Professional Documents
Culture Documents
รวมเล่มโปรเจค
รวมเล่มโปรเจค
่ นเปื้ อนสารเคมีอะลา
คอร์
ปาณิสรา จันทรวิทุร
รหัสนักศึกษา 610610204
รายงานฉบับนีเ้ ป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ปริญญาวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต
สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาควิชา วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
การศึกษาตามหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต
คณะกรรมการสอบ
…………………………………………………… ประธานกรรมการ
…………………………………………………… กรรมการ
…………………………………………………… หัวหน้าภาควิชา
วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคุณภาควิชาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ขอขอบพระคุณเจ้าหน้าที่คณะวิศกรรมศาสตร์ทุกๆท่าน ที่ช่วย
อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัย รวม
ถึงให้คำปรึกาในการทำปฎิบัติการ
ปาณิสรา จันทรวิทุร
ข
บทคัดย่อ
จากการศึกษาครัง้ นีม
้ ีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของอะลา
คอร์ที่มีต่อลักษณะสมบัติดินที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช โดยทำการทดสอบ
จค
สารบัญ
เรื่อง
หน้า
กิตติกรรมประกาศ
ก
บทคัดย่อ ข
สารบัญเรื่อง
ค
สารบัญตาราง
จ
สารบัญรูปภาพ
ฉ
สารบัญกราฟ
ช
บทที่ 1 บทนำ
1
1.1 ที่มาและความสำคัญ
1
1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา
2
1.3 ขอบเขตการวิจัย
2
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
2
บทที่ 2 ทฤษฎีและสรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้อง
3
2.1 สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
3
2.2 ชนิดของสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืช
4
2.5 อินทรียวัตถุในดิน
9
2.6 ค่าพีเอชของดิน
18
2.7 ความชื้นในดิน
19
จง
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ
20
3.1 สารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
20
3.2 ขัน
้ ตอนการทดลอง
20
บทที่ 4 ผลการทดลองและวิจารณ์ผลการทดลอง
26
4.1 ปริมาณอินทรีย์คาร์บอน
26
4.2 ค่าพีเอชของดิน
28
4.3 ค่าความชื้นของดิน
30
บทที่ 5 สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ
35
5.1 สรุปผลการทดลอง
35
5.2 ข้อเสนอแนะ
35
บรรณานุกรม
36
ภาคผนวก
จ
สารบัญตาราง
ตารางที่
หน้า
สารบัญรูปภาพ
รูปภาพที่
หน้า
2.2 ความอุดมสมบูรณ์ของดินแบ่งตามปริมาณอินทรีย์วัตถุในดิน
18
3.1 สารเคมีที่เตรียมไว้เพื่อใช้ในการทดลอง
21
3.5 เมื่อเติมสาระลายเติมสารละลายมาตรฐานโปแตสเซียมไดโคร
เมต(K2Cr2O7)ลงไปในดินที่ชั่งเตรียมไว้ 22
สารบัญกราฟ
กราฟที่
หน้า
บทที่ 1
บททำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
ในปั จจุบันนัน
้ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยว่า เกษตรกรบางกลุ่มก็
ยังมีความจำเป็ นที่จะต้องใช้ยากำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้าอยู่อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุผลอะไรหลายประการ ส่วนใหญ่ต้องการผลิตผลที่มีลักษณะ
สวยงาม ไม่มีร่องรอยการถูกทำลาย มีคุณภาพตรงตามความต้องการของ
ตลาด และเกษตรกรมีความประสงค์ที่จะจำหน่ายผลิตผลให้ได้ราคาสูง
และเพื่อเป็ นหลักประกันว่าผลผลิตจะไม่เสียหาย จึงทำให้เกษตรกรมี
ความจำเป็ นจะต้องใช้สารเคมีประเภทนีอ
้ ยู่ เพราะการเพาะปลูกพืชผัก
และผลไม้ทางการเกษตรนัน
้ คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากว่าวัชพืชจะไม่ขน
ึ ้ หรือ
มีเลยในแปลงเกษตร การใช้ยาฆ่าหญ้าหรือยากำจัดวัชพืชก็เป็ นอีกทาง
เลือกเพื่อให้ได้ผลเร็วและเห็นผลในทันที
ในขณะเดียวกันดินที่ถูกปนเปื้ อนสารกำจัดวัชพืชเหล่านัน
้ มักจะพบ
สารเคมีสะสมอยู่บริเวณหน้าดินที่มีความลึก 1-2 นิว้ ส่วนใหญ่อนุภาคดิน
จะดูดซึมได้ดี และเมื่อโครงสร้างของเดินเสื่อมโทรม เช่น ขาดธาตุอาหาร
มีสารพิษเจือปน รวมทัง้ สภาพดินเค็ม สภาพดินเป็ นกรด และปั จจัยอื่นที่มี
ผลต่อความเสื่อมโทรมทรัพยากรดิน และที่สำคัญมากกว่านัน
้ ยิ่งเกษตรกร
มีความถี่ในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชมาก จะทำให้อินทรีย์วัตถุในดินรวมถึง
สิ่งมีชีวิตในดินถูกทำลาย เนื่องจากองค์ประกอบส่วนใหญ่ของสารเคมี
ทำให้คุณสมบัติของดินเปลี่ยนแปลง ทัง้ ความเป็ นกรด-ด่าง และสภาพ
ทางกายภาพของดินมีผลต่อจุลินทรีย์ในดินซึ่งเป็ นตัวการที่ทำให้เกิดการ
2
ผู้จัดทำจึงได้ทำการศึกษาลักษณะของดินโดยการหาค่าอินทรีย์วัตุใน
ดิน (soil organic matter) เพื่อเปรียบเทียบดินที่ไม่มีสารเคมีปนเปื้ อน
และดินที่มีสารเคมีปนเปื้ อนอะลาคอร์ในการปลูกพืชและไม่ปลูกพืชว่า
ลักษณะสมบัติของดินเปลี่ยนแปลงหรือไม่อย่างไรและนำข้อมูลที่ได้มา
วิเคราะห์
1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1.2.1 เพื่อศึกษาผลกระทบของสารเคมีอะลาคอร์ที่มีต่อลักษณะ
สมบัติดินที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช
1.2.2 เพื่อศึกษาว่าสารเคมีอะลาคอร์ส่งผลการเปลี่ยนแปลงของ
ลักษณะพืชที่ปลูกทัง้ ความยาวลำต้น ความกว้างใบและความยาวใบ
อย่างไร
3
1.3 ขอบเขตการวิจัย
1.4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา
1.4.1 ทราบข้อมูลการตกค้างสารกำจัดวัชพืชอะลาคอร์
1.4.3 ทราบว่าอะลาคอร์ส่งผลการเปลี่ยนแปลงลักษณะของพืชที่
ปลูกในด้านความสูงลำต้น ความกว้างและความยาวใบ
4
บทที่ 2
ทฤษฎีและสรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้อง
2.1 สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
สารกําจัดศัตรูพืชหมายถึง สารเคมีที่มีการนํามาใช้โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อควบคุม ป้ องกันและกําจัด ศัตรูของพืชชนิดต่างๆเช่น
แมลงต่างๆ รวมถึงสัตว์ฟันแทะ ทําให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มมากขึน
้
อีกทัง้ ยัง ช่วยป้ องกันและกําจัดโรคที่เกิดจากสัตว์เป็ นพาหะได้อีกทางหนึง่
ด้วย ทัง้ นีใ้ นทางกฏหมาย สารกําจัดศัตรูพืช ทุกชนิดจัดเป็ นวัตถุอันตราย
5
สําหรับการแบ่งกลุ่มของสารกําจัดศัตรูพืชหากใช้ชนิดของศัตรูพืชที่
ต้องการจะกําจัดเป็ นเกณฑ์จะ สามารถแบ่งออกได้เป็ น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
2. สารเคมีที่ใช้เพื่อการกําจัดหนูและสัตว์ฟันแทะ (Rodenticides)
ได้แก่ สารที่ใช้ทําลายวัชพืชที่แย่ง น้ํ าแย่งอาหาร และแสงสว่างจากพืช
เพาะปลูก เช่น พาราควอท
(สํานักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม, 2553)
จำเป็ นต้องนำสารเคมีเข้ามาทดแทนมากขึน
้ ขณะเดียวกัน ก็มีการพัฒนา
สารเคมีกลุ่มนีอ
้ อกมาจำหน่ายในท้องตลาดเพิ่มมากขึน
้ โดยมีการ
ปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพใน การกำจัดวัชพืชที่เฉพาะเจาะจงตาม
วัตถุประสงค์ของผู้ใช้
(คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลศูนย์
พิษวิทยารามาธิบดี. 2558: ออนไลน์)
2.2 ชนิดของสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืช
2.2.1 สารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชแบบจำแนกตามช่วงเวลาการใช้
สรรพคุณ : ใช้กำจัดวัชพืชประเภทใบแคบและใบกว้าง
สรรพคุณ : ใช้ฆ่าหญ้าเพื่อไม่ให้หญ้างอกเร็วเกินไป
อาการข้างเคียงหรืออาการที่ไม่พึงประสงค์ : เมื่อสารเคมีเหล่านี ้
สัมผัสถูกบาดแผลจะทำลายชัน
้ เนื้อเยื่อแบบต่อเนื่องไม่หยุด และมีอาการ
ปวดศีรษะ เหงื่อออกมาก อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ลมหายใจมีกลิ่น
ปวดท้อง ท้องเสีย เบื่ออาหาร ตาพร่ามัว พูดไม่ชัดกล้ามเนื้อกระตุก กัน
้
ปั สสาวะไม่อยู่ ชักหมดสติ และเสียชีวิตในที่สุดเนื่องจากหัวใจและระบบ
โลหิตล้มเหลว ดังนัน
้ เกษตรกรจึงควรตระหนักถึงผลกระทบจากการใช้ยา
ฆ่ายาทุกชนิดและใช้อย่างระมัดระวัง ใช้อย่างถูกวิธี (บริษัท ซีพีไอ อะโกร
เทค จำกัด. มปป : ออนไลน์)
8
2.2.2 สารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชแบบจำแนกตามลักษณะการ
ทำลาย
ที่มา: https://hmong.in.th/wiki/Alachlor
10
2.3.1 คุณสมบัติ
ลักษณะ: ของแข็งสีครีม
กลิ่น: ไม่มีกลิ่น
3
ความหนาแน่น: 1.133 ก. / ซม
เอทิลอะซิเตท
2.3.2 การใช้
11
การใช้อะลาคลอร์มากที่สุดคือการควบคุมหญ้าประจำปี และวัชพืช
ใบกว้างในพืชผลและการใช้อะลา-คลอร์ ถือเป็ นสิ่งผิดกฎหมายในสหภาพ
ยุโรปและปั จจุบันไม่มีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ อะลาคลอร์ ใน
สหรัฐอเมริกา
2.3.3 รายละเอียด
3. สารออร์กาโนคลอรีน สารกลุ่มนีถ
้ ูกดูดซึมที่ผิวหนัง เมื่อได้รับ
มาก ๆจะทำให้ระบบประสาทส่วนกลาง ถูกขัดขวาง พบอาการกล้ามเนื้อ
อ่อนแรง เวียน ศีรษะ ปวดศีรษะ
1.อัลดิคาร์บ (Aldicarb)
3.คาร์โบฟูราน (Carbofuran)
4.ไดโครโตฟอส (Dicrotophos)
5.อีพีเอ็น (EPN)
6.อีโธโปรฟอส (Ethoprofos)
7.โฟมีทาเนต (Formethanate)
8.เมทิดาไธออน (Methidathion)
14
9.เมโทมิล (Methomyl)
10.อ๊อกซามิล (Oxamyl)
11.เอ็นโดซัลแฟน (Endosulfan)
12.พาราไธออนเมทธิล(Parathion Methyl)
(กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม, 2557)
2.5 อินทรียวัตถุในดิน
นอกจากนีย
้ ังมีการแบ่ง SOM เป็ นส่วนที่ตายแล้วหรือไม่มีชีวิต
(nonliving) เช่น ฮิวมัส และส่วนที่สลายตัวไปบางส่วนและยังคงเป็ นชิน
้
(particulate organic matter- POM) เป็ นต้น และส่วนทีมีชีวิต (living)
เช่น รากพืชทีมีชีวิต มวลชีวภาพจุลินทรีย์ การให้นิยาม SOM ทีแตกต่าง
กัน บางนิยาม SOM มีเฉพาะส่วนทีไม่มีชีวิตเท่านัน
้ นอกจากนี ยังมีการถก
เถียงกันว่า ขอบเขตของ SOM ใน soil profile จะรวมเศษซากพืชทียังไม่
สลาย (litter) ทีชน
ั ้ บนสุดของ soil profile ด้วยหรือไม j
15
2.5.1 สมบัติของอินทรียวัตถุในดิน
สมบัติโดยทั่วไปของอินทรียวัตถุในดินนัน
้ กล่าวถึงได้หลาย
ประการ เมื่อดูจากสมบัติทางกายภาพแล้วจะพบว่าอินทรียวัตถุในดินมีสี
น้ำตาลเข้มจนถึงดำ ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจึงมักมีสีคล้ำ ซึ่งสีที่เข้มขึน
้ นี ้
อาจมีส่วนทำให้อุณภูมิโดยรวมของดินสูงขึน
้ เนื่องจากดินสีคล้ำดูดกลืน
รังสีความร้อนได้ดีกว่าดินสีจาง อินทรียวัตถุในดินมีความสามารถในการ
ดูดซับน้ำไว้ได้ในปริมาณมาก กล่าวได้ว่าเป็ น 6-20 เท่า ของน้ำหนัก
เนื่องจากอินทรียวัตถุมีสภาพเป็ นอนุภาคขนาดเล็กและมีลักษณะเป็ นสาร
คอลลอยด์ จึงมีพ้น
ื ที่ผิวในการดูดซับน้ำไว้ได้มากเป็ นพิเศษ นอกจากนี ้
แล้วอนุภาคของอินทรียวัตถุยังประกอบกันเป็ นโครงสร้างที่มีลักษณะ
คล้ายฟองน้ำ มีช่องขนาดเล็กที่ดูดซับน้ำได้ดีอยู่เป็ นจำนวนมาก ดังนัน
้
การใส่อินทรียวัตถุลงไปในดินจึงช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำ
ของดินทรายหรือดินเนื้อหยาบได้ดี
ความสามารถในการเชื่อมอนุภาคดินของอินทรียวัตถุนน
ั ้ นับได้ว่า
มีสูงมาก การเกาะยึดหรือรวมตัวของอินทรียวัตถุกับอนุภาคต่าง ๆ ในดิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอนุภาคดินเหนียวหรือกับเซลล์จุลินทรีย์นน
ั ้ มี
ประสิทธิภาพสูงยิ่ง ทัง้ นีเ้ ป็ นผลเนื่องมาจากประจุในส่วนที่แตกต่างกัน
ระหว่างอินทรียวัตถุกับดินเหนียว หรือเกิดจากการยึดเกาะระหว่างประจุ
ลบของอนุภาคทัง้ สองโดยมีประจุลบที่มีค่าต่าง ๆ หลาย ๆ ค่ามาเป็ นตัว
เชื่อมโยง การสร้างสารเชื่อมโยงโดยจุลินทรีย์ทำให้ดินเหนียวเกาะยึดกัน
เป็ นเม็ดดิน ซึ่งเม็ดดินเหล่านีเ้ ป็ นหน่วยโครงสร้างย่อยที่อาจจะรวมกลุ่ม
กันเป็ นจำนวนมากก่อให้เกิดโครงสร้างของดินที่สามารถดูดซับน้ำไว้ได้
17
ตามปกติแล้วส่วนที่ละลายน้ำได้ของอินทรียวัตถุในดินนัน
้ มีอยู่
น้อยมาก ซึ่งปริมาณที่พบมักจะต่ำกว่า 1% อินทรียวัตถุส่วนใหญ่เป็ นพวก
ที่ไม่ละลายน้ำ เช่น เซลล์ของจุลินทรีย์ เซลลูโลส ลิกนิน ไคติน สารฮิวมิก
และ สารอินทรีย์อ่ น
ื ๆ ที่เกาะยึดกับดินเหนียวหรือทำปฏิกิริยากับแคต
ไอออนซึ่งอยู่ในสภาพไม่ละลายน้ำ ดังนัน
้ การสูญเสียอินทรียวัตถุในดิน
โดยการสลายสูญหายไปกับการชะล้างของน้ำจึงเกิดขึน
้ เป็ นเพียงส่วนน้อย
เท่านัน
้ เมื่อเทียบกับการถูกย่อยสลายไปโดยจุลินทรีย์ดิน
ความสามารถในการดูดซับไอออนของอินทรียวัตถุในดินนัน
้ สูง
มากและโดยทั่วไปจะสูงกว่าการดูดซับไอออนโดยสารคอลลอยด์อ่ น
ื ๆ คือ
สูงกว่าเป็ น 2-30 เท่า และในดินทั่วไปปริมาณของแคตไอออนที่ถูกดูดซับ
โดยอินทรียวัตถุในดินอยู่ในช่วง 30-90% ของปริมาณดินที่ดูดซับได้
ทัง้ หมด ทัง้ นีค
้ วามสามารถในการดูดซับดังกล่าวมาจากประจุลบที่มีอยู่
เป็ นจำนวนมากในอินทรียวัตถุ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการแตกตัวของ
สารประกอบบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารในกลุ่มคาร์บอกซิลิก และ
กลุ่มฟี โนลิก นอกจากความสามารถในการดูดซับแคตไอออนแล้วโมเลกุล
ของอินทรียวัตถุในดินยังมีประจุบวกอยู่เป็ นบางส่วน ทำให้สามารถดูดซับ
แอนไอออนได้ด้วย ประจุบวกดังกล่าวนีเ้ กิดขึน
้ จากกระบวนการเติม
โปรตอนของสารประกอบกลุ่มอะมีนบนอณุภาคของอินทรียวัตถุ ซึง่
ประโยชน์ที่ได้จากความสามารถในการดูดซับประจุของอินทรียวัตถุในดิน
ดังกล่าวนีม
้ ีความสำคัญมากในการป้ องกันไม่ให้ธาตุอาหารพืชถูกละลาย
สูญหายไปกับน้ำได้โดยง่าย
18
ผลที่เกิดจากการที่อินทรียวัตถุในดินมีประจุลบเป็ นจำนวนมาก
และสามารถดูดซับประจุแคตไอออนได้สูงนัน
้ มีส่วนทำให้ดินที่มีอินทรีย
วัตถุสูงมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็ นกรดเป็ นด่างของดิน
ได้ดี ดังนัน
้ ดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจึงมีความสามารถในตัวเองในการช่วย
ปรับ pH ไม่ให้เป็ นกรดหรือเป็ นด่างมากจนเกินไป ไม่ว่าจะมีการเพิ่ม
สารประกอบที่มีสมบัติเป็ นกรดหรือเป็ นด่างก็ตามลงไปในดินนัน
้ ซึง่ การ
ปรับให้ pH เป็ นกลางนัน
้ จะเกิดขึน
้ ทันทีเมื่อมีการเพิ่มความเป็ นกรดเป็ น
ด่างให้กับดินนัน
้ ดังนัน
้ โอกาสที่กรดหรือด่างจะสะสมในสารละลายดินจึง
มีน้อยมากถ้าดินนัน
้ มีอินทรียวัตถุสะสมอยู่ในประมาณที่เหมาะสมโดยตรง
(สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ สำนักงาน กปร.มปป: ออนไลน์)
2.5.2 การสลายตัวของอินทรียวัตถุในดินและจุลินทรีย์ดิน
กกกกกกกกดินที่มีอินทรียวัตถุจะมีจุลินทรีย์ดินคอยย่อยสลายอินทรีย
วัตถุและทำให้ดินนัน
้ ปลดปล่อยธาตุที่เป็ นองค์ประกอบของสารอินทรีย์
ออกมา โดยเฉพาะ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ กำมะถัน นอกจากนีแ
้ ล้ว
การสลายตัวของอินทรียวัตถุในดินยังมีผลทางอ้อมอีกด้วย เนื่องจากกรด
อินทรีย์หรือกรดคาร์บอนิคที่เกิดขึน
้ จากคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจาก
การย่อยสลายของอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ดินนัน
้ สามารถช่วยสลาย
สารประกอบของธาตุอาหารบางชนิดให้เป็ นประโยชน์ต่อพืช และอีก
ประการหนึ่งการสลายตัวของอินทรียวัตถุทำให้เกิดสารคีเลตซึ่งสารนีเ้ ป็ น
ประโยชน์ต่อพืชด้วยเช่นกัน
19
สารอินทรีย์เป็ นแหล่งอาหารหรือแหล่งพลังงานสำคัญที่สุดสำหรับ
จุลินทรีย์ส่วนใหญ่ในดิน ดังนัน
้ ปริมาณและคุณภาพของสารอินทรีย์จึงมี
ผลกระทบต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์เหล่านัน
้ โดยตรง เช่น การตรึง
ไนโตรเจน การรีดิวซ์ไนเตรทให้เป็ นกาซไนตรัสออกไซด์หรือกาซ
ไนโตรเจน และการเกิดกาซมีเทน เป็ นต้น การที่ดินมีอินทรียวัตถุใน
ปริมาณที่พอเพียงจะช่วยให้กิจกรรมของจุลินทรีย์ดินมีเพิ่มขึน
้ ตามไปด้วย
ซึ่งมีผลกระทบต่อการแปรสภาพของธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ในดิน
การสลายตัวของอินทรียวัตถุในดินเกิดขึน
้ เมื่อมีเศษซากของสิ่งมี
ชีวิตที่ตายไปแล้วทับถมกันลงไปบนผิวดินหรือถูกผสมคลุกเคล้าลงไปใน
ดิน ซากของสิ่งมีชีวิตเหล่านัน
้ จะถูกสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ กัดกินหรือย่อยสลาย
ไปเป็ นอาหาร สัตว์ขนาดใหญ่ เช่น แมลง กิง้ กือ ไส้เดือน กัดกินซากดัง
กล่าวแล้วย่อยให้มีขนาดเล็กลง ในขณะที่จุลินทรีย์ดินที่มีอยู่ทั่วไปเข้า
สลายและแปรสภาพสารอินทรีย์จากซากดังกล่าวให้เป็ นอาหารด้วยการ
ขับเอนไซม์ออกมานอกเซลล์แล้วย่อยอินทรีย์สารให้มีขนาดเล็กลงจน
สามารถซึมผ่านเข้าไปภายในเซลล์ของจุลินทรีย์เหล่านัน
้ ได้ จากนัน
้ จึงนำ
เอาสารที่ย่อยได้ไปใช้เป็ นแหล่งพลังงานหรือเป็ นสารอาหารเพื่อการเจริญ
เติบโตของเซลล์ต่อไป การย่อยสลายโดยสิ่งมีชีวิตทัง้ ขนาดใหญ่และขนาด
เล็กรวมทัง้ โดยจุลินทรีย์ดินทำให้สารประกอบของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ สูญ
สลายไป
ในขณะที่มีการย่อยสลายของอินทรียวัตถุถ้าหากในดินมีการถ่ายเท
อากาศดีจะทำให้การย่อยสลายเกิดขึน
้ ค่อนข้างสมบูรณ์ สารประกอบต่าง
ๆ จะแปรสภาพไปเป็ นคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ และ ธาตุต่างๆ ในขณะที่
บางส่วนถูกเปลี่ยนเข้าไปเป็ นองค์ประกอบของเซลล์จุลินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิต
20
แหล่งที่มาของอินทรียวัตถุในดินตามธรรมชาติมาจากพืชเป็ น
ส่วนใหญ่ การสลายตัวของเศษซากพืช ซากสัตว์ หรือ ซากจุลินทรีย์ มีรูป
แบบของการสลายตัวใกล้เคียงกับพืช เพียงแต่มีสารประกอบที่ย่อยสลาย
ได้ง่ายอยู่ในปริมาณที่มากกว่า และไม่มีผนังเซลล์แบบพืชซึ่งมีเซลลูโลส เฮ
มิเซลลูโลส และ ลิกนิน เป็ นองค์ประกอบสำคัญ
อัตราการสลายตัวของเศษซากพืชมีปัจจัยหลายอย่างควบคุม เช่น
ธรรมชาติของสารประกอบอินทรีย์ในพืช อัตราส่วนระหว่างอินทรีย์
คาร์บอนและไนโตรเจนทัง้ หมด (C/N ratio) ของเศษพืช ตลอดจนสภาพ
แวดล้อมขณะเกิดการสลายตัว อันได้แก่ การถ่ายเทของอากาศในดิน
ระดับความชื้น อุณหภูมิ และ ความเป็ นกรดเป็ นด่างของดินโดยตรง
(สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ สำนักงาน กปร.มปป: ออนไลน์)
2.5.3 การย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ดิน
กกกกกกกกสารประกอบที่มีมากที่สุดในพืชได้แก่เซลลูโลส รองลงมาคือเฮ
มิเซลลูโลส ลิกนิน โปรตีน แป้ ง และ น้ำตาล ตามลำดับ จุลินทรีย์มีความ
สามารถในการย่อยสลายสารประกอบเหล่านีไ้ ด้ยากหรือง่ายแตกต่างกัน
21
ในการย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อนำไปใช้สำหรับการเจริญ
เติบโตของจุลินทรีย์นน
ั ้ นอกจากจุลินทรีย์จะย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อให้
22
ได้พลังงานมาใช้แล้ว จุลินทรีย์ยังต้องนำเอาธาตุจากสารอินทรีย์ดังกล่าว
ไปใช้ในการสร้างสารประกอบต่าง ๆ ของเซลล์อีกด้วย โดยเฉพาะ
คาร์บอนซึ่งต้องนำมาใช้สังเคราะห์สารประกอบที่เป็ นโครงสร้างหลักของ
เซลล์ นอกจากนีย
้ ังต้องใช้ไนโตรเจนมาสร้างองค์ประกอบสำคัญของ
โปรตีน กรดอะมิโน และ กรดนิวคลีอิก ซึ่งมีอยู่มากมายในเซลล์จุลินทรีย์
ดังนัน
้ อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนกับไนโตรเจนที่อยู่ในสารอินทรีย์จึงมัก
จะเป็ นปั จจัยที่ชว
ี ้ ่าการย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านัน
้ จะมีไนโตรเจนเพียง
พอกับความต้องการของจุลินทรีย์และทำให้การย่อยสลายสารอินทรีย์
ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ อัตราส่วนของคาร์บอนและ
ไนโตรเจนที่จัดว่าเพียงพอกับความต้องการของจุลินทรีย์อยู่ในช่วง 20/1
ถึง 30/1 แต่ถ้าเศษพืชมีอัตราส่วนดังกล่าวสูงหรือกว้างกว่า 30/1 ขึน
้ ไป
กลับจะไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากว่าการที่มีคาร์บอนมากในขณะที่
ไนโตรเจนมีในปริมาณที่จำกัดมีผลให้การย่อยสลายเศษพืชไม่เกิดได้เร็ว
เท่าที่ควร ทำให้จุลินทรีย์ต้องไปดึงเอาไนโตรเจนในดินซึ่งอยู่ในรูปของ
แอมโมเนียมหรือไนเตรทและเป็ นสารอนินทรีย์มาใช้ในการสร้างเป็ นองค์
ประกอบของเซลล์ ทำให้ไนโตรเจนในดินที่เป็ นประโยชน์ต่อพืชลด
ปริมาณลง ในทางกลับกันถ้าหากเศษพืชมีไนโตรเจนมากจะทำให้
อัตราส่วนของคาร์บอนและไนโตรเจนแคบลง ดังเช่นที่พบในพืชตระกูลถั่ว
โดยที่อาจจะมีอัตราส่วนแคบถึง 20/1 ก็จะทำให้มีไนโตรเจนเหลือมาก
พอที่จะปลดปล่อยออกมาสูส
่ ภาพแวดล้อมในรูปของแอมโนเนียมได้
ดังนัน
้ ในการย่อยสลายของสารอินทรีย์ค่าอัตราส่วนของคาร์บอนและ
ไนโตรเจนในเศษพืชจึงลดลงเรื่อย ๆ ตามอัตราการสลายตัวของเศษพืช
แล้วมาอยู่ในระดับค่อนข้างคงที่ที่ 12/1 ถึง 10/1 ซึง่ เป็ นค่าอัตราส่วนของ
คาร์บอนและไนโตรเจนของของเซลล์จุลินทรีย์และของอินทรียวัตถุในดิน
ตามลำดับโดยตรง (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงาน กปร.มปป: ออนไลน์)
2.5.4 ปั จจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการย่อยสลายสารอินทรีย์
ของจุลินทรีย์ดิน
กกกกกกประสิทธิภาพในการย่อยสลายสารอินทรีย์ของจุลินทรีย์
ดินไม่เพียงแต่จะขึน
้ อยู่กับปริมาณหรือคุณภาพของสารอินทรีย์เท่านัน
้
สภาพแวดล้อมนับได้ว่าเป็ นปั จจัยที่สำคัญอย่างยิ่งที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อ
อัตราความเร็วของการย่อยสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของการ
ระบายอากาศหรือปริมาณของออกซิเจนในดินซึ่งเป็ นปั จจัยที่กำหนด
ประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานของจุลินทรีย์ในดิน ในขณะเดียวกัน
ปั จจัยอื่น ๆ ที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน อันได้แก่ ความชื้น อุณหภูมิ
และ ความเป็ นกรดเป็ นด่างของดินก็มีผลต่ออัตราการย่อยสลายของสาร
อินทรีย์ในดินเช่นกัน
ด้วยเหตุที่กระบวนการหายใจโดยใช้ออกซิเจนเป็ นกระบวนการ
สร้างพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่สุดของจุลินทรีย์ดินดังนัน
้ สภาพของการ
ระบายอากาศในดินจึงมีผลโดยตรงต่อกิจกรรมการย่อยสลายเศษพืชของ
จุลินทรีย์เหล่านัน
้ การย่อยเกิดขึน
้ ได้รวดเร็วในสภาพที่มีออกซิเจน และ
24
การย่อยสลายดังกล่าวเกิดขึน
้ ค่อนข้างสมบูรณ์และสลายจนกลายเป็ น
คาร์บอนไดออกไซด์ในที่สุด จุลินทรีย์ดินกลุ่มหลักในการทำให้เกิดการ
แปรสภาพในลักษณะนีเ้ ป็ นจุลินทรีย์ประเภทแบคทีเรียที่ต้องการอากาศ
เชื้อรา และ แอคทิโนมัยซีท ในดินที่มีเนื้อหยาบหรือดินที่มีการไถพรวน
บ่อย มีการระบายอากาศดี อัตราการสลายตัวของสารอินทรีย์จะเกิดขึน
้
ได้เร็ว มีระดับอินทรียวัตถุเหลืออยู่ในดินค่อนข้างต่ำ และในทางกลับกัน
ดินที่อยู่ในสภาพขาดอากาศหรือมีน้ำท่วมขังนัน
้ การสลายตัวของสาร
อินทรีย์เกิดขึน
้ ได้น้อยและไม่สมบูรณ์ สารที่เกิดขึน
้ มักจะเป็ นกรดอินทรีย์
แอลกอฮอล์ และ สารอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น อะมีน อัลดีไฮด์ คีโตน
พร้อมทัง้ เกิดกาซต่าง ๆ อีกมากมาย ส่วนจุลินทรีย์กลุ่มหลักที่ทำให้เกิด
การแปรสภาพของสารอินทรีย์แล้วเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือแม้แต่มีเทนนัน
้ เป็ นแบคทีเรียพวกที่ไม่ต้องการ
อากาศ ส่วนเชื้อราและแอคทิโนมัยซีทจะชงักการเจริญเติบโตเมื่อมี
ออกซิเจนในดินต่ำ
น้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์ มีอิทธิพลต่อ
กิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสาร
อินทรีย์ เป็ นตัวทำละลายสารประกอบของธาตุอาหารต่าง ๆ ตลอดจน
เป็ นที่อยู่อาศัยและช่วยในการเคลื่อนที่ของจุลินทรีย์ นอกจากนีย
้ ังมีผลต่อ
การถ่ายเทอากาศในดินอีกด้วย ดังนัน
้ ระดับของความชื้นในดินจึงมีความ
สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอัตราการย่อยสลายของสารอินทรีย์ในดิน ระดับ
ความชื้นที่พอเหมาะต่อการย่อยสลายอยู่ระหว่าง -0.01 ถึง -0.05 เมกะ
พาสคาล ทัง้ นีข
้ น
ึ ้ อยู่กับความสามารถในการทนสภาพแห้งแล้งของกลุ่ม
จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องและอัตราการทำงานของเอ็นไซม์ของจุลินทรีย์เหล่า
25
นัน
้ ทัง้ นีใ้ นดินที่มีสภาพของความชื้นค่อนข้างต่ำนัน
้ จุลินทรีย์ที่มีบทบาท
ในการย่อยสลายอินทรียวัตถุมักจะเป็ นเชื้อราและแอคทิโนมัยซีทซึ่งส่วน
ใหญ่ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีกว่าแบคทีเรีย
ปั จจัยที่มีผลกระทบต่อการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดินอีกปั จจัย
หนึ่งคือความเป็ นกรดเป็ นด่างของดิน โดยที่การสลายตัวเกิดขึน
้ ในดินที่มี
สภาพเป็ นกลางได้รวดเร็วกว่าดินที่มีสภาพเป็ นกรดเกินไปหรือเป็ นด่าง
เกินไป ดินที่เป็ นกรดจัดหรือเป็ นด่างจัดจึงแสดงผลในทางยับยัง้ ในดินที่
เป็ นกรดค่อนข้างมาก เช่น มี pH เท่ากับ 5.5 หรือต่ำกว่าจะพบว่า
กิจกรรมของแบคทีเรียและแอคทิโนมัยซีทลดลงมากในขณะที่เชื้อรายัง
คงทนอยู่ได้ ทำให้การย่อยสลายของอินทรียวัตถุในดินที่มีสภาพดังกล่าว
เกิดจากเชื้อราเสียเป็ นส่วนใหญ่
การย่อยสลายของเศษซากพืชและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เกิดขึน
้ ได้
รวดเร็วในช่วงแรกหลังจากนัน
้ อัตราการย่อยสลายจะลดลง ช้าลงเรื่อย ๆ
เนื่องจากสารอินทรีย์ได้กลายสภาพไปเป็ นสารฮิวมิกซึ่งเป็ นสารประกอบที่
มีโครงสร้างซับซ้อนและสลายตัวได้ยากดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่ก็ยัง
26
คงมีการสลายตัวต่อไปอีกจนในที่สุดกลายสภาพไปเป็ น
คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
สารฮิวมิกเป็ นส่วนของอินทรียวัตถุในดินที่ทำปฏิกิริยาได้ดีใน
ธรรมชาติ สารนีเ้ กาะยึดอยู่กับเซลล์จุลินทรีย์หรืออนุภาคของสารอนินท
รีย์ต่าง ๆ เช่น ดูดซับอยู่กับอณุภาคดินเหนียว หรือเกาะยึดกับสารประ
กอบพวกไฮดรัสออกไซด์ เป็ นต้น การแปรสภาพของสารอินทรีย์ไปเป็ น
สารฮิวมิกเป็ นกระบวนการที่มีหลายขัน
้ ตอนและเกิดได้หลายรูปแบบ ขึน
้
อยู่กับองค์ประกอบของสารอินทรีย์ สภาพแวดล้อม และจุลินทรีย์ที่
เกี่ยวข้องโดยตรง (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงาน กปร.มปป: ออนไลน์)
2.5.5 ความสัมพันธ์ของอินทรียวัตถุในดินและความอุดมสมบูรณ์
ของดิน
อินทรียวัตถุในดินมีความสำคัญในแง่ของการบ่งบอกถึง
ความอุดมสมบูรณ์ของดินในแต่ละแห่งดังที่กล่าวแล้ว แต่ปริมาณอินทรีย
วัตถุในดินแต่ละแห่งนัน
้ ยังขึน
้ อยู่กับปั จจัยหลายอย่างดังที่เห็นได้จากดิน
ในเขตทุ่งหญ้าซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีระดับของอินทรียวัตถุในดินสูงกว่าดิน
ในเขตของพื้นที่ป่าเนื่องจากว่าในทุ่งหญ้ามีปริมาณของเศษซากพืชคลุก
เคล้าลงไปในดินในปริมาณที่มากกว่า ดินที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกมาเป็ น
เวลานานจะมีอินทรียวัตถุในระดับต่ำ เพราะการปฏิบัติหลาย ๆ อย่างใน
การทำการเกษตรมีผลในการลดปริมาณเศษพืชที่จะลงไปสู่ดิน และการ
ปฏิบัติบางอย่างมีส่วนในการเร่งอัตราการสลายตัวของอินทรียวัตถุในดิน
เป็ นต้น ดังนัน
้ จึงกล่าวได้ว่ามีปัจจัยหลายปั จจัยที่มีผลต่อปริมาณของอิน
27
2.5.6 ปั จจัยที่มีผลต่อปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
พืชแต่ละชนิดมีความสามารถในการผลิตชีวมวล
(biomass)ได้แตกต่างกัน พืชพรรณบางชนิดเจริญเติบโตได้หนาแน่นจึง
สร้างชีวมวลได้มาก มีระยะเวลาในการเจริญเติบโตปกคลุมพื้นดินได้นาน
เช่น พืชพรรณในทุ่งหญ้า พืชพรรณเหล่านีม
้ ีระบบรากฝอยที่หนาแน่น
และมีการปลดปล่อยสารอินทรีย์ออกมาจากเศษซากของรากซึ่งอยู่ในดิน
ได้มาก รวมทัง้ มีการร่วงหล่นทับถมของใบและต้นลงสู่ดินตลอดช่วงเวลา
ของการเจริญเติบโตของพืชเหล่านัน
้ ส่งผลให้ดินทุ่งหญ้ามีปริมาณอินทรีย
วัตถุสูงกว่าพื้นที่ที่ใช้ในการเพาะปลูกพืชทางการเกษตร นอกจากพืช
พรรณต่างชนิดกันจะมีปริมาณของชีวมวลที่แตกต่างกัน เศษซากของพืช
ต่างชนิดเหล่านัน
้ ก็จะเป็ นเศษซากพืชที่มีคณ
ุ ภาพแตกต่างกันไปด้วย เศษ
ซากเหล่านีจ
้ ะถูกย่อยสลายได้เร็วหรือช้าไม่เท่ากัน ทัง้ ยังแปรสภาพเป็ น
สารฮิวมิกได้ในปริมาณที่ไม่เท่ากันอีกด้วย
ก็ตามการคาดเดาถึงปริมาณของอินทรียวัตถุในดินไม่สามารถจะอาศัยการ
ประมาณจากปริมาณฝนแต่เพียงอย่างเดียวจะต้องคำนึงถึงระดับของ
อุณหภูมิในพื้นที่อีกด้วยเนื่องจากอุณหภูมิในระดับสูงจะเร่งให้การสลาย
ตัวของอินทรียวัตถุในดินให้เกิดเร็วขึน
้ และเกิดในอัตราที่เพิ่มขึน
้ ด้วยเช่น
กัน
ระบบการเกษตรหรือวิธีการเพาะปลูกพืชมีผลต่อระดับอินทรีย
วัตถุในดิน โดยที่การเพาะปลูกมักจะทำให้ระดับของอินทรียวัตถุในดินลด
ลงไปจากเดิม คือสารอินทรีย์จะกลับลงไปสู่ดินในปริมาณที่น้อยกว่าการ
ย่อยสลายสารอินทรีย์ไปจากดิน กระบวนการทางการเกษตรต่าง ๆ ที่
29
ปั จจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณของอินทรียวัตถุที่กล่าวถึงแล้วนัน
้
เป็ นตัวกำหนดหลักเกี่ยวกับปริมาณและระดับของอินทรียวัตถุของดินใน
ระบบนิเวศแต่ละแห่ง ซึ่งปกติจะอยู่ในสภาพค่อนข้างสมดุลระหว่างการ
เพิ่มเติมและการสูญสลายของสารอินทรีย์ในดิน ดังนัน
้ การเปลี่ยนระบบ
นิเวศของดินจากระบบหนึ่งไปสู่อีกระบบหนึง่ จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยน
ระดับสมดุลของอินทรียวัตถุในดินตามไปด้วย ตัวอย่างเช่น การแปรสภาพ
ดินในเขตทุ่งหญ้าหรือดินในเขตป่ าไม้ที่มีอินทรียวัตถุในดินอยู่มากไปเป็ น
พื้นที่สำหรับการเพาะปลูกจะมีผลให้ระดับอินทรียวัตถุในดินเปลี่ยนไปโดย
มีปริมาณลดลงเนื่องจากระบบนิเวศใหม่มีการเพิ่มเติมเศษซากพืชลงไปใน
ดินน้อยลงในขณะที่มีอัตราการย่อยสลายสูงขึน
้ ซึ่งในระยะแรกของการ
เปลี่ยนแปลงของนิเวศดังกล่าวระดับอินทรียวัตถุในดินจะลดลงอย่าง
30
2.5.7 วิธีการวิเคราะห์อินทรียวัตถุในดิน
การวิเคราะห์อินทรียวัตถุในดินทำได้โดยการเก็บตัวอย่าง
ดินที่ต้องการทราบปริมาณอินทรียวัตถุแล้วนำดินเหล่านัน
้ ไปวิเคราะห์ใน
ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์สมบัติทางเคมีของดิน จากการวิเคราะห์ใน
ห้องปฏิบัติการนีจ
้ ะได้ข้อมูลของปริมาณอินทรียวัตถุในดินเป็ นเปอร์เซ็นต์
ของคาร์บอนอินทรีย์ เปอร์เซ็นต์คาร์บอนอินทรีย์ที่ออกซิไดส์ได้ และ
เปอร์เซ็นต์ของปริมาณอินทรียวัตถุ(ต่อน้ำหนักดิน) การวิเคราะห์ในห้อง
ปฏิบัติการดังกล่าวนีเ้ ป็ นการวิเคราะห์ที่ละเอียดและใช้เวลา แต่สามารถ
วิเคราะห์ข้อมูลที่แยกส่วนได้ดังกล่าวไปแล้วนัน
้ แต่ถ้าต้องการจะ
วิเคราะห์ปริมาณอินทรียวัตถุในดินแบบที่ไม่ละเอียดนักและใช้เวลาไม่
มากสามารถจะทำได้โดยการเก็บตัวอย่างดินจากจุดที่ต้องการหาปริมาณ
อินทรียวัตถุในดิน นำดินเหล่านัน
้ ไปผึง่ ให้แห้ง บดดินแล้วร่อนผ่าน
31
ปริมาณอินทรียวัตถุซึ่งวิเคราะห์ได้จากตัวอย่างดินสามารถนำไป
ประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน ณ. จุดที่เก็บตัวอย่างได้ ตามวิธีการ
แบ่งชัน
้ ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งเสนอไว้โดย DLD/FAO (1973) ใน
คู่มือการแปลผลปฏิบัติการความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดังแสดงไว้
(สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ สำนักงาน กปร.มปป: ออนไลน์)
32
ที่มา http://www.rdpb.go.th/th/Studycenter
2.6 ค่าพีเอชของดิน
2.6.1 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าพีเอชในดินและพืช
ค่าพีเอชในดินไม่ได้มีผลโดยตรงกับการเจริญเติบโตของพืช แต่
มีส่วนช่วยให้พืชสามารถดูดซับสารอาหารจากดินได้ดีขน
ึ ้ เท่านัน
้ ซึ่งถ้า
33
แต่ถึงอย่างนัน
้ ค่าพีเอช ก็มีผลเสียต่อพืชอยู่เช่นกัน โดยหากดิน
มีค่าพีเอชต่ำ ธาตุแมงกานีสในดินก็จะกลายเป็ นพิษต่อพืช เป็ นสาเหตุให้
พืชมีใบเหลือง ใบแห้ง และตายได้ในที่สุด และถ้าหากค่าพีเอช ในดินต่ำ
มากจนเกินไป ดินก็จะดูดซับสารอะลูมิเนียมแทนธาตุอาหารจำเป็ น ต้นไม้
จึงเติบโตช้า เพราะไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ แต่ถ้าดินมีค่าพีเอช อยู่ใน
ระดับที่เหมาะสมก็จะช่วยให้สารอาหารและสิ่งมีชีวิตในดินเจริญเติบโตได้
ดี อีกทัง้ ยังช่วยแปลงธาตุไนโตรเจนให้พืชสามารถดูดซับได้ ส่งผลให้พืช
งอกงามสุขภาพดีอีกด้วย (ดร.คณวัฒน์ ธีรนิธิวัฒน์ ผู้บริหารไอฟาร์ม,
2564)
2.7 ความชื้นในดิน
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
งานวิจัยนีเ้ ป็ นการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ลักษณะสมบัติของดินที่ปนเปื้ อน
สารเคมีอะลาคอร์
1. อุปกรณ์
4. บิวเรตขนาด 50 มล.
2. สารเคมี
1. สารละลายมาตรฐานโปแตสเซียมไดโครเมต(K2Cr2O7) 1.0
N
3. สารละลายเฟอรัสแอมโมเนียมซัลเฟต (Ferrous
Ammonium Sulfate) 0.5 N
3.2 ขัน
้ ตอนการทดลอง
3.2.1 การเตรียมสารเคมี
สารละลายมาตรฐานโปแตส
เซียมไดโครเมต (K2Cr2O7)
สารละลายออร์โทฟี แนน
โทรลีน
สารละลายเฟอรัสแอมโมเนียม
ซัลเฟต (FAS) 0.5 N
3.2.2 วิธีการ
2. เติมสารละลายมาตรฐานโปแตสเซียมไดโครเมต(K2Cr2O7) 1.0 N 10
มล. โดยใช้ Dispenser
6. หยด อินดิเคเตอร์ออร์โท
ฟี แนนโทรลีน 5 หยด
7. ไต
เตร
ทสาร
ละลาย
FAS
0.5 N
ที่จุด end point สีของสารละลายจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็ นสีน้ำตาลแดง
W = น้ำหนักดินที่ใช้ (กรัม)
= 3.73 %
43
บทที่ 4
4.1 ปริมาณอินทรีย์คาร์บอน
จากการทดลองนำดินที่เก็บในแต่ละวันมาหาปริมาณอินทรีย์
คาร์บอนในดิน โดยเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือดิน (soil) และดินที่มีสารเคมี
อะลาคอร์ (Soil+ Alachlor) ที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช ได้ผลการคำนวณ
ดังตาราง
4.00
3.00
2.00
1.00
0.00
0 5 12 19 26
Day
Soil Soil+Alachlor
44
0
0 5 12 19 26
Day
Soil+Plant Soil+ Alachlor+Plant
45
4.2 ค่าพีเอชของดิน
จากการทดลองนำดินที่เก็บในแต่ละวันมาวัดค่าพีเอช โดยใช้
เครื่องวัดค่าพีเอชและอ่านค่า โดยเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือดิน (soil) และ
ดินที่มีสารเคมีอะลาคอร์ (Soil+ Alachlor) ที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช ได้
ผลดังตาราง
8.00
6.00
pH
4.00
2.00
0.00
0 5 12 19 26
Day
Soil Soil+Alachlor
46
Day
pH 0 5 12 19 26
Soil + Plant 7.52 7.72 7.98 8.06 8.12
Soil+ Alachlor + Plant 7.73 7.65 7.55 7.78 7.93
6
pH
0
0 5 12 19 26
Day
4.3 ค่าความชื้นของดิน
จากการทดลองนำดินที่เก็บในแต่ละวันมาชั่งหาน้ำหนักของดิน
ก่อน จากนัน
้ ทำการอบแห้งโดยใช้เตาอบความร้อนจนดินแห้งสนิทจากนัน
้
กลับมาชั่งน้ำหนักดินที่ผ่านการอบ โดยเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือดิน (soil)
และดินที่มีสารเคมีอะลาคอร์ (Soil+ Alachlor) ที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช
ได้ผลดังตาราง
Day
% Moisture 0 5 12 19 26
Soil 15.20 21.65 34.55 35.00 39.7
Soil +Alachlor 31.30 27.2 35.10 38.70 37.00
48
30.00
% Moisture
20.00
10.00
0.00
0 5 12 19 26
Day
Soil Soil+Alachlor
Day
% Moisture 0 5 12 19 26
Soil+ Plant 15.55 22.10 38.90 35.30 36.5
Soil+ Alachlor+ Plant 31 30.00 38.35 36.10 35.8
49
40
% Moisture
30
20
10
0
0 5 12 19 26
Day
4.4 ลักษณะของพืช(ลำต้น)
จากการทดลองทำการวัดความสูงของลำต้นโดยใช้ไม้บรรทัด โดย
วัดทัง้ หมด 5 ต้น แล้วนำทุกค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยเปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือ
ดิน (soil) และดินที่มีสารเคมีอะลาคอร์ (Soil+ Alachlor) ที่ปลูกพืชและ
ไม่ปลูกพืช ได้ผลดังตาราง
50
Day
ความสูงลำต้น (cm)
0 5 12 19 26 33 40 47
20.0
Soil+ Plant 15 21 25.67 29.4 30.6 32.9
7
Soil+ Alachlor+ 17.0
0 0 0 0 0 0
Plant 3
30
20
10
0
0 5 12 19 26 33 40 47
Day
Soil+Plant Soil+Alachlor+Plant
51
4.4 ลักษณะของพืช(ความกว้างใบ)
จากการทดลองทำการวัดความกว้างของใบโดยใช้ไม้บรรทัด โดย
วัดทัง้ หมด 5 ใบที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แล้วนำทุกค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดย
เปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือดิน (soil) และดินที่มีสารเคมีอะลาคอร์ (Soil+
Alachlor) ที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช ได้ผลดังตาราง
Day
ความกว้างใบ(cm)
0 5 12 19 26 33 40 47
Soil+ Plant 3.4 6.17 3.63 4.43 3.6 3.9 3.3
Soil+ Alachlor+
3.23 0 0 0 0 0 0
Plant
0
0 5 12 19 26 33 40 47
Day
Soil+Plant Soil+Alachlor+Plant
52
4.4 ลักษณะของพืช(ความยาวใบ)
จากการทดลองทำการวัดความยาวของใบโดยใช้ไม้บรรทัด โดย
วัดทัง้ หมด 5 ใบที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แล้วนำทุกค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดย
เปรียบเทียบ 2 กลุ่ม คือดิน (soil) และดินที่มีสารเคมีอะลาคอร์ (Soil+
Alachlor) ที่ปลูกพืชและไม่ปลูกพืช ได้ผลดังตาราง
Day
ความยาวใบ (cm)
0 5 12 19 26 33 40 47
Soil+ Plant 4.53 7.3 6.07 7.33 7.3 5.6 4.5
Soil+ Plant+
4.47 0 0 0 0 0 0
Alachlor
53
6
ความยาวใบ(cm)
0
0 5 12 19 26 33 40 47
Day
บทที่ 5
สรุปผลการทดลองและข้อเสนอแนะ
54
55
บรรณานุกรม
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลศูนย์พิษ
วิทยารามาธิบดี. (2558). สารเคมีกำจัด
https://www.rama.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul
99/v7n3/Herb
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ (สำนักงาน กปร.).
http://www.rdpb.go.th/th/Studycenter
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.(มปป). ความชื้นของ
ดิน. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2565,
จาก
https://globethailand.ipst.ac.th/globe_data/data-soil/pdf/Soil
Mois.PDF สืบค้นเมื่อ 18 มกราคม
2565