You are on page 1of 52

สิทธิโดยธรรมชาติของม

่ สลามยืนยันรบั ร
นุ ษย ์ทีอิ
อง
ิ่
ด ้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผูท้ รงเมตตา ปรานี ยงเสมอ

คำนำ
มวลการสรรเสริญเป็ นเอกสิทธิแห่งอัลลอฮฺ เราขอสรรเสริญจงมีแด่พระองค ์
ขอความช่วยเหลือ ขอลุแก่โทษ
และขอกลับเนื อกลั ้ บตัวไปยังพระองค ์เพียงผูเ้ ดียว
และเราขอความคุ ้มครองต่ออัลลอฮฺใหร้ อดพ้นจากความชัวร ่ ้ายของตนเอง
และจากความผิดพลาดทีเกิ ่ ดจากการงานทีเราได่ ้กระทา,

ผูใ้ ดก็ตามทีพระองค ์ทรงใหท้ างนาแก่เขา ก็ไม่มผ ่ าใหเ้ ขาหลงทางได ้
ี ใู ้ ดทีท
และผูใ้ ดก็ตามทีพระองค ่ ์ทรงใหเ้ ขาหลงทาง
ก็ไม่มใี ครสามารถทาให้เขาได ้รับทางนา
ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มพ ่
ี ระเจ ้าอืนใดที ่
ควรแก่ การเคารพอิบาดะฮฺนอกจากอัลล
อฮฺพระองค ์เดียวโดยไม่มภ ี าคีใดๆ กับพระองค ์
ฉันขอปฏิญาณว่ามุหม ั มัดเป็ นบ่าวของพระองค ์และเป็ นศาสนทูตของพระองค ์
ขอการสดุดแี ห่งอัลลอฮฺและความสันติสุขปลอดภัยจงมีแด่ท่าน
และบรรดาเครือญาติตลอดจนเศาะหาบะฮฺของท่านทุกคน
รวมถึงผูท้ เจริ ี่ ญรอยตามพวกเขาด ้วยกับความดีงามตราบจนถึงวันแห่งการตัด
สิน
ส่วนหนึ่ งจากความงดงามของอิสลามคือการธารงไว ้ซึงความยุ ่ ตธิ รรมและใหส้ ิ
ทธิแก่ผท ี่
ู ้ สมควรได ้ร ับสิทธิอย่างเหมาะสมโดยปราศจาความเลยเถิดและหย่อน
หยาน อัลลอฮฺได ้บัญชาใหด้ ารงไว ้ซึงความยุ ่ ตธิ รรม ทาดีและรกั ษาสิทธิต่างๆ
ของบรรดาญาติมต ิ ร ด ้วยเหตุเพือธารงความยุตธิ รรมนี่ เอง

ศาสนาทูตทังหลายจึ ้ ้ น้ คัมภีร ์ต่างๆ ถูกประทานลงมา
งถูกแต่งตังขึ
และภารกิจทังโลกนี ้ ้
และอาคิ เราะฮฺได ้ถูกปฏิบต ั ิ

3
ความยุตธิ รรมหมายถึงการมอบสิทธิแก่ผท ี่
ู ้ สมควรได ้รบั สิทธิ
ตลอดจนถึงการมอบสถานะอันสมควรแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ ง
่ งนี
ซึงสิ ่ จะไม่
้ เกิดความสมบูรณ์ยกเว ้นเมือได ่ ้รู ้จักสิทธิต่างๆ
่ คคลเหล่านั้นพึงได ้ร ับ
ทีบุ
ดังนั้นข ้าพเจ ้าจึงได ้เรียงร ้อยถ ้อยคาเหล่านี เพื
้ ออธิ ่ บายถึงความสาคัญของสิทธิ
ต่างๆ
่ บ่
เพือที ่ าวคนหนึ่งจะต ้องปฏิบต ั ติ ามภาระหน้าทีเท่ ่ าทีเขามี
่ ่
ความสามารถทีจะกร
ะทาได ้ โดยสามารถสรุปสิทธิต่างๆ ได ้ดังนี ้

1. สิทธิของอัลลอฮฺ ซุบหานะฮุ วะตะอาลา

2. สิทธิของนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม

3. สิทธิของบิดามารดา

4. สิทธิของบุตร

5. ี ่ อง
สิทธิของญาติพน้

6. สิทธิของคู่สมรส

7. สิทธิของผูน
้ าและผูอ้ ยู่ภายใต ้การปกครอง

8. ่
สิทธิของเพือนบ ้าน

9. สิทธิของชาวมุสลิมทั่วไป
่ องต่างศาสนิ ก
10. สิทธิของพีน้
้ อประเด็นทีเราต
สิทธิต่างๆ เหล่านี คื ่ ้องการอธิบายโดยสังเขปในหนังสือเล่มนี ้

4
หนึ่ง สิทธิของอ ัลลอฮฺ
นี่คือสิทธิทสี่ าคัญอย่างยิงอั ่ นดับแรก
และจาเป็ นอย่างยิงที ่ บ่
่ าวจะต ้องมอบใหแ้ ก่พระองค ์
เพราะเป็ นสิทธิทพึ ี่ งมีต่ออัลลอฮฺ พระผูท้ รงสร ้างสรรพสิงทั ่ งมวล

ผูท้ รงพลานุ ภาพ และบริหารจัดการกิจการทังหมด ้
พระองค ์คือผูท้ รงครอบรองสัจธรรมและความชัดแจ ้ง ผูท้ รงชีวน ่
ั ผูท้ รงตืน
ด ้วยอานาจของพระองค ์ชันฟ้ ้ าและแผ่นดินถูกสร ้างขึน้
พระองค ์ทรงบันดาลสรรพสิง่ อย่างมีระบบและปราณี ต
อัลลอฮฺได ้สร ้างเจ ้าจากสิงที ่ ไม่
่ มม ี าก่อนและไม่เคยถูกกล่าวขานมาก่อน
อัลลอฮฺได ้พิทก ้
ั ษร์ กั ษาเจ ้าด ้วยปัจจัยทังหลายยามที ่ ้ายังอยู่ในครรภ ์ของมาร
เจ
ดาในสภาพทีมื ่ ดมิดสามชัน้

ซึงขณะนั ้นตัวเจ ้าเองยังอยู่ในสภาพทีไม่ ่ มผ ี ใู ้ ดสามารถใหอ้ าหารหรือสิงที ่ จะท
่ า
ให้เจ ้าเจริญเติบโตมีชวี ต ิ ได ้
พระองค ์คือผูท้ รงใหเ้ จ ้าได ้อิมเอิ ่ บกับน้านมของมารดาและได ้ชีแนะแนวทางชี ้ วิ
ตแก่เจ ้า
จากนั้นพระองค ์ทรงใหเ้ จ ้ามีบด ่
ิ ามารดาทีคอยเอ็ นดูและห่วงใยเจ ้าอยู่เสมอ
พระองค ์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เจ ้ามากมาย
ประทานสติปัญญาและความเข ้าใจ
พระองค ์ทรงใหเ้ จ ้ามีความพร ้อมทีจะใช ่ ้และรบั ประโยชน์จากปัจจัยทังมวลที ้ ่
พระ
องค ์ได ้ประทาน อัลลอฮฺได ้ตรัสว่า ความว่า
َ َۡ ‫لُلَ ه‬َ ٔٗ َ َ ‫ه َ َ َٰ ه ۡ َ َ ۡ َ ه‬ ‫ٱّللُأَ ۡخ َر َج ه‬
َ
ُ‫ٱلس ۡم َُعُ َوٱلأبۡصَٰ َُر‬
َ ُ‫ك هُم‬ ُ ‫ونُش ۡيـُاُ َو َج َع‬
ُ ‫نُأمهتِّك ُمُلاُتعلم‬ ُِّ ‫كمُمِّنُُ هب هطو‬ ُ‫﴿ َو ه‬
َ ‫َ َۡۡ َ َ َََ ه َۡ ه‬
]78 :‫﴾ُ[النحل‬٧٨‫ون‬ ُ ‫ك ُۡمُتشك هر‬ ‫وٱلأف ِّـد ُةُلعل‬

"และอัลลอฮฺทรงใหพ ้ วกเจ ้าออกจากครรภ ์มารดาของพวกเจ ้า


โดยพวกเจ ้าไม่รู ้อะไรเลย และพระองค ์ทรงทาให้พวกเจ ้าได ้ยิน ได ้เห็น

และมีหวั ใจ (สาหร ับนึ กและคิด) เพือพวกเจ ้าจะได ้ขอบคุณ" (อัน-นะห ์ลฺ : 78)

5
หากแม้นว่าพระองค ์ได ้ระงับปัจจัยแก่เจ ้าแม้เพียงพริบตา
แน่ นอนเจ ้าคงพบกับความหายนะ
หากแม้นว่าพระองค ์ได ้ระงับความเมตตาสักระยะเวลาหนึ่ ง
แน่ แท ้เจ ้าคงไม่มโี อกาสได ้มีชวี ต ิ อยู่บนโลกใบนี ้

หากทังหมดนี ้ อสิงที
คื ่ พระองค
่ ์ทรงประทานใหแ้ ก่เจ ้าแล ้ว
้ ่
ดังนันสิทธิทพระองค
ี ์พึงได ้รบั จากเจ ้านั้นต ้องเป็ นสิทธิทใหญ่
ี่ หลวงนัก
เพราะพระองค ์คือผูส้ ร ้างเจ ้า ผูใ้ ห้เจ ้ามีชวี ต
ิ พร ้อมมอบปัจจัยต่างๆ
และความช่วยเหลือใหเ้ จ ้าสามารถดารงตนบนโลกใบนี ได ้ ้
และพระองค ์ก็มไิ ด ้หวังหรือเรียกร ้องจากเจ ้าให้ตอบแทนบุญคุณของพระองค ์ด ้
วยการมอบปัจจัยหรืออาหารแต่อย่างใด พระองค ์ตรัสว่า ความว่า
ۡ َ ‫َ َ ۡ َ ه َ ۡ ٗٔ َ ۡ ه َ ۡ ه ه َ َ ۡ َ َٰ َ ه‬
َُٰ ‫ِّلتق َو‬
]132 :‫﴾ُ[طه‬١٣٢‫ى‬ ‫كُوٱلعقِّب ُةُل‬
ُ ‫نُنرزق‬
ُ ‫كُرِّزقُاُنح‬
ُ ‫ُلاُنسـل‬...﴿

"เรามิได ้ขอเครืองยั ่ งชีพจากเจ ้า เราต่างหากเป็ นผูใ้ ห ้เครืองยั ่ งชีพแก่เจ ้า



และบันปลายที ่ น้ันย่อมมีไว ้สาหรบั ผูท้ มี
ดี ี่ ความยาแกรง" (ฏอฮา :132)
พระองค ์ต ้องการจากเจ ้าเพียงหนึ่ งประการเท่านั้น
่ เป็ นประโยชน์ทจะย้อนกลั
ซึงก็ ี่ บไปสู่เจ ้าเอง
พระองค ์ทรงประสงค ์ใหเ้ จ ้าเคารพภักดีต่อพระองค ์เพียงองค ์เดียวเท่านั้นโดยปร
าศจากการตังภาคี ้ ใดๆ ต่อพระองค ์ ความว่า
َ ‫ۡ ََ ه ه‬ ‫ه‬ َ َ ۡ َ َ ۡ ‫ََ َ َۡ ه‬
ُ٥٧‫ون‬ ُ ِّ‫يدُم ِّۡن ههمُمِّنُرِّزقُُومُاُأر‬
ُِّ ‫يدُأنُ هي ۡطع هِّم‬ ُِّ ‫نسُإِّلاُل َِّي ۡع هب هدو‬
ُ‫ُ َمُاُأرِّ ه‬٥٦‫ن‬ ُ ‫نُوٱل ِّإ‬ ُ ‫تُٱل ِّج‬
ُ ‫﴿ومُاُخلق‬
ۡ ‫َ ََ هَ َ َ ه ه ۡه‬
ُ ]58-56 :‫﴾ُ[الذاريات‬٥٨ُ‫ِّين‬ ُ‫اقُذوُٱلق َوُة ُِّٱل َمت ه‬ ُ ‫ٱّللُه ُوُٱلرز‬
ُ ُ‫ن‬ ُ ِّ ‫إ‬

่ นใด
"และข ้ามิได ้สร ้างญินและมนุ ษย ์เพืออื ่ ่
เว ้นแต่เพือเคารพภั
กดีต่อข ้า
ข ้าไม่ต ้องการปัจจัยยังชีพจากพวกเขา
และข ้าก็ไม่ต ้องการให้พวกเขาใหอ้ าหารแก่ข ้า แท้จริงอัลลอฮฺ
คือผูป้ ระทานปัจจัยยังชีพอันมากหลาย ผูท้ รงพลัง ผูท้ รงมั่นคง"(อัซ-
ซาริยาต:56-58)

6
พระองค ์เพียงมีความประสงค ์ให้เราเป็ นบ่าวของพระองค ์อย่างจริงจัง
ตามนิ ยามของความเป็ นบ่าวอย่างแท้จริง

ดังทีพระองค ์เป็ นผูท้ รงอภิบาลของเราตามนิ ยามของความเป็ นพระผูเ้ ป็ นเจ ้าอย่
างแท ้จริงเช่นกัน อัลลอฮฺ ประสงค ์ทีจะให ่ ่ อฟั
เ้ ราเป็ นบ่าวทีเชื ่ ง
เคารพภักดีต่อพระองค ์ด ้วยการปฏิบต ่ พระองค
ั ใิ นสิงที ่ ์ทรงใช ้และหลีกห่างจาก
่ ่ ่ ่
สิงทีพระองค ์ทรงหา้ ม ศร ัทธาในสิงทีพระองค ์ได ้แจ ้งไว ้
้ เนื
ทังนี ้ ่องจากปัจจัยทีพระองค
่ ์ประทานใหแ้ ก่เรานั้นครอบคลุมตัวเราทังระบบแล ้
ะต่อเนื่อง

ด ้วยเหตุนีเราจะตอบแทนพระกรุ ณาธิคุณของพระองค ์ด ้วยการฝ่ าฝื นและเนรคุ
ณพระองค ์กระนันหรือ ้
หากแม้นว่าท่านติดหนี บุ ้ ญคุณกับใครสักคนแน่ นอนท่านคงละอายทีจะกระท ่ าใ
นสิงที่ เป็ ่ นการฝ่ าฝื นหรือขัดคาสังของบุ
่ คคลนั้น
ฉะนั้นนับประสาอะไรกับพระผูเ้ ป็ นเจ ้าผูท้ รงมีพระกรุณามหาธิคุณอันล ้นพ้น
ผูท้ รงเมตตาด ้วยการปกป้ องและปัดเป่ าตัวท่านจากภยันตรายต่างๆ
พระองค ์ตร ัสว่า ความว่า
َ ۡ َ َ َ ُّ ‫س ه‬ َ ‫َۡ َ َ َ ه‬ ‫﴿ َو َمُاُب ه‬
ُ ‫ك هُمُٱلض ُُّرُفإِّل ۡي ُهُِّتج َـ هر‬
]53 :‫﴾ُ[النحل‬٥٣‫ون‬ َُ ‫ٱّللُِّث َُمُإِّذاُ َم‬
ُ ُ‫ن‬ ُ ‫كمُمِّنُنِّعمةُُف ِّم‬ ِّ

"และไม่มคี วามโปรดปรานใด ๆ ทีพวกเจ ่ ้าได ้รบั


นอกจากมันย่อมมาจากอัลลอฮฺ ดังนั้น เมือความทุ ่ กข ์ร ้ายประสบแก่พวกเจ ้า

พวกเจ ้าก็จะคราครวญขอพรต่ อพระองค ์" (อัน-นะห ์ลฺ : 53)
้ ่ ่
แท ้จริงสิทธินีคือสิงทีอัลลอฮฺได ้กาหนดไว ้สาหรบั พระองค ์เอง
่ งนี
ซึงสิ ่ จะเกิ
้ ดความง่ายได ้ในการปฏิบต ั ส
ิ าหรบั ผูท้ อัี่ ลลอฮฺประสงค ์จะใหเ้ กิดคว
ามง่ายดายแก่ตวั เขา
้ เนื
ทังนี ้ ่องจากพระองค ์มิได ้ทาใหส้ งนั
ิ่ ้นเป็ นสิงที
่ ยากล
่ าบาก พระองค ์ตรสั ว่า
ความว่า

7
ََ ‫لُ َعلَ ۡي ه‬َ ‫ٱج َتبَى َٰ ه‬
ۡ ُ‫قُج َهادِّه ِّۦُُ هه َُو‬ َ َ ُ َ ُ‫واُُفي‬ ‫َ َ ه‬
ُ‫ِّنُ َح َرجُُمِّل ُة‬ ُۡ ‫ِّينُم‬
ُِّ ‫ك ُۡمُفِّيُٱلد‬ ُ ‫ك ُۡمُ َو َمُاُ َج َع‬ ِّ ُ ‫ٱّللُِّح‬ ِّ ُ ‫﴿وج َٰ ِّهد‬
‫يداُ َعلَ ۡي ه‬ ً ‫ولُ َشه‬ ‫َ ۡ ه َ َ َٰ َ َ ه َ َ ه ه‬ ۡ ‫َ ه ۡ ۡ َ َ ه َ َ َ َٰ ه‬
ُ‫ك ُۡم‬ ِّ ُ ‫ونُٱلرس‬ ُ ‫لُوفِّيُهذاُل ِّيك‬ ُ ‫ينُمِّنُقب‬ َُ ‫ك هُمُٱل هم ۡسلِّ ِّم‬ ُ ‫أبِّيك ُمُإِّبرَٰه‬
‫ِّيمُه ُوُسمى‬
َ َ
‫ٱّللُ هه َُوُ َم ۡولى َٰ ه‬َ َ
َ ۡ َ َ ُ‫ٱلصل َٰوَُةُ َو َءاته ُوا‬ َ َ َ َ
َ ُ‫كونه ُواُ هش َه َدا َُءُعَلى‬ ‫َوتَ ه‬
ُ‫ك ُۡمُفن ِّۡع َُم‬ ُِّ ِّ ‫ص هم ُواُب‬ِّ ‫ٱلزك َٰوُةُ َوٱعت‬
َ ُ‫ِّيم ُوا‬‫اسُفأق ه‬ ُ ِّ ‫ٱلن‬
]78 :‫﴾ُ[الحج‬٧٨‫ير‬ ُ‫ص ه‬
ِّ ‫ٱلن‬َ ُ‫ٱل ۡ َم ۡول َ َُٰيُ َون ِّۡع َُم‬

่ ลลอฮฺ ซึงเป็
"และจงต่อสู ้เพืออั ่ นการต่อสู ้ทีแท้จริ
่ ่
งเพือพระองค ์
พระองค ์ทรงคัดเลือกพวกเจ ้า
และพระองค ์มิได ้ทรงทาใหเ้ ป็ นการลาบากแก่พวกเจ ้าในเรืองของศาสนา ่
ศาสนา (ทีไม่ ่ ลาบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ ้า

พระองค ์ทรงเรียกชือพวกเจ ้าว่า มุสลิมนี (พหูพจน์ของ มุสลิม) ในคัมภีร ์ก่อนๆ

และในอัลกุรอานด ้วย เพือศาสนทูตจะได ้เป็ นพยานต่อพวกเจ ้า
และพวกเจ ้าจะได ้เป็ นพยานต่อมนุ ษย ์ทั่วไป ดังนั้นพวกเจ ้าจงดารงการละหมาด
และบริจาคซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ พระองค ์เป็ นผูค้ ุ ้มครองพวกเจ ้า
เพราะพระองค ์คือผูค้ ุ ้มครองทีดี ่ เลิศ และผูท ้ รงช่วยเหลือทีดี ่ เยียม"
่ (อัล-หัจญ ์ :
78) ประเด็นดังกล่าวถือเป็ นหลักการศรทั ธาทียิงใหญ่ ่ ่
คือการศร ัทธาต่อสัจธรรมพร ้อมกับการปฏิบต ั อ
ิ ะมัลทีดี ่ ทเกิ
ี่ ดผล
หลักศรทั ธาทีมี ่ ลาต ้นเป็ นความรกั และความเชือมั ่ น

ในขณะทีผลของมั ์
นคือความบริสุทธิใจและความอดทน
่ อน
อะมัลทีดี ั เป็ นสิทธิของอัลลอฮฺนั้นก็มต ี วั อย่าง เช่น
การดารงการละหมาดวันกับคืนหนึ่ งหา้ เวลา
อัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษบาปและยกระดับความดีให ้หลายขัน ้
พร ้องกับได ้ขัดเกลาจิตใจและความเป็ นอยู่ใหด้ ข ี น ึ้
่ าวสามารถปฏิบต
ซึงบ่ ั ศ ้
ิ าสนากิจนี ตามความสามารถที ่
ตนจะกระท าได ้
อัลลอฮฺตรัสว่า ความว่า
َۡ َ ‫ه ۡ ََ ه َ ه‬ ‫َ ه‬ َ ‫َ َه ََ َ ۡ ََ ۡه ۡ َ ۡ َ ه ََ ه َ ه‬
ُ‫سهِّۦ‬
ِّ ‫حُنف‬ ُ ‫ِّيع ُواُ َوأنفِّق ُواُخيۡ ٗٔراُل ِّأنفسِّك ُمُومنُي‬
ُ ‫وقُش‬ ‫ٱّللُمُاُٱستطعت ُمُوٱسمع ُواُوأط‬
ُ ُ‫﴿فٱتق ُوا‬
َ ۡ ۡ َ َ ‫َه‬
]16 :‫﴾ُ[التغابن‬١٦‫ون‬ ُ ‫كُ هه هُمُٱل همفل هِّح‬
ُ ِّ ‫فأو َٰٓلئ‬

8
"ดังนั้นจงยาเกรงอัลลอฮฺเท่าทีพวกเจ ่ ้ามีความสามารถ" (อัต-ตะฆอบุน : 16)
และดังทีนบี่ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่อม ิ รอน บิน หุศ็อยนฺ

(ในขณะทีอิมรอนกาลังเจ็บป่ วย) ว่า ความว่า "เจ ้าจงละหมาดในสภาพทียื ่ น
แต่หากไม่สามารถทีจะยื ่ นไดก้ ็จงนั่งเสีย
และหากไม่สามารถทีจะนั ่ ่ งก็จงละหมาดบนสีข ้าง(ตะแคงขวา)" (บันทึกโดย
อัล-บุคอรีย ์ 1066, อบู ดาวูด 952) ซะกาต

คือเศษเสียวหนึ ่ งของทรพ ั ย ์สินทีผู่ ค้ รอบครองจ่ายไปเพือช่ ่ วยเหลือพีน้ ่ องมุสลิม

ทียากจนและขั ดสน ตลอดจนช่วยเหลือผูข ้ าดเสบียงในการเดินทาง
ผูม้ ภ ้
ี าระหนี สินล ้นพ้นตัวและผูม้ ส ี ท ์
ิ ธิรบั ซะกาตประเภทอืนๆ ่
่ นสิงที
(ซึงเป็ ่ มี ่ ประโยชน์ต่อผูท้ ยากไร ี่ ้และไม่ทาใหผ้ ท ู ้ รี่ ารวยเดื
่ อดร ้อนลาบากแ
ต่อย่างใด) อัลลอฮฺได ้ตรัสว่า ความว่า
َ ۡ َ ‫َ ه َ َ ۡ َ َٰ ه‬
ُ‫ك ُۡمُفن ِّۡع َُمُٱل َم ۡول َُٰيُ َوُن ِّ ۡع َُم‬ ُ ِّ ‫ص هم ُواُب‬
‫ٱّللُِّه ُوُمولى‬ َ ۡ َ َ َ ُ‫ٱلصلَ َٰوَُةُ َو َءاته ُوا‬
ِّ ‫ٱلزك َٰوُةُ َوٱعت‬ ‫ُفَأَق ه‬...﴿
َ ُ‫ِّيم ُوا‬

]78 :‫﴾ُ[الحج‬٧٨‫ير‬ ُ‫ص ه‬ َ


ِّ ‫ٱلن‬

“ดังนั้นพวกเจ ้าจงดารงการละหมาด จงจ่ายซะกาต และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ


่ เลิศ
พระองค ์เป็ นผูค้ ุ ้มครองพวกเจ ้า เพราะพระองค ์คือผูค้ ุ ้มครองทีดี
และผูท้ รงช่วยเหลือทีดี ่ เยียม"
่ (อัล-หัจญ ์ : 78)

การถือศีลอดเป็ นระยะเวลา 1 เดือนในรอบปี



และถ ้าผูใ้ ดป่ วยหรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช ้ในวันอืนแทน
่ มค
ส่วนผูใ้ ดทีไม่ ่ อศีลอดได ้อย่างถาวรก็ใหเ้ ขาจ่ายเป็ นอาหา
ี วามสามารถทีจะถื
รแก่คนยากจน
โดยจ่ายใหผ้ รู ้ ับอาหารหนึ่งคนต่อจานวนหนึ่ งวันทีละศี
่ ลอดใหค้ รบตามจานวน

วันทังหมดที ่ ได ้ถือศีลอด
ไม่

การประกอบพิธห ้ั ่งในชีวต
ี จั ญ ์ครงหนึ ี่ ความสามารถ
ิ สาหรบั ผูท้ มี

9

ทังหมดนั ้นเป็ นหลักการสิทธิของอัลลอฮฺ ส่วนบทบัญญัตอ ื่
ิ นๆ
นั้นจะบังคับให ้กระทาเมือมี
่ เหตุจาเป็ น เช่นการต่อสู ้ในหนทางของอัลลอฮฺ
หรือเพราะเหตุแวดล ้อมกดดันให้ปฏิบต ี่ กอธรรม
ั ิ เช่น การช่วยเหลือผูท้ ถู

พึงรู ้เถิดว่าสิทธิเหล่านี เป็ ้ นการงานทีง่่ ายดายแต่ทว่าเต็มเปี่ ยมด ้วยผลบุญ


หากท่านได ้ปฏิบต ั หิ น้าทีดั ่ งกล่าวข ้างต ้นท่านจะเป็ นผูท้ มี ี่ ความสุขในโลกนี และ ้
ในโลกอาคิเราะฮฺ
และจะรอดพ้นจากการทรมานในไฟนรกและได ้เข ้าพานักในสวนสวรรค ์ของพร
ะผูเ้ ป็ นเจ ้า ดังทีอั ่ ลลอฮฺตรสั ว่า ความว่า

‫َ َ ه ۡ َ ۡ َ َ َ َ َ ۡ َ َ َ َ ۡ َ َ َٰ ه ُّ ۡ َ َ ۡ ه‬ َ
ُ ‫ٱلدن َيُاُإِّلاُُ َمتَٰ هُعُٱلغ هر‬
‫﴾ُ[آل‬١٨٥ِّ‫ور‬ ُ‫ازُومُاُٱلحيوُة‬
ُ ‫ِّلُٱلجن ُةُفق ُدُف‬
ُ ‫ارُِّوأدخ‬ ُِّ ‫حُ َع‬
ُ ‫نُٱلن‬ َُ ِّ‫ُف َمنُ هز ۡحز‬...﴿
]185 :‫عمران‬

่ กให ้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข ้าสวรรค ์แล ้วไซร ้ แน่ นอน


"แล ้วผูใ้ ดทีถู
เขาก็ชนะแล ้ว และชีวต ้ ใช่อะไรอืนเลย
ิ ความเป็ นอยู่แห่งโลกนี มิ ่
นอกจากสิงอ ่ านวยประโยชน์แห่งมายาเท่านั้น"(อาล อิมรอน:185)

10
สอง สิทธิของท่ำนนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
สิทธิข ้อนี เป็ ้ นสิทธิทยิ ี่ งใหญ่
่ ทพึ ี่ งมีต่อมัคลูก(สรรพสิงที ่ ถู ่ กสร ้าง)ด ้วยกัน
ไม่มส ี ท ิ ธิของสรรพสิงใดๆ ่
่ งใหญ่
ทีจะยิ ่ ไปกว่าสิทธิทพึ ี่ งมีต่อศาสนทูตของอัลลอฮฺ (นบีมุหม ั มัด)
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พระองค ์อัลลอฮฺได ้ตรัสว่า ความว่า
‫وههُ َوت ه َسب ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ ۡ ٔٗ ‫شه ٗٔداُ َو همبَ ِّش ٗٔراُ َونَذ‬ َ َ َٰ َ ۡ َ ۡ َ َ
ُ‫وهه‬
ُ‫ح‬ ِّ ُ ‫وههُ َوت َوق هِّر‬ ُ ِّ ‫ُل هِّتؤم هِّن ُواُب‬٨‫ِّيرا‬
ُ ‫ٱّللُِّ َو َر هسولِّهِّۦُ َوت َع ِّز هر‬ ِّ َٰ ُ‫ك‬
ُ ‫﴿إِّنُاُأرسلن‬
ً َ ٔٗ ۡ
ُ ]9-8 :‫﴾ُ[الفتح‬٩ُ‫بهك َرُةُ َوأصِّ يلا‬

“แท้จริงเราได ้ส่งเจ ้า(มุหม ่ นพยานและผูแ้ จ ้งข่าวดีและผูแ้ จ ้งข่าว


ั มัด)มาเพือเป็

ร ้าย เพือให ้พวกเจ ้าศร ัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค ์
้ ่
รวมทังเพือให ้พวกเจ ้ามอบความช่วยเหลือสนับสนุ นเขา
และเทิดทูนให้เกียรติแก่เขา” (อัล-ฟัตหฺ : 9-8) ดังนั้น

จึงจาเป็ นทีจะต ้องมอบความร ักแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เหนื อกว่ามนุ ษย ์คนอืนๆ ่ แม้กระทั่งตัวท่านเอง ลูกๆ หรือบิดามารดาของท่าน
ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
"คนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน จะยังไม่ศรทั ธาโดยสมบูรณ์
จนกว่าฉัน(ท่านนบี)จะเป็ นทีร่ กั ยิงส ่ าหรบั เขา มากกว่าบิดาของเขา
ลูกของเขา และมนุ ษย ์ทังหมด" ้ (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย ์ 15,มุสลิม 44, อัน-
นะสาอีย ์ 5013, อิบนุ มาญะฮฺ 67,อะหฺมด ั 3/207,อัด-ดาริมย ี ์2741)
ส่วนหนึ่ งจากสิทธิทพึ ี่ งมีต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือ
การให ้เกียรติแก่ท่าน
การเทิดทูนและเชิดชูทเหมาะสมกัี่ บฐานะโดยไม่เลยเถิดจนเกินไปและไม่ละเลย
จนเกินควร รูปแบบการให ้เกียรติแก่ท่านในขณะทีท่ ่ านยังมีชวี ติ คือ
เคารพให้เกียรติแนวทางและตัวท่านเอง

11
ส่วนการให ้เกียรติหลังจากทีท่ ่ านได ้สินชี
้ วต ิ ไปแล ้ว คือ
การเคารพและให้เกียรติแนวทางและคาสอนของท่าน
หากใครได ้เห็นถึงการให้เกียรติและเทิดทูนของบรรดาเศาะหาบะฮฺต่อท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมแล ้ว
เขาก็จะทราบดีว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺผท ู ้ รงเกียรติเหล่านั้นได ้ทาหน้าทีที ่ พึ
่ งมีต่อ
ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว ้อย่างไรบ้าง รวะฮฺ บิน
มัสอูด ได ้เล่าแก่ชาวกุรอ ้ั พวกเขาได
็ ยชฺ ครงที ่ ้ส่งเขาไปเจรจากับท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในการทาสนธิสญ ั ญา อัล-หุดยั บิยะฮฺ เขากล่าวว่า
ความว่า "ฉันเคยเข ้าเฝ้ าบรรดากษัตริย ์หลายองค ์ไม่ว่าจะเป็ น กิสรอ
(คุสโรแห่งเปอร ์เซีย), ก็อยศ็อรฺ (ซีซาร ์แห่งโรมัน) หรือ อัน-นะญาชีย ์
(แห่งอบิสสิเนี ยหรือเอธิโอเปี ย)
แต่ฉันไม่เคยพบว่าบรรดาพสกนิ กรของกษัตริย ์เหล่านั้นจะใหเ้ กียรติแก่กษัตริย ์

ของพวกเขา เฉกเช่นทีบรรดาเศาะหาบะฮฺ ของมุหม ั มัดได ้กระทากับมุหม ั มัด
้ ้ เมือเขา
ทังนี ่ (มุหม ่
ั มัด) บัญชาสิงใดพวกเขารี บสนองคาบัญชาทันที

เมือเขาจะอาบน ้าละหมาดบรรดาเศาะหาบะฮฺต่างแย่งกันทีจะอ ่ านวยความสะดว
กใหท้ ่านอาบน้าละหมาด

เมือเขาพู ดจาสนทนาบรรดาเศาะหาบะฮฺจะพากันลดเสียงในขณะทีอยู ่ ่ต่อหน้าเ
ขา
และพวกเขาจะไม่จ ้องมองสายตาไปยังเขาทังนี ้ เพื
้ อเป็
่ นการใหเ้ กียรติแก่เขา"(มุ
คตะศ็อร สีเราะฮฺ อัร-เราะสูล โดยชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บิน มุหม ั มัด บิน
อับดุลวะฮ ์ฮาบ หน้าที่ 300)

เช่นนี แหละที ่
บรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอน ั ฮุม
ได ้ให้เกียรติและเทิดทูนท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
เนื่องจากอัลลอฮฺได ้ประทานใหท้ ่านนบีมน ่
ี ิ สยั และมารยาททีงดงาม
มีความอ่อนน้อม และใช ้ชีวต ่ ยบง่าย
ิ ทีเรี

ซึงหากท่ ่ ้าวร ้าวแน่ นอนคนรอบข ้างจะพากันเตลิดหนี หายจ
านนบีเป็ นบุคคลทีก
ากท่านไป

12
และส่วนหนึ่งจากสิทธิทพึ ี่ งมีต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือ
ศร ัทธาและเชือในสิ ่ ่ ท่
งที ่ านได ้แจ ้งใหเ้ ราทราบทังในเรื ้ ่
องอดี ตกาลและเรืองที ่ จะเ ่

กิดขึนภายภาคหน้ า การปฏิบต ั ต ิ ามคาบัญชาของท่าน
การหลีกห่างจากสิงที ่ ท่ ่ านได ้หา้ มและเตือนระวัง
ตลอดจนศรทั ธาว่าทางนาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
คือทางนาทีสมบู ่ รณ์ทสุ ี่ ด
บทบัญญัตข ิ องท่านนั้นคือบทบัญญัตท ี่
ิ สมบู รณ์แบบทีสุ ่ ด
และไม่เอาบทบัญญัติ
หรือกฎระเบียบใดๆมาอยู่เหนื อบทบัญญัตห ิ รือคาสอนของท่านไม่ว่าจะมาจาก
แหล่งใดก็ตาม อัลลอฮฺ ตรัสว่า ความว่า
‫َ ه‬ َ َ ‫ه‬ َ ‫ِّيمُاُ َش‬ َ‫ه‬ َ ۡ َ َ ََ ََ
ُ‫س ِّه ُۡمُ َح َر ٗٔجُاُم َِّمُا‬ ُ ‫ج َُرُبَيۡ َن هه ُۡمُث َُمُلاُي ِّج هد‬
ِّ ‫واُفِّيُُأنف‬ َُ ‫ونُ َح َت َُٰىُيحك هِّم‬
َ ‫وكُف‬ ُ ‫كُلاُيهؤم هِّن‬ ُ ِّ ‫﴿فلاُورب‬
]65 :‫﴾ُ[النساء‬٦٥ُ‫ِّيمُا‬ ٔٗ ‫تُ َويه َسل هِّم ُواُت َ ۡسل‬ َ َ
ُ َ ‫قض ۡي‬

"มิใช่เช่นนั้นดอก ข ้าขอสาบานด ้วยพระเจ ้าของเจ ้าว่า


เขาเหล่านั้นจะยังไม่ศร ัทธาจนกว่าพวกเขาจะให ้เจ ้าตัดสินในสิงที ่ ขั ่ ดแย้งกันระ
หว่างพวกเขาแล ้วพวกเขาไม่พบความคับใจใดๆ
ในจิตใจของพวกเขาจากสิงที ่ เจ
่ ้าได ้ตัดสินใจ และพวกเขายอมจานนด ้วยดี"
(อัน-นิ สาอ ์ :65) ความว่า
‫هۡ ۡ ه ه َه َ َۡ ۡ َ ه ۡ هه َ ه ۡ َ َه َ ه‬ َ َ َ َ َ ُّ ‫ه ه ۡ ه‬ ۡ‫ه‬
ُ‫ور‬
ُ ‫ٱّللُغف‬ ُ ُ‫ٱّللُفٱتبِّ هعونِّيُُيحبِّبك ُم‬
ُ ‫ٱّللُويغف ُِّرُلك ُمُذنوبك ُمُو‬ ُ ُ‫ون‬ُ ‫تحِّب‬
ُ ُ‫لُإِّنُكنت ُم‬
ُ ‫﴿ق‬
]31 :‫﴾ُ[آل عمران‬٣١ُ‫َرحِّيم‬

"จงกล่าวเถิด(มุหม ั มัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบต ั ต


ิ ามฉัน
อัลลอฮฺก็จะทรงร ักพวกท่าน
และจะทรงอภัยใหแ้ ก่พวกท่านซึงโทษทั ่ ้
งหลายของพวกท่ าน
และอัลลอฮฺน้ันเป็ นผูท้ รงอภัยโทษ ผูท้ รงเมตตาเสมอ" (อาล อิมรอน : 31 )
และส่วนหนึ่งจากสิทธิทพึ ี่ งมีต่อท่านนบีคอื ปกป้ องศาสนบัญญัติ

13

และแนวทางของท่านเท่าทีเขาคนนั ้นจะมีความสามารถแม้ว่าในบางกรณี จาเป็

นทีจะต ้องใช ้กาลังและอาวุธต่อสู ้ก็ตาม

เมือศัตรูโจมตีด ้วยปร ัชญาและข ้อคลุมเครือต่างๆ
การปกป้ องเกียรติของท่านก็ต ้องตอบโต ้ด ้วยหลักวิชาการและพยามยามหักล ้า
งข ้อกล่าวหาต่างๆ

และอธิบายเปิ ดโปงการใส่ร ้ายอันมดเท็จ แต่หากว่าศัตรูโจมตีด ้วยอาวุธ


การปกป้ องก็ต ้องเป็ นไปตามความเหมาะสมกับเหตุการณ์
่ ผู
และไม่บงั ควรอย่างยิงที ่ ศ้ ร ัทธาคนหนึ่ งเมือได
่ ่ านนบีมุหม
้ยินคนมาดูหมินท่ ั มัด
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรือหลักการคาสอนของท่าน
เขาจะอยู่อย่างนิ่ งเฉยไม่ได ้แสดงกริยาใดๆ ในการทีจะปกป้่ องเกียรติของท่าน
้ สามารถจะปกป้
ทังที ่ องท่านได ้

14
สำม สิทธิของบิดำมำรดำ
ไม่มผ ่
ี ใู ้ ดทีสามารถปฏิ เสธบุญคุณทีบิ ่ ดามารดามีต่อบรรดาลูกๆ
ของเขาทังสองได ้ ้ ้ เนื่องจากทังสองเป็
้ ทังนี ้ ี่ ม้ บ
นสาเหตุทให ี ุตรเกิดขึน้ ดังนั้น

เขาทังสองจึ งเป็ นบุคคลทีพึ ่ งได ้สิทธิมากทีสุ
่ ด

ทังสองได ้ บุตรตังแต่
้เลียงดู ้ เยาว ์วัยอย่างเหน็ ดเหนื่ อย

เพือให ้ลูกร ักได ้นอนอุ่นหลับสบาย
มารดาต ้องอุ ้มครรภ ์เป็ นระยะเวลาประมาณเก ้าเดือน ดังทีอั ่ ลลอฮฺได ้ตรสั ว่า
ความว่า
ۡ َ َ َۡ َ َ ۡ‫َ َۡ َ ۡ ه‬ ‫َ ه‬ ۡ َ ۡ ‫َََ ه‬
ُ‫ص ه‬
ُ﴾١٤‫ير‬ ِّ ‫كُإِّل َُيُٱل َم‬
ُ ‫نُٱشك ُرُلِّيُولِّوَٰل ِّدي‬ ُِّ ‫ُحمل ۡت هُهُأ ُّم هه ُۥُ َوه ًنُاُعَل َُٰىُ َوهنُُ َوفِّصَٰل هه ُۥُفِّيُعامي‬...﴿
ُِّ ‫نُأ‬
]14 :‫[لقمان‬

“มารดาของเขาได ้อุ ้มครรภ ์เขาอย่างเหนื่ อยล ้าชันแล ้ ้วชันเล่้ า” (ลุกมาน :


14) หลังจากคลอดจากครรภ ์มารดาแล ้ว
มารดาก็ต ้องดูแลเลียงดู ้ ใหน้ มเป็ นระยะเวลาอีก 2 ปี
่ มไปด ้วยความยากลาบากและเหน็ ดเหนื่ อยอย่างสาหัส
ซึงเต็
ส่วนบิดาก็เช่นกันต ้องพยายามดินรนเพื ้ ่
อหาปั จจัยมาเลียงชี ้ พตังแต่ ้ เจ ้ายังแบเ
บาะจนถึงเป็ นผูใ้ หญ่สามารถช่วยตัวเองได ้
นอกจากนั้นทังสองต ้ ้องพยายามอบรมเลียงดู ้ และแนะแนวทางแก่เจ ้า
่ วเจ ้าเองนั้นตอนนั้นยังต ้องอาศัยคนอืน
ซึงตั ่
ไม่มค ี วามสามารถทีจะสร ่ ้างประโยชน์หรือโทษแก่ผใู ้ ดเลย ดังนั้น
อัลลอฮฺได ้บัญชาให้เราทาดีต่อบิดามารดาและแสดงความกตัญญูกตเวทีตอบแ
ทนบุญคุณของท่านทังสอง ้ ่
ดังทีพระองค ์ตรสั ว่า ความว่า
َ ‫َ َۡ َ ۡ ه‬ ‫َ ه‬ ۡ َ ۡ ‫َََ ه‬ ۡ
َٰ َ ‫﴿ َو َو َص ۡي َنُاُٱل ِّإ‬
ُ ۡ‫نُٱشك ُۡرُلِّيُ َول َِّوَٰل َِّدي‬
ُ‫ك‬ ُِّ ‫نُب ِّ َوَٰل َِّديۡ ُهُِّحمل ۡت هُهُأ ُّم هه ُۥُ َوه ًنُاُعَل َُٰىُ َوهنُُ َوفِّصَٰل هه ُۥُفِّيُعامي‬
ُِّ ‫نُأ‬ َُ ‫نس‬
ۡ َ
]14 :‫﴾ُ[لقمان‬١٤‫ير‬ ُ‫ص ه‬ ِّ ‫إِّل َُيُٱل َم‬

15
“และเราได ้สังการแก่ ่ มนุ ษย ์เกียวกั ่ บบิดา มารดาของเขา

โดยทีมารดาของเขาได ้อุ ้มครรภ ์เขาอย่างเหนื่ อยล ้าชันแล ้ ้ า
้วชันเล่
และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี เจ ้าจงขอบคุณข ้า
และบิดามารดาของเจ ้า ยังเรานั้น คือการกลับไป” (ลุกมาน : 14)
และพระองค ์ตร ัสอีกว่า ความว่า
َ َ ۡ َ َ َ‫ه‬ ۡ َ َ َ َ َ ُّ َ َٰ َ َ َ
ُ‫كُٱلكِّبَ َُرُأ َح هد هه َمُاُأ ُۡو‬ َٰ َ ‫نُإِّ ۡح‬
َُ ‫س ًنُاُإِّ َمُاُ َي ۡبلغ‬
ُ ‫نُعِّند‬ ُِّ ۡ‫كُألاُت ۡع هب هدوُاُإِّلاُُإِّيَُاههُُ َوبِّٱل َوَٰل َِّدي‬ُ ‫﴿۞ُوقض ُىُرب‬
ُّ َ َ َ َ ‫َ ۡ ۡ َ ه‬ ‫ه‬
ٔٗ ‫اه َمُاُفَلَاُ َت هقلُل َ هه َمُاُأفُُ َولَاُ َت ۡن َه ۡر هه َمُاُ َو هقلُل َ هه َمُاُقَ ۡولٗٔاُ َكر‬ ‫ك ِّل َ ه‬
َُ ‫احُٱلذ ُِّلُم‬
ُ‫ِّن‬ ُ ‫ِّضُلهمُاُجن‬ ُ ‫ُوٱخف‬٢٣‫يمُا‬ ِّ
ُ ]24-23 :‫﴾ُ[اإلسراء‬٢٤‫ِّيرا‬ ٔٗ ‫ٱر َحمۡ هه َمُاُ َك َمُاُ َر َب َيانيُ َصغ‬ۡ ُ‫ب‬ ‫َ َۡ ه‬
ُِّ ‫ٱلرحمةُِّ َوقلُ َر‬
ِّ

“และพระเจ ้าของเจ ้าบัญชาว่า


พวกเจ ้าอย่าเคารพภักดีผใู ้ ดนอกจากพระองค ์เท่านั้นและจงทาดีต่อบิดามารดา
่ พการีคนใดคนหนึ่ งหรือทังสองคนได
เมือบุ ้ ้บรรลุสู่วยั ชราอยู่กบั เจ ้า
ั้
ก็จงอย่ากล่าวแก่ทงสองว่ า อุฟ ! และอย่าขู่เข็ญท่านทังสอง ้
และจงพูดแก่ท่านทังสองด ้ ้วยถ ้อยคาทีอ่่ อนโยน และจงนอบน้อมแก่ท่านทังสอง ้

ซึงการถ่ อมตนเนื่ องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า ข ้าแต่พระเจ ้าของฉัน

ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทังสองเช่ ่ งสองได
นทีทั ้ ้ ฉันเมือเยาว
้เลียงดู ่ ์วัย” (อัล-
อิสรออ ์ : 23-24) แท้จริง สิทธิหน้าทีที ่ พึ
่ งมีต่อบิดามารดา
คือการทาดีแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านทังสองด ้ ้วยการทาดีต่อท่านทังด ้ ้
วยวาจา การกระทา การมอบกาลังกายและทรัพย ์ให้แก่ท่าน
การปฏิบต ั ต ่
ิ ามคาสังของท่ ้
านทังสองตราบใดที ่ เป็ นการฝ่ าฝื นอัลลอฮฺ
ไม่
และไม่เป็ นอันตรายต่อตัวท่านเอง การพูดจากับท่านอย่างอ่อนน้อม
การแสดงหน้าตาทียิ ่ มแย้ม
้ ่
การใหค้ วามช่วยเหลือทีเหมาะสมกั บท่าน
การไม่พูดจาทีท ่ าใหท้ า่ นทังสองกระทบกระเทื
้ อนจิตใจยามทีท่ ่ านทังสองแก่
้ ชรา
เจ็บป่ วย หรืออ่อนแรง
และต ้องไม่ถอ ่
ื ว่าสิงเหล่ านั้นเป็ นภาระสาหรบั ท่านเพราะภายภาคหน้าตัวท่านเอ
งก็จะอยู่ในสภาพเช่นนั้นเหมือนกัน ท่านเองต ้องกลายเป็ นพ่อ หรือ

16
่ านทังสองได
แม่ดงั ทีท่ ้ ้เป็ นพ่อแม่ของท่านมาแล ้ว
และท่านเองก็ต ้องแก่ชราในสายตาลูกหลานหากอัลลอฮฺทรงไว ้ชีวต ิ ท่านยาวน
าน
่ งเวลานั้นท่านเองคงต ้องการความกตัญญูจากลูกหลานดังทีพ่
เมือถึ ่ อแม่ของท่
านเคยต ้องการจากตัวท่านมาแล ้ว
หากเจ ้าเคยทาดีต่อพ่อแม่ทงสองแล ้ั ้วก็จงภูมใิ จในสิงที ่ ท่ ่ านจะได ้รบั
นั่นคือผลบุญอันมากมายจากอัลลอฮฺ
และท่านเองจะได ้ร ับการปฏิบต ั จิ ากลูกของท่านเหมือนกับทีท่ ่ านได ้เคยปฏิบต ั ก
ิ ั

บพ่อแม่ของท่านเช่นกัน ผูใ้ ดทีกตัญญูรู ้คุณบิดามารดาของเขา
เขาก็จะได ้ร ับความกตัญญูจากลูกหลานภายภาคหน้า

ส่วนผูใ้ ดทีอกตั ญญูเนรคุณบิดามารดาในภายภาคหน้าลูกหลานของเขาจะแส
ดงความอกตัญญูต่อเขาเช่นกัน
ผลตอบแทนของคนเรานั้นจะได ้รบั เสมือนทีเขาได ่ ้เคยปฏิบต ั ิ
อัลลอฮฺได ้จัดลาดับการทาดีต่อพ่อแม่อยู่ในระดับทีสู ่ งส่ง

พระองค ์ได ้ลาดับสิทธิของทังสองรองลงมาจากสิ ทธิทพึ ี่ งมีต่อพระองค ์และศาสน
ทูตของพระองค ์ ดังทีอั ่ ลลอฮฺได ้ตรสั ว่า ความว่า

َٰ َ ‫نُإِّ ۡح‬ ۡ ٔٗ َ ‫ََ َ هۡ ه‬ ۡ


]36 :‫﴾ُ[النساء‬...ُ‫س ٗٔنُا‬ ُِّ ۡ‫ٱّللُ َولاُتش ِّرك ُواُبِّهِّۦُش ۡيـُاُ َوبِّٱل َوَٰل َِّدي‬
ُ ُ‫وا‬ ُ ‫﴿۞ُ َوٱع هب هد‬

“และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด
ิ่
และอย่าให ้มีสงหนึ ่งสิงใดเป็
่ นภาคีกบั พระองค ์
และจงทาดีต่อพ่อแม่ผบ ้
ู ้ งั เกิดเกล ้าทังสอง” (อัน-นิ สาอ ์ : 36) ความว่า
ۡ َ َ َۡ َ َ ۡ‫ۡ ه‬
ُ‫ص ه‬
]14 :‫﴾ُ[لقمان‬١٤‫ير‬ ِّ ‫كُإِّل َُيُٱل َم‬
ُ ‫ُٱشك ُرُلِّيُول ِّوَٰل ِّدي‬...﴿

“เจ ้าจงขอบคุณข ้า และจงขอบคุณบิดามารดาของเจ ้า


ยังเรานั้นคือการกลับไป” (ลุกมาน : 14) ท่านนบีมุหม
ั มัด
ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได ้วางการทาดีต่อพ่อแม่เหนือกว่าการต่อสู ้ในหนทางของอัลลอฮฺ

17

ดังหะดีษทีรายงานโดยท่ านอิบนุ มัสอูด เราะฎิยลั ลอฮุอน ั ฮฺ ว่า ฉันได ้กล่าวว่า
ความว่า โอ ้ ศาสนทูตของอัลลอฮฺ การงานใดทีอั ่ ลลอฮฺทรงรกั มากทีสุ ่ ด?
ท่านนบีตอบว่า “การละหมาดในเวลาของมัน” และฉันไดถ้ ามอีกว่า

แล ้วมีการงานอะไรอีก(ทีพระองค ์ทรงรกั )? ท่านนบีตอบว่า “การทาดีต่อพ่อแม่”
แล ้วฉันก็ถามท่านอีกว่า แล ้วการงานอะไรอีก? ท่านนบีตอบว่า
“การต่อสู ้ในหนทางของอัลลอฮฺ” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย ์ 504, มุสลิม
85,อัต-ติรมิซยี ์ 1898, อัน-นะสาอีย ์ 610,อะหฺมด ั 1/439, อัด-ดาริมย ี ์
1225)หะดีษบทนี ชี ้ ถึ้ งความสาคัญของสิทธิทพึ ี่ งมีต่อพ่อแม่
่ ค้ นส่วนใหญ่ในปัจจุบน
ซึงผู ั มักจะละเลยและไม่ใหค้ วามสาคัญจนถึงขันแสดงค ้
วามอกตัญญูเนรคุณ และตัดขาดความสัมพันธ ์กับท่านทังสอง ้
เราพบว่าบางคนนั้นไม่ใหค้ วามสาคัญกับสิทธิหน้าทีที ่ พึ
่ งมีต่อพ่อแม่
และมีบางคนถึงขันดู ้ ถูกเหยียดหยาม พูดจาขึนเสี ้ ยงกับพ่อแม่ของเขาเอง

ซึงพฤติ กรรมเหล่านั้นเขาจะได ้ประสบกับตัวเองไม่ช ้าก็เร็ว
*

18
สี่ สิทธิของบุตร
บรรดาบุตรหมายรวมถึง บุตรชายและธิดา ซึงสิ ่ ทธิต่างๆ
ของบุตรนั้นมีมากมาย แต่ทส ี่ าคัญอย่างยิงคื ่ อการใหก้ ารอบรม ปลูกฝังศาสนา
คุณธรรมและจริยธรรมในหัวใจของพวกเขา ดังทีอั ่ ลลอฮฺตรสั ว่า ความว่า
َ ‫اسُ َوٱلۡح‬ ‫اراُ َو هق ه‬
َ ُ‫ود َهُا‬ ‫ك ُۡمُ َوأَ ۡهل ه‬
ٔٗ َ‫ِّيك ُۡمُن‬ ‫َ َٰٓ َ ُّ َ َ َ َ َ ه ه َ ه‬
‫نف َس ه‬
:‫﴾ُ[التحريم‬...ُ‫ارُهة‬
َ ‫ِّج‬ ُ ‫ٱلن ه‬ ‫ِّينُءامن ُواُقوُاُأ‬
ُ ‫﴿يأيهُاُٱلذ‬
]6

“โอ ้บรรดาผูศร ้ ัทธาเอ๋ย


จงคุ ้มครองตัวของพวกเจ ้าและครอบครัวของพวกเจ ้าให้พ้นจากไฟนรก
เพราะเชือเพลิ ้ งของมันคือมนุ ษย ์และก ้อนหิน” (อัต-ตะหฺรมี : 6) และท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
“ทุกคนในหมู่พวกท่านเป็ นผูร้ บั ผิดชอบ
และทุกคนในหมู่พวกท่านตอ้ งถูกสอบสวนต่อความรับผิดชอบของเขา
ผูช ้ ายเป็ นผูร้ ับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา
และต ้องถูกสอบสวนในความรับผิดชอบของเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย ์
853, อัต-ติรมิซยี ์ 1705, อบูดาวูด 2928, และอะหฺมด ั 2/55)
ลูกหลานคืออะมานะฮฺ(หน้าทีต ่ ้องรบั ผิดชอบ)บนบ่าของบิดามารดาทุกคน

ทังสองท่ านจะถูกสอบสวนถึงภาระหน้าทีต่ ่ อลูกหลานในวันกิยามะฮฺ
และด ้วยการอบรมปลูกฝังศาสนาและจริยธรรมแก่ลูกหลานจะทาให้พวกเขากล
ายเป็ นแก ้วตาดวงใจแก่พ่อแม่ ทาใหม้ ค ี วามสุขทังในโลกนี้ ้
และโลกหน้ า
อัลลอฮฺตรัสว่า ความว่า
َ َ ۡ ‫َ َٰ َ ۡ َ ۡ َ ۡ ه َ َ ه ۡ َ َ َ َ ۡ َ َٰ ه‬ ‫ه‬ َ َ
ُ ‫ِّينُ َء َام هن ُواُ َوٱت َب َع ۡت هه ُۡمُذرِّ َي هت ههمُبِّإِّيمنُُألحقنُاُب ِّ ِّه ُمُذرِّيته ُمُومُاُألتنهمُم‬
ُُ‫ِّنُع َملِّ ِّهمُمِّنُش ۡىء‬ َُ ‫﴿ َوٱلذ‬
َ ُّ ‫ه‬
ۡ ُ‫ل‬
]21 :‫﴾ُ[الطور‬٢١ُ‫بُ َرهِّين‬ ُ َ ‫ٱم ِّرِۭٕيُب ِّ َمُاُك َس‬ ُ‫ك‬

19
“และผูศ้ รทั ธาทังหลาย ้

ทีบรรดาลู กหลานของพวกเขาได ้ดาเนิ นตามพวกเขาด ้วยการศรทั ธา
เราจะให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่รว่ มกับพวกเขา
และเราจะไม่ให้ผลบุญจากการงานของพวกเขาลดหย่อนลงจากพวกเขาแต่อย่
างใด แต่ละคนนั้นย่อมได ้รบั การคาประกั ้ ่ เขาขวนขวายไว
นในสิงที ่ ้” (อัฏ-ฏูรฺ :

21) เราทังคู่ต่างก็:เราขาดพวกเขา และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
กล่าวว่า ความว่า “เมือบ่ ่ าวคนหนึ่ ง (มนุ ษย ์) ได ้เสียชีวต ิ ลง
การงานของเขาจะถูกตัดขาด นอกจากการงานสาม ประการ
คือการบริจาคทานทีถาวร ่ หรือความรู ้ทีเป็ ่ นประโยชน์
หรือลูกทีดี ่ ซงขอดุ
่ึ อาอ ์ใหก้ บั เขา” (บันทึกโดยมุสลิม 1631,อัต-ติรมิซยี ์
1376, อัน-นะสาอีย ์ 3651,อะหฺมด ั 2/327,อัด-ดาริมย ี ์ 559)
นี่คือผลของการอบรมเลียงดู ้ บุตรหลานด ้วยกระบวนการอบรมขัดเกลาทีดี ่ ซงจ
่ึ
ะยังประโยชน์แก่บด ิ ามารดาหลังจากทีเขาทั ่ ้
งสองจากโลกนี ้
ไป
มีบรรดาพ่อแม่หลายคนทีมองข ่ ้ามภาระหน้าทีนี ่ จนท ้ าให ้ลูกหลานของเขาต ้อง
สูญเสียโอกาสและสิทธิทพึ ี่ งได ้รบั พวกเขาต่างหลงลืมภาระหน้าทีต่ ่ อลูกๆ
พวกเขาไม่เคยทีจะสอบถามว่ ่ าลูกหลานไปไหนกัน กลับมาถึงบา้ นตอนไหน
พวกเขาไปคบหากับเพือนคนไหนบ ่ า้ ง
พ่อแม่บางคนไม่เคยชีแนะแนวทางแก่ ้ ลูกๆ
ไม่เคยหา้ มปรามพวกเขาจากการประพฤติชว่ ั
แต่ทน่ ี่ าแปลกใจยิงนั ่ กพวกเขาพยายามอย่างยิงยวดที ่ ่ างานเพือหาเงิ
จะท ่ น

เพือสะสมทร พ ั ย ์อย่างมากมาย และพัฒนาสินทร ัพย ์เหล่านั้นให ้งอกเงย
ซึงส่่ วนใหญ่ผท ี่ ้ร ับประโยชน์จากทรพ
ู ้ ได ั ย ์สินนั้นก็เป็ นผูอ้ น ื่ ส่วนบรรดาลูกๆ
นั้น
พวกเขาไม่เคยสนใจทีจะอบรมพั ่ ฒนาพวกเขาให ้เป็ นคนดีทงที ั้ พวกเขาสมควร

ได ้รบั การดูแลเป็ นพิเศษเพือให ่ เ้ กิดประโยชน์ทงในโลกนี ้ั ้
และโลกหน้ า
่ ่
และดังทีจาเป็ นสาหรบั บิดามารดาทีต ้องใหอ้ าหารกายแก่ลูกไม่ว่าจะเป็ นอาหาร
หรือเครืองดื ่ ม ่ ให ้เสือผ้ ้ าเป็ นอาภรณ์ห่มกาย

20
เฉกเช่นนั้นแหล่ะทีเขาทั่ ้
งสองต ้องใหอ้ าหารด ้านจิตใจ
ด ้วยความรู ้และศร ัทธาและให้ความยาเกรงเป็ นอาภรณ์สาหรบั วิญญาณของเข
่ งดั
า ซึงสิ ่ งกล่าวนั้นย่อมประเสริฐกว่า และส่วนหนึ่ งจากสิทธิทพึ ี่ งมีต่อบุตร คือ
การให ้ค่าใช ้จ่ายเลียงดู้ ด ้วยความเหมาะสมเพียงพอไม่ฟมเฟื ุ่ อยหรือตระหนี่ เกิน
ไป
เพราะนั่นเป็ นสิงที
่ จ่ าเป็ นทีบรรดาบุ
่ ตรพึงได ้รบั และเป็ นการสานึ กในพระกรุณา

มหาธิคุณทีอัลลอฮฺได ้ประทานทรพ ั ย ์สินใหแ้ ก่เรา
เราจะไปหวงแหนทร ัพย ์สินจนเกินเหตุทาไมจนตระหนี่ ทีจะใช ่ ้จ่ายมันไปแล ้วใน
่ ่
ทีสุดเมือเราเสียชีวต ้
ิ ไปทร ัพย ์สินเหล่านันย่อมถูกริบไปหมด

แม้ว่าเมือบิดามารดายังมีชวี ต ิ อยู่แต่มค ี วามตระหนี่ ไม่ยอมใหค้ ่าเลียงดู

บรรดาลูกสามารถเอาทรพ ั ย ์สินนั้นมาใช ้จ่ายใหเ้ พียงพอต่อการดารงชีพดังทีท่ ่
านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้ตอบคาถามแก่ ฮินดฺ
บุตรีของอุตบะฮฺ (ดังหะดีษทีบั ่ นทึกโดยอัล-บุคอรีย ์และมุสลิม)
และส่วนหนึ่งของสิทธิทพึ ี่ งมีต่อบุตร คือ
การไม่แสดงความลาเอียงระหว่างบุตรในการมอบของขวัญหรือของกานัลใดๆ
ไม่อนุ ญาตให ้เรามอบสิงหนึ ่ ่งสิงใดแก่
่ ่ กๆ
ลูกๆ บางคนในขณะทีลู

คนอืนไม่ ่ ้นด ้วยความลาเอียง แท้จริงแล ้วอัลลอฮฺไม่ทรงรกั ผูท้ อธรรม
ได ้ร ับสิงนั ี่
เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวจะทาใหเ้ กิดความข ้องใจและเกิดความบาดหมางใ
จระหว่างลูกๆ ผูท ี่ ้รบั และผูท
้ ได ี่ มส
้ ไม่ ี ท
ิ ธิ

ซาร ้ายอาจจะทาใหเ้ กิดความบาดหมางใจระหว่างบิดามารดากับบุตรทีไม่ ่ ได ้รบั
สิทธิดงั กล่าวด ้วย
มีบางคนทีจ่ าแนกระหว่างบุตรทีท ่ าดีและอ่อนน้อมต่อบิดามารดากับบุตรทีไม่่ ก
ระทาเช่นนั้น ด ้วยการมอบของขวัญหรือของกานัลแก่บุตรทีท ่ าดีต่อเขาก่อน
่ งสิงเหล่
อันทีจริ ่ ้ ใช่เหตุผลทีจะอนุ
านี ไม่ ่ ญาตใหเ้ ราลาเอียงหรือไม่ยุตธิ รรมแก่พ
วกเขาได ้
การมอบของขวัญตอบแทนบุตรโดยอาศัยการพิจารณาจากความดีงามทีเขา ่
ปฏิบต ั ต ่ ไม่
ิ ่อบิดามารดาเป็ นสิงที ่ อนุ ญาต

21
เนื่องจากผลตอบแทนทีเขาท ่ าดีต่อพ่อแม่นั้นอัลลอฮฺจะเป็ นผูต้ อบแทนใหเ้ อง
การให ้รางวัลเฉพาะแก่ลูกทีท ่ าดีต่อบิดามารดานั้นจะทาใหล้ ูกเกิดความลาพอง
ในการงานของตน และจะทาใหล้ ูกๆ คนอืนออกห่ ่ างจากบิดามารดา
และจะอยู่ในความอกตัญญูหรือเนรคุณต่อบิดามารดาตลอดไป อีกอย่าง
เราเองก็ไม่สามารถล่วงรู ้ได ้ว่าบางทีภายภาคหน้าสถานการณ์อาจจะพลิกผัน
่ ญญูกลายเป็ นลูกทีเนรคุ
ทาใหล้ ูกทีกตั ่ ณ
่ ่
หรือลูกทีเนรคุณอาจจะกลายเป็ นลูกทีกตัญญูก็เป็ นได ้ ทังนี ้ ้
เนื่องจากจิตใจของมนุ ษย ์ทุกคนล ้วนอยู่ในพระหัตถ ์ของอัลลอฮฺ

ซึงพระองค ์สามารถพลิกผันมันได ้ตามทีพระองค ่ ์ทรงประสงค ์
ในตาราหะดีษเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย ์และมุสลิม บันทึกว่า รายงานจากอัน-
นุ อมฺ าน บิน บะชีรฺ ว่า บะชีรฺ บิน สะอัด
บิดาของเขาได ้มอบทรพ ั ย ์สินบางอย่างใหแ้ ก่ลูกชายของเขาคนหนึ่ ง
แล ้วมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
แล ้วบอกกับท่านนบีถงึ เรืองดั ่ งกล่าว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
แล ้วบอกกับท่านนบีถงึ เรืองดั ่ งกล่าว ท่านบี จึงถามเขาว่าความว่า
้ ลูกๆ ของเจ ้าทุกคนไหม?” เขาตอบว่า “ไม่” ท่านบี
“เจ ้าได ้มอบให ้เช่นนี แก่
กล่าวว่า “ดังนั้นจงเอาสิงนั ่ ้นกลับคืนมา”ในบางสายรายงาน ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า “ พวกท่านจงยาเกรงอัลลอฮฺ
และจงให ้ความยุตธิ รรมระหว่างลูกๆ ของพวกท่าน”และในบางสานวน

มีดงั นี ความว่ ่
า “ใหค้ นอืนมาเป็ นพยานแทนฉันเถิด
เพราะฉันไม่เป็ นพยานต่อความอยุตธิ รรม” ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้ระบุว่า
การให ้ความสาคัญแก่บุตรบางคนและละเลยอีกบางคนนั้น
ถือเป็ นการกระทาทีอธรรม ่ ่ นการกระทาทีต
ซึงเป็ ่ ้องหา้ มในอิสลาม
แต่หากเรามอบสิงหนึ ่ ่งสิงใดแก่
่ บรรดาบุตรตามความต ้องการหรือความจาเป็ น

ของเขาในขณะทีอีกบางคนมีความต ้องการอย่างอืนเช่ ่ น
คนหนึ่งต ้องการอุปกรณ์เครืองเขี ่ ยน ในขณะทีอี ่ กคนต ้องการรกั ษาโรค

22

หรืออีกคนต ้องการทร ัพย ์สินทีจะแต่ งงาน
้ ้
ถือว่าสามารถใหเ้ ป็ นการเฉพาะได ้แม้ว่าจะมีความแตกต่างอยู่บา้ ง ทังนี
อันเนื่องจากความต ้องการและความจาเป็ น
่ อว่าเป็ นเสมือนการจ่ายค่าเลียงดู
ซึงถื ้ น่ ันเอง

่ ดามารดาได ้ทาตามหน้าทีในการอบรมเลี
เมือบิ ่ ้ บุตรของตนตลอดจนการ
ยงดู
้ แล ้วไซร ้
ให ้ค่าเลียงดู
ก็สมควรแล ้วทีอั ่ ลลอฮฺจะตอบแทนเขาด ้วยการใหม้ ล ่ ญญูรู ้คุณ
ี ูกทีกตั
คอยทาดีและมอบสิทธิต่างๆ ทีบิ ่ ดามารดาพึงได ้รบั เป็ นการตอบแทน

แต่หากเมือใดที ่ อแม่ละเลยต่อหน้าทีในการอบรมดู
พ่ ่ แลลูก
ก็สมควรแล ้วเช่นกันถ ้าอัลลอฮฺจะใหเ้ ขาถูกทดสอบด ้วยการมีลูกทีเนรคุ ่ ณและ

อกตัญญูต่อทังสองคน
เพราะชนิ ดของผลตอบแทนนั้นขึนอยู ้ ่ ละคนได ้ก่อไ
่กบั ชนิ ดของการกระทาทีแต่
ว ้เช่นกัน
*

23
ห้ำ สิทธิของเครือญำติ
สาหรบั ญาติพน้ ี่ องทีมี
่ ความสัมพันธ ์เครือญาติกบั ท่าน เช่น เป็ นพีน้ ่ อง ลุง
ป้ า น้า อา ตลอดจนลูกพีลู ่ กน้อง
่ เป็
หรือบุคคลอืนที ่ นเครือญาติกบั เรานั้นพวกเขามีสท ิ ธิพงึ ได ้รบั

ดังทีอัลลอฮฺได ้ตรสั ว่าความว่า
ۡ َۡ ‫َ ه َ ه َ ه‬
ُ ‫﴿قالوُاُإِّنُاُك َنُاُق ۡب‬
َُ ‫لُفِّيُُأهل َِّنُاُ همشفِّق‬
]26 :‫﴾ُ[الطور‬٢٦ُ‫ِّين‬

“และจงให ้สิทธิแก่ผท ี่ นเครือญาติ” (อัล-อิสรออ ์ : 26)


ู ้ เป็
และพระองค ์ได ้ตร ัสว่า ความว่า
َ ‫ۡه‬ َٰ َ ‫نُإِّ ۡح‬ ۡ ٔٗ َ ‫ََ َ هۡ ه‬ ۡ
]36 :‫﴾ُ[النساء‬...ُ‫س ٗٔنُاُ َوبِّذِّيُٱلق ۡرب َُٰي‬ ُِّ ۡ‫ٱّللُ َولاُتش ِّرك ُواُبِّهِّۦُش ۡيـُاُ َوبِّٱل َوَٰل َِّدي‬
ُ ُ‫وا‬ُ ‫﴿۞ُ َوٱع هب هد‬

“และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด
และอย่าให ้มีสงหนึ ิ่ ่งสิงใดเป็
่ นภาคีกบั พระองค ์
และจงทาดีต่อผูบ้ งั เกิดเกล ้าทังสอง ้ และต่อผูเ้ ป็ นเครือญาติ” (อัน-นิ สาอ ์ : 36)
้ ่ ่
ดังนัน จาเป็ นทีจะต ้องเชือมสัมพันธ ์กับผูท้ เป็ ี่ นญาติด ้วยกัน
ด ้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจ
และเอือเฟื ้ ้อทร ัพย ์สินเงินทองในยามทีญาติ ่ ต ้องการหรือมีความจาเป็ น
่ ่
ซึงเรืองการช่วยเหลือกันในหมู่เครือญาติเป็ นสิงที ่ ได
่ ้รบั การยืนยันโดยบทบัญ
ญัตท ิ างศาสนา สติปัญญา และกมลสันดานอันเป็ นธรรมชาติของมนุ ษย ์
มีหลักฐานตัวบทมากมายทีส่ ่ งเสริมใหม้ ก ่
ี ารเชือมและสานสั มพันธ ์ในหมู่เครือ
ญาติทใกล ี ่ ้
้ชิด ในตาราหะดีษเศาะฮีหฺอลั -บุคอรีย ์และมุสลิม

ได ้บันทึกหะดีษทีรายงานจากท่ าอบูฮุรอ ็ ยเราะฮฺ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่าความว่า
“อัลลอฮฺได ้ทรงสร ้างสรรพสิงทั ่ งหลายจนเมื
้ ่
อเสร็ ้
จสินแล ้ว อัร-เราะหิม
(ตัวเครือญาติ) ก็ได ้ลุกขึนมาและกล่ ้ าวว่า
นี่คือการยืนของผูข ้ อความคุ ้มครองใหพ ้ น ้ จากการถูกตัดขาด

24
พระองค ์อัลลอฮฺก็ตรัสว่า ได ้ เจ ้าจะพอพอใจหรือไม่

หากฉันจะเชือมสั มพันธ ์กับผูท ี่ อมสั
้ เชื ่ มพันธ ์กับเจ ้า
และฉันจะตัดขาดกับผูท ่
้ ตั
ี ดขาดกับเจ ้า? มันได ้ตอบว่า ใช่ ข ้าพอใจแล ้ว”
จากนั้นท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได ้กล่าวว่า
“พวกท่านจงอ่านอายะฮฺนีเถิ ้ ดหากพวกท่านประสงค ์
َ َ َ َ َ ‫َهَ ه َۡ َ َ ه ۡ ه‬ َۡ ۡ‫َ َ َ ه‬ ۡ َ
ُ‫ِّينُل َع َن هه هُم‬ ُ ِّ ‫ُأو َٰٓلئ‬٢٢ُ‫ۡرضُوتق ِّطعوُاُأرحامكم‬
ُ ‫كُٱلذ‬ ُ ‫لُ َع َسيۡ هت ُۡمُإِّنُت َول ۡي هت ُۡمُأنُتفس هِّد‬
ُ ِّ ‫واُفِّيُٱلأ‬ ُ ‫﴿ف َه‬
َ َ ۡ َ ََ ‫َه‬
]23-22 :‫﴾ُ[محمد‬٢٣‫ٱّللُفأ َص َم هه ُۡمُ َوأع َم َُٰٓىُأبۡصَٰ َر هه ُۡم‬ ُ

“ดังนั้น พวกเจ ้าหวังกันหรือว่า


หากพวกเจ ้าผินหลังให(้ กับการศรัทธาแล ้ว)พวกเจ ้าก็จะได ้ก่อความเสียหายใ
นแผ่นดิน และตัดความสัมพันธ ์ทางเครือญาติของพวกเจ ้า? ชนเหล่านี แหล่ ้ ะ
คือบรรดาผูท ี่ ลลอฮฺทรงสาปแช่งพวกเขา ดังนั้น
้ อั
พระองค ์จึงทรงทาให้พวกเขาหูหนวกและทรงทาให้พวกเขาตาบอด(จากการไ
ด ้พบสัจธรรมและความดีงาม)” (มุหม ั มัด : 22-23) (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย ์
5987 และมุสลิม 2554) และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า“ใครก็ตามทีมี ่ ความศร ัทธาต่ออัลลอฮฺและวันกิยามะฮฺ

ก็จงเชือมสั มพันธ ์กับเครือญาติของเขา”(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย ์ 6138)

ปัจจุบน
ั มีผูค้ นส่วนใหญ่มก ั จะละเลยสิทธิทพึ ี่ งมีต่อเครือญาติ

ซึงเราจะพบว่ ้
าบางคนไม่รู ้จักแม้กระทังญาติ ใกล ้ชิดของตนเอง
ไม่เคยเชือมสั่ มพันธ ์กับพวกเขาไม่วา่ จะด ้วยทรพ ั ย ์สิน ตาแหน่ งการงาน หรือ
แสดงกิรยิ ามารยาททีดีงาม ่
วันเวลาผ่านไปพวกเขาไม่เคยนึ กทีจะไปเยี ่ ่
ยมญาติ พน้ี ่ อง

ไม่เคยหยิบยืนของขวั ้
ญสักชินหนึ ่ ง ไม่เคยช่วยเหลือพวกเขาในยามเดือดร ้อน
ซาร ้ ้ายกว่านั้น มีบางคนถึงกับทาร ้ายจิตใจของผูเ้ ป็ นญาติไม่ว่าจะเป็ นคาพูด
หรือการกระทา หรือทังค ้ าพูดและการกระทา

25
่ กทีพวกเขายอมผู
น่ าแปลกยิงนั ่ ่
กสัมพันธ ์กับคนอืนคนไกลแต่ ตด
ั ขามความสัม
พันธ ์กับญาติสนิ ทใกล ้ชิด

มีบางคนจะเลือกเชือมสั ่ มพันธ ์เฉพาะกับผูท้ เชื ี่ อมสั


่ มพันธ ์กับเขาด ้วยเท่านั้น
และจะตัดความสัมพันธ ์กับผูท ี่ ดสัมพันธ ์กับเขา
้ ตั
เขาผูน ้ นับว่าเป็ นบุคคลทีเชื
้ ี ไม่ ่ อมสั
่ มพันธ ์กับญาติมิตร
แต่เป็ นผูท้ กระท ี ่ าอย่างทัดเทียมกัน (ทาดีกบั ผูท้ ท ี่ าดีกบั เขาก่อน)

ซึงจะเขาอาจแสดงพฤติ กรรมนี กั ้ บบรรดาญาติหรือคนอืนๆ ่
ก็ได ้เพราะการตอบแทนในความดีไม่ได ้เจาะจงเฉพาะกับผูท้ เป็ ี่ นญาติใกล ้ชิดเ
ท่านั้น
ี่ อมสั
ผูท้ เชื ่ มพันธ ์อย่างแท้จริงคือผูท้ สานสั ี่ มพันธ ์กับญาติมต ่ ลลอฮฺเท่านั้
ิ รเพืออั
น โดยมิไดค้ านึ งว่าเขาจะตอบรบั การเชือมสั ่ มพันธ ์ของเราหรือไม่
่ ษทีบั
ดังทีหะดี ่ นทึกโดยอัล-บุคอรีย ์ รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัล-
อาศ ว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า ความว่า

“ผูเ้ ชือมสั มพันธ ์(เครือญาติ)ไม่ใช่ผท ี่
ู ้ กระท าอย่างทัดเทียมกัน (คือ
หากใครเชือมสั ่ มพันธ ์กับเขา เขาก็เชือมสั ่ มพันธ ์กับคนๆ นั้น)
แต่ผเู ้ ชือมสั ่ ี่ อสั
มพันธ ์ คือ ผูท้ เมื ่ มพันธ ์เครือญาติของเขาถูกตัดขาด
เขาก็ต่อสัมพันธ ์กับมัน" (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย ์ 5645, อัต-ติรมิซยี ์ 1908,
อบู ดาวูด 1697,และอะห ์มัด 2/193) มีชายคนหนึ่ งได ้กล่าวต่อท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า โอ ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันมีญาติๆ
่ นเชือมสั
ทีฉั ่ มพันธ ์กับพวกเขา ในขณะทีพวกเขาตั ่ ดขาดฉัน
ฉันทาดีกบั พวกเขาขณะทีพวกเขาท ่ าเลวกับฉัน
ฉันต ้องคอยอดทนกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ก ้าวร ้าวกับฉัน” ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวตอบว่าความว่า
“หากท่านเป็ นอย่างทีท่ ่ านพูด
ก็เหมือนว่าท่านได ้ทาให ้พวกเขาลดเกียรติของพวกเขาเองประหนึ่ งว่าใหพ ้ วกเ

ขากินขีเถ ้าร ้อน และจะมีผูค้ อยช่วยเหลือสนับสนุ นจากอัลลอฮฺคงอยู่กบั ท่าน

26
่ านยังคงร ักษาสิงนั
ตราบทีท่ ่ ้นไว ้” (บันทึกโดยมุสลิม 2558, อะห ์มัด 2/412)
(บันทึกโดยมุสลิม)

หากแม้นว่า ไม่มบ ี ุญใดอีกสาหรบั ผูท้ เชืี่ อมสั


่ มพันธ ์กับเครือญาติ
นอกจากผลบุญทีอั ่ ลลอฮฺจะทรงเชือมสั ่ ้
มพันธ ์กับเขาทังในโลกนี ้
และโลกหน้ า
ด ้วยการประทานความเมตตาของพระองค ์ ทรงทาให้การงานของเขาง่ายดาย
ทรงปลดเปลืองทุ ้ กข ์โศกจากเขา นั่นก็ย่อมมากมายเพียงพอแล ้ว
แต่ทว่าในความเป็ นจริง ยังมีคุณค่าอืนมากกว่ ่ านั้นอีก
เพราะการเชือมสั ่ มพันธ ์ญาติมต ิ รจะทาใหค้ รอบครวั ยิงใกล ่ ้ชิด เกิดความรกั
้ ่
ความเอืออาทรซึงกันและกัน
มีจต ่ วยเหลือเกือกู
ิ ใจทีจะช่ ้ ลกันในยามตกทุกข ์ไดย้ าก
และรอยยิมแห่ ้ งความสุขจะปรากฏขึนยามที ้ ่
เราได ่
้ได ้เชือมไมตรี
ประโยชน์ทกล่ ี่ าวมาทังหมดข ้ ้างต ้นจะกลายเป็ นตาลปัตร
่ ่
หากเราแทนทีการเชือมสัมพันธ ์ในหมู่เครือญาติด ้วยการตัดญาติขาดมิตร

ซึงจะส่ งผลให ้เราเกิดความห่างเหินมากยิงขึ ่ น้

27
หก สิทธิของสำมีภรรยำ
การแต่งงานก่อใหเ้ กิดผลพวงทีส ่ าคัญและหน้าทีอั ่ นยิงใหญ่

เพราะการแต่งงานเป็ นการผูกสายสัมพันธ ์ระหว่างสามีกบั ภรรยา
่ ละฝ่ ายจาเป็ นต ้องมอบสิทธิแก่อก
ซึงแต่ ี ฝ่ ายหนึ่ ง ทังสิ
้ ทธิด ้านร่างกาย
สิทธิด ้านสังคม และสิทธิด ้านทรัพย ์สิน

ดังนั้น ทังสามี
้ และภรรยาจึงจาเป็ นต ้องใช ้ชีวต ิ ร่วมกันด ้วยดี
และต ้องทุ่มเทในสิทธิทจี่ าเป็ นต ้องมอบใหก้ บั อีกฝ่ ายด ้วยความเต็มใจและยินดี
โดยปราศจากการฝื นใจ ไม่จริงจัง และฉาบฉวยในสิงที ่ ได ่ ้ทุ่มเทใหแ้ ก่อก ี ฝ่ าย
อัลลอฮฺตรัสว่า ความว่า
ۡ َ ‫َ َ ه ه‬
ُ ِّ ‫نُبِّٱل َم ۡع هر‬
]19 :‫﴾ُ[النساء‬...ُ‫وف‬ ُ ‫اشروه‬
ِّ ‫ُوع‬...﴿

“และจงคลุกคลีกบั บรรดาภรรยาของพวกเจ ้าด ้วยดี” (อัน-นิ สาอ ์ : 19)


พระองค ์ยังตร ัสอีกว่า ความว่า
َ َ َۡ َ َ َ ۡ َ َۡ َ َ ‫ََه َ ۡه‬
]228 :‫﴾ُ[البقرة‬...ُُ‫نُد َر َجة‬ ُ ِّ ‫نُبِّٱل َم ۡع هر‬
ُ ‫وفُول ِّلرِّجا ُِّلُعلي ِّه‬ ُ ‫لُٱلذِّيُعلي ِّه‬
ُ ‫نُمِّث‬
ُ ‫وله‬...﴿

“และบรรดาภรรยาก็ควรได ้รับสิทธิอน ั ชอบธรรม



เช่นเดียวกับทีพวกนางต ้องปฏิบต ั ห ่ อสามีของพวกนาง
ิ น้าทีต่
และสาหร ับบรรดาสามีจะมีความประเสริฐเหนื อกว่าบรรดาภรรยาหนึ่ งขัน ้
(นั่นคือสิทธิการเป็ นผูป้ กครองและต ้องได ้รบั การเชือฟั
่ งจากภรรยา)” (อัล-
บะเกาะเราะฮฺ:228)

ขณะเดียวกันภรรยาก็จาเป็ นต ้องทุ่มเทใหก้ บั สามีตามเกณฑ ์ทีนางจ าเป็ นต ้อง
ทุ่มเทให้กับเขา

และเมือใดก็ ่
ตามทีสามี และภรรยาต่างปฏิบต
ั ต ่ แต่
ิ ามสิงที ่ ละฝ่ ายจาเป็ นต ้องป
ฏิบต ิ ่ออีกฝ่ ายหนึ่ ง
ั ต
ชีวต
ิ ครอบครวั ของทังสองก็ ้ จะพบกับความผาสุกและการครองชีวต ิ คู่ระหว่างทัง้

28
สองก็จะยืนนาน แต่หากไม่เป็ นเช่นนั้นก็จะเกิดความขัดแย้งและแตกแยก
ทาใหช้ วี ต ้
ิ คู่ของทังสองฝ่ ายต ้องระส่าระสายและไม่เป็ นสุข

มีหลักฐานมากมายทีมาในรู ่ ่ ยใหด้ ูแลสตรี


ปของคาสังเสี
และให้คานึ งถึงสภาพโดยธรรมชาติของนาง

และการทีจะให น้ างอยู่ในสภาพเพียบพร ้อมสมบูรณ์ทุกอย่างนั้นเป็ นสิงที ่ เป็
่ นไป
ไม่ได ้ ดังคากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม ความว่า

“ท่านทังหลายจงปฏิ บต ั ด ิ ต ี ่อเหล่าสตรีเถิด แท้จริงสตรีถูกสร ้างมาจากซีโครง ่

และซีโครงส่ ่
วนทีคดงอที ่ ดคือส่วนบนสุดของมัน
สุ
(นั่นคือสมองหรือความคิดอ่าน) ดังนั้น
หากท่านพยายามจะดัดมันใหต้ รงก็เท่ากับว่าท่านได ้ทาใหม้ น ้
ั หักสะบันลง
และหากท่านปล่อยมันไปมันก็จะยังคงคดงออยู่เหมือนเดิมดังนั้น

จึงขอให ้ท่านทังหลายปฏิ บตั ดิ ต ี ่อบรรดาสตรีเถิด” (โดยอัล-บุคอรีย ์ 3331,

มุสลิม 1468) ในรายงานอืนระบุว่า ความว่า
“แท ้จริงสตรีถูกสร ้างมาจากซีโครง ่
นางจะไม่สามารถอยู่บนแนวทางใดแนวทางหนึ่ งอย่างเทียงตรงส ่ าหรบั ท่านได ้

ดังนันหากท่านประสงค ์จะแสวงหาความสุขกับนาง
ท่านก็จะได ้ร ับความสุขกับนางขณะทีนางอยู ่ ่
่ในสภาพทีคดงออยู ่
และหากท่านพยายามจะดัดนางใหต้ รงก็เท่ากับว่าท่านได ้ทาใหน้ างหักสะบันลง ้
และการหักของนางคือการหย่ากับนาง” (มุสลิม 1468) ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
“สามีผูศ้ ร ัทธาจงอย่าเกลียดภรรยาผูศ้ รัทธา
่ ดบ
หากเขาไม่ชอบนิ สยั ทีไม่ ่ อนๆ
ี างประการในตัวนาง เขาก็น่าจะพอใจนิ สยั ทีดี ื่
ในตัวนาง” (มุสลิม 1469) และความหมาย:"อย่าถู" ไม่ได ้เกลียด หะดีษต่างๆ

ข ้างต ้นเป็ นการชีแนะจากท่ านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
แก่ประชาชาติของท่านว่า ผูช ้ ายต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ่อผูห้ ญิงอย่ างไร

และชีแนะว่าผูช ่ ่
้ ายควรจะร ับเอาสิงทีสะดวกและเรียบง่ายจากผูห้ ญิง
เนื่องจากธรรมชาติแห่งการสร ้างของผูห้ ญิงถูกสร ้างขึนมาในสภาพที
้ ่ สมบูร
ไม่

29
ณ์และไม่ได ้ดีพร ้อมเสียทุกอย่าง โดยมีความบกพร่องและคดงออยู่ในตัว
และผูช ่
้ ายไม่สามารถทีจะแสวงหาความสุ ขกับนางได ้อย่างโล่งใจ
นอกจากจะต ้องยอมรบั ธรรมชาติทอั ่
ี ลลอฮฺสร ้างนางมาในแบบดังกล่าวด ้วยเท่า
นั้น
่ ้ร ับจากหะดีษต่างๆ ข ้างต ้น ก็คอ
บทเรียนทีได ื
มนุ ษย ์ควรทาการเปรียบเทียบและแยกแยะระหว่างความดีงามกับความบกพร่อง
่ อยู่ในตัวผูห้ ญิง
ทีมี
เพราะยามใดทีเขารู ่ ่ ดบ
้สึกรงั เกียจกับนิ สยั ทีไม่ ี างประการของนาง

เขาก็ลองนานิ สยั ทีไม่ดด ี งั กล่าวไปเปรียบเทียบกับอีกนิ สยั หนึ่ งของนางทีเขาพึ
่ ง
พอใจ
โดยต ้องไม่มองนางด ้วยสายตาทีเอื ่ อมระอาและเกลียดชังเพียงอย่างเดียว

มีสามีจานวนไม่นอ้ ยอยากได ้ภรรยาทีอยู ่ ่ในสภาพสมบูรณ์และดีพร ้อม


่ นสิงที
ซึงเป็ ่ เป็
่ นไม่ได ้ ดังนั้น
บรรดาสามีเหล่านั้นจึงตกอยู่ในห ้วงแห่งความทุกข ์และกระวนกระวาย

และไม่สามารถทีจะแสวงหาความสุ ขและอยู่รว่ มกับภรรยาของพวกเขาได ้อย่าง
สบายใจ และบางครงก็ ้ ั อาจจะเป็ นเหตุนาไปสู่การหย่าร ้างกัน
ดังคากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทีว่่ า ความว่า
“และหากท่านพยายามจะดัดนางใหต้ รง
ก็เท่ากับว่าท่านได ้ทาใหน้ างหักสะบันลง ้
และการหักนางก็คอ ื การหย่ากับนางนั่นเอง” (มุสลิม 1468)ดังนั้น
สามีจงึ ควรมีความออมชอม อะลุ่มอล่วย
ทาเป็ นเพิกเฉยและปล่อยวางบ้างในทุกการกระทาของภรรยา
หากว่าการกระทาเหล่านั้นของพวกนางไม่ได ้ก่อใหเ้ กิดความเสือมเสี ่ ยต่อศาส
นาหรือเกียรติศก ์ ส่วนหนึ่ งของสิทธิทสามี
ั ดิศรี ี่ พงึ ปฏิบตั ต
ิ ่อภรรยาคือ
การแสวงหาปัจจัยยังชีพแก่ภรรยา ทังอาหาร ้ ่ ม
เครืองดื ่ เครืองนุ
่ ่ งห่ม
่ ่อาศัย และอืนๆ
ทีอยู ่ ทีเกี ่ ยวข
่ อ้ ง เนื่ องจากคาตรสั ของอัลลอฮฺทว่ี่ า ความว่า

30

“และหน้าทีของสามี ผเู ้ ป็ นพ่อเด็ก
คือการหาปัจจัยยังชีพและเครืองนุ ่ ่ งห่มใหแ้ ก่บรรดาภรรยาอย่างชอบธรรม”
(อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 233) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
กล่าวว่าความว่า

“และหน้าทีของพวกท่ านทีพึ ่ งปฏิบต ั ต
ิ ่อบรรดาภรรยาของพวกท่าน

คือการหาปัจจัยยังชีพ และเครืองนุ่ งห่มใหแ้ ก่พวกนางอย่างชอบธรรม” (มุสลิม
2137) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกถามว่า
ี่
"อะไรคือสิทธิทภรรยาของคนใดคนหนึ ่ งในหมู่พวกเราพึงได ้รบั ?"
ท่านตอบว่าความว่า “ท่านจะต ้องใหอ้ าหารแก่นางเมือท่ ่ านทานอาหาร
่ ่ มห่มแก่นางเมือท่
ให ้เครืองนุ ่ านสวมใส่เครืองนุ ่ ่ งห่ม จงอย่าตบหน้านาง
อย่าด่าทอหรือพูดจาหยาบคายกับนาง
และอย่าลงโทษด ้วยการปลีกตัวจากนางนอกจากใหท้ าแค่ในบา้ นเท่านั้น
(หมายถึงไม่ลงโทษด ้วยการหนี จากนางออกไปนอกบ้าน)” (บันทึกโดย
อบูดาวูด) อีกส่วนหนึ่ งของสิทธิทสามี ี่ พงึ ปฏิบต ั ต
ิ ่อภรรยาคือ
สามีต ้องปฏิบต ั อิ ย่างเป็ นธรรมระหว่างบรรดาภรรยาทังหลายของเขา ้
หากว่าเขามีภรรยามากกว่าหนึ่ งคน
โดยสามีต ้องปฏิบต ั อ
ิ ย่างเป็ นธรรมในด ้านปัจจัยยังชีพ ทีอยู ่ ่อาศัย
การร่วมหลับนอน และทุกๆ
่ สามารถสร
สิงที ่ ้างความเป็ นธรรมใหก้ บั บรรดาภรรยาทังสองคน ้
เพราะการเอนเอียงไปทางภรรยาคนใดคนหนึ่ งถือว่าเป็ นบาปใหญ่ประการหนึ่ ง
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่าความว่า “ผูใ้ ดมีภรรยาสองคน
แล ้วเขาปฏิบต ั ดิ ้วยการเอนเอียงไปทางภรรยาคนใดคนหนึ่ ง
เขาจะปรากฏในวันกิยามะฮฺในสภาพทีเอี ่ ยงข ้าง” (อบู ดาวูด 2133, อัต-
ติรมิซยี ์ 1141, อิบนุ มาญะฮฺ 1969) อย่างไรก็ตาม
ิ่ สามี
ยังมีสงที ่ ไม่สามารถให ้ความเท่าเทียมกันแก่ภรรยาทังสองได ้ ้ อาทิ
ความรู ้สึกร ัก ความเอ็นดู และความสบายใจ เป็ นต ้น

31
ก็ไม่ถอ
ื ว่าสามีมบ
ี าปความผิดแต่ประการใด
่ งกล่าวอยู่นอกเหนื อความสามารถของเขา อัลลอฮฺตรสั ว่า ความว่า
เพราะสิงดั
َ ۡ ‫ََ َۡ َ ه َ َ ه‬
]129 :‫﴾ُ[النساء‬...ُ‫نُٱلن َِّسا ُِّءُ َول ُۡوُ َح َر ۡص هت ُۡم‬
َُ ‫يعوُاُأنُت ۡعدِّل ُواُ َبي‬ ‫﴿ولنُتست ِّط‬

“และพวกเจ ้าจะไม่สามารถให้ความยุตธิ รรม


(ในด ้านความรักและความรู ้สึกเอนเอียงของจิตใจ)
ระหว่างบรรดาภรรยาของพวกเจ ้าได ้เลย
ไม่ว่าพวกเจ ้าจะพยายามขนาดไหนก็ตาม” (อัน-นิ สาอ ์ :129) ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
จะแบ่งเวรระหว่างบรรดาภรรยาของท่านด ้วยความยุตธิ รรม
แล ้วท่านจะก็ขอดุอาอ ์ต่ออัลลอฮฺว่า ความว่า “โอ ้อัลลอฮฺ
นี่คือการแบ่งเวรของฉันซึงเป็ ่ นสิงที่ ฉั
่ นครอบครองและสามารถควบคุมได ้
ดังนั้น
ขอพระองค ์โปรดอย่าได ้ตาหนิ ฉันในสิงที ่ พระองค
่ ์ทรงครอบครองแต่ฉันไม่ไดค้
รอบครองมัน (หมายถึงความรู ้สึกรักและเสน่ หาระหว่างภรรยา)”( อบู ดาวูด
2134, อัต-ติรมิซยี ์ 1140, อิบนุ มาญะฮฺ 1971)
แต่ถ ้าหากว่ามีความเหลือมล ่ ้
าในการไปอยู ่กบั ภรรยาคนใดคนหนึ่ ง

โดยทีภรรยาคนอื ่ นยอม ก็ถอ
นยิ ื ว่าเป็ นทีอนุ่ ญาต ดังทีท่ ่ านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได ้แบ่งเวรอยู่กบั ท่านหญิงอาอิชะฮฺโดยผนวกรวมกับเวรของท่านหญิงเสาดะฮฺ

หลังจากทีนางได ้มอบเวรของนางใหแ้ ก่อาอิชะฮฺ และในช่วงทีท่ ่ านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ป่ วยครงสุ ั้ ดท้ายก่อนการเสียชีวต ิ
ท่านได ้ถามบรรดาภรรยาของท่านว่า “พรุง่ นี ฉั ้ นต ้องไปอยู่บา้ นใคร?
้ นต ้องไปอยู่บา้ นใคร?”
พรุง่ นี ฉั
บรรดาภรรยาของท่านก็ยน ิ ยอมใหท้ ่านเลือกว่าจะอยู่บา้ นใคร ซึง่ ณ
ตอนนั้นท่านนอนรกั ษาอาการป่ วยอยู่ทบ ี่ า้ นอาอิชะฮฺจนกระทั่งท่านเสียชีวต ิ
(อัล-บุคอรีย ์ 5217,มุสลิม 2443)

32
ี่
ส่วนสิทธิของสามีทภรรยาจ าเป็ นต ้องปฏิบต ั ต
ิ ่อเขาถือว่ายิงใหญ่ ่ กว่าสิทธิของ

ภรรยาทีสามี จาเป็ นต ้องปฏิบต ั ติ ่อนาง เนื่ องจากคาตรสั ของอัลลอฮฺทว่ี่ า
ความว่า
َ َ َۡ َ َ َ ۡ َ َۡ َ َ ‫ََه َ ۡه‬
]228 :‫﴾ُ[البقرة‬...‫نُد َر َجةُُ ُو‬ ُ ِّ ‫نُبِّٱل َم ۡع هر‬
ُ ‫وفُول ِّلرِّجا ُِّلُعلي ِّه‬ ُ ‫لُٱلذِّيُعلي ِّه‬
ُ ‫نُمِّث‬
ُ ‫ُوله‬...﴿

“และบรรดาภรรยาก็ควรได ้รับสิทธิอน ั ชอบธรรม


เช่นเดียวกับทีพวกนางต ้องปฏิบต ่ ั ห ิ น้าทีต่่ อสามีของพวกนาง
และสาหร ับบรรดาสามีจะมีความประเสริฐเหนื อกว่าบรรดาภรรยาหนึ่ งขัน ้
(นั่นคือสิทธิการเป็ นผูป้ กครองและต ้องได ้รบั การเชือฟั ่ งจากภรรยา)” (อัล-
บะเกาะเราะฮฺ 228) ผูช ้ ายคือผูท้ ท ี่ าหน้าทีเป็ ่ นผูป้ กครอง ดูแล
้ ผูห้ ญิง ด ้วยการแสวงหาสิงดี
และเลียงดู ่ ๆ และคุณประโยชน์ต่างๆ ให ้แก่นาง
ต ้องคอยอบรมและชีน้ านาง ดังคาตรสั ของอัลลอฮฺทว่ี่ า ความว่า
َ ۡ ‫َ َه‬ َ َ ‫َ ِّ َ َ َ َ َ ه‬ َ َ ‫َ ه َ َ َٰ ه‬
ُ﴾...ُ‫ِّنُأ ۡم َوَٰل ِّ ِّه ُۡم‬
ُ ‫ٱّللُ َب ۡعض هه ُۡمُعَل َُٰىُ َب ۡعضُُ َوب ِّ َمُاُأنفق ُواُم‬
ُ ُ‫ل‬ ُ ‫ونُعَلىُٱلن ِّسا ُءُبِّمُاُفض‬
ُ ‫الُقوم‬ ُ ‫ٱلرج‬
ِّ ﴿
]34 :‫[النساء‬

“บรรดาบุรุษเพศคือผูท ี่ าหน้าทีเป็
้ ท ่ นผูป้ กครองและดูแลเลียงดู
้ บรรดาสตรีเพ

ด ้วยปัจจัยแห่งความสามารถทีอั ่ ลลอฮฺทรงกาหนดใหบ้ ุรุษเพศมีเหนื อกว่าสตรีเ
พศ และเนื่องจากบุรุษเพศต ้องใช ้จ่ายในทรพ ั ย ์ของพวกเขา
่ นปัจจัยยังชีพแก่นาง)”(อัน-นิ สาอ ์:34)
(เพือเป็
ในจานวนสิทธิของสามีทภรรยาจ ี่ าเป็ นต ้องปฏิบต ั ต
ิ ่อเขาคือ
ภรรยาต ้องเชือฟั่ งคาสังของสามี

่ เป็
ยกเว ้นในเรืองที ่ นการฝ่ าฝื นทรยศต่ออัลลอฮฺ

(ซึงภรรยาไม่ ่ ง) ต ้องปกป้ องสามีในยามลับตาเขา
จาเป็ นต ้องเชือฟั
รวมทังต ้ ้องดูแลทร ัพย ์สินของเขาด ้วย แท้จริงท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
่ ค้ นหนึ่งกราบสุญูดต่อคนหนึ่ งได ้
“หากฉันสามารถสังให

33
่ ภ้ รรยาสุญูดต่อสามีของนาง (แต่ท่านไม่ได ้สังเช่
แน่ นอนว่าฉันก็จะสังให ่ นนั้น
เพราะการสุญูดต่อสิงอื ่ นนอกจากอั
่ ่
ลลอฮฺเป็ นเรืองต ้องห ้ามในอิสลาม)” (อบู
ดาวูด 2140, อัต-ติรมิซยี ์ 1159) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

กล่าวว่า ความว่า “เมือสามี คนหนึ่งชวนภรรยามายังทีหลั ่ บนอนของเขา
แต่ภรรยากลับปฏิเสธไม่ยอมไป ทาใหเ้ ขานอนทังคื ้ นในสภาพทีโกรธเคื ่ อง
บรรดามะลาอิกะฮฺก็จะสาปแช่งนางจนถึงรุง่ เช ้า”(อัล-บุคอรีย ์ 5193,มุสลิม
1436) สิทธิของสามีอก ี ส่วนหนึ่ งทีภรรยาจ
่ าเป็ นต ้องปฏิบต ั ติ ่อเขา ก็คอ ื
ภรรยาต ้องไม่ยุ่งอยู่กบั งานใดๆ
่ าให ้บกพร่องต่อการปรนนิ บต
ทีท ั แิ ละใหค้ วามสุขกับสามีได ้อย่างสมบูรณ์เต็มที่
ถึงแม้ว่าจะเป็ นการทาอิบาดะฮฺสุนัตก็ตาม เนื่องจากคาสอนของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ความว่า
“ไม่อนุ ญาตให ้สตรีผเู ้ ป็ นภรรยาถือศีลอดสุนัต ในขณะทีสามี ่ อยู่กบั บา้ นนอก
จากจะได ้ร ับอนุ ญาตจากสามี
และต ้องไม่อนุ ญาตให้ผูใ้ ดเขา้ บ้านนอกจากจะได ้รับอนุ ญาตจากสามีกอ ่ น”
(อัล-บุคอรีย ์ 5195, มุสลิม 1026) แท้จริง ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้บอกว่า ความพอใจของสามีทมี ี่ ต่อภรรยา
เป็ นสาเหตุหนึ่ งทีจะท
่ าใหน้ างได ้เข ้าสวนสวรรค ์ ดังหะดีษทีบั ่ นทึกโดยอัต-
ติรมิซยี ์จากอุมมุ สะละมะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอน ั ฮา นางเล่าว่า ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
“ผูห้ ญิงท่านใดก็ตามทีเสี ่ ยชีวต
ิ ลงในสภาพทีสามี ่ ของนางพึงพอใจต่อนาง
แน่ นอนว่านางจะได ้เข ้าสวนสวรรค ์” (อัต-ติรมิซยี ์ 1161, อิบนุ มาญะฮฺ 1854)
*

34
เจ็ด สิทธิของผูน
้ ำและประชำชน
ผูน
้ าคือผูท ี่
้ ปกครองดู แลกิจการต่างๆ ของชาวมุสลิม ไม่ว่าจะเป็ นผูน ่
้ าทัวไป
เช่นผูน้ าสูงสุดของประเทศ หรือผูน ้ าเฉพาะด ้าน
เช่นประธานหรือผูอ้ านวยการขององค ์กรหรือการงานเฉพาะด ้าน เป็ นต ้น
พวกเขาเหล่านั้นล ้วนมีสท ี่
ิ ธิทประชาชนหรื ี่ ่ใต ้การปกครองของพวกเขา
อผูท้ อยู
จาเป็ นต ้องมอบให ้
ในทางกลับกันประชาชนก็มีสท ิ ธิอน ่
ั ชอบธรรมทีบรรดาผู น้ าหรือผูบ้ งั คับบัญชา
จาเป็ นต ้องมอบให ้เช่นเดียวกัน

สิทธิของพลเมืองทีผู ่ น ้ าจาเป็ นต ้องมอบให ้ คือผูน ้ าต ้องปฏิบต ั ต


ิ ามอะมานะฮฺ
(หน้าทีร่ ับผิดชอบ) ทีอั ่ ลลอฮฺทรงมอบใหแ้ ละกาชับใหป้ ฏิบต ั ิ อาทิ
ตักเตือนด ้วยความหวังดีอย่างจริงใจต่อประชาชน
ปกครองด ้วยแนวทางทีเที ่ ยงตรงและสามารถให
่ ห้ ลักประกันในผลประโยชน์ทพ ี่
วกเขาจะได ้ร ับบนโลกนี และในวั ้ นอาคิเราะฮฺ
ด ้วยการดาเนิ นตามแนวทางของบรรดาผูศ้ รทั ธา นั่นคือแนวทางทีท่ ่ านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้ดาเนิ นไว ้เป็ นแบบอย่าง
เพราะการดาเนิ นตามแนวทางดังกล่าวเท่านั้นทีผู ่ น
้ าจะได ้รบั ความผาสุก
เช่นเดียวกับประชาชนของเขาและทุกคนทีอยู ่ ่ภายใต ้การปกครองของเขา
่ นสิงที
ซึงเป็ ่ ส่ าคัญทีสุ่ ด
เพราะด ้วยการปฏิบต ั ดิ งั กล่าวทาให้ประชาชนพึงพอใจต่อผูน ้ าและเกิดความผู

กพันระหว่างทังสองฝ่ าย ทาใหป้ ระชาชนยอมเชือฟั ่ งต่อคาสังต่ ่ างๆ ของผูน ้ า
่ ่ ่
และช่วยร ักษาอะมานะฮฺภาระหน้าทีในสิงทีพวกเขาจาเป็ นต ้องเชือฟังและปกป้ อ ่
งผูน ้ แท้จริง ผูใ้ ดยาเกรงอัลลอฮฺ ผูค้ นก็จะยาเกรงเขา
และผูใ้ ดทาให้อัลลอฮฺทรงพึงพอใจ
อัลลอฮฺจะทรงทาให้เขาได ้รับการช่วยเหลือจากผูค้ นและทาให้พวกเขาพึงพอใ
จต่อเขา เพราะหัวใจของผูค้ นอยู่ในพระหัตถ ์ของอัลลอฮฺ
พระองค ์จะทรงพลิกผันอย่างไรก็ได ้ตามแต่พระองค ์ทรงประสงค ์

35
ส่วนสิทธิของผูน ่
้ าทีพลเมื องจาเป็ นต ้องมอบให ้
คือใหค้ าตักเตือนนะศีหะฮฺหรือหวังดีอย่างบริสุทธิใจแก่ ์ เขาในหน้าทีการปกคร ่
อง ช่วยสะกิดเตือนเขาเมือเกิ ่ ดการหลงลืม
ขอดุอาอ ์ให ้แก่เขาเมือเห็่ นเขาเบียงเบนออกจากสั ่ จธรรม
ปฏิบต ่ งตามคาสังของผู
ั แิ ละเชือฟั ่ น ่ ไม่
้ าในสิงที ่ เป็ นการฝ่ าฝื นหรือทรยศต่ออัลล
อฮฺ
เพราะการเชือฟั่ งดังกล่าวจะทาใหเ้ กิดความเข ้มแข็งและความเสถียรของสังคม
และการไม่เชือฟั ่ งผูน้ าจะก่อใหเ้ กิดความวุ่นวายและสร ้างความเสียหายต่อระบ
บการปกครอง ด ้วยเหตุนีอั ้ ลลอฮฺจงึ ทรงสังให ่ ้เชือฟั ่ งพระองค ์
่ งท่านเราะสูลุลลอฮฺ และเชือฟั
เชือฟั ่ งผูน ้ า พระองค ์ตรสั ว่า ความว่า
‫ولُ َوأهوليُٱل ۡ َأ ۡمرُُم ه‬َ َ ‫َ َ ُّ َ َ َ َ َ ه َ ه َ َ َ َ ه‬
]59 :‫﴾ُ[النساء‬...ُُ‫ِّنك ۡم‬ ِّ ِّ ُ ‫ٱلر هس‬ُ‫ٱّللُوأطِّيع ُوا‬
ُ ُ‫ِّينُءامنوُاُأطِّيع ُوا‬ َٰٓ ﴿
ُ ‫يأيهُاُٱلذ‬

“โอ ้บรรดาผูศร ้ ัทธาเอ๋ย จงเชือฟั ่ งอัลลอฮฺ เชือฟั ่ งเราะสูลของพระองค ์


และเชือฟั่ งผูน้ าของพวกเจ ้า” (อัน-นิ สาอ ์ : 59) ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
“มุสลิมแต่ละคนจาเป็ นต ้องเชือฟั ่ งและปฏิบต ั ติ ามผูน ่ ตั
้ าในสิงที ่ วเองพอใจและไ
ม่พอใจ ยกเว ้นเมือถู่ กสังใช่ ่ เป็
้ใหก้ ระทาในสิงที ่ นการฝ่ าฝื นคาสังของอั
่ ลลอฮฺ
ดังนั้นเมือเขาถู
่ ่
กสังใช ้ใหก้ ระทาการฝ่ าฝื นอัลลอฮฺ
่ งและปฏิบต
เขาก็ไม่จาเป็ นต ้องเชือฟั ั ต
ิ ามคาสังนั ่ ้น” (อัล-บุคอรีย ์ 7144, มุสลิม
1839) ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมรั ฺ กล่าวว่า
้ั ่งเราเคยเดินทางไกลพร ้อมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
"ครงหนึ
แล ้วเราก็ได ้หยุดพัก ณ ทีพั ่ กแห่งหนึ่ ง หลังจากนั้น ผูป้ ่ าวประกาศของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได ้เรียกพวกเราว่า อัศ-เศาะลาตะ ญามิอะฮฺ
(ได ้เวลารวมตัวกันละหมาดแล ้ว) พวกเราจึงไปรวมตัวกันทีท่ ่ านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล ้วท่านก็ได ้กล่าวว่า ความว่า
“แทจ้ ริงไม่มนี บีท่านใดทีอั ่ ลลอฮฺแต่งตังขึ้ น้ (ก่อนหน้าฉัน)
นอกจากต ้องทาหน้าทีชี ่ น้ าประชาชาติของเขาใหร้ ู ้จักสิงที ่ ดี
่ ทสุ
ี่ ดตามทีเขาได
่ ้รู ้

36
มา และต ้องเตือนพวกเขาจากความชัวร ่ ้ายทีเลวที
่ ่ ดตามทีเขาได
สุ ่ ้รู ้มา
และแท้จริง
ประชาชาติของพวกเจ ้านี ถู ้ กกาหนดใหม้ ค ี วามปลอดภัยอยู่ในช่วงแรกๆ
ของประชาชาติ และประชาชาติชว่ งสุดท้ายจะประสบกับภัยพิบต ั ิ และสิงต่ ่ างๆ
อันเลวร ้ายมากมายทีพวกเจ ่ ้าต ้องปฏิเสธมัน และฟิ ตนะฮฺก็จะมา
่ ่
ซึงฟิ ตนะฮฺบางส่วนทีมาภายหลังจะรุนแรงกว่าจนทาใหผ้ ค ู ้ นคิดว่าฟิ ตนะฮฺทมา ี่
ก่อนหน้ามันเบาบางเล็กน้อยเท่านั้นเอง พอฟิ ตนะฮฺมา มุสลิมก็จะกล่าวว่า
นี่คือหายนะทีเป็
่ นจุดจบของฉันแล ้วกระมัง (แล ้วฟิ ตนะฮฺน้ันก็หายไป)
พอฟิ ตนะฮฺใหม่มา มุสลิมก็จะกล่าวซาเหมื ้ ้ั แหละ
อนเดิมว่า ครงนี ้
ครงนี้ั แล
้ ้วกระมังทีจะเป็
่ นจุดจบของฉัน ดังนั้น
ผูใ้ ดปรารถนาจะหลีกห่างจากไฟนรกและอยากจะเข ้าสวนสวรรค ์
เขาก็จงเตรียมพร ้อมพยายามใหเ้ สียชีวต ิ ในสภาพทีศร ่ ทั ธาต่ออัลลอฮฺและวันอ
าคิเราะฮฺ
และจงปฏิบต ั ต ่
ิ ่อคนอืนเฉกเช่ ่
นทีเขาชอบจะให ่
ค้ นอืนปฏิ บต
ั ต
ิ ่อเขาด ้วย
และผูใ้ ดได ้จับมือใหส้ ต ั ยาบันกับผูน้ าคนใดและมีความบริสุทธิใจในสั ์ ญญา
่ ่
เขาก็จงเชือฟังเขาเท่าทีสามารถจะทาได ้

และหากมีผใู ้ ดขึนประกาศเป็ นผูน
้ าหรือคิดแย่งชิงตาแหน่ งจากผูน ่ ้รบั การ
้ าทีได
ให ้สัตยาบันมา พวกเจ ้าก็จงต่อสู ้ประหัตประหารคนทีมาแย่ ่ งอานาจนั้น
(บันทึกโดยมุสลิม) ชายคนหนึ่ งได ้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
โอ ้ท่านนบีของอัลลอฮฺ ท่านเห็นเป็ นอย่างไร
หากบรรดาผูน ้ าบังคับและขอให้เราเติมเต็มในสิทธิของพวกเขา
แต่พวกเขากลับปิ ดกันไม่ ้ ยอมมอบสิทธิของพวกเรา
่ เ้ ราทาอย่างไร? แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ตอบ
ท่านจะสังให
หลังจากนั้นเขาก็ถามท่านอีกครงั้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
จึงตอบว่า ความว่า “พวกเจ ้าจงเชือฟั ่ งและปฏิบต ั ต
ิ ามพวกเขา เพราะแทจ้ ริง
บรรดาผูน ้ ่
้ าเหล่านันต ้องร ับผิดชอบหน้าทีในส่วนทีพวกเขาต ่ ้องปฏิบตั ิ

37
่ วนทีพวกเจ
ส่วนพวกเจ ้าก็ต ้องแบกรบั ผิดชอบต่อหน้าทีในส่ ่ ้าต ้องปฏิบต
ั ”ิ
(มุสลิม 1846)

และส่วนหนึ่งของสิทธิทผู ี่ น
้ าพึงได ้รบั จากประชาชน คือ
ประชาชนต ้องคอยใหค้ วามช่วยเหลือสนับสนุ นภารกิจและหน้าทีของผู ่ น
้ า
ด ้วยการช่วยเหลือผูน ่
้ าในการดาเนิ นกิจการทีพวกเขาได ้รบั อะมานะฮฺมา

และใหแ้ ต่ละคนรู ้จักบทบาทและหน้าทีรบั ผิดชอบในสังคมของตัวเอง
จนกระทั่งทุกๆ อย่างสามารถดาเนิ นไปตามแนวทางทีพึ ่ งประสงค ์
เพราะหากผูน ้ าไม่ได ้ร ับการช่วยเหลือจากประชาชนในภารกิจและหน้าทีร่ บั ผิด
ชอบของพวกเขา
ภารกิจของพวกเขาก็จะไม่สามารถดาเนิ นไปตามแนวทางทีพึ ่ งประสงค ์ได ้

38

แปด สิทธิของเพือนบ้
ำน

เพือนบ ้านหมายถึงผูท ี่ บา้ นเรือนอยู่ใกล ้กับบา้ นของท่าน
้ มี

เพือนบ ้านมีสท ี่
ิ ธิทควรจะได ้ร ับจากท่านมากมาย

ถ ้าเพือนบ ้านของท่านมีความสัมพันธ ์ทางเครือญาติกบั ท่านและเป็ นมุสลิม
เขาก็ควรจะได ้รบั สิทธิสามประการด ้วยกันคือ สิทธิในฐานะเพือนบ ่ า้ น
สิทธิในฐานะเครือญาติ และสิทธิในฐานะพีน้ ่ องมุสลิม
ถ ้าเพือนบ่ ้านของท่านเป็ นมุสลิมแต่ไม่ได ้มีความสัมพันธ ์ทางเครือญาติกบั ท่าน
เขาก็ควรจะได ้รบั สิทธิสองประการคือ สิทธิในฐานะเพือนบ ่ า้ น

และสิทธิในฐานะพีน้องมุสลิมของท่าน
เช่นเดียวกับเพือนบ ่ ่ ความสัมพันธ ์ทางเครือญาติกบั ท่านแต่เขาไม่ใช่มุส
า้ นทีมี
ลิม เขาก็ควรจะได ้ร ับสิทธิสองประการเหมือนกันคือ สิทธิในฐานะเพือนบ ่ า้ น
และสิทธิในฐานะเครือญาติ

ส่วนเพือนบ ่ ได ้มีความสัมพันธ ์ทางเครือญาติกบั ท่านและไม่ใช่มุสลิม
้านทีไม่
เขาก็ควรจะได ้รบั สิทธิเพียงประการเดียว นั่นคือ สิทธิในฐานะเพือนบ
่ า้ น
อัลลอฮฺตรัสว่า ความว่า
ۡ ۡ ۡ ۡ
ُِّ ‫ارُِّٱلجه هن‬
ُ‫ب‬
َ ‫ۡه‬
ُ َ‫ارُِّذِّيُٱلق ۡرب َُٰيُ َوٱلج‬
ُ َ‫نُ َوٱلج‬ َٰ َ ‫س ٗٔنُاُ َوبِّذِّيُٱلۡ هق ۡرب َ َُٰيُ َوٱل َي َتَٰ َم َُٰىُ َوٱل ۡ َم‬
ُِّ ‫سكِّي‬ َٰ َ ‫نُإ ِّ ۡح‬ ۡ
ُِّ ۡ‫ َوبِّٱل َوَٰل َِّدي‬...﴿
ۡ َ ‫َو‬
]36 :‫﴾ُ[النساء‬...ُ‫ۢنب‬ ُِّ َ‫ِّبُبِّٱلج‬ ُِّ ‫ٱلصاح‬

“และจงทาดีต่อบิดามารดา เครือญาติทใกล ี่ ้ชิด เด็กกาพร ้าและผูข ้ ด


ั สน
่ ่
และเพือนบ ้านทีมีความสัมพันธ ์ทางเครือญาติและเพือนทีไม่มส ่ ่ ี ม
ั พันธ ์ทางเครือ
ญาติ” (อัน-นิ สาอ ์ : 36) ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า“ญิบรีลคอยสังเสี ่ ยฉันอยู่เสมอใหท้ าดีต่อเพือนบ ่ า้ น
้ ่
จนฉันคาดคิดถึงขันว่าเขาจะใหเ้ พือนบา้ นได ้มีสท ิ ธิรบั มรดกกันเลยทีเดียว”(อั
ล-บุคอรีย ์ 6014-6015,มุสลิม 6424-6425) (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย ์
และมุสลิม) ดังนั้น
ส่วนหนึ่ งของสิทธิทเพืี่ อนบ
่ า้ นคนหนึ่ งพึงจะได ้รบั จากเพือนบ่ า้ นอีกคนหนึ่ งคือ

39
การทาดีต่อเขาด ้วยสิงต่ ่ างๆ ทีสามารถกระท
่ าได ้
ไม่ว่าจะเป็ นด ้วยทร ัพย ์สินของเขา ชือเสี ่ ยงหรือบารมีในสังคม
และสิงที่ เกิ่ ดประโยชน์ ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า

“เพือนบ ่
้านทีประเสริ ฐทีสุ ่ ดในทัศนะของอัลลอฮฺ คือ

เพือนบ ่ บต
า้ นทีปฏิ ั ด
ิ ท ี่ ดต่อเพือนบ
ี สุ ่ า้ นของเขา” (อัต-ติรมิซยี ์ 1944) ท่านนบี
ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้กล่าวอีกว่า ความว่า
่ ัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ เขาก็จงทาดีต่อเพือนบ
“ผูใ้ ดทีศร ่ า้ นของเขา”
(อัล-บุคอรีย ์ 6019,มุสลิม48) และท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้กล่าว
(แก่ อบู ซ ัรฺ) ว่า ความว่า “โอ ้ อบู ซัรฺ เอ๋ย
่ านต ้มน้าแกงท่านจงเติมน้าใหม้ าก
เมือท่
และจงแบ่งปันให ้กับเพือนบ ่ า้ นของท่านด ้วย”(มุสลิม 2625)

ในจานวนวิธก ่
ี ารทาดีต่อเพือนบ า้ นคือ
การมอบของขวัญให้แก่เขาตามโอกาสและเทศกาลต่างๆ
่ น้
เพราะของขวัญเป็ นการเสริมสร ้างความร ักใคร่ใหแ้ น่ นแฟ้ นยิงขึ
และขจัดความรู ้สึกบาดหมางและเป็ นศัตรูกน

และส่วนหนึ่งของสิทธิทเพื ี่ อนบ
่ า้ นพึงปฏิบต ั ต ่
ิ ่อเพือนบ า้ นของเขาก็คอ ื
การระงับจากการสร ้างความเดือดร ้อนแก่เขาทังในแง่ ้ คาพูดและการกระทา
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า
“ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขายังไม่เป็ นผูศ้ รัทธา เขายังไม่เป็ นผูศ้ รัทธา
เขายังไม่เป็ นผูศ้ ร ัทธา”มีคนถามว่า
ผูใ้ ดหรือโอ ้ท่านเราะซูลุลลอฮฺ?ท่านตอบว่า“คนทีเพื ่ อนบ
่ า้ นของเขาไม่ปลอดภั
ยจากการอธรรมและความเลวของเขา”(อัล-บุคอรีย ์ 6016)
ในอีกรายงานหนึ่งท่านกล่าวว่า
ความว่า“จะไม่ได ้เข ้าสวรรค ์สาหรบั ผูท้ เพืี่ อนบ
่ า้ นของเขาไม่ปลอดภัยจากการ
อธรรมและความเลวของเขา”(มุสลิม 46) และคุณลักษณะ:
่ ้ายดังนั้นใครก็ตามทีไม่
ชัวร ่ เชือว่
่ าเพือนบ
่ ่
า้ นของเขาไม่ดเี ขาก็ไม่ใช่ผเู ้ ชือและเ

40
ขาไม่ได ้เข ้าสวรรค ์
มีผค ู ้ นจานวนมากในปัจจุบน ั ทีไม่ ่ ค่อยใหค้ วามสาคัญกับสิทธิของเพือนบ ่ ้าน

และเพือนบ ้านของเขาไม่ปลอดภัยจากความเลวทรามของพวกเขา
ท่านจะพบว่าพวกเขาชอบทีจะโต ่ ่
้เถียงกับเพือนบ า้ นอยู่ตลอดเวลา ชอบทะเลาะ
ล่วงละเมิดสิทธิ และสร ้างความเดือดร ้อนใหแ้ ก่เพือนบ ่ า้ น

ทังด ้วยคาพูดและการกระทา

ทังหมดนั ้นล ้วนเป็ นการปฏิบต ั ท ี่ ้านกับคาสังใช
ิ ค ่ ้ของอัลลอฮฺและศาสนทูตของ
พระองค ์ และเป็ นการกระทาทีก่ ่ อใหเ้ กิดความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม
ทาใหจ้ ต ิ ใจของพวกเขาเหินห่างกัน และไม่ใหเ้ กียรติซงกั ่ึ นและกัน

41

เก้ำ สิทธิของมุสลิมทัวไป
มีสท ิ ธิจานวนมากมายทีมุ ่ สลิมแต่ละคนพึงปฏิบต ั ต ่ องมุสลิมของเขา
ิ ่อพีน้
ส่วนหนึ่ งของสิทธิเหล่านั้นคือ คากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะสัลลัม ตามทีมี ่ ระบุในหะดีษเศาะฮีหวฺ ่า ความว่า
“สิทธิของมุสลิมทีพึ ่ งปฏิบต ั ต ิ ่อมุสลิมมีหกประการ คือ
่ านพบเขาท่านจงใหส้ ลามแก่เขา เมือเขาเชิ
เมือท่ ่ ญชวนท่าน
ท่านก็จงตอบร ับคาเชิญของเขา เมือเขาขอค ่ ้
าชีแนะและตั กเตือนจากท่าน
้ ่
ท่านก็จงใหค้ าชีแนะและตักเตือนเขา เมือเขาจามและกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ
ท่านก็จงขอดุอาอ ์ใหแ้ ก่เขา เมือเขาเจ็ ่ บป่ วยท่านก็จงไปเยียมเยี ่ ยนเขา

และเมือเขาเสี ยชีวต ิ ท่านก็จงติดตามส่งศพ/ญะนาซะฮฺของเขา” (มุสลิม
2162, อัล-บุคอรีย ์ 1240 ดว้ ยสานวนทีใกล ่ ้เคียงกัน โดยระบุว่ามีหา้ ประการ)
หะดีษข ้างต ้นได ้ชีแจงถึงสิทธิต่างๆ ทีมุสลิมคนหนึ่ งพึงปฏิบต
้ ่ ั ต ่ องมุสลิม
ิ ่อพีน้
ดังนี ้ สิทธิทหนึ
ี่ ่ง:การใหส้ ลาม การใหส้ ลามเป็ น สุนนะฮฺ มุอก ั กะดะฮฺ
(สุนนะฮฺทเน้ ี่ นยาให้ ้ปฏิบต ั )ิ
เพราะสลามเป็ นสาเหตุหนึ่งทีจะท ่ าให ้ชาวมุสลิมรู ้สึกรกั ใคร่และห่วงใยกัน
ดังคากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ความว่า
“พวกท่านจะไม่สามารถสวรรค ์ได ้ จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา
และพวกท่านจะไม่ศรทั ธาอย่างแท้จริงจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่กน ั เอาไหม
ฉันจะบอกสิงหนึ ่ ่ งแก่พวกท่าน

เมือพวกท่ านปฏิบต ั แิ ล ้วก็จะเกิดความรกั ใคร่ในหมู่ของพวกท่าน? นั่นคือ
จงโปรยสลามให้แก่กน ั ระหว่างพวกท่าน”

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะใหส้ ลามก่อนแก่ผท ี่ านพบเจอเสมอ


ู ้ ท่

และท่านจะให้สลามแก่เด็กๆ เมือยามที ่ านเดินผ่านพวกเขาด ้วย
ท่

สุนนะฮฺใหผ้ น ่ ส้ ลามแก่ผใู ้ หญ่หรือผูอ้ าวุโสกว่าก่อน


ู ้ อ้ ยหรือเด็กเริมให
่ จานวนน้อยกว่าใหส้ ลามแก่กลุ่มทีมี
กลุ่มทีมี ่ จานวนมากกว่า

42
และผูท้ อยู ี่ ่บนพาหนะใหส้ ลามแก่ผท ี่ าลังเดิน
ู้ ก
แต่หากว่าผูท้ สมควรให ี่ ส้ ลามก่อนตามสุนนะฮฺทได ี่ ้กล่าวมาข ้างต ้นไม่เริมให
่ ้สล

ามก่อน ก็ให ้อีกฝ่ ายหนึ งใหส้ ลามก่อนแทน เพือไม่ใหข ่ ้ าดการใหส้ ลาม ดังนั้น
่ น
เมือผู ่ ส้ ลามแก่ผใู ้ หญ่หรือผูอ้ าวุโสกว่า
้ อ้ ยหรือเด็กไม่เริมให
่ ส้ ลามแก่เด็กหรือผูน
ก็ใหผ้ ใู ้ หญ่หรือผูอ้ าวุโสกว่าเริมให ้ อ้ ยแทน
่ ่ ่
และเมือกลุ่มทีมีจานวนน้อยกว่าไม่เริมให ้สลามแก่กลุ่มทีมี ่ จานวนมากกว่า
ก็ใหก้ ลุ่มทีมี ่ จานวนมากกว่าเริมให่ ส้ ลามแก่กลุ่มทีมี ่ จานวนน้อยกว่าแทน

เพือให ้ได ้ร ับผลบุญของการใหแ้ ละรบั สลาม

ท่านอัมมารฺ บิน ยาสิรฺ เราะฎิยลั ลอฮุอน ั ฮุมา กล่าวว่า ความว่า


่ ่
“มีสามสิงทีผูใ้ ดสามารถรวบรวมไว ้กับตัวแสดงว่าเขาได ้รวบรวมอีมานหรือควา
มศร ัทธาไว ้แล ้ว นั่นคือ มีจต ่ ยงธรรมต่
ิ ใจทีเที ่ อผูอ้ น ื่ โปรยสลามใหแ้ ก่ผค ู้ น
้ รู่ ้จักและไม่รู ้จัก) และการใช ้จ่ายหรือการบริจาคทรพ
(ทังที ั ย ์สินในช่วงทีขั ่ ดสน”
(อัล-บุคอรีย ์ 8) การเริมให ่ ้สลามเป็ นสุนนะฮฺทถู ี่ กส่งเสริม

ในขณะทีการตอบสลามนั ้นเป็ น ฟัรฎก ู ฟ
ิ ายะฮฺ
(จาเป็ นต ้องปฏิบต ั โิ ดยภาพรวม)เมือผู ่ ค้ นจานวนหนึ่ งในกลุ่มเดียวกันได ้ปฏิบต ั ิ
ก็ถอ ื ว่าเพียงพอแล ้วสาหร ับทุกคน ดังนัน ้
่ การให ้สลามต่อกลุ่มชนจานวนหนึ่ งแล ้วมีคนใดคนหนึ่ งในจานวนพวกเข
เมือมี
าได ้ตอบสลามก็ถอ ื ว่าเพียงพอและใช ้ได ้แล ้วสาหรบั ทุกคน อัลลอฮฺตรัสว่า
ความว่า
ً ‫لُ َش ۡىءُُ َحس‬ ‫َ َ ه ه َ َ َ َ ُّ َ ۡ َ َ ۡ َ َ ۡ ه ُّ َ َ َ َ َ َ َ ه‬
ُ﴾٨٦‫ِّيبُا‬ ُِّ ‫انُعَل َُٰىُك‬
ُ ‫ٱّللُك‬
ُ ُ‫ن‬ُ ِّ ‫نُمِّنهُاُأ ُوُردوهُاُإ‬
ُ ‫﴿وِإذاُحيِّيتمُبِّتحِّيةُُفحي ُواُبِّأحس‬
]86 :‫[النساء‬

่ คนกล่าวสลามแก่พวกเจ ้า(อัสลามุอะลัยกุม)พวกเจ ้าจงตอบสลาม


“และเมือมี
เขาด ้วยสลามทีดี ่ กว่า(วะอะลัยกุมุส สลาม

วะเราะหฺมะตุลลอฮฺ)หรือตอบกลับเท่ากับสลามทีเขากล่ าวมา(วะอะลัยกุมุสสลา
ม)”(อัน-นิ สาอ ์:86) ดังนั้น การตอบสลามด ้วยคาว่า ยินดีต ้อนรบั (อะฮฺลน
ั วะ

43
สะฮฺลนั )เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
เพราะคากล่าวดังกล่าวไม่ใช่การตอบสลามทีดี ่ กว่าหรือเท่าเทียมกัน
เพราะฉะนั้น เมือมี
่ คนใหส้ ลามท่านว่า อัสลามุอะลัยกุม ท่านก็จงตอบเขาว่า
วะอะลัยกุมุสสลาม และเมือมี่ คนทักท่านว่า อะฮฺลนั ท่านก็จงทักตอบว่า อะฮฺลน

ให ้เหมือนกับเขา และหากมีการกล่าวสานวนเพิมเติ ่ มก็จะเป็ นการประเสริฐกว่า

ี่
สิทธิทสอง:เมื ่ สลิมคนหนึ่ งเชิญชวนท่าน ท่านก็จงรบั คาเชิญของเขา
อมุ
หมายความว่า
่ พน้
เมือมี ี่ องมุสลิมเชิญท่านไปยังบา้ นของเขาเพือร
่ บั ประทานอาหารหรือทาธุระ
่ ท่านก็จงตอบรบั คาเชิญของเขา การตอบรบั คาเชิญเป็ น สุนนะฮฺ
อืนๆ
มุอก ั กะดะฮฺ (เน้นให้กระทา)
เนื่องจากการตอบร ับดังกล่าวจะช่วยโอบอุ ้มหัวใจของผูเ้ ชิญ
(ไม่ให ้เสียความรู ้สึก) และทาให้เกิดความรักใคร่สนิ ทสนมกัน

ในขณะทีการตอบร่ ับการเชิญชวนสู่งานแต่งงาน (วะลีมะฮฺ)


นั้นเป็ นสิงที
่ วาญิ
่ ่
บ ด ้วยเงือนไขที ่ นทีทราบกั
เป็ ่ น เนื่ องจากท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า ความว่า“และผูใ้ ดไม่ตอบรบั คาเชิญ
แท้จริง เขาได ้ฝ่ าฝื นต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค ์แล ้ว”(มุสลิม
1432,อัล-บุคอรีย ์ 5177 ด ้วยความหมายทีใกล ่ ้เคียง) เป็ นไปได ้ว่า
คากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทีว่่ า “เมือเขาเชิ ่ ญชวนท่าน
ท่านก็จงตอบร ับคาเชิญของเขา” นัน ้
ครอบคลุมแม้กระทั่งการเชิญเพือให ่ ้ไปช่วยเหลือเขาด ้วย
เพราะท่านถูกสังให ่ ต้ อบร ับคาเชิญของเขา ดังนั้น
่ คนเรียกและเชิญชวนท่านใหไ้ ปช่วยเขาแบกหรือยกสิงใดสิ
เมือมี ่ ่
งหนึ ่ง

หรือทิง/วางสิ ่
งใดสิ ่
งหนึ ่ง หรืออืนๆ ่ ท่านก็จาเป็ นต ้องไปช่วยเหลือเขา
เพราะท่านถูกสังให ่ ป้ ฏิบต ั เิ ช่นนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
กล่าวว่า ความว่า

“หน้าทีของผู ศ้ รทั ธาคนหนึ่งทีมี ่ ต่อผูศ้ รทั ธาอีกคนหนึ่ งเป็ นดังอาคารหนึ
่ ่ งทีแต่
่ ล

44
ะส่วนของอาคารต่างยึดเหนี่ ยวซึงกั ่ นและกัน”(อัล-บุคอรีย ์ 2446,มุสลิม
2585) สิทธิทสาม ี่ ่ สลิมคนหนึ่ งขอคาชีแนะและตั
: เมือมุ ้ กเตือนจากท่าน

ท่านก็จงใหค้ าชีแนะแก่เขา หมายความว่า
่ สลิมคนหนึ่ งมาหาเพือขอให
เมือมุ ่ ้
ท้ ่านช่วยตักเตือนและชีแนะแก่ เขา

ท่านก็จงชีแนะและให ค้ าตักเตือนแก่เขา
เพราะการตักเตือนเป็ นส่วนหนึ่ งของศาสนา ดังคากล่าวของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ความว่า“ศาสนาคือ นะศีหะฮฺ(การชีแนะ ้
การปรารถนาดี)ต่ออัลลอฮฺ ต่อศาสนทูตของพระองค ์
ต่อบรรดาผูน ้ าของชาวมุสลิม และต่อชาวมุสลิมทุกคน”(อัล-บุคอรีย ์ 35,มุสลิม
55) แต่หากเขาไม่มาขอคาตักเตือนและคาชีแนะจากท่ ้ าน
และท่านทราบว่าเขาจะต ้องพบกับอันตรายหรือเขาจะไปทาความผิด
ท่านก็จาเป็ น(วาญิบ) ต ้องใหค้ าตักเตือนและชีแนะเขา ้
และถือว่าเป็ นหน้าทีร่ ับของท่านถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได ้มาขอคาตักเตือนจากท่าน
ก็ตาม
เพราะการตักเตือนดังกล่าวเป็ นการขจัดอันตรายและสิงที ่ ไม่
่ ดงี ามอย่างหนึ่ งจา
กพีน้ ่ องชาวมุสลิม
แต่ถ ้าหากว่าสิงที ่ เขาจะกระท
่ าไม่ได ้ก่อใหเ้ กิดอันตรายหรือความผิดบาป
และท่านเห็นว่าการกระทาดังกล่าวน่ าจะเกิดประโยชน์ต่อคนอืนมากกว่ ่ าเขา
ท่านก็ไม่จาเป็ นต ้องกล่าวนะศีหะฮฺใดๆ แก่เขา
เว ้นแต่ว่าเขาจะขอมาขอคาชีแนะจากท่ ้ าน
่ งเวลานั้นท่านจึงจาเป็ นต ้องชีแนะและตั
เมือถึ ้ กเตือนเขา

ี่ ่ : เมือมุ
สิทธิทสี ่ สลิมคนหนึ่ งจามและกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ
ท่านก็จงขอดุอาอ ์ให้แก่เขา หมายความว่า
่ สลิมคนหนึ่ งจามและกล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺว่า “ُ‫ ْال َح ْمدُ لله‬อัลหัมดุลล
เมือมุ ิ ลาฮฺ”
(หมายถึง มวลการสรรเสริญเป็ นเอกสิทธิของอั์ ลลอฮฺ) ท่านก็จงกล่าวแก่เขาว่า
“ُ‫ يَ ْر َحمكَُ للا‬ยัรหะมุกลั ลอฮฺ” (หมายถึง
ขออัลลอฮฺโปรดประทานความเมตตาแก่ท่าน)

45
่ นการขอบคุณแก่เขาทีได
เพือเป็ ่ ้กล่าวสรรเสริญพระผูอ้ ภิบาลของเขาขณะจาม
แต่หากเขาจามแล ้วไม่ได ้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺ
เขาไม่มสี ท ี่
ิ ธิทจะได ้รบั ดุอาอ ์นี ้ ดังนั้นจึงไม่จาเป็ นต ้องขอดุอาอ ์ใหแ้ ก่เขา

เพราะในเมือเขาไม่ ได ้กล่าวคาสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ ผลตอบแทนของเขาก็คอ ื
การไม่สมควรทีจะได ่ ้รบั ดุอาอ ์ดังกล่าว

การขอดุอาอ ์ให ้แก่ผจ ่


ู ้ ามเมือเขาได ้กล่าวสรรเสริญอัลลอฮฺเป็ นสิงที ่ วาญิ
่ บ
และผูจ้ ามก็จาเป็ น (วาญิบ) ต ้องตอบกลับด ้วยคาว่า “‫صلهحُ بَالَك ُْم‬
ْ ‫يَ ْه هديْكمُ للاُ َوي‬
ยะฮฺดก
ี ุมุลลอฮฺ วะ ยุศลิห ์ บาละกุม” (หมายความว่า
ขออัลลอฮฺโปรดประทานทางนาแก่ท่าน
และแก ้ไขสภาพความเป็ นอยู่ของท่านใหป้ ลอดภัยและเปี่ ยมด ้วยนิ อม ฺ ตั )

และถ ้าหากผูจ้ ามได ้จามอย่างต่อเนื่ องก็จงกล่าวขอดุอาอ ์แก่เขาจนครบสาม


ครง้ั และถ ้ายังจามอีก ก็ใหท้ ่านกล่าวขอดุอาอ ์แก่เขาว่า “ُ‫عافَاكَُ للا‬
َ –
อาฟากัลลอฮฺ” (หมายถึง
ขออัลลอฮฺโปรดให้ท่านหายจากอาการป่ วยด ้วยเถิด) แทนการกล่าวคาว่า
“ُ‫”يَ ْر َحمكَُ للا‬

สิทธิทหี่ ้า:เมือมุ
่ สลิมคนหนึ่ งเจ็บป่ วยท่านก็จงไปเยียมเขาการไปเยี่ ่
ยมผู ป้ ่ วยเ
ป็ นสิทธิทพี ี่ น้
่ องชาวมุสลิมพึงปฏิบต ั ต ิ ่อผูป้ ่ วย ดังนั้นมุสลิมทุกคนจึงจาเป็ น
(วาญิบ) ต ้องไปเยียมพี ่ ่ องทีป่่ วยไข ้
น้
โดยเฉพาะอย่างยิงถ ่ ้าหากว่าผูป้ ่ วยเป็ นเครือญาติของท่าน หรือมิตรสหาย

หรือเพือนบ ้าน ก็ยงจิ่ าเป็ นต ้องไปเยียมเยี
่ ยนพวกเขา

การไปเยียมผู ่ ป้ ่ วยใหป้ ฏิบต ั ต


ิ ามสภาพของผูป้ ่ วยและตามสภาพของโรค

บางครงอาจจั าเป็ นต ้องไปเยียมบ่อยครง้ั

ั้
และบางครงอาจจะเพี ยงพอเพียงครงหรื ั้ อสองครงเท่
ั้ านั้น
ดังนั้นทางทีดี ่ ทสุ
ี่ ดคือการคานึ งถึงสภาพของผูป้ ่ วยและโรคของเขาด ้วย

46
ี่
สาหรบั ผูท้ ไปเยี ่
ยมคนป่ วยมีสุนนะฮฺใหส้ อบถามถึงสภาพและอาการป่ วยของเ
ขา ขอดุอาอ ์ให้กับเขา และพูดปลอบใจเขาใหห้ ายวิตกกังวลและมีความหวัง

เพราะสิงเหล่ านั้นเป็ นสาเหตุหนึ่ งทีจะท ่ าใหผ้ ป ึ้
ู ้ ่ วยมีอาการดีขนและหายป่ วยไวขึ ้


ผูเ้ ยียมควรจะกล่ าวเตือนสติใหผ้ ป ู ้ ่ วยเตาบะฮฺต่ออัลลอฮฺด ้วยสานวนทีไม่ ่ ทาใหเ้
ขาตกใจ ตัวอย่างเช่น
การป่ วยของท่านในครงนี ้ั เท่ ้ ากับว่าท่านได ้รบั ความดีงาม
เพราะความป่ วยเป็ นสิงที ่ อั ่ ลลอฮฺใช ้ขจัดบาปต่างๆ และลบล ้างความผิดต่างๆ
และหวังว่าด ้วยการทีท่ ่ านต ้องพานักอยู่กบั ที่
จะทาให ้ท่านได ้ร ับผลบุญทีมากมาย ่ ด ้วยการราลึกถึงอัลลอฮฺ
ขออภัยโทษจากพระองค ์ และขอดุอาอ ์ต่อพระองค ์ใหม้ าก สิทธิทหก ี่ :
่ สลิมคนหนึ่ งเสียชีวต
เมือมุ ิ ท่านก็จงตามส่งศพของเขา
การติดตามส่งญะนาซะฮฺหรือการส่งศพ
เป็ นหนึ่งในบรรดาสิทธิทมุ ี่ สลิมพึงปฏิบต ั ติ ่อพีน้่ องของเขา
ขณะเดียวกันการติดตามส่งญะนาซะฮฺก็ยงั ได ้รบั ผลบุญทียิ ่ งใหญ่
่ อก
ี ด ้วย
ดังมีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านกล่าวว่า
ความว่า“ผูใ้ ดติดตามส่งญะนาซะฮฺจนกระทั่งเขาได ้ละหมาดใหศ้ พนั้น
เขาจะได ้รบั ผลบุญเท่ากับหนึ่ง กีรอฏ
และผูใ้ ดติดตามญะนาซะฮฺจนกระทั่งศพถูกฝัง
เขาจะได ้ร ับผลบุญเท่ากับสองกีรอฏ”มีคนถามท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
สองกีรอฏนั้นคืออะไร?ท่านตอบว่า“เหมือนกับภูเขาใหญ่สองลูก”(อัล-บุคอรีย ์
1325,มุสลิม 945)
และส่วนหนึ่งของสิทธิทมุ ี่ สลิมพึงปฏิบต ั ต ่ องมุสลิมคือการไม่สร ้างความเดื
ิ ่อพีน้
อดร ้อนแก่เขา เพราะการสร ้างความเดือดร ้อนแก่ชาวมุสลิมเป็ นบาปหนัก
อัลลอฮฺตรัสว่า ความว่า

47
ٔٗ ‫ٱح َت َملهواُُ هب ۡه َتَٰ ٗٔنُاُ َوِإثۡ ٗٔمُاُ ُّمب‬
ۡ ُ‫ٱكتَ َس هب ُواُ َف َق ُِّد‬
ۡ َ ۡ ۡ َ ۡ ‫َ َ َ هۡ ه َ ۡه‬
ُ‫ينُا‬ ِّ ُ‫ِّينُ َوٱل همؤم َِّنَٰتُُِّبِّغيۡ ُِّرُ َمُا‬
ُ ‫ونُٱلمؤ ِّمن‬
ُ ‫ِّينُيؤذ‬
ُ ‫﴿وٱلذ‬
]58 :‫﴾ُ[األحزاب‬٥٨

“และบรรดาผูท้ ชอบสร ี่ ้างความเดือดร ้อนด ้วยการกล่าวไร ้ต่อบรรดาผูศ้ รทั ธา



ชายและหญิงในสิงทีพวกเขาไม่ได ้กระทา ่
แท ้จริงพวกเขาได ้แบกรบั ความเท็จและบาปทีชั ่ ดแจ ้งแล ้ว”(อัล-อะห ์ซาบ 58)
ส่วนใหญ่แล ้วผูท้ ชอบข่ี่ ่ องด ้วยการสร ้างความเดือดร ้อนแก่เขา
มพีน้
อัลลอฮฺจะลงโทษเขาตังแต่ ้ ในโลกนี แล ้ ้ว

ก่อนทีพระองค ์จะลงโทษในวันอาคิเราะฮฺด ้วยซา้ ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได ้กล่าวว่า ความว่า“พวกท่านจงอย่ากริวโกรธกั ้ น
อย่าอิจฉาริษยากัน อย่าหันหลังไม่พูดจากัน พวกเจ ้าจงเป็ นพีน้องกันเถิด ่
โอ ้บรรดาบ่าวของอัลลอฮฺ มุสลิมเป็ นพีน้ ่ องกับมุสลิม
เขาจะไม่อธรรมต่อพีน้ ่ องของเขา
เขาจะไม่ปล่อยใหพ ี่ องของเขาถูกอธรรมโดยไม่ยนมื
้ น้ ื่ อไปช่วยเหลือ
และเขาจะไม่ดูถูกและเหยียบหยามพีน้ ่ องของเขา
เป็ นการเพียงพอแล ้วสาหร ับผูใ้ ดผูห้ นึ่ งทีจะกลายเป็ ่ นคนเลวด ้วยการดูถูกเหยีย
ดหยามพีน้ ่ องมุสลิมของเขา มุสลิมไม่อนุ ญาตใหล้ ะเมิดต่อบรรดาพีน้ ่ องมุสลิม
้ อเลือดเนื อของเขา
ทังต่ ้ ทรพ ั ย ์สินของเขา และเกียรติของเขา”(อัล-บุคอรีย ์
6065,6076,มุสลิม 2564) สิทธิทมุ ี่ สลิมจาเป็ นต ้องปฏิบต ั ต
ิ ่อมุสลิมมีมากมาย

ซึงสามารถให ้ความหมายโดยรวมด ้วยคากล่าวของท่าน นบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทีว่่ า “มุสลิมคือพีน้ ่ องของมุสลิม”

เพราะเมือใดก็ ตามทีมุ ่ สลิมคนหนึ่ งปฏิบต ั ต ิ ่อมุสลิมอีกคนหนึ่ งบนพืนฐานของค

วามเป็ นพีน้ ่ องกัน
เขาย่อมต ้องพยายามแสวงหาทุกความดีงามใหแ้ ก่พน้ ี่ องของเขา
และพยายามหลีกห่างทุกๆ สิงที ่ จะน
่ าอันตรายมาสู่เขา

48
สิบ สิทธิของผูท ี่ ใช่มุสลิม
้ ไม่
ผูท ี่ ใช่มุสลิมจะครอบคลุมทุกคนทีไม่
้ ไม่ ่ ศรทั ธาต่ออัลลอฮฺ
่ ด ้วยกันสีจ่ าพวก นั่นคือ 1.หัรบีย ์
ซึงมี
ี่ ใช่มุสลิมทีเป็
หมายถึงผูท้ ไม่ ่ นศัตรูกบั ชาวมุสลิม 2.มุสตะมัน
ี่ ใช่มุสลิมทีอยู
หมายถึงผูท้ ไม่ ่ ่ภายใต ้การคุ ้มครองดูแลของชาวมุสลิม 3.มุอาฮัด
ี่ มุสลิมทีมี
หมายถึงผูท้ ไม่ ่ พน ั ธะสัญญากับชาวมุสลิม 4.ซิมมีย ์
ี่ ใช่มุสลิมทีอาศั
หมายถึงผูท้ ไม่ ่ ยอยู่ภายใต ้การปกครองของรฐั อิสลาม

ผูท ี่ ใช่มุสลิมทีเป็
้ ไม่ ่ นศัตรูกบั ชาวมุสลิม (หัรบีย ์)
พวกเราไม่จาเป็ นต ้องมอบสิทธิด ้านการให้การคุ ้มครองหรือการดูแลแก่พวกเข

ี่ ใช่มุสลิมทีอยู
ส่วนผูท้ ไม่ ่ ่ภายใต ้การคุ ้มครองดูแลของชาวมุสลิม(มุสตะมัน)
พวกเราจาเป็ นต ้องมอบสิทธิด ้านการให้การคุ ้มครองแก่พวกเขาตามเวลาและ
่ ได
สถานทีที ่ ้ตกลงไว ้ เนื่องจากอัลลอฮฺได ้ตรัสไว ้ว่า ความว่า
ۡ ۡ َ ‫َ ۡ َ َ َ ََ ه َ َ َۡ َ َ َ َ ه‬ ۡ ۡ َ َ ۡ َ
ُ﴾...ُ‫ٱّللُِّث َُمُأبۡلِّغ هُهُ َمأ َم َن هه ُۥ‬
ُ ُ‫ج ۡرُهُحت َُٰىُيس َم ُعُكلَٰ َُم‬
ِّ ‫كُفأ‬
َ ‫ِّينُٱستج‬
ُ ‫ار‬ ُ ‫ِإنُأ َحدُُم‬
ُ ‫ِّنُٱل همش ِّرك‬ ُ ‫﴿و‬
]6 :‫[التوبة‬

“และหากมีคนใดในบรรดาผูต้ งภาคี ั้ ต่ออัลลอฮฺได ้ขอความคุ ้มครองจากเจ ้า


เจ ้าก็จงให ้การคุ ้มครองแก่เขา จนกระทั่งเขาได ้ฟังพระดารสั ของอัลลอฮฺ
หลังจากนั้นเจ ้าก็จงส่งเขายังทีปลอดภั
่ ย”(อัต-เตาบะฮฺ:6)
ี่ ใช่มุสลิมทีมี
ส่วนผูท้ ไม่ ่ พนั ธะสัญญากับชาวมุสลิม (มุอาฮัด)
เราชาวมุสลิมจาเป็ นต ้องยึดมั่นในสัญญาทีได ่ ้กระทาไว ้กับพวกเขาตลอดระยะเ
วลาสัญญาทีได ่ ้ตกลงกันไว ้ระหว่างทังสองฝ่
้ าย

ตราบใดทีพวกเขายั ่ ตย ์ในคามั่นสัญญาและไม่ได ้ทาลายสัญญาทีได
งซือสั ่ ้ทาไ
ว ้กับเรา มิได ้บกพร่องใดๆ ในสัญญาทีได ่ ้ทาไว ้กับเรา
่ อต ้านหรือทาลายเรา
ไม่ได ้สนับสนุ นหรือใหค้ วามช่วยเหลือผูใ้ ดเพือต่

49
และไม่ได ้สร ้างความเสือมเสี ่ ยหรือทาลายศาสนาของเรา อัลลอฮฺได ้ตรสั ว่า
ความว่า
َ َ ٔٗ َ ‫َ َ ۡ ه‬ َ َ ٔٗ َ ‫َ ه َ ه ه‬ ۡ ۡ َ ُّ َ َٰ َ َ َ َ
ُ‫ك ُۡمُأ َحداُفأت ُِّّموُا‬ ُ ‫ِّينُث َُمُل ُۡمُيَنق هصوك ُۡمُش ۡيـُاُ َول ُۡمُيهظَٰ ِّه هر‬
‫واُعلي‬ ُ ‫ِّنُٱل همش ِّرك‬ُ ‫ِّينُعهدتمُم‬ ُ ‫﴿إِّلاُٱلذ‬
ۡ ُّ ‫َ ۡ ۡ َ ۡ َ ه ۡ َ ه َ ۡ َ َ َ ه‬
]4 :‫﴾ُ[التوبة‬٤‫ِّين‬ َُ ‫ِّبُٱل هم َتق‬
ُ ‫ٱّللُيح‬
ُ ُ‫ن‬ ُ ِّ ‫إِّلي ِّه ُمُعهده ُمُإِّل َُٰيُمدت ِّ ِّه ُمُإ‬

“นอกจากบรรดาผูท้ ตั ี่ งภาคี
้ ต่อพระองค ์ (ผูท้ ปฏิ ี่ เสธศรทั ธา) บางกลุ่ม

ทีพวกเจ ้าได ้ทาสัญญาไว ้ แล ้วพวกเขามิได ้บกพร่องใดๆ
ในสัญญาทีได ่ ้ทาไว ้กับแก่พวกเจ ้า และมิได ้สนับสนุ นผูใ้ ดต่อต ้านพวกเจ ้า
ดังนั้น จงร ักษาสัญญาของพวกเขาใหค้ รบถ ้วน
จนถึงกาหนดเวลาของพวกเขาเถิด แท้จริงอัลลอฮฺน้ัน
ทรงรกั ผูท้ ย ี่ าเกรงทังหลาย”้ (อัต-เตาบะฮฺ : 4) ความว่า
َ َ َ ۡ ‫ه ۡ ََ ه َ ََ ۡ ه‬ َ َ ‫َ َه‬
َُ َٰ‫كفرُُِّإِّن هه ُۡمُلاُُأيۡ َم‬
ُ‫ن‬ ‫﴿ َوِإنُنكثوُاُأيۡ َم َٰ َن ههمُمِّنُُ َب ۡع ُِّدُع ۡه ِّده ُِّۡمُ َو َط َع هن ُواُفِّيُدِّينِّك ُمُفقَٰتِّلوُاُأئِّم ُةُٱل‬
َ َ َ ۡ ‫َه ۡ َ َ َه‬
]12 :‫﴾ُ[التوبة‬١٢‫ون‬ ُ ‫نت هه‬ ‫له ُمُلعله ُمُي‬

“และหากพวกเขาทาลายคามั่นสัญญาทีพวกเขาได่ ้ทาไว ้กับพวกเจ ้า


และพวกเขาได ้กล่าวหาและใส่ร ้ายต่อศาสนาของพวกเจ ้า
้ าแห่งการปฏิเสธศร ัทธาเหล่านั้น
พวกเจ ้าก็จงต่อสู ้กับบรรดาผูน
เพราะแท ้จริงพวกเขาไม่ได ้ยึดมั่นในสัญญาทีได่ ้ทาไว ้กับพวกเจ ้า” (อัต-
เตาบะฮฺ : 12)

ี่ ใช่มุสลิมทีอาศั
ส่วนผูท้ ไม่ ่ ยอยู่ภายใต ้การปกครองของรฐั อิสลาม(ซิมมีย ์)
้ นผูท้ เราจ
พวกเขาเหล่านี เป็ ี่ าเป็ นต ้องมอบสิทธิแก่พวกเขามากทีสุ่ ด
และพวกเขาก็ต ้องคานึ งถึงสิทธิของพวกเราชาวมุสลิมด ้วย
เพราะพวกเขาเป็ นกลุ่มชนทีอาศั ่ ยอยู่ในรฐั อิสลาม
ภายใต ้การคุ ้มครองดูแลของชาวมุสลิมโดยทีแลกกั ่ บการจ่ายค่า ญิซยะฮฺ
่ นการคุ ้มครองดูแลพวกเขา
เพือเป็

50
ดังนั้น
ผูน
้ าของชาวมุสลิมจึงจาเป็ นต ้องตัดสินคดีของพวกเขาด ้วยกฎหมายอิสลามใ
่ เกี
นเรืองที ่ ยวกั
่ บชีวติ ทร ัพย ์สินและเกียรติของพวกเขา
และใหล้ งโทษพวกเขาในความผิดทีพวกเขามี ่ ่ ามันเป็ นสิงต
ความเชือว่ ่ ้องหา้ ม(
หะรอม) สาหร ับพวกเขา
และผูน ้ าจาเป็ นต ้องให้การดูแลคุ ้มครองและปกป้ องไม่ให้ผูใ้ ดสร ้างความเดือดร ้
อนหรือทาอันตรายต่อพวกเขา
้ าและการแต่งกายของพวกเขาจาเป็ นต ้องแตกต่างจากการเสือผ้
เสือผ้ ้ าและแ

ต่งกายของชาวมุสลิม (เพือความสะดวกในการแยะแยะและการก ากับดูแล)
่ ่
และพวกเขาจาเป็ นต ้องไม่แสดงสิงใดทีไม่ดงี ามในอิสลามอย่างโจ่งแจ ้ง
่ เป็
หรือสิงที ่ นสัญลักษณ์ในศาสนาของพวกเขา เช่น ระฆังและไม้กางเขน
ส่วนหุกม ่ บชาวซิมมีย ์นั้น
่ ต่างๆ เกียวกั
บรรดานักวิชาการอิสลามได ้กล่าวถึงแล ้วอย่างละเอียดในหนังสือต่างๆ

ของพวกเขา ซึงเราไม่ ้ ก
จาเป็ นต ้องกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี อี

และมวลการสรรเสริญเป็ นเอกสิทธิของอัลลอฮฺพระผูอ้ ภิบาลแห่งสากลโลก


เศาะละวาตและสลามขอจงประสบแด่ท่านนบีมุหม ั มัด

ตลอดจนบรรดาวงศ ์วานและมิตรสหายของท่านทังหลาย

้ รงมหิทธิฤทธิ ์
คนจนปล่อยให้พระเจ้ำผู ท

มุหม
ั มัด ศอลิห ์ อล
ั -อุษย
ั มีน

51

เนื อหา
สิ ท ธิ โ ดยธรรมชาติ ข องมนุ ษ ย์ที่ อิ สลามยื น ยัน รั บ รอง ........................................... 1
คานา ............................................................................................................... 3
หนึ่ง สิ ทธิของอัลลอฮฺ ......................................................................................... 5
สอง สิ ทธิของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ................................................. 11
สาม สิ ทธิของบิดามารดา ................................................................................... 15
สี่ สิ ทธิของบุตร ............................................................................................... 19
ห้า สิ ทธิของเครื อญาติ ....................................................................................... 24
หก สิ ทธิของสามีภรรยา .................................................................................... 28
เจ็ด สิ ทธิของผูน้ าและประชาชน ......................................................................... 35
แปด สิ ทธิของเพื่อนบ้าน ................................................................................... 39
เก้า สิ ทธิของมุสลิมทัว่ ไป .................................................................................. 42
สิ บ สิ ทธิของผูท้ ี่ไม่ใช่มุสลิม .............................................................................. 49
เนื้อหา ........................................................................................................... 52

52

You might also like