Professional Documents
Culture Documents
ณ อาณาจักรซากมังกร
อาณาจักรซากมังกรเป็นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังที่ทรง
พลังหลากหลายอย่างซึ่งประกอบไปด้วยหลายๆดินแดนต่างๆ
ดังนี้ดินแดนแห่งปีกศักดิส์ ิทธิ์ดินแดนบันทึกสวรรค์ดินแดนหมื่น
บุบษา ดินแดนกาเนิดสวรรค์ และ ดินแดนกระบีส่ วรรค์
นอกจากดินแดนที่ถูกปกครองอย่างถูกต้องเหล่านั้นยังมีอีกสอง
ดินแดนที่ปกครองอย่างโหดร้ายคือ ดินแดนจ้าวอสูร ดินแดน
อสูรกลอนห้าแฉก ดินแดนพระจันทร์สีเลือด แต่ก็อีกนั่นแหละ
ยังคงมี ชนเผ่า และดินแดนเล็กต่างๆอีกมากมาย เช่น ดินแดน
แห่งบรรพบุรุษพระเจ้า หรือดินแดนแห่งบรรพบุรุษนักบุญ
ปีศาจ เป็นต้น
ดินแดนต่างๆนั้น ดารงอยู่มานานแสนนาน ทั้งยังรวบรวมผู้ฝึก
ตนผู้เยี่ยมยุทธต่างๆไว้มากมายจนทาให้อาณาจักรซากมังกรนั้น
แข็งแกร่งมาก
แต่อย่างไรก็ตามดินแดนทางตะวันออกของ อาณาจักรซาก
มังกรส่วนใหญ่เป็นอาณาเขตของดินแดนปีกศักดิส์ ิทธิ์ ไม่มีใครรู้
ว่าดินแดนปีกศักดิส์ ิทธิ์นั้นมีอยูม่ านานเท่าไหร่แล้วเพราะมัน
ประกอบไปด้วยเมืองหลายร้อยเมือง ซึ่งมีประชากรหลายร้อย
ล้านคน แค่โดยเฉพาะเมืองรอบนอกก็ปาเข้าไปหลายล้านคนจึง
ไม่มีคนรู้แน่ชัดถึงจานวนของระดับผู้เยี่ยมยุทธที่อยู่ในดินแดน
ปีกศักดิ์สิทธิแห่งนี้
ดินแดนปีกศักดิส์ ิทธินั้นแบ่งออกเป็นสามส่วนคือส่วนรอบนอก
ส่วนรอบในและส่วนกลางซึ่งเรียกว่าดินแดนสวรรค์ คนธรรมดา
ส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยอยู่ในส่วนรอบนอกเท่านั้น ส่วนรอบในนั้น
ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ทั้งยังมีข้อมูลน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึง
ดินแดนสวรรค์ส่วนนั้นถือว่าลึกลับเลยทีเดียว
นอกจากพื้นที่ที่ถูกแบ่งดังกล่าวแล้วยังมี สถาบันวิญญาณฟ้า
ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนรอบในของดินแดนปีกสวรรค์ สถาบันดังกล่าว
เป็นที่ซึ่งอัจริยะจาก เมืองต่างๆ และภพเล็กๆจะเข้ามาเพื่อทา
การฝึกฝนบ่มเพาะพลัง เพื่อที่จะเป็นระดับผู้เยีย่ มยุทธต่อไป
สถาบันนี้มีนักเรียนอยู่หลายล้านคนจะถือว่าเป็นเขตปกครอง
ตนเองเลยก็ว่าได้
ตัวสถาบันนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาลึก โดยตึกรามอาคารถูกปลูก
สร้างอย่างสวยงามและกลมกลืนกันธรรมชาติของหุบเขาจึงจัด
ได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามอย่างที่สุด
เซี่ยวหยู,่ เนี่ยลี,่ ลู่เพรียวและ ก่วนยู่ เดินผ่านป่าเพื่อจะไปยัง
สถาบัน ก่วนยู่ นั้นเป็นศิษย์อีกคนที่ เจ้านครใต้ภภิ พ นั้นเลือก
มา ก่วนยู่ นั้นเป็นชาวนครใต้ภิภพ โดยกาเนิด มาจากเผ่าซูยู้ซึ่ง
มีรูปร่างโดยรวมนั้นคล้ายกับมนุษย์ แตกต่างอย่างเดียวคือสีผิว
ของก่วน ยู่นั้นมีสีแดง ก่วนยู่ เป็นคนโอหังและมีความเชื่อมั่นใน
ตัวเองสูง ก่วนยู่เป็นระดับ เซียน จึงทาให้เค้ามีความมั่นใจสูง
และดูถูกเนี่ยลี่ ทาให้ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้จะเป็นศิษย์
ของ เจ้านครใต้ภภิ พ เหมือนกันก็ตามที
ในระหว่างที่กาลังเดินไปยังสถาบันก็มีนักเรียนของสถาบันแซง
พวกเขาไปอย่างมากมาย นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลานีเ้ องที่
สถาบันจะทาการคัดเลือกนักเรียนซึ่งสิบปีจะมีสักครั้งทาให้
ได้รับความสนใจจากผูค้ นเป็นจานวนมาก
เมื่อเห็นภาพดังนั้น ระหว่างที่เดินอยู่ เซี่ยวหยู่ จึงอธิบายว่า
"พื้นที่ของ สถาบันนั้นถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน โดยที่ส่วนกลาง
นั้นจะมีไว้สาหรับผู้แข็งแกร่งทีส่ ุด อันดับสองก็จะเป็นฝั่ง
ตะวันออก รองลงมาคือ ฝั่งตะวันตก ฝ่ายใต้ และฝ่ายเหนือตาม
ลาดับ ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับการทดสอบก่อนเข้า
เซี่ยวหยู่ มองไปยัง ก่วนยู่แล้ว พูดว่า " มีอย่างหนึ่งที่พวกเจ้า
ต้องเข้าใจไว้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับตานาน หรือเซียน เมื่อ
เจ้ามาอยู่ที่ อาณาจักรซากมังกรแล้วจงทิ้งความโอหัง และ
ความอวดดีที่เคยมีทิ้งเสีย ที่นี่เจ้าเป็นเพียงระดับล่าง ณที่แห่งนี้
ได้แบ่งระดับของผูฝ้ ึกวิชาออกเป็นห้าขั้น
ดังนี้
1. ชะตาสวรรค์ 2. ดาราสวรรค์ 3. แก่นแท้แห่งสวรรค์ 4.
เส้นทางแห่งมังกร 5. เทพสงครามโดยที่แต่ล่ะขั้นนั้นก็แบ่ง
ออกเป็น เก้าระดับ ซึ่งบุคคลที่ยังไม่สามารถเข้าถึงพลังแห่ง
สวรรค์ได้เราจาแนกว่ายังอยู่ใน ระดับผืนพิภพเท่านั้น จนกว่า
จะสามารถบ่มเพาะ ชะตาแห่งจิตได้ถึงจะได้รับการยอมรับว่า
เป็นผูฝ้ ึกวิชาอย่างแท้จริง"
หลังจากได้ยินคาอธิบายก่วนยู่ก็อึ้งไปเล็กน้อยเนื่องจากที่ภพ
เดิม การที่อยู่ในระดับเซียนนั้นถือว่าเป็นที่สุดรองจาก วิญญาณ
ผู้ควบคุมกฎแห่งธาตุเท่านั้น แต่ในอาณาจักรซากมังกรนี้ถือว่า
อ่อนด้อยที่สุด แต่แล้วไงล่ะ ด้วยความเป็นอัจฉริยะของข้าการ
บ่มเพาะอะไรนั่น เดี๋ยวก็ทาได้แล้วข้าก็จะก้าวไปอยูเ่ หนือผู้อื่น
อยู่ดี ก่วนยู่คิดในใจ ขณะนั้นเองก้วนยู่ก็มองมายังเนี่ยลี่ ซึ่งเค้า
ไม่ถูกชาตะกับเนี่ยลี่เลยที่จะต้องมาเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน
แถมไอ้นี่ยังจะสนิทกับลูกบุญธรรมของ ท่านเจ้านครใต้ภภิ พ อีก
เนี่ยลีร่ ับรูไ้ ด้ถึงสายตาทีไ่ ม่เป็นมิตรของก่วนยู่ ถึงแม้เนี่ยลี่จะ
ระวังตัว แต่ก็ไม่ใส่ใจมากนักเพราะ ศัตรูที่แท้จริงของเนี่ยลี่
นอกจาก จักรพรรดิ์นักปราช์ ตอนนี้ยังมี จอมมารเพิ่มขึ้นมาอีก
คน ก่วนยู่ยังไม่มีคา่ พอที่จะเป็นต่อสู้ของเขา
จากการนาของ เซี่ยวหยู่ทั้งสามก็เดินมาถึงลานกว้างที่มี
อาจารย์คอยขานชื่ออยู่โดยที่อาจารย์เหล่านั้น ใส่เสื้อคลุมยาว
และมีออร่าของพลังงานหมุนรอบตัวทาให้พอดูออกได้ว่าอย่าง
น้อยอาจารย์เหล่านี้ก็อยู่อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ที่ระดับชะตา
สวรรค์ เป็นอย่างน้อย ด้วยพลังงานรอบตัวนั้น ทาให้อาจารย์
เหล่านั้นดูน่านับถืออีกด้วย ทันใดนั้น เซี่ยวหยู่ก็เดินเข้าไปหา
อาจารย์ท่านหนึ่ง " นี่คือจดหมายแนะนาตัวของนักเรียนสาม
คนนี้" เซี่ยวหยู่พูด
ขณะนั้นอาจารย์ผู้นั้นซึ่งกาลังยุ่งเงยหน้าขึ้นมาเจอเซี่ยวหยู่ก็
แสดงความประหลาดใจ " นี่ เซี่ยวหยู่ใช่หรือไม่" ทันทีที่
อาจารย์พูดจบ คนอื่นที่ได้ยินก็หันมามอง เซี่ยวหยูเ่ ป็นสายตา
เดียวกัน จากนั้นอาจารย์ก็มองมายังเนี่ยลี่ และอีกสองคน
หลังจากนั้นจึงพูดว่า " จดหมายแนะนาถูกต้อง เข้าไปด้านใน
ได้" เซี่ยวหยู่พยักหน้าแล้วพาทั้งสามเข้าไป
เซี่ยวหยู่ พยักหน้ารับจากนั้นก็บอกให้ทั้งสามคนตามเค้าไป
ขณะนั้นเอง เนี้ย ลี่ ก็ชาเหลืองมองไปยังอาจารย์ ที่ ทาท่า
ประหลาด ใจเมื่อได้พบกับ เซียวยู่ แสดงให้ เห็นว่า เซียวยู่ เป็น
ที่รู้จักดีกันในสถาบัน แม้วา่ จะยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาแห่ง
จิต เพื่อจะก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ ได้ก็ตาม
หลังจากที่เดินไปตามระเบียง ทั้งสีก่ ็ได้มาถึงลานกว้างที่มี
นักเรียนกว่า พันคนรวมตัวกันอยู่เพื่อเข้ารับการทดสอบ เซี่ยว
หยู่ หันมาอธิบาย แก่ทั้งสามว่า “ก่อนที่ผู้สมัครจะได้รับการ
คัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนจะต้องผ่านการทดสอบระดับ ราก
วิญญาณ โดยจิตวิญญาณนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ คือ
ระดับ มนุษย์, ระดับดิน และ ระดับฟ้า โดยแต่ระดับแบ่ง
ออกเป็น 9 ขั้น ดังนั้นจึงเป็นการคัดคนภายในตัว โดยที่หากมี
รากวิญญาณ อยู่ในระดับสูงแล้ว จะยิ่งได้เปรียบในการฝึกวิชา
เพราะจะสามารถเข้าถึงระดับสูงได้ดีกว่าคนทั่วไป”
“แล้วรากวิญญาณ ของเจ้าล่ะ” ลูเ่ พรียว ถามด้วยความอยากรู้
“ของข้า รากวิญญาณฟ้า ระดับ 7 “ เซี่ยวหยู่ ตอบด้วยเสียงที่
แผ่วเบา
เมื่อได้ยินดังนั้นเนี้ย ลี่ นั้นจ้องมอง เซียวยู่อย่างไม่น่าเชื่อ เค้าไม่
คิดว่า เซียวยูจ่ ะมีพรสวรรค์ขนาดนั้นจึงทาให้อดสงสัยไม่ได้ว่า
ทาไมยังไม่สามารถบ่มเพาะชะตาสวรรค์ได้ เพราะจริงๆแล้วแค่
มี พื้นฐานทางวิญญาณมากกว่า ระดับพิภพขั้นที่ห้าก็ถือว่าเป็น
อัจฉริยะแล้วแต่นี่ระดับฟ้าขั้นที่ 7 ซึ่งระดับฟ้าก็มีน้อยอยู่แล้ว
แถมนี่ขั้นที่เจ็ด คนที่มีพื้นฐานจิตระดับฟ้า ในดินแดนปีกสวรรค์
นี่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จะมีก็แค่ประมาณพันกว่าคนจากหลาย
ร้อยล้านเอง
ผู้คนที่ได้ยินลูเ่ พรียวถามหันมองเป็นตาเดียว เพราะ แค่ระดับ
ฟ้า ขั้นสามก็ถือว่าก็ถือว่าสุดยอดแล้วแล้วนี่ระดับเจ็ด ไอ้นี่มันโง่
จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ลู่ เพรียว รูส้ ึกได้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้
แต่เกาหัวเพราะตระหนักได้ว่าได้ถามคาถามทีไ่ ม่น่าถามเข้าให้
แล้ว
แต่เนี้ยลี่ ก็ยังคงสงสัยว่าถ้าว่าเซียวยู่เป็นระดับฟ้าขั้นที่เจ็ดจริง
ทาไมยัง บ่มเพาะชะตาสวรรค์ ไม่ได้อีก สิ่งนี้ยังคงรบกวนจิตใจ
ของเนี่ย ลี่อยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามการทดสอบพื้นฐานวิญญาณ
นั้น เค้าได้เคยทามาแล้วเมื่อชีวิตที่แล้ว โดยเค้ามีระดับดินขั้นที่
7 แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงระดับธรรมดา แต่เนื่องจากเขามี
หนังสือจิตอสูรท่องเวลา จึงทาให้เขาก้าวถึงสู่ระดับสูงสุดของ
เทพสงคราม แต่ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะไม่มีหนังสือนั้นแต่เขามี
ความรู้จากชีวิตที่แล้วจึงไม่นา่ จะเป็นปัญหาต่อการฝึกวิชา
จานวนคนที่มารับการทดสอบค่อยเคลื่อนตัวไปเพื่อเข้ารับการ
ทดสอบ
“ระดับมนุษย์ขั้น สาม ส่งกลับ”
“ระดับมนุษย์ขั้น สอง ส่งกลับ”
"มีอะไรก็พูดมา ฮัวหลิงแต่ถ้าจะพูดอะไรไร้สาระล่ะก็ ไสหัวไป
ไกลๆข้าไม่มีเวลาจะมาเสวนากับคนอย่างเจ้า" เซี่ยวหยู่ พูด
เสียงแข็ง
เนี่ยลี่ประเมินสถานการณ์ ได้ว่าไอ้ ฮัวหลิงเนี่ย กล้าเบ่งขนาดนี้
คงจะบ่มเพาะ ถึงขั้นชะตาสวรรค์ได้แล้วอย่างแน่นอน ฮัวหลิง
พยายามจะเข้ามาล็อกคอของ เซี่ยวหยู่ เซียวยู่ หลบและผลัก
ฮั๋วลิ๋ง ออกอย่างรวดเร็ว " ฮ่าฮ่า นายน้อย เซียวยังไม่มมี ารยาท
อย่างไรอย่างนั้นเหมือนเดิมเลยนะ"...จบตอน
บทที่ 264 รากวิญญาณ
เซี่ยวหยู่มองไปยังฮัวหลิงอย่างเย็นชาและแค่นเสียงกล่าวว่า
"ฮัวหลิง ข้าสนิทกับเจ้านักหรือ
นายน้อยเซี่ยว ท่านพูดเช่นนั้น ก็เย็นชาเกินไป" ฮัวหลิงยิ้มแล้ว
พูดต่อ "บิดาของเราต่างก็เป็นผูด้ ูแลของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ท่านต้องทาเหมือนข้าเป็นศัตรูทุกครั้งที่พบกันไปถึงไหน
พอพูดจบ ฮัวหลิงก็กวาดสายตามาทางพวกเนี่ยหลี่ ที่ยืนอยู่ข้าง
หลังเซี่ยวหยู่ แล้วหัวเราะ "โลกใบเล็กดูจะเสียคนมีพรสวรรค์ไม่
น้อยทีเดียว มีผู้ผ่านการคัดเลือกเพียงสามคนเท่านั้นหรือ?
ระดับพลังก็ไม่ใช่ว่าจะโดดเด่นอะไรเสียด้วย ดูเหมือนโลกใบ
เล็กจะเทียบห้วงสวรรค์น้อยของเราไม่ได้เลย"
คาพูดของฮัวหลิงทิ่มแทง ทั้งสายตาที่มองมาก็บ่งบอกชัดเจนว่า
มันมองพวกเนี่ยหลี่อย่างไร
ด้านหลังฮัวหลิงมียอดฝีมือยืนอยู่กว่ายี่สิบคน ทุกๆ คนอยู่ใน
ระดับเซียนที่อีกเพียงก้าวเดียวก็กา้ วเข้าสู่ชั้นชะตาสวรรค์
สายตาที่พวกเขามองเนี่ยหลี่และพวกเต็มไปด้วยอารมณ์ยั่ว
โมโห พวกเขารู้ว่านายน้อยของพวกเขาไม่ถูกกันกับเซี่ยวหยู่
เมื่อพวกเขาตั้งใจจะพึ่งพิงฮัวหลิง แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องยืน
อยู่ฝ่ายเดียวกัน
เนี่ยหลี่ใช้ลมปราณรวมเสียงถามเซี่ยวหยู่ว่า "แล้วตกลงฮัวหลิง
นี่ใคร
บิดาของมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับบิดาบุญธรรมของข้า เป็นคน
ของตาหนักนอก นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ที่พยายามแย่งชิงตา
แหน่งหัวหน้าผู้ดูแลฝ่ายนอกกับบิดาบุญธรรม พวกเจ้าไม่ต้อง
ไปสนใจพวกเขา อยู่ที่นี่พวกเขาทาอะไรพวกเจ้าไม่ได้หรอก"
เซี่ยวหยูส่ ่งเสียงตอบเนี่ยหลี่
เนี่ยหลี่นับว่าเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจ
เลยว่าเหตุใดฮัวหลิงกับเซี่ยวหยูไ่ ม่ถูกกัน เพราะอย่างนี้นี่เอง
เนี่ยหลีเ่ องก็ไม่สนใจกับเรื่องขัดแย้งเช่นนี้อยู่แล้ว
สายตาเย็นเยือกของฮัวหลิงกวาดมองเนี่ยหลี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้
ยินที่เนี่ยหลี่กับเซี่ยวหยู่คุยกัน แต่แน่ใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
การทดสอบรากวิญญาณใกล้เริ่มแล้ว ข้าล่ะสงสัยจริงว่าราก
วิญญาณของอัจฉริยะทั้งสามแห่งโลกใบเล็กจะเป็นเช่นไร" มุม
ปากของฮัวหลิงยังคงเต็มไปด้วยการยั่วยุ ขณะที่สายตากวาด
ผ่านกลุม่ ของเซี่ยวหยู่ "ในเมื่อนายน้อยเซี่ยวมี รากวิญญาณชั้น
ฟ้าระดับเจ็ด ข้าเดาว่าคนจากโลกใบเล็กก็คงจะไม่เลวเช่นกัน
จริงมั้ย
นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!!" เซี่ยวหยู่ตอบโต้อย่างเย็นชา
ดูเหมือนว่าเขาจะรังเกียจฮัวหลิงเอาเรื่องทีเดียว การพูดคุย
โต้ตอบของทั้งสองคนสามารถตอบคาถามหลายๆ ข้อได้ดีที่
เดียว
พอเห็นว่าเซี่ยวหยูห่ ันหนีอย่างเฉื่อยชา ฮัวหลิงก็แค่นเสียงเย็น
ชาแล้วหันหลังกลับ เซี่ยวหยู่มีรากวิญญาณชั้นเจ็ด แต่ยังไม่อาจ
ก่อรูปจิตพรหมณ์ (สร้างชะตาวิญญาณ) มันอาศัยอะไรมาอวดดี
ทว่า แม้ฮัวหลิงจะมีพลังระดับชะตาสวรรค์ สามพรหมณ์ (สร้าง
ชะตาวิญญาณได้ถึง 3 อัน)แล้ว และเซีย่ วหยู่ยังไม่อาจก่อรูปจิต
พรหมณ์ได้เลยก็ตาม ฮัวหลิงก็ยังถือว่าเซี่ยวหยู่เป็นคู่แข่งอันน่า
กลัวอยู่
ประการแรกนั้น รากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ดเป็นตัวตนในตา
นานไปแล้ว คนในสถาบันวิญญาณฟ้าที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้า
ระดับเจ็ดขึ้นไปนั้นรวมแล้วมีไม่เกินร้อยคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น
ทั้งหมดนั่นมีพลังที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ที่ทรงอานาจ
ที่สุดในระดับพลังเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว ความเร็วในการบ่ม
เพาะพลังของผู้มรี ากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ดควรจะรวดเร็ว
เป็นอย่างยิ่งจนคนทั่วไปไม่อาจเห็นหลังได้ ทว่า แม้จนขณะนี้
เซี่ยวหยู่กลับยังไม่อาจก่อรูปจิตพรหมณ์ของตัวเองได้
โดยทั่วไปแล้ว คนเช่นนี้ไม่ควรจะเป็นคนที่สามารถคุกคาม
ฮัวหลิงได้ ทว่า มันยังมีตานานอีกประการหนึ่งที่เล่ากันมาปาก
ต่อปากในสถาบันวิญญาณฟ้าว่า สาหรับผู้ทมี่ ีรากวิญญาณชั้น
ฟ้านั้น ยิ่งค้างอยู่ระดับชะตาดินนานเท่าใด เมื่อยามที่ก่อรูปจิต
พรหมณ์ได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น จนถึง
ขนาดว่าคนทั่วไปไม่อาจทาความเข้าใจได้เลยทีเดียว
พลังอันลึกลับของรากวิญญาณชั้นฟ้ามักจะเป็นสิ่งที่รบกวน
จิตใจฮัวหลิงอยู่เสมอ ตัวเขาเองตอนที่รับการทดสอบก็ได้ราก
วิญญาณชั้นดินระดับเจ็ดเท่านั้น ตามปกติแล้วพรสวรรค์ระดับ
นี้นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะเรียกได้ว่าอัจฉริยะ
จานวนคนที่เข้าทดสอบเพิ่มขึ้นเรือ่ ยๆ
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้า ไปเขตใต้"
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเจ็ด ไปเขตใต้"
ในผู้ที่รับการทดสอบทั้งหมดนี้ มีผทู้ ี่มีพรสวรรค์ถึงรากวิญญาณ
ชั้นดินไม่มากนัก อาจารย์ทรี่ ับผิดชอบการทดสอบหลายคนมอง
ไปยังศิษย์ที่มาเข้ารับการทดสอบด้วยใบหน้าเซ็งๆ ในปีก่อนๆ
จานวนของเด็กที่นับได้ว่าอัจฉริยะลดลงทุกปี นี่โยงไปถึงเหตุผล
ที่ทาให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์กาลังเสื่อมถอยลง อัจฉริยะที่ทรง
อานาจย่อมมีสิทธิ์เลือก และส่วนใหญ่มักจะเลือกไปสานักอื่น
กัน
ในหมู่อาจารย์ที่คมุ ทดสอบ ผู้เป็นประธานเป็นชายวัยกลางคน
สวมเสื้อคลุมสีน้าเงินที่เปล่งประกายทรนงออกมา ตัวเขาและ
อาจารย์อีกสองคนที่ยืนอยูด่ ้านข้างสองฝั่งกาลังจดบันทึกผล
การทดสอบอย่างรวดเร็ว
รากวิญญาณชั้นดินระดับหก" ได้ผลทดสอบไปอีกคน
ไม่เลว ไปเขตตะวันตก" ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินพูด
พลางพยักหน้าเล็กน้อย
ฮัวหลิงขมวดคิ้วอยู่ครูห่ นึ่ง ด้วยจานวนคนนับพันรอเข้าทดสอบ
เช่นนี้ อีกนานเท่าไหร่จะถึงตาของพวกเขาเล่า?
เขาเดินเข้าหาชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินนั้น ยิ้มบางๆ และ
แสดงการคารวะคราหนึ่ง "ผู้ดูแลกู่ ไม่พบกันนาน"
พอเห็นฮัวหลิง สีหน้าของชายวัยกลางคนก็อ่อนลงเล็กน้อยแล้ว
ถามว่า "นายน้อยฮัวหลิง ท่านอุตส่าห์มาถึงที่นี้มีเหตุอันใดหรือ
อันที่จริงแล้ว ข้าพาลูกศิษย์หลายคนนี้จากห้วงสววรค์น้อยมา
ที่นี่เพื่อเข้ารับการทดสอบ ข้าหวังว่าผู้ดูแลกู่จะช่วยอานวย
ความสะดวกให้"
ฮัวหลิงยิม้ พลางตวัดมือขวา วัตถุสงิ่ หนึ่งปรากฎขึ้นแล้วลอยไป
ยังชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงิน
เขาก้มลงมองอย่างรวดเร็ว จากนัน้ ก็รับของไปโดยไม่กระพริบ
ตาสักนิด เขายิ้มแล้วพูดว่า "ท่านช่างมีเมตตานั้น นายน้อย
ฮัวหลิงเกรงอกเกรงใจไปแล้ว"
ชายคนนี้เป็นเพียงผูด้ ูแลกิจการภายนอก กับบิดาของฮัวหลิงที่
เป็นผู้ดูแลที่มสี ิทธิ์ขาดแล้ว ยังไม่อาจเทียบเปรียบได้ เมื่อ
ฮัวหลิงให้มันขนาดนี้ เขาจะไม่ไว้หน้าได้อย่างไร
เช่นนั้น พวกศิษย์ที่มากับนายน้อยฮัวหลิง เชิญทดสอบก่อน"
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินยิ้มและพูดต่อว่า "ห้วงสวรรค์
น้อยนับว่าได้รับการประสาทพรจากฟ้า ให้ปรากฎผูม้ ีพรสวรรค์
จานวนมาก ดังนั้นศิษย์ที่มาในรอบนี้ สมควรเป็นอัจฉริยะที่โดด
เด่นแล้ว"
ต้องรบกวนท่านแล้ว ผูด้ ูแลกู่" ฮัวหลิงหัวเราะแล้วหันไปส่ง
สัญญาณให้คนอื่นๆ "มานี่"
ศิษย์จากห้วงสวรรค์น้อยต่างก็เดินเข้าไปหาฮัวหลิง
เห็นเช่นนี้แล้ว ใบหน้าคนที่กาลังต่อแถวกันพลันมัวหมองลง
เพื่อที่จะได้ทดสอบคนหลายพันคนนี้ต้องมายืนรอเป็นเวลานาน
ฮัวหลิงและพวกเพิ่งจะมาถึง แต่กลับได้ทดสอบก่อน เช่นนี้จะ
รับได้อย่างไร
"คนพวกนี้เป็นใครกัน?"
ระวังคาพูดหน่อย อย่างได้หาเรื่องราวใส่ตัว นั่นคือฮัวหลิง
บุตรชายของผู้ดูแลตาหนักนอกสถาบันวิญญาณฟ้า ปล่อยให้
พวกเขาทดสอบไปก่อน"
สุดท้าย คนที่ต่อแถวก็ได้แต่ยั้งปากไว้ จะอย่างไร ในนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายังไม่มีกาลังพอจะรับผลจากการล่วงเกิน
คนเช่นนี้
ทว่า เซี่ยวหยู่เดินไปถึงตรงหน้าฮัวหลิงและครูคุมสอบแล้วถาม
ด้วยน้าเสียงเคร่งขรึมว่า "ผู้ดูแลกู่ นี่เหมาะสมแล้วหรือ? พวก
เรามาถึงก่อนฮัวหลิง แต่พวกเขากลับได้รับการทดสอบก่อนเรา
การลาเอียงเช่นนี้ หากมีข่าวลือแพร่ออกไปคงไม่ดีนัก"
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมน้าเงินมองไปยังเซี่ยวหยูค่ ราหนึ่งสีหน้า
ก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนทันที หากเป็นคนธรรมดากล่าว
เช่นนี้ล่ะ เขาจะต้องถูกกดดันจนเงียบไป ระหว่างการทดสอบ
เขายังนับว่ามีอานาจกระทาได้ ทว่า บิดาของเซี่ยวหยู่อยู่ใน
ระดับเดียวกันกับบิดาของฮัวหลิง ผู้ดูแลฝ่ายนอกที่ครอบครอง
อานาจตัดใจ ทั้งสองคนไม่ใช่บุคคลที่เขาสามารถตอแยได้ ยิ่งไป
กว่านั้น หากเซี่ยวหยู่แพร่ข่าวว่าเขาลาเอียง ตัดสินไม่เป็นธรรม
ระหว่างการสอบ เขาย่อมต้องโดนลงโทษแน่
นายน้อยเซี่ยวหยู่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เรื่องเป็นเช่นนี้ นายน้อย
ฮัวหลิงมารับหมายเลขเข้าทดสอบไปก่อนที่พวกเราจะ
เตรียมการเสร็จ เพียงแต่ท่านมาช้าไปเล็กน้อย นั่นจะเรียกว่าไม่
เหมาะได้อย่างไรผู้ดูแลกู่พูด หลังจากที่นึกข้อแก้ตัวออกใน
พริบตา เขาเป็นคนฉลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมตกอยู่ในกามือ
ผู้อื่นง่ายนัก
เซี่ยวหยู่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้ดูแลกู่
โกหก หน้าด้านๆ แต่เขาก็ทาอะไรไม่ได้
นายน้อยเซี่ยว ข้าลืมบอกท่านไป ข้าได้จองหมายเลขเข้า
ทดสอบสาหรับพวกท่านไว้ก่อนด้วย หากท่านต้องการทดสอบ
ก่อน ข้าจะให้พวกท่านทดสอบก่อนพวกเรา" ฮัวหลิงหัวเราะ
เบาๆ
ผู้ดูแลเกู่ต้องมองไปทางฮัวหลิงอย่างสานึกขอบคุณ ทั้งสองเป็น
บุตรของผู้ดูแล แต่ฮัวหลิงรู้ว่าควรวางตัวอย่างไร เมื่อเทียบกับ
เซี่ยวหยู่แล้วนับว่าไหลกว่ามาก เรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ทีเดียว
ไม่จาเป็น อีกสักครู่ก็ถึงรอบพวกเราแล้ว" เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้วครู่
หนึ่ง หากเขาแซงฮัวหลิง มิเท่ากับว่าเขาเป็นคนประเภท
เดียวกันกับฮัวหลิงหรือ?
โอ้? ใกล้จะถึงรอบของนายน้อยเซีย่ วแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นผู้ดูแล
กู่ ท่านช่วยพวกเราทดสอบพร้อมกันเลยก็ได้ เช่นนี้แล้วข้ากับ
นายน้อยเซี่ยวจะได้มีเวลาคุยกัน" ฮัวหลิงหัวเราะเบาๆ
เมื่อนายน้อยฮัวหลิงต้องการเช่นนัน้ โปรดรอสักครูศ่ ิษย์ที่อยู่
แถวหน้าใกล้จะทดสอบเสร็จแล้ว" ผู้ดูแลกูย่ ิ้มบาง นัยตาปรากฎ
แววคลุมเครือสั่นไหวอยู่ ได้ยินว่าบิดาของทั้งสองคนไม่ถูกกัน
และดูบตุ รชายของทั้งสองก็คนจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่เมื่อ
เรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับเขา ผูด้ ูแลกู่ก็ยินดีจะนั่งลงข้างๆ รอชม
เรื่องสนุกสนาน
เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้ว แสดงให้เห็นว่าไม่ชอบใจการยั่วยุของฮัวหลิ
งนิดหน่อย
ฮัวหลิงมองไปทางเนี่ยหลี่สามสหายแล้วยิ้ม "ข้าไม่รู้หรอกนะว่า
รากวิญญาณที่อัจฉริยะจากโลกใบเล็กเช่นพวกนี้จะอยูร่ ะดับใด?
แต่ควรทราบว่านายน้อยเซี่ยวหยูน่ ั้นเป็นบุคคลหายากที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ด ข้าหวังว่าคนพวกนี้จะไม่เลวเช่นกัน"
เสี่ยวอวี้ยังไม่แน่ใจในพรสวรรค์ของพวกเนี่ยหลี่นัก เมื่อฮัว
หลิงกล้าข่มขนาดนี้ มันได้แต่กวาดสายตาเย็นชาใส่มันอย่าง
เงียบงัน
พวกศิษย์ที่ได้ทดสอบแถวหน้ามีหลายคนที่มรี ากวิญญาณชั้นดิน
หนึ่งในนั้นมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับสาม กระตุ้นให้เสียงฮือฮา
จากการตื่นตกใจดังขึ้นมา
รากวิญญาณชั้นฟ้าเชียวนะ!!"
ทุกคนต่างมองไปยังอัจฉริยะผู้นั้นด้วยสายตาอิจฉา
อัจฉริยะผู้นั้นยังคงนิ่งตะลึง เดิมทีเขาเพียงแค่มาเรียนเป็นเพื่อน
นายน้อยของเขา และการทดสอบคราวนี้ก็เพียงแค่มาทดสอบ
เป็นเพื่อนนายน้อย ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีรากวิญญาณชั้น
ฟ้า
บทที่ 265 ทดสอบ
เค้าแห่งความยินดีประดับอยู่บนใบหน้าของผู้ดูแลกู่ "ไปเขต
ตะวันตก!" สถาบันวิญญาณฟ้าดูแลอัจฉริยะเช่นบุคคลสาคัญ
จริงๆ
ถ้ามีอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าปรากฎตัวขึ้นสักคน แม้แต่
ผู้ดูแลกู่ก็พลอยได้รับรางวัลด้วย
ลู่เปียวมองไปที่เซี่ยวหยู่แล้วถามว่า "เขตตะวันตก ตะวันออก
และใต้นี่แตกต่างกันยังไง
เซี่ยวหยู่ก็อธิบายว่า "เขตเหนือนั้นนับว่าแย่สุด ปกติแล้ว คนที่มี
รากวิญญาณต่ากว่าชั้นมนุษย์ระดับห้าจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้า
เรียน แต่ยังมีบางคนที่ไม่อาจถอน
ตัวเรื่องการเข้าเรียนที่นี่ง่ายๆ ด้วยเหตุผลด้านฐานะหรือมี
ครอบครัวอยู่ในนิกายขนนกศักดิ์สทิ ธิ์ คนที่เป็นแบบนั้นจะถูก
ส่งไปเขตทิศเหนือ"
ลู่เปียวเข้าใจแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่ถูกส่งไปยังเขตทิศเหนือก็
คือพวกลูกหลานคนใหญ่คนโตที่ไร้ความสามารถนั่นเอง ถ้าเป็น
คนทั่วไปแล้วมีรากวิญญาณต่ากว่าชั้นมนุษย์ระดับห้าล่ะก็ จะ
เข้าไปเรียนในเขตเหนือยังทาไม่ได้เลย
"เขตใต้นับว่าดีขึ้นมาเล็กน้อย เพราะใช้รองรับผู้มรี ากวิญญาณ
ชั้นมนุษย์ระดับห้าถึงระดับเก้า ส่วนเขตตะวันตกเป็นพื้นที่ที่ดี
ที่สุด ที่ศิษย์ใหม่จะสามารถเข้าไปได้ มีเพียงผูม้ ีรากวิญญาณชั้น
ดินและชั้นฟ้าเท่านั้นที่จะถูกส่งไปยังเขตตะวันตก ตอนนี้ข้าเอง
ก็ยังอยู่ที่เขตตะวันตก คนที่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้
รวดเร็วและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เพียงพอจึงจะสามารถ
ย้ายไปยังเขตตะวันออกได้"
ลูเปียวมองไปยังเซี่ยวหยู่แล้วถามว่า "แล้วเขตกลางล่ะ
เขตกลาง..." เซีย่ วหยู่เว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้า
เสียงจริงจัง" นั่นเป็นสถานที่ลับสุดยอด ไม่มีใครรู้ว่าข้างในเป็น
อย่างไร ทุกอย่างในนั้นถูกปกปิดเป็นความลับและห้ามเปิดเผย
ต่อภายนอกเด็ดขาด มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะจากเขตตะวันออก
เท่านั้นที่อาจจะมีสิทธิได้รับเลือกให้ไปที่นั่น ว่ากันว่ามีขุมกาลัง
หลักของนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์อยู่ที่นั่น"
เนี่ยหลี่นิ่งเงียบ แม้ในชาติก่อน กับเรื่องของเขตกลางแล้ว เขาก็
ยังได้รับรู้ข้อมูลเพียงบางส่วนเท่านั้น
พอมองไปข้างหน้าก็เห็นว่าใกล้ถึงรอบของพวกเขาแล้ว เนี่ยหลี่
เข้าใจพรสวรรค์ของตัวเองดี ชาติก่อนเขาก็เคยทดสอบ และได้
ทราบว่าตัวเองมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด แม้ว่าไม่ได้
แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ก็ยังนับได้ว่าโดดเด่น หากเป็น
สถานการณ์ทั่วไป เขาก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเขาจึงสามารถ
บอกได้เลยว่าตัวเองยังคงมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีคนที่ทดสอบเสร็จไปอีกหลายสิบคน
ผู้ดูแลกู่มองไปยังเซี่ยวหยู่และฮัวหลิง ก่อนจะพูดริมฝีปาก
ประดับยิ้มบางว่า "นายน้อยทั้งสอง ใกล้ถึงรอบคนของพวก
ท่านแล้ว"
ฮัวหลิงที่ยืนอยูด่ ้านหนึ่งยิ้ม "ข้าจะให้ผู้ดูแลกูเ่ ป็นผูจ้ ัดการแล้ว
กัน ข้ากับเซี่ยวหยู่จะรออยู่ดา้ นข้าง"
ผู้ดูแลกู่พยักหน้าแล้วชี้นิ้วไปยังบุคคลหนึ่งแลวพูดว่า "เจ้าเข้ามา
นี่แล้วรับการทดสอบเสีย"
นั่นเป็นคนที่มาจากห้วงสวรรค์น้อย ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบและ
สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีม่วง
ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้า ภายใต้การดูแลของผู้ดูแลกู่และ
ครูผู้ช่วยทั้งสอง เขาก็ค่อยๆ วางมือลงบนลูกแก้วทรงกลมที่มี
ขนาดใหญ่พอๆ กับหลักหินบอกระยะ จากนั้นจึงส่งพลังของตน
เข้าไปอย่างช้าๆ
ลูกแก้วเรืองแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเส้นสายสีส้มก็ปรากฎ
ขึ้นในลูกแก้วแล้วขมวดรวมกันเป็นมัดจานวนหกมัด
ผู้ดูแลกู่พยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเบาบางว่า "รากวิญญาณ
ชั้นดินระดับหก ไม่เลว ส่งไปเขตตะวันตก"
ฮัวหลิงเดินเข้าไปตบไหล่ชายหนุ่มแล้วชมว่า "ดีมาก!"
ชายหนุ่มโค้งให้น้อยๆ ด้วยความเคารพก่อนจะล่าถอยไปอยู่ข้าง
หลังฮัวหลิง ดูเขาจะไม่ค่อยถือตัวเท่าใดนัก
จากนั้นอาจารย์คุมสอบก็ทาการทดสอบคนอื่นๆ ต่อไป
รากวิญญาณชั้นดินระดับสาม ไปเขตตะวันตก"
รากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด ไปเขตตะวันตก"
อีกสามคนถัดมามีรากวิญญาณชั้นดิน ทั้งหมดถูกส่งไปเขต
ตะวันตก
คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังต่างก็เอาเรื่องนี้ไปกระซิบกระซาบกัน
คนจากห้วงสวรรค์น้อยพวกนี้จะสุดยอดเกินไปแล้ว คนที่มา
ทดสอบมากมายขนาดนี้แต่เก้าส่วนมีรากวิญญาณไม่เกินชั้น
มนุษย์ ในสิบคนจะพบคนที่มีรากวิญญาณชั้นดินสักคนหรือสอง
คนเท่านั้น แต่นี่ทั้งสามคนเป็นรากวิญญาณชั้นดินกันหมดเลย"
นั่นสิ แถมหนึ่งในนั้นยังมีรากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด เท่านั้นก็
นับว่าหายากมากแล้ว"
มุมปากของฮัวลิงยกตัวขึ้น ห้วงสวรรค์น้อยมักจะสามารถผลิต
คนหนุ่มสาวทีม่ ีพรสวรรค์ออกมาได้เป็นประจา จะเอาไปเทียบ
กับที่อื่นได้อย่างไร
ผู้ดูแลกู่ชี้ไปที่กวนหยู่ "เจ้า เข้ามานี่แล้วรับการทดสอบเสีย"
กวนหยู่พยักหน้ารับคา "ขอรับ"
เขาก้าวออกไปข้างหน้า ภายใต้การดูแลของครูผู้ช่วยทั้งสอง
เขาวางมือลงบนลูกแก้วทรงกลม แล้วส่งพลังของตนเข้าไป
โชคดีที่เซี่ยวหยู่อธิบายขั้นตอนให้ฟังก่อน แม้จะรู้อยู่ก่อนว่า
ลูกแก้วนี้จะเป็นสิ่งที่ตัดสินชะตาชีวิตในอนาคตของเขา แต่พอ
ถึงเวลาจริงก็ยังอดประหม่าไม่ได้
เวลาผ่านไป ลูกแก้วก็ส่งแสงออกมาสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วสายใย
สีแดงก็ปรากฎขึ้นแล้วแยกออกเป็นเก้าสาย
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้า ส่งไปเขตทิศใต้" ผูด้ ูแลกู่พูด
หลังจากมองไปยังกวนหยู่ แม้ว่ารากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับ
เก้าจะไม่เลวแต่กไ็ ม่อาจเรียกได้ว่าเหนือธรรมดา
กวนหยู่ยืนเหม่อมองลูกแก้วตรงหน้าอย่างตกตะลึง พลางพึมพา
ว่า "นี่เป็นไปไม่ได้ การทดสอบนี้ตอ้ งมีอะไรผิดพลางแน่ ข้า
ต้องการทดสอบใหม่"
พอได้ยินคาพูดของกวนหยู่ ผู้ดูแลกู่ก็พูดเสียงเย็นว่า "การ
ทดสอบไม่มีทางผิดพลาด หนึ่งคนทดสอบได้หนึ่งครั้งเท่านั้น"
ครูคุมสอบอีกสองคนก็มองกวนหยูด่ ้วยสายตาโมโห กวนหยูไ่ ด้
มองกลับมาด้วยสายตาเหม่อ แม้วา่ เขาจะผ่านการทดสอบ แต่
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับเก้าไม่ถูกนับว่าเป็นอัจฉริยะ นี่
นับเป็นสิ่งที่เขายากจะยอมรับได้ ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขา
นับได้ว่าเก่งกาจทีส่ ุด เรียนรูไ้ ด้เร็วที่สุด เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์
ที่สุดแท้ๆ
พอเห็นกวนหยู่เดินกลับมา เนี่ยหลีก่ ็พูดอย่างสบายๆ ว่า "ไม่
ต้องไปสนใจมากนักหรอก แม้ว่าระดับของรากวิญญาณจะ
เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความเร็วในการบ่มเพาะพลัง แต่นั่นไม่
ปัจจัยตัดสินความสามารถ"
ได้ยินที่เนีย่ หลี่พดู กวนหยู่ก็ต้องสับสนใจด้วยความรูส้ ึก
หลากหลาย
ฮัวหลิงหัวเราะออกมา "ฮ่าๆๆ ระดับของรากวิญญาณไม่ใช่
ปัจจัยตัดสิน ถูกแล้ว ลองดูนายน้อยเซี่ยวหยูเ่ ป็นตัวอย่างสิ แม้
ท่านจะมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับเจ็ด จนป่านนี้พลังก็ยังค้างอยู่
ระดับชั้นชะตาดินเลย
เซี่ยวหยู่มองไปยังฮัวหลิงแล้วพูดว่า "เจ้าต้องจะพูดอะไรกัน
แน่?"
พอเห็นสายตาของเซี่ยวหยู่ ฮัวหลิงรีบกล่าวคา "ขออภัย" ด้วย
การพูดว่า "นายน้อยเซีย่ วหยู่ ข้าต้องขออภัยด้วย ปากของข้า
มันพาไปน่ะ ข้าไม่ได้ต้องการจะย้าปัญหาเรื่องรากวิญญาณของ
ท่านเลยจริงๆ"
เนี่ยหลีม่ องไปยังฮัวหลิงและส่งยิม้ ให้ "ระดับของรากวิญญาณ
ย่อมไม่สามารถตัดสินความสาเร็จในอนาคตของคนผู้หนึ่งได้ก็
จริง แต่ยังมีความเกี่ยวเนื่องอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มรี าก
วิญญาณชั้นฟ้า นายน้อยฮัวหลิงท่านเคยเห็นผู้มรี ากวิญญาณ
ชั้นฟ้าคนใดมีพลังค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินไปตลอดหรือ? ตราบ
ใดที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้า นั่นก็จะเป็นสิ่งที่รับประกันได้วา่ คนผู้
นั้นสามารถก้าวขั้นไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้"
ฮัวหลิงเย้ยหยันว่า "แล้วอย่างไร? ใช้เวลาฝึกฝนเป็นทศวรรษแค่
เพื่อชั้นชะตาสวรรค์? ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเท่านี้กไ็ ม่ได้
ดีไปกว่ารากวิญญาณชั้นมนุษย์หรอก"
ก็ไม่เชิง" เนี่ยหลีส่ ่ายหัวแล้วพูดต่อ "ระดับวิญญาณของคนที่มี
รากวิญญาณชั้นฟ้านั้นมีสภาวะที่น่าแตกตื่นอยู่แล้ว แต่เหตุใด
คนที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าบางคนยังค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินเป็น
เวลานานเล่า? นั่นก็เพราะว่ารากวิญญาณชั้นฟ้าจะดูดซับพลัง
ฟ้าดินเข้าสูร่ ่างกายเพิ่มระดับวิญญาณเองอยู่แล้ว ไม่ทราบว่า
นายน้อยฮัวหลิงรู้จักวัตถุวญ ิ ญาณที่เรียกว่า ไผ่มณีม่วง หรือไม่?
ไผ่มณีม่วงเป็นยอดสมุนไพร ใต้ฟ้าเหนือพิภพนี้นับว่าเป็นของ
หายากยิ่ง ปกติแล้วเมล็ดของมันมักจะฝังตัวอยู่ในดิน ดูดซับ
พลังพลังฟ้าดินเอาไว้ ไผ่มณีม่วงนี้จะเริม่ งอกหลังจากที่ดดู ซับ
พลังมานานหลายร้อยปี และพอมันงอก มันก็จะเติบโตขึ้นเพียง
ไม่กี่นิ้วในแต่ละปี พอเวลาผ่านไปหลายพันหลายหมื่นปี ไผ่มณี
ม่วงจึงพร้อมที่จะแตกหน่อผลิใบ เมื่อเวลานั้นมาถึง ทันทีที่ไผ่
มณีม่วงโผล่พ้นจากดิน มันก็จะโตพรวดจนสูงหลายสิบเชี๊ยะใน
วันเดียวและจะโตต่อไปอย่างรวดเร็ว"
ฮัวหลังฟังจนหัวหมุนแต่ก็ฟื้นตัวได้เกือบจะทันที แล้วจึงแค่น
เสียงกล่าวว่า "แม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะฟังดูมีเหตุผล แล้วอย่างไร?
ไผ่มณีม่วงจะเอามาเทียบรากวิญญาณชั้นฟ้าได้ยังไง
เนี่ยหลีย่ ิ้มบางแล้วตอบว่า "แม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และ
ท่านก็คงไม่เชื่อข้า แต่ท่านสามารถสอบถามเพื่อยืนยันกับยุทธา
จารย์ท่านไหนก็ได้ ว่าผู้ที่มรี ากวิญญาณชั้นดินและชั้นฟ้าแล้ว
ค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินเป็นเวลาหนึ่งปี สามารถประกันได้ว่าจะ
ก้าวไปถึงระดับชะตาสวรรค์ได้แน่นอน หากติดอยู่ที่ชั้นชะตาดิน
สองปีก็ประกันได้ว่าจะก้าวไปถึงชัน้ แก่นแท้แห่งสวรรค์ได้
แน่นอน และผู้ที่ค้างอยูส่ ามปี ก็คอื ยอดอัจฉริยะทีส่ ามารถก้าว
ไปถึงระดับเทพสงครามได้แน่นอน ไม่ทราบว่านายน้อยเซีย่ วหยู่
ติดอยู่ที่ชั้นชะตาดินนานเท่าใดแล้ว
ห้าปีแล้ว" เซี่ยวหยู่มองเนี่ยหลี่อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มันไม่
สามารถบอกได้ว่าทีเ่ นี่ยหลี่พูดเป็นความจริงหรือไม่
เนี่ยหลีม่ องไปยังเซีย่ วหยู่แล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ขอแสดง
ความยินดีด้วย นายน้อยเสี้ยวอี้ ท่านคงจะสามารถทะลวงขีดจา
กัดก้าวเข้าสู้ชั้นชะตาสวรรค์ได้เร็วๆ นี้ หลังจากนั้น ระดับพลัง
ของท่านจะพุ่งขึ้นสูง ในระดับที่คนทั่วไปจะสามารถรับไม่ไหว
ทีเดียว"
ฮัวหลิงยิม้ เย็น "ชิ ไร้สาระ แค่พูดออกมาส่งๆ แล้วคิดว่ามันจะ
เป็นจริง น่าขัน จะบอกว่าเจ้าเคยพบกับยอดฝีมือชั้นเทพ
สงครามมาแล้วสักคนหรือยังเถอะ? น้าหน้าอย่างเจ้ามีสิทธิ์ยืน
อยู่หน้ายอดฝีมือชั้นเทพสงครามงั้นหรือเขารูส้ ึกสังหรณ์ไม่ดีกับ
คาพูดของเนี่ยหลี่ แต่เขายังไม่อาจทาใจยอมรับว่าสิ่งที่เนี่ยหลี่
พูดเป็นความจริง
เดี๋ยวก็รู้ รอดูไปเถอะ" เนี่ยหลี่ยักไหล่
เซี่ยวหยู่หันมาปรึกษาเนี่ยหลี่ว่า "เนี่ยหลี่ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง
หรือ
ข้ากุเรื่องขึ้นเอง" เนี่ยหลี่ตอบ พลางลอบหัวเราะในใจ ที่พูด
ออกไปนั้นเป็นความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง เขารู้ว่าวิญญาณของ
เซี่ยวหยู่ถูกขัดเกลาจนอยู่ในระดับที่สามารถทะลวงขีดจากัด
ไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้นานแล้ว ด้วยพรสวรรค์ขอเซีย่ วหยู่
หลังจากที่ก้าวเข้าสู้ชั้นชะตาสวรรค์ การบ่มเพาะพลังของเขา
ย่อมจะต้องพุ่งขึ้นสูงอย่างที่ยากจะพบพาน
ยิ่งไปกว่านั้น เนี่ยหลี่สามารถบอกได้เลยว่าเซี่ยวหยูเ่ ป็น
เช่นเดียวกันกับเจ้านรกานต์ ทั้งสองฝึกวิชา [มังกรคารามคณา
นับ] สิ่งที่สุดยอดของวิชานี้ก็คือมันสามารถเทียบได้กับวิชาที่
เนี่ยหลีส่ อนตู่ซื่อกับลูเปียวชนิดไม่เป็นรองแก่กันเลยแม้แต่นิ้ว
เดียว ทว่า วิชา [มังกรคารามคณานับ] ที่เจ้านรกานต์และเซี่ยว
หยู่ฝึกคงจะมีบางส่วนขาดหายไปจากต้นฉบับ นั่นจึงทาให้เซี่ยว
หยู่ค้างอยู่ที่ระดับชะตาดินนานขนาดนี้
และนั่นก็เท่ากับว่าเซี่ยวหยู่มีความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขีดจา
กัดไปสู่ชั้นชะตาสวรรค์ได้แน่นอน หลังจากทะลวงขีดจากัด
เส้นทางของเขาจะลายเป็นเส้นทางที่เดินสะดวกไปจนกว่าจะ
เคาะประตูชั้นดาราสวรรค์นั่นแหละ จึงจะเริม่ ฝึกได้ยากขึ้น
ถ้างั้นก็ช่างเถอะ" เซี่ยวหยู่ยิ้มอย่างขมขื่น เนี่ยหลี่เพียงแค่แหล
ใส่ฮัวหลิงเท่านั้น เพียงแค่เรื่องที่เนี่ยหลี่พูดก็เพิ่มความหวังอัน
ริบหรี่จนให้เขาดีใจเก้อเท่านั้น
เนี่ยหลีย่ ิ้มเงียบๆ
ฮัวหลิงมองไปที่เซี่ยวหยู่ พอหันมายังเนี่ยหลี่ก็แค่นเสียงเย็นชา
เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เนี่ยหลี่พูด เขาจึงหันไปดูคนของเขาทาการ
ทดสอบต่อ
รากวิญญาณชั้นดินระดับสาม"
รากวิญญาณชั้นดินระดับเจ็ด"
รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด"
การทดสอบผ่านไปหกคน ในนั้นปรากฎรากวิญญาณชั้นดินถึง
ห้าคน และรากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปดหนึ่งคน
พอได้ยินคาพูดของผูด้ ูแลกู่ หน้าของฮัวหลิงก็พลันเปลี่ยนเป็นสี
ดาคล้า มันแค่นเสียงเย็นชา "สวะ!! รากวิญญาณชั้นมนุษย์ ไส
หัวกลับไปห้วงสววรค์น้อยไป ข้าไม่ต้องการขยะรากวิญญาณ
ชั้นมนุษย์ที่นี่"
ชายหนุ่มถูกด่าที่ทดสอบได้รากวิญญาณชั้นมนุษย์ระดับแปด
มันอับอายจนหูแดงไปหมด..จบตอน
บทที่ 266 ผลการทดสอบ
เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลรวดเร็วถึงเพียงนี้
เนี่ยลีร่ ู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็คดิ ออกว่าเป็น
เพราะเหตุใด เซี่ยวหยู่นั้นไม่สามารถที่จะทะลวงผ่านได้เป็น
เวลาหลายปี เดิมทีนั้นเซีย่ วหยู่มรี ะดับรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
เจ็ดนับว่ามีพรสวรรค์มิใช่น้อย เขาควรจะบรรลุถึงระดับชะตา
สวรรค์ได้นานแล้ว แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการที่ทาให้เขา
ไม่สามารถทะลวงผ่านได้ แต่อย่างไรก็ตามผลของการบ่มเพาะ
พลังมาอย่างยาวนานก็ยังคงอยู่ เมือ่ ถูกกระตุ้นโดยการฝังเข็ม
ของเนี่ยลี่ พลังงานสวรรค์จึงระเบิดออกมาในทันที
แสงสีแดงถูกปล่อยของมาจากเซีย่ วหยู่ ส่งผลให้ร่างกายของเขา
เรืองแสงราวกับกุหลาบสีแดงเข้ม พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ราวกับพายุพัดรอบๆตัวของเขา
“พลังที่แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้
!” เนี่ยลี่ถูกคลื่นพลังผลักไปข้างหลังหลายก้าว ในขณะที่เขา
มองดูเซี่ยวหยู่ถูกห่อหุ้มด้วยรัสมีพลังที่ราวกับเป็นพายุ เขา
พึมพัมขึ้นมาว่า เทคนิคการบ่มเพลัง [มังกรคารามคณานับ]
ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเจ้าแห่งนครใต้พิภพได้มาจากที่ใดกัน
แน่
เมื่อเซี่ยวหยู่ทะลวงผ่านระดับชะตาสวรรค์แล้ว และสามารถ
ก่อรูปชะตาวิญญาณ ของเขาได้ การบ่มเพาะพลังของเขา จะ
เป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่เนี่ยลี่จมอยู่กับความคิดเหล่านั้น เซี่ยวหยู่ราวกับว่ากา
ลังจมอยู่ในการบ่มเพาะพลังของเขา และสามารถก่อรูปชะตา
วิญญาณ อันแรกขึ้นมาในขอบเขตวิญญาณของเขาได้หลังจาก
นั้น อันที่สอง และอันที่สาม ก็ก่อรูปขึ้นมา การบ่มเพาะพลัง
ของเขาหยุดอยู่ในขั้นที่สาม
เมื่อสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณได้ถึงอันที่สาม เซี่ยวหยู่รสู้ ึก
ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะ
สามารถทะลวงผ่านจนบรรลุได้รวดเร็วถึงเพียวนี้
คลื่นพลังที่บ้าคลั่งค่อย ๆได้สงบลง และสงบนิ่งดั่งผืนน้า เซี่ยว
หยู่ค่อย ๆลืมตาขึ้นมา มองเห็นเป็นแสงประกายที่งดงามยิ่งนัก
เทคนิคการบ่มเพลัง [มังกรคารามคณานับ] สามารถปิดกั้นพลัง
ส่วนหนึ่งของสถานะการบ่มเพาะพลังเอาไว้ จึงทาให้ไม่สามารถ
ตรวจพบได้โดยผู้อื่น มันไม่มีกลิ่นอายของพลังใด ๆ แผ่ออกมา
จากร่างกายของเซี่ยวหยู่ เขาก้มมองและเห็นว่าเสื้อผ้าของเขา
นั้นยุ่งเหยิง แล้วก้มมองไปยังหน้าอกของเขา ซึ่งเผยให้เห็นไหล่
ทั้งสองข้างของเขาอย่างเต็มที่ ในตอนนั้นช่วยไม่ได้ที่เขาจะรูส้ ึก
อึดอัดขึ้นมา
เซี่ยวหยูส่ วมเสื้อผ้าของเขาจนเรียบร้อยดีแล้ว เขาหันไปหาเนี่ย
ลี่ พร้อมกับพูดอย่างจริงใจว่า “เนี่ยลี่ ขอบใจเจ้ามาก ถ้าหาก
ไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่อาจที่จะทะลวงผ่าน จนสามารถบรรลุถึงขั้น
ชะตาสวรรค์ได้ ถ้าหากเจ้าต้องการร้องขอสิ่งใดจากข้า ขอเพียง
เจ้าเอ่ยมา ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่”
เซี่ยวหยู่นั้นเป็นคนที่ยึดถือคาพูดของตัวเองอย่างจริงจัง เพราะ
ความจริงที่ว่าเขาไม่อาจที่จะบรรลุถึงขั้นชะตาสวรรค์เป็นเวลา
ยาวนาน แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ยงั หมดความอดทนกับเขา ถ้า
หากว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเนี่ยลี่ ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะยัง
ต้องอยู่ในระดับชะตาดินไปอีกยาวนานเท่าใด
เนี่ยลี่ยื่นมือขวาของเขาออกไปพร้อมกับพูดว่า “ข้าได้ช่วยรักษา
เจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะตอบแทนที่ข้าช่วยให้เจ้าทะลวง
ผ่านระดับชะตาสวรรค์ได้ เจ้าก็เพียงแค่แบ่งศิลาจิตวิญญาณ
บางส่วนของเจ้ามาให้ข้าบ้าง ได้หรือไม่? สาหรับค่าน้าพักน้า
แรงของข้า เพราะข้าไม่อยากจะเสียเวลาเปล่าสาหรับคืนนี้”
หลังจากเนี่ยลี่พูดจบ เซี่ยวหยูไ่ ด้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองไปที่
เนี่ยลี่แล้วพูดว่า “ข้ามีศลิ าจิตวิญญาณอยู่ในตอนนี้ราว ๆ สิบ
ก้อน เจ้าสามารถเอาไปได้ทั้งหมดเลย”
“อะไรกัน เจ้าเป็นถึงบุตรชายของผู้คุมกฏ ทาไมถึงได้ยากจนยิ่ง
นัก ลืมมันไปซะ ข้าคงจะรู้สึกไม่ดีเป็นแน่หากว่าเอาศิลาจิต
วิญญาณของเจ้ามาทั้งหมด ข้าขอรับไปแค่ห้าก้อน จากนี้เราก็
ไม่มีอะไรทีต่ ิดค้างกันอีก เจ้าได้พาข้ามายังนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ และข้าได้ช่วยรักษาเจ้า ถือว่าไม่มีอะไรติดค้างกัน
แล้ว” เนี่ยลีโ่ บกมือของเขาและหยิบเอาศิลาจิตวิญญาณมาห้า
ก้อนมา พร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
‘เข็มเงินสองเล่มแลกกับศิลาจิตวิญญาณห้าก้อน อย่างน้อยคืน
นี้ก็ไม่ได้เสียเปล่าหล่ะนะ’
เซี่ยวหยู่มองไปทางเนี่ยลี่ ด้วยความสับสน การใช้เข็มทั้งสอง
เล่มของเนี่ยลี่ ไม่ใช่เรื่องที่ทาได้ง่าย ๆ เหมือนที่เนี่ยลี่พยายาม
แสดงออกมาแน่ ๆ แต่ถึงอย่างไรด้วยความช่วยเหลือจากเขา
ตัวเขาเองถึงได้เข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ได้ เซีย่ วหยู่คิดไม่ออก
เลยว่าจะตอบแทนเขาได้อย่างไร เนื่องจากเนี่ยลี่พูดว่าเขาไม่
อยากจะติดค้างอะไรกันอีก
เนี่ยลี่ทาราวกับว่าไม่ต้องการสิ่งใดเลย เซีย่ วหยูไ่ ด้ได้แต่แอบ
ถอนใจ “นี่เซี่ยวหยู่ ทาไมเจ้าถึงมองข้าแบบนั้น มันทาให้ข้าขน
ลุกรูไ้ หม?” เนี่ยลี่โบกมือของเขา พร้อมกับแสดงออกทาง
ใบหน้าอย่างอึดอัด เขาพูดต่ออีกว่า
“ข้าไม่ได้สนใจผู้ชายด้วยกันหรอกนะ!”
หลังจบคาพูดของเนี่ยลี่ ใบหน้าของซี่ยวหยู่เปลีย่ นเป็นสีดา ทา
ไมเขาต้องยั่วโมโหข้า ทาให้อยากจะต่อยหน้าของของในตอนนี้
แม้ว่าเนี่ยลี่เพิ่งจะช่วยเหลือเขาก็ตาม
เซี่ยวหยูล่ ุกยืนขึ้นด้วยความราคาญและเดินออกไป ในตอนที่
เขากาลังเดินไปที่ประตู เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดอย่างช่วย
ไม่ได้ ด้วยน้าเสียงที่อ่อนโยน “อย่างไรก็ ขอบใจเจ้ามากนะ”
จบคาพูดแล้วเขาก็เดินออกไปพร้อมกับปิดประตู
มองไปที่ประตูที่เซี่ยวหยู่เพิ่งจะปิดไป เนี่ยลี่นอนลงไปบนเตียง
พร้อมกับมองไปที่เพดาน “คิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังต้องการ
ที่จะตอบแทนข้าอยู่ ทาไมรู้สึกเหมือนกับว่าข้าขาดทุนที่ได้ศลิ า
จิตวิญญาณแค่ห้าก้อน ข้าควรจะเอาของเขามาทั้งสิบก้อนเลย
ดีกว่า”
ค่าคืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ
เช้าวันต่อมาช่างแจ่มใสและสดชื่นเป็นอันมาก เสียงนกร้อง
เจื้อยแจ้วดังมาจากป่าราวกับบทเพลงที่แสนไพเราะหมอกใน
ตอนเช้าปกคลุมพื้นที่ในขณะที่อากาศบริสุทธิ์ก็กระจายออกมา
จากป่า
นักเรียนหลายคนได้ตื่นขึ้นมาแล้วในเช้าวันนี้และเริ่มทาการ
ฝึกฝน เนี่ยลี่กับลู่เพียวเดินไปตามเส้นทางที่เลี้ยวไปมา วันนี้เขา
จะต้องไปรายงานตัวกับอาจารย์ของพวกเขา และพวกเขาก็อด
สงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นคนเช่นใด
เนี่ยลี่และลู่เพียวเดินมาตามแผนที่ ที่เซี่ยวหยู่ให้ไว้ จากนั้นพวก
เขาก็เดินมาจนลานด้านหน้า ตรงทางเข้าของลานนั้นมีผู้เยี่ยม
ยุทธในชุดคลุมสีเทา ห้ามไม่ให้เนีย่ ลี่และลู่เพียวเข้าไป แล้วเขา
ก็แจ้งว่า “ป้ายชื่อของพวกเจ้าหล่ะ!”
เนี่ยลี่และลู่เพียวจึงหยิบป้ายชื่อของเขาออกมาให้ผู้เยี่ยมยุทธใน
ชุดคลุมสีเทาดูตามที่ถูกร้องขอ “เข้าไปได้แล้ว
!” ผู้เยี่ยมยุทธกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
เนี่ยลี่และลู่เพียวเดินเข้าไปด้านใน ลู่เพียวมองดูรอบ ๆ ด้วย
ความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็พดู ออกมาว่า “ที่แห่งนี้ช่าง
ต่างจากสถาบันกล้วยไม้ศักดิส์ ิทธิจ์ ริงๆ”
“ใช่แล้ว” เนี่ยลี่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปด้าน
ใน พวกเขาเห็นนักเรียนนับสิบคนยืนอยู่ในลานกว้าง มีหนึ่งคน
ในนั้นที่พวกเขารู้สึกคุ้นตา เขาเป็นหนึ่งในลูกน้องของฮัวหลิงที่
เข้ารับการทดสอบและอยู่ในขั้น ราก
วิญญาณชั้นฟ้าระดับหนึ่ง ชายผู้นนั้ มองมายังเนี่ยลีแ่ ละลู่เพียว
ด้วยสายตาที่แสดงความเป็นปฏิปกั ษ์อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่า
นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันที่นี่มี ต่างก็มีรากวิญญาณชั้นฟ้า
เมื่อเนี่ยลี่และลู่เพียวเดินเข้ามาด้านใน หลายคนหันมามองพวก
เขาอย่างสนใจ
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุราว ๆ สิบหกหรือสิบเจ็ดปี เดินเข้ามา
และถามว่า
“พวกเจ้าทั้งสองมาจากที่แห่งใดกัน?”
เนี่ยลี่หันไปเหลือบมองเด็กหนุ่มคนนั้น ที่แสดงทีท่าอวดดีไม่
น้อย “โลกใบเล็ก” เนีย่ ลีต่ อบอย่างใจเย็น
“อะไรกัน พวกเจ้าคืออัจฉริยะสองคนที่มาจากโลกใบเล็กงั้น
เหรอ
? ที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า กับรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ
แปด ” ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายด้วยความแปลกใจ
แล้วเขาก็พูดต่ออีกว่า "ข้าชื่อ จินหยาน เป็นสมาชิกของตระกูล
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ คนแซ่จินอย่างพวกเราถือว่าอัจฉริยะทุกคน
ล้วนน่านับถือ หากพวกเจ้ารักในอิสระอย่าลังเลที่จะไปเยีย่ มชม
พื้นที่ของพวกเรา"
แม้ว่าคาพูดของจินหยานนั้นจะเป็นการเชื้อเชิญก็ตาม ในฐานะ
ของคนในตระกูล จิน เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะก้มหัวให้เนี่ยลี่และลู่
เพียว
“แล้วเราค่อยคุยกันในภายหลังก็แล้วกัน” เนี่ยลี่พดู จากนั้นเขา
และลูเ่ พียวก็เดินจากไป
เมื่อได้ยินสิ่งที่เนี่ยลี่พูดออกมา จินหยาน ทาหน้าดาคล้า พร้อม
กับคิดว่า พวกเจ้านี้สองคนมาจากโลกใบเล็ก แต่กลับทาตัว
โอหังเสียจริง จินหยานเดินออกไปพร้อมกับใบหน้าที่มืดคล้า
ด้วยความไม่สบอารมณ์
“เนี่ยหลี่ การที่เจ้าไปขัดใจเขา ดูเหมือนจะเป็นความคิดทีไ่ ม่
ค่อยดีเลยนะ” ลูเ่ พียวพูดด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องห่วงหรอก ภายในสถาบันวิญญาณฟ้าพวกเราจะ
ปลอดภัย แม้ว่าจะมีพวกที่พยายามสร้างปัญหาให้กับเรา แต่คน
พวกนั้นก็ไม่กล้าที่จะทาอะไรเกินเลย เนื่องจากพวกเรายังไม่ได้
เข้ากลุ่มกับผู้ใด ถือว่าเป็นจุดที่พวกเราจะปลอดภัยมากทีส่ ุด ไม่
มีใครคิดจะมาจัดการกับเหล่าอัจฉริยะที่เป็นกลางหรอกนะ การ
ที่เราจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเป็นการสร้างปัญหาให้
พวกเรามากกว่า” เนี่ยลี่อธิบาย
แม้ว่าสถาบันจิตวิญญาณฟ้า จะเป็นแค่สถาบันที่อยู่ภายใต้
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ แต่การเผชิญหน้ากันนั้นจะส่งผลอย่าง
รุนแรงมาก
ถ้าไม่เช่นนั้นนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ คงไม่ล่มสลายไปในชีวิตก่อน
หน้านี้ แน่นอนว่ามันจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ
ขณะที่พวกเขากาลังคุยกัน ชายแก่ผมสีขาวเดินเข้ามาจากข้าง
นอกลานกว้าง เขากวาดสายตาจ้องมองนักเรียนแต่ละคน แล้ว
ก็พูดว่า “ยินดีที่ได้พบกับพวกเจ้าทุกคน ข้าคืออาจารย์ของพวก
เจ้า เรียกข้าว่าอาจารย์ชิหลิง จากนี้ไปข้าจะทาการชี้แนะแนว
ทางการบ่มเพาะพลังให้พวกเจ้า ตามข้ามาข้างในจากนั้นก็หาที่
นั่งกัน ”
หลังจากที่เดิมตามอาจารย์ชิหลิงไป พวกเขาเข้าไปยังห้อง
ฝึกซ้อมและนั่งขัดสมาธิกัน อาจารย์ชิหลิง นั่งอยู่ตรงส่วนพื้น ที่
ยกสูงขึ้นกว่าปกติ
“ในชั้นเรียนนี้ เรามีนักเรียนอยู่ทั้งหมด สามสิบหกคน ทั้งหมด
เพิ่งเข้ามาเรียนในปีนี้ ทุกคนล้วนแต่เป็นบุคคลที่พิเศษ ที่มีราก
วิญญาณระดับเกินกว่าที่คนธรรมดาจะบรรลุได้ แต่ข้าคงต้อง
อธิบายให้ชัดเจนก่อนว่า ในที่แห่งนี้นั้น ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
กฏของข้า เมื่อถึงตอนสิ้นปีพวกเจ้าห้าคนที่มีความแข็งแกร่ง
มากที่สุด จะมีโอกาสถูกส่งไปยังเขตตะวันออก จงจาไว้ให้ได้ว่า
เรามีที่ว่างให้เพียงแค่ห้าตาแหน่งเท่านั้น และถ้าหากพวกเจ้าไม่
สามารถไปอยู่ที่แห่งนั้นได้ ข้าคงต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะเจ้าจะต้องอยู่ในเขตตะวันตกนี้ไปอีกนานแสนนาน”
อาจารย์ชิหลิง กวาดสายตามองไปยังทุกคนจากนั้นก็พูดต่อด้วย
น้าเสียงที่น่าประทับใจว่า “พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ
ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการที่จะถอยไปอยู่ด้านหลังของผู้อื่น ถ้า
หากใครที่อยู่ข้างหลังคนอื่นในก้าวนี้ ก้าวต่อๆไปก็จะตามหลัง
คนอื่นอยู่เสมอ”
หลังจากที่ อาจารย์ชิหลิง พูดจบ ทุกคนต่างจ้องมองหน้ากัน
และกัน และแสดงถึงความเป็นปฏิปักษ์ส่งผ่านออกมาจาก
สายตาของพวกเขา
นี่คือโลกที่มีการจัดอันดับความแข็งแกร่ง และในปีนี้ มีเพียงแค่
ห้าคนเท่านั้น ที่จะถูกส่งไปยังเขตตะวันออก ในขณะที่คนอื่น ๆ
ต้องรอไปอีกหนึ่งปี ซึ่งพวกเขาไม่สามารถรอไปถึงอีกหนึ่งปีได้
ในเส้นทางแห่งความแข็งแกร่ง ถ้าหากเจ้านั้นล้าหลังผู้อื่น ผู้อื่น
ก็จะเหยียบลงบนหัวเจ้าแล้วปีนขึน้ ไป ถ้าต้องการเป็นผู้เยี่ยม
ยุทธ ย่อมต้องไม่แสดงความรู้สึกสงสารแก่ผู้ที่อ่อนแอ
อาจารย์ชิหลิง กวาดสายตามองไปยังนักเรียนทั้งสามสิบหกคน
อีกครั้ง และพบว่าทั้งสามสิบหกคน มีคนที่มาจากเมืองต่าง ๆ
และอาณาจักรทีเ่ ล็กๆ และอีกประมาณครึ่งหนึ่งมาจากตระกูล
ที่อยู่ภายในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ และลูกหลานของชนเผ่าต่าง
ๆ รวมไปถึงคนที่มีพื้นเพมาจากทีอ่ ื่น ๆ เช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรในชั้นเรียนนี้ อาจารย์ชิหลิง ยังถือว่าพอจะมีอานา
จอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะลงโทษนักเรียนบางคน ตระกูลที่อยู่เบื้อง
หลักเด็กนักเรียนเหล่านี้ก็ไม่อาจทีจ่ ะมาแตะต้องเขาได้ อาจารย์
ของสถาบันจิตวิญญาณฟ้า ถือว่าตาแหน่งของเขานั้นถือได้ว่าสูง
อยู่มาก
สายตาของเขาหรีล่ งเล็กน้อย เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่สวม
เสื้อสีฟ้าอ่อน ทาให้เขาถึงกาตกตะลึงไปชั่วครู่
หญิงสาวผู้นี้งดงามมาก ซึ่งจุดนี้นางสามารถดึงดูดสายตาของ
คนอื่นๆได้เป็นอย่างดี แต่ใบหน้าของนางแสดงออกมาอย่างเย็น
ชา และนางแสดงท่าทีอย่างเห็นได้ชัด ถึงความกระหายเลือด
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาอยู่ใกล้นาง
อาจารย์ชิหลิง ละสายตาออกพร้อมกับพูดอย่างช้า ๆว่า “พวก
เจ้าทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะ แม้ว่าพวกเจ้าเพิ่งไปถึงก้าวแรกของ
การบ่มเพาะพลัง สาหรับคนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ สถาบันจิต
วิญญาณฟ้าไม่ยอมให้มีการต่อสู้เกิดขึ้นข้างในนี้ ซึ่งข้าเองก็ไม่
อยากที่จะเห็น ถ้าหากว่ามีใครสร้างปัญหาให้มากเกินไป หรือ
ไปทาร้ายผู้ใดก็ตาม นั่นจะเหมือนกับว่า เป็นการทาลาย
เป้าหมายของตัวเจ้าเอง หวังว่าพวกเจ้าคงจะเข้าใจชัดแจ้งดี
แล้วในเรื่องนี้” อาจารย์ชิหลิง กล่าวเตือนด้วยน้าเสียงที่เย็นชา
มือข้างหนึ่งของเขา พวกเขาตั้งใจที่จะอยู่เหนืออัจฉริยะคนอื่น
ส่วนอีกมือหนึ่งพวกเขาถูกห้ามไม่ให้มีการต่อสู้เกิดขึ้นภายในนี้
อาจารย์ชิหลิง เชื่อได้ว่ามีหลาย ๆ คนที่คิดแบบนี้อยู่
ในขณะที่เนี่ยลี่ฟังคาอธิบายอยู่นั้น ในใจของเขาได้คิดหาวิธีการ
ที่จะได้ศลิ าจิตวิญญาณมาจานวนมากๆ ศิลาจิตวิญญาณห้า
ก้อนที่ได้มาจากเซี่ยวหยู่ ก็ใกล้ที่จะหมดแล้ว ตั้งแต่ที่เขาฝึกด้วย
เทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถีฟ้า] ขอบเขตวิญญาณของเขา
ก็ราวกับว่าเป็นบ่อหลุมที่ไร้ขอบเขตเลยทีเดียว...จบตอน
บทที่ 271 เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
“พวกเจ้าจะต้องเข้ามาเพื่อเรียนกับข้าทุกๆสามวัน ข้าจะ
อธิบายวิธีการบ่มเพาะพลังให้กับพวกเจ้า รวมไปถึงวิธีการที่จะ
ทะลวงผ่านไปในระดับต่อไป นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว
สถาบันวิญญาณฟ้ายังมีการอบรมพื้นฐานสามอย่างอีกด้วย ซึ่ง
ข้ากาลังจะอธิบายให้ฟังในตอนนี้” อาจารย์ชิหลิงกล่าว
อาจารย์ชิหลิง เริ่มอธิบายในรายละเอียดว่า “สาหรับการที่จะ
เลื่อนระดับจากชะตาดิน สู่ชะตาฟ้านั้น จาเป็นต้องมีการ
ประสานกันอย่างสอดคล้องของพลังงานสวรรค์และเส้นทาง
แห่งสวรรค์ ทุกๆอย่างที่มีอยู่ระหว่างฟ้าและดิน เปรียบได้ดังกับ
บ่อเกิดแห่งดิน:ทุกอย่างล้วนเกิดขึน้ จากความเข้มข้นของ
พลังงานสวรรค์... ”
ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ลู่เพียวเองก็เอียงหูฟัง
แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่ อาจารย์ชิหลิง อธิบายนั้นฟังดูแล้วผิวเผินยิ่ง
นักสาหรับเนี่ยลี่ จะมีใครอีกที่กาลังครุ่นคิดอยู่ในสถานะการ
ตอนนี้ ชะตาดิน นั้นมีการจัดระดับเช่นเดียวกับระดับตานานที่
ถูกแบ่งเป็นห้าระดับ ซึ่งในตอนนี้เขานั้นอยู่ในระดับสามดาว ยัง
มีเส้นทางอีกยาวไกลกว่าที่จะไปถึงระดับชะตาฟ้า
ก่อนที่จะเข้ามายังอาณาจักรซากมังกรนั้น พลังแห่งสัจธรรม
ภายร่างกายของเนีย่ ลี่ ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นพลังงานสวรรค์
พลังงานสวรรค์นั้นมีความคล้ายคลึงกับพลังแห่งสัจธรรม และ
แบ่งเป็นธาตุองค์ประกอบต่าง ๆ เช่นห้วงเวลา และอื่น ๆ แต่ถึง
อย่างไรพลังงานสวรรค์นั้นก็เป็นพืน้ ฐานของพลังทั้งปวง
หวังหยาง [王阳]ยืนอยู่ไกลๆและกวาดสายตาจ้องมองไป
ยังเนี่ยลี่และลู่เพียวที่กาลังคุยกันอยู่ มีประกายความเย็นชา
ออกมาจากสายตาของเขา ก่อนที่เขาจะเข้ามาที่นี่ นายน้อย
ฮัวหลิงสั่งให้เขาจับตาดูเนี่ยลี่และลู่เพียว นอกจากนี้เขายังสั่งว่า
ให้หาหนทางกลั่นแกล้งทั้งคู่เมื่อมีโอกาสอีกด้วย
ด้วยความจริงที่ว่า เนี่ยลี่นั้นมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับแปด
และลูเ่ พียวมีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับห้า เป็นสิ่งที่กดดันหวังห
ยางอย่างเป็นอย่างมาก
‘แต่ข้าไม่เชื่อ ไม่มีทางที่ข้าจะแพ้เจ้าสองคนนี้เด็ดขาด’ หวังห
ยางคิดอย่างไม่แยแส ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามาจากห้วงสวรรค์
น้อย เขาย่อมมีขุมกาลัง (หมายถึงทั้งกาลังคนและกาลังทรัพย์)
มากมายกว่าเนี่ยลี่แน่นอน
ดวงตาของเขากวาดมองไปยังหญิงสาวที่ใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน จินห
ยาน และคนอื่น ๆ รอยยิ้มเล็กน้อยของเขาที่เริ่มแผ่เต็มใบหน้า
ของเขา คงมีเพียงคนเหล่านี้ที่จะสามารถเก็บเกี่ยวความรูจ้ น
ทาให้เกิดผลลัพธ์ดๆี ได้แน่นอน
“ขั้นแรกเราจะต้องทาการบ่มเพาะเปลวไฟ
แห่งจิตวิญญาณ
!” หลังจากที่อาจารย์ชิหลิง พูดจบ เขาค่อย ๆยื่นมือขวาของ
เขาออกมา หลังจากนั้นไม่นาน เปลวไฟสีขาวก็ลุกโชนขึ้นในฝ่า
มือของเขา จากนั้นเขาก็พูดต่ออีกว่า “นี่คือเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณ ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะสร้างเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ขึ้นมา ก่อนอื่นเจ้าจะต้องให้ขอบเขตวิญญาณของเจ้าเข้าถึง
สภาวะอนัตตา แล้วรวบรวมเจตจานงค์ของเจ้าลงบนฝ่ามือขวา
ของเจ้า...”
เปลวไฟในมือของอาจารย์ชิหลิง ค่อยๆมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
จากที่มีเพียงขนาดเล็กเท่าดอกไม้ที่กาลังเป็นดอกตูม ขยายใหญ่
จนเท่ากับกาปั้น
“ความแข็งแกร่งของเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณบ่งบอก
ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าสามารถทะลวง
ผ่านระดับชะตาฟ้าได้ ชะตาแห่งวิญญาณของพวกเจ้าก็ย่อมที่
จะแข็งแกร่งมากขึ้นเช่นกัน” อาจารย์ชิหลิง ยิ้มเล็กน้อยและพูด
ต่อ
“เอาหล่ะ ในตอนนี้พวกเจ้าพร้อมที่จะก้าวเดินไป
ข้างหน้ากันแล้ว ลองทาความเข้าใจแล้วสร้างเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณดูสิ ”
เหล่านักเรียนลุกยืนขึ้นบนพื้นด้านล่าง ทุกคนเอามือขวาออกมา
และ รวบรวมเจตจานงค์ลงบนฝ่ามือเพื่อที่จะพยายามสร้าง
เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
แม้ว่าอาจารย์ชิหลิง จะสามารถทาให้เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ลุกติดขึ้นมาบนมือขวาของเขาได้อย่างง่ายดาย แต่สาหรับ
นักเรียนพวกเขารู้ได้ว่ามันไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แม้ว่าพวก
เขาจะยื่นแขนออกไปกว่าครึ่งวันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจจะที่
จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณให้ลกุ โชนขึ้นมาได้ ทุกคนต่าง
หลับตาลงและขมวดคิ้ว เพื่อที่จะเข้าถึงสภาวะอนัตตา
ทันใดนั้น เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณก็ระเบิดออกมาจากมือของ
หญิงสาวที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนคนนั้นแม้ว่ามันจะมีขนาดเพียงแค่
ก้อนควันเล็กๆ แต่นางก็เป็นคนแรกที่สามารถจุดเปลวไฟแห่ง
จิตวิญญาณได้ หลังจากนั้นเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณก็ค่อย ๆ
ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเล็บมือ
เมื่อเห็นดังนั้น อาจารย์ชิหลิง คิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วก็มี
ประกายแห่งความชื่นชมออกมาจากสายตาของเขา อันที่จริง
นางเป็นทายาทสายตรงของตระกูลผนึกมังกร ซึ่งถือว่า
พรสวรรค์อย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าด้วยอายุเพียงเท่านี้ นางก็สามารถ
จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณจนมีขนาดเท่าเล็บมือได้
หลังจากนัน้ มีนักเรียนอีกสามคนที่สามารถจุดเปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณขึ้นมาได้ หนึ่งในนั้นสามารถทาให้มันใหญ่ขนาดเท่ากับ
เล็บมือได้ ถือว่ามีพรสวรรค์ยิ่งนัก
ลู่เพียวได้พยายามอย่างหนักเพื่อทีจ่ ะให้ขอบเขตพลังของเขา
เข้าสู่ภาวะอนัตตา เหมือนกับที่อาจารย์ชิหลิงได้บอกไว้ แต่ถึง
อย่างนั้นในหัวของเขาก็มีภาพต่าง ๆ พุ่งเข้ามาไม่หยุด เป็นภาพ
เซี่ยวซุ่ยกาลังอาบน้า เพราะว่าเขาเห็นแต่ภาพเหล่านั้น เขาจึง
ไม่อาจจะที่จะเข้าสู่ภาวะอนัตตาได้ หลังจากนั้นเขาก็เผย
รอยยิ้มที่ขมขื่น “ในตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทาไมการบ่มเพาะพลัง
ของข้าถึงได้ช้ากว่าคนอื่น เป็นเพราะว่าข้ายังมีบางสิ่งที่ยังค้าง
คาใจ และทาไม่สาเร็จ ”
“เจ้าหมายถึงความลามกในตัวของเจ้าใช่ไหม
?” เนี่ยลี่หัวเราะพร้อมกับพูดต่อไปอีกว่า “ผู้ที่ไม่มีจติ ใจอัน
บริสุทธิ์ ย่อมไม่สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา
ได้”
ลู่เพียวพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “แล้วเจ้าต่างจากข้าตรงไหน
กัน? เจ้ามีเทพธิดาจื้ออวิ้นในมือซ้าย แถมยังมีเทพธิดาหนิงเอ๋อ
ในมือขวาอีกด้วย ข้าคิดว่าจิตใจของเจ้าก็คงไม่ได้บริสุทธิ์มากไป
กว่าข้าหรอกนะ ”
ที่มุมปากของเนี่ยลี่ เผยรอยยิ้มเล็กน้อยขณะที่ยื่นมือขวา
ออกไป ทันใดนั้น เปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ ก็ถูกจุดขึ้นมาบนฝ่า
มือขวาของเขา และค่อยๆเพิ่มขนาดจนเท่ากับเล็บมือ
แม้ว่าพรสวรรค์จะเป็นสิ่งสาคัญในเส้นทางของการบ่มเพาะพลัง
แต่ถ้าหากไร้ซึ่งทรัพยากร (หมายถึงศิลาจิตวิญญาณ) ก็ไม่มี
ประโยชน์อันใดสาหรับหนทางที่จะก้าวไปสู่ระดับเทพสงคราม
แค่จากระดับชะตาสวรรค์ ก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ ก็
ต้องใช้ทรัพยากรมากมายในการบ่มเพาะพลังแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเนี่ยลี่มากนัก นอกจากนี้ หลงยู่อิน[龙
羽音] และ จินหยาน ต่างก็มาจากตระกูลที่มีอานาจ และ
ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก ร่างกายของพวก
เขานั้นได้รับการขัดเกลาจากสมุนไพรวิเศษต่างๆ นั่นเป็น
เหตุผลที่พวกเขาสามารถที่จะ จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณ
ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ความรวดเร็วในการบ่มเพาะ
พลังของพวกเขาก็เหนือกว่าเนี่ยลีอ่ ีกด้วย
ซึ่งเขานั้นไม่เคยคิดเลยว่าเนี่ยลี่จะสามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่ง
จิตวิญญาณขึ้นมาอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ เปลวไฟแห่งจิต
วิญญาณของเขา ก็มีขนาดเท่าเล็บมือ ซึ่งไม่ได้ด้วยกว่าของ
หลงยู่อิน กับ จินหยานเลย
นอกจากนี้ที่เขามีความสนใจเป็นอย่างมากก็คือ เขาใช้วิธีที่
แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ต้องหลับตาตั้งสมาธิอย่างลาบาก แต่
เนี่ยลี่ทาได้ในขณะที่กาลังพูดคุยอยู่กับลู่เพียวอีกด้วย แต่ยัง
สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาอย่างง่ายดาย สิ่ง
ที่เนี่ยลี่ทานั้นแสดงให้เห็นว่า เขาได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ
สภาวะอนัตตา และสามารถเข้าถึงในระดับที่น่าตกใจเลย
ทีเดียวเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีอัจฉริยะที่โดดเด่นขึ้นมา
ในหมู่นักเรียนทั้งสามสิบหกคน
เนี่ยลี่เองก็เหลือมองไปยังอาจารย์ชิหลิง ในฐานะที่เขาเป็น
นักเรียนใหม่ของสถาบันวิญญาณฟ้า เนี่ยลี่รดู้ ีว่าภูมิหลังของเขา
นั้นต่าต้อยยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงความสามารถออกมาใน
ระดับหนึ่ง เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ยกระดับความสาคัญของเขา
ขึ้นมา
เนี่ยลี่นั้น ได้ทาให้เกิดระลอกคลื่นโหมกระหน่าอยู่ในใจของ
อาจารย์ชิหลิงไปแล้ว เนื่องจากความสามารถของเขาที่ปรากฏ
อยู่นั้น เหนือกว่าคนอื่น ๆมากมายนัก
ในหมู่นักเรียนทั้งสามสิบหกคน มีเพียงแค่ห้าคนที่นั้นที่สามารถ
จุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขนาดเท่ากับเล็บมือได้ ขณะที่อีก
เจ็ดคนที่สามารถจุดเปลวไฟขึ้นมาได้ขนาดเท่าเม็ดถั่ว นักเรียน
ที่เหลือนั้นไม่สามารถที่จะจุดเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณขึ้นมาได้
เลย ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหน
หลังจากท่านอาจารย์ชิหลิงเดินออกไป ในขณะที่นักเรียนต่าง
ยืนขึ้นเพื่อที่จะแยกย้ายหลังจบคาบเรียน
ทันใดนั้นหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าอ่อนเดินตรงเข้ามาหาเนี่ยหลี่และ
ลู่เพียว
นางชาเลืองมองด้วยสายตาดูถูกมายังพวกเนี่ยหลี่แล้วพูดขึ้นว่า
"พวกเจ้ามาจากโลกใบเล็กใช่หรือไม่?”
แม้ว่าเนี่ยหลี่จะมีความรู้เกี่ยวกับตระกูลผนึกมังกร แต่เขาก็อด
สงสัยไม่ได้ว่า หญิงสาวผู้นเี้ ป็นใครมาจากไหน? ทาไมเขารูส้ ึก
คุ้นเคยกับนาง? หรือว่าเนี่ยหลีจ่ ะเคยเจอแม่นางผู้มีในช่วงชีวิต
ก่อนหน้านี้?
"พวกเจ้าคือ ผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นฟ้าระดับ 8 และ ระดับ 5
ที่มาจากโลกใบเล็กงั้นรึ" หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนถามพวกเนี่ยห
ลี่ ราวกับกว่านางจะสอบสวนพวกเขา
หญิงสาวชุดฟ้าอ่อนชาเลืองมองมาที่ลู่เพียวแล้วพูดว่า "แม้ว่า
พวกเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในกลุม่ คนที่พึ่งเข้ามา
ใหม่นี้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะได้รบั คาเชิญให้เข้าตระกูลผนึก
มังกรของข้าหรอกนะ เพราะพรสวรรค์นั้นบอกได้แต่เพียง
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเท่านัน้ จะว่าไปต่อให้เป็นบุคคล
ธรรมดาไร้ค่าแต่ถ้าเป็นคนที่ตระกูลผนึกมังกรต้องการตัวแล้ว
ละก็ พวกเราสามารถทาให้เขากลายเป็นยอดอัจฉริยะได้เลย
หละ"
ด้วยคาเสียดสีของนางทาให้ลู่เพียวรู้สึกขุ่นเคืองใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลผนึกมังกรนั้นถือเป็นตระกูลใหญ่และมีอิทธิพลเป็นอย่าง
มากกับนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ พวกเขาถือเป็น 1 ใน 3 ของ
ตระกูลที่จัดว่าใหญ่ที่สุดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี่ยหลี่ เมื่อนี่หลีไ่ ด้เข้ามายัง
อาณาจักรซากมังกรแห่งนี้ เขาก็ถอื เป็นหนี้บุญคุณกับท่าน
อาจารย์ที่ช่วยฝึกสอนเขา แต่น่าเสียดายที่อาจารย์ของเขาได้ถูก
สังหารโดยคนในตระกูลผนึกมังกร ดังนั้นเนี่ยหลี่จึงรู้สึกไม่ค่อย
ดีกับตระกูลผนึกมังกรสักเท่าไหร่
แต่เนื่องจากตอนนี้อาจารย์ที่เคยฝึกสอนเขาในช่วงชีวิตก่อนยัง
มีชีวิตอยู่ เนี่ยหลี่จึงไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็น
อันขาด
หญิงสาวชุดฟ้าอ่อนนั้น ไม่แม้แต่จะชาเลืองมองลู่เพียวอีกเป็น
ครั้งที่สอง แต่ดวงตานางของนางพุ่งตรงไปยังเนี่ยหลี่พร้อมยิ้ม
ด้วยมุมปากอย่างเย้ยหยัน "ในวันนี้ในคาบเรียนตอนที่เรียน
เกี่ยวกับจิตวิณญาณเปลวเพลิง พวกเจ้าก็แค่ทาให้ข้ารูส้ ึกสนใจ
ก็เท่านั้น หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ทาให้ข้าผิดหวังหรอกนะ”
หลังจากที่พูดจบนางก็เดินจากไป หลังจากนี้นางเดินหายไป
ผ่านทางเข้าตรงสวน
“คู่หมั้นของแม่นางหลงยู่อินนั้นมาจากตระกูลที่ถือว่าแข็งแกร่ง
เลยทีเดียว แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าทาไม แต่คหู่ มั้นของนางก็
อดทนจนถึงที่สุด แม่นางคนนั้นโหดเหี้ยมราวกับสัตว์ประหลาด
ข้าเตือนว่าพวกเจ้าไม่ควรไปทานางไม่พอใจ”
“ท่านอาจารย์เบ่ยงั้นหรอ?” ลู่เพียว
เหลือบตาขึ้นทันที เด็กคนนี้ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก บอกให้คน
อื่นเรียกว่า อาจารย์ แต่ว่านับตั้งแต่ที่ลู่เพียวย่างกายเข้ามาใน
อาณาจักรซากมังกรแห่งนี้ ลูเ่ พียวก็มีกริยามารยาททีด่ ีขึ้น ถ้า
เกิดว่าเจ้าเด็กคนนีม้ ีพื้นเพมาจากผู้มีอิทธิพลล่ะ คงไม่ดีแน่ที่จะ
ไปมีเรื่องกับเขา ท่านพี่เป่ย ข้อขอขอบคุณมากๆที่ท่านเตือนข้า
ในวันนี้”
เนี่ยหลี่คดิ อยู่แล้วว่าเรื่องมันเป็นไปดั่งที่เขาเคยคาดคิดไว้
เพราะถ้าพวกเนีย่ หลีย่ ังไม่ได้เข้าร่วมกับตระกูลใด ก็ไม่มีใครทา
อะไรพวกเขาได้ เนื่องจาก อัจฉริยะ ในสถาบันจิตวิญญาณฟ้านี้
จะได้รับการปกป้องอย่างเข้มงวด และไม่มีใครสามารถแตะต้อง
เหล่าอัจฉริยะได้ ถ้าไม่มเี หตุผลดีพอ
“แล้วเจ้าละ?”ลู่เพียวหันไปมองกู้เบ่ยทันทีด้วยความรู้ที่ต้อง
ระมัดระวังตัวจากเขา
นี่คงจะเป็นแนวทางของอาจารย์เบ่ยจอมขี้เกียจทีม่ ัวแต่เหล่สาว
น่ารักๆ
“แน่ใจหรอที่ว่าเจ้าไม่ชอบความรุนแรงน่ะ?” ลู่เพียวเอ่ยถาม
พร้อมชาเลืองมองไปทางกู้เบ่ย
“ไม่แน่นอน!! เจ้าไม่เคยพบหญิงสาวเหมือน
หลงยู่อิน มันน่าตื่นเต้นมากเลยใช่ไหมละที่จะเอาชนะใจคน
อย่างนาง”กู้เบ่ย พูดพร้อมกับหัวเราะที่แฝงไปด้วยความรู้
ทะลึ่งๆ
“น้องลู่ น่าเสียดายเราน่าจะเจอกันเร็วกว่านี้”
ทั้งสามคนจึงเดินออกมา
เมื่อหวังหยางเห็นพวกนั้นเดินจากไป เขาก็จ้องตามพวกนั้นไป
“พวกมันออกไปกับกู้เบ่ย ถ้างั้นก็ครบ 5
ตาแหน่งแล้วสิ” หนึ่งในนั้นพูดพร้อมขมวดคิ้วว่า ถ้านับหลงยู่
อิน จินหยาน กู้เบ่ย สามคน และรวมกับเจ้าคนที่มรี ากวิญญาณ
ชั้นฟ้าระดับ 5 กับ 8 เข้าไป ถือว่าเป็นคู่แข่งที่ไม่เลว และตอนนี้
พวกมันอยู่กับกู้เบ่ย บางทีอาจจะยุ่งยากถ้าจะจัดการกับพวก
มัน
ในการจะเพิ่มขีดความสามารถในการบ่มเพาะพลังนั้น พวกเขา
จาเป็นต้องออกไปฝึกในลานฝึกฝน เมื่อตอนที่พวกนั้นแยกจาก
กู้เบ่ย นั่นหละคือโอกาสของพวกเรา หวังหยางพูดราวกับว่ามัน
จะเป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้
หานจิง ขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ภายใน 3 วัน
พวกเขาต้องไปฝึกฝนที่ลานฝึกอยูแ่ ล้ว แต่ในเมื่อลานฝึกมี
ด้วยกันถึง 3 แห่ง แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะไปลานฝึก
แห่งไหนกันแน่”
หวังหยางกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ไว้ใจข้าได้เลย
ข้าจะสืบหาเองว่าพวกมันจะไปที่ใดกัน ทันทีที่ข้ารู้ข้าจะรีบบอก
พวกเจ้าทันที” เหล่าผู้ที่มาจากห้วงสวรรค์น้อยซึ่งดูแลโดย
ฮัวหลิง ดูเหมือนจะสนใจเนีย่ หลี่และลูเ่ พียวเป็นพิเศษอย่าง
ที่สุด...จบตอน
บทที่ 273 วางยาพิษ ?
ณ หอประชุมการฝึกบ่มเพาะพลัง
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ให้นักเรียนรับภารกิจคา
ร้องขอต่างๆ เมื่อทาภารกิจหรือคาร้องขอสาเร็จลุล่วงแล้ว
นักเรียนก็จะได้รับศิลาจิตวิญญาณ อุปกรณ์เวทย์ และรางวัล
อื่นๆมากมาย
ด้วยจานวนศิลาจิตวิญญาณที่ส่งมอบให้ในแต่ละเดือน
ช่างมีปริมาณที่น้อยนิดเสียเหลือเกิน เนี่ยหลี่และหลู่เปียว จึง
ต้องหาวิธีการอื่นเพื่อให้ได้ศิลาจิตวิญญาณเพิ่มเติม
อาณาจักรซากมังกรนั้นเป็นสถานที่ทโี่ หดร้าย
มากที่เดียวเนื่องจากมีผฝู้ ึกตนจานวนมากมายมหาศาลทาให้
เกิดสภาวะขาดแคลนทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังทาให้เกิด
การแก่งแย่งกันโดยไม่มีการเลือกวิธีการใดๆทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่อง
ที่ยากมากกับการที่จะยกระดับการบ่มเพาะพลังให้สูงขึ้น หนึ่ง
ในวิธีนั้นคือการสวามิภักดิ์ เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลังจากทา
การสาบานว่าจะจงรักภักดีเป็นลิ่วล้อกับฝ่ายนั้นแล้ว ก็จะได้รับ
ศิลาจิตวิญญาณเพิม่ มากขึ้นในอีกระดับหนึ่ง และแน่นอนว่า
เนี่ยหลี่และหลู่เปียว ไม่ได้เลือกวิธกี ารนั้น
นอกเหนือจากการสวามิภักดิเ์ ข้าร่วมสานักแล้ว
การได้รับศิลาจิตวิญญาณจากภารกิจของโถงการบ่มเพาะ ก็
เป็นความคิดที่ไม่เลว
โถงการบ่มเพาะคับคั่งไปด้วยนักเรียนในเขตต่างๆของ
สถาบันวิญญาณฟ้า ทีผ่ นังของโถงแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยแผ่นป้าย
ประกาศภารกิจนานับไม่ถ้วน
เนี่ยหลีไ่ ม่รอช้ารีบตรวจสอบข้อมูลภารกิจ
ชนิดต่างๆอย่างรวดเร็ว หลายภารกิจเป็นการล่าสัตว์อสูร นานา
ชนิด บรรดาสัตว์อสูรที่ต้องล่ามาแลกกับศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
มีระดับไม่ธรรมดาเลย ภารกิจเหล่านี้ช่างยากยิ่งนัก นอกจากนี้
ยังมีภารกิจอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นการตีขึ้นรูปอาวุธ ค้นหาวัตถุดิบ
และอื่นๆอีกมากมาย อย่างไรก็ตามในบรรดาภารกิจเหล่านีไ้ ม่มี
สิ่งทีเ่ รียกว่าง่ายเลยสักชิ้นเดียว
“ภารกิจอะไรกัน?”หลี่เปียวหันไปยังทิศทางที่
เนี่ยหลีไ่ ด้ชี้ไป
*สานวนหมายถึง การช่วยชีวิตผู้คนจะทาให้เป็นที่
เคารพน่านับถือและเป็นประโยชน์มากกว่า เฉกเช่นเมื่อราชาได้
ปูพื้นฐานโครงสร้างไว้ดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นย่อมจักต้องแสดงพลัง
อานาจชื่อเสียงออกมาอย่างแน่นอน (ง่ายๆก็สกิลหาคนหนุน
หลังของพระเอกในนิยายจีนทั่วไป)
เนี่ยหลี่ค่อนข้างมั่นใจในเทคนิคการรักษาของเขามาก
“ถ้าเจ้าสามารถช่วยชีวิตนางเอาไว้แถมยังได้ศลิ า
จิตวิญญาณอีกในเวลาเดียวกัน เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
นะ”หลู่เปียวนามือขวามาลูบคางอย่างกับคนที่ใช้ความคิด(ไอ้ขี้
เก๊กติดเชื้อไอ่หลี่มาแน่ๆ) “แต่กู้เบ่ยนั่น ก็เป็นคนดีจริงๆเลยนะ
ถึงขนาดชวนพวกเราไปร่วมมื้ออาหารด้วย!”
ในชีวิตก่อนนี้ของเนี่ยหลี่ ได้ยินเรือ่ งราวของ กู้หลานมาบ้าง
(จ้า!!พ่อสารนุกรมเคลื่อนที่) เหมือนว่านางจะเป็นพี่สาวของผู้นา
เป่ย แถมนางยังลึกลับมากอีกด้วย ข่าวลือที่แพร่มานั้นได้กล่าว
ว่าเมื่อยามตอนที่นางเป็นเด็กนั้นนางได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
เนื่องมาจากการบ่มเพาะพลังของนางทาให้ร่างกายเป็นอัมพาต
ตั้งแต่ช่วงเอวลงไป นอกจากนี้นางไม่สามารถจะทาการบ่มเพาะ
พลังต่ออีกได้เนื่องมาจากความบกพร่องทางร่างกายของนาง
แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับสามารถมีชวี ิตอยู่ได้ถึง สองร้อยปี ข่าว
ลือยังบอกต่ออีกว่า กู้หลานเป็น คนที่แนะนาให้ ผู้นาเป่ยก้าวสู่
เส้นทางวิถีแห่งดาบ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทาให้ผู้นาเป่ยต้อง
การจะยืนอยูจ่ ุดสุดยอดวิถีแห่งดาบ
“เอาน่าค่อยพูดเรื่องนี้หลังจากที่เจ้ารักษานาย
หญิงน้อยตระกูลกู้ ให้หายดีก่อนเถอะ” หลู่เปียวพูดไปยิม้ ไป
พร้อมกันนั้นเนี่ยหลี่และหลู่เปียว ก็ไปยังตาแหน่งที่แจ้งอยู่บน
แผ่นป้ายภารกิจ
ในระหว่างทางนั้น เนี่ยหลีไ่ ด้รวบรวมความทรงจาจากชาติที่
แล้ว เกี่ยวกับ นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ ภายในนิกาย ประกอบไป
ด้วย สามเสาหลัก ได้แก่ ตระกูลผนึกมังกร ตระกูลกู้ และ
ตระกูลเพลิงสีเทา ซึ่งตระกูลจิ๋น ที่อยู่สังกัดของ หยานเฮ่า
ตระกูลหยาน เอง ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สามารถจะเทียบกับสาม
เสาหลักได้
“คือพวกข้าสองคนบังเอิญไปเห็นป้ายประกาศที่โถงการบ่ม
เพาะเกี่ยวกับการจ้างวานให้มารักษานายหญิงน้อยตระกูลกู้”
เนี่ยหลี่กล่าว
คนรับใช้ปัดมือพร้อมว่ากล่าว “ทางที่ดีข้าว่าพวกเจ้ารีบกลับไป
โดยเร็วเสียเถอะ”
“นายหญิงของเจ้าต้องการความช่วยเหลือในการ
รักษา เจ้ารู้งั้นรึว่าแท้จริงแล้วข้ามีความสามารถรึไม่ ก็ให้ข้าได้ดู
สถานการณ์ก่อนเป็นไร หรือเจ้าต้องการขัดขวางการรักษา
นาง?”
เนี่ยหลี่พยักหน้า “ค่อนข้างจะ”
“พี่สาวข้าและข้า เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลกู้
พี่สาวข้าได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ชนรุ่นหลัง
อย่างไรก็ตามนางได้รับบาดเจ็บจากการบ่มเพาะพลังของนาง
ส่งผลให้ร่างกายนางเป็นอัมพาตตัง้ แต่ช่วงเอวลงไป ไม่มผี ู้ใด
ทราบสาเหตุว่าทาไมมันถึงเกิดขึ้น”เมื่อพูดจบ ดวงตาของกู้เบ่ย
แผ่รังสีอัมหิตเยือกเย็นออกมา
เนี่ยหลี่สัมผัสได้จากคาพูดของกู้เบ่ย บางทีกู้หลาน
อาจจะเป็นเหยื่อความขัดแย้งภายในตระกูลก็เป็นได้หลู่เปียว
ครุ่นคิดในใจ หากกู้เบ่ยกับกู้หลานเป็น ทายาทโดนตรงแล้ว
แสดงว่ายังมีคนอื่นอีกสินะ ตระกูลกู้นี่ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ
เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเดินตามกู้เบ่ยไปตามทางขนาดเล็กที่ทอด
ยาวไปยังสวนขนาดเล็ก ภายในมีหญิงสาวสวมชุดสีขาวนั่ง
เงียบๆอยู่บนเก้าอี้ ม่านตานางใสราวกับหยาดน้าค้างฤดูใบไม้
ร่วง ใบหน้าสวยงามละเอียดอ่อนราวกับทาด้วยอัญมณี ด้วย
การจ้องมองไปยังดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตรงโขดหินด้วยใบหน้าเงียบ
สงบ ริมฝีปากชุ่มฉ่าอย่างกับเนรมิตมันขึ้นมาจากหยดน้า ใต้ชุด
สีขาวนั้นเป็นผิวเนียนสดใจประดุจหยกของนาง ร่องรอยจาก
ความเจ็บป่วยแสดงออกมาทางใบหน้า เหมือนกับดอกไม้ที่
พร้อมเหี่ยวเฉาตายได้ตลอดเวลา
“ท่านพี่...”ดวงตาของกู้เบ่ยเริ่มจะพร่ามัวจะ
ประกายน้าตา ในขณะทีม่ องดู กู้หลาน พี่สาวของเขาที่ครั้งหนึ่ง
เคยสดใสร่าเริงและมีชีวิตชีวามากกว่านี้ กลับต้องมาอยู่ใน
สภาพนี้ กู้เบ่ยรู้สึกราวกับถูกฉีกหัวใจออกเป็นชิ้นๆ
“กู้เบ่ย เจ้ากลับมาแล้วรึ?” หญิงสาวในชุดสีขาวเผยรอยยิม้ ให้
เห็นจางๆ ดวงตาของนางทอดยาวไปยังผู้มาเยือนสองคน
ด้านหลัง “สองผูม้ าเยือนนี้...?”
“พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนของข้าเอง”กู้เบ่ยไม่กล้าบอกกู้หลาน
โดยตรงว่าเนี่ยหลี่มาที่นเี่ พื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของนาง
เวลาใดก็ตามที่มีแพทย์มาทาการตรวจรักษานางจะยิ้มและ
ปฏิเสธแพทย์ผู้นั้นไป
หลู่เปียวอดไม่ได้ที่จะสงสัย อาการบาดเจ็บของนางที่ได้รับ
สาหรับความงามเหลือล้นของนางแล้วกลับต้องถูกบังคับมาใช้
ชีวิตที่เหลืออยู่ บนเก้าอี้ สวรรค์ช่างเล่นตลกกับโชคชะตาผู้คน
ยิ่งนัก
เนี่ยหลีจ่ ้องพิจารณากู้หลานอย่างถี่ถ้วน
กู้หลานเมื่อเห็นว่าเนีย่ หลีจ่ ้องมองมาที่นาง ทาให้นางเกิด
ความรูส้ ึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่เพราะเนี่ยหลี่เป็นเพื่อนกู้เบ่
ยนางจึงไม่ได้พูดอะไร
เนี่ยหลี่พยักหน้า “ถูกต้อง”
กู้เบ่ยถึงกับทาอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะหนึ่ง “แต่มัน
เป็นไปไม่ได้! ก่อนหน้านี้มีแพทย์จานวนมากได้เข้ามาตรวจ
อาการของพี่สาวข้าแล้ว ถ้าพี่สาวข้าถูกวางยาพิษจริง พวกเขา
ทาไมถึงไม่สังเกตเห็น?”
“ไม่ทราบว่าท่านรู้จักสมุนไพรที่เรียกว่า หญ้าหนามแดง รึ
เปล่า? เมื่อสมุนไพรชนิดนีผ้ สมเข้ากับผลอสรพิษ จะสามารถ
ผลิตสารพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นไร้รสชาติได้ หลังจากที่กินมันเข้าไป
แล้วผลลัพธ์ของมันคือการทาให้หลอดเลือดดาค่อยๆอุดตัน
การบ่มเพาะพลังจะทาให้เกิดความสะดุดไม่ลื่นไหลเหมือนเช่น
เคย และพิษชนิดนีไ้ ม่สามารถตรจพบได้”เนี่ยหลี่กล่าว
คาพูดของเนี่ยหลี่ ทาให้ร่างของกู้หลานนั้นสั่นสะท้านไปด้วย
ความกลัว นางสบตากับกู้เบ่ย อาการที่เนี่ยหลี่ได้อธิบายมาช่าง
ตรงกับอาการที่นางประสบยิ่งนักกู้เบ่ย จับไหล่ของเนี่ยหลี่ และ
ถาม “ถ้าเช่นนั้นพิษชนิดนี้สามารถรักษาได้รึเปล่า?”
“เนี่ยหลี่”หัวใจของกู้เบ่ยลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความหวังอีกครั้ง
“ตราบใดที่เจ้ารักษาพี่สาวข้า ไม่วา่ จะเป็นคาขอใด ข้ายินดีจะ
ทาให้เจ้าทั้งสิ้น!”
เว้นแต่ระดับการบ่มเพาะของกู้เบ่ยจะพุ่งทยานสูงขึ้นเท่านั้น จึง
จะกลายเป็นผู้ทมี่ ีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตาแหน่ง แต่ในสายตา
ของบุคคลอื่นกู้เบ่ยถูกมองเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว แต่ใน
ความเป็นจริงแล้ว กู้เบ่ย พยายามฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขา
เป็นอย่างมากและความสามารถก็ไม่น้อยไปกว่าพี่สาวของเขา
เลย
“อันตัวข้านี้มาที่นี่เนื่องจากภารกิจและรางวัลตอนแทนเป็นศิลา
จิตวิญญาณหนึ่งพันก้อน”เนี่ยหลี่ยมิ้ พลางเหลือบมองไปยังกู้
เบ่ยและพูดต่อ “สิ่งที่ข้าจะกล่าวก็คือสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยรึ
ไม่?หากมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความสามารถที่ข้ารักษานายหญิงตระกูล
กู่ให้หายดีเป็นปรกติแล้ว พวกเขาจะไม่หาวิธีทางอื่นเพื่อจัดการ
นางหรอกหรือ?”
“ท่านไม่จาเป็นต้องกังวลอันใด”กู้หลานเข้าใจในสิ่งที่เนี่ยหลี่ก
ล่าวมาดี “หลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ข้าตระหนักดีแล้ว ว่าแม้
จะอยู่ภายในตระกูลพวกข้าก็ยังมีคนปองชีวิต ถ้าท่านสามารถ
รักษาพิษนี้ของข้า ข้าขอให้สัจจะว่าจะปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็น
ความลับ โลกภายนอกก็จักรับรู้ว่าข้ายังเป็นคนพิการต่อไป”
“พิษชนิดนี้อยู่ในร่างของท่านน้อยสุดก็เป็นเวลาสามปีแล้ว ถ้า
ข้าจัดยาอย่างแรงให้ท่านข้าเกรงว่าหลอดเลือดดาของท่านจะ
รับมันไม่ไหว
ดังนั้นข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ท่านกินไปสักระยะหนึ่งก่อน เมื่อ
พิษในตัวท่านลดลดความรุนแรงลงแล้วข้าจะทาการรักษาอย่าง
ละเอียดอีกทีหนึ่ง” เนี่ยหลี่กล่าว ว่าแล้วดึงเอาปากกาและ
กระดาษออกมาจากแหวนมิติ พร้อมกับเขียนสูตรของยาแล้ว
ยื่นมันให้กู้เบ่ย
กู้เบ่ยรับมันมาจากเนี่ยหลี่พร้อมถือไว้ราวกับว่ามันเป็นสมบัติ
อันล้าค่า “ข้าจะรีบไปเตรียมสมุนไพรเหล่านี!้ ”
“นับตั้งแต่ข้าได้รู้สาเหตุการเจ็บป่วยของนาง ข้าสามารถรักษา
นางได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น”เนี่ยหลี่กล่าว พร้อมยกศรีษะเชิด
พลางส่งยิ้มให้กับกู้หลาน เท่าที่ดูแล้วกู้หลานน่าจะอายุเพียง
18-19 ปีเท่านั้น หากนางไม่ได้ลม้ ป่วยมาเป็นเวลานาน จน
ใบหน้าของนางนั้นขาวซีด นางจักต้องเป็นหญิงที่งดงาม
เพียบพร้อมอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านมาก สาหรับการช่วยรักษาข้า”เมื่อกู้หลานพูด
ออกมาด้วย ความที่ไม่ช้าไม่เร็วของวาจานาง ทาให้รู้สึกราวกับ
ปลิวล่องลอยไปตามสายลมหนาว นางช่างเป็นหญิงสาวที่สุขุม
ยิ่งนัก
“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ท่านหญิงกู้ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เรา
จะต้องให้ความจริงใจต่อผู้ที่ มอบความไว้วางใจให้กับเรา”เนี่ย
หลี่กล่าวและยิ้มเบาๆ
กู้หลานพยักหน้าให้ ในขณะที่นางยังนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งกู้หลาน
ครุ่นคิดอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเปิดประเด็นถามเนี่ยหลี่ “ข้าอยากรู้
ยิ่งนักว่า ท่านมาจากที่ใดกันหรือ?”
“โลกใบเล็ก”เนี่ยหลี่กล่าว
กู้หลานยิ้มอย่างข่มขืนพลางส่ายหัวของนาง “อาจารย์ของข้า
ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นเวลา ห้าปี มาแล้ว มิฉะนั้นข้าคงไม่ต้อง
มาติดแหง่กอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ข้ารู้เพียงแค่ว่าระดับ
การบ่มเพาะพลังของท่านอาจารย์นั้นสูงมาก แม้กระทั่ง ผู้เยี่ยม
ยุทธระดับบรรพบุรุษเทพสงครามขั้นที่ 5 ก็ยังไม่สามารถเป็น
คู่มือของท่านอาจารย์ได้
หลังจากที่นางดื่มยาในชามจนหมดแล้ว กู้หลานขมวดคิ้วของ
นางในช่วงเวลาสั้นๆพร้อมกับปิดตาลง สัมผัสการเปลี่ยนแปลง
ในขอบเขตวิญญาณของนาง
ช่วยไม่ได้ที่นางจะสูญเสียความสงบเยือกเย็นของนางไป
อารมณ์ต่างๆนาๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง นางไม่คาดคิด
เลยว่ายาชนิดนี้จะออกผลเร็วมากมายขนาดนี้
“มันเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนักที่สามารถรักษาท่านหญิงตระกูลกู้
ได้” เนี่ยหลี่พยักหน้ายิ้มเบาๆ “นับแต่นี้ไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ท่านต้องกินยาชนิดนี้ หลังจากนั้นข้าจะเปลี่ยนยาชนิดใหม่ให้
ท่านได้กินต่อไป ข้ารับประกันได้วา่ อาการเจ็บป่วยของท่าน
จะต้องหายดีเป็นปลิดทิ้ง!”
เนี่ยหลีต่ รวจดูศิลาจิตวิญญาณภายในแหวนมิติก็ต้องพบว่ามันมี
จานวน มากถึงหนึ่งพันห้าร้อยก้อน กู้เบ่ยช่างมั่งมียิ่งนัก
กู้เบ่ยและพี่สาวของเขาเป็นเชื้อสายตรงของตระกูลกู้ แม้จักไม่
ประสบผลสาเร็จในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง แต่ปริมาณศิลาจิต
วิญญาณที่พวกเขาได้รับจากตระกูลก็ยังเป็นจานวนที่คน
ธรรมดาสามัญมิอาจฝันถึง
อย่างไรก็ตามจานวนหนึ่งพันห้าร้อยนี่น่าจะเป็นทั้งหมดที่กู้เบ่ย
มีแล้ว เนื่องจากศิลาจิตวิญญาณเป็นทรพยากรที่หาได้ยากมาก
ยังไม่นับว่ากู้เบ่ยเองก็ต้องใช้มันเป็นจานวนมากเพื่อการบ่ม
เพาะพลังของตัวเองเช่นเดียวกัน
เนี่ยหลี่นา ศิลาจิตวิญญาณจานวน ห้าร้อยก้อนใส่ในแหวนมิติ
ตัวเอง แล้วคืนแหวนมิติของกู้เบ่ยที่มีศิลาจิตวิญญาณ ที่เหลือ
ให้เขาไป “ในป้ายที่ติดประกาศคาร้องขอเอาไว้ได้บอกถึง
รางวัลไว้ ว่าแค่ศลิ าจิตวิญญาณเพียงหนึ่งพันก้อนเท่านั้น อีก
อย่างนี่ยังไม่นับว่าทาการรักษาได้สาเร็จ ดังนั้นข้าจะขอรับมัน
เป็นเพียงห้าร้อยก้อน ก่อนเมื่อข้ารักษาเสร็จสิ้นแล้วข้าจะมารับ
ส่วนที่เหลือ!”
กู้เบ่ยรับแหวนมาจากเนีย่ หลี่พร้อมกับมองไปที่เนี่ยหลี่ด้วย
สายตาทีซ่ าบซึ้ง ไม่มีทางใดเลยที่จะชาระหนี้บญ
ุ คุณนี้คืนแก่
เนี่ยหลีไ่ ด้
บุคคลที่สามารถวางยาพิษใส่ในอาหารของกู้หลาน โดยที่ไม่
สามารถตรวจจับได้ มีโอกาสสูงมากทีเดียวที่จะเป็นคนใกล้ตัว
“พวกเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของข้างเอง ทั้งคู่เป็นอัจฉริยะที่
มีระดับรากวิญญาณชั้นฟ้า โดยอย่างยิ่งเนี่ยหลี่ เขาอยู่ในระดับ
รากวิญญาณชั้นฟ้า ขั้นที่ 8”กู้เบ่ยยังพูดต่อไปอีกว่า “เรารู้มาว่า
เขานั้นรอบรู้ในด้านอื่นๆมากมาย
แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเนี่ยหลี่จะมีความรู้ทางการแพทย์อยูด่ ้วย
แถมยังอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว เหล่าแพทย์ก่อนหน้านั้นก็ไม่
สามารถวินิจฉัยอาการของท่านพี่ได้ แต่กับเนี่ยหลี่แล้วเขาแค่
มอง เพียงแค่การมองเท่านั้นถึงกับรู้สาเหตุได้ทั้งหมด ช่างเป็น
บุคคลที่น่ากลัวยิ่งนัก”
ขณะที่เดินกันอยู่นั้นด้วยความอยากรู้หลู่เปียวจึงเปิดปากถาม
เนี่ยหลี่
“เนี่ยหลี่ในเมื่อพวกเขามอบศิลาจิตวิญญาณจานวนมากให้ ทา
ไม่ถึงไม่รับไว้?”
“มีหรือสุภาพบุรุษที่ไม่ชอบความมั่งคั่ง แต่ก็ต้องตั้งอยู่บนหลัก
ของความเหมาะสมด้วย กู้เบ่ยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ
พี่สาวของเขามาก ถึงกับยอมมอบศิลาจิตวิญญาณทั้งหมดมาให้
แต่เพียงแค่ศิลาจิตวิญญาณจานวนห้าร้อยก้อนก็เพียงพอแล้ว
สาหรับพวกเราตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความจาเป็นที่จะต้องเอา
ศิลาจิตวิญญาณของเขามาทั้งหมด”
เนี่ยหลี่ แบ่งศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งร้อยก้อนให้กับหลู่เปียว
จากนั้นทั้งคู่จึงกลับไปยังที่พักของเซี่ยวหยู่
เนี่ยหลีส่ ัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลเล็กน้อยที่แสดงออกมาทางสี
หน้าของเซี่ยวหยู่ เนี่ยหลี่และเซี่ยวหยู่ต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่ง
กันและกันจึงไม่ได้ไว้ใจเขาเท่าที่ควร แต่เมื่อเร็วๆนี้ความคิด
ของเนี่ยหลี่ที่มีต่อเซี่ยวหยู่กค็ ่อยๆเปลี่ยนไป
เนี่ยหลีต่ ระหนักได้ว่าบุคคลเยี่ยงเซี่ยวหยู่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
น่าจะสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ถึงแม้ว่าเซี่ยวหยู่จะมีนสิ ัยคล้าย
ผู้หญิงไปบ้างก็ตามทีเถอะแต่กไ็ ม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มากมายอัน
ใด
“พวกข้าแค่ออกไปเดินเล่นสารวจพื้นที่และกลับมาพร้อม
กับศิลาจิตวิญญาณบ้างเล็กน้อยเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง!” เนี่ยหลี่
โยนถุงที่บรรจุศลิ าจิตวิญญาณไปให้เซี่ยวหยู่
เซี่ยวหยูร่ ับกระเป๋านั้นไปสารวจก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันที
เพราะในถุงนี้มีศลิ าจิตวิญญาณจานวนห้าสิบหรือหกสิบก้อน
เลยทีเดียว
“พวกข้าแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้รับศิลาจิต
วิญญาณจานวนห้าร้อยก้อน ในเมือ่ เราเป็นพี่น้องกัน แล้วเจ้า
จะเกรงใจไปทาไมกัน?” หลู่เปียวหัวเราะและเลียนแบบท่าทาง
ของ กู้เบ่ย และขณะที่กาลังพยายามจะโอบไหล่เซี่ยวหยู่อยู่
นั้นเอง เซี่ยวหยู่ก็เคลื่อนตัวหลบด้วยความไวเหนือเสียง
พริบตาเดียวกันนั้นเนี่ยหลี่คว้าข้อมือของเซี่ยวหยู่เอาไว้แล้วยัด
ถุงศิลาจิตวิญญาณเข้ามาในมือของเซี่ยวหยู่ พร้อมกับกล่าวด้วย
น้าเสียงที่เคร่งขรึม
“ก่อนหน้านี้เจ้าได้ให้ศิลาจิตวิญญาณแก่พวกข้าทั้งคู่ไว้ และ
พวกข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่ในตอนนี้พวกข้ามีศิลาจิตวิญญาณ
มากมายสาหรับตัวพวกข้าเองแล้ว และก็พยายามจะให้เจ้าใช้
มันร่วมกันกับพวกข้า หากเจ้ายังยืนยันจะปฏิเสธมันแล้วนี่
หมายความว่าเจ้าไม่ได้เห็นพวกข้าเป็นเพื่อนรึ?”
เซี่ยวหยูด่ ึงมือกลับ ด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย “นั่นมันไม่
เหมือนกันสักหน่อยข้า ข้าเพียงแค่ให้ศิลาจิตวิญญาณเจ้าเพียง
สองก้อน แต่เจ้ากลับคืนข้าด้วยศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก”
“มันไม่เหมือนกันอย่างไร?”เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและ
พูดต่อไป “ในตอนนั้นเจ้ามีศลิ าจิตวิญญาณอยู่หนึ่งโหล แต่เจ้า
ก็ให้พวกข้ามาถึงสอง และในตอนนี้พวกข้ามีศิลาจิตวิญญาณอยู่
จานวนห้าร้อยเป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่รึที่จะมีส่วนแบ่งให้
สาหรับเจ้า ไม่แตกต่างกัน!
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้พวกข้าสองคนต้องอาศัย
เจ้าอยู่ หากเจ้ายังคงยืนกรานจะไม่รับมันไว้อีกพวกข้าสองคน
จะออกจากที่นี่ทันที”
เมื่อวานนี้เนี่ยหลี่ได้รับเพียงศิลาจิตวิญญาณจานวนเพียงห้า
ก้อนเป็นค่าตอบแทนจากการรักษา แต่หลังจากนั้นเพียงวัน
เดียว เนี่ยหลี่กลับมาพร้อมศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก เซี่ยว
หยู่ถึงกับใบ้กินเลยทีเดียวหลู่เปียวก็ยิ้มให้เซี่ยวหยู่ก่อนจะเดิน
กลับห้องของตัวเองเช่นกัน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องแล้วเนีย่ หลี่ จึงนาจินตาน ออกมาไว้ตรง
มุมห้อง ด้วยศิลาจิตวิญญาณจานวนมากมายเช่นนี้ต้องสามารถ
ยกระดับความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน!
ยู่หยานก็ออกมาจากแขนเสื้อของเนี่ยหลี่ นางซ่อนตัวอยู่ในแขน
เสื้อของเนี่ยหลี่ตลอดเวลาที่นางทาการบ่มเพาะพลัง จากสัมผัส
ของนางทาให้นางสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเนี่ยหลี่เป็นประโยชน์
สาหรับนางอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง
การบ่มเพาะพลังสวรรค์ภายในของเนี่ยหลี่ มีความรวดเร็วกว่า
ภายนอกหลายเท่าตัว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทาไมนางถึงเลือก
ซ่อนตัวและไม่ยอมเผยตัวออกมา
“พี่สาว ยู่หยานท่านสามารถใช้ศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
ช่วยในการบ่มเพาะพลังของท่านได้!”เนี่ยหลีย่ ิ้มและส่งกองศิลา
จิตวิญญาณให้กับยูห่ ยาน
“ขอบคุณเจ้ามากเนีย่ หลี่ ข้ารู้ว่าศิลาจิตวิญญาณเหล่านี้
มีค่ามากเพียงใด” ยู่หยานมองมาที่เนี่ยหลีด่ ้วยความรู้สึกปีติ
ยิ่ง นับตั้งแต่นางได้ร่วมเดินทางพร้อมเนี่ยหลี่ นางจึงรู้ว่าเนีย่ ห
ลี่ห่วงใยพวกพ้องของตนและยังเป็นคนที่น่านับถือมาก
ยู่หยานร่อนตัวลงบนไหล่ของเนี่ยหลี่ ปากน้อยๆของนาง
ประทับลงบนแก้มของเนีย่ หลี่และกล่าวว่า “ไม่ว่าสิ่งใดข้ากต้อง
ขอบคุณเจ้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าแล้วตัวข้าคงจะต้องถูกผนึก
อยู่ใตน้าพุทมิฬนั่น”
เนี่ยหลี่นาศิลาจิตวิญญาณออกมาและเริ่มดูดซับพลังงานสวรรค์
ที่อยู่ภายใน โดยทาการดึงจิตวิญญาณเข้าไปในแดนวิญญาณ
ของตัวเองเพื่อทาการปรับแต่งให้เป็นพลังของตน
ยู่หยาน ที่อยู่บนไหล่ของเนี่ยหลี่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์
หลากหลายซับซ้อนกันอยู่ในความรู้สึกแสดงผ่านออกมาจาก
แววตาของนาง ยามเมื่อนางเหลือบมองเนี่ยหลี่ สีชมพูแดงก็เริม่
เติมเต็มไปทั่วใบหน้าของนาง นางสวมชุดผ้าไหมบ่งบอกถึง
ความบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบไปทั่วเรือนร่าง ขาเรียวยาวของ
นางทาให้เกิดความลุ่มหลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยหลี่จึงทาการดูดซับ ก้อนที่สองต่อไป
ก้อนที่สอง....ก้อนที่สาม...
แม้หลังจากการดูดซับไปถึงสิบก้อนแล้วก็ตามที พลังงานจาก
ศิลาจิตวิญญาณก็ถูกดูดซับตรงไปยังจุดตันเทียน เหมือนกับวัว
ที่วิ่งเข้าไปจมในทะเลลึก โดนไม่กอ่ ให้เกิดระลอกคลื่นให้กับ
ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยหลี่เลยแม้แต่นิด
ถึงกระนั้นเถาเลื้อยในจิตวิญญาณเนี่ยหลี่เริ่มเติบโตแข็งแกร่ง
จากพลังงานสวรรค์ที่ดูดซับเข้ามา ดอกไม้ค่อยๆเบ่งบานขึ้นมา
เรื่อยๆกลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามมากยิ่งขึ้น(สานวนจีน หาย
สาบสูญไปอย่างไม่มีความหวังที่จะหวนกลับมา)มันอาจจะเป็น
เพราะพลังงานสวรรค์ที่ไปกระตุ้นการเติบโตของเถาเลื้อยนี้ เถา
เลื้อยนี้ยังคงดูดซับพลังสวรรค์ต่อไปเรื่อยๆ
แม้ว่าเนี่ยหลี่จะไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับเถาเลื้อยในตัว
มากนัก แต่ก็รสู้ ึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตนเช่นกัน ถ้ามัน
เจริญเติบโตขึ้นแน่นอนว่ามันสามารถทาให้ระดับการบ่มเพาะ
เพิ่มสูงขึ้นด้วย!
เนี่ยหลีย่ ังคงดูดซับพลังงานในศิลาจิตวิญญาณต่อไป
เรื่อยๆ ก้อนที่ยี่สิบ...ก้อนที่สามสิบ
ปริมาณของศิลาจิตวิญญาณที่ถูกใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน
ฐานะที่เนี่ยหลี่ดูดซึมพลังงานสวรรค์ในปริมาณมาก ทาให้ระดับ
การบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่เพิ่มขึน้ อย่างก้าวกระโดด
เมื่อเนี่ยหลี่ไปถึงระดับชะตาสวรรค์แล้ว ความเร็วการบ่มเพาะ
พลังจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก (โม้ไว้หลายตอนละ ไม่โหดจริงมี
เลิกแปล)
จินตาน ที่กาลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมาราวกับสัมผัสได้ถึงพลัง
บางอย่าง เมื่อมันเห็นศิลาจิตวิญญาณที่ถูกดูดซับพลังงานไปจน
ว่างเปล่าแล้วมันก็ ... กินศิลาพวกนั้นเหมือนกับเคีย้ วถั่วเล่นไม่มี
ผิด
เนี่ยหลี่ที่ทาการบ่มเพาะพลังเป็นเวลานานไม่กล้าที่จะซึมซับ
พลังงานสวรรค์ทมี่ ากเกินไปในคราเดียว หลังจากเสร็จสิ้นการ
บ่มเพาะพลังจึงได้ลืมตาขึ้น ก็สังเกตเห็นว่า จินตานได้กินศิลา
จิตวิญญาณที่ว่างเปล่าไปแล้วกว่าครึ่ง
ส่งผลให้มีเศษหินกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมห้อง ท้องของมัน
ก็พองโตอวบอ้วนขึ้นแล้วกลิ้งไปมาด้วยความพึงพอใจ ที่แสดง
ออกมาให้เห็นทางสีหน้าของมัน
ขณะที่ศิลาจิตวิญญาณกาลังจะถึงตัวจินตานนั้น ทันใดนั้นเอง
เปลือกตาที่ปดิ สนิทกลับตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว จินถามคว้าเอา
ศิลาจิตวิญญาณไปในพริบตา พร้อมกับกอดมันไว้ราวกับสมบัติ
ล้าค่าที่กลัวจะถูกผู้อื่นแย่งชิง จากนั้นมันก็เริ่มเคี้ยว...ศิลาจิต
วิญญาณถูกกลืนกินหายวับไปไม่เหลือแม้แต่เศษก้อนเดียวให้
เห็น
จินตานเลิกสนใจศิลาจิตวิญญาณแล้วหันมาจ้องเนีย่ หลี่แทน
เจ้าตัวน้อย นี่รจู้ ริงเสียด้วยว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ดี มันรู้ว่าศิลาที่ว่าง
เปล่าไม่สามารถเทียบรสชาติของศิลาที่มีพลังงานสวรรค์อดั
แน่นอยู่
เนี่ยหลี่ส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีเจ้าสิ่งนี้มากนัก
ตอนนี้ข้าสามารถให้เจ้าได้เพียงก้อนเดียว หากเจ้าต้องการมัน
เจ้าต้องเชื่อฟังข้า!”จินตานพยักหน้ารัวๆเหมือนลูกเจี้ยบตามคา
ของเนี่ยหลี่
เจ้าตัวน้อยนี่หลอกง่ายชะมัด แต่เมื่อเนี่ยหลี่พยายามจะเปลี่ยน
กลิ่นอายของจินตานที่แผ่ออกมาก ปรากฏว่าถูกขัดขวางด้วย
พลังบางอย่าง เพื่อไม่ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนีย่ หลีจ่ ึง
พยายามอีกครั้งแต่ครั้งนี้เนี่ยหลีไ่ ด้ปล่อยพลังงานสวรรค์ไปแทน
ดูเหมือนว่าไม่จาเป็นต้องรีบร้อน แม้ยังจะต้องอาศัยการ
ปรับแต่งอีกเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่สมบูรณ์ การทาตราประทับ
วิญญาณในแดนวิญญาณของจินตาน เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นสัตว์
วิญญาณต้องทาอย่างช้าๆและค่อยเป็นค่อยไป
บทที่ 276 อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
เนี่ยหลี่วางจินตานลง แล้วโยนศิลาจิตวิญญาณให้จินตาน
หนึ่งชิ้น “นี่รางวัลของเจ้า!”
จินตานรีบคว้าศิลาจิตวิญญาณและเคี่ยวมันลงท้อง
ทันที เสร็จก็ส่งสายตาใส่ซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยมาให้เนี่ยหลี่
ดวงตาของจินตานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันมองศิลาจิต
วิญญาณสมบัตลิ ้าค้าที่ถูกกัดจนเหลือเพียงแค่ครึ่งอยู่ในมือ หาก
มันกินส่วนที่เหลือจิตใจของมันต้องอยู่ไม่สุขแน่ๆ จินตานจึง
ค่อยๆ แลบลิ้นมาเลียศิลาจิตวิญญาณ หยดน้าลายที่รั่วออกมา
จากปากของมันกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง
(ริงป๊อปไหมล่ะ)
ยู่หยานเปิดตาของนางขึ้นมาชั่วครู่ เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ที่
เกิดขึ้นด้านหน้าของนาง สร้างบรรยากาศตลกขบขันให้กับนาง
เล็กน้อย จากนั้นจึงหลับตาลงใช้สมาธิจดจ่อกับการบ่มเพาะ
พลังต่อ นางสัมผัสและบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์แล้วจึงค่อยๆ
เริ่มก่อรูปชะตาวิญญาณขึ้นมา
อย่างไรก็ตามนางมีลักษณะที่พิเศษกว่าบุคคลอื่น ชะตา
วิญญาณของนางมีรูปร่างเป็นเปลวไฟสีทอง ที่แผ่วเบา นางไม่
ทราบได้ว่าเพราะเหตุใดชะตาวิญญาณของนางจึงมีรูปร่างเช่นนี้
แต่นางมีความรู้สึกว่าเปลวไฟสีทองนี้มีพลังงานที่ไม่สิ้นสุด
ก่อนหน้านี้เมื่อนางพบกับจิตวิญญาณเปลวไฟสีทองนี้ มันได้
พยายามจะกลืนกินกันตัวนาง ราวกับว่าเปลวไฟสีทองนี้จะแผด
เผ่าเหล่าศัตรูให้พินาศให้สิ้นซาก นางรู้สึกว่านางกับเปลวไฟสี
ทองนี้มีความเกี่ยวพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเพียงแค่เย็นวันแรก เนีย่ ห
ลี่ได้ใช้ศลิ าจิตวิญญาณไปแล้วครึ่งหนึ่งจากจานวนทั้งหมด สาม
ร้อยก้อน
และด้วยเหตุนเี้ องทาให้เนี่ยหลี่ตระหนักขึ้นว่าศิลาจิตวิญญาณที่
มีอยู่ตอนนี้ไม่เพียงพอ ขึงต้องหาวิธีการที่ทาให้ได้ศลิ าจิต
วิญญาณมากขึ้น (ไหนเอ็งบอกใช้ได้นานไง วันเดียวล่อไป 150
ก้อน fu*k)
เช้าวันรุ่งขึ้น
“หนึ่งในสถานที่ทดสอบสาคัญในสถาบันวิญญาณฟ้า ด่านจิต
วิญญาณแห่งแสง”
“โอ้โห มันเป็นสถานที่แบบไหนกันหรือ?”หลู่เปียวถามด้วย
ความอยากรู้
“ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นสนามทดสอบที่มีความ
ปลอดภัยมากที่สดุ ในสถาบันวิญญาณฟ้า แต่ว่าการจะเข้าไปได้
นั้นมีเงื่อนไขที่สูงทีเดียว เฉพาะผู้ที่มีรากวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น
ถึงจะสามารถเข้าไปได้”เซี่ยวหยู่ยมิ้ เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อพวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง”
“เจ้าสามคนนั้นออกมากันแล้ว! พวกข้าจะกลับไปรายงานนาย
ท่านฮัวหลิง พวกเจ้าจงตามเจ้าสามคนนั้นไปและจับตาดูพวก
มันเอาไว้!”
“ดูเหมือนว่าจะมีบางคนสะกดรอบพวกเราอยู่นะ”หลู่เปียวถาม
เนี่ยหลีเ่ สียงค่อย
เซี่ยวหยู่ที่อยู่ข้างหน้ายิม้ กล่าว “อย่าไปใส่ใจกับตัวตลกพวกนั้น
เลย ในสถาบันวิญญาณฟ้าพวกมันไม่สามารถทาอะไรพวกเรา
ได้หรอก ถ้าสถานที่ที่เรากาลังไปเป็นหนึ่งในสองสนามทดสอบ
ที่เหลือก็อาจจะเป็นปัญหาบ้างสาหรับพวกเรา แต่ที่ด่านจิต
วิญญาณแห่งแสง หากพวกมันคิดจะทาอะไรพวกเราจริง พวก
มันก็คงได้แต่ฝันเท่านั้นแหละ!”
แต่เนี่ยหลี่ไม่เห็นกู้เบ่ยมีรายชื่อปรากฏอยู่บนศิลานี้เลย อย่างไร
ก็ตามหลังจากพิจารณาแล้วคาดว่ากู้เบ่ยน่าจะตั้งใจปกปิด
ความสามารถของตนไว้เพื่อเตรียมการบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่
แสดงพลังที่แท้จริงออกมาให้เห็น
เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วก่อนถาม “อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงนี้ไม่ได้
จัดอันดับจากความแข็งแกร่งหรอกรึ?”
หากมันถูกจัดขึ้นจากความแข็งแกร่งแล้วผลของมันคงไม่
ออกมาเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดปัจจุบัน ฮัวหลิงแข็งแกร่งกว่า
หลงยู่อินและจินหยานเล็กน้อย แต่เขาก็ยังอยู่อันดับที่มากกว่า
หลงยู่อินกับจินหยาน
“อันดับนี้ไม่ได้จดั ขึ้นจากความแข็งแกร่งส่วน
บุคคล แต่เป็นความสามารถของจิตวิญญาณ ที่ทาการเชื่อมต่อ
พลังงานจากฟ้าและดิน เพื่อการบ่มเพาะพลังจากพลังสวรรค์
ต้องสื่อสารและเข้าใจพลังงานฟ้าและดิน บุคคลที่มีการบ่ม
เพาะพลังที่สูงก็มิใช่ผู้ทสี่ ามารถสื่อสารและเข้าใจพลังฟ้าและดิน
ได้เสมอไป
บางคนก็มีความสามารถพิเศษที่สามารถก้าวข้าม
ระหว่างเขตแดนได้ไวกว่าลองมาดูสิบอันดับแรกกัน เช่น หลงยู่
อิน ที่สามารถบรรลุขอบเขตวิญญาณได้ในระยะเวลาอันสั้น
ขณะที่คนอื่นใช้เวลาที่นานกว่า”เซีย่ วหยู่อธิบาย (ตอนนี้นี่เอา
มาอวยความสามารถไอ้หลี่ สาหรับการย้ายมาโลกใหม่ว่างั้น วัน
เดียวดูดซึม 150 ก้อน ดูดบุหรี่วันละซองยังอาย)
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เปรียบได้กับบ่อน้าที่เต็มไปด้วยพลัง
จิตวิญญาณ ผลทีไ่ ด้รับจากการฝึกฝนอยู่ที่นี้ไม่อาจจะประเมิน
ได้ทีเดียว
เซี่ยวหยู่ยังอธิบายต่อไป “นอกจากนั้นผู้ที่มันดับอยู่ในระดับท็
อปยังได้รับของรางวัลทุกสิ้นปีอีกด้วย รางวัลที่ว่านั่นก็มตี ั้งแต่
ศิลาจิตวิญญาณ ยาทิพย์และของวิเศษ ผู้ที่ได้อันดับ1นั้นจะของ
วิเศษระดับ5 ศิลาแก่นแท้จิตวิญญาณ5ชิ้น จิตอสูรทีม่ ีการ
เติบโตระดับมหัศจรรย์สายเลือดมังกร น้ายาแก่นแท้จิต
วิญญาณอสูร! และผู้ที่อยู่ใน5อันดับแรกก็จะได้ ของวิเศษระดับ
4 3แก่นแท้จิตวิญญาณ จิตอสูรทีม่ ีการเติบโตระดับยอดเยี่ยม
สายเลือดมังกร และศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งพันก้อน...”
หลู่เปียวตาเบิกกว้างขึ้นและถามว่า “ถ้าพวกเราสามารถเข้าไป
มีรายชื่ออยู่ในอันดับพวกนี้มันไม่ได้หมายความว่าเราสามารถ
ได้รับของรางวัลพวกนี้ทุกปีหรอกหรือ?”
“ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามรางวัลของห้าอันดับแรก
นั้นสามารถรับได้แค่ครั้งละคนเท่านั้นเมื่อได้รับรางวัลแล้วต้อง
ถอนตัวเองจากการแข่งขันจิตวิญญาณแห่งแสง”เซี่ยวหยูย่ ังพูด
ต่ออีกว่า “ห้าอันดับแรกนั้นนอกจากจะได้ของรางวัลมูลค่ามาก
แล้วยังต้องไม่เห็นแก่ตัวอีกด้วย ทุกคนต่างปรารถนากันทั้งนั้น
ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงจุดคัดเลือกของปีนี้”
‘ดังนั้นรางวัลของห้าอันดับแรกสามารถรับได้เพียงครั้งเดียว...’
หลู่เปียวนึกเสียดายในใจ อย่างไรก็ตามหลู่เปียวก็คาดหวังไว้กับ
รางวัลของด่านจิตวิญญาณแห่งแสงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ตัวเองเป็นผู้มรี ากวิญญาณฟ้าขั้นที่5 ช่วยไม่ได้ที่หลู่
เปียวจะหลงตัวเองเล็กน้อย (หลงไปเลยเปียว เอาใจช่วยคนที่
โดนเมียทาวินาศกรรม)
ตั้งแต่ที่เข้าสถาบันวิญญาณฟ้า ทาให้ทราบว่าตนเองมีระดับราก
วิญญาณฟ้าขั้นที่8 ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษมากกว่าคนอื่นๆ
แต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ที่มีการเชิญชวนจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือน
จะมีเรื่องขัดแย้งเกิดขึ้น แม้ในขณะนี้จะมีความขัดแย้งภายใน
ค่อนข้างสูงแต่ก็ควบคุมได้เกือบทั้งหมด ยังมีกฎระเบียบอีกมาก
ภายในสถาบันวิญญาณฟ้าที่นิกายอื่นไม่กล้าจะฝ่าฝืน ดังนั้น
เนี่ยหลีจ่ ึงไม่ต้องกังวลกับความสามารถของตนเองแล้ว เมื่ออยู่
ในสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้เขาจะปลอดภัย
เนี่ยหลี่ เซี่ยวหยู่และหลู่เปียวเดินไปตามเส้นทางเพื่อที่จะไปยัง
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เมื่อเหล่าผู้ทสี่ ะกดรอบตามพวกเนีย่ หลี่มาเห็นพวกเขาเดินเข้า
ไปที่ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง พวกที่ติดตามมาได้แต่มองพวก
เนี่ยหลีเ่ ดินไปจบลับสายตา
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกมันจะไปยังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง!”
“ในบรรดาสามด่านทดสอบ ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
ถือว่ามีความปลอดภัยมากที่สดุ เป็นได้หรือไม่ว่าพวกมันเกิด
ความกลัวขึ้นมาเลยไม่ไปยังด่านทดสอบแห่งอื่น!?”
“มากที่สุดพวกมันก็อยู่ที่นี่เพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
หลังจากนั้นพวกมันต้องไปยังด่านทดสอบที่เหลืออีกสองแห่ง
แน่!”
เนี่ยหลี่และหลู่เปียวได้เข้าไปยังด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่ง
แสงอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างจับจ้องบุคคลซึ่งมาใหม่สองคน
สาหรับเซี่ยวหยู่แล้วเขาไม่ได้มีความคาดหวังมากมายเท่าใดนัก
เนื่องจากหลายปีมานี้อันดับของเขาไม่ได้เข้าสู่สองร้อยอันดับ
แรกเลย ดังนั้นเขาจึงไม่พยายามมากเกินไป
สถาบันวิญญาณฟ้า ห้องพักของเอี๋ยนห่าว
“นายน้อยเอี๋ยน เซี่ยวหยู่ได้เข้าไปยังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง!”
ใบหน้าของเอี๋ยนห่าวแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้า เขาไม่มีอารมณ์
ที่จะอ่านหนังสืออีกต่อไป เขายืนขึน้ พลางวางหนังสือลงบนโต๊ะ
และกล่าวว่า “เราจะไปด่านจิตวิญญาณแห่งแสงกันเดียวนี!้ ”
บทที่ 277 อาจารย์
ภายในด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่งแสง
สถานที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่รายล้อมอยู่รอบข้าง เสียง
ร้องอันไพเราะของหมู่นกและกลิ่นหอมจากพืชไม้นานาพันธุ์ก่อ
เกิดเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามยิ่ง
ที่จุดศูนย์กลางเป็นแท่นบูชาที่ตั้งตระหง่านอยู่ มีบันไดทางขึ้นสู่
แท่นบูชาทั้งสี่ทิศ ในแต่ละขั้นก็มผี ทู้ าการฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่
มากมายแต่ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถไปอยู่บนจุสูงสุดของแท่นบูชา
ได้เลย (นั่นไงสถานการณ์โชว์อ๊อฟมาให้ถึงที่)
เซี่ยวหยู่อธิบายขณะก้าวเดินไปยังแท่นบูชา “ภายในที่แห่งนี้
สามารถทาการบ่มเพาะพลังฟ้าและดินได้ทั้งหมด 199 ขั้นตอน
ความสามารถในการเชื่อมต่อพลังฟ้าและดินจะเป็นตัวกาหนด
ลาดับขั้นตอนเหล่านั้น ยิ่งสามารถเข้าใจมันได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่ง
สามารถอยู่ในลาดับขั้นที่สูงมากขึน้ แต่ถ้าความสามารถในการ
เข้าใจพลังฟ้าและดินมีไม่มากพอก็จะไม่สามารถก้าวข้ามไปฝึก
ระหว่างขั้นตอนได้แม้กระทั่งขั้นตอนเดียว หากพยายามฝืนแล้ว
ละก็จะต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส”
ทุกขั้นตอนมีระยะห่างราวกับการเดินทางไปสูส่ รวงสวรรค์และ
หมู่ดาว แค่เพียงการก้าวข้ามหนึ่งขั้นตอนก็นับว่าเป็นการ
กระทาที่ยากลาบากมากแล้ว
ทันใดนั้นเองพวกนักเรียนที่อยู่ในสถานที่นั้นก็มองมาทางเซี่ยว
หยู่
“ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่สามารถแม้แต่จะอยู่ทาการบ่มเพาะพลัง
ในขั้นที่ 5 เรื่องจริงสินะ?”
“ใช่แล้วมันคือเรื่องจริงที่สดุ ที่เขาไม่สามารถฝึกแม้กระทั่งขั้นที่
5 !”
นักเรียนหลายคนส่งเสียงหัวเราะเยาะกันเบาๆ
แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยวหยูไ่ ม่ได้ให้ความใส่ใจกับเสียงหัวเราะเยาะ
เหล่านั้นไม่ เขาเคยชินกับการที่ถูกหัวเราะเยาะแบบนี้เสียแล้ว
ไม่มีความจาเป็นที่จะต้องไปกังวลกับสายตาผู้อื่น
ในขณะนี้ร่องรอยความแปลกประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตา
ของเซี่ยวหยู่ ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อก้าวถึงขั้นที่ห้า ร่างกายจะ
รู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วงทาให้ไม่สามารถจะก้าวต่อได้แม้แต่
ก้าวเดียว แต่เทียบกับครั้งนี้เมื่อมาถึงในขั้นตอนที่ห้าเซี่ยวหยู่
รู้สึกเหมือนกับแค่การยกของเบาๆเท่านั้นเอง
นักเรียนคนอื่นๆต่างมองมาที่เซีย่ วหยู่ด้วยความประหลาดใจ
ในอดีตนั้นเซี่ยวหยู่หยุดอยู่ที่ขั้นที่ห้าเท่านั้น แต่วันนี้เขาสามารถ
ก้าวไปยังขั้นที่หกได้เรื่องนี้ทาให้พวกเขาตกใจเล็กน้อย
ทันทีที่เท้าของเนี่ยหลี่ก้าวแตะขึ้นบนขั้นที่หนึ่ง พลังงานได้
ไหลเวียนโคจรเข้าสู่จุดตันเทียนของเนี่ยหลี่ แต่ทว่าในขณะ
โคจรพลังงานนั้นเองเท้าซ้ายของเนี่ยหลี่ที่เหยียบลงบันไดขั้นที่
หนึ่งก็เกิดลื่นเพราะเหงื่อของเหล่าผู้ที่ทาการบ่มเพาะพลังอยู่
ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้เนี่ยหลี่ตลี ังกากลับหลังสามตลบ และแล้ว
ทันใดนั้นเองพลังที่โคจรยังไม่ครบหนึ่งรอบนั้นก็ระเบิดขึ้นเป็น
เสียที่ดังกึกก้องไปทั่วด่านทดสอบจิตวิญญาณแห่งแสง
[ปรู๊ดดดดดดดดดด!!!] ทาให้เหล่าผู้ทากาลังทาการบ่มเพาะพลัง
นั้นตกใจกับเสียงตามมาด้วยกลิ่นอบอวลราวกับอยู่ในทุ่งดอกลา
เวนเดอร์ พร้อมปรากฏภาพของบุรุษผู้หนึ่งที่ชูขาทั้งสองข้างขึ้น
ฟ้าทั้งที่ส่วนหัวนั้นจมอยู่ที่พื้นดิน โดยที่ไม่สามารถทราบได้ว่า
บุคคลที่อยู่เบื้องหน้านีเ้ ป็นผู้ใดกันแน่ แต่แล้วปริศนาของชายผู้
นี้ก็กระจ่างขึ้นแล้วเนื่องจากเสียงตะโกนที่ตามมาซึ่งดังพอจะ
สามารถให้ทุกคนที่อยู่ในด่านจิตวิญญาณแห่งแสงได้รับรู้ทั่วกัน!
หลู่เปียวตะโกนอย่างสุดใจ “เนีย่ หลี!่ !!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
สาบานด้วยเกียติรของลูกแมวว่าไม่ได้เกลียดหลี่เลย จริ๊งจริ๊ง!!
อ้ะไม่เล่นละไม่เล่นละ
ของจริงเลยละกันเน่าะ!
ทันทีที่เท้าของเนี่ยหลี่ก้าวแตะขึ้นบนขั้นที่หนึ่ง พลังงานของจิต
อสูรที่อยู่ในร่างก็เพิ่มระดับพุ่งทะยานขึ้น รวมไปถึงขอบเขต
วิญญาณที่พุ่งสูงขึ้นด้วย สถานที่นี้เป็นแหล่งรวมจิตวิญญาณที่
วิเศษยิ่งนัก
เนี่ยหลีเ่ ดินก้าวขึ้นไปในขณะที่เริ่มทาความเข้าใจกับพลังฟ้า
และดินนี้ทลี ะน้อย ในขณะที่ก้าวขึน้ มานั้นทาให้เนี่ยหลี่
ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นเปรียบได้เพียงหยดน้า
จากทะเลแห่งจิตวิญญาณแห่งนี้
ทั้งคู่ก้าวขึ้นไปทีละขั้นอย่างช้าๆ
ภายนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงบนแท่นศิลา
“เซี่ยวหยู่ เซีย่ วหยู่ขึ้นไปอยู่ในสองร้อยอันดับแรก!”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เซี่ยวหยูส่ ามารถขึ้นมาอยู่ในสองร้อยอันดับ
แรก ที่ผ่านมาไม่ว่าเซี่ยวหยูจ่ ะพยายามกี่ครั้งชื่อของเขาก็ไม่เคย
แสดงอยู่ในสองร้อยอับดับแรกบนแท่นศิลาอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”ใบหน้าของฮัวหลิงมืดดาลงขณะที่
จ้องไปยังรายชื่อเซี่ยวหยู่บนแท่นศิลา แววตาของฮัวหลิงเปล่ง
รังสีสังหารออกมา ด้วยความจริงที่ว่ารายชื่อของเซี่ยวหยู่ได้มา
อยู่ในสองร้อยอันดับแรกทาให้ฮัวหลิงกดดันเป็นอย่างมาก
ฮัวหลิงและคนของเขาจ้องตาไม่กระพริบที่อันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง
เอี๋ยวห่าว ที่มาถึงช้ากว่าฮัวหลิงเพียงเล็กน้อยพยายามที่จะมอง
หา หวงอิ้งในบรรดาเหล่านักเรียนมากมายที่นั่นแต่กต็ ้องมา
สะดุดเมื่อเห็นรายชื่อของเซี่ยวหยูป่ รากฏอยู่ในศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง
“เซี่ยวหยูไ่ อ้ขยะไร้ค่านั่นมีรายชื่ออยู่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง? นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน?”
คิ้วของเอี๋ยวห่าวขมวดกันเป็นปม ในอดีตที่ผ่านมาเซี่ยวหยู่ไม่
แม้แต่จะมีรายชื่ออยู่ในอันดับแต่ปจั จุบันนี้สามารถก้าวสู่ขั้นที่
ห้าสิบได้ ความแตกต่างระหว่างอดีตกับตอนนี้มมี ากเกินไป
นี่หรือว่า...?
หรือว่าเซี่ยวหยู่จะทะลวงเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์ได้แล้ว?
เช่นเดียวกับทุกคนที่ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
รายชื่อของเซี่ยวหยู่ที่ยังเลื่อนอันดับขึ้นไปอย่างต่อเนี่ย จาก
200เป็น 199 และยังเลื่อนขึ้นไปได้เรื่อยๆความสนใจของทุก
คนใจจดใจจ่ออยู่กับรายชื่อของเซี่ยวหยู่ที่เลื่อนอันดับขึ้นไป
อย่างต่อเนื่อง
“บ้าน่าเป็นไปได้ไงกัน?ตอนนี้เซี่ยวหยู่เลื่อนอันดับมาที่ 160!”
“เป็นไปไม่ได้!นี่มันก้าวข้ามข้าไปงัน้ รึ?!”เอี๋ยวห่าวโกรธเกรี้ยว
เป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขามองเซี่ยวหยู่เป็นเพียงแค่เศษขยะ
ที่ไร้ค่า แต่แล้วความจริงในวันนี้พิสูจน์ได้ว่าเซีย่ วหยู่ไม่ได้เป็น
ขยะอีกต่อไปแล้ว
“ขณะเดียวกันภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เซี่ยวหยู่ค่อยๆก้าวไปยังขั้นต่อไปอย่างช้าๆอย่างมั่นใจ แม้จะยัง
ประหลาดใจอยู่กับความสามารเข้าใจของพลังฟ้าและดินที่จๆู่ ก็
เพิ่มมากขึ้น เขาอยู่ขั้นที่เก้าสิบเข้าแล้ว แต่ยังไม่รสู้ ึกถึงความ
กดดันใดๆเลย
เซี่ยวหยู่ที่ทาการบ่มเพาะพลังด้วย เทคนิค[มังกรคารามคณา
นับ] เมื่อครั้งยังอยู่ที่ระดับชะตาดินเหมือนกับเขาถูกยับยั้งการ
ทะลวงขั้นตอนเข้าสู่ชะตาฟ้าเป็นอย่างมาก แต่บัดนีเ้ มื่อทะลวง
เข้าสู่ระดับชะตาฟ้าแล้ว เทคนิค[มังกรคารามคณานับ]ก็พุ่ง
ทะยานขึ้นอย่างไร้ขอบเขต การเพิ่มขึ้นระดับนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะ
ได้จากการบ่มเพาะพลังแบบธรรมดาทั่วไป!
เนี่ยหลี่และหลู่เปียวที่ตามอยูด่ ้านหลังเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเซีย่ ว
หยู่นั้นก้าวไปยังขั้นที่เก้าสิบแล้วในขณะที่พวกเขายังอยู่ขั้นที่
สามสิบ
ผมของนางถูกมัดไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพูประดับกับที่หนีบผมรูปผี
เสือ นางแต่งหน้าเล็กน้อย แก้มขาวนุ่มนั้นสวยและงดงามราว
กลีบดอกไม้ ภายใต้แสงแห่งจิตวิญญาณทีร่ ายล้อมอยู่รอบกาย
นั้นส่งผลให้นางส่องแสงประกายขาวใส ความงามของนางนั้น
ราวกับถูกสรรค์สร้างโดยเทพเจ้า แม้กระทั่งฟ้าและดินยังต้อง
หม่นหมอง
ความงามนี้ สามารถสยบได้แม้เหล่าหงสาและสัตว์ป่า
อย่างแท้จริง
ไม่ว่าใครก็ตามทีไ่ ด้เห็นนาง คงช่วยไม่ได้หากจะเกิดความรู้สึก
ละอายเมื่อต้องเทียบกับนาง
ในขั้นที่ไม่ห่างไกลจากนางมากนัก มีนักเรียนหลายต่อหลายคน
ที่จ้องมองนางอยู่แต่ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้นางหรือบางทีอาจจะไม่
มีใครที่คิดว่าเหมาะสมกับนาง
เนี่ยหลี่จ้องมองนางด้วยอารมณ์ที่หลากหลายปนกันอยู่
พร้อมกับความทรงจาทีเ่ กิดขึ้นนับไม่ถ้วน
ในการพบกันในชีวิตก่อนหน้านี้ของเนี่ยหลี่ ยามนั้นเนี่ยหลี่ได้รับ
บาดเจ็บสาหัสและหมดสติอยู่ที่แม่น้า นางเป็นคนที่เคย
ช่วยชีวิตเขาไว้ แม้ว่านางจะไม่เต็มใจบอกชื่อจริงของนาง นาง
บอกไว้ว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะทาให้ลืมนางได้ง่ายมากขึ้น
ถึงแม้สภาพปัจจุบันนางจะปรากฏว่าเป็นสาววัยรุ่นแต่เนีย่ หลี่ก็
ตระหนักดีว่านางนั้นมีชีวิตอยู่มานานแล้ว
“ข้าไม่ทราบหรอกว่าผู้ใดที่ต้องการทาร้ายเจ้า?แต่ตอนนี้เจ้า
ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทาไมเจ้าไม่ยอมรับข้าเป็นอาจารย์เจ้าแล้ว
ตามข้ากลับไปยังสานักเล่า? ที่นั่นข้าสามารถสอนเทคนิคการ
บ่มเพาะพลังให้เจ้าได้”รอยยิม้ อ่อนโยนของหญิงสาวราวกับสาย
ลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ศิษย์ข้า เจ้าไม่ควรทาการบ่มเพาะพลังเช่นนี้ หากเจ้า
อยากสื่อสารเข้าใจกับฟ้าและดิน อย่างแรกเจ้าต้องวางความ
เกลียดชังในใจของเจ้าลงให้หมดเสียก่อน! เจ้าต้องทาตัวใจให้ใส
บริสุทธิ์ดุจดั่งสายน้า หัวใจของเจ้าต้องรับได้ทุกอย่างเฉกเช่นฟ้า
และดิน เมื่อนั้นเจ้าจักประสบความสาเร็จในวิถีแห่งเต๋า"เนีย่ หลี่
ไม่เคยไปถึงความหมายของดินแดนว่า ‘ใสบริสุทธิด์ ุจน้า’ อย่าง
ที่อาจารย์เขาได้กล่าวมา
เขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในโลกทีม่ ากการ
แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น โลกแห่งการโป้ปดหลอกลวงเต็มไปด้วยเล่ห์
กลต่างๆ และเขาก็ไม่สามารถที่จะละเว้นศัตรูของเขาให้หลุด
รอดไปได้
-
“ศิษย์ข้าเจ้าต่อสู้เพื่อสิ่งใด?”
“แต่ว่า อาจารย์ พวกมันเรียกท่านว่าปีศาจ!นั่นก็เพียงพอแล้ว!
พวกมันเรียกสายเลือดทีไ่ หลเวียนอยู่ในตัวท่านว่าสายเลือด
ปีศาจ!”
“แล้วในใจของเจ้าอาจารย์เจ้าคือปีศาจไหม?”
“ไม่..”
“ถ้างั้นคาพูดของผู้อื่นจะทาอันใดได้เล่า?”
-
“ได้โปรดท่านอาจารย์ อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว ท่านเป็นคนที่ข้ารัก
...”
กลิ่นอายของนางอ่อนแอลงอย่างยิ่ง “เนี่ยหลี่ ข้าได้บอกเจ้า
เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าข้าทาการทานายเคราะห์กรรมของข้า
เอาไว้ เจ้าคือภัยพิบัติของข้า ดังนัน้ การตายข้าไม่เกี่ยวกับพวก
เขา เนี่ยหลี่สญ
ั ญากับข้า อย่าได้แก้แค้นพวกเขา ปล่อยความ
เกลียดชังในตัวของเจ้าลงซะ อย่างไรเสียผู้ที่จากไม่มีวันหวน
กลับคืนมา หากเจ้ายังถือยึดกับความแค้นของเจ้า เจ้าจะยิ่ง
สูญเสีย เจ้าต้องไปให้ถึงดินแดน ‘ใสบริสุทธิ์ดุจสายน้า’!
“ไม่..!!”เนี่ยหลีโ่ หยหวนด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่
มองนางค่อยๆปิดตาลงและจากไปภายในอ้อมแขนของเขา
อาจารย์เคยเป็นหนึ่งในผู้ปูทางให้เขาในอาณาจักรซากมังกร แต่
ตอนนี้นางกลับอยู่เงียบไม่แยแสต่อโลกและกลายเป็นสายลมที่
ไร้ตัวตน
เนี่ยหลี่ทาตามสัญญาสุดท้ายที่ได้ให้ไว้กับอาจารย์ เข้าไม่ได้แก้
แค้นผู้คนเหล่านั้น และในท้ายที่สดุ เขาก็ได้รับความคุ้มครอง
จากนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามการจากไปของนาง
ยังฝังรากลึกของความเสียใจลงไปยังจิตใจของเขา
เซี่ยวหยู่ที่กาลังเดินนาหน้าอยู่ในขั้นที่มากกว่าเงยหน้าขึ้นเมื่อ
เห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่งดงามราวกับเทพธิดาก็ถึงกับตะลึง เขา
ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ งดงามเหนือผู้ใดในใต้หล้า
โดยแท้ แววตาคมกริบคู่นั้นทีร่ าวจะเจาะทะลุสู่หัวใจผู้คนได้
อย่างง่ายดาย
นางยิ้มให้เซี่ยวหยู่จางๆก่อนที่เดินลงบันไดอย่างช้าๆ
การก้าวเท้าที่สง่างาม ของนางทาให้หัวใจของผู้ที่พบเห็นนั้น
ต้องเต้นอย่างบ้าคลั่ง เสื้อผ้าของนางปลิวไสวไปตามแรงลมทุก
คนต่างจ้องมองนางอย่างเหม่อลอยในความงดงามของนาง
ทันใดนั้นราวกับทุกสิ่งในโลกต้องมัวหมองให้กับนาง
นางเดินผ่านเซี่ยวหยูไ่ ป แล้วเคลื่อนที่ไปยังทิศทางของที่เนี่ยหลี่
และหลู่เปียวอยู่ ดวงตาคมกริบจ้องมายังเนี่ยหลี่อย่างชัดเจน
เผยให้เห็นรอยยิม้ บริสุทธิ์จากมุมปากของนาง “ยินดีที่ได้พบ
เจ้าชื่ออะไร?เจ้ารูจ้ ักข้าหรือไม่?”
ด้วยการจับจ้องที่ทะลุได้ทุกอย่าง
นางรู้สึกคลุมเครือมากในความทรงจาของนาง ราวกับ
ว่านางกับเขาเคยพบกันที่ไหนสักแห่งมาก่อน
เนี่ยหลี่ถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ในชีวิตก่อนหน้าตอนที่เขาได้
ฝึกฝนกับอาจารย์ อาจารย์ไม่แม้แต่จะเอ่ยชื่อจริงของนาง
ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดนางจึงบอกชื่อนางให้กับคน
แปลกหน้ารู้ในชีวิตนี?้
“เนี่ยหลี่ เกิดอะไรขึ้น?เจ้ารู้จักนางด้วย?”เซี่ยวหยู่เหลือบมอง
ไปที่ อิงเยว่หลู่ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง ก่อนจะกระซิบบอกก
เนี่ยหลี่ “คนที่อยู่ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีความซับซ้อน ที่มา
ของนางยังเป็นปริศนา เจ้าควรจะระวังตัวไว้”
“เจ้าไม่จาเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้ นางไม่ได้เป็นภัยกับเรา”
เนี่ยหลีย่ ิ้มขณะที่ตอบเซี่ยวหยู่
“เจ้าเพียงแค่พบกับนางเพียงเท่านัน้ มิหนาซ้ายังพึ่งพบ เจ้า
มั่นใจได้อย่างงั้นหรือ?”เซี่ยวหยู่ขมวดคิ้วพร้อมตอบด้วย
น้าเสียงที่ไม่พอใจ
“ใช่”เนี่ยหลี่พยักหน้าตอบอย่างจริงใจ
เหล่านักเรียนมองอิงเยว่หลู่จากไปก่อนจะหันมามองทางเนี่ยหลี่
ด้วยสายตาที่เป็นปฏิปักษ์ ในพวกเขาหลายคนได้รู้ว่านางคืออิง
เยว่หลู่อยู่แล้ว แต่พวกเขาสัมผัสได้ว่าตัวตนของนางนั้นไม่เป็นที่
แน่ชัด บรรดาผู้ที่ไปถึงขั้นที่ 130 ได้นั้นย่อมไม่ธรรมดา
พวกเขาหลายคนมีความรู้สึกด้อยไม่คู่ควรเวลาที่มองไปยังนาง
เลยทิ้งความคิดที่จะเข้าใกล้นาง แต่ถึงอย่างนั้น เนี่ยหลี่กลับมี
โอกาสได้พูดคุยกับนางผู้เปรียบเป็นเทพธิดาในดวงใจของพวก
เขาทาให้พวกเขารู้สึกอิจฉาอย่างยิง่ หลู่เปียวมองเนี่ยหลี่อย่าง
ขมขื่น “เนี่ยหลี่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง
ของผู้คนไปแล้ว!”
นอกจากหลู่เปียวจะไม่ทราบถึงวิธกี ารอันใดที่เนี่ยหลี่กระทา
เพื่อเทพธิดาคนนั้นมาคุยด้วย หรือว่าเนี่ยหลี่อาจจะมีสมบัติ
วิเศษติดตัวเอาไว้ทาให้มเี สน่ห์ดึงดูดได้แม้กระทั่งหญิงงามดุจ
เทพธิดาคนนั้น? (ในหัวเอ็งคิดแต่เรื่องนี้ใช่ม้ายย)
“ไม่ต้องใส่ใจกับพวกนั้นหรอกน่า ไม่จาเป็นต้องไปสนใจสายตา
ผู้อื่นที่จ้องมานัก เจ้าควรจะกังวลกับตัวเจ้าเองมากกว่านะ หาก
เจ้าสามารถโดดเด่นได้มากกว่าผู้อนื่ เจ้าก็จะไม่จาเป็นที่จะต้อง
กังวลเกี่ยวกับคนเหล่านั้นว่าจะคิดกับเจ้ายังไง”เนี่ยหลี่พูด
ขณะที่ก้าวขึ้นไปยังขั้นต่อไป
หลู่เปียวครุ่นคิดกับคาพูดของเนี่ยหลี่ และทาให้เขาตระหนัก
ได้มากขึ้น ทาไมเนีย่ หลีต่ ้องพูดอะไรที่มันเป็นปรัชญาเข้าใจยาก
ด้วยนะ? แต่เขาก็ยังคงเร่งก้าวขึ้นขั้นต่อไป (ถึงจะไม่รู้เรื่องแต่
ทาๆไปก่อนงั้นสินะ)
เซี่ยวหยู่ จัดระเบียบการหายใจของเขาในขณะที่เขามาถึงขั้นที่
120 แต่เมื่อเขาพยายามจะก้าวไปยังขั้นที่สูงขึ้นปรากฏว่าเขาไม่
สามารถทาได้ มันดูเหมือนว่าความเข้าใจเกี่ยวกับพลังฟ้าและ
ดินของเขาน้อยกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหญิงสาวนางนั้น
แม้ว่าไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาก็ทาได้เพียงหยุดอยู่ที่ขั้นนั้น
ภายนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เกิดความโกลาหลวุ่นวายในหมู่คนที่อยู่ภายนอก
อยู่ดีๆก็เกิดช่องว่างระหว่างเอี๋ยนห่าวกับเซี่ยวหยู่
ทันใดนั้นก็มีเสียงปรากฏขึ้นจากอีกด้านหนึ่ง
“ดูเจ้าสองคนที่มาใหม่นั่นก็ได้เข้ามาอยู่ในอันดับจิตวิญญาณ
แห่งแสง!”
“เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเหมือนสองคนนั้นจะมาจากโลกใบเล็ก!”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
อันดับของเนี่ยหลี่และหลู่เปียวกาลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง
หลู่เปียวได้หยุดอยู่ที่อันดับ 86 แต่เนี่ยหลีย่ ังขยับเพิ่มขึ้นไป
เรื่อยๆ
“โอ้สวรรค์!เขากาลังจะแซงอันดับของนายน้อยจินหยานแล้ว!”
สายตาทุกคนจับจ้องไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลี่
นั้นอยู่ที่อันดับ 16
พวกเขาแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นทัง้ สองคนเพิ่มอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง เนี่ยหลี่และหลู่เปียวเพิ่งจะมาใหม่ในปีนี้ ไม่
เหมือนหลงยู่อินและจินหยานที่มพี ื้นหลังเป็นตระกูลใหญ่ แต่
พวกเขาก็ยังสามารถขึ้นไปในอันดับสูงได้นี่พวกเขาไม่คดิ จะให้
โอกาสกับผู้ทมี่ าก่อนเลยรึไง?
คนที่มาจากโลกใบเล็ก ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
นอกจากนี้รางวัลของมันก็มากพอที่จะทาให้ผู้ที่มองเห็นน้าลาย
ไหลแล้ว
ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับอยู่ในสิบอันดับแรกแน่นอนทุกคนคือ
อัจฉริยะ เมื่อพวกเขาอยู่ในสิบอันดับแรกจะต้องเป็นที่ดึงดูด
จากสถาบันอย่างแน่นอน ตระกูลจิน
จินหยานกาลังฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้สัตว์อสูรของเขา คนรับใช้
รีบวิ่งมารายงาน “นายน้อย ข้ามีขา่ วร้ายจะมาเรียนให้
ท่าน” จินหยานขมวดคิ้วของเขาก่อนจะถามด้วยท่าทีขึงขัง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นายน้อยอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงของท่านได้ ลดลงไปอยู่
อันดับที่ 25”
“ใครเป็นคนที่นาหน้าข้าไป?เป็นผูใ้ ดกัน?”จินหยานยังอยู่ใน
ท่าทีสงบ มันเป็นเรื่องปกติมากที่อนั ดับจะมีการเปลี่ยนแปลง
เขาเพียงแค่ต้องการทราบอย่างละเอียดเท่านั้น
ตระกูลผนึกมังกร
นับตั้งแต่นางยังเด็กนางเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นเหนือผู้อื่นในวัย
เดียวกัน นางไม่เคยได้รับความรู้สกึ ท้าทายเช่นนี้มาก่อน
นางลุกขึ้นและเดินออกไป ณ ตอนนั้นนางไม่ได้ตีค่าเนี่ยหลี่ไว้สูง
มากนัก แต่ตอนนี้นางได้ประเมินเนี่ยหลี่เอาไว้สูงเพิม่ ขึ้นแล้ว
ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้ากระชับเข้ารูป เผยสัดส่วนที่น่าประทับใจ
ของนาง ดาบยาวประดับอยู่ที่เอวเพรียวบางของนาง เรียวขาที่
เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง สร้างบรรยากาศกดดันให้แก่ผู้พบ
เห็น
แม้ว่าใบหน้าของนางจะสมบูรณ์แบบมากก็ตามที แต่แค่ชื่อของ
นางก็ทาให้บุรุษวัยเดียวกับนางหวาดกลัวจนอึแทบราด ชาย
หนุ่มรูปงามที่อายุราวๆ16-17 เดินเข้าไปถามนาง “น้องอิ้น เจ้า
กาลังจะไปไหน?”
“หูหย่ง เจ้าต้องการโดนข้าจัดการเจ้าอีกครั้งงั้นสิ?”หลงยู่อิน
พ่นลมหายใจของนางสร้างแรงกดดันให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งถาม
นางเมื่อครู่ ชายหนุ่มที่ได้ยินคาพูดของนาง ก็เกิดความ
หวาดกลัวขึ้นมา ขาของเขาไม่สามารถหยุดสั่นได้เลย
ด้วยการจ้องมองนั้น หลงยู่อินพูดอย่างเย็นชาว่า “เศษสวะ
อย่างเจ้าเนี่ยนะคิดจะแต่งงานกับข้า? หากเจ้าต้องการแต่งกับ
ข้า ก่อนอื่นก็จงเอาชนะข้าสิ!”
พูดจบหลงยู่อินก็เดินจากไปร่างของนางหายออกไปทางประตู
ทางเข้า
“เนี่ยหลีผ่ ู้นี้มาจากไหน?ทาไมพวกเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อมา
ก่อน?!”
“นั่นสิพวกนั้นมากจากที่ใดกันนะ?”
ในระหว่างที่พวกเขากาลังพูดคุยกันอยู่นั่นเอง ใครคนหนึ่งก็ได้
ตะโกนขึ้น
“หลงยู่อินมาที่น!ี่ ”
เหล่าฝูงคนที่กาลังพูดคุยอยู่กันนั้นก็แหวกทางมองมายังที่ที่
เดียว ทุกคนต่างมองด้วยความกลัว แม้ว่าหลงยู่อินจะเป็นผู้ที่
งดงาม พวกเขาก็ทาได้เพียงแค่แอบๆมองเท่านั้น ก่อนจะรีบ
เปลี่ยนมุมมองสายตาอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเรื่องตลกงั้นหรือ? ไม่มีใครอยากกระตุ้นนาง นางเป็นหญิง
งามที่น่ากลัว นางทาให้คู่หมั้นของนางถึงกับพิการด้วยมือนาง
เอง
นอกเหนือความแข็งแกร่งจากการบ่มเพาะพลังของนางแล้ว
นางยังมีร่างกายที่แกร่งไม่แพ้กัน นางเป็นผู้มสี ายเลือดมังกร
และความจริงที่ว่านางมาจากตระกูลที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ผู้คนทาได้เพียงชื่นชมหลงยู่อิน จากเบื้องล่างของนางเท่านั้น ใน
ขณะเดียวกันนางก็เป็นผู้มาใหม่ทไี่ ด้อันดับ 10 ไปครองเป็นคน
แรก
สายตาของนางจ้องมองไปยังอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงก่อนจะ
ก้าวเดินเข้าไปในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
“นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว!”
เนี่ยหลี่ปล่อยให้พลังฟ้าและดินเหล่านั้นเข้ามายังขอบเขต
วิญญาณของเขาจากนั้นจึงทาการปรับแต่งมันทีละนิดให้มัน
กลายเป็นพลังของเขาเอง
ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยหลี่ตอนนี้เปรียบได้กับน้าวนที่ดดู กลืน
พลังฟ้าและดินเข้ามา ในเวลาเดียวกัน ที่แห่งหนึ่งภายใน
สถาบันวิญญาณฟ้า ผู้เยีย่ มยุทธหลายคนนั่งคุยกันอยู่ทโี่ ต๊ะหิน
พวกเหล่าอาวุโสกาลังให้ความสนใจสถานการณ์ภายในสถาบัน
วิญญาณฟ้า พวกเขาจับตาดูการกระทาของเหล่าอัจฉริยะ
ทั้งหมด เนี่ยหลี่และหลูเ่ ปียวก็เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้เรียบร้อย ใน
สายตาของพวกเขาทั้งสองจะกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจ
เป็นพิเศษเพื่อทาการฝึกสอน (ประมาณว่า ไม่มีพื้นเพยังเก่ง
ขนาดนี้ ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนอีกจะขนาดไหน แข่งขันกัน
ระหว่างอาจารย์)
ภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
“จริงๆด้วย! การตัดสินใจของข้าไม่ได้ผิดพลาดพี่เซี่ยวหยู่
แข็งแกร่งจริงด้วย!”หน้าของนางแดงเป็นมะเขือเทศ แทนที่จะ
จดจ่อกับการฝึกฝนนางจ้องมองไปที่เซี่ยวหยู่แทน
เมื่อเห็นสายตาของฮวงอิ้งที่มองเซี่ยวหยู่แล้ว เอี๋ยนห่าวเริม่ ก้าว
ขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมาถึงขั้นที่56เขาก็ไม่สามารถ
จะก้าวขึ้นต่อไปได้
“นี่ข้ากาลังจะแพ้ไอ้ขยะนั่น?!”เอี๋ยนห่าว โกรธมากจึงพยายาม
จะก้าวขึ้นขั้นที่ 57 แต่ทันใดนั้นก็มีพลังบางอย่างได้กระแทกตัว
เขาออกไปอย่างรุนแรง
*บูม*
เขารู้สึกถึงพลังที่แข็งแกร่งเข้าปะทะกับแดนวิญญาณ เอี๋ยนห่าว
ได้กระอักเลือดออกมาคาหนึ่งก่อนจะกระเด็นลอยไปตกอยู่ที่
พื้นดินด้านหลังนี่คือชะตากรรมของผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่
เพียงพอ แต่ยังคงต้องการต่อต้านสวรรค์แห่งเต๋า
เอี๋ยนห่าวกาหมัดแน่นทุบกระแทกไปที่พื้นดิน แม้ว่าเขาไม่
อยากยอมแพ้ แต่เขาก็ไม่สามารถทาอะไรได้
เมื่อเหล่านักเรียนที่ยืนดูอยู่นั้น เห็นเอี๋ยนห่าวถูกผลักกระเด็น
ออกมาพร้อมกับกระอักเลือด สายตาอันเวทนาก็จ้องมองไปที่
เอี๋ยนห่าว นี่เป็นผลมาจากการดันทุรัง ถ้าหากความแข็งแกร่ง
ของเจ้าไม่เพียงพอเจ้าก็แค่หยุดแล้วทาการบ่มเพาะพลังต่อไป
ทาไมต้องฝืนทาเช่นนั้นด้วย?
“นั่น นั่นคือจินหยาน”
ความสนใจของผู้ที่อยู่บริเวณด่านจิตวิญญาณแห่งแสงถูกดึงดูด
จากหลงยู่อิน แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆพวกเขาหลับตาลง
และทาการบ่มเพาะพลังต่อไป เพราะกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น
จากหลงยู่อิน
นางต้องการบอกว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นอัจฉริยะของแท้ของที่นี่!
เนี่ยหลี่ทาการบ่มเพาะพลังอยู่อย่างเงียบๆ ความเข้าใจฟ้าและ
ดินของเขาเพิ่มมากขึ้น และเสถียรมากยิ่งขึ้น เถาวิญญาณในตัว
เขายังทาหน้าที่เป็นวังน้าวนที่ดูดกลืนพลังฟ้าและดินอย่าง
ต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันนักเรียนสองคนทีท่ าการบ่มเพาะพลังอยู่ไม่ไกล
จากเนี่ยหลี่ สัมผัสได้ถึงพลังฟ้าและดินที่เบาบางลง พวกเขา
มองมาที่เนี่ยหลี่ด้วยความประหลาดใจ
ชายคนนี้บ่มเพาะพลังแบบใด?นี้มันแปลกประหลาดเกินไป !
พลังฟ้าและดินที่อยูโ่ ดยรอบถูกดูดกลืนจนเกือบเหือดแห้งโดย
เนี่ยหลี!่
นักเรียนสองคนนั้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินจากไปให้ไกลเพื่อที่จะ
ไม่ได้รับผลกระทบจากเนี่ยหลี่
หลงยู่อินก้าวขึ้นต่อไปเรื่อยตรงไปที่เนี่ยหลี่ ในขณะที่นางเดิน
มาถึงระดับทีเ่ นี่ยหลี่อยู่นางก้มมองและยิ้มให้เขาอย่างเย็นชา
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาได้ถึงระดับนี้ แต่ด้วยสถานะอันต่า
ต้อยของเจ้าแล้ว นี่คงจะเป็นขีดจากัดของเจ้าแล้วใช่ไหม?”
คาพูดของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่มีต่อเนีย่ หลี่
“เหตุใดข้าจะไม่กล้าตาหนิเจ้า ? คนอื่นอาจจะกลัวเจ้าแต่ข้า
เนี่ยหลี่ ไม่เคยเกรงกลัวเจ้า คนชั่วช้าสารเลวอย่างเจ้าที่พูดจาโอ้
อวดไปวันๆ สมควรถูกตัดลิ้นแล้วเอามาทอดลงน้ามันเสีย!”เนี่ย
หลี่กล่าวอย่างเย็นชาสุดขีด
“เจ้ากล้าเรียกข้าว่าสารเลวเช่นนั้นเหรอ...ใบหน้าของหลงยู่อิน
ซีดผงะไป นางชี้ไปยังเนี่ยหลี่ “นี่เจ้ากล้าเรียกข้าแบบนี้จริงๆ
ใช่มั้ย ?! ข้าจะทาลายเจ้าทาลายครอบครัวของเจ้าไม่ให้เหลือ!”
นางเคยว่ากล่าวโจมตีถึงเพียงนี้มาก่อนหรือ? เมื่อทุกคนมอง
มายังที่นางก็บังเกิดความกลัวขึ้นในตา นางอยู่เหนือกว่าผู้ใดจะ
เทียบได้แล้วในช่วงวัยเดียวกัน จะมีใครกล้าตาหนิติเตียนนางว่า
สารเลวอย่างที่เนี่ยหลีไ่ ด้ทากัน?
“เหตุใดข้าจักไม่กล้า? แล้วข้าก็จะขอใช้เงื่อนไขเดียวกับเจ้า
ระยะเวลาที่กาหนดก่อนวันนี้จะจบลง หากเจ้าพ่ายแพ้ข้าก็จะ
เฆี่ยนเจ้าสามครั้งเช่นเดียวกัน!”เนี่ยหลี่หรี่ตาจ้องหลงยู่อินด้วย
แววตาที่เย็นชา “เจ้ากล้าพอรึไม่?”
เนี่ยหลี่ทราบดีว่า สาหรับหลงยู่อนิ ผู้มีสายเลือดมังกรนั้น
โดยทั่วไปแล้วการเฆี่ยนตีสามครั้งไม่ได้ส่งผลอันใดกับนางเลย
แต่สาหรับบุคคลเช่นหลงยู่อินแล้ว การถูกเฆี่ยนตีสามครั้ง เป็น
สิ่งที่ยากจะยอมได้ ให้นางตายเสียยังดีกว่า หลงยู่อินหัวเราะ
อย่างเย็นชา “เหลวไหล! เข้าพูดว่าข้าจะพ่ายแพ้?”
หลังจากถูกสายตาคมกริบของเนี่ยหลี่จ้องมองมา หลงยู่อินมี
หรือจะยอมได้? นางพ่นลมหายใจออกมาก่อนพูดว่า “เรื่อง
อะไรข้าจะไม่กล้า ? ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างบนนั่น!”
รวดเร็วดุจไฟป่า ข่าวได้กระจายออกไปทั่วด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสง ว่าด้วยเรื่องการเดิมพันของเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน
“อะไรนะ?? เจ้าเด็กเนี่ยหลี่นั่นยอมรับคาท้าดังกล่าว?”
“จากทั้งหมดหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าขั้น เมื่อมาถึงขั้นที่หนึ่งร้อย
ยี่สิบ ขั้นตอนต่อๆไปจะยากขึ้นราวกับปีนขึ้นฟ้า เจ้าเนี่ยหลี่นั่น
ช่างหยิ่งผยองและหลงตัวเองยิ่งนัก!”
“การเฆี่ยนสามทีของหลงยู่อิน จะฆ่าหมอนั่นแน่นอน!”
จานวนของผู้ที่มารวมตัวกันอยู่ด้านนอกด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสงมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทั้งหมดมาเพื่อเหตุผลเดียว
นั่นคือการจะได้เห็นผลเดิมพันธ์ระหว่างเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน
เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆในสถาบันวิญญาณฟ้า
พวกเขาคิดสภาพไม่ออกเลยถึงผลที่จะตามมาจากเรื่องใน
เหตุการณ์นี้ หากเรื่องนี้มันเลยเถิดเกินควบคุม พวกเขาคง
จะต้องก้าวเข้าไปยุ่งด้วยเสียแล้ว!
กลับมาที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
หลงยู่อินก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าก่อนจะหยุด เมื่อ
นางมาถึงขั้นนี้นางก็ไม่สามารถที่จะก้าวไปยังขั้นต่อไปได้อีก
นางหันกลับมากวาดตามองเนีย่ หลี่ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะ
นั่งลงอยู่ที่ขั้นนั้น จากขั้นตอนที่หนึ่งร้อยยี่สิบขั้นต่อๆไปจะเป็น
การก้าวเดินที่ยากลาบากเป็นอย่างมาก อัจฉริยะทุกคนเมื่อ
มาถึงจุดนี้ก็จะต้องพบกับอุปสรรคในการก้าวเดินขึ้นต่อไปอีก
ขั้น
หลงยู่อินรูส้ ึกว่าหากนางเพิ่มระดับการบ่มเพาะพลังขึ้นอีก
เล็กน้อย นางก็จะสามารถก้าวขึ้นไปยังขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบได้
นั่นหมายความว่าในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงนางจะ
กลายเป็นผู้ที่มีอันดับ 9
เนี่ยหลี่ที่พยายามจะเอาชนะนาง มันเป็นเพียงความฝัน
ลมๆแล้งๆของคนสติฟั่นเฟืองเท่านั้น!
ครั้งแรกที่นางได้เข้ามายังด่านจิตวิญญาณแห่งแสง นางได้ก้าว
มาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า ก่อนที่จะหยุด และหลังจากทาการ
บ่มเพาะพลังต่อไปอีก สองถึงสามเดือนนางก็ขยับเพิ่มขึ้นมาได้
อีก สี่ ขั้น
ในขณะเดียวกันเนี่ยหลี่ก็ได้ทาการ บ่มเพาะพลังสวรรค์อย่าง
ต่อเนื่อง และในที่สุดเขาก็ได้ขึ้นมายังขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสอง
แล้ว
การก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวจากขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบนั้นอย่างที่ทราบ
กันดีอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเนื่องจากขอบเขตวิญญาณที่
มีอยู่อย่างจากัดของผู้ที่อยู่ตาว่าระดับชะตาสวรรค์ ในบรรดาผู้
ที่ยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์นั้นสามารถไปขั้นที่ หนึ่งร้อย
สามสิบแปดนั่นนับว่าสูงสุดแล้ว! ที่ได้รับการบันทึกในรอบ
หลายพันปีมานี!้
สายตาทุกคนจับจ้องไปยังพวกเขาทั้งคู่
มุมปากของหลงยู่อินกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ฮึ่ม เขาสามารถก้าว
ขึ้นมาได้ แล้วยังไง? ครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่ข้าก็ขึ้นมาถึงขั้นที่หนึ่ง
ร้อยยี่สิบห้า” นางยังคงเงียบและทาการบ่มเพาะพลังของนาง
ต่อไปเพื่อจะสามารถก้าวขึ้นไปยังขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบ
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ชื่อของหลงยู่อินขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 9
ผู้ที่ยืนมองศิลาอันดับจิตวิญญาณก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
จินหยานนั้นไม่เป็นไรหากจะพ่ายแพ้ให้กับหลงยู่อิน แต่เพราะ
เหตุใดเขาถึงไม่สามารถจะชนะเนีย่ หลีไ่ ด้ ? หัวใจของเขาตอนนี้
เต็มไปด้วยความไม่พอใจมากมาย
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน เขาก็ยังทาได้แค่ยืน
มองเนี่ยหลี่และหลงยู่อินจากระยะไกล เขาไม่เชื่ออย่างที่สดุ ว่า
เนี่ยหลีจ่ ะสามารถชนะหลงยู่อินได้ ตัวตนของหลงยู่อินไม่
สามารถทาให้พ่ายแพ้ด้วยบุคคลธรรมดาสามัญ ต้องการมีชัย
เหนือหลงยู่อินงั้นรึมันไม่มีวันทาได้!
เนี่ยหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเขามาถึงขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสอง
เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ส่งมายังเขา
เนี่ยหลี่ครุ่นคิดกับตัวเอง ‘หากเป็นอย่างที่อาจารย์บอกข้าใน
ชีวิตก่อนหน้านี้ แรงอาฆาตในตัวข้านี้นั้นมีมากเกินไป แม้แต่ฟ้า
และดินที่คอยรองรับแรงอาฆาตแค้นนับหมื่นนับแสนของ
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ยังไม่ยอมรับ ดังนั้น
การเส้นทางสวรรค์จะเปิดทางยอมรับข้าคงเป็นเรื่องที่ยาก
เกินไป’อย่างไรก็ตาม ขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบสองนี้ ยังไม่ใช่ขีดจากัด
ของเขา หากเขามาติดอยู่แค่ขั้นทีห่ นึ่งร้อยยี่สิบสอง การที่เขา
ได้รับชีวิตทีส่ องมานี้จะไม่เป็นการขายหน้าหรือ ?
*วู้มมม*
พลังอันน่าเกรงขาม แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยมีต้นกาเนิดมา
จากการก้าวเท้าของเนี่ยหลี่
“หลงยู่อินเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของปีนี้ ส่วนที่เหลือก็ทา
ได้เพียงจ้องมองนางจากเบื้องล่างเท่านั้น!”
“ถูกต้อง! ไม่น่าเชื่อความแข็งแกร่งปัจจุบันของนางอยู่ที่อันดับ
9 จิตวิญญาณแห่งแสงแล้ว!”
“คนที่ชื่อเนี่ยหลี่นั่น ทาการท้าทายนาง ช่างเป็นการกระทาที่โง่
เขลาเสียยิ่งนัก!”
ขณะที่พวกเขากาลังพูดคุยกันเกี่ยวกับอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง ชื่อของเนี่ยหลี่ก็ได้เลื่อนจากอันดับที่ 16 มาเป็นอันดับที่
15 แม้ว่าเขาเพียงเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับก็พอจะเรียกความสนใจ
จากมวลชนได้แล้ว
“เด็กนั่นสามารถเลื่อนขั้นได้?”
ทุกคนต่างสบตากันทุกอย่างอยู่ในสภาวะเงียบงัน
ไม่ต้องพูดถึงว่า เนี่ยหลี่จะชนะหรือพ่ายแพ้ในวันนี้ เนี่ยหลี่ก็
ดารงอยู่ในจุดที่พวกเขาไม่สามารถไปถึงได้ พวกเขายังมีสิทธิ์วิ
พากวิจารย์เนีย่ หลี่อีกหรือ?
ก่อนที่ฝูงชนจะสงบลง อันดับของเนี่ยหลี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ขึ้นอีกครั้ง จากอันดับที่ 15 เป็นอันดับ ที่ 14
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นถึงกับตะลึงงัน ต่างคนต่างจ้องมายังศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง พวกเขารู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดที่จะสามารถได้ยินเสียงของเข็มที่หล่น
ลงพื้นเลยก็ว่าได้
อย่างน้อยที่สุดเนี่ยหลี่ ก็ค่อยๆลดระยะห่างและขยับเข้าไปใกล้
หลงยู่อิน!
นี่หรือว่าเนี่ยหลี่อาจจะทาสาเร็จก็เป็นได้? พวกเขาแทบจะหยุด
หายใจกันเลยในเวลานั้น!
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพรสวรรค์ของเนี่ยหลี่จะน่ากลัว
มากมายถึงเพียงนี้ นี่เป็นวันแรกที่เขาได้เข้าด่านจิตวิญญาณ
แห่งแสง และเลื่อนอันดับอยู่ในอันดับที่ 14 ความสามารถของ
เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงยู่อินยามเมื่อนางเข้าด่านจิตวิญญาณ
หนแรกเลย อันดับของนางก็อยู่ประมาณนั้น”กู้หลานพึมพากับ
ตัวนางเอง ขณะที่จ้องมองด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
แม้ว่าหญิงสาวที่นั่งอยูร่ ถเข็นจะมีผิวขาดซีดและดูอ่อนแอเป็น
อย่างมากนางก็ยังคงความงามของนางไว้อยู่ สร้างความตะลึง
ให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็น ตราสี
ทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตระกูลกู้ที่ตดิ อยู่บนอกเสื้อของนาง พวก
เขาก็เปลีย่ นทิศในการมองทันที ตระกูลกูไ้ ม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะ
ล่วงเกินได้
เด็กหนุ่มลึกลับวนเวียนอยู่ในความคิดของกู้หลาน อันที่จริงนาง
ก็สัมผัสได้ว่าเนีย่ หลีย่ ังซ่อนความสามารถของเขาไว้อีกมาก
ทันใดนั้นกู้หลานสังเกตเห็นบางกลุม่ ในฝูงชน หลังจากนิ่งไป
สักครู่หนึ่งนางกล่าวออกมาว่า “น้องเล็ก รีบกลับกันเถอะ!”
“พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อรอดูผลการแข่งขันหรือ?” กู้เบ่ยถามกู้
หลานด้วยความงุนงง เนื่องจากตัวเขาเองเต็มไปด้วยความ
คาดหวังที่มีต่อเนีย่ หลี่ในการท้าทายหลงยู่อิน
กู้หลานส่ายหัวของนางพร้อมกับทอดสายตายาวออกไป “พวก
เขากาลังมา”
กู้เบ่ยมองตามสายตากู้หลานไปก็ได้พบบางสิ่งที่อยู่ในสายตา
ของเขา มันเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าที่ถักทอขึ้นจาก
ไหมชั้นเลิศ บนหัวของเขามีเครื่องประดับสวมอยู่ เขาคือกู้เหิง
ผู้สืบทอด
หมายเลขหนึ่งของตระกูลกู้ในตอนนี้ พรสวรรค์ของกู้เหิงนั้น
ใกล้เคียงกับกู้หลานก่อนที่นางจะล้มป่วยลง เขาเป็นศัตรูคน
สาคัญของกู้หลาน เหล่าคนรุ่นเยาว์ที่ติดตามกูเ้ หิงอยู่ด้านข้าง
พวกเขาคือสมาชิกของตระกูลกู้ทั้งหมด
ตาของกู้เบ่ยส่อประกายเย็นยะเยือกออกมาในขณะที่กล่าวว่า
“ท่านพี่ข้าจะพาท่านกลับเดี๋ยวนี!้ ”
ข่าวที่เนี่ยหลีไ่ ด้ทาการท้าท้ายหลงยู่อินนั้นได้แพร่กระจาย
ออกไปอย่างรวดเร็ว กู้เหิงเองก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกกระตุ้นให้สนใจ
การแข่งขันนี้เช่นกัน หลงยู่อินเป็นอันดับหนึ่งในคนรุ่นหลังของ
ตระกูลผนึกมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย บุคคลที่สามารถท้าทาย
หลงยู่อินทั้งที่ตนเองไม่มภี ูมิหลังคอยหนุนนั้น กู้เหิงจึงพิจารณา
ว่าเป็นศัตรูที่คคู่ วร
กู้หลานยังคงเงียบอยู่ นางก้มหัวลงต่ามือที่ซีดเซียวของนางจับ
อยู่ที่พักแขนของรถเข็นอย่างสงบ
กู้เหิงเหลือบมองไปยังกูหลาน ที่ปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันใน
เวลาแค่พริบตา จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความ
สงสาร “การเจ็บป่วยของพี่น้องกู้หลานยังคงไม่ได้รับการ
เยียวยารักษา ? ช่างน่าเสียดายแทนยิ่งนัก แต่เดิมด้วย
ความสามารถของพี่น้องกู้หลานนัน้ จะทาให้ก้าวไปยังจุดสูงสุด
ของตระกูลกู้ของเราได้อย่างแน่นอน! กู้เบ่ยขณะที่ท่านพี่ของ
เจ้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว เจ้าควรดูแลนางให้ด!ี ” (ถีบยอด
หน้าแม่*)
ตาของกู้หลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่นางก็ปกปิดมัน
อย่างรวดเร็ว ในอดีตที่ผ่านมานางได้รับการกล่าวขานว่าเป็น
ยอดอัจฉริยะ นางจะไม่ทนแม้แต่เพียงเศษทรายที่มากระทบกับ
ความภาคภูมิใจของนาง แต่นับตั้งแต่วันที่นางล้มลงนางก็เริ่ม
เรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้น
กู้เบ่ยทาได้แค่เพียงถอนหายใจออกมา
เนี่ยหลี่ที่เพิ่งเข้าด่านจิตวิญญาณแห่งแสงเป็นครั้งแรก และ
ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 14 ในอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง นี่นับว่า
เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ ความสามารถของเขา หากพวกเขา
สามารถดึงเนี่ยหลี่ให้มาร่วมกลุ่มเขาได้นั่นจะต้องเป็นประโยชน์
อย่างมากต่อตระกูลพวกเขา
ภายในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เนี่ยหลีไ่ ม่รู้ว่าทาไมถึงได้เกิดการกระเพื่อมของพลังงานมากมาย
เช่นนี้ แต่เนี่ยหลี่ยังสัมผัสได้ถึงพลังสวรรค์และปฐพีและเริ่มทา
การเชื่อมต่อกับพลังสวรรค์และปฐพีต่อไปเรื่อยๆ
นับแต่นางยังเยาว์ นางมักจะบอกกับตัวเองเสมอว่าต้อง
กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็น
ผู้ชายนางก็สามารถทาให้เขาเหล่านั้นสยบใต้ฝ่าเท้านางได้
การแสดงออกของนางเริ่มหวั่นกลัวบ้างเล็กน้อยเมื่อมองเนี่ยหลี่
ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยหลี่เป็นฝ่ายตรงข้ามที่ทรงพลังมากที่สดุ เท่าที่
นางเคยพบ!
แต่นางจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้เด็ดขาด คิดว่านางเป็นใคร
กัน นางคือหลงยู่อินจากตระกูลผนึกมังกร ! เป็นที่แน่นอนอยู่
แล้วนางจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดก็ตามในวัยเทียบเท่ากัน
เนี่ยหลีห่ ยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งร้อยยี่สิบห้าและมองไปที่หลงยู่อิน
“ข้าได้ยินมาว่าในคราแรกที่เจ้าได้เข้ามาด่านจิตวิญญาณแห่ง
แสง เจ้าก็มาถึงตรงที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนว่าอัจฉริยะอย่าง
เจ้าคงมีความสามารถพอใช้ได้ ขั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้า ไม่ง่ายเลย
ที่จะมาถึง?!” เนี่ยหลีย่ ั่วยุหลงยู่อินเล็กน้อย
“เจ้าไม่ต้องมาห่วงข้าหรอก เจ้าควรจะห่วงตัวเจ้า
เองเสียดีกว่า หากข้าได้ตีเจ้าถึงสามครั้ง ข้าก็กาลังคิดว่าข้าควร
จะตีส่วนไหนของเจ้าดี กับสาวงามเช่นเจ้าเพื่อไม่ให้เสียของ!
แต่อย่างไรก็ตามกับผู้ที่งามเพียงรูปแต่จิตใจชั่วร้าย
แบบเจ้าข้าจะไม่ผ่อนปรนเด็ดขาด!” เนี่ยหลี่จ้องมองหลงยู่อิน
อย่างกระหาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าอก ช่วงเอว หรือส่วนอื่นๆ บน
ร่างกายของนาง เผยให้เห็นรอยยิม้ เจ้าเล่ห์อันชั่วร้าย
บทที่ 282 ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นขยะ ?
เหล่าผู้คนที่ยืนดูต่างประหลาดใจ พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเนี้ยหลี่
จะกล้ากล่าวเช่นนั้นกับหลงยู่อิน
คนแรกที่กล้ายั่วยุปีศาจเช่นหลงยูอ่ ินนั้นมีอยู่จริงๆ!
เซี่ยวหยู่อดกังวลไม่ได้ว่า เนี้ยหลี่อาจจะได้รับผลกระทบจาก
การยั่วยุหลงยู่อิน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทาไมเนีย้ หลี่จึงมุ่งเป้าไปยัง
หลงยู่อินราวกับว่าเขามีความแค้นอันลึกล้าต่อนาง คนหนุน
หลังของหลงยู่อินนั้นไม่ธรรมดา ถ้าหากเพียงเนี้ยหลี่สามารถ
อดทนอดกลั้นได้ เพียงไม่นานทุกอย่างก็จะจบ
สาหรับลูเปียวเขาแอบยกนิ้วโป้งให้กับเนี้ยหลี่ ผู้หญิงเผด็จการ
เช่นหลงยู่อินนั้นจาเป็นต้องลากลงมาอย่างไร้ความปราณี ไม่
เช่นนั่นหลงยู่อินจะคิดว่าตัวเองนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของโลกทั้ง
ใบ?
“เจ้าคนต่าช้า ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา!”
หลงยู่อินกาหมัดแน่น จิตสังหารแผ่กระจายออกมาอย่างรุนแรง
และพุ่งไปยังเนีย้ หลี่
หลงยู่อินค่อยๆสงบจิตใจลง นางไม่เข้าใจเลยว่าทาไมถึงโกรธ
แค้นเนี้ยหลี่ได้อย่างง่ายดาย อาจเป็นตลอดเวลาทีผ่ ่านมาไม่เคย
มีใครที่อายุเท่ากับนางเที่ยบเคียงนางได้ บางทีสาเหตุที่นาง
โมโหมันอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่ที่แสดงออกมา
กดดันนางทาให้นางรู้สึกได้ถึงการคุกคามก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เลือดภายในกายพลันระเบิดออกมาจากร่าง
ของหลงยู่อิน “หากวันนี้เจ้าไม่อาจชนะข้าได้ล่ะก็ เจ้าจะต้อง
ตายใต้น้ามือข้า!”
“คอยดูให้ดีละ่ !” ดวงตาของเนี้ยหลี่เปล่งประกายเย็นเหยียบ
“ไม่เพียงแต่ข้าจะก้าวข้ามเจ้า แต่ข้ายังจะให้เจ้าได้รู้ว่าทุกอย่าง
ที่เจ้าได้อาศัยมาทั้งหมดนั้นช่างน่าหัวเราะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะอวด
ดีได้อีกเรอะ?
เมื่อเนี้ยหลี่กล่าวจบ เขาก็ใช้ เคล็ดการบ่มเพาะ [เทพวิถีฟัา] ทา
ให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
บรูม………บรูม……….บรูม!
พลังสวรรค์เบิดออกมาอย่างรุนแรงจากใต้เท้าของเนี้ยหลี่ ราว
กับว่ามันทาให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหว เมื่อทุกคนได้สัมผัส
กลิ่นอาย สีหน้าผู้ที่เฝ้าดูอยู่พลันแปรเปลีย่ นไปด้วยความ
หวาดกลัว
พลังอานาจอะไรกันช่างน่ากลัวเช่นนี้?!
ช่วยไม่ได้ที่แม้กระทั้งหลงยู่อินเองก็ยังตกใจ
เนี้ยหลี่ เดินขึ้นไปอย่างช้าๆ หนึ่ง 126 ขั้น 127 ขั้น หลงยู่อิน ดู
ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้และรูส้ กึ ลมหายใจของนางจะหยุด
นิ่งขณะที่นางรู้สึกถึงความกดดัน ด้วยพลังที่เล็ดลอดออกมา
จากเขา
กลิ่นอายนี้ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าพลังงานสวรรค์
โดยรอบก่อให้เกิดรงปะทะ หลงยูอ่ ิน ถึงกับก้าวถอยไป ก่อนที่
จะ พยายามที่จะยืนให้มั่นคง
หลงยู่อินก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงสัมผัสได้ถึงความกดดัน
อย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าเนี้ยหลีจ่ ะได้รับพลังงาน
สวรรค์จากพื้นที่โดยรอบ แปลว่าเขาสามารถเชื่อมโยงกับพลัง
ฟ้าดินได้เป็นอย่างดี พลังงานสวรรค์ในด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
นั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก ภายใต้การควบคุมพลังของ
เนี้ยหลี่ มันจึงระเบิดพลังออกมาอย่างน่ากลัว
หลงยู่อินตกตะลึงขณะที่มองไปยังเนี้ยหลี่ นางนั้นภาคภูมิใจใน
ความสามารถของนางมาตลอด นางไม่เคยกังวลเลยว่าจะมีคน
อายุเท่ากันสามารถชนะนางได้ แต่ทว่าความภาคภูมิใจที่นาง
เคยยึดถืออยู่นั้นตอนนี้ได้แตกกระจายหมดสิ้นแล้ว เมื่อนางได้
เห็นเนี้ยหลี่ที่มองลงมายังนางด้วยสายตาเฉยเมยและเกลียดชัง
มันทาให้นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงเศษขยะบน
ผืนดิน
เนี้ยหลีล่ ะสายตาของตนออกไปจากหลงยู่อิน และไม่ได้สนใจ
แม้จะชาเลืองมองนางอีกเป็นครั้งที่สอง ในขณะที่เขาก้าวขึ้นไป
ยังขั้นที่ 131
*…………….บรูม!.......................*
เมื่อฝีเท้าของเนี้ยหลี่กระทบพื้นดิน เสียงทุ้มลึกต่างสะท้าน
สะเทือนผ่านเข้าไปในหัวใจของศิษย์ร่วมสานักโดยรอบ
นั่นเป็นขั้นที่ 131!
เสียงเหล่าผู้คนที่อยู่นอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสงอึกกระทึก
ขึ้นมาในทันที
ในศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงอันดับของเนี้ยหลีไ่ ด้เข้ามา
แทนที่อันดับที่ 9 ของหลงยู่อิน ทุกคนที่มองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงอย่างไม่อยากเชือ่ สายตา
“มันเป็นไปไม่ได้...”
“นั้นเนี้ยหลีส่ ามารถดึงหลงยู่อินลงมาได้จริงๆ!”
“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! คนบางคนจากโลกใบเล็กจะ
สามารถชนะหลงยู่อินจากตระกูลผนึกมังกรได้จริงๆ!”
ไม่มีใครต้องการเชื่อในผลลัพธ์ที่ออกมา แต่รายชื่อบนศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสงได้แสดงไว้อย่างชัดเจนพวกเขาจึงไม่
มีทางเลือกนอกจากจะเชื่อมัน
นอกจากนั้นความแข็งแกร่งของตานานนี้ยังห่างไกลเมื่อเทียบ
กับหลงยู่อิน ทาให้ทุกคนประหลาดใจมากยิ่งขึ้น หลงยู่อินนั้น
มาจากตระกูลผนึกมังกรที่มีทรัพยากรมากมายสาหรับการ
ฝึกฝนตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก ทุกอย่างที่นางมีไม่สามารถหาได้
จากผู้อื่น
แต่เนี้ยหลี่มาจากโลกเล็กๆภายนอก และไม่ได้มีเบื้องหลังใดๆ
หรือว่าเขาได้จัดเตรียมแหล่งทรัพยากรสาหรับการฝึกฝนขนาด
ใหญ่กัน
หลงยู่อินมองไปยังเงาหลังของเนี้ยหลี่ โดยเฉพาะในขณะที่
เนี้ยหลี่ก้าวขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้นโดยไม่ได้มองย้อนกลับลงไป
ตลอดมา นางเชื่อมั่นในความสามารถแข็งแกร่งของตัวนาง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์ของนางได้ถูกทาลายลงอย่างไรความปราณี เมื่อต้อง
เผชิญหน้ากับเนี้ยหลี่ ที่ก้าวขึ้นไปยังขั้นที่ 136 ทาให้นาง
สูญเสียจิตวิญญาณของการต่อสูของนางไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้ชายคนนี้โผล่มาประดุจภูเขาลูกใหญ่ที่กระแทกลงมาบนศีรษะ
ของนาง ทาให้นางรู้สึกหายใจไม่ออก
นางเที่ยวโอ้อวดว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะ แต่มันก็เป็นเช่นที่
เนี้ยหลี่ กล่าวว่านางนั้นไม่มีอะไร เมื่อเทียบตัวเองกับเขา นาง
ยังคงอ่อนด้อยกว่ามาก
นางกาหมัดของตนเองแน่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนเต็ม
ในจิตใจนาง มันเป็นความรู้สึกที่แม้แต่นางก็ไม่สามารถเข้าใจ
ความรูส้ ึกของตัวนางเอง
ในชั่วขณะหนึ่งลูเปียวกับเซี่ยวหยู่ได้มองไปยังเงาหลังที่สูงสง่า
ของเนี้ยหลี่ ถึงกับพูดไม่ออกพวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเนี้ยหลี่จะ
สามารถขึ้นไปถึงยังขั้นที่ 136 และบดขยีผ้ ู้หญิงเช่นหลงยู่อินลง
ใต้เท้าของเขา ณ ที่นั้น
ศิษย์หลายคนของสานักวิญญาณฟ้าจ้องมองไปยังเนี้ยหลี่ มัน
ช่างน่าแปลกประหลาดเสียจริงเขาพึ่งเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่มิใช่
เหรอ เพียงครั้งแรกเขาก็ขึ้นไปถึงยังขั้นที่ 136 ได้ในครั้งเดียว นี่
ช่างน่ากลัวยิ่ง!
เหล่าผู้คนที่มุงดูอยู่ที่ศลิ าอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงต่างตกใจ
ไปตามๆกัน ขณะที่จ้องมองไปยังศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง ศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงชื่อของเนี้ยหลี่ได้ขึ้นไปถึง
อันดับที่สามแล้ว
หนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งก็คือการเชื่อมต่อกับพลังแห่ง
สวรรค์ จะทาให้ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์สามารถดูได้อย่างง่ายดายคือ ก่อนที่เนี้ยหลี่จะมายังที่นี้
แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในขอบเขตชะตาฟ้า แต่ผลของการฝึกฝนของ
เขาก็ก้าวกระโดดครั้งใหญ่และเข้าถึงขั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ
กู้เบ่ยกับกู่หลานสบตากันด้วยความตกตะลึง ก่อนนี้พวกเขาไม่
อาจประเมินความสามารถของเนีย้ หลีไ่ ด้!
ความสามารถของเนี้ยหลี่เหนื่อล้ากว่าหลงยู่อินอย่างเทียบไม่ตดิ
กู้เบ่ยช่วยไม่ได้ที่จะรูส้ ึกละอายใจ เพราะเขาไม่มีความสามารถ
เทียบเท่าเนี้ยหลี่
ประกายตาแหลมคมของกู้เฮงจ้องมองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงเต็มไปด้วยความอิจฉา แม้แต่เขาก็ยังไม่
สามารถเก็บความความริษยาต่อพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่ได้
เขาจะต้องนาคนผู้นี้เข้าร่วมกับเขาให้จงได้ ประกายตาเย็น
หยียบเปล่งออกมาจากกู้เฮง แต่ถา้ หากเขาไม่สามารถดึงตัวเนี้ย
หลี่มาได้ เขาจะต้องทาทุกวิธีทางเพื่อที่จะทาลายมันซะ
ไม่เช่นนั้นกู้เฮงจะรูส้ ึกไม่วางใจเป็นแน่!
หญิงสาวผู้งดงามราวกับนางฟ้า ได้มองไปยังศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสงนางไม่อาจสะกดความรูส้ ึกตกใจในดวงตาของ
นาง นางไม่เคยคิดเลยว่าพรสวรรค์ของเนี้ยหลี่จะสูงส่งถึงเพียง
นี้ และเขาก็เป็นคนแรกที่นางไม่สามารถมองเห็นชะตากรรมได้
เมื่อครั้งที่นางได้พบกับเนี้ยหลี่เป็นครั้งแรก อิงเยว่ลู่ ได้รสู้ ึกใน
จิตใจว่าชะตากรรมของพวกเขาพาดผ่านกัน
นางได้ชาเลืองมองไปยังศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงแว่บห
นึ่ง ก่อนร่างของนางจะหายเข้าไปยังป่าที่อยู่ใกล้ๆ
บทที่ 283 เจ้าเรียกร้องหามันเองนะ !
พวกเขานั้นรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลยทีจ่ ะเชื่อมโยงกับพลังงานสวรรค์
ที่อยู่ภายใน ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงนี้ได้ ดังนั้นเมื่อเนี่ยลี่ขึ้นไป
ยังอันดับสูงๆแล้ว พวกเขารู้สึกว่าคงไม่อาจที่จะเอื้อมไปถึง ใน
ตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง เนี่ยลี่ก็
ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับสามของ ศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
เรียบร้อยแล้ว
อันดับสามงั้นหรือ นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
?
แม้แต่ผู้ทมี่ าใหม่ก็ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า แม้แต่หลงยู่อิน ยังถูกลด
อันดับลงมา
ช่วยไม่ได้ที่คนอื่นจะรู้สึกสับสนกันไปหมด ที่ว่างทั้งห้าตาแหน่ง
ของปีนี้ถูกครอบครองโดย หลงยู่อิน จินหยาน และ กู้เบ่ย แล้ว
ตอนนี้ที่เคยคิดไว้ว่าเหลืออีกสองทีก่ ลับถูกขัดขวางโดยเนี่ย
ลี่ จะเหลือโอกาสอะไรให้กับพวกเขาอีกหล่ะ ไม่มีทางที่จะไป
ขัดขวางเขาได้แน่นอน เมื่อเทียบกับเนี่ยลี่แล้ว พวกเขาห่างชั้น
กับเขาจนเกินไป
ฮัวหลิงมองศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงด้วยความโกรธแค้น
คงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าหากเซี่ยวหยู่ขนึ้ ไปในอันดับสูงเพียงคน
เดียว แต่ในตอนนี้ เนีย่ ลี่นั้นกลับขึน้ ไปสูงยิ่งกว่าเซีย่ วหยู่ เป็น
จุดที่คนทั่วไปทาได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น คนอื่นอาจจะไม่คิด
แต่เขาคิดว่านีเ่ ป็นการท้าทายเขายิง่ นัก เขาแทบจะกระอัก
เลือดออกมาด้วยความคับแค้น
ในขณะเดียวกันเหล่าอาจารย์ต่างตกใจกับสิ่งที่เห็นบนศิลา
อันดับจิตวิญญาณแห่งแสง
การที่ผู้ที่เข้ามาใหม่ สามารถขึ้นไปถึงอันดับสามของศิลาอันดับ
จิตวิญญาณแห่งแสงได้อย่างง่ายดายนั้น ช่างท้าทายสวรรค์เป็น
ยิ่งนัก ความสามารถถึงเพียงนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ
ทศวรรษที่ผ่านมา
หนานเหมียน เทียนไห่ ครุ่นคิดอยูค่ รู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับ
หวงอวี้ ว่า “ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เนี่ยลี่จะทาให้
ประหลาดใจได้มากถึงเพียงนี้”
อาจารย์ชิหลิงถอนหายใจเบาๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่สอนให้จุด
เปลวไฟแห่งวิญญาณ ข้าก็ได้รับรู้ถึงพรสวรรค์ของเขาแล้ว แต่
กับสิ่งที่ข้าได้เห็นในตอนนี้ มันเหนือเกินกว่าคาว่ามหัศจรรย์ไป
แล้ว ข้าเสียดายยิ่งนักที่จะได้มีโอกาสสั่งสอนเขาเพียงแค่ปี
เดียว”
ด้วยความสามารถอันน่าตกใจของเนี่ยลี่ ทาให้เขาได้ความสนใจ
จากกลุ่มอื่นๆ
จิตวิญญาณของเขาได้ถูกขัดเกลาจนกลายเป็นสีแดงชาดคล้าย
กับเลือด และกลายเป็นเจตจานงค์แห่งวิญญาณ
แม้ว่าในตอนนี้ เขาจะยังไม่อาจที่จะก่อรูปมันขึ้นมาได้อย่าง
สมบูรณ์ เขาจะสามารถรับรูไ้ ด้ว่าสีของชะตาวิญญาณจะเป็น
เช่นใด ก็ต่อเมื่อเขาสามารถที่จะก่อรูปชะตาวิญญาณ ขึ้นมาจน
สมบูรณ์เท่านั้น แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกๆในขอบเขตวิญญาณ
ของเขา แต่เนี่ยลีเ่ องก็ยังมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก เมื่อเขาลืมตา
ขึ้นมาก็มองเห็น หลงยู่อินโดยบังเอิญ
เนี่ยลี่จ้องมองดูนางด้วยสายตาที่แสดงถึงความชิงชัง “เจ้าแพ้
แล้ว
!”
หลงยู่อิน กาหมัดของนางจนแน่น แม้ว่านางจะไม่เต็มใจที่จะ
ยอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ ความจริงที่ถูกจับจ้อง ความจริง
แท้ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า อยู่ในดวงตาของนาง นางกัดริมฝีปาก
จนเกิดคราบเลือดเล็กๆ ดวงตาสีนาตาลอ่
้ อนของนาง ฉายให้
เห็นแค่เพียงความว่างเปล่า
เนี่ยลีไ่ ด้เหยียบย่าความภาคภูมิใจของนางอย่างเลือดเย็น
“ในเมื่อข้าตัดสินใจที่จะเดิมพัน ข้าก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับ
ความพ่ายแพ้
!” หลงยู่อิน หยิบแส้ขึ้นมาและโยนไปให้เนี่ยลี่ นางเงยหน้ามอง
เขา ในขณะที่พูดต่ออีกว่า
ในตอนนี้เมื่อเขาได้กลับมาชีวิตอีกครั้ง เขาสาบานว่าจะไม่ยอม
ให้ อาจารย์ของเขาต้องตายอีกครัง้ อย่างแน่นอน
ผู้หญิงอย่างหลงยู่อิน นางจะต้องได้รับการสั่งสอนอย่างไร้
ปราณี แล้วจับส่งไปยังที่ไกลแสนไกล เท่าที่จะทาได้
เนี่ยลีร่ ับแส้มาพร้อมกับจ้องมองที่ หลงยู่อิน เขายกแส้ขึ้น
ในขณะที่เขากาลังจะหวดแส้ไปที่นาง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึง
คาพูดของอาจารย์ของเขา ที่พูดกับเขาในชีวิตที่แล้ว
“บริสุทธิ์ดั่งสายนที เพราะวารีนั้นไม่แข่งขัน”
“ให้ความแค้นลบเลือนดั่งหมอกควัน ปล่อยให้มันจางหายดั่ง
สายลม”
เนี่ยลี่โยนแส้ลงตรงหน้าหลงยู่อิน และเดินลงมาลงมาจากตรง
นั้น โดยที่ไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย นี่เป็นการดูถูกอย่าง
ชัดเจน!
“ยังออกไปไหนไม่ได้
!” หลงยู่อินหยุดเนีย่ ลี่ ในขณะที่จอ้ งเขม็งไปที่เขา
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้าเสียงที่ขึงขัง
ว่า “ข้าไม่อยากจะเสียเวลากับคนเช่นเจ้า หลีกไปซะ!”
นิสัยของนางก็ยังคงเป็นเหมือนกับที่ผ่านมา นั่นทาให้เนี่ยลี่จง
เกลียดจงชังนางยิ่งนัก
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้น จะมาว่าหาไร้ความปราณีไม่ได้นะ
!” เนี่ยลี่หยิบแส้จาก หลงยู่อิน ของมองด้วยสายตาที่เย็นชา
พร้อมกับตะโกนออกไปว่า “หลงยูอ่ ิน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?
เจ้าคิดว่าแค่ความสามารถของเจ้านั้นน่าเกรมขามยิ่งนัก จนเจ้า
สามารถทากับคนอื่นเช่นมดปลวกได้เช่นนั้นหรือ? ในใจของเจ้า
นั้นไม่ได้มีความเมตตาเลยแม้แต่นอ้ ย เจ้าทาราวกับชีวิตคนอื่น
เป็นเพียงแค่ต้นหญ้า ดังนั้นเมื่อมีใครที่ขวางทางเจ้าอยู่ เจ้าก็ฆา่
พวกเขาจนหมด ผู้หญิงเช่นเจ้า แม้จะเรียกว่า นางมารร้าย ก็
นับว่าเบาเกินไป! ”
ทุกความคั่งแค้นในใจของเนี่ยลี่พรัง่ พรูออกมา
!
“ตระกูลผนึกมังกรน่ากลัวนักอย่างนั้นเหรอ
? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทาไมถึงได้ออกจากนิกายเทพอสูรหล่ะ?
นอกจากการข่มเหงเหล่าอัจฉริยะภายในนิกาย นี่เหรอสิ่งดี ๆที่
พวกเจ้าทากัน มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าจะกาจัดตระกูลของ
เจ้า เพื่อที่จะไม่ให้นิกายขนนกศักดิ์ศักดิ์สิทธิต์ ้องอยู่ในกามือ
ของพวกเจ้า! ” เนี่ยลี่ตะโกนใส่หลงยู่อินด้วยความโกรธ
นี่เป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สดุ
!
การลงแส้ครั้งนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นในหัวใจของเนี่ยลี่
ดังนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่การลงแส้ที่เบาๆเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าร่างกายของหลงยู่อินนั้นจะแข็งแกร่งมาก แต่นางก็ยังไม่
อาจที่จะกลั้นเสียงร้องไม่ให้มันดังเล็ดลอดออกมาได้ ความ
งดงามบนใบหน้าของนางนั้นเหลือเพียงเล็กน้อย มันซีดขาว
ขณะที่เนี่ยลี่ทาการลงแส้ทั้งสามครั้ง มันเจ็บแสบราวกับถูกเผา
ไหม้ นับตั้งแต่เด็ก นางไม่เคยถูกทาให้ขายหน้าเช่นมาก่อน
บทที่ 284 ขัดขวาง
นั่นคือความอัปยศอดสูเป็นอย่างยิง่ !
จากสายตาของคนอื่นๆแล้ว นางเป็นเพียงแค่หญิงสารเลวงั้น
เหรอ? หลงยู่อิน เงยหน้ามองไปยังนักเรียนคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้
ๆ พวกเขาก้มหน้าหลบทันที ที่เห็นสายตาของนาง
ดังนั้นในสายตาของคนอื่น นางเป็นเพียงหญิงที่ชั่วร้าย
เหมือนกับที่เนี่ยลี่ได้พูดออกมาในมุมมองของหลงยู่อินแล้ว นาง
ก็แค่อยากจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นแต่มันกลับกลายเป็นว่า นาง
เป็นเพียงแค่ขยะทีส่ ร้างความเกลียดชังให้แก่ผู้อื่น!
ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยน้าตา นางก็เป็นเพียงแค่คนที่เอาแต่
ใจ นางไม่เคยคิดที่จะไปทาร้ายหรือฆ่าใครง่าย ๆ นางไม่ได้คิด
จะฆ่าเนีย่ ลี่ ด้วยการโบยสามครั้งแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง
ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย นางแค่อยากจะให้เขาได้รับบทเรียน แล้ว
ทาไมเนี่ยลี่ถึงได้เรียกนางว่า นางมารร้าย
ในการลงแส้ครั้งที่สาม นั้นหนักหน่วงและไร้ความปราณีเป็น
ที่สุด เนี่ยลี่พูดว่า สาหรับอาจารย์ของเขา แต่นางไม่รเู้ สียด้วย
ซ้าว่าใครคืออาจารย์ของเขา!
ในใจของหลงยู่อินนั้น เต็มไปด้วยความคับข้องใจ นางหันหน้า
กลับไปมองเขาด้วยดวงตาที่สั่นไหวและเต็มไปด้วยน้าตา นาง
กัดฟันแล้วพูดออกไปว่า “ข้าเกลียดเจ้า”
ลู่เพียวยังยืนมองหลงยู่อินวิ่งออกไป จากนั้นก็หันไปมองที่
เนี่ยลี่พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ ได้มองดูเนี่ยลีล่ งแส้สามครั้งกับ
หญิงสาว ทุกคนก็ต่างดีใจทีม่ ีส่วนของพวกอยู่ด้วย
และในตอนนี้มันก็จบลงไปแล้ว พวกเขาทุกคนต่างก็เริม่ ทาการ
บ่มเพาะพลัง สาหรับผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรก สามารถที่จะอยู่ใน
ด่านจิตวิญญาณแห่งแสงได้เป็นเวลาสามวัน
ซึ่งโดยปกติแล้วเนี่ยลี่ย่อมไม่ยอมทีจ่ ะเสียเวลาอันมีค่าดังกล่าว
ดังนั้นเขาจึงมุ่งเน้นที่จะทาการฝึกบ่มเพาะพลังต่อ ตระกูลผนึก
มังกร ที่พักของหลงยู่อิน
หลงยู่อินนั่งอยู่บนเตียงของนาง นางถือขวดยาสมุนไพรอยู่ใน
มือ นางจุ่มมือลงไปจากนั้นก็ค่อย ๆใช้ ทาแผลของนาง มีแผลที่
ชัดเจนอยู่บนใบหน้า และหน้าอกของนาง รวมไปถึงอีกหลาย ๆ
แห่งบนร่างกายของนาง
แม้ว่านางจะเป็นผู้ที่มสี ายเลือดมังกร แต่การลงแส้ของเนี่ยลี่นั้น
ราวกับว่าจะตัดร่างกายของนางได้ ร่างกายของนางรู้สึกปวด
แสบปวดร้อนเป็นอันมาก
ในตอนนี้นางได้เปลี่ยนชุดที่ขาดรุ่ยของนาง นางสวมใส่ชุดผ้า
ไหมห่อหุม้ ร่างกายอันแสนยั่วยวนของนางไว้ เมื่อนางเริ่มทายา
ตรงหน้าอกของนาง นางถึงกับร้องครวญครางด้วยความ
เจ็บปวด
เมื่อนางนึกถึงจุดที่เนี่ยลี่นั้นลงแส้ นางรู้สึกอับอายขายหน้าเป็น
ยิ่งนัก เขาเป็นคนแรกที่กล้าทาเช่นนั้นกับนาง!
มือขวาของนางกาแส้ไว้แน่น นางจาได้ถึงความเกลียดชังที่เนี่ยลี่
แสดงออกมา เขาทาราวกับว่าร่างกายของนางนั้นน่าขยะแขยง
แม้ว่าจะคิดไตร่ตรองดูแล้วนีม่ ันก็มากเกินไป ด้วยการ
แสดงออกของความเกลียดชังนั้น ทาให้ใจของนางเต็มไปด้วย
ความโกรธ
นางกัดฟันของนางจนแน่น จากนั้นก็เช็ดน้าตาที่อาบอยู่เต็ม
ใบหน้า หลังจากนั้นก็เริ่มทายาที่หลังของนาง
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แผลบนใบหน้านั้นไม่อาจที่จะปกปิดได้
นางนึกถึงคาพูดที่เนี่ยลี่พูดเอาไว้กอ่ นหน้านี้ได้ ไม่ว่าภายนอก
จะงดงามเพียงใด แต่มันก็ไม่อาจทีจ่ ะปกปิดความน่าเกลียดใน
ใจของนางได้ นางหยิบเอาสิ่งของปาไปยังกระจก มีเสียงดัง
กระจายและกระจกก็แตกเป็นชิ้น ๆ
ในตอนนั้นความรังเกียจของนางก็ถูกจุดขึ้นมา เมื่อได้ยินคาพูด
ของ หูหย่ง
“หูหย่งนี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า
!” นางชาเลืองมองหูหย่งด้วยความรังเกียจ พร้อมกับพูดต่ออีก
ว่า “ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลัง หลีกไปซะ!”
“น้องอิ้น ใครกันที่ทาร้ายเจ้า แล้วเจ้าไม่คิดจะล้างแค้นงั้น
เหรอ
? ข้าช่วยเจ้าล้างแค้นได้นะ!” หูหย่งรีบพูดออกไป
นางชาเรืองมองหูหย่งจากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา “ล้าง
แค้นงั้นเหรอ? แม้แต่ข้ายังไม่อาจที่จะจัดการเขาได้ แล้วคน
อย่างเจ้าจะล้างแค้นให้ข้าได้อย่างไร?”
หูหย่งพูดด้วยน้าเสียงที่เอาจริง “ข้าจะส่งผู้เยี่ยมยุทธจาก
ตระกูลของข้า ไปล้างแค้นให้กับเจ้า
!”
หลงยู่อินจ้องแขม็งด้วยความโมโห “ถ้าจะขอความช่วยเหลือ
จากผู้เยีย่ มยุทธในตระกูลของเจ้า ก็ใช้ตอนที่เจ้าถูกซัดติด
กาแพงก็แล้วกัน เจ้ามันก็แค่ขยะ ตระกูลของเจ้าก็เช่นกัน
เจ้าเป็นแค่ขยะ อย่าได้มายุ่งกับปัญหาของข้า หลงยู่อิน ถ้าข้า
ไม่อาจที่จะจัดการกับปัญหานี้ได้ดว้ ยตัวข้าเอง ข้าก็คงจะเป็น
แค่เศษขยะไม่ต่างจากเจ้า เข้าใจไหม?”
หูหย่ง แทบจะกระอักด้วยคาพูดของหลงยู่อิน เขาหยุดนิ่งอยู่ชั่ว
ครู่จากนั้นจึงพูดเสียงที่ไม่ดังนักว่า “น้องอิ้น หรือว่าตระกูลของ
ฝ่ายนั้นมีอานาจมากนักใช่หรือไม่? มันคือตระกูลเถ้าอัคคี หรือ
ว่าตระกูลกู?้ ”
นางมองไปยังหูหย่ง ความรูส้ ึกรังเกียจเพิ่มขึ้นมาในใจของ หลง
ยู่อิน ในตอนนี้นางเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทาไมนางถึงได้ถูกผู้อื่น
รังเกียจ ในมุมมองของนางในตอนนี้
นางเป็นเพียงสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลทีโ่ ดดเด่น และพร้อม
ไปด้วยทรัพยากรมากมายสาหรับการบ่มเพาะพลัง นางจึงได้
ประสพความสาเร็จเป็นอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง นาง
มักจะเยาะเย้ยดูถูกในชาติกาเนิดของคนอื่น ๆ และทาร้าย
รวมถึงกาจัดใครก็ตามที่นางต้องการ
หลังจากที่เห็นหูหย่งออกไป ใจของหลงยู่อินค่อยๆที่จะสงบอีก
ครั้ง
ตอนนี้นางกาลังคิดถึง เรื่องของเนีย่ ลี่ ที่จ้องลงมาหานางจาก
เบื้องบน นางคิดถึงสิ่งที่นางเคยทาในอดีต นางคิดว่าถ้อยคา
เหล่านั้นจะกระตุ้นและเป็นเป้าหมายของนาง
ในตอนนั้นที่เนี่ยลีไ่ ด้ลงแส้ ฟาดลงบนร่างกายของนาง ในตอนนี้
นางได้มาตรึกตรองถึงคาพูดและการกระทาของนางในอดีต
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ข้าจะต้องแซงหน้าเจ้าให้ได้
ความคับข้องใจของข้าในวันนี้ ข้าจะต้องส่งมันคืนให้กับเจ้าให้
จงได้!” หลงยู่อิน นั่งลงและเริม่ ทาการบ่มเพาะพลังสวรรค์ทันที
พลังงานสวรรค์ค่อย ๆ พุ่งเข้าสูร่ ่างกายของนาง หลงยู่อิน
สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของนาง
นั้นรวดเร็วยิ่งกว่าในอดีตที่ผ่านมา
“บริสุทธิ์ดั่งสายนที เพราะวารีนั้นไม่แข่งขัน...” หลงยู่อิน
จดจาคาพูดนีม้ ากจาก ต้นแบบบทคา
ทานาย และในตอนนี้นางเริ่มที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
ที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เนี่ยลี่ยังคงทาการบ่มเพาะพลัง ในขณะที่เขากาลังเชื่อมโยงอยู่
กับพลังฟ้าและดิน ในตอนนี้เหลือเพียงขั้นตอนการ ก่อรูปชะตา
วิญญาณดวงแรกเท่านั้น
วันที่หนึ่ง วันที่สอง
ด้านนอกด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
พวกเขาทั้งสามคนอยู่ภายในบริเวณด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
เป็นเวลานานแล้ว จนคนที่อยูด่ ้านนอกกระจัดกระจายกันไป
หมดแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยงั คงอยู่บริเวณนี้
เมื่อเนี่ยลี่และกลุ่มของเขา ออกจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง ก็
มีกลุ่มคนเข้ามายืนห้อมล้อมพวกเขาทันที
เนี่ยลี่ขมวดคิ้วของเขาเป็นเวลาสั้นๆจากนั้นก็กวาดสายตามอง
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ทสี่ ุด มีทั้งหมดสิบคน มีเก้าคนที่บรรลุระดับ
ชะตาสวรรค์แล้วมีคนหนึ่งที่อายุพอ ๆ กับเนี่ยลี่
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”เซี่ยวหยู่ มองไปที่พวกเขาพร้อม
กับเตรียมพร้อมเต็มที่ หากมีการต่อสู้ก็พร้อมที่จะรับมือได้
ทันที มีคนหนึ่งเดินเข้ามาเพ่งมองมาที่เนี่ยลี่ “เจ้าคือ เนี่ยลี่ งั้น
รึ?”
เนี่ยลี่ หรี่ตาแล้วก็ตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว แล้วเจ้าเป็นใครกัน
และทาไมเจ้าถึงมาจ้องหน้าข้าด้วยหล่ะ?” ดูเหมือนว่าอีกฝ่าย
จะได้รับการร้องขอมาเพราะเรื่องของเขา
วัยรุ่นคนนั้นพ่นลมหายใจอันเย็นชาใส่เนี่ยลี่ “เจ้าคนสารเลว
เจ้าคงเบื่อชีวิตแล้วสินะ เป็นแค่ใครก็ไม่รู้จากโลกใบเล็ก แต่กล้า
มากาแหงในสถาบันวิญญาณฟ้า”
เนี่ยลี่ แสยะยิม้ ด้วยท่าทีเย้ยหยัน “หลงยู่อิน ส่งพวกเจ้ามางั้น
เหรอ ?”...จบตอน
บทที่ 285 เอาขนไก่ไปทาลูกศร (สานวนจีน)
[ชื่อบทนี้มาจากสานวนจีนที่ว่า 拿着鸡毛当令
箭 หนา ชี ชิ เหมา ตั้ง หลิน เจียน แปลตรงตัวได้ว่า เอาขน
ไก่ไปทาลูกศร เดี๋ยวจะอธิบายอีกทีเมื่อมีการกล่าวถึงในเนื้อ
เรื่อง]
“นายท่านทั้งสาม รบกวนตามเราไปสักหน่อยได้ไหม?”
แม้ว่าหูหย่งและลูกน้องของเขา ไม่อาจที่จะสังหารพวกเขาได้ถ้า
หากไม่ออกไปข้างนอกสถาบันวิญญาณฟ้า แต่การสั่งสอนให้
บทเรียนก็พอจะสามารถทาได้
กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ของ ยอดฝีมอื ระดับชะตาวิญญาณขั้นที่
เก้า สร้างความกดดันให้กับเนี่ยลี่และลูเ่ พียวไม่น้อย พวกเขาไม่
สามารถที่จะตอบโต้อะไรได้ ในขณะที่พวกเขานั้นกาลังถูกต้อน
ไปยังมุมที่เปลี่ยวและเงียบสงัด
“หูวว ดูเหมือนว่าเจ้ากาลังจะเล่นเกมแบบเด็กๆสินะ ”
หูหย่งพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโกรธ เขารู้ตัวเองดีว่า
เป็นคนที่จองหองอวดดียิ่งนัก แต่เขาไม่คิดเลยว่า เนี่ยลี่นั้นจะ
จองหองอวดดียิ่งกว่าเขาเสียอีก แม้แต่ในตอนที่เผชิญหน้ากับ
ศัตรูเป็นจานวนมาก เขาก็ยังจะกล้าพูดเช่นนั้นอีก “ลากพวก
มันไปเดี๋ยวนี้”
ในตอนที่หูหย่ง พูดเช่นนั้น ก็มีเสียงลึกลับที่ฟังดูมีอายุดังขึ้นมา
จากข้างหลังของเขา “นายน้อยหู ข้าเกรงว่าคงไม่สามารถ
ปล่อยให้ทั้งสามคน ไปกับท่านได้!”
หูหย่งพ่นลมหายใจด้วยความโกรธ แล้วพูดออกมาว่า “วันนี้ข้า
จะต้องจัดการเจ้าสามคนนี้ ใครกล้ามาขัดขวางข้ากัน?”
เขาหันกลับไปมองดูว่าใครกัน ที่กล้ามาช่วยเจ้าสามคนนี!้ แต่ว่า
เมื่อเขาหันกลับมา ช่วยไม่ได้ที่เขาจะตกใจเมื่อเห็นคนที่อยู่
ตรงหน้าของเขา
ร่างของทั้งสองคนเดินเข้าหาเขาช้าๆ ซึ่งเป็นคนที่หูหยงรู้จักดี
หนึ่งในนั้นคือ หนานเหมียนเทียนไห่ อีกคนก็คือ หวงอวี้ ทั้งสอง
คนอยู่ในตาแหน่งผู้อาสุโส ระดับสูงของสถาบันวิญญาณฟ้า
แม้แต่คนใหญ่คนโตในตระกูล หู ยังให้ความเคารพ นอกจากนี้
หูหย่งก็ยังคงเป็นศิษย์ของสถาบันวิญญาณฟ้า และเขาก็ต้องอยู่
ภายใต้กฏของสถาบัน
“นายน้อยหู ข้าเกรงว่าภายในสถาบันวิญญาณฟ้าแห่งนี้
ท่านไม่สามารถที่จะทาอะไรตามใจของท่านได้ ทั้งสามคนนีล้ ้วน
เป็นคนรุ่นใหม่ทมี่ ีความสามารถยิ่งนักของสถาบันวิญญาณฟ้า
ไม่มผี ู้ใดที่ได้รับอนุญาตให้จดั การพวกเขาได้ ถ้าหากว่าเขานั้น
ทาผิด ทางสถาบันจะเป็นผู้ที่พิจรณาโทษของพวกเขาเอง ”
หวงอวี้มองหน้าหูหย่ง ในขณะที่เขาพูดด้วยน้าเสียงที่
จริงจัง “นายน้อยหู ท่านเองก็ยังคงเป็นศิษย์ของสถาบัน
วิญญาณฟ้า ไม่ว่าในตอนนี้หรือในอนาคต คนที่กล้าทาผิดกฏ
ของสถาบันวิญญาณฟ้า ไม่วา่ จะตัง้ ใจหรือไม่ มีโทษเพียงสถาน
เดียวคือ ไล่ออก!”
“พวกเจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้า
ไว้แน่ โดยเฉพาะเมื่อพวกเจ้าบรรลุขอบเขตชะตาสวรรค์แล้ว
อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ก้าวขาออกจากสถาบันวิญญาณฟ้า
ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะตายทุกครั้งทีก่ ้าวขาออกไป!” หูหย่ง
ตะโกนด้วยความโกรธ จากนั้นก็หนั หลังพาลูกน้องที่มีระดับ
ชะตาสวรรค์ทั้งเก้าคนกลับไป “ไปกันได้แล้ว!”
ลูกน้องของ หูหย่ง มองมาทางเนี่ยลี่และพวก หนึ่งในนั้นแสดง
ความโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เดินตามนายน้อยของ
เขาไป
ความหมายของหูหย่งคือเมื่อเนี่ยลีแ่ ละพวก ก้าวไปถึงขอบเขต
ชะตาสวรรค์ และมุ่งหน้าออกไปทาการสารวจด้านนอก ในตอน
เองที่เขาตั้งใจจะจัดการพวกเขาทัง้ สามคน แต่เมื่อถึงตอนนั้น
เนี่ยลี่ คงจะวางชะตาวิญญาณดวงแรกของเขาเอาไว้ที่ห้องโถง
วิญญาณเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้คดิ เลยว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง
พวกเขา(เนี่ยลี่)ก็ไม่มสี ิ่งใดที่ต้องกลัวอีกต่อไป
สิ่งที่ดีที่สุดที่หหู ย่งทาได้คือ การขัดขวางการบ่มเพาะพลังได้
เพียงแค่เล็กน้อย โดยการที่ขัดขวางมิให้เนี่ยลี่ ทะลวงผ่าน
ขอบเขตชะตาสวรรค์ได้ เรียกได้วา่ แม้แต่ในตอนนี้ หูหย่งก็ยัง
ประเมินตัวเองสูงเกินไป
หูหย่งและลูกน้องของเขา หันกลับมาเพื่อข่มขวัญอีกครั้ง แต่
ด้วยระยะห่างของเขาในตอนนี้มมี ากเกินไป หูหย่งเองก็รู้สึก
ท้อแท้เป็นอย่างมาก หลงยู่อิน ถูกรังแก เมื่อเขาจะทาการล้าง
แค้นให้กับนาง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกเอาขี้เถ้ามาป้ายจมูก
(สานวน หมายถึง ถูกทาให้ขายหน้า)
แต่เป็นเพราะสองผู้อาวุโสของสถาบันวิญญาณฟ้าออก
หน้า พวกเขาเลยต้องออกจากที่นั่นมาด้วยความเศร้าใจ
หนานเหมียนเทียนไห่ พ่นลมหายใจพร้อมกับพูดว่า
“นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทาของพวกเจ้า!”
ผู้อาวุโสทั้งสองหันกลับกลับและเดินจากไป
เนี่ยลี่มองดูพวกเขา จากไป ก่อนทีจ่ ะหันกลับมายิ้มเล็กน้อย
ให้กับเซี่ยวหยู่และ ลูเ่ พียว พร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ ธุระ
ของพวกเราเสร็จสิ้นแล้ว พวกเรามุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบ
แห่งที่สองกัน เมื่อมีผู้อาวุโสเฝ้ามองอยู่ ก็ไม่มีใครที่จะกล้ามา
แตะต้องเราในสนามทดสอบอีก ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วผู้อาวุโสทั้ง
สองจะผิดคาพูดได้”
เมื่อเนี่ยลี่และพวกของเขากาลังจะออกไป มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดิน
เข้ามาหาพวกเขา
เนี่ยลี่หรี่ตามอง คลื่นมักจะมาหลังจากที่ลมฟ้ากาลังสงบ ดู
เหมือนว่าพวกเขาจะหาความสงบไม่ได้เลย
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังตะโกนออกมาด้วยความภูมิใจว่า “นาย
น้อยของพวกเรา เป็นผูส้ ืบทอดลาดับที่หนึ่ง ที่อยู่บนเส้นทาง
ความสาเร็จของ ของตระกูลกู้”
กู้เฮงโบกมือของเขาส่งสัญญาณให้พวกลูกน้องของเขาเงียบเขา
ยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดว่า “จุดประสงค์ในการมาของของข้า
ก็คือ ต้องการทาความรู้จักกับอัจฉริยะเช่นเจ้า”
ลู่เพียว ตบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา
ว่า “ทาความรู้จักงั้นเหรอ? ข้ายินดีเป็นสหายของเจ้า ตอนนี้
พวกเราก็เป็นสหายกันแล้วนะ!”
เนี่ยลี่พยายามรักษาระยะห่างของเขากับกู้เฮง พร้อมกับพูดด้วย
ความเบื่อหน่ายว่า “พวกเรานั้นเพิง่ จะเป็นสหายกัน และทุกคน
ต่างก็ชื่นชอบ นายน้อยกู้ เพียงแต่ว่าพวกเรานั้นล้วนรักอิสระ
การเข้าร่วมกับตระกูลกู้นั้น เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะกับเรา
เท่าใดนัก”
เมื่อเนี่ยลี่พูดเช่นนั้น ดวงตาของกู้เฮงก็เป็นประกายด้วยความ
เย็นชา เขายิ้มแล้วก็พูดว่า “ด้วยความสามารถขนาดเจ้า เจ้าจะ
สามารถบรรลุระดับชะตาสวรรค์ ภายในเวลาแค่ครึ่งเดือน ถ้า
หากว่าเจ้ามีทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ ลอง
พิจารณาข้อเสนอนี้ให้ดี ประตูของตระกูลกู้พร้อมเปิดรับเจ้าอยู่
เสมอ! ”
จากน้าเสียงของเขาดูแล้วเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง
เป็นอย่างมาก เขาพยายามที่จะชักชวนเรา แต่ก็ยังคงวางตัวให้
เหนือกว่า เขาช่างแตกต่างจากกู้เบ่ยยิ่งนัก ความสัมพันธ์ของ
เขากับกู้เบ่ยเป็นเช่นใดกันนะ?”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขาหรอก” เนี่ยลี่ยิ้มเล็กน้อยและ
พูดต่อไปว่า “เขาเป็นพวกที่ถือว่าตนเป็นใหญ่ พยายามชักชวน
ให้เราไปซุกอยู่ใต้ปีกของเขา แถมยังไม่รตู้ ัวเองเสียด้วยซ้าว่ามี
ความสามารถแค่ไหน
เขาอาจจะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลกู้ก็จริง แต่
จริง ๆ แล้วเขาก็มิได้มีอานาจอะไรเลยในตระกูลกู้ แต่เขากลับ
คิดว่าตัวเองครอบครองตระกูลกูเ้ รียบร้อยแล้ว
!”
เซี่ยวหยู่ที่ยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่แรก
หลังจากที่ครุ่นคิดดีแล้ว สุดท้ายเขาก็พูดกับเนี่ยลี่ว่า “เนี่ยลี่
เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ตอนนี้เจ้าได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่ง
จนมีรายชื่ออยู่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง พวกตระกูล
ใหญ่ ๆ ย่อมต้องจับตามองเจ้าเป็นแน่ ”
“ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย เราควรจะหาคนที่ปล่อยข่าวว่า
พวกเราจะพิจารณาเข้าร่วมกับตระกูล หลังจากทีผ่ ่านการฝึกใน
สถาบันวิญญาณฟ้าแล้ว!” เนี่ยลี่พูดต่ออีกว่า
“จะเป็นการดีถ้าหากเราหาทางประวิงเวลาเอาไว้ก่อนเราจะคุย
เรื่องนี้ในภายหลัง หลังจากที่การฝึกเสร็จสิ้นแล้วก่อนหน้าที่การ
ฝึกของพวกเราจะเสร็จสิ้น ตระกูลต่าง ๆ ก็จะไม่มาวุ่นวายกับ
เราจนเกินพอดี เพราะจะเป็นการเสี่ยงที่จะผลักดันให้เราไปเข้า
กับตระกูลอื่น”
การต่อสู้ชิงอานาจของตระกูลต่าง ๆ ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มี
ความรุนแรงมากเกินไป ดังนั้นกู้เฮงจึงไม่กล้าที่จะทาอะไรมาก
เกินไป เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มขุมกาลังให้กับตระกูล
อื่นๆ
ดวงตาของกู้เฮงนั้นเป็นประกายด้วยความเย็นชา “นับตั้งแต่ที่
เจ้าแข็งขืนไม่ยอมสวามิภักดิต์ ่อข้า เจ้าก็คงทาได้เพียงแค่ฝันที่
จะ บรรลุจนถึงระดับ ดาราสวรรค์ ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของ
เจ้า”
ในอาณาจักรซากมังกรนี้ การบ่มเพาะพลังเป็นเรื่องที่ลาบากยิ่ง
นัก อย่างแรกต้องออกไปทาการฝึกฝน และรับศิลาจิตวิญญาณ
ของตนเอง สถาบันวิญญาณฟ้านั้นไม่สามารถที่จะมอบ
ทรัพยากรที่เพียงพอในการบ่มเพาะพลัง แต่การที่จะไปใน
สถานที่ต่าง ๆใน อาณาจักรซากมังกรแล้ว หมายถึงการไปยัง
สถานที่อันตรายและมีการตายเกิดขึ้นได้เสมอ
ทุกครั้งที่ตายไป พวกเขาต้องใช้ระดับในการบ่มเพาะพลังเป็น
สิ่งแลกเปลี่ยน ดังนั้นการที่จะพยายามเลื่อนระดับให้สูงขึ้น โดย
ปราศจากการช่วยเหลือของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
เมื่อพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์แล้ว และได้รับ
ทรัพยากรในการบ่มเพาะพลังอย่างเพียงพอ พวกเขาก็จะเพิ่ม
ระดับการบ่มเพาะให้รวดเร็ว แต่ถึงอย่างไรทุกๆระดับที่
เพิ่มขึ้น
ก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากมีผู้เยี่ยมยุทธจานวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการทรัพยากรที่
ใช้ในการบ่มเพาะพลัง ที่มีอยู่อย่างจากัด ในหมู่พวกเขาแล้วมี
การตายเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
พอมองแล้วก็เต็มไปด้วยความลึกลับ แสงเรืองรองเป็นประกาย
หลายชั้นวนรอบๆกระท่อมฟางแห่งนี้
หญิงสาวคนนี้ก็คือ อิงเยว่ลู่
ดวงตาทั้งสองข้างของนางปิดอยู่และกาลังขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่า
นางกาลังจมดิ่งอยู่ในความคิดอะไรบางอย่าง
“หนังสือจิตอสูรท่องเวลาช่างเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก
สามารถย้อนกลับไปได้ทั้งเวลาและสถานที่แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่
อาจที่จะท้าทายสวรรค์และเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้เมื่อ
หันกลับไปมองแล้วเจ้าก็จะไม่เหลืออะไรเลย เมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่
ระดับ แก่นแท้แห่งสวรรค์ จักรพรรดิปราชญ์ก็จะค่อยๆสัมผัส
ถึงการคงอยู่ของเจ้า สิ่งที่ข้าทาได้ในตอนนี้ คือเปลี่ยนแปลง
ชะตาชีวิตของเจ้า
เมื่อจักรพรรดิปราชญ์ได้ทานายชะตาชีวิตของเขาใน
ช่วงเวลานี้ คนที่มันจะหาพบก็คือข้าไม่ใช่เจ้า อาจารย์ของเจ้า
ช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นไปได้เจ้าก็จงอย่าได้ท้าทายสวรรค์
และเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ทุกอย่างมันก็แล้วแต่ตัว
เจ้า”
อิงเยว่ลู่ จ้องมองไปยังพื้นที่ที่ห่างไกล
“แม่ของข้าเป็นเพียงมนุษย์ แต่สายเลือดเทพอสูรยังคง
ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้าชีวิตของข้านั้นถูกลิขิตมามาก
จนเกินไปแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชวี ิตอยู่ต่อไป พร้อมกับคาสั่ง
สอนและความคาดหวังของข้า”
ราวกับว่านางเป็นเทพธิดาทีล่ งมาโปรดในดินแดนของมนุษย์ ไม่
มีแม้แต่เศษฝุ่นที่ทาให้นางแปดเปือ้ น สายตาที่อ่อนโยนของนาง
นั้นแจ่มชัดดุจดั่งกับสายน้า
นางเป็นผู้หญิงที่เยือกเย็นและสงบราวกับดวงจันทร์
นับตั้งแต่ที่นางเกิด นางรับรู้ได้ถึงโชคชะตา นางต้องคอย
ทานายให้กับผู้คนจานวนมาก จากมุมมองของนางนั้น ชีวิตและ
ความตายนั้นเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้ใส่ใจในการ
ดูแลชีวิตของนางเอง และความตายสาหรับนางนั้นก็ไม่ได้มี
ความสาคัญเลยแม้แต่น้อย นางยังคงทาการคานวนชะตากรรม
ให้กับเนี่ยลีต่ ่อ และนางเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในลานฝึกของอาจารย์ชิหลิง
นักเรียนส่วนใหญ่มานั่งรออยู่แล้ว และรอให้อาจารย์ชิหลิงมาถึง
เนี่ยลี่และลู่เพียว เดินเข้าไปในห้องฝึกและนั่งอยู่ในที่ของตัวเอง
ในตอนนี้นักเรียนเกือบทุกคนให้ความสนใจกับเนีย่ ลี่และลู่เพียว
หลงยู่อินนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยเครื่องแต่งกายที่กระชับพอดีตัว
นางเป็นผู้หญิงที่งดงามทีส่ ุดในชั้นเรียน เพราะรูปร่างที่น่า
ประทับใจ รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ไร้มลทินของนาง ข้อเสียเพียง
อย่างเดียวของนางในตอนนี้ คือการแสดงออกที่น่ากลัวใน
ขณะที่นางกามือบนหัวเข่าจนแน่น
มีวิธีไหนกันที่นางจะได้ไม่ต้องได้ยนิ เสียงนินทาเหล่านี้?
แต่บนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แสดงให้เห็นชัดเจนถึง
ความพ่ายแพ้ของนาง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในใจของนางก็ยังคง
มีทิฐิอยู่มาก
หลงยู่อินจ้องมองเนี่ยลี่ ตาของนางเป็นประกายเผยให้เห็นถึง
จิตวิญญาณในการต่อสู้ ‘นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ศิลาอันดับจิต
วิญญาณแห่งแสง มันไม่อาจพิสจู น์ได้ว่าความสามารถของเจ้า
นั้นเหนือกว่าข้า ข้าจะต้องหาทางที่จะชนะเจ้าด้วยหนทาง
อื่น’ แน่นอนว่านางจะไม่ยอมพ่ายแพ้ใครก็ตามที่อายุพอๆ กับ
ตัวเอง
นับตั้งแต่ที่นางเป็นเด็ก นางก็ได้แสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยม
ในตอนนี้ นางเป็นคนที่เจ็ดที่ประสบความสาเร็จของตระกูล
ผนึกมังกร นั่นเป็นความทรงเกียรติของนาง แต่แค่นั้นมันยังคง
ไม่พอ นางต้องการที่จะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
กู้เบ่ยชื่นเชยเนี้ยหลี่และยกนิ้วให้พร้อมกระซิบข้างหูว่า “สุด
ยอด เนี้ยหลี!่ ฮาๆ! เมื่อคิดว่าเจ้าสามารถก้าวข้าม หลงยู่อินได้!
ตลอดเวลาทีผ่ ่านมาข้าต้องการที่จะเหนือกว่านาง แต่ทว่าสิ่งนั้น
แทบเป็นไม่ได้เลยตั้งแต่นางมีพลังแข็งแกร่ง แต่ทว่าเหมือนว่า
เจ้าจะมีพลังเหนือยิ่งกว่านั้นมาก”
“นั่นเป็นเพียงการแข่งขันบนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่ง
แสง เนี้ยหลี่พยักหน้าและมองกู้เบ่ยและพูดอย่างมี นัยยะว่า
“เจ้าก็สามารถทาได้มิใช่หรือ?”
“การแข่งขันศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง ไม่ได้เคร่งอะไร
มากนัก” เนี้ยหลีม่ ิได้กังวลเรื่องราวที่เกิดมากนัก ภายในใจเขา
หลงยู่อินเป็นเพียงผู้คนที่เขาก้าวผ่านเท่านั้น ศัตรูแท้จริงของ
เขาคือ จักรพรรดิปราชญ์
“ข้ามิได้สนใจนาง”, เนี้ยหลี่พูด
กู้เบ่ยรูส้ ึกมึนงงชั่วขณะ และแอบดูง่ามขาเนี้ยหลี่ “เจ้าไม่ได้มี
ปัญหาพวกนั้นใช่หรือไม่?” นางนั้นสวยอย่างเลอค่า แต่เจ้าไม่ริ
จะสนใจ?”
เนี้ยหลี่ใบ้ไปชั่วขณะ เมื่อเขานึกถึงเอียจือหวินและเซี่ยวหนิง
เอ๋อ: ถ้าเขาจะมีภรรยาอย่างน้อยก็ต้องมีหลักเกณฑ์ขั้นต่าเป็น
เอียจือหวินหรือเซี่ยวหนิงเอ๋อ สตรีอย่างหลงยู่อิน เนี้ยหลี่ไม่คิด
จะสนใจ
เนี้ยหลี่พบว่าการวาทะครั้งคงมิสิ้นสุดเป็นแน่ถ้าเขาปล่อยบท
สนทนาดาเนินไป ดังนั้นเขาจึงเปลีย่ นหัวบทสนทนา “มีคนจาก
ตระกูลกู้ นาม กู้เฮง มาสอดแนมพวกข้า”
หลังจากคาพูดของเนี้ยหลี่ กู้เบ่ยเปลี่ยนสีหน้าอย่างทันทีและคิด
เกี่ยวกับที่เนี้ยหลี่พูด “เนี้ยหลี่ไม่วา่ เจ้ากับหลู่เพียวจะตัดสินใด
อันใด เจ้ายังคงเป็นมิตรแห่งข้า กู้เฮงมิใช่คนดี จะเป็นการดี
ที่สุดถ้าเจ้าออกห่างจากเขา แม้ว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้อยูภ่ ายใต้
บัญชาของเขา ข้าคิดว่าเจ้ายังคงเป็นคนที่ข้ารู้จักเช่นเดิม”
“ข้าปฏิเสธเขา” เนี้ยหลี่พูดอย่างสงบ “ไม่เพียงแต่เขา พวกเรา
ปฏิเสธทุกราย”
กู้เบ่ยเชิดหน้าขึ้นและมองเนี้ยหลีด่ ว้ ยความประหลาดใจ ใน
เวลาต่อมาเพียงไม่นานนัก เขาจึงตื่นตัวและตอบกลับไปว่า “ กู้
เฮงใจแคบนัก ตั้งแต่พวกเจ้าปฏิเสธเขา เจ้าจักต้องระวังกลยุทธ์
ของเขาอย่างยิ่ง!”
กู้เบ่ยคิดติตรองการแสดงออกของเนี้ยหลีเ่ มื่อครู่ก่อนจะพูดว่า
“เนี้ยหลี่ สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง แต่นเี้ ป็น
ต้นไป หากเจ้าต้องการสิ่งใดเพียงบอกแก่ข้า ข้าจักไม่เกี่ยงงอน
อย่างแน่นอน!”
เนี้ยหลีโ่ บกมือ “พวกเราค่อยพูดเรือ่ งนี้ภายหลัง!”
อาจารย์ชิหลิง ก้าวเข้าไปในสนามกวาดสายตาไปยังศิษย์
บทเรียนสาหรับวันนี้ พวกเราจะพูดเกี่ยวกับการเพิ่มพลังวิทยา
ยุทธทางกายภาพ การจะพัฒนาจิตอันทรงพลังควรจะมีพลัง
กายอันแกร่ง หลังจากนั้นจึงบรรจุจิตวิญญาณอันทรงพลังได้
อย่างไรก็ตามการจะเพิ่มขีดความสามารถของกายไม่ใช่ปัญหาที่
ธรรมดา!” อาจารย์ชิหลิงกล่าวต่อ “ ตอนนี้ ข้าจะสอนพวกเจ้า
ว่าเพิ่มพลังให้แก่ร่างกายอย่างไร”
หลังจากพูดเสร็จ อาจารย์ชิหลิงก็เรียกสนับแขนออกมาจาก
แหวนมิติของเขา “นี่คือของสนับแขน หนักอย่างถ่องแท้ ตาม
ชื่อของมัน มันถูกเติมลงไปด้วยน้าหนักที่ล้นเหลือสนับแขนถูก
แบ่งเป็น 5 แบบ: 250,500,750,1000 และ1250 kg.
(กิโลกรัม) พวกเจ้าแต่ละคนสามารถเลือกมาคู่หนึ่งเพื่อสวมใส่
ซะ!”
เมื่ออาจารย์ชิหลิงกล่าวเสร็จสิ้น นักเรียนหลายคนก็เดินตรงไป
ด้านหน้าเพื่อนาสนับแขน 500 kg.ทันทีทันใดนั้นหน้าของพวก
เขาก็แดงและพวกเขาก็เปลีย่ นคู่สนับแขนเพื่อให้เหมาะสมกับ
มือพวกเขา สนับแขนข้างหนึ่งน้าหนัก 500 kg. ;คู่หนึ่งจึงเป็น
1000 kg.นักเรียนเหล่านีไ้ ม่สามารถทนน้าหนักอันมากมาย
เหล่านีไ้ ด้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกสนับแขนที่มี
น้าหนัก 250 kg. พอ
ในตอนแรก ผู้เรียนเดินไปมิหวังที่จะนาสนับแขนที่เบาสุดมา
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาจึงตระหนักว่าด้วยพลังกายภาพพวก
เขานั้นอ่อนด้อยเกินไป หลังจากนัน้ พวกเขาจึงหยิบอันที่เบา
ที่สุด มีเพียงไม่กี่คนนักที่สามารถยกสนับแขน 500 kg.
หลงยู่อินเดินเข้าไปในกองสนับแขน แทบทุกคนต่างจับจ้องไป
ที่นางด้วยความสนใจ ทุกคนรู้ว่าหล่อนมีเชื้อสายเลือดมังกร
ดังนั้นต้องมีวิทยายุทธทางกายภาพอันทรงพลังเป็นแน่ อย่างไร
ก็ตามนั้น ไม่มีใครทราบได้เลยว่านางนั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด
นางเคยชินกับสนับแขนมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงเป็น
เรื่องง่ายนักที่จะหาคูส่ นับแขนที่เหมาะสมกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น
ถึงแม้ว่านางจะสวมสนับแขน 750 kg. บางคนก็ยังคงพูดว่านาง
ได้ออมพลังบางส่วนของนางไว้ เมือ่ นางฝึกพลังพร้อมด้วย
ทรัพยากรของตระกูลของนาง นางนั้นฝึกฝนด้วยสนับแขน
1000 kg.
พลังด้านกายภาพของหล่อนนั้นเป็นเกียรติภาคภูมิของหล่อน
ยิ่งนัก
จินหยานเดินไปแล้วเลือกสนับแขน 500 kg. เขามองหลงยู่อิน
อย่างกดดัน เพียงสวมสนับแขน 500 kg.ก็ตึงมากแล้ว ลืม
น้าหนัก 750 kg. ไปได้เลย เขาตามหลังหลงยู่อิน 1 ขั้นเสมอ
“ตาพวกเราแล้ว!” หลู่เพียวพูดและเดินไปหยิบยกสนับแขน
500 กิโลกรัมและยกขึ้นมาบนมือ ถึงแม้ว่ามันจะยากเกินไป
สาหรับเขาไปหน่อย เขาก็ยังสามารถสวมใส่ด้วยใบหน้าที่แดง
ก่า
“หลังจากพวกเจ้าฝึกปราศจากโดยพลังวิเศษ พวกเจ้าจะรู้ถึง
ความอ่อนแอของร่างกาย!” อาจารย์ชิหลิงสาดสายตาไปรอบ
ด้านขณะยิ้ม “พวกเจ้าจะต้องฝึกฝนในห้องฝึกพลังขณะนั้นข้า
จักชี้ทางในการเพิ่มพลังกายให้พวกเจ้าด้วย!”
กู้เบ่ย ,หลู่เพียวและเนี้ยหลี่เริ่มตารางการฝึกฝนซึ่งรวมถึงการ
ออกกาลัง , ตีลังกาและอื่นๆมากมาย ถึงแม้ท่าทางพวกเขาจะดู
พื้นเพธรรมดามาก การทดสอบก็ยงิ่ เพิ่มการไต่ระดับความยาก
เมื่อห้ามใช้พลังและพึ่งพลังกาย ไม่มีใครสามารถทามันโดยง่าย
เพียงไม่กี่นาที กายพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มหลั่งเหงื่อ
อาจารย์ชิหลิงกล่าวขณะเดินไปรอบๆว่า “เมื่อเจ้าฝึกกาย
ปราณหายใจนั้นสาคัญทีส่ ุด หายใจเข้าให้มากและผ่อนลม
หายใจออกอย่างแผ่วเบา ความแข็งแรงถึกทานของร่างกายนั้น
เป็นสิ่งเชื่อมโยงถึงพลังวิเศษได้ ดังนั้นเมื่อกายได้รับการหล่อ
เลี้ยงโดยพลังวิเศษ จะทาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”
เนี้ยหลี่อยู่ในท่าวิดพื้นนิ้วเดียวเหมือนพระที่เข้าฌานสมาธิ เขา
ไม่ริที่จะเคลื่อนไหวโดยเปล่าประโยชน์แต่อย่างใด
ใช้หัวใจกลั่นลมหายใจ ใช้ลมหายใจขัดเกลาร่างกาย
ขณะที่กล้ามเนื้อสั่นเทา เนี้ยหลีส่ ัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่
มากกว่าเดิม การฝึกพลังเคล็ดวิชา[เทพวิถีฟ้า]ในการขัดเกลา
กายให้ผลได้อย่างรวดเร็ว
อาจารย์ชิหลิงหยุดขณะเดินผ่านเนี้ยหลี่ เขาสัมผัสได้ว่าเนี้ยหลี่
ใช้วิธีของเขาเพียงเท่านั้นในการฝึกกาย เป็นวิธีที่ไร้ซึ่งใครรู้
แม้แต่เขาซึ่งสัมผัสได้ว่ารัศมีบรรยากาศรอบกายเนีย้ หลี่นนั่ เบา
บางอย่างมากจนเกือบจะไม่สามารถตรวจสอบได้เลย
อาจารย์ชิหลิงนั้นรู้สึกประหลาดใจยิ่ง เป็นเคล็ดวิชาแบบใดใน
การขัดเกลาพลังกายกัน? อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ถาม ทุกคนมี
เคล็ดวิชาเป็นของตน ดังนั้นพวกเขาเท่านั้นจึงจะเข้าใจอัน
ลึกซึ้งเกี่ยวกับการฝึกพลังโดยเฉพาะของพวกเขาเอง ในการ
เป็นอาจารย์ได้เพียงแต่นั่งอยู่ด้านข้าง ให้ทางลัดและไม่
แทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้น ในการไต่ถามเคล็ดวิชาจากศิษย์นั้นผิด
จรรยาอาจารย์อย่างยิ่ง
บทที่ 288 เข้าปะทะ
อารจารย์ชิหลิงไม่ทราบว่าการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่เป็น
เช่นไร แต่สามารถสัมผัสได้ถึงการกลั่นพลังอันลึกซึ่งยิ่ง ที่จริง
แล้วอัจฉริยะนั้นโดดเด่นออกมาจากหมู่คณะ อาจารย์ชิหลิงได้
ระลึกขึ้นว่าไม่มีความจาเป็นที่จะสอนหนังสือสังฆราชแต่อย่าง
ใด ดังนั้นเขาจึงเฝ้าสังเกตการณ์ก่อนที่จะเดินการต่อไป
ในขณะที่หลงยู่อินฝึกพลังกายของนาง เธอได้เหลือบมองเนี่ยห
ลี่ การฝึกฝนของเนี่ยหลี่นั้นต่างจากคนรู้จักของนางในอดีตซึ่ง
กระตุม้ ความสนใจของนาง ใจนางระเบิดไปด้วยจิตทีม่ ุ่งมั่นจะ
ต่อสู้ ไม่วา่ อย่างไรก็ตาม นางจึงต้องลืมความละอายก่อนหน้านี้
ไป
นางเพียงต้องการที่จะบอกเนี่ยหลี่ ถึงแม้ว่าเขาจะก้าวผ่านนาง
ไปได้ในศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ
นางในเรื่องพละกาลัง นางต้องการที่จะคืนความน่าละอายนั้น
กลับไปให้เขา อาการบาดเจ็บบนร่างนางนั้นยังปวดอยู่บ้าง แต่
มันไม่ได้เป็นปัญหาสาหรับนางนัก มันเป็นความเสื่อมเสียที่สุด
ภายในจิตใจของนางซึ่งไม่สามารถทนได้ นางต้องการเอาคืน
เนี้ยหลีเ่ ป็น 3 เท่า!
อย่างไรก็ตามพวกเจ้าต้องรักษาเกียรติยศและความอดทน จา
ไว้ว่าภายในอาณาจักรซากมังกร จักมีผู้มีพลังเหนือกว่าพวกเจ้า
เจ้าอาจจะเป็นระดับสุดยอดภายในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม มีเหล่าอัจฉริยะมากมายนิกายอื่นในอาณาจักร
ซากมังกร กาลังฝึกฝนต่อเนื่องในขณะที่พวกเจ้าพัก เป้าหมาย
ของพวกเจ้าคือก้าวข้ามพวกเขา!”
อาจารย์ชิหลิงมองกลุ่มศิษย์และกล่าว “ในตอนนี้เจ้าจักต้อง
รู้จักพละกาลังของเจ้าเอง พวกเราจะเริม่ ซ้อมการประลอง พวก
เจ้าแต่ละคนจักต้องหาคู่หูซ้อม จักดีที่สุดถ้าเลือกคู่หูที่มีพลัง
เทียบเท่าพวกเจ้าเอง”
เนี่ยหลี่อยู่ในลาดับ 3 ของศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงและ
โค่นหลงยู่อินอยูภ่ ายใต้เขา ความสามารถระดับนี้เป็นที่
ประหลาดใจทีส่ ุด ในการกลายเป็นเค้กแสนหวานของเหล่าสตรี
อย่างไรก็ตาม สตรีนางอื่นไม่กล้าทีจ่ ะเข้าหาเนี่ยหลี่ เว้นเสียแต่
นาง นางมาจากตระกูลมั่นคั่ง ยิ่งเสียไปกว่านั้น นางมีรูปร่างที่
สวยงาม ภายในชั้นเรียน นางเพียงแต่เป็นรองนางยู่อิน
สตรีงามซึ่งขอร้องเป็นคู่ซ้อมกับเขา ซึ่งเป็นการเชื้อเชิญที่ทรง
เสน่ห์หา ลู่เพียวมองบนและขยิบตาให้เนี่ยหลี่ ทาไมตัวข้าลู่
เพียวไม่สบโอกาสอันดีงามเช่นนี้
โดยทั่วไปแล้ว เขาไม่ได้ยอมจานนต่อรูปร่างหน้าตาของนาง
เขาเข้าใจว่าหลง อินอินนั้นเป็นสตรีชั่วร้ายซ่อนเขี้ยวเล็บและขี้
ริษยา หลงยู่อินอาจจะหยาบคาย แต่อย่างน้อยนางก็
ตรงไปตรงมาและตอบโต้ได้ง่ายดาย
หลงยู่อินถอนหายใจรุนแรงขณะมองเหอ อินอินอย่างช่วยไม่ได้
เหอ อินอินรู้สึกผิดหวังที่เนี่ยหลี่เย็นชากับเธอนัก นางมองหลงยู่
อินอย่างขุ่นเคืองชั่วขณะก่อนจากไป
สตรีได้สนทนาวาทะกันด้วยเสียงนุม่ นวล “เกิดอะไรขึ้นกับหลง
ยู่อิน?เมื่อคิดว่านางจับคู่ซ้อมกับเนีย่ หลี่แล้ว!นางอาจจะสนใจ
เขา!”
“พูดอะไรกันน่ะ?เจ้าไม่รู้เหตุการณ์ไม่กี่วันที่ผ่านมาหรอกหรือ?
เนี่ยหลีล่ ้มหลงยู่อินอย่างไร้เมตตาและดูถูกไว้ภายใต้เบื้องล่าง
และเฆี่ยนนาง 3 ครั้ง นางจะทนได้อย่างไรด้วยบุคลิกท่าทางอัน
ภาคภูมิของนาง? นางเพียงต้องการแก้แค้นพี่เนี่ยหลี!่ ”
อาจารย์ชิหลิงยิม้ อย่างขมขื่นขณะมองหลงยู่อินและเนี่ยหลี่
เนี้ยหลี่นั้นมีความสามารถที่อัจฉริยะมากเมื่อเทียบกับมนุษย์
ทั่วไป โดยอิงจากการสังเกต ความสามารถของเนี่ยหลี่นั้น
เหนือกว่าหลงยู่อินมาก
สาหรับหลงยู่อินแล้ว เด็กนั่นเกิดมาอย่างโดนเด่นและมี
ความสามารถที่น่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม บุคลิกของหล่อน
นั้นแข็งกร้าวเกินไปเล็กน้อยและไม่ยอมให้ใครหน้าไหนก้าวข้าม
นาง ตอนนี้นางพบกับเนี่ยหลี่ 2 คนนี้ต้องปะทะกันเป็นแน่ ไม่
ว่าผลจะออกมาคือเนี่ยหลี่จะสามารถปราบหลงยู่อินหรือนาง
ล้มเนี่ยหลี่ นางคงไม่หยุดแต่เพียงนี้เป็นแน่
“ในการซ้อมประลองต่อไป อนุญาตให้พวกเจ้าใช้เพียงพลังกาย
เพียงเท่านั้น พลังวิเศษนั้นห้ามโดยเด็ดขาด!” อาจารย์ชิหลิง
กล่าวต่อ “พละกาลังเป็นรากฐานของทุกสิ่งอย่าง ในการ
ประลอง พวกเจ้าจะต้องตั้งมั่นแน่วแน่ในการเคลื่อนไหวภายใน
ขอบเขตของพวกเจ้า”
ความสนใจการประลองนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆระหว่างพวกเขาทั้ง
สอง
อาจารย์ชิหลิงครุ่นคริดชั่วขณะ เขาได้กังวลเกี่ยวกับการ
ประลองของเนี่ยหลี่กับหลงยู่อิน การประลองของพวกเขา
จะต้องเหนือการควบคุมและส่งผลเสียหายต่อห้องการบ่มพลัง
เขากล่าวขึ้นว่า “เจ้าถูกจากัดเขตแดน 3 เมตรโดยสิ่งกีดขวางที่
ข้าวางไว้นี้เป็นตัวกาหนด ขณะฝึกฝน พวกเจ้าสามารถ
เคลื่อนไหวภายในบริเวณนี้เท่านั้น!”
อาจารย์ชิหลิงเริ่มวางสิ่งกีดขวางที่กฎระเบียบวางไว้
จุดมุ่งหมายผุดประกายขึ้นมาจากหลงยู่อินขณะมองเนี่ยหลี่
“ความละอายที่เจ้าให้ข้า ข้าจะคืนทั้งหมดให้เจ้าหลายเท่า
ท้ายสุดข้าจะโค่นเจ้า!”
เนี่ยหลีต่ อบรับอย่างสงบ “ยินดีให้ลองทุกเมื่อ!” เขาจะกลัวหลง
ยู่อินได้อย่างไร?
ศิษย์คนอื่นได้เริ่มการประลองขณะที่หลงยู่อินยืนด้วยท่าปกติที่
เดิม นางเผยความรู้สึกที่จริงจังและร่างกายของนางโค้งเล็กน้อย
เหมือนพยัคฆ์สาวสะสมพลังและรอดูท่าทาง ร่างกายที่น่าพึง
พอใจภายใต้อาภรณ์นั้นเติมปริ่มไปด้วยพลัง ขาทั้งสองข้างของ
หล่อนตรึงแน่น
“ฮ่า!” หลงยู่อินคารามเบาและกระโดดขึ้นไปด้านบนทันที ขา
ซ้ายที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังแหวกลมขณะที่เพ่งจุดมุ่งหมายที่จะ
เตะไปยังหัวของเนี่ยหลี่
เมื่อหลงยู่อินแหว่งเท้าของหล่อน ซึ่งเป็นผลให้เกิดเสียงระเบิด
อันดังก้อง
เนี่ยหลีม่ องเท้าของหลงยู่อินที่หมายจะเตะหัวของเขาจึงยกแขน
ขึ้นป้องกันด้วยพละกาลังมหาศาล เนี่ยหลี่ถอยไปหลายก้าวและ
รู้สึกบาดเจ็บที่แขน
พละกาลังของหลงยู่อินนั้นน่าประหลาดใจอย่างยิ่งอย่างแท้จริง
ในขณะที่เท้าของนางกลับลงไปที่พื้น นางมีจุดหมายที่จะมอบ
ลูกเตะให้เนี่ยหลี่อีกหลายชุด
ถ้าเนี่ยหลี่ต่อสู้หลงยู่อินด้วยกาลังกาย เขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู่ของ
หล่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงการโจมตีของหลงยู่อินที่ต่อสู้เหมือน
ชีวิตนั้นแขวนบนเส้นด้าย นางนั้นพยายามข่มขูด่ ้วยระดับ
พละกาลังของหล่อน
ขาของนางนั้นยาวมากและสร้างอานุภาพการเตะเป็นวง
อย่างไรก็ตาม ไม่วา่ การโจมตีจะรุนแรงเพียงใด ถ้าเทียบด้วย
พละกาลังกายอย่างเดียว ก็ยังมีช่องโหว่ในการชนะ เนี่ยหลี่ล่า
ถอยและหลบการเตะกลางอากาศครั้งที่ 2 ของหลงยู่อิน ขา
ของหล่อนเฉียดผ่านหน้าของเนี่ยหลี่ไป
ในระหว่างที่พลาด หลงยู่อินบิดตัวกลางอากาศและกวาดลูก
เตะควงสว่านให้เนี่ยหลี่เป็นครั้งที่ 3
ขณะเตะทาให้หัวของเนี่ยหลี่เป็นรอย เขาหลบทันทีและสวน
กลับด้วยหมัดใส่ต้นขาด้านในของหลงยู่อิน...จบซะงั้น
บทที่ 289 การเผชิญหน้า!
หลงยู่อิน ตั้งใจเตะด้วยแรงทั้งหมดที่นางมีสามครั้ง
ต่อเนื่องกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเผยจุดอ่อนของนาง
ออกมาด้วยเช่นกัน
เมื่อคนเราเตะ จะมีการออกแรงตรงส่วนน่องและปลายเท้า
เนื่องจากมักจะฝึกซ้อมร่างกายในส่วนต่าง ๆ จึงเป็นการยากที่
จะโจมตีพวกเขากลับในส่วนนี้ได้ ดังนั้นโคนขาด้านในจึงเป็น
ส่วนที่เป็นจุดอ่อน
เนี่ยลี่เพียงแค่ชกเบาๆไปที่ต้นขาด้านในของนาง เพียงเท่านี้
ร่างกายของหลงยู่อินก็เกิดการเสียสมดุลและล้มลงใน
ที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การชกเบา ๆ แต่ก็ส่งผลกระทบ
กับร่างกายของนางโดยตรง
หลงยู่อินส่งเสียงร้องขณะที่นางล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับ
ใบหน้าที่ซีดขาว อาการปวดและชาตรงโคนขาด้านในของนาง
ทาให้นางไม่อาจที่จะลุกยืนได้ในทันที นางรู้สึกอับอายจากการ
จู่โจมของเนี่ยลี่ แต่นางก็แปลกใจเป็นอันมาก ด้วยความจริง
ที่ว่านางนั้นแข็งแกร่งกว่าเนี่ยลี่ และเหตุใดกันนางถึงได้บาดเจ็บ
หนักจากการต่อยด้วยหมัดเบา ๆ เพียงแค่นั้น
นางคือผู้มีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ หมัดของคนธรรมดาไม่
ควรที่จะสร้างความเสียหายต่อนางได้
แต่ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของเนี่ยลี่ ก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนางนั้นลุกโชนขึ้นมากขึ้น นางคือ
หลงยู่อิน นางไม่มีทางที่จะยอมแพ้เพียงเท่านี้ หลังจากที่นางล้ม
ลง นางได้ลุกยืนขึ้นอีกครั้ง และสบัดขาเตะแรงขึ้นกว่าเดิมไป
ยังเนี่ยลี่
เรื่องนี้มันน่าตกใจมากเกินไปแล้ว!
ลืมเรื่องการชนะหลงยู่อินบนศิลาอันดับจิตวิญญาณแห่งแสงไป
ได้เลย ผูห้ ญิงคนนี้เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพ
มากที่สุด แต่เนี่ยลี่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าในแง่อื่นๆ ความสามารถ
ของเขานั้นเรียกได้ว่าอยู่ในขอบเขตที่ท้าทายสวรรค์ได้ (ตารางที่
เคยแปะไว้ เกี่ยวกับการทดสอบรากวิญญาณ) เขายังจะ
มองเห็นใครเป็นคู่แข่งได้อีกหรือ?
หลงยู่อินโจมตีอย่างรวดเร็วและสร้างความกดดันอย่างหนัก
ให้แก่เนี่ยลี่ แต่ถึงอย่างไรนางเองก็เข้าถึงในเส้นทางแห่งการ
ต่อสู้ นางมีการจัดรูปแบบการต่อสูข้ องนางใหม่ ทาให้สามารถ
รับมือเนี่ยลี่ได้ดีขึ้นเล็กน้อย หลงยูอ่ ินยังคงจู่โจมอย่างต่อเนื่อง
และรวดเร็วยิ่งขึ้นจนมองแทบไม่ทนั
เนี่ยลี่หลี่ตาลงเล็กน้อย เขาถอยหลังออกมาโดยไม่ได้ทาอะไร
จนกระทั้งหลงยู่อินตั้งท่าที่จะเปลีย่ นการจู่โจม ทันใดนั้นเข้าก็
พุ่งไปทางด้านขวาแล้วจับขา(น่อง)ของหลงยู่อินไว้
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ
!” หลงยู่อินเอ่ยด้วยความอับอาย “ถ้าไม่เช่นนั้นอย่าได้มา
ตาหนิข้าที่ทาอะไรรุนแรงนะ!”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี!้ ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ให้เจ้ารอดกลับไป
แน่!” ขาของหลงยู่อิน ถูกยกสูงขึ้นจนแทบจะสัมผัสกับหน้าอก
ของนาง เป็นการบังคับให้นางกระโดดถอยหลัง ในใจของนาง
นั้นสั่นสะเทอนและเต็มไปด้วยความอับอาย ใบหน้าของนาง
ใบหน้าของนางดูซีดลงเล็กน้อยในขณะที่ทุกคนจ้องมองอยู่
หลงยู่อินพยายามที่จะโต้กลับแต่เนี่ยลี่นั้นเข้ามาใกล้นางมาก
เกินไป จนไม่อาจที่จะโจมตีกลับไปได้
ใบหน้าของหลงยู่อินดูซีดลงนางกัดริมฝีปากของตัวเอง หลังจาก
ที่ได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ นางพยายามที่จะดึงขาของนางกลับมา
อีกครั้ง แต่ไม่ไม่สาเร็จ
การต่อสู้กับหลงยู่อินไม่ได้ทาให้เนีย่ ลี่ใจอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
จากชีวิตก่อนหน้าของเขา ทาให้เขาตระหนักได้ว่าตัวตนที่
แท้จริงของนางเป็นเช่นใด เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เมื่อเนี่ยลี่
เดินออกมาจากด่านจิตวิญญาณแห่งแสง หลงยู่อินก็ได้ส่งคน
จากตระกูลของนางมาจัดการกับเขา
เนี่ยลี่ขยับหน้าของเขาไปใกล้ ๆหูของหลงยู่อินแล้วหัวเราะ
อย่างเย็นชา พร้อมกับพูดว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่ขยะที่ดแี ต่ใช้อิธิ
พลของตระกูลเจ้า ถ้าหากไม่มีตระกูลเจ้า เจ้าก็ไม่มีอะไรเลย
สายเลือดมังกรแล้วเป็นไง? มันคงจะเป็นเรื่องตลกไม่น้อย ถ้า
หากเจ้าคิดว่ามันสาคัญนัก ”
ดวงตาของหลงยู่อินมีประกายของหยดน้าตา เนี่ยลี่ทาให้
นางอับอายต่อหน้าคนจานวนมาก นางจ้องมองเขา นางไม่เคย
รู้สึกอัปยศเช่นนี้มาก่อน
*ตุบ!*
เนี่ยลี่ถูกฟาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง แม้ว่าคอของเขาจะยังถูก
หนีบอยู่ เขาทาการพลิกตัว ตรึงหลงยู่อินให้อยู่ใต้ตัวเขาจากนั้น
ก็ทาการจับคอของนางไว้
พวกเขาทั้งคู่ทาการจับล๊อคกันอยู่ในตาแหน่งที่แปลกประหลาด
หลงยู่อินใช้ขาในการรัดคอของเนีย่ ลี่ แต่ในขณะเดียวกัน นาง
ถูกตรึงลงกับพื้นจากฝีมือของเนี่ยลี่ ร่างกายของนางโค้งงอ และ
คอของนางถูกจับด้วยมือของเนี่ยลี่ ทุกคนมองดูแล้วรูส้ ึกราวกับ
ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่โง่เขลา [สานวนจีนหมายถึง ไม่มีฝา่ ย
ใดที่ได้ประโยชน์ เจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย]
เนี่ยลี่ขมึงตาพร้อมกับสาปแช่งอย่างเย็นชา “เจ้ามันเป็นผู้หญิง
บ้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี!้ ” เขารังเกียจหลงยู่อินที่ชอบมาวุ่นวายกับ
เขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องความแค้นในอดีตชาติ แต่
ตอนนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็มาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง เอา
แต่สร้างปัญหาให้กับเขาไม่จบสิ้น เนี่ยลี่จึงค่อนข้างที่จะโกรธ
มาก
เนี่ยลี่เอามือซ้ายของเขาตีไปที่ก้นของนางจนได้ยินเสียงดัง
ชัดเจน “ถ้าหากเจ้าไม่ยอมปล่อย อย่ามาหาว่าข้าหยาบคายห
ล่ะ!”
ในขณะที่เนี่ยลี่ปล่อยมือของเขา ทันใดนั้นหลงยู่อินก็เข้ามาต่อย
และ เตะที่หน้าอกของเขา เนี่ยลี่ไม่ทันที่จะป้องกัน ด้วยแรงเตะ
นั้นทาเขาลอยไปชนกับที่กั้นอย่างรุนแรง เนี่ยลี่ได้รู้สึกถึงรสชาด
เลือดในปาก เขาอาเจียนเลือดออกมา
“เจ้าสมควรที่จะได้รับมัน!” ดวงตาของหลงยู่อินเต็มไปด้วย
น้าตา นางต้องได้รับความอับอายด้วยน้ามือของเนี่ยลี่ ต่อหน้า
คนจานวนมาก นางเกลียดเขายิ่งนัก
พลังและเลือดได้โหมกระหน่าอยู่ในร่างกายของเนี่ยลี่ เมื่อเขา
เงยหน้ามองไปยังหลงยู่อิน เขาแสดงออกราวกับน้าแข็ง ดูไร้
อารมณ์อย่างสิ้นเชิง อันที่จริงเขาไม่ควรที่จะคิดว่าการจัดการ
กับหลงยู่อินเป็นเรื่องที่ง่าย อะไรทีค่ ิดว่าง่าย ผู้หญิงก็จะโต้กลบ
มาอย่างรุนแรง
หลงยู่อินกาหมัดทั้งสองข้างจนแน่น ทั้งตอนที่ด่านจิตวิญญาณ
แห่งแสง และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสองเหตุการณ์เป็นความ
อับอายที่สุดในชีวิตของนาง!
ถึงจะอย่างไร นางจะต้องได้รับการชดใช้จากเรื่องที่เกิดขึ้น
เนี่ยลี่จับที่หน้าอกของเขาพร้อมกับลุกขึ้น มีประกายที่เย็นยะ
เยือกในดวงตาของเขา ที่กั้นได้ถูกย้ายออกไปแล้ว เนี่ยลีเ่ ดิน
ผ่านหลงยู่อิน โดยที่ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเดินไปทางลู่
เพียวและกูเ้ บ่ย จากนีไ้ ปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะไม่คดิ ว่า
สามารถจัดการกับหลงยู่อินได้โดยง่ายอีก
หลงยู่อินเปิดปากของนาง น้องต้องการที่จะพูดอะไร
บางอย่าง แต่ท้ายทีส่ ุดนางก็กลืนคาพูดนั้นลงคอไป นางไม่รู้ว่า
ทาไม แต่นางรูส้ ึกหวาดกลัวกับความเย็นชาของเนี่ยลี.่ .จบตอน
บทที่ 290 ต่อไปนี้อย่าได้เข้ามาใกล้ข้าอีก!
ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า เนี่ยลี่กับหลงยู่อิน
คงจะต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย
ทุกคนต่างตกตะลึงกับการต่อสู้ระหว่างเนี่ยลี่กับหลงยู่อิน
สถานการณ์เช่นนี้มันง่ายต่อการระเบิดออกมา ไม่มีใครคิดเลย
ว่าหลงยู่อิน ผู้ที่มสี ายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ จะจบลงด้วยการ
ถูกรังแกจากเนี่ยลี่ ดูราวกับว่าหลงยู่อินได้พบคู่แข่งที่แท้จริง
แล้วในตอนนี้
เหล่าผู้หญิงในชั้นเรียนต่างสบตากัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลงยู่
อินจะไม่คานึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง มุ่งหวังเพียงแต่การ
ล้มเนี่ยลี่เท่านั้น และที่ยิ่งเกินกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ที่เนี่ยลี่นั้น
แข็งแกร่งพอที่จะล้มหลงยู่อินได้
หญิงสาวคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้าเสียงที่ชวนหลงไหล
“อินอิน เจ้าคิดยังไงกับท่านพี่เนี่ยลี่กันแน่? เจ้าชอบเขาอย่าง
นั้นเหรอ?”ด้วยความสามารถของเนี่ยลี่ นั้นทาให้หัวใจของนาง
หวั่นไหวเล็กน้อย
หลังได้ยินคาพูดของเหออินอินหญิงสาวคนนั้นก็แกล้งพูดขึ้นมา
ว่า “ใครจะรู้หล่ะ? ข้าไม่เห็นว่าท่านพี่เนี่ยลี่จะสนใจเจ้าเลย
แม้แต่น้อย!”
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป
!” หลงยู่อินพ่นยื่นมือออกไปเตรียมป้องกันจากเนี่ยลี่พร้อมกับ
เตะออกไปด้วยเท้าซ้ายของนาง
ทุกคนต่างตะลึงและจ้องมองที่การต่อสู้อันรุนแรง ที่เกิดขึ้น
ระหว่างพวกเขาทั้งสอง
หลงยู่อินปลดปล่อยความสามารถสายเลือดมังกรของนาง
ออกมาจนถึงขีดสุด โดยไม่คานึงถึง การโจมตี ความรวดเร็ว
และความแข็งแกร่ง พลังทุกด้านของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อน
หน้านี้จนเทียบไม่ตดิ ทุกการโจมนัน้ เฉียบคมและแม่นยาเป็น
อย่างมาก
*ตูม!*
กู้เบ่ยขมวดคิ้วของเขาครู่หนึ่ง เขาไม่ได้กังวลอะไรกับเนี่ยลี่
“หลงยู่อิน เอาจริงเอาจังกับการต่อสู้ ชีวิตของนางเกิดมาเพื่อ
เส้นทางนี้จริง ๆ” เขาพร้อมที่จะกระโดดออกไปได้ทุกเมื่อ ถ้า
หากว่าหลงยู่อินตั้งใจที่จะฆ่าเนีย่ ลีจ่ ริง ๆ แน่นอนว่ากู้เบ่ย
จะต้องออกไปช่วยเขา ในตอนนี้เขาไม่สนใจว่าจะต้องเปิดเผย
พลังที่แท้จริงของเขาออกไป
เนี่ยลี่ทาได้เพียงแค่หลบการโจมตีที่ราวกับพายุของหลงยู่อิน ใน
ใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดทีไ่ ร้ทสี่ ิ้นสุด เขา
ต้องทนกับมันอีกครั้ง และ อีกครั้ง แต่หลงยู่อินก็ไม่ยอมจบสิ้น
เสียที
เกิดหลุมขนาดใหญ่ที่ลานฝึกซ้อมทันที
ทุกคนต่างก็งุนงงกันไปหมด
หลังจากที่หลงยู่อินปลดปล่อยขีดจากัดสายเลือดมังกรของนาง
นางควรจะเป็นฝ่ายทีไ่ ด้เปรียบ แต่จากการโจมตีของเนี่ยลี่นั้น
นางไม่อาจที่จะโต้กลับได้เลย หลังจากที่เนี่ยลี่ทาการพลิกแพลง
การโจมตีจนไร้ข้อบกพร่อง ก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ชนะแล้ว
นอกจากนั้นจากการโจมตีของเขาหลงยู่อินก็ทะลวงการป้องกัน
ของหลงยู่อินจนไม่อาจที่จะโต้กลับได้เลย
ทุกคนที่เฝ้ามองดูความแข็งแกร่งและความป่าเถื่อนของหลงยู่
อิน แต่นางกลับพ่ายแพ้จนถึงจุดทีว่ ่าไม่อาจจะโต้กลับได้เลย นี่
มันอะไรกัน…
ไม่มีใครที่สามารถอธิบายสิ่งที่อยู่ในความคิดของพวกเขา
ในตอนนี้ได้
*ตูม!*
หลงยู่อินถูกฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง แม้ว่าการโจมตีของเนี่ยลี่นั้น
ไม่สามารถที่จะทะลวงผ่านร่างกายที่มีสายเลือดมังกรไหลเวียน
อยู่ได้ แต่มันก็เริม่ ที่จะส่งผล สร้างความเสียหายภายในให้แก่
นาง
ราวกับว่ากระดูกในร่างกายของนางถูกบดขยี้เป็นผุยผง นางเกิด
ความสับสนยิ่งนัก ทาได้เพียงจ้องมองไปยังบนเพดาน พยายาม
คิดให้ออกว่า เหตุใดกันนางถึงได้ดอ้ ยกว่าเนี่ยลี่
นางใช้เวลาหลายปีเพื่อที่จะแข็งแกร่งกว่าคนที่อายุเท่ากับนาง
นางฝึกอย่างบ้าคลั่ง ทุ่มเททุกอย่างให้กับความแข็งแกร่ง แต่
วันนี้ ร่างกายที่แข็งแกร่งของนาง พ่ายแพ้อย่างหมดรูป ทันใด
นั้นนางก็รู้สึกอยากจะร้องไห้
กลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างทีน่ างได้ทุ่มเทไป รวมถึงความ
ภาคภูมิใจของนาง เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า!
“สวรรค์และพื้นพิภพช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก ยังมียอดฝีมืออีกนับ
ไม่ถ้วนที่เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น นัน่ เหรอที่เจ้าต้องการ ความ
หยิ่งทะนง และความภาคภูมิใจของเจ้า? หลงยู่อิน วันนี้ ข้าได้
มอบบทเรียนเล็กน้อยให้แก่เจ้า เจ้าต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง
ถ้าไม่เช่นนั้นแม้ว่าข้าจะไม่ทา สุดท้ายสักวันหนึ่งก็จะมีคนที่เข้า
มาสั่งสอนเจ้าอยู่ด!ี ” เมื่อพูดจบ เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะพูดอะไร
มากกว่านี้ ในขณะที่เขาหันหลังกลับและเดินออกจากลานฝึก
หลังจากที่เนี่ยลี่เดินออกไป น้าตาของหลงยู่อินก็ได้รินไหล
ออกมา จนบดบังการมองเห็นของนาง ทาให้นางเห็นเพียงแค่
ภาพเบลอๆ เนี่ยลี่ไม่ได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย
ในสายตาของเนี่ยลี่นั้น นางมีค่าน้อยยิ่งกว่าเศษธุลี เป็นเรื่องที่
น่าตลก ที่นางพยายามทาให้เห็นว่านางหยิ่งผยอง ทะนงตน
และนางมีความภาคภูมิใจของนาง แต่ในสายตาของเนีย่ ลี่นั้น
นางไม่ได้มสี ิ่งใดเลย...จบตอน
บทที่ 291 ศิษย์พี่และศิษย์น้องอ่อนหัด
นี่เป็นการปล่อยโอกาสดีๆให้เสียของอย่างที่สุด นี่หากกลับกัน
เป็นตัวเขาแล้ว ต้องร้องขอในสิ่งที่น่าสนใจเป็นแน่ ด้วยเสน่ห์
ความงามของหลงยู่อินแล้ว ใครจะทราบได้เล่า? บางทีนางอาจ
ยอมจานนหลังจากการต่อต้านก็เป็นได้
นี่มันเสียของ ช่างเป็นการเสียของโอกาสที่ดีเช่นนี้โดยแท้!
กู้เป่ย คิดแล้วส่ายหัวของเขา
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ไม่ทราบว่าเหตุใดเนี่ยหลี่ถึงขอแบบนั้น กู้
เป่ยก็ยังชื่นชมเนี่ยหลี่เป็นอย่างมาก
หลังจากเนี่ยหลี่และพรรคพวกของเขาได้จากไป ข่าวที่ว่าเนี่ยห
ลี่ทาให้หลงยู่อินพ่ายแพ้ในด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพ ก็
แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เนี่ยหลีไ่ ด้กลายเป็นบุคคลที่มี
พรสวรรค์มากทีส่ ุดของชั้นเรียนไปโดยปริยาย และดึงดูดผูค้ น
ให้มาสนใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้ที่
ถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะอื่นๆ ทุกคนมองเขาเป็นคู่แข่งที่น่า
กลัว
ณ จวนของหลงยู่อิน
หลงยู่อินผู้ทาให้เขากลายเป็นขยะ ทาให้เขาต้องสูญเสียความ
เป็นชายไป อย่างไรเสียหลังจากได้รับการเยียวยาแล้วเขากลับ
เพ้อฝันถึงหลงยู่อินทั้งวันทั้งคืน ยังปรารถนาที่จะมองหลงยู่อิน
สวมใส่เครื่องแต่งกายแนบเนื้อเผยให้เห็นสัดส่วนที่ได้รูปมีเสน่ห์
ของนาง
แม้กระทั่งหลงยู่อินจะเอาความโกรธมาลงที่เขา เขาก็ยังเข้าใกล้
หลงยู่อิน เขามีความรูส้ ึกแม้ยามนางโกรธก็ยังงดงาม อย่างไรก็
ตามคู่หมั้นที่งดงามราวกับเทพธิดาในใจของเขากลับถูกทาให้
อับอายจากเด็กทีไ่ ม่มีหัวนอนปลายเท้า!
นี่มันยากจะให้อภัย!เขาต้องการจะฉีกเนื้อของเจ้าเด็กคนนั้นให้
ขาดออกจากกันอย่างไม่ปราณี เพือ่ บรรเทาความเกลียดชัง
ภายในใจของเขา!
เมื่อหลงยู่อินกลับมายังจวนของนาง สภาพของนางเปรอะเปื้อน
ไปด้วยเศษฝุ่น สายตาเศร้าสลดเป็นสื่อโดยนัยถึงความเสียใจ
ปรากฏบนใบหน้านาง น่าเวทนาเวลามองยิ่งนัก
ความคิดขัดแย้งต่างๆนาๆสัยสนวุน่ วายภายในใจของนาง
หูหย่งเห็นว่าหลงยู่อินเพิ่งกลับมา แม้ว่าร่างกายของนางจะถูก
ปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง นางก็ยังคงงดงามและมีเสน่ห์เช่นอย่าง
เคย หัวใจของเขาพองโตขึ้นเรื่อยๆขณะเดินเข้ามาใกล้นางและ
กล่าวขึ้นมาทันที “น้องอิ้น เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ? อาการ
บาดเจ็บเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? นี่เป็นยาดีที่สดุ จากครอบครัวข้า
!”
หูหย่งส่ายหัวทันที “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าเป็นคนส่งข้าไป”
หลงยู่อินจ้องหูหย่งด้วยสายตาเย็นเฉียบ “หูหย่งเจ้ามันก็มีดีแค่
ใช้ความแข็งแกร่งของตระกูลเจ้า ปราศจากมันเจ้าก็เป็นได้เพียง
ขยะ หากเทียบกับที่ ข้ากับเนีย่ หลี่ ได้แข็งขันกันแบบ 1 ต่อ 1
แล้วข้าหลงยู่อิน ได้พ่ายแพ้ แต่แล้วยังไง?
“หูหย่งไสหัวไปเดี๋ยวนี!้ ” หลงยู่อินตะโกนสุดเสียง
“ไป!!” หลงยู่อินส่งเขาด้วยลูกเตะอย่างแรงส่งผลให้เขาลอย
ล่องหายไป
หูหย่งได้แต่ร้องคร่าครวญ หลังจากที่โดนหลงยู่อินเตะส่งออก
มา เขาลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยท่าทีเศร้าใจ
หลงยู่อินละสายตาจากเขา ถ้าเช่นนั้นเมื่อเนี่ยหลี่ออกจากด่าน
จิตวิญญาณแห่งแสง หูหย่งและกลุม่ ของเขาได้มาหาเรื่องเนี่ยห
ลี่ ดังนั้นเนี่ยหลี่อาจจะเข้าใจผิดและคิดว่าเป็นนางที่ส่งหูหย่งไป
การกระทาของหูหย่ง ทาให้หลงยูอ่ ินกลายเป็นแพะรับบาป ใจ
ของนางเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่อาจอธิบายให้เนี่ยหลี่
เข้าใจได้
มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่จะอธิบายด้วยคาพูด!
นางรู้สึกเหมือนหมาจรจัดทีไ่ ด้รับบาดเจ็บและกลับมาเลียแผล
ของตนอยู่ในจวนของนางเอง นางครุ่นคิดเกี่ยวกับการต่อสู้
ของนางและเนี่ยหลี่ และกัดฟันของนางเอง นางยังคงไม่
ต้องการจะยอมรับความพ่ายแพ้
เมื่อนางกาลังจะกลับเข้าไปยังห้องของนาง ร่างที่งดงามร่างหนึ่ง
ก็พลันปรากฏตัวขึ้น ด้วยความที่กลิ่นอายที่สมั ผัสไม่ได้ให้
ความรูส้ ึกราวกับเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง นางคือ อิงเยว่
หลู่ นั่นเอง นางยิ้มอย่างมีเลศนัยที่มุมปากของนาง
เมื่อหลงยู่อินเห็นเช่นนั้น นางรีบเช็ดน้าตาและวางท่าทีเย็นชา
ใส่ทันที “เจ้ามาทาไม?”
“อาจารย์ได้เรียนรู้จากอาจารย์บรรพบุรุษ แม้ว่าการบ่มเพาะ
พลังของนางอยู่เพียงในระดับแก่นแท้แห่งสวรรค์ นางได้ดารง
ตาแหน่งสูงอยู่ในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์และเป็นผู้คดั เลือกผู้รบั
ตาแหน่งผู้นานิกาย และเป็นเพราะตัวตนของนาง นางมีชะตาที่
ต้องดับสูญ!”
“จะมีคนมาไขคาพูดของข้าให้กระจ่าง ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว
ขอให้เจ้าโชคดี!บ่อยครั้งที่คนเราแสดงออกภายนอกว่า
แข็งแกร่ง แต่ภายในจิตใจนั้นเปราะบางยิ่ง อย่างที่เจ้าได้เจอมา
นี้หรือไม่”อิงเยว่หลู่ ยิ้มเบาๆและเดินจากไป
บางทีการตายของอาจารย์อาจจะเป็นดังเช่นที่อิงเยว่หลู่ ได้
กล่าวมา หรือมีเบื้องหลังอื่นใดอีกหรือไม่?
มือขวาของหลงยู่อินจับผ้าห่มเอาไว้แน่น ในใจเต็มไปด้วย
ความรูส้ ึกไม่ยอมรับ สักวันข้าจะเป็นผู้ที่มองเจ้าจากด้านบน
อย่างแน่นอน!..จบตอน
บทที่ 292 เกล็ดวิญญาณ
เนี่ยหลี่อยู่ในห้องตัวเอง
เขาฝึกบ่มเพาะพลังมาทั้งวัน และศิลาวิญญาณที่เขามีกห็ มด
เกลี้ยงไปแล้วเรียบร้อย ทว่า ระดับพลังของเขากลับคืบหน้าไป
น้อยมาก ตอนนี้ระดับของเขายังคงวนเวียนอยู่แถวๆ จุดสูงสุด
ของชั้นชะตาดิน การจะทะลวงขีดจากัดไปยังชั้นชะตาฟ้ายังถือ
เป็นเรื่องยากสาหรับเขา
ยังมีเวลาเหลืออีกเกือบเดือน ก่อนจะถึงเวลาแจกรางวัลจาก
การจัดอันดับจิตวิญญาณแห่งแสง แต่เมื่อปราศจากศิลา
วิญญาณในมือ ย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยากกว่าเดิม
เขาต้องหาวิธีรวบรวมศิลาวิญญาณจานวนมากมาให้ได้
ในอาณาจักรซากมังกร หากไม่มีศิลาวิญญาณคอยช่วย
ย่อมจะก้าวหน้าได้ช้ามาก ต่อให้มพี รสวรรค์สูงส่ง แต่ไร้
ทรัพยากรเพียงพอก็ไร้ประโยชน์ พลังฟ้าที่บรรจุอยู่ในศิลา
วิญญาณก้อนหนึ่ง สามารถเทียบได้กับการนั่งฝึกเองถึงครึ่ง
เดือน หรือมากกว่านั้น จินตานที่นงั่ อยู่ข้างเนี่ยหลี่มองตา
ละห้อย
เมื่อผนึกวิญญาณเชื่อมทั้งสองเข้าด้วยกัน จินตานก็เป็น
เสมือนวิญญาณของเนี่ยหลี่ นั่นหมายความว่าเขาต้องการศิลา
วิญญาณมากกว่านี้ ส่วนยู่หยานทีฝ่ ึกบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องเมื่อ
ไม่กี่วันมานี้ กลับก้าวหน้าไปมากทีเดียว ทว่านางก็ประสบ
ปัญหาเดียวกันกับเนี่ยหลี่ นั่นคือมีศิลาวิญญาณไม่พอ
ก็อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูจากภายนอก
"เข้ามา" เนี่ยหลี่พดู
ผู้มาคือเซี่ยวหยู่
เขามองเนี่ยหลี่ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า "ไม่เจอกันไม่กี่วัน แต่เจ้า
ก็ยังไปหาปัญหามาสุมตัวเองเพิ่มอีก"
เนี่ยหลี่อดยักไหล่ไม่ได้ก่อนกล่าวว่า "ข้าไม่ได้เป็นคนสร้าง
ปัญหา แต่ปญ ั หามันเข้ามาหาข้าเองต่างหาก นางหลงยู่อินนั่น
น่าราคาญเป็นบ้าเลย"
ขณะนี้ ศิลาวิญญาณทุกก้อนถือเป็นแหล่งทรัพยากรที่มี
คุณค่ามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิง่ ศิลาแก่นแท้แห่งวิญญาณที่
อาจทาให้เขาสามารถทะลวงขีดจากัดได้
เนี่ยหลี่ทิ้งยู่หยานให้ฝึกเองในห้อง ส่วนจินตานก็ฝากนางไว้
จากนั้นเขาจึงเรียกลู่เพียวออกมา ทั้งสองเดินทางไปยังสนาม
ทดสอบพร้อมกันกับเซี่ยวหยู่
ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบแห่งที่สอง รู้จักกันในนาม
ซากโบราณแห่งความสะพรึง ซึ่งถูกสร้างโดยหนึ่งในบรรพชน
แห่งสานักปีกศักดิส์ ิทธิ์ ซากโบราณแห่งนี้เต็มไปด้วยผีร้ายซึ่ง
เมื่อถูกฆ่าจะตกเกล็ดวิญญาณให้เก็บได้ ศิษย์แต่ละคนสามารถ
อยู่ในซากโบราณได้นานสุดสองวันเท่านั้น ยิ่งสามารถก็บสะสม
เกล็ดวิญญาณได้มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเอาไปใช้แลกสิ่งของที่
ล้าค่ามากเท่านั้น
ทว่า เกล็ดวิญญาณจะสลายไปทันทีที่ถูกเก็บเข้าแหวนมิติ
หรือนาออกมานอกซากโบราณ จึงสามารถทาได้เพียงใช้ถุงผ้า
ห่อเขาเอาไว้รวมๆ กัน และใช้แลกของได้ในแต่ละครั้งที่เข้าไป
เท่านั้น
ศิษย์ทุกคนสามารถเข้าไปในซากโบราณได้เพียงเดือนละครั้ง
ทางเข้าของซากโบราณเป็นวังวนแปลกๆ ที่มียอดฝีมือยืนคุ้มกัน
อยู่สองคน
ขวับๆ ๆ
เนี่ยหลี่และพวกก็ผ่านเข้าประตูทางซากโบราณและหายไปใน
วังวนนั้น
ดี ไปเถอะ"
แล้วกลุ่มคนทั้งสามก็เข้าไปในซากโบราณ
ทั้งสามนี่ช่างชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง แค่เห็นคนจานวนมาก
ตามพวกเขาเจ้าไปในซากโบราณก็น่าจะทราบได้"
พวกเราควรยื่นมือเข้าช่วยหรือไม่หวงอวี้ถาม
หนานเหมียนเทียนไห่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ไม่
จาเป็น ให้พวกเขารับความลาบากเองบ้าง ตราบเท่าที่ไม่มี
เหตุการณ์เกินเลยไป ก็ไม่ต้อง" หากพวกเขาต้องยื่นมือเข้าช่วย
ทุกครั้งที่ศิษย์ในสานักมีปญ
ั หา พวกเราก็ไม่ต้องทาอะไรกัน
พอดี
ในซากโบราณแห่งความสะพรึง
เนี่ยหลี่สารวจซากโบราณในพื้นที่ที่เขามาถึงคร่าวๆ ในระยะ
พันลี้ ที่นี่เต็มไปด้วยเศษซากกาแพงและเสา ซึ่งเกิดจากอารยะ
ธรรมโบราณที่ลม่ สลายไปแล้ว อาจเคยมีอาคารอันน่าตื่นตาตื่น
ใจตั้งอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพียงแค่เศษซากบน
พื้นเท่านั้น ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีเทาอากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน แต่
ยังสามารถได้ยินเสียงวิญญาณเคลือ่ นตัวผ่าน ส่งคลื่น
สั่นสะเทือนผ่านอากาศมาได้
นั่นคงจะเป็นผีร้ายแน่
เมื่อใดพวกเขาสามารถจับสัมผัสของมนุษย์ได้ พวกเขาจะกรีด
ร้องเสียงแหลมแล้วกรูกันเข้ามา
เรายังสามารถเก็บเกล็ดวิญญาณได้จากผีร้ายพวกนี้ด้วย
ตูมๆ ๆ ๆ
ระเบิดหยินหยางระเบิดขึ้นกลางอากาศ กลืนพวกผีร้ายที่กรู
กันเข้ามาทีละกลุ่มๆ เกล็ดวิญญาณก็ร่วงลงมาราวกับห่าฝน
เกล็ดวิญญาณพวกนี้คือชิ้นส่วนที่แข็งที่สุดของผีร้ายพวกนี้ และ
เป็นพื้นฐานร่างกายของพวกเขา แม้ว่าจะถูกระเบิดหยินหยาง
ระเบิดใส่ แต่เกล็ดวิญญาณกลับไม่มีแ้แต่
ม้ รอยขีดข่วน
ผีร้ายที่เหลือหนีตายกันจ้าละหวัน่ ด้วยความหวาดกลัว
ระเบิดหยินหยาง
เนี่ยหลี่กระโดดขึ้นสูงพลางเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณก่อนที่
จะย้ายทีไ่ ปยังส่วนอื่นของซากโบราณ พ่นระเบิดกยินหยาง
และเก็บรวบรวมเกล็ดต่อไป
ที่เนี่ยหลี่ไม่รู้ก็คือ ผีร้ายทั้งหมดนี้อยู่มีคามสารถถึงขั้นชะตา
ดินระดับสูงสุดแล้ว ห่างจากชั้นชะตาฟ้าเพียงก้าวเดียว
ตามปกติแล้วจะฆ่าพวกเขาสักตนนับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีรวมตัวกันล่าเป็นกลุม่ ซึ่งทาให้
เก็บรวมรวมได้ยากกว่าเดิม ทว่า เนี่ยหลี่ที่ได้มาอาณาจักรซาก
มังกรกลับมีพลังสูงกว่าคนอื่นลิบลับ นอกจากตัวเขาเองก็ใกล้
จะก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้าแล้ว แพนด้าเขี้ยวอสูรเองก็ยัง
แข็งแกร่งกว่าเนี่ยหลี่ เมื่อเขาก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้า ระเบิดห
ยินหยางก็จะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ดังนั้น ระเบิดหยินหยางของเนี่ยหลี่จึงสามารถกวาดล้างผีร้าย
ไปได้ง่ายขนาดนี้
เนี่ยหลี่ดาเนินการล่าผีร้ายอย่างต่อเนื่อง เกล็ดวิญญาณพันชิ้น
ต่อศิลาวิญญาณสามสิบก้อน นับว่าเป็นอัตราแลกเปลี่ยนทีไ่ ม่
เลวเลยทีเดียว
ราวสองชั่วยามครึ่งต่อมา เนี่ยหลี่สามารถเก็บรวบรวมเกล็ด
วิญญาณได้มากกว่าสองหมื่นชิ้นแล้ว ด้วยความเร็วอันน่าตืน
ตะลึงนี้ จะแซงหน้าหลงยู่อินก็นับว่าง่ายนิดเดียว เผลอๆ อาจ
ขึ้นไปติดห้าอันดับแรกเลยก็ได้ เกล็ดวิญญาณพวกนี้นับว่าเป็น
รูปแบบสสารของวิญญาณโดยแท้ แม้ว่าระเบิดหยินหยางจะไม่
สามารถทาลายมันได้ มันกลับจะละลายหายไปหากถูกเก็บไว้ใน
แหวนมิติ
โชคดีที่เมื่อเกล็ดวิญญาณมารวมกันครบหนึ่งพันชิ้น มันก็
รวมตัวกันเป็นเกล็ดวิญญาณขนาดใหญ่หนึ่งชิ้น ดังนั้น เนี่ยหลี่
จึงมีที่ว่างพอจะสามารรวบรวมเกล็ดวิญญาณใส่ไว้ในกระเป๋าผ้า
ได้
เกล็ดวิญญาณพวกนี้จะกลายเป็นวัตถุดิบสาคัญในการหลอม
ตีอาวุธวิญญาณ น่าเสียดายที่ไม่อาจนาออกนอกสนามฝึกได้ ทา
ได้เพียงเอาไปแลกของรางวัลเท่านัน้
ชายหนุ่มผู้นี้นามว่ามู่หลงหยี่ ก่อนหน้านี้เขากาลังใช้การฆ่าผี
ร้ายฝึกกระบวนท่ากระบี่อยู่
ในโบราณสถานแห่งความสะพรึงนี้ มู่หลงหยี่ครองอันดับ
หนึ่งอย่างมั่นคงยาวนาน นี่ก็นับว่าเป้นเวลานานมากแล้วนับ
จากครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้ามาท้าทายตาแหน่งของเขา
ทันทีที่มาถึงจุดหมาย เขาก็พบว่าต้นเสียงนั้นมาจากเนี่ยหลี่
ที่กาลังล่าผีร้ายอยู่ เนี่ยหลี่อ้าปากพ่นลูกกลมสีดาขาวออกมา
ซึ่งเขาจะระเบิดออกเมื่อแตะเข้ากับผีร้าย ลูกกลมแต่ละลูก
ระเบิดออกกลืนกินผีร้ายเข้าไปครัง้ ละหลายร้อยหลายพันตัว
นับว่าเป็นความเร็วในการล่าที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง
ความจริงแล้วเนี่ยหลี่มีพลังน้อยกว่ามู่หลงหยี่หลายช่วง แต่
ความเร็วในการล่าของเนี่ยหลี่กลับสูงกว่าเขามาก
ด้วยความเร็วขนาดนี้ เขาต้องถูกเนี่ยหลี่แซงหน้าไปอย่าง
รวดเร็วแน่
เนี่ยหลี่มองมู่หลงหยี่ เมื่อเขาสัมผัสพลังของมู่หลงหยี่ได้ใน
ยามที่เขาปรากฎตัวขึ้น
แต่ตอนนี้มู่หลงหยี่มาปรากฎตัวเบื้องหน้าของเขา เขาคิดจะ
ทาอะไร?
เนี่ยหลี่เข้าใจเจตนาของมู่หลงหยี่ได้ทันที ด้วยความชาญ
ฉลาดของมู่หลงหยี่ ย่อมไม่เชื่อคาพูดของลูกน้องฮัวหลิงง่ายๆ
ที่มู่หลงหยี่ต้องการคือเหตุผลในการกดเนี่ยหลี่เอาไว้ และคน
ของฮัวหลิงก็เพิ่งมอบเหตุผลอันสมบูรณ์แบบให้
อัจฉริยะในแต่ละปี มักจะกลัวการถูกท้าจากอัจฉริยะปีถัด
มาเสมอ หากเขาชนะก็ดไี ป แต่หากเขาแพ้ เขาจะกลายเป็น
เพียงก้อนหินขวางเท้าที่จะโดนเตะออกไปให้พ้นทาง ด้วยเหตุนี้
มู่หลงหยี่จึงคอยท้าทายหลีซ่ ิงอวิ๋นที่เป็นอัจฉริยะจากปีก่อน
หน้าเขา
เนี่ยหลี่เป็นอัจฉริยะทีโ่ ดดเด่นที่สุดในชั้นปีนี้ ขณะที่มู่หลง
หยี่เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในชัน้ ปีก่อน อีกไม่นานเนี่ยหลี่
จะต้องท้าทายเขา ดังนั้นมูห่ ลงหยีจ่ ึงต้องจัดการกับเนีย่ หลี่
ก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น
แม้ว่าความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่จะสูงมาก และ
ก้าวมาถึงจุดสูงสุดของชั้นชะตาดินได้ในเวลาเพียงปีเดียว เขาก็
ยังมีช่องว่างอันมโหฬารระหว่างเนีย่ หลี่และมู่หลงหยี่
คลื่นพลังของมู่หลงหยี่บังคับข่มขี่เนี่ยหลีล่ ง ไม่ต่างกับการใช้
ความแข็งแกร่งของตัวเองขามเหงผู้อ่อนแอกว่า แต่ว่าตอนนี้
เนี่ยหลีไ่ ม่อาจทาอย่างไรได้
หนึ่งขุนพลสร้างจากหมื่นโครงกระดูก การจะก้าวเดินในวิถี
แห่งการฝึกตน ย่อมต้องใช้ผู้อื่นเป็นแท่นเหยียบ!! มู่หลงหยี่ย่อม
เข้าใจหลักเหตุผลนี้ดี ด้วยการใช้เนี่ยหลี่เป็นแท่นเหยียบ เขาจึง
จะได้รับความสนใจและทรัพยากรสาหรับการฝึกตน
เกียรติยศมาพร้อมพลัง ไม่ว่าคนอ่อนแอจะกรีดร้องดังแค่
ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน
มู่หลงหยี่แค่นเสียงกล่าวว่า เจ้าจะบอกว่าเด็กพวกนี้ใส่ความ
เจ้างั้นเหรอ
ปัง
คลื่นพลังมหาศาลโถมใส่เนี่ยหลี่อีกครั้ง ราวกับถูกค้อนทุบ
หน้าอก เนี่ยหลี่แทบขาดใจตายภายใต้แรงกดดันทีเ่ พิ่มขึ้น
โทสะ
ดูเจ้าค่อนข้างจะไม่มั่นใจนะ!" มู่หลงหยี่มองเนี่ยหลี่อย่างเยือก
เย็น "วันนี้ ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่า การจะอยู่ในสถานบัน
วิญญาณฟ้าได้ เจ้าต้องรูจ้ ักเคารพรุ่นพี่ก่อน!!" เมื่อมู่หลงหยี่
ตวาด เสียงของเขาก็กลายเป็นดาบคลื่นความถีส่ ูงพุ่งเข้าใส่
เนี่ยหลี่
มู่หลงหยี่ยังไม่ทันได้ชักกระบี่ แต่กลับมีเจตจานงค์แห่งกระบี่
แฝงอยู่ในน้าเสียง
เนี่ยหลีส่ ัมผัสความตายผ่านคลื่นดาบความถี่สูงได้
เนี่ยหลีส่ ่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดแล้วพ่นระเบิดหยินหยาง
เข้าใส่คลื่นดาบความถี่สูง
ตูม!!
ระเบิดหยินหยางระเบิดกลางอากาศ ทาลายคลื่นดาบ
ความถี่สูงไปหลายเล่ม ทว่า ยังมีเล่มหนึ่งที่ผ่านระเบิดมาได้แล้ว
พุ่งเข้าหาเนี่ยหลี่ด้วยความเร็วสูงราวกับสายฟ้าฟาด
เนี่ยหลี่เห็นดาบคลื่นความถี่ใกล้เข้ามาก็รีบหลบ "บ้าจริง!!
ระดับพลังเขาต่างกันเกินไป ถ้าไม่ใช้วิชาลับ ข้าสู้เขาไม่ได้แน่"
วูบ
ดาบคลื่นความถี่วาดผ่านข้างตัวเนี่ยหลีไ่ ป ทิ้งแผนยาวสามถึง
สีนิ้วที่กาลังมีเลือดออกเอาไว้
แรงช็อกส่งเนี่ยหลี่ปลิวตีลังกาไปหลายรอบก่อนจะสามารถ
ยั้งตัวให้มั่นได้ มือกุมบาดแผลพลางมองไปยังมู่หลงหยี่อย่าง
กราดเกรี้ยว ความแตกต่างของพวกเขามากเกินไป เนี่ยหลี่ไม่
อาจเอาชนะได้ ยิ่งเขาอยู่นานเท่าใด เขาก็ยิ่งสร้างความอับอาย
ให้ตัวเองเท่านั้น
เนี่ยหลี่ใช้เวลาห้าชั่วโมงในการรวบรวมเกล็ดวิญญาณสอง
หมื่นชิ้น วิธีขี้โกงอะไรกัน? ในสถานโบราณแห่งความสะพรึงไม่
มีกาหนดวิธีว่าจะเก็บรวบรวมอย่างไรสักหน่อย ว่าทาแบบนี้ได้
แบบนั้นไม่ได้
การเก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณนั่นแหละที่เป็นสิ่งบ่งบอก
ความสามารถ มู่หลงหยีไ่ ม่ใช่ผู้คมุ กฎของสถาบันวิญญาณฟ้า มี
สิทธิ์อะไรมาริบเกล็ดวิญญาณของเขาไป
ทว่า นี่เป็นโลกที่ใช้กาลังเป็นใหญ่
ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ เนี่ยหลีไ่ ม่มีพลังพอ ย่อมไม่อาจ
ต่อกรกับมู่หลงหยี่ได้
พลัง!! พลัง!!
ไร้พลังย่อมไม่อาจปกป้องตัวเองได้ นี่เป็นกฎของอาณาจักร
ซากมังกร ในชาติก่อน เนี่ยหลี่ได้บความอับอายมากกว่านีเ้ ป็น
ร้อยเท่า
ร่างของเนี่ยหลี่หายไปกลางอากาศ ฝ่ามือของมู่หลงหยี่ฟาด
ผ่านจุดที่เนีย่ หลีเ่ คยอยู่แล้วกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมลึก
มู่หลงหยี่ขวมดคิ้วเมื่อเห็นว่าฝ่ามือของเขาพลาดไป เขากวาด
สายตาหารอบๆ เพื่อค้นหาร่องรอยของเนี่ยหลี่ ทว่ากลับไม่
พบว่าเนี่ยหลี่อยู่ที่ใดเลย นี่เขาเกิดอะไรขึ้น? เจ้านั่นเขาหายไป
เฉยๆ ได้อย่างไร?
ในชั่วพริบตาก่อนที่เนี่ยหลี่จะหายไป ดูเหมือนเขาจะรวมร่าง
กับวิญญาณอสูรอื่น นี่เขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? มีใครที่มี
ความสามารถในการหลอมรวมจิตอสูรมากกว่าหนึ่งตัวงั้นหรือ?
ใครจะไปคิดว่าเนี่ยหลี่ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู?่ มู่หลงหยี่ไม่คิด
เลยว่าเขาจะเสียเป้าหมายไปดื้อๆ เช่นนี้ เขาเริ่มหงุดหงิดขณะที่
ค้นหาร่องรอยของเนี่ยหลี่
ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเนี่ยหลี่นับว่ารวดเร็วมาก
ในชาติก่อน เนี่ยหลี่ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนจะมาถึงชั้น
ชะตาสวรรค์ได้ ทว่าคราวนี้ เขาใช้เวลาเพียงปีเดียว....หรือ
เกือบสอง เพื่อมาถึงปากทางเข้าชั้นชะตาสวรรค์
ยิ่งเขาปีนขึ้นสูง ความเร็วในการบ่มเพาะยิ่งลดลง
เนี่ยหลี่ถูกกดดันด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ความพยายาม
และพรสวรรค์ล้วนไร้ประโยชน์เมือ่ มาถึงอาณาจักรซากมังกร
เขายังต้องการทรัพยากรใรการฝึกปริมาณมากมาไว้ในมือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่นศิลาวิญญาณ
อัจฉริยะที่อยู่ในอาณาจักรชั้นล่างมักจะถูกตระกูลใหญ่
เรียกไปแล้วกลายเป็นลูกน้อง คนที่สามารถเติบโตได้เองโดยไม่
พึ่งทรัพยากรจากตระกูลใหญ่นับว่ามีน้อยมาก เนี่ยหลีไ่ ม่
ต้องการเข้าร่วมกับตระกูลใด นั่นจะทาให้เส้นทางที่เขาตั้งใจ
เดินยากขึ้น
ทุกคนรอบตัวรวมทั้งมู่หลงหยี่ไม่สามารถหยุดเขาไม่ให้เก็บ
รวบรวมทรัพยากรเล่านั้นได้
เขามองมู่หลงหยี่พลางยิ้มกล่าวว่า "เด็กน้อยเนี่ยหลี่นั่นสมควร
หนีไปแล้ว ศิษย์พมี่ ู่หลง เขาคงไปได้ไม่ไกล พวกเรายังตามไป
ทัน"
มู่หลงหยี่พูดพลางยิ้มแบบไม่เต็มปาก เขาเดินไปหาลูกน้อง
คนนั้น แล้วชกไปที่ท้องด้วยรอยยิม้ เย็น "ถึงข้าจะไม่ชอบเนี่ยหลี่
แต่พวกเจ้าก็เหมือนกัน ข้าไม่ชอบถูกผู้อื่นใช้งานหรอกนะ"
หลังจากถูกมู่หลงหยี่ชกใส่ ลูกน้องคนนั้นก็ตัวงอราวกับกุ้งล้ม
ลงไปกุมท้องร้องอย่างเจ็บปวด
"เท่านั้นแหละ" มู่หลงหยี่แค่นเสียงพลางดึงถุงใส่เกล็ด
วิญญาณมากจากเหยื่อ แล้วพูดด้วยน้าเสียงเย้ยหยันว่า "เจ้าเพิ่ง
ล่าได้เพียงแค่สองพันชิ้น? สวะจริง" ระหว่างที่พูดนี้ มูหรงยู่ก็
เก็บเกล็ดวิญญาณไป
ลูกน้องลังเลอยูค่ รู่หนึ่งแต่เขารู้สึกได้ว่าน้าหนักฝ่าเท้าของมู่
หลงหยี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด เขาก็เปิดปากเห่าสามครั้ง "โฮ่ง
ๆ ๆ"
แม้ว่าเนี่ยหลี่จะอยู่ในร่างไร้ลักษณ์ แต่เขาก็เห็นภาพนี้อย่าง
ชัดเจนทีเดียว มูห่ ลงหยีเ่ ป็นตัวชั่วยิ่งกว่าหลงยู่อินในชาติก่อน
เสียอีก โชคดีทเี่ นี่ยหลี่ใช้ร่างไร้ลักษณ์หลบการโจมตีของมู่หลง
หยี่ ไม่อย่างอย่างนั้น ผลสุดท้ายของเขาคงแย่กว่าภาพที่เขาเห็น
อีก
เมื่อไร้พลัง ย่อมต้องถูกผู้อื่นดูถูกให้อับอาย
เนี่ยหลี่กาหมัดแน่นเข้า ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านซาก
โบราณ ภายใต้การคุม้ กันจากซากอาคาร เขาค่อยยกเลิกร่างไร้
ลักษณ์ จากนั้นจึงเปิดใช้งานวิชาต่อสู้กระแสเทพ เพื่อ
เปลี่ยนเป็นลาแสงพุ่ออกไปไกล
"คิดจะหาประโยชน์จากข้าหรือ? ฝันไปเถอะ"
เขาเลือกความตายดีกว่าเสียเกียรติ! เมื่อมู่หลงหยี่วางแผน
จะหาผลประโยชน์จากเขา เขาก็แค่ออกไปจากที่นี่เท่านั้น หาก
เขายังคงล่าผีร้ายต่อ ก็ย่อมมีโอกาสที่ความเหนื่อยยากของเขา
จะเป็นประโยชน์ต่อมู่หลงหยี่
เรื่องมีปัญหาจนต้องถอยขนาดนี้หลังจากเข้ามาในซาก
โบราณไม่เคยอยู่ในความคิดของเนี่ยหลี่เลย แต่ดูเเหมือนว่าการ
เก็บรวบรวมเกล็ดวิญญาณด้วยการล่าผีร้ายในตอนนี้เป็นไป
ไม่ได้สาหรับเขาแล้ว
นอกจากมู่หลงหยี่ ยังมีคนคอยจับตาเขาอีกมาก ต่อให้
เขาสามารถรวบรวมเกล็ดวิญญาณได้ คนอื่นอาจมาชิงเขาไปอีก
เมื่อตอนเผชิญหน้ากับมู่หลงหยี่ หนานเหมียนเทียนไห่และ
หวงอวี้ไม่ปรากฎตัว
ทั้งสองคงไม่ต้องการยื่นมือเข้ามา ตราบใดที่ยังไม่ทาเรื่องที่ออก
นอกกรอบของกฎที่ตั้งไว้
ยิ่งไปกว่านั้น คนของหู่หยงและฮัวหลิงก็รวมตัวกันอยู่ในซาก
โบราณ ดังนั้น ในสถานโบราณย่อมไม่ใช่ที่สงบของเนี่ยหลี่อีก
แล้ว
เนี่ยหลีก็กลับจากซากโบราณสู่โลกภายนอก
ที่หน้าทางเข้ามีผคู้ นจานวนากรวมตัวกัน ทั้งหมดเหม่อมอง
ไปยังเนี่ยหลี่เพราะไม่คิดว่าเขาจะออกมาเร็วขนาดนี้
"อย่างน้อยเขาก็ฉลาด เขารู้ว่าต้องถูกโจมตีอีกถ้ายังอยู่ในซาก
โบราณ"
"เขาผิดเองนะ เขาไปล่วงเกินคนไปไม่น้อยเลย"
พวกเขาย่อมไม่อาจขัดขวางการขึ้นสู่ตางรางอันดับ แต่ครั้ง
นี้เนี่ยหลี่กไ็ ม่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากซากโบราณแห่ง
ความสะพรึงและทุ่งร้างแห่งเพลิงหยินเช่นกัน
หากเขาต้องการศิลาวิญญาณ เขาก็จะต้องออกไปยังโลก
ภายนอก แต่โลกภายนอกก็ย่งอันตรายกว่าสนามทดสอบทั้ง
สองเสียอีก
ในตอนนี้เขาอ่อนแอเกินไป และมีวิธีการอีกหลากหลายที่ไม่
อาจใช้ได้เมื่อเขายังอ่อนแออยู่ แม้ว่าจะได้รับศิลาวิญญาณจาก
การรักษาโรค ย่อมต้องมีปัญหาอืน่ ๆ ตามมาอีกและใช้
เวลานานเกินไป
เขาไม่อาจรับผลนั้นได้
ความคิดของเนี่ยหลี่ไหลไปเรือ่ ยจนถึงเจ้าคนอวดดีสุดจะ
ทนอย่างมู่หลงหยี่ และจอมมารทีก่ าลังแข็งแกร่งขึ้น เขาคิดถึง
ศัตรูอันน่าหวดหวั่นอย่างจักรพรรดิ์ปราชญ์และเรื่องราวต่างๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
หากเขาไม่อาจแข็งแกร่งขึ้น เขาย่อมต้องจบชีวิตเร็วกว่าชาติ
ก่อนหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เนี่ยหลี่คดิ อย่างรอบคอบ และนึกถึงหม้ออสูรฝันร้าย ที่เขา
ไม่คิดจะให้ใครรู้ว่าสิ่งนี้มตี ัวตนอยู่ ทว่า นอกจากทางนี้แล้ว
วิธีการรวบรวมศิลาวิญญาณอื่นๆ ล้วนถูกปิดกั้น ต่อให้เขา
สามารถก้าวข้ามไปยังชั้นชะตาสวรรค์แล้วออกไปข้างนอกได้ ก็
ยังมีคนจาวนมากรอสั่งสอนเขาอยู่
เนี่ยหลีไ่ ม่มีทางเลือก
จากที่เนี่ยหลี่คอยดูพฤติกรรมของกู้เบ่ย และข้อเท็จจริง
ที่ว่าเขารักษาอาการป่วยของพี่สาวกู้หลาน กู้เบ่ยสมควรรักษา
สัญญาได้
นางสวมชุดไหมสีขาวห่มผ้าห่มทับบนหน้าตัด นางอยู่ใน
สภาวะวิกฤตเมื่อหมอกสีขาวก่อตัวขึ้นเหนือหัว เสื้อผ้าเปียกชุ่ม
ไปด้วยเหงื่อ จนสามารถเห็นเรือนร่างใต้ผ้าของนางได้อย่าง
เรือนลาง
เนี่ยหลี่ดึงสายตากลับอย่างกระอักกระอ่วนพลางยืนรออยู่
ด้านนอก เมื่อกู้เบ่ยไม่อยู่ เขาย่อมต้องรอจนกว่ากู่หลานจะฝึก
เสร็จ
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา กู่หลานก็ลมื ตาขึ้น พอเห็นเนี่ยหลี่ นางก็
ยิ้มบางแล้วพูดว่า "ท่านรอมานานแล้วหรือ
เนี่ยหลี่เข้าใจความหมายของนาง เขากวาดสายตาผ่านร่าง
ของกู่หลานอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นจึงดึงสายตากลับ ก่อนจะถาม
เสียงสั่นว่า "ข้าอยากทราบว่าสุขภาพของพี่กู่หลานดีขึ้นหรือไม่
“ข้าไม่ต้องการจิตอสูรที่มีสายเลือดมังกร”
“ถ้าหากพูดถึงจิตอสูรโดยทั่วไปแล้ว จิตอสูรที่มีระดับการ
เติบโตระดับ มหัศจรรย์ หรือ ระดับพระเจ้า นับว่าดีแล้ว
สาหรับการใช้ต่อสู้ และโดยปกติแล้วจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตระดับต่า ๆ นั้นเรียกได้ว่าไร้ประโยชน์” กู้เบ่ยรู้สึกสับสน
“ถ้าหากว่าเจ้าต้องการผสานกับจิตอสูร ข้าสามารถหาให้เจ้าได้
สักตัวหนึ่ง”
“ข้ามีหนทางที่จะใช้พวกมัน และค่าใช้จ่ายในการรวบรวมจิต
อสูร ข้าจะจ่ายคืนให้ทีหลัง” เนี่ยลีพ่ ูดต่ออีกว่า “ข้าต้องการ
พวกมันเป็นจานวนมาก เท่าที่จะหาได้”
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน คนของกู้เบ่ยสามารถรวมรวมจิตอสูรได้
มากกว่า 20,000 ตน จากอาณาจักรเล็ก ๆแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้
ที่สุด
เนี่ยลี่เริ่มต้นทาการหลอมรวมจิตอสูร โดยการนาจิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตในระดับเดียวกันสิบตน ลงไปใน หม้อจิตอสูร
ฝันร้าย มันก็นานมากแล้วหลังจากที่เขาได้ทาการหลอมรวมจิต
อสูรครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ยังสามารถทาการหลอมรวมได้อย่าง
คล่องแคล่ว
การหลอมรวม ล้มเหลว!
การหลอมรวม ล้มเหลว!
การหลอมรวม สาเร็จ!
เนี่ยลี่ยังคงอยู่ในห้องของเขาและทาการหลอมรวมจิตอสูรอย่าง
ต่อเนื่อง ในกลุ่มแรกของจิตอสูรทัง้ 20,000 ตนนั้น สามารถ
หลอมรวมจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าได้
ประมาณ 30 ตน โดยปกติแล้วจิตอสูรระดับธรรมดา ที่มีระดับ
การเติบโตระดับพระเจ้า แต่มิใช่สายเลือดมังกรนั้น สามารถ
ขายได้เพียง 30 – 50 ศิลาจิตวิญญาณเท่านั้น
โดยทั่วไปอาจจะเห็นว่าเป็นเงินก้อนใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตาม
สาหรับนักเรียนทั่วไป นอกจากคนที่มีคนอยู่เบื้องหลังอย่าง กู้
เบ่ย จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรนัก สาหรับศิลาจิตวิญญาณ
30 – 50 ก้อน ไม่ต่างจากการยกให้เฉยๆเลยเสียด้วยซ้า ทุกคน
ที่มีตระกูลใหญ่อยูเ่ บื้องหลัง อย่างกู้เบ่ย แน่นอนที่จะเลือก
ผสานกับจิตอสูรที่มีสายเลือดมังกร หรือไม่กส็ ายเลือดโบราณ
เสียมากกว่า พวกเขาจะไม่สนใจจิตอสูรระดับธรรมดา แม้จะว่า
จะมีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าก็ตาม
ถ้าหากว่าเขาไม่อาจที่จะรวบรวมศิลาจิตอสูรจากโบราณสถาน
แห่งความสะพรึงได้ เขาก็ต้องหาหนทางอื่น ถ้าไม่เช่นนั้นเขา
อาจจะต้องนอนตายจมกองฉี่ก็ได้ เมื่อเขามีศลิ าจิตวิญญาณ
มากพอ การบ่มเพาะพลังของเขาก็จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ
อีกไม่นานเขาก็จะหนือกว่ามู่หลงหยี่
ในตอนนั้นเอง ลู่เพียวกับเซี่ยวหยู่ ได้กลับมาถึงที่พัก
“พวกเราจะไปที่ตลาดเพื่ออะไรกัน?”
ตาของเนี่ยลี่เป็นประกาย พร้อมกับตอบว่า “ไปเพื่อขายจิต
อสูร!” แต่เดิมเขาเคยคิดจะให้กู้เบ่ยทาการขายจิตอสูรที่มีระดับ
การเติบโตในระดับพระเจ้าให้เขา แต่หลังจากทีไ่ ด้คิดทบทวนดู
แล้ว เขาคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าหากเขาดาเนินการเอง มันคง
จะไม่ดีนักถ้าเขาเอาแต่พึ่งพากู้เบ่ยในทุกๆเรื่อง
เนี่ยลี่นั้นมั่นใจว่า พวกเขาจะต้องถูกขัดขวางในการขายจิตอสูร
ที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้าเป็นแน่ แต่เขาก็ได้เตรียมใจ
ไว้แล้ว ศัตรูของพวกเขานั้นไม่อาจที่จะทาอะไรพวกเขา
ได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะขายจิตอสูรให้ได้มากที่สดุ เท่าที่จะ
ทาได้
เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วคลาดของสถาบันวิญญาณฟ้า เต็ม
ไปด้วยนักเรียนที่มาทาการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
เนี่ยลี่และกลุ่มของเขาเดินเข้าไปในตลาด
“จิตอสูรพวกนั้น มีสายเลือดมังกรหรือไม่?”
“ไม่มีทาง! จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า นั้นไม่อาจประเมินค่าได้ มันเป็นเพียงจิตอสูรธรรมดา
ที่มีระดับการเติบโตระดับพระเจ้า”
“แล้วมัน มีอะไรบ้าง?”
เนี่ยลี่พยายามที่จะขายจิตอสูรให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ ก่อนที่
ฮัวหลิง กับ หูหย่ง กับลูกน้องจะมาถึง
จิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่หาได้
ยากยิ่งในตลาด จะพบเห็นได้ในบางครั้งเท่านั้น ดังนั้นการ
ปรากฏตัวของจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
จานวนมากนั้น เกิดปฏิกิริยาราวกับการโยนหินลงในทะเลสาป
ที่สงบเลยทีเดียว
บทที่ 296 หลี่ชิงอวิ๋น
เนี้ยหลี่และพรรคพวกของเขากาลังวุ่นอยู่กับการขายวิญญาณ
อสูรอยู่นั้น ได้มีคนกลุ่มหนึ่งกาลังเดินไปหาพวกเขา
ตระกูลเถ้าอัคคีเป็นหนึ่งในสามตระกูลมหาอานาจของนิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ จุดยืนของพวกเขาเป็นกลาง และไม่ค่อยยุ่ง
เกี่ยวกับการแย่งชิงตาแหน่งผู้นานิกายด้วย อย่างไงก็ตาม ไม่
ควรที่จะมองข้ามความแข็งแกร่งของพวกเขา เมื่อก่อน นิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์พยายามที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ กับพวกเขา นี่
เป็นตระกูลทีล่ ึกลับมาก ชีวิตก่อนหน้าของเนี้ยหลี่ แม้ว่านิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์จะตกต่าลง ตระกูลเถ้าอัคคีก็ยังคงจุดยืนเป็น
กลาง
“ถูกต้องแล้ว”เนี้ยหลี่พยักหน้าให้เขา และสังเกตุดูว่าเขา
กาลังจะทาอะไร ชายคนั้นก็พูดว่า”เจ้ามีจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตในระดับพระเจ้าเท่าไร ทางเราขอซื้อทั้งหมด
คิ้วของหลู่เปียวกระตุกแสดงความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขา
กระเป๋าเงินของเขาคงจะตุงแน่ ถ้าชายคนนั้นซื้อวิญญาณอสูร
ไปทั้งหมด
เนี้ยหลี่ถามด้วยเสียงเรียบๆขณะที่ค้นหาตัวตนฝายตรงข้าม
“ข้าแปลกใจ ที่ข้าไม่รจู้ ักท่าน”
ชายคนนั้นมองเนี้ยหลีด่ ้วยรอยยิ้มจางๆที่มุมปากของเขา ” เจ้า
จะต้องเป็น เนี้ยหลี่ ข้าเคยได้ยินมาว่าเจ้ากับหลงยูอิน เป็นหนึ่ง
ในเด็กใหม่ที่มีความสามารถชื่อของข้าคือหลี่ชิงอวิ๋นจากตระกูล
เถ้าอัคคี”
คนที่ดูเหมือนจะมีการแย่งชิงตาแหน่งผู้นาตระกูลเถ้าอัคคี แต่
แล้ว เขาก็พ้ายแพ้ในก่อนแย่งชิงตาแหน่ง หลังจากนั้นเขาก็ได้
ออกจากนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ เขากลายเป็นคนที่กดขี่ข่มเหง
ผู้ติดตามของเขา แข็งแกร่งและเป็นอัจฉริยะ ที่ด้านนอกของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเสียงของเขาก็ยังห่างไกลกว่า นาย
น้อยเบ่ยและหลงอยูอิน ถึงยังไงบุคลิกของเขาก็ยังเป็นที่
ถกเถียงกันอยู่บ้าง
ในขณะที่เขาเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความดี
และความชั่วร้าย แม้เขาจะสร้างชือ่ ที่ไม่ดไี ปทั่ว แต่ผตู้ ิดตาม
ของเขาก็ซื่อสัตย์อุทิศตัวเพื่อเขา
ดังนั้นเขาเป็นตัวแปลสาคัญทีไ่ ม่ควรมองข้าม
“เนี้ยหลี่ยังกล่าวว่า”เรายังมีจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้าอีกยี่สิบสี่ตนในมือ
คาพูดของเนี้ยหลี่ทาให้คิ้วของหลีช่ ิงอวิ๋นกระตุกเพราะความ
แปลกใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่า เนีย้ หลี่จะมีจิตอสูรที่มรี ะดับการ
เติบโตในระดับพระเจ้าเหลืออยู่มากถึงเพียงนี้ หลี่ชิงอวิ๋นคิดว่า
หลังจากเขาขายไปมากดังนั้นเขาน่าจะเหลือซักห้าหรือหก ตน
เท่านั้น
“โอ้” หลี่ชิงอวิ๋นไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคาดังกล่าวจากเนี้ยห
ลี่ หรือว่าเนี้ยหลี่จะมีวิธีหาจิตอสูรระดับพระเจ้า
ตั้งแต่หลี่ชิงอวิ๋น มีอัจฉริยะภายใต้ปีกของเขาเขาก็ไม่ได้ตระหนี่
กับซื้อของที่สามารถเสริมสร้างจุดแข็งของคนของเขา
หลี่ชิงอวิ๋นกล่าวอย่างพอใจ “ ถ้าจ้ามีจิตอสูรอัตราการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า เจ้าควรติดต่อข้าไม่ว่าจะมีเท่าไรข้าจะซื้อ
ทั้งหมด”
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเขากาลังเตรียมความพร้อมในการต่อสู้แย่ง
ชิงอานาจ หลังจากเนี้ยหลี่เชื่อมโยงความจาของชีวิตก่อนหน้านี้
ของเขา เขาทันทีเข้าใจภาพรวมทัง้ หมด
มีแต่จะได้ประโยชน์จางความความสัมพันธ์ที่ดีกับคนผู้นี้
“ข้าไม่มีปญ
ั หา”หลี่ชิงอวิ๋น เอาศิลาจิตวิญญาณเก้าร้อยก้อน
ออกมาและส่งให้หลู่เปียว
อีกด้านนึงเนี้ยหลี่กส็ ่งจิตอสูรระดับพระเจ้ายี่สิบสี่ตนให้หลี่ชิ
งอวิ๋น
หลี่ชิงอวิ๋นรับวิญญาณอสูรแล้วตบใหล่เนี้ยหลี่และกล่าวว่า “ข้า
ชื่นชอบเจ้านะ ถ้าเจ้าสนใจจะเข้าร่วมกับข้าโปรดมองหาข้าได้
ตลอดเวลา ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ถ้าเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร
ข้อเสนอทั้งสองอย่าง อยู่ในมือของเจ้า ถ้าเจ้ามีวญ
ิ ญาณอสูร
ระดับเจ้าสามรถติดต่อขายให้ข้าได้ตลอดเวลา”
ภายในนิยายขนนกศักดิ์สิทธิ์การดาเนินงานเป็นไปอย่างมบูรณ์
แบบ ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อนิกายของตัวเองเท่านั้นที่สามารถ
สังเกตเห็นการต่อสู้ภายในขณะทีพ่ วกเขาทาอะไรไม่ถูกกับมัน
การต่อสูร้ ะหว่างตระกูลที่สาคัญยังได้รับผลกระทบรุนแรงมาก
ความแตกต่างภายในนิยายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในหนึ่งร้อยปีกไ็ ม่มี
ใครสามารถคาดเดาได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้อง
หลี่ชิงอวิ๋นหันไปทางลูกน้องเขาแล้วกล่าวว่า”ส่งข้อความไปหา
ฮัวหลิงจากนีไ้ ปข้าจะคอยระวังหลังให้ เนี้ยหลี่ เก็บมือของเจ้า
เอาไว้ไม่อย่างนั้น ข้าจะดูแลมันให้เอง”
หลังจากคาพูดของหลี่ชิงอวิ๋น เนี้ยหลี่ป้องมือของเขา”ขอบคุณ
นายน้อยหลี่”
อันที่จริงเขาขึ้นอยู่กับข่าวลือครอบงา แม้ว่าเขาจะยังคงอยู่ใน
วัยยี่สิบของเขา เขามีประสบการณ์อยู่แล้วในสิ่งเหล่านี้
“งั้นพวกข้าขอตัวก่อน” หลี่ชิงอวิ๋นยิมแล้วพาพรรกพวก
ของเขาเดินจากไป เขายืนดูหลี่ชิงอวิ๋นจากไป พร้อมกับเสียง
ซุบซิบ ข้าสงสัยว่านายน้อยหลี่ มีแผนจะทาอะไรกับจิตอสูร
ระดับพระเจ้าจานวนมากมาย
เนี้ยหลีไ่ ด้ขายจิตอสูรระดับพระเจ้าได้หินวิญญาณหนึ่งพันสอง
ร้อยก้อน ภายในเวลาอันสั้น ความต้องการซื้อนั้นมีแค่ช่วงเวลา
สั้น เขาตระหนักในเรื่องนี้ดี
“เฮ้ มีใครรู้ใหมว่าเด็กคนนั้นหาจิตอสูรระดับพระเจ้ามาจาก
ใหน”
นักเรียนที่ขี้อิจฉาก็ได้พูดคุยกัน”ศิลาวิญญาณหนึ่งพันสองร้อย
ก้อนเป็นจานวนที่มหาศาล มันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวก
เขาได้แต่แสดงความนับถือจาก ระยะไกล พวกเขาอาจจะ
สามารถที่จะรวบรวมหินจิตวิญญาณจานวนมากนั้น ถึงแม้ว่า
พวกเขาใช้เวลาหลายปีในการรวบรวม
นอกจากนักเรียนธรรมดา เนี้ยหลีย่ ังดึงดูดความสนใจของคน
อื่นๆ ไม่นานหลังจากเนีย้ หลีไ่ ด้เริ่มขายจิตอสูรระดับพระเจ้า หู
หย่ง ฮัวหลิง และพวกของเขาได้มาถึง แต่พอพวกเขารู้ว่าหลี่ชิ
งอวิ๋นได้พูดคุยกับเนีย้ หลี่ พวกเขาก็ไม่กล้าไม่ยุ่งกับเขาอีก
เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวแพร่สะพัดว่า เนี้ยหลี่และหลี่ชิงอวิ๋นได้ตกลงซื้อ
ขายจิตอสูรระดับพระเจ้า เป็นมูลค่ากว่าหนึ่งพันหินวิญญาณ
หนานเหมียนเทียนไห่และหวงอวี้ยังได้เตือนเขาก่อนหน้านั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าสร้างปัญหาในสถาบันวิญญาณฟ้า
เขากาหมัดแน่น หลังจากที่ฮัวหลิงได้ยินข่าวจากลูกน้องของเขา
เขาโกรธจนอยากทาหลายบางสิ่งบางอย่าง
ฮัวหลิงไม่ได้เป็นคนเดียวที่ข่มเหงเนี้ยหลี่และพรรคพวก แต่เขา
เป็นคนที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับการตักเตือนนี้โดยตรง
มันเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด เขาโกรธมากจนกลายเป็นความ
เกลียดชัง ความเกลัยดชังของเขากับหลี่ชิงอวิ๋น นั้นเรียกได้ว่า
บาดหมางยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่กล้าทีจ่ ะไปตอแยกับหลี่ชิงอวิ๋น ผู้
แข็งแกร่ง หลี่ชิงอวิ๋นเป็นทายาทอันดับสามของตระกูลเถ้าอัคคี
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลเถ้าอัคคี เขาเป็นคนที่มีอานาจ
มาก
หลี่ชิงอวิ๋น สามารถซื้อจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระ
เจ้าได้มากมาย และยังคงต้องการเพิ่ม แต่เนี้ยหลี่มีแผนการที่
ใหญ่กว่านั้น
การขายจิตอสูรธรรมดาที่อสูรอัตราการเจริญเติบโตระดับพระ
เจ้า ก็ยังไม่ค่อยได้เงินมากนัก สิ่งทีม่ ีค่ามากที่สดุ สาหรับทุกคนก็
คือจิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกร
บทที่ 297 ความเป็นจริง
ผ่านไปสามวัน ก็เป็นอีกครั้งกับบทเรียนของอาจารย์ชิหลิง
กู้เบ่ย เนี้ยหลี่และหลูเ่ ปียวนั่งอยู่ดว้ ยกัน
แค่ขายจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
ยังคงไม่เพียงพอ ดังนั้นเนี้ยหลี่จึงมุง่ หมายไปที่จติ อสูรสายเลือด
มังกร อย่างไรก็ตามเขาต้องรอกู้เบ่ยส่งจิตอสูรชุดแรกก่อน เขา
ถึงจะมีวัตถุดิบในการหลอมรวมจิตอสูรได้
ในคาบเรียนอาจารย์ชิหลิง ได้บรรยายเกี่ยวกับการฝึกฝน
ความสามารถในการต่อสู้ เขาอธิบายในแง่ง่ายๆนักเรียนเกือบ
ทั้งหมดตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี
แต่เนี้ยหลี่ตรงกันข้าม เขากาลังครุน่ คิดเรื่องอื่นอยู่
ทุกคนในชั้นเรียนได้ยินเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
ผ่านการซุบซิบนินทา เนี้ยหลี่กลายเป็นนักเรียนที่พิเศษที่สดุ ใน
ชั้นเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามเนี้ยหลี่เคยทาให้หลงยู่
อินต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นไม่มีใครกล้าไปกวนใจเขา นอกจากนี้เนี้ย
หลี่ยังกลายเป็นที่สนใจของสาวๆ อีกด้วย
นางอยากรู้การฝึกฝนของเนี้ยหลี่ ทุกสิ่งทุกอย่างของผู้ชายคนนี้
เต็มไปด้วยความลับ
ถ้านางยังคงตามตื้อเนี้ยหลีม่ ันยิ่งจะทาให้เขาเกลียดชังนางมาก
ยิ่งขึ้น วิธีเดียวที่นางจะมีคณุ สมบัติที่จะคุยกับเขา นางจะต้อง
แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ตั้งแต่เด็กมา เนี้ยหลี่เป็นเพียงคนเดียวที่
อายุไล่เลี่ยนางแล้วสยบนางได้ เขาเป็นคนเดียวในรุ่นเดียวกันที่
นางยอมรับในเรื่องของความแข็งแกร่ง การกระทาของเนี้ยหลี่
ทาให้นางเกิดการเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้น
ในขณะที่อาจารย์ชิหลิงกาลังอธิบายถึงการสอนอยู่นั้น ในชั้น
เรียนยังคงเงียบอย่างแปลกประหลาด
เนี้ยหลี่กาลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เขานั้นไม่ได้พบเห็นอาจาร์
ยของเขาอีกเลย หลังจากที่ได้พบกันที่ด่านจิตวิญญาณแห่งแสง
โดยบังเอิญ มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะสงสัยว่าอาจารย์ของเขานั้น
อาศัยอยู่ในหุบเขา เนี้ยหลีล่ องนึกย้อนถึงความทรงจาจากชีวิต
ก่อนหน้านี้และเต็มไปด้วยความปรารถนาต่ออาจารย์ของ
เขา เขามีความสุขในช่วงสั้น ๆ เขาคิดว่าควรไปเยีย่ มนางที่หุบ
เขา เพราะเขาก็คิดจะทาอย่างอยูแ่ ล้ว
อาจารย์ชิหลิง ยิม้ “จิตอสูรเป็นปัจจัยสาคัญยิ่งในการบ่มเพาะ
ความสามารถในการต่อสู้ เวลานี้จติ อสูรที่พวกเจ้าผสานด้วยนั้น
มันอาจจะไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เพียงแต่หลังจากที่พวกเจ้าไป
ถึงระดับชะตาสวรรค์ พวกเจ้าจะสามารถผสานเข้ากับจิตอสูรที่
ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่มีสายเลือดมังกร”
จิตอสูรสายเลือดมังกรเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่ามีราคาแพงมาก
ตนที่มีระดับการเติบโตระดับธรรมดาก็มีราคา 1-2 ศิลาจิต
วิญญาณ แต่ถ้ามันมีที่มีระดับการเติบโตในระดับดีนั้นจะมีราคา
ถึง 70-80 ศิลาจิตวิญญาณ ถ้าเป็นระดับอัตราเติบโตที่ดีเยีย่ ม
เหล่านั้นคงอาจมีราคาถึงหนึ่งพันศิลาจิตวิญญาณ โดยทั่วไป
แล้ว จิตอสูรที่มีระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์นั้นอาจพอจะ
หามาได้บ้าง
เพราะราคาของจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า ราคาพอ ๆ กับจิตอสูรสายเลือดมังกรระดับดี หรือ
อาจจะสูงกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามตัวราคาของมันไม่ได้แย่
และเมื่อเทียบราคาต่อคุณภาพก็ยงั คงมีราคาแพงพอดู เพราะ
อย่างนั้น จิตอสูรธรรมดาที่มรี ะดับเติบโตระดับพระเจ้าจึงขาย
ได้ดีทสี่ ุดในหมูล่ ูกศิษย์ธรรมดา
จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตระดับพระเจ้าเป็น
ของล้าค่าที่มิอาจประเมิณราคาได้ แม้แต่สามตระกูลหลักมี
เพียงยอดฝีมือไม่กรี่ ้อยคนที่ผสานเข้ากับจิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า
นั่นและคือพลังแห่งอานาจ
เป็นหัวใจสาคัญของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เมื่อไม่กี่ปมี านี้มีการตายจานวนมากระหว่างยอดฝีมือระดับสุด
ยอดกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ รี ะดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า นั้นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ว่าทาไมนิกายขนนกแห่ง
ทวยเทพถดถอยลง อย่างไรก็ตามเนื่องจาก นิกายขนนก
ศักดิศิทธิ์ ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเลยยังมีรากฐานที่มั่นคง ตราบใด
ที่นิกายสามารถสร้างยอดฝีมือที่มคี วามสามารถพร้อมด้วยจิต
อสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า มันคง
เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่จะทาให้นิกายกลับไปสู่วันทีร่ ุ่งเรือง
อีกครั้ง.
นั้นคือเหตุผลว่าทาไมหม้ออสูรจิตอสูรฝันร้ายของเนี้ยหลี่เป็น
สมบัตลิ ้าค่าแน่นอน จึงเป็นเหตุผลอีกว่าทาไมเขาต้องระวังตัว
ทุกครั้งที่ทาการหลอมรวมจิตอสูร
พวกเจ้าควรรอจนกว่าจะสามารถไปถึงระดับชะตาสวรรค์ เมื่อ
เวลานั้นมาถึงพวกเจ้าจะได้รับอนุญาติให้ออกไปข้างนอกเพื่อล่า
จิตอสูรทีม่ ีสายเลือดมังกรสาหรับตัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าจะ
สามารถใช้เวลาได้อย่างอิสระเพื่อค้นหาพวกมันอย่าง
รอบคอบ!”
สาหรับคนที่ไม่มีพื้นหลังตระกูลสนับสนุน การที่จะมี จิตอสูรที่
มีระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์หรือที่มรี ะดับการเติบโต
ในระดับพระเจ้า นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
นั้นคือช่องว่างระหว่างสถานะทางสังคมของพวกเขา แม้ว่า
เนี้ยหลีจ่ ะเข้าร่วมกับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แต่ตระกูลเหล่านั้น
คงจะไม่เต็มใจที่จะมอบจิตอสูรทีม่ รี ะดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์แก่เนีย้ หลี่ ถ้าหากเนี้ยหลี่เข้าร่วมกับตระกูลของพวก
เขา เพียงแต่จะจบลงด้วยการเป็นสุนัขรับใช้ ที่นั่นมักจะมีความ
แตกต่างเสมอระหว่างคนเช่นเขาและสมาชิกที่มีสายเลือดของ
ตระกูล
สมาชิกที่มีสายเลือดในตระกูลจะมีสิทธิ์ในสมบัติและถูกปกป้อง
โดยตระกูล ถึงแม้ถ้าหากพวกเขาทาผิด ตราบใดที่โทษไม่ถึงแก่
ความตายพวกเขาสามารถออกมาเดินได้อย่างง่ายดาย นีย่ ัง
ห่างไกลจากความแตกต่างของอัฉริยะจากอาณาจักรเล็ก ๆ
ชะตาของเขาก็ถูกตัดสินแล้วโดยสวรรค์ ถ้าอัจฉริยะจาก
อาณาจักรเล็ก ๆ มีการบาดเจ็บถึงตาย ก็ไม่มีใครสนใจ
นี่เป็นอาณาจักรซากมังกร ที่ตระกูลใหญ่ ๆ ในนิกายต่าง ๆ อยู่
บนจุดสูงสุด
ตั้งแต่เนี้ยหลี่ได้แสดงความสามารถที่น่าตกใจ เขาได้รับความ
สนใจจากคนที่มรี ะดับสูงกว่าเป็นจานวนมาก พวกคนระดับสูง
เหล่านั้นคงจะปกป้องชีวิตของเนี้ยหลี่อย่างสุดความสามารถ
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พวกเขาเป็นกังวล คือนักเรียนที่มี
ความสามารถจนน่าตกใจ จริง ๆ น่าจะประสบเหตุการณ์จาก
การถูกกดขี่อย่างที่พวกเขาคุ้นเคย ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่ยอม
ให้คนที่แข็งแกร่งได้ตัวเขาไป และนั้นจะทาให้ง่ายต่อการ
ควบคุมเขาในอนาคต
ในระหว่างคาบเรียนของอาจารย์ชหิ ลิงได้อธิบายหลายอย่างที่
เกี่ยวกับจิตอสูรเช่นเดียวกับที่เขายอมรับความเข้าใจในเรื่อง
การผสานจิตอสูรของพวกเขา นักเรียนได้รับความรู้มากมาย
จากบทเรียน ไม่นานคาบเรียนก็จบลง
“กลับไปทบทวนสิ่งที่เรียนด้วย ถ้าหากพวกเจ้ามีคาถาม
บางอย่างที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับมัน สามารถมาถามได้ในคาบเรียน
ต่อไป” ผู้อาจารย์ชิหลิงยิ้มเล็กน้อย
“การเรียนการสอนจบลงเท่านี้!”
เนี้ยหลีเ่ ดินออกมากับหลู่เปียว และกู้เบ่ยเดินตามออกมาด้วย
กู้เบ่ยมองไปที่เนีย้ หลี่และกล่าวว่า “เนี้ยหลี่ ข้าได้ยินว่าเจ้า
ขายจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าจานวนมาก?”
กู้เบ่ยหัวเราะ "ถ้าเจ้ามีจิตอสูรธรรมดาที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้าจานวนมาก อย่าปล่อยให้กระแสน้าที่ดีไปสู่พื้นที่
ของคนอื่น (เหมือนกับการทานาอะครับ)ในบรรดาญาติ
บางส่วนของข้า มีผู้ชายบางคนที่เป็นมากกว่าลูกน้อง พวกเขา
นั้นมองหาสิ่งที่ดีจากการเอาชนะใจของคนอื่น มากกว่าที่จะ
มองหาคนใหม่มาแทน อีกด้านหนึง่ มีความเป็นไปได้อื่นๆถ้า
หากมี จิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าหลายร้อย
ตน คงจะก่อผลดีไม่น้อย แน่นอนถ้าหากมี สายเลือดมังกร ที่มี
ที่มีระดับการเติบโตในระดับดีเยี่ยมหรือสูงกว่า เรื่องราคา
แน่นอนว่าไม่ด้อยกว่าหลี่ชิงอวิ๋นเป็นแน่
ตระกูลกู้ มีขนาดใหญ่และอานาจของพวกเขาครอบคลุมไปทุก
ส่วนของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวก
เขาต้องการจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าจานวน
มาก
มีเพียงหลูเ่ ปียวที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขากาลังพูด
เกี่ยวกับอะไร
“ถ้าหากเจ้าสามารถซื้อจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตระดับพระ
เจ้าได้เป็นจานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพวกเราก็สามารถคุย
กันได้?”
เนี่ยหลี่กลับไปยังส่วนที่พักของตนแล้วทาการหลอมจิตอสูรทีม่ ี
ระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าต่อราวกับเสียสติ
หลังจากดูดซับพลังที่เหลือจากจิตอสูร อัตราความสาเร็จในการ
หลอมของหม้ออสูรฝันร้ายก็ดจู ะเพิ่มขึ้นทีละน้อย จากจิตอสูร
หกพันตัว เนี่ยหลีห่ ลอมจนได้จิตอสูรระดับพระเจ้าเกือบร้อยตัว
เนี่ยหลีไ่ ปยังส่วนที่พักของกู้เบ่ยคนเดียวเพื่อส่งมอบจิตอสูร
ระดับพระเจ้าให้เขา เพื่อให้กู้เบ่ยช่วยขายจิตอสูรเหล่านี้ให้
ลูกพี่ลูกน้องของเขา ก่อนที่จะไปหาจิตอสูรสายมังกรมาให้
เนี่ยหลี่
เนี่ยหลี่ออกมาจากส่วนที่พักของกู้เบ่ย จากนั้นใช้จิตอสูรเงา
พรายแปลงเป็นร่างไร้ลักษณ์เพื่อหลบสายตาผู้คน แล้วจึงมุ่ง
หน้าไปตามเส้นทางที่อยู่ในความทรงจา
เขาเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดยาวออกไป ผ่านดงไม้
หนาแน่นไปจนถึงหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง
ดอกท้อบานเต็มต้นท้อข้างเส้นทาง ทาให้ผู้พบเห็นรู้สึกราวกับ
ตนอยู่บนสรวงสวรรค์
มันเป็นภาพเดียวกันกับที่ปรากฎอยู่ในความทรงจาของเนี่ยหลี่
-------
ไม่ใช่ว่าข้าไม่อาจขัดเกลาได้เสียหน่อย ทุกคนมองท่านอย่างเย้ย
หยัน หากข้าแข็งแกร่งพอ ข้าให้พวกมันคุกเข่าต่อหน้าท่านเป็น
การแก้แค้น มันผิดตรงไหน
อาจารย์ของเขาเลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าไร้ที่สุด "วัตถุ
เรื่องราวในโลกหล้า เป็นเพียงเมฆควันผ่านตา แต่ธรรมชาติวัฎ
จักรของน้านั้นไม่มีทสี่ ิ้นสุด หล่อเลีย้ งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง"
--------
แม้แต่ตอนนี้ เนี่ยหลี่ก็ยังไม่เข้าใจสิง่ ที่อาจารย์ของเขาสอน
แม้แต่ในชีวิตใหม่นี้ เขาก็ยังใช้กฎเดิม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือด
ต้องล้างด้วยเลือด แม้ว่าหลังจากทีเ่ มืองกลอรี่พ้นภัยแล้ว เขายัง
มีความแค้นอื่นต้องสะสางอีก จอมมารและจักรพรรดิปราชญ์
ยังไม่ตาย
เขาควรจะดึงให้จอมมารและจักรพรรดิปราชญ์กลับมาเดินถูก
ทางด้วยใจอันเมตตาหรือ? บ้าบอคอแตกทั้งนั้น
ทว่า อาจารย์ดีกับเขาอย่างแท้จริง
แต่เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อคาสั่งเสียของอาจารย์ เขาจึงไม่ได้ฆ่า
ล้างนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์ อยากมากเขาก็แค่สร้างความวุ่นวาย
ไปทั่วและโค่นยอดฝีมือของสานักทุกคนลงเท่านั้นเอง
แม้จะอย่างนั้น แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่ฟื้น
เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปหากระท่อมฟางที่ปลายทางแล้วเคาะประตู
น้าเสียงร่าเริงและคุ้นเคยก็ดังตอบมาว่า "เข้ามา"
เมื่อเนี่ยหลี่ก้าวเข้าไปก็พบกับอาจารย์ของเขานั่งอยู่บนพื้น สี
หน้าของนางเยือกเย็น ไม่มีร่องรอยของความหวั่นไหวแม้แต่นิด
ให้ความรูส้ ึกราวกับไร้ตัวตน ราวกับนางไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ
เนี่ยหลีม่ องอาจารย์ของตน ความรู้สึกนั้นราวนี่เป็นเพียงความ
ฝันประหนึ่งไม่ใช่ความจริง ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจ
หายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า
ทั้งสองมองหน้ากันในขณะที่เนี่ยหลี่กาลังคิดว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
เขายังคงนั่งอยู่อย่างเงียบๆ พลางมองไปที่อาจารย์ของตนเขา
รู้สึกว่า เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ดวงตาใสแจ๋วของอิงเยว่ลู่มองเนีย่ หลี่ ก่อนจะยิม้ บาง "เอาล่ะ
ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า แต่อย่าถามว่าทาไมหรืออย่างไร มันมีบาง
เรื่องที่เจ้าไม่สมควรรู้ ต่อให้เจ้าถาม ข้าก็จะไม่บอก หากเจ้า
จาเป็นต้องรู้ ต่อให้เจ้าไม่ถาม ข้าก็จะบอกให้ฟัง"
เนี่ยหลี่ถึงกับมึนงงพลางจ้องอิงเยว่ลู่ด้วยความตกตะลึง คา
'ศิษย์เนรคุณ' ส่งความคิดของเขากลับไปเมื่อชาติก่อน
ความรูส้ ึกได้พบคนใกล้ชิดและคุ้นเคยพลุ่งขึ้นจนน้าตาแทบเอ่อ
ออกมา
ในชาติก่อน เนี่ยหลี่พบกับเรื่องน่าเศร้ามากมาย จนกระทั่ง
สุดท้ายเขาก็เหลือตัวคนเดียว หัวใจอันทุกข์ทรมานได้รับการ
เยียวยาขึ้นมาบ้างในยามที่ถูกอาจารย์ของตนมองเช่นนี้
อิงเยว่ลู่เผยรอยยิ้มงดงาม "นั่นไม่ชัดเจนเท่ากับที่ข้าคานวณเอง
เมื่อข้าคานวณชะตา จะเห็นเหมือนกับเป็นคนอื่นมอง เจ้าเป็น
คนอยู่ในเหตุการณ์ ผู้ยืนอยู่ด้านข้างย่อมเห็นชัดกว่า" น้าเสียง
ของนางราบเรียบและสงบก่อนจะพูดต่อว่า "ไม่ต้องพูดอะไร
แล้ว ตามที่ข้าคานวณได้ เจ้ากาลังต้องการที่จะเข้าคัดเลือกขึ้น
เป็นเจ้านิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์"
อาจารย์ของเขาราวกับเทพเจ้าจริงๆ มองทะลุความทะเยอทะ
ทานที่มันเก็บไว้ในใจได้ด้วย เมื่อมาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เนี่ยหลี่กเ็ ล็งตาแแหน่งเจ้าสานักเอาไว้แล้ว นั่นเป็นเพราะมีเพียง
ตาแหน่งนี้ ที่จะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครกล้าทา
อันตรายต่ออาจารย์ของเขา
นอกจากการค้นหาทรัพยากรสาหรับฝึกบ่มเพาะพลังแล้ว เนี่ย
หลี่ยังมีความคิดที่จะแสดงพลังอันน่าตกตะลึงต่อสายตา
ชาวโลกด้วย เขาไม่มีเวลามานั่งรอให้คนอื่นตัดหน้าแล้ว เขา
จาเป็นจะต้องวางแผนตั้งแต่ตอนนี้
ผู้ใดกัน
"มันมีเหตุผลที่นางและตระกูลผนึกมังกรต้องการให้ข้า
ตายในชาติก่อน ในสายตาของนาง ข้าเป็นคนที่ฆ่าอาจารย์ของ
นาง และนั่นเป็นเรื่องจริง ข้าเป็นผู้ฆ่าอาจารย์ของพวกเขา" อิง
เยว่ลู่มองไปยังความว่างเปล่าเบื้อหน้าแล้วถอนหายใจ
"เหตุและผลในโลกนี้ซับซ้อนนัก ข้าไม่อาจอธิบายทั้งหมด
ได้ในเวลาสั้นๆ เจ้าเกลียดชังนาง นางเกลียดชังข้า แล้วความ
เกลียดชั้งนี้ก็ขมวดเป็นเงื่อนปมแน่นจนไม่อาจแก้ได้ มีเพียงเจ้า
ที่จะสามารถช่วยให้นางคลี่คลายเงื่อนปมในใจและสลายความ
เกลียดชังที่นางมีต่อข้าได้"
พอได้ฟังคาพดของอิงเยว่ลู่ เนี่ยหลี่ค่อยนึกขึ้นได้ว่าเหตุใดหลงยู่
อินจึงต้องการให้อาจารย์ของเขาตาย ทว่า อยู่ๆ ก็มาบอกให้เขา
ละวางความแค้นลงยังเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
หากเจ้าต้องการให้นางละวางความแค้นที่มีต่อข้า เจ้าต้องละ
วางความแค้นที่มีต่อนางก่อน" อิงเยว่ลู่พูดขณะที่มอง
มายังเนี่ยหลี่ "นี่เป็น 'บริสุทธิ์ดั่งสายนที' ที่ข้าพูดถึง แม้ข้าจะ
อธิบายให้เจ้าฟังมาสองชาติเจ้าก็ยงั ไม่อาจปล่อยวางได้เลยเหรอ
เนี่ยหลีย่ ังอยากจะพูดต่อ "แต่...."
แต่น้าเสียงของอิงเยว่ลู่ราวกับหยาดน้าในฤดูใบไม้ผลอ นั่นช่วย
ให้เนี่ยหลีส่ งบลงได้ "ข้าไม่หวังให้เจ้าเข้าสูส่ ภาวะ 'บริสุทธิ์ดั่ง
สายนที' ทว่า หลงยู่อินไม่อาจทาอันตรายข้าได้แล้ว เหตุใดเจ้า
ไม่ละวางความแค้นลงเล่า
กลายเป็นว่าหลงยู่อินกับอาจารย์ของเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
เนี่ยหลีร่ วบรวมความคิดอีกครั้ง อาจารย์ของเขามีภูมิปญ ั ญา
สูงส่งและสามารถพยากรณ์โชคชะตาได้ ดังนั้น นางย่อมมี
เหตุผลที่ขอให้เนี่ยหลี่ทาเช่นนี้ ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ เนี่ยห
ลี่ศรัทธาในอาจารย์ของเขาอย่างสุดหัวใจ
อิงเยว่ลู่ยิ้มเล็กน้อย "วิชา [พยากรณ์แดนสรวง] จะกลืนกิน
อายุขัยของข้าไปบางส่วนทุกครั้งทีท่ าการพยากรณ์ หากเจ้า
ต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่นานๆ อย่าถามอะไรทั้งนั้น"
ขอรับ" ในหัวเนี่ยหลี่กลายเป็นว่างเปล่าเหม่อมองรอยยิ้มของ
นาง ใชาติก่อน อิงเยว่ลู่ไม่ค่อยยิม้ เท่าไหร่ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่า
อิงเยว่ลู่ตอนนี้เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น ไม่
ว่านางจะกาความลับสวรรค์อะไรไว้ นางก็ยังเป็นเพียงเด็กหญิง
คนหนึ่ง
สีหน้าที่บ่งบอกว่าตัดสินใจได้แล้วของเนี่ยหลี่แว่บผ่านไปบน
ใบหน้า "ถ้าเช่นนั้น โปรดรอจนกว่าข้าจะได้เป็นเจ้าสานักนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ด้วย" มีเพียงตาแหน่งเจ้าสานักนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถปกป้องอาจารย์ของเขาได้
เนี่ยหลี่งอหลังเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นก่อนจะออกไปจากกระท่อม
อิงเยว่ลู่มองเงาหลังของเนี่ยหลี่ก่อนจะทอดถอนใจเล็กน้อย
นางคงจะไม่สามารถรอจนกว่าเนี่ยหลี่จะได้เป็นเจ้าสานักหรอก
นางมองส่งเนี่ยหลีจ่ นกระทั่งเงาหลังของเขาลับไปจึงค่อยละ
สายตา..จบตอน
บทที่ 299 คู่แค้นทางคับแคบ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์มีขั้วอานาจหลายแห่ง ทั้งหมดต่างก็ไม่ลง
รอยและมีการแข่งขันกันและกัน จนในหนึ่งร้อยปีให้หลัง นิกาย
ก็ล่มสลาย เนี่ยหลี่ตั้งใจจะขึ้นเป็นเจ้าสานักนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ในเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อให้ได้อานาจสิทธิขาดมา นั่นจึง
จะสามารถป้องกันไม่ให้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ลม่ สลายได้
การได้นิกายขนนกศักดิ์สิทธิม์ าไว้ในการควบคุมจะเป็นก้าว
แรกในการรวบรวมแนวร่วมที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ
ปราชญ์
ถนนสายนี้มีทางเข้าออกเดียวคือปากหุบเขา
เนี่ยหลีเ่ งยหน้าขึ้นด้วยความงงงัน เขาไม่คดิ เลยว่าจะได้มาพบ
หลงยู่อินที่นี่ นางตามหาอาจารย์ของเขางั้นเหรอ? แต่ก็อีกนั่น
แหละ หลงยู่อินกับอาจารย์ของเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
หลงยู่อินเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเนี่ยหลี่ที่นี่ ขณะมองไปที่
เนี่ยหลี่ นางรูส้ ึกราวกับถูกคนถอดวิญญาณของนางไป นางไม่รู้
จะวางมือไว้ตรงไหนดี หรือจะเข้าไปหาแล้วทักทาย ความจริง
ด้วยนิสัยของนาง นางไม่เคยมองใครด้วยความเคารพมาก่อน
ทว่า จิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเนี่ยหลี่โค่นนาง
ลง
แม้แต่นางยังไม่ทราบว่าเหตุใด นางถึงได้ประหม่าเมื่ออยูต่ ่อ
หน้าเนี่ยหลี่นัก นี่ไม่ใช่ตัวนางเลยจริงๆ
รอบๆ นี้ไม่มีใครอยู่นอกจากทั้งสองคน
ความไม่สบายใจเมื่อไม่รู้จะทาอย่างไรดีในสถานการณ์นี้ ทาให้
นางเริ่มหวั่นใจ
เนี่ยหลีย่ ืนอยู่กับที่พลางจ้องมองมาที่นางก่อนจะพูดว่า "ทาไม
เจ้าถึงมาที่นี่"
แม้ว่าเขาไม่อาจลืมการกระทาอันยากจะรับได้ของหลงยู่อินเมื่อ
ชาติก่อน เขาก็ยังจาคาของอาจารย์ได้ เรื่องทั้งหมด อดีต และ
อนาคต ล้วนเริ่มที่ตัวเขาเอง
ถึงหลงยู่อินในตอนนี้จะเป็นเด็กหยิ่งผยองและเอาแต่ใจไป
หน่อย แต่นางยังไม่ถึงขั้นเลวร้ายจนแก้ไขไม่ได้
เมื่อเขามีโอกาสได้มีชีวิตทีส่ อง เขาย่อมสามารถแก้ไขความแค้น
นี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป
หลงยู่อินพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ข้ามาที่นี่.....เพื่อหาคน"
เนี่ยหลี่แปลกใจ เด็กหญิงที่ยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้าเขานี่ใคร
กัน? ใช่หลงยู่อินที่มีนิสัยยากจะรับได้เมื่อชาติก่อนแน่หรือ?
นางใช่สตรีเอาแต่ใจไร้เหตุผลนั่นแน่หรือ?
ทั้งสองยืนอยู่ในระยะที้างกั
่ นพอสมควร เนี่ยหลี่เห็นว่าระยะ
ขนาดนี้ยากจะคุยกันดีๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไป
หลงยู่อินถึงกับตัวแข็งและก้าวเท้าถอยหลังในทันที นางถาม
ด้วยน้าเสียงสั่นเครือว่า "เจ้าจะทาอะไร
นางถึงกับหน้าร้อนเมื่อคิดถึงสิ่งที่เนี่ยหลี่เคยหยามนางไว้ เขาคง
ไม่คิดจะทาแบบนั้นที่นี่หรอกจริงมัย้ ? ยิ่งในตอนนี้ ที่นี่? ที่นี่มี
เพียงนางและเนีย่ หลีส่ องต่อสอง และนางไม่ใช่คู่มือเนี่ยหลี่เลย
สักนิด แม้แต่ทางด้านพลังกายที่นางภาคภูมิใจ นางก็ยังถูกโค่น
ได้ง่ายๆ เมื่อเผชิญหน้ากับเนี่ยหลี่ นางไม่อาจปลุกปลอบ
ความคิดต่อสู้ขึ้นมาได้เลยจริงๆ
เนี่ยหลี่ถึงกับยืนงง หลงยู่อินกลายเป็นคนขี้อายเช่นนี้ตั้งแต่
เมื่อใด?
นางเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เนี่ยหลี่โค่นนางลงอย่างสมบูรณ์ นาง
ยังคงแข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็น แต่ตอนนี้ อย่างน้อยนางก็ลด
ท่าทางอันเหลือรับนั่นลงไปแล้ว
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฎที่ปากของเนี่ยหลี่ ขณะที่เขามองไปยัง
หลงยู่อินที่กาลังประหม่าอยู่ "เจอต้นตอของปัญหาจนได้ ข้าจะ
ทาให้แน่ใจว่าเจ้าถูกปั้นใหม่!! ข้าจะเปลีย่ นเจ้าให้เป็นคนที่ดีขึ้น
กว่าเดิม"
เนี่ยหลีเ่ ดินเข้าหาหลงยู่อินจนเหลือเพียงก้าวเดียวจะถึงตัว
ความคิดของเขาก็ถูกดึงไปอีกทาง ก่อนหน้านี้ ความโกรธแค้น
และเกลียดชังหลงยู่อินบดบังสายตา แต่คาพูดของอาจารย์ทา
ให้มันสามารถสารวจการกระทาของตัวเองใหม่
แม้ว่าเนี่ยหลี่จะสูงกว่านางเพียงเล็กน้อย แต่ในสายตาของนาง
เนี่ยหลีร่ าวกับภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับจนนางหายใจไม่ออก
หลงยู่อินใจเต้นไม่เป็นส่า นางหอบหายใจรุนแรงพร้อมหน้าอก
ยุบพองอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตารุกรานของเนี่ยหลี่ นางอด
ใช้สองมือปิดหน้าอกมิได้ เสียงของนางสั่นเครือถามว่า
"เจ้า......เจ้าคิดจะทาอะไร?"
หลงยู่อินความจริงแล้วมีใบหน้างดงามทีเดียว เทียบกับอาจารย์
ของเนี่ยหลี่แล้ว นับว่างดงามต่างกันไปคนละแบบ แต่ทั้งคู่ก็ยัง
เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามระดับนางฟ้าทีเดียว ในตอนนี้หลงยู่อิน
สวมชุดรัดรูปแสดงให้เห็นสัดส่วนอันงดงาม
เนี่ยหลี่อดเห็นอาการหงุดหงิดของหลงยู่อินเป็นเรื่องตลกมิได้
สตรีนางนี้หลงตัวเองเกินไป นางคิดว่าเขาจะหน้ามืดทาอะไร
นางงั้นเหรอ? เขาเคยได้ยินว่าผู้หญิงที่หยิ่งทะนงนั้นจะ
แข็งแกร่งแต่เพียงที่แสดงออกเท่านั้น แต่ภายใต้เปลือกนั้นเป็น
คนที่จิตใจอ่อนแอ เขาเคยได้ยินว่าหลงยู่อินถูกเลีย้ งมาโดย
มารดาเพียงคนเดียว ซึ่งแต่งงานอีกครั้งภายหลัง เพราะฉะนั้น
นางจึงมีท่าทางหยาบคายและไร้เหตุผล เพื่อไม่ให้มีใครเข้าใกล้
นางได้
เมื่อมือของเนี่ยหลี่แตะลงบนไหล่ของนาง กล้ามเนื้อทั่วร่างของ
หลงยู่อินพลันแข็งเกร็ง นางประหม่าจนถึงขนาดในหัวขาว
โพลนไม่อาจคิดอะไรได้อีก นี่เป็นเพราะในพื้นที่เปลี่ยวเช่นนี้
เนี่ยหลีจ่ ะยอมปล่อยนางไปหรือ?
หลงยู่อินไม่ได้คิดถึงอิงเยว่ลู่แล้ว นางทาได้เพียงตอบกลับอย่าง
สั่นเครือว่า "อึ้ม"
เนี่ยหลีจ่ ้องนางอยู่อีกครู่หนึ่ง ทาไมวันนี้หลงยู่อินดูว่าง่ายจัง?
นิ้วของนางกลายเป็นสีขาวซีดจากการกาหมดแน่นจนเกินไป
ใบหน้ากลับแดงเถือก ช่วยไม่ได้หากมันจะรูส้ ึกสนุกแปลกๆ
หากเขาคิดจะจับกดนางตรงนี้ นางคงไม่อาจขัดขืนได้จริงมัย้ ?
ความแตกต่างระหว่างหลงยู่อินก่อนหน้ากับหลงยู่อินตอนนีม้ ี
มากเกินไปจนเนี่ยหลี่ขบขัน ทว่าเขาเลิกแกล้งหยอกนางเมื่อ
เห็นว่านางกาลังก้มหน้าจนแทบฝังหัวลงไปในอกของตัวเองแล้ว
เนี่ยหลี่อดหัวเราะในใจไม่ได้ ช่างเป็นลูกแกะที่เชื่องอะไรอย่าง
นี?้ แต่เขาไม่ได้รั้งนางไว้อีก เพื่อให้หลงยู่อินพิจารณาคาพูดของ
เขาก่อน เขาเดินผ่านนางก่อนจะเดินจากไป
แต่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกหยุดด้วยเสียงของหลงยู่อินที่ดัง
ขึ้นมากะทันหัน "ช้าก่อน" นางรู้สึกราวกับว่าต้องใช้พลังทั้งหมด
เพื่อบังคับร่างกายให้กล่าวคานี้ออกมาทีเดียว
ไม่ใช่เจ้าบอกข้าว่าให้ข้าอยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทาได้หรือ.....
เสียงของหลงยู่อินเบาลงทุกคาจนกระทั่งคาสุดท้ายเสียงเบา
เป็นยุง
แต่เนี่ยหลี่ยังได้ยินชัดเจนทุกคาทีเดียว เขายิ้มและกล่าวว่า
"แม้ว่าข้าจะอธิบายเรื่องก่อนหน้านี้ให้ฟังเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่
หลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์ ข้าก็ตดั สินใจที่จะ
ปล่อยวางความเกลียดชังต่อเจ้า หลงยู่อิน ข้ายังหวังว่าเจ้าจะ
สามารถปล่อยวางความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อท่านอาจารย์ของข้า
ได้เหมือนกัน เมื่อถึงเวลานั้น บางทีพวกเราอาจได้เป็นสหายกัน
..."
พวกเราจะมีเรียนในอีกสามวัน ข้าจะรอคาตอบจากเจ้า" เนีย่ ห
ลี่พูดจบ ยิ้ม หมุนตัว และเดินจากไป
หลงยู่อินยังคงงุนงงในขณะที่เงาหลังของเนี่ยหลี่หดเล็กลงตาม
ระยะห่างที่เพิ่มขึ้น เหตุใดเนี่ยหลี่จงึ เกลียดชังนาง? เป็นเพราะ
อิงเยว่ล?ู่ อิงเยว่ลู่กลายเป็นอาจารย์ของเนี่ยหลีไ่ ด้อย่างไร?
ความคิดของหลงยู่อินผสมปนเปกันจนยากจะสงบได้ ร่างกาย
ของนางหายจากอาการแข็งเกร็งเมื่อเนี่ยหลี่จากไปไกล แต่นัง
ยังรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง ราวกับนางถูกสูบพลังงานออกไป
หมด
หลงยู่อินยังยืนอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มเดินไปยัง
กระท่อมของอิงเยว่ลู่อย่างช้าๆ คาพูดของเนี่ยหลี่ทาให้นางต้อง
เริ่มคิด ชะตาของอิงเยว่ลู่อยู่ในมือหลงยู่อิน แต่หลงยู่อิน
ต้องการให้อิงเยว่ลู่ตายจริงๆ งั้นเหรอ?
อย่างที่เนี่ยหลี่พูด อิงเยว่ลู่เป็นคนที่ให้ตัวเองเจ็บดีกว่าให้คนอื่น
เจ็บ
เนี่ยหลี่กลับมาถึงส่วนที่พักของเซี่ยวหยู่
เพื่อนเก่าเซี่ยวหยู่สับสนกับคาพูดนั้น เนี่ยหลี่เพิ่งมาถึงสถาบัน
วิญญาณฟ้าไม่นาน เขาไปมีเพื่อนเก่าตั้งแต่เมื่อไหร่?
หวงอิ้งหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่นางยังคงไม่ปล่อยแขน
เซี่ยวหยู่ ส่วนทางเซี่ยวหยู่นั้นดูจะทาอะไรไม่ได้นอกจากถอน
หายใจ
เมื่อเนี่ยหลี่กลับเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นนางฟ้ายู่หยานลอยอยู่
กลางอากาศระหว่างที่กาลังบ่มเพาะพลัง ทว่า ที่ทาให้เขา
แปลกใจจริงๆ แล้วคือทั่วร่างของนางสามารถส่งเปลวเพลิงสี
ทองออกมาได้ เปลวเพลิงเหล่านี้เผาไหม้อย่างต่อเนื่อง เพิ่ม
อุณหภูมิของห้องขึ้นไปถึงจุดทีส่ ูงจนน่ากลัว
พลังอันมหาศาลอัดอยู่เต็มห้องจนแทบล้น
เนี่ยหลีไ่ ม่เคยมีเรื่องที่ยู่หยานจะไปถึงขั้นชะตาสวรรค์ก่อนเขา
อยู่ในหัวเลย เพราะชะตาสวรรค์ของนางดูจะแตกต่างจากคน
อื่นอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเนี่ยหลี่จึงไม่รวู้ ่านางแข็งแกร่งขนาดไหน
เมื่อไม่มีคนที่สามารถนามาเปรียบเทียบได้
เปลวเพลิงสีทองดุจละลายอากาศในห้องได้เลย
เมื่อเห็นยู่หยานอยู่ระหว่างการฝึก เขาก็ไม่รบกวนหรือขัดขวาง
นาง พอเนี่ยหลี่ก้มลงมองไปรอบๆ ก็เจอจินตาน ม้วนตัวนอน
อยูท่ ี่มุมห้อง กิจวัตรของเจ้าตัวนี้มเี พียงหลับ กิน หลับ และกิน
แต่สิ่งที่ทาให้เนี่ยหลี่งุนงงที่สุดก็คือความจริงที่ว่าจินตานจะ
หลับเป็นเวลานานทุกๆ วันหลังจากกินแล้ว พอมันตื่น มันก็จะ
แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว
เจ้าตัวน้อยนี่เก่งขึ้นด้วยความเร็วทีน่ ่ากลัวมาก
จากห้วงวิญญาณของเขาเนี่ยหลี่บอกได้ว่าลู่เพียว กาลังจะ
ทะลวงชั้นชะตาสวรรค์ได้แล้วหลังจากที่ดูดซับพลังจากศิลาจิต
วิญญาณจานวนมาก ทว่าเนีย่ หลีเ่ องกลับยังไปไม่ถึงหน้าประตู
ของระดับชะตาสวรรค์เลยด้วยซ้า
ตามปกติแล้ว หลังจากดูดซับพลังฟ้าได้มากพอ ระดับพลังของ
เขาควรจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่า พลังสวรรค์ทดี่ ูดซับได้
ส่วนใหญ่ถูกเถาเลื้อยในห้วงวิญญาณดูดกลืนไป เหลือให้เนี่ยหลี่
ใช้ฝึกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่งที่เขาทาได้ตอนนี้มีเพียงตั้งสมาธิกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
ต่อไปเท่านั้น
แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ
แม้ว่าเด็กชุดใหม่จะสร้างความฮือฮาขึ้นในสถาบันวิญญาณฟ้า
แต่ความตื่นเต้นก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปตามเวลา จะอย่างไร การ
ฝึกฝนบ่มเพาะพลังนับเป็นเรื่องสาคัญกว่าสิ่งอื่นใด
หลังจากถูกหลี่ชิงอวิ๋นเตือน ฮัวหลิงก็แสดงให้เห็นว่ามีความ
ยับยั้งชั่งใจมากขึ้น และจมอยู่กับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังมากขึ้น
ด้านมู่หลงหยี่กาลังหงุดหงิดได้ที แม้ว่าความจริงเขาจะสามารถ
สร้างสถิติใหม่ได้ในสนามฝึกซากโบราณสถานแห่งความสะพรึง
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเนี่ยหลี่จะหนีเงือ้ มมือของเขาไปได้ เนี่ยหลี่
คงจะหนีออกจากสนามไปได้ระหว่างที่เขากาลังตามล่าตัวอยู่
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะต้องการสร้างปัญหาให้เนี่ยหลี่เพิม่ แต่เนี่ยหลี่
ไม่เปิดโอกาสให้เขาทาได้เลย
เวลาผ่านไปวันต่อวัน
เนี่ยหลี่หมดศิลาจิตวิญญาณไปกับการบ่มเพาะพลังราว
วันละร้อยถึงสองร้อยก้อน ทว่า ศิลาที่เขาเก็บเอาไว้ในแหวนมิติ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเพราะเนีย่ หลีห่ ลอมวิญญาณอสูรทีม่ ีระดับ
เติบโตในระดับพระเจ้าทุกวัน เขายังทั้งให้กู้เบ่ยขายแทน และ
ทั้งส่งให้หลี่ชิงอวิ๋นเอง ส่วนที่เหลือก็เอาไปขายที่ตลาด
ปริมาณศิลาจิตวิญญาณในแหวนของเนี่ยหลี่เพิ่มขึ้นในอัตราที่
น่ากลัวยิ่ง เนี่ยหลี่ยังคงซื้อจิตอสูรสายเลือดมังกรจานวนมาก
ต่อไป ถึงแม้ว่าทั้งหมดจะมีระดับการเติบโตชั้นสามัญก็ตาม
ยิ่งเนี่ยหลี่ขายวิญญาณอสูรที่มรี ะดับเติบโตในระดับพระเจ้ามาก
เท่าไหร่ หลี่ชิงอวิ๋นก็ยิ่งให้ความสาคัญกับเขามากเท่านั้น หลี่
ชิงอวิ๋นไม่รู้ว่าเนี่ยหลี่ไปเอาวิญญาณอสูรที่มีระดับเติบโตใน
ระดับพระเจ้าเหล่านี้มากจากไหน และไม่คิดจะถามหาคาตอบ
ด้วย จะอย่างไร เมื่อเป็นความลับของอีกฝ่ายก็ไม่มเี หตุผลอะไร
ที่ต้องถาม อีกประการมันจะเป็นปัญหาที่ทาให้การทาธุรกิจ
ร่วมกันเสียหาย
ด้านหูหย่งก็เหมือนถูกข่มขู่กลายๆ เมื่อเนี่ยหลี่มีเส้นสายใกล้ชิด
กับทั้งกู้เบ่ยและหลี่ชิงอวิ๋น
-------
วันนี้มีชั้นเรียนของอาจารย์ชิหลิง และหัวข้อการเรียนก็ยังเป็น
เรื่องพลังกายอยู่
ทุกคนต่างก็มองไปที่เนี่ยหลี่และหลงยู่อิน ในชั่วโมงเรียนครั้ง
ก่อน เนี่ยหลี่และหลงยู่อินสู้กันจนพื้นสนามซ้อมเละเทะไปหมด
ทั้งสองคนคงไม่เป็นแบบคราวที่แล้วหรอกนะ?
เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ทาให้นางดูแข็งแกร่งยากจะผู้ใดต้านทาน
เมื่อรวมกับความงามของนางแล้ว ภาพของนางสามารถทาให้
เด็กชายในชั้นเดินเหม่อจนหน้าคว่าได้แน่นอน ก่อนหน้านี้
ภาพลักษณ์อันเกรี้ยวกราดของนางผลักดันผู้อื่นให้อยู่ห่างนางไว้
แต่ตอนนี้ เป็นความจริงที่นางกาลังพูดด้วยน้าเสียงนุ่มนวล เบา
บางจนคนที่แอบดูอยู่ถึงกับอ้าปากตาค้างจนกรามแทบหลุด
หลงยู่อินยังเป็นแม่เสือสาวที่พวกเขารู้จักอยู่หรือไม่? นี่เป็นใคร
มาสลับตัวไปหรือ?
ไม่ใช่เพียงนักเรียนคนอื่นๆ แม้แต่ลู่เพียวและกู้เบ่ยก็ยังยืนงง
ทุกคนต่างก็ยืนงงเพราะคาตอบของเนี่ยหลี่ สมองไม่อาจ
ประมวลผลได้ทัน นี่มันเกิดอะไรขึน้ ?
นี่ยังเป็นเนี่ยหลี่คนเดิมที่บอกให้หลงยู่อินอยู่ห่างๆ หรือเล่า?
การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไป ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เข้าเรียนสั้นๆ
นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? มันต้องมีเรือ่ งราวเบื้องหลังแน่
ข้าได้กลิ่นแหม่งๆ เนีย่ หลีเ่ จ้าคงไม่ทาอะไรลับหลังนางฟ้าจื่อห
วินกับหนิงเอ๋อใช่มั้ย? ลู่เพียวเค้นคอถามเนี่ยหลี่ แล้วก็ได้รับ
รางวัลอย่างหนักหน่วงจากเนีย่ หลีเ่ ป็นคาตอบ
แม้แต่อาจารย์ชิหลิงก็ยังไม่เข้าใจ ก่อนนี้ทั้งสองคนต่างก็หัวร้อน
ใส่กัน เหตุใดจึงลดท่าทีต่อกันลงเสียเฉยๆ? แต่นี่เป็นเรื่องดี
สาหรับเขา จะอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการให้นักเรียนในชั้นมีข้อ
ขัดแย้งกันเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นเรือ่ งปกติที่นักเรียนระดับ
อัจฉริยะมักจะหยิ่งในศักดิศ์ รีจะท้าชนกัน และเขาก็ไม่อาจห้าม
ได้เด็ดขาดเมื่อเป็นความต้องการของพวกนั้นเองก็ตาม
ใบหน้าของหลงยู่อินขาวซีดเมื่อรับสามหมัดนั้นจนต้องล่าถอย
ไปหลายก้าว นางรู้สึกมึนงงจากสามหมัดนั้น ในใจสั่นไหว อย่าง
นี้เอง ความจริงเนี่ยหลี่แข็งแกร่งกว่านางมาก ก่อนหน้านี้เป็น
เขาออมมือเอาไว้
สีหน้าของหลงยู่อินเริ่มเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบเมื่อนางค่อยๆ
พิจารณาคาแนะนาของเนี่ยหลี่ เมือ่ เข้าใจได้มากขึ้นเล็กน้อย
นางก็เริ่มโจมตีต่อ
เสียงของเนี่ยหลี่กลายเป็นเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น "นี่ นี่ และ
นี่ การตอบสนองของเจ้าช้าเกินไป และมุมโจมตีก็ไม่ถูกต้อง!!
นั่นผิดแล้ว!!"
นักเรียนคนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันเมื่อเห็นหลงยู่อินตื่นเต้นจน
อารมณ์ที่ปรากฎอยูบ่ นใบหน้านั้นดูยินดีจนแทบคลั่ง ผู้หญิงคน
นั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
อาจารย์ชิหลิงมองการซ้อมของทั้งคู่ด้วยความตกตะลึง สิ่งที่
ปรากฎอยู่บนใบหน้าของเขาตอนนี้คือความ "อับอาย" รู้สึกราว
กับว่าไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการฝึกพลังกาย เมื่อเทียบ
กับเนี่ยหลี่
แต่ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความรู้
ด้านพลังกายที่อาจสอนเนี่ยหลี่ได้เลย
เขาทาได้เพียงแกล้งทาเป็นไม่รไู้ ม่เห็นต่อไปเมื่อนักเรียนคนอื่น
ไม่ทราบเรื่อง
จิตใจของหลงยู่อินเต็มไปด้วยความเคารพยกย่องเนี่ยหลี่ ทุก
การโจมตีที่ดูจะสมบูรณ์แบบในสายตาของนาง แต่เนี่ยหลี่กลับ
เห็นว่ามันเต็มไปด้วยช่องว่างรอยโหว่ การชี้แนะของเขามอบ
ปัญญาให้นาง ยิ่งเมื่อนางเป็นพวกเรียนรูไ้ ด้เร็ว เมื่อผ่านการ
ต่อสู้มารอบหนึ่ง นางก็สามารถสัมผัสได้ว่าความเข้าใจในการ
ฝึกฝนของเนี่ยหลี่นั้น สูงเกินกว่านางไปหลายมิติ!!
แต่ในใจของนางยังคงไม่ยอมรับอยู่หน่อยๆ เนี่ยหลี่เป็นศิษย์
ของอิงเยว่ลู่? นั่นไม่ได้หมายความว่าอิงเยว่ลู่ยังเก่งกาจกว่า
เนี่ยหลี่อีกเหรอ?
นางยังคงดูดซับวิชาที่เนี่ยหลี่สอนให้อย่างรวดเร็วราวกับฟองน้า
นางรู้สึกว่าเนี่ยหลีเ่ ป็นเพียงคนเดียวที่สามารถชี้แนะให้นางไป
ถึงระดับที่สูงจนไร้ทสี่ ิ้นสุด
เนี่ยหลี่กเ็ ข้าใจดีว่าสตรีนางนี้นับว่าสามารถสั่งสอนได้เมื่อนางยัง
เด็กอยู่ ไม่มีใครทีส่ ามารถชี้แนะนางได้อย่างเหมาะสม จึงเป็น
เหตุให้นางกลายเป็นคนร้ายกาจไป ทว่า นางจะเคารพคนที่
แข็งแกร่งกว่านาง แม้ว่าจะเป็นคนอื่นอย่าง มู่หลงหยี่ ที่เรียกได้
ว่าแข็งแกร่งกว่านางเช่นกัน แต่กับนางแล้ว นั่นก็เป็นเพียง
เพราะอายุของเขามากกว่า ทว่า เนี่ยหลี่ที่มีอายุเท่ากันกลับ
สามารถโค่นนางลงได้ด้วยพลังกาย นางจึงยอมรับเขา
ไม่ว่าเนีย่ หลี่จะตาหนินางอย่างไร นางก็ยังคงอดทนเงียบๆ
ในขณะที่ทั้งคู่ซ้อมต่อไป นางยิ่งเคารพในตัวเนี่ยหลี่มากขึ้น
เช่นเดียวกันกับที่ศิษย์เคารพในคาสอนของอาจารย์
ไม่นาน ชั้นเรียนก็หมดเวลา
บทที่ 301 ผลตอบแทน
หูหย่งรับรูไ้ ด้ถึงเจตจานงค์ที่จะต่อสู้แผ่อออกมาจากร่างกาย
ของหลงยู่อิน ช่วยไม่ได้ที่หัวใจของเขาจะสั่นด้วยความ
หวาดกลัว
นางพูดเล่นหรือไง? ตัวต่อตัวนะเหรอ? ด้วยความแข็งแกร่งของ
เขา มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากมีหลงยู่อินเป็นคู่ต่อสู้ เขาที่ไม่มี
แต่แต่รากวิญญาณฟ้า ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับนางหล่ะก็...
ในตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่น้อย ในทาง
กลับกันเขายิ่งเกลียดเนี่ยลี่มากยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาไม่อาจที่
จะทาอะไรกับเนี่ยลี่ได้ ปอดของเขาที่เก็บกักความโกรธไว้แทบ
จะระเบิดออกมาก (สานวนจีนจะเป็นปอดระเบิด ของไทย อก
แตกตาย)
หูหย่งตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้านะ
!”
คิ้วของหลงยู่อินกระตุก ขณะที่นางจ้องของหูหย่งด้วยสายตาที่
เย็นชา
“ข้าไม่เคยยอมรับการหมั้นหมายและงานแต่งงาน! ขยะเช่นเจ้า
จะเป็นคู่หมั้นของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะเป็น
คู่หมั้นของข้า ค่อยพูดตอนที่เจ้าเอาชนะข้าได้ก็แล้วกัน !”
ใจของหูหย่งนั้น ช่วยไม่ได้ที่จะสั่นไหวเมื่อเห็นสายตาที่กระหาย
เลือดของหลงยู่อิน การที่นางแสดงออกด้วยท่าทีเช่นนี้ ราวกับ
ว่านางต้องการจะฆ่าเขา เขารูส้ ึกหวาดกลัวเป็นอันมาก!
หูหย่งเขาจึงตัดสินใจ ที่จะไปทาการแก้แค้นกับการคบชู้ของทั้ง
คู่ เนี่ยลี่กับหลงยู่อิน “หลงยู่อิน เจ้าจาไว้ให้ดี ข้าจะทาให้เจ้า
เสียใจที่ทาเช่นนี้กับข้า!”
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกกลัวที่ต้องเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับหลง
ยู่อิน เขาหันหลังกลับและจากไปด้วยความหดหู่ใจ
นางไม่ได้ใส่ใจกับกรณีพิพาทนี้เลยแม้แต่น้อย นางเป็นคนที่ยึด
มั่นกับเส้นทางของการต่อสู้ ความสามารถของนางนั้นก็เป็นเป็น
ที่เข้าตายิ่งนัก อย่างน้อยก่อนที่นางจะได้พบกับเนีย่ ลี่ ก่อนหน้า
นั้นไม่มีคนทีร่ ุ่นราวคราวเดียวกันทีส่ ามารถยืนหยัดอยู่ตรงหน้า
นางได้
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นจานวนศิลาจิตวิญญาณ จานวนมากเท่ากับที่ทะเลสาป
แห่งเทพระดับต่า ที่ใช้เวลาในการผลิตถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว
ถ้าหากว่า หูหย่ง จินหยาน และ ฮัวหลิง รู้ว่าเนี่ยลี่ มีศลิ าจิต
วิญญาณจานวนมาก ซุกซ่อนไว้ในแหวนห้วงมิติของเขา พวก
เขาอาจจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความริษยาเป็นแน่
จากนั้นเขาก็ตระตุ้นให้หม้อจิตอสูรแห่งฝันร้ายทางาน จิตอสูร
ทั้งสิบก็เริ่มค่อย ๆ กลืนกินกันและกัน
เมื่อจิตอสูรสายเลือดมังกรสองตัวรวมกัน พวกมันจะระเบิด
พลังงานที่เหมือนกับเปลวไฟออกมา
แต่ถึงจะไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้ กระบวนการหลอมก็ทาได้
เรียบร้อยดี
เนี่ยลี่นาจิตอสูรสายเลือดมังกร ทีท่ าการหลอมรวมเรียบร้อย
แล้วออกมา ในตอนนี้มันกลายเป็นจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่มี
ระดับการเติบโตในระดับ ดี เมื่อเทียบกับ จิตอสูรทีม่ ีระดับการ
เติบโตในระดับธรรมดาแล้ว ราคาของมันก็นับว่าสูงกว่ามาก
การหลอมรวมสาเร็จ
!
การหลอมรวมสาเร็จ
!
การหลอมรวมล้มเหลว
!
หลังจากการคานวนอย่างรวดเร็ว เนี่ยลีส่ ามารถระบุได้วา่ หม้อ
จิตอสูรฝันร้าย มีอัตราการล้มเหลวอยู่ที่ หนึ่งในสิบ นับว่า
อัตราความสาเร็จสูงกว่าแต่ก่อน
เนี่ยลี่ยังคงกระทาตามขั้นตอนซ้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น
ประมาณ ห้าสิบรอบ หม้อจิตอสูรฝันร้ายจู่ ๆก็เปร่งแสง
เรืองรอง ที่สว่างจนเห็นได้ชัด เนี่ยลี่ถึงกับต้องหรี่ตาของเขา มี
พลังอันน่ากลัวถูกกักอยู่ในนั้น
อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่แสงเรืองรองแค่ครู่เดียวจากนั้น
ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
คลื่นความเงางามหมุนวนอยูด่ ้านล่างของ หม้อจิตอสูรฝันร้าย
ความอยากรู้อยากเห็นตระตุ้นให้เนี่ยลี่สนใจเป็นอย่างมา นี่มัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
?
เขานาเอาจิตอสูรสายเลือดมังกร ที่ยังคงเหลืออยู่ใน หม้อจิต
อสูรฝันร้าย ออกมา เขารู้สึกแปลก ๆ กับมัน จิตอสูรตัวนี้ยัง
ห่างไกลจากคาว่าแข็งแกร่ง แต่เมือ่ เทียบกับจิตอสูรสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโต ในระดับ ดี มันมีการกลายพันธุ์
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทาการหลอมรวม
แต่หลังจากที่มีการเลื่อนระดับ ความแข็งแกร่งของระดับการ
เติบโตนั้นจะสูงมาก และสูงกว่าจิตอสูรที่มรี ะดับการเติบโตต่า
กว่า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีจติ อสูรระดับชะตาสวรรค์ สองตัว
หนึ่งในนั้นมีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า จะมีความ
แข็งแกร่งนับสิบเท่าของจิตอสูรอีกตัวที่มีนะดับการเติบโตใน
ระดับธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ลักษณะของจิตอสูรนั้นไม่ได้เจริญเติบโตตาม
ระดับทีส่ ูงกว่า ในบางครั้งจิตอสูรนั้นก็เกิดการกลายพันธุ์ขึ้น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ความแข็งแกร่งของจิตอสูรตัวนั้น
จะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก
โดยปกติแล้วจะมีความเป็นไปได้ทจี่ ิตอสูรนั้นจะมีการกลาย
พันธุ์ เมื่อมีการเลื่อนระดับที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จิตอสูรตนนีม้ ี
การกลายพันธุ์ในระหว่างขั้นตอนการหลอมรวมแทน นั่นทาให้
ราคาของจิตอสูรดังกล่าว พุ่งสูงขึ้นนับสิบเท่า
เนี่ยลีไ่ ม่รู้วา่ จิตอสูรตนนีไ้ ด้มีการกลายพันธุ์ด้วยตัวของมันเอง
หรือได้รับอิทธิพลจาก หม้อจิตอสูรฝันร้ายกันแน่ แต่ไม่ส่าจะ
เป็นเพราะเหตุใด นั่นก็ถือว่าเป็นข่าวดีของเขา
เนี่ยลี่ยังคงทาการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป มันไม่ได้มีการกลาย
พันธุ์ในครั้งที่สอง แต่ในครั้งที่สามนั้น อสูรสายเลือดมังกรก็เกิด
การกลายพันธุ์อีกครั้ง ในตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าต้องเกิดจาก
อิทธิพลของหม้อจิตอสูรฝันร้ายเป็นแน่!
เนี่ยลี่ทาการหลอมรวมซ้าอีกรอบโดยใช้ จิตอสูรอสูรสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับดี ที่ได้มาใหม่ เขาทาการ
ทดสอบโดยใส่ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกรเก้าตน กับจิตอสูรที่มี
การกลายพันธุ์อีกหนึ่งตน
หลังจากนั้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เกิดเสียงระเบิดขึ้นภายใน
หม้อจิตอสูรฝันร้ายทั้งสิบได้สลายไป แปลว่าการหลอมรวมนั้น
ล้มเหลว
เนี่ยลี่ยังคงหลอมรวมจิตอสูรอย่างต่อเนื่อง และหาวิธีที่จะ
หลอมรวมให้ดีที่สดุ เขาสัมผัสได้ถงึ กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมา
จากหม้อจิตอสูรฝันร้าย ซึ่งมันแข็งแกร่งเป็นอันมาก ทันใดนั้น
หม้อจิตอสูรฝันร้าย ก็เปร่งแสงวูบวาปออกมา และลวดลายปีก
มังกรก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดูเหมือนว่าหม้อจิตอสูรฝันร้าย จะมีการเลื่อนระดับสูงขึ้นกว่า
เมื่อตอนก่อนหน้านี้
เป็นไปได้ว่ามันจะได้รับคุณสมบัติใหม่ ๆหลังจากที่ได้มีการ
เลื่อนระดับ เนี่ยลี่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ยังมีความลับอยู่อีก
มากมายที่ซ่อนอยูส่ าหรับหม้อจิตอสูรฝันร้าย แต่ถึงอย่างไร
เนี่ยลี่ก็ยังคงต้องทาการหลอมรวมจิตอสูรต่อไป ถ้าหากว่าเขา
อยากจะเรียนรูเ้ กี่ยวกับมันให้มากกว่านี้
อัตราการหลอมรวมสาเร็จของหม้อจิตอสูรฝันร้าย ดูเหมือนว่า
จะสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าจิตอสูรทีม่ ีระดับการเติบโตระดับดีเยี่ยมนั้นก็ยังคงไม่
เพียงพอ เนี่ยลี่ ต้องทาการหลอมรวมอีกครั้ง สุดท้าย เขาก็
ได้รับ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์ จานวน ยีส่ ิบเอ็ดตน และมีสามตนที่มีการกลายพันธุ์
เนี่ยลี่นั้นมีโอกาสเพียงแค่สองครั้ง ถ้าหากเขาต้องการที่จะทา
การหลอมรวมจิตอสูรที่เขามีต่อ
เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันจะสาเร็จหรือว่าล้มเหลว หลังจากการ
หลอม ถ้าหากว่าเขาล้มเหลว เรียกได้ว่าจะเป็นการสูญเสีย
อย่างมหาศาล แต่ถ้าหากเขาได้รับ จิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า เขาก็จะเก็บไว้สาหรับ
ตัวเองแน่นอน และหากเขาทาการขายจิตอสูรที่มีการเติบโตใน
ระดับดังกล่าว แน่นอนว่าจะต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นแน่นอน
และอาจจะดึงดูดสายตาของขโมย ให้มาขโมยสินค้าของเขาก็
เป็นได้
และถ้าหากเนี่ยลี่ทาการผสานเข้ากับได้รับ จิตอสูรอสูร
สายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า ก็แน่นอน
ว่าจะทาให้เกิดการตื่นตระหนกเป็นอย่างมากแน่นอน
สุดยอดอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณฟ้าระดับแปด ผสานเข้ากับ
ได้รับจิตอสูรอสูรสายเลือดมังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า หากข่าวดังกล่าวรั่วไหลออกมา ไม่ใช่แค่เพียงเหล่า
ระดับสูงในสถาบันวิญญาณฟ้า แต่รวมไปถึงพวกระดับสูงใน
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตกตะลึงเป็นแน่ นิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องปกป้องรักษาอัจฉริยะผู้นั้น ราวกับบุคคล
สาคัญแน่นอน
และแผนการณ์ของเนี่ยลี่กจ็ ะก้าวไปอย่างราบรื่นอีกขั้นหนึ่ง
!
เนี่ยลี่ครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะลองหลอมจิต
อสูรดู
แม้ว่าความเสี่ยงจะสูง แต่ผลตอบแทนนั้นสูงยิ่งกว่า
เนี่ยลี่ทาการกระตุ้นหม้อจิตอสูรฝันร้ายทันที ใจของเขาเต้นรัว
เป็นจังหวะ ที่ไม่อาจจะควบคุมได้ ถ้าหากเขาพลาด เท่ากับว่า
เขาเสียศิลาจิตวิญญาณไปนับหมื่นก้อนโดยที่ไม่ได้อะไร
กลับมา แม้ว่าเนี่ยลี่ จะหาศิลาจิตวิญญาณจานวนมากได้ จาก
การขาย จิตอสูรอสูรสายเลือดธรรมดา ที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้า แต่สาหรับพวกเขาแล้วตลาดก็มีความต้องการที่
จากัดอยู่ดี
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเสีย่ ง!
เนี่ยลี่ ตั้งอกตั้งใจใส่จติ อสูรทั้งสิบดวงลงไปในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ภายใต้การควบคุมของเขา จิตอสูรที่กลายพันธุ์ค่อยๆเริม่
กลืนกินจิตอสูรตนอื่น
หนึ่งตน สองตน...
เนี่ยลีส่ ัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ภายในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย มันเป็นสัญญาณของความล้มเหลว
จิตอสูรสายเลือดมังกรทั้งสองตน ที่ยังอยู่ในหม้อนั้นแข็งแกร่ง
เป็นอย่างมาก ไม่มีตนไหนที่สามารถกลืนกินอีกตนได้ แต่ถึง
อย่างไรมันก็เริ่มที่จะหลอมรวมกัน หากเป็นพลังงานที่คาดไม่ถึง
มันก็จะเกิดการระเบิดขึ้น และจิตอสูรทั้งสองตนก็จะสลายไป
จนไม่มีอะไรเหลือ
เถาวัลย์ที่อยู่ในร่างกายของเขา ถูกดึงให้ลงไปในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ในขณะทีม่ ันปลดปล่อยพลังงานสวรรค์ออกมา
จิตอสูรทั้งสองตนที่ใกล้จะระเบิดแล้วค่อย ๆมีการเปลี่ยนแปลง
เล็กน้อยมันค่อย ๆ ที่จะหลอมรวมกัน ทีละนิด ด้วยการห้าม
ปรามด้วยพลังงานสวรรค์ของเนี่ยลี่ จิตอสูรทั้งสองตนนั้น
ค่อยๆสงบลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม จิตอสูรทั้งสองตนแข็งแกร่งมากจนเกินไป
ในขณะที่มันยังคงหลอมรวม และกลืนกินกันอยู่นั้น ก็ก่อกาเนิด
พลังงานอันบ้าคลั่ง ถ้าหากเนี่ยลี่กระทาด้วยตนเอง พลังงาน
สวรรค์ของเขา มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะห้ามปรามจิตอสูร
เหล่านั้น ถ้าหากเถาวัลย์ในตัวของเนี่ยลี่นั้น ไม่ได้ปล่อยพลังงาน
สวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาคงถูกสูบพลังงานไปจนแห้ง
เหือดนานแล้ว
*ตูม!* *ตูม!*
หัวใจของเนี่ยลี่นั้นกระโดดเต้นโครมคราม มีเสียงดังสะทอ้น
ออกมาจาก หม้อจิตอสูรฝันร้าย
เนี่ยลี่ รูส้ ึกหน้ามืดเล็กน้อย จิตสานึกของเขาเริ่มที่จะเลือนลาง
เป็นผลข้างเคียงของการปลดปล่อยพลังงานสวรรค์ออกมาก
เกินไป
ดูเหมือนว่าการฝืนบังคับให้หลอมรวมจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
สาหรับเขาในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจิตอสูรที่มีอตั ราการ
เติบโตในระดับสูง อย่างไรก็ตามการหลอมรวมนีม้ ีอัตราการ
สาเร็จที่ต่าอยู่แล้ว
圣
เสิ่น แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์
血
เซว่ แปลว่า เลือด สายเลือด
翼
อวี้ ถ้าแปลตรง ๆจะแปลว่า ปีก แต่ความหมายแฝงสามารถ
แปลได้ว่า พวก จาพวก หมวดหมู่ ได้ด้วยเช่นกัน
蛟
เจียว มังกรที่มีเกล็ด ส่วนใหญ่มักจะใช้เรียกมังกรน้า และที่
สาคัญ มังกรประเภทนี้ จะไม่ค่อยมีปีก แต่ก็สามารถบินได้
เหมือนกับมังกรจีนทั่วๆไป]
หม้อจิตอสูรฝันร้าย เป็นสมบัติลึกลับที่มีประวัติยาวนาน
เนี่ยลีร่ ับรูไ้ ด้ว่า มีกลิ่นอายที่ทรงอานาจหมุนวนอยู่ภายในหม้อ
จิตอสูรฝันร้าย มีอานาจเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาได้รับมาในชีวิตที่
แล้วของเขา นอกจากนี้หม้อใบนี้ยงั มีเจตจานงค์ทลี่ ึกลับจนเกิน
จะหยั่งถึง แต่จากที่เขาสัมผัสได้ ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่ก็
ถึงกลับพลุ้งพล่านขึ้นมา
ผู้ใดกันที่อยู่เบื้องหลังของการคงอยู่ของหม้อจิตอสูรฝันร้าย? ไม่
ว่าเขาจะเป็นผู้ใดก็ตาม? เขา หรือ นาง ผู้นั้น ต้องเป็นยอดฝีมือ
ที่ยิ่งใหญ่นัก ถึงจะสร้างของสิ่งนี้ขนึ้ มาได้
พลังงานสวรรค์ของเขายังคงถูกดูดซับออกไปอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าเถาวัลย์ในขอบเขตวิญญาณของเขา จะช่วยเสริมพลัง
สวรรค์ให้กับเขาแล้วก็ตาม ขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่ ยังคงถูก
ดูดไปเสียจนเหือดแห้ง
อีกไม่นานเขาคงจะสูญเสียการควบคุมจิตอสูรทั้งสองตนเป็นแน่
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงต่อต้านไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย ๆ
จะเขาต้องทาให้สาเร็จ!
อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!
เขากาลังจะล้มเหลวเช่นนั้นเหรอ?
เนี่ยลี่ทาการกระตุ้นหม้อจิตอสูรฝันร้าย ทันใดนั้นเขาก็เกิด
ประกายความคิดขึ้นมา
บางทีเขาอาจจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย แล้วก็เป็นได้
?
เนี่ยลีไ่ ด้ แทรกซึมจิตของเขาเข้าไปภายในหม้อจิตอสูรฝัน
ร้าย ทันใดนั้นก็เกิดการเปลีย่ นแปลงอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น
รอบ ๆ ตัวเขา เขาสัมผัสได้ว่าในหม้อจิตอสูรฝันร้าย นั้นเป็น
พื้นที่ขนาดใหญ่ ที่มีพลังงานสวรรค์อย่างไร้ขีดจากัด มันราวกับ
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่เลยทีเดียว
เนี่ยลี่นั่งสงบอยู่ในห้วงความคิดของเขา เขานั่งเงียบและเริ่ม
ท่องส่วนแรกของบทสวด ของเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถี
ฟ้า] บังเกิดแสงศักดิส์ ิทธิ์หมุนวนรอบ ๆ กายเขา และหมุนวน
ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง
‘มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในเส้นทางแห่งฟ้าและดิน
การเปลี่ยนแปลงที่ยอดเยี่ยมนี้บังเกิดขึ้นระหว่างชีวิตที่แล้วของ
เขากับชีวิตนี้ นี่คงจะเป็น [วิถีแห่งความผันแปร] ที่ถูกกล่าวถึง
ในเทคนิคการบ่มเพาะพลัง [เทพวิถีฟ้า]’
เนี่ยลี่นั้น ได้รู้แจ้งอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อเทียบกับชีวิตก่อน
หน้าของเขา มันแตกต่างกันเป็นอย่างมากในการบ่มเพาะพลัง
ของเขา
นี่นับเป็นโอกาสอันดี เขาอาจจะข้ามผ่านไปก็เป็นได้
?
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา เขามักจะพบกับสิ่งเลวร้าย
มากมาย มากเสียยิ่งกว่าที่กาลังเผชิญในการบ่มเพาะพลัง
ในตอนนี้เสียอีก
เนี่ยลี่ยังคงขัดเกลาชะตาวิญญาณของเขา แม้ว่าจะเป็นการ
กระทาที่ทาให้เขาได้รับความเจ็บปวดยิ่งนัก เนี่ยลี่ยังคง
ประคับประคองให้จิตของเขาสงบลง
เขาหมุนวนเส้ยใยพลังงานสวรรค์ของเขาลงไปนับสิบล้านเส้น
เพื่อสนับสนุนชะตาวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเสียง
ฟุ่บ การก่อรูปชะตาวิญญาณสีแดงชาดของเขาสาเร็จแล้ว
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะสามารถค้นพบวิธีการที่จะ
ช่วยให้เขาก้าวข้ามประตูและสามารถก่อรูปชะตาวิญญาณดวง
แรกได้สาเร็จ ในที่สุดเขาก็ได้บรรลุ ระดับ ชะตาสวรรค์ชั้นที่
หนึ่ง
แต่ทาไมชะตาวิญญาณของเขาถึงได้มีสีแดงชาด
?
เนี่ยลี่พิจารณาดูก็เจอแต่ความว่างเปล่าในตอนนี้ โดยปกติแล้ว
ชะตาวิญญาณนั้นจะไร้สี ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ชะตา
วิญญาณของเขา ก็ไร้สีเช่นกัน แต่ทาไม ในชีวิตนี้ ชะตา
วิญญาณของเขาถึงได้มสี ีแดงชาดหล่ะ?
แต่ถึงอย่างไร เนี่ยลี่เองก็ไม่ได้มีเวลาเพื่อที่จะขบคิดเรื่องของมัน
ผู้คนส่วนใหญ่นั้น คิดว่าเป็นเรื่องทีง่ ่ายหลังจากที่ได้ทาการก่อ
รูปชะตาวิญญาณดวงแรกได้สาเร็จ เนื่องจากประสบการณ์ของ
การก่อรูปชะตาวิญญาณ ที่เป็นความเจ็บปวดเลือดตาแทบ
กระเด็น บางทีสมองของเขาก็แทบจะฉีกขาด
เนี่ยลี่นั้นรู้สึกสนุกกับการควบคุมให้ชะตาวิญญาณดูดซับ
พลังงานสวรรค์จานวนมาก ชะตาวิญญาณสีชาดของเขาค่อยๆ
ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ผ่านไปไม่นาน ขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นเป็น
สามเท่า
เขาก่อรูปชะตาวิญญาณดวงแรกสาเร็จแล้ว และสามารถสร้าง
ชะตาวิญญาณ ระดับสูงสุดของ ขัน้ ที่หนึ่งแล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่
เพียงการก่อรูป เมื่อเทียบกับคนอืน่ ๆแล้ว เขาใช้เวลามากกว่า
หลายเดือนในการบ่มเพาะพลัง!
มิหนาซ้ายังเป็นชะตาวิญญาณสีชาด เนี่ยลีไ่ ม่เคยคิดมาก่อนเลย
ว่ามันจะสามารถก่อรูปขึ้นมาได้อย่างเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม
เขาสัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าปกติเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบ
กับชะตาวิญญาณทีไ่ ร้ส!ี
เมื่อถูกห้ามปรามโดยพลังงานสวรรค์ของเนี่ยลี่ จิตอสูร
สายเลือดมังกรทั้งสองตน ก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้สาเร็จ
ทันทีทันใดนั้น ก็เกิดเปลวไฟลุกโชติช่วงออกมาจากด้านล่าง
ของ หม้อจิตอสูรฝันร้าย ผ่านไปไม่นาน แสงนั้นก็ค่อย ๆลดลง
สาหรับจิตอสูรที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้านั้น เขา
ตั้งใจจะเก็บไว้ให้กับเพื่อนๆของเขา ถ้าหากเขานาของพวกนั้น
ออกมาขาย มันจะกลายเป็นสาเหตุของความวุ่นวายเป็นแน่
เนี่ยลี่นาจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตระดับพระ
เจ้าออกมาจาก หม้อจิตอสูรฝันร้าย
นี่คือ มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์มังกร
ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์
เมื่อเติบโตแล้วก็เปรียบได้ดังกับ ยอดฝีมือที่อยู่ใน ระดับ เทพ
สงคราม บางสายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกัน และความแข็งแกร่ง
นั้นก็ต่างออกไปเช่นกัน มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ของเนี่ยลี่นั้น
ได้ผา่ นการหลอมรวมมา
แน่นอนว่าต้องไม่ใช่สายพันธุ์ธรรมดาเป็นแน่ โดยปกติแล้ว
มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ จะมีเกล็ดเป็นสีแดงชาด แต่ตัวที่
เนี่ยลี่ หลอมขึ้นมาสีเกล็ดเป็นสีทอง
นอกจากนี้ยังมีหนามแหลมงอกออกมาทั่วร่างกาย นั่นทาให้มัน
ดูดุร้ายยิ่งกว่า มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ทั่วไป ด้วยลักษณะ
เด่นที่แข็งแกร่งทั้งสองจุดนี้ จึงมีคลื่นพลังงานแผ่ออกมาจาก
ร่างกายของมันเป็นจานวนมาก
มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นจิตอสูรที่มีความสามารถในการ
บินได้อีกด้วย นอกเหนือจากการมีร่างกายที่แข็งแกร่งแล้ว มัน
ยังสามารถพ่นลมหายใจมังกรออกมาได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น
สิ่งมีชีวิตที่ดารงอยูต่ รงจุดสูงสุดเลยก็ว่าได้ หลังจากผ่านมาเนิน
นาน เนี่ยลี่กไ็ ด้ผสานร่างกับจิตอสูรตนที่สามเสียที!
เนี่ยลี่นั้น เลือกจิตอสูรด้วยความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่
เขาผสานเข้ากับ จิตอสูรเงาพราย และแพนด้าเขี้ยวอสูรแล้ว
เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะผสานกับจิตอสูรระดับธรรมดาอีก
ต่อไป มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ นี้ทาให้เขารู้สึกพอใจมาก
เป็นพิเศษ
มันคือมังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ที่มีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้า
!
ในตอนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพและลมหายใจมังกร
เนี่ยลี่ สามารถท้าทายศัตรูที่มีระดับสูงกว่าเขาได้อย่างไม่
ยากเย็น แต่ถึงอย่างไร มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ ยังมี
กระบวนท่าที่แข็งแกร่งอยู่อีกมากมายนัก ซึ่งเนี่ยลี่จะต้องค่อยๆ
ใช้เวลาในการทาความเข้าใจ
ถ้าหากมีใครรู้ว่าเนี่ยลี่ได้ผสานเข้ากับ มังกรวารีสายเลือด
บริสุทธิ์ ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้า และยังเป็น
ประเภทที่กลายพันธุ์อีกด้วย พวกเขาอาจจะเป็นบ้าด้วยความ
ริษยาเป็นแน่!
เนี่ยลีส่ ูดลมปรานยาว ๆด้วยปากของเขา เขาเผยรอยยิ้มออกมา
เล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ก้าวหน้าไปอีกขั้น ต่อไปเขาก็ต้อง
พยายามทาความเข้าใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของ มังกรวารี
สายเลือดบริสุทธิ์ เนี่ยลี่ยังไม่อาจทีจ่ ะทดสอบความสามารถใน
การต่อสูไ้ ด้ในตอนนี้
มังกรวารีสายเลือดบริสุทธิ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดมหึมาสูง
6-7 เมตร!
เนี่ยลี่นั้นมีสมบัติเพิ่มขึ้นนับทวีคณ
ู จากศิลาจิตวิญญาณ สาม
หมื่นก้อน เป็น ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อน นอกจากนี้เขายัง
หลอมรวม จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตระดับ
พระเจ้าได้อีก 3 ตน
เนื่องจากพวกเขามีศิลาจิตวิญญาณจานวนมาก ทาให้การบ่ม
เพาะพลังของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วแม้แต่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เห็นสมบัติของเนี่ยลี่แล้วคงต้องตื่นตะลึง
เป็นแน่
นอกเหนือจากผู้อาวุโสบางคนแล้ว ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนที่จะมี
ศิลาจิตวิญญาณเป็นจานวนมาก แค่ผู้อาวุโสบางคนครอบครอง
ศิลาจิตวิญญาณสักพันก้อน นั่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถึงแม้ว่า
นิกายขนนกศักดิศิทธิ์จะครอบครองทะเลสาบแห่งเทพหลาย
แห่ง
แต่พวกเขาก็ต้องการการจัดแบ่งให้เหล่ายอดฝีมือในนิกาย
นาไปใช้ในการบ่มเพาะพลัง เมื่อต้องใช้ร่วมกันแล้ว มันก็ไม่ได้มี
จานวนมากมายอะไรเลย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกู้เบ่ย ได้ช่วยเนี่ยลี่ในการขายจิตอสูร
สายเลือดมังกร ในปริมาณที่น่าตกใจอย่างต่อเนื่อง สาวกหลาย
คนของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ต้องนาศิลาจิตวิญญาณของพวก
เขามาแลกกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรของเนี่ยลี่
ศิลาจิตวิญญาณที่มีอยู่ในมือของเหล่าสาวก จึงย้ายเข้ามาอยู่ใน
มือของเนี่ยลี่แทน มันจึงกลายเป็นสมบัตสิ ่วนตัวของเขา นั่นคือ
เหตุผลที่ว่าทาไมเขาถึงได้ร่ารวยถึงเพียงนี้
บทที่ 304 หนิงเอ๋อมาเยือน
แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังคงซ่อนเร้นกลิ่นอายพลังของเขา
เพื่อที่จะไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเขานั้นได้ ก้าวเข้าสู่ระดับชะตาสวรรค์
แล้ว ในช่วงนี้ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสงบเงียบ และเนีย่ ลี่เองก็
ไม่ได้ต้องการที่จะทาลายความสงบที่เป็นอยู่ใน
เนี่ยลี่ยังคงฝึกอยู่ในลานกว้างบริเวณที่พักของเซี่ยวหยู่ จากนั้น
กู้เบ่ยก็ได้วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ที่ห้องโถงใหญ่ของสถาบันวิญญาณฟ้า คึกคักเป็นอย่างมาก มี
ผู้คนชะโงกหัวมอง เนี่ยลี่และพวกของเขาไม่สามารถที่จะ
แทรกผ่านไปได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
หลังจากที่พวกเขาได้ยินมาว่าคนที่มาจากสานักเสียงสวรรค์
และ สานักอัคคีมาถึงที่นี่แล้ว ศิษย์จากเขตต่าง ๆ ของสถาบัน
วิญญาณฟ้าก็มารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นว่ามี
ผู้ใดที่มากันบ้าง
กู้เบ่ยมีวิธีที่จะฝ่าฝูงชนเข้าไปเพื่อให้มองเห็นได้ชัดๆ เขานาเนี่ย
ลี่และลู่เพียวไปยังห้องโถงด้านข้าง เมื่อทหารยามเห็นว่าเป็นกู้
เบ่ย ก็ปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปได้
กู้เบ่ยยิ้มและอธิบายให้ทั้งสองนฟังว่า “คนที่รวมตัวกันอยู่ด้าน
นอกจะเป็นพวกลูกศิษย์ทั่ว ๆไป แต่เหล่าอัจฉริยะที่ได้รับการ
ยอมรับ รวมถึงพวกลูกหลานจากตระกูลหลังของนิกายขนนก
ศักดิ์สืทธิ์จะมารวมตัวกันในห้องนี้”
ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ในห้องนี้มีคนอยู่เพียงแค่ไม่กรี่ ้อยคนเท่านั้น
กู้เบ่ยกระซิบด้วยเสียงเบา ๆว่า “ในทุกครั้งที่นิกายต่างๆมา
ปรึกษาหารือกัน เหล่าลูกหลานของคนในนิกายเหล่านั้นรวมถึง
เหล่าอัจฉริยะจะออกมาประมูลสมบัติลาค่ ้ ากัน จิตอสูรที่มี
ระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ทั้ง 20 ตัว ที่เจ้าให้ข้าเอามา
ขาย ทุกคนต้องสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลเป็นแน่
หลังจากจบคาพูดของกู้เบ่ย เนี่ยลีถ่ ึงกับอดยิ้มไม่ได้ มันแน่นอน
อยู่แล้ว จิตอสูรสายเลือดมังกรทีมรี ะดับการเติบโตระดับ
มหัศจรรย์ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะขายได้ยาก อย่างแรกคือหา
ผู้ซื้อได้ยาก และอย่างที่สอง พวกมันดึงดูดความสนใจจากคน
รอบข้างมากเกินไป อย่างไรก็ตาม หากพวกเขานาออกมา
ประมูลมันต้องดึงดูดความสนใจไม่น้อยแน่นอน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เนี่ยลี่ก็ยังไม่ได้มีความสนใจที่จะประมูล
ของในตอนนี้ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อมองหาคนสอง
คน เขาสงสัยว่า จื้ออวิ้นกับหนิงเอ๋อ ได้เดินทางมาหรือไม่
ในห้องโถงด้านข้างเหล่าอัจฉริยะและลูกหลานของตระกูลหลัก
ในนิกายต่าง ๆ กาลังทาการทักทายซึ่งกันและกัน
ในมุมของห้องโถงด้านข้าง มีเงาของคนที่นั่งสงบอยู่มีความ
งดงามเป็นอย่างยิ่ง ความงดงามของนางนั้นดูเรียบง่ายแต่สง่า
งาม ราวกับดอกบัวที่เพิ่งจะผลิบานออกมาเหนือบ่อน้า นางนั้น
ดึงดูดสายตาของเหล่าศิษย์ที่อยูโ่ ดยรอบเป็นอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้
ที่พวกเขาถึงกับทอดถอนหายใจเมือ่ ได้เห็นความงดงามดังกล่าว
เซี่ยวหนิงเอ๋อส่ายหน้าขณะที่นางหันไปมองดูรอบ ๆ เพื่อมอง
หาร่างของเนี่ยลี่ “ข้าก็ไม่รู้ทั้งสองคนนั่นอยู่ที่ไหน”
หลังจากที่ เอียจื้ออวิ้น เซี่ยวหนิงเอ๋อ และ เซี่ยวซุ่ย ได้เดินทาง
จากโลกใบเล็กมาถึง สานักเสียงสวรรค์ เอียจื้ออวิ้นและเซี่ยวห
นิงเอ๋อ ได้แสดงความสามารถที่น่าตกใจ ทาให้พวกเขาทั้งสอง
คนถูกขนานนามว่า ‘ฝาแฝดราศีเมถุน’ ของห้องเรียนใหม่เลย
ทีเดียว
เอียจื้ออวิ้นได้ถูกเลือกและอนุญาติให้ไป ในพื้นที่แห่งความลับ
เพื่อทาการฝึกบ่มเพาะพลัง ในขณะที่ เซี่ยวหนิงเอ๋อ ติดตาม
อาจารย์ และสามารถบ่มเพาะพลังได้ถึงขอบเขต ชะตาสวรรค์
ขั้นที่ห้า เมื่อหนิงเอ๋อทราบข่าวมาว่า
สานักเสียงสวรรค์จะส่งคนไปเยี่ยมเยียนนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
นางและเซีย่ วซุ่ย จึงรีบลงทะเบียนชื่อของพวกนางทันที แต่น่า
เสียดายที่เอียจื้ออวิ้น ยังคงฝึกฝนอยู่ในพื้นที่แห่งความลับ และ
ไม่สามารถที่จะติดต่อนางได้เลย ถ้าไม่เช่นนั้น นางจะต้อง
เดินทางมาด้วยเป็นแน่
แน่นอนว่า การที่นางเดินทางมายังนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ก็
เพื่อที่จะมาพบกับเนี่ยลี่
!
สานักเสียงสวรรค์ได้ส่งนักเรียนมาที่นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์กว่า
สองร้อยคน แน่นอนว่าทุกคนต่างก็เป็นหญิงสาวและมีหลายคน
ที่โดดเด่นจนเป็นทีด่ ึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคน
สานักอัคคี พวกเขาจับจ้องนักเรียนจากสานักเสียงสวรรค์จนไม่
วางตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อก็เป็นหนึ่งในศิษย์ที่
งดงามที่สุดของ สานักเสียงสวรรค์
มีสาวงามนางหนึ่งที่มีความสวยงามและน่าหลงใหล นั่งลงข้างๆ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ นางหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “นีศ่ ิษย์น้องหนิง
เอ๋อกาลังมองหาผู้ใดอยู่งั้นเหรอ? ”
และเป็นอนาคตของสานักเสียงสวรรค์ ถ้าหากว่าศิษย์น้องหนิง
เอ๋อ สนใจชายคนไหน แน่นอนว่าข้าจะต้องลองดู และจับตาม
องว่าชายคนไหนกันที่ทาให้เทพธิดาเช่นนางต้องลดตัวลงมาหา
เขา ข้าสงสัยว่าเขาเป็นคนที่ข้ารูจ้ กั หรือไม่? ”
เยี่ยเชียนตอบกลับไปพร้อมกับชื่นชมนาง “ข้าเคยถามคนรอบ
กายนางแล้ว นางคืออัจฉริยะที่เพิง่ เข้ามาอยู่ในสานักเสียง
สวรรค์ นางมาจากโลกใบเล็ก นางสามารถที่จะบรรลุขอบเขต
ชะตาสวรรค์ ขั้นที่ห้า ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นที่เลื่องลือว่า
นางเป็นหนึ่งใน ‘ฝาแฝดราศีเมถุน’
การบ่มเพาะพลังของนางนั้นรวดเร็วจนน่าตกใจ นอกจากนี้
นางก็ถือว่าเป็นเกียรติภูมิของสานักเสียงสวรรค์ มันเป็นเรื่อง
ยากเกินที่จะจินตนาการ นางยังเด็กและไม่มผี ู้ใดที่หนุนหลัง
เลย! ”
โลกใบเล็กงั้นเหรอ
? มู่หลงหยี่เริ่มรู้สึกเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยิ้มรับเล็กน้อย “หญิงที่งดงามและสง่างาม
ย่อมเป็นที่ต้องการของเหล่าสุภาพบุรุษ เหมือนคาสุภาษิตที่ว่า
หญิงสาวที่เอาแต่ใจมักหวั่นไหวเพราะผู้ชายขี้ตื้อ!”
เยี่ยเชียนส่ายหน้าของเขาพร้อมกับตอบมาว่า “ไม่ได้ผลหรอก
นางแทบจะไม่เคยยิม้ หรือพูดคุยกับผู้ใด มันเป็นเรื่องที่ยากนักที่
จะได้พดู คุยกับนาง ด้วยสารพัดวิธี ข้าพยายามลองมาแล้วนับ
ไม่ถ้วน!” เยี่ยเชียน มองไปทางหญิงสาวจากระยะไกลๆ บางที
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทางทาให้เขารู้สึกหวั่นไหว และเอากุม
หัวใจของเขาไว้ได้
แต่ถึงอย่างไร นางก็ถูกจับจองเป็นเป้าหมายของเยี่ยเชี่ยนไป
แล้ว ดังนั้นแน่นอนพวกเขาคงจะไม่กล้าเข้าใกล้นางเป็นแน่
ศิษย์ของสานักเสียงสวรรค์ล้วนแต่เป็นหญิง ไม่มีผู้ชายแม้แต่คน
เดียว ส่วนใหญ่พวกเขามักจะเก็บตัวอยู่ภายในสานักเท่านั้น ลูก
ศิษย์ส่วนใหญ่จะทาการบ่มเพาะพลังภายในสานัก
หากฝืนออกมาเสี่ยงด้านนอกก็ถือว่าอันตรายยิ่งนัก แม้ว่า
เซี่ยวหนิงเอ๋อจะมีอุปนิสัยเป็นคนที่เย็นชา นางก็ยังมุ่งมั่นที่จะ
ออกมาข้างนอกสานักเสียงสวรรค์ แม้ว่าจะต้องตายก็ต้อง
ออกไป [เป็นสานวนหมายความว่า ออกไปด้วยความอยากรู้
อยากเห็นของนาง]
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เย็นชาและหยิ่งทะนงอย่างเซี่ยวห
นิงเอ๋อ จะเผยรอยยิ้มที่งดงามถึงเพียงนี้ มันเป็นร้อยยิ้มที่แสดง
ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่านางได้พบกับคนรักของนางแล้ว
บทที่ 305 ตระกูลเยี่ย แห่งสานักอัคคี
“พวกเจ้าอยู่ที่นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง
?”
เซี่ยวหนิงเอ๋อ มองดูแล้วช่างมีเสน่ห์และน่ารักในชุดสีขาวของ
นาง เหล่าคนที่เฝ้ามองดูพวกเขาอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างนี้ ต่าง
จ้องมองด้วยความอิจฉา
เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อ พูดคุยกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขา
ไม่ได้สนใจเหล่าคนที่จ้องมองดูอยูแ่ ม้แต่น้อย
“เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใครกัน
?”
“เจ้าไม่รู้งั้นรึ
? เขาคืออัจฉริยะที่โดดเด่นที่สดุ ในกลุ่มของผู้ที่เข้ามาใหม่ เขา
ทาการสั่งสอนจนหลงยู่อินต้องเชื่อฟังที่เขาสั่งเลยทีเดียว”
“นั่นคือเขางั้นรึ!”
ตั้งแต่แรกเริ่ม เซีย่ มหนิงเอ๋อ ดึงดูดสายตาผูค้ นเป็นจานวนมาก
นางเปรียบดังเทพธิดาที่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามกล้ แต่ในตอนนี้
ทุกคนต่างตระหนักดีว่านางนั้นมีผทู้ ี่ครอบครองแล้ว! นางนั้นถูก
เนี่ยลี่ครอบครองอย่างแท้จริง!
ทุกคนในห้องโถงถึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมากันเลยทีเดียว
หลงยู่อินยืนมองอยู่ไกลๆ นางจ้องมองเซี่ยวหนิงเอ๋อ นาง
ยอมรับเลยว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นสง่างามยิ่งนัก นางยอมรับเลยว่า
ตัวเองนั้นด้อยกว่า นางเป็นอะไรกับเนี่ยลี่ หลงยู่อินไม่รู้ว่าทาไม
แต่ชว่ ยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกเช่นนั้น นางรู้สึกผิดหวังจึงยกแก้ว
ไวน์แล้วดืม่ ไปหมดแก้วในคราวเดียว
เขาไม่สามารถที่จะไปหาเรื่องเนี่ยลี่ได้ แม้ว่าเขาจะต้องการทา
เช่นนั้นมากแค่ไหนก็ตาม ตอนที่เขาได้ยินมาว่าเซีย่ วหนิงเอ๋อนั้น
มาจากโลกใบเล็ก เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้ว แต่เขาก็คาดไม่ถึง
เลยว่า เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้หญิงของเนี่ยลี่
เยี่ยเชียนถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “เมื่อเรื่องราวมันเป็น
เช่นนี้ ข้าก็คงจะต้องลืมไปมันเสีย” แม้ว่าเขาจะชอบเซี่ยวหนิง
เอ๋อไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลุ่มหลงขนาดที่ว่าจะต้องครอบครอง
นางให้ได้ ในเมื่อใจของนางมีคนอืน่ อยู่แล้ว สิ่งเดียวทีเ่ ขาทาได้
ก็คือถอนตัวออกมา
มู่หลงหยี่ ยิม้ แล้วพูดออกไปว่า “ท่านพี่เยี่ย ดูเหมือนว่าท่านจะ
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว เจ้าเนี่ยลี่นั้นยังไม่บรรลุขอบเขต
ชะตาสวรรค์เลยเสียด้วยซ้า และทีส่ าคัญเขาไม่ได้มีภมู ิหลังของ
ตระกูลอะไรเลยแม้แต่น้อย วิ่งเดียวที่เขามีก็คือใช้คารมหลอก
ล่อหญิงสาวไร้เดียงสาก็เพียงเท่านัน้ ท่านพี่เยี่ย จะถอนตัว
ตอนนี้จริงเหรอ? ”
“นางนั้นกาลังทาการบ่มเพาะพลังอยู่ที่พื้นที่ฝึกฝนแห่ง
ความลับของสานักเสียงสวรรค์ ข้าไม่อาจที่จะติดต่อนางได้
ก่อนที่เราจะเดินทางมาที่นี่” เซี่ยวหนิงเอ๋ออธิบายให้ฟัง
“แน่นอน” เนี่ยลี่ตอบพร้อมกับยิ้ม
กู้เบ่ยและหลี่ชิงอวิ๋น ทักทายกันเล็กน้อย แม้ว่ากู้เบ่ยกับหลี่ชิ
งอวิ๋น จะเคยได้ยินเรื่องของอีกฝ่ายมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่เคย
ติดต่อกัน นี่เป็นการพูดขุยของพวกเขาครั้งแรกผ่านการ
สังสรรค์ของเนี่ยลี่
“พวกเราสามารถนั่งตรงนี้ด้วย ได้หรือไม่
?” เยี่ยเชียน และ มู่หลงหยี่ เดินมาหาพวกเขาพร้อมกับชี้ไปยัง
เก้าอี้ที่ว่างอยู่ถัดจากเซี่ยวหนิงเอ๋อ
เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย และจ้องไปยังเยี่ยเชียน
ในการเดินทางมาที่นี่ เยีย่ เชียน ได้พยายามที่จะพูดคุยกับนาง
แต่นางก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย แต่เยีย่ เชียนผู้นี้ก็
เป็นคนมีมารยาท ดูสุภาพไม่น้อย ดังนั้นหนิงเอ๋อจึงไม่ได้ปฏิเสธ
และทาอะไรที่ไม่เหมาะสมแก่เขา
แต่หลังจากที่เยี่ยเชียน พยายามทีจ่ ะเข้ามานั่งถัดจากนาง นาง
จึงกังวลว่าเนี่ยลี่อาจจะเข้าใจผิดได้
เซี่ยวหนิงเอ๋อมองหลงยู่อินที่นั่งถัดจากเนี่ยลีด่ ้วยความสงสัยว่า
นางเป็นใครกัน
หลี่ชิงอวิ๋นถึงกับใจเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินคาพูดของเยี่ย
เชียน ถ้านี่เป็นคนแซ่เยี่ย จากสานักอัคคีแล้วหล่ะก็ ในสานัก
อัคคีนั้น ตระกูลเยีย่ นั้นถือครองกาลังอยู่ถึง หกสิบเปอร์เซนต์
ในขณะนี้ เนี่ยหลี่ยังหลบซ่อนอยู่ภายใต้ปีกที่เรียกว่านิกายขน
นกศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นภัยที่คุกคาม
ต่อเขาได้ ในภายภาคหน้าหลังจากเนี่ยหลีไ่ ด้บม่ เพาะพลังเต็มที่
แล้ว แม้แต่ เยีย่ เชียนก็ไม่สามารถมายืนเทียบกับเขาได้
หลังจากที่ เยี่ยเชียน ได้ประกาศชือ่ ตนออกไปแล้ว มีเพียงหลี่
ชิงหยุน เท่านั้นที่แสดงปฏิกิรยิ าออกมาเล็กน้อย คนอื่นๆที่ร่วม
โต๊ะอยู่ยังคงยุ่งกับเรื่องส่วนตัว เยีย่ เชียนรูส้ ึกกระอักกระอ่วน
เป็นอย่างยิ่ง เมื่อสังเกตว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อไม่ได้สนใจตัวเขาเลย
แม้แต่น้อย นางยังคงพูดคุยกับเนีย่ หลี่ พร้อมด้วยใบหน้าที่
แสดงรอยยิม้ ออกมาอย่างมีความสุข
สิ่งใดที่นางจะได้รับหากยังคงติดตามเนี่ยหลี่ ? หญิงสาวมักจะ
ปล่อยตัวให้ลุ่มหลงไปกับความรัก อย่างไรก็ตามเยีย่ เชียนไม่
สามารถใกล้ชิดกับนาง หรือทาให้นางเปลี่ยนใจ นั่นทาให้เขา
หมดหนทางในเรื่องคราวนี้แน่นอน
“เจ้าจะอยู่ที่นิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์นี้นานเท่าใด?” เนี่ยหลี่
ถามเซี่ยวหนิงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้าง กลิ่นหอมหวานของสตรีทา
ให้เนี่ยหลีร่ ู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข (จะไปบอกว่าน่ารักก็
อ้อมเกิน จะบอกว่าน่า...ก็ตรงไป)
“ถ้าเป็นเช่นนั้น คืนนี้เจ้ามาหาข้าด้วย..”เนี่ยหลี่เอ่ยขึ้นก่อนจะ
ขบคิดอยู่อีกสักครู่ เวลาสองวันนับว่าเพียงพอ
“อือ....”ทั้งหน้าของเซี่ยวหนิงเอ๋อลามไปถึงช่วงลาคอร้อนผ่าว
และเสียงตอบรับของนางที่ตอบออกมาบางเบาเสียจนแทบ
ไม่ได้ยิน แก้มแดงระเรื่อราวกับคนที่ร่าสุราจนเมามาย
“ข้าจะมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีการเติบโตระดับพระ
เจ้าให้เจ้าผสานรวมกับมัน” เนี่ยหลี่ยิ้มบางๆ แน่นอนว่าสองวัน
ทาให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะทาจิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีการ
เติบโตระดับพระเจ้าได้ทันเวลา
ผู้ที่มองอยู่โดยรอบเหมือนกับถูกตีที่หัวด้วยค้อนเมื่อเห็นเซี่ยวห
นิงเอ๋อแสดงท่าทีขวยเขิน พวกเขาต้องยอมรับออกมาจากใจว่า
นางเป็นหญิงสาวที่งดงามจนทาให้ยากที่จะละสายตาจากนาง
ได้
หลงยู่อินไม่ทราบว่าทาไมนางจึงต้องรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆเมื่อได้
เห็นเนี่ยหลี่กับเซีย่ วหนิงเอ๋อใกล้ชดิ กัน แต่ถึงอย่างนั้นนางก็
ไม่ใช่คนช่างพูดอะไร นางจึงนั่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ถึงแม้นางจะถูกตาหนิว่ากล่าวจากเนี่ยหลี่ และเพิ่งได้รับการ
เฆี่ยนตีกลับทาให้นางรูส้ ึกค่อยๆชืน่ ชอบในตัวเนี่ยหลี่ขึ้นมา นี่
ไม่ได้หมายความว่านางรักและต้องการให้เขาตาหนิว่ากล่าว
หรือเฆี่ยนตีหรอกนะ แต่นางชอบที่มีคนคอยให้คาแนะนา
เหมือนกับอาจารย์ มันทาให้นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยว (และ
ตาแหน่ง ประจาปี 2016 ได้แก่.... คุณ หลงยู่อินจากตระกูล
ผนึกมังกรครับ!! )
(ลั่นตลอดเลย)
ดังนั้นนางจึงรู้สึกสนใจปนสับสนเมื่อนางเองได้ตระหนักแล้วว่า
เป็นหญิงงามที่อยู่เคียงข้างเนี่ยหลีเ่ ช่นเดียวกัน และอยากจะมี
ความสันพันธ์ใกล้ชิดกับเขา แต่นางเป็นอันใดกับเนี่ยหลี่เล่า?
“อื้อ..”เซี่ยวหนิงเอ๋อส่งเสียงตอบเบาๆ ภายในหัวใจของนาง
เนี่ยหลี่คือคนสาคัญที่สดุ มันไม่มสี ารสะคัญอันใดเลยที่เขา
จะต้องถามนาง ไม่ว่าจะยังไงก็ตามนางจะไม่ปฏิเสธเขาเด็ดขาด
แต่ทาไมเนี่ยหลี่ถึงไม่รู้ใจนางกัน? เซี่ยวหนิงเอ๋อรู้สึกเศร้าขึ้นมา
นิดๆ
ความอลหม่านเกิดขึ้นเป็นระลอกคลื่นตามมาทันที ด้วย
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษของหลงเทียนหมิง ปกติหลง
เทียนหมิงจะหมกมุ่นเก็บตัวเงียบกับการฝึกบ่มเพาะพลัง จึงไม่
ค่อยปรากฏสู่สายตาเบื้องนอกมากนัก ผู้คน ณ ที่แห่งนี้ต่าง
ทราบโดยทั่วกันว่าหลงเทียนหมิงเป็นผู้สืบทอดลาดับที่หนึ่งของ
ตระกูลผนึกมังกร และยังเป็นผู้ทเี่ ข้าชิงตาแหน่งเจ้านิกายขนนัก
ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด !
หลงเทียนหมิงก้าวเดินมาอย่างสง่าผ่าเผย ราวกับมีแสงเปล่ง
ประกายอยูร่ ายรอบตัวของเขา กลิน่ อายของเขาสะกดและ
ดึงดูดทุกผู้ทุกคน
ระดับการบ่มเพาะพลังของเขารวดเร็วและน่ากลัวเป็นอย่าง
มาก ปัจจุบันหลงเทียนหมิงอยู่ที่ ระดับดาราสวรรค์ขั้นที่ 9
ในขณะที่อายุได้ 16 เขาเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายอย่าง
ไม่ต้องสงสัย
เยี่ยเชียนรู้สึกกดดันเล็กน้อยจากความจริงที่หลงเทียนหมิงเริม่
ทักทายก่อน เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะป้องมือของเขา “ท่านพี่หลง
ท่านเป็นเช่นใดบ้าง?”
“นับตั้งแต่การกล่าวอาลาในครั้งนั้น นี่ก็เป็นเวลาสามปี
มาแล้ว อ่า ช่างเป็นเวลาทีย่ าวนาน การบ่มเพาะพลังของท่าน
พี่เยี่ยเชียนก้าวหน้าไปไม่น้อยเลย” หลงเทียนหมิงกล่าวพร้อม
ยิ้มเล็กน้อย
เมื่อการพบปะกันครั้งแรกของพวกเขาทั้งคู่เมื่อสามปีก่อน ตอน
นั้นเยี่ยเชียน สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามของหลง
เทียนหมิง จนทาให้เขาได้แต่มองจากเบื้องล่าง นอกเหนือการ
บ่มเพาะพลังแล้ว จิตอสูรที่หลงเทียนหมิงผสานด้วยยังคงเป็น
ปริศนา จากข่าวลือที่กล่าวว่าหลงเทียนหมิงเป็นหนึ่งในจานวน
ไม่กี่คนที่ได้ผสานรวมกับจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีการเติบโต
ระดับพระเจ้า
หลังจาก หลงเทียนหมิงมีความสามารถและเอกลักษณ์ที่โดด
เด่นขึ้น ทางนิกายขนนกศักดิ์สิทธิค์ งต้องเตรียมจิตออสูรระดับ
นั้นไว้ให้เขาเป็นแน่
หลงเทียนหมิงยังคงยิม้ อย่างมีเสน่ห์มองไปเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่
หลงยู่อิน “โห ญาติผู้น้องของข้าเอง ก็มาที่นี่เช่นเดียวกัน!”
หลงยู่อินพยักหน้าก่อนจะหันไปทางอื่นเมื่อได้เห็นเขา นางไม่ได้
ต้องการเห็นหน้าเขาสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามหลงเทียนหมิงยังยิ้มและไม่ใส่ใจกับท่าทางของ
หลงยู่อิน เขาเหลือบไปมองยังคนอื่นๆ รวมทั้งเนี่ยหลี่ เซี่ยวห
นิงเอ๋อ และคนอื่นที่เหลือ สาหรับเนี่ยหลี่และหลู่เปียว เขาไม่
รู้จัก แต่จากการสังเกตคร่าวๆ ก็พบว่ากลิ่นอายของพวกนั้น
อ่อนแอเกินกว่าจะให้ความสนใจ เขาหันมาหาเยี่ยเชียน
“ดูเหมือนว่าขณะนี้ท่านพี่เยีย่ กาลังยุ่งอยู่กับเหล่ามิตรสหาย
หากท่านมีเวลาว่าง ในเวลาอีกสองวันที่เหลือ โปรดมาดืม่ ชากับ
ข้าที่จวนบ้าง ! เราจะได้พบปะพูดคุยกันตามประสาเพื่อนเก่า
กัน !”
“ตกลง ข้าต้องไปแน่นอน! เชิญท่านไปจัดการกับธุระของท่าน
ต่อเถิด”
หลงเทียนหมิงหันหลังกลับและเดินจากไป
เนี่ยหลีจ่ ้องหลงเทียนหมิงอยู่นานจนกว่าเงาของหลงเทียนหมิง
จะค่อยๆหายไป ในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาได้อยู่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลานาน แน่นอนว่าเขารู้ว่าผู้ใดคือหลงเทียนหมิง
นอกเหนือจากการที่หลงยู่อินและจระกูลผนึกมังกรกดดันให้
อาจารย์ถึงความตายยังมีเหตุการณ์อื่นๆเกิดขึ้นอีก
หลังจากได้เจอเหตุการณ์มากมายก็เริ่มปะติดปะต่อ เรื่องราวได้
เนี่ยหลีย่ ังคงผวาอยู่เรื่อยมาเมื่อพบว่าเบื้องหลังเหตุกาณ์ทั้งหมด
เกิดจาก หลงเทียนหมิง เขาเคยดารงเป็นผู้นานิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์อยู่ ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะไปดินแดนเทพบรรพชน
หลังจากที่เขาจากไป นิกายก็ถึงคราล่มสลาย
หลงเทียนหมินจากไป เพื่อไปคุยกับเหล่ารุ่นเยาว์จากสานัก
เสียงสวรรค์และสานักอัคคี พวกเขาได้ร่วมสนทนาและดื่มไวน์
ให้แก่กันเล็กน้อย มันดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างรับมือกับ
สถานการณ์เหล่านีไ้ ด้ดีทเี ดียว
ด้วยจุดยืนของเขา เป็นที่แน่ชัดว่าหลี่ชิงอวิ๋นเกลียดชังหลง
เทียนหมิงเข้าไส้เข้ากระดูก แต่ความแข็งแกร่งหลี่ชิงอวิ๋นก็ยัง
ด้อยกว่าหลงเทียนหมิง ต้องขอบคุณที่หลี่ชิงอวิ๋นมีกองกาลังที่มี
สายสัมพันธ์แนบแน่น แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังด้อยกว่าหลง
เทียนหมิง
เนี่ยหลี่ยิ้มบางๆ “ข้าได้ยินว่านิกายทั้งสามจะจัดประมูล
สมบัติของแต่ละนิกาย ข้าอยากรูน้ ักว่าจะมีสิ่งใดน่าสนใจบ้าง!”
“ในทุกครั้งที่สามนิกายนี้จัดการประมูลสมบัติล้าค่าขึ้น
เหล่าอัจฉริยะจะสูญเสียความสนใจไป และไม่มีใครที่จะกล้าทา
ตัวโดดเด่นขึ้น!” หลี่ชิงอวิ๋น อธิบาย แม้ว่าเขาจะหงุดหงิด
เล็กน้อยเพราะหลงเทียนหมิงแต่กก็ ลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
เนี่ยหลี่ทาท่าฉุกคิดเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะกล่าวตอบ
“โอ้? หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวเข้าไปดูก่อนเป็นอันดับ
แรก”
นับจากที่หลี่ชิงอวิ๋นได้รับจิตอสูรระดับสูงพวกนี้จากเนีย่ หลี่
กองกาลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
สาหรับเนี่ยหลี่แล้ว หลี่ชิงอวิ๋นไม่ได้คิดว่าตัวเขาอยู่สูงกว่าเนีย่ ห
ลี่ แต่เขาปฏิบัติกับเนีย่ หลี่อย่างเสมอภาค ไม่ช้าก็เร็ว มู่หลงหยี่
จะต้องได้รับบทเรียนที่ดูถูกเนีย่ หลีเ่ อาไว้ บางครั้งคนเรา ‘ไม่
สามารถตัดสินหนังสือได้จากปกของมัน’
เยี่ยเชียนค่อนข้างภูมิใจในความมั่งคั่งของเขาเล็กน้อย บน
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง ทรัพยากรเป็นสิ่งสาคัญยิ่ง ด้วย
ฐานะที่เป็นทายาทสายตรงจากตระกูลเยีย่ ปริมาณทรพยากรที่
เขาได้รับเพื่อใช้มันในการบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งที่สามัญชนคน
ธรรมดาไม่อาจจะจินตนาการได้
กู้เบ่ยทาเสมือนว่าไม่ได้ยินคาพูดของเยี่ยเชียนที่เอ่ยออกมาเมื่อ
ครู่และกล่าวว่า “แม้ว่าน้าค้างเสียงสวรรค์จะเป็นสิ่งของล้าค่า
แต่ว่ายังคงไม่ใช่ที่สุด ข้าสงสัยว่าสมบัติที่มีมลู ค่าสูงสุดในงาน
ประมูลนี้คือของสิ่งใดกันแน่?”
แน่นอนแล้วโดยธรรมชาติของเนี่ยหลี่ เขาไม่ได้สนใจในคากล่าว
ของเยี่ยเชียน
งานเลี้ยงยังคงครึกครื้นโดยการชนแก้วไวน์ไปมา หลังจากการ
มาของหลงเทียนหมิง จานวนสมาชิกของคนในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ นิกายบัญญัตสิ วรรค์ต่างก็กรูกันเข้ามาเพื่อมองดูผู้ที่
แข็งแกร่ง พวกเขาเหล่านั้นต่างรวมตัวกันอยู่ด้านข้างและ
ระมัดระวังท่าทีของตนอย่างรอบคอบ
เซี่ยวหนิงเอ๋อ ดึงเสื้อของเนี่ยหลี่ “นั่นคือ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่ง
นิกายเสียงสวรรค์ของพวกข้า หมิงเยี่ย วู่ซวง!”
ภายในหกนิกายสาคัญมักมีการปรากฏตัวของเหล่าอัจฉริยะ
มากมาย แต่ภายในหนึ่งร้อยปีจะมีอัจฉริยะที่แข็งแกร่งปรากฏ
ตัวออกมา และในหมู่คนเหล่านั้น หมิงเยี่ย วู่ซวงเป็นหนึ่งใน
นั้น นางเป็นอัจฉริยะที่เจิดจรัสมากที่สุด เนี่ยหลี่เคยได้ยิน
เรื่องราวที่ได้กลายเป็นตานานของนางมาก่อน มันได้กล่าวว่า
นางได้เข้าไปภายในนิกายเทพอสูรเพียงลาพังและจัดการสังหาร
ทั้งหมดด้วยตัวนางเองเพียงลาพัง
แม้ว่านางจะได้รับบาดเจ็บกลับมาจากการปะทะ กับสองสุด
ยอดยอดฝีมือ แต่อย่างไรเล่านางก็ได้สังหารยอดฝีมือนั้นสาเร็จ
มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ายอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งและมี
ชื่อเสียงน่ากลัวมากมาย แท้จริงแล้วเป็นหญิงงามที่งดงาม
เพียงใด
แต่ไม่ว่าความแข็งแกร่งของหกนิกายนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด มัน
ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทาการต่อต้านสวรรค์ และเหล่า
สัตว์อสูรบุพกาล ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิปราชญ์
ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งเหล่านั้น เนี่ยหลี่กา
หมัดของเขาแน่น ตั้งแต่ได้กลับมาเกิดใหม่ในชีวิตที่สองนี้ เขาก็
ได้รับสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าชีวิตก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม
เนี่ยหลีย่ ังไม่ประสบความสาเร็จเพียงพอที่จะหันหน้าไป
เผชิญหน้ากับจักรพรรดิปราชญ์โดยตรง แม้ว่าการบ่มเพาะพลัง
ของเนี่ยหลี่จะก้าวหน้าล้าจักรพรรดิปราชญ์ไปก็ตาม ในเมื่อ
ศัตรูของเขาสามารถควบคุมห้วงกาลเวลาได้นับล้านปี ลาพังแค่
ตัวเนี่ยหลี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะโค่นล้มจักรพรรดิ
ปราชญ์ให้สญ ู สิ้นลง
ในชีวิตนี้เขาได้ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถใช้ได้ และไม่ได้อยู่ตัว
คนเดียวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามเหล่าอัจฉริยะที่รวมตัวกันอยู่ด้านในนี้มีความหยิ่ง
ทะนงตนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าถึงตัวพวกเขา
ไม่ต้องพูดถึงว่าความแข็งแกร่งของเนี่ยหลี่ในตอนนี้ยังไม่เพียง
พอที่จะเป็นจุดสนใจได้
ในบรรดาสมาชิกของสามนิกาย หมิงเยี่ย วู่ซวง เหยียนหยาง
และ หลงเทียนหมิง เป็นจุดเด่นมากที่สุด
แม้ว่าหลงเทียนหมิงจะมีตาแหน่งที่พิเศษกว่าใครแต่เมื่อเทียบ
กันแล้วก็ยังด้อยกว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์ หมิงเยี่ย วู่ซวงจากนิกาย
เสียงสวรรค์และ เหยียนหยาง จากสานักอัคคี หลงจากเหยียน
หยางได้รับการยืนยันจากสานักอัคคีให้เขาเป็นผู้นาสานักรุ่น
ต่อไป และแม้ว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เป็นผูส้ ืบทอดตาแหน่ง
ผู้นาแต่ตาแหน่งภายในนิกายเสียงสวรรค์ของนางก็ยังคงสูงส่ง
มาก
เนื่องด้วยสภาพของเนี่ยหลี่และพรรคพวกในตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่
เหมาะสมในการพูดคุยกับพวกเขา แต่ถ้าเนี่ยหลี่รู้ว่าพวกเขาพัก
อยู่ที่แห่งใด เนี่ยหลี่ก็มีวิธีการที่จะเข้าถึงพวกเขาเช่นกัน!
“เนี่ยหลี่ อย่าหุนหัน...พวกเขาเป็นแขกอันทรงเกียติรของนิกาย
ขนนกศักดิ์สิทธิ!์ ” กู้เบ่ยรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับเนี่ยหลี่
เนี่ยหลีย่ ิ้มแฉ่ง “ข้ารู้ว่าข้าทาได้แค่ไหน!”
แม้ว่าเยี่ยเชียนจะดูเหมือนเป็นคนที่สง่างามและสุภาพเพียงใด
แต่ในช่วงชีวิตที่แล้วเนี่ยหลี่กไ็ ด้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเยี่ยเชียน
ว่าหน้าซื่อใจคดเพียงใด
เยี่ยเชียนก็เป็นดั่งเช่นคนอื่นๆ ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่าง
มากจากตระกูล และมีความภาคภูมิใจในตนเองสูง แต่สิ่งที่น่า
ภูมิใจจริงๆแล้วน่าจะเป็นการที่ได้เกิดมาอยู่ในตระกูลใหญ่
เหล่านั้นเสียมากกว่า ในแง่ความสามารถแล้วเยี่ยเชียนนั้นไม่มี
อะไรที่พิเศษ
ในขณะเดียวกัน รูปร่างงดงามนางหนึ่งของนิกายเสียงสวรรค์ก็
ลุกยืนขึ้นก้าวไปทีด่ ้านหน้าห้องนางยิ้มและกล่าวว่า “การที่
ได้มาเยือนนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ในวันนี้ช่างเป็นเกียติรอย่างยิ่ง
ข้าเป็นศิษย์ของนิกายเสียงสวรรค์นามว่า ฉินเยี่ย ช่างน่ายินดี
อย่างยิ่งในการที่มาพบปะกับพวกท่านทุกคน การประมูลถือ
เป็นงานที่จัดต่อต่อกันมาในทุกทุกปี และในวันนี้เหล่าสมบัตลิ ้า
ค่าจากสามนิกายเหล่านั้นจะถูกนามาให้ทุกท่านในที่นี้ได้ยลโฉม
เพื่อให้ทุกท่านสามารถเสนอราคาประมูลมันได้ เชิญรับชมได้
เลย!”
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างหยุดการสนทนากันไป และย้าย
ความสนใจทั้งหมดไปยังด้านหน้า ในการประมูลแต่ละปี สมบัติ
หายากจะปรากฏขึ้น บางอย่างอาจจะถูกมาจากศิษย์ของสาม
นิกาย และอาจจะมีบางชิ้นที่ได้รับการส่งมาจากระดับที่สูงกว่า
และรายการเหล่านั้นย่อมมีมูลค่าสูงมาก ดังนั้นศิษย์ทั้งหลายจึง
ให้ความสนใจการประมูลนี้
จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มรี ะดับการเติบโตในระดับพระเจ้าเป็น
สิ่งล้าค่ามากภายในสามนิกายหลัก มากจนไม่สามารถที่จะนา
ออกมาประมูลได้ และระดับต่ากว่านั้นคือระดับมหัศจรรย์
ด้วยที่มันระดับการเติบโตในระดับระดับมหัศจรรย์มันจึงมีค่า
เป็นอย่างมาก มีบางจาพวกอย่างเช่น หลี่ชิงอวิ๋น และ เยี่ย
เชียนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้ครอบครอง เนื่องจากตระกูลของพวก
เขาเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งพอที่จะมีจิตอสูรหายากเหล่านี้
ไว้ครอบครอง และสืบเนื่องจากทีพ่ วกมันหายากจึงแทบเป็นไป
ไม่ได้เลยที่จะมีคนนามันมาขาย
หลายคนที่มาจากตระกูลต่างๆ การได้พบจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่ระดับการเติบโตในระดับระดับมหัศจรรย์ เป็นความโชค
ดีเลยไม่น้อย
การแข่งขันการประมูลราคาจึงเข้มข้นพอตัว
“หนึ่งหมื่นก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”
“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”
“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”
“หนึ่งหมื่นสองพันก้อนศิลาจิตวิญญาณ!”
ทุกคนต่างทาการประมูลกันอย่างไม่ยอมใคร แต่หลงเทียนหมิง
และเหยียนหยางไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก แน่นอนนี่เป็นสิ่งที่
พวกเขาไม่ต้องการ พวกเยี่ยเชียนและหลีชิงอวิ๋นก็ได้รับจิตอสูร
ที่มีการเจริญเติบโตระดับมหัศจรรย์นี้นานแล้ว ดังนั้นพวกเขา
จึงไม่ร่วมการประมูล เนื่องจากมีอยู่แล้วจึงไม่จาเป็นที่จะต้องมี
เพิ่ม
แต่ก็ยังมีผเู้ ข้าร่วมประมูลอีกเป็นจานวนมาก ทาให้ราคาของมัน
ขยับเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งสะท้อนให้เห็นการแข่งขันที่รุนแรง
อย่างแท้จริง
บทที่ 308 คนไม่เอาไหนที่ร่ารวย
เยี่ยเชียนมองดูเซี่ยวหนิงเอ๋อพร้อมกับยิ้มและพูดว่า
เนี่ยลี่กระซิบที่ข้างหูของเซี่ยวหนิงเอ่อเบาๆว่า "หลังจากนี้
ข้าจะมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับ
พระเจ้าให้กับเจ้าหนึ่งตัว"
ใบหน้าของเซี่ยวหนิงเอ่อเป็นสีแดงระเรื่อในขณะที่นาง
พยักหน้า ความรูส้ ึกหวานชื่นเต็มอยู่ในใจของนาง นางนั้นมิได้
สนใจเรื่องจิตอสูรเลยแม้แต่น้อย แต่นางรู้สึกดีเพราะว่าเนี่ยลี่
นั้นห่วงใยนางมากกว่า
ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่พดู อะไรบางอย่างแบบนี้
หลังจากที่เยี่ยเชียนเสนอจิตอสูรให้นางเป็นแน่ ซึ่งเนี่ยลี่นั้น
อาจจะมีวิธีหา จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับพระเจ้ามาได้ เซีย่ วหนิงเอ๋อไม่ได้คดิ อะไรไปมากกว่านี้ ใน
ใจของนางนั้น เนี่ยลี่คือผู้ที่สามารถทาได้ในทุกสิ่ง
เยี่ยเชียนกาหมัดขวาแน่น ขณะที่เห็นเซี่ยวหนิงเอ่อมี
ท่าทางเอียงอาย หลังจากที่เนี่ยลี่คยุ กับนาง แต่เขาก็มไิ ด้ยินการ
สนทนานั้น ความรูส้ ึกอิจฉา และหึงหวง เพิ่มมากขึ้นในใจของ
เขา เพราะนางแสดงท่าทีเช่นนี้เมือ่ นางอยู่ต่อหน้าเนี่ยลี่เท่านั้น
ท้ายที่สุด จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับมหัศจรรย์ ก็ถูกขายออกไปในราคา สองหมื่นเจ็ดพันศิลา
จิตวิญญาณ ให้กับศิษย์จากสานักอัคคี
หลังจากนั้น จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์ อีกหนึ่งในห้าตน หรือมากกว่านั้น แต่ละตัว
ถูกขายออกไปในราคาไม่ตากว่
่ าสองหมื่นห้าพันศิลาจิต
วิญญาณ
เหล่าฝูงชนเริม่ ที่จะเกิดความสับสนขึ้นมา เท่าที่ผา่ นมา จิต
อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ จะปรากฏมาแค่หนึ่งหรือสองตนเท่านั้น
เหตุใดในเวลานี้ถึงได้มีมากมายนักหล่ะ
จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับการเติบโตในระดับ
มหัศจรรย์ ถูกซื้อไปโดยศิษย์สานักอัคคีทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่า
พวกเขานั้นมั่งคั่งยิ่งนัก หรืออย่างน้อยก็ร่ารวยกว่าศิษย์ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงก็เหมาะสมแล้วที่สานักอัคคีได้
เป็นผู้นาของหกสานักใหญ่
กู้เบ่ยลองคานวนดูคร่าว ๆ ถ้าหากพวกเขาขายจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตในระดับมหัศจรรย์ ทั้งหมด
ยี่สิบตน นี่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้รับศิลาจิต
วิญญาณกว่าห้าแสนก้อนเชียวงั้นเหรอ?
นั่นมันเป็นความมั่งคั่งที่น่าตกใจยิ่งนัก เพียงแต่ว่าเขานั้น
มิได้รู้ต้นทุนในการได้มันมา เพราะที่ผ่านมาเขาก็ได้มอบศิลาจิต
วิญญาณคืนกลับไปให้กับเนีย่ ลี่ในทุกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโตใน
ระดับมหัศจรรย์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหามันมาได้ ตราบเท่าที่ร่าง
ทรงอสูรยังไม่มีมันสักตนหนึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ปล่อย
โอกาสนี้ให้หลุดมือไปเป็นแน่
แก่นแท้จิตอสูรมันสามารถที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่
จิตอสูรได้ และในตอนนี้เนีย่ ลีเ่ องก็ได้มีจติ อสูรสายเลือดมังกรที่
มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่าเขามิได้เป็น
คนที่ตระหนี่ขเี้ หนียว ที่สาคัญกว่านั้น แก่นแท้จิตอสูรระดับ
ดาราสวรรค์ นั้นจะส่งผลดีที่มีอานุภาพยิ่งนักแก่จิตอสูรระดับ
ชะตาสวรรค์
เนี่ยลี่นั้นมิได้คาดหวังเลยว่าจะมีสิ่งล้าค่าเช่นนี้จะถูก
นามาเริม่ ต้นการประมูล การประมูลนี้อาจจะเป็นการพยายาม
ให้ การประมูลเร่าร้อนยิ่งขึ้น ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้าง
แห่งนี้ ต่างก็เป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของสามสานักใหญ่ ดังนั้น
สินค้าธรรมดา ไม่อาจที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
เนี่ยลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะส่งเสียงบอกกับกู้เบ่ย
มู่หลงหยีเ่ องก็ดูเหมือนว่าจะสนใจแก่นแท้จิตอสูรเช่นกัน ดังนั้น
เขาจึงได้ทาการเสนอราคาไป "หนึง่ หมื่นหนึ่งพันศิลาจิต
วิญญาณ!"
"หนึ่งหมื่นสองพันศิลาจิตวิญญาณ!"
"หนึ่งหมื่นสองพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!
เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังที่โต๊ะของพวกเขา พวก
เขาทั้งคู่นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน แต่มิได้ดูเหมือนว่าจะมีความ
เป็นมิตรกันเลยแท้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่น่าสนุก
เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาหยุดพูดคุยกันและเฝ้ามองดูว่าพวกเขาทั้งคู่
จะเสนอราคาขึ้นไปสูงถึงเพียงไหน
"หนึ่งหมื่นสามพันศิลาจิตวิญญาณ!" มู่หลงหยี่ รู้สึกแค้นเคือง
เล็กน้อย ดูเหมือนว่ากู้เบ่ยนั้นต้องการที่จะแข่งขันกับเขา!
แต่ถึงอย่างไร ศิลาจิตวิญญาณเกินกว่าหนึ่งหมื่นก้อน
นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่สาหรับมู่หลงหยี่ แม้ว่าเขาจะอดออม
มาเป็นเวลาหลายปี เขาก็มีเพียงแค่ราว ๆหนึ่งหมื่นห้าพันศิลา
จิตวิญญาณ!
"หนึ่งหมื่นสามพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!" กู้เบ่ยยังคงเสนอ
ราคาต่อโดยทีไ่ ม่ได้สนใจมู่หลงหยี่ เลยแม้แต่น้อย
"หนึ่งหมื่นห้าพันศิลาจิตวิญญาณ!
เยี่ยเชียนอดไม่ได้ที่จะมองดู มู่หลงหยี่ กับ กู้เบ่ย ด้วย
ความประหลาดใจ แม้ว่าเยีย่ เชียนจะมีศลิ าจิตวิญญาณเกือบ
สามหมื่นก้อน แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการซื้อแก่น
แท้จิตอสูรขวดนี้ ้หมื
ดุ อนว่ากู้เบ่ยผู้นี้ จะร่ารวยยิ่งนัก
"หนึ่งหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยศิลาจิตวิญญาณ!
ราคานั้นนับว่าค่อนข้างสูงมากแล้ว จึงทาให้เสียงของคน
อื่นนั้นมีความลังเลอยู่เล็กน้อย และตัดสินใจที่จะหยุดการเสนอ
ราคาต่อ สุดท้ายแล้ว แก่นแท้จิตอสูร ก็ถูกขายให้กับกู้เบ่ยได้
สาเร็จ
"ท่านไม่จาเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น!" กู้เบ่ยชาเลือง
มองเยี่ยเชียน อย่างไม่ชอบใจ ใครขอให้เจ้านั้นแสดงความสนใจ
ต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อกันหล่ะ?
เซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นเป็นผู้หญิงของเนี่ยลี่ และเยี่ยเชียนคิด
จะแย่งชิงผู้หญิงของน้องชายของเขา ดังนั้นแน่นอนว่ากู้เบ่ยจะ
ไม่ไว้หน้าเขาเช่นกัน! กู้เบ่ยนั้นมิได้กังวลในเรื่องใดเลย เยี่ย
เชียนเองกุเหมือนว่าจะไม่ได้วางแผนสิ่งใดไว้ ตามทีผ่ ู้อื่นพูดถึงกู้
เบ่ย
เยี่ยเชียน ถึงกับกระแอมด้วยความโกรธที่ประทุอยู่ในใจ
ของเขา กู้เบ่ยคนนี้คิดว่าเขานั้นเป็นใครกัน? เขาก็เป็นแค่
ลูกหลานของคนในตระกูลกู้ แต่กลับกล้าที่จะอวดดีถึงเพียงนี้
ถ้าหากว่าในตอนนี้มิได้อยู่ในเขตแดนของนิกายขนนกศักดิ์
สิทธิหล่ะก็ เยี่ยเชียนผู้นี้จักต้องทาให้เขาได้ฉลาดขึ้นกว่านีเ้ ป็น
แน่
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เยี่ยเชียน
ยังคงแสดงท่าทีที่สุภาพเช่นเดิม เขาพูดกลับไปว่า "ข้าเพียง
แค่ตือนเจ้าด้วยความหวังดี ถ้าหากน้องกู้มิเห็นค่าของมัน ก็
โปรดลืมมันไปเสียเถิด!
หลังจากที่เริ่มมีการขัดแย้งรุนแรงดังกล่าว บรรยากาศ
โดยรอบก็น่าอึดอันยิ่งนัก คนอื่น ๆ ที่อยู่ที่โต๊ะถัดไปก็ต่างมอง
มายังพวกเขา และเข้าใจสถานการณ์ทันทีหลังจากที่ได้เห็นกู้
เบ่ย
แต่ในตอนนี้นางก็เริ่มที่จะตรึกตรองดูอีกครั้ง และ
เปรียบเทียบตัวนางกับเซีย่ วหนิงเอ๋อ นางอดไม่ได้ที่จะรูส้ ึกว่าตัว
นางนั้นด้อยกว่า
การประมูลยังคงดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง และสินค้า
รายการต่อไป ขวด น้าค้างเสียงสวรรค์ น้าค้างเสียงสวรรค์ นี้
คือสิ่งที่กลั่นโดย สานักเสียงสวรรค์ โดยนักปรุงยาใช้สมุนไพร
หลายชนิด ผลของสมุนไพรนีเ้ หนือยิ่งกว่าศิลาจิตวิญญาณ และ
ยิ่งไปกว่านั้น น้าค้างเสียงสวรรค์ สามารถที่จะดูดซึมได้ง่าย จึง
ทาให้เห็นผลของมันได้ชัดเจนยิ่งขึน้
เพียงครู่เดียวบรรยากาศก็เริ่มที่จะตรึงเครียดขึ้น ผู้คน
เริ่มที่จะรวมตัวกันเป็นกลุม่ เพื่อเตรียมที่จะซื้อ น้าค้างเสียง
สวรรค์ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อยในการซื้อเพียงลาพังถึง
สิบขวดได้ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ศิษย์ทั้งหมดของสานักเสียงสวรรค์กม็ ิได้เข้าร่วม
ในการประมูลนี้ เหลือเพียงศิษย์ของสานักอัคคี และ ศิษย์ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้มีการแข่งขันที่
รุนแรงนัก
กู้เบ่ยนั้นดูที่จะไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักกับการที่ต้องโยนเงิน
ออกไปก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นศิลาจิตวิญญาณ ในทางกลับกัน ดู
เหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะซื้อเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก
เป็นการประมูลที่เข้มข้นยิ่งนัก หลังจากที่การประมูลสิ่งของล้า
ค่าจบลง สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดจนทาให้ ดวงตาของทุกคนเบิก
โพลงได้ความตกตะลึง คือกู้เบ่ยยังคงจ่ายเงินประมูลซื้อของไป
ห้าถึงหกหมื่นศิลาจิตวิญญาณก้อนแล้ว
เถาวัลย์ที่อยู่ภายในของเขานั้นทาให้การบ่มเพาะพลังของเขา
ล่าช้าลงเป็นอย่างมาก ในตอนนี้หนิงเอ๋อนั้นได้บรรลุระดับชะตา
สวรรค์ ขั้นห้าชะตาแล้ว ในขณะทีเ่ ขานั้นเพิ่งจะเข้ามาสู่ ใน
ขอบเขตชะตาสวรรค์ เมื่อไม่นานมานี้เอง ในขณะเดียวกัน เมื่อ
เนี่ยลีไ่ ด้มีการเลื่อนระดับ ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้น
หลายเท่า หรืออาจจะเป็นนับสิบเท่า ในตอนนี้เขาจึงแกร่งกว่า
คนที่อยู่ในระดับเดียวกันเป็นอันมาก
เพราะว่าเถาวัลย์ที่อยู่ในร่างกายของเขา ได้ทาการดูดซับพลัง
จากศิลาจิตวิญญาณ และยาทิพย์ จานวนมากเข้าไป ซึ่งคน
ทั่วไปนั้นจะมองเห็นได้ชัด ถึงตวามเติบใหญ่ของห้วงวิญญาณ
หลังจากที่ใช้ ศิลาจิตวิญญาณแค่ไม่กี่สิบก็อน ในส่วนของเนี่ยลี่
นั้น ต้องใช้จานวนกว่าร้อย หรือพันก็อน เขารับรูไ้ ด้ว่าเถาวัลย์ที่
อยู่ในร่างกายของเขา หากว่ามันเติบโตจนเต็มที่แล้ว มันจักต้อง
เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างด้วยน้าค้างเสียงสวรรค์จานวนสามสิบขวดที่
กู้เบ่ยเพิ่งจะประมูลมาให้เขาได้ คนทั่ว ๆ ไปนั้นคงจะสามารถที่
จะใช้เป็นเวลานาน แต่ถ้าเขาใช้ ทั้งหมดนี้ก็คงจะหมดไปในไม่กี่
วัน
แต่นั่นก็มิได้เป็นปัญหากับเนีย่ ลี่แต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึง
ต้องการทรัพยากรจานวน มหาศาล สาหรับใช้ในการบ่มเพาะ
พลัง
ในขณะที่กู้เบ่ยยังคงเสนอราคาประมูลสินค้าอย่างต่อเนื่อง มู่
หลงหยี่และเยีย่ เชียน ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีและแกล้งทาเป็น
ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนั่งอยู่กับกู้เบ่ยต่อไป พวกเขาไม่กล้าที่
จะสู้หน้าได้อีก แต่เดิมเยี่ยเชียนนัน้ คิดว่าตนเป็นผู้ที่มั่งคั่ง เมื่อ
เทียบตัวเขา กับกู้เบ่ยในตอนนี้ ทาให้เขารู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก
‘ถ้าหากเจ้าไม่ยอมให้ข้าได้ไปง่าย ๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะ
ไม่ยอมให้เจ้าได้ไปง่าย ๆ เช่นกัน’ มู่หลงหยี่ ค่อยๆเริ่มที่จะ
เสนอราคาให้สูงขึ้นเป็นระยะ เพื่อที่กู้เบ่ยจะได้จ่ายเงินมากขึ้น
แต่กลยุทธนี้ก็มีข้อจากัดอยู่เหมือนกัน แต่ตราบใดทีเ่ ขาสามารถ
ทาให้กู้เบ่ยใช้จ่ายเงินได้มากขึ้น แม้จะเพียงแค่เล็กน้อยมู่หลง
หยี่ก็พอใจแล้ว
เขาเพียงแค่ต้องการที่จะก่อกวนกู้เบ่ยเท่านั้น ยังไงเสียมันก็เป็น
ความผิดของกู้เบ่ย ที่พยายามขัดขวางเขา
กู้เบ่ยเหลือบตามอง มู่หลงหยี่ ที่กาลังก่อกวนเขาอยู่ พร้อมกับ
พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “หนึ่งหมื่นสามพันศิลาจิตวิญญาณ”
เพียงแค่เฝ้ามองแค่คราเดียวก็จะตระหนักได้ทันทีว่า ถึงแม้ว่ากู้
เบ่ยจะร่ารวย แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโง่เง่า ถ้าเขามองเห็นสิ่ง
ใดที่เขาชอบ เขาก็จะมุ่งเสนอราคา โดยที่ไม่มีความลังเลเลย
แม้แต่น้อย
แม้ว่าเสื้อเกราะพลอยม่วง จะเป็นของวิเศษระดับ
สาม แต่กไ็ ม่เหมาะสาหรับใช้งานจริงเนื่องจากน้าหนักของมัน
นอกจากนี้ของวิเศษชิ้นนี้สามารถหาซื้อได้จากที่อื่นอย่างไม่
ยากเย็นในราคาหนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ เหตุผลที่กู้เบ่ยแสดง
ท่าทีว่าต้องการมันเป็นอย่างมาก ก็เพื่อที่จะใช้เป็นเหยื่อล่อให้มู่
หลงหยี่ ตกหลุมพรางเท่านั้น
เดิมทีนั้นทุกคนต่างแอบหัวเราะกับการแข่งประมูล
ระหว่างกู้เบ่ยกับมู่หลงหยี่ โดยเฉพาะกับบุคลิกของกู้เบ่ยที่ดไู ม่
ค่อยเอาไหน เขาทุ่มเงินซื้อทุกสิ่งทีเ่ ขาต้องการ แม้ว่าจะต้อง
จ่ายไปมากสักเท่าไร แต่ทว่าจู่ๆ กู้เบ่ยก็หยุดเฉยๆ ในขณะที่ฝูง
ชนเฝ้ารอให้เขากลับมาเสนอราคาต่อ ทาให้ทุกคนประหลาดใจ
อยู่พอสมควร
ทันใดนั้นการประมูลก็ถูกเคาะ
มู่หลงหยี่ ได้ตกหลุมพรางของกู้เบ่ย!
ก่อนหน้านี้กู้เบยได้ใช้เงินไปเป็นจานวนมาก แม้ว่าของ
บางชิ้นนั้นเขาจะเสนอราคาสูงไปมาก แต่เขาก็คดิ ว่าอยู่ในราคา
ที่เหมาะสม มีเพียงแค่เสื้อเกราะพลอยม่วง เท่านั้นที่เป็น
ข้อยกเว้น ในตอนที่มู่หลงหยี่ ปั่นราคาขึ้นไปถึงหนึ่งหมื่นสี่พัน
ศิลาจิตวิญญาณ กู้เบ่ยจึงถอยออกมาในทันที และ ทาให้มู่หลง
หยี่ ถึงกับหัวทิ่มที่ได้มันมาอยู่ในมือ
มู่หลงหยี่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่นเี้ กิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร? เขา
ตาหนิตัวเอง ในขณะทีเ่ หงื่อเริ่มออกมาเป็นเม็ดเต็มใบหน้าของ
เขา
มู่หลงหยี่ นั้นได้ตกหลุมพรางของกู้เบ่ยที่ถูกขนาน
นามว่า คนรวยในรุ่นทีส่ อง (สานวนจีนหมายถึงเด็กทีเ่ ป็นลูก
เศรษฐี เทียบกับสานวนไทยได้ว่า เหยียบขีไ้ ก่ไม่ฝ่อ) คนที่รู้จัก
แต่การโปรยเงินไปทั่ว และมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะมีแต่คนมองดูเขา
ด้วยความดูถูก แต่ในตอนนี้ เขากลับต้องเอาหัวมุดลงหลุมฝัง
ศพ ที่เขาได้ขุดขึ้นมาเอง
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เท่าที่
คนอื่นนั้นได้รับรู้มา กูเ้ บ่ยเป็นคนที่ไม่ได้ความเลยสักนิด ทาให้
ผู้อื่นคิดไปเองเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขาว่าเป็น รุ่นที่สองที่
ไร้ค่า ถ้าไม่เช่นนั้น มู่หลงหยี่ คงไม่ตกหลุมพรางเป็นแน่
กู้หลานนั้น เมื่อเร็ว ๆนี้ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว
ดังนั้นกู้เบ่ย จึงได้ตัดสินใจที่จะเผยเขี้ยวเล็บ และต่อสู้เพื่อ
อานาจและตาแหน่งในตระกูล แต่เขาก็ไม่ได้แก้ไขภาพลักษณ์
ของตนเองต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ มู่หลงหยี่ จะตก
หลุมพรางของเขา
แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังคงต้องปกปิดเรื่องของตนเอง
ไว้ และในตอนนี้กเู้ บ่ยก็ได้ผสานเข้ากับจิตอสูรที่มีสายเลือด
มังกร ที่มีระดับการเติบโตในระดับพระเจ้าแล้ว กู้เบ่ยจึงมามี
คุณสมบัติครบถ้วนที่จะยืนหยัดและออกไปเพื่อที่จะต่อสู้แย่งชิง
เก้าอี้ผู้นาตระกูล ดังนั้นเขาจึงไม่จาเป็นที่จะต้องปกปิดความ
แข็งแกร่งของตนเองไว้เฉกเช่นอดีตที่ผ่านมา
นอกเหนือไปจากความโกรธของเขาแล้ว นั่นคือการทิ้ง
ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งหมื่นสี่พันก้อนลงท่อไป แม้ว่าหากมูห่ ลง
หยี่ จะทาการขายเสื้อเกราะพลอยม่วงออกไป เขาก็ได้แค่ศิลา
จิตวิญญาณกลับมาบางส่วน เขาจะต้องขาดทุนไปถึงสี่ถึงห้าพัน
ศิลาจิตวิญญาณ ในขณะที่เขาคิดถึงมัน เขาก็แทบอยากจะ
กระอักเลือดทันที
้วดื
้ ่มไวน์รวดเดียวหมดในอึกเดียว เขามิได้กระเป๋าหนักเฉกเช่น
กู้เบ่ย การทิ้งเงินจานวนมากทาให้เขาปวดใจจนแทบจะ
อาเจียนเป็นเลือดออกมา
เซี่ยวหนิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ในข
ระที่มองดูเนีย่ ลี่ สหายของเนี่ยลี่นชี่ ่างเหมือนกับเขายิ่งนัก เต็ม
ไปด้วยความคิดทีร่ ้ายกาจ และไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด
มีเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลกู้อยู่หลายคน พวกเขานั่งอยู่
ตรงมุมห้อง เหลือบมองมายังทิศทางที่พวกเขานั่งอยู่ พวกเขา
พูดคุยกันด้วยเสียงอันเบา
"ดูสินั่นคือกู้เบ่ยใช่หรือไม่?
เหล่าเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลกู้ เขาตระหนักได้ว่าจัก
ต้องประเมินกูเ้ บ่ยใหม่หลังจากทีได้เห็น ตระกูลกู้นั้นนับได้วา่
เป็นหนึ่งในสามตระกูลที่มีอานาจที่สุดในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์
และแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนหน้านี้พี่สาวของกู้เบ่ย ที่
ชื่อว่ากู้หลานนั้น มีความสามารถที่โดดเด่น จนเทียบได้กับหลง
เทียนหมิง
แต่ทว่าสวรรค์กลับอิจฉาความเป็นอัจฉริยะของนาง วัน
หนึ่งก็ได้เกิดปัญหาจากการบ่มเพาะพลังของนาง ทาให้ร่างกาย
ส่วนล่างของนางนั้นเป็นอัมพาต แม้ว่าความมีพรสวรรค์ของกู้
เฮงนั้นจะได้รับการยอมรับ แต่เขาก็ยังด้อยกว่าผู้ที่เป็นอัจฉริยะ
ที่โดดเด่นอย่างหลงเทียนหมิง หลังจากนั้นในตระกูลของเขาก็
กังวลอยู่เสมอ และหวังเป็นอย่างยิง่ ว่าจะเกิดอัจฉริยะคนใหม่
ขึ้นมาอีกครั้งในรุ่นถัดไปของพวกเขา
พรสวรรค์ของกู้เฮงนั้น ก็นับว่าดียิ่งในกลุ่มคนรุ่นใหม่
ของตระกูลกู้ แต่เขาก็ไม่มีความมัน่ ใจว่าจะล้มผู้อื่นได้ทั้งหมด
ส่วนกู้หลานนั้น เหล่าสมาชิกของตระกูลกู้ รวมถึงคนรุ่น
เดียวกันนั้นต่างก็รู้สึกเสียดาย ทั้ง ๆที่นางมีคุณสมบัติพอที่จะ
เป็นผู้นาตระกูลกู้
แต่ทว่า กู้หลานนั้นพบปัญหาจากการบ่มเพาะพลัง
ของนาง หลังจากเกิดอุบัติเหตุนั้น น้องชายของนางได้ถูกตั้ง
ความหวังไว้สูงมาก เนื่องทั้งสองคนนั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นใน
แง่ของความสามารถของพวกเขาน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ก็เป็นที่
น่าเสียดายที่ความจริง มันมิได้เป็นเช่นนั้นเลย กู้เบ่ยนั้นเปรียบ
ได้กับเห็บหมัด ทีไ่ ม่เอาไหน ถึงแม้ว่าเขาจะมีรากวิญญาณฟ้าก็
ตาม เขากลับใช้ชีวิตราวกับเด็กเสเพล และมีภรรยาถึงยีส่ ิบคน
ทั้งที่อายุยังน้อย ไม่ต้องพูดถึงการบ่มเพาะพลังของเขา เพราะ
มันไม่เคยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนัน้ ทุกคนจึงเบือนหน้าหนีจากกู้
เบ่ย
นอกเหนือจากกู้เฮงแล้ว พรสวรรค์ของเหล่าคนรุ่น
ใหม่ของตระกูลกู้นั้น ไม่อาจที่จะเรียกได้ว่าดีนัก แต่หลงเทียนห
มิง ก็มิได้ใส่ใจเกี่ยวกับกู้เฮงแต่อย่างใด ภายในนิกายขนนกศักดิ
สิทธิ์แห่งนี้ มีคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หลงเทียนหมิงจะปฏิบัติ
โดยที่เห็นว่ามีฝมี ือทัดเทียมกัน
หลังจากนั้นจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์กไ็ ด้ปรากฏขึ้นบนเวทีประมูลอีกครั้ง
ในการประมูลครั้งที่ผ่าน ๆ มา มีจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับมหัศจรรย์ ปรากฏมา หนึ่ง
หรือสองตน ก็นับว่าดีมากแล้ว แต่ในปีนี้ มีออกมาแล้วสิบตน
และดูเหมือนว่าอาจจะยังมีขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่น่าตกใจ
ยิ่งนัก
หลังจากที่ได้ยินเสียงอุทานของเหล่าฝูงชน กู้เบ่ย
กับเนี่ยลี่ก็หันมาสบตากันแล้วก็ยิ้ม กู้เบ่ยนั้นได้นาจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับมหัศจรรย์ เข้าร่วม
ประมูลจานวนทั้งหมดยี่สิบตน สาหรับพวกเขาแล้ว มันคงจะ
แปลกยิ่งนักหากว่าไม่ได้เห็นของพวกนี้จานวนมากปรากฏใน
การประมูล
แต่ถึงกระนั้นเนี่ยลี่กลับเอ่ยขอเพียงแค่ศิลาจิตวิญญาณจานวน
แสนก้อนเท่านั้น นี่ราวกับว่ายกให้โดยที่ไม่รับสิ่งตอบแทนเลย
เสียด้วยซ้า
"สิ่งแรกที่จะร้องขอก็คือ ต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับท่าน
ท่านพี่หลี่ ในอนาคต ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็ตามในนิกายขนนก
ศักดิสิทธิ์ ไม่ว่าข้านั้นจะมีความขัดแย้งกับผู้ใด ท่านพี่หลี่จักต้อง
ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้า!
"แน่นอน เองก็มิได้จะขอให้ท่านั้นทรยศต่อนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันมิได้มีประโยชน์ต่อข้าหรือผู้ใด" เนี่ยลี่ยมิ้
แล้วก้พูดต่อไปอีกว่า "สาหรับคาร้องขออื่นๆอีกสองข้อนั้น ข้า
ยังมิได้ตัดสินใจ ข้าจักบอกให้ท่านหลังจากที่ข้าคิดออกแล้ว
ส่วนจิตอสูรของท่าน ข้าจะทาให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้มันมา"
ในใจของหลี่ชิงอวิ๋น เต็มไปด้วยความหวังหลังจากที่ได้ยินคา
พุดของเนี่ยลี่
ถ้าหากเนี่ยลีน่ ั้นสามารถมอบจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับ
การเติบโต ในระดับพระเจ้า ให้กับเขาได้ ไม่ต้องคานึงเลยว่า
เนี่ยลี่จะเอ่ยปากว่าต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็น
หลงเทียนหมิง หลี่ชิงอวิ๋น เขาก็ไม่เกรงกลัว เขาเป็นคนที่
ซื่อสัตย์รู้คณ
ุ คน สาหรับคนที่ช่วยเหลือเขาแล้ว แน่นอนว่าเขา
จักตอบแทนโดยไม่ลังเล ถ้าไม่เช่นนั้น เขาคงจะไม่มีสหายที่เชื่อ
ใจเขาเป็นจานวนมาก แม้ว่าจะไม่มีข้อเสนอดังกล่าวก็ตาม หลี่
ชิงอวิ๋น ก็รู้สึกว่าเนี่ยลี่ เป็นคนที่คคู่ วรที่จะเป็นสหาย
เนี่ยลีไ่ ด้ทาข้อเสนอนี้เพื่อที่จะสร้างความประทับใจแก่หลี่ชิ
งอวิ๋น แก่เขาทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อนหน้า เนี่ยลีไ่ ม่ได้คานึงผล
กาไรจากการทาข้อเสนอในครั้งนี้ แต่ก็หาใช่เรื่องสาคัญ ตราบ
เท่าที่เขาเองก็มิได้เสียอะไร ศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสน
ก้อนก็เพียงพอแล้วที่ เนี่ยลี่จะทาจิตอสูรให้แก่หลี่ชิงอวิ๋น
ไม่มผี ู้ใดเลยที่รับรู้เกี่ยวกับข้อเสนออันน่ามหัศจรรย์ ที่เนี่ยลี่ได้
ทากับหลี่ชิงอวิ๋นนี้เลย
"เหตุใดต้องคิดมากด้วย? ตราบเท่าที่ไม่เกินกาลังของข้า!
"การที่พี่สาวของข้าถูกวางยาพิษนั้น จักต้องมีความเกี่ยวข้องกับ
กู้เฮงเป็นแน่ แต่ถึงไรนั้นกู้เฮงก็ได้หยั่งรากฝังลึกลงในตระกูลกู้
แล้ว และเขาก็นับว่าเป้นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูล การที่
จะฉุดดึงเขาลงมานั้นมิใช่เรื่องง่าย!
เมื่อกู้เบ่ยได้แสดงจิตอสูรของเขาออกมา ตาแหน่งในตระกูล
ของเขาจะเปลีย่ นไปอย่างเห็นได้ชัดเป็นแน่ เมื่อเวลานั้นมาถึง
เขาก็สามารถที่จะสั่นคลอนกู้เฮง จากตาแหน่งของเขาได้ทลี ะ
นิด ทีละนิด
"ข้าคิดว่าเวลานั้นคงจะมาถึงในอีกไม่นานนี้แหละ!
ในกลุ่มสมาชิกของสามตระกูลหลักในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลี่ชิงอวิ๋นและกู้เบ่ย ต่างก็มคี ณ
ุ สมบัติที่จะต่อสูเ้ พื่อชิง
ตาแหน่งผู้นาของนิกายได้ และที่เหลืออยู่ก็คือตระกูลผนึกมังกร
หลังจากใตร่ตรองดูแล้วก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวของเนี่ยลี่
ดวงตาของเขาหันไปมองที่หลงยู่อนิ
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพบว่ามันเป็นการยากที่จะพูดคุยกับหลงยู่อิน
ดั่งเช่นตัวอย่าง หลงยู่อินในตอนนีน้ างนั่งนิ่งราวกับท่อนไม้ ไม่มี
ปฏิสัมพันธ์ใด ๆกับผู้อื่น นางแสดงสีหน้าที่ปิดกั้นผู้อื่น ใครจะรู้
ว่านางกาลังคิดสิ่งใดอยู่
หลังจบคาพูดของฉินเยีย่ กระตุ้นความอยากรู้ของผู้คนเป็น
อย่างมาก เจ้าของสิ่งนี้มันคือ อะไรกันแน่? มันน่าพิสวงถึงปาน
นั้นเชียวหรือ?
เหล่าศิษย์ของทั้ง สามสานักต่างจดจ่อเฝ้ารอดูมันอยู่
ปรากฏรอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าของฉินเยี่ยขณะที่นางนาผ้า
คลุมออก ค่อย ๆ เผยให้เห็นสิ่งของที่เฉกเช่นม้วนคัมภีร์ นาง
ค่อย ๆ ถือมันขึ้นมาแล้วคลี่มันออกให้ดู “แม้ว่าในวันนี้ เรายัง
ไม่อาจบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร สิ่งเดียวที่เรารู้ก็คือ มันคือสิ่งที่น่า
มหัศจรรย์ยิ่งนัก ”
ทุกคนต่างจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของฉินเยี่ย สิ่งที่นางถืออยู่
ในมือมิใช่ม้วนคัมภีร์ แต่จริงๆแล้วมันคือ งานจิตรกรรม เป็น
ภาพดินแดนที่กว้างใหญ่และมีภูเขาอยู่ไกลลิบ และมีแม่นาไหล ้
ผ่าน มีอักษรโบราณ 4 ตัว ที่ดูทรงอานาจเขียนไว้ว่า 万里
河山 (ว่าน หลี่ เข่อ ชาน : หมืน่ ขุนเขาและสายน้า )
นั่นคือความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน
เนี่ยลี่นั้นตกใจกว่าผู้ใดในนั้น คนอืน่ ๆ นั้นไม่มผี ู้ใดที่รู้วิธีใช้งาน
ของสิ่งนี้ พวกเขาแค่รู้สึกอ่อนไหวเมื่อเห็นภาพวาดชิ้นนี้ แต่เนี่ย
ลี่นั้นรู้วิธีใช้งานมันเป็นอย่างดี!
ตามที่หนังสือจิตอสูรท่องเวลาได้บนั ทึกไว้ ภาพวาดดังกล่าวคง
อยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาลที่เก่าแก่เป็นที่สุด ยอดฝีมือผู้หนึ่งได้
ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างใส่เจตุจานงค์ของเขาเพื่อสร้างผลงาน
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า ชั้นนี้ขึ้นมา เขาได้ใส่พลังงาน
ทั้งหมดลงไปจนหมดสิ้น ของสิ่งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยในการบ่ม
เพาะพลังเท่านั้น
กลิ่นอายที่แผ่ออกมาสามารถดูดซับเพื่อเพิ่มการบ่มเพาะพลัง
ได้ แต่ก็เป็นวิธีการใช้สมบัติล้าค่าที่สูญเปล่ายิ่งนัก! เพราะมัน
เป็นเพียงแค่พลังงานสวรรค์ที่กระจัดกระจายเพียงเล็กน้อย
เท่านั้น
เนี่ยจะไม่มีทางยอมให้จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า ตกไป
อยู่ในมือผู้อื่นเป็นแน่
!
“กู้เบ่ยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องซื้อภาพวาดชิ้นนี้ให้ข้าให้
จงได้
!” เนี่ยลี่ บอกกับกู้เบ่ย “ส่วนเรื่องเงินนั้น ข้าจะเป็นผูจ้ ่ายเอง!”
ในตอนนี้กู้เบ่ยกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
!
ทุกคนชาเลืองมองสบตากัน
ทุกคนต่างตระหนักดีว่าสมบัติชิ้นนี้จะต้องมีวิธีใช้นานับประการ
แต่ว่าแม้แต่บุคคลระดับสูงผูล้ ึกลับที่นาภาพวาดนี้ออกมา
ขาย เขาก็ไม่อาจที่จะค้นพบวิธีการใช้งานมันอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็ลืมมันไปได้เลย! แต่เนื่องจากสินค้าชิ้นนี้
นับว่าเป็นการปิดฉากของการแสดงสินค้า ราคามันจักต้องแพง
มากเป็นแน่ ถ้าหากว่าพวกเขาจะซื้อมันเพื่อมาเสี่ยงโชค ก็
นับว่าคงจะเสียเปล่าเป็นแน่ มันเสีย่ งที่จะสูญเสียโดยเปล่า
ประโยชน์มากเกินไป!
ฉินเยี่ยยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับพูดต่ออีกว่า“บุคคลระดับสูงผู้นา
จิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้าออกมาขาย ได้แจ้งมาว่า ไม่วา่
จะเป็นผู้ใดก็ตาม ที่สามารถที่จะค้นพบวิธีการใช้งานจิตกรรม
หมื่นขุนเขา เขายินดีที่จะรับซื้อคืนด้วยราคา 2 แสนศิลาจิต
วิญญาณ แต่ถ้าไม่มผี ู้ใดรู้วิธีการใช้งานมัน เขาก็ยินดีที่จะขาย
มันออกไป ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 1 แสน ศิลาจิตวิญญาณ!”
เนี่ยลี่อาจจะเป็นเพียงผู้เดียวที่ไขความลับของมันได้!
ราคาเริ่มต้นทีเ่ สนอคือหนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณ
!
หลายคนถึงกับตะลึงด้วยราคาที่แพงหูฉี่
ด้วยราคาขนาดนี้จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะลดจานวนผูเ้ ข้าร่วม
ประมูลแข่งขันได้ ในบรรดาผู้คนทีอ่ ยู่ที่นี่ มีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้า
ร่วมประมูลได้ หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณ ไม่ได้เป็นจานวนที่คน
ธรรมดาสามารถจะจ่ายได้
ทั่วทั้งห้องโถงด้านข้างถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเป็น
เวลานานพอสมควร ใครกันจะกล้าพอที่จะยกมือให้กับราคานี้
ได้?
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นศิลาจิตวิญญาณ
!” หลงเทียนหมิงพูดออกมาโดยไม่ได้เต็มใจนัก
ในที่สุดก็มีใครบางคนที่กล้าที่จะเสนอราคาขึ้นมา
!
ความเงียบได้ถูกทาลายลงในทันที ทุกคนเริ่มจะตอบโต้กันด้วย
รอยยิ้มอันขมขื่น บางทีอาจจะมีเพียงแค่คนระดับหลงเทียนห
มิง ถึงจะมีส่วนร่วมในการประมูลครั้งนี้ได้
จานวนเงินที่ใช้ในการซื้อขายปีนี้พุ่งทะลุสูงกว่าปีที่แล้ว
นอกจากนี้ราคาของจิตรกรรมหมืน่ ขุนเขาและสายน้าเพียง
อย่างเดียวก็ครอบคลุมเงินทั้งหมดแล้ว
“หนึ่งแสนสองหมื่นศิลาจิตวิญญาณ
!” เหยียนหยาง เอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจ
ตลอดการประมูลอันยาวนาน เหยียนหยางไม่ได้ประมูลสิ่งใด
แม้แต่รายการเดียว จานวนสิ่งที่เขานั้นสนใจแทบจะเป็นศูนย์
แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มที่จะประมูลจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและ
สายน้า
“หนึ่งแสนสามหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
“หนึ่งแสนสี่หมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
หนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
………
ราคาปรับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขากาลังทาสงคราม
การเสนอราคา เมื่อ เหยียนหยาง เสนอราคาขึ้นไปถึง หนึ่งแสน
หกหมื่นศิลาจิตวิญญาณ หลงเทียนหมิง ถูกบังคับให้ออกมา
จากการแข่งขันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“สองแสนหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!” เหยียนหยางทาการเสนอ
ราคาต่อไปอีก
ราคาของภาพวาดสูงถึงสองแสนหมื่นศิลาจิตวิญญาณ! มันเป็น
ราคาที่น่าตื่นตกใจเหลือเกิน แม้แต่คนอย่าง เยี่ยเชียน กับ มู่
หลงหยี่ จะนาสมบัติของพวกเขามารวมกัน
พวกเขาก็ยังไม่อาจที่จะมีศลิ าจิตวิญญาณจานวนมากถึงเพียง
นี้ เหยียนหยางนับเป็นโอรสศักดิส์ ิทธิ์แห่งสานักอัคคีอย่าง
แท้จริง เขาช่างร่ารวยยิ่งนัก
ด้วยความมั่งคั่งอันน่ากลัวของเหยียนหยาง ทาให้คนอื่น
หวาดหวั่นที่จะแข่งขันด้วย เมื่อทุกคนรู้ดีว่าจิตรกรรมหมื่น
ขุนเขาและสายน้าจะต้องตกอยู่ในมือของเหยียนหยางแน่นอน
เสียงของกู้เบ่ยก็ดังขึ้น
“ข้าเคยได้ยินมาจากท่านผู้อาวุโสว่าจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและ
สายน้าเป็นดั่งกุญแจที่เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณหนือคณานับ
ที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพสงครามก็ไม่อาจที่จะไขได้ ดังนั้น
ถึงแม้น้อยน้อยเหยียนหยางได้มันไป ท่านก็คงไม่อาจที่จะหา
หนทางในการใช้มันได้เป็นแน่ ข้าขอเสนอราคาสองแสนหนึ่ง
หมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
“สองแสนสองหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
เหยียนหยาง ยังคงให้ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“สองแสนสามหมื่นศิลาจิตวิญญาณ!”
กู้เบ่ยประมูลอย่างใจเย็น
ใจของทุกคนนั้นตื่นตะลึงยิ่งนัก กู้เบ่ยมีเงินอยู่จานวนเท่าใดกัน
แน่? แม้แต่ผู้อาวุโสที่รู้จักเก็บออมหลายปียังมีศิลาจิตวิญญาณ
เพียงแค่แสนก้อน หรือว่ากู้เบ่ยจะพบขุมทรัพย์อะไรบางอย่าง?
เหยียนหยางถึงกับนิ่งเงียบไป หลังจากการบ่มเพาะพลังมา
หลายปี เขามีศิลาจิตวิญญาณเพียงแค่ สองแสนห้าหมื่นก้อน
เท่านั้น ทั้งๆที่ราคานั้นก็สูงอยู่แล้ว แต่กู้เบ่ยก็ยังเสนอราคา
สูงขึ้นไปอีก
เหยียนหยางเคยได้ยินชื่อของกู้เบ่ยมาบ้าง เขาควรจะเป็นแค่
ลูกหลานธรรมดาในตระกูลกู้ แต่ทาไมถึงได้มั่งคั่งจนน่ากลัวถึง
เพียงนี้? เขาได้มาด้วยวิธีใดกันแน่ ดูแล้วไม่มีวี่แววเลยว่าเหยียน
หยางจะสามารถเอาชนะกู้เบ่ยในการประมูลครั้งนี้ได้ แม้ว่าเขา
จะเสนอราคาขึ้นไปอีกก็ตาม
รวมกับศิลาจิตวิญญาณอีกแสนก้อนที่อยู่ในแหวนห้วงมิติของ
เขา เขายังคงเหลือศิลาจิตวิญญาณอยู่อีก 230,000 ก้อน
ดูเหมือนว่าการขายจิตอสูรสายเลือดมังกรเป็นการหาเงินที่
ง่ายดายยิ่งนัก
!
โชคดีเหลือเกินที่เขาได้พบกับการประมูลเช่นนี้ ทาให้เขา
สามารถขายจิตอสูรได้โดยง่าย โดยปกติแล้ว เป็นเรื่องที่ยากที่
จะหาผูซ้ ื้อที่เหมาะสมได้
การประมูลยังคงดาเนินต่อไปและมีสินค้าจานวนมากที่ถูกขาย
ออกไป แต่ของส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าตาเขาเลยแม้แต่น้อย เนี่ยลีจ่ ึง
ไม่ได้เข้าร่วมประมูลด้วย ในตอนนีเ้ ขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เขาแอบได้รับจิตรกรรมหมื่นขุนเขาและสายน้า เมื่อ
กลับถึงที่พัก เขาจักต้องหาหนทางเปิดมันออกเป็นแน่
แม้แต่คนระดับสูงก็ไม่อาจที่จะเปิดจิตกรรมหมื่นขุนเขาและ
แม่น้าได้ เนี่ยลี่ มีความคิดว่าเขาจะต้องทาอะไรบางอย่าง
เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถที่จะปลดผนึกมันได้ แต่ก็ขึ้นอยู่
กับความเข้าใจในจารึกในรูปแบบต่าง ๆ แต่ก็ยังคงมีความ
เป็นไปได้สูง แม้ว่าเขาจะสามารถปลดผนึกการใช้งานได้เพียง
แค่ สิบเปอร์เซนต์ เพียงแค่นั้นก็คมุ้ ค่าที่จ่ายไปแล้ว
สิ่งของยังถูกขายออกไปต่อเนื่องนับสิบชิ้น ก่อนที่การประมูลจะ
จบลง ในบางครั้งก็มีเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล
ฉินเยี่ยเดินไปที่พณ
ิ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า และเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
พร้อมกับเอ่ยว่า “ข้านั้นจะเป็นผูเ้ ริ่มการแสดงก่อน ข้าจะขอ
แสดงทักษะอันอ่อนด้อยของข้าเป็นอันดับแรก ขอให้ทุกท่าน
โปรดชี้แนะด้วย”
บทเพลงที่กลมกล่อมและเต็มไปด้วยอารมณ์ก้องกังวาลไปทั่ว
บริเวณ เสียงประหนึ่งหยาดฝนร่วงหล่นบนใบกล้วย ถ้าหากนั่ง
ฟังอยู่ไกลๆ อาจจะไม่ได้ยินเสียงสิง่ ใด แต่ถ้าตั้งใจฟังอย่าง
เงียบๆ จะราวกับว่าเสียงที่ได้รับฟังผ่านใบหู จะมีร่องรอยของ
ความห่วงใย และความเห็นอกเห็นใจ มันทั้งอ่อนโยน โศกเศร้า
และงดงาม
หลังการบรรเลงของนางจบลง นางได้รับเสียงยกย่องสรรเสริญ
จากผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้
“แม่นางฉินเยี่ย เสียงพิณของท่านราบรื่นราวกับสายน้า
ถ่ายทอดวิถีแห่งเจตจานงค์ในของตนเองผ่านทางห้วงอารมณ์
ช่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
!”
หลังจากที่ได้ฟังเสียงเพลงจากพิณ เนี่ยลี่ถึงกับยิ้มเล็กน้อย
อารมณ์และความรูส้ ึกภายในเพลงช่างคล้ายคลึงกับอาจารย์
ของเขา ที่ราวกับตัวโน๊ตนั้นไร้ตัวตน แต่ถึงอย่างไรความห่างชั้น
ก็ยังคงมีมากเกินไป แม้ว่าเนี่ยลี่นนั้ จะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องพิณ
แต่เขาก็สามารถประเมินได้เป็นอย่างดี
ฉินเยี่ยลุกยืนขึ้นพร้อมกับโค้งคานับเล็กน้อย “ข้าฉินเยีย่ ดู
เหมือนว่าจะแสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไป แม้ว่าอาจจะ
ดูเป็นเรื่องตลก ฉินเยีย่ ได้แสดงฝีมอื อันน่าเวทนาออกไปแล้ว
ต่อไปข้าขอส่งต่อเวทีให้กับผู้ที่นั่งอยู่ด้านล่าง! ”
หลังจากสิ้นคาพูดของฉินเยี่ยหลายคนอดไม่ได้ทจี่ ะหน้าแดง
เพราะความอับอาย ฝีมือพิณของฉินเยี่ยนั้นเรียกได้ว่าถึงขั้นที่
บรรลุแล้ว การที่จะขึ้นไปในตอนนีก้ ็เหมือนแสดงความโง่ของ
ตนเองออกมา ในตอนนี้ จะเป็นการดีกว่าที่จะให้ ยอดฝีมือตัว
จริงได้แสดงฝีมือของพวกเขา ซึ่งแบบนั้นเหล่าฝูงชนจะได้
ประโยชน์มากกว่าเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะช่วยศิษย์พี่เยี่ยเชียนฝนหมึกเอง
!” ฉินเยี่ยยิ้มและนางก็เดินไปที่อีกด้านของโต๊ะแล้วทาการฝน
หมึก
“ช่างเป็นผู้ช่วยที่งดงามยิ่งนัก ให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว
!” เยี่ยเชียน หัวเราะขณะที่หยิบพูก่ ันที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็จมุ่
ลงไปในหมึก และจ้องมองไปยังกระดาษ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มตวัดพู่กัน
และลงมือเขียน เขาตวัดพู่กันราวกับงูและมังกร
ดวงตาของฉินเยี่ยอดไม่ได้ที่จะเป็นประกายขณะที่นางเงยหน้า
ขึ้น ผู้ชมด้านล่างต่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง
“ศิษย์พี่เยี่ยเชียนได้มคี วามเข้าใจในวิถีแห่งความรักเสียยิ่งกว่า
ข้า แม่นางฉินเยี่ย เสียอีก
! ”
เยี่ยเชียนไม่สนใจที่จะมองผู้ใด เขามองไปยังเซี่ยวหนิงเอ๋อ
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบบอกหนิงเอ๋อด้วยน้าเสียงที่นิ่มนวลว่า
“หนิงเอ๋อ ดูเหมือนว่าเยีย่ เชียนจะมีความรูส้ ึกอันลึกซึ้งนี้กับเจ้า
นะ!”
“เนี่ยลี่ เจ้าพูดเช่นนี้ข้าไม่สนุกด้วยนะ
!” เซี่ยวหนิงเอ๋อ อายจนก้มหน้าหลบ
เนี่ยลี่อดที่จะหัวเราะไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางของเซี่ยวหนิงเอ๋อ
“ตั้งแต่ที่เยี่ยเชียนขึ้นไปบนนั้น ข้าเองก็คงต้องแสดง
ความสามารถอะไรสักอย่างสองอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะดูขี้
ขลาดและอ่อนแอเป็นแน่”
หลี่ชิงอวิ๋นมองดูเนี่ยลีด่ ้วยความตกใจ เนี่ยลี่นั้นมีความมั่นใจยิ่ง
นัก นั่นหมายความว่าเขามั่นใจว่าจะไม่ด้อยกว่าเยี่ยเชียน หลี่
ชิงอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะคาดหวังในใจ ในขณะที่เขาสงสัยว่าเนีย่ ลี่
จะแสดงอะไรออกมา หลังจากที่ เนี่ยลี่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตชะตา
สวรรค์ และทาไมเขาถึงได้มั่นใจนักว่าจะแสดงฝีมือที่ไม่ด้อย
กว่าเยี่ยเชียนได้?
เซี่ยวหนิงเอ๋อ ยุ่งอยู่กับการพูดคุยและหัวเราะเบาๆกับเนี่ยลี่
นางไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมอง เยีย่ เชียน อดไม่ได้ที่จะสลดใจ
ในขณะที่เขาเดินลงจากเวที และกลับไปยังที่นั่งของเขา
มีเสียงของคนบางคนตะโกนออกมาจากฝูงชน “ในบรรดาเหล่า
ศิษย์ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ ผู้นาของเราก็คือ ศิษย์พี่ เหยียน
หยาง ศิษย์พี่ หมิงเยี่ย และ ศิษย์พี่ หลงเทียนหมิง ได้โปรดขึ้น
ไปชี้แนะพวกเราด้วย”
คนที่เหลือต่างกูร่ ้องหลังจากที่สิ้นเสียงคนผู้นั้น
เหยียนหยาง หมิงเยี่ย วู่ซวง และ หลงเทียนหมิง มีความรู้ซึ้ง
เป็นอย่างยิ่งในวิถีแห่งจอมยุทธจนถึงระดับที่น่าอัศจรรย์อย่าง
ยิ่งแล้ว หากพวกเขาจะแสดงฝีมือเพียงเล็กน้อย คนที่เหลือก็จะ
ได้ประโยชน์เป็นแน่
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยกย่องถ้อยคาของหลงเทียนหมิง พวกเขา
ทั้งสามคนเป็นที่รจู้ ักดีในสามสานักหลัก การแข่งขันของพวก
เขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเองก็ไม่ได้
ดีนัก แต่ถึงอย่างไร หลงเทียนหมิง จึงชิงลงมือก่อนโดยการพูด
ไปว่าเขานั้นอ่อนด้อยทีส่ ุดในสามคน เพื่อที่ให้ทุกคนคิดเช่นนั้น
เขาจะได้ทาตามที่วางแผนไว้ได้
เขาได้บอกไปโดยการยอมรับว่าเขานั้นความสามารถอ่อนด้อย
ที่สุด ถ้าหากเขาทาได้ไม่ดเี ท่ากับคนอื่น ผู้คนก็จะไม่เห็นว่าเป็น
เรื่องที่น่าอับอาย แต่ถ้าหากว่าเขาทาได้ดีกว่าอีกสองคนที่เหลือ
เขาก็จะได้รับคาชื่นชมเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ถือว่าหลงเทียนห
มิงนั้นยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยทีส่ ุด
ปากของเหยียนหยางกระตุกด้วยความเหยียดหยาม ในขณะที่
เขามองไปยังด้านหลังของหลงเทียนหมิง ทาไมเขาถึงจะไม่
เข้าใจว่าหลงเทียนหมิงตั้งใจจะทาอะไร? แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็
ไม่ได้ใส่ใจกับกลยุทธ์เล็กน้อยนี้หรอก
ขณะที่หมิงเยี่ย วู่ซวง ที่อยู่อีกด้าน นางยังคงสงบนิ่งดั่งเช่นเคย
ชนะหรือพ่ายแพ้ ไม่ใช่สิ่งสาคัญสาหรับนาง
ภายใต้สายตาของผูค้ น หลงเทียนหมิงเดินออกไปด้านหน้า
บทที่ 313 ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในวิถีแห่งเจตจานงค์
หลงเทียนหมิงยกพู่กันขึ้นแล้วจุ่มลงไปในหมึก ดวงตาของเขา
นั้นจ้องมองไปยังกระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้าของเขา
“ข้านั้นได้แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกไปแล้ว” หลง
เทียนหมิง เขาได้หยุดพู่กันและวางมันลงไปด้านข้าง กลิ่นอาย
อันแข็งแกร่งของเขาถูกดึงออกมาพร้อม ๆกับพู่กัน
เยี่ยเชียนลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยคาเยิยยอ “ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง
มังกรศักดิส์ ิทธิ์ปีกโลหิต ที่ปกครองแผ่นดิน สง่างามยิ่งกว่าวีร
ชนใดๆ จากภาพวาดนี้ ต่างก็มองเห็นจิตใจที่กว้างขวางของ
ศิษย์พี่หลงเทียนหมิง!”
ด้วยความจริงที่ว่า หลงเทียนหมิงนั้นเป็นคนที่ดุร้ายป่าเถื่อน
และมีความทะเยอทะยานยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถ
ของเขานั้นก็เรียกได้ว่าน่ามหัศจรรย์ เขาจึงนับเป็นศัตรูที่น่า
ราคาญจนอยากจะวิ่งหนี
ทั้งสองคนถูกเรียกร้องให้มาเล่นหมากล้อม และผลของมันก็จะ
ถูกตัดสินได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากว่าผู้ใดมีวิถีแห่งเจตจานงค์ ที่
แข็งแกร่งกว่าและสามารถที่จะข่มอีกฝ่ายได้ นึกนับว่าเป็นเรื่อง
ยากที่จะสามารถแสดงทักษะออกมาได้อย่างเต็มที่ และผู้แพ้ก็
ต้องอับอายยิ่งนัก หลงเทียนหมิง พยายามที่จะให้ หมิงเยี่ย วู่
ซวง กับ เหยียนหยาง ตัดสินกันด้วยวิธีนี้
เหล่าผู้คนอดไม่ได้ที่จะผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยหลังที่ได้ยินคาพูด
ของหมิงเยี่ย วู่ซวง พวกเขาก็ไม่กล้าที่ตัดสินว่าหมิงเยี่ย วู่ซวง
นั้นกลัวที่จะต่อสู้กับเหยียนหยาง แม้ว่าทุกคนจะพลาดชมการ
แข่งหมากล้อมระหว่างสองยอดฝีมือ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่า ฝีมือ
ด้านการดีดพิณของหมิงเยี่ย วู่ซวงนั้นเป็นอะไรที่คุ้มค่าและตื่น
ตาตื่นใจไม่น้อย
*แตร๊ง งงงงงงง*
เสียงที่ก้องกังวาลชัด ไพเราะราวกับ ดอกไม้กาลังผลิบาน เสียง
ค่อย ๆ กังวาลไปทั่วทั้งห้องโถง ท่วงทานองเชื่องช้า วนเวียน
ราวกับไม่ทสี่ ิ้นสุด
ทันทีที่ได้ยินเสียงพวกเขารูส้ ึกผ่อนคลาย ราวกับว่าพวกเขานั่ง
อยู่บนสรวงสวรรค์ เสียงเพลงเบาหวิวทาให้พวกเขารู้สึกผ่อน
คลาย และใบหน้าพวกเขาแสดงออกถึงความลุ่มหลง แม้ว่าหลง
เทียนหมิงกับเหยียนหยาง จะไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับคนอื่น
แต่ในใจของเขาก็ไม่อาจที่จะสงบได้จากเสียงพิณของนาง
เสียงพิณของนางนั้นทาให้จิตใจของทุกคนสงบลง
เหล่าผู้ฟังต่างจมดิ่งไปด้วยเจตจานงค์ที่ลึกลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใน
ท่วงทานองเพลงพิณของนาง และพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจที่
จะหาทางออกได้เลย
เพียงแค่ท่วงทานองเพลงพิณแค่บทเพลงเดียว ก็ลึกซึ้งเกินกว่า
ภาพวาดของหลงเทียนหมิงแล้ว ด้วยมันมีแรงขับเคลื่อน
อารมณ์ให้คล้อยไหว ทาให้ผู้ฟังต่างรู้สึกเพลิดเพลิน
หลงเทียนหมิงถึงกับป้องถือคานับด้วยรอยยิม้ อันขมขื่น “ข้าไม่
เคยคิดมาก่อนว่า ศิษย์พี่หมิงเยีย่ สามารถสาเร็จท่วงทานองพิณ
สันติภาพแห่งสรวงสวรรค์แล้ว มันช่างเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง
นัก หลงเทียนหมิงผู้นี้ ขอน้อมรับความพ่ายแพ้”
“ถูกต้องแล้วนั่นคือบทเพลงสันติภาพแห่งสรวงสวรรค์ ศิษย์
น้องหลงเทียนหมิงมีสายตาที่เฉียบคมยิ่งนัก ในตอนนี้ข้าได้เสร็จ
สิ้นการแสดงฝีมือของข้าแล้ว ขอเชิญผู้ที่จะมาแสดงฝีมือคนต่อ
ได้แล้ว” หลังจากพูดจบมิงเยี่ย วู่ซวง ได้ค่อย ๆเดินลงจากเวที
ทีละก้าว อย่างสง่างาม
ไม่พียงแต่ผู้ชมที่ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ทุกคนต่างหลงสเน่ห์
อันสง่างามของนางทันที พวกเขามองไปยังหมิงเยีย่ วู่ซวง ด้วย
จิตใจที่สงบยิ่งนัก แม้จะป็นเพียงการบรรเลงพิณแค่บทเพลง
เดียว แต่มันส่งผลต่อจิตใจของพวกเขายิ่งกว่าภาพวาดของหลง
เทียนหมิงเสียอีก
ภาพวาดของหลงเทียนหมิงนั้นสยบผู้อื่นด้วยพลังและอานาจ
ท่วงทานองเพลงพิณของหมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นราวกับบทเพลงแห่ง
สวรรค์ ที่บ่งบอกถึงความเข้าใจอย่างเที่ยงแท้
ในเวลาเดียวกัน กระดานหมากล้อมนั้นก็แผ่ขยายออกอย่างไร้ที่
สิ้นสุด ราวกับว่ามันกลายเป็นพื้นผิวของโลกอีกใบ
มันราวกับว่ามีภูเขาและพื้นน้า ปรากฏขึ้นมาบนกระดานหมาก
ล้อม แต่ก็มไิ ด้เป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นเพียงโครงสร้างของพื้นผิวของ
มันเท่านั้น เหยียนหยางได้ค่อย ๆวางตัวหมากลงไป
ทันทีที่วางตัวหมากลงไป ลาธารแห่งชีวิตก็ได้ระเบิดออกมาใน
รูปแบบของ ดอกไม้ พืชตามเนินเขาและสิ่งมีชีวิตในน้า พลังที่
แข็งแกร่งจนเอ่อล้นออกมา ทาให้ในใจของทุกคนนั้นได้รับ
ผลกระทบเป็นอย่างมาก
ตัวหมากของเหยียนหยางนั้นเต็มไปด้วยวิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไม่
มีที่สิ้นสุด มันถูกวางลงตรงจุด เทียนหยวน [天元จุดกึ่งกลาง
กระดาน]
เป็นเวลาอันยาวนานที่ทุกคนจมอยู่กับโลกใบเล็กแห่งนี้
หลังจากที่ได้วางตัวหมากลงไปแล้ว เหยียนหยางก็ยกมือของ
เขาออกมา เขายังคงยืนนิ่งอยู่ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็
พูดขึ้นมาว่า “เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดเล่นกับข้า ข้าจึงขอวางหมาก
เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น”
เหยียนหยางค่อย ๆเดินลงมาจากเวทีด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง
เนี่ยลี่มองดูเหยียนหยางด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คดิ มา
ก่อนเลยว่า ความเข้าถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ของเหยียนหยางจะ
ไปถึงระดับนีไ้ ด้ ความเข้าใจของหลงเทียนหมิงนั้นไม่อาจจะ
เรียกได้ว่า สูงส่ง แต่สาหรับเหยียนหยางนั้น ความเข้าถึงของ
เขานั้นอาจเรียกได้วา่ วิถีเจตจานงค์แห่งราชันย์ ไม่น่าแปลกใจ
เลยที่ในชีวิตที่แล้วของเขา ในยุคทีเ่ หยียนหยางได้เป็นผู้นา
สานักอัคคี ถึงได้เฟื่องฟูนัก
เหล่าศิษย์ของสามสานักใหญ่ต่างเห็นพ้องไปกับคาพูดของฉิน
เยี่ย แพ้หรือชนะหาได้สาคัญเลยไม่ พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์
ใหม่อย่างแท้จริง พวกเขายังคงจมอยู่กับสิ่งที่ทั้งสามคนได้แสดง
ออกมา
ยอดฝีมือทั้งสามคนได้รับความสนใจเป็นอันมากในถ้องโถง
ด้านข้างนี้ นอกเหนือไปจากการได้รับรู้ถึงความเข้าใจใน
บางอย่าง เหล่าลูกศิษย์ก็รสู้ ึกอยู่ลกึ ๆว่า พวกเขานั้นด้อยกว่า
ถึงเพียงไหน พวกเขาทั้งสามคนนัน้ มีเจตจานงค์ที่เหนือล้าเกิน
กว่าคนธรรมดา การที่จะไปให้ถึงระดับของทาสามคนนั้นเป็น
สิ่งที่ยากเย็นเกินไป
ฉินเยี่ยยิ้มและกวาดสายตาของนางไปยังฝูงชน “ยังมีผู้ใดอีก
ไหม ที่ต้องการแสดงทักษะของตนเองให้พวกเราได้เห็น?”
ทุกคนต่างหันไปจ้องหน้ากัน ทั้งสามคนนั้นเพิ่งจะแสดงทักษะ
ของพวกเขาเสร็จสิ้นไป ผู้ใดจะกล้าที่จะออกไปแสดงฝีมืออีกห
ล่ะ? ถ้าหากมีผู้ใดขึ้นไป การแสดงของเขาก็จะเป็นแค่ทักษะที่
น่าสมเพช หลังจากทีไ่ ด้เห็น ฝีมือของเหล่ายอดฝีมือก็เท่านั้น
บทที่ 314 กระบี่ 剑
ทั่วทั้งห้องโถงสงบเงียบในทันที ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เนี่ยลี่
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เด็กคนนี้คือใครกัน?
ยังมีคนที่กล้าออกไปแสดงฝีมือหลังจากที่ได้เห็น เหยียนหยาง
หมิงเยี่ย วู่ซวง กับหลงเทียนหมิง แสดงฝีมืออีกงั้นหรือ
“เจ้าเด็กผู้นี้คือใครกัน
? เขาคงเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ว่า ฟ้าสูงแผ่นดินต่า เป็นเช่นใด”
ความคิดบางอย่างเข้ามาในหัวของเยี่ยเชียน เนี่ยลี่นั้นอาจจะ
ต้องการแสดงฝีมือต่อหน้าเซี่ยวหนิงเอ๋อ นั่นอาจจะเป็นเหตุผล
ที่เขาไม่อาจจะถอยหลังกลับได้
เยี่ยเชียนมองไปยังเซี่ยวหยิงเอ๋อ นางนั้นอาจจะสายตาไม่ค่อยดี
นัก ถึงได้มาคบกับคนโง่เง่าเช่นนี้ แม้ว่าเนี่ยลี่นั้นพยายามที่จะ
แข่งขันกับเขา อย่างน้อยเขาก็น่าจะหาเวลาที่เหมาะสมกว่านี้
กู้เบ่ยถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อเลยว่าวิถีแห่ง
เจตจานงค์ของเนี่ยลี่นั้น จะเหนือกว่าคนทั้งสาม แล้วเขา
ต้องการจะทาสิ่งใดกันแน่?
สายตาทุกคู่ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ต่างจับจ้องมายังเนี่ยลี่
รวมไปถึงสายตาของทั้งสามคนก่อนหน้านี้ พวกเขาอดที่จะกลั้น
หัวเราะไม่ได้ เมื่อพวกเขาต่างตระหนักดีว่าเนี่ยลี่นั้นยังไม่บรรลุ
แม้แต่ระดับชะตาสวรรค์ แล้วความเข้าใจที่เขามี จะเป็นวิถีแห่ง
เจตจานงค์ใดกันแน่?
ฉินเยี่ยมองดูเนีย่ ลี่พร้อมกับยิ้มหวาน “ศิษย์น้องผู้นี้ยังคงเด็กนัก
แต่เมื่อเจ้าต้องการที่จะแสดงทักษะของเจ้าให้เราได้เห็น ความ
กล้าหาญของเจ้านี้น่ายกย่องนัก แต่เราก็ไม่อยากที่จะให้เจ้าฝืน
ทาอะไรมากเกินไปเช่นกัน”
เนี่ยลี่นั้นไม่ได้แสดงออกถึงความตืน่ ตระหนกต่อเวทีเลยแม้แต่
น้อย เขาตอบกลับอย่างใจเย็นว่า
การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยเชียนนั้นสามารถเข้าใจได้
ในทันที เนี่ยลี่ตั้งใจที่จะมุ่งเป้ามาทีเ่ ขา โง่เง่ายิ่งนัก ถ้าหากเนี่ย
ลี่ต้องการที่จะแข่งขันกับเขา เขาก็ควรที่จะทามันก่อนที่ เหยียน
หยางและอีกสองคนที่เหลือจะแสดงฝีมือ ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่เขาทา
เช่นนี้ ด้วยความจริงที่ว่าการแสดงหลังจากคนพวกนั้นแล้ว
มั่นใจเลยว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องถูกเย้ยหยันเป็นแน่
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่างจ้องหน้ากัน เขาไม่รู้ว่าเนี่ยลี่คิดจะ
ทาสิ่งใดกันแน่ ในหมู่คนที่รวมกันอยู่ในห้องโถงนี้ ล้วนเป็น
อัจฉริยะที่เก่งกาจของสานักใหญ่ทงั้ สาม ผู้ใดกันที่จะต้องการ
คาชี้แนะจากเขา? เหล่าฝูงชนเพียงแต่รอที่จะหัวเราะเยาะกับ
เรื่องตลกที่เนีย่ ลี่กาลังทาเสียมากกว่า
“เจ้าหนุ่มนี่โง่เง่ายิ่งนัก?”
“ข้าพูดตามจริงเลยนะ เจ้าคนโง่เง่าผู้นี้มาจากที่ใดกัน?”
เหล่าฝูงชนต่างพูดคุยกันเอง ในตอนแรกพวกเขาก็มีความกังวล
ว่าเขาอาจจะมองเนี่ยลีผ่ ิดไป แต่ในตอนนี้ที่พวกเขาได้จับจ้อง
เนี่ยลี่ เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความสงบ เขียนตัวอักษรที่ไร้ซึ่ง
วิถีแห่งเจตจานงค์ใดๆ จากตัวของเขา ไม่มีการสั่นไหวใดๆ
แม้แต่น้อย
เขาคิดจริง ๆหรือว่านี่เป็นแค่เพียงการแสดงทักษะการเขียน
อักษรทั่วๆไป หรือว่าเขากาลังเล่นตลกอันใดอยู่?
ใบหน้าของมู่หลงหยี่เป็นสีแดงพร้อมกับเสียงหัวเราะของเขา
“สมองของเจ้านี่คงจะต้องเละเทะเป็นแน่ การประลองนี้เป็น
เรื่องของการเข้าถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ แล้วนี่เขาบรรลุถึงสิ่งใด
กันถึงทาได้แค่เพียงเขียนตัวอักษร?”
ส่วนกู้เบ่ยนั้นตาของเขาจับจ้องไปที่เนี่ยลี่ที่อยู่บนเวที ขอบคุณ
สาหรับคาพูดของเนี่ยลี่ก่อนหน้านี้ มันทาให้เขาเต็มไปด้วย
ความคาดหวัง
ฉินเยี่ยไม่อาจที่จะทนเห็นเนี่ยลี่แสดงความโง่เขลาไปมากกว่านี้
นางจึงได้เตือนเขาอีกครั้ง “ศิษย์นอ้ ง การแสดงนี้ พวกเรา
แข่งขันกันด้วยการบรรจุวิถีแห่งเจตจานงค์ไปยังตัวอักษรที่
เขียนขึ้นมา หาใช่การแสดงทักษะการเขียนอักษรเท่านั้นนะ ”
แต่ถึงอย่างไรเนีย่ ลี่ ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา การแสดงออกของเขา
ยังคงสงบนิ่งและไร้กลิ่นอายใด ๆ แม้แต่ในขณะที่ข้อมือของเขา
กาลังสะบัดพู่กันเขียนตัวอักษรอย่างแม่นยา ลากไปทีละเส้น ที
ละเส้น เป็นตัวอักษรโบราณที่ซับซ้อนปรากฏอยู่บน
หน้ากระดาษ จากนั้นก็ตวัดพู่กันเป็นครั้งสุดท้าย “ตัวอักษรของ
ข้านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว”
ฮินเยี่ยมองไปที่กระดาษนั้น และเห็นตัวอักษรโบราณที่ซับซ้อน
ยิ่งนัก แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นางก็อ่านได้จาก
รูปร่างของมัน “剑” [เจี้ยน : กระบี่]ในแง่ของการเขียนอักษร
ก็นับว่าสวยงามนัก ประกอบไปด้วยลายเส้นที่แข็งแรงและ
จังหวะการลากเส้นทีเ่ ป็นจังหวะ ช่างเที่ยงตรงและแข็งแกร่งยิ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ตัวอักษรธรรมดา “กระบี่” แต่
มันมิได้มีวิถีแห่งเจตจานงค์อยู่เลยแม้แต่น้อย
ฉินเยี่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและถอนหายใจ นางคิดว่าเนี่ยลี่
อาจจะทาให้นางประหลาดใจก็เป็นได้ แต่มไิ ด้เป็นเช่นนั้นเลย
สมองของเนี่ยลี่คงจะไม่ได้เละเทะจริง ๆนะ (ปกติในสานวนจีน
มักจะ เรียกคนไม่ฉลาดว่า สมองเต้าหู้ สมองเละเทะ คือเต้าหู้ที่
เละเป็นน้า คือโง่กว่าคนสมองเต้าหู้อีกขั้นหนึ่ง) นี่เขาคิดจะ
แสดงความโง่ของตนเองออกมาจริง ๆเหรอ? (โดยปกติเวลาจะ
แสดงอะไร คนจีนมักจะบอกว่า ขอแสดงความโง่เขลา เป็นการ
แสดงออกถึงความถ่อมตน มิได้หมายถึงเช่นนั้นจริง ๆ)
แม้ว่าเนี่ยลี่จะเขียนตัวอักษรของเขาเสร็จแล้ว แต่มันมิได้มีวิถี
แห่งเจตจานงค์อยู่เลย ผู้อื่นจะประเมินมันเช่นใดกัน?
หลงเทียนหมิงมองไปดูเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ไม่หันกลับไปดู
ครั้งที่สองอีกเลย
ดวงตาของกู้เบ่ยก็จับจ้องไปที่อักษร คิ้วของเขาก็แทบ
จะไม่ขยับเช่นกัน เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ต่างก็พูดคุยกันเอง ต่างก็
เยาะเย้ยกับเนีย่ ลี่ที่ทาอะไรไร้สาระเช่นนี้
เนี่ยลี่กวาดสายตามองฝูงชนอย่างใจเย็น ด้วยการแสดงออก
ของทุกคนนั้น ต่างก็จับจ้องมาที่เขาด้วยความดูถูก เนี่ยลี่นั้น
สนใจการแสดงออกของ เหยียนหยางกับหมิงเยี่ย วู่ซวงเป็น
พิเศษ
หมิงเยี่ย วู่ซวง นั้นมิได้สงบเสงี่ยมเช่นเคยในขณะที่จ้องมองดู
คิ้วของนางแทบไม่กระดิกเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่านางกาลังขบ
คิดปัญหาทีย่ ากมากอยู่
ดวงตาของเยียนหยางนั้นเป็นประกาย และมีร่องรอยของความ
ประหลาดใจ ชื่นชม และ สับสน คิ้วของเขาถึงกับขมวดไม่ขยับ
อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คลายออก และจากนั้นก็ขมวดอีกครั้ง
บทที่ 315 เจตจานงค์แห่งกระบีข่ ั้นสูงสุด
แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ข่มใจฝืนมิให้หัวเราะ แต่ก็มีบางคนที่
หัวเราะออกมาบ้าง
ด้วยความจริงที่ว่าเนี่ยลี่นั้นได้ออกมาทาเรื่องตลกให้ตนเองขาย
หน้าเท่านั้น
ทันใดนั้นกู้เบ่ย รู้สึกอะไรบางอย่างทาให้ดวงตาของเขานั้นเป็น
ประกาย “เนี่ยลี่เป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เขาสามารถเข้าถึงวิถี
แห่งเจตจานงค์เหนือกว่าเหยียนหยางไปมากนัก! ”
ในขณะที่กู้เบ่ยมุ่งเน้นความสนใจของเขาไปยังคาว่า
“กระบี่” เขาสัมผัสได้ถึงเจตจานงค์แห่งกระบี่ที่พลุ้งพล่าน
ออกมากดทับตัวของเขาไว้ ถ้อยคานี้มิได้บรรจุวิถีแห่ง
เจตจานงค์ใด ๆลงไป แต่ทว่า วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไร้ขอบเขต
กลับสัมผัสได้จากมัน
นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างที่สดุ !
คาว่า “กระบี่” ที่เนี่ยลีเ่ ขียนออกมามีความหมายกับกู้เบ่ยมาก
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ความเข้าถึงวิถีแห่งกระบี่ของกู้เบ่ยนั้น
เหนือกว่าผู้อื่นยิ่งนัก ในชีวิตก่อนหน้าของเนี่ยลี่นั้น กู้เบ่ยได้เป็น
ยอดฝีมือในระดับเทพสงครามด้วยวิถีเจตจานงค์แห่งกระกระบี่
ในถ้อยคานี้ถูกบรรจุไปด้วย วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ไร้ขอบเขต
และ แก่นแท้เจตจานงค์แห่งกระบี่ เมื่อใดที่กู้เบ่ยสามารถ
เข้าใจคานี้ได้ มันจะมีประโยชน์ในการบ่มเพาะพลังของเขาเป็น
อย่างมาก
กู้เบ่ยหัวเราะเยาะอย่างดูถูก “พวกเจ้าอยากพูดสิ่งใดก็ตามที่
พวกเจ้าต้องการ ข้าไม่สนใจสักนิด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหาก
พวกเจ้าไม่อาจทีจ่ ะเข้าถึง เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุด ที่แฝง
อยู่ในถ้อยคานี้ ก็เท่ากับว่าพวกเจ้านั้นได้พ่ายแพ้ไปแล้ว!”
เยี่ยเชียนนั้นพยายามที่จะศึกษาตัวอักษรนั้นโดยใช้เวลาอยู่ไม่
น้อย แต่เขาก็มไิ ด้สัมผัสถึงเจตจานงค์ใด ๆ แม้แต่น้อย นี่มัน
เรื่องพิลึกบ้าบออะไรกัน หรือว่ากูเ้ บ่ยนั้นเชื่อไปเอง มียอดฝีมือ
มากมายที่รวมอยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ แต่มีเพียงแค่คนที่ไม่ได้
เรื่องอย่างกู้เบ่ยที่สมั ผัสถึงมันได้ หรือว่าแม้แต่เหยียนหยางและ
พวกของเขาก็ไม่อาจจะสัมผัสถึงมันได้เลย?
มีบทสนทนาที่หลากหลายและต่อเนื่องในห้องโถงแห่งนี้ แต่บาง
คนก็มีเพียงแค่คาเยาะเย้ยถากถากเท่านั้น
หลังคาพูดของหลงเทียนหมิง เหล่าฝูงชนก็อดคิดไม่ได้ว่าเนี่ยลี่
นั้นจงใจที่จะทาให้เป็นเรื่องลึกลับ ที่แม้แต่หลงเทียนหมิงยังไม่
อาจสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆ นั่นก็พิศุจน์ได้แล้วว่า
มันเป็นเพียงแค่ตัวอักษรธรรมดาเท่านั้น
เนี่ยลี่นั้นไม่ต้องการที่จะให้หลงเทียนหมิงนั้น เข้าใจถึง
เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุดจากตัวอักษรของเขาอยู่แล้ว เมื่อ
เขาได้ยินคาพูดของหลงเทียนหมิงแล้ว เขาถอนใจด้วยความโลง
อกจากนั้นเขาก็ยิ้ม พร้อมกับพูดออกไปว่า
“อันที่จริงนี่ก็เป็นเพียงแค่การเขียนตัวอักษรธรรมดาเท่านั้น ใน
เมื่อศิษย์พี่หลงและคนอื่น ๆไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใดจากมัน จง
ลืมมันไปเสีย แล้วข้าจะนาตัวอักษรของข้าไปจากที่นี่”
เนี่ยลี่นาตัวอักษรที่เขียนมาจากฉินเยี่ย เขาเป็นกังวลว่าถ้าหาก
ให้โอกาสหลงเทียนหมิงได้มองนานกว่านี้ หลงเทียนหมิงอาจจะ
เริ่มทาความเข้าใจในบางสิ่งจากมันได้
เหตุผลเดียวที่กู้เบ่ยสามารถเข้าใจมันได้ อาจจะเป็นเพราะเขา
ได้ตดิ ต่อคบหากันเช่นสหายกับเนีย่ ลี่ในช่วงนี้ เขาจึงได้รับ
อิทธิพลจากกลิ่นอายของเนี่ยผ่านจิตใต้สานึก นอกจากนี้ กู้เบ่ย
นั้นมีเจตจานงค์แห่งกระบีเ่ กินกว่าหลงเทียนหมิงเสียอีก
ไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องมีสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่คงไม่อาจมีผู้ใดทีจ่ ะ
ก้าวล้ากู้เบ่ยในวิถีแห่งกระบี่ได้
เมื่อเนี่ยลี่นาตัวอักษรที่เขียนมาจากฉินเยี่ย เสียงของเหยียน
หยางก็ดังขึ้นมาเพื่อหยุดเขาทันที “ช้าก่อน”
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ มองไปที่เหยียนหยางด้วย
ความงุนงง เขามองดูสับสนเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?
เหยียนหยางนั้นแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรหลังจากที่เข้ามาใน
ห้องโถงด้านข้างนี้ เขาเอ่ยปากพูดเพียงแค่ไม่กี่คา จู่ ๆ เขาก็พูด
กับเนี่ยลี่ จึงทาให้ทุกคนรูส้ ึกไม่คาดคิดมาก่อน
คิ้วของเขาขมวดแน่น
ยิ่งเหยียนหยางพยายามที่จะพินิจตัวอักษรนี้มากขึ้นเท่าใด เขา
ก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งคิดว่าเด็กคนนีส้ ามารถ
เข้าถึง เจตจานงค์แห่งกระบี่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เมื่อเทียบกับวิถี
เจตจานงค์แห่งกระบี่ขั้นสูงสุดแล้ว การเล่นหมากล้อมที่เขาได้
แสดงไปนั้นนับว่าด้อยกว่ายิ่งนัก
เหยียนหยางนั้นจมอยู่กับเจตจานงค์แห่งกระบี่ที่ไร้ที่สิ้นสุด มัน
เกินกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก มีความเป็นไปได้มากมาย ที่แฝงอยู่
ในเจตจานงค์แห่งกระบี่นี้ เปรียบกับตัวเขาก็แค่หยดน้าเล็ก ๆ
ทีร่ ่วงหล่นลงในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ที่อยู่ในเอกภพนี้
ภายใต้สายตาที่งุนงงของเหล่าฝูงชน เหยียนหยางสูดลมหายใจ
เข้าลึกๆแล้วจ้องมองเนี่ยลี่ เดิมทีนั้นเขาคิดว่า วิถีแห่ง
เจตจานงค์ ที่เขามีนั้นเพียงพอที่จะกาหราบเหล่ายอดฝีมือในรุ่น
ของเขาได้ แต่ในตอนนี้ที่เขาได้จับจ้องตัวอักษรดังกล่าว ทาให้
เขานั้นได้ตระหนักว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ย่อมจะมีผู้ที่แข็งแกร่ง
กว่าอยู่เสมอ
เนี่ยลี่นั้นถึงแม้จะเป็นแค่เด็ก แต่กลับสามารถเข้าใจอย่าลึกซึ้ง
ในเจตจานงค์แห่งกระบี่
เหล่าอัจฉริยะ ที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้เฝ้าสังเกตุทั้งสาม
คน และก็ต่างประหลาดใจยิ่งนัก จากนั้นพวกเขาก็หันไปมอง
ตัวอักษรที่อยู่ในมือของเนี่ยลี่ อาจจะเป็นไปได้วา่ มีอะไรที่ลาลึ
้ ก
แฝงอยู่ภายในมันงั้นหรือ? ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งสามคนคง
ไม่มีท่าทีเช่นนี้เป็นแน่
เหยียนหยางจ้องมองตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นอย่างเงียบๆด้วย
ความรูส้ ึกที่ว่างเปล่า
ในตอนนี้ เนี่ยลี่นั้นได้เข้าใจดีเลยว่า เหยียนหยางนั้น จมอยู่กับ
ตัวอักษรที่แฝงเจตจานงค์แห่งกระบี่อย่างล้าลึกอยูเ่ ป็นแน่
ด้วยตัวอักษรเพียงหนึ่งตัวนี้ แต่ละคนอาจจะเข้าถึงเจตจานงค์ที่
ต่างกัน และบางคนอาจจะเข้าใจเคล็ดวิชาลับแห่งกระบี่อัน
ลึกซึ้งจากมันก็เป็นได้
ถ้าหากว่าเหยียนหยางต้องการที่จะทาความเข้าใจจากมัน
อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันเป็นอย่างน้อย
“ตัวอักษรนี้มีเจตจานงค์ที่แท้จริงแฝงอยู่ โดยที่มไิ ด้
เขียนวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆ ลงไป มันเป็นเพียงแค่ตัวอักษร
หลังจากที่ข้าได้เขียนมันขึ้นมาให้ทกุ คนได้ดูในวันนี้ สาหรับคน
ที่สามารถเข้าใจบางสิ่งบางอย่างจากมันได้ ก็แปลว่าคนผู้นั้นมี
ชะตาต้องกันกับมัน ” เนี่ยลีย่ ิ้มเล็กน้อยแล้วม้วนกระดาษเก็บ
“อย่างไรก็ตาม ขอให้มันจบลงเพียงเท่านั้น
!”
หลังจบคาพูดของเหยียนหยาง ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงนี้ต่าง
เงียบสนิท เหล่าคนที่หัวเราะเยาะเนี่ยลี่ในก่อนหน้าอดไม่ได้ที่
จะอ้าปากค้าง พวกเขายังไม่อาจอธิบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้
เพราะพวกเขาไม่อาจที่จะสัมผัสถึงสิ่งใดได้จากตัวอักษร แต่ถึง
อย่างไรคนอย่างเหยียนหยางคงไม่พูดโกหกเป็นแน่ ตัวอังษรนี้
แฝงด้วยเจตจานงค์อย่างแท้จริง แต่พวกเขาทั้งหมดไม่อาจที่จะ
เข้าใจได้งั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตามเหยียนหยางถึงกับยอมรับความพ่ายแพ้ คนระดับ
เขาแน่นอนว่าจะต้องไม่โกหกคนทีไ่ ร้ชื่อเสียงเช่นเนี่ยลีแ่ น่ มัน
เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?
คิ้วของมู่หลงหยี่ถึงกับขมวดแน่น เขาก็เหมือนกับฝูงชนที่เหลือ
เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือหัว สิ่งใดคือหางสาหรับสถานการณ์เช่นนี้
(สานวนจีนหมายถึง ไม่รสู้ ิ่งใดจริง หรือ สิ่งใดเท็จ) อย่างไรก็
ตามเขาก็ยิ่งไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงสิ่ง
ที่ลึกเกินหยั่งถึงในตัวอักษรของเนีย่ ลี่ ด้วยความรูส้ ึกที่ว่าเขานั้น
ด้อยกว่าเนี่ยลี่ ทาให้เขาโกรธแค้นยิ่งนัก
หลงยู่อินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ นางกามือของนางที่อยู่บนโต๊ะจนแน่น
แม้แต่กู้เบ่ยยังสามารถสัมผัสได้ถึงเจตจานงค์ในตัวอักษรของ
เนี่ยลีไ่ ด้ แต่เหตุใดนางถึงไม่อาจทาได้ นี่มไิ ด้หมายความว่านาง
นั้นอ่อนด้อยยิ่งกว่ากู้เบ่ยงั้นหรือ? เจตจานงค์แบบใดกันที่แฝง
อยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่ สาหรับคนที่หมกมุ่นอยู่กับวิถีแห่งจอม
ยุทธ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสเน่ห์ที่ชวนให้หลงไหลอย่างที่ไม่มีที่
สิ้นสุด
นางปรารถนาที่จะรู้ว่าสิ่งทีล่ ้าลึกทีแ่ ฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่
นั้นคือสิ่งใดกันแน่ !
นางไม่อาจที่จะระงับความอยากรูอ้ ยากเห็นที่อยู่ในใจของนาง
ได้ นางตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าด้วยสิง่ ใดก็ตาม ไม่ว่าจะต้องจ่ายไป
ในราคาสักเท่าไหร่ นางจักต้องเข้าใจถึงความล้าลึกที่อยู่ใน
ตัวอักษรของเนี่ยลี่ให้จงได้
บทที่ 316 ขายตัวอักษร
ในขณะที่เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้กาลังงง
กันอยู่ เนี่ยลี่ก็กาลังจะเตรียมตัวกลับที่พักหลังได้เก็บตัวอักษร
ของเขาเรียบร้อยแล้ว
การควบคุมคนที่หลงไหลในวิธีแห่งจอมยุทธเช่นหลงยู่อินนั้น
ง่ายดายยิ่งนัก
นอกเหนือไปจากความพึงพอใจที่ได้กระตุ้นทั้งสองคนแล้ว เนี่ย
ลี่ยังสามารถที่จะกระตุ้นความสนใจจากเหยียนหยางและ หมิง
เยี่ย วู่ซวง ได้สาเร็จ แน่นอนว่าเขาเองนั้นก็ไม่อยากเชื่อว่า เห
ยียนหยาง กับหมิงเยีย่ วู่ซวง จะสนอกสนใจจนออกมาเกินกว่า
ที่เขาคาดไว้ถึงเพียงนี้
“โปรคอยก่อน
!” เหยียนหยางจู่ๆก็ส่งเสียงเพื่อที่จะหยุดเนี่ยลี่เอาไว้
ทุกคนมองดูเหยียนหยางด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนี่ยลี่นั้น
เก็บตัวอักษรของเขาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เหยียนหยางพยายาม
จะทาในตอนนี้ คือสิ่งใดกัน?
“ข้าต้องการที่จะขอซื้อตัวอังษรนี้ ข้าสงสัยว่าศิษย์น้องเนี่ย
ลี่ยินดีที่จะขายมันหรือไม่
? ข้ายินดีที่จะเสนอราคาให้เป็นศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อน”
เหยียนหยางพูดออกไป แต่เดิมเขาคิดจะเสนอที่ราคาห้าหมื่น
ศิลาจิตวิญญาณ แต่หลังจากที่ได้ขบคิดดูแล้ว เขาตระหนักได้ว่า
ราคาแค่ห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณนัน้ ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นการ
แสดงออกอย่างจริงใจ ดังนั้นเขาจึงได้เสนอราคาที่หนึ่งแสนศิลา
จิตวิญญาณ
เหยียนหยางยินดีที่จะเสนอราคาสาหรับตัวอักษรของเนี่ยลี่ถึง
หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณงั้นเหรอ
?
เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้ถึงกับตกใจเป็น
อย่างมาก
หนึ่งแสนศิลาจิตวิญญาณสาหรับตัวอักษรแค่ตัวเดียว
!
หลังจากที่ได้ยินคาพูดของเหยียนหยาง เนี่ยลีร่ ู้สึกลังเลไป
ชั่วขณะ ศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนก้อนนับว่าล่อใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตามที่ทุกคนนั้นเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ตัวอักษร เนีย่ ลี่
นั้นไม่ได้ขาดทุนเลยแม้แต่น้อยในการขายมัน ทาไมจะต้อง
ปฏิเสธด้วยหล่ะ?
จากคาพูดของเหยียนหยางทาให้หลงเทียนหมิงตกใจยิ่งนัก เขา
ไม่อาจที่จะมองเห็นความล้าลึกที่แฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่
ก่อนที่เนี่ยลี่จะม้วนเก็บไป เขาไม่อาจที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งใดที่ล้า
ลึกที่แฝงอยู่ในตัวอักษรนั้น แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเห
ยียนหยางยินดีทจี่ ะเสนอศิลาจิตวิญญาณแสนก้อนสาหรับ
มัน เขาไม่เข้าใจความคิดของเหยียนหยางเลยสักนิด
เจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษรมีคา่ มากกว่าศิลาจิตวิญญาณ
หนึ่งแสนก้อนงั้นเหรอ?
เมื่อเห็นหน่าเนี่ยลี่นั้นยังลังเล เหยียนหยางจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าหากศิษย์น้องเนี่ยลี่ ยังไม่เต็มใจที่จะขายมัน ถ้าเช่นนั้นหาก
ข้าเสนอราคาให้เป็นศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้าหมื่น
ก้อนหล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร? ” แม้ว่าจะเป็นราคานี้ก็ยังห่างไกล
เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าของตัวอักษรนี้ “ข้าหวังว่าศิษย์น้อง
เนี่ยลี่จะยินดีที่จะขายมัน!”
เห็นได้ชดั ว่าเหยียนหยางนั้นร้อนรนที่จะอยากได้ตัวอักษรนี้เป็น
อย่างมาก เนี่ยลี่นั้นรู้ดีถึงมูลค่าที่แท้จริงของมัน คงจะแปลก
อย่างมากถ้าหากเหยียนหยางไม่ได้รู้สึกหมดหวังถ้าหากไม่ได้
ครอบครองมัน ในตอนแรกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับมันแค่
เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่เนี่ยลี่จะเก็บมันไป
เมื่อได้ยินคาพูดของเหยียนหยาง คิ้วของหลงเทียนหมิงถึงกับ
ขมวด เขาทาได้เพียงแค่ยมิ้ เล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่จะพูดขึ้นมา
ว่า “ในเมื่อศิษย์น้องเนี่ยลีไ่ ม่ต้องการที่จะขายมัน เช่นนั้นแล้ว
ศิษย์พี่เหยียนหยางก็ไม่ควรที่จะฝืนใจเขานะ” หลงเทียนหมิง
รับรู้ได้ถึงความร้อนรนของเหยียนหยาง แค่เพียงความร้อนรน
ของเขาเพียงเท่านั้น ตัวอักษรนี้จักต้องมีค่ามากกว่า จิตรกรรม
หมื่นขุนเขาและสายน้าเป็นแน่
เหยียนหยางมองที่เนี่ยลี่ ด้วยการจับจ้องอย่างจริงจังเพื่อที่จะ
เข้าใจความหมายแฝงในคาพูดของเนี่ยลี่ ด้วยความจริงที่ว่าเนีย่
ลี่นั้นสามารถเขียนตัวอักษรกี่คาก็ได้ในหนึ่งวัน แต่เขาก็ปฏิเสธ
ไม่ได้ว่าคุณค่าของตัวอักษรที่อยู่ในมือของเขานั้นก็ไม่ได้ลด
คุณค่าลงไปแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าศิษย์น้องเนี่ยลี่จะสามารถเขียนอักษรได้กี่คาก็ตามใน
หนึ่งวัน ข้าก็ยินดีที่จะจ่ายศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้า
หมื่นก้อนสาหรับมัน” เหยียนหยางพูดด้วยความใจเย็น เขานั้น
ยึดมั่นในวิถีทางของตนเองเสมอ เขาเป็นคนที่จริงใจต่อมิตร
สหาย ดังนั้นเขาจะยอมรับการเขียนอักษร อันล้าค่าจากเนีย่ ลี่
โดยไม่มสี ิ่งตอบแทนได้อย่างไร
?
เมื่อได้เห็นความจริงจังของเหยียนหยาง เนี่ยลี่ครุ่นคิดอยู่พัก
หนึ่ง เดิมทีนั้นเนี่ยลี่วางแผนที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับเหยียน
หยาง โดยที่ไม่ได้คิดว่าจะขายตัวอักษรเลยแม้แต่น้อย หลังจาก
ที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ เนี่ยลี่เอ่ยปากขึ้นว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อศิษย์
พี่เหยียนหยางยินดีที่จะจ่ายศิลาจิตวิญญาณจานวนมากสาหรับ
มัน ข้าก็จะให้ของขวัญแก่ศิษย์พี่ดว้ ยตัวอักษรตัวที่สอง!”
ฉินเยี่ยรับมาด้วยความยินดีอย่างสุภาพ นางถือมันด้วยมือทั้ง
สองข้างก่อนที่จะเดินไปหาเหยียนหยาง
เหยียนหยางหยิบม้วนอักษรจากฉินเยี่ย เมื่อเขาได้เห็นคาว่า
“ยุทธ” ที่ถูกเขียนอยู่ด้านล่าง เขาก็รู้สึกราวกับได้รับ
ประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ทาให้ใจของเขารู้สึก
หวั่นไหวเป็นอย่างมาก เขาม้วนกระดาษและนามันเก็บไว้
ในทันที
“ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์น้องเนี่ยลี่” ใจของเหยียนหยางนั้นตื่น
ตระหนกจนยากที่จะพรรณนาได้ อักษรคาว่า “ยุทธ” ดู
เหมือนว่าจะล้าลึกเสียยิ่งกว่าคาว่า “กระบี่” เสียอีก เหยียน
หยางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเนีย่ ลี่จะมองของขวัญล้าค่าเช่นนี้
ให้แก่เขา เขาหยิบแหวนห้วงมิติของเขาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
ว่า
“เมื่อเทียบกับอักษรทั้งสองคาที่ศษิ ย์น้องเนี่ยลี่เขียนให้ข้านั้น
สิ่งของพวกนี้กล่าวได้ว่าช่างไร้ความหมาย นับจากนีไ้ ป ศิษย์
น้องเนี่ยลี่ นับว่าเป็นสหายของข้า เหยียนหยาง!”
จากนั้นเนี่ยลี่กไ็ ด้รับศิลาจิตวิญญาณอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน
จาก หมิงเยี่ย วู่ซวง
ถึงแม้ว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อจะมีพรสวรรค์อันที่น่าตกตะลึง และได้รับ
การดูแลจากบุคคลระดับสูง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับการได้รับ
การดูแลจาก หมิงเยีย่ วู่ซวง
หลงเทียนหมิงถึงกับขมวดคิ้ว เพราะทั้งเหยียนหยางและหมิง
เยี่ย วู่ซวงต่างก็ได้รับตัวอักษรของเนี่ยลี่ เขายอมรับความพ่าย
แพ้ เพราะเขาไม่อาจที่จะขัดขวางไม่ให่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่
สาหรับเนี่ยลี่ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่หลงเทียนหมิงนั้นจะยอม
จ่ายศิลาจิตวิญญาณถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเพื่อตัวอักษรนั่น
เนี่ยลี่นั้นเป็นศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ หลังจากจบเรื่องนี้
แล้ว หลงเทียนหมิงจะส่งใครบางคนไปเอาตัวอักษรมาจากเนี่ย
ลี่ จะมีหนทางใดที่เนีย่ ลี่จะไม่ส่งให้กับเขางั้นรึ?
ไม่เพียงแค่ตัวอักษรตัวเดียวเท่านัน้ เนี่ยลี่จะต้องให้ตัวอักษร
บางคาสาหรับหลงเทียนหมิง เนี่ยลี่จักต้องมอบให้กับเขามาก
ยิ่งกว่านั้น นอกเสียจากว่า เขาจะไม่ต้องการอยู่ในนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
หลงเทียนหมิงเริ่มที่จะสังเกตุเนี่ยลี่ ถ้าหากเนี่ยลี่นั้นมีพรสวรรค์
บางอย่างจริง เขามีความคิดที่จะให้มาเป็นลูกน้องของเขา
ความคิดนี้นับว่าไม่เลว ถ้าหากเขาต้องการที่จะบังคับเนีย่ ลี่
หลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะคิดทาเช่นนั้นได้ในตอนนี้ หลังจาก
วันนี้ไป เหล่าคนในระดับสูงจะต้องทราบข่าวว่า เหยียนหยาง
และ หมิงเยี่ย วู่ซวง ได้ซื้อตัวอักษรไปจากเนี่ยลี่ แน่นอนว่าพวก
เขาจะต้องดาเนินการเพื่อที่จะขออักษรบางคาเพื่อนามาศึกษา
ด้วยความสามารถของเนี่ยลี่ การที่จะพยายามติดต่อกับคนใน
ระดับสูงนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก
ในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้น หลงเทียนหมิงนั้นยังไม่อาจที่จะ
ควบคุมได้หมดทุกอย่าง
อะไรคือสิ่งที่หลงเทียนหมิงจะต้องใส่ใจมากที่สดุ
นอกเหนือไปจากความสามารถในการเขียนอักษรของเขา แต่
ถ้าหากเนี่ยลี่ ไม่ได้บรรจุวิถีแห่งเจตจานงค์ใด ๆแม้แต่น้อยลงใน
ตัวอักษร ด้วยเหตุนั้นหลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะมองเห็นด้วย
การบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ดี
แม้ว่าเนี่ยลี่นั้นจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในเหล่าอัจฉริยะทีเ่ ข้า
มาใหม่ก็ตาม เขาก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของหลงเทียนหมิงเลย
แม้แต่น้อย ถ้าหากเนีย่ ลี่นั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงวิถีแห่ง
เจตจานงค์ แล้วเหตุใดเนี่ยลี่จึงยังไม่บรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์
หรือไม่ก็อาจเป็นไปได้วา่ เนี่ยลี่นั้นได้ปกปิดมันเอาไว้เช่นนั้น
หรือ?
ในเมื่อหลงเทียนหมิงก็ไม่อาจที่จะมองดูเนี่ยลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาจึงตัดสินใจที่จะส่งคนของเขาให้ไปตรวจสอบ
หลังจากที่เนี่ยลี่เดินลงมาจากเวที เขาก็กลับไปที่โต๊ะของเขา
และสบตากับหนิงเอ๋อ กู้เบ่ย และคนอื่น ๆ ด้วยรอยยิม้ เต็ม
ใบหน้า
และกู้เบ่ยกับหลี่ชิงอวิ๋น ก็ให้การยอมรับเนี่ยลี่อย่างที่ไม่มีอะไร
ติดค้างใจอีก
เมื่อเนี่ยลี่กลับมา มู่หลงหยี่ ถึงกับกัดฟันของเขา ในซากโบราณ
แห่งความสะพรึง เขาทาทุกอย่างเพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้เนีย่ ลีไ่ ด้
ศิลาจิตวิญญาณ แต่ท้ายที่สุด แม้วา่ เขาจะพยายามขัดขวาง
อย่างหนัก แต่เนี่ยลี่กลับได้รบั ศิลาจิตวิญญาณสามแสนก้อน
อย่างง่ายดายด้วยการเขียนอักษรไม่กี่คา ความพยายามของเขา
สูญเปล่าสิ้นดี
“ข้าจะเขียนให้กับเจ้าอีกใบหนึ่ง หลังจากที่เรากลับกันแล้ว”
เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิม้
“เราเป็นพี่น้องกัน เหตุใดจึงต้องเกรงใจด้วย
?” เนี่ยลี่พูดพร้อมกับยิ้ม
หลงยู่อินมองดูเนี่ยลี่และกู้เบ่ยพูดคุยกัน มีหลายจังหวะที่นาง
คิดจะพูดแทรกไป แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยที่นางอดกลั้นไม่เอ่ย
คาพูดนั้นออกมา
นางมีคุณสมบัติอันใดที่จะไปเอ่ยปากถามเรื่องตัวอักษรจากเนี่ย
ลี่ได้
อักษรเพียงแค่ตัวเดียวของเนี่ยลี่ สามารถขายได้ถึงหนึ่งแสนห้า
หมื่นศิลาจิตวิญญาณ นางสามารถจ่ายได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ถ้าหากนางต้องการตัวอักษรจากเนี่ยลี่ นางจะนาสิ่งใดมา
แลกเปลี่ยนหล่ะ? ความสัมพันธ์ของนางกับเขาก็ไม่อาจที่จะ
เรียกว่าใกล้ชิดได้เลย แตกต่างกับความสัมพันธ์ของเขากับกู้เบ่ย
อย่างไรก็ตามความปราถนาในตัวอักษร ที่อยู่ในใจของนางนั้น
มันมีมากขึ้น และรุนแรงยิ่งขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นนั้นราว
กับว่ามดกัดอยู่ในใจของนาง คนที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของการ
ต่อสู้เช่นนาง มันยากเกินที่จะทานทน ก่อนหน้านี้ที่เนี่ยลี่ได้
แสดงตัวอักษรต่อหน้าทุกคน กู้เบ่ยสามารถที่จะเข้าใจอะไร
บางอย่างได้ แต่นางกลับไม่อาจที่จะเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย
คนอย่างหลงยู่อิน ที่มีแต่ความกระหายในความแข็งแกร่งนั้น
นั่นทาให้นางรู้สึกตกต่าเป็นอย่างมาก ความสามารถของนางยัง
ไม่ดีพองั้นเหรอ?
แล้วมีอะไรที่แฝงอยู่ในตัวอักษรของเนี่ยลี่กันแน่
?
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มอยู่ในใจ สุดท้ายหลงยู่อินก็ต้องยอม
พูดออกมา อันที่จริงด้วยอุปนิสยั ของหลงยู่อินนั้น เป็นไปไม่เลย
ที่นางจะไม่อยากรู้เกี่ยวกับตัวอักษรนั่น แต่ในตอนนี้ ยังไม่ใช่
เวลาที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงทาได้เพียงแค่ให้หลงยู่อินมองดู
ตัวอักษรแบบผ่านๆเท่านั้น เขายิ้มแล้วตอบไปว่า “เราค่อยมา
คุยเรื่องนี้กันในภายหลัง”
หลังจากคาพูดของเนี่ยลี่ ใบหน้าของหลงยู่อินนั้นเปลี่ยนเป็นสี
แดง นอกจากเนี่ยลี่แล้ว ไม่มีผู้ใดในรุ่นราวคราวเดียวกันที่กล้า
พูดเช่นนี้กับนาง เพราะไม่เช่นนั้นนางจักต้องจัดการบดขยี้คนผู้
นั้นเป็นแน่ แต่เมื่อเนี่ยลีย่ บอกว่าเป็นไปไม่ได้ นางก็ทาได้เพียง
แค่นิ่งฟัง โดยไม่แสดงออกใด ๆ แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกหดหู่
ยิ่งนัก
นั่นเป็นเพราะเนี่ยลี่ มีคณ
ุ สมบัติทจี่ ะพูดเช่นนั้นได้
!
หลงยู่อินเบือนหน้าหนี พร้อมกับพ่นลมหายใจด้วยความโมโห
แม้ว่านางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เนีย่ ลี่บอกกับนาง แต่นางก็ไม่
อาจที่จะทาอะไรได้
เซี่ยวหนิงเอ๋อเหลือบมองไปยังหลงยู่อิน และหันกลับมามองที่
เนี่ยลี่พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ปกติแล้วเนี่ยลี่จะแสดงออกอย่างไม่
ค่อยแยแสผู้ใด แต่ถ้าหากเป็นสหายของเขาแล้วเขาจะ
ช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากสถานการณ์ที่เห็นอยู่นี้ มันก็เป็นเรื่อง
ปกติ ที่หญิงสาวมักจะตกหลุมรักเขา
นางทาได้เพียงแค่ถอนหายใจเบา ๆ ในใจของนางนั้นก็รู้สึก
สงสัยว่านางอยู่ในสถานะใดกันแน่ นางเคยอยู่ในใจของเนี่ยลี่
บ้างไหม?
หัวใจของหญิงสาวทั้งสองกาลังสับสนยุ่งเหยิงไม่ต่างกัน แต่ไม่มี
ผู้ใดที่รับรู้เลย มู่หลงหยี่กับเยีย่ เชียนแกล้งทาเป็นไม่สนใจเนีย่ ลี่
ในขณะที่พวกเขากาลังจ้องมองไปที่อื่น การนั่งร่วมโต๊ะกับเนี่ยลี่
เช่นนี่ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอับอายสาหรับพวกเขา แต่ถึงอย่างไร
พวกเขาก็ไม่อาจที่จะลุกขึ้นแล้วเดินจากไปได้ เพราหากเขาทา
เช่นนั้น เขาจะต้องถูกจับจ้องจากผู้อื่นเป็นแน่ ดังนั้นไม่ว่าเขา
จะหดหู่แค่ไหน พวกเขาก็จาเป็นต้องทนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป
ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ว่าจะต้องทาเช่นใดถึงจะได้ใกล้ชดิ
กับเนี่ยลี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจทีจ่ ะเป็นสหายกับเนีย่ ลี่ได้ แต่
ถ้าหากพวกเขาได้รับตัวอักษรสักตัว ก็นับว่ากาไรยิ่งแล้ว
ถึงอย่างไรเนี่ยลี่นั้นก็เป็นศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ พวก
เขานั้นมีเวลาอีกมากมาย
ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าศิษย์ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธ์เท่านั้น แม้แต่
ศิษย์ของอีกทั้งสองสานัก ต่างก็มีความคิดคล้าย ๆกัน
ฉินเยี่ยมายืนอยู่ตรงหน้านางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมกับยิ้ม
แล้วพูดว่า
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าศิษย์นอ้ งเนี่ยลี่จะเข้าถึงวิถีแห่ง
เจตจานงค์ได้ถึงระดับเพียงนั้น ก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้า
ผิดพลาดไป น่าสมเพชที่ข้าโง่เกินไป จึงไม่อาจที่จะเข้าใจ
ความหมายทีล่ ้าลึกใด ๆจากตัวอักษรของเจ้า” ฉินเยี่ยระบาย
สิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจ นางพูดต่ออีกว่า
“ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะความจริงที่ว่าศิษย์น้องเนี่ยลี่ได้ขาย
ตัวอักษรไปในราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาจิตวิญญาณ ข้าคงไม่
อาจที่จะหักห้ามใจ ที่จะมาร้องขอจากเจ้าสักหนึ่งคาเป็นแน่ แต่
ถึงอย่างไร ศิษย์น้องเนี่ยลี่กไ็ ด้บอกกล่าวไปก่อนหน้านั้นแล้วว่า
สิ่งที่แฝงอยู่ภายในตัวอักษรนั้นจะมีความความหมายกับผู้ที่มี
ชะตาต้องกับมันเท่านั้น ดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่มีชะตาต้องกัน
กับมัน!”
ด้วยเหตุนเี้ อง ชื่อของเนี่ยลี่ จึงเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งสามสานัก
ใหญ่
หลังจากที่ได้ฟังคาพูดของฉินเยี่ย เนี่ยลี่ได้บอกกับเซี่ยวหนิงเอ๋อ
ว่า “ก่อนที่เจ้าจะกลับไปที่สานักเสียงสวรรค์ ข้าจะเขียนอะไร
บางอย่างให้กับเจ้า เมื่อเจ้ากลับไปถึงสานักเสียงสวรรค์ เจ้า
สามารถขายมันได้หากเจ้าต้องการ หรืออีกทางหนึ่งเจ้าอาจจะ
ให้มันเป็นของขวัญที่ล้าค่าให้กับใครสักคนที่คู่ควร”
“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาพบกับอัจฉริยะที่มาก
ด้วยพรสวรรค์ที่นิกายขนนกศักดิส์ ทิ ธิ์แห่งนี้ ข้าสงสัยว่าข้า
สามารถที่จะพบเจอกับศิษย์น้องเนี่ยลี่อีกครั้งในโลกภายนอกได้
หรือไม่
?” ฉินเยี่ยเผยรอยยิม้ ให้กับเนี่ยลี่ และมองดูด้วยความสนใจ
จากคาพูดของฉินเยี่ยเนี่ยลี่ถึงกับคิดไปไกล เป็นเรื่องปกติที่
จะต้องก้าวออกไปยังโลกภายนอก และจะเป็นการแข่งขันกับ
คนที่อยู่นอกสานัก ซึ่งหมายความว่าจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นอีก ถ้า
หากเขามีความสามารถอันโดดเด่น พวกเขาก็สามารถที่จะสร้าง
กองกาลังขึ้นมาได้เอง เสียด้วยซ้า
แต่ในตอนนี้ เขาต้องการเพียงกาลังที่จะได้สิทธิ์ในการ
ครอบครองอานาจ และตาแหน่งภายในนิกายขนนกศักดิส์ ิทธิ์
ก่อน
คาพูดของฉินเยี่ยนั้น เป็นการหยั่งเชิงว่าเขาจะออกไปยังโลก
ภายนอกหรือไม่ เหล่าศิษย์ของสามสานักใหญ่ รวมทั้งหลง
เทียนหมิง ต่างจับตาเพื่อที่จะรอฟังคาตอบจากเขา
เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ฉินเยี่ยยิ่ง
นัก ในช่วงเวลานี้ ข้าไม่ได้มีแผนสาหรับการออกไปยังโลก
ภายนอกเลย”
หลังจากที่ได้ยินคาพูดของเนี่ยลี่ ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ถ้าหากเนี่ยลีน่ ั้นก้าวออกไปสูโ่ ลกภายนอก เขาจะกลายเป็นศัตรู
ที่น่ากลัวของคนที่อยู่ในห้องโถงนี้เป็นแน่ แต่ก็มีบางคนที่สังเกตุ
ถึงการตอบของเนี่ยลี่ “ในช่วงเวลานี้ ไม่ได้มีแผนสาหรับการ
ออกไปยังโลกภายนอก” ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ออกไป
ในอนาคต เนี่ยลี่นั้นมักจะคิดอย่างระมัดระวังก่อนที่จะพูดเสมอ
เขาไม่พูดอะไรที่ทาให้ตัวเองต้องพบจุดจบเป็นแน่
จากนั้นเสียงของเหยียนหยางก็ดังขึ้นมา “ถ้าหากศิษย์น้องเนี่ยลี่
ได้ออกไปยังโลกภายนอกหล่ะก็ เหล่าศิษย์ของสานักอัคคีของ
ข้า จะไม่ทาสิ่งใดให้เจ้าต้องลาบาก ถ้าหากมีอะไรให้ข้าช่วย
สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ!”
คาพูดของเขาสร้างความงุนงงแต่ทุกคน สานักอัคคีจะไม่ทาให้
เนี่ยลีต่ ้องลาบากงั้นเหรอ? คาพูดนี้ของเขามีน้าหนักยิ่งนัก
นอกจากนี้เหยียนหยาง ยังบอกว่ายินดีที่จะช่วยเหลือเนี่ยลี่
หรือว่าเหยียนหยางจะใช้โอกาสนี้ในการเพิ่มขุมกาลังให้กับ
ตนเองเช่นนั้นเหรอ?
หลังจากคาพูดของเนี่ยลี่ หลงเทียนหมิงก็รู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเนี่ยลี่ก็นับว่าฉลาดไม่นอ้ ย
ด้วยคาถามดังกล่าวเป็น หัวข้อที่ดเู ลื่อนลอยมากเกินไป ทาให้
คนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างแห่งนี้รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ฉินเยีย่ จึง
กวาดสายตามองฝูงชนพร้อมกับหัวเราะและพูดว่า “มีผู้ใดที่
ต้องการแสดงทักษะให้พวกเราได้เห็นกันอีกหรือไม่?”
เนี่ยลี่ก้มหัวลงไปกระซิบบอกเซี่ยวหนิงเอ๋อว่า “เดี๋ยวเราไปที่
ห้องพักของข้าก่อนนะ
!”
สาหรับงานเลี้ยงในตอนเย็นนั้น เขาไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้า
ร่วม เพราะในช่วงที่เขาแสดงตัวออกไป คงไม่อาจที่จะเลีย่ ง
ปฏิกิริยาของคนรอบข้างได้ “จ๊ะ” ใบหน้าของเซี่ยวหนิง
เอ๋อแดงขึ้นเล็กน้อยในตอนที่นางพยักหน้า หลังจากที่นางได้
เข้าใจผิดกับคาพูดก่อนหน้านี้ นางก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยขึ้นมา
อีกครั้ง
“น้องชายเนี่ยลี่ ข้าขอตัวก่อนนะ
!” หลี่ชิงอวิ๋น ประสานมือบอกกับเนี่ยลี่ และพูดต่ออีกว่า “ถ้ามี
ข่าวใดๆจากน้องชายเนี่ยลี่ สามารถแจ้งข้าได้ทุกเวลา สาหรับ
ศิลาจิตวิญญาณจานวนหนึ่งแสนก้อนนั้น ข้าจะให้คนนาไปส่ง
กับเจ้าเอง”
ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงด้านข้างนี้ กาลังแยกย้ายกัน
ออกไป พวกเขายังคงพูดคุยกันเกีย่ วกับเรื่องทีเกิดขึ้นในวันนี้
การแสดงออกของเนี่ยลี่ในวันนี้ นับว่าเป็นม้ามืดที่พุ่งทะยาน
ออกมา ดึงดูดความสนใจอย่างไม่สิ้นสุด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อ
ของเนี่ยลี่ ได้เป็นที่รู้จักในสามสานักใหญ่ไปแล้ว
มีเพียงแค่เหยียนหยางกับหมิงเยี่ย วู่ซวงเท่านั้น ที่สามารถ
สัมผัสได้ถึงวิถีแห่งเจตจานงค์ที่แฝงอยู่ในตัวอักษร “กระบี่”
ของเนี่ยลี่ แต่ทว่าหลงเทียนหมิง กลับไม่อาจสัมผัสถึงมันได้
อย่างนั้นเหรอ? เรื่องนี้ก็ทาให้ทุกคนอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
“ศิษย์พี่เหยียนหยางไม่กังวลเหรอว่า เขาจะมาฉกชิงตาแหน่ง
ของท่านไป
?” ลูกศิษย์ของสานักอัคคีเอ่ยถามเขา
ศิษย์ของสามสานักใหญ่ต่างพูดคุยกันแลกเปลีย่ นกันก่อนที่จะ
แยกย้ายกันไป
เยี่ยเชียนนั้นต้องการที่จะทักทายเซี่ยวหนิงเอ่อ แต่นางก็เดินไป
กับเนี่ยลี่อย่างรวดเร็ว โดยทีไ่ ม่ได้ชาเลืองมองมาที่เขาแม้แต่
น้อย ใจของเขานั้นห่อเหี่ยวราวกับฤดูใบไม้ร่วง เดิมทีนั้นเขาก็
ยังรู้สึกดีทไี่ ด้เผชิญหน้ากับเนี่ยลี่ เขาคิดว่าเซี่ยวหนิงเอ๋อจะได้
ตระหนักความจริงที่ว่า ใครคือคนที่เหมาะสมกับนาง
ในตอนนี้เยี่ยเชียนทาได้เพียงแค่ยมิ้ อย่างขมขื่นเท่านั้น ยังเหลือ
สิ่งใดอีกที่เขาจะสามารถแข่งกับเนีย่ ลี่ได้
“ศิษย์พี่เยี่ยเชียนคงจะไม่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้เพียงแค่นี้ ใช่
หรือไม่
? ” มู่หลงหยี่ พูดในขณะทีม่ องดูเยี่ยเชียนยิ้มด้วยความขมขื่น
ในใจเยี่ยเชียนนั้นถึงกับสั่นไหว มันมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่
จะเป็นอย่างคาพูดของมู่หลงหยี่
“แล้วพวกเราควรทาเช่นใด
? ตราบเท่าที่เขายังอยู่ในสถาบันวิญญาณฟ้า ไม่มีทางที่พวกเรา
จะทาอะไรเขาได้!” เยี่ยเชียน พูด
ถ้าหากเขาปล่อยให้เนี่ยลี่นั้นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นจนประสบ
ผลสาเร็จได้ คงจะไม่มีที่ยืนให้เขาอีกในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
แห่งนี้
“ตราบเท่าที่เจ้าสามารถระบายความแค้นในใจของข้าได้ ข้าก็
ยินดีที่จะสนับสนุนเจ้าในโลกภายนอก
!” เยี่ยเชียนพูดหลังจากที่ขบคิดไปชั่วครู่ เขามีความสนใจไม่
น้อยเกี่ยวกับตาราโบราณทีม่ ู่หลงหยี่พูดถึง
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยเชียนแล้ว
!” มู่หลงหยี่ พูดพร้อมกับประสานมือขอบคุณ เยี่ยเชียนนั้น
สามารถที่จะระดมคนจากตระกูลเยี่ยได้ ด้วยความช่วยเหลือ
จากเขา การที่เนี่ยลี่จะเติบโตได้ในโลกภายนอกก็เป็นเพียงแค่
ความฝันเท่านั้น
ที่โลกภายนอกสาหรับเนี่ยลี่แล้วมันจะเป็นดินแดนแห่งความสิ้น
หวัง
!
แม้ว่าการชุมนุมนั้นจะได้จบลงไปแล้ว ลูกศิษย์หลายคนก็ยังคง
จับกลุ่มพูดคุยกันต่อ
เฉียนหลิง ได้เดินเข้ามาพร้อมกับยิม้ เล็กน้อย และพูดว่า “นาย
น้อยเยี่ยเชียน ดูเหมือนว่าหัวใจของศิษย์น้องหนิงเอ๋อนั้นจะถูก
ครอบครองไปแล้ว และข้าก็คงไม่อาจที่จะทาสิ่งใดได้ ”
“แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ต้องขอขอบคุณท่านพี่เฉียนหลิงที่ได้
ช่วยเหลือ ” ก่อนหน้านี้เยี่ยเชียน เคยได้พูดคุยกับนาง เพื่อที่จะ
บอกเรื่องราวของตัวเขาต่อหน้าเซีย่ วหนิงเอ๋อ แต่ก็เหมือนว่าจะ
มิได้ประสพผลเช่นใดนัก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าผลที่ได้
กลับมาจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็ได้ทาไปทั้งหมดแล้ว
มู่หลงหยี่อดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูเยีย่ เชียน เขาไม่เคยคิดมาก่อน
เลยว่า เยี่ยเชียนจะรูส้ ึกดีกับเซี่ยวหนิงเอ๋อมากถึงเพียงนี้ ถ้า
เช่นนั้นก็มีหนทางที่จะใช้งานเขาอยู่มากมาย ยิ่งเยี่ยเชียนเป็น
กังวลต่อเซี่ยวหนิงเอ๋อมากเท่าใด มู่หลงหยี่ก็หาวิธีที่จะใช้งาน
เขาได้มากเท่านั้น
ค่าคืนนี้ค่อย ๆ มืดลง
หลังจากที่กู้เบ่ยเอ่ยคาลากับเนี่ยลี่ เขาก็กลับไปที่ห้องพัก
เซี่ยวหนิงเอ๋อและเนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันพร้อมกับยิม้
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนก็เชื่อว่าเสียงดัง
อึกกระทึกครึกโคมจากการต่อสู้กัน แต่ลู่เพียวมักจะยินยอมที่
จะยอมจานนต่อเซี่ยวซุ่ยอยู่ฝา่ ยเดียว ไม่ได้มีกระจิตกระใจจะ
ตอบโต้กลับเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อเข้ามาในห้องพักของเนี่ยลี่ นางมองไปรอบๆ
ด้วยความงุนงงเล็กน้อย หลังจากที่เข้ามายังนิกายขนนก
ศักดิ์สิทธิ์ เนี่ยลี่ก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ในห้องนี้ ทั่วทั้งห้องล้วนเต็มไป
ด้วยกลิ่นอายของเขา ที่นางคุ้นเคย
เนี่ยลี่กาลังเตรียมที่จะทาการหลอมรวม จิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้าสาหรับเซีย่ วหนิงเอ๋อ
มีฉากกั้นตั้งอยู่ตรงกลางห้องและด้านหลังฉากมีอ่างอาบน้า
ขนาดใหญ่อยู่ นี่จักต้องเป็นที่ ที่เนีย่ ลี่อาบน้าอยู่ทุกทีเป็นแน่
หลังจากที่หนิงเอ๋อคิดเช่นนั้นหน้าของนางก็เริ่มเป็นสีแดงทีละ
นิด
เมื่อเขาเห็นเซี่ยวหนิงเอ่อมองไปที่อ่างอาบน้าที่ทาจากไม้
ความคิดที่ต่างออกไปก็เข้ามาในหัวของเนี่ยลี่ นางต้องเดินทาง
มาไกลกว่าที่จะมาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเหน็ดเหนื่อย
จากการเดินทาง และอาจจะยังไม่ได้อาบน้า เนีย่ ลี่จึงพูดขึ้นมา
ว่า “ทาไมไม่ให้ข้าออกไปก่อน เพือ่ ที่เจ้าจะได้อาบน้าหล่ะ”
เนี่ยลี่นั้นเริ่มที่จะยุ่งแล้ว และดูเหมือว่าเขาจะมุ่งเน้นความสนใจ
ไปที่สิ่งที่เขาทา เซี่ยวหนิงเอ๋อถึงกับกระทืบเท้าของนาง ในที่สุด
นางก็มาถึงนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ดว้ ยความยากลาบาก แต่เนี่ยลี่
กลับยุ่งอยู่กับสิ่งที่เขาทาอยูเ่ ท่านั้น
เซี่ยวหนิงเอ๋อเองก็ยุ่งอยู่กับการตักน้าใส่ลงไปในอ่างอาบน้าที่
ทาจากไม้ นางต้องการที่จะให้เนีย่ ลี่แอบมองสักเล็กน้อย ในใจ
ของนางเต้นโครมครามขณะทีเ่ ดินไปหลังฉากกั้น และค่อย ๆ
ถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นไหล่ที่เรียบลื่น
และรูปร่างที่น่าอัศจรรย์
ผิวของนางนั้นเป็นประกายราวกับหยก ร่างกายและสัดส่วนที่ดู
กระชับ และเท้าที่ดูราวกับหยกนัน้ ก็ดูงดงามยิ่งนัก ราวกับว่า
เป็นผลงานชิ้นเอกที่ถูกรังสรรค์มาโดยเทพเจ้าเลยทีเดียว
“เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกรอัสนี]ของข้านั้น สามารถก่อรูป
อัสนี ในขอบเขตวิญญาณข้าได้แล้ว” เซี่ยวหนิงเอ๋อตอบกลับ
ด้วยเสียงที่ชัดเจนหลังฉากกั้นนั้น
“ทุกๆขั้นของการบ่มเพาะพลังด้วย เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกร
อัสนี] ทาให้เกิดการบ่มเพาะเพิ่มขึน้ สามระดับ หลังจากที่ข้านั้น
เข้ามาอยู่ในขอบเขตชะตาสวรรค์ ขั้นที่สอง ข้าก็ได้ปลุกพลัง
อัสนี หลังจากที่ได้ก่อรูปอัสนีแล้ว ข้าก็บรรลุถึงระดับชะตา
สวรรค์ขั้นที่ห้า”
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินคาพูดของเซี่ยวห
นิงเอ๋อ เทคนิคการบ่มเพาะ[มังกรอัสนี] นั้นมีประสิทธิภาพยิ่ง
นัก และช่วยให้การบ่มเพาะพลังนั้นก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก มันจึง
ทาให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังนั้นสูงจนน่ากลัว เนี่ยลี่เอง
นั้นจาเป็นที่จะต้องรีบยิ่งขึ้นและฝึกฝนอย่างหนักเพื่อการบ่ม
เพาะพลังของเขา
“เมื่อเจ้านั้นได้บรรลุถึงระดับ ห้าชะตา เจ้าได้ออกไปสารวจโลก
ภายนอกบ้างหรือไม่
? ” เนี่ยลี่สอบถาม การออกไปสู่โลกภายนอกนั้นการฝึกฝนนั้น
ก็จะยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก นับเป็นหนทางหนึ่งในการบ่มเพาะพลัง
ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็มักจะปรากฏอยู่ที่โลก
ภายนอกเช่นกัน
“ข้านั้นได้ออกไปยังโลกภายนอกแค่ครั้งเดียว ข้าสังหารอสูร
วิญญาณที่มีสายเลือดมังกรไปสามตน นอกจากนี้ก็ไปเก็บ
รวบรวมสมุนไพร แต่ข้าก็ไม่กล้าทีจ่ ะออกไปที่ไกลๆด้วยตัวคน
เดียว”
ด้วยนิสัยของเซีย่ วหนิงเอ๋อนั้น นางอาจจะไม่ค่อยชอบในการออ
กล่ากันเป็นกลุ่ม การออกล่าเป็นกลุ่มนั้นมักจะมีความวุ่นวาย
แต่ด้วยตัวคนเดียว นางก็ไม่อาจทีจ่ ะไปยังทีไ่ กลๆได้
ในโลกภายนอกที่หา่ งไกลนั้นเป็นดินแดนลึกลับ แม้แต่ยอดฝีมือ
ระดับเทพสงคราม ยังสารวจได้แค่เพียงส่วนเดียว และถ้าหาก
ไม่ได้เป็นเพราะความจริงที่ว่า เราสามารถที่จะมีชีวิตได้หลาย
ครั้งถ้าหากบรรลุถึงระดับชะตาสวรรค์ คงไม่มีผู้ใดที่จะกล้า
ออกไปสารวจในที่ห่างไกลเป็นแน่
สานักต่าง ๆนั้นสามารถควบคุมได้เพียงแค่พื้นที่โดยรอบของ
สานักเท่านั้น ในโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ มีอสูรวิญญาณ
สายเลือดมังกรที่แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน และยังมีสัตว์อสูรที่มี
สายเลือดโบราณอันแข็งแกร่งอยู่ดว้ ยเช่นกัน แม้ว่าจะมีร่างทรง
อสูรจานวนมาก หรือแม้แต่ยอดฝีมือขั้นสูงสุดของสานักต่าง ๆ
ก็ยังไม่อาจที่จะแตะต้องมันได้
ถ้าหากสานักใหญ่ทั้งหลาย มิได้วางกับดักค่ายกลสาหรับ
ป้องกันเอาไว้ สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจานวนมาก ที่มีสายเลือด
โบราณ ก็สามารถที่จะทาลายสานักให้ย่อยยับได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหลาย ๆตระกูลได้ทาการคัดเลือกผู้นาตระกูลของพวกเขา
พวกเขาก็จักต้องคานึงถึงความสามารถในการสร้างกองกาลัง
ของตัวเองได้ ดั่งดอกไม้ในเรือนกระจกไม่อาจที่จะเป็นผู้สบื
ทอดของตระกูลได้ [ดอกไม้ในเรือนกระจก : สานวนจีน
หมายถึงคนอ่อนแอ และเปราะบาง]
“ตอนนี้จิตอสูรที่เจ้าผสานร่างอยู่เป็นชนิดใดกัน
? ยังคงเป็นนกกระจอกสายฟ้าสวรรค์อยูไ่ หม? ” เนี่ยลี่เอ่ยถาม
“ข้านั้นได้ผสานกับ จิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต
ในระดับมหัศจรรย์ ส่วนนกกระจอกสายฟ้าสวรรค์ทเี่ จ้าได้มอบ
ให้ข้านั้น ข้าได้นาไปหลอมรวมเข้ากับกระบี่วายุอสั นี ” เซี่ยวห
นิงเอ๋อตอบพร้อมกับเม้มริมฝีปากเล้กน้อย นางจะทิ้ง
นกกระจอกสายฟ้าสวรรค์ที่เนีย่ ลีไ่ ด้มอบให้นางได้อย่างไร ?
เนี่ยลีไ่ ม่คาดหวังเลยว่าเซีย่ วหนิงเอ๋อจะได้รับจิตอสูรสายเลือด
มังกรที่มีระดับการเติบโตระดับมหัศจรรย์ รวมไปถึงกระบี่วายุ
อัสนีด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าสานักเสียงสวรรค์ จะดูแลศิษย์ของ
เขาเป็นอย่างดี
เอียจื้ออวิ้นและเซี่ยวหนิงเอ๋อ ทั้งสองคนมีความสามารถอย่าง
น่ากลัว พวกนางนั้นได้เป็นทีร่ ู้จักในนามของ ฝาแฝดราศีเมถุน
ในกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
“เนี่ยลี่ เจ้าได้เตรียมพร้อมที่จะออกไปยังโลกภายนอกแล้ว
หรือไม่?” เซี่ยวหนิงเอ๋อเอ่ยถาม
เขาสามารถหลอมรวมจิตอสูรสายเลือดมังกรที่มีระดับการ
เติบโต ในระดับพระเจ้าได้เป็นตัวที่สอง นับตั้งแต่ที่เขาใช้
พลังงานสวรรค์ ในการบังคับการผสานหลอมรวมจิตอสูร
เมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ทาการหลอมรวมจิตอสูร
สายเลือดมังกรที่มีระดับการเติบโต ในระดับพระเจ้า เขาก็จะใช้
พลังงานสวรรค์ในร่างกายของเขา ข่มมันเอาไว้
หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยวหนิงเอ๋อก็ก้าวออกมาจากอ่างอาบน้าที่
ทาจากไม้ จากนั้นก็ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าก่อนที่จะเดินออกมา
หลังจากที่รับจิตอสูรมาจากเนี่ยลี่ นางก็หลับตาลงและเริ่มทา
การผสานเข้ากับจิตอสูร นางสัมผัสได้ถึง จิตอสูรสายเลือดมังกร
ที่อยู่ใน ศิลาจิตอสูรได้
เมื่อมองดูเซีย่ วหนิงเอ๋อในชุดฝึก รัดรูปสีขาวนั้น นางช่างดู
บริสุทธิ์ และมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทาไมเนีย่ ลี่นั้นจะไม่รู้ว่าในตอนนี้ห
นิงเอ๋อกาลังคิดสิ่งใด? แต่ตอนนี้ยงั ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
ขนตาของเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นขยับ นางรู้สึกเขินอายเมื่อรู้ว่าเนี่ยลี่
กาลังจ้องมองนางอยู่ ในเวลาต่อมา นางลืมตาขึ้นมา มองดูเนี่ย
ลี่ด้วยดวงตาที่สดใสของนาง และพูดด้วยน้าเสียงที่เอียงอายว่า
“เนี่ยลี่ถ้าเจ้ายังจ้องมองข้าอยู่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจที่จะสงบใจได้
มากพอ ที่จะผสานกับจิตอสูรหรอกนะ ”
หลังคาพูดของเนี่ยลี่ เซี่ยวหนิงเอ๋อก็เขินอายจนแทบที่จะเอา
หน้ามุดลงไปร่องอก แม้ว่านางนั้นจะรู้ดีว่าเนี่ยลี่ นั้นแค่เพียงพูด
ล้อเล่นเท่านั้น แต่นางก็อดไม่ได้ทจี่ ะบุ้ยปาก เนี่ยลีล่ ้อเล่นแรง
เกินไปแล้ว
เมื่อเห็นท่าทีของเซี่ยวหนิงเอ๋อ เนีย่ ลี่ก็อดไม่ได้ที่จะยิม้ “เจ้า
ควรที่จะผสานเข้ากับจิตอสูรต่อได้แล้วนะ”
ในตอนที่เซี่ยวหนิงเอ๋อกาลังผสานเข้ากับจิตอสูร วิหคอัสนีสี
ชาดศักดิ์สิทธิ์ เนี่ยลี่ก็เริ่มที่จะทาการหลอมรวมจิตอสูร
สาหรับเอียจื้ออวิ้น
ค่าคืนก็ค่อยๆมืดลงไปเรื่อย ๆ
ณ ตาหนักเมฆาสวรรค์ ของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
“เขามาจากตระกูลใดในนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นเอ่ยถาม ปรมาจารย์เทียนอวิ๋นนั้นมิได้มี
ส่วนร่วมใดๆในกิจกรรมภายในของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์
เพราะข้อพิพาทภายในเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป ทั้งตระกูลกู้
และตระกูลผนึกมังกร ต่างก็ต้องการที่จะควบคุมนิกาย ทาให้ไม่
อาจที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ ในขณะที่ตระกูลเถ้าอัคคี
แม้ว่าพวกเขาจะยังคงเงียบสงบอยู่ แต่พวกเขาจักต้องมีแผน
ของตนเองอยู่เป็นแน่ ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ทาได้เพียงแค่เฝ้า
มองนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เพราะไม่อาจที่จะทาอะไรได้
มากกว่านั้น เขารูส้ ึกละอายใจยิ่งนัก โดยไม่คานึงว่าเนี่ยลี่นั้นอยู่
ในตระกูลใด เขาจักต้องกลายเป็นจุดศูนย์กลางในการต่อสู้เป็น
แน่
“เด็กคนนั้นมาจากโลกใบเล็ก และยังมิได้เข้าร่วมกองกาลังใดๆ
ในตอนนี้ นอกจากนี้ เขายังได้ประกาศไว้อีกว่า ก่อนที่จะจบ
การศึกษาจากสถาบันวิญญาณฟ้า เขาจะไม่เข้าร่วมกองกาลัง
ใดๆ
แต่ถึงอย่างไร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรักษาคาพูดนี้ได้นานสัก
เท่าใด” อาจารย์ชิหลิงตอบ เขานัน้ ตระหนักถึงนิสัยใจคอของ
ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงบอกทุกสิ่งทีเขารู้
เกี่ยวกับเนี่ยลี่ ปรมาจารย์เทียนอวิน๋ มักจะให้ความใส่ใจเป็น
พิเศษกับผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เข้าร่วมกับตระกูลใด
แม้ว่าปรมาจารย์เทียนอวิ๋น จะมิได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในห้าเสาหลัก ของ
นิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นบั ตั้งแต่ที่เขาประกาศตัวว่า
เป็นกลางนั้น ทั้งสามตระกูลนั้นก็ยงั คงไว้หน้าเขาอยู่ เพราะถึง
อย่างไรก็ไม่มีใครที่คิดจะยั่วยุกับผูม้ ีอานาจเป็นแน่
ค่าคืนได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และรุ่งอรุณของวันใหม่ก็มาถึง
เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อเดินออกมาจากห้องพัก เซี่ยวหนิงเอ๋อ
นั้นได้ทาการผสานเข้ากับจิตอสูรเรียบร้อยแล้ว และสัมผัสได้ถึง
พลังใหม่ที่แฝงอยู่ในจิตอสูรได้ จิตอสูรสายเลือดมังกรทีม่ ีระดับ
การเติบโตในระดับพระเจ้า ไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ ถึงความ
แข็งแกร่งของมัน
“เกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยวซุย่ ?” เนี่ยลี่จ้องมองลู่เพียวขณะที่เขา
ถาม และเขาสังเกตุถึงรอยฟกช้าบนใบหน้าของลู่เพียว แม้ว่า
มันจะถูกทายามาแล้วบ้าง แต่รอยช้าก็ยังไม่ค่อยหายไปสัก
เท่าใด
เซี่ยวหนิงเอ๋อ อดไม่ได้ที่จะปิดปากของนางและยิ้มหลังจากที่ได้
ยินคาพูดของเนี่ยลี่
เนี่ยลี่เอาแขนไปโอบคอลู่เพียวและกระซิบข้างหูของเขา
“จริงเหรอ?” ดวงตาของลู่เพียวเบิกโพลงขึ้นขณะที่เขามองไป
ยังเนี่ยลี่ “นี่ไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม!”
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโอดครวญและกรีดร้องของลู่เพียว ก็
ดังมาจากห้องพักของเขา ตามมาด้วยเสียงดุด่าของเซีย่ วซุ่ย ที่
ต่อว่าลู่เพียวที่ทาสัปดน แล้วก็ตามไปด้วยเสียงเฆี่ยนตีก่อนที่จะ
สงบลงในที่สุด
มันเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดอย่างแท้จริง
เซี่ยวหนิงเอ๋อกระพริบตาพร้อมกับถามเนี่ยลี่ว่า "เจ้านั้นพูด
อะไรกับลู่เพียวงั้นเหรอ
เนี่ยลี่อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายขณะที่เขาตอบไป “ไม่ได้
มีอะไรมากหรอก”
เซี่ยวหนิงเอ๋อเม้มริมฝีปากของนาง เนี่ยลี่คงจะมอบความคิด
บ้าๆบางอย่างให้กับลู่เพียวเป็นแน่ ไม่เช่นนั้น ลู่เพียว คงไม่ถูก
เซี่ยวซุ่ยสั่งสอนแบบนี้
ขณะที่เนี่ยลี่กับเซีย่ วหนิงเอ๋อคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตู
มาจากทางประตูลานบ้าน
ทั้งสามคนดูแล้วน่าจะอายุราวๆยีส่ ิบ การบ่มเพาะพลังของพวก
เขาล้วนสูงกว่าระดับชะตาสวรรค์ และหนึ่งในนั้นอาจจะถึง
ระดับดาราสวรรค์เสียด้วยซ้า ในขณะเดียวกันเนี่ยลี่กส็ ัมผัสได้
ถึงกลิ่นอายและจิตสังหารที่แผ่ออกมาเช่นกัน
ดวงตาของพวกชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นเมื่อพวกเขากวาดตามอง
ที่เซี่ยวหนิงเอ๋อ แต่พวกเขาก็ข่มใจเอาไว้ได้
“ถูกแล้ว” เนี่ยลี่มองไปที่กลุ่มพวกเขา เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้
มาด้วยเหตุใดกัน
หลงโหย่วนั้นมีกลิ่นอายของพลังระดับดาราสวรรค์ จึงทาให้เนีย่
ลี่รสู้ ึกกดดันเล็กน้อย
“ข้านั้นได้ประกาศออกไปแล้วว่า ข้าจะไม่เข้าร่วมกับตระกูล
ใดๆ โปรดอภัยให้ข้าด้วย สาหรับเรื่องตัวอักษรนั้น ข้าใช้เวลา
เขียนเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และจะมอบให้พวกท่านนา
กลับไป” เนี่ยลี่ตอบกลับ สังเกตุเห็นได้ถึงร่องรอยแห่งความ
สงสัยผ่านทางสายตาของเขา
ด้วยคนอย่างหลงเทียนหมิงนั้น แน่นอนว่าจักต้องไม่ยอมที่จะ
จ่ายศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเพื่อตัวอักษรของเนี่ย
ลี่เป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรศิลาจิตวิญญาณหนึ่งแสนห้าหมื่น
ก้อนมิใช่เงินจานวนน้อยๆ มารยาทของหลงเทียนหมิงนั้น เลว
ทรามกว่าเหยียนหยาง และ หมิงเยี่ย วู่ซวง ยิ่งนัก
เขาพยายามที่จะข่มขู่ผู้อื่นด้วยอานาจที่เหนือกว่า และนาเอา
ตัวอักษรของเนี่ยลีไ่ ปโดยที่ไม่ต้องจ่ายสิ่งใดเลย หลงเทียนหมิ
งคิดว่าเรื่องนี้จักต้องได้ผลเป็นอย่างดี เขาไม่คดิ จะจ่ายสิ่งใด แต่
กลับที่จะต้องการได้รับผลประโยชน์
เนี่ยลี่และเซี่ยวหนิงเอ๋อกลับเข้าไปในห้องของเขา
เซี่ยวหนิงเอ๋อจ้องเนี่ยลี่แล้วเอ่ยถามว่า “พวกเขาทั้งสามกาลัง
พยายามที่จะข่มขู่เอาตัวอักษรจากเจ้าโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน
อันใด และเจ้าก็กาลังที่จะเขียนให้กับพวกเขาอย่างนั้น
เหรอ? ”
“อานาจย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่ามนุษย์ แน่นอนว่าข้าจะมอบ
ให้แก่เขา เพราะถึงอย่างไร ในหมูพ่ วกเขานั้นมียอดฝีมือระดับ
ดาราสวรรค์อยู่ด้วย!” เนี่ยลี่ยมิ้ เล็กน้อย ในขณะที่เขาเดินไปที่
โต๊ะ เขาเปิดกระดาษสีขาวออกมา และขณะที่เขายกพู่กัน ใน
ดวงตาของเขาก็จับจ้องอย่างมีสมาธิ
เมื่อเซี่ยวหนิงเอ๋อมองดูเนี่ยลี่ มันดูราวกับว่าร่างกายของเขา
กาลังลุกไหม้ และกลิ่นอายที่ราวกับไฟที่ลุกโชน ยิ่งไปกว่านั้น
ภายในกลิ่นอายเหล่านี้ ยังมีร่องรอยของพลังสัจธรรมแห่งความ
มืดและแสงสว่างอยู่อีกด้วย
วิถีแห่งเจตจานงค์ได้มารวมกันตรงปลายพู่กัน เนี่ยลี่ค่อย ๆลด
มือลงและเริม่ ลงมือเขียน
ดวงตาของเซี่ยวหนิงเอ๋อเบิกโพลง ความงงงวยปรากฏขึ้นใน
ดวงตาของนาง ก่อนหน้านี้ในงานชุมนุม เนี่ยลีไ่ ม่ได้ใช้วิถีแห่ง
เจตจางนงค์ใด ๆในการเขียนตัวอักษรของเขา แต่ในตอนนี้ เขา
กาลังใช้วิถีแห่งเจตจานงค์อยู่
เนื่องจากเซี่ยวหนิงเอ๋อนั้นฉลาดและมีไหวพริบ นางจึงคิดออก
ได้ในทันที เนี่ยลี่ทาเช่นนี้เพราะมีจดุ ประสงค์บางอย่างเป็นแน่
“ข้านั้นได้เข้าถึงพลังสัจธรรมแห่งความมืดและแสงสว่างจาก
โลกใบเล็ก และตระหนักได้ว่าภายในพวกมันนั้นก็มีวิถีแห่ง
เจตจานงค์อยู่ ความมืดคือความหนาวเหน็บ และแสงสว่างคือ
ความอบอุ่น โดยธรรมชาติแล้วนี่คอื วิถีแห่งเจตจานงค์ที่ข้านั้น
ได้เข้าถึง และยังมีช่องว่างอีกกว้างใหญ่นัก เมื่อเทียบกับวิถีแห่ง
เจตจานงค์ มีเพียงยอดฝีมือขั้นสูงสุดเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึง
ได้ หลงเทียนหมิงคิดจะได้ตัวอักษรบางคาจากข้าโดยมิให้สิ่ง
ตอบแทนงั้นเหรอ?
ก็ดั่งคาที่ว่า ‘ความสะดวกสบายไม่อาจที่จะทาให้ได้รับ
สินค้าที่ดีพอ’[สานวนจีนหมายถึง ถ้าคิดแต่จะเอาสบาย ก็จะ
ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี ]” เนี่ยลีย่ ิ้มเล็กน้อย ภายในตัวอักษร
นี้ เขาจงใจที่จะปกปิดวิถีแห่งเจตจานงค์ด้วยพลังสัจธรรมแห่ง
ความมืดและแสงสว่าง ดังนั้นด้วยธรรมชาติของตัวอักษรนี้ จึงมี
วิถีแห่งเจตจานงค์ขั้นสูงสุดอยู่เช่นกัน
ในขณะที่เขากาลังเขียนตัวอักษรด้วยวิถีแห่งเจตจานงค์ขั้น
สูงสุดนั้น จิตใจของเขานั้นก็ได้เข้าสู่ขอบเขตแห่งปาฏิหาริย์
เมื่อนางได้ฟังคาพูดของเนี่ยลี่ที่ว่า ‘ความสะดวกสบายไม่อาจที่
จะทาให้ได้รับสินค้าที่ดีพอ’ เซี่ยวหนิงเอ๋ออดไม่ได้ที่จะปิดปาก
ของนาง พร้อมกับหัวเราะ เนี่ยลี่นนั้ เป็นชายที่ไม่ยอมก้มหัวให้
ใครแม้แต่น้อย ถ้าหากเขานั้นมิได้ยอมรับมันเอง ไม่น่าแปลกใจ
เลยที่เขาตบปากรับคาที่จะเขียนตัวอักษรให้กับคนพวกนั้น การ
เขียนตัวอักษรแต่ละคานั้นไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไรเลย
เมื่อเขาเขียนคาว่า “กระบี่”เสร็จแล้ว เนี่ยลีค่ รุ่นคิดในขณะที่
เขากาลังยิ้มอยู่ “ดูเหมือนว่าเพียงเท่านี้ คงจะยังดูเหมือนว่าไม่
มีความจริงใจมากพอ เพราะมันมีแค่เพียงหนึ่งคาเท่านั้น
เช่นนั้นข้าจะเขียนเพิม่ ให้อีกสองคา”
เขาโบกมือของเขา และเดินนาอีกสองคนออกไปจากลานบ้าน
เซี่ยวหนิงเอ๋อขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย นางตั้งข้อสังเกตุว่าคน
พวกนี้ไร้มารยาทยิ่งนัก เขาเอาสิ่งของไปจากผู้อื่นโดยมิได้เอ่ย
ปาก “ขอบคุณ” เลยแม้แต่น้อย
“ด้วยเรื่องอันใดจึงได้นาพาท่านอาจารย์ชิหลิงมาถึงหน้าประตู
ของข้าได้?” เนี่ยลีเ่ อ่ยถามด้วยน้าเสียงที่แสดงความเคารพ เขา
ยังคงทาตัวสุภาพ ถึงอย่างไร อาจารย์ชิหลิง ก็เป็นอาจารย์
แม้ว่าจะเป็นแค่ในนามก็ตามที
การแสดงออกของอาจารย์ชิหลิงนัน้ รวมไปถึงท่าทีที่
เกรงอกเกรงใจ ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ [หมายถึงการนิ่ง
เงียบและพูดอย่างแผ่วเบา]เขายิ้มและเอ่ยว่า “ข้าขออภัยทีต่ ้อง
รบกวนเจ้า ในเรื่องที่นอกเหนือจากบทเรียน ข้าได้รับการไหว้
วานจากคนที่ข้านับถือ เพื่อขอให้เจ้าเขียนอักษรให้สักคา ถ้า
หากว่าเจ้านั้นยินดีที่จะมอบให้ ข้าสามารถที่จะมอบศิลาจิต
วิญญาณจานวนหนึ่งแสนห้าหมื่นก้อนเป็นการแลกเปลีย่ น”
ใจของเนี่ยลี่นั้นอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้น ปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น เป็นหนึ่งในห้าเสาหลักของนิกายขนนกศักดิ์สิทธิ์ ทา
ไมเนี่ยลี่จึงจะไม่รู้จักเสาหลักที่มีอานาจถึงเพียงนั้น?
อาจารย์ชิหลิงมองดูเนี่ยลี่ด้วยสายตาที่แสดงความขอบคุณ
“ขอบใจเจ้ามากแน่นอนว่าข้าจะนาไปบอกปรมาจารย์
เทียนอวิ๋น ให้เขาได้รับรู้ความประสงค์ของเจ้า ”
อาจารย์ชิหลิงนั้น ไม่อาจที่จะปฏิเสธคาขอเรื่องตัวอักษรของ
เนี่ยลี่จาก ปรมาจารย์เทียนอวิ๋น ได้ และเขาก็ไม่อาจที่จะบาก
หน้าเพื่อที่จะไปขอจากนักเรียนโดยที่ไม่ให้สิ่งตอบแทนได้
ตัวเลือกเดียวของเขาจึงเป็นการมอบศิลาจิตวิญญาณจานวน
หนึ่งแสนห้าหมื่นก้อน เพื่อซื้อตัวอักษรที่จากเนี่ยลี่ แต่ทว่าเขา
ไม่ได้คาดหวังเลยว่า เนี่ยลี่ จะมอบให้เขาเป็นของขวัญอย่างไม่
อ้อมค้อมเลยสักนิด
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอขอบคุณอาจารย์ชิหลิงยิ่งนัก!”