจันทร์
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอย่างประหม่า รู้สึกแก้มร้อนซู่ชอบกล เมื่อได้มายืน
ใกล้ชิดกับหนุ่มที่ฮอตที่สุดในยุคนี้
“นี่จะกลับเลย หรือจะเดินเล่นอีกสักพัก”
“คงทานอาหารแล้วค่อยกลับค่ะ เพื่อนฉันรออยู่ที่ร้านริมระเบียง”
46 ล อ อ จั น ท ร์