You are on page 1of 27

บทเพลง Concert Etudes No.

3 Db Major ประพันธ์โดย Franz Liszt


แนวทางการวิเคราะห์
1. การบรรยายภาพรวมโดยทั่วไป
1.1 ประวัติผู้ประพันธ์

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/ฟรันทซ์_ลิสท์#/media/
ไฟล์:Franz_Liszt_by_Adolphe_Braun_c1860-1877

Franz Liszt (ฟรันทซ์ ลิสท์ ) เป็น ผู้ประพันธ์ ครูสอนดนตรี ผู้เรียบเรียงเสียงประสาน นัก


ออร์แกน และนักเปียโน สัญชาติ Hungarian Liszt เกิดที่เมือง Raiding ประเทศ Austria เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
ค.ศ. 1811 และเสียชีวิตที่เมือง Bayreuth ประเทศ Germany เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1886 รวมอายุ
74 ปี Franz Liszt (ฟรันทซ์ ลิสท์) เป็นคีตกวียุค Romantic
Franz Liszt เป็นลูกชายของ Adam Liszt เป็นนักดนตรีสมัครเล่นที่ฝีมือดีและเป็นข้ าราช
บริพารรับใช้เจ้าชายฮังการี Adam เป็นนักเชลโล่ในวงออร์เคสตราของวัง และ Adam มักจะเล่นเปียโนที่บ้าน
ขณะ Franz Liszt อายุได้ 6 ขวบ เขาได้ฟังการบรรเลงเปียโนของพ่อของเขาอย่างใกล้ชิด และพ่อเขาได้เริ่ม
สอนเปียโนให้เมื่ออายุ 7 ขวบ Franz Liszt เริ่มต้นการประพันธ์เพลงและบรรเลงดนตรีต่อที่สาธารณะเมื่อเขา
อายุได้ 8 ปี
ใน ค.ศ. 1821 ครอบครัวของลิสต์ย้ายไปที่กรุงเวียนนา Liszt ได้ศึกษาดนตรีกับนักดนตรีที่มี
ชื่อเสียงเช่น Czerny และ Salieri ผู้อำนวยการเพลงที่วังของกรุงเวียนนา ในปี ค.ศ. 1823 Liszt ได้พบกับ
Beethoven และ Beethoven ได้เข้ามาจูบที่บนหน้าผากของ Liszt
Liszt เป็นคนแรกที่นำลักษณะการบรรเลงเดี่ยวเปียโน (piano recital) มาใช้ Liszt ใช้เวลาส่วน
ใหญ่ในการตระเวณแสดงการเดี่ยวเปียโนไปทั่วยุโรป Liszt เป็นนักเปียโนที่ยอดเยี่ยมและมีผลงานการบรรเลงที่
น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ชมเขาพยายามทำให้เปียโนมีเสียงเหมือนมีวงดนตรีทั้งวงทำให้เขามีประสบการณ์ชีวิต
มากมายทั้งเรื่องดีและไม่ดี มีคนรู้จักและได้รู้จักผู้คนทั้งนักดนตรีเอกของโลกหลาย ๆ ท่านและได้แสดงความ
สามรถต่อ หน้ า สาธารณชนมากมาย ทั้งยัง เป็น ผู ้ ที ่ ผู ้ จั ด ตั ้ง สถาบั นดนตรี ที ่ม ี ชื ่อ เสี ยงระดั บ โลกคื อ Liszt
Academy of Music ณ นครบูตาเปชต์ ลิสซต์เป็นนักรักตัวฉกาจจนได้รับสมญาว่า “ดอนฮวน” (Don Juan)
หรือจะเรียกเขาว่า “คาซาโนว่า” (Casanova) แห่งฮังการีก็ไม่ผิดนัก (ไพบูลย์ กิจสวัสดิ์,2535:124)
ในปี ค.ศ 1842 Liszt เริ่มลดการบรรเลงเดี่ยวเปียโนลง และเริ่มมุ่งเน้นด้านการประพันธ์ เพลง
เพิ่มขึ้น พร้อมกับทำหน้าที่กำกับวงดนตรีไปพร้อมกัน Liszt มีเอกลักษณ์ในการแต่งเพลงเป็นของตัวเอง ได้
นำเอาเทคนิคที่เรียกว่า “transformation of themes” มาใช้ในการแต่งเพลง ด้วยการให้นำทำนองสั้นๆมา
บรรเลงซ้ำ แต่มีการเปลี่ยนแปลงด้านเสียงประสาน ลีลาจังหวะ และองค์ประกอบอื่นๆออกไปเพื่อให้เกิดสีสัน
เพิ่มมากขึ้น
ในบั้นปลายชีวิตคือตั้งแต่ ค.ศ. 1880 -1885 เขาได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจในการเป็นครู
และในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งสิ้นเช่น Felix Weingartner, Moriz
Rosenthal, Frederic Lamond, Emil Sauer และ Alexander Siloti นอกจากนี้ยังมีสตรีชาวรัสเซียอีกคน
ชื่อ Baroness Olga Meyondoff (Princess Gorstchakow)
จากการท่องเที่ยวและตรากตรำในการงานมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียไปทั่ว
สรรพางค์กาย และโรคภัยไข้เจ็บเริ่มเบียดเบียนวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1886 ขณะที่พำนักอยู่กับลูกสาว ณ
เมือง Bayreuth ประเทศ Germany เขาได้ป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรงและนิวมอเนีย (Pneumonia) เข้าแทรก
จึงทำให้เขาถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1886 รวมอายุ 75 ปี ศพของ Liszt ถูกฝังไว้ ณ
เมือง Bayreuth
ผลงานที่มีชื่อเสียงของ Liszt คือ Piano Concerto No.1 in E flat Allegro maestoso
1830-49, Symphonic poem No.3 1848, Hungarian Rhapsody No. 2 1885 เป็นต้น
1.2 ประวัติความเป็นมาของบทเพลง
Concert Etudes No.3 Db Major ประพันธ์โด Franz Liszt บทเพลงนี้อยู่ในยุค Romantic
ซึ่ง ถูกประพันธ์ขึ้นในปีค.ศ. 1845-1849 โดยเพลง Concert Etudes No.3 นี้เป็น 1 ใน 3 ของ Concert
Etudes ที่ Liszt ได้ประพันธ์ขึ้นมา โดยมีชื่อเรียก Concert Etudes No.3 ว่า Un sospiro ซึ่งภาษาอิตาเลียน
แปลว่า ถอนหายใจ โดยเพลงนี้เป็นเพลงแบบฝึกหัดสำหรับเปียโน และบ่อยครั้งที่จะได้ยินเพลงนี้ในภาพยนต์
หลายเรื่อง ซึ่งเรื่องล่าสุดก็คือเรื่อง The Greem Hornet ในปี 2011 ในฉากที่ Kata เล่น piano ในคราที่ออก
เดทกับ Lenore หนแรก
2. การวิเคราะห์บทเพลง
2.1 สังคีตลักษณ์ของบทเพลง (Form)
สังคีตลักษณ์เปรียบเหมือนฉันท์ลักษณ์ในวรรณคดี ฉันท์ลักษณ์ในวรรณคดีเป็นโครงสร้างทาง
ร้อยกรองที่แยกแยะ โครง ฉันท์ กาพย์ กลอน ให้มีความแตกต่างกัน สังคีตลักษณ์ในดนตรีก็เช่นกัน มีโครงสร้าง
ที่ยึดถือได้เป็นแบบอย่าง โดยมีทำนองแลกุญ แจเสียงเป็นตัวแปรสำคัญ ในการกำหนดโครงสร้างของสัง คี ต
ลักษณ์เหล่านี้ เช่น สังคีตลักษณ์สองตอน สังคีตลักษณ์สามตอน สังคีตลักษณ์รอนโด สังคีตลักษณ์โซนาตา
นอกเหนือจากสังคีตลักษณ์ดังกล่าวแล้ว ยังมีกระบวนการทางการประพันธ์แบบอื่น ๆ ที่อนุโลม เรียกว่า สังคีต
ลักษณ์ เช่น สังคีตลักษณ์ทำนองหลักและการแปร และรูปแบบที่ไม้จัดอยู่ในกลุ่มทีเรียกว่าสังคีตลักษณ์แต่ก็มี
กระบวนการประพันธ์ ที่ถือเป็นบรรทัดฐานได้ เช่น บทประพันธ์เพลงประเภทฟิวก์ แต่บางเพลงก็อาศัยสังคีต
ลักษณ์ 2 แบบมาผสมผสานกัน เช่น สังคีตลักษณ์โซนาตารอนโด สังคีตลักษณ์สามตอนแบบผสม เป็นต้น และ
ก็มีเพลงบางประเภทต้องใช้สังคีตลักษณ์มาผสมผสานกับรูปแบบการจัดวงดนตรี เช่น คอนแชร์โต เป็นต้น ผู้
วิเคราะห์ต้องใช้วิจารณญาณประกอบกับความรู้ด้านทฤษฎีดนตรีและประวัติดนตรีในการที่จะวินิจฉัยว่า บท
เพลงนั้น ๆ มีแง่มุมใดที่น่าสนใจแก่การวิเคราะห์ในแง่มุมอื่น ๆ ฉะนั้ น ก่อนที่จะเริ่มวิเคราะห์เพลง สิ่งที่สำคัญ
ที่สุด คือต้องรู้ว่า เพลงนั้นมีจุดสนใจอยู่ที่ไหน ควรให้ความสำคัญกับอะไรในการวิเคราะห์ ควรกล่าวเน้นถึง
เรื่องอะไรมากน้อยเพียงไร ควรลงลึกถึงรายละเอียดในเรื่องใดบ้าง บทวิเคราะห์และข้อคิดต่าง ๆ ต้องมีเหตุผล
และหลักการทฤษฎีรองรับ เพื่อแสดงถึงคุณค่าเชิงวิชาการของบทเพลงนั้น ๆ อย่างแท้จริง
บทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major ประพันธ์โดย Franz Liszt อยู่ในโครงสร้าง
สังคีตลักษณ์ Sonata Form มีทั้งหมด 83 ห้อง ความยาวของบทเพลงเป็นเวลา 5.20 นาที โดยบทเพลง
Concert Etudes No.3 Db Major นี้ แบ่งท่อนได้เป็น 3 ท่อนหลักๆ ได้แก่
ท่อน 1 (Exposition) ห้องที่ 1-21 จำนวน 21 ห้อง โดยมีความยาวของท่อนเป็นเวลา 1.08
นาที
ท่อน 2 (Development) ห้องที่ 22-55 จำนวน 34 ห้อง โดยมีความยาวของท่อนเป็นเวลา
1.52 นาที
ท่อน 3 (Recapitulation) ห้องที่ 56-83 จำนวน 28 ห้อง โดยมีความยาวของท่อนเป็นเวลา
2.20 นาที
2.2 วิเคราะห์ทำนอง
2.2.1 ช่วงเสียง ( Range )
ท่อน 1 (Exposition)
ในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major ท่อน 1 (Exposition) นั้นจะมีช่วงเสียงต่ำสุด
และสูงสุดอยู่หลายช่วง เสียงที่ต่ำสุดคือเสียงตัว G# ซึ่งอยู่ใต้เส้นน้อยเส้นที่ 3 ด้านล่าง ส่วนช่วงเสียงที่สูงสุดคือ
ตัว B ซึ่งอยู่ในเส้นน้อยเส้นที่ 5 ด้านบน ระยะห่างระหว่างโน้ตต่ ำสุดกับโน้ตสูงสุดคือระยะขั้นคู่ นับเป็นช่วงคู่
แปดได้ ห้าช่วงคู่แปดกับอีก คู่สาม ไมเนอร์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 1
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 19-20

ท่อน 2 (Development)
ในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major ท่อน 2 (Development) นั้นจะมีช่วงเสียง
ต่ำสุดและสูงสุดอยู่หลายช่วง เสียงที่ต่ำสุดคือเสียงตัว F ซึ่งอยู่เส้นน้อยเส้นที่ 4 ด้านล่าง ส่วนช่วงเสียงที่สูง สุด
คือ ตัว A ซึ่งอยู่ในบนเส้นน้อยเส้นที่ 4 ด้านบน ระยะห่างระหว่างโน้ตต่ำสุดกับโน้ตสูงสุดคือระยะขั้นคู่ นับเป็น
ช่วงคู่แปดได้ ห้าช่วงคู่แปด กับอีก คู่สาม เมเจอร์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รูปภาพประกอบที่ 2
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 34

ท่อน 3 (Recapitulation)
ในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major ท่อน 3 (Recapitulation) นั้นจะมีช่วงเสียง
ต่ำสุดและสูงสุดอยู่หลายช่วง เสียงที่ต่ำสุดคือเสียงตัว Db ซึ่งอยู่ในเส้นที่ 5 ส่วนช่วงเสียงที่สูงสุดคือ ตัว Ab ซึ่ง
อยูบ่ นเส้นน้อยเส้นที่ 4 ด้านบน ดังนั้นระยะห่างระหว่างโน้ตต่ำสุดกับโน้ตสูงสุดคือระยะขั้นคู่ นับเป็นช่วงคู่แปด
ได้ ห้าช่วงคู่แปด กับอีก คู่หก เมเจอร์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 3
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 65 และห้องที่ 82-83

2.2.2 ขั้นคู่ ( Interval )


การดำเนินทำนองว่าเป็นการเคลื่อนจากโน้ตตัวหนึ่งไปตัวหนึง่ มีการขยับมากน้อยเพียงใดด้วย
วัดจาก การนับขั้นคู่
2.2.2.1 การเคลื่อนทำนองแบบตามขั้น
การเคลื่อนทำนองแบบตามขั้น ( Conjunct motion ) เคลื่อนทำนองจากตัวโน้ ต
ด้วยตัวหนึ่ง ไปยังอีกตัวหนึ่งเป็นคู่ 2 ซึ่งหมายรวมถึงการซ้ำโน้ตหรือคู่ 1 เพอร์เฟค
ท่อน 1 (Exposition) เมื่อพิจารณาแล้ว ไม่ พบการเคลื่อนทำนองแบบตามขั้น (
Conjunct motion )
ท่อน 2 (Development) ตัวอย่างที่เห็นชัดในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db
Major นี้ อยู่ในห้องที่ 55 เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วทำนองนี้ถือเป็นการ เคลื่อนที่ทำนองแบบตามขั้นดัง รูป
ต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 4
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 55

ท่อน 3 (Recapitulation) ตัวอย่างที่เห็นชัดในบทเพลง Concert Etudes No.3


Db Major นี้ อยู่ในห้องที่ 56 เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วทำนองนี้ถือเป็นการ เคลื่อนที่ทำนองแบบตามขั้นดังรูป
ต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 5
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 56

2.2.2.2 การเคลื่อนทำนองแบบข้ามขั้น
การเคลื่อนทำนองแบบข้ามขั้น ( Disjunct motion ) การเคลื่อนทำนองจากโน้ตตัว
หนึ่งไปยังโน้ตอีกตัวหนึ่ง เป็นคู่ 3 หรือกว้างกว่าคู่ 3 การขยับข้ามขั้น ซึ่งเรียกว่าขั้นคู่กระโดด มักนำหน้าหรือ
ตามหลังด้วยการขยับเพียงขั้นเดียวในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อให้เกิดสมดุล
ท่ อ น 1 (Exposition) ตั ว อย่ า งที ่เ ห็นชั ด ในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db
Major นี้ มักมีการเคลื่อนที่แบบข้ามขั้นอยู่หลายที่ ดังนั้นจึงได้ยกตัวอย่างมาในห้องที่ 21 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 6
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 21

ท่อน 2 (Development) ตัวอย่างที่เห็นชัดในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db


Major นี้ มักมีการเคลื่อนที่แบบข้ามขั้นอยู่หลายที่ ดังนั้นจึงได้ยกตัวอย่างมาในห้องที่ 49-50 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 7
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 49-50

ท่อน 3 (Recapitulation) ตัวอย่างที่เห็นชัดในบทเพลง Concert Etudes No.3


Db Major นี้ มักมีการเคลื่อนที่แบบข้ามขั้นอยู่หลายที่ ดังนั้นจึงได้ยกตัวอย่างมาในห้องที่ 59-60 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 8
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 59-60
2.2.2.3 ทิศทาง
การดำเนินทำนองจากโน้ตตัวหนึ่งไปยังโน้ตตัวถัดไป มีอยู่ 3 ทิศทาง คือ ทิศทางขึ้น
ถ้าโน้ตตัวหลังมี ระดับเสียงสูงกว่า หรือทิศทางลงถ้าโน้ตตัวหลังมีระดับเสียงต่ ำกว่า แต่ถ้าโน้ตย้ำอยู่ที่ระดับ
เสียงเดิมก็เรียกว่า ทิศทางคงที่
ทิศทางขึ้น ทำนองที่มีทิศทางขึ้นมักมีการดำเนินทำนองจากโน้ตตัวหนึ่งไปยังโน้ตอีก
ตัวหนึ่งในทางขึ้นบ้างลงบ้าง แต่จะมีทิศทางขึ้นบ่อยกว่า หรืออาจมีขั้นคู่กระโดดขึ้นหลายครั้งกว่าขั้นคู่กระโดด
ลง แต่ทำนองที่ดีไม่ว่าของชาติใดภาษาใด ควรมีทิศทางที่ชัดเจน
ท่อน 1 (Exposition) จะเห็นว่าทำนองมีทิศทางขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าทำนองจะ
มีการหักลงบ้างในระหว่างทาง ทำนองเริ่มต้นที่ Ab บนเส้นบรรทัดที่ 2 และดำเนินสูงไปจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย F
บนเส้นบรรทัดเส้นน้อยที่ 3 ในห้องที่ 13-14 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 9
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 13-14

ท่อน 2 (Development) จะเห็นว่าทำนองมีทิศทางขึ้นอย่างเห็นได้ ชัด ทำนอง


เริ่มต้นที่ G ซึ่งอยู่เส้นน้อยเส้นที่ 2 และดำเนินสูงไปจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย A ซึ่งอยู่บนเส้นน้อยเส้นที่ 1 ด้านบน
ในห้องที่ 43-44 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 10
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 43-44
ท่อน 3 (Recapitulation) จะเห็นว่าทำนองมี ท ิศ ทางขึ ้นอย่ างเห็นได้ ช ั ด แม้ ว่ า
ทำนองจะมีการหักลงบ้างในระหว่างทาง ทำนองเริ่มต้นที่ Ab ในเส้นน้อยบรรทัดที่ 2 ด้านล่างและดำเนินสูงไป
จนถึงโน้ตตัวสุดท้าย Db บนเส้นบรรทัดเส้นน้อยที่ 2 ด้านบน ในห้องที่ 62 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 11
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 62

ทิศทางลง ทำนองที่มีทิศทางลงจะมีการเคลื่อนทำนองจากโน้ตตัวหนึ่งไปยังโน้ตอีก
ตัวหนึ่ง ในทิศทางลงบ้างขึ้นบ้างเช่นกัน แต่จะมีทิศทางลงบ่อยครั้งมากกว่า
ท่ อ น 1 (Exposition) ทำนองมี ท ิ ศ ทางลงอย่ า งเห็ น ได้ ช ั ด แสดงให้ เ ห็ น ถึ ง การ
เคลื่อนที่ในทิศทางลงจาก โน้ต Eb ไปจนถึงโน้ตตัว Bb ในห้องที่ 7 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 12
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 7

ท่อน 2 (Development) ทำนองมีทิศทางลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีทิศทางขึ้นบ้าง


แต่เมื่อวิเคราะห์จากแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ในทิศทางลงจาก โน้ต A บนเส้นน้อยบรรทัดที่ 4 ด้านบนไป
จนถึงโน้ตตัว A ในเส้นน้อยบรรทัดที่ 2 ด้านล่าง ในห้องที่ 34 ดังรูปต่อไปนี้
รูปภาพประกอบที่ 13
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 34

ท่อน 3 (Recapitulation) ทำนองมีทิศทางลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะมีทิศทางขึ้นบ้าง


แต่เมื่อวิเคราะห์จากแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ในทิศทางลงจาก โน้ต F บนเส้นน้อยบรรทัดที่ 3 ด้านบนไป
จนถึงโน้ตตัว Bb ใต้เส้นน้อยบรรทัดที่ 1 ด้านล่าง ในห้องที่ 57 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 14
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 57

ทิศทางคงที่ ทำนองจำนวนไม่น้อย ทิศทางคงที่ คือไม่มีทิศทางชัดเจนว่าขึ้นหรือลง


ซึ่งจะพบทำนองทิศทางคงที่ ท่อน 2 (Development) ทำนองมีทิศทางคงที่อย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงการ
เคลื่อนที่ในทิศทางคงที่ โน้ต D ไปจนถึงโน้ตตัว Bb ในห้องที่ 31 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 15
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 31
2.2.2.4 โน้ตประดับ
โน้ตประดับเป็นสิ่งที่เพิ่มชีวิตชีวาให้กับทำนองเพลง โน้ตประดับตัวเดียวสามารถ
สร้างความสนใจได้ไม่น้อย โน้ตประดับเปรียบเสมือนเครื่องประดับของผู้หญิง ต้องใช้ในการที่เหมาะสม ไม่ใช้
มากจนเกินไป
ท่อน 1 (Exposition) จะมีโน้ตประดับอยู่ ซึ่งจะมีโน้ตประดับ เขบ็ต 1 ชั้น ดังนั้นจะ
ขอ ยกตัวอย่างห้องที่ 11 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 16
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 11

ท่อน 2 (Development) จะมีโน้ตประดับอยู่ ซึ่งจะมีโน้ตประดับ เขบ็ต 1 ชั้น ดังนั้น


จะขอ ยกตัวอย่างห้องที่ 25 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 17
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 25

ท่อน 3 (Recapitulation) จะมีโน้ตประดับอยู่ ซึ่ง จะมีโน้ตประดับ เขบ็ต 3 ชั้น


ดังนั้นจะขอ ยกตัวอย่างห้องที่ 77 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 18
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 77
2.2.2.5 การวิเคราะห์จังหวะ
อัตราจังหวะ ( Meter )
อัตราจังหวะ อันได้แก่ อัตราจัง หวะสอง อัตราจัง หวะสาม อัตราจัง หวะสี่ อัตรา
จังหวะธรรมดา อัตราจังหวะผสม และอัตราจังหวะซ้อน เป็นตัวชี้น ำเรื่องความคิดทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวกับ
จังหวะของเพลง เครื่องหมายประจำจังหวะที่อยู่ถัดจากกุญแจและเครื่องหมายประจากุญแจเสียงในช่วงต้น
เพลง จะแสดงถึง อัตราจังหวะ
ชีพจรจังหวะ โดยหลักการแล้ว อัตราจังหวะเป็นตัวกาหนดชีพจรจังหวะหรือการเน้น
จังหวะตามธรรรมชาติ ซึ่งในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major มีการใช้อัตราจังหวะอยู่ 1 จังหวะ
ได้แก่ อัตราจังหวะ 4/4
ท่อน 1 (Exposition) มีอัตราจังหวะ 4/4 ซึ่งเป็นอัตราจังหวะสี่ธรรมดา จึงมี 4 ชีพ
จรจังหวะ ซึ่งโดยปกติแล้วจังหวะที่ 1 และ 3 จะเป็นจังหวะที่หนักและสำคัญ ส่วนจังหวะที่ 2 และ 4 จะ เป็น
จังหวะเบา ยกตัวอย่างในห้องที่ 1 ทุกจังหวะที่เป็นจังหวะตกมีความหนักเพราะจะทำให้เพลงรู้สึกมีพลัง ดังรูป
ต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 19
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 1

ท่อน 2 (Development) มีอัตราจังหวะ 4/4 จึงมี 4 ชีพจรจังหวะ ซึ่งโดยปกติแล้ว


จังหวะที่ 1 และ 3 จะเป็นจังหวะที่หนักและสำคัญ ส่วนจังหวะที่ 2 และ 4 จะ เป็นจังหวะเบา ยกตัวอย่างใน
ห้องที่ 24 ทุกจังหวะที่เป็นจังหวะตกมีความหนักเพราะจะทำให้เพลงรู้สึกมีพลัง ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 20
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 24
ท่อน 3 (Recapitulation) มีอัตราจังหวะ 4/4 ซึ่งเป็นอัตราจังหวะสี่ธรรมดา จึงมี 4
ชีพจรจังหวะ ซึ่งโดยปกติแล้วจังหวะที่ 1 และ 3 จะเป็นจังหวะที่หนักและสำคัญ ส่วนจังหวะที่ 2 และ 4 จะ
เป็นจังหวะเบา ยกตัวอย่างในห้องที่ 56-57 ทุกจังหวะที่เป็นจังหวะตกมีความหนักเพราะจะทำให้เพลงรู้สึกมี
พลัง ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 21
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 56-57

2.2.2.5 การวิเคราะห์ประโยคเพลง
บทเพลงแต่ละบทประกอบด้ วย ประโยคหลายประโยคมาเรี ยงต่อ กันจนสิ ้ น สุ ด
กระบวนการ เพลงไม่ว่าจะสั้นหรือยาวเพียงใด ก็สามารถตัดย่อยเพลงออกเป็นประโยคได้ ในประโยคเพลงจะมี
ความคิดที่จะจบภายในตัวเอง แต่ละประโยคยังสามารถย่อยลงไปหน่วยทำนองต่างๆ
หน่วยทำนอง
ทำนองเพลงซึ่งประกอบไปด้วยประโยคเพลงอย่างน้อย 1 ประโยค สามารถซอยย่อย
เป็น หน่วยทำนองสั้นๆได้ หน่วยทำนองเหล่านี้มีบทบาทและความสำคัญไม่เท่ากัน อาจแบ่งหน่วยทานองได้
ออกเป็น 2 ประเภท
หน่วยทำนองย่อยเอก ( Motive ) คือหน่วยที่เล็กที่สุดของทำนองและมีความสำคัญ
ในการผูกเพลงทั้งหมดหรือในช่วงหนึ่งอันเดียวกัน หน่วยทำนองย่อยเอกมักปรากฏเป็นอีกระยะๆ ในรูปแบบที่
เหมือนเดิมหรือแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตัวอย่างที่เห็นชัดในบทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major ที่มี
หน่วยทำนองย่อยเอก ( Motive ) ที่มักจะปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะ ยกตัวอย่างในท่อนที่ 1 ดังรูปต่อนี้

รูปภาพประกอบที่ 22
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 3-4
หน่ ว ยทำนองย่ อ ยรอง ( Figure ) เป็ น หน่ ว ยย่ อ ยของทำนองเช่ น กั น แต่ ไ ม่ มี
ความสำคัญเท่ากับหน่วยทำนองเอก มักมีลักษณะการขึ้นลงของทำนองรวมถึงลักษณะจังหวะที่น่าสนใจ อาจมี
ความสำคัญ เพียง ชั่วขณะและมีผลกับการพัฒนาเพลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่ง ในเพลง Nocturne in C-
sharp minor มักพบหน่วยทำนองย่อยรองได้หลายประเภทครั้งในบทเพลงนี้ ดังนั้นจะขอยกตัวอย่างหน่วย
ทำนองย่อยรองประเภท Sequence (การซ้ำส่วนทำนองก่อนหน้าเป็นลำดับขั้นคู่ ) (กรอบสีฟ้า) และประเภท
Repetition (การซ้ำส่วนทำนองก่อนหน้า) (กรอบสีแดง) ในห้องที่ 13-14 ดังรูปต่อไปนี้

รูปภาพประกอบที่ 23
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 13-14

2.2.2.5 การพักประโยค (Cadence)


การพักประโยค (Cadence) คือ ท่อนจบของประโยคเพลงในแต่ละท่อน ซึ่ง สิ่งที่บ่ง
บอกชนิดของเคเดนซ์คือ คอร์ด 2 คอร์ดสุดท้าย ถ้าทราบว่า 2 คอร์ดสุดท้ายคือคอร์ดอะไรบ้าง ก็จะทำให้ทราบ
ชนิดของเคเดนซ์ น้ำหนักของการดำเนินคอร์ดจากคอร์ดแรกไปเป็นตัวกำหนดน้ำหนักของเคเดนซ์ นักแต่ง
เพลงในยุคโรแมนติก นิยมเคเดนซ์ที่มีน้ำหนักเบาลง ต่างจากนักแต่งเพลงในยุคบาโรก และคลาสสิกที่ชอบใช้เค
เดนซ์ที่มีความหนักแน่นในการจบประโยค จบตอน จบท่อน หรือจบเพลงเคเดนซ์ชนิดต่างๆจะมีน้ำหนั ก
ลดหลั่นตามลำดับจาก
บทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major จะพบการพักประโยคอยู่ 2 ประเภท
ได้แก่ Perfect Authentic Cadence (AC) ซึ่งพบในบทเพลงตามท่อน ดังนี้
พบการพักประโยค (Cadence) ของบทเพลงนี้ในท่อน 3 (Recapitulation) พบการ
พักประโยคปิด ประเภทปิดสมบูรณ์ หรือ Perfect Authentic Cadence (PAC) ห้องที่ 80-83 ประกอบด้วย
คอร์ดที่ vii˙ คือคอร์ด Cdim (กรอบสีฟ้า) และคอร์ดที่ I คือคอร์ด Db Major (กรอบสีแดง)
รูปภาพประกอบที่ 24
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 80-83

2.2.2.6 บันไดเสียง หรือ คีย์ของเพลง (Key Signature)


เครื่องหมายประจำกุญแจเสียง หรือเครื่องหมายกำหนดบันไดเสียง หรือเครื่องหมาย
ตั้งบันไดเสียง (Key Signature) คือชุดของเครื่องหมายชาร์ปหรือแฟลตที่ได้ถูกบันทึกไว้ตอนต้นของบทเพลง
ต่อจากกุญแจและอยู่ก่อน ตัวเลขกำกับจังหวะ หรือเครื่องหมายประจำจังหวะ หรือเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
(Time Signature) เพื่อบอกให้รู้ว่าโน้ตเพลงที่บันทึกไว้นั้นอยู่ในกุญแจเสียง(คีย์)ใด
บทเพลง Concert Etudes No.3 Db Major มีการใช้คีย์หรือบันไดเสียงทั้งหมด 1
บันไดเสียง ได้แก่
1. บันไดเสียง Db Major ซึ่งเป็นบันไดเสียงหลักของบทเพลง ซึ่งจะพบอยู่ในท่อน 1
(Exposition) ท่อน 2 (Development) และ ท่อน 3 (Recapitulation) ยกตัวอย่างบันไดเสียง Db Major ใน
ห้องที่ 1-2 ดังรูป

รูปภาพประกอบที่ 25
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 1-2
2. บันไดเสียง A Major ซึ่งจะพบอยู่ในท่อน 2 (Development) ยกตัวอย่างบันได
เสียง A Major ในห้องที่ 19-20 ดังรูป

รูปภาพประกอบที่ 26
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 19-20

3. บันไดเสียง E Major ซึ่งจะพบอยู่ในท่อน 2 (Development) ยกตัวอย่างบันได


เสียง E Major ในห้องที่ 41-42 ดังรูป

รูปภาพประกอบที่ 27
Concert Etudes No.3 Db Major ห้องที่ 41-42
ภาคผนวก
บรรณานุกรม

กิตติคุณ จันทร์เกษ . (2562). เทคนิคการเคลื่อนที่ของทำนอง. เอกสารประกอบการสอนวิชา Forms


and Analysis of Western Music, มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ณัชชา พันธุ์เจริญ. (2560). สังคีตลักษณ์และการวิเคราะห์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหำนคร:
สำนักพิมพ์เกศกะรัต, 221 หน้า.
ประวัติผู้ประพันธ์เพลง. (สุธนท์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://banksuton.wordpress.com/ประวัติผปู้ ระพันธ์/. (วันที่ค้นข้อมูล : 19 พฤศจิกายน 2564)
Franz Liszt : ฟรานซ์ ลิสต์. (Mr.Jirawat). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://sites.google.com/site/mrjisclassroom/prawati-sangkhit-kwi-laea-phl-ngan/franz-liszt .
(วันที่ค้นข้อมูล : 19 พฤศจิกายน 2564)
Franz Liszt Un Sospiro . (พลวิทย์). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://www.rakbankerd.com/blog/view.php?id=4#blog_content .(วันที่ค้นข้อมูล : 19 พฤศจิกายน
2564)

You might also like