You are on page 1of 857

บทที่ 263 สถาบันวิญญาณฟ้า

ณ อาณาจักรซากมังกร
อาณาจักรซากมังกรเป็นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังที่ทรง
พลังหลากหลายอย่างซึ่งประกอบไปด้วยหลายๆดินแดนต่างๆ
ดังนี้ดินแดนแห่งปีกศักดิส์ ิทธิ์ดินแดนบันทึกสวรรค์ดินแดนหมื่น
บุบษา ดินแดนกาเนิดสวรรค์ และ ดินแดนกระบีส่ วรรค์
นอกจากดินแดนที่ถูกปกครองอย่างถูกต้องเหล่านั้นยังมีอีกสอง
ดินแดนที่ปกครองอย่างโหดร้ายคือ ดินแดนจ้าวอสูร ดินแดน
อสูรกลอนห้าแฉก ดินแดนพระจันทร์สีเลือด แต่ก็อีกนั่นแหละ
ยังคงมี ชนเผ่า และดินแดนเล็กต่างๆอีกมากมาย เช่น ดินแดน
แห่งบรรพบุรุษพระเจ้า หรือดินแดนแห่งบรรพบุรุษนักบุญ
ปีศาจ เป็นต้น
ดินแดนต่างๆนั้น ดารงอยู่มานานแสนนาน ทั้งยังรวบรวมผู้ฝึก
ตนผู้เยี่ยมยุทธต่างๆไว้มากมายจนทาให้อาณาจักรซากมังกรนั้น
แข็งแกร่งมาก
แต่อย่างไรก็ตามดินแดนทางตะวันออกของ อาณาจักรซาก
มังกรส่วนใหญ่เป็นอาณาเขตของดินแดนปีกศักดิส์ ิทธิ์ ไม่มีใครรู้
ว่าดินแดนปีกศักดิส์ ิทธิ์นั้นมีอยูม่ านานเท่าไหร่แล้วเพราะมัน
ประกอบไปด้วยเมืองหลายร้อยเมือง ซึ่งมีประชากรหลายร้อย
ล้านคน แค่โดยเฉพาะเมืองรอบนอกก็ปาเข้าไปหลายล้านคนจึง
ไม่มีคนรู้แน่ชัดถึงจานวนของระดับผู้เยี่ยมยุทธที่อยู่ในดินแดน
ปีกศักดิ์สิทธิแห่งนี้
ดินแดนปีกศักดิส์ ิทธินั้นแบ่งออกเป็นสามส่วนคือส่วนรอบนอก
ส่วนรอบในและส่วนกลางซึ่งเรียกว่าดินแดนสวรรค์ คนธรรมดา
ส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยอยู่ในส่วนรอบนอกเท่านั้น ส่วนรอบในนั้น
ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งยังมีข้อมูลน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึง
ดินแดนสวรรค์ส่วนนั้นถือว่าลึกลับเลยทีเดียว
นอกจากพื้นที่ที่ถูกแบ่งดังกล่าวแล้วยังมี สถาบันวิญญาณฟ้า
ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนรอบในของดินแดนปีกสวรรค์ สถาบันดังกล่าว
เป็นที่ซึ่งอัจริยะจาก เมืองต่างๆ และภพเล็กๆจะเข้ามาเพื่อทา
การฝึกฝนบ่มเพาะพลัง เพื่อที่จะเป็นระดับผู้เยีย่ มยุทธต่อไป
สถาบันนี้มีนักเรียนอยู่หลายล้านคนจะถือว่าเป็นเขตปกครอง
ตนเองเลยก็ว่าได้
ตัวสถาบันนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาลึก โดยตึกรามอาคารถูกปลูก
สร้างอย่างสวยงามและกลมกลืนกันธรรมชาติของหุบเขาจึงจัด
ได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามอย่างที่สุด
เซี่ยวหยู,่ เนี่ยลี,่ ลู่เพรียวและ ก่วนยู่ เดินผ่านป่าเพื่อจะไปยัง
สถาบัน ก่วนยู่ นั้นเป็นศิษย์อีกคนที่ เจ้านครใต้ภภิ พ นั้นเลือก
มา ก่วนยู่ นั้นเป็นชาวนครใต้ภิภพ โดยกาเนิด มาจากเผ่าซูยู้ซึ่ง
มีรูปร่างโดยรวมนั้นคล้ายกับมนุษย์ แตกต่างอย่างเดียวคือสีผิว
ของก่วน ยู่นั้นมีสีแดง ก่วนยู่ เป็นคนโอหังและมีความเชื่อมั่นใน
ตัวเองสูง ก่วนยู่เป็นระดับ เซียน จึงทาให้เค้ามีความมั่นใจสูง
และดูถูกเนี่ยลี่ ทาให้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้จะเป็นศิษย์
ของ เจ้านครใต้ภภิ พ เหมือนกันก็ตามที
ในระหว่างที่กาลังเดินไปยังสถาบันก็มีนักเรียนของสถาบันแซง
พวกเขาไปอย่างมากมาย นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลานีเ้ องที่
สถาบันจะทาการคัดเลือกนักเรียนซึ่งสิบปีจะมีสักครั้งทาให้
ได้รับความสนใจจากผูค้ นเป็นจานวนมาก
เมื่อเห็นภาพดังนั้น ระหว่างที่เดินอยู่ เซี่ยวหยู่ จึงอธิบายว่า
"พื้นที่ของ สถาบันนั้นถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน โดยที่ส่วนกลาง
นั้นจะมีไว้สาหรับผู้แข็งแกร่งทีส่ ุด อันดับสองก็จะเป็นฝั่ง
ตะวันออก รองลงมาคือ ฝั่งตะวันตก ฝ่ายใต้ และฝ่ายเหนือตาม
ลาดับ ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับการทดสอบก่อนเข้า
เซี่ยวหยู่ มองไปยัง ก่วนยู่แล้ว พูดว่า " มีอย่างหนึ่งที่พวกเจ้า
ต้องเข้าใจไว้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับตานาน หรือเซียน เมื่อ
เจ้ามาอยู่ที่ อาณาจักรซากมังกรแล้วจงทิ้งความโอหัง และ
ความอวดดีที่เคยมีทิ้งเสีย ที่นี่เจ้าเป็นเพียงระดับล่าง ณที่แห่งนี้
ได้แบ่งระดับของผูฝ้ ึกวิชาออกเป็นห้าขั้น
ดังนี้
1. ชะตาสวรรค์ 2. ดาราสวรรค์ 3. แก่นแท้แห่งสวรรค์ 4.
เส้นทางแห่งมังกร 5. เทพสงครามโดยที่แต่ล่ะขั้นนั้นก็แบ่ง
ออกเป็น เก้าระดับ ซึ่งบุคคลที่ยังไม่สามารถเข้าถึงพลังแห่ง
สวรรค์ได้เราจาแนกว่ายังอยู่ใน ระดับผืนพิภพเท่านั้น จนกว่า
จะสามารถบ่มเพาะ ชะตาแห่งจิตได้ถึงจะได้รับการยอมรับว่า
เป็นผูฝ้ ึกวิชาอย่างแท้จริง"
หลังจากได้ยินคาอธิบายก่วนยู่ก็อึ้งไปเล็กน้อยเนื่องจากที่ภพ
เดิม การที่อยู่ในระดับเซียนนั้นถือว่าเป็นที่สุดรองจาก วิญญาณ
ผู้ควบคุมกฎแห่งธาตุเท่านั้น แต่ในอาณาจักรซากมังกรนี้ถือว่า
อ่อนด้อยที่สุด แต่แล้วไงล่ะ ด้วยความเป็นอัจฉริยะของข้าการ
บ่มเพาะอะไรนั่น เดี๋ยวก็ทาได้แล้วข้าก็จะก้าวไปอยูเ่ หนือผู้อื่น
อยู่ดี ก่วนยู่คิดในใจ ขณะนั้นเองก้วนยู่ก็มองมายังเนี่ยลี่ ซึ่งเค้า
ไม่ถูกชาตะกับเนี่ยลี่เลยที่จะต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน
แถมไอ้นี่ยังจะสนิทกับลูกบุญธรรมของ ท่านเจ้านครใต้ภภิ พ อีก
เนี่ยลีร่ ับรูไ้ ด้ถึงสายตาทีไ่ ม่เป็นมิตรของก่วนยู่ ถึงแม้เนี่ยลี่จะ
ระวังตัว แต่ก็ไม่ใส่ใจมากนักเพราะ ศัตรูที่แท้จริงของเนี่ยลี่
นอกจาก จักรพรรดิ์นักปราช์ ตอนนี้ยังมี จอมมารเพิ่มขึ้นมาอีก
คน ก่วนยู่ยังไม่มีคา่ พอที่จะเป็นต่อสู้ของเขา
จากการนาของ เซี่ยวหยู่ทั้งสามก็เดินมาถึงลานกว้างที่มี
อาจารย์คอยขานชื่ออยู่โดยที่อาจารย์เหล่านั้น ใส่เสื้อคลุมยาว
และมีออร่าของพลังงานหมุนรอบตัวทาให้พอดูออกได้ว่าอย่าง
น้อยอาจารย์เหล่านี้ก็อยู่อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่ระดับชะตา
สวรรค์ เป็นอย่างน้อย ด้วยพลังงานรอบตัวนั้น ทาให้อาจารย์
เหล่านั้นดูน่านับถืออีกด้วย ทันใดนั้น เซี่ยวหยู่ก็เดินเข้าไปหา
อาจารย์ท่านหนึ่ง " นี่คือจดหมายแนะนาตัวของนักเรียนสาม
คนนี้" เซี่ยวหยู่พูด
ขณะนั้นอาจารย์ผู้นั้นซึ่งกาลังยุ่งเงยหน้าขึ้นมาเจอเซี่ยวหยู่ก็
แสดงความประหลาดใจ " นี่ เซี่ยวหยู่ใช่หรือไม่" ทันทีที่
อาจารย์พูดจบ คนอื่นที่ได้ยินก็หันมามอง เซี่ยวหยูเ่ ป็นสายตา
เดียวกัน จากนั้นอาจารย์ก็มองมายังเนี่ยลี่ และอีกสองคน
หลังจากนั้นจึงพูดว่า " จดหมายแนะนาถูกต้อง เข้าไปด้านใน
ได้" เซี่ยวหยู่พยักหน้าแล้วพาทั้งสามเข้าไป
เซี่ยวหยู่ พยักหน้ารับจากนั้นก็บอกให้ทั้งสามคนตามเค้าไป
ขณะนั้นเอง เนี้ย ลี่ ก็ชาเหลืองมองไปยังอาจารย์ ที่ ทาท่า
ประหลาด ใจเมื่อได้พบกับ เซียวยู่ แสดงให้ เห็นว่า เซียวยู่ เป็น
ที่รู้จักดีกันในสถาบัน แม้วา่ จะยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาแห่ง
จิต เพื่อจะก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ ได้ก็ตาม
หลังจากที่เดินไปตามระเบียง ทั้งสีก่ ็ได้มาถึงลานกว้างที่มี
นักเรียนกว่า พันคนรวมตัวกันอยู่เพื่อเข้ารับการทดสอบ เซี่ยว
หยู่ หันมาอธิบาย แก่ทั้งสามว่า “ก่อนที่ผู้สมัครจะได้รับการ
คัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนจะต้องผ่านการทดสอบระดับ ราก
วิญญาณ โดยจิตวิญญาณนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ คือ
ระดับ มนุษย์, ระดับดิน และ ระดับฟ้า โดยแต่ระดับแบ่ง
ออกเป็น 9 ขั้น ดังนั้นจึงเป็นการคัดคนภายในตัว โดยที่หากมี
รากวิญญาณ อยู่ในระดับสูงแล้ว จะยิ่งได้เปรียบในการฝึกวิชา
เพราะจะสามารถเข้าถึงระดับสูงได้ดีกว่าคนทั่วไป”
“แล้วรากวิญญาณ ของเจ้าล่ะ” ลูเ่ พรียว ถามด้วยความอยากรู้
“ของข้า รากวิญญาณฟ้า ระดับ 7 “ เซี่ยวหยู่ ตอบด้วยเสียงที่
แผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนั้นเนี้ย ลี่ นั้นจ้องมอง เซียวยู่อย่างไม่น่าเชื่อ เค้าไม่
คิดว่า เซียวยูจ่ ะมีพรสวรรค์ขนาดนั้นจึงทาให้อดสงสัยไม่ได้ว่า
ทาไมยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาสวรรค์ได้ เพราะจริงๆแล้วแค่
มี พื้นฐานทางวิญญาณมากกว่า ระดับพิภพขั้นที่ห้าก็ถือว่าเป็น
อัจฉริยะแล้วแต่นี่ระดับฟ้าขั้นที่ 7 ซึ่งระดับฟ้าก็มีน้อยอยู่แล้ว
แถมนี่ขั้นที่เจ็ด คนที่มีพื้นฐานจิตระดับฟ้า ในดินแดนปีกสวรรค์
นี่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะมีก็แค่ประมาณพันกว่าคนจากหลาย
ร้อยล้านเอง
ผู้คนที่ได้ยินลูเ่ พรียวถามหันมองเป็นตาเดียว เพราะ แค่ระดับ
ฟ้า ขั้นสามก็ถือว่าก็ถือว่าสุดยอดแล้วแล้วนี่ระดับเจ็ด ไอ้นี่มันโง่
จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ลู่ เพรียว รูส้ ึกได้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้
แต่เกาหัวเพราะตระหนักได้ว่าได้ถามคาถามทีไ่ ม่น่าถามเข้าให้
แล้ว
แต่เนี้ยลี่ ก็ยังคงสงสัยว่าถ้าว่าเซียวยู่เป็นระดับฟ้าขั้นที่เจ็ดจริง
ทาไมยัง บ่มเพาะชะตาสวรรค์ ไม่ได้อีก สิ่งนี้ยังคงรบกวนจิตใจ
ของเนี่ย ลี่อยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามการทดสอบพื้นฐานวิญญาณ
นั้น เค้าได้เคยทามาแล้วเมื่อชีวิตที่แล้ว โดยเค้ามีระดับดินขั้นที่
7 แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงระดับธรรมดา แต่เนื่องจากเขามี
หนังสือจิตอสูรท่องเวลา จึงทาให้เขาก้าวถึงสู่ระดับสูงสุดของ
เทพสงคราม แต่ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะไม่มีหนังสือนั้นแต่เขามี
ความรู้จากชีวิตที่แล้วจึงไม่นา่ จะเป็นปัญหาต่อการฝึกวิชา
จานวนคนที่มารับการทดสอบค่อยเคลื่อนตัวไปเพื่อเข้ารับการ
ทดสอบ
“ระดับมนุษย์ขั้น สาม ส่งกลับ”
“ระดับมนุษย์ขั้น สอง ส่งกลับ”
"มีอะไรก็พูดมา ฮัวหลิงแต่ถ้าจะพูดอะไรไร้สาระล่ะก็ ไสหัวไป
ไกลๆข้าไม่มีเวลาจะมาเสวนากับคนอย่างเจ้า" เซี่ยวหยู่ พูด
เสียงแข็ง
เนี่ยลี่ประเมินสถานการณ์ ได้ว่าไอ้ ฮัวหลิงเนี่ย กล้าเบ่งขนาดนี้
คงจะบ่มเพาะ ถึงขั้นชะตาสวรรค์ได้แล้วอย่างแน่นอน ฮัวหลิง
พยายามจะเข้ามาล็อกคอของ เซี่ยวหยู่ เซียวยู่ หลบและผลัก
ฮั๋วลิ๋ง ออกอย่างรวดเร็ว " ฮ่าฮ่า นายน้อย เซียวยังไม่มมี ารยาท
อย่างไรอย่างนั้นเหมือนเดิมเลยนะ"...จบตอน
บทที่ 264 รากวิญญาณ

เซี่ยวหยู่มองไปยังฮัวหลิงอย่างเย็นชาและแค่นเสียงกล่าวว่า
"ฮัวหลิง ข้าสนิทกับเจ้านักหรือ
นายน้อยเซี่ยว ท่านพูดเช่นนั้น ก็เย็นชาเกินไป" ฮัวหลิงยิ้มแล้ว
พูดต่อ "บิดาของเราต่างก็เป็นผูด้ ูแลของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ท่านต้องทาเหมือนข้าเป็นศัตรูทุกครั้งที่พบกันไปถึงไหน
พอพูดจบ ฮัวหลิงก็กวาดสายตามาทางพวกเนี่ยหลี่ ที่ยืนอยู่ข้าง
หลังเซี่ยวหยู่ แล้วหัวเราะ "โลกใบเล็กดูจะเสียคนมีพรสวรรค์ไม่
น้อยทีเดียว มีผู้ผ่านการคัดเลือกเพียงสามคนเท่านั้นหรือ?
ระดับพลังก็ไม่ใช่ว่าจะโดดเด่นอะไรเสียด้วย ดูเหมือนโลกใบ
เล็กจะเทียบห้วงสวรรค์น้อยของเราไม่ได้เลย"
คาพูดของฮัวหลิงทิ่มแทง ทั้งสายตาที่มองมาก็บ่งบอกชัดเจนว่า
มันมองพวกเนี่ยหลี่อย่างไร
ด้านหลังฮัวหลิงมียอดฝีมือยืนอยู่กว่ายี่สิบคน ทุกๆ คนอยู่ใน
ระดับเซียนที่อีกเพียงก้าวเดียวก็กา้ วเข้าสู่ชั้นชะตาสวรรค์
สายตาที่พวกเขามองเนี่ยหลี่และพวกเต็มไปด้วยอารมณ์ยั่ว
โมโห พวกเขารู้ว่านายน้อยของพวกเขาไม่ถูกกันกับเซี่ยวหยู่
เมื่อพวกเขาตั้งใจจะพึ่งพิงฮัวหลิง แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องยืน
อยู่ฝ่ายเดียวกัน
เนี่ยหลี่ใช้ลมปราณรวมเสียงถามเซี่ยวหยู่ว่า "แล้วตกลงฮัวหลิง
นี่ใคร
บิดาของมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับบิดาบุญธรรมของข้า เป็นคน
ของตาหนักนอก นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ที่พยายามแย่งชิงตา
แหน่งหัวหน้าผู้ดูแลฝ่ายนอกกับบิดาบุญธรรม พวกเจ้าไม่ต้อง
ไปสนใจพวกเขา อยู่ที่นี่พวกเขาทาอะไรพวกเจ้าไม่ได้หรอก"
เซี่ยวหยูส่ ่งเสียงตอบเนี่ยหลี่
เนี่ยหลี่นับว่าเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจ
เลยว่าเหตุใดฮัวหลิงกับเซี่ยวหยูไ่ ม่ถูกกัน เพราะอย่างนี้นี่เอง
เนี่ยหลีเ่ องก็ไม่สนใจกับเรื่องขัดแย้งเช่นนี้อยู่แล้ว
สายตาเย็นเยือกของฮัวหลิงกวาดมองเนี่ยหลี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้
ยินที่เนี่ยหลี่กับเซี่ยวหยู่คุยกัน แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
การทดสอบรากวิญญาณใกล้เริ่มแล้ว ข้าล่ะสงสัยจริงว่าราก
วิญญาณของอัจฉริยะทั้งสามแห่งโลกใบเล็กจะเป็นเช่นไร" มุม
ปากของฮัวหลิงยังคงเต็มไปด้วยการยั่วยุ ขณะที่สายตากวาด
ผ่านกลุม่ ของเซี่ยวหยู่ "ในเมื่อนายน้อยเซี่ยวมี รากวิญญาณชั้น
ฟ้าระดับเจ็ด ข้าเดาว่าคนจากโลกใบเล็กก็คงจะไม่เลวเช่นกัน
จริงมั้ย
นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!!" เซี่ยวหยู่ตอบโต้อย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าเขาจะรังเกียจฮัวหลิงเอาเรื่องทีเดียว การพูดคุย
โต้ตอบของทั้งสองคนสามารถตอบคาถามหลายๆ ข้อได้ดีที่
เดียว
พอเห็นว่าเซี่ยวหยูห่ ันหนีอย่างเฉื่อยชา ฮัวหลิงก็แค่นเสียงเย็น
ชาแล้วหันหลังกลับ เซี่ยวหยู่มีรากวิญญาณชั้นเจ็ด แต่ยังไม่อาจ
ก่อรูปจิตพรหมณ์ (สร้างชะตาวิญญาณ) มันอาศัยอะไรมาอวดดี
ทว่า แม้ฮัวหลิงจะมีพลังระดับชะตาสวรรค์ สามพรหมณ์ (สร้าง
ชะตาวิญญาณได้ถึง 3 อัน)แล้ว และเซีย่ วหยู่ยังไม่อาจก่อรูปจิต
พรหมณ์ได้เลยก็ตาม ฮัวหลิงก็ยังถือว่าเซี่ยวหยู่เป็นคู่แข่งอันน่า
กลัวอยู่
ประการแรกนั้น รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ดเป็นตัวตนในตา
นานไปแล้ว คนในสถาบันวิญญาณฟ้าที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้า
ระดับเจ็ดขึ้นไปนั้นรวมแล้วมีไม่เกินร้อยคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น
ทั้งหมดนั่นมีพลังที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ทรงอานาจ
ที่สุดในระดับพลังเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว ความเร็วในการบ่ม
เพาะพลังของผู้มรี ากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ดควรจะรวดเร็ว
เป็นอย่างยิ่งจนคนทั่วไปไม่อาจเห็นหลังได้ ทว่า แม้จนขณะนี้
เซี่ยวหยู่กลับยังไม่อาจก่อรูปจิตพรหมณ์ของตัวเองได้
โดยทั่วไปแล้ว คนเช่นนี้ไม่ควรจะเป็นคนที่สามารถคุกคาม
ฮัวหลิงได้ ทว่า มันยังมีตานานอีกประการหนึ่งที่เล่ากันมาปาก
ต่อปากในสถาบันวิญญาณฟ้าว่า สาหรับผู้ทมี่ ีรากวิญญาณชั้น
ฟ้านั้น ยิ่งค้างอยู่ระดับชะตาดินนานเท่าใด เมื่อยามที่ก่อรูปจิต
พรหมณ์ได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น จนถึง
ขนาดว่าคนทั่วไปไม่อาจทาความเข้าใจได้เลยทีเดียว
พลังอันลึกลับของรากวิญญาณชั้นฟ้ามักจะเป็นสิ่งที่รบกวน
จิตใจฮัวหลิงอยู่เสมอ ตัวเขาเองตอนที่รับการทดสอบก็ได้ราก
วิญญาณชั้นดินระดับเจ็ดเท่านั้น ตามปกติแล้วพรสวรรค์ระดับ
นี้นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะเรียกได้ว่าอัจฉริยะ
จานวนคนที่เข้าทดสอบเพิ่มขึ้นเรือ่ ยๆ
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้า ไปเขตใต้"
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเจ็ด ไปเขตใต้"
ในผู้ที่รับการทดสอบทั้งหมดนี้ มีผทู้ ี่มีพรสวรรค์ถึงรากวิญญาณ
ชั้นดินไม่มากนัก อาจารย์ทรี่ ับผิดชอบการทดสอบหลายคนมอง
ไปยังศิษย์ที่มาเข้ารับการทดสอบด้วยใบหน้าเซ็งๆ ในปีก่อนๆ
จานวนของเด็กที่นับได้ว่าอัจฉริยะลดลงทุกปี นี่โยงไปถึงเหตุผล
ที่ทาให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์กาลังเสื่อมถอยลง อัจฉริยะที่ทรง
อานาจย่อมมีสิทธิ์เลือก และส่วนใหญ่มักจะเลือกไปสานักอื่น
กัน
ในหมู่อาจารย์ที่คมุ ทดสอบ ผู้เป็นประธานเป็นชายวัยกลางคน
สวมเสื้อคลุมสีน้าเงินที่เปล่งประกายทรนงออกมา ตัวเขาและ
อาจารย์อีกสองคนที่ยืนอยูด่ ้านข้างสองฝั่งกาลังจดบันทึกผล
การทดสอบอย่างรวดเร็ว
รากวิญญาณชั้นดินระดับหก" ได้ผลทดสอบไปอีกคน
ไม่เลว ไปเขตตะวันตก" ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินพูด
พลางพยักหน้าเล็กน้อย
ฮัวหลิงขมวดคิ้วอยู่ครูห่ นึ่ง ด้วยจานวนคนนับพันรอเข้าทดสอบ
เช่นนี้ อีกนานเท่าไหร่จะถึงตาของพวกเขาเล่า?
เขาเดินเข้าหาชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินนั้น ยิ้มบางๆ และ
แสดงการคารวะคราหนึ่ง "ผู้ดูแลกู่ ไม่พบกันนาน"
พอเห็นฮัวหลิง สีหน้าของชายวัยกลางคนก็อ่อนลงเล็กน้อยแล้ว
ถามว่า "นายน้อยฮัวหลิง ท่านอุตส่าห์มาถึงที่นี้มีเหตุอันใดหรือ
อันที่จริงแล้ว ข้าพาลูกศิษย์หลายคนนี้จากห้วงสววรค์น้อยมา
ที่นี่เพื่อเข้ารับการทดสอบ ข้าหวังว่าผู้ดูแลกู่จะช่วยอานวย
ความสะดวกให้"
ฮัวหลิงยิม้ พลางตวัดมือขวา วัตถุสงิ่ หนึ่งปรากฎขึ้นแล้วลอยไป
ยังชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงิน
เขาก้มลงมองอย่างรวดเร็ว จากนัน้ ก็รับของไปโดยไม่กระพริบ
ตาสักนิด เขายิ้มแล้วพูดว่า "ท่านช่างมีเมตตานั้น นายน้อย
ฮัวหลิงเกรงอกเกรงใจไปแล้ว"
ชายคนนี้เป็นเพียงผูด้ ูแลกิจการภายนอก กับบิดาของฮัวหลิงที่
เป็นผู้ดูแลที่มสี ิทธิ์ขาดแล้ว ยังไม่อาจเทียบเปรียบได้ เมื่อ
ฮัวหลิงให้มันขนาดนี้ เขาจะไม่ไว้หน้าได้อย่างไร
เช่นนั้น พวกศิษย์ที่มากับนายน้อยฮัวหลิง เชิญทดสอบก่อน"
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินยิ้มและพูดต่อว่า "ห้วงสวรรค์
น้อยนับว่าได้รับการประสาทพรจากฟ้า ให้ปรากฎผูม้ ีพรสวรรค์
จานวนมาก ดังนั้นศิษย์ที่มาในรอบนี้ สมควรเป็นอัจฉริยะที่โดด
เด่นแล้ว"
ต้องรบกวนท่านแล้ว ผูด้ ูแลกู่" ฮัวหลิงหัวเราะแล้วหันไปส่ง
สัญญาณให้คนอื่นๆ "มานี่"
ศิษย์จากห้วงสวรรค์น้อยต่างก็เดินเข้าไปหาฮัวหลิง
เห็นเช่นนี้แล้ว ใบหน้าคนที่กาลังต่อแถวกันพลันมัวหมองลง
เพื่อที่จะได้ทดสอบคนหลายพันคนนี้ต้องมายืนรอเป็นเวลานาน
ฮัวหลิงและพวกเพิ่งจะมาถึง แต่กลับได้ทดสอบก่อน เช่นนี้จะ
รับได้อย่างไร
"คนพวกนี้เป็นใครกัน?"
ระวังคาพูดหน่อย อย่างได้หาเรื่องราวใส่ตัว นั่นคือฮัวหลิง
บุตรชายของผู้ดูแลตาหนักนอกสถาบันวิญญาณฟ้า ปล่อยให้
พวกเขาทดสอบไปก่อน"
สุดท้าย คนที่ต่อแถวก็ได้แต่ยั้งปากไว้ จะอย่างไร ในนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายังไม่มีกาลังพอจะรับผลจากการล่วงเกิน
คนเช่นนี้
ทว่า เซี่ยวหยู่เดินไปถึงตรงหน้าฮัวหลิงและครูคุมสอบแล้วถาม
ด้วยน้าเสียงเคร่งขรึมว่า "ผู้ดูแลกู่ นี่เหมาะสมแล้วหรือ? พวก
เรามาถึงก่อนฮัวหลิง แต่พวกเขากลับได้รับการทดสอบก่อนเรา
การลาเอียงเช่นนี้ หากมีข่าวลือแพร่ออกไปคงไม่ดีนัก"
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินมองไปยังเซี่ยวหยูค่ ราหนึ่งสีหน้า
ก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนทันที หากเป็นคนธรรมดากล่าว
เช่นนี้ล่ะ เขาจะต้องถูกกดดันจนเงียบไป ระหว่างการทดสอบ
เขายังนับว่ามีอานาจกระทาได้ ทว่า บิดาของเซี่ยวหยู่อยู่ใน
ระดับเดียวกันกับบิดาของฮัวหลิง ผู้ดูแลฝ่ายนอกที่ครอบครอง
อานาจตัดใจ ทั้งสองคนไม่ใช่บุคคลที่เขาสามารถตอแยได้ ยิ่งไป
กว่านั้น หากเซี่ยวหยู่แพร่ข่าวว่าเขาลาเอียง ตัดสินไม่เป็นธรรม
ระหว่างการสอบ เขาย่อมต้องโดนลงโทษแน่
นายน้อยเซี่ยวหยู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เรื่องเป็นเช่นนี้ นายน้อย
ฮัวหลิงมารับหมายเลขเข้าทดสอบไปก่อนที่พวกเราจะ
เตรียมการเสร็จ เพียงแต่ท่านมาช้าไปเล็กน้อย นั่นจะเรียกว่าไม่
เหมาะได้อย่างไรผู้ดูแลกู่พูด หลังจากที่นึกข้อแก้ตัวออกใน
พริบตา เขาเป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมตกอยู่ในกามือ
ผู้อื่นง่ายนัก
เซี่ยวหยู่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้ดูแลกู่
โกหก หน้าด้านๆ แต่เขาก็ทาอะไรไม่ได้
นายน้อยเซี่ยว ข้าลืมบอกท่านไป ข้าได้จองหมายเลขเข้า
ทดสอบสาหรับพวกท่านไว้ก่อนด้วย หากท่านต้องการทดสอบ
ก่อน ข้าจะให้พวกท่านทดสอบก่อนพวกเรา" ฮัวหลิงหัวเราะ
เบาๆ
ผู้ดูแลเกู่ต้องมองไปทางฮัวหลิงอย่างสานึกขอบคุณ ทั้งสองเป็น
บุตรของผู้ดูแล แต่ฮัวหลิงรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร เมื่อเทียบกับ
เซี่ยวหยู่แล้วนับว่าไหลกว่ามาก เรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ทีเดียว
ไม่จาเป็น อีกสักครู่ก็ถึงรอบพวกเราแล้ว" เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้วครู่
หนึ่ง หากเขาแซงฮัวหลิง มิเท่ากับว่าเขาเป็นคนประเภท
เดียวกันกับฮัวหลิงหรือ?
โอ้? ใกล้จะถึงรอบของนายน้อยเซีย่ วแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นผู้ดูแล
กู่ ท่านช่วยพวกเราทดสอบพร้อมกันเลยก็ได้ เช่นนี้แล้วข้ากับ
นายน้อยเซี่ยวจะได้มีเวลาคุยกัน" ฮัวหลิงหัวเราะเบาๆ
เมื่อนายน้อยฮัวหลิงต้องการเช่นนัน้ โปรดรอสักครูศ่ ิษย์ที่อยู่
แถวหน้าใกล้จะทดสอบเสร็จแล้ว" ผู้ดูแลกูย่ ิ้มบาง นัยตาปรากฎ
แววคลุมเครือสั่นไหวอยู่ ได้ยินว่าบิดาของทั้งสองคนไม่ถูกกัน
และดูบตุ รชายของทั้งสองก็คนจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่เมื่อ
เรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับเขา ผูด้ ูแลกู่ก็ยินดีจะนั่งลงข้างๆ รอชม
เรื่องสนุกสนาน
เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้ว แสดงให้เห็นว่าไม่ชอบใจการยั่วยุของฮัวหลิ
งนิดหน่อย
ฮัวหลิงมองไปทางเนี่ยหลี่สามสหายแล้วยิ้ม "ข้าไม่รู้หรอกนะว่า
รากวิญญาณที่อัจฉริยะจากโลกใบเล็กเช่นพวกนี้จะอยูร่ ะดับใด?
แต่ควรทราบว่านายน้อยเซี่ยวหยูน่ ั้นเป็นบุคคลหายากที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ด ข้าหวังว่าคนพวกนี้จะไม่เลวเช่นกัน"
เสี่ยวอวี้ยังไม่แน่ใจในพรสวรรค์ของพวกเนี่ยหลี่นัก เมื่อฮัว
หลิงกล้าข่มขนาดนี้ มันได้แต่กวาดสายตาเย็นชาใส่มันอย่าง
เงียบงัน
พวกศิษย์ที่ได้ทดสอบแถวหน้ามีหลายคนที่มรี ากวิญญาณชั้นดิน
หนึ่งในนั้นมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับสาม กระตุ้นให้เสียงฮือฮา
จากการตื่นตกใจดังขึ้นมา
รากวิญญาณชั้นฟ้าเชียวนะ!!"
ทุกคนต่างมองไปยังอัจฉริยะผู้นั้นด้วยสายตาอิจฉา
อัจฉริยะผู้นั้นยังคงนิ่งตะลึง เดิมทีเขาเพียงแค่มาเรียนเป็นเพื่อน
นายน้อยของเขา และการทดสอบคราวนี้ก็เพียงแค่มาทดสอบ
เป็นเพื่อนนายน้อย ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีรากวิญญาณชั้น
ฟ้า
บทที่ 265 ทดสอบ

เค้าแห่งความยินดีประดับอยู่บนใบหน้าของผู้ดูแลกู่ "ไปเขต
ตะวันตก!" สถาบันวิญญาณฟ้าดูแลอัจฉริยะเช่นบุคคลสาคัญ
จริงๆ
ถ้ามีอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าปรากฎตัวขึ้นสักคน แม้แต่
ผู้ดูแลกู่ก็พลอยได้รับรางวัลด้วย
ลู่เปียวมองไปที่เซี่ยวหยู่แล้วถามว่า "เขตตะวันตก ตะวันออก
และใต้นี่แตกต่างกันยังไง
เซี่ยวหยู่ก็อธิบายว่า "เขตเหนือนั้นนับว่าแย่สุด ปกติแล้ว คนที่มี
รากวิญญาณต่ากว่าชั้นมนุษย์ระดับห้าจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า
เรียน แต่ยังมีบางคนที่ไม่อาจถอน
ตัวเรื่องการเข้าเรียนที่นี่ง่ายๆ ด้วยเหตุผลด้านฐานะหรือมี
ครอบครัวอยู่ในนิกายขนนกศักดิ์สทิ ธิ์ คนที่เป็นแบบนั้นจะถูก
ส่งไปเขตทิศเหนือ"
ลู่เปียวเข้าใจแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่ถูกส่งไปยังเขตทิศเหนือก็
คือพวกลูกหลานคนใหญ่คนโตที่ไร้ความสามารถนั่นเอง ถ้าเป็น
คนทั่วไปแล้วมีรากวิญญาณต่ากว่าชั้นมนุษย์ระดับห้าล่ะก็ จะ
เข้าไปเรียนในเขตเหนือยังทาไม่ได้เลย
"เขตใต้นับว่าดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะใช้รองรับผู้มรี ากวิญญาณ
ชั้นมนุษย์ระดับห้าถึงระดับเก้า ส่วนเขตตะวันตกเป็นพื้นที่ที่ดี
ที่สุด ที่ศิษย์ใหม่จะสามารถเข้าไปได้ มีเพียงผูม้ ีรากวิญญาณชั้น
ดินและชั้นฟ้าเท่านั้นที่จะถูกส่งไปยังเขตตะวันตก ตอนนี้ข้าเอง
ก็ยังอยู่ที่เขตตะวันตก คนที่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้
รวดเร็วและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เพียงพอจึงจะสามารถ
ย้ายไปยังเขตตะวันออกได้"
ลูเปียวมองไปยังเซี่ยวหยู่แล้วถามว่า "แล้วเขตกลางล่ะ
เขตกลาง..." เซีย่ วหยู่เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้า
เสียงจริงจัง" นั่นเป็นสถานที่ลับสุดยอด ไม่มีใครรู้ว่าข้างในเป็น
อย่างไร ทุกอย่างในนั้นถูกปกปิดเป็นความลับและห้ามเปิดเผย
ต่อภายนอกเด็ดขาด มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะจากเขตตะวันออก
เท่านั้นที่อาจจะมีสิทธิได้รับเลือกให้ไปที่นั่น ว่ากันว่ามีขุมกาลัง
หลักของนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์อยู่ที่นั่น"
เนี่ยหลี่นิ่งเงียบ แม้ในชาติก่อน กับเรื่องของเขตกลางแล้ว เขาก็
ยังได้รับรู้ข้อมูลเพียงบางส่วนเท่านั้น
พอมองไปข้างหน้าก็เห็นว่าใกล้ถึงรอบของพวกเขาแล้ว เนี่ยหลี่
เข้าใจพรสวรรค์ของตัวเองดี ชาติก่อนเขาก็เคยทดสอบ และได้
ทราบว่าตัวเองมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด แม้ว่าไม่ได้
แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ก็ยังนับได้ว่าโดดเด่น หากเป็น
สถานการณ์ทั่วไป เขาก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงสามารถ
บอกได้เลยว่าตัวเองยังคงมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีคนที่ทดสอบเสร็จไปอีกหลายสิบคน
ผู้ดูแลกู่มองไปยังเซี่ยวหยู่และฮัวหลิง ก่อนจะพูดริมฝีปาก
ประดับยิ้มบางว่า "นายน้อยทั้งสอง ใกล้ถึงรอบคนของพวก
ท่านแล้ว"
ฮัวหลิงที่ยืนอยูด่ ้านหนึ่งยิ้ม "ข้าจะให้ผู้ดูแลกูเ่ ป็นผูจ้ ัดการแล้ว
กัน ข้ากับเซี่ยวหยู่จะรออยู่ดา้ นข้าง"
ผู้ดูแลกู่พยักหน้าแล้วชี้นิ้วไปยังบุคคลหนึ่งแลวพูดว่า "เจ้าเข้ามา
นี่แล้วรับการทดสอบเสีย"
นั่นเป็นคนที่มาจากห้วงสวรรค์น้อย ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบและ
สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วง
ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้า ภายใต้การดูแลของผู้ดูแลกู่และ
ครูผู้ช่วยทั้งสอง เขาก็ค่อยๆ วางมือลงบนลูกแก้วทรงกลมที่มี
ขนาดใหญ่พอๆ กับหลักหินบอกระยะ จากนั้นจึงส่งพลังของตน
เข้าไปอย่างช้าๆ
ลูกแก้วเรืองแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเส้นสายสีส้มก็ปรากฎ
ขึ้นในลูกแก้วแล้วขมวดรวมกันเป็นมัดจานวนหกมัด
ผู้ดูแลกู่พยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเบาบางว่า "รากวิญญาณ
ชั้นดินระดับหก ไม่เลว ส่งไปเขตตะวันตก"
ฮัวหลิงเดินเข้าไปตบไหล่ชายหนุ่มแล้วชมว่า "ดีมาก!"
ชายหนุ่มโค้งให้น้อยๆ ด้วยความเคารพก่อนจะล่าถอยไปอยู่ข้าง
หลังฮัวหลิง ดูเขาจะไม่ค่อยถือตัวเท่าใดนัก
จากนั้นอาจารย์คุมสอบก็ทาการทดสอบคนอื่นๆ ต่อไป
รากวิญญาณชั้นดินระดับสาม ไปเขตตะวันตก"
รากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด ไปเขตตะวันตก"
อีกสามคนถัดมามีรากวิญญาณชั้นดิน ทั้งหมดถูกส่งไปเขต
ตะวันตก
คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังต่างก็เอาเรื่องนี้ไปกระซิบกระซาบกัน
คนจากห้วงสวรรค์น้อยพวกนี้จะสุดยอดเกินไปแล้ว คนที่มา
ทดสอบมากมายขนาดนี้แต่เก้าส่วนมีรากวิญญาณไม่เกินชั้น
มนุษย์ ในสิบคนจะพบคนที่มีรากวิญญาณชั้นดินสักคนหรือสอง
คนเท่านั้น แต่นี่ทั้งสามคนเป็นรากวิญญาณชั้นดินกันหมดเลย"
นั่นสิ แถมหนึ่งในนั้นยังมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด เท่านั้นก็
นับว่าหายากมากแล้ว"
มุมปากของฮัวลิงยกตัวขึ้น ห้วงสวรรค์น้อยมักจะสามารถผลิต
คนหนุ่มสาวทีม่ ีพรสวรรค์ออกมาได้เป็นประจา จะเอาไปเทียบ
กับที่อื่นได้อย่างไร
ผู้ดูแลกู่ชี้ไปที่กวนหยู่ "เจ้า เข้ามานี่แล้วรับการทดสอบเสีย"
กวนหยู่พยักหน้ารับคา "ขอรับ"
เขาก้าวออกไปข้างหน้า ภายใต้การดูแลของครูผู้ช่วยทั้งสอง
เขาวางมือลงบนลูกแก้วทรงกลม แล้วส่งพลังของตนเข้าไป
โชคดีที่เซี่ยวหยู่อธิบายขั้นตอนให้ฟังก่อน แม้จะรู้อยู่ก่อนว่า
ลูกแก้วนี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินชะตาชีวิตในอนาคตของเขา แต่พอ
ถึงเวลาจริงก็ยังอดประหม่าไม่ได้
เวลาผ่านไป ลูกแก้วก็ส่งแสงออกมาสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วสายใย
สีแดงก็ปรากฎขึ้นแล้วแยกออกเป็นเก้าสาย
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้า ส่งไปเขตทิศใต้" ผูด้ ูแลกู่พูด
หลังจากมองไปยังกวนหยู่ แม้ว่ารากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับ
เก้าจะไม่เลวแต่กไ็ ม่อาจเรียกได้ว่าเหนือธรรมดา
กวนหยู่ยืนเหม่อมองลูกแก้วตรงหน้าอย่างตกตะลึง พลางพึมพา
ว่า "นี่เป็นไปไม่ได้ การทดสอบนี้ตอ้ งมีอะไรผิดพลางแน่ ข้า
ต้องการทดสอบใหม่"
พอได้ยินคาพูดของกวนหยู่ ผู้ดูแลกู่ก็พูดเสียงเย็นว่า "การ
ทดสอบไม่มีทางผิดพลาด หนึ่งคนทดสอบได้หนึ่งครั้งเท่านั้น"
ครูคุมสอบอีกสองคนก็มองกวนหยูด่ ้วยสายตาโมโห กวนหยูไ่ ด้
มองกลับมาด้วยสายตาเหม่อ แม้วา่ เขาจะผ่านการทดสอบ แต่
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้าไม่ถูกนับว่าเป็นอัจฉริยะ นี่
นับเป็นสิ่งที่เขายากจะยอมรับได้ ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขา
นับได้ว่าเก่งกาจทีส่ ุด เรียนรูไ้ ด้เร็วที่สุด เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์
ที่สุดแท้ๆ
พอเห็นกวนหยู่เดินกลับมา เนี่ยหลีก่ ็พูดอย่างสบายๆ ว่า "ไม่
ต้องไปสนใจมากนักหรอก แม้ว่าระดับของรากวิญญาณจะ
เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความเร็วในการบ่มเพาะพลัง แต่นั่นไม่
ปัจจัยตัดสินความสามารถ"
ได้ยินที่เนีย่ หลี่พดู กวนหยู่ก็ต้องสับสนใจด้วยความรูส้ ึก
หลากหลาย
ฮัวหลิงหัวเราะออกมา "ฮ่าๆๆ ระดับของรากวิญญาณไม่ใช่
ปัจจัยตัดสิน ถูกแล้ว ลองดูนายน้อยเซี่ยวหยูเ่ ป็นตัวอย่างสิ แม้
ท่านจะมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ด จนป่านนี้พลังก็ยังค้างอยู่
ระดับชั้นชะตาดินเลย
เซี่ยวหยู่มองไปยังฮัวหลิงแล้วพูดว่า "เจ้าต้องจะพูดอะไรกัน
แน่?"
พอเห็นสายตาของเซี่ยวหยู่ ฮัวหลิงรีบกล่าวคา "ขออภัย" ด้วย
การพูดว่า "นายน้อยเซีย่ วหยู่ ข้าต้องขออภัยด้วย ปากของข้า
มันพาไปน่ะ ข้าไม่ได้ต้องการจะย้าปัญหาเรื่องรากวิญญาณของ
ท่านเลยจริงๆ"
เนี่ยหลีม่ องไปยังฮัวหลิงและส่งยิม้ ให้ "ระดับของรากวิญญาณ
ย่อมไม่สามารถตัดสินความสาเร็จในอนาคตของคนผู้หนึ่งได้ก็
จริง แต่ยังมีความเกี่ยวเนื่องอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้า นายน้อยฮัวหลิงท่านเคยเห็นผู้มรี ากวิญญาณ
ชั้นฟ้าคนใดมีพลังค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินไปตลอดหรือ? ตราบ
ใดที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้า นั่นก็จะเป็นสิ่งที่รับประกันได้วา่ คนผู้
นั้นสามารถก้าวขั้นไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้"
ฮัวหลิงเย้ยหยันว่า "แล้วอย่างไร? ใช้เวลาฝึกฝนเป็นทศวรรษแค่
เพื่อชั้นชะตาสวรรค์? ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเท่านี้กไ็ ม่ได้
ดีไปกว่ารากวิญญาณชั้นมนุษย์หรอก"
ก็ไม่เชิง" เนี่ยหลีส่ ่ายหัวแล้วพูดต่อ "ระดับวิญญาณของคนที่มี
รากวิญญาณชั้นฟ้านั้นมีสภาวะที่น่าแตกตื่นอยู่แล้ว แต่เหตุใด
คนที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าบางคนยังค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินเป็น
เวลานานเล่า? นั่นก็เพราะว่ารากวิญญาณชั้นฟ้าจะดูดซับพลัง
ฟ้าดินเข้าสูร่ ่างกายเพิ่มระดับวิญญาณเองอยู่แล้ว ไม่ทราบว่า
นายน้อยฮัวหลิงรู้จักวัตถุวญ ิ ญาณที่เรียกว่า ไผ่มณีม่วง หรือไม่?
ไผ่มณีม่วงเป็นยอดสมุนไพร ใต้ฟ้าเหนือพิภพนี้นับว่าเป็นของ
หายากยิ่ง ปกติแล้วเมล็ดของมันมักจะฝังตัวอยู่ในดิน ดูดซับ
พลังพลังฟ้าดินเอาไว้ ไผ่มณีม่วงนี้จะเริม่ งอกหลังจากที่ดดู ซับ
พลังมานานหลายร้อยปี และพอมันงอก มันก็จะเติบโตขึ้นเพียง
ไม่กี่นิ้วในแต่ละปี พอเวลาผ่านไปหลายพันหลายหมื่นปี ไผ่มณี
ม่วงจึงพร้อมที่จะแตกหน่อผลิใบ เมื่อเวลานั้นมาถึง ทันทีที่ไผ่
มณีม่วงโผล่พ้นจากดิน มันก็จะโตพรวดจนสูงหลายสิบเชี๊ยะใน
วันเดียวและจะโตต่อไปอย่างรวดเร็ว"
ฮัวหลังฟังจนหัวหมุนแต่ก็ฟื้นตัวได้เกือบจะทันที แล้วจึงแค่น
เสียงกล่าวว่า "แม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะฟังดูมีเหตุผล แล้วอย่างไร?
ไผ่มณีม่วงจะเอามาเทียบรากวิญญาณชั้นฟ้าได้ยังไง
เนี่ยหลีย่ ิ้มบางแล้วตอบว่า "แม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และ
ท่านก็คงไม่เชื่อข้า แต่ท่านสามารถสอบถามเพื่อยืนยันกับยุทธา
จารย์ท่านไหนก็ได้ ว่าผู้ที่มรี ากวิญญาณชั้นดินและชั้นฟ้าแล้ว
ค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินเป็นเวลาหนึ่งปี สามารถประกันได้ว่าจะ
ก้าวไปถึงระดับชะตาสวรรค์ได้แน่นอน หากติดอยู่ที่ชั้นชะตาดิน
สองปีก็ประกันได้ว่าจะก้าวไปถึงชัน้ แก่นแท้แห่งสวรรค์ได้
แน่นอน และผู้ที่ค้างอยูส่ ามปี ก็คอื ยอดอัจฉริยะทีส่ ามารถก้าว
ไปถึงระดับเทพสงครามได้แน่นอน ไม่ทราบว่านายน้อยเซีย่ วหยู่
ติดอยู่ที่ชั้นชะตาดินนานเท่าใดแล้ว
ห้าปีแล้ว" เซี่ยวหยู่มองเนี่ยหลี่อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มันไม่
สามารถบอกได้ว่าทีเ่ นี่ยหลี่พูดเป็นความจริงหรือไม่
เนี่ยหลีม่ องไปยังเซีย่ วหยู่แล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดง
ความยินดีด้วย นายน้อยเสี้ยวอี้ ท่านคงจะสามารถทะลวงขีดจา
กัดก้าวเข้าสู้ชั้นชะตาสวรรค์ได้เร็วๆ นี้ หลังจากนั้น ระดับพลัง
ของท่านจะพุ่งขึ้นสูง ในระดับที่คนทั่วไปจะสามารถรับไม่ไหว
ทีเดียว"
ฮัวหลิงยิม้ เย็น "ชิ ไร้สาระ แค่พูดออกมาส่งๆ แล้วคิดว่ามันจะ
เป็นจริง น่าขัน จะบอกว่าเจ้าเคยพบกับยอดฝีมือชั้นเทพ
สงครามมาแล้วสักคนหรือยังเถอะ? น้าหน้าอย่างเจ้ามีสิทธิ์ยืน
อยู่หน้ายอดฝีมือชั้นเทพสงครามงั้นหรือเขารูส้ ึกสังหรณ์ไม่ดีกับ
คาพูดของเนี่ยหลี่ แต่เขายังไม่อาจทาใจยอมรับว่าสิ่งที่เนี่ยหลี่
พูดเป็นความจริง
เดี๋ยวก็รู้ รอดูไปเถอะ" เนี่ยหลี่ยักไหล่
เซี่ยวหยู่หันมาปรึกษาเนี่ยหลี่ว่า "เนี่ยหลี่ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง
หรือ
ข้ากุเรื่องขึ้นเอง" เนี่ยหลี่ตอบ พลางลอบหัวเราะในใจ ที่พูด
ออกไปนั้นเป็นความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง เขารู้ว่าวิญญาณของ
เซี่ยวหยู่ถูกขัดเกลาจนอยู่ในระดับที่สามารถทะลวงขีดจากัด
ไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้นานแล้ว ด้วยพรสวรรค์ขอเซีย่ วหยู่
หลังจากที่ก้าวเข้าสู้ชั้นชะตาสวรรค์ การบ่มเพาะพลังของเขา
ย่อมจะต้องพุ่งขึ้นสูงอย่างที่ยากจะพบพาน
ยิ่งไปกว่านั้น เนี่ยหลี่สามารถบอกได้เลยว่าเซี่ยวหยูเ่ ป็น
เช่นเดียวกันกับเจ้านรกานต์ ทั้งสองฝึกวิชา [มังกรคารามคณา
นับ] สิ่งที่สุดยอดของวิชานี้ก็คือมันสามารถเทียบได้กับวิชาที่
เนี่ยหลีส่ อนตู่ซื่อกับลูเปียวชนิดไม่เป็นรองแก่กันเลยแม้แต่นิ้ว
เดียว ทว่า วิชา [มังกรคารามคณานับ] ที่เจ้านรกานต์และเซี่ยว
หยู่ฝึกคงจะมีบางส่วนขาดหายไปจากต้นฉบับ นั่นจึงทาให้เซี่ยว
หยู่ค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินนานขนาดนี้
และนั่นก็เท่ากับว่าเซี่ยวหยู่มีความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขีดจา
กัดไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้แน่นอน หลังจากทะลวงขีดจากัด
เส้นทางของเขาจะลายเป็นเส้นทางที่เดินสะดวกไปจนกว่าจะ
เคาะประตูชั้นดาราสวรรค์นั่นแหละ จึงจะเริม่ ฝึกได้ยากขึ้น
ถ้างั้นก็ช่างเถอะ" เซี่ยวหยู่ยิ้มอย่างขมขื่น เนี่ยหลี่เพียงแค่แหล
ใส่ฮัวหลิงเท่านั้น เพียงแค่เรื่องที่เนี่ยหลี่พูดก็เพิ่มความหวังอัน
ริบหรี่จนให้เขาดีใจเก้อเท่านั้น
เนี่ยหลีย่ ิ้มเงียบๆ
ฮัวหลิงมองไปที่เซี่ยวหยู่ พอหันมายังเนี่ยหลี่ก็แค่นเสียงเย็นชา
เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เนี่ยหลี่พูด เขาจึงหันไปดูคนของเขาทาการ
ทดสอบต่อ
รากวิญญาณชั้นดินระดับสาม"
รากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด"
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด"
การทดสอบผ่านไปหกคน ในนั้นปรากฎรากวิญญาณชั้นดินถึง
ห้าคน และรากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปดหนึ่งคน
พอได้ยินคาพูดของผูด้ ูแลกู่ หน้าของฮัวหลิงก็พลันเปลี่ยนเป็นสี
ดาคล้า มันแค่นเสียงเย็นชา "สวะ!! รากวิญญาณชั้นมนุษย์ ไส
หัวกลับไปห้วงสววรค์น้อยไป ข้าไม่ต้องการขยะรากวิญญาณ
ชั้นมนุษย์ที่นี่"
ชายหนุ่มถูกด่าที่ทดสอบได้รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด
มันอับอายจนหูแดงไปหมด..จบตอน
บทที่ 266 ผลการทดสอบ

ผู้ดูแลกู่รีบแก้ไขสถานการณ์ "นายน้อยฮัวหลิง แม้ว่าเขาจะ


ทดสอบได้รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด และไม่สามารถ
เทียบได้กับศิษย์ทั้งหลายจากห้วงสวรรค์น้อย พรสวรรค์ของเขา
ก็ยังพอรับได้อยู่ ท่านไม่จาเป็นต้องขุ่นเคืองไป"
ฮัวหลิงมองไปยังชายหนุ่มที่มรี ากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด
อย่างเย็นชา "เราไม่ต้องการขยะอย่างรากวิญญาณชั้นมนุษย์ใน
ห้วงสวรรค์น้อยของข้า เจ้าจะเลือกไสหัวกลับบ้านไปเองหรือจะ
ให้ข้าเตะส่งเจ้าไป? พวกขยะที่มีรากวิญญาณชั้นมนุษย์ไม่ควร
โผล่หัวมาที่สถาบันวิญญาณฟ้าให้ตัวเองอับอายเปล่าๆ"
ได้ยินคาทีฮ่ ัวหลิงด่าประณามชายหนุ่มนั้น กวนหยู่ได้แต่กาหมด
แน่น ด้วยเพราะคาพูดของฮัวหลิงนั้นมีเป้าหมายที่เขาโดยตรง
ที่ผ่านมามีแต่เขาเป็นฝ่ายถากถางผู้อื่น แต่ตอนนี้ สถานะของ
เขากลับกลายเป็นฝ่ายถูกถากถางเสียงเอง ทาให้เขาอับอายจน
แทบจะฆ่าตัวตายเสียตรงนั้นทีเดียว
นอกจากกวนหยู่แล้ว ผูค้ นรอบๆ ที่ทดสอบได้รากวิญญาณชั้น
มนุษย์ต่างก็รสู้ ึกอับอายจนมองหน้าคนอื่นไม่ตดิ
เนี่ยหลีต่ บไหล่กวนหยู่แล้วพูดว่า "ไม่ต้องใส่ใจไปหรอก พวกเรา
เป็นผูฝ้ ึกตน มีชะตาต้องฝืนกฎฟ้าดินอยู่แล้ว หากไม่คดิ จะฝืน
กฎสวรรค์ จะฝึกตนไปทาไม"
สายตาขุ่นมัวของกวนหยู่ ค่อยๆกลับมาสดใสอีกครั้ง เขามอง
เนี่ยหลี่อย่างสานึกขอบคุณ "เนี่ยหลี่ ขอบใจเจ้ามาก ก่อนหน้านี้
ข้าพูดไม่ดีกับพวกเจ้าไว้ไม่น้อย แต่เจ้าก็ยังให้กาลังใจข้า ข้าจะ
ไม่ยอมแพ้อีกแล้ว"
ฮัวหลิงที่ยืนอยูด่ ้านข้างกวาดสายตาไปยังเนีย่ หลี่และกวนหยู่
อย่างเย้ยหยัน "ขยะย่อมเห็นใจขยะกันเองอยู่แล้ว ผู้ที่แข็งแกร่ง
ต้องไม่รับความสมเพชจากผู้อื่น"
หลังจากฮัวหลิงด่าจบ ชายหนุ่มทีม่ ีรากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับ
แปดก็เดินจากไปอย่างเงียบงัน
เจ้า เข้ามาทดสอบได้" ผู้ดูแลกู่ชี้ไปที่ลู่เปียว
ในที่สุดก็ถึงรอบทดสอบของเขา วินาทีนั้น แววขมขื่นปรากฎขึ้น
บนใบหน้าของลู่เปียว ระหว่างที่เขากาลังเดินเข้าหาลูกแก้ว จะ
เป็นโชคดีหรือโชคร้าย? แต่ต่อให้เป็นโชคร้ายก็หนีไม่พ้น จะช้า
เร็วก็ต้องทาการทดสอบอยู่ดี
ชั่ววินาทีก่อนที่ลู่เปียวจะวางมือลงบนลูกแก้ว ก็เกิดเสียงฮือฮา
ดังมาจากนอกสนามสอบเสียก่อน
เฮ้ย!! มีคนฆ่าตัวตายอยู่ข้างนอก!!"
นั่นเขาคนที่มีรากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปดนี่!!"
ข้าได้ยินว่าเขาทดสอบได้รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด
หลังจากนั้นพอเขาถูกเหยียดหยามให้อับอายขายหน้า เขาก็รับ
ไม่ได้จนถึงกับฆ่าตัวตายเลย"
ลูกศิษย์ที่รอทดสอบต่างก็สา่ ยหน้าด้วยความเสียใจ แม้ว่าราก
วิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปดจะไม่นับว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่
ก็ยังอยู่ในขั้นที่ยอมรับได้ ไม่เห็นต้องฆ่าตัวตายเลย
จากที่ได้ยินจากข้างนอกนั้น เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วคิดอยู่ครูห่ นึ่ง ชาย
หนุ่มนั่นมิได้ฆ่าตัวตายเพราะผลการทดสอบ แต่ฆ่าตัวตาย
เพราะไม่อาจแบกรับความขายหน้าที่จะต้องกลับไปมือเปล่า
ต่างหาก เขาเลือกตายอยู่ที่นี่แต่กว่ากลับไปตายทั้งเป็น นี่นับว่า
เป็นศักดิ์ศรีที่เขายึดมั่น
ฮัวหลิงแค่นเสียงเย็นชา "เขายอมตายดีกว่ากลับไป อย่างน้อยก็
นับว่ายังมีดีอยู่บ้าง ไม่ได้เป็นขยะสมบูรณ์แบบ ไม่มีความจา
เป็นต้องไปสงสารเขา"
คนอื่นๆ จากห้วงสวรรค์น้อยที่ยืนอยู่ข้างหลังฮัวหลิงต่างมีสี
หน้าแตกต่างกันออกไป จะอย่างไรเรื่องเช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นกับ
พวกเขาเป็นปกติ
พอได้ยินที่ฮัวหลิงพูด เซีย่ วหยู่ถึงกับโทสะพลุ่งขึ้น
ลู่เปียวและคนอื่นๆ ก็มองไปยังฮัวหลิงอย่างโกรธแค้น
ผู้ที่อยู่รอบๆ ต่างก็โมโหต่อคาพูดของฮัวหลิง ทว่า นี่ป็นเรื่อง
ภายในของห้วงสวรรค์น้อย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถยิ่นมือเข้าไป
ยุ่งได้
สายตาของทุกคนหันเหกลับมาที่ลเู่ ปียว ที่กาลังจะทาการ
ทดสอบ ฮัวหลิงดูถูกลูเ่ ปียวเห็นๆ จากการที่มุมปากของเขา
ยกขึ้นอย่างเย้ยหยัน ดูจากการทีล่ เู ปียวเอาแต่หงอแล้ว
พรสวรรค์ของเขาคงไม่เท่าไหร่
ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ลู่เปียว ทาให้เขารู้สึกกดดัน จนต้อง
ลอบภาวนาในใจขอให้ตนไม่ถูกส่งกลับ ก่อนจะวางมือลงบน
ลูกแก้ว
เมื่อครู่นี้เพิ่งมีคนฆ่าตัวตายไปหมาด แล้วตอนนี้ทุกคนกลับ
สนใจการทดสอบของลูเปียวกันหมด
ลู่เปียวใส่พลังของตนเข้าไปในลูกแก้ว จนมันสว่างขึ้นเรื่อยๆ พอ
มันเรืองแสงสีแดงลูเ่ ปียวก็ปิดตา [ตัยหอง ตัยหองแหงๆ เลยตู
ได้สแี ดงซะแล้ว นั่นเขารากวิญญาณชั้นมนุษย์ ได้โปรด...อย่าต่า
กว่าระดับห้าเลยนะ เพี้ยง!!"
ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ลูกแก้ว มองไปยังแสงที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ
จนแสบตา แสงนั้นเจิดจ้าจนต้องยกมือขึ้นบังสายตา แล้วสีของ
เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีชมพูเป็นแดงฉาน ก่อนจะเริม่
กลายเป็นสีม่วง จากนั้นสายใยในนั้นก็แตกออกเป็นห้าสาย
ลูเปียวหรี่ตาแอบดูแล้วรีบผิดตาลง รู้สึกอยากร้องไห้ "ห้าเส้น!!
แค่ห้าเส้น ตายแหง ตายแหงๆ!! ข้าต้องถูกส่งกลับ เหตุใดชีวิต
รันทดขนาดนี้"
สีหน้าของผู้ดูแลกู่เปลี่ยนจากเยือกเย็นเป็นตื่นตะลึง สีม่วงเป็นสี
ที่บอกถึงรากวิญญาณชั้นฟ้า ยิ่งไปกว่านั่น นี่ยังนับว่าเป็นครั้ง
แรกที่เขาเห็นสีม่วงที่เข้มขนาดนี้ นี่ยังไม่พูดถึงสายใยที่แยกตัว
ออกเป็นห้าเส้น เขาคือกรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า!! ผูด้ ูแลกู่
คุมการทดสอบผู้คนมามากมาย แต่สูงสุดที่เคยพบคือราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับสามหนึ่งคน รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับสอง
หนึ่งคน และรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับหนึ่งหนึ่งคนเท่านั้น และ
ทั้งหมดนั้นถูกจัดให้เป็นอัจฉริยะทัง้ หมด แต่เทียบกับลูเปียว
แล้ว ไม่สิ เทียบกันกับลูเปียวไม่ได้ด้วยซ้า!!
สีหน้าของฮัวหลิงเปลีย่ นจากเย้ยหยันเป็นตื่นตะลึง
นี่เขาเป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กนีม่ ีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า!!
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กทีด่ ูบ้านๆ อย่างนี้จะมีรากวิญญาณชั้น
ฟ้าระดับห้า! เทียบกับคนที่มรี ากวิญญาณชั้นฟ้าแล้ว พวกที่มี
รากวิญญาณชั้นดินก็เป็นเพียงกลุม่ คนธรรมดา! เขาจะหยามกัน
เกินไปแล้ว ฮัวหลิงถึงกับโทสะพลุง่ ขึ้นเมื่อสงสัยว่าคนจากโลก
ใบเล็กพวกนี้โกงการสอบ
ในอาณาจักรมังกรพ่ายนี้ประกอบด้วยมหานครและห้วงมิตยิ ่อย
จานวนนับไม่ถ้วน แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่จานวนคนที่มีราก
วิญญาณชั้นฟ้านั้นเรียกได้ว่าน้อยมากๆ ตอนนี้โลกใบเล็กกลับมี
รากวิญญาณชั้นฟ้าปรากฎขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นระดับห้า!!
หลังจากรออยู่นาน ลูเปียวค่อยจาต้องลืมตา "ทดสอบจบแล้ว
เหรอ
เขายังคงรอผู้ดูแลกู่พูดว่าส่งเขากลับ ทว่าเขาหลับตาเป็น
เวลานานแต่กลับไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใด
พอลืมตาขึ้น ลูเ่ ปียวค่อยรู้สึกได้ว่าสายตาทุกคนมองมาที่เขาคน
เดียว บรรยากาศก็แปลกๆ จนเขาเองยังต้องเกาหัว นี่เขาเกิด
อะไรขึ้นหล่ะเนี่ย? คนพวกนี้กินยาลืมเขย่าขวดหรือ? เหตุใดถึง
ตาโตนัก?
พอรู้สึกตัวว่าลูเปียวมองเขาอยู่ ผู้ดแู ลกู่ก็กระแอมกลบเกลื่อน
แล้วประกาศว่า "รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า ส่งไปยังเขต
ตะวันตก"
รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า? เดี๋ยวดิ? ใครอ่ะ? ลูเปียวมองไป
รอบๆ
ต้องผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาจึงเรียกสติกลับมาได้ จากนั้นลูเปียวก็
ยกนิ้วชี้เข้าตัวเองอย่างตกใจ "ข้าเหรอ? รากวิญญาณชั้นฟ้า
ระดับห้าเนี่ยนะ
ลูเปียวมองไปที่ลูกแก้ว ที่กาลังส่งแสงเป็นเส้นสายสีม่วงห้าเส้น
กลายเป็นว่าข้ามีรากวิญญาณชั้นฟ้าไม่ใช่ชั้นมนุษย์ซะงั้น ทาเอา
ตกอกตกใจแทบตายแน่ะ
ข้าไม่รตู้ ัวเลยจนตอนนี้ แต่กลายเป็นว่าข้าเป็นอัจฉริยะซะแล้ว!!
ที่ผ่านมา ข้าค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวเกินไปหน่อย
ลูเปียวรู้สึกราวกับตัวจะลอย ขณะที่เดินกลับมาหาเนีย่ หลี่ แล้ว
พูดว่า "เนี่ยหลี่ กลายเป็นว่าข้ามีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า
ล่ะ!! เจ้าไม่เห็นจะบอกข้าเลย ก่อนหน้านี้ข้าขาสั่นแทบตาย
เพราะกลัวผลทดสอบนั่น"
เนี่ยหลี่กลอกตารอบหนึ่งแล้วพูดว่า "ข้าไม่มผี ลึกญาณสวรรค์นี่
ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าเจ้ามีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า
ลู่เปียวเกาหัวแกรกๆ พูดว่า "อ้อ อย่างนั้นเหรอ แหะๆ"
อย่างน้อย เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกส่งตัวกลับแล้วล่ะนะ
ฮัวหลิงกาหมัดแน่นสายตามองลูเปียวอย่างกราดเกรี้ยว ฮัวหลิง
เป็นคนใจคอคับแคบ ไม่อาจทนเห็นผู้อื่นดีกว่าตนได้ ดังนั้นเขา
ย่อมไม่พอใจยิ่งเมื่อเห็นลูเปียวทดสอบได้รากวิญญาณชั้นฟ้า
ระดับห้าแล้วมีท่าทีภาคภูมิใจ
ฮัวหลิงส่งสายตาไปทีผ่ ู้ดูแลกู่แล้วพูดว่า "ผู้ดูแลกูเ่ ชิญทดสอบ
ต่อ"
ผู้ดูแลกู่ยิ้มแห้งๆ จะหาคนทีม่ ีรากวิญญาณชั้นฟ้าสักคนในหมู่
อัจฉริยะจากห้วงสวรรค์น้อยก็ยากแล้ว จะอย่างไรคนที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้านั้นมีจานวนน้อยยิ่ง
การทดสอบดาเนินต่อไป
เหล่าอัจฉริยะจากห้วงสวรรค์น้อยต่างก็รับการทดสอบจนครบ
ส่วนใหญ่มรี ากวิญญาณชั้นดิน มีเพียงคนเดียวที่มรี ากวิญญาณ
ชั้นฟ้าระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นรากวิญญาณชั้นฟ้าอีกคน แต่
ย่อมไม่อาจเทียบกับลูเปียวได้
ฮัวหลิงรูส้ ึกเสียหน้ายิ่ง แม้ว่าฝ่ายเขาจะมีคนมากกว่า แต่ทุกคน
ไม่อาจนามาอวดได้ ไม่วา่ เขาจะมีคนทั่วไปอยู่ในมือสักเท่าไหร่
ย่อมไม่อาจเปรียบเทียบได้กับอัจฉริยะเพียงคนเดียว นี่เป็น
ความจริง ต่อให้มยี อดฝีมือชั้นชะตาฟ้าพันคน ก็ไม่อาจเทียบได้
กับยอดฝีมือชั้นดาราฟ้าคนเดียว
ถึงรอบเจ้าแล้ว โปรดมาเข้ารับการทดสอบ" ผู้ดูแลกู่มองเนี่ยหลี่
แล้วพูดด้วยน้าเสียงอ่อนลงเล็กน้อย ลู่เปียวกับเนี่ยหลี่ดูจะเป็น
เพื่อนสนิทกัน ด้วยรากวิญญาณชัน้ ฟ้าระดับห้าของลู่เปียว
ตราบเท่าทีเ่ ขาไม่เป็นเหมือนเซี่ยวหยู่ ที่ติดค้างอยู่ที่ระดับชะตา
ดิน เขาย่อมต้องประสบความสาเร็จในอนาคตอย่างสูง ดังนั้น
ผู้ดูแลกู่ย่อมไม่กล้าล่วเกินคนทีม่ ีอนาคตไกลเช่นนี้
เนี่ยหลีเ่ ดินไปยังลูกแก้ว เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองมีรากวิญญาณชั้น
ดินระดับเจ็ด ดังนั้นเขาจึงไม่จาเป็นต้องทดสอบก็รไู้ ด้ แต่เขาจา
เป็นเข้ารับการทดสอบจึงจะมีคุณสมบัตเิ ข้าเรียนในเขต
ตะวันตก
เนี่ยหลี่วางมือลงบนลูกแก้วแล้วส่งพลังเข้าไป
ลูกแก้วเปล่งแสงสีแดงก่อนแล้วเขาก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จน
กลายเป็นสีม่วงเข้ม จากนั้นก็แตกออกเป็นสองเส้น สามเส้น สี่
....
โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไปจนกระทัง่ แปดเส้น เนี่ยหลี่บอกได้เลย
ว่าถ้าเขายังทดสอบต่อไปจะเป็นอย่างไร สีของเส้นแสงจะ
เปลี่ยนจากม่วงเป็นดา ดังนั้นเขาจึงดึงมือออก
สนามสอบถึงกับเงียบจนเสียงเข็มตกสักเล่มยังได้ยิน
ทุกคนมองไปยังลูกแก้วอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
เมื่อครู่นไี้ ด้เจอรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้าไปหมาดๆ คราวนี้
กลับปรากฎผูม้ ีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด!! น่าแตกตื่นไป
แล้ว!!
ในสถาบันวิญญาณฟ้า นอกจากเขตกลางที่ไม่ทราบข้อมูลแล้ว
ก็ไม่มีใครเลยที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปดยอดฝีมือที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับแปดทั้งหมดได้เข้าไปในเขตกลางกัน
หมดแล้ว
ผู้ดูแลกู่ต้องหลังเหงื่อโทรมกาย ไม่เคยคิดเลยว่าการทดสอบที่
เขาคุมจะมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปดโผล่ขึ้นมา ราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับห้าหนึ่งคนและรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
แปดหนึ่งคน โลกใบเล็กนี่เขาสถานที่รวมสัตว์ประหลาดหรือไร?
กับมิติชั้นรองอื่นๆ ผู้คนสามารถเข้าออกได้ตามสะดวก แต่โลก
ใบเล็กกลับแตกต่างออกไป เขาถูกผนึกป้องกันไว้ไม่ให้ใครก็
ตามเข้าไปได้
สายตาของฮัวหลิงยังจ้องอยู่ที่ลูกแก้ว ถ้าสิ่งนี้เป็นการแหกตา
เขาจะต้องรู้ให้ได้! แค่คดิ ว่ามีรากวิญญาณชั้นฟ้าปรากฎตัวอยู่
ในฝั่งโลกใบเล็กเพิ่มขึ้นอีกคน แถมคราวนี้ยังเป็นรากวิญญาณ
ชั้นฟ้าระดับแปดที่น่าตื่นตะลึง!!
อัจฉริยะพวกนี้ จะน่ากลัวเกินไปแล้ว!!
ความจริงเพียงแค่เซี่ยวหยู่ที่ยังคงอยู่ระดับชะตาดินและยังไม่
สามารถก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้าได้คนเดียวเขาก็ปวดหัวพอแล้ว
คราวนี้ยังมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปดสุมเข้ามาเพิ่มอีก หาก
การบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่ไม่เหมือนเซี่ยวหยูล่ ่ะก็ เช่นนั้น
ระดับความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาสมควรเร็วมากจน
ยากจะจินตนาการถึง
คนอื่นๆ ก็ตกใจอย่างใหญ่หลวง มีแต่เนี่ยหลี่ที่ขมวดคิ้วแน่น นี่
เขาเกิดอะไรขึ้น? ในชาติก่อนเขาทดสอบได้รากวิญญาณชั้นดิน
ระดับเจ็ดชัดๆ แต่ในชาตินี้ เขากลับมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
แปด จะบอกว่าในชาตินี้พรสวรรค์ของเขาเปลี่ยนไปด้วยงั้น
หรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เถาเลื้อยในห้วงวิญญาณของเขาเกี่ยวข้อง
กับเรื่องนี้?...จบตอน
บทที่ 267 ศิลาจิตวิญญาณ

การเลื่อนระดับจาก รากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด มาเป็นราก


วิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่เลย
ทีเดียว
ถึงแม้ว่าเนี่ยลี่จะประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าดีใจสัก
เท่าไหร่ ไม่ว่าผลการทดสอบจะเป็นอย่างไร เนี่ยลี่ก็ยังมั่นใจว่า
ตัวของเขานั้นสามารถบรรลุขั้นสูงได้ ซึ่งสาหรับคนธรรมดานั้น
คงเป็นไปไม่ได้
ผู้ดูแล กู่ พูดด้วยน้าเสียงสั่นสะท้าน “รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
แปด ส่งไปยังเขตตะวันตก” เขาทาการทดสอบผู้เข้าทดสอบมา
มากมายนัก แต่เนี่ยลี่ที่มี รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด เขาไม่
เคยพบใครที่มรี ากวิญญาณถึงระดับนี้มาก่อน
ผู้เข้าทดสอบที่อยู่โดยรอบเกิดความโกลาหลขึ้นทันที ราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด พวกเขาแสดงความตื่นตกใจและ
หวาดกลัวเมื่อมองไปยังเนีย่ ลี่
ด้วยความสามารถระดับนี้ ทุกคนทาได้เพียงแค่ชื่นชมอยูไ่ กลๆ
เป็นระดับที่ไม่มีใครอาจเอื้อมได้
เซี่ยวหยู่ เหลือบมองไปทีฮ่ ัวหลิงพร้อมกับเอ่ยว่า “คนของพวก
เจ้าที่มาจากห้วงสวรรค์น้อยดูแล้วก็ไม่เท่าไหร่นี่”
ฮัวหลิงพ่นลมหายใจออกมาแล้วตอกกลับไปทันที “ข้าไม่รู้
หรอกนะว่าเจ้าทาอย่างไรถึงได้มรี ะดับรากวิญญาณสูงถึงเพียงนี้
ข้าหวังว่าพวกเขาคงจะไม่เหมือนกับเจ้าหรอกนะ ที่ทาได้เพียง
แค่เย็บปักถักร้อย”
ฮัวหลิงและพวกของเขาหันหลังกลับแล้วเดินจากไป ใบหน้า
ของเขามืดมน จนแทบไม่เห็นความสว่างแม้แต่น้อย (โมโหจน
หน้าดาหน้าแดง) ไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเขาจะอยู่ตรงนี้
ต่อไป
เซี่ยวหยู่มองดูฮัวหลิงและพวกของเขาเดินจากไป แล้วหันมา
สนใจเนี่ยลี่กับอีกทั้ง 2 คน “ฮัวหลิงเป็นคนใจแคบ ในอนาคต
พวกเจ้าต้องระวังให้ดี อย่าเผลอไปติดกับพวกมันเข้า ในสถาบัน
วิญญาณฟ้า ไม่มีใครที่ทาอะไรพวกเจ้าได้ก็จริง แต่เมื่อเจ้า
ออกไปข้างนอก มันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เนี่ยลี่ตอบพร้อมกับพยักหน้า เขาไม่ได้กังวล
กับเรื่องของฮัวหลิงมากนัก แต่มันคงจะดีกว่า ถ้าหากมีคนคอย
จับตามอง พวกสารเลวนั่น
เซี่ยวหยู่มองไปทางเนี่ยลี่ และสองคนที่เหลือพร้อมกับพูดว่า
“ไปกันเถอะ
!”
จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปยังสถาบันวิญญาณฟ้าด้วยกัน
ผู้ดูแลกู่ มองไปทางด้านหลังของเซี่ยวหยู่กับอีกทั้งสามคนเดิน
ออกไปจากพื้นที่นั้น ที่มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขม
ขื่น เนี่ยลี่และลูเ่ พียว คนหนึ่งมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด
อีกคนมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า เขาไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ถึงได้
ตัดสินใจที่จะช่วยฮัวหลิงก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจจะต้องลา
บากมากขึ้นในอนาคต ถ้าหากทาให้ทั้งสองคนเจ็บแค้นโดยที่
ไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ เขากาลังคิดจะหาทางแก้ไขเกี่ยวกับ
ความสัมพันธ์ของเขากับ เนีย่ ลี่และลู่เพียว
ผู้ดูแล กู่ เป็นคนสุขุมและเจ้าเล่ห์ เขาระมัดระวังในทุกสิ่งที่เขา
ทา แม้ว่าระดับการบ่มเพาะพลังของเขาไม่ได้สูงนัก แต่เขาก็มี
ความสามารถพอที่จะยืนหยัดอยู่ในตาแหน่งได้อย่างมั่นคง
เซี่ยวหยู่มองไปทางกวนหยู่แล้วพูดว่า “กวนหยู่ เขตทิศใต้อยู่
ข้างหน้านี่ เราจะแยกกันตรงนี้ เข้าไปรายงานตัวกับอาจารย์ทั้ง
สองท่านที่อยู่ที่นั่น แล้วพวกท่านจะเตรียมการสอนให้กับเจ้า
จากนี้ไปเจ้าจะได้ฝึกการบ่มเพาะพลังในเขตใต้นี้ ”
กวนหยู่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็โค้งคานับเล็กน้อยให้เซี่ยวหยู่
เนี่ยลี่ และลูเ่ พียว ก่อนที่จะแยกตัวออกไป เขาได้ตระหนักถึง
ความสามารถของเขาที่ห่างชั้นมาก เมื่อเทียบกับสามคนที่ยืน
อยู่ตรงหน้าเขา พวกเขาทั้งสามคน ยังทาดีกับเขา มันคงจะน่า
อายยิ่งนักหากเขายังคงทาตัวเย่อหยิ่งจองหองใส่พวกเขา การ
กระทาเช่นนี้ยังนับว่าเขามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง
หลังจากที่มองกวนหยู่เดินเข้าไปยังเขตทิศใต้ เซี่ยวหยู่กล็ ะ
สายตาจากเขาแล้วหันมาพูดว่า “พวกเราไปยังเขตตะวันตกกัน
ได้แล้ว ในส่วนแรกคือพื้นที่ของสถาบันวิญญาณฟ้า เจ้าสามารถ
อยู่ที่นี่ได้ตามที่เจ้าต้องการ ในส่วนอื่นๆ นั้นเป็นส่วนที่เรียกได้
ว่า เป็นสมบัติส่วนตัว ถ้าต้องการใช้งานพวกเจ้าก็ต้องจ่าย
ค่าธรรมเนียม ข้าได้เช่าลานด้านหน้านี้ไว้หมดแล้ว ดังนั้น
ในตอนนี้พวกเจ้าสามารถเข้าใช้ทพี่ ักของข้าได้เลย”
ลู่เพียวรูส้ ึกตื่นเต้นมาก “สมบัตสิ ่วนตัวงั้นเหรอ? มันเยี่ยมมาก!

หลังคาพูดของเซี่ยวหยู่ เนี่ยลี่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เขาเพียง
ขยับตัวแล้วมองไปยังที่อื่นๆ
หลังจากที่มองดูรอบๆ เหมือนกับเนี่ยลี่ ลูเ่ พียวมองออกไปไกล
ๆ “นี่มันกว้างแค่ไหนกันนะ?”
เซี่ยวหยูเห็นพวกเขามองไปยังย่านการค้า ภายในย่านการค้ามี
นักเรียนจากสถาบันวิญญาณฟ้าอยู่เป็นกลุม่ ใหญ่ พวกเขา
พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง และดูเหมือนหลาย ๆ คนจะ
ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือ
“อ๋อ ที่นั่นเป็นตลาดสาหรับนักเรียนสถาบันวิญญาณฟ้า
เรียกว่า หอประชุมการบ่มเพาะพลังสถาบันวิญญาณฟ้า มักจะ
มีของมาขายตามที่กาหนดไว้ พวกเขาจะซื้อขายกันด้วยศิลาจิต
วิญญาณ ซึ่งถือเป็นวัสดุสาคัญมากในการบ่มเพาะพลัง ” เซี่ยว
หยู่ พูดต่ออีกว่า “นอกจากนั้นพวกเขายังทาการซื้อขาย จิต
อสูร รวมไปถึงของวิเศษต่าง ๆอีกด้วย”
ในอาณาจักรซากมังกร ระดับการเติมโตของจิตอสูรจะถูกแบ่ง
ออกเป็นระดับต่า ระดับธรรมดา ระดับดี ระดับเยี่ยมยอด
ระดับมหัศจรรย์ และระดับพระเจ้า อสูรที่ระดับการเติมโต
ระดับยอดเยีย่ มไม่ค่อยจะพบเห็นได้ง่ายนัก ระดับมหัศจรรย์นั้น
นับว่าหาได้ยากยิ่ง ส่วนระดับพระเจ้านั้น ว่ากันว่าไม่มีอยู่จริง
เพราะไม่มผี ู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน
หลังจากที่ได้ยินเซีย่ วหยู่พูด ตาของลู่เพียวถึงกับเบิกโพลง จิต
อสูรของเขาและเนี่ยลี่ ล้วนมีระดับการเติบโตระดับพระเจ้า เขา
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตระดับพระ
เจ้าจะมีค่าถึงเพียงนี้ และเป็นสิ่งทีห่ าได้ยากยิ่งในอาณาจักร
ซากมังกรแห่งนี้
ราวกับรับรู้ได้ว่าลู่เพียวนั้นคิดอะไรอยู่ เนี่ยลี่จริงส่ายหัวแล้วพูด
ว่า “นอกเหนือจากระดับการเจริญเติบโตแล้ว สายเลือดของจิต
วิญญาณอสูรยังเป็นสิ่งสาคัญมาก ถ้ายกตู่ซื่อเป็นตัวอย่างละก็
จิตอสูรทั้ง 2 ตัวของเขา ต่างก็มีระดับการเติมโตระดับพระเจ้า
ด้วยกันทั้งคู่ แต่พยัคฆ์ห้วงอเวจีนนั้ ไม่อาจเทียบได้กบั กิเลนฟ้า
ได้เลย”
“แล้วสายเลือดของจิตอสูรถูกแบ่งไว้กี่ขั้นหล่ะ”
เนี่ยลี่อธิบายต่อ “สายเลือดของจิตอสูรนั้นถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ
ด้วยกัน ระดับแรกคือสายเลือดอสูรระดับธรรมดา ระดับทีส่ อง
คือระดับสายเลือดโบราณ เช่นเดียวกับกิเลนฟ้า ซึ่งไม่ค่อยได้
เห็นง่ายนัก และระดับที่สามคือสายเลือดดั้งเดิม เช่นสายเลือด
มังกร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เจอ ”
ลู่เพียวพยักหน้า “ไม่แปลกใจเลยที่ให้ตู่ซื่อทิ้งพยัคฆ์ห้วงอเวจีไป
หลังจากที่ได้เจอกับกิเลนฟ้า แม้วา่ พยัคฆ์ห้วงอเวจี จะมีระดับ
การเติบโตระดับพระเจ้า แต่มันก็เป็นเพียงสายเลือดระดับ
ธรรมดา เมื่อเทียบกับสายเลือดโบราณระดับมันแตกต่างกัน
มากเกินไป”
“ในสถานการณ์ปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้พบกับจิตอสูร
ที่มีสายเลือดโบราณ ดังนั้นจิตอสูรที่พวกนักเรียนใช้กัน จึงมี
เพียงพวกสายเลือดธรรมดาเท่านัน้ ” เซี่ยวหยู่พูด
ในตอนนี้ลู่เพียวเข้าใจดีแล้ว ว่ามันเป็นความโชคดีของเขา ที่
เนี่ยลีไ่ ด้มอบจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้าให้กับเขา
มันเป็นเรื่องยากที่นักเรียนทั่วไปจะพบกับจิตอสูรที่มีระดับการ
เติบโตระดับพระเจ้า แม้จะเป็นเพียงสายเลือดธรรมดา ก็ตาม
“ของวิเศษมันก็เหมือนกับอาวุธชุดเกราะจากโลกใบเล็กของเรา
ส่วนที่แตกต่างกันคือของวิเศษจะมีพลังสวรรค์แฝงอยู่ ดังนั้น
ของวิเศษพวกนี้จะแข็งแกร่งกว่าอาวุธและชุดเกราะธรรมดา
เป็นอย่างมาก ของวิเศษจะถูกจัดระดับไว้ตั้งแต่ 1 ถึง 9 ระดับ
ถ้าเหนือกว่านั้นก็ถือว่าหลุดพ้นจากของวิเศษธรรมดา จะนับว่า
เป็นของวิเศษระดับเหนือพระเจ้า การที่จะหาของวิเศษระดับ 3
ก็ยากมากแล้วสาหรับนักเรียนธรรมดา โดยทั่วไปจะมีเพียงของ
วิเศษระดับ 1 เท่านั้นที่เอามาซื้อขายกัน” เซี่ยวหยู่อธิบาย
“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ลู่เพียวเริ่มรู้สึกคาดหวังขึ้นมา อยาก
อยากรู้ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน กันสาหรับของวิเศษที่มีพลัง
สวรรค์
“ถ้าเช่นนัน้ ไปดูกันเถอะ” เนี่ยลี่ออกความเห็นจากนั้นก็เดิน
ออกไป
เซี่ยวหยูล่ ังเลอยูค่ รู่หนึ่งจากนั้นก็เดินตามไป ลูเ่ พียวรีบก้าวเท้า
ตามไป มีนักเรียนหลายพันคนทาการซื้อขายกันอยู่ในตลาด
“ใครมีจิตอสูรที่มรี ะดับการเติมโต ระดับยอดเยีย่ มไหม? ข้า
ยินดีที่จะแลกมันกับศิลาจิตวิญญาณ 2 ก้อน!”
“ของวิเศษระดับ 2 สาหรับศิลาจิตวิญญาณ 9 ก้อน ใครสนใจ
บ้าง”
มีเสียงดังมากมายมาจากทุกทาง
“ถ้าศิลาจิตวิญญาณมีคา่ ขนาดนั้น ข้าสงสัยว่ามันใช้งานแบบ
ไหนในการบ่มเพาะพลัง ” ลู่เพียวถามด้วยความสงสัย
“ศิลาจิตวิญญาณ มีผลช่วยอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง มัน
ช่วยให้การบ่มเพาะพลังสูงขึ้นหนึ่งขั้นจากปกติ ทาให้หินจิต
วิญญาณ มีความต้องการเป็นอย่างมาก” เซี่ยวหยู่อธิบายด้วย
น้าเสียงจริงจัง
“พลังงานสวรรค์ในอาณาจักรซากมังกรนั้นเบาบางยิ่งนัก และ
ไม่เพียงพอที่จะช่วยในการบ่มเพาะพลัง แต่ว่าศิลาจิตวิญญาณ
ประกอบไปด้วยพลังสวรรค์ที่บริสทุ ธิ์ มันจึงช่วยสนับสนุนใน
การบ่มเพาะพลังได้เป็นอย่างดี ” เซี่ยวหยู่อธิบายต่อ
ลู่เพียวพยักหน้า เขามีความคิดบางอย่างเกี่ยวกับศิลาจิต
วิญญาณ
“ยาทิพย์พวกนี้ข้าจะขายได้ในราคาเท่าไหร่กัน” ลู่เพียวสอบ
ถามพร้อมกับหยิบเอาขวดยาทิพย์ออกมา
เซี่ยวหยู่ยมิ้ พร้อมกับส่ายหน้า “ยาทิพย์พวกนี้ไม่มีค่าเลยในที่
แห่งนี”้
“เอ๋?” ลู่เพียวพูดขึ้นมาด้วยน้าเสียงเศร้าสร้อย “ถ้าข้ารู้ว่าเป็น
เช่นนี้ ข้าคงจะนาจิตอสูรติดตัวมาด้วยเป็นแน่”
เซี่ยวหยูส่ ่ายหัวแล้วพูดว่า “เปล่าประโยชน์เช่นกัน หากว่าเจ้า
นาจิตอสูรระดับธรรมดาเข้ามายังอาณาจักรซากมังกรนี้ แม้แต่
จิตอสูรระดับสายเลือดโบราณยังแทบจะไม่มีผู้ใดต้องการใช้
นักเรียนส่วนใหญ่ที่นี่ต้องการใช้จติ อสูรสายเลือดมังกร พวกเขา
ล้วนไม่ต้องการจิตอสูรธรรมดา เว้นเสียแต่ว่าจะมีระดับการ
เติบโตระดับพระเจ้า แต่กม็ ีวิธีที่จะหา จิตอสูรที่มีระดับการ
เติบโตระดับพระเจ้าได้ง่ายๆ”
“เอ๋....”ลู่เพียวรู้สึกสลดใจมากในตอนนี้ ที่ที่เขาวาดฝันไว้ถูก
พังทะลายไม่มีชิ้นดี
จิตอสูรนั้นกาลังขาดแคลนในเมืองกลอรี่ เนี่ยลี่จึงไม่ได้นาติดตัว
เข้ามายังอาณาจักรซากมังกรเลย สิ่งของส่วนใหญ่ที่อยู่ในแหวน
มิติของเขา ก็เรียกได้ว่าไร้คา่ สาหรับที่นี่ นอกจากนั้นก็เป็นดาบ
เทพอัสนีดาวตก ไข่มุกพิษมรกต และของอื่นอีกเล็กน้อยเท่านั้น
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะขายของเหล่านั้น ดังนั้นมัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะรวบรวมศิลาจิตวิญญาณ เพื่อเอามา
ใช้ในการบ่มเพาะพลัง
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีสมบัติอยู่อกี ชิ้นที่ติดตัวมานั่นก็คือ หม้อ
แห่งจิตอสูรฝันร้าย ในอาณาจักรมังกรพ่าย จิตอสูรนั้นมีความ
สาคัญเป็นอย่างมาก หม้อแห่งจิตอสูรฝันร้าย ที่สามารถ
ปรับแต่งจิตอสูรได้ ถือว่าเป็นของชั้นยอด แต่ในตอนนี้ เนี่ยลี่
เองก็ไม่อยากที่จะเปิดเผยเรื่องหม้อแห่งจิตอสูรฝันร้าย ให้ใคร
ทราบ
เซี่ยวหยู่ยมิ้ เล็กน้อย “นอกเหนือจากการซื้อขายและเปลี่ยน
ศิลาจิตวิญญาณแล้ว นักเรียนของสถาบันวิญญาณฟ้าจะได้รับ
ศิลาจิตวิญญาณ 5 ก้อนต่อเดือน”
ลู่เพียวทาหน้าขมขื่น “แค่ 5 ก้อนเองเหรอ?”
เซี่ยวหยู่ยมิ้ แล้วตอบว่า “นั่นก็มากพอแล้ว”
ลู่เพียวช่างโลภและไม่รู้จักพอจริงๆ โลกแห่งรากวิญญาณทั่วไป
เท่านั้น ที่สามารถเก็บรวบรวมศิลาจิตวิญญาณได้ โดยที่ผู้ทรี่ วม
รวมศิลาจิตวิญญาณมาได้นั้น จะเก็บซ่อนอย่างมิดชิดเลยทีเดียว
เนี่ยลี่เดินเข้าไปข้างใน ของวิเศษ จิตอสูร และของอื่นๆที่พวก
นักเรียนเอามาแลกเปลีย่ น ล้วนเป็นของระดับธรรมดาทั้งหมด
แม้ว่าจะมีเพียงแค่ไม่กี่อย่างเช่น เมล็ดดอกไม้สีชาด และโลหะ
ลึกลับสีม่วงท่ามกลางคนเหล่านี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ดึงดูดความ
สนใจของเขา แต่ในกระเป๋าของเขาตอนนี้ยังคงว่างเปล่า เขาไม่
มีศิลาจิตวิญญาณแม้เพียงสักก้อน เขาจึงไม่อาจที่จะซื้ออะไรได้
เลย
เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อไหร่พวกเราถึงจะ
ได้รับศิลาจิตวิญญาณจาก สถาบัน เพื่อนามาใช้ในการบ่มเพาะ
พลัง”
เพื่อการบ่มเพราะพลังในอาณาจักซากมังกร ศิลาจิตวิญญาณ
นั้นเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่ง การบ่มเพาะพลังที่เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งขั้น
นั้นนับว่าจาเป็นเป็นอย่างมาก นกจากนี้ศิลาจิตวิญญาณ
สามารถผลิตได้ที่ทะเลสาปแห่งเทพเท่านั้น และที่ทะเลสาป
แห่งเทพต้องใช้เวลานับหมื่นปีในการสร้างศิลาจิตวิญญาณ
ขึ้นมา จานวนของทะเลสาปแห่งเทพ นั้นถูกจากัดไว้อย่างมาก
ในอาณาจักรซากมังกร และนอกจากนี้จานวนยังลดลงอีกในปีที่
ผ่านมา ดังนั้นความต้องการศิลาจิตวิญญาณจึงมีสูงมากอยู่
ตลอดเวลาและไม่เพียงพอที่จะสนองความต้องการได้เลย
สาหรับนิกายขนาดใหญ่อย่าง นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็
ถูกควบคุมเรื่องทะเลสาปแห่งเทพ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหามาให้
เพียงพอต่อความใช้งานในนิกายเช่นกัน
ในทุก ๆ ปี นิกายขนาดใหญ่ จะมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง
เพื่อที่จะได้สิทธิ์ในการครอบครองทะเลสาปแห่งเทพ
เซี่ยวหยู่เดินนาพวกเขาไป พวกเขาทั้งสามคนเดินผ่านฝูงชน
และค่อยๆเข้าไปสู่พื้นที่เขตตะวันตก อาคารสูงใหญ่กว่าสิบ
เมตรตั้งตระหง่านเหนือหัวของพวกเขา พืชพรรณมากมาย
เติบโตอยู่ใต้อาคารนี้มีพื้นที่เชื่อมต่อกับเส้นทางเล็กๆ ไขว้กัน
ผ่านป่าสีเทา นักเรียนหลายคนแยกย้ายกันมาตามทาง
การมาถึงของเซี่ยวอยู่กับพวกเขาสองคน ทุกคนหันมามองด้วย
ความประหลาดใจพร้อมกับซุบซิบเสียงเบาๆ
“เจ้ารู้ไหม? พวกเขาบอกว่ามีสองคนที่มาจากโลกใบเล็ก หนึ่ง
ในนั้นทดสอบได้รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด และอีกคนได้
รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า! เป็นไปได้ว่าทั้งสองคนจะเข้ามาที่
เขตตะวันตกของพวกเรา”
“ข้าคงต้องยอมแพ้ ขนาดเซี่ยวหยู่ มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
เจ็ด เขายังไม่สามารถสามารถทะลวงเข้าสูร่ ะดับชะตาสวรรค์ได้
ส่วนทั้ง 2 คนนั้นจะเป็นอย่างไรข้าก็ยังไม่รู้ ”พวกนักเรียนรีบ
เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บทที่ 268 อิ้งเอ๋อ (น้องอิ้ง)

เซี่ยวหยูไ่ ม่ได้สนใจที่พวกเด็กนักเรียนจับกลุ่มพูดคุยกัน เขา


ยังคงเดินนาเนี่ยลี่ กับ ลู่เพียว ไปตามเส้นทางเล็กๆ ที่มี
สิ่งก่อสร้างอยู่อย่างหนาแน่น ในทีแ่ ห่งนี้มีลานกว้างอยู่หลาย
แห่ง และเซี่ยวหยู่เดินเข้าไปในลานกว้างแห่งหนึ่งที่เงียบสงบ
“ผู้ที่อาศัยอยู่รอบๆบริเวณนีล้ ้วนเป็นเหล่าอัจฉริยะของเขต
ตะวันตก จะเป็นการดีกว่า ถ้าหากพวกเจ้าไม่ไปตอแยกับพวก
เขา คนที่มีความสามารถที่นี่ ทุกคนล้วนมีผหู้ นุนหลัง” เซี่ยวหยู่
เตือน ทั้ง ๆ ที่ไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะเชื่อฟัง “พวกเจ้าควรจะบ่ม
เพาะพลังอยู่ที่นี่”
เนี่ยลี่ชะโงกมองพื้นที่โดยรอบ และเห็นว่ามีอาคาร 2 หลังอยู่ใน
พื้นที่สวนของเซี่ยวหยู่ เนี่ยลี่กับลูเ่ พียว จะต้องพักอยู่ในอาคาร
หนึ่งในนั้น ที่อยู่ถัดไปจากอาคารทีเ่ ซี่ยวหยู่พักอยู่
เซี่ยวหยู่มองไปที่เนี่ยลี่แล้วพูดว่า “ถ้าไม่ได้รับคาแนะนาจากข้า
อย่าเดินไปที่ไหนโดยไม่จาเป็น และพวกเจ้าห้ามเข้ามาที่ห้อง
ของข้าโดยเด็ดขาด”
เมื่อคิดดูแล้ว เซีย่ วหยู่ก็ยังกังวลเกีย่ วกับเนี่ยลีเ่ ป็นอย่างมาก
“ก็ได้” เนี่ยลี่ยักไหล่ แต่กไ็ ม่ได้ใส่ใจกับคาพูดของเซี่ยวหยู่
เท่าไหร่นัก
เนี่ยลี่กับลู่เพียวเดินไปรอบๆลานกว้าง สภาพแวดล้อมของลาน
กว้างก็ค่อนข้างดี เต็มไปด้วยเสียงนกร้อง และกลิ่นหอมของ
ดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีภูเขาจาลองเล็กๆ ที่มีน้าตกไหลออกมา
ด้วย พวกเขาสองคนค่อนข้างพอใจกับที่แห่งนี้ของเซี่ยวหยู่ เขา
คงต้องจ่ายเงินเป็นจานวนไม่น้อยแน่ ๆ สาหรับเรื่องนี้
“ข้ามีของขวัญจะให้กับพวกเจ้าเป็น ศิลาจิต
วิญญาณ 2 ก้อน พวกเจ้าควรจะก้าวไปข้างหน้าแล้วเริ่มการบ่ม
เพาะพลังได้แล้ว ” หลังเซี่ยวหยู่พดู จบเขาก็ส่ง ศิลาจิตวิญญาณ
ให้กับเนี่ยลี่ และลูเ่ พียว และพูดต่ออีกว่า “ข้าจะออกไปข้าง
นอก เพื่อจัดการเกี่ยวกับการลงทะเบียนของพวกเจ้า”
หลังจากเอ่ยคาลากับเนี่ยลี่และลู่เพียว เซี่ยวหยู่ก็เดินออกไป
เนี่ยลี่ถือศิลาจิตวิญญาณออกมาและนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็เริ่ม
บ่มเพาะพลังโดยใช้ศิลาจิตวิญญาณ ยู่หยานบินออกมาจากแขน
เสื้อของเนี่ยลี่ พร้อมกับเสียง ฟู่ววว (ถอนหายใจ)
“ข้าอึดอัดแทบตายเลยรู้ไหม” ยู่หยานพูดเสียงเศร้าๆ นับตั้งแต่
ที่พวกเขามาถึงอาณาจักรซากมังกร นางต้องซ่อนตัวอยู่ในแขน
เสื้อของเนี่ยลี่ แม้แต่ตัวนางเองก็รดู้ ีว่าไม่อาจที่จะหลบซ่อน
เช่นนี้ได้ตลอดไป จริงๆแล้วนางเองก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจ
อะไรมากนัก เนี่องจากนักเรียนหลายคนของสถาบันวิญญาณ
ฟ้าก็นาสัตว์เลี้ยงติดตัวมาด้วย ดังนั้นคนในอาณาจักรซากมังกร
อาจจะมองว่านางเป็นเพียงสัตว์เลีย้ งก็ได้
ส่วนจินตานนั้น ก่อนที่จะเข้ามายังอาณาจักรซากมังกร เนีย่ ลีไ่ ด้
เอามันใส่ไว้ในกระเป๋า ภายในกระเป๋านี้เหมือนว่าเจ้าหนูน้อยนี่
จะเข้าสูภ่ าวะจาศีล ตัวของมันหดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่ากา
ปั้น ดังนั้นตัวมันจึงไม่ค่อยเป็นทีส่ นใจนักเมื่อนาเข้ามาข้างในนี้
เนื่องจากมันยังตัวเล็กอยู่ เนี่ยลี่ยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการ
อย่างไรกับมัน แต่ว่าตั้งแต่ที่มันนอนหลับตามธรรมชาติ เนี่ยลี่
จึงคลายความกังวลไป
“มีผู้เยีย่ มยุทธมากมายจริงๆในอาณาจักรซากมังกร” ยู่หยาน
ถอนหายใจ ระหว่างทางนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่
แข็งแกร่ง ทาให้นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก เกือบทุกคนที่
อยู่ในอาณาจักรซากมังกรจะเป็นผูเ้ ยี่ยมยุทธที่มฝี ีมือในแต่ละ
ด้าน “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว โลกใบเล็กของพวกเรานั้น มันเล็ก
มา
เมื่อเทียบกับอาณาจักรซากมังกร” เนี่ยลี่ยมิ้ ตลอดชีวิตของนาง
ยู่หยานอยู่แต่ในโลกใบเล็กเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้
อะไรเกี่ยวกับอาณาจักรซากมังกร
ยู่หยานรูส้ ึกกดดันมาก แต่เดิมในโลกใบเล็กนั้น แม้ว่านางจะไม่
มีความแข็งแกร่งของเทพวิญญาณ แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ยัง
อยู่ในจุดสูงสุดของระดับตานาน ดังนั้นด้วยพลังของนางจึง
สามารถจัดการกับศัตรูของนางได้ แต่นับจากที่เข้ามาใน
อาณาจักรซากมังกร นางได้ตระหนักโดยทันทีว่า นางนั้นไม่ได้มี
อะไรเลย
แม้ว่าเนี่ยลี่ต้องการที่จะมอบเทคนิคการบ่มเพาะพลังให้แก่ยู่ห
ยาน แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทาได้ เพราะนางไม่ได้เป็น
สิ่งมีชวี ิตที่มีรูปลักษณ์ทั่วไป เขาทาได้เพียงแค่หวังว่า ยู่หยานจะ
บรรลุถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้(รู้แจ้ง)ในตัวของนางเอง
อย่างไรก็ตามเนี่ยลี่สมั ผัสได้ว่า เปลวไฟแห่งชีวิตของนางมีความ
แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าในร่างกายของนางอาจจะ
มีความลับอะไรซ่อนอยู่ ดังนั้นการบ่มเพาะพลังของนางอาจจะ
มีความแต่งต่างกันโดยธรรมชาติ
“เนี่ยลี่ ในตอนนี้ข้าอยากจะทาการบ่มเพาะพลัง กลิ่นอายที่
ห้อมล้อมอยู่ในอาณาจักรซากมังกรแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลก
ใบเล็กของพวกเรา แต่ข้านั้นยังไม่รู้วิธีที่จะดูดซับมัน”
ยู่หยานลอยอยู่ในอากาศขณะที่นางกาลังบ่มเพาะพลังอย่าง
เงียบ ๆ นางหลับตาลงและเริ่มมีเปลวไฟหมุนอยู่รอบ ๆ ตัวของ
นาง ตอนนี้นางยังคงสับสน รูปแบบของพลังทาให้นางมึนงงอยู่
บ้าง
เนี่ยลี่นาศิลาจิตวิญญาณของเขาออกมา เขาต้องการใช้เวลาให้
คุ้มค่าที่สดุ ในการบ่มเพาะพลัง เขามีเป้าหมายที่จะทะลวงผ่าน
ระดับชะตาสวรรค์ให้เร็วที่สดุ เท่าที่จะทาได้
เนี่ยลี่ค่อยๆเพิ่มระดับขอบเขตวิญญาณของเขา แล้วค่อยๆดูด
ซับพลังจากศิลาจิตวิญญาณ และค่อยๆปรับแต่งให้เข้ากับ
ร่างกายของเขา พลังงานอันยิ่งใหญ่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้าไปใน
ร่างกายของเขา ก่อนหน้านี้พลังของเขาหยุดอยู่แค่ในโลกใบเล็ก
แต่ในตอนนี้เขาสามารถที่จะดูดซับพลังสวรรค์ได้แล้ว
เนื่องจากเนี่ยลี่บม่ เพาะพลังด้วยเทคนิค เทพวิถีฟ้า เขารู้สึกได้
ว่าพลังงานสวรรค์ค่อยๆไหลผ่านไปยังจุดต่าง ๆ ของร่างกาย
และทาการสร้างกล้ามเนื้อ ขึ้นอย่างช้า ๆ ทั่วทุกรูขุมขนของเขา
กรีดร้องด้วยความยินดี
เช่นเดียวกับพลังจากศิลาจิตวิญญาณที่ค่อย ๆ เริ่มแสดงผล
ออกมา เนี่ยลีต่ ระหนักได้เลยว่า เขากาลังดูดซับพลังงานสวรรค์
ออกมาจนเหือดแห้ง
เมื่อรับรูไ้ ด้ว่าศิลาจิตวิญญาณนั้นว่างเปล่าแล้ว เนี่ยลีล่ ิ้มอย่าง
ขมขื่น เนี่ยงการเขาบ่มเพาะพลังด้วยเทคนิคเทพวิถีฟ้า ความจุ
ของขอบเขตวิญญาณของเขานั้นจึงกว้างใหญ่จนน่าตกใจ ศิลา
จิตวิญญาณก้อนเดียวนั้นไม่เพียงพอสาหรับเขา เขารูส้ ึก
เหมือนกับว่าอาหารไม่พอที่จะทาน และก่อนที่จะเติมอาหาร
กลับถูกขัดจังหวะเสียก่อน
“ข้าจะต้องหาวิธีที่จะได้รับศิลาจิตวิญญาณมากกว่านี้” เนี่ยลี่
คิดในใจ ถ้าหากเขามีศลิ าจิตวิญญาณมากพอ ด้วย
ความสามารถของเขาที่รากวิญญาณฟ้าระดับแปด และความ
เข้าใจอย่างถ่องแท้ในการบ่มเพาะพลัง เขาสามารถก้าวเข้าสู่
ระดับชะตาสวรรค์อย่างรวดเร็ว ถ้าหากว่ามีศลิ าจิตวิญญาณ
อย่างเพียงพอ
หลังจากที่เข้ามาอาณาจักรซากมังกร เขาจะต้องข่มจอมมารให้
หางจุกตูด ด้วยการบ่มเพาะพลังของเขาให้ได้
ขณะที่เนี่ยลี่และลูเ่ พียว กาลังทาการบ่มเพาะพลังอยู่นั้น มีเสียง
เคาะประตูดังขึ้น เป็นเสียงเสียงทีห่ วานใสและกังวาลชัดเจน
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ ท่านอยู่ไหม”
เสียงอันนุ่มนวลน้าทาให้กระดูกอ่อนไหวหมดแรงเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเสียงข้างนอก ลู่เพียวก็ลมื ตาขึ้น พร้อมเผยร้อยยิ้มที่
ชั่วร้ายที่มุมปากของเขา เขาหันไปหาเนี่ยลี่พร้อมกับพูดว่า
“เนี่ยลี่ นี่อาจจะเป็นคนรักของเซี่ยวหยู่ก็ได้นะ?”
“เซี่ยวหยูไ่ ม่ได้อยู่ที่นี่” เนี่ยลี่ตะโกนตอบไปข้างนอก เขายิ้ม
อย่างกระอักกระอ่วน ลูเ่ พียวเจ้ามันปากเสียเกินไปแล้วนะ
“หืม
?” เสียงข้างนอกรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในขณะที่ประตูถูก
เปิดออก
สาวสวยที่ยืนอยู่ตรงประตู อายุประมาณ 16 หรือ 17 ปี นาง
สวมชุดผ้าไหมสีเหลืองและมีผิวที่ขาวราวไข่มุก ดวงตาสว่างสไว
ราวกับน้าพุ ขณะที่นางขยับตัว ผูห้ ญิงคนนี้งดงามราวกับไข่มุก
เปร่งประกายเรืองรองราวกับหยก คิ้วของนางแสดงให้เห็นถึง
ความฉลาดปราดเปรื่องทาให้น่าประทับใจยิ่งนัก
หญิงสาวมองเนี่ยลี่และลู่เพียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ไม่อยู่แถวนี้เหรอ แล้วพวกท่านเป็นใครกัน?”
เนี่ยลี่มองไปทางหญิงสาวพร้อมกับพูดว่า “พวกเราเป็นเพื่อน
ของเซี่ยวหยู่ เขาเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่นี้เอง ข้าขอถามได้ไหม
ท่านมาหาเขาด้วยเหตุใดกัน?”
ลู่เพียวมองงงๆ ขณะทีเ่ ขามองไปยังหญิงสาว ช่วยไม่ได้ที่เขา
จะต้องบันทึกความเจ็บปวดลงไปในใจ คนรักของเซี่ยวหยู่เป็น
หญิงสาวที่งดงามมาก ในหมู่สาว ๆ ที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
นางเป็นรองเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเอียจื้ออวิ้นและเซี่ยวห
นิงเอ๋อ
“อ๋อไม่มีอะไรมากหรอก ข้าได้ข่าวว่าเขากลับมาแล้ว ข้าจึงมา
เพื่อที่จะทักทายเขาเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมาพบพวก
ท่านทั้งสอง ท่านเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ใช่ไหม
?” หญิงสาวถามในขณะที่นางกระพริบตา
“ใช่แล้ว” ลู่เพียว พยักหน้าตอบทันที
“งั้นเหรอ ข้านั้นมีนามว่า หวงอิ้ง ข้ากับท่านพี่เซี่ยวหยู่ เป็น...
เพื่อนกัน” ร่องรอยสีแดงระเรื่อปรากฏบนใบหน้าของนาง จาก
ที่ได้เห็นเนี่ยลี่กเ็ ข้าใจได้ในทันที หญิงสาวผู้นี้แอบชอบเซีย่ วหยู่
อยู่ “เจ้าต้องการที่จะรอให้เขากลับมาหรือไม่ หรือว่า...” เนี่ยลี่
สอบถาม หวงอิ้งครุ่นคิดอยู่พักหนึง่ แล้วตอบกลับมาว่า “ข้าขอ
รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” นางนั่งรอได้ครู่หนึ่ง ก็มีชายหนุ่มในชุดคลุม
ยาวสีขาวเดินเข้ามาข้างใน เมื่อได้เห็น หวงอิ้ง ก็ทาหน้าเคร่ง
ขรึมจากนั้นก็พูดออกมาว่า “น้องอิ้ง เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง หลังจาก
ที่ได้ข่าวว่าเซีย่ วหยู่กลับมาแล้ว เข้าเดาได้เลยว่า เจ้าจะต้องมา
อยู่ที่นี่ ” “เอี๋ยนห่าว ทาไมเจ้าต้องมาห่วงข้าด้วย” หวงอิ้ง
บุ้ยปากด้วยความไม่พอใจ
“หวงอิ้ง เซี่ยวหยู่มีอะไรดีนัก เจ้าถึงได้คิดถึงแต่เขา” เอีย๋ นห่าว
พูดด้วยความไม่พอใจ ในแง่ของชาติกาเนิดนั้น เขาก็เหนือกว่า
เซี่ยวหยู่มากนัก ส่วนเรื่องหน้าตา...ใช่ เขายอมรับว่าเซีย่ วหยู่
หน้าตาดีกว่าเขา แต่ก็ไม่ได้จะหล่อเหลามากกว่ากันจนห่างไกล
นัก “ความสุขของข้า ข้าพอใจที่จะทา ทาไมเจ้าต้องสนใจด้วย
?” หวงอิ้ง พ่นลมหายใจใส่ ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบ เอี๋ยน
ห่าว
เอี๋ยนห่าวกวาดสายตาจ้องมองเนีย่ ลี่และลูเ่ พียวอย่างเย็นชา
แล้วพูดว่า “เจ้าสองคนคืออัจฉริยะที่มาจากโลกใบเล็กงั้นเหรอ?
ที่มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด กับรากวิญญาณฟ้าระดับห้า”
เนี่ยลี่เหลือบมองไปที่เอี๋ยนห่าว แต่ก็ไม่ได้ตอบคาถามของเขา
ส่วนลู่เพียวก็เบื่อและรูส้ ึกราคาญที่จะตอบคาถาม
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ
!” เอี๋ยนห่าว พูดด้วยน้าเสียงเย็นชาพร้อมกับขมวดคิ้วของเขา
เนี่ยลีต่ อบกลับด้วยความเย็นชาใส่เอี๋ยนห่าวเช่นกัน “ดู
เหมือนว่าจะไม่มีความจาเป็น ที่ข้าจะต้องตอบเจ้า”
เอี๋ยนห่าวนั้นพูดจาเอาแต่ใจ ยกตนข่มท่านตั้งแต่ที่บุกเข้ามาใน
ห้อง ทาให้เนี่ยลี่รสู้ ึกไม่ค่อยพอใจ
“เจ้าเด้กเหลือขอ เจ้ารู้ไหมว่ากาลังพูดอยู่กับใคร
? อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถอวดดีได้ในสถาบันวิญญาณฟ้า เพียง
เพราะเจ้ามีรากวิญญาณฟ้านะ อย่างแรกที่เจ้าควรจะรู้คือใครที่
เป็นใหญ่ในสถานที่แห่งนี้ ข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้วพวก
อัจฉริยะที่มรี ากวิญญาณฟ้า เพราะมีอยู่ที่นี่เต็มไปหมด แต่
ก่อนที่เจ้าจะละลวงผ่านระดับชะตาสวรรค์ เรียกได้ว่าเจ้านั้นก็
ไม่มีอะไรเลย” เอี๋ยนห่าว ปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา
เขาใช้กลิ่นอายนี้ข่มขู่เนี่ยลี่และลูเ่ พียว
ในตอนนี้ เอี๋ยนห่าว นั้นไปถึงขั้นผู้เยี่ยมยุทธระดับชะตาสวรรค์
แล้ว ทาให้เนี่ยลี่และลู่เพียวรู้สึกถึงแรงกดดัน
แต่ถึงอย่างไร เอี๋ยนห่าว ได้ยบั ยั้งกลิ่นอายพลังของเขา เขาเองก็
ไม่ได้กล้าทีจ่ ะกาแหงนักในสถาบันวิญญาณฟ้า ถ้าหากเขา
สังหารใครสักคนในสถาบันวิญญาณฟ้า แม้แต่ตระกูลของเขาก็
ไม่อาจที่จะคุ้มครองเขาได้
เนี่ยลี่จ้องมองเอี๋ยนห่าวด้วยสายตาที่เย็นชา ในชีวิตที่แล้วของ
เขา เขาได้พบผู้เยี่ยมยุทธที่มีคนหนุนหลัง ที่แข็งแกร่งกว่า เอี๋ยน
ห่าว มามากมายนัก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยหนี แม้ว่าฝ่ายตรง
ข้ามจะบรรลุระดับชะตาสวรรค์แล้วก็ตาม ในใจของเนี่ยลี่นั้นยัง
คลุมเครือ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกระหายเลือด เขา
ในตอนนี้พร้อมที่จะประลองฝีมือกับผู้เยี่ยมยุทธระดับชะตา
สวรรค์แล้ว
หวงอิ้งจู่ ๆ ก็เข้ามาขวางระหว่างเนี่ยลี่กับ เอี๋ยนห่าว นางจ้อง
มองอย่างเย็นชาไปทางเอี๋ยนห่าว
“เอี๋ยนห่าว เจ้าจะทาอะไร
? ใครจะยอมให้เจ้าทากับเพื่อนของท่านพี่เซี่ยวหยู่เช่นนี้กัน”
เอี๋ยนห่าว ค่อยลดกลิ่นอายที่แผ่ออกมาแล้วก็ดึงมันกลับมา เขา
จ้องหน้าไปยังเนี่ยลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เนี่ยลี่นั้นเห็นได้ชัดว่า
เขายังอยู่ในระดับชะตาดิน ทาไมถึงได้รสู้ ึกถึงความตั้งใจที่จะสู้
แผ่ออกมาจากเขา ? หรือว่าเนี่ยลีน่ ั้นไม่ได้สมั ผัสถึงกลิ่นอาย
พลังของชะตาสวรรค์ที่เขาแผ่ออกมา เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว
เลยอย่างนั้นเหรอ?
ความตั้งใจที่จะสู้ปรากฏออกมาชัดเจนจากสายตาของเนี่ยลี่
เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เขาจะสงบสติได้ ถ้ามีหนทางเลือกมัน
คงจะดีกว่า ถ้าหากเขาจะไม่เปิดฉากกับเอี๋ยนห่าว ในตอนนี้
เอี๋ยนห่าว พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา “เมื่อเจ้าทั้งคู่หลบ
อยู่หลังผู้หญิง ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปในวันนี้ แต่ข้าขอแนะนา
ให้เจ้าออกห่างจากเซี่ยวหยู่จะดีกว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรกับ
เจ้า หากจะติดตามเศษขยะเช่นเขา แต่ถ้าหากพวกเจ้าเลือกที่
จะติดตามข้า ข้าก็อาจจะลองคิดดูอีกทีก็ได้ ”...จบตอน
บทที่ 269 การฝังเข็ม

ในตอนนั้นเสียงของลู่เพียวก็ดังเข้าหูเนี่ยลี่ “เนีย่ ลี่ ทาไมเจ้าเด็ก


เซี่ยวหยู่นั่นช่างเป็นตัวสร้างปัญหาเสียจริง ศัตรูกม็ ีอยู่มากมาย
แบบนี้จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้นนะ ทาไมเราไม่ไปเข้ากลุม่ กับ
เจ้าเด็กคนนั้นแทนหล่ะ?”
“นี่เจ้าคิดอย่างรอบคอบดีแล้วเหรอ
? ครอบครัวของพวกเราอยู่ในกามือของเจ้านครใต้ภภิ พอยู่นะ”
เนี่ยลี่กรอกตามองไปทางลู่เพียว
“ไม่ไม่ ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อกี้ข้าแค่พดู เล่น” ลูเ่ พียวพูดพร้อมกับ
คอตก เซี่ยวหยูม่ ักจะมีเรื่องให้น่าราคาญอยู่เสมอ ทาให้เขารู้สึก
กังวล โดยเฉพาะการเลือกหญิงสาวสวยๆ คงถูกเซี่ยวหยู่ยึดไป
จนหมดเป็นแน่ เรื่องนี้มีเบื้องหลังดังที่ว่ามา เขามองเซี่ยวหยู่ว่า
เป็นคู่แข่งความรักของเขา
เนี่ยลี่มองไปทางเอี๋ยนห่าวพร้อมกับยักไหล่ “ไม่ว่าเจ้าจะหว่าน
ล้อมพวกข้าสักเท่าไร เจ้าก็ไม่สามารถที่จะแตะต้องพวกข้าใน
ขณะที่อยู่ในสถบันวิญญาณฟ้าได้ เก็บคาพูดหลอกเด็กของเจ้า
ไว้เถอะ”
“ไม่สามารถแตะต้องเจ้าได้งั้นเหรอ
?” เอี๋ยนห่าวหัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่า
เจ้าจะประเมินข้านั้นต่าเกินไปนะ!”
หวงอิ้ง โกรธมากนางจ้องไปยัง เอีย๋ นห่าว พร้อมกับดุด่าว่า
“เอี๋ยนห่าว ถ้าเจ้ากล้าทาอะไรกับเพื่อนของท่านพี่เซี่ยวหยู่ ข้า
จะไม่มีวันอภัยให้เจ้าเลย!”
เอี๋ยนห่าวมองหวงอิ้งอย่างเย็นชา ‘หนอยนังผู้หญิงบ้า ถ้าหาก
พ่อของเจ้าไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสหล่ะก็ ใครมันจะไปคนคน
เช่นเจ้ากัน? คนอย่างเจ้า ข้าจะหากี่คนก็ได้เท่าที่ข้าต้องการ’
แต่ถึงอย่างไร เอี๋ยนห่าว ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา ได้เพียงแต่คดิ
ในใจเท่านั้น
“นี่เจ้าเด็กน้อยเซี่ยวหยู่ มันขี้ขลาดแอบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้นรึ ถึง
ได้ส่งเจ้าสองคนมาเฝ้าที่นี่เช่นนี้” เอี๋ยนห่าวหัวเราะอย่างเย็นชา
“ใครบอกว่าข้าซ่อนตัวอยู่งั้นเหรอ
?” หลังจากเอี๋ยนห่าวพูดจบ เสียงของเซี่ยวหยู่ก็ดังมาจากข้าง
นอก ร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นและเขาดูสง่างามเป็นอย่างมาก
มากในชุดสีขาวของเขา แก้มของเขาละเอียดละออ และกลิ่น
อายที่กล้าหาญออกมาจากหว่างคิว้ ของเขา ดวงตาของเขาคม
เข้ม ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา เอี๋ยนห่าวก็ดูด้อยลงทันที
แม้ว่า เอี๋ยนห่าว อาจถือได้ว่าหล่อเหลา แต่เมื่อเทียบกับเซี่ยว
หยู่แล้ว เขาก็ดเู ป็นรองอยู่มากเลยทีเดียว จริง ๆ แล้วเรียกได้ว่า
เทียบกันไม่ได้เลยดีกว่า ทาให้เขาโกรธจนอยากจะให้เซี่ยวหยู่
ตายไปเสียเลยทีเดียว
เมื่อเห็นเซี่ยวหยู่ในสายตา ใบหน้าของหวงอิ้งเปลี่ยนเป็นสีแดง
เล็กน้อยเมื่อจ้องมองเขา ราวกับจ้องมองดาวบนท้องฟ้า นาง
พูดอย่างเหนียมอายว่า
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ ท่านกลับมาแล้ว!”
“ใช่แล้ว” เซี่ยวหยู่ ตอบหวงอิ้งเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้
สนใจ หวงอิ้งเท่าไหร่นัก เขาเดินไปหาเนี่ยลี่และลู่เพียว “ผ่าน
มาก็หลายปีแล้ว เจ้าก็ยังไม่ได้คืบหน้าอันใดเลย ยังคงติดอยู่ใน
ระดับชะตาดิน น่าขันยิ่งนัก” เอี๋ยนห่าว เย้ยหยัน
เซี่ยวหยู่กวาดสายตาไปทาง เอี๋ยนห่าว และ หวงอิ้ง “ที่นี่เป็น
พื้นที่ส่วนตัวของข้า พวกเจ้าช่วยออกไปด้วย”
เอี๋ยนห่าวมองไปยังหวงอิ้งที่ยืนอยูถ่ ัดจากเขา แล้วเขาก็พูด
ขึ้นมาว่า “น้องอิ้งเจ้าเข้าใจหรือยัง? แม้แต่เซี่ยวหยู่ก็ไม่ได้ยินดี
ที่จะต้อนรับเจ้าเลย”
ดวงตาของหวงอิ้งยังคงจับจ้องที่ใบหน้าของเซี่ยวหยู่ นางนิ่งไม่
ไหวติงดูเหมือนว่านางจะหลงเสน่ห์เขาเป็นอันมาก นางรักที่
เซี่ยวหยู่เป็นอยู่ตอนนี้ แม้จะเป็นความจริงที่เขาเย็นชาเล็กน้อย
แต่มันก็ช่างเป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
เอี๋ยนห่าวยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เขาไม่อาจจะหาทางออกได้
เพราะยังไงเขาก็เทียบกับเซี่ยวหยูไ่ ม่ได้ เพราะเป็นความจริงที่
เซี่ยวหยู่นั้นดูดีกว่า หรือผู้หญิงทุกคนจะชอบหนุ่มหน้าสวยงั้น
เหรอทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นสวมชุด
สีขาวและมีรูปที่งดงาม ส่วนอีกคนนั้นตัวสูงแถมรูปร่างมีส่วน
เว้าส่วนโค้งน่าชม
“ท่านพี่เซี่ยวหยู่ ท่านกลับมาแล้ว....” เมื่อหญิงสาวในชุดสีขาว
มองไปที่เซี่ยวห
ยู่ ใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีชมพู
ส่วนผู้หญิงตัวสูงนั้นส่งสายตายั่วยวนเซี่ยวหยู่
หญิงสาวในชุดสีขาวเม้มปากขณะที่กาลังยิ้ม “ท่านพี่เซี่ยวหยู่
ข้าได้รับสมุนไพรบางชนิดมา มีผลดีเยี่ยมช่วยในการบ่มเพาะ
พลังได้เป็นอย่างดี”
เมื่อสองสาวนี้ปรากฏตัว ใบหน้าของหวงอิ้งก็ดูมืดมน ผู้หญิง
พวกนี้ทาไมถึงได้อยู่ทุกที่เลยนะ
?!
ส่วนเอี๋ยนห่าวนั้น เขาแทบจะระเบิดออกมาด้วยความโกรธที่ถูก
เก็บกักไว้ เจ้าหนุม่ หน้าสวยเซีย่ วหยู่จะเป็นที่นิยมมากเกินไป
แล้ว หญิงสาวสอง คนที่เพิ่งจะเข้ามา แล้วก็หวงอิ้ง ต่างก็เป็น
คนที่มีคนหนุนหลังทั้งนั้น ดังนั้นเขาทาได้เพียงแค่กล้ากลืน
ความโกรธไว้เท่านั้น
เซี่ยวหยู่ก็เริ่มที่จะปวดหัวแล้วเช่นกัน
เมื่อได้เห็นเรื่องนี้ เนี่ยลี่กต็ บไหล่ลู่เพียวพร้อมกับหัวเราะ “ลู่
เพียว กลับไปที่ห้องของเราดีกว่า ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่ธุระ
ของเรา”
ลู่เพียวชาเลืองมองดู อย่างเต็มไปด้วยความหมาย จากภาพที่
เห็นเขามองไปยังเซี่ยวหยู่อีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เซี่ยวหยู่นี่เป็นคนที่ดูดจี ริง ๆ แต่เขาไม่คดิ เลยว่า เขาจะเป็นที่
ชื่นชอบของสาว ๆ มากมายขนาดนี้ เอี๋ยนห่าว ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ก็แทบจะระเบิดด้วยความโกรธอยูแ่ ล้ว เพราะไม่มีอะไรให้เขา
ระบายได้เลย ดังนั้นจะเป็นการดีกว่า ถ้าหากพวกเขาไม่เข้าไป
ก้าวก่ายกับเหตุการณ์อันน่าสนุกพวกนี้
เมื่อเห็นเนีย่ ลี่กับลู่เพียว กาลังจะเดินจากไป เซี่ยวหยูร่ ีบตะโกน
ออกมาทันที “รอเดี๋ยว
!”
“มีอะไรงั้นเหรอ
?” เนี่ยลี่ถามแล้วเขาก็มองไปยังเซีย่ วหยู่
เซี่ยวหยูร่ ู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก ที่เนี่ยลีก่ ับลู่เพียว ไม่จริงใจต่อเขา
แถมยังจะหนีออกไปจากสถานการณ์ตอนนี้อีกด้วย
“ข้านั้นได้ลงทะเบียนให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถไป
เคารพอาจารย์ของเจ้าได้ในวันพรุง่ นี้ แล้วนี่คือป้ายชื่อของพวก
เจ้า ” เซี่ยวหยูส่ ่งป้ายชื่อสีเงินสองอันให้กับเนี่ยลี่
“เยี่ยมไปเลย” เนี่ยลี่หยิบป้ายชื่อจากเซี่ยวหยู่ จากนั้นก็โบกมือ
แล้วกล่าวว่า “ขอบใจนะ
!”
จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังกลับ แล้วก็เดินกลับไปที่ห้องของ
พวกเขา
เซี่ยวหยู่นั้นถูกทิ้งไว้อยู่คนเดียว และเผชิญหน้ากับหญิงสาวทั้ง
สาม และอีกหนึ่งชายหนุ่มที่โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ เขารู้สึก
เหมือนอยู่ในหลุมอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาเพิ่งจะกลับ
มาถึงบ้านแล้วความยุ่งยากก็รออยูท่ ี่นี่แล้ว
เมื่อเนี่ยลี่นี่กลับมายังห้องของเขาแล้ว และกาลังเตรียมตัวที่จะ
ทาการบ่มเพาะพลังของเขาต่อ จินตานก็ตื่นขึ้นมาจากการ
หลับไหล เมื่อมันเห็นศิลาจิตวิญญาณวางอยู่บนโต๊ะ มันกระพือ
ปีกของมันดุ๊กดิ๊กในขณะที่มันพยายามที่จะกระโดดขึ้นไป จริง
ๆ ก็ไม่น่ายากเกินความพยายามแต่ดูเหมือนว่าเพราะมันอ้วน
เกินไป
เมื่อมองดูการแสดงออกถึงความต้องการของจินตาน เนี่ยลี่จึง
ถามและชีไ้ ปยังศิลาจิตวิญญาณที่เหลืออยู่บนโต๊ะ “เจ้าอยาก
กินสิ่งนี้งั้นเหรอ?”
จินตานพยักหน้าของมันด้วยความตื่นเต้น
พลังงานสวรรค์ในศิลาจิตวิญญาณนั้นถูกเนี่ยลี่ดดู ซับไป
หมดแล้ว มันจึงไม่สามารถนาไปใช้งานใด ๆ ได้อีก มันก็ไม่ต่าง
จากก้อนหินธรรมดา เนี่ยลี่โยนศิลาจิตวิญญาณทีเ่ หลือไปให้จิน
ตาน จินตานรับศิลาจิตวิญญาณด้วยปากของมัน จากนั้นก็ทา
การขบเคี้ยวด้วยเสียงที่ดังจนน่ากลัว
แม้ว่าพลังงานสวรรค์ที่อยู่ในศิลาจิตวิญญาณ นั้นถูกดูดซับจน
เหือดแห้งแล้ว แต่ศิลาจิตวิญญาณที่เหลือนี้ก็ยังคงหยาบและ
แข็งมาก ราวกับเป็นสิ่งของที่ยากที่จะตัดได้ แต่สาหรับจินตาน
นั้น มันกินไปราวกับกาลังกินถั่วคั่ว ขบเคี้ยวเสียงดังจากนั้นก็
กลืนลงไป
หลังจากที่กินจนหมดแล้ว จินตานก็มองไปที่เนี่ยลี่อีกครั้ง “ข้า
ไม่มีอีกแล้ว ที่ข้ามีเพียงแค่นั้น” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับโบกมือ เจ้า
เด็กน้อยจินตาน กินได้แม้แต่ก้อนหินจริงๆ
ในอาณาจักรซากมังกร เขาต้องการศิลาจิตวิญญาณเพราะเป็น
สิ่งที่สาคัญยิ่ง ดังนั้น เขาจะต้องหาวิธีการที่พวกเขาจะได้มันมา
มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นมันก็คงไม่เพียงพอต่อการใช้งาน แต่
ในตอนนี้เนี่ยลี่ยังคงไม่มีความคิดดี ๆ เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขา
จะมีสมบัติบางอย่าง แต่ไม่มีวิธีที่พวกเขาจะใช้งานของเหล่านั้น
ได้เลย
แสงสว่างของกลางวันค่อย ๆ มืดลง แสงจันทร์สาดส่องมายัง
ห้องของเนี่ยลี่ ประกายแสงสีเงินสะท้อนภาพทุกสิ่งที่เห็น
ตรงหน้า
*ก๊อก!* *ก๊อก!* *ก๊อก!*
มีเสียงเคาะประตูอย่างรุนแรง
เนี่ยลี่ชาเรืองมองตรงประตู “เข้ามา
!”
เซี่ยวหยู่เดินเข้ามาพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวเรียวยาว ภายใต้แสง
สะท้อนของจันทรา มองดูราวกับเห็นว่าเทวากาลังล่องลอย ทา
ให้เนี่ยลี่อดมองเขาไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยทีส่ าว ๆ จะคลั่งไคล้เขา
มากถึงเพียงนี้ เซี่ยวหยูด่ ูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก งดงามเสียจน
หญิงสาวจะต้องอิจฉา
“เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นเหรอ
?” เนี่ยลี่ถาม เขามองไปยังเซีย่ วหยู่
เซี่ยวหยู่นั่งลงใกล้ ๆ พร้อมกับพูดขอโทษ “ขออภัยด้วย ที่ข้ามา
รบกวนเจ้า ”
“จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้รบกวนอะไรมากเท่าไหร่” เนี่ยลี่พดู
ในตอนนั้น เซี่ยวหยู่กไ็ ม่อาจจะทนกลั้นคาถามที่คาใจเขาอยู่ได้
และได้ถามออกไป “ตั้งแต่การทดสอบรากวิญญาณแล้ว ข้ามี
บางคาถามที่อยากจะถามเจ้า เจ้ารู้วิธีที่จะทาให้ข้าทะลวงผ่าน
การบ่มเพาะพลังใช่ไหม?”
“แน่นอน” เนี่ยลี่พยักหน้า
ดวงตาของเซี่ยวหยู่เป็นประกายขึน้ เขามองไปยังเนี่ยลี่ด้วย
ความหวังที่เต็มเปี่ยม “เจ้ารู้วิธีจริงๆ ใช่ไหม?”
เนี่ยลี่มองไปยังเซี่ยวหยู่ แล้วพูดว่า “เทคนิคการบ่มเพาะพลังที่
เจ้าใช้ก็คือ
[มังกรคารามคณานับ] ถูกต้องไหม”
“ถูกต้องแล้ว ทาไมเจ้าถึงรู้
?” เซี่ยวหยู่พูดในขณะที่ตัวสั่นสะท้าน เทคนิคการบ่มเพาะพลัง
[มังกรคารามคณานับ] เป็นเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทดจากบิดา
บุญธรรมของเขา และมันเป็นเทคนิคการบ่มเพาะที่ลึกลับและ
น่าพิศวงเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเนีย่ จะรู้
เกี่ยวกับมัน
“เทคนิคการบ่มเพาะพลัง
[มังกรคารามคณานับ] ที่เจ้าใช้นั้นมันไม่สมบูรณ์ นั่นคือเหตุผล
ที่เจ้าเจออุปสรรค์เมื่อพยายามทะลวงผ่านจากชะตาดินสู่ชะตา
ฟ้า” เนี่ยลี่อธิบาย
“ถ้าอย่างนั้น ไผ่มณีม่วงที่เจ้าพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้...” เนี่ยลี่
หัวเราะ “ข้าก็แค่อยากจะปั่นหัวฮัวหลิงก็เท่านั้น”
เซี่ยวหยู่ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เนี่ยลี่นั้นร้ายกาจยิ่งนัก
การโกหกฮัวหลิงเช่นนี้ ย่อมทาให้ฮ้วหลิงรูส้ ึกไม่สบายใจอย่าง
มากเมื่อเขากลับไปเป็นแน่
เมื่อเห็นเซี่ยวหยู่ยมิ้ เขามักจะแสดงท่าทีเคร่งขรึม ริมฝีปาก
เรียบสวยของเขา ให้ความพึงพอใจที่ไม่อาจที่จะอธิบายได้เลย
เนี่ยลีต่ กตะลึงเมื่อจ้องมองไปที่เขา ถ้าหากจากเด็กหนุม่ เซี่ยว
หยู่ เป็นผู้หญิงหล่ะก็ เขาคงจะต้องตาต้องใจผู้ชายมากมายแน่ๆ
ด้วยที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ใบหูของเซี่ยวหยู่เริม่ แดงเล็กน้อย
ในขณะที่เขาค่อย ๆ พูดออกมาว่า “มีหนทางใดที่ข้าจะสามารถ
ทะลวงผ่านได้หรือไม่”
“การที่เจ้าจะทะลวงผ่านทันทีนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่มีวิธีที่จะช่วย
ให้เจ้าสามารถทาตามที่คาดหวังได้ แค่เพียงให้ข้าฝังเข็มให้กับ
เจ้าเพื่อเชื่อมจุดเจียนจิ่ง [肩井] และจุดฟ่งเหม็น [風門
] ด้วยวิธีการนี้เจ้าก็สามารถที่จะทะลวงผ่านได้ตามที่ตั้งใจแล้ว”
เนี่ยลี่อธิบาย ประโยชน์ส่วนหนึ่งของการฝังเข็มจะช่วยทาให้
พลังวิญญาณ หรือพลังงานสวรรค์ ช่วยทาการรักษาอาการ
บาดเจ็บภายในได้
เซี่ยวหยู่แสดงท่าทีกังวลเล็กน้อย “นี่มันจะได้ผลจริงๆเหรอ
?”
“แน่นอน ทักษะการฝังเข็มของข้าไม่เคยผิดพลาด แค่เพียงไม่กี่
เข็ม ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะต้องทะลวงผ่านถึงระดับชะตา
สวรรค์ได้แน่นอน” เนีย่ ลี่พูดอย่างมั่นใจ แม้ว่าเขา
จะบอกว่าแน่นอน แต่จริง ๆ แล้วเซี่ยวหยู่นั้นใกล้ที่จะทะลวง
ผ่านได้อยู่แล้ว นั่นเป็นปัจจัยทีส่ าคัญที่สุด เนีย่ ลีเ่ พียงแค่
ต้องการให้เซี่ยวหยู่เชื่อมือเขาเท่านั้นเอง
เซี่ยวหยู่นั้นได้พยายามมาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาคิดอยู่ในใจ
สุดท้ายเขาก็พยักหน้า “ก็ได้ ถ้าเช่นนัน้ เรามาเริม่ ฝังเข็มกันได้
เลย!”
ตราบจนถึงเวลานี้ เป็นความที่ว่าเขาได้ทดลองมาทุกวิธีแล้ว
เขาก็ไม่อาจที่จะบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ได้ ไม่ว่าจะทา
อย่างไรเขาก็ทะลวงผ่านไม่ได้สักที
เซี่ยวหยู่ค่อย ๆ ถอดเสื้อของเขาออก เหลือห้อยไว้ตรงข้อศอก
ไหล่ของเขาเผยออกมาครึ่งหนึ่ง มองดูราวกับหญิงสาวที่กาลัง
เขินอาย เขามองดูแล้วน่าอึดอัดใจไม่น้อย
“เจ้าถอดเสื้อของเจ้าออกไปเลยก็ได้ เราทั้งคู่ต่างก็เป็นชาย มี
อะไรต้องอายอีกเหรอ
? ” เนี่ยลี่ทนไม่ได้ที่จะพูดออกไป หลังจากที่เห็นท่าทีเหมือน
สาวน้อยของเซี่ยวหยู่
“ไม่จาเป็น” เซี่ยวหยู่พดู ขณะที่หน้าของเขาเริ่มจะแดงขึ้น
เรื่อยๆ
เนี่ยลี่ยักไหล่ เมื่อเซี่ยวหยู่พอใจจะทาเช่นนี้ เขาก็ปล่อยไป
ตามนั้น เนี่ยลี่ก้มหัวลงไปเพื่อตรวจดูไหล่ของเซี่ยวหยู่ ไหล่ทั้ง
สองข้างของเขาเรียบลื่น นุม่ ละมุนมาก กระดูกไหปลาร้าของ
เขาก็ราวกับเป็นรูปสลักจากหยกเลยทีเดียว มันงดงาม
จนกระทั่งที่ว่าต่อให้เป็นผู้หญิงก็ยงั หาได้ยากนัก
เนี่ยลีร่ ู้สึกแปลก ๆ ในขณะที่เขาตรวจสอบเซี่ยวหยู่ ผิวของ
เซี่ยวหยู่นั้น ผิวของเขาได้รับการบารุงมาเป็นอย่างดี และเรียบ
เนียนยิ่งกว่าหญิงสาวเสียอีก เนี่ยลีแ่ ทบที่จะอดสัมผัสเขาไม่ได้
แต่เมื่อเขาเตือนตัวเองว่า เซี่ยวหยูน่ ั้นเป็นผู้ชาย เขาก็สลัด
ความคิดนั้นทิ้งไปทันที
เขานาเข็มออกมาและทาการฝังลงบนจุด เจียนจิ่ง ของเซี่ยวหยู่
ทันที
เซี่ยวหยูส่ ่งเสียงออกมาเบา ๆ เขาไม่รู้ว่าทาไม เมื่อเนี่ยลี่ฝังเข็ม
ทะลุผิวหนังของเขา เหมือนมีอะไรวิ่งผ่านไปทั่วร่างกายของเขา
เหมือนกับว่ารูส้ ึกชา ๆ ไปทุกจุดทีม่ ีอะไรไหลผ่านเส้นทั่ว
ร่างกายของเขา แต่ในหัวใจของเขากลับสั่นสะท้านเมื่อเริม่ รับรู้
ถึงกลิ่นอายในขอบเขตวิญญาณของเขา มันทาให้เขารูส้ ึก
ตื่นเต้นมาก ความรูส้ ึกมันแตกต่างจากตอนที่เขาทาการบ่ม
เพาะพลัง
มันได้ผล! หัวใจของเซี่ยวหยู่เร่าร้อนด้วยความตื่นเต้นอย่าง
เต็มที่หลังจากที่เนี่ยลี่ฝังเข็มแรก เขาเริ่มที่จะฝังอีกจุดหนึ่ง ที่จุด
ฟ่งเหม็นของเซี่ยวหยูผ่ ิวที่ขาวดั่งหยกของเขา ตรงที่ใกล้ ๆ จุด
ฟ่งเหม็น เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน ๆ
“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” เนี่ยลี่ถามพร้อมกับมองไปยังเซี่ยว
หยู่
“ข้ารู้สึกได้ว่ามัน...” เซี่ยวหยูต่ อบอย่างตื่นเต้น พลังงานสวรรค์
ในขอบเขตวิญญาณของเขาเพิ่มขึน้ อย่างรวดเร็ว มันพรั่งพรู
ออกมาจนแทบล้นออกมาจากร่างกายของเขา....จบตอน
บทที่ 270 อาจารย์ชิหลิง

เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลรวดเร็วถึงเพียงนี้
เนี่ยลีร่ ู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็คดิ ออกว่าเป็น
เพราะเหตุใด เซี่ยวหยู่นั้นไม่สามารถที่จะทะลวงผ่านได้เป็น
เวลาหลายปี เดิมทีนั้นเซีย่ วหยู่มรี ะดับรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
เจ็ดนับว่ามีพรสวรรค์มิใช่น้อย เขาควรจะบรรลุถึงระดับชะตา
สวรรค์ได้นานแล้ว แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการที่ทาให้เขา
ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ แต่อย่างไรก็ตามผลของการบ่มเพาะ
พลังมาอย่างยาวนานก็ยังคงอยู่ เมือ่ ถูกกระตุ้นโดยการฝังเข็ม
ของเนี่ยลี่ พลังงานสวรรค์จึงระเบิดออกมาในทันที
แสงสีแดงถูกปล่อยของมาจากเซีย่ วหยู่ ส่งผลให้ร่างกายของเขา
เรืองแสงราวกับกุหลาบสีแดงเข้ม พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ราวกับพายุพัดรอบๆตัวของเขา
“พลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้
!” เนี่ยลี่ถูกคลื่นพลังผลักไปข้างหลังหลายก้าว ในขณะที่เขา
มองดูเซี่ยวหยู่ถูกห่อหุ้มด้วยรัสมีพลังที่ราวกับเป็นพายุ เขา
พึมพัมขึ้นมาว่า เทคนิคการบ่มเพลัง [มังกรคารามคณานับ]
ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเจ้าแห่งนครใต้พิภพได้มาจากที่ใดกัน
แน่
เมื่อเซี่ยวหยู่ทะลวงผ่านระดับชะตาสวรรค์แล้ว และสามารถ
ก่อรูปชะตาวิญญาณ ของเขาได้ การบ่มเพาะพลังของเขา จะ
เป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่เนี่ยลี่จมอยู่กับความคิดเหล่านั้น เซี่ยวหยู่ราวกับว่ากา
ลังจมอยู่ในการบ่มเพาะพลังของเขา และสามารถก่อรูปชะตา
วิญญาณ อันแรกขึ้นมาในขอบเขตวิญญาณของเขาได้หลังจาก
นั้น อันที่สอง และอันที่สาม ก็ก่อรูปขึ้นมา การบ่มเพาะพลัง
ของเขาหยุดอยู่ในขั้นที่สาม
เมื่อสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้ถึงอันที่สาม เซี่ยวหยู่รสู้ ึก
ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะ
สามารถทะลวงผ่านจนบรรลุได้รวดเร็วถึงเพียวนี้
คลื่นพลังที่บ้าคลั่งค่อย ๆได้สงบลง และสงบนิ่งดั่งผืนน้า เซี่ยว
หยู่ค่อย ๆลืมตาขึ้นมา มองเห็นเป็นแสงประกายที่งดงามยิ่งนัก
เทคนิคการบ่มเพลัง [มังกรคารามคณานับ] สามารถปิดกั้นพลัง
ส่วนหนึ่งของสถานะการบ่มเพาะพลังเอาไว้ จึงทาให้ไม่สามารถ
ตรวจพบได้โดยผู้อื่น มันไม่มีกลิ่นอายของพลังใด ๆ แผ่ออกมา
จากร่างกายของเซี่ยวหยู่ เขาก้มมองและเห็นว่าเสื้อผ้าของเขา
นั้นยุ่งเหยิง แล้วก้มมองไปยังหน้าอกของเขา ซึ่งเผยให้เห็นไหล่
ทั้งสองข้างของเขาอย่างเต็มที่ ในตอนนั้นช่วยไม่ได้ที่เขาจะรูส้ ึก
อึดอัดขึ้นมา
เซี่ยวหยูส่ วมเสื้อผ้าของเขาจนเรียบร้อยดีแล้ว เขาหันไปหาเนี่ย
ลี่ พร้อมกับพูดอย่างจริงใจว่า “เนี่ยลี่ ขอบใจเจ้ามาก ถ้าหาก
ไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่อาจที่จะทะลวงผ่าน จนสามารถบรรลุถึงขั้น
ชะตาสวรรค์ได้ ถ้าหากเจ้าต้องการร้องขอสิ่งใดจากข้า ขอเพียง
เจ้าเอ่ยมา ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่”
เซี่ยวหยู่นั้นเป็นคนที่ยึดถือคาพูดของตัวเองอย่างจริงจัง เพราะ
ความจริงที่ว่าเขาไม่อาจที่จะบรรลุถึงขั้นชะตาสวรรค์เป็นเวลา
ยาวนาน แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยงั หมดความอดทนกับเขา ถ้า
หากว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเนี่ยลี่ ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะยัง
ต้องอยู่ในระดับชะตาดินไปอีกยาวนานเท่าใด
เนี่ยลี่ยื่นมือขวาของเขาออกไปพร้อมกับพูดว่า “ข้าได้ช่วยรักษา
เจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะตอบแทนที่ข้าช่วยให้เจ้าทะลวง
ผ่านระดับชะตาสวรรค์ได้ เจ้าก็เพียงแค่แบ่งศิลาจิตวิญญาณ
บางส่วนของเจ้ามาให้ข้าบ้าง ได้หรือไม่? สาหรับค่าน้าพักน้า
แรงของข้า เพราะข้าไม่อยากจะเสียเวลาเปล่าสาหรับคืนนี้”
หลังจากเนี่ยลี่พูดจบ เซี่ยวหยูไ่ ด้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองไปที่
เนี่ยลี่แล้วพูดว่า “ข้ามีศลิ าจิตวิญญาณอยู่ในตอนนี้ราว ๆ สิบ
ก้อน เจ้าสามารถเอาไปได้ทั้งหมดเลย”
“อะไรกัน เจ้าเป็นถึงบุตรชายของผู้คุมกฏ ทาไมถึงได้ยากจนยิ่ง
นัก ลืมมันไปซะ ข้าคงจะรู้สึกไม่ดีเป็นแน่หากว่าเอาศิลาจิต
วิญญาณของเจ้ามาทั้งหมด ข้าขอรับไปแค่ห้าก้อน จากนี้เราก็
ไม่มีอะไรทีต่ ิดค้างกันอีก เจ้าได้พาข้ามายังนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ และข้าได้ช่วยรักษาเจ้า ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกัน
แล้ว” เนี่ยลีโ่ บกมือของเขาและหยิบเอาศิลาจิตวิญญาณมาห้า
ก้อนมา พร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
‘เข็มเงินสองเล่มแลกกับศิลาจิตวิญญาณห้าก้อน อย่างน้อยคืน
นี้ก็ไม่ได้เสียเปล่าหล่ะนะ’
เซี่ยวหยู่มองไปทางเนี่ยลี่ ด้วยความสับสน การใช้เข็มทั้งสอง
เล่มของเนี่ยลี่ ไม่ใช่เรื่องที่ทาได้ง่าย ๆ เหมือนที่เนี่ยลี่พยายาม
แสดงออกมาแน่ ๆ แต่ถึงอย่างไรด้วยความช่วยเหลือจากเขา
ตัวเขาเองถึงได้เข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ได้ เซีย่ วหยู่คิดไม่ออก
เลยว่าจะตอบแทนเขาได้อย่างไร เนื่องจากเนี่ยลี่พูดว่าเขาไม่
อยากจะติดค้างอะไรกันอีก
เนี่ยลี่ทาราวกับว่าไม่ต้องการสิ่งใดเลย เซีย่ วหยูไ่ ด้ได้แต่แอบ
ถอนใจ “นี่เซี่ยวหยู่ ทาไมเจ้าถึงมองข้าแบบนั้น มันทาให้ข้าขน
ลุกรูไ้ หม?” เนี่ยลี่โบกมือของเขา พร้อมกับแสดงออกทาง
ใบหน้าอย่างอึดอัด เขาพูดต่ออีกว่า
“ข้าไม่ได้สนใจผู้ชายด้วยกันหรอกนะ!”
หลังจบคาพูดของเนี่ยลี่ ใบหน้าของซี่ยวหยู่เปลีย่ นเป็นสีดา ทา
ไมเขาต้องยั่วโมโหข้า ทาให้อยากจะต่อยหน้าของของในตอนนี้
แม้ว่าเนี่ยลี่เพิ่งจะช่วยเหลือเขาก็ตาม
เซี่ยวหยูล่ ุกยืนขึ้นด้วยความราคาญและเดินออกไป ในตอนที่
เขากาลังเดินไปที่ประตู เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดอย่างช่วย
ไม่ได้ ด้วยน้าเสียงที่อ่อนโยน “อย่างไรก็ ขอบใจเจ้ามากนะ”
จบคาพูดแล้วเขาก็เดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
มองไปที่ประตูที่เซี่ยวหยู่เพิ่งจะปิดไป เนี่ยลี่นอนลงไปบนเตียง
พร้อมกับมองไปที่เพดาน “คิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังต้องการ
ที่จะตอบแทนข้าอยู่ ทาไมรู้สึกเหมือนกับว่าข้าขาดทุนที่ได้ศลิ า
จิตวิญญาณแค่ห้าก้อน ข้าควรจะเอาของเขามาทั้งสิบก้อนเลย
ดีกว่า”
ค่าคืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ
เช้าวันต่อมาช่างแจ่มใสและสดชื่นเป็นอันมาก เสียงนกร้อง
เจื้อยแจ้วดังมาจากป่าราวกับบทเพลงที่แสนไพเราะหมอกใน
ตอนเช้าปกคลุมพื้นที่ในขณะที่อากาศบริสุทธิ์ก็กระจายออกมา
จากป่า
นักเรียนหลายคนได้ตื่นขึ้นมาแล้วในเช้าวันนี้และเริ่มทาการ
ฝึกฝน เนี่ยลี่กับลู่เพียวเดินไปตามเส้นทางที่เลี้ยวไปมา วันนี้เขา
จะต้องไปรายงานตัวกับอาจารย์ของพวกเขา และพวกเขาก็อด
สงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นคนเช่นใด
เนี่ยลี่และลู่เพียวเดินมาตามแผนที่ ที่เซี่ยวหยู่ให้ไว้ จากนั้นพวก
เขาก็เดินมาจนลานด้านหน้า ตรงทางเข้าของลานนั้นมีผู้เยี่ยม
ยุทธในชุดคลุมสีเทา ห้ามไม่ให้เนีย่ ลี่และลู่เพียวเข้าไป แล้วเขา
ก็แจ้งว่า “ป้ายชื่อของพวกเจ้าหล่ะ!”
เนี่ยลี่และลู่เพียวจึงหยิบป้ายชื่อของเขาออกมาให้ผู้เยี่ยมยุทธใน
ชุดคลุมสีเทาดูตามที่ถูกร้องขอ “เข้าไปได้แล้ว
!” ผู้เยี่ยมยุทธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เนี่ยลี่และลู่เพียวเดินเข้าไปด้านใน ลู่เพียวมองดูรอบ ๆ ด้วย
ความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็พดู ออกมาว่า “ที่แห่งนี้ช่าง
ต่างจากสถาบันกล้วยไม้ศักดิส์ ิทธิจ์ ริงๆ”
“ใช่แล้ว” เนี่ยลี่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปด้าน
ใน พวกเขาเห็นนักเรียนนับสิบคนยืนอยู่ในลานกว้าง มีหนึ่งคน
ในนั้นที่พวกเขารู้สึกคุ้นตา เขาเป็นหนึ่งในลูกน้องของฮัวหลิงที่
เข้ารับการทดสอบและอยู่ในขั้น ราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับหนึ่ง ชายผู้นนั้ มองมายังเนี่ยลีแ่ ละลู่เพียว
ด้วยสายตาที่แสดงความเป็นปฏิปกั ษ์อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่า
นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันที่นี่มี ต่างก็มีรากวิญญาณชั้นฟ้า
เมื่อเนี่ยลี่และลู่เพียวเดินเข้ามาด้านใน หลายคนหันมามองพวก
เขาอย่างสนใจ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุราว ๆ สิบหกหรือสิบเจ็ดปี เดินเข้ามา
และถามว่า
“พวกเจ้าทั้งสองมาจากที่แห่งใดกัน?”
เนี่ยลี่หันไปเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น ที่แสดงทีท่าอวดดีไม่
น้อย “โลกใบเล็ก” เนีย่ ลีต่ อบอย่างใจเย็น
“อะไรกัน พวกเจ้าคืออัจฉริยะสองคนที่มาจากโลกใบเล็กงั้น
เหรอ
? ที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า กับรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
แปด ” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายด้วยความแปลกใจ
แล้วเขาก็พูดต่ออีกว่า "ข้าชื่อ จินหยาน เป็นสมาชิกของตระกูล
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ คนแซ่จินอย่างพวกเราถือว่าอัจฉริยะทุกคน
ล้วนน่านับถือ หากพวกเจ้ารักในอิสระอย่าลังเลที่จะไปเยีย่ มชม
พื้นที่ของพวกเรา"
แม้ว่าคาพูดของจินหยานนั้นจะเป็นการเชื้อเชิญก็ตาม ในฐานะ
ของคนในตระกูล จิน เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะก้มหัวให้เนี่ยลี่และลู่
เพียว
“แล้วเราค่อยคุยกันในภายหลังก็แล้วกัน” เนี่ยลี่พดู จากนั้นเขา
และลูเ่ พียวก็เดินจากไป
เมื่อได้ยินสิ่งที่เนี่ยลี่พูดออกมา จินหยาน ทาหน้าดาคล้า พร้อม
กับคิดว่า พวกเจ้านี้สองคนมาจากโลกใบเล็ก แต่กลับทาตัว
โอหังเสียจริง จินหยานเดินออกไปพร้อมกับใบหน้าที่มืดคล้า
ด้วยความไม่สบอารมณ์
“เนี่ยหลี่ การที่เจ้าไปขัดใจเขา ดูเหมือนจะเป็นความคิดทีไ่ ม่
ค่อยดีเลยนะ” ลูเ่ พียวพูดด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ภายในสถาบันวิญญาณฟ้าพวกเราจะ
ปลอดภัย แม้ว่าจะมีพวกที่พยายามสร้างปัญหาให้กับเรา แต่คน
พวกนั้นก็ไม่กล้าที่จะทาอะไรเกินเลย เนื่องจากพวกเรายังไม่ได้
เข้ากลุ่มกับผู้ใด ถือว่าเป็นจุดที่พวกเราจะปลอดภัยมากทีส่ ุด ไม่
มีใครคิดจะมาจัดการกับเหล่าอัจฉริยะที่เป็นกลางหรอกนะ การ
ที่เราจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเป็นการสร้างปัญหาให้
พวกเรามากกว่า” เนี่ยลี่อธิบาย
แม้ว่าสถาบันจิตวิญญาณฟ้า จะเป็นแค่สถาบันที่อยู่ภายใต้
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ แต่การเผชิญหน้ากันนั้นจะส่งผลอย่าง
รุนแรงมาก
ถ้าไม่เช่นนั้นนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ คงไม่ล่มสลายไปในชีวิตก่อน
หน้านี้ แน่นอนว่ามันจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ
ขณะที่พวกเขากาลังคุยกัน ชายแก่ผมสีขาวเดินเข้ามาจากข้าง
นอกลานกว้าง เขากวาดสายตาจ้องมองนักเรียนแต่ละคน แล้ว
ก็พูดว่า “ยินดีที่ได้พบกับพวกเจ้าทุกคน ข้าคืออาจารย์ของพวก
เจ้า เรียกข้าว่าอาจารย์ชิหลิง จากนี้ไปข้าจะทาการชี้แนะแนว
ทางการบ่มเพาะพลังให้พวกเจ้า ตามข้ามาข้างในจากนั้นก็หาที่
นั่งกัน ”
หลังจากที่เดิมตามอาจารย์ชิหลิงไป พวกเขาเข้าไปยังห้อง
ฝึกซ้อมและนั่งขัดสมาธิกัน อาจารย์ชิหลิง นั่งอยู่ตรงส่วนพื้น ที่
ยกสูงขึ้นกว่าปกติ
“ในชั้นเรียนนี้ เรามีนักเรียนอยู่ทั้งหมด สามสิบหกคน ทั้งหมด
เพิ่งเข้ามาเรียนในปีนี้ ทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลที่พิเศษ ที่มีราก
วิญญาณระดับเกินกว่าที่คนธรรมดาจะบรรลุได้ แต่ข้าคงต้อง
อธิบายให้ชัดเจนก่อนว่า ในที่แห่งนี้นั้น ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
กฏของข้า เมื่อถึงตอนสิ้นปีพวกเจ้าห้าคนที่มีความแข็งแกร่ง
มากที่สุด จะมีโอกาสถูกส่งไปยังเขตตะวันออก จงจาไว้ให้ได้ว่า
เรามีที่ว่างให้เพียงแค่ห้าตาแหน่งเท่านั้น และถ้าหากพวกเจ้าไม่
สามารถไปอยู่ที่แห่งนั้นได้ ข้าคงต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะเจ้าจะต้องอยู่ในเขตตะวันตกนี้ไปอีกนานแสนนาน”
อาจารย์ชิหลิง กวาดสายตามองไปยังทุกคนจากนั้นก็พูดต่อด้วย
น้าเสียงที่น่าประทับใจว่า “พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ
ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการที่จะถอยไปอยู่ด้านหลังของผู้อื่น ถ้า
หากใครที่อยู่ข้างหลังคนอื่นในก้าวนี้ ก้าวต่อๆไปก็จะตามหลัง
คนอื่นอยู่เสมอ”
หลังจากที่ อาจารย์ชิหลิง พูดจบ ทุกคนต่างจ้องมองหน้ากัน
และกัน และแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ส่งผ่านออกมาจาก
สายตาของพวกเขา
นี่คือโลกที่มีการจัดอันดับความแข็งแกร่ง และในปีนี้ มีเพียงแค่
ห้าคนเท่านั้น ที่จะถูกส่งไปยังเขตตะวันออก ในขณะที่คนอื่น ๆ
ต้องรอไปอีกหนึ่งปี ซึ่งพวกเขาไม่สามารถรอไปถึงอีกหนึ่งปีได้
ในเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง ถ้าหากเจ้านั้นล้าหลังผู้อื่น ผู้อื่น
ก็จะเหยียบลงบนหัวเจ้าแล้วปีนขึน้ ไป ถ้าต้องการเป็นผู้เยี่ยม
ยุทธ ย่อมต้องไม่แสดงความรู้สึกสงสารแก่ผู้ที่อ่อนแอ
อาจารย์ชิหลิง กวาดสายตามองไปยังนักเรียนทั้งสามสิบหกคน
อีกครั้ง และพบว่าทั้งสามสิบหกคน มีคนที่มาจากเมืองต่าง ๆ
และอาณาจักรทีเ่ ล็กๆ และอีกประมาณครึ่งหนึ่งมาจากตระกูล
ที่อยู่ภายในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ และลูกหลานของชนเผ่าต่าง
ๆ รวมไปถึงคนที่มีพื้นเพมาจากทีอ่ ื่น ๆ เช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรในชั้นเรียนนี้ อาจารย์ชิหลิง ยังถือว่าพอจะมีอานา
จอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะลงโทษนักเรียนบางคน ตระกูลที่อยู่เบื้อง
หลักเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็ไม่อาจทีจ่ ะมาแตะต้องเขาได้ อาจารย์
ของสถาบันจิตวิญญาณฟ้า ถือว่าตาแหน่งของเขานั้นถือได้ว่าสูง
อยู่มาก
สายตาของเขาหรีล่ งเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่สวม
เสื้อสีฟ้าอ่อน ทาให้เขาถึงกาตกตะลึงไปชั่วครู่
หญิงสาวผู้นี้งดงามมาก ซึ่งจุดนี้นางสามารถดึงดูดสายตาของ
คนอื่นๆได้เป็นอย่างดี แต่ใบหน้าของนางแสดงออกมาอย่างเย็น
ชา และนางแสดงท่าทีอย่างเห็นได้ชัด ถึงความกระหายเลือด
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาอยู่ใกล้นาง
อาจารย์ชิหลิง ละสายตาออกพร้อมกับพูดอย่างช้า ๆว่า “พวก
เจ้าทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ แม้ว่าพวกเจ้าเพิ่งไปถึงก้าวแรกของ
การบ่มเพาะพลัง สาหรับคนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ สถาบันจิต
วิญญาณฟ้าไม่ยอมให้มีการต่อสู้เกิดขึ้นข้างในนี้ ซึ่งข้าเองก็ไม่
อยากที่จะเห็น ถ้าหากว่ามีใครสร้างปัญหาให้มากเกินไป หรือ
ไปทาร้ายผู้ใดก็ตาม นั่นจะเหมือนกับว่า เป็นการทาลาย
เป้าหมายของตัวเจ้าเอง หวังว่าพวกเจ้าคงจะเข้าใจชัดแจ้งดี
แล้วในเรื่องนี้” อาจารย์ชิหลิง กล่าวเตือนด้วยน้าเสียงที่เย็นชา
มือข้างหนึ่งของเขา พวกเขาตั้งใจที่จะอยู่เหนืออัจฉริยะคนอื่น
ส่วนอีกมือหนึ่งพวกเขาถูกห้ามไม่ให้มีการต่อสู้เกิดขึ้นภายในนี้
อาจารย์ชิหลิง เชื่อได้ว่ามีหลาย ๆ คนที่คิดแบบนี้อยู่
ในขณะที่เนี่ยลี่ฟังคาอธิบายอยู่นั้น ในใจของเขาได้คิดหาวิธีการ
ที่จะได้ศลิ าจิตวิญญาณมาจานวนมากๆ ศิลาจิตวิญญาณห้า
ก้อนที่ได้มาจากเซี่ยวหยู่ ก็ใกล้ที่จะหมดแล้ว ตั้งแต่ที่เขาฝึกด้วย
เทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถีฟ้า] ขอบเขตวิญญาณของเขา
ก็ราวกับว่าเป็นบ่อหลุมที่ไร้ขอบเขตเลยทีเดียว...จบตอน
บทที่ 271 เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ

“พวกเจ้าจะต้องเข้ามาเพื่อเรียนกับข้าทุกๆสามวัน ข้าจะ
อธิบายวิธีการบ่มเพาะพลังให้กับพวกเจ้า รวมไปถึงวิธีการที่จะ
ทะลวงผ่านไปในระดับต่อไป นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว
สถาบันวิญญาณฟ้ายังมีการอบรมพื้นฐานสามอย่างอีกด้วย ซึ่ง
ข้ากาลังจะอธิบายให้ฟังในตอนนี้” อาจารย์ชิหลิงกล่าว
อาจารย์ชิหลิง เริ่มอธิบายในรายละเอียดว่า “สาหรับการที่จะ
เลื่อนระดับจากชะตาดิน สู่ชะตาฟ้านั้น จาเป็นต้องมีการ
ประสานกันอย่างสอดคล้องของพลังงานสวรรค์และเส้นทาง
แห่งสวรรค์ ทุกๆอย่างที่มีอยู่ระหว่างฟ้าและดิน เปรียบได้ดังกับ
บ่อเกิดแห่งดิน:ทุกอย่างล้วนเกิดขึน้ จากความเข้มข้นของ
พลังงานสวรรค์... ”

ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ลู่เพียวเองก็เอียงหูฟัง
แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ อาจารย์ชิหลิง อธิบายนั้นฟังดูแล้วผิวเผินยิ่ง
นักสาหรับเนี่ยลี่ จะมีใครอีกที่กาลังครุ่นคิดอยู่ในสถานะการ
ตอนนี้ ชะตาดิน นั้นมีการจัดระดับเช่นเดียวกับระดับตานานที่
ถูกแบ่งเป็นห้าระดับ ซึ่งในตอนนี้เขานั้นอยู่ในระดับสามดาว ยัง
มีเส้นทางอีกยาวไกลกว่าที่จะไปถึงระดับชะตาฟ้า

ก่อนที่จะเข้ามายังอาณาจักรซากมังกรนั้น พลังแห่งสัจธรรม
ภายร่างกายของเนีย่ ลี่ ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นพลังงานสวรรค์

พลังงานสวรรค์นั้นมีความคล้ายคลึงกับพลังแห่งสัจธรรม และ
แบ่งเป็นธาตุองค์ประกอบต่าง ๆ เช่นห้วงเวลา และอื่น ๆ แต่ถึง
อย่างไรพลังงานสวรรค์นั้นก็เป็นพืน้ ฐานของพลังทั้งปวง

ในเวลานี้ เนี่ยลี่ นั้นได้ทาการฝึกอย่างต่อเนื่องด้วยเทคนิคการ


บ่มเพาะ [เทพวิถีฟ้า] เถาหล่อเลีย้ งวิญญาณลึกลับก็ได้เติบโต
อยู่ในขอบเขตวิญญาณของเขา

อาจารย์ชิหลิง ได้ใช้เวลาสอนไปถึงสองชั่วโมง เขาค่อย ๆ สอน


ลึกไปถึงหัวข้อต่าง ๆ และค่อยๆอธิบาย จึงทาให้เหล่านักเรียน
นั้นรู้สึกหลงไหลเขายิ่งนัก
“เนี่ยลี่ พวกเราจะมีชีวิตที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่บ่ม
เพาะไปถึงขั้น สอง ชะตาวิญญาณ หรือสูงกว่านั้นใช่ไหม
? ” ลู่เพียวอดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม นั่นแปลว่าใครบางคน
สามารถตายได้หลายครั้งเช่นนั้นหรือ?

เนี่ยลี่จึงอธิบายว่า “อันที่จริง สองชะตา หรือ สามชะตา ไม่ได้


แปลว่าเจ้าจะมีสองหรือสามชีวิต แต่หมายถึงในขอบเขต
วิญญาณของเจ้านั้นก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมาซึ่งหลังจากนั้นก็
นาไปเก็บไว้ในพื้นที่ปลอดภัย ตราบใดที่เจ้าไม่ได้สญู เสียชะตา
วิญญาณทั้งหมด เจ้าก็สามารถที่จะคืนชีพได้อีกครั้ง แต่ถึง
อย่างไรพื้นที่ ที่ชะตาวิญญาณจะไม่มีผลนั้นคือ อยู่ห่างจากที่
เก็บชะตาวิญญาณเกินหนึ่งพันลี้”

“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากาลังจะบอกว่า ข้าสามารถซ่อน


ชะตาวิญญาณเอาไว้ที่ใดก็ได้ และหาก ว่าข้านั้นตายไป ข้าก็
สามารถที่จะใช้ชะตาวิญญาณชุบชีวิตตัวเองได้ถูกต้องไหม
?”
“ถูกต้องแล้ว ทุกครั้งที่เจ้านั้นถูกสังหาร เจ้าก็จะ
สูญเสียชะตาวิญญาญไป อย่างเช่นถ้าหากเจ้านั้นมี สามชะตา
วิญญาณ และเจ้าถูกสังหารไป เมือ่ เจ้ากลับมามีชีวิต เจ้าก็จะ
เหลือเพียงสองชะตาวิญญาณ” เนีย่ ลี่พูดต่อไปอีกว่า “เมื่อเจ้า
นั้นเข้าสู่ขอบเขตชะตาสวรรค์แล้ว จะเป็นการดีถ้าหากเจ้ารู้จัก
วางแผนล่วงหน้า โดยการเก็บชะตาวิญญาณของเจ้าไว้ในที่ ที่
ปลอดภัย ก่อนที่เจ้าจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ ที่อันตราย ถ้า
ไม่เช่นนั้นหากเจ้าถูกสังหารก็ไม่อาจที่จะกลับมามีชีวิตได้อีก
ต่อไป ”
ลู่เพียวเริ่มที่จะเข้าใจถึงแนวคิดที่ได้ฟังมาแล้ว ไม่น่าแปลกใจ
เลยทีส่ ถาบันวิญญาณฟ้า มีกฏที่อนุญาตให้ผู้ที่บรรลุถึงระดับ
ชะตาสวรรค์เท่านั้น จึงสามารถที่จะออกไปผจญภัยได้ ก่อนที่
ออกไป พวกเขาก็จะวางชะตาวิญญาณของตนเองไว้ในห้องโถง
วิญญาณของสถาบัน ด้วยวิธีนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นักเรียนคนนั้น
จะถูกสังหารอย่างถาวร เว้นเสียแต่ว่า จะมีใครละเมิดกฏของ
สถาบันวิญญาณฟ้า
หลังจากที่เหล่าบุคคลที่มีความสามารถ ที่จะเข้ามาอยู่ใน
สถาบันวิญญาณฟ้า ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะจากเมืองต่าง ๆ
การเสียชีวิตของใครก็ตาม ล้วนเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่

หวังหยาง [王阳]ยืนอยู่ไกลๆและกวาดสายตาจ้องมองไป
ยังเนี่ยลี่และลู่เพียวที่กาลังคุยกันอยู่ มีประกายความเย็นชา
ออกมาจากสายตาของเขา ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่นี่ นายน้อย
ฮัวหลิงสั่งให้เขาจับตาดูเนี่ยลี่และลู่เพียว นอกจากนี้เขายังสั่งว่า
ให้หาหนทางกลั่นแกล้งทั้งคู่เมื่อมีโอกาสอีกด้วย

ภายในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ เหล่านักเรียนที่มาจากสถานที่


และตระกูลต่าง ๆ ได้ทาการรวมกลุ่มกันเพื่อแบ่งปันชื่อเสียง
ขุมกาลังและร่วมกันต่อสู้ บิดาของฮัวหลิงนั้น และบิดาของ
เซี่ยวหยู่นั้น ยังคงต่อสู้กันเพื่อแย่งตาแหน่งของหัวหน้า
ปฏิบัติการสาหรับส่วนนอก เนื่องจากเขามาจากห้วงสวรรค์
น้อย โดยธรรมชาติแล้วคาพูดของฮัวหลิง เขาจึงต้องเก็บไว้ให้
ขึ้นใจ
ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยก็มีร่วมพันคน ที่เป็นผู้เยีย่ ม
ยุทธที่มาจากห้วงสวรรค์น้อย ส่วนคนที่มาจากโลกใบเล็กนั้น มี
เพียงเจ้าแห่งนครใต้พภิ พ เซี่ยวหยู่ และอีกเพียงหนึ่งกามือ
(ตามสานวนหมายถึงมีอยู่แค่ไม่กคี่ น)

ด้วยความจริงที่ว่า เนี่ยลี่นั้นมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด
และลูเ่ พียวมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า เป็นสิ่งที่กดดันหวังห
ยางอย่างเป็นอย่างมาก
‘แต่ข้าไม่เชื่อ ไม่มีทางที่ข้าจะแพ้เจ้าสองคนนี้เด็ดขาด’ หวังห
ยางคิดอย่างไม่แยแส ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามาจากห้วงสวรรค์
น้อย เขาย่อมมีขุมกาลัง (หมายถึงทั้งกาลังคนและกาลังทรัพย์)
มากมายกว่าเนี่ยลี่แน่นอน

อาจารย์ชิหลิง ยังคงบรรยายต่อและกาลังสรุปหัวข้อสาคัญ เขา


พูดว่า “ถ้าหากว่าข้าอธิบายเรื่องทัง้ หมดในคราวเดียว พวกเจ้า
ก็อาจจะสับสนและไม่เข้าใจก็เป็นได้ ดังนั้นข้าจึงพอแค่นี้ก่อน
เดี๋ยวต่อไปข้าจะสอนเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังอีกเล็กน้อย
สาหรับชะตาดินนั้น พวกเจ้าอาจจะได้ประโยชน์เล็กน้อย
สาหรับการบ่มเพาะพลัง แต่จะเป็นประโยชน์อย่างมากใน
อนาคต เมื่อเจ้าสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตของชะตาฟ้า
ได้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็คงจะฝืนช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าหากว่าพวก
เจ้าไม่สามารถเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ข้าสอนไปได้ ”

ดวงตาของเขากวาดมองไปยังหญิงสาวที่ใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน จินห
ยาน และคนอื่น ๆ รอยยิ้มเล็กน้อยของเขาที่เริ่มแผ่เต็มใบหน้า
ของเขา คงมีเพียงคนเหล่านี้ที่จะสามารถเก็บเกี่ยวความรูจ้ น
ทาให้เกิดผลลัพธ์ดๆี ได้แน่นอน

ท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะที่มรี ากวิญญาณฟ้าทั้งสามสิบหกคน ถ้า


หากจะมีสักสิบคนที่สามารถทาได้ พวกเขาที่ได้ถูกคัดเลือกมา
อย่างดีแล้ว นอกจากนี้พวกเขาจะได้ผลลัพธ์ของการบ่มเพาะ
พลังที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ในอนาคตพวกเขาจะต้องประสพผลสาเร็จ
อย่างดีเยี่ยมแน่นอน

“ขั้นแรกเราจะต้องทาการบ่มเพาะเปลวไฟ
แห่งจิตวิญญาณ
!” หลังจากที่อาจารย์ชิหลิง พูดจบ เขาค่อย ๆยื่นมือขวาของ
เขาออกมา หลังจากนั้นไม่นาน เปลวไฟสีขาวก็ลุกโชนขึ้นในฝ่า
มือของเขา จากนั้นเขาก็พูดต่ออีกว่า “นี่คือเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณ ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะสร้างเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ขึ้นมา ก่อนอื่นเจ้าจะต้องให้ขอบเขตวิญญาณของเจ้าเข้าถึง
สภาวะอนัตตา แล้วรวบรวมเจตจานงค์ของเจ้าลงบนฝ่ามือขวา
ของเจ้า...”

เปลวไฟในมือของอาจารย์ชิหลิง ค่อยๆมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จากที่มีเพียงขนาดเล็กเท่าดอกไม้ที่กาลังเป็นดอกตูม ขยายใหญ่
จนเท่ากับกาปั้น

“ความแข็งแกร่งของเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณบ่งบอก
ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าสามารถทะลวง
ผ่านระดับชะตาฟ้าได้ ชะตาแห่งวิญญาณของพวกเจ้าก็ย่อมที่
จะแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน” อาจารย์ชิหลิง ยิ้มเล็กน้อยและพูด
ต่อ

“เอาหล่ะ ในตอนนี้พวกเจ้าพร้อมที่จะก้าวเดินไป
ข้างหน้ากันแล้ว ลองทาความเข้าใจแล้วสร้างเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณดูสิ ”
เหล่านักเรียนลุกยืนขึ้นบนพื้นด้านล่าง ทุกคนเอามือขวาออกมา
และ รวบรวมเจตจานงค์ลงบนฝ่ามือเพื่อที่จะพยายามสร้าง
เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ

แม้ว่าอาจารย์ชิหลิง จะสามารถทาให้เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ลุกติดขึ้นมาบนมือขวาของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่สาหรับ
นักเรียนพวกเขารู้ได้ว่ามันไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แม้ว่าพวก
เขาจะยื่นแขนออกไปกว่าครึ่งวันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจจะที่
จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณให้ลกุ โชนขึ้นมาได้ ทุกคนต่าง
หลับตาลงและขมวดคิ้ว เพื่อที่จะเข้าถึงสภาวะอนัตตา

ทันใดนั้น เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณก็ระเบิดออกมาจากมือของ
หญิงสาวที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนคนนั้นแม้ว่ามันจะมีขนาดเพียงแค่
ก้อนควันเล็กๆ แต่นางก็เป็นคนแรกที่สามารถจุดเปลวไฟแห่ง
จิตวิญญาณได้ หลังจากนั้นเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณก็ค่อย ๆ
ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเล็บมือ
เมื่อเห็นดังนั้น อาจารย์ชิหลิง คิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วก็มี
ประกายแห่งความชื่นชมออกมาจากสายตาของเขา อันที่จริง
นางเป็นทายาทสายตรงของตระกูลผนึกมังกร ซึ่งถือว่า
พรสวรรค์อย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าด้วยอายุเพียงเท่านี้ นางก็สามารถ
จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณจนมีขนาดเท่าเล็บมือได้

หลังจากนั้นไม่นาน จินหยาน ก็สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิต


วิญญาณขึ้นมาได้เช่นกัน แม้ว่ามันจะมีขนาดเพียงแค่เม็ดถั่ว แต่
มันก็มีความบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก

“ไม่เลวนี่” อาจารย์ชิหลิง กล่าวชมพร้อมกับยักหน้า

หลังจากนัน้ มีนักเรียนอีกสามคนที่สามารถจุดเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณขึ้นมาได้ หนึ่งในนั้นสามารถทาให้มันใหญ่ขนาดเท่ากับ
เล็บมือได้ ถือว่ามีพรสวรรค์ยิ่งนัก

ลู่เพียวได้พยายามอย่างหนักเพื่อทีจ่ ะให้ขอบเขตพลังของเขา
เข้าสู่ภาวะอนัตตา เหมือนกับที่อาจารย์ชิหลิงได้บอกไว้ แต่ถึง
อย่างนั้นในหัวของเขาก็มีภาพต่าง ๆ พุ่งเข้ามาไม่หยุด เป็นภาพ
เซี่ยวซุ่ยกาลังอาบน้า เพราะว่าเขาเห็นแต่ภาพเหล่านั้น เขาจึง
ไม่อาจจะที่จะเข้าสู่ภาวะอนัตตาได้ หลังจากนั้นเขาก็เผย
รอยยิ้มที่ขมขื่น “ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทาไมการบ่มเพาะพลัง
ของข้าถึงได้ช้ากว่าคนอื่น เป็นเพราะว่าข้ายังมีบางสิ่งที่ยังค้าง
คาใจ และทาไม่สาเร็จ ”

“เจ้าหมายถึงความลามกในตัวของเจ้าใช่ไหม
?” เนี่ยลี่หัวเราะพร้อมกับพูดต่อไปอีกว่า “ผู้ที่ไม่มีจติ ใจอัน
บริสุทธิ์ ย่อมไม่สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา
ได้”

ลู่เพียวพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “แล้วเจ้าต่างจากข้าตรงไหน
กัน? เจ้ามีเทพธิดาจื้ออวิ้นในมือซ้าย แถมยังมีเทพธิดาหนิงเอ๋อ
ในมือขวาอีกด้วย ข้าคิดว่าจิตใจของเจ้าก็คงไม่ได้บริสุทธิ์มากไป
กว่าข้าหรอกนะ ”
ที่มุมปากของเนี่ยลี่ เผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือขวา
ออกไป ทันใดนั้น เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ ก็ถูกจุดขึ้นมาบนฝ่า
มือขวาของเขา และค่อยๆเพิ่มขนาดจนเท่ากับเล็บมือ

“ใช่สิ เจ้ามันร้ายกาจยิ่งนัก” ลู่เพียวพูดพร้อมกับทาท่า


คอตก เนี่ยลีเ่ จ้ามันช่างยียวนยิ่งนัก
ข้างบนแท่นที่ยกสูงขึ้น ดวงตาของ อาจารย์ชิหลิง มีประกาย
เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจมาก เขาจับจ้องไปยังเนี่ยลี่ แม้
ว่าเนี่ยลี่นั้นจะมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด เขาก็ได้ทาการ
ตรวจสอบเบื้องหลังของเนี่ยลี่ เขามากจากโลกใบเล็ก และไม่ได้
มีใครหนุนหลังเขาเลย

แม้ว่าพรสวรรค์จะเป็นสิ่งสาคัญในเส้นทางของการบ่มเพาะพลัง
แต่ถ้าหากไร้ซึ่งทรัพยากร (หมายถึงศิลาจิตวิญญาณ) ก็ไม่มี
ประโยชน์อันใดสาหรับหนทางที่จะก้าวไปสู่ระดับเทพสงคราม
แค่จากระดับชะตาสวรรค์ ก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ ก็
ต้องใช้ทรัพยากรมากมายในการบ่มเพาะพลังแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเนี่ยลี่มากนัก นอกจากนี้ หลงยู่อิน[龙
羽音] และ จินหยาน ต่างก็มาจากตระกูลที่มีอานาจ และ
ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก ร่างกายของพวก
เขานั้นได้รับการขัดเกลาจากสมุนไพรวิเศษต่างๆ นั่นเป็น
เหตุผลที่พวกเขาสามารถที่จะ จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะ
พลังของพวกเขาก็เหนือกว่าเนี่ยลีอ่ ีกด้วย

ซึ่งเขานั้นไม่เคยคิดเลยว่าเนี่ยลี่จะสามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่ง
จิตวิญญาณขึ้นมาอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ เปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณของเขา ก็มีขนาดเท่าเล็บมือ ซึ่งไม่ได้ด้วยกว่าของ
หลงยู่อิน กับ จินหยานเลย

นอกจากนี้ที่เขามีความสนใจเป็นอย่างมากก็คือ เขาใช้วิธีที่
แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ต้องหลับตาตั้งสมาธิอย่างลาบาก แต่
เนี่ยลี่ทาได้ในขณะที่กาลังพูดคุยอยู่กับลู่เพียวอีกด้วย แต่ยัง
สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาอย่างง่ายดาย สิ่ง
ที่เนี่ยลี่ทานั้นแสดงให้เห็นว่า เขาได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ
สภาวะอนัตตา และสามารถเข้าถึงในระดับที่น่าตกใจเลย
ทีเดียวเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีอัจฉริยะที่โดดเด่นขึ้นมา
ในหมู่นักเรียนทั้งสามสิบหกคน

อาจารย์ชิหลิง กาลังถูกครอบงาด้วยความคิดในหัวของเขา และ


เขาก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ความสนใจของเขาหมุนวนอยู่
รอบ ๆตัวของเนี่ยลี่ คน คนนี้ต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ข้า
จะต้องตั้งใจสั่งสอนเขาด้วยความรอบคอบ

เนี่ยลี่เองก็เหลือมองไปยังอาจารย์ชิหลิง ในฐานะที่เขาเป็น
นักเรียนใหม่ของสถาบันวิญญาณฟ้า เนี่ยลี่รดู้ ีว่าภูมิหลังของเขา
นั้นต่าต้อยยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความสามารถออกมาใน
ระดับหนึ่ง เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ยกระดับความสาคัญของเขา
ขึ้นมา

เนี่ยลี่นั้น ได้ทาให้เกิดระลอกคลื่นโหมกระหน่าอยู่ในใจของ
อาจารย์ชิหลิงไปแล้ว เนื่องจากความสามารถของเขาที่ปรากฏ
อยู่นั้น เหนือกว่าคนอื่น ๆมากมายนัก
ในหมู่นักเรียนทั้งสามสิบหกคน มีเพียงแค่ห้าคนที่นั้นที่สามารถ
จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขนาดเท่ากับเล็บมือได้ ขณะที่อีก
เจ็ดคนที่สามารถจุดเปลวไฟขึ้นมาได้ขนาดเท่าเม็ดถั่ว นักเรียน
ที่เหลือนั้นไม่สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้
เลย ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน

หวังหยาง [王阳] ก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่เหลือนั้น เขา


พยายามด้วยวิธีการต่างๆ นานา แต่ฝ่ามือของเขาก็ยังคงเงียบ
สงบ ไม่มรี ่องรอยของเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
นั่นทาให้เขาเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเนี่ยลี่สามารถที่จะ
จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้ ปอดของเขานั้นแทบจะ
ระเบิดออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย (ถ้าเป็นสานวนไทยก็จะ
ประมาณว่า อกจะแตกตาย)

“ไม่เลวเลย สาหรับเหล่าอัจฉริยะทีส่ ามารถที่จะ


จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาในการเรียนบทเรียนแรกนี้
ทุกคนล้วนมีความตั้งใจที่บริสุทธิ์ และเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง
ที่จะก้าวเข้าสูเ่ ส้นทางของการเข้าสู่ระดับ เทพสงคราม ความ
แข็งแกร่งของเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ จะทาให้ชะตาแห่ง
วิญญาณของพวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้น สาหรับผู้ที่ยังไม่อาจที่จะจุด
เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้ จงกลับไปฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น
บทเรียนของวันนี้จบลงแค่นี้ ” อาจารย์ชิหลิง หัวเราะพร้อมกับ
พูดต่ออีกว่า “พวกเจ้าจะพบกับบทเรียนต่อไปในอีกสามวัน
ข้างหน้า”
บทที่ 272 ท่านอาจารย์เบ่ย Master Bei

หลังจากท่านอาจารย์ชิหลิงเดินออกไป ในขณะที่นักเรียนต่าง
ยืนขึ้นเพื่อที่จะแยกย้ายหลังจบคาบเรียน

ทันใดนั้นหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าอ่อนเดินตรงเข้ามาหาเนี่ยหลี่และ
ลู่เพียว

นางชาเลืองมองด้วยสายตาดูถูกมายังพวกเนี่ยหลี่แล้วพูดขึ้นว่า
"พวกเจ้ามาจากโลกใบเล็กใช่หรือไม่?”

เนี่ยหลีม่ องหญิงสาวผู้นั้นแล้วพยักหน้าตอบ "ใช่”

แม้ว่าเนี่ยหลี่จะมีความรู้เกี่ยวกับตระกูลผนึกมังกร แต่เขาก็อด
สงสัยไม่ได้ว่า หญิงสาวผู้นเี้ ป็นใครมาจากไหน? ทาไมเขารูส้ ึก
คุ้นเคยกับนาง? หรือว่าเนี่ยหลีจ่ ะเคยเจอแม่นางผู้มีในช่วงชีวิต
ก่อนหน้านี้?
"พวกเจ้าคือ ผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ 8 และ ระดับ 5
ที่มาจากโลกใบเล็กงั้นรึ" หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนถามพวกเนี่ยห
ลี่ ราวกับกว่านางจะสอบสวนพวกเขา

เนี่ยหลีจ่ ึงเอ่ยปากว่า “เจ้าคงจะไม่ได้มาทาอย่างชายคนก่อน


หน้านี่ที่ชื่อจินหยาน หรอกใช่ไหม? ที่จะชักชวนพวกข้าไปเข้า
ร่วมกับเจ้า?”หวังว่ามันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะกับการมาของแม่
นางผู้นี่ แต่ด้วยท่าทางที่ดูถูกของนางทาให้ลู่เพียวรูส้ ึกไม่พอใจ
นาง

หญิงสาวชุดฟ้าอ่อนชาเลืองมองมาที่ลู่เพียวแล้วพูดว่า "แม้ว่า
พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในกลุม่ คนที่พึ่งเข้ามา
ใหม่นี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะได้รบั คาเชิญให้เข้าตระกูลผนึก
มังกรของข้าหรอกนะ เพราะพรสวรรค์นั้นบอกได้แต่เพียง
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเท่านัน้ จะว่าไปต่อให้เป็นบุคคล
ธรรมดาไร้ค่าแต่ถ้าเป็นคนที่ตระกูลผนึกมังกรต้องการตัวแล้ว
ละก็ พวกเราสามารถทาให้เขากลายเป็นยอดอัจฉริยะได้เลย
หละ"
ด้วยคาเสียดสีของนางทาให้ลู่เพียวรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก

สายตาของเนีย่ หลี่ กับหญิงสาวผู้ทอี่ ยู่ตรงหน้าเขา สายตาของ


เขายังเยือกเย็น แม้วา่ คนที่ยืนต่อหน้าเขาจะมาจากตระกูลผนึก
มังกรก็ตาม

ตระกูลผนึกมังกรนั้นถือเป็นตระกูลใหญ่และมีอิทธิพลเป็นอย่าง
มากกับนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ พวกเขาถือเป็น 1 ใน 3 ของ
ตระกูลที่จัดว่าใหญ่ที่สุดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี่ยหลี่ เมื่อนี่หลีไ่ ด้เข้ามายัง
อาณาจักรซากมังกรแห่งนี้ เขาก็ถอื เป็นหนี้บุญคุณกับท่าน
อาจารย์ที่ช่วยฝึกสอนเขา แต่น่าเสียดายที่อาจารย์ของเขาได้ถูก
สังหารโดยคนในตระกูลผนึกมังกร ดังนั้นเนี่ยหลี่จึงรู้สึกไม่ค่อย
ดีกับตระกูลผนึกมังกรสักเท่าไหร่
แต่เนื่องจากตอนนี้อาจารย์ที่เคยฝึกสอนเขาในช่วงชีวิตก่อนยัง
มีชีวิตอยู่ เนี่ยหลี่จึงไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็น
อันขาด

หญิงสาวชุดฟ้าอ่อนนั้น ไม่แม้แต่จะชาเลืองมองลู่เพียวอีกเป็น
ครั้งที่สอง แต่ดวงตานางของนางพุ่งตรงไปยังเนี่ยหลี่พร้อมยิ้ม
ด้วยมุมปากอย่างเย้ยหยัน "ในวันนี้ในคาบเรียนตอนที่เรียน
เกี่ยวกับจิตวิณญาณเปลวเพลิง พวกเจ้าก็แค่ทาให้ข้ารูส้ ึกสนใจ
ก็เท่านั้น หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ทาให้ข้าผิดหวังหรอกนะ”
หลังจากที่พูดจบนางก็เดินจากไป หลังจากนี้นางเดินหายไป
ผ่านทางเข้าตรงสวน

ลู่เพียวมองมายังเนี่ยหลี่อย่างสงสัยและถามขึ้นว่า “เนี่ยหลี่ แม่


นางเมื่อครู่นี้เขาหมายความเช่นไรกัน ทาไมนางจึงเดินตรงมายัง
พวกเราเพื่อบอกว่า พวกเราทาให้นางสนใจ? หรือว่านางคิดที่
จะร่วมเตียงกับเจ้า?”
เนี่ยหลีไ่ ม่อยากจะพูดอะไร เกี่ยวกับคาพูดของลู่เพียว ไม่รู้ว่าหัว
สมองของลู่เพียวมีแต่ขี้เลื่อยหรือไง?

หลังจากที่ลู่เพียวพูดจบ ก็มีชายหนุ่มหน้าตาดี เดินตรงเข้ามายัง


ลู่เพียวและบอกว่า “หลงยู่อินนั้นสนใจพวกเจ้าแต่ดูเหมือนว่า
พวกเจ้าทั้งสองจะไม่ได้อยากเข้าร่วมกับตระกูลของนาง หรือว่า
เจ้าคิดว่านางสนใจในตัวเพื่อนของเจ้ากันหละ พวกเจ้าไม่รู้หรอ
ว่านางเป็นคนที่เลือดเย็นขนาดไหน”
"เลือดเย็นหรอลูเ่ พียวได้แต่พยักหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางดู
เป็นคนแบบนั้นตลอดเวลา แล้วทาไมกันล่ะ?

“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินเกีย่ วกับ หลงยู่อิน มาก่อนรึ เนื่องจาก


พวกเจ้ามาจากโลกใบเล็กเลยยังไม่ค่อยรู้อะไร จริงๆแล้วแม่นาง
หลงยู่อินถือเป็นยอดอัจฉริยะจากตระกูลผนึกมังกรเลยก็ว่าได้
ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น ยังมีข่าวลืออีกว่าภายในตัวนางมีสายเลือด
มังกรไหลเวียนอยูด่ ้วย เลยไม่น่าแปลกใจที่ร่างกายของนางจะ
แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าถ้าไม่ใช่อาวุธวิเศษระดับ 2 ขึ้น
ไป ก็ไม่สามารถทาอันตรายกับนางได้เลย เมื่อสองปีก่อน นาง
ได้หมั้นหมายกับชายคนหนึ่ง แต่แล้วนางก็ได้จดั การกับคู่หมั้น
คนนั้นอย่างราบคาบ ว่ากันว่า จนป่านนี้แล้วชายหนุ่มผู้นั้นคง
จะพิการถึงขั้นไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้เลยจนถึงตอนนี้”
ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาพวกเนีย่ หลี่นั้นเงยหน้าขึ้นและเล่าต่อ
ว่า

“คู่หมั้นของแม่นางหลงยู่อินนั้นมาจากตระกูลที่ถือว่าแข็งแกร่ง
เลยทีเดียว แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าทาไม แต่คหู่ มั้นของนางก็
อดทนจนถึงที่สุด แม่นางคนนั้นโหดเหี้ยมราวกับสัตว์ประหลาด
ข้าเตือนว่าพวกเจ้าไม่ควรไปทานางไม่พอใจ”

หลังจากที่ได้ยินดังนั้น ลูเ่ พียวก็ไม่อยากแม้แต่จะยุ่งกับนาง

หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อน ซึ่งตอนนีค้ ือแม่นางหลงยู่อินงั้นหรอ?


เนี่ยหลี่ครุ่นคินพลันหรีต่ าลงนึกถึงช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ คนที่
สังหารอาจารย์ที่ช่วยฝึกฝนเขาก็คอื หลงยู่อิน!!

ในชาติที่แล้ว หลังจากที่เนี่ยหลีไ่ ด้เข้ามาถึงอาณาจักรซากมังกร


หลงยู่อินดูเหมือนจะเป็นเพียงหญิงสาวคนนึง แต่เนื่องจากนาง
อยู่มาเป็นเวลานาน นางจึงบรรลุถงึ ขั้น เทพสงครามระดับ 3
และเป็นหญิงสาวที่เผด็จการทีส่ ุดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทาไมเนี่ยหลี่จงึ รู้สึกคุ้นเคยกับนาง เนี่ยหลี่


จาได้ว่าเมื่อชาติที่แล้ว หลงยู่อินเป็นจอมเผด็จการเป็นผูค้ ุมกฎที่
ถือกฎระเบียบอย่างมากด้วยเหตุนจี้ ึงไม่มีใครในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ที่อยากยุ่งกับนาง

ในตอนนั้น หลงยู่อิน ดูเป็นผู้ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับตอนนี้เป็น


เพียงแค่สาวน้อยเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นคน คนเดียวกัน แต่กย็ ังดู
แตกต่างกันอยู่ที จึงไม่ต้องแปลกใจที่เนี่ยหลีจ่ ะจานางไม่ได้ใน
ตอนแรกแม้ว่าความเสียใจจากชาติที่แล้วจะไม่ได้ฝังลึกลงไปใน
ใจมากนัก แต่เนี่ยหลี่ก็ยังคงมีความเกลียดชังต่อตระกูลผนึก
มังกร

ลู่เพียวรูส้ ึกถูกคอกับชายคนนี้จึงได้เอ่ยปากถาม “เฮ้ เจ้าชื่อว่า


อะไรรึ?”
ชายหนุ่มผู้นั้นยิม้ เล็กน้อยแล้วตอบว่า "พวกเจ้าสามารถเรียกข้า
ว่า อาจารย์เบ่ย"

“ท่านอาจารย์เบ่ยงั้นหรอ?” ลู่เพียว
เหลือบตาขึ้นทันที เด็กคนนี้ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก บอกให้คน
อื่นเรียกว่า อาจารย์ แต่ว่านับตั้งแต่ที่ลู่เพียวย่างกายเข้ามาใน
อาณาจักรซากมังกรแห่งนี้ ลูเ่ พียวก็มีกริยามารยาททีด่ ีขึ้น ถ้า
เกิดว่าเจ้าเด็กคนนีม้ ีพื้นเพมาจากผู้มีอิทธิพลล่ะ คงไม่ดีแน่ที่จะ
ไปมีเรื่องกับเขา ท่านพี่เป่ย ข้อขอขอบคุณมากๆที่ท่านเตือนข้า
ในวันนี้”

หลังจากที่เนี่ยหลี่ได้ยินคาว่า "อาจารย์เบ่ย” เนีย่ หลี่นึกออก


ทันทีว่า เขาเป็นคนที่รู้จักกันดีในนามจอมขี้เกียจแห่งนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่มักปรากฎตัวและก็หายไปอย่างไม่มีใคร
คาดเดาได้ แม้แต่ความแข็งแกร่งของเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่
นางเสื้อฟ้าหลงยู่อินเลย น่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่กล้าเผชิญหน้า
กับแม่นางยูอินเป็นแน่ ทาให้ทุกคนต่างเรียกเขาว่า อาจารย์เบ่ย
ซึ่งเขาเป็นถึงทายาทสายตรงของตระกูลกู้
แม้ว่าแม่นางหลงยู่อินจะมีสายเลือดมังกรและความแข็งแกร่ง
ของนางนั้นจัดได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของนักสู้ แต่ อาจารย์เบ่ยก็
เชื่อมั่นในฝีมือของตนเช่นกัน

"พวกเจ้าทั้งสองคน คงจะเป็น เนี่ยหลี่ กับ ลู่เพียว ใช่หรือไม่"


อาจารย์เบ่ย เอ่ยถามพร้อมทั้งยิ้มมาทางเนี่ยหลี่

"ใช่แล้ว ท่านรู้จักพวกข้ามาก่อนรึลู่เพียวถึงกับ งง เล็กน้อย

กู้เบ่ยยิ้มแล้วตอบว่า “แน่นอน ก็เจ้าสองคนออกจะเป็นทีร่ ู้จัก


ในดินแดนตะวันตกเลยน่ะสิ นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ปกติก็จะรับ
บรรดาพวกที่มีพรสวรรค์ที่มรี ากวิญญาณชั้นฟ้าไม่ว่าพวกเขาจะ
มาจากที่ใดก็ตามยิ่งไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากพวกเจ้า มีราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับ 5 และ 8 จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีหลาย
คนจับตามองพวกเจ้าสองอยู”่

เนี่ยหลี่คดิ อยู่แล้วว่าเรื่องมันเป็นไปดั่งที่เขาเคยคาดคิดไว้
เพราะถ้าพวกเนีย่ หลีย่ ังไม่ได้เข้าร่วมกับตระกูลใด ก็ไม่มีใครทา
อะไรพวกเขาได้ เนื่องจาก อัจฉริยะ ในสถาบันจิตวิญญาณฟ้านี้
จะได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด และไม่มีใครสามารถแตะต้อง
เหล่าอัจฉริยะได้ ถ้าไม่มเี หตุผลดีพอ

“แล้วเจ้าละ?”ลู่เพียวหันไปมองกู้เบ่ยทันทีด้วยความรู้ที่ต้อง
ระมัดระวังตัวจากเขา

กู้เบ่ย หัวเราะ “ข้าหรอ? จริงๆแล้วข้ามีความสนใจในตัวแม่นาง


หลงยู่อิน และข้ารู้มาว่านางกาลังสนใจพวกเจ้าทั้งสองอยู่ ข้าจึง
มาดูว่าพวกเจ้าเป็นเช่นไรกัน”

นี่คงจะเป็นแนวทางของอาจารย์เบ่ยจอมขี้เกียจทีม่ ัวแต่เหล่สาว
น่ารักๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่เพียวก็เข้าใจได้ทันทีว่า กู้เบ่ยสนใจในหลงยู่


อิน
ลู่เพียวจึงจ้องไปที่เป้าของกู้เบ่ย“เจ้าคงไม่รักน้องชายเจ้าสินะกู้
เบ่ย? หลงยู่อิน เป็นคนทีล่ งมืออย่างเหี้ยมโหดแม้กระทั่งคู่หมั้น
ของตัวเอง เจ้าคงเป็นคนที่ชอบความรุนแรงมากสินะ?”

“เฮ้ นี่เจ้ากาลังมองอะไรอยู่นะ่ ?”กู้เบ่ยรู้สึก


ขัดใจและพูดต่อว่า “แม้ว่าข้าจะมีความสนใจในแม่นางยูอินแต่
ข้าก็ไม่ใช่พวกชอบความรุนแรงนะ”

“แน่ใจหรอที่ว่าเจ้าไม่ชอบความรุนแรงน่ะ?” ลู่เพียวเอ่ยถาม
พร้อมชาเลืองมองไปทางกู้เบ่ย

“ไม่แน่นอน!! เจ้าไม่เคยพบหญิงสาวเหมือน
หลงยู่อิน มันน่าตื่นเต้นมากเลยใช่ไหมละที่จะเอาชนะใจคน
อย่างนาง”กู้เบ่ย พูดพร้อมกับหัวเราะที่แฝงไปด้วยความรู้
ทะลึ่งๆ

จากคาพูดของกู้เบ่ย ลูเ่ พียวก็เข้าไปโอบไหล่ของกู้เบ่ยแล้วพูดว่า


“จริงหรอ? งั้นพวกเราต้องคุยกันสักหน่อยแล้วล่ะ”
“งั้นพวกเราก็เหมือนกันน่ะสิ”กู้เบ่ยมองไปลูเ่ พียวและคิดว่านี่
หละที่จะมาเป็นเพื่อนสนิทของข้า

“น้องลู่ น่าเสียดายเราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้”

เมื่อเนี่ยหลี่ เห็นทั้งสองหัวเราะด้วยความหื่น เนี่ยหลี่ก็อดไม่ได้ที่


จะยิ้มเจื่อนๆ เพราะเขาไม่คดิ ว่าลูเ่ พียวกับกู้เบ่ยจะสนิทกันเร็ว
ขนาดนี้ เนี่ยหลี่หันมองไปรอบๆ มีหลายคนที่มองตรงมายังพวก
เขาพร้อมกระซิบกระซากเกีย่ วกับพวกเขา หนึ่งในนั้นคือ หวังห
ยาง คนที่มาจากห้วงสวรรค์น้อย หวังหยางยืนขึ้นพร้อมกับ
นักเรียนคนอื่นอีก 5 คนที่เข้ามาเรียนพร้อมๆกันกับเขา

เนี่ยหลี่ หรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ลู่เพียว กู้เบ่ย ที่นี่คงไม่เหมาะที่จะ


คุยกัน ไปกันเถอะ”
กู้เบ่ยก็รสู้ ึกบางอย่างได้จึงหัวเราะออกมา พร้อมกับพูดว่า
"ตามนั้น ไปกันเถอะ ข้าคิดว่าข้าคงคุยกับน้องลู่ต่อได้อย่างสนุก
แน่นอน"

ทั้งสามคนจึงเดินออกมา

เมื่อหวังหยางเห็นพวกนั้นเดินจากไป เขาก็จ้องตามพวกนั้นไป

“พวกมันออกไปกับกู้เบ่ย ถ้างั้นก็ครบ 5
ตาแหน่งแล้วสิ” หนึ่งในนั้นพูดพร้อมขมวดคิ้วว่า ถ้านับหลงยู่
อิน จินหยาน กู้เบ่ย สามคน และรวมกับเจ้าคนที่มรี ากวิญญาณ
ชั้นฟ้าระดับ 5 กับ 8 เข้าไป ถือว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่เลว และตอนนี้
พวกมันอยู่กับกู้เบ่ย บางทีอาจจะยุ่งยากถ้าจะจัดการกับพวก
มัน

กลุ่มของหวังหยางทั้ง 6 คนนี้ คนที่แข็งแกร่งที่สุด ก็มีเพียงราก


วิญญาณชั้นฟ้า ระดับ 5 เท่านั้น การรวมกลุ่มของคนพวกนี้
หัวหน้าของพวกเขาก็คือ หานจิง
ทุกๆปี จะมีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ถูกเลือกไปยังดินทางฝั่ง
ตะวันออก และตอนนี้การแข่งขันก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ในการที่จะ
เข้าไปยังดินแดนตะวันออกได้นั้น พวกเขาต้องทาทุกวิถีทางเพื่อ
หยุดยั้งเนี่ยหลี่และลู่เพียวเพื่อไม่ให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เพราะถ้า
เนี่ยหลี่และลู่เพียวได้ถูกส่งไปยังดินแดนตะวันออกแล้วละก็
พวกเขาคงต้องเสียโอกาสและต้องรอไปอีกปีเลยทีเดียว ซึ่งนี่
เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรับได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าเนี่ยหลี่และลูเ่ พียวจะมีรากวิญญาณชั้นว่าระดับ 5 และ 8


แต่มันก็ไม่ได้เป็นตัวกาหนดฝีมือของพวกเขาทั้งหมด และ
ในตอนนี้ขณะที่พวกเขายังไม่แข็งแกร่ง มันเป็นการง่ายทีส่ ุดที่
จะจัดการกับพวกเขา ไม่เหมือนกับ จินหยาน หลงยู่อิน หรือกู้
เบ่ย ซึ่งไม่มีใครกล้าแม้แต่ที่จะแตะต้องพวกเขาทั้งสาม

ในการจะเพิ่มขีดความสามารถในการบ่มเพาะพลังนั้น พวกเขา
จาเป็นต้องออกไปฝึกในลานฝึกฝน เมื่อตอนที่พวกนั้นแยกจาก
กู้เบ่ย นั่นหละคือโอกาสของพวกเรา หวังหยางพูดราวกับว่ามัน
จะเป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้
หานจิง ขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ภายใน 3 วัน
พวกเขาต้องไปฝึกฝนที่ลานฝึกอยูแ่ ล้ว แต่ในเมื่อลานฝึกมี
ด้วยกันถึง 3 แห่ง แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะไปลานฝึก
แห่งไหนกันแน่”

หวังหยางกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ไว้ใจข้าได้เลย
ข้าจะสืบหาเองว่าพวกมันจะไปที่ใดกัน ทันทีที่ข้ารู้ข้าจะรีบบอก
พวกเจ้าทันที” เหล่าผู้ที่มาจากห้วงสวรรค์น้อยซึ่งดูแลโดย
ฮัวหลิง ดูเหมือนจะสนใจเนีย่ หลี่และลูเ่ พียวเป็นพิเศษอย่าง
ที่สุด...จบตอน
บทที่ 273 วางยาพิษ ?

ณ หอประชุมการฝึกบ่มเพาะพลัง

หลังจากที่อาลา กู้เบ่ย เรียบร้อยแล้ว เนีย่ หลี่


และหลู่เปียว ได้เดินผ่านเข้ามายังสถาบันวิญญาณฟ้า เข้ามาถึง
โถงฝึกการบ่มเพาะ

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ให้นักเรียนรับภารกิจคา
ร้องขอต่างๆ เมื่อทาภารกิจหรือคาร้องขอสาเร็จลุล่วงแล้ว
นักเรียนก็จะได้รับศิลาจิตวิญญาณ อุปกรณ์เวทย์ และรางวัล
อื่นๆมากมาย

ด้วยจานวนศิลาจิตวิญญาณที่ส่งมอบให้ในแต่ละเดือน
ช่างมีปริมาณที่น้อยนิดเสียเหลือเกิน เนี่ยหลี่และหลู่เปียว จึง
ต้องหาวิธีการอื่นเพื่อให้ได้ศิลาจิตวิญญาณเพิ่มเติม
อาณาจักรซากมังกรนั้นเป็นสถานที่ทโี่ หดร้าย
มากที่เดียวเนื่องจากมีผฝู้ ึกตนจานวนมากมายมหาศาลทาให้
เกิดสภาวะขาดแคลนทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังทาให้เกิด
การแก่งแย่งกันโดยไม่มีการเลือกวิธีการใดๆทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่อง
ที่ยากมากกับการที่จะยกระดับการบ่มเพาะพลังให้สูงขึ้น หนึ่ง
ในวิธีนั้นคือการสวามิภักดิ์ เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลังจากทา
การสาบานว่าจะจงรักภักดีเป็นลิ่วล้อกับฝ่ายนั้นแล้ว ก็จะได้รับ
ศิลาจิตวิญญาณเพิม่ มากขึ้นในอีกระดับหนึ่ง และแน่นอนว่า
เนี่ยหลี่และหลู่เปียว ไม่ได้เลือกวิธกี ารนั้น

นอกเหนือจากการสวามิภักดิเ์ ข้าร่วมสานักแล้ว
การได้รับศิลาจิตวิญญาณจากภารกิจของโถงการบ่มเพาะ ก็
เป็นความคิดที่ไม่เลว

โถงการบ่มเพาะคับคั่งไปด้วยนักเรียนในเขตต่างๆของ
สถาบันวิญญาณฟ้า ทีผ่ นังของโถงแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยแผ่นป้าย
ประกาศภารกิจนานับไม่ถ้วน
เนี่ยหลีไ่ ม่รอช้ารีบตรวจสอบข้อมูลภารกิจ
ชนิดต่างๆอย่างรวดเร็ว หลายภารกิจเป็นการล่าสัตว์อสูร นานา
ชนิด บรรดาสัตว์อสูรที่ต้องล่ามาแลกกับศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
มีระดับไม่ธรรมดาเลย ภารกิจเหล่านี้ช่างยากยิ่งนัก นอกจากนี้
ยังมีภารกิจอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นการตีขึ้นรูปอาวุธ ค้นหาวัตถุดิบ
และอื่นๆอีกมากมาย อย่างไรก็ตามในบรรดาภารกิจเหล่านีไ้ ม่มี
สิ่งทีเ่ รียกว่าง่ายเลยสักชิ้นเดียว

หลูเ่ ปียว ค้นหาภารกิจอื่นๆมากมายแต่ดู


เหมือนว่าจะไม่อยู่ในระดับทีส่ ามารถทาได้เลยแม้ภารกิจเดียว
“เนี่ยหลี่ ดูเหมือนว่าการที่จะได้ศลิ าจิตวิญญาณมากจะเป็น
เรื่องที่ยากยิ่ง”

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ได้


จากัดจานวนศิลาจิตวิญญาณในแต่ละเขตเอาไว้ ซึ่งศิลาจิต
วิญญาณนับหมื่นก้อนได้ถูกส่งเข้าไปยังส่วนในของนิกาย ทาให้
ส่วนแบ่งของส่วนมีไม่มากนัก”เนี่ยหลี่อธิบาย
“การที่จะได้รับศิลาจิตวิญาณนี่มันช่างยากจริงๆ
! ถ้างั้นตอนนี้เราจะทาเยี่ยงไรดี?”หลี่เปี่ยวถาม
เนี่ยหลี่ชไี้ ปยังผนังที่มีภารกิจหนึ่งติดอยู่ “ข้าว่าเราควรจะลอง
ทาภารกิจนีด้ !ู ”

“ภารกิจอะไรกัน?”หลี่เปียวหันไปยังทิศทางที่
เนี่ยหลีไ่ ด้ชี้ไป

“ทายาทตระกูลกู้ นายน้อยหญิงกู้หลาน ได้ประสบปัญหา


บางอย่างขณะที่ทาการฝึกบ่มเพาะพลังทาให้นางล้มป่วย หากมี
ผู้ผู้ใดมีความรอบรู้เชี่ยวชาญในการรักษาและสามารถรักษา
นายน้อยหญิงกู้หลานได้ ตระกูลกูจ้ ะมอบศิลาจิตวิญญาณ
จานวน 1000 ก้อนให้เป็นรางวัล” หลู่เปียวพึมพาขณะที่อ่าน
ข้อมูลภารกิจ “ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน ตระกูลกู้ช่างมั่งคั่ง
เสียยิ่งนัก กู้เบ่ย ก็ดูเหมือนว่าจะมาจากตระกูลกู้เช่นเดียวกัน
แต่เนี่ยหลี่เจ้ามั่นใจรึว่าจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของ
นายหญิงน้อยตระกูลกู้ได้จริงๆ ?ในแผ่นป้ายนี้ยังบอกอีกด้วยว่า
ตระกูลกู้ได้นาแพทย์มือดีมารักษานายหญิงน้อยผู้นี้แล้วแต่ทว่า
แพทย์พวกนั้นยังมิสามารถรักษานางให้หายขาดได้เลยนะ!”
เนี่ยหลี่กลอกตามองไปที่หลูเ่ ปียว “แน่นอนว่าข้าจะรักษานาง
การช่วยหนึ่งชีวิตนั้น ย่อมดีกว่า การสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น* เจ้า
เข้าใจรึไม่?”

*สานวนหมายถึง การช่วยชีวิตผู้คนจะทาให้เป็นที่
เคารพน่านับถือและเป็นประโยชน์มากกว่า เฉกเช่นเมื่อราชาได้
ปูพื้นฐานโครงสร้างไว้ดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นย่อมจักต้องแสดงพลัง
อานาจชื่อเสียงออกมาอย่างแน่นอน (ง่ายๆก็สกิลหาคนหนุน
หลังของพระเอกในนิยายจีนทั่วไป)

เนี่ยหลี่ค่อนข้างมั่นใจในเทคนิคการรักษาของเขามาก

“ถ้าเจ้าสามารถช่วยชีวิตนางเอาไว้แถมยังได้ศลิ า
จิตวิญญาณอีกในเวลาเดียวกัน เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
นะ”หลู่เปียวนามือขวามาลูบคางอย่างกับคนที่ใช้ความคิด(ไอ้ขี้
เก๊กติดเชื้อไอ่หลี่มาแน่ๆ) “แต่กู้เบ่ยนั่น ก็เป็นคนดีจริงๆเลยนะ
ถึงขนาดชวนพวกเราไปร่วมมื้ออาหารด้วย!”
ในชีวิตก่อนนี้ของเนี่ยหลี่ ได้ยินเรือ่ งราวของ กู้หลานมาบ้าง
(จ้า!!พ่อสารนุกรมเคลื่อนที่) เหมือนว่านางจะเป็นพี่สาวของผู้นา
เป่ย แถมนางยังลึกลับมากอีกด้วย ข่าวลือที่แพร่มานั้นได้กล่าว
ว่าเมื่อยามตอนที่นางเป็นเด็กนั้นนางได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
เนื่องมาจากการบ่มเพาะพลังของนางทาให้ร่างกายเป็นอัมพาต
ตั้งแต่ช่วงเอวลงไป นอกจากนี้นางไม่สามารถจะทาการบ่มเพาะ
พลังต่ออีกได้เนื่องมาจากความบกพร่องทางร่างกายของนาง
แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับสามารถมีชวี ิตอยู่ได้ถึง สองร้อยปี ข่าว
ลือยังบอกต่ออีกว่า กู้หลานเป็น คนที่แนะนาให้ ผู้นาเป่ยก้าวสู่
เส้นทางวิถีแห่งดาบ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทาให้ผู้นาเป่ยต้อง
การจะยืนอยูจ่ ุดสุดยอดวิถีแห่งดาบ

ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ เนี่ยหลี่ได้ยนิ ตานานเกี่ยวกับกู้หลาน


ตลอดที่อยู่ใน อาณาจักรซากมังกร ตอนนี้บังเอิญได้ทราบข่าว
คราวเรื่องนี้ มันไม่น่าจะใช่กับดัก ดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยงมากนักที่
จะลอง
หลู่เปียวชีไ้ ปยังแผ่นป้ายภารกิจอีกมากมาย “เนียหลี่ถ้าเจ้า
มั่นใจในเทคนิคการรักษาของเจ้ามาก ที่บนผนังนี่ยังมีภารกิจ
อีกเป็นร้อยๆที่เกีย่ วกับการรักษาผูท้ ี่ได้รับบาดเจ็ดจากการบ่ม
เพาะพลัง หากเจ้าจัดการรักษาพวกนั้นทั้งหมด เราจักมิได้ ศิลา
จิตวิญญาณเป็นหมื่นๆเลยหรือ?”

เมื่อได้ยินคาพูดของหลูเ่ ปียวช่วยไม่ได้ที่เนีย่ หลีจ่ ะยิม้ ออกมา


เจื่อนๆ “นี่เจ้ากาลังชี้หนทางให้ข้าไปตายอยู่สินะ? ไม่ต้อง
กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ที่มี
ความซับซ้อนกันเป็นอย่างมาก เราจะต้องระวังการกระทาทุก
ขั้นตอน! หากกูเ้ บ่ย ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ซื่อสัตย์แล้ว ข้าก็ไม่
ต้องการที่จะแสดงความสามารถของข้า เพราะมันมีความเสี่ยง
ที่จะดึงดูดภัยที่ข้าไม่ต้องการจะได้มันมาอีกด้วย”

“เอาน่าค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากที่เจ้ารักษานาย
หญิงน้อยตระกูลกู้ ให้หายดีก่อนเถอะ” หลู่เปียวพูดไปยิม้ ไป
พร้อมกันนั้นเนี่ยหลี่และหลู่เปียว ก็ไปยังตาแหน่งที่แจ้งอยู่บน
แผ่นป้ายภารกิจ
ในระหว่างทางนั้น เนี่ยหลีไ่ ด้รวบรวมความทรงจาจากชาติที่
แล้ว เกี่ยวกับ นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ภายในนิกาย ประกอบไป
ด้วย สามเสาหลัก ได้แก่ ตระกูลผนึกมังกร ตระกูลกู้ และ
ตระกูลเพลิงสีเทา ซึ่งตระกูลจิ๋น ที่อยู่สังกัดของ หยานเฮ่า
ตระกูลหยาน เอง ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สามารถจะเทียบกับสาม
เสาหลักได้

เนี่ยหลีต่ ั้งใจที่จะพยายามรักษา กูห้ ลาน ให้ได้ นอกเหนือจาก


รางวัลศิลาจิตวิญญาณหนึ่งพันก้อนแล้ว สิ่งนี้ยังจะสามารถช่วย
ปูทางอนาคตของเขากับเนี่ยหลี่ได้อีกด้วย หากทาการรักษา
นายหญิงน้อยตระกูลกู้ให้หายเป็นปกติแล้ว พวกเขาก็สามารถที่
จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับตระกูลกูไ้ ด้ อย่างน้อยที่สุดคงเป็น กู้
เบ่ย

เนี่ยหลีเ่ ดินตามที่อยู่ที่ให้มาบนแผ่นป้ายภารกิจ และได้มาถึง


เขตใต้ของสถาบันวิญญาณฟ้าแล้ว

นี่คือสถานที่ ที่กู้เบ่ยกับกู้หลานอาศัยอยู่ แต่นี่ก็เป็นเพียงส่วน


หนึ่งของตระกูลกู้เท่านั้น ประตูขนาดใหญ่ถูกปิดแน่นสนิทเหลือ
เพียงประตูขนาดเล็กเท่านั้นที่เปิดเป็นทางเข้าอยู่ มีคนใช้สอง
คนคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูเล็ก
(*ในสถาปัตยกรรมโบราณของจีนจะมีประตูหน้าอยู่สองประตู
เป็นใหญ่กับเล็ก เล็กใช้เป็นทางเข้า ใหญ่ไว้โชว์ความโอ่อ่า)

“ข้าขอทราบได้หรือไม่วา่ ผู้ใดที่ทา่ นมาหา?”หนึ่งในคนรับใช้


กล่าวถาม

“คือพวกข้าสองคนบังเอิญไปเห็นป้ายประกาศที่โถงการบ่ม
เพาะเกี่ยวกับการจ้างวานให้มารักษานายหญิงน้อยตระกูลกู้”
เนี่ยหลี่กล่าว
คนรับใช้ปัดมือพร้อมว่ากล่าว “ทางที่ดีข้าว่าพวกเจ้ารีบกลับไป
โดยเร็วเสียเถอะ”

“นี่เป็นไปได้รไึ ม่? นายหญิงน้อยของเจ้าได้รับการรักษาจนหาย


ดีเป็นปกติแล้ว?” เนี่ยหลี่ถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“นายหญิงของข้าได้รบั การตรวจรักษาจากแพทย์
มากหลายที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แม้แต่เหล่าแพทย์ฝีมือ
ดีเหล่านั้นยังรักษานายหญิงข้าไม่ได้ แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าจะ
สามารถรักษานายหญิงข้าได้งั้นรึ ? รีบไสหัวไปซะ!”ผู้รับใช้คน
หนึ่งกล่าว เมื่อไม่นานมานีม้ ีแพทย์ที่อายุนับพันปี น้อยสุดก็
หลายร้อยปี ไม่มีผู้ใดที่สามารถช่วยนายหญิงได้ แล้วมันผู้นี้เป็น
ใคร อายุเท่าใด้กัน? คิดว่าฉลาดมีภูมิรู้ทางแพทย์มากงั้นรึ?
เนี่ยหลี่ถึงกับขมวดคิ้ว

“นายหญิงของเจ้าต้องการความช่วยเหลือในการ
รักษา เจ้ารู้งั้นรึว่าแท้จริงแล้วข้ามีความสามารถรึไม่ ก็ให้ข้าได้ดู
สถานการณ์ก่อนเป็นไร หรือเจ้าต้องการขัดขวางการรักษา
นาง?”

คนรับใช้ไม่คดิ ว่าเนี่ยหลี่จะมีความดื้อรั้นเช่นนี้ จึงได้ลังเลอยู่ครู่


หนึ่ง ทันใดนั้นได้มผี ู้หนึ่งได้เดินออกมา กู้เบ่ยนั่นเอง
“มีเรื่องอันใดกันรึ?” กู้เบ่ย ถามด้วยน้าเสียงที่ดู
จริงจัง แต่ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกับพบกับเนี่ยหลี่และหลู่เปียวทา
ให้ตะลึงไปชั่วครู่ “นี่พวกเจ้ามาทาอะไรกันที่นี่ ? หรือว่าพวก
เจ้ามาหาข้า ?”

หลู่เปียวที่ยนื อยู่ข้างเนี่ยหลีไ่ ด้หัวเราะขึ้นมา “พวก


ข้าไม่ได้มาที่นเี่ พื่อหาเจ้าเสียหน่อย พวกข้าได้ยินมาว่า นาย
หญิงกู้หลานแห่งตระกูลกู้ ล้มป่วยพวกข้ามาดูอาการเผื่อว่าจะ
สามารถรักษานางได้”คิ้วของกู้เบ่ยกระตุกขึ้นพร้อมกับมองไป
ยังเนี่ยหลี่และหลู่เปียวด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้ารู้ด้าน
การแพทย์ด้วยเหรอ?”

เนี่ยหลี่พยักหน้า “ค่อนข้างจะ”

กูเป่ย เงียบไปสักครู่ แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่เชื่อ แต่ก็พยักหน้าให้


“ถ้างั้นก็ตามข้ามา”
ด้วยการนาของ กู้เบ่ย ทั้งสองก็ได้มาถึงลานกว้างขนาดใหญ่
เมื่อเข้ามาสู่อีกชั้นหนึ่งก็พบกับสวนขนาดใหญ่ มีศาลาตั้งอยู่ มี
สะพาน ด้านล่างมีลาธารอยู่ ราวกับอยู่แดนสวรรค์ แม้กระทั่ง
กลิ่นดอกไม้ ยังส่งกลิ่นหอมราวกับอยู่วิมานสวรรค์โดยแท้จริง

“พี่สาวข้าและข้า เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลกู้
พี่สาวข้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ชนรุ่นหลัง
อย่างไรก็ตามนางได้รับบาดเจ็บจากการบ่มเพาะพลังของนาง
ส่งผลให้ร่างกายนางเป็นอัมพาตตัง้ แต่ช่วงเอวลงไป ไม่มผี ู้ใด
ทราบสาเหตุว่าทาไมมันถึงเกิดขึ้น”เมื่อพูดจบ ดวงตาของกู้เบ่ย
แผ่รังสีอัมหิตเยือกเย็นออกมา

เนี่ยหลี่สัมผัสได้จากคาพูดของกู้เบ่ย บางทีกู้หลาน
อาจจะเป็นเหยื่อความขัดแย้งภายในตระกูลก็เป็นได้หลู่เปียว
ครุ่นคิดในใจ หากกู้เบ่ยกับกู้หลานเป็น ทายาทโดนตรงแล้ว
แสดงว่ายังมีคนอื่นอีกสินะ ตระกูลกู้นี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ

เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเดินตามกู้เบ่ยไปตามทางขนาดเล็กที่ทอด
ยาวไปยังสวนขนาดเล็ก ภายในมีหญิงสาวสวมชุดสีขาวนั่ง
เงียบๆอยู่บนเก้าอี้ ม่านตานางใสราวกับหยาดน้าค้างฤดูใบไม้
ร่วง ใบหน้าสวยงามละเอียดอ่อนราวกับทาด้วยอัญมณี ด้วย
การจ้องมองไปยังดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตรงโขดหินด้วยใบหน้าเงียบ
สงบ ริมฝีปากชุ่มฉ่าอย่างกับเนรมิตมันขึ้นมาจากหยดน้า ใต้ชุด
สีขาวนั้นเป็นผิวเนียนสดใจประดุจหยกของนาง ร่องรอยจาก
ความเจ็บป่วยแสดงออกมาทางใบหน้า เหมือนกับดอกไม้ที่
พร้อมเหี่ยวเฉาตายได้ตลอดเวลา

“ความงามที่ถูกจากัดให้อยูไ่ ด้เฉพาะฤดูใบไม้ผลิ เมื่อผ่านพ้นไป


แล้ว ดอกไม้และผู้คนอาจจะดับสูญไปโดยไม่ทันรูต้ ัว” หญิงสาว
ในชุดสีขาวราพัน ร่องรอยความโศกเศร้าปรากฏให้เห็นระหว่าง
คิ้วของนาง

“ท่านพี่...”ดวงตาของกู้เบ่ยเริ่มจะพร่ามัวจะ
ประกายน้าตา ในขณะทีม่ องดู กู้หลาน พี่สาวของเขาที่ครั้งหนึ่ง
เคยสดใสร่าเริงและมีชีวิตชีวามากกว่านี้ กลับต้องมาอยู่ใน
สภาพนี้ กู้เบ่ยรู้สึกราวกับถูกฉีกหัวใจออกเป็นชิ้นๆ
“กู้เบ่ย เจ้ากลับมาแล้วรึ?” หญิงสาวในชุดสีขาวเผยรอยยิม้ ให้
เห็นจางๆ ดวงตาของนางทอดยาวไปยังผู้มาเยือนสองคน
ด้านหลัง “สองผูม้ าเยือนนี้...?”

“พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนของข้าเอง”กู้เบ่ยไม่กล้าบอกกู้หลาน
โดยตรงว่าเนี่ยหลี่มาที่นเี่ พื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาง
เวลาใดก็ตามที่มีแพทย์มาทาการตรวจรักษานางจะยิ้มและ
ปฏิเสธแพทย์ผู้นั้นไป

“โอ้” กู้หลานพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับ หลู่เปียวและเนีย่ หลี่

หลู่เปียวอดไม่ได้ที่จะสงสัย อาการบาดเจ็บของนางที่ได้รับ
สาหรับความงามเหลือล้นของนางแล้วกลับต้องถูกบังคับมาใช้
ชีวิตที่เหลืออยู่ บนเก้าอี้ สวรรค์ช่างเล่นตลกกับโชคชะตาผู้คน
ยิ่งนัก

เนี่ยหลีจ่ ้องพิจารณากู้หลานอย่างถี่ถ้วน
กู้หลานเมื่อเห็นว่าเนีย่ หลีจ่ ้องมองมาที่นาง ทาให้นางเกิด
ความรูส้ ึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เพราะเนี่ยหลี่เป็นเพื่อนกู้เบ่
ยนางจึงไม่ได้พูดอะไร

“เนี่ยหลี่ เจ้าตรวจพบอะไรบ้าง?” หลู่เปียวถามเสียงเบา

“นางไม่ได้ได้ป่วย หรือเกิดเหตุสดุ วิสัยขณะการบ่มเพาะพลัง


นางถูกวางยาพิษ”เนี่ยหลี่กล่าวด้วยเสียงที่ไม่เบาและไม่ดัง
เกินไปเพียงพอจะให้ กู้เบ่ยและกู้หลานได้ยินหลังจากที่กู้เบ่ยได้
ยินสิ่งที่เนี่ยหลี่พูด อารมณ์ทสี่ ะกดกลั้นเอาไว้ก็แทบจะประทุ
ออกมาก ทันที พลางจ้องมองไปที่เนี่ยหลี่ “วางยาพิษ? เจ้า
กาลังจะบอกว่าพี่สาวข้า โดนวางยาพิษ?”

เนี่ยหลี่พยักหน้า “ถูกต้อง”

กู้เบ่ยถึงกับทาอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง “แต่มัน
เป็นไปไม่ได้! ก่อนหน้านี้มีแพทย์จานวนมากได้เข้ามาตรวจ
อาการของพี่สาวข้าแล้ว ถ้าพี่สาวข้าถูกวางยาพิษจริง พวกเขา
ทาไมถึงไม่สังเกตเห็น?”

กู้หลานที่นั่งอยู่ด้านข้าง จ้องมองมาที่เนี่ยหลีด่ ้วยแววตาทีไ่ ม่


ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่นัก เด็กคนนี้อายุน้อยกว่า กู้เบ่ย เสียอีก
เป็นแพทย์จริงงั้นหรือ? ถ้านางถูกวางยาพิษนางต้องรู้สึกได้
อย่างแน่นอน ดังนั้นเพราะเหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าตัวเองโดนวางยา
?
บทที่ 274 ความเหมาะสม

“ไม่ทราบว่าท่านรู้จักสมุนไพรที่เรียกว่า หญ้าหนามแดง รึ
เปล่า? เมื่อสมุนไพรชนิดนีผ้ สมเข้ากับผลอสรพิษ จะสามารถ
ผลิตสารพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นไร้รสชาติได้ หลังจากที่กินมันเข้าไป
แล้วผลลัพธ์ของมันคือการทาให้หลอดเลือดดาค่อยๆอุดตัน
การบ่มเพาะพลังจะทาให้เกิดความสะดุดไม่ลื่นไหลเหมือนเช่น
เคย และพิษชนิดนีไ้ ม่สามารถตรจพบได้”เนี่ยหลี่กล่าว

คาพูดของเนี่ยหลี่ ทาให้ร่างของกู้หลานนั้นสั่นสะท้านไปด้วย
ความกลัว นางสบตากับกู้เบ่ย อาการที่เนี่ยหลี่ได้อธิบายมาช่าง
ตรงกับอาการที่นางประสบยิ่งนักกู้เบ่ย จับไหล่ของเนี่ยหลี่ และ
ถาม “ถ้าเช่นนั้นพิษชนิดนี้สามารถรักษาได้รึเปล่า?”

“ใจเย็นก่อน เจ้าไม่จาเป็นต้องกังวลมากนัก พี่สาวของเจ้าถูก


วางยาพิษในระยะเวลานานแล้ว มิใช่เพิ่งจะโดนภายในวันสอง
วันนี้เสียหน่อย เจ้าไม่จาเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้กไ็ ด้ ก่อนที่
ข้าจะมาที่นี่ข้าคิดว่านางเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บธรรมดาเป็นเรื่อง
ง่ายที่ข้าจะทาการรักษา แต่เมื่อข้าได้เห็นนางแล้วทาให้ข้าแน่ใจ
ว่านางนั้นถูกวางยาพิษ”เนี่ยหลี่พมึ พา

“เนี่ยหลี่”หัวใจของกู้เบ่ยลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความหวังอีกครั้ง
“ตราบใดที่เจ้ารักษาพี่สาวข้า ไม่วา่ จะเป็นคาขอใด ข้ายินดีจะ
ทาให้เจ้าทั้งสิ้น!”

กู้หลานและกู้เบ่ย บิดาและมารดาของพวกเขา ได้จากไปตั้งแต่


ยังเยาว์ แม้ว่าจะเป็นเชื้อสายโดยตรงที่ได้รับความสามารถ
มากกว่าผู้อื่น แต่แล้วกู้หลานกลับต้องเสียสิทธิ์ในการขึ้นเป็น
ผู้นาตระกูลเนื่องจากสภาพร่างกายอัมพาตของนาง

เว้นแต่ระดับการบ่มเพาะของกู้เบ่ยจะพุ่งทยานสูงขึ้นเท่านั้น จึง
จะกลายเป็นผู้ทมี่ ีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตาแหน่ง แต่ในสายตา
ของบุคคลอื่นกู้เบ่ยถูกมองเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว แต่ใน
ความเป็นจริงแล้ว กู้เบ่ย พยายามฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขา
เป็นอย่างมากและความสามารถก็ไม่น้อยไปกว่าพี่สาวของเขา
เลย
“อันตัวข้านี้มาที่นี่เนื่องจากภารกิจและรางวัลตอนแทนเป็นศิลา
จิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน”เนี่ยหลี่ยมิ้ พลางเหลือบมองไปยังกู้
เบ่ยและพูดต่อ “สิ่งที่ข้าจะกล่าวก็คือสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยรึ
ไม่?หากมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความสามารถที่ข้ารักษานายหญิงตระกูล
กู่ให้หายดีเป็นปรกติแล้ว พวกเขาจะไม่หาวิธีทางอื่นเพื่อจัดการ
นางหรอกหรือ?”

“ท่านไม่จาเป็นต้องกังวลอันใด”กู้หลานเข้าใจในสิ่งที่เนี่ยหลี่ก
ล่าวมาดี “หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ข้าตระหนักดีแล้ว ว่าแม้
จะอยู่ภายในตระกูลพวกข้าก็ยังมีคนปองชีวิต ถ้าท่านสามารถ
รักษาพิษนี้ของข้า ข้าขอให้สัจจะว่าจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็น
ความลับ โลกภายนอกก็จักรับรู้ว่าข้ายังเป็นคนพิการต่อไป”

แม้ว่าเนี่ยหลี่อายุน้อยกว่ากู้เบ่ย แต่ทว่าเขาเป็นแพทย์ ไม่ใช่


เรื่องไม่เหมาะสมอันใดที่นางจะเรียกเขาว่า “ท่าน” (ซามะ
อร้าง โปรด...ฉันเยี่ยงเดรัจฉาน!!)ps.โทษๆ
เมื่อได้ยินประโยคที่กู้หลานเอ่ยออกมา เนี่ยหลี่พยักหน้า นาง
ช่างหลักแหลมยิ่งนัก

“พิษชนิดนี้อยู่ในร่างของท่านน้อยสุดก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ถ้า
ข้าจัดยาอย่างแรงให้ท่านข้าเกรงว่าหลอดเลือดดาของท่านจะ
รับมันไม่ไหว

ดังนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ท่านกินไปสักระยะหนึ่งก่อน เมื่อ
พิษในตัวท่านลดลดความรุนแรงลงแล้วข้าจะทาการรักษาอย่าง
ละเอียดอีกทีหนึ่ง” เนี่ยหลี่กล่าว ว่าแล้วดึงเอาปากกาและ
กระดาษออกมาจากแหวนมิติ พร้อมกับเขียนสูตรของยาแล้ว
ยื่นมันให้กู้เบ่ย

กู้เบ่ยรับมันมาจากเนี่ยหลี่พร้อมถือไว้ราวกับว่ามันเป็นสมบัติ
อันล้าค่า “ข้าจะรีบไปเตรียมสมุนไพรเหล่านี!้ ”

นับตั้งแต่กู้หลานล้มป่วยลง เป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงมี


สมุนไพรทุกชนิดที่ร้านขายยามี กู้เบ่ยรีบจัดเตรียมสมุนไพร
เหล่านั้นทันที หลู่เปียวสะกิดถามเนี่ยหลี่ “เจ้ามั่นใจมากน้อย
เพียงใดเกี่ยวกับการรักษานาง?”

“นับตั้งแต่ข้าได้รู้สาเหตุการเจ็บป่วยของนาง ข้าสามารถรักษา
นางได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น”เนี่ยหลี่กล่าว พร้อมยกศรีษะเชิด
พลางส่งยิ้มให้กับกู้หลาน เท่าที่ดูแล้วกู้หลานน่าจะอายุเพียง
18-19 ปีเท่านั้น หากนางไม่ได้ลม้ ป่วยมาเป็นเวลานาน จน
ใบหน้าของนางนั้นขาวซีด นางจักต้องเป็นหญิงที่งดงาม
เพียบพร้อมอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามเนี่ยหลี่มองนางด้วยสายตาชื่นชม ไร้ความรูส้ ึกอื่น


เหนือจากนี้ (ตอนหนิงเอ๋อเอ็งก็พูดเงี้ย !)

“ขอบคุณท่านมาก สาหรับการช่วยรักษาข้า”เมื่อกู้หลานพูด
ออกมาด้วย ความที่ไม่ช้าไม่เร็วของวาจานาง ทาให้รู้สึกราวกับ
ปลิวล่องลอยไปตามสายลมหนาว นางช่างเป็นหญิงสาวที่สุขุม
ยิ่งนัก
“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ท่านหญิงกู้ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เรา
จะต้องให้ความจริงใจต่อผู้ที่ มอบความไว้วางใจให้กับเรา”เนี่ย
หลี่กล่าวและยิ้มเบาๆ

กู้หลานพยักหน้าให้ ในขณะที่นางยังนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งกู้หลาน
ครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเปิดประเด็นถามเนี่ยหลี่ “ข้าอยากรู้
ยิ่งนักว่า ท่านมาจากที่ใดกันหรือ?”

“โลกใบเล็ก”เนี่ยหลี่กล่าว

“โอ้? ท่านมาจากโลกใบเล็กนีเ่ อง”กู้หลานหยุดชะงักไปชั่วครู


“ยามเมื่อข้ายังเป็นเด็ก อาจารย์ของข้าก็มาจากโลกใบเล็ก
เช่นกัน”

หัวใจเนี่ยหลีเ่ ต้นเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยและกล่าวถามว่า “ข้า


อยากรู้ นามของอาจารย์ท่ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าท่านจะบอกข้าได้
หรือไม่ว่าอาจารย์ของท่านมีนามว่าอะไร?”
“อาจารย์ของข้าไม่เคยเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง นึกอยากจะมาก็
มาอยากจะไปก็ไป ทาตัวอิสระล่องลอยหาตัวจับได้ยาก แม้แต่
ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหน การปรากฏตัว
ของเขานั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”

กู้หลานยิ้มอย่างข่มขืนพลางส่ายหัวของนาง “อาจารย์ของข้า
ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นเวลา ห้าปี มาแล้ว มิฉะนั้นข้าคงไม่ต้อง
มาติดแหง่กอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าระดับ
การบ่มเพาะพลังของท่านอาจารย์นั้นสูงมาก แม้กระทั่ง ผู้เยี่ยม
ยุทธระดับบรรพบุรุษเทพสงครามขั้นที่ 5 ก็ยังไม่สามารถเป็น
คู่มือของท่านอาจารย์ได้

ความสงสัยทวีคูณขึ้นภายในจิตใจของ เนี่ยหลี่ เกี่ยวกับอาจารย์


ของกู้หลาน เขาเป็นผู้ทมี่ าจากโลกใบเล็ก แถมยังครอบครอง
ความแข็งแกร่งอันน่าอัศจรรย์ ทาให้ เนี่ยหลี่ อยากทราบถึง
ตัวตนที่แท้จริงของเขา อย่างไรก็ตามถ้าแม้แต่กู้หลานยังไม่รจู้ ัก
ชื่อของเขา เนี่ยหลี่ ก็ไม่สามารถจะทาอันใดได้
ในระหว่างการสนทนาระหว่าง เนีย่ หลี่ และกู้หลาน กู้เบ่ย รีบ
วิ่งเข้ามา โดยมีชามของยาสมุนไพรที่หอมกรุ่นอยู่ในมือ
“นี่คือยาที่ข้าต้มมาเมื่อครู่ ท่านพีล่ องทานมันดูเถิด” กู้เบ่ย ส่ง
ชามในมือให้กู้หลาน

กู้หลานพยักหน้าพร้อมยื่นมือรับชามยาสมุนไพร จากกู้เบ่ย นาง


เริ่มดืม่ ยาสมุนไพรนั้น ขณะที่นางดื่มยาสีหน้าท่าทางของนางยัง
สงบนิ่งไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

หลังจากที่นางดื่มยาในชามจนหมดแล้ว กู้หลานขมวดคิ้วของ
นางในช่วงเวลาสั้นๆพร้อมกับปิดตาลง สัมผัสการเปลี่ยนแปลง
ในขอบเขตวิญญาณของนาง

กู้เบ่ย มอง กู้หลานอย่างใจจดใจจ่อ กระทั่งหลู่เปียวเองยังจ้อง


มองนางด้วยความคาดหวัง มีเพียงเนี่ยหลีเ่ ท่านั้นที่มั่นใจใน
ผลลัพธ์ของมัน

หลังจากนั้นไม่นาน กู้หลานเบิกตามองมายังเนี่ยหลี่ และกล่าว


ว่า “ยาสมุนไพรนี้สามารถบรรเทาพิษในร่างกายของข้าได้จริงๆ
ข้ารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดชีพจรของข้า! ข้า
ขอบคุณท่านมากสาหรับการช่วยเหลือ!”

ช่วยไม่ได้ที่นางจะสูญเสียความสงบเยือกเย็นของนางไป
อารมณ์ต่างๆนาๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง นางไม่คาดคิด
เลยว่ายาชนิดนี้จะออกผลเร็วมากมายขนาดนี้

“มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักที่สามารถรักษาท่านหญิงตระกูลกู้
ได้” เนี่ยหลี่พยักหน้ายิ้มเบาๆ “นับแต่นี้ไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ท่านต้องกินยาชนิดนี้ หลังจากนั้นข้าจะเปลี่ยนยาชนิดใหม่ให้
ท่านได้กินต่อไป ข้ารับประกันได้วา่ อาการเจ็บป่วยของท่าน
จะต้องหายดีเป็นปลิดทิ้ง!”

กู้เบ่ย รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตัวเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า


เนี่ยหลีจ่ ะสามารถทามันได้จริงๆ สามารถรักษาพี่สาวได้จริงๆ
นับจากนี้ไม่ว่าจะต้องเสียสละสิ่งใดเขาก็ยินดี
“เนี่ยหลี่ นี่เป็นรางวัลสาหรับการรักษาท่านพี่ข้า หากในภาย
ภาคหน้าเจ้าต้องการสิ่งใด อย่าได้ลังเลที่จะกล่าวขอ หากมัน
เป็นสิ่งที่ข้าสามารถทาได้ข้ายินดีทจี่ ะทา!”กู้เบ่ยตบลงบนอก
ของตนเอง พร้อมกับนาแหวนมิตทิ ี่เต็มไปด้วยศิลาจิตวิญญาณ
ส่งมอบให้เนี่ยหลี่

เนี่ยหลีต่ รวจดูศิลาจิตวิญญาณภายในแหวนมิติก็ต้องพบว่ามันมี
จานวน มากถึงหนึ่งพันห้าร้อยก้อน กู้เบ่ยช่างมั่งมียิ่งนัก

กู้เบ่ยและพี่สาวของเขาเป็นเชื้อสายตรงของตระกูลกู้ แม้จักไม่
ประสบผลสาเร็จในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง แต่ปริมาณศิลาจิต
วิญญาณที่พวกเขาได้รับจากตระกูลก็ยังเป็นจานวนที่คน
ธรรมดาสามัญมิอาจฝันถึง

อย่างไรก็ตามจานวนหนึ่งพันห้าร้อยนี่น่าจะเป็นทั้งหมดที่กู้เบ่ย
มีแล้ว เนื่องจากศิลาจิตวิญญาณเป็นทรพยากรที่หาได้ยากมาก
ยังไม่นับว่ากู้เบ่ยเองก็ต้องใช้มันเป็นจานวนมากเพื่อการบ่ม
เพาะพลังของตัวเองเช่นเดียวกัน
เนี่ยหลี่นา ศิลาจิตวิญญาณจานวน ห้าร้อยก้อนใส่ในแหวนมิติ
ตัวเอง แล้วคืนแหวนมิติของกู้เบ่ยที่มีศิลาจิตวิญญาณ ที่เหลือ
ให้เขาไป “ในป้ายที่ติดประกาศคาร้องขอเอาไว้ได้บอกถึง
รางวัลไว้ ว่าแค่ศลิ าจิตวิญญาณเพียงหนึ่งพันก้อนเท่านั้น อีก
อย่างนี่ยังไม่นับว่าทาการรักษาได้สาเร็จ ดังนั้นข้าจะขอรับมัน
เป็นเพียงห้าร้อยก้อน ก่อนเมื่อข้ารักษาเสร็จสิ้นแล้วข้าจะมารับ
ส่วนที่เหลือ!”

กู้เบ่ยรับแหวนมาจากเนีย่ หลี่พร้อมกับมองไปที่เนี่ยหลี่ด้วย
สายตาทีซ่ าบซึ้ง ไม่มีทางใดเลยที่จะชาระหนี้บญ
ุ คุณนี้คืนแก่
เนี่ยหลีไ่ ด้

“เนี่ยหลี่ หลู่เปียว นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าคือพี่น้องของข้า!”


กู้เบ่ย มองมายังเนี่ยลี่ และ หลูเ่ ปียว พร้อมกล่าววาจาด้วย
น้าเสียงจริงจัง
“เจ้าบ้า! นีห่ มายความว่าจนถึงตะกี้นี้เจ้าก็ไม่เคยเห็นพวกเรา
เป็นพี่น้องเจ้างั้นสิ!”หลู่เปียวสบถความไม่พอใจออกมา

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” กู้เบ่ยรีบปัดมือไปมา พร้อมกับ


อธิบาย

เมื่อได้เห็นการกระทาของเด็กหนุม่ ทั้งสามคน กู้หลานที่นั่งมอง


อยู่มีรอยยิม้ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง มันเป็นเวลาที่
ยาวนานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่ได้มีความสุขแบบนี้ นางคิด
เสมอว่าอาการเจ็บป่วยของตนไม่อาจหาทางรักษาได้นางจึงได้
ปิดใจของตนเองไม่แสดงความรู้สกึ ใดๆออกมาให้เห็นอีก
จนกระทั่งถึงวันนี้วันที่นางได้เห็นแสงสว่างแห่งความหวังนั้นอีก
ครั้งหนึ่งที่สาดส่องเข้ามาในชีวิตนาง

“กู้เบ่ย ดูแลพีส่ าวเจ้าให้ดี ถึงเวลาที่พวกข้าต้องไปกันแล้ว งั้นก็


ขอลาตรงนี้เลยแล้วกัน ในภายหน้าจงระมัดระวังอาหารที่ส่งมา
ให้ดี”เนี่ยหลี่พูดเสียงแผ่ว
ความรูส้ ึกผ่อนคลายถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดทันที กู้เบ่ย
พยักหน้า“ข้าเข้าใจ!”

บุคคลที่สามารถวางยาพิษใส่ในอาหารของกู้หลาน โดยที่ไม่
สามารถตรวจจับได้ มีโอกาสสูงมากทีเดียวที่จะเป็นคนใกล้ตัว

เมื่อล่าลา กู้เบ่ยและกู้หลาน เสร็จ เนี่ยหลี่และหลู่เปียว ก็เดิน


ออกมา
กู้หลาน มองไปที่เนีย่ หลี่และหลู่เปียว ก่อนจะหันมาถามกูเ้ บ่ย
“น้องเล็ก เจ้าพบพวกเขาทั้งคู่ได้อย่างไร?”

“พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้างเอง ทั้งคู่เป็นอัจฉริยะที่
มีระดับรากวิญญาณชั้นฟ้า โดยอย่างยิ่งเนี่ยหลี่ เขาอยู่ในระดับ
รากวิญญาณชั้นฟ้า ขั้นที่ 8”กู้เบ่ยยังพูดต่อไปอีกว่า “เรารู้มาว่า
เขานั้นรอบรู้ในด้านอื่นๆมากมาย

แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเนี่ยหลี่จะมีความรู้ทางการแพทย์อยูด่ ้วย
แถมยังอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว เหล่าแพทย์ก่อนหน้านั้นก็ไม่
สามารถวินิจฉัยอาการของท่านพี่ได้ แต่กับเนี่ยหลี่แล้วเขาแค่
มอง เพียงแค่การมองเท่านั้นถึงกับรู้สาเหตุได้ทั้งหมด ช่างเป็น
บุคคลที่น่ากลัวยิ่งนัก”

“อ่า. รากวิญญาณฟ้า ขั้นที่ 8 ?” ดวงตาของกู้หลานเปล่ง


ประกาย นางไม่คิดว่าพรสวรรค์ของเนี่ยหลี่จะน่ากลัวถึงเพียงนี้
ไม่เพียงแค่นั้นยังมีความรู้ความสามารถในการแพทย์ทสี่ ูงลิบ
หากเป็นเช่นนี้ตัวตนในอนาคตของเขาจะสูงส่งถึงเพียงใดกัน?

ขณะที่เดินกันอยู่นั้นด้วยความอยากรู้หลู่เปียวจึงเปิดปากถาม
เนี่ยหลี่

“เนี่ยหลี่ในเมื่อพวกเขามอบศิลาจิตวิญญาณจานวนมากให้ ทา
ไม่ถึงไม่รับไว้?”

“มีหรือสุภาพบุรุษที่ไม่ชอบความมั่งคั่ง แต่ก็ต้องตั้งอยู่บนหลัก
ของความเหมาะสมด้วย กู้เบ่ยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ
พี่สาวของเขามาก ถึงกับยอมมอบศิลาจิตวิญญาณทั้งหมดมาให้
แต่เพียงแค่ศิลาจิตวิญญาณจานวนห้าร้อยก้อนก็เพียงพอแล้ว
สาหรับพวกเราตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความจาเป็นที่จะต้องเอา
ศิลาจิตวิญญาณของเขามาทั้งหมด”

เนี่ยหลีย่ ิ้มเบาๆ ก่อนหน้านี้เขาได้รบั ศิลาจิตวิญญาณจากเซี่ยว


หยู่ แต่เนี่ยหลี่กไ็ ม่ได้อยากใช้มันเท่าไหร่นักเพราะเหมือนกับจะ
เป็นการติดหนี้บุญคุณ ขณะเดียวกันนี้ เนี่ยหลี่กไ็ ม่ได้เอาศิลาจิต
วิญญาณทั้งหมดมาจากกู้เบ่ย เพราะต้องการสร้างสัมพันธ์อันดี
ไว้ กู้เบ่ยและกู้หลาน ต้องเป็นสุดยอดผู้เยีย่ มยุทธในอนาคตเป็น
แน่ ดังนั้นการสร้างสัมพันธ์อันดีไว้ตั้งแต่ตอนนี้ นับว่าคุ้มค่ากว่า
ศิลาจิตวิญญาณมากนัก

“โอ้วว”หลู่เปียวทาท่าเหมือนจะเข้าใจ ถึงแม้จะรู้สึกว่า กู้เบ่ย


และกู้หลาน เป็นคนที่ซื้อสัตย์จริงใจ แต่หลู่เปียวก็ยังมี
ความรูส้ ึกที่ว่าได้มันมาน้อยเกินไป (โลภจริงไม่ได้ทาอะไรสัก
อย่าง 555+ อ่านแล้วคิดถึงสมาชิกงานกลุ่ม โฮ่ๆ)

เนื่องด้วยที่ ศิลาจิตวิญญาณ เป็นทรัพยากรที่หาได้ยากยิ่ง


ขนาดที่นักเรียนระดับรากวิญญาณฟ้า ยังได้แค่ คนละห้าก้อน
ต่อหนึ่งเดือน แต่สาหรับเนี่ยหลี่ก็ไม่ได้เป็นกังวลเสียแต่อย่างใด
ศิลาจิตวิญญาณห้าร้อยก้อน สามารถใช้ฝึกการบ่มเพาะพลังไป
ได้อีกนานโข
บทที่ 275 ตราประทับวิญญาณ

เนี่ยหลี่ แบ่งศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งร้อยก้อนให้กับหลู่เปียว
จากนั้นทั้งคู่จึงกลับไปยังที่พักของเซี่ยวหยู่

เซี่ยวหยู่ เงยหน้าขึ้นก็พบว่าทั้งคู่กลับมาแล้ว จึงถามขึ้น “พวก


เจ้าทั้งสองคนไปไหนมานะ? ข้าหาพวกเจ้าไม่เจอหลังจากที่ข้า
กลับมาก็พบว่าพวกเจ้าหายไปแล้ว ข้าจึงได้ออกตามหาแต่ข้าก็
ไม่รู้อยูด่ ีว่าพวกเจ้าหายไปอยู่ที่ไหน!”

เนี่ยหลีส่ ัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลเล็กน้อยที่แสดงออกมาทางสี
หน้าของเซี่ยวหยู่ เนี่ยหลี่และเซี่ยวหยู่ต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่ง
กันและกันจึงไม่ได้ไว้ใจเขาเท่าที่ควร แต่เมื่อเร็วๆนี้ความคิด
ของเนี่ยหลี่ที่มีต่อเซี่ยวหยู่กค็ ่อยๆเปลี่ยนไป

เนี่ยหลีต่ ระหนักได้ว่าบุคคลเยี่ยงเซี่ยวหยู่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
น่าจะสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ถึงแม้ว่าเซี่ยวหยู่จะมีนสิ ัยคล้าย
ผู้หญิงไปบ้างก็ตามทีเถอะแต่กไ็ ม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากมายอัน
ใด

“พวกข้าแค่ออกไปเดินเล่นสารวจพื้นที่และกลับมาพร้อม
กับศิลาจิตวิญญาณบ้างเล็กน้อยเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง!” เนี่ยหลี่
โยนถุงที่บรรจุศลิ าจิตวิญญาณไปให้เซี่ยวหยู่

เซี่ยวหยูร่ ับกระเป๋านั้นไปสารวจก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันที
เพราะในถุงนี้มีศลิ าจิตวิญญาณจานวนห้าสิบหรือหกสิบก้อน
เลยทีเดียว

เซี่ยวหยูส่ ่ายหัว “นี่พวกเจ้าไปได้ศลิ าจิตวิญญาณจานวนมาก


ขนาดนี้มาจากไหน?ข้าไม่สามารถรับมันไว้ได้หรอก!”

“พวกข้าแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้รับศิลาจิต
วิญญาณจานวนห้าร้อยก้อน ในเมือ่ เราเป็นพี่น้องกัน แล้วเจ้า
จะเกรงใจไปทาไมกัน?” หลู่เปียวหัวเราะและเลียนแบบท่าทาง
ของ กู้เบ่ย และขณะที่กาลังพยายามจะโอบไหล่เซี่ยวหยู่อยู่
นั้นเอง เซี่ยวหยู่ก็เคลื่อนตัวหลบด้วยความไวเหนือเสียง

ความประหลาดใจถาโถมเข้ามายังเซี่ยวหยู่ เซีย่ วหยู่นึกภาพที่


เนี่ยหลีจ่ ะสามารถหาศิลาจิตวิญญาณจานวนห้าร้อยก้อนได้
อย่างไร แล้วเซี่ยวหยู่กส็ ่ายหัวอีกครั้ง “ไม่หละยังไงข้าก็รบั ศิลา
จิตวิญญาณนีเ้ อาไว้ไม่ได้!พวกเจ้าเอามันคือไปเถอะ!”หลังจาก
พูดจบเซี่ยวหยู่ก็นาถุงที่บรรจุศิลาจิตวิญญาณส่งคืนเนี่ยหลี่

พริบตาเดียวกันนั้นเนี่ยหลี่คว้าข้อมือของเซี่ยวหยู่เอาไว้แล้วยัด
ถุงศิลาจิตวิญญาณเข้ามาในมือของเซี่ยวหยู่ พร้อมกับกล่าวด้วย
น้าเสียงที่เคร่งขรึม

“ก่อนหน้านี้เจ้าได้ให้ศิลาจิตวิญญาณแก่พวกข้าทั้งคู่ไว้ และ
พวกข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่ในตอนนี้พวกข้ามีศิลาจิตวิญญาณ
มากมายสาหรับตัวพวกข้าเองแล้ว และก็พยายามจะให้เจ้าใช้
มันร่วมกันกับพวกข้า หากเจ้ายังยืนยันจะปฏิเสธมันแล้วนี่
หมายความว่าเจ้าไม่ได้เห็นพวกข้าเป็นเพื่อนรึ?”
เซี่ยวหยูด่ ึงมือกลับ ด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย “นั่นมันไม่
เหมือนกันสักหน่อยข้า ข้าเพียงแค่ให้ศิลาจิตวิญญาณเจ้าเพียง
สองก้อน แต่เจ้ากลับคืนข้าด้วยศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก”

“มันไม่เหมือนกันอย่างไร?”เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและ
พูดต่อไป “ในตอนนั้นเจ้ามีศลิ าจิตวิญญาณอยู่หนึ่งโหล แต่เจ้า
ก็ให้พวกข้ามาถึงสอง และในตอนนี้พวกข้ามีศิลาจิตวิญญาณอยู่
จานวนห้าร้อยเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่รึที่จะมีส่วนแบ่งให้
สาหรับเจ้า ไม่แตกต่างกัน!

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้พวกข้าสองคนต้องอาศัย
เจ้าอยู่ หากเจ้ายังคงยืนกรานจะไม่รับมันไว้อีกพวกข้าสองคน
จะออกจากที่นี่ทันที”

เซี่ยวหยูล่ ังเลไปชั่วขณะหนึ่งในที่สดุ ก็ตกลงพยักหน้า “ก็ได้ ถ้า


งั้นข้าจะขอรับศิลาจิตวิญญาณนี้และขอทิ้งห่างพวกเจ้าไปก่อน
เลยละกัน”
“เยี่ยม! ตอนนี้พวกข้าจะรีบกลับไปฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
เอาไว้ให้เจ้าทิ้งห่างพวกข้าให้ได้เสียก่อนเถิดเจ้าค่อยมาพูดใน
ภายหลัง!” พูดจบเนี่ยหลี่ก็เดินกระหยิ่มยิม้ ย่องกลับเข้าไปยัง
ห้องพักของตัวเองทันทีโดยไม่รอการตอบกลับจากเซีย่ วหยู่เลย
แม้แต่น้อย

เซี่ยวหยู่จ้องตามเนี่ยหลีไ่ ปด้วยความรู้สึกทีต่ ้องการเอ่ยอะไร


บางอย่าง แต่ก็นึกคาพูดที่ไม่ออก ได้แต่ฝืนกลืนมันลงท้องไป
หลังจากนั้นจึงได้ก้มมองศิลาจิตวิญญาณที่อยู่ในมือ

เมื่อวานนี้เนี่ยหลี่ได้รับเพียงศิลาจิตวิญญาณจานวนเพียงห้า
ก้อนเป็นค่าตอบแทนจากการรักษา แต่หลังจากนั้นเพียงวัน
เดียว เนี่ยหลี่กลับมาพร้อมศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก เซี่ยว
หยู่ถึงกับใบ้กินเลยทีเดียวหลู่เปียวก็ยิ้มให้เซี่ยวหยู่ก่อนจะเดิน
กลับห้องของตัวเองเช่นกัน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องแล้วเนีย่ หลี่ จึงนาจินตาน ออกมาไว้ตรง
มุมห้อง ด้วยศิลาจิตวิญญาณจานวนมากมายเช่นนี้ต้องสามารถ
ยกระดับความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน!

ยู่หยานก็ออกมาจากแขนเสื้อของเนี่ยหลี่ นางซ่อนตัวอยู่ในแขน
เสื้อของเนี่ยหลี่ตลอดเวลาที่นางทาการบ่มเพาะพลัง จากสัมผัส
ของนางทาให้นางสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเนี่ยหลี่เป็นประโยชน์
สาหรับนางอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง

การบ่มเพาะพลังสวรรค์ภายในของเนี่ยหลี่ มีความรวดเร็วกว่า
ภายนอกหลายเท่าตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทาไมนางถึงเลือก
ซ่อนตัวและไม่ยอมเผยตัวออกมา

“พี่สาว ยู่หยานท่านสามารถใช้ศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
ช่วยในการบ่มเพาะพลังของท่านได้!”เนี่ยหลีย่ ิ้มและส่งกองศิลา
จิตวิญญาณให้กับยูห่ ยาน
“ขอบคุณเจ้ามากเนีย่ หลี่ ข้ารู้ว่าศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
มีค่ามากเพียงใด” ยู่หยานมองมาที่เนี่ยหลีด่ ้วยความรู้สึกปีติ
ยิ่ง นับตั้งแต่นางได้ร่วมเดินทางพร้อมเนี่ยหลี่ นางจึงรู้ว่าเนีย่ ห
ลี่ห่วงใยพวกพ้องของตนและยังเป็นคนที่น่านับถือมาก

เนี่ยหลีย่ ิ้ม “พี่สาว ท่านจะสุภาพกับข้ามากเกินไปหรือเปล่า ?


ท่านเองก็เป็นสักขีพยานด้วยมิใช่หรือว่าแค่เพียงทาการรักษา
ผู้คนนิดๆหน่อยๆก็ได้มาซึ่งศิลาจิตวิญญาณจานวนห้าร้อยก้อน
ในอนาคตข้ายังหาวิธีที่จะทาให้ได้มาซึ่งศิลาจิตวิญญาณจานวน
มากอยู่แล้ว ท่านไม่จาเป็นต้องคิดมากเช่นนี้หรอก!”

ขณะที่มองไปยังรอยยิ้มสดใสของเนี่ยหลี่นั้น ช่วยไม่ได้ทหี่ ัวใจ


นางจะเกิดความรูส้ ึกหวั่นไหวขึ้นมา หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตมา
เป็นเวลานาน เนี่ยหลี่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ปฏิบัตติ ่อนางด้วย
ความจริงใจ!

ยู่หยานร่อนตัวลงบนไหล่ของเนี่ยหลี่ ปากน้อยๆของนาง
ประทับลงบนแก้มของเนีย่ หลี่และกล่าวว่า “ไม่ว่าสิ่งใดข้ากต้อง
ขอบคุณเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วตัวข้าคงจะต้องถูกผนึก
อยู่ใตน้าพุทมิฬนั่น”

รอบจูบของยู่หยาน และกลิ่นหอมจางๆจากกายนาง ทาให้


เนี่ยหลี่ถึงกับตะลึงไปในระยะสั้นๆ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่
หอคอยทมิฬเนี่ยหลี่รสู้ ึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลง
เกี่ยวกับตัวของยู่หยาน

อย่างไรก็ตามปัจจุบัน ยูห่ ยาน อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อ


เทียบกับตัวตนในอดีตของนาง นางมีอารมณ์ความรูส้ ึกคล้าย
มนุษย์มากยิ่งขึ้น

เนี่ยหลีเ่ ผยให้เห็นรอยยิ้ม “ถ้างั้นข้าขอตัวทาการฝึกฝนก่อนนะ


พี่สาวยู่หยาน!”

เนี่ยหลี่นาศิลาจิตวิญญาณออกมาและเริ่มดูดซับพลังงานสวรรค์
ที่อยู่ภายใน โดยทาการดึงจิตวิญญาณเข้าไปในแดนวิญญาณ
ของตัวเองเพื่อทาการปรับแต่งให้เป็นพลังของตน
ยู่หยาน ที่อยู่บนไหล่ของเนี่ยหลี่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์
หลากหลายซับซ้อนกันอยู่ในความรู้สึกแสดงผ่านออกมาจาก
แววตาของนาง ยามเมื่อนางเหลือบมองเนี่ยหลี่ สีชมพูแดงก็เริม่
เติมเต็มไปทั่วใบหน้าของนาง นางสวมชุดผ้าไหมบ่งบอกถึง
ความบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบไปทั่วเรือนร่าง ขาเรียวยาวของ
นางทาให้เกิดความลุ่มหลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเห็นว่าเนีย่ หลีเ่ ริม่ เข้าสภาวะการบ่มเพาะพลังแล้ว นางจึง


พุ่งตัวไปยังกองศิลาจิตวิญญาณเพือ่ ทาการบ่มเพาะพลังของ
นางต่อไป

ศิลาจิตวิญญาณที่ถูกเนี่ยหลีด่ ูดซับ เหือดแห้งไปในพริบตา แต่


พลังสวรรค์พุ่งตรงไปยังจุด ตันเถียน ของเนี่ยลี่จนไม่เหลือเลย
แม้แต่น้อย

เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยหลี่จึงทาการดูดซับ ก้อนที่สองต่อไป
ก้อนที่สอง....ก้อนที่สาม...

แม้หลังจากการดูดซับไปถึงสิบก้อนแล้วก็ตามที พลังงานจาก
ศิลาจิตวิญญาณก็ถูกดูดซับตรงไปยังจุดตันเทียน เหมือนกับวัว
ที่วิ่งเข้าไปจมในทะเลลึก โดนไม่กอ่ ให้เกิดระลอกคลื่นให้กับ
ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยหลี่เลยแม้แต่นิด

ถึงกระนั้นเถาเลื้อยในจิตวิญญาณเนี่ยหลี่เริ่มเติบโตแข็งแกร่ง
จากพลังงานสวรรค์ที่ดูดซับเข้ามา ดอกไม้ค่อยๆเบ่งบานขึ้นมา
เรื่อยๆกลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามมากยิ่งขึ้น(สานวนจีน หาย
สาบสูญไปอย่างไม่มีความหวังที่จะหวนกลับมา)มันอาจจะเป็น
เพราะพลังงานสวรรค์ที่ไปกระตุ้นการเติบโตของเถาเลื้อยนี้ เถา
เลื้อยนี้ยังคงดูดซับพลังสวรรค์ต่อไปเรื่อยๆ

หลังจากเถาเลื้อยดูดซับพลังงานสวรรค์ เนี่ยหลี่ รูส้ ึกได้ว่าระดับ


พลังของเขามีความก้าวหน้าเพิ่มขึน้ เล็กน้อย ช่วยไม่ได้ที่จะยิ้ม
อย่างขมขื่นออกมา แต่เดิมเนี่ยหลีค่ ิดไว้ว่า ศิลาจิตวิญญาณ
จานวนสองร้อยถึงสามร้อยก้อน ก็สามารถทาให้ฝึกฝนบ่มเพาะ
ได้เป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยความเร็วในการดูดซับพลังงาน
สวรรค์ระดับนี้ มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?

แม้ว่าเนี่ยหลี่จะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเถาเลื้อยในตัว
มากนัก แต่ก็รสู้ ึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตนเช่นกัน ถ้ามัน
เจริญเติบโตขึ้นแน่นอนว่ามันสามารถทาให้ระดับการบ่มเพาะ
เพิ่มสูงขึ้นด้วย!

เนี่ยหลีย่ ังคงดูดซับพลังงานในศิลาจิตวิญญาณต่อไป
เรื่อยๆ ก้อนที่ยี่สิบ...ก้อนที่สามสิบ

ปริมาณของศิลาจิตวิญญาณที่ถูกใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน
ฐานะที่เนี่ยหลี่ดูดซึมพลังงานสวรรค์ในปริมาณมาก ทาให้ระดับ
การบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่เพิ่มขึน้ อย่างก้าวกระโดด

อ้างอิงจากเดิมที่ระดับการบ่มเพาะของเนี่ยหลี่ อยู่ที่จดุ สูงระดับ


ตานานสีด่ าว กาลังจะก้าวสู่ ห้าดาวเร็วๆนี้ ตอนนีร้ ะยะห่างจาก
ระดับชะตาสวรรค์ซึ่งเป็นเป้าหมายเร่งด่วนของเนี่ยหลี่ลดลงอีก
ระยะหนึ่งแล้ว

เมื่อเนี่ยหลี่ไปถึงระดับชะตาสวรรค์แล้ว ความเร็วการบ่มเพาะ
พลังจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก (โม้ไว้หลายตอนละ ไม่โหดจริงมี
เลิกแปล)

จินตาน ที่กาลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงพลัง
บางอย่าง เมื่อมันเห็นศิลาจิตวิญญาณที่ถูกดูดซับพลังงานไปจน
ว่างเปล่าแล้วมันก็ ... กินศิลาพวกนั้นเหมือนกับเคีย้ วถั่วเล่นไม่มี
ผิด

เนี่ยหลี่ที่ทาการบ่มเพาะพลังเป็นเวลานานไม่กล้าที่จะซึมซับ
พลังงานสวรรค์ทมี่ ากเกินไปในคราเดียว หลังจากเสร็จสิ้นการ
บ่มเพาะพลังจึงได้ลืมตาขึ้น ก็สังเกตเห็นว่า จินตานได้กินศิลา
จิตวิญญาณที่ว่างเปล่าไปแล้วกว่าครึ่ง
ส่งผลให้มีเศษหินกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมห้อง ท้องของมัน
ก็พองโตอวบอ้วนขึ้นแล้วกลิ้งไปมาด้วยความพึงพอใจ ที่แสดง
ออกมาให้เห็นทางสีหน้าของมัน

เจ้าตัวน้อยนีต่ ะกละ เกินไปไหม กินแม้กระทั่งศิลาที่ว่าง


เปล่าพวกนี!้

เนี่ยหลี่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครูจ่ ึงได้หยิบเอา ศิลาจิตวิญญาณที่


ยังไม่ได้ดดู ซับพลังสวรรค์ แล้วโยนใส่จินตาน

ขณะที่ศิลาจิตวิญญาณกาลังจะถึงตัวจินตานนั้น ทันใดนั้นเอง
เปลือกตาที่ปดิ สนิทกลับตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว จินถามคว้าเอา
ศิลาจิตวิญญาณไปในพริบตา พร้อมกับกอดมันไว้ราวกับสมบัติ
ล้าค่าที่กลัวจะถูกผู้อื่นแย่งชิง จากนั้นมันก็เริ่มเคี้ยว...ศิลาจิต
วิญญาณถูกกลืนกินหายวับไปไม่เหลือแม้แต่เศษก้อนเดียวให้
เห็น

จินตานเลิกสนใจศิลาจิตวิญญาณแล้วหันมาจ้องเนีย่ หลี่แทน
เจ้าตัวน้อย นี่รจู้ ริงเสียด้วยว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดี มันรู้ว่าศิลาที่ว่าง
เปล่าไม่สามารถเทียบรสชาติของศิลาที่มีพลังงานสวรรค์อดั
แน่นอยู่

เนี่ยหลี่ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีเจ้าสิ่งนี้มากนัก
ตอนนี้ข้าสามารถให้เจ้าได้เพียงก้อนเดียว หากเจ้าต้องการมัน
เจ้าต้องเชื่อฟังข้า!”จินตานพยักหน้ารัวๆเหมือนลูกเจี้ยบตามคา
ของเนี่ยหลี่

เจ้าตัวน้อยนี่หลอกง่ายชะมัด แต่เมื่อเนี่ยหลี่พยายามจะเปลี่ยน
กลิ่นอายของจินตานที่แผ่ออกมาก ปรากฏว่าถูกขัดขวางด้วย
พลังบางอย่าง เพื่อไม่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนีย่ หลีจ่ ึง
พยายามอีกครั้งแต่ครั้งนี้เนี่ยหลีไ่ ด้ปล่อยพลังงานสวรรค์ไปแทน

เนี่ยหลี่พยายามเปลีย่ นแปลงกลิ่นอายของจินตานอีกครั้ง และก็


พบว่าตอนนี้จินตานไม่ได้ต่อต้าน ในขณะที่ปล่อยพลังงาน
สวรรค์ เนี่ยหลี่เริม่ ตระหนักถึงความแข็งแกร่งทางสายเลือดของ
จินตานที่จินตนาการไม่ได้พลังอานาจนี้แข็งแกร่ง ยิ่งกว่า กิเลน
ฟ้าเสียอีก

ความประหลาดใจสุมอยู่ในใจของเนี่ยหลี่ เนี่ยหลีไ่ ม่สามารถ


จินตนาการตัวตนของจินตานได้เลย จินตานเติบโตทีละนิดละ
นิดจากการดูดซับพลังสวรรค์ของเนี่ยหลี่ เนี่ยหลี่ทสี่ ่งพลังงาน
สวรรค์เข้าไปในตัวจินตานทาให้พลังวิญญาณเข้าไปยังตัวของ
จินตาน เกิดเป็นสายสัมพันธ์วญ
ิ ญาณระหว่างเนี่ยหลี่และจิน
ตาน ในขณะที่เชื่อมวิญญาณอยู่นนั้ เนี่ยหลีร่ ับรู้ทันทีว่า จินตาน
นั้นแข็งแกร่ง

เกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปนี้ เนี่ยรูส้ ึกได้เลย ว่าพลังวิญญาณของจิน


ตานก็เข้ามากระแทบยังแดนวิญญาณตัวเองเช่นกัน

ดูเหมือนว่าไม่จาเป็นต้องรีบร้อน แม้ยังจะต้องอาศัยการ
ปรับแต่งอีกเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สมบูรณ์ การทาตราประทับ
วิญญาณในแดนวิญญาณของจินตาน เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นสัตว์
วิญญาณต้องทาอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไป
บทที่ 276 อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง

เนี่ยหลี่วางจินตานลง แล้วโยนศิลาจิตวิญญาณให้จินตาน
หนึ่งชิ้น “นี่รางวัลของเจ้า!”

จินตานรีบคว้าศิลาจิตวิญญาณและเคี่ยวมันลงท้อง
ทันที เสร็จก็ส่งสายตาใส่ซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยมาให้เนี่ยหลี่

เนี่ยหลี่ที่มองจินตานอยู่ ยิม้ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้า


ไม่ได้มีศลิ าจิตวิญญาณมากมายขนาดนั้น เจ้าสามารถกินมันได้
แค่สองชิ้นต่อวันเท่านั้น มากกว่านัน้ ข้าไม่มมี ันให้เจ้าอีกแล้ว!”
ความกระหายของจินตานนั้นน่ากลัวเกินไป

ดวงตาของจินตานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันมองศิลาจิต
วิญญาณสมบัตลิ ้าค้าที่ถูกกัดจนเหลือเพียงแค่ครึ่งอยู่ในมือ หาก
มันกินส่วนที่เหลือจิตใจของมันต้องอยู่ไม่สุขแน่ๆ จินตานจึง
ค่อยๆ แลบลิ้นมาเลียศิลาจิตวิญญาณ หยดน้าลายที่รั่วออกมา
จากปากของมันกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง
(ริงป๊อปไหมล่ะ)

เนี่ยหลีไ่ ม่คดิ เลยว่าจินตานจะมีความสามารถในการเป็นตัว


ละครตลกได้อย่างเต็มเปี่ยมถึงเพียงนี้ รู้สึกว่าเจ้าตัวน้อยนี่จะ
ฉลาดขึ้นแหะ อย่างน้อยก็ฉลาดกว่าเมื่อก่อน

ยู่หยานเปิดตาของนางขึ้นมาชั่วครู่ เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นด้านหน้าของนาง สร้างบรรยากาศตลกขบขันให้กับนาง
เล็กน้อย จากนั้นจึงหลับตาลงใช้สมาธิจดจ่อกับการบ่มเพาะ
พลังต่อ นางสัมผัสและบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์แล้วจึงค่อยๆ
เริ่มก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมา

อย่างไรก็ตามนางมีลักษณะที่พิเศษกว่าบุคคลอื่น ชะตา
วิญญาณของนางมีรูปร่างเป็นเปลวไฟสีทอง ที่แผ่วเบา นางไม่
ทราบได้ว่าเพราะเหตุใดชะตาวิญญาณของนางจึงมีรูปร่างเช่นนี้
แต่นางมีความรู้สึกว่าเปลวไฟสีทองนี้มีพลังงานที่ไม่สิ้นสุด
ก่อนหน้านี้เมื่อนางพบกับจิตวิญญาณเปลวไฟสีทองนี้ มันได้
พยายามจะกลืนกินกันตัวนาง ราวกับว่าเปลวไฟสีทองนี้จะแผด
เผ่าเหล่าศัตรูให้พินาศให้สิ้นซาก นางรู้สึกว่านางกับเปลวไฟสี
ทองนี้มีความเกี่ยวพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเพียงแค่เย็นวันแรก เนีย่ ห
ลี่ได้ใช้ศลิ าจิตวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่งจากจานวนทั้งหมด สาม
ร้อยก้อน

และด้วยเหตุนเี้ องทาให้เนี่ยหลี่ตระหนักขึ้นว่าศิลาจิตวิญญาณที่
มีอยู่ตอนนี้ไม่เพียงพอ ขึงต้องหาวิธีการที่ทาให้ได้ศลิ าจิต
วิญญาณมากขึ้น (ไหนเอ็งบอกใช้ได้นานไง วันเดียวล่อไป 150
ก้อน fu*k)
เช้าวันรุ่งขึ้น

เนี่ยหลี่และหลู่เปียว ตื่นขึ้นมาเร็วมาก หมอกยังไม่เริม่ จาง


หายไปในยามเช้า น้าค้างยังเกาะอยู่ตามใบของดอกไม้ที่ขึ้น
เรียงอยู่เรียงราย ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีจริงๆเซี่ยวหยู่ มองมาที่
เนี่ยหลี่กับหลู่เปียว “เนี่ยหลี่ หลูเ่ ปียว พวกเจ้าต้องการจะไป
สถานที่หนึ่งกับข้ามั้ย?”
“ที่ไหน?”

“หนึ่งในสถานที่ทดสอบสาคัญในสถาบันวิญญาณฟ้า ด่านจิต
วิญญาณแห่งแสง”

“โอ้โห มันเป็นสถานที่แบบไหนกันหรือ?”หลู่เปียวถามด้วย
ความอยากรู้

“ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นสนามทดสอบที่มีความ
ปลอดภัยมากที่สดุ ในสถาบันวิญญาณฟ้า แต่ว่าการจะเข้าไปได้
นั้นมีเงื่อนไขที่สูงทีเดียว เฉพาะผู้ที่มีรากวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น
ถึงจะสามารถเข้าไปได้”เซี่ยวหยู่ยมิ้ เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อพวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง”

ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลีไ่ ม่เคยได้ยินสถานที่นี้มาก่อน


เลยในชีวิตก่อนหน้านี้ ดังนั้นเนีย่ หลี่จึงสงสัยมากว่ามันเป็น
สถานที่แบบไหน
“เอาละลองไปดูกันเถอะ” เนี่ยหลี่พยักหน้าแล้วพูดขึ้น
ความสงสัยที่มีต่อสถานที่นี้จะได้กระจ่างเสียทีด้วยการนาของ
เซี่ยวหยู่ ทั้งสามจึงออกจากห้องพัก ห่างไปไม่ไกลจากทางเข้า
นัก มีสายตาบางพวกจับจ้องไปยังทั้งสามแล้วซุบซิบหารือกัน

“เจ้าสามคนนั้นออกมากันแล้ว! พวกข้าจะกลับไปรายงานนาย
ท่านฮัวหลิง พวกเจ้าจงตามเจ้าสามคนนั้นไปและจับตาดูพวก
มันเอาไว้!”

“รับทราบ!” คนกลุ่มนั้นรีบตามพวกเนี่ยหลีไ่ ปทันที

เนี่ยหลี่และอีกสองคนยังเดินไปตามถนนปกติ (เปียวเปียว กับ


หยูหยู กลายเป็นตัวประกอบเฉย หยูเป็นคนชวนนะเฟ้ย!!)

“ดูเหมือนว่าจะมีบางคนสะกดรอบพวกเราอยู่นะ”หลู่เปียวถาม
เนี่ยหลีเ่ สียงค่อย
เซี่ยวหยู่ที่อยู่ข้างหน้ายิม้ กล่าว “อย่าไปใส่ใจกับตัวตลกพวกนั้น
เลย ในสถาบันวิญญาณฟ้าพวกมันไม่สามารถทาอะไรพวกเรา
ได้หรอก ถ้าสถานที่ที่เรากาลังไปเป็นหนึ่งในสองสนามทดสอบ
ที่เหลือก็อาจจะเป็นปัญหาบ้างสาหรับพวกเรา แต่ที่ด่านจิต
วิญญาณแห่งแสง หากพวกมันคิดจะทาอะไรพวกเราจริง พวก
มันก็คงได้แต่ฝันเท่านั้นแหละ!”

ทั้งสามคนยังมุ่งไปทีส่ นามวิญญาณนักบุญไปเรื่อยๆ โดยมีกลุ่ม


ที่สะกดรอยตามมาจับจ้องอยู่ทุกฝีก้าว

ในทิศใต้ของสถาบันวิญญาณฟ้า มีเทือกเขารายล้อม มีหุบเขา


อยู่ภายในหุบเขาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด
ต้นไม้ขนาดคนร้อยคนโอบขึ้นอยู่ ที่ศูนย์กลางเป็นหินก้อน
มหึมา ที่มีความสูงมากกว่า12เมตร ด้านบนสุดของศิลานีส้ ลัก
คาว่า [อันดับจิตวิญญาณแสง]

“ที่เห็นนั่นคือ ศิลาอันดับจิตวิญญาณแสง เฉพาะนักเรียนที่มี


รายชื่อสองร้อยอันดับแรกเท่านั้นจึงจะมีสิทธิที่จะเข้าสูด่ ่านจิต
วิญญาณแห่งแสง”
บนศิลาเหล่านั้นสลักชื่อเอาไว้มากมายเนี่ยหลี่กวาดตามองอย่าง
รวดเร็วก็พบเห็นชื่อที่คุ้ยเคยอยู่บ้าง หลงยู่อิน จากตระกูลผนึก
มังกรอยู่ในอันดับที่ 10 ในขณะที่จินหยาน จากตระกูลจิน อยู่
ในอันดับที่ 23 ฮัวหลิงคู่แข่งของเซี่ยวหยู่ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยโดย
อยู่อันที่ 67 ไม่แค่นั้นยังมีเอี๋ยนห่าวที่อยู่อันดับที่ 121 และหวง
อิ้ง อยู่อันดับที่ 137

แต่เนี่ยหลี่ไม่เห็นกู้เบ่ยมีรายชื่อปรากฏอยู่บนศิลานี้เลย อย่างไร
ก็ตามหลังจากพิจารณาแล้วคาดว่ากู้เบ่ยน่าจะตั้งใจปกปิด
ความสามารถของตนไว้เพื่อเตรียมการบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่
แสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้เห็น

เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วก่อนถาม “อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงนี้ไม่ได้
จัดอันดับจากความแข็งแกร่งหรอกรึ?”

หากมันถูกจัดขึ้นจากความแข็งแกร่งแล้วผลของมันคงไม่
ออกมาเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดปัจจุบัน ฮัวหลิงแข็งแกร่งกว่า
หลงยู่อินและจินหยานเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอยู่อันดับที่มากกว่า
หลงยู่อินกับจินหยาน

“อันดับนี้ไม่ได้จดั ขึ้นจากความแข็งแกร่งส่วน
บุคคล แต่เป็นความสามารถของจิตวิญญาณ ที่ทาการเชื่อมต่อ
พลังงานจากฟ้าและดิน เพื่อการบ่มเพาะพลังจากพลังสวรรค์
ต้องสื่อสารและเข้าใจพลังงานฟ้าและดิน บุคคลที่มีการบ่ม
เพาะพลังที่สูงก็มิใช่ผู้ทสี่ ามารถสื่อสารและเข้าใจพลังฟ้าและดิน
ได้เสมอไป

บางคนก็มีความสามารถพิเศษที่สามารถก้าวข้าม
ระหว่างเขตแดนได้ไวกว่าลองมาดูสิบอันดับแรกกัน เช่น หลงยู่
อิน ที่สามารถบรรลุขอบเขตวิญญาณได้ในระยะเวลาอันสั้น
ขณะที่คนอื่นใช้เวลาที่นานกว่า”เซีย่ วหยู่อธิบาย (ตอนนี้นี่เอา
มาอวยความสามารถไอ้หลี่ สาหรับการย้ายมาโลกใหม่ว่างั้น วัน
เดียวดูดซึม 150 ก้อน ดูดบุหรี่วันละซองยังอาย)

เนี่ยหลีม่ องอันดับรายชื่ออย่างตั้งใจ “การแข่งขันในแง่


ความสามารถความเข้าใจในการสือ่ สารพลังงานฟ้าและดิน?”
“ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นสถานที่ลึกลับ สถานที่
แห่งนี้อุดมไปด้วยพลังงานฟ้าและดิน นักเรียนปกติจะสามารถ
เข้าใช้ที่นี่เพื่อฝึกฝนได้ 2 ชั่วโมงต่อเดือน แต่นักเรียนที่อยู่200
อันดับแรกจะสามารถเข้าใช้ที่นี่เพือ่ ฝึกฝนได้อย่างน้อยก็ 6
ชั่วโมงต่อเดือนยิ่งเจ้ามีอันดับสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถใช้
เวลาได้นานมากขึ้นเท่านั้น”

ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เปรียบได้กับบ่อน้าที่เต็มไปด้วยพลัง
จิตวิญญาณ ผลทีไ่ ด้รับจากการฝึกฝนอยู่ที่นี้ไม่อาจจะประเมิน
ได้ทีเดียว

เซี่ยวหยู่ยังอธิบายต่อไป “นอกจากนั้นผู้ที่มันดับอยู่ในระดับท็
อปยังได้รับของรางวัลทุกสิ้นปีอีกด้วย รางวัลที่ว่านั่นก็มตี ั้งแต่
ศิลาจิตวิญญาณ ยาทิพย์และของวิเศษ ผู้ที่ได้อันดับ1นั้นจะของ
วิเศษระดับ5 ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ5ชิ้น จิตอสูรทีม่ ีการ
เติบโตระดับมหัศจรรย์สายเลือดมังกร น้ายาแก่นแท้จิต
วิญญาณอสูร! และผู้ที่อยู่ใน5อันดับแรกก็จะได้ ของวิเศษระดับ
4 3แก่นแท้จิตวิญญาณ จิตอสูรทีม่ ีการเติบโตระดับยอดเยี่ยม
สายเลือดมังกร และศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งพันก้อน...”

คาพูดของเซี่ยวหยู่ทาให้เนีย่ หลีต่ าเป็นประกาย ภายในสถาบัน


วิญญาณฟ้าแห่งนี้ ของวิเศษระดับ5 มูลค่าอย่างต่าก็อยู่ที่ ห้าถึง
หกพันศิลาจิตวิญญาณเข้าไปแล้ว ประสิทธิภาพของแก่นแท้
วิญญาณมีค่าเทียบเท่ากับศิลาจิตวิญญาณถึงห้าร้อยก้อน ไม่
ต้องพูดถึงจิตอสูรที่มีการเติบโตระดับมหัศจรรย์สายเลือดมังกร
มันเป็นสิ่งที่หายากมากที่สามารถนามันมาใช้ปรับแต่งจิตอสูรได้

หลู่เปียวตาเบิกกว้างขึ้นและถามว่า “ถ้าพวกเราสามารถเข้าไป
มีรายชื่ออยู่ในอันดับพวกนี้มันไม่ได้หมายความว่าเราสามารถ
ได้รับของรางวัลพวกนี้ทุกปีหรอกหรือ?”

“ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามรางวัลของห้าอันดับแรก
นั้นสามารถรับได้แค่ครั้งละคนเท่านั้นเมื่อได้รับรางวัลแล้วต้อง
ถอนตัวเองจากการแข่งขันจิตวิญญาณแห่งแสง”เซี่ยวหยูย่ ังพูด
ต่ออีกว่า “ห้าอันดับแรกนั้นนอกจากจะได้ของรางวัลมูลค่ามาก
แล้วยังต้องไม่เห็นแก่ตัวอีกด้วย ทุกคนต่างปรารถนากันทั้งนั้น
ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงจุดคัดเลือกของปีนี้”

‘ดังนั้นรางวัลของห้าอันดับแรกสามารถรับได้เพียงครั้งเดียว...’
หลู่เปียวนึกเสียดายในใจ อย่างไรก็ตามหลู่เปียวก็คาดหวังไว้กับ
รางวัลของด่านจิตวิญญาณแห่งแสงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ตัวเองเป็นผู้มรี ากวิญญาณฟ้าขั้นที่5 ช่วยไม่ได้ที่หลู่
เปียวจะหลงตัวเองเล็กน้อย (หลงไปเลยเปียว เอาใจช่วยคนที่
โดนเมียทาวินาศกรรม)

เนี่ยหลีม่ องไปที่อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงอีกครั้ง มันเป็นทาง


ลัดเพื่อการฝึกฝนพลังอย่างแท้จริง แม้ว่าจะได้ศิลาจิตวิญญาณ
จากการรักษาผู้คนโดยไม่เป็นทีส่ งสัย แต่ก็ใช่ว่านายจ้างทุกคน
จะใจกว้างอย่างกู้เบ่ย

ตั้งแต่ที่เข้าสถาบันวิญญาณฟ้า ทาให้ทราบว่าตนเองมีระดับราก
วิญญาณฟ้าขั้นที่8 ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
แต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ที่มีการเชิญชวนจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือน
จะมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้น แม้ในขณะนี้จะมีความขัดแย้งภายใน
ค่อนข้างสูงแต่ก็ควบคุมได้เกือบทั้งหมด ยังมีกฎระเบียบอีกมาก
ภายในสถาบันวิญญาณฟ้าที่นิกายอื่นไม่กล้าจะฝ่าฝืน ดังนั้น
เนี่ยหลีจ่ ึงไม่ต้องกังวลกับความสามารถของตนเองแล้ว เมื่ออยู่
ในสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้เขาจะปลอดภัย

หลังจากครุ่นคิดเสร็จแล้ว เนี่ยหลีจ่ ึงเอ่ยขึ้น “เข้าไปข้างใน แล้ว


ลองทดสอบดูเถอะ!” (หึ หึ หึ และแล้วประโยคก่อนที่สกิลพระ
เอกจะทางานก็มา)
ถ้าเขาสามารถอยู่ในห้าอันดับแรกจะทาให้ก้าวไปยังระดับชะตา
สวรรค์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

เนี่ยหลี่ เซี่ยวหยู่และหลู่เปียวเดินไปตามเส้นทางเพื่อที่จะไปยัง
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เมื่อเหล่าผู้ทสี่ ะกดรอบตามพวกเนีย่ หลี่มาเห็นพวกเขาเดินเข้า
ไปที่ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง พวกที่ติดตามมาได้แต่มองพวก
เนี่ยหลีเ่ ดินไปจบลับสายตา

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกมันจะไปยังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง!”

“ในบรรดาสามด่านทดสอบ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
ถือว่ามีความปลอดภัยมากที่สดุ เป็นได้หรือไม่ว่าพวกมันเกิด
ความกลัวขึ้นมาเลยไม่ไปยังด่านทดสอบแห่งอื่น!?”

“มากที่สุดพวกมันก็อยู่ที่นี่เพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
หลังจากนั้นพวกมันต้องไปยังด่านทดสอบที่เหลืออีกสองแห่ง
แน่!”

เนี่ยหลี่และหลู่เปียวได้เข้าไปยังด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่ง
แสงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างจับจ้องบุคคลซึ่งมาใหม่สองคน
สาหรับเซี่ยวหยู่แล้วเขาไม่ได้มีความคาดหวังมากมายเท่าใดนัก
เนื่องจากหลายปีมานี้อันดับของเขาไม่ได้เข้าสู่สองร้อยอันดับ
แรกเลย ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามมากเกินไป
สถาบันวิญญาณฟ้า ห้องพักของเอี๋ยนห่าว

“นายน้อยเอี๋ยน เซี่ยวหยู่ได้เข้าไปยังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง!”

เอี๋ยนห่าวที่กาลังอ่านหนังสืออยู่ แสยะยิม้ ที่มุมปากเมื่อได้รับ


รายงานจากสมุน “เป็นเวลากว่าห้าปีมาแล้วที่เซี่ยวหยูไ่ ม่ได้อยู่
ในสองร้อยอันดับแรกของด่านจิตวิญญาณแห่งแสง บัดนี้
ผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิมหรอก!”

“แต่ว่า... ท่านหญิงหวงอิ้ง ก็ดูเหมือนจะไปที่ด่านจิตวิญญาณ


แห่งแสงเช่นกัน!”

ใบหน้าของเอี๋ยนห่าวแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้า เขาไม่มีอารมณ์
ที่จะอ่านหนังสืออีกต่อไป เขายืนขึน้ พลางวางหนังสือลงบนโต๊ะ
และกล่าวว่า “เราจะไปด่านจิตวิญญาณแห่งแสงกันเดียวนี!้ ”
บทที่ 277 อาจารย์

ภายในด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่งแสง

สถานที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่รายล้อมอยู่รอบข้าง เสียง
ร้องอันไพเราะของหมู่นกและกลิ่นหอมจากพืชไม้นานาพันธุ์ก่อ
เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามยิ่ง

ที่จุดศูนย์กลางเป็นแท่นบูชาที่ตั้งตระหง่านอยู่ มีบันไดทางขึ้นสู่
แท่นบูชาทั้งสี่ทิศ ในแต่ละขั้นก็มผี ทู้ าการฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่
มากมายแต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถไปอยู่บนจุสูงสุดของแท่นบูชา
ได้เลย (นั่นไงสถานการณ์โชว์อ๊อฟมาให้ถึงที่)

เซี่ยวหยู่อธิบายขณะก้าวเดินไปยังแท่นบูชา “ภายในที่แห่งนี้
สามารถทาการบ่มเพาะพลังฟ้าและดินได้ทั้งหมด 199 ขั้นตอน
ความสามารถในการเชื่อมต่อพลังฟ้าและดินจะเป็นตัวกาหนด
ลาดับขั้นตอนเหล่านั้น ยิ่งสามารถเข้าใจมันได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่ง
สามารถอยู่ในลาดับขั้นที่สูงมากขึน้ แต่ถ้าความสามารถในการ
เข้าใจพลังฟ้าและดินมีไม่มากพอก็จะไม่สามารถก้าวข้ามไปฝึก
ระหว่างขั้นตอนได้แม้กระทั่งขั้นตอนเดียว หากพยายามฝืนแล้ว
ละก็จะต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส”

ทุกขั้นตอนมีระยะห่างราวกับการเดินทางไปสูส่ รวงสวรรค์และ
หมู่ดาว แค่เพียงการก้าวข้ามหนึ่งขั้นตอนก็นับว่าเป็นการ
กระทาที่ยากลาบากมากแล้ว
ทันใดนั้นเองพวกนักเรียนที่อยู่ในสถานที่นั้นก็มองมาทางเซี่ยว
หยู่

“เซี่ยวหยูผ่ ู้มีรากวิญญาณฟ้าขั้นที่ 7 ไม่ใช่หรือนั่น?”

“ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่สามารถแม้แต่จะอยู่ทาการบ่มเพาะพลัง
ในขั้นที่ 5 เรื่องจริงสินะ?”

“ใช่แล้วมันคือเรื่องจริงที่สดุ ที่เขาไม่สามารถฝึกแม้กระทั่งขั้นที่
5 !”
นักเรียนหลายคนส่งเสียงหัวเราะเยาะกันเบาๆ

แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยวหยูไ่ ม่ได้ให้ความใส่ใจกับเสียงหัวเราะเยาะ
เหล่านั้นไม่ เขาเคยชินกับการที่ถูกหัวเราะเยาะแบบนี้เสียแล้ว
ไม่มีความจาเป็นที่จะต้องไปกังวลกับสายตาผู้อื่น

เซี่ยวหยูม่ องไปยังพวกเนีย่ หลี่และกล่าวว่า “เนี่ยหลี่


หลู่เปียว ข้าจะขึ้นไปก่อนเป็นคนแรกเพื่อทาการบ่มเพาะพลัง”

เซี่ยวหยู่ เดินก้าวไปยังแท่นบูชา ขั้นที่หนึ่ง , ขั้นที่สอง

ในขณะนี้ร่องรอยความแปลกประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตา
ของเซี่ยวหยู่ ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อก้าวถึงขั้นที่ห้า ร่างกายจะ
รู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วงทาให้ไม่สามารถจะก้าวต่อได้แม้แต่
ก้าวเดียว แต่เทียบกับครั้งนี้เมื่อมาถึงในขั้นตอนที่ห้าเซี่ยวหยู่
รู้สึกเหมือนกับแค่การยกของเบาๆเท่านั้นเอง

เขาก้าวต่อไป ขั้นที่หก , ขั้นที่เจ็ด


“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?เซี่ยวหยู่กา้ วไปอยู่ในขั้นที่หก?”

นักเรียนคนอื่นๆต่างมองมาที่เซีย่ วหยู่ด้วยความประหลาดใจ
ในอดีตนั้นเซี่ยวหยู่หยุดอยู่ที่ขั้นที่ห้าเท่านั้น แต่วันนี้เขาสามารถ
ก้าวไปยังขั้นที่หกได้เรื่องนี้ทาให้พวกเขาตกใจเล็กน้อย

พวกเขามองดูเซี่ยวหยู่ที่ก้าวสูงขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น ระดับขั้น


ที่สูงที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในอดีตทีผ่ ่านมาเป็นระดับขั้นที่
ง่ายดายมากสาหรับตอนนี้

นักเรียนที่ทาการบ่มเพาะอยู่ในระดับขั้นที่ สามสิบ เมื่อเห็น


เซี่ยวหยู่กาลังก้าวขึ้นมาเรื่อยๆก็เกิดความไม่พอใจขึ้น ทาไม
ความสามารถเข้าใจในพลังฟ้าและดินของเซี่ยวหยู่ทาไมอยู่ดๆี
ถึงได้เพิ่มสูงขึ้นได้? การเปลีย่ นแปลงนี้ทาให้พวกเขาตกอกตกใจ
เป็นอย่างมาก
เซี่ยวหยู่เหลือบมองนักเรียนเหล่านั้นแค่ผ่านๆจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่
ระดับขั้นต่อไปเรื่อยๆ

เหล่านักเรียนที่ถูกเซีย่ วหยู่ก้าวข้ามขั้นไปไกล ขณะกาลังจะเปิด


ปากเยาะเย้ยเซี่ยวหยู่นั่น หน้าของเหล่านักเรียนก็แดงฉานขึ้น
เพราะความอับอาย ผู้คนจะมองพวกเขาเป็นเพียงตัวตลก!เซี่ยว
หยู่ไม่ได้แม้แต่จะเหลียวกลับมามองเลยแม้แต่นิด!
เนี่ยหลี่และหลู่เปียวยืนอยู่ในที่เชิงขั้นบันได

ทันทีที่เท้าของเนี่ยหลี่ก้าวแตะขึ้นบนขั้นที่หนึ่ง พลังงานได้
ไหลเวียนโคจรเข้าสู่จุดตันเทียนของเนี่ยหลี่ แต่ทว่าในขณะ
โคจรพลังงานนั้นเองเท้าซ้ายของเนี่ยหลี่ที่เหยียบลงบันไดขั้นที่
หนึ่งก็เกิดลื่นเพราะเหงื่อของเหล่าผู้ที่ทาการบ่มเพาะพลังอยู่
ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เนี่ยหลี่ตลี ังกากลับหลังสามตลบ และแล้ว
ทันใดนั้นเองพลังที่โคจรยังไม่ครบหนึ่งรอบนั้นก็ระเบิดขึ้นเป็น
เสียที่ดังกึกก้องไปทั่วด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่งแสง
[ปรู๊ดดดดดดดดดด!!!] ทาให้เหล่าผู้ทากาลังทาการบ่มเพาะพลัง
นั้นตกใจกับเสียงตามมาด้วยกลิ่นอบอวลราวกับอยู่ในทุ่งดอกลา
เวนเดอร์ พร้อมปรากฏภาพของบุรุษผู้หนึ่งที่ชูขาทั้งสองข้างขึ้น
ฟ้าทั้งที่ส่วนหัวนั้นจมอยู่ที่พื้นดิน โดยที่ไม่สามารถทราบได้ว่า
บุคคลที่อยู่เบื้องหน้านีเ้ ป็นผู้ใดกันแน่ แต่แล้วปริศนาของชายผู้
นี้ก็กระจ่างขึ้นแล้วเนื่องจากเสียงตะโกนที่ตามมาซึ่งดังพอจะ
สามารถให้ทุกคนที่อยู่ในด่านจิตวิญญาณแห่งแสงได้รับรู้ทั่วกัน!
หลู่เปียวตะโกนอย่างสุดใจ “เนีย่ หลี!่ !!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สาบานด้วยเกียติรของลูกแมวว่าไม่ได้เกลียดหลี่เลย จริ๊งจริ๊ง!!
อ้ะไม่เล่นละไม่เล่นละ
ของจริงเลยละกันเน่าะ!

ทันทีที่เท้าของเนี่ยหลี่ก้าวแตะขึ้นบนขั้นที่หนึ่ง พลังงานของจิต
อสูรที่อยู่ในร่างก็เพิ่มระดับพุ่งทะยานขึ้น รวมไปถึงขอบเขต
วิญญาณที่พุ่งสูงขึ้นด้วย สถานที่นี้เป็นแหล่งรวมจิตวิญญาณที่
วิเศษยิ่งนัก

เนี่ยหลีเ่ ดินก้าวขึ้นไปในขณะที่เริ่มทาความเข้าใจกับพลังฟ้า
และดินนี้ทลี ะน้อย ในขณะที่ก้าวขึน้ มานั้นทาให้เนี่ยหลี่
ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเปรียบได้เพียงหยดน้า
จากทะเลแห่งจิตวิญญาณแห่งนี้
ทั้งคู่ก้าวขึ้นไปทีละขั้นอย่างช้าๆ

ภายนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงบนแท่นศิลา
“เซี่ยวหยู่ เซีย่ วหยู่ขึ้นไปอยู่ในสองร้อยอันดับแรก!”

เมื่อกลุ่มต่างๆ ได้ทราบถึงข่าวนี้กต็ ้องประหลาดใจเป็นอย่าง


มาก

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เซี่ยวหยูส่ ามารถขึ้นมาอยู่ในสองร้อยอันดับ
แรก ที่ผ่านมาไม่ว่าเซี่ยวหยูจ่ ะพยายามกี่ครั้งชื่อของเขาก็ไม่เคย
แสดงอยู่ในสองร้อยอับดับแรกบนแท่นศิลาอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”ใบหน้าของฮัวหลิงมืดดาลงขณะที่
จ้องไปยังรายชื่อเซี่ยวหยู่บนแท่นศิลา แววตาของฮัวหลิงเปล่ง
รังสีสังหารออกมา ด้วยความจริงที่ว่ารายชื่อของเซี่ยวหยู่ได้มา
อยู่ในสองร้อยอันดับแรกทาให้ฮัวหลิงกดดันเป็นอย่างมาก

ฮัวหลิงและคนของเขาจ้องตาไม่กระพริบที่อันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง
เอี๋ยวห่าว ที่มาถึงช้ากว่าฮัวหลิงเพียงเล็กน้อยพยายามที่จะมอง
หา หวงอิ้งในบรรดาเหล่านักเรียนมากมายที่นั่นแต่กต็ ้องมา
สะดุดเมื่อเห็นรายชื่อของเซี่ยวหยูป่ รากฏอยู่ในศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง

“เซี่ยวหยูไ่ อ้ขยะไร้ค่านั่นมีรายชื่ออยู่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง? นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน?”

คิ้วของเอี๋ยวห่าวขมวดกันเป็นปม ในอดีตที่ผ่านมาเซี่ยวหยู่ไม่
แม้แต่จะมีรายชื่ออยู่ในอันดับแต่ปจั จุบันนี้สามารถก้าวสู่ขั้นที่
ห้าสิบได้ ความแตกต่างระหว่างอดีตกับตอนนี้มมี ากเกินไป
นี่หรือว่า...?

หรือว่าเซี่ยวหยู่จะทะลวงเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ได้แล้ว?

เช่นเดียวกับทุกคนที่ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
รายชื่อของเซี่ยวหยู่ที่ยังเลื่อนอันดับขึ้นไปอย่างต่อเนี่ย จาก
200เป็น 199 และยังเลื่อนขึ้นไปได้เรื่อยๆความสนใจของทุก
คนใจจดใจจ่ออยู่กับรายชื่อของเซี่ยวหยู่ที่เลื่อนอันดับขึ้นไป
อย่างต่อเนื่อง

“บ้าน่าเป็นไปได้ไงกัน?ตอนนี้เซี่ยวหยู่เลื่อนอันดับมาที่ 160!”

“เป็นไปไม่ได้!นี่มันก้าวข้ามข้าไปงัน้ รึ?!”เอี๋ยวห่าวโกรธเกรี้ยว
เป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขามองเซี่ยวหยู่เป็นเพียงแค่เศษขยะ
ที่ไร้ค่า แต่แล้วความจริงในวันนี้พิสูจน์ได้ว่าเซีย่ วหยู่ไม่ได้เป็น
ขยะอีกต่อไปแล้ว

“ขณะเดียวกันภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เซี่ยวหยู่ค่อยๆก้าวไปยังขั้นต่อไปอย่างช้าๆอย่างมั่นใจ แม้จะยัง
ประหลาดใจอยู่กับความสามารเข้าใจของพลังฟ้าและดินที่จๆู่ ก็
เพิ่มมากขึ้น เขาอยู่ขั้นที่เก้าสิบเข้าแล้ว แต่ยังไม่รสู้ ึกถึงความ
กดดันใดๆเลย

เซี่ยวหยู่ที่ทาการบ่มเพาะพลังด้วย เทคนิค[มังกรคารามคณา
นับ] เมื่อครั้งยังอยู่ที่ระดับชะตาดินเหมือนกับเขาถูกยับยั้งการ
ทะลวงขั้นตอนเข้าสู่ชะตาฟ้าเป็นอย่างมาก แต่บัดนีเ้ มื่อทะลวง
เข้าสู่ระดับชะตาฟ้าแล้ว เทคนิค[มังกรคารามคณานับ]ก็พุ่ง
ทะยานขึ้นอย่างไร้ขอบเขต การเพิ่มขึ้นระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะ
ได้จากการบ่มเพาะพลังแบบธรรมดาทั่วไป!

เนี่ยหลี่และหลู่เปียวที่ตามอยูด่ ้านหลังเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเซีย่ ว
หยู่นั้นก้าวไปยังขั้นที่เก้าสิบแล้วในขณะที่พวกเขายังอยู่ขั้นที่
สามสิบ

ทันใดนั้นเนี่ยหลี่กส็ ังเกตเห็นหญิงสาววัยประมาณ 16-17 นั่ง


ฝึกฝนบ่มเพาะพลังของนางอยู่ที่ชั้น 130กว่า นางช่างงดงามยิ่ง
นักนางสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าคลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมสีขาวแสงที่
ประกายออกมาราวกับแสงของพระจันทร์ ภายใต้เสื้อคลุมนีเ้ ผย
ให้เห็นช่วงคองามระหงส์ลงไปถึงกระดูกไหปลาร้าทีส่ ลักงดงาม
ดั่งหยกที่สมบูรณ์แบบของนาง

ผมของนางถูกมัดไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพูประดับกับที่หนีบผมรูปผี
เสือ นางแต่งหน้าเล็กน้อย แก้มขาวนุ่มนั้นสวยและงดงามราว
กลีบดอกไม้ ภายใต้แสงแห่งจิตวิญญาณทีร่ ายล้อมอยู่รอบกาย
นั้นส่งผลให้นางส่องแสงประกายขาวใส ความงามของนางนั้น
ราวกับถูกสรรค์สร้างโดยเทพเจ้า แม้กระทั่งฟ้าและดินยังต้อง
หม่นหมอง

ความงามนี้ สามารถสยบได้แม้เหล่าหงสาและสัตว์ป่า
อย่างแท้จริง
ไม่ว่าใครก็ตามทีไ่ ด้เห็นนาง คงช่วยไม่ได้หากจะเกิดความรู้สึก
ละอายเมื่อต้องเทียบกับนาง

ในขั้นที่ไม่ห่างไกลจากนางมากนัก มีนักเรียนหลายต่อหลายคน
ที่จ้องมองนางอยู่แต่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้นางหรือบางทีอาจจะไม่
มีใครที่คิดว่าเหมาะสมกับนาง

“ช่างงดงามอะไรปานนัน้ ???” หลู่เปียวตะลึงขณะที่


จ้องมองไปยังที่นาง ในบรรดาหญิงสาวที่พอจะสามารถเทียบ
นางได้คงมีแต่เอี้ยจืออวิ้นและเสีย่ วหนิงเอ๋อ
อย่างไรก็ตามแสงที่เปล่งประกายออกมาจากนางราวกับนางฟ้า
นางสวรรค์ทเี่ สด็จลงมายังโลก แม้เสี่ยวหนิงเอ๋อและเอี้ยจืออวิ้น
ยังด้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับนาง

เนี่ยหลี่จ้องมองนางด้วยอารมณ์ที่หลากหลายปนกันอยู่
พร้อมกับความทรงจาทีเ่ กิดขึ้นนับไม่ถ้วน

ในการพบกันในชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี่ยหลี่ ยามนั้นเนี่ยหลี่ได้รับ
บาดเจ็บสาหัสและหมดสติอยู่ที่แม่น้า นางเป็นคนที่เคย
ช่วยชีวิตเขาไว้ แม้ว่านางจะไม่เต็มใจบอกชื่อจริงของนาง นาง
บอกไว้ว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะทาให้ลืมนางได้ง่ายมากขึ้น
ถึงแม้สภาพปัจจุบันนางจะปรากฏว่าเป็นสาววัยรุ่นแต่เนีย่ หลี่ก็
ตระหนักดีว่านางนั้นมีชีวิตอยู่มานานแล้ว

“ข้าไม่ทราบหรอกว่าผู้ใดที่ต้องการทาร้ายเจ้า?แต่ตอนนี้เจ้า
ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทาไมเจ้าไม่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์เจ้าแล้ว
ตามข้ากลับไปยังสานักเล่า? ที่นั่นข้าสามารถสอนเทคนิคการ
บ่มเพาะพลังให้เจ้าได้”รอยยิม้ อ่อนโยนของหญิงสาวราวกับสาย
ลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ศิษย์ข้า เจ้าไม่ควรทาการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ หากเจ้า
อยากสื่อสารเข้าใจกับฟ้าและดิน อย่างแรกเจ้าต้องวางความ
เกลียดชังในใจของเจ้าลงให้หมดเสียก่อน! เจ้าต้องทาตัวใจให้ใส
บริสุทธิ์ดุจดั่งสายน้า หัวใจของเจ้าต้องรับได้ทุกอย่างเฉกเช่นฟ้า
และดิน เมื่อนั้นเจ้าจักประสบความสาเร็จในวิถีแห่งเต๋า"เนีย่ หลี่
ไม่เคยไปถึงความหมายของดินแดนว่า ‘ใสบริสุทธิด์ ุจน้า’ อย่าง
ที่อาจารย์เขาได้กล่าวมา

เขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในโลกทีม่ ากการ
แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โลกแห่งการโป้ปดหลอกลวงเต็มไปด้วยเล่ห์
กลต่างๆ และเขาก็ไม่สามารถที่จะละเว้นศัตรูของเขาให้หลุด
รอดไปได้

-
“ศิษย์ข้าเจ้าต่อสู้เพื่อสิ่งใด?”
“แต่ว่า อาจารย์ พวกมันเรียกท่านว่าปีศาจ!นั่นก็เพียงพอแล้ว!
พวกมันเรียกสายเลือดทีไ่ หลเวียนอยู่ในตัวท่านว่าสายเลือด
ปีศาจ!”
“แล้วในใจของเจ้าอาจารย์เจ้าคือปีศาจไหม?”
“ไม่..”
“ถ้างั้นคาพูดของผู้อื่นจะทาอันใดได้เล่า?”
-
“ได้โปรดท่านอาจารย์ อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว ท่านเป็นคนที่ข้ารัก
...”
กลิ่นอายของนางอ่อนแอลงอย่างยิ่ง “เนี่ยหลี่ ข้าได้บอกเจ้า
เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าข้าทาการทานายเคราะห์กรรมของข้า
เอาไว้ เจ้าคือภัยพิบัติของข้า ดังนัน้ การตายข้าไม่เกี่ยวกับพวก
เขา เนี่ยหลี่สญ
ั ญากับข้า อย่าได้แก้แค้นพวกเขา ปล่อยความ
เกลียดชังในตัวของเจ้าลงซะ อย่างไรเสียผู้ที่จากไม่มีวันหวน
กลับคืนมา หากเจ้ายังถือยึดกับความแค้นของเจ้า เจ้าจะยิ่ง
สูญเสีย เจ้าต้องไปให้ถึงดินแดน ‘ใสบริสุทธิ์ดุจสายน้า’!
“ไม่..!!”เนี่ยหลีโ่ หยหวนด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่
มองนางค่อยๆปิดตาลงและจากไปภายในอ้อมแขนของเขา

อาจารย์เคยเป็นหนึ่งในผู้ปูทางให้เขาในอาณาจักรซากมังกร แต่
ตอนนี้นางกลับอยู่เงียบไม่แยแสต่อโลกและกลายเป็นสายลมที่
ไร้ตัวตน

เนี่ยหลี่ทาตามสัญญาสุดท้ายที่ได้ให้ไว้กับอาจารย์ เข้าไม่ได้แก้
แค้นผู้คนเหล่านั้น และในท้ายที่สดุ เขาก็ได้รับความคุ้มครอง
จากนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามการจากไปของนาง
ยังฝังรากลึกของความเสียใจลงไปยังจิตใจของเขา

และหลังจากนั้นเนี่ยหลี่กไ็ ม่สามารถที่จะไปถึงดินแดน ‘ใส


บริสุทธิ์ดุจสายน้า’ ไม่สามารถที่เป็นเหมือนอาจารย์ที่ตัดขาดละ
ทิ้งจากทางโลกในตอนนี้ดวงตาของเนี่ยหลี่เต็มไปด้วยน้าตาเมื่อ
ได้พบกับนางอีกครั้ง
“เนี่ยหลี่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า??”หลู่เปียวถามเนี่ยหลี่ด้วยอาการ
ที่ตกตะลึงสุดขีด มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา? เหตุใดจึงร้องไห้?
เนี่ยหลี่ส่ายหัว “ไม่มีอะไร” ความทรงจาเหล่านั้นถาม
โถมสาดซัดมาราวกับคลื่นยักที่มาบดบังทัศวิสัยในดวงตา...
บทที่ 278 อันดับที่เปลี่ยนแปลง

เซี่ยวหยู่ที่กาลังเดินนาหน้าอยู่ในขั้นที่มากกว่าเงยหน้าขึ้นเมื่อ
เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่งดงามราวกับเทพธิดาก็ถึงกับตะลึง เขา
ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ งดงามเหนือผู้ใดในใต้หล้า
โดยแท้ แววตาคมกริบคู่นั้นทีร่ าวจะเจาะทะลุสู่หัวใจผู้คนได้
อย่างง่ายดาย

นางยิ้มให้เซี่ยวหยู่จางๆก่อนที่เดินลงบันไดอย่างช้าๆ

การก้าวเท้าที่สง่างาม ของนางทาให้หัวใจของผู้ที่พบเห็นนั้น
ต้องเต้นอย่างบ้าคลั่ง เสื้อผ้าของนางปลิวไสวไปตามแรงลมทุก
คนต่างจ้องมองนางอย่างเหม่อลอยในความงดงามของนาง
ทันใดนั้นราวกับทุกสิ่งในโลกต้องมัวหมองให้กับนาง

นางเดินผ่านเซี่ยวหยูไ่ ป แล้วเคลื่อนที่ไปยังทิศทางของที่เนี่ยหลี่
และหลู่เปียวอยู่ ดวงตาคมกริบจ้องมายังเนี่ยหลี่อย่างชัดเจน
เผยให้เห็นรอยยิม้ บริสุทธิ์จากมุมปากของนาง “ยินดีที่ได้พบ
เจ้าชื่ออะไร?เจ้ารูจ้ ักข้าหรือไม่?”

ด้วยการจับจ้องที่ทะลุได้ทุกอย่าง

“ข้าไม่ทราบ”เนีย่ หลี่กล่าวพลางส่ายหัว เนี่ยหลี่จาได้ว่า


อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าเขาเป็นภัยพิบัติต่อชีวิตนาง ดังนั้นเนี่ยห
ลี่ควรจะหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้นาง และปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิต
อย่างสงบสุขจริงมัย้ ?

หญิงสาวมองมาทีเ่ นี่ยหลี่อย่างประหลาดใจ เขาไม่ทราบว่านาง


เป็นใคร? คิ้วของนางขมวดเป็นปมเล็กน้อย แม้ว่าระดับการบ่ม
เพาะพลังของนางจะไม่สูงมาก แต่นางเป็นผู้เดินอยู่บนเส้นทาง
[หยั่งรู้ชะตาสวรรค์] ดังนั้นนางสามารถจะคาดเดาชะตาของผู้ที่
นางพบเห็นได้ แต่อย่างไรก็ตามเนีย่ หลี่ราวกับเป็นผู้ที่ถูกละเว้น
เมื่อนางพยายามจะทานายชะตาของเขานางกลับพบกับความ
โกลาหลวุ่นวายสับสน
ทาไมเนี่ยหลี่ถึงได้จ้องมองมายังนางราวกับว่ารู้จัก
นางเป็นเวลานาน?การกระทาเหล่านั้นไม่น่าจะใช่การเสแสร้ง
ทา

นางรู้สึกคลุมเครือมากในความทรงจาของนาง ราวกับ
ว่านางกับเขาเคยพบกันที่ไหนสักแห่งมาก่อน

นางเม้มริมฝีปากก่อนจะยิ้มออกมา “ข้าชื่อ อิง เยว่หลู่ เจ้าละ


ชื่ออะไร?”

เนี่ยหลี่ถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ในชีวิตก่อนหน้าตอนที่เขาได้
ฝึกฝนกับอาจารย์ อาจารย์ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อจริงของนาง
ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดนางจึงบอกชื่อนางให้กับคน
แปลกหน้ารู้ในชีวิตนี?้

เมื่อเห็นหญิงงามนางนั้นเริม่ ต้นที่จะพูดคุยกับเนีย่ หลี่ก่อน


ใบหน้าของเหล่านักเรียนเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความริษยา พวก
เขาได้จ้องมองนางเป็นเวลานานแต่ไม่กไ็ ม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้
นาง ทาได้เพียงแต่ให้ความสนใจอยู่ห่างๆเพียงแค่นั้น แต่พวก
เขาไม่คดิ เลยว่านางจะเป็นฝ่ายเริ่มเข้าใกล้กับเนี่ยหลี่
ก่อน หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่งเนีย่ หลี่จึงตอบไปตามตรง “ข้า
ชื่อเนี่ยหลี!่ ”

“เนี่ยหลี่ เนีย่ หลี่ ..”อิงเยว่หลู่ พึมพากับตัวนางเอง “ทาไมข้า


ถึงได้รสู้ ึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ยิ่งนัก ? มันเหมือนกับข้าเคยได้ยินมัน
มาจากที่ไหนมาก่อน”

เนี่ยหลีเ่ งยหน้าขึ้นจ้องมองมายังนาง ที่แห่งใดกันที่อาจารย์จะ


ได้ยินชื่อของเขา?

“อย่าใส่ใจเลย ข้าคงจาผิดไปเอง”อิงเยว่หลู่ ส่ายหัวของนาง


พลางยิ้มสดใสออกมา รอยยิ้มทีส่ ามารถทาให้ผู้คนยืนนิ่งเหม่อ
ลอยเพียงแค่การมองนาง

เซี่ยวหยู่ ที่กาลังอยู่ในขั้นที่หนึ่งร้อยหันกลับมา เมื่อเห็นว่าเนี่ยห


ลี่กับอิงเยว่หลู่ คุยกันอย่างสนุกสนาน เขาชะงักการไปต่อของ
เขาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองรอบๆและเดินไปที่เนี่ยหลี่กับหลู่
เปียวอยู่

“เนี่ยหลี่ เกิดอะไรขึ้น?เจ้ารู้จักนางด้วย?”เซี่ยวหยู่เหลือบมอง
ไปที่ อิงเยว่หลู่ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง ก่อนจะกระซิบบอกก
เนี่ยหลี่ “คนที่อยู่ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีความซับซ้อน ที่มา
ของนางยังเป็นปริศนา เจ้าควรจะระวังตัวไว้”

เมื่อได้ยินคาของเซี่ยวหยู่ เนี่ยหลี่ได้แต่ยิ้มตอบ ถึงแม้ว่าในชีวิต


นี้ อิงเยว่หลู่จะไม่รจู้ ักเขา แต่เขาทราบดีถึงตัวตนของนาง หัวใจ
ของนางเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ นางเป็นคนชนิดที่ยอมเต็มใจ
รับความเจ็บปวดแทนผู้อื่น

“เจ้าไม่จาเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ นางไม่ได้เป็นภัยกับเรา”
เนี่ยหลีย่ ิ้มขณะที่ตอบเซี่ยวหยู่
“เจ้าเพียงแค่พบกับนางเพียงเท่านัน้ มิหนาซ้ายังพึ่งพบ เจ้า
มั่นใจได้อย่างงั้นหรือ?”เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้วพร้อมตอบด้วย
น้าเสียงที่ไม่พอใจ

“ใช่”เนี่ยหลี่พยักหน้าตอบอย่างจริงใจ

เมื่อเห็นว่าดวงตาของเนี่ยหลีต่ ราตรึงอยู่กับหญิงนางนั้น โดยไม่


ทราบสาเหตุว่าทาไมจิตใจของเซี่ยวหยู่ถึงเต็มไปด้วยความไม่
พอใจหงุดหงิดเป็นอย่างมาก “หากเจ้าไว้ใจนางมากนักก็ตามใจ
มันก็ไม่ใช่ธุระของข้า!”เซี่ยวหยู่ หันไปรอบๆก่อนจะก้าวขึ้นขั้น
ต่อไปอย่างไม่สนใจเนี่ยหลี่

เมื่อมองไปยังเซี่ยวหยู่ เนีย่ หลี่ถึงกับเกิดความสับสนขึ้นมาในใจ


เกิดอะไรขึ้นกับเขา?

อิงเยว่หลู่ มองไปที่เซี่ยวหยู่อีกครั้ง ก่อนปรากฏรอยยิ้มที่แฝงไป


ด้วยความหมายบนใบหน้านาง นางหันกลับไปมองเนีย่ หลี่อีก
ครั้งแล้วยิ้มให้ “ดูเหมือนว่าสหายของเจ้าจะไม่ต้อนรับข้า
เท่าไหร่นัก แต่อย่างไรเสีย ข้าก็ได้จาชื่อของเจ้าไว้แล้ว เนี่ยหลี่
ข้าเชื่อว่าเราจะต้องได้พบกันอีกครัง้ ในเวลาไม่นานนี้แน่นอน!”

อิงเยว่หลู่ ยิ้มกริยาของนางเต็มไปด้วยความสงบ ในขณะที่นาง


เดินลงบันไดเสน่ของนางได้ดึงดูดสายตาผูค้ นเอาไว้ให้มองได้มา
ยังที่นางเพียงเท่านั้น นางช่างสง่างามอย่างแท้จริง

เหล่านักเรียนมองอิงเยว่หลู่จากไปก่อนจะหันมามองทางเนี่ยหลี่
ด้วยสายตาที่เป็นปฏิปักษ์ ในพวกเขาหลายคนได้รู้ว่านางคืออิง
เยว่หลู่อยู่แล้ว แต่พวกเขาสัมผัสได้ว่าตัวตนของนางนั้นไม่เป็นที่
แน่ชัด บรรดาผู้ที่ไปถึงขั้นที่ 130 ได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา

พวกเขาหลายคนมีความรู้สึกด้อยไม่คู่ควรเวลาที่มองไปยังนาง
เลยทิ้งความคิดที่จะเข้าใกล้นาง แต่ถึงอย่างนั้น เนี่ยหลี่กลับมี
โอกาสได้พูดคุยกับนางผู้เปรียบเป็นเทพธิดาในดวงใจของพวก
เขาทาให้พวกเขารู้สึกอิจฉาอย่างยิง่ หลู่เปียวมองเนี่ยหลี่อย่าง
ขมขื่น “เนี่ยหลี่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง
ของผู้คนไปแล้ว!”
นอกจากหลู่เปียวจะไม่ทราบถึงวิธกี ารอันใดที่เนี่ยหลี่กระทา
เพื่อเทพธิดาคนนั้นมาคุยด้วย หรือว่าเนี่ยหลี่อาจจะมีสมบัติ
วิเศษติดตัวเอาไว้ทาให้มเี สน่ห์ดึงดูดได้แม้กระทั่งหญิงงามดุจ
เทพธิดาคนนั้น? (ในหัวเอ็งคิดแต่เรื่องนี้ใช่ม้ายย)

“ไม่ต้องใส่ใจกับพวกนั้นหรอกน่า ไม่จาเป็นต้องไปสนใจสายตา
ผู้อื่นที่จ้องมานัก เจ้าควรจะกังวลกับตัวเจ้าเองมากกว่านะ หาก
เจ้าสามารถโดดเด่นได้มากกว่าผู้อนื่ เจ้าก็จะไม่จาเป็นที่จะต้อง
กังวลเกี่ยวกับคนเหล่านั้นว่าจะคิดกับเจ้ายังไง”เนี่ยหลี่พูด
ขณะที่ก้าวขึ้นไปยังขั้นต่อไป

หลู่เปียวครุ่นคิดกับคาพูดของเนี่ยหลี่ และทาให้เขาตระหนัก
ได้มากขึ้น ทาไมเนีย่ หลีต่ ้องพูดอะไรที่มันเป็นปรัชญาเข้าใจยาก
ด้วยนะ? แต่เขาก็ยังคงเร่งก้าวขึ้นขั้นต่อไป (ถึงจะไม่รู้เรื่องแต่
ทาๆไปก่อนงั้นสินะ)
เซี่ยวหยู่ จัดระเบียบการหายใจของเขาในขณะที่เขามาถึงขั้นที่
120 แต่เมื่อเขาพยายามจะก้าวไปยังขั้นที่สูงขึ้นปรากฏว่าเขาไม่
สามารถทาได้ มันดูเหมือนว่าความเข้าใจเกี่ยวกับพลังฟ้าและ
ดินของเขาน้อยกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหญิงสาวนางนั้น
แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาก็ทาได้เพียงหยุดอยู่ที่ขั้นนั้น

เซี่ยวหยู่ หันกลับมา มองไปที่เนี่ยหลี่และหลูเ่ ปียว ก็รสู้ ึก


หงุดหงิดอยู่ในใจเล็กน้อย เนี่ยหลีแ่ ค่พบพานหญิงสาวและได้
พูดคุยกันและเขาได้เตือนเนี่ยหลี่เกี่ยวกับนาง เซี่ยวหยู่หงุดหงิด
จนต้องพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นจึงได้เริ่มทาการบ่มเพาะ
พลังอยู่ที่ขั้นนั้นต่อไป

ภายนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

เกิดความโกลาหลวุ่นวายในหมู่คนที่อยู่ภายนอก

“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? เซี่ยวหยูข่ ึ้นไปอยู่อันดับที่11!”


“นี่มันต้องผิดพลาด ต้องเป็นความผิดพลาด?! พวกเจ้าบางส่วน
จงเข้าไปในด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่งแสงและตรวจสอบดู นี่
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! ไปสืบดูว่าเซี่ยวหยูม่ ันใช้กลโกง
อะไร?”ฮัวหลิง คารามออกมาด้วยความโกรธ เขาไม่เคยคาดคิด
ว่าเซี่ยวหยู่จะมีอันดับนาหน้าเขาไป
ไอ้ขยะเซีย่ วหยู่มันทาได้ยังไง?

ฮัวหลิงรูส้ ึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาเคยมีความรูส้ ึกหวาดหวั่น


ต่อเซี่ยวหยู่ หลังจากการทดสอบรากวิญญาณแล้วเซี่ยวหยูม่ ี
รากวิญญาณฟ้าขั้นที่ 7 ใครจะสามารถจินตนาการได้ถึง
ความสามารถที่ได้ระเบิดออกมา?ตอนนี้ความกลัวของเขาได้
กระตุ้นความรูส้ ึกอยากสังหารใครสักคน

ในขณะที่เอี๋ยนห่าวที่อยู่หา่ งออกไปมองเห็นรายชื่อเซีย่ วหยู่ใน


อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมาก ชื่อของ
เซี่ยวหยูไ่ ม่เคยปรากฏขึ้นในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
แม้กระทั่งอันดับที่ดีทสี่ ุดที่เขาเคยทาได้นั่นก็คือ อันดับที่ 121
ถึงแม้ว่าอันดับของเขาจะถูกลดลงอย่างง่ายดาย แต่เซี่ยวหยู่
กลับไปถึงอันที่ 11 !นั่นคือความสูงที่ตัวเขาไม่สามารถจะเอื้อม
ถึง!

จากข้อมูลที่ผา่ นๆมา ผู้ที่สามารถเข้ามายัง 20 อันดับแรกได้นั้น


ได้กลายเป็นผู้เยีย่ มยุทธเมื่อเติบโตขึ้น และกลายเป็นผู้ที่
สามารถควบคุมพื้นที่ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ได้!

อยู่ดีๆก็เกิดช่องว่างระหว่างเอี๋ยนห่าวกับเซี่ยวหยู่

เอี๋ยนห่าวกลายเป็นโง่งม เล็กน้อย ในอดีตที่ผ่านมาเขาคิดว่า


เซี่ยวหยู่เป็นเพียงแค่เศษสวะไร้ค่าที่มีดีแค่รูปลักษณ์เพียง
เท่านั้น แต่ตอนนี้ปรากฏว่าขยะนัน้ ได้กลายเป็นเขาเสียเอง! เขา
จะเทียบกับเซี่ยวหยูไ่ ด้อย่างไร?

ทันใดนั้นก็มีเสียงปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง

“ดูเจ้าสองคนที่มาใหม่นั่นก็ได้เข้ามาอยู่ในอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง!”
“เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเหมือนสองคนนั้นจะมาจากโลกใบเล็ก!”

สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
อันดับของเนี่ยหลี่และหลู่เปียวกาลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง
หลู่เปียวได้หยุดอยู่ที่อันดับ 86 แต่เนี่ยหลีย่ ังขยับเพิ่มขึ้นไป
เรื่อยๆ

“โอ้สวรรค์!เขากาลังจะแซงอันดับของนายน้อยจินหยานแล้ว!”
สายตาทุกคนจับจ้องไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลี่
นั้นอยู่ที่อันดับ 16

พวกเขาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นทัง้ สองคนเพิ่มอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเพิ่งจะมาใหม่ในปีนี้ ไม่
เหมือนหลงยู่อินและจินหยานที่มพี ื้นหลังเป็นตระกูลใหญ่ แต่
พวกเขาก็ยังสามารถขึ้นไปในอันดับสูงได้นี่พวกเขาไม่คดิ จะให้
โอกาสกับผู้ทมี่ าก่อนเลยรึไง?
คนที่มาจากโลกใบเล็ก ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!

หนึ่งคนอยู่อันดับที่ 11 ส่วนอีกคนอยู่อันดับที่ 16 ไม่ต้องพูดถึง


เรื่องที่พวกเขาสามารถขึ้นมาอยู่ในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
ได้ หากพวกเขาทาการบ่มเพาะพลังต่อเนื่องละก็ใครจะรู้ว่าพวก
เขาสามารถไปได้ถึงขั้นไหน ? หากพวกเขาต้องการจะเข้าไปยัง
10อันดับแรกนั่นก็ต้องเป็นการท้าทายสวรรค์แล้ว
สิบอันดับแรกเป็นความฝันของคนหลายคน!

นอกจากนี้รางวัลของมันก็มากพอที่จะทาให้ผู้ที่มองเห็นน้าลาย
ไหลแล้ว

ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในสิบอันดับแรกแน่นอนทุกคนคือ
อัจฉริยะ เมื่อพวกเขาอยู่ในสิบอันดับแรกจะต้องเป็นที่ดึงดูด
จากสถาบันอย่างแน่นอน ตระกูลจิน

จินหยานกาลังฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้สัตว์อสูรของเขา คนรับใช้
รีบวิ่งมารายงาน “นายน้อย ข้ามีขา่ วร้ายจะมาเรียนให้
ท่าน” จินหยานขมวดคิ้วของเขาก่อนจะถามด้วยท่าทีขึงขัง
“เกิดอะไรขึ้น?”

“นายน้อยอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงของท่านได้ ลดลงไปอยู่
อันดับที่ 25”

“ใครเป็นคนที่นาหน้าข้าไป?เป็นผูใ้ ดกัน?”จินหยานยังอยู่ใน
ท่าทีสงบ มันเป็นเรื่องปกติมากที่อนั ดับจะมีการเปลี่ยนแปลง
เขาเพียงแค่ต้องการทราบอย่างละเอียดเท่านั้น

“คนหนึ่งชื่อว่าเซี่ยวหยู่ อยู่ในอันดับที่ 11 และเนี่ยหลี่อยู่อันดับ


ที่ 16 !”คนรับใช้รีบรายงาน

“เนี่ยหลี?่ ”จินหยานขมวดคิ้วสักครู่ เขาไม่เคยคาดคิดว่าเนี่ยหลี่


ที่อยู่ระดับเดียวกับเขาจะก้าวนาหน้าเขาไป เขาเป็นคนที่ถูกจัด
ให้เป็นรองจากหลงยู่อิน หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าเขาไม่สามารถ
แข่งขันกับนางได้และจัดให้เขาเป็นอันดับ สอง แต่ตอนนี้ความ
จริงที่เนี่ยหลี่ก้าวข้ามเขาไปทาให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
แววตาของจินหยานเย็นยะเยือก เขาต้องไปที่ด่านจิตวิญญาณ
แห่งแสงเพื่อทาการฝึกฝน เขาต้องก้าวข้ามเนี่ยหลี่ไปให้ได้ และ
ต้องบดขยีเนี่ยหลี่ด้วยฝ่าเท้าของเขาเอง!...จบแล้วครับ
บทที่ 279 หลงยู่อิน

ตระกูลผนึกมังกร

หลงยู่อิน ได้ทราบข่าวว่าเนี่ยหลี่และเซีย่ วหยู่ มีอันดับจิต


วิญญาณแห่งแสง 16และ11 ตามลาดับ

นางไม่ได้มีความสนใจเกีย่ วกับเซี่ยวหยู่แม้แต่นดิ แต่นาง


ค่อนข้างสนใจเนี่ยหลี่ที่มาจากโลกใบเล็กที่ไม่มีพื้นฐานใดๆ ไม่
ต้องพูดถึงทรัพยากรที่ใช้บ่มเพาะพลังมีอยู่อย่างจากัด แต่ความ
จริงที่ว่าเขาก้าวขึ้นมาอยู่อันดับสูงในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
หลงยู่อินสัมผัสได้ถึงการท้าทายอย่างรุนแรง

นับตั้งแต่นางยังเด็กนางเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นเหนือผู้อื่นในวัย
เดียวกัน นางไม่เคยได้รับความรู้สกึ ท้าทายเช่นนี้มาก่อน

นางลุกขึ้นและเดินออกไป ณ ตอนนั้นนางไม่ได้ตีค่าเนี่ยหลี่ไว้สูง
มากนัก แต่ตอนนี้นางได้ประเมินเนี่ยหลี่เอาไว้สูงเพิม่ ขึ้นแล้ว
ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้ากระชับเข้ารูป เผยสัดส่วนที่น่าประทับใจ
ของนาง ดาบยาวประดับอยู่ที่เอวเพรียวบางของนาง เรียวขาที่
เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง สร้างบรรยากาศกดดันให้แก่ผู้พบ
เห็น

แม้ว่าใบหน้าของนางจะสมบูรณ์แบบมากก็ตามที แต่แค่ชื่อของ
นางก็ทาให้บุรุษวัยเดียวกับนางหวาดกลัวจนอึแทบราด ชาย
หนุ่มรูปงามที่อายุราวๆ16-17 เดินเข้าไปถามนาง “น้องอิ้น เจ้า
กาลังจะไปไหน?”

“หูหย่ง เจ้าต้องการโดนข้าจัดการเจ้าอีกครั้งงั้นสิ?”หลงยู่อิน
พ่นลมหายใจของนางสร้างแรงกดดันให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งถาม
นางเมื่อครู่ ชายหนุ่มที่ได้ยินคาพูดของนาง ก็เกิดความ
หวาดกลัวขึ้นมา ขาของเขาไม่สามารถหยุดสั่นได้เลย
ด้วยการจ้องมองนั้น หลงยู่อินพูดอย่างเย็นชาว่า “เศษสวะ
อย่างเจ้าเนี่ยนะคิดจะแต่งงานกับข้า? หากเจ้าต้องการแต่งกับ
ข้า ก่อนอื่นก็จงเอาชนะข้าสิ!”
พูดจบหลงยู่อินก็เดินจากไปร่างของนางหายออกไปทางประตู
ทางเข้า

ชายหนุ่มได้แต่ยืนมองนางจากไป เอาชนะนางงั้นรึ? มันจะ


เป็นไปได้อย่างไร? ไม่มีบุคคลในวัยเดียวกันทีส่ ามารถประสบ
ความสาเร็จได้เทียบเท่านางเลย! ทางเข้าด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสงเต็มไปด้วยหัวข้อการสนทนามากมายต่างๆนานา

ประเด็นทีไ่ ด้รับความนิยมสูงสุดคงหนีไม่พ้น เนีย่ หลี่


และเซีย่ วหยู่ที่ได้เลื่อนอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงเข้าไปสู่อันดับ
สูงเมื่อไม่นานนี้ จริงๆแล้วหลู่เปียวก็ได้รับการพิจารณาไม่แพ้กัน
แต่เขาก็ต้องถูกบดบังรัศมี เนื่องจากเนี่ยหลี่และเซี่ยวหยู่

“อันดับที่ 11 จิตวิญญาณแห่งแสง ไม่ใช่ว่าเซี่ยวหยูเ่ ป็นขยะไร้


ค่าหรอกรึ? นี่มันเป็นไม่น่าเป็นไปได้!”
“หรือว่าเขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ได้แล้ว?”

“เนี่ยหลีผ่ ู้นี้มาจากไหน?ทาไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อมา
ก่อน?!”

“นั่นสิพวกนั้นมากจากที่ใดกันนะ?”

ในระหว่างที่พวกเขากาลังพูดคุยกันอยู่นั่นเอง ใครคนหนึ่งก็ได้
ตะโกนขึ้น

“หลงยู่อินมาที่น!ี่ ”

เหล่าฝูงคนที่กาลังพูดคุยอยู่กันนั้นก็แหวกทางมองมายังที่ที่
เดียว ทุกคนต่างมองด้วยความกลัว แม้ว่าหลงยู่อินจะเป็นผู้ที่
งดงาม พวกเขาก็ทาได้เพียงแค่แอบๆมองเท่านั้น ก่อนจะรีบ
เปลี่ยนมุมมองสายตาอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ? ไม่มีใครอยากกระตุ้นนาง นางเป็นหญิง
งามที่น่ากลัว นางทาให้คู่หมั้นของนางถึงกับพิการด้วยมือนาง
เอง

นอกเหนือความแข็งแกร่งจากการบ่มเพาะพลังของนางแล้ว
นางยังมีร่างกายที่แกร่งไม่แพ้กัน นางเป็นผู้มสี ายเลือดมังกร
และความจริงที่ว่านางมาจากตระกูลที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ผู้คนทาได้เพียงชื่นชมหลงยู่อิน จากเบื้องล่างของนางเท่านั้น ใน
ขณะเดียวกันนางก็เป็นผู้มาใหม่ทไี่ ด้อันดับ 10 ไปครองเป็นคน
แรก

สายตาของนางจ้องมองไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงก่อนจะ
ก้าวเดินเข้าไปในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

“หลงยู่อิน ได้เข้าสู่ดา่ นจิตวิญญาณแห่งแสง!”


“นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่า นายน้อยจินหยานเองก็ได้เข้าไป
แล้วเช่นกัน!”

“นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว!”

เมื่อ หานจิง หวังหยาง และพรรคพวกได้ยินข่าวนี้ ก็รีบมายัง


ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยเข้าด่าน
จิตวิญญาณแห่งแสงมาก่อน พวกเขาจึงตามคนอื่นๆเข้าไป

ภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลี่นั่งอยู่ในขั้นที่ 121


ขณะที่กาลังเชื่อมโยงเส้นทางแห่งสวรรค์ และได้รับรู้ถึงความ
ลึกลับของฟ้าและดิน

ขั้นที่เหนือกว่าขั้นที่ 121 เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่ให้เขาฝ่าเข้า


ไป หากเขายังคงฝืนขึ้นไปขอบเขตวิญญาณของเขาต้องเกิดการ
ระเบิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเนี่ยหลี่จึงไม่กล้าจะก้าวขึ้นไปต่อ
ขอบเขตวิญญาณภายในร่างของเขากาลังดูดซึมพลังงานฟ้าและ
ดิน

เนี่ยหลี่ปล่อยให้พลังฟ้าและดินเหล่านั้นเข้ามายังขอบเขต
วิญญาณของเขาจากนั้นจึงทาการปรับแต่งมันทีละนิดให้มัน
กลายเป็นพลังของเขาเอง
ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยหลี่ตอนนี้เปรียบได้กับน้าวนที่ดดู กลืน
พลังฟ้าและดินเข้ามา ในเวลาเดียวกัน ที่แห่งหนึ่งภายใน
สถาบันวิญญาณฟ้า ผู้เยีย่ มยุทธหลายคนนั่งคุยกันอยู่ทโี่ ต๊ะหิน

หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ สวมชุดคลุมสีเทา กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มี


คนไม่มากนักที่มากพรสวรรค์ในปีนี้ ยกตัวอย่างเช่นหลงยู่อิน
จากตระกูลผนึกมังกร นางมีสายเลือดมังกรแถมยังมีราก
วิญญาณฟ้าขั้นที่ 7 และถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 10 ในด่าน
ทดสอบ” ชายคนนี้มีนามว่า หนานเหมียน เทียนไห่ เป็นผู้
อาวุโสสถาบันวิญญาณฟ้าคอยดูแลเรื่องกิจกรรมต่างๆ
ผู้เยี่ยมยุทธที่ใส่ชุดคลุมสีขาว กล่าวว่า “หลงยู่อินจากตระกูล
ผนึกมังกรเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน” ชายผู้นี่คือ
หวงอวี้ เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส “เด็กใหม่ที่ชื่อ เนี่ยหลี่กไ็ ม่เลว
เลยทีเดียว เขาสามารถก้าวไปยังอันดับที่ 16 จิตวิญญาณแห่ง
แสง!”

หนานเหมียน เทียนไห่ ยิม้ แบบสบายๆ “มันเป็นจริง เด็กใหม่


สองคนที่มาจากโลกใบเล็กนั้นความสามารถไม่เลว แม้กระทั่ง
เซี่ยวหยู่กด็ ูเหมือนจะสามารถประสบความสาเร็จได้”

หวงอวี้ยิ้ม “สิ่งที่น่าประทับใจก็คือเด็กที่ชื่อเนี่ยหลี่นั่น ที่


สามารถเพิ่มความสามารถของตนเองโดยไม่มผี ู้หนุนหลังให้
ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังเหมือนตระกูลผนึกมังกร ดู
เหมือนว่าเขตตะวันออกจะได้รับเหล่าอัจฉริยะเพิม่ ขึ้นหลายคน
ในปีน!ี้ ”

พวกเหล่าอาวุโสกาลังให้ความสนใจสถานการณ์ภายในสถาบัน
วิญญาณฟ้า พวกเขาจับตาดูการกระทาของเหล่าอัจฉริยะ
ทั้งหมด เนี่ยหลี่และหลูเ่ ปียวก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้เรียบร้อย ใน
สายตาของพวกเขาทั้งสองจะกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจ
เป็นพิเศษเพื่อทาการฝึกสอน (ประมาณว่า ไม่มีพื้นเพยังเก่ง
ขนาดนี้ ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนอีกจะขนาดไหน แข่งขันกัน
ระหว่างอาจารย์)

ภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

เซี่ยวหยู่ เนีย่ หลี่และหลู่เปียว กาลังใจจดใจจ่ออยู่กับการฝึกฝน


ของพวกเขา จิตวิญญาณในที่แห่งนี้เป็นประโยชน์มากสาหรับ
พวกเขา นอกจากนี้พวกเขาตั้งใจจะฝึกฝนอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึง
ขีดสุดของเวลาที่จากัดไว้ ดังนั้นนีจ่ ึงเป็นสาเหตุให้พวกเขาฝึก
อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ทมี่ ีอยู่ใน ยี่สิบอันดับแรก
สามารถอยู่ฝึกฝนที่นี่ได้ถึงสามวันต่อเดือน เบื้องล่าง ที่บันได
ขั้นที่ 55 หวงอิ้ง มองไปยังเซี่ยวหยู่ด้วยแววตาที่เป็นประกาย

“จริงๆด้วย! การตัดสินใจของข้าไม่ได้ผิดพลาดพี่เซี่ยวหยู่
แข็งแกร่งจริงด้วย!”หน้าของนางแดงเป็นมะเขือเทศ แทนที่จะ
จดจ่อกับการฝึกฝนนางจ้องมองไปที่เซี่ยวหยู่แทน
เมื่อเห็นสายตาของฮวงอิ้งที่มองเซี่ยวหยู่แล้ว เอี๋ยนห่าวเริม่ ก้าว
ขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมาถึงขั้นที่56เขาก็ไม่สามารถ
จะก้าวขึ้นต่อไปได้
“นี่ข้ากาลังจะแพ้ไอ้ขยะนั่น?!”เอี๋ยนห่าว โกรธมากจึงพยายาม
จะก้าวขึ้นขั้นที่ 57 แต่ทันใดนั้นก็มีพลังบางอย่างได้กระแทกตัว
เขาออกไปอย่างรุนแรง

*บูม*

เขารู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งเข้าปะทะกับแดนวิญญาณ เอี๋ยนห่าว
ได้กระอักเลือดออกมาคาหนึ่งก่อนจะกระเด็นลอยไปตกอยู่ที่
พื้นดินด้านหลังนี่คือชะตากรรมของผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่
เพียงพอ แต่ยังคงต้องการต่อต้านสวรรค์แห่งเต๋า

เอี๋ยนห่าวกาหมัดแน่นทุบกระแทกไปที่พื้นดิน แม้ว่าเขาไม่
อยากยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่สามารถทาอะไรได้
เมื่อเหล่านักเรียนที่ยืนดูอยู่นั้น เห็นเอี๋ยนห่าวถูกผลักกระเด็น
ออกมาพร้อมกับกระอักเลือด สายตาอันเวทนาก็จ้องมองไปที่
เอี๋ยนห่าว นี่เป็นผลมาจากการดันทุรัง ถ้าหากความแข็งแกร่ง
ของเจ้าไม่เพียงพอเจ้าก็แค่หยุดแล้วทาการบ่มเพาะพลังต่อไป
ทาไมต้องฝืนทาเช่นนั้นด้วย?

“นั่น นั่นคือจินหยาน”

“อะไรกัน? แม้กระทั่งหลงยู่อินที่อยู่ในอันดับสิบ ก็เข้ามายัง


ที่นี่!”

ความสนใจของผู้ที่อยู่บริเวณด่านจิตวิญญาณแห่งแสงถูกดึงดูด
จากหลงยู่อิน แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆพวกเขาหลับตาลง
และทาการบ่มเพาะพลังต่อไป เพราะกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น
จากหลงยู่อิน

หลงยู่อินไม่ใส่ใจสายตาที่มองมาเมือ่ ครู่ นางก้าวไปยังแท่นบูชา


ดวงตานางจับจ้องไปยังเซี่ยวหยู่และเนีย่ หลี่ที่กาลังทาการฝึกฝน
บ่มเพาะพลังอยู่ เนื่องจากทั้งคู่อยากท้าทายตาแหน่งมากนัก
นางจะไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสทาเช่นนั้น!

นางต้องการบอกว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นอัจฉริยะของแท้ของที่นี่!

จินหยานที่ยืนอยู่ดา้ นข้างกวาดสายตาไปมองหลงยู่อิน เขาไม่


คาดคิดเลยว่าหลงยู่อินจะมาที่นี่ หลังจากที่รู้ถึงความสามารถ
อันน่าสะพรึงกลัวของนาง ทาให้จนิ หยานทาตัวไม่ถูก เขามั่นใจ
ว่าสามารถเอาชนะเนีย่ หลีไ่ ด้ แต่กบั หลงยู่อินเขาไม่มโี อกาส
แม้แต่น้อย

เนี่ยหลี่ทาการบ่มเพาะพลังอยู่อย่างเงียบๆ ความเข้าใจฟ้าและ
ดินของเขาเพิ่มมากขึ้น และเสถียรมากยิ่งขึ้น เถาวิญญาณในตัว
เขายังทาหน้าที่เป็นวังน้าวนที่ดูดกลืนพลังฟ้าและดินอย่าง
ต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันนักเรียนสองคนทีท่ าการบ่มเพาะพลังอยู่ไม่ไกล
จากเนี่ยหลี่ สัมผัสได้ถึงพลังฟ้าและดินที่เบาบางลง พวกเขา
มองมาที่เนี่ยหลี่ด้วยความประหลาดใจ

ชายคนนี้บ่มเพาะพลังแบบใด?นี้มันแปลกประหลาดเกินไป !
พลังฟ้าและดินที่อยูโ่ ดยรอบถูกดูดกลืนจนเกือบเหือดแห้งโดย
เนี่ยหลี!่

หากพวกเขายังทาการบ่มเพาะอยูท่ ี่นี่ต่อ ความเร็วในการบ่ม


เพาะของพวกเขาจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

นักเรียนสองคนนั้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินจากไปให้ไกลเพื่อที่จะ
ไม่ได้รับผลกระทบจากเนี่ยหลี่

เนี่ยหลีร่ ู้สึกว่าระดับพลังของเขาเพิม่ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน


เขาอยู่ที่ระดับตานาน 5 ดาวแล้ว หลังจากมาถึงอาณาจักรซาก
มังกรความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า
เมื่อเทียบกับตอนที่อยูโ่ ลกใบเล็ก ! หากเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ภายในหนึ่งเดือนเขาอาจจะก่อรูปชะตาวิญญาณและทะลวงเข้า
สู่ระดับชะตาสวรรค์!

ในขณะที่แดนวิญญาณยังคงหมุนดูดซับพลังอยู่นั้น จูๆ่ เนี่ยหลี่ก็


รู้สึกถึงกลิ่นอายที่กดดันมา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาพบว่าหลงยู่อิน
กาลังเดินมาในทิศทางที่เขาอยู่ ใบหน้าสวยงามราวปติมากรรม
น้าแข็งที่แม้จะผ่านไปหมื่นปีกไ็ ม่ละลาย ดวงตาคู่นั้นที่ทาให้
รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหนาแน่น

เหตุใดนางจึงมาที่นี่ ? ในขณะที่เนีย่ หลี่คดิ ว่าทาไม อาจารย์ของ


เขาถึงต้องถูกฆ่าโดยหลงยู่อินและพรรคพวกของนาง อารมณ์
ของเนี่ยหลี่ก่อเกิดเป็นปฏิปักษ์ อาฆาตแค้นไปทั่วดวงตา ใน
ชีวิตนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้งอย่าง
แน่นอน

ในฐานะที่ผู้หญิงคนนี้คือ หลงยู่อิน เขาต้องหลีกเลี่ยงนางไปให้


ไกลและลืมนางเสีย เพื่อจะได้ไม่สง่ ผลกระทบเป็นระลอกคลื่น
ให้กับชีวิตใหม่ของเขา
เนี่ยหลี่ทาตามคาสัญญาก่อนหน้านี้ที่เขาให้ไว้กับอาจารย์ ไม่
แสวงหาการแก้แค้นหลงยู่อิน แต่เขาจะไม่ให้หลงยู่อินมีโอกาส
อีกครั้ง เนี่ยหลี่จะต้องบ่มเพาะพลังให้ไปในระดับทีส่ ูงกว่านาง
จนนางไม่อาจเทียบได้ หลังจากนัน้ เพื่อความมั่นใจ เขาจะนา
หลงยู่อินไปให้ไกลให้พ้นจากที่นี่ให้มากที่สุด
บทที่ 280 การเฆี่ยนสามครั้ง

หลงยู่อินก้าวขึ้นต่อไปเรื่อยตรงไปที่เนี่ยหลี่ ในขณะที่นางเดิน
มาถึงระดับทีเ่ นี่ยหลี่อยู่นางก้มมองและยิ้มให้เขาอย่างเย็นชา
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาได้ถึงระดับนี้ แต่ด้วยสถานะอันต่า
ต้อยของเจ้าแล้ว นี่คงจะเป็นขีดจากัดของเจ้าแล้วใช่ไหม?”

คาพูดของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่มีต่อเนีย่ หลี่

สิ้นคาพูดของหลงยู่อิน เนีย่ หลี่กต็ ะคอกออกมา “หลงยู่อิน เจ้า


คิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะเก่งกาจมากงั้นรึ? เจ้าคิดว่าเจ้าวิเศษมาก
งั้นเชียว? หากไม่ได้ทรัพยากรจากตระกูลเจ้าคอยหนุนหลังตัว
เจ้ามันก็ไม่มีอะไรเลย! ก็เช่นเดียวกับที่เจ้าได้กล่าวมา ตระกูล
ผนึกมังกรนีส้ ามารถเปลีย่ นขยะให้เป็นอัจฉริยะได้โดยแท้ หาก
ปราศจากตระกูลผนึกมังกรแล้ว เจ้ามันก็ไม่แตกต่างอันใดกับ
ขยะ!”
หลงยู่อิน ไม่คาดคิดเลยว่าเนี่ยหลีจ่ ะกล้าต่อว่านาง!
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าขยะ?!”ดวงตาหลงยู่อินเต็มไป
ด้วยความกระหายเลือด ความเย็นชาที่เปล่งออกมาเพื่อ
ต้องการสังหารเนี่ยหลี่ นับตั้งแต่นางยังเด็กไม่มีผู้ใดที่จะ
หาญกล้าเรียกขานนางว่าขยะ!

เนี่ยหลีห่ ัวเราะอย่างเย็นชา “หลงยู่อิน หากไม่มตี ระกูลเจ้า เจ้า


มันก็แค่เศษของขยะ จะเรียกขยะยังไม่เต็มปาก เจ้าคิดว่า
สายเลือดมังกรของเจ้ามันน่ากลัวนักหรือ? ฮ่า ฮ่า ในสายตา
ของข้าสายเลือดมังกรก็ไม่ได้นับว่าแตกต่างจากขยะ!”เนี่ยหลี่
เต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อหลงยู่อิน

แต่เดิมบุคลิกของเนี่ยหลี่ จะไม่โกรธแค้นได้ง่ายๆ แต่เขายังคง


นึกถึงคาพูดของหลงยู่อินที่กดดันให้อาจารย์ของเขาให้ไปสู่
ความตาย

“เหตุใดข้าจะไม่กล้าตาหนิเจ้า ? คนอื่นอาจจะกลัวเจ้าแต่ข้า
เนี่ยหลี่ ไม่เคยเกรงกลัวเจ้า คนชั่วช้าสารเลวอย่างเจ้าที่พูดจาโอ้
อวดไปวันๆ สมควรถูกตัดลิ้นแล้วเอามาทอดลงน้ามันเสีย!”เนี่ย
หลี่กล่าวอย่างเย็นชาสุดขีด
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าสารเลวเช่นนั้นเหรอ...ใบหน้าของหลงยู่อิน
ซีดผงะไป นางชี้ไปยังเนี่ยหลี่ “นี่เจ้ากล้าเรียกข้าแบบนี้จริงๆ
ใช่มั้ย ?! ข้าจะทาลายเจ้าทาลายครอบครัวของเจ้าไม่ให้เหลือ!”
นางเคยว่ากล่าวโจมตีถึงเพียงนี้มาก่อนหรือ? เมื่อทุกคนมอง
มายังที่นางก็บังเกิดความกลัวขึ้นในตา นางอยู่เหนือกว่าผู้ใดจะ
เทียบได้แล้วในช่วงวัยเดียวกัน จะมีใครกล้าตาหนิติเตียนนางว่า
สารเลวอย่างที่เนี่ยหลีไ่ ด้ทากัน?

“หลงยู่อิน เจ้ามันก็แข็งแกร่งแค่เพียงภายนอก แต่ภายในนั้น


ช่างอ่อนแอ คนที่เข้ามาตีสนิทชิดเชื้อกับเจ้าก็แค่หวังจะพึ่ง
ความแข็งแกร่งของตระกูลเจ้าเท่านั้น หากไม่มตี ระกูลเจ้า เจ้า
ไม่ใช่เพียงเศษขยะหรอกหรือ อัจฉริยะบ้าบออะไรกัน ? ช่างน่า
ขันนัก! หากเจ้าคิดว่าเจ้าแน่จริงก็จงมาแข่งกับข้า เจ้าคิดว่า
อันดับที่สิบจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นอะไรที่น่ายาเกรง? สักวัน
ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ เกี่ยวกับความภาคภูมิใจของเจ้านั้นคืออะไร
มันเป็นเพียงสิ่งไร้สาระ!”
หลงยู่อินโกรธจัดจนถึงจุดที่อกนางจะระเบิดออกมาเพราะ
ความโกรธ นี่นับเป็นครั้งแรงที่นางถูกใครบางคนทาให้โกรธ

หลงยู่อินกาหมัดแน่นจ้องมายังเนีย่ หลี่ “มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่


กล้ากล่าวว่าข้าเช่นนี้ ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าความห่างชั้นของ
ข้ากับเจ้ามันราวฟ้ากับเหว! การแข่งขันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ฮ่าๆ
ช่างปัญญาอ่อน ไม่มีใครกล้าพูดกับข้า หลงยู่อินคนนี้มาก่อน ดี
ดี ข้าจะมอบความพ่ายแพ้ให้กับเจ้าให้เจ้าได้สานึกถึงความต่าง
ระหว่างข้ากับเจ้า! เอาแบบนี้เป็นไง หากเจ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ข้าจะเฆีย่ นเจ้าแรงๆสามครั้ง หึเจ้ากล้ายอมรับคาท้าข้ารึไม่?”

เนี่ยหลีย่ ังไม่ได้บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ด้วยซ้า การเฆี่ยน


แรงๆจากหลงยู่อินสามครั้งก็นับว่าเพียงพอต่อการเอาชีวิตเขา
แล้ว!

“เหตุใดข้าจักไม่กล้า? แล้วข้าก็จะขอใช้เงื่อนไขเดียวกับเจ้า
ระยะเวลาที่กาหนดก่อนวันนี้จะจบลง หากเจ้าพ่ายแพ้ข้าก็จะ
เฆี่ยนเจ้าสามครั้งเช่นเดียวกัน!”เนี่ยหลี่หรี่ตาจ้องหลงยู่อินด้วย
แววตาที่เย็นชา “เจ้ากล้าพอรึไม่?”
เนี่ยหลี่ทราบดีว่า สาหรับหลงยู่อนิ ผู้มีสายเลือดมังกรนั้น
โดยทั่วไปแล้วการเฆี่ยนตีสามครั้งไม่ได้ส่งผลอันใดกับนางเลย
แต่สาหรับบุคคลเช่นหลงยู่อินแล้ว การถูกเฆี่ยนตีสามครั้ง เป็น
สิ่งที่ยากจะยอมได้ ให้นางตายเสียยังดีกว่า หลงยู่อินหัวเราะ
อย่างเย็นชา “เหลวไหล! เข้าพูดว่าข้าจะพ่ายแพ้?”

เนี่ยหลีย่ ังจ้องหลงยู่อินอย่างไม่ละสายตา “คาถามคือ เจ้ากล้า


หรือไม่?”

หลังจากถูกสายตาคมกริบของเนี่ยหลี่จ้องมองมา หลงยู่อินมี
หรือจะยอมได้? นางพ่นลมหายใจออกมาก่อนพูดว่า “เรื่อง
อะไรข้าจะไม่กล้า ? ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างบนนั่น!”

เมื่อพูดจบ หลงยู่อินก็หันหลังไปแล้วก้าวขึ้นขั้นต่อไป ขั้นที่หนึ่ง


ร้อยยี่สิบหก ขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สบิ เจ็ด
เซี่ยวหยู่มองไปที่เนี่ยหลี่และหลงยูอ่ ิน ร่อยรอยความกังวลเผย
ออกมาจากแววตาของเขา เขาคิดไม่ตกว่าเหตุ เนีย่ หลีต่ ้องไป
ยั่วยุนางด้วย ถ้าหลงยู่อินเฆี่ยนตีเนี่ยหลีส่ ามครั้งนั่นก็เพียง
พอที่จะทาให้เนี่ยหลีจ่ บชีวิตแล้ว! เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้วมองไปที่
เนี่ยหลี่ เขาไม่เคยเห็นคนที่บ้าบิ่นเช่นนี้มาก่อน

รวดเร็วดุจไฟป่า ข่าวได้กระจายออกไปทั่วด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสง ว่าด้วยเรื่องการเดิมพันของเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน

“อะไรนะ?? เจ้าเด็กเนี่ยหลี่นั่นยอมรับคาท้าดังกล่าว?”

“ใช่แล้ว เด็กเนี่ยหลี่นั่นหวังสูงเกินไปจริงๆ ช่างยโสโอหังนัก!


แม้ว่าความสามารถของเขาจะแข็งแกร่งกว่าหลงยู่อิน แต่มัน
เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะหลงยู่อินภายในเวลาหนึ่งวัน !”

“จากทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เมื่อมาถึงขั้นที่หนึ่งร้อย
ยี่สิบ ขั้นตอนต่อๆไปจะยากขึ้นราวกับปีนขึ้นฟ้า เจ้าเนี่ยหลี่นั่น
ช่างหยิ่งผยองและหลงตัวเองยิ่งนัก!”
“การเฆี่ยนสามทีของหลงยู่อิน จะฆ่าหมอนั่นแน่นอน!”

จานวนของผู้ที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสงมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทั้งหมดมาเพื่อเหตุผลเดียว
นั่นคือการจะได้เห็นผลเดิมพันธ์ระหว่างเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน

เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆในสถาบันวิญญาณฟ้า

หนานเหมียน เทียนไห่ และ หวงอวี้ ได้สังเกตเหตุการณ์ภายใน


ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงอย่างใกล้ชิด เมื่อพวกเขาเห็นการเดิม
พันที่เกิดขึ้นนี่ ช่วยไม่ได้ที่การแสดงออกของพวกเขากลายเป็น
จริงจังขึ้นมา

หนานเหมียน เทียนไห่ขมวดคิ้วของเขาก่อนกล่าวว่า “แม้ว่า


ความสามารถของเด็กเนี่ยหลี่คนนัน้ จะดีมากแต่เขาหยิ่งผยอง
เกินไป! เขาจะเดิมพันกับหลงยู่อินได้อย่างไร? ถ้าเขาแพ้ การ
เฆี่ยนตีสามครั้งจากหลงยู่อินจะฆ่าเขา! และหากแม้ว่าเขาชนะ
ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี นั่นมิใช่ว่าเป็นความอัปยศอดสูของหลงยู่
อินหรอกหรือ ในทางกลับกันเขาก็จะต้องถูกตระกูลผนึกมังกร
จัดการ!”

หวงอวี้ ถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องที่


หลีกเลี่ยงไม่ได้สาหรับการกระทาอันบ้าบิ่นนี้ หลงยู่อินน่าจะไป
พูดบางสิ่งบางอย่างที่ทาให้เขาโกรธขึ้นมา”

พวกเขาคิดสภาพไม่ออกเลยถึงผลที่จะตามมาจากเรื่องใน
เหตุการณ์นี้ หากเรื่องนี้มันเลยเถิดเกินควบคุม พวกเขาคง
จะต้องก้าวเข้าไปยุ่งด้วยเสียแล้ว!

กลับมาที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

หลงยู่อินก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าก่อนจะหยุด เมื่อ
นางมาถึงขั้นนี้นางก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปยังขั้นต่อไปได้อีก
นางหันกลับมากวาดตามองเนีย่ หลี่ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะ
นั่งลงอยู่ที่ขั้นนั้น จากขั้นตอนที่หนึ่งร้อยยี่สิบขั้นต่อๆไปจะเป็น
การก้าวเดินที่ยากลาบากเป็นอย่างมาก อัจฉริยะทุกคนเมื่อ
มาถึงจุดนี้ก็จะต้องพบกับอุปสรรคในการก้าวเดินขึ้นต่อไปอีก
ขั้น

หลงยู่อินรูส้ ึกว่าหากนางเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังขึ้นอีก
เล็กน้อย นางก็จะสามารถก้าวขึ้นไปยังขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบได้
นั่นหมายความว่าในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงนางจะ
กลายเป็นผู้ที่มีอันดับ 9

เนี่ยหลี่ที่พยายามจะเอาชนะนาง มันเป็นเพียงความฝัน
ลมๆแล้งๆของคนสติฟั่นเฟืองเท่านั้น!

ครั้งแรกที่นางได้เข้ามายังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง นางได้ก้าว
มาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า ก่อนที่จะหยุด และหลังจากทาการ
บ่มเพาะพลังต่อไปอีก สองถึงสามเดือนนางก็ขยับเพิ่มขึ้นมาได้
อีก สี่ ขั้น
ในขณะเดียวกันเนี่ยหลี่ก็ได้ทาการ บ่มเพาะพลังสวรรค์อย่าง
ต่อเนื่อง และในที่สุดเขาก็ได้ขึ้นมายังขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสอง
แล้ว

เมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้ว ทุกคนก็หันกลับมามองเนีย่ หลีด่ ้วยความ


สนใจ เนี่ยหลี่สามารถบ่มเพาะพลังได้เร็วจนเหลือเชื่อ แล้วเขาก็
กาลังจะก้าวขึ้นขั้นต่อไปแล้ว

การก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวจากขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบนั้นอย่างที่ทราบ
กันดีอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเนื่องจากขอบเขตวิญญาณที่
มีอยู่อย่างจากัดของผู้ที่อยู่ตาว่าระดับชะตาสวรรค์ ในบรรดาผู้
ที่ยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์นั้นสามารถไปขั้นที่ หนึ่งร้อย
สามสิบแปดนั่นนับว่าสูงสุดแล้ว! ที่ได้รับการบันทึกในรอบ
หลายพันปีมานี!้

สายตาทุกคนจับจ้องไปยังพวกเขาทั้งคู่
มุมปากของหลงยู่อินกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ฮึ่ม เขาสามารถก้าว
ขึ้นมาได้ แล้วยังไง? ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ข้าก็ขึ้นมาถึงขั้นที่หนึ่ง
ร้อยยี่สิบห้า” นางยังคงเงียบและทาการบ่มเพาะพลังของนาง
ต่อไปเพื่อจะสามารถก้าวขึ้นไปยังขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบ

อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

ชื่อของหลงยู่อินขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 9

ผู้ที่ยืนมองศิลาอันดับจิตวิญญาณก็เกิดความวุ่นวายขึ้น

“โอ้สวรรค์!หลงยู่อินเลื่อนอันดับขึน้ มาอยู่อันดับที่ 9 แล้ว!”

“ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ นีม่ ันน่ากลัวเกินไปแล้ว!”

“ดูเหมือนว่าเนีย่ หลีจ่ ะพ่ายแพ้ซะแล้ว ความห่างชั้นระดับนี้


ไม่ใช่สิ่งที่จะก้าวข้ามกันได้ง่ายๆ!”
หลงยู่อินเป็นอัจฉริยะของหลายปีมานี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันเป็นเรื่องยากมากที่ผมู้ าใหม่จะเลื่อนขึ้นอยู่ในอันดับสูง
ภายในเวลาไม่กเี่ ดือน

เนี่ยหลี่ทไี่ ด้ทาการเดิมพันธ์กับหลงยู่อิน นั่นเป็นความผิดพลาด


ที่ยิ่งใหญ่ทสี่ ุดในชีวิตเขา ช่างโง่เขลานักด้วยระดับอย่างหลงยู่
อิน แค่คิดว่าจะชนะก็ทาได้อย่างทีพ่ ูดอย่างง่ายดาย?

จินหยานยืนอยู่บนขั้นที่ หนึ่งร้อยสิบเก้า มากทีส่ ุดสาหรับเขา


แล้ว เขาไม่สามารถจะก้าวขึ้นไปได้อีก เขาได้พยายามลอง
หลายครั้งแล้ว แต่ขอบเขตวิญญาณเขาดูเหมือนจะได้รับแรง
กดดันอย่างน่ากลัว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นพบกับเนี่ยหลี่และหลงยู่
อิน ในตาเขาก็เต็มไปด้วยความริษยา

จินหยานนั้นไม่เป็นไรหากจะพ่ายแพ้ให้กับหลงยู่อิน แต่เพราะ
เหตุใดเขาถึงไม่สามารถจะชนะเนีย่ หลีไ่ ด้ ? หัวใจของเขาตอนนี้
เต็มไปด้วยความไม่พอใจมากมาย
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน เขาก็ยังทาได้แค่ยืน
มองเนี่ยหลี่และหลงยู่อินจากระยะไกล เขาไม่เชื่ออย่างที่สดุ ว่า
เนี่ยหลีจ่ ะสามารถชนะหลงยู่อินได้ ตัวตนของหลงยู่อินไม่
สามารถทาให้พ่ายแพ้ด้วยบุคคลธรรมดาสามัญ ต้องการมีชัย
เหนือหลงยู่อินงั้นรึมันไม่มีวันทาได้!

เซี่ยวหยู่มองเนีย่ หลีด่ ้วยความกังวล ไม่มีเหตุผลเลยทาไมเนี่ยห


ลี่ถึงต้องเดิมพันด้วย

เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเขามาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสอง
เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ส่งมายังเขา

เนี่ยหลี่ครุ่นคิดกับตัวเอง ‘หากเป็นอย่างที่อาจารย์บอกข้าใน
ชีวิตก่อนหน้านี้ แรงอาฆาตในตัวข้านี้นั้นมีมากเกินไป แม้แต่ฟ้า
และดินที่คอยรองรับแรงอาฆาตแค้นนับหมื่นนับแสนของ
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ยังไม่ยอมรับ ดังนั้น
การเส้นทางสวรรค์จะเปิดทางยอมรับข้าคงเป็นเรื่องที่ยาก
เกินไป’อย่างไรก็ตาม ขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสองนี้ ยังไม่ใช่ขีดจากัด
ของเขา หากเขามาติดอยู่แค่ขั้นทีห่ นึ่งร้อยยี่สิบสอง การที่เขา
ได้รับชีวิตทีส่ องมานี้จะไม่เป็นการขายหน้าหรือ ?

เนี่ยหลีย่ ืนอยู่บนขั้นที่หนึ่งร้อยยีส่ บิ สอง ดวงตาทั้งสองข้างปิด


ลงและเริ่มบ่มเพาะ [พลังเทพวิถีฟ้า] เทคนิคการบ่มเพาะ [พลัง
เทพวิถีฟ้า] เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากนการสื่อสารพลัง
ฟ้าและดิน บทแรกของเทคนิค [พลังเทพวิถีฟ้า]: วิถีฟ้าสาดส่อง
ห่อหุ้มสวรรค์แต่ไม่อาจครอบครอง มหาวิถียิ่งใหญ่ไร้ซึ่งการ
โต้แย้ง รู้แจ้งแต่ไม่อาจคาดเดา (โอ้ ชิท มันคืออะไร ?)

เนี่ยหลี่ พึมพาบทแรกของ เทคนิค[พลังเทพวิถีฟ้า] ซ้าไปซ้ามา


เกิดการหลั่งไหลของกลิ่นอายขนาดใหญ่ออกมาจากร่างของ
เนี่ยหลี่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ
บทที่ 281 ตีตรงไหน ?

พลังสวรรค์ได้รับผลกระทบและเริม่ หมุนวนอยู่รอบๆ เนี่ยหลี่

หลงยู่อิน สัมผัสได้ถึงบางอย่างนางจึงลืมตาขึ้น และมองไปที่


เนี่ยหลีด่ ้วยความไม่เข้าใจ นางรู้สกึ ว่าพลังสวรรค์โดยรอบเกิด
ความปั่นป่วนขึ้น นี่เป็นฝีมือของเนี่ยหลี่ ?

ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เสี่ยวหยูและคนอื่นๆ ละสายตาจาก


เนี่ยหลีไ่ ม่ได้เลย
เนี่ยหลีจ่ มอยู่ในภาวะอนัตตา ดูเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นหนึ่ง
เดียวกับที่แห่งนั้น แม้กลิ่นอายของเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้

“นีม่ ันเกิดอะไรขึ้น?” หลงยู่อินขมวดคิ้ว ใบหน้าสวยงามของ


นางเต็มไปด้วยความกังวล นางรู้สกึ ว่ามีบางอย่างแปลกๆไป
กับเนี่ยหลี่
เนี่ยหลี่ ระมัดระวังสถานการณ์โดยรอบมาก
แม้จะยังมีความคิดที่ชั่วร้ายอยู่ภายในจิตใจ แต่ก็ไม่มีใครที่จะ
สามารถเข้าใจพลังสวรรค์ได้เท่าเขาอีกแล้ว เนี่ยหลีล่ ืมตาขึ้น
ประกายแสงศักดิส์ ิทธิ์อยู่ภายในดวงตาเขา เนี่ยหลี่เงยหน้าเพื่อ
มองหลงยู่อินอีกครา และทาการผสานรวมเข้ากับพลังสวรรค์
แล้วก้าวขึ้นขั้นต่อไป

*วู้มมม*

พลังอันน่าเกรงขาม แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยมีต้นกาเนิดมา
จากการก้าวเท้าของเนี่ยหลี่

“หลงยู่อินเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของปีนี้ ส่วนที่เหลือก็ทา
ได้เพียงจ้องมองนางจากเบื้องล่างเท่านั้น!”

“ถูกต้อง! ไม่น่าเชื่อความแข็งแกร่งปัจจุบันของนางอยู่ที่อันดับ
9 จิตวิญญาณแห่งแสงแล้ว!”
“คนที่ชื่อเนี่ยหลี่นั่น ทาการท้าทายนาง ช่างเป็นการกระทาที่โง่
เขลาเสียยิ่งนัก!”

ขณะที่พวกเขากาลังพูดคุยกันเกี่ยวกับอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง ชื่อของเนี่ยหลี่ก็ได้เลื่อนจากอันดับที่ 16 มาเป็นอันดับที่
15 แม้ว่าเขาเพียงเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับก็พอจะเรียกความสนใจ
จากมวลชนได้แล้ว

“เด็กนั่นสามารถเลื่อนขั้นได้?”

การแข่งขันกันในยี่สิบอันดับแรกนัน้ รุนแรงมาก เพียงแค่จะ


ขยับขึ้นไปหนึ่งขั้น ได้ ก็นับเป็นงานที่ยากเอาการ เนี่ยหลี่
สามารถเลื่อนขึ้นได้หนึ่งอันดับในเวลาหนึ่งวัน

ทุกคนต่างสบตากันทุกอย่างอยู่ในสภาวะเงียบงัน
ไม่ต้องพูดถึงว่า เนี่ยหลี่จะชนะหรือพ่ายแพ้ในวันนี้ เนี่ยหลี่ก็
ดารงอยู่ในจุดที่พวกเขาไม่สามารถไปถึงได้ พวกเขายังมีสิทธิ์วิ
พากวิจารย์เนีย่ หลี่อีกหรือ?
ก่อนที่ฝูงชนจะสงบลง อันดับของเนี่ยหลี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขึ้นอีกครั้ง จากอันดับที่ 15 เป็นอันดับ ที่ 14

ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นถึงกับตะลึงงัน ต่างคนต่างจ้องมายังศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง พวกเขารู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดที่จะสามารถได้ยินเสียงของเข็มที่หล่น
ลงพื้นเลยก็ว่าได้

นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น? ในช่วงเวลาสั้นๆอันดับของเนี่ยหลี่เพิม่ ขึ้น


ถึง 2 อันดับ หรือว่าเนี่ยหลี่จะสามารถชนะหลงยู่อินในวันนี้ได้
จริงๆ ? จากแรกเริ่มเดิมทีพวกเขาคิดว่าสิ่งนี้ช่างเป็นเรื่องเพ้อ
ฝัน แต่จากนี้พวกเขาเริ่มไม่มั่นใจแล้ว และสงสัยว่าอาจจะมี
ปาฏิหารย์เกิดขึ้นในวันนี้ก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่า การที่เนีย่ หลี่ท้าทายหลงยู่อินเป็นการ
กระทาที่ช่างโอหังโอ้อวดตนนัก แต่อาศัยเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
เนี่ยหลี่กส็ ามารถเพิ่มอันดับตัวเองขึ้นไปได้ถึง 2 อันดับ ความ
จริงในข้อนี้ได้ปิดปากของผูค้ นไปในที่สุด

อย่างน้อยที่สุดเนี่ยหลี่ ก็ค่อยๆลดระยะห่างและขยับเข้าไปใกล้
หลงยู่อิน!

นี่หรือว่าเนี่ยหลี่อาจจะทาสาเร็จก็เป็นได้? พวกเขาแทบจะหยุด
หายใจกันเลยในเวลานั้น!

ในอีกมุมหนึ่ง หญิงงามนางหนึ่งที่นั่งบนรถเข็น นางสวมชุดสี


ขาว นางมองไปยังด่านจิตวิญญาณแห่งแสงอย่างเงียบๆ และมี
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆนาง พวกเขาคือ กู้หลานกับกู้
เบ่ยนั่นเอง

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพรสวรรค์ของเนี่ยหลี่จะน่ากลัว
มากมายถึงเพียงนี้ นี่เป็นวันแรกที่เขาได้เข้าด่านจิตวิญญาณ
แห่งแสง และเลื่อนอันดับอยู่ในอันดับที่ 14 ความสามารถของ
เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงยู่อินยามเมื่อนางเข้าด่านจิตวิญญาณ
หนแรกเลย อันดับของนางก็อยู่ประมาณนั้น”กู้หลานพึมพากับ
ตัวนางเอง ขณะที่จ้องมองด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

แม้ว่าหญิงสาวที่นั่งอยูร่ ถเข็นจะมีผิวขาดซีดและดูอ่อนแอเป็น
อย่างมากนางก็ยังคงความงามของนางไว้อยู่ สร้างความตะลึง
ให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็น ตราสี
ทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตระกูลกู้ที่ตดิ อยู่บนอกเสื้อของนาง พวก
เขาก็เปลีย่ นทิศในการมองทันที ตระกูลกูไ้ ม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะ
ล่วงเกินได้

กู้เบ่ย ทอดสายตายาวออกไปและกล่าวว่า “ในบรรดาผู้คนที่ข้า


ได้พบมาทั้งหมด เนี่ยหลี่เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้เลย ข้ายังรู้สึก
อีกว่าเขายังปกปิดพรสวรรค์และความสามารถอีกหลายอย่าง
ของเขาเอาไว้”

เด็กหนุ่มลึกลับวนเวียนอยู่ในความคิดของกู้หลาน อันที่จริงนาง
ก็สัมผัสได้ว่าเนีย่ หลีย่ ังซ่อนความสามารถของเขาไว้อีกมาก
ทันใดนั้นกู้หลานสังเกตเห็นบางกลุม่ ในฝูงชน หลังจากนิ่งไป
สักครู่หนึ่งนางกล่าวออกมาว่า “น้องเล็ก รีบกลับกันเถอะ!”

“พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อรอดูผลการแข่งขันหรือ?” กู้เบ่ยถามกู้
หลานด้วยความงุนงง เนื่องจากตัวเขาเองเต็มไปด้วยความ
คาดหวังที่มีต่อเนีย่ หลี่ในการท้าทายหลงยู่อิน

กู้หลานส่ายหัวของนางพร้อมกับทอดสายตายาวออกไป “พวก
เขากาลังมา”

กู้เบ่ยมองตามสายตากู้หลานไปก็ได้พบบางสิ่งที่อยู่ในสายตา
ของเขา มันเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าที่ถักทอขึ้นจาก
ไหมชั้นเลิศ บนหัวของเขามีเครื่องประดับสวมอยู่ เขาคือกู้เหิง
ผู้สืบทอด

หมายเลขหนึ่งของตระกูลกู้ในตอนนี้ พรสวรรค์ของกู้เหิงนั้น
ใกล้เคียงกับกู้หลานก่อนที่นางจะล้มป่วยลง เขาเป็นศัตรูคน
สาคัญของกู้หลาน เหล่าคนรุ่นเยาว์ที่ติดตามกูเ้ หิงอยู่ด้านข้าง
พวกเขาคือสมาชิกของตระกูลกู้ทั้งหมด

ตาของกู้เบ่ยส่อประกายเย็นยะเยือกออกมาในขณะที่กล่าวว่า
“ท่านพี่ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี!้ ”

ข่าวที่เนี่ยหลีไ่ ด้ทาการท้าท้ายหลงยู่อินนั้นได้แพร่กระจาย
ออกไปอย่างรวดเร็ว กู้เหิงเองก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกกระตุ้นให้สนใจ
การแข่งขันนี้เช่นกัน หลงยู่อินเป็นอันดับหนึ่งในคนรุ่นหลังของ
ตระกูลผนึกมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย บุคคลที่สามารถท้าทาย
หลงยู่อินทั้งที่ตนเองไม่มภี ูมิหลังคอยหนุนนั้น กู้เหิงจึงพิจารณา
ว่าเป็นศัตรูที่คคู่ วร

กู้เหิงกวาดสายตาผ่านฝูงชนก็สังเกตเห็น กู้หลานกับกู้เบ่ย ที่มมุ


ปากแสยะยิ้มเย็นออกมา “โอ้ นั่นใช่ พี่น้องกู้หลาน กับพี่น้องกู้
เบ่ย หรือไม่? พวกเจ้าสองคนเองก็มาเพื่อดูเรื่องสนุกสนุกด้วย
เช่นกันรึน?ี่ ”
กู้เบ่ยจ้องไปที่เขา พร้อมกับหัวเราะ “ใช่แล้วใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่
คาดคิดว่าพี่น้องกู้เหิงจะอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ข้าได้ยินว่ามีสิ่งที่
น่าสนใจเกิดขึ้นที่นี่ ข้ากับพี่ของข้าเลยมาที่นี่เพื่อรับชมดู”

กู้หลานยังคงเงียบอยู่ นางก้มหัวลงต่ามือที่ซีดเซียวของนางจับ
อยู่ที่พักแขนของรถเข็นอย่างสงบ

กู้เหิงเหลือบมองไปยังกูหลาน ที่ปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันใน
เวลาแค่พริบตา จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ
สงสาร “การเจ็บป่วยของพี่น้องกู้หลานยังคงไม่ได้รับการ
เยียวยารักษา ? ช่างน่าเสียดายแทนยิ่งนัก แต่เดิมด้วย
ความสามารถของพี่น้องกู้หลานนัน้ จะทาให้ก้าวไปยังจุดสูงสุด
ของตระกูลกู้ของเราได้อย่างแน่นอน! กู้เบ่ยขณะที่ท่านพี่ของ
เจ้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว เจ้าควรดูแลนางให้ด!ี ” (ถีบยอด
หน้าแม่*)

ตาของกู้หลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่นางก็ปกปิดมัน
อย่างรวดเร็ว ในอดีตที่ผ่านมานางได้รับการกล่าวขานว่าเป็น
ยอดอัจฉริยะ นางจะไม่ทนแม้แต่เพียงเศษทรายที่มากระทบกับ
ความภาคภูมิใจของนาง แต่นับตั้งแต่วันที่นางล้มลงนางก็เริ่ม
เรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้น

กู้เบ่ยทาได้แค่เพียงถอนหายใจออกมา

“ขอบพระคุณท่านพี่ กู้เหิงเป็นอย่างมาก อาการบาดเจ็บของ


พี่สาวข้าไม่อาจเยียวยารักษาได้เลยแม้แต่นิด ดังนั้นข้าจึงพา
นางออกมาเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายให้แก่นาง”

แม้จะโกรธ กู้เหิงมากแค่ไหน ที่มาดูถูกพี่สาวเขามิหนาซ้ายัง


เรียกพี่สาวเขาว่าพิการ เขาก็ยังต้องกล้ากลืนฝืนมันเอาไว้ กู้
เหิง มองกู้หลาน ที่ก้มหน้าอยูโ่ ดยไม่โต้ตอบสิ่งใด อันที่จริง
นับตั้งแต่นางพิการนางก็คงไม่เหลือใจจะสู้ต่อไปอีกแล้วกระมัง

“ไหนๆพวกเจ้าก็ได้มาถึงสถานที่ทนี่ ี้แล้ว ถ้างั้นก็อยู่รอดูการ


แสดงนี้ให้จบก่อนกลับเป็นไง!”กู้เหิงยิ้มออกมา “ข้าได้ยินมาว่า
มีเด็กหนุม่ มีความสามารถคนหนึ่งได้ท้าทายหลงยู่อิน สิ่งนี้ทาให้
ข้าสนใจมาก!”
แม้ว่าเส้นชีพจรของกู้หลานจะเสียหายและกลายมาเป็นคน
พิการ หากพ่อแม่ของนางยังคงมีชีวิตอยู่นางคงไม่ถูกหมิ่นเกีย
ติรถึงเพียงนี้ อีกทั้งผู้อาวุโสหลายคนยังให้การสนับสนุนกู้เบ่ย
กับกู้หลาน ถึงแม้ว่าเขาอยากใช้คาพูดทิ่มแทงให้มากกว่านี้ เขา
ก็ยังต้องยับยั้งใจการกระทาต่อกู้หลานและกู้เบ่ยเอาไว้บ้าง

กลุ่มผูค้ นที่ยืนดูศลิ าอันดับวิญญาณด้วยความคิดที่แตกต่างกัน


ไป

นอกเหนือจากตระกูลกู้ ตระกูลผนึกมังกร ตระกูลเพลิงสีเทา


ตระกูลอื่นๆแทบทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่ศิลาอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสงเพื่อมาดูผล

เนี่ยหลี่ที่เพิ่งเข้าด่านจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นครั้งแรก และ
ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 14 ในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง นี่นับว่า
เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ ความสามารถของเขา หากพวกเขา
สามารถดึงเนี่ยหลี่ให้มาร่วมกลุ่มเขาได้นั่นจะต้องเป็นประโยชน์
อย่างมากต่อตระกูลพวกเขา

ภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง

เนี่ยหลีไ่ ม่รู้ว่าทาไมถึงได้เกิดการกระเพื่อมของพลังงานมากมาย
เช่นนี้ แต่เนี่ยหลี่ยังสัมผัสได้ถึงพลังสวรรค์และปฐพีและเริ่มทา
การเชื่อมต่อกับพลังสวรรค์และปฐพีต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเขารูส้ ึกได้ว่า บทแรกของเทคนิค [เทพวิถี


ฟ้า] มีประสิทธิภาพและเสถียรมากขึ้น แท้จริงแล้วการ
ปลดปล่อยอานุภาพที่แท้จริงของ เทคนิค [เทพวิถีฟ้า] ต้องเข้า
มายังอาณาจักรซากมังกรเพื่อทาการบ่มเพาะพลัง

เนี่ยหลีไ่ ด้มาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้าแล้ว หลงยู่อินมองเนี่ยหลี่


ที่ค่อยๆลดระยะห่างขึ้นมาเรื่อยๆ นางรู้สึกถึงแรงกดดันเป็นครั้ง
แรกในชีวิตนาง ครั้งแรกของนางกับเนี่ยหลี่ ในการเข้ามายัง
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงอยู่ในขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้าเท่ากัน นี่
เหมือนกับว่าเขากาลังจะทามันได้ (นางกาลังมอบครั้งแรกเอ้ย
แข่งครั้งแรกของนางกับหลี่อยู่ 125 เท่ากัน ในครั้งแรก เลย
กลัว)

นับแต่นางยังเยาว์ นางมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าต้อง
กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็น
ผู้ชายนางก็สามารถทาให้เขาเหล่านั้นสยบใต้ฝ่าเท้านางได้

การแสดงออกของนางเริ่มหวั่นกลัวบ้างเล็กน้อยเมื่อมองเนี่ยหลี่
ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยหลี่เป็นฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังมากที่สดุ เท่าที่
นางเคยพบ!

แต่นางจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้เด็ดขาด คิดว่านางเป็นใคร
กัน นางคือหลงยู่อินจากตระกูลผนึกมังกร ! เป็นที่แน่นอนอยู่
แล้วนางจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดก็ตามในวัยเทียบเท่ากัน

เนี่ยหลีห่ ยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งร้อยยี่สิบห้าและมองไปที่หลงยู่อิน
“ข้าได้ยินมาว่าในคราแรกที่เจ้าได้เข้ามาด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสง เจ้าก็มาถึงตรงที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนว่าอัจฉริยะอย่าง
เจ้าคงมีความสามารถพอใช้ได้ ขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า ไม่ง่ายเลย
ที่จะมาถึง?!” เนี่ยหลีย่ ั่วยุหลงยู่อินเล็กน้อย

ใบหน้าของหลงยู่อินโกรธจนขึ้นสี เสียง แคร๊ก! ดังมาจากการ


กาหมัดจนแน่นของนาง นางจ้องไปยังเนี่ยหลี่ “แค่เพียงเจ้า
สามารถมาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยีส่ ิบห้า ไม่ได้หมายความเจ้าชนะข้า
ได้ในวันนี้ หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้แล้วก็จงรอรับชะตา
กรรมการเฆีย่ นตีสามครั้งของข้าคนนี้ได้เลย !”

“เจ้าไม่ต้องมาห่วงข้าหรอก เจ้าควรจะห่วงตัวเจ้า
เองเสียดีกว่า หากข้าได้ตีเจ้าถึงสามครั้ง ข้าก็กาลังคิดว่าข้าควร
จะตีส่วนไหนของเจ้าดี กับสาวงามเช่นเจ้าเพื่อไม่ให้เสียของ!

แต่อย่างไรก็ตามกับผู้ที่งามเพียงรูปแต่จิตใจชั่วร้าย
แบบเจ้าข้าจะไม่ผ่อนปรนเด็ดขาด!” เนี่ยหลี่จ้องมองหลงยู่อิน
อย่างกระหาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าอก ช่วงเอว หรือส่วนอื่นๆ บน
ร่างกายของนาง เผยให้เห็นรอยยิม้ เจ้าเล่ห์อันชั่วร้าย
บทที่ 282 ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นขยะ ?

เมื่อหลงยู่อิน รูส้ ึกถึงการจ้องมองอย่างอุกอาจของเนี้ยหลี่ไปทั่ว


ทั้งใบหน้าและเรือนร่างของนาง ทาให้นางช่วยไม่ได้ที่จะเกิด
ความรูส้ ึกประหลาดราวกับว่าตัวนางนั้นกาลังยืนเปลือยเปล่า
อยู่ต่อหน้าของเขา ซึ่งนางไม่เคยรูส้ ึกแบบนี้มาก่อน

เหล่าผู้คนที่ยืนดูต่างประหลาดใจ พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเนี้ยหลี่
จะกล้ากล่าวเช่นนั้นกับหลงยู่อิน

คนแรกที่กล้ายั่วยุปีศาจเช่นหลงยูอ่ ินนั้นมีอยู่จริงๆ!

เซี่ยวหยู่อดกังวลไม่ได้ว่า เนี้ยหลี่อาจจะได้รับผลกระทบจาก
การยั่วยุหลงยู่อิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทาไมเนีย้ หลี่จึงมุ่งเป้าไปยัง
หลงยู่อินราวกับว่าเขามีความแค้นอันลึกล้าต่อนาง คนหนุน
หลังของหลงยู่อินนั้นไม่ธรรมดา ถ้าหากเพียงเนี้ยหลี่สามารถ
อดทนอดกลั้นได้ เพียงไม่นานทุกอย่างก็จะจบ
สาหรับลูเปียวเขาแอบยกนิ้วโป้งให้กับเนี้ยหลี่ ผู้หญิงเผด็จการ
เช่นหลงยู่อินนั้นจาเป็นต้องลากลงมาอย่างไร้ความปราณี ไม่
เช่นนั่นหลงยู่อินจะคิดว่าตัวเองนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของโลกทั้ง
ใบ?

“เจ้า…!” หลงยู่อินเต็มไปด้วยความเดือดดาล ตั้งแต่เมืไ่ หร่กันที่


มีคนกล้ามาทาอวดดีต่อหน้านาง? การจ้องมองของเนี้ยหลี่ทา
ให้เท้าของนางราวกับถูกตรึงด้วยเข็ม

“เจ้าคนต่าช้า ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา!”

“หลงยู่อิน เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้าจะสนใจในตัวของเจ้า? อย่า


ประเมินค่าตัวเองสูงนัก! เจ้าอาจจะมาจากตระกูลใหญ่ และมี
ความสามารถที่โดดเด่น แต่ภายใต้สายตาข้าเจ้าไม่มีอะไรเลย!
แม้ว่าผู้หญิงเช่นเจ้ากาลังเปลือยกายต่อหน้าข้า แต่ขอโทษที ข้า
ไม่ได้มีความสนใจแม้แต่น้อย! ผูห้ ญิงที่มีหัวใจดุจเช่นงูพิษ ไม่ว่า
ภายนอกเจ้าจะดูดีอย่างไร มันก็ไม่อาจปกปิดความอัปลักษณ์ที่
อยู่ภายในจิตใจของเจ้าได้!” เนี้ยหลี่กล่าวด้วยความชิงชังอย่าง
ถึงที่สุด
ที่เนี้ยหลี่ใช้คาพูดที่รุนแรงกับหลงยู่อินนั้น เพราะเขาจาได้ว่าใน
ชาติที่แล้วหลงยู่อินได้ข่มเหงอาจารย์ของเขา มันจึงทาให้ตอนนี้
หัวใจของเนี้ยหลี่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

หลงยู่อินกาหมัดแน่น จิตสังหารแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง
และพุ่งไปยังเนีย้ หลี่

“เจ้าคนชั้นต่า เจ้ากล้าที่จะดูถูกข้างั้นรึ?! ข้าจะฆ่าเจ้า?” หลงยู่


อินตกอยู่ในความโมโห ถ้าหากว่าเนี้ยหลีไ่ ม่ได้อยู่ภายใต้กฏของ
สถาบันวิญญาณฟ้า นางคงจะไม่ลงั เลที่จะสังหารเขาอย่าง
แน่นอน

เนี้ยหลีห่ ัวเราะอย่างเย็นชาขณะทีม่ องไปยังหลงยู่อิน “หลงยู่อิน


สิ่งที่เจ้าเหนือกว่าผู้อื่นนั้นมาจากชาติกาเนิดของเจ้า
ความสามารถของเจ้าคืออะไรงั้นรึ? หึหึ!” ภายใต้แรงกดดันที่
หลงยู่อินแผ่ออกมา แสงที่ใต้เท้าของเขายังสมบูรณ์อยู่ หลงยู่
อินเห็นว่าตนเองอยู่ในระดับที่สูงกว่าคนอื่นอยู่เสมอจึงมองไม่
เห็นหัวคนอื่น ดังนั้นสาหรับนางจึงมองเห็นพวกคนธรรมดาเป็น
พวกชนชั้นต่าเท่านั้น

หลงยู่อินค่อยๆสงบจิตใจลง นางไม่เข้าใจเลยว่าทาไมถึงโกรธ
แค้นเนี้ยหลี่ได้อย่างง่ายดาย อาจเป็นตลอดเวลาทีผ่ ่านมาไม่เคย
มีใครที่อายุเท่ากับนางเที่ยบเคียงนางได้ บางทีสาเหตุที่นาง
โมโหมันอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่ที่แสดงออกมา
กดดันนางทาให้นางรู้สึกได้ถึงการคุกคามก็เป็นได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เลือดภายในกายพลันระเบิดออกมาจากร่าง
ของหลงยู่อิน “หากวันนี้เจ้าไม่อาจชนะข้าได้ล่ะก็ เจ้าจะต้อง
ตายใต้น้ามือข้า!”

“คอยดูให้ดีละ่ !” ดวงตาของเนี้ยหลี่เปล่งประกายเย็นเหยียบ
“ไม่เพียงแต่ข้าจะก้าวข้ามเจ้า แต่ข้ายังจะให้เจ้าได้รู้ว่าทุกอย่าง
ที่เจ้าได้อาศัยมาทั้งหมดนั้นช่างน่าหัวเราะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะอวด
ดีได้อีกเรอะ?
เมื่อเนี้ยหลี่กล่าวจบ เขาก็ใช้ เคล็ดการบ่มเพาะ [เทพวิถีฟัา] ทา
ให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

บรูม………บรูม……….บรูม!

พลังสวรรค์เบิดออกมาอย่างรุนแรงจากใต้เท้าของเนี้ยหลี่ ราว
กับว่ามันทาให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหว เมื่อทุกคนได้สัมผัส
กลิ่นอาย สีหน้าผู้ที่เฝ้าดูอยู่พลันแปรเปลีย่ นไปด้วยความ
หวาดกลัว

เซี่ยวหยู่กับลู่เปียวจ้องมองไปยังเนีย้ หลี่อย่างตกตะลึง ส่วน


บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่รสู้ ึกหวาดกลัวขึ้น ท่ามกลางรัศมีพลัง
ที่ระเบิดออกมา เสื้อผ้าของเนี้ยหลีโ่ บกสะบัดท่ามกลางสายลม
ประดุจเทพที่เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์

พลังอานาจอะไรกันช่างน่ากลัวเช่นนี้?!

ช่วยไม่ได้ที่แม้กระทั้งหลงยู่อินเองก็ยังตกใจ
เนี้ยหลี่ เดินขึ้นไปอย่างช้าๆ หนึ่ง 126 ขั้น 127 ขั้น หลงยู่อิน ดู
ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้และรูส้ กึ ลมหายใจของนางจะหยุด
นิ่งขณะที่นางรู้สึกถึงความกดดัน ด้วยพลังที่เล็ดลอดออกมา
จากเขา

กลิ่นอายนี้ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพลังงานสวรรค์
โดยรอบก่อให้เกิดรงปะทะ หลงยูอ่ ิน ถึงกับก้าวถอยไป ก่อนที่
จะ พยายามที่จะยืนให้มั่นคง

ทาได้อย่างไร? เนี้ยหลีส่ ามารถสร้างความกดดันให้นางได้ ทั้งที่


ยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ เขาแกข็งแกร่งยิ่งว่า ยอดฝีมือ
ที่อยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ 5 เสียอีก

หลงยู่อินก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงสัมผัสได้ถึงความกดดัน
อย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าเนี้ยหลีจ่ ะได้รับพลังงาน
สวรรค์จากพื้นที่โดยรอบ แปลว่าเขาสามารถเชื่อมโยงกับพลัง
ฟ้าดินได้เป็นอย่างดี พลังงานสวรรค์ในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
นั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก ภายใต้การควบคุมพลังของ
เนี้ยหลี่ มันจึงระเบิดพลังออกมาอย่างน่ากลัว

ขั้นที่ 128 ขั้นที่ 129

อีกหนึ่งก้าวของเนี้ยหลี่จะเป็นขั้นที่ 130 ที่เป็นระดับเดียวกัน


กับที่หลงยู่อินยืนอยู่ เนี้ยหลี่กวาดตามองไปยังหลงยู่อินพลาง
ยิ้มอย่างเย็นชา “เพียงขั้นที่ 130 ก็พอดูได้นี่!”

หลงยู่อินตกตะลึงขณะที่มองไปยังเนี้ยหลี่ นางนั้นภาคภูมิใจใน
ความสามารถของนางมาตลอด นางไม่เคยกังวลเลยว่าจะมีคน
อายุเท่ากันสามารถชนะนางได้ แต่ทว่าความภาคภูมิใจที่นาง
เคยยึดถืออยู่นั้นตอนนี้ได้แตกกระจายหมดสิ้นแล้ว เมื่อนางได้
เห็นเนี้ยหลี่ที่มองลงมายังนางด้วยสายตาเฉยเมยและเกลียดชัง
มันทาให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงเศษขยะบน
ผืนดิน
เนี้ยหลีล่ ะสายตาของตนออกไปจากหลงยู่อิน และไม่ได้สนใจ
แม้จะชาเลืองมองนางอีกเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่เขาก้าวขึ้นไป
ยังขั้นที่ 131

*…………….บรูม!.......................*

เมื่อฝีเท้าของเนี้ยหลี่กระทบพื้นดิน เสียงทุ้มลึกต่างสะท้าน
สะเทือนผ่านเข้าไปในหัวใจของศิษย์ร่วมสานักโดยรอบ

นั่นเป็นขั้นที่ 131!

เสียงเหล่าผู้คนที่อยู่นอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสงอึกกระทึก
ขึ้นมาในทันที

ในศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงอันดับของเนี้ยหลีไ่ ด้เข้ามา
แทนที่อันดับที่ 9 ของหลงยู่อิน ทุกคนที่มองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงอย่างไม่อยากเชือ่ สายตา
“มันเป็นไปไม่ได้...”

“นั้นเนี้ยหลีส่ ามารถดึงหลงยู่อินลงมาได้จริงๆ!”

“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! คนบางคนจากโลกใบเล็กจะ
สามารถชนะหลงยู่อินจากตระกูลผนึกมังกรได้จริงๆ!”

ไม่มีใครต้องการเชื่อในผลลัพธ์ที่ออกมา แต่รายชื่อบนศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงได้แสดงไว้อย่างชัดเจนพวกเขาจึงไม่
มีทางเลือกนอกจากจะเชื่อมัน

ในบรรดาเด็กรุ่นใหม่ หลงยู่อินนั้นเป็นตานาน และตอนนี้อีก


ตานานหนึ่งก็ได้เกินขึ้น

นอกจากนั้นความแข็งแกร่งของตานานนี้ยังห่างไกลเมื่อเทียบ
กับหลงยู่อิน ทาให้ทุกคนประหลาดใจมากยิ่งขึ้น หลงยู่อินนั้น
มาจากตระกูลผนึกมังกรที่มีทรัพยากรมากมายสาหรับการ
ฝึกฝนตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ทุกอย่างที่นางมีไม่สามารถหาได้
จากผู้อื่น

แต่เนี้ยหลี่มาจากโลกเล็กๆภายนอก และไม่ได้มีเบื้องหลังใดๆ
หรือว่าเขาได้จัดเตรียมแหล่งทรัพยากรสาหรับการฝึกฝนขนาด
ใหญ่กัน

อย่างไรเสียเนีย้ หลีย่ ังคงก้าวไปยังความสูงที่น่าตื่นตกใจ

หลงยู่อินมองไปยังเงาหลังของเนี้ยหลี่ โดยเฉพาะในขณะที่
เนี้ยหลี่ก้าวขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้นโดยไม่ได้มองย้อนกลับลงไป

ขั้นที่ 132, ขั้นที่ 133 ……..

เนี้ยหลี่ก้าวทีละก้าวอย่างเชื่องช้า สงบเงียบลึกลับน่าขนลุก ได้


สะท้อนกับพลังงานสวรรค์ไปทั่วบริเวณโดยรอบ
จนกระทั่งเนี้ยหลี่ก้าวมีถึงขั้นที่ 136 เขาก็รู้สึกว่าไม่อาจทนทาน
ต่อแรงกดดันจากพลังสวรรค์ได้เขาจึงหยุดลง และเขาได้เข้าไป
ยังส่วนลึกของจิตวิญญาณตนเอง และตัดสินใจว่าเขาไม่จาเป็น
แล้วที่จะต้องขึ้นไปสูงกว่านี้

หลงยู่อินมองไปยังเนีย้ หลี่ มันมีทั้งหมด 6 ขั้นที่เป็นระยะห่าง


ระหว่างนางกับเนี้ยหลี่ มันเป็นเหมือนสะพานที่เป็นช่องว่าง
ระหว่างเขตแดนที่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไปถึง!

ตลอดมา นางเชื่อมั่นในความสามารถแข็งแกร่งของตัวนาง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์ของนางได้ถูกทาลายลงอย่างไรความปราณี เมื่อต้อง
เผชิญหน้ากับเนี้ยหลี่ ที่ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่ 136 ทาให้นาง
สูญเสียจิตวิญญาณของการต่อสูของนางไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้ชายคนนี้โผล่มาประดุจภูเขาลูกใหญ่ที่กระแทกลงมาบนศีรษะ
ของนาง ทาให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก
นางเที่ยวโอ้อวดว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะ แต่มันก็เป็นเช่นที่
เนี้ยหลี่ กล่าวว่านางนั้นไม่มีอะไร เมื่อเทียบตัวเองกับเขา นาง
ยังคงอ่อนด้อยกว่ามาก

นางกาหมัดของตนเองแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเต็ม
ในจิตใจนาง มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่นางก็ไม่สามารถเข้าใจ
ความรูส้ ึกของตัวนางเอง

ในชั่วขณะหนึ่งลูเปียวกับเซี่ยวหยู่ได้มองไปยังเงาหลังที่สูงสง่า
ของเนี้ยหลี่ ถึงกับพูดไม่ออกพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเนี้ยหลี่จะ
สามารถขึ้นไปถึงยังขั้นที่ 136 และบดขยีผ้ ู้หญิงเช่นหลงยู่อินลง
ใต้เท้าของเขา ณ ที่นั้น

ศิษย์หลายคนของสานักวิญญาณฟ้าจ้องมองไปยังเนี้ยหลี่ มัน
ช่างน่าแปลกประหลาดเสียจริงเขาพึ่งเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่มิใช่
เหรอ เพียงครั้งแรกเขาก็ขึ้นไปถึงยังขั้นที่ 136 ได้ในครั้งเดียว นี่
ช่างน่ากลัวยิ่ง!
เหล่าผู้คนที่มุงดูอยู่ที่ศลิ าอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงต่างตกใจ
ไปตามๆกัน ขณะที่จ้องมองไปยังศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง ศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงชื่อของเนี้ยหลี่ได้ขึ้นไปถึง
อันดับที่สามแล้ว

เนี้ยหลีย่ ังเป็นเพียงศิษย์ใหม่ในปีนแี้ ละยังไปไม่ถึงขั้นชะตาฟ้า


ถ้าเขาสามารถเชื่อมต่อกับพลังแห่งสวรรค์ได้สูงถึงเพียงนี้ หาก
เขาเข้าถึงขั้นชะตาฟ้าแล้วเขาจะน่ากลัวถึงขนาดไหน?

หนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งก็คือการเชื่อมต่อกับพลังแห่ง
สวรรค์ จะทาให้ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์สามารถดูได้อย่างง่ายดายคือ ก่อนที่เนี้ยหลี่จะมายังที่นี้
แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในขอบเขตชะตาฟ้า แต่ผลของการฝึกฝนของ
เขาก็ก้าวกระโดดครั้งใหญ่และเข้าถึงขั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

กู้เบ่ยกับกู่หลานสบตากันด้วยความตกตะลึง ก่อนนี้พวกเขาไม่
อาจประเมินความสามารถของเนีย้ หลีไ่ ด้!
ความสามารถของเนี้ยหลี่เหนื่อล้ากว่าหลงยู่อินอย่างเทียบไม่ตดิ
กู้เบ่ยช่วยไม่ได้ที่จะรูส้ ึกละอายใจ เพราะเขาไม่มีความสามารถ
เทียบเท่าเนี้ยหลี่

ประกายตาแหลมคมของกู้เฮงจ้องมองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงเต็มไปด้วยความอิจฉา แม้แต่เขาก็ยังไม่
สามารถเก็บความความริษยาต่อพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่ได้

เขาจะต้องนาคนผู้นี้เข้าร่วมกับเขาให้จงได้ ประกายตาเย็น
หยียบเปล่งออกมาจากกู้เฮง แต่ถา้ หากเขาไม่สามารถดึงตัวเนี้ย
หลี่มาได้ เขาจะต้องทาทุกวิธีทางเพื่อที่จะทาลายมันซะ
ไม่เช่นนั้นกู้เฮงจะรูส้ ึกไม่วางใจเป็นแน่!

หญิงสาวผู้งดงามราวกับนางฟ้า ได้มองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงนางไม่อาจสะกดความรูส้ ึกตกใจในดวงตาของ
นาง นางไม่เคยคิดเลยว่าพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่จะสูงส่งถึงเพียง
นี้ และเขาก็เป็นคนแรกที่นางไม่สามารถมองเห็นชะตากรรมได้
เมื่อครั้งที่นางได้พบกับเนี้ยหลี่เป็นครั้งแรก อิงเยว่ลู่ ได้รสู้ ึกใน
จิตใจว่าชะตากรรมของพวกเขาพาดผ่านกัน

นางได้ชาเลืองมองไปยังศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงแว่บห
นึ่ง ก่อนร่างของนางจะหายเข้าไปยังป่าที่อยู่ใกล้ๆ
บทที่ 283 เจ้าเรียกร้องหามันเองนะ !

หวังหยาน หานจิ้ง และผู้ตดิ ตามของพวกเขา ที่เข้าไปยังด่าน


จิตวิญญาณแห่งแสง ตอนนี้ได้รีบออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วย
ความสามารถของพวกเขาสามารถทาได้เพียงแค่ขั้นที่สบิ หรือ
ยี่สิบเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ถูกบังคับให้หยุดแล้ว เมื่อพวกเขา
มองไปยังศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง และเห็นชื่อของเนี่ยลี่
เลื่อนอันดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ทาให้พวกเขาตกตะลึงจนไม่อาจจะ
ทาอะไรได้

พวกเขานั้นรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลยทีจ่ ะเชื่อมโยงกับพลังงานสวรรค์
ที่อยู่ภายใน ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงนี้ได้ ดังนั้นเมื่อเนี่ยลี่ขึ้นไป
ยังอันดับสูงๆแล้ว พวกเขารู้สึกว่าคงไม่อาจที่จะเอื้อมไปถึง ใน
ตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยลี่ก็
ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับสามของ ศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
เรียบร้อยแล้ว

อันดับสามงั้นหรือ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
?
แม้แต่ผู้ทมี่ าใหม่ก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า แม้แต่หลงยู่อิน ยังถูกลด
อันดับลงมา

เมื่อเทียบกับเนีย่ ลี่แล้ว นางเป็นเพียงแค่เศษขยะ


!

ช่วยไม่ได้ที่คนอื่นจะรู้สึกสับสนกันไปหมด ที่ว่างทั้งห้าตาแหน่ง
ของปีนี้ถูกครอบครองโดย หลงยู่อิน จินหยาน และ กู้เบ่ย แล้ว
ตอนนี้ที่เคยคิดไว้ว่าเหลืออีกสองทีก่ ลับถูกขัดขวางโดยเนี่ย
ลี่ จะเหลือโอกาสอะไรให้กับพวกเขาอีกหล่ะ ไม่มีทางที่จะไป
ขัดขวางเขาได้แน่นอน เมื่อเทียบกับเนี่ยลี่แล้ว พวกเขาห่างชั้น
กับเขาจนเกินไป

ฮัวหลิงมองศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงด้วยความโกรธแค้น
คงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าหากเซี่ยวหยู่ขนึ้ ไปในอันดับสูงเพียงคน
เดียว แต่ในตอนนี้ เนีย่ ลี่นั้นกลับขึน้ ไปสูงยิ่งกว่าเซีย่ วหยู่ เป็น
จุดที่คนทั่วไปทาได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น คนอื่นอาจจะไม่คิด
แต่เขาคิดว่านีเ่ ป็นการท้าทายเขายิง่ นัก เขาแทบจะกระอัก
เลือดออกมาด้วยความคับแค้น

แม้ว่าจะมีอีกหลายคนทีม่ าจากห้วงสวรรค์น้อย และทุกคนต่าง


ก็มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ขยะเมื่อ
เทียบกับเนี่ยลี่

ฮัวหลิง รูส้ ึกหดหู่และท้อแท้เป็นอย่างยิ่ง มันราวกับว่าเขากาลัง


ถูกตบหน้าโดยใครบางคน อันดับสาม เป็นคนทีไ่ ม่ได้มากจาก
ห้วงสวรรค์น้อยแท้ ๆ แต่กลับไปถึงอันดับที่สูงถึงเพียงนั้น

ในขณะเดียวกันเหล่าอาจารย์ต่างตกใจกับสิ่งที่เห็นบนศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
การที่ผู้ที่เข้ามาใหม่ สามารถขึ้นไปถึงอันดับสามของศิลาอันดับ
จิตวิญญาณแห่งแสงได้อย่างง่ายดายนั้น ช่างท้าทายสวรรค์เป็น
ยิ่งนัก ความสามารถถึงเพียงนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ
ทศวรรษที่ผ่านมา
หนานเหมียน เทียนไห่ ครุ่นคิดอยูค่ รู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับ
หวงอวี้ ว่า “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เนี่ยลี่จะทาให้
ประหลาดใจได้มากถึงเพียงนี้”

หวงอวี้ตอบกลับไปว่า “ใช่ เขาทาให้พวกเราประหลาดใจยิ่งนัก


อันดับที่สามของศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง ความสามารถ
ระดับนีเ้ ป็นสิ่งที่พวกเราควรปกป้องยิ่งนัก แม้แต่ตระกูลผนึก
มังกร ก็ไม่มีทางที่จะมาแตะต้องเนี่ยลี่ได้ง่าย ๆ แน่นอน ”

ในตอนนี้ที่เนี่ยลีไ่ ด้แสดงความสามารถอันน่าตกใจ สถาบัน


วิญญาณฟ้าจะต้องปกป้องเขาอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน แม้แต่อาจารย์ชิหลิง เองก็ให้ความสนใจใน


ตัวเนี่ยลีไ่ ม่น้อย ตั้งแต่ตอนที่สอนในห้องโถงคราวก่อน

อาจารย์ชิหลิงถอนหายใจเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่สอนให้จุด
เปลวไฟแห่งวิญญาณ ข้าก็ได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของเขาแล้ว แต่
กับสิ่งที่ข้าได้เห็นในตอนนี้ มันเหนือเกินกว่าคาว่ามหัศจรรย์ไป
แล้ว ข้าเสียดายยิ่งนักที่จะได้มีโอกาสสั่งสอนเขาเพียงแค่ปี
เดียว”

ด้วยความสามารถอันน่าตกใจของเนี่ยลี่ ทาให้เขาได้ความสนใจ
จากกลุ่มอื่นๆ

เนี่ยลี่เองก็ยังไม่รเู้ ลยว่า ได้เกิดความวุ่นวายอย่างมากที่ด้าน


นอก นอกจากนี้ ภายในการบ่มเพาะพลังของเขา ก็พรั่งพรูพลัง
ออกมาเป็นจานวนมาก ในตอนนี้เขาอยู่ในระดับตานานห้าดาว
แล้ว ภายในขอบเขตวิญญาณ

จิตวิญญาณของเขาได้ถูกขัดเกลาจนกลายเป็นสีแดงชาดคล้าย
กับเลือด และกลายเป็นเจตจานงค์แห่งวิญญาณ

ซึ่งเจตจานงค์แห่งวิญญาณ คือจุดเริ่มต้นของการก่อรูป ชะตา


วิญญาณ
สาหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้น ชะตาวิญญาณนั้นจะไร้สี ในชีวิต
ก่อนหน้าของเขา การก่อรูปชะตาวิญญาณของเนี่ยนี่ก็ไร้สี
เช่นกัน แต่ว่าในชีวิตนี้ของเขา มันกลับมีสีแดงคล้ายเลือด

แม้ว่าในตอนนี้ เขาจะยังไม่อาจที่จะก่อรูปมันขึ้นมาได้อย่าง
สมบูรณ์ เขาจะสามารถรับรูไ้ ด้ว่าสีของชะตาวิญญาณจะเป็น
เช่นใด ก็ต่อเมื่อเขาสามารถที่จะก่อรูปชะตาวิญญาณ ขึ้นมาจน
สมบูรณ์เท่านั้น แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆในขอบเขตวิญญาณ
ของเขา แต่เนี่ยลีเ่ องก็ยังมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก เมื่อเขาลืมตา
ขึ้นมาก็มองเห็น หลงยู่อินโดยบังเอิญ

หลงยู่อิน พยายามที่จะฝืนขึ้นไปยังชั้นที่ หนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด


แต่ก็ถูกผลักกระเด็นออกมา ไม่ว่านางจะพยายามอีกกี่ครั้ง นาง
ก็ถูกขัดขวางจนไม่อาจที่จะก้าวขึ้นไปได้อีก

เนี่ยลี่จ้องมองดูนางด้วยสายตาที่แสดงถึงความชิงชัง “เจ้าแพ้
แล้ว
!”
หลงยู่อิน กาหมัดของนางจนแน่น แม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะ
ยอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ ความจริงที่ถูกจับจ้อง ความจริง
แท้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า อยู่ในดวงตาของนาง นางกัดริมฝีปาก
จนเกิดคราบเลือดเล็กๆ ดวงตาสีนาตาลอ่
้ อนของนาง ฉายให้
เห็นแค่เพียงความว่างเปล่า

เนี่ยลีไ่ ด้เหยียบย่าความภาคภูมิใจของนางอย่างเลือดเย็น

“ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะเดิมพัน ข้าก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับ
ความพ่ายแพ้
!” หลงยู่อิน หยิบแส้ขึ้นมาและโยนไปให้เนี่ยลี่ นางเงยหน้ามอง
เขา ในขณะที่พูดต่ออีกว่า

“ข้าอาจจะพ่ายแพ้เจ้าในวันนี้ แต่นับจากนี้ไปข้า หลงยู่อิน จะ


ไม่มีทางแพ้เจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง ข้า หลงยู่อิน จะไม่ใช้อานาจ
ใด ๆของตระกูลผนึกมังกร ข้าจะชนะเจ้าอย่างตรงไปตรงมา
ด้วยการต่อสู้ตัวต่อตัวเท่านั้น ”
เนี่ยลี่จ้องไปยังหลงยู่อิน และหวนนึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่แล้ว
ของเขา จนคิ้วของเขามองเห็นเป็นร่อง เมื่อชีวิตที่แล้วของเขา
หลงยู่อิน ได้สังหารอาจารย์ของเขา แต่หลงยู่อินที่ยืนอยู่
ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ อายุแค่สิบสี่ สิบห้าปี แม้ว่านางจะ
เป็นคนที่เอาแต่ใจ แต่ในตอนนี้นางก็เป็นเพียงแค่หญิงสาว
ธรรมดา แตกต่างจากนางผู้หญิงใจมาร ในชีวิตที่แล้วของเขา

ในตอนนี้เมื่อเขาได้กลับมาชีวิตอีกครั้ง เขาสาบานว่าจะไม่ยอม
ให้ อาจารย์ของเขาต้องตายอีกครัง้ อย่างแน่นอน

ผู้หญิงอย่างหลงยู่อิน นางจะต้องได้รับการสั่งสอนอย่างไร้
ปราณี แล้วจับส่งไปยังที่ไกลแสนไกล เท่าที่จะทาได้
เนี่ยลีร่ ับแส้มาพร้อมกับจ้องมองที่ หลงยู่อิน เขายกแส้ขึ้น
ในขณะที่เขากาลังจะหวดแส้ไปที่นาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง
คาพูดของอาจารย์ของเขา ที่พูดกับเขาในชีวิตที่แล้ว

“บริสุทธิ์ดั่งสายนที เพราะวารีนั้นไม่แข่งขัน”
“ให้ความแค้นลบเลือนดั่งหมอกควัน ปล่อยให้มันจางหายดั่ง
สายลม”

ในชีวิตก่อนหน้าของเขา เขาได้ลมื เลือนคาสั่งสอนของอาจารย์


ของเขาจนหมดสิ้น หลังจากที่อาจารย์ของเขาได้สิ้นไป แม้ว่า
เขาจะไม่ได้สังหารหลงยู่อิน แต่เขาก็ได้สร้างความโกลาหล
ให้แก่ตระกูลผนึกมังกรเป็นอย่างมาก

แต่ถึงอย่างไร ในชีวิตนี้ นางผู้หญิงใจมารอายุร่วมร้อยปี กลับ


กลายเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงอายุ สิบสี่ สิบห้าปี แม้ว่านางจะ
ยังคงหยิ่งยโสและเอาแต่ใจ ความรู้สึกที่อยากจะฆ่า ที่อยู่ในใจ
ของเนี่ยลี่นั้นค่อย ๆ มอดลง นับตัง้ แต่ที่เขากลับมาในชีวิตนี้
หลงยู่อิน นางก็ไม่อาจที่จะเป็นภัยคุกคามอาจารย์ของเขาได้อีก
ต่อไป
เขาวางแส้ลง แล้วมองไปยัง หลงยูอ่ ิน พร้อมกับพูดด้วยน้าเสียง
อันเย็นชา

“ไปซะ ข้าไม่ไม่รสู้ ึกว่าอยากจะโบยเจ้าสามทีเลยสักนิด เจ้าไม่


มีค่าพอ!”

“เจ้า...” ดวงตาของหลงยู่อิน เบิกโพลง นางจ้องมายังเนี่ยลี่


นางโกรธจนมองเห็นเป็นจุดสีขาวบนหน้าของนาง (มีด้วยเรอะ
!) คาพูดของเนี่ยลี่นั้น ถือเป็นการหลบหลู่ และสร้างความ
อัปยศอดสูแก่นางอย่างที่สดุ สาหรับเนี่ยลี่นั้น นางไม่มีค่าพอที่
เขาจะลงมือเลยเช่นนั้นเหรอ?

เนี่ยลี่โยนแส้ลงตรงหน้าหลงยู่อิน และเดินลงมาลงมาจากตรง
นั้น โดยที่ไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย นี่เป็นการดูถูกอย่าง
ชัดเจน!

“ยังออกไปไหนไม่ได้
!” หลงยู่อินหยุดเนีย่ ลี่ ในขณะที่จอ้ งเขม็งไปที่เขา

เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้าเสียงที่ขึงขัง
ว่า “ข้าไม่อยากจะเสียเวลากับคนเช่นเจ้า หลีกไปซะ!”

หลงยู่อิน แสดงความดื้อดึงออกมาบนใบหน้าของนาง พร้อม


กลับส่งแส้คืนให้กับเขา นางจ้องมองเนี่ยลี่อย่างเย็นชา พร้อม
กับพูดว่า “ข้ายอมที่จะก้มหัวให้กบั ความพ่ายแพ้ของข้า และ
ยอมถูกเจ้าโบยสามครั้ง แม้ว่าเจ้าไม่ยินดีที่จะทามัน แต่เจ้าก็
ต้องทา หลังจากที่โบยข้าสามทีแล้ว ข้า หลงยู่อิน ข้ารับผิดชอบ
ในคาพูดของตัวเองเสมอ ข้าต้องชาระความขุ่นข้องใจของข้า
และข้าจะต้องมาเอาคืนสาหรับความคับข้องที่อยู่ในใจของข้านี้
ทุกถ้อยคาที่เจ้าใช้ดูถูกเหยียดหยามข้า ข้าจะต้องเอากลับมาคืน
แก่เจ้า!”

นิสัยของนางก็ยังคงเป็นเหมือนกับที่ผ่านมา นั่นทาให้เนี่ยลี่จง
เกลียดจงชังนางยิ่งนัก
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้น จะมาว่าหาไร้ความปราณีไม่ได้นะ
!” เนี่ยลี่หยิบแส้จาก หลงยู่อิน ของมองด้วยสายตาที่เย็นชา
พร้อมกับตะโกนออกไปว่า “หลงยูอ่ ิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?
เจ้าคิดว่าแค่ความสามารถของเจ้านั้นน่าเกรมขามยิ่งนัก จนเจ้า
สามารถทากับคนอื่นเช่นมดปลวกได้เช่นนั้นหรือ? ในใจของเจ้า
นั้นไม่ได้มีความเมตตาเลยแม้แต่นอ้ ย เจ้าทาราวกับชีวิตคนอื่น
เป็นเพียงแค่ต้นหญ้า ดังนั้นเมื่อมีใครที่ขวางทางเจ้าอยู่ เจ้าก็ฆา่
พวกเขาจนหมด ผู้หญิงเช่นเจ้า แม้จะเรียกว่า นางมารร้าย ก็
นับว่าเบาเกินไป! ”

ทุกความคั่งแค้นในใจของเนี่ยลี่พรัง่ พรูออกมา
!

“ตระกูลผนึกมังกรน่ากลัวนักอย่างนั้นเหรอ
? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทาไมถึงได้ออกจากนิกายเทพอสูรหล่ะ?
นอกจากการข่มเหงเหล่าอัจฉริยะภายในนิกาย นี่เหรอสิ่งดี ๆที่
พวกเจ้าทากัน มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าจะกาจัดตระกูลของ
เจ้า เพื่อที่จะไม่ให้นิกายขนนกศักดิ์ศักดิ์สิทธิต์ ้องอยู่ในกามือ
ของพวกเจ้า! ” เนี่ยลี่ตะโกนใส่หลงยู่อินด้วยความโกรธ

ทุกถ้อยคาของเนี่ยลี่ ทาให้เหล่านักเรียนที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกสะใจ


อย่างช่วยไม่ได้ อันที่จริงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ มีการกาหนด
กฏเกณฑ์เข้มงวดเกีย่ วกับฐานันดร ทาให้นักเรียนทั่วไปรู้สึกอึด
อัด พวกเขาต่างไม่รู้สึกพอใจ ตระกูลผนึกมังกร แต่ก็ไม่มีใครที่
กล้าที่จะแสดงออกมา แต่ในวันนี้ เนี่ยลี่ ได้พูดแทนพวกเขา
ทั้งหมดแล้ว

“และตัวเจ้า! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ แต่ในความเป็นจริงเจ้า


เป็นเพียงแค่กาฝากของตระกูลผนึกมังกร กาฝากของนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ ! เจ้าลองคิดดูสิว่า หากเจ้านั้นไม่ได้ รับทรัพยากร
เพื่อใช้ในการบ่มเพาะพลัง เจ้าก็คงจะประสพผลเพียงเล็กน้อย
ในการบ่มเพาะพลัง เจ้าคิดเหรอว่าเจ้าจะสามารถเอาแต่ใจ
และปฏิบัติกับผู้อื่นราวเช่นกับขยะเช่นนี้ได้? ”
เนี่ยลี่ยมิ้ อย่างเย็นชา แล้วเขาก็พูดต่ออีกว่า “ในมุมมองของข้า
ผู้ที่ไม่มีทรัพยากรในการบ่มเพาะพลัง แต่สาเร็จได้ด้วยการ
ฝึกฝนอย่างหนัก นั่นสิคือของจริง ตะกุยตะกายขึ้นไปทีละขั้น
ด้วยความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง คนเช่นเจ้าต่างหากที่เป็น
เพียงแค่ขยะ ขยะที่ต้องสูญเสียทรัพยากรเพื่อการบ่มเพาะ
พลัง!”

ใบหน้าของหลงยู่อิน ขาวซีด และมือทั้งสองข้างของนางนั้นกา


จนแน่น แต่นางก็ทาได้เพียงนั่งก้มหัวอยู่เงียบๆเท่านั้น

เนี่ยลี่ สะบัดแส้ฟาดไปยังหลงยู่อิน ตรงแก้มและไหล่ “การลง


แส้ครั้งนี้สาหรับทุกคนที่ถูกเจ้ารังแกในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์”

แม้ว่าหลงยู่อิน จะมีสายเลือดมังกร การลงแส้ก็ยังคงทิ้งรอย


แดงบนแก้มและไหล่ของนาง เนี่ยลี่ สะบัดแส้อีกครั้งด้วยความ
รุนแรงเป็นอย่างมาก ลงที่ร่างกายของหลงยู่อิน
เนี่ยลีส่ ะบัดแส้อีกครั้ง และ สร้างรอยบนหน้าอกของหลงยู่อิน
เสื้อผ้าตรงหน้าอกของนางถูกฉีกออกในทันที ด้วยร่องรอยสี
แดงเข้มที่ปรากฏ แสดงให้เห็นผิวที่งดงามที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้น

“การลงแส้นี้ สาหรับตัวข้าเอง ในตอนแรกที่เจ้ากล้าที่จะเดิม


พันกับข้า เจ้าตั้งใจจะใช้การลงแส้สามครั้งนั้นฆ่าข้าให้ตาย แต่
กลับเป็นเจ้าเองที่โดนเสียเอง การลงแส้นี้ นับเป็นบทเรียนราคา
ถูกของเจ้า” เนี่ยลี่จ้องหน้าหลงยู่อิน ด้วยความเย็นชา

นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สดุ
!

หลงยู่อิน ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า ในขณะที่ ในดวงตาของนางมีมี


ประกายของหยดน้าตา นางทาได้เพียงแค่หันหลังกลับ และ
ใบหน้าของเนี่ยลี่นั้นอยู่ด้านหลังของนาง
“ในตอนแรก ข้าก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะโบยเจ้าหรอกนะ การ
โบยเจ้านั้นทาให้มือของข้าต้องสกปรก แต่มันเป็นสิ่งที่เจ้า
เรียกร้อง การลงแส้อีกครั้ง ถือว่าสาหรับอาจารย์ของข้า...”
เนี่ยลี่ ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
เมื่ออาจารย์ของเขาถูกยัดเยียดความตายให้โดยหลงยู่อิน แต่
อาจารย์ของเขา นางยังบอกให้เขา ทิ้งความคั่งแค้นพยาบาทไป
ในขณะที่นางตายไปในอ้อมแขนของเขา
แม้ว่าเขาจะมีประสพการณ์ผ่านมาถึงสองชีวิต แต่เรื่องนี้ยังคง
เป็นบาดแผลที่ค้างคาอยู่ในใจของเนี่ยลี่

เนี่ยลี่ยกแส้ในมือของเขา และฟาดลงไปอย่างไร้ความปราณี ที่


ด้านหลังของหลงยู่อิน รอยแส้ที่คมชัดเป็นรอยยาวบนร่างของ
หลงยู่อิน ร่องรอยของแส้นั้น ถูกทาเป็นเครื่องหมายพร้อมกับ
ร่องรอยของเสื้อผ้าที่ฉีกขาด ตั้งแต่ไหล่ไปจนถึงก้นของนาง

การลงแส้ครั้งนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในหัวใจของเนี่ยลี่
ดังนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่การลงแส้ที่เบาๆเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าร่างกายของหลงยู่อินนั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่นางก็ยังไม่
อาจที่จะกลั้นเสียงร้องไม่ให้มันดังเล็ดลอดออกมาได้ ความ
งดงามบนใบหน้าของนางนั้นเหลือเพียงเล็กน้อย มันซีดขาว
ขณะที่เนี่ยลี่ทาการลงแส้ทั้งสามครั้ง มันเจ็บแสบราวกับถูกเผา
ไหม้ นับตั้งแต่เด็ก นางไม่เคยถูกทาให้ขายหน้าเช่นมาก่อน
บทที่ 284 ขัดขวาง

ความเจ็บปวดทางกายของ หลงยูอ่ ิน นั้นถือเป็นแค่เรื่องรอง แต่


ถ้อยคาที่เนี่ยลี่ นั้นเปรียบดังกับมีดที่กรีดลึก ฝังลงในใจของนาง

นั่นคือความอัปยศอดสูเป็นอย่างยิง่ !
จากสายตาของคนอื่นๆแล้ว นางเป็นเพียงแค่หญิงสารเลวงั้น
เหรอ? หลงยู่อิน เงยหน้ามองไปยังนักเรียนคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้
ๆ พวกเขาก้มหน้าหลบทันที ที่เห็นสายตาของนาง

ดังนั้นในสายตาของคนอื่น นางเป็นเพียงหญิงที่ชั่วร้าย
เหมือนกับที่เนี่ยลี่ได้พูดออกมาในมุมมองของหลงยู่อินแล้ว นาง
ก็แค่อยากจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นแต่มันกลับกลายเป็นว่า นาง
เป็นเพียงแค่ขยะทีส่ ร้างความเกลียดชังให้แก่ผู้อื่น!
ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยน้าตา นางก็เป็นเพียงแค่คนที่เอาแต่
ใจ นางไม่เคยคิดที่จะไปทาร้ายหรือฆ่าใครง่าย ๆ นางไม่ได้คิด
จะฆ่าเนีย่ ลี่ ด้วยการโบยสามครั้งแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง
ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย นางแค่อยากจะให้เขาได้รับบทเรียน แล้ว
ทาไมเนี่ยลี่ถึงได้เรียกนางว่า นางมารร้าย
ในการลงแส้ครั้งที่สาม นั้นหนักหน่วงและไร้ความปราณีเป็น
ที่สุด เนี่ยลี่พูดว่า สาหรับอาจารย์ของเขา แต่นางไม่รเู้ สียด้วย
ซ้าว่าใครคืออาจารย์ของเขา!
ในใจของหลงยู่อินนั้น เต็มไปด้วยความคับข้องใจ นางหันหน้า
กลับไปมองเขาด้วยดวงตาที่สั่นไหวและเต็มไปด้วยน้าตา นาง
กัดฟันแล้วพูดออกไปว่า “ข้าเกลียดเจ้า”

หลังจากที่พูดจบ หลงยู่อิน ก็รีบเช็ดน้าตาแล้ววิ่งลงไปอย่าง


รวดเร็ว
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาขณะที่มองดูร่างของหลงยู่อิน ออกไป
จาก ประตูทางออกของด่านจิตวิญญาณแห่งแสง ซึ่งดูเหมือนว่า
หลงยู่อิน จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆเป็นแน่
แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัว และไม่ต้องสนใจว่านางจะมา
ด้วยวิธีไหนด้วย หลังจากที่หลงยู่อนิ ได้ยัดเยียดความตายให้แก่
อาจารย์ของเขา ดังนั้นในชีวิตนี้ เขาก็ควรที่จะถูกตัดสินด้วย
ความยุติธรรมเช่นกัน
ถ้าหากหลงยู่อิน จะทาอะไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามทางของมัน
เนี่ยลี่ ตัดสินใจว่าเขาจะลบเลือนความแค้น และเลิกที่จะแก้
แค้นสาหรับชีวิตก่อนหน้าของเขาแล้ว แต่ถ้านางยังคงต้องการ
ที่จะสร้างความยุ่งเหยิงให้กับเขาแล้ว เขาจะสั่งสอนให้นาง
ได้รับบทเรียนอีกครั้งหนึ่ง
เซี่ยวหยู่มองดูเนี่ยลี่ ด้วยสีหน้าที่งุนงง เขารู้สึกว่าวันนี้เนี่ยลี่
แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แม้ว่าหลงยู่อิน นางจะเป็นคนที่
เอาแต่ใจ แต่นั่นก็ไม่ถึงกับที่ เนี่ยลีจ่ ะมีทีท่าถึงเพียงนั้น อาจจะ
มีอะไรบางอย่างที่ทาให้เขาโกรธแค้นถึงเพียงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เนี่ยลี่พูดออกมาตอนที่ลงแส้ครั้งที่สามว่า นี่
สาหรับอาจารย์ของเขา แต่ใครกันหล่ะ อาจารย์ที่เนี่ยลี่พูดถึง?
หรือว่าจะเป็นพ่อบุญธรรมของเขา ? แต่ว่า พ่อบุญธรรมของ
เขา ก็ไม่ได้มีความแค้นใด ๆ กับหลงยู่อินนี่นา!

ลู่เพียวยังยืนมองหลงยู่อินวิ่งออกไป จากนั้นก็หันไปมองที่
เนี่ยลี่พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ ได้มองดูเนี่ยลีล่ งแส้สามครั้งกับ
หญิงสาว ทุกคนก็ต่างดีใจทีม่ ีส่วนของพวกอยู่ด้วย
และในตอนนี้มันก็จบลงไปแล้ว พวกเขาทุกคนต่างก็เริม่ ทาการ
บ่มเพาะพลัง สาหรับผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรก สามารถที่จะอยู่ใน
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงได้เป็นเวลาสามวัน
ซึ่งโดยปกติแล้วเนี่ยลี่ย่อมไม่ยอมทีจ่ ะเสียเวลาอันมีค่าดังกล่าว
ดังนั้นเขาจึงมุ่งเน้นที่จะทาการฝึกบ่มเพาะพลังต่อ ตระกูลผนึก
มังกร ที่พักของหลงยู่อิน
หลงยู่อินนั่งอยู่บนเตียงของนาง นางถือขวดยาสมุนไพรอยู่ใน
มือ นางจุ่มมือลงไปจากนั้นก็ค่อย ๆใช้ ทาแผลของนาง มีแผลที่
ชัดเจนอยู่บนใบหน้า และหน้าอกของนาง รวมไปถึงอีกหลาย ๆ
แห่งบนร่างกายของนาง
แม้ว่านางจะเป็นผู้ที่มสี ายเลือดมังกร แต่การลงแส้ของเนี่ยลี่นั้น
ราวกับว่าจะตัดร่างกายของนางได้ ร่างกายของนางรู้สึกปวด
แสบปวดร้อนเป็นอันมาก
ในตอนนี้นางได้เปลี่ยนชุดที่ขาดรุ่ยของนาง นางสวมใส่ชุดผ้า
ไหมห่อหุม้ ร่างกายอันแสนยั่วยวนของนางไว้ เมื่อนางเริ่มทายา
ตรงหน้าอกของนาง นางถึงกับร้องครวญครางด้วยความ
เจ็บปวด
เมื่อนางนึกถึงจุดที่เนี่ยลี่นั้นลงแส้ นางรู้สึกอับอายขายหน้าเป็น
ยิ่งนัก เขาเป็นคนแรกที่กล้าทาเช่นนั้นกับนาง!
มือขวาของนางกาแส้ไว้แน่น นางจาได้ถึงความเกลียดชังที่เนี่ยลี่
แสดงออกมา เขาทาราวกับว่าร่างกายของนางนั้นน่าขยะแขยง
แม้ว่าจะคิดไตร่ตรองดูแล้วนีม่ ันก็มากเกินไป ด้วยการ
แสดงออกของความเกลียดชังนั้น ทาให้ใจของนางเต็มไปด้วย
ความโกรธ
นางกัดฟันของนางจนแน่น จากนั้นก็เช็ดน้าตาที่อาบอยู่เต็ม
ใบหน้า หลังจากนั้นก็เริ่มทายาที่หลังของนาง

“อา” หลงยู่อิน รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ได้ที่จะร้องครวญคราง


ออกมา
ยาสมุนไพรเริ่มซึมเข้าไปในบาดแผลของนาง หลังจากที่เวลา
ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความเจ็บปวด
และแสบร้อนนี้ ได้ฝังลึกลงไปในความทรงจาของนาง ไม่ว่า
อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม นางก็จะระลึกเอาไว้เสมอว่าเนี่ยลี่เป็นคน
แรกและคนเดียว ที่เคยลงแส้กับนาง
นางหยิบเอาชุดเสื้อสีม่วงออกมาและเปลี่ยนชุด คลุมด้วยผ้าสี
ม่วง ใบหน้าของนางช่างงดงามและชวนหลงใหล ที่สามารถทา
ให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของนางได้ มีเพียงแค่บาดแผลบน
ใบหน้าของนาง ที่ยังไม่จางหายไป
นางมองไปยังกระจกทีต่ ั้งห่างออกไป แม้ว่านางจะไม่เคยให้
ความสนใจมากกับการร่างกายของนางแม้แต่น้อย แต่นางเองก็
งดงามมากอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากว่าไม่เป็นเพราะนิสัยเอา
แต่ใจของนาง คงจะมีชายหนุ่มต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อขอมือ
ของนางเป็นแน่

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แผลบนใบหน้านั้นไม่อาจที่จะปกปิดได้
นางนึกถึงคาพูดที่เนี่ยลี่พูดเอาไว้กอ่ นหน้านี้ได้ ไม่ว่าภายนอก
จะงดงามเพียงใด แต่มันก็ไม่อาจทีจ่ ะปกปิดความน่าเกลียดใน
ใจของนางได้ นางหยิบเอาสิ่งของปาไปยังกระจก มีเสียงดัง
กระจายและกระจกก็แตกเป็นชิ้น ๆ

หลงยู่อิง คับแค้นใจจนอยากจะร้องไห้ นับตั้งแต่เด็กนีเ่ ป็น


ครั้งแรกที่นางถูกทาร้ายถึงเพียงนี้ไม่นานนักหลังจากที่นาง
เปลี่ยนชุด นางได้ออกมาจากห้อง และ หูหย่ง [胡勇] ก็ได้วิ่ง
เข้ามา
หูหย่ง โกรธทันทีเมื่อเห็นแผลบนใบหน้าของนาง “น้องอิ้น เกิด
อะไรขึ้นกับเจ้า? ข้าได้ยินว่าเจ้านัน้ พ่ายแพ้มาใช่ไหม? มันเป็น
ใครกัน?
ข้าจะไปกวาดล้างตระกูลของมันซะ!”
หลังจากที่เขาพูดจบ หลงยู่อิน ถึงกับตกตะลึง ถ้าเป็นเมื่อไม่
นานมานี้ คาพูดนี้คงจะเป็นคาพูดที่แสนธรรมดาสาหรับนาง
ผู้ใดที่กล้าจะทาอันตรายต่อนาง แน่นอนว่าตระกูลของคนผู้นั้น
จะต้องถูกกวาดล้างด้วยมือของนางเอง ในอดีตที่ผ่านมา
สาหรับนางก็ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ในตอนนี้ เสียงด่าทอของเนี่ยลีย่ ังคงก้องกังวาลในหูของนาง
“..ทาร้ายและฆ่าใครก็ได้ เจ้าทาราวกับชีวิตคนอื่นเป็นเพียงแค่
ต้นหญ้า...ผู้หญิงเช่นเจ้า แม้จะเรียกว่า นางมารร้าย ก็นับว่าเบา
เกินไป!”

ในตอนนั้นความรังเกียจของนางก็ถูกจุดขึ้นมา เมื่อได้ยินคาพูด
ของ หูหย่ง

“หูหย่งนี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า
!” นางชาเลืองมองหูหย่งด้วยความรังเกียจ พร้อมกับพูดต่ออีก
ว่า “ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลัง หลีกไปซะ!”
“น้องอิ้น ใครกันที่ทาร้ายเจ้า แล้วเจ้าไม่คิดจะล้างแค้นงั้น
เหรอ
? ข้าช่วยเจ้าล้างแค้นได้นะ!” หูหย่งรีบพูดออกไป

นางชาเรืองมองหูหย่งจากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ล้าง
แค้นงั้นเหรอ? แม้แต่ข้ายังไม่อาจที่จะจัดการเขาได้ แล้วคน
อย่างเจ้าจะล้างแค้นให้ข้าได้อย่างไร?”

หูหย่งพูดด้วยน้าเสียงที่เอาจริง “ข้าจะส่งผู้เยี่ยมยุทธจาก
ตระกูลของข้า ไปล้างแค้นให้กับเจ้า
!”

หลงยู่อินจ้องแขม็งด้วยความโมโห “ถ้าจะขอความช่วยเหลือ
จากผู้เยีย่ มยุทธในตระกูลของเจ้า ก็ใช้ตอนที่เจ้าถูกซัดติด
กาแพงก็แล้วกัน เจ้ามันก็แค่ขยะ ตระกูลของเจ้าก็เช่นกัน
เจ้าเป็นแค่ขยะ อย่าได้มายุ่งกับปัญหาของข้า หลงยู่อิน ถ้าข้า
ไม่อาจที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ดว้ ยตัวข้าเอง ข้าก็คงจะเป็น
แค่เศษขยะไม่ต่างจากเจ้า เข้าใจไหม?”
หูหย่ง แทบจะกระอักด้วยคาพูดของหลงยู่อิน เขาหยุดนิ่งอยู่ชั่ว
ครู่จากนั้นจึงพูดเสียงที่ไม่ดังนักว่า “น้องอิ้น หรือว่าตระกูลของ
ฝ่ายนั้นมีอานาจมากนักใช่หรือไม่? มันคือตระกูลเถ้าอัคคี หรือ
ว่าตระกูลกู?้ ”
นางมองไปยังหูหย่ง ความรูส้ ึกรังเกียจเพิ่มขึ้นมาในใจของ หลง
ยู่อิน ในตอนนี้นางเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทาไมนางถึงได้ถูกผู้อื่น
รังเกียจ ในมุมมองของนางในตอนนี้
นางเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลทีโ่ ดดเด่น และพร้อม
ไปด้วยทรัพยากรมากมายสาหรับการบ่มเพาะพลัง นางจึงได้
ประสพความสาเร็จเป็นอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง นาง
มักจะเยาะเย้ยดูถูกในชาติกาเนิดของคนอื่น ๆ และทาร้าย
รวมถึงกาจัดใครก็ตามที่นางต้องการ

ในสายตาของคนอื่นนั้น ความสาเร็จของนางในวันนี้ นั้นล้วน


เกิดจากการใช้ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังจากตระกูลของ
นาง ผลที่สาเร็จจากตัวนางเองนั้นมีแค่เพียงน้อยนิด

“ข้าไม่ต้องการที่จะเห็นเจ้า ออกไปซะ” หลงยู่อินเอ่ยปากไล่


เมื่อเห็นว่าหลงยู่อิน เอ่ยปากไล่ หูหย่งนึงได้ถอยออกไป

หลังจากที่เห็นหูหย่งออกไป ใจของหลงยู่อินค่อยๆที่จะสงบอีก
ครั้ง
ตอนนี้นางกาลังคิดถึง เรื่องของเนีย่ ลี่ ที่จ้องลงมาหานางจาก
เบื้องบน นางคิดถึงสิ่งที่นางเคยทาในอดีต นางคิดว่าถ้อยคา
เหล่านั้นจะกระตุ้นและเป็นเป้าหมายของนาง
ในตอนนั้นที่เนี่ยลีไ่ ด้ลงแส้ ฟาดลงบนร่างกายของนาง ในตอนนี้
นางได้มาตรึกตรองถึงคาพูดและการกระทาของนางในอดีต

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ข้าจะต้องแซงหน้าเจ้าให้ได้
ความคับข้องใจของข้าในวันนี้ ข้าจะต้องส่งมันคืนให้กับเจ้าให้
จงได้!” หลงยู่อิน นั่งลงและเริม่ ทาการบ่มเพาะพลังสวรรค์ทันที
พลังงานสวรรค์ค่อย ๆ พุ่งเข้าสูร่ ่างกายของนาง หลงยู่อิน
สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของนาง
นั้นรวดเร็วยิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา
“บริสุทธิ์ดั่งสายนที เพราะวารีนั้นไม่แข่งขัน...” หลงยู่อิน
จดจาคาพูดนีม้ ากจาก ต้นแบบบทคา

ทานาย และในตอนนี้นางเริ่มที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้

ที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เนี่ยลี่ยังคงทาการบ่มเพาะพลัง ในขณะที่เขากาลังเชื่อมโยงอยู่
กับพลังฟ้าและดิน ในตอนนี้เหลือเพียงขั้นตอนการ ก่อรูปชะตา
วิญญาณดวงแรกเท่านั้น

วันที่หนึ่ง วันที่สอง

สองวันต่อมา เนี่ยลี่สมั ผัสได้ว่าเขากาลังอยู่บนบันไดหน้าประตู


ของขอบเขต ระดับชะตาสวรรค์แล้ว แต่ว่าการที่จะทะลวงผ่าน
เข้าไปให้ถึงขอบเขตที่ว่านั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
ลูกเพียวลุกขึ้น มองไปยังเนี่ยลี่ พร้อมกับพูดว่า “เนี่ยลี่ ข้าต้อง
ออกไปแล้ว” เขาได้ใช้เวลาที่อยู่ในที่แห่งได้จนหมดแล้ว และ
ไม่ได้รับอนุญาติให้ทาการบ่มเพาะพลังใน ด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสงต่อไปได้อีก

“เราจะออกไปด้วยกัน ในตอนนี้” เนี่ยลี่ตอบ มันเป็น


ไม่ได้เลยสาหรับเขา ในการที่จะทะลวงผ่านได้ในเวลาอันสั้น
เขายังต้องใช้เวลาอีกมาก เขาว่าคงจะดีกว่าถ้าหากจะไปลอง
ค้นหาวิธีที่จะทะลวงผ่านได้ง่ายกว่านี้

พวกเขาทั้งสองคนและเซีย่ วหยู่ เดินลงไปทีละขั้นและเดินไป


ทางทางออกของ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
นักเรียนโดยรอบจ้องมองพวกเขาทั้งสามคนเดินออกไป และ
ช่วยไม่ได้ที่จะทาให้พวกเขาต้องถอนหายใจ ในที่สุดสัตว์
ประหลาดทั้งสามก็จากไป การบ่มเพาะพลังของพวกเขาเรียบ
ง่ายเป็นอย่างมาก นั่นจึงทาลายความมั่นใจของพวกเขาไม่น้อย

ด้านนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
พวกเขาทั้งสามคนอยู่ภายในบริเวณด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เป็นเวลานานแล้ว จนคนที่อยูด่ ้านนอกกระจัดกระจายกันไป
หมดแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยงั คงอยู่บริเวณนี้
เมื่อเนี่ยลี่และกลุ่มของเขา ออกจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง ก็
มีกลุ่มคนเข้ามายืนห้อมล้อมพวกเขาทันที
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาเป็นเวลาสั้นๆจากนั้นก็กวาดสายตามอง
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ทสี่ ุด มีทั้งหมดสิบคน มีเก้าคนที่บรรลุระดับ
ชะตาสวรรค์แล้วมีคนหนึ่งที่อายุพอ ๆ กับเนี่ยลี่

“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”เซี่ยวหยู่ มองไปที่พวกเขาพร้อม
กับเตรียมพร้อมเต็มที่ หากมีการต่อสู้ก็พร้อมที่จะรับมือได้
ทันที มีคนหนึ่งเดินเข้ามาเพ่งมองมาที่เนี่ยลี่ “เจ้าคือ เนี่ยลี่ งั้น
รึ?”
เนี่ยลี่ หรี่ตาแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว แล้วเจ้าเป็นใครกัน
และทาไมเจ้าถึงมาจ้องหน้าข้าด้วยหล่ะ?” ดูเหมือนว่าอีกฝ่าย
จะได้รับการร้องขอมาเพราะเรื่องของเขา
วัยรุ่นคนนั้นพ่นลมหายใจอันเย็นชาใส่เนี่ยลี่ “เจ้าคนสารเลว
เจ้าคงเบื่อชีวิตแล้วสินะ เป็นแค่ใครก็ไม่รู้จากโลกใบเล็ก แต่กล้า
มากาแหงในสถาบันวิญญาณฟ้า”
เนี่ยลี่ แสยะยิม้ ด้วยท่าทีเย้ยหยัน “หลงยู่อิน ส่งพวกเจ้ามางั้น
เหรอ ?”...จบตอน
บทที่ 285 เอาขนไก่ไปทาลูกศร (สานวนจีน)

[ชื่อบทนี้มาจากสานวนจีนที่ว่า 拿着鸡毛当令
箭 หนา ชี ชิ เหมา ตั้ง หลิน เจียน แปลตรงตัวได้ว่า เอาขน
ไก่ไปทาลูกศร เดี๋ยวจะอธิบายอีกทีเมื่อมีการกล่าวถึงในเนื้อ
เรื่อง]

ชายคนนี้ก็คือ หูหย่ง คู่หมั้นของ หลงยู่อิน


หูหย่งเดินไปข้างหน้าเขา แล้ว จับคอเสื้อของเนี่ยลี่ “เนีย่ ลี่ เจ้า
มันกาแหงนัก ที่กล้าทาร้ายหงยู่อนิ เจ้าคงจะเบื่อชีวิตแล้วสินะ!

เนี่ยลี่พ่นลมหายใจ ในขณะที่ตาของเขาจ้อง หูหย่งและลูก
สน้องของเขา จากนั้นก็พูดออกไปว่า"พวกเจ้ามาจากตระกูล
ผนึกมังกรงั้นเหรอ?"
หูหย่งจ้องหน้าเนี่ยลี่ด้วยความโกรธ พร้อมกับพูดว่า “วันนี้ ข้า
จะให้เจ้าได้ตายพร้อมกับรับรูด้ ้วยว่า ชื่อของข้าคือ หูหย่ง เป็น
คู่หมั้นของ หลงยู่อิน” หัวใจของเขาลุกไหม้เหมือนกองไฟที่ลุก
โชน ที่ได้เห็นสีหน้าของเนี่ยลี่ ที่ไม่ได้แสดงถึงความเกรงกลัว
แม้แต่น้อย
ลู่เพียวจ้องไปยังเป้ากางเกงของหูหย่งพร้อมกับหัวเราะลั่นสาม
ครั้ง “ฮ่าฮ่าฮ่า คู่หมั้นของหลงยุ่อนิ งั้นเหรอ? ใช่คนที่ถูกเล่าลือ
ว่าถูกนางปู้ยี้ปู้ยาจนแทบปางตายใช่ไหม?
ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดยังไง หรือว่า ว่าเจ้าจะมีอะไรติดอยู่ในหัว จนถึง
กับเลอะเลือนเพราะฝีมือของนาง อย่ามาขู่ให้เสียเวลาเลย อย่า
คิดว่าพวกเราจะไม่รู้กฏของสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้ ข้าก็คง
จะต้องขอชื่นชมเจ้านะ ถ้าหากว่าเจ้ากล้าที่จงลงมือในที่แห่งนี้
ในเวลานี้ด้วย”
หูหย่งรู้สึกขายหน้าและโกรธยิ่งนัก เขายังคงคว้าคอเสื้อของเนี่ย
ลี่ต่อ พร้อมกับมองอย่างป่าเถื่อนและพูดว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่
กล้าที่จะแตะต้องพวกเจ้า!”
เนี่ยลี่จงใจจ้องหน้าของเขาแล้วก็พูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอท้า
ให้เจ้าทาในตอนนี้เลย!”
ในตอนนี้ หูหย่งโกรธเป็นอันมาก ก่อนที่จะมาที่นี่เขาได้รวบรวม
ยอดฝีมือ ระดับชะตาสวรรค์ มาเป็นจานวนมาก เพื่อที่เนี่ยลี่จะ
ได้ไม่มโี อกาสตอบโต้ แต่ภายในสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้ มีกฏ
บ้า ๆนั่น ทาให้เขาไม่อาจที่จะทาอะไรได้ ถ้าไม่ออกไปข้างนอก
สถาบัน
หูหย่งปล่อยมือที่จับเนี่ยลี่ไว้ จากนั้นก็จ้องมองเนี่ยลี่ด้วย
สายตาอันเย็นชา “อย่าคิดว่าแค่มกี ฏของสถาบันนั่น แล้วข้าจะ
ทาอะไรเจ้าไม่ได้นะ คิดจะลองดีกับข้าอย่างนั้นเหรอ? ไอ้คน
กระจอกเช่นเจ้าเนี่ยนะ หูเทียน พาพวกมันสามคนไปที่เงียบ ๆ
แล้วหาเรื่องดี ๆ พูดคุยกันสักหน่อย!”

“นายท่านทั้งสาม รบกวนตามเราไปสักหน่อยได้ไหม?”
แม้ว่าหูหย่งและลูกน้องของเขา ไม่อาจที่จะสังหารพวกเขาได้ถ้า
หากไม่ออกไปข้างนอกสถาบันวิญญาณฟ้า แต่การสั่งสอนให้
บทเรียนก็พอจะสามารถทาได้
กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ของ ยอดฝีมอื ระดับชะตาวิญญาณขั้นที่
เก้า สร้างความกดดันให้กับเนี่ยลี่และลูเ่ พียวไม่น้อย พวกเขาไม่
สามารถที่จะตอบโต้อะไรได้ ในขณะที่พวกเขานั้นกาลังถูกต้อน
ไปยังมุมที่เปลี่ยวและเงียบสงัด

แต่กลับกัน เซีย่ วหยูไ่ ม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายที่พวกเขา


แผ่ออกมาแม้แต่น้อย เพราะเขาก้าวผ่านจนบรรลุเป็น ยอดฝีมือ
ระดับชะตาสวรรค์ขั้นทีส่ ี่แล้ว
แต่เขาก็ยังไม่ได้กระทาการใด ๆ และทาได้เพียงพยายามคิด
และหาทางเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะ
ดาเนินการใด ๆ ในตอนนี้ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือกับ
ยอดฝีมือระดับชะตาสวรรค์จานวนมากเช่นนี้ได้

เขาไม่เคยคิดเลยว่า หูหย่ง จะเผชิญหน้าด้วยวิธีนี้

“หูวว ดูเหมือนว่าเจ้ากาลังจะเล่นเกมแบบเด็กๆสินะ ”

เนี่ยลี่เหลือบมอง หูหย่งด้วยท่าทีที่ดูถูก “เหมือนกับเด็กสู้กัน


เจ้าต่อข้า แล้วข้าก็ต่อยเจ้า ช่างเป็นวิธีที่น่าเอ็นดู!”
หูหย่งเหลืออดกับท่าทียโสโอหังของเนี่ยลี่ เขาพ่นลมหายใจ
ออกมาพร้อมกับพูดว่า “เจ้าปากดีได้ก็แค่ตอนนีเ้ ท่านั้น หันหลัง
มา เอาหน้าชนกาแพงซะ”
เนี่ยลี่กระชากแขนของเขาออกมาพร้อมกับเผยรอยยิม้ ที่แสดง
ความดูถูก ให้กับหูหย่ง “เจ้าคิดจริงๆเหรอว่า วันนี้จะทาอะไร
ข้าได้? แค่จัดการกับพวกเจ้า ข้าไม่ต้องแสดงฝีมือเลยด้วยซ้า!”
“พวกเจ้าสามคน ยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ แม้ข้า
จัดการพวกแกไม่ได้ในวันนี้ แต่ข้าสลักชื่อของข้าไว้ที่หลังของ
พวกเจ้าซะ!”

หูหย่งพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ เขารู้ตัวเองดีว่า
เป็นคนที่จองหองอวดดียิ่งนัก แต่เขาไม่คิดเลยว่า เนี่ยลี่นั้นจะ
จองหองอวดดียิ่งกว่าเขาเสียอีก แม้แต่ในตอนที่เผชิญหน้ากับ
ศัตรูเป็นจานวนมาก เขาก็ยังจะกล้าพูดเช่นนั้นอีก “ลากพวก
มันไปเดี๋ยวนี้”
ในตอนที่หูหย่ง พูดเช่นนั้น ก็มีเสียงลึกลับที่ฟังดูมีอายุดังขึ้นมา
จากข้างหลังของเขา “นายน้อยหู ข้าเกรงว่าคงไม่สามารถ
ปล่อยให้ทั้งสามคน ไปกับท่านได้!”
หูหย่งพ่นลมหายใจด้วยความโกรธ แล้วพูดออกมาว่า “วันนี้ข้า
จะต้องจัดการเจ้าสามคนนี้ ใครกล้ามาขัดขวางข้ากัน?”
เขาหันกลับไปมองดูว่าใครกัน ที่กล้ามาช่วยเจ้าสามคนนี!้ แต่ว่า
เมื่อเขาหันกลับมา ช่วยไม่ได้ที่เขาจะตกใจเมื่อเห็นคนที่อยู่
ตรงหน้าของเขา
ร่างของทั้งสองคนเดินเข้าหาเขาช้าๆ ซึ่งเป็นคนที่หูหยงรู้จักดี
หนึ่งในนั้นคือ หนานเหมียนเทียนไห่ อีกคนก็คือ หวงอวี้ ทั้งสอง
คนอยู่ในตาแหน่งผู้อาสุโส ระดับสูงของสถาบันวิญญาณฟ้า
แม้แต่คนใหญ่คนโตในตระกูล หู ยังให้ความเคารพ นอกจากนี้
หูหย่งก็ยังคงเป็นศิษย์ของสถาบันวิญญาณฟ้า และเขาก็ต้องอยู่
ภายใต้กฏของสถาบัน

“นายน้อยหู ข้าเกรงว่าภายในสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้
ท่านไม่สามารถที่จะทาอะไรตามใจของท่านได้ ทั้งสามคนนีล้ ้วน
เป็นคนรุ่นใหม่ทมี่ ีความสามารถยิ่งนักของสถาบันวิญญาณฟ้า
ไม่มผี ู้ใดที่ได้รับอนุญาตให้จดั การพวกเขาได้ ถ้าหากว่าเขานั้น
ทาผิด ทางสถาบันจะเป็นผู้ที่พิจรณาโทษของพวกเขาเอง ”

หวงอวี้มองหน้าหูหย่ง ในขณะที่เขาพูดด้วยน้าเสียงที่
จริงจัง “นายน้อยหู ท่านเองก็ยังคงเป็นศิษย์ของสถาบัน
วิญญาณฟ้า ไม่ว่าในตอนนี้หรือในอนาคต คนที่กล้าทาผิดกฏ
ของสถาบันวิญญาณฟ้า ไม่วา่ จะตัง้ ใจหรือไม่ มีโทษเพียงสถาน
เดียวคือ ไล่ออก!”

ในใจของเขา หูหย่ง นั้นหดหูยิ่งนัก ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า


เขาติดกับเนี่ยลีเ่ ข้าเต็มเปา
เมื่อหนานเหมียนเทียนไห่ และ หวงอวี้ออกหน้า ในวันนี้เขาก็
ไม่อาจที่จะทาอะไรเนี่ยลี่ได้ นอกจากนี้เหล่าผู้อาวุโสก็จับตาดู
เขาอยู่ จากนี้ไปเขาคงทาได้แค่เพียงฝันเท่านั้น เขาจ้องหน้าเนีย่
ลี่และพรรคพวกด้วยความโกรธ

ลู่เพียวหัวเราะ ขณะทีเ่ ขามองไปที่ หูหย่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า


ก่อนหน้านี้นายน้อยหู บอกว่า ถึงแม้เขาจะไม่ลากคอพวกเรา
ออกไปข้างนอกเพื่อจัดการได้ แต่เขาก็สามารถที่จะสลักชื่อของ
เขาบนหลังของพวกเราได้! ”

“พวกเจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้า
ไว้แน่ โดยเฉพาะเมื่อพวกเจ้าบรรลุขอบเขตชะตาสวรรค์แล้ว
อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ก้าวขาออกจากสถาบันวิญญาณฟ้า
ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะตายทุกครั้งทีก่ ้าวขาออกไป!” หูหย่ง
ตะโกนด้วยความโกรธ จากนั้นก็หนั หลังพาลูกน้องที่มีระดับ
ชะตาสวรรค์ทั้งเก้าคนกลับไป “ไปกันได้แล้ว!”
ลูกน้องของ หูหย่ง มองมาทางเนี่ยลี่และพวก หนึ่งในนั้นแสดง
ความโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เดินตามนายน้อยของ
เขาไป
ความหมายของหูหย่งคือเมื่อเนี่ยลีแ่ ละพวก ก้าวไปถึงขอบเขต
ชะตาสวรรค์ และมุ่งหน้าออกไปทาการสารวจด้านนอก ในตอน
เองที่เขาตั้งใจจะจัดการพวกเขาทัง้ สามคน แต่เมื่อถึงตอนนั้น
เนี่ยลี่ คงจะวางชะตาวิญญาณดวงแรกของเขาเอาไว้ที่ห้องโถง
วิญญาณเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้คดิ เลยว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง
พวกเขา(เนี่ยลี่)ก็ไม่มสี ิ่งใดที่ต้องกลัวอีกต่อไป
สิ่งที่ดีที่สุดที่หหู ย่งทาได้คือ การขัดขวางการบ่มเพาะพลังได้
เพียงแค่เล็กน้อย โดยการที่ขัดขวางมิให้เนี่ยลี่ ทะลวงผ่าน
ขอบเขตชะตาสวรรค์ได้ เรียกได้วา่ แม้แต่ในตอนนี้ หูหย่งก็ยัง
ประเมินตัวเองสูงเกินไป
หูหย่งและลูกน้องของเขา หันกลับมาเพื่อข่มขวัญอีกครั้ง แต่
ด้วยระยะห่างของเขาในตอนนี้มมี ากเกินไป หูหย่งเองก็รู้สึก
ท้อแท้เป็นอย่างมาก หลงยู่อิน ถูกรังแก เมื่อเขาจะทาการล้าง
แค้นให้กับนาง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกเอาขี้เถ้ามาป้ายจมูก
(สานวน หมายถึง ถูกทาให้ขายหน้า)
แต่เป็นเพราะสองผู้อาวุโสของสถาบันวิญญาณฟ้าออก
หน้า พวกเขาเลยต้องออกจากที่นั่นมาด้วยความเศร้าใจ

หนานเหมียนเทียนไห่ และหวงอวี้ ละสายตาจากหูหย่ง


หนานเหมียนเทียนไห่ พูดกับเขาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมว่า
“พวกเจ้าสามคน ภายในสถาบันแห่งนี้ การบ่มเพาะพลังนั้น
ต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด อย่าได้แต่วงิ่ ไปรอบ ๆ แล้วสร้างปัญหา
มันคือเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถ้าหากยังเกิดขึ้นอีก พวกเจ้าจะถูกไล่
ออกจากสถาบันวิญญาณฟ้า!”
ลู่เพียวแย้งทันทีด้วยความไม่พอใจ เพราะเขาคิดว่าผู้อาวุโส ไม่
แยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิด “แต่ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่ได้เป็น
คนเริ่ม คนที่เริ่มคือพวกมันต่างหาก!”
หนานเหมียนเทียนไห่ พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เขากวาดตา
มองอย่างเข้มงวดไปที่ทั้งสามคน แล้วพูดว่า “แมลงวันไม่กัดไข่
ที่ไร้รอยแตก ถ้าหากพวกเจ้าไม่สร้างปัญหา ผู้ใดจะมาสร้าง
ปัญหาแก่เจ้ากัน? ” (สานวน หมายถึง เกิดจากเหตุ จึงมีผล)
หวงอวี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขายิ้มเล็กน้อยและพูดกับทั้งสามคนว่า
“พวกเจ้าทั้งสามคน เป็นคนทีม่ ีความสามารถยิ่งนัก สมควรที่
จะได้รับการปกป้อง ต้องคอยระวังให้ดีแม้แต่เรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ
ตระกูลผนึกมังกร และ ตระกูล กู้ ไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่พวกเจ้า
จะสามารถล่วงเกินได้ง่าย ๆ จะเป็นการดีกว่าถ้าหากเจ้าอดทน
เพื่ออนาคต อย่าได้ใส่ใจเรื่องที่เล็กน้อย จะเสียการใหญ่ได้ ”
เนี่ยลี่เซี่ยวหยูส่ บตากัน พวกเขาทัง้ คู่เป็นคนฉลาด ผู้อาวุโสคน
หนึ่งพูดด้วยใบหน้าเทวทูต ส่วนอีกคนพูดด้วยใบหน้าอสูร
ความหมายของพวกเขานั้นกระจ่างชัด ผู้อาวุโสทั้งสองคนมา
เพื่อบอกให้กับพวกเขาว่า จากนี้ไป พวกเขาจะไม่ได้รับปัญหา
ใด ๆกับคนอย่าง หลงยู่อิน และ หูหย่ง

ในความเป็นจริง เนีย่ ลี่ ไม่ได้เพียงบ่มเพาะพลังในด่าน


จิตวิญญาณแห่งแสง เขาได้คิดไว้ดว้ ยความฉลาดของเขาก่อน
แล้วว่า เขาจะทาให้ชื่อของเขาปรากฏอยู่บน ศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง เขาตั้งใจที่จะพิสจู น์ให้เห็นว่าเขานั้น
เหนือกว่าหลงยู่อิน ไม่มีเหตุผลที่สถาบันวิญญาณฟ้า จะไม่
ทราบถึงเรื่องนี้
ซึ่งในเรื่องดังกล่าวเขาสามารถที่จะสั่งสอน และให้
บทเรียนให้แก่หลงยู่อิน สถาบันวิญญาณฟ้าจึงไม่อาจที่จะ
มองข้ามเรื่องนี้ไปได้ เนื่องจากคนที่มีความสามารถพิเศษนับว่า
มีความสาคัญยิ่งในสถาบันวิญญาณฟ้า

จริงๆแล้วผู้อาวุโสทั้งสอง ได้ปรากฏขึ้นหลังจากที่ หูหย่ง


กาลังจะก่อเรื่อง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ยังคงต้อง
รับคาสั่งจากผู้อาวุโสสูงสุด พวกเขายังคงอยู่ภายใต้อานาจของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เนี่ยลี่พูดด้วยน้าเสียงที่นอบน้อมว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้ง
สอง พวกเราไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่
ถ้าถูกคนที่หยาบคายและไร้เหตุผล และยืนกรานที่จะหาเรื่อง
พวกเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็คงไม่อาจจะทนไหว พวกเขาก็ต้อง
ลงมือจัดการ!”
หนานเหมียนเทียนไห่ และ หวงอวี้ สบตากันและยิ้มอย่างขม
ขื่น อันที่จริง เหล่าอัจฉริยะมักจะมีนิสัยหุนหันพลันแล่น คาพูด
ของเนี่ยลี่นั้นสุภาพนุ่มนวลแต่ก็ หนักแน่น เขาหมายความว่า
หากหลงยู่อิน หรือ หูหย่ง กลับมาสร้างปัญหาให้อีก เขาก็จะโต้
กลับแน่นอน
เซี่ยวหยู่ พยักหน้า พร้อมกับพูดว่า “ถ้าหากมีคนที่ยกตนข่ม
ท่านและไร้เหตุผล พวกเราก็มีสิทธิที่จะป้องกันตัวเอง อย่าง
วันนี้ หูหย่งและพวกของเขา อยากจะพาพวกเราไปที่สงบ และ
ดูแลพวกเรา ถ้าหากไม่ได้ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง ใครจะรู้ว่าจะเกิด
อะไรขึ้นบ้าง ท่านจะให้เราทนกับเรื่องแบบนี้เช่นนั้นเหรอ?”
หนานเหมียนเทียนไห่ พูดอย่างจริงจังว่า “ถ้าหากมีคนที่จะก่อ
ปัญหาให้กับพวกเจ้า พวกเราจะเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหาให้เอง แต่
ในภายภาคหน้าปัญหาก็อาจจะมีไม่หมด ไม่สิ้น ข้าไม่อยากให้
เจ้าต้องเสียแรงในการต่อสู้กับศึกภายใน พวกเรานิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ ยังมีศตั รูอีกเป็นจานวนมากที่ภายนอก พวกเจ้าเหล่า
อัจฉริยะ ของนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ควรจะพร้อมใจกัน!”
เนี่ยลี่กาลังรอถ้อยคาเหล่านีจ้ ากหนานเหมียนเทียนไห่
เนี่ยลี่ยมิ้ “แค่ท่านผู้อาวุโสบอกว่าจะให้การช่วยเหลือพวกเรา
ให้ยืนหยัดอยูไ่ ด้ แน่นอนว่า มันจะต้องดียิ่งกว่านี้ ถ้าหากเราไม่
เสียเวลาไปกับพวกที่เสียสติเหล่านัน้ ”

หนานเหมียนเทียนไห่ พ่นลมหายใจพร้อมกับพูดว่า
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทาของพวกเจ้า!”

ผู้อาวุโสทั้งสองหันกลับกลับและเดินจากไป
เนี่ยลี่มองดูพวกเขา จากไป ก่อนทีจ่ ะหันกลับมายิ้มเล็กน้อย
ให้กับเซี่ยวหยู่และ ลูเ่ พียว พร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ ธุระ
ของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว พวกเรามุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบ
แห่งที่สองกัน เมื่อมีผู้อาวุโสเฝ้ามองอยู่ ก็ไม่มีใครที่จะกล้ามา
แตะต้องเราในสนามทดสอบอีก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสทั้ง
สองจะผิดคาพูดได้”

เซี่ยวหยู่ อดที่จะยิ้มไม่ได้กับคาพูดของเนี่ยลี่ สิ่งที่เนี่ยลี่


ต้องการจริง ๆ ก็คือ การเอาขนไก่ไปทาลูกศร [สานวน
หมายถึง การหาเหตุผลในการใช้กาลังของผู้ที่มีอานาจ ขนไก่มี
ความหมายแฝงหมายถึงอานาจ (ในที่นี้คือเนี่ยลี่ หลอกใช้
อานาจของผู้อาวุโส ให้ปกป้องตนเอง เปรียบได้กบั ว่า เอาขนไก่
(อานาจของผู้อาวุโส) มาติดประดับตัวไว้ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล้ามา
ทาร้ายแล้ว)]
ที่ด้านนอกของ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง หนานเหมียนเทียนไห่
และ หวงอวี้ ชะงักอยู่ตรงนั้นชั่วครู่
หนานเหมียนเทียนไห่ยิ้มอย่างขมขื่นในณะที่ถามหวงอวี้ว่า “ตา
แก่อวี้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะติดกับเจ้าเด็กนั่นแล้วสินะ?”
หวงอวี้ แบมือเขาออกมาพร้อมกับพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็น
เช่นนั้น เราติดกับของเจ้าเด็กนั่นจริงๆ ด้วยความสามารถที่
สะดุดตาในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
มันช่างน่าดึงดูดยิ่งนักสาหรับผู้ที่ติดอันดับสูงๆของสถาบัน
วิญญาณฟ้า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้แสดงความหวั่นเกรงต่อ
หงหยู่แม้แต่น้อย ”
หนานเหมียนเทียนไห่ คอตกตอบกลับไปว่า
“ข้าเคยเห็นเหมือนที่เซี่ยวหยู่เดินออกไป พวกเขายังอายุแค่สิบ
สี่ปี และหลังจากปีนผี้ ่านไป พวกเขาก็จะอายุสิบห้าปี แต่ที่
เหนือไปกว่านั้น พวกเขายังมีไหวพริบดีมากอีกด้วย หลงยู่อิน
และ จินหยาน นับว่าโดดเด่นยิ่งนักในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่เมื่อ
เทียบกับเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย”
บทที่ 286 ชะตาสวรรค์

เมื่อเนี่ยลี่และพวกของเขากาลังจะออกไป มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดิน
เข้ามาหาพวกเขา

เนี่ยลี่หรี่ตามอง คลื่นมักจะมาหลังจากที่ลมฟ้ากาลังสงบ ดู
เหมือนว่าพวกเขาจะหาความสงบไม่ได้เลย

หัวหน้ากลุ่ม เป็นญาติของกู้เบ่ย ที่ชื่อว่า กู้เฮง เดินเข้ามาหา


เนี่ยลี่

“เจ้าคงเป็นเนี่ยลี่สินะ!” ใบหน้าของกู้เฮง ยิ้มอย่างไม่ค่อย


เต็มใจ “ได้อยู่ในอันดับสามของศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
ทั้ง ๆที่เป็นแค่เด็กใหม่ กลับก้าวขึน้ ไปเหนือกว่า หลงยู่อิน เจ้า
ช่างน่ายาเกรงยิ่งนัก ข้าคือกู้เฮง จากตระกูล กู้”
หลังจากู้เฮงพูดจบ เนี่ยลี่ เหลือบตามองกลุ่มคนที่อยู่ดา้ นหลังกู้
เฮง พร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อย “ข้าสงสัยจริงเชียวว่า คนที่มีคน
สนับสนุนมากมายเช่นเจ้า ตามหาข้าทาไม”
เนี่ยลีไ่ ม่เคยได้ยินชื่อของกู้เฮงมาก่อน ในชีวิตที่แล้วของเขา คน
ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลกู้ ก็คือ กู้เบ่ย

คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตะโกนออกมาด้วยความภูมิใจว่า “นาย
น้อยของพวกเรา เป็นผูส้ ืบทอดลาดับที่หนึ่ง ที่อยู่บนเส้นทาง
ความสาเร็จของ ของตระกูลกู้”

ทายาทอันดับหนึ่งงั้นเหรอ? แต่ท้ายที่สุด เขาก็ต้องพลาดหวัง


ในการสืบทอดตระกูลกู้ เนี่ยลี่ยิ้มที่มุมปาก ในขณะที่จ้องมอง
ดวงตาอัน หยิ่งยโส ของชายหนุ่มผู้นี้ ดูเหมือนว่ากู้เฮงผู้นี้ จะ
มองว่า กู้เบ่ย เป็นเสีย้ นหนามสินะ

กู้เฮงโบกมือของเขาส่งสัญญาณให้พวกลูกน้องของเขาเงียบเขา
ยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดว่า “จุดประสงค์ในการมาของของข้า
ก็คือ ต้องการทาความรู้จักกับอัจฉริยะเช่นเจ้า”
ลู่เพียว ตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา
ว่า “ทาความรู้จักงั้นเหรอ? ข้ายินดีเป็นสหายของเจ้า ตอนนี้
พวกเราก็เป็นสหายกันแล้วนะ!”

กู้เฮงถึงกับหยุดชะงัก หรือว่าเจ้าลูเ่ พียวคนนี้ จะไม่เข้าใจเจตนา


ที่แอบแฝงอยู่ในคาพูดของเขา หรือไม่ก็แกล้งทาเป็นไม่เข้าใจ
กันแน่?

เนี่ยลี่แอบขาอยู่ในใจ ลูเ่ พียวทาท่าราวกับคนไม่ไม่เต็มบาตร แต่


เขาก็รู้ตัวว่ากาลังทาอะไรอยู่ เนี่ยลีย่ ิ้ม พร้อมกับพูดว่า “ข้าก็
ตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าหากน้อยน้อยกู้ ต้องการที่จะเป็น
สหายข้า ข้าเองก็ยินดี นับจากนี้ไป พวกเราก็ถือว่าเป็นสหาย
กันแล้ว”

กู้เฮงทาสีหน้าเย็นชา แต่ถึงอย่างนัน้ เขาก็ตบไหล่เนีย่ ลี่พร้อมกับ


พูดว่า
“ข้าชอบนิสัยของเจ้า ถ้าหากเจ้าพอมีเวลา ก็เชิญแวะมาเยี่ยม
ชมตระกูลกู้ได้ พวกเราตระกูลกู้ คงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้
ต้อนรับอัจฉริยะเช่นเจ้า!”

เนี่ยลี่พยายามรักษาระยะห่างของเขากับกู้เฮง พร้อมกับพูดด้วย
ความเบื่อหน่ายว่า “พวกเรานั้นเพิง่ จะเป็นสหายกัน และทุกคน
ต่างก็ชื่นชอบ นายน้อยกู้ เพียงแต่ว่าพวกเรานั้นล้วนรักอิสระ
การเข้าร่วมกับตระกูลกู้นั้น เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกับเรา
เท่าใดนัก”

เมื่อเนี่ยลี่พูดเช่นนั้น ดวงตาของกู้เฮงก็เป็นประกายด้วยความ
เย็นชา เขายิ้มแล้วก็พูดว่า “ด้วยความสามารถขนาดเจ้า เจ้าจะ
สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ ภายในเวลาแค่ครึ่งเดือน ถ้า
หากว่าเจ้ามีทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ ลอง
พิจารณาข้อเสนอนี้ให้ดี ประตูของตระกูลกู้พร้อมเปิดรับเจ้าอยู่
เสมอ! ”

เมื่อกู้เฮงพูดจบ ก็เดินไปจากเนีย่ ลีแ่ ละพวกของเขา เมื่อเห็นว่า


พวกคนของตระกูลกู้แยกย้ายกันไปแล้ว
เนี้ยหลีห่ ันหน้าไปมองดูกู่เฮงเดินจากไป
มันดูราวกับว่ากูเ้ ฮง ได้รับการดูแลจากตระกูลกู้เป็นอย่างดี ลู่
เพียวขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เนี่ยลี่ ดูเหมือนว่าเขาจะมาชักชวน
ให้เราเข้าร่วมกับเขาสินะ?

จากน้าเสียงของเขาดูแล้วเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
เป็นอย่างมาก เขาพยายามที่จะชักชวนเรา แต่ก็ยังคงวางตัวให้
เหนือกว่า เขาช่างแตกต่างจากกู้เบ่ยยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของ
เขากับกู้เบ่ยเป็นเช่นใดกันนะ?”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขาหรอก” เนี่ยลี่ยิ้มเล็กน้อยและ
พูดต่อไปว่า “เขาเป็นพวกที่ถือว่าตนเป็นใหญ่ พยายามชักชวน
ให้เราไปซุกอยู่ใต้ปีกของเขา แถมยังไม่รตู้ ัวเองเสียด้วยซ้าว่ามี
ความสามารถแค่ไหน

เขาอาจจะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลกู้ก็จริง แต่
จริง ๆ แล้วเขาก็มิได้มีอานาจอะไรเลยในตระกูลกู้ แต่เขากลับ
คิดว่าตัวเองครอบครองตระกูลกูเ้ รียบร้อยแล้ว
!”

เซี่ยวหยู่ที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่แรก
หลังจากที่ครุ่นคิดดีแล้ว สุดท้ายเขาก็พูดกับเนี่ยลี่ว่า “เนี่ยลี่
เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ตอนนี้เจ้าได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่ง
จนมีรายชื่ออยู่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง พวกตระกูล
ใหญ่ ๆ ย่อมต้องจับตามองเจ้าเป็นแน่ ”

“ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย เราควรจะหาคนที่ปล่อยข่าวว่า
พวกเราจะพิจารณาเข้าร่วมกับตระกูล หลังจากทีผ่ ่านการฝึกใน
สถาบันวิญญาณฟ้าแล้ว!” เนี่ยลี่พูดต่ออีกว่า

“จะเป็นการดีถ้าหากเราหาทางประวิงเวลาเอาไว้ก่อนเราจะคุย
เรื่องนี้ในภายหลัง หลังจากที่การฝึกเสร็จสิ้นแล้วก่อนหน้าที่การ
ฝึกของพวกเราจะเสร็จสิ้น ตระกูลต่าง ๆ ก็จะไม่มาวุ่นวายกับ
เราจนเกินพอดี เพราะจะเป็นการเสี่ยงที่จะผลักดันให้เราไปเข้า
กับตระกูลอื่น”

เซี่ยวหยู่พยักหน้าหลังจากทีไ่ ด้ใตร่ตรองดู “เป็นความคิดที่


เยี่ยมมาก”
กู้เฮงยืนห่างออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“ไอ้คนสารเลวอวดดีนั่น มันคิดจริง ๆเหรอว่า ข้าต้องการเป็น


สหายพวกมัน? พวกมันมีอะไรที่คคู่ วรที่จะเป็นสหายของข้า?”
กู้เฮงหัวเราะอย่างเย็นชา มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่านี่คือการ
ปฏิเสธจากเนี่ยลี่ “คนที่ข้าจะถือว่าเป็นสหาย ก็คือคนที่ยกย่อง
ข้า และให้คามั่นว่าจะจงรักภักดีกบั ข้าเพียงเท่านั้น คนที่
ต่อต้านข้าก็ถือว่าไม่คู่ควรที่จะเป็นสหายของข้า!”

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขากล่าวสนับสนุนว่า “จริงๆแล้ว เจ้า


สามคนนั่นควรจะสานึกในความมีน้าใจของนายน้อย!”
กู้เฮงสาปแช่งด้วยความโมโห “มีความสามารถมากแล้วมัน
เป็นไงเหรอ? สุดท้าย พวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ก็ต้องเข้า
ร่วมกับตระกูลใด ตระกูลหนึ่งอยูด่ ี มันเป็นไม่ได้อย่างแน่นอนว่า
ที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถสั่นคลอนตระกูลอื่นได้

พวกเราตระกูลกูส้ ามารถชี้เป็นชี้ตายพวกมันได้ ถ้าหากไม่มีกฏ


ของสถาบันวิญญาณฟ้าหล่ะก็ พวกมันก็คงจะตายไปแล้ว!”

การต่อสู้ชิงอานาจของตระกูลต่าง ๆ ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มี
ความรุนแรงมากเกินไป ดังนั้นกู้เฮงจึงไม่กล้าที่จะทาอะไรมาก
เกินไป เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มขุมกาลังให้กับตระกูล
อื่นๆ

ดวงตาของกู้เฮงนั้นเป็นประกายด้วยความเย็นชา “นับตั้งแต่ที่
เจ้าแข็งขืนไม่ยอมสวามิภักดิต์ ่อข้า เจ้าก็คงทาได้เพียงแค่ฝันที่
จะ บรรลุจนถึงระดับ ดาราสวรรค์ ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของ
เจ้า”
ในอาณาจักรซากมังกรนี้ การบ่มเพาะพลังเป็นเรื่องที่ลาบากยิ่ง
นัก อย่างแรกต้องออกไปทาการฝึกฝน และรับศิลาจิตวิญญาณ
ของตนเอง สถาบันวิญญาณฟ้านั้นไม่สามารถที่จะมอบ
ทรัพยากรที่เพียงพอในการบ่มเพาะพลัง แต่การที่จะไปใน
สถานที่ต่าง ๆใน อาณาจักรซากมังกรแล้ว หมายถึงการไปยัง
สถานที่อันตรายและมีการตายเกิดขึ้นได้เสมอ

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อนักเรียนคนหนึง่ บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์


พวกเขาจะวางชะตาวิญญาณดวงแรกไว้ที่ห้องโถงวิญญาณ
พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลวิญญาณของเขาจะแตกสลาย แต่
อย่างไรก็ตาม

ทุกครั้งที่ตายไป พวกเขาต้องใช้ระดับในการบ่มเพาะพลังเป็น
สิ่งแลกเปลี่ยน ดังนั้นการที่จะพยายามเลื่อนระดับให้สูงขึ้น โดย
ปราศจากการช่วยเหลือของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์แล้ว และได้รับ
ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ พวกเขาก็จะเพิ่ม
ระดับการบ่มเพาะให้รวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรทุกๆระดับที่
เพิ่มขึ้น

ก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากมีผู้เยี่ยมยุทธจานวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการทรัพยากรที่
ใช้ในการบ่มเพาะพลัง ที่มีอยู่อย่างจากัด ในหมู่พวกเขาแล้วมี
การตายเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เมื่อถึงจุดนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ สาหรับตระกูลทีต่ ้องการ


จะควบคุมการบ่มเพาะพลังของใครสักคน

โดยไม่คานึงถึงสิ่งใด เนี่ยกลับบอกปฏิเสธ นั่นทาให้ กู้เฮงโกรธ


เป็นอันมาก เรื่องนั้นทาให้กู้เฮง ไม่อาจที่จะลดความขุ่นเคือง ที่
เกิดจากเนีย่ ลีไ่ ด้เลยแม้แต่น้อย

ในหุบเขาลึกของนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ มีกระท่อมที่ถูกห้อม


ล้อมไปด้วยดอกไม้และพืชนานาพันธุ์ เป็นสวนที่เต็มไปด้วย
ความสงบสุข!
ทัศนียภาพที่สวยงามดังกล่าว แลดูแล้วน่าประทับใจยิ่งนัก
!

พอมองแล้วก็เต็มไปด้วยความลึกลับ แสงเรืองรองเป็นประกาย
หลายชั้นวนรอบๆกระท่อมฟางแห่งนี้

ภายในกระท่อม มีหญิงสาวแสนงดงามนั่งอยู่เงียบๆ พร้อมกับ


อุปกรณ์ลึกลับหกชิ้นวนอยูร่ อบ ๆตัวนาง บอลแต่ละลูกหมุนวน
ราวกับดวงดารา อุปกรณ์แต่ละรูปแบบปลดปล่อยพลังงาน
ลึกลับ สั่นสะเทือนอยู่โดยรอบ

หญิงสาวคนนี้ก็คือ อิงเยว่ลู่
ดวงตาทั้งสองข้างของนางปิดอยู่และกาลังขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่า
นางกาลังจมดิ่งอยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง

หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง นางก็ลมื ตาขึ้นมา


อิงเยว่ลู่ ดูราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ “เรื่องราวที่เกิดขึ้น
เป็นเช่นนี้เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าข้าถึงได้รสู้ ึกคุ้นเคยยิ่งนักเวลา
ที่มองเขา” นางยิ้มเล็กน้อยแล้วก็พูดพึมพัมกับตัวเอง

“หนังสือจิตอสูรท่องเวลาช่างเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
สามารถย้อนกลับไปได้ทั้งเวลาและสถานที่แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่
อาจที่จะท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้เมื่อ
หันกลับไปมองแล้วเจ้าก็จะไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่
ระดับ แก่นแท้แห่งสวรรค์ จักรพรรดิปราชญ์ก็จะค่อยๆสัมผัส
ถึงการคงอยู่ของเจ้า สิ่งที่ข้าทาได้ในตอนนี้ คือเปลี่ยนแปลง
ชะตาชีวิตของเจ้า

เมื่อจักรพรรดิปราชญ์ได้ทานายชะตาชีวิตของเขาใน
ช่วงเวลานี้ คนที่มันจะหาพบก็คือข้าไม่ใช่เจ้า อาจารย์ของเจ้า
ช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นไปได้เจ้าก็จงอย่าได้ท้าทายสวรรค์
และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ทุกอย่างมันก็แล้วแต่ตัว
เจ้า”

อิงเยว่ลู่ จ้องมองไปยังพื้นที่ที่ห่างไกล
“แม่ของข้าเป็นเพียงมนุษย์ แต่สายเลือดเทพอสูรยังคง
ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้าชีวิตของข้านั้นถูกลิขิตมามาก
จนเกินไปแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชวี ิตอยู่ต่อไป พร้อมกับคาสั่ง
สอนและความคาดหวังของข้า”
ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาทีล่ งมาโปรดในดินแดนของมนุษย์ ไม่
มีแม้แต่เศษฝุ่นที่ทาให้นางแปดเปือ้ น สายตาที่อ่อนโยนของนาง
นั้นแจ่มชัดดุจดั่งกับสายน้า

นางเป็นผู้หญิงที่เยือกเย็นและสงบราวกับดวงจันทร์
นับตั้งแต่ที่นางเกิด นางรับรู้ได้ถึงโชคชะตา นางต้องคอย
ทานายให้กับผู้คนจานวนมาก จากมุมมองของนางนั้น ชีวิตและ
ความตายนั้นเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้ใส่ใจในการ
ดูแลชีวิตของนางเอง และความตายสาหรับนางนั้นก็ไม่ได้มี
ความสาคัญเลยแม้แต่น้อย นางยังคงทาการคานวนชะตากรรม
ให้กับเนี่ยลีต่ ่อ และนางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในลานฝึกของอาจารย์ชิหลิง
นักเรียนส่วนใหญ่มานั่งรออยู่แล้ว และรอให้อาจารย์ชิหลิงมาถึง

เนี่ยลี่และลู่เพียว เดินเข้าไปในห้องฝึกและนั่งอยู่ในที่ของตัวเอง

เมื่อพวกนักเรียนเห็นเนี่ยลี่และลูเ่ พียวเข้ามา ห้องฝึกที่เงียบสงบ


ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที

“เจ้ารู้ไหม ผู้ชายทีเ่ รียกตัวเองว่าเนี่ยลี่ ได้เหยียบย่าหลงยู่อินไว้


ใต้เท้าของเขา บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง”

“ชู่วว ลดเสียงของเจ้าลงหน่อย เจ้าไม่กลัวว่าหลงยู่อินจะได้ยิน


หรือไง?”

“ข้าได้ยินมาว่า หลงยู่อิน ท้าเดิมพันด้วยการลงแส้สามครั้ง นาง


มั่นใจยิ่งนัก ในตอนที่นางที่ต้องถูกลงแส้สามครั้ง เป็นความ
อัปยศของนางเสียยิ่งกว่าความตาย ”

ในตอนนี้นักเรียนเกือบทุกคนให้ความสนใจกับเนีย่ ลี่และลู่เพียว
หลงยู่อินนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยเครื่องแต่งกายที่กระชับพอดีตัว
นางเป็นผู้หญิงที่งดงามทีส่ ุดในชั้นเรียน เพราะรูปร่างที่น่า
ประทับใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ไร้มลทินของนาง ข้อเสียเพียง
อย่างเดียวของนางในตอนนี้ คือการแสดงออกที่น่ากลัวใน
ขณะที่นางกามือบนหัวเข่าจนแน่น

มีวิธีไหนกันที่นางจะได้ไม่ต้องได้ยนิ เสียงนินทาเหล่านี้?
แต่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แสดงให้เห็นชัดเจนถึง
ความพ่ายแพ้ของนาง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในใจของนางก็ยังคง
มีทิฐิอยู่มาก

หลงยู่อินจ้องมองเนี่ยลี่ ตาของนางเป็นประกายเผยให้เห็นถึง
จิตวิญญาณในการต่อสู้ ‘นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง มันไม่อาจพิสจู น์ได้ว่าความสามารถของเจ้า
นั้นเหนือกว่าข้า ข้าจะต้องหาทางที่จะชนะเจ้าด้วยหนทาง
อื่น’ แน่นอนว่านางจะไม่ยอมพ่ายแพ้ใครก็ตามที่อายุพอๆ กับ
ตัวเอง

นางได้รับการสั่งสอนจากแม่ของนาง ตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก แม่


ของนางบอกกับนางเสมอว่า ผู้หญิงจะต้องพึ่งพาตัวเองได้ นาง
จะต้องเป็นผูเ้ ยี่ยมยุทธ และผู้ชายทุกคนจะต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของ
นาง

นับตั้งแต่ที่นางเป็นเด็ก นางก็ได้แสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยม
ในตอนนี้ นางเป็นคนที่เจ็ดที่ประสบความสาเร็จของตระกูล
ผนึกมังกร นั่นเป็นความทรงเกียรติของนาง แต่แค่นั้นมันยังคง
ไม่พอ นางต้องการที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด

ในตอนนี้ บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยลี่ ได้จัดการ


กับนางอย่างเลือดเย็น จนแทบจะทาให้นางเป็นบ้า แต่ถึง
อย่างไร นางก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงแค่นี้แน่
บทที่ 287 วิทยายุทธ

กู้เบ่ยชื่นเชยเนี้ยหลี่และยกนิ้วให้พร้อมกระซิบข้างหูว่า “สุด
ยอด เนี้ยหลี!่ ฮาๆ! เมื่อคิดว่าเจ้าสามารถก้าวข้าม หลงยู่อินได้!
ตลอดเวลาทีผ่ ่านมาข้าต้องการที่จะเหนือกว่านาง แต่ทว่าสิ่งนั้น
แทบเป็นไม่ได้เลยตั้งแต่นางมีพลังแข็งแกร่ง แต่ทว่าเหมือนว่า
เจ้าจะมีพลังเหนือยิ่งกว่านั้นมาก”

“นั่นเป็นเพียงการแข่งขันบนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง เนี้ยหลี่พยักหน้าและมองกู้เบ่ยและพูดอย่างมี นัยยะว่า
“เจ้าก็สามารถทาได้มิใช่หรือ?”

ด้วยคาพูดของเนี้ยหลี่ กู้เบ่ยยิ้มและพยักหน้า “ข้ามั่นใจว่า ข้ามิ


พ่ายต่อนาง แต่การทาให้นางละอายนั้นยังคงยากเกินไปสาหรับ
ข้านัก เจ้าเป็นผูเ้ ดียวที่ประทับตราตรึงใจของข้านัก!”

“การแข่งขันศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง ไม่ได้เคร่งอะไร
มากนัก” เนี้ยหลีม่ ิได้กังวลเรื่องราวที่เกิดมากนัก ภายในใจเขา
หลงยู่อินเป็นเพียงผู้คนที่เขาก้าวผ่านเท่านั้น ศัตรูแท้จริงของ
เขาคือ จักรพรรดิปราชญ์

กู้เบ่ยหัวเราะเบาๆ “ถึงเพียงนั้นก็น่าประทับใจยิ่งนัก ศิลา


อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง เป็นสัญลักษณ์ของความแกร่ง! น่า
เกรงขามนักที่จะชนะความเยือกเย็นและความเย็นชาของหลงยู่
อิน ข้าเคยต้องการนางมาเป็นภรรยา แต่ถ้าเจ้าสนใจข้ายกให้
เจ้า!”

เนี้ยหลีไ่ ม่รู้จะพูดอย่างไรกับความไร้แก่นสารของกู้เบ่ย ถึงแม้ว่า


ไม่ได้เป็นอย่างที่คาด เมื่อกู้เบ่ยพยายามปกปิดสถานะและ
บุคลิก แม้เขาจะอายุเพียง 14-15 ปี ข่าวลือก็แพร่กระจายว่า
เขามีภรรยากว่ายี่สิบซ่อนภายในบ้าน อย่างไรก็ตามเนี้ยหลีไ่ ม่รู้
ว่ามันเป็นเพียงการตีหน้าหรือเป็นเพราะบุคลิกของเขากันแน่

“ข้ามิได้สนใจนาง”, เนี้ยหลี่พูด
กู้เบ่ยรูส้ ึกมึนงงชั่วขณะ และแอบดูง่ามขาเนี้ยหลี่ “เจ้าไม่ได้มี
ปัญหาพวกนั้นใช่หรือไม่?” นางนั้นสวยอย่างเลอค่า แต่เจ้าไม่ริ
จะสนใจ?”

เนี้ยหลี่ใบ้ไปชั่วขณะ เมื่อเขานึกถึงเอียจือหวินและเซี่ยวหนิง
เอ๋อ: ถ้าเขาจะมีภรรยาอย่างน้อยก็ต้องมีหลักเกณฑ์ขั้นต่าเป็น
เอียจือหวินหรือเซี่ยวหนิงเอ๋อ สตรีอย่างหลงยู่อิน เนี้ยหลี่ไม่คิด
จะสนใจ

เนี้ยหลี่พบว่าการวาทะครั้งคงมิสิ้นสุดเป็นแน่ถ้าเขาปล่อยบท
สนทนาดาเนินไป ดังนั้นเขาจึงเปลีย่ นหัวบทสนทนา “มีคนจาก
ตระกูลกู้ นาม กู้เฮง มาสอดแนมพวกข้า”

หลังจากคาพูดของเนี้ยหลี่ กู้เบ่ยเปลี่ยนสีหน้าอย่างทันทีและคิด
เกี่ยวกับที่เนี้ยหลี่พูด “เนี้ยหลี่ไม่วา่ เจ้ากับหลู่เพียวจะตัดสินใด
อันใด เจ้ายังคงเป็นมิตรแห่งข้า กู้เฮงมิใช่คนดี จะเป็นการดี
ที่สุดถ้าเจ้าออกห่างจากเขา แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้อยูภ่ ายใต้
บัญชาของเขา ข้าคิดว่าเจ้ายังคงเป็นคนที่ข้ารู้จักเช่นเดิม”
“ข้าปฏิเสธเขา” เนี้ยหลี่พูดอย่างสงบ “ไม่เพียงแต่เขา พวกเรา
ปฏิเสธทุกราย”

กู้เบ่ยเชิดหน้าขึ้นและมองเนี้ยหลีด่ ว้ ยความประหลาดใจ ใน
เวลาต่อมาเพียงไม่นานนัก เขาจึงตื่นตัวและตอบกลับไปว่า “ กู้
เฮงใจแคบนัก ตั้งแต่พวกเจ้าปฏิเสธเขา เจ้าจักต้องระวังกลยุทธ์
ของเขาอย่างยิ่ง!”

เนี้ยหลี่พดู อย่างเคยชินว่า “ พวกข้ามิได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่อง


นั้นอย่างใด แม้นว่าจะมีกองทัพมา พวกข้าจักสกัดกั้นโดยปกติ
หากเขาส่งอุทกภัยมา พวกข้าจักสกัดกั้นด้วยพสุธานี!้ ”

กู้เบ่ยคิดติตรองการแสดงออกของเนี้ยหลีเ่ มื่อครู่ก่อนจะพูดว่า
“เนี้ยหลี่ สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง แต่นเี้ ป็น
ต้นไป หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพียงบอกแก่ข้า ข้าจักไม่เกี่ยงงอน
อย่างแน่นอน!”
เนี้ยหลีโ่ บกมือ “พวกเราค่อยพูดเรือ่ งนี้ภายหลัง!”

กู้เบ่ยเป็นคนดี ดังนั้น เนี้ยหลี่ไม่ตอ้ งการที่จะสานสัมพันธ์ด้วย


เพียงผลประโยชน์

ไม่ไกลนัก หานจิง หวังหยางพร้อมกลุ่มของเขาได้สังเกตการณ์


เนี้ยหลี่ หลู่เพียวและกู้เบ่ยอย่างริษยา อย่างไรก็ตามไม่มีใคร
กล้าทาอะไรกับเนี้ยหลี่ ทักษะความสามารถของพวกเขาอยู่ต่าง
ชั้นกัน ความสามารถของเนี้ยหลี่ทาให้พวกเขากลัวเกรงอย่าง
สุดซึ้ง การหาเรื่องนั่นหมายถึงรนหาที่ตาย!

เนี้ยหลีผ่ ู้สามารถจัดการกับหลงยู่อนิ ได้

อาจารย์ชิหลิง ก้าวเข้าไปในสนามกวาดสายตาไปยังศิษย์

เมื่อนัยยะสายตาตกไปอยู่กับเนีย้ หลี่ เขาหยุดในเวลาระยะอัน


สั้นก่อนจะยิม้
“ข้าทราบว่าพวกเจ้าบางคนได้เข้าไปยังลานฝึกแล้ว มีนักเรียน
มากมายนักทีส่ าเร็จในระดับค่อนข้างดีและแสดงความสามารถ
ก้าวข้ามความคาดการณ์ของข้า ยอดเยี่ยม! ทุกคนจักต้องเพียร
พยายามให้มาก เพราะเขตแดนด้านตะวันออกมีสิทธิให้ได้ร่วม
เพียงห้าที่ ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถได้ตาแหน่งในปีนี้ต้องรอจนถึง
ปีหน้า จักมีนักเรียนมากมายเข้าร่วมกับพวกเราซึ่งมาจากเขต
แดนทางใต้และเหนือ ใครจะรู?้ ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้าย
ของพวกเจ้า!”

หานจิง หวังหยางและคนอื่นกาหมัดแน่น มีที่ว่างสาหรับห้าที่


เท่านั้นและความยากของการแข่งขันนั้นสูงเกินไป แม้แต่คาพูด
ของอาจารย์ชิหลิงก็ทาให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่น ถ้าพวกเขาจะ
ไม่สามารถไปยังเขตแดนตะวันออกในปีนี้ นั่นหมายความพวก
เขาจะพลาดโอกาสไปตลอดกาล? ใจพวกเขากระสับกระส่าย
พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะผู้มีความสามารถระดับรากวิญญาณ
ฟ้าพวกเขาจะยอมก้มหัวและปล่อยให้ผู้อื่นก้าวข้ามได้อย่างไร?
“บทเรียนในเมื่อสามวันที่ผา่ นมา พวกเราได้ฝึกในการจุดชนวน
เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ ข้าคาดหวังว่าพวกเจ้าจะฝึกฝนขณะ
อยู่บ้าน? ถ้าเจ้าสามารถจุดชนวนเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณได้
แล้ว แจ้งชื่อของเจ้าให้ข้า การจุดชนวนเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
เป็นหนทางหนึ่งที่พวกเจ้าสามารถใช้เข้าเขตแดนตะวันออก

บทเรียนสาหรับวันนี้ พวกเราจะพูดเกี่ยวกับการเพิ่มพลังวิทยา
ยุทธทางกายภาพ การจะพัฒนาจิตอันทรงพลังควรจะมีพลัง
กายอันแกร่ง หลังจากนั้นจึงบรรจุจิตวิญญาณอันทรงพลังได้
อย่างไรก็ตามการจะเพิ่มขีดความสามารถของกายไม่ใช่ปัญหาที่
ธรรมดา!” อาจารย์ชิหลิงกล่าวต่อ “ ตอนนี้ ข้าจะสอนพวกเจ้า
ว่าเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายอย่างไร”

หลังจากพูดเสร็จ อาจารย์ชิหลิงก็เรียกสนับแขนออกมาจาก
แหวนมิติของเขา “นี่คือของสนับแขน หนักอย่างถ่องแท้ ตาม
ชื่อของมัน มันถูกเติมลงไปด้วยน้าหนักที่ล้นเหลือสนับแขนถูก
แบ่งเป็น 5 แบบ: 250,500,750,1000 และ1250 kg.
(กิโลกรัม) พวกเจ้าแต่ละคนสามารถเลือกมาคู่หนึ่งเพื่อสวมใส่
ซะ!”
เมื่ออาจารย์ชิหลิงกล่าวเสร็จสิ้น นักเรียนหลายคนก็เดินตรงไป
ด้านหน้าเพื่อนาสนับแขน 500 kg.ทันทีทันใดนั้นหน้าของพวก
เขาก็แดงและพวกเขาก็เปลีย่ นคู่สนับแขนเพื่อให้เหมาะสมกับ
มือพวกเขา สนับแขนข้างหนึ่งน้าหนัก 500 kg. ;คู่หนึ่งจึงเป็น
1000 kg.นักเรียนเหล่านีไ้ ม่สามารถทนน้าหนักอันมากมาย
เหล่านีไ้ ด้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกสนับแขนที่มี
น้าหนัก 250 kg. พอ

ในตอนนี้ หลังจากห้ามการใช้พลังวิเศษ พวกเขาจึงตระหนักถึง


ความอ่อนด้อยด้านกายภาพเช่นนี้

ในตอนแรก ผู้เรียนเดินไปมิหวังที่จะนาสนับแขนที่เบาสุดมา
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาจึงตระหนักว่าด้วยพลังกายภาพพวก
เขานั้นอ่อนด้อยเกินไป หลังจากนัน้ พวกเขาจึงหยิบอันที่เบา
ที่สุด มีเพียงไม่กี่คนนักที่สามารถยกสนับแขน 500 kg.
หลงยู่อินเดินเข้าไปในกองสนับแขน แทบทุกคนต่างจับจ้องไป
ที่นางด้วยความสนใจ ทุกคนรู้ว่าหล่อนมีเชื้อสายเลือดมังกร
ดังนั้นต้องมีวิทยายุทธทางกายภาพอันทรงพลังเป็นแน่ อย่างไร
ก็ตามนั้น ไม่มีใครทราบได้เลยว่านางนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด

หลงยู่อินก้มหยิบสนับแขน 750 kg. และสวมใส่อย่างง่ายดาย

นางเคยชินกับสนับแขนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงเป็น
เรื่องง่ายนักที่จะหาคูส่ นับแขนที่เหมาะสมกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น
ถึงแม้ว่านางจะสวมสนับแขน 750 kg. บางคนก็ยังคงพูดว่านาง
ได้ออมพลังบางส่วนของนางไว้ เมือ่ นางฝึกพลังพร้อมด้วย
ทรัพยากรของตระกูลของนาง นางนั้นฝึกฝนด้วยสนับแขน
1000 kg.

พลังด้านกายภาพของหล่อนนั้นเป็นเกียรติภาคภูมิของหล่อน
ยิ่งนัก
จินหยานเดินไปแล้วเลือกสนับแขน 500 kg. เขามองหลงยู่อิน
อย่างกดดัน เพียงสวมสนับแขน 500 kg.ก็ตึงมากแล้ว ลืม
น้าหนัก 750 kg. ไปได้เลย เขาตามหลังหลงยู่อิน 1 ขั้นเสมอ

“ตาพวกเราแล้ว!” หลู่เพียวพูดและเดินไปหยิบยกสนับแขน
500 กิโลกรัมและยกขึ้นมาบนมือ ถึงแม้ว่ามันจะยากเกินไป
สาหรับเขาไปหน่อย เขาก็ยังสามารถสวมใส่ด้วยใบหน้าที่แดง
ก่า

กู้เบ่ยยกสนับแขน 500 kg. และสวมใส่อย่างไร้ความมุ่งมั่น


เขาเลือกพรรคพวกแทนที่จะเปลี่ยนเป็นคู่ที่หนักกว่า

เนี้ยหลี่กเ็ ลือกสนับแขน 500 kg. มาสวมใส่ เขารู้ว่าถึงแม้จะ


ปราศจากพลังวิเศษ เขาสามารถทีจ่ ะสวมสนับแขน 750 kg. ได้
ถึงแม้มันอาจมากไปเพียงเล็กน้อย แต่จะดีกว่าถ้าหากรู้ขีดจากัด
ของตนเอง
แม้กระนั้นหากเกี่ยวกับพลังกายภาพเพียงอย่างเดียวที่เนี้ยหลี่
ด้อยกว่าหลงยู่อิน ผูส้ ืบสายเลือดมังกร ด้วยเชื้อสายเพียงอย่าง
เดียว นางมีความแข็งแกร่งเพียงผู้เชี่ยวชาญชะตาสวรรค์ระดับ
2

“หลังจากพวกเจ้าฝึกปราศจากโดยพลังวิเศษ พวกเจ้าจะรู้ถึง
ความอ่อนแอของร่างกาย!” อาจารย์ชิหลิงสาดสายตาไปรอบ
ด้านขณะยิ้ม “พวกเจ้าจะต้องฝึกฝนในห้องฝึกพลังขณะนั้นข้า
จักชี้ทางในการเพิ่มพลังกายให้พวกเจ้าด้วย!”

กู้เบ่ย ,หลู่เพียวและเนี้ยหลี่เริ่มตารางการฝึกฝนซึ่งรวมถึงการ
ออกกาลัง , ตีลังกาและอื่นๆมากมาย ถึงแม้ท่าทางพวกเขาจะดู
พื้นเพธรรมดามาก การทดสอบก็ยงิ่ เพิ่มการไต่ระดับความยาก
เมื่อห้ามใช้พลังและพึ่งพลังกาย ไม่มีใครสามารถทามันโดยง่าย
เพียงไม่กี่นาที กายพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มหลั่งเหงื่อ

อาจารย์ชิหลิงกล่าวขณะเดินไปรอบๆว่า “เมื่อเจ้าฝึกกาย
ปราณหายใจนั้นสาคัญทีส่ ุด หายใจเข้าให้มากและผ่อนลม
หายใจออกอย่างแผ่วเบา ความแข็งแรงถึกทานของร่างกายนั้น
เป็นสิ่งเชื่อมโยงถึงพลังวิเศษได้ ดังนั้นเมื่อกายได้รับการหล่อ
เลี้ยงโดยพลังวิเศษ จะทาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

เนี้ยหลี่อยู่ในท่าวิดพื้นนิ้วเดียวเหมือนพระที่เข้าฌานสมาธิ เขา
ไม่ริที่จะเคลื่อนไหวโดยเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด

ตั้งแต่พวกเขาฝึกพละกาลังกาย เนีย้ หลี่ตดั สินใจว่าเขาจะไม่เสีย


โอกาสอันดีที่จะใช้วิธีของตัวเขาเพิ่มพลัง เขายังคงอยู่ในท่าทาง
ที่ไม่ปรากฎการเคลื่อนไหวใดๆ อย่างไรก็ตาม กล้ามเนื้อทุกส่วน
ภายในกายเขาล้วนสั่นเทา

เทคนิคการเพิม่ พลังกายนี้เป็นเทคนิคเฉพาะของวิชา [เทพวิถี


ฟ้า]

ใช้หัวใจกลั่นลมหายใจ ใช้ลมหายใจขัดเกลาร่างกาย
ขณะที่กล้ามเนื้อสั่นเทา เนี้ยหลีส่ ัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่
มากกว่าเดิม การฝึกพลังเคล็ดวิชา[เทพวิถีฟ้า]ในการขัดเกลา
กายให้ผลได้อย่างรวดเร็ว

อาจารย์ชิหลิงหยุดขณะเดินผ่านเนี้ยหลี่ เขาสัมผัสได้ว่าเนี้ยหลี่
ใช้วิธีของเขาเพียงเท่านั้นในการฝึกกาย เป็นวิธีที่ไร้ซึ่งใครรู้
แม้แต่เขาซึ่งสัมผัสได้ว่ารัศมีบรรยากาศรอบกายเนีย้ หลี่นนั่ เบา
บางอย่างมากจนเกือบจะไม่สามารถตรวจสอบได้เลย

อาจารย์ชิหลิงนั้นรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เป็นเคล็ดวิชาแบบใดใน
การขัดเกลาพลังกายกัน? อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ถาม ทุกคนมี
เคล็ดวิชาเป็นของตน ดังนั้นพวกเขาเท่านั้นจึงจะเข้าใจอัน
ลึกซึ้งเกี่ยวกับการฝึกพลังโดยเฉพาะของพวกเขาเอง ในการ
เป็นอาจารย์ได้เพียงแต่นั่งอยู่ด้านข้าง ให้ทางลัดและไม่
แทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้น ในการไต่ถามเคล็ดวิชาจากศิษย์นั้นผิด
จรรยาอาจารย์อย่างยิ่ง
บทที่ 288 เข้าปะทะ

อารจารย์ชิหลิงไม่ทราบว่าการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่เป็น
เช่นไร แต่สามารถสัมผัสได้ถึงการกลั่นพลังอันลึกซึ่งยิ่ง ที่จริง
แล้วอัจฉริยะนั้นโดดเด่นออกมาจากหมู่คณะ อาจารย์ชิหลิงได้
ระลึกขึ้นว่าไม่มีความจาเป็นที่จะสอนหนังสือสังฆราชแต่อย่าง
ใด ดังนั้นเขาจึงเฝ้าสังเกตการณ์ก่อนที่จะเดินการต่อไป

ทุกคนเริ่มฝึกกายกันต่อ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา นอกจากเนี่ยหลี่ ทุก


คนได้รับคาแนะนาจากอาจารย์ชิหลิงและก้าวหน้าขึ้น ก่อนหน้า
นี้ที่เนี่ยหลีไ่ ด้ เทคนิคการบ่มเพาะ [เทพวิถีฟ้า] ขณะนี้เขาได้
เพ่งเล็งไปที่พลังกายซึ่งสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่หลงยู่อินฝึกพลังกายของนาง เธอได้เหลือบมองเนี่ยห
ลี่ การฝึกฝนของเนี่ยหลี่นั้นต่างจากคนรู้จักของนางในอดีตซึ่ง
กระตุม้ ความสนใจของนาง ใจนางระเบิดไปด้วยจิตทีม่ ุ่งมั่นจะ
ต่อสู้ ไม่วา่ อย่างไรก็ตาม นางจึงต้องลืมความละอายก่อนหน้านี้
ไป
นางเพียงต้องการที่จะบอกเนี่ยหลี่ ถึงแม้ว่าเขาจะก้าวผ่านนาง
ไปได้ในศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ
นางในเรื่องพละกาลัง นางต้องการที่จะคืนความน่าละอายนั้น
กลับไปให้เขา อาการบาดเจ็บบนร่างนางนั้นยังปวดอยู่บ้าง แต่
มันไม่ได้เป็นปัญหาสาหรับนางนัก มันเป็นความเสื่อมเสียที่สุด
ภายในจิตใจของนางซึ่งไม่สามารถทนได้ นางต้องการเอาคืน
เนี้ยหลีเ่ ป็น 3 เท่า!

อาจารย์ชิหลิงผงกหัวและกล่าวขึน้ ว่า “พวกเจ้าเป็นเหล่า


อัจฉริยะซึ่งกุมกาลังของผู้เยีย่ มยุทธระดับชะตาสวรรค์ไว้ ดังนั้น
ความเร็วในการบ่มพลังจักก้าวข้ามคนอื่นๆอย่างแน่นอน เหล่า
อัจฉริยะในปีนี้เหนือกว่าที่ข้าคาดไว้อย่างมาก

อย่างไรก็ตามพวกเจ้าต้องรักษาเกียรติยศและความอดทน จา
ไว้ว่าภายในอาณาจักรซากมังกร จักมีผู้มีพลังเหนือกว่าพวกเจ้า
เจ้าอาจจะเป็นระดับสุดยอดภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม มีเหล่าอัจฉริยะมากมายนิกายอื่นในอาณาจักร
ซากมังกร กาลังฝึกฝนต่อเนื่องในขณะที่พวกเจ้าพัก เป้าหมาย
ของพวกเจ้าคือก้าวข้ามพวกเขา!”

อาจารย์ชิหลิงมองกลุ่มศิษย์และกล่าว “ในตอนนี้เจ้าจักต้อง
รู้จักพละกาลังของเจ้าเอง พวกเราจะเริม่ ซ้อมการประลอง พวก
เจ้าแต่ละคนจักต้องหาคู่หูซ้อม จักดีที่สุดถ้าเลือกคู่หูที่มีพลัง
เทียบเท่าพวกเจ้าเอง”

ลู่เพียวรูส้ ึกมึนงงชั่วขณะ “ซ้อมประลอง?”

กู้เบ่ยที่ยืนอยู่ข้างเขายิม้ และพูดว่า “น้องลู่ ทาไมพวกเราไม่มา


ฝึกฝนด้วยกันล่ะ?

ลู่เพียวผงกหัวอย่างทันที “ก็ดีนะ!” เขาไม่เคยต้องการจะ


ฝึกฝนกับเนีย่ หลี่ ฝีมือต่างกันอยู่คนละโลกจากเขานัก
ไม่นานนักสตรีงามในอาภรณ์ขาวเดินมาหาเนี่ยหลี่ นางมี
รูปร่างที่น่าริษยา แต่มีหน้าตาน่ารัก ถึงแม้จะน้อยกว่าหลงยู่อิน
นางก็ยังคงสวยอย่างยิ่ง

นางเอ่ยอย่างเขินอายว่า “เนี่ยหลี่ ข้ากาลังหาคู่หูเพื่อฝึกซ้อม


พวกเราจะไม่มาซ้อมด้วยกันหรือ?” มีศิษย์ในชั้นเรียน 36 คน
11 คนนั้นเป็นสตรี นอกเหนือจากหลงยู่อินที่สันโดษ สตรีหลาย
นางก็มีปฏิกิริยาเล็กน้อย สตรีเหล่านี้สังเกตเหล่าหนุ่มสหายใน
ชั้นเรียนอย่างจดจ่อ แน่นอนและไม่ต้องริสงสัยเลยว่าเนีย่ หลี่ก็
อยู่ในรัศมีที่ถูกจับจอง

เนี่ยหลี่อยู่ในลาดับ 3 ของศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงและ
โค่นหลงยู่อินอยูภ่ ายใต้เขา ความสามารถระดับนี้เป็นที่
ประหลาดใจทีส่ ุด ในการกลายเป็นเค้กแสนหวานของเหล่าสตรี
อย่างไรก็ตาม สตรีนางอื่นไม่กล้าทีจ่ ะเข้าหาเนี่ยหลี่ เว้นเสียแต่
นาง นางมาจากตระกูลมั่นคั่ง ยิ่งเสียไปกว่านั้น นางมีรูปร่างที่
สวยงาม ภายในชั้นเรียน นางเพียงแต่เป็นรองนางยู่อิน
สตรีงามซึ่งขอร้องเป็นคู่ซ้อมกับเขา ซึ่งเป็นการเชื้อเชิญที่ทรง
เสน่ห์หา ลู่เพียวมองบนและขยิบตาให้เนี่ยหลี่ ทาไมตัวข้าลู่
เพียวไม่สบโอกาสอันดีงามเช่นนี้

ทันใดนั้น หลงยู่อินก็เดินผ่านมา มอง เหอ อินอินอย่างเย็นชา


และเอ่ย “เหอ อินอิน ถอยไป เขาเป็นคู่แข่งของข้า!” เนี่ยหลี่
ทาหน้าบึ้งตึงคิ้วขมวดอย่างช่วยไม่ได้เมื่อหลงยู่อินปรากฏ เด็กนี่
ไม่รจู้ ักคาว่าหยุด! บทเรียนทีส่ ั่งสอนนางไปก่อนหน้านี้ไม่
เพียงพอรึ หรือนางเพียงต้องการบทเรียนมากกว่านี?้ หลงยู่อิน
อาจจะมีสายเลือดของมังกร แต่เนีย่ หลีไ่ ม่ได้เกรงที่จะสูต้ ัวต่อ
ตัวกับนางเลย

เหอ อินอิน รู้สึกบึ้งตึง ในชั้นเรียนทั้งหมดนี้ หล่อนเกลียดหลงยู่


อินที่สุด เหอ อินอินต้องการประโยชน์และโอกาศอันดีงามให้
เนี่ยหลีเ่ ป็นหมาคอยติดตามชายกระโปรงของนาง อย่างไรก็
ตามหลงยุ่อินฉวยโอกาสและทาลายทุกอย่าง ถึงแม้ว่า
ครอบครัวของเหอ อินอินจะไม่ใช่ระดับธรรมดาทั่วไป แต่ก็มิ
อาจเทียมตระกูลผนึกมังกร ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะยั่วยุหลงยู่
อิน
เหอ อินอินทาปากจู๋ ยิ้มและเอ่ยด้วยน้าเสียงนุม่ นวลที่เปลี่ยน
กระดูกทุกคนให้ละลาย “พี่เนี่ยหลี่ งั้นข้าขอตัวก่อน ถ้ามีเวลา
หลังจากชั้นเรียน พวกเรามาคุยกันนะ”

เนี่ยหลีต่ อบอย่างเคยชิน “ถ้าหากว่าข้าพอมีเวลาหล่ะนะ”

โดยทั่วไปแล้ว เขาไม่ได้ยอมจานนต่อรูปร่างหน้าตาของนาง
เขาเข้าใจว่าหลง อินอินนั้นเป็นสตรีชั่วร้ายซ่อนเขี้ยวเล็บและขี้
ริษยา หลงยู่อินอาจจะหยาบคาย แต่อย่างน้อยนางก็
ตรงไปตรงมาและตอบโต้ได้ง่ายดาย

หลงยู่อินถอนหายใจรุนแรงขณะมองเหอ อินอินอย่างช่วยไม่ได้
เหอ อินอินรู้สึกผิดหวังที่เนี่ยหลี่เย็นชากับเธอนัก นางมองหลงยู่
อินอย่างขุ่นเคืองชั่วขณะก่อนจากไป
สตรีได้สนทนาวาทะกันด้วยเสียงนุม่ นวล “เกิดอะไรขึ้นกับหลง
ยู่อิน?เมื่อคิดว่านางจับคู่ซ้อมกับเนีย่ หลี่แล้ว!นางอาจจะสนใจ
เขา!”

“พูดอะไรกันน่ะ?เจ้าไม่รู้เหตุการณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมาหรอกหรือ?
เนี่ยหลีล่ ้มหลงยู่อินอย่างไร้เมตตาและดูถูกไว้ภายใต้เบื้องล่าง
และเฆี่ยนนาง 3 ครั้ง นางจะทนได้อย่างไรด้วยบุคลิกท่าทางอัน
ภาคภูมิของนาง? นางเพียงต้องการแก้แค้นพี่เนี่ยหลี!่ ”

“เนี่ยหลี่เฆี่ยนหลงยู่อิน 3 ครั้ง? ข้าได้ฝึกบ่มพลังไม่กี่วันที่ผ่าน


มา ดังนั้นจึงไม่ร!ู้ บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวนี้เลย!”

“เนี่ยหลีส่ ุดยอดจริงๆ ทีส่ ามารถทาให้หลงยู่อินพ่ายแพ้อย่าง


แสนสาหัส!” สตรีบางกลุม่ นั้นได้ถกเถียงกันในเสียงที่นุ่มนวล
“ตอนนี้นางมาทวงคืนเกียรติของตนอีกครั้งหรือ?”

“หลงยู่อินนั้นสืบสายเลือดมังกร ตัง้ แต่หล่อนมีพลังกายอัน


แข็งแกร่ง พี่เนี่ยหลี่ครั้งนี้จักต้องเจ็บตัวแน่นอน!”
หน้าหลงยู่อินที่ถูกทาให้ปวดร้าวขณะที่มองเนี่ยหลี่ นางรูส้ ึกว่า
บาดแผลบนหน้าอกของหล่อนและบั้นท้ายยังคงปวด กระดูก
ส่วนต่างๆก็รวดร้าว ความเจ็บปวดนี้แน่นอนว่าไม่สามารถลืมลง
ได้ เธอจะต้องคืนให้เนี่ยหลี่แน่นอน! เนี่ยหลี่เรียกนางว่าขยะว่า
ใช้แต่พลังอานาจของตระกูลกดขี่ ดังนั้นนางต้องการที่จะพิสูจน์
โดยปราศจากอิทธิพลของตระกูลว่านางก็ยังคงแกร่งกว่าเขา
มากนัก

อาจารย์ชิหลิงยิม้ อย่างขมขื่นขณะมองหลงยู่อินและเนี่ยหลี่
เนี้ยหลี่นั้นมีความสามารถที่อัจฉริยะมากเมื่อเทียบกับมนุษย์
ทั่วไป โดยอิงจากการสังเกต ความสามารถของเนี่ยหลี่นั้น
เหนือกว่าหลงยู่อินมาก

สาหรับหลงยู่อินแล้ว เด็กนั่นเกิดมาอย่างโดนเด่นและมี
ความสามารถที่น่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม บุคลิกของหล่อน
นั้นแข็งกร้าวเกินไปเล็กน้อยและไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก้าวข้าม
นาง ตอนนี้นางพบกับเนี่ยหลี่ 2 คนนี้ต้องปะทะกันเป็นแน่ ไม่
ว่าผลจะออกมาคือเนี่ยหลี่จะสามารถปราบหลงยู่อินหรือนาง
ล้มเนี่ยหลี่ นางคงไม่หยุดแต่เพียงนี้เป็นแน่

“ในการซ้อมประลองต่อไป อนุญาตให้พวกเจ้าใช้เพียงพลังกาย
เพียงเท่านั้น พลังวิเศษนั้นห้ามโดยเด็ดขาด!” อาจารย์ชิหลิง
กล่าวต่อ “พละกาลังเป็นรากฐานของทุกสิ่งอย่าง ในการ
ประลอง พวกเจ้าจะต้องตั้งมั่นแน่วแน่ในการเคลื่อนไหวภายใน
ขอบเขตของพวกเจ้า”

กู้เบ่ยเดินไปหาเนี่ยหลี่ ตีบ่าและยิม้ อย่างข่มขื่น “เนี่ยหลี่ ขอให้


เจ้าโชคดี! หลงยู่อินเป็นผูส้ ืบสายเลือดมังกร ดังนั้นนางจึงมีพลัง
กายที่ยิ่งใหญ่ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!”

เนี่ยหลีย่ ักไหล่ “ข้ารู้ว่าควรทาอย่างไร!” เขาจะเกรงกลัวหลงยู่


อินได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าพลังกายของเขาจะด้อยกว่าหลงยุ่อิน
เนี่ยหลี่กไ็ ม่ได้ใส่ใจมากนัก!
หลงยู่อินมองเนี้ยหลี่อย่างเย็นชา นางภูมิใจในพลังกายของ
หล่อนตลอดมา ถึงนางจะไม่สามารถชนะเนี่ยหลี่บนศิลาอันดับ
จิตวิญญาณแห่งแสง นางไม่มีทางแพ้เนี้ยหลี่ในด้านพละกาลัง
แน่

ความสนใจการประลองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆระหว่างพวกเขาทั้ง
สอง

อาจารย์ชิหลิงครุ่นคริดชั่วขณะ เขาได้กังวลเกี่ยวกับการ
ประลองของเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน การประลองของพวกเขา
จะต้องเหนือการควบคุมและส่งผลเสียหายต่อห้องการบ่มพลัง
เขากล่าวขึ้นว่า “เจ้าถูกจากัดเขตแดน 3 เมตรโดยสิ่งกีดขวางที่
ข้าวางไว้นี้เป็นตัวกาหนด ขณะฝึกฝน พวกเจ้าสามารถ
เคลื่อนไหวภายในบริเวณนี้เท่านั้น!”

อาจารย์ชิหลิงเริ่มวางสิ่งกีดขวางที่กฎระเบียบวางไว้
จุดมุ่งหมายผุดประกายขึ้นมาจากหลงยู่อินขณะมองเนี่ยหลี่
“ความละอายที่เจ้าให้ข้า ข้าจะคืนทั้งหมดให้เจ้าหลายเท่า
ท้ายสุดข้าจะโค่นเจ้า!”
เนี่ยหลีต่ อบรับอย่างสงบ “ยินดีให้ลองทุกเมื่อ!” เขาจะกลัวหลง
ยู่อินได้อย่างไร?

ศิษย์คนอื่นได้เริ่มการประลองขณะที่หลงยู่อินยืนด้วยท่าปกติที่
เดิม นางเผยความรู้สึกที่จริงจังและร่างกายของนางโค้งเล็กน้อย
เหมือนพยัคฆ์สาวสะสมพลังและรอดูท่าทาง ร่างกายที่น่าพึง
พอใจภายใต้อาภรณ์นั้นเติมปริ่มไปด้วยพลัง ขาทั้งสองข้างของ
หล่อนตรึงแน่น

“ฮ่า!” หลงยู่อินคารามเบาและกระโดดขึ้นไปด้านบนทันที ขา
ซ้ายที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังแหวกลมขณะที่เพ่งจุดมุ่งหมายที่จะ
เตะไปยังหัวของเนี่ยหลี่

*บู้ม บู้ม บู้มมมมมส์!*

เมื่อหลงยู่อินแหว่งเท้าของหล่อน ซึ่งเป็นผลให้เกิดเสียงระเบิด
อันดังก้อง
เนี่ยหลีม่ องเท้าของหลงยู่อินที่หมายจะเตะหัวของเขาจึงยกแขน
ขึ้นป้องกันด้วยพละกาลังมหาศาล เนี่ยหลี่ถอยไปหลายก้าวและ
รู้สึกบาดเจ็บที่แขน

พละกาลังของหลงยู่อินนั้นน่าประหลาดใจอย่างยิ่งอย่างแท้จริง
ในขณะที่เท้าของนางกลับลงไปที่พื้น นางมีจุดหมายที่จะมอบ
ลูกเตะให้เนี่ยหลี่อีกหลายชุด

ถ้าเนี่ยหลี่ต่อสู้หลงยู่อินด้วยกาลังกาย เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู่ของ
หล่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีของหลงยู่อินที่ต่อสู้เหมือน
ชีวิตนั้นแขวนบนเส้นด้าย นางนั้นพยายามข่มขูด่ ้วยระดับ
พละกาลังของหล่อน

ขาของนางนั้นยาวมากและสร้างอานุภาพการเตะเป็นวง
อย่างไรก็ตาม ไม่วา่ การโจมตีจะรุนแรงเพียงใด ถ้าเทียบด้วย
พละกาลังกายอย่างเดียว ก็ยังมีช่องโหว่ในการชนะ เนี่ยหลี่ล่า
ถอยและหลบการเตะกลางอากาศครั้งที่ 2 ของหลงยู่อิน ขา
ของหล่อนเฉียดผ่านหน้าของเนี่ยหลี่ไป

ในระหว่างที่พลาด หลงยู่อินบิดตัวกลางอากาศและกวาดลูก
เตะควงสว่านให้เนี่ยหลี่เป็นครั้งที่ 3

ขณะเตะทาให้หัวของเนี่ยหลี่เป็นรอย เขาหลบทันทีและสวน
กลับด้วยหมัดใส่ต้นขาด้านในของหลงยู่อิน...จบซะงั้น
บทที่ 289 การเผชิญหน้า!

หลงยู่อิน ตั้งใจเตะด้วยแรงทั้งหมดที่นางมีสามครั้ง
ต่อเนื่องกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเผยจุดอ่อนของนาง
ออกมาด้วยเช่นกัน

เมื่อคนเราเตะ จะมีการออกแรงตรงส่วนน่องและปลายเท้า
เนื่องจากมักจะฝึกซ้อมร่างกายในส่วนต่าง ๆ จึงเป็นการยากที่
จะโจมตีพวกเขากลับในส่วนนี้ได้ ดังนั้นโคนขาด้านในจึงเป็น
ส่วนที่เป็นจุดอ่อน

เนี่ยลี่เพียงแค่ชกเบาๆไปที่ต้นขาด้านในของนาง เพียงเท่านี้
ร่างกายของหลงยู่อินก็เกิดการเสียสมดุลและล้มลงใน
ที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การชกเบา ๆ แต่ก็ส่งผลกระทบ
กับร่างกายของนางโดยตรง

หลงยู่อินส่งเสียงร้องขณะที่นางล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับ
ใบหน้าที่ซีดขาว อาการปวดและชาตรงโคนขาด้านในของนาง
ทาให้นางไม่อาจที่จะลุกยืนได้ในทันที นางรู้สึกอับอายจากการ
จู่โจมของเนี่ยลี่ แต่นางก็แปลกใจเป็นอันมาก ด้วยความจริง
ที่ว่านางนั้นแข็งแกร่งกว่าเนี่ยลี่ และเหตุใดกันนางถึงได้บาดเจ็บ
หนักจากการต่อยด้วยหมัดเบา ๆ เพียงแค่นั้น

นางคือผู้มีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ หมัดของคนธรรมดาไม่
ควรที่จะสร้างความเสียหายต่อนางได้

แต่ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของเนี่ยลี่ ก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางนั้นลุกโชนขึ้นมากขึ้น นางคือ
หลงยู่อิน นางไม่มีทางที่จะยอมแพ้เพียงเท่านี้ หลังจากที่นางล้ม
ลง นางได้ลุกยืนขึ้นอีกครั้ง และสบัดขาเตะแรงขึ้นกว่าเดิมไป
ยังเนี่ยลี่

เนี่ยลีส่ ัมผัสได้ว่า หลงยู่อินโจมตีมาหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิมและรู้


เหมือนว่าจะจะมีความแค้นรวมอยู่ในการโจมตีครั้งนีด้ ้วย ผู้
จริงๆคนนีไ้ ม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหยุด นางคิดจริงๆเหรอว่า
เขาจะไม่สามารถโจมตีนางกลับได้ เพราะเขาจะไม่สามารถรับ
การโจมตีที่หนักหน่วงนี้ได้งั้นเหรอ?
ในตอนนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ และมองดูการต่อสู้ของเนี่ย
ลี่และหลงยู่อิน หลงยู่อินคือผู้หนึ่งที่มีสายเลือดมังกรไหลเวียน
อยู่ คนคนที่มองดูอยู่ แต่เดิมพวกเขาคิดว่าเนี่ยลี่คงจะเป็นฝ่ายที่
ถูกโจมตีอยูฝ่ ่ายเดียว แต่กลายเป็นว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีผู้ใด
รู้เลยว่าเนี่ยลี่มีการใช้เล่หเ์ หลีย่ ม ทาให้ดูเหมือนว่าหลงยู่อิน
ได้รับความเสียหายจากการโจมตีมากกว่า

เรื่องนี้มันน่าตกใจมากเกินไปแล้ว!
ลืมเรื่องการชนะหลงยู่อินบนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงไป
ได้เลย ผูห้ ญิงคนนี้เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพ
มากที่สุด แต่เนี่ยลี่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าในแง่อื่นๆ ความสามารถ
ของเขานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในขอบเขตที่ท้าทายสวรรค์ได้ (ตารางที่
เคยแปะไว้ เกี่ยวกับการทดสอบรากวิญญาณ) เขายังจะ
มองเห็นใครเป็นคู่แข่งได้อีกหรือ?

แต่ถึงอย่างไร อาจารย์ชิหลิง เห็นว่าความแข็งแกร่งด้าน


กายภาพของเนี่ยลี่นั้นยังด้อยกว่าหลงยู่อิน แต่เนี่ยลี่นั้นเข้าถึง
เส้นทางแห่งการต่อสู้ได้ลึกล้ากว่าหลงยู่อิน เนี่ยลี่นั้นรู้จักใช้
ความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้
หลักการ ‘อ่อนสยบแข็ง’

หลงยู่อินโจมตีอย่างรวดเร็วและสร้างความกดดันอย่างหนัก
ให้แก่เนี่ยลี่ แต่ถึงอย่างไรนางเองก็เข้าถึงในเส้นทางแห่งการ
ต่อสู้ นางมีการจัดรูปแบบการต่อสูข้ องนางใหม่ ทาให้สามารถ
รับมือเนี่ยลี่ได้ดีขึ้นเล็กน้อย หลงยูอ่ ินยังคงจู่โจมอย่างต่อเนื่อง
และรวดเร็วยิ่งขึ้นจนมองแทบไม่ทนั

เนี่ยลี่หลี่ตาลงเล็กน้อย เขาถอยหลังออกมาโดยไม่ได้ทาอะไร
จนกระทั้งหลงยู่อินตั้งท่าที่จะเปลีย่ นการจู่โจม ทันใดนั้นเข้าก็
พุ่งไปทางด้านขวาแล้วจับขา(น่อง)ของหลงยู่อินไว้

หลงยู่อินพยายามที่จะดึงกลับมา แต่นางช้าเกินไปแล้ว และเมื่อ


ถูกเนี่ยลี่จับไว้ นางก็ไม่อาจที่จะดึงออกไปได้แล้ว

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ
!” หลงยู่อินเอ่ยด้วยความอับอาย “ถ้าไม่เช่นนั้นอย่าได้มา
ตาหนิข้าที่ทาอะไรรุนแรงนะ!”

ตั้งแต่ที่นางรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่การซ้อมประลอง หลงยู่อิน จึงยัง


ไม่ได้ใช้พลังแห่งสายเลือดมังกร เดิมทีนางคิดว่านางจะสามารถ
เอาชนะเนี่ยลี่ได้โดยทีไ่ ม่ต้องใช้พลังแห่งสายเลือดมังกร แต่ทว่า
ความแข่งแกร่งของเขานั้น เกินกว่าที่นางจินตนาการไว้ ในขณะ
ที่พวกเขาปะทะกัน นางรับรูไ้ ด้ถึงความพ่ายแพ้เล็กน้อย แต่
ในตอนนี้ เขากาลังจับขาของนางอยู่

“หืม ให้ปล่อยเจ้างั้นเหรอ? ทาไมข้าต้องทาเช่นนั้นด้วย?ไม่ใช่


ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่งมากมิใช่เหรอ?” ความโกรธของเนี่ยลี่นั้น
มิได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแค่ว่า ไม่ยอมปล่อยนาง
เท่านั้น เขายังจับขาของหลงยู่อินนั้นยกสูงขึ้น

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี!้ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้เจ้ารอดกลับไป
แน่!” ขาของหลงยู่อิน ถูกยกสูงขึ้นจนแทบจะสัมผัสกับหน้าอก
ของนาง เป็นการบังคับให้นางกระโดดถอยหลัง ในใจของนาง
นั้นสั่นสะเทอนและเต็มไปด้วยความอับอาย ใบหน้าของนาง
ใบหน้าของนางดูซีดลงเล็กน้อยในขณะที่ทุกคนจ้องมองอยู่

“หลงยู่อิน เจ้าคิดเหรอว่า สายเลือดมังของเจ้านั้น


แข็งแกร่งยิ่งนัก? จริง ๆ แล้วมันก็แค่พอใช้ได้ เจ้ายังมีฝีมืออะไร
ที่ซ่อนไว้อยู่อีก? ทาไมไม่แสดงมันออกมาให้หมด ให้ข้ารู้ถึง
ความสามารถทั้งหมดที่เจ้ามีอยู่” เนี่ยลี่ก้าวไปข้างหน้าพร้อม
กับใช้มือขวาสกัดที่ จุดเสียเว่ย [穴位处]
ที่ขาของนาง เขาจับส่วนที่เป็นจุดอ่อนของนาง ทาให้นางไม่
อาจที่จะกระโดดถอยหลังไปได้

หลงยู่อินพยายามที่จะโต้กลับแต่เนี่ยลี่นั้นเข้ามาใกล้นางมาก
เกินไป จนไม่อาจที่จะโจมตีกลับไปได้

ใบหน้าของหลงยู่อินดูซีดลงนางกัดริมฝีปากของตัวเอง หลังจาก
ที่ได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ นางพยายามที่จะดึงขาของนางกลับมา
อีกครั้ง แต่ไม่ไม่สาเร็จ
การต่อสู้กับหลงยู่อินไม่ได้ทาให้เนีย่ ลี่ใจอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
จากชีวิตก่อนหน้าของเขา ทาให้เขาตระหนักได้ว่าตัวตนที่
แท้จริงของนางเป็นเช่นใด เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เมื่อเนี่ยลี่
เดินออกมาจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง หลงยู่อินก็ได้ส่งคน
จากตระกูลของนางมาจัดการกับเขา

ผู้หญิงอย่างหลงยู่อิน ต้องเจอแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เขาจะ


จัดการนางให้พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง และจะทาให้นางจมอยู่กับ
ความหวาดกลัว นี่เป็นหนทางเดียว ที่จะทาให้หลงยู่อินไม่อาจที่
จะเป็นภัยคุกคามอาจารย์ของเขาได้อีกต่อไป

เนี่ยลี่คดิ ว่า แน่นอนว่าเขาจะไม่อ่อนโยนเมื่อต้องเผชิญกับศัตรู


เขาจะทาหลงยู่อินรู้สึกหวาดกลัว เสียจนไม่กล้าที่จะยโสโอหัง
อีกต่อไป

เนี่ยลี่ขยับหน้าของเขาไปใกล้ ๆหูของหลงยู่อินแล้วหัวเราะ
อย่างเย็นชา พร้อมกับพูดว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่ขยะที่ดแี ต่ใช้อิธิ
พลของตระกูลเจ้า ถ้าหากไม่มีตระกูลเจ้า เจ้าก็ไม่มีอะไรเลย
สายเลือดมังกรแล้วเป็นไง? มันคงจะเป็นเรื่องตลกไม่น้อย ถ้า
หากเจ้าคิดว่ามันสาคัญนัก ”

ดวงตาของหลงยู่อินมีประกายของหยดน้าตา เนี่ยลี่ทาให้
นางอับอายต่อหน้าคนจานวนมาก นางจ้องมองเขา นางไม่เคย
รู้สึกอัปยศเช่นนี้มาก่อน

“เนี่ยลี่ เจ้าทาเกินไปแล้ว!” หลงยู่อิน ระเบิดพลังที่


แข็งแกร่งออกมา ขาอีกข้างของนางยกขึ้นแล้วรัดคอเนี่ยลีด่ ้วย
การบิด 360 องศาทาให้เนี่ยลี่ลงไปอยู่บนพื้น
เนี่ยลีไ่ ม่คดิ มาก่อนเลยว่า หลงยู่อิน จะสามารถปล่อยพลังงานที่
แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ออกมาได้ เขาพยายามที่จะหนีออกไปจาก
ขาของนางที่รัดคออยู่ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ตัวเลือกเดียว
ในตอนนี้คือการโจมตีกลับเท่านั้น

*ตุบ!*
เนี่ยลี่ถูกฟาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง แม้ว่าคอของเขาจะยังถูก
หนีบอยู่ เขาทาการพลิกตัว ตรึงหลงยู่อินให้อยู่ใต้ตัวเขาจากนั้น
ก็ทาการจับคอของนางไว้

พวกเขาทั้งคู่ทาการจับล๊อคกันอยู่ในตาแหน่งที่แปลกประหลาด
หลงยู่อินใช้ขาในการรัดคอของเนีย่ ลี่ แต่ในขณะเดียวกัน นาง
ถูกตรึงลงกับพื้นจากฝีมือของเนี่ยลี่ ร่างกายของนางโค้งงอ และ
คอของนางถูกจับด้วยมือของเนี่ยลี่ ทุกคนมองดูแล้วรูส้ ึกราวกับ
ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่โง่เขลา [สานวนจีนหมายถึง ไม่มีฝา่ ย
ใดที่ได้ประโยชน์ เจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย]

ลู่เพียวและกู้เบ่ย ก็ตกตะลึงเช่นกัน นี่พวกเขากาลังทาอะไรกัน


มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาน่าจะ...

พวกผู้หญิงในชั้นเรียนคนอื่น ๆกรีดร้องออกมา ด้วยใบหน้าที่


แดง เนี่ยลี่กับหลงยู่อิน ท่าทางของพวกเขาชวนให้คิดลึกอยู่ไม่
น้อย
เนี่ยลี่พูดอย่างเย็นชา มือของเขาค่อย ๆ เพิ่มแรงไปทีละนิดที่
คอของหลงยู่อิน “ปล่อยข้าซะ ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าจะฆ่าเจ้า!”

ใบหน้าของหลงยู่อินซีดลงเล็กน้อย แต่นางก็ยังไม่ยอมแพ้ นาง


จ้องหน้าเนี่ยลี่ พร้อมกับน้าตาที่อยู่ในดวงตาของนาง “ถ้า
เช่นนั้น ข้าจะลากเจ้าไปกับข้าด้วย!”

เนี่ยลี่ขมึงตาพร้อมกับสาปแช่งอย่างเย็นชา “เจ้ามันเป็นผู้หญิง
บ้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี!้ ” เขารังเกียจหลงยู่อินที่ชอบมาวุ่นวายกับ
เขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องความแค้นในอดีตชาติ แต่
ตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง เอา
แต่สร้างปัญหาให้กับเขาไม่จบสิ้น เนี่ยลี่จึงค่อนข้างที่จะโกรธ
มาก

เนี่ยลี่ เริ่มรูส้ ึกว่าด้วยการรัดของหลงยู่อินทาให้เขาหายใจไม่


ออก ดังนั้นเขากดทับนางให้แรงยิ่งขึ้น
“ปล่อยข้าซะ!” เนี่ยลี่ ตะโกนออกมาด้วยหน้าแดงก่า เขา
ไม่ต้องการที่จะตายไปพร้อมกับหญิงบ้าคนนี้ นอกจากนี้เขายัง
ไม่อาจที่จะสังหารหลงยู่อินในตอนนี้ เนื่องจากในตอนนี้เขายัง
อ่อนแอเกินไปที่จะรับมือกับตระกูลผนึกมังกร
ใบหน้าของหลงยู่อินซีดลงขณะที่นางไอ นางค่อยสงบอารมณ์
โกรธแค้นลง และค่อย ๆลดแรงรัดที่ขาของนาง “เจ้าต้องปล่อย
มือของเจ้าก่อน!”

เนี่ยลี่เอามือซ้ายของเขาตีไปที่ก้นของนางจนได้ยินเสียงดัง
ชัดเจน “ถ้าหากเจ้าไม่ยอมปล่อย อย่ามาหาว่าข้าหยาบคายห
ล่ะ!”

หลงยู่อินหยุดชั่วครู่ นางรู้สึกว่าที่กน้ ของนางเป็นรอยแดง


ใบหน้าของนางแดงก่า นางตะโกนด้วยเสียงที่สั่นสะท้านว่า
“เนี่ยลี่ เจ้ากล้าลบหลู่ขา้ !”

“อะไรกัน ถ้าหากข้าลบหลูเ่ จ้าตรงไหนกัน ปล่อยข้าได้


แล้ว ถ้าหากเจ้าไม่ปล่อยข้า ขอให้เจ้าเชื่อคาพูดข้าไว้เลย ข้าจะ
ฉีกเสื้อผ้าเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ให้ทุกคนดูเลยดีไหม” เนี่ยลี่
ตะคอกอย่างเย็นชา

“เจ้า...” เสียงของหลงยู่อินสัน่ สะท้านเมื่อได้ยินคาพูดอัน


เย็นชาของเนี่ยลี่ นางรู้สึกกลัว กลัวว่าเนี่ยลี่จะฉ๊กเสื้อผ้าของ
นางจริงๆ แล้วนางคงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับผู้ใดต่อไปอีกใน
ชีวิต และถ้าเป็นเช่นนั้น นางคงต้องฆ่าตัวตายเป็นแน่ ในที่สุด
นางก็คลายขาที่รดั คอเนี่ยลี่อยู่ และปล่อยเขาออกมา
เนี่ยลี่กไ็ ด้ปล่อยมือของเขา เขาปล่อยมือพร้อมกับสาลัก
ในตอนนี้เขาคงไม่ต้องการที่จะไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงประชิดตัว
กับนางอีก

ในขณะที่เนี่ยลี่ปล่อยมือของเขา ทันใดนั้นหลงยู่อินก็เข้ามาต่อย
และ เตะที่หน้าอกของเขา เนี่ยลี่ไม่ทันที่จะป้องกัน ด้วยแรงเตะ
นั้นทาเขาลอยไปชนกับที่กั้นอย่างรุนแรง เนี่ยลี่ได้รู้สึกถึงรสชาด
เลือดในปาก เขาอาเจียนเลือดออกมา

เนี่ยลีไ่ ม่เคยคิดเลยว่า หลงยู่อิน จะใช้วิธีลอบโจมตีเขา!

“เจ้าสมควรที่จะได้รับมัน!” ดวงตาของหลงยู่อินเต็มไปด้วย
น้าตา นางต้องได้รับความอับอายด้วยน้ามือของเนี่ยลี่ ต่อหน้า
คนจานวนมาก นางเกลียดเขายิ่งนัก
พลังและเลือดได้โหมกระหน่าอยู่ในร่างกายของเนี่ยลี่ เมื่อเขา
เงยหน้ามองไปยังหลงยู่อิน เขาแสดงออกราวกับน้าแข็ง ดูไร้
อารมณ์อย่างสิ้นเชิง อันที่จริงเขาไม่ควรที่จะคิดว่าการจัดการ
กับหลงยู่อินเป็นเรื่องที่ง่าย อะไรทีค่ ิดว่าง่าย ผู้หญิงก็จะโต้กลบ
มาอย่างรุนแรง

ในใจของหลงยู่อินนั้น กลัวจนตัวสัน่ เมื่อเห็นเนีย่ ลีเ่ ย็นชาราวกับ


ก้อนน้าแข็ง และมองดูนางราวกับซากศพ นางคิดได้วา่ นางได้
กระทาผิดไปที่เตะใส่เนี่ยลี่ หลังจากที่เขาได้ปล่อยนางแล้ว แต่
ถึงอย่างไรที่เนี่ยลี่ทากับนางก็ต่าช้าเกินไป แล้วทาไมนางถึงจะ
เอาคืนไม่ได้?

หลงยู่อินกาหมัดทั้งสองข้างจนแน่น ทั้งตอนที่ด่านจิตวิญญาณ
แห่งแสง และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสองเหตุการณ์เป็นความ
อับอายที่สุดในชีวิตของนาง!

ถึงจะอย่างไร นางจะต้องได้รับการชดใช้จากเรื่องที่เกิดขึ้น
เนี่ยลี่จับที่หน้าอกของเขาพร้อมกับลุกขึ้น มีประกายที่เย็นยะ
เยือกในดวงตาของเขา ที่กั้นได้ถูกย้ายออกไปแล้ว เนี่ยลีเ่ ดิน
ผ่านหลงยู่อิน โดยที่ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเดินไปทางลู่
เพียวและกูเ้ บ่ย จากนีไ้ ปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะไม่คดิ ว่า
สามารถจัดการกับหลงยู่อินได้โดยง่ายอีก

หลงยู่อินเปิดปากของนาง น้องต้องการที่จะพูดอะไร
บางอย่าง แต่ท้ายทีส่ ุดนางก็กลืนคาพูดนั้นลงคอไป นางไม่รู้ว่า
ทาไม แต่นางรูส้ ึกหวาดกลัวกับความเย็นชาของเนี่ยลี.่ .จบตอน
บทที่ 290 ต่อไปนี้อย่าได้เข้ามาใกล้ข้าอีก!

ในใจของเนี่ยลี่ ไม่ได้มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย สาหรับ


หลงยู่อินในตอนนี้ และหลงยู่อินในชีวิตที่แล้วของเขา!

ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า เนี่ยลี่กับหลงยู่อิน
คงจะต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย

ทุกคนต่างตกตะลึงกับการต่อสู้ระหว่างเนี่ยลี่กับหลงยู่อิน
สถานการณ์เช่นนี้มันง่ายต่อการระเบิดออกมา ไม่มีใครคิดเลย
ว่าหลงยู่อิน ผู้ที่มสี ายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ จะจบลงด้วยการ
ถูกรังแกจากเนี่ยลี่ ดูราวกับว่าหลงยู่อินได้พบคู่แข่งที่แท้จริง
แล้วในตอนนี้

เหตุการ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนหน้านีเ้ พียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ...


ลู่เพียวอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาให้เนี่ยลี่ เมื่อเห็นกระบวนท่า
แปลกประหลาดของพวกเขา สิ่งที่เพิ่งได้เห็นนีม้ ันช่าง ดุเด็ดเผ็ด
ร้อน ตื่นตาตื่นใจ อย่างแท้จริง
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้สังเกตุเห็นใบหน้าของเนี่ยลี่ที่เย็นยะเยือก
และเต็มไปด้วยจิตสังหาร ซึ่งมันทาให้ลู่เพียวถึงกับสั่นสะท้าน
โดยไม่รตู้ ัว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเนีย่ ลี่ ? ลู่เพียวกับเนี่ยลี่นั้นก็
รู้จักกันมานานแล้ว แต่เนีย่ ลีไ่ ม่เคยโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน ลู่
เพียว รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ดีบางอย่างไหลเวียนอยู่ในสายเลือด
ระหว่างทั้งสองคนมีอะไรทีไ่ ม่อาจจะแก้ไขได้อยู่

เหล่าผู้หญิงในชั้นเรียนต่างสบตากัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลงยู่
อินจะไม่คานึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง มุ่งหวังเพียงแต่การ
ล้มเนี่ยลี่เท่านั้น และที่ยิ่งเกินกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ที่เนี่ยลี่นั้น
แข็งแกร่งพอที่จะล้มหลงยู่อินได้

เหออินอิน เม้มริมฝีปากของนางแล้วพูดว่า “หลงยู่อิน ผูห้ ญิง


คนนั้นถามว่า นางคิดว่าสายเลือดมังกรนั้นมีความแข็งแกร่งยิ่ง
นัก แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับท่านพี่เนี่ยลี่ เจ้าคงไม่ได้คดิ ใช้
มารยาหญิง เพื่อดึงดูดความสนใจจากท่านพี่เนี่ยลี่ใช่ไหม? ”
ยิ่งเขาแสดงฝีมือออกมามากเท่าใด เหออินอิน ก็ยิ่งคิดเกี่ยวกับ
เขามากขึ้น ยิ่งคิดมากเท่าใด นางก็คิดได้วา่ คงมีอะไรในหัวของ
หลงยู่อินที่ผิดปกติไป ทาไมนางต้องจงใจหาเรื่องเนี่ยลีด่ ้วย?

หญิงสาวคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้าเสียงที่ชวนหลงไหล
“อินอิน เจ้าคิดยังไงกับท่านพี่เนี่ยลี่กันแน่? เจ้าชอบเขาอย่าง
นั้นเหรอ?”ด้วยความสามารถของเนี่ยลี่ นั้นทาให้หัวใจของนาง
หวั่นไหวเล็กน้อย

เหออินอินตอบกลับไปว่า “อย่าได้ฝันไปเลย มีผู้คนมากมายที่


จับจ้องท่านพี่เนี่ยลี่อยู่ เขาไม่มีทางที่จะเป็นของเจ้าแน่นอน!”

หลังได้ยินคาพูดของเหออินอินหญิงสาวคนนั้นก็แกล้งพูดขึ้นมา
ว่า “ใครจะรู้หล่ะ? ข้าไม่เห็นว่าท่านพี่เนี่ยลี่จะสนใจเจ้าเลย
แม้แต่น้อย!”

จินหยานมองไปที่เนีย่ ลี่ พร้อมกับกาหมัดแน่น มันช่างเป็นอะไร


ที่รบกวนจิตใจของเขายิ่งนัก ในแง่ความแข็งแกร่งของร่างกาย
หลงยู่อินนั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความสามารถที่
ท้าทายสวรรค์ได้นั่น ไม่นา่ แปลกใจเลยที่เนีย่ ลี่นั้นไม่ได้ให้ความ
สนใจข้อเสนอจินหยานเลยสักนิด นั่นราวกับว่าเขาไม่ได้มตี ัวตน
ในสายตาของเนี่ยลี่เลย

หลงยู่อิน เพียงคนเดียวก็ทาให้จินหยานรูส้ ึกไม่สบอารมณ์แล้ว


แต่ในตอนนี้เนี่ยลี่กลับอยูเ่ หนือขึ้นไปอีก เขาก็ยิ่งรูส้ ึกไม่สบ
อารมณ์มากขึ้นกว่าเดิม

หานจิงและพวกของเขา ที่ยืนอยู่หา่ งออกไป ตกใจเป็นอันมาก


ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดหาทางที่จะสร้างความเดือดร้อน
ให้กับเนี่ยลี่ แต่ในตอนนี้ ความคิดดังกล่าวถูกลบทิ้งอย่างสิ้นเชิง
จากความคิดของพวกเขา ไม่มผี ู้ใดที่คิดจะยั่วยุเนี่ยลี่อีกต่อไป
ผู้ใดจะมีพรสวรรค์มากถึงเพียงนี้ได้อีก ไม่ต้องพูดถึงความจริง
ที่ว่าถ้าหากต่อสู้กันก็คงต้องพ่ายแพ้แน่นอน และพวกเขาก็ไม่
อาจที่จะเป็นพันธมิตรกับเนีย่ ลีไ่ ด้เป็นแน่

หวังหยาง มองดูเนี่ยลี่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย


และความริษยา
อาจารย์ชิหลิง กระแอมเบา ๆ แล้วก็พูดว่า “พวกเจ้าคงจะได้คู่
ซ้อมกันแล้วสินะ พวกเจ้าควรจะฝึกซ้อมร่วมกันเพื่อเพิม่ ความ
แข็งแกร่งของร่างกาย การเรียนการสอนในวันนี้จบลงแค่นี้ แต่
พวกเจ้าทาอาจจะการฝึกซ้อมกันต่อก็ได้ บทเรียนที่สามเจอกัน
ในอีกสามวันข้างหน้า”
อาจารย์ชิหลิงเดินออกไปจากลานฝึก

เนี่ยลี่หันไปมองลูเ่ พียวกับกู้เบ่ยพร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ


!”

ในขณะที่เนี่ยกาลังจะเดินออกไป หลงยู่อิน จู่ๆก็โผล่มาด้านข้าง


ของเขา และหยุดเขาเอาไว้ “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปจาก
ที่นี่!”
เนี่ยลี่มองไปที่นางอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ยังจะต้องการอะไร
อีก
?
“ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่และทาการฝึกซ้อมกับข้าต่อ
!” หลงยู่อินกัดฟันของนางและมองเนี่ยลี่อย่างจริงจัง นาง
ต้องการที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่ง และนางก็รดู้ ีว่าเนี่ยลี่นั้น
แข็งแกร่งมาก สิ่งนั้นจุดชนวนจิตวิญญาณการต่อสูภ้ ายในหัวใจ
ของนาง

เนี่ยลี่ชาเรืองมองนางด้วยความรังเกียจ “หลีกไปซะ! ข้าไม่


อยากจะเสียเวลากับมันอีก!” ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จัก
จบจักสิ้นเสียที!
ทุกคนที่ได้เห็นถึงกับตกตะลึงกันไปหมด
หลงยู่อิน ได้รับความเจ็บช้าจากการพ่ายแพ้มาแล้ว และทาให้
ถูกอับอายไม่น้อย ทาไมนางถึงต้องการให้เนี่ยลีฝ่ ึกซ้อมกับนาง
อีก ? หรือว่าสมองของนางนั้นเลอะเลือนไปแล้ว ? หรือผู้หญิง
คนนี้เป็นพวกมีความสุขที่ตัวเองถูกทาร้าย หรือนางต้องการที่
จะขายหน้าไปยิ่งกว่านี้ หรือว่านางต้องการที่จะเปิดประตูเสนอ
ตัวให้กับเขา? หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะผิดหวังที่พ่ายแพ้เนีย่ ลี่
เหออินอิน ขมวดคิ้วของนาง แล้วพูดว่า “หลงยู่อิน ทาไมเจ้าถึง
หน้าไม่อายเช่นนี้ ท่านพี่เนี่ยลี่ ไม่ตอ้ งการที่จะยุ่งเกี่ยวเจ้าอีก
แล้ว แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้สร้างความราคาญให้แก่ท่านพี่เขาอีก!”

หลงยู่อินชาเรืองมองเหออินอิน ด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับ


พูดว่า “นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า หลีกไปซะ ถ้าหากเจ้า
ยังไม่หยุดพูด ข้าจะโยนเจ้าออกไปเอง!”
“เจ้า...” ในใจของเหออินอินนั้น แค้นเคืองยิ่งนัก
‘นังผู้หญิงบ้า’ แต่นางก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้หลงยู่อิน และหลบ
ไปด้วยความไม่พอใจ

เนี่ยลี่จ้องมองนางอย่างเย็นชาไปที่นาง “หลงยู่อิน เจ้ารูไ้ หมว่า


เจ้ากาลังมองหาความอัปยศอดสูอยู่”

หลงยู่อิน จ้องเนี่ยลี่ และพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้แพ้ และข้า


ก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วย จนกว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ เรา
มาสู้กันต่อ ถ้าหากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะทาตามที่เจ้า
บอกข้าทุกอย่าง และถ้าข้าแพ้อีกเป็นครั้งที่สอง อย่าได้เรียกว่า
ว่า หลงยู่อินอีกต่อไป! แต่ถ้าข้าชนะ ข้าจะลงแส้เจ้ากลับ 3
ครั้ง!”

เนี่ยลี่พ่นลมหายใจออกมา “ไสหัวไป ข้าไม่อยากจะเสียเวลากับ


เจ้าอีกแล้ว!” เขาเตรียมที่จะเดินอ้อมหลงยู่อินไป

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป
!” หลงยู่อินพ่นยื่นมือออกไปเตรียมป้องกันจากเนี่ยลี่พร้อมกับ
เตะออกไปด้วยเท้าซ้ายของนาง

เนี่ยลี่หลบโดยทันที เขารูส้ ึงเกลียดชังผู้หญิงคนนี้ยิ่งนัก

*ตูม!* *ตูม!* *ตูม!*


การต่อสู้กันอย่างรุนแรงจนมีพลังงานพุ่งออกมาจากการปล่อย
หมัดของพวกเขา เนี่ยลี่และหลงยูอ่ ินทั้งสองคนนั้นสู้กันด้วย
ความรวดเร็วยิ่งขึ้นจนถึงขีดจากัด จนสามารถมองเห็นเพียงแค่
ภาพติดตา ที่ทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านัน้
พวกเขาทั้งคู่ราวกับถังใส่ดินปืน ที่ถูกจุดระเบิดขึ้นแล้ว เพียงแค่
ช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาก็กลับมาต่อสู้กันอีกครั้ง

ทุกคนต่างตะลึงและจ้องมองที่การต่อสู้อันรุนแรง ที่เกิดขึ้น
ระหว่างพวกเขาทั้งสอง
หลงยู่อินปลดปล่อยความสามารถสายเลือดมังกรของนาง
ออกมาจนถึงขีดสุด โดยไม่คานึงถึง การโจมตี ความรวดเร็ว
และความแข็งแกร่ง พลังทุกด้านของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อน
หน้านี้จนเทียบไม่ตดิ ทุกการโจมนัน้ เฉียบคมและแม่นยาเป็น
อย่างมาก

*ตูม!*

หลงยู่อิน มุ่งเป้าโจมตีไปตรงหน้าอกของเนี่ยลี่ แต่เขาก็ป้องกัน


เอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยพลังที่แข็งแกร่งก็
ทาให้เขาต้องก้าวถอยไปราวสิบก้าว โดยที่ไม่มีโอกาสได้หยุดพัก
หลงยู่อิน กระโดดขึ้น ข้ามเครื่องป้องกันและโจมตีเนี่ยลี่อีกครั้ง
การโจมตีของนางราวกับพายุที่โหมกระหน่า

กู้เบ่ยขมวดคิ้วของเขาครู่หนึ่ง เขาไม่ได้กังวลอะไรกับเนี่ยลี่
“หลงยู่อิน เอาจริงเอาจังกับการต่อสู้ ชีวิตของนางเกิดมาเพื่อ
เส้นทางนี้จริง ๆ” เขาพร้อมที่จะกระโดดออกไปได้ทุกเมื่อ ถ้า
หากว่าหลงยู่อินตั้งใจที่จะฆ่าเนีย่ ลีจ่ ริง ๆ แน่นอนว่ากู้เบ่ย
จะต้องออกไปช่วยเขา ในตอนนี้เขาไม่สนใจว่าจะต้องเปิดเผย
พลังที่แท้จริงของเขาออกไป
เนี่ยลี่ทาได้เพียงแค่หลบการโจมตีที่ราวกับพายุของหลงยู่อิน ใน
ใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดทีไ่ ร้ทสี่ ิ้นสุด เขา
ต้องทนกับมันอีกครั้ง และ อีกครั้ง แต่หลงยู่อินก็ไม่ยอมจบสิ้น
เสียที

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าหยาบคายก็แล้วกัน!” ดวงตา


ของเนี่ยลี่เป็นประกาย “ในเมื่อเจ้าต้องการมัน ข้าจะให้
บทเรียนกับเจ้าอย่างสาสมเลย!”
เนี่ยลีไ่ ม่เคยเกรงกลัวผู้ใดทีม่ ีระดับพลังเท่ากับเขา!
หลงยู่อินถ่ายทอดพลังไปที่ขาของนาง และแตะออกไป แต่ใน
ตอนที่มันกาลังจะสัมผัสถูกเนี่ยลี่นนั้ เอง ทันใดนั้นเขาก็หลบ
ออกไปเหลือเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น

“อะไรกัน!” หลงยู่อินมั่นใจว่าโจมตีโดนเนีย่ ลี่ แต่จู่ ๆนางก็


มองเห็นเขาค่อย ๆ จางหายไป

หลังจากนั้นแค่ครู่เดียว เนี่ยลี่ก็ปรากฏต่อหน้าหลงยู่อิน เขาจับ


ขาของนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกข้างจับที่ต้นขาของนาง
แล้วก็ยกนางขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็ฟาดนางลงกับพื้นอย่าง
เลือดเย็น
*ตูม!*

เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่ลานฝึกซ้อมทันที

หลงยู่อินรูส้ ึกมึนงงจากการถูกกระแทกกับพื้น แต่ก่อนที่นาง


จะสามารถตอบสนองได้ เนี่ยลี่กย็ กนางขึ้นไปและฟาดนางลง
กับพื้นอีกครั้ง
*ตูม!* *ตูม!* *ตูม!*
เนี่ยลี่ฟาดนางลงไปอีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง ราวกับว่านาง
เป็นกระสอบทราย หลังจากที่ฟาดนางลงไปกับพื้นที่รอบ ๆ
แล้ว เขาก็รวบรวมสมาธิจู่โจมนางอย่างรุนแรง
ช่างแตกต่างจากการโจมตีอันรวดเร็วราวกับพายุของหลงยู่อิน
การโจมตีของนางนั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ การโจมตีของเนี่ยลี่นั้น
ต่อเนื่อง และมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายด้วยความชานาญในทุก
แง่มุม เขาคานวนไว้แล้วว่าหลงยู่อินไม่อาจที่จะป้องกันรูปแบบ
การโจมตีของเขาได้
หลงยู่อินยังคงถูกฟาดลงที่พื้น เขาถูกโยนขึ้นไปในอากาศ
จากนั้นนางก็ถูกฟาดลงกับพื้น ซ้าแล้วซ้าเล่า แต่ด้วยสายเลือด
มังกรที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของนาง ร่างกายของนางจึง
แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าเนีย่ ลี่จะจู่โจมไปเท่าใด นางก็ได้รับบาดเจ็บ
แค่เล็กน้อยเท่านั้น
แต่ทว่าตั้งแต่ที่เนี่ยลี่เริ่มการโจมตี ของเขา หลงยู่อิน รู้สึกว่า
เป็นการยากที่จะโต้กลับ

ทุกคนต่างก็งุนงงกันไปหมด

หลังจากที่หลงยู่อินปลดปล่อยขีดจากัดสายเลือดมังกรของนาง
นางควรจะเป็นฝ่ายทีไ่ ด้เปรียบ แต่จากการโจมตีของเนี่ยลี่นั้น
นางไม่อาจที่จะโต้กลับได้เลย หลังจากที่เนี่ยลี่ทาการพลิกแพลง
การโจมตีจนไร้ข้อบกพร่อง ก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ชนะแล้ว
นอกจากนั้นจากการโจมตีของเขาหลงยู่อินก็ทะลวงการป้องกัน
ของหลงยู่อินจนไม่อาจที่จะโต้กลับได้เลย
ทุกคนที่เฝ้ามองดูความแข็งแกร่งและความป่าเถื่อนของหลงยู่
อิน แต่นางกลับพ่ายแพ้จนถึงจุดทีว่ ่าไม่อาจจะโต้กลับได้เลย นี่
มันอะไรกัน…

ไม่มีใครที่สามารถอธิบายสิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเขา
ในตอนนี้ได้

*ตูม!*

หลงยู่อินถูกฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง แม้ว่าการโจมตีของเนี่ยลี่นั้น
ไม่สามารถที่จะทะลวงผ่านร่างกายที่มีสายเลือดมังกรไหลเวียน
อยู่ได้ แต่มันก็เริม่ ที่จะส่งผล สร้างความเสียหายภายในให้แก่
นาง
ราวกับว่ากระดูกในร่างกายของนางถูกบดขยี้เป็นผุยผง นางเกิด
ความสับสนยิ่งนัก ทาได้เพียงจ้องมองไปยังบนเพดาน พยายาม
คิดให้ออกว่า เหตุใดกันนางถึงได้ดอ้ ยกว่าเนี่ยลี่

โดยไม่คานึงถึงการแข่งขันในครั้งนีอ้ ีกต่อไป นางพ่ายแพ้อย่าง


หมดรูปต่อเนี่ยลี่
ความรูส้ ึกพ่ายแพ้ที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจของนาง หลั่งออกมาเป็น
น้าตาสองสาย

นางใช้เวลาหลายปีเพื่อที่จะแข็งแกร่งกว่าคนที่อายุเท่ากับนาง
นางฝึกอย่างบ้าคลั่ง ทุ่มเททุกอย่างให้กับความแข็งแกร่ง แต่
วันนี้ ร่างกายที่แข็งแกร่งของนาง พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ทันใด
นั้นนางก็รู้สึกอยากจะร้องไห้
กลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างทีน่ างได้ทุ่มเทไป รวมถึงความ
ภาคภูมิใจของนาง เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า!
“สวรรค์และพื้นพิภพช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก ยังมียอดฝีมืออีกนับ
ไม่ถ้วนที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น นัน่ เหรอที่เจ้าต้องการ ความ
หยิ่งทะนง และความภาคภูมิใจของเจ้า? หลงยู่อิน วันนี้ ข้าได้
มอบบทเรียนเล็กน้อยให้แก่เจ้า เจ้าต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง
ถ้าไม่เช่นนั้นแม้ว่าข้าจะไม่ทา สุดท้ายสักวันหนึ่งก็จะมีคนที่เข้า
มาสั่งสอนเจ้าอยู่ด!ี ” เมื่อพูดจบ เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะพูดอะไร
มากกว่านี้ ในขณะที่เขาหันหลังกลับและเดินออกจากลานฝึก

หลงยู่อินลุกขึ้นนั่ง เช็ดน้าตาที่เต็มอยู่บนใบหน้า นางเม้มริม


ฝีปากของนาง แล้วพูดว่า “เรื่องแรกข้ายอมรับความพ่ายแพ้
ในเมื่อข้าแพ้เจ้า อย่างที่ได้พดู ไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเจ้าจะสั่งสิ่งใด
ก็ตาม ข้าจะปฏิบัตติ ามโดยไม่บิดพริ้ว!”
เนี่ยลี่หยุดเดิน พร้อมกับพูดออกมาว่า “อยู่ห่าง ๆ ข้า ยิ่งไกล
เท่าไหร่กย็ ิ่งดี!” หลังพูดจบ เนี่ยลีก่ ็เดินออกไป

หลังจากที่เนี่ยลี่เดินออกไป น้าตาของหลงยู่อินก็ได้รินไหล
ออกมา จนบดบังการมองเห็นของนาง ทาให้นางเห็นเพียงแค่
ภาพเบลอๆ เนี่ยลี่ไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย
ในสายตาของเนี่ยลี่นั้น นางมีค่าน้อยยิ่งกว่าเศษธุลี เป็นเรื่องที่
น่าตลก ที่นางพยายามทาให้เห็นว่านางหยิ่งผยอง ทะนงตน
และนางมีความภาคภูมิใจของนาง แต่ในสายตาของเนีย่ ลี่นั้น
นางไม่ได้มสี ิ่งใดเลย...จบตอน
บทที่ 291 ศิษย์พี่และศิษย์น้องอ่อนหัด

กู้เป่ย และ หลู่เปียว ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนี่ย


หลี่มสี ีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์เป็นอย่างยิ่งในขณะที่หันหลังกลับ

กู่เป่ย อดไม่ได้ทจี่ ะร้องไห้อยู่ในใจ ช่างสูญเปล่ายิ่ง! เนี่ยหลี่ใน


หัวมีแต่ขี้เลื่อยหรืออย่างไร ! หลงยู่อินได้ยื่นข้อเสนอจะปฏิบัติ
ตามทุกสิ่งอย่างโดยไม่มีข้อแม้ และ เนี่ยหลีบ่ อกให้นางให้อยู่
ห่างจากตัวเขา

นี่เป็นการปล่อยโอกาสดีๆให้เสียของอย่างที่สุด นี่หากกลับกัน
เป็นตัวเขาแล้ว ต้องร้องขอในสิ่งที่น่าสนใจเป็นแน่ ด้วยเสน่ห์
ความงามของหลงยู่อินแล้ว ใครจะทราบได้เล่า? บางทีนางอาจ
ยอมจานนหลังจากการต่อต้านก็เป็นได้
นี่มันเสียของ ช่างเป็นการเสียของโอกาสที่ดีเช่นนี้โดยแท้!
กู้เป่ย คิดแล้วส่ายหัวของเขา
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ไม่ทราบว่าเหตุใดเนี่ยหลี่ถึงขอแบบนั้น กู้
เป่ยก็ยังชื่นชมเนี่ยหลี่เป็นอย่างมาก

หลังจากเนี่ยหลี่และพรรคพวกของเขาได้จากไป ข่าวที่ว่าเนี่ยห
ลี่ทาให้หลงยู่อินพ่ายแพ้ในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพ ก็
แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เนี่ยหลีไ่ ด้กลายเป็นบุคคลที่มี
พรสวรรค์มากทีส่ ุดของชั้นเรียนไปโดยปริยาย และดึงดูดผูค้ น
ให้มาสนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้ที่
ถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะอื่นๆ ทุกคนมองเขาเป็นคู่แข่งที่น่า
กลัว

ณ จวนของหลงยู่อิน

หูหย่ง ได้มารอหลงยู่อินอยู่เป็นเวลานาน ทว่ากลับไม่เห็นหลงยู่


อินกลับมาเสียที เขารู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก

หลงยู่อินผู้ทาให้เขากลายเป็นขยะ ทาให้เขาต้องสูญเสียความ
เป็นชายไป อย่างไรเสียหลังจากได้รับการเยียวยาแล้วเขากลับ
เพ้อฝันถึงหลงยู่อินทั้งวันทั้งคืน ยังปรารถนาที่จะมองหลงยู่อิน
สวมใส่เครื่องแต่งกายแนบเนื้อเผยให้เห็นสัดส่วนที่ได้รูปมีเสน่ห์
ของนาง

แม้กระทั่งหลงยู่อินจะเอาความโกรธมาลงที่เขา เขาก็ยังเข้าใกล้
หลงยู่อิน เขามีความรูส้ ึกแม้ยามนางโกรธก็ยังงดงาม อย่างไรก็
ตามคู่หมั้นที่งดงามราวกับเทพธิดาในใจของเขากลับถูกทาให้
อับอายจากเด็กทีไ่ ม่มีหัวนอนปลายเท้า!
นี่มันยากจะให้อภัย!เขาต้องการจะฉีกเนื้อของเจ้าเด็กคนนั้นให้
ขาดออกจากกันอย่างไม่ปราณี เพือ่ บรรเทาความเกลียดชัง
ภายในใจของเขา!

เมื่อหลงยู่อินกลับมายังจวนของนาง สภาพของนางเปรอะเปื้อน
ไปด้วยเศษฝุ่น สายตาเศร้าสลดเป็นสื่อโดยนัยถึงความเสียใจ
ปรากฏบนใบหน้านาง น่าเวทนาเวลามองยิ่งนัก

คาพูดของเนี่ยหลีด่ ังก้องกังวานอยู่ในหัวของนาง “อยู่ให้ห่าง


จากข้า ! ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี !” ตั้งแต่ยังเด็กนี่เป็นครั้งแรกที่มี
คนพูดกับนางเช่นนี้ เป็นครั้งแรกทีไ่ ด้เห็นผู้ที่เกลียดนางมาก
เช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่รสู้ ึกต่าต้อยอย่างนี้!
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อารมณ์ความรู้สึกในจิตใจของนางถึงได้ตี
กันสับสนวุ่นวายไปหมด

บุคคลผู้ที่มีอายุเท่ากับนาง และเขาผู้นั้นก็เอาชนะ โดยใช้


ความสามารถของตนเอง ไม่ต้องพูดถึงการพ่ายแพ้ของนางเลย
แต่นี้ยิ่งทาให้นางสนใจเขาขึ้นไปอีก นางต้องพยายามแข็งแกร่ง
แข็งแกร่งให้มากขึ้นอีกเพื่อจะก้าวไปในจุดที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้
ที่สมน้าสมเนื้อของเนี่ยหลี่ !

แต่เขากลับบอกให้นาง อยู่ให้ไกลจากเขา ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี นี่


นางจะไม่โดนหมิ่นดูถูกหรอกหรือหากนางกลับไป ?

ความคิดขัดแย้งต่างๆนาๆสัยสนวุน่ วายภายในใจของนาง

หูหย่งเห็นว่าหลงยู่อินเพิ่งกลับมา แม้ว่าร่างกายของนางจะถูก
ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง นางก็ยังคงงดงามและมีเสน่ห์เช่นอย่าง
เคย หัวใจของเขาพองโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดินเข้ามาใกล้นางและ
กล่าวขึ้นมาทันที “น้องอิ้น เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ? อาการ
บาดเจ็บเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? นี่เป็นยาดีที่สดุ จากครอบครัวข้า
!”

ท่าทีของหลงยู่อินแปรเปลีย่ นเป็นน่ารังเกียจ เมื่อนางเห็น


ใบหน้าของหูหย่ง “หูหย่งเจ้าไม่ตอ้ งมาหาข้าอีกต่อไป ถ้าเจ้ายัง
เสนอหน้ามาอีกครั้ง อย่าได้ตาหนิข้า ที่ข้าจะจับเจ้าโยนออกไป
เสีย!”

“น้องอิ้น อย่าทาเช่นนั้น” หูหย่งเห็นว่านางไม่พอใจเขา จึง


พยายามพูดต่อ

“น้องอิ้น เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้ายิ่งปวดใจเป็นอย่างมาก เร็วเข้า


ใช้ยานี่ก่อนเถอะ! ปล่อยให้ข้าจัดการเนี่ยหลี่เอง ข้าจะไปจัดการ
มันให้เจ้า! หลังจากที่มันได้ออกจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
แล้ว ข้ากาลังจะให้บทเรียนแก่มันอยู่แล้วเชียว แต่ถูกหยุดโดย
สองผู้อาวุโส หนานเมียน เทียนไห่และ หวงอวี้ เสียก่อน แต่เจ้า
วางใจเถอะ เจ้าเนี่ยหลี่นั้นมันหนีไม่พ้นมือข้าแน่!”
เมื่อได้ฟัง หูหย่ง พูด หลงยู่อินถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ หูหย่งได้
นาคนไปหาเรื่องกับเนี่ยหลี่ ? นางจ้องไปยังเขา “ใครขอให้เจ้า
ทาเช่นนั้นกัน ? เจ้าได้บอกว่าข้าให้เจ้าทาเช่นนั้นรึไม่ ?”

หูหย่งส่ายหัวทันที “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นคนส่งข้าไป”

หลงยู่อินจ้องหูหย่งด้วยสายตาเย็นเฉียบ “หูหย่งเจ้ามันก็มีดีแค่
ใช้ความแข็งแกร่งของตระกูลเจ้า ปราศจากมันเจ้าก็เป็นได้เพียง
ขยะ หากเทียบกับที่ ข้ากับเนีย่ หลี่ ได้แข็งขันกันแบบ 1 ต่อ 1
แล้วข้าหลงยู่อิน ได้พ่ายแพ้ แต่แล้วยังไง?

ข้าพ่ายแพ้ หากเจ้าต้องการจะทาบางอย่างให้ข้า เช่นนั้นไปสิ


ไปหาเนีย่ หลี่ท้าประลองเขาและเอาชนะเขาสิ ข้าหลงยู่อินจะ
เทิดทูนเจ้า แต่ในความเป็นจริงเจ้ามันกระจอก ! ไสหันไปให้พ้น
หน้าข้าซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีกครั้ง มิฉะนั้นข้าจะทาให้เจ้า
กลายเป็นขยะครั้งทีส่ อง!”
“น้องอิ้น ข้า..”หูหย่งยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง

“หูหย่งไสหัวไปเดี๋ยวนี!้ ” หลงยู่อินตะโกนสุดเสียง

“เจ้า...”ในที่สุด หูหย่ง ก็ไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไปและพูดว่า


“หลงยู่อินเจ้าคิดจริงๆหรือว่าเจ้านั้นดี? เจ้าเป็นเพียงแค่ ผู้สบื
ทอดลาดับที่เจ็ดของตระกูลผนึกมังกร เจ้าสามารถ เป็นผู้สืบ
ทอดลาดับที่หนึ่งได้ หากเจ้าแต่งกับข้า! เจ้าจะได้ไม่อายใครเมื่อ
ข้าให้ตาแหน่งกับเจ้า!”

“ไป!!” หลงยู่อินส่งเขาด้วยลูกเตะอย่างแรงส่งผลให้เขาลอย
ล่องหายไป
หูหย่งได้แต่ร้องคร่าครวญ หลังจากที่โดนหลงยู่อินเตะส่งออก
มา เขาลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยท่าทีเศร้าใจ

หลงยู่อินละสายตาจากเขา ถ้าเช่นนั้นเมื่อเนี่ยหลี่ออกจากด่าน
จิตวิญญาณแห่งแสง หูหย่งและกลุม่ ของเขาได้มาหาเรื่องเนี่ยห
ลี่ ดังนั้นเนี่ยหลี่อาจจะเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นนางที่ส่งหูหย่งไป
การกระทาของหูหย่ง ทาให้หลงยูอ่ ินกลายเป็นแพะรับบาป ใจ
ของนางเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่อาจอธิบายให้เนี่ยหลี่
เข้าใจได้

มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่จะอธิบายด้วยคาพูด!

วันนี้ นางแพ้ให้กับเนี่ยหลี่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามในเวลานี้หัวใจ


ของนางได้พ่ายแพ้แล้ว นางไม่ได้เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ที่
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง แต่คราวนี้มันเป็นการพ่ายแพ้ความ
แข็งแกร่งทางกายภาพ เป็นการพ่ายแพ้ที่สมบูรณ์แบบ น้าตา
เอ่อล้นรินไหลเต็มใบหน้า

นางรู้สึกเหมือนหมาจรจัดทีไ่ ด้รับบาดเจ็บและกลับมาเลียแผล
ของตนอยู่ในจวนของนางเอง นางครุ่นคิดเกี่ยวกับการต่อสู้
ของนางและเนี่ยหลี่ และกัดฟันของนางเอง นางยังคงไม่
ต้องการจะยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อนางกาลังจะกลับเข้าไปยังห้องของนาง ร่างที่งดงามร่างหนึ่ง
ก็พลันปรากฏตัวขึ้น ด้วยความที่กลิ่นอายที่สมั ผัสไม่ได้ให้
ความรูส้ ึกราวกับเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง นางคือ อิงเยว่
หลู่ นั่นเอง นางยิ้มอย่างมีเลศนัยที่มุมปากของนาง

เมื่อหลงยู่อินเห็นเช่นนั้น นางรีบเช็ดน้าตาและวางท่าทีเย็นชา
ใส่ทันที “เจ้ามาทาไม?”

อิงเยว่ลู่ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องนานแล้วนะที่เราไม่ได้


พบกัน”
หลงยู่อินจ้องอิงเยว่ลู่ด้วยสายตาเย็นเฉียบ จิตสังหารถูกปล่อย
มาจากนาง แสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์กับอิงเยว่ลู่ อย่างชัดเจน
“นังปีศาจ! เจ้าทาให้อาจารย์ต้องตาย! และเจ้ายังมีหน้ามาพบ
ข้าอีกงั้นหรือ? ถ้าไม่ใช่ว่าอาจารย์ได้ขอไว้ ข้าฆ่าเจ้าไปนาน
แล้ว!”
“ข้าเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ว่าไม่มีใครฆ่าท่านอาจารย์ แต่
เป็นเพราะถึงเวลาชะตาของนางแล้ว ชะตากรรมเพียงยืมมือ
ของข้าเพื่อทาให้มันบรรลุ”อิงเยว่ลู่ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“อาจารย์ได้เรียนรู้จากอาจารย์บรรพบุรุษ แม้ว่าการบ่มเพาะ
พลังของนางอยู่เพียงในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ นางได้ดารง
ตาแหน่งสูงอยู่ในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์และเป็นผู้คดั เลือกผู้รบั
ตาแหน่งผู้นานิกาย และเป็นเพราะตัวตนของนาง นางมีชะตาที่
ต้องดับสูญ!”

หลงยู่อินจ้องอิงเยว่ลู่ “นังปีศาจ! ข้าไม่สนใจในสิ่งที่ลิ้นของเจ้า


อธิบาย! ข้าไม่เชื่อเจ้า!”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลงยู่อิน อิงเยว่ลู่ ส่ายหัวของนางพร้อม


กับถอนหายใจ “น้องอิ้น ในโลกนี้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ใกล้ชิด
กับข้า บุคลิกของเจ้าเป็นคนไม่ยอมใคร ในภาคหน้าเจ้าจะต้อง
เจอกับการทดสอบหนัก เจ้าจะตระหนักได้วา่ บางสิ่งที่เจ้าเคยมี
ได้หายไป และเมื่อเจ้าโหยหามันอีกครั้ง พวกมันก็จากเจ้าไป
อย่างนิรันด์ ไม่รู้สึกเช่นนั้น?”
หลงยู่อินจ้องมองอย่างเย็นชา มายังผู้ที่เป็นศิษย์พี่ของนาง “อิง
เยว่ลู่ นี่เจ้ากาลังสาปแช่งข้า?”

“นี่ไม่ใช่คาสาปแช่ง แต่เป็นดวงชะตา” อิงเยว่ลู่ ส่ายหัว แล้ว


พูดต่อ “น้อยนักที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรม...”ทันใดนั้นนาง
พลันนึกถึงบุคคลหนึ่ง และมุมปากนางเผยอยิ้มขึ้นบางทีคนผู้
นั้นอาจจะทาสาเร็จ?

“เจ้าได้เรียนรู้ เทคนิค [การทานายสวรรค์] ของท่านอาจารย์ !”


สีหน้าหลงยู่อินแปรเปลี่ยนไป เสียงนางสั่น “เจ้าจะต้องตาย!”

“ทุกคนย่อมตายในที่สดุ ” อิงเยว่ลู่ ยังคงยิ้ม “ก่อนหน้าจะ


เรียนรูเ้ ทคนิค [การทานายสวรรค์]ข้าไม่เคยเข้าใจความคิด
อาจารย์ที่เคยกล่าวไว้ว่า ‘บริสุทธิด์ ั่งสายนที เพราะวารีนั้นไม่
แข่งขัน’
ในอดีตที่ผ่านมาตัวข้าไม่ได้ใส่ใจในคาพูดเหล่านั้น แต่ภายหลัง
จากการเรียนรูเ้ ทคนิค [การทานายสวรรค์] แล้วทาให้ข้า
ตระหนักได้ทุกอย่าง ทุกอย่างที่เรารู้เราเห็นเป็นสิ่งลวงตามานับ
แต่อดีต หากทาลายภาพลวงตาเหล่านี้ลงซะความจริงก็จะถูก
เปิดเผย”

หลงยู่อินขมวดคิ้ว “เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” บุคคลที่เรียนรู้


เทคนิค [การทานายสวรรค์] จะพูดไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ ?
(เออไม่ใช่แค่หนูอินนะ แปลมาถึงตรงนี้ก็มั่วเหมือนกันแหละ
พูดไรไม่รู้เรื่องเลย ซู้ดดดดด เพลงมา)

“จะมีคนมาไขคาพูดของข้าให้กระจ่าง ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว
ขอให้เจ้าโชคดี!บ่อยครั้งที่คนเราแสดงออกภายนอกว่า
แข็งแกร่ง แต่ภายในจิตใจนั้นเปราะบางยิ่ง อย่างที่เจ้าได้เจอมา
นี้หรือไม่”อิงเยว่หลู่ ยิ้มเบาๆและเดินจากไป

หลงยู่อินที่เคยเกลียดอิงเยว่ลู่ อย่างมาก แต่ตอนนี้นางได้รู้ว่าอิง


เยว่ลู่ เรียนรูเ้ ทคนิค [การทานายสวรรค์] ความเกลียดของนางก็
พลันลดลง ชีวิตของอิงเยว่ลู่อยู่ในกามือของนาง ถ้านางไปบอก
กับทุกคนว่าอิงเยว่ลู่ ได้เรียนรู้ [การทานายสวรรค์] อิงเยว่ลู่
จะต้องตายแน่นอน!

อย่างไรก็ตาม อิงเยว่ลู่ ก็ยังบอกนาง อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็น


ว่านางเปิดใจให้เพียงใด

บางทีการตายของอาจารย์อาจจะเป็นดังเช่นที่อิงเยว่หลู่ ได้
กล่าวมา หรือมีเบื้องหลังอื่นใดอีกหรือไม่?

หลงยู่อิน มองดูอิงเยว่ลู่ จากไป ถึงแม้ว่านางจะไม่บอกใครว่า


อิงเยว่ลู่ ได้เรียนรู้เทคนิค [การทานายสวรรค์] แต่นางก็ยังไม่
สามารถอภัยให้ได้ในเวลานั้น

นางกลับเข้าห้องนางไป แล้วทายาที่บาดแผลของนาง ความ


เจ็บปวดทาให้นางต้องคร่าครวญเบาๆออกมา นางมีบาดแผล
ทั่วร่างกายของนาง นางไม่เข้าใจเหตุใดเนี่ยหลี่ถึงได้จงเกลียดจง
ชังนางถึงเพียงนั้น และปฏิบัติกับนางเยี่ยงเศษฝุ่นแต่อย่างไรก็
ตาม นางก็ได้ปฏิบัติกับผู้อื่นเยีย่ งฝุน่ มากกว่าทาให้พวกเขา
ยอมรับ

มือขวาของหลงยู่อินจับผ้าห่มเอาไว้แน่น ในใจเต็มไปด้วย
ความรูส้ ึกไม่ยอมรับ สักวันข้าจะเป็นผู้ที่มองเจ้าจากด้านบน
อย่างแน่นอน!..จบตอน
บทที่ 292 เกล็ดวิญญาณ

เนี่ยหลี่อยู่ในห้องตัวเอง

เขาฝึกบ่มเพาะพลังมาทั้งวัน และศิลาวิญญาณที่เขามีกห็ มด
เกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ทว่า ระดับพลังของเขากลับคืบหน้าไป
น้อยมาก ตอนนี้ระดับของเขายังคงวนเวียนอยู่แถวๆ จุดสูงสุด
ของชั้นชะตาดิน การจะทะลวงขีดจากัดไปยังชั้นชะตาฟ้ายังถือ
เป็นเรื่องยากสาหรับเขา

ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบเดือน ก่อนจะถึงเวลาแจกรางวัลจาก
การจัดอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แต่เมื่อปราศจากศิลา
วิญญาณในมือ ย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยากกว่าเดิม

เขาต้องหาวิธีรวบรวมศิลาวิญญาณจานวนมากมาให้ได้

ในอาณาจักรซากมังกร หากไม่มีศิลาวิญญาณคอยช่วย
ย่อมจะก้าวหน้าได้ช้ามาก ต่อให้มพี รสวรรค์สูงส่ง แต่ไร้
ทรัพยากรเพียงพอก็ไร้ประโยชน์ พลังฟ้าที่บรรจุอยู่ในศิลา
วิญญาณก้อนหนึ่ง สามารถเทียบได้กับการนั่งฝึกเองถึงครึ่ง
เดือน หรือมากกว่านั้น จินตานที่นงั่ อยู่ข้างเนี่ยหลี่มองตา
ละห้อย

เมื่อผนึกวิญญาณเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน จินตานก็เป็น
เสมือนวิญญาณของเนี่ยหลี่ นั่นหมายความว่าเขาต้องการศิลา
วิญญาณมากกว่านี้ ส่วนยู่หยานทีฝ่ ึกบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องเมื่อ
ไม่กี่วันมานี้ กลับก้าวหน้าไปมากทีเดียว ทว่านางก็ประสบ
ปัญหาเดียวกันกับเนี่ยหลี่ นั่นคือมีศิลาวิญญาณไม่พอ

ก็อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูจากภายนอก

"เข้ามา" เนี่ยหลี่พดู

ผู้มาคือเซี่ยวหยู่
เขามองเนี่ยหลี่ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่เจอกันไม่กี่วัน แต่เจ้า
ก็ยังไปหาปัญหามาสุมตัวเองเพิ่มอีก"

เนี่ยหลี่อดยักไหล่ไม่ได้ก่อนกล่าวว่า "ข้าไม่ได้เป็นคนสร้าง
ปัญหา แต่ปญ ั หามันเข้ามาหาข้าเองต่างหาก นางหลงยู่อินนั่น
น่าราคาญเป็นบ้าเลย"

สีหน้าของเซีย่ วหยู่ครึ่งยิ้มครึ่งบึง้ กล่าวว่า "เจ้าแน่ใจนะว่านาง


ไม่ได้สนใจเจ้า ไม่อย่างนั้นเหตุใดนางจึงสร้างปัญหากับเจ้าคน
เดียว

เนี่ยหลี่พูดย่างใจเย็นว่า "เจ้าคิดมากไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็น


จอมเสแสร้งที่ไม่อาจเห็นผู้อื่นแข็งแกร่งกว่าตัวเอง เพราะอย่าง
นั้นนางจึงกล้ามาสร้างความราคาญให้ข้า สิ่งเดียวที่ข้าทาได้คือ
ตอบโต้กลับไป ไม่อย่างนั้นนางคงจะเริม่ คิดว่าไม่มีใครที่หยุด
นางได้" เนี่ยหลี่พูดอย่างไม่มีแง่บวกให้หลงยู่อินแม้แต่น้อย
เซี่ยวหยู่เตือนว่า "แต่เจ้ายังคงต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง เจ้า
สร้างปัญหากับผู้อื่นมากเกินไป ตอนนี้แม้แต่อัจฉริยะในเขต
ตะวันออกก็รู้จักชื่อเจ้ากันหมดแล้ว ก่อนหน้านี้พวกนั้นเพ่งเล็ง
หลงยู่อิน แต่เพราะนางเป็นคนของตระกูลผนึกมังกร พวกนั้น
เลยทาอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าถือว่าอยู่ในสายตาของทุกคน ไม่
ต้องพูดถึงเรื่องที่มาของเจ้าที่ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลย....."

เนี่ยหลี่พยักหน้า "ข้าเข้าใจ" เขาได้เตรียมการเอาไว้แล้ว


เขานับว่าปลอดภัยหายห่วง หากอยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า ต่อ
ให้ตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น แต่เขาก็ยังอยู่ได้ตราบเท่าทีไ่ ม่ได้
กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ในชาติก่อนมีความยากลาบาก
ใดบ้างที่เขาไม่เคยพบ เขาเคยหนีตายมานับครั้งไม่ถ้วน กับแค่
ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ในสถาบันวิญญาณฟ้าจะนับเป็น
ปัญหาได้อย่างไร

เซี่ยวหยู่มองไปยังเนี่ยหลี่ แล้วถามว่า "ถ้าอย่างนั้น เจ้ายัง


ต้องการจะไปสนามทดสอบอีก
เนี่ยหลี่ตอบอย่างหนักแน่น "ดูเจ้าจะคิดไว้แล้วนี่ ข้าะทาให้
เจ้าผิดหวังได้ยังไง? ข้าจะไป" ที่สนามทดสอบอื่นๆ ยังมีรางวัล
การจัดอันดับอยู่ พวกศิลาวิญญาณและของวิเศษอื่นๆ เนี่ยหลี่
ต้องการของพวกนั้นทั้งหมด

ขณะนี้ ศิลาวิญญาณทุกก้อนถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่มี
คุณค่ามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิง่ ศิลาแก่นแท้แห่งวิญญาณที่
อาจทาให้เขาสามารถทะลวงขีดจากัดได้

เนี่ยหลี่ทิ้งยู่หยานให้ฝึกเองในห้อง ส่วนจินตานก็ฝากนางไว้
จากนั้นเขาจึงเรียกลู่เพียวออกมา ทั้งสองเดินทางไปยังสนาม
ทดสอบพร้อมกันกับเซี่ยวหยู่

ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบแห่งที่สอง รู้จักกันในนาม
ซากโบราณแห่งความสะพรึง ซึ่งถูกสร้างโดยหนึ่งในบรรพชน
แห่งสานักปีกศักดิส์ ิทธิ์ ซากโบราณแห่งนี้เต็มไปด้วยผีร้ายซึ่ง
เมื่อถูกฆ่าจะตกเกล็ดวิญญาณให้เก็บได้ ศิษย์แต่ละคนสามารถ
อยู่ในซากโบราณได้นานสุดสองวันเท่านั้น ยิ่งสามารถก็บสะสม
เกล็ดวิญญาณได้มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเอาไปใช้แลกสิ่งของที่
ล้าค่ามากเท่านั้น

ทว่า เกล็ดวิญญาณจะสลายไปทันทีที่ถูกเก็บเข้าแหวนมิติ
หรือนาออกมานอกซากโบราณ จึงสามารถทาได้เพียงใช้ถุงผ้า
ห่อเขาเอาไว้รวมๆ กัน และใช้แลกของได้ในแต่ละครั้งที่เข้าไป
เท่านั้น

ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าไปในซากโบราณได้เพียงเดือนละครั้ง

และทีด่ ้านหน้าก็มีปา้ ยจัดลาดับเช่นเดียวกันกับด่านจิต


วิญญาณแห่งแสง ซึ่งที่หน้าซากโบราณแห่งความสะพรึงนี้จะ
จัดลาดับผู้ทสี่ ามารถเก็บสะสมเกล็ดวิญญาณได้มากทีส่ ุดในช่วง
สองวัน หลงยู่อินอยู่ที่อันดับสิบด้วยจานวนเกล็ดวิญญาณสาม
หมื่นชิ้น อันดับหนึ่งคือ มู่หลงหยี่ กับสถิติเก้าหมื่นชิ้นในสองวัน

ทว่า มู่หลงหยี่ เป็นอัจฉริยะจากปีก่อนในขณะที่หลงยู่อินเป็น


อัจฉริยะของปีนี้
เนี่ยหลี่ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างรอบคอบ พบว่า
สามารถแลกศิลาวิญญาณสามสิบก้อนต่อเกล็ดวิญญาณพันชิ้น
หมายความว่าในระยะเวลาสองวัน หลงยู่อินสามารถแลกศิลา
วิญญาณได้เก้าร้อยก้อน นอกจากนี้ เกล็ดวิญญาณยังสามารถ
เอาไปใช้แลกสิ่งของอื่นๆ ได้อีกเช่น วิญญาณอสูร ศิลาแก่นแท้
แห่งวิญญาณ ของวิเศษ และสิ่งของล้าค่าอื่นๆ

ลู่เพียวถึงกับตื่นเต้น "เนี่ยหลี่ ผู้หญิงคนนั้น หลงยู่อิน สามารถ


เก็บได้สามหมื่นชิ้น แล้วเจ้าก็ไม่เป็นรองนางจริงมั้ย? ข้าว่าเรา
จะรวยกันก็คราวนี้แหละ!!"

เซี่ยวหยู่ที่ได้ยินรูส้ ึกว่าต้องเตือนเพื่อนสักหน่อย "พวกเจ้ายัง


ควรจะระวังเอาไว้บ้าง ซากโบราณห่งความสะพรึงเต็มไปด้วย
อันตรายรอบด้าน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสง ตามสภานการณ์แล้ว อาจมีบางคนคอยขัดขวางพวกเราก็
ได้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเราจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่
แตกต่างกัน หมายความว่าพวกเราไม่อาจช่วยเหลือกันได้
ดังนั้น ต้องระวังให้มาก"
เข้าใจแล้ว" เนี่ยหลี่และลูเ่ พียวพยักหน้า ขณะที่ได้รับการคลาย
ข้อสงสัยเรื่องซากโบราณ

ทางเข้าของซากโบราณเป็นวังวนแปลกๆ ที่มียอดฝีมือยืนคุ้มกัน
อยู่สองคน

ขวับๆ ๆ

เนี่ยหลี่และพวกก็ผ่านเข้าประตูทางซากโบราณและหายไปใน
วังวนนั้น

ไม่นานหลังจากทีเ่ นี่ยหลี่หายเข้าไปในประตู ก็ปรากฎเงาร่าง


สามคนที่หน้าประตู
หูหย่งมองกลุม่ ของตนอย่างเคร่งขรึมกล่าวว่า "พวกเจ้าจดจา
ที่ข้าพูดหมดแล้วใช่หรือไม่? จาได้ใช่หรือไม่ว่าพวกเขาหน้าตา
เป็นอย่างไร"

ไม่ต้องห่วง นายน้อยหู ต่อให้พวกเขากลายเป็นเถ้าถ่านพวกข้า


ก็จาได้ พวกเราก้าวมาถึงชั้นชะตาสวรรค์แล้ว จัดการเด็กสักคน
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร"

ดี ไปเถอะ"

แล้วกลุ่มคนทั้งสามก็เข้าไปในซากโบราณ

ฮัวหลิงมองไปยังที่ห่างไกลแล้วยิ้มเย้ย "น่าสนุกจริงๆ เซี่ยว


หยู่ปกป้องตัวเองยังถือว่ายาก คราวนี้เพื่อนของเขากลับตอแย
เรื่องใส่ตัว ไม่ต่างกับช่วยลดแรงให้ข้าเลย" ทว่า ฮัวหลิงยังคงไม่
อาจแน่ใจได้ หลังจากนิ่งคิดอยู่ครูห่ นึ่ง เขายังส่งคนของตัวเอง
เข้าไปในซากโบราณอีกสิบกว่าคน
นอกจากคนที่ว่าแล้ว ยังมีคนอืน่ ๆ ที่เข้าไปในซากโบราณแห่ง
ความสะพรึงอีก ทว่าไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเข้าไปเพราะเนี่ยหลี่
หรือเข้าไปด้วยความต้องการของตัวเอง

ยามนั้น หนานเหมียนเทียนไห่ และหวงอวี้ มองไปยังกลุม่


ของเนี่ยหลี่ด้วยรอยยิม้ ที่อึดอัดใจ

ทั้งสามนี่ช่างชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง แค่เห็นคนจานวนมาก
ตามพวกเขาเจ้าไปในซากโบราณก็น่าจะทราบได้"

พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วยหรือไม่หวงอวี้ถาม

หนานเหมียนเทียนไห่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไม่
จาเป็น ให้พวกเขารับความลาบากเองบ้าง ตราบเท่าที่ไม่มี
เหตุการณ์เกินเลยไป ก็ไม่ต้อง" หากพวกเขาต้องยื่นมือเข้าช่วย
ทุกครั้งที่ศิษย์ในสานักมีปญ
ั หา พวกเราก็ไม่ต้องทาอะไรกัน
พอดี
ในซากโบราณแห่งความสะพรึง

เนี่ยหลี่สารวจซากโบราณในพื้นที่ที่เขามาถึงคร่าวๆ ในระยะ
พันลี้ ที่นี่เต็มไปด้วยเศษซากกาแพงและเสา ซึ่งเกิดจากอารยะ
ธรรมโบราณที่ลม่ สลายไปแล้ว อาจเคยมีอาคารอันน่าตื่นตาตื่น
ใจตั้งอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพียงแค่เศษซากบน
พื้นเท่านั้น ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีเทาอากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แต่
ยังสามารถได้ยินเสียงวิญญาณเคลือ่ นตัวผ่าน ส่งคลื่น
สั่นสะเทือนผ่านอากาศมาได้

นั่นคงจะเป็นผีร้ายแน่

กลุ่มผีรา้ ยจานวนนับพัน ต่อให้เป็นกลุ่มยอดฝีมือชั้นชะตาดิน


ก็ยังต้องรับมือจานวนขนาดนีด้ ้วยความยากลาบาก

เมื่อใดพวกเขาสามารถจับสัมผัสของมนุษย์ได้ พวกเขาจะกรีด
ร้องเสียงแหลมแล้วกรูกันเข้ามา
เรายังสามารถเก็บเกล็ดวิญญาณได้จากผีร้ายพวกนี้ด้วย

มุมปากของเนี่ยหลี่ยกขึ้นยิม้ ขณะที่ร่างกายเปลี่ยนไป เขา


หลอมรวมร่างกับแพนด้าเขี้ยวอสูร จากนั้นก็อ้าปากกว้างแล้ว
พ่นระเบิดหยินหยางขึ้นไปบนฟ้า

ตูมๆ ๆ ๆ

ระเบิดหยินหยางระเบิดขึ้นกลางอากาศ กลืนพวกผีร้ายที่กรู
กันเข้ามาทีละกลุ่มๆ เกล็ดวิญญาณก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน
เกล็ดวิญญาณพวกนี้คือชิ้นส่วนที่แข็งที่สุดของผีร้ายพวกนี้ และ
เป็นพื้นฐานร่างกายของพวกเขา แม้ว่าจะถูกระเบิดหยินหยาง
ระเบิดใส่ แต่เกล็ดวิญญาณกลับไม่มีแ้แต่
ม้ รอยขีดข่วน

ผีร้ายที่เหลือหนีตายกันจ้าละหวัน่ ด้วยความหวาดกลัว
ระเบิดหยินหยาง
เนี่ยหลี่กระโดดขึ้นสูงพลางเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณก่อนที่
จะย้ายทีไ่ ปยังส่วนอื่นของซากโบราณ พ่นระเบิดกยินหยาง
และเก็บรวบรวมเกล็ดต่อไป

ดูเหมือนว่าผีรา้ ยพวกนี้จะรับมือได้ง่ายกว่าที่คิด หากเขา


สามารถรักษาความเร็วระดับนี้ไว้ได้ เขาจะสามารถเก็บ
รวบรวมเกล็ดวิญญาณได้ตั้งเท่าไหร่กัน? ทาไมพวกที่มีชื่ออยู่ใน
กระดานจัดลาดับถึงเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณในช่วงเวลาสอง
วันของพวกเขาได้น้อยนัก?

ที่เนี่ยหลี่ไม่รู้ก็คือ ผีร้ายทั้งหมดนี้อยู่มีคามสารถถึงขั้นชะตา
ดินระดับสูงสุดแล้ว ห่างจากชั้นชะตาฟ้าเพียงก้าวเดียว
ตามปกติแล้วจะฆ่าพวกเขาสักตนนับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีรวมตัวกันล่าเป็นกลุม่ ซึ่งทาให้
เก็บรวมรวมได้ยากกว่าเดิม ทว่า เนี่ยหลี่ที่ได้มาอาณาจักรซาก
มังกรกลับมีพลังสูงกว่าคนอื่นลิบลับ นอกจากตัวเขาเองก็ใกล้
จะก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้าแล้ว แพนด้าเขี้ยวอสูรเองก็ยัง
แข็งแกร่งกว่าเนี่ยหลี่ เมื่อเขาก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้า ระเบิดห
ยินหยางก็จะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ดังนั้น ระเบิดหยินหยางของเนี่ยหลี่จึงสามารถกวาดล้างผีร้าย
ไปได้ง่ายขนาดนี้

เนี่ยหลี่ไม่รู้ว่าเซี่ยวหยู่และลู่เพียวเป็นอย่างไรบ้าง ทว่า ด้วย


ความแข็งแกร่งของเซี่ยวหยู่ที่ใกล้จะก้าวไปถึงระดับยอดฝีมือ
ชั้นชะตาสวรรค์ 4 ชะตา การล่าเกล็ดวิญญาณย่อมไม่ใช่ปัญหา
ส่วนลู่เพียว เนี่ยหลี่คิดว่าคงจะเจอปัญหาบ้าง แต่ถึงเจ้านั่นจะ
ขาดพลังไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เนีย่ หลี่จึงไม่ค่อยเป็นห่วงนัก

เนี่ยหลี่ดาเนินการล่าผีร้ายอย่างต่อเนื่อง เกล็ดวิญญาณพันชิ้น
ต่อศิลาวิญญาณสามสิบก้อน นับว่าเป็นอัตราแลกเปลี่ยนทีไ่ ม่
เลวเลยทีเดียว

ราวสองชั่วยามครึ่งต่อมา เนี่ยหลี่สามารถเก็บรวบรวมเกล็ด
วิญญาณได้มากกว่าสองหมื่นชิ้นแล้ว ด้วยความเร็วอันน่าตืน
ตะลึงนี้ จะแซงหน้าหลงยู่อินก็นับว่าง่ายนิดเดียว เผลอๆ อาจ
ขึ้นไปติดห้าอันดับแรกเลยก็ได้ เกล็ดวิญญาณพวกนี้นับว่าเป็น
รูปแบบสสารของวิญญาณโดยแท้ แม้ว่าระเบิดหยินหยางจะไม่
สามารถทาลายมันได้ มันกลับจะละลายหายไปหากถูกเก็บไว้ใน
แหวนมิติ

โชคดีที่เมื่อเกล็ดวิญญาณมารวมกันครบหนึ่งพันชิ้น มันก็
รวมตัวกันเป็นเกล็ดวิญญาณขนาดใหญ่หนึ่งชิ้น ดังนั้น เนี่ยหลี่
จึงมีที่ว่างพอจะสามารรวบรวมเกล็ดวิญญาณใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า
ได้

เกล็ดวิญญาณพวกนี้จะกลายเป็นวัตถุดิบสาคัญในการหลอม
ตีอาวุธวิญญาณ น่าเสียดายที่ไม่อาจนาออกนอกสนามฝึกได้ ทา
ได้เพียงเอาไปแลกของรางวัลเท่านัน้

ขณะที่เนีย่ หลี่กาลังล่าผีรา้ ยอย่างต่อเนี่องอยู่นั้น ออร่าอัน


ทรงพลังก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนฟ้า มอง
ไปที่เนี่ยหลี่ ชายหนุ่มคนนี้อายุราวยี่สิบปี สวมชุดสีดา และมอง
เนี่ยหลีด่ ้วยสายตาคมปลาบ บนใบหน้าประดับไปด้วยความ
เย่อหยิ่ง และเหน็บกระบี่ใหญ่ไว้บนหลัง สัมผัสของชายผู้นี้
แหลมคมราวกับดาบที่หลุดออกจากฝัก
เนี่ยหลี่แอบตกใจออร่านี้ คนผู้นจี้ ะต้องแข็งแกร่งกว่าเซี่ยวหยู่
แน่ คาดว่าคงเป็นยอดฝีมือชั้นชะตาสวรรค์ ระดับ 5 ชะตาหรือ
สูงกว่า
บทที่ 293 บาปแห่งความโลภ

ชายหนุ่มผู้นี้นามว่ามู่หลงหยี่ ก่อนหน้านี้เขากาลังใช้การฆ่าผี
ร้ายฝึกกระบวนท่ากระบี่อยู่

ในโบราณสถานแห่งความสะพรึงนี้ มู่หลงหยี่ครองอันดับ
หนึ่งอย่างมั่นคงยาวนาน นี่ก็นับว่าเป้นเวลานานมากแล้วนับ
จากครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้ามาท้าทายตาแหน่งของเขา

แต่ระหว่างที่เขากาลังฝึกอยู่ ก็ได้ยนิ สียงระเบิดดังมา ดังนั้น เขา


จึงออกตามหาต้นเสียง

ทันทีที่มาถึงจุดหมาย เขาก็พบว่าต้นเสียงนั้นมาจากเนี่ยหลี่
ที่กาลังล่าผีร้ายอยู่ เนี่ยหลี่อ้าปากพ่นลูกกลมสีดาขาวออกมา
ซึ่งเขาจะระเบิดออกเมื่อแตะเข้ากับผีร้าย ลูกกลมแต่ละลูก
ระเบิดออกกลืนกินผีร้ายเข้าไปครัง้ ละหลายร้อยหลายพันตัว
นับว่าเป็นความเร็วในการล่าที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง
ความจริงแล้วเนี่ยหลี่มีพลังน้อยกว่ามู่หลงหยี่หลายช่วง แต่
ความเร็วในการล่าของเนี่ยหลี่กลับสูงกว่าเขามาก

มู่หลงหยี่อดขมวดคิ้วไม่ได้ เมือ่ คิดว่าจะมีใครกล้าหลอมจิต


ตัวเองเข้ากับอสูรชั้นต่าเช่นแพนด้าเขี้ยวอสูร แม้แต่ใน
อาณาจักรชั้นล่าง แพนด้าเขี้ยวอสูรก็ยังนับว่าเป็นอสูรที่ไม่มีใคร
ต้องการ ทว่า ใครจะไปรู้ว่าแพนด้าเขี้ยวอสูรดาดๆ พวกนี้กลับ
มีความสามารถแปลกประหลาดเช่นการพ่นพลังระเบิดออกมา
ได้กัน?

ด้วยความเร็วขนาดนี้ เขาต้องถูกเนี่ยหลี่แซงหน้าไปอย่าง
รวดเร็วแน่

เนี่ยหลี่มองมู่หลงหยี่ เมื่อเขาสัมผัสพลังของมู่หลงหยี่ได้ใน
ยามที่เขาปรากฎตัวขึ้น

ทั้งสองสบสายตากัน คนหนึ่งเป็นยอดอัจฉริยะของปีก่อน มู่


หลงหยี่ อีกคนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สดุ ของเด็กใหม่ เนี่ยหลี่ จะเกิด
อะไรขึ้นเมื่อทั้งสองมาพบกัน การเผชิญหน้าของทั้งสองเรียก
ความตื่นตัวของคนโดยรอบขึ้นมา นอกจากลูกน้องของหู่หยง
แล้ว ยังมีคนของฮัวหลิงอยู่ด้วย

ทว่า เมื่อไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ จึงม่มีใคร


กล้าเคลื่อนไหวโดยพละการอย่างเช่นเข้าใกล้ทั้งสอง จะอย่างไร
ความแข็งแกร่งของมู่หลงหยีไ่ ม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้

เจ้าคือเนี่ยหลี่งั้นรึมหู่ ลงหยีม่ องฝ่ายตรงข้ามอย่างพิจารณา เนี่ย


หลี่ยังไม่ทะลวงขีดจากัดมาถึงชั้นชะตาสวรรค์ แต่กับเด็กใหม่ที่
เพิ่งเข้ามาในปีนี้ ความแข็งแกร่งระดับนี้นับว่าหากได้ยาก

เนี่ยหลี่มงไปทีม่ ู่หลงหยี่ "ถูกแล้ว เจ้าคือใครแม้ว่าเนี่ยหลี่จะ


สัมผัสพลังอันล้นเหลือได้จากเขา แต่เนี่ยหลี่ยังไม่ยอมก้มหัว

ข้าคือมู่หลงหยี่" ชายหนุ่มประกาศอย่างภาคภูมิ ยอดฝีมือรุ่น


เยาว์ส่วนใหญ่ย่อมรูจ้ ักเขา
มู่หลงหยี?่ เนี่ยหลี่จาได้ทันที ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในซาก
โบราณแห่งความสะพรึง ชื่อของเขาประดับอยู่ที่บรรทัดบนสุด
ของรายการจัดอันดับนักล่า

แต่ตอนนี้มู่หลงหยี่มาปรากฎตัวเบื้องหน้าของเขา เขาคิดจะ
ทาอะไร?

ทันใดนั้น ก็มีคนของฮัวหลิงตะโกนขึ้นแทรกกลางว่า "ศิษย์


พี่มู่หลง พวกเราต่างก็ตั้งตาคอยพบท่าน!! พวกเราทุกคนเคารพ
ท่านยิ่ง!! ทว่า เด็กใหม่บางนกลับไม่รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เคารพ
ศิษย์พี่มู่หลง เจ้าเนี่ยหลี่นั่นกลับบอกว่าท่านเป็นขยะที่จะต้อง
ถูกเขาชยี้ทิ้ง!!

พวกเราไม่ยอมรับคาพูดเช่นนี้ จึงเกิดความบาดหมางกัน แต่


ด้วยพลังของเรากลับไม่อาจทาอย่างไรเขาได้"
มู่หลงหยี่หรีต่ าลงแววตาเปลีย่ นเป็นเย็นยะเยือก คลื่นพลังอัน
หนักหน่วงโถมเข้าใส่เนี่ยหลี่ มู่หลงหยี่แค่นเสียงเย็นชาถามว่า
"จริงหรือเปล่า

ระดับพลังของเขาอย่างน้อยก็ชั้นชะตาสวรรค์ 5 ชะตา หรือ


อาจจะสูงกว่า คลื่นพลังที่โถมใส่เนีย่ หลี่กดลงราวกับภูเขากดทับ
ราวกับจะฉีกเนีย่ หลีเ่ ป็นชิ้นๆ จะอย่างไร เนี่ยหลี่ยังไม่ถึงชั้น
ชะตาสวรรค์ ช่องว่างนี้นับว่ากว้างเกินไป

เนี่ยหลี่เข้าใจเจตนาของมู่หลงหยี่ได้ทันที ด้วยความชาญ
ฉลาดของมู่หลงหยี่ ย่อมไม่เชื่อคาพูดของลูกน้องฮัวหลิงง่ายๆ
ที่มู่หลงหยี่ต้องการคือเหตุผลในการกดเนี่ยหลี่เอาไว้ และคน
ของฮัวหลิงก็เพิ่งมอบเหตุผลอันสมบูรณ์แบบให้

อัจฉริยะในแต่ละปี มักจะกลัวการถูกท้าจากอัจฉริยะปีถัด
มาเสมอ หากเขาชนะก็ดไี ป แต่หากเขาแพ้ เขาจะกลายเป็น
เพียงก้อนหินขวางเท้าที่จะโดนเตะออกไปให้พ้นทาง ด้วยเหตุนี้
มู่หลงหยี่จึงคอยท้าทายหลีซ่ ิงอวิ๋นที่เป็นอัจฉริยะจากปีก่อน
หน้าเขา
เนี่ยหลี่เป็นอัจฉริยะทีโ่ ดดเด่นที่สุดในชั้นปีนี้ ขณะที่มู่หลง
หยี่เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในชัน้ ปีก่อน อีกไม่นานเนี่ยหลี่
จะต้องท้าทายเขา ดังนั้นมูห่ ลงหยีจ่ ึงต้องจัดการกับเนีย่ หลี่
ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น

ถ้าเจ้าคิดจะกล่าวโทษใคร ทาไมต้องให้คนอื่นพูดด้วยเล่า? ด้วย


ความฉลาดของเจ้า คงไม่ได้เชื่อเจ้าพวกนี้ไปหมดหรอกจริงมั้ย
เนี่ยหลี่พดู เขารวบรวมพลังฟ้าต่อต้านพลังของมู่หลงหยี่ เนี่ยห
ลี่ล่วงรู้จดุ อ่อนของพลัง จึงเริ่มต่อต้านได้บ้าง

แต่น่าเสียดายที่เขาหยุดอยู่แค่จดุ สูงสุดของชั้นชะตาดิน เพียง


แค่ก้าวเดียวก่อนถึงชั้นชะตาฟ้า

แม้ว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่จะสูงมาก และ
ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของชั้นชะตาดินได้ในเวลาเพียงปีเดียว เขาก็
ยังมีช่องว่างอันมโหฬารระหว่างเนีย่ หลี่และมู่หลงหยี่
คลื่นพลังของมู่หลงหยี่บังคับข่มขี่เนี่ยหลีล่ ง ไม่ต่างกับการใช้
ความแข็งแกร่งของตัวเองขามเหงผู้อ่อนแอกว่า แต่ว่าตอนนี้
เนี่ยหลีไ่ ม่อาจทาอย่างไรได้

ในอาณาจักรซากมังกร ไม่มเี กียรติยศใดสาหรับพวกไร้พลัง!


เนี่ยหลี่แสดงให้เห็นว่ามีพรสวรรค์อันล้าเลิศ ดังนั้นเขาจึงได้รับ
ความสนใจจากพวกระดับสูงหลายคน ในเวลาเดียวกัน เขาย่อม
กลายเป็นศัตรูกับคนรุ่นเดียวกัน พวกเขาย่อมหวังให้มีใครมา
โค่นเนี่ยหลี่ลง

หนึ่งขุนพลสร้างจากหมื่นโครงกระดูก การจะก้าวเดินในวิถี
แห่งการฝึกตน ย่อมต้องใช้ผู้อื่นเป็นแท่นเหยียบ!! มู่หลงหยี่ย่อม
เข้าใจหลักเหตุผลนี้ดี ด้วยการใช้เนี่ยหลี่เป็นแท่นเหยียบ เขาจึง
จะได้รับความสนใจและทรัพยากรสาหรับการฝึกตน

เกียรติยศมาพร้อมพลัง ไม่ว่าคนอ่อนแอจะกรีดร้องดังแค่
ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน
มู่หลงหยี่แค่นเสียงกล่าวว่า เจ้าจะบอกว่าเด็กพวกนี้ใส่ความ
เจ้างั้นเหรอ

ปัง

คลื่นพลังมหาศาลโถมใส่เนี่ยหลี่อีกครั้ง ราวกับถูกค้อนทุบ
หน้าอก เนี่ยหลี่แทบขาดใจตายภายใต้แรงกดดันทีเ่ พิ่มขึ้น

โทสะ

ด้วยคลื่นโทสะถาโถม เนีย่ หลี่กาหมัดแน่นแล้วรวมร่างกับ


แพนด้าเขี้ยวอสูร ขนของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด

ดูเจ้าค่อนข้างจะไม่มั่นใจนะ!" มู่หลงหยี่มองเนี่ยหลี่อย่างเยือก
เย็น "วันนี้ ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่า การจะอยู่ในสถานบัน
วิญญาณฟ้าได้ เจ้าต้องรูจ้ ักเคารพรุ่นพี่ก่อน!!" เมื่อมู่หลงหยี่
ตวาด เสียงของเขาก็กลายเป็นดาบคลื่นความถีส่ ูงพุ่งเข้าใส่
เนี่ยหลี่
มู่หลงหยี่ยังไม่ทันได้ชักกระบี่ แต่กลับมีเจตจานงค์แห่งกระบี่
แฝงอยู่ในน้าเสียง

เนี่ยหลีส่ ัมผัสความตายผ่านคลื่นดาบความถี่สูงได้

เนี่ยหลีส่ ่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดแล้วพ่นระเบิดหยินหยาง
เข้าใส่คลื่นดาบความถี่สูง

ตูม!!

ระเบิดหยินหยางระเบิดกลางอากาศ ทาลายคลื่นดาบ
ความถี่สูงไปหลายเล่ม ทว่า ยังมีเล่มหนึ่งที่ผ่านระเบิดมาได้แล้ว
พุ่งเข้าหาเนี่ยหลี่ด้วยความเร็วสูงราวกับสายฟ้าฟาด

เนี่ยหลี่เห็นดาบคลื่นความถี่ใกล้เข้ามาก็รีบหลบ "บ้าจริง!!
ระดับพลังเขาต่างกันเกินไป ถ้าไม่ใช้วิชาลับ ข้าสู้เขาไม่ได้แน่"
วูบ

ดาบคลื่นความถี่วาดผ่านข้างตัวเนี่ยหลีไ่ ป ทิ้งแผนยาวสามถึง
สีนิ้วที่กาลังมีเลือดออกเอาไว้

แรงช็อกส่งเนี่ยหลี่ปลิวตีลังกาไปหลายรอบก่อนจะสามารถ
ยั้งตัวให้มั่นได้ มือกุมบาดแผลพลางมองไปยังมู่หลงหยี่อย่าง
กราดเกรี้ยว ความแตกต่างของพวกเขามากเกินไป เนี่ยหลี่ไม่
อาจเอาชนะได้ ยิ่งเขาอยู่นานเท่าใด เขาก็ยิ่งสร้างความอับอาย
ให้ตัวเองเท่านั้น

เป็นธรรมดาของโลกทีผ่ ู้เข้มแข็งกลืนผู้อ่อนแอ เมื่อมูห่ ลงหยีม่ ี


โอกาส เขาย่อมไม่ปล่อยเนีย่ หลีไ่ ปง่ายๆ

มู่หลงหยี่กม้ มองเนี่ยหลี่จากจุดที่เขายืนอยู่บนฟ้า แล้ว


กดดันเนี่ยหลี่ต่อไป ขณะที่เขาพยายามไล่บี้เนีย่ หลีม่ ู่หลงหยี่ก็
ขยับมือขวาโบกคราหนึ่ง แล้วถุงผ้าที่เก็บเกล็ดวิญญาณของ
เนี่ยหลี่กล็ อยเข้ามือเขา

มู่หลงหยีจ่ ับถุงผ้าในมือหัวเราะอย่างเย็นชากล่าวว่า "เจ้าก็


เก่งเพียงแค่เรื่องกวาดล้าง ยังไม่ได้ก้าวเข้ามาถึงชั้นชะตาสวรรค์
แต่กลับใช้วิธีขี้โกงในการเก็บเกล็ดวิญญาณ นี่เป็นสิ่งทีไ่ ด้มาโดย
มิชอบ ข้าจะริบเขาไว้"

เนี่ยหลี่ใช้เวลาห้าชั่วโมงในการรวบรวมเกล็ดวิญญาณสอง
หมื่นชิ้น วิธีขี้โกงอะไรกัน? ในสถานโบราณแห่งความสะพรึงไม่
มีกาหนดวิธีว่าจะเก็บรวบรวมอย่างไรสักหน่อย ว่าทาแบบนี้ได้
แบบนั้นไม่ได้

การเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณนั่นแหละที่เป็นสิ่งบ่งบอก
ความสามารถ มู่หลงหยีไ่ ม่ใช่ผู้คมุ กฎของสถาบันวิญญาณฟ้า มี
สิทธิ์อะไรมาริบเกล็ดวิญญาณของเขาไป

ทว่า นี่เป็นโลกที่ใช้กาลังเป็นใหญ่
ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ เนี่ยหลีไ่ ม่มีพลังพอ ย่อมไม่อาจ
ต่อกรกับมู่หลงหยี่ได้

พลัง!! พลัง!!

ไร้พลังย่อมไม่อาจปกป้องตัวเองได้ นี่เป็นกฎของอาณาจักร
ซากมังกร ในชาติก่อน เนี่ยหลี่ได้บความอับอายมากกว่านีเ้ ป็น
ร้อยเท่า

เนี่ยหลี่หรีต่ าลง สักวัน เขาจะเอาคืนสิ่งที่มู่หลงหยี่ทากับเขา


ในวันนี้แน่ เขาจะทาให้มู่หลงหยี่อบั อายชนิดไม่ได้ผุดไมได้เกิด

มู่หลงหยี่ยิ้มเย้ยหยัน ทาท่าโบกมือใส่เนี่ยหลี่ "ศิษย์น้อง ดูเจ้า


จะไม่ค่อยพอใจนะ แต่...เจ้าไม่พอใจแล้วยังไง? ข้าแน่ใจว่าเจ้า
ได้เรียนรู้ที่จะเคารพศิษย์พี่แล้ว! ไม่เช่นนั้นบทเรียนคราวนี้
นับว่าทาให้ศิษย์พี่ของเจ้าเสียความตั้งใจดี"
มู่หลงหยี่ยังไม่ยอมจบ เขาตั้งใจจะทาให้เนี่ยหลี่อับอายยิ่ง
กว่านี้ จนกว่าเนี่ยหลีจ่ ะไม่กล้าโงหัวขึ้นต่อต้านเขาอีกเลย เขา
ต้องการทิ้งเงามืดเอาไว้ในใจเนี่ยหลี่ เพื่อถ่วงความก้าวหน้าของ
เขา จนกระทั่งเขาไม่อาจลืมตาอ้าปากได้!!

เนี่ยหลี่สมั ผัสพลังที่แฝงมากับท่าโบกมือนี้ได้ พริบตาทีม่ ู่หลง


หยี่ลดการป้องกันลง แสงเย็นเยือกก็พาดผ่านสายตาเนี่ยหลี่
เขารีบคลายการรวมร่างกับแพนด้าเขี้ยวอสูรแล้วรวมร่างกับ
ปิศาจเงาแล้วรีบใช้ทักษะร่างไร้ลักษ์ทันที

ร่างของเนี่ยหลี่หายไปกลางอากาศ ฝ่ามือของมู่หลงหยี่ฟาด
ผ่านจุดที่เนีย่ หลีเ่ คยอยู่แล้วกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมลึก

มู่หลงหยี่ขวมดคิ้วเมื่อเห็นว่าฝ่ามือของเขาพลาดไป เขากวาด
สายตาหารอบๆ เพื่อค้นหาร่องรอยของเนี่ยหลี่ ทว่ากลับไม่
พบว่าเนี่ยหลี่อยู่ที่ใดเลย นี่เขาเกิดอะไรขึ้น? เจ้านั่นเขาหายไป
เฉยๆ ได้อย่างไร?
ในชั่วพริบตาก่อนที่เนี่ยหลี่จะหายไป ดูเหมือนเขาจะรวมร่าง
กับวิญญาณอสูรอื่น นี่เขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีใครที่มี
ความสามารถในการหลอมรวมจิตอสูรมากกว่าหนึ่งตัวงั้นหรือ?

ใครจะไปคิดว่าเนี่ยหลี่ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู?่ มู่หลงหยี่ไม่คิด
เลยว่าเขาจะเสียเป้าหมายไปดื้อๆ เช่นนี้ เขาเริ่มหงุดหงิดขณะที่
ค้นหาร่องรอยของเนี่ยหลี่

เมื่อระดับพลังของเนี่ยหลี่เพิ่มขึน้ ระยะเวลาในการใช้รา่ งไร้


ลักษณ์ก็เพิม่ ขึ้น ช่วยให้เขาสามารถคงร่างไร้ลักษ์เอาไว้ได้นาน
ขึ้น เนี่ยหลี่ค่อยๆ เคลื่อนที่ผ่านพืน้ ที่ที่มีสิ่งก่อสร้างหลายแห่ง
เพื่อกาบังตัว

เพราะที่เวลาในการใช้ร่างไร้ลักษ์มากขึ้น ทาให้เนี่ยหลี่มเี วลาใน


การคงร่างแทบจะตลอดเวลา ดังนั้นเขาต้องหาวิธีซ่อนตัวจากมู่
หลงหยี่..จบตอน
บทที่ 294 ถอยกลับมาตั้งหลัก

ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่นับว่ารวดเร็วมาก

ในชาติก่อน เนี่ยหลี่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนจะมาถึงชั้น
ชะตาสวรรค์ได้ ทว่าคราวนี้ เขาใช้เวลาเพียงปีเดียว....หรือ
เกือบสอง เพื่อมาถึงปากทางเข้าชั้นชะตาสวรรค์

ยิ่งเขาปีนขึ้นสูง ความเร็วในการบ่มเพาะยิ่งลดลง

ทว่า ตอนนี้เขายังอ่อนแออยู่ เขาไม่สามารถควบคุมชะตา


ชีวิตตัวเองได้ด้วยซ้า

เนี่ยหลี่ถูกกดดันด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ความพยายาม
และพรสวรรค์ล้วนไร้ประโยชน์เมือ่ มาถึงอาณาจักรซากมังกร
เขายังต้องการทรัพยากรใรการฝึกปริมาณมากมาไว้ในมือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่นศิลาวิญญาณ
อัจฉริยะที่อยู่ในอาณาจักรชั้นล่างมักจะถูกตระกูลใหญ่
เรียกไปแล้วกลายเป็นลูกน้อง คนที่สามารถเติบโตได้เองโดยไม่
พึ่งทรัพยากรจากตระกูลใหญ่นับว่ามีน้อยมาก เนี่ยหลีไ่ ม่
ต้องการเข้าร่วมกับตระกูลใด นั่นจะทาให้เส้นทางที่เขาตั้งใจ
เดินยากขึ้น

ทุกคนรอบตัวรวมทั้งมู่หลงหยี่ไม่สามารถหยุดเขาไม่ให้เก็บ
รวบรวมทรัพยากรเล่านั้นได้

กับคนของฮัวหลิงอย่างมากเขาก็แก้ตัวไป ที่เลวร้ายทีส่ ุดคือ


เนี่ยหลีไ่ ม่มีทั้งพลังและคนหนุนหลัง ดังนั้นมู่หลงหยี่จึงกล้า
รังแกเขา

มู่หลงหยีค่ ้นหารอบด้านแต่กลับไม่พบเนี่ยหลีเ่ ลย เขาได้แต่


ขมวดคิ้ว เนี่ยหลี่มีวิชาพิเศษทีส่ ามารถทาให้เขาเคลื่อนย้ายไป
ปรากฎตัวที่อื่นได้ในทันทีงั้นหรือ?
ตอนนี้ คนของฮัวหลิงที่ตะโกนขึ้นมาตอนแรก ก็กาลังลอย
ไปมาค้นหาเนี่ยหลี่ แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยเช่นเดียวกัน

เขามองมู่หลงหยี่พลางยิ้มกล่าวว่า "เด็กน้อยเนี่ยหลี่นั่นสมควร
หนีไปแล้ว ศิษย์พมี่ ู่หลง เขาคงไปได้ไม่ไกล พวกเรายังตามไป
ทัน"

มู่หลงหยี่พูดพลางยิ้มแบบไม่เต็มปาก เขาเดินไปหาลูกน้อง
คนนั้น แล้วชกไปที่ท้องด้วยรอยยิม้ เย็น "ถึงข้าจะไม่ชอบเนี่ยหลี่
แต่พวกเจ้าก็เหมือนกัน ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นใช้งานหรอกนะ"

หลังจากถูกมู่หลงหยี่ชกใส่ ลูกน้องคนนั้นก็ตัวงอราวกับกุ้งล้ม
ลงไปกุมท้องร้องอย่างเจ็บปวด

"ท่าน...." เขาใช้สายตากราดเกรีย้ วมองมู่หลงหยี่ แม้วา่ เขาจะ


อยู่ชั้นชะตาสวรรค์ 2ชะตาแล้ว เขาก็ยังห่างไกลจากมู่หลงหยี่
นัก
"กล้าจ้องข้าหรือมู่หลงหยี่ยกเท้าขึ้นเยียบอย่างแรงไปที่ศีรษะ
ลูกน้องคนนั้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา ทาให้หัวของเขาถูกกระแทก
เข้ากับพื้นและถูกกดไว้อย่างนั้น "เจ้าควรจะมีสมั มาคารวะกับผู้
ที่แข็งแกร่งกว่า เข้าใจหรือไม่

"ศิษย์พี่มู่หลง.....ขออภัย" ในที่สดุ ลูกน้องคนนั้นพูดออกมา


เขารู้สึกราวกับสมองจะระเบิด

"เท่านั้นแหละ" มู่หลงหยี่แค่นเสียงพลางดึงถุงใส่เกล็ด
วิญญาณมากจากเหยื่อ แล้วพูดด้วยน้าเสียงเย้ยหยันว่า "เจ้าเพิ่ง
ล่าได้เพียงแค่สองพันชิ้น? สวะจริง" ระหว่างที่พูดนี้ มูหรงยู่ก็
เก็บเกล็ดวิญญาณไป

ยอดฝีมือไร้นามมีโทสะพลุ่งขึ้น แต่ไม่อาจทาอย่างไรได้ เขา


ทาได้เพียงนอนอยู่บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของมู่หลงหยี่ เขาหัวเราะ
เพื่อกลบเกลื่อนความทรมาน "อา ข้าทาตัวเองอับอายให้ศิษย์พี่
เห็นเสียแล้ว ข้ามีเพียงเกล็ดวิญญาณพวกนี้เท่านั้น แต่ขอให้
ศิษย์พี่รับมันไป"
มู่หลงหยีเ่ ตะเขาไปอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะ "ใช่แล้ว ลอง
ทาท่าสุนัขแล้วเห่าสามครั้ง แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป"

ลูกน้องลังเลอยูค่ รู่หนึ่งแต่เขารู้สึกได้ว่าน้าหนักฝ่าเท้าของมู่
หลงหยี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด เขาก็เปิดปากเห่าสามครั้ง "โฮ่ง
ๆ ๆ"

มู่หลงหยี่หัวเราะ "ไม่เลวๆ เกือบเหมือนจริงทีเดียว"

แม้ว่าเนี่ยหลี่จะอยู่ในร่างไร้ลักษณ์ แต่เขาก็เห็นภาพนี้อย่าง
ชัดเจนทีเดียว มูห่ ลงหยีเ่ ป็นตัวชั่วยิ่งกว่าหลงยู่อินในชาติก่อน
เสียอีก โชคดีทเี่ นี่ยหลี่ใช้ร่างไร้ลักษณ์หลบการโจมตีของมู่หลง
หยี่ ไม่อย่างอย่างนั้น ผลสุดท้ายของเขาคงแย่กว่าภาพที่เขาเห็น
อีก

เมื่อไร้พลัง ย่อมต้องถูกผู้อื่นดูถูกให้อับอาย
เนี่ยหลี่กาหมัดแน่นเข้า ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านซาก
โบราณ ภายใต้การคุม้ กันจากซากอาคาร เขาค่อยยกเลิกร่างไร้
ลักษณ์ จากนั้นจึงเปิดใช้งานวิชาต่อสู้กระแสเทพ เพื่อ
เปลี่ยนเป็นลาแสงพุ่ออกไปไกล

พริบตานั้น มู่หลงหยี่จับสัมผัสของเนี่ยหลี่ได้ เขาขมวดคิ้วแค่น


เสียง "ใครจะคิดว่าเจ้าจะหนีได้เร็วขนาดนี้? แต่หากจะหนีจาก
เงื้อมมือข้ามันไม่ง่ายหรอก"

ขณะทีม่ หู่ ลงหยี่กาลังจะตามไป พลันเกิดความคิดขึ้น


บางอย่าง เขาชะงักแล้วรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฎขึ้นที่มุมปาก
"เมื่อเจ้าเก็บเกล็ดวิญญาณเก่งนัก ข้าจะให้เจ้าเก็บไปก่อน แล้ว
ค่อยจัดการเจ้าหลังจากนั้น"

หากเขาตามเนี่ยหลี่ไปตอนนี้ สิ่งที่เขาจะได้จากเนีย่ หลี่ มี


เพียงความสะใจเท่านั้น หากเขาทาร้ายเนีย่ หลีม่ ากไป อาจมีคน
ออกมาปกป้องเขาก็ได้ใครจะไปรู้ ดังนั้นเขาควรจะรอให้เวลา
สุกงอมค่อยปลิดผลประโยชน์มา
เนี่ยหลี่บินไกลหลายร้อยลี้ เมือ่ เห็นว่ามู่หลงหยี่ไม่ตามมา
เขาก็ขมวดคิ้ว มู่หลงหยี่นั้นแข็งแกร่ง หากเขาต้องการตามล่า
เนี่ยหลีย่ ่อมไม่อาจหนีได้ แต่เนี่ยหลี่เข้าใจความคิดของมู่หลงหยี่
หลังจากที่ใคร่ครวญดู

"คิดจะหาประโยชน์จากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ"

เขาเลือกความตายดีกว่าเสียเกียรติ! เมื่อมู่หลงหยี่วางแผน
จะหาผลประโยชน์จากเขา เขาก็แค่ออกไปจากที่นี่เท่านั้น หาก
เขายังคงล่าผีร้ายต่อ ก็ย่อมมีโอกาสที่ความเหนื่อยยากของเขา
จะเป็นประโยชน์ต่อมู่หลงหยี่

เรื่องมีปัญหาจนต้องถอยขนาดนี้หลังจากเข้ามาในซาก
โบราณไม่เคยอยู่ในความคิดของเนี่ยหลี่เลย แต่ดูเเหมือนว่าการ
เก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณด้วยการล่าผีร้ายในตอนนี้เป็นไป
ไม่ได้สาหรับเขาแล้ว
นอกจากมู่หลงหยี่ ยังมีคนคอยจับตาเขาอีกมาก ต่อให้
เขาสามารถรวบรวมเกล็ดวิญญาณได้ คนอื่นอาจมาชิงเขาไปอีก
เมื่อตอนเผชิญหน้ากับมู่หลงหยี่ หนานเหมียนเทียนไห่และ
หวงอวี้ไม่ปรากฎตัว
ทั้งสองคงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามา ตราบใดที่ยังไม่ทาเรื่องที่ออก
นอกกรอบของกฎที่ตั้งไว้

ยิ่งไปกว่านั้น คนของหู่หยงและฮัวหลิงก็รวมตัวกันอยู่ในซาก
โบราณ ดังนั้น ในสถานโบราณย่อมไม่ใช่ที่สงบของเนี่ยหลี่อีก
แล้ว

อย่างนั้น แล้วลู่เพียวกับเซีย่ วหยู่เล่า? การตามหาพวกนั้น


นับเป็นเรื่องยากเมื่อเทียบกับขนาดของซากโบราณ อย่างน้อย
ชีวิตของลู่เพียวกับเซี่ยวหยู่ก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย อย่างมากก็
มีปัญหาเล็กน้อย การอยู่ที่นี่นานไปนับว่าเสียเวลา เนีย่ หลีจ่ ึง
เคลื่อนตัวไปที่ทางออก

เนี่ยหลีก็กลับจากซากโบราณสู่โลกภายนอก
ที่หน้าทางเข้ามีผคู้ นจานวนากรวมตัวกัน ทั้งหมดเหม่อมอง
ไปยังเนี่ยหลี่เพราะไม่คิดว่าเขาจะออกมาเร็วขนาดนี้

"พวกเจ้ารู้รือยัง? เด็กเนีย่ หลี่นั่นเพิ่งเข้าไปล่าในซากโบราณ


แห่งความสะพรึง แต่ถูกมู่หลงหยี่โค่น แถมยังโดนขโมยเกล็ด
วิญญาณไปอีก"

"อย่างน้อยเขาก็ฉลาด เขารู้ว่าต้องถูกโจมตีอีกถ้ายังอยู่ในซาก
โบราณ"

"เขาผิดเองนะ เขาไปล่วงเกินคนไปไม่น้อยเลย"

"มู่หลงหยี่เป็นอัจฉริยะจากปีก่อน เนี่ยหลี่คงอยากตายทีไ่ ปยั่วยุ


เขาเข้า"
มีกี่คนไม่รู้ที่ยินดีเมื่อเนี่ยหลี่พบปัญหาในสถานโบราณแห่ง
ความสะพรึง ด้วยการแสดงออกถึงพรสวรรค์อันสูงส่ง เด็ก
หลายคนมองเขาเป็นคู่แข่ง มีเพียงการป้องกันไม่ให้เนีย่ หลี่
ได้รับศิลาวิญญาณ จึงจะถ่วงเวลาในการฝึกของเขาได้

พวกเขาย่อมไม่อาจขัดขวางการขึ้นสู่ตางรางอันดับ แต่ครั้ง
นี้เนี่ยหลี่กไ็ ม่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากซากโบราณแห่ง
ความสะพรึงและทุ่งร้างแห่งเพลิงหยินเช่นกัน

หากเขาต้องการศิลาวิญญาณ เขาก็จะต้องออกไปยังโลก
ภายนอก แต่โลกภายนอกก็ย่งอันตรายกว่าสนามทดสอบทั้ง
สองเสียอีก

เนี่ยหลีร่ ับรูไ้ ด้ถึงความเป็นศัตรูและรู้ว่าพวกเขาจะไม่หยุด


ขัดขวางไม่ให้เนี่ยหลีไ่ ด้ศลิ าวิญญาณมาไว้ในมือ
หากไม่มีศิลาวิญญาณ เขาย่อมไม่อาจบ่มเพาะพลังได้ ยิ่งไป
กว่านั้น พลังของเนี่ยหลี่แต่ละระดับต้องใช้ศิลาวิญญาณจานวน
มหาศาล เนี่ยหลี่คิดพลางเดิน ว่าเขาจะหาศิลาวิญญาณได้ยังไง

ในตอนนี้เขาอ่อนแอเกินไป และมีวิธีการอีกหลากหลายที่ไม่
อาจใช้ได้เมื่อเขายังอ่อนแออยู่ แม้ว่าจะได้รับศิลาวิญญาณจาก
การรักษาโรค ย่อมต้องมีปัญหาอืน่ ๆ ตามมาอีกและใช้
เวลานานเกินไป

เขาไม่อาจรับผลนั้นได้

ความคิดของเนี่ยหลี่ไหลไปเรือ่ ยจนถึงเจ้าคนอวดดีสุดจะ
ทนอย่างมู่หลงหยี่ และจอมมารทีก่ าลังแข็งแกร่งขึ้น เขาคิดถึง
ศัตรูอันน่าหวดหวั่นอย่างจักรพรรดิ์ปราชญ์และเรื่องราวต่างๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

หากเขาไม่อาจแข็งแกร่งขึ้น เขาย่อมต้องจบชีวิตเร็วกว่าชาติ
ก่อนหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เนี่ยหลี่คดิ อย่างรอบคอบ และนึกถึงหม้ออสูรฝันร้าย ที่เขา
ไม่คิดจะให้ใครรู้ว่าสิ่งนี้มตี ัวตนอยู่ ทว่า นอกจากทางนี้แล้ว
วิธีการรวบรวมศิลาวิญญาณอื่นๆ ล้วนถูกปิดกั้น ต่อให้เขา
สามารถก้าวข้ามไปยังชั้นชะตาสวรรค์แล้วออกไปข้างนอกได้ ก็
ยังมีคนจาวนมากรอสั่งสอนเขาอยู่

เนี่ยหลีไ่ ม่มีทางเลือก

หากเขาต้องการใช้หม้ออสูรฝันร้าย เซี่ยวหยู่และลูเ่ พียวก็


ช่วยเขาได้ไม่มากนัก คนที่ทาได้คนเดียวคือกู้เบ่ย

จากที่เนี่ยหลี่คอยดูพฤติกรรมของกู้เบ่ย และข้อเท็จจริง
ที่ว่าเขารักษาอาการป่วยของพี่สาวกู้หลาน กู้เบ่ยสมควรรักษา
สัญญาได้

ตอนนี้ เนี่ยหลี่รสู้ ึกตัวว่าตัวเองกาลังเดินไปทั่วสถาบัน


วิญญาณฟ้ามาได้สักพัก เขาจึงตัดสินใจรวมร่างกับอสูรเงาพราย
แล้วใช้ร่างไร้ลักษณ์เดินทางไปหากู้เบ่ยและกู้หลานเพื่อหลีก
สายตาผู้คน

พอเข้าไปยังส่วนที่พัก เนี่ยหลี่กร็ ับรู้ได้ว่ากู่หลานที่นั่งอยู่บน


เก้าอี้กาลังบ่มเพาะพลังอยู่อย่างเงียบๆ

นางสวมชุดไหมสีขาวห่มผ้าห่มทับบนหน้าตัด นางอยู่ใน
สภาวะวิกฤตเมื่อหมอกสีขาวก่อตัวขึ้นเหนือหัว เสื้อผ้าเปียกชุ่ม
ไปด้วยเหงื่อ จนสามารถเห็นเรือนร่างใต้ผ้าของนางได้อย่าง
เรือนลาง

วันนี้ กู่หลานยังมีใบหน้าขาวซีดอยู่ แต่มือของนางเริ่มมีเลือด


ฝาดแล้ว

เนี่ยหลี่ดึงสายตากลับอย่างกระอักกระอ่วนพลางยืนรออยู่
ด้านนอก เมื่อกู้เบ่ยไม่อยู่ เขาย่อมต้องรอจนกว่ากู่หลานจะฝึก
เสร็จ
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา กู่หลานก็ลมื ตาขึ้น พอเห็นเนี่ยหลี่ นางก็
ยิ้มบางแล้วพูดว่า "ท่านรอมานานแล้วหรือ

เนี่ยหลี่ประสานมือทักทายกล่าวว่า "ไม่นานหรอก แต่สถาน


ที่นี้ไม่ใคร่ปลอดภัยนักเมื่อข้าสามารถย่องเข้ามาได้ถึงที่นี่ อ้อ
ต้องอภัยที่เสียมารยาทด้วย"

กู่หลานยิ้ม "ข้าพิการมานาน ศัตรูย่อมไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา


ทว่า หากข้าตายย่อมกลายเป็นเรือ่ งใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใครกล้า
เสี่ยง"

เนี่ยหลี่เข้าใจความหมายของนาง เขากวาดสายตาผ่านร่าง
ของกู่หลานอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงดึงสายตากลับ ก่อนจะถาม
เสียงสั่นว่า "ข้าอยากทราบว่าสุขภาพของพี่กู่หลานดีขึ้นหรือไม่

กูห่ ลานก้มหน้าลงมองตัวเอง จากนั้นนางจึงนึกขึ้นได้ว่าเหลื่อ


ชุ่มตัวอยู่ ใบหน้าขาวซีดของนางค่อยปรากฎสีแดงขึ้น เมื่อนาง
ใช้พลังระเหยเหงื่อออกไป "ขอบคุณเจ้ามากที่เป็นห่วง หลังจาก
รับยา ข้าก็ดีขึ้นมาก"

เนี่ยหลี่ผงกศีรษะ "อืม" ด้วยความที่มีเพียงทั้งสองอยู่ในห้อง


ย่อมอดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เนี่ยหลี่รอคอยให้กเู้ บ่ยกลับมา
อย่างใจจดใจจ่อ
บทที่ 295 ขายจิตอสูร

เนี่ยลี่และกู้หลาน ต่างจ้องหน้ากัน เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น


สนทนาเรื่องใดกัน ในตอนนั้นเอง กู้เบ่ยก็กลับเข้ามาจากด้าน
นอก

กู้เบ่ยจ้องมายังที่เขา “เนี่ยลี่ ทาไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นไี่ ด้? ด้าน


นอกเขาพูดถึงข่าวเจ้ากันใหญ่ พวกเขาพูดว่าเจ้ากับ มูห่ ลงหยี่
.........ได้ต่อสู้กันในโบราณสถานแห่งความสะพรึง” เขาพูด
ออกมาพร้อมกับชะงักไปเล็กน้อย

เนี่ยลี่หน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็ตอบไปว่า “เจ้าไม่จาเป็นต้อง


ห่วงความรู้สึกของข้าหรอก เจ้าพูดว่า ต่อสู้กันงั้รึ ต่อสู้อะไร
กันหล่ะ? ตัวข้านั้นยังไม่แม้แต่จะบรรลุระดับชะตาสวรรค์ ข้าจะ
ไปต่อสู้กับเขาได้เช่นใดกัน ? พูดตามตรงเขาจัดการข้าอยู่ฝ่าย
เดียว แถมยังแย่งเอาเกล็ดวิญญาณที่ข้ารวบรวมได้ไปอีกด้วย ”
กู้เบ่ยไม่คิดเลยว่าเนี่ยลีจ่ ะยอมรับในเรื่องดังกล่าวอย่าง
ตรงไปตรงมา เนีย่ เบ่ยลูบหัวเขาเบา ๆ พร้อมกับพูดต่อ
ว่า “แล้วเจ้าจะทาอย่างไรต่อ มู่หลงหยี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้า
เกรงว่าถึงเราสองคนร่วมมือกันก็คงไม่อาจจะรับมือเขาได้ ”

เนี่ยลีต่ อบกลับอย่างใจเย็น “ข้ายังไม่มีทางเลือกคงทาได้เพียง


แค่อดทนไปก่อน แต่ข้ามีบางอย่างที่ต้องขอให้เจ้าช่วยเหลือ ”

กู้หลานอดไม่ได้ที่จะนับถือเนีย่ ลี่ ถ้าหากคนอื่น ๆ ได้พบกับ


สถานการณ์เช่นที่เนี่ยลี่เจอ พวกเขาอาจจะโกรธแค้นเป็นอย่าง
มาก นางไม่คดิ เลยว่าเนี่ยลี่จะรับสถานการณ์เช่นนี้ด้วยความใจ
เย็น

กู้เบ่ยตบที่หน้าอกตัวเองแล้วพูดว่า “พูดออกมาได้เลย ไม่ว่า


เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องใด ข้าจะทามันให้ดีที่สุด!”
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้า จัดหาจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับ ทั่วไป ดี ดีเยีย่ ม จานวนก็ มากที่สุดเท่าที่เจ้าจะหามา
ได้” เนี่ยลี่พูด

หลังจากที่ได้ยินเนี่ยลี่พูด กู้เบ่ยถึงกับทาหน้าผากย่น “ข้าไม่รู้


หรอกนะว่าเหตุใดเจ้าถึงต้องการ จิตอสูรเป็นจานวนมาก จิต
อสูรส่วนใหญ่ในอาณาจักรซากมังกร มักจะเป็นระดับสูงและมี
สายเลือดมังกร ซึ่งทั้งหมดนั้นมันดีกว่าจิตอสูรทีเ่ จ้าต้องการเสีย
อีก ”

“ข้าไม่ต้องการจิตอสูรที่มีสายเลือดมังกร”

“ถ้าหากพูดถึงจิตอสูรโดยทั่วไปแล้ว จิตอสูรที่มีระดับการ
เติบโตระดับ มหัศจรรย์ หรือ ระดับพระเจ้า นับว่าดีแล้ว
สาหรับการใช้ต่อสู้ และโดยปกติแล้วจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตระดับต่า ๆ นั้นเรียกได้ว่าไร้ประโยชน์” กู้เบ่ยรู้สึกสับสน
“ถ้าหากว่าเจ้าต้องการผสานกับจิตอสูร ข้าสามารถหาให้เจ้าได้
สักตัวหนึ่ง”
“ข้ามีหนทางที่จะใช้พวกมัน และค่าใช้จ่ายในการรวบรวมจิต
อสูร ข้าจะจ่ายคืนให้ทีหลัง” เนี่ยลีพ่ ูดต่ออีกว่า “ข้าต้องการ
พวกมันเป็นจานวนมาก เท่าที่จะหาได้”

กู้เบ่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ค่าใช้จ่ายในการ


รวบรวมจิตอสูรระดับธรรมดาไม่นา่ จะมากนัก แต่ในอาณาจักร
ซากมังกรนั้นมีจานวนไม่มาก แต่ไม่ใช่สาหรับอาณาจักรที่มี
ขนาดเล็ก ๆ ข้าสามารถที่จะส่งคนไปล่าพวกมันได้ ดังนั้นข้าคิด
ว่าจะรวบรวมให้เจ้าได้ในระยะเวลาอันสั้น ”
เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อย แล้วตอบไปว่า “คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!”

กู้เบ่ยหัวเราะ พร้อมกับตอบไป “ทาไมต้องเกรงใจกันด้วย เจ้า


กับข้าก็เหมือนพี่น้องกัน ที่สาคัญเจ้านั้นก็เป็นผู้ที่ช่วยรักษา
พี่สาวข้าด้วย!”

ใช้เวลาเพียงไม่นาน กู้เบ่ยก็ได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว และได้


ส่งยอดฝีมือระดับชะตาสวรรค์ ไปยังอาณาจักรเล็ก ๆ เพื่อล่า
จิตอสูรระดับธรรมดา มันเป็นงานที่ง่ายดายของพวกเขา แต่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเนีย่ ลีม่ อบความไว้วางใจให้กู้เบ่ยจัดการ ทุก
อย่างจักต้องเป็นความลับ ดังนั้นกูเ้ บ่ยจึงส่งเฉพาะลูกน้องที่เขา
ไว้ใจเท่านั้นให้ออกไป

ในเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน คนของกู้เบ่ยสามารถรวมรวมจิตอสูรได้
มากกว่า 20,000 ตน จากอาณาจักรเล็ก ๆแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้
ที่สุด

เนี่ยลีไ่ ด้รับจิตอสูรกลุ่มแรก จากนัน้ ก็ได้กลับไปที่พักของเขา


และเริ่มทาการหลอมรวม ในหมูจ่ ติ อสูรจากจานวน 20,000
ตนนั้น มีเพียงจานวนเล็กน้อยที่มรี ะดับการเติบโตในระดับดี
และดีเยี่ยม

เนี่ยลี่เริ่มต้นทาการหลอมรวมจิตอสูร โดยการนาจิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตในระดับเดียวกันสิบตน ลงไปใน หม้อจิตอสูร
ฝันร้าย มันก็นานมากแล้วหลังจากที่เขาได้ทาการหลอมรวมจิต
อสูรครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ยังสามารถทาการหลอมรวมได้อย่าง
คล่องแคล่ว
การหลอมรวม ล้มเหลว!

การหลอมรวม ล้มเหลว!

การหลอมรวม สาเร็จ!

เนี่ยลี่ทาการหลอมรวมจิตอสูรอย่างต่อเนื่อง และ หม้อจิตอสูร


ฝันร้าย ก็ยังคงผลิตจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตสูงขึ้นออกมา
เรื่อย ๆ ยิ่งเขาหลอมรวมไปมากเท่าใด หม้อจิตอสูรฝันร้ายก็ทา
การดูบซับ จิตอสูรที่สลายตัวไปมากยิ่งขึ้น

เนี่ยลี่ยังคงอยู่ในห้องของเขาและทาการหลอมรวมจิตอสูรอย่าง
ต่อเนื่อง ในกลุ่มแรกของจิตอสูรทัง้ 20,000 ตนนั้น สามารถ
หลอมรวมจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าได้
ประมาณ 30 ตน โดยปกติแล้วจิตอสูรระดับธรรมดา ที่มีระดับ
การเติบโตระดับพระเจ้า แต่มิใช่สายเลือดมังกรนั้น สามารถ
ขายได้เพียง 30 – 50 ศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น
โดยทั่วไปอาจจะเห็นว่าเป็นเงินก้อนใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตาม
สาหรับนักเรียนทั่วไป นอกจากคนที่มีคนอยู่เบื้องหลังอย่าง กู้
เบ่ย จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรนัก สาหรับศิลาจิตวิญญาณ
30 – 50 ก้อน ไม่ต่างจากการยกให้เฉยๆเลยเสียด้วยซ้า ทุกคน
ที่มีตระกูลใหญ่อยูเ่ บื้องหลัง อย่างกู้เบ่ย แน่นอนที่จะเลือก
ผสานกับจิตอสูรที่มีสายเลือดมังกร หรือไม่กส็ ายเลือดโบราณ
เสียมากกว่า พวกเขาจะไม่สนใจจิตอสูรระดับธรรมดา แม้จะว่า
จะมีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าก็ตาม

แม้ว่าคนของ มู่หลงหยี่ กับ ฮัวหลิง จะพยายามขัดขวางไม่ให้


เขารวมรวมศิลาจิตวิญญาณได้มากขึ้น ถ้าหากไม่หาหนทางอื่น
ใดอีก คงจะทาได้เพียงแค่รอคอยความตายเท่านั้น

ถ้าหากว่าเขาไม่อาจที่จะรวบรวมศิลาจิตอสูรจากโบราณสถาน
แห่งความสะพรึงได้ เขาก็ต้องหาหนทางอื่น ถ้าไม่เช่นนั้นเขา
อาจจะต้องนอนตายจมกองฉี่ก็ได้ เมื่อเขามีศลิ าจิตวิญญาณ
มากพอ การบ่มเพาะพลังของเขาก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ
อีกไม่นานเขาก็จะหนือกว่ามู่หลงหยี่
ในตอนนั้นเอง ลู่เพียวกับเซี่ยวหยู่ ได้กลับมาถึงที่พัก

เนี่ยลีร่ ู้สึกสงสัย หลังจกาที่ได้เห็นหน้าที่ฟกช้าดาเขียวของลู่


เพียว “ลู่เพียว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

ลู่เพียวรูส้ ึกหงุดหงิดยิ่งนัก และยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากเมื่อนึกถึง


มัน “อย่าได้ทาให้ข้าคิดถึงมันอีก ข้ารวบรวมเกล็ดวิญญาณได้
มากกว่า 3000 ชิ้น แต่มันถูกแย่งชิงไปโดยลูกน้องของเจ้าชั่ว
ฮัวหลิงนั่น ข้าถูกทาร้ายด้วยฝีมือพวกมัน”

เซี่ยวหยู่ยมิ้ อย่างขมขื่น “ข้าเองก็พบปัญหาเช่นเดียวกัน แต่


ผลลัพธ์ของข้าดีกว่าเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่อาจที่จะ
เอาชนะความแข็งแกร่งของข้าได้ แต่ถึงอย่างไร ข้าก็สามารถ
รวบรวมเกล็ดวิญญาณมาได้เพียง 5000 ชิ้นในสอง
วันนี้ หลังจากที่ข้าออกมา ข้าก็ได้ข่าวมาว่าเจ้านั้นออกมาจาก
ที่นั่นก่อนข้าตั้งแต่วันก่อน”
เนี่ยลี่พยักหน้า พร้อมกับตอบว่า “ใช่ ข้าเผชิญหน้ากับมู่หลงหยี่
และเขาก็ได้แย่งเกล็ดวิญญาณ 20,000 กว่าชั้นที่ข้ารวบรวมมา
ได้ไป” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เผชิญกับปัญหานีเ้ พียงผู้เดียว
แม้แต่ลเู่ พียวกับเซีย่ วหยู่ ก็ถูกหมายหัวเช่นกัน เซี่ยวหยู่นั้น
แข็งแกร่งมากจึงสามารถรับมือพวกเขาได้ แต่กบั ลู่เพียวนั้น
ต่างกัน เขาไม่อาจทาเช่นนั้นได้

โดยปกติแล้ว พวกเขาทั้งสามคนน่าจะเก็บเกีย่ วกาไรจาก


โบราณสถานแห่งความสะพรึงได้ไม่ยากนัก ด้วยความแข็งแกร่ง
ของพวกเขา แต่กลับถูกรบกวนโดยพวกคนพาลพวกนั้น

ลู่เพียวพูดด้วยความโกรธว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ มู่หลงหยี่


สามารถทาสถิติใหม่ได้ ในตอนที่พวกเราออกมา เขาถึงหา
เกล็ดวิญญาณได้ถึง 120,000 ชิ้น!”

เซี่ยวหยู่นาศิลาจิตวิญญาณในมือเขา ที่เขารวบรวมได้ ออกมา


จานวน 160 ก้อน แล้วพูดว่า “ข้ารวบรวมมาได้เพียงเท่านี้ เรา
ควรจะทาการแบ่งกันก่อน” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถ
รวบรวมได้มากถึงเพียงนี้ หลังจากที่เขาได้บรรลุระดับชะตา
สวรรค์แล้ว ความแข็งแกร่งในอดีต ไม่อาจเปรียบเทียบกับ
ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ได้เลย แต่นา่ เสียดายทีเ่ ขามี
โอกาสที่จะเข้าไปรวบรวมได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

แม้ว่าเซี่ยวหยู่จะมองว่า ศิลาจิตวิญญาณ 160 ก้อนที่ได้มานั้น


เป็นจานวนไม่น้อย แต่มันก็ไม่เพียงพอสาหรับเขา พลังงาน
สวรรค์ที่อยู่ในศิลาจิตวิญญาณ 1-200 ก้อนนั้น ไม่อาจสร้างได้
แม้แต่ละรอกคลื่นเล็ก ๆในห้วงวิญญาณของเนี่ยลี่ได้

เนี่ยลีส่ ่ายหัวของเขา พร้อมกับพูดว่า “ไม่จาเป็น ข้ามีวิธีการอื่น


ที่จะหาศิลาจิตวิญญาณ! ในเมื่อมีคนที่หาทางขัดขวางการ
รวบรวมศิลาจิตวิญญาณของพวกเรา เราจะทาอย่างไรที่จะ
ไม่ให้พวกนั้นได้สมหวัง พวกเราไปที่ตลาดของสถาบันกัน
เถอะ!”

“พวกเราจะไปที่ตลาดเพื่ออะไรกัน?”
ตาของเนี่ยลี่เป็นประกาย พร้อมกับตอบว่า “ไปเพื่อขายจิต
อสูร!” แต่เดิมเขาเคยคิดจะให้กู้เบ่ยทาการขายจิตอสูรที่มีระดับ
การเติบโตในระดับพระเจ้าให้เขา แต่หลังจากทีไ่ ด้คิดทบทวนดู
แล้ว เขาคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าหากเขาดาเนินการเอง มันคง
จะไม่ดีนักถ้าเขาเอาแต่พึ่งพากู้เบ่ยในทุกๆเรื่อง

นอกจากนี้ ถ้าเนี่ยลี่ขายจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตระดับพระ


เจ้าด้วยตัวเอง เขาอาจจะอ้างได้วา่ เขานามาจากโลกใบเล็ก ถ้า
หากมีคนที่ไม่เชื่อคาพูดของเขา พวกเขาก็ยินดีที่จะพาพวกเขา
เหล่านั้นไปตรวจสอบที่โลกใบเล็ก เขาสามารถรับมือได้ในทุก
สถานการณ์

เนี่ยลี่นั้นมั่นใจว่า พวกเขาจะต้องถูกขัดขวางในการขายจิตอสูร
ที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้าเป็นแน่ แต่เขาก็ได้เตรียมใจ
ไว้แล้ว ศัตรูของพวกเขานั้นไม่อาจที่จะทาอะไรพวกเขา
ได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะขายจิตอสูรให้ได้มากที่สดุ เท่าที่จะ
ทาได้
เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วคลาดของสถาบันวิญญาณฟ้า เต็ม
ไปด้วยนักเรียนที่มาทาการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
เนี่ยลี่และกลุ่มของเขาเดินเข้าไปในตลาด

ลู่เพียวรูส้ ึกเศร้าใจเล็กน้อยเมื่อตระหนักถึงเรื่องบางอย่าง “เนี่ย


ลี่ จากการต่อสู้ที่ผา่ นมา ข้าได้ตระหนักดีถึงความสาคัญของ
ของวิเศษ ฝ่ายตรงข้าไม่ได้แกร่งไปข้าสักเท่าใด แต่เขาสวมใส่
ของวิเศษระดับสอง อยู่ ทาให้ข้าต่อสู้อย่างยากลาบาก และข้า
ก็ไม่อาจที่จะต่อสู้กับพวกเขาได้ ในตอนนี้เราอยู่ทตี่ ลาด ข้ารู้มา
ว่าของวิเศษระดับสองนั้น มีราคาประมาณ 60 ถึง 70 ศิลาจิต
วิญญาณ”

เขาหวนคิดถึงวันเก่าๆทีเ่ มืองกลอรี่ ในตอนนั้น เขามีเงินเป็น


ล้าน หรือ อาจจะถึงสิบล้านเหรียญจิตมาร ที่สามารถใช้
แลกเปลี่ยนซื้อขายได้อยากอิสระ แต่ที่นี่ไม่มผี ู้ใดที่ยอมรับการ
ซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยเหรียญจิตมารเลย
ลู่เพียวทาได้เพียงแค่จ้องมอง ของวิเศษ ด้วยความอิจฉา
เมื่อเนี่ยลี่ปล่อยข่าวออกไปว่า เขามีจิตอสูรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับพระเจ้า มันดึงดูดความสนใจของนักเรียนจานวนมาก
ทันที

“เจ้าได้ยินเมื่อสักครูไ่ หม? เจ้าคนมาใหม่ ที่ถูกเรียกว่าเนี่ยลี่


กาลังทาการขายจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า”

“จิตอสูรพวกนั้น มีสายเลือดมังกรหรือไม่?”

“ไม่มีทาง! จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า นั้นไม่อาจประเมินค่าได้ มันเป็นเพียงจิตอสูรธรรมดา
ที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้า”

“แล้วมัน มีอะไรบ้าง?”

พวกนักเรียนต่างก็พูดคุยกัน “ระดับพระเจ้างั้นเหรอ ไม่เลวเลย


ทีเดียว” สาหรับนักเรียนที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ จิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตในระดับพระเจ้านัน้ โอกาสที่จะหาได้มีเพียงแค่
หนึ่งในล้าน
จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า น่าสนใจยิ่งนัก
สาหรับนักเรียนธรรมดาทั่ว ๆไป

คนเหล่านีค้ าดเดาได้เลยว่า เนี่ยลีน่ ั้น ไม่อาจที่จะหาศิลาจิต


วิญญาณด้วยหนทางปกติ เพราะมีคนที่คอยขัดขวางพวกเขา
ข่าวเรื่อง มู่หลงหยี่ จัดการเนี่ยลี่และทาการแย่งเกล็ดวิญญาณ
ไปนั้นแพร่หลายไปเป็นอย่างมาก แม้ว่าเนี่ยลี่จะเคลื่อนไหวด้วย
หนทางใด ท้ายที่สุดมันก็จะแว้งกลับมากัดเขาอยูด่ ี ก็ไม่แปลก
ที่เขาจะเป็นเป้าของการถูกข่มเหง

นั่นเป็นกฏของสถาบันวิญญาณฟ้า เป็นความผิดของเนี่ยลีเ่ องที่


ไม่มผี ู้ใดหนุนหลัง ด้วยเหตุที่เขานัน้ มีความสามารถที่โดดเด่น
จนผู้อื่นอิจฉา

ลู่เพียว เริม่ ทาการตะโกนโฆษณา “ขายจิตอสูรที่มีระดับการ


เติบโตในระดับพระเจ้า จิตอสูรระดับพระเจ้าสด ๆ ใหม่ ๆ
มาแล้วจ้า ราคาแค่ตนละ 50 ศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น แต่เราจะ
ขายให้คุณสี่ตน ในราคาแค่ สามตนเท่านั้น ”

เนี่ยลี่พยายามที่จะขายจิตอสูรให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ ก่อนที่
ฮัวหลิง กับ หูหย่ง กับลูกน้องจะมาถึง

ราคา 50 ศิลาจิตวิญญาณต่อ จิตอสูรหนึ่งตน นับว่าถูกมาก ยิ่ง


ไปกว่านั้น พวกเขายังขายจิตอสูรสี่ตนในราคาแค่สามตนอีก
ด้วย ข้อเสนอนี้ดึงดูดความสนใจของนักเรียนหลาย ๆ คนเป็น
อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็สร้างความสงสัยเป็นอย่างมาก ว่า
เนี่ยลี่นั้นมีจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้ามากแค่
ไหนกัน

จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า เป็นสินค้าทีม่ ี


ศักยภาพในการดึงดูดผู้ซื้อเป็นอย่างมาก จานวนผู้ซื้อเพิม่ ขึ้น
เรื่อย ๆ ในตอนนี้มี จิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
สองตนถูกขายไปสองตน อย่างไรก็ตามก็มีการขอต่อรองเล็ก ๆ
น้อย ๆ เกิดขึ้น และมีการปรับราคาเหลือ 93 ศิลาจิตวิญญาณ
สาหรับ จิตอสูรสองตนนั้น
ในตอนแรก มีผู้คนจานวนมากเพียงแค่ยืนมองอยู่ หลังจากที่
มองดูแล้ว พวกเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าเนี่ยลี่นั้นขายจิตอสูร
ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าจริง ๆความตื่นเต้นของ
พวกเขาก็ยิ่งมากขึ้น มีเพียงไม่กี่คนที่มีศิลาจิตวิญญาณจานวน
มากพอ คนส่วนใหญ่ได้เพียงแต่เฝ้ารอเงินกองทุนที่สถาบัน
วิญญาณฟ้าแจกจ่ายเท่านั้น

จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่หาได้
ยากยิ่งในตลาด จะพบเห็นได้ในบางครั้งเท่านั้น ดังนั้นการ
ปรากฏตัวของจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
จานวนมากนั้น เกิดปฏิกิริยาราวกับการโยนหินลงในทะเลสาป
ที่สงบเลยทีเดียว
บทที่ 296 หลี่ชิงอวิ๋น

เนี้ยหลีย่ ังคงขายจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าใน


ปริมาณมาก นั้นเพิ่มความอยากรู้ให้คนอื่นเป็นอย่างยิ่ง ว่าเขา
ไปเอาจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้ามาจากใหน

เป็นโลกใบเล็กๆทีล่ ึกลับเสียจริง นองจากเป็นอัจฉริยะ เขายัง


สามารถรวบรวมจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าได้
อีก?

เนี้ยหลี่และพรรคพวกของเขากาลังวุ่นอยู่กับการขายวิญญาณ
อสูรอยู่นั้น ได้มีคนกลุ่มหนึ่งกาลังเดินไปหาพวกเขา

หัวหน้าของกลุ่มกาลังมอง เด็กหนุม่ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า อายุของ


เขาน่าจะประมาณยีส่ ิบ เค้าหน้าของเขาแสดงออกถึงความสง่า
งาม ในขณะที่เขาก้าวเดินไปข้างหน้า เขาได้ปลดปล่อย กลิ่น
อายพลังขณะที่กาลังเขามาใกล้ พลังที่ปลดปล่อยออกมาเป็น
พลังที่น่ากลัวมาก
เนี้ยหลีร่ ับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา และกวาดสายตามองไปที่
เขา เพียงแว็บเดียวเขาก็รู้เลยว่าผูช้ ายคนนี้แข่งแกร่งกว่า มู่หลง
หยี่ มิหนาซ้า เขายังฝึกฝนวิชา[เพลิงมังกรเก้าเปลี่ยนแปลง]ซึ่ง
เป็นเทคนิคประจาตะกูลเถ้าอัคคี เทคนิคนี้จะทาให้เขาขยาย
กลิ่นอายเพลิงมังกรออกจากร่างได้
ถ้าเขาไม่ได้ยบั ยั้งคลื่นเพลิงมังกรพลังของเขาน่าจะระดับ8หรือ
9ชะตาสวรรค์

เขาคนนั้น มาจากตระกูลเถ้าอัคคี แสดงว่าคนเหล่านั้นที่เป็น


ผู้ติดตามก็มาจากตระกูลเถ้าอัคคีเช่นกัน

ตระกูลเถ้าอัคคีเป็นหนึ่งในสามตระกูลมหาอานาจของนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ จุดยืนของพวกเขาเป็นกลาง และไม่ค่อยยุ่ง
เกี่ยวกับการแย่งชิงตาแหน่งผู้นานิกายด้วย อย่างไงก็ตาม ไม่
ควรที่จะมองข้ามความแข็งแกร่งของพวกเขา เมื่อก่อน นิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์พยายามที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ กับพวกเขา นี่
เป็นตระกูลทีล่ ึกลับมาก ชีวิตก่อนหน้าของเนี้ยหลี่ แม้ว่านิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์จะตกต่าลง ตระกูลเถ้าอัคคีก็ยังคงจุดยืนเป็น
กลาง

ชายคนนั้นยิ้มให้เนี้ยหลี่เล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมา


ว่าเจ้ากาลังขายจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
หรือ?”

“ถูกต้องแล้ว”เนี้ยหลี่พยักหน้าให้เขา และสังเกตุดูว่าเขา
กาลังจะทาอะไร ชายคนั้นก็พูดว่า”เจ้ามีจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตในระดับพระเจ้าเท่าไร ทางเราขอซื้อทั้งหมด

คิ้วของหลู่เปียวกระตุกแสดงความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขา
กระเป๋าเงินของเขาคงจะตุงแน่ ถ้าชายคนนั้นซื้อวิญญาณอสูร
ไปทั้งหมด

เนี้ยหลี่ถามด้วยเสียงเรียบๆขณะที่ค้นหาตัวตนฝายตรงข้าม
“ข้าแปลกใจ ที่ข้าไม่รจู้ ักท่าน”
ชายคนนั้นมองเนี้ยหลีด่ ้วยรอยยิ้มจางๆที่มุมปากของเขา ” เจ้า
จะต้องเป็น เนี้ยหลี่ ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้ากับหลงยูอิน เป็นหนึ่ง
ในเด็กใหม่ที่มีความสามารถชื่อของข้าคือหลี่ชิงอวิ๋นจากตระกูล
เถ้าอัคคี”

เนี้ยหลีจ่ าได้เมื่อก่อน ในชีวิตที่แล้ว ของเขา มีการกล่าวถึง


บุคคลนี้ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

คนที่ดูเหมือนจะมีการแย่งชิงตาแหน่งผู้นาตระกูลเถ้าอัคคี แต่
แล้ว เขาก็พ้ายแพ้ในก่อนแย่งชิงตาแหน่ง หลังจากนั้นเขาก็ได้
ออกจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ เขากลายเป็นคนที่กดขี่ข่มเหง
ผู้ติดตามของเขา แข็งแกร่งและเป็นอัจฉริยะ ที่ด้านนอกของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเสียงของเขาก็ยังห่างไกลกว่า นาย
น้อยเบ่ยและหลงอยูอิน ถึงยังไงบุคลิกของเขาก็ยังเป็นที่
ถกเถียงกันอยู่บ้าง

ในขณะที่เขาเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความดี
และความชั่วร้าย แม้เขาจะสร้างชือ่ ที่ไม่ดไี ปทั่ว แต่ผตู้ ิดตาม
ของเขาก็ซื่อสัตย์อุทิศตัวเพื่อเขา
ดังนั้นเขาเป็นตัวแปลสาคัญทีไ่ ม่ควรมองข้าม
“เนี้ยหลี่ยังกล่าวว่า”เรายังมีจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้าอีกยี่สิบสี่ตนในมือ

คาพูดของเนี้ยหลี่ทาให้คิ้วของหลีช่ ิงอวิ๋นกระตุกเพราะความ
แปลกใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่า เนีย้ หลี่จะมีจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตในระดับพระเจ้าเหลืออยู่มากถึงเพียงนี้ หลี่ชิงอวิ๋นคิดว่า
หลังจากเขาขายไปมากดังนั้นเขาน่าจะเหลือซักห้าหรือหก ตน
เท่านั้น

หลี่ชิงอวิ๋นยิ้มอย่างพอใจในขณะทีเ่ ขากล่าวว่า “มันไม่สาคัญ


หรอกว่าเจ้าจะมีจติ อสูรระดับพระเจ้าเท่าไร ข้าขอซื้อมัน
ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ในหมู่จิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า ไม่มีสายเลือดมังกร มันจะดีมากถ้าเจ้ามีวิญญาณ
อสูรสายเลือดมังกร และมีอตั ราการเจริญเติบโตของยอดเยี่ยม
หรือสูงกว่า”
แม้ว่าหลี่ชิงอวิ๋นจะเป็นลาดับสามในผู้สืบทอดตระกูลเถ้าอัคคี
เขาได้คดั เลือกอัจฉริยะหลายพันคนให้อยู่ภายใต้ปีกของเขา
นองจากนี้ความั่งคั่งน่าตระหนกเป็นอย่างมาก เขาไม่มีปัญหา
กับการซื้อจิตอสูรระดับพระเจ้าทั้งหมด

“ถ้าในอนาคต ข้าได้มันมา ข้ามั่นใจได้เลยว่าจะติดต่อนาย


น้อยหลี”่ เนี้ยหลี่ยมิ้ เล็กน้อย

“โอ้” หลี่ชิงอวิ๋นไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคาดังกล่าวจากเนี้ยห
ลี่ หรือว่าเนี้ยหลี่จะมีวิธีหาจิตอสูรระดับพระเจ้า

ตั้งแต่หลี่ชิงอวิ๋น มีอัจฉริยะภายใต้ปีกของเขาเขาก็ไม่ได้ตระหนี่
กับซื้อของที่สามารถเสริมสร้างจุดแข็งของคนของเขา

หลี่ชิงอวิ๋นกล่าวอย่างพอใจ “ ถ้าจ้ามีจิตอสูรอัตราการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า เจ้าควรติดต่อข้าไม่ว่าจะมีเท่าไรข้าจะซื้อ
ทั้งหมด”

เนี้ยหลีไ่ ม่รู้ว่าหลี่ชิงอวิ๋นกระเป๋าหนัก แต่เนื่องจากหลี่ชิงอวิ๋น


เป็นทายาทของตระกูลมหาอานาจ เขาควรจะมีเงินมาก ถ้าหลี่
ชิงอวิ๋นต้องการที่จะซื้อวิญญาณอสูรอัตราการเติบโตระดับพระ
เจ้าอย่างรวดเร็ว

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขากาลังเตรียมความพร้อมในการต่อสู้แย่ง
ชิงอานาจ หลังจากเนี้ยหลี่เชื่อมโยงความจาของชีวิตก่อนหน้านี้
ของเขา เขาทันทีเข้าใจภาพรวมทัง้ หมด

มีแต่จะได้ประโยชน์จางความความสัมพันธ์ที่ดีกับคนผู้นี้

หลู่เปียวคานวณได้อย่างรวดเร็ว จิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตใน


ระดับพระเจ้ายี่สิบสี่ตน นั่นเป็นเก้าร้อยศิลาจิตวิญญาณ
โดยประมาณ

“ข้าไม่มีปญ
ั หา”หลี่ชิงอวิ๋น เอาศิลาจิตวิญญาณเก้าร้อยก้อน
ออกมาและส่งให้หลู่เปียว

อีกด้านนึงเนี้ยหลี่กส็ ่งจิตอสูรระดับพระเจ้ายี่สิบสี่ตนให้หลี่ชิ
งอวิ๋น
หลี่ชิงอวิ๋นรับวิญญาณอสูรแล้วตบใหล่เนี้ยหลี่และกล่าวว่า “ข้า
ชื่นชอบเจ้านะ ถ้าเจ้าสนใจจะเข้าร่วมกับข้าโปรดมองหาข้าได้
ตลอดเวลา ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร
ข้อเสนอทั้งสองอย่าง อยู่ในมือของเจ้า ถ้าเจ้ามีวญ
ิ ญาณอสูร
ระดับเจ้าสามรถติดต่อขายให้ข้าได้ตลอดเวลา”

เนี้ยหลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากนายน้อยหลี่ที่ ชื่น


ชม ถ้าข้าเจอจิตอสูรระดับพระเจ้า แน่นอนข้าจะมองหา
ท่าน” เนี้ยหลี่ไม่ได้สนใจในการต่อสู้ของตระกูลเถ้าอัคคี ไม่มี
ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตลอดเวลา บางทีหลี่ชิงอวิ๋นอาจจะ
ชนะในครั้งนี้หรือบางทีขาอาจสูญเสียเช่นเดียวกับชีวิตก่อนหน้า
นี้

ภายในนิยายขนนกศักดิ์สิทธิ์การดาเนินงานเป็นไปอย่างมบูรณ์
แบบ ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อนิกายของตัวเองเท่านั้นที่สามารถ
สังเกตเห็นการต่อสู้ภายในขณะทีพ่ วกเขาทาอะไรไม่ถูกกับมัน
การต่อสูร้ ะหว่างตระกูลที่สาคัญยังได้รับผลกระทบรุนแรงมาก
ความแตกต่างภายในนิยายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในหนึ่งร้อยปีกไ็ ม่มี
ใครสามารถคาดเดาได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้อง

เนี้ยหลีไ่ ม่ได้จะพึ่งพาหลี่ชิงอวิ๋นและความตั้งใจเหล่านีส้ ะท้อน


ให้เห็นในคาพูดของเขา แม้หลี่ชิงอวิ๋นจะไม่ได้กล่าว เอาล่ะ! ข้า
จะรอสาหรับข่าวที่ดจี ากเจ้า! "

หลี่ชิงอวิ๋นหันไปทางลูกน้องเขาแล้วกล่าวว่า”ส่งข้อความไปหา
ฮัวหลิงจากนีไ้ ปข้าจะคอยระวังหลังให้ เนี้ยหลี่ เก็บมือของเจ้า
เอาไว้ไม่อย่างนั้น ข้าจะดูแลมันให้เอง”

หลังจากคาพูดของหลี่ชิงอวิ๋น เนี้ยหลี่ป้องมือของเขา”ขอบคุณ
นายน้อยหลี่”

ในใจของเนี้ยหลี่ เข้าใจอย่างชัดเจนว่า หลี่ชิงอวิ๋นได้ทาการ


ตรวจสอบเกี่ยวกับตัวเขามาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่า ฮัวหลิงและ
หูหย่งก่อปัญหาให้กับเขา อย่างไรก็ตามหลี่ชิงอวิ๋นได้พูดปัญหา
ของเขาออกมาครึ่งนึง นั่นหมายความว่าตราบใดที่เขาเข้าร่วม
หรือให้ความร่วมมือด้วยกันกับเขา เขาจะดูแลทุกอย่างให้

อันที่จริงเขาขึ้นอยู่กับข่าวลือครอบงา แม้ว่าเขาจะยังคงอยู่ใน
วัยยี่สิบของเขา เขามีประสบการณ์อยู่แล้วในสิ่งเหล่านี้

“งั้นพวกข้าขอตัวก่อน” หลี่ชิงอวิ๋นยิมแล้วพาพรรกพวก
ของเขาเดินจากไป เขายืนดูหลี่ชิงอวิ๋นจากไป พร้อมกับเสียง
ซุบซิบ ข้าสงสัยว่านายน้อยหลี่ มีแผนจะทาอะไรกับจิตอสูร
ระดับพระเจ้าจานวนมากมาย

“ เจ้าไม่รหู้ รอ? นายน้อยหลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก สาหรับ


ลูกน้องที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทเพื่อเขา ข้าเคยได้ยินมาว่าลูกน้อง
ของเขาทั้งหมดมีของวิเศษระดับ 3 อีกด้วย เขาอาจจะซื้อจิต
อสูรระดับพระเจ้าเหล่านั้นให้ลูกน้องของเขาก็เป็นได้ ”
คาพูดเหล่านั้นไม่ได้ช่วยทาให้กลุ่มผู้ที่มุงดูแยกย้าย อันที่จริง
การเข้าร่วมกลุ่มขนาดใหญ่ต่าง ๆ จะทาให้ได้รับประโยชน์อย่าง
มากมายโดยเฉพาะการอยู่ภายใต้ผู้นาที่ไม่เห็นแก่ตัว

เนี้ยหลีไ่ ด้ขายจิตอสูรระดับพระเจ้าได้หินวิญญาณหนึ่งพันสอง
ร้อยก้อน ภายในเวลาอันสั้น ความต้องการซื้อนั้นมีแค่ช่วงเวลา
สั้น เขาตระหนักในเรื่องนี้ดี

“เฮ้ มีใครรู้ใหมว่าเด็กคนนั้นหาจิตอสูรระดับพระเจ้ามาจาก
ใหน”

นักเรียนที่ขี้อิจฉาก็ได้พูดคุยกัน”ศิลาวิญญาณหนึ่งพันสองร้อย
ก้อนเป็นจานวนที่มหาศาล มันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวก
เขาได้แต่แสดงความนับถือจาก ระยะไกล พวกเขาอาจจะ
สามารถที่จะรวบรวมหินจิตวิญญาณจานวนมากนั้น ถึงแม้ว่า
พวกเขาใช้เวลาหลายปีในการรวบรวม
นอกจากนักเรียนธรรมดา เนี้ยหลีย่ ังดึงดูดความสนใจของคน
อื่นๆ ไม่นานหลังจากเนีย้ หลีไ่ ด้เริ่มขายจิตอสูรระดับพระเจ้า หู
หย่ง ฮัวหลิง และพวกของเขาได้มาถึง แต่พอพวกเขารู้ว่าหลี่ชิ
งอวิ๋นได้พูดคุยกับเนีย้ หลี่ พวกเขาก็ไม่กล้าไม่ยุ่งกับเขาอีก

เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวแพร่สะพัดว่า เนี้ยหลี่และหลี่ชิงอวิ๋นได้ตกลงซื้อ
ขายจิตอสูรระดับพระเจ้า เป็นมูลค่ากว่าหนึ่งพันหินวิญญาณ

หูหย่ง โกรธเป็นฝืนเป็นไฟตั้งแต่หลี่ชิงอวิ๋น ไม่ได้เห็นถึง


ความสาคัญของเขา เขาเป็นคนทีค่ ่อนข้างอารมณ์เสียเมื่อคิด
เกี่ยวกับเนี้ยหลี่ แหละหินวิญญาณหนึ่งพันก้อน การบ่มเพาะ
ของเนี้ยหลี่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้า
จะไปก่อปัญหาให้กับหลี่ชิงอวิ๋น

หนานเหมียนเทียนไห่และหวงอวี้ยังได้เตือนเขาก่อนหน้านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าสร้างปัญหาในสถาบันวิญญาณฟ้า
เขากาหมัดแน่น หลังจากที่ฮัวหลิงได้ยินข่าวจากลูกน้องของเขา
เขาโกรธจนอยากทาหลายบางสิ่งบางอย่าง

ฮัวหลิงไม่ได้เป็นคนเดียวที่ข่มเหงเนี้ยหลี่และพรรคพวก แต่เขา
เป็นคนที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับการตักเตือนนี้โดยตรง

มันเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด เขาโกรธมากจนกลายเป็นความ
เกลียดชัง ความเกลัยดชังของเขากับหลี่ชิงอวิ๋น นั้นเรียกได้ว่า
บาดหมางยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่กล้าทีจ่ ะไปตอแยกับหลี่ชิงอวิ๋น ผู้
แข็งแกร่ง หลี่ชิงอวิ๋นเป็นทายาทอันดับสามของตระกูลเถ้าอัคคี
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเถ้าอัคคี เขาเป็นคนที่มีอานาจ
มาก

ไม่เพียงแค่นั้น เขายังกลัวที่จะสร้างปัญหาให้หลี่ชิงอวิ๋น เขา


ยังคงต้องเตรียมพร้อมขอโทษครั้งใหญ่ ถ้าเกิดว่าหลี่ชิงอวิ๋นจา
เขาได้
ต่อไปภายภาคหน้า ถ้าเนี้ยหลี่และหลี่ชิงอวิ๋น ไม่ได้มีความ
ขัดแย้งกัน เขาก็จะไม่ไปตอแยอีกต่อไป หลังจากนั้นหลี่ชิงอวิ๋น
ได้เตือนเขาแล้ว เขาคงจะไม่ได้อวดดีอีก
ขณะนี้ เนี้ยหลี่และพวกของเขาได้จากไปซักพักแล้ว

เซี่ยวหยู่ถามว่า ”เนี้ยหลี่เจ้าเอาจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตใน


ระดับพระเจ้ามาจากโลกใบเล็กหรอ แม้จะเป็นโลกใบเล็กจิต
อสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า ก็ไม่น่าจะมีมากมาย”

เนี้ยหลี่ตอบว่า “ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ตอนนี้ ’แต่ข้า


จักบอกเจ้าในอนาคต”ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หม้อสูรแห่งฝันร้าย
เป็นความลับของเนี้ยหลี่ แม้กระทัง่ คนใกล้ชิดกับเขายังไม่บอก
มันจะดีกว่าถ้ามีคนรูเ้ รื่องนี้น้อย หากข่าวรั่วไหลออกไปต้องก่อ
ปัญหาใหญ่แน่

หลี่ชิงอวิ๋น สามารถซื้อจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระ
เจ้าได้มากมาย และยังคงต้องการเพิ่ม แต่เนี้ยหลี่มีแผนการที่
ใหญ่กว่านั้น
การขายจิตอสูรธรรมดาที่อสูรอัตราการเจริญเติบโตระดับพระ
เจ้า ก็ยังไม่ค่อยได้เงินมากนัก สิ่งทีม่ ีค่ามากที่สดุ สาหรับทุกคนก็
คือจิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกร
บทที่ 297 ความเป็นจริง

ผ่านไปสามวัน ก็เป็นอีกครั้งกับบทเรียนของอาจารย์ชิหลิง
กู้เบ่ย เนี้ยหลี่และหลูเ่ ปียวนั่งอยู่ดว้ ยกัน

กู้เบ่ยแอบส่งแหวนที่ใส่จติ อสูรให้เนี้ยหลี่แล้วกระซิบว่า “เนี้ยห


ลี่ลูกน้องของข้าสามารถรวบรวมจิตอสูรมาได้หกหมื่นดวง”

“เยี่ยมไปเลย ขอบใจมาก นี่ศิลาจิตวิญญาณหกร้อยก้อน’”


เนี้ยหลี่แอบส่งกระเป๋าให้กู้เบ่ย

กู้เบ่ยขมวดคิ้วนิดๆ แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า ”เจ้าคิดจะทาสิ่ง


ใดกัน”เขาไม่ได้ช่วยเหลือเนีย้ หลีเ่ พราะต้องการสิ่งตอบแทน
มิหนาซ้า จิตอสูรยังเป็นขั้นธรรมดาซึ่งมันไม่คมุ้ ค่าเลย นี่เป็น
เพียงแค่ของขวัญเล็กน้อยที่มอบให้กับสหาย การที่จะให้รับเงิน
จากเนี้ยหลี่ เนี้ยหลี่ ไม่คดิ ว่าเขานัน้ เป็นสหายหรืออย่างไร
เนี้ยหลีต่ บใหล่กเู้ บ่ยแล้วยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากให้เจ้า
ช่วยหาจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มรี ะดับการเติบโตในระดับ
ทั่วไปให้หน่อย”

คาพูดของเนี้ยหลี่ ทาให้กู้เบ่ยเลิกขมวดคิ้ว และผ่อนคลายลง


จากนั้นเขาก็ตอบรับอย่างจริงจัง “ง่ายมาก ไม่มีปัญหา”

เนี้ยหลีห่ มดหินวิญญาณไปเมื่อคืนสองร้อยก้อน ความเร็วใน


การสิ้นเปลืองนี้ชั่งน่ากลัวนัก เพื่อการฝึกฝนได้อย่างราบรื่นเขา
จะต้องคิดหาวิธีอื่น ๆ ที่จะมีศลิ าจิตวิญญาณมากขึ้น!

แค่ขายจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
ยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเนี้ยหลี่จึงมุง่ หมายไปที่จติ อสูรสายเลือด
มังกร อย่างไรก็ตามเขาต้องรอกู้เบ่ยส่งจิตอสูรชุดแรกก่อน เขา
ถึงจะมีวัตถุดิบในการหลอมรวมจิตอสูรได้
ในคาบเรียนอาจารย์ชิหลิง ได้บรรยายเกี่ยวกับการฝึกฝน
ความสามารถในการต่อสู้ เขาอธิบายในแง่ง่ายๆนักเรียนเกือบ
ทั้งหมดตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี
แต่เนี้ยหลี่ตรงกันข้าม เขากาลังครุน่ คิดเรื่องอื่นอยู่

ทุกคนในชั้นเรียนได้ยินเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
ผ่านการซุบซิบนินทา เนี้ยหลี่กลายเป็นนักเรียนที่พิเศษที่สดุ ใน
ชั้นเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามเนี้ยหลี่เคยทาให้หลงยู่
อินต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นไม่มีใครกล้าไปกวนใจเขา นอกจากนี้เนี้ย
หลี่ยังกลายเป็นที่สนใจของสาวๆ อีกด้วย

หลงยูอินนั่งอยู่เงียบๆในมุม มองดูเนี้ยหลี่ นางรูด้ ีว่า ไม่อาจที่จะ


จับคู่ซ้อมกับเนี่ยลีไ่ ด้อีก ตั้งแต่ที่นางพ่ายแพ้ครั้งที่แล้ว อย่างไร
ก็ตาม นางไม่กล้าพูดได้ว่าเกลียดชังเขา มันแทนที่ด้วยความ
อยากรู้อยากเห็นความแข็งแกร่งของเขา

นางอยากรู้การฝึกฝนของเนี้ยหลี่ ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายคนนี้
เต็มไปด้วยความลับ
ถ้านางยังคงตามตื้อเนี้ยหลีม่ ันยิ่งจะทาให้เขาเกลียดชังนางมาก
ยิ่งขึ้น วิธีเดียวที่นางจะมีคณุ สมบัติที่จะคุยกับเขา นางจะต้อง
แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ตั้งแต่เด็กมา เนี้ยหลี่เป็นเพียงคนเดียวที่
อายุไล่เลี่ยนางแล้วสยบนางได้ เขาเป็นคนเดียวในรุ่นเดียวกันที่
นางยอมรับในเรื่องของความแข็งแกร่ง การกระทาของเนี้ยหลี่
ทาให้นางเกิดการเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้น

ในขณะที่อาจารย์ชิหลิงกาลังอธิบายถึงการสอนอยู่นั้น ในชั้น
เรียนยังคงเงียบอย่างแปลกประหลาด

เนี้ยหลี่กาลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขานั้นไม่ได้พบเห็นอาจาร์
ยของเขาอีกเลย หลังจากที่ได้พบกันที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
โดยบังเอิญ มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะสงสัยว่าอาจารย์ของเขานั้น
อาศัยอยู่ในหุบเขา เนี้ยหลีล่ องนึกย้อนถึงความทรงจาจากชีวิต
ก่อนหน้านี้และเต็มไปด้วยความปรารถนาต่ออาจารย์ของ
เขา เขามีความสุขในช่วงสั้น ๆ เขาคิดว่าควรไปเยีย่ มนางที่หุบ
เขา เพราะเขาก็คิดจะทาอย่างอยูแ่ ล้ว
อาจารย์ชิหลิง ยิม้ “จิตอสูรเป็นปัจจัยสาคัญยิ่งในการบ่มเพาะ
ความสามารถในการต่อสู้ เวลานี้จติ อสูรที่พวกเจ้าผสานด้วยนั้น
มันอาจจะไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เพียงแต่หลังจากที่พวกเจ้าไป
ถึงระดับชะตาสวรรค์ พวกเจ้าจะสามารถผสานเข้ากับจิตอสูรที่
ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่มีสายเลือดมังกร”

“ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะที่มรี ากวิญญานฟ้า ข้าหวังว่า


พวกเจ้าจะหลอมรวมกับจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีอย่างน้อยมี
ระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์ ที่จะช่วยพวกเจ้าได้อย่าง
มหาศาลกับความก้าวหน้าในอนาคต!”
จากคาพูดของอาจารย์ชิหลิง ลูกศิษย์จานวนมากในบริเวณนั้น
ถึงกับถอนหายใจเล็กน้อย

จิตอสูรสายเลือดมังกรเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่ามีราคาแพงมาก
ตนที่มีระดับการเติบโตระดับธรรมดาก็มีราคา 1-2 ศิลาจิต
วิญญาณ แต่ถ้ามันมีที่มีระดับการเติบโตในระดับดีนั้นจะมีราคา
ถึง 70-80 ศิลาจิตวิญญาณ ถ้าเป็นระดับอัตราเติบโตที่ดีเยีย่ ม
เหล่านั้นคงอาจมีราคาถึงหนึ่งพันศิลาจิตวิญญาณ โดยทั่วไป
แล้ว จิตอสูรที่มีระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์นั้นอาจพอจะ
หามาได้บ้าง

ถ้าเป็นลูกศิษที่มภี ูมิหลังทางตระกูลดี แต่ตระกูลธรรมดาไม่อาจ


ที่จะครอบครองไว้ได้เลยมีเพียงแต่ผู้มีความสามารถแล้วมีคน
หนุนหลังอยู่เท่านั้น
แล้วนักเรียนอย่างพวกเขาจะเอา จิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกรที่มี
ระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์ มาจากไหนกัน?

ในทางเดียวกัน มันคงจะฉลาดกว่ามาก ถ้าจะหาจิตอสูร


ธรรมดาที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้ามาใช้

เพราะราคาของจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า ราคาพอ ๆ กับจิตอสูรสายเลือดมังกรระดับดี หรือ
อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตัวราคาของมันไม่ได้แย่
และเมื่อเทียบราคาต่อคุณภาพก็ยงั คงมีราคาแพงพอดู เพราะ
อย่างนั้น จิตอสูรธรรมดาที่มรี ะดับเติบโตระดับพระเจ้าจึงขาย
ได้ดีทสี่ ุดในหมูล่ ูกศิษย์ธรรมดา
จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตระดับพระเจ้าเป็น
ของล้าค่าที่มิอาจประเมิณราคาได้ แม้แต่สามตระกูลหลักมี
เพียงยอดฝีมือไม่กรี่ ้อยคนที่ผสานเข้ากับจิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
นั่นและคือพลังแห่งอานาจ

เป็นหัวใจสาคัญของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

เมื่อไม่กี่ปมี านี้มีการตายจานวนมากระหว่างยอดฝีมือระดับสุด
ยอดกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ รี ะดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า นั้นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ว่าทาไมนิกายขนนกแห่ง
ทวยเทพถดถอยลง อย่างไรก็ตามเนื่องจาก นิกายขนนก
ศักดิศิทธิ์ ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเลยยังมีรากฐานที่มั่นคง ตราบใด
ที่นิกายสามารถสร้างยอดฝีมือที่มคี วามสามารถพร้อมด้วยจิต
อสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า มันคง
เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่จะทาให้นิกายกลับไปสู่วันทีร่ ุ่งเรือง
อีกครั้ง.
นั้นคือเหตุผลว่าทาไมหม้ออสูรจิตอสูรฝันร้ายของเนี้ยหลี่เป็น
สมบัตลิ ้าค่าแน่นอน จึงเป็นเหตุผลอีกว่าทาไมเขาต้องระวังตัว
ทุกครั้งที่ทาการหลอมรวมจิตอสูร

อาจารย์ชิหลิง มองไปรอบ ๆ ที่นักเรียนกาลังบ่น และ


ยิ้ม “เป็นธรรมดาที่พวกเจ้าจะมองข้าม สายเลือดมังกรทีม่ ี
ระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์ ถ้าไม่โชคดีอย่างมากจริงๆ
ดังนั้นถ้าหากพวกเจ้าไม่สามารถหา จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์ ที่เป็นสายเลือดมังกร ได้ เพียงแค่ที่มีระดับ
การเติบโตในระดับดีเยี่ยมก็เพียงพอแล้ว

พวกเจ้าควรรอจนกว่าจะสามารถไปถึงระดับชะตาสวรรค์ เมื่อ
เวลานั้นมาถึงพวกเจ้าจะได้รับอนุญาติให้ออกไปข้างนอกเพื่อล่า
จิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกรสาหรับตัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าจะ
สามารถใช้เวลาได้อย่างอิสระเพื่อค้นหาพวกมันอย่าง
รอบคอบ!”
สาหรับคนที่ไม่มีพื้นหลังตระกูลสนับสนุน การที่จะมี จิตอสูรที่
มีระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์หรือที่มรี ะดับการเติบโต
ในระดับพระเจ้า นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

จินหยาน ชาเลืองมองไปทีเ่ นี้ยหลี่ รอยยิ้มดูถูกปรากฏออกมา


จากมุมปากของเขา ด้วยตอนนี้เนีย้ หลี่มคี วามแข็งแกร่งและ
ความสามารถมากเกินกว่าเขา แล้วยังไงละ ? ตระกูลของจินห
ยานมีการเตรียม จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับมหัศจรรย์พร้อมแล้วสาหรับเขา เพียงแค่รอให้ไปถึงระดับ
ชะตาสวรรค์ จากนั้นเขาจึงจะผสานเข้ากับมัน

สาหรับเนี้ยหลี่ ถ้าเขาโชคดีจะสามารถหามันได้ ถึงแม้จะเป็น


เพียงสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับระดับดีเยีย่ ม
หรือ ไม่เขาก็อาจจะไม่ประสบความสาเร็จในการหามันมาได้

นั้นคือช่องว่างระหว่างสถานะทางสังคมของพวกเขา แม้ว่า
เนี้ยหลีจ่ ะเข้าร่วมกับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่ตระกูลเหล่านั้น
คงจะไม่เต็มใจที่จะมอบจิตอสูรทีม่ รี ะดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์แก่เนีย้ หลี่ ถ้าหากเนี้ยหลี่เข้าร่วมกับตระกูลของพวก
เขา เพียงแต่จะจบลงด้วยการเป็นสุนัขรับใช้ ที่นั่นมักจะมีความ
แตกต่างเสมอระหว่างคนเช่นเขาและสมาชิกที่มีสายเลือดของ
ตระกูล

นี้คือเหตุการณ์ปกติในทุกนิกาย ไม่เพียงแต่ที่ นิกายขนนก


ศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะจากอาณาจักรเล็ก ๆ มักจะถูกฝึกให้เชื่อง
โดยตระกูลใหญ่ ๆ และกลายไปเป็นลูกน้องไปตลอดชีวิต ที่
ตระกูลของพวกเขาแล้วแต่ความกรุณา ถึงแม้เวลาที่มีอัจฉริยะ
บางคนที่น่าอัศจรรย์สามารถกาหนดชะตากรรมของตัวเองยังไง
ก็ตามในประวัติศาสตร์มีเพียงแค่ไม่กี่คน ทั้งหมดนั้นกลายเป็น
เพียงแค่ตานานเมื่อนานมาแล้ว

สมาชิกที่มีสายเลือดในตระกูลจะมีสิทธิ์ในสมบัติและถูกปกป้อง
โดยตระกูล ถึงแม้ถ้าหากพวกเขาทาผิด ตราบใดที่โทษไม่ถึงแก่
ความตายพวกเขาสามารถออกมาเดินได้อย่างง่ายดาย นีย่ ัง
ห่างไกลจากความแตกต่างของอัฉริยะจากอาณาจักรเล็ก ๆ
ชะตาของเขาก็ถูกตัดสินแล้วโดยสวรรค์ ถ้าอัจฉริยะจาก
อาณาจักรเล็ก ๆ มีการบาดเจ็บถึงตาย ก็ไม่มีใครสนใจ
นี่เป็นอาณาจักรซากมังกร ที่ตระกูลใหญ่ ๆ ในนิกายต่าง ๆ อยู่
บนจุดสูงสุด

ในตอนแรก อัจฉริยะจากอาณาจักรเล็ก ๆ ทั้งหมดเชื่อว่าโลก


เป็นสถาณที่ ที่ยุติธรรม แต่ไม่ช้าหรือเร็วความคิดพวกเขาจะ
เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่พวกเขาจะเข้าร่วมกับตระกูลใหญ่และเอา
ความภักดีแลกกับผลประโยชน์

ตั้งแต่เนี้ยหลี่ได้แสดงความสามารถที่น่าตกใจ เขาได้รับความ
สนใจจากคนที่มรี ะดับสูงกว่าเป็นจานวนมาก พวกคนระดับสูง
เหล่านั้นคงจะปกป้องชีวิตของเนี้ยหลี่อย่างสุดความสามารถ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกเขาเป็นกังวล คือนักเรียนที่มี
ความสามารถจนน่าตกใจ จริง ๆ น่าจะประสบเหตุการณ์จาก
การถูกกดขี่อย่างที่พวกเขาคุ้นเคย ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่ยอม
ให้คนที่แข็งแกร่งได้ตัวเขาไป และนั้นจะทาให้ง่ายต่อการ
ควบคุมเขาในอนาคต

ที่มุมปากของจินหยาน มีรอยยิ้มทีเ่ ย็นชา พวกที่มาจาก


อาณาจักรเล็ก ๆ นั้นมีความต้องการขึ้นไปสู่ จุดสูงสุด แต่พวก
เขาก็ไม่ได้ตระหนักว่ามีบางอย่างเป็นช่องว่างที่ไม่อาจข้ามไปได้
และเนีย้ หลี่กเ็ ป็นเช่นเดียวกับพวกเขา!
เขาอยากเห็นว่าเนี้ยหลี่จะไปได้ไกลแค่ไหนถ้าไม่ได้เข้าร่วมกับ
ตระกูลใดเลย!

ในระหว่างคาบเรียนของอาจารย์ชหิ ลิงได้อธิบายหลายอย่างที่
เกี่ยวกับจิตอสูรเช่นเดียวกับที่เขายอมรับความเข้าใจในเรื่อง
การผสานจิตอสูรของพวกเขา นักเรียนได้รับความรู้มากมาย
จากบทเรียน ไม่นานคาบเรียนก็จบลง

“กลับไปทบทวนสิ่งที่เรียนด้วย ถ้าหากพวกเจ้ามีคาถาม
บางอย่างที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับมัน สามารถมาถามได้ในคาบเรียน
ต่อไป” ผู้อาจารย์ชิหลิงยิ้มเล็กน้อย

“การเรียนการสอนจบลงเท่านี้!”
เนี้ยหลีเ่ ดินออกมากับหลู่เปียว และกู้เบ่ยเดินตามออกมาด้วย
กู้เบ่ยมองไปที่เนีย้ หลี่และกล่าวว่า “เนี้ยหลี่ ข้าได้ยินว่าเจ้า
ขายจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าจานวนมาก?”

“ใช่แล้ว” เนี้ยหลี่รู้ว่ากูเ้ บ่ย อยากจะรู้เกีย่ วกับมันแน่นอน


นอกจากนี้ กู้เบ่ย มีข้อตกลงเล็กน้อยกับเนี้ยหลี่ เกี่ยวกับคาขอ
เรื่องจิตอสูร กู้เบ้ยอาจมองดูเหมือนคนบ้าผู้หญิงโง่ ๆคนหนึ่ง
แต่แท้จริงแล้วเขาถือได้ว่าเป็นคนที่เก่งกาจคนหนึ่งเลยทีเดียว

กู้เบ่ยหัวเราะ "ถ้าเจ้ามีจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้าจานวนมาก อย่าปล่อยให้กระแสน้าที่ดีไปสู่พื้นที่
ของคนอื่น (เหมือนกับการทานาอะครับ)ในบรรดาญาติ
บางส่วนของข้า มีผู้ชายบางคนที่เป็นมากกว่าลูกน้อง พวกเขา
นั้นมองหาสิ่งที่ดีจากการเอาชนะใจของคนอื่น มากกว่าที่จะ
มองหาคนใหม่มาแทน อีกด้านหนึง่ มีความเป็นไปได้อื่นๆถ้า
หากมี จิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าหลายร้อย
ตน คงจะก่อผลดีไม่น้อย แน่นอนถ้าหากมี สายเลือดมังกร ที่มี
ที่มีระดับการเติบโตในระดับดีเยี่ยมหรือสูงกว่า เรื่องราคา
แน่นอนว่าไม่ด้อยกว่าหลี่ชิงอวิ๋นเป็นแน่
ตระกูลกู้ มีขนาดใหญ่และอานาจของพวกเขาครอบคลุมไปทุก
ส่วนของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวก
เขาต้องการจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าจานวน
มาก

เนี้ยหลี่กล่าว “ขออภัยให้ข้าด้วยที่ ไม่ได้คิดอะไรให้


รอบคอบ” เขาไม่เคยคิดเลยว่ากู้เบ่ย จะอยากได้ จิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตระดับพระเจ้าเหมือนกัน เขามองที่กู้เบ่ย และ
พูดต่อ “เจ้าจะไม่ถามวิธีที่ข้าได้จติ อสูรที่มรี ะดับการเติบโต
ระดับพระเจ้าพวกนั้นมาสักหน่อยหรอ?”

กู้เบ่ยได้ยินดังนั้นถึงกับหรีต่ าลง แล้วพูดกลับไปว่า “นั่นคือ


ความลับของเจ้า ข้าคงไม่มสี ิทธิ์ที่จะรู้?”

มีเพียงหลูเ่ ปียวที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขากาลังพูด
เกี่ยวกับอะไร
“ถ้าหากเจ้าสามารถซื้อจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตระดับพระ
เจ้าได้เป็นจานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพวกเราก็สามารถคุย
กันได้?”

หลู่เปียว เป็นคนเปิดเผยและเป็นคนตรงไปตรงมา เขาเป็นคน


ที่ไม่สามารถปิดบังความคิดกับผู้อนื่ ได้ เนี้ยหลีไ่ ม่ได้ให้หลู่เปียวรู้
เกี่ยวกับหม้อจิตอสูรฝันร้ายเพราะหลู่เปียวอาจเผลอพูดมัน
ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ในทางกลับกัน กู้เบ่ย อาจจะคาดเดามันได้ ถึงอย่างไร เขาเป็น


คนที่ไว้ใจได้ระดับหนึ่ง และ เนีย้ หลี่จึงอยากที่จะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบใจเจ้ามาก เมื่อข้าได้รบั จิตอสูรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้ามากกว่านี้ ข้าแน่ใจว่าจะไปหาเจ้าถึงที่หน้าบ้าน!”

การค้าขายกับ กู้เบ่ย มีความปลอดภัยมากกว่าค้าขายกับคน


อื่น แต่เนี้ยหลี่วางแผนที่จะขายให้ได้ในจานวนมาก แน่นอนว่า
กู้เบ่ยคงม่สามารถซื้อไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นเขายังคงรักษา
ความสัมพันธ์กับหลี่ชิงอวิ๋นด้วย
บทที่ 298 อาจารย์และศิษย์

เนี่ยหลี่กลับไปยังส่วนที่พักของตนแล้วทาการหลอมจิตอสูรทีม่ ี
ระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าต่อราวกับเสียสติ

หลังจากดูดซับพลังที่เหลือจากจิตอสูร อัตราความสาเร็จในการ
หลอมของหม้ออสูรฝันร้ายก็ดจู ะเพิ่มขึ้นทีละน้อย จากจิตอสูร
หกพันตัว เนี่ยหลีห่ ลอมจนได้จิตอสูรระดับพระเจ้าเกือบร้อยตัว

เนี่ยหลีไ่ ปยังส่วนที่พักของกู้เบ่ยคนเดียวเพื่อส่งมอบจิตอสูร
ระดับพระเจ้าให้เขา เพื่อให้กู้เบ่ยช่วยขายจิตอสูรเหล่านี้ให้
ลูกพี่ลูกน้องของเขา ก่อนที่จะไปหาจิตอสูรสายมังกรมาให้
เนี่ยหลี่

เนี่ยหลี่ออกมาจากส่วนที่พักของกู้เบ่ย จากนั้นใช้จิตอสูรเงา
พรายแปลงเป็นร่างไร้ลักษณ์เพื่อหลบสายตาผู้คน แล้วจึงมุ่ง
หน้าไปตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจา
เขาเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดยาวออกไป ผ่านดงไม้
หนาแน่นไปจนถึงหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง

ดอกท้อบานเต็มต้นท้อข้างเส้นทาง ทาให้ผู้พบเห็นรู้สึกราวกับ
ตนอยู่บนสรวงสวรรค์

มันเป็นภาพเดียวกันกับที่ปรากฎอยู่ในความทรงจาของเนี่ยหลี่

ที่นี่เป็นหุบเขาอันเงียบสงบมีลาธารเล็กๆ ไหลผ่าน ภาพที่เคย


เกิดขึ้นในชาติก่อนของเขากาลังปรากฎที่ตรงหน้าอีกครั้ง

-------

"ท่านอาจารย์ ท่านบอกให้ข้าทาตัว 'บริสุทธิ์ดั่งสายนที


เพราะวารีนั้นไม่แข่งขัน' แต่ข้าจะทาเช่นนั้นได้อย่างไร?
ข้าเกิดในสถานที่ที่เรียกว่าเมืองกลอรี่ และทั้ง
ครอบครัวข้า มิตรสหายข้า และแม้แต่คนรักของข้าถูกฆ่า จะให้
ข้าไปหาศัตรูของข้าแล้วบอกให้พวกมัน บริสุทธิ์ดั่งสายนที งั้น
เหรอ? ข้ามีแต่ต้อง 'ตาต่อตา ฟันต่อฟัน' ขอเพียงมีโอกาส ข้า
จะฆ่าพวกมันให้หมด!!!"

อาจารย์ของเขาเพียงแค่มองแล้วยิม้ ให้ "ศิษย์โง่เขลาไม่อาจขัด


เกลาได้จริงๆ"

ไม่ใช่ว่าข้าไม่อาจขัดเกลาได้เสียหน่อย ทุกคนมองท่านอย่างเย้ย
หยัน หากข้าแข็งแกร่งพอ ข้าให้พวกมันคุกเข่าต่อหน้าท่านเป็น
การแก้แค้น มันผิดตรงไหน

อาจารย์ของเขาเลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าไร้ที่สุด "วัตถุ
เรื่องราวในโลกหล้า เป็นเพียงเมฆควันผ่านตา แต่ธรรมชาติวัฎ
จักรของน้านั้นไม่มีทสี่ ิ้นสุด หล่อเลีย้ งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง"

--------
แม้แต่ตอนนี้ เนี่ยหลี่ก็ยังไม่เข้าใจสิง่ ที่อาจารย์ของเขาสอน
แม้แต่ในชีวิตใหม่นี้ เขาก็ยังใช้กฎเดิม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือด
ต้องล้างด้วยเลือด แม้ว่าหลังจากทีเ่ มืองกลอรี่พ้นภัยแล้ว เขายัง
มีความแค้นอื่นต้องสะสางอีก จอมมารและจักรพรรดิปราชญ์
ยังไม่ตาย

ตราบใดที่ศตั รูของเขายังไม่ถูกกาจัด เนี่ยหลี่ก็ไม่อาจอยู่อย่าง


สงบได้ ไม่ว่าจะยามหลับหรือยามตื่น

เขาควรจะดึงให้จอมมารและจักรพรรดิปราชญ์กลับมาเดินถูก
ทางด้วยใจอันเมตตาหรือ? บ้าบอคอแตกทั้งนั้น

ทว่า อาจารย์ดีกับเขาอย่างแท้จริง

เนี่ยหลีเ่ ดินไปพลางเรียกความทรงจาจากอดีต ขณะเดียวกัน


ดวงตาก็ปรากฎหยาดน้าตาเอ่อคลอ อาจารย์ของเขาเป็นคน
อ่อนโยน เป็นคนที่เนี่ยหลี่เคารพอย่างที่สุด แต่ก็อย่างที่บอก
"คนดีมักตายเร็ว" อาจารย์ของเขามีชีวิตอยู่ไม่นานนัก ในตอน
นั้น เมื่ออาจารย์ของเขาตาย สิ่งเดียวที่เนี่ยหลีต่ ้องการคือฆ่าทุก
คนในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ทิ้ง

แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อคาสั่งเสียของอาจารย์ เขาจึงไม่ได้ฆ่า
ล้างนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ อยากมากเขาก็แค่สร้างความวุ่นวาย
ไปทั่วและโค่นยอดฝีมือของสานักทุกคนลงเท่านั้นเอง

แม้จะอย่างนั้น แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่ฟื้น

แต่ตอนนี้ เขามีชีวิตใหม่ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา มันช่าง


คุน้ เคย

เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปหากระท่อมฟางที่ปลายทางแล้วเคาะประตู

น้าเสียงร่าเริงและคุ้นเคยก็ดังตอบมาว่า "เข้ามา"
เมื่อเนี่ยหลี่ก้าวเข้าไปก็พบกับอาจารย์ของเขานั่งอยู่บนพื้น สี
หน้าของนางเยือกเย็น ไม่มีร่องรอยของความหวั่นไหวแม้แต่นิด
ให้ความรูส้ ึกราวกับไร้ตัวตน ราวกับนางไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ
เนี่ยหลีม่ องอาจารย์ของตน ความรู้สึกนั้นราวนี่เป็นเพียงความ
ฝันประหนึ่งไม่ใช่ความจริง ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจ
หายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า

อิงเยว่ลู่ลมื ตาขึ้น รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของ


นางจากนั้นจึงพูดว่า "อ้อ เป็นเจ้า? นั่งก่อนสิ"

เนี่ยหลีร่ ู้สึกได้ว่าอิงเยว่ลู่ที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นคนเดียวกันกับที่


เขาเจอเมื่อชาติที่แล้ว ในใจเต็มไปด้วยความสับสนเมื่อเขาต้อง
มานั่งอยู่หน้านาง

ทั้งสองมองหน้ากันในขณะที่เนี่ยหลี่กาลังคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
เขายังคงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ พลางมองไปที่อาจารย์ของตนเขา
รู้สึกว่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ดวงตาใสแจ๋วของอิงเยว่ลู่มองเนีย่ หลี่ ก่อนจะยิม้ บาง "เอาล่ะ
ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า แต่อย่าถามว่าทาไมหรืออย่างไร มันมีบาง
เรื่องที่เจ้าไม่สมควรรู้ ต่อให้เจ้าถาม ข้าก็จะไม่บอก หากเจ้า
จาเป็นต้องรู้ ต่อให้เจ้าไม่ถาม ข้าก็จะบอกให้ฟัง"

เนี่ยหลีย่ ิ้มไม่ได้ยินที่อิงเยว่ลู่พดู "เช่นนั้น พี่สาวใหญ่อิงต้องจะ


บอกอะไรข้าหรือเนี่ยหลี่จาได้ว่าในชาติก่อน มีหลายครั้งที่เขา
หยอกอาจารย์ด้วยการเรียกท่านว่า 'พี่สาวใหญ่' และทุกครั้งจะ
จบด้วยการทีเ่ ขาได้รับรอบปูดลูกใหญ่บนหัว

อิงเยว่ลู่ยิ้มก่อนจะฟาดหัวเนีย่ หลีค่ รั้งหนึ่ง "ศิษย์เนรคุณ ยังกล้า


เรียกข้าว่า 'พี่สาวใหญ่อิง' อีก ไม่มคี วามเคารพอาจารย์ของ
ตัวเองเลยจริง' ทว่า นางเองกลับอดยิ้มไม่ได้

เนี่ยหลี่ถึงกับมึนงงพลางจ้องอิงเยว่ลู่ด้วยความตกตะลึง คา
'ศิษย์เนรคุณ' ส่งความคิดของเขากลับไปเมื่อชาติก่อน
ความรูส้ ึกได้พบคนใกล้ชิดและคุ้นเคยพลุ่งขึ้นจนน้าตาแทบเอ่อ
ออกมา
ในชาติก่อน เนี่ยหลี่พบกับเรื่องน่าเศร้ามากมาย จนกระทั่ง
สุดท้ายเขาก็เหลือตัวคนเดียว หัวใจอันทุกข์ทรมานได้รับการ
เยียวยาขึ้นมาบ้างในยามที่ถูกอาจารย์ของตนมองเช่นนี้

อิงเยว่ลู่ยิ้ม "คงจะคิดว่าแปลกสินะที่ข้ารู้เรื่องนี้ นี่เป็นผลของ


วิชา [พยากรณ์แดนสรวง] ทาให้ขา้ สามารถมองทะลุภาพมายา
และคานวณโชคชะตาได้ ทว่า การคานวณพวกนี้จะดูดกลืน
อายุขัยของข้าไปห้าสิบปี"

เนี่ยหลีเ่ จ็บปวดใจเมื่อมองไปยังอิงเยว่ลู่ "ทาไมท่านต้องยอม


เสียสละอายุขัยถึงห้าสิบปีเพื่อคานวณโชคชะตาแค่นี้ด้วย? ขอ
เพียงท่านถาม ข้าก็จะตอบให้ทั้งหมด"

อิงเยว่ลู่เผยรอยยิ้มงดงาม "นั่นไม่ชัดเจนเท่ากับที่ข้าคานวณเอง
เมื่อข้าคานวณชะตา จะเห็นเหมือนกับเป็นคนอื่นมอง เจ้าเป็น
คนอยู่ในเหตุการณ์ ผู้ยืนอยู่ด้านข้างย่อมเห็นชัดกว่า" น้าเสียง
ของนางราบเรียบและสงบก่อนจะพูดต่อว่า "ไม่ต้องพูดอะไร
แล้ว ตามที่ข้าคานวณได้ เจ้ากาลังต้องการที่จะเข้าคัดเลือกขึ้น
เป็นเจ้านิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์"

อาจารย์ของเขาราวกับเทพเจ้าจริงๆ มองทะลุความทะเยอทะ
ทานที่มันเก็บไว้ในใจได้ด้วย เมื่อมาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เนี่ยหลี่กเ็ ล็งตาแแหน่งเจ้าสานักเอาไว้แล้ว นั่นเป็นเพราะมีเพียง
ตาแหน่งนี้ ที่จะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครกล้าทา
อันตรายต่ออาจารย์ของเขา

นอกจากการค้นหาทรัพยากรสาหรับฝึกบ่มเพาะพลังแล้ว เนี่ย
หลี่ยังมีความคิดที่จะแสดงพลังอันน่าตกตะลึงต่อสายตา
ชาวโลกด้วย เขาไม่มีเวลามานั่งรอให้คนอื่นตัดหน้าแล้ว เขา
จาเป็นจะต้องวางแผนตั้งแต่ตอนนี้

อิงเยว่ลู่ยิ้มให้เนี่ยหลี่ "หากเจ้าต้องการเป็นเจ้าสานัก ข้าจะ


แนะนาคนคนนึงให้ นางสามารถเป็นผู้ช่วยคนสาคัญของเจ้าได้"
ความจริงแล้ว จิตใจของอิงเยว่ลู่ก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน
นับตั้งแต่นางคานวณโชคชะตา และพบว่าตัวเองอยู่กับศิษย์ที่มี
ความเกี่ยวพันกับชาติก่อนเป็นอย่างมาก ทว่า นางยังถือว่าเป็น
คนในชาตินี้ และยังไม่มีความคิดทีจ่ ะรับศิษย์คนใด นางพบว่า
ประสบการณ์นี้สร้างความรู้สึกที่ยากจะบรรยายจริงๆ

ผู้ใดกัน

อิงเยว่ลู่มองเนี่ยหลี่อย่างลึกล้ากล่าวว่า "ศิษย์น้องของข้า หลงยู่


อิน"

เนี่ยหลี่ปฏิเสธทันที "จะใครก็ได้แต่ไม่ใช่นาง ทุกครั้งที่ข้า


เห็นนาง ความคิดฆ่าฟันก็พลุ่งขึ้นจนแทบควบคุมไม่อยู่แล้ว"

"มันมีเหตุผลที่นางและตระกูลผนึกมังกรต้องการให้ข้า
ตายในชาติก่อน ในสายตาของนาง ข้าเป็นคนที่ฆ่าอาจารย์ของ
นาง และนั่นเป็นเรื่องจริง ข้าเป็นผู้ฆ่าอาจารย์ของพวกเขา" อิง
เยว่ลู่มองไปยังความว่างเปล่าเบื้อหน้าแล้วถอนหายใจ

"เหตุและผลในโลกนี้ซับซ้อนนัก ข้าไม่อาจอธิบายทั้งหมด
ได้ในเวลาสั้นๆ เจ้าเกลียดชังนาง นางเกลียดชังข้า แล้วความ
เกลียดชั้งนี้ก็ขมวดเป็นเงื่อนปมแน่นจนไม่อาจแก้ได้ มีเพียงเจ้า
ที่จะสามารถช่วยให้นางคลี่คลายเงื่อนปมในใจและสลายความ
เกลียดชังที่นางมีต่อข้าได้"

พอได้ฟังคาพดของอิงเยว่ลู่ เนี่ยหลี่ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดหลงยู่
อินจึงต้องการให้อาจารย์ของเขาตาย ทว่า อยู่ๆ ก็มาบอกให้เขา
ละวางความแค้นลงยังเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

จะอย่างไร เขาเห็นอิงเยว่ลู่ตาย และการกระทาสุดจะทนของ


หลงยู่อินกับตาตัวเอง ด้วยจิตใจของเนี่ยหลี่ ย่อมต้องเกิดความ
ขุ่นแค้นทุกครั้งที่นึกภาพเหล่านั้นขึ้นมา ต่อให้เขามารู้เรื่องเอา
ตอนนี้ และเขาต้องการละความแค้น แต่บางอย่างนับเป็นเรื่อง
ช่วยไม่ได้ที่เขาจะอดกลั้นไหวจริงๆ

หากเจ้าต้องการให้นางละวางความแค้นที่มีต่อข้า เจ้าต้องละ
วางความแค้นที่มีต่อนางก่อน" อิงเยว่ลู่พูดขณะที่มอง
มายังเนี่ยหลี่ "นี่เป็น 'บริสุทธิ์ดั่งสายนที' ที่ข้าพูดถึง แม้ข้าจะ
อธิบายให้เจ้าฟังมาสองชาติเจ้าก็ยงั ไม่อาจปล่อยวางได้เลยเหรอ
เนี่ยหลีย่ ังอยากจะพูดต่อ "แต่...."

แต่น้าเสียงของอิงเยว่ลู่ราวกับหยาดน้าในฤดูใบไม้ผลอ นั่นช่วย
ให้เนี่ยหลีส่ งบลงได้ "ข้าไม่หวังให้เจ้าเข้าสูส่ ภาวะ 'บริสุทธิ์ดั่ง
สายนที' ทว่า หลงยู่อินไม่อาจทาอันตรายข้าได้แล้ว เหตุใดเจ้า
ไม่ละวางความแค้นลงเล่า

ข้า..." เนี่ยหลี่ใคร่ครวญเรื่องนั้นอยูค่ รู่หนึ่งจนสุดท้าย เขาก็ผงก


ศีรษะ "เข้าใจแล้ว"

กลายเป็นว่าหลงยู่อินกับอาจารย์ของเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
เนี่ยหลีร่ วบรวมความคิดอีกครั้ง อาจารย์ของเขามีภูมิปญ ั ญา
สูงส่งและสามารถพยากรณ์โชคชะตาได้ ดังนั้น นางย่อมมี
เหตุผลที่ขอให้เนี่ยหลี่ทาเช่นนี้ ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ เนี่ยห
ลี่ศรัทธาในอาจารย์ของเขาอย่างสุดหัวใจ
อิงเยว่ลู่ยิ้มเล็กน้อย "วิชา [พยากรณ์แดนสรวง] จะกลืนกิน
อายุขัยของข้าไปบางส่วนทุกครั้งทีท่ าการพยากรณ์ หากเจ้า
ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่นานๆ อย่าถามอะไรทั้งนั้น"

ขอรับ" ในหัวเนี่ยหลี่กลายเป็นว่างเปล่าเหม่อมองรอยยิ้มของ
นาง ใชาติก่อน อิงเยว่ลู่ไม่ค่อยยิม้ เท่าไหร่ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า
อิงเยว่ลู่ตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ไม่
ว่านางจะกาความลับสวรรค์อะไรไว้ นางก็ยังเป็นเพียงเด็กหญิง
คนหนึ่ง

อิงเยว่ลู่จ้องเนี่ยหลี่แล้วพูดว่า "เมือ่ เจ้ากลับออกไปแล้ว ห้ามมา


ที่นี่อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง เวลาที่เจ้ามาที่นี่ เจ้าจะดึงดูดความ
สนใจมากเกินไป" เมื่อนางได้ทาการพยากรณ์ นางก็ไม่รู้ว่าควร
จะแสดงท่าทางอย่างไรต่อเนีย่ หลี่ จะอย่างไร นางเป็นเพียง
เด็กหญิงอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านัน้ การที่อยู่ๆ ก็มีลูกศิษย์เช่น
เนี่ยหลี่ขึ้นมาทาให้นางรูส้ ึกแปลกๆ
เนี่ยหลี่พอจะเดาได้ว่าอาจารย์ของเขารู้มากกว่านั้น แต่ในเมื่อ
นางพูดออกมามากขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะต่อความยาว
สาวความยืดอีก

ตอนนี้เขาสบายใจแล้ว เมื่อเห็นอาจารย์ของตนยังอยู่ดมี ีสุข ใน


ความคิดของเขา เขาเข้าใจดีว่ายิ่งเขามาที่นี่น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่ง
เป็นการดีเท่านั้น จะอย่างไรตอนนีม้ ันยังติดอยู่ในวังวนการ
แก่งแย่งชิงดี ยิ่งรบกวนอาจารย์ของเขาน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี

สีหน้าที่บ่งบอกว่าตัดสินใจได้แล้วของเนี่ยหลี่แว่บผ่านไปบน
ใบหน้า "ถ้าเช่นนั้น โปรดรอจนกว่าข้าจะได้เป็นเจ้าสานักนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ด้วย" มีเพียงตาแหน่งเจ้าสานักนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถปกป้องอาจารย์ของเขาได้

เนี่ยหลี่งอหลังเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นก่อนจะออกไปจากกระท่อม

อิงเยว่ลู่มองเงาหลังของเนี่ยหลี่ก่อนจะทอดถอนใจเล็กน้อย
นางคงจะไม่สามารถรอจนกว่าเนี่ยหลี่จะได้เป็นเจ้าสานักหรอก
นางมองส่งเนี่ยหลีจ่ นกระทั่งเงาหลังของเขาลับไปจึงค่อยละ
สายตา..จบตอน
บทที่ 299 คู่แค้นทางคับแคบ

นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีขั้วอานาจหลายแห่ง ทั้งหมดต่างก็ไม่ลง
รอยและมีการแข่งขันกันและกัน จนในหนึ่งร้อยปีให้หลัง นิกาย
ก็ล่มสลาย เนี่ยหลี่ตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าสานักนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ในเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อให้ได้อานาจสิทธิขาดมา นั่นจึง
จะสามารถป้องกันไม่ให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ลม่ สลายได้

การได้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิม์ าไว้ในการควบคุมจะเป็นก้าว
แรกในการรวบรวมแนวร่วมที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
ปราชญ์

หลังกลับจากการมารอบนี้แล้ว เนีย่ หลี่จะต้องเร่งฝึกจนกว่าจะ


ไปถึงระดับชั้นชะตาสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่
นับเป็นหัวเลีย้ วหัวต่อสาคัญของการฝึกบ่มเพาะพลัง

ถนนสายนี้มีทางเข้าออกเดียวคือปากหุบเขา
เนี่ยหลีเ่ งยหน้าขึ้นด้วยความงงงัน เขาไม่คดิ เลยว่าจะได้มาพบ
หลงยู่อินที่นี่ นางตามหาอาจารย์ของเขางั้นเหรอ? แต่ก็อีกนั่น
แหละ หลงยู่อินกับอาจารย์ของเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

หลงยู่อินเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเนี่ยหลี่ที่นี่ ขณะมองไปที่
เนี่ยหลี่ นางรูส้ ึกราวกับถูกคนถอดวิญญาณของนางไป นางไม่รู้
จะวางมือไว้ตรงไหนดี หรือจะเข้าไปหาแล้วทักทาย ความจริง
ด้วยนิสัยของนาง นางไม่เคยมองใครด้วยความเคารพมาก่อน
ทว่า จิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเนี่ยหลี่โค่นนาง
ลง

แม้แต่นางยังไม่ทราบว่าเหตุใด นางถึงได้ประหม่าเมื่ออยูต่ ่อ
หน้าเนี่ยหลี่นัก นี่ไม่ใช่ตัวนางเลยจริงๆ

รอบๆ นี้ไม่มีใครอยู่นอกจากทั้งสองคน

ความไม่สบายใจเมื่อไม่รู้จะทาอย่างไรดีในสถานการณ์นี้ ทาให้
นางเริ่มหวั่นใจ
เนี่ยหลีย่ ืนอยู่กับที่พลางจ้องมองมาที่นางก่อนจะพูดว่า "ทาไม
เจ้าถึงมาที่นี่"

แม้ว่าเขาไม่อาจลืมการกระทาอันยากจะรับได้ของหลงยู่อินเมื่อ
ชาติก่อน เขาก็ยังจาคาของอาจารย์ได้ เรื่องทั้งหมด อดีต และ
อนาคต ล้วนเริ่มที่ตัวเขาเอง

ถึงหลงยู่อินในตอนนี้จะเป็นเด็กหยิ่งผยองและเอาแต่ใจไป
หน่อย แต่นางยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนแก้ไขไม่ได้

เมื่อเขามีโอกาสได้มีชีวิตทีส่ อง เขาย่อมสามารถแก้ไขความแค้น
นี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

หลงยู่อินพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ข้ามาที่นี่.....เพื่อหาคน"
เนี่ยหลี่แปลกใจ เด็กหญิงที่ยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้าเขานี่ใคร
กัน? ใช่หลงยู่อินที่มีนิสัยยากจะรับได้เมื่อชาติก่อนแน่หรือ?
นางใช่สตรีเอาแต่ใจไร้เหตุผลนั่นแน่หรือ?

ทั้งสองยืนอยู่ในระยะที้างกั
่ นพอสมควร เนี่ยหลี่เห็นว่าระยะ
ขนาดนี้ยากจะคุยกันดีๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไป

หลงยู่อินถึงกับตัวแข็งและก้าวเท้าถอยหลังในทันที นางถาม
ด้วยน้าเสียงสั่นเครือว่า "เจ้าจะทาอะไร

นางถึงกับหน้าร้อนเมื่อคิดถึงสิ่งที่เนี่ยหลี่เคยหยามนางไว้ เขาคง
ไม่คิดจะทาแบบนั้นที่นี่หรอกจริงมัย้ ? ยิ่งในตอนนี้ ที่นี่? ที่นี่มี
เพียงนางและเนีย่ หลีส่ องต่อสอง และนางไม่ใช่คู่มือเนี่ยหลี่เลย
สักนิด แม้แต่ทางด้านพลังกายที่นางภาคภูมิใจ นางก็ยังถูกโค่น
ได้ง่ายๆ เมื่อเผชิญหน้ากับเนี่ยหลี่ นางไม่อาจปลุกปลอบ
ความคิดต่อสู้ขึ้นมาได้เลยจริงๆ
เนี่ยหลี่ถึงกับยืนงง หลงยู่อินกลายเป็นคนขี้อายเช่นนี้ตั้งแต่
เมื่อใด?

เนี่ยหลีย่ ืนอยู่กับที่ แต่กลับพบว่าสถานการณ์ดูจะตลกอย่าง


แปลกๆ "ไม่ต้องห่วง เมื่ออยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า ข้าก็ทาอะไร
เจ้าไม่ได้หรอก" เนี่ยลี่พยายามทาตามที่อาจารย์ของเขาแนะนา
เพื่อแก้ไขความแค้นของทั้งสอง แต่ยามนี้เมื่อได้มาเผชิญหน้า
กันจริงๆ เขากลับไม่รู้ว่าจะต้องเริม่ ต้นอย่างไร

ในใจจริงขอเงนี่ยหลี เขายังคงมีความแค้นต่อหลงยู่อินอยู่ ทว่า


นี่ไม่ใช่ชาติก่อน สถานการณ์นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ของเขา เนี่ยหลี่ก็มี
ความคิดจะปล่อยวางมันลง

เนี่ยหลีไ่ ม่คดิ เลยว่าการปะทะกันของทั้งสองคน จะเปลี่ยนหลง


ยู่อินที่เอาแต่ใจกลายเป็นเรียบร้อย เช่นนี้ นับว่าผิดไปจากหลง
ยู่อินที่เขารู้จักโดยสิน้ เชิง เนี่ยหลี่พอจะปะติดปะต่อความได้ว่า
ในชาติก่อนนั้น
หลงยู่อินเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งและโดดเด่นจนหาคนเทียบ
ได้ยากตั้งแต่ยังเล็ก และผู้คนต่างพากันยกยอนางด้วยเหตุนั้น ที
ละนิดๆ นั่นเป็นสิ่งที่ปั้นให้นางกลายเป็นคนที่หัวสูงและมีนสิ ัย
เหลือรับ พอเวลาผ่านไปจนนางเติบใหญ่และแข็งแกร่งขึ้น ก็ยิ่ง
หยิ่งผยอง และมองว่าไม่มสี ิ่งใดคู่ควรกับนางจนสุดท้าย นางก็
กดดันอาจารย์ของเขาจนตาย

ทว่า หลงยู่อินในชาตินี้ยังเด็ก นางยังเปลี่ยนได้อยู่ (T/L: สอน


ตอนเด็ก/แถมฟรีตอนโต)

นางเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เนี่ยหลี่โค่นนางลงอย่างสมบูรณ์ นาง
ยังคงแข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็น แต่ตอนนี้ อย่างน้อยนางก็ลด
ท่าทางอันเหลือรับนั่นลงไปแล้ว

แต่หลงยู่อินตอนนีเ้ พียงเรียบๆ ร้อยๆ ต่อหน้าเนีย่ หลีเ่ ท่านั้น


กับคนอื่นนางยังแสดงท่าทางเช่นเดิมอยู่ นางย่อมไม่วางตัว
เรียบร้อยต่อคนอื่น เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่
ดูเหมือนว่าหลงยู่อินในชาติก่อนจะขาดคนคอยสั่งสอน ดังนั้น
นางจึงโตไปเป็นคนเลวร้ายขนาดนัน้

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฎที่ปากของเนี่ยหลี่ ขณะที่เขามองไปยัง
หลงยู่อินที่กาลังประหม่าอยู่ "เจอต้นตอของปัญหาจนได้ ข้าจะ
ทาให้แน่ใจว่าเจ้าถูกปั้นใหม่!! ข้าจะเปลีย่ นเจ้าให้เป็นคนที่ดีขึ้น
กว่าเดิม"

เนี่ยหลีเ่ ดินเข้าหาหลงยู่อินจนเหลือเพียงก้าวเดียวจะถึงตัว
ความคิดของเขาก็ถูกดึงไปอีกทาง ก่อนหน้านี้ ความโกรธแค้น
และเกลียดชังหลงยู่อินบดบังสายตา แต่คาพูดของอาจารย์ทา
ให้มันสามารถสารวจการกระทาของตัวเองใหม่

ในความเป็นจริงแล้ว วิธีแก้ปัญหาไม่ได้มีเพียง 'ตาต่อตา ฟันต่อ


ฟัน' เท่านั้น มันสามารถฉวยโอกาสขณะทีฝ่ ่ายตรงข้ามยังเล็ก
อยู่ได้ เขาสามารถทาให้นางหมดกาลังต่อสู้ หรือแม้แต่เปลี่ยน
นางให้มาอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ นั่นไม่ฉลาดกว่าหรอกหรือ?
บางคนกระหายเลือดตั้งแต่ยังเด็ก พอโตขึ้นก็กลายเป็นคนชั่ว
ร้ายไร้จิตเมตตา คนพวกนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทว่า คนอย่าง
หลงยู่อินนั่นแตกต่างออกไป แม้ว่านางจะหยิ่งผยองและเอาแต่
ใจตัว แต่โดยสันดานแล้วนางไม่ใช่คนเลวร้าย แม้ว่าจาเป็น
จะต้องใช้รุนแรงเล็กน้อย แต่นางยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้

หลงยู่อินรูส้ ึกขนลุกทุกก้าวที่เนี่ยหลี่เดินใกล้เข้ามา นางรู้สึกราว


กับตัวเองเป็นลูกแกะที่เพิ่งถูกตัดขนออกไป ยืนเปล่าเปลือยอยู่
ภายใตสายตาของเนีย่ หลี่ รับแรงกดดันอันมหาศาล

หากเป็นคนอื่น หลงยู่อินจะยังไม่หวาดกลัวขนาดนี้ แม้ว่าฝ่าย


ตรงข้ามจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังสูงกว่านางหลายเท่าก็ตาม นาง
รู้ว่าพวกนั้นจะต้องเกรงอิทธิพลของตระกูลผนึกมังกรแน่ ดังนั้น
พวกนั้นย่อมไม่กล้าทาอะไรนางเด็ดขาด แต่นั่นไม่อาจใช้
กับเนี่ยหลีไ่ ด้
เขาเป็นบุคคลคนแรกและคนเดียวที่กล้าเอ่ยปากด่านาง ใช้แส้
ฟาดนาง และยังโค่นนางได้ด้วยพลังกายที่นางภาคภูมิใจว่าไม่มี
ทางด้วยกว่าใคร แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น หลังจากที่นางถูกคาพูด
ของเนี่ยหลี่ยั่วยุ นางก็ยังต้องการสูก้ ับมันอย่างยุติธรรมโดยไม่มี
เรื่องตระกูลเข้ามาเกี่ยวข้อง

นางทราบดีว่าหากไม่มตี ระกูลคอยหนุนหลังแล้ว สาหรับเนี่ยหลี่


นางนับว่าไร้ค่า

แม้ว่าเนี่ยหลี่จะสูงกว่านางเพียงเล็กน้อย แต่ในสายตาของนาง
เนี่ยหลีร่ าวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับจนนางหายใจไม่ออก

หลงยู่อินใจเต้นไม่เป็นส่า นางหอบหายใจรุนแรงพร้อมหน้าอก
ยุบพองอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตารุกรานของเนี่ยหลี่ นางอด
ใช้สองมือปิดหน้าอกมิได้ เสียงของนางสั่นเครือถามว่า

"เจ้า......เจ้าคิดจะทาอะไร?"
หลงยู่อินความจริงแล้วมีใบหน้างดงามทีเดียว เทียบกับอาจารย์
ของเนี่ยหลี่แล้ว นับว่างดงามต่างกันไปคนละแบบ แต่ทั้งคู่ก็ยัง
เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามระดับนางฟ้าทีเดียว ในตอนนี้หลงยู่อิน
สวมชุดรัดรูปแสดงให้เห็นสัดส่วนอันงดงาม

เนี่ยหลี่อดเห็นอาการหงุดหงิดของหลงยู่อินเป็นเรื่องตลกมิได้
สตรีนางนี้หลงตัวเองเกินไป นางคิดว่าเขาจะหน้ามืดทาอะไร
นางงั้นเหรอ? เขาเคยได้ยินว่าผู้หญิงที่หยิ่งทะนงนั้นจะ
แข็งแกร่งแต่เพียงที่แสดงออกเท่านั้น แต่ภายใต้เปลือกนั้นเป็น
คนที่จิตใจอ่อนแอ เขาเคยได้ยินว่าหลงยู่อินถูกเลีย้ งมาโดย
มารดาเพียงคนเดียว ซึ่งแต่งงานอีกครั้งภายหลัง เพราะฉะนั้น
นางจึงมีท่าทางหยาบคายและไร้เหตุผล เพื่อไม่ให้มีใครเข้าใกล้
นางได้

บางที หลงยู่อินคงจะเหงา การแสดงออกที่เหลือจะรับนั้นเป็น


เพียงหน้ากากที่ปิดปังตัวตนข้างในอยู่เท่านั้น

ความคิดเหล่านีผ้ ่านเข้ามาในสมองเพียงชั่วพริบตา ความ


เกลียดชังที่มีต่อหลงยู่อินก็สลายไปจนหมด มุมปากของเนี่ย
หลี่ยกขึ้นเมื่อมองไปยังหลงยู่อิน ที่กาลังทาท่าหวาดหวั่นสั่น
กลัวราวกับลูกกระต่ายตัวน้อย การเป็น 'ตัวร้าย' ในชาตินี้นับว่า
ไม่เลวทีเดียว

เนี่ยหลีต่ บไหล่นางเบาๆ "หลงยู่อิน อิงเยว่ลู่เป็นอาจารยข์ของ


ข้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อน แต่ข้าอยาก
ให้เจ้ารู้ว่านางเป็นคนที่มีจิตใจดี นางย่อมไม่ทาร้ายคนอื่นแน่
ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถลดอคติแล้วลองคิดดูใหม่ มันอาจเป็น
แค่เรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้จริงมัย้

เมื่อมือของเนี่ยหลี่แตะลงบนไหล่ของนาง กล้ามเนื้อทั่วร่างของ
หลงยู่อินพลันแข็งเกร็ง นางประหม่าจนถึงขนาดในหัวขาว
โพลนไม่อาจคิดอะไรได้อีก นี่เป็นเพราะในพื้นที่เปลี่ยวเช่นนี้
เนี่ยหลีจ่ ะยอมปล่อยนางไปหรือ?

หลงยู่อินไม่ได้คิดถึงอิงเยว่ลู่แล้ว นางทาได้เพียงตอบกลับอย่าง
สั่นเครือว่า "อึ้ม"
เนี่ยหลีจ่ ้องนางอยู่อีกครู่หนึ่ง ทาไมวันนี้หลงยู่อินดูว่าง่ายจัง?
นิ้วของนางกลายเป็นสีขาวซีดจากการกาหมดแน่นจนเกินไป
ใบหน้ากลับแดงเถือก ช่วยไม่ได้หากมันจะรูส้ ึกสนุกแปลกๆ
หากเขาคิดจะจับกดนางตรงนี้ นางคงไม่อาจขัดขืนได้จริงมัย้ ?

บางที เด็กหญิงตรงหน้าเขานี่แหละ เป็นตัวของหลงยู่อินจริงๆ

ความแตกต่างระหว่างหลงยู่อินก่อนหน้ากับหลงยู่อินตอนนีม้ ี
มากเกินไปจนเนี่ยหลี่ขบขัน ทว่าเขาเลิกแกล้งหยอกนางเมื่อ
เห็นว่านางกาลังก้มหน้าจนแทบฝังหัวลงไปในอกของตัวเองแล้ว

เนี่ยหลีม่ องหลงยู่อินอีกครั้ง "กลับไปคิดเรื่องที่ข้าพูดให้ดี หาก


เจ้ามีปญ
ั หาอะไร ให้มาหาข้า"

เนี่ยหลี่อดหัวเราะในใจไม่ได้ ช่างเป็นลูกแกะที่เชื่องอะไรอย่าง
นี?้ แต่เขาไม่ได้รั้งนางไว้อีก เพื่อให้หลงยู่อินพิจารณาคาพูดของ
เขาก่อน เขาเดินผ่านนางก่อนจะเดินจากไป
แต่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกหยุดด้วยเสียงของหลงยู่อินที่ดัง
ขึ้นมากะทันหัน "ช้าก่อน" นางรู้สึกราวกับว่าต้องใช้พลังทั้งหมด
เพื่อบังคับร่างกายให้กล่าวคานี้ออกมาทีเดียว

เนี่ยหลีห่ มุนตัวกลับไปมองนาง "ว่าอย่างไรหรือ

ไม่ใช่เจ้าบอกข้าว่าให้ข้าอยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทาได้หรือ.....
เสียงของหลงยู่อินเบาลงทุกคาจนกระทั่งคาสุดท้ายเสียงเบา
เป็นยุง

แต่เนี่ยหลี่ยังได้ยินชัดเจนทุกคาทีเดียว เขายิ้มและกล่าวว่า
"แม้ว่าข้าจะอธิบายเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่
หลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์ ข้าก็ตดั สินใจที่จะ
ปล่อยวางความเกลียดชังต่อเจ้า หลงยู่อิน ข้ายังหวังว่าเจ้าจะ
สามารถปล่อยวางความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อท่านอาจารย์ของข้า
ได้เหมือนกัน เมื่อถึงเวลานั้น บางทีพวกเราอาจได้เป็นสหายกัน
..."
พวกเราจะมีเรียนในอีกสามวัน ข้าจะรอคาตอบจากเจ้า" เนีย่ ห
ลี่พูดจบ ยิ้ม หมุนตัว และเดินจากไป

หลงยู่อินยังคงงุนงงในขณะที่เงาหลังของเนี่ยหลี่หดเล็กลงตาม
ระยะห่างที่เพิ่มขึ้น เหตุใดเนี่ยหลี่จงึ เกลียดชังนาง? เป็นเพราะ
อิงเยว่ล?ู่ อิงเยว่ลู่กลายเป็นอาจารย์ของเนี่ยหลีไ่ ด้อย่างไร?

ความคิดของหลงยู่อินผสมปนเปกันจนยากจะสงบได้ ร่างกาย
ของนางหายจากอาการแข็งเกร็งเมื่อเนี่ยหลี่จากไปไกล แต่นัง
ยังรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง ราวกับนางถูกสูบพลังงานออกไป
หมด

แค่การเผชิญหน้ากับเนีย่ หลี่ธรรมดา แต่นางรูส้ ึกราวกับเพิ่ง


ได้รับประสบการณ์การต่อสู้ครั้งใหญ่อันดุเดือดมาทีเดียว
บทที่ 300 คารวะ

หลงยู่อินยังยืนอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มเดินไปยัง
กระท่อมของอิงเยว่ลู่อย่างช้าๆ คาพูดของเนี่ยหลี่ทาให้นางต้อง
เริ่มคิด ชะตาของอิงเยว่ลู่อยู่ในมือหลงยู่อิน แต่หลงยู่อิน
ต้องการให้อิงเยว่ลู่ตายจริงๆ งั้นเหรอ?

นางคิดถึงคาถามนี้จนกระทั่งได้ข้อสรุป จะอย่างไร อิงเยว่ลู่ก็


เป็นศิษย์พี่ของนาง ส่วนเรื่องอาจารย์ของทั้งคู่ นางคิดว่าน่าจะ
มีเรื่องราวอยูเ่ บื้องหลัง

อย่างที่เนี่ยหลี่พูด อิงเยว่ลู่เป็นคนที่ให้ตัวเองเจ็บดีกว่าให้คนอื่น
เจ็บ

เนี่ยหลี่กลับมาถึงส่วนที่พักของเซี่ยวหยู่

เซี่ยวหยู่เห็นเนี่ยหลี่ก็ถามว่า "เนีย่ หลี่ ไปไหนมาล่ะ


เนี่ยหลีย่ ิ้ม "ข้าไปเจอเพื่อนเก่ามาน่ะ"

เพื่อนเก่าเซี่ยวหยู่สับสนกับคาพูดนั้น เนี่ยหลี่เพิ่งมาถึงสถาบัน
วิญญาณฟ้าไม่นาน เขาไปมีเพื่อนเก่าตั้งแต่เมื่อไหร่?

เนี่ยหลีไ่ ม่อธิบายให้เซี่ยวหยู่ฟังมากนัก แต่มองเลยเซี่ยวหยูไ่ ปก็


เห็นหวงอิ้ง จึงรีบทักทายนาง "เจ้าก็อยู่ด้วย

เนี่ยหลี่ สวัสดี" หวงอิ้งเผยยิ้มอย่างน่ารักทันทีพลางกอดของ


เซี่ยวหยูไ่ ว้ด้วยสองมือ ราวกับนกน้อยน่ารักที่ช่วยตัวเองไม่ได้

เนี่ยหลีย่ ิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วกล่าวว่า "ข้าจะไปฝึกฝนต่อ พวก


เจ้าก็ตามสบายเลยแล้วกัน"

เซี่ยวหยู่หน้าแดง "เนี่ยหลี่ อย่าเข้าใจผิด"


แต่เนี่ยหลี่เพียงหัวเราะ แล้วโบกมือลา "เข้าใจผิด? เจ้าพูดจริง
ใช่มั้ยเนี่ยเขาขยิบตาให้หวงอิ้งคราหนึ่งแล้วกลับไปที่ห้องของ
ตัวเอง

หวงอิ้งหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่นางยังคงไม่ปล่อยแขน
เซี่ยวหยู่ ส่วนทางเซี่ยวหยู่นั้นดูจะทาอะไรไม่ได้นอกจากถอน
หายใจ

เมื่อเนี่ยหลี่กลับเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นนางฟ้ายู่หยานลอยอยู่
กลางอากาศระหว่างที่กาลังบ่มเพาะพลัง ทว่า ที่ทาให้เขา
แปลกใจจริงๆ แล้วคือทั่วร่างของนางสามารถส่งเปลวเพลิงสี
ทองออกมาได้ เปลวเพลิงเหล่านี้เผาไหม้อย่างต่อเนื่อง เพิ่ม
อุณหภูมิของห้องขึ้นไปถึงจุดทีส่ ูงจนน่ากลัว

พลังอันมหาศาลอัดอยู่เต็มห้องจนแทบล้น

เนี่ยหลีไ่ ม่เคยมีเรื่องที่ยู่หยานจะไปถึงขั้นชะตาสวรรค์ก่อนเขา
อยู่ในหัวเลย เพราะชะตาสวรรค์ของนางดูจะแตกต่างจากคน
อื่นอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเนี่ยหลี่จึงไม่รวู้ ่านางแข็งแกร่งขนาดไหน
เมื่อไม่มีคนที่สามารถนามาเปรียบเทียบได้

เปลวเพลิงสีทองดุจละลายอากาศในห้องได้เลย

เมื่อเห็นยู่หยานอยู่ระหว่างการฝึก เขาก็ไม่รบกวนหรือขัดขวาง
นาง พอเนี่ยหลี่ก้มลงมองไปรอบๆ ก็เจอจินตาน ม้วนตัวนอน
อยูท่ ี่มุมห้อง กิจวัตรของเจ้าตัวนี้มเี พียงหลับ กิน หลับ และกิน
แต่สิ่งที่ทาให้เนี่ยหลี่งุนงงที่สุดก็คือความจริงที่ว่าจินตานจะ
หลับเป็นเวลานานทุกๆ วันหลังจากกินแล้ว พอมันตื่น มันก็จะ
แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว

เจ้าตัวน้อยนี่เก่งขึ้นด้วยความเร็วทีน่ ่ากลัวมาก

จากห้วงวิญญาณของเขาเนี่ยหลี่บอกได้ว่าลู่เพียว กาลังจะ
ทะลวงชั้นชะตาสวรรค์ได้แล้วหลังจากที่ดูดซับพลังจากศิลาจิต
วิญญาณจานวนมาก ทว่าเนีย่ หลีเ่ องกลับยังไปไม่ถึงหน้าประตู
ของระดับชะตาสวรรค์เลยด้วยซ้า
ตามปกติแล้ว หลังจากดูดซับพลังฟ้าได้มากพอ ระดับพลังของ
เขาควรจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่า พลังสวรรค์ทดี่ ูดซับได้
ส่วนใหญ่ถูกเถาเลื้อยในห้วงวิญญาณดูดกลืนไป เหลือให้เนี่ยหลี่
ใช้ฝึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สิ่งที่เขาทาได้ตอนนี้มีเพียงตั้งสมาธิกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
ต่อไปเท่านั้น

แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ

แม้ว่าเด็กชุดใหม่จะสร้างความฮือฮาขึ้นในสถาบันวิญญาณฟ้า
แต่ความตื่นเต้นก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปตามเวลา จะอย่างไร การ
ฝึกฝนบ่มเพาะพลังนับเป็นเรื่องสาคัญกว่าสิ่งอื่นใด

หลังจากถูกหลี่ชิงอวิ๋นเตือน ฮัวหลิงก็แสดงให้เห็นว่ามีความ
ยับยั้งชั่งใจมากขึ้น และจมอยู่กับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังมากขึ้น
ด้านมู่หลงหยี่กาลังหงุดหงิดได้ที แม้ว่าความจริงเขาจะสามารถ
สร้างสถิติใหม่ได้ในสนามฝึกซากโบราณสถานแห่งความสะพรึง
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเนี่ยหลี่จะหนีเงือ้ มมือของเขาไปได้ เนี่ยหลี่
คงจะหนีออกจากสนามไปได้ระหว่างที่เขากาลังตามล่าตัวอยู่
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะต้องการสร้างปัญหาให้เนี่ยหลี่เพิม่ แต่เนี่ยหลี่
ไม่เปิดโอกาสให้เขาทาได้เลย

คนอื่นๆ เองก็อยู่ในช่วงสงบเงียบ พยายามมุ่งความสนใจไปที่


การฝึกฝนบ่มเพาะพลัง

เวลาผ่านไปวันต่อวัน

เนี่ยหลี่หมดศิลาจิตวิญญาณไปกับการบ่มเพาะพลังราว
วันละร้อยถึงสองร้อยก้อน ทว่า ศิลาที่เขาเก็บเอาไว้ในแหวนมิติ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเพราะเนีย่ หลีห่ ลอมวิญญาณอสูรทีม่ ีระดับ
เติบโตในระดับพระเจ้าทุกวัน เขายังทั้งให้กู้เบ่ยขายแทน และ
ทั้งส่งให้หลี่ชิงอวิ๋นเอง ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายที่ตลาด
ปริมาณศิลาจิตวิญญาณในแหวนของเนี่ยหลี่เพิ่มขึ้นในอัตราที่
น่ากลัวยิ่ง เนี่ยหลี่ยังคงซื้อจิตอสูรสายเลือดมังกรจานวนมาก
ต่อไป ถึงแม้ว่าทั้งหมดจะมีระดับการเติบโตชั้นสามัญก็ตาม

ยิ่งเนี่ยหลี่ขายวิญญาณอสูรที่มรี ะดับเติบโตในระดับพระเจ้ามาก
เท่าไหร่ หลี่ชิงอวิ๋นก็ยิ่งให้ความสาคัญกับเขามากเท่านั้น หลี่
ชิงอวิ๋นไม่รู้ว่าเนี่ยหลี่ไปเอาวิญญาณอสูรที่มีระดับเติบโตใน
ระดับพระเจ้าเหล่านี้มากจากไหน และไม่คิดจะถามหาคาตอบ
ด้วย จะอย่างไร เมื่อเป็นความลับของอีกฝ่ายก็ไม่มเี หตุผลอะไร
ที่ต้องถาม อีกประการมันจะเป็นปัญหาที่ทาให้การทาธุรกิจ
ร่วมกันเสียหาย

ด้านหูหย่งก็เหมือนถูกข่มขู่กลายๆ เมื่อเนี่ยหลี่มีเส้นสายใกล้ชิด
กับทั้งกู้เบ่ยและหลี่ชิงอวิ๋น

-------
วันนี้มีชั้นเรียนของอาจารย์ชิหลิง และหัวข้อการเรียนก็ยังเป็น
เรื่องพลังกายอยู่

ทุกคนต่างก็มองไปที่เนี่ยหลี่และหลงยู่อิน ในชั่วโมงเรียนครั้ง
ก่อน เนี่ยหลี่และหลงยู่อินสู้กันจนพื้นสนามซ้อมเละเทะไปหมด
ทั้งสองคนคงไม่เป็นแบบคราวที่แล้วหรอกนะ?

หลงยู่อินยืนนิ่งลังเลอยู่ครูห่ นึ่ง ก่อนจะเข้าไปหาเนี่ยหลี่ ใบหน้า


ของนางขึ้นสีแดงจางแล้วถามด้วยเสียงนุ่มนวลเบาบางว่า "เจ้า
ช่วยฝึกกับข้าได้มั้ย

เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ทาให้นางดูแข็งแกร่งยากจะผู้ใดต้านทาน
เมื่อรวมกับความงามของนางแล้ว ภาพของนางสามารถทาให้
เด็กชายในชั้นเดินเหม่อจนหน้าคว่าได้แน่นอน ก่อนหน้านี้
ภาพลักษณ์อันเกรี้ยวกราดของนางผลักดันผู้อื่นให้อยู่ห่างนางไว้
แต่ตอนนี้ เป็นความจริงที่นางกาลังพูดด้วยน้าเสียงนุ่มนวล เบา
บางจนคนที่แอบดูอยู่ถึงกับอ้าปากตาค้างจนกรามแทบหลุด
หลงยู่อินยังเป็นแม่เสือสาวที่พวกเขารู้จักอยู่หรือไม่? นี่เป็นใคร
มาสลับตัวไปหรือ?

ไม่ใช่เพียงนักเรียนคนอื่นๆ แม้แต่ลู่เพียวและกู้เบ่ยก็ยังยืนงง

ลู่เพียวขยี้ตา "ข้าคงยังไม่ตื่น นีต่ ้องเป็นในฝันแน่ๆ"

เนี่ยหลีย่ ิ้มแห้งเมื่อเห็นท่าทางประหม่าของหลงยู่อิน "ได้สิ"

ทุกคนต่างก็ยืนงงเพราะคาตอบของเนี่ยหลี่ สมองไม่อาจ
ประมวลผลได้ทัน นี่มันเกิดอะไรขึน้ ?

นี่ยังเป็นเนี่ยหลี่คนเดิมที่บอกให้หลงยู่อินอยู่ห่างๆ หรือเล่า?

การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไป ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เข้าเรียนสั้นๆ
นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มันต้องมีเรือ่ งราวเบื้องหลังแน่
ข้าได้กลิ่นแหม่งๆ เนีย่ หลีเ่ จ้าคงไม่ทาอะไรลับหลังนางฟ้าจื่อห
วินกับหนิงเอ๋อใช่มั้ย? ลู่เพียวเค้นคอถามเนี่ยหลี่ แล้วก็ได้รับ
รางวัลอย่างหนักหน่วงจากเนีย่ หลีเ่ ป็นคาตอบ

แม้แต่อาจารย์ชิหลิงก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนนี้ทั้งสองคนต่างก็หัวร้อน
ใส่กัน เหตุใดจึงลดท่าทีต่อกันลงเสียเฉยๆ? แต่นี่เป็นเรื่องดี
สาหรับเขา จะอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการให้นักเรียนในชั้นมีข้อ
ขัดแย้งกันเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นเรือ่ งปกติที่นักเรียนระดับ
อัจฉริยะมักจะหยิ่งในศักดิศ์ รีจะท้าชนกัน และเขาก็ไม่อาจห้าม
ได้เด็ดขาดเมื่อเป็นความต้องการของพวกนั้นเองก็ตาม

เมื่อการจับคูซ่ ้อมเริ่มขึ้น ทุกคนต่างก็หันหน้าเข้าสู้คซู่ ้อมของ


ตนเอง

สีหน้าของหลงยู่อินค่อยๆ เปลีย่ นเป็นจริงจัง นางพุ่งขึ้นแล้วส่ง


ลูกเตะด้วยท่าหมุนตัวเตะใส่เนี่ยหลี่เป็นชุด
เจ้าอาจจะมีระยะจูโ่ จมยาว แต่ยังมีช่องว่างอยู่เยอะมาก เจ้ายัง
ช้าเกินไป" เนี่ยหลี่พูดระหว่างหลบจากนั้นก็ชกคืนใส่นางสาม
หมัด หนึ่งที่น่อง หนึ่งที่สีข้าง และอีกหนึ่งที่ท้อง "ทั้งสามจุดนี้
เป็นช่องว่าง"

ใบหน้าของหลงยู่อินขาวซีดเมื่อรับสามหมัดนั้นจนต้องล่าถอย
ไปหลายก้าว นางรู้สึกมึนงงจากสามหมัดนั้น ในใจสั่นไหว อย่าง
นี้เอง ความจริงเนี่ยหลี่แข็งแกร่งกว่านางมาก ก่อนหน้านี้เป็น
เขาออมมือเอาไว้

ความจริงแล้ว เนี่ยหลี่อ่อนแอกว่านางมาก จะอย่างไรหลงยู่อิน


ก็มีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ ทว่าเนี่ยหลีเ่ ข้าใจในวิถี เข้าใจ
ในเส้นทางแห่งวิชายุทธในระดับทีห่ ลงยู่อินจินตนาการไม่ถึงเลย
ทีเดียว

สีหน้าของหลงยู่อินเริ่มเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบเมื่อนางค่อยๆ
พิจารณาคาแนะนาของเนี่ยหลี่ เมือ่ เข้าใจได้มากขึ้นเล็กน้อย
นางก็เริ่มโจมตีต่อ
เสียงของเนี่ยหลี่กลายเป็นเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น "นี่ นี่ และ
นี่ การตอบสนองของเจ้าช้าเกินไป และมุมโจมตีก็ไม่ถูกต้อง!!
นั่นผิดแล้ว!!"

หลงยู่อินถูกฟาดลงไปกองกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า นางกลับ


ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ (T/L: ประตูบานใหม่เปิดแล้ว หลงยู่อิน
ได้พบกับนายท่านแล้ว!! อ๊ะล้อเล่น..) และตั้งท่าเตรียมพร้อมทุก
ครั้งที่ลุกขึ้นมา แม้ว่าเนี่ยหลี่จะเข้มงวด แต่นางสัมผัสได้ว่า
วิชาการต่อสู้ของนางกาลังพัฒนาขึน้ ภายใต้การชี้แนะของเนี่ยห
ลี่ เขาสามารถสอนนางได้ดีกว่าอาจารย์คนไหนๆ

นักเรียนคนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันเมื่อเห็นหลงยู่อินตื่นเต้นจน
อารมณ์ที่ปรากฎอยูบ่ นใบหน้านั้นดูยินดีจนแทบคลั่ง ผู้หญิงคน
นั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
อาจารย์ชิหลิงมองการซ้อมของทั้งคู่ด้วยความตกตะลึง สิ่งที่
ปรากฎอยู่บนใบหน้าของเขาตอนนี้คือความ "อับอาย" รู้สึกราว
กับว่าไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการฝึกพลังกาย เมื่อเทียบ
กับเนี่ยหลี่

แต่ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความรู้
ด้านพลังกายที่อาจสอนเนี่ยหลี่ได้เลย

เขาทาได้เพียงแกล้งทาเป็นไม่รไู้ ม่เห็นต่อไปเมื่อนักเรียนคนอื่น
ไม่ทราบเรื่อง

จิตใจของหลงยู่อินเต็มไปด้วยความเคารพยกย่องเนี่ยหลี่ ทุก
การโจมตีที่ดูจะสมบูรณ์แบบในสายตาของนาง แต่เนี่ยหลี่กลับ
เห็นว่ามันเต็มไปด้วยช่องว่างรอยโหว่ การชี้แนะของเขามอบ
ปัญญาให้นาง ยิ่งเมื่อนางเป็นพวกเรียนรูไ้ ด้เร็ว เมื่อผ่านการ
ต่อสู้มารอบหนึ่ง นางก็สามารถสัมผัสได้ว่าความเข้าใจในการ
ฝึกฝนของเนี่ยหลี่นั้น สูงเกินกว่านางไปหลายมิติ!!

แต่ในใจของนางยังคงไม่ยอมรับอยู่หน่อยๆ เนี่ยหลี่เป็นศิษย์
ของอิงเยว่ลู่? นั่นไม่ได้หมายความว่าอิงเยว่ลู่ยังเก่งกาจกว่า
เนี่ยหลี่อีกเหรอ?

นางยังคงดูดซับวิชาที่เนี่ยหลี่สอนให้อย่างรวดเร็วราวกับฟองน้า
นางรู้สึกว่าเนี่ยหลีเ่ ป็นเพียงคนเดียวที่สามารถชี้แนะให้นางไป
ถึงระดับที่สูงจนไร้ทสี่ ิ้นสุด

เนี่ยหลี่กเ็ ข้าใจดีว่าสตรีนางนี้นับว่าสามารถสั่งสอนได้เมื่อนางยัง
เด็กอยู่ ไม่มีใครทีส่ ามารถชี้แนะนางได้อย่างเหมาะสม จึงเป็น
เหตุให้นางกลายเป็นคนร้ายกาจไป ทว่า นางจะเคารพคนที่
แข็งแกร่งกว่านาง แม้ว่าจะเป็นคนอื่นอย่าง มู่หลงหยี่ ที่เรียกได้
ว่าแข็งแกร่งกว่านางเช่นกัน แต่กับนางแล้ว นั่นก็เป็นเพียง
เพราะอายุของเขามากกว่า ทว่า เนี่ยหลี่ที่มีอายุเท่ากันกลับ
สามารถโค่นนางลงได้ด้วยพลังกาย นางจึงยอมรับเขา
ไม่ว่าเนีย่ หลี่จะตาหนินางอย่างไร นางก็ยังคงอดทนเงียบๆ
ในขณะที่ทั้งคู่ซ้อมต่อไป นางยิ่งเคารพในตัวเนี่ยหลี่มากขึ้น
เช่นเดียวกันกับที่ศิษย์เคารพในคาสอนของอาจารย์

นักเรียนคนอื่นๆ ถึงกับพูดไม่ออก ไม่มีใครคิดออกว่าเนี่ยหลี่ใช้


วิธีอะไรทาให้นางเสือตัวนี้เชื่องได้ กับคนอื่นแล้ว รังสีกระหาย
เลือดของนางกลับทาให้พวกเขาหวาดกลัว ทว่านางกลับเชื่อง
ราวกับลูกแกะเมื่ออยู่ต่อหน้าเนี่ยหลี่

ไม่นาน ชั้นเรียนก็หมดเวลา
บทที่ 301 ผลตอบแทน

หลักจากจบบทเรียน หลงยู่อิน มุ่งหน้ากลับมาทีล่ ากบ้านของ


นาง คาสอนของเนี่ยลี่ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนาง ยิ่งนาง
คิดเรื่องนั้นมากเท่าใด นางก็พบว่าสิ่งที่เขาสอนนั้นลึกล้ายิ่งนัก

ท้ายที่สุดนางก็ได้เข้าใจแล้วว่า นางเป็นเพียงแค่ กบในบ่อน้า


(เทียบกับสานวนไทยได้ว่า กบในกะลา เดี๋ยวจะอธิบายตอนจบ
ตอน ) ความรู้ของเนี่ยลี่นั้นกว้างไกลเกินกว่าที่นางจะ
จินตนาการได้ ในโลกนี้ คนที่นางได้มอบความรู้สึกเช่นนี้ให้มี
เพียง อาจารย์ และเนี่ยลี่เท่านั้น และนางก็ยินดีที่จะยอมรับเนี่ย
ลี่ให้เป็นอาจารย์ของนาง

ในขณะที่หลงยู่อินกาลังสับสนอยูภ่ ายในใจของนาง ก็มีร่างหนึ่ง


ก็ปรากฏตรงหน้าของนาง

หลงยู่อินแสดงท่าทีจริงจังออกมา “หูหย่ง เจ้าเองงั้นเหรอ


?”

ใบหน้าของหูหย่งบูดเบี้ยว “หลงยูอ่ ิน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าฝึกวิชา


กับเนี่ยลี่งั้นเหรอ? แล้วเจ้ายังพูดคุยกับเขาด้วยน้าเสียงที่
นุ่มนวลใช่ไหม? เจ้ากาลังนอกใจข้างั้นรึ?” เมื่อเขาได้ยินว่าหลง
ยู่อินกับเนี่ยลี่ อยูด่ ้วยกันในระหว่างคาบเรียน เขาโกรธเสียจน
แทบเป็นบ้า เขารูส้ ึกราวกับว่าถูกสวมหมวกสีเขียว (สานวนจีน
หมายถึง ชายที่ถูกผู้หญิงนอกใจ เทียบเคียงกับ สานวนไทย ถูก
สวมเขา)

ใบหน้าของหลงยู่อินหันไปมอง หูหย่งอย่างเย็นชา “หูหย่ง ดู


เหมือนว่าเจ้าอยากจะให้ข้าทาให้เจ้าพิการอีกครั้งสินะ? เนี่ยลี่สู้
กับข้าและเป็นผู้ชนะ เขายังสามารถชี้แนะการบ่มเพาะพลัง
ให้กับข้า ทาให้ข้านับถือเขา ถ้าหากเจ้านั้นกล้าพอ ทาไมเจ้าไม่
มาสู้กับข้าแบบตัวต่อตัวหล่ะ?”

หูหย่งรับรูไ้ ด้ถึงเจตจานงค์ที่จะต่อสู้แผ่อออกมาจากร่างกาย
ของหลงยู่อิน ช่วยไม่ได้ที่หัวใจของเขาจะสั่นด้วยความ
หวาดกลัว
นางพูดเล่นหรือไง? ตัวต่อตัวนะเหรอ? ด้วยความแข็งแกร่งของ
เขา มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากมีหลงยู่อินเป็นคู่ต่อสู้ เขาที่ไม่มี
แต่แต่รากวิญญาณฟ้า ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับนางหล่ะก็...

ในตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่น้อย ในทาง
กลับกันเขายิ่งเกลียดเนี่ยลี่มากยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาไม่อาจที่
จะทาอะไรกับเนี่ยลี่ได้ ปอดของเขาที่เก็บกักความโกรธไว้แทบ
จะระเบิดออกมาก (สานวนจีนจะเป็นปอดระเบิด ของไทย อก
แตกตาย)

หูหย่งตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ
!”

คิ้วของหลงยู่อินกระตุก ขณะที่นางจ้องของหูหย่งด้วยสายตาที่
เย็นชา
“ข้าไม่เคยยอมรับการหมั้นหมายและงานแต่งงาน! ขยะเช่นเจ้า
จะเป็นคู่หมั้นของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะเป็น
คู่หมั้นของข้า ค่อยพูดตอนที่เจ้าเอาชนะข้าได้ก็แล้วกัน !”

ใจของหูหย่งนั้น ช่วยไม่ได้ที่จะสั่นไหวเมื่อเห็นสายตาที่กระหาย
เลือดของหลงยู่อิน การที่นางแสดงออกด้วยท่าทีเช่นนี้ ราวกับ
ว่านางต้องการจะฆ่าเขา เขารูส้ ึกหวาดกลัวเป็นอันมาก!

หูหย่งเขาจึงตัดสินใจ ที่จะไปทาการแก้แค้นกับการคบชู้ของทั้ง
คู่ เนี่ยลี่กับหลงยู่อิน “หลงยู่อิน เจ้าจาไว้ให้ดี ข้าจะทาให้เจ้า
เสียใจที่ทาเช่นนี้กับข้า!”

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับหลง
ยู่อิน เขาหันหลังกลับและจากไปด้วยความหดหู่ใจ

หลงยู่อินพ่นลมหายใจ “ฮึ่ม ข้าจะรอดูว่า เจ้าจะทาให้ข้าเสียใจ


ด้วยวิธีไหนกัน! ” นางมักจะทาในสิ่งนางได้ตดั สินใจเองเท่านั้น
แม้แต่พวกอยู่ใหญ่ในตระกูลผนึกมังกร ก็ไม่อาจที่จะแตะต้อง
นางได้ เพราะนางอยู่ในฐานะที่พิเศษมากของตระกูล นางถูกตัด
สิทธิ์การเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งเนื่องจากนิสัยส่วนตัว
บางอย่างของนาง แต่ก็ไม่มีใครทีส่ ามารถแตะต้องนางได้อยูด่ ี

นางไม่ได้ใส่ใจกับกรณีพิพาทนี้เลยแม้แต่น้อย นางเป็นคนที่ยึด
มั่นกับเส้นทางของการต่อสู้ ความสามารถของนางนั้นก็เป็นเป็น
ที่เข้าตายิ่งนัก อย่างน้อยก่อนที่นางจะได้พบกับเนีย่ ลี่ ก่อนหน้า
นั้นไม่มีคนทีร่ ุ่นราวคราวเดียวกันทีส่ ามารถยืนหยัดอยู่ตรงหน้า
นางได้

ยิ่งกว่านั้น เมื่อหลงยู่อิน สามารถบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์


นางก็สามารถที่จะผสานร่างกับ จิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโต
ระดับพระเจ้า ที่มีสายเลือดมังกรได้ โดยนางจะได้รับจาก
พินัยกรรมของปู่ของนาง หลังจากนั้นฐานะของหลงยู่อิน ใน
ตระกูล ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ดังนั้นนางจึงไม่เคยทีจ่ ะใส่ใจหูหย่งเลยแม้แต่น้อย จากมุมมอง


ของนาง เขาก็เป็นเพียงแค่ขยะที่ไม่อาจจะคุกคามนางได้เลย
ก่อนหน้านั้น นางได้รู้ว่ามีใครบางคนในตระกูลผนึกมังกร
พยายามจะจัดงานแต่งงานให้กับนางและหูหย่ง นางจึงได้
จัดการเขาซะ แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลของหูหย่ง รวมทั้งตระกูล
ผนึกมังกร ก็ไม่อาจที่จะทาอะไรกับนางได้

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นในทุก ๆบทเรียน ทุกครั้งที่ต้องมีการจับคู่กันเพื่อทา


อะไรบางอย่าง หลงยู่อินก็จะชักชวน เนี่ยลี่ อยู่เสมอ เพราะเหตุ
นี้ ทาให้ เหออินอิน [何茵茵] ไม่สามารถที่จะใกล้ชิดกับ
เขาได้ นางทาได้เพียงแค่ยืนอยู่ห่าง ๆ นางจึงรังเกียจ หลงยู่อิน
ยิ่งนัก

ในบางเวลา เมื่อหลงยู่อิน พบปัญหาในการบ่มเพาะพลัง นางก็


มาขอให้เนี่ยลี่ชี้แนะคาตอบให้ เขาก็ช่วยชี้แนะให้กับนาง ซึ่ง
นางก็จะรับฟังด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็สามารถ
ทาให้นางเข้าใจได้ในทันทีตามเส้นทางของนาง ยิ่งทาให้นาง
รู้สึกชื่นชมเนี่ยลี่ยิ่งขึ้นไปอีก หลายครั้งที่เขาตาหนินาง แต่นาง
ไม่เคยที่จะตอบโต้กลับไป และนางก็กลายเป็นคนทีส่ ุภาพกับ ลู่
เพียวและก็กเู้ บ่ยด้วยเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากเนี่ยลี่ และเพื่อนของเขา หลงยู่อิน ก็


ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้ใดเลย

ในช่วงเวลานี้ เนี่ยลี่ยังคงทาการบ่มเพาะพลัง ในขณะที่ทาการ


รวมรวมศิลาจิตวิญญาณ ในบางครั้ง เขาก็ยังให้คาชี้แนะแก่
หลงยู่อินในหว่างบทเรียนด้วย และเวลาก็ด้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเพียงสิบวัน ลู่เพียว ก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขต ชะตาสวรรค์


และหนึ่งเดือนผ่านไป เนี่ยลี่ ก็ยังไม่สามารถที่จะก้าวเข้าสู่
ขอบเขตชะตาสวรรค์ได้ แม้ว่าการบ่มเพาะพลังของเขาจะ
เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เขาก็ได้รวบรวม
ที่จะรวบรวมของรางวัลจาก ศิลาจัดอันดับแห่งแสงแล้ว
เนี่ยลี่นั้นได้อันดับสาม ในศิลาจัดอันดับแห่งแสง ดังนั้นเขาจะ
ได้รับของวิเศษ ระดับ 4 ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ 3 ก้อน จิต
อสูรสายเลือดมังกร ที่มรี ะดับการเติบโตระดับยอดเยี่ยม และ
ศิลาจิตวิญญาณ 1000 ก้อน

ของวิเศษระดับ 4 เกราะสวรรค์ มันเป็นเกราะที่มีความสามารถ


ในการป้องกันอย่างดีเยี่ยม ยอดฝีมือ โดยทั่วไปไม่อาจที่จะเจาะ
ทะลุมันได้ เกราะสวรรค์สามารถทีจ่ ะป้องกันการแตกสลายของ
ชะตาวิญญาณได้ ดังนั้นจึงสามารถที่จะสร้างโอกาสในการ
หลบหนีได้ เมื่อคิดกลับไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกใบเล็ก
หลังจากที่แขนขาของจอมมาร ถูกตัดออกไป เขาพยายามจะ
หนีไปโดยใช้ของวิเศษระดับ 3 เพือ่ ป้องกันชะตาวิญญาณของ
เขา และสาหรับเกราะสวรรค์ของเนี่ยลี่นั้น เป็นของที่ดีกว่าของ
จอมมาร อยูเ่ ล็กน้อย

โดยทั่วไปแล้ว ยอดฝีมือระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ 5 ก็เป็นการ


ยากที่จะเจาะเกราะสวรรค์ระดับสีน่ ี้ได้ แต่นั่นก็เป็นกรณีทฝี่ ่าย
ตรงข้าม ไม่ได้มีของวิเศษที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น
ของวิเศาระดับ 4 เป็นสิ่งมีค่าที่ใครก็ต้องการ เพียงแค่ได้พบ
ของดังกล่าวก็นับว่าโชคดีมากแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหา
ไปค้นหาสิ่งนี้ ถ้าหากว่าเจ้ากาลังมองหามัน ราคาของมันมีค่า
อย่างน้อยก็ ศิลาจิตวิญญาณ หนึ่งหมื่นก้อน หรือมากกว่านั้น
เสียอีก สาหรับการบ่มเพาะพลังแล้ว ศิลาจิตวิญญาณ หนึ่งหมื่น
ก้อน นั้นมันเป็นสมบัติมากมายมหาศาลเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ 3 ก้อน เพียงแค่ก้อน


เดียวก็มีคา่ เท่ากับศิลาจิตวิญญาณพันก้อนแล้ว นอกจากนี้เขา
ยังได้รับ จิตอสูรสายเลือดมังกร ทีม่ ี ระดับการเติมโตระดับยอด
เยี่ยม นั่นก็นับได้ว่าเป็นของล้าค่าเช่นกัน

เนี่ยลี่นั้น ได้รวบรวมศิลาจิตวิญญาณมาแล้วสามหมื่นก้อน จาก


การขาย จิตอสูรสายเลือดธรรมดา ที่มีระดับการเติบโตระดับ
พระเจ้า รวมกับสมบัติที่เขาได้รับในวันนี้ จานวนสมบัติของเขา
จึงยิ่งน่าตกใจเป็นอันมาก

มันเป็นจานวนศิลาจิตวิญญาณ จานวนมากเท่ากับที่ทะเลสาป
แห่งเทพระดับต่า ที่ใช้เวลาในการผลิตถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว
ถ้าหากว่า หูหย่ง จินหยาน และ ฮัวหลิง รู้ว่าเนี่ยลี่ มีศลิ าจิต
วิญญาณจานวนมาก ซุกซ่อนไว้ในแหวนห้วงมิติของเขา พวก
เขาอาจจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความริษยาเป็นแน่

เนี่ยลีส่ วมใส่เกราะสวรรค์ และค่อย ๆ ปรับแต่งมันอย่างช้า ๆ


ผสานเข้ากลับกลิ่นอายวิญญาณของเขา การที่มีของวิเศษระดับ
4 ไว้ปกป้องตัวเอง จะทาให้เขาปลอดภัยมาก เมื่อเขามุ่งหน้า
ออกไปยังโลกภายนอก

เนี่ยลี่นา ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ ออกมา และเริม่ ทาการดูบ


ซับมัน เขายังคงทาการปรับแต่งการบ่มเพาะพลังของเขาต่อไป
หลังจากที่ทาการดูบซับหมดทั้งสามก้อน เขาก็ยังไม่อาจที่จะ
ก้าวไปยังหน้าประตูของ ขอบเขตชะตาสวรรค์ได้ แต่เขาก็รับรู้
ได้ว่าพลังงานสวรรค์นนั้ ได้เข้าไปเติมเต็มขอบเขตวิญญาณของ
เขา ที่หมดที่เขาต้องการก็คือ เบาะแสที่จะหาหนทางละลวง
ผ่านระดับชะตาสวรรค์ให้ได้
สอดคล้องกับความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาในชีวิตก่อน
หน้าของเขา เนี่ยลีร่ ับรูไ้ ด้ถึงความก้าวหน้า หลังจากที่ดดู ซับ
ศิลาจิตวิญญาณไปเป็นจานวนมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าเถสวัลย์
ในขอบเขตวิญญาณของเขา จะทาให้ขั้นตอนการบ่มเพาะพลัง
ยากยิ่งขึ้น

สาหรับของที่เหลืออยู่ จิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติม


โตระดับยอดเยี่ยม เนี่ยลี่ไม่ได้วางแผนที่จะเก็บเอาไว้สาหรับตัง
เอง แน่นอนว่า จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติมโต
ระดับยอดเยีย่ ม นั้นมันต่าต้อยเกินไปสาหรับเขา เมื่อเขาบรรลุ
ถึงขอบเขตชะตาสวรรค์แล้ว แน่นอนว่าเขาจะหา จิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติมโตระดับพระเจ้าเอามาไว้ในมือ

เนี่ยลี่นา เหลืออยู่ จิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติมโต


ระดับยอดเยีย่ ม ของเขาออกมา ไม่รวมถึงชิ้นนี้ เขาก็ยังคงมี จิต
อสูรสายเลือดมังกร ที่มรี ะดับการเติมโตระดับธรรมดา มากกว่า
สามหมื่นชิ้น ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณน้าพักน้าแรงของกู้เบ่ย
บางส่วนของมันนาออกมาจากคลังเก็บของ ของตระกูลกู้
ตระกูลที่แข็งแกร่งนั้นย่อมไม่สนใจที่จะใช้งาน จิตอสูรสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติมโตระดับธรรมดา ดังนั้นมันจึงเป็นแค่
ขยะที่ไม่มีใครต้องการ

ตามแผนการของเนี่ยลี่ เขาจะต้องบรรลุ ขอบเขตชะตาสวรรค์


ก่อน จากนั้นเขาจึงจะเริ่ม ทาการหลอม จิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติมโตระดับพระเจ้า แต่ถึงอย่างไร แม้ในเวลานี้
การบ่มเพาะพลังของเขายังไม่ถึงขัน้ นั้น ดังนั้นเนี่ยลี่ จึงยังไม่ทา
การเริม่ ต้นการปรับแต่งพวกมัน
บทที่ 302 หลอมรวมจิตอสูร

เนี่ยลี่ครุ่นคิดเกี่ยวกับ หม้อจิตอสูรฝันร้าย เขาใส่ จิตอสูร


สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติมโตระดับธรรมดาใส่ลงไป

จากนั้นเขาก็ตระตุ้นให้หม้อจิตอสูรแห่งฝันร้ายทางาน จิตอสูร
ทั้งสิบก็เริ่มค่อย ๆ กลืนกินกันและกัน

ก่อนหน้านี้ เนี่ยลี่ ได้เคยทาการทดสอบโดยการ ใส่ จิตอสูร


สายเลือดมังกร ร่วมกับจิตอสูรสายเลือดธรรมดา ลงในหม้อจิต
อสูรแห่งฝันร้าย และเขาก็เข้าใจทันทีว่า จิตอสูรสายเลือดมังกร
กลืนกิน จิตอสูรสายเลือดธรรมดา อย่างรวดเร็ว และมองไม่
เห็นถึงพัฒนาการของจิตอสูรสายเลือดมังกร ดูเหมือนว่า จิต
อสูรสายเลือดมังกร จะแข็งแกร่งเกินไปเมื่อเทียบกับจิตอสูร
สายเลือดธรรมดา

เมื่อเวลาผ่านไป เนี่ยลี่ รูส้ ึกถึงความเปลีย่ นแปลงภายในหม้อจิต


อสูรฝันร้าย จิตอสูรตัวหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นอย่างเห็นได้
ชัด ได้ทาการกลืนกินจิตอสูรตัวอื่นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งกลืน
กินมากขึ้นก็ยิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่มีการกลืนกิน

เมื่อจิตอสูรสายเลือดมังกรสองตัวรวมกัน พวกมันจะระเบิด
พลังงานที่เหมือนกับเปลวไฟออกมา

ทั่วทั้งหม้อจิตอสูรฝันร้าย เรืองแสงสีแดงเข้ม มีคลื่นพลังงาน


งานหมุนวนอยู่ภายใน
หลังจากที่หม้อจิตอสูรฝันร้าย ดูดซับพลังงานที่ถูกปล่อย
ออกมา ลวดลายจารึก ทีล่ ึกลับค่อยๆปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของ
มัน เป็นลวดลายทีด่ ูคล้ายมังกรที่กาลังสบายปีก แต่ถึงอย่างไร
ลวดลายดังกล่าวยังมองเห็นเป็นแค่เงาราง ๆ ไม่สามารถที่จะ
มองเห็นได้อย่างชัดเจน เนี่ยลี่ยังไม่ข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลง
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร

แต่ถึงจะไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้ กระบวนการหลอมก็ทาได้
เรียบร้อยดี
เนี่ยลี่นาจิตอสูรสายเลือดมังกร ทีท่ าการหลอมรวมเรียบร้อย
แล้วออกมา ในตอนนี้มันกลายเป็นจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มี
ระดับการเติบโตในระดับ ดี เมื่อเทียบกับ จิตอสูรทีม่ ีระดับการ
เติบโตในระดับธรรมดาแล้ว ราคาของมันก็นับว่าสูงกว่ามาก

เขานาจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มรี ะดับการเติบโตในระดับ


ธรรมดา อีกสิบตัวลงไปในหม้อจิตอสูรฝันร้าย และเริม่ ทาการ
หลอมรวมอีกครั้ง

การหลอมรวมสาเร็จ
!

การหลอมรวมสาเร็จ
!

การหลอมรวมล้มเหลว
!
หลังจากการคานวนอย่างรวดเร็ว เนี่ยลีส่ ามารถระบุได้วา่ หม้อ
จิตอสูรฝันร้าย มีอัตราการล้มเหลวอยู่ที่ หนึ่งในสิบ นับว่า
อัตราความสาเร็จสูงกว่าแต่ก่อน

เนี่ยลี่ยังคงกระทาตามขั้นตอนซ้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น
ประมาณ ห้าสิบรอบ หม้อจิตอสูรฝันร้ายจู่ ๆก็เปร่งแสง
เรืองรอง ที่สว่างจนเห็นได้ชัด เนี่ยลี่ถึงกับต้องหรี่ตาของเขา มี
พลังอันน่ากลัวถูกกักอยู่ในนั้น

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่แสงเรืองรองแค่ครู่เดียวจากนั้น
ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
คลื่นความเงางามหมุนวนอยูด่ ้านล่างของ หม้อจิตอสูรฝันร้าย

ความอยากรู้อยากเห็นตระตุ้นให้เนี่ยลี่สนใจเป็นอย่างมา นี่มัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
?
เขานาเอาจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่ยังคงเหลืออยู่ใน หม้อจิต
อสูรฝันร้าย ออกมา เขารู้สึกแปลก ๆ กับมัน จิตอสูรตัวนี้ยัง
ห่างไกลจากคาว่าแข็งแกร่ง แต่เมือ่ เทียบกับจิตอสูรสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโต ในระดับ ดี มันมีการกลายพันธุ์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทาการหลอมรวม

จิตอสูรจานวนมาก รวมไปถึงที่มีอตั ราการเติบโตในระดับพระ


เจ้า ไม่ได้เริ่มต้นโดยที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่จติ
อสูรต้องได้รับดูแลเอาใจใส่จากร่างทรงอสูร ในการเลี้ยงดูด้วย
พลังสวรรค์ ในความเป็นจริงแล้วจิตอสูรจาเป็นต้องใช้พลังเป็น
อย่างมาก พวกเขาจะต้องทาการดูดซับ เนื้อแท้ของวิญญาณ
อสูร บางส่วน เพื่อที่จะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มระดับ
ความแข็งแกร่งของพวกมันอย่างต่อเนื่อง

แต่หลังจากที่มีการเลื่อนระดับ ความแข็งแกร่งของระดับการ
เติบโตนั้นจะสูงมาก และสูงกว่าจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตต่า
กว่า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีจติ อสูรระดับชะตาสวรรค์ สองตัว
หนึ่งในนั้นมีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า จะมีความ
แข็งแกร่งนับสิบเท่าของจิตอสูรอีกตัวที่มีนะดับการเติบโตใน
ระดับธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของจิตอสูรนั้นไม่ได้เจริญเติบโตตาม
ระดับทีส่ ูงกว่า ในบางครั้งจิตอสูรนั้นก็เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ความแข็งแกร่งของจิตอสูรตัวนั้น
จะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก

จิตอสูรเงาพราย และ แพนด้าเขี้ยวอสูรของเนี่ยลี่นั้นไม่ได้มีการ


กลายพันธุ์ตั้งแต่ครั้งแรก แต่มีการกลายพันธุ์หลังจากที่จิตอสูร
ได้รับประสบการณ์ในการต่อสูม้ ากพอ มันถึงได้เป็นสิ่งที่ล้าค่า
ยิ่งนัก

โดยปกติแล้วจะมีความเป็นไปได้ทจี่ ิตอสูรนั้นจะมีการกลาย
พันธุ์ เมื่อมีการเลื่อนระดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จิตอสูรตนนีม้ ี
การกลายพันธุ์ในระหว่างขั้นตอนการหลอมรวมแทน นั่นทาให้
ราคาของจิตอสูรดังกล่าว พุ่งสูงขึ้นนับสิบเท่า
เนี่ยลีไ่ ม่รู้วา่ จิตอสูรตนนีไ้ ด้มีการกลายพันธุ์ด้วยตัวของมันเอง
หรือได้รับอิทธิพลจาก หม้อจิตอสูรฝันร้ายกันแน่ แต่ไม่ส่าจะ
เป็นเพราะเหตุใด นั่นก็ถือว่าเป็นข่าวดีของเขา

เนี่ยลี่ยังคงทาการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป มันไม่ได้มีการกลาย
พันธุ์ในครั้งที่สอง แต่ในครั้งที่สามนั้น อสูรสายเลือดมังกรก็เกิด
การกลายพันธุ์อีกครั้ง ในตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าต้องเกิดจาก
อิทธิพลของหม้อจิตอสูรฝันร้ายเป็นแน่!

จากจิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับ


ธรรมดาจานวนสามหมื่นตน เนี่ยลี่ ทาการหลอมรวมจนเหลือ
จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับดี
จานวน สองพันห้าร้อยตน และในทั้งหมด มียี่สบิ สามตนที่มี
การกลายพันธุ์

เนี่ยลี่ทาการหลอมรวมซ้าอีกรอบโดยใช้ จิตอสูรอสูรสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับดี ที่ได้มาใหม่ เขาทาการ
ทดสอบโดยใส่ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกรเก้าตน กับจิตอสูรที่มี
การกลายพันธุ์อีกหนึ่งตน

หลังจากนั้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เกิดเสียงระเบิดขึ้นภายใน
หม้อจิตอสูรฝันร้ายทั้งสิบได้สลายไป แปลว่าการหลอมรวมนั้น
ล้มเหลว

มันเป็นแค่เพียงเรื่องบังเอิญ หรือจิตอสูรสายเลือดธรรมดา ไม่


สามารถหลอมรวมกับจิตอสูรที่กลายพันธุ์แล้วได้กันแน่

เนี่ยลีไ่ ตร่ตรองดูชั่วครู่ก่อนที่จะทาการทดลองซ้าอีกครั้ง ถ้าหาก


เขาไม่พยายามทดลองดูหลาย ๆครั้ง เขาก็ไม่อาจที่จะเข้าใจได้
อย่างชัดเจน
ความพยายามครั้งที่สองจบลงด้วยความล้มเหลวอีกครั้ง
ในที่สุดความพยายามครั้งที่สามก็ประสบผลสาเร็จ เนีย่ ลี่ ได้
สร้างจิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นตัวหนึ่งที่มีการกลาย
พันธุ์
เมื่อจิตอสูรสายเลือดมังกรแบบปกติหลอมรวมเข้ากับจิตอสูรที่
มีการกลายพันธุ์ อัตราความสาเร็จจะต่ามาก แต่ว่าผลลัพธ์ทไี่ ด้
นั้นกลับดียิ่งกว่า

เนี่ยลี่ยังคงหลอมรวมจิตอสูรอย่างต่อเนื่อง และหาวิธีที่จะ
หลอมรวมให้ดีที่สดุ เขาสัมผัสได้ถงึ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมา
จากหม้อจิตอสูรฝันร้าย ซึ่งมันแข็งแกร่งเป็นอันมาก ทันใดนั้น
หม้อจิตอสูรฝันร้าย ก็เปร่งแสงวูบวาปออกมา และลวดลายปีก
มังกรก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

ดูเหมือนว่าหม้อจิตอสูรฝันร้าย จะมีการเลื่อนระดับสูงขึ้นกว่า
เมื่อตอนก่อนหน้านี้
เป็นไปได้ว่ามันจะได้รับคุณสมบัติใหม่ ๆหลังจากที่ได้มีการ
เลื่อนระดับ เนี่ยลี่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ยังมีความลับอยู่อีก
มากมายที่ซ่อนอยูส่ าหรับหม้อจิตอสูรฝันร้าย แต่ถึงอย่างไร
เนี่ยลี่ก็ยังคงต้องทาการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป ถ้าหากว่าเขา
อยากจะเรียนรูเ้ กี่ยวกับมันให้มากกว่านี้
อัตราการหลอมรวมสาเร็จของหม้อจิตอสูรฝันร้าย ดูเหมือนว่า
จะสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

เนี่ยลี่ยังคงหลอมรวมจิตอสูรอย่างต่อเนื่อง จาก จิตอสูรอสูร


สายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับดี จานวน สองพัน
ห้าร้อยตน เขาได้รับมามากกว่าสองร้อยสามสิบตน ที่มรี ะดับ
การเติบโตในระดับยอดเยี่ยม และมีหกตนที่มีการกลายพันธุ์

แน่นอนว่าจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตระดับดีเยี่ยมนั้นก็ยังคงไม่
เพียงพอ เนี่ยลี่ ต้องทาการหลอมรวมอีกครั้ง สุดท้าย เขาก็
ได้รับ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์ จานวน ยีส่ ิบเอ็ดตน และมีสามตนที่มีการกลายพันธุ์

เนี่ยลี่นั้นมีโอกาสเพียงแค่สองครั้ง ถ้าหากเขาต้องการที่จะทา
การหลอมรวมจิตอสูรที่เขามีต่อ
เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะสาเร็จหรือว่าล้มเหลว หลังจากการ
หลอม ถ้าหากว่าเขาล้มเหลว เรียกได้ว่าจะเป็นการสูญเสีย
อย่างมหาศาล แต่ถ้าหากเขาได้รับ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า เขาก็จะเก็บไว้สาหรับ
ตัวเองแน่นอน และหากเขาทาการขายจิตอสูรที่มีการเติบโตใน
ระดับดังกล่าว แน่นอนว่าจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นแน่นอน
และอาจจะดึงดูดสายตาของขโมย ให้มาขโมยสินค้าของเขาก็
เป็นได้

และถ้าหากเนี่ยลี่ทาการผสานเข้ากับได้รับ จิตอสูรอสูร
สายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า ก็แน่นอน
ว่าจะทาให้เกิดการตื่นตระหนกเป็นอย่างมากแน่นอน

สุดยอดอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด ผสานเข้ากับ
ได้รับจิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า หากข่าวดังกล่าวรั่วไหลออกมา ไม่ใช่แค่เพียงเหล่า
ระดับสูงในสถาบันวิญญาณฟ้า แต่รวมไปถึงพวกระดับสูงใน
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตกตะลึงเป็นแน่ นิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องปกป้องรักษาอัจฉริยะผู้นั้น ราวกับบุคคล
สาคัญแน่นอน

ยอดฝีมือทีผ่ สานเข้ากับได้รับจิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มี


ระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้
กุมอานาจในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ นับเป็นกลยุทธที่ไม่เลวเลย
ทีเดียว

และแผนการณ์ของเนี่ยลี่กจ็ ะก้าวไปอย่างราบรื่นอีกขั้นหนึ่ง
!

เนี่ยลี่ครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะลองหลอมจิต
อสูรดู

แม้ว่าความเสี่ยงจะสูง แต่ผลตอบแทนนั้นสูงยิ่งกว่า

เนี่ยลี่ทาการกระตุ้นหม้อจิตอสูรฝันร้ายทันที ใจของเขาเต้นรัว
เป็นจังหวะ ที่ไม่อาจจะควบคุมได้ ถ้าหากเขาพลาด เท่ากับว่า
เขาเสียศิลาจิตวิญญาณไปนับหมื่นก้อนโดยที่ไม่ได้อะไร
กลับมา แม้ว่าเนี่ยลี่ จะหาศิลาจิตวิญญาณจานวนมากได้ จาก
การขาย จิตอสูรอสูรสายเลือดธรรมดา ที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า แต่สาหรับพวกเขาแล้วตลาดก็มีความต้องการที่
จากัดอยู่ดี

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเสีย่ ง!
เนี่ยลี่ ตั้งอกตั้งใจใส่จติ อสูรทั้งสิบดวงลงไปในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ภายใต้การควบคุมของเขา จิตอสูรที่กลายพันธุ์ค่อยๆเริม่
กลืนกินจิตอสูรตนอื่น
หนึ่งตน สองตน...

จิตอสูรทีม่ ีการกลายพันธุ์ แข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่มีการกลืนกิน


จิตอสูรตนอื่น
เหลืออีกเพียงแค่สองตนเท่านั้น!
หัวใจเนี่ยลี่นั้นสั่นระทึก มันกาลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย
จิตอสูรสองตัวสุดท้าย พยายามที่จะกลื่นกินอีกฝ่าย หม้อจิต
อสูรฝันร้าย ที่ปิดอยู่ เปร่งแสงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
มันดูเหมือนกับว่าจะระเบิดออกมา
!

เนี่ยลีส่ ัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ภายในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย มันเป็นสัญญาณของความล้มเหลว

จิตอสูรสายเลือดมังกรทั้งสองตน ที่ยังอยู่ในหม้อนั้นแข็งแกร่ง
เป็นอย่างมาก ไม่มีตนไหนที่สามารถกลืนกินอีกตนได้ แต่ถึง
อย่างไรมันก็เริ่มที่จะหลอมรวมกัน หากเป็นพลังงานที่คาดไม่ถึง
มันก็จะเกิดการระเบิดขึ้น และจิตอสูรทั้งสองตนก็จะสลายไป
จนไม่มีอะไรเหลือ

เนี่ยลี่คดิ กลับไปมา เขาไม่อาจที่จะสงบจิตใจได้อีกต่อไปแล้ว


เขาถ่ายเทพลังสวรรค์ทั้งหมดลงไปยัง หม้อจิตอสูรฝันร้าย เขา
พยายามที่จะห้ามปรามไม่ให้จิตอสูรทั้งสองตนนั้นที่กาลังจะ
ระเบิด เนี่ยลี่ ถ่ายเทพสภาวะอนัตตาของตนเองเข้าไปข้างใน
หม้อจิตอสูรฝันร้าย

เถาวัลย์ที่อยู่ในร่างกายของเขา ถูกดึงให้ลงไปในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ในขณะทีม่ ันปลดปล่อยพลังงานสวรรค์ออกมา

เนี่ยลี่ ได้พยายามห้ามปราบจิตอสูรทั้งสองตนอย่างหนัก ด้วย


พลังของเขาพยายามเก็บกักไม่ให้พวกมันระเบิด พลังงาน
สวรรค์ในร่างกายของเขา ลักออกมาราวกับว่าถูกดูดจนเหือด
แห้ง

จิตอสูรทั้งสองตนที่ใกล้จะระเบิดแล้วค่อย ๆมีการเปลี่ยนแปลง
เล็กน้อยมันค่อย ๆ ที่จะหลอมรวมกัน ทีละนิด ด้วยการห้าม
ปรามด้วยพลังงานสวรรค์ของเนี่ยลี่ จิตอสูรทั้งสองตนนั้น
ค่อยๆสงบลงเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปนับชั่วโมง เนีย่ ลี่ รูส้ ึกราวกับว่าพลังงานสวรรค์


ของเขาใกล้จะหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาเริ่มที่จะสัมผัสได้วา่
จิตอสูรทั้งสองกาลังจะทาการหลอมรวมกันสาเร็จแล้ว ดังนั้น
เขาจึงไม่ต้องการที่จะถอนกระแสพลังออกในตอนนี้

มันจะต้องสาเร็จ เนี่ยลีไ่ ม่ต้องการที่จะยอมแพ้ในตอนนี้


!

อย่างไรก็ตาม จิตอสูรทั้งสองตนแข็งแกร่งมากจนเกินไป
ในขณะที่มันยังคงหลอมรวม และกลืนกินกันอยู่นั้น ก็ก่อกาเนิด
พลังงานอันบ้าคลั่ง ถ้าหากเนี่ยลี่กระทาด้วยตนเอง พลังงาน
สวรรค์ของเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามปรามจิตอสูร
เหล่านั้น ถ้าหากเถาวัลย์ในตัวของเนี่ยลี่นั้น ไม่ได้ปล่อยพลังงาน
สวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาคงถูกสูบพลังงานไปจนแห้ง
เหือดนานแล้ว

*ตูม!* *ตูม!*

หัวใจของเนี่ยลี่นั้นกระโดดเต้นโครมคราม มีเสียงดังสะทอ้น
ออกมาจาก หม้อจิตอสูรฝันร้าย
เนี่ยลี่ รูส้ ึกหน้ามืดเล็กน้อย จิตสานึกของเขาเริ่มที่จะเลือนลาง
เป็นผลข้างเคียงของการปลดปล่อยพลังงานสวรรค์ออกมาก
เกินไป

ดูเหมือนว่าการฝืนบังคับให้หลอมรวมจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
สาหรับเขาในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจิตอสูรที่มีอตั ราการ
เติบโตในระดับสูง อย่างไรก็ตามการหลอมรวมนีม้ ีอัตราการ
สาเร็จที่ต่าอยู่แล้ว

เนี่ยลี่ รีดเร้นพลังงานสวรรค์ก้อนสุดท้ายของเขา ถ้าหากจิตอสูร


ทั้งสองจะระเบิดออกมา การหลอมรวมที่ผา่ นมาก่อนหน้านี้ก็
จะสูญเปล่าทั้งหมด!
บทที่ 303 圣血翼蛟 (เซิ่น เซว่ อวี้ เจียว : มังกรวารี
สายเลือดบริสุทธิ์)

[เกร็ดความรู้จากชื่อตอน (ชื่อตอนนี้ ทางผู้แปลคิดว่า


ภาษาอังกฤษ แปลมาผิดนะครับ )


เสิ่น แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์


เซว่ แปลว่า เลือด สายเลือด


อวี้ ถ้าแปลตรง ๆจะแปลว่า ปีก แต่ความหมายแฝงสามารถ
แปลได้ว่า พวก จาพวก หมวดหมู่ ได้ด้วยเช่นกัน

เจียว มังกรที่มีเกล็ด ส่วนใหญ่มักจะใช้เรียกมังกรน้า และที่
สาคัญ มังกรประเภทนี้ จะไม่ค่อยมีปีก แต่ก็สามารถบินได้
เหมือนกับมังกรจีนทั่วๆไป]

หม้อจิตอสูรฝันร้าย เป็นสมบัติลึกลับที่มีประวัติยาวนาน
เนี่ยลีร่ ับรูไ้ ด้ว่า มีกลิ่นอายที่ทรงอานาจหมุนวนอยู่ภายในหม้อ
จิตอสูรฝันร้าย มีอานาจเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับมาในชีวิตที่
แล้วของเขา นอกจากนี้หม้อใบนี้ยงั มีเจตจานงค์ทลี่ ึกลับจนเกิน
จะหยั่งถึง แต่จากที่เขาสัมผัสได้ ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่ก็
ถึงกลับพลุ้งพล่านขึ้นมา

ผู้ใดกันที่อยู่เบื้องหลังของการคงอยู่ของหม้อจิตอสูรฝันร้าย? ไม่
ว่าเขาจะเป็นผู้ใดก็ตาม? เขา หรือ นาง ผู้นั้น ต้องเป็นยอดฝีมือ
ที่ยิ่งใหญ่นัก ถึงจะสร้างของสิ่งนี้ขนึ้ มาได้
พลังงานสวรรค์ของเขายังคงถูกดูดซับออกไปอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเถาวัลย์ในขอบเขตวิญญาณของเขา จะช่วยเสริมพลัง
สวรรค์ให้กับเขาแล้วก็ตาม ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่ ยังคงถูก
ดูดไปเสียจนเหือดแห้ง

อีกไม่นานเขาคงจะสูญเสียการควบคุมจิตอสูรทั้งสองตนเป็นแน่
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงต่อต้านไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ

จะเขาต้องทาให้สาเร็จ!

อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!

เขากาลังจะล้มเหลวเช่นนั้นเหรอ?

เนี่ยลี่ทาการกระตุ้นหม้อจิตอสูรฝันร้าย ทันใดนั้นเขาก็เกิด
ประกายความคิดขึ้นมา
บางทีเขาอาจจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย แล้วก็เป็นได้
?

เนี่ยลีไ่ ด้ แทรกซึมจิตของเขาเข้าไปภายในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ทันใดนั้นก็เกิดการเปลีย่ นแปลงอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น
รอบ ๆ ตัวเขา เขาสัมผัสได้ว่าในหม้อจิตอสูรฝันร้าย นั้นเป็น
พื้นที่ขนาดใหญ่ ที่มีพลังงานสวรรค์อย่างไร้ขีดจากัด มันราวกับ
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่เลยทีเดียว

แม้แต่พลังงานสวรรค์ใน ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงทั้งหมด ก็ไม่


อาจเทียบกับห้วงสมุทรที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้

เนี่ยลีต่ รวจสอบได้จากจิตสานึกของเขา ว่ามหาสมุทรแห่งนี้ไม่มี


ที่สุดสุด ไร้พรมแดน มันทาให้เขารู้สึกราวกับว่าเป็นเพียงสิ่งที่
เล็กน้อยยิ่งนักเมื่อเทียบกับมัน
พลังงานจากการระเบิดของจิตอสูรทั้งหมดได้ถูกดึงมาที่พื้นที่
แห่งนี้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างไร คงไม่จาเป็นต้องห่วงว่าหม้อจิต
อสูรฝันร้าย จะเต็ม เพราะพลังงานจากการระเบิดของพวกมัน
นั้นเทียบได้กับแค่หยดน้า พวกมันไม่อาจที่จะทาให้เกิดระรอก
คลื่นได้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม พลังงานที่อยู่ภายในหม้อจิตอสูรฝันร้าย นั้นมัน


สงบราวกับถูกแช่แข็ง มันอยู่ในสภาพที่สงบเงียบยิ่งนัก

เนี่ยลี่นั่งสงบอยู่ในห้วงความคิดของเขา เขานั่งเงียบและเริ่ม
ท่องส่วนแรกของบทสวด ของเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถี
ฟ้า] บังเกิดแสงศักดิส์ ิทธิ์หมุนวนรอบ ๆ กายเขา และหมุนวน
ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง

‘มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในเส้นทางแห่งฟ้าและดิน
การเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมนี้บังเกิดขึ้นระหว่างชีวิตที่แล้วของ
เขากับชีวิตนี้ นี่คงจะเป็น [วิถีแห่งความผันแปร] ที่ถูกกล่าวถึง
ในเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถีฟ้า]’
เนี่ยลี่นั้น ได้รู้แจ้งอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อเทียบกับชีวิตก่อน
หน้าของเขา มันแตกต่างกันเป็นอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง
ของเขา

ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น ในห้วงวิญญาณของเนีย่ ลี่ มี


พลังพลั่งพรูออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ากาลังชาระล้างเขา
เลยทีเดียว ใบหน้าของเขาซีดขาว และมีเหงื่อไหลโชก มันสร้าง
ความเจ็บปวดให้กับเขาอย่างรุนแรง ที่คนธรรมดาไม่อาจจะทน
ได้

ถ้าหากคนธรรมดาพบว่าตัวเองอยูใ่ นสถานการณ์เช่นนี้ พวก


เขาคงไม่อาจที่จะทนได้ จิตใต้สานึกทุกอย่างของเขาจะหยุดลง
อย่างไรก็ตาม เนี่ยลี่ นั้นยังสามารถประคับประคองจิตใจของ
เขาได้เป็นอย่างดี เขาใช้พลังงานสวรรค์ของเขา ในการขัดเกลา
ชะตาวิญญาณของเขา

นี่นับเป็นโอกาสอันดี เขาอาจจะข้ามผ่านไปก็เป็นได้
?

ในชีวิตก่อนหน้าของเขา เขามักจะพบกับสิ่งเลวร้าย
มากมาย มากเสียยิ่งกว่าที่กาลังเผชิญในการบ่มเพาะพลัง
ในตอนนี้เสียอีก

เนี่ยลี่ยังคงขัดเกลาชะตาวิญญาณของเขา แม้ว่าจะเป็นการ
กระทาที่ทาให้เขาได้รับความเจ็บปวดยิ่งนัก เนี่ยลี่ยังคง
ประคับประคองให้จิตของเขาสงบลง

เขาหมุนวนเส้ยใยพลังงานสวรรค์ของเขาลงไปนับสิบล้านเส้น
เพื่อสนับสนุนชะตาวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเสียง
ฟุ่บ การก่อรูปชะตาวิญญาณสีแดงชาดของเขาสาเร็จแล้ว

เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะสามารถค้นพบวิธีการที่จะ
ช่วยให้เขาก้าวข้ามประตูและสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณดวง
แรกได้สาเร็จ ในที่สุดเขาก็ได้บรรลุ ระดับ ชะตาสวรรค์ชั้นที่
หนึ่ง
แต่ทาไมชะตาวิญญาณของเขาถึงได้มีสีแดงชาด
?

เนี่ยลี่พิจารณาดูก็เจอแต่ความว่างเปล่าในตอนนี้ โดยปกติแล้ว
ชะตาวิญญาณนั้นจะไร้สี ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ชะตา
วิญญาณของเขา ก็ไร้สีเช่นกัน แต่ทาไม ในชีวิตนี้ ชะตา
วิญญาณของเขาถึงได้มสี ีแดงชาดหล่ะ?

แต่ถึงอย่างไร เนี่ยลี่เองก็ไม่ได้มีเวลาเพื่อที่จะขบคิดเรื่องของมัน
ผู้คนส่วนใหญ่นั้น คิดว่าเป็นเรื่องทีง่ ่ายหลังจากที่ได้ทาการก่อ
รูปชะตาวิญญาณดวงแรกได้สาเร็จ เนื่องจากประสบการณ์ของ
การก่อรูปชะตาวิญญาณ ที่เป็นความเจ็บปวดเลือดตาแทบ
กระเด็น บางทีสมองของเขาก็แทบจะฉีกขาด

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะทาเช่นใดต่อหลังจากนั้น ดังนั้น การบ่ม


เพาะพลังของพวกเขา จึงอยู่เพียงแค่ หนึ่งชะตาวิญญาณ
เท่านั้น ผู้คนจานวนมาก ไม่ทราววิธีใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้ง ๆ
ที่เป็นช่วงเวลาที่สาคัญยิ่งนัก

เนี่ยลี่นั้นรู้สึกสนุกกับการควบคุมให้ชะตาวิญญาณดูดซับ
พลังงานสวรรค์จานวนมาก ชะตาวิญญาณสีชาดของเขาค่อยๆ
ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ผ่านไปไม่นาน ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นเป็น
สามเท่า

เนี่ยลีส่ ัมผัสได้ว่า ชะตาวิญญาณนัน้ ได้เติบโตอยู่ในระดับที่


เหมาะสมแล้ว เขาหยุดพักและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้า
หากทามากกว่านี้จะเป็นการทาลายชะตาวิญญาณเสียเอง เขา
รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาอยู่ในถ้า อย่างไรก็ตามชะตา
วิญญาณสีชาด ที่กาลังลุกไหม้อยู่นกี้ ็ทาให้เขาเผยรอยยิม้
เล็กน้อยที่มุมปากออกมา

เขาก่อรูปชะตาวิญญาณดวงแรกสาเร็จแล้ว และสามารถสร้าง
ชะตาวิญญาณ ระดับสูงสุดของ ขัน้ ที่หนึ่งแล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่
เพียงการก่อรูป เมื่อเทียบกับคนอืน่ ๆแล้ว เขาใช้เวลามากกว่า
หลายเดือนในการบ่มเพาะพลัง!
มิหนาซ้ายังเป็นชะตาวิญญาณสีชาด เนี่ยลีไ่ ม่เคยคิดมาก่อนเลย
ว่ามันจะสามารถก่อรูปขึ้นมาได้อย่างเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม
เขาสัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าปกติเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบ
กับชะตาวิญญาณทีไ่ ร้ส!ี

เขาดึงสติของเขาออกมาจาก หม้อจิตอสูรฝันร้าย เขาไม่เคย


คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมาก จาก
ความล้มเหลวในการหลอมรวม เขาคิดว่าเขาได้ค้นพบความลับ
ที่อยู่ภายในหม้อจิตอสูรฝันร้าย ในขณะที่เขาได้สารวจมัน

เมื่อเขาบรรลุถึงขอบเขตระดับชะตาสวรรค์ เนี่ยลี่กส็ ามารถที่


จะควบคุม พลังงานสวรรค์ ได้ดียิ่งขึ้น ในทุกครั้งที่แข็งแกร่ง
มากขึ้น ในตอนนี้ เขาสามารถที่จะห้ามปรามจิตอสูรทั้งสองตน
ได้แล้ว เขาค่อย ๆควบคุมให้มันหลอมรวมกันทีละน้อย

เมื่อถูกห้ามปรามโดยพลังงานสวรรค์ของเนี่ยลี่ จิตอสูร
สายเลือดมังกรทั้งสองตน ก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้สาเร็จ
ทันทีทันใดนั้น ก็เกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงออกมาจากด้านล่าง
ของ หม้อจิตอสูรฝันร้าย ผ่านไปไม่นาน แสงนั้นก็ค่อย ๆลดลง

จิตอสูรตนหนึ่งก็ค่อย ๆลอยขึ้นมาจากด้านล่างของ หม้อจิต


อสูรฝันร้าย

เนี่ยลี่ถึงกับที่จะอดยิ้มไม่ได้ จนสื่อออกมาผ่านสายตา เขาไม่


เพียงที่จะบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ ในขั้น หนึ่งชะตา เขายัง
หลอมรวมจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโต ระดับพระเจ้าได้ และมัน
ก็ยังกลายพันธุ์อีกด้วย จิตอสูรตนนี้ต้องเป็นสิ่งที่ล้าค่าแน่นอน

เนี่ยลีไ่ ม่กล้าคิดที่จะขายจิตอสูรตนนี้เป็นแน่ แม้ว่าเขาจะเคยคิด


ที่จะขายมันมาก่อนก็ตามที ในตอนนี้เขาได้บรรลุถึงขอบเขต
ระดับชะตาสวรรค์แล้ว สิ่งที่ต้องคิดเป็นอย่างแรก เขาต้องทา
การผสานเข้ากับจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโต
ระดับพระเจ้า!
เนี่ยลี่ครุ่นคิดทุกอย่างดีแล้วด้วยความระมัดระวัง เขาตัดสินใจที่
จะสอบถามกูเ้ บ่ย เกี่ยวกับ จิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับ
การเติบโตระดับธรรมดา จานวนมาก เพื่อที่จะเอามาหลอม
รวมจนถึงระดับการเติบโตระดับ ดี และ ดีเยี่ยม

จากนั้นก็นาออกไปขาย นอกจากนี้เขาก็คิดจะขาย พวกที่มี


ระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ ให้กับคนแค่ไม่กคี่ น ด้วย
หนทางนี้ เขาก็สามารถที่จะหาเงินจานวนมากได้โดยที่ไม่ต้อง
ดึงดูดสายตาของทุกคน

สาหรับจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้านั้น เขา
ตั้งใจจะเก็บไว้ให้กับเพื่อนๆของเขา ถ้าหากเขานาของพวกนั้น
ออกมาขาย มันจะกลายเป็นสาเหตุของความวุ่นวายเป็นแน่

เนี่ยลี่นาจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตระดับพระ
เจ้าออกมาจาก หม้อจิตอสูรฝันร้าย
นี่คือ มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์มังกร
ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์
เมื่อเติบโตแล้วก็เปรียบได้ดังกับ ยอดฝีมือที่อยู่ใน ระดับ เทพ
สงคราม บางสายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกัน และความแข็งแกร่ง
นั้นก็ต่างออกไปเช่นกัน มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ของเนี่ยลี่นั้น
ได้ผา่ นการหลอมรวมมา

แน่นอนว่าต้องไม่ใช่สายพันธุ์ธรรมดาเป็นแน่ โดยปกติแล้ว
มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ จะมีเกล็ดเป็นสีแดงชาด แต่ตัวที่
เนี่ยลี่ หลอมขึ้นมาสีเกล็ดเป็นสีทอง

นอกจากนี้ยังมีหนามแหลมงอกออกมาทั่วร่างกาย นั่นทาให้มัน
ดูดุร้ายยิ่งกว่า มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ทั่วไป ด้วยลักษณะ
เด่นที่แข็งแกร่งทั้งสองจุดนี้ จึงมีคลื่นพลังงานแผ่ออกมาจาก
ร่างกายของมันเป็นจานวนมาก

มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นจิตอสูรที่มีความสามารถในการ
บินได้อีกด้วย นอกเหนือจากการมีร่างกายที่แข็งแกร่งแล้ว มัน
ยังสามารถพ่นลมหายใจมังกรออกมาได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น
สิ่งมีชีวิตที่ดารงอยูต่ รงจุดสูงสุดเลยก็ว่าได้ หลังจากผ่านมาเนิน
นาน เนี่ยลี่กไ็ ด้ผสานร่างกับจิตอสูรตนที่สามเสียที!
เนี่ยลี่นั้น เลือกจิตอสูรด้วยความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่
เขาผสานเข้ากับ จิตอสูรเงาพราย และแพนด้าเขี้ยวอสูรแล้ว
เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะผสานกับจิตอสูรระดับธรรมดาอีก
ต่อไป มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ นี้ทาให้เขารู้สึกพอใจมาก
เป็นพิเศษ

มันคือมังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า
!

เนี่ยลี่ค่อย ๆ ผสานเข้ากับมังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ มันเข้าไป


อยู่ในขอบเขตวิญญาณของเขา เถาวัลย์ในขอบเขตวิญญาณของ
เขาก็ได้แตกแขนงออกมาเป็นเส้นที่สามอย่างช้า ๆ และเชื่อม
เข้ากับ มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์
โดยปกติแล้วจิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกร นั้นจะยังอยู่ในขอบเขต
ของชะตาดิน พวกเขาจะต้องทาการเลีย้ งดูมันด้วยพลังงาน
สวรรค์ เพื่อที่จะให้มันเติบโตถึงขอบเขต ชะตาฟ้า

แต่ทว่า มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ของเนี่ยลี่นั้น มีความ


แข็งแกร่ง อยู่ในขอบเขตของชะตาฟ้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ด้วย
ความแข็งแกร่งระดับนี้ เนี่ยลี่ ก็สามารถที่จะออกไปต่อสูจ้ ริงได้
ทันที

ในตอนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพและลมหายใจมังกร
เนี่ยลี่ สามารถท้าทายศัตรูที่มีระดับสูงกว่าเขาได้อย่างไม่
ยากเย็น แต่ถึงอย่างไร มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ยังมี
กระบวนท่าที่แข็งแกร่งอยู่อีกมากมายนัก ซึ่งเนี่ยลี่จะต้องค่อยๆ
ใช้เวลาในการทาความเข้าใจ

ถ้าหากมีใครรู้ว่าเนี่ยลี่ได้ผสานเข้ากับ มังกรวารีสายเลือด
บริสุทธิ์ ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า และยังเป็น
ประเภทที่กลายพันธุ์อีกด้วย พวกเขาอาจจะเป็นบ้าด้วยความ
ริษยาเป็นแน่!
เนี่ยลีส่ ูดลมปรานยาว ๆด้วยปากของเขา เขาเผยรอยยิ้มออกมา
เล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ก้าวหน้าไปอีกขั้น ต่อไปเขาก็ต้อง
พยายามทาความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของ มังกรวารี
สายเลือดบริสุทธิ์ เนี่ยลี่ยังไม่อาจทีจ่ ะทดสอบความสามารถใน
การต่อสูไ้ ด้ในตอนนี้

เขาจาเป็นที่จะต้องหาสถานที่ ที่เหมาะสมกว่านี้ เมื่อเขาได้


ผสานเข้ากับมังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ห้องพักนี้คงจะระเบิด
ด้วยขนาดร่างกายของเขา!

มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดมหึมาสูง
6-7 เมตร!

ไม่กี่เดือนต่อมา นอกจากการเข้าไปฟัง บทเรียนในชั้นเรียนและ


การบ่มเพาะพลังแล้ว เนีย่ ลี่ ยังต้องใช้เวลาในการหลอมรวมจิต
อสูรในที่พักของเขา เขาให้กู้เบ่ย ติดต่อเพื่อที่จะหาจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับธรรมดาจานวนมาก
และขายจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับ ดี
และ ยอดเยี่ยม ที่เขาหลอมรวมได้ แม้กระทั่งจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับมหัสจรรย์เนี่ยลี่ก็ทาการขาย
ออกไปนับสิบตัว

เนี่ยลี่นั้นมีสมบัติเพิ่มขึ้นนับทวีคณ
ู จากศิลาจิตวิญญาณ สาม
หมื่นก้อน เป็น ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อน นอกจากนี้เขายัง
หลอมรวม จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับ
พระเจ้าได้อีก 3 ตน

ซึ่งเขาได้มอบให้กับ ลู่เพียว เซี่ยวหยู่ และ กู้เบ่ย ลู่พัยวกับกู้เบ่ย


นั้น พวกเขายินดีที่จะรับมันมาทันที แต่เซี่ยวหยู่นั้นได้ปฏิเสธ
หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเนี่ยลีท่ าการร้องขออย่างหนักแน่น
ก็จบลงด้วยการที่เขายอมรับมันไป
หลังจากที่ได้ผสานเข้ากับจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการ
เติบโตระดับพระเจ้าแล้ว ทุกคนก็ต่างเก็บตัวไม่ค่อยออกมาพบ
กับผู้ใด พวกเขาเก็บตัวทาการบ่มเพาะพลังอยู่แต่ในที่พัก

เนื่องจากพวกเขามีศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก ทาให้การบ่ม
เพาะพลังของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วแม้แต่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เห็นสมบัติของเนี่ยลี่แล้วคงต้องตื่นตะลึง
เป็นแน่

นอกเหนือจากผู้อาวุโสบางคนแล้ว ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนที่จะมี
ศิลาจิตวิญญาณเป็นจานวนมาก แค่ผู้อาวุโสบางคนครอบครอง
ศิลาจิตวิญญาณสักพันก้อน นั่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถึงแม้ว่า
นิกายขนนกศักดิศิทธิ์จะครอบครองทะเลสาบแห่งเทพหลาย
แห่ง

แต่พวกเขาก็ต้องการการจัดแบ่งให้เหล่ายอดฝีมือในนิกาย
นาไปใช้ในการบ่มเพาะพลัง เมื่อต้องใช้ร่วมกันแล้ว มันก็ไม่ได้มี
จานวนมากมายอะไรเลย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกู้เบ่ย ได้ช่วยเนี่ยลี่ในการขายจิตอสูร
สายเลือดมังกร ในปริมาณที่น่าตกใจอย่างต่อเนื่อง สาวกหลาย
คนของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ต้องนาศิลาจิตวิญญาณของพวก
เขามาแลกกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรของเนี่ยลี่

ศิลาจิตวิญญาณที่มีอยู่ในมือของเหล่าสาวก จึงย้ายเข้ามาอยู่ใน
มือของเนี่ยลี่แทน มันจึงกลายเป็นสมบัตสิ ่วนตัวของเขา นั่นคือ
เหตุผลที่ว่าทาไมเขาถึงได้ร่ารวยถึงเพียงนี้
บทที่ 304 หนิงเอ๋อมาเยือน

เนี่ยลีไ่ ด้บรรลุ ขอบเขตชะตาสวรรค์แล้ว


!

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังคงซ่อนเร้นกลิ่นอายพลังของเขา
เพื่อที่จะไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเขานั้นได้ ก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์
แล้ว ในช่วงนี้ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสงบเงียบ และเนีย่ ลี่เองก็
ไม่ได้ต้องการที่จะทาลายความสงบที่เป็นอยู่ใน

ตอนนี้ นอกเหนือจากการเข้าร่วมในการเรียนการสอน เขาจะ


ใช้เวลาในการบ่มเพาะพลัง และ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง
ภายในร่างกายของเขาหลังจากที่ได้รวมกับจิตอสูรตนใหม่

ขอบเขต ชะตาสวรรค์ ระดับ 1 นัน้ ยังคงน้อยเกินไป เขาจะต้อง


บรรลุอย่างน้อย ระดับ 2 ชะตา ถึงจะสามารถที่จะออกไป
สารวจโลกภายนอกได้
เมื่อเขาได้บรรลุระดับชะตาสวรรค์ ทาให้ความเร็วในการบ่ม
เพาะของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และด้วยศิลาจิตอสูรจานวน
มหาศาล ดังนั้น การบ่มเพาะพลังของเนี่ยลี่ พุ่งทะยานขึ้นอย่าง
บ้าคลั่งในแต่ละวัน

วันนี้ ดวงอาทิตย์เรืองรอง สายลมโชยมา และดอกไม้บาน


สะพรั่งดูแล้วสดชื่นยิ่งนัก

เนี่ยลี่ยังคงฝึกอยู่ในลานกว้างบริเวณที่พักของเซี่ยวหยู่ จากนั้น
กู้เบ่ยก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เนี่ยลี่ ข้ามีข่าวใหญ่! ศิษย์บางคนจาก สานักเทียนหยิน [天


音神宗 : สานักเสียงสวรรค์] และ สานักหั่ว [火神宗 :
สานักอัคคี] ได้มาเยี่ยมชมสานักของเรา ว่ากันว่าศิษย์ของ
สานักเสียงสวรรค์ทุกคนล้วนเป็นหญิง มีหลายคนที่งดงามราว
กับนางฟ้า พวกเราก็ไปดูกันไหม
?” ขณะที่กู้เบ่ยพูด หน้าตาของเขาแสดงความตื่นเต้นเป็นอย่าง
มาก
เนี่ยลีร่ ู้สึกตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ศิษย์จากสานัก สานักเสียงสวรรค์
และ สานักอัคคี มาเยีย่ มชมสานักวิญญาณฟ้างั้นเหรอ

เมื่อพูดถึงสานักเสียงสวรรค์ เนี่ยลีก่ ็นึกถึง จื้ออวิ้นและหนิงเอ๋อ


และสงสัยว่าพวกเขาได้เดินทางมาหรือไม่ เขาไม่ได้เจอพวกนาง
มาก็หลายเดือนแล้ว ใจของเนี่ยลีน่ ั้นปารถนาที่จะพบเจอกับทั้ง
สองคนยิ่งนัก
เนี่ยลี่พยักหน้าพร้อมกับตอบว่า “แน่นอน พวกเราไปดูกัน
เถอะ”

“ศิษย์ของ สานักเสียงสวรรค์ และ สานักอัคคี มักจะมาเยีย่ ม


ชมสานักวิญญาณฟ้าปีละหนึ่งครั้งเสมอ มันจะช่วยให้เหล่า
อัจฉริยะได้แลกเปลี่ยนความรู้จากกันและกัน เฉกเช่นการทา
ธุรกิจ สานักเสียงสวรรค์จะแตกต่างจาสานักนิกายฟ้าตรงที่
ศิษย์ของพวกเขาล้วนแต่เป็นหญิงสาว และพวกเขาติดต่อกับ
โลกภายนอกเพียงแค่น้อยนิด
นอกจากนี้เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ สานักของพวกเขาจึง
เป็นปึกแผ่นมาก ทาให้แข็งแกร่งยิ่งนัก ส่วนสานักอัคคี ความ
แข็งแกร่งของพวกเขานั้นทะยานขึ้นสูงขึ้นมากในช่วงปีที่ผ่านมา
และกลายเป็นหัวหน้าของหกสานักใหญ่ได้” กู้เบ่ยอธิบาย
ขณะที่พวกเขากาลังเดินอยู่

เนี่ยลี่และกู้เบ่ย เรียกลู่เพียวให้ไปด้วยกัน และทั้งสามคนก็ไปยัง


ห้องโถงใหญ่ของสถาบันวิญญาณฟ้า

เซี่ยวหยู่นั้นไม่รู้วา่ ไปทีไ่ หน เขาอาจจะยุ่งกับธุระส่วนตัว ดังนั้น


พวกเนี่ยลี่กับลู่เพียวจึงไม่อยากจะยุ่งด้วยให้เสียเวลา

ที่ห้องโถงใหญ่ของสถาบันวิญญาณฟ้า คึกคักเป็นอย่างมาก มี
ผู้คนชะโงกหัวมอง เนี่ยลี่และพวกของเขาไม่สามารถที่จะ
แทรกผ่านไปได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน

หลังจากที่พวกเขาได้ยินมาว่าคนที่มาจากสานักเสียงสวรรค์
และ สานักอัคคีมาถึงที่นี่แล้ว ศิษย์จากเขตต่าง ๆ ของสถาบัน
วิญญาณฟ้าก็มารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่ามี
ผู้ใดที่มากันบ้าง

กู้เบ่ยมีวิธีที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไปเพื่อให้มองเห็นได้ชัดๆ เขานาเนี่ย
ลี่และลู่เพียวไปยังห้องโถงด้านข้าง เมื่อทหารยามเห็นว่าเป็นกู้
เบ่ย ก็ปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้

กู้เบ่ยยิ้มและอธิบายให้ทั้งสองนฟังว่า “คนที่รวมตัวกันอยู่ด้าน
นอกจะเป็นพวกลูกศิษย์ทั่ว ๆไป แต่เหล่าอัจฉริยะที่ได้รับการ
ยอมรับ รวมถึงพวกลูกหลานจากตระกูลหลังของนิกายขนนก
ศักดิ์สืทธิ์จะมารวมตัวกันในห้องนี้”
ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ในห้องนี้มีคนอยู่เพียงแค่ไม่กรี่ ้อยคนเท่านั้น
กู้เบ่ยกระซิบด้วยเสียงเบา ๆว่า “ในทุกครั้งที่นิกายต่างๆมา
ปรึกษาหารือกัน เหล่าลูกหลานของคนในนิกายเหล่านั้นรวมถึง
เหล่าอัจฉริยะจะออกมาประมูลสมบัติลาค่ ้ ากัน จิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ทั้ง 20 ตัว ที่เจ้าให้ข้าเอามา
ขาย ทุกคนต้องสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลเป็นแน่
หลังจากจบคาพูดของกู้เบ่ย เนี่ยลีถ่ ึงกับอดยิ้มไม่ได้ มันแน่นอน
อยู่แล้ว จิตอสูรสายเลือดมังกรทีมรี ะดับการเติบโตระดับ
มหัศจรรย์ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะขายได้ยาก อย่างแรกคือหา
ผู้ซื้อได้ยาก และอย่างที่สอง พวกมันดึงดูดความสนใจจากคน
รอบข้างมากเกินไป อย่างไรก็ตาม หากพวกเขานาออกมา
ประมูลมันต้องดึงดูดความสนใจไม่น้อยแน่นอน

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เนี่ยลี่ก็ยังไม่ได้มีความสนใจที่จะประมูล
ของในตอนนี้ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อมองหาคนสอง
คน เขาสงสัยว่า จื้ออวิ้นกับหนิงเอ๋อ ได้เดินทางมาหรือไม่

ในห้องโถงด้านข้างเหล่าอัจฉริยะและลูกหลานของตระกูลหลัก
ในนิกายต่าง ๆ กาลังทาการทักทายซึ่งกันและกัน

ในตอนนี้ หกสานักใหญ่เป็นพันธมิตรฝ่ายธรรมะ พวกเขากาลัง


ต่อกรกับ นิกายอสูรทั้งสามนิกาย เพื่อครอบครองสิทธิ์เหนือ
ทะเลสาบแห่งเทพ เพื่อให้ความเป็นพันธมิตรนั้นยั่งยืน ความ
สัมพันธิ์ของเหล่าคนรุ่นใหม่จึงจาเป็นอย่างยิ่ง มันจะเป็นการ
ป้องกันมิให้เขาต่อสู้กันเองในโลกภายนอก
นั่นคือเหตุผลว่าทาไมนิกายต่าง ๆ จึงต้องจัดให้มีการชุมนุม
เช่นนี้ในทุกปี

ในมุมของห้องโถงด้านข้าง มีเงาของคนที่นั่งสงบอยู่มีความ
งดงามเป็นอย่างยิ่ง ความงดงามของนางนั้นดูเรียบง่ายแต่สง่า
งาม ราวกับดอกบัวที่เพิ่งจะผลิบานออกมาเหนือบ่อน้า นางนั้น
ดึงดูดสายตาของเหล่าศิษย์ที่อยูโ่ ดยรอบเป็นอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้
ที่พวกเขาถึงกับทอดถอนหายใจเมือ่ ได้เห็นความงดงามดังกล่าว

เซี่ยวซุ่ยที่นั่งถัดจากนาง เอ่ยขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อ เจ้าคิดว่าเนี่ยลี่


กับลู่เพียวจะอยู่ที่นี่ไหม
?

เซี่ยวหนิงเอ๋อส่ายหน้าขณะที่นางหันไปมองดูรอบ ๆ เพื่อมอง
หาร่างของเนี่ยลี่ “ข้าก็ไม่รู้ทั้งสองคนนั่นอยู่ที่ไหน”
หลังจากที่ เอียจื้ออวิ้น เซี่ยวหนิงเอ๋อ และ เซี่ยวซุ่ย ได้เดินทาง
จากโลกใบเล็กมาถึง สานักเสียงสวรรค์ เอียจื้ออวิ้นและเซี่ยวห
นิงเอ๋อ ได้แสดงความสามารถที่น่าตกใจ ทาให้พวกเขาทั้งสอง
คนถูกขนานนามว่า ‘ฝาแฝดราศีเมถุน’ ของห้องเรียนใหม่เลย
ทีเดียว

เอียจื้ออวิ้นได้ถูกเลือกและอนุญาติให้ไป ในพื้นที่แห่งความลับ
เพื่อทาการฝึกบ่มเพาะพลัง ในขณะที่ เซี่ยวหนิงเอ๋อ ติดตาม
อาจารย์ และสามารถบ่มเพาะพลังได้ถึงขอบเขต ชะตาสวรรค์
ขั้นที่ห้า เมื่อหนิงเอ๋อทราบข่าวมาว่า

สานักเสียงสวรรค์จะส่งคนไปเยี่ยมเยียนนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
นางและเซีย่ วซุ่ย จึงรีบลงทะเบียนชื่อของพวกนางทันที แต่น่า
เสียดายที่เอียจื้ออวิ้น ยังคงฝึกฝนอยู่ในพื้นที่แห่งความลับ และ
ไม่สามารถที่จะติดต่อนางได้เลย ถ้าไม่เช่นนั้น นางจะต้อง
เดินทางมาด้วยเป็นแน่

แน่นอนว่า การที่นางเดินทางมายังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ก็
เพื่อที่จะมาพบกับเนี่ยลี่
!

สานักเสียงสวรรค์ได้ส่งนักเรียนมาที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์กว่า
สองร้อยคน แน่นอนว่าทุกคนต่างก็เป็นหญิงสาวและมีหลายคน
ที่โดดเด่นจนเป็นทีด่ ึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคน
สานักอัคคี พวกเขาจับจ้องนักเรียนจากสานักเสียงสวรรค์จนไม่
วางตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อก็เป็นหนึ่งในศิษย์ที่
งดงามที่สุดของ สานักเสียงสวรรค์

มีสาวงามนางหนึ่งที่มีความสวยงามและน่าหลงใหล นั่งลงข้างๆ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ นางหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “นีศ่ ิษย์น้องหนิง
เอ๋อกาลังมองหาผู้ใดอยู่งั้นเหรอ? ”

เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น เซีย่ วซุ่ย ก็ตอบกลับด้วยน้าเสียงที่ไม่เป็น


มิตรว่า “เฉียนหลิง [沈灵] ข้าว่านี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของ
เจ้า ถ้าหากว่าพวกเราจะมองหาใครอยู!่ ”
เฉียนหลิง เผยรอยยิ้มที่มเี สน่ห์ “มันจะไม่ใช่ธุระกงการของข้า
ได้อย่างไร? ศิษย์น้องหนิงเอ๋อ ถือว่าเป็นหนึ่งในน้องใหม่ที่เป็น
อัจฉริยะ นางสามารถบรรลุถึงขอบเขตชะตาสวรรค์ได้ตั้งแต่
อายุยังน้อย แน่นอนว่านางเป็นความภาคภูมิใจ

และเป็นอนาคตของสานักเสียงสวรรค์ ถ้าหากว่าศิษย์น้องหนิง
เอ๋อ สนใจชายคนไหน แน่นอนว่าข้าจะต้องลองดู และจับตาม
องว่าชายคนไหนกันที่ทาให้เทพธิดาเช่นนางต้องลดตัวลงมาหา
เขา ข้าสงสัยว่าเขาเป็นคนที่ข้ารูจ้ กั หรือไม่? ”

เซี่ยวหนิงเอ๋อ ขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย เองก็ไม่ค่อยชอบ


เฉียนหลิงสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในระดับของความ
อาวุโสนั้น เฉียนหลิงก็นับว่าเป็นศิษย์พี่ของนาง ดังนั้นแม้ว่านาง
จะไม่พอใจนัก แต่นางก็ไม่ได้แสดงมันออกมา “ศิษย์พี่เฉียน
อย่าได้มาเสียเวลากับเรื่องนี้เลย ศิษย์พี่เฉียนไม่รู้จักคนที่ข้ามอง
หาหรอก!”

เฉียนหลิง เม้มริมฝีปากของนางเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม “อ้าว น่า


เสียดายยิ่งนัก ข้าคิดว่าเขาคือนายน้อยเยี่ยเสียอีก! ”
เซี่ยวหนิงเอ่อรู้ดีวา่ นายน้อยเยีย่ ที่เฉียนหลิงพูดถึงคือใคร เขา
มีนามว่า เยีย่ เชียน [叶轩] เขาเป็นทายาทอันดับหนึ่งของ
ตระกูลหลักที่อยู่ใน สานักอัคคีเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้นเขายัง
สามารถบรรลุขอบเขตชะตาสวรรค์ ขั้นที่เก้า ได้ตั้งแต่อายุเพียง
แค่ยี่สิบปี และในตอนนี้เขากาที่จะพยายามบรรลุ ให้ถึง
ขอบเขต ดาราสวรรค์ เฉียนหลิง อาจจะได้รับสินบนมาจากเยี่ย
เชียน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นางมาอยู่ข้างๆแล้วพูดเรื่องของเขา

ถ้าหากว่าเฉียนหลิง คิดว่าคนอย่าง เยี่ยเชียนนั้นจะทาให้หนิง


เอ๋อสนใจได้นั้นนางก็คิดผิดถนัด เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นไม่มีทางที่จะ
สนใจผู้ใดอีกแล้ว เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นางเก็บไว้ในใจ
และคนผู้นั้นก็คือเนี่ยลี!่

ห่างออกไป มีกลุ่มคนยืนพูดคุยกันอยู่ หนึ่งในนั้นแอบส่งสายตา


มายังเซี่ยวหนิงเอ๋อ และ เซี่ยวซุ่ย ในขณะที่ทั้งสองสาวมองไป
รอบๆ
หนุ่มสาวเหล่านั้นล้วนถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าอัจฉริยะ และ
ทายาทของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ และ สานักอัคคี หลี่ชิงอวิ๋น [
李行云] ,มู่หลงหยี่ [慕容羽] และ หลงยู่อิน ก็อยู่
ท่ามกลางคนพวกนั้น

มู่หลงหยีย่ ิ้มและขยับไปชิดกับ เยีย่ เชียน “ดูเหมือนว่าท่าน


พี่เยี่ยเชียน จะสนใจผูห้ ญิงที่มาจากสานักเสียงสวรรค์! ด้วย
สถานะเช่นท่าน คงไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะหยิบนางมาครองคู่
หรอกนะ?”

เยี่ยเชียนส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ท่านพี่มู่หลง ที่ท่านกล่าวมา


นั้นผิดแล้ว ในโลกนี้ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ บางคนก็
ชอบเงินทอง บางคนก็มักมากในกาม แม้ว่าจะใช้วิธีเช่นใด ข้าก็
ไม่อาจที่จะอยู่ในสายตาของนางได้ ”

มู่หลงหยี่ มองไปทางหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ “โอ้


หรือว่าหญิงสาวที่ท่านสนใจนั้น นางจะมีหัวใจเป็นก้อนหินกัน
แน่? เหตุใดนางถึงไม่หวั่นไหวเมื่อได้พบเจออัจฉริยะเช่นท่าน?
ข้าชักจะสงสัยแล้วว่านางเป็นผู้ใดกัน?”

ถ้าอานาจและความมั่งคั่งไม่อาจทีจ่ ะสั่นคลอนนางได้ ความ


เป็นไปได้ก็มเี พียงอย่างเดียว (ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น)
ตัวตนของหญิงสาวคนนีจ้ ะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เยี่ยเชียนตอบกลับไปพร้อมกับชื่นชมนาง “ข้าเคยถามคนรอบ
กายนางแล้ว นางคืออัจฉริยะที่เพิง่ เข้ามาอยู่ในสานักเสียง
สวรรค์ นางมาจากโลกใบเล็ก นางสามารถที่จะบรรลุขอบเขต
ชะตาสวรรค์ ขั้นที่ห้า ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นที่เลื่องลือว่า
นางเป็นหนึ่งใน ‘ฝาแฝดราศีเมถุน’

การบ่มเพาะพลังของนางนั้นรวดเร็วจนน่าตกใจ นอกจากนี้
นางก็ถือว่าเป็นเกียรติภูมิของสานักเสียงสวรรค์ มันเป็นเรื่อง
ยากเกินที่จะจินตนาการ นางยังเด็กและไม่มผี ู้ใดที่หนุนหลัง
เลย! ”
โลกใบเล็กงั้นเหรอ
? มู่หลงหยี่เริ่มรู้สึกเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มรับเล็กน้อย “หญิงที่งดงามและสง่างาม
ย่อมเป็นที่ต้องการของเหล่าสุภาพบุรุษ เหมือนคาสุภาษิตที่ว่า
หญิงสาวที่เอาแต่ใจมักหวั่นไหวเพราะผู้ชายขี้ตื้อ!”

เยี่ยเชียนส่ายหน้าของเขาพร้อมกับตอบมาว่า “ไม่ได้ผลหรอก
นางแทบจะไม่เคยยิม้ หรือพูดคุยกับผู้ใด มันเป็นเรื่องที่ยากนักที่
จะได้พดู คุยกับนาง ด้วยสารพัดวิธี ข้าพยายามลองมาแล้วนับ
ไม่ถ้วน!” เยี่ยเชียน มองไปทางหญิงสาวจากระยะไกลๆ บางที
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทางทาให้เขารู้สึกหวั่นไหว และเอากุม
หัวใจของเขาไว้ได้

เป็นเพราะ เยี่ยเชียน ทุกคนในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ และ


สานักอัคคี จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซี่ยวหนิงเอ๋อ ด้วยความ
อยากรู้อยากเห็น ว่าทาไม เยี่ยเชียนถึงได้กล่าวถึงนางถึงเพียงนี้
พอพวกเขาได้เห็นเซี่ยวหนิงเอ๋อ พวกเขาก็ทาตาละห้อย
หลงไหลในความงดงามของนาง

แต่ถึงอย่างไร นางก็ถูกจับจองเป็นเป้าหมายของเยี่ยเชี่ยนไป
แล้ว ดังนั้นแน่นอนพวกเขาคงจะไม่กล้าเข้าใกล้นางเป็นแน่

ศิษย์ของสานักเสียงสวรรค์ล้วนแต่เป็นหญิง ไม่มีผู้ชายแม้แต่คน
เดียว ส่วนใหญ่พวกเขามักจะเก็บตัวอยู่ภายในสานักเท่านั้น ลูก
ศิษย์ส่วนใหญ่จะทาการบ่มเพาะพลังภายในสานัก

หากฝืนออกมาเสี่ยงด้านนอกก็ถือว่าอันตรายยิ่งนัก แม้ว่า
เซี่ยวหนิงเอ๋อจะมีอุปนิสัยเป็นคนที่เย็นชา นางก็ยังมุ่งมั่นที่จะ
ออกมาข้างนอกสานักเสียงสวรรค์ แม้ว่าจะต้องตายก็ต้อง
ออกไป [เป็นสานวนหมายความว่า ออกไปด้วยความอยากรู้
อยากเห็นของนาง]

แต่ว่า แม้แต่ เยีย่ เชียนก็ยังไม่เข้าตานางงั้นเหรอ


?
แน่นอนว่า ทุกคนต่างคิดอยู่ในใจ ไม่มผี ู้ใดกล้าเอ่ยออกมา
ในขณะที่พวกเด็กหนุม่ กาลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเซี่ยวห
นิงเอ๋อก็ลุกยืนขึ้น ก็ปรากฏรอยยิม้ บนใบหน้าของนาง ใบหน้า
ที่เป็นประกายของนางทาให้ทุกคนต่างก็แปลกใจ และต่างก็หัน
มองไปที่นาง

พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เย็นชาและหยิ่งทะนงอย่างเซี่ยวห
นิงเอ๋อ จะเผยรอยยิ้มที่งดงามถึงเพียงนี้ มันเป็นร้อยยิ้มที่แสดง
ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่านางได้พบกับคนรักของนางแล้ว
บทที่ 305 ตระกูลเยี่ย แห่งสานักอัคคี

เยี่ยเชียนก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หัวใจของเขาในตอนนี้ ไม่


อาจที่จะหยุดเต้นตึกตักเมื่อเขาได้เห็นรอยยิ้มของเซีย่ วหนิงเอ๋อ
จากที่เห็นไกล ๆ ดวงตาของเนี่ยลีน่ ั้น ก็มองเห็นเซี่ยวหนิงเอ๋อ
และ เซีย่ วซุ่ยแล้วเช่นกัน เซี่ยวหนิงเอ๋อ ดูเหมือนว่าจะเติบโต
และงดงามยิ่งกว่าเดิม
เซี่ยวหนิงเอ๋อเดินเข้าไปหาเนี่ยลี่ นางรีบก้าวขาสองสามก้าว
เพื่อที่จะไปยืนอยูต่ รงหน้าเขา“หนิงเอ๋อ!” เนี่ยลี่เผลอยิ้มออกมา
มันเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่พวกเขาแยกจากกัน และเนี่ยลี่
เองก็คิดถึงพวกนางไม่น้อย
ดวงตาของเซี่ยวหนิงเอ๋อน้ามีประกายของหยดน้าตา ทันใดนั้น
นางก็ก้าวขาไปสวมกอบเนี่ยลี่อย่างแนบแน่น กลิ่นอายหลังจาก
การอาบน้าของเขาทาให้นางนั้นรูส้ ึกเงียบสงบและผ่อนคลาย
เนี่ยลี่ถึงกับประหลาดใจไม่น้อย แต่ก็ได้สติอย่างรวดเร็วเขาตบ
ไหล่ของนางเบาๆ เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “มีใครทีส่ านัก
เสียงสวรรค์รังแกเจ้าหรือไม่? ถ้าหากมีใครที่กล้ารังแกเจ้า ข้า
จะจัดการพวกนั้นเพื่อเจ้าเอง”
“ไม่” เซี่ยวหนิงเอ๋อ เช็ดน้าตาบนใบหน้าของนาง จากนั้น
ก็เงยหน้ามองเนี่ยลี่ ตลอดเวลาที่นางอยู่ที่สานักเสียงสวรรค์
นางคิดว่ามีเนี่ยลี่อยู่ใกล้ๆ และในตอนนี้เขาก็ได้มาอยูต่ รงหน้า
ของนาง ใจของนางในตอนนี้นั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก

“พวกเจ้าอยู่ที่นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง
?”

“ก็ไม่เลวนัก” เนี่ยลีต่ อบพร้อมกับเผลอยิ้ม


เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือแย่เหมือนกัน สาหรับตัวเขาแล้วที่มี
ประสบการณ์ทั้งการมีชีวิตและความตายในชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้ก็นับว่าเล็กน้อยนัก

เซี่ยวหนิงเอ๋อ มองดูแล้วช่างมีเสน่ห์และน่ารักในชุดสีขาวของ
นาง เหล่าคนที่เฝ้ามองดูพวกเขาอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างนี้ ต่าง
จ้องมองด้วยความอิจฉา
เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อ พูดคุยกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขา
ไม่ได้สนใจเหล่าคนที่จ้องมองดูอยูแ่ ม้แต่น้อย

“เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใครกัน
?”

“เจ้าไม่รู้งั้นรึ
? เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นที่สดุ ในกลุ่มของผู้ที่เข้ามาใหม่ เขา
ทาการสั่งสอนจนหลงยู่อินต้องเชื่อฟังที่เขาสั่งเลยทีเดียว”

“นั่นคือเขางั้นรึ!”
ตั้งแต่แรกเริ่ม เซีย่ มหนิงเอ๋อ ดึงดูดสายตาผูค้ นเป็นจานวนมาก
นางเปรียบดังเทพธิดาที่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามกล้ แต่ในตอนนี้
ทุกคนต่างตระหนักดีว่านางนั้นมีผทู้ ี่ครอบครองแล้ว! นางนั้นถูก
เนี่ยลี่ครอบครองอย่างแท้จริง!
ทุกคนในห้องโถงถึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมากันเลยทีเดียว
หลงยู่อินยืนมองอยู่ไกลๆ นางจ้องมองเซี่ยวหนิงเอ๋อ นาง
ยอมรับเลยว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นสง่างามยิ่งนัก นางยอมรับเลยว่า
ตัวเองนั้นด้อยกว่า นางเป็นอะไรกับเนี่ยลี่ หลงยู่อินไม่รู้ว่าทาไม
แต่ชว่ ยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกเช่นนั้น นางรู้สึกผิดหวังจึงยกแก้ว
ไวน์แล้วดืม่ ไปหมดแก้วในคราวเดียว

หลี่ชิงอวิ๋น มองเห็นภาพตรงหน้าก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เนี่ยลี่กับ


เขาได้ตกลงทาธุรกิจลับหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องทาให้ช่วยเสริมความ
แข็งแกร่งให้กับพวกของเขา เขาเริ่มเห็นว่าความร่วมมือที่มีให้
กันกับเนี่ยลี่นั้นมีความสาคัญมากขึน้ ตั้งแต่ที่ได้เห็น
ความสามารถของเนี่ยลี่ น่นอนว่ามันไม่แปลกเลยที่เขาจะมี
หญิงสาวที่งดงามยืนอยูเ่ คียงข้างกาย

เมื่อ มู่หลงหยี่ เห็นว่าคน คนนั้นคือเนี่ยลี่แน่นอน เขาหรี่ตาลง


พร้อมกับปล่อยจิตสังหารอันเย็นยะเยือกออกมา เขาไม่คดิ มา
ก่อนเลยว่าจะพบกับเนี่ยลี่ที่นี่ ‘ศัตรูมักจะเดินอยู่บนหนทางที่
คับแคบ’ (สานวนจีนหมายถึง คนที่เป็นศัตรูกันไปทางไหนก็
มักจะเจอกันราวกับว่า หนทางมันคับแคบ) ช่างตรงกับคาพูดนี้
เสียจริง

เขาไม่สามารถที่จะไปหาเรื่องเนี่ยลี่ได้ แม้ว่าเขาจะต้องการทา
เช่นนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ตอนที่เขาได้ยินมาว่าเซีย่ วหนิงเอ๋อนั้น
มาจากโลกใบเล็ก เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้ว แต่เขาก็คาดไม่ถึง
เลยว่า เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้หญิงของเนี่ยลี่

เยี่ยเชียน อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อเขาเห็นเซี่ยวหนิงเอ๋อ


อยู่ในอ้อมกอดของเนี่ยลี่ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทาไมเซี่ยวหนิง
เอ่อไม่เคยที่จะชายตามองมาที่เค้าเลย ตลอดการเดินทางมาที่นี่
มันเป็นเพราะว่าหัวใจของนางตกเป็นของผู้อื่นไปแล้วนี่เอง

มู่หลงหยี่ ยิม้ ให้ เยี่ยเชียนพร้อมกับพูดว่า “ท่านพี่เยี่ยเชียน ดู


เหมือนว่าเซีย่ วหนิงเอ๋อจะถูกชายอื่นครอบครองไปแล้วนะ”

เยี่ยเชียนถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “เมื่อเรื่องราวมันเป็น
เช่นนี้ ข้าก็คงจะต้องลืมไปมันเสีย” แม้ว่าเขาจะชอบเซี่ยวหนิง
เอ๋อไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลุ่มหลงขนาดที่ว่าจะต้องครอบครอง
นางให้ได้ ในเมื่อใจของนางมีคนอืน่ อยู่แล้ว สิ่งเดียวทีเ่ ขาทาได้
ก็คือถอนตัวออกมา
มู่หลงหยี่ ยิม้ แล้วพูดออกไปว่า “ท่านพี่เยี่ย ดูเหมือนว่าท่านจะ
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว เจ้าเนี่ยลี่นั้นยังไม่บรรลุขอบเขต
ชะตาสวรรค์เลยเสียด้วยซ้า และทีส่ าคัญเขาไม่ได้มีภมู ิหลังของ
ตระกูลอะไรเลยแม้แต่น้อย วิ่งเดียวที่เขามีก็คือใช้คารมหลอก
ล่อหญิงสาวไร้เดียงสาก็เพียงเท่านัน้ ท่านพี่เยี่ย จะถอนตัว
ตอนนี้จริงเหรอ? ”

หลังคาพูดของ มู่หลงหยี่ ช่วยกระตุ้นความสนใจของเยี่ยเชียน


ไม่น้อย “อะไรนะ? เขายังไม่บรรลุระดับ ขอบเขตชะตาสวรรค์
เลยอย่างนั้นเหรอ? ” ถ้าเช่นนั้นเขาล่อหลอกด้วยวิธีไหนกัน
เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงได้ตอบรักรับเขาได้?
เจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่คู่ควรกับนาง
!
เนี่ยลีส่ ัมผัสได้ถึงการจ้องมองอย่างแปลกประหลาดจากคนรอบ
ๆตัวเขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับคนพวกนั้น ในสายตาของเขา คน
พวกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เดินผ่านไปมา

เนี่ยลี่ชาเรืองมองที่ด้านข้าง เขาเห็นเซี่ยวซุ่ยกาลังต่อว่าลูเ่ พียวอ


ยู่ เขาอดไม่ได้ทจี่ ะยิ้มเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เมื่อคนรักทั้งสอง
ได้มาพบกัน
เนี่ยลี่แนะนาเพื่อนของเขา “นึคือเพื่อนของข้า กู้เบ่ย
!”

“ยินดีที่ได้รู้จัก น้อง-สะ-ใภ้”กู้เบ่ย พูดพร้อมกับหัวเราะ

เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงกับหน้าแดง เมื่อได้ยินคาพูดของกู้เบ่ย นางรีบ


เงยหน้าขึ้นแล้วชาเรืองมองเนี่ยลี่ ขณะที่แก้มของนางร้อนฉ่า
แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้พดู แก้ตัวและตอบกลับไปว่า “ยินดีที่ได้
รู้จักท่านเช่นกัน”
ทันใดนั้น นางก็คิดว่าอยากให้เป็นเช่นดังคาพูดของกู้เบ่ย
จริงๆ หรือว่าจะควรเป็นมากหรือน้อยกว่านั้นกันแน่นะ

กลุ่มของพวกเขาเกินไปทางโต๊ะที่วา่ งอยู่ตรงมุมห้อง และนั่งลง


คุยกัน
เนี่ยลี่มองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อที่นั่งเงียบอยู่ และถามว่า “จื้ออวิ้น
ไม่ได้มากับเจ้างั้นเหรอ
?”

“นางนั้นกาลังทาการบ่มเพาะพลังอยู่ที่พื้นที่ฝึกฝนแห่ง
ความลับของสานักเสียงสวรรค์ ข้าไม่อาจที่จะติดต่อนางได้
ก่อนที่เราจะเดินทางมาที่นี่” เซี่ยวหนิงเอ๋ออธิบายให้ฟัง

“งั้นเหรอ” เนี่ยลี่พยักหน้า ขณะทีเ่ ขามองไปยังที่ไกลๆ เขา


สงสัยว่ามันเป็นเช่นใดกัน พื้นที่ฝึกฝนแห่งความลับ มันอย่ที่
ไหนและจื้ออวิ้นกาลังทาอะไร
ทันใดนั้น หลี่ชิงอวิ๋น ก็เดินมาตรงหน้าพวกเขา เขามองที่เนี่ยลี่
และเอ่ยถามว่า “ข้าสามารถร่วมนัง่ ตรงนี้ได้หรือไม่?”

“แน่นอน” เนี่ยลี่ตอบพร้อมกับยิ้ม
กู้เบ่ยและหลี่ชิงอวิ๋น ทักทายกันเล็กน้อย แม้ว่ากู้เบ่ยกับหลี่ชิ
งอวิ๋น จะเคยได้ยินเรื่องของอีกฝ่ายมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่เคย
ติดต่อกัน นี่เป็นการพูดขุยของพวกเขาครั้งแรกผ่านการ
สังสรรค์ของเนี่ยลี่

“พวกเราสามารถนั่งตรงนี้ด้วย ได้หรือไม่
?” เยี่ยเชียน และ มู่หลงหยี่ เดินมาหาพวกเขาพร้อมกับชี้ไปยัง
เก้าอี้ที่ว่างอยู่ถัดจากเซี่ยวหนิงเอ๋อ

เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และจ้องไปยังเยี่ยเชียน
ในการเดินทางมาที่นี่ เยีย่ เชียน ได้พยายามที่จะพูดคุยกับนาง
แต่นางก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย แต่เยีย่ เชียนผู้นี้ก็
เป็นคนมีมารยาท ดูสุภาพไม่น้อย ดังนั้นหนิงเอ๋อจึงไม่ได้ปฏิเสธ
และทาอะไรที่ไม่เหมาะสมแก่เขา
แต่หลังจากที่เยี่ยเชียน พยายามทีจ่ ะเข้ามานั่งถัดจากนาง นาง
จึงกังวลว่าเนี่ยลี่อาจจะเข้าใจผิดได้

“ตรงนี้เป็นที่นั่งของข้า” เซี่ยวซุ่ย นั่งลงทันทีตรงที่นั่งข้างๆ


เซี่ยวหนิงเอ๋อ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ อดไม่ได้ที่จะขอบคุณเซี่ยวซุ่ยผ่านทางสายตา
เซี่ยวซุ่ยยิม้ ตอบกลับมา ตลอดการเดินทางมาในครั้งนี้ นางเป็น
คนที่เข้าใจเซี่ยวหนิงเอ๋อมากทีส่ ุด

“ถ้าเช่นนั้น ข้านั่งตรงนี้แทนก็ได้” เยี่ยเชียน หยุดชะงัก


เล็กน้อย เขาจึงไปนั่งอยู่กับมู่หลงหยี่ ตรงด้านตรงข้ามของโต๊ะ
แทน
ในขณะที่กู้เบ่ยกาลังจะนั่งลงข้าง ๆเนี่ยลี่ หลงยู่อินก็นั่งลงก่อน
กู้เบ่ยถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าเขา
จะต้องหาที่นั่งใหม่สินะ หลงยู่อินนั้นเป็นนางเสือร้าย ดังนั้น
แน่นอนว่าเขาคงไม่กล้าที่จะยั่วยุนางด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
ที่ห้องโถงด้านข้างเหล่าลูกศิษย์ของทั้งสามสานักพูดคุยกันอย่าง
คึกคัก และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับหนทางของการต่อสู้ โดย
ปกติแล้วการพูดคุยก็จะมีเสียงดังไม่น้อย หลังจากที่พวกเนี่ยลี่
นั่งลงแล้ว เหล่าผู้คนก็หยุดและหันมาให้ความสนใจกับพวกเขา

เซี่ยวหนิงเอ๋อมองหลงยู่อินที่นั่งถัดจากเนี่ยลีด่ ้วยความสงสัยว่า
นางเป็นใครกัน

เยี่ยเชียน ยกแก้วไวน์ขึ้นด้วยท่าทีที่สง่างาม ด้วยท่าทางที่มี


มารยาทพร้อมกับกล่าวว่า “ในงานเลี้ยงวันนี้ เหล่าชนชั้สูงของ
ทั้งสามสานักได้อนุญาติให้พวกเรานั้นได้มาทาความรูจ้ ักซึ่งกัน
และกัน เพื่อที่พวกเราจะได้ดูแลกันในอนาคต ข้า เยี่ยเชียน ขอ
ดื่มอวยพรให้กับทุกท่าน ตอนนี้พวกเราทุกคนก็นับว่าเป็นสหาย
กันแล้ว! ”
แต่ทว่า ทุกคนกลับแค่ชาเลืองมองเยี่ยเชียนแบบผ่าน ๆ
จากนั้นก็พูดคุยกันต่อ ไม่มผี ู้ใดสักคนที่สนใจเขา และปล่อยให้
เขาอยู่ในสถานการที่น่าอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง

และที่โต๊ะนี้ ไม่มีสนใจเยี่ยเชียนเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็น หลี่


งอวิ๋น หลงยู่อิน หรือแม้แต่กู้เบ่ย เนี่ยลี่ก็ยังคงพูดคุยอยู่กับ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ ไม่ยอมเสียเวลากระทั่งทักทายความรู้จักกับเยีย่
เชียนเลยแม้แต่น้อย ใครพอจะบอกได้บ้างว่า นี่มันนรกอะไรกัน
แน่?

ส่วนเซี่ยวซุย่ กับลูเ่ พียว พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ราว


กับเป็นคู่แต่งงานใหม่
ที่มุมปากของมู่หลงหยี่ ขดเล็กน้อยคล้ายกับว่ากาลังยิ้มอยู่ ที่
เขาต้องการเห็นคือความขัดแย้งระหว่างเยี่ยเชียนกับเนีย่ ลี่ มู่
หลงหยี่ ถือแก้วไวน์ของเขาไปหาเนี่ยลี่ “ก่อนหน้านี้ ที่
โบราณสถานแห่งความสะพรึง ข้าไม่ทราบว่าท่านท่านคือใคร
ศิษย์น้องเนี่ยลี่ ในวันนี้ ข้าขออภัยกับสิ่งที่ข้าได้ทาผิดพลาดไป
ที่อาจทาให้ศิษย์น้องเนี่ยลีไ่ ม่สบายใจ!”
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วและจ้องหน้ามอง มูห่ ลงหยี่ หลังจากทีเ่ ขาพูดจบ
เนี่ยลีไ่ ม่ได้พูดถึงการเผชิญหน้าของพวกเขาใน โบราณสถาน
แห่งความสะพรึง แม้แต่น้อย และเขาก็ไม่คดิ เลยว่า มู่หลงหยี่
จะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เนี่ยลีม่ องเห็นรอยยิ้มของมู่หลงหยี่
อย่างนีน้ ะหรือที่เรียกว่าการขอโทษ? นี่เป็นการพยายามที่จะยั่ว
ยุเขาอย่างเห็นได้ชัด

ลู่เพียวกับกู้เบ่ย ก็พยายามที่จะจับตามองอยู่ เพราะพวกเขารู้ดี


ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โบราณสถานแห่งความสะพรึง

แต่ถึงอย่างไร เนี่ยลี่ก็ยังสามารถทีจ่ ะสงบสติ อดกลั้นเอาไว้


ได้ แน่นอนว่าเขานัน้ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกความโกรธแค้น
ครอบงาได้โดยง่าย “ศิษย์พมี่ ู่หลงคงพูดล้อเล่นเป็นแน่ ศิษย์พี่
อยู่ในระดับชะตาสวรรค์ขั้นที่ 5 ท่านคงแค่อยากจะชี้แนะข้า
เท่านั้น ข้าหวังว่าจะได้พบกับท่านอีกครั้ง สักคราหนึ่งใน
โบราณสถานแห่งความสะพรึง ” ครั้งต่อไปที่เนีย่ ลี่นั้นเข้าไปยัง
โบราณสถานแห่งความสะพรึง เขาจึงได้ทาการท้าทายมู่หลงหยี่
มู่หลงหยี่ หันหลังกลับไปและยิ้มอย่างเย็นชา “แน่นอน ข้า
พร้อมที่จะต้อนรับเจ้าเสมอ ในทุกเวลา” ดูเหมือนว่าเนี่ยลี่
ต้องการที่จะเจ็บตัวอีกครั้งสินะ?

ตรงจุดนี้ หลี่ชิงอวิ๋น ได้พูดแทรกขึน้ มาจากด้านข้าง “มู่หลงหยี่


เจ้าได้ลองดี ท้าทายกับข้าก็หลายครั้งแล้ว แต่ข้าก็จดั การเจ้าได้
อย่างง่ายดาย ดังนั้นใครกันที่บอกว่าพร้อมทุกเวลา ตอนนี้ข้า
นั้นก็พร้อมอยู่แล้ว เจ้ายังจาที่เจอกันครั้งสุดท้ายได้หรือไม่ ที่ข้า
บอกไว้ว่าให้เจ้าไปให้ไกลจากข้า ดูเหมือนว่าความจาของเจ้าจะ
ไม่ค่อยดีสินะ ข้าคิดว่า ข้าคงต้องทาให้เจ้าสานึกอีกรอบสินะ ”

มู่หลงหยีเ่ สียงแผ่วลงเล็กน้อย เนี่ยลี่นั้นแข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ มู่


หลงหยี่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปีที่แล้ว และหลี่ชิงอวิ๋น ก็เป็นผู้
ที่แข็งแกร่งที่สุดในปีก่อนหน้านั้น มู่หลงหยีไ่ ด้ประมือกับหลี่ชิ
งอวิ๋นมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยชนะแม้แต่ครั้งเดียว มูห่ ลงหยี่
สามารถพูดจาเยอะเย้ยเนี่ยลี่ได้ แต่เมื่ออยู่ตรงหน้าของหลี่ชิ
งอวิ๋นแล้ว เขาไม่อาจที่จะ แม้แต่เงยหน้าขึ้นมาได้
เยี่ยเชียนยิม้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “นี่คงจะเป็นน้องชายหลี่ชิงอวิ๋น
ข้าเคยได้ยินท่านพ่อของข้ามักจะเอ่ยถึงท่านอยู่เสมอ ตระกูล
เยี่ย จากสานักอัคคี และตระกูลเถ้าอัคคีของท่าน ที่อยู่ในนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็เป็นสหายกันมาอย่างยาวนาน”

หลี่ชิงอวิ๋นถึงกับใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินคาพูดของเยี่ย
เชียน ถ้านี่เป็นคนแซ่เยี่ย จากสานักอัคคีแล้วหล่ะก็ ในสานัก
อัคคีนั้น ตระกูลเยีย่ นั้นถือครองกาลังอยู่ถึง หกสิบเปอร์เซนต์

หลี่ชิงอวิ๋น เคาะโต๊ะด้วยนิ้วของเขา และเอ่ยถามว่า “ข้าขอถาม


ได้ไหม ท่านคือผู้ใดกัน
?”

“ข้าคือ เยี่ยเชียน” เยี่ยเชียนประกาสอย่างภาคภูมิใจ

ในตอนนี้ หลี่ชิงอวิ๋น เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้ว เขา


เคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเยี่ยมาหนึ่งถึงสองเรื่อง เยี่ยเชียน นั้น
เป็นผูส้ ืบทอดสายตรงลาดับที่หนึ่ง และสถานะของหลี่ชิงหยุน
นั้นก็ไม่อาจที่จะเทียบได้ และในปัจจุบันนั้นพวกเขาอยู่ในนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าหลี่ชิงอวิ๋น เองก็ไม่ได้เกรงกลัว เยี่ย
เชียน แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้เขาก็ไม่อาจที่จะทาอะไรได้
บทที่ 306 หลง เทียนหมิง

ดูจากปฏิกริ ิยาของ หลี่ชิงหยุนแล้ว เนี่ยหลี่ก็รบั รูไ้ ด้เลยว่าตัวตน


ของ เยี่ยเชียน นั้นมิอาจจะล่วงเกินได้ง่ายๆ

เนี่ยหลี่รู้เกีย่ วกับแซ่ เยี่ย ของสานักอัคคี เพียงเล็กน้อย


เท่านั้น เยี่ยเชียนเป็นทายาทสายตรงของตระกูล แต่ยังไงเสีย
เขาก็ยังไม่ได้เป็นผูส้ ืบทอดตระกูล

แต่ดูเหมือนว่า เยี่ยเชียน ผู้นี้ รู้ว่าเมื่อใดควรเมื่อใดไม่ควร รูส้ ิ่ง


ใดคือขีดจากัด ไม่เหมือน มู่หลงหยี่ ตราบใดที่เยีย่ เชียน ไม่ได้
ทาการจุดประกายชนวนขึ้น เนี่ยหลี่ก็จะรักษาไว้ซึ่งระยะห่าง
อันแน่นอนนี้

ในขณะนี้ เนี่ยหลี่ยังหลบซ่อนอยู่ภายใต้ปีกที่เรียกว่านิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นภัยที่คุกคาม
ต่อเขาได้ ในภายภาคหน้าหลังจากเนี่ยหลีไ่ ด้บม่ เพาะพลังเต็มที่
แล้ว แม้แต่ เยีย่ เชียนก็ไม่สามารถมายืนเทียบกับเขาได้
หลังจากที่ เยี่ยเชียน ได้ประกาศชือ่ ตนออกไปแล้ว มีเพียงหลี่
ชิงหยุน เท่านั้นที่แสดงปฏิกิรยิ าออกมาเล็กน้อย คนอื่นๆที่ร่วม
โต๊ะอยู่ยังคงยุ่งกับเรื่องส่วนตัว เยีย่ เชียนรูส้ ึกกระอักกระอ่วน
เป็นอย่างยิ่ง เมื่อสังเกตว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อไม่ได้สนใจตัวเขาเลย
แม้แต่น้อย นางยังคงพูดคุยกับเนีย่ หลี่ พร้อมด้วยใบหน้าที่
แสดงรอยยิม้ ออกมาอย่างมีความสุข

เยี่ยเชียนต้องรูส้ ึกผิดหวังกับนางอย่างเสียไม่ได้ ด้วยจานวน หก


สานักใหญ่ของอาณาจักรซากมังกรทั้งหมดต่างได้รับการ
ขับเคลื่อนภายใต้ตระกูลใหญ่ตา่ งๆ เพียงแค่ได้รับการ
สนับสนุนจากตระกูลใหญ่เหล่านั้น หนิงเอ๋อก็จะสามารถทาการ
ฝึกฝนได้เต็มประสิทธิภาพ

สิ่งใดที่นางจะได้รับหากยังคงติดตามเนี่ยหลี่ ? หญิงสาวมักจะ
ปล่อยตัวให้ลุ่มหลงไปกับความรัก อย่างไรก็ตามเยีย่ เชียนไม่
สามารถใกล้ชิดกับนาง หรือทาให้นางเปลี่ยนใจ นั่นทาให้เขา
หมดหนทางในเรื่องคราวนี้แน่นอน
“เจ้าจะอยู่ที่นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์นี้นานเท่าใด?” เนี่ยหลี่
ถามเซี่ยวหนิงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้าง กลิ่นหอมหวานของสตรีทา
ให้เนี่ยหลีร่ ู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข (จะไปบอกว่าน่ารักก็
อ้อมเกิน จะบอกว่าน่า...ก็ตรงไป)

“สองวัน”เซี่ยวหนิงเอ๋อขยับมาชิดเนี่ยหลีม่ ากขึ้น ความเขินอาย


และความเปี่ยมสุขแสดงผ่านสีหน้าของนางในเวลานี้

“ถ้าเป็นเช่นนั้น คืนนี้เจ้ามาหาข้าด้วย..”เนี่ยหลี่เอ่ยขึ้นก่อนจะ
ขบคิดอยู่อีกสักครู่ เวลาสองวันนับว่าเพียงพอ

“อือ....”ทั้งหน้าของเซี่ยวหนิงเอ๋อลามไปถึงช่วงลาคอร้อนผ่าว
และเสียงตอบรับของนางที่ตอบออกมาบางเบาเสียจนแทบ
ไม่ได้ยิน แก้มแดงระเรื่อราวกับคนที่ร่าสุราจนเมามาย

“ข้าจะมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีการเติบโตระดับพระ
เจ้าให้เจ้าผสานรวมกับมัน” เนี่ยหลี่ยิ้มบางๆ แน่นอนว่าสองวัน
ทาให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะทาจิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีการ
เติบโตระดับพระเจ้าได้ทันเวลา

เป็นแบบนี้เอง เนี่ยหลี่ไม่ได้... เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อรู้ตัวว่าเข้าใจผิด


ไป นางนั้นอายแทบอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองเสียให้ได้ นั่นคือ
สิ่งที่เนี่ยหลีต่ ้องการจะสื่อ แล้วทาไมต้องเว้นครึ่งประโยคให้
เข้าใจผิดด้วยนะ

ผู้ที่มองอยู่โดยรอบเหมือนกับถูกตีที่หัวด้วยค้อนเมื่อเห็นเซี่ยวห
นิงเอ๋อแสดงท่าทีขวยเขิน พวกเขาต้องยอมรับออกมาจากใจว่า
นางเป็นหญิงสาวที่งดงามจนทาให้ยากที่จะละสายตาจากนาง
ได้

หลงยู่อินไม่ทราบว่าทาไมนางจึงต้องรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆเมื่อได้
เห็นเนี่ยหลี่กับเซีย่ วหนิงเอ๋อใกล้ชดิ กัน แต่ถึงอย่างนั้นนางก็
ไม่ใช่คนช่างพูดอะไร นางจึงนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ถึงแม้นางจะถูกตาหนิว่ากล่าวจากเนี่ยหลี่ และเพิ่งได้รับการ
เฆี่ยนตีกลับทาให้นางรูส้ ึกค่อยๆชืน่ ชอบในตัวเนี่ยหลี่ขึ้นมา นี่
ไม่ได้หมายความว่านางรักและต้องการให้เขาตาหนิว่ากล่าว
หรือเฆี่ยนตีหรอกนะ แต่นางชอบที่มีคนคอยให้คาแนะนา
เหมือนกับอาจารย์ มันทาให้นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยว (และ
ตาแหน่ง ประจาปี 2016 ได้แก่.... คุณ หลงยู่อินจากตระกูล
ผนึกมังกรครับ!! )
(ลั่นตลอดเลย)

ดังนั้นนางจึงรู้สึกสนใจปนสับสนเมื่อนางเองได้ตระหนักแล้วว่า
เป็นหญิงงามที่อยู่เคียงข้างเนี่ยหลีเ่ ช่นเดียวกัน และอยากจะมี
ความสันพันธ์ใกล้ชิดกับเขา แต่นางเป็นอันใดกับเนี่ยหลี่เล่า?

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เนี่ยหลีไ่ ด้ให้คาแนะนาเล็กน้อยกับ


ข้าเพียงแค่เขาอยากให้ข้าละทิ้งความเกลียดชังระหว่างเจ้ากับ
อิงเยว่หลู่ ในที่สุดแล้ว อา ข้าหลงยู่อินก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ หลงยู่อินได้สัมผัสกับอารมณ์ทซี่ ับซ้อนเช่นนี้
นางรู้สึกขอบคุณเซี่ยวหนิงเอ๋อจากสานักเสียงสวรรค์ อย่างยิ่ง
ที่ในอีกสองวันจากนนี้นางก็จะกลับแล้ว

“หนิงเอ๋อ เจ้าฟังอยู่หรือเปล่า?” เนี่ยหลี่มองเซี่ยวหนิงเอ๋


อด้วยสายตาห่วงใย และเห็นว่านางเอาแต่ก้มหน้าลงจนหัว
เกือบจะติดหน้าอกของนางอยู่แล้ว ทาให้เขารู้สึกประหลาดใจ
อยู่เล็กน้อย ในเมื่อเขาพูดอะไรไปตั้งมากมายทาไมนางถึงไม่
ตอบกลับอะไรมาบ้างเลย?

“อื้อ..”เซี่ยวหนิงเอ๋อส่งเสียงตอบเบาๆ ภายในหัวใจของนาง
เนี่ยหลี่คือคนสาคัญที่สดุ มันไม่มสี ารสะคัญอันใดเลยที่เขา
จะต้องถามนาง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามนางจะไม่ปฏิเสธเขาเด็ดขาด
แต่ทาไมเนี่ยหลี่ถึงไม่รู้ใจนางกัน? เซี่ยวหนิงเอ๋อรู้สึกเศร้าขึ้นมา
นิดๆ

ทันใดนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่อัจฉริยะทีร่ วมตัวกันอยู่ โดย


มีสาเหตุมาจาก ผู้เยาว์สวมชุดคลุมสีเงินขาวเดินเข้ามาข้างใน
ด้วยใบหน้าหนุ่มที่จดั ว่าหล่อเหลา และการก้าวเดินที่เต็มเปี่ยม
ไปด้วยความมั่นใจ แม้แต่เหล่าอัจฉริยะที่ยืนรวมกลุม่ กันอยู่ยัง
หลีกทางให้แหหวกออกเป็นเส้นทางให้เขาผู้นั้นเดิน

“ใครจะคาดคิดได้ว่าแม้แต่ หลงเทียนหมิง จะมา!”

ความอลหม่านเกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่นตามมาทันที ด้วย
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษของหลงเทียนหมิง ปกติหลง
เทียนหมิงจะหมกมุ่นเก็บตัวเงียบกับการฝึกบ่มเพาะพลัง จึงไม่
ค่อยปรากฏสู่สายตาเบื้องนอกมากนัก ผู้คน ณ ที่แห่งนี้ต่าง
ทราบโดยทั่วกันว่าหลงเทียนหมิงเป็นผู้สืบทอดลาดับที่หนึ่งของ
ตระกูลผนึกมังกร และยังเป็นผู้ทเี่ ข้าชิงตาแหน่งเจ้านิกายขนนัก
ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด !

หลงเทียนหมิงก้าวเดินมาอย่างสง่าผ่าเผย ราวกับมีแสงเปล่ง
ประกายอยูร่ ายรอบตัวของเขา กลิน่ อายของเขาสะกดและ
ดึงดูดทุกผู้ทุกคน
ระดับการบ่มเพาะพลังของเขารวดเร็วและน่ากลัวเป็นอย่าง
มาก ปัจจุบันหลงเทียนหมิงอยู่ที่ ระดับดาราสวรรค์ขั้นที่ 9
ในขณะที่อายุได้ 16 เขาเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายอย่าง
ไม่ต้องสงสัย

สายตาของเขากวาดมองไปยังทุกคน ก่อนจะหยุดลงที่ เยี่ย


เชียน เขายิ้มบางๆก่อนจะก้าวเดินเข้าไปหาเยี่ยเชียนและกล่าว
ทักทาย “ท่านพี่เยี่ยเชียนเองก็มาเช่นกันหรือ?”

เยี่ยเชียนรู้สึกกดดันเล็กน้อยจากความจริงที่หลงเทียนหมิงเริม่
ทักทายก่อน เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะป้องมือของเขา “ท่านพี่หลง
ท่านเป็นเช่นใดบ้าง?”

แม้ว่าเยี่ยเชียน จะเป็นทายาทโดยตรงของ ตระกูลเยี่ย แต่


อย่างไรเสียเขายังไม่ได้เป็นผูส้ ืบทอดตาแหน่งผู้นา ยังมีอีกหลาย
คนในตระกูลเยี่ยที่แข่งขันแย่งตาแหน่งกับเขาอยู่
ทว่าหลงเทียนหมิงผู้นี้นั้นเป็นผู้สืบทอดตาแหน่งผู้นาตระกูล
ผนึกมังกรเป็นที่แน่นอนแล้วมิหนาซ้า ยังมีความเป็นไปได้ที่สูง
เป็นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นผู้นานิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต!

“นับตั้งแต่การกล่าวอาลาในครั้งนั้น นี่ก็เป็นเวลาสามปี
มาแล้ว อ่า ช่างเป็นเวลาทีย่ าวนาน การบ่มเพาะพลังของท่าน
พี่เยี่ยเชียนก้าวหน้าไปไม่น้อยเลย” หลงเทียนหมิงกล่าวพร้อม
ยิ้มเล็กน้อย

เยี่ยเชียนยิม้ เจื่อน “ท่านพี่หลง ท่านกล่าวเยินยอข้าเกินไปแล้ว


ระดับการบ่มเพาะพลังของท่านสูงส่งยิ่ง จนทาให้ข้า เยี่ยเชียนผู้
นี้ถึงกับต้องเรียนรู้การเจียมตน!”

เมื่อการพบปะกันครั้งแรกของพวกเขาทั้งคู่เมื่อสามปีก่อน ตอน
นั้นเยี่ยเชียน สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของหลง
เทียนหมิง จนทาให้เขาได้แต่มองจากเบื้องล่าง นอกเหนือการ
บ่มเพาะพลังแล้ว จิตอสูรที่หลงเทียนหมิงผสานด้วยยังคงเป็น
ปริศนา จากข่าวลือที่กล่าวว่าหลงเทียนหมิงเป็นหนึ่งในจานวน
ไม่กี่คนที่ได้ผสานรวมกับจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีการเติบโต
ระดับพระเจ้า

หลังจาก หลงเทียนหมิงมีความสามารถและเอกลักษณ์ที่โดด
เด่นขึ้น ทางนิกายขนนกศักดิ์สิทธิค์ งต้องเตรียมจิตออสูรระดับ
นั้นไว้ให้เขาเป็นแน่
หลงเทียนหมิงยังคงยิม้ อย่างมีเสน่ห์มองไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่
หลงยู่อิน “โห ญาติผู้น้องของข้าเอง ก็มาที่นี่เช่นเดียวกัน!”

หลงยู่อินพยักหน้าก่อนจะหันไปทางอื่นเมื่อได้เห็นเขา นางไม่ได้
ต้องการเห็นหน้าเขาสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามหลงเทียนหมิงยังยิ้มและไม่ใส่ใจกับท่าทางของ
หลงยู่อิน เขาเหลือบไปมองยังคนอื่นๆ รวมทั้งเนี่ยหลี่ เซี่ยวห
นิงเอ๋อ และคนอื่นที่เหลือ สาหรับเนี่ยหลี่และหลู่เปียว เขาไม่
รู้จัก แต่จากการสังเกตคร่าวๆ ก็พบว่ากลิ่นอายของพวกนั้น
อ่อนแอเกินกว่าจะให้ความสนใจ เขาหันมาหาเยี่ยเชียน
“ดูเหมือนว่าขณะนี้ท่านพี่เยีย่ กาลังยุ่งอยู่กับเหล่ามิตรสหาย
หากท่านมีเวลาว่าง ในเวลาอีกสองวันที่เหลือ โปรดมาดืม่ ชากับ
ข้าที่จวนบ้าง ! เราจะได้พบปะพูดคุยกันตามประสาเพื่อนเก่า
กัน !”
“ตกลง ข้าต้องไปแน่นอน! เชิญท่านไปจัดการกับธุระของท่าน
ต่อเถิด”

หลงเทียนหมิงหันหลังกลับและเดินจากไป

เนี่ยหลีจ่ ้องหลงเทียนหมิงอยู่นานจนกว่าเงาของหลงเทียนหมิง
จะค่อยๆหายไป ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาได้อยู่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลานาน แน่นอนว่าเขารู้ว่าผู้ใดคือหลงเทียนหมิง
นอกเหนือจากการที่หลงยู่อินและจระกูลผนึกมังกรกดดันให้
อาจารย์ถึงความตายยังมีเหตุการณ์อื่นๆเกิดขึ้นอีก

หลังจากได้เจอเหตุการณ์มากมายก็เริ่มปะติดปะต่อ เรื่องราวได้
เนี่ยหลีย่ ังคงผวาอยู่เรื่อยมาเมื่อพบว่าเบื้องหลังเหตุกาณ์ทั้งหมด
เกิดจาก หลงเทียนหมิง เขาเคยดารงเป็นผู้นานิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะไปดินแดนเทพบรรพชน
หลังจากที่เขาจากไป นิกายก็ถึงคราล่มสลาย

ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี่ยหลี่ เขาเป็นเพียงคนนอกนิกาย เขา


จึงไม่ได้ร่วมต่อสู้ใดๆ และเร้นกายประดุจหมอกควันยากจับต้อง
และสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า หลงเทียนหมิงเป็นผู้ทไี่ ด้รับ
ผลประโยชน์สูงสุดจากเหตุการณ์ทั้งหมด เนี่ยหลี่ต้องยอมรับ
จากใจจริงว่า หลงเทียนหมิงผู้นี้เป็นบุคคลฉลาดหลักแหลมมาก
ด้วยเล่ห์เพทุบาย

หลงเทียนหมินจากไป เพื่อไปคุยกับเหล่ารุ่นเยาว์จากสานัก
เสียงสวรรค์และสานักอัคคี พวกเขาได้ร่วมสนทนาและดื่มไวน์
ให้แก่กันเล็กน้อย มันดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างรับมือกับ
สถานการณ์เหล่านีไ้ ด้ดีทเี ดียว

ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลงเทียนหมิงเป็นผู้ทไี่ ด้รับความสนใจ


จากรอบข้างมากที่สดุ หญิงงามหลายคนของสานักเสียง
สวรรค์ ยืนอยู่ข้างเขาด้วยรอยยิ้มเบิกบานพร้อมส่งสายตาใฝ่
เสน่ห์หาไปให้เขา อย่างไรก็ตามหลงเทียนหมิงไม่ได้ใส่ใจกับมัน
เขาเพียงแค่ยิ้มตอบกลับมาอย่างสุภาพ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้
หลงใหลความงามของพวกนางแม้แต่น้อย

เนี่ยหลีส่ ังเกตหลงเทียนหมิง เขาช่างสุขมเยือกเย็นเสียจริง หาก


ต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลงเทียนหมิงรับรองว่าจบไม่สวยแน่
เนี่ยหลีห่ วังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่ใช่ศัตรู เนี่ยหลี่ครุ่นคิด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พลางมองออกไปข้างนอก หลงเทียนหมิงไม่ได้
ประเมินเนี่ยหลี่เอาไว้สูงเท่าใดนัก

เยี่ยเชียนยังคงยิม้ และกลับไปนั่งที่ของเขา เขาค่อนข้างรู้สึกดีที่


หลงเทียนหมิงทาตัวสุภาพกับเขา บุคคลในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ต่างเกรงใจต่อเขา ไม่แม้แต่ หลี่ชิงอวิ๋นก็เช่นกัน หลี่
ชิงอวิ๋นยกไวน์ขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ แล้วเช็ดปากด้วย
ความรูส้ ึกเหยียดหยาม

ด้วยจุดยืนของเขา เป็นที่แน่ชัดว่าหลี่ชิงอวิ๋นเกลียดชังหลง
เทียนหมิงเข้าไส้เข้ากระดูก แต่ความแข็งแกร่งหลี่ชิงอวิ๋นก็ยัง
ด้อยกว่าหลงเทียนหมิง ต้องขอบคุณที่หลี่ชิงอวิ๋นมีกองกาลังที่มี
สายสัมพันธ์แนบแน่น แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังด้อยกว่าหลง
เทียนหมิง

เนี่ยหลี่ยิ้มบางๆ “ข้าได้ยินว่านิกายทั้งสามจะจัดประมูล
สมบัติของแต่ละนิกาย ข้าอยากรูน้ ักว่าจะมีสิ่งใดน่าสนใจบ้าง!”

“ในทุกครั้งที่สามนิกายนี้จัดการประมูลสมบัติล้าค่าขึ้น
เหล่าอัจฉริยะจะสูญเสียความสนใจไป และไม่มีใครที่จะกล้าทา
ตัวโดดเด่นขึ้น!” หลี่ชิงอวิ๋น อธิบาย แม้ว่าเขาจะหงุดหงิด
เล็กน้อยเพราะหลงเทียนหมิงแต่กก็ ลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

มู่หลงหยี่ รีบขัดขึ้น “ศิษย์นอ้ งหลี่ สนใจการประมูลสมบัตลิ ้าค่า


อย่างนั้นหรือ ? สมบัติแต่ละชิ้นประมูลอย่างราคาที่ถูกที่สดุ แล้ว
ยังต้องจ่าย ศิลาจิตวิญญาณหลายพันก้อน ของที่มีราคาบางชิ้น
ก็อาจจะมีค่าสูงถึงหลักหมื่น!”

เนี่ยหลี่ทาท่าฉุกคิดเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะกล่าวตอบ
“โอ้? หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวเข้าไปดูก่อนเป็นอันดับ
แรก”

มุมปากมูห่ ลงหยี่ กระตุกขึ้นเป็นยิ้มไม่เชิงยิ้ม เนี่ยหลี่เจ้า


ยาจก คิดหรือว่าเจ้าจะมีปญ
ั ญาซือ้ ? นี่เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี

หลี่ชิงอวิ๋น มองไปที่เนี่ยหลี่ ด้วยอารมณ์ขัน เนี่ยหลี่ตอบกลับ


คาพูดของมู่หลงหยี่ ด้วยท่าทีเรียบเฉย แม้ว่าหลี่ชิงอวิ๋นจะไม่
ทราบจานวนศิลาจิตวิญญาณที่เนีย่ หลี่มีทั้งหมด แต่จากเท่าที่
สังเกตดูเขาน่าจะมีมันอยู่หลายแสนก้อน ถูกต้องมั้ย?
บทที่ 307 โอรสและธิดาศักดิ์สิทธิ์

หลี่ชิงอวิ๋นไม่รู้ถึงวิธีการที่เนีย่ หลีส่ ามารถหา จิตอสูรระดับสูง

ไม่ว่าจะเป็นจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า หรือ


แม้กระทั่งจิตอสูรสายเลือดมังกรทีร่ ะดับการเติบโตในระดับ
ระดับยอดเยีย่ ม เพราะมันไม่ใช่เรือ่ งง่ายเลยที่จะหาของพวกนี้!

นับจากที่หลี่ชิงอวิ๋นได้รับจิตอสูรระดับสูงพวกนี้จากเนีย่ หลี่
กองกาลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก

สาหรับเนี่ยหลี่แล้ว หลี่ชิงอวิ๋นไม่ได้คิดว่าตัวเขาอยู่สูงกว่าเนีย่ ห
ลี่ แต่เขาปฏิบัติกับเนีย่ หลี่อย่างเสมอภาค ไม่ช้าก็เร็ว มู่หลงหยี่
จะต้องได้รับบทเรียนที่ดูถูกเนีย่ หลีเ่ อาไว้ บางครั้งคนเรา ‘ไม่
สามารถตัดสินหนังสือได้จากปกของมัน’

เยี่ยเชียนยิม้ จากตรงจุดที่เขานั่งอยู่ “ในการประมูลครั้งนี้พวก


เขาได้นาสมบัติลาค่้ าบางอย่างที่สามารถช่วยในการฝึกบ่มเพาะ
พลังได้ ยกตัวอย่างเช่น น้าค้างเสียงสวรรค์จากนิกาย เสียง
สวรรค์ต้องมีผคู้ นจานวนมากทีไ่ ม่ต้องการพลาดเป็นเจ้าของสิ่ง
นั้นเป็นแน่!”

เยี่ยเชียนค่อนข้างภูมิใจในความมั่งคั่งของเขาเล็กน้อย บน
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง ทรัพยากรเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง ด้วย
ฐานะที่เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลเยีย่ ปริมาณทรพยากรที่
เขาได้รับเพื่อใช้มันในการบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งที่สามัญชนคน
ธรรมดาไม่อาจจะจินตนาการได้

กู้เบ่ยทาเสมือนว่าไม่ได้ยินคาพูดของเยี่ยเชียนที่เอ่ยออกมาเมื่อ
ครู่และกล่าวว่า “แม้ว่าน้าค้างเสียงสวรรค์จะเป็นสิ่งของล้าค่า
แต่ว่ายังคงไม่ใช่ที่สุด ข้าสงสัยว่าสมบัติที่มีมลู ค่าสูงสุดในงาน
ประมูลนี้คือของสิ่งใดกันแน่?”

เยี่ยเชียน ถึงกับพูดไม่ออกในคาพูดของ กู้เบ่ย ปีที่ผ่านมาตัว


เอกของงานประมูล คือ จิตอสูรระดับ 3 ซึ่งได้ปิดประมูลไปที่
ศิลาจิตวิญญาณหกหมื่นก้อน หลงเทียนหมิงน่าจะเป็นผูเ้ ดียวที่
ที่จะสามารถเสนอราคาการประมูลของที่เป็นตัวเอกเหล่านี้ได้
ภายในหกนิกายทายาทแต่ละตระกูลมีการติดต่อกันเองภายใน
และเหล่าทายาทชั้นสูงเหล่านั้นเช่นหลงเทียนหมิง เป็นผู้สบื
ทอดลาดับที่ 1 ของตระกูล และยังมีสิทธิได้ขึ้นเป็นผู้นานิกาย
และถึงแม้ว่าตัวเขาจะล้มเหลวเขาก็ยังได้รับตาแหน่งใหญ่สาคัญ
ภายในนิกายอยู่ดี ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ หลงเทียนหมิงได้ยืนอยู่
บนจุดสูงสุดของทุกด้าน

รองลงมาเช่นบุคคลเยีย่ ง เยี่ยเชียน หลงยู่อิน และหลี่ชิงอวิ๋น


พวกเขาเป็นทายาทคนสาคัญของตระกูล และยังมี
ความสามารถอยู่ในระดับอัจฉริยะ พวกเขาเหล่านี้ยามเติบใหญ่
ไปจะต้องเป็นยอดฝีมือและเป็นกองกาลังหลักให้แก่ตระกูล
และในบางทีพวกเขาอาจจะได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะ
สามารถก้าวไปในระดับเดียวกับหลงเทียนหมิงได้

หลังจากที่พวกเขาเหล่านี้ได้ก้าวขึน้ มาเป็นอัจฉริยะแล้ว พวก


เขาแต่ละคนยังถูกแบ่งชนชั้น และยังยากมากที่จะหาอิสระทา
ตามใจตนภายในนิกายแห่งนี้อีกด้วย
เยี่ยเชียน หลงยู่อินและหลี่ชิงอวิ๋น ต่างอยู่ในระดับที่ตากว่
่ าหลง
เทียนหมิง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่หลงเทียนหมิงจะปฏิบัติ
กับพวกเขาอย่างเสมอภาค

สาหรับเนี่ยหลี่ เซี่ยวหนิงเอ๋อ และหลู่เปียวถือว่าโชคดีมาก


ทีเดียว ถึงแม้จะอยู่ในกลุม่ เดียวกัน แต่หากพวกเขาต้องการ
ได้รับความเคารพยาเกรงจากผู้อื่นก็ต้องขึ้นอยู่กับความ
แข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว

แน่นอนแล้วโดยธรรมชาติของเนี่ยหลี่ เขาไม่ได้สนใจในคากล่าว
ของเยี่ยเชียน

งานเลี้ยงยังคงครึกครื้นโดยการชนแก้วไวน์ไปมา หลังจากการ
มาของหลงเทียนหมิง จานวนสมาชิกของคนในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ นิกายบัญญัตสิ วรรค์ต่างก็กรูกันเข้ามาเพื่อมองดูผู้ที่
แข็งแกร่ง พวกเขาเหล่านั้นต่างรวมตัวกันอยู่ด้านข้างและ
ระมัดระวังท่าทีของตนอย่างรอบคอบ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ ดึงเสื้อของเนี่ยหลี่ “นั่นคือ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่ง
นิกายเสียงสวรรค์ของพวกข้า หมิงเยี่ย วู่ซวง!”

เนี่ยหลี่ มองตามสายตาของเซีย่ วหนิงเอ๋อไป และก็พบกับ หญิง


สาวนางหนึ่งที่งดงามดุจจันทร์ฉาย วัยของนางราว ยี่สิบหก-
ยี่สิบเจ็ด ทุกการเคลื่อนไหวท่าทีการแสดงออกของนางบ่งบอก
ได้ถึงความเหนือชั้นยากหาผู้ใดเปรียบแสดงได้ออกมาอย่างสง่า
งาม ผิวกายเรียบเนียนบริสุจธิ์ที่ถูกปกปิดด้วยผ้ามัสลินที่นาง
สวมใส่

นางเดินด้วยเท้าเปล่า ที่ข้อเท้าประดับด้วยระฆังสีเงิน เมื่อยาม


นางก้าวเดินส่งผลให้เกิดเสียงระฆังดังกึกก้อง

ธิดาศักดิส์ ิทธิ์ กระบีส่ รวงสวรรค์ หมิงเยี่ย วู่ซวง?


เป็นนางนั่นเอง !

เนี่ยหลีไ่ ม่ได้รู้จักนางเป็นการส่วนตัว แต่เขารูเ้ รื่องราวของนาง


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา หมิงเยี่ย วู่ซวง เป็นหนึ่งในสิบอันดับ
แรก ของยอดฝีมือในอาณาจักรซากมังกร การดารงอยู่ของนาง
ถือเป็นจุดสูงสุดของทั้งหกนิกาย!

ภายในหกนิกายสาคัญมักมีการปรากฏตัวของเหล่าอัจฉริยะ
มากมาย แต่ภายในหนึ่งร้อยปีจะมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งปรากฏ
ตัวออกมา และในหมู่คนเหล่านั้น หมิงเยี่ย วู่ซวงเป็นหนึ่งใน
นั้น นางเป็นอัจฉริยะที่เจิดจรัสมากที่สุด เนี่ยหลี่เคยได้ยิน
เรื่องราวที่ได้กลายเป็นตานานของนางมาก่อน มันได้กล่าวว่า
นางได้เข้าไปภายในนิกายเทพอสูรเพียงลาพังและจัดการสังหาร
ทั้งหมดด้วยตัวนางเองเพียงลาพัง

แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บกลับมาจากการปะทะ กับสองสุด
ยอดยอดฝีมือ แต่อย่างไรเล่านางก็ได้สังหารยอดฝีมือนั้นสาเร็จ
มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ายอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งและมี
ชื่อเสียงน่ากลัวมากมาย แท้จริงแล้วเป็นหญิงงามที่งดงาม
เพียงใด

“นั่นคือ เหยียนหยาง จากสานักอัคคี !”เซี่ยวหนิงเอ๋อกล่าว


พลางชี้ไปยังบุคคลผู้นั้น
เขาเป็นคนหนุ่มผู้มผี มสีแดงเพลิง ดูเหมือนว่ามันจะสามารถเผา
ไหม้ได้ แต่ผิวของเขากลับมีสีขาวและเปล่งกลิ่นอายที่ครอบงา
จิตใจผู้คนได้
จักรพรรดิเพลิงอเวจี ?

เนี่ยหลีไ่ ม่ได้คาดหวังว่าในเวลานีเ้ ขาจะมีโอกาสได้พบปะกับ


เหล่าอัจฉริยะ ที่เขาได้ยินชื่อเข้าหูบ่อยครั้งในชีวิตก่อนหน้านี้
ในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา จักรพรรดิเพลิงอเวจี ได้ขึ้นดารง
ตาแหน่งผู้นาสานักอัคคี และได้นาพาสานักก้าวไปสู่ยุคที่เจริญ
รุ่งเรื่องมากเป็นทีส่ ุด สานักอัคคีได้เหยียบย่านิกายเทพอสูรลง
ให้จมพสุธา ทาให้นิกายเทพอสูรไม่กล้าแม้แต่จะยกหัวของพวก
เขา

แต่ไม่ว่าความแข็งแกร่งของหกนิกายนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด มัน
ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทาการต่อต้านสวรรค์ และเหล่า
สัตว์อสูรบุพกาล ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิปราชญ์
ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งเหล่านั้น เนี่ยหลี่กา
หมัดของเขาแน่น ตั้งแต่ได้กลับมาเกิดใหม่ในชีวิตที่สองนี้ เขาก็
ได้รับสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าชีวิตก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม
เนี่ยหลีย่ ังไม่ประสบความสาเร็จเพียงพอที่จะหันหน้าไป
เผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์โดยตรง แม้ว่าการบ่มเพาะพลัง
ของเนี่ยหลี่จะก้าวหน้าล้าจักรพรรดิปราชญ์ไปก็ตาม ในเมื่อ
ศัตรูของเขาสามารถควบคุมห้วงกาลเวลาได้นับล้านปี ลาพังแค่
ตัวเนี่ยหลี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะโค่นล้มจักรพรรดิ
ปราชญ์ให้สญ ู สิ้นลง

ในชีวิตนี้เขาได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถใช้ได้ และไม่ได้อยู่ตัว
คนเดียวอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามเหล่าอัจฉริยะที่รวมตัวกันอยู่ด้านในนี้มีความหยิ่ง
ทะนงตนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าถึงตัวพวกเขา
ไม่ต้องพูดถึงว่าความแข็งแกร่งของเนี่ยหลี่ในตอนนี้ยังไม่เพียง
พอที่จะเป็นจุดสนใจได้
ในบรรดาสมาชิกของสามนิกาย หมิงเยี่ย วู่ซวง เหยียนหยาง
และ หลงเทียนหมิง เป็นจุดเด่นมากที่สุด

แม้ว่าหลงเทียนหมิงจะมีตาแหน่งที่พิเศษกว่าใครแต่เมื่อเทียบ
กันแล้วก็ยังด้อยกว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์ หมิงเยี่ย วู่ซวงจากนิกาย
เสียงสวรรค์และ เหยียนหยาง จากสานักอัคคี หลงจากเหยียน
หยางได้รับการยืนยันจากสานักอัคคีให้เขาเป็นผู้นาสานักรุ่น
ต่อไป และแม้ว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เป็นผูส้ ืบทอดตาแหน่ง
ผู้นาแต่ตาแหน่งภายในนิกายเสียงสวรรค์ของนางก็ยังคงสูงส่ง
มาก

หลงเทียนหมิง เหลือบมองไปที่ หมิงเยี่ย วู่ซวง และ เหยียน


หยาง จึงประสานมือคาราวะทักทาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วย
รอยยิ้มแย้มที่สง่างาม หมิงเยี่ย วู่ซวง พยักหน้ารับรู้ ในขณะที่
เหยียนหยาง ไม่มีปฏิกิรยิ าใดๆตอบรับ ส่งผลให้หลงเทียนหมิง
บังเกิดความรูส้ ึกอับอายเล็กน้อย แต่เขาก็กลับเป็นปกติได้อย่าง
รวดเร็ว และหัวเราะเสียงดังให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้าง เสมือนว่า
ตนเองไม่ได้ใส่ใจกับมันสักเท่าไหร่
เนี่ยหลี่ขบคิดกับตัวเองว่าการเดินทางมายัง โถงบ่มเพาะพลัง
ครานี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก

เนี่ยหลีเ่ ริ่มหาแผนการติดต่อกับ หมิงเยี่ย วู่ซวงและเหยียน


หยางภายในเวลา สองวันนี้ หลังจากที่ตัวตนของทั้งสองคนนี้มี
อิทธิพลเป็นอย่างมากภายในนิกายของตน! การติดต่อกับพวก
เขาจะเป็นประโยชน์ต่อแผนการในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน

เนี่ยหลีส่ ่งเสียงถาม กู้เบ่ย “กู้เบ่ย เจ้าว่าต้องทาเช่นไรถึงจะเข้า


ใกล้ หมิงเยี่ย วู่ซวงและเหยียนหยางได้?”

กู้เบ่ยตะลึงชั่วครู่ และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “นี่เป็นคาถามที่


ยากมากสาหรับตัวข้า หนึ่งในนั้นคือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย
เสียงสวรรค์และอีกหนึ่งเปรียบได้เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์ของสานัก
อัคคี ตัวข้าหรือจะมีคณ ุ สมบัติใดเพียงพอที่จะไปพบกับพวก
เขา? มากที่สุดข้าคงได้แต่ตามหาว่าพวกเขาพักอยู่ที่แห่งใด
เท่านั้น!”
“โอ้ะ?” ใจเนี่ยหลีเ่ ต้นด้วยความดีใจ สามารถรู้ที่พวกเขาจะพัก
อยู่ที่แห่งใด! (ว่าจะไม่คิดละนะ ตื่นเต้นที่รู้ว่าเขาพักที่ไหน
อืมผู้หญิงอะให้อภัย แต่อย่าเต้นเพราะตัวผู้นะ)

เนื่องด้วยสภาพของเนี่ยหลี่และพรรคพวกในตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่
เหมาะสมในการพูดคุยกับพวกเขา แต่ถ้าเนี่ยหลี่รู้ว่าพวกเขาพัก
อยู่ที่แห่งใด เนี่ยหลี่ก็มีวิธีการที่จะเข้าถึงพวกเขาเช่นกัน!

“เนี่ยหลี่ อย่าหุนหัน...พวกเขาเป็นแขกอันทรงเกียติรของนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ!์ ” กู้เบ่ยรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับเนี่ยหลี่
เนี่ยหลีย่ ิ้มแฉ่ง “ข้ารู้ว่าข้าทาได้แค่ไหน!”

กู้เบ่ยรูส้ ึกเสียวสันหลังวาบ หลังจากที่ตัวตนของสองคนนั้น


ยิ่งใหญ่เกินไป ถ้าพวกเขาต้องการจะฝ่าฝืนกฎข้อห้ามใดๆ จะมี
ใครเล่าสามารถปกป้องเขาได้! เขาทาได้แค่หวังว่าเนีย่ หลีจ่ ะไม่
กระทาการใดบ้าบิ่นเกินไป
เยี่ยเชียนและมูห่ ลงหยี่ พูดคุยกันต่อไปเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที
หลังจากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปหาได้มีการพูดคุยใดเกิดขึ้น
อีก พวกเขามองตากันแล้วก็มองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อ แต่ว่าราว
กับเซี่ยวหนิงเอ๋อไม่ได้สังเกตุเห็นพวกเขา แต่เนี่ยหลี่ก็สมั ผัสได้
ว่าเยี่ยเชียนสนใจในตัวเซีย่ วหนิงเอ๋อ

แม้ว่าเยี่ยเชียนจะดูเหมือนเป็นคนที่สง่างามและสุภาพเพียงใด
แต่ในช่วงชีวิตที่แล้วเนี่ยหลี่กไ็ ด้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเยี่ยเชียน
ว่าหน้าซื่อใจคดเพียงใด

เยี่ยเชียนก็เป็นดั่งเช่นคนอื่นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่าง
มากจากตระกูล และมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง แต่สิ่งที่น่า
ภูมิใจจริงๆแล้วน่าจะเป็นการที่ได้เกิดมาอยู่ในตระกูลใหญ่
เหล่านั้นเสียมากกว่า ในแง่ความสามารถแล้วเยี่ยเชียนนั้นไม่มี
อะไรที่พิเศษ

ในขณะเดียวกัน รูปร่างงดงามนางหนึ่งของนิกายเสียงสวรรค์ก็
ลุกยืนขึ้นก้าวไปทีด่ ้านหน้าห้องนางยิ้มและกล่าวว่า “การที่
ได้มาเยือนนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ช่างเป็นเกียติรอย่างยิ่ง
ข้าเป็นศิษย์ของนิกายเสียงสวรรค์นามว่า ฉินเยี่ย ช่างน่ายินดี
อย่างยิ่งในการที่มาพบปะกับพวกท่านทุกคน การประมูลถือ
เป็นงานที่จัดต่อต่อกันมาในทุกทุกปี และในวันนี้เหล่าสมบัตลิ ้า
ค่าจากสามนิกายเหล่านั้นจะถูกนามาให้ทุกท่านในที่นี้ได้ยลโฉม
เพื่อให้ทุกท่านสามารถเสนอราคาประมูลมันได้ เชิญรับชมได้
เลย!”

ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างหยุดการสนทนากันไป และย้าย
ความสนใจทั้งหมดไปยังด้านหน้า ในการประมูลแต่ละปี สมบัติ
หายากจะปรากฏขึ้น บางอย่างอาจจะถูกมาจากศิษย์ของสาม
นิกาย และอาจจะมีบางชิ้นที่ได้รับการส่งมาจากระดับที่สูงกว่า
และรายการเหล่านั้นย่อมมีมูลค่าสูงมาก ดังนั้นศิษย์ทั้งหลายจึง
ให้ความสนใจการประมูลนี้

“สมบัติชิ้นแรก ที่จะทาการประมูล เป็นจิตอสูรสายเลือดมังกร


ที่ระดับการเติบโตในระดับระดับมหัศจรรย์ สายเลือดมังกร
ปฐพีกระหายเลือด” ฉินเยี่ยกล่าวพร้อมยิ้มเบาๆ
เนี่ยหลี่และกูเ้ บ่ย ต่างมีท่าทีเรียบเฉยแน่นอนจิตอสูรดวงนี้เป็น
พวกเขานั่นเองที่ส่งเข้าประมูล

จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าเป็น
สิ่งล้าค่ามากภายในสามนิกายหลัก มากจนไม่สามารถที่จะนา
ออกมาประมูลได้ และระดับต่ากว่านั้นคือระดับมหัศจรรย์

ด้วยที่มันระดับการเติบโตในระดับระดับมหัศจรรย์มันจึงมีค่า
เป็นอย่างมาก มีบางจาพวกอย่างเช่น หลี่ชิงอวิ๋น และ เยี่ย
เชียนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้ครอบครอง เนื่องจากตระกูลของพวก
เขาเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะมีจิตอสูรหายากเหล่านี้
ไว้ครอบครอง และสืบเนื่องจากทีพ่ วกมันหายากจึงแทบเป็นไป
ไม่ได้เลยที่จะมีคนนามันมาขาย

หลายคนที่มาจากตระกูลต่างๆ การได้พบจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่ระดับการเติบโตในระดับระดับมหัศจรรย์ เป็นความโชค
ดีเลยไม่น้อย
การแข่งขันการประมูลราคาจึงเข้มข้นพอตัว
“หนึ่งหมื่นก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”

“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”

“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”

“หนึ่งหมื่นสองพันก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”

ทุกคนต่างทาการประมูลกันอย่างไม่ยอมใคร แต่หลงเทียนหมิง
และเหยียนหยางไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แน่นอนนี่เป็นสิ่งที่
พวกเขาไม่ต้องการ พวกเยี่ยเชียนและหลีชิงอวิ๋นก็ได้รับจิตอสูร
ที่มีการเจริญเติบโตระดับมหัศจรรย์นี้นานแล้ว ดังนั้นพวกเขา
จึงไม่ร่วมการประมูล เนื่องจากมีอยู่แล้วจึงไม่จาเป็นที่จะต้องมี
เพิ่ม
แต่ก็ยังมีผเู้ ข้าร่วมประมูลอีกเป็นจานวนมาก ทาให้ราคาของมัน
ขยับเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งสะท้อนให้เห็นการแข่งขันที่รุนแรง
อย่างแท้จริง
บทที่ 308 คนไม่เอาไหนที่ร่ารวย

เยี่ยเชียนมองดูเซี่ยวหนิงเอ๋อพร้อมกับยิ้มและพูดว่า

"ข้าไม่ต้องการมัน" เซี่ยวหนิงเอ๋อส่ายหน้า ดวงตาของนางนั้น


ไม่แม้แต่จะชาเลืองมองเยี่ยเชียนในตอนนั้นเลย

เนี่ยลี่กระซิบที่ข้างหูของเซี่ยวหนิงเอ่อเบาๆว่า "หลังจากนี้
ข้าจะมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้าให้กับเจ้าหนึ่งตัว"

ใบหน้าของเซี่ยวหนิงเอ่อเป็นสีแดงระเรื่อในขณะที่นาง
พยักหน้า ความรูส้ ึกหวานชื่นเต็มอยู่ในใจของนาง นางนั้นมิได้
สนใจเรื่องจิตอสูรเลยแม้แต่น้อย แต่นางรู้สึกดีเพราะว่าเนี่ยลี่
นั้นห่วงใยนางมากกว่า
ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่พดู อะไรบางอย่างแบบนี้
หลังจากที่เยี่ยเชียนเสนอจิตอสูรให้นางเป็นแน่ ซึ่งเนี่ยลี่นั้น
อาจจะมีวิธีหา จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้ามาได้ เซีย่ วหนิงเอ๋อไม่ได้คดิ อะไรไปมากกว่านี้ ใน
ใจของนางนั้น เนี่ยลี่คือผู้ที่สามารถทาได้ในทุกสิ่ง

เยี่ยเชียนกาหมัดขวาแน่น ขณะที่เห็นเซี่ยวหนิงเอ่อมี
ท่าทางเอียงอาย หลังจากที่เนี่ยลี่คยุ กับนาง แต่เขาก็มไิ ด้ยินการ
สนทนานั้น ความรูส้ ึกอิจฉา และหึงหวง เพิ่มมากขึ้นในใจของ
เขา เพราะนางแสดงท่าทีเช่นนี้เมือ่ นางอยู่ต่อหน้าเนี่ยลี่เท่านั้น

ท้ายที่สุด จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับมหัศจรรย์ ก็ถูกขายออกไปในราคา สองหมื่นเจ็ดพันศิลา
จิตวิญญาณ ให้กับศิษย์จากสานักอัคคี

หลังจากนั้น จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์ อีกหนึ่งในห้าตน หรือมากกว่านั้น แต่ละตัว
ถูกขายออกไปในราคาไม่ตากว่
่ าสองหมื่นห้าพันศิลาจิต
วิญญาณ
เหล่าฝูงชนเริม่ ที่จะเกิดความสับสนขึ้นมา เท่าที่ผา่ นมา จิต
อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะปรากฏมาแค่หนึ่งหรือสองตนเท่านั้น
เหตุใดในเวลานี้ถึงได้มีมากมายนักหล่ะ

จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์ ถูกซื้อไปโดยศิษย์สานักอัคคีทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่า
พวกเขานั้นมั่งคั่งยิ่งนัก หรืออย่างน้อยก็ร่ารวยกว่าศิษย์ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงก็เหมาะสมแล้วที่สานักอัคคีได้
เป็นผู้นาของหกสานักใหญ่

กู้เบ่ยลองคานวนดูคร่าว ๆ ถ้าหากพวกเขาขายจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์ ทั้งหมด
ยี่สิบตน นี่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้รับศิลาจิต
วิญญาณกว่าห้าแสนก้อนเชียวงั้นเหรอ?
นั่นมันเป็นความมั่งคั่งที่น่าตกใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเขานั้น
มิได้รู้ต้นทุนในการได้มันมา เพราะที่ผ่านมาเขาก็ได้มอบศิลาจิต
วิญญาณคืนกลับไปให้กับเนีย่ ลี่ในทุกครั้ง

เนี่ยลี่นั้นรูด้ ีว่า จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต


ในระดับมหัศจรรย์ นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่เดิมทีเค้าคิดว่า
หากขายได้ตนละหนึ่งหมื่นห้าพันศิลาจิตวิญญาณก็นับว่าเป็น
การขายที่เยีย่ มยอดแล้ว เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าราคาของมันจะ
สูงถึงเพียงนี้ แต่ถึงอย่างไรด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รู้ความจริงที่ว่า
สานักอัคคีนั้นร่ารวยเพียงใด

ยิ่งไปกว่านั้นจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับมหัศจรรย์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหามันมาได้ ตราบเท่าที่ร่าง
ทรงอสูรยังไม่มีมันสักตนหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ปล่อย
โอกาสนี้ให้หลุดมือไปเป็นแน่

"ต่อไป เราจะทาการประมูล แก่นแท้จิตอสูรขวดนี้


สิ่งของที่อยู่ในขาดนี้ได้รับการประเมิณและการพิจารณาแล้วว่า
อยู่ในระดับ ดาราสวรรค์ การเสนอราคาเริม่ ต้นอยู่ที่ หนึ่งหมื่น
ศิลาจิตวิญญาณ " ฉินเยี่ย ยิม้ เล็กน้อยพร้อมกับพูดต่ออีกว่า "มี
ผู้ใดที่สนใจมันหรือไม่?

แก่นแท้จิตอสูรมันสามารถที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่
จิตอสูรได้ และในตอนนี้เนีย่ ลีเ่ องก็ได้มีจติ อสูรสายเลือดมังกรที่
มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่าเขามิได้เป็น
คนที่ตระหนี่ขเี้ หนียว ที่สาคัญกว่านั้น แก่นแท้จิตอสูรระดับ
ดาราสวรรค์ นั้นจะส่งผลดีที่มีอานุภาพยิ่งนักแก่จิตอสูรระดับ
ชะตาสวรรค์

เนี่ยลี่นั้นมิได้คาดหวังเลยว่าจะมีสิ่งล้าค่าเช่นนี้จะถูก
นามาเริม่ ต้นการประมูล การประมูลนี้อาจจะเป็นการพยายาม
ให้ การประมูลเร่าร้อนยิ่งขึ้น ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้าง
แห่งนี้ ต่างก็เป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของสามสานักใหญ่ ดังนั้น
สินค้าธรรมดา ไม่อาจที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
เนี่ยลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะส่งเสียงบอกกับกู้เบ่ย
มู่หลงหยีเ่ องก็ดูเหมือนว่าจะสนใจแก่นแท้จิตอสูรเช่นกัน ดังนั้น
เขาจึงได้ทาการเสนอราคาไป "หนึง่ หมื่นหนึ่งพันศิลาจิต
วิญญาณ!"

"หนึง่ หมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!" กู้เบ่ย ทา


การเสนอราคาตามทันที
หลังคาพูดของกู้เบ่ย มู่หลงหยี่ขมวดคิ้วและชาเลืองมองกู้เบ่ย
แล้วเสนอราคาต่อไปอีก

"หนึ่งหมื่นสองพันศิลาจิตวิญญาณ!"

"หนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!

เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังที่โต๊ะของพวกเขา พวก
เขาทั้งคู่นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่มิได้ดูเหมือนว่าจะมีความ
เป็นมิตรกันเลยแท้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่น่าสนุก
เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาหยุดพูดคุยกันและเฝ้ามองดูว่าพวกเขาทั้งคู่
จะเสนอราคาขึ้นไปสูงถึงเพียงไหน
"หนึ่งหมื่นสามพันศิลาจิตวิญญาณ!" มู่หลงหยี่ รู้สึกแค้นเคือง
เล็กน้อย ดูเหมือนว่ากู้เบ่ยนั้นต้องการที่จะแข่งขันกับเขา!

มู่หลงหยี่ จ้องไปยังเนี่ยลี่ จากนั้นก็จ้องไปยังกู้เบ่ย เขารู้สึก


โกรธแค้นอยู่ในใจ กู้เบ่ยนั้นอาจจะพยายามช่วยเนี่ยลี่ ทาให้เขา
นั้นราวกับเป็นคนโง่

แต่ถึงอย่างไร ศิลาจิตวิญญาณเกินกว่าหนึ่งหมื่นก้อน
นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่สาหรับมู่หลงหยี่ แม้ว่าเขาจะอดออม
มาเป็นเวลาหลายปี เขาก็มีเพียงแค่ราว ๆหนึ่งหมื่นห้าพันศิลา
จิตวิญญาณ!

"หนึ่งหมื่นสามพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!" กู้เบ่ยยังคงเสนอ
ราคาต่อโดยทีไ่ ม่ได้สนใจมู่หลงหยี่ เลยแม้แต่น้อย

"หนึ่งหมื่นห้าพันศิลาจิตวิญญาณ!
เยี่ยเชียนอดไม่ได้ที่จะมองดู มู่หลงหยี่ กับ กู้เบ่ย ด้วย
ความประหลาดใจ แม้ว่าเยีย่ เชียนจะมีศลิ าจิตวิญญาณเกือบ
สามหมื่นก้อน แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการซื้อแก่น
แท้จิตอสูรขวดนี้ ้หมื
ดุ อนว่ากู้เบ่ยผู้นี้ จะร่ารวยยิ่งนัก

"หนึ่งหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!

เส้นเลือดที่คอมู่หลงหยี่ ถึงกับปูดขึ้นมา แม้ว่าเขาจะ


ตระหนักดีว่าสิ่งที่กู้เบ่ยทานั้นเป็นการฉี่รดเขา [สานวนจีน
หมายถึงการกลั่นแกล้งยั่วยุ] มิใช่ว่าเขาจะไม่มเี งินที่จะเสนอ
ราคาให้สูงขึ้นไปกว่านี้ เรื่องนี้ทาให้ มู่หลงหยี่ นั้นโกรธแค้นกู้เบ่
ยอย่างแท้จริง ที่แสดงท่าทีที่ดูถูกเขาเช่นนี้

"ถ้าหากน้องกู้ ต้องการมันมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นข้าจะยอม


ปล่อยให้เจ้าได้มันไป" มู่หลงหยี่ สูดลมหายใจพร้อมกับยิ้มอย่าง
เย็นชา
หลังจากที่ราคาหยุดเพิ่มขึ้นแล้ว มีเสียงที่ดังมาจากจุดหนึ่ง
ของห้องโถง "หนึ่งหมื่นหกพันศิลาจิตวิญญาณ!

กู้เบ่ยเหลืองมองไปยัง มู่หลงหยี่ "ยอมปล่อยให้ข้าได้


มันไปเช่นนั้นเหรอ? ช่างอวดดียิ่งนัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้ทุก
อย่างที่มี ที่จะเสนอราคาของมันแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าไม่มีเงิน ก็ไม่
ควรที่จะเข้าร่วมประมูลหรอกนะ ช่างน่าขบขันยิ่งนัก!"

กู้เบ่ยนั้นรู้ดีว่า มู่หลงหยี่ แย่งชิงเอาศิลาจิตวิญญาณที่


เป็นของรางวัล ของเนี่ยลี่ในโบราณสถานแห่งความสะพรึง
ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางที่จะไว้หน้ามูห่ ลงหยี่ เลยแม้แต่
น้อย

มู่หลงหยี่ กาหมัดของเขาจนแน่น เขานั้นมักจะหยิ่งทนง


อยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจที่จะยอมรับการเยาะเย้ยจากผู้อื่น
ได้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะเผยความโกรธ
เกรี้ยวออกมา เพราะไม่ได้มีเพียงแค่กู้เบ่ยทั้งนั้น ยังมีคนอื่นของ
ตระกูลกู้อยู่อีกด้วย
"ถ้าเช่นนั้นน้องกู้ยังสามารถที่จะเสนอราคาสูงกว่านี้อีก
เช่นนั้นเหรอ?" แม้ว่ามู่หลงหยี่ จะเกลียดชังกู้เบ่ยมากถึงเพียง
ไหน เขาก็ทาได้เพียงแค่กัดฟันและกลืนความโกรธของเขาลง
คอไปเท่านั้น

"แน่นอน ข้าก็ตั้งใจจะทาเช่นนั้น หนึ่งหมื่นเจ็ดพันศิลา


จิตวิญญาณ!

ราคานั้นนับว่าค่อนข้างสูงมากแล้ว จึงทาให้เสียงของคน
อื่นนั้นมีความลังเลอยู่เล็กน้อย และตัดสินใจที่จะหยุดการเสนอ
ราคาต่อ สุดท้ายแล้ว แก่นแท้จิตอสูร ก็ถูกขายให้กับกู้เบ่ยได้
สาเร็จ

หลังจากนั้นก็มีแก่นแท้จิตอสูร ออกมาอีกห้าขวด แต่


ทั้งหมดนั้นอยู่ในระดับชะตาสวรรค์ มิได้มีระดับดาราสวรรค์
ออกมาอีกเลย ราคาในบางรอบมีแค่สองถึงสามพันศิลาจิต
วิญญาณเท่านั้น มู่หลงหยี่ รูส้ ึกหดหู่ยิ่งนัก
แม้ว่าแก่นแท้จิตอสูร ที่อยู่ในระดับชะตาสวรรค์นั้นก็
สามารถที่จะใช้ได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะเทียบกันได้ ถ้าหากมิใช่
ระดับดาราสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจที่จะซื้อ

แต่ถึงอย่างไร กู้เบ่ยก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แก่นแท้จิต


อสูร ทั้งห้าขวด ก็มาอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว จนถึงตอนนี้
แล้ว กู้เบ่ยได้ใช้จ่ายศิลาจิตวิญญาณไปแล้วเกือบสามหมื่นก้อน!

"น้องกู้ แก่นแท้จิตอสูร นั้นก็นับว่าดียิ่งนัก แต่ถ้าหากเจ้า


ใช้เงินของเจ้าไปจนหมดตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าอาจจะพลาดโอกาส
สาหรับสิ่งที่ดีกว่าหลังจากนี้ก็เป็นได้" เยี่ยเชียนยิม้ เล็กน้อย ซึ่งก็
ไม่ทราบว่าจุดประสงค์ในการพูดของเขาคือสิ่งใด

"ท่านไม่จาเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น!" กู้เบ่ยชาเลือง
มองเยี่ยเชียน อย่างไม่ชอบใจ ใครขอให้เจ้านั้นแสดงความสนใจ
ต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อกันหล่ะ?
เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นเป็นผู้หญิงของเนี่ยลี่ และเยี่ยเชียนคิด
จะแย่งชิงผู้หญิงของน้องชายของเขา ดังนั้นแน่นอนว่ากู้เบ่ยจะ
ไม่ไว้หน้าเขาเช่นกัน! กู้เบ่ยนั้นมิได้กังวลในเรื่องใดเลย เยี่ย
เชียนเองกุเหมือนว่าจะไม่ได้วางแผนสิ่งใดไว้ ตามทีผ่ ู้อื่นพูดถึงกู้
เบ่ย

เยี่ยเชียน ถึงกับกระแอมด้วยความโกรธที่ประทุอยู่ในใจ
ของเขา กู้เบ่ยคนนี้คิดว่าเขานั้นเป็นใครกัน? เขาก็เป็นแค่
ลูกหลานของคนในตระกูลกู้ แต่กลับกล้าที่จะอวดดีถึงเพียงนี้
ถ้าหากว่าในตอนนี้มิได้อยู่ในเขตแดนของนิกายขนนกศักดิ์
สิทธิหล่ะก็ เยี่ยเชียนผู้นี้จักต้องทาให้เขาได้ฉลาดขึ้นกว่านีเ้ ป็น
แน่
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เยี่ยเชียน
ยังคงแสดงท่าทีที่สุภาพเช่นเดิม เขาพูดกลับไปว่า "ข้าเพียง
แค่ตือนเจ้าด้วยความหวังดี ถ้าหากน้องกู้มิเห็นค่าของมัน ก็
โปรดลืมมันไปเสียเถิด!
หลังจากที่เริ่มมีการขัดแย้งรุนแรงดังกล่าว บรรยากาศ
โดยรอบก็น่าอึดอันยิ่งนัก คนอื่น ๆ ที่อยู่ที่โต๊ะถัดไปก็ต่างมอง
มายังพวกเขา และเข้าใจสถานการณ์ทันทีหลังจากที่ได้เห็นกู้
เบ่ย

กู้เบ่ยนั้นมีชื่อเสียงว่าไม่เอาไหนยิ่งนัก จริง ๆ แล้วก็นับว่า


เป็นเรื่องผิดปกติที่จะเห็นเขา ไม่ได้โต้แย้งหรือมีเรื่องกับใครสัก
คน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีสาวงามอีกสองนางนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ไม่
น่าแปลกใจที่จะมีกลิ่นดินปืนประทุออกมาไม่น้อย [สานวนจีน
หมายถึง พร้อมที่จะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ]

หลงยู่อินนั้นนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเนี่ยลี่ ดูเหมือนว่านางจะ


มิได้สนใจสิ่งของที่นาออกมาประมูลเลยแม้แต่น้อย และ
เหมือนกับว่านางจะมิได้มีความจาเป็นสาหรับที่นี่เลย เกือบทุก
คนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เซีย่ วหนิงเอ่อ

หลงยู่อิน หวนนึกถึงคาพูดท่านยายของนาง "อิ้นเอ๋อ


ด้วยอารมณ์ที่ร้อนเป็นไฟของเจ้า จะไม่มีผู้ใดทีจ่ ะชอบเจ้า โดย
ที่มิได้คานึงถึงความงดงามที่เจ้านัน้ มีอยู่ เจ้าจักต้อง
เปลี่ยนแปลงตัวเอง"

ในอดีตที่ผ่านมา นางก็ไม่เคยที่จะสนใจมัน และมันเป็น


คาแนะนาที่ดูถูกตัวนางยิ่งนัก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นาง? หลงยู่อิน
ผู้นี้ ต้องการให้ผู้ชายมารัก?

แต่ในตอนนี้นางก็เริ่มที่จะตรึกตรองดูอีกครั้ง และ
เปรียบเทียบตัวนางกับเซีย่ วหนิงเอ๋อ นางอดไม่ได้ที่จะรูส้ ึกว่าตัว
นางนั้นด้อยกว่า

นับว่าเป็นเรื่องปกติแล้วที่เนีย่ ลี่จะชอบเซีย่ วหนิงเอ๋อ แต่


ความเป็นจริงข้อนี้ก็สร้างความขุ่นเคืองใจของหลงยู่อินแล้ว

การประมูลยังคงดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสินค้า
รายการต่อไป ขวด น้าค้างเสียงสวรรค์ น้าค้างเสียงสวรรค์ นี้
คือสิ่งที่กลั่นโดย สานักเสียงสวรรค์ โดยนักปรุงยาใช้สมุนไพร
หลายชนิด ผลของสมุนไพรนีเ้ หนือยิ่งกว่าศิลาจิตวิญญาณ และ
ยิ่งไปกว่านั้น น้าค้างเสียงสวรรค์ สามารถที่จะดูดซึมได้ง่าย จึง
ทาให้เห็นผลของมันได้ชัดเจนยิ่งขึน้

เพียงครู่เดียวบรรยากาศก็เริ่มที่จะตรึงเครียดขึ้น ผู้คน
เริ่มที่จะรวมตัวกันเป็นกลุม่ เพื่อเตรียมที่จะซื้อ น้าค้างเสียง
สวรรค์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยในการซื้อเพียงลาพังถึง
สิบขวดได้ในปัจจุบัน

ราคาเริ่มต้นสาหรับ น้าค้างเสียงสวรรค์ สิบขวดแรกนั้น


อยู่ที่หนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ แต่ถึงอย่างไรการเสนอราคานั้น
ก็มิได้เพิ่มขึ้นสูงนัก และหยุดอยู่ที่ประมาณ หนึ่งหมื่นหนึ่งพัน
ถึง หนึ่งหมื่นสองพันศิลาจิตวิญญาณ ที่สาคัญ ทุกคนยังคิดว่า
ยังมีเหลืออีกถึงแปดสิบขวด

นอกจากนี้ศิษย์ทั้งหมดของสานักเสียงสวรรค์กม็ ิได้เข้าร่วม
ในการประมูลนี้ เหลือเพียงศิษย์ของสานักอัคคี และ ศิษย์ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้มีการแข่งขันที่
รุนแรงนัก

แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็ต่างตืน่ ตกใจ ได้น้าค้างเสียงสวรรค์


ไปถึงสามสิบขวดแต่เพียงผูเ้ ดียว กูเ้ บ่ย อดไม่ได้ที่จะรูส้ ึกดีทไี่ ด้
ซื้อมันมาทั้งหมด เขาไม่เคยรู้สึกดีถึงเพียงนี้มาก่อนเลยในการใช้
จ่ายเงิน แม้ว่าเงินทั้งหมดจะเป็นของเนี่ยลี่ก็ตาม

น้าค้างเสียงสวรรค์ สามสิบขวด นัน่ มันมากกว่าสามหมื่นศิลา


จิตวิญญาณเลยทีเดียว

กู้เบ่ยนั้นดูที่จะไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักกับการที่ต้องโยนเงิน
ออกไปก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นศิลาจิตวิญญาณ ในทางกลับกัน ดู
เหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะซื้อเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก

โดยไม่ต้องคานึงเลยว่า มู่หลงหยี่ หรือ เยี่ยเชียนนั้น พวก


เขานั้นสงสัยเป็นอย่างมากว่ากูเ้ บ่ยมีเงินมากแค่ไหนกัน
บทที่ 309 หลุมพราง

เซี่ยวหนิงเอ๋อกระซิบบอกกับเนี่ยลีเ่ บา ๆ “เนี่ยลี่ ข้าได้นา


น้าค้างเสียงสวรรค์มาเป็นจานวนมาก หลังจากที่เรากลับไปแล้ว
เจ้าสามารถนาไปใช้ได้หลายสิบขวด”เนื่องจากความสามารถ
ระดับสูงของนาง สานักเสียงสวรรค์จึงได้มอบน้าค้างเสียง
สวรรค์ ให้กับเซี่ยวหนิงเอ๋อ เพื่อใช้ในการบ่มเพาะพลัง แม้ว่า
นางจะใช้ไปไม่น้อยในการบ่มเพาะพลัง แต่ก็ยังคงเหลืออยู่อีก
เป็นจานวนมาก

“อืม” เนี่ยลี่ยิ้ม พร้อมกับพยักหน้า ตอบรับความหวังดี


ของเซี่ยวหนิงเอ่อ เมื่อนางกลับไปยังสานักของนาง แน่นอนว่า
นางจะต้องได้รับมันอีกเป็นจานวนมาก ก่อนที่นางจะกลับไป
เนี่ยลี่กไ็ ด้เตรียมสมบัตมิ ากมายเพือ่ ที่จะมอบให้ไปเป็นของขวัญ
เช่นกัน รวมไปถึงจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า ซึ่ง น้าค้างเสียงสวรรค์ สาหรับเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้น
คงจะไม่จาเป็นอีกต่อไป
การประมูลก็ดาเนินต่อไป หลังจากการประมูลน้าค้างเสียง
สวรรค์ ก็ยังมี จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับธรรมดาอีกเป็นจานวนมาก แล้วยังมีของวิเศษระดับหนึ่ง
และ ระดับสอง รวมไปถึง ยาทิพย์อีกหลายชนิด สาหรับรักษา
อาการบาดเจ็บจากการบ่มเพาะพลัง

เป็นการประมูลที่เข้มข้นยิ่งนัก หลังจากที่การประมูลสิ่งของล้า
ค่าจบลง สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดจนทาให้ ดวงตาของทุกคนเบิก
โพลงได้ความตกตะลึง คือกู้เบ่ยยังคงจ่ายเงินประมูลซื้อของไป
ห้าถึงหกหมื่นศิลาจิตวิญญาณก้อนแล้ว

ซึ่งเนี่ยลี่นั้นก็มไิ ด้เป็นกังวล เนื่องจากเขามีศลิ าจิตวิญญาณมาก


เพียงพอที่จะใช้ใน การบ่มเพาะพลังแล้ว ดังนั้นเขาจึง ไม่ห่วงที่
จะแลกเปลี่ยนสมบัติของเขา เป็นสิ่งของที่มีประโยชน์ในการ
เสริมความแข็งแกร่งให้แก่เขาได้

เถาวัลย์ที่อยู่ภายในของเขานั้นทาให้การบ่มเพาะพลังของเขา
ล่าช้าลงเป็นอย่างมาก ในตอนนี้หนิงเอ๋อนั้นได้บรรลุระดับชะตา
สวรรค์ ขั้นห้าชะตาแล้ว ในขณะทีเ่ ขานั้นเพิ่งจะเข้ามาสู่ ใน
ขอบเขตชะตาสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้เอง ในขณะเดียวกัน เมื่อ
เนี่ยลีไ่ ด้มีการเลื่อนระดับ ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้น
หลายเท่า หรืออาจจะเป็นนับสิบเท่า ในตอนนี้เขาจึงแกร่งกว่า
คนที่อยู่ในระดับเดียวกันเป็นอันมาก

เพราะว่าเถาวัลย์ที่อยู่ในร่างกายของเขา ได้ทาการดูดซับพลัง
จากศิลาจิตวิญญาณ และยาทิพย์ จานวนมากเข้าไป ซึ่งคน
ทั่วไปนั้นจะมองเห็นได้ชัด ถึงตวามเติบใหญ่ของห้วงวิญญาณ
หลังจากที่ใช้ ศิลาจิตวิญญาณแค่ไม่กี่สิบก็อน ในส่วนของเนี่ยลี่
นั้น ต้องใช้จานวนกว่าร้อย หรือพันก็อน เขารับรูไ้ ด้ว่าเถาวัลย์ที่
อยู่ในร่างกายของเขา หากว่ามันเติบโตจนเต็มที่แล้ว มันจักต้อง
เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างด้วยน้าค้างเสียงสวรรค์จานวนสามสิบขวดที่
กู้เบ่ยเพิ่งจะประมูลมาให้เขาได้ คนทั่ว ๆ ไปนั้นคงจะสามารถที่
จะใช้เป็นเวลานาน แต่ถ้าเขาใช้ ทั้งหมดนี้ก็คงจะหมดไปในไม่กี่
วัน
แต่นั่นก็มิได้เป็นปัญหากับเนีย่ ลี่แต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึง
ต้องการทรัพยากรจานวน มหาศาล สาหรับใช้ในการบ่มเพาะ
พลัง

ในขณะที่กู้เบ่ยยังคงเสนอราคาประมูลสินค้าอย่างต่อเนื่อง มู่
หลงหยี่และเยีย่ เชียน ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีและแกล้งทาเป็น
ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนั่งอยู่กับกู้เบ่ยต่อไป พวกเขาไม่กล้าที่
จะสู้หน้าได้อีก แต่เดิมเยี่ยเชียนนัน้ คิดว่าตนเป็นผู้ที่มั่งคั่ง เมื่อ
เทียบตัวเขา กับกู้เบ่ยในตอนนี้ ทาให้เขารู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก

มู่หลงหยี่นั้นเกลียดกู้เบ่ยเป็นอันมาก และมากยิ่งขึ้นไปอีก เขา


เริ่มที่จะกัดฟันของเขา จนแน่น มูห่ ลงหยี่นั้นต้องการที่จะ
ประมูลซื้อของหลายสิ่งมา แต่ในทุกครั้งที่เขาเริ่มที่จะ เสนอ
ราคาประมูลไป กู้เบ่ยก็จะเสนอราคาสูงขึ้นไปในทันที ทาให้เขา
ต้องหยุดไปกลางคัน หลังจากที่มู่หลงหยี่ ได้รับศิลาจิตวิญญาณ
จานวนมากมาอย่างลาบาก ด้วยการล่า ผี ในโบราณสถานแห่ง
ความสะพรึง แต่เขากลับไม่มีโชคเอาเสียเลย ราวกับว่าถูกสาย
ลมพัดพาไปเสียหมด มู่หลงหยี่ เขาแทบจะทุบกาปั้นของเขาลง
บนโต๊ะ เขาทาได้เพียงแค่สาปแช่งกู้เบ่ย สุดท้ายเขาก็ต้องอดทน
อยู่อย่างนั้น

‘ถ้าหากเจ้าไม่ยอมให้ข้าได้ไปง่าย ๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะ
ไม่ยอมให้เจ้าได้ไปง่าย ๆ เช่นกัน’ มู่หลงหยี่ ค่อยๆเริ่มที่จะ
เสนอราคาให้สูงขึ้นเป็นระยะ เพื่อที่กู้เบ่ยจะได้จ่ายเงินมากขึ้น
แต่กลยุทธนี้ก็มีข้อจากัดอยู่เหมือนกัน แต่ตราบใดทีเ่ ขาสามารถ
ทาให้กู้เบ่ยใช้จ่ายเงินได้มากขึ้น แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยมู่หลง
หยี่ก็พอใจแล้ว

ถึงจะอย่างไรนั้น หลี่ชิงอวิ๋น ก็คอยจับตาดูอยู่ เขารู้ดีว่ากูเ้ บ่ย


นั้นเป็นทายาทสายตรง ของตระกูลกู้ แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้
มีเงินเป็นจานวนมากถึงเพียงนี้ กู้เบ่ยนั้นอยู่กับเนี่ยลี่ เขา
สามารถคาดเดาได้ว่า แท้จริงแล้วของที่พวกเขาเสนอราคา
ทั้งหมดนั้นเป็นไปตาม ความต้องการของเนี่ยลี่ เนื่องจากเนี่ยลี่
มีเงินเก็บไว้จานวนไม่น้อยจากการขายจิตอสูรธรรมดา ที่มี
ระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าออกไป
ในตอนนั้นเอง รายการของที่ถูกนามาออกมาประมูลคือของ
วิเศษระดับสาม : เสื้อเกราะพลอยม่วง กู้เป่ยจ้องมองมันด้วย
ความสนใจ ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความ
ต้องการ เขาเริม่ ที่จะทาการเสนอราคาสาหรับมัน ในที่สดุ ราคา
ก็พุ่งสูงขึ้นไปถึง หนึ่งหมื่นหนี่งพันศิลาจิตวิญญาณ

“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันศิลาจิตวิญญาณ ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง…?”


ฉินเยี่ยยิ้มขณะที่กวาด สายตามองฝูงชน นางอดไม่ได้ที่จะจับ
จ้องไปทางกู้เบ่ย กู้เบ่ยนั้นกระเป๋าหนักยิ่งนัก ในการประมูล
ครั้งนี้ สิ่งของอย่างน้อย ๆ ก็ สิบเปอร์เซนต์ ทีถูกขายให้เขาไป

คิ้วของมู่หลงหยี่ ขมวดเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นว่า เสื้อเกราะ


พลอยม่วง กาลังจะตก อยู่ในมือของกู้เบ่ย “หนึ่งหมื่นสองพัน
ศิลาจิตวิญญาณ”

เขาเพียงแค่ต้องการที่จะก่อกวนกู้เบ่ยเท่านั้น ยังไงเสียมันก็เป็น
ความผิดของกู้เบ่ย ที่พยายามขัดขวางเขา
กู้เบ่ยเหลือบตามอง มู่หลงหยี่ ที่กาลังก่อกวนเขาอยู่ พร้อมกับ
พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “หนึ่งหมื่นสามพันศิลาจิตวิญญาณ”

“หนึ่งหมื่นสี่พันศิลาจิตวิญญาณ” มู่หลงหยี่ เสนอราคา


เพิ่มไปอีกครั้ง มู่หลงหยี่ เฝ้าสังเกตุมาแล้ว เกี่ยวกับราคาของสิ่ง
ที่กู้เบ่ยนั้นต้องการ ในแต่ละครั้งที่กู้เบ่ย ได้ซื้อสินค้า ในแต่ละ
รายการ ดังนั้น แน่นอนว่า มู่หลงหยี่ จะไม่ยอมให้ตกอยู่ในมือ
ของกู้เบ่ยง่าย ๆ แน่นอน

เพียงแค่เฝ้ามองแค่คราเดียวก็จะตระหนักได้ทันทีว่า ถึงแม้ว่ากู้
เบ่ยจะร่ารวย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโง่เง่า ถ้าเขามองเห็นสิ่ง
ใดที่เขาชอบ เขาก็จะมุ่งเสนอราคา โดยที่ไม่มีความลังเลเลย
แม้แต่น้อย

ราคาของ เสื้อเกราะพลอยม่วง อยากมากก็อยู่ที่ประมาณหนึ่ง


หมื่นศิลาจิตวิญญาณ
ผู้คนคงจะหัวเราะเยาะกู้เบ่ย หากว่าต้องจ่ายเงินเป็นจานวน
มากเพื่อ เสื้อเกราะพลอยม่วง มู่หลงหยี่ ก็ไม่ได้คดิ ว่ามันดี
หรือไม่ สาหรับตัวเองเลยสักนิด

มู่หลงหยี่ รอที่จะให้กู้เบ่ยเสนอราคาต่อไปอีก แต่เขา


กลับเห็นว่า กู้เบ่ยนั่งหาวอยู่ โดยที่มิได้กระตือรือร้นอย่างที่
ผ่านมา มูห่ ลงหยี่ เข้าใจได้ทันทีว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด
ไป

แม้ว่าเสื้อเกราะพลอยม่วง จะเป็นของวิเศษระดับ
สาม แต่กไ็ ม่เหมาะสาหรับใช้งานจริงเนื่องจากน้าหนักของมัน
นอกจากนี้ของวิเศษชิ้นนี้สามารถหาซื้อได้จากที่อื่นอย่างไม่
ยากเย็นในราคาหนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ เหตุผลที่กู้เบ่ยแสดง
ท่าทีว่าต้องการมันเป็นอย่างมาก ก็เพื่อที่จะใช้เป็นเหยื่อล่อให้มู่
หลงหยี่ ตกหลุมพรางเท่านั้น
เดิมทีนั้นทุกคนต่างแอบหัวเราะกับการแข่งประมูล
ระหว่างกู้เบ่ยกับมู่หลงหยี่ โดยเฉพาะกับบุคลิกของกู้เบ่ยที่ดไู ม่
ค่อยเอาไหน เขาทุ่มเงินซื้อทุกสิ่งทีเ่ ขาต้องการ แม้ว่าจะต้อง
จ่ายไปมากสักเท่าไร แต่ทว่าจู่ๆ กู้เบ่ยก็หยุดเฉยๆ ในขณะที่ฝูง
ชนเฝ้ารอให้เขากลับมาเสนอราคาต่อ ทาให้ทุกคนประหลาดใจ
อยู่พอสมควร

ทันใดนั้นการประมูลก็ถูกเคาะ

มู่หลงหยี่ ได้ตกหลุมพรางของกู้เบ่ย!

ก่อนหน้านี้กู้เบยได้ใช้เงินไปเป็นจานวนมาก แม้ว่าของ
บางชิ้นนั้นเขาจะเสนอราคาสูงไปมาก แต่เขาก็คดิ ว่าอยู่ในราคา
ที่เหมาะสม มีเพียงแค่เสื้อเกราะพลอยม่วง เท่านั้นที่เป็น
ข้อยกเว้น ในตอนที่มู่หลงหยี่ ปั่นราคาขึ้นไปถึงหนึ่งหมื่นสี่พัน
ศิลาจิตวิญญาณ กู้เบ่ยจึงถอยออกมาในทันที และ ทาให้มู่หลง
หยี่ ถึงกับหัวทิ่มที่ได้มันมาอยู่ในมือ
มู่หลงหยี่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่นเี้ กิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร? เขา
ตาหนิตัวเอง ในขณะทีเ่ หงื่อเริ่มออกมาเป็นเม็ดเต็มใบหน้าของ
เขา

มู่หลงหยี่ นั้นได้ตกหลุมพรางของกู้เบ่ยที่ถูกขนาน
นามว่า คนรวยในรุ่นทีส่ อง (สานวนจีนหมายถึงเด็กทีเ่ ป็นลูก
เศรษฐี เทียบกับสานวนไทยได้ว่า เหยียบขีไ้ ก่ไม่ฝ่อ) คนที่รู้จัก
แต่การโปรยเงินไปทั่ว และมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะมีแต่คนมองดูเขา
ด้วยความดูถูก แต่ในตอนนี้ เขากลับต้องเอาหัวมุดลงหลุมฝัง
ศพ ที่เขาได้ขุดขึ้นมาเอง

แม้ว่าจริงแล้ว เสื้อเกราะพลอยม่วง จะเป็นของวิเศษ


ระดับสาม แต่ในการใช้งานจริงนั้นมันกลับไร้ความหมาย มู่หลง
หยี่เองก็มีเสื้อเกาะสาหรับใส่ต่อสู้อยู่แล้ว เขาไม่มีความจาเป็น
ใดๆที่จะต้องใช้ เสื้อเกราะพลอยม่วง เลยเสียด้วยซ้า นอกจากนี้
ถ้าหากเขาจ่ายเงินในการซื้อมันแล้ว ศิลาจิตวิญญาณของเขาก็
แทบจะหมดไปเลยทีเดียว
"ดูเหมือนว่าจะมีคนกลัวที่จะเสนอราคาให้สูงขึ้นไปยิ่งกว่านี้" มู่
หลงหยี่ ยิ้มอย่างเย็นชา เขาพยายามเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะ
ยั่วยุกู้เบ่ย

กู้เบ่ยโบกมือ "เสื้อเกราะพลอยม่วง มีราคาอย่างมากก็ไม่


เกินหนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ มีแค่เพียงคนโง่เง่าเท่านั้นที่จะ
ยินดีจ่ายหนึ่งหมื่นสี่พันศิลาจิตวิญญาณเพื่อที่จะซื้อมัน! "

"เจ้า..." มู่หลงหยี่ ตระหนักได้ทันทีว่าเขานั้นได้ตก


หลุมพรางของกู้เบ่ย แต่เรื่องที่เขาตกหลุมพรางนั้นนับว่าปัญหา
นั้นเป็นเรื่องรอง ปัญหาใหญ่ของเขานั้นก็คือ เขาเอง มู่หลงหยี่
ได้กลายเป็นตัวตลกสาหรับฝูงชน ดวงตาของเขาถึงกับแดงก่า
แทบลุกเป็นไฟ

เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เท่าที่
คนอื่นนั้นได้รับรู้มา กูเ้ บ่ยเป็นคนที่ไม่ได้ความเลยสักนิด ทาให้
ผู้อื่นคิดไปเองเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาว่าเป็น รุ่นที่สองที่
ไร้ค่า ถ้าไม่เช่นนั้น มู่หลงหยี่ คงไม่ตกหลุมพรางเป็นแน่
กู้หลานนั้น เมื่อเร็ว ๆนี้ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว
ดังนั้นกู้เบ่ย จึงได้ตัดสินใจที่จะเผยเขี้ยวเล็บ และต่อสู้เพื่อ
อานาจและตาแหน่งในตระกูล แต่เขาก็ไม่ได้แก้ไขภาพลักษณ์
ของตนเองต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ มู่หลงหยี่ จะตก
หลุมพรางของเขา

ระหว่างกู้เบ่ยและกูห้ ลานนั้น เพียงคนเดียวก็มี


ความโดดเด่น และ สามารถต่อสูเ้ พื่อตาแหน่งผู้นาตระกูลได้ กู้
เบ่ยนั้นไม่ได้นั่งอยู่ให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ เขาเฝ้าจับตาดูกู้เฮงที่
นั่งรออยู่และหวังจะควบคุมตระกูลกู้

ต้องขอบคุณการรักษาของเนี่ยลี่ กูห้ ลานจึงได้รับการรักษาจน


หายสนิท

แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังคงต้องปกปิดเรื่องของตนเอง
ไว้ และในตอนนี้กเู้ บ่ยก็ได้ผสานเข้ากับจิตอสูรที่มีสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าแล้ว กู้เบ่ยจึงมามี
คุณสมบัติครบถ้วนที่จะยืนหยัดและออกไปเพื่อที่จะต่อสู้แย่งชิง
เก้าอี้ผู้นาตระกูล ดังนั้นเขาจึงไม่จาเป็นที่จะต้องปกปิดความ
แข็งแกร่งของตนเองไว้เฉกเช่นอดีตที่ผ่านมา

สาหรับในการประมูลนั้น แม้ว่ามู่หลงหยี่ นั้นจะตก


หลุมพราง เขาก็ทาได้เพียงแค่กลืนมันลงคอเท่านั้น แต่ถึง
อย่างไรมันก็ได้ฝังลึกลงไปในใจของเขา ความโกรธของเขานั้น
มันแทบจะทาให้กลืนกินกูเ้ บ่ยลงไปทั้ง ๆที่มีชีวิตอยู่เลยทีเดียว

นอกเหนือไปจากความโกรธของเขาแล้ว นั่นคือการทิ้ง
ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งหมื่นสี่พันก้อนลงท่อไป แม้ว่าหากมูห่ ลง
หยี่ จะทาการขายเสื้อเกราะพลอยม่วงออกไป เขาก็ได้แค่ศิลา
จิตวิญญาณกลับมาบางส่วน เขาจะต้องขาดทุนไปถึงสี่ถึงห้าพัน
ศิลาจิตวิญญาณ ในขณะที่เขาคิดถึงมัน เขาก็แทบอยากจะ
กระอักเลือดทันที
้วดื
้ ่มไวน์รวดเดียวหมดในอึกเดียว เขามิได้กระเป๋าหนักเฉกเช่น
กู้เบ่ย การทิ้งเงินจานวนมากทาให้เขาปวดใจจนแทบจะ
อาเจียนเป็นเลือดออกมา

กู้เบ่ยเหลือบตามองมูห่ ลงหยี่อีกครั้ง "ข้าสงสัยจริง


ว่า จะมีอะไรออกมาให้ประมูลต่อไปอีกนะ? ถ้าหากว่า มู่หลง
หยี่ มีความมัน่ ใจเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่เสนอราคาให้กบั สิ่งของอื่น
นอกจากนี้อีกหล่ะ? "

ลู่เพียวนั้น รูส้ ึกมีความสุขจนแทบบ้าอยู่ในใจ และแอบยกนิ้ว


ให้กับกู้เบ่ย

เซี่ยวหนิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ในข
ระที่มองดูเนีย่ ลี่ สหายของเนี่ยลี่นชี่ ่างเหมือนกับเขายิ่งนัก เต็ม
ไปด้วยความคิดทีร่ ้ายกาจ และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด
มีเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลกู้อยู่หลายคน พวกเขานั่งอยู่
ตรงมุมห้อง เหลือบมองมายังทิศทางที่พวกเขานั่งอยู่ พวกเขา
พูดคุยกันด้วยเสียงอันเบา

"ดูสินั่นคือกู้เบ่ยใช่หรือไม่?

"พี่สาวของกู้เบ่ยนั้น ได้ถูกปลดจากตาแหน่งผูส้ ืบทอด


ของตระกูล และเขาเองก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่เสเพล ดังนั้นเขาจึง
ไม่อาจที่จะเข้าแข่งขันในตาแหน่งผู้สืบทอดได้ ก่อนหน้านี้ ข้ายัง
คิดว่าเขาเป็นแค่คนที่เสเพลและไม่ได้ความเท่านั้น แต่ตอนนี้
เท่าที่ข้ามองดูเขาอยู่ เขามิได้เหมือนกับที่ถูกเล่าลือเลยสักนิด"

"ใช่แล้ว เขาสามารถซื้อสิ่งของจานวนมากได้ในคราเดียว อาศัย


แค่ความมั่งคั่งของเขา ก็สมควรทีจ่ ะได้รับความเคารพแล้ว!

เหล่าเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลกู้ เขาตระหนักได้ว่าจัก
ต้องประเมินกูเ้ บ่ยใหม่หลังจากทีได้เห็น ตระกูลกู้นั้นนับได้วา่
เป็นหนึ่งในสามตระกูลที่มีอานาจที่สุดในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์
และแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนหน้านี้พี่สาวของกู้เบ่ย ที่
ชื่อว่ากู้หลานนั้น มีความสามารถที่โดดเด่น จนเทียบได้กับหลง
เทียนหมิง

แต่ทว่าสวรรค์กลับอิจฉาความเป็นอัจฉริยะของนาง วัน
หนึ่งก็ได้เกิดปัญหาจากการบ่มเพาะพลังของนาง ทาให้ร่างกาย
ส่วนล่างของนางนั้นเป็นอัมพาต แม้ว่าความมีพรสวรรค์ของกู้
เฮงนั้นจะได้รับการยอมรับ แต่เขาก็ยังด้อยกว่าผู้ที่เป็นอัจฉริยะ
ที่โดดเด่นอย่างหลงเทียนหมิง หลังจากนั้นในตระกูลของเขาก็
กังวลอยู่เสมอ และหวังเป็นอย่างยิง่ ว่าจะเกิดอัจฉริยะคนใหม่
ขึ้นมาอีกครั้งในรุ่นถัดไปของพวกเขา

และในตอนนี้ กู้เบ่ย คนทีไ่ ม่เคยมีผู้ใดให้ความสาคัญ


จนถึงถึงตอนนี้ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่า เขาจะเผยคมเขี้ยวของ
เขาออกมาให้เห็น
บทที่ 310 การเตรียมการ

ในหลายๆ ตระกูลนั้น จะใช้วิธีการ โดยที่ไม่ยื่นมือเข้าไป


ช่วยเพื่อยกระดับฝีมือของลูกหลาน ซึ่งมักจะทาให้มีการแข่งขัน
กันเองในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เปรียบดัง่ การเติบโตของแมลงมีพิษ
ในขณะทีม่ ีอัจฉริยะปรากฏขึ้นก็จะสยบให้ผู้อื่นต่าลงไป จากนั้น
ตระกูลจึงจะให้ความสนใจ และดูแลให้เขาประสบความสาเร็จ
ด้วยอานาจ และตาแหน่งของตระกูล สาหรับคนอื่น ๆที่ไม่อาจ
ที่จะขึ้นไปอยู่ระดับสูงสุดได้ พวกเขาก็จะถูกบีบให้ยอมรับความ
พ่ายแพ้ และหาตาแหน่งอื่น ๆ ที่เหมาะสมในตระกูลให้แทน

ในนิกายขนนกศักดิสิทธิ์ หลงเทียนหมิง นับเป็น


ตัวอย่างได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีคนอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติในการ
สืบทอดตระกูลของเขา แต่กไ็ ม่มีผใู้ ดที่เทียบกับเขาได้

พรสวรรค์ของกู้เฮงนั้น ก็นับว่าดียิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ของตระกูลกู้ แต่เขาก็ไม่มีความมัน่ ใจว่าจะล้มผู้อื่นได้ทั้งหมด
ส่วนกู้หลานนั้น เหล่าสมาชิกของตระกูลกู้ รวมถึงคนรุ่น
เดียวกันนั้นต่างก็รู้สึกเสียดาย ทั้ง ๆที่นางมีคุณสมบัติพอที่จะ
เป็นผู้นาตระกูลกู้

แต่ทว่า กู้หลานนั้นพบปัญหาจากการบ่มเพาะพลัง
ของนาง หลังจากเกิดอุบัติเหตุนั้น น้องชายของนางได้ถูกตั้ง
ความหวังไว้สูงมาก เนื่องทั้งสองคนนั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นใน
แง่ของความสามารถของพวกเขาน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ก็เป็นที่
น่าเสียดายที่ความจริง มันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย กู้เบ่ยนั้นเปรียบ
ได้กับเห็บหมัด ทีไ่ ม่เอาไหน ถึงแม้ว่าเขาจะมีรากวิญญาณฟ้าก็
ตาม เขากลับใช้ชีวิตราวกับเด็กเสเพล และมีภรรยาถึงยีส่ ิบคน
ทั้งที่อายุยังน้อย ไม่ต้องพูดถึงการบ่มเพาะพลังของเขา เพราะ
มันไม่เคยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนัน้ ทุกคนจึงเบือนหน้าหนีจากกู้
เบ่ย

แต่ในตอนนี้ คนเหล่านีเ้ ริ่มที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะ


คลุมเครือไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยได้เห็นมา มีความเป็นไปได้
สูงว่ากู้เบ่ยนั้นปกปิดตัวตนที่แท้จริงของเขาเอาไว้
หลงเทียนหมิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเขา เขาจา
ได้ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่ากู้เบ่ยนัน้ เป็นแค่ใครบางคนใน
ตระกูลกู้เท่านั้น แต่ไม่มีทางที่กู้เบ่ย จะสามารถนาเงินจานวน
มากของตระกูล มาใช้ได้เพียงคนเดียวเช่นนี้ หรือว่ากู้เบ่ยผู้นี้จะ
ทาธุรกิจอะไรบางอย่างกันแน่?

นอกเหนือจากกู้เฮงแล้ว พรสวรรค์ของเหล่าคนรุ่น
ใหม่ของตระกูลกู้นั้น ไม่อาจที่จะเรียกได้ว่าดีนัก แต่หลงเทียนห
มิง ก็มิได้ใส่ใจเกี่ยวกับกู้เฮงแต่อย่างใด ภายในนิกายขนนกศักดิ
สิทธิ์แห่งนี้ มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หลงเทียนหมิงจะปฏิบัติ
โดยที่เห็นว่ามีฝมี ือทัดเทียมกัน

นอกเหนือจาก หลี่ยื่อฟง [李御风]จากตระกูลเถ้า


อัคคีแล้ว สาหรับคนผู้นั้น ก็ยังพอที่จะอยู่ในสายตาของหลง
เทียนหมิงบ้าง ที่จะเป็นคู่แข่งคนสาคัญที่สดุ ของเขา ในการชิง
ตาแหน่งผู้นานิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์
ในส่วนของกู้เบ่ยนั้น หลงเทียนหมิง ก็แค่ประหลาด
ใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้เห็น แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกังวลไปมากกว่านั้น
เขาก็หันกลับมาพูดคุยกับคนอื่นต่อเช่นเดิม

หลังจากนั้นจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์กไ็ ด้ปรากฏขึ้นบนเวทีประมูลอีกครั้ง

ในการประมูลครั้งที่ผ่าน ๆ มา มีจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับมหัศจรรย์ ปรากฏมา หนึ่ง
หรือสองตน ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ในปีนี้ มีออกมาแล้วสิบตน
และดูเหมือนว่าอาจจะยังมีขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าตกใจ
ยิ่งนัก

หลังจากที่ได้ยินเสียงอุทานของเหล่าฝูงชน กู้เบ่ย
กับเนี่ยลี่ก็หันมาสบตากันแล้วก็ยิ้ม กู้เบ่ยนั้นได้นาจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับมหัศจรรย์ เข้าร่วม
ประมูลจานวนทั้งหมดยี่สิบตน สาหรับพวกเขาแล้ว มันคงจะ
แปลกยิ่งนักหากว่าไม่ได้เห็นของพวกนี้จานวนมากปรากฏใน
การประมูล

หลี่ชิงอวิ๋น รู้สึกเศร้าใจ จึงยกแก้วไวน์ดื่มลงไปหนึ่ง


แก้ว "แค่จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโต ในระดับ
มหัศจรรย์ มีอะไรที่น่าสนใจ?" ความสามารถของเขานั้นด้อย
กว่า หลงเทียนหมิงและหลี่ยื่อฟง เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่
เนื่องจากเขาเป็นลูกนอกสมรส ตระกูลเถ้าอัคคีจึงไม่ได้ให้
ความสาคัญกับเขามากนัก และไม่ได้มีจติ อสูรสายเลือดมังกรที่
มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าให้แก่เขา เขาถึงได้ตามหลัง
คู่แข่งของเขาอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
มันเป็นเรื่องยากที่ตระกูลของเขาจะมอบจิตอสูรในระดับ
ดังกล่าวให้กับเขา แน่นอนว่านั่นทาให้เขารู้สึกไม่พอใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่หลี่ชิงอวิ๋น แม้แต่คน


อย่าง มู่หลงหยี่ กับ เยีย่ เชียน ก็ขาดคุณสมบัติเนื่องจากไม่มี จิต
อสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า
เช่นกัน ทุกคนต่างก็รู้สึกเศร้าใจกับความเป็นจริงในข้อนี้ แต่ถ้า
หากพวกเขาได้มาไว้ในกามือหล่ะก็ สถานะในตระกูลของเขา
รวมถึงในนิกายจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

เนี่ยลีเ่ หลือบมองไปยังหลี่ชิงอวิ๋น ในชีวิตที่แล้วของ


เขา หลี่ชิงอวิ๋น ได้เป็นบุคคลที่ทรงอานาจมาก และแน่นอนว่า
ท้ายที่สุดเขาก็ได้ครอบครอง จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับ
การเติบโต ในระดับพระเจ้า แต่ในปัจจุบันนั้นเขายังจมอยู่กับ
ความสิ้นหวัง หลี่ชิงอวิ๋นนั้นรู้ดีว่าเนี่ยลี่สามารถที่จะหาจิตอสูร
ธรรมดาที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าได้ แต่เขาไม่เชื่อ
ว่า เนี่ยลี่จะสามารถหาจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการ
เติบโต ในระดับพระเจ้า ให้เขาสักตนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยที่จะ
พูดคุยเรื่องนี้กับเนีย่ ลีเ่ ลย

เนี่ยลีไ่ ด้ส่งเสียงของเขาไปยังหลี่ชิงอวิ๋น "ท่านพี่ห


ลี่ ข้ามีข้อตกลงบางอย่างเสนอกับท่าน ข้าสงสัยว่าท่านจะสนใจ
หรือไม่?"
หลี่ชิงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปหาเนี่ยลี่ "ข้อตกลงที่ว่าคือสิ่ง
ใดกัน?"
"เจ้าสามารถที่จะหาจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มี
ระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า ให้กับข้าได้เช่นนั้นเหรอ?"
หลี่ชิงอวิ๋น รีบส่งเสียงตอบกลับเนีย่ ลี่ แม้แต่แก้วไวน์ในมือของ
เขาก็ไม่อาจที่จะหยุดสั่นได้ แม้ว่าเขาจะตื่นเต้น แต่เขาก็ยัง
พอที่จะควบคุมตัวเองได้

"ข้าต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่กไ็ ม่ถึงกับว่า เป็นไปไม่ได้!"


เนี่ยลีต่ อบกลับมาหลังจากที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ หลี่ชิงอวิ๋น ก็พูดไป
ว่า "สิ่งใดคือข้อเสนอที่เจ้าต้องการ? หากมันทาให้ข้าได้รับจิต
อสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า โปรด
อย่าลังเล บอกราคาที่เจ้าต้องการมาได้เลย!" จิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า นั้นไม่อาจที่จะ
ประเมินค่าได้ แม้ว่าหลี่ชิงอวิ๋น จะขายธุรกิจของเขาออกไป
ทั้งหมด เขาก็อาจจะรวบรวมเงินได้เป็นจานวนมาก แต่มันก็ไม่
อาจที่จะเพียงพอที่จะซื้อจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการ
เติบโต ในระดับพระเจ้าได้ แต่มันก็คงจะไม่หา่ งไกลเกินไปกว่า
จะหามาสักตนหนึ่ง
"ไม่มีปัญหา อยาได้ชักช้า พูดมาได้เลย" หลี่ชิงอวิ๋น เสียงสั่น
เล็กน้อย คนที่มีจติ อสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ใน
ระดับพระเจ้า จะกลายเป็นเสาหลักของนิกาย แม้ว่าจะมีศลิ า
จิตวิญญาณถึงแสนก้อน ก็ไม่มีที่แห่งไหนที่จะขายมันให้อยู่ดี
แม้ว่าเนี่ยลี่จะเอ่ยปากมาว่า หนึ่งล้านศิลาจิตวิญญาณ ก็ยังจะมี
ผู้ซื้อมาเข้าแถวรอเหมือนเป็ดอยูด่ ี

แต่ถึงกระนั้นเนี่ยลี่กลับเอ่ยขอเพียงแค่ศิลาจิตวิญญาณจานวน
แสนก้อนเท่านั้น นี่ราวกับว่ายกให้โดยที่ไม่รับสิ่งตอบแทนเลย
เสียด้วยซ้า

"สิ่งแรกที่จะร้องขอก็คือ ต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับท่าน
ท่านพี่หลี่ ในอนาคต ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็ตามในนิกายขนนก
ศักดิสิทธิ์ ไม่ว่าข้านั้นจะมีความขัดแย้งกับผู้ใด ท่านพี่หลี่จักต้อง
ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้า!
"แน่นอน เองก็มิได้จะขอให้ท่านั้นทรยศต่อนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันมิได้มีประโยชน์ต่อข้าหรือผู้ใด" เนี่ยลี่ยมิ้
แล้วก้พูดต่อไปอีกว่า "สาหรับคาร้องขออื่นๆอีกสองข้อนั้น ข้า
ยังมิได้ตัดสินใจ ข้าจักบอกให้ท่านหลังจากที่ข้าคิดออกแล้ว
ส่วนจิตอสูรของท่าน ข้าจะทาให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้มันมา"
ในใจของหลี่ชิงอวิ๋น เต็มไปด้วยความหวังหลังจากที่ได้ยินคา
พุดของเนี่ยลี่

ถ้าหากเนี่ยลีน่ ั้นสามารถมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับ
การเติบโต ในระดับพระเจ้า ให้กับเขาได้ ไม่ต้องคานึงเลยว่า
เนี่ยลี่จะเอ่ยปากว่าต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็น
หลงเทียนหมิง หลี่ชิงอวิ๋น เขาก็ไม่เกรงกลัว เขาเป็นคนที่
ซื่อสัตย์รู้คณ
ุ คน สาหรับคนที่ช่วยเหลือเขาแล้ว แน่นอนว่าเขา
จักตอบแทนโดยไม่ลังเล ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่มีสหายที่เชื่อ
ใจเขาเป็นจานวนมาก แม้ว่าจะไม่มีข้อเสนอดังกล่าวก็ตาม หลี่
ชิงอวิ๋น ก็รู้สึกว่าเนี่ยลี่ เป็นคนที่คคู่ วรที่จะเป็นสหาย

เนี่ยลีไ่ ด้ทาข้อเสนอนี้เพื่อที่จะสร้างความประทับใจแก่หลี่ชิ
งอวิ๋น แก่เขาทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อนหน้า เนี่ยลีไ่ ม่ได้คานึงผล
กาไรจากการทาข้อเสนอในครั้งนี้ แต่ก็หาใช่เรื่องสาคัญ ตราบ
เท่าที่เขาเองก็มิได้เสียอะไร ศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสน
ก้อนก็เพียงพอแล้วที่ เนี่ยลี่จะทาจิตอสูรให้แก่หลี่ชิงอวิ๋น
ไม่มผี ู้ใดเลยที่รับรู้เกี่ยวกับข้อเสนออันน่ามหัศจรรย์ ที่เนี่ยลี่ได้
ทากับหลี่ชิงอวิ๋นนี้เลย

เนี่ยลี่ ส่งเสียงของเขาไปยังกู้เบ่ย "กู้เบ่ยอิทธิพลของเจ้า ใน


ตระกูลเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี?้

กู้เบ่ย เกาหัวตัวเองพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น "ข้านั้นถูกเรียกว่า


คนไม่ได้ความอยู่เสมอ จะมีอิทธิพลใด ๆ ที่ข้ายังจะมีได้อีกห
ล่ะ?

"เหตุใดต้องคิดมากด้วย? ตราบเท่าที่ไม่เกินกาลังของข้า!
"การที่พี่สาวของข้าถูกวางยาพิษนั้น จักต้องมีความเกี่ยวข้องกับ
กู้เฮงเป็นแน่ แต่ถึงไรนั้นกู้เฮงก็ได้หยั่งรากฝังลึกลงในตระกูลกู้
แล้ว และเขาก็นับว่าเป้นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูล การที่
จะฉุดดึงเขาลงมานั้นมิใช่เรื่องง่าย!

เนี่ยลี่พูดขึ้นมาว่า "แน่นอนว่า ปัญหาในข้อนี้จะหมดไปอย่าง


รวดเร็ว ข้าจะช่วยชี้แนะในการบ่มเพาะพลังของเจ้า หลังจาก
นั้น เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เจ้าก็จะแสดงให้ทุกคนได้เห็น จิต
อสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า ต่อ
หน้าคนในตระกูลของเจ้า !

เมื่อกู้เบ่ยได้แสดงจิตอสูรของเขาออกมา ตาแหน่งในตระกูล
ของเขาจะเปลีย่ นไปอย่างเห็นได้ชัดเป็นแน่ เมื่อเวลานั้นมาถึง
เขาก็สามารถที่จะสั่นคลอนกู้เฮง จากตาแหน่งของเขาได้ทลี ะ
นิด ทีละนิด

"ข้าคิดว่าเวลานั้นคงจะมาถึงในอีกไม่นานนี้แหละ!
ในกลุ่มสมาชิกของสามตระกูลหลักในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลี่ชิงอวิ๋นและกู้เบ่ย ต่างก็มคี ณ
ุ สมบัติที่จะต่อสูเ้ พื่อชิง
ตาแหน่งผู้นาของนิกายได้ และที่เหลืออยู่ก็คือตระกูลผนึกมังกร
หลังจากใตร่ตรองดูแล้วก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวของเนี่ยลี่
ดวงตาของเขาหันไปมองที่หลงยู่อนิ

หลงยู่อินยังคงเป็นผู้ทไี่ ด้คดั เลือกให้เป็นผูส้ ืบทอดตาแหน่งผู้นา


ตระกูลผนึกมังกร แม้ว่าอันดับของนางนั้นจะยังต่าต้อยและอยู่
ในอันดับท้าย ๆ แต่นางก็ยังมีคณ ุ สมบัตเิ พียงพอ ปัญหาเพียง
อย่างเดียวของหลงยู่อินก็คือ นางหมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งการต่อสู้
มากเกินไป และไม่มีความสนใจในอานาจทางการเมือง แต่ถ้า
สามารถทาให้นางคิดเช่นนั้นได้ก็นบั ว่าเป็นเรื่องที่ดี มันก็เป็น
แผนหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย

ถ้าหากว่าหลงยู่อิน ต้องการที่จะแข่งขันกับหลงเทียนหมิง นาง


จาป็นที่จะต้องได้รับการขัดเกลาจากเนี่ยลี่ และได้รับคาแนะนา
ที่เป็นระบบ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาคิดจะต้องค่อยๆ ทาให้
เกิดขึ้น
บทที่ 311 จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า
万里河山图

เมื่อเร็ว ๆนี้ เนี่ยลีไ่ ด้ให้คาชี้แนะแก่หลงยู่อิน ทาให้ผ่อนปรน


ความสัมพันธ์ของพวกเขาได้บ้าง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังคงเป็น
กังวลอยู่บ้างกับหญิงที่ดุยิ่งกว่าแม่ของไทแรนโนเซารัสผู้นี้ (ดุก
ว่าแม่ T-REX ต้นฉบับจีนบอกไว้แบบนี้จริง ๆ)

ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพบว่ามันเป็นการยากที่จะพูดคุยกับหลงยู่อิน
ดั่งเช่นตัวอย่าง หลงยู่อินในตอนนีน้ างนั่งนิ่งราวกับท่อนไม้ ไม่มี
ปฏิสัมพันธ์ใด ๆกับผู้อื่น นางแสดงสีหน้าที่ปิดกั้นผู้อื่น ใครจะรู้
ว่านางกาลังคิดสิ่งใดอยู่

ยังดีที่ในตอนนี้หลงยู่อินสามารถทีจ่ ะข่มใจ ยับยั้งตัวเองได้บ้าง


แล้ว ดังนั้นคนอื่น ๆจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจนางมากดังที่แล้วมา
ในทางกลับกัน กู้เบ่ยก็ยังซื้อของได้อย่างต่อเนื่อง ทั้ง เยี่ยเชียน
และ มู่หลงหยี่ สีหน้าเริม่ ดูมืดมน เพราะของทุกอย่างถูกกู้เบ่
ยแย่งซื้อไปจนหมด

การประมูลผ่านไปราว ๆครึ่งชั่วโมง หลังจากที่มีการตัดสินการ


ประมูลแล้ว เมื่อการประมูลเสร็จสิน้ กู้เบ่ยได้ใช้จ่ายไป
ประมาณ 178,000 ศิลาจิตวิญญาณ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่
จานวนที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับจานวนที่เหลืออยู่ เขานาของที่
ประมูลมาได้และศิลาจิตวิญญาณที่เหลือใส่ไว้ในแหวนห้วงมิติ
และแอบส่งแหวนไปให้กับเนีย่ ลี่

ฉินเยี่ย [琴悦] ส่งยิ้มหวานขณะที่นางพูดว่า “ข้ามั่นใจเลยว่า


ทุกท่านคงจะอดใจไม่ไหวกับสินค้าหลักที่นามาประมูลในครั้งนี้
สินค้าชิ้นนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นสมบัติลาค่ ้ าตั้งแต่สมัยโบราณ
กาล แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่มผี ู้ใดที่รู้วิธีใช้มัน จนถึงวันนี้เท่าที่
เราทราบเกี่ยวกับมัน คือมันสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการ
บ่มเพาะพลังให้แก่ผู้ที่ใช้งาน เพียงแค่นี้ทุกท่านคงไม่อาจปฏิเสธ
ได้เลยว่ามันคุ้มค่ายิ่งนัก นับเป็นสิง่ ของลึกลับ ที่บุคคลระดับสูง
ที่ไม่เปิดเผยชื่อ ที่เป็นหนึ่งในสานักใหญ่ได้มอบความไว้วางใจให้
เราจัดทาการประมูลนี้ เพื่อที่จะได้ค้นหาว่าใครจะเป็นผู้ที่
เหมาะสมที่จะได้ครอบครองมัน! ”

หลังจบคาพูดของฉินเยีย่ กระตุ้นความอยากรู้ของผู้คนเป็น
อย่างมาก เจ้าของสิ่งนี้มันคือ อะไรกันแน่? มันน่าพิสวงถึงปาน
นั้นเชียวหรือ?

แม้แต่หลงเทียนหมิง [龙天明] หมิงเยี่ย วู่ซวง [明月无


双] และ เหยียนหยาง [炎阳] ทุกคน ต่างก็จ้องไปยัง ฉิน
เยี่ย

สมบัติทไี่ ม่ธรรมดาจากโบราณกาลงั้นเหรอ? แค่ชื่อของมันก็


ดึงดูดความสนใจจากผู้คนเหลือคณานับ

เหล่าศิษย์ของทั้ง สามสานักต่างจดจ่อเฝ้ารอดูมันอยู่

“แม่นางฉินเยี่ย ได้ปรอบนามันออกมาเร็ว ๆหน่อย


!”

ฉินเยี่ยรูส้ ึกยินดียิ่งนัก ที่คาพูดของนางเป็นที่สนใจแก่ทุกคน


นางยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “ในเมื่อทุกท่านมีความอยากรู้อยาก
เห็นเจ้าสิ่งนี้ยิ่งนัก ข้าจะนามันออกมาในตอนนี้!”

หญิงสาวสองนาง ค่อย ๆนามันมันวางลงในถาด และมันถูก


คลุมไว้ด้วยผ้าสีแดง
ของสิ่งนี้ก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเนี่ยลี่เช่นกัน ทั้ง ๆ
ที่เขาไม่คดิ ว่าจะเป็นอะไรที่จริงจังถึงเพียงนี้ เขาสงสัยแค่ว่า
สมบัตโิ บราณชั้นนี้คืออะไรกันแน่?

ปรากฏรอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของฉินเยี่ยขณะที่นางนาผ้า
คลุมออก ค่อย ๆ เผยให้เห็นสิ่งของที่เฉกเช่นม้วนคัมภีร์ นาง
ค่อย ๆ ถือมันขึ้นมาแล้วคลี่มันออกให้ดู “แม้ว่าในวันนี้ เรายัง
ไม่อาจบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร สิ่งเดียวที่เรารู้ก็คือ มันคือสิ่งที่น่า
มหัศจรรย์ยิ่งนัก ”
ทุกคนต่างจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของฉินเยี่ย สิ่งที่นางถืออยู่
ในมือมิใช่ม้วนคัมภีร์ แต่จริงๆแล้วมันคือ งานจิตรกรรม เป็น
ภาพดินแดนที่กว้างใหญ่และมีภูเขาอยู่ไกลลิบ และมีแม่นาไหล ้
ผ่าน มีอักษรโบราณ 4 ตัว ที่ดูทรงอานาจเขียนไว้ว่า 万里
河山 (ว่าน หลี่ เข่อ ชาน : หมืน่ ขุนเขาและสายน้า )

หลังจากที่ได้เห็นอักษรทั้งสี่ ทุกคนต่างรู้สึกยาเกรง ราวกับว่า


ใจของพวกเขาถูกสายฟ้าฟาด ตัวอักษรทั้งสี่ดูเหมือนจะมี
เจตจานงค์ที่ทรงอานาจอยู่
ของสิ่งนี้ต้องเป็นของที่มหัศจรรย์เป็นแน่
!

นั่นคือความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน
เนี่ยลี่นั้นตกใจกว่าผู้ใดในนั้น คนอืน่ ๆ นั้นไม่มผี ู้ใดที่รู้วิธีใช้งาน
ของสิ่งนี้ พวกเขาแค่รู้สึกอ่อนไหวเมื่อเห็นภาพวาดชิ้นนี้ แต่เนี่ย
ลี่นั้นรู้วิธีใช้งานมันเป็นอย่างดี!
ตามที่หนังสือจิตอสูรท่องเวลาได้บนั ทึกไว้ ภาพวาดดังกล่าวคง
อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลที่เก่าแก่เป็นที่สุด ยอดฝีมือผู้หนึ่งได้
ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างใส่เจตุจานงค์ของเขาเพื่อสร้างผลงาน
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า ชั้นนี้ขึ้นมา เขาได้ใส่พลังงาน
ทั้งหมดลงไปจนหมดสิ้น ของสิ่งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยในการบ่ม
เพาะพลังเท่านั้น

กลิ่นอายที่แผ่ออกมาสามารถดูดซับเพื่อเพิ่มการบ่มเพาะพลัง
ได้ แต่ก็เป็นวิธีการใช้สมบัติล้าค่าที่สูญเปล่ายิ่งนัก! เพราะมัน
เป็นเพียงแค่พลังงานสวรรค์ที่กระจัดกระจายเพียงเล็กน้อย
เท่านั้น

เนี่ยลีส่ ังหรณ์ว่ามันจะต้องมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ตดิ มาด้วย


เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นสมบัติที่น่าตื่นตกใจเช่นนี้ไม่มีทางถูกนามา
ออกประมูลเป็นแน่ แต่เขาจะไม่ยอมที่จะปล่อยให้สมบัติชิ้นนี้
หลุดมือไปแน่นอน ถ้าหากเขาสามารถครอบครองภูมิปัญญา
ของจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้าได้ มันจะกลายเป็นขุม
กาลังหลักในการต่อกรกับจักรพรรดิปราชญ์ได้
จักรพรรดิปราชญ์นั้นสามารถที่จะควบคุมได้ทุกสิ่ง รวมไปถึงทั้ง
เวลาและพื้นที่ ถ้าหากว่าเนี่ยลี่ต้องการที่จะทาลาย การปิดผนึก
เวลาและพื้นที่ เขาจาเป็นจะต้องใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดา

เนี่ยจะไม่มีทางยอมให้จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า ตกไป
อยู่ในมือผู้อื่นเป็นแน่
!

“กู้เบ่ยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องซื้อภาพวาดชิ้นนี้ให้ข้าให้
จงได้
!” เนี่ยลี่ บอกกับกู้เบ่ย “ส่วนเรื่องเงินนั้น ข้าจะเป็นผูจ้ ่ายเอง!”

“ตกลง!” กู้เบ่ยพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิธีใช้ภาพวาดชิ้นนี้


เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่สิ่งของธรรมดาเป็นแน่ และนั่นก็เพียงพอ
แล้วสาหรับเขา!
ไม่ว่าอย่างไรเงินที่คานวนไว้แม้จะใช้จนหมดก็น่าจะเพียงพอ

ในตอนนี้กู้เบ่ยกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
!

ฉินเยี่ยเผยยิม้ เล็กน้อยให้กับทุกคน “ข้าพนันกับทุกท่านได้เลย


ว่า ของสิ่งนี้มิใช่ของธรรมดาแน่นอน โดยปกติแล้ว ของชิ้นนี้ไม่
มีทางที่จะปรากฏในการประมูลครัง้ นี้ได้แน่นอน แต่เราได้รับ
ข้อมูลที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้น เนื่องจากไม่มผี ู้ใดรู้วิธีการใช้มัน
เลย มันจึงเป็นแค่ของประดับ ตกแต่งห้องของเราเท่านั้น แม้แต่
บุคคลระดับสูงผูล้ ึกลับที่นาภาพวาดนี้ออกมา เขาก็ไม่ทราบ
วิธีการใช้งานมันเช่นกัน!”

ทุกคนชาเลืองมองสบตากัน

ทุกคนต่างตระหนักดีว่าสมบัติชิ้นนี้จะต้องมีวิธีใช้นานับประการ
แต่ว่าแม้แต่บุคคลระดับสูงผูล้ ึกลับที่นาภาพวาดนี้ออกมา
ขาย เขาก็ไม่อาจที่จะค้นพบวิธีการใช้งานมันอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ลืมมันไปได้เลย! แต่เนื่องจากสินค้าชิ้นนี้
นับว่าเป็นการปิดฉากของการแสดงสินค้า ราคามันจักต้องแพง
มากเป็นแน่ ถ้าหากว่าพวกเขาจะซื้อมันเพื่อมาเสี่ยงโชค ก็
นับว่าคงจะเสียเปล่าเป็นแน่ มันเสีย่ งที่จะสูญเสียโดยเปล่า
ประโยชน์มากเกินไป!

ฉินเยี่ยยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดต่ออีกว่า“บุคคลระดับสูงผู้นา
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้าออกมาขาย ได้แจ้งมาว่า ไม่วา่
จะเป็นผู้ใดก็ตาม ที่สามารถที่จะค้นพบวิธีการใช้งานจิตกรรม
หมื่นขุนเขา เขายินดีที่จะรับซื้อคืนด้วยราคา 2 แสนศิลาจิต
วิญญาณ แต่ถ้าไม่มผี ู้ใดรู้วิธีการใช้งานมัน เขาก็ยินดีที่จะขาย
มันออกไป ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 1 แสน ศิลาจิตวิญญาณ!”

เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าบุคคลระดับสูง ช่าง


ทาให้เสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ต้องการที่ขาย
ภาพวาดนี้จริง ๆ แต่เขาไม่อาจที่จะหาวิธีการใช้งานมันได้
ดังนั้นเขาจึงมีทางเลือกไม่มากนัก
ถ้าแม้แต่บุคคลระดับสูง ยังไม่อาจเข้าใจถ้อยคาที่เขียนอยู่ใน
ภาพวาดนี้ได้ แล้วจะมีผู้ใดอีกที่สามารถใช้งานจิตรกรรมหมื่น
ขุนเขาและสายน้าได้อีก ไม่มีทาง?

เนี่ยลี่อาจจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ไขความลับของมันได้!
ราคาเริ่มต้นทีเ่ สนอคือหนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณ
!

หลายคนถึงกับตะลึงด้วยราคาที่แพงหูฉี่

ด้วยราคาขนาดนี้จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะลดจานวนผูเ้ ข้าร่วม
ประมูลแข่งขันได้ ในบรรดาผู้คนทีอ่ ยู่ที่นี่ มีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้า
ร่วมประมูลได้ หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณ ไม่ได้เป็นจานวนที่คน
ธรรมดาสามารถจะจ่ายได้

ทั่วทั้งห้องโถงด้านข้างถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเป็น
เวลานานพอสมควร ใครกันจะกล้าพอที่จะยกมือให้กับราคานี้
ได้?
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ
!” หลงเทียนหมิงพูดออกมาโดยไม่ได้เต็มใจนัก

ในที่สุดก็มีใครบางคนที่กล้าที่จะเสนอราคาขึ้นมา
!

ความเงียบได้ถูกทาลายลงในทันที ทุกคนเริ่มจะตอบโต้กันด้วย
รอยยิ้มอันขมขื่น บางทีอาจจะมีเพียงแค่คนระดับหลงเทียนห
มิง ถึงจะมีส่วนร่วมในการประมูลครั้งนี้ได้

จานวนเงินที่ใช้ในการซื้อขายปีนี้พุ่งทะลุสูงกว่าปีที่แล้ว
นอกจากนี้ราคาของจิตรกรรมหมืน่ ขุนเขาและสายน้าเพียง
อย่างเดียวก็ครอบคลุมเงินทั้งหมดแล้ว

“หนึ่งแสนสองหมื่นศิลาจิตวิญญาณ
!” เหยียนหยาง เอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจ

ตลอดการประมูลอันยาวนาน เหยียนหยางไม่ได้ประมูลสิ่งใด
แม้แต่รายการเดียว จานวนสิ่งที่เขานั้นสนใจแทบจะเป็นศูนย์
แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มที่จะประมูลจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและ
สายน้า

หลงเทียนหมิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วของเขา เมื่อได้ยินเหยียน


หยางทาการเสนอราคา เมื่อเหยียนหยางเข้าร่วมการประมูล
หลงเทียนหมิง ถือว่าไม่ใช่คู่แข่งที่ดีนักสาหรับการประมูล
ภาพวาดนี้ ดังนั้นเขาได้แต่หวังว่าเหยียนหยางจะไม่ได้สนใจ
ภาพวาดนี้เท่าใดนัก

“หนึ่งแสนสามหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”

“หนึ่งแสนสี่หมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”

หนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
………
ราคาปรับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขากาลังทาสงคราม
การเสนอราคา เมื่อ เหยียนหยาง เสนอราคาขึ้นไปถึง หนึ่งแสน
หกหมื่นศิลาจิตวิญญาณ หลงเทียนหมิง ถูกบังคับให้ออกมา
จากการแข่งขันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ศิษย์พี่ เหยียนหยางได้เสนอราคาประมูลที่ หนึ่งแสนหกหมื่น


ศิลาจิตวิญญาณ มีผู้ใดจะให้ราคาสูงกว่านี้ไหม
?” ฉินเยี่ยยิ้มเล็กน้อย และมองไปยังฝูงชน

ทันใดนั้นหมิงเยี่ย วู่ซวง เอ่ยด้วยเสียงที่เบาแต่ชัดเจน พร้อมกับ


เผยรอยยิ้มออกมา “ข้าเสนอราคาที่หนึ่งแสนเก้าหมื่นศิลาจิต
วิญญาณ ถ้าหากมีผู้ใดเสนอราคาสูงกว่านี้ ข้าก็จะถอนตัว”

เหยียนหยางถึงกับเงียบไปชั่วครู่ แล้วเขาก็พูดออกมาว่า “ข้าไม่


คิดเลยว่า ศิษย์พี่หมิงเยี่ย จะสนใจมันด้วย ข้าควรจะยอมปล่อน
มันให้กับศิษย์พี่หมิงเยีย่ แต่น่าเสียดายที่ข้านั้นมีความสนใจ
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้ายิง่ นักนอกจากนี้ดูเหมือนว่า
มันจะช่วยส่งเสริมในการบ่มเพาะพลังของข้าเป็นอย่างมาก ข้า
จึงไม่อยากที่จะพลาดโอกาสในการได้มันไป หวังว่าศิษย์พี่หมิง
เยี่ยจะไม่โกรธเคืองกันนะ!”เหยียนหยาง แสดงออกกับ หลง
เทียนหมิงไม่ดีเท่าใดนัก แต่เขากลับแสดงออกอย่างสุภาพกับ
หมิงเยี่ย วู่ซวง

หมิงเยี่ย วู่ซวง ยิ้มพร้อมกับตอบกลับว่า “ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้


หรอก ศิษย์น้องเหยียนหยางเชิญทาตามที่เจ้าต้องการได้เลย”
นางก็แค่อยากจะเพิ่มราคาให้สูงขึ้นเท่านั้นเอง

“สองแสนหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!” เหยียนหยางทาการเสนอ
ราคาต่อไปอีก
ราคาของภาพวาดสูงถึงสองแสนหมื่นศิลาจิตวิญญาณ! มันเป็น
ราคาที่น่าตื่นตกใจเหลือเกิน แม้แต่คนอย่าง เยี่ยเชียน กับ มู่
หลงหยี่ จะนาสมบัติของพวกเขามารวมกัน

พวกเขาก็ยังไม่อาจที่จะมีศลิ าจิตวิญญาณจานวนมากถึงเพียง
นี้ เหยียนหยางนับเป็นโอรสศักดิส์ ิทธิ์แห่งสานักอัคคีอย่าง
แท้จริง เขาช่างร่ารวยยิ่งนัก
ด้วยความมั่งคั่งอันน่ากลัวของเหยียนหยาง ทาให้คนอื่น
หวาดหวั่นที่จะแข่งขันด้วย เมื่อทุกคนรู้ดีว่าจิตรกรรมหมื่น
ขุนเขาและสายน้าจะต้องตกอยู่ในมือของเหยียนหยางแน่นอน
เสียงของกู้เบ่ยก็ดังขึ้น

“ข้าเคยได้ยินมาจากท่านผู้อาวุโสว่าจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและ
สายน้าเป็นดั่งกุญแจที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณหนือคณานับ

ที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพสงครามก็ไม่อาจที่จะไขได้ ดังนั้น
ถึงแม้น้อยน้อยเหยียนหยางได้มันไป ท่านก็คงไม่อาจที่จะหา
หนทางในการใช้มันได้เป็นแน่ ข้าขอเสนอราคาสองแสนหนึ่ง
หมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”

คนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวต่างก็รสู้ ึกขบขันอย่างช่วยไม่ได้ การ


ทีก่ ู้เบ่ยเพิ่งกล่าวว่าจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า เป็นดั่ง
กุญแจที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณหนือคณานับ แน่นอนว่ามันไม่
คู่ควรกับเขาเป็นทีส่ ุด ในทางกลับกันเขากลับเสนอราคาที่สูงขึ้น
ไปอีก มันจึงเป็นเรื่องที่น่าขันอยู่เล็กน้อย กู้เบ่ย พยายามบอก
ว่าเขานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะยั่วยุเหยียนหยาง แต่ในทางกลับกัน
มันก็ทาให้เหยียนหยางนั้นดูแย่ลง

แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่มผี ู้ใดที่คิดจะยั่วยุเหยียนหยาง! เหยียนหยาง


นั้นเป็นตัวแทนของสานักอัคคี และอาจจะเป็นผู้นาคนต่อไปใน
อนาคต!

เหยียนหยางหันมาทางกู้เบ่ย และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่คิด


ว่ากู้เบ่ยนั้นจะมั่งคั่งพอที่จะมาแข่งขันกับเขา โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งหลังจากที่เขาได้ประมูลซื้อของอื่น ๆมาแล้วจานวนมาก เห
ยียนหยางพูดออกมาว่า “การชุมนุมของสามสานักใหญ่ในครั้งนี้
มีจุดประสงค์เพื่อให้พวกเราได้พบหน้ากัน ความสามัคคีนั้นคือ
สิ่งตอบแทนที่ล้าค่าทีส่ ุด ทุกคนสามารถที่จะเสนอราคาได้สูง
เท่าที่ต้องการ และผู้ที่ให้ราคาสูงกว่าก็คือผู้ชนะ โดยไม่ต้อง
สนใจตาแหน่งและสถานะของผู้ใด ศิษย์น้องกู้เบ่ย เชิญทา
ตามที่ต้องการได้เลย!”
เหล่าฝูงชนถึงกับอดถอนหายใจไม่ได้หลังได้ยินคาพูดดังกล่าว
เป็นคาพูดที่มีมารยาทและไม่ธรรมดา เหยียนหยาง สมแล้วที่
เขาได้รับการขนานนามว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งสานักอัคคี
บทที่ 312 ศิลปะ 4 แขนง琴棋书画

[ศิลปะ 4 แขนงของจีน ประกอบด้วย พิณ หมากล้อม การ


เขียน และ การวาดรูป]

“สองแสนสองหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
เหยียนหยาง ยังคงให้ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

“สองแสนสามหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
กู้เบ่ยประมูลอย่างใจเย็น

ใจของทุกคนนั้นตื่นตะลึงยิ่งนัก กู้เบ่ยมีเงินอยู่จานวนเท่าใดกัน
แน่? แม้แต่ผู้อาวุโสที่รู้จักเก็บออมหลายปียังมีศิลาจิตวิญญาณ
เพียงแค่แสนก้อน หรือว่ากู้เบ่ยจะพบขุมทรัพย์อะไรบางอย่าง?
เหยียนหยางถึงกับนิ่งเงียบไป หลังจากการบ่มเพาะพลังมา
หลายปี เขามีศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่ สองแสนห้าหมื่นก้อน
เท่านั้น ทั้งๆที่ราคานั้นก็สูงอยู่แล้ว แต่กู้เบ่ยก็ยังเสนอราคา
สูงขึ้นไปอีก

เหยียนหยางเคยได้ยินชื่อของกู้เบ่ยมาบ้าง เขาควรจะเป็นแค่
ลูกหลานธรรมดาในตระกูลกู้ แต่ทาไมถึงได้มั่งคั่งจนน่ากลัวถึง
เพียงนี้? เขาได้มาด้วยวิธีใดกันแน่ ดูแล้วไม่มีวี่แววเลยว่าเหยียน
หยางจะสามารถเอาชนะกู้เบ่ยในการประมูลครั้งนี้ได้ แม้ว่าเขา
จะเสนอราคาขึ้นไปอีกก็ตาม

หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ครูห่ นึ่ง เหยียนหยางก็เปิดปากพูดขึ้นมา


“ข้าขอถอนตัวจากการแข่งขันครั้งนี้ ศิษย์น้องกู้ เจ้ารับ
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้าไปเถิด!” แม้ว่าเหยียนหยางจะ
รู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถที่จะสงบอารมณ์ได้
อย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจเป็นอันมากที่ เหยียนหยางไม่อาจเอาชนะกู้
เบ่ยได้ เขาเอ่ยปากยอมแพ้นี่มันอะไรกัน? พวกเขาอดไม่ได้ที่จะ
ชาเรืองมองไปที่กู้เบ่ย ชายคนนีม้ ั่งคั่งจนน่ากลัวมากเกินไปแล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่เหยียนหยาง” กู้เบ่ยยิ้ม


เล็กน้อยขณะที่เขาประสานมือเคารพเหยียนหยาง
หลังจากทีได้ภาพวาดมา เมื่อรวมกับสิ่งของอื่นๆ ก็นับว่าจ่ายไป
เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนี่ยลี่ทาการคานวนทุกอย่างทั้ง
หมดแล้ว พวกเขาขายจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการ
เติบโตระดับมหัศจรรย์ไปทั้งหมด 20 ตน และซื้อ จิตรกรรม
หมื่นขุนเขาและสายน้า น้าค้างจารึกสวรรค์ 30 ขวด แก่นแท้
วิญญาณอสูร และรายการอื่น ๆ อีกมากมาย แต่เขายังคงมี
กาไร 130,000 ศิลาจิตวิญญาณ

รวมกับศิลาจิตวิญญาณอีกแสนก้อนที่อยู่ในแหวนห้วงมิติของ
เขา เขายังคงเหลือศิลาจิตวิญญาณอยู่อีก 230,000 ก้อน
ดูเหมือนว่าการขายจิตอสูรสายเลือดมังกรเป็นการหาเงินที่
ง่ายดายยิ่งนัก
!

โชคดีเหลือเกินที่เขาได้พบกับการประมูลเช่นนี้ ทาให้เขา
สามารถขายจิตอสูรได้โดยง่าย โดยปกติแล้ว เป็นเรื่องที่ยากที่
จะหาผูซ้ ื้อที่เหมาะสมได้

การประมูลยังคงดาเนินต่อไปและมีสินค้าจานวนมากที่ถูกขาย
ออกไป แต่ของส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าตาเขาเลยแม้แต่น้อย เนี่ยลีจ่ ึง
ไม่ได้เข้าร่วมประมูลด้วย ในตอนนีเ้ ขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เขาแอบได้รับจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า เมื่อ
กลับถึงที่พัก เขาจักต้องหาหนทางเปิดมันออกเป็นแน่

เจ้าของชิ้นนี้ที่มีการบันทึกไว้ มีวิธกี ารใช้งานหนือคณานับ

แม้แต่คนระดับสูงก็ไม่อาจที่จะเปิดจิตกรรมหมื่นขุนเขาและ
แม่น้าได้ เนี่ยลี่ มีความคิดว่าเขาจะต้องทาอะไรบางอย่าง
เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถที่จะปลดผนึกมันได้ แต่ก็ขึ้นอยู่
กับความเข้าใจในจารึกในรูปแบบต่าง ๆ แต่ก็ยังคงมีความ
เป็นไปได้สูง แม้ว่าเขาจะสามารถปลดผนึกการใช้งานได้เพียง
แค่ สิบเปอร์เซนต์ เพียงแค่นั้นก็คมุ้ ค่าที่จ่ายไปแล้ว

สิ่งของยังถูกขายออกไปต่อเนื่องนับสิบชิ้น ก่อนที่การประมูลจะ
จบลง ในบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล

ฉินเยี่ย ที่ยืนอยู่ด้านหน้าได้ส่งยิม้ เล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยว่า “เรา


มาถึงจุดสิ้นสุดการประมูลแล้ว จากนี้ไปจะเป็นส่วนของการ
แสดงที่น่าสนใจคือ ศิลปะ 4 แขนง โดยผู้ที่รซู้ ึ้งถึงวิถีของศิลปะ
ทั้ง 4 แขนง ทุกท่านจะได้ประเมินมันด้วยสายตาของทุกท่านที่
นี่เอง”

เหล่าคนงานได้ยา้ ย พิณ กระดานหมากล้อม พู่กัน กระดาษ


หินฝนหมึก และ ของอื่น ๆ อีกหลายอย่างขึ้นไปบนเวที
ด้านหน้า
เหล่าลูกศิษย์จ้องมองไปด้านหน้าด้วยความสนใจ จนใจของ
พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
เป็นอย่างมาก ถ้าหากพวกเขาสามารถเป็นพยานของบุคคลที่
จะทาการแสดงศิลปะ 4 แขนง ได้แก่ เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่
ซวง เพื่อที่จะรับรู้วิถีของพวกเขานั้น ใครจะรู้ว่ามันอาจจะ
ช่วยหนุ่นส่งให้ก้าวไปสู่วิถีแห่งเจตจานงค์ของจอมยุทธก็เป็นได้

ฉินเยี่ยเดินไปที่พณ
ิ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า และเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
พร้อมกับเอ่ยว่า “ข้านั้นจะเป็นผูเ้ ริ่มการแสดงก่อน ข้าจะขอ
แสดงทักษะอันอ่อนด้อยของข้าเป็นอันดับแรก ขอให้ทุกท่าน
โปรดชี้แนะด้วย”

เมื่อฉินเยี่ยประกาศว่านางจะเป็นผู้เริม่ การแสดง ผู้คนต่าง


ปรบมือเสียงดัง
ฉินเยี่ย นั่งลงอย่างสง่างามอยูด่ ้านหลังพิณ นางค่อย ๆยื่นมือที่
งดงามของนาง และเริ่มดีดเบา ๆ ด้วยนิ้วมือที่เรียวยาวของนาง

บทเพลงที่กลมกล่อมและเต็มไปด้วยอารมณ์ก้องกังวาลไปทั่ว
บริเวณ เสียงประหนึ่งหยาดฝนร่วงหล่นบนใบกล้วย ถ้าหากนั่ง
ฟังอยู่ไกลๆ อาจจะไม่ได้ยินเสียงสิง่ ใด แต่ถ้าตั้งใจฟังอย่าง
เงียบๆ จะราวกับว่าเสียงที่ได้รับฟังผ่านใบหู จะมีร่องรอยของ
ความห่วงใย และความเห็นอกเห็นใจ มันทั้งอ่อนโยน โศกเศร้า
และงดงาม

ทันใดนั้น เสียงพิณก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน ราวกับ


สาดสุราสีเงิน เสียงตัวโน๊ตเปลีย่ นแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่
แทนที่จะรับรูไ้ ด้ถึงจิตสังหาร แต่มนั กลับถูกกลบไปด้วยความ
สง่างาม

เหล่าฝูงชนถึงกับช่วยไม่ได้ทจี่ ะรูส้ กึ เคลิบเคลิ้มด้วยเสียงบท


เพลงอันงดงาม ราวกับว่าขอบเขตวิญญาณของพวกเขากาลังโผ
บินไปด้วยท่วงทานอง ราวกับว่าพวกเขาโผล่ไปยังดินแดนแห่ง
ความฝัน อาบน้าท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น

ที่โต๊ะของเนี่ยลี่ เยี่ยเชียน มีการแสดงออกถึงความเมามายบน


ใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาเคาะเบา ๆ บนโต๊ะ ช่างเป็นบท
เพลงที่ผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก ทาให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอน
หายใจ “นางเล่นเพลงได้ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ มันช่าง
รื่นรมย์ และผ่อนคลายใจเป็นอย่างยิ่ง สาหรับทุกคนที่ได้รับฟัง
บทเพลงของนาง วิถีแห่งเจตจานงค์ของนางที่แฝงอยู่ในบท
เพลงยิ่งทาให้นางน่าหลงไหลยิ่งขึน้ ไปอีก”

หลังการบรรเลงของนางจบลง นางได้รับเสียงยกย่องสรรเสริญ
จากผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้

“แม่นางฉินเยี่ย เสียงพิณของท่านราบรื่นราวกับสายน้า
ถ่ายทอดวิถีแห่งเจตจานงค์ในของตนเองผ่านทางห้วงอารมณ์
ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
!”

“แม่นางฉินเยี่ย พิณของท่านทั้งงดงาม และ กังวาลใสชวนให้


หลงใหลอย่างแท้จริง
! ”
เสียงชื่นชมยังคงดังกึกก้อง แต่ถึงอย่างไร หลงเทียนหมิง หมิง
เยี่ย วู่ซวง และ เหยียนหยาง ยังคงนั่งสงบนิ่ง และแสดงออกมา
อย่างสงบเงียบ แม้ว่าฉินเยีย่ จะสามารถเข้าถึงแห่งวิถี แต่ก็ยัง
นับว่านี่เป็นเพียงแค่พื้นฐานเท่านัน้ และยังด้อยกว่าเมื่อเทียบ
กับพวกเขา

หลังจากที่ได้ฟังเสียงเพลงจากพิณ เนี่ยลี่ถึงกับยิ้มเล็กน้อย
อารมณ์และความรูส้ ึกภายในเพลงช่างคล้ายคลึงกับอาจารย์
ของเขา ที่ราวกับตัวโน๊ตนั้นไร้ตัวตน แต่ถึงอย่างไรความห่างชั้น
ก็ยังคงมีมากเกินไป แม้ว่าเนี่ยลี่นนั้ จะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องพิณ
แต่เขาก็สามารถประเมินได้เป็นอย่างดี

ฉินเยี่ยลุกยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคานับเล็กน้อย “ข้าฉินเยีย่ ดู
เหมือนว่าจะแสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไป แม้ว่าอาจจะ
ดูเป็นเรื่องตลก ฉินเยีย่ ได้แสดงฝีมอื อันน่าเวทนาออกไปแล้ว
ต่อไปข้าขอส่งต่อเวทีให้กับผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่าง! ”

หลังจากสิ้นคาพูดของฉินเยี่ยหลายคนอดไม่ได้ทจี่ ะหน้าแดง
เพราะความอับอาย ฝีมือพิณของฉินเยี่ยนั้นเรียกได้ว่าถึงขั้นที่
บรรลุแล้ว การที่จะขึ้นไปในตอนนีก้ ็เหมือนแสดงความโง่ของ
ตนเองออกมา ในตอนนี้ จะเป็นการดีกว่าที่จะให้ ยอดฝีมือตัว
จริงได้แสดงฝีมือของพวกเขา ซึ่งแบบนั้นเหล่าฝูงชนจะได้
ประโยชน์มากกว่าเป็นแน่

ทันใดนั้น เยี่ยเชียน ก็เหลือมองไปทางเซี่ยวหนิงเอ๋อ จากนั้นก็


ลุกขึ้นและเดินไปด้านหน้า “แม่นางฉินเยี่ยได้แสดงฝีมือพิณของ
ท่านแล้ว ข้าเองก็ต้องการที่จะแสดงฝีมือของข้าเช่นกัน ”

มุมปากของกู้เบ่ยถึงกับกระตุก ทันทีที่เขาเห็นเขาก็รสู้ ึกดูถูก


เขาไม่ได้มีความคาดหวังใดๆจาก เยี่ยเชียนเลยสักนิด

“ศิษย์พี่เยี่ยเชียน ขอความกรุณาด้วย” ฉินเยี่ยยิม้ อย่างสุภาพ


และพูดต่ออีกว่า

“ข้าสงสัยว่าในศิลปะทั้ง 4 แขนง ศิษย์พี่เยี่ยเชียนจะแสดงอะไร


ให้เราดู
?”
“การเขียน” เยี่ยเชียนยิ้มเล็กน้อย

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยศิษย์พี่เยี่ยเชียนฝนหมึกเอง
!” ฉินเยี่ยยิ้มและนางก็เดินไปที่อีกด้านของโต๊ะแล้วทาการฝน
หมึก

“ช่างเป็นผู้ช่วยที่งดงามยิ่งนัก ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว
!” เยี่ยเชียน หัวเราะขณะที่หยิบพูก่ ันที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็จมุ่
ลงไปในหมึก และจ้องมองไปยังกระดาษ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มตวัดพู่กัน
และลงมือเขียน เขาตวัดพู่กันราวกับงูและมังกร

หลังจากนั้นครูเ่ ดียว ตัวหนังสือหนึง่ ตัว ก็ปรากฏบนกระดาษ


ด้วยความแข็งแกร่ง : 情 (ชิง
: รัก)
แต่ละจังหวะของการสะบัดพู่กัน เพื่อขีดเขียนคานั้นนับว่าอยู่ใน
ขอบเขตที่เรียกได้ว่ายอดเยีย่ เลยทีเดียว

ดวงตาของฉินเยี่ยอดไม่ได้ที่จะเป็นประกายขณะที่นางเงยหน้า
ขึ้น ผู้ชมด้านล่างต่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง

“ศิษย์พี่เยี่ยเชียนได้มคี วามเข้าใจในวิถีแห่งความรักเสียยิ่งกว่า
ข้า แม่นางฉินเยี่ย เสียอีก
! ”

“เป็นข้อความที่ยอดเยีย่ มมาก ศิษย์พี่เยี่ยเชียน


!”
หญิงสาวหลายคนในสานักบัญญัตสิ วรรค์ อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว
เบิกตาเพื่อแสดงความงดงามในสายตาของพวกนาง ภายใน
หนึ่งคานี้มันลึกซึ้ง กินใจ สาหรับวิถีแห่งความรัก หากอยู่เพียง
ลาพังก็เพียงพอที่จะทาเรื่องที่น่าอายได้เลยทีเดียว

เยี่ยเชียนไม่สนใจที่จะมองผู้ใด เขามองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อ
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบบอกหนิงเอ๋อด้วยน้าเสียงที่นิ่มนวลว่า
“หนิงเอ๋อ ดูเหมือนว่าเยีย่ เชียนจะมีความรูส้ ึกอันลึกซึ้งนี้กับเจ้า
นะ!”

“เนี่ยลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ข้าไม่สนุกด้วยนะ
!” เซี่ยวหนิงเอ๋อ อายจนก้มหน้าหลบ

เนี่ยลี่อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยวหนิงเอ๋อ
“ตั้งแต่ที่เยี่ยเชียนขึ้นไปบนนั้น ข้าเองก็คงต้องแสดง
ความสามารถอะไรสักอย่างสองอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะดูขี้
ขลาดและอ่อนแอเป็นแน่”
หลี่ชิงอวิ๋นมองดูเนี่ยลีด่ ้วยความตกใจ เนี่ยลี่นั้นมีความมั่นใจยิ่ง
นัก นั่นหมายความว่าเขามั่นใจว่าจะไม่ด้อยกว่าเยี่ยเชียน หลี่
ชิงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะคาดหวังในใจ ในขณะที่เขาสงสัยว่าเนีย่ ลี่
จะแสดงอะไรออกมา หลังจากที่ เนี่ยลี่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตชะตา
สวรรค์ และทาไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าจะแสดงฝีมือที่ไม่ด้อย
กว่าเยี่ยเชียนได้?

เซี่ยวหนิงเอ๋อ ยุ่งอยู่กับการพูดคุยและหัวเราะเบาๆกับเนี่ยลี่
นางไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมอง เยีย่ เชียน อดไม่ได้ที่จะสลดใจ
ในขณะที่เขาเดินลงจากเวที และกลับไปยังที่นั่งของเขา

หลังจากที่เยี่ยเชียนได้ เขียนพู่กันเสร็จแล้ว ทุกคนก็สงบกัน


อย่างรวดเร็ว

มีเสียงของคนบางคนตะโกนออกมาจากฝูงชน “ในบรรดาเหล่า
ศิษย์ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ ผู้นาของเราก็คือ ศิษย์พี่ เหยียน
หยาง ศิษย์พี่ หมิงเยี่ย และ ศิษย์พี่ หลงเทียนหมิง ได้โปรดขึ้น
ไปชี้แนะพวกเราด้วย”
คนที่เหลือต่างกูร่ ้องหลังจากที่สิ้นเสียงคนผู้นั้น
เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่ซวง และ หลงเทียนหมิง มีความรู้ซึ้ง
เป็นอย่างยิ่งในวิถีแห่งจอมยุทธจนถึงระดับที่น่าอัศจรรย์อย่าง
ยิ่งแล้ว หากพวกเขาจะแสดงฝีมือเพียงเล็กน้อย คนที่เหลือก็จะ
ได้ประโยชน์เป็นแน่

หลงเทียนหมิง เหลือบมองไปยัง เหยียนหยาง และ หมิงเยีย่ วู่


ซวง พร้อมกับหัวเราะ “ในหมู่พวกเราสามคน ข้านั้นอ่อนด้อย
ที่สุด ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอเป็นคนแรกที่จะแสดงความโง่เขลา
เป็นคนแรก ข้าหวังว่าศิษย์พี่หมิงเยี่ย และศิษย์พี่เหยียนหยาง
จะขึ้นไปบนเวทีเพื่อแสดงความสามารถของพวกท่านด้วย
เช่นกัน! ”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยกย่องถ้อยคาของหลงเทียนหมิง พวกเขา
ทั้งสามคนเป็นที่รจู้ ักดีในสามสานักหลัก การแข่งขันของพวก
เขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเองก็ไม่ได้
ดีนัก แต่ถึงอย่างไร หลงเทียนหมิง จึงชิงลงมือก่อนโดยการพูด
ไปว่าเขานั้นอ่อนด้อยทีส่ ุดในสามคน เพื่อที่ให้ทุกคนคิดเช่นนั้น
เขาจะได้ทาตามที่วางแผนไว้ได้

จากระยะไกล เนี่ยลี่ มองเห็นรอยยิ้มอันเย็นชาของ หลงเทียนห


มิง หลงเทียนหมิงนั้นเป็นคนที่เต็มไปด้วยอุบาย ตั้งแต่ที่พวก
เขาถูกเรียกร้องให้ขึ้นไปแสดงฝีมือ หลีกเลีย่ งไม่ได้ว่าพวกเขา
จะต้องถูกเปรียบเทียบกับการแสดงของอีกสองคน แทนที่จะ
เรียกว่าการแสดงฝีมือ คงต้องเรียกว่าการแข่งขันเสียมากกว่า

เขาได้บอกไปโดยการยอมรับว่าเขานั้นความสามารถอ่อนด้อย
ที่สุด ถ้าหากเขาทาได้ไม่ดเี ท่ากับคนอื่น ผู้คนก็จะไม่เห็นว่าเป็น
เรื่องที่น่าอับอาย แต่ถ้าหากว่าเขาทาได้ดีกว่าอีกสองคนที่เหลือ
เขาก็จะได้รับคาชื่นชมเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ถือว่าหลงเทียนห
มิงนั้นยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยทีส่ ุด

ปากของเหยียนหยางกระตุกด้วยความเหยียดหยาม ในขณะที่
เขามองไปยังด้านหลังของหลงเทียนหมิง ทาไมเขาถึงจะไม่
เข้าใจว่าหลงเทียนหมิงตั้งใจจะทาอะไร? แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็
ไม่ได้ใส่ใจกับกลยุทธ์เล็กน้อยนี้หรอก
ขณะที่หมิงเยี่ย วู่ซวง ที่อยู่อีกด้าน นางยังคงสงบนิ่งดั่งเช่นเคย
ชนะหรือพ่ายแพ้ ไม่ใช่สิ่งสาคัญสาหรับนาง

ภายใต้สายตาของผูค้ น หลงเทียนหมิงเดินออกไปด้านหน้า
บทที่ 313 ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในวิถีแห่งเจตจานงค์

หลงเทียนหมิง เดินออกมาด้านหน้า กวาดตามองฝูงชนพร้อม


กับยิ้มเล็กน้อย “ในตอนนี้ ฉินเยี่ย และ เยี่ยเชียน ได้แสดง
ความสามารถของพวกเขาแล้ว คือการดีดพิณ และ เขียนอักษร
ตามลาดับ และจาเป็นต้องมีผเู้ ล่นสองคนในการเล่นหมาก
ล้อม และในตอนนี้ ข้าขอแสดงความโง่เขลาของตัวเอง ด้วย
การแสดงทักษะการวาดภาพ ”

หลงเทียนหมิงยกพู่กันขึ้นแล้วจุ่มลงไปในหมึก ดวงตาของเขา
นั้นจ้องมองไปยังกระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้าของเขา

ก่อนหน้านี้หลงเทียนหมิงได้ยมิ้ อย่างสาราญใจ แต่ในตอนนี้ เขา


แสดงออกราวกับเป็นน้านิ่งทีไ่ หลลึก และภูเขาที่สูงตระหง่าน
ปรากฏออกมาให้เห็นบนใบหน้าของเขา พร้อมด้วยกลิ่นอายที่
น่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมา ผู้ชมที่ดา้ นล่างถึงกับอดไม่ได้ที่จะอ้า
ปากค้าง
หลงเทียนหมิง ดูราวกับดาบที่ถูกชักออกมาจากฝัก ราวกับว่า
เขาพยายามที่จะบังคับให้ผู้ชมยอมจานนต่อกลิ่นอายที่เขาแผ่
ออกไปเท่านั้น พู่กันในมือของเขานั้นเริ่มจรดลงกับกระดาษ
และขีดเขียนราวกับอสรพิษและมังกร เหลือไว้เพียงแค่ลวดลาย
ที่ตัดผ่านหน้ากระดาษ อย่างช้า ๆแต่แน่วแน่ มองเป็น
รูปลักษณ์สตั ว์ร้ายอยูบ่ นแผ่นกระดาษ มันจะต้องเป็น มังกร
ศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต [翅血圣龙 : ชี่เชี่ยเซิ่นหลง] ที่ยืน
ตระหง่านและกาลังสยายปีกเป็นแน่

ตั้งแต่กระดูกมังกร เกล็ดมังกร ปีกมังกร [龙骨、龙鳞


、龙翼] ทุก ๆส่วนของร่างกายถูกวาดขึ้นมาอย่าง
แข็งแกร่ง

มังกรศักดิส์ ิทธิ์ปีกโลหิต ดูราวกับว่ามันพร้อมที่จะกระโจน


ออกมาจากกระดาษ ดวงตาของมันมีประกายที่น่ากลัวยิ่งนัก ดู
ราวกับว่ามันคือผู้ที่กุมทุกชีวิตของทุกคนที่อยู่ที่นี่เอาไว้
ภาพวาดนี้บรรจุไปด้วยวิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไม่มีทสี่ ิ้นสุด และ
คุณภาพสูงยิ่งนัก เหล่านักเรียนต่างรู้สึกหลงไหลและชิ่มชม
เพียงแค่ได้เห็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ปีกโลหิต เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
การบรรเลงพิณของฉินเยี่ย และการเขียนอักษรของเยีย่ เชียน
ด้อยกว่าและห่างชั้นเมื่อเทียบกับภาพวาดนี้ รวมไปถึงกลิ่นอาย
ที่ถูกบรรจุอยู่ในนี้ก็สูงส่งเป็นอันมาก

เมื่อเทียบกับฉินเยี่ย และ เยี่ยเชียน ความเข้าถึงในวิถีแห่ง


เจตจานงค์นั้น เมื่อเทียบกับความเข้าถึงของหลงเทียนหมิงแล้ว
ราวกับหิ่งห้อย กับ จันทราเลยทีเดียว ราวกับว่าพวกเขายืนอยู่
บนโลกคนละใบ

“ข้านั้นได้แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไปแล้ว” หลง
เทียนหมิง เขาได้หยุดพู่กันและวางมันลงไปด้านข้าง กลิ่นอาย
อันแข็งแกร่งของเขาถูกดึงออกมาพร้อม ๆกับพู่กัน

“ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง วาดรูปออกมาได้นา่ ประทับใจยิ่งนัก


มันเต็มไปด้วยวิถีเจตจานงค์แห่งราชันย์ พวกเราคงทาได้แค่
เพียงส่งเสียงชื่นชมเท่านั้น
!”

เยี่ยเชียนลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยคาเยิยยอ “ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง
มังกรศักดิส์ ิทธิ์ปีกโลหิต ที่ปกครองแผ่นดิน สง่างามยิ่งกว่าวีร
ชนใดๆ จากภาพวาดนี้ ต่างก็มองเห็นจิตใจที่กว้างขวางของ
ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง!”

เนี่ยลีร่ ู้สึกขบขันกับคาเยินยอของเยี่ยเชียน เจตจานงค์ในวิถี


จากภาพวาดของหลงเทียนหมิง ยังห่างไกลจากคาว่า สูงส่ง
และยิ่งห่างไกลเมื่อเทียบกับ วิถีเจตจานงค์แห่งราชันย์ และ
ภาพนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่สื่อถึงจิตใจทีก่ ว้างขวางอย่างที่เยี่ยเชียน
พูดชื่นชมเลยสักนิด ควรจะพูดว่า หลงเทียนหมิงเป็นคนที่มี
ความทะเยอทะยานมากจะเหมาะสมกว่า

ด้วยความจริงที่ว่า หลงเทียนหมิงนั้นเป็นคนที่ดุร้ายป่าเถื่อน
และมีความทะเยอทะยานยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถ
ของเขานั้นก็เรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์ เขาจึงนับเป็นศัตรูที่น่า
ราคาญจนอยากจะวิ่งหนี

หลงเทียนหมิงมองไปยัง หมิงเยี่ย วู่ซวง กับ เหยียนหยาง เขา


เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “สาหรับศิลปะ 4 แขนงที่ยังคง
เหลืออยู่ก็คือ หมากล้อม พวกท่านยินดีที่จะเปิดเผยฝีมือ
เล็กน้อยสาหรับทักษะในการเล่นมากล้อมสักหน่อยไหม? ”

ทั้งสองคนถูกเรียกร้องให้มาเล่นหมากล้อม และผลของมันก็จะ
ถูกตัดสินได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากว่าผู้ใดมีวิถีแห่งเจตจานงค์ ที่
แข็งแกร่งกว่าและสามารถที่จะข่มอีกฝ่ายได้ นึกนับว่าเป็นเรื่อง
ยากที่จะสามารถแสดงทักษะออกมาได้อย่างเต็มที่ และผู้แพ้ก็
ต้องอับอายยิ่งนัก หลงเทียนหมิง พยายามที่จะให้ หมิงเยี่ย วู่
ซวง กับ เหยียนหยาง ตัดสินกันด้วยวิธีนี้

หนึ่งในนั้นคือ โอรสศักดิส์ ิทธิ์แห่งสานักอัคคี และอีกคนก็คือ


ธิดาศักดิส์ ิทธิ์แห่งสานักเสียงสวรรค์ ถ้าหากพวกเขาแข่งขันกัน
ผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด? ผู้คนที่ดูอยูอ่ ดไม่ได้ที่จะคาดหวังในการ
แข่งขันครั้งนี้
เหยียนหยางยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ข้าก็ไม่ได้รังเกียจมันหรอก
นะ”
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่านีเ่ ป็นแผนของหลงเทียนหมิง เหยียนหยางก็
ไม่ได้ใส่ใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธความคิดนี้ เพราะเหยียน
หยางไม่เคยเกรงกลัวที่จะสู้กับผู้ใด

หมิงเยี่ย วู่ซวง อดไม่ได้ทจี่ ะยิ้ม “คงจะเป็นการแสดงความโง่


เขลาของตัวเอง ข้าไม่ค่อยที่จะได้เล่นหมากล้อมมากนัก ข้าจึง
มิได้ชานาญในการเล่นหมากล้อมสักเท่าใด ดังนั้นเจตจานงค์ใน
วิถีนี้ ข้าคงไม่อาจเทียบได้กับศิษย์น้องเหยียนหยาง ข้าขอ
ปฏิเสธที่จะแข่งกับศิษย์น้องเหยียนหยาง เพราะข้าไม่ต้องการที่
จะทาให้ตัวเองต้องขายหน้า ข้าจึงขอแสดงทักษะการบรรเลง
พิณแทนก็แล้วกัน”

เหล่าผู้คนอดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยหลังที่ได้ยินคาพูด
ของหมิงเยี่ย วู่ซวง พวกเขาก็ไม่กล้าที่ตัดสินว่าหมิงเยี่ย วู่ซวง
นั้นกลัวที่จะต่อสู้กับเหยียนหยาง แม้ว่าทุกคนจะพลาดชมการ
แข่งหมากล้อมระหว่างสองยอดฝีมือ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ฝีมือ
ด้านการดีดพิณของหมิงเยี่ย วู่ซวงนั้นเป็นอะไรที่คุ้มค่าและตื่น
ตาตื่นใจไม่น้อย

หลงเทียนหมิงถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่า หมิงเยี่ย วู่


ซวง นั้นหวาดเกรงกับคาค้าทายนัน้ และถอนตัวออกมา จริง
แล้วไม่ว่าจะเป็น หมิงเยี่ย วู่ซวง หรือว่าตัวเขาเอง ก็คงจะต้อง
คิดหนักถ้าหากจะต้องรับคาท้าทายของเหยียนหยาง เพราะเขา
นั้นเก่งกาจมากเกินไป

หมิงเยี่ย วู่ซวง เดินไปด้านหน้า แต่นางก็มิได้นั่งเมื่อมาถึง


ตรงหน้าพิณ แต่นางขยายนิ้วมือทีเ่ รียวยาว ราวกับกับหยกและ
ค่อย ๆดีดสายพิณอย่างนิ่มนวล

*แตร๊ง งงงงงงง*
เสียงที่ก้องกังวาลชัด ไพเราะราวกับ ดอกไม้กาลังผลิบาน เสียง
ค่อย ๆ กังวาลไปทั่วทั้งห้องโถง ท่วงทานองเชื่องช้า วนเวียน
ราวกับไม่ทสี่ ิ้นสุด
ทันทีที่ได้ยินเสียงพวกเขารูส้ ึกผ่อนคลาย ราวกับว่าพวกเขานั่ง
อยู่บนสรวงสวรรค์ เสียงเพลงเบาหวิวทาให้พวกเขารู้สึกผ่อน
คลาย และใบหน้าพวกเขาแสดงออกถึงความลุ่มหลง แม้ว่าหลง
เทียนหมิงกับเหยียนหยาง จะไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับคนอื่น
แต่ในใจของเขาก็ไม่อาจที่จะสงบได้จากเสียงพิณของนาง

เสียงพิณของนางนั้นทาให้จิตใจของทุกคนสงบลง
เหล่าผู้ฟังต่างจมดิ่งไปด้วยเจตจานงค์ที่ลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใน
ท่วงทานองเพลงพิณของนาง และพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่
จะหาทางออกได้เลย

หลังจากเวลาได้ผ่านไปท่วงทานองนั้นค่อย ๆ จบลง แต่ถึง


กระนั้น ท่วงทานองเหล่านั้นยังคงคั่งค้างอยู่ในใจของทุกคน

เพียงแค่ท่วงทานองเพลงพิณแค่บทเพลงเดียว ก็ลึกซึ้งเกินกว่า
ภาพวาดของหลงเทียนหมิงแล้ว ด้วยมันมีแรงขับเคลื่อน
อารมณ์ให้คล้อยไหว ทาให้ผู้ฟังต่างรู้สึกเพลิดเพลิน
หลงเทียนหมิงถึงกับป้องถือคานับด้วยรอยยิม้ อันขมขื่น “ข้าไม่
เคยคิดมาก่อนว่า ศิษย์พี่หมิงเยีย่ สามารถสาเร็จท่วงทานองพิณ
สันติภาพแห่งสรวงสวรรค์แล้ว มันช่างเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง
นัก หลงเทียนหมิงผู้นี้ ขอน้อมรับความพ่ายแพ้”

แม้ว่าหลงเทียนหมิง จะเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็มี


ถ้อยคาเน้นย้าที่แฝงอยู่ในคาพูดของเขา เขาเพียงแค่บอกว่า
หมิงเยี่ย วู่ซวง บรรเลงเพลงสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ เขา
ยอมรับความพ่ายแพ้ ในเทคนิคของการบรรเลงเพลงดังกล่าว
แต่มิได้ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหมิงเยี่ย วู่ซวง แต่อย่างใด

หมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นมิได้ใส่ใจกับคาพูดของเขา นางจึงได้เพียงแต่


ยิ้ม นางบรรเลงบทเพลงนี้เพียงเพื่อต้องการให้ทุกคนสงบใจ ไม่
สนใจในการแข่งขัน นางมิได้ตั้งใจจะแสดงฝีมือว่าเหนือกว่า
ผู้อื่นแต่อย่างใด

“ถูกต้องแล้วนั่นคือบทเพลงสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ ศิษย์
น้องหลงเทียนหมิงมีสายตาที่เฉียบคมยิ่งนัก ในตอนนี้ข้าได้เสร็จ
สิ้นการแสดงฝีมือของข้าแล้ว ขอเชิญผู้ที่จะมาแสดงฝีมือคนต่อ
ได้แล้ว” หลังจากพูดจบมิงเยี่ย วู่ซวง ได้ค่อย ๆเดินลงจากเวที
ทีละก้าว อย่างสง่างาม
ไม่พียงแต่ผู้ชมที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ทุกคนต่างหลงสเน่ห์
อันสง่างามของนางทันที พวกเขามองไปยังหมิงเยีย่ วู่ซวง ด้วย
จิตใจที่สงบยิ่งนัก แม้จะป็นเพียงการบรรเลงพิณแค่บทเพลง
เดียว แต่มันส่งผลต่อจิตใจของพวกเขายิ่งกว่าภาพวาดของหลง
เทียนหมิงเสียอีก

ภาพวาดของหลงเทียนหมิงนั้นสยบผู้อื่นด้วยพลังและอานาจ
ท่วงทานองเพลงพิณของหมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นราวกับบทเพลงแห่ง
สวรรค์ ที่บ่งบอกถึงความเข้าใจอย่างเที่ยงแท้

แม้แต่ในตอนนี้ เหล่าศิษย์ทั้งหลาย ก็ยังคงตกอยู่ในท่วงทานอง


ของเสียงพิณของนางอยู่
ความสงบเงียบของหมิงเยี่ย วู่ซวง ได้ถ่ายทอดไปยังคนอื่น ๆ ได้
อย่างชัดเจน
นางนั้นช่างเหมาะสมกับชื่อ ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสานักเสียง
สวรรค์’ อย่างแท้จริง ความรอบรู้ในการบรรเลงพิณของนาง
นั้น เข้าไปสู่ขอบเขตที่เรียกว่า น่ามหัศจรรย์แล้ว

เนี่ยลี่มองดูด้านหลังของหมิงเยี่ย วูซ่ วง ในขณะที่เขาจมอยู่กับ


ความคิดของตัวเอง ไม่ต้องคิดเลยว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน
ระหว่าง หลงเทียนหมิงกับหมิงเยีย่ วู่ซวง เนื่องจากเห็นได้
อย่างชัดเจนว่า หมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นเก่งกาจกว่าหลงเทียนหมิง
ไปห่างไกลนัก อาจจะมีเพียงผูเ้ ดียวเท่านั้นที่สามารถเอาชนะห
มิงเยี่ย วู่ซวง ได้ในแง่ของความเก่งกาจรอบรู้ได้

คนผู้นั้นก็คือ ท่านอาจารย์ อิงเยว่ลู่

ต่อไปก็เป็นรอบของเหยียนหยาง เขาค่อย ๆเดินทีด่ ้านหน้า


เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะจ้องมอง และคาดเดาว่าเขาจะเลือก
แสดงฝีมืออะไรในศิลปะ 4 แขนง
“เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่ศิษย์พี่หมิงเยี่ย วู่ซวง ไม่
ต้องการที่จะเล่นหมากล้อมกับข้า ดังนั้นข้าคงจะทาได้เพียง
แสดงการเล่นอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น” เหยียนหยานพูด
พร้อมกับยิ้ม และเดินไปที่กระดานหมากล้อม เขาหยิบเม็ด
หมากล้อมสีดาขึ้นมาหนึ่งเม็ด และหันมามองที่กระดานหมาก
ล้อม
ทันทีที่เขายกตัวหมากขึ้นไป ได้เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น แม้ว่า
จะเห็นได้ชัดเหยียนหยางนั้นยืนอยู่บนเวที แต่กลับมีความรู้สึก
ว่าเขาจางหายไป ไม่มีใครที่ตรวจจับการคงอยู่ของเขาได้

ในเวลาเดียวกัน กระดานหมากล้อมนั้นก็แผ่ขยายออกอย่างไร้ที่
สิ้นสุด ราวกับว่ามันกลายเป็นพื้นผิวของโลกอีกใบ

มันราวกับว่ามีภูเขาและพื้นน้า ปรากฏขึ้นมาบนกระดานหมาก
ล้อม แต่ก็มไิ ด้เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นเพียงโครงสร้างของพื้นผิวของ
มันเท่านั้น เหยียนหยางได้ค่อย ๆวางตัวหมากลงไป
ทันทีที่วางตัวหมากลงไป ลาธารแห่งชีวิตก็ได้ระเบิดออกมาใน
รูปแบบของ ดอกไม้ พืชตามเนินเขาและสิ่งมีชีวิตในน้า พลังที่
แข็งแกร่งจนเอ่อล้นออกมา ทาให้ในใจของทุกคนนั้นได้รับ
ผลกระทบเป็นอย่างมาก

การเปลี่ยนแปลงในโลกใบเล็ก ๆนี้ ทาให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างตื่น


ตกใจเป็นอันมาก พวกเขารูส้ ึกว่าพืชพรรณและดอกไม้ เจริญ
งอกงามในดินแดนเล็กๆนี้ และมันเต็มไปด้วยพลังของ ฟ้าและ
ดินอย่างเหลือล้น

ตัวหมากของเหยียนหยางนั้นเต็มไปด้วยวิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไม่
มีที่สิ้นสุด มันถูกวางลงตรงจุด เทียนหยวน [天元จุดกึ่งกลาง
กระดาน]
เป็นเวลาอันยาวนานที่ทุกคนจมอยู่กับโลกใบเล็กแห่งนี้
หลังจากที่ได้วางตัวหมากลงไปแล้ว เหยียนหยางก็ยกมือของ
เขาออกมา เขายังคงยืนนิ่งอยู่ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็
พูดขึ้นมาว่า “เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดเล่นกับข้า ข้าจึงขอวางหมาก
เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น”
เหยียนหยางค่อย ๆเดินลงมาจากเวทีด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง

เนี่ยลี่มองดูเหยียนหยางด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คดิ มา
ก่อนเลยว่า ความเข้าถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ของเหยียนหยางจะ
ไปถึงระดับนีไ้ ด้ ความเข้าใจของหลงเทียนหมิงนั้นไม่อาจจะ
เรียกได้ว่า สูงส่ง แต่สาหรับเหยียนหยางนั้น ความเข้าถึงของ
เขานั้นอาจเรียกได้วา่ วิถีเจตจานงค์แห่งราชันย์ ไม่น่าแปลกใจ
เลยที่ในชีวิตที่แล้วของเขา ในยุคทีเ่ หยียนหยางได้เป็นผู้นา
สานักอัคคี ถึงได้เฟื่องฟูนัก

เมื่อเทียบกันระหว่าง เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่ซวง และหลง


เทียนหมิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหยียนหยางนั้นเหนือกว่าทั้งสองคน
อย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามไม่มผี ู้ใดในสามคนนี้ ที่สามารถโน้มน้าวอีกสองคน


ที่เหลือได้ ความสามารถของพวกเขานั้นส่งกระทบต่อคนอื่น ๆ
ได้ แต่การกระทาของเขาก็พสิ ูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แม้
เขาจะเหนือกว่าอีกสองคน แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะปกครองอีก
สองคนนั้น
หลังจากที่เหยียนหยางได้ลงจากเวที ราวกับเป็นการปลุกผู้ชม
ให้ตื่นจากภวังค์ พวกเขายังคงรูส้ ึกสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่เขา
เพิ่งจะได้เห็นไป

ฉินเยี่ย ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งสามได้เปิดโลก


ทัศน์ใหม่ให้แก่พวกเรา ในความเห็นของข้านั้น ผู้ใดชนะหรือ
ผู้ใดนั้นพ่ายแพ้นั้น ไม่ได้สาคัญเลย สิ่งสาคัญคือเหล่าศิษย์พี่ ได้
แบ่งปันความรู้แจ้ง ในวิถีแห่งเจตจานงค์ของจอมยุทธ วันนี้
นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังของแต่ละ
คนต้องก้าวหน้าขึ้นราวกับการบ่มเพาะพลังมานับเดือน การ
เดินทางมาครั้งนี้นับว่าไม่สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย”

เหล่าศิษย์ของสามสานักใหญ่ต่างเห็นพ้องไปกับคาพูดของฉิน
เยี่ย แพ้หรือชนะหาได้สาคัญเลยไม่ พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์
ใหม่อย่างแท้จริง พวกเขายังคงจมอยู่กับสิ่งที่ทั้งสามคนได้แสดง
ออกมา
ยอดฝีมือทั้งสามคนได้รับความสนใจเป็นอันมากในถ้องโถง
ด้านข้างนี้ นอกเหนือไปจากการได้รับรู้ถึงความเข้าใจใน
บางอย่าง เหล่าลูกศิษย์ก็รสู้ ึกอยู่ลกึ ๆว่า พวกเขานั้นด้อยกว่า
ถึงเพียงไหน พวกเขาทั้งสามคนนัน้ มีเจตจานงค์ที่เหนือล้าเกิน
กว่าคนธรรมดา การที่จะไปให้ถึงระดับของทาสามคนนั้นเป็น
สิ่งที่ยากเย็นเกินไป

ฉินเยี่ยยิ้มและกวาดสายตาของนางไปยังฝูงชน “ยังมีผู้ใดอีก
ไหม ที่ต้องการแสดงทักษะของตนเองให้พวกเราได้เห็น?”

ทุกคนต่างหันไปจ้องหน้ากัน ทั้งสามคนนั้นเพิ่งจะแสดงทักษะ
ของพวกเขาเสร็จสิ้นไป ผู้ใดจะกล้าที่จะออกไปแสดงฝีมืออีกห
ล่ะ? ถ้าหากมีผู้ใดขึ้นไป การแสดงของเขาก็จะเป็นแค่ทักษะที่
น่าสมเพช หลังจากทีไ่ ด้เห็น ฝีมือของเหล่ายอดฝีมือก็เท่านั้น
บทที่ 314 กระบี่ 剑

ถ้าหากมีผู้ใดขึ้นไปบนเวที ในตอนนี้ พวกเขาจักต้องไร้รบั เสียง


เย้ยหยันจากผู้ชมเป็นแน่

เมื่อดูเหมือนว่าจะไม่มผี ู้ใดที่กล้าทีจ่ ะอาสาออกมา ฉินเยี่ย คง


ต้องจบงานเพียงเท่านี้ แต่ทันใดนัน้ เองเนี่ยลี่กไ็ ด้ลุกขึ้น เขายิ้ม
แบบไม่ตั้งใจ พร้อมกับพูดว่า “ข้าขอลองดูจะได้หรือไม่?”

ทั่วทั้งห้องโถงสงบเงียบในทันที ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เนี่ยลี่

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เด็กคนนี้คือใครกัน?
ยังมีคนที่กล้าออกไปแสดงฝีมือหลังจากที่ได้เห็น เหยียนหยาง
หมิงเยี่ย วู่ซวง กับหลงเทียนหมิง แสดงฝีมืออีกงั้นหรือ
“เจ้าเด็กผู้นี้คือใครกัน
? เขาคงเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ว่า ฟ้าสูงแผ่นดินต่า เป็นเช่นใด”

“ข้ารู้ เขาก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่ง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของนิกาย


ขนนกศักดิ์สิทธิ์”
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่
เขาก็อวดดีเกินไปที่จะท้าทายกับคนทั้งสามนั่น

เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่ซวง กับหลงเทียนหมิง พวกเขาต่างจ้อง


มองไปที่เนี่ยลี่ นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน อย่างไรก็
ตามพวกเขาก็ยังคงสังเกตุอย่างใจเย็น โดยการพยายามดูว่าเนีย่
ลี่นั้นมีแผนการณ์เช่นใดอยู่
เยี่ยเชียนมองไปยังเนี่ยลี่ ด้วยความเหยียดหยาม ‘เขาก็แค่เพียง
จะแสดงความน่าสมเพชต่อหน้ายอดฝีมือ ถ้าหากว่าเนี่ยลี่นั้นจะ
พอมีฝีมืออยู่บ้าง เขาควรจะแสดงมันออกมาก่อนหน้าคนทั้ง
สาม ก็จะไม่มีใครที่จะเยาะเย้ยเขา แต่เขากลับจะแสดงฝีมือ
หลังจากพวกเขา เขาประเมินตัวเองสูงส่งเกินไปแล้ว ไม่สาคัญ
ว่าสิ่งที่เขาจะแสดงออกมานั้นดีแค่ไหน แต่เหล่าผู้ชมก็ต้อง
นาไปเปรียบเทียบกับทั้งสามคนแน่นอน ’

ความคิดบางอย่างเข้ามาในหัวของเยี่ยเชียน เนี่ยลี่นั้นอาจจะ
ต้องการแสดงฝีมือต่อหน้าเซี่ยวหนิงเอ๋อ นั่นอาจจะเป็นเหตุผล
ที่เขาไม่อาจจะถอยหลังกลับได้

เยี่ยเชียนมองไปยังเซี่ยวหยิงเอ๋อ นางนั้นอาจจะสายตาไม่ค่อยดี
นัก ถึงได้มาคบกับคนโง่เง่าเช่นนี้ แม้ว่าเนี่ยลี่นั้นพยายามที่จะ
แข่งขันกับเขา อย่างน้อยเขาก็น่าจะหาเวลาที่เหมาะสมกว่านี้

มู่หลงหยี่ หัวเราะด้วยความเหยียดหยาม เจ้าเนี่ยลี่คิดจะท้า


ทายคนระดับเหยียนหยางงั้นเหรอ? เขาช่างไม่ประเมิน
ความสามารถตัวเองเลยแม้แต่น้อย
หลี่ชิงอวิ๋น ที่นั่งอยู่ด้านข้าง จ้องมองเนี่ยลี่ด้วยความประหลาด
ใจ เหตุใดเนี่ยลี่ถึงได้จะแสดงฝีมือในเวลาเช่นนี?้ หลี่ชิงอวิ๋น รู้ดี
ว่าเนี่ยลี่นั้นทาอะไร จะต้องมีเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังในการ
กระทาของเขา เขาจะต้องไม่ทาอะไรที่เป็นแค่การฉีกหน้า
ตัวเองเป็นแน่ เขาวางแผนอะไรอยูก่ ันแน่? หลี่ชิงอวิ๋นไม่อาจที่
จะละสายตาจากเนี่ยลีไ่ ด้เลยในตอนนี้

กู้เบ่ยถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อเลยว่าวิถีแห่ง
เจตจานงค์ของเนี่ยลี่นั้น จะเหนือกว่าคนทั้งสาม แล้วเขา
ต้องการจะทาสิ่งใดกันแน่?

แต่ถึงอย่างไรเซีย่ วหนิงเอ๋อ ลู่เพียว และเซีย่ วซุ่ยนั้นไม่ได้ตกใจ


เลยแม้แต่น้อย พวกเขาอยู่กับเนีย่ ลี่มาเนิ่นนาน พวกเขา
ตระหนักดีว่า เขาจะไม่ทาอะไรโดยที่ไม่มจี ุดมุ่งหมาย ดังนั้น
พวกเขาจึงไม่กังวลเลยว่าเนี่ยลีจ่ ะทาอะไรที่น่าขายหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง หลงยู่อิน เป็นคนหนึ่งที่จ้องมองเนี่ยลี่ด้วยความ
ประหลาดใจ นับตั้งแต่ที่เนี่ยลีไ่ ด้ชแี้ นะนาง นางรับรู้ได้ว่าการ
บ่มเพาะพลังของเขา รวมไปถึงวิถแี ห่งเจตจานงค์ของเขาไม่อาจ
ที่จะประเมินค่าได้ แม้ว่านางเองจะคิดว่าเนีย่ ลีไ่ ม่อาจที่จะ
เอาชนะคนทั้งสามได้ แต่จากที่ผ่านมา นางก็ได้ร่วมเป็นสักขี
พยานในความแข็งแกร่งของเขา และวิถีในเจตจานงค์ของเขาก็
เช่นกัน แต่ทาไมเนีย่ ลี่ถึงได้เลือกช่วงเวลาเช่นนี้ มันได้สร้าง
ความอยากรู้อยากเห็นแก่หลงยู่อนิ เป็นอย่างมาก

เนี่ยลี่เดินไปตบไหล่กเู้ บ่ยพร้อมกับพูดว่า “จงมองดูอย่าง


รอบคอบ ด้วยความตั้งใจทั้งหมดของเจ้า และสัมผสให้ได้ถึง
เจตจานงค์ที่ซ่อนอยูภ่ ายใน มันจะช่วยในการบ่มเพาะพลังของ
เจ้าเป็นอย่างมาก”

“ได้” กู้เบ่ยพยักหน้าตอบรับ แม้วา่ เขาจะแสดงออกมาอย่าง


เรียบเฉย
ในใจของหลงยู่อินนั้นตกใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินคาพูดของ
เนี่ยลี่ นางยังคงนิ่งและแสดงออกอย่างจริงจัง นางต้องการจับ
จ้องดูว่าเนี่ยลีจ่ ะทาสิ่งใดกันแน่ ถ้าหากมันเป็นสิ่งที่กู้เบ่ย
สามารถเข้าใจได้ เหตุใดนางจะทาไม่ได้หล่ะ?

เยี่ยเชียน กับ มู่หลงหยี่ พ่นลมหายใจด้วยความเหยียดหยัน


เนี่ยลี่นั้นไม่ได้พิจารณาถึงความโง่เงาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

หลี่ชิงอวิ๋นจ้องมองเนี่ยลี่ ด้วยความแปลกใจ และความคาดหวัง


ของเขาก็สูงมากขึ้น
เนี่ยลี่หันหลังกลับและเดินไปหาเซีย่ วหนิงเอ๋อ และความสนใจ
ของคนอื่นก็มุ่งไปที่เขา

สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ต่างจับจ้องมายังเนี่ยลี่
รวมไปถึงสายตาของทั้งสามคนก่อนหน้านี้ พวกเขาอดที่จะกลั้น
หัวเราะไม่ได้ เมื่อพวกเขาต่างตระหนักดีว่าเนี่ยลี่นั้นยังไม่บรรลุ
แม้แต่ระดับชะตาสวรรค์ แล้วความเข้าใจที่เขามี จะเป็นวิถีแห่ง
เจตจานงค์ใดกันแน่?
ฉินเยี่ยมองดูเนีย่ ลี่พร้อมกับยิ้มหวาน “ศิษย์น้องผู้นี้ยังคงเด็กนัก
แต่เมื่อเจ้าต้องการที่จะแสดงทักษะของเจ้าให้เราได้เห็น ความ
กล้าหาญของเจ้านี้น่ายกย่องนัก แต่เราก็ไม่อยากที่จะให้เจ้าฝืน
ทาอะไรมากเกินไปเช่นกัน”

มีเสียงหัวเราะระเบิดที่ดา้ นล่างเวที เห็นได้ชัดว่าฉินเยี่ยนั้นได้


หาหนทางถอยให้กับเนี่ยลี่

เนี่ยลี่นั้นไม่ได้แสดงออกถึงความตืน่ ตระหนกต่อเวทีเลยแม้แต่
น้อย เขาตอบกลับอย่างใจเย็นว่า

“ก่อนหน้านี้มีคนเขียนคาว่า情 (ชิง : รัก) ข้านั้นหาได้มีทักษะ


ที่พิเศษใด แต่ข้าก็อยากที่จะแสดงความโง่เขลาของตัวเองด้วย
การเขียนอักษรเช่นกัน”

การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยเชียนนั้นสามารถเข้าใจได้
ในทันที เนี่ยลี่ตั้งใจที่จะมุ่งเป้ามาทีเ่ ขา โง่เง่ายิ่งนัก ถ้าหากเนี่ย
ลี่ต้องการที่จะแข่งขันกับเขา เขาก็ควรที่จะทามันก่อนที่ เหยียน
หยางและอีกสองคนที่เหลือจะแสดงฝีมือ ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่เขาทา
เช่นนี้ ด้วยความจริงที่ว่าการแสดงหลังจากคนพวกนั้นแล้ว
มั่นใจเลยว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องถูกเย้ยหยันเป็นแน่

ถึงแม้ว่าเนี่ยลีต่ ้องการที่จะแข่งขันกับเยี่ยเชียน แทนที่จะเป็น


พวกเขาทั้งสาม มันก็เป็นเหตุผลทีร่ ับได้เช่นกัน

เนี่ยลี่กวาดสายตามองเหล่าคนที่อยู่รอบ ๆ พร้อมกับยิม้ แล้วพูด


ว่า “ตัวอักษรนี้ข้าขอมอบให้เป็นของขวัญสาหรับผู้ที่มีชะตา
ต้องกันกับมัน”

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่างจ้องหน้ากัน เขาไม่รู้ว่าเนี่ยลี่คิดจะ
ทาสิ่งใดกันแน่ ในหมู่คนที่รวมกันอยู่ในห้องโถงนี้ ล้วนเป็น
อัจฉริยะที่เก่งกาจของสานักใหญ่ทงั้ สาม ผู้ใดกันที่จะต้องการ
คาชี้แนะจากเขา? เหล่าฝูงชนเพียงแต่รอที่จะหัวเราะเยาะกับ
เรื่องตลกที่เนีย่ ลี่กาลังทาเสียมากกว่า

เนี่ยลี่เดินไปทีโ่ ต๊ะ หยิบพู่กัน จากนั้นก็เริ่มลงมือเขียน


ไม่มีแม้แต่เศษเสีย้ ววิถีแห่งเจตจานงค์ที่แผ่กระจายออกมาจาก
ร่างกายของเนี่ยลี่แม้แต่น้อย เขาเป็นเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วๆไป
แต่อย่างน้อยทุกคนก็จับจ้องจังหวะการสะบัดพู่กันของเขา
ทุกคนต่างตกตะลึงและจ้องหน้ากัน
จุดประสงค์ของการจัดแสดงนีม้ ิใช่การแสดงทักษะการเขียน
อักษรธรรมดา แต่เป็นการแสดงความเข้าถึงวิถีแห่งเจตจานงค์
เนี่ยลี่นั้นแทบจะไม่มีกลิ่นอายใด ๆ แผ่ออกมาในขณะที่เขา
ตั้งใจเขียนตัวอักษรเลย เรียกได้ว่าข้อความที่เขาเขียนนั้นไม่ได้มี
วิถีแห่งเจตจานงค์เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าหนุ่มนี่โง่เง่ายิ่งนัก?”

“ข้าพูดตามจริงเลยนะ เจ้าคนโง่เง่าผู้นี้มาจากที่ใดกัน?”
เหล่าฝูงชนต่างพูดคุยกันเอง ในตอนแรกพวกเขาก็มีความกังวล
ว่าเขาอาจจะมองเนี่ยลีผ่ ิดไป แต่ในตอนนี้ที่พวกเขาได้จับจ้อง
เนี่ยลี่ เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความสงบ เขียนตัวอักษรที่ไร้ซึ่ง
วิถีแห่งเจตจานงค์ใดๆ จากตัวของเขา ไม่มีการสั่นไหวใดๆ
แม้แต่น้อย
เขาคิดจริง ๆหรือว่านี่เป็นแค่เพียงการแสดงทักษะการเขียน
อักษรทั่วๆไป หรือว่าเขากาลังเล่นตลกอันใดอยู่?

ใบหน้าของมู่หลงหยี่เป็นสีแดงพร้อมกับเสียงหัวเราะของเขา
“สมองของเจ้านี่คงจะต้องเละเทะเป็นแน่ การประลองนี้เป็น
เรื่องของการเข้าถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ แล้วนี่เขาบรรลุถึงสิ่งใด
กันถึงทาได้แค่เพียงเขียนตัวอักษร?”

เยี่ยเชียนเผยรอยยิ้มเล็กน้อยโดยทีม่ ิได้หัวเราะออกมา เนี่ยลี่นั้น


ก็แค่จะแสดงเรื่องตลกเท่านั้น ช่างกระจอกยิ่งนักเมื่อเทียบกับ
ตัวของเยี่ยเชียน

คนอื่น ๆที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันต่างหันไปมองมู่หลงหยี่ ก่อนที่จะ


หันกลับไปทีเ่ วที แทบไม่มีใครกระพริบตา หรือละสายตาไป
จากเวทีได้เลย ทุกคนต่างก็ต้องการที่จะรู้ว่าเนี่ยลีเ่ ขียนถ้อยคา
ใดลงไป และสิ่งที่เขาพูดไว้หมายถึงสิ่งใดกัน ‘ถ้อยคานี้จะมี
ความหมายกับคนที่มีชะตาต้องกันกับมัน’
แม้แต่หลงยู่อินนางเองก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย นางไม่อาจที่
จะทาให้ใจตัวเองสงบไปได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระตุ้น
ให้นางเฝ้าดูอย่างไม่ละสายตา หรือว่าเขาจะคิดจริง ๆว่านี่เป็น
เพียงการแสดงทักษะการเขียนอักษรของเขาเท่านั้น? นางรู้ดีว่า
เนี่ยลี่จะต้องเข้าใจว่าทาสิ่งใดอยู่ จักต้องเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
แสดงออกมา

ส่วนกู้เบ่ยนั้นตาของเขาจับจ้องไปที่เนี่ยลี่ที่อยู่บนเวที ขอบคุณ
สาหรับคาพูดของเนี่ยลี่ก่อนหน้านี้ มันทาให้เขาเต็มไปด้วย
ความคาดหวัง

ฉินเยี่ยไม่อาจที่จะทนเห็นเนี่ยลี่แสดงความโง่เขลาไปมากกว่านี้
นางจึงได้เตือนเขาอีกครั้ง “ศิษย์นอ้ ง การแสดงนี้ พวกเรา
แข่งขันกันด้วยการบรรจุวิถีแห่งเจตจานงค์ไปยังตัวอักษรที่
เขียนขึ้นมา หาใช่การแสดงทักษะการเขียนอักษรเท่านั้นนะ ”
แต่ถึงอย่างไรเนีย่ ลี่ ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา การแสดงออกของเขา
ยังคงสงบนิ่งและไร้กลิ่นอายใด ๆ แม้แต่ในขณะที่ข้อมือของเขา
กาลังสะบัดพู่กันเขียนตัวอักษรอย่างแม่นยา ลากไปทีละเส้น ที
ละเส้น เป็นตัวอักษรโบราณที่ซับซ้อนปรากฏอยู่บน
หน้ากระดาษ จากนั้นก็ตวัดพู่กันเป็นครั้งสุดท้าย “ตัวอักษรของ
ข้านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

ฮินเยี่ยมองไปที่กระดาษนั้น และเห็นตัวอักษรโบราณที่ซับซ้อน
ยิ่งนัก แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นางก็อ่านได้จาก
รูปร่างของมัน “剑” [เจี้ยน : กระบี่]ในแง่ของการเขียนอักษร
ก็นับว่าสวยงามนัก ประกอบไปด้วยลายเส้นที่แข็งแรงและ
จังหวะการลากเส้นทีเ่ ป็นจังหวะ ช่างเที่ยงตรงและแข็งแกร่งยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ตัวอักษรธรรมดา “กระบี่” แต่
มันมิได้มีวิถีแห่งเจตจานงค์อยู่เลยแม้แต่น้อย

ฉินเยี่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและถอนหายใจ นางคิดว่าเนี่ยลี่
อาจจะทาให้นางประหลาดใจก็เป็นได้ แต่มไิ ด้เป็นเช่นนั้นเลย
สมองของเนี่ยลี่คงจะไม่ได้เละเทะจริง ๆนะ (ปกติในสานวนจีน
มักจะ เรียกคนไม่ฉลาดว่า สมองเต้าหู้ สมองเละเทะ คือเต้าหู้ที่
เละเป็นน้า คือโง่กว่าคนสมองเต้าหู้อีกขั้นหนึ่ง) นี่เขาคิดจะ
แสดงความโง่ของตนเองออกมาจริง ๆเหรอ? (โดยปกติเวลาจะ
แสดงอะไร คนจีนมักจะบอกว่า ขอแสดงความโง่เขลา เป็นการ
แสดงออกถึงความถ่อมตน มิได้หมายถึงเช่นนั้นจริง ๆ)

แต่ถึงอย่างไร ฉินเยีย่ ก็ยังคงมีมารยาทอยู่ ดังนั้นจากจึงยก


ตัวอักษรที่เนี่ยลีเ่ ขียนให้ฝูงชนดู ฉินเยี่ยรูด้ ีว่าสถานการณ์นี้มัน
น่าขบขัน นี่มันคือการแสดงอะไรกัน? แค่การเขียนอักษร
ธรรมดาเช่นนั้นเหรอ?

แม้ว่าเนี่ยลี่จะเขียนตัวอักษรของเขาเสร็จแล้ว แต่มันมิได้มีวิถี
แห่งเจตจานงค์อยู่เลย ผู้อื่นจะประเมินมันเช่นใดกัน?

เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ดา้ นล่างต่างก็จ้องหน้ากัน พูดคุยกันเล็ก ๆ


น้อย ๆ นี่เป็นการเขียนอักษรธรรมดาเท่านั้น ถ้าหากพวกเขาไม่
ข่มใจเอาไว้ พวกเขาคงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว
เมื่อหลงเทียนหมิงมองตัวอักษรนัน้ มุมปากของเขาขดขึ้น
เล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง ในกลุ่มคนรุ่น
ใหม่ แต่ตอนนี้เขาคิดว่าคนเช่นนี้มใิ ช่ อัจฉริยะ จริง ๆควรจะ
เรียกว่าคนงี่เง่าเสียมากกว่า และการกระทาเช่นนี้ เป็นการทา
ให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ขายหน้ายิง่ นัก

หลงเทียนหมิงมองไปดูเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ไม่หันกลับไปดู
ครั้งที่สองอีกเลย

เยี่ยเชียนหัวเราะ “ข้าคิดว่าศิษย์นอ้ งเนี่ยลี่คงจะต้องสับสนอยู่


เป็นแน่! ข้านั้นคงต้องยอมรับว่าทักษะการเขียนอักษรของข้า
นั้นไม่อาจเทียบเขาได้ แต่นี่เป็นเพียงแค่ตัวอักษรธรรมดา
เท่านั้นมิใช่เหรอ? ” คาพูดของเยี่ยเชียนนั้นเต็มไปด้วยคาเยาะ
เย้ย

“แม้แต่ศิษย์พี่เยีย่ เชียนยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ศิษย์


น้องเนี่ยลี่ ความสามารถในการเขียนอักษรของเจ้าอยู่ใน
ระดับสูงยิ่งนัก
! ” มู่หลงหยี่ หัวเราะกึกก้อง ในใจของเขา นั้นดูถูกว่าเนี่ยลี่นี่
ช่างงี่เง่าเหลือเกิน

หลงยู่อิน ตั้งใจพินิจดูตัวอักษรในมือของฉินเยี่ยอย่างตั้งใจ แต่


ไม่ว่านางจะพยายามจ้องมองดูสักเท่าใด มันก็เป็นเหมือน
ถ้อยคาธรรมดาสาหรับนางเท่านั้น นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เลยทีเดียว ถ้อยคาของเนี่ยลี่มิได้มวี ิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆเลย
แม้แต่น้อย

ดวงตาของกู้เบ่ยก็จับจ้องไปที่อักษร คิ้วของเขาก็แทบ
จะไม่ขยับเช่นกัน เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ต่างก็พูดคุยกันเอง ต่างก็
เยาะเย้ยกับเนีย่ ลี่ที่ทาอะไรไร้สาระเช่นนี้
เนี่ยลี่กวาดสายตามองฝูงชนอย่างใจเย็น ด้วยการแสดงออก
ของทุกคนนั้น ต่างก็จับจ้องมาที่เขาด้วยความดูถูก เนี่ยลี่นั้น
สนใจการแสดงออกของ เหยียนหยางกับหมิงเยี่ย วู่ซวงเป็น
พิเศษ
หมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นมิได้สงบเสงี่ยมเช่นเคยในขณะที่จ้องมองดู
คิ้วของนางแทบไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่านางกาลังขบ
คิดปัญหาทีย่ ากมากอยู่

ดวงตาของเยียนหยางนั้นเป็นประกาย และมีร่องรอยของความ
ประหลาดใจ ชื่นชม และ สับสน คิ้วของเขาถึงกับขมวดไม่ขยับ
อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คลายออก และจากนั้นก็ขมวดอีกครั้ง
บทที่ 315 เจตจานงค์แห่งกระบีข่ ั้นสูงสุด

เมื่อทุกคนได้เห็นคาว่า “กระบี่” ของเนี่ยลี่ ทุกคนไม่อาจที่จะ


สัมผัสความลึกซึ้งใด ๆ ที่แฝงอยู่ภายในได้ พวกเขาไม่รับรู้ถึง
ร่องรอยวิถีแห่งเจตจานงค์แม้แต่นอ้ ย

แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ข่มใจฝืนมิให้หัวเราะ แต่ก็มีบางคนที่
หัวเราะออกมาบ้าง
ด้วยความจริงที่ว่าเนี่ยลี่นั้นได้ออกมาทาเรื่องตลกให้ตนเองขาย
หน้าเท่านั้น
ทันใดนั้นกู้เบ่ย รู้สึกอะไรบางอย่างทาให้ดวงตาของเขานั้นเป็น
ประกาย “เนี่ยลี่เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เขาสามารถเข้าถึงวิถี
แห่งเจตจานงค์เหนือกว่าเหยียนหยางไปมากนัก! ”

ในขณะที่กู้เบ่ยมุ่งเน้นความสนใจของเขาไปยังคาว่า
“กระบี่” เขาสัมผัสได้ถึงเจตจานงค์แห่งกระบี่ที่พลุ้งพล่าน
ออกมากดทับตัวของเขาไว้ ถ้อยคานี้มิได้บรรจุวิถีแห่ง
เจตจานงค์ใด ๆลงไป แต่ทว่า วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไร้ขอบเขต
กลับสัมผัสได้จากมัน
นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างที่สดุ !
คาว่า “กระบี่” ที่เนี่ยลีเ่ ขียนออกมามีความหมายกับกู้เบ่ยมาก
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ความเข้าถึงวิถีแห่งกระบี่ของกู้เบ่ยนั้น
เหนือกว่าผู้อื่นยิ่งนัก ในชีวิตก่อนหน้าของเนี่ยลี่นั้น กู้เบ่ยได้เป็น
ยอดฝีมือในระดับเทพสงครามด้วยวิถีเจตจานงค์แห่งกระกระบี่
ในถ้อยคานี้ถูกบรรจุไปด้วย วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไร้ขอบเขต
และ แก่นแท้เจตจานงค์แห่งกระบี่ เมื่อใดที่กู้เบ่ยสามารถ
เข้าใจคานี้ได้ มันจะมีประโยชน์ในการบ่มเพาะพลังของเขาเป็น
อย่างมาก

หลังจากได้ยินคาพูดของกู้เบ่ย มู่หลงหยี่ นั้นไม่พอใจเป็นอย่าง


มากและรู้สึกเย้ยหยัน “เหนือกว่าเหยียนหยางมากนักงั้น
หรือ? จะไม่เป็นการอวดดีมากไปหรือไง ไม่สาคัญหรอกว่าพวก
เจ้าจะยกยอกันแค่ไหน แต่คงไม่มีใครที่เชื่อพวกเจ้า หรือว่า
เหล่าอัจฉริยะของทั้งสามสานักใหญ่ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้าง
แห่งนี้ จะมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจถึง วิถีแห่ง
เจตจานงค์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในข้อความนี้กัน?”
หลี่ชิงอวิ๋น พยายามตั้งใจที่จะพิจารณาคาว่า “กระบี่” ที่เนี่ยลี่
เขียนขึ้นมา แต่ทว่าเขาไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงสิ่งใด และเซีย่ วห
นิงเอ๋อก็เช่นกัน สิ่งเดียวที่เขาทาได้ก็คือเงียบเนื่องจากไม่มี
ถ้อยคาใดจะโต้แย้งคาพูดของมู่หลงหยี่ มีเพียงกู้เบ่ยเท่านั้น แต่
พวกเขารู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่พูดอะไรโดยไม่คดิ ดังนั้นพวกเขาจึง
มุ่งเน้นความสนใจไปที่คาว่า “กระบี”่ พยายามที่จะเรียนรู้
อะไรบางอย่างจากมัน

กู้เบ่ยหัวเราะเยาะอย่างดูถูก “พวกเจ้าอยากพูดสิ่งใดก็ตามที่
พวกเจ้าต้องการ ข้าไม่สนใจสักนิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหาก
พวกเจ้าไม่อาจทีจ่ ะเข้าถึง เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุด ที่แฝง
อยู่ในถ้อยคานี้ ก็เท่ากับว่าพวกเจ้านั้นได้พ่ายแพ้ไปแล้ว!”

หลงยู่อินถึงกับขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย คาว่า “กระบี่” ที่เนี่ย


ลี่เขียนขึ้นมามีเจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุด อยู่จริงเหรอ? ถ้า
เช่นนั้นทาไม นางถึงไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์
เลยแม้แต่น้อยนางจะต้องมองด้วยวิธีใดกัน หรือว่านางโง่เขลา
เกินไป เหตุใดกู้เบ่ยถึงได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง แต่ทาไมนาง
ไม่อาจที่จะสัมผัสได้?
มีเจตจานงค์แห่งกระบี่ ซ่อนเร้นอยู่ในตัวอักษร “กระบี่” นี้
เช่นนั้นเหรอ เมล็ดแห่งความอยากรู้อยากเห็นถูกปลูกฝังขึ้นมา
ในใจของหลงยู่อิน และนางคงจะอัดอั้นจนตายหากไม่ได้ไข
ความใคร่รู้นั้น

เยี่ยเชียนนั้นพยายามที่จะศึกษาตัวอักษรนั้นโดยใช้เวลาอยู่ไม่
น้อย แต่เขาก็มไิ ด้สัมผัสถึงเจตจานงค์ใด ๆ แม้แต่น้อย นี่มัน
เรื่องพิลึกบ้าบออะไรกัน หรือว่ากูเ้ บ่ยนั้นเชื่อไปเอง มียอดฝีมือ
มากมายที่รวมอยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ แต่มีเพียงแค่คนที่ไม่ได้
เรื่องอย่างกู้เบ่ยที่สมั ผัสถึงมันได้ หรือว่าแม้แต่เหยียนหยางและ
พวกของเขาก็ไม่อาจจะสัมผัสถึงมันได้เลย?

มีบทสนทนาที่หลากหลายและต่อเนื่องในห้องโถงแห่งนี้ แต่บาง
คนก็มีเพียงแค่คาเยาะเย้ยถากถากเท่านั้น

สายตาของทุกคนนั้นต่างจับจ้องไปที่ เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่


ซวง และหลงเทียนหมิง สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการประเมินค่า
ตัวอักษร จากทั้งสามคนนี้ ถ้าหากว่าพวกเขาไม่อาจที่จะสัมผัส
ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆจากมันได้ เนี่ยลี่คงจะได้รับเพียงแค่
เสียงหัวเราะจริง ๆแล้ว

หลงเทียนหมิงยิม้ เล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “ศิษย์น้องเนี่ยลี่


ตัวอักษรที่เจ้าเขียนนี้ แน่นอนว่ามันงดงามมาก ในแง่ของการ
เขียนอักษรเท่านั้นซึ่งนับว่าสูงส่งไม่น้อย แต่ถึงอย่างไร ข้าไม่
อาจที่จะสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ ใด ๆจากมันเลย ถ้า
พิจารณาดูแล้ว จากเรื่องที่ว่ามา คาว่า “รัก” ที่เขียนมาก่อน
หน้านี้ยังนับว่าเหนือกว่านี้เสียอีก”

หลังคาพูดของหลงเทียนหมิง เหล่าฝูงชนก็อดคิดไม่ได้ว่าเนี่ยลี่
นั้นจงใจที่จะทาให้เป็นเรื่องลึกลับ ที่แม้แต่หลงเทียนหมิงยังไม่
อาจสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆ นั่นก็พิศุจน์ได้แล้วว่า
มันเป็นเพียงแค่ตัวอักษรธรรมดาเท่านั้น

เนี่ยลี่นั้นไม่ต้องการที่จะให้หลงเทียนหมิงนั้น เข้าใจถึง
เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุดจากตัวอักษรของเขาอยู่แล้ว เมื่อ
เขาได้ยินคาพูดของหลงเทียนหมิงแล้ว เขาถอนใจด้วยความโลง
อกจากนั้นเขาก็ยิ้ม พร้อมกับพูดออกไปว่า

“อันที่จริงนี่ก็เป็นเพียงแค่การเขียนตัวอักษรธรรมดาเท่านั้น ใน
เมื่อศิษย์พี่หลงและคนอื่น ๆไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดจากมัน จง
ลืมมันไปเสีย แล้วข้าจะนาตัวอักษรของข้าไปจากที่นี่”

เนี่ยลี่นาตัวอักษรที่เขียนมาจากฉินเยี่ย เขาเป็นกังวลว่าถ้าหาก
ให้โอกาสหลงเทียนหมิงได้มองนานกว่านี้ หลงเทียนหมิงอาจจะ
เริ่มทาความเข้าใจในบางสิ่งจากมันได้

เหตุผลเดียวที่กู้เบ่ยสามารถเข้าใจมันได้ อาจจะเป็นเพราะเขา
ได้ตดิ ต่อคบหากันเช่นสหายกับเนีย่ ลี่ในช่วงนี้ เขาจึงได้รับ
อิทธิพลจากกลิ่นอายของเนี่ยผ่านจิตใต้สานึก นอกจากนี้ กู้เบ่ย
นั้นมีเจตจานงค์แห่งกระบีเ่ กินกว่าหลงเทียนหมิงเสียอีก

ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องมีสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่คงไม่อาจมีผู้ใดทีจ่ ะ
ก้าวล้ากู้เบ่ยในวิถีแห่งกระบี่ได้
เมื่อเนี่ยลี่นาตัวอักษรที่เขียนมาจากฉินเยี่ย เสียงของเหยียน
หยางก็ดังขึ้นมาเพื่อหยุดเขาทันที “ช้าก่อน”

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ มองไปที่เหยียนหยางด้วย
ความงุนงง เขามองดูสับสนเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?
เหยียนหยางนั้นแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรหลังจากที่เข้ามาใน
ห้องโถงด้านข้างนี้ เขาเอ่ยปากพูดเพียงแค่ไม่กี่คา จู่ ๆ เขาก็พูด
กับเนี่ยลี่ จึงทาให้ทุกคนรูส้ ึกไม่คาดคิดมาก่อน
คิ้วของเขาขมวดแน่น

เมื่อเหยียนหยางมองดู คาว่า “กระบี่” ในตอนแรกนั้น เขามี


ความรูส้ ึกแปลกๆ เมื่อเขามีสมาธิจดจ่ออยู่กับมัน เขารับรูไ้ ด้ว่า
ถ้อยคานี้มีความลึกซึ้งอย่างไร้ที่สิ้นสุด หลังจากที่เขาขมวดคิ้ว
ขบคิดอยู่นั้น เขาก็สมั ผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ที่บ้าคลั่งพุ่งเข้า
หาเขา และพยายามที่จะกลืนกินเขา

ยิ่งเหยียนหยางพยายามที่จะพินิจตัวอักษรนี้มากขึ้นเท่าใด เขา
ก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งคิดว่าเด็กคนนีส้ ามารถ
เข้าถึง เจตจานงค์แห่งกระบี่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เมื่อเทียบกับวิถี
เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุดแล้ว การเล่นหมากล้อมที่เขาได้
แสดงไปนั้นนับว่าด้อยกว่ายิ่งนัก

เหยียนหยางนั้นจมอยู่กับเจตจานงค์แห่งกระบี่ที่ไร้ที่สิ้นสุด มัน
เกินกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก มีความเป็นไปได้มากมาย ที่แฝงอยู่
ในเจตจานงค์แห่งกระบี่นี้ เปรียบกับตัวเขาก็แค่หยดน้าเล็ก ๆ
ทีร่ ่วงหล่นลงในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ที่อยู่ในเอกภพนี้

ภายใต้สายตาที่งุนงงของเหล่าฝูงชน เหยียนหยางสูดลมหายใจ
เข้าลึกๆแล้วจ้องมองเนี่ยลี่ เดิมทีนั้นเขาคิดว่า วิถีแห่ง
เจตจานงค์ ที่เขามีนั้นเพียงพอที่จะกาหราบเหล่ายอดฝีมือในรุ่น
ของเขาได้ แต่ในตอนนี้ที่เขาได้จับจ้องตัวอักษรดังกล่าว ทาให้
เขานั้นได้ตระหนักว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ย่อมจะมีผู้ที่แข็งแกร่ง
กว่าอยู่เสมอ
เนี่ยลี่นั้นถึงแม้จะเป็นแค่เด็ก แต่กลับสามารถเข้าใจอย่าลึกซึ้ง
ในเจตจานงค์แห่งกระบี่

ภายหลังที่เหยียนหยางได้เรียกเนีย่ ลี่ เขาก็ยังจ้องมองอยู่ที่


ตัวอักษรนั้น
หลงเทียนหมิงอดที่จะทาหน้ามุย่ ไม่ได้ต่อการแสดงออกของเห
ยียนหยาง ตัวอักษรของเนี่ยลี่นั้นมีอะไรทีล่ ึกซึ้งแฝงอยู่เช่นนั้น
หรือ? หลงเทียนหมิงหันกลับไปที่เวลาทีพร้อมกับ คิ้วขมวด
พยายามที่จะเพ่งมองหาอะไรบางอย่างจากมัน

ดวงตาของหมิงเยี่ย วู่ซวง ยังคงจับจ้องไปยังตัวอักษรในมือของ


เนี่ยลี่ นางไม่อาจที่จะเข้าใจได้มากเท่ากับที่เหยียนหยางสัมผัส
ได้ แต่นางก็ตระหนักได้ว่าตัวอักษรนี้แฝงอะไรที่ลึกซึ้งบางอย่าง
นางรับรู้ได้ว่าตัวอักษรนีม้ ีเจตจานงค์แห่งกระบี่ที่ลึกล้ายิ่งกว่า
ห้วงทะเล แต่เมื่อนางพยายามทีจ่ ะเพ่งมองจับจ้องเข้าไปใกล้ ๆ
นางก็ไม่อาจที่จะก้าวย่างไปได้มากกว่านั้น

เหล่าอัจฉริยะ ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้เฝ้าสังเกตุทั้งสาม
คน และก็ต่างประหลาดใจยิ่งนัก จากนั้นพวกเขาก็หันไปมอง
ตัวอักษรที่อยู่ในมือของเนี่ยลี่ อาจจะเป็นไปได้วา่ มีอะไรที่ลาลึ
้ ก
แฝงอยู่ภายในมันงั้นหรือ? ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งสามคนคง
ไม่มีท่าทีเช่นนี้เป็นแน่
เหยียนหยางจ้องมองตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นอย่างเงียบๆด้วย
ความรูส้ ึกที่ว่างเปล่า
ในตอนนี้ เนี่ยลี่นั้นได้เข้าใจดีเลยว่า เหยียนหยางนั้น จมอยู่กับ
ตัวอักษรที่แฝงเจตจานงค์แห่งกระบี่อย่างล้าลึกอยูเ่ ป็นแน่

ตัวอักษรที่เนี่ยลีเ่ ขียนขึ้นมานั้น มาจากอักษรโบราณ โดยผู้ที่มี


ความเชี่ยวชาญอย่างสูงสุด จากตาราหมื่นสวรรค์เจตจานงค์ที่
เที่ยงแท้ โครงสร้างของมันมาจากเจตจานงค์ที่ไร้ที่สิ้นสุดของ
ผู้เชี่ยวชาญนั้น คาว่า “กระบี่” ที่เนี่ยลี่นั้นเขียนขึ้นมาเป็นตัว
แทนที่นับได้ว่า เป็นแค่พื้นฐานของพื้นฐาน เท่านั้น แต่ก็
เพียงพอแล้วสาหรับยอดฝีมืออย่างเหยียนหยาง เขาอาจจะ
เข้าใจมันได้ในแค่ไม่กี่วันกี่คืนเท่านัน้

ด้วยตัวอักษรเพียงหนึ่งตัวนี้ แต่ละคนอาจจะเข้าถึงเจตจานงค์ที่
ต่างกัน และบางคนอาจจะเข้าใจเคล็ดวิชาลับแห่งกระบี่อัน
ลึกซึ้งจากมันก็เป็นได้
ถ้าหากว่าเหยียนหยางต้องการที่จะทาความเข้าใจจากมัน
อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันเป็นอย่างน้อย

อย่างไรก็ตาม เนี่ยลี่ไม่ต้องการที่จะให้หลงเทียนหมิง เข้าใจใน


ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับมัน

“ตัวอักษรนี้มีเจตจานงค์ที่แท้จริงแฝงอยู่ โดยที่มไิ ด้
เขียนวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆ ลงไป มันเป็นเพียงแค่ตัวอักษร
หลังจากที่ข้าได้เขียนมันขึ้นมาให้ทกุ คนได้ดูในวันนี้ สาหรับคน
ที่สามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างจากมันได้ ก็แปลว่าคนผู้นั้นมี
ชะตาต้องกันกับมัน ” เนี่ยลีย่ ิ้มเล็กน้อยแล้วม้วนกระดาษเก็บ

“อย่างไรก็ตาม ขอให้มันจบลงเพียงเท่านั้น
!”

เหยียนหยางรู้สึกผิดหวังในขณะทีม่ องดูเนี่ยลีม่ ้วนเก็บตัวอักษร


ถ้าหากมีเวลาที่ได้มองดูอีกไม่กี่วัน ก็นับว่าคุ้มกับเวลา เข้ามั่นใจ
ว่าเขานั้นจะต้องเข้าถึงเจตจานงค์ที่แท้จริงของมันได้ และ
แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังของเขา
เป็นแน่

โดยไม่คานึงถึงสิ่งใด เหยียนหยาง ก็ยังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ทา


ออกมา เขายืนตัวตรงพร้อมกับพูดด้วยน้าเสียงที่แสดงความ
เคารพว่า “ขอบคุณสาหรับการชี้แนะ”

หลังจบคาพูดของเหยียนหยาง ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่าง
เงียบสนิท เหล่าคนที่หัวเราะเยาะเนี่ยลี่ในก่อนหน้าอดไม่ได้ที่
จะอ้าปากค้าง พวกเขายังไม่อาจอธิบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้
เพราะพวกเขาไม่อาจที่จะสัมผัสถึงสิ่งใดได้จากตัวอักษร แต่ถึง
อย่างไรคนอย่างเหยียนหยางคงไม่พูดโกหกเป็นแน่ ตัวอังษรนี้
แฝงด้วยเจตจานงค์อย่างแท้จริง แต่พวกเขาทั้งหมดไม่อาจที่จะ
เข้าใจได้งั้นเหรอ?

กู้เบ่ยเหลือบตามอง เยี่ยเชียนกับมูห่ ลงหยี่ ด้วยสายตาที่ดูถูก


“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไงว่า เจตจานงค์ในตัวอักษรของเนี่ยลี่ มัน
สูงล้าเกินกว่าสิ่งที่ทั้งสามคนได้แสดงออกมา!”
เยี่ยเชียนกับมูห่ ลงหยี่ ต่างก็ตกตะลึง

เยี่ยเชียนนั้นยังคงสับสนอยูไ่ ม่น้อย นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป


ในมุมมองของเขานั้น เนี่ยลี่นั้นยังไม่แม้แต่จะบรรลุระดับชะตา
สวรรค์ แล้วเหตุใดเขาถึงได้มีมีวิถแี ห่งเจตจานงค์ที่แข็งแกร่ง
และในจุดนั้นยังเหนือยิ่งกว่าเหยียนหยางเสียอีก ไม่เพียงแค่นั้น
เหตุใดเขาถึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยววิถีแห่งเจตจานงค์ที่แผ่
ออกมาจากตัวอักษรของเนี่ยลี่ได้เลย

อย่างไรก็ตามเหยียนหยางถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ คนระดับ
เขาแน่นอนว่าจะต้องไม่โกหกคนทีไ่ ร้ชื่อเสียงเช่นเนี่ยลีแ่ น่ มัน
เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?

คิ้วของมู่หลงหยี่ถึงกับขมวดแน่น เขาก็เหมือนกับฝูงชนที่เหลือ
เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือหัว สิ่งใดคือหางสาหรับสถานการณ์เช่นนี้
(สานวนจีนหมายถึง ไม่รสู้ ิ่งใดจริง หรือ สิ่งใดเท็จ) อย่างไรก็
ตามเขาก็ยิ่งไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงสิ่ง
ที่ลึกเกินหยั่งถึงในตัวอักษรของเนีย่ ลี่ ด้วยความรูส้ ึกที่ว่าเขานั้น
ด้อยกว่าเนี่ยลี่ ทาให้เขาโกรธแค้นยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม เซี่ยวหนิงเอ๋อ ทาได้เพียงเม้มริมฝีปากเผยรอยยิ้ม


เล็กน้อยเท่านั้น แม้วา่ นางเองก็ไม่อาจที่จะสัมผัสถึงความล้าลึก
ที่อยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่ นางก็อดที่จะภูมิใจในตัวเขามิได้
แม้แต่เหล่ายอดฝีมือในอาณาจักรซากมังกร เนี่ยลี่ก็ยังเป็นคนที่
ไม่มผี ู้ใดเปรียบได้ ไม่มผี ู้ใดที่สามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับเขา
ได้เลย

หลงยู่อินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ นางกามือของนางที่อยู่บนโต๊ะจนแน่น
แม้แต่กู้เบ่ยยังสามารถสัมผัสได้ถึงเจตจานงค์ในตัวอักษรของ
เนี่ยลีไ่ ด้ แต่เหตุใดนางถึงไม่อาจทาได้ นี่มไิ ด้หมายความว่านาง
นั้นอ่อนด้อยยิ่งกว่ากู้เบ่ยงั้นหรือ? เจตจานงค์แบบใดกันที่แฝง
อยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่ สาหรับคนที่หมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งจอม
ยุทธ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสเน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลอย่างที่ไม่มีที่
สิ้นสุด
นางปรารถนาที่จะรู้ว่าสิ่งทีล่ ้าลึกทีแ่ ฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่
นั้นคือสิ่งใดกันแน่ !

นางไม่อาจที่จะระงับความอยากรูอ้ ยากเห็นที่อยู่ในใจของนาง
ได้ นางตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าด้วยสิง่ ใดก็ตาม ไม่ว่าจะต้องจ่ายไป
ในราคาสักเท่าไหร่ นางจักต้องเข้าใจถึงความล้าลึกที่อยู่ใน
ตัวอักษรของเนี่ยลี่ให้จงได้
บทที่ 316 ขายตัวอักษร

ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้กาลังงง
กันอยู่ เนี่ยลี่ก็กาลังจะเตรียมตัวกลับที่พักหลังได้เก็บตัวอักษร
ของเขาเรียบร้อยแล้ว

เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อยขณะที่ชาเลืองมองดูหลงยู่อินอยู่ไกลๆ เขารู้


นิสัยของหลงยู่อินเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่ให้กู้เบ่ยนั้นได้เข้าใจใน
ตัวอักษรนั้น เขายังต้องการที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
ในใจของหลงยู่อิน หลังจากนี้ไม่นาน นางจะค่อย ๆ คิดที่จะเข้า
มาเข้าใกล้เขาด้วยใจที่สั่นไหว ในตอนนี้เนี่ยลี่ต้องการที่จะ
ชี้แนะหลงยู่อินอย่างช้า ๆ เป็นการค่อย ๆเปลี่ยนนิสัยใจคอของ
นาง

การควบคุมคนที่หลงไหลในวิธีแห่งจอมยุทธเช่นหลงยู่อินนั้น
ง่ายดายยิ่งนัก
นอกเหนือไปจากความพึงพอใจที่ได้กระตุ้นทั้งสองคนแล้ว เนี่ย
ลี่ยังสามารถที่จะกระตุ้นความสนใจจากเหยียนหยางและ หมิง
เยี่ย วู่ซวง ได้สาเร็จ แน่นอนว่าเขาเองนั้นก็ไม่อยากเชื่อว่า เห
ยียนหยาง กับหมิงเยีย่ วู่ซวง จะสนอกสนใจจนออกมาเกินกว่า
ที่เขาคาดไว้ถึงเพียงนี้

“โปรคอยก่อน
!” เหยียนหยางจู่ๆก็ส่งเสียงเพื่อที่จะหยุดเนี่ยลี่เอาไว้

ทุกคนมองดูเหยียนหยางด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนี่ยลี่นั้น
เก็บตัวอักษรของเขาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เหยียนหยางพยายาม
จะทาในตอนนี้ คือสิ่งใดกัน?

เนี่ยลี่มองไปที่เขาแล้วพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่เหยียนหยาง มีสิ่งใด


ที่ท่านต้องการอีกงั้นหรือ
?”

“ข้าต้องการที่จะขอซื้อตัวอังษรนี้ ข้าสงสัยว่าศิษย์น้องเนี่ย
ลี่ยินดีที่จะขายมันหรือไม่
? ข้ายินดีที่จะเสนอราคาให้เป็นศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อน”
เหยียนหยางพูดออกไป แต่เดิมเขาคิดจะเสนอที่ราคาห้าหมื่น
ศิลาจิตวิญญาณ แต่หลังจากที่ได้ขบคิดดูแล้ว เขาตระหนักได้ว่า
ราคาแค่ห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณนัน้ ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นการ
แสดงออกอย่างจริงใจ ดังนั้นเขาจึงได้เสนอราคาที่หนึ่งแสนศิลา
จิตวิญญาณ

เหยียนหยางยินดีที่จะเสนอราคาสาหรับตัวอักษรของเนี่ยลี่ถึง
หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณงั้นเหรอ
?

เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้ถึงกับตกใจเป็น
อย่างมาก

หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณสาหรับตัวอักษรแค่ตัวเดียว
!
หลังจากที่ได้ยินคาพูดของเหยียนหยาง เนี่ยลีร่ ู้สึกลังเลไป
ชั่วขณะ ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อนนับว่าล่อใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามที่ทุกคนนั้นเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ตัวอักษร เนีย่ ลี่
นั้นไม่ได้ขาดทุนเลยแม้แต่น้อยในการขายมัน ทาไมจะต้อง
ปฏิเสธด้วยหล่ะ?

จากคาพูดของเหยียนหยางทาให้หลงเทียนหมิงตกใจยิ่งนัก เขา
ไม่อาจที่จะมองเห็นความล้าลึกที่แฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่
ก่อนที่เนี่ยลี่จะม้วนเก็บไป เขาไม่อาจที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งใดที่ล้า
ลึกที่แฝงอยู่ในตัวอักษรนั้น แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเห
ยียนหยางยินดีทจี่ ะเสนอศิลาจิตวิญญาณแสนก้อนสาหรับ
มัน เขาไม่เข้าใจความคิดของเหยียนหยางเลยสักนิด
เจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษรมีคา่ มากกว่าศิลาจิตวิญญาณ
หนึ่งแสนก้อนงั้นเหรอ?

หมิงเยี่ย วู่ซวง จ้องมองไปที่เนี่ยลี่ แม้ว่านางนั้นไม่อาจจะเข้าถึง


เจตจานงค์ที่แฝงอยู่ได้ แต่นางก็สมั ผัสได้ถึงเจตจงค์แห่งกระบี่ที่
อยู่ในอักษรนี้ได้ มันจักต้องมีค่ามากกว่าศิลาจิตวิญญาณหนึ่ง
แสนก้อนเป็นน่

เมื่อเห็นหน่าเนี่ยลี่นั้นยังลังเล เหยียนหยางจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าหากศิษย์น้องเนี่ยลี่ ยังไม่เต็มใจที่จะขายมัน ถ้าเช่นนั้นหาก
ข้าเสนอราคาให้เป็นศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้าหมื่น
ก้อนหล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร? ” แม้ว่าจะเป็นราคานี้ก็ยังห่างไกล
เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าของตัวอักษรนี้ “ข้าหวังว่าศิษย์น้อง
เนี่ยลี่จะยินดีที่จะขายมัน!”

เห็นได้ชดั ว่าเหยียนหยางนั้นร้อนรนที่จะอยากได้ตัวอักษรนี้เป็น
อย่างมาก เนี่ยลี่นั้นรู้ดีถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน คงจะแปลก
อย่างมากถ้าหากเหยียนหยางไม่ได้รู้สึกหมดหวังถ้าหากไม่ได้
ครอบครองมัน ในตอนแรกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับมันแค่
เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เนี่ยลี่จะเก็บมันไป

เมื่อได้ยินคาพูดของเหยียนหยาง คิ้วของหลงเทียนหมิงถึงกับ
ขมวด เขาทาได้เพียงแค่ยมิ้ เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะพูดขึ้นมา
ว่า “ในเมื่อศิษย์น้องเนี่ยลีไ่ ม่ต้องการที่จะขายมัน เช่นนั้นแล้ว
ศิษย์พี่เหยียนหยางก็ไม่ควรที่จะฝืนใจเขานะ” หลงเทียนหมิง
รับรู้ได้ถึงความร้อนรนของเหยียนหยาง แค่เพียงความร้อนรน
ของเขาเพียงเท่านั้น ตัวอักษรนี้จักต้องมีค่ามากกว่า จิตรกรรม
หมื่นขุนเขาและสายน้าเป็นแน่

เพียงแค่ตัวอักษรแค่ตัวเดียว หลงเทียนหมิงมีนับพันหนทาง ที่


จะเอามันมา ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือของเหยียนหยาง

แน่นอนว่า เนี่ยลี่นั้น ไม่ต้องการทีจ่ ะให้หลงเทียนหมิงได้มันไป


ไม่ว่าทางใดก็ตาม เขาประสานมือของเขาพร้อมกับกล่าวว่า
“ศิษย์พี่หลง ศิษย์พี่ เหยียนหยาง พวกท่านกังวลมากเกินไป
แล้ว ข้าสามารถเขียนขึ้นมาได้วันละนับสิบคา มันก็เป็นเพียงแค่
ตัวอักษรเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าหากศิษย์พี่ทั้งชายและหญิง
ต้องการมันหล่ะก็ ข้าสามารถเขียนให้คนละหนึ่งคา”

หลังได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ ทั้งหลงเทียนหมิง หรือแม้แต่ เหยียน


หยางก็ถึงกับตกตะลึง ที่เขาสามารถเขียนตัวอักษรได้หลายตัว
ในหนึ่งวัน เพราะว่าเขามิได้ใช้วิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆในการ
เขียนขึ้นมาแม้แต่น้อย!
แม้ว่าหลงเทียนหมิงจะไม่ต้องการให้เหยียนหยางได้มันไป
เพราะเขาบอกได้เลยว่าเหยียนหยางสามารถที่จะเข้าถึง
เจตจานงค์อันลึกล้าที่แฝงอยู่ในตัวอักษรนั้น แต่เนี่ยลี่ได้บอก
มาแล้วว่าสามารถเขียนกี่คาก็ได้ในหนึ่งวัน ดังนั้นเขาก็ไม่อาจที่
จะขัดขวางเหยียนหยางได้อีกต่อไป เขารู้สึกท้อใจยิ่งนัก เนี่ยลี่
นั้นมีเส้นใยอะไรอยู่ในหัวกันแน่ (สานวนจีนหมายถึง ฉลาดถึง
เพียงนั้นเชียวเหรอ) หรือว่าเขากาลังแกล้งโง่อยู่อย่างนั้นเหรอ?

เหยียนหยางมองที่เนี่ยลี่ ด้วยการจับจ้องอย่างจริงจังเพื่อที่จะ
เข้าใจความหมายแฝงในคาพูดของเนี่ยลี่ ด้วยความจริงที่ว่าเนีย่
ลี่นั้นสามารถเขียนตัวอักษรกี่คาก็ได้ในหนึ่งวัน แต่เขาก็ปฏิเสธ
ไม่ได้ว่าคุณค่าของตัวอักษรที่อยู่ในมือของเขานั้นก็ไม่ได้ลด
คุณค่าลงไปแม้แต่น้อย

“ไม่ว่าศิษย์น้องเนี่ยลี่จะสามารถเขียนอักษรได้กี่คาก็ตามใน
หนึ่งวัน ข้าก็ยินดีที่จะจ่ายศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้า
หมื่นก้อนสาหรับมัน” เหยียนหยางพูดด้วยความใจเย็น เขานั้น
ยึดมั่นในวิถีทางของตนเองเสมอ เขาเป็นคนที่จริงใจต่อมิตร
สหาย ดังนั้นเขาจะยอมรับการเขียนอักษร อันล้าค่าจากเนีย่ ลี่
โดยไม่มสี ิ่งตอบแทนได้อย่างไร
?

เมื่อได้เห็นความจริงจังของเหยียนหยาง เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่พัก
หนึ่ง เดิมทีนั้นเนี่ยลี่วางแผนที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับเหยียน
หยาง โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะขายตัวอักษรเลยแม้แต่น้อย หลังจาก
ที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ เนี่ยลี่เอ่ยปากขึ้นว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อศิษย์
พี่เหยียนหยางยินดีที่จะจ่ายศิลาจิตวิญญาณจานวนมากสาหรับ
มัน ข้าก็จะให้ของขวัญแก่ศิษย์พี่ดว้ ยตัวอักษรตัวที่สอง!”

เนี่ยลี่เดินกลับไปที่โต๊ะ และคลี่กระดาษออก และลงมือเขียน


ตัวอักษร “武” [อ่านว่า หวู่ แปลว่า ยุทธ ยกตัวอย่าง武侠
(wǔxiá): จอมยุทธ์ 武林(wǔlín): ยุทธภพ]ลงไปอย่าง
รวดเร็ว ด้านล่างของตัวอักษร “กระบี่” จากนั้นก็ม้วนเก็บและ
ส่งให้ฉินเยี่ยที่ยืนอยูด่ ้านข้าง “รบกวนส่งมันมอบให้กับศิษย์พี่
เหยียนหยางด้วย!” วิถีแห่งเจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษร
“ยุทธ” นั้น ยิ่งล้าลึกเสียยิ่งกว่า วิถีแห่งเจตจานงค์ที่แฝงอยู่ใน
ตัวอักษร “กระบี่” เสียอีก

ฉินเยี่ยรับมาด้วยความยินดีอย่างสุภาพ นางถือมันด้วยมือทั้ง
สองข้างก่อนที่จะเดินไปหาเหยียนหยาง

ก่อนหน้านี้ นางมีความรูส้ ึกดูถูกเนีย่ ลี่อยู่เล็กน้อย แต่ในตอนนี้


นางรู้ดีว่าไม่อาจที่จะมองข้ามเขาไปได้เลย นางรูส้ ึกนับถือเขา
ขึ้นมาเล็กน้อย และเริ่มที่จะปฏิบตั ิต่อเนี่ยลี่ ดั่งคนที่มีระดับ
เดียวกับเหยียนเหยาง

เหยียนหยางหยิบม้วนอักษรจากฉินเยี่ย เมื่อเขาได้เห็นคาว่า
“ยุทธ” ที่ถูกเขียนอยู่ด้านล่าง เขาก็รู้สึกราวกับได้รับ
ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ทาให้ใจของเขารู้สึก
หวั่นไหวเป็นอย่างมาก เขาม้วนกระดาษและนามันเก็บไว้
ในทันที
“ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์น้องเนี่ยลี่” ใจของเหยียนหยางนั้นตื่น
ตระหนกจนยากที่จะพรรณนาได้ อักษรคาว่า “ยุทธ” ดู
เหมือนว่าจะล้าลึกเสียยิ่งกว่าคาว่า “กระบี่” เสียอีก เหยียน
หยางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเนีย่ ลี่จะมองของขวัญล้าค่าเช่นนี้
ให้แก่เขา เขาหยิบแหวนห้วงมิติของเขาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
ว่า

“เมื่อเทียบกับอักษรทั้งสองคาที่ศษิ ย์น้องเนี่ยลี่เขียนให้ข้านั้น
สิ่งของพวกนี้กล่าวได้ว่าช่างไร้ความหมาย นับจากนีไ้ ป ศิษย์
น้องเนี่ยลี่ นับว่าเป็นสหายของข้า เหยียนหยาง!”

เหยียนหยางมองไปที่ฉินเยีย่ จากนั้นก็พูดว่า “แม่นางฉินเยี่ย


รบกวนส่งสิ่งนี้ให้แก่เนีย่ ลี่ด้วย”

เนี่ยลีร่ ับแหวนห้วงมิตจิ ากฉินเยีย่ ด้วยรอยยิม้ “ถ้าเช่นนั้น ข้า


รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้เป็นสหายกับศิษย์พี่เหยียนหยาง!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ พวกเขาไม่ได้มี
ความคิดใด ๆ เกี่ยวกับตัวอักษรทีส่ องที่เนี่ยลี่เขียนให้กับเหยียน
หยาง เนื่องจากพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้จากตาแหน่งที่พวก
เขายืนอยู่ อย่างไรก็ตามจากการสังเกตุดูการแสดงออกของเห
ยียนหยาง มันจักต้องไม่เป็นอะไรที่ธรรมดาเป็นแน่ แต่ถึง
อย่างไร พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่จะเข้าใจได้ตั้งแต่ตัวอักษร
ตัวแรกอยู่แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นตัวอักษรตัวทีส่ อง มันก็
ไร้ประโยชน์สาหรับพวกเขาอยู่ดี

หลงเทียนหมิงรู้สึกหดหู่ยิ่งนักในใจของเขา ไม่ใช่เพียงแค่ เขาไม่


อาจที่จะขัดขวางมิให้เหยียนหยางได้ตัวอักษรไปจากเนี่ยลี่ เห
ยียนหยางกลับได้ตัวอักษรไปถึงสองตัว

หมิงเยี่ย วู่ซวง ยิ้มหวานพร้อมกับพูดว่า “ข้าสงสัยว่าศิษย์น้อง


เนี่ยลี่ ยินดีที่จะเขียนอักษรให้ข้าสักคาหนึ่งได้หรือไม่ ข้ายินดีที่
จะมอบศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึง่ แสนห้าหมื่นก้อนให้เช่นกัน!

“แน่นอน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคาติฉนิ ว่าข้านั้นเห็นแก่ฝ่ายหนึ่ง


ฝ่ายใด ข้าจะเขียนอักษรให้ศิษย์พี่หมิงเยี่ย สองตัวเช่นกัน!”
เนี่ยลี่เขียนคาว่า “กระบี่” ขึ้นมาอีกรอบ และเขียนอีกคา ด้วย
คาว่า “皎”
[อ่านว่า เจี่ยว แปลว่า สดใส] คาว่า “สดใส” เปรียบได้กับสว่าง
สดใสราวกับแสงจันทรา ในแง่วิถีแห่งเจตจานงค์นั้น อยู่ใน
ระดับเดียวกันกับคาว่า “ยุทธ”ของเหยียนหยาง

จากนั้นเนี่ยลี่กไ็ ด้รับศิลาจิตวิญญาณอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน
จาก หมิงเยี่ย วู่ซวง

“ศิษย์น้องเนี่ยลี่ ดูเหมือนว่าเจ้านัน้ จะมีความรู้สึกดี ๆกับ ศิษย์


น้องเซี่ยวหนิงเอ๋อ จากวันนี้ไป ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี
!” หมิงเยี่ย วู่ซวง เหลือบมองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อในขณะที่นาง
ยิ้มอยู่

หลังจากที่ได้ยินคาพูดของ หมิงเยีย่ วู่ซวง แล้ว หญิงสาวที่มา


จากสานักเสียงสวรรค์ต่างก็หันมามองเซี่ยวหนิงเอ๋อด้วยความ
ริษยา หมิงเยีย่ วู่ซวงนั้นมีตาแหน่งพิเศษในสานักเสียงสวรรค์
คือ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสานักเสียงสวรรค์ ภายใต้การดูแล
เป็นพิเศษจากหมิงเยี่ย วู่ซวง เซี่ยวหนิงเอ๋อ จะได้รับโอกาส
อย่างไม่มีทสี่ ิ้นสุดเป็นแน่

ถึงแม้ว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อจะมีพรสวรรค์อันที่น่าตกตะลึง และได้รับ
การดูแลจากบุคคลระดับสูง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการได้รับ
การดูแลจาก หมิงเยีย่ วู่ซวง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องขอขอบคุณศิษย์พี่หมิงเยี่ย วู่ซวงแล้ว


!” เนี่ยลี่พูดในขณะที่เขาประสานมือคารวะ เขาคิดในใจว่า เขา
สามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์อนั ดีกับบุคคลทั้งสอง ด้วย
ตัวอักษรไม่กคี่ า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับศิลาจิตวิญญาณอีกถึง
สามแสนก้อน ช่างเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่านัก ทาไมเขาถึง
นึกไม่ได้เลยนะว่า การขายตัวอักษรนั้น ได้กาไรดีเสียยิ่งกว่าการ
ขายจิตอสูรในระดับสูงเสียอีก?
เยี่ยเชียน มองดูเนี่ยลี่ ทาการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับเหยียน
หยางและหมิงเยี่ย วู่ซวง เขารูส้ ึกว่าตนเองนั้นต่าต้อยกว่าเนี่ยลี่
เสียอีก ในช่วงเวลาก่อนหน้านีไ้ ม่นาน เขายังทาการเยาะเย้ย
เนี่ยลี่แถมยังเรียกเขาว่า คนโง่เง่า แต่สุดท้าย เนี่ยลี่เพียงแค่
เขียนอักษรไม่กี่ตัว ก็สามารถที่จะได้ศลิ าจิตวิญญาณมาถึงสาม
แสนก้อนจากสองคนนั่น

หลงเทียนหมิงถึงกับขมวดคิ้ว เพราะทั้งเหยียนหยางและหมิง
เยี่ย วู่ซวงต่างก็ได้รับตัวอักษรของเนี่ยลี่ เขายอมรับความพ่าย
แพ้ เพราะเขาไม่อาจที่จะขัดขวางไม่ให่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่
สาหรับเนี่ยลี่ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หลงเทียนหมิงนั้นจะยอม
จ่ายศิลาจิตวิญญาณถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเพื่อตัวอักษรนั่น

เนี่ยลี่นั้นเป็นศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ หลังจากจบเรื่องนี้
แล้ว หลงเทียนหมิงจะส่งใครบางคนไปเอาตัวอักษรมาจากเนี่ย
ลี่ จะมีหนทางใดที่เนีย่ ลี่จะไม่ส่งให้กับเขางั้นรึ?

ไม่เพียงแค่ตัวอักษรตัวเดียวเท่านัน้ เนี่ยลี่จะต้องให้ตัวอักษร
บางคาสาหรับหลงเทียนหมิง เนี่ยลี่จักต้องมอบให้กับเขามาก
ยิ่งกว่านั้น นอกเสียจากว่า เขาจะไม่ต้องการอยู่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

หลงเทียนหมิงเริ่มที่จะสังเกตุเนี่ยลี่ ถ้าหากเนี่ยลี่นั้นมีพรสวรรค์
บางอย่างจริง เขามีความคิดที่จะให้มาเป็นลูกน้องของเขา
ความคิดนี้นับว่าไม่เลว ถ้าหากเขาต้องการที่จะบังคับเนีย่ ลี่
หลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะคิดทาเช่นนั้นได้ในตอนนี้ หลังจาก
วันนี้ไป เหล่าคนในระดับสูงจะต้องทราบข่าวว่า เหยียนหยาง
และ หมิงเยี่ย วู่ซวง ได้ซื้อตัวอักษรไปจากเนี่ยลี่ แน่นอนว่าพวก
เขาจะต้องดาเนินการเพื่อที่จะขออักษรบางคาเพื่อนามาศึกษา
ด้วยความสามารถของเนี่ยลี่ การที่จะพยายามติดต่อกับคนใน
ระดับสูงนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก

ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้น หลงเทียนหมิงนั้นยังไม่อาจที่จะ
ควบคุมได้หมดทุกอย่าง
อะไรคือสิ่งที่หลงเทียนหมิงจะต้องใส่ใจมากที่สดุ
นอกเหนือไปจากความสามารถในการเขียนอักษรของเขา แต่
ถ้าหากเนี่ยลี่ ไม่ได้บรรจุวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆแม้แต่น้อยลงใน
ตัวอักษร ด้วยเหตุนั้นหลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะมองเห็นด้วย
การบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ดี

แม้ว่าเนี่ยลี่นั้นจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในเหล่าอัจฉริยะทีเ่ ข้า
มาใหม่ก็ตาม เขาก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของหลงเทียนหมิงเลย
แม้แต่น้อย ถ้าหากเนีย่ ลี่นั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงวิถีแห่ง
เจตจานงค์ แล้วเหตุใดเนี่ยลี่จึงยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์
หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้วา่ เนี่ยลี่นั้นได้ปกปิดมันเอาไว้เช่นนั้น
หรือ?

ในเมื่อหลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะมองดูเนี่ยลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาจึงตัดสินใจที่จะส่งคนของเขาให้ไปตรวจสอบ

หลังจากที่เนี่ยลี่เดินลงมาจากเวที เขาก็กลับไปที่โต๊ะของเขา
และสบตากับหนิงเอ๋อ กู้เบ่ย และคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิม้ เต็ม
ใบหน้า
และกู้เบ่ยกับหลี่ชิงอวิ๋น ก็ให้การยอมรับเนี่ยลี่อย่างที่ไม่มีอะไร
ติดค้างใจอีก
เมื่อเนี่ยลี่กลับมา มู่หลงหยี่ ถึงกับกัดฟันของเขา ในซากโบราณ
แห่งความสะพรึง เขาทาทุกอย่างเพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้เนีย่ ลีไ่ ด้
ศิลาจิตวิญญาณ แต่ท้ายที่สุด แม้วา่ เขาจะพยายามขัดขวาง
อย่างหนัก แต่เนี่ยลี่กลับได้รบั ศิลาจิตวิญญาณสามแสนก้อน
อย่างง่ายดายด้วยการเขียนอักษรไม่กี่คา ความพยายามของเขา
สูญเปล่าสิ้นดี

ด้วยจานวนศิลาจิตวิญญาณถึงสามแสนก้อน แม้ว่ามูห่ ลงหยี่ จะ


ใช้เวลาเก็บหลายสิบปี เขาก็ไม่อาจที่จะเก็บได้ถึงเพียงนั้นเลย
บทที่ 317 การหยั่งเชิง

เนี่ยลี่มองไปที่กู้เบ่ย จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “เจ้าเข้าใจว่าอย่างไร


บ้าง ?”

ในชีวิตก่อนหน้าของเนี่ยลี่ กู้เบ่ยนั้นได้ บ่มเพาะในเจตจานงค์


แห่งกระบี่ ความเข้าใจของเขาในวิถีแห่งกระบี่นั้นเรียกได้ว่าอยู่
ในระดับที่สูงส่ง เหตุผลที่ว่าเหตุเนีย่ ลี่จึงได้ชี้แนะ กู้เบ่ยให้
มองดูตัวอักษร “กระบี่ ”อย่างรอบคอบ ด้วยความตั้งใจ เพราะ
เขาหวังว่ากูเ้ บ่ยนั้น จะได้รับประโยชน์จากมัน

“ข้ารู้สึกได้ถึงเจตจานงค์แห่งกระบี่อันยิ่งใหญ่ แต่ทว่า มันล้าลึก


มากเกินไป จนข้าไม่อาจทีจ่ ะทาความเข้าใจได้ทั้งหมดในครา
เดียว” ใบหน้าของกู้เบ่ยเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยความอับอาย
มันเป็นธรรมดาที่กเู้ บ่ยจะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้
เจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในอักษรนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเข้าใจมันได้
ในเวลาแค่หนึ่งหรือสองวัน นอกจากนี้ความเข้าใจของแต่ละคน
ก็จะแตกต่างกันในการรับรูเ้ กี่ยวกับมัน ดังนั้นเนี่ยลีจ่ ึงไม่ได้ว่า
อะไรกู้เบ่ย ผู้ใดที่มเี จตจานงค์แห่งกระบี่เหนือกว่า ก็ย่อมที่จะ
เข้าใจเกี่ยวกับมันได้

“ข้าจะเขียนให้กับเจ้าอีกใบหนึ่ง หลังจากที่เรากลับกันแล้ว”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิม้

“เนี่ยลี่ ขอบใจเจ้ามาก” กู้เบ่ยกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง


อักษรของเนี่ยลี่นั้นสามารถขายได้ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาจิต
วิญญาณ ซึ่งเป็นราคาที่น่าอัศจรรย์มาก กู้เบ่ยรู้สึกว่าตนเองนั้น
ได้ประโยชน์จากเนี่ยไม่น้อย และเขาก็เป็นคนที่ตอบแทนผู้อื่น
เสมอ สิ่งที่เนีย่ ลี่มอบให้เขามานั้น เขาจดจาทุกอย่างเอาไว้ในใจ
เสมอ

“เราเป็นพี่น้องกัน เหตุใดจึงต้องเกรงใจด้วย
?” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม
หลงยู่อินมองดูเนี่ยลี่และกู้เบ่ยพูดคุยกัน มีหลายจังหวะที่นาง
คิดจะพูดแทรกไป แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยที่นางอดกลั้นไม่เอ่ย
คาพูดนั้นออกมา
นางมีคุณสมบัติอันใดที่จะไปเอ่ยปากถามเรื่องตัวอักษรจากเนี่ย
ลี่ได้

อักษรเพียงแค่ตัวเดียวของเนี่ยลี่ สามารถขายได้ถึงหนึ่งแสนห้า
หมื่นศิลาจิตวิญญาณ นางสามารถจ่ายได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ถ้าหากนางต้องการตัวอักษรจากเนี่ยลี่ นางจะนาสิ่งใดมา
แลกเปลี่ยนหล่ะ? ความสัมพันธ์ของนางกับเขาก็ไม่อาจที่จะ
เรียกว่าใกล้ชิดได้เลย แตกต่างกับความสัมพันธ์ของเขากับกู้เบ่ย

อย่างไรก็ตามความปราถนาในตัวอักษร ที่อยู่ในใจของนางนั้น
มันมีมากขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นนั้นราว
กับว่ามดกัดอยู่ในใจของนาง คนที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการ
ต่อสู้เช่นนาง มันยากเกินที่จะทานทน ก่อนหน้านี้ที่เนี่ยลี่ได้
แสดงตัวอักษรต่อหน้าทุกคน กู้เบ่ยสามารถที่จะเข้าใจอะไร
บางอย่างได้ แต่นางกลับไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
คนอย่างหลงยู่อิน ที่มีแต่ความกระหายในความแข็งแกร่งนั้น
นั่นทาให้นางรู้สึกตกต่าเป็นอย่างมาก ความสามารถของนางยัง
ไม่ดีพองั้นเหรอ?
แล้วมีอะไรที่แฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่กันแน่
?

สุดท้ายแล้ว หลงยู่อิน ได้รวบรวมความกล้าของนาง และ เอ่ย


กับเนี่ยลี่ว่า “เนี่ยลี่ เจ้าพอจะให้ขา้ ได้ดตู ัวอักษรของเจ้าได้
หรือไม่?”

เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มอยู่ในใจ สุดท้ายหลงยู่อินก็ต้องยอม
พูดออกมา อันที่จริงด้วยอุปนิสยั ของหลงยู่อินนั้น เป็นไปไม่เลย
ที่นางจะไม่อยากรู้เกี่ยวกับตัวอักษรนั่น แต่ในตอนนี้ ยังไม่ใช่
เวลาที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงทาได้เพียงแค่ให้หลงยู่อินมองดู
ตัวอักษรแบบผ่านๆเท่านั้น เขายิ้มแล้วตอบไปว่า “เราค่อยมา
คุยเรื่องนี้กันในภายหลัง”
หลังจากคาพูดของเนี่ยลี่ ใบหน้าของหลงยู่อินนั้นเปลี่ยนเป็นสี
แดง นอกจากเนี่ยลี่แล้ว ไม่มีผู้ใดในรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้า
พูดเช่นนี้กับนาง เพราะไม่เช่นนั้นนางจักต้องจัดการบดขยี้คนผู้
นั้นเป็นแน่ แต่เมื่อเนี่ยลีย่ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ นางก็ทาได้เพียง
แค่นิ่งฟัง โดยไม่แสดงออกใด ๆ แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกหดหู่
ยิ่งนัก

นั่นเป็นเพราะเนี่ยลี่ มีคณ
ุ สมบัติทจี่ ะพูดเช่นนั้นได้
!

หลงยู่อินเบือนหน้าหนี พร้อมกับพ่นลมหายใจด้วยความโมโห
แม้ว่านางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เนีย่ ลี่บอกกับนาง แต่นางก็ไม่
อาจที่จะทาอะไรได้

เซี่ยวหนิงเอ๋อเหลือบมองไปยังหลงยู่อิน และหันกลับมามองที่
เนี่ยลี่พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ปกติแล้วเนี่ยลี่จะแสดงออกอย่างไม่
ค่อยแยแสผู้ใด แต่ถ้าหากเป็นสหายของเขาแล้วเขาจะ
ช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากสถานการณ์ที่เห็นอยู่นี้ มันก็เป็นเรื่อง
ปกติ ที่หญิงสาวมักจะตกหลุมรักเขา
นางทาได้เพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ ในใจของนางนั้นก็รู้สึก
สงสัยว่านางอยู่ในสถานะใดกันแน่ นางเคยอยู่ในใจของเนี่ยลี่
บ้างไหม?

หัวใจของหญิงสาวทั้งสองกาลังสับสนยุ่งเหยิงไม่ต่างกัน แต่ไม่มี
ผู้ใดที่รับรู้เลย มู่หลงหยี่กับเยีย่ เชียนแกล้งทาเป็นไม่สนใจเนีย่ ลี่
ในขณะที่พวกเขากาลังจ้องมองไปที่อื่น การนั่งร่วมโต๊ะกับเนี่ยลี่
เช่นนี่ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอายสาหรับพวกเขา แต่ถึงอย่างไร
พวกเขาก็ไม่อาจที่จะลุกขึ้นแล้วเดินจากไปได้ เพราหากเขาทา
เช่นนั้น เขาจะต้องถูกจับจ้องจากผู้อื่นเป็นแน่ ดังนั้นไม่ว่าเขา
จะหดหู่แค่ไหน พวกเขาก็จาเป็นต้องทนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป

หลี่ชิงอวิ๋นยกนิ้วให้กับเนี่ยลี่ พร้อมกับพูดว่า “ทั่วทั้งนิกายขน


นกศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าเป็นเพียงผูเ้ ดียวเท่านั้น ที่ข้ารู้สึกชื่นชม!”

เนี่ยลี่ยมิ้ พร้อมกับตอบกลับไปว่า “ศิษย์พี่หลี่ ชื่นชมข้าเกินไป


แล้ว”
เหล่าอัจฉริยะในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้าง
แห่งนี้ ต่างมุ่งความสนใจไปที่เนี่ยลีเ่ พียงคนเดียว ความรูส้ ึก
สนใจของพวกเขาค่อย ๆมากขึ้น กู้เบ่ยและหลี่ชิงอวิ๋นช่างเป็น
คนที่สายตาแหลมคม และกว้างไกลยิ่งนัก เนื่องจากพวกเขามี
ความสัมพันธ์อันดีกับเนี่ยมาก่อนแล้ว ดังคากล่าวที่ว่า

“ศาลาที่อยู่รมิ น้านั้น ย่อมเพลิดเพลินไปกับแสงจันทร์ได้ก่อน”


(สานวนจีนหมายถึง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดย่อมได้รับผลประโยชน์ก่อน
ผู้อื่น) ต้องขอบคุณที่กู้เบ่ยและหลีช่ ิงอวิ๋นมีความสัมพันธ์อันดี
กับเนี่ยลี่ มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่ทั้งสองจะได้รบั ตัวอักษรจากเนี่ย
ลี่

ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะต้องทาเช่นใดถึงจะได้ใกล้ชดิ
กับเนี่ยลี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจทีจ่ ะเป็นสหายกับเนีย่ ลี่ได้ แต่
ถ้าหากพวกเขาได้รับตัวอักษรสักตัว ก็นับว่ากาไรยิ่งแล้ว

ถึงอย่างไรเนี่ยลี่นั้นก็เป็นศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวก
เขานั้นมีเวลาอีกมากมาย
ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธ์เท่านั้น แม้แต่
ศิษย์ของอีกทั้งสองสานัก ต่างก็มีความคิดคล้าย ๆกัน

ฉินเยี่ยมายืนอยู่ตรงหน้านางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม
แล้วพูดว่า

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าศิษย์นอ้ งเนี่ยลี่จะเข้าถึงวิถีแห่ง
เจตจานงค์ได้ถึงระดับเพียงนั้น ก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้า
ผิดพลาดไป น่าสมเพชที่ข้าโง่เกินไป จึงไม่อาจที่จะเข้าใจ
ความหมายทีล่ ้าลึกใด ๆจากตัวอักษรของเจ้า” ฉินเยี่ยระบาย
สิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจ นางพูดต่ออีกว่า

“ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะความจริงที่ว่าศิษย์น้องเนี่ยลี่ได้ขาย
ตัวอักษรไปในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณ ข้าคงไม่
อาจที่จะหักห้ามใจ ที่จะมาร้องขอจากเจ้าสักหนึ่งคาเป็นแน่ แต่
ถึงอย่างไร ศิษย์น้องเนี่ยลี่กไ็ ด้บอกกล่าวไปก่อนหน้านั้นแล้วว่า
สิ่งที่แฝงอยู่ภายในตัวอักษรนั้นจะมีความความหมายกับผู้ที่มี
ชะตาต้องกับมันเท่านั้น ดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่มีชะตาต้องกัน
กับมัน!”
ด้วยเหตุนเี้ อง ชื่อของเนี่ยลี่ จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งสามสานัก
ใหญ่
หลังจากที่ได้ฟังคาพูดของฉินเยี่ย เนี่ยลี่ได้บอกกับเซี่ยวหนิงเอ๋อ
ว่า “ก่อนที่เจ้าจะกลับไปที่สานักเสียงสวรรค์ ข้าจะเขียนอะไร
บางอย่างให้กับเจ้า เมื่อเจ้ากลับไปถึงสานักเสียงสวรรค์ เจ้า
สามารถขายมันได้หากเจ้าต้องการ หรืออีกทางหนึ่งเจ้าอาจจะ
ให้มันเป็นของขวัญที่ล้าค่าให้กับใครสักคนที่คู่ควร”

“ได้” เซี่ยวหนิงเอ๋อพยักหน้า นางนั้นฉลาดจึงเข้าใจสิ่งที่เนี่ยลี่


คิด จากสิ่งที่เขากระทาอยู่ สาหรับเรื่องดังกล่าว นางตัดสินใจที่
จะช่วยเขาอีกแรง ถ้าหากนางจะทาสิ่งใดได้ในสานักเสียง
สวรรค์ แน่นอนว่านางจักต้องช่วยเนี่ยลี่อย่างแน่นอน

“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาพบกับอัจฉริยะที่มาก
ด้วยพรสวรรค์ที่นิกายขนนกศักดิส์ ทิ ธิ์แห่งนี้ ข้าสงสัยว่าข้า
สามารถที่จะพบเจอกับศิษย์น้องเนี่ยลี่อีกครั้งในโลกภายนอกได้
หรือไม่
?” ฉินเยี่ยเผยรอยยิม้ ให้กับเนี่ยลี่ และมองดูด้วยความสนใจ

จากคาพูดของฉินเยี่ยเนี่ยลี่ถึงกับคิดไปไกล เป็นเรื่องปกติที่
จะต้องก้าวออกไปยังโลกภายนอก และจะเป็นการแข่งขันกับ
คนที่อยู่นอกสานัก ซึ่งหมายความว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีก ถ้า
หากเขามีความสามารถอันโดดเด่น พวกเขาก็สามารถที่จะสร้าง
กองกาลังขึ้นมาได้เอง เสียด้วยซ้า

แต่ในตอนนี้ เขาต้องการเพียงกาลังที่จะได้สิทธิ์ในการ
ครอบครองอานาจ และตาแหน่งภายในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์
ก่อน

คาพูดของฉินเยี่ยนั้น เป็นการหยั่งเชิงว่าเขาจะออกไปยังโลก
ภายนอกหรือไม่ เหล่าศิษย์ของสามสานักใหญ่ รวมทั้งหลง
เทียนหมิง ต่างจับตาเพื่อที่จะรอฟังคาตอบจากเขา
เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ฉินเยี่ยยิ่ง
นัก ในช่วงเวลานี้ ข้าไม่ได้มีแผนสาหรับการออกไปยังโลก
ภายนอกเลย”

หลังจากที่ได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ถ้าหากเนี่ยลีน่ ั้นก้าวออกไปสูโ่ ลกภายนอก เขาจะกลายเป็นศัตรู
ที่น่ากลัวของคนที่อยู่ในห้องโถงนี้เป็นแน่ แต่ก็มีบางคนที่สังเกตุ
ถึงการตอบของเนี่ยลี่ “ในช่วงเวลานี้ ไม่ได้มีแผนสาหรับการ
ออกไปยังโลกภายนอก” ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ออกไป
ในอนาคต เนี่ยลี่นั้นมักจะคิดอย่างระมัดระวังก่อนที่จะพูดเสมอ
เขาไม่พูดอะไรที่ทาให้ตัวเองต้องพบจุดจบเป็นแน่

จากนั้นเสียงของเหยียนหยางก็ดังขึ้นมา “ถ้าหากศิษย์น้องเนี่ยลี่
ได้ออกไปยังโลกภายนอกหล่ะก็ เหล่าศิษย์ของสานักอัคคีของ
ข้า จะไม่ทาสิ่งใดให้เจ้าต้องลาบาก ถ้าหากมีอะไรให้ข้าช่วย
สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”

คาพูดของเขาสร้างความงุนงงแต่ทุกคน สานักอัคคีจะไม่ทาให้
เนี่ยลีต่ ้องลาบากงั้นเหรอ? คาพูดนี้ของเขามีน้าหนักยิ่งนัก
นอกจากนี้เหยียนหยาง ยังบอกว่ายินดีที่จะช่วยเหลือเนี่ยลี่
หรือว่าเหยียนหยางจะใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มขุมกาลังให้กับ
ตนเองเช่นนั้นเหรอ?

ตาของหลงเทียนหมิงถึงกับหลี่ลงเล็กน้อย เขานั้นไม่รู้ ว่าเขาไป


ทาอะไรให้เหยียนหยางไม่พอใจ เขารับรู้ถึงความเป็นปฏิปักษ์
จากเหยียนหยาง มันอาจจะเป็นไปได้ว่าคาพูดนี้ของเหยียนหยา
งมุ่งเป้ามาที่เขา อย่างนั้นเหรอ? หลงเทียนหมิงเหลือบตามอง
ไปที่เนี่ยลี่ ถ้าหากเนี่ยลี่นั้นมีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิง
อานาจใด ๆ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางให้เนี่ยลีไ่ ด้เติบใหญ่เป็น
แน่

เนี่ยลี่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดว่า “ข้าคงต้อง


ขอขอบคุณศิษย์พี่เหยียนหยาง เป็นอย่างมาก ข้านั้นได้พูดไป
แล้วว่ายังไม่มีแผนอันใดที่จะออกไปยังโลกภายนอกในช่วงเวลา
นี”้

หลังจากคาพูดของเนี่ยลี่ หลงเทียนหมิงก็รู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเนี่ยลี่ก็นับว่าฉลาดไม่นอ้ ย
ด้วยคาถามดังกล่าวเป็น หัวข้อที่ดเู ลื่อนลอยมากเกินไป ทาให้
คนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ฉินเยีย่ จึง
กวาดสายตามองฝูงชนพร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “มีผู้ใดที่
ต้องการแสดงทักษะให้พวกเราได้เห็นกันอีกหรือไม่?”

ด้วยคาพูดของฉินเยี่ย ทุกคนต่างยิม้ อย่างขมขื่น มีเพียงแค่คนที่


ไม่ธรรมดาอย่างเนี่ยลี่เท่านั้น ที่จะกล้าไปยืนแสดง
ความสามารถหลังจากที่เหยียนหยางกับอีกทั้งสองคนได้แสดง
ไปแล้ว พวกเขาที่เหลือเหล่านี้ย่อมไม่กล้าที่จะออกไปแสดงฝีมือ
อยู่แล้ว หลังจากที่เนีย่ ลีไ่ ด้แสดงให้ดูแล้ว จะมีผู้ใดกล้าออกไปที่
นั่นอีกหล่ะ?

หลังจากที่หยุดรออยู่เป็นเวลานานพอสมควร ก็มไิ ด้มีผู้ใดตอบ


รับ ฉินเยี่ยจึงยิม้ และพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดอีกแล้ว ถ้า
เช่นนั้นการแสดงเกี่ยวกับวิถีแห่งเจตจานงค์ก็ขอจบลงเพียง
เท่านี!้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมชุมชุมในครั้งนี้ และข้าหวังว่า
ทุกท่านจะมีส่วนร่วมในงานเลีย้ ง ในค่าคืนนี้เช่นกัน!”
เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไป.

เนี่ยลี่ก้มหัวลงไปกระซิบบอกเซี่ยวหนิงเอ๋อว่า “เดี๋ยวเราไปที่
ห้องพักของข้าก่อนนะ
!”

สาหรับงานเลี้ยงในตอนเย็นนั้น เขาไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้า
ร่วม เพราะในช่วงที่เขาแสดงตัวออกไป คงไม่อาจที่จะเลีย่ ง
ปฏิกิริยาของคนรอบข้างได้ “จ๊ะ” ใบหน้าของเซี่ยวหนิง
เอ๋อแดงขึ้นเล็กน้อยในตอนที่นางพยักหน้า หลังจากที่นางได้
เข้าใจผิดกับคาพูดก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยขึ้นมา
อีกครั้ง

กู้เบ่ย ลู่เพียวและคนอื่น ๆ ต่างก็ลกุ ขึ้นยืน เตรียมที่จะออกไป


พร้อมกับเนี่ยลี่

“น้องชายเนี่ยลี่ ข้าขอตัวก่อนนะ
!” หลี่ชิงอวิ๋น ประสานมือบอกกับเนี่ยลี่ และพูดต่ออีกว่า “ถ้ามี
ข่าวใดๆจากน้องชายเนี่ยลี่ สามารถแจ้งข้าได้ทุกเวลา สาหรับ
ศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนก้อนนั้น ข้าจะให้คนนาไปส่ง
กับเจ้าเอง”

“แน่นอน ถ้าหากว่าข้านั้นมีข่าวใด ๆ ข้าจะแจ้งให้ท่านทราบ


เป็นแน่” เนี่ยลี่พยักหน้าตอบ เขากับเนี่ยลี่นั้นได้มีข้อตกลง
พูดคุยกันเรื่องจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม จิตอสูรสาหรับหลี่ชิงอวิ๋นนั้นเป็น
เรื่องรอง เขาจักต้องทาจิตอสูรสาหรับหนิงเอ๋อก่อน

ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ กาลังแยกย้ายกัน
ออกไป พวกเขายังคงพูดคุยกันเกีย่ วกับเรื่องทีเกิดขึ้นในวันนี้

การแสดงออกของเนี่ยลี่ในวันนี้ นับว่าเป็นม้ามืดที่พุ่งทะยาน
ออกมา ดึงดูดความสนใจอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อ
ของเนี่ยลี่ ได้เป็นที่รู้จักในสามสานักใหญ่ไปแล้ว
มีเพียงแค่เหยียนหยางกับหมิงเยี่ย วู่ซวงเท่านั้น ที่สามารถ
สัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษร “กระบี่”
ของเนี่ยลี่ แต่ทว่าหลงเทียนหมิง กลับไม่อาจสัมผัสถึงมันได้
อย่างนั้นเหรอ? เรื่องนี้ก็ทาให้ทุกคนอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

เหยียนหยางชาเลืองมองเนี่ยลี่ ที่อยู่ในฝูงชนที่ห่างออกไป เขา


ละสายตาของเขาพร้อมกับถอนหายใจ “ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ที่
คนผู้นี้มไิ ด้อยู่ในสานักอัคคีของเรา และคนที่มี ความสามารถ
เช่นเขา กลับถูกละเลยในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าเขา
นั้นอยู่ในสานักอัคคี เขาจักต้องกลายมาเป็นหนึ่งในเสาหลักที่
แข็งแกร่งเป็นแน่”

“ศิษย์พี่เหยียนหยางไม่กังวลเหรอว่า เขาจะมาฉกชิงตาแหน่ง
ของท่านไป
?” ลูกศิษย์ของสานักอัคคีเอ่ยถามเขา

“ข้านั้นจะเป็นอะไรไป คนอย่างข้าเหยียนหยาง ข้านั้นมิเคย


เกรงกลัว ถ้าหากว่าใครบางคนที่มคี วามสามารถยิ่งกว่าข้าและ
นาความรุ่งเรืองมาสูส่ านักอัคคีได้ แม้ว่าข้าจะต้องยกตาแหน่ง
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งสานักอัคคี ให้ไป เหตุใดข้าถึงจะไม่ยอมหล่ะ
?” เหยียนหยางตอบกลับด้วยเสียงอันเบา ขณะที่สายตาของ
เขาจ้องไปออกไปไกลแสนไกล
บทที่ 318 มังกรปีกอินทรีทมิฬ 黑翼龙鹰

[黑翼龙鹰 อ่านว่า เห่ย หยี่ หลง ยิง แปลตามตัวอักษร


จะได้วา่ ดา ปีก มังกร อินทรี]

นอกจากเหยียนหยางแล้ว เหล่าอัจฉริยะ ของทั้งสามสานักใหญ่


ต่างจ้องมองดูเนี่ยลีเ่ ดินจากไป ไม่มีใครทราบว่าพวกเขาคิดสิ่ง
ใดอยู่

ศิษย์ของสามสานักใหญ่ต่างพูดคุยกันแลกเปลีย่ นกันก่อนที่จะ
แยกย้ายกันไป
เยี่ยเชียนนั้นต้องการที่จะทักทายเซี่ยวหนิงเอ่อ แต่นางก็เดินไป
กับเนี่ยลี่อย่างรวดเร็ว โดยทีไ่ ม่ได้ชาเลืองมองมาที่เขาแม้แต่
น้อย ใจของเขานั้นห่อเหี่ยวราวกับฤดูใบไม้ร่วง เดิมทีนั้นเขาก็
ยังรู้สึกดีทไี่ ด้เผชิญหน้ากับเนี่ยลี่ เขาคิดว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อจะได้
ตระหนักความจริงที่ว่า ใครคือคนที่เหมาะสมกับนาง
ในตอนนี้เยี่ยเชียนทาได้เพียงแค่ยมิ้ อย่างขมขื่นเท่านั้น ยังเหลือ
สิ่งใดอีกที่เขาจะสามารถแข่งกับเนีย่ ลี่ได้
“ศิษย์พี่เยี่ยเชียนคงจะไม่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงแค่นี้ ใช่
หรือไม่
? ” มู่หลงหยี่ พูดในขณะทีม่ องดูเยี่ยเชียนยิ้มด้วยความขมขื่น

“ข้ายังจะทาอะไรได้อีก” เยีย่ เชียน พูดหลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่


หนึ่ง

“ท่านกาลังประเมินค่าเจ้าเด็กนั่นสูงเกินไป ลองคิดดูสิ การบ่ม


เพาะพลังของเขานั้นยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์เลยด้วย
ซ้า ในตอนที่เขาเขียนอักษร เขาก็ไม่ได้ใช้วิถีแห่งเจตจานงค์เลย
แม้แต่น้อย ข้าเดาว่า เจ้าเด็กนั่นอาจจะได้รับตาราโบราณมาก
จากที่ไหนสักแห่ง ในตารานั้นจะต้องมีตัวอักษรที่เขียนโดย
ผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุด เจ้าเด็กนั่นคัดลอกมันมา จึงเป็นเรื่อง
ธรรมดาที่ตัวอักษรของเขา จึงได้บรรจุวิถีแห่งเจตจานงค์ตดิ มา
ด้วย” มู่หลงหยี่ พูดหลังจากที่ได้ขบคิดชั่วครู่

ในใจเยี่ยเชียนนั้นถึงกับสั่นไหว มันมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่
จะเป็นอย่างคาพูดของมู่หลงหยี่

“แล้วพวกเราควรทาเช่นใด
? ตราบเท่าที่เขายังอยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า ไม่มีทางที่พวกเรา
จะทาอะไรเขาได้!” เยี่ยเชียน พูด

“ก็จริงอยู่ที่ ภายในสถาบันวิญญาณฟ้า พวกเราไม่อาจที่จะทา


อะไรเขาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เชือ่ ข้าได้เลยว่าเขาจะต้องมุ่ง
หน้าออกไปสูโ่ ลกภายนอกเป็นแน่ เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าคงต้อง
ขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เยี่ยเชียนแล้ว ” มู่หลงหยี่ พูด ใน
ตอนที่อยู่ในโบราณสถานแห่งความสะพรึง มู่หลงหยี่ นั้นก็ได้ตั้ง
ตนเป็นศัตรูระหว่างเขากับเนีย่ ลี่แล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่อาจที่
จะถอนตัวได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเผชิญกับการแก้แค้นจาก
เนี่ยลี่ “และมันก็คงจะดียิ่งกว่านี้ ถ้าหากเราแย่งชิงตาราโบราณ
นั้นมาจากมือของเขาได้”

ถ้าหากเขาปล่อยให้เนี่ยลี่นั้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นจนประสบ
ผลสาเร็จได้ คงจะไม่มีที่ยืนให้เขาอีกในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
แห่งนี้
“ตราบเท่าที่เจ้าสามารถระบายความแค้นในใจของข้าได้ ข้าก็
ยินดีที่จะสนับสนุนเจ้าในโลกภายนอก
!” เยี่ยเชียนพูดหลังจากที่ขบคิดไปชั่วครู่ เขามีความสนใจไม่
น้อยเกี่ยวกับตาราโบราณทีม่ ู่หลงหยี่พูดถึง

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยเชียนแล้ว
!” มู่หลงหยี่ พูดพร้อมกับประสานมือขอบคุณ เยี่ยเชียนนั้น
สามารถที่จะระดมคนจากตระกูลเยี่ยได้ ด้วยความช่วยเหลือ
จากเขา การที่เนี่ยลี่จะเติบโตได้ในโลกภายนอกก็เป็นเพียงแค่
ความฝันเท่านั้น

ที่โลกภายนอกสาหรับเนี่ยลี่แล้วมันจะเป็นดินแดนแห่งความสิ้น
หวัง
!
แม้ว่าการชุมนุมนั้นจะได้จบลงไปแล้ว ลูกศิษย์หลายคนก็ยังคง
จับกลุ่มพูดคุยกันต่อ
เฉียนหลิง ได้เดินเข้ามาพร้อมกับยิม้ เล็กน้อย และพูดว่า “นาย
น้อยเยี่ยเชียน ดูเหมือนว่าหัวใจของศิษย์น้องหนิงเอ๋อนั้นจะถูก
ครอบครองไปแล้ว และข้าก็คงไม่อาจที่จะทาสิ่งใดได้ ”

เฉียนหลิงเองนางก็มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดใจ ทุกที่ ที่นางเดินผ่านจะ


ทิ้งกลิ่นหอมเย้ายวนไว้เสมอ

“แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านพี่เฉียนหลิงที่ได้
ช่วยเหลือ ” ก่อนหน้านี้เยี่ยเชียน เคยได้พูดคุยกับนาง เพื่อที่จะ
บอกเรื่องราวของตัวเขาต่อหน้าเซีย่ วหนิงเอ๋อ แต่ก็เหมือนว่าจะ
มิได้ประสพผลเช่นใดนัก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าผลที่ได้
กลับมาจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็ได้ทาไปทั้งหมดแล้ว
มู่หลงหยี่อดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูเยีย่ เชียน เขาไม่เคยคิดมาก่อน
เลยว่า เยี่ยเชียนจะรูส้ ึกดีกับเซี่ยวหนิงเอ๋อมากถึงเพียงนี้ ถ้า
เช่นนั้นก็มีหนทางที่จะใช้งานเขาอยู่มากมาย ยิ่งเยี่ยเชียนเป็น
กังวลต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อมากเท่าใด มู่หลงหยี่ก็หาวิธีที่จะใช้งาน
เขาได้มากเท่านั้น
ค่าคืนนี้ค่อย ๆ มืดลง

หลังจากที่กู้เบ่ยเอ่ยคาลากับเนี่ยลี่ เขาก็กลับไปที่ห้องพัก

ลู่เพียวและเซีย่ วซุ่ย ก็เข้าไปในห้องของลู่เพียว *ตึง* *ตัง* ค่อย


ๆมีเสียงดังมาจากห้องนั้น บางครั้งก็คั่นด้วยเสียงคร่าครวญ
และเจ็บปวด ใครจะรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น

เซี่ยวหนิงเอ๋อและเนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันพร้อมกับยิม้
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนก็เชื่อว่าเสียงดัง
อึกกระทึกครึกโคมจากการต่อสู้กัน แต่ลู่เพียวมักจะยินยอมที่
จะยอมจานนต่อเซี่ยวซุ่ยอยู่ฝา่ ยเดียว ไม่ได้มีกระจิตกระใจจะ
ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อเข้ามาในห้องพักของเนี่ยลี่ นางมองไปรอบๆ
ด้วยความงุนงงเล็กน้อย หลังจากที่เข้ามายังนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ เนี่ยลี่ก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ในห้องนี้ ทั่วทั้งห้องล้วนเต็มไป
ด้วยกลิ่นอายของเขา ที่นางคุ้นเคย

“เซี่ยวหยูไ่ ด้เช่าลานที่พักตรงนี้เอาไว้ ลู่เพียวกับข้า ก็แค่ได้รับ


อนุญาติจากเขา ข้าเองไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยวหยู่นั้นอยู่ทไี่ หน
ในตอนนี้ เขาออกไปตั้งแต่เช้าวันนีแ้ ละก็ยังมิได้กลับมาเลย”
เนี่ยลีต่ อบพร้อมกับยิม้ เมื่อเขานั้นได้อยู่กับเซี่ยวหนิงเอ๋อ เขา
นั้นรู้สึกสบายใจยิ่งนัก

เนี่ยลี่กาลังเตรียมที่จะทาการหลอมรวม จิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าสาหรับเซีย่ วหนิงเอ๋อ

มีฉากกั้นตั้งอยู่ตรงกลางห้องและด้านหลังฉากมีอ่างอาบน้า
ขนาดใหญ่อยู่ นี่จักต้องเป็นที่ ที่เนีย่ ลี่อาบน้าอยู่ทุกทีเป็นแน่
หลังจากที่หนิงเอ๋อคิดเช่นนั้นหน้าของนางก็เริ่มเป็นสีแดงทีละ
นิด
เมื่อเขาเห็นเซี่ยวหนิงเอ่อมองไปที่อ่างอาบน้าที่ทาจากไม้
ความคิดที่ต่างออกไปก็เข้ามาในหัวของเนี่ยลี่ นางต้องเดินทาง
มาไกลกว่าที่จะมาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเหน็ดเหนื่อย
จากการเดินทาง และอาจจะยังไม่ได้อาบน้า เนีย่ ลี่จึงพูดขึ้นมา
ว่า “ทาไมไม่ให้ข้าออกไปก่อน เพือ่ ที่เจ้าจะได้อาบน้าหล่ะ”

“มะ..ไม่จาเป็นต้อง...” เซี่ยวหนิงเอ๋อโบกมือปฏิเสธ นางนั้น


ไม่ได้มีเวลามากมายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนางจึง
ต้องการที่จะอยู่กับเนีย่ ลี่ให้นานทีส่ ุด เท่าที่เป็นไปได้ นางกลัว
ว่าเขาจะหายตัวไปอีก หลังจากที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็พูด
ขึ้นมาว่า “เหตุใดจึงไม่ให้ข้าอาบน้าตรงนี้ ในเมื่อมีฉากกั้นเอาไว้
อยู่แล้ว มันก็คงจะไม่เป็นอะไรถ้าหากเจ้านั้นมิได้แอบมอง และ
เราก็ยังคุยกันไปพร้อมกันได้อีกด้วย” หลังจากที่นางพูดจบ
ใบหน้าของนางถึงกับร้อนผ่าว
แม้ว่าจะมีฉากกั้นพวกเขาเอาไว้กต็ าม แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในห้อง
เดียวกัน ดังนั้นหัวใจของเซี่ยวหนิงเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเต้นโครม
คราม หลังจากที่นางได้จดจาคาทีเ่ ซี่ยวซุ่ยคอยกระซิบข้างหูนาง
ว่า นางจักต้องรวบรวมความกล้าของนางให้มากกว่านี้
หลังจากที่คิดเรื่องนั้น เนี่ยลีจ่ าเป็นที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยใน
การหลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโต ใน
ระดับกระเจ้า การปรับแต่งมันทีส่ วนหน้าบ้านก็ดูเหมือนว่าจะ
เป็นการเสี่ยงมากเกินไป มันอาจจะเป็นการก่อปัญหาให้แก่เขา
ก็เป็นได้ เนีย่ ลี่จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ตกลง!”
เนี่ยลี่หยิบเอาหม้อสูรฝันร้ายออกมาแล้วทาการเริม่ หลอมรวม
จิตอสูร

เนี่ยลี่นั้นเริ่มที่จะยุ่งแล้ว และดูเหมือว่าเขาจะมุ่งเน้นความสนใจ
ไปที่สิ่งที่เขาทา เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงกับกระทืบเท้าของนาง ในที่สุด
นางก็มาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ดว้ ยความยากลาบาก แต่เนี่ยลี่
กลับยุ่งอยู่กับสิ่งที่เขาทาอยูเ่ ท่านั้น

เซี่ยวหนิงเอ๋อเองก็ยุ่งอยู่กับการตักน้าใส่ลงไปในอ่างอาบน้าที่
ทาจากไม้ นางต้องการที่จะให้เนีย่ ลี่แอบมองสักเล็กน้อย ในใจ
ของนางเต้นโครมครามขณะทีเ่ ดินไปหลังฉากกั้น และค่อย ๆ
ถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นไหล่ที่เรียบลื่น
และรูปร่างที่น่าอัศจรรย์
ผิวของนางนั้นเป็นประกายราวกับหยก ร่างกายและสัดส่วนที่ดู
กระชับ และเท้าที่ดูราวกับหยกนัน้ ก็ดูงดงามยิ่งนัก ราวกับว่า
เป็นผลงานชิ้นเอกที่ถูกรังสรรค์มาโดยเทพเจ้าเลยทีเดียว

นางค่อย ๆ ก้าว ลงไปในอ่างอาบน้าที่ทาจากไม้


“หนิงเอ๋อ...” เนี่ยลี่หันความสนใจกลับมาหลังจากที่ชาเลือง
มองที่ฉากกั้น ที่ฉากกั้นนั้นสว่างไปด้วยแสงจากเทียน ถึงแม้ว่า
จะกั้นอยู่แต่เขาก็มองเห็นรูปร่างอันยั่วยวนของเซี่ยวหนิงเอ๋ออ
ย่างลางๆ เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะถูจมูก ในห้องของเขานั้นเริ่มที่จะ
เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของหญิงสาว

เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้น นางไม่รู้เลยว่าเนีย่ ลี่ นั้นกาลังมองมาที่นาง


ขณะที่นางค่อย ๆ เดินไปยังอ่างอาบน้าที่ทาจากไม้ หลังจากที่
ได้พูดกับเนี่ยลีจ่ ึงเริ่มที่จะทาการชาระล้างร่างกาย

เนี่ยลีล่ ะสายตาออกมา แต่ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขากลับมามุ่ง


ความสนใจของเขาไปที่หม้ออสูรฝันร้าย และทาการใส่จิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ระดับธรรมดาลงไป “หนิ
งเอ๋อ การบ่มเพาะพลังของเจ้าด้วย เทคนิคการบ่มเพาะ [มังกร
อัสนี] นั้นไปถึงไหนแล้ว”

“เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกรอัสนี]ของข้านั้น สามารถก่อรูป
อัสนี ในขอบเขตวิญญาณข้าได้แล้ว” เซี่ยวหนิงเอ๋อตอบกลับ
ด้วยเสียงที่ชัดเจนหลังฉากกั้นนั้น
“ทุกๆขั้นของการบ่มเพาะพลังด้วย เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกร
อัสนี] ทาให้เกิดการบ่มเพาะเพิ่มขึน้ สามระดับ หลังจากที่ข้านั้น
เข้ามาอยู่ในขอบเขตชะตาสวรรค์ ขั้นที่สอง ข้าก็ได้ปลุกพลัง
อัสนี หลังจากที่ได้ก่อรูปอัสนีแล้ว ข้าก็บรรลุถึงระดับชะตา
สวรรค์ขั้นที่ห้า”

เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินคาพูดของเซี่ยวห
นิงเอ๋อ เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกรอัสนี] นั้นมีประสิทธิภาพยิ่ง
นัก และช่วยให้การบ่มเพาะพลังนั้นก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก มันจึง
ทาให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังนั้นสูงจนน่ากลัว เนี่ยลี่เอง
นั้นจาเป็นที่จะต้องรีบยิ่งขึ้นและฝึกฝนอย่างหนักเพื่อการบ่ม
เพาะพลังของเขา
“เมื่อเจ้านั้นได้บรรลุถึงระดับ ห้าชะตา เจ้าได้ออกไปสารวจโลก
ภายนอกบ้างหรือไม่
? ” เนี่ยลี่สอบถาม การออกไปสู่โลกภายนอกนั้นการฝึกฝนนั้น
ก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก นับเป็นหนทางหนึ่งในการบ่มเพาะพลัง
ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็มักจะปรากฏอยู่ที่โลก
ภายนอกเช่นกัน

“ข้านั้นได้ออกไปยังโลกภายนอกแค่ครั้งเดียว ข้าสังหารอสูร
วิญญาณที่มีสายเลือดมังกรไปสามตน นอกจากนี้ก็ไปเก็บ
รวบรวมสมุนไพร แต่ข้าก็ไม่กล้าทีจ่ ะออกไปที่ไกลๆด้วยตัวคน
เดียว”
ด้วยนิสัยของเซีย่ วหนิงเอ๋อนั้น นางอาจจะไม่ค่อยชอบในการออ
กล่ากันเป็นกลุ่ม การออกล่าเป็นกลุ่มนั้นมักจะมีความวุ่นวาย
แต่ด้วยตัวคนเดียว นางก็ไม่อาจทีจ่ ะไปยังทีไ่ กลๆได้
ในโลกภายนอกที่หา่ งไกลนั้นเป็นดินแดนลึกลับ แม้แต่ยอดฝีมือ
ระดับเทพสงคราม ยังสารวจได้แค่เพียงส่วนเดียว และถ้าหาก
ไม่ได้เป็นเพราะความจริงที่ว่า เราสามารถที่จะมีชีวิตได้หลาย
ครั้งถ้าหากบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ คงไม่มีผู้ใดที่จะกล้า
ออกไปสารวจในที่ห่างไกลเป็นแน่

สานักต่าง ๆนั้นสามารถควบคุมได้เพียงแค่พื้นที่โดยรอบของ
สานักเท่านั้น ในโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ มีอสูรวิญญาณ
สายเลือดมังกรที่แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน และยังมีสัตว์อสูรที่มี
สายเลือดโบราณอันแข็งแกร่งอยู่ดว้ ยเช่นกัน แม้ว่าจะมีร่างทรง
อสูรจานวนมาก หรือแม้แต่ยอดฝีมือขั้นสูงสุดของสานักต่าง ๆ
ก็ยังไม่อาจที่จะแตะต้องมันได้

ถ้าหากสานักใหญ่ทั้งหลาย มิได้วางกับดักค่ายกลสาหรับ
ป้องกันเอาไว้ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจานวนมาก ที่มีสายเลือด
โบราณ ก็สามารถที่จะทาลายสานักให้ย่อยยับได้อย่างง่ายดาย

แต่ถึงอย่างไร ผู้คนมากมายต่างก็มงุ่ หน้าสู่โลกภายนอกสักครั้ง


หลังจากที่พวกเขาได้ฝึกฝนจนบรรลุระดับชะตาสวรรค์ ยิ่งไป
กว่านั้นพวกเขายังสามารถที่จะสร้างกองกาลังของตนเองได้ใน
โลกภายนอก ตามกฏของสานักต่าง ๆ มีเพียงเฉพาะเหล่าคน
หนุ่มรุ่นใหม่ทสี่ ามารถสร้างกองกาลังที่มีขนาดใหญ่เพียง
พอที่จะอยูโ่ ลกภายนอก จึงจะได้รบั สิทธิ์ในการต่อสู้เพื่อชิง
ตาแหน่งผูส้ ิบทอดของสานักได้

เมื่อหลาย ๆตระกูลได้ทาการคัดเลือกผู้นาตระกูลของพวกเขา
พวกเขาก็จักต้องคานึงถึงความสามารถในการสร้างกองกาลัง
ของตัวเองได้ ดั่งดอกไม้ในเรือนกระจกไม่อาจที่จะเป็นผู้สบื
ทอดของตระกูลได้ [ดอกไม้ในเรือนกระจก : สานวนจีน
หมายถึงคนอ่อนแอ และเปราะบาง]

“ข้าเข้าใจ” เนี่ยลี่ ก็ตระหนักดีถึงนิสัยของเซี่ยวหนิงเอ๋อ นาง


ชอบที่จะอยู่คนเดียว การที่จะให้นางเข้าร่วมกลุม่ นักล่านั้นเป็น
เรื่องที่ไม่ง่ายนัก ไม่ต้องพูดถึงการจัดตั้งกองกาลังของนางเอง
ดังนั้นเนี่ยลี่จึงไม่ได้บอกกับเซีย่ วหนิงเอ๋อถึงสิ่งที่เขาได้ตดั สินใจ
ไป นางจาเป็นที่จะต้องบ่มเพาะพลังต่อไป ในฐานะที่เป็นหนึ่ง
ในกองกาลัง เขาสามารถที่จะควบคุมทุกอย่างได้ตามลาพัง
หลังจากที่ได้ทาการหลอมจิตอสูรอย่างต่อเนื่อง และใช้จิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับธรรมดาไปจนหมด
เนี่ยลี่กส็ ามารถที่จะสร้าง จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการ
เติบโตในระดับพระเจ้าได้สาเร็จ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่มันมิได้
กลายพันธุ์ มันก็คือ มังกรปีกอินทรีทมิฬ ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก
มันไม่อาจที่จะเข้ากันได้อย่างมากกับการบ่มเพาะพลังที่เซี่ยวห
นิงเอ๋อใช้อยู่

“ตอนนี้จิตอสูรที่เจ้าผสานร่างอยู่เป็นชนิดใดกัน
? ยังคงเป็นนกกระจอกสายฟ้าสวรรค์อยูไ่ หม? ” เนี่ยลี่เอ่ยถาม

“ข้านั้นได้ผสานกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์ ส่วนนกกระจอกสายฟ้าสวรรค์ทเี่ จ้าได้มอบ
ให้ข้านั้น ข้าได้นาไปหลอมรวมเข้ากับกระบี่วายุอสั นี ” เซี่ยวห
นิงเอ๋อตอบพร้อมกับเม้มริมฝีปากเล้กน้อย นางจะทิ้ง
นกกระจอกสายฟ้าสวรรค์ที่เนีย่ ลีไ่ ด้มอบให้นางได้อย่างไร ?
เนี่ยลีไ่ ม่คาดหวังเลยว่าเซีย่ วหนิงเอ๋อจะได้รับจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ รวมไปถึงกระบี่วายุ
อัสนีด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าสานักเสียงสวรรค์ จะดูแลศิษย์ของ
เขาเป็นอย่างดี

การต่อสูภ้ ายในนิกายขนนกศักดิ์สทิ ธิ์ นั้นนับว่ามีความรุนแรง


มาก ซึ่งแตกต่างจากสานักเสียงสวรรค์ นอกจากนั้นพวกเขายัง
ครอบครองทรัพยากรมากกว่านิกายขนนกศักด์สิทธิ์ยิ่งนัก
บทที่ 319 ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น天云神尊

เนี่ยลี่ยังคงพูดคุยกับเซี่ยวหนิงเอ๋อ และคุยกันเกีย่ วกับ


ความก้าวหน้าของเอียจื้ออวิ้น

เป็นที่ชัดเจนว่า เอียจื้ออวิ้น นั้นมีสายเลือดที่มีความสอดคล้อง


กัน ดังนั้นนางจึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปยังพื้นที่ฝึกฝนแห่ง
ความลับของสานักเสียงสวรรค์ การบ่มเพาะพลังของนางนั้น
เหนือล้ายิ่งกว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อเสียอีก

เอียจื้ออวิ้นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ทั้งสองคนมีความสามารถอย่าง
น่ากลัว พวกนางนั้นได้เป็นทีร่ ู้จักในนามของ ฝาแฝดราศีเมถุน
ในกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

เนี่ยลีร่ ู้สึกมั่นใจยิ่งนัก ตอนนี้เขารูแ้ ล้วว่า จื้ออวิ้นกับหนิงเอ๋อ มี


ความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี สาหรับการต่อสูเ้ พื่อแย่งชิงอานาจนั้น
เนี่ยลีไ่ ม่ต้องการให้พวกนางไปพัวพันกับมัน
เมื่อมองผ่านฉากกั้น เซี่ยวหนิงเอ๋อมองเป็นภาพลางๆ และ
รูปร่างอันคุ้นเคย อย่างไรก็ตามทุกๆครั้งที่นางมองเขานางก็จะ
รู้สึกสงบ แม้ว่านางจักต้องพลีกายให้กับเนี่ยลี่ นางก็จักไม่คร่า
คราญเสียใจภายหลังเป็นแน่

“เนี่ยลี่ เจ้าได้เตรียมพร้อมที่จะออกไปยังโลกภายนอกแล้ว
หรือไม่?” เซี่ยวหนิงเอ๋อเอ่ยถาม

“เรื่องนั้น แน่นอนอยู่แล้ว” สายตาของเนี่ยลี่นั้นมองออกไป


อย่างไร้จดุ หมาย แต่เขาก็ยังคงยิ้มและพูดต่อไปว่า “ในตอนนี้
ข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสูร่ ะดับชะตาสวรรค์ ข้าต้องการที่จะบรรลุ
อย่างน้อยในระดับ 2 ชะตา สาหรับการออกไปยังโลกภายนอก
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วข้าก็ไม่รู้ว่า จักต้องตายสักกี่ครั้ง ”

“อืม” เซี่ยวหนิงเอ๋อพยักหน้าเห็นด้วย นางนั้นมิได้กังกล


เกี่ยวกับเนี่ยลี่สักเท่าใดนัก เพราะเขามักจะมีการวางแผนไว้
ล่วงหน้าก่อนจะทาอะไรเสมอ เขามีพลังบางอย่างที่จะช่วยให้
ทุกคนคลายกังวลได้
เนี่ยลี่ยังคงทาการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป โชคดีที่ กู้เบ่ยนั้นหา
จิตอสูรมาได้มากพอ ด้วยเหตุนั้นเนี่ยลี่ จึงสามารถทาการ
หลอมรวมพวกมันได้อย่างไม่ขาดตอน

เขาสามารถหลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการ
เติบโต ในระดับพระเจ้าได้เป็นตัวที่สอง นับตั้งแต่ที่เขาใช้
พลังงานสวรรค์ ในการบังคับการผสานหลอมรวมจิตอสูร
เมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ทาการหลอมรวมจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า เขาก็จะใช้
พลังงานสวรรค์ในร่างกายของเขา ข่มมันเอาไว้

การหลอมรวมครั้งที่สองได้สาเร็จแล้ว แต่มันก็มไิ ด้มีคุณสมบัติ


แห่ง วายุอัสนี แต่ก็มสี ายฟ้าที่บริสทุ ธิ์ เป็นวิหคอัสนีสีชาด
ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้มันยังกลายพันธุ์อีกด้วย ดังนั้นมันจึงเข้า
กันได้ดีกับหนิงเอ๋อ
ส่วนมังกรปีกอินทรีทมิฬ ที่หลอมรวมมาได้ก่อนหน้านี้สามารถ
ที่จะมอบให้กับเซี่ยวซุ่ยได้ อย่างไรก็ตามเนี่ยลี่ ยังคงต้องการที่
จะหลอมรวมให้ได้มากกว่านี้อีกสักตัวสาหรับเอียจื้ออวิ้น และ
ส่งให้เซี่ยวหนิงเอ๋อนาไปมอบให้แก่นาง

หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยวหนิงเอ๋อก็ก้าวออกมาจากอ่างอาบน้าที่
ทาจากไม้ จากนั้นก็ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าก่อนที่จะเดินออกมา

เนี่ยลี่เงยหน้าขึ้น และเหลือบมองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อ และรู้สึก


ตกตะลึงไปชั่วขณะ ผมของนางนัน้ ยังคงเปียกอยู่ และยังมีหยด
น้าอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงผิวสีชมพูที่ผ้าไม่อาจจะคลุมได้มิด
รูปร่างอันยั่วยวนของนางยังพอจะมองเห็นได้ลางๆ ด้วยไหล่ที่
ดูงดงามรวมไปถึงขาที่เรียวสวยของนาง เนี่ยลี่นั้นมิอาจที่จะละ
สายตาได้เลย

สุดท้ายแล้ว หลังจากที่จ้องมองเซีย่ วหนิงเอ๋อ เนี่ยลี่ก็ค่อย ๆ


หันสายตาออกไปอย่างช้า ๆ
ใบหน้าของเซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็กลายเป็นสีแดงเล็กน้อยขณะที่นาง
พยายามจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน นาง
ก็รู้สึกอายที่จะพูดไปจึงเก็บคาพูดนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นนางก็
สวมชุดฝึกสีขาวและถอนหายใจเบา ๆ จ้องมองไปยังเนี่ยลี่ นาง
นั้นไม่อาจที่จะรวบรวมความกล้าได้แม้แต่น้อย

เนี่ยลี่เอง ก็พยายามที่จะเปลี่ยนเรือ่ งคุยเพื่อที่จะคลายความอึด


อัดนี้ “หนิงเอ๋อ ข้านั้นได้หลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มี
ระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าสาหรับเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้า
ควรที่จะผสานกับมันก่อน”

“อืม” เซี่ยวหนิงเอ๋อเดินมาที่ข้างๆเนี่ยลี่ แม้ว่าใบหน้าของนาง


นั้นยังคงร้อนผ่าวอยู่

หลังจากที่รับจิตอสูรมาจากเนี่ยลี่ นางก็หลับตาลงและเริ่มทา
การผสานเข้ากับจิตอสูร นางสัมผัสได้ถึง จิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่อยู่ใน ศิลาจิตอสูรได้
เมื่อมองดูเซีย่ วหนิงเอ๋อในชุดฝึก รัดรูปสีขาวนั้น นางช่างดู
บริสุทธิ์ และมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทาไมเนีย่ ลี่นั้นจะไม่รู้ว่าในตอนนี้ห
นิงเอ๋อกาลังคิดสิ่งใด? แต่ตอนนี้ยงั ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ขนตาของเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นขยับ นางรู้สึกเขินอายเมื่อรู้ว่าเนี่ยลี่
กาลังจ้องมองนางอยู่ ในเวลาต่อมา นางลืมตาขึ้นมา มองดูเนี่ย
ลี่ด้วยดวงตาที่สดใสของนาง และพูดด้วยน้าเสียงที่เอียงอายว่า
“เนี่ยลี่ถ้าเจ้ายังจ้องมองข้าอยู่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจที่จะสงบใจได้
มากพอ ที่จะผสานกับจิตอสูรหรอกนะ ”

เนี่ยลี่ยักไหล่เขายิม้ แล้วก็พูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้านั้นถูก


ยั่วยวน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทาเช่นใดจึงจะหยุดมองได้?”

หลังคาพูดของเนี่ยลี่ เซี่ยวหนิงเอ๋อก็เขินอายจนแทบที่จะเอา
หน้ามุดลงไปร่องอก แม้ว่านางนั้นจะรู้ดีว่าเนี่ยลี่ นั้นแค่เพียงพูด
ล้อเล่นเท่านั้น แต่นางก็อดไม่ได้ทจี่ ะบุ้ยปาก เนี่ยลีล่ ้อเล่นแรง
เกินไปแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยวหนิงเอ๋อ เนีย่ ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยิม้ “เจ้า
ควรที่จะผสานเข้ากับจิตอสูรต่อได้แล้วนะ”

ในตอนที่เซี่ยวหนิงเอ๋อกาลังผสานเข้ากับจิตอสูร วิหคอัสนีสี
ชาดศักดิ์สิทธิ์ เนี่ยลี่ก็เริ่มที่จะทาการหลอมรวมจิตอสูร
สาหรับเอียจื้ออวิ้น
ค่าคืนก็ค่อยๆมืดลงไปเรื่อย ๆ

ณ ตาหนักเมฆาสวรรค์ ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์

ผู้อาวุโสทีม่ ีผมสีขาวโพลนนั่งอยู่อย่างเงียบๆที่นั่น เขามีรูปร่าง


ผอม แต่ก็เต็มไปด้วยลักษณะของผู้มีภมู ิปัญญา รอบๆตัวเขา
นั้นมีแสงไฟห้าสีโคจรอยูร่ อบ ๆกายเขา ในขณะที่เขาแผ่พลังที่
อ่อนโยนออกมาราวกับความอบอุ่นของยามแรกอรุณ

“ท่านอาจารย์” อาจารย์ชิหลิง โค้งคานับเล็กน้อยต่อผู้อาวุโส


ผู้อาวุโสท่านนีเ้ ป็นอาจารย์ ของอาจารย์ชิหลิง และเป็นหนึ่งใน
ห้าของเสาหลัก ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น อะไรคือสิ่งที่แตกต่างออกไปของ ปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น ก็คือเขาไม่ค่อยที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้ของนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ และวางตัวเป็นกลางอยู่เสมอ
เขานั้นจงรักภักดีต่อผู้นานิกายเท่านั้น และมักจะสนับสนุนใคร
ก็ตามที่มานั่งในตาแหน่งนี้ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น นั้นมิได้มีกอง
กาลังใดๆของตนเอง เขามีเพียงลูกศิษย์ลูกหาจานวนสามสิบหก
คน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่กไ็ ม่มผี ู้ใดที่จะกล้าดูถูกดูแคลนเขา
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นลืมตาขึ้นมา มองดูอาจารย์ชิหลิง และพูด
ว่า “ลูกศิษย์เอ๋ย เหตุใดจึงได้มาจ้องข้าเช่นนั้น?”
อาจารย์ชิหลิงยิม้ อย่างขมขื่น พร้อมกับตอบไปว่า “หาไม่มีสิ่งใด
สาคัญไม่ เมื่อเร็วๆนี้ ในหมู่นักเรียนใหม่ มีอยู่หลายครั้งที่เขาได้
แสดงความสามารถที่ดีเยี่ยม
หนึ่งในคุณสมบัติของเขาคือ มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด และ
ยังมีความสามรถด้านอื่นอีกมาก แม้แต่ข้านั้น ก็ไม่อาจที่จะบอก
ได้ว่า เทคนิคการบ่มเพาะพลังของเขาคือแบบใดกัน”

“โอ้?” เรื่องนั้นทาให้ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นรู้สึกสนใจเล็กน้อย


“นอกไปจากนั้นแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่เกีย่ วข้องกับเขาในช่วง
การชุมนุมที่ผ่านมาของลูกศิษย์จากสามสานักใหญ่ ส่วนหนึ่ง
ของงานที่เขาแสดงความโดดเด่นออกมา โดยการบรรจุ
เจตจานงค์ของตนเองลงไปในศิลปะสี่แขนง เหยียนหยางจาก
สานักอัคคี หมิงเยีย่ วู่ซวงจากสานักเสียงสวรรค์
และหลงเทียนหมิงจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขา
ทั้งหมดได้แสดงทักษะของพวกเขา นักเรียนผู้นไี้ ด้ออกไปแสดง
ทักษะของเขาหลังจากที่สามคนนัน้ ได้แสดงฝีมือออกไป ด้วย
การเขียนตัวอักษร
ซึ่งเป็นถ้อยคาที่ลาลึ
้ กยิ่งนัก เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้อง
โถงด้านข้างนั้นรวมไปถึงหลงเทียนหมิง ไม่อาจที่จะเข้าใจความ
ล้าลึกของตัวอักษรนั้นได้ และคิดว่าเป็นเพียงการเขียนอักษร
ธรรมดาเท่านั้น มีเพียงเหยียนหยางและหมิงเยีย่ วู่ซวงเท่านั้น
ที่สามารถเข้าใจมันได้ และยอมรับความพ่ายแพ้ ”

ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ได้คดิ เกี่ยวกับข่าวที่ได้รับจากอาจารย์ชิห


ลิงนามาแจ้ง ตัวอักษรอะไรกันที่นกั เรียนผู้นั้นเขียนขึ้นมา จึงทา
ให้เหยียนหยางและหมิงเยี่ย วู่ซวงถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ได้
เหยียนหยางและหมิงเยี่ย วู่ซวง ทัง้ คู่นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ซึ่ง
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นนั้นก็ทราบดี พวกเขาทั้งคู่นั้นเป็นที่รู้จัก
และโดดเด่นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ของสานักอัคคี สานักเสียง
สวรรค์และนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ โดยเฉพาะเหยียนหยาง เขา
นั้นมีพรสวรรค์สูงที่สุดในสานักอัคคี ที่เรียกได้ว่าร้อยปีจะพบ
เห็นได้สักคนเสียด้วยซ้า

“เขามาจากตระกูลใดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเอ่ยถาม ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นนั้นมิได้มี
ส่วนร่วมใดๆในกิจกรรมภายในของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เพราะข้อพิพาทภายในเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป ทั้งตระกูลกู้
และตระกูลผนึกมังกร ต่างก็ต้องการที่จะควบคุมนิกาย ทาให้ไม่
อาจที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ในขณะที่ตระกูลเถ้าอัคคี

แม้ว่าพวกเขาจะยังคงเงียบสงบอยู่ แต่พวกเขาจักต้องมีแผน
ของตนเองอยู่เป็นแน่ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ทาได้เพียงแค่เฝ้า
มองนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เพราะไม่อาจที่จะทาอะไรได้
มากกว่านั้น เขารูส้ ึกละอายใจยิ่งนัก โดยไม่คานึงว่าเนี่ยลี่นั้นอยู่
ในตระกูลใด เขาจักต้องกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการต่อสู้เป็น
แน่

“เด็กคนนั้นมาจากโลกใบเล็ก และยังมิได้เข้าร่วมกองกาลังใดๆ
ในตอนนี้ นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศไว้อีกว่า ก่อนที่จะจบ
การศึกษาจากสถาบันวิญญาณฟ้า เขาจะไม่เข้าร่วมกองกาลัง
ใดๆ

แต่ถึงอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักษาคาพูดนี้ได้นานสัก
เท่าใด” อาจารย์ชิหลิงตอบ เขานัน้ ตระหนักถึงนิสัยใจคอของ
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงบอกทุกสิ่งทีเขารู้
เกี่ยวกับเนี่ยลี่ ปรมาจารย์เทียนอวิน๋ มักจะให้ความใส่ใจเป็น
พิเศษกับผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เข้าร่วมกับตระกูลใด

“โอ้ โลกใบเล็กงั้นเหรอ?” ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น รูส้ ึกใจสั่น


ไหว ในตอนที่เขาได้ยินว่าโลกใบเล็ก เขานั้นได้คดิ ถึงใครบางคน
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมื่อเขานั้นมิได้เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับตระกูลใดๆ เขาจัก
ต้องได้รับแรงกดดันมิใช่น้อย ส่งคาทักทายของข้าไปให้กับ
ตระกูลหลักทั้งสาม และบอกกับพวกเขาว่าข้ากาลังจับตาดูเด็ก
คนนี้อยู่ และต่อจากนี้ไปห้ามให้พวกเขาไปรบกวนเด็กคนนี้อีก
ด้วยวิธีการเช่นนี้จะทาให้เด็กคนนัน้ รุดหน้าไปได้มากข้าจะจับ
ตาดูเขาเอง”

“ครับ!” อาจารย์ชิหลิง ตอบกลับด้วยความเคารพ

แม้ว่าปรมาจารย์เทียนอวิ๋น จะมิได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในห้าเสาหลัก ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นบั ตั้งแต่ที่เขาประกาศตัวว่า
เป็นกลางนั้น ทั้งสามตระกูลนั้นก็ยงั คงไว้หน้าเขาอยู่ เพราะถึง
อย่างไรก็ไม่มีใครที่คิดจะยั่วยุกับผูม้ ีอานาจเป็นแน่

ในตอนที่อาจารย์ชิหลิง กาลังเอ่ยลานั้น ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นก็


พูดขึ้นมาว่า “นอกจากนี้ จงไปหาเขาและนาตัวอักษรของเขา
มาให้ข้า ข้าอยากจะลองดูว่ามีสิ่งที่ล้าลึกใดอยู่ในตัวอักษรจริงห
มือไม่! ”
แม้แต่ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ก็ยังให้ความสนใจเนี่ยลีเ่ ช่นนั้น
หรือ?

อาจารย์ชิหลิง รูส้ ึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร


ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ก็เป็นถึงยอดฝีมือระดับเทพ
สงคราม แม้แต่เขายังให้ความสนใจกับตัวอักษรของเนี่ยลี่ ซึ่ง
จุดนี้เขาจึงต้องไปขอให้เนีย่ ลี่คดั ลอกไปให้แก่ปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น

“ได้ครับ ท่านอาจารย์” อาจารย์ชิหลิง โค้งคานับและเดินจาก


ไป

ค่าคืนได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และรุ่งอรุณของวันใหม่ก็มาถึง

เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อเดินออกมาจากห้องพัก เซี่ยวหนิงเอ๋อ
นั้นได้ทาการผสานเข้ากับจิตอสูรเรียบร้อยแล้ว และสัมผัสได้ถึง
พลังใหม่ที่แฝงอยู่ในจิตอสูรได้ จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับ
การเติบโตในระดับพระเจ้า ไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ถึงความ
แข็งแกร่งของมัน

ลู่เพียว ออกมาจากห้องพักของเขา เมื่อได้เห็นเนีย่ ลี่ เขาวิ่งมา


หาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตืน่ เต้น เสียงของเขานั้นสั่น
สะท้าน “เนี่ยลี่ เซี่ยวซุย่ นาง...”

“เกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยวซุย่ ?” เนี่ยลี่จ้องมองลู่เพียวขณะที่เขา
ถาม และเขาสังเกตุถึงรอยฟกช้าบนใบหน้าของลู่เพียว แม้ว่า
มันจะถูกทายามาแล้วบ้าง แต่รอยช้าก็ยังไม่ค่อยหายไปสัก
เท่าใด

“เซี่ยวซุ่ย ให้ข้านั้นสัมผัส...” ลู่เพียวนั้นดูตื่นเต้นยิ่งนักตอนที่


เห็นหน้าของลู่เพียว ใบหน้าของเซีย่ วหนิงเอ๋อก็เริ่มที่จะมีสแี ดง
เล็กน้อย
“สัมผัสอะไร ถ้าหากว่าเจ้าได้สมั ผัส แล้วสิ่งที่เจ้านั้นได้สัมผัสห
ล่ะ! ” เนี่ยลี่ยิ้มอย่างขมขื่น นี่เป็นความตื่นเต้นจากการแค่ได้
สัมผัสเช่นนั้นหรือ?

ลู่เพียว รูส้ ึกว่าจะเขินอายเล็กน้อย กับความสุขที่ปรากฏอยู่บน


ใบหน้าของเขา “ในที่สุดนางก็ยอมอนุญาตให้ข้านั้นได้สัมผัสกับ
มือของนางแล้ว”

หลังจากที่ได้ยินคาพูดของลูเ่ พียว ตาของเนี่ยลี่ก็ขยายขึ้นใน


ขณะที่จ้องมองลู่เพียว ลู่เพียวรีบวิง่ มาหาเขาด้วยความตื่นเต้น
เพียงแค่จะบอกกับเขาว่า เซี่ยวซุ่ยนั้นอนุญาตให้เขาสามารถ
สัมผัสมือของนางได้เท่านั้นเหรอ? เนี่ยลีต่ บไปบนหัวของลูเ่ พียว
พร้อมกับตาหนิว่า “งี่เง่า เรื่องแค่นั้นมันน่าตื่นเต้นตรงไหนกัน?
มันก็แค่การจับมือ!”

เซี่ยวหนิงเอ๋อ อดไม่ได้ที่จะปิดปากของนางและยิ้มหลังจากที่ได้
ยินคาพูดของเนี่ยลี่
เนี่ยลี่เอาแขนไปโอบคอลู่เพียวและกระซิบข้างหูของเขา

“จริงเหรอ?” ดวงตาของลู่เพียวเบิกโพลงขึ้นขณะที่เขามองไป
ยังเนี่ยลี่ “นี่ไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม!”

เนี่ยลี่พยักหน้าตอบ ด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน ข้ามิได้หลอก


เจ้าแน่”

ลู่เพียวพังเลอยูค่ รู่หนึ่ง เขาเดินกลับไปพร้อมทาหน้าอย่าง


จริงจัง เขาแสดงท่าทางออกมาราวกับว่ากาลังจะเดินไปสู่
ความตาย ขณะที่เขากาลังเดินกลับไปที่ห้องพักของเขา ที่เซี่ยว
ซุ่ยนั้นนอนพักอยู่
บทที่ 320 เต็มไปด้วยความจริงใจ

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโอดครวญและกรีดร้องของลู่เพียว ก็
ดังมาจากห้องพักของเขา ตามมาด้วยเสียงดุด่าของเซีย่ วซุ่ย ที่
ต่อว่าลู่เพียวที่ทาสัปดน แล้วก็ตามไปด้วยเสียงเฆี่ยนตีก่อนที่จะ
สงบลงในที่สุด

มันเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริง

เซี่ยวหนิงเอ๋อกระพริบตาพร้อมกับถามเนี่ยลี่ว่า "เจ้านั้นพูด
อะไรกับลู่เพียวงั้นเหรอ

เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขณะที่เขาตอบไป “ไม่ได้
มีอะไรมากหรอก”

เซี่ยวหนิงเอ๋อเม้มริมฝีปากของนาง เนี่ยลี่คงจะมอบความคิด
บ้าๆบางอย่างให้กับลู่เพียวเป็นแน่ ไม่เช่นนั้น ลู่เพียว คงไม่ถูก
เซี่ยวซุ่ยสั่งสอนแบบนี้
ขณะที่เนี่ยลี่กับเซีย่ วหนิงเอ๋อคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตู
มาจากทางประตูลานบ้าน

“เซี่ยวหยู่คงจะกลับมาแล้ว” เนี่ยลี่ยิ้ม ขณะที่เขาเดินไปที่


ประตู เมื่อเขาเปิดมันออกก็พบกับคนสามคนยืนอยู่ที่นั่น พร้อม
กับส่งกลิ่นอายที่ทรงพลังแผ่ออกมาปะทะ

ทั้งสามคนดูแล้วน่าจะอายุราวๆยีส่ ิบ การบ่มเพาะพลังของพวก
เขาล้วนสูงกว่าระดับชะตาสวรรค์ และหนึ่งในนั้นอาจจะถึง
ระดับดาราสวรรค์เสียด้วยซ้า ในขณะเดียวกันเนี่ยลี่กส็ ัมผัสได้
ถึงกลิ่นอายและจิตสังหารที่แผ่ออกมาเช่นกัน

เหล่าชายหนุม่ มองมายังเนีย่ ลี่ ในขณะที่พวกเขาพูดด้วยน้าเสียง


ที่จริงจังว่า “เจ้าคือเนี่ยลี่สินะ?”

ดวงตาของพวกชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นเมื่อพวกเขากวาดตามอง
ที่เซี่ยวหนิงเอ๋อ แต่พวกเขาก็ข่มใจเอาไว้ได้
“ถูกแล้ว” เนี่ยลี่มองไปที่กลุ่มพวกเขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้
มาด้วยเหตุใดกัน

“ชื่อของข้าคือ หลงโหย่ว [龙右] เป็นคนของตระกูลผนึก


มังกร มีใครบางคนร้องขอให้ข้ามารับตัวอักษรที่เจ้าเขียน ”
หลงโหย่ว พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แม้ว่าคากล่าวอ้างของเขาจะ
บอกว่าเป็นการร้องขอตัวอักษร แต่น้าเสียงขอเขานั้นมิใช่การ
ร้องขอเลยแต่น้อย

หลงโหย่วนั้นมีกลิ่นอายของพลังระดับดาราสวรรค์ จึงทาให้เนีย่
ลี่รสู้ ึกกดดันเล็กน้อย

หลงโหย่วผู้นี้ อาจจะเป็นหนึ่งในคนของหลงเทียนหมิง ในทาง


กลับกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อต้องการตัวอักษร แต่อีกทางหนึ่ง
เขาต้องการที่จะให้เนี่ยลี่นั้นยอมรับความพ่ายแพ้ และ ป้องกัน
ไม่ให้เขาหยิ่งทะนงมาเกินไป ด้วยความสามารถอันดีเยี่ยมของ
เขา
“นอกเหนือจากจากการคุยกันเรื่องตัวอักษรแล้ว นายน้อยของ
ข้านั้นมีความสนใจในตัวของเจ้า และต้องการที่จะให้เจ้าเข้า
ร่วมกับ กองกาลังมังกรสวรรค์ ของตระกูลผนึกมังกรด้วย”
หลงโหย่วจ้องมองเนี่ยลี่ ในมุมมองของเขานั้น เนี่ยลี่มไิ ด้มี
คุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในกองกาลังมังกรสวรรค์เลยแม้แต่น้อย
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายน้อย จึงบอกว่าจะตอบรับทุกข้อเสนอ
ที่เนี่ยลี่เอ่ยมา ถ้าหากยอมเข้าร่วมกับกองกาลัง

“ข้านั้นได้ประกาศออกไปแล้วว่า ข้าจะไม่เข้าร่วมกับตระกูล
ใดๆ โปรดอภัยให้ข้าด้วย สาหรับเรื่องตัวอักษรนั้น ข้าใช้เวลา
เขียนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และจะมอบให้พวกท่านนา
กลับไป” เนี่ยลี่ตอบกลับ สังเกตุเห็นได้ถึงร่องรอยแห่งความ
สงสัยผ่านทางสายตาของเขา

เป็นดังที่เขาได้คาดไว้ หลงเทียนหมิง จักต้องส่งใครมาขอ


ตัวอักษรจากเขา

ด้วยคนอย่างหลงเทียนหมิงนั้น แน่นอนว่าจักต้องไม่ยอมที่จะ
จ่ายศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเพื่อตัวอักษรของเนี่ย
ลี่เป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่น
ก้อนมิใช่เงินจานวนน้อยๆ มารยาทของหลงเทียนหมิงนั้น เลว
ทรามกว่าเหยียนหยาง และ หมิงเยี่ย วู่ซวง ยิ่งนัก

เขาพยายามที่จะข่มขู่ผู้อื่นด้วยอานาจที่เหนือกว่า และนาเอา
ตัวอักษรของเนี่ยลีไ่ ปโดยที่ไม่ต้องจ่ายสิ่งใดเลย หลงเทียนหมิ
งคิดว่าเรื่องนี้จักต้องได้ผลเป็นอย่างดี เขาไม่คดิ จะจ่ายสิ่งใด แต่
กลับที่จะต้องการได้รับผลประโยชน์

ซึ่งสาหรับเนี่ยลี่นั้น เขาระวังเกีย่ วกับหลงเทียนหมิงอยูเ่ สมอ


ดังนั้น เขาจะไม่ยอมปล่อยให้หลงเทียนหมิง ได้รับตัวอักษรของ
เขาไปโดยง่ายเป็นแน่

เดิมทีหลงโหย่ว นั้นคิดว่าเนี่ยลี่จะปฏิเสธ เนื่องจากมีคาร่าลือว่า


ตัวอักษรของเขานั้นขายได้ราคาสูงยิ่งนัก แต่ทว่า เมื่อเนี่ยลี่ยอม
เขียนให้โดยง่ายดาย เขาก็แสดงท่าทีที่อ่อนลงเล็กน้อย มัน
แสดงออกถึงความฉลาดของเนี่ยลี่ ที่รู้ว่าควรจะทาเช่นใดใน
เวลาที่เหมาะสม
“โปรดรอคอยสักครู่ ข้าจักเขียนอะไรสักสามคา ก่อนที่จะให้
พวกท่านนากลับไป” เนี่ยลี่พูดอย่างสุภาพพร้อมกับประสานมือ

“ตกลงพวกเราจะรอเจ้าอยู่ตรงนี”้ หลงโหย่ว พยักหน้า ด้วย


คาสั่งของหลงเทียนหมิงนั้น เนีย่ ลีไ่ ด้ตอบรับไปแล้วหนึ่งคาร้อง
ขอ ไม่มีความจาเป็นใดๆที่จะต้องสร้างปัญหาให้แก่เขา แม้ว่า
อาจจะเป็นไปได้ว่าเนี่ยลี่นั้น อาจจะกลายเป็นเสี้ยนหนามของ
เขา ตราบใดที่เนีย่ ลี่ยังเต็มใจที่จะมอบให้ หลงเทียนหมิงก็มไิ ด้
มีแผนที่จะสร้างความลาบากอันใดให้แก่เขาในช่วงเวลานี้

เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดที่จะทาอะไรเนี่ยลีไ่ ด้ ตราบเท่าที่อยู่


ในสถาบันวิญญาณฟ้า

เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อกลับเข้าไปในห้องของเขา

เซี่ยวหนิงเอ๋อจ้องเนี่ยลี่แล้วเอ่ยถามว่า “พวกเขาทั้งสามกาลัง
พยายามที่จะข่มขู่เอาตัวอักษรจากเจ้าโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน
อันใด และเจ้าก็กาลังที่จะเขียนให้กับพวกเขาอย่างนั้น
เหรอ? ”

เซี่ยวหนิงเอ๋อรูส้ ึกไม่พอใจเล็กน้อย ซึ่งเรื่องแบบนี้จักต้องไม่


เกิดขึ้นในสานักเสียงสวรรค์เป็นแน่ นางรู้สึกเกลียดชังคนทั้ง
สามยิ่งนัก พยายามที่จะข่มขูไ่ ปโดยที่ไม่จ่ายสิ่งตอบแทน แล้ว
ยังทาท่าทีราวกับว่าเป็นเรื่องปกติเช่นนี้

“อานาจย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ แน่นอนว่าข้าจะมอบ
ให้แก่เขา เพราะถึงอย่างไร ในหมูพ่ วกเขานั้นมียอดฝีมือระดับ
ดาราสวรรค์อยู่ด้วย!” เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อย ในขณะที่เขาเดินไปที่
โต๊ะ เขาเปิดกระดาษสีขาวออกมา และขณะที่เขายกพู่กัน ใน
ดวงตาของเขาก็จับจ้องอย่างมีสมาธิ

เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อมองดูเนี่ยลี่ มันดูราวกับว่าร่างกายของเขา
กาลังลุกไหม้ และกลิ่นอายที่ราวกับไฟที่ลุกโชน ยิ่งไปกว่านั้น
ภายในกลิ่นอายเหล่านี้ ยังมีร่องรอยของพลังสัจธรรมแห่งความ
มืดและแสงสว่างอยู่อีกด้วย
วิถีแห่งเจตจานงค์ได้มารวมกันตรงปลายพู่กัน เนี่ยลี่ค่อย ๆลด
มือลงและเริม่ ลงมือเขียน

ดวงตาของเซี่ยวหนิงเอ๋อเบิกโพลง ความงงงวยปรากฏขึ้นใน
ดวงตาของนาง ก่อนหน้านี้ในงานชุมนุม เนี่ยลีไ่ ม่ได้ใช้วิถีแห่ง
เจตจางนงค์ใด ๆในการเขียนตัวอักษรของเขา แต่ในตอนนี้ เขา
กาลังใช้วิถีแห่งเจตจานงค์อยู่

เนื่องจากเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นฉลาดและมีไหวพริบ นางจึงคิดออก
ได้ในทันที เนี่ยลี่ทาเช่นนี้เพราะมีจดุ ประสงค์บางอย่างเป็นแน่

“ข้านั้นได้เข้าถึงพลังสัจธรรมแห่งความมืดและแสงสว่างจาก
โลกใบเล็ก และตระหนักได้ว่าภายในพวกมันนั้นก็มีวิถีแห่ง
เจตจานงค์อยู่ ความมืดคือความหนาวเหน็บ และแสงสว่างคือ
ความอบอุ่น โดยธรรมชาติแล้วนี่คอื วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ข้านั้น
ได้เข้าถึง และยังมีช่องว่างอีกกว้างใหญ่นัก เมื่อเทียบกับวิถีแห่ง
เจตจานงค์ มีเพียงยอดฝีมือขั้นสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึง
ได้ หลงเทียนหมิงคิดจะได้ตัวอักษรบางคาจากข้าโดยมิให้สิ่ง
ตอบแทนงั้นเหรอ?

ก็ดั่งคาที่ว่า ‘ความสะดวกสบายไม่อาจที่จะทาให้ได้รับ
สินค้าที่ดีพอ’[สานวนจีนหมายถึง ถ้าคิดแต่จะเอาสบาย ก็จะ
ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี ]” เนี่ยลีย่ ิ้มเล็กน้อย ภายในตัวอักษร
นี้ เขาจงใจที่จะปกปิดวิถีแห่งเจตจานงค์ด้วยพลังสัจธรรมแห่ง
ความมืดและแสงสว่าง ดังนั้นด้วยธรรมชาติของตัวอักษรนี้ จึงมี
วิถีแห่งเจตจานงค์ขั้นสูงสุดอยู่เช่นกัน

ในขณะที่เขากาลังเขียนตัวอักษรด้วยวิถีแห่งเจตจานงค์ขั้น
สูงสุดนั้น จิตใจของเขานั้นก็ได้เข้าสู่ขอบเขตแห่งปาฏิหาริย์

เมื่อนางได้ฟังคาพูดของเนี่ยลี่ที่ว่า ‘ความสะดวกสบายไม่อาจที่
จะทาให้ได้รับสินค้าที่ดีพอ’ เซี่ยวหนิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะปิดปาก
ของนาง พร้อมกับหัวเราะ เนี่ยลี่นนั้ เป็นชายที่ไม่ยอมก้มหัวให้
ใครแม้แต่น้อย ถ้าหากเขานั้นมิได้ยอมรับมันเอง ไม่น่าแปลกใจ
เลยที่เขาตบปากรับคาที่จะเขียนตัวอักษรให้กับคนพวกนั้น การ
เขียนตัวอักษรแต่ละคานั้นไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไรเลย
เมื่อเขาเขียนคาว่า “กระบี่”เสร็จแล้ว เนี่ยลีค่ รุ่นคิดในขณะที่
เขากาลังยิ้มอยู่ “ดูเหมือนว่าเพียงเท่านี้ คงจะยังดูเหมือนว่าไม่
มีความจริงใจมากพอ เพราะมันมีแค่เพียงหนึ่งคาเท่านั้น
เช่นนั้นข้าจะเขียนเพิม่ ให้อีกสองคา”

รวมกับคาว่า “กระบี่” เนี่ยลีเ่ ขียนมันขึ้นมาทั้งหมดสามคา เขา


ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มากกว่าที่ข้าเขียนให้เหยียนหยาง กับ
หมิงเยี่ย วู่ซวง หนึ่งคา ในตอนนี้ พวกเขาจักต้องรับรู้ถึงความ
จริงใจของข้าเป็นแน่”

เมื่อได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ เซี่ยวหนิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะยิม้ เนี่ยลี่


ร้ายกาจยิ่งนัก แม้นางจะเห็นว่าสิ่งที่เนี่ยลี่ทานั้นเป็นการฉลาด
แกมโกง เซี่ยวหนิงเอ๋อ ก็ยังรูส้ ึกว่าเนี่ยลี่นั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือ
ยิ่งนัก ความเจ้าเล่ห์ของเขานั้นจะนามาใช้กับศัตรู แต่เมื่อเขา
อยู่กับสหาย เนีย่ ลี่ ก็จะทาให้พวกเขาไว้วางใจเป็นที่สดุ และ
คอยช่วยเหลือพวกเขาด้วยความจริงใจ
เนี่ยลี่ถือตัวอักษรของเขาขณะที่เขาเดินไปที่ประตูทางเข้า และ
ส่งมันให้กับหลงโหย่ว “ข้าเขียนเสร็จแล้ว!”

หลงโหย่วรับตัวอักษรมาจากเนีย่ ลี่ และจับจ้องมันอย่างตั้งอก


ตั้งใจ เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของวิถีแห่งเจตจานงค์อย่าง
คลุมเครือ แต่กไ็ ม่ได้รสู้ ึกประทับใจอะไรมากนัก เขาอดไม่ได้ที่
จะขมวดคิ้วของเขา ในขณะที่กาลังสงสัยอยู่ว่าเนีย่ ลี่นั้น
หลอกลวงเขาอยู่หรือไม่? แต่ทว่า เขาก็ได้ยินมาว่า คนธรรมดา
นั้น ไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ใดๆที่แฝงอยู่ใน
ตัวอักษรได้เลย ซึ่งความจริงในข้อนี้ทั่วทั้งนิกายต่างก็ทราบกันดี

ในใจของหลงโหย่ว นั้น รู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไร


เขาก็เป็นยอดฝีมือระดับดาราสวรรค์และเป็นระดับหัวกะทิของ
กองกาลังมังกรสวรรค์ หรือว่าแม้แต่เขาก็ไม่อาจที่จะเข้าใจได้ถึง
วิถีแห่งเจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษรพวกนี้? หลงโหย่ว เก็บ
ตัวอักษรไว้พร้อมกับชาเลืองมองเนี่ยลี่เล็กน้อย “ข้าได้รับ
ตัวอักษรแล้ว ไปกันเถอะ!”

เขาโบกมือของเขา และเดินนาอีกสองคนออกไปจากลานบ้าน
เซี่ยวหนิงเอ๋อขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย นางตั้งข้อสังเกตุว่าคน
พวกนี้ไร้มารยาทยิ่งนัก เขาเอาสิ่งของไปจากผู้อื่นโดยมิได้เอ่ย
ปาก “ขอบคุณ” เลยแม้แต่น้อย

เนี่ยลี่นั้นตรงกันข้าม เขาไม่ได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะ


ตัวอักษรที่เขาทาให้ไปนั้นเป็นแค่ของที่ปลอมแปลงขึ้นเท่านั้น

ไม่นานนักหลังจากที่ หลงโหย่ว จากไป มีใครบางคนมาเคาะ


ประตู เมื่อเนี่ยลี่เปิดมันออก เขาเห็นว่าเป็นอาจารย์ชิหลิง

“ด้วยเรื่องอันใดจึงได้นาพาท่านอาจารย์ชิหลิงมาถึงหน้าประตู
ของข้าได้?” เนี่ยลีเ่ อ่ยถามด้วยน้าเสียงที่แสดงความเคารพ เขา
ยังคงทาตัวสุภาพ ถึงอย่างไร อาจารย์ชิหลิง ก็เป็นอาจารย์
แม้ว่าจะเป็นแค่ในนามก็ตามที

การแสดงออกของอาจารย์ชิหลิงนัน้ รวมไปถึงท่าทีที่
เกรงอกเกรงใจ ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ [หมายถึงการนิ่ง
เงียบและพูดอย่างแผ่วเบา]เขายิ้มและเอ่ยว่า “ข้าขออภัยทีต่ ้อง
รบกวนเจ้า ในเรื่องที่นอกเหนือจากบทเรียน ข้าได้รับการไหว้
วานจากคนที่ข้านับถือ เพื่อขอให้เจ้าเขียนอักษรให้สักคา ถ้า
หากว่าเจ้านั้นยินดีที่จะมอบให้ ข้าสามารถที่จะมอบศิลาจิต
วิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเป็นการแลกเปลีย่ น”

“ท่านอาจารย์ชิหลิง ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว การที่อาจารย์


จะเอ่ยปากขออะไรบางอย่างจากศิษย์ เหตุใดข้าจะต้องพูดเรื่อง
เงินทองด้วยเล่า? ข้าจะเขียนให้เป็นสิบคาเพื่ออาจารย์ชิห
ลิง แต่ข้าสงสัยว่าใครคือผู้ทตี่ ้องการงั้นหรือ?” เนี่ยลี่เอ่ยถาม
อย่างสุภาพ

อาจารย์ชหิ ลิงนั้นเป็นอาจารย์ในสถาบันวิญญาณฟ้า เขามีลูก


ศิษย์มากมายในนิกายขนนกศักดิส์ ทิ ธิ์ แน่นอนว่าเขาจักต้องมี
เส้นสายที่มากมาย สาหรับอาจารย์ชิหลิงนั้น ใครบางคนที่เขา
เรียกว่า “คนที่เขานับถือ” แน่นอนว่าจักต้องมิใช่บุคคลธรรมดา
เนื่องจากว่าเขามาเสนอด้วยตัวเองถึงที่หน้าประตู เนี่ยลี่จัก
พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร มันก็แค่ตัวอักษรไม่กี่คา
เท่านั้น และเขาก็มิได้สูญเสียอะไรไปในการเขียนมันขึ้นมา
“คนที่ข้านับถือนั้นมักจะเก็บตัวอยู่เสมอ แม้ว่าข้าจะเอ่ยนาม
เขาออกไป เจ้าก็อาจจะไม่ทราบว่าเขานั้นเป็นใคร คนในโลก
ภายนอกรู้จักท่านในนามของ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ” อาจารย์
ชิหลิง ตอบ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น นั้นเก็บตัวมานานหลายปี
ดังนั้นคนที่เข้ามาใหม่อาจจะไม่รู้วา่ เขาเป็นใคร

ใจของเนี่ยลี่นั้นอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้น ปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น เป็นหนึ่งในห้าเสาหลักของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ทา
ไมเนี่ยลี่จึงจะไม่รู้จักเสาหลักที่มีอานาจถึงเพียงนั้น?

ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น เป็นหนึ่งในห้าเสาหลัก ที่ไม่มีผู้ใดที่จะ


กล้าท้าทายอานาจ แต่ทว่าเมื่อนิกายขนนกศักดิ์สิทธิไ์ ด้ล่มสลาย
ไปในชีวิตก่อนหน้าของเขา ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ไม่อาจที่จะ
แก้ไขมันได้ เนื่องจากว่าเขานั้นมีอายุมากแล้ว และการบ่มเพาะ
พลังของเขาก็ถดถอยไปอย่างช้า ๆ
แต่ถึงอย่างไร ปรมาจารย์เทียนอวิน๋ ก็ยังคงมีอานาจอยู่ในนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้

“ในเมื่อคนที่ท่านนับถือนั้น ชื่นชอบตัวอักษรของข้า แน่นอน


ว่าข้าจะตั้งใจเขียนให้อย่างดีที่สุด เพื่อให้อาจารย์ชิหลิงมีความ
คุ้มค่าพอที่จะนาไปแสดงให้เขาได้เห็น” เนี่ยลี่โค้งคานับ
เล็กน้อย และพูดต่ออีกว่า “และเนื่องจากข้ามิได้ใช้เวลา
มากมายในการเขียนมันขึ้นมา ข้าจึงจะขอมอบให้เป็นของขวัญ
แก่อาจารย์ชิหลิงแทนก็แล้วกัน”

อาจารย์ชิหลิงมองดูเนี่ยลี่ด้วยสายตาที่แสดงความขอบคุณ
“ขอบใจเจ้ามากแน่นอนว่าข้าจะนาไปบอกปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น ให้เขาได้รับรู้ความประสงค์ของเจ้า ”

อาจารย์ชิหลิงนั้น ไม่อาจที่จะปฏิเสธคาขอเรื่องตัวอักษรของ
เนี่ยลี่จาก ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ได้ และเขาก็ไม่อาจที่จะบาก
หน้าเพื่อที่จะไปขอจากนักเรียนโดยที่ไม่ให้สิ่งตอบแทนได้
ตัวเลือกเดียวของเขาจึงเป็นการมอบศิลาจิตวิญญาณจานวน
หนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน เพื่อซื้อตัวอักษรที่จากเนี่ยลี่ แต่ทว่าเขา
ไม่ได้คาดหวังเลยว่า เนี่ยลี่ จะมอบให้เขาเป็นของขวัญอย่างไม่
อ้อมค้อมเลยสักนิด

อาจารย์ชิหลิง ไตร่ตรองในเวลาสัน้ ๆ จากนั้ก็พูดว่า “ข้าไม่อาจ


ที่จะนาตัวอักษรของเจ้าไปโดยมิให้สิ่งตอบแทน ด้วยความ
คุ้มครองจากปรมาจารย์เทียนอวิ๋น เจ้าไม่ต้องกังวลว่าตระกูล
ใดๆ จะมากดดันเจ้าได้ ตราบเท่าที่ยังอยู่ในสถาบันวิญญาณ
ฟ้า”

เมื่อได้ฟังคาพูดของอาจารย์ชิหลิง เนี่ยลีร่ ู้สึกยินดียิ่งนัก สาหรับ


เขาแล้ว ความสนับสนุนนีม้ ีค่าเสียยิ่งกว่าศิลาจิตวิญญาณหนึ่ง
แสนห้าหมื่นก้อนเสียอีก

“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอขอบคุณอาจารย์ชิหลิงยิ่งนัก!”

You might also like