Professional Documents
Culture Documents
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ั บรุี
Journal of Engineering, RMUTT
ปที 16 ฉบบัที 2 เดอืน กรกฎาคม – ธนัวาคม 2561 www.engineer.rmutt.ac.th/journal ISSN 1685-5280
การศกึษาการหมกัปยุจากเศษอนิทรยีวตัถดุวยการเตมิอากาศรวมกบัการใชครดูเอมไซม 1
Study of Organic Waste Composting with Aeration and Use of Crude Enzyme
• ฐนยีา รงัษสีรุยิะชยั และกลุยา สารชิวีนิ
สมบตัขิองเสนดายฝายทลีงแปงดวยแปงสาคู 13
Properties of Cotton Yarn Sized with Sago Starch
• บณ ิ ฑสนัต ขวญั ขาว วชิดุา จนัทรประภานนท และศริวิรรณ ศรธีรรมรงค
กลไกการเพมิประสทิธภิาพของเลเซอรสแกนเนอรทใีชสรางพนืผวิในสามมติิ 23
Performance Enhancement Mechanism of Laser Scanner for 3D Surface Reconstruction
• ธนพงษ อสุพุนัธ และปรชัญา เปรมปราณรีชัต
การแยกกลเีซอรอลออกจากไบโอดเีซลโดยใชเทคโนโลยเีมมเบรน 37
Glycerol Separation from Biodiesel by Membrane Technology
• สดุปรารถนา ถริาติ ปวณ ี า พลดัพราก ยรรยง สขุคลาย วรีนิทรดา อปัมานะ และจไุรวลัย รตันะพสิฐิ
การบำบดัสใีนนำเสยีสงัเคราะหดวยกระบวนการโฟโตคะตะลติกิรวมกบัตวัเรงปฏกิริยิา Ag-TiO2 47
Color Removal from Synthetic Wastewater by Photocatalalytic Process with Ag-TiO2 Catalyst
• ธรรมศกัดิ โรจนวริฬุห สญ ั ญา สริวิทิยาปกรณ อรวรรณ โรจนวริฬ ุ ห และกชกร สรุเนาวรตัน
การประเมนิความเสยีหายของอาคารคอนกรตีเสรมิเหลก็ภายใตแผนดนิไหวดวยขอกำหนด FEMA 356 และ มยผ.1303-57 59
Evaluation of Reinforced Concrete Building under Seismic Forces by Guideline of FEMA 356 and DPT.1303-57
• สธุน รงุเรอืง และวศิวนิทร อคัรปญ ญาธร
การประยกุตใชกระบวนการลำดบัชนัเชงิวเิคราะหในการคดัเลอืกโครงการปรบัปรงุคณ ุ ภาพเพ�อลดของเสยี: กรณศีกึษา กระบวนการผลติถงับรรจอุากาศ 71
Application of Analytic Hierarchy Process to Select Quality Improvement for Defect Reduction Projects: A Case Study of Air Tank Manufacturer
• มงคล กติตญ ิ าณขจร
การพฒ ั นากระเบอืงยางธรรมชาตผ ิ สมเศษขยะพลาสตกิเอทธลินีไวนลิอะซเิตทแบบละเอยีด 85
Development of Low Cost Natural Rubber Floor Tile Mixed with Fine Ethylene Vinyl Acetate Plastic Waste
• วหิาร ดปีญ ญา และกติตพ ิ งษ สวุโีร
การวเิคราะหความสมัพนัธระหวางกำลงัไฟฟาของเซลลแสงอาทติย และพกิดัของโหลด สำหรบัตดิตงัระบบเซลลแสงอาทติยแบบอสิระ 95
Analysis of the Relationship between Solar Power and Rated Load for Installation of Stand-Alone PV System
• ไพโรจน ทองประศรี
การสรางแหลงจายไฟฟาแรงดนัสงูจากหมอแปลงฟลายแบคสำเรจ็รปู 107
High Voltage Power Supply from Commercial Flyback Transformer
• อาทติย ยาวฑุฒิ และพสิษิฐ วมิลธนสทิธิ
การออกแบบและสรางเคร�องกะเทาะเมลด็กระบกแบบตอเน�อง 119
Design and Fabrication of Continuous Type Barking Dear’S Mango Nut Sheller
• รงุเรอืง กาลศริศิลิป วฒ ุ ชิยั ชาวสวนแพ และจตรุงค ลงักาพนิธุ
ผลติภณ ั ฑแผนฝาเพดานผสมขยุมะพราวทมีสีมบตัคิวามเปนฉนวนปองกนัความรอน 129
Coconut Coir Ceiling Board Product with Thermal Insulation Property
• ปราโมทย วรีานกุลู กติตพิงษ สวุโีร และอทิธิ วรีานกุลู
สมบตัดิานความคงทนของมอรตาร และคอนกรตีผสมสารเพมิกำลงัอดั 139
Durability Properties of Mortars and Concrete Containing Strength Enhancing Mineral Admixture
• ปตศิานต กรำมาตร ธนกฤต มณรีตัน ปานเทพ จลุนพิฐิวงษ จนิดารตัน มณเีจรญ ิ และสมนกึ ตงัเตมิสริกิลุ
อทิธพ
ิ ลของรปูรางใบตดั จำนวนใบตดั และทศิทางการเตมิตอเศษการตดัทางปาลมของเคร�องตดัทางปาลมใบตงั 151
Effect of Blade Geometries, Blade Amount, and Feed Direction on Palm Cutting Chip of Orbital Cutting Blade Palm Chopping Machine
• ไพบลูย แยมเผ�อน ปราโมทย พนูนายม วรญา วฒ ั นจติสริิ สรุตัน ตรนัวนพงศ และกติตพ ิ งษ กมิะพงศ
Determination of Physical and Thermal Properties of Herbal Compress Ball 163
• สมหมาย ตรยัไชยาพร โสภดิา ตงัคณานนท กลัยาณี นยิมสตัย กรองแกว ถวลิประภา และณฐักลั ศรสีขุ
การวเิคราะหความเสยีงโซอปุทานโดยชวีดัความสามารถในการแขงขนัของวสิาหกจิขนาดกลางและขนาดยอม : กรณศีกึษาโรงงานฉดีพลาสตกิ 173
An Analysis of Supply Chain Risk Management (SCRM) in Competitiveness Indicators : A Case study of Injection Plastics Factory
• ปฐมพงษ หอมศรี เลศิเลขา ศรรีตันะ และกฤษดา พศิลยบตุร
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี Journal of Engineering, RMUTT
ปีที่ 16 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม – ธันวาคม 2561 www.engineer.rmutt.ac.th/journal
ISSN 1685-5280
การศึกษาการหมักปุ๋ยจากเศษอินทรียวัตถุด้วยการเติมอากาศร่วมกับการใช้ครูดเอมไซม์ หน้า 1
Study of Organic Waste Composting with Aeration and Use of Crude Enzyme
โดย : ฐนียา รังษีสุริยะชัย และกุลยา สาริชีวิน
สมบัติของเส้นด้ายฝ้ายที่ลงแป้งด้วยแป้งสาคู 13
Properties of Cotton Yarn Sized with Sago Starch
โดย : บิณฑสันต์ ขวัญข้าว วิชุดา จันทร์ประภานนท์ และศิริวรรณ ศรีธรรมรงค์
กลไกการเพิ่มประสิทธิภาพของเลเซอร์สแกนเนอร์ที่ใช้สร้างพื้นผิวในสามมิติ 23
Performance Enhancement Mechanism of Laser Scanner for 3D Surface Reconstruction
โดย : ธนพงษ์ อุสุพันธ์ และปรัชญา เปรมปราณีรัชต์
การแยกกลีเซอรอลออกจากไบโอดีเซลโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรน 37
Glycerol Separation from Biodiesel by Membrane Technology
โดย : สุดปรารถนา ถิราติ ปวีณา พลัดพราก ยรรยง สุขคล้าย วีรินทร์ดา อัปมานะ และจุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ
การบำ�บัดสีใน เสียสังเคราะห์ด้วยกระบวนการโฟโตคะตะลิติกร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา Ag-TiO2 47
Color Removal from Synthetic Wastewater by Photocatalalytic Process with Ag-TiO2 Catalyst
โดย : ธรรมศักดิ์ โรจน์วิรุฬห์ สัญญา สิริวิทยาปกรณ์ อรวรรณ โรจน์วิรุฬห์ และกชกร สุรเนาวรัตน์
การประเมินความเสียหายของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กภายใต้แผ่นดินไหวด้วยข้อกำ�หนด FEMA 356 และ 59
มยผ.1303-57
Evaluation of Reinforced Concrete Building under Seismic Forces by Guideline of FEMA 356 and
DPT.1303-57
โดย : สุธน รุ่งเรือง และวิศวินทร์ อัครปัญญาธร
การประยุกต์ใช้กระบวนการลำ�ดับชั้นเชิงวิเคราะห์ในการคัดเลือกโครงการปรับปรุงคุณภาพเพื่อ 71
ลดของเสีย: กรณีศึกษา กระบวนการผลิตถังบรรจุอากาศ
Application of Analytic Hierarchy Process to Select Quality Improvement for Defect Reduction
Projects: A Case Study of Air Tank Manufacturer
โดย : มงคล กิตติญาณขจร
การพัฒนากระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษขยะพลาสติกเอทธิลีนไวนิลอะซิเตทแบบละเอียด 85
Development of Low Cost Natural Rubber Floor Tile Mixed with Fine Ethylene
Vinyl Acetate Plastic Waste
โดย : วิหาร ดีปัญญา และกิตติพงษ์ สุวีโร
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกำ�ลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ และพิกัดของโหลด 95
สำ�หรับติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์แบบอิสระ
Analysis of the Relationship between Solar Power and Rated Load for Installation of Stand-Alone
PV System
โดย : ไพโรจน์ ทองประศรี
การสร้างแหล่งจ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงจากหม้อแปลงฟลายแบคสำ�เร็จรูป หน้า 107
High Voltage Power Supply from Commercial Flyback Transformer
โดย : อาทิตย์ ยาวุฑฒิ และพิสิษฐ์ วิมลธนสิทธิ์
การออกแบบและสร้างเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบกแบบต่อเนื่อง 119
Design and Fabrication of Continuous Type Barking Dear’S Mango Nut Sheller
โดย : รุ่งเรือง กาลศิริศิลป์ วุฒิชัย ชาวสวนแพ และจตุรงค์ ลังกาพินธุ์
ผลิตภัณฑ์แผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าวที่มีสมบัติความเป็นฉนวนป้องกันความร้อน 129
Coconut Coir Ceiling Board Product with Thermal Insulation Property
โดย : ปราโมทย์ วีรานุกูล กิตติพงษ์ สุวีโร และอิทธิ วีรานุกูล
สมบัติด้านความคงทนของมอร์ต้าร์ และคอนกรีตผสมสารเพิ่มกำ�ลังอัด 139
Durability Properties of Mortars and Concrete Containing Strength Enhancing Mineral Admixture
โดย : ปิติศานต์ มาตร ธนกฤต มณีรัตน์ ปานเทพ จุลนิพิฐวงษ์ จินดารัตน์ มณีเจริญ
และสมนึก ตั้งเติมสิริกุล
อิทธิพลของรูปร่างใบตัด จำ�นวนใบตัด และทิศทางการเติมต่อเศษการตัดทางปาล์มของเครื่องตัดทางปาล์มใบตั้ง 151
Effect of Blade Geometries, Blade Amount, and Feed Direction on Palm Cutting Chip of Orbital
Cutting Blade Palm Chopping Machine
โดย : ไพบูลย์ แย้มเผื่อน ปราโมทย์ พูนนายม วรญา วัฒนจิตสิริ สุรัตน์ ตรันวนพงศ์ และกิตติพงษ์ กิมะพงศ์
Determination of Physical and Thermal Properties of Herbal Compress Ball 163
โดย : สมหมาย ตรัยไชยาพร โสภิดา ตั้งคณานนท์ กัลยาณี นิยมสัตย์ กรองแก้ว ถวิลประภา และณัฐกัล ศรีสุข
การวิเคราะห์ความเสี่ยงโซ่อุปทานโดยชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลาง 173
และขนาดย่อม : กรณีศึกษาโรงงานฉีดพลาสติก
An Analysis of Supply Chain Risk Management (SCRM) in Competitiveness Indicators :
A Case study of Injection Plastics Factory
โดย : ปฐมพงษ์ หอมศรี เลิศเลขา ศรีรัตนะ และกฤษดา พิศลยบุตร
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
คณะกรรมการจัดทำ�วารสาร
วิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
คณะกรรมการที่ปรึกษา
อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รองอธิการบดีฝายวิชาการ
คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร
กองบรรณาธิการ
ศ.(พิเศษ) อัจฉาราพร ไศละสูต 166 ซ.อาคารสงเคาระห์ ถ.พิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.สุธี อักษรกิตติ์ คณะการบิน มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
รศ.ดร.เข็มชัย เหมะจันทร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.ศิริวรรณ ศรีสรฉัตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
รศ.ดร.กัณวริช พลูปราชญ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
รศ.ดร.ธำ�รงรัตน์ มุ่งเจริญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน
รศ.ณรงค์ บวบทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ผศ.ดร.สมเจตน์ พัชรพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน
ผศ.ดร.ปฐมทัศน์ จิระเดชะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
ผศ.ดร.อังคณา พันธ์หล่อ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ดร.ชัชวาลย์ สุรัสวดี 52/14 ถ.พหลโยธิน 45 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ผศ.ดร.ศิวกร อ่างทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.จักรี ศรีนนท์ฉัตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.สมศักดิ์ แก่นทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.สุมนมาลย์ เนียมหลาง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
หัวหน้ากองบรรณาธิการ
ดร.ปรกช สิริสุวัณณ์
เลขานุการ
นางสาวอมรรัตน์ ยิ้มอยู่
ผู้ช่วยเลขานุการ
นายอัศชนะ คูเจริญไพบูลย์
ผู้ดูแลระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายพัฒณ์รพี สุนันทพจน์
Journal of Engineering, RMUTT
Editorial Board Members
Consultant Board Members
President of Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Vice President of Academic Affairs
Dean, Faculty of Engineering
Editorial Board
Adj.Prof.Atcharaporn Sailasuta 166 Soi Akhansongkhro, Pichai Rd., Dusit, Bangkok, Thailand 10300
Prof.Dr.Narongrit Sombatsompop Thai-Journal Citation Index (TCI)
Assoc.Prof.Dr.Sutee Auksonkitt School of Aviation Eastern Asia University
Assoc.Prof.Dr.Khemchai Hemachandra Faculty of Science Chulalongkorn University
Assoc.Prof.Dr.Siriwan Srisorrachatr Faculty of Engineering Srinakharinwirot University
Assoc.Prof.Dr.Ganwarich Pluphrach Faculty of Engineering Srinakharinwirot University
Assoc.Prof.Dr.Thumrongrat Mungcharoen Faculty of Engineering, Kasetsart University
Assoc.Prof.Narong Buabthong Faculty of Engineering Thammasat University
Asst.Prof.Dr.Somjate Patcharaphun Faculty of Engineering, Kasetsart University
Asst.Prof.Dr.Pathomthat Chiradeja Faculty of Engineering Srinakharinwirot University
Asst.Prof.Dr.Ankana Punlor College of Engineering Rangsit University
Dr.Chadchawarn Surussavadee 52/14 Phaholyothin 45 Rd., Ladyao, Chatuchak, Bangkok 10900
Asst.Prof.Dr.Sivakorn Angthong Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Assoc.Prof.Dr.Krischonme Bhumkittipich Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Asst.Prof.Dr.Jakkree Srinonchat Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Asst.Prof.Somsak Kanthong Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Dr.Sumonman Niamlang Faculty of Engineering Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Editor in Chief
Dr.Porakoch Sirisuwan
Secretary
Miss.Amonrat Yimyoo
Assistant Secretary
Mr.Uschana Koojarenphaiboon
System administrator
Mr.Patrapee Sunantapot
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
บรรณาธิการ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ราชมงคลธัญบุรี ปีที่ 16 ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2561 นี้
ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงรูปเล่มของวารสารหลายส่วนด้วยกัน ทั้งในการเพิ่มบทความน�ำเสนอผลงานวิจัย
ในรูปเล่มจากเดิมจ�ำนวน 8 บทความ เป็น 16 บทความ และมีการปรับรูปแบบให้รองรับเข้าสู่ฐานข้อมูลภูมิภาค
อาเซียน ASEAN Citation Index (ACI) ที่เป็นฐานข้อมูลกลางส�ำหรับรวบรวมผลงานตีพิมพ์และการอ้างอิง
จากวารสารของประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกัน
กองบรรณาธิการ
รายนามผู้ทรงคุณวุฒิผู้พิจารณาบทความ
รศ.ดร.วันชัย ริจิรวนิช คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.เข็มชัย เหมะจันทร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.อุษา แสงวัฒนาโรจน์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.สิริวรรณ กิตติเนาวรัตน์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.ชิดชนก มีใจซื่อ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำ�แหง
ผศ.ดร.ทวีชัย สำ�ราญวานิช คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ผศ.ดร.อาทิตย์ โสตรโยม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
รศ.ดร.จงจินต์ ผลประเสริฐ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผศ.ดร.อังคณา พันธ์หล่อ วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
รศ.วิชัย ฉัตรทินวัฒน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผศ.ดร.ธีระพงษ์ ว่องรัตนะไพศาล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผศ.ศิวะ อัจฉริยวิริยะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผศ.ดร.พนมกร ขวาของ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
รศ.ดร.อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
ผศ.ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
รศ.ดร.เจียรนัย เล็กอุทัย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
รศ.ดร.สัญญา มิตรเอม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
ดร.ธันยเศรษฐ์ เศรษฐบุตร สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.กัณวริช พลูปราชญ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
รศ.ดร.ศิริวรรณ ศรีสรฉัตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
รศ.ดร.เวคิน ปิยรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
ผศ.ดร.นำ�คุณ ศรีสนิท คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์)
ผศ.ดร.ปฐมทัศน์ จิระเดชะ สถาบันยุทธศาสตร์ทางปัญญาและวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผศ.ดร.วิชชากร จารุศิริ คณะวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ดร.สาธิต พุทธชัยยงค์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ผศ.ดร.ปทุมทิพย์ ปราบพาล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ดร.ประเทืองทิพย์ ปานบำ�รุง คณะอุตสาหกรรมสิ่งทอ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
ศ.ดร.ก้องกิติ พูสวัสดิ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.ดร.เพ็ญจิตร ศรีนพคุณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.วัชรินทร์ วิทยกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.ดร.ธำ�รงรัตน์ มุ่งเจริญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ผศ.ดร.สมเจตน์ พัชรพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.ดร.ทวีศักดิ์ ปิติคุณพงศ์สุข คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ผศ.สุชาติ เหลืองประเสริฐ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.ภัชราภรณ์ สุวรรณวิทยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ผศ.ดร.อนุสิษฐ์ ธนะพิมพ์เมธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.สิรี ชัยเสรี คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
รศ.ดร.วราวุธ วุฒิวณิชย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำ�แพงแสน
รศ.ดร.ธัญญา นิยมาภา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำ�แพงแสน
รศ.ดร.ทศพล พรพรหม คณะเกษตรกำ�แพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำ�แพงแสน
รศ.ดร.วิบูลย์ ชื่นแขก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รศ.ดร.สมิตร ส่งพิริยะกิจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รศ.สมเกียรติ จงประสิทธิ์พร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ผศ.ดร.กานต์ พนาศุภมัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รศ.ดร.วรรณวิทย์ แต้มทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รศ.ดร.ปานมนัส ศิริสมบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
รศ.ดร.ชวลิต เบญจางคประเสริฐ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
รศ.ดร.กนก เจนจิระพงศ์เวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
รศ.ดร.อิสระชัย งามหรู คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
รศ.ดร.วิจิตร กิณเรศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผศ.มิ่ง โลกิจแสงทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ดร.ภพ จันทร์เจริญสุข คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ศ.ดร.วราวุฒิ ครูส่ง คณะอุตสาหกรรมเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.มานะ อมรกิจบำ�รุง คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.นริส ประทินทอง คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.ธนิต สวัสดิ์เสวี คณะพลังงานสิ่งแวดล้อมและวัสดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ศ.ดร.โกสินทร์ จำ�นงไทย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.วิโรจน์ บุญอำ�นวยวิทยา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.พรเกษม จงประดิษฐ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.สมโพธิ อยู่ไว คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.ทวิช พูลเงิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ดร.ศิรินทร ทองแสง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ผศ.ดร.วีรชาติ ตั้งจิรภัทร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.รุ่งเรือง กาลศิริศิลป์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.ชัยยุทธ ช่างสาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.ณฐา คุปตัษเฐียร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.จตุรงค์ ลังกาพินธุ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.มานพ ตันตระบัณฑิตย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ธีระพงษ์ ไชยเฉลิมวงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.สุจิระ ขอจิตต์เมตต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รศ.ดร.บุญยัง ปลั่งกลาง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ศิวกร อ่างทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.วันชัย ทรัพย์สิงห์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สมชัย หิรัญวโรดม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ปิติศานต์ กร้ำ�มาตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สมหมาย ตรัยไชยาพร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.อำ�นวย เรืองวารี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ไพฑูรย์ กิติสุนทร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สมนึก สังข์หนู คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สมประสงค์ ภาษาประเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.อภิชาติ สนธิสมบัติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สุนัน ปานสาคร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.จักรี ศรีนนท์ฉัตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.สุรินทร์ แหงมงาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.จิรวัฒน์ คชสาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.อภินันท์ วัลภา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ไพฑูรย์ รักเหลือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ศุภวิทย์ ลวณะสกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.พุทธพล ทองอินทร์ดำ� คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.บุณย์ฤทธิ์ ประสาทแก้ว คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.สุรัตน์ ตรัยวนพงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.จินดารัตน์ มณีเจริญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.วีระศักดิ์ ละอองจันทร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.มนูศักดิ์ จานทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ปรัชญา เปรมปราณีรัชต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ระพี กาญจนะ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ศุภสิทธิ พงศ์ศิวะสถิตย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.มาโนช รุจิภากร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.ฐนียา รังษีสุริยะชัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.จตุพล ตั้งปกาศิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.ฉัตรชัย ศุภพิทักษ์สกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.กุลยา สาริชีวิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.บุญชัย ผึ้งไผ่งาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
อาจารย์วีระพงษ์ ครูส่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.กิตติพงษ์ กิมะพงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ศิริชัย แดงเอม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ศิริชัย ต่อสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.ฉันท์ทิพ สกุลเขมฤทัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.นิธิวัฒน์ ชูสกุล คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ดร.สนธยา ทองอรุณศรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ตาก
ดร.นเรศ อินต๊ะวงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพ
ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ แก้วกุลชัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
รศ.ดร.ยุทธชัย บรรเทิงจิตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ
ดร.ประธาน วงศ์ศริเวช ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำ�นักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช)
รศ.จิราภรณ์ เบญจประกายรัตน์ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ดร.ชาญยุทธ กฤตสุนันท์กุล คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร
รศ.ดร.สมใจ ขจรชีพพันธุ์งาม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
รศ.ดร.ดนุพล ตันนโยภาส คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ดร.วิวัฒน์ พัวทัศนานนท์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
รศ.ดร.พันธุดา พุฒิไพโรจน์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
รศ.ณรงค์ บวบทอง นักวิชาการอิสระ
รศ.ดร.ณรงค์ อยู่ถนอม นักวิชาการอิสระ
Peer Reviews
Abstract
The study of organic waste composting with aeration and by adding crude enzyme powder from
Trichoderma reesei and mixed-type between Trichoderma reesei and Saccharomyces cerevisiae was
conducted to compare the characteristics of compost using 24 hours operated and periodically every
6 hours operated aerator combined with the different amounts of crude enzyme. The results showed
that the temperature during the experimental process is in the range of 28-41 °C which is usually called
mesophilic phase. The moisture content ranged between 47-90% of which the higher humidity occurred
at the beginning caused the slow process of fermentation. At the end of the experiment, pH was found in
the range of 8-9 and phosphorus contained in the compost was in the range between 0.66 to 1.05%. The
characteristics of the fertilizer nutrients N, P, K, in almost compost crates met the requirements nutrients
for standard compost. Carbon to Nitrogen ratio (C/N ratio) of crate no.1 (24 hrs. operated aerator with 180g
Trichoderma reesei added) is the only crate that met the standard composting with C/N of 20:1. The C/N
ratio of crates no.2-8 were approximately 30:1. By considering the aeration patterns, the 24 hrs. operated
aerator was considered the best condition for this study and a crate no.1 (24 hrs. operated aerator with 180g
Trichoderma reesei added) demonstrated the best results to satisfy the standard compost.
Keywords: crude enzyme, organic waste, compost, aeration bin.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 1
1. บทน�ำ อัตราการย่อยสลายเศษพืชภายในกองปุ๋ยให้เร็วขึ้น
ขยะได้กลายมาเป็นปัญหาส�ำคัญระดับชาติ และเป็ น แหล่ ง ไนโตรเจนและแหล่ ง จุ ลิ น ทรี ย ์ ข อง
อันเนื่องมาจากจ�ำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นและมีการ กองปุ๋ย มูลสัตว์ที่นิยมใช้ในการหมักปุ๋ยได้แก่ มูลวัว
อุปโภคบริโภคในแต่ละวันเป็นจ�ำนวนมาก จากการ มูลไก่ มูลสุกร อย่างไรก็ดี การท�ำปุ๋ยหมักยังมีจุลินทรีย์
ส�ำรวจข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2558 ประเภทอื่นที่อาจไม่ได้อยู่ในมูลสัตว์จ�ำพวกนี้ อาจมี
มีปริมาณขยะมูลฝอยทั้งสิ้น 26.85 ล้านตัน โดยมีขยะ ส่ ว นช่ ว ยในการหมั ก ปุ ๋ ย ให้ ไ ด้ คุ ณ ภาพที่ ดี ขึ้ น หรื อ
มูลฝอยที่ถูกน�ำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น 4.94 ล้านตัน เร็วขึ้น เช่น เชื้อรา ยีสต์ เป็นต้น โดยจากการศึกษา
หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมด งานวิจัยพบว่าเชื้อราและยีสต์มีส่วนช่วยในการเพิ่ม
[1] โดยขยะมูลฝอยที่น�ำมาใช้ประโยชน์ได้นั้นส่วนใหญ่ ประสิ ท ธิ ภ าพการหมั ก เอทานอลและการหมั ก ปุ ๋ ย
คือขยะมูลฝอยประเภทขยะอินทรียวัตถุ เศษอาหาร [3-5] นอกจากนี้การหมักด้วยวิธีตามธรรมชาตินั้น
และเศษผักผลไม้ ซึ่งขยะมูลฝอยเหล่านี้ถ้าน�ำไปก�ำจัด ต้องใช้ระยะเวลาในการหมักค่อนข้างนานและใช้พื้นที่
ด้วยการน�ำไปผังกลบหรือการเผาจะท�ำให้เป็นภาระ มาก ดังนั้นการเติมอากาศจึงเป็นวิธีการที่ช่วยให้การ
ค่าใช้จ่ายในการก�ำจัดเป็นมูลค่าสูง จากคุณสมบัติของ หมักเร็วขึ้นและไม่มีกลิ่นเหม็นอีกด้วย [6-7]
ความชื้นที่มีมาก รวมถึงเสียคุณประโยชน์เนื่องจาก ดั ง นั้ น งานวิ จั ย นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ศึ ก ษา
ขยะมูลฝอยเหล่านี้สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ คุณลักษณะของปุ๋ยหมัก ที่เกิดขึ้นจากการหมักปุ๋ยด้วย
หลายรูปแบบ รูปแบบหนึง่ ทีเ่ ป็นทางเลือกทีน่ ยิ มในการ เศษอินทรียวัตถุโดยการเพิ่มครูดเอมไซม์ผงสองชนิด
น�ำขยะอินทรีย์เหล่านี้ไปใช้ ได้แก่ การน�ำไปท�ำปุ๋ยหมัก คือจากเชื้อเดี่ยว Trichoderma reesei และเชื้อผสม
เนื่ อ งจากขยะอิ น ทรี ย ์ ส ามารถย่ อ ยสลายได้ ต าม ระหว่าง Trichoderma reesei และ Saccharomyces
ธรรมชาติและมีเสถียรภาพโดยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม cerevisiae รวมถึงเพื่อเปรียบเทียบรูปแบบการเติม
ผลิตภัณฑ์สดุ ท้ายของกระบวนการนีค้ อื ปุย๋ หมักซึง่ เป็น อากาศในถังหมักที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการพัฒนา
วัตถุดิบที่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้ทางการเกษตร เป็นถังหมักปุ๋ยในครัวเรือนต่อไปในอนาคต
มี ค วามเหมาะสมกั บ ประเทศไทยเนื่ อ งจากเป็ น
ประเทศเกษตรกรรม ท�ำให้ลดการน�ำเข้าของปุ๋ยเคมี 2. วิธีด�ำเนินงานวิจัย
ที่ท�ำลายดิน 2.1. อุปกรณ์และเครี่องมือ
ในการท�ำปุย๋ หมักการย่อยสลายปุย๋ หมักเกิดขึน้ ถังหมักที่ใช้ในการทดลองมีทั้งหมด 8 ถัง
ได้จากกระบวนการย่อยสลาย 3 ระยะ โดยในขั้นแรก ท�ำจากพลาสติกทึบสีด�ำโดยมีปริมาตรทั้งสิ้นประมาณ
เกิดได้จากแมลงหรือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึ่งย่อยสลาย 37 ลิตร ท�ำการเจาะรูเพื่อระบายอากาศและตรงกลาง
สารอินทรีย์ให้มีขนาดเล็ก จากนั้นกลุ่มจุลินทรีย์ในดิน ถังได้เจาะเพื่อใส่ท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 นิ้ว
ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อราและยีสต์ จะท�ำหน้าที่ย่อย เจาะรูรอบและด้านบนได้ติดตั้งพัดลมเป่าอากาศไว้
สลายสารอิ น ทรี ย ์ ข นาดเล็ ก ต่ อ จนเกิ ด ระยะที่ ส าม ด้านข้างได้ท�ำการเจาะรูไว้เพื่อเก็บตัวอย่าง ดังแสดง
เมื่อกองปุ๋ยมีความร้อนเกิดขึ้นและจุลินทรีย์ในกลุ่ม ลักษณะถังหมักตามรูปที่ 1
เทอร์โมฟิลิคจะเข้ามาย่อยสลายต่อจนเกิดเสถียรภาพ
กลายเป็ น ปุ ๋ ย หมัก โดยสมบูร ณ์ [2] โดยงานวิ จัย
ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการท�ำปุ๋ยหมักจะใช้จุลินทรีย์
ที่มาจากมูลสัตว์เป็นหลัก โดยการใช้มูลสัตว์ในการท�ำ
ปุ๋ยหมักมีมานานแล้ว เนื่องจากมูลสัตว์เป็นตัวเร่ง
2 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
0.34 m
ถังที่ 7 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก
พัดลมเติมอากาศ เชื้อผสมโดยมีเติมอากาศสลับเปิด-ปิดทุกๆ 6 ชั่วโมง
Power Supply เติมครูดเอมไซม์ 180 กรัม TY1(6)
ถังที่ 8 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก
0.37 m
Timer Switch เชื้อผสมโดยมีเติมอากาศสลับเปิด-ปิดทุกๆ 6 ชั่วโมง
เติมครูดเอมไซม์ 360 กรัม TY2(6)
จุกคอล์กเกลียวปิดช่องเก็บตัวอย่าง
0.28 m
ท่อขนาด 2 นิ้ว 2.2. ขั้นตอนการทดลอง
1) ท� ำ การเพาะครู ด เอมไซม์ จ ากเชื้ อ เดี่ ย ว
รูปที่ 1 ลักษณะของถังหมักปุ๋ย Trichoderma reesei และเชื้อผสมระหว่าง Tricho-
derma reesei และ Saccharomyces cerevisiae
ถังหมักทั้งหมด 8 ถังได้ท�ำการใส่วัสดุหมักที่
ให้ได้ปริมาณเพียงพอตามที่ต้องการโดยท�ำการเพาะ
ประกอบไปด้วยเศษผักผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้แห้ง
และปุ๋ยคอ และได้มีการเติมครูดเอมไซม์ผง 2 ชนิด เชื้อแล้วท�ำการคลุกผสมกับกากมะพร้าวแห้ง
ด้วยกัน ได้แก่ เชื้อเดี่ยว Trichoderma reesei (T) 2) ท�ำการรวบรวมเศษอาหาร เศษผักผลไม้
และเชื้อผสมระหว่าง Trichoderma reesei และ จากตลาดและร้านค้า เพื่อใช้เป็นวัสดุในการหมักปุ๋ย
Saccharomyces cerevisiae (TY) โดยในการเติม จากนั้นท�ำการคัดแยกมูลฝอย ซึ่งไม่สามารถย่อยสลาย
ครูดเอมไซม์แต่ละชนิดจะมีการแปรเปลี่ยนปริมาณ ได้ออกก่อนน�ำไปหมัก เช่น พลาสติก โฟม ยาง กระดูก
ของครูดเอมไซม์ด้วย คือ 180 กรัม และ 360 กรัม เป็นต้น
ตามล�ำดับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 3) น�ำเศษผักผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้แห้ง
ถังที่ 1 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก และปุ๋ยคอกไปหาร้อยละของคาร์บอน ร้อยละของ
เชือ้ เดีย่ วโดยมีการเติมอากาศ 24 ชัว่ โมง เติมครูดเอมไซม์ ไนโตรเจน อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน และ
180 กรัม, T1(24) ค่าความชื้น เพื่อค�ำนวณหาปริมาณของเศษอาหาร
ถังที่ 2 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก เศษผักผลไม้ ใบไม้แห้ง และปุ๋ยคอก ที่ใช้ในการ
เชื้อเดี่ยวโดยมีเติมอากาศ 24 ชั่วโมง เติมครูดเอมไซม์ หมักปุ๋ย โดยท�ำการหมักด้วยอัตราส่วนผสมของเศษ
360 กรัม, T2(24) ผักผลไม้ต่อเศษอาหารต่อใบไม้แห้งต่อปุ๋ยคอกเท่ากับ
ถังที่ 3 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก 2:1:1:1 ตามล�ำดับ และหาค่าคาร์บอนต่อไนโตรเจน
เชื้อเดี่ยวโดยมีเติมอากาศสลับเปิด-ปิดทุกๆ 6 ชั่วโมง (C/N) เริ่มต้นของวัสดุหมักแต่ละชนิด ดังแสดงใน
เติมครูดเอมไซม์ 180 กรัม, T1(6) ตารางที่ 1
ถังที่ 4 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก ตารางที่ 1 ค่าคาร์บอนต่อไนโตรเจนของวัสดุหมัก
เชื้อเดี่ยวโดยมีเติมอากาศสลับเปิด-ปิดทุกๆ 6 ชั่วโมง
เติมครูดเอมไซม์ 360 กรัม, T2(6) วัสดุหมัก ค่าคาร์บอนต่อ
ไนโตรเจน
ถังที่ 5 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก
เชื้อผสมโดยมีการเติมอากาศ 24 ชั่วโมง เติมครูดเอม- เศษอาหาร 51.10
ไซม์ 180 กรัม, TY1(24) เศษผักผลไม้ 32.18
ถังที่ 6 วัสดุหมักร่วมกับครูดเอมไซม์ผงจาก ใบไม้แห้ง 75.26
เชื้อผสมโดยมีเติมอากาศ 24 ชั่วโมง เติมครูดเอมไซม์
ปุ๋ยคอก 58.03
360 กรัม, TY2(24)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 3
4) น�ำส่วนผสมต่างๆ ลงหมักในถังหมัก และ ตารางที่ 2 วิธีการวิเคราะห์ตัวอย่างในแต่ละ
ขณะท� ำ การหมั ก จะท� ำ การวั ด อุ ณ หภู มิ ข องอากาศ พารามิเตอร์ [8]
ภายในถังและอุณหภูมิของอากาศภายนอกถังหมัก
พารามิเตอร์ วิธีการวิเคราะห์
โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์ ทุกๆ วัน วัดความชื้นของวัสดุ
อุณหภูมิ Thermometer
หมั ก ในถั ง หมั ก จ� ำ ลองทุ ก สั ป ดาห์ ต ลอดระยะเวลา
การทดลอง ซึ่งทดสอบได้โดยการบีบวัสดุหมักและ ค่าความชืน้ Oven-drying method
การทดลองตามวิธีตามตารางที่ 2 ค่าความเป็นกรด-ด่าง pH meter
5) เก็บตัวอย่างสัปดาห์ละ 1 ครั้งตลอดระยะ คาร์บอนทั้งหมด Walkley-Black method
เวลาการหมัก โดยการสุ่มเก็บเป็นจุดทั้งถังตามช่อง ไนโตรเจนทั้งหมด Kjeldahl method
เก็บตัวอย่างในรูปที่ 1 คือช่วงล่างของถัง ตรงกึ่งกลาง ฟอสฟอรัสทั้งหมด Spectrophotometric
และช่วงบน จุดละ 3 ตัวอย่าง แล้วน�ำตัวอย่างของ (P2O5) Molybdovanadophos-
ทุกจุดมาคละเคล้ากัน เพื่อเป็นตัวแทนตัวอย่างส�ำหรับ phate method
การวิเคราะห์ ซึ่งใช้น�้ำหนักประมาณ 500 กรัม แล้วน�ำ
ไปใส่ถาดอะลูมิเนียมเพื่อน�ำไปอบในตู้อบที่อุณหภูมิ 3. ผลการทดลองและอภิปรายผล
75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง (อ้างอิงวิธีการ 3.1 อุณหภูมิ
ทดสอบตามมาตรฐาน ASTM) แล้วน�ำไปวิเคราะห์ อุณหภูมิเป็นปัจจัยส�ำคัญในการตรวจสอบ
หาค่าความชื้น ค่าความเป็นกรด-ด่าง และอัตราส่วน กระบวนการหมักปุ๋ยและสามารถบอกถึงอัตราการ
คาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N ratio) และท�ำการตรวจ ย่อยสลายภายในถัง อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นภายในกองหมัก
วิเคราะห์ฟอสฟอรัสด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างดังกล่าว เป็นผลของความร้อนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อย
2 สัปดาห์ต่อครั้ง สลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์แต่ละประเภท [8]
6) ก�ำหนดระยะเวลาในการหมัก 49 วัน ผลการทดลองระหว่างอุณหภูมิและระยะเวลาในการ
โดยพิจารณาปุ๋ยหมักที่เสร็จสมบูรณ์จากอัตราส่วน หมั ก ปุ ๋ ย พบว่ า อุ ณ หภู มิ ใ นแต่ ล ะถั ง หมั ก มี อุ ณ หภู มิ
คาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N ratio) รวมถึงดูจาก ค่อนข้างต�่ำ และแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงของ
ลักษณะทางกายภาพของวัสดุหมัก ได้แก่ สี ลักษณะ อุณหภูมิแต่ละถังนั้นมีความใกล้เคียงกัน โดยอุณหภูมิ
ของวัสดุหมัก กลิ่น และความร้อนในกองปุ๋ย ที่เป็นไป ตลอดระยะเวลาการทดลองของถังที่ 1 ถึง ถังที่ 8
ตามทฤษฎีถือได้ว่าสามารถสิ้นสุดการทดลองได้ [2] มีค่าอยู่ในช่วง 28-36, 28-37, 28-41, 28-36, 28-33,
จึงสุ่มตัวอย่างปุ๋ยหมักที่ได้ในแต่ละถัง น�ำมาเข้าตู้อบที่ 27-39, 28-37 และ 28-39 องศาเซลเซียส ตามล�ำดับ
อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง เพื่อ ดังแสดงอุณหภูมิตลอดระยะเวลาการทดลองในรูปที่ 2
วิเคราะห์หาค่าคาร์บอน, ไนโตรเจน, โพแทสเซียม เห็นได้ว่าอุณหภูมิมีการเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 วันแรก
และฟอสฟอรัส เพื่อศึกษาคุณลักษณะโดยทั่วไปของ อันเนือ่ งมาจากการเป่าอากาศและการมีทอ่ เป่าอากาศ
ปุ๋ยหมัก อยู่ตรงกึ่งกลางของถังท�ำให้อากาศหมุนเวียนเข้าไปใน
ถังและเร่งกระบวนการหมัก [9] หลังจากนั้นอุณหภูมิ
2.3. วิธีการวิเคราะห์ มีแนวโน้มคงที่ตลอดช่วงการทดลอง ยกเว้นในช่วง
พารามิเตอร์ที่ท�ำการวิเคราะห์วัสดุหมักและ ระยะเวลาการหมักผ่านไปประมาณ 22 วัน พบว่า
ปุ๋ยหมัก เป็นไปตามคู่มือวิธีวิเคราะห์ปุ๋ยอินทรีย์ ของ อุณหภูมิมีการสูงขึ้นโดยส่วนใหญ่ อันเนื่องมาจาก
กรมวิชาการเกษตร [8] (ตารางที่ 2) ในช่วงก่อนวันดังกล่าวได้ทำ� การพลิกกลับกองปุย๋ ท�ำให้
วัสดุหมักเกิดการคลุกผสมในส่วนของวัสดุหมักที่ยัง
4 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ไม่เกิดการย่อยสลาย ท�ำให้เกิดปฏิกิริยาการย่อยสลาย ควบคุมความชื้นให้ได้ประมาณร้อยละ 60 หรือวัสดุ
เกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิกับอัตราส่วนการลดลง หมักบางประมาณ เช่น เศษผักผลไม้อาจสามารถ
ของ C/N ratio มีความสอดคล้องกัน [7] ควบคุมความชื้นได้ถึงร้อยละ 70-80 [10-11] อย่างไร
ก็ตามไม่ควรมีความชื้นต�่ำเกินไปถึงแม้ว่าจุลินทรีย์
3.2 ความชื้น มีการย่อยสลายได้เมื่อความชื้นเพียงร้อยละ 12-15
ความชื้นเป็นปัจจัยที่ส�ำคัญอีกตัวหนึ่งในการ แต่ ก ารย่ อ ยสลายอิ น ทรี ย ์ ส ารในสภาพดั ง กล่ า วจะ
หมักปุ๋ยเพื่อใช้ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ ช้ามากใช้เวลานานกว่าปกติ ในทางตรงกันข้ามหาก
ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งจากน�้ ำ จะถู ก ใช้ ใ นกระบวนการดู ด ซึ ม ความชื้นสูงเกินร้อยละ 70 ปริมาณความชื้นส่วนเกิน
สารอาหารและกระบวนการขั บ ถ่ า ยของเสี ย ของ จะเป็นตัวขัดขวางการระบายอากาศภายในกองปุย๋ หมัก
จุ ลิ น ทรี ย ์ โ ดยปกติ จ ะควบคุ ม ความชื้ น ในกองปุ ๋ ย ไว้ เกิดสภาพขาดอากาศหรือการหมักแบบไม่ใช้อากาศ
ในช่วงร้อยละ 40-65 [2] อย่างไรก็ตามการหมักด้วย ได้โดยง่าย [2] จากการทดลองความชื้นในการหมักปุ๋ย
วัสดุต่างๆ กันก็ควรมีความเหมาะสมในการควบคุม แต่ละถังสามารถอธิบายได้ดังตารางที่ 3
ความชื้นที่แตกต่างกัน โดยเศษอาหารควรปรับการ
รูปที่ 2 อุณหภูมิกับระยะเวลาในการทดลอง
ตารางที่ 3 ผลการทดลองค่าช่วงความชื้นตลอดระยะเวลาการทำ�ปุ๋ยหมัก
ระยะเวลา ความชื้น (ร้อยละ)
ทดลอง (วัน) ถังที่ 1 ถังที่ 2 ถังที่ 3 ถังที่ 4 ถังที่ 5 ถังที่ 6 ถังที่ 7 ถังที่ 8
เริ่มต้น 81 85 79 73 86 80 82 84
7 82 82 81 80 85 79 78 82
14 78 77 79 77 77 72 73 74
21 79 63 75 74 62 69 64 69
28 75 64 74 73 66 58 68 68
35 69 67 65 59 62 66 63 60
42 54 58 53 56 54 52 50 49
49 45 43 50 48 43 41 42 44
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 5
จากตารางที่ 3 พบว่าในวันเริ่มต้นการทดลอง 4.7, 4.8, และ 5 ตามลำ�ดับ ซึ่งจะเห็นว่าในการเริ่มต้น
ความชื้นของวัสดุหมักมีค่าสูงอยู่ในช่วงร้อยละ 80-86 ของการหมั ก จะมี ส ภาพเป็ น กรดอั น เนื่ อ งมาจาก
เนื่องจากวัสดุหมักที่นำ�มาทดลองเป็นพวกเศษอาหาร วัสดุหมักที่ใช้เป็นจำ�พวกเศษผักผลไม้ทำ�ให้มีสภาพ
และผักผลไม้ซึ่งเป็นวัสดุอินทรีย์ที่มีความชื้นสูง จะ เป็นกรด ในช่วง 21 วันแรกของการทดลองนั้นค่าความ
สังเกตได้จากบริเวณด้านล่างของถังจะมี ขัง เมื่อสุ่ม เป็นกรด-ด่างมีแนวโน้มที่สูงขึ้นโดยจะเริ่มสังเกตเห็น
ตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์ในบริเวณก้นถังมีลักษณะ การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในการเริ่มสัปดาห์ที่ 4
เป็นโคลน การที่ในถังปุ๋ยหมักมีความชื้นสูงจะส่งผล (วันที่ 28) โดยถังที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 และ 8 มีค่า
ต่อระยะเวลาการหมักที่นานขึ้น อย่างไรก็ดีจะเห็นว่า ความเป็นกรด-ด่าง (pH) เท่ากับ 6.9, 8.2, 6.8, 7.1,
หลังจากการทดลองผ่านไป 14 วัน ความชื้นเริ่มน้อย 8.4, 6.8, 6.3 และ 7 ตามลำ�ดับ และเริ่มมีค่าคงที่
กว่าร้อยละ 80 ในทุกถังและมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ โดยในสั ป ดาห์ สุ ด ท้ า ยของการทดลองค่ า ความเป็ น
จนกระทั่งอยู่ในช่วงร้อยละ 40-50 ซึ่งเป็นความชื้น กรด-ด่างของถังที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 และ 8 มีค่า
ที่เหมาะสมของการเกิดปุ๋ยหมักที่สมบูรณ์ [10] โดย ความเป็นกรด-ด่าง (pH) เฉลี่ยอยู่ที่ 8.1, 7.9, 8.6,
การลดความชื้นในถังหมักปุ๋ยสามารถทำ�ได้โดยการ 8.4, 7.9, 8.3, 7.8 และ 7.7 ตามลำ�ดับ ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วง
พลิกกลับกองปุ๋ยให้เกิดการกระจายความชื้นออกไป ระยะเสถียรของการหมัก จะพบว่าค่า pH ของระบบ
ซึ่ ง เป็ น วิ ธี แ ก้ ไขปัญหาความชื้นสูงในกองปุ๋ยวิ ธีห นึ่ ง มีค่าที่ค่อนข้างเป็นกลาง คือ pH มีค่าเท่ากับ 7 – 8
รวมถึงการเติมอากาศให้มีอากาศหมุนเวียนภายใน ดังแสดงรูปแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของค่าความเป็น
ถังหมัก [2] กรด-ด่างในรูปที่ 2
3.3 ค่าความเป็นกรด-ด่าง 3.4 ค่าคาร์บอน
ค่าความเป็นกรดด่าง คือ ค่าที่บอกถึงความ ค่ า คาร์ บ อนที่ มี อ ยู่ ใ นสารอิ น ทรี ย์ มี ค วาม
เข้มข้นของไฮโดรเจนอิออน (H+) ที่มีความสัมพันธ์ สำ�คัญต่อกระบวนการทำ�ปุ๋ยหมักเพราะจุลินทรีย์จะ
ต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ โดยเป็นการแสดงถึง ย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อนำ�เอาคาร์บอนไปใช้สร้าง
สภาพความเป็นกรดหรือเป็นด่างในปุ๋ยหมัก การหมัก องค์ประกอบของเซลล์ในการเจริญเติบโต ซึ่งจะเติบโต
ปุ๋ยไม่ควร กว่า 5.5 และไม่เกิน 9 อันเป็นช่วงที่ ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับปริมาณของธาตุอาหารอื่น ๆ ด้วย
จุลินทรีย์และราสามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ได้ดี ว่ามีเพียงพอหรือไม่ จากการทดลองค่าคาร์บอนเริม่ ต้น
จากการทดลองซึ่งแสดงในรูปที่ 3 พบว่าในช่วงเริ่มต้น และสิ้นสุดการหมักในแต่ละถัง คาร์บอนเริ่มต้นมีค่า
การทดลองถังที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 และ 8 มีค่าความ ประมาณร้อยละ 52-60 โดยค่าคาร์บอนของทุกถังมี
เป็นกรด-ด่าง (pH) เท่ากับ 4.5, 4.6, 4.5, 4.4, 4.7, แนวโน้มลดลงดังแสดงในรูปที่ 4
รูปที่ 3 ค่าความเป็นกรด-ด่างกับระยะเวลาในการทดลอง
6 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
จากรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่าแนวโน้มค่าคาร์บอน การทดลองร้อยละคาร์บอนของถังที่ 1-8 ลดลงเหลือ
จะเริม่ คงทีห่ ลังจากระยะเวลาการทดลองผ่านไป 28 วัน 23.38, 32.86, 39.48, 35.84, 29.48, 30.26, 25.32
แสดงให้เห็นถึงอัตราการย่อยสลายสารอินทรีย์ลดลง และ 25.45 ตามลำ�ดับ เมื่อพิจารณาการลดลงของ
ซึ่งพิจารณาได้ว่าวัสดุหมักเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง คาร์ บ อนในถั ง หมั ก ที่ เ ติ ม ครู ด เอมไซม์ เชื้ อ เดี่ ย วมี
เป็นปุ๋ยแล้ว [7] โดยค่าร้อยละคาร์บอนเริ่มต้นถังที่ แนวโน้ ม การลดลงของคาร์ บ อนมากกว่ า การเติ ม
1-8 เท่ากับ 52.14, 59.23, 52.14, 59.23, 55.32, ครูดเอมไซม์จากเชื้อผสม
59.23, 52.14 และ 59.23 ตามลำ�ดับ และเมื่อสิ้นสุด
รูปที่ 4 ร้อยละคาร์บอนกับระยะเวลาในการทดลอง
3.5 ค่าไนโตรเจน 1.5, 1.13, 1.3, 1.13 และ 1.3 ตามลำ�ดับ และร้อยละ
ไนโตรเจนเป็นธาตุอาหารที่จุลินทรีย์ต้องการ ไนโตรเจนเมื่อสิ้นสุดการทดลองของถังที่ 1-8 มีค่า
ในปริมาณมากเพื่อใช้ในการเจริญเติบโต เนื่องจาก ร้อยละ 1.64, 1.13, 1.25, 1.16, 1.01, 1.09, 0.86
ส่ ว นประกอบของเซลล์ จุ ลิ น ทรี ย์ ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น พวก และ 0.87 ตามลำ�ดับ รูปที่ 5 แสดงร้อยละไนโตรเจน
โปรตี น และกรดนิ ว คลี อี ก ซึ่ ง มี ไ นโตรเจนเป็ น องค์ ตลอดระยะเวลาการทดลอง ผลการทดลองแสดงให้
ประกอบที่สำ�คัญ แต่ในทางกลับกันในการหมักปุ๋ย เห็นว่าปริมาณไนโตรเจนมีแนวโน้มลดลง ซึ่งอ้างอิง
การมีไนโตรเจนมากเกินไปก็เป็นสิ่งไม่ดี เพราะอาจ จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าสาเหตุที่ไนโตรเจนมีการ
จะทำ�ให้เกิดอันตรายต่อจุลินทรีย์ เนื่องจากไนโตรเจน สูญเสียในกระบวนการหมักปุ๋ยมาจากการระเหยไป
ในรูปแอมโมเนียเป็นพิษต่อจุลินทรีย์อย่างมาก [12] อย่างรวดเร็วของแอมโมเนีย (NH3-volatilization)
และไนโตรเจนไม่ควรน้อยกว่า ร้อยละ 1.0 โดย หนัก ซึ่งเป็นผลมาจากคุณลักษณะของวัสดุหมักเริ่มต้น และ
[8] เนื่องจากในกระบวนการที่จุลินทรีย์ย่อยสลายสาร ผลของกระบวนการเติมอากาศ ความชื้น และอุณหภูมิ
อินทรีย์ มีความต้องการใช้ปริมาณธาตุไนโตรเจนเป็น อั น เป็ น ปั จ จั ย ที่ ส่ ง ผลกระทบต่ อ การสู ญ เสี ย ของ
องค์ประกอบช่วยในการย่อยสลายด้วย (จุลินทรย์จะ ไนโตรเจน อีกทัง้ ยังค้นพบว่า pH ทีค่ อ่ นข้างสูง (pH> 8)
ย่อยสลายคาร์บอนขึ้นกับตามปริมาณไนโตรเจนที่มี ยังช่วยกระตุ้นการปล่อยปล่อยของแอมโมเนียด้วย
ให้ใช้) [10] เช่นกัน ในขณะที่การทำ�ให้ pH (ประมาณ 5.8-6.6)
จากการทดลองหาค่ า ร้ อ ยละไนโตรเจน ช่วยรักษาปริมาณไนโตรเจนในกองปุ๋ยได้มากขึ้น [12]
เริ่มต้นของถังที่ 1-8 มีค่าเท่ากับ 1.28, 1.5, 1.28, นอกจากนี้ ป ริ ม าณการเติ ม อากาศจะส่ ง ผลกระทบ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 7
ต่อไนโตรเจนโดยพบว่าถ้ามีการเพิ่มปริมาณอากาศ ก๊าซแอมโมเนียได้ง่ายขึ้น โดยปัจจัยปริมาณและช่วง
มากขึ้นจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียไนโตรเจนเพิ่มขึ้น ระยะเวลาในการเติมอากาศนั้นจะส่งผลต่อเสถียรภาพ
เนื่ อ งจากการช่ ว ยเร่ ง ให้ เ กิ ด ปฏิ กิ ริ ย าทำ�ให้ เ กิ ด การ ของการหมักมากที่สุด [13]
เปลี่ยนรูปแอมโมเนียจากสภาวะของเหลวกลายเป็น
รูปที่ 5 ร้อยละไนโตรเจนกับระยะเวลาในการทดลอง
ค่าคาร์บอนต่อไนโตรเจน
เวลา
ถังที่ 1 ถังที่ 2 ถังที่ 3 ถังที่ 4 ถังที่ 5 ถังที่ 6 ถังที่ 7 ถังที่ 8
เริ่มต้น 40.73 39.47 35.23 43.55 48.96 45.56 46.14 45.56
สิ้นสุด 14.19 29.08 31.58 30.90 29.14 27.85 29.60 29.36
8 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
3.7. ค่าฟอสฟอรัส 3.8 คุณลักษณะของปุ๋ยหมัก
ฟอสฟอรั ส ในสารอิ น ทรี ย์ มี ค วามสำ�คั ญ ต่ อ เมื่อครบระยะเวลาการทดลองทั้งสิ้น 49 วัน
กระบวนการหมักเช่นเดียวกับไนโตรเจน ฟอสฟอรัส คือ ได้นำ�ตัวอย่างปุ๋ยในถังหมักทั้งหมดมากทำ�การศึกษา
ปริมาณสารอาหารที่จุลินทรีย์ใช้ในกองปุ๋ยหมัก ซึ่งใช้ คุณลักษณะทางกายภาพที่สังเกตเห็นคือขนาดของ
ในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ปริมาณฟอสฟอรัส วัสดุหมักถูกย่อยสลายมีขนาดเล็กลง มีสีดำ�ปน ตาล
ของกองปุ๋ยหมักจะอยู่ในรูปของไดฟอสฟอรัสเพนตะ และมีกลิ่นคล้ายกลิ่นดิน ไม่มีส่วนที่มีสภาพเหมือนกับ
ออกไซด์ (P2O5) ปกติแล้วมาตรฐานคุณภาพปุ๋ยหมัก เศษอาหาร ใบไม้ อีกต่อไป ค่าตัวชี้วัดมาตรฐานที่ใช้
จะมีปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมด (P2O5) ไม่น้อยกว่า กำ�หนดสภาพของปุ๋ยหมัก ว่าแปรสภาพได้ที่ดีแล้ว
ร้อยละ 0.5 โดย หนัก [2, 14] ผลการทดลองแสดง หรือไม่ คือค่า C:N ratio โดยปกติถ้าปุ๋ยหมักมีค่า
ในรูปที่ 6 พบว่าในช่วงเริ่มต้นการหมักถังที่ 1, 2, 3, C/N ratio ประมาณ 26-35 ถือว่าสามารถนำ�ปุ๋ยหมัก
4, 5, 6, 7 และ 8 มีค่าร้อยละของฟอสฟอรัสเท่ากับ ดังกล่าวไปใช้ได้ แต่ถ้าค่า C:N ratio กว่า 20:1 ถือว่า
1.04, 0.91, 0.91, 0.83, 1.01, 1.23, 0.84 และ ปุ๋ยหมักมีคุณภาพดีตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ แต่ใน
0.86 ตามลำ�ดับ และในช่วงสิ้นสุดการหมักถังที่ 1, 2, ทางปฏิบัติการใช้ปุ๋ยหมักที่มีค่า C:N ratio สูงกว่านี้
3, 4, 5, 6, 7 และ 8 มีค่าร้อยละฟอสฟอรัสเท่ากับ ไปบ้างเล็กน้อยก็มิได้เกิดผลเสียหายแก่พืชเพียงแต่
1.05, 0.86, 0.74, 0.65, 0.86, 0.96, 0.66 และ 0.77 คุณสมบัติในการเป็นสารปรับปรุงดินอาจด้อยคุณภาพ
ตามลำ�ดับ ค่าฟอสฟอรัสในทุก ๆ ถังนั้นมีแนวโน้มที่ ลงไปบ้างเท่านัน้ [10, 15] รวมถึงธาตุอาหารหลักอืน่ ๆ
ลดลง เนือ่ งมาจากจุลนิ ทรียม์ กี ารย่อยสลายสารอินทรีย์ ก็เป็นปัจจัยทีต่ อ้ งพิจารณา ซึง่ การพิจารณาคุณลักษณะ
โดยใช้ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารเพื่อช่วยในการเจริญ ของปุ๋ยหมักตามเกณฑ์นั้นจะมีหลายพารามิเตอร์ซึ่ง
เติบโต และในช่วงสิ้นสุดการหมักปริมาณฟอสฟอรัส อาจเป็นไปได้ยากในการทดลอง ดังนั้นจึงอาจสรุป
ที่เหลืออยู่ค่อนข้างเป็นไปตามทฤษฎี คือไม่น้อยกว่า พารามิเตอร์หลักๆ ของตัวอย่างปุ๋ยทั้ง 8 ถังดังตาราง
ร้อยละ 0.5 โดย หนัก ที่ 5
รูปที่ 6 ร้อยละฟอสฟอรัสกับระยะเวลาในการทดลอง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 9
ตารางที่ 5 ค่าพารามิเตอร์ของปุ๋ยหมักเมื่อเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานของปุ๋ยหมัก
พารามิเตอร์ ถังที่ 1 ถังที่ 2 ถังที่ 3 ถังที่ 4 ถังที่ 5 ถังที่ 6 ถังที่ 7 ถังที่ 8 ค่ามาตรฐาน
(ร้อยละ) [9]
ค่าไนโตรเจนทั้งหมด ไม่น้อยกว่า
(Total Nitrogen) 1.64 1.13 1.25 1.16 1.01 1.09 0.86 0.87 ร้อยละ 1.0
โดยน�้ำหนัก
ค่าคาร์บอน (Carbon) 23.28 32.86 39.48 35.84 29.48 30.26 25.32 25.45 -
ค่าคาร์บอนต่อ 14.19 29.08 31.58 30.90 29.14 27.85 29.60 29.36 ไม่เกิน 20:1
ไนโตรเจน (C/N ratio)
ค่าฟอสฟอรัสทั้งหมด ไม่น้อยกว่า
(Total Phosphorus) 1.05 0.86 0.74 0.65 0.47 0.50 0.58 0.42 ร้อยละ 0.5
(P2O5) โดย หนัก
ค่าโพแทสเซียมทั้งหมด ไม่น้อยกว่า
(Total Potassium) 4.69 3.91 5.32 4.84 3.85 4.79 3.33 3.71 ร้อยละ 0.5
(K2O) โดย หนัก
ความชื้น ไม่เกินร้อย
(Moisture content) 31 37 26 27 45.39 29.67 25.20 34.45 ละ 40-70
โดย หนัก
ค่าความเป็นกรด-ด่าง
8.1 7.9 8.6 8.4 7.9 8.3 7.8 7.7 5.5 - 8.5
(pH)
1*
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1*
Department of Textile Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
2
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2
Department of Textile Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
3
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
3
Department of Textile Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Abstract
The objective of this research was to study possibilities and appropriate conditions of sizing cotton
yarn with sago starch. To attain this objective, physical properties of cotton yarn sized with different ratios
of sago starch, tapioca starch, and poly (vinyl alcohol) (PVA) were compared. In this study, various size
were prepared, consisting of : 1) sago starch; 2) a mixture of sago starch and PVA; 3) tapioca starch; 4) a
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 13
mixture of tapioca starch and PVA; and 5) PVA in 500 ml of water for sizing 120 yards of cotton yarn (32Ne).
The physical properties of the cotton yarn were tested both before and after sizing with each sizing agent.
According to the study, it was found that 50 g of sago starch and the mixture of 25 g of sago starch and 25 g
of PVA needed the longest stirring time, the highest concentration of sizing agent and provide the highest
percentage of sized pick up on cotton yarn, and the highest abrasion resistance of yarn. The cotton yarn
sized with 20 g of sago starch showed the highest elongation at break. The lowest value of hairiness was
shown after sizing the cotton yarn with 50 g of sago starch. Moreover, the cotton yarn sized with the mixture
of 25 g of sago starch and 25 g of PVA exhibited the highest tensile strength.
14 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ด้ ว ยแป้ ง ดั ด แปรแบบออกซิ เ ดชั น เพี ย งอย่ า งเดี ย ว เปียกง่ายๆ เหมือนแป้งมัน แป้งสาคูคงตัวได้นานกว่า
180 กรัม ต่อ น�้ำ 1 ลิตร สามารถที่จะน�ำมาใช้เพื่อ แป้งอืน่ ๆ ดังนัน้ แป้งสาคูจงึ เป็นทีน่ ยิ มกว่าแป้งชนิดอืน่ ๆ
ทอเป็นผืนผ้าได้และมีสมบัติที่ดีไม่ด้อยไปกว่าการใช้ [2-3]
เส้ น ด้ า ยยื น ลงแป้ ง ด้ ว ยสู ต รแป้ ง ดิ บ ที่ มี ส ารช่ ว ยคื อ การสางใย (carding) เป็นหัวใจของการปัน่ ด้าย
พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ อะคริลิก และสารหล่อลื่น ซึ่ง การลงแป้งก็มีฐานะเดียวกับการสางใยเมื่อเราพูดถึง
น�้ำแป้งมันส�ำปะหลังดัดแปรสามารถที่จะท�ำการบ�ำบัด การทอผ้า ในระหว่างการทอผ้านั้นเส้นด้ายยืนจะต้อง
ได้ง่าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถลดต้นทุน รับแรงกระท�ำใน 2 ลักษณะคือ แรงดึงเส้นด้ายอันเนื่อง
สารเคมีในกระบวนการลงแป้งเส้นด้ายยืนได้ [4] มาจากความตึงของการเปิด-ปิดตะกอ การกระทบ
วัชระ จอมชัยและคณะ ได้ศึกษาสมบัติเชิงกล หน้าผ้าและแรงทีเ่ กิดจากการเสียดสีจากตะกอ, ฟันหวี,
เส้นด้ายฝ้ายด้วยสารลงแป้งชนิดต่างๆ เป็นการน�ำ แผ่นเบรก และการขัดสีระหว่างเส้นด้ายยืนด้วยกันเอง
วัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการลงแป้งเส้นด้ายในโรงทอ ด้วยแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งมีมากขึ้นอีกเมื่อทอผ้า
ได้แก่ แป้งมันส�ำปะหลัง พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ สาร เนื้อแน่น และใช้เครื่องทอผ้าสมัยใหม่ที่มีอัตราเร็ว
โซเดียมซัลเฟต มาท�ำการลงแป้งเส้นด้ายตามอัตราส่วน ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้เส้นด้ายยืนสึกหรอหรือขาดบ่อย
ที่ก�ำหนดเปอร์เซ็นต์ size pick up 10, 12 และ 14 ในขณะทอผ้าเนื่องจากทนแรงดึงไม่ไหวจึงจ�ำต้องมี
เปอร์เซ็นต์ ซึง่ เส้นด้ายทีท่ ำ� การลงแป้งได้ใช้เส้นด้ายฝ้าย การลงแป้งเส้นด้ายยืน ซึ่งการลงแป้งเส้นด้ายยืนเป็น
เบอร์ 28, 40 และ 45Ne จากนัน้ น�ำเส้นด้ายไปทดสอบ หัวใจมี่ส�ำคัญที่สุดของการทอผ้า เพราะปริมาณและ
สมบัติเชิงกล เพื่อเปรียบเทียบในแต่ละสูตรว่าสูตรไหน คุณภาพของผ้าทีท่ อได้ขนึ้ อยูก่ บั สมบัติ และคุณลักษณะ
ที่ท�ำให้เส้นด้ายมีสมบัติเชิงกลดีที่สุด จากการทดลอง ของเส้นด้ายที่น�ำมาทอซึ่งจะเกี่ยวโยงประสิทธิภาพ
พบว่าสูตรที่ 4 (ประกอบด้วยแป้งมันส�ำปะหลัง 85 กรัม ของเครื่องทอและการเลือกใช้สารลงแป้งที่เหมาะสม
ผสมพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ 25 กรัม ต่อน�้ำ 1 ลิตร) กับงาน ในการลงแป้งนี้ด้ายยืนในบีม จะถูกดึงคลี่ออก
และสูตรที่ 7 (ประกอบด้วยแป้งมันส�ำปะหลัง 110 กรัม เพื่อลงแป้งและท�ำให้แห้ง จากนั้นก็จะม้วนด้ายใหญ่
ผสมพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ 20 กรัม ต่อน�้ำ 1 ลิตร) ขนาดที่ใช้กับเครื่องทอ [6]
สามารถท�ำให้เส้นด้ายมีความแข็งแรง (yarn strength) ปัจจุบันนี้โรงงานสามารถผลิตเส้นด้ายยืนเพื่อ
และการยืดตัว (elongation) สูงที่สุด ส่วนสารลงแป้ง ใช้ในการทอผ้าได้หลายชนิด เส้นด้ายยืนทุกชนิดก่อนที่
สูตรที่ 5 ท�ำให้เส้นด้ายคงทนต่อการขัดถูมากที่สุด จะน�ำไปทอจะต้องลงแป้งก่อนทั้งนั้น เส้นด้ายใยผสม
(yarn abrasion) [5] ระหว่างใยสังเคราะห์ชนิดต่างๆ และใยธรรมชาติ จะ
แป้งสาคูจะนิยมน�ำมาท�ำเป็นอาหาร ขนม ท�ำให้การลงแป้งยากขึ้นไปอีก เพราะเส้นใยที่ผสมกัน
อาหารสัตว์ แป้งสาคูจะอยู่ในรูปของคาร์โบไฮเดรตที่ อยู่นั้นมีสมบัติแตกต่างกัน บางโรงงานที่ทอผ้าด้วย
บริสทุ ธิท์ สี่ ดุ ชนิดหนึง่ ทีย่ อ่ ยง่าย และมีความเหนียวมาก เส้นด้ายใยสังเคราะห์ลว้ นๆ สามารถลงแป้งเส้นด้ายยืน
เมื่อโดนน�้ำหรือต้มที่อุณหภูมิสูงจะไม่เหลวเป็นแป้ง ระหว่างการม้วนด้ายจากลูกด้าย (package) มาเข้า
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 15
sectional beam เลยทั้งนี้เพื่อขจัดปัญหาการเกิด แอลกอฮอล์ ที่ ใช้ ในอุ ต สาหกรรมในอั ตราส่ วน 1:1
ไฟฟ้าสถิตระหว่างการม้วนด้ายยืนเข้าม้วนด้ายใหญ่ น�้ำหนักรวม 30 กรัม (TP30) และแป้งพอลิไวนิล
การถ่ายเส้นด้ายยืนจาก sectional beam เข้า loom แอลกอฮอล์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม 30 กรัม (WF)
beam และลงแป้งไปด้วยพร้อมๆ กันนีเ้ รียกว่า slashing โดยในการลงแป้งจะควบคุมอุณหภูมทิ ใี่ ช้ในอ่างลงแป้ง
และเครื่องจักรที่ใช้ในการนี้เรียก slasher [7] ที่ 80–90 องศาเซลเซียสและเมื่อเส้นด้ายผ่านการ
จากสมบัติของแป้งสาคูในข้างต้น ทางคณะ ลงแป้งแล้ว เส้นด้ายจะถูกอบด้วยเครื่องอบความร้อน
ผู้วิจัย จึงมีแนวความคิดที่จะน�ำแป้งสาคูมาใช้ในงาน ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นวิเคราะห์
สิ่งทอ โดยน�ำแป้งสาคูมาใช้ทดลองลงแป้งเส้นด้ายฝ้าย ลักษณะสัณฐานวิทยาของเส้นด้ายทั้งก่อนและหลัง
เพื่ อ เพิ่ ม ทางเลื อ กส� ำ หรั บ แป้ ง ที่ ใช้ ใ นกระบวนการ ลงแป้งด้วยเครื่อง Scanning Electron Microscope
ลงแป้งและเปรียบเทียบสมบัติของเส้นด้ายที่ลงแป้ง (SEM) รุ่น JSM-6510 บริษัท JEOL (Japan) เพื่อดู
สาคูกับเส้นด้ายที่ลงแป้งด้วยแป้งมันส�ำปะหลังและ ลั ก ษณะพื้ นผิ วของเส้ นด้ า ยการเก็ บขนบนเส้ นด้ า ย
แป้งที่ใช้ในอุตสาหกรรม อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ ทั้ ง นี้ เ ส้ น ด้ า ยที่ ผ ่ า นการลงแป้ ง จะถู ก ทดสอบความ
แป้งสาคูอีกด้วย คงทนต่อการขัดถูของเส้นด้าย โดยทดสอบตาม
มาตรฐาน JIS L 1095-2010 โดยใช้เครื่อง Abrasion
2. วิธีการทดลอง
Tester ยี่ห้อ Asano รวมถึงการทดสอบความแข็งแรง
เตรียมสารลงแป้งด้ายยืนสูตรต่างๆ เพื่อหา
และการยืดตัวของเส้นด้ายทั้งก่อนและหลังลงแป้ง โดย
สูตรที่เหมาะสมในการลงแป้งด้ายยืน หลังจากนั้นน�ำ
ท�ำการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D 2256-2010
เส้นด้ายฝ้ายเบอร์ 32 Ne มาลงแป้งสาคูที่ไม่ใช้สารช่วย
โดยใช้เครื่อง Tensile Strength Tester ยี่ห้อ Instron
หรื อ สารหล่ อ ลื่ น ด้ ว ยเครื่ อ งลงแป้ ง เส้ น ด้ า ยขนาด
รุ่น 5569 นอกจากนี้ได้วิเคราะห์หาร้อยละของแป้งที่
ทดลอง ยี่ห้อ Jiang Yin Tong Yuan Textile รุ่น
ติดบนเส้นด้ายตามสูตร
GA392 Electronic Single Yarn Sizing Machine
%size pick up = %SCxWPU (1)
โดยใช้อัตราส่วนของสารลงแป้งที่ใช้ในการทดลอง
ก�ำหนดให้
รายละเอียดตามตารางที่ 1 แป้งสาคูตั้งแต่ 5 กรัม
%size pick up = ร้อยละของแป้งที่ติดบนเส้นด้าย
(SK5) ถึง 50 กรัม (SK50) แป้งสาคูผสมแป้งพอลิไวนิล
WPU (Wet pick up) = อัตราส่วนแป้งติดไปกับ
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม (PVA) ในอัตราส่วน
เส้นด้ายเมื่อยังไม่อบแห้ง
1:1 น�้ำหนักรวมตั้งแต่ 5 กรัม (SKP5) ถึง 50 กรัม
%SC (%size concentration) = ร้อยละความเข้มข้น
(SKP50) แป้งมันส�ำปะหลังที่ไม่ใช้สารหล่อลื่น 30 กรัม
ในเนื้อสารในน�้ำแป้ง
(T30) แป้ ง มั น ส� ำ ปะหลั ง ผสมกั บ แป้ ง พอลิ ไ วนิ ล
16 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ตารางที่ 1 อัตราส่วนของสารลงแป้งทีใ่ ช้ในการทดลอง 3. ผลการทดลองและวิจารณ์ผล
หน่วยเป็นกรัม (ต่อน�้ำ 500 มิลลิลิตร) จากการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้แป้ง
สาคูมาลงแป้งเส้นด้ายฝ้าย ได้ทดลองลงแป้งเส้นด้าย
สูตร แป้งมัน แป้งสาคู พอลิไวนิล
ตามสูตรที่ก�ำหนดและได้ทดสอบสมบัติของเส้นด้าย
สำ�ปะหลัง แอลกอฮอล์
ในด้านความคงทนต่อการขัดถู ความแข็งแรงและการ
WF 30
ยืดตัวรวมถึงการบันทึกสัณฐานวิทยาของเส้นด้ายที่
T30 30 ผ่านการลงแป้งเพื่อดูการเกิดขนของเส้นด้ายที่ผ่าน
TP30 15 15 การลงแป้งเปรียบเทียบกับเส้นด้ายทีไ่ ม่ผา่ นการลงแป้ง
SK5 5 ผลการทดลองและผลการทดสอบเป็นดังนี้
SK10 10
3.1 สัณฐานวิทยาของเส้นด้ายที่ผ่านการลงแป้ง
SK15 15
ผลการวิเคราะห์ลักษณะพื้นผิวของเส้นด้าย
SK20 20 ด้วยเครื่อง SEM (scanning electron microscope)
SK25 25 เส้นด้ายก่อนลงแป้ง (รูปที่1) มีเส้นใยโผล่ออกจาก
SK30 30 ผิวเส้นด้ายเป็นจ�ำนวนมาก เมื่อน�ำเส้นด้ายมาผ่านการ
SK35 35 ลงแป้งตามสูตรที่ท�ำการทดลอง พบว่าเส้นด้ายที่
SK40 40 ลงแป้งสาคู 10 กรัม และ 20 กรัม ยังมีเส้นใยโผล่ออก
จากเส้นด้ายมาก เนื่องจากมีร้อยละของแป้งที่ติดบน
SK45 45
เส้นด้ายเพียง 0.15 และ 0.23 ตามล�ำดับ แต่เส้นด้าย
SK50 50
ที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม, 40 กรัม และ 50 กรัม จะมีค่า
SKP5 2.5 2.5
ร้อยละของแป้งที่ติดบนเส้นด้าย 0.5 , 0.6 และ 0.75
SKP10 5 5 ตามล�ำดับ เมื่อเส้นด้ายมีร้อยละของแป้งที่ติดบน
SKP15 7.5 7.5 เส้นด้ายเพิ่มมากขึ้นจะท�ำให้เส้นใยโผล่ออกจากเส้น
SKP20 10 10 ด้ายน้อยลง (รูปที่2) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเส้นด้าย
SKP25 12.5 12.5 ที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม กับเส้นด้ายที่ลงแป้งมัน
SKP30 15 15 ส�ำปะหลัง 30 กรัม จะเห็นว่าเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู
SKP35 17.5 17.5 30 กรัม มีปริมาณเส้นใยโผล่พ้นผิวเส้นด้ายน้อยกว่า
เนือ่ งจากแป้งสาคูมอี นุภาคทีเ่ ล็กกว่าแป้งมันส�ำปะหลัง
SKP40 20 20
จึงเคลือบปิดผิวเส้นด้ายได้ดีกว่า และเมื่อศึกษา
SKP45 22.5 22.5
เปรียบเทียบระหว่างเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 15 กรัม
SKP50 25 25 ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 17
15 กรัม เส้นด้ายที่ลงแป้งมันส�ำปะหลัง 15 กรัม 3.2 ความคงทนต่อการขัดถูของเส้นด้าย
ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม จากผลการทดสอบความคงทนต่อการขัดถู
15 กรัม และเส้นด้ายที่ลงแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ ของเส้นด้ายในรูปที่ 3 พบว่าเส้นด้ายที่ลงแป้งด้วย
ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 30 กรัม จะเห็นได้ว่า เส้นด้าย แป้งสาคูทมี่ คี วามคงทนต่อการขัดถูมากทีส่ ดุ คือ เส้นด้าย
ที่ลงแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม ที่ลงแป้งสาคู 50 กรัม (SK50) มีค่าความคงทนต่อ
30 กรัม มีเส้นใยโผล่พ้นพื้นผิวเส้นด้ายน้อยที่สุด การขัดถูของเส้นด้ายเท่ากับ 4099 รอบการขัดถู เมื่อ
อย่างไรก็ตามพบว่า เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 50 กรัม เปรียบเทียบเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู (SK) และเส้นด้าย
มีอัตราส่วนแป้งติดเพิ่มมากขึ้นจะท�ำให้การเก็บเส้นใย ก่อนลงแป้ง (NZ) พบว่า เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู ตั้งแต่
ในเส้นด้ายดีทสี่ ดุ เมือ่ เปรียบเทียบกับสารลงแป้งชนิดอืน่ 5 กรัม ถึง 50 กรัม (SK5 ถึง SK50) มีความคงทน
ที่ใช้ในการทดลอง ต่อการขัดถูของเส้นด้ายมากกว่า เนื่องจากเส้นด้าย
ก่อนการลงแป้งมีเส้นใยโผล่บนผิวเส้นด้ายเป็นจ�ำนวน
มาก (ดังรูปที่ 1) เส้นด้ายจึงไม่ทนต่อการขัดถู เมื่อ
เปรียบเทียบการลงแป้งที่น�้ำหนักแป้งเท่ากันระหว่าง
เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม (SK30) และเส้นด้ายที่
ลงแป้งมันส�ำปะหลัง 30 กรัม (T30) พบว่า เส้นด้าย
ที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม (SK30) มีความคงทนต่อการ
ขัดถูมากกว่า เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคูผสมแป้งพอลิไวนิล
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ 5 กรัม ถึง
50 กรัม (SKP5 ถึง SKP50) ในอัตราส่วน 1:1 พบว่า
รูปที่ 1 เส้นด้ายก่อนลงแป้ง (NZ) เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 25 กรัมผสมแป้งพอลิไวนิล
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 25 กรัม (SKP50)
มีความคงทนต่อการขัดถูของเส้นด้ายมากทีส่ ดุ 15,653
รอบการขัดถู เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเส้นด้ายที่ลง
แป้งสาคู 15 กรัม ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์
ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 15 กรัม (SKP30) และเส้นด้าย
ที่ลงแป้งมันส�ำปะหลัง 15 กรัมผสมแป้งพอลิไวนิล
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 15 กรัม (TP30)
เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 15 กรัมผสมแป้งพอลิไวนิล
แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 15 กรัม (SKP30)
รูปที่ 2 เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 50 กรัม (SK50) มีความคงทนต่อการขัดถูมากกว่า และเมือ่ เปรียบเทียบ
18 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
เส้ น ด้ า ยที่ ล งแป้ ง พอลิ ไ วนิ ล แอลกอฮอล์ ที่ ใช้ ใ น สาคูผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ทใี่ ช้ในอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม 30 กรัม (WF) กับเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู ตั้งแต่ 5 กรัม ถึง 50 กรัม (SKP5 ถึง SKP50) ใน
และเส้นด้ายทีล่ งแป้งมันส�ำปะหลัง จะเห็นได้วา่ เส้นด้าย อัตราส่วน 1:1 พบว่าเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 25 กรัม
ที่ ล งแป้ ง ด้ ว ยแป้ ง พอลิ ไ วนิ ล แอลกอฮอล์ ที่ ใช้ ใ น ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม 30 กรัม (WF) มีความคงทนต่อการขัดถู 25 กรัม (SKP50) มีความแข็งแรงต่อแรงดึงมากที่สุด
ของเส้นด้ายมากที่สุด ดังแสดงในรูปที่ 3 จะพบว่า 558 cN แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้แป้งสาคู 20 กรัม
ความคงทนต่ อ การขั ด ถู ข องเส้ น ด้ า ยที่ ล งแป้ ง พอลิ (SK20) และ แป้งสาคู 25 กรัมผสมแป้งพอลิไวนิล
ไวนิลแอลกอฮอล์ 30 กรัม (WF) เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู แอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 25 กรัม (SKP50)
22.5 กรัม ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ 22.5 กรัม ส� ำ หรั บ ลงแป้ ง เส้ น ด้ า ยทดแทนการใช้ พ อลิ ไวนิ ล
(SKP45) และเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 25 กรัม ผสมแป้ง แอลกอฮอล์ทงั้ หมด เป็นการลดการใช้สารเคมีในโรงงาน
พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ 25 กรัม (SKP50) มีรอบการ อุตสาหกรรมได้
ขัดถูดีที่สุดใกล้เคียงกัน คือ 14889, 14353 และ
3.4 การยืดตัวก่อนขาดของเส้นด้าย
15653 ตามล�ำดับ แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้แป้งสาคู
จากผลการทดสอบการยืดตัวก่อนขาดของ
ผสมกับพอลิไวนิลแอลกอฮอล์ในการลงแป้งเส้นด้าย
เส้นด้าย ในรูปที่ 5 พบว่าเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคูที่มีการ
ทดแทนการใช้พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ทั้งหมด เป็นการ
ยืดตัวก่อนขาดได้มากที่สุด คือ เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู
ลดการใช้สารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมได้
20 กรัม (SK20) มีค่าการยืดตัวเท่ากับ 7.7 % เมื่อน�ำ
3.3 ความแข็งแรงต่อแรงดึงของเส้นด้าย เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู (SK) มาเปรียบเทียบกับเส้นด้าย
จากผลการทดสอบความแข็งแรงต่อแรงดึง ก่อนลงแป้ง (NZ) พบว่า เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู ตั้งแต่
ของเส้นด้ายในรูปที่ 4 พบว่าเส้นด้ายที่ลงแป้งสาคูที่มี 5 กรัมถึง 50กรัม (SK5 ถึง SK50) มีการยืดตัวก่อน
ความแข็งแรงต่อแรงดึงมากที่สุด คือ เส้นด้ายที่ลงแป้ง ขาดมากกว่าเส้นด้ายก่อนลงแป้ง เมื่อเปรียบเทียบ
สาคู 20 กรัม (SK20) มีค่าความแข็งแรงต่อแรงดึงของ เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม (SK30) และเส้นด้ายที่
เส้นด้ายเท่ากับ 531 cN เมื่อเปรียบเทียบเส้นด้ายที่ ลงแป้งมันส�ำปะหลัง 30 กรัม (T30) พบว่า เส้นด้าย
ลงแป้งสาคู (SK) และเส้นด้ายก่อนลงแป้ง (NZ) พบว่า ที่ลงแป้งสาคู30 กรัม (SK30) มีการยืดตัวก่อนขาด
เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู ตั้งแต่ 5 กรัม ถึง 50 กรัม (SK5 มากกว่า เส้นด้ายฝ้ายที่ผ่านการลงแป้งด้วยแป้งพอลิ
ถึง SK50) มีความแข็งแรงต่อแรงดึงมากกว่าเปรียบเทียบ ไวนิลแอลกอฮอล์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม 30 กรัม (WF)
ระหว่าง เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม (SK30) และ มีการยืดตัวก่อนขาดมากที่สุด 7.2% แสดงให้เห็นว่า
เส้นด้ายที่ลงแป้งมันส�ำปะหลัง 30 กรัม (T30) พบว่า สามารถใช้แป้งสาคู 20 กรัม (SK20) ในการลงแป้ง
เส้นด้ายที่ลงแป้งสาคู 30 กรัม (SK30) มีความแข็งแรง เส้นด้ายทดแทนการใช้พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ทั้งหมด
ต่อแรงดึงมากกว่าเปรียบเทียบระหว่าง เส้นด้ายทีล่ งแป้ง เป็นการลดการใช้สารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรมได้
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 19
4. สรุป สารลงแป้ ง สู ต รที่ ท� ำ ให้ มี อั ต ราส่ ว นการติ ด แป้ ง บน
จากผลการทดลองสามารถสรุ ป ได้ ว ่ า แป้ ง เส้นด้ายมากทีส่ ดุ และท�ำให้เส้นด้ายมีสมบัตคิ วามคงทน
สาคูมีความเหมาะสมที่จะถูกน�ำมาใช้ในกระบวนการ ต่อการขัดถูมากที่สุด 15,653 รอบการขัดถู การลงแป้ง
ลงแป้ ง ด้ า ยฝ้ า ยยื น ส� ำ หรั บ งานทางด้ า นสิ่ ง ทอได้ ด้วยแป้งสาคู 20 กรัม (SK20) ช่วยเพิ่มสมบัติการยืดตัว
เนื่ อ งจากสามารถช่ ว ยเก็ บ ขนบนเส้ น ด้ า ยได้ ดี ก ว่ า ก่อนขาดของเส้นด้ายได้สูงที่สุด 7.7% และเส้นด้ายที่
แป้งมันส�ำปะหลัง การลงแป้งเส้นด้ายด้วยแป้งสาคู ลงแป้งสาคู 25 กรัม ผสมแป้งพอลิไวนิลแอลกอฮอล์
50 กรัม (SK50) และแป้งสาคู 25 กรัม ผสมแป้ง 25 กรัม (SKP50) มีความแข็งแรงต่อแรงดึงของเส้นด้าย
พอลิไวนิลแอลกอฮอล์ 25 กรัม (SKP50) ใช้เวลาในการ สูงที่สุด 558 cN
กวนแป้งนานทีส่ ดุ แป้งมีคา่ ร้อยละความเข้มข้นสูงทีส่ ดุ
20 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
รูปที่ 5 เปอร์เซ็นต์การยืดตัวก่อนขาดของเส้นด้ายลงแป้งต่างๆ และสูตรต่างๆ
22 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
กลไกการเพิ่มประสิทธิภาพของเลเซอร์สแกนเนอร์ที่ใช้สร้างพื้นผิวในสามมิติ
Performance Enhancement Mechanism of Laser Scanner for 3D
Surface Reconstruction
ธนพงษ์ อุสุพันธ์1* และ ปรัชญา เปรมปราณีรัชต์2
Thanapong Usupan1* Pradya Prempraneerach2
thanapong_u@mail.rmutt.ac.th1*, pradya.p@en.rmutt.ac.th2
1*
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1*
Department of Mechanical Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
2
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2
Department of Mechanical Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Abstract
This research paper presents a performance enhancement mechanism of laser scanner for three-
dimensional (3D) surface reconstruction. Design and development of a 3D vertical surface-scanning mechanism
along with control systems for roll-motion stabilization and periodic pitch speed is used for measuring/colleting
laser-scanner point cloud data, which can be installed on a surface vessel. As a result, accuracy and precision
of object’s position and physical characteristics measurement from laser cloud points can be improved.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 23
In a designing phase, testing with kinematics and dynamics models helps computing for link’s length of a
four-bar linkage mechanism such that a pitch angle of ±16.5c around y-axis for the laser scanner is obtained.
Derived dynamic model of this mechanism assists in calculating proper maximum torque of motors for
each axis. In the second phase, two control systems are developed within Arduino microcontroller 1) for
laser-scanner roll-motion stabilizing using a PID control system with the top DC motor’s encoder feedback,
and 2) for reconstructing a smooth vertical surface from laser cloud points during a pitching motion of the
four-bar linkage mechanism, driven by bottom DC motor, using a feed-forward control system with the
pitching angle from Inertial Measurement Unit for a gravity compensation. In the third phase, the 3D vertical
reconstructed surface from laser cloud points, measured along a radial direction, is processed as a 3D point-
cloud surface in a Cartesian coordinate system. A statistically analysis of reconstructed surface precision
along the horizontal direction is within ±7 centimeter with a standard deviation less than 2.2 centimeter.
Keywords: laser scanner, four-bar linkage mechanism, PID control system,
feed-forward control system, 3D point-cloud surface
2. ทฤษฎีและแบบจ�ำลองทางคณิตศาสตร์
เพื่อให้เลเซอร์สแกนเนอร์สามารถเก็บข้อมูล
ในระนาบแนวตั้งได้ จึงได้ออกแบบและพัฒนากลไกที่
เพิ่มองศาการก้ม-เงย ของเลเซอร์สแกนเนอร์ให้หมุน รูปที่ 1 ส่วนประกอบของกลไกการเพิ่ม
รอบแกน y พร้อมกันกับกลไกรักษาองศาการเอียง ประสิทธิภาพของเลเซอร์สแกนเนอร์ที่ ได้ออกแบบ
ซ้าย-ขวา ของเลเซอร์สแกนเนอร์รอบแกน x เพื่อให้ ด้วยโปรแกรม SOLIDWORKS
ข้อมูลระยะทางของวัตถุอยู่ในระนาบแนวนอนเสมอ
ไม่ว่าจะมีแรงภายนอกมากระท�ำหรือมีการโคลงของ
ฐานของชุดกลไกที่จะน�ำไปติดตั้งบนเรือ ดังนั้นจะ
กล่ า วถึ ง การออกแบบและทฤษฏี ที่ น� ำ มาใช้ ใ นการ
ค�ำนวณทั้งทางจลศาสตร์และพลศาสตร์
2.1 การออกแบบโครงสร้างของชุดกลไก
การเพิม่ ประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม SOLIDWORKS รูปที่ 2 ชุดกลไกการเพิ่มประสิทธิภาพของเลเซอร์
เพื่อให้เลเซอร์สแกนเนอร์ที่วัดข้อมูลระยะ สแกนเนอร์ที่ได้ออกแบบ (ซ้าย) และ ที่ได้สร้างขึ้น
ทางในแนวนอนนั้นให้สามารถเก็บข้อมูลที่เกิดจาก พร้อมติดตั้งอุปกรณ์และเซนเซอร์ต่างๆ (ขวา)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 25
2.2 แบบจ�ำลองทางจลศาตร์ (Kinematics จากรูปสามเหลี่ยม AO1O2 และ ABO2 เมื่อ
Model) ของชุดกลไก [5], [6] ประยุกต์ใช้กฎของ Cosines กับสามเหลี่ยมทั้งสองรูป
ถ้ า ต้ อ งการให้องศาการก้มเงยของเลเซอร์ จะได้
สแกนเนอร์อย่างน้อยสุดเท่ากับ 30 องศา จึงได้ทำ� การ z 2 = r12 + r 22 - 2r1r2 cos θ1 (1)
ค�ำนวณองศาการหมุนของกลไกแบบสี่ก้านโยงส�ำหรับ z = r 3 + r 4 - 2r3r4 cos γ
2 2 2
(2)
ชุดกลไกทีอ่ อกแบบไว้ ซึง่ จะสามารถช่วยใช้เลือกขนาด และเมื่อให้ความยาวด้าน z เท่ากันหรือ (1)=(2) จะได้
ความยาวของก้านโยงที่ 1 และ 2 และ ความยาวของ
r1 + r 2 - r 3 - 2r1r2 cos 1
2 2 2
0 0 lb = 8.6 cm 0 0
+ 2c2 s2 (I2x - I2v) θo 1θo 2 - m1gls1c1 (6)
1 90c l1 = 13.0 cm 0 θ1
2 = I2z p 2 - c2 s2 (I2x + I2y) o 1 - m2 g (ls1c1 + ls2 s1) (7)
2
2 0 0 l2 = 2.8 cm θ2
น�ำสมการที่ (6) และ (7) ไปค�ำนวณหาแรงบิดของ
ขั้นที่สองจะท�ำการค�ำนวณหาเมทริกซ์จาโคเบียนที่ มอเตอร์ ที่ ม ากที่ สุ ด ที่ จ ะใช้ ขั บ เคลื่ อ นชุ ด กลไกที่
แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วที่ปลายก้านโยง ออกแบบไว้ ให้สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเชิงมุม
แต่ละข้อต่อและความเร็วเชิงมุมในการหมุนของแต่ละ b7θo 1, θo 2 Al ได้ไม่เกิน 0.210 และ 0.312 เรเดียน/วินาที
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 27
3. การสร้างชุดกลไกเพิ่มประสิทธิภาพของเลเซอร์
สแกนเนอร์
3.1 อุปกรณ์และเซนเซอร์ที่ใช้
ในการควบคุ ม การเคลื่ อ นที่ ข องเลเซอร์
สแกนเนอร์ในทั้งสองแกน นั้นจ�ำเป็นต้องใช้เซนเซอร์ รูปที่ 8 เลเซอร์สแกนเนอร์ของ Hokuyo
วัดมุมเอียง (หรือ IMU) ในการป้อนกลับองศาการเอียง รุ่น UXM30LXH-EWA [12]
ที่ ใช้ ร ่ ว มกั บ บอร์ ด ควบคุ ม ความเร็ ว ของมอเตอร์ ที่ มอเตอรที่ใช้มี 2 ตัวคือ ได้แก่ มอเตอร์เกียร์ 24-VDC
ขับเคลื่อนในทั้งสองแกน เซนซอร์ IMU ที่ใช้วัดมุมเอียง ที่มีความเร็วรอบ 250 RPM พร้อมด้วยเอนโค้ดเดอร์
คือ MinIMU-9 ของ Pololu ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์วัด (Encoder) แบบ 500 P/R ซึ่งใช้ส�ำหรับการปรับการ
มุมเอียง (Compass) ความเร่ง (Accelerometer) เอียงซ้าย-ขวาของเลเซอร์สแกนเนอร์ และ มอเตอร์
ความเร็วในการหันเห (Gyro) ทั้งสามแกน มีขนาดเล็ก เกียร์ 24-VDC ที่มีความเร็วรอบ 168 RPM ใช้ส�ำหรับ
0.9” x 0.6” x 0.1” ใช้ไฟเลี้ยง 2.6-5.5 VDC ส่วน การปรับองศาก้ม-เงยของอุปกรณ์
ไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ใช้ในการพัฒนาระบบควบคุม
มอเตอร์ทั้งสองแกนคือ Arduino DUE ซึ่งสามารถ
ประมวลผลความเร็ ว ในการหมุ น ของมอเตอร์ จ าก
เอนโค้ดเดอร์ได้
รูปที่ 9 มอเตอร์เกียร์ 24 VDC [13] ที่มีความเร็ว
รอบ 250 RPM พร้อมด้วยเอนโค้ดเดอร์
(Encoder) แบบ 500 P/R (ซ้าย) และมอเตอร์เกียร์
24 VDC [14] ที่มีความเร็วรอบ 168 RPM (ขวา)
28 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
องศาการก้ม-เงยที่ขึ้นกับเวลา โดย θ1=0 เมื่อแผ่น
ปรับการก้ม-เงย ขนานกับระนาบแนวนอน ส่วนเมื่อ
θ1 > 0 และ θ1 < 0 เมื่อยกแผ่นปรับการก้ม-เงยให้
ยกขึ้น และ ลง ตามล�ำดับ
u1(t) = KF sin (A1(θ1(t) - B1)) (9)
เมื่อ แอมพิจูด (KF) เป็นอัตราขยายที่ใช้ช่วยปรับ
รูปที่ 10 การเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ของระบบควบคุม
ความเร็วรอบการหมุนที่ป้อนไปข้างหน้า ค่า A1 เป็น
แบบป้อนกลับและแบบป้อนไปข้างหน้าด้วย
ไมโครคอนโทรเลอร์ Arduino DUE อัตราขยายขององศาการก้ม-เงย และค่า B1 ใช้ปรับ
แก้องศาการก้มเงยของเซนซอร์ IMU แผนภาพการ
โดยจะประยุกต์ใช้ระบบควบคุมแบบพีไอดี (PID) [15] ท�ำงานของการควบคุมแบบไปข้างหน้า (Feed For-
ดังในสมการที่ 8 เพื่อควบคุมองศาการเอียงซ้าย-ขวา ward Control) แสดงดังในภาพที่ 12
ของเลเซอร์สแกนเนอร์ด้วยมอเตอร์ตัวบน ซึ่งจะใช้ค่า
ความผิดพลาด (หรือ e) ทีน่ ยิ ามป็นผลต่างระหว่างค�ำสัง่
องศาการกลิง้ ทีแ่ ปลงเป็นค�ำสัง่ พลัสและองศาการกลิง้
หรือพลัสที่วัดได้จากเอนโค้ดเดอร์ของมอเตอร์ตัวบน
u2 (t) = KP e (t) + KI # e (t) dt + KD a e (t) (8)
dt
โดยค่า KP, KI , KD เป็นค่าอัตราขยายแบบแปรผันตรง รูปที่ 12 ระบบควบคุมแบบป้อนไปข้างหน้า
แบบปริพันธ์ และ แบบอนุพันธ์ ตามล�ำดับ แผนภาพ สำ�หรับมอเตอร์ตัวล่าง ที่สั่งการด้วย
การท�ำงานของการควบคุมแบบ PID แสดงดังรูปที่ 11 ไมโครคอนโทรเลอร์
4. ผลการทดสอบการท�ำงานและการประมวลผลภาพ
จากกลุ่มจุดของเลเซอร์สแกนเนอร์
4.1 ผลทดสอบการควบคุมการท�ำงานของ
มอเตอร์ในทั้งสองแกนส�ำหรับชุดกลไก
รูปที่ 11 ระบบควบคุมแบบ PID สำ�หรับมอเตอร์
เมือ่ เปิดสวิตช์การท�ำงาน เริม่ ต้นแผ่นยึดเลเซอร์
ตัวบน ที่สั่งการด้วไมโครคอนโทรเลอร์
สแกนเนอร์จะหมุนไปแตะลิมิตสวิตช์ที่ติดตั้งไว้ฝั่งซ้าย
เป็นมุม 60c จากแนวดิง่ และท�ำการรีเซ็ตค่าเอ็นโค้ดเดอร์
ส่วนมอเตอร์ตัวล่างจะถูกควบคุมด้วยระบบควบคุม
ให้เป็นศูนย์ เพื่อใช้เป็นต�ำแหน่งอ้างอิง และมอเตอร์
แบบ ป้อนไปข้างหน้า (Feed Forward) ดังในสมการ
ตัวบนจะถูกหมุนกลับมาให้ตั้งตรงด้วยการป้อนกลับ
ที่ 9 เพื่อใช้ช่วยชดเชยแรงโน้มถ่วงโลก ส�ำหรับการยก
ค่าสัญญาณพลัสจากเอ็นโคดเดอร์ (Encoder Count)
ก้านโยง 1 และ 2 ในช่วงขาขึ้นด้วยการเพิ่มความเร็ว
ในหนึง่ รอบจะให้คา่ พลัสเป็น 500 P/R x อัตราทดเกียร์
รอบของมอเตอร์ตัวล่าง และจะลดความเร็วรอบของ
22:1 x 2CH (A,B) x 2 การนับสัญญาณขาขึ้นและลง
มอเตอร์ตัวล่างในช่วงขาลงของกลไกแบบสี่ก้านโยง
ของสัญญาณเอนโค้ดเดอร์ ทีไ่ มโครคอนโทรเลอร์นบั ได้
ดั ง นั้ น จะสามารถอธิ บ ายได้ ด ้ ว ยฟั ง ก์ ชั่ น ซายด์ ข อง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 29
เมื่อถึง -7,333 พลัส (ซึ่งเป็นค่าค�ำสั่งอ้างอิง) แล้ว และค�ำสั่งของระบบควบคุมแบบพีไอดี (U2) ที่สั่งให้
มอเตอร์จะถูกสัง่ ให้หยุดหมุนและรีเซ็ตค่าเอนโค้ดเดอร์ มอเตอร์หมุนตามเข็มนาฬิกา ในทางกลับกันเมื่อ
ให้เป็นศูนย์อีกครั้ง ได้ท�ำการทดสอบการหมุนกลับมา เอียงแผ่นฐานไปทางขวาในช่วงเวลา t ∈ [4.6, 7.1]
ตั้งตรงขนานกับแนวดิ่งเป็นจ�ำนวน 3 ครั้ง ผลการ วินาที ระบบควบคุมแบบพีไอดีก็จะพยายามปรับแผ่น
ทดสอบแสดงในรูปที่ 13 จะเห็นได้ว่าแผ่นยึดเลเซอร์ ยึดเลเซอร์ให้หมุนกลับมาทางซ้ายหรือสั่งให้มอเตอร์
สามารถปรับให้เลเซอร์สแกนเนอร์กลับมาตั้งตรงได้ หมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยเช่นกัน และค�ำสั่ง U2 ของ
ภายใน 400 มิลลิวินาที หลังจากแตะลิมิตสวิทซ์เพื่อ ระบบควบคุมจะมีค่าเป็นบวก
รีเซ็ตค่าเอ็นโค้ดเดอร์
(ข)
รูปที่ 21 ข้อมูลกลุ่มจุดในสามมิติที่สร้างขึ้น
รูปที่ 19 สถานที่ๆใช้ทดสอบความแม่นยำ� (3D reconstructed point cloud) ในพิกัด xyz
ของความกว้างผนังด้วยชุดกลไกเพิ่มประสิทธิภาพ ของผนังในห้องทดลอง (ก) ทดสอบครั้งที่ 1
เลเซอร์สแกนเนอร์ (ข) ทดสอบครั้งที่ 2
34 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
[5] Hamilton H. Mabie and Charles F. [11] Arduino [Internet]. Arduino DUE [modi-
Reinholtz. Mechanisms and Dynamics fied 2016 October 16]. Available
of Machinery, 4nd edition, ISBN: from: https://www.arduino.cc/en/
13978-0-471-80237-2. United States: Guide/ArduinoDue
John Wiley & Sons, Inc. 1987.
[12] Autonomoustuff [Internet]. UXM-30LXH-
[6] Wasan Leelatanaroek, Pradya Prempra- EWA [modified 2016 October 20].
neerach. Study and Design of Radio- Available from: https://www.autono-
control Flapping-wing Robot. Depart- moustuff.com/wp-content/uploads/
ment of Mechanical Engineering, 2016/07/UXM-30LXH-EWA.pdf
Faculty of Engineering, Rajamangala
[13] Sangtawan [Internet]. Gear Motor DC
University of Technology Thanyaburi;
SMG016 [modified 2016 October 25].
2014.
Available from: http://www. sang-
[7] Reza N. Jazar. Theory of Applied Robotics: tawan.org/product_detail.asp?
Kinematics, Dynamics, and Control, product_id=959&lng=th
Second Edition. New York: Springer
[14] Sangtawan [Internet]. Gear Motor DC
Science+Business Media, LLC 2006;
SMG033 [modified 2016 October 25].
2010.
Available from: http://www. sang-
[8] Bruno Siciliano, Lorenzo Sciavicco, Luigi tawan.org/product_detail.asp?
Villani, Giuseppe Oriolo. Robotics : product_id=261&lng=t
Modelling, Planning and Control.
[15] Wikipedia [Internet]. PID Control System
United Kingdom: Springer-Verlag
[modified 2014 October 25]. Available
London Limited; 2009.
from: https://th.wikipedia. org/wiki/
[9] Pitakwatchara P. Fundamentals of ระบบควบคุมพีไอดี
Robotics : Kinematics of Serial
[16] Boonkrong W. Pinciple of Simulink in
Manipulators. Bangkok, Thailand :
MATLAB. Department of Electrical
Chulalongkorn University Press; 2014.
Engineering, Faculty of Engineering,
(in Thai)
Srinakharinwirot University; 2004. (in
[10] Pololu [Internet]. MinIMU-9 [modified Thai)
2016 October 15]. Available from:
https://www.pololu.com/product/
1264
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 35
การแยกกลีเซอรอลออกจากไบโอดีเซลโดยใช้เทคโนโลยีเมมเบรน
Glycerol Separation from Biodiesel by Membrane Technology
สุดปรารถนา ถิราติ1*, ปวีณา พลัดพราก2, ยรรยง สุขคล้าย3, วีรินทร์ดา อัปมานะ4 และจุไรวัลย์ รัตนะพิสิฐ5
Sudpratthana Thirati1*, Paveena Pludprak2, Yanyong Sukklay3, Weerinda Appamana4 and
Juraivan Ratanapisit5
sudpratthana_t@mail.rmutt.ac.th1*, paveena_p@exchang.rmutt.ac.th2, yanyong_s@en.rmutt.
ac.th3, weerinda.a@en.rmutt.ac.th4, juraivan.r@en.rmutt.ac.th5
1-5
ภาควิชาวิศวกรรมเคมีและวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1-5
Department of Chemical Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Abstract
In the present study, glycerol separation from biodiesel by ultrafiltration membrane technology
was studied. Feeds as oil/glycerol in 97:3 proportion (v/v) were filtrated in a dead-end process at different
transmembrane pressures. The experiments were carried out with polyethersulfone (PES) membranes of
different molecular weight cut-off. Results showed that greater pore sizes, as well as greater transmembrane
pressures, enable greater fluxes. However, permeate fluxes of UP 150 and UH030 membranes at 8 bar
indicated an increased trend for the membranes to clog up at high pressure. The optimal operating condition
of ultrafiltration by membrane UH030 at 6 bar was efficient in removing free glycerol, since the high value of
stabilize permeate flux was 0.0156 g/min.cm2 and glycerol rejection was 93.11%. Also the fouling mechanism
was analyzed by the Hermia’s model. Results showed that the pore blocking model played dominate part
for UP150, UP010 and UP005 while the cake layer was significant for UH030. This work concludes that
membrane technology is a possible alternative for biodiesel purification.
Keywords: Glycerol, biodiesel, membrane, ultrafiltration, fouling
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 37
1. บทน�ำ เทคโนโลยี เ มมเบรนจึ ง เป็ น ทางเลื อ กที่ น ่ า สนใจ
ปัจจุบันแนวโน้มการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น ในการประยุกต์ใช้กับขั้นตอนการท�ำบริสุทธิ์ไบโอดีเซล
โดยเฉพาะการใช้พลังงานจากน�้ำมันเชื้อเพลิงมีการ เพราะเทคโนโลยี เมมเบรนได้ รั บการยอมรั บว่ า มี
ใช้ ม ากที่ สุ ด ท� ำ ให้ เ กิ ด วิ ก ฤตการณ์ ด ้ า นพลั ง งาน ประสิทธิภาพการแยกโดยไม่จ�ำเป็นต้องมีการเปลี่ยน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม ในช่วง เฟสจึงลดการใช้พลังงาน ลดการใช้สารเคมี และลด
กว่าสิบปีที่ผ่านมามีการน�ำเสนองานวิจัยด้านพลังงาน ของเสียสูส่ งิ่ แวดล้อม จึงมีความเป็นมิตรต่อสิง่ แวดล้อม
ทดแทนหลายวิธี ทั้งในรูปแบบชนิดของพลังงาน และง่ า ยต่ อ การท� ำ งานเมื่ อ เที ย บกั บ การแยกอื่ น ๆ
ทดแทนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่ า ง [1] เทคโนโลยีเมมเบรนมีข้อเด่นหลายประการ เช่น
พลังงานทางเลือกของน�ำ้ มันดีเซล ได้แก่ น�ำ้ มันไบโอดีเซล ความสามารถแยกองค์ประกอบขนาดใหญ่และเล็ก
ที่ ผ ลิ ต จากน�้ ำ มันสัตว์ห รือน�้ำมันพืชโดยใช้ปฏิ กิ ริ ย า โดยเฉพาะเมื่อสารป้อนมีความเข้มข้นในระดับต�่ำได้ดี
ทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน (transesterification) กับ ประกอบกับเป็นกระบวนการที่ไม่ใช้ความร้อน หรือใช้
เมทานอลและมีด่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังรูปที่ 1 ความร้อนต�่ำ (ขึ้นกับลักษณะสารป้อน) ในปัจจุบันได้มี
งานวิจัยที่น�ำเทคโนโลยีเมมเบรนเข้ามาใช้ในการท�ำ
CH2OOCR1 R1COOH3 CH2OH บริสทุ ธิไ์ บโอดีเซล โดยหลักการของการแยกกลีเซอรอล
CATALYST
ในไบโอดีเซลด้วยเทคโนโลยี เมมเบรน แสดงดังรูปที่ 2
CH2OOCR2 + 3CH3OH R2COOH2 + CH2OH
โมเลกุ ล กลี เซอรอลรวมตั ว กั บ โมเลกุ ล สารอื่ น ท� ำ ให้
ขนาดของอนุภาคมีขนาดใหญ่ขึ้น ในกรณีนี้กระแส
CH2OOCR3 RCOOH3 + CH2OH
เพอร์มิเอทเป็นกลุ่มเอสเทอร์เป็นหลัก ในขณะที่ด้าน
Triglyceride Methanol Methyl Ester Glycerol
รีเทนเทตเป็นกลีเซอรอลและสารประกอบอื่นๆ [2]
รูปที่ 1 ปฏิกิริยาทรานส์เอสเทอริฟิเคชัน
38 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
เมมเบรนรวมถึงการเกิดชั้นเค้ก ซึ่งส่งผลต่อค่าฟลักซ์ 2. วิธีการศึกษา
และสมรรถนะเมมเบรน การศึกษากลไกฟาล์วลิ่งใน 2.1 สารป้อนที่ใช้ในการศึกษา
กระบวนการเมมเบรนจึงมีความส�ำคัญ เนื่องจากท�ำให้ เพื่ อ ควบคุ ม สารป้ อ นในการทดลองให้ มี
เข้าใจถึงพฤติกรรมการลดลงของฟลักซ์และสามารถ คุณภาพคงที่ น�้ำมันไบโอดีเซลดิบที่ได้จากบริษัทน�้ำมัน
ยืด อายุ ก ารใช้งาน เมมเบรนได้ และในงานวิ จัย นี้ พืชปทุม จ�ำกัด ถูกน�ำมาล้างเพื่อแยกสารประกอบอื่นๆ
ออก เช่น สบู่ กลีเซอรอล ด่าง ฯลฯ เพื่อหยุดปฏิกิริยา
เลือกใช้แบบจ�ำลองเฮอร์เมียเพื่อศึกษากลไกฟาล์วลิ่ง
ทรานเอสเทอริฟิเคชัน อัตราส่วนของน�้ำมันไบโอดีเซล
จากการศึกษางานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าเทคโน-
ต่อน�้ำกลั่นในการล้างแต่ละครั้งคือ 1:0.5 โดยปริมาตร
โลยี เ มมเบรนมี ค วามสามารถในการก� ำ จั ด กั ม และ ล้างจนค่าความเป็นกรด-เบสของสารอยู่ในสถานะ
ฟอสโฟไลปิดในน�้ำมันร�ำข้าวด้วยเมมเบรน พอลิเมอร์ เป็นกลาง หลังจากนั้นน�ำไปก�ำจัดน�้ำด้วยเครื่องกลั่น
ระดับอัลตราฟิลเตรชันและนาโนฟิลเตร-ชันควบคู่กับ ระเหยแบบหมุน (rotary evaporator) แล้วจึงเก็บ
การศึกษาฟาล์วลิ่ง โดยใช้แบบจ�ำลองเฮอร์เมีย [3-4] ไบโอดีเซลที่ได้ในภาชนะทึบแสง และปิดสนิทเพื่อ
และยังสามารถก�ำจัดกลีเซอรอลในไบโอดีเซลได้ถึง รอใช้ในการทดลองสารป้อนที่ใช้ในการทดลองต้อง
ร้อยละ 48-68 ด้วยเมมเบรน พอลิเมอร์ระดับอัลตรา ถูกปรับองค์ประกอบของกลีเซอรอล ซึ่งในงานวิจัยนี้
ฟิลเตรชันควบคู่กับการเติมน�้ำ [5] และพบว่าเมมเบรน ได้ ท� ำ การเตรี ย มผสมใหม่ ทุ ก ครั้ ง โดยใช้ ไ บโอดี เซล
ระดั บ ไมโครฟิ ล เตรชั น ไม่ ส ามารถแยกกลี เซอรอล ที่ ผ ่ า นการล้ า งและการก� ำ จั ด น�้ ำ ข้ า งต้ น ผสมกั บ
ออกจากไบโอดีเซลได้เ มื่อเทียบกับการกรองระดั บ กลีเซอรอลสังเคราะห์ที่มี ความบริสุทธิ์สูง (analytical
reagent; Sigma) ในอัตราส่วนระหว่างไบโอดีเซลต่อ
อัลตราฟิลเตรชันที่มีขนาดน�้ำหนักโมเลกุลตัด 10 kDa
กลีเซอรอลเป็น 97 ต่อ 3 โดยปริมาตร
[6] รวมทัง้ มีการศึกษาการใช้เมมเบรนเซรามิกทีม่ ขี นาด
รูพรุน 0.2 ไมโครเมตร พบว่ามีประสิทธิภาพในการแยก 2.2 ชุดการกรองแบบปิดตาย
กลีเซอรอลจากไบโอดีเซล โดยให้ปริมาณกลีเซอรอล ชุ ด การกรองแบบปิ ด ตายประกอบด้ ว ยถั ง
น้อยว่าร้อยละ 0.02 โดยน�้ำหนัก [7] นอกจากนี้ยังมี แก๊สไนโตรเจนที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5 ที่ใช้เป็น
รายงานว่ า เทคโนโลยีเ มมเบรนสามารถลดปริ ม าณ แรงขับ สารป้อนต่อเข้ากับถังป้อนสแตนเลสสตีลขนาด
170 ลูกบาศก์เซนติเมตร พร้อมเกจวัดความดันที่ถูก
น�้ำเสีย จากขั้นตอนการล้างไบโอดีเซล เมื่อประยุกต์
ติดตั้งบนถังป้อนภายในถังป้อนท�ำการติดตั้งตัวกวน
ใช้กระบวนการเมมเบรนระดับอัลตราฟิลเตรชันด้วย
ผสมแสดงดังรูปที่ 3
เมมเบรนพอลิเมอร์ขนาดน�้ำหนักโมเลกุลตัด 100 kDa
[8]
ส�ำหรับงานวิจัยนี้ได้ศึกษาผลของความดัน
และขนาดน�้ำหนักโมเลกุลตัดของเมมเบรนเกรดการ
ค้าชนิดพอลีอีเธอร์ซันโฟนระดับอัลตราฟิลเตร-ชัน
ต่อค่าฟลักซ์เพอร์มิเอทและความ สามารถการกักกัน
รวมทั้งหาสภาวะที่เหมาะสมในการแยก กลีเซอรอล
จากไบโอดีเซลและกลไกฟาล์วลิ่งของเมมเบรนในช่วง
ความดันสูง รูปที่ 3 ชุดเครื่องมือการกรองแบบปิดตาย
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 39
ด้านล่างถังป้อนเป็นต�ำแหน่งติดตั้งเมมเบรนใหม่ที่มี 2.4 การวิเคราะห์
เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร แผ่นเมมเบรนถูก ในงานวิจัยนี้ศึกษาผลการทดลองบนฐานของ
ปรับสภาพโดยการแช่ในเมทิลเอสเทอร์ก่อนท�ำการ ฟลักซ์เพอร์มิเอท ความสามารถการกักกัน และกลไก
กรองเพื่อให้เมมเบรนมีสภาพจริงพร้อมใช้งาน จากนั้น ฟาล์วลิ่งดังนี้ ฟลักซ์ คือ อัตราการไหลผ่านเมมเบรน
เติมสารป้อนปริมาตรเริ่มต้นคงที่ 150 ลูกบาศก์ ของเพอร์มิเอทต่อพื้นที่หน้าตัด เมมเบรน มีหน่วยเป็น
เซนติเมตร ท�ำการกรอง ณ อุณหภูมิห้องและควบคุม น�้ำหนักของเพอร์มิเอทต่อพื้นที่ต่อเวลา ดังสมการที่ 1
ความดันให้คงที่ตามค่าที่ต้องการ แล้วท�ำการจับเวลา Ji = W / (a.t) (1)
และบั น ทึ ก น�้ ำ หนั ก กระแสเพอร์ มิ เ อทเมื่ อ สิ้ น สุ ด
การทดลองท�ำการเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ปริมาณ โดยที่ Ji คือ ฟลักซ์ของสาร i, a คือ พื้นที่การกรอง
กลีเซอรอลด้วยเครื่องแก๊สโครมาโตกราฟฟีท�ำการ W คือ น�้ำหนักของสารที่กรองได้และ t คือ เวลา
ทดลองซ�้ำ 3 ครั้ง ทุกสภาวะส�ำหรับกลไกฟาล์วลิ่ง ความสามารถการกักกัน (rejection coeffi-
ใช้การวิเคราะห์จากแบบจ�ำลองเฮอร์เมีย (Hermia cient; R) คือร้อยละของตัวถูกละลายที่ไม่สามารถผ่าน
model) ของของไหลชนิดนอนนิวโตเนียน (nonnew- เมมเบรนได้ดังสมการต่อไปนี้
tonian fluid R = 71 - (CP /CF)A # 100 (2)
โดย
2.3 ชนิดเมมเบรน
CP คือ ความเข้มข้นตัวถูกละลายในเพอร์มิเอท
เมมเบรนเกรดการค้าจากบริษัท Microdyn
CF คือ ความเข้มข้นตัวถูกละลายในสารป้อน
Nadir GmbH ชนิดพอลิอีเธอร์ซัลโฟน (polyether-
ฟาล์วลิ่ง คือการสะสมของอนุภาคที่เมมเบรน
sulfone; PES) มีค่าขนาดน�้ำหนักโมเลกุลตัด (MWCO)
ท� ำ ให้ เ กิ ด การอุ ด ตั น และส่ ง ผลต่ อ สมรรถนะหรื อ
ที่ 150, 10 และ 5 kDa มีรหัสการใช้งานดังนี้ UP150,
ค่าฟลักซ์ ของเมมเบรนลดลง ในงานวิจัยนี้ใช้แบบ
UP010 และ UP005 ตามล�ำดับ และชนิดไฮโดรฟิลิก
จ�ำลองเฮอร์เมีย (Hermia,1982) เพื่อศึกษากลไก
พอลิอเี ธอร์ซลั ไฟน (hydrophilic polyethersulfone)
ฟาล์วลิง่ ของสารละลายชนิดนอนนิวโตเนียนทีค่ วามดัน
มีรหัสการใช้งาน UH030 มีค่า MWCO 30 kDa ถูกน�ำ
คงที่เพื่ออธิบายการลดลงของค่าฟลักซ์ มี 4 รูปแบบ
มาใช้ในการทดลองเพื่อศึกษาผลของความดันต่อค่า
คือ complete blocking model (CMB), interme-
ฟลักซ์เพอร์มิเอทและความสามารถการกักกัน โดย
diate blocking model (IBM), standard blocking
ช่วงความดันที่ศึกษามีดังนี้ เมมเบรนชนิด UP150,
model (SBM) และ cake filtration model (CFM)
UH030 และ UP010 ใช้ความดัน 4, 6 และ 8 บาร์
ดังรูปที่ 4 และตารางที่ 1
ในขณะที่เมมเบรน UP005 ใช้ความดัน 10, 15 และ
20 บาร์ เพื่อเพิ่มแรงขับให้ชุดทดลองเนื่องจากเป็น
เมมเบรนที่มีความแน่นสูง
รูปที่ 4 แบบจำ�ลองกลไกฟาล์วลิ่งของเฮอร์เมีย
ทั้ง 4 รูปแบบ [9]
40 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ตารางที่ 1 สมการความเป็นเส้นตรงในแบบ จำ�ลองกลไก ฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรน UH030 ที่
ฟาล์วลิ่งของเฮอร์เมีย [10] ความดัน 4 และ 6 บาร์ มีโปรไฟล์ที่คล้ายคลึงกันและ
มีความแตกต่างของค่าฟลักซ์อย่างมีนัยส�ำคัญ โดยพบ
Blocking Linearized equation
Mechanism form ความดันมีผลต่อการเปลีย่ นแปลงของ ฟลักซ์เพอร์มเิ อท
[11]
CBM ln J = ln J0 - Kc t
IBM 1/J = (1/J0) + Kit
SBM (1/J)0.5 = (1/J0)0.5 + Kst
CFM (1/J)2 = (1/J0)2 + Kcft
3. ผลการศึกษาและอภิปรายผล
3.1 ฟลักซ์เพอร์มิเอทของการกรอง
โปรไฟล์ ฟ ลั ก ซ์ เ พอร์ มิ เ อทของเมมเบรน รูปที่ 5 ฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรน UP150
UP150 และ UH030 แสดงดังรูปที่ 5 และ 6 พบว่า ที่ความดัน 4, 6 และ 8 บาร์
ฟลักซ์เพอร์มิเอทมีความคล้ายคลึงกัน คือที่สภาวะ
เริ่มต้นการกรอง ณ ความดัน 8 บาร์ มีค่าฟลักซ์สูงสุด
ทั้งนี้เพราะเป็นความดันในการดำ�เนินการสูงสุดส่งผล
ให้มีแรงขับสูงสุดผ่านเมมเบรน อย่างไรก็ตามเมื่อเวลา
การกรอง นานขึ้นความดันที่สูงอาจส่งผลทำ�ให้อนุภาค
ถูกอัดแน่น ทีผ่ วิ หน้าเมมเบรนและภายในรูพรุนมากขึน้
จึงท�ำให้ ค่าฟลักซ์ลดลง ซึ่งพบว่าค่าฟลักซ์สุดท้าย
ณ ความดัน 8 บาร์ของเมมเบรนทั้ง 2 ชนิด มีค่าต�่ำกว่า รูปที่ 6 ฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรน UH030
ความดัน 6 บาร์ และเมื่อเปรียบเทียบ โปรไฟล์ฟลักซ์ ที่ความดัน 4, 6 และ 8 บาร์
ของเมมเบรน UP150 ที่ความดัน 4 และ 6 บาร์ พบว่า
ฟลักซ์มีการเพิ่มขึ้นในช่วงแรกอย่างสั้นๆ และลดลง ฟลักซ์เพอร์มิเอทของ UP010 ที่ความดัน 4, 6
เข้าสูส่ ภาวะคงทีต่ ามระยะเวลาการกรอง ทัง้ นีเ้ ป็นเพราะ และ 8 บาร์ แสดงดังรูปที่ 7 พบว่าเมื่อเทียบกับเมมเบรน
ในช่วงเริน่ ต้นของ ระบบทีม่ คี วามดันต�ำ่ กว่านัน้ อนุภาค UP150 และ UH030 โปรไฟล์ฟลักซ์มีความแตกต่าง
ขนาดใหญ่ยังคงแขวนลอยในสาระลาย จึงเกิดการซึม ทั้งนี้อาจเป็นเพราะขนาดรูพรุนที่เล็กลงของ UP010
ผ่านของเพอร์มิเอท อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น อย่างไร ร่ ว มกั บ สภาวะโพลาไลเซชั น ของความเข้ ม ข้ น และ
ก็ตาม เมื่อเวลาการกรองเพิ่มขึ้น ท�ำให้เกิดการสะสม ฟาล์วลิ่ง ความแตกต่างของ UP010 อาจเกิดจากการ
ของอนุภาคบนผิวเมมเบรน ส่งผลให้ความต้านทาน อุดตันที่ผิวหน้าเมมเบรน อนุภาคของสารไม่สามารถ
ในการไหลเพิ่มขึ้นจึงท�ำให้มีการลดลงของฟลักซ์ ผ่านรูพรุนขนาดเล็กได้ กล่าวคือเมื่อขนาดของอนุภาค
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 41
และรูพรุนมีความแตกต่างกันอย่างมาก มีผลท�ำให้ อย่างไรก็ตามโปรไฟล์ที่ความดัน 10 บาร์
สารไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านรูพรุนได้ จึงลดการอุดตัน มีแนวโน้มคล้ายคลึงกับเมมเบรน UP010 ทัง้ นีเ้ นือ่ งจาก
ภายในรู พ รุ น ประกอบกั บ ระบบมี ตั ว กวนจึ ง ท� ำ ให้ ความแตกต่างระหว่างขนาดอนุภาคและรูพรุนเป็นหลัก
อนุภาคขนาดใหญ่มีการกระจายในเฟสของน�้ำมันและ ในสภาวะที่ความดันไม่สูงมากเกินไป ค่าฟลักซ์เพอร์-
อนุภาคเกิดการรวมตัวท�ำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ มิเอทเริ่มต้นและฟลักซ์สุดท้ายของเมมเบรนอัลตรา
เกิดการเพิ่มขึ้นของค่าฟลักซ์ในช่วงเริ่มต้นแทน ซึ่ง ฟิลเตรชันจากตารางที่ 2 พบว่า ฟลักซ์สุดท้ายของ
สอดคล้องกับงานวิจัยของ [12] เมมเบรน UP010 ในงานวิจยั นีม้ คี า่ ใกล้เคียงกับค่าฟลักซ์
ของงานวิจัยของ Saleh และคณะ (2010) ซึ่งทดลอง
การท�ำบริสทุ ธิไ์ บโอดีเซลด้วย เมมเบรนพอลิเมอร์พอลิ-
อะคริไลโนไตรล์ (polyacrylonitrile) ขนาด 10 kDa
ตารางที่ 2 ค่าฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรน อัลตรา
ฟิลเตรชัน ทั้ง 4 ชนิด
Membrane Pressure Initial Final
flux flux
รูปที่ 7 ฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรนระดับ UP010 4 0.0092 0.0058
ที่ความดัน 4, 6 และ 8 บาร์ UP150 6 0.0331 0.0213
8 0.0479 0.0185
รูปที่ 5, 6 และ 7 แสดงให้เห็นว่าค่าฟลักซ์ 4 0.0046 0.0042
เพอร์มิเอทเพิ่มขึ้นเมื่อ MWCO ของเมมเบรนสูงขึ้น UH030 6 0.0209 0.0156
นอกจากนี้ความดันในการด�ำเนินการที่สูงมีผลต่อค่า 8 0.0286 0.0137
ฟลักซ์เพอร์มิเอทที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม 4 0.0015 0.0011
การเลือกใช้เมมเบรนที่มี MWCO ขนาดเล็กควบคู่กับ UP010 6 0.0031 0.0041
ความดันสูง ดังรูปที่ 8 ไม่ท�ำให้ค่าฟลักซ์ดีขึ้นเสมอไป
8 0.0107 0.0184
ดังตารางที่ 2 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ [13]
10 n/a* 0.00005
ในท� ำ นองเดี ย วกั น ฟลั ก ซ์ เ พอร์ มิ เ อทของ
UP005 15 0.0031 0.0006
UP005 แสดงดังรูปที่ 8 พบว่าความดันมีผลต่อค่าฟลักซ์
20 0.0071 0.0027
อย่างมีนัยส�ำคัญ โปรไฟล์ฟลักซ์เพอร์มิเอทที่ความดัน
15 และ 20 บาร์ มีความคล้ายคลึงกัน คือมีการลดลง *n/a เนื่องจากปริมาณเพอร์มิเอทมีค่าน้อยมาก
ในช่วงเริ่มต้นทั้งนี้เป็นผลเนื่องจากระบบด�ำเนินการ
ที่ความดันสูงท�ำให้อนุภาคถูกบีบรีดผ่านรูพรุนไปยัง
กระแสเพอร์มิเอทเนื่องจากโพลาไรเซชันของความ
เข้มข้นและฟาล์วลิ่ง
42 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ความสามารถการกักกันกลีเซอรอลมีค่าเพิ่ม
มากขึ้นเมื่อเมมเบรนมีน�้ำหนักโมเลกุลตัดน้อยลงแต่
พบว่าเมมเบรน UP005 ให้ค่าความสามารถการกักกัน
กลีเซอรอลในช่วงร้อยละ 4-88 ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ
ปริมาณฟลักซ์เพอร์มเิ อทของเมมเบรน UP005 มีคา่ น้อย
จึงส่งผลต่อการวิเคราะห์
ปริ ม าณเนื่ อ งจากปริ ม าณกลี เซอรอลอิ ส ระ
รูปที่ 8 ฟลักซ์เพอร์มิเอทของเมมเบรน UP005 ที่ตกจมลงไปที่ผิวหน้าเมมเบรน ประกอบกับความดัน
ที่ความดัน 10, 15 และ 20 บาร์ ในการด�ำเนินงานที่สูงกว่า UP150, UH030 และ
UP010 ประมาณ 3-5 เท่า ท�ำให้เกิดการผลักกลีเซอรอล
3.2 การกักกันกลีเซอรอล ผ่านไปยังกระแสเพอร์มิเอท จากผลของความสามารถ
ความสามารถการกั ก กั น กลี เซอรอลของ
ในการแยกกลี เซอรอลจึ ง สนั บ สนุ น ว่ า การเลื อ กใช้
เมมเบรนอัลตราฟิลเตรชันทั้ง 4 ชนิด แสดงได้ดัง
เมมเบรนที่ มี ข นาดโมเลกุ ล ตั ด ที่ ต�่ ำ ร่ ว มกั บ การใช้
ตารางที่ 3 พบว่าเมมเบรนชนิด UH030 และ UP010
ให้ค่าความสามารถการกักกันที่ใกล้เคียงกันและให้ ความดันสูงในการแยกสารไม่ได้ให้ผลในการแยกที่ดี
ค่าสูงอยูใ่ นช่วงร้อยละ 91-97 ซึง่ แสดงถึงความเป็นไปได้ เสมอไป กระบวนการแยกสารด้วยเทคโนโลยีเมมเบรน
ในการใช้เมมเบรนทั้ง 2 ชนิดเพื่อแยกกลีเซอรอล ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอย่างอื่นควบคู่ เช่น ความดัน
องค์ประกอบของสารป้อน
ตารางที่ 3 ความสามารถการกักกันกลีเซอรอลของ
เมมเบรนอัลตราฟิลเตรชัน
3.3 กลไกฟาล์วลิ่ง
Membrane Pressure Glycerol กลไกฟาล์ ว ลิ่ ง โดยใช้ ก ารพิ จ ารณาค่ า
(bar) Rejection (R)
สัมประสิทธิ์การถดถอยที่ค�ำนวณได้ตามตารางที่ 1
4 66.45 ของการกรองอัลตราฟิลเตรชันทั้ง 4 ชนิด ณ ความดัน
UP150 6 63.44 สูงสุด แสดงได้ดังตารางที่ 4 และรูปที่ 9 (ก)-(ง) แสดง
8 48.31 กราฟการถดถอยเชิงเส้นตรงของเมมเบรน UP150,
4 93.85 UH030 และ UP010 เนื่องจากเมมเบรน UP005
UH030 6 93.11 มีชว่ งกราฟทีแ่ ตกต่างกันอย่างมีนยั ส�ำคัญ จึงไม่สามารถ
8 91.14 แสดงผลในกราฟเดียวกันได้
4 95.11
UP010 6 97.62
8 91.98
10 88.37
UP005 15 87.52
20 73.69
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 43
ตารางที่ 4 ค่า R2 ของเมมเบรนอัลตราฟิลเตรชันทั้ง
4 ชนิด
3.2 การกักกันกลีเซอรอล
ผลการทดลองพบว่าเมมเบรน UP150 ให้ค่า
R2 สูงทุกแบบจำ�ลองมีแนวโน้มการเกิดฟาล์วลิ่งด้วย
กลไกชนิดการอุดตันของรูพรุน (pore blocking) สำ�หรับ
UP005 พบว่ากลไกการอุดตันของรูพรุนเป็นแบบ CBM
ด้วยค่า R2 สูงสุดอย่างมีนัยสำ�คัญเมื่อเทียบกับแบบ
(ก) จำ�ลองอื่น
เมื่อพิจารณากลไกการอุดตันของเมมเบรน
UP010 มีแนวโน้มให้ค่า R2 ต�่ำกว่าเมมเบรนชนิดอื่น
แต่มีแนวโน้มเกิดการอุดตันของรูพรุน ทั้งนี้แสดงถึง
การรวมตัวของอนุภาคที่ผิวหน้าของเมมเบรนส่งผลให้
อนุภาคไม่สามารถผ่านรูพรุนได้และลดปริมาตรรูพรุน
ในระหว่างการกรอง ส�ำหรับเมมเบรน UH030 พบว่า
ผลการทดลองสอดคล้องกับกลไกการกรองแบบเค้ก
(ข)
4. สรุปผล
ผลการศึ ก ษาการแยกกลี เซอรอลออกจาก
ไบโอดี เซลในการกรองระดั บ อั ล ตราฟิ ล เตรชั น ด้ ว ย
เมมเบรน UP150, UH030, UP010 และ UP005
พบว่า MWCO และความดันมีผลต่อฟลักซ์เพอร์-มิเอท
ความสามารถการกักกัน และกลไกฟาล์วลิ่ง งานวิจัยนี้
พบว่าสภาวะการท�ำงานที่เหมาะสมควร ใช้เมมเบรน
(ค)
44 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
UH030 ที่ความดัน 6 บาร์ โดยให้ค่า ฟลักซ์เพอร์มิเอท [4] Chiranun K. Phospolipid removal of
อยู่ในช่วง 0.0209 - 0.0156 g/min.cm2 ความสามารถ Jatropha oil and rice bran oil by
กักกันกลีเซอรอลร้อยละ 93.11 และมีกลไกฟาล์วลิ่ง ultrafiltration. The 10th RMUTT
แบบเค้ก ผลการทดลองแสดงถึงความเป็นไปได้ในการ graduate research conference. 2015.
ใช้เทคโนโลยีเมมเบรนเพื่อแยกกลีเซอรอล ในกระบวน (in Thai)
การผลิตไบโอดีเซล
[5] Juan T, Natalia R, Javier A, Nelio O,
José M. Ultrafiltration polymeric
5. กิตติกรรมประกาศ
membrane for the purification of
ผู้วิจัยขอขอบคุณ บริษัทน�้ำมันพืชปทุม จ�ำกัด
biodiesel from ethanol. Journal of
ที่ ใ ห้ ค วามอนุ เ คราะห์ น�้ ำ มั น ไบโอดี เซลดิ บ ส� ำ หรั บ
Cleaner Production. 2017; 141, 641-
งานวิ จั ย และขอขอบคุณ ทุนสนับสนุนงานวิ จัย เงิ น
647.
งบประมาณมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
และเงิ น รายได้ ค ณะวิ ศ วกรรศาสตร์ ม หาวิ ท ยาลั ย [6] Magno A, Suellen N, Lara P, Maria M,
เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี Vicelma C, Miria R. Biodiesel purifica-
tion micro and ultrafiltration mem
6. เอกสารอ้างอิง branes. Renewable Energy.2013; 58,
[1] Atadashi I.M, Aroua M.K, Abdul A. Biodiesel 15-20.
separation and purification: A review. [7] Maria G, Pedro A, Nehemias P. Biodiesel
Renewable Energy. 2011;36, 437-443. production from degummed soybean
[2] Yong W, Xingguo W, Yuanfa L., Shiyi O, oil and glycerol removal using
Yanlai T, Shuze T. Refining of biodiesel ceramic membrane. Journal of Mem-
by ceramic membrane separation. brane Science. 2011; 378, 453-461.
Fuel Processing Techonology. 2009; [8] Jehad S, Andr′e T, Marc D. Glycerol
90, 422-427. removal from biodiesel using mem-
[3] Rungsinee K. Degumming in rice bran oil brane separation technology. Fuel.
with nanofiltration membrane tech- 2010; 89, 2260-2266.
nology. The 15th TSAE National [9] M. Cinta V, Silvia B, Jaime G, Enrique R.
Coference and the 7th inter national Analysis of membrane pore blocking
conference. 2014. (in Thai) models applied to the Ultrafiltration
of PEG. Separation and Purification
Technology . 2008;62 , 489-498.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 45
[10] Indok A, Abdul M, Mastura P, Nidal H. [12] Maria G, Nehemias P, Sueli B. Separation
Analysis of deposition mechanism of biodiesel and glycerol using
during ultrafiltration of glycerin-rich ceramic membrane. Journal of Mem-
solutions. Desalination. 2010;261 , brane Science. 2010; 352, 271-276.
313-320.
[13] Maria G, Pedro A, Nehemias P. Influence
[11] Mehrdad H, Agnieszka N. The influence of acidified water addition on the
of different factors on the stability biodiesel and glycerol separation
and ultrafiltration of emulsified oil in through membrane technology.
water. Journal of Membrane Science. Journal of Membrane Science. 2013;
2008; 325, 199-208. 431, 28-36.
46 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
การบ�ำบัดสีในน�้ำเสียสังเคราะห์ด้วยกระบวนการโฟโตคะตะลิติก
ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา Ag-TiO2
Color Removal from Synthetic Wastewater by Photocatalalytic
Process with Ag-TiO2 Catalyst
ธรรมศักดิ์ โรจน์วิรุฬห์1* สัญญา สิริวิทยาปกรณ์2 อรวรรณ โรจน์วิรุฬห์3 และกชกร สุรเนาวรัตน์4
Thammasak Rojviroon1* Sanya Sirivithayapakorn2 Orawan Rojviroon3 Kotchakorn Suranowarath4
thammasak@rmutt.ac.th1*, fengsys@ku.ac.th2, orawan_r@rmutt.ac.th3, fengkos@ku.ac.th4
1*
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1*
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
2,4
ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2,4
Department of Environmental Engineering, Faculty of Engineering, Kasetsart University
3
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
3
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Abstract
This research aims to improve the potential of TiO2 photocatalyst by doping with 3 different
amounts of Ag, i.e. 0.1%, 0.5% and 1.0% weight to volume. The color removal efficiency of all prepared
photocatalysts were evaluated with IC and RB5 in synthetic wastewater by photocatalytic process under
UVA light sources of 1,000 µW/cm2. As a result of the Ag doped into the TiO2 photocatalyst, the doped
photocatalyst was more suitable and potent for photocatalytic process. The optimum removal efficiency
of IC and RB5 in synthetic wastewater was 92.00% and 69.00%, respectively for 1.0%Ag-TiO2 photocatalyst
at 90 minutes. For the kinetics analysis of photocatalytic process, the mechanism of color removal in
photocatalytic reaction could be described by the Langmuir Hinshelwood model.
Keywords: dopant, photooxidation, sol-gel, textile industry
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 47
1. บทน�ำ 2. อุปกรณ์และวิธีการ
อุ ต สาหกรรมสิ่ ง ทอเป็ น อุ ต สาหกรรมหนึ่ ง 2.1 การเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาฟิล์มบาง
ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านมลพิษทางน�้ำ เนื่องจากเป็น การเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อใช้ในกระบวน-
อุ ต สาหกรรมที่ ต ้ อ งมี ก ารใช้ น�้ ำ เป็ น ปริ ม าณมากใน การโฟโตคะตะลิตกิ โดยเตรียมตัวเร่งปฏิกริ ยิ าฟิลม์ บาง
กระบวนการผลิต [1] ซึ่งขั้นตอนในกระบวนการผลิต 4 ชนิด ได้แก่ TiO2, 0.1%Ag-TiO2, 0.5%Ag-TiO2
ของอุตสาหกรรมสิง่ ทอ ไม่วา่ จะเป็นการเตรียมวัตถุดบิ และ 1.0%Ag-TiO2 ซึ่งเตรียมด้วยวิธีโซลเจล สามารถ
และการย้อมสี ล้วนแล้วแต่ต้องใช้น�้ำ รวมทั้งวัตถุดิบ เตรียมได้โดยผสมไทเทเนียมเตตระไอโซโพรพรอกไซด์
ในการผลิต เช่น สียอ้ มผ้า สารเคมี สิง่ สกปรก โลหะหนัก (Ti[OCH(CH3)2]4, TTIP) กับสารละลายไอโซโพรพานอล
และสิ่งเจือปนต่างๆ ในเส้นใย เป็นต้น [2, 3] ท�ำให้ (C3H7OH) อัตราส่วน 1:15 โดยปริมาตร ท�ำการปรับ
น�ำ้ เสียทีเ่ กิดจากกระบวนการผลิตดังกล่าวเมือ่ ถูกปล่อย pH ให้มีค่า 2-3 เติมสารเจือบนโดยใช้ซิลเวอร์ไนเตรท
ลงสูส่ งิ่ แวดล้อมทางธรรมชาติ จะส่งผลกระทบโดยตรง (AgNO3) ในอัตราส่วน 0.1%, 0.5% และ 1.0% โดย
ต่อการด�ำรงชีพของสิง่ มีชวี ติ ระบบนิเวศและสิง่ แวดล้อม น�้ำหนักต่อปริมาตร แล้วท�ำการกวนผสมในสภาวะปิด
ทางน�้ำ ทั้งนี้การบ�ำบัดน�้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรม ที่ไม่มีออกซิเจนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นน�ำไป
ฟอกย้อมส่วนใหญ่มีองค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอน เก็บที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
ที่มีความคงตัวสูงและย่อยสลายได้ยาก ดังนั้นจึงเป็น จะได้สารละลายโซลเจลที่สามารถน�ำไปเคลือบผิวบน
ข้อจ�ำกัดของกระบวนการบ�ำบัดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ตัวกลางได้การเคลือบตัวเร่งปฏิกิริยาฟิล์มบางโดยใช้
แม้ว่าจะสามารถก�ำจัดองค์ประกอบที่เป็นมลพิษต่อ สารละลายโซลเจลที่เตรียมขึ้นบนผิวของ Petri dish
สิ่งแวดล้อมทางน�้ำได้ แต่ไม่สามารถก�ำจัดสีในน�้ำทิ้ง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 มม. ลึก 15 มม. ซึ่ง
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตจากแก้วบอโรซิลิเกต สามารถท�ำได้โดยอุปกรณ์
ดั ง นั้ น งานวิ จั ย นี้ จึ ง มุ ่ ง เน้ น ในการบ� ำ บั ด สี จุ่มเคลือบผิว (Dip coating equipment) ดังรูปที่ 1
ในน�้ำทิ้งโดยศึกษากับน�้ำเสียสังเคราะห์ซ่ึงเตรียมจาก ด้วยอัตราเร็วในการชุบเคลือบ เท่ากับ 9 มิลลิเมตร
สีย้อม 2 ชนิด ได้แก่ Indigo carmine (IC) และ ต่อนาที และท�ำการเคลือบผิวเป็นจ�ำนวน 5 ชั้น ในการ
Reactive black 5 (RB5) โดยใช้กระบวนการ จุ่มเคลือบผิวแต่ละชั้นเริ่มต้นตั้งแต่ชั้นที่ 1-5 เท่ากับ
โฟโตคะตะลิติก (Photocatalytic Process) ซึ่งเป็น 100, 200, 250, 350 และ 500 องศาเซลเซียส
กระบวนการออกซิเดชันขั้นสูง ร่วมกับตัวเร่งปฏิกิริยา ตามล�ำดับ
แสง (Photocatalyst) และแสงอัลตราไวโอเลต ทั้งนี้
วัตถุประสงค์หลักในงานวิจัยนี้ ได้แก่ การพัฒนา
ศักยภาพของตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซด์
(TiO2) โดยการเติมสารมลทินเงิน (Ag-TiO2) ซึ่งมี
การเติมสารมลทินในปริมาณต่างกันด้วยวิธีโซล-เจล
รวมทั้งการน�ำตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวมาทดสอบหา 1. ตู้อุปกรณ์เคลือบผิว 4. Petri dish
ประสิ ท ธิ ภ าพและวิ เ คราะห์ จ ลนพลศาสตร์ ใ นการ 2. มอเตอร์ไฟฟ้า 5. วาล์วแก๊ส
บ� ำ บั ด สี ใ นน�้ ำ เสียสังเคราะห์ของกระบวนการโฟโต 3. สารละลายโซลเจล 6. ถังแก๊ส N2
คะตะลิติก รูปที่ 1 อุปกรณ์เคลือบผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
48 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
2.2 วิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพของตัว
เร่งปฏิกิริยา
พารามิ เ ตอร์ ท่ี ท� ำ การศึ ก ษาลั ก ษณะทาง
กายภาพของตัวเร่งปฏิกิริยาฟิล์มบางชนิดต่างๆ ซึ่งใน
ส่วนของลักษณะพื้นผิววิเคราะห์ด้วยอุปกรณ์ Atomic
Force Microscopy (AFM) รุ่น Asylum Research
MFP-3DBIO ส�ำหรับขนาดอนุภาค ความขรุขระเฉลี่ย
พืน้ ทีผ่ วิ ปรากฏ สามารถวิเคราะห์ดว้ ยโปรแกรมส�ำเร็จรูป
Gwyddion V.2.22 และส�ำหรับขนาดช่องว่างพลังงาน 1. Petri dish เคลือบตัวเร่งปฏิกิริยา
สามารถวิเคราะห์โดยอุปกรณ์ UV-Vis spectrometer 2. แหล่งกำ�เนิดแสง
รุ่น Lambda 650 Perkin Elmer 3. พัดลมระบายความร้อน
รูปที่ 2 ถังปฏิกรณ์โฟโตคะตะลิติก
2.3 การหาประสิ ท ธิ ภ าพการก�ำจั ด สี ใ น
น�้ำเสียสังเคราะห์
3. ผลการทดลองและวิจารณ์
เตรียมน�้ำเสียสังเคราะห์โดยใช้สีย้อม IC ให้มี
3.1 ลักษณะกายภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา
ความเข้มข้นเริ่มต้น (C0) เท่ากับ 0.8, 1, 1.2, 1.4 และ
ผลการวิเคราะห์ลักษณะทางภาพของตัวเร่ง
1.6 µM และส�ำหรับสียอ้ ม RB5 เตรียมให้มคี วามเข้มข้น
ปฏิกิริยาฟิล์มบางที่เตรียมขึ้นทั้ง 4 ชนิด ด้วยอุปกรณ์
เริ่มต้น เท่ากับ 2, 4, 6, 8 และ 10 µM เพื่อหา
AFM แสดงดังรูปที่ 3 ซึ่งแสดงภาพถ่าย 2 และ 3 มิติ
ประสิทธิภาพการก�ำจัดสีด้วยกระบวนการโฟโตคะตะ
ของตัวเร่งปฏิกิริยาบนพื้นผิวตัวกลาง ผลการวิเคราะห์
ลิติก ในถังปฏิกรณ์โฟโตคะตะลิติก (รูปที่ 2) โดยใช้
ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถเคลือบ
น�้ำเสียสังเคราะห์สีที่เตรียมขึ้นเติมลงใน Petri dish
อยู ่ บนพื้ นผิ วตั วกลางแก้ วบอโรซิ ลิ เ กต เมื่ อ สั ง เกต
ปริมาตร 50 mL และท�ำการทดลองในสภาวะที่ให้
ขนาดอนุภาคและการกระจายตัวโดยรวมของตัวเร่ง
แสงอัลตราไวโอเลตชนิดเอ (UVA) ที่ความเข้มแสง
ปฏิกิริยาทั้ง 4 ชนิด พบว่า อนุภาคของตัวเร่งปฏิกิริยา
1,000 µW/cm2 แล้วท�ำการเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์
ทั้ง 4 ชนิดมีขนาดใกล้เคียงกัน และมีการกระจายตัว
ความเข้มข้นของสีที่เปลี่ยนแปลงไปที่เวลา 0, 5, 15,
อยู่ทั่วบริเวณพื้นผิวหน้าของตัวกลางที่ยึดเกาะ ส�ำหรับ
30, 60 และ 90 นาที โดยใช้เทคนิคการวัดการดูดกลืน
การวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพปฏิกิริยาฟิล์มบาง
คลื่นแสงด้วยอุปกรณ์ UV Spectrophotometer รุ่น
ที่เตรียมขึ้นทั้งหมดด้วยโปรแกรม Gwyddion ท�ำให้
Biochrom Libra S12 และท�ำการทดลองในสภาวะ
สามารถวิเคราะห์ขนาดอนุภาค ค่าความขรุขระเฉลี่ย
ควบคุมที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาฟิล์มบางแต่ไม่มีการให้แสง
(RMS) และพืน้ ทีผ่ วิ ปรากฏของตัวเร่งปฏิกริ ยิ าฟิลม์ บาง
เพื่อใช้เปรียบเทียบกับการทดลองในชุดทดลอง
ทั้งหมดที่เตรียมขึ้นได้ ดังแสดงในตารางที่ 1
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 49
ตารางที่ 1 ขนาดอนุภาค ค่าความขรุขระเฉลี่ย (RMS)
พื้นที่ผิวปรากฏของตัวเร่งปฏิกิริยา และขนาดช่องว่าง
พลังงาน
50 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
กับงานวิจัยของ Demirci และคณะ ที่ศึกษาการเติม 0.8 µM และ 69.00% ส�ำหรับสี RB5 ที่ความเข้มข้น
สารเจือปน Ag ในตัวเร่งปฏิกิริยา TiO2 ส่งผลให้ขนาด เริ่มต้น เท่ากับ 2.0 µM ตามล�ำดับ
ช่องว่างพลังงานมีขนาดเล็กลงโดยเมื่อปริมาณการเติม
ตารางที่ 2 ประสิทธิภาพการก�ำจัดสี IC ด้วยกระบวนการ
สารเจือปน Ag สูงขึน้ ขนาดช่องว่างพลังงานก็มแี นวโน้ม
โฟโตคะตะลิติกที่ C0 แตกต่างกัน
ที่จะแคบลง [4] ส่งผลดีต่อการน�ำไปใช้เพื่อเป็นตัวเร่ง
ปฏิกริ ยิ าในกระบวนการโฟโตคะตะลิตกิ ท�ำให้แนวโน้ม ประสิทธิภาพการกำ�จัดเมื่อใช้
ของการเกิ ด ปฏิกิริยาเกิดได้ดีขึ้น เนื่องจากตั วเร่ ง C0 ตัวเร่งปฏิกิริยา (%)
สามารถตอบสนองต่อแสงในช่วงความยาวคลื่นแสง (µM) TiO2 0.1% 0.5% 1.0%
ทีม่ ขี นาดกว้างมากขึน้ และระดับพลังงานน้อยลง [5, 6] Ag- Ag- Ag-
TiO2 TiO2 TiO2
ทั้งนี้ผลจากการเติมสารเจือปน โดย Ag ที่เติมลงไป
ในรูปของสารประกอบ AgNO3 ท�ำให้ตัวเร่งปฏิกิริยา 0.8 90.00 91.25 91.88 92.00
ที่ เ ติ ม สารเจื อ ปนดั ง กล่ า วตอบสนองต่ อ แสงในช่ ว ง 1.0 87.00 89.00 89.00 90.00
ความยาวคลืน่ ทีก่ ว้างขึน้ ส่งผลให้เกิดไฮดรอกซิลเรดิคลั 1.2 63.33 65.00 65.83 65.83
(•OH) และซุปเปอร์ออกไซด์เรดิคัล (•O2-) ซึ่งมีความ 1.4 52.14 54.29 55.71 55.71
สามารถในการเป็นสารออกซิไดซ์ที่รุนแรงเกิ ด ได้ ดี 1.6 45.02 45.64 46.89 47.51
ยิ่งขึ้น [7-9]
ตารางที่ 3 ประสิทธิภาพการก�ำจัดสี RB5 ด้วยกระบวนการ
3.2 ประสิ ท ธิ ภ าพการก�ำจั ด สี ใ นน�้ ำ เสี ย โฟโตคะตะลิติกที่ C0 แตกต่างกัน
สังเคราะห์
ประสิทธิภาพการกำ�จัดเมื่อใช้
ประสิทธิภาพการก�ำจัดสีในน�้ำเสียสังเคราะห์ ตัวเร่งปฏิกิริยา (%)
C0
แสดงดังตารางที่ 2 และ 3 เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ
(µM) TiO2 0.1% 0.5% 1.0%
ผลของการวิ เ คราะห์ ป ระสิ ท ธิ ภ าพดั ง กล่ า วแสดง Ag- Ag- Ag-
ให้เห็นว่ากระบวนการโฟโตคะตะลิติกสามารถก�ำจัด TiO2 TiO2 TiO2
สี ที่ มี ค วามเข้ ม ข้ น ต�่ ำ ซึ่ ง มี ค วามเข้ ม ของสี น ้ อ ยกว่ า 2.0 65.50 66.00 67.00 69.00
ได้ดีกว่า เมื่อพิจารณาในแง่ของประเภทของสี พบว่า 4.0 34.00 34.75 32.00 32.00
กระบวนการดังกล่าวสามารถก�ำจัดสี IC ได้ดีกว่า RB5 6.0 19.00 20.50 20.83 21.00
นอกจากนี้ในส่วนของการเลือกใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่
8.0 18.38 18.63 19.38 19.88
แตกต่างกัน 4 ชนิด พบว่า ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีการเติม
10.0 12.20 12.60 12.70 12.90
สารเจือปน Ag ใน TiO2 ในปริมาณที่มากกว่าจะส่งผล
ให้การเกิดปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกเกิดขึ้นได้ดีกว่า ทัง้ นีเ้ มือ่ พิจารณาประสิทธิภาพของกระบวนการ
ท�ำให้ประสิทธิภาพการก�ำจัดสีในน�้ำเสียสังเคราะห์ ที่สามารถก�ำจัดสีที่มีความเข้มข้นต�่ำได้ดีกว่า เนื่องจาก
มีคา่ สูงกว่า โดยมีประสิทธิภาพการก�ำจัดสีสงู สุด เท่ากับ ผลของความเข้มข้นของสีเริ่มต้นส่งผลกระทบโดยตรง
92.00% ส�ำหรับสี IC ที่ความเข้มข้นเริ่มต้น เท่ากับ ต่อการสัมผัสกับแสงของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ หากสี
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 51
ในน�้ำเสียสังเคราะห์ความเข้มข้นสูงจะท�ำให้เกิดการ นอกจากนี้ผลของการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาต่างชนิดกัน
บดบังแสง ท�ำให้ความเข้มแสงทีถ่ กู ส่งไปยังผิวหน้าตัวเร่ง พบว่า การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีการเติมสารเจือปน Ag
ปฏิกิริยาลดลงรวมทั้งลดโอกาสการเกิดปฏิกิริยาโฟโต ในปริ ม าณที่ สู ง ขึ้ น ส่ ง ผลให้ อั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า
คะตะลิติก [10, 11] ในส่วนของผลของประเภทของสี เกิดขึ้นได้ดีกว่าการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา TiO2 เนื่องจาก
ที่เลือกใช้ จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพในการก�ำจัดสี IC การเติมสารเจือปน Ag ช่วยให้เกิดการกระตุน้ อิเล็กตรอน
มีค่ามากกว่า RB5 เนื่องจากขนาดโมเลกุลของสี IC ที่ ผิ ว หน้ า ของตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย าอย่ า งมี เ สถี ย รภาพ
มีขนาดเล็กกว่า RB5 และลักษณะโครงสร้างโมเลกุล มากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถลดการเกิดรีคอมบิเนชัน
ของ IC มีความซับซ้อนน้อยกว่า จึงท�ำให้สี IC ถูกก�ำจัด ท�ำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ดีขึ้น [19] ส�ำหรับความเหมาะสม
โดยกระบวนการโฟโตคะตะลิติกได้ดีกว่า [12, 13] ของปริมาณสารเจือปนที่ใช้ พบว่า ที่เวลา 90 นาที
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลการเติมสารเจือปน Ag ประสิทธิภาพในการก�ำจัดสีในน�้ำเสียสังเคราะห์โดย
พบว่า การเติมสารเจือปน Ag ใน TiO2 ในปริมาณที่ ตัวเร่งปฏิกิริยา TiO2 มีค่าต�่ำที่สุด แต่ในกรณีที่ใช้ตัวเร่ง
มากขึ้นส่งผลโดยตรงต่อขนาดช่องว่างพลังงานของ ปฏิ กิ ริ ย า Ag-TiO 2 ทุ ก ชนิ ด ที่ เ ตรี ย มขึ้ น พบว่ า
ตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดเล็กลงท�ำให้ปฏิกิริยาเกิดได้ดี ประสิ ท ธิ ภ าพในการก� ำ จั ด สี มี ค ่ า มากขึ้ น เมื่ อ เพิ่ ม
มากขึ้น [4, 5] ปริมาณการเติมสารเจือปน Ag ใน TiO2 ซึ่งแสดงให้เห็น
ส� ำ หรั บ ผลการติ ด ตามการเปลี่ ย นแปลง อย่างชัดเจนในกรณีที่ค่าความเข้มข้นของสีเริ่มต้นต�่ำ
ความเข้มข้นของสี IC และ RB5 ในน�้ำเสียสังเคราะห์
แสดงดังรูปที่ 4 และ 5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้น
ของสีทั้ง 2 ชนิดมีการลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเวลา
ผ่านไป เนื่องจากผลจากกระบวนการโฟโตคะตะลิติก
ท�ำให้ •OH และ •O2- ซึ่งสามารถออกซิไดซ์สีที่ปนเปื้อน
ในน�้ำเสียสังเคราะห์ได้ท�ำให้ความเข้มข้นของสีในน�้ำ
มี ค ่ า ลดลง [14-16] และเมื่ อ พิ จ ารณาจากการ
เปลี่ ย นแปลงดั ง กล่ า ว พบว่ า สามารถสั ง เกตการ
เปลีย่ นแปลงความเข้มข้นของสีอย่างชัดเจนในช่วงแรก
โดยมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงสุดจะอยู่ในช่วงเวลา
15 นาทีแรก ซึ่งสาเหตุเนื่องมาจากการเกิดปัจจัยจ�ำกัด
ของการเคลื่อนย้ายมวล (Mass Transfer Limit)
ของกระบวนการโฟโตคะตะลิติกโดยต้องอาศัยกลไก
การดูดติดผิวทีผ่ วิ หน้าของตัวเร่งปฏิกริ ยิ าจึงจะสามารถ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันโดย •OH ที่ผิวหน้าของตัวเร่ง
ปฏิกิริยา ดังนั้นหากพื้นที่ผิวของตัวเร่งปฏิกิริยามีพื้นที่
จ� ำ กั ด จะท� ำ ให้ เ กิ ด จุ ด จ� ำ กั ด ของการเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย า
(Reaction Rate Limit) ของกระบวนการโฟโตคะตะ
ลิติกได้ [17, 18]
52 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
X TiO2 O 0.1%Ag-TiO2 0.5%Ag-TiO2
X TiO2 O 0.1%Ag-TiO2 0.5%Ag-TiO2 ∆ 1.0%Ag-TiO2
∆ 1.0%Ag-TiO2 รูปที่ 5 การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสี RB5
รูปที่ 4 การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสี IC
3.3 จลนพลศาสตร์ของกระบวนการโฟโต
คะตะลิติก
ในการศึกษาจลนพลศาสตร์ของการก�ำจัดสี
ในน�้ำเสียสังเคราะห์ด้วยกระบวนการโฟโตคะตะลิติก
สามารถอธิบายโดยสมการ Langmuir Hinshelwood
(LH-model) [20-22] ดังสมการที่ 1 โดยสมการ
ดังกล่าวทีส่ ามารถอธิบายกลไกปฏิกริ ยิ าในกระบวนการ
โฟโตคะตะลิตกิ ซึง่ ประกอบไปด้วยกลไกส�ำคัญ 2 กลไก
ได้แก่ ปฏิกิริยาการดูดติดผิว และปฏิกิริยาออกซิเดชัน
ทั้งนี้สมการที่ 1 สามารถจัดรูปแบบใหม่เป็นรูปแบบ
ของสมการเชิงเส้นได้ ดังสมการที่ 2
r= kKC (1)
(1 + KC)
1= 1 +1
r kKC k
(2)
โดยที่
r = อัตราการเกิดปฏิกิริยา (µM/min)
C = ความเข้มข้นของสี (µM)
k = ค่าคงที่การเกิดปฏิกิริยา (µM/min)
K = ค่าคงที่การปฏิกิริยาดูดติดผิว (1/µM)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 53
ทัง้ นีจ้ ากการศึกษาจลนพลศาสตร์ในการก�ำจัด ทั้ง 4 ชนิดในการก�ำจัดสี IC และ RB5 ได้ ดังแสดงใน
สี IC และ RB5 ในน�ำ้ เสียสังเคราะห์ดว้ ยกระบวนการ ตารางที่ 4 และ 5
กับ C-1 ซึ่งพิจารณาที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงสุด ตารางที่ 4 ค่าคงทีก่ ารเกิดปฏิกริ ยิ าและค่าคงทีก่ ารเกิด
ดังแสดงในรูปที่ 6 และ 7 ปฏิกิริยาดูดติดผิวในปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกในการ
ก�ำจัดสี IC
k K
ตัวเร่งปฏิกิริยา
(µM/min) (1/µM)
TiO2 161.290 0.431
0.1%Ag-TiO2 270.270 0.187
0.5%Ag-TiO2 256.410 0.186
X TiO2 O 0.1%Ag-TiO2 0.5%Ag-TiO2 1.0%Ag-TiO2 256.410 0.165
∆ 1.0%Ag-TiO2
ตารางที่ 5 ค่าคงที่การเกิดปฏิกิริยาและค่าคงที่การเกิด
รูปที่ 6 ความสัมพันธ์ระหว่าง r-1 กับ C-1 ปฏิกิริยาดูดติดผิวในปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกในการ
ของปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกในการกำ�จัดสี IC ก�ำจัดสี RB5
k K
ตัวเร่งปฏิกิริยา
(µM/min) (1/µM)
TiO2 21.142 1.145
0.1%Ag-TiO2 21.692 1.167
0.5%Ag-TiO2 22.472 0.963
1.0%Ag-TiO2 24.631 0.745
X TiO2 O 0.1%Ag-TiO2 0.5%Ag-TiO2
∆ 1.0%Ag-TiO2 เมื่อพิจารณาค่าคงที่ต่างๆ ในการก�ำจัดสีใน
น�้ ำ เสี ย สั ง เคราะห์ โ ดยกระบวนการโฟโตคะตะลิ ติ ก
รูปที่ 7 ความสัมพันธ์ระหว่าง r-1 กับ C-1 ได้แก่ ค่าคงที่การเกิดปฏิกิริยาและค่าคงที่การเกิด
ของปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกในการกำ�จัดสี RB5 ปฏิกิริยาดูดติดผิว และส�ำหรับการเกิดปฏิกิริยาในการ
ก� ำ จั ด สี ใ นน�้ ำ เสี ย สั ง เคราะห์ โ ดยใช้ ตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย า
จากรูปที่ 6 และ 7 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ 1.0%Ag-TiO2 มีความสามารถในการก�ำจัดสีได้ดีที่สุด
ระหว่าง r-1 กับ C-1 ของปฏิกิริยาโฟโตคะตะลิติกในการ แม้วา่ เมือ่ พิจารณาประสิทธิภาพโดยรวมในการก�ำจัดสี
ก� ำ จั ด สี ใ นน�้ ำ สั งเคราะห์สามารถหาค่าคงที่การเกิ ด ในน�ำ้ เสียสังเคราะห์ทเี่ วลา 90 นาที ซึง่ มีคา่ ประสิทธิภาพ
ปฏิกิริยาและค่าคงที่การเกิดปฏิกิริยาดูดติดผิวของ ในการก�ำจัดสีใกล้เคียงกัน แต่เมื่อพิจารณาในแง่ของ
กระบวนการโฟโตคะตะลิติก โดยใช้ตัวเร่งปฏิ กิ ริ ย า จลนพลศาสตร์ของการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการ
54 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ดังกล่าว พบว่า การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา 1.0%Ag-TiO2 [3] Holkar CR, Jadhav AJ, Pinjari DV, Mahamuni
ท�ำให้อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าโดยรวมเกิดสูงสุด ซึง่ แสดง NM, Pandit A.B. A Critical Review on
ให้เห็นว่าการเติมสารเจือปน Ag ในตัวเร่งปฏิกิริยา Textile Wastewater Treatments:
TiO2 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเร่งปฏิกิริยา Possible Approaches. Journal of
ส�ำหรับกระบวนการโฟโตคะตะลิติกได้เป็นอย่างดี Environmental Management. 2016.
182:351-366.
4. สรุป
ผลการศึ ก ษาในงานวิ จั ย นี้ แ สดงให้ เ ห็ น ว่ า [4] Demirci S, Dikici T, Yurddaskal M, Gultekin S,
การเติมสารเจือปน Ag บนตัวเร่งปฏิกิริยา TiO2 ชนิด Toparli M, Celik E. Synthesis and
ฟิ ล ์ ม บางสามารถเพิ่ ม ศั ก ยภาพของตั ว เร่ ง ปฏิ กิ ริ ย า Characterization of Ag Doped TiO2
TiO2 ได้เป็นอย่างดี โดยตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวสามารถ
Heterojunction Films and Their
บ�ำบัดสี IC และ RB5 ที่ปนเปื้อนในน�้ำเสียสังเคราะห์
Photocatalytic Performances. Applied
ได้โดยมีประสิทธิภาพสูงสุด เท่ากับ 92.00% และ
69.00% ตามล�ำดับ Surface Science.. 2016. 390:591-601.
56 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
[17] Li K, An X, Park KH, Khraisheh M, Tang
[20] Saikia L, Bhuyan D, Saikia M, Malakar B,
J. A Critical Review of CO2 Photocon-
Dutta DK, Sengupta P. "Photocatalytic
version: Catalysts and Reactors.
Performance of ZnO Nanomaterials
Catalysis Today. 2014. 224:3-12.
for Self Sensitized Degradation of
Malachite Green Dye under Solar
[18] Mehrotra K, Yablonsky GS, Ray AK.
Light. Applied Catalysis A: General.
Kinetic Studies of Photocatalytic
2015. 490:42-49.
Degradation in a TiO2 Slurry System:
Distinguishing Working Regimes and [21] Kumar KV, Porkodi K, Rocha F. Langmuir–
Determining Rate Dependences. Hinshelwood Kinetics – A Theoretical
Industrial & Engineering Chemistry Study. Catalysis Communications.
Research. 2003. 42;11:2273-2281. 2008. 9;1:82-84.
[22] Khuzwayo Z, Chirwa EMN. Modelling
[19] Rahut S, Panda R, Basu JK. Solvothermal
and Simulation of Photocatalytic
Synthesis of a Layered Titanate
Oxidation Mechanism of Chlorohalo-
Nanosheets and Its Photocatalytic genated Substituted Phenols in
Activity: Effect of Ag Doping. Journal Batch Systems: Langmuir–Hin
of Photochemistry and Photobiology shelwood Approach. Journal of
A: Chemistry. 2017. 341:12-19. Hazardous Materials. 2015. 300:459-
466.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 57
การประเมินความเสียหายของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กภายใต้แผ่นดินไหว
ด้วยข้อกำ�หนด FEMA 356 และ มยผ.1303-57
Evaluation of Reinforced Concrete Building under Seismic Forces
by Guideline of FEMA 356 and DPT.1303-57
สุธน รุ่งเรือง1* และวิศวินทร์ อัครปัญญาธร2
Suthon Rungruang1* Wissawin Arckarapunyathorn2
suthon.r@rmutr.ac.th1*, A.Wissawin@gmail.com2
1
สาขาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา
1
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Rattanakosin
2
สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
2
Department of Civil Engineering, Faculty of Science and Technology, Nakhon Pathom Rajabhat University
Received: September 29, 2017
Revised: November 30, 2017
บทคัดย่อ Accepted: March 22, 2018
Abstract
The objective of this research is to compare the evaluation of performance damage levels under
seismic forces by guideline of FEMA 356 and DPT.1303-57. Five and eight-story reinforced concrete building
were structural models by using finite element program. The studied building is a common housing building
in Chiang Mai. The structure is a beam-column system and not be designed for earthquake resistance.
Both buildings have rectangular shaped building. The height of five and eight-story building are 14.95 and
25.75 meters respectively. The Linear dynamic procedure (LDP) utilized modal response spectrum analysis
(RSA) was used this procedure was conducted for 3-Dimensional structure. Fixed support was used. The
evaluation results indicated that performance level of both of the buildings is collapse prevention level
(CP). The acceptance criteria of performance level for beam based on the guideline of DPT.1303-57 and
FEMA 356 are slightly different, but, for a column, the both of guideline are different. The acceptance criteria
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 59
of performance level for a column based on the guideline of DPT.1303-57, percentage of increasing was
0% - 20.70% for immediate occupancy Level (IO), and percentage of increasing was 0% - 20.40% for life
safety level (LS) compared with guideline of FEMA 356. Whereas, the acceptance criteria of performance
level for a column on CP level based on the guideline of DPT.1303-57, percentage of decreasing was
0% - 13.33% compared with guideline of FEMA 356.
Keywords: reinforced concrete, earthquake, damage evaluation and response spectrum analysis.
รูปที่ 1 แบบจำ�ลองอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ตารางที่ 2 ค่าความถีธ่ รรมชาติและน�ำ้ หนักประสิทธิผล
สูง 5 ชั้น
ของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชัน้
Period UX UY RZ
Mode
sec % % %
1 2.672 70% 0% 6%
2 1.655 0% 0% 10%
3 1.379 0% 67% 54%
4 1.278 0% 4% 1%
5 1.150 0% 0% 1%
6 1.134 1% 0% 0%
รูปที่ 2 แบบจำ�ลองอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 7 0.909 8% 0% 1%
สูง 8 ชั้น 8 0.804 1% 0% 0%
9 0.752 0% 0% 0%
ตารางที่ 1 ค่าความถีธ่ รรมชาติและน�ำ้ หนักประสิทธิผล
10 0.545 4% 0% 2%
ของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น
11 0.506 0% 3% 6%
Period UX UY RZ
Mode 12 0.469 0% 7% 1%
sec % % %
1 1.383 72% 0% 4% 13 0.266 6% 1% 6%
2 1.163 0% 13% 2% 14 0.249 4% 2% 3%
3 1.066 0% 61% 67% 15 0.220 0% 6% 1%
4 0.496 11% 0% 1% Total 94% 90% 92%
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 63
ตารางที่ 3 ค่าความเร่งตอบสนองเชิงสเปกตรัม ระหว่างชั้นจะต้องมีค่าไม่เกิน 1% ระดับปลอดภัย
ต่อชีวิต (LS) ค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างชัน้ จะต้อง
คาบเวลา ค่าความเร่งตอบสนอง (g)
มีค่าไม่เกิน 2% และระดับป้องกันการพังทลาย (CP)
คาบเวลา 0.2 วินาที ค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างชั้นจะต้องมีค่าไม่เกิน
0.878
(Ss) 4%
คาบเวลา 1.0 วินาที การประเมินระดับสมรรถนะของโครงสร้าง
0.248 อาคารในแต่ ล ะชิ้นส่ วนของโครงสร้ า งคานและเสา
(S1)
โดยวิธีพลศาสตร์เชิงเส้น จะใช้ค่าตัวประกอบปรับแก้
ความเหนียว (m-factor) เพื่อน�ำมาเปรียบเทียบกับ
เกณฑ์การยอมรับค่าระดับความเสียหายของชิ้นส่วน
ตามข้อก�ำหนด FEMA 356 [6] และ มยผ.1303-57
[7] โดยค่า m-factor สามารถค�ำนวณได้ตามสมการ
ดังต่อไปนี้
mkQCE $ QUD (1)
โดยที่ m คือ ตัวประกอบปรับแก้ความเหนียว
(m-factor) ของชิ้นส่วนโครงสร้าง, k คือ ตัวประกอบ
รูปที่ 3 สเปกตรัมผลตอบสนองสำ�หรับการวิเคราะห์
ความเชื่อมั่นของข้อมูล ซึ่งในที่นี้ก�ำหนดให้เท่ากับ 1,
QCE คือ ค่าคาดหวังของก�ำลังต้านทานของชิ้นส่วน
3.4. การประเมินก�ำลังต้านทานแผ่นดินไหว
โครงสร้างทีส่ ภาวะการเสียรูปทีก่ ำ� ลังพิจารณา โดยต้อง
ของอาคาร
ค�ำนึงถึงพฤติกรรมอื่นๆ ภายใต้สภาวะแรงกระท�ำที่ใช้
การประเมินก�ำลังต้านทานแผ่นดินไหวหรือ
ในการออกแบบที่ก�ำลังกระท�ำต่อชิ้นส่วนโครงสร้าง
การประเมินระดับสมรรถนะของอาคารและโครงสร้าง
นั้นด้วย และ QUD คือ พฤติกรรมที่ถูกควบคุมโดย
หมายถึง ค่าที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของโครงสร้าง
การเสี ย รู ปที่ ใช้ ในการออกแบบจากผลของน�้ ำ หนั ก
ในขณะที่ รั บ แรงแผ่ น ดิ น ไหวและความเสี ย หายที่
บรรทุกแนวดิ่งรวมกับผลของแรงแผ่นดินไหว ซึ่ง QUD
เกิดขึ้น ตามข้อก�ำหนด FEMA 356 [6] และ มยผ.
สามารถค�ำนวณได้จากสมการดังต่อไปนี้
1303-57 [7] ได้จ�ำแนกระดับสมรรถนะของอาคาร
ออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับอาคารปฏิบัติงานได้ QUD = QG ! QE (2)
(Operational Level) ระดับเข้าใช้อาคารได้ทันที QG = 1.1 (QD + QL) (3)
(Immediate Occupancy Level; IO) ระดับปลอดภัย โดยที่ QG คือ ผลของน�้ำหนักบรรทุกแนวดิ่ง
ต่อชีวิต (Life Safety Level; LS) และระดับป้องกัน ที่ใช้ในการออกแบบ, QE คือ ผลของแรงแผ่นดินไหว
การพังทลาย (Collapse Prevention Level; CP) ที่ใช้ในการออกแบบ โดยค�ำนวณจากแรงและการ
การประเมินระดับสมรรถนะของโครงสร้าง วิเคราะห์แบบจ�ำลอง, QD คือ ผลของน�้ำหนักบรรทุก
อาคารทั้ ง ระบบจะวั ด จากค่ า การเคลื่ อ นที่ สั ม พั ท ธ์ คงที่เพื่อการออกแบบ และ QL คือ ผลของน�้ำหนัก
ระหว่างชั้น (Story Drift) โดยจ�ำแนกเป็น 3 ระดับ คือ บรรทุกจรเพื่อการออกแบบ ซึ่งเท่ากับ 25% ของ
ระดับเข้าใช้อาคารได้ทันที (IO) ค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ น�้ำหนักบรรทุกจรเพื่อการออกแบบที่ยังไม่ลดค่า
64 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
4. ผลการวิจัย 4.2. ผลการประเมินความเสียหายในเสา
4.1. ผลการประเมินความเสียหายในคาน จากผลการประเมินความเสียหายในเสาโดย
จากผลการประเมิ น ความเสี ย หายในคาน ภาพรวมจากทั้งข้อก�ำหนด FEMA 356 และ มยผ.
โดยภาพรวมจากทั้งข้อก�ำหนด FEMA 356 และ มยผ. 1303-57 ส�ำหรับอาคารตัวอย่าง 5 ชั้น พบว่า เสาชั้นที่
1303-57 ส�ำหรับอาคารตัวอย่าง 5 ชั้น พบว่า คาน 1-2 ไม่เกิดความเสียหาย เสาชั้นที่ 3 มีความเสียหาย
ชั้นที่ 1-4 มีความเสียหายอยู่ในระดับ CP และคาน อยู่ในระดับ LS และเสาชั้นที่ 4-5 มีความเสียหายอยู่ใน
ชั้นที่ 5-หลังคา ไม่เกิดความเสียหาย (ไม่เกินระดับ IO) ระดับ CP ดังแสดงในรูปที่ 8 และ 9 ตามล�ำดับ
ดังแสดงในรูปที่ 4 และ 5 ตามล�ำดับ ส�ำหรับอาคาร ผลการประเมิ น ความเสี ย หายในเสาโดย
ตัวอย่าง 8 ชั้น พบว่า คานชั้นที่ 1-6 มีความเสียหาย ภาพรวมจากข้อก�ำหนด FEMA 356 ส�ำหรับอาคาร
อยู่ในระดับ CP คานชั้นที่ 7 มีความเสียหายอยู่ในระดับ ตัวอย่าง 8 ชั้น จะถูกแสดงดังรูปที่ 10 โดยพบว่า
LS คานชั้นที่ 8 มีความเสียหายอยู่ในระดับ IO และ เสาชั้นที่ 1 มีความเสียหายอยู่ในระดับ IO เสาชั้นที่ 2
คานชั้นหลังคา ไม่มีความเสียหาย ดังแสดงในรูปที่ 6 และ 6 มีความเสียหายอยู่ในระดับ LS เสาชั้นที่ 4-5
และ 7 ตามล�ำดับ ผลการประเมินความเสียหายของคาน มีความเสียหายอยู่ในระดับ CP และเสาชั้นที่ 3, 7
จากทั้งสองข้อก�ำหนดให้ผลการประเมินที่เหมือนกัน และ 8 ไม่เกิดความเสียหาย
ในขณะที่ ค ่ า เกณฑ์ ก ารยอมรั บ ระดั บ สมรรถนะ ผลการประเมิ น ความเสี ย หายในเสาโดย
(ความเสียหาย) ในคานของทั้งสองข้อก�ำหนดมีความ ภาพรวมจากข้อก�ำหนด มยผ.1303-57 ส�ำหรับอาคาร
แตกต่ า งกั นเล็ก น้อย โดยเกณฑ์ก ารยอมรั บระดั บ ตัวอย่าง 8 ชั้น แสดงดังรูปที่ 11 และพบว่า เสาชั้นที่
สมรรถนะในคานของ มยผ.1303-57 มีค่าสูงกว่า 1, 3, 7 และ 8 ไม่เกิดความเสียหาย เสาชั้นที่ 2 มีความ
0.3%-0.43% เมื่อเทียบกับค่าเกณฑ์การยอมรับระดับ เสียหายอยู่ในระดับ LS และเสาชั้นที่ 4-6 มีความ
สมรรถนะของ FEMA 356 เสียหายอยู่ในระดับ CP
สมการที่ ใช้ ค� ำ นวณค่ า เกณฑ์ ก ารยอมรั บ
ระดับสมรรถนะในคานของข้อก�ำหนด มยผ.1303-
57 และ FEMA 356 เป็นสมการเดียวกัน แต่ใช้หน่วย
ในการค�ำนวณที่แตกต่างกัน ซึ่งหน่วยของ FEMA 356
จะใช้หน่วยปอนด์และนิ้ว ส่วนของ มยผ.1303-57
จะใช้หน่วยนิวต้นและมิลลิเมตร ส�ำหรับการแทนค่า
ในสมการดังกล่าว ท�ำให้ตัวเลขที่ค�ำนวณได้มีความ
คลาดเคลื่อน เนื่องจากการปัดเศษตัวเลขหลังจากการ รูปที่ 4 ผลการประเมินความเสียหายในคานของ
แปลงหน่วย ด้วยสาเหตุนี้จึงท�ำให้ค่าเกณฑ์การยอมรับ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น โดยข้อกำ�หนด
ระดับสมรรถนะในคานมีความแตกต่างกัน แต่อย่างไร FEMA356
ก็ตามผลกระทบจากการใช้หน่วยที่แตกต่างกันในการ
ค�ำนวณไม่ได้ทำ� ให้คา่ เกณฑ์การยอมรับระดับสมรรถนะ
ในคานมีความแตกต่างกันอย่างมีนยั ส�ำคัญ ซึง่ สอดคล้อง
กับงานวิจัยของ วิศวินทร์ อัครปัญญาธร และศุภมน
วงศ์ปิยะบวร [9]
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 65
เสียหายอยู่ในระดับ IO และไม่เกิดความเสียหาย
ส�ำหรับข้อก�ำหนด FEMA 356 และ มยผ.1303-57
ตามล�ำดับ ในขณะที่เสาชั้นที่ 6 มีความเสียหายอยู่
ในระดับ LS และ CP ส�ำหรับข้อก�ำหนด FEMA 356
และ มยผ.1303-57 ตามล�ำดับ ดังแสดงในตารางที่ 4
จากผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า เส้นเกณฑ์
รูปที่ 5 ผลการประเมินความเสียหายในคานของ การยอมรั บ ระดั บ สมรรถนะของทั้ ง สองข้ อ ก� ำ หนด
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น โดยข้อกำ�หนด ให้เกณฑ์การยอมรั บระดับสมรรถนะที่ แตกต่ างกั น
มยผ.1303-57 เนื่ อ งจากค่ า ตั ว ประกอบปรั บ แก้ ค วามเหนี ย วของ
ชิ้นส่วนโครงสร้าง (m-factor) ที่ให้ไว้ในตารางเกณฑ์
การยอมรั บ เชิ ง ตั ว เลขส� ำ หรั บ วิ ธี แ บบเชิ ง เส้ น ของ
เสาคอนกรีตเสริมเหล็กของทั้งสองข้อก�ำหนดมีความ
แตกต่างกันอย่างสิน้ เชิง โดยค่าเกณฑ์การยอมรับระดับ
สมรรถนะในเสาของ มยผ.1303-57 มีค่ามากกว่า
0% - 20.70% ส�ำหรับเกณฑ์การยอมรับระดับ IO
และมีค่ามากกว่า 0% - 20.4% ส�ำหรับเกณฑ์การ
ยอมรับระดับ LS เมื่อเทียบกับค่าเกณฑ์การยอมรับ
รูปที่ 6 ผลการประเมินความเสียหายในคานของ ระดับสมรรถนะของ FEMA 356 ในขณะที่เกณฑ์
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชั้น โดยข้อกำ�หนด การยอมรับระดับ CP ในเสาของ มยผ.1303-57 มีค่า
FEMA356 น้อยกว่า 0% - 13.33% เมื่อเทียบกับค่าเกณฑ์การ
ยอมรับระดับสมรรถนะของ FEMA 356
4.3. ผลการเคลื่ อ นที่ สั ม พั ท ธ์ ร ะหว่ า งชั้ น
(Story Drift)
จากรูปที่ 12 แสดงค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์
ระหว่างชั้น (Story Drift) ของอาคารตัวอย่าง 5 ชั้น
พบว่าค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างชั้นสูงสุดมีค่า
รูปที่ 7 ผลการประเมินความเสียหายในคานของ เท่ากับ 1.3% และ 0.9% ส�ำหรับแนวแกน X และ Y
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชั้น โดยข้อกำ�หนด ตามล�ำดับ ซึ่งมีค่าไม่เกินค่าที่ยอมให้ตามมาตรฐาน
มยผ.1303-57 การออกแบบอาคารต้ า นทานการสั่ น สะเทื อ นของ
แผ่นดินไหวคือ 2% จากผลการวิเคราะห์โดยภาพรวม
เมื่อน�ำผลการประเมินความเสียหายในเสา พบว่า ระดับสมรรถนะของอาคารอยู่ในระดับ LS
โดยภาพรวมจากข้อก�ำหนด FEMA 356 และ มยผ. จากรูปที่ 13 แสดงค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์
1303-57 ส�ำหรับอาคารตัวอย่าง 8 ชั้น มาเปรียบ ระหว่างชั้นของอาคารตัวอย่าง 8 ชั้น พบว่าค่าการ
เทียบกัน พบว่า เสาชั้นที่ 1 และ 6 ให้ผลของระดับ เคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างชั้นสูงสุดมีค่าเท่ากับ 2.4%
ความเสียหายที่แตกต่างกัน โดยเสาชั้นที่ 1 มีความ และ 0.8% ส�ำหรับแนวแกน X และ Y ตามล�ำดับ
66 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ซึ่งมีค่าเกินค่าที่ยอมให้ตามมาตรฐานการออกแบบ
อาคารต้ า นทานการสั่ น สะเทื อ นของแผ่ น ดิ น ไหว
ส�ำหรับแกน X ในขณะทีแ่ กน Y มีคา่ ไม่เกินค่าทีย่ อมให้
ตามมาตรฐานการออกแบบอาคารต้ า นทานการ
สั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว จากผลการวิเคราะห์โดย
ภาพรวม พบว่า ระดับสมรรถนะของอาคารอยูใ่ นระดับ
CP ค่าการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ระหว่างชั้นในแนวแกน X
ของอาคารตัวอย่าง 5 และ 8 ชั้น มีค่าสูงกว่าในแนว รูปที่ 9 ผลการประเมินความเสียหายในเสาของ
แกน Y เนื่องจากอาคารด้านแนวแกน Y มีค่าสติฟเนส อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น โดยข้อกำ�หนด
ของอาคารโดยรวมที่มากกว่าด้านแนวแกน X มยผ.1303-57
จากผลการวิเคราะห์ที่ได้ทั้งหมดนี้ (ผลการ
ประเมินความเสียหายในคาน เสา และการเคลื่อนที่
สัมพัทธ์ระหว่างชั้น) โดยภาพรวมจะเห็นว่าการใช้
ข้อก�ำหนด FEMA 356 ในการประเมินระดับสมรรถนะ
หรือความเสียหายโครงสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
จะมีความประหยัดมากกว่าข้อก�ำหนดของ มยผ.1303-
57 เนื่องจากเกณฑ์การยอมรับระดับ CP ในเสาของ
FEMA 356 มีค่าสูงกว่า มยผ.1303-57 ท�ำให้โอกาส
รูปที่ 10 ผลการประเมินความเสียหายในเสาของ
ที่เสาจะมีความเสียหายอยู่ในระดับ CP ลดน้อยลง
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชั้น โดยข้อกำ�หนด
เป็นผลท�ำให้สามารถลดต�ำแหน่งในการเสริมก�ำลัง
FEMA356
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว
ได้มากกว่า
รูปที่ 11 ผลการประเมินความเสียหายในเสาของ
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชั้น โดยข้อกำ�หนด
รูปที่ 8 ผลการประเมินความเสียหายในเสาของ มยผ.1303-57
อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 ชั้น โดยข้อกำ�หนด
FEMA356
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 67
ตารางที่ 4 เปรียบเทียบผลการประเมินความเสียหาย 5. สรุป
ในเสาของอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 8 ชั้น จากผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลการ
ประเมินความเสียหายระหว่างข้อก�ำหนด FEMA 356
ระดับความเสียหาย
ระดับชั้น และ มยผ.1303-57 ของอาคารตัวอย่าง 5 และ 8 ชั้น
FEMA 356 มยผ.1303-57 สามารถสรุปผลได้ดังต่อไปนี้
1 IO - 5.1. จากการศึ ก ษาพบว่ า อาคารตั ว อย่ า ง
2 LS LS ที่พักอาศัยรวมคอนกรีตเสริมเหล็ก 5 และ 8 ชั้น
3 - - มีระดับสมรรถนะโดยภาพรวมของอาคารอยู่ในระดับ
4 CP CP ป้องกันการพังทลาย (CP) ทั้งจากการใช้ข้อก�ำหนดของ
5 CP CP FEMA 356 และ มยผ.1303-57
6 LS CP 5.2. ค่ า เกณฑ์ ก ารยอมรั บ ระดั บ สมรรถนะ
7 - - ในคานของข้อก�ำหนด มยผ.1303-57 และ FEMA 356
ไม่มคี วามแตกต่างกันอย่างมีนยั ส�ำคัญ เนือ่ งจากสมการ
8 - -
ที่ใช้ค�ำนวณค่าเกณฑ์การยอมรับระดับสมรรถนะเป็น
สมการเดียวกัน แต่ใช้หน่วยในการค�ำนวณทีแ่ ตกต่างกัน
ซึ่งหน่วยของ FEMA 356 จะใช้หน่วยปอนด์และนิ้ว
ส่วนของ มยผ.1303-57 จะใช้หน่วยนิวต้นและมิลลิเมตร
ด้ ว ยสาเหตุ นี้ จึ ง ท� ำ ให้ ค ่ า เกณฑ์ ก ารยอมรั บ ระดั บ
สมรรถนะในคานมีความแตกต่างกัน
5.3. ค่ า เกณฑ์ ก ารยอมรั บ ระดั บ สมรรถนะ
ในเสาของ มยผ.1303-57 มีค่ามากกว่า 0% - 20.70%
ส�ำหรับเกณฑ์การยอมรับระดับ IO และมีค่ามากกว่า
รูปที่ 12 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความสูงและ 0% - 20.4% ส�ำหรับเกณฑ์การยอมรับระดับ LS
ค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นของอาคาร เมื่อเทียบกับค่าเกณฑ์การยอมรับระดับสมรรถนะของ
ตัวอย่าง 5 ชั้น FEMA 356 ในขณะที่เกณฑ์การยอมรับระดับ CP
ในเสาของ มยผ.1303-57 มีค่าน้อยกว่า 0% - 13.33%
เมื่อเทียบกับค่าเกณฑ์การยอมรับระดับสมรรถนะของ
FEMA 356 ทั้งนี้เนื่องจากตารางเกณฑ์การยอมรับ
เชิ ง ตั ว เลขส� ำ หรั บ วิ ธี แ บบเชิ ง เส้ น ของเสาคอนกรี ต
เสริมเหล็กของทั้งสองข้อก�ำหนดมีความแตกต่างกัน
อย่างสิ้นเชิง
5.4. การใช้ข้อก�ำหนด FEMA 356 ในการ
ประเมินระดับสมรรถนะหรือความเสียหายโครงสร้าง
รูปที่ 13 ความสัมพันธ์ระหว่างระดับความสูงและ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโดยภาพรวม จะมีความ
ค่าการเคลื่อนตัวสัมพัทธ์ระหว่างชั้นของอาคาร ประหยั ด มากกว่ า ข้ อ ก� ำ หนดของ มยผ.1303-57
ตัวอย่าง 8 ชั้น เนื่องจากค่าเกณฑ์การยอมรับระดับ CP ในเสาของ
68 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ข้อก�ำหนด FEMA 356 มีค่ามากกว่าข้อก�ำหนด มยผ. [5] Nutalai P, Chintanapakdee C. Building
1303-57 จึงท�ำให้ลดต�ำแหน่งในการเสริมก�ำลังอาคาร Damage and Loss Assessment for
คอนกรีตเสริมเหล็กเพือ่ ต้านทานแผ่นดินไหวได้มากกว่า Bangkok Area due to Earthquake.
Proceedings of the 19th National
6. กิตติกรรมประกาศ Convention on Civil Engineering.
งานวิจัยนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 2014;19:351-358. (in Thai)
ในการท�ำวิจัย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา คณะผู้วิจัยใคร่ขอ [6] Federal emergency management agency
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ (FEMA). Prestandard and commen-
tary for the seismic rehabilitation of
7. เอกสารอ้างอิง buildings (FEMA 356). Washington
[1] Ministry of Interior. Notification of Ministry D.C.; 2000.
of Interior No.49 (1997) Bearing [7] Department of Public Works and Town &
Capacity, Resistance a nd Durability Country Planning. Standard for
of Building to Resist Vibration & Evaluation and Rehabilitation of
Earthquake. Bangkok; 1997. (in Thai) Building Structures in the District
[2] Ministry of Interior. Notification of Ministry Vibration of Earthquake (DPT.1303-
of Interior No.50 (2007) Bearing 57). Bangkok; 2014. (in Thai)
Capacity, Resistance and Durability [8] Chananan W. Comparative Evaluation
of Building to Resist Vibration & of Analysis Procedures for Seismic
Earthquake. Bangkok; 2007. (in Thai) Evaluation of a Reinforced Concrete
[3] Department of Public Works and Town & Building [master’s thesis]. Depart-
Country Planning. Standard for Building ment of Civil Engineering: Faculty of
Design to Resist Vibration of Earth- Engineering: King Mongkut’t Institute
quake (DPT.1302). Bangkok; 2009. of Technology North Bangkok; 2006.
(in Thai) (in Thai)
[4] Department of Public Works and Town & [9] Arckarapunyathorn W, Wongpiyaboworn
Country Planning. Standard for Building S. Seismic Evaluation by Guideline
Design to Resist Vibration of Earth- of FEMA 356 and DPT.1303-57: Case
quake (DPT.1301-54). Bangkok; 2011. Study of a Two-Story Reinforced
(in Thai) Concrete Building in Chiang Mai.
Proceedings of the 4th Suan Sunandha
Academic National Conference on
Research for Sustainable Develop-
ment. 2016;4:55-66. (in Thai)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 69
การประยุกต์ใช้กระบวนการลำ�ดับชั้นเชิงวิเคราะห์ในการคัดเลือกโครงการปรับปรุง
คุณภาพเพื่อลดของเสีย: กรณีศึกษา กระบวนการผลิตถังบรรจุอากาศ
Application of Analytic Hierarchy Process to Select Quality
Improvement for Defect Reduction Projects: A Case Study
of Air Tank Manufacturer
มงคล กิตติญาณขจร1*
Mongkol Kittiyakajon1*
mongkolk3@hotmail.com1*
1*
สาขาการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี
1*
Department of Industrial management, Faculty of Technology, Udon Thani Rajabhat University
Received: April 17, 2018
Revised: August 3, 2018
Accepted: August 20, 2018
บทคัดย่อ
ในการปรับปรุงคุณภาพเพื่อลดของเสียขั้นตอนที่ส�ำคัญขั้นตอนหนึ่งคือขั้นตอนการคัดเลือกโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่
จะเลือกใช้เครื่องมือที่แพร่หลายอย่างเช่น ผังพาเรโต (Pareto chart), ดัชนีความส�ำคัญ (Pareto priority index, PPI),
การคัดเลือกหัวข้อปัญหาตามแนวทางกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality control circle), หรือ การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง
และผลกระทบ (Failure mode & effect analysis, FMEA) อย่างไรก็ดีวิธีดังกล่าวมีเกณฑ์การคัดเลือกด้วยการพิจารณาเพียง
ปัจจัยด้านเดียว เช่น ผังพาเรโตของเปอร์เซ็นต์ของเสียหรือพิจารณาหลายปัจจัยแต่ให้น�้ำหนักของปัจจัยด้านต่างๆ ส�ำคัญเท่ากัน
ในโรงงานกรณีศกึ ษาซึง่ พบปัญหาของเสียจากการผลิตทีอ่ ยูใ่ นระดับทีส่ งู แต่การท�ำการปรับปรุงยังต้องพิจารณาปัจจัยส�ำคัญอืน่ ๆ
นอกจากเพียงปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น เช่น ความรุนแรง, ความเป็นไปได้และต้นทุนของเสีย งานวิจัยนี้จึงน�ำเสนอการปรับปรุง
กระบวนการผลิตเพื่อลดของเสียโดยการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่ท�ำงานร่วมกันระหว่างเครื่องมือคุณภาพทั้ง 7 และกระบวนการ
ล�ำดับขัน้ เชิงวิเคราะห์ (Analytic hierarchy process, AHP) ในการคัดเลือกหัวข้อปัญหาและท�ำการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพือ่
ลดของเสีย ผลการวิจยั พบว่าภายหลังการปรับปรุงกระบวนการผลิตโดยการประยุกต์ใช้เครือ่ งมือทีท่ ำ� งานร่วมกันระหว่างเครือ่ งมือ
คุณภาพทั้ง (7 QC tool) และกระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic hierarchy process, AHP) ผลการคัดเลือกโครงการ
ปรับปรุงคุณภาพเพือ่ ลดของเสียสามารถสะท้อนเหตุผลจากความแตกต่างของน�ำ้ หนักความส�ำคัญของแต่ละเกณฑ์ในการคัดเลือก
ได้อย่างเหมาะสมอีกทั้งยังสามารถลด %ของเสียในปัญหาคุณภาพ สีเป็นเม็ดลงได้ 2.63% โดยคิดเป็นเงิน 9,529 บาทต่อเดือน
ค�ำส�ำคัญ: กระบวนการล�ำดับชั้นเชิงวิเคราะห์, การคัดเลือกโครงการ, การลดของเสีย
Abstract
One of the most important phase in quality improvement for defect reduction projects is the project
selection phase, almost current researchers commonly use the well-known techniques such as Pareto chart,
Pareto priority index, Quality control circle method and Failure mode and effect analysis. However, some of
such methods consider only one kind of selection criteria like defective rate of Pareto technique or multiple
criteria consideration with the equal important weight. In the case study, the quality improvement project
selection must be selected base on not only the defective rate but also severity, possibility, and failure
cost aspects. Therefore, this paper proposed the integration of 7 QC tools with Analytic hierarchy process
techniques to select the improvement projects for defect reduction. The results of the integration of 7 QC
tools with Analytic hierarchy process techniques application, the project selection result can reasonably
reflect the different important weight of each selection criteria. Moreover, the defective rate of air tank
painting was reduced about 2.63% that cost 9,529 Baht per month.
Keywords: analytic hierarchy process, project selection, defect reduction.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 71
1. บทน�ำ ย่อมมีความเห็นถึงน�ำ้ หนักความส�ำคัญ ทีค่ วรแต่ตา่ งกัน
เนื่ อ งจากในสภาวการณ์ ป ั จ จุ บั น ที่ ธุ ร กิ จ ในแต่ล่ะด้าน ของเกณฑ์ในการคัดเลือกหัวข้อปัญหา
อุตสาหกรรมทุกแขนงมีการแข่งขันทางการค้าที่รุนแรง ดังกล่าว
อีกทั้งลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในเวลา จากเหตุผลดังกล่าวจึงเล็งเห็นความส�ำคัญ และได้
ทีร่ วดเร็ว การเพิม่ อัตราการผลิตและลดจ�ำนวนของเสีย น�ำเสนอการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดของเสีย
จากกระบวนการผลิตนั้นจึงเป็นหัวใจที่ส�ำคัญของการ โดยการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่ท�ำงานร่วมกันระหว่าง
อยู่รอดทางธุรกิจและการเติบโตทางอุตสาหกรรม เพื่อ เครื่องมือคุณภาพทั้ง (7 QC tool) และกระบวนการ
ให้สามารถแข่งขันกับคูแ่ ข่งขันรายอืน่ ได้ ผูป้ ระกอบการ ล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic hierarchy process,
จึงมีความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องผลิตสินค้าทีม่ คี ณ ุ ภาพเป็นไป AHP) ในการคัดเลือกหัวข้อปัญหาและท�ำการปรับปรุง
ตามความต้องการของลูกค้า โดยมีตน้ ทุนต�ำ่ พร้อมด้วย กระบวนการผลิตเพื่อลดของเสีย
การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อมูลในกระบวนการผลิตของโรงงานกรณีศกึ ษา 2. วัตถุประสงค์งานวิจัย
ท�ำการผลิตถังบรรจุอากาศส�ำหรับรถบรรทุก ในปัจจุบนั 2.1 เพื่อน�ำเสนอแนวทางในการใข้กระบวน-
กระบวนการผลิตได้มีปริมาณของเสียในระดับที่สูง การล�ำดับชั้นเชิงวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหัวหัวข้อปัญหา
โดยพบว่าระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2560 และท�ำการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน
มีของเสียเกิดขึ้นโดยคิดเป็น 9.22% ของจ�ำนวนการ ของเสีย
ผลิตทั้งหมด และคิดเป็นต้นทุนความเสียหายประมาณ 2.2 เพื่อศึกษาผลกระทบของการปรับปรุง
33,827 บาท ต่อเดือน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อ กระบวนการผลิตเพื่อลดของเสียโดยการประยุกต์ใช้
ต้นทุนการผลิตรวมของโรงงาน การท�ำงานร่วมกันของเครื่องมือคุณภาพทั้ง 7 และ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างขั้นตอนวิเคราะห์เพื่อค้นหา กระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์
และคัดเลือกโครงการส�ำหรับปรับปรุงกระบวนการ
ผลิ ต เพื่ อลดของเสียนั้นผู้วิจัยส่วนใหญ่ใช้เ ครื่ อ งมื อ 3. ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ที่ เป็ น ที่ รู ้ จั ก และแพร่ห ลาย เช่น แผนภูมิพ าเรโต 3.1 การคั ด เลื อ กหั ว ข้ อ ปั ญ หาเพื่ อ ท�ำ
(Pareto chart) [1-3], ดัชนีความส�ำคัญ (Pareto โครงการ ปรับปรุงคุณภาพ
priority index, PPI) [4], การคัดเลือกหัวข้อปัญหา 1) แผนภูมิพาเรโต (Pareto chart) เป็นวิธี
ตามแนวทางกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality ทีน่ ยิ มแพร่หลายในการจ�ำแนกปัญหาดังเช่น การประยุกต์
control circle) [5], และการวิเคราะห์ข้อบกพร่อง ใช้ของ [1], [2], และ [3] โดยอาศัยกฎ 80:20 เพื่อ
และผลกระทบ (Failure mode & effect analysis, คัดเลือกหัวข้อปัญหาที่มีความส�ำคัญสูง จ�ำนวน 20%
FMEA) [6] โดยวิธีในการคัดเลือกหัวข้อปัญหาเพื่อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมถึง 80% โดยส่วนใหญ่
ท�ำโครงการปรับปรุงดังกล่าวยังใช้การพิจารณาเพียง ในการคัดเลือกหัวข้อปัญหาเพือ่ ท�ำโครงการลดของเสีย
ปัจจัยด้านเดียว เช่น แผนภูมิพาเรโตของเปอร์เซ็นต์ จะใช้ ป ั จ จั ย ด้ า นความถี่ ใ นการเกิ ด ของเสี ย หรื อ
การเกิดของเสียหรืออาจพิจารณาหลายปัจจัยแต่ให้ เปอร์เซ็นต์ของเสียเป็นหลักในการสร้างแผนภูมพิ าเรโต
น�้ำหนักของปัจจัยในการคัดเลือกด้านต่างๆ ส�ำคัญ 2) การคัดเลือกหัวข้อปัญหาตามแนวทาง
เทียบเท่ากัน เช่น วิธี (Pareto Priority index, PPI) กิจกรรมกลุม่ ควบคุมคุณภาพ (Quality control circle)
โดยการพิ จ ารณาแต่ ล ะปั จ จั ย ที่ ใ ห้ ค ่ า น�้ ำ หนั ก ความ [5] เป็นวิธีการซึ่งถูกแนะน�ำและประยุกต์ใช้แพร่หลาย
ส�ำคัญเท่ากันนี้ ขัดแย่งกับความเป็นจริงที่ว่าผู้ประเมิน ในการท�ำกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพ (QCC) โดย
72 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
มี ป ั จ จั ย ในการพิจารณาด้านต่างๆ ดังนี้ ความถี่ , ใช้ในกระบวนการตัดสินใจซึง่ ได้รบั ความนิยมอย่างมาก
ความรุนแรง, ความเป็นไปได้และต้นทุนของเสีย และเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลอย่างแพร่หลาย
3) ดัชนีความส�ำคัญ (Pareto priority index, ซึ่งถูกคิดค้นโดย [7] และถูกน�ำไปใช้อย่างแพร่หลาย
PPI) เทคนิค PPI [4] ถูกน�ำมาใช้ในการคัดเลือกหัวข้อ [8] ซึง่ เป็นเทคนิคทีใ่ ช้การแบ่งองค์ประกอบของปัญหา
ปัญหาโดยมีการพิจารณาปัจจัยด้านต้นทุน, ผลประโยชน์ ออกเป็นส่วนๆ ในรูปของแผนภูมิตามล�ำดับชั้นแล้ว
ที่ได้รับ, ความน่าจะเป็นที่จะท�ำส�ำเร็จและเวลาในการ มีการให้ค่าน�้ำหนักของแต่ละองค์ประกอบแล้วน�ำมา
ท�ำโครงการเพื่อช่วยในการตัดสินใจโดยค่า PPI หาได้ ค�ำนวณค่าน�้ำหนักเพื่อน�ำไปสู่ค่าล�ำดับความส�ำคัญ
จากสมการ (1) ของแต่ละทางเลือกว่าทางเลือกใดมีค่าสูงสุดแล้วน�ำมา
Saving cos t x Pr obability of success ประกอบการตั ด สิ น ใจ ซึ่ ง มี โ ครงสร้ า งเลี ย นแบบ
ppi =
Im plementation cos t x Completion time
กระบวนการคิดของมนุษย์ ดังนั้นเทคนิคนี้จึงเหมาะ
(1)
ส�ำหรับทั้งการตัดสินใจที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
4) การวิเคราะห์ขอ้ บกพร่องและผลกระทบ
โดยมีจดุ เด่นดังนีค้ อื ง่ายในการสร้าง และสามารถน�ำเอา
(Failure mode & effect analysis, FMEA) [6] เป็น
ปัจจัยที่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมมาวินิจฉัยได้
เทคนิคทางวิศวกรรมที่มีการจัดล�ำดับข้อบกพร่องที่
อย่างมีความสอดคล้องกันของเหตุผล โดยมีขั้นตอน
เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์โดยพิจารณาดัชนีความเสี่ยงชี้น�ำ
กระบวนการล�ำดับชั้นเชิงดังนี้
(Risk Priority Number, RPN) ซึ่งเป็นผลระหว่าง
1. วางกรอบและก�ำหนดเป้าหมาย
ความรุนแรง (Severity, S) โอกาสในการเกิด (Occur-
2. ก�ำหนดเกณฑ์หรือปัจจัยในการพิจารณา
rence, O) และความสามารถในการตรวจจับ (Detec-
3. ก�ำหนดแผนภูมิระดับชั้นในการตัดสินใจ
tability, D)
4. ท�ำการเปรียบเทียบปัจจัยเป็นคู่ๆ
3.2 กระบวนการล�ำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ โดยการเปรียบเทียบทางเลือกเป็นคู่ๆ อาศัย
กระบวนการล�ำดับชัน้ เชิงวิเคราะห์ (Analytic เกณฑ์ ป ระเมิ น มาตรฐานที่ ใช้ ใ นการเปรี ย บเที ย บ
Hierarchy Process: AHP) เป็นเทคนิคหนึ่งที่ถูกน�ำมา ความส�ำคัญโดยมีคะแนน 1-9 ตามตารางที่ 1
ระดับความเข้มข้น
ความหมาย คำ�อธิบาย
ของความสำ�คัญ
1 สำ�คัญเท่ากัน ทั้ง 2 เกณฑ์ส่งผลกระทบต่อวัตถุประสงค์เท่าๆ กัน
3 สำ�คัญกว่าปานกลาง เกณฑ์หนึ่งสำ�คัญกว่าอีกเกณฑ์หนึ่งอยู่ในระดับปานกลาง
5 สำ�คัญกว่ามาก เกณฑ์หนึ่งสำ�คัญกว่าอีกเกณฑ์หนึ่งอยู่ในระดับมาก
7 สำ�คัญกว่ามากที่สุด เกณฑ์หนึ่งสำ�คัญกว่าอีกเกณฑ์หนึ่งอยู่ในระดับมากที่สุด
9 สำ�คัญกว่าสูงสุด เกณฑ์หนึ่งสำ�คัญกว่าอีกเกณฑ์หนึ่งอยู่ในระดับสูงสุด
2,4,6,8 อยู่ระหว่างระดับที่ได้ อยู่ระหว่างระดับที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น
อธิบายมาแล้วข้างต้น
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 73
3.3 เครื่องมือคุณภาพทั้ง 7 ปัญหาตามตารางที่ 2 ขั้นตอนและเครื่องมือที่ใช้ใน
เป็นเครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการแก้ปญ
ั หาด้านคุณภาพ การศึกษา
ซึ่งช่วยศึกษาสภาพทั่วไปของปัญหา, คัดเลือกปัญหา,
ค้นหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่แท้จริงเพื่อ 1. สำ�รวจสภาพปัญหาปัจจุบัน
ท�ำการแก้ไขอย่างถูกต้องและป้องกันไม่ให้เกิดซ�้ำโดย
มีส่วนประกอบดังนี้ 2. คัดเลือกหัวข้อปัญหาด้วยเทคนิค AHP
1) แผ่นตรวจสอบ (Check sheet) คือ
แบบฟอร์มที่มีการออกแบบเพื่อจะใช้ในการบันทึก
ข้อมูล 3. ประเมินกระบวนการปัจจุบัน
2) ผั ง พาเรโต (Pareto Diagram) คื อ
เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญระหว่าง 4. วิเคราะห์และหาสาเหตุของปัญหา
สาเหตุข้อบกพร่องกับปริมาณความสูญเสียที่เกิดขึ้น
3) กราฟ (Graphs) คือ กราฟภาพทีแ่ สดงถึง
5. ดำ�เนินการแก้ไขปรับปรุง
ตัวเลขหรือข้อมูลทางสถิติที่ใช้เมื่อต้องการน�ำเสนอ
ข้อมูลและวิเคราะห์ผลของข้อมูล
4) ผั ง เหตุและผล (Cause and effect 6. ติดตามและสรุปผล
diagram) คือ ผังทีแ่ สดงความส�ำคัญระหว่าง คุณลักษณะ
ทางคุณภาพกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รูปที่ 1 แผนภูมิขั้นตอนการวิจัย
5) ฮิสโตแกรม (Histogram) คือ กราฟที่
แสดงถึงความผันแปรของข้อมูลที่ได้มาจากการวัด ตารางที่ 2 ขั้นตอนและเครือ่ งมือที่ใช้ในการศึกษา
ส�ำหรับข้อมูลกลุ่มย่อยเดียวกัน
ขั้นที่ ขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้
6) ผังการกระจาย (Scatter diagram) คือ
ผังที่ใช้แสดงค่าของข้อมูลที่เกิดจากความส�ำคัญที่เกิด สำ�รวจสภาพ ผังพาเรโต,
1 ปัญหาปัจจุบัน
จากตั ว แปรสองตัวว่ามีแนวโน้มไปในทางใดเพื่ อ ใช้ ผังกระบวนการ,
หาความส�ำคัญที่แท้จริง และคัดเลือก กระบวนการลำ�ดับ
7) แผนภูมิควบคุม (Control Chart) คือ ปัญหา ขั้นเชิงวิเคราะห์
แผนภูมิที่การเขียนขอบเขตที่ยอมรับได้เพื่อน�ำไปเป็น ประเมิน แผ่นตรวจสอบ, ผังเหตุ
แนวทางในการควบคุมกระบวนการ 2 กระบวนการ และผล, เทคนิคการถาม
ปัจจุบัน ทำ�ไม 5 ครั้ง
4. วิธีการวิจัย
3 พิสูจน์ปัญหา การทดสอบสมมุติฐาน
งานวิจัยนี้ได้ แบ่งส่วนวิจัยหลักเป็น 2 ส่วน
ส�ำคัญ กล่าวคือ มีการน�ำเสนอกระบวนการล�ำดับ แผนภูมิควบคุม
4 ปรับปรุงแก้ไข
ชั้นเชิงวิเคราะห์ (AHP) เพื่อท�ำการคัดเลือกหัวข้อ กระบวนการ
ปัญหาตามขั้นตอนการวิจัยตามรูปที่ 1 ขั้นที่ 1-2 ส่วน
ติดตามและ มาตรฐานขั้นตอน
ขั้นตอนการวิจัยที่ 3-6 เป็นการประยุกต์ใช้เครื่องมือ 5
สรุปผล การทำ�งาน
คุณภาพทั้ง 7 ในการด�ำเนินการวิเคราะห์และแก้ไข
74 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
5. ผลการวิจัย หากแต่ในการคัดเลือกหัวข้อปัญหาเพื่อท�ำโครงการ
5.1 ผลการสำ�รวจสภาพปัญหาปัจจุบัน ปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพโดยงานวิ จั ย ทั่ ว ไปจะน� ำ ปั จ จั ย
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของปัญหาในกระบวนการ ทางด้านปริมาณหรือ % ของเสียที่พบมาจัดเรียงล�ำดับ
ผลิตถังบรรจุอากาศของโรงงานกรณีศกึ ษา ตัง้ แต่เดือน โดยอาศั ย ผั ง พาเรโตซึ่ ง จะท� ำ ให้ ล� ำ ดั บ ความส� ำ คั ญ
เมษายน – มิถุนายน 2560 พบว่าของเสียที่เกิดขึ้น ของชนิดของปัญหาคุณภาพ ที่พบในกระบวนการผลิต
ในกระบวนการผลิตถังบรรจุอากาศรถบรรทุกคิดเฉลี่ย ถังบรรจุอากาศสามารถเรียงจากความส�ำคัญสูงไปหา
เป็น 9.23% ต่อเดือน คิดต้นทุนของเสียเป็นเงิน ต�่ำที่สุดได้ดังนี้ สีเป็นเม็ด (มีลักษณะเป็นเม็ดนูนสูง
33,827 บาท ต่อเดือนดังแสดงในรูปที่ 2 โดยสามารถ จากผิวปกติ), สีไหล(มีลักษณะเป็นรอยไหลของสีจาก
จำ�แนกปัญหาคุณภาพ ของเสียทีเ่ กิดขึน้ ตามผังพาเรโต ผิวปกติ), สีเดือด (มีลักษณะเป็นฟองอากาศภายใน
ดังรูปที่ 3 ซึง่ แสดงปริมาณของเสียในกระบวนการผลิต สีจากผิวปกติ), สีหลุม (มีลักษณะเป็นรอยเว้าและเป็น
ทีม่ ปี ริมาณของเสียสูงทีส่ ดุ คือปัญหาคุณภาพ สีเป็นเม็ด หลุมของสีจากผิวปกติ), และรอยขีด (มีลักษณะเป็น
มีจำ�นวนของเสียเท่ากับ 44 ชิ้น โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ รอยขีดลึกบนสีผิวปกติ) อย่างไรก็ตามการคัดเลือก
เท่ากับ 29.73% รองลงมาเป็น ปัญหาคุณภาพ สีไหล, ปัญหาไม่ควรพิจารณาเพียงปัจจัยเดียว
สีเดือด, สีหลุม, และรอยขีด ตามลำ�ดับ ซึง่ ตามหลักการ
80:20 ของพาเรโตปัญหาทีค่ วรถูกเลือกเพือ่ ทำ�การแก้ไข 5.2 ผลคั ด เลื อ กหั ว ข้ อ ปั ญ หาเพื่ อ ท�ำการ
ควรประกอบด้วย สีเป็นเม็ด, สีไหล และ สีเดือด ปรับปรุง
เพื่อให้เห็นข้อดีของการคัดเลือกหัวข้อปัญหา
ด้วยวิธีกระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ที่น�ำเสนอ
อย่างชัดเจน ดังนั้นวิธีการคัดเลือกหัวข้อปัญหาตาม
แนวทางกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพ จึงถูกน�ำมาใช้
ต้นทุน (บาท)
วิเคราะห์ โดยผลที่ได้จากวิธีการคัดเลือกหัวข้อปัญหา
ตามแนวทางกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพซึ่งถูกจัดท�ำ
โดยสมาชิกกลุ่มจากส่วนงานที่เกี่ยวข้องคือฝ่ายผลิต
ซ่อมบ�ำรุงและวิศวกรรมจ�ำนวน 5 คน และท�ำการ
ให้คะแนนโดยมีคา่ จาก 1-5 โดยเรียงจากคะแนนต�ำ่ สุด
รูปที่ 2 ของเสียภาพรวมที่พบในกระบวนการผลิต ไปหาสูงสุดตามล�ำดับ ซึง่ ผลการคัดเลือกถูกน�ำมาแสดง
ในตารางที่ 9 โดยมีเกณฑ์ในการให้คะแนนตามค�ำแนะน�ำ
โดย [5] เป็นดังนี้คือ ผลกระทบด้าน ต้นทุน โอกาส
ในการแก้ ไขความถี่ ข องปั ญ หา และความรุ น แรง
% ของเสียสะสม
ปริมาณของเสีย
ของปัญหา และผลการคัดเลือกหัวข้อปัญหาด้วยวิธี
กระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ถูกน�ำมาแสดงไว้ใน
ตารางที่ 4-8 โดยผลการจัดล�ำดับเกณฑ์การคัดเลือก
หัวข้อปัญหาตามตารางที่ 4, การจัดล�ำดับและคัดเลือก
หัวข้อปัญหาภายใต้ปัจจัยด้านความรุนแรงตามตาราง
ที่ 6 และด้านโอกาสในการแก้ไขตามตารางที่ 8 ซึ่งเป็น
รูปที่ 3 ผังพาเรโตจำ�แนกชนิดปัญหาคุณภาพที่พบ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 75
ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) จะใช้วิธีการ จากผลการจัดล�ำดับเกณฑ์การคัดเลือกหัวข้อ
เปรียบเทียบที่ละคู่ซึ่งอาศัยเกณฑ์ประเมินมาตรฐาน ปัญหาเพื่อท�ำการปรับปรุง ตามตารางที่ 4 พบว่า
ตามตารางที่ 1 ตามตัวอย่างการค�ำนวนหาค่าน�้ำหนัก เกณฑ์การคัดเลือกที่ได้รับคะแนนสูงที่สุดคือ เกณฑ์
ความส�ำคัญจาก AHP ในตารางที่ 3 ภายใต้กรอบ ด้านต้นทุนของเสีย (0.42) รองลงมาเป็นความรุนแรง
ผังโครงสร้างการคัดเลือกหัวข้อด้วยวิธีกระบวนการ ของปัญหา (0.38) ด้านความถี่ในการเกิด (0.14) และ
ล�ำดับชั้นเชิงวิเคราะห์ดังรูปที่ 4 ด้านโอกาสในการแก้ไข (0.06) ตามล�ำดับ
ตารางที่ 3 ตัวอย่างการค�ำนวนหาค่าน�ำ้ หนักความส�ำคัญ ตารางที่ 5 ผลการจัดล�ำดับและคัดเลือกหัวข้อปัญหา
ของเกณฑ์การคัดเลือกจาก AHP ภายใต้ปจั จัยด้านต้นทุน
ผลการ ค่าเฉลี่ย ปัจจัยด้าน ต้นทุน ค่าน�้ำหนัก ลำ�ดับที่
เปรียบเทียบ ต้นทุน โอกาส ความถี่ รุนแรง ด้วยวิธี ต้นทุน (บาท)
เกณฑ์ที่ละคู่ GMM
สีเป็นเม็ด 240 0.21 1
ต้นทุน 1 6 4 1 2.21
สีไหล 200 0.18 2
โอกาส 1/6 1 1/3 1/5 0.32
สีเดือด 200 0.18 2
ความถี่ 1/4 3 1 1/3 0.71
สีหลุม 240 0.21 1
รุนแรง 1 5 3 1 1.97
รอยขีด 240 0.21 1
โดยค่าน�้ำหนักจาก AHP หาได้ด้วยวิธีการ
Geometric mean method (GMM) [7] ดังตัวอย่าง ผลการจั ด ล� ำ ดั บ ปั ญ หาภายใต้ ป ั จ จั ย ด้ า น
การค�ำนวนค่าเฉลี่ยด้วยวิธี GMM ในเกณฑ์ด้านต้นทุน ต้นทุนตามตารางที่ 5 พบว่ามีปญ ั หาคุณภาพ สีเป็นเม็ด,
ซึ่งหาได้จาก [1 x 6 x 4 x 1]1/4 = 2.21 จากนั้น สี ห ลุ ม และรอยขี ด มี ต้ นทุ นในการแก้ ไขงานสู ง กว่ า
หาค่าน�้ำหนักจาก AHP ด้วยการน�ำค่าเฉลี่ยด้วยวิธี อาการอื่น เป็นเงินถึง 240 บาทต่อชิ้นในขณะที่ปัญหา
GMM มาท�ำการ Normalize เพื่อให้น�้ำหนักรวม คุ ณ ภาพอื่ น ที่ เ หลื อ สามารถแก้ ไขได้ ด ้ ว ยต้ น ทุ น ที่
มี ค ่ า เท่ า กั บ 1 โดยสามารถแสดงได้ ดั ง นี้ 2.21/ ต�่ำกว่าคือ 200 บาทต่อชิ้น
(2.21+0.32+0.71+1.97) = 0.42 ตารางที่ 6 ผลการจัดล�ำดับและคัดเลือกหัวข้อปัญหา
ตารางที่ 4 ผลการจัดล�ำดับเกณฑ์การการคัดเลือก ภายใต้ปัจจัยด้านความรุนแรง (CR = 0.07)
หัวข้อปัญหาเพื่อท�ำการปรับปรุง (CR = 0.02)
ปัจจัยด้าน ค่าเฉลี่ย ค่าน�้ำหนัก ลำ�ดับที่
หัวข้อ เกณฑ์ ค่าเฉลี่ย ค่าน�้ำหนัก ลำ�ดับที่ ความรุนแรง ด้วยวิธี จาก
ในการ ด้วยวิธี จาก AHP GMM (AHP)
คัดเลือก สีเป็นเม็ด 1.15 0.23 3
1 ต้นทุน 2.21 0.42 1 สีไหล 0.73 0.14 4
2 โอกาส 0.32 0.06 4 สีเดือด 1.37 0.27 2
3 ความถี่ 0.71 0.14 3 สีหลุม 0.26 0.05 5
4 รุนแรง 1.97 0.38 2 รอยขีด 1.55 0.31 1
76 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ผลการจั ด ล� ำดั บ และคั ด เลื อ กหั ว ข้ อ ปั ญ หา ในขณะเดียวกันผลการจัดล�ำดับและคัดเลือก
ภายใต้ปัจจัยด้านรุนแรงพบว่าสามารถเรียงล�ำดับตาม หัวข้อปัญหาภายใต้ปัจจัยด้านความถี่พบว่าสามารถ
น�ำ้ หนักความส�ำคัญจากสูงไปต�ำ่ ได้ดงั นี้ รอยขีด, สีเดือด, เรียงล�ำดับตามน�้ำหนักความส�ำคัญจากสูงไปต�่ำได้ดังนี้
สีเป็นเม็ด, สีไหล, และสีหลุม, ตามตารางที่ 6 สีเป็นเม็ด, สีไหล, สีหลุม, และรอยขีดตามตารางที่ 7
ตารางที่ 7 ผลการจัดล�ำดับและคัดเลือกหัวข้อปัญหา ตารางที่ 8 ผลการจัดล�ำดับและคัดเลือกหัวข้อปัญหา
ภายใต้ปัจจัยด้านความถี่ ภายใต้ปจั จัยด้านโอกาส (CR = 0.05)
หัวข้อปัญหาที่เหมาะสมที่สุด
ระดับเป้าหมาย
สี สี สี สี รอย
เป็นเม็ด ไหล เป็นหลุม เดือด ขีด ระดับทางเลือก
รูปที่ 4 แผนผังลำ�ดับชั้นเชิงวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหัวข้อปัญหาเพื่อทำ�การปรับปรุง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 77
ตารางที่ 9 ผลการคัดเลือกหัวข้อปัญหาด้วยวิธีกระบวนการลำ�ดับชั้นเชิงวิเคราะห์ (AHP)
เกณฑ์การประเมิน น�้ำหนักความส�ำคัญของหัวข้อปัญหาคุณภาพ
ข้อที่
รายละเอียดของเกณฑ์ น�้ำหนัก สีเป็นเม็ด สีไหล สีเดือด สีเป็นหลุม รอยขีด
1 ผลด้านต้นทุน 0.42 0.21 0.18 0.18 0.21 0.21
2 โอกาสในการแก้ไข 0.06 0.58 0.13 0.07 0.04 0.18
3 ความถี่ของปัญหา 0.14 0.30 0.22 0.20 0.18 0.11
4 ความรุนแรงของปัญหา 0.38 0.23 0.14 0.27 0.05 0.31
ค่าน�้ำหนักความส�ำคัญโดยรวม 0.25 0.17 0.21 0.14 0.23
ลำ�ดับความสำ�คัญของหัวข้อปัญหาคุณภาพ 1 4 3 5 2
2 B 0 0% รูปที่ 8 ผลการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยผังเหตุและผล
3 C 4 25% (Cause and effect diagram)
4 D 12 75%
ท�ำไมม่านน�้ำไม่ดูดดสี
จุดพ่นสีอยู่ต�่ำกว่า
ระดับม่านน�้ำ
ตะขอแขวนมี แท่นพ่นสีมีระดับ
ขนาดยาวเกินไป ม่านน�้ำสูงเกินไป
รูปที่ 7 ผลการตรวจสอบตำ�แหน่งสีเป็นเม็ด
ตะขอแขวนไม่ได้ แท่นพ่นสีไม่ได้
จากข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่าต�ำแหน่งที่มักพบ
ออกแบบมาเพื่อ ออกแบบมาเพื่อ
ของเสียปัญหาคุณภาพ สีเป็นเม็ดมีความสอดคล้องกับ
รองรับชิ้นงานที่มี รองรับชิ้นงานที่มี
บริเวณที่ม่านน�้ำซึ่งมีหน้าที่ดักจับสีไม่ให้ฟุ้งกระจาย
ขนาดยาว ชิ้นงานจึง ขนาดยาว ชิ้นงานจึง
อาจครอบคลุมไม่ถึง
เลยขอบม่านน�้ำ เลยขอบม่านน�้ำ
5.5 ผลการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา
ด้วยผังเหตุและผล (Cause and effect diagram)
รูปที่ 9 ผลการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยการถามทำ�ไม
เพื่ อ ให้ ก ารวิ เ คราะห์ ห าสาเหตุ ข องปั ญ หา
(Why-why analysis)
มีความครอบคลุม ผังเหตุและผล ตามรูปที่ 8 จึงถูก
น� ำ มาใช้ ร ่ ว มกั บ การพิ จ ารณาดั ช นี ค วามเสี่ ย งชี้ น� ำ จากผลการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยการถาม
(Risk priority number) ตามหลักการการวิเคราะห์ ท�ำไม (Why-why analysis) ตามรูปที่ 9 พบว่า
ข้อบกพร่องและผลกระทบ (FMEA) โดยผลการวิเคราะห์ สาเหตุหลักที่ท�ำให้ม่านน�้ำไม่ดูดสีเกิดจากตะขอแขวน
พบว่าปัญหาคุณภาพสีเป็นเม็ด มีสาเหตุหลักมาจาก ชิน้ งานและแท่นพ่นสีไม่ได้ถกู ออกแบบให้รองรับชิน้ งาน
การที่ ม่านน�้ำไม่ดูดซับสี ที่มีขนาดยาว ดังนั้นจึงท�ำให้พื้นที่ที่ชิ้นงานยาวกว่า
80 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ระยะม่านน�้ำจึงไม่สามารถดูดซับสีที่กระจายจากการ ตารางที่ 12 ของเสียหลังการปรับม่านระดับน�้ำ
พ่นได้
5.6 แนวทางการแก้ปัญหา ม่านน�้ำไม่ดูดสี ของเสีย ก่อนการ หลังการ
โดยการปรับระดับม่านน�้ำ อาการสีเป็นเม็ด ปรับปรุง ปรับปรุง
จากผลการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยการถาม ปริมานการผลิต (ชิ้น) 1662 1659
ท�ำไม (Why-why analysis) สาเหตุที่ท�ำให้ม่านน�้ำ จำ�นวนของเสีย (ชิ้น) 44 0
ไม่ดดู สีเกิดจากระดับม่านน�ำ้ ไม่เพียงพอทีจ่ ะครอบคลุม
ชิ้นงานที่มีขนาดยาวได้เนื่องจากตะขอแขวนและแท่น เปอร์เซ็นต์ 2.65% 0.00%
ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับชิ้นงานขนาดยาว ชิ้นงาน
จึงเลยขอบม่านน�้ำ ดังนั้นจึงตัดสินใจปรับระดับม่านน�้ำ โดยผลการทดสอบสมมุติฐานซึ่งถูกตั้งไว้ว่า %
โดยปรับให้ระยะ A ของม่านน�้ำเพิ่มขึ้นจาก 0 cm เป็น ของเสียปัญหาคุณภาพสีเป็นเม็ดระหว่างก่อนและหลัง
60 cm (ตามขนาดความยาวของชิ้นงานที่มีขนาดยาว การปรับปรุงมีค่าไม่แตกต่างกัน ด้วยการทดสอบทาง
ที่สุดที่มีการผลิต) เพื่อให้เพิ่มพื้นที่ครอบคลุมมากขึ้น สถิติ แบบ 2 proportional test แสดงให้เห็นผลการ
ด้วยการออกแบบระยะของตะขอแขวนและความสูง ปฎิเสธสมมุติฐานโดยผลการปรับปรุงด้วยการปรับ
แท่นพ่นสีให้เหมาะสมเพื่อรองรับชิ้นงานขนาดยาว ม่านน�้ำส่งผลต่อ % ของเสียปัญหาคุณภาพสีเป็นเม็ด
ให้มีความแตกต่างจากก่อนปรับปรุงโดยมีระดับลดลง
อย่างมีนยั ส�ำคัญ ที่ ค่า P value = 0.000 ตามรูปที่ 11
รูปที่ 10 ระดับม่านน�้ำในขั้นตอนการพ่นสีรองพื้น
5.7 ผลการแก้ ป ั ญ หาม่ า นน�้ ำ ไม่ ดู ด สี โ ดย
การปรับระดับม่านน�้ำ
หลังจากการปรับปรุงกระบวนการพ่นสีรอง
พืน้ ด้วยการปรับระดับม่านน�ำ้ จึงได้ทำ� การทดสอบเพือ่
ประเมินผลกระทบจากการปรับปรุงโดยการตรวจสอบ
ชิ้นงานที่ผลิตจากระดับม่านน�้ำที่ปรับแล้วเป็นระยะ
เวลา 1 เดือน (ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคมถึง 15
รูปที่ 11 ผลการทดสอบสมมุติฐานด้วยการทดสอบ
สิงหาคม) เทียบกับก่อนการปรับปรุงผลปรากฎว่า %
ทางสถิติ แบบ 2 proportional test
ของเสียปัญหาคุณภาพสีเป็นเม็ดลดลง จาก 2.65%
เป็น 0 % ดังแสดงในตารางที่ 12
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 81
5.7 การเฝ้ า ติ ด ตามผลการแก้ ป ั ญ หา ก็ดีวิธีดังกล่าวมีเกณฑ์การคัดเลือกด้วยการพิจารณา
ม่านน�ำ้ ไม่ดดู สีโดยการปรับระดับม่านนำ�้ ในระยะยาว เพียงปัจจัยด้านเดียว เช่น ผังพาเรโตของเปอร์เซ็นต์
หลั ง จากการปรั บ ปรุ ง กระบวนการพ่ น สี ของเสียหรือพิจารณาหลายปัจจัยแต่ให้น�้ำหนักของ
รองพื้ น ด้ ว ยการปรั บ ระดั บ ม่ า นน�้ ำ ที่ ไ ด้ รั บ การปรั บ
ปัจจัยด้านต่างๆ ส�ำคัญเท่ากัน ในโรงงานกรณีศึกษา
ในกระบวนการพ่นสีจริงในเดือน มิถุนายน 2560 ซึ่งพบปัญหาของเสียจากการผลิตที่อยู่ในระดับที่สูง
การเฝ้ า ติ ด ตามผลการแก้ ป ั ญ หาม่ า นน�้ ำ ไม่ ดู ด สี แต่การท�ำการปรับปรุงยังต้องพิจารณาปัจจัยส�ำคัญ
โดยการปรับระดับม่านน�้ำในระยะยาวจึงถูกกระท�ำ อื่ นๆ นอกจากเพี ย งปริ ม าณของเสี ย ที่ เ กิ ด ชึ้ น เช่ น
ต่อเนือ่ งอีกสามเดือนระหว่าง เดือนกรกฎาคม-กันยายน ความรุ น แรง, ความเป็ น ไปได้ แ ละต้ น ทุ น ของเสี ย
2560 โดย % ของเสียปัญหาคุณภาพ สีเป็นเม็ดลดลง งานวิจัยนี้จึงน�ำเสนอการปรับปรุงกระบวนการผลิต
2.63% ซึ่งส่งผลให้ % ของเสียลดลง จากค่าเฉลี่ย เพื่อลดของเสียโดยการประยุกต์ใช้เครื่องมือที่ท�ำงาน
9.22 % ระหว่าง เดือนเมษายน-มิถุนายน เป็น 6.59% ร่วมกันระหว่างเครื่องมือคุณภาพทั้ง (7 QC tool)
ระหว่าง เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2560 ดังแสดงผล และกระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic
ได้ตามรูปที่ 12 hierarchy process, AHP) ในการคัดเลือกหัวข้อ
ปั ญ หาและท� ำ การปรั บ ปรุ ง กระบวนการผลิ ต เพื่ อ
ลดของเสีย
ผลการวิ จั ย พบว่ า ภายหลั ง การปรั บ ปรุ ง
กระบวนการผลิตโดยการประยุกต์ใช้เครือ่ งมือทีท่ ำ� งาน
ร่วมกันระหว่างเครื่องมือคุณภาพทั้ง (7 QC tool)
และกระบวนการล�ำดับขั้นเชิงวิเคราะห์ (Analytic
hierarchy process, AHP) ผลการคัดเลือกโครงการ
ปรั บ ปรุ ง คุ ณ ภาพเพื่ อ ลดของเสี ย สามารถสะท้ อ น
เหตุ ผ ลจากความแตกต่ า งของน�้ ำ หนั ก ความส� ำ คั ญ
ของแต่ ล ะเกณฑ์ ใ นการคั ด เลื อ กได้ อ ย่ า งเหมาะสม
รูปที่ 12 % ของเสียสีเป็นเม็ดจากการเฝ้าติดตามผล มากกว่าวิธีพื้นฐานอีกทั้งยังสามารถลด % ของเสีย
การแก้ปัญหา ม่านน�้ำไม่ดูดสีโดยการปรับระดับ ปัญหาคุณภาพ สีเป็นเม็ดลงจาก 2.63% ซึ่งส่งผลให้ %
ม่านน�้ำในระยะยาว ของเสียค่าเฉลี่ยลดลงจาก 9.22 % ระหว่าง เดือน
เมษายน-มิถุนายน เป็น 6.59% ระหว่าง เดือน
6. สรุปและอภิปรายผลการวิจัย กรกฎาคม-กันยายน 2560 โดยคิดเป็นเงิน 9,529 บาท
โดยทั่ ว ไปเครื่ อ งมื อ ที่ แ พร่ ห ลายอย่ า งเช่ น ต่อเดือน
ผังพาเรโต (Pareto chart), ดัชนี ความส�ำคัญ (Pareto
priority index, PPI), การคัดเลือกหัวข้อปัญหา 7. ข้อเสนอแนะ
ตามแนวทางกิจกรรมกลุ่มควบคุมคุณภาพ (Quality เนื่ อ งจากระดั บ ม่ า นน�้ ำ มี ค วามส� ำ คั ญ และ
control circle), หรือ การวิเคราะห์ข้อบกพร้องและ ส่งผลต่อการเกิดของเสียจึงเสนอให้ทางโรงงานวาง
ผลกระทบ (Failure mode & effect analysis, FMEA) มาตรฐานนี้ไว้ในมาตรฐานการติดตั้งเครื่องจักรใหม่
จะถูกน�ำมาใช้กับการคัดเลือกหัวข้อปัญหาเพื่อท�ำการ ให้เป็นไปในทางเดียวกันอันเป็นการป้องกันไม่ให้เกิด
ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดของเสียแต่ อย่างไร ปัญหาซ�้ำ
82 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
8. กิตติกรรมประกาศ [4] Manowichean J and Kantanantha N.
ผู้วิจัยขอขอบคุณโรงงานกรณีศึกษาซึ่งเป็น Quality Cost Reduction in Digital
ผู ้ ผ ลิ ต ถั ง บรรจุ อ ากาศในการให้ ค วามร่ ว มมื อ และ Camera Assembly Process. KKU
สนั บสนุ น ข้อ มูลระหว่างการท�ำวิจัยจนส�ำเร็ จลุ ล ่ วง Engineering Journal. 2014; 40(3):
ไปด้วยดี 313-322. (in Thai)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 83
การพัฒนากระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษขยะพลาสติก
เอทธิลีนไวนิลอะซิเตทแบบละเอียด
Development of Low Cost Natural Rubber Floor Tile Mixed with
Fine Ethylene Vinyl Acetate Plastic Waste
วิหาร ดีปัญญา1* และกิตติพงษ์ สุวีโร2
Wiharn Deepanya1* Kittipong Suweero2
wiharn.d@rmutp.ac.th1*, kittipong.s@en.rmutt.ac.th2
1
สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1
Department of Industrial Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Phra Nakhon
2
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Received: March 22, 2018
Revised: May 15, 2018
Accepted: August 20, 2018
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษขยะพลาสติกเอทธิลีนไวนิลอะซิเตท
(พลาสติกอีวีเอ) แบบความละเอียด โดยใช้ยางธรรมชาติแท่ง STR20 ในปริมาณเท่ากับ 100 phr ต่อเศษขยะพลาสติกอีวีเอที่ผ่าน
การย่อยผ่านตะแกรงเบอร์ 10 ในปริมาณ 0, 5, 10, 20, 40, และ 80 phr ตามล�ำดับ และผสมปริมาณสารเคมีในอัตราส่วนคงที่
ประกอบด้วย ซิงค์ออกไซด์ เท่ากับ 5 phr กรดสเตียริก เท่ากับ 2 phr เมอร์แคบโตเบนโซไทเอซอล เท่ากับ 0.5 phr ไดฟินลิ กัวนิดนี
เท่ากับ 0.2 phr และก�ำมะถัน เท่ากับ 3 phr ท�ำการบดผสมด้วยเครื่องบดแบบสองลูกกลิ้ง แล้วอัดขึ้นรูปด้วยวิธีการอัดแบบร้อน
ที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ได้แผ่นยางธรรมชาติ ขนาด 30x30x0.2 เซนติเมตร ทดสอบสมบัติตามมาตรฐาน ASTM พบว่า
กระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ อัตราส่วน 10 phr มีสมบัติที่เหมาะสมส�ำหรับน�ำไปปูพื้น เนื่องจากมีค่าความแข็ง
ความต้านทานแรงดึง และความต้านทานการสึกหรอทีม่ ากขึน้ ส่วนความหนาแน่นและสัมประสิทธิก์ ารน�ำความร้อนมีคา่ ลดต�ำ่ ลง
เมื่อเทียบกับกระเบื้องยางธรรมชาติที่ไม่มีพลาสติกอีวีเอ
ค�ำส�ำคัญ: ยางธรรมชาติ; เศษพลาสติกเอทธิลีนไวนิลอะซิเตท; ความละเอียดสูง; กระเบื้องปูพื้น
Abstract
This research aims to develop the natural-rubber floor tiles mixed with fineness ethylene vinyl
acetate plastic wastes (EVA plastics) from the factories. The study use natural-rubber STR 20 at 100 phr with
various contents of EVA plastics (e.g. 0, 5, 10, 20, 40, and 80 phr) and then mixed with chemical substance at
constant ratio include zinc oxide at 5 phr, stearic acid at 2 phr, mercaptobenzothiazole at 0.5 phr, diphenyl
guanidine at 0.2 phr and sulfur at 3 phr. The samples are ground by two-roll mill and formed by compression
molding at 150 degree Celsius with 30x30x0.2 cm of dimension. The properties of the natural-rubber floor
tiles are tested under ASTM standard. From the results, it is found that the natural-rubber floor tiles mixed
with 10 phr of EVA plastics is the suitable ratio for using as the rubber floor tiles in building. This ratio can
increase the hardness, tensile strength and wear resistant properties, and decrease the density and thermal
insulation properties when compare to the natural-rubber floor tiles without EVA plastic.
Keywords: natural-rubber; ethylene vinyl acetate plastic waste; high fineness; floor tile
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 85
1. บทน�ำ ได้ ทั้ ง หมดของโรงงานอุ ตสาหกรรมต่ า งๆ มากกว่ า
1. ความส�ำคัญและที่มาของปัญหาที่ท�ำการวิจัย 1,000 โรงงาน (ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิต
ยางธรรมชาติหรือยางพารา เป็นพืชเศรษฐกิจ จากอีวีเอมากเป็นอันดับ 5 ของโลก) เมื่อพิจารณา
ที่ ไ ด้ รั บ การส่ ง เสริ ม จากรั ฐ บาลให้ มี ก ารปลู ก อย่ า ง จากลักษณะและความเป็นไปได้ของการน�ำไปใช้เป็น
ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก สารตัวเติมในผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ พบว่า เศษขยะ
เฉียงเหนือ ท�ำให้ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและ พลาสติ ก อี วีเ อ สามารถบดย่ อ ยให้ มี ข นาดเล็ ก และ
ส่ ง ออกยางธรรมชาติมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ผสมเข้าไปในเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ดี มีคุณสมบัติให้สีเมื่อ
มีเนื้อที่เพาะปลูกประมาณ 12.3 ล้านไร่ มีผลผลิต ผสมเข้ากับยางธรรมชาติ มีแนวโน้มช่วยพัฒนาสมบัติ
ส่งออกปีละประมาณ 2.4 ล้านตัน มูลค่า 100,000 ทางกายภาพและทางกล และด้วยจุดหลอมเหลวของ
ล้านบาทต่อปี ส่วนใหญ่ส่งออกไปในรูปของน�้ำยางข้น เศษขยะพลาสติกชนิดนี้ที่แตกต่างจากยางธรรมชาติ
ยางแผ่นรมควัน ยางอบแห้ง และยางแท่ง [1] แต่ด้วย จึงท�ำให้ผลิตภัณฑ์กระเบื้องยางธรรมชาตินี้ มีสมบัติ
ปริมาณการปลูกยางธรรมชาติของกลุ่มประเทศเอเชีย ในการดูดซับแรงกระแทกเพราะช่องว่างระหว่างเนื้อ
ตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนทีเ่ ริม่ หันมาเพาะปลูก ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ เศษขยะพลาสติกอีวีเอยังเป็น
กันมากขึน้ ส่งผลต่อราคาของยางธรรมชาติทมี่ แี นวโน้ม วัสดุที่ไม่มีมูลค่า และเป็นปัญหาของผู้ประกอบการ
ตกต�่ำลง การพัฒนาผลิตภัณฑ์แผ่นกระเบื้องยางจาก ในการก�ำจัดอีกด้วย [3] โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์
ยางธรรมชาติ จึงเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาราคา เพื่อการพัฒนากระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษขยะ
ยางธรรมชาติตกต�่ำที่ดีที่สุดทางหนึ่ง เนื่องจากเป็น พลาสติ ก เอทธิ ลี น ไวนิ ล อะซิ เ ตทแบบละเอี ย ด ซึ่ ง
ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างที่มีปริมาณความต้องการใช้สูง นอกจากจะเพิ่มมูลค่ายางธรรมชาติแล้ว ยังช่วยลด
ตามการขยายตัวของประชากร ที่อยู่อาศัย และ ปัญหาขยะพลาสติกจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ยาก
เศรษฐกิจ สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากกว่า ต่อการก�ำจัด รวมทั้งมีส่วนพัฒนาประเทศชาติให้มี
วัสดุปพู นื้ ทัว่ ไป เนือ่ งจากสมบัตทิ ยี่ ดื หยุน่ ดี พืน้ ผิวไม่ลนื่ ความมั่นคงด้านราคายางธรรมชาติ และมีสิ่งแวดล้อม
เป็ น ฉนวนไฟฟ้า และอ่อนตัวง่าย ลดการเกิ ดและ ที่ดีอย่างยั่งยืนได้ต่อไป
ความรุนแรงจากอุบัติเหตุ ป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว
ผ่ า นร่ า งกาย รวมทั้งใช้ปูพื้นบนผิวต่างๆ ได้ เช่ น 2. วัสดุและอุปกรณ์
พื้นคอนกรีต พื้นหินขัด พื้นไม้เก่าหรือใหม่ เป็นต้น วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ยาง
โดยการใช้กาวขาว (ไดโนกลู) [2] แต่ปัญหาที่ส�ำคัญ ธรรมชาติแท่ง เกรด STR20 เศษพลาสติกเอทธิลีน
ที่ สุด ของแผ่ น กระเบื้องยาง โดยเฉพาะกระเบื้ อ ง ไวนิลอะซิเตท (Ethylene Vinyl Acetate, EVA) จาก
จากยางธรรมชาติ คื อ ต้ น ทุ น ที่ สู ง กว่ า กระเบื้ อ ง โรงงานรองเท้าในจังหวัดสมุทรปราการ บดย่อยให้มี
ยางสังเคราะห์ เพราะยางธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ ขนาดเล็กด้วยเครื่องบดพลาสติก ดังรูปที่ 1 และ 2
มีความจ�ำเป็นต้องใส่สารเติมแต่งค่อนข้างมาก เพื่อให้ ก�ำมะถัน ชนิด Rhombic Sulfur ซิงค์ออกไซด์ (ZnO)
ผลิ ต ภั ณ ฑ์ มี สี มี ค วามคงทน และมี คุ ณ สมบั ติ กรดสเตียริก (Stearic Acid) เมอร์แคบโตเบนโซไท-
ตามต้องการ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจ�ำเป็นต้องหาวัสดุ เอซอล (Mercapto Benzthiazole, MBT) ไดฟินิล-
เหลือทิ้งมาผสมเป็นสารเติมแต่งให้กับยางธรรมชาติ กัวนิดีน (Diphenyl Guanidine, DPG) เครื่องชั่ง
ได้ดี ทดแทนสารเติมแต่งทีม่ รี าคาสูง จากปัญหาปริมาณ น�้ำหนักดิจิตอล แบบหล่อแผ่นกระเบื้องยาง ขนาด
ขยะพลาสติกเอทธิลีนไวนิลอะซิเตท (Ethylene Vinyl 15 x 15 x 0.2 เซนติเมตร ตู้อบ ชุดอุปกรณ์ทดสอบ
Acetate) หรื ออีวีเ อ (EVA) ที่ไ ม่สามารถรี ไซเคิ ล ความหนาแน่น เครื่องบดผสมยางแบบสองลูกกลิ้ง
86 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
(Two - Roll Mill) เครื่องอัดขึ้นรูปด้วยความร้อน เศษพลาสติกอีวีเอ 20 phr จากสูตรดังกล่าว จะมี
(Compression Molding) เครื่องทดสอบความหนืด การปรับเปลี่ยนขนาดของเศษพลาสติกอีวีเอ จ�ำนวน
(Mooney Viscometer) เครื่องทดสอบการคงรูป 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 4 (4.75
(Oscillating Disc Rheometer, ODR) เครื่องทดสอบ มิลลิเมตร), ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 6 (3.35
อเนกประสงค์ (Universal Testing Machine, UTM) มิลลิเมตร), ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 8 (2.36
เครื่องวัดความแข็งแบบชอร์เอ (Shore A) เครื่อง มิลลิเมตร) และขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 10 (2
ทดสอบความสึกหรอของยาง (Abrasion Resistance) มิลลิเมตร) เพื่อหาขนาดที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณา
และเครื่องตัดตัวอย่าง จากความเรี ย บเนี ย นของพื้ น ผิ ว แผ่ น กระเบื้ อ งยาง
ธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ ดังรูปที่ 3 พบว่า ขนาด
เศษพลาสติกอีวีเอผ่านตะแกรงเบอร์ 10 เป็นขนาดที่
เหมาะสมที่สุด รองลงมาคือ ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 8
ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 6 และขนาดผ่านตะแกรง
เบอร์ 4 ได้แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติก
อีวีเอมีลักษณะที่หยาบที่สุด ตามล�ำดับ จากนั้นจึง
น� ำ สู ต รและขนาดเศษพลาสติ ก อี วี เ อผ่ า นตะแกรง
เบอร์ 10 ส� ำ หรั บหาปริ ม าณเศษพลาสติ ก อี วี เอ
ที่เหมาะสม โดยใช้ส่วนผสมเดิม แต่มีการปรับเฉพาะ
รูปที่ 1 เศษขยะพลาสติกอีวีเอ
ปริมาณเศษพลาสติกอีวีเอ จ�ำนวน 6 ปริมาณ ได้แก่
เศษพลาสติกอีวีเอ 0 phr (EVA 0) 5 phr (EVA 5) 10
phr (EVA 10) 20 phr (EVA 20) 40 phr (EVA 40)
และ 80 phr (EVA 80)
รูปที่ 2 พลาสติกอีวีเอหลังการบดย่อย
3. การออกแบบอัตราส่วนผสม
ออกแบบอั ต ราส่ ว นผสมหรื อ สู ต รของ
รูปที่ 3 พื้นผิวของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ
แผ่ น กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อ
ผสมพลาสติกอีวีเอขนาดต่างๆ
ความละเอียดสูง ได้แก่ ยางธรรมชาติ 100 phr (Part
Per Hundred Rubber; phr) ซิงค์ออกไซด์ 5 phr
กรดสเตียริก 2 phr ก�ำมะถัน 3 phr เมอร์แคบโตเบน-
โซไทเอซอล 0.5 phr ไดฟินิลกัวนิดีน 0.2 phr และ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 87
4. การขึ้นรูปและทดสอบตัวอย่าง
เริ่ ม จากชั่ ง น�้ ำ หนั ก ส่ ว นผสมในการขึ้ น รู ป
แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอตาม
ที่ออกแบบ จากนั้นท�ำการบดยางธรรมชาติแท่ง เกรด
STR20 ส�ำหรับผสมส่วนผสมอื่นๆ ด้วยเครื่องบดผสม
ยางแบบสองลูกกลิ้ง ด้วยอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส
ด้วยความเร็วปานกลาง ทยอยเติมสารซิงค์ออกไซด์
และกรดสเตียริกลงในส่วนผสมที่ก�ำลังบด แล้วจึงเติม
เศษพลาสติ ก อี วี เ อที่ ผ ่ า นการบดย่ อ ยแล้ ว ลงในยาง
รูปที่ 5 การใส่ส่วนผสมในแบบหล่อที่รอง
ธรรมชาติ ที่ บ ดภายในเครื่ อ งบดผสมยางแบบสอง
แผ่นพลาสติก
ลูกกลิ้ง ดังรูปที่ 4 จากนั้นเติมเมอร์แคบโตเบนโซไท-
เอซอลและไดฟินิลกัวนิดีนลงไปในส่วนผสม ผสม
ส่วนผสมจนเข้ากัน แล้วจึงเติมก�ำมะถันเพื่อช่วยให้
ส่วนผสมเกิดการคงรูป และทดสอบการคงรูปของ
ส่วนผสมทั้งหมด โดยใช้เครื่องทดสอบความหนืด และ
เครื่องทดสอบการคงรูป (ODR) ต่อไปให้น�ำส่วนผสมที่
เข้ากันดีแล้วใส่ลงในแบบหล่อที่รองด้วยแผ่นพลาสติก
ส�ำหรับป้องกันการติดแบบของส่วนผสม เพื่อขึ้นรูป
เป็นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ ดังรูป
ที่ 5 ท�ำการขึ้นรูปแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสม
พลาสติกอีวีเอด้วยเครื่องอัดขึ้นรูปด้วยความร้อนที่
อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส จนยางธรรมชาติเกิดการ รูปที่ 6 การขึ้นรูปด้วยเครื่องอัดความร้อน
คงรูป ดังรูปที่ 6 แล้วจึงน�ำแผ่นกระเบือ้ งยางทีข่ นึ้ รูปแล้ว
ออกจากแบบหล่อและแผ่นพลาสติกรองแบบ ได้แผ่น
กระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ ดังรูปที่ 7
รูปที่ 7 การนำ�แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสม
พลาสติกอีวีเอออกจากแบบหล่อ
รูปที่ 4 การเติมเศษพลาสติกอีวีเอลงในยางธรรมชาติ
88 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ทดสอบสมบัติต่างๆ ที่จ�ำเป็นต่อการใช้ง าน ตาม
มาตรฐาน ASTM [4] โดยใช้จ�ำนวนตัวอย่างทดสอบ
5 ตัวอย่างต่ออัตราส่วนต่อการทดสอบ ประกอบด้วย
ความหนาแน่น ตามมาตรฐาน ASTM D1817 การ
ดูดซึมน�้ำ ตามมาตรฐาน ASTM D570 ความแข็ง
ตามมาตรฐาน ASTM D2240 ความต้านทานแรงดึง
ตามมาตรฐาน ASTM D412 ความทนการฉีกขาด
ตามมาตรฐาน ASTM D624 ความสึกหรอ ตาม
มาตรฐาน ASTM D1630 และสัมประสิทธิ์การน�ำ รูปที่ 9 ผลการทดสอบแรงบิดของตัวอย่าง
ความร้อน ตามมาตรฐาน ASTM C177
5. ผลการวิจัยและอภิปรายผล
จากการพั ฒ นาผลิ ต ภั ณ ฑ์ ก ระเบื้ อ งยาง
ธรรมชาติผสมเศษขยะพลาสติกเอทธิลนี ไวนิลอะซิเตท
(อี วี เอ) ความละเอียดสูงจากโรงงานอุตสาหกรรม
ตามมาตรฐาน ASTM และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
สามารถสรุปผลการทดสอบได้ ดังต่อไปนี้
5.1 ความหนืดและการคงรูปของส่วนผสม
ผลการทดสอบความหนืดและการคงรูปของ
ส่วนผสมในการขึ้นรูปแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสม รูปที่ 10 ผลการทดสอบเวลาที่เกิดการคงรูป
พลาสติกอีวเี อทุกสูตร สามารถสรุปได้ ดังรูปที่ 8 ถึง 10 ระหว่าง ts2 และ tc90 ของตัวอย่าง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 89
5.2 ความหนาแน่นและการดูดซึมน�้ำ ความแข็ ง ของแผ่ น กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ ที่ เ พิ่ ม
ผลการทดสอบความหนาแน่ น และการดู ด สูงขึ้น โดยแผ่นยางธรรมชาติที่ไม่ผสมเศษพลาสติก
ซึมน�้ำของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติก อีวีเอ (สูตร EVA 0) จะมีค่าความแข็งต�่ำที่สุด รองลงมา
อีวีเอ ดังรูปที่ 11 พบว่า การผสมเศษพลาสติกอีวีเอ คือ แผ่นยางธรรมชาติผสมเศษพลาสติกอีวีเอ สูตร
ลงในแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ EVA 5, สูตร EVA 10, สูตร EVA 20, สูตร EVA 40
ปริ ม าณมากขึ้ น จะมี ผ ลท� ำ ให้ ค วามหนาแน่ น ของ และสูตร EVA 80 เป็นอัตราส่วนที่มีความแข็งสูงที่สุด
แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติต�่ำกว่าแผ่นกระเบื้องยาง ตามล�ำดับ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากค่าความแข็งส่วนใหญ่
ธรรมชาติที่ไม่ผสมพลาสติกอีวีเอ หรือผสมพลาสติก ของเศษพลาสติกอีวีเอที่ใช้ในการวิจัยมีค่าสูงกว่าแผ่น
อีวีเอในปริมาณน้อย โดยแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ กระเบื้องยางธรรมชาติที่ไม่ผสมพลาสติกอีวีเอ โดย
ที่ไม่มีการผสมพลาสติกอีวีเอ (สูตร EVA 0) มีความ มีค่าเท่ากับ 75 ชอร์เอ [5] ในขณะที่แผ่นกระเบื้องยาง
แน่นสูงที่สุด รองลงมาคือ แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ ธรรมชาติ ที่ ไ ม่ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อ มี ค ่ า ความแข็ ง
ที่ผสมพลาสติกอีวีเอสูตร EVA 5, สูตร EVA 10, ค่อนข้างต�่ำเพียง 35.1 ชอร์เอ ดังนั้น เมื่อผสมเศษ
สูตร EVA 20, สูตร EVA 40 และแผ่นกระเบื้องยาง พลาสติกอีวีเอลงในแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ จึง
ธรรมชาติที่ผสมพลาสติกอีวีเอสูตร EVA 80 เป็นสูตร ท�ำให้ค่าความแข็งของแผ่นกระเบื้องมีค่าเพิ่มมากขึ้น
ที่มีความหนาแน่นต�่ำที่สุด ตามล�ำดับ ทั้งนี้ เป็นผล ดังกล่าว
มาจากลั ก ษณะความพรุ น ของเนื้ อ พลาสติ ก อี วี เ อ
(รูปที่ 12) และความหนาแน่นของเศษพลาสติกอีวีเอ
ที่ใช้ในงานวิจัยมีค่าประมาณ 0.930 - 0.965 กรัมต่อ
ลูกบาศก์เซนติเมตร [5] ซึ่งต�่ำกว่าแผ่นกระเบื้องยาง
ธรรมชาติที่ไม่ผสมพลาสติกอีวีเอ (สูตร EVA 0) ที่
เท่ากับ 0.966 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร นอกจากนี้
การผสมพลาสติ ก อี วี เ อลงในแผ่ น กระเบื้ อ งยาง
ธรรมชาติ จะท�ำให้เกิดช่องว่างขนาดเล็กภายในเนือ้ ขึน้
เนื่องจากพลาสติกอีวีเอและยางธรรมชาติมีจุดหลอม-
เหลวต่างกัน [7-9] (ดังรูปที่ 13) เหล่านี้ จะท�ำให้
ความหนาแน่นของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสม รูปที่ 11 ผลการทดสอบความหนาแน่นของตัวอย่าง
พลาสติ ก อี วีเอมีแนวโน้มต�่ำลง [6] อย่างไรก็ ต าม
ช่องว่างภายในเนื้อที่เกิดขึ้นเบื้องต้น จะยังคงเล็กมาก
และไม่ท�ำให้เกิดการดูดซึมน�้ำ หรือมีค่าการดูดซึมน�้ำ
ร้อยละ 0
5.3 ความแข็ง
ผลจากการทดสอบความแข็ ง แบบชอร์ เ อ
(Shore-A) ของแผ่นกระเบือ้ งยางธรรมชาติผสมพลาสติก
อีวีเอ ทั้ง 6 อัตราส่วน ดังรูปที่ 14 พบว่า การผสม
เศษพลาสติกอีวีเอในปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากขึ้น มีผลต่อ รูปที่ 12 ภาพขยายเศษพลาสติกอีวีเอด้วยกล้อง SEM
ที่กำ�ลังขยาย 100 เท่า
90 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ในปริมาณที่สูงมากขึ้น ทั้งสูตร EVA 20, สูตร EVA
40 และ EVA 80 จะส่งผลต่อค่าความต้านทานแรงดึง
ที่ลดต�่ำลง แต่การผสมพลาสติกอีวีเอในปริมาณมาก
ซึ่งท�ำให้เกิดช่องว่างภายในเนื้อกระเบื้องยางที่มาก
เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากความหนาแน่นของกระเบือ้ งยาง
ทีล่ ดลง และช่องว่างเหล่านีจ้ ะท�ำให้พนื้ ทีร่ บั แรงดึงและ
ค่าความต้านทานแรงดึงของแผ่นกระเบือ้ งยางธรรมชาติ
ผสมพลาสติกอีวีเอดังกล่าวมีค่าลดน้อยลง [7-9]
รูปที่ 13 ภาพขยายกระเบื้องยางพาราผสมพลาสติก
อีวีเอ สูตร 80 ด้วยกล้อง SEM
ที่กำ�ลังขยาย 100 เท่า
รูปที่ 15 ผลการทดสอบความต้านทานแรงดึง
ของตัวอย่าง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 91
รูปที่ 16 ผลการทดสอบความต้านทานต่อการฉีกขาด รูปที่ 17 ผลการทดสอบการสึกหรอของตัวอย่าง
ของตัวอย่าง
5.7 สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อน
5.6 ปริมาณการสึกหรอ ส� ำ หรั บ ค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ก ารน� ำ ความร้ อ น
ผลการทดสอบปริมาณการสึกหรอของแผ่น ของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ
ที่อัตราส่วนต่างๆ ในรูปที่ 18 สามารถแสดงให้เห็นว่า
กระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอสูตรต่างๆ
พลาสติกอีวีเอมีผลต่อสมบัติด้านสัมประสิทธิ์การน�ำ
เป็นคุณสมบัติที่จ�ำเป็นต่อความคงทนในการใช้งาน
ความร้อนของแผ่นกระเบือ้ งยางธรรมชาติผสมพลาสติก
โดยแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ
อีวเี อทีล่ ดต�ำ่ ลง โดยแผ่นกระเบือ้ งยางทีไ่ ม่ผสมพลาสติก
สูตรที่มีการสูญเสียน�้ำหนักน้อย จะเป็นอัตราส่วนที่
อี วีเ อ จะมี ค ่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ก ารน� ำ ความร้ อ นสู ง ที่ สุด
สามารถใช้ ง านได้ ย าวนานและคงทนมากกว่ า แผ่ น
รองลงมาคือ สูตร EVA 5, สูตร EVA 10, สูตร EVA 20,
กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อที่ มี ก าร สูตร EVA 40 และสูตร EVA 80 จะมีค่าสัมประสิทธิ์
สูญเสียน�้ำหนักมาก จากรูปที่ 17 พบว่า การผสมเศษ การน�ำความร้อนต�่ำที่สุด ตามล�ำดับ ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก
พลาสติกอีวีเอลงในส่วนผสมของแผ่นกระเบื้องยาง พลาสติกอีวีเอที่น�ำมาใช้เป็นวัสดุที่มีรูพรุน (รูปที่ 12)
ธรรมชาติ จะมีผลต่อความต้านทานการสึกหรอที่เพิ่ม มากกว่ายางธรรมชาติ [8] ซึ่งรูพรุนดังกล่าวจะมีสมบัติ
มากขึ้น หรือมีผลท�ำให้น�้ำหนักที่สูญเสียจากการขัดสี ความเป็ น ฉนวนป้ อ งกั น ความร้ อ นที่ ดี แ ละมี ผ ลต่ อ
ลดลง โดยแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติผสมพลาสติก สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนที่ลดต�่ำลง [10]
อีวเี อสูตร EVA 20 เป็นอัตราส่วนทีต่ า้ นทานการสึกหรอ
ที่ดีที่สุด แต่เมื่อผสมพลาสติกอีวีเอในสูตรที่มากกว่า
EVA 20 จะเริ่มมีผลท�ำให้แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ
เกิดการสึกหรอมีค่าเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลมาจาก
พลาสติกอีวีเอไม่สามารถรวมกับยางธรรมชาติเป็น
เนื้อเดียวกันโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การสึกหรอ
ของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติที่ผสมพลาสติกอีวีเอ
สูตรต่างๆ ทั้งหมด ก็ยังคงต�่ำกว่าแผ่นกระเบื้องยาง
ธรรมชาติที่ไม่ผสมพลาสติกอีวีเอ
รูปที่ 18 ผลการทดสอบสัมประสิทธิ์การนำ�ความร้อน
ของตัวอย่าง
92 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
นอกจากคุณสมบัตขิ องกระเบือ้ งยางธรรมชาติ มิลลิเมตร โดยใช้เครื่องบดพลาสติก พร้อมตะแกรง
จะเปลี่ ย นไปตามปริ ม าณเศษพลาสติ ก อี วี เ อที่ ผ สม เบอร์ 10 ท�ำให้ได้เศษขยะพลาสติกเอทธิลีนไวนิล
แล้ว ยังมีผลต่อลักษณะและสีของแผ่นกระเบื้องยาง อะซิเตทความละเอียดสูงส�ำหรับใช้เป็นสารเติมแต่ง
ธรรมชาติด้วย ดังรูปที่ 19 ในผลิตภัณฑ์กระเบื้องยางธรรมชาติต้นทุนต�่ำได้ โดย
อั ต ราส่ ว นผสมหรื อ สู ต รที่ เ หมาะส� ำ หรั บ ผลิ ต เป็ น
กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ จ ากเศษขยะพลาสติ ก อี วี เ อ
ความละเอียดสูง คือ สูตร EVA 10 เนื่องจากเป็นสูตร
กระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษขยะพลาสติกอีวีเอ
ที่มีพื้นผิวเรียบ สีอ่อน (สามารถปรับแต่งสีเพิ่มเติมได้)
และมีคุณสมบัติท่ีดีกว่าสูตรกระเบื้องยางธรรมชาติ
สู ต รที่ ผ สมเศษขยะพลาสติ ก อี วีเ อมากกว่ า โดยมี
คุณสมบัติทางกล ประกอบด้วย ความหนาแน่น 0.909
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ความแข็ง 41.2 ชอร์เอ
น�้ำหนักที่สูญเสียจากการขัดสี 1,000 รอบ ร้อยละ
รูปที่ 19 แผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ 0.353 ความต้านทานการฉีกขาด 41.2 นิวตันต่อ
ผสมพลาสติกอีวีเอ สูตรต่างๆ มิลลิเมตร ความต้านทานแรงดึง 19.6 เมกะพาสคัล
จากลั ก ษณะและสี ข องแผ่ น กระเบื้ อ งยาง และสั ม ประสิ ท ธิ์ ก ารน� ำ ความร้ อ น 0.190 วั ต ต์ ต ่ อ
ธรรมชาติผสมพลาสติกอีวเี อ ดังรูปที่ 19 สามารถสรุป เมตร.เคลวินทัง้ นี้เศษพลาสติก อีวเี อปริมาณทีเ่ หมาะสม
ได้ ว ่ า พื้ น ผิวของแผ่นกระเบื้องยางธรรมชาติ ผ สม สามารถลดความหนาแน่น และสัมประสิทธิ์การน�ำ
พลาสติก อีวีเอสูตรที่มีปริมาณเศษพลาสติกอีวีเอมาก ความร้อน และเพิม่ ความแข็ง ความต้านทานการสึกหรอ
จะมี ลัก ษณะที่ขรุขระเป็นเม็ดต่างๆ มากกว่ า แผ่ น และความต้ า นทานแรงดึ ง ให้ กั บ แผ่ น กระเบื้ อ งยาง
กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อสู ต รที่ มี ธรรมชาติได้
ปริมาณเศษพลาสติกอีวีเอน้อย คล้ายกับการน�ำเศษ ส� ำ หรั บการศึ ก ษาต่ อ ไป ควรมี ก ารพั ฒนา
พลาสติกอีวีเอที่มีขนาดหยาบมาผสม และสีของแผ่น คุณสมบัติด้านความต้านทานการลามไฟ เพื่อให้ได้
กระเบื้ อ งยางธรรมชาติ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อสู ต รที่ มี ผลิตภัณฑ์กระเบื้องยางธรรมชาติผสมเศษพลาสติก
ปริมาณเศษพลาสติกอีวีเอมาก จะมีสีที่เปลี่ยนไปตามสี เอทธิลีนไวนิลอะซิเตท (อีวีเอ) ที่สามารถน�ำไปใช้
ของเศษพลาสติกอีวีเอชัดเจนกว่าแผ่นกระเบื้องยาง ประโยชน์ ได้หลากหลาย และมีคุณสมบัติที่โดดเด่น
ธรรมชาติ ผ สมพลาสติ ก อี วี เ อสู ต รที่ มี ป ริ ม าณเศษ กว่าแผ่นกระเบือ้ งยางทัว่ ไป นอกจากนี้ อาจมีการศึกษา
พลาสติกอีวีเอน้อย โดยจะเปลี่ยนจากสีน�้ำตาลอ่อน เกีย่ วกับการเพิม่ เส้นใยต่างๆ ลงไป เพือ่ ให้แผ่นกระเบือ้ ง
เป็นสีของเศษพลาสติกอีวีเอ ยางธรรมชาติผสมพลาสติกอีวีเอ มีสมบัติทางกายภาพ
และทางกลที่ดีขึ้นได้
6. สรุปและข้อเสนอแนะ
จากการพัฒนากระเบื้องยางธรรมชาติผสม 7. กิตติกรรมประกาศ
เศษขยะพลาสติกเอทธิลีนไวนิลอะซิเตทแบบละเอียด งานวิ จั ย นี้ ไ ด้ รั บ การสนั บ สนุ น งบประมาณ
สามารถสรุ ปได้ว่า เศษขยะพลาสติก เอทธิ ลี นไวนิ ล แผ่นดินมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
อะซิเตท (อีวีเอ) สามารถบดย่อยให้มีขนาดเล็กกว่า 2 ประจ�ำปี 2560 ผู้วิจัยขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 93
8. เอกสารอ้างอิง [8] Jesse Edenbaum. Plastics additives and
[1] The Thailand Research Fund. Research modifiers handbook. New York: Van
Fund Announcement of Small Nostrand Reinhold; 1992
Research Project in Para Rubber
[9] Holfmann, W.B.. Rubber Technology
Topic. Bangkok: The Thailand
Handbook. Munich: Hanser Publishers;
Research Fund; 2005. (in Thai)
1989.
[2] W orrasoontaroste P. Construction
[10] Pakunworakij T., Puthipiroj P.,
Materials. Bangkok: Se-Education
Oonjittichai W. and Tisavipat P.
Publishers; 1997. (in Thai)
Thermal resistance efficiency of
[3] Khamput P. and Suweero K. Using building insulation material
Vulcanized Latex to Develop the fromagricultural waste. Journal of
Properties of Concrete Block Mixed Architectural/Planning Research and
with Ethylene Vinyl Acetate Plastic. tudies. 2006; 3(4): 119-126. (in Thai)
Proceeding of 8th Annual Concrete
Conference. Chonburi: ACI Partners
with Thailand Concrete Association;
2012. (in Thai)
[4] American Society for Testing and Materials
(ASTM). Annual Book of ASTM Stan-
dards. Philadelphia: American Society
for Testing and Materials; 2014.
[5] Dupont. Compare EVA Grades and
Performance Properties. Delaware:
E.I. du Pont de Nemours and company;
2012.
[6] Subramanium, A.. Molecular Weight and
Molecular Weight Distribution of
Natural Rubber. RRIM Technology
Bulletin. 1980; 4: 1-25.
[7] Barlow, Fred W.. Rubber Compounding :
Principles, Materials, and Techniques.
2nd ed. Florida: CRC Press; 1993.
94 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างกำ�ลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์
และพิกัดของโหลด สำ�หรับติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์แบบอิสระ
Analysis of the Relationship between Solar Power and Rated Load
for Installation of Stand-Alone PV System
ไพโรจน์ ทองประศรี1*
Pairote Thongprasri1*
pairote@eng.src.ku.ac.th1*
1*
ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
1*
Department of Electrical Engineering, Faculty of Engineering at Sriracha, Kasetsart University Sriracha Campus
Abstract
This paper presents a method for analyzing the relationship between solar power and rated load to
use as a database for the installation of stand-alone PV system. The analysis is divided into 3 cases; need to
know the rated of the solar cell for installation when the user knows the size of the load and the duration of
use, need to know the maximum load size when the user knows the rated of the solar cell and the duration
of use, and need to know the duration of use when the user knows the rated of the solar cell and the size
of the load. The results of experiments to produce solar cell power at 50 watts, 100 watts, 150 watts and
200 watts in one day can be written in the form of the equation of a parabola and it is transformed into the
equation for determining the rated load. This equation was tested for all three cases to verify the accuracy
that the results have the average error of 8.25%, 4.01% and 5.09%, respectively.
Keywords: analysis, power, solar cell, rated load and equation of parabola.
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 95
1. บทน�ำ ค่าก�ำลังไฟฟ้าสูงสุดด้วยเทคนิคการเพิ่มค่าความน�ำ
แถบพื้นที่ซึ่งระบบการไฟฟ้าเข้าไปให้บริการ (Incremental Conductance : IC) เป็นวิธีที่สามารถ
ไม่ถึง เช่น พื้นที่บนภูเขา พื้นที่ทุรกันดาร เป็นต้น หาจุดจ่ายกําลังสูงสุดไดแมจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือผู้ที่ต้องการลดค่าการใช้พลังไฟฟ้าโดยใช้พลังงาน ปริมาณแสงอยางรวดเร็ว [4] ระบบผลิตไฟฟ้าด้วย
ทดแทน การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เป็น เซลล์แสงอาทิตย์ [1] แบ่งเป็น 3 ระบบ คือ i) ระบบ
ทางเลือกที่ได้รับความนิยม เนื่องจากพลังงานแสง การผลิตไฟฟ้าแบบอิสระ (Stand-alone PV system)
อาทิตย์เป็นพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถูกออกแบบใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีระบบสายส่งไฟฟ้า ii)
และพืน้ ทีส่ ว่ นใหญ่ของประเทศไทยได้รบั รังสีดวงอาทิตย์ ระบบการผลิตไฟฟ้าแบบเชื่อมต่อกับระบบจ�ำหน่าย
มากกว่า 17 MJ/m2-day [1] ซึ่งเป็นระดับที่สูงสามารถ (Grid-connected PV system) ถูกออกแบบให้ผลิต
น�ำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เซลล์แสงอาทิตย์ ไฟฟ้าเพื่อส่งเข้าระบบสายส่งไฟฟ้าโดยตรง iii) ระบบ
เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็น ผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid PV system)
อุ ป กรณ์ ส� ำ หรั บ เปลี่ ย นพลั ง งานแสงอาทิ ต ย์ ใ ห้ เ ป็ น ถูกออกแบบให้ผลิตไฟฟ้าร่วมกับระบบผลิตไฟฟ้าอื่นๆ
พลังงานไฟฟ้า ข้อด้อยของเซลล์แสงอาทิตย์ คือ สิ่งที่ต้องค�ำนึงถึงส�ำหรับการตัดสินใจเลือกติดตั้งระบบ
ประสิ ท ธิ ภ าพในการผลิ ต ก� ำ ลั ง ไฟฟ้ า ค่ อ นข้ า งต�่ ำ ผลิตก�ำลังไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ได้แก่ ศักยภาพ
เนื่องจากก�ำลังไฟฟ้าสูงสุดแต่ละช่วงเวลาของวันจะ ความเข้มรังสีรวม ไฟฟ้าที่ได้จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของค่าตัวแปร เมื่ อ ต้ อ งการใช้ กั บ โหลดไฟฟ้ า กระแสสลั บ ต้ อ งมี ตั ว
ต่างๆ ได้แก่ ความเข้มของแสงอาทิตย์ อุณหภูมิสภาพ แปลงผันก�ำลังไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ หรือ
แวดล้ อ ม และอุณ หภูมิของเซลล์แสงอาทิตย์ [2] ที่เรียกว่าอินเวอร์เตอร์ ใน [5] ได้น�ำเสนออินเวอร์
กระบวนการติดตามก�ำลังไฟฟ้าสูงสุด (Maximum ประสิทธิภาพสูงส�ำหรับระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์
Power Point Tracking : MPPT) ได้ถูกน�ำมาใช้ แสงอาทิตย์ ระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์
เพื่ อ เพิ่ ม ประสิ ท ธิ ภ าพให้ ร ะบบการผลิ ต ไฟฟ้ า จาก เป็นที่นิยมกันอย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบันการหาซื้อ
แสงอาทิ ต ย์ ให้ มี ค วามสามารถผลิ ต ก� ำ ลั ง ไฟฟ้ า แผงเซลล์แสงอาทิตย์ส�ำหรับการติดตั้งไม่ใช่เรื่องยาก
ได้ สูงสุดในทุกๆ ช่วงเวลา วิธีการติดตามก�ำลังไฟฟ้า โดยถ้าเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน
สูงสุดของเซลล์แสงอาทิตย์ที่นิยมใช้ ได้แก่ วิธีรบกวน มอก. 1843-2553 (เฉพาะชนิดผลึกซิลิคอน) และ มอก.
และสังเกต (Perturb and Observe :P&O) เป็นวิธีการ 2210 (เฉพาะชนิดฟิล์มบาง) [6] ซึ่งเป็นมาตรฐาน
ทีง่ า่ ยต่อการประยุกต์ใช้งาน [3] โดยการเปรียบเทียบ ก� ำ หนดคุ ณ สมบั ติ ที่ ต ้ อ งการของเซลล์ แ สงอาทิ ต ย์
ก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ในคาบเวลาปัจจุบัน ส�ำหรับใช้งานกลางแจ้งในระยะยาวในภูมิอากาศทั่วไป
กับคาบเวลาก่อน เพื่อน�ำมาวิเคราะห์ว่าจะเพิ่มหรือ สายไฟที่ใช้เชื่อมต่อแผงเซลล์แสงอาทิตย์ควรเลือกใช้
ลดแรงดั น ไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ โดยวิ ธีก าร ตามมาตรฐาน IEC 60502 [6] แต่ปัญหาหลักคือผู้ที่
เปลี่ยนแปลงค่าวัฏจักรหน้าที่หรือดิวตี้ไซเคิล (Duty จะติดตั้งนั้นไม่ทราบว่าควรใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์
Cycle : D) ของวงจรแปลงผันก�ำลัง เพื่อให้จุดท�ำงาน ในการติดตั้งขนาดเท่าไหร่ที่จะท�ำให้เพียงพอต่อความ
เข้าใกล้จุดจ่ายก�ำลังไฟฟ้าสูงสุด ณ ความเข้มแสง ต้องการของผู้ใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการ บทความนี้
ขณะนั้นมากที่สุด วิธีการดังกล่าวนี้เป็นกระบวนการ น�ำเสนอวิธีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างก�ำลัง
ที่ง่าย และมีประสิทธิภาพสูงในการหาจุดจ่ายก�ำลัง ไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์และพิกัดของโหลด เพื่อใช้
ไฟฟ้าสูงสุด แต่ปัญหาคือเกิดการแกว่งของก�ำลังไฟฟ้า เป็ นฐานข้ อ มู ล ในการติ ด ตั้ ง ระบบเซลล์ แ สงอาทิ ต ย์
ที่จุดจ่ายก�ำลังไฟฟ้าในสภาวะคงตัว [2] การติดตาม แบบอิสระ โดยผลที่ได้จากการวิเคราะห์ถูกท�ำให้อยู่
96 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
ในรูปแบบของสมการส�ำหรับหาพิกัดของโหลด ซึ่งขึ้น แบบไม่เป็นรูปผลึกหรือซิลคิ อนแบบอะมอร์ฟสั
อยู่กับเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตก�ำลังไฟฟ้าได้แต่ละช่วง (Amorphous Silicon) ดังแสดงในรูปที่ 2 เกิดจาก
เวลา โดยมีลักษณะเป็นกราฟพาราโบลา สมการที่ได้นี้ สารประกอบซิลิคอนและสารอื่นๆ ที่อยู่ในสถานะก๊าซ
ถู ก น� ำ ไปทดสอบเพื่ อ ยื น ยั น ความถู ก ต้ อ งกั บ ชุ ด การ มาเคลือบเป็นฟิล์มบางบนแผ่นฐาน ต้นทุนการผลิตต�่ำ
ทดลองการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ประสิทธิภาพต�่ำและอายุการใช้งานสั้น
การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์แบ่งได้ 2 แบบคือ
2. เซลล์แสงอาทิตย์ [2] การติดตัง้ แบบอยูก่ บั ทีแ่ ละแบบเคลือ่ นทีต่ ามดวงอาทิตย์
2.1 พื้นฐานการติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์ การติดตัง้ แบบอยูก่ บั ทีต่ อ้ งให้มคี วามลาดเอียงเพียงพอ
เซลล์ แ สงอาทิ ต ย์ ที่ ท� ำ จากสารกึ่ ง ตั ว น� ำ เพื่อให้ได้รับแสงมากที่สุด และให้เกิดการระบายน�้ำฝน
ประเภทซิลิคอนแบ่งได้ 2 ประเภท คือแบบรูปผลึก ส�ำหรับช�ำระสิ่งสกปรกที่ติดค้างอยู่บนแผง ส�ำหรับ
และแบบไม่ เ ป็นรูปผลึก โดยประเภทแบบรู ปผลึ ก ประเทศไทยควรติดตั้งให้มีความลาดเอียง 15 องศา
ดังแสดงในรูปที่ 1 มีทั้งแบบซิลิคอนแบบผลึกเดี่ยว โดยหันหน้าไปทางทิศใต้ ดังรูปที่ 3
(Monocrystalline Silicon) และแบบหลายผลึก
(Polycrystalline Silicon) ซิลิคอนแบบผลึกเดี่ยว
ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานสูง ต้นทุนการผลิตสูง
ส่ ว นแบบหลายผลึ ก มี สี น�้ ำ เงิ น เข้ ม เห็ น เป็ น ลาย
ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานต�่ำกว่าแบบผลึกเดี่ยว
เล็กน้อย แต่ต้นทุนการผลิตต�่ำกว่ามาก
รูปที่ 3 การติดตั้งแบบอยู่กับที่
รูปที่ 2 ซิลิคอนแบบอะมอร์ฟัส
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 97
โดยที่
I pv คือกระแสไฟฟ้าทีจ่ า่ ยออกของเซลล์แสงอาทิตย์
(A)
Is คือกระแสไบอัสอิม่ ตัวย้อนกลับของไดโอด (A)
q คือประจุอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 1.602 x 10-9
(C)
T คืออุณหภูมิที่รอยต่อขณะท�ำงานของเซลล์
แสงอาทิตย์ (°K)
รูปที่ 4 วงจรสมมูลทางอุดมคติ
A คือตัวประกอบทางอุดมคติ (Ideal Factor)
กระแส I ph คือกระแสที่สร้างจากเซลล์ มีค่าดังตารางที่ 1
แสงอาทิตย์ มีสัดส่วนโดยตรงกับความเข้มแสงและ K คือคือค่าคงที่ของ Boltzman มีค่าเท่ากับ
อุณหภูมิ โดยสามารถแทนด้วยแหล่งจ่ายกระแสคงที่ (J/°K)
ส่วนไดโอดแสดงถึงคุณลักษณะของสารกึ่งตัวน�ำที่เป็น Vpv คือแรงดันที่ขั้วเซลล์แสงอาทิตย์ (V)
รอยต่อพีเอ็น ส�ำหรับกระแสจ่ายออกของเซลล์แสง Rs คื อ ค่ า ความต้ า นทานอนุ ก รมของเซลล์
อาทิตย์ I pv คือความแตกต่างของกระแส I ph กับ แสงอาทิตย์ (Ω)
กระแสของไดโอด Rsh คือค่าความต้านทานขนานของเซลล์อาทิตย์
(Ω)
ตารางที่ 1 ตัวประกอบทางอุดมคติ
ชนิดของเซลล์แสงอาทิตย์ A
ซิลิคอนแบบผลึกเดี่ยว 1.2
ซิลิคอนแบบหลายผลึก 1.3
ฟิล์มบางอะมอร์ฟัสซิลิคอน 1.8
รูปที่ 5 วงจรสมมูลของเซลล์แสงอาทิตย์ ค่ า I ph เป็ นค่ า กระแสที่ ถู ก สร้ า งขึ้ นเป็น
สัดส่วนโดยตรงกับความเข้มแสง (Radiation Intensity)
ค่าสูญเสียที่เกิดขึ้นจากความต้านทานภายใน และอุณหภูมิ สามารถหาค่าได้จากสมการที่ (2)
ของเซลล์แสงอาทิตย์ สามารถแทนด้วยความต้านทาน
I ph = (Isc + Ki (T - Tref )) λ (2)
ที่ขนาน และความต้านทานที่อนุกรมกับวงจรสมมูล 1000
ของเซลล์แสงอาทิตย์ทางอุดมคติ ดังแสดงในรูปที่ 5 โดยที่
โดยคุ ณ ลั ก ษณะทางกระแสด้ า นออกของเซลล์ แ สง Isc คือกระแสขณะลัดวงจร (A)
อาทิตย์อยู่ในรูปของฟังก์ชันเอ็กโพเนนเชียล [7] หาได้ Ki คื อ ค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ อุ ณ หภู มิ ข องกระแส
จากสมการที่ (1) ลัดวงจร (A/°C)
q (V + I R )
pv pv s V + IRs Tref คือค่าอุณหภูมิอ้างอิงของเซลล์แสงอาทิตย์ที่
I pv = I ph - Is (e AKT - 1) - pv (1)
Rsh 25 °C หรือ 298 °K
λ คือค่าความเข้มแสง (W/m2)
98 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
2.3 กราฟคุณลักษณะของเซลล์แสงอาทิตย์
ก� ำ ลั ง ไฟฟ้ า สู ง สุ ด ที่ ผ ลิ ต ได้ ข องเซลล์ แ สง
อาทิตย์ สามารถหาได้จากกราฟคุณลักษณะของกระแส
และแรงดัน (I-V Curve) หากอุณหภูมิและปริมาณ
ความเข้มแสงที่ตกกระทบแผงเซลล์แสงอาทิตย์มีค่า
คงที่ กราฟคุณลักษณะของกระแสและแรงดันจะมี
ลักษณะดังแสดงในรูปที่ 6 ซึ่งมีจุดที่ท�ำให้เกิดก�ำลัง
ไฟฟ้าสูงสุด (Maximum Power Point : MPP) อยู่ที่ รูปที่ 7 เซลล์แสงอาทิตย์รุ่น KANEKA G-EA050
ต�ำแหน่งของแรงดันไฟฟ้าสูงสุด Vmp และกระแสไฟฟ้า
สูงสุด Imp ตารางที่ 2 คุณลักษณะ KANEKA G-EA050 (1แผง)
Ipv ตัวแปร พิกัด
Imp
Nominal Power 50W
PMpp
Tolerance +10/-5%
Efficiency of Module 6.3%
Fill Factor (not Cell)
Kind of Cell a-Si
Cells per Module 108
Vmp Vpv Voltage MPPT 67V
รูปที่ 6 กราฟคุณลักษณะของเซลล์แสงอาทิตย์ Current MPPT 0.9A
เมื่ออุณหภูมิและปริมาณความเข้มแสงคงที่ Voltage open circuit 92V
Current short circuit 1.19A
ประสิ ท ธิ ภ าพของเซลล์ แ สงอาทิ ต ย์ คื อ
อัตราส่วนของก�ำลังไฟฟ้าด้านออกต่อก�ำลังแสงอาทิตย์
ด้านเข้า สามารถหาได้จาก
Voc Isc FF
η= (3)
Pin
3. วิธีการวิเคราะห์
เซลล์อาทิตย์รุ่น KANEKA G-EA050 ในรูป รูปที่ 8 เครื่องวัดเซลล์แสงอาทิตย์
ที่ 7 ซึ่งมีคุณลักษณะต่อแผงดังแสดงในตารางที่ 2 (รุ่น HT Instruments I-V 400)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 99
เครื่องมือวัดเซลล์แสงอาทิตย์รุ่น HT Instru- ก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตได้ขึ้น
ments I-V 400 ดังแสดงในรูปที่ 8 ส�ำหรับวัดวิเคราะห์ อยู่กับความเข้มแสง ค่าความเข้มของแสงที่ทดสอบ
ก�ำลังไฟฟ้า ทดสอบประสิทธิภาพ วัดพลังงาน ความเข้ม อยู่ในช่วงเวลา 7:00 -17.00 น. โดยในรูปที่ 10 แสดง
ของแสง และอุณหภูมิของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มแสงและเวลา
กราฟคุณลักษณะกระแส-แรงดันของเซลล์ ที่ได้จากการวัดแผงเซลล์แสงอาทิตย์ 1 แผง
แสงอาทิตย์ ในรูปที่ 9 (ก) วัดที่ความเข้มแสง 1,000
W/m2, 636W/m2, 563W/m2, และ 423W/m2
(ล�ำดับจากบนลงล่าง) และกราฟคุณลักษณะของแรงดัน
-ก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ ดังแสดงในรูปที่ 9
(ข) วัดที่ความเข้มแสง 1,000W/m2 636W/m2,
563W/m2 และ 423W/m2 (ล�ำดับจากบนลงล่าง)
รูปที่ 10 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มแสง
และเวลาในรอบ 1 วัน
รูปที่ 11 แสดงผลผลิตก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์
อาทิตย์ 1 แผงในรอบ 1 วัน (สีน�้ำเงิน) โดยใช้เครื่องมือ
วัดเปรียบเทียบกับก�ำลังไฟฟ้าที่เกิดจากสมการทาง
คณิตศาสตร์ (สีด�ำ) พาราโบลาดังแสดงในสมการที่ (5)
เมื่อก�ำหนดให้ช่วงเวลา 12.00 น. คือจุดกึ่งกลางของ
พาราโบลา
(ก) กราฟคุณลักษณะกระแส-แรงดัน
รูปที่ 11 กราฟความสัมพันธ์ระหว่างกำ�ลังไฟฟ้าและ
เวลาในรอบ 1 วัน
y = ax + bx + c
2
(5)
(ข) กราฟคุณลักษณะของแรงดัน-กำ�ลังไฟฟ้า โดยที่
y คือกำ�ลังไฟฟ้า (W)
รูปที่ 9 กราฟคุณลักษณะของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ x คือช่วงเวลา (ชั่วโมง)
รุ่น KANEKA G-EA050 a, b, c คือค่าคงที่
100 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
สมการที่ (5) แสดงถึงความสัมพันธ์ของก�ำลัง
ไฟฟ้าและช่วงเวลาที่ใช้งาน โดยก�ำลังไฟฟ้าสามารถ
เป็ น ได้ ทั้ ง ของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตได้หรื อ ขนาด
ของโหลดที่ใช้งาน ความแตกต่างคือก�ำลังของเซลล์
แสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จะมีลักษณะเป็นกราฟเส้นโค้ง
พาราโบลาเกิดขึน้ ตามความเข้มของแสงอาทิตย์ ในขณะ
ที่ขนาดของโหลดจะมีลักษณะเป็นกราฟเส้นตรงตลอด รูปที่ 13 เซลล์แสงอาทิตย์พิกัด 50 วัตต์
การใช้งาน ดังแสดงในรูปที่ 12 y1 = - 0.436x + 9.486x - 4.4301
2
(6)
4. ผลการทดลองและการวิเคราะห์
ทดลองวัดก�ำลังไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิต
ได้พิกัด 50 วัตต์ 100 วัตต์ 150 วัตต์ และ 200 วัตต์
ในรอบเวลา 1 วัน การทดลองจะน�ำแผงเซลล์แสงอาทิตย์
มาต่อขนานกันเพื่อให้ได้ตามพิกัด (1 แผงมีพิกัด 50 รูปที่ 16 เซลล์แสงอาทิตย์พิกัด 200 วัตต์
วัตต์) ผลการทดลองที่ได้ดังแสดงในรูปที่ 13 ถึงรูปที่ y4 = - 1.910x + 41.699x - 21.648
2
(9)
16 ตามล�ำดับ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 101
รูปที่ 13 ถึงรูปที่ 16 สามารถเขียนเป็นกราฟ รูปที่ 17 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างก�ำลังไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ระหว่างก�ำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้และช่วง ของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตได้ทั้ง 4 พิกัดเทียบกับ
เวลาใน 1 วัน โดยสามารถเขียนให้อยู่ในรูปสมการ ช่วงเวลาที่อยู่ในรูปแบบจ�ำนวนเต็ม
พาราโบลาได้ดังสมการที่ (6) ถึง (9) ตามล�ำดับ โดยที่ เปลีย่ นสมการให้อยูใ่ นรูปของสมการพาราโบลา
y คือก�ำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์ และ x คือช่วงเวลา 1 วัตต์ โดยน�ำสมการที่ (6) ถึง (9) หารด้วยพิกัดของ
มีหน่วยเป็นชั่วโมง เซลล์แสงอาทิตย์ 50 วัตต์ 100 วัตต์ 150 วัตต์ และ
เปลีย่ นช่วงเวลาให้อยูใ่ นรูปจ�ำนวนเต็มส�ำหรับ 200 วัตต์ ตามล�ำดับ ผลที่ได้คือ
ใช้ในการวิเคราะห์ดว้ ยอัตราส่วน 30 นาทีตอ่ 1 ผลทีไ่ ด้
y1B = - 0.0087t + 0.1897t - 0.0886
2
(10)
ดังแสดงในตารางที่ 3
y2B = - 0.0086t + 0.1850t - 0.1067
2
(11)
ตารางที่ 3 เทียบค่าเวลาเป็นเลขจ�ำนวนเต็ม
y3B = - 0.0089t + 0.1962t - 0.1208
2
(12)
เวลา t เวลา t
y4B = - 0.0096t + 0.2085t - 0.1082
2
(13)
07:00 น. 1 12:30 น. 12
07:30 น. 2 13:00 น. 13 น�ำสมการที่ (10) ถึง (13) เฉลี่ยเป็นสมการ
พาราโบลาเฉลี่ยฐาน 1 วัตต์ (yb) ซึ่งเป็นสมการกลาง
08:00 น. 3 13:30 น. 14
ส�ำหรับหาค่าก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผลิตได้
8:30 น. 4 14:00 น. 15 ในแต่ละช่วงเวลา
09:00 น. 5 14:30 น. 16 (y1B + y2B + y3B + y4B)
yb =
4
(14)
09:30 น. 6 15:00 น. 17
สมการกลางหรื อ สมการส� ำ หรั บ หาขนาด
10:00 น. 7 15:30 น. 18 ก�ำลังไฟฟ้าของโหลดสูงสุดที่ใช้ได้ (PL) ขึ้นอยู่กับเซลล์
10:30 น. 8 16:00 น. 19 แสงอาทิตย์ที่ผลิตก�ำลังไฟฟ้าได้จริงในแต่ละช่วงเวลา
11:00 น. 9 16:30 น. 20 สามารถหาได้ดังนี้
11:30 น. 10 17:00 น. 21 PL = yb # PV
12:00 น. 11 - - (y + y + y + y )
= 1B 2B 3B 4B # PV (15)
4
โดยที่
PV คือพิกดั ก�ำลังไฟฟ้าของเซลล์แสง อาทิตย์ตำ�่ สุด
ที่ต้องใช้ (W)
t คือเวลาที่ต้องการใช้งาน (ชั่วโมง) โดยเทียบค่า
เป็นจ�ำนวนเต็มในตารางที่ 3
ตรวจสอบความถูกต้องของสมการกลาง โดย
ทดสอบ 3 กรณี ก�ำหนดเงื่อนไขดังนี้
รูปที่ 17 ความสัมพันธ์ระหว่างกำ�ลังไฟฟ้าเทียบกับ i) ผู้ใช้ต้องการใช้โหลดที่ 70 วัตต์ เป็นเวลา
ช่วงเวลาในรูปจำ�นวนเต็ม 8 ชั่วโมง (8:00-16.00 น.) จะต้องติดตั้งพิกัดของเซลล์
แสงอาทิตย์ต�่ำสุดเท่าไร
102 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
วิธีคิด ก�ำหนด PL = 70 วัตต์ ใช้งานเป็นเวลา PL = (- 0.0089t + 0.1949t - 0.1061) # 100
2
1-2
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
1-2
Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology LANNA
Abstract
This paper presents a method for generating a high voltage between 3 – 27 kV from a commercial
flyback transformer. It’s useful in high voltage fields such as ionization or plasma applications. This high
voltage generation method has consisted of an open-loop control that depends on the electric load and
closed-loop control for setting a discharge current constantly. The high voltage is generated from the
conventional switch circuit and use a PWM control signal from NE555 and TL494 controller. In addition,
it had a gate drive circuit from the TLP250 controller. The LM741 is used for converting and amplify a
discharge current to voltage signal for closed-loop control by UC3842 controller. The results show that every
method can generate a high voltage and show the nonlinear characteristic between high voltage output and
frequency changes. The electrical power of the commercial flyback transformer has about 20 W.
Keywords: Flyback transformer, high voltage electrical, open loop control, closed loop control.
3. วงจรขับหม้อแปลงฟลายแบคและการทดสอบ
หลักการจ่ายกระแสไฟฟ้าเป็นจังหวะให้กับ
(ก) แบบ 10 ขาเช่นในรุ่น HR8545 ตั ว เหนี่ ย วน� ำ ร่ ว มเพื่ อ เก็ บ สะสมพลั ง งานในรู ป แบบ
สนามแม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ก่ อ นที่ จ ะส่ ง ผ่ า นไปยั ง ขดลวด
ทุ ติ ย ภู มิ นั้น สามารถใช้ ส วิ ตช์ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ อ ย่ าง
ทรานซิ ส เตอร์ ห รื อ มอสเฟตที่ มี ก ารควบคุ ม หลาย
รูปแบบดังนี้
3.1 วงจรขับด้วยสวิตช์ธรรมดา
รูปที่ 3 เป็นวงจรทัว่ ไปของการใช้สวิตช์ธรรมดา
แบบตั ว เดี ย วในการขั บ น� ำ กระแสขดลวดทางด้ า น
(ข) แบบ 12 ขาเช่นในรุ่น HR8457 ปฐมภูมิแบบซีกเดียว (Unipolar) ซึ่งใช้ทรานซิสเตอร์
รูปที่ 1 ขดลวดภายในหม้อแปลงฟลายแบค ชนิด NPN ท�ำหน้าที่เป็นสวิตช์และใช้สัญญาณกระแส
ชนิดบวกจากขดลวดป้อนกลับ (Feedback Coil) มาขับ
ขาเบส (B) โดยปกติจะก�ำหนดอัตราส่วนความต้านทาน
CCM) และโหมดน�ำกระแสไม่ตอ่ เนือ่ ง (Discontinuous R1/R2 ที่ระหว่าง 8 – 25 และจ�ำเป็นต้องใช้ R1 ที่มี
Conduction Mode; DCM) โดยการก�ำหนดค่าความ ก�ำลังวัตต์สูงเนื่องจากใช้ในการจ่ายกระแสขับขาเบส
เหนี่ยวน�ำร่วมของหม้อแปลงฟลายแบค (Mutual ส่วน R2 สามารถเลือกใช้ตัวต้านทานที่มีก�ำลังวัตต์
Inductance) หรือ LM ตามสมการที่ (1) เมื่อ D คือ น้อยกว่าได้ ส�ำหรับจ�ำนวนขดลวดที่พันบนแกนของ
รอบวัฏจักรการท�ำงาน (Duty Cycle), RL คือค่า หม้อแปลงฟลายแบคจะก�ำหนดเป็น 2T และ 4T
ความต้านทานที่โหลด f คือความถี่ใช้งาน N1 และ ส� ำ หรั บ ขดลวดป้ อ นกลั บ และขดลวดปฐมภู มิ ต าม
N2 คือจ�ำนวนรอบของขดลวดทางปฐมภูมแิ ละทุตยิ ภูมิ ล�ำดับ เช่นหากใช้จ�ำนวนรอบของขดลวดป้อนกลับ
ตามล�ำดับ [5, 8] วงจรฟลายแบคในรูปที่ 2 ท�ำงานโดย เท่ากับ 8 รอบจะต้องใช้ขดทางด้านปฐมภูมิจ�ำนวน
อาศัยหลักการแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นสนามแม่ 16 รอบ (ค่า T=4) และในขณะใช้งานวงจรจะต้องมีการ
เหล็กไฟฟ้าในตัวเหนี่ยวน�ำร่วม LM ในขดลวดปฐมภูมิ ใส่แผงระบายความร้อน (Heat Sink) ทีต่ วั ทรานซิสเตอร์
ตามช่วงเวลา DTS (เมื่อ TS เป็นคาบเวลาในแต่ละ เสมอเพือ่ ระบายความร้อนทีส่ ะสมบนตัวทรานซิสเตอร์
รูปที่ 3 วงจรขับหม้อแปลงฟลายแบคด้วยสวิตช์
ตัวเดียว
รูปที่ 4 วงจรขับหม้อแปลงฟลายแบคด้วยสวิตช์ 2 ตัว
รูปที่ 4 เป็นวงจรทัว่ ไปของการใช้สวิตช์ธรรมดา
แบบ 2 ตัวในการขับน�ำกระแสให้ขดลวดปฐมภูมิแบบ ไอซีส�ำเร็จรูป NE555 [10] ถูกพัฒนาโดย
พุช-พูล (Push-Pull) สลับกันท�ำให้เกิดการยุบตัวของ ฮันส์ อาร์ คาเมนซินด์ (Hans R. Camenzind) เมื่อ
ขั้วแม่เหล็กภายในในทิศทางตรงกันข้ามกัน ขดลวด ปี 2514 ซึ่งได้รับความนิยมใช้งานเกี่ยวกับการตั้งเวลา
ป้ อ นกลั บ จะท� ำ หน้ า ที่ ขั บ ขาเบสของทรานซิ ส เตอร์ หรือสร้างพัลส์แบบสี่เหลี่ยม (Square Wave) รูปที่ 5
TR1 และ TR2 สลับกัน ตัวต้านทาน R1 และ R2 ที่ใช้ เป็นลักษณะของวงจรขับสวิตช์หม้อแปลงฟลายแบค
ก�ำหนดอัตราส่วนการสวิตช์ยังก�ำหนดตามแบบสวิตช์ ที่ ก� ำ หนดการขั บ น� ำ กระแสขดลวดปฐมภู มิ ด ้ ว ยไอซี
ตัวเดียวและการท�ำงานลักษณะนี้หากใช้กับหม้อแปลง NE555 ตัวต้านทาน R1 R2 R3 และตัวเก็บประจุ C1
ฟลายแบคที่ไม่มีไดโอดภายในแล้วจะท�ำให้ได้ไฟฟ้า ถูกต่อร่วมกับขา 7 2 และ 6 เพื่อก�ำหนดความถี่และ
แรงดันสูงทางเอาต์พุตเป็นสองเท่าของการขับด้วย สามารถปรับความกว้างของพัลส์ (R2) สัญญาณพัลส์
สวิตช์เพียงตัวเดียว ที่ได้จะถูกน�ำไปใช้ขับขาเบสของสวิตช์ (มีการจ�ำกัด
110 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
กระแสด้วย R4) ซึ่งอาจจะเป็นทรานซิสเตอร์หรือ 3.3 การควบคุมสัญญาณ PWM แบบลูปปิด
มอสเฟตก็ได้ โดย NE555 สามารถจ่ายกระแสสูงสุด การใช้วงจรขับด้วยสัญญาณ PWM จากไอซี
ได้ถงึ 225 mA หรือทรานซิสเตอร์ PNP และ NPN ส�ำเร็จรูปในโหมดควบคุมแบบลูปเปิดนั้นเป็นรูปแบบ
ต่อขา E ร่วมกัน (Common Emitter) เป็นวงจรแบบ ที่ง่าย โดยค่าไฟฟ้าแรงดันสูงที่ได้จะขึ้นอยู่กับขนาด
Totem Pole Push–Pull Output Stages หรืออาจ Duty Cycle จ�ำนวนรอบของขดลวดและแรงดันทาง
จะใช้ไอซี TLP250 [11] เพื่อช่วยเพิ่มกระแสขับให้มาก ปฐมภูมิ การน�ำไฟฟ้าแรงดันสูงที่ได้จากการควบคุม
ขึ้นได้ แบบเปิดนี้ไปสร้างพลาสมาหรือคอโรนาดีสชาร์จที่ไม่
TL494 [12] เป็นไอซีส�ำเร็จรูปราคาถูกที่นิยม สามารถควบคุมเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมทั้งอุณหภูมิ
น�ำมาสร้างสัญญาณ PWM ที่ความถี่ต่างๆ ให้กับแหล่ง และความต้านทานระหว่างขั้ว
จ่ายไฟแบบสวิตชิ่ง รูปที่ 6 เป็นตัวอย่างการใช้ไอซี
TL494 สร้างสัญญาณ PWM ให้กับมอสเฟตที่ท�ำหน้าที่
เป็นสวิตช์ควบคุมการน�ำกระแสของขดลวดปฐมภูมิ
บนแกนหม้อแปลงฟลายแบค วงจรนี้เป็นการควบคุม
แบบลูปเปิด (Open Loop Control) คือไม่มีการน�ำ
สัญญาณจากแรงดันเอาต์พุตกลับมาใช้ร่วมในการสร้าง
สัญญาณควบคุม PWM วงจรนี้สามารถก�ำหนดความถี่
ใช้งานจาก RT และ CT ในส่วนของวงจร Oscillator
ภายในของไอซี TL494 ซึ่งเป็นไปตามสมการที่ (2) ตัว รูปที่ 5 วงจรขับหม้อแปลงฟลายแบคด้วยไอซี NE555
ต้านทาน R1 ท�ำหน้าที่ก�ำหนดความกว้างของ Duty
Cycle หรือช่วงเวลา TON ซึ่งจะเริ่มมีสัญญาณ Duty 1.1 (2)
f (Hz) =
Cycle ที่ค่าแรงดันประมาณ 3.66 V และเมื่อลดแรงดัน RT $ CT
ลงไปที่ประมาณ 1 V จะมี Duty Cycle ที่มากสุด อิเล็กโทรดนั้น จะท�ำให้กระแสดีสชาร์จเปลี่ยนแปลง
(Duty Cycle = 50 % ที่แรงดันประมาณ 2.24 V) ตลอดเวลา การควบคุมให้ชดุ สร้างไฟฟ้าแรงดันสูงมีการ
นอกจากนี้ยังมีทรานซิสเตอร์แยกจากกันส�ำหรับใช้ ปรับเปลี่ยนระดับแรงดันได้ตามเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมเพื่อ
ขับสวิตช์เช่นมอสเฟตหรือทรานซิสเตอร์ได้ 2 ตัว ซึ่ง ให้รักษากระแสดีสชาร์จให้คงที่จึงมีความจ�ำเป็นมาก
สามารถต่ อ ขนานกั น เพื่ อ เพิ่ ม พิ กั ด กระแสขั บ สวิ ต ช์ ซึ่งสามารถใช้การควบคุมแบบลูปปิด (Closed Loop
ส่วน R3 และ R4 ท�ำหน้าที่จ�ำกัดกระแสขับเกตและ Control) โดยการตรวจเช็คกระแสดีสชาร์จแล้วน�ำมา
ป้องกันขาเกต Turn ON เองจากไฟฟ้าสถิตในระบบ ใช้ควบคุมการสร้างสัญญาณ PWM ที่ใช้ในการขับเกต
ตามล�ำดับ และเนื่องจากตัว TL494 สามารถขับกระแส กระบวนการดังกล่าวสามารถประยุกต์ใช้ออปแอมป์
เกตได้สูงสุดเพียง 250 mA เท่านั้น ในกรณีที่มีความ LM741 [13] ในการรับค่ากระแสดีสชาร์จ โดยมีวงจร
ต้องการใช้กระแสในการขับเกตที่มากกว่านี้ สามารถใช้ การท�ำงานตามรูปที่ 7 ซึ่งออปแอมป์ตัวที่ 1 ท�ำหน้าที่
ทรานซิสเตอร์ 2 ตัวต่อแบบ Common Emitter หรือ รับกระแสดีสชาร์จจากขั้วอิเล็กโทรดจากนั้นแปลงเป็น
อาจเลือกใช้ไอซีส�ำเร็จรูปอย่าง TLP250 ที่มีกระแสขับ แรงดันไฟฟ้าและขยายสัญญาณด้วยอัตราขยายตาม
เกตสูงถึง 1.5 A มาช่วยในการขับเกตได้ สมการที่ (3) ส่วนออปแอมป์ตัวที่ 2 ท�ำหน้าที่กลับเฟส
ของสัญญาณ เมื่อได้สัญญาณแรงดันจากการแปลง
กระแสดีสชาร์จแล้ว จะง่ายต่อการน�ำไปใช้ควบคุม
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 111
การสร้างสัญญาณ PWM เช่นในกรณีที่ใช้ไอซี TL494 ดันทีส่ ามารถปรับระดับได้ดว้ ยตัวต้านทาน R3 (ตรวจจับ
ที่สามารถน�ำสัญญาณแรงดันที่ได้ไปเปรียบเทียบกับ ที่ประมาณ 0.3 V) ส่วน R1 และ C1 เป็นการก�ำหนด
แรงดันอ้างอิงที่ Error Amp ภายใน โดยหากค่าแรงดัน ค่าความไว Comparator ในการตรวจวัดลูปแรงดัน
ที่ตรวจวัดได้ มีค่ามากกว่าแรงดันอ้างอิงแล้ว Error ซึ่งอาจจะประยุกต์ใช้การควบคุมแบบ Proportional
Amp จะสั่งให้หยุดการสร้าง PWM ดังวงจรที่แสดง Integral Derivative (PID) หรืออาจใช้ PI หรือ PD ได้
ในรูปที่ 8 ความต้านทาน R1 และ R2 ท�ำหน้าที่แบ่ง
แรงดันจากแรงดันอ้างอิง 5 V ที่ขา 14 จากนั้นแรงดัน
1 V ที่ได้ถูกน�ำไปอ้างอิงที่ขา 2 ของ Error Amp ซึ่งหาก
ขา 1 ตรวจพบแรงดันที่มีค่ามากกว่า 1 V จะท�ำให้ชุด
Error Amp สั่งหยุดการสร้างสัญญาณ PWM และเมื่อ
ไม่มีการจ่ายกระแสที่ขดลวดปฐมภูมิของหม้อแปลง
ฟลายแบคจะท�ำให้แรงดันที่ขา 1 ไม่ถึง 1 V ท�ำให้ไอซี รูปที่ 7 การแปลงสัญญาณกระแสดีสชาร์จด้วย
TL494 กลับมาสร้างสัญญาณ PWM อีกครั้ง LM741
รูปที่ 10 การทดสอบกระแสดีสชาร์จในเครื่อง
ตกตะกอน
f (Hz) = 1.72
RT $ CT
(4)
รูปที่ 15 ความสัมพันธ์ของแรงดันเอาต์พุตต่อความถี่
รูปที่ 17 การแก้ไขรูปคลื่นแรงดันสไปค์
ที่ขาเดรนและขาซอสของสวิตช์
รูปที่ 16 ลักษณะสัญญาณที่ขาเกตและสัญญาณ
สไปค์ที่ขาเดรนและขาซอสของสวิตช์
9 รอบ (เพื่อแสดงคุณสมบัติความไม่เป็นเชิงเส้นของ
รูปที่ 18 การตอบสนองของแรงดันเอาต์พุต
แกนเฟอร์ไรต์เช่นเดียวกับรุ่น TFB4012AD) ปรับค่า
ที่ความถี่ต่างๆ
ตัวต้านทาน RT เพื่อก�ำหนดความถี่ได้ระหว่าง 37–60
kHz ค่า Duty Cycle เท่ากับ 50 % มีการใช้ซีเนอร์ และซอส เพื่อลดสัญญาณสไปค์ได้ตามรูปที่ 17 ซึ่ง
ไดโอดเพื่อดึงฐานสัญญาณให้ต�่ำกว่าศูนย์ตามรูปที่ 16 ยั ง ส่ ง ผลให้ ไ ด้ แรงดั น เอาต์ พุ ต สู ง ถึ ง 27 kV และ
พบว่าสัญญาณขับเกตในช่องที่ 1 มีลักษณะใกล้เคียง มีการตอบสนองต่อความถี่ที่ต�่ำลงดังแสดงในรูปที่ 18
กับสัญญาณอุดมคติมากและแรงดันคร่อมสวิตช์ระหว่าง นอกจากนี้ยังพบว่าการตอบสนองของกระแสอินพุต
ขาเดรน (D) และขาซอส (S) ในช่องวัดที่ 2 มีสัญญาณ ที่ความถี่ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่เป็นเชิงเส้น
สไปค์มาก ส่วนแรงดันเอาต์พุตในรูปที่ 18 (ที่ไม่มีการ ดังแสดงในรูปที่ 19 จากนั้นเมื่อทดสอบกับหม้อแปลง
ต่อตัวเก็บประจุคร่อมสวิตช์) พบว่ามีค่ามากถึง 25 kV ฟลายแบคชนิดเดียวกันจ�ำนวน 20 ลูก พบว่ามี
ที่ความถี่ประมาณ 40 kHz การขับสวิตช์มอสเฟต การตอบสนองของแรงดันเอาต์พุตและกระแสอินพุต
ที่มีสัญญาณสไปค์รบกวนแบบนี้ส่งผลให้มอสเฟตร้อน คล้ายกันมากดังแสดงในรูปที่ 20
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 115
การทดสอบวงจรขั บ ด้ ว ยสั ญ ญาณ PWM ต้านทานป้อนกลับค่า 10 k Ω ที่จะท�ำให้ได้สามารถ
จะใช้ไอซีเบอร์ UC3842 ควบคุมแบบลูปปิดในการ ตรวจวัดกระแสดีสชาร์จได้ระหว่าง 0.8 – 1.5 mA
จ่ายกระแสดีสชาร์จให้คงที่ โดยในลูปของกระแสขา 3 ตามรูปที่ 21 จากนั้นท�ำการทดสอบวงจรท�ำงานของ
ทีใ่ ช้ตรวจเช็คและป้องกันไม่ให้สวิตช์ทำ� งานเกินพิกดั นัน้ ไอซี UC3842 และหม้อแปลงฟลายแบคตามรูปที่ 10
จะสั่ง Shutdown เมื่อแรงดันเกินค่า 0.3 V และ ซึ่งมีการต่อวงจรตามรูปที่ 22 ที่ท�ำให้ได้ความถี่ใช้งาน
ลูปแรงดันขา 2 ที่ใช้ตรวจเช็คแรงดันเอาต์พุต จะถูก ประมาณ 25 kHz โดยเมื่อยังไม่มีสัญญาณแรงดันเข้า
ประยุกต์ใช้ในการตรวจเช็คให้มกี ารจ่ายกระแสดีสชาร์จ มาที่ลูปแรงดันขา 2 และลูปกระแสขา 3 จะท�ำให้ได้
สัญญาณขับตามรูปที่ 23 ที่หมายความว่าเป็นการจ่าย
Duty Cycle เต็ ม พิ กั ด ให้ กั บสวิ ต ช์ ในวงจรฟลาย
แบคคอน
รูปที่ 19 การตอบสนองของกระแสอินพุต
ที่ความถี่ต่างๆ
รูปที่ 21 การแปลงกระแสดีสชาร์จเป็นแรงดันไฟฟ้า
รูปที่ 20 การตอบสนองต่อแรงดันเอาต์พุตและ
กระแสอินพุตต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ต่างๆ
รูปที่ 22 ลักษณะการต่ออุปกรณ์ควบคุมแบบลูปปิด
ให้คงที่ โดยในการทดสอบนี้จะก�ำหนดให้มีการจ่าย
กระแสดีสชาร์จคงที่ที่ 1 mA ซึ่งมีความจ�ำเป็นที่จะต้อง
ใช้ออปแอมป์ LM741 แปลงค่ากระแสดีสชาร์จเป็นค่า
แรงดัน ตามวงจรในรูปที่ 8 ซึ่งพบว่าควรเลือกใช้ตัว
116 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
และเมื่ อ ระบบในวงจรท� ำ งานต่ อ เนื่ อ งไปตลอด จะ
สามารถวัดค่าสัญญาณขับที่ไม่เป็นรูปแบบที่แน่นอน
ตามรูปที่ 24 อย่างนี้ตลอดไป
ส�ำหรับการตรวจสอบหาพิกัดก�ำลังวัตต์ของ
หม้ อ แปลงฟลายแบคตามรู ปที่ 11 ใช้ ก ารขั บด้ ว ย
สัญญาณ PWM จากไอซี TL494 โดยการใช้ความถี่
ที่ 35 kHz จากนั้นปรับแรงดันอินพุตจาก 0 – 24 V
ให้ได้แรงดันสูงทางด้านเอาต์พตุ เพิม่ ขึน้ ต่อเนือ่ ง จากนัน้
ท�ำการวัดกระแสดีสชาร์จที่อิเล็กโทรดแบบแผ่นแบน
รูปที่ 23 สัญญาณก่อนขับเกตของไอซี UC3842 ทัง้ สองด้วยแอมมิเตอร์แบบเข็ม โดยมีการปรับค่าแรงดัน
สูงเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถปรับได้เพิ่มอีก (หรือที่เอาต์พุต
เวอร์เตอร์และเมื่อมีการสร้างไฟฟ้าแรงดันสูงจนเกิด
เกิดแรงดันไฟตก) ผลการทดสอบพบว่าหม้อแปลง
กระแสดีสชาร์จ ที่ระดับ 1 mA จะถูกออปแอมป์
ฟลายแบครุ ่ น TFB-4012AD ELX ที่ ใช้ ท ดสอบนี้
LM741 แปลงค่ากระแสดีสชาร์จนี้เป็นแรงดันที่ระดับ
สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าดีสชาร์จได้สูงสุดประมาณ
2.5 V ส่งมาที่ขา 2 ท�ำให้หยุดการสร้างสัญญาณ PWM
1 mA ที่แรงดัน 20 kV ตามรูปที่ 25 ซึ่งสามารถคิดเป็น
3.7 mA/m2 หรือ ประมาณ 20 W
5. สรุป
บทความนี้เป็นการน�ำเสนอวิธีการสร้างไฟฟ้า
แรงดันสูงจากหม้อแปลงฟลายแบคส�ำเร็จรูปที่มีขาย
เชิงพาณิชย์ทวั่ ไป เนือ่ งจากเป็นหม้อแปลงทีอ่ อกแบบมา
ส�ำหรับการสร้างไฟฟ้าแรงดันสูงโดยเฉพาะ ท�ำให้มี
คุ ณ สมบั ติ ค วามเป็ น ฉนวนไฟฟ้ า แรงดั น สู ง อยู ่ ใ นตั ว
อีกทั้งยังคงหาซื้อได้ในราคาไม่แพงนัก จึงเหมาะสม
ต่อการน�ำไปประยุกต์ใช้งานหรือพัฒนาเป็นแหล่งจ่าย
รูปที่ 24 สัญญาณขับเกตของการควบคุมแบบลูปปิด
ไฟฟ้ า แรงดั น สู ง ในงานปล่ อ ยประจุ ไ ฟฟ้ า หรื อ งาน
พลาสม่ า ก� ำ ลั ง ต�่ ำ วงจรการสร้ า งไฟฟ้ า แรงดั น สู ง
ที่ กล่าวถึงในบทความนี้มีทั้งแบบอย่างง่ายต้นทุนต�่ำ
ที่ใช้สวิตช์เพียงตัวเดียว หรือการใช้ไอซีส�ำเร็จรูปอย่าง
NE555 นอกจากนั้ นยั ง มี ก ารใช้ ไ อซี TL494 และ
UC3842 เป็นไอซีส�ำหรับงานสร้างสัญญาณ PWM
ขับสวิตช์โดยตรงและมี Error Amp ส�ำหรับใช้ในการ
ควบคุมแบบลูปปิดแบบอัตโนมัติ สามารถเพิ่มกระแส
ขับได้ด้วยวงจร Totem Pole หรือการใช้ไอซีส�ำเร็จรูป
อย่าง TLP250 การทดสอบความสามารถในการจ่าย
รูปที่ 25 กระแสดีสชาร์จในชุดตกตะกอนไฟฟ้าสถิต กระแสดีสชาร์จแสดงให้เห็นว่าหม้อแปลงฟลายแบค
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 117
ทั่วไปมีพิกัดก�ำลังไฟฟ้าประมาณ 20 W นอกจากนี้ [5] Weerachat K, and Woothipol T. Power
การทดสอบหม้ อ แปลงฟลายแบคที่ ค วามถี่ ต ่ า งๆ Electronic. V J Printing. ISBN 974-92440
ทั้ง 2 รุ่น แสดงให้เห็นคุณสมบัติของแกนเฟอร์ไรต์ที่มี -9-5. 6th. 2007 (in Thai)
การตอบสนองต่อความถี่ที่ไม่เป็นเชิงเส้นเหมือนกัน [6] Daniel M. M., DC-DC Switching Regulator
แต่ ยั ง คงมี ค วามคล้ า ยกั น ในหม้ อ แปลงรุ ่ น เดี ย วกั น Analysis. McGraw-Hill. Inc. United
ซึ่งสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในการต่อขนานหม้อแปลง States of America. 1988.
เพือ่ เพิม่ ก�ำลังวัตต์ได้ การทดสอบการจ่ายกระแสดีสชาร์จ
[7] Simon S. A., Power Switching Converters.
คงที่ด้วยการควบคุมแบบลูปปิดสามารถใช้งานได้ดี
Marcel Dekker. Inc. New York. 1995.
เหมาะส�ำหรับการน�ำไปประยุกต์ใช้งานลักษณะต่างๆ ได้
[8] Supachai H, and Chanin B. The Comparison
6. กิตติกรรมประกาศ of Flyback Converter Circuit in CCM
ขอขอบคุณอาจารย์กิตติกร สาสุจิตต์ มหา- and DCM. Lat Krabang Academic.
วิทยาลัยแม่โจ้ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย 20th. 2003. Vol. 1 (in Thai)
เทคโนโลยีราชมงคลลล้านนา [9] Sung-Soo H. Sang-Keun J. Young-Jin J.
and Chung-Wook R., Analysis and
7. เอกสารอ้างอิง Design of a High Voltage Flyback
[1] Chatchai S, Boonme T, Danai P, and Converter with Resonant Elements.
Nattapong P. Design and Develop- Journal of Power Electronics. 2010.
ment of the Corona Discharge Vol. 10. No. 2. 107-114.
Generator for Waste Water Treatment. [10] Timer IC555. Timer and Pulse Wave
Electrical Engineering Network 5th. Generator. [cited 2017 Jun 18]; Avail-
2013 (in Thai) able from: https://en.wikipedia.org
[2] Artit Y, Panich I, and Wisut A. Design and [11] TLP250. Photocoupler. TOSHIBA. [cited
Development of High Voltage 2017 Jun 18]; Available from: https://
Generator for the Electrostatic toshiba.semicon-storage.com
Precipitator, MFU Academic ChiangRai.
[12] TL494. Switch Mode Pulse Width
2010 (in Thai)
Modulation Control Circuit. ON Semicon-
[3] Artit Y, Visut A, Suttichai P, and Panich I. ductor. [cited 2017 Jun 18]; Available
The Low Cost of High Voltage Pulse from: http://onsemi.com
Electric Field Generator for Electro-
[13] LM741. Operational Amplifier. Texas
static Work Application. Academic
Instruments. [cited 2017 Jun 18];
Conference "Science Research" 3th.
Available from: www.ti.com
Phitsanulok Province. 2011 (in Thai)
[14] UC3842, Current Mode PWM Controller.
[4] HR Series. Flyback Transformer. [cited
Texas Instrument. [cited 2017 Jun
2017 Jun 18]; Available from: http://
18]; Available from: www.ti.com
www.donberg.ie
118 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
การออกแบบและสร้างเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบกแบบต่อเนื่อง
Design and Fabrication of Continuous Type Barking
Deer’s Mango Nut Sheller
รุ่งเรือง กาลศิริศิลป์1* วุฒิชัย ชาวสวนแพ2 และจตุรงค์ ลังกาพินธุ3์
Roongruang Kalsirisilp1* Wootichai Chawsuanpair2 Jaturong Langkapin3
Roongruang.k@en.rmutt.ac.th1*, wootichai_c@mail.rmutt.ac.th2, Jaturoung.L@en.rmutt.ac.th3
1-3
ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1-3
Department of Agricultural Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Abstract
This research was aimed to increase the production of barking deer’s mango in the community.
The machine consisted of four main parts namely, steel frame, conveying unit, shelling unit and power
transmission unit. Experiments were divided into two parts. The first part was aimed to evaluate the optimum
shape of shelling unit. The second part was aimed to evaluate the performance and efficiency of continuous
type barking deer’s mango nut sheller. Based on the tests results, it was found that the flat shape of
shelling unit performed the best in terms of capacity and efficiency of the machine at the revolution speed
of 1,000 rpm. The performance tests of the machine further showed that the machine had its capacity as
10.4 kg.nuts per hour or 1.04 kg.kernels per hour at the speed and feed rate of 1,000 rpm and 30 nuts/min,
respectively. The electrical consumption was found as 0.87 kW-hr. The economic analysis showed that the
operation cost of the machine was approximately 4.5 Baht per kg with the break even point of 393 hour per
year. Considering the working hour per year as 720, the pay back period of the machine was found to be
0.3 year.
Keywords: barking deer’s mango, nut sheller, flat shape of shelling unit
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 119
1. บทน�ำ กลไกเจนีวาเป็นอุปกรณ์ก�ำหนดอัตราการป้อนของ
กระบกเป็นพืชที่สามารถพบได้ทั่วไป ในเขต เมล็ดกระบก (Geneva mechanism) และหลักการ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในประเทศไทย ของลูกเบี้ยวในการขับชุดหัวเจาะเมล็ดกระบก (Cam
จะพบมากที่ สุ ด ในภาคเหนื อ และภาคตะวั น ออก- mechanism) จากผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่ากลไก
เฉียงเหนือ กระบกเป็นพืชยืนต้น ซึง่ ทุกส่วนของกระบก แบบเจนีวา และลูกเบีย้ ว เป็นกลไกส�ำหรับการออกแบบ
ล้วนสามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ขนาดของ เครื่องแกะเมล็ดกระเจี๊ยบแดง โดยกลไกเจนีวาเป็นตัว
ต้นกระบกในพื้นที่นาเกษตรกรมีความสูงอยู่ระหว่าง ก�ำหนดการเคลื่อนที่ของโซ่ล�ำเลียงดอกกระเจี๊ยบเข้าสู่
10-30 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดกว้างอยู่ระหว่าง ชุ ด หั วเจาะเมล็ ด และใช้ ห ลั ก การของลู ก เบี้ ย วเป็ น
2.5-3 เซนติเมตร ความยาวของใบอยู่ระหว่าง 7-12 อุปกรณ์ถ่ายทอดก�ำลังไปยังชุดหัวเจาะเมล็ดกระเจี๊ยบ
เซนติเมตร ใบเรียงสลับรูปวงรี ขอบขนาน ผลสดของ ซึ่งผลการศึกษาพบว่ามีประสิทธิภาพในการแกะเมล็ด
กระบก จะมีเนื้อออกในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือน กระเจี๊ยบ 95 เปอร์เซ็นต์ [6] ผลการศึกษาเรื่องการ
พฤษภาคม ทรงกลมรี สีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ออกแบบและสร้างเครื่องตัดใบบัวหลวง ใช้หลักการ
เมื่อสุกผลแห้งภายในเนื้อจะเป็นสีส้ม ชั้นหุ้มเมล็ด ของเจนีวาในการออกแบบชุดป้อนล�ำเลียงใบบัวหลวง
เปลือกในแข็ง ภายในจะมีเมล็ดสีขาว 1 เมล็ด รสมัน [1] โดยผลการทดสอบพบว่าเปอร์เซ็นต์การตัดใบบัวหลวง
ประโยชน์ของเมล็ดกระบกด้านสมุนไพรสามารถใช้ 98 เปอร์เซ็นต์ [7]
ปรุงยาถ่ายพยาธิ บ�ำรุงไขข้อ บ�ำรุงตับ แก้เส้นเอ็นพิการ จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น คณะผู้วิจัยจึงมี
และให้ ค วามอบอุ่นแก่ร ่างกาย ซึ่งเนื้อกระบกจะมี แนวคิดในการด�ำเนินโครงการวิจัยเรื่องการออกแบบ
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ธาตุเหล็ก และแคลเซียม [2] และสร้างเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบกแบบต่อเนื่อง
น�้ำมันเมล็ดกระบก ประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว ส� ำ หรั บใช้ ท ดแทนแรงงานคนในการกะเทาะ และ
ซึ่งได้แก่ กรดปาล์มิติก 4.5 เปอร์เซ็นต์ กรดลอริก เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ที่ขายเมล็ดกระบกเป็น
40.11 เปอร์เซ็นต์ ไมริสติก 50.12 เปอร์เซ็นต์ และ อาชีพเสริม และเป็นโอกาสให้กับชุมชนที่จะรวมกลุ่ม
กรดสเตียริก 0.55% ส่วนกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ เกษตรกรผู้จ�ำหน่ายเมล็ดกระบกที่กะเทาะแล้ว ท�ำการ
กรดไลโนเลอิก 1.46 เปอร์เซ็นต์ กรดโอเลอิก 3.12 แปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตต่อไป (รูปที่ 1)
เปอร์เซ็นต์ และกรดปาล์มมิโตเลอิก 0.12 เปอร์เซ็นต์
[3] และในด้านการแปรรูปสามารถน�ำไปใช้ในการท�ำ
เครื่องส�ำอาง สบู่ สกัดเป็นน�้ำมันเมล็ดกระบก และ
สามารถน�ำมาแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยว [4]
วิ ธี ก ารกะเทาะเมล็ ด กระบกในปั จ จุ บั น
สามารถท�ำได้ 2 วิธีได้แก่ 1. เกษตรกรจะใช้มีดผ่าหรือ
ใช้ ค ้ อ นทุ บ ให้ เ ปลื อ กนอกของเมล็ ด กระบกที่ แข็ ง
แยกออกจากกัน 2. การใช้เครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
แบบใช้แรงอัดกับแรงกระแทกซึ่งต้องใช้แรงงานคน
ในการท�ำงานเป็นหลัก และก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้า
แก่ผปู้ ฏิบตั งิ าน [5] จากปัญหาดังกล่าว จึงได้ดำ� เนินการ
จัดท�ำโครงการวิจัยเรื่องการออกแบบและสร้างเครื่อง
กะเทาะเมล็ดกระบกแบบต่อเนื่อง โดยใช้หลักการของ รูปที่ 1 เนื้อในเมล็ดกระบก
120 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
2. อุปกรณ์และวิธีการ กว้าง
งานวิจัยนี้ให้ความส�ำคัญในการออกแบบและ
สร้ า งเครื่ อ งกะเทาะเมล็ดกระบก ซึ่งมีวิธีก ารวิ จัย ยาว
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
2.1 ศึกษาลักษณะทางกายภาพของเมล็ด
กระบก
วั ต ถุ ป ระสงค์ เ พื่ อ ให้ ท ราบถึ ง ลั ก ษณะทาง
กายภาพของเมล็ดกระบก ได้แก่ ความยาวเส้นผ่าน- ความหนา
ศู น ย์ ก ลางของผลกระบกและเมล็ ด กระบกส� ำ หรั บ
เป็นเกณฑ์ในการออกแบบ ชุดกะเทาะ และระบบ
ความกว้างของเมล็ดกระบก
ป้ อ นเมล็ ด กระบกด� ำ เนิ น การศึ ก ษาโดยการวั ด ผล
และเมล็ดกระบกด้วยเวอร์เนียคาร์ลิปเปอร์ จ�ำนวน
100 เมล็ด ซึ่งต�ำแหน่งในการวัดจะแสดงดังรูปที่ 1
แล้ ว น� ำ ค่ า ที่ ไ ด้ จ ากการวั ด มาวิ เ คราะห์ ท างสถิ ติ ห า
ค่าเฉลี่ย (average) ค่าต�่ำสุด (minimum) และ
ค่าสูงสุด (maximum) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(standard deviation) ผลการศึกษาลักษณะทาง
ความหนาของเปลือก
กายภาพของเมล็ดกระบก พบว่า ขนาดความกว้างของ
เมล็ดกระบกทัง้ เปลือก อยูร่ ะหว่าง 18.8-31.8 มิลลิเมตร รูปที่ 2 การวัดขนาดของเมล็ดกระบก
มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.1±2.2 มิลลิเมตร ความยาวของ
เมล็ดกระบกทั้งเปลือกอยู่ระหว่าง 26.6-40 มิลลิเมตร 2.2 ออกแบบและสร้างเครื่องต้นแบบ
มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 33±2.6 มิลลิเมตร ความหนาของ การออกแบบเครื่ อ งกะเทาะเมล็ ด กระบก
เมล็ดกระบกอยู่ระหว่าง 10.5-20 มิลลิเมตร มีค่าเฉลี่ย ต้นแบบนั้นนอกจากจะใช้ข้อมูลที่ได้จากการศึกษา
เท่ากับ 14.5±1.8 มิลลิเมตร ความหนาของเปลือก ลักษณะทางกายภาพของเมล็ดกระบกแล้ว ยังได้
เมล็ดกระบกอยู่ระหว่าง 4.1-6.8 มิลลิเมตร มีค่าเฉลี่ย ประยุกต์ใช้ความรู้และหลักการออกแบบเครื่องจักร
เท่ากับ 4.5±2.7 มิลลิเมตร จากลักษณะทางกายภาพ กลเกษตร [8] รวมทั้งใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย
ของเมล็ดกระบกที่ได้ศึกษาน�ำไปใช้เป็นข้อมูลในการ ออกแบบและเขี ย นแบบ ซึ่ ง ส่ วนประกอบหลั กคื อ
ออกแบบชุ ด ป้ อ นและชุ ด กะเทาะเมล็ ด กระบก โครงสร้างเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก ชุดล�ำเลียงเมล็ด
ตามล�ำดับ ชุดกะเทาะเมล็ด และระบบส่งก�ำลัง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
ขนาด 1 แรงม้า เป็นต้นก�ำลัง โดยแต่ละส่วนประกอบ
มีรายละเอียดในการออกแบบดังนี้ โครงสร้างของเครือ่ ง
ใช้สำ� หรับติดตัง้ อุปกรณ์ตา่ ง ๆ ของเครือ่ งต้นแบบท�ำจาก
เหล็กฉากขนาด 40x40x4 มิลลิเมตร ท�ำการเชื่อม
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 121
ประกอบกันเป็นโครงดังรูปที่ 3 โครงเครื่องมีขนาด ชุดล�ำเลียงเมล็ดกระบกจะท�ำหน้าที่ล�ำเลียง
ความกว้าง ความยาว และความสูง เท่ากับ 500 x เมล็ดกระบกจากการป้อนที่ใส่ลงเบ้าให้มายังต�ำแหน่ง
600 x 900 มิลลิเมตร ตรงกับหัวเจาะและล�ำเลียงเมล็ดกระบกที่กะเทาะแล้ว
ให้ไปตกยังถาดรองเมล็ด โดยจะท�ำงานเป็นจังหวะ
ซึ่งก�ำหนดจังหวะโดยกลไกเจนิวา ชุดล�ำเลียงเมล็ด
กระบกประกอบด้วย เบ้าส�ำหรับรองรับเมล็ดกระบก
เฟืองโซ่ และกลไกเจนีวา (รูปที่ 5)
รูปที่ 3 โครงสร้างเครื่องกะเทาะกระบก
ชุ ด หั ว เจาะเมล็ ด กระบกท� ำ หน้ า ที่ ใ นการ
กะเทาะเมล็ดทีถ่ กู ล�ำเลียงมายังชุดกะเทาะ ซึง่ มีลกั ษณะ
การท�ำงาน คือ เคลื่อนที่ขึ้นลงในบูชที่เป็นตัวประคอง
ให้ตรงกับเบ้า และลุกเบี้ยวจะต่อยึดเข้ากับเพลาซึ่งมี เมล็ดกระบก
เฟืองโซ่ 21 ฟัน เป็นตัวขับ โดยหัวเจาะจะมีจังหวะ
เคลื่ อนที่ ขึ้ น -ลง ตามการเคลื่อนที่ของลูก เบี้ ย ว มี
ส่วนประกอบที่ส�ำคัญได้แก่ 1. ก้านหัวเจาะ ท�ำจาก
เหล็กเพลา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 มิลลิเมตร
ยาว 140 มิลลิเมตร 2. ลูกเบี้ยว 3. เฟืองโซ่ และ
4. เพลาขับลูกเบี้ยว (รูปที่ 4) เบ้ารับเมล็ดกระบก
ระบบส่งก�ำลังของเครือ่ งกะเทาะเมล็ดกระบก
จะใช้มอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า เป็นต้นก�ำลังและมีชุด
เกียร์ทด 1:30 ในการทดรอบความเร็ว และท�ำงาน
สัมพันธ์กับตัวชุดกะเทาะเมล็ด (รูปที่ 6)
รูปที่ 4 กลไกชุดกะเทาะเมล็ดกระบก
122 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
เกียร์ทด สายพาน
มอเตอร์
รูปที่ 6 ระบบส่งกำ�ลังของเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
หลักการท�ำงานของเครือ่ งกะเทาะเมล็ดกระบก
ที่สร้างขึ้นท�ำงานโดยอาศัยมอเตอร์ขนาด 1 แรงม้า
เป็นต้นก�ำลัง ส่งถ่ายก�ำลังไปยังไปยังชุดเกียร์ทด ชุดป้อน 2) เครื่องต้นแบบเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
และชุดกะเทาะเมล็ดกระบกตามล�ำดับ ผูค้ วบคุมเครือ่ ง
ท�ำการป้อนเมล็ดกระบกที่ชุดป้อนเมล็ดกระบก เมื่อ รูปที่ 7 แบบและเครื่องต้นแบบเครื่องกะเทาะ
เครื่องเริ่มท�ำงาน ท�ำให้ชุดกะเทาะเคลื่อนที่ลงมากด เมล็ดกระบก
เมล็ ด กระบกที่ต�ำแหน่งจุดกึ่งกลางตามแนวตั้ ง ของ 2.3 การทดสอบและประเมินสมรรถนะการ
เมล็ดกระบก ท�ำให้เปลือกเมล็ดกระบกแยกออกจากกัน ท�ำงาน
ฐานรองเมล็ดก็จะหมุนให้เมล็ดกระบกหลุดออกไป
ศึกษาชนิดของหัวกะเทาะ 2 แบบ ได้แก่
ยังถาดรองรับเมล็ด แท่งเหล็กที่เป็นชุดกะเทาะก็จะ
ชนิดที่ 1 หัวเจาะแบบเรียบ และชนิดที่ 2 หัวเจาะ
เคลือ่ นทีข่ นึ้ เพือ่ ท�ำการกะเทาะเมล็ดกระบกเมล็ดถัดไป
แบบแหลม (รูปที่ 8) ผลการศึกษาชนิดของหัวเจาะที่
โดยมีกลไกชุดเจนีวา เป็นกลไกในการป้อนเมล็ดเข้าสู่
เหมาะสมพบว่า หัวเจาะที่ดีที่สุดจากการทดสอบพบว่า
ชุดกะเทาะเมล็ดถัดไป รูปที่ 7 แสดงเครื่องต้นแบบ
หัวเจาะชนิดที่ 1 แบบเรียบ ให้ความสามารถในการ
เครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
ท�ำงาน และเปอร์เซ็นต์การกะเทาะเมล็ด ได้สูงกว่า
ชุดลำ�เลียง
ชุดกะเทาะเมล็ด หัวเจาะชนิดที่ 2 แบบแหลม
กลไกเจนีวา
รูปที่ 11 เมล็ดกระบกที่กะเทาะได้
3.4 อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า
เครื่องกะเทาะเมล็ดกระบกใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
เป็นต้นก�ำลังในการท�ำงานท�ำให้มีอัตราการสิ้นเปลือง
พลั ง งานไฟฟ้ า เกิ ด ขึ้ น จึ ง จ� ำ เป็ น ต้ อ งหาอั ต ราการ
สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าในแต่ละความเร็วรอบเพื่อ
รูปที่ 10 อัตราการกะเทาะเมล็ดไม่รวมเปลือก เปรียบเทียบการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า ผลของการ
ที่ความเร็วรอบมอเตอร์แตกต่างกัน วิเคราะห์ค่าการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า แสดงดังรูปที่
12 โดยที่ความเร็วรอบมอเตอร์ 1,000 รอบต่อนาที
อัตราการสิน้ เปลืองพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 0.87 กิโลวัตต์
-ชั่วโมง
126 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
การสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า ชั่วโมงต่อปี เมื่อพิจารณาชั่วโมงการท�ำงานของเครื่อง
กะเทาะเมล็ดกระบกที่ 720 ชั่วโมงต่อปี ก�ำไรสุทธิเฉลี่ย
ต่อปีจะมีค่าเท่ากับ 43,400 บาทต่อปี ดังนั้นระยะ
(kW-h)
4 สรุป
ความเร็วรอบมอเตอร์ (rpm) ขั้นตอนการกะเทาะเมล็ดกระบก โดยทั่วไป
รูปที่ 12 การสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าที่ความเร็ว เกษตรกรใช้มดี ผ่าหรือค้อนทุบ ซึง่ ต้องกระท�ำเป็นจ�ำนวน
รอบมอเตอร์แตกต่างกัน หลายๆ ครั้ง เนื่องจากส่วนที่เป็นกะลาหรือเปลือก
หุ้มเมล็ดจะมีลักษณะหนาและแข็ง ก่อให้เกิดความ
3.5 ผลการวิ เ คราะห์ แ ละประเมิ น ผลเชิ ง ไม่สะดวก และเสียเวลาในการกะเทาะ อีกทั้งก่อให้เกิด
เศรษฐศาสตร์ อันตรายต่อเกษตรกรด้วย เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงได้
จากผลการทดสอบเครือ่ งกะเทาะเมล็ดกระบก ด� ำ เนิ น การออกแบบและสร้ า งเครื่ อ งกะเทาะเมล็ ด
ที่ได้ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยใช้แรงงานคนปฏิบัติ กระบกแบบต่อเนื่อง โดยเครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
งาน 1 คน สามารถวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการท�ำงาน ต้นแบบ ที่ได้ด�ำเนินการออกแบบและสร้างประกอบ
ของเครื่องได้โดยมีรายละเอียดดังนี้ ค่าใช้จ่ายในการ ด้วยโครงสร้าง 4 ส่วนหลักได้แก่ ชุดล�ำเลียง ชุดกะเทาะ
สร้างเครื่อง 13,000 บาท ก�ำหนดให้เครื่องท�ำงาน และระบบส่งก�ำลัง สามารถท�ำงานได้ตามวัตถุประสงค์
8 ชั่วโมงต่อวัน ท�ำงานปีละ 90 วัน หรือคิดเป็นชั่วโมง ทีต่ งั้ ไว้ ท�ำงานได้รวดเร็วและต่อเนือ่ งช่วยประหยัดเวลา
การท�ำงานของเครื่องต่อปีเท่ากับ 720 ชั่วโมงต่อปี และแรงงาน ในการกะเทาะเมล็ดกระบกรวมทัง้ สามารถ
ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักร พิจารณาอายุการใช้งานที่ พั ฒ นาให้ ใช้ ท ดแทนแรงงานคนได้ ต ่ อ ไปในอนาคต
5 ปี เท่ากับ 2,340 บาทต่อปี ค่าเสียโอกาสในการ โดยมีค่าชี้ผลในการศึกษา ได้แก่ ความสามารถในการ
ลงทุน ที่อัตราดอกเบี้ย 10 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับ 715 บาท ท�ำงาน เปอร์เซ็นต์เมล็ดที่เสียหาย อัตราการ สิ้นเปลือง
ต่อปี รวมเป็นต้นทุนคงที่เท่ากับ 3,055 บาทต่อปี พลังงานไฟฟ้า ซึง่ ผลการทดสอบ ทีค่ วามสามารถในการ
ค่าจ้างแรงงานในการควบคุมเครื่อง 300 บาทต่อวัน กะเทาะทั้งเปลือก 10.4 กิโลกรัมต่อชั่วโมง 1 อัตรา
ต่อคน หรือคิดเป็น 27,000 บาทต่อปี ค่าบ�ำรุงรักษา การสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 0.87 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
เครื่องเฉลี่ย 900 บาทต่อปี ก�ำลังไฟฟ้าเฉลี่ยใช้งาน เมล็ดเนื้อในที่กะเทาะได้ 1.04 กิโลกรัมต่อชั่วโมง
0.87 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือคิดเป็น 2,505 บาทต่อปี เปอร์เซ็นต์เมล็ดที่เสียหายเท่ากับ 8 และวิเคราะห์
ค่าใช้จ่ายผันแปรรวมเท่ากับ 30,405 บาทต่อปี หรือ ความเป็นไปได้ในการใช้เครื่องกะเทาะเมล็ดกระบก
คิดเป็น 42.2 บาทต่อชั่วโมง พิจารณาความสามารถใน พบว่ามีค่าใช้จ่าย 4.5 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อใช้เครื่อง
การกะเทาะเมล็ดกระบกของเครื่องที่ 10.4 กิโลกรัม ท�ำงาน 720 ชั่วโมงต่อปี จะมีระยะเวลาคืนทุน 0.3 ปี
ต่อชัว่ โมง สามารถคิดค่าใช้จา่ ยในการท�ำงานได้เท่ากับ หรือ 3.6 เดือน การใช้เครื่องกะเทาะสามารถท�ำงาน
4.5 บาทต่อกิโลกรัม แต่เมื่อเกษตรกรน�ำเมล็ดกระบก ได้เร็วกว่าการใช้แรงงานคนประมาณ 1.7 เท่า ซึ่งจะ
ที่กะเทาะแล้วไปจ�ำหน่าย จะได้ราคากิโลกรัมละ 100 ช่วยลดค่าใช้จา่ ยของเกษตรกร ท�ำให้เกษตรกรมีรายได้
บาท ที่อัตราการรับจ้างกะเทาะเมล็ดกระบกโดยใช้ สูงขึ้น สามารถแข่งขันกับประเทศในกลุ่มประชาคม
แรงงานคนในการกะเทาะเท่ากับ 50 บาทต่อชั่วโมง เศรษฐกิจอาเซียนได้
จะมีจุดคุ้มทุนในการท�ำงานของเครื่องเท่ากับ 393
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 127
5 กิตติกรรมประกาศ [5] Sudajan S, Chusilp S. Development of a
งานวิจยั นีไ้ ด้รบั การสนับสนุนจากงบประมาณ Irvingia Malayana Nut Sheller. KKU
รายจ่ายประจ�ำปี 2560 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี Research Journal 2004, 9(1) 61-74.
ราชมงคลธัญบุรี โดยคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) (In Thai)
ขอขอบคุณภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรม-
[6] Kalsirisilp R, Nathong P, Khamngam W,
ศาสตร์ มหาวิ ท ยาเทคโนโลยี ร าชมงคลธั ญ บุ รี ที่
Design and Development of Roselle
สนั บ สนุ น งบประมาณ สถานที่และอุปกรณ์ใ นการ
Seed peeling Machine. Journal of
ทดสอบต่าง ๆ Engineering, RMUTT. 2008 (12): 77-83.
(In Thai)
6. เอกสารอ้างอิง
[1] Barking deer’s mango nut. [Internet]. [7] Buaklee A, Langkapin J, Kalsirisilp, R,
2018. Jun. Available from: https:// Pansakorn. Design and Fabrication of
medthai.com (in Thai) a Lotus Leaf Cutting Machine.Paper
presented at the 18th TSAE National
[2] Wikipedia.free encyclopedia. [Internet]. Conference and the 10th TSAE Inter-
2018. Jun. Available from:https:// national Conference (TSAE 2017):
th.wikipedia.org/wiki (in Thai) 165-168. (In Thai)
[3] Benefit and properties of barking deer’s
[8] Krutz, G, Thompsan, L and Claar, P. 1984.
mango nut [Internet]. 2018. Jun.
Design of Agricultural Machinery.
Available from: http://www.vichaka-
John Wiley and Sons. New York, USA,
set.com. (in Thai)
472p.
[4] Natural herb database, Faculty of Phar-
[9] Hunt, D. 2001. Farm Power and Machinery
maceutical Science, Ubon Ratcha-
thani University [Internet]. 2018. Management. (10th edition) Ames,
Jun. Available from: http://www. Iowa, USA. Iowa State University Press,
phargarden.com (in Thai) 360 p.
1*
สาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
1
Department of Industrial Engineering, Faculty of Industrial Education, Rajamangala University of Technology Phra Nakhon
2
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
3
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
3
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi
Received: March 22, 2018
Revised: May 21, 2018
Accepted: August 20, 2018
บทคัดย่อ
งานวิจยั นีม้ วี ตั ถุประสงค์เพือ่ พัฒนาแผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าว โดยออกแบบอัตราส่วนยิปซัมปลาสเตอร์: ขุยมะพร้าว:
โซเดียมซิลิเกต: น�้ำประปา จ�ำนวน 5 อัตราส่วน ได้แก่ 1: 0: 1: 0.03, 1: 100: 1: 0.03, 1: 150: 1: 0.03, 1: 200: 1: 0.03, 1:
250: 1: 0.03 และ 1: 300: 1: 0.03 โดยน�้ำหนัก ขึ้นรูปแผ่นฝ้าเพดานด้วยวิธีหล่อในอุณหภูมิปกติ (30 – 35 องศาเซลเซียส)
ท�ำการทดสอบสมบัติตามมาตรฐาน มอก.219-2552 เรื่องแผ่นยิปซัม ประกอบด้วย การทดสอบแรงกดแตก แรงต้านทานการ
ดึงตะปู การแอ่นตัว การดูดซึมน�้ำ ความหนาแน่น และสัมประสิทธิ์การน�ำความร้อน ผลการทดสอบ พบว่า อัตราส่วน 1: 150: 1:
0.03 โดยน�ำ้ หนัก เป็นอัตราส่วนแผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าวเหมาะสมทีส่ ดุ แผ่นซีเมนต์บอร์ดทีพ่ ฒ ั นาขึน้ นี้ สามารถลดปริมาณ
ขุยกะลามะพร้าวเหลือทิ้ง และได้ผลิตภัณฑ์แผ่นฝ้าเพดานที่มีสมบัติความเป็นฉนวนป้องกันความร้อนที่ดี
ค�ำส�ำคัญ: แผ่นฝ้าเพดาน; แผ่นยิปซัม, ขุยมะพร้าว; ฉนวนป้องกันความร้อน; ชุมชนท้องถิ่น
Abstract
This research aims to develop the ceiling board mixed with coconut coir. The 5 ratios of gypsum
plaster: coconut coir: sodium silicate: tap water are equal to 1: 0: 1: 0.03, 1: 100: 1: 0.03, 1: 150: 1: 0.03, 1:
200: 1: 0.03, 1: 250: 1: 0.03 และ 1: 300: 1: 0.03 by weight. The ceiling boards were produced by casting in
normal temperature (30 – 35 degree of Celsius). The properties testing of ceiling board mixed with coconut
coir followed the TIS 219-2009 standard (gypsum plasterboard) including: breaking load, nail pull resistance,
deflection, water absorption, density, and thermal conductivity coefficient. From the results, 1: 150: 1: 0.03
is the most suitable ratio of ceiling board mixed with coconut coir. This developed ceiling boards can reduce
the quantity of coconut coir waste and get the good thermal insulation ceiling board products.
Keywords: ceiling board; gypsum board; coconut coir; thermal insulation; local community
4. การขึ้นรูปตัวอย่างแผ่นฝ้าเพดาน
เริ่ ม จากย่ อ ยและคั ด ขนาดขุ ย มะพร้ า วให้ มี
ขนาดผ่านตะแกรงเบอร์ 4 หรือ 4.72 มิลลิเมตร และ
ความยาว 1 นิ้ว หรือ 2.54 เซนติเมตร จากนั้นตวงปูน
รูปที่ 2 เครื่องตัดเส้นใย ยิปซัมปลาสเตอร์ ขุยมะพร้าว สารโซเดียมซิลิเกต และ
น�้ำประปา ตามอัตราส่วนที่ออกแบบ ท�ำการผสมสาร
3. การออกแบบอัตราส่วนผสม โซเดียมซิลิเกตและน�้ำประปาให้เข้ากัน แล้วจึงผสมปูน
ออกแบบอัตราส่วนผสมของแผ่นฝ้าเพดาน ยิปซัมปลาสเตอร์ ขุยมะพร้าว และน�้ำประปาผสมสาร
ผสมขุยมะพร้าว จ�ำนวน 6 อัตราส่วน โดยท�ำการเพิ่ม เร่งการก่อตัว เข้าด้วยกันอย่างสม�ำ่ เสมอ ตามอัตราส่วน
ขุยมะพร้าวมากขึน้ จากอัตราส่วนปูนยิปซัมปลาสเตอร์ ที่ก�ำหนด ด้วยเครื่องผสมคอนกรีต เตรียมแบบหล่อให้
ต่อขุยมะพร้าว เท่ากับ 1:0.100 ไปจนถึง 1:0.300 สะอาด เทส่วนผสมทัง้ หมดลงในแบบและปาดให้ผวิ เรียบ
โดยน�้ำหนัก ดังตารางที่ 1 ในอุณหภูมิปกติ (30–35 องศาเซลเซียส) ดังรูปที่ 3
จากนั้นบ่มแผ่นฝ้าเพดานขุยมะพร้าวในอากาศตาม
ระยะเวลาที่ก�ำหนด ดังรูปที่ 4
รูปที่ 3 การเทส่วนผสมฝ้าเพดานลงในแบบหล่อ
รูปที่ 5 การทดสอบแรงต้านทานการดึงตะปู
ของแผ่นฝ้าเพดานขุยมะพร้าว
6. ผลการทดสอบ
จากการทดสอบสมบั ติท างกายภาพ และ
ทางกลของผลิตภัณฑ์แผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าว
ที่มีท้องถิ่นตามมาตรฐาน มอก.219-2552 เรื่องแผน
รูปที่ 4 แผ่นฝ้าเพดานขุยมะพร้าวที่บ่มในอากาศ
ยิปซัม [5] และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถ
สรุปผลการทดสอบได้ ดังต่อไปนี้
5. การทดสอบคุณสมบัติของตัวอย่างแผ่นฝ้าเพดาน
ทดสอบแผ่นฝ้าเพดานขุยมะพร้าวที่มีสมบัติ 6.1 แรงกดแตก
ความเป็ น ฉนวนป้องกันความร้อน ตามสมบัติเป็น การทดสอบแรงกดแตกของแผ่นฝ้าเพดาน
ฉนวนป้องกันความร้อนส�ำหรับชุมชน น�้ำประปาผสม ผสมขุยมะพร้าว ทั้ง 6 อัตราส่วน ในแนวตามยาวและ
สารเร่ ง การก่ อ ตัวเข้าด้วยกันอย่างสม�่ำเสมอ ตาม ตามขวางนั้น สามารถสรุปผลได้ ดังรูปที่ 6 และ 7
มาตรฐานผลิ ต ภัณ ฑ์อุตสาหกรรม มอก.219-2552
เรื่องแผ่นยิปซัม [5] มาตรฐาน ASTM C 177 [6]
และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย แรงกดแตก
แรงต้านทานการดึงตะปู (รูปที่ 5) การแอ่นตัว การดูด
ซึมน�้ำ ได้แก่ การดูดซึมน�้ำ และอัตราการดูดซึมน�้ำที่ผิว
ความหนาแน่น และสัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนของ
แผ่นฝ้าเพดานขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน โดย
ใช้ตัวอย่างทดสอบ จ�ำนวน 5 ตัวอย่างต่ออัตราส่วน
รูปที่ 6 แรงกดแตกตามยาวของแผ่นฝ้าเพดาน
ต่อการทดสอบ (กรณีการทดสอบที่ต้องตัดชิ้นทดสอบ
ผสมขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
132 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
6.2 แรงต้านทานการดึงตะปู
มาตรฐาน มอก.219-2552 เรื่องแผนยิปซัม
[5] ก�ำหนดให้แผ่นยิปซัมหรือแผ่นฝ้าเพดาน ต้องรับ
แรงต้ า นทานการดึ ง ตะปู ไม่ ต�่ ำ กว่ า 270 นิ ว ตั น
(ความหนาแผ่นยิปซัม 9 มิลลิเมตร) ซึ่งจะช่วยให้แผ่น
ยิปซัมสามารถใช้งานได้หลากหลายและคงทน จากรูป
ที่ 10 พบว่า แผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าว อัตราส่วน
C0, C100 และ C150 ทั้ง 3 อัตราส่วน สามารถผ่าน
รูปที่ 7 แรงกดแตกตามขวางของแผ่นฝ้าเพดาน มาตรฐานที่ก�ำหนด โดยแผ่นฝ้าเพดานที่ไม่ผสมขุย
ผสมขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
มะพร้าว จะสามารถรับแรงดึงตะปูได้มากทีส่ ดุ รองลงมา
คือ แผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าวอัตราส่วน C150,
จากผลการทดสอบแรงกดแตกตามยาว
C100, C200, C250 และ C300 เป็นอัตราส่วนที่
และตามขวางในรูปที่ 6 และ 7 พบว่าปริมาณของ
รับแรงดึงตะปูได้น้อยที่สุด ทั้งนี้ เป็นผลมาจากขุย
ขุยมะพร้าวที่เหมาะสมที่สุดส�ำหรับน�ำมาผสมลงใน
มะพร้าวเป็นวัสดุที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีน�้ำหนักเบา
แผ่นฝ้าเพดานเพื่อเพิ่มความต้านทานแรงกดแตก คือ
ท�ำให้เมื่อผสมลงในแผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าว
อัตราส่วนปูนยิปซัมปลาสเตอร์ต่อขุยมะพร้าว เท่ากับ
แล้ว จะท�ำให้เนื้อของแผ่นฝ้าเพดานมีความหนาแน่น
1:0.150 หรืออัตราส่วน C150 รองลงมาคือ อัตราส่วน
ลดน้อยลง และมีแรงต้านทานการดึงตะปูที่ต�่ำลง [8]
C100 อัตราส่วน C200 อัตราส่วน C0 อัตราส่วน C250
และอัตราส่วน C300 เป็นอัตราส่วนเหมาะสมน้อยทีส่ ดุ
ตามล�ำดับ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากขุยมะพร้าวมีส่วนที่เป็น
เส้ น ใยเซลลูโลสซึ่งมีความสามารถในการรั บแรงดึ ง
ได้ดี ดังภาพขยายขุยมะพร้าวด้วยกล้องจุลทรรศน์
อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) ที่ก�ำลังขยายต่างๆ
ในรูปที่ 8 และ 9 ท�ำให้เมื่อผสมลงในยิปซัมปลาสเตอร์
แล้วจะสามารถช่วยพัฒนาคุณสมบัตดิ า้ นความต้านทาน
แรงดึง ซึง่ มีผลต่อการเพิม่ ขึน้ ของแรงกดแตกทัง้ ตามยาว
และตามขวางได้ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขุยมะพร้าว
รูปที่ 8 ภาพขยายขุยมะพร้าวที่ส่องผ่านกล้อง SEM
ในปริมาณที่มากเกินไป จะท�ำให้ปริมาณปูนยิปซัม กำ�ลังขยาย 500 เท่า
ปลาสเตอร์น้อยเกินกว่าจะเชื่อมประสานขุยมะพร้าว
และส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นแผ่นฝ้าเพดานที่แข็งแรงได้
[7] เมื่อเทียบกับมาตรฐาน มอก.219-2552 เรื่องแผน
ยิปซัม [5]
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 133
เพดานทีม่ ากเกินไป จะท�ำให้ความสามารถในการเชือ่ ม
ประสานของแผ่นฝ้าเพดานลดลง และมีการแอ่นตัว
ที่มากขึ้น เช่นเดียวกับผลการทดสอบแรงกดแตกและ
แรงต้านทานการดึงตะปูของแผ่นฝ้าเพดานผสมขุย
มะพร้าว [7] ทั้งนี้ ตามมาตรฐาน มอก.219-2552
เรื่องแผนยิปซัม [5] ก�ำหนดให้การแอ่นตัวของแผ่นฝ้า
เพดานผสมขุยมะพร้าว ความหนา 9 มิลลิเมตร ต้องมี
การแอ่นตัวไม่เกิน 10 มิลลิเมตร ซึ่งจะเห็นได้ว่า
รูปที่ 9 ภาพขยายเส้นใยที่ปะปนอยู่ในขุยมะพร้าวที่
มีเพียงแผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าวอัตราส่วน C300
ส่องผ่านกล้อง SEM กำ�ลังขยาย 1,000 เท่า
เท่านั้น ที่ไม่ผ่านตามที่มาตรฐานก�ำหนด
รูปที่ 12 การดูดซึมน�้ำของแผ่นฝ้าเพดานผสม
ขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
รูปที่ 14 ความหนาแน่นของแผ่นฝ้าเพดานผสม
ขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
รูปที่ 13 อัตราการดูดซึมน�้ำที่ผิวของแผ่นฝ้าเพดาน
ผสมขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 135
6.6 สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อน สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนสูงที่สุด ตามล�ำดับ ทั้งนี้
สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนเป็นการทดสอบ เป็นผลมาจากลักษณะของขุยมะพร้าวที่มีช่องว่างมาก
คุณสมบัติของแผ่นฝ้าเพดานที่แสดงให้เห็นถึงความ จะส่งผลต่อค่าสัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนที่ลดลง
สามารถในการป้ อ งกั น ความร้ อ นจากหลั ง คาเข้ า สู ่ [10]
ภายในอาคาร ซึ่งผลการทดสอบสามารถสรุปได้ ดังรูป
ที่ 15 พบว่า แผ่นฝ้าเพดานที่มีปริมาณขุยมะพร้าว
มากที่สุด คือ อัตราส่วน C300 เป็นอัตราส่วนที่มี
สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนต�่ำที่สุด เท่ากับ 0.292
วัตต์ต่อเมตรเคลวิน รองลงมาคือ อัตราส่วน C250
เท่ากับ 0.321 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน อัตราส่วน C200
เท่ากับ 0.351 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน อัตราส่วน C150
เท่ากับ 0.385 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน อัตราส่วน C100
เท่ากับ 0.425 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน และอัตราส่วน C0
เท่ากับ 0.502 วัตต์ต่อเมตรเคลวิน เป็นอัตราส่วนที่มี รูปที่ 15 สัมประสิทธิ์การน�ำความร้อนของแผ่น
ฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าว ที่อายุการบ่ม 28 วัน
ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบคุณสมบัติของแผ่นฝ้าเพดานผสมขุยมะพร้าวอัตราส่วนต่างๆ
3
ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีการก่อสร้างและบำ�รุงรักษา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3
Construction and Maintenance Technology Research Center, Sirindhorn International of Technology, Thammasat University
5
ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
5
School of Civil Engineering and Technology, Sirindhorn International of Technology, Thammasat University
รูปที่ 2 การวัดความลึกคาร์บอเนชั่น
2.4 ความต้านทานการแทรกซึมคลอไรด์
ค) สารเพิ่มกำ�ลังอัด ง) เถ้าลอย ของคอนกรีต
รูปที่ 1 ภาพถ่ายขยายกำ�ลังสูง (3,500 เท่า) ส�ำหรับการศึกษาความต้านทานการแทรกซึม
ของอนุภาคของวัสดุประสานที่ใช้ คลอไรด์ (chloride penetration resistance) ของ
ตัวอย่างคอนกรีต กระท�ำตามมาตรฐาน ASTM C
2.3 การเกิดคาร์บอเนชั่นของคอนกรีต 1202-12 [8] ด้วยชุดเครื่องมือทดสอบแบบเร่งให้เกิด
การเกิดคาร์บอเนชั่นของคอนกรีต ทดสอบ การแทรกซึมของคลอไรด์อิออน (รูปที่ 3) ใช้ตัวอย่าง
ตามมาตรฐาน ASTM C 109-07 [6] และ ASTM คอนกรี ต ขนาดเส้ น ผ่ า นศู น ย์ ก ลาง 100 มิ ล ลิ เ มตร
C 856-04 [7] โดยตัวอย่างคอนกรีตขนาด 100x100 หนา 50 มิลลิเมตร โดยถอดแบบที่อายุ 24 ชั่วโมง
x100 มิลลิเมตร หลังจากถอดแบบที่อายุ 24 ชั่วโมง แล้วบ่มในน�้ำเป็นเวลา 28 วัน ส่วนสารละลายที่ใช้
แล้วน�ำตัวอย่างบ่มในน�้ำเป็นเวลา 7 และ 28 วัน ในการทดสอบประกอบด้วย สารละลายโซเดียมคลอไรด์
หลังจากบ่มตามระยะเวลาทีก่ ำ� หนด น�ำตัวอย่างดังกล่าว (NaCl) ทีค่ วามเข้มข้นร้อยละ 3 และสารละลายโซเดียม
ไปอบในตู้เร่งการเกิดคาร์บอเนชั่น (อุณหภูมิ 30±5 cC) ไฮดรอกไซด์ (NaOH) ที่ความเข้มข้น 0.3 โมลาร์
โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จะถูกปล่อยออกมา เมื่อครบอายุบ่ม 28 วัน น�ำตัวอย่างประกอบเข้ากับ
ในปริมาณ 40,000 ppm และควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ เซลล์ (Cell) โดยท�ำการเคลือบรอบๆ ผิวตั ว อย่ า ง
ที่ร้อยละ 50 ถึง 55 โดยระยะเวลาที่ตัวอย่างเผชิญกับ ด้วยกาวโพลียูรีเทน เมื่อกาวแห้งจึงเติมสารละลาย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 28 วัน และ 56 วัน เมื่อ NaCl ลงในเซลล์ดา้ นขัว้ ลบและเติมสารละลาย NaOH
ลงในเซลล์ด้านขั้วบวก เมื่อเติมสารละลายแล้วน�ำ
ครบอายุที่ก�ำหนด น�ำไปทดสอบหาค่าความลึกของ
ประกอบเข้ากับชุดทดสอบดังรูปที่ 4 หลังจากนั้นปล่อย
การเกิดคาร์บอเนชั่น โดยแบ่งตัวอย่างออกเป็น 2 ซีก
แรงดันไฟฟ้าขนาด 60±0.1 โวลต์ผ่านชิ้นตัวอย่าง
โดยใช้เครื่องทดสอบก�ำลังอัดของคอนกรีต จากนั้นฉีด
เครื่องมือจะท�ำการอ่านค่ากระแสไฟที่ผ่านตัวอย่าง
สารละลายฟีนอล์ฟทาลีน (Phenolphthalein) ที่
ของแต่ ล ะเซลล์ ซึ่ ง จะท� ำ การบั นทึ ก ค่ า โดยอั ต โนมั ติ
ตัวอย่างซึง่ จะปรากฏเป็นสีมว่ งในกรณีทไี่ ม่เกิดคาร์บอ-
ทุก ๆ 30 นาที ใช้เวลาทดสอบ 6 ชั่วโมง โดยแสดงผล
เนชั่น แต่ในส่วนที่เกิดคาร์บอเนชั่นตัวอย่างคอนกรีต การทดสอบเป็ น ค่ า ประจุ ไ ฟฟ้ า สะสมที่ เ คลื่ อ นผ่ า น
จะไม่มีสี ใช้เวอร์เนียร์วัดค่าความลึกบริเวณที่ไม่เกิด ตัวอย่างมีหน่วยเป็นคูลอมบ์ (Coulombs) ในการ
สีม่วง (บริเวณที่เกิดคาร์บอเนชั่น) ทั้งหมด 8 ต�ำแหน่ง ค�ำนวณค่าประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่าน ใช้ดังสมการที่ (1)
ต่อตัวอย่างแต่ละซีก ดังแสดงในรูปที่ 2 แล้วน�ำมาหา นอกจากนี้ ASTM C 1202 ได้กำ� หนดระดับการแทรกซึม
ค่าเฉลี่ยค่าความลึกคาร์บอเนชั่น คลอไรด์จากผลการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้า ดังตาราง
ที่ 2
142 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
Q = 900 (I30 + 2I30 + 2I60 + ... + 2I300 + 2I330 2.5 การต้านทานซัลเฟตของมอร์ต้าร์
+ I360) (1) ในการศึกษาการต้านทานซัลเฟตในครั้งนี้ใช้
ตัวอย่างมอร์ต้าร์ โดยการประเมินใช้วัดการขยายตัว
โดยที่ Q คือค่าประจุไฟฟ้าที่ไหลผ่านแท่งตัวอย่าง ของตัวอย่างในสารละลายโซเดียมซัลเฟต และวัดการ
คอนกรีตมีหน่วยเป็นคูลอมป์ (Coulomb) ส่วน I0 สูญเสียน�้ำหนักของตัวอย่างในสารละลายแมกนีเซียม
คื อ แรงดั น ไฟฟ้ า ทั น ที ห ลั ง จากที่ เ ปิ ด แรงดั น ไฟฟ้ า ซัลเฟต
มีหน่วยเป็นแอมแปร์ (Amperes) ในขณะที่ It คือ 2.5.1 การขยายตัว
แรงดันไฟฟ้าแต่ละช่วงเวลาที่ท�ำการทดสอบ มีหน่วย ในการทดสอบการขยายตัวในสารละลาย
เป็นแอมแปร์ โซเดียมซัลเฟตของมอร์ต้าร์ ทดสอบตามมาตรฐาน
ตารางที่ 2 ระดับการแทรกซึมคลอไรด์ พิจารณาจาก ASTM C 1012-04 [9] โดยใช้ตัวอย่างขนาด 25x25
ผลประจุไฟฟ้าการเคลื่อนผ่าน (ASTM C 1202) x285 มิลลิเมตร หลังจากถอดแบบที่อายุ 24 ชั่วโมง
น�ำตัวอย่างแช่ในน�้ำปูนขาวอิ่มตัวเป็นเวลา 28 วัน
จำ�นวนประจุไฟฟ้า ระดับการแทรกซึม เมื่อครบก�ำหนด ท�ำการวัดความยาวเริ่มแรกด้วยเครื่อง
ที่เคลื่อนผ่าน คลอไรด์ วัดความยาว แล้วน�ำตัวอย่างแช่ในสารละลายโซเดียม
(คูลอมบ์) ซัลเฟตที่มีความเข้มข้นร้อยละ 5 โดยน�้ำหนัก (โดยใช้
มากกว่า 4,000 สูง โซเดียมซัลเฟต 50 กรัม ในสารละลาย 1 ลิตร ซึ่งมี
2,000 ถึง 4,000 ปานกลาง ปริมาณ SO4-2 เท่ากับ 33,800 ppm) โดยวัดการ
1,000 ถึง 2,000 ต�่ำ ขยายตัวของตัวอย่างที่อายุ 2 4 8 และ 13 สัปดาห์ และ
100 ถึง 1,000 ต�่ำมาก ทุกๆ 2 เดือน ของการแช่ในสารละลายโซเดียมซัลเฟต
น้อยกว่า 100 ไม่มีผล 2.5.2 การสูญเสียน�้ำหนัก
ใช้ตัวอย่างมอร์ต้าร์ขนาด 50x50x50
มิ ล ลิ เ มตร ในการทดสอบการสู ญ เสี ย น�้ ำ หนั ก ใน
สารละลายแมกนี เซี ย มซั ล เฟต หลั ง จากถอดแบบ
ตัวอย่างที่อายุ 24 ชั่วโมง น�ำตัวอย่างแช่ในน�้ำปูนขาว
อิ่มตัวเป็นเวลา 28 วัน เมื่ออายุครบ ท�ำการวัดน�้ำหนัก
(ก) เซลล์ (ข) เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า เริ่มแรกของตัวอย่าง แล้วน�ำตัวอย่างแช่ในสารละลาย
รูปที่ 3 เครื่องมือทดสอบแบบเร่งให้เกิด แมกนีเซียมซัลเฟตที่มีปริมาณ SO4-2 เท่ากับ 33,800
การแทรกซึมของคลอไรด์อิออน ppm (โดยใช้แมกนีเซียมซัลเฟต 42.36 กรัมในสาร
ละลาย 1 ลิตร) แล้ววัดค่าการสูญเสียน�้ำหนักตัวอย่าง
ที่อายุ 2 4 8 และ 13 สัปดาห์ และทุก ๆ 2 เดือน ของ
การแช่ในสารละลายแมกนีเซียมซัลเฟต
รูปที่ 4 การประกอบเซลล์เข้ากับชุดทดสอบ
แบบเร่งให้เกิดการแทรกซึมของคลอไรด์อิออน
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 143
2.6 สัดส่วนผสมที่ใช้ในการศึกษา ตารางที่ 4 สัดส่วนผสมของคอนกรีต ทีใ่ ช้ในการทดสอบ
สัดส่วนผสมของมอร์ต้าร์และคอนกรีตที่ใช้ การเกิดคาร์บอเนชั่น โดยใช้อัตราน�้ำต่อวัสดุประสาน
ในการศึกษาครัง้ นี้ แยกตามสมบัตดิ า้ นต่าง ๆ ทีศ่ กึ ษา เท่ากับ 0.50
ซึ่งได้แก่ การหดตัวแบบแห้งของมอร์ต้าร์ การเกิด
คาร์บอเนชัน่ ของคอนกรีต ความต้านทานการแทรกซึม
คลอไรด์ของคอนกรีต และการต้านทานซัลเฟตของ
มอร์ต้าร์ แสดงดังตารางที่ 3 ถึง 5 CC1
CC1FA30
การใช้สญ
ั ลักษณ์ของสัดส่วนผสมในการศึกษา CC1 5.5Ad
CC1 6.5Ad
เป็นดังนี้ CC1 หมายถึงคอนกรีตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ CC1 7.5Ad
CC1 5.5Re
ประเภทที่ 1 ล้วน MC1 หมายถึงมอร์ต้าร์ปูนซีเมนต์ CC1 6.5Re
ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 1 ล้วน MC5 หมายถึงมอร์ต้าร์ CC1 7.5Re
Abstract
One of important factors for increasing palm productivity is an palm residue management. Some
palm tree residues such as palm branch and leaf were always cut to small size and then utilized as a
fertilizer or a hoof food in a rural area. Therefore, a palm chopping method for utilizing a palm residue
was always conducted and developed continuously. This article aimed to select an optimized cutting
blade shape, blade amount, and feed direction for cutting a palm branch by an orbital cutting blade palm
chopping machine. In this experiment, the designed cutting blades that were produced by a specified
condition, were applied for cutting the palm branch using a specified cutting condition. The summarized
results are as follows. The cutting lade that made of carbon steel should not apply the tempering after
the hardening because it affected to decrease hardness and cutting edge wear. The semi-V cutting blade
1. บทน�ำ
ปาล์ ม จั ด เป็ น พื ช น�้ ำ มั น ชนิ ด หนึ่ ง ที่ มี ค วาม
ส� ำ คั ญ ของโลก แหล่งปลูก ปาล์มน�้ำมันที่ส�ำ คั ญ ใน
ปัจจุบันอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งได้แก่ ประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย มีพื้นที่
ปลูกรวมมากว่า 50 ล้านไร่ ส�ำหรับประเทศไทยปาล์ม
เป็นพืชน�้ำมันที่ส�ำคัญของประเทศไทย โดยรัฐบาลมี
เป้าหมายให้มีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน�้ำมันเพิ่มอีก
รูปที่ 1 ลักษณะเครื่องย่อยกิ่งไม้
ประมาณ 5 ล้านไร่ [1] ในการปลูกปาล์มเพื่อน�ำมา
ท�ำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น�้ำมันพืช สบู่ หรือไบโอ ด้ ว ยเหตุ นี้ เ กษตรกรที่ ป ลู ก ต้ น ปาล์ ม จึ ง ได้
ดีเซลนั้น พบว่าต้นปาล์มที่ประกอบด้วยล�ำต้น กิ่ง ใบ คิ ด ค้ น เครื่ อ งย่ อ ยทางปาล์ ม ขนาดเล็ ก ขึ้ น มาใช้ ง าน
ดอก และผล นั้นมีส่วนของผลปาล์มเพียง 20-30% เครือ่ งย่อยปาล์มขนาดเล็กนีส้ ามารถท�ำการเคลือ่ นย้าย
เท่านั้นที่ถูกน�ำมาแปรรูป [2] และมีกลุ่มเกษตรกร ไปต�ำแหน่งต่างๆ ในไร่ปาล์มได้โดยอาศัยรถไถขนาดเล็ก
ผู้เลี้ยงสัตว์บางกลุ่มได้น�ำทางปาล์มมาใช้เป็นอาหาร และใช้ตน้ ก�ำลังจากรถไขนาดเล็กนัน้ ในการท�ำให้ระบบ
สัตว์เคี้ยวเอื้องโดยการตัดแขวนให้สัตว์แทะกินโดยตรง การย่อยเศษเกิดขึน้ อย่างไรก็ตามด้วยข้อจ�ำกัดทางด้าน
หรือน�ำทางปาล์มสดมาสับให้มีขนาด 1-3 เซนติเมตร วิศวกรรม การศึกษาและพัฒนาในการเลือกรูปร่าง
ซึ่งสามารถน�ำไปเลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องได้เป็นอย่างดี [3] ใบตัดและตัวแปรการตัดที่เหมาะสมส�ำหรับเครื่องย่อย
ขณะที่ส่วนอื่นๆ นั้นเมื่อสิ้นอายุการให้ผลปาล์มของ ทางปาล์มขนาดเล็กจึงมีค่อนข้างจ�ำกัด ปัญหาส�ำคัญ
ต้นปาล์ม เกษตรกรจะท�ำการย่อยให้มีขนาดเล็กเล็ก ดังกล่าวจึงมีความส�ำคัญที่ต้องการแก้ไขและพัฒนา
เพือ่ น�ำไปใช้งานรูปแบบอืน่ ต่อไป เครือ่ งจักรทีใ่ ช้ในการ ต่อไป ที่ผ่านมามีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการเลือก
ย่อยทางปาล์มหรือส่วนประกอบต่างๆ ของต้นปาล์ม ตัวแปรการตัดต่างๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการ
มีรูปร่างคล้ายดังเครื่องย่อยกิ่งไม้ทั่วไปดังแสดงในรูป ตัดย่อยทางปาล์ม เช่น การวิเคราะห์ช่องว่างระหว่าง
ที่ 1 ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีราคาสูง ใบมีดในการตัดแผ่นโลหะโดยการใช้ไฟไนท์อิลิเมน
ต์รวมทั้งการวิเคราะห์ความหนาแน่นของโลหะและ
แรงตั ด ของช่ อ งว่ า งใบตั ด เพื่ อ ใช้ ใ นการออกแบบ
รูปที่ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเศษทางปาล์ม
ความเร็วรอบ และใบตัด 2 ชนิด
รูปที่ 12 การปรับทิศทางการเติมทางปาล์ม
รูปที่ 14 ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดเศษทางปาล์ม
รูปแบบใบตัด และทิศทางการป้อน
รูปที่ 13 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณ
เศษทางปาล์ม รูปแบบใบตัด และทิศทางการป้อน
ทางปาล์มเข้าสู่ใบตัด พบว่า มุมเอียงที่เพิ่มขึ้นส่งผล
ท�ำให้เกิดการตัดเฉือนได้ง่ายขึ้น ดังปริมาณการผลิต
เศษทางปาล์มที่เพิ่มขึ้น ทิศทางการเติมทางปาล์มที่มี
มุมเอียง 45 องศาเป็นทิศทางการเติมทางปาล์มที่ท�ำให้
เกิดปริมาณการผลิตเศษสูงสุดในการทดลอง มุมเอียง
ที่ เ พิ่ ม ขึ้ น นั้ น ท� ำ ให้ ค มตั ด ถู ก กดลงบนเนื้ อ วั ส ดุ ด ้ ว ย
ลักษณะที่เป็นแรงเฉือนเพิ่มขึ้น และมีความต้านทาน
การกดคมตัดจมลงไปสู่เนื้อไม้ลดลง [11] นอกจากนั้น
รูปที่ 13 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเศษทางปาล์ม
เมื่อท�ำการตัดย่อยทางปาล์มด้วยทิศทางการเติมที่มี
รูปแบบใบตัด และทิศทางการป้อน
มุมเอียงเพิ่มมากขึ้น น�้ำหนักของทางปาล์มก่อให้เกิด
แนวคิดในการลดแรงเสียดทานและแรงตัด แรงดั นทางปาล์ ม เข้ า สู ่ ใบตั ดเพิ่ ม ขึ้ น อย่ า งไรก็ ต าม
โดยท� ำ การเพิ่ ม มุ ม เอี ย งของใบมี ด ที่ ก ระท� ำ ต่ อ เมื่อท�ำการเพิ่มทิศทางการเติมให้มีมุมเอียงที่มากกว่า
เนื้อวัสดุจึงถูกน�ำมาออกแบบการทดลองโดยท�ำการ 45 องศา ปัญหาในการใช้งานเครื่องย่อยทางปาล์ม
ปรับทิศทางและความเอียงของการเติมทางปาล์มเข้าสู่ ได้เกิดขึ้น กล่าวคือการเกิดปริมาณเศษการตัดที่ลดลง
ใบตัดดังรูปที่ 12 มุมเอียง 0 องศาดังที่ท�ำการทดลอง เนือ่ งเกิดการดีดตัวโค้งของทางปาล์มทีม่ คี วามยาวท�ำให้
ที่ผ่านมา คือมุมที่ทางปาล์มวางขนานกับแนวระนาบ ยากแก่การป้อนเข้าสู่ใบตัด นอกจากนั้นน�้ำหนักของ
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 159
ทางปาล์มเพิ่มแรงดันทางปาล์มเข้าสู่ใบตัดเร็วเกินไป 4.3 ใบตั ด กึ่ ง วี ใ ห้ อั ต ราการผลิ ต เศษใน
เกิดการดีดตัวออกจากใบตัดของทางปาล์ม และท�ำให้ แนวโน้มที่สูงขึ้นมากกว่าใบตัดวี ที่ความเร็วรอบสูงสุด
การตั ด ย่ อ ยที่ มี เ สี ย งดั ง เพิ่ ม ขึ้ น เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ 1200 รอบต่อนาทีสามารถผลิตเศษเท่ากับ 3878 กรัม
ทิศทางการเติมอื่นๆ 4.4 จ�ำนวนใบตัดที่เพิ่มขึ้นส่งผลท�ำให้การ
เศษทางปาล์ ม ที่ ถู ก ท� ำ การตั ด ย่ อ ยด้ ว ย ตัดย่อยทางปาล์มมีประสิทธิภาพเพิม่ ขึน้ และท�ำให้เกิด
มุมเอียงต่างๆ ถูกน�ำมาท�ำการวัดเปรียบเทียบกับเศษ เศษการตัดที่สามารถไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
ทางปาล์มที่ถูกตัดย่อยด้วยทิศทางการเติมที่มีมุมเอียง สวนปาล์มได้
0 องศาและแสดงผลการตรวจสอบดังรูปที่ 14 พบว่า 4.5 ทิ ศ ทางการป้ อ นที่ มี ค วามเอี ย งส่ ง ผล
มุมเอียงที่เพิ่มขึ้นส่งผลดีในการท�ำให้เศษปาล์มมีขนาด ท�ำให้เกิดการลดแรงเสียดทานและท�ำให้ลดแรงในการ
เล็กลง และมีค่าเล็กกว่าเศษทางปาล์มที่สามารถน�ำไป กดตัดทางปาล์ม และท�ำให้ง่ายต่อการเติมทางปาล์ม
ใช้ประโยชน์ในสวนปาล์มได้ [6] อย่างไรก็ตามปัญหา เข้าสู่ใบตัด
ที่เกิดขึ้นในการเติมทางปาล์มที่มีทิศทางมากกว่า 45
องศา ส่งผลท�ำให้เศษทางปาล์มที่ได้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น 5. ข้อเสนอแนะ
และมี ค ่ า ที่ แ ตกต่ า งกั น ในความหนาและความยาว เนื่องจากเครื่องตัดย่อยทางปาล์มที่ใช้ในการ
ของเศษดังแสดงด้วยค่าความผิดพลาดในการวัดขนาด ศึ ก ษานี้ เ ป็ น เครื่ อ งจั ก รต้ น แบบที่ พั ฒ นาขึ้ น ในห้ อ ง
ของเศษทางปาล์มของทิศทางการเติม 67.5 องศา ปฏิบัติการ ด้วยเหตุนี้อายุการใช้งานของเครื่องจักร
ในรูปที่ 14 รวมทั้งชิ้นส่วนต่างๆ ในสภาวะการใช้งานจริงควรมี
การศึกษาและพัฒนาต่อไป
4. สรุปผลการทดลอง
บทความนี้น�ำเสนอผลการศึกษาสมบัติของ 6. กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgements)
ใบตัดสองชนิดที่มีความเหมาะสมในการตัดย่อยทาง งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยประจ�ำ
ปาล์มด้วยเครื่องย่อยทางปาล์มใบตัดแนวตั้ง และท�ำ ปี 2559 จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
การประยุกต์ใช้ใบตัดทั้งสองแบบในการตัดย่อยทาง 7. เอกสารอ้างอิง (References)
ปาล์มเพื่อหารูปร่างใบตัด จ�ำนวนใบตัด และทิศทาง
[1] Eksomtramage W. and Eksomtramage
การเติมทางปาล์ม ที่สามารถท�ำให้เกิดเศษทางปาล์ม T. Heritability and Correlations of
ที่ ป ริ ม าณสู ง และขนาดเศษทางปาล์ ม ที่ มี ข นาดเล็ ก Argonomic Charaters in Tenera Oil
ผลการทดลองโดยสรุปมีดังนี้ Palm Hybrid. Article Journal of Agri-
4.1 ใบตั ด ทางปาล์ ม ที่ ท� ำ จากเหล็ ก กล้ า culture. 2553;26: 231-239. (in Thai)
คาร์บอนไม่ควรท�ำการอบคืนไฟหลังจากการชุบแข็ง
[2] Wikipidia. Palm. Available from: https://
เพราะท�ำให้ความแข็งและความต้านทานการสึกหรอ
th.wikipedia.org/wiki. (in Thai).
ของใบตัดลดลง
4.2 ใบตัดทางปาล์มกึ่งวีเป็นใบตัดที่ให้ความ [3] Poksawat A., Songkong S. Cutting and
ต้ า นทานการสึ ก หรอและความแข็ ง ที่ ดี ก ว่ า ใบตั ด วี Separating Machine Oil Palm Leaves
โดยแสดงค่าความแข็ง 481 HV และน�้ำหนักสูญหายที่ and Fronds Used as Ruminant
ปลายมีด 6.24% Animal Feed. Proceeding of the 5th
UBU Coference. 2011;August 4-5:
226-234 (in Thai).
160 วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
[4] Li Y.G., Ye Q, Fan F., Bao Y., and Huang [10] Hwang B., Suh DW., and Kim SJ.
QX. Finite Element Method Analysis Austenitizing temperature and hard-
of Effect of Blade Clearance on Plate enability of low-carbon boron steels.
Shearing Process. Journal of Iron and Scripta Materialia. 2011;64:1118-1120.
Steel Research, International. 2012;19: [11] McCarthy CT., Hussey M., and Gilchrist
26-29. MD. On the sharpness of straight
[5] Aslan S., Coşkun, H., and Kılıç, M. The effect
edge blades in cutting soft solids:
of the cutting direction, number of Part I – indentation experiments.
blades and grain size of the abrasives Engineering Fracture Mechanics.
on surface roughness of Taurus cedar 2007;74: 2205-2224.
(Cedrus Libani A. Rich.) woods. Building [12] McCarthy CT., Annaidh AN., and Gilchrist
and Environment; 43:696-701. MD. On the sharpness of straight
[6] Kosoom K. Study and Design of Cutting edge blades in cutting soft solids:
Blade from Rid Residues. Proceeding Part II – Analysis of blade geometry.
of the 5th Rajamangala University of Engineering Fracture Mechanics.
Technology Conference. 2014;June 2010;77: 437-451.
23-25:79-86 (in Thai). [13] Reilly GA., McCormack BAO., and Taylor
[7] Kimapong K., Poonnayom P.,, and Watt- D. Cutting sharpness measurement: a
anjitsiri V. Microstructure and Wear critical review," Journal of Materials
Resistance of Hardfacing Weld Metal Processing Technology. 2004;153–
on JIS-S50C Carbon Steel in Argicul- 154:261-267.
tural Machine Parts. Materials Science [14] Brown T., James SJ., and Purnell GL.
Forum. 2016;872:55-61. Cutting forces in foods: experimental
[8] Kimapong K., Triwanapong S., Prasomthong measurements. Journal of Food
S., and Wattanjitsiri V. Effect of Buffer Engineering. 2005;70:165-170.
layer and Hard-faced Welding on
Mechnical roperties of JIS-S50C
Carbon Steel Weld Metal. Journal of
Engineering, RMUTT. 2016;14:77-90.
(in Thai).
[9] Adelaja AO, Dirker J., and Meyer JP.
Effects of the thick walled pipes with
convective boundaries on laminar
flow heat transfer. Applied Energy.
2014;130:838-845.
1-5
Department of Chemical and Material Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
Received: March 27, 2017
Revised: March 16, 2018
Accepted: August 20, 2018
Abstract
This study investigated determination of physical and thermal properties of herbal compress
ball. These properties are dispensable for studying heat transfer mechanism and process because herbal
compress balls are generally heated by steam before use. Some physical and thermal properties of dried
herbal compress ball were measured and characterized in this study. Some reliable measuring methods of
such properties as well as in-house-made gas expansion pycnometer were developed. Experimental results
showed that significant physical and thermal properties were successfully measured and in-house-built
apparatus could work well with small error (±0.70%). Also, it was obvious that the temperature change in
herbal compress ball was strongly affected by diffusion of steam inside the herbal compress ball and its
thermal conductivity was close to that of woods.
Keywords: Herbal compress ball, physical properties, thermal properties, heat transfer
2t
(9) prediction of h,
2x
2
x
error of ±0.70%.
Relative position n x1 Geometric mean diameter (GMD), true
m k
Relative hx1 and bulk density, void fraction and sphericity
resistance of HCB tested in experiments are shown in
table 2.
0.25
Table 2 Geometric mean diameter (GMD), true
h = 0.594 > f f fg H
k h
3 2
f
1 (11)
(Ta - Ts)
0.70
and bulk density, void fraction and sphericity
where kf was thermal conductivity of steam, of herbal compress ball
ρ f density, µ f viscosity and hfg latent heat
ρ ρb
of vaporization of steam respectively, Ta no. GMD ε φs
Abstract
This research aims to study the types of risks that occur in the supply chain of plastic injection
molding parts. In general, the risk consists of internal and external risks, whereby the risk is classified into
six types : demand risk manufacturing risk, supply risk, information risk, transportation risk and financial risk.
Entrepreneurs were required to evaluate the competitiveness of enterprise. This research was analyzed by
AHP technique to identified the relationship of risk catagories and SCOR model topic in major and minor
criteria to determine the important weight of each type risks. After that, IE technique were applied to
solve the problems and monitor the results after improvement in orders to compare with competiveness
indicators. The research found the top three critical type of risks effect on the factory operation were defect
from production process, unaccuracy forecasting and average inventory cycle time.
Keywords: Supply Chain Operation Reference (SCOR) Analytic Hierarchy Process (AHP) Supply Chain Risk
Management (SCRM)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 173
1. บทน�ำ ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ
สื บ เนื่ อ งจากแผนยุ ท ธศาสตร์ ก ารพั ฒ นา SMEs โดยท�ำการวินิจฉัยปัญหาเพื่อจัดล�ำดับความ
ระบบ โลจิสติกส์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2556-2560 ส�ำคัญของปัญหาและความเสี่ยงผู้ประกอบการ SMEs
ที่มุ้งเน้นการพัฒนาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ที่ส�ำคัญ เพื่อจะลดความเสี่ยงต่างๆ ลง
โดยเป็ น ที่ ย อมรั บ ของนั ก วิ ช าการและวงการธุ ร กิ จ
สากลว่า การแข่งขันในภาคธุรกิจ (Competition 2. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
Landscape) ส่วนใหญ่ได้ยกระดับจากการแข่งขัน 2.1 ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) นั้น
ที่ระดับหน่วยธุรกิจหรือบริษัทเดี่ยวไปสู่การแข่งขัน ในตอนแรกได้ริเริ่มมาจากกิจกรรมสายการล�ำเลียง
ที่ระดับโซ่อุปทาน ผู้ประกอบการที่ต้องการจะสร้าง ทางด้านการทหารโดยเฉพาะทางด้านเสบียงอาหาร
หรือรักษาความสามารถในการแข่งขันของตน จะไม่ หรือยุทโธปกรณ์ทางการรบหรืออีกความหมายหนึ่ง
มองเพียงแค่กิจกรรมที่ด�ำเนินการภายในหรือบริษัท คือเป็นกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการ
ของตนเอง แต่จะต้องมองไกลไปถึงปัจจัยที่จะส่งผล และการจัดการในองค์กรที่ได้มีการน�ำโซ่อุปทานและ
กระทบต่อกิจการของตนตลอดห่วงโซ่อปุ ทาน (Supply กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือ ที่มีผลกระทบต่อ
Chain) ทั้งในแง่ของต้นทุนปัจจัยการผลิตที่รับจาก กระบวนการทางธุรกรรมในอันที่จะเสริมสร้างให้มี
ผู้ขาย (Supplier) ประสิทธิภาพการผลิตหรือการ มู ล ค่ า เพิ่ ม ในสิ นค้ า และบริ ก ารในอั นน� ำ มาซึ่ ง ความ
ประกอบการอย่างบูรณาการ และความสามารถในการ สามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน [1]
ตอบสนองความต้องการของลูกค้าของบริษทั ตลอดจน 2.2 แบบจ�ำลองอ้างอิงการด�ำเนินงานโซ่
ลูกค้าคนสุดท้ายในโซ่อุปทานว่าทั้งหมดเหล่านี้มีส่วน อุปทาน (Supply Chain Operation Reference
ต่อการก�ำหนดความสามารถของธุรกิจในการสร้าง Model: SCOR Model) แบบจ�ำลองนี้เป็นการ
และเก็บเกี่ยวมูลค่าทางเศรษฐกิจจากโซ่คุณค่า (Value บู ร ณาการแนวคิ ด ที่ ส� ำ คั ญ ของการรี เ อ็ น จิ เ นี ย ริ่ ง
Chain) ของตนเอง กระบวนการทางธุรกิจ (Business Process Reengi-
เพื่ อ ให้ ค วามสอดคล้ อ งกั บ เวที ก ารแข่ ง ขั น neering) การเทียบเคียง (Benchmarking) และการ
และการเปลี่ยนแปลงบริบททั้งภายในและภายนอก วัดกระบวนการ (Process Measurement) เพื่อให้
ที่โครงสร้างโซ่อุปทานของภูมิภาค เพื่อลดความเสี่ยง เกิดแนวทางมาตรฐานที่จะน�ำไปสู่กรอบการท�ำงาน
จากภัยพิบัติที่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักของโซ่อุปทาน ร่วมกันระหว่างแผนกในองค์กร ซึ่งขอบเขตของแบบ
(Supply Chain Disruption) เพื่อตอบสนองต่อความ จ� ำ ลองจะครอบคลุ ม ถึ ง ขั้ น ตอนการปฏิ สั ม พั น ธ์ กั บ
ได้เปรียบในการแข่งขันโดยเปรียบเทียบ (Compara- ลูกค้าทั้งระบบตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการจัดส่ง
tive Advantage) ที่เกิดจากการความต่างศักย์ของ สินค้า ความเข้าใจอุปสงค์โดยรวมและการเติมเต็มของ
ระดับการพัฒนาของกลุ่มประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้ง ค�ำสั่งซื้อ (Order Fulfillment) จากทฤษฏี SCOR
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) มี พื้ น ฐานขององค์ ป ระกอบหลั ก การทางด้ า นการ
ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา จัดการ 6 ประการได้แก่ การวางแผน (Plan) การจัด
ประเภทของความเสี่ ย งโซ่ อุ ป ทานโดยอ้ า งอิ ง จาก ซือ้ (Source) การผลิต (Make) การจัดส่ง (Delivery)
มาตรฐานแบบจ�ำลองอ้างอิงการด�ำเนินงานโซ่อุปทาน การจัดส่ง (Delivery) และ การท�ำให้เกิดขึ้น (Enable)
(Supply Chain Operation Reference Model : [2]
SCOR) เพื่อชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของผู้
เป็นต้น ความ
Kersten al (2007)
Walker (2003)
2.3.2 External Risk คือ ความเสี่ยงที่ เสี่ยง
สกย (2553)
รูปที่ 3 แผนผังแสดงลำ�ดับขั้นตอนการดำ�เนินการวิจัย
1*
ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
1*
Department of Industrial Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
2
ภาควิชาวิศวกรรมวัสดุและโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
2
Department of Materials and Metallurgical Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology
Thanyaburi
3
ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
3
Department of Civil Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi
บทคัดย่อ
บทความนี้กล่าวเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการส่งบทความเพื่อเสนอต่อกองบรรณาธิการวารสารวิศวกรรมศาสตร์
ราชมงคลธัญบุรี ผูส้ ง่ บทความต้องยืดรูปแบบตามบทความนีอ้ ย่างเคร่งครัด บทความใดทีม่ รี ปู แบบไม่ถกู ต้องจะถูกส่งคืนเพือ่ ท�ำการ
แก้ไขก่อนน�ำส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ หากไม่ท�ำการแก้ไขให้ถูกต้องกองบรรณาธิการจะท�ำการตัดสิทธิ์การส่งบทความนี้
ทั้งนี้บทคัดย่อต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ละภาษาควรมีเพียงย่อหน้าเดียว และมีความยาวไม่เกิน 300 ค�ำ
ค�ำส�ำคัญ: วิธีการส่งบทความ, รูปแบบบทความ, ขนาดตัวอักษร, รูปแบบตัวอักษร, การเว้นบรรทัด
Abstract
This article describes a submission procedure and a format of the manuscript for the Journal of
Engineering, Rajamangala University of Technology Thanyaburi (JERMUTT). Authors are required to strictly
follow the guideline provided hear, otherwise, the manuscript will be returned for proper correction before
to be reviewed by two referees who are specialists in that fields. If no completed on this step your manuscript
will be rejected and cannot be considered again. So that an abstract should have had only one paragraph.
Both Thai and English abstracts are required the length of all should not exceed 300 words.
Keywords: submission procedure, manuscript format, font size, font style and blank line.
เริ่มเขียนค�ำอธิบายตั้งแต่บรรทัดนี้
2.7.3 การจัดการท�ำตาราง
ตัวอักษรในตารางจะต้องไม่เล็กกว่าตัวอักษร โดยต้องท�ำการลงทะเบียนเพื่อสมัครสมาชิก
ในเนือ้ เรือ่ ง ควรตีเส้นกรอบตารางด้วยหมึกด�ำให้ชดั เจน วารสารและน�ำส่งวารสารต้นฉบับในรูปแบบไฟล์
ตารางทุก ตารางจะต้องมีห มายเลข และ ● Word ● PDF
ค�ำบรรยายก�ำกับเหนือตาราง หมายเลขก�ำกับและ
กรุณาจัดส่ง แบบฟอร์มยืนยันการส่งบทความ
ค� ำ บรรยายนี้ ร วมกั น แล้ ว ควรมี ค วามยาวไม่ เ กิ น
ทางวิชาการ เพื่อลงตีพิมพ์ใน วารสารวิศวกรรมศาสตร์
2 บรรทั ด ค� ำ บรรยายเหนื อ ตารางห้ า มใช้ ค� ำ ว่ า
ราชมงคลธัญบุรี มายัง อีเมล์ enjournal@en.rmutt.
“แสดง” เช่นเดียวกับกรณีรูปภาพ
ac.th หรือ จัดส่งไปรษณีย์มายังกองบรรณาธิการ
เพื่อความสวยงามให้เว้นบรรทัดเหนือตาราง
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัย
1 บรรทั ด และเว้นบรรทัดใต้ค�ำบรรยายรู ปภาพ
เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 39 หมู่ 1 ถ.รังสิต-นครนายก
1 บรรทัด
ต.คลองหลวง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110” จึงจะ
2.7.4 ความยาวของบทความ ถือว่า การส่งวารสารนั้นเสร็จสมบูรณ์
เมื่ อรวมทุก ส่วนแล้ว บทความไม่ควรจะมี หากขั้นตอนการน�ำส่งวารสารทั้ง 2 ขั้นตอน
ความยาวน้อยกว่า 10 หน้า และยาวไม่เกิน 15 หน้า คือ การส่งวารสารทางเว็บไซต์ ออนไลน์ และการ
กระดาษ A4 น� ำ ส่ ง แบบฟอร์ ม ยื น ยั น การส่ ง บทความมายั ง อี เ มล์
enjournal@en.rmutt.ac.th ไม่ ค รบถ้ ว นทั้ ง
2 ขั้นตอน บทความนั้นจะถูกส่งคืน และไม่สามารถ
ผ่านการพิจารณาได้
5. เอกสารอ้างอิง (References) [4] Halpern SD, Ubel PA, Caplan AL. Solid-
การอ้างอิงเอกสารใช้ระบบ (Vancouver organ transplantation in HIV-infected
Style) เรียงตามล�ำดับ 1,2,3 ตามการใช้งาน โดยใส่ patients. N Engl J Med. 2002 Jul 25;
ตัวเลขของเอกสารอ้างอิงไว้ในวงเล็บ เช่น [1] เป็นต้น 347(4):284-7.
แล้วรวบรวมไปเขียนอ้างอิง ตามรูปแบบวารสาร
ก�ำหนด รูปแบบหนังสือและเอกสารเฉพาะเรื่อง
ในการเขียนเอกสารอ้างอิงผู้เขียนต้องเขียน (Books and Other Monographs)
เป็นภาษาอังกฤษ ในกรณีแหล่งข้อมูลที่ใช้อ้างอิงมา [5] Author.\Title.\Edition.\ Place of Publica-
จากแหล่งอ้างอิงภาษาไทย เช่น ต�ำราไทย วารสารไทย tion:\Publisher;\Year of Publication.
เป็นต้น ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้ววงเล็บด้าน
ท้ายว่า (in Thai) ทั้งนี้ผู้เขียนบทความ ควรใช้แหล่ง [6] Author.\Title\[dissertation or master’s
อ้างอิงที่ได้รับการยอมรับกันตามเกณฑ์สากล thesis].\ Place of Publication:\ Univer-
sity;\Year of Publication.
ตัวอย่าง (Example)
[1] Kalsirisilp R, Nadpakdee A, Langkapin J.
Performance Evaluation of Sugarcane
Grab Loader. Journal of Engineering,
RMUTT. 2018;16(1):1-12. (in Thai)
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี 193
ตัวอย่าง (Example) ตัวอย่าง(Example)
[7] Murray PR, RoawnrhL KS, Kobayashi GS, [10] Siriprasert R. Model Development for
Pfaller MA. Medical microbiology. 4th Health Screening System in Prachin
ed. St.Louis: Mosby; 2002. Buri Province. Journal of Health
Science [Internet]. 2010 [cited
[8] Borkowski MM. Infant sleep and feeding: 2011 Fed 25];19 (3):409-21. Available
a telephone survey of Hispanic from: http://pubnet.moph.go.th/
Americans [dissertation]. Mount pubnet2/e_doc.php?id=2593(in Thai)
Pleasant (MI): Central Michigan
University; 2002. [11] Abood S. Quality improvement initiative
in nursing homes: the ANA acts in an
รูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ advisory role. Am J Nurs [Internet].
(Electronic Material) 2002 Jun [cited 2002 Aug 12];102(6):
[9] Author.\ Article Title.\ Journal Title.\ [about 1 p.]. Available from : http://
[Internet].\ Year of Publication\ [cited www.nursingworld.org /AJN/2002/
YY\MM\DD];Volume (Issue Number): june/Wawatch.htmArticle
page numbers.\Availability From:\ URL
1 สัป ดาห์
3 สัปดาห์
3 สัป ดาห์
2 สัป ดาห์
ใบสมัครสมาชิกวารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี
วันที่สมัคร .............................................
ข้าพเจ้า นาย/นาง/นางสาว ........................................ สกุล ................................. อาชีพ ...................................
ที่อยู่ (สำ�หรับจัดส่งวารสาร) เลขที่ ............... ถนน ..................................... แขวง/ตำ�บล ....................................
เขต/อำ�เภอ ............................................ จังหวัด .......................................... รหัสไปรษณีย์ ................................
โทรศัพท์............................................. โทรสาร ........................................ e-mail ………………………………...
มีความประสงค์สมัครเป็นสมาชิก อัตราค่าสมาชิก
วารสารวิศวกรรมศาสตร์ ราชมงคลธัญบุรี ........ ปี 1 ปี 2 ฉบับ 120 บาท (สำ�หรับบุคคลทั่วไป)
80 บาท (สำ�หรับนักศึกษา)
ต่ออายุสมาชิก ........ ปี 1 ปี 2 ฉบับ 120 บาท (สำ�หรับบุคคลทั่วไป)
80 บาท (สำ�หรับนักศึกษา)
I promise this article belongs to me and co-authors as the name indicated in the
article. In addition, this article has not been previously published on another journal.
Furthermore, I will not submit this article on another journal within 60 days from the day of
my submission on the JOURNAL OF ENGINEERING, RMUTT.
Sign..................................................................
(..................................................................................)
...................../....................../.....................