You are on page 1of 44

‫‪1438‬‬

‫์‪สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย‬‬
‫‪ที่อสิ ลามยืนยันรั บรอง‬‬
‫حقوق دعت إيلها الفطرة وقررتها الرشيعة‬

‫< تايالندي ‪> ไทย – Thai -‬‬

‫‪เชค มุหมั มัด บิน ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน‬‬


‫الشيخ حممد بن صالح العثيمني‬

‫‪‬‬
‫‪ผู้แปล: อันวา สะอุ และ อุษมาน อิดรี ส‬‬
‫‪ผู้ตรวจ: ซุฟอัม อุษมาน‬‬
‫ترمجة‪ :‬أنور إسماعيل وعثمان إدريس‬
‫مراجعة‪ :‬صايف عثمان‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
1

สารบัญ

คานาผู้จดั พิมพ์ ................................................................................................................................... 2


คานิยม 1 ............................................................................................................................................ 3
คานิยม 2 ............................................................................................................................................ 5
คานาบรรณาธิการต้ นฉบับภาษาอาหรับ ............................................................................................... 6
บทนา ................................................................................................................................................. 8
หนึง่ สิทธิของอัลลอฮฺ ........................................................................................................................... 9
สอง สิทธิของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม .............................................................................. 13
สาม สิทธิของบิดามารดา ................................................................................................................... 15
สี่ สิทธิของบุตร .................................................................................................................................. 18
ห้ า สิทธิของเครื อญาติ ....................................................................................................................... 22
หก สิทธิของสามีภรรยา ..................................................................................................................... 25
เจ็ด สิทธิของผู้นาและประชาชน ......................................................................................................... 31
แปด สิทธิของเพื่อนบ้ าน .................................................................................................................... 34
เก้ า สิทธิของมุสลิมทัว่ ไป.................................................................................................................... 36
สิบ สิทธิของผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิม ................................................................................................................ 41
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
2

คานาผู้จัดพิมพ์

.‫ نبينا حممد وىلع آهل وأصحابه أمجعني‬،‫ والصالة والسالم ىلع أرشف األنبياء واملرسلني‬،‫احلمد هلل رب العاملني‬

อัล หัม ดุลิ ล ลาฮฺ ขอขอบคุณ ต่อเอกองค์อัลลอฮฺผ้ ูท รงเมตตา ที่ ได้ ให้ การจัดพิม พ์ ห นังสื อภายใต้
โครงการ e-daiyah ได้ ด าเนิ น ลุล่ว งมาจนถึ งปี ที่ ห้ า นับ ตัง้ แต่มี การจัด พิ ม พ์ ห นัง สื อเล่ม แรกตัง้ แต่เดื อ น
เมษายน 2011
ในครัง้ นี ้ เราได้ รับมอบหมายให้ จดั พิมพ์หนังสือ “สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ ท่ ีอิสลามยืนยัน
รับรอง” ที่เขียนโดยเชคมุหมั มัด บิน ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน เราะหิมะฮุลลอฮฺ โดยการกระตุ้นและสนับสนุนจาก
ท่านผู้ชว่ ยศาสตรจารย์ ดร.รอชิด บิน หะมัด อัฏ-ฏ็อยยารฺ ที่ปรึกษาด้ านโครงการทางวิชาการและการบริหาร
ของมูลนิธิวิทยาทาน ซึ่งได้ กรุณาเป็ นผู้ประสานงานกับผู้ดแู ลลิขสิทธิผลงานของเชคมุหมั มัด บิน ศอลิห์ อัล -
อุษัยมีน เพื่อให้ การแปลและจัดพิมพ์หนังสือของท่านเป็ นไปอย่างถูกต้ องตามกระบวนการมากที่สดุ
ขอขอบคุณผู้แปลทังสองท่ ้ าน อาจารย์อนั วาร์ อิสมาอีล และอาจารย์อษุ มาน อิดรี ส นักวิชาการและ
นักแปลของมูลนิธิวิทยาทาน ที่ได้ ท่มุ เทความพยายามอย่างที่สดุ ในการถ่ายทอดเนื ้อหาของหนังสือมาเป็ น
ภาษาไทย และขอขอบคุณ ท่ านผู้ช่ว ยศาสตรจารย์ ดร.รอชิ ด บิ น หะมัด อัฏ -ฏ็ อ ยยารฺ กรรมการสภา
มหาวิ ท ยาลั ย ฟ าฏอนี และท่ า นผู้ ช่ ว ยศาสตรจารย์ ดร.อิ ส มาอี ล ลุ ต ฟี จะปะกี ย า อธิ ก ารบดี
มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ที่ได้ กรุณาให้ คานิยมแก่ผลงานชิ ้นนี ้
ในนามผู้จดั พิมพ์ เราหวังเป็ นอย่างยิ่ งว่า จะได้ มีส่วนร่วมนาเสนอเนื ้อหาที่มีคณ ุ ค่าจากผลงานของ
นักปราชญ์อย่างท่านเชคมุหมั มัด บิน ศอลิห์ อัล -อุษัยมีน เราะหิมะฮุลลอฮฺ รวมถึงอุละมาอ์และนักวิชาการ
ท่านอื่นๆ อย่างต่อเนื่องสืบไป เพื่อให้ เป็ นต้ นทุนทางวิชาการและมรดกทางปั ญญาที่จะใช้ การรังสรรค์ความดี
งามในสังคมของเราอย่างยัง่ ยืน
สิ่งใดที่ปรากฏเป็ นข้ อผิดพลาดในหนังสือเล่มนี ้หรื อเล่มอื่นๆ ของโครงการ เรายินดีอย่างยิ่งที่จะน้ อม
รับคาแนะนาเพื่อเอาไปแก้ ไขปรับปรุงให้ ดีขึ ้น อินชาอัลลอฮฺ
ขอให้ เอกองค์อัล ลอฮฺ ได้ ป ระทานเตาฟี กแก่ทุกท่าน และทรงรับ ความพยายามนี ข้ องเราให้ เป็ น
วิทยาทานที่ส่งผลบุญอย่างไม่ขาดสายแก่ผ้ เู ขียน ผู้แปล และผู้มีส่วนร่ วมในการเผยแพร่หนังสือเล่มนี ้ทุกๆ
คน อามีน

ซุฟอัม อุษมาน
บรรณาธิการ
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
3

คานิยม
ผศ.ดร.รอชิด บิน หะมัด อัฏ-ฏ็อยยารฺ
อาจารย์ประจามหาวิทยาลัยอิมาม บิน สะอูด กรุงริยาด
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี

:‫ وبعد‬،‫احلمد هلل والصالة والسالم ىلع رسول اهلل وىلع آهل وصحبه أمجعني‬

แท้ จริง อัลลอฮฺตะอาลาได้ บญ ั ชาเหล่าผู้มีความรู้ให้ เผยแพร่สิ่งที่พระองค์ประทานลงมายังศาสนทูต


ของพระองค์ ท่านนบีมหุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ว่าจะเป็ นคาสัง่ ใช้ และคาสัง่ ห้ ามต่างๆ และ
ก่อนหน้ าเรื่ องดังกล่าว พวกเขาต้ องทาหน้ าที่เผยแพร่สิ่งที่พระองค์ได้ เล่าชี ้แจงเกี่ยวกับตัวพระองค์เอง หรื อ
สิ่งที่ศาสนทูตของพระองค์ได้ บอกกล่าวเกี่ยวกับพระองค์ไว้ ด้วย ทังสิ ้ ่งที่วาญิบสาหรับพระองค์ สิ่งที่เป็ นไปได้
และสิ่งที่มิอาจจะเกิดขึ ้นกับพระองค์โดยเด็ดขาด
ในจานวนคาสัง่ ใช้ ของอัลลอฮฺที่ได้ บญ ั ชาไว้ ก็คือ การมีจรรยามารยาทที่ดี ซึ่งบรรดานบีได้ ประกอบ
ให้ ดูไ ว้ เป็ นตัวอย่า ง และท่ า นนบี มุหัม มัด ศ็ อ ลลัล ลอฮุอ ะลัย ฮิ ว ะสัล ลัม ของเราก็ ไ ด้ แ สดงให้ เห็ น เป็ น
คุณลักษณะนิสยั ของท่าน ท่านเป็ นบุคคลที่มีจรรยาอันยิ่งใหญ่ในการคลุกคลีกับครอบครัวของท่าน ญาติ
ของท่าน และเศาะหาบะฮฺหรื อมิตรสหายของท่าน รวมถึงบรรดาคณะผู้มาเยือนที่เดินทางมาหาท่าน ที่เหนือ
ไปกว่านันก็ ้ คือ ท่านยังมีมารยาทที่สูงส่งแม้ กระทัง่ กับบรรดาผู้คนที่ไม่ใช่มุสลิมด้ วยซ ้า เพื่อสร้ างความสนิท
สนมและทาให้ พวกเขามีความรู้สกึ ดีกบั อิสลาม
สารเล่ม เล็ กที่ อยู่ในมื อของท่านฉบับนี ้ เป็ นหนังสื อที่ กล่าวถึงประเด็นด้ านมารยาทและจรรยาที่
สาคัญมาก เป็ นการเรี ยบเรี ยงของบุคคลหนึ่งในจานวนผู้ร้ ูอนั เลื่องชื่อของประชาชาติมุสลิมในปั จจุบนั ท่าน
คือเชคมุหมั มัด บิน ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน เราะหิมะฮุลลอฮฺ
สิ่งที่ทา่ นได้ กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี ้ เป็ นประเด็นสาคัญที่มสุ ลิมหลายคนอาจจะละเลย ซึ่งเนื ้อหาใน
ภาพรวมนันได้ ้ แสดงให้ เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนานี ้ ที่ทา่ นนบีมหุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้
นามาสอนมนุษยชาติ ประกอบด้ วยเนื ้อหาที่ กล่าวถึงสิทธิของอัลลอฮฺเป็ นลาดับแรก ต่อด้ วยสิทธิของท่านศา
สนทูต สิทธิของบุพการี ทงสอง ั้ สิทธิของลูก สิทธิของญาติ สิทธิของคูส่ ามีภรรยา และรวมถึงสิทธิของผู้ไม่ใช่
มุสลิมที่เราใช้ ชีวิตอยูใ่ นสังคมร่วมกับพวกเขา
เช่นที่เราท่านได้ เห็น สารเล่มนี ้มีความสาคัญอย่างยิ่ง ที่จะฉายให้ เห็นถึงแก่นคาสอนบางด้ านของ
ศาสนาอิสลาม เราจึงได้ ม่งุ มัน่ แปลและจัดพิมพ์มนั ออกมาเผยแพร่ ทังนี ้ ก้ ็มีเป้าหมายเพื่อปลุกเร้ ากระตุ้น
เตือนให้ พี่น้องมุสลิมได้ ยึดปฏิบตั ิกับมารยาทอันงดงามนี ้ และเพื่อให้ ผ้ ไู ม่ใช่มุสลิมได้ เรี ยนรู้และเห็นข้ อมูล
บางด้ านของศาสนาอิสลามที่แฝงไว้ ด้วยคุณค่าแก่มนุษย์ทงมวลไม่ ั้ วา่ เขาจะเป็ นมุสลิมหรื อไม่ก็ตาม อิสลาม
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
4
อันเป็ นศาสนาที่เรี ยกร้ องเชิญชวนสู่หลักทางสายกลางอันถูกต้ อง และกาชับให้ หลีกห่างจากแนวคิดสุดโต่ง
และคลัง่ ไคล้ อนั ตกขอบที่จะนาไปสูค่ วามหายนะในท้ ายที่สดุ
ขอดุอาอ์ตอ่ อัลลอฮฺให้ ทรงอานวยเตาฟี กแก่ทกุ ท่านได้ ประสบกับสิ่งดีงามที่พระองค์ทรงพอพระทัย
ด้ วยเทอญ อามีน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
5

คานิยม
ผศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา
อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี

‫َ ح َح‬ َ ‫رش حور أَ حن ُفسنَا َو َسِّئََ َ ح‬


ُ ُ ‫هلل هم حن‬ ُ‫َحَ ُ ُ َ ح َ حُُ َ ح َح ُ َ ح َح ح َُح ُ َح َ ُ ح‬ ُ ‫َ ح ح‬
‫ من َه هدهه‬،‫اِ أْم هاَِا‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ َونعوذ بها ه‬،‫هلل َنمده َونست هعينه َونستغ هف ُره َونسته هدي هه َونتوب إهيل هه‬
‫احلَمد ه‬
ُ َ َ ُ َّ َ ‫ُ َ َ ُ َّ َ ُ َ َ ح ُ ح ح ُ َ َ َ َ َ ُ َ َ ح َ ُ َ َّ َ َ َّ ُ َ ح َ ُ َ َ ح َ َ ُ َ ح‬
،ُ‫ َوأش َه ُد أن حم َّمدا ْبح ُد ُه َو َر ُس حوهل‬،‫هل‬ ‫رشي‬
‫ وأشهد أال إههل إهال اهلل وحده ال ه‬،‫ ومن يض هلله فال ها هدي هل‬،‫اهلل فال م هضل هل‬
‫َ َ ح َ ح َ ح َ َّ ح‬ َ َ َّ َ ُ َ ‫َ ئ َ َ ئ ح َ َ ح َ َ َ ئ‬
:‫أما َبع ُد‬ ‫ارك ىلع ن هبينا حمم ٍد َوىلع ه ه‬
.‫آهل وصح هب هه أمج هعني‬ ‫امهلل صل وسلم وب ه‬

หนังสือ “สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ ท่ อี ิสลามยืนยันรับรอง” ที่เขียนโดยท่านเชคมุหมั มัด บิน


ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน เราะหิมะฮุลลอฮฺ หนึ่งในบรรดาผู้เป็ นวะลีย์ของอัลลอฮฺที่เป็ นปราชญ์ อาลิม ร็อบบานีย์
จากเมืองเกาะศีม ประเทศซาอุดีอาระเบีย
เป็ นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ได้ กล่าวอธิบายถึงสิทธิตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้ องกับอัลลอฮฺ ศาสนทูตของพระองค์
และบ่าวทุกคน ได้ อย่างชัดเจนยิ่งและครบถ้ วน
เนื ้อหาของหนังสือสอดคล้ องอย่างมากกับหัวข้ อ อันเป็ นสิ่งที่จาเป็ นอย่างยิ่งสาหรับมนุษย์ทกุ คน ไม่
ว่าจะเป็ นชายหรื อหญิง มุสลิมหรื อไม่ใช่มุสลิม เพราะมันคือคาสอนของอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์
สาหรับทุกสรรพสิ่งบนโลกนี ้ เพื่อให้ เกิดสภาพการดาเนินชีวิตของมนุษย์ที่เปี่ ยมด้ วยสันติภาพบนพื ้นฐานของ
ความเข้ าใจในสิทธิของแต่ฝ่ายและหน้ าที่อนั พึงปฏิบตั ริ ะหว่างกัน เพื่อให้ ได้ รับสิทธิของตนและส่งมอบสิทธิที่
ผู้อื่นพึงได้ รับ พร้ อมกับการดูแลและให้ ความสาคัญกับสิทธิเหล่านันอย่ ้ างดีที่สดุ
ขอวิงวอนต่อเอกองค์อลั ลอฮฺโปรดประทานมรรคผลอันดีงามยิ่งแก่ผ้ เู ขียนหนังสือเล่มนี ้ เชคมุหมั มัด
บิ น ศอลิ ห์ อัล -อุษั ย มี น เราะหิ ม ะฮุล ลอฮฺ ตลอดจนผู้แ ปลและผู้จัด พิ ม พ์ ห นัง สื อ เล่ ม นี ใ้ นภาษาต่า งๆ
ขออัลลอฮฺโปรดตอบแทนพวกเขาด้ วยความดีงามที่มากมาย อามีน

.‫ واحلمد هلل رب العاملني‬،‫وصىل اهلل ىلع اِيب األيم حممد وىلع آهل وأصحابه أمجعني‬

บ่าวผู้แสวงหาความเมตตาของอัลลอฮฺ
อิสมาอีล ลุตฟี ฟาฏอนี
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
6

คานาบรรณาธิการต้ นฉบับภาษาอาหรับ

‫ صىل اهلل عليه وىلع‬،‫ وأشهد أن حممدا عبده ورسوهل‬،‫ وأشهد أن ال هلإ إال اهلل وحده ال رشي هل‬،‫احلمد هلل رب العاملني‬
:‫ وبعد‬،‫آهل وأصحابه أمجعني‬

แท้ จริ งการที่มนุษย์ร้ ู จกั ถึงสิทธิ ที่พึงมีต่อพระผู้เป็ นเจ้ า สิทธิที่พึงมีต่อเพื่อนมนุษย์และปฏิบตั ิตาม


สิทธิหน้ าที่ดงั กล่าวนันถื ้ อเป็ นสิ่งที่สมควรและจาเป็ นอย่างยิ่ง สารเล่มเล็กฉบับนี ้ถูกเขียนขึ ้นมาเพื่ออธิบาย
ถึงสิทธิและหน้ าที่ตา่ งๆของมุษย์ ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามแก่ผ้ แู ต่งสารเล่มนี ้และให้ ความรู้ของ
ท่านเกิดประโยชน์ด้วยเทอญ
สิทธิที่สาคัญที่สดุ คือสิทธิที่พึงมีต่ออัลลอฮฺ ด้ วยการแสดงความรักต่อพระองค์ ยาเกรง มีความหวัง
และภักดีต่อพระองค์ด้วยการประพฤติตนตามคาบัญชาพร้ อมกับหลีกห่างจากสิ่ง ที่พระองค์ทรงห้ าม และ
ด้ วยการแสดงความรักต่อผู้ที่ภกั ดีตอ่ อัลอฮฺพร้ อมกับรังเกียจผู้ที่ฝ่าฝื นพระองค์
หลังจากนันก็ ้ คือสิทธิต่อศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัม ด้ วยการมอบความรัก
แด่ท่าน ปฏิบตั ิตามคาสอนของท่าน และหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านได้ ห้าม ปกป้องจริ ยวัตรอันดีงามของท่าน
โดยปฏิบตั ติ ามแนวทางของท่าน และหมัน่ กล่าวเศาะลาวาตแก่ทา่ นมากๆ
ต่อไปก็คือสิทธิตอ่ เครื อญาติ ด้ วยการทาดีตอ่ พวกเขา ไม่ตดั ความสัมพันธ์กบั พวกเขา ซึ่งบุคคลแรก
ที่ต้องทาดีด้วยคือบิดา มารดา ซึ่งเราจาเป็ นต้ องทาดีตอ่ ท่านทังสอง ้ กตัญญูกตเวที เชื่อฟั งในสิ่งท่านทังสอง้
ได้ สั่ง และหลี ก ห่า งจากสิ่ ง ทัง้ สองได้ ห้ ามตราบใดที่ ท่านทัง้ สองมิ ได้ สั่ง ให้ ก ระท าในสิ่ ง ที่ เป็ นการฝ่ าฝื น
ต่ออัลลอฮฺ ตลอดจนถึงการขอดุอาอ์ให้ แก่ท่านทังสองในยามที ้ ่ท่านทังสองมี
้ ชี วิตอยูบ่ นโลกนี ้หรื อยามที่ท่าน
ได้ จ ากโลกนี ไ้ ปแล้ ว ส่ วนสิ ท ธิ ข องบุต รนัน้ คื อ การได้ รับ การเลี ย้ งดู การอบรมสั่ง สอนในเรื่ อ งคุณ ธรรม
จริยธรรม จากนันสิ ้ ทธิที่พึงมีซึ่งกันและกันระหว่างคูช่ ีวิตสามีภรรยา ที่ต้องอาศัยอยูด่ ้ วยกันอย่างดี ช่วยเหลือ
ซึง่ กันและกันในเรื่ องที่ดีและยาเกรงต่ออัลลอฮฺ
สิทธิตอ่ เพื่อนบ้ านสามารถดูแลได้ ด้วยการทาดีตอ่ พวกเขาไม่วา่ จะเป็ นด้ วยคาพูดหรื อการกระทา ไม่
สร้ างความเดือดร้ อนแก่พวกเขาทังค ้ าพูดและการกระทา ส่วนสิทธิที่พึงมีต่อบรรดามุสลิมทัว่ ไปนันคื ้ อการ
แพร่สลาม การเยี่ยมเยียนผู้ป่วย การกล่าวดุอาอ์แก่ผ้ ทู ี่ จาม การตอบรับคาเชิญชวน (เช่น เชิญให้ ไปร่วมงาน
สมรส) การกล่าวตักเตือน การทาตามในสิ่งที่ได้ บนบานไว้ การช่วยเหลือผู้ที่ถูกทารุ ณ กรรมหรื อไม่ได้ รับ
ความเป็ นธรรม การร่วมส่งศพของเขาไปยังหลุมฝั งศพ รักเขาเสมือนกับที่ท่านรักตัวท่านเอง และสิ่งใดที่ทา่ น
รังเกียจที่จะให้ เกิดขึ ้นกับตัวท่านเอง ท่านก็รังเกียจที่จะให้ เกิดขึ ้นกับพวกเขาด้ วย พร้ อมกับส่งเสริมกาชับใน
เรื่ องความดีงามและห้ ามปรามในสิ่งที่เป็ นความชัว่
ข้ าพเจ้ าได้ อา่ น ตรวจทาน และระบุหมายเลขอายะฮฺอลั กุรอานที่ปรากฎในสารเล่มนี ้ และทาการตัค
รี จญ์(ระบุแหล่งอ้ างอิง)ตัวบทหะดีษที่ยงั มิได้ ทาการตัครี จญ์จากต้ นฉบับเดิม พบว่าเนื ้อหาของสารเล่มนี ้ล้ วน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
7
อ้ างอิงที่ มาจากอัลกุรอานและวจนะต่างๆของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัม และข้ าพเจ้ า
วิงวอนขอจากอัลลอฮฺเพื่อให้ สารเล่มนี ้ให้ คณ ุ ประโยชน์แก่ผ้ อู ่าน ขอพระองค์ทรงประทานผลบุญอันยิ่ งใหญ่
ให้ แก่ผ้ แู ต่งสารเล่มนี ้ตลอดจนแก่บรรดาผู้ที่ปฏิบตั ิตามคาสอนที่ปรากฏในสารเล่มนี ้ด้ วย

‫ه‬
.‫وصىل اّلل وسلم ىلع نبينا حممد وىلع آهل وأصحابه أمجعني‬

อับดุลลอฮฺ บิน ญารุลลอฮฺ อัล-ญารุลลอฮฺ


ขออัลลอฮฺทรงประทานความเมตตาแก่ท่านด้วยเทอญ
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
8

บทนา

‫ه‬ ‫ه‬
‫ من يهده اهلل فال‬،‫ ونعوذ باّلل من رشور أنفسنا ومن سَِّاِ أعماِا‬،‫ ونتوب إيله‬،‫ ونستغفره‬،‫ ونستعينه‬،‫إن احلمد ّلل َنمده‬
‫ صىل اهلل عليه‬،‫ وأشهد أن حممدا عبده ورسوهل‬،‫ وأشهد أن ال هلإ إال اهلل وحده ال رشي هل‬،‫ ومن يضلل فال هادي هل‬،‫مضل هل‬
.‫ وسلم تسليما‬،‫ ومن تبعهم بإحسان‬،‫وىلع آهل وأصحابه‬

ส่วนหนึง่ จากความงดงามของอิสลามคือการธารงไว้ ซงึ่ ความยุตธิ รรมและให้ สิทธิแก่ผ้ ทู ี่สมควรได้ รับ


สิทธิอย่างเหมาะสมโดยปราศจาความเลยเถิดและหย่อนหยาน อัลลอฮฺได้ บญ ั ชาให้ ดารงไว้ ซงึ่ ความยุติธรรม
ทาดีและรักษาสิทธิต่างๆ ของบรรดาญาติมิตร ด้ วยเหตุเพื่อธารงความยุติธรรมนี่เอง ศาสนาทูตทังหลายจึ ้ ง
ถูกแต่งตังขึ้ ้น คัมภีร์ตา่ งๆ ถูกประทานลงมา และภารกิจทังโลกนี ้ ้และอาคิเราะฮฺได้ ถกู ปฏิบตั ิ
ความยุติธรรมหมายถึงการมอบสิทธิแก่ผ้ ทู ี่สมควรได้ รับสิทธิ ตลอดจนถึงการมอบสถานะอันสมควร
แก่บคุ คลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี ้จะไม่เกิดความสมบูรณ์ยกเว้ นเมื่อได้ ร้ ูจกั สิทธิตา่ งๆ ที่บคุ คลเหล่านันพึ
้ งได้ รับ
ดังนัน้ ข้ าพเจ้ าจึงได้ เรี ยงร้ อยถ้ อยคาเหล่านี เ้ พื่ ออธิ บายถึงความส าคัญ ของสิทธิ ต่างๆ เพื่ อที่ บ่าวคนหนึ่ง
จะต้ องปฏิบตั ติ ามภาระหน้ าที่เท่าที่เขามีความสามารถที่จะกระทาได้ โดยสามารถสรุปสิทธิตา่ งๆ ได้ ดงั นี ้
1. สิทธิของอัลลอฮฺ ซุบหานะฮุ วะตะอาลา
2. สิทธิของนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม
3. สิทธิของบิดามารดา
4. สิทธิของบุตร
5. สิทธิของญาติพี่น้อง
6. สิทธิของคูส่ มรส
7. สิทธิของผู้นาและผู้อยูภ่ ายใต้ การปกครอง
8. สิทธิของเพื่อนบ้ าน
9. สิทธิของชาวมุสลิมทัว่ ไป
10. สิทธิของพี่น้องต่างศาสนิก
สิทธิตา่ งๆ เหล่านี ้คือประเด็นที่เราต้ องการอธิบายโดยสังเขปในหนังสือเล่มนี ้
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
9

หนึ่ง สิทธิของอัลลอฮฺ

นี่คือสิทธิ ที่สาคัญอย่างยิ่งอันดับแรก และจาเป็ นอย่างยิ่งที่บ่าวจะต้ องมอบให้ แก่พระองค์ เพราะ


เป็ นสิทธิที่พึงมีตอ่ อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้ างสรรพสิ่งทังมวล
้ ผู้ทรงพลานุภาพ และบริหารจัดการกิจการทังหมด ้
พระองค์คือผู้ทรงครอบรองสัจธรรมและความชัดแจ้ ง ผู้ทรงชีวนั ผู้ทรงตื่ น ด้ วยอานาจของพระองค์ชนฟ ั้ ้ า
และแผ่นดินถูกสร้ างขึ ้น พระองค์ทรงบันดาลสรรพสิ่ง อย่างมีระบบและปราณีต
อัลลอฮฺได้ สร้ างเจ้ าจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อนและไม่เคยถูกกล่าวขานมาก่อน อัลลอฮฺได้ พิทกั ษ์ รักษาเจ้ า
ด้ วยปั จจัยทังหลายยามที
้ ่เจ้ ายังอยู่ในครรภ์ของมารดาในสภาพที่มืดมิด สามชัน้ ซึ่งขณะนันตั ้ วเจ้ าเองยังอยู่
ในสภาพที่ไม่มีผ้ ใู ดสามารถให้ อาหารหรื อสิ่งที่จะทาให้ เจ้ าเจริ ญเติบโตมีชีวิตได้ พระองค์คือผู้ทรงให้ เจ้ าได้
อิ่มเอิบกับน ้านมของมารดาและได้ ชี ้แนะแนวทางชีวิตแก่เจ้ า จากนันพระองค์
้ ทรงให้ เจ้ ามีบิดามารดาที่คอย
เอ็นดูและห่วงใยเจ้ าอยู่เสมอ พระองค์ทรงประทานปั จจัยยังชีพ แก่เจ้ ามากมาย ประทานสติปัญ ญาและ
ความเข้ าใจ พระองค์ ท รงให้ เจ้ า มี ค วามพร้ อมที่ จ ะใช้ แ ละรั บ ประโยชน์ จ ากปั จ จัยทัง้ มวลที่ พ ระองค์ ไ ด้
ประทาน อัลลอฮฺได้ ตรัสว่า
‫ه‬ ‫َ ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ
َ ‫ك هَمَٱ‬
ََ‫لسمَعََوَٱلَبَصَرََوَٱلَفَدةََلعلكمََتشَك هرون‬ ‫ونَأ َمهَت ِّكمََلََتعَل همونََشيَاَوجعلََل‬
َِّ ‫ّللَأخَرجكمَمِّنََ هب هط‬
َ‫﴿وَٱ ه‬
]٨٧ :‫﴾ [اِحل‬٧٨
ความว่า "และอัลลอฮฺทรงให้ พวกเจ้ าออกจากครรภ์มารดาของพวกเจ้ า โดยพวกเจ้ าไม่ร้ ูอะไร
เลย และพระองค์ทรงทาให้ พวกเจ้ าได้ ยิน ได้ เห็น และมีหวั ใจ (สาหรับนึกและคิด) เพื่อพวกเจ้ า
จะได้ ขอบคุณ" (อัน-นะห์ลฺ : 78)

หากแม้ นว่าพระองค์ได้ ระงับปั จจัยแก่เจ้ าแม้ เพียงพริ บตา แน่นอนเจ้ าคงพบกับความหายนะ หาก
แม้ นว่าพระองค์ได้ ระงับความเมตตาสักระยะเวลาหนึง่ แน่แท้ เจ้ าคงไม่มีโอกาสได้ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี ้ หาก
ทังหมดนี
้ ้คือสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้ แก่เจ้ าแล้ ว ดังนันสิ
้ ทธิที่พระองค์พึงได้ รับจากเจ้ านันต้
้ องเป็ นสิทธิที่
ใหญ่หลวงนัก เพราะพระองค์คือผู้สร้ างเจ้ า ผู้ให้ เจ้ ามีชีวิตพร้ อมมอบปั จจัยต่างๆ และความช่วยเหลือให้ เจ้ า
สามารถด ารงตนบนโลกใบนี ไ้ ด้ และพระองค์ ก็มิ ได้ ห วัง หรื อ เรี ยกร้ องจากเจ้ า ให้ ต อบแทนบุญ คุณ ของ
พระองค์ด้วยการมอบปั จจัยหรื ออาหารแต่อย่างใด พระองค์ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ َ ‫ه‬
]٢٣١ :‫َ﴾ [طه‬١٣٢ََ‫نَنرَ هزقكََوَٱلَعَقِّب َةَل َِّلتقَوى‬
َ‫ّن ه‬
َ ََ‫﴿لََنسَٔلكََرِّزَقَا‬
ความว่า "เรามิได้ ขอเครื่ องยังชีพจากเจ้ า เราต่างหากเป็ นผู้ให้ เครื่ องยังชีพแก่เจ้ า และบันปลาย

ที่ดนี นย่
ั ้ อมมีไว้ สาหรับผู้ที่มีความยาแกรง" (ฏอฮา :132)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 10 
พระองค์ต้องการจากเจ้ าเพี ยงหนึ่งประการเท่านัน้ ซึ่งก็ เป็ นประโยชน์ ที่จ ะย้ อ นกลับไปสู่เจ้ าเอง
พระองค์ทรงประสงค์ให้ เจ้ าเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านันโดยปราศจากการตั
้ งภาคี
้ ใดๆ ต่อ
พระองค์
‫َ َ ه َ َ ه ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ
َ‫اقَذو‬
َ ‫ّللَهوََٱلرز‬
َ ‫نَٱ‬
َ ِّ ‫ََإ‬٥٧َ‫ون‬ َ‫يدَمِّنَ ههمَمِّنَرِّزَقََوماََأرِّ ه‬
َِّ ‫يدَأنَ هيطَع هِّم‬ َ‫َماََأرِّ ه‬٥٦َ‫ون‬
َِّ ‫لَ ِِّلعَ هب هد‬
َ ِّ ‫لنسََإ‬ ََ ‫ل‬
َِّ ‫نَوَٱ‬ َ ‫﴿َوماَخلقَ ه‬
َِّ ‫تَٱ‬
‫ه‬
]٦8-٦٥ :ِ‫﴾ [اذلاريا‬٥٨َ‫ِّي‬ َ‫ٱلَق َوَة َِّٱلَمت ه‬
ความว่า "และข้ ามิได้ สร้ างญินและมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้ นแต่เพื่อเคารพภักดีตอ่ ข้ า ข้ าไม่ต้องการ
ปั จจัยยังชีพจากพวกเขา และข้ าก็ไม่ต้องการให้ พวกเขาให้ อาหารแก่ข้า แท้ จริ งอัลลอฮฺ คือผู้
ประทานปั จจัยยังชีพอันมากหลาย ผู้ทรงพลัง ผู้ทรงมัน่ คง" (อัซ-ซาริยาต : 56-58)

พระองค์เพียงมีความประสงค์ให้ เราเป็ นบ่าวของพระองค์อย่างจริ งจัง ตามนิยามของความเป็ นบ่าว


อย่างแท้ จ ริ ง ดังที่ พ ระองค์เป็ นผู้ทรงอภิ บาลของเราตามนิยามของความเป็ นพระผู้เป็ นเจ้ าอย่างแท้ จ ริ ง
เช่นกัน
อัลลอฮฺ ประสงค์ที่จะให้ เราเป็ นบ่าวที่เชื่อฟั ง เคารพภักดีตอ่ พระองค์ด้วยการปฏิบตั ิในสิ่งที่พระองค์
ทรงใช้ แ ละหลี ก ห่างจากสิ่ งที่ พ ระองค์ ทรงห้ าม ศรั ทธาในสิ่ง ที่ พ ระองค์ได้ แจ้ ง ไว้ ทัง้ นี เ้ นื่ อ งจากปั จ จัย ที่
พระองค์ ป ระทานให้ แ ก่ เรานัน้ ครอบคลุม ตัว เราทัง้ ระบบและต่อ เนื่ อ ง ด้ ว ยเหตุนี เ้ ราจะตอบแทนพระ
กรุณาธิคณุ ของพระองค์ด้วยการฝ่ าฝื นและเนรคุณพระองค์กระนันหรื ้ อ
หากแม้ นว่าท่านติดหนี ้บุญคุณกับใครสักคนแน่นอนท่านคงละอายที่จะกระทาในสิ่งที่เป็ นการฝ่ าฝื น
หรื อขัดคาสัง่ ของบุคคลนัน้ ฉะนันนั ้ บประสาอะไรกับพระผู้เป็ นเจ้ าผู้ทรงมีพระกรุณามหาธิคณ ุ อันล้ นพ้ น ผู้
ทรงเมตตาด้ วยการปกป้องและปั ดเป่ าตัวท่านจากภยันตรายต่างๆ ดังที่พระองค์ตรัสว่า
ُ ‫ه‬ ‫َ ه‬ ‫ه‬
َُ ‫ّللَِّث ََمَإِّذاَم َسك هَمَٱ‬
]٦٣ :‫َ﴾ [اِحل‬٥٣ََ‫لّضَفإِِّلَ َهَِّتجَ هرون‬ َ ‫﴿َوماَبِّكمَمِّنَنِّعَمةََف ِّمنََٱ‬
ความว่า "และไม่มี ความโปรดปรานใด ๆ ที่ พ วกเจ้ าได้ รับ นอกจากมัน ย่อมมาจากอัลลอฮฺ
ดังนัน้ เมื่อความทุกข์ร้ายประสบแก่พวกเจ้ า พวกเจ้ าก็จะคร่ าครวญขอพรต่อพระองค์ " (อัน-
นะห์ลฺ : 53)

แท้ จริ งสิทธิ นีค้ ือสิ่งที่ อัล ลอฮฺ ได้ กาหนดไว้ ส าหรับพระองค์เอง ซึ่งสิ่งนี จ้ ะเกิดความง่ายได้ ในการ
ปฏิบตั ิสาหรับผู้ที่อลั ลอฮฺประสงค์จะให้ เกิดความง่ายดายแก่ตวั เขา ทั ง้ นี ้เนื่องจากพระองค์มิได้ ทาให้ สิ่งนัน้
เป็ นสิ่งที่ยากลาบาก ดังที่พระองค์ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ َ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ
ََ‫ِّين َمِّنَ َحرجَ َمِّلةَ َأبِّيكمَ َإِّبَرَهِّيمَ َهو‬ َ ِّ َ َ‫جهادِّ َه ِّۦَ َهوَ َٱجَتبىَكمَ َوما َجعلَ َعليَكم‬
َِّ ‫ف َٱل‬ ََ ‫ّللِّ َح‬
ِّ َ ‫ق‬ َ ‫ف َٱ‬َ ِّ َ َ‫﴿ َوجَ ِّه هدوا‬
َ ‫ِّيمواََٱ‬ ‫ه ه ه‬ ‫ه‬ ً ‫ولَشه‬ ‫َ ه ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
ََ‫لصلوَة‬ ‫اسَفأق ه‬ َ ِّ َ‫يداَعليَكمََوتكونواََشهداَءَََعََٱنل‬ ِّ َ ‫فَهَذاَ ِِّلكونََٱلرس‬ َ َ‫س َمىَك هَمَٱلَ همسَل ِّ ِّميََمِّنَقب‬
َ ِّ ‫لَو‬
‫ه‬ ‫َ ه‬ ‫ه‬
]٨٧ : ‫َ﴾ [احلج‬٧٨َ‫ي‬ َ‫ّللَِّهوََموَلىَكمََفن ِّعَمََٱلَموَلََون ِّعَمََٱنلَ ِّص ه‬
َ ‫وءاتواََٱ َلزكوَةََوَٱعَت ِّص همواَََب ِّٱ‬
ความว่า "และจงต่อสู้เพื่ออัลลอฮฺ ซึ่งเป็ นการต่อสู้ที่แท้ จริ งเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงคัดเลือก
พวกเจ้ า และพระองค์มิได้ ทรงทาให้ เป็ นการลาบากแก่พวกเจ้ าในเรื่ องของศาสนา ศาสนา (ที่
ไม่ลาบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม บรรพบุรุษของพวกเจ้ า พระองค์ทรงเรี ยกชื่อพวกเจ้ าว่า
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 11 
มุสลิมีน (พหูพจน์ของ มุสลิม) ในคัมภีร์ก่อนๆ และในอัลกุรอานด้ วย เพื่อศาสนทูตจะได้ เป็ น
พยานต่อพวกเจ้ า และพวกเจ้ าจะได้ เป็ นพยานต่อมนุษย์ ทั่วไป ดังนัน้ พวกเจ้ าจงดารงการ
ละหมาด และบริ จาคซะกาต และจงยึดมัน่ ต่ออัลลอฮฺ พระองค์เป็ นผู้ค้ มุ ครองพวกเจ้ า เพราะ
พระองค์คือผู้ค้ มุ ครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม" (อัล-หัจญ์ : 78)

ประเด็นดังกล่าวถื อเป็ นหลักการศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ คือการศรัทธาต่อสัจธรรมพร้ อมกับการปฏิบัติ


อะมัลที่ดีที่เกิดผล หลักศรัทธาที่มีลาต้ นเป็ นความรักและความเชื่อมัน ในขณะที่ ผลของมันคือความบริ สทุ ธิ์
ใจและความอดทน
อะมัลที่ดีอนั เป็ นสิทธิของอัลลอฮฺนนก็
ั ้ มีตวั อย่าง เช่น
การดารงการละหมาดวันกับคืนหนึ่งห้ าเวลา อัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษบาปและยกระดับความดีให้
หลายขัน้ พร้ องกับ ได้ ขัด เกลาจิ ต ใจและความเป็ นอยู่ให้ ดี ขึน้ ซึ่ง บ่า วสามารถปฏิ บัติ ศ าสนากิ จ นี ต้ าม
ความสามารถที่ตนจะกระทาได้ ดังที่อลั ลอฮฺตรัสว่า
َ ‫َه‬
]٢٥ : ‫ّللَماَٱسَتطعَ هتمََ﴾ [اتلغابن‬
َ ‫﴿َفَٱتقواََٱ‬
ความว่า "ดังนันจงย
้ าเกรงอัลลอฮฺเท่าที่พวกเจ้ ามีความสามารถ" (อัต-ตะฆอบุน : 16)

และดังที่ นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่อิมรอน บิน หุศ็อยนฺ (ในขณะที่อิม รอนกาลัง


เจ็บป่ วย) ว่า
‫َ ح َّ ح َ ح َ ح َ َ َ َ ح‬ َ َ ‫َ ح ح َّ ح َ ح َ ح‬ َ ‫َ ئ‬
»‫ب‬
ٍ ‫ ف هإن لم تست هطع فعىل جن‬،‫ فإن لم تست هطع فقا هعدا‬،‫«صل قائهما‬
ความว่า "เจ้ าจงละหมาดในสภาพที่ยืน แต่หากไม่สามารถที่จะยืนได้ ก็จงนัง่ เสีย และหากไม่
สามารถที่จะนัง่ ก็จงละหมาดบนสีข้าง(ตะแคงขวา)" (บันทึกโดย อัล-บุคอรี ย์ 1066, อบู ดาวูด
952)

ซะกาต คือเศษเสีย้ วหนึ่งของทรัพย์สินที่ผ้ คู รอบครองจ่ายไปเพื่อช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่ยากจน


และขัดสน ตลอดจนช่วยเหลือผู้ขาดเสบียงในการเดินทาง ผู้มีภาระหนี ้สินล้ นพ้ นตัวและผู้มีสิทธิ์รับซะกาตป
ระเภทอื่นๆ (ซึง่ เป็ นสิ่งที่มีประโยชน์ตอ่ ผู้ที่ยากไร้ และไม่ทาให้ ผ้ ทู ี่ร่ ารวยเดือดร้ อนลาบากแต่อย่างใด) อัลลอฮฺ
ได้ ตรัสว่า
‫ه‬ ‫َ ه‬ ‫ه‬ َ ‫ِّيمواََٱ‬
َ‫ص ه‬
]٨٧ : ‫َ﴾ [احلج‬٧٨َ‫ي‬ َ ‫لصلوَةََوءاتواََٱ َلزكوَةََوَٱعَت ِّص همواَََب ِّٱ‬
ِّ َ‫ّللَِّهوََموَلىَكمََفن ِّعَمََٱلَموَلََون ِّعَمََٱنل‬ ‫﴿فأق ه‬

ความว่า “ดังนันพวกเจ้
้ าจงดารงการละหมาด จงจ่ายซะกาต และจงยึดมัน่ ต่ออัลลอฮฺ พระองค์
เป็ นผู้ค้ มุ ครองพวกเจ้ า เพราะพระองค์คือผู้ค้ มุ ครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม" (อัล-
หัจญ์ : 78)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 12 
การถือศีลอดเป็ นระยะเวลา 1 เดือนในรอบปี และถ้ าผู้ใดป่ วยหรื ออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ ใน
วันอื่นแทน ส่วนผู้ใดที่ไม่มีความสามารถที่จะถื อศีลอดได้ อย่างถาวรก็ให้ เขาจ่ายเป็ นอาหารแก่คนยากจน
โดยจ่ายให้ ผ้ รู ับอาหารหนึง่ คนต่อจานวนหนึง่ วันที่ละศีลอดให้ ครบตามจานวนวันทังหมดที้ ่ไม่ได้ ถือศีลอด
การประกอบพิธีหัจญ์ ครัง้ หนึง่ ในชีวิตสาหรับผู้ที่มีความสามารถ
ทัง้ หมดนัน้ เป็ นหลักการสิ ทธิ ของอัลลอฮฺ ส่วนบทบัญ ญั ติอื่น ๆ นัน้ จะบังคับให้ กระทาเมื่ อมี เหตุ
จาเป็ น เช่นการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ หรื อเพราะเหตุแวดล้ อมกดดันให้ ปฏิบตั ิ เช่น การช่วยเหลือผู้ที่ถกู
อธรรม
พึงรู้เถิดว่าสิทธิเหล่านี ้เป็ นการงานที่ง่ายดายแต่ทว่าเต็มเปี่ ยมด้ วยผลบุญ หากท่านได้ ปฏิบตั ิหน้ าที่
ดังกล่าวข้ างต้ นท่านจะเป็ นผู้ที่มีความสุขในโลกนี ้และในโลกอาคิเราะฮฺ และจะรอดพ้ นจากการทรมานในไฟ
นรกและได้ เข้ าพานักในสวนสวรรค์ของพระผู้เป็ นเจ้ า ดังที่อลั ลอฮฺตรัสว่า
‫ه‬ َ ‫َ ه‬
َ ِّ ‫ارَِّوأدَخِّلََٱلَ َنةََفقدََفازََوماَٱلَيوََةهَٱ ُلنَياََإ‬
َ ‫لَمتَ هَعَٱلَغ هر‬
]٢٧٦ :‫َ﴾ [آل عمران‬١٨٥َِّ‫ور‬ َِّ ‫﴿فمنَ هزحَزِّحََع‬
َ ‫نَٱنل‬
ความว่า "แล้ วผู้ใดที่ถกู ให้ ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้ เข้ าสวรรค์แล้ วไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะ
แล้ ว และชีวิตความเป็ นอยู่แห่งโลกนี ้มิใช่อะไรอื่น เลย นอกจากสิ่งอานวยประโยชน์แห่ง มายา
เท่านัน"้ (อาล อิมรอน :185)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 13 

สอง สิทธิของท่ านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

สิทธิข้อนี ้เป็ นสิทธิที่ยิ่งใหญ่ที่พงึ มีตอ่ มัคลูก(สรรพสิ่งที่ถกู สร้ าง)ด้ วยกัน ไม่มีสิทธิของสรรพสิ่งใดๆ ที่
จะยิ่งใหญ่ไปกว่าสิทธิที่พึงมีต่อศาสนทูตของอัลลอฮฺ (นบีมุหมั มัด) ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พระองค์
อัลลอฮฺได้ ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ َ َ
]٩-٧ :‫وههَ﴾ [الفتح‬
َ ‫وههَوتوق هِّر‬
َ ‫ول ِّۦَوتع ِّز هر‬ َ ‫َ ِّّلهؤَم هِّنواَََب ِّٱ‬٨َ‫شاَونذِّيرَا‬
َِّ ‫ّللَِّور هس‬ َ ِّ ‫﴿َإِّناََأرَسلَنَكََشَ ِّهدَاَو همب‬
ความว่า “แท้ จริ งเราได้ ส่งเจ้ า (มุหัมมัด)มาเพื่ อเป็ นพยานและผู้แจ้ งข่าวดีและผู้แจ้ งข่าวร้ าย
เพื่อให้ พวกเจ้ าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ รวมทังเพื ้ ่อให้ พวกเจ้ ามอบความ
ช่วยเหลือสนับสนุนเขา และเทิดทูนให้ เกียรติแก่เขา” (อัล-ฟั ตหฺ : 9-8)

ดังนัน้ จึงจาเป็ นที่จะต้ องมอบความรักแด่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เหนือกว่ามนุษย์คน


อื่นๆ แม้ กระทั่งตัวท่านเอง ลูกๆ หรื อบิดามารดาของท่าน ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า
َ‫َ ح‬
َ ‫مجع ح‬ َ ‫ح‬ َ َّ َ َ َ ‫َ ُ ح َ َ ُ ُ ح َ َّ َ ُ ح‬
»‫ني‬ ‫اس أ ه‬ َّ ‫الهه َو‬
‫اِ ه‬ ‫«ال يؤ هم ُن أحدكم حّت أكون أحب هإيلح هه همن َو ه‬
‫لهه َو َو ه ه‬
ความว่า "คนหนึง่ คนใดจากพวกท่าน จะยังไม่ศรัทธาโดยสมบูรณ์ จนกว่าฉัน(ท่านนบี)จะเป็ นที่
รั ก ยิ่ ง ส าหรั บ เขา มากกว่า บิ ด าของเขา ลูก ของเขา และมนุษ ย์ ทัง้ หมด" (บัน ทึ ก โดย อัล -
บุคอรี ย์ 15, มุส ลิ ม 44, อัน -นะสาอี ย์ 5013, อิบนุ มาญะฮฺ 67, อะหฺ มัด 3/207, อัด-ดาริ มี ย์
2741)

ส่วนหนึ่งจากสิทธิ ที่พึงมี ต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือ การให้ เกี ยรติแก่ท่าน การ


เทิดทูนและเชิดชูที่เหมาะสมกับฐานะโดยไม่เลยเถิดจนเกินไปและไม่ละเลยจนเกินควร รูปแบบการให้ เกียรติ
แก่ท่านในขณะที่ทา่ นยังมีชีวิต คือ เคารพให้ เกียรติแนวทางและตัวท่านเอง ส่วนการให้ เกียรติหลังจากที่ทา่ น
ได้ สิ ้นชีวิตไปแล้ ว คือ การเคารพและให้ เกียรติแนวทางและคาสอนของท่าน
หากใครได้ เห็นถึงการให้ เกียรติและเทิดทูนของบรรดาเศาะหาบะฮฺตอ่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม แล้ ว เขาก็ จะทราบดีว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺ ผ้ ูทรงเกี ยรติเหล่านัน้ ได้ ทาหน้ าที่ ที่พึงมีต่อศาสนทูต
ของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว้ อย่างไรบ้ าง
อุรวะฮฺ บิน มัสอูด ได้ เล่าแก่ชาวกุร็ อยชฺ ครัง้ ที่พวกเขาได้ ส่งเขาไปเจรจากับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม ในการทาสนธิ สัญ ญา อัล-หุดัยบิยะฮฺ เขากล่าวว่า ความว่า "ฉันเคยเข้ าเฝ้าบรรดากษัตริ ย์
หลายองค์ไม่ว่าจะเป็ น กิสรอ (คุสโรแห่งเปอร์ เซีย), ก็อยศ็อรฺ (ซีซาร์ แห่งโรมัน) หรื อ อัน-นะญาชีย์ (แห่งอบิส
สิเนียหรื อเอธิโอเปี ย) แต่ฉนั ไม่เคยพบว่าบรรดาพสกนิกรของกษัตริย์เหล่านันจะให้ ้ เกียรติแก่กษัตริย์ของพวก
เขา เฉกเช่นที่บรรดาเศาะหาบะฮฺของมุหมั มัดได้ กระทากับมุหมั มัด ทังนี ้ ้ เมื่อเขา (มุหมั มัด) บัญชาสิ่งใดพวก
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 14 
เขารี บสนองคาบัญ ชาทันที เมื่อเขาจะอาบนา้ ละหมาดบรรดาเศาะหาบะฮฺต่างแย่งกันที่ จะอานวยความ
สะดวกให้ ท่านอาบน ้าละหมาด เมื่อเขาพูดจาสนทนาบรรดาเศาะหาบะฮฺจะพากันลดเสียงในขณะที่อยู่ต่อ
หน้ าเขา และพวกเขาจะไม่จ้องมองสายตาไปยังเขาทังนี ้ ้เพื่อเป็ นการให้ เกี ยรติแก่เขา"(มุคตะศ็อร สีเราะฮฺ
อัร-เราะสูล โดยชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บิน มุหมั มัด บิน อับดุลวะฮ์ฮาบ หน้ าที่ 300)
เช่นนี ้แหละที่บรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮุม ได้ ให้ เกียรติและเทิดทูนท่านนบี ศ็อลลัลลอ
ฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เนื่องจากอัลลอฮฺได้ ประทานให้ ท่านนบีมีนิสยั และมารยาทที่งดงาม มีความอ่อนน้ อม และ
ใช้ ชีวิตที่เรี ยบง่าย ซึง่ หากท่านนบีเป็ นบุคคลที่ก้าวร้ าวแน่นอนคนรอบข้ างจะพากันเตลิดหนีหายจากท่านไป
และส่วนหนึ่งจากสิทธิ ที่พึงมีต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือ ศรัทธาและเชื่อในสิ่งที่
ท่านได้ แจ้ งให้ เราทราบทังในเรื
้ ่ องอดีตกาลและเรื่ องที่จะเกิดขึ ้นภายภาคหน้ า การปฏิบตั ิตามคาบัญชาของ
ท่าน การหลีกห่างจากสิ่งที่ทา่ นได้ ห้ามและเตือนระวัง ตลอดจนศรัทธาว่าทางนาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม คือทางนาที่สมบูรณ์ ที่สุด บทบัญญัติของท่านนันคื ้ อบทบัญญัติที่สมบูรณ์ แบบที่สุด และไม่
เอาบทบัญญัติ หรื อกฎระเบียบใดๆมาอยู่เหนือบทบัญญัติหรื อคาสอนของท่านไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็
ตาม อัลลอฮฺ ตรัสว่า
‫ه‬
َ‫فَأنفسِّ ِّهمََحرجَاَم َِّماَقضيَتََويهسل هِّمواََتسَل ِّيمَا‬
َ ِّ ََ‫َي هدوا‬ َ‫ه ه‬ ‫﴿َفلََوربكََلََيهؤَم هِّنونََح َ َ ه ه‬
ِّ ََ‫ّتَُيكِّموكََفِّيماَشجرََبيَنهمََث َمَل‬ ِّ
]٥٦ : ‫َ﴾ [النساء‬٦٥
ความว่า "มิ ใช่เช่นนัน้ ดอก ข้ าขอสาบานด้ วยพระเจ้ าของเจ้ าว่า เขาเหล่านัน้ จะยังไม่ศรัทธา
จนกว่าพวกเขาจะให้ เจ้ าตัดสินในสิ่งที่ขดั แย้ งกันระหว่างพวกเขาแล้ วพวกเขาไม่พบความคับใจ
ใดๆ ในจิตใจของพวกเขาจากสิ่งที่เจ้ าได้ ตดั สินใจ และพวกเขายอมจานนด้ วยดี " (อัน-นิสาอ์
:65)

‫َه ه‬ ‫ه‬ ‫ه هه‬ َ ‫ه‬ ‫ه‬ َ َ ‫ه ه ه‬ ‫ه‬


:‫َ ﴾ [آ ل عمران‬٣١ ََ‫ّللَ غفورََ َرحِّيم‬ َ‫ُيبِّبَك هَمَٱ ه‬
َ ‫ّللَويغَفِّرََلكمََذنوبكمََ وَٱ‬ َ ِّ ‫ّللَفَٱتب ِّ هع‬
َ َ‫ون‬ َ ‫نتمََ ُت ُِّبونََٱ‬‫﴿َقلََإِّنَك‬
]٣٢
ความว่า "จงกล่าวเถิด(มุหมั มัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบตั ิตามฉัน อัลลอฮฺก็จะ
ทรงรักพวกท่าน และจะทรงอภัยให้ แก่พวกท่านซึ่งโทษทังหลายของพวกท่
้ าน และอัลลอฮฺนนั ้
เป็ นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ" (อาล อิมรอน : 31 )

และส่วนหนึ่งจากสิทธิที่พงึ มีตอ่ ท่านนบีคือปกป้องศาสนบัญญัติ และแนวทางของท่านเท่าที่เขาคน


นัน้ จะมีความสามารถแม้ ว่าในบางกรณี จาเป็ นที่จะต้ องใช้ กาลังและอาวุธต่อสู้ก็ตาม เมื่ อศัตรู โจมตีด้วย
ปรัชญาและข้ อคลุมเครื อต่างๆ การปกป้องเกี ยรติของท่านก็ต้องตอบโต้ ด้วยหลักวิชาการและพยามยาม
หักล้ างข้ อกล่าวหาต่างๆ และอธิ บายเปิ ดโปงการใส่ร้ายอัน มดเท็ จ แต่หากว่าศัต รู โจมตีด้วยอาวุธ การ
ปกป้องก็ต้องเป็ นไปตามความเหมาะสมกับเหตุการณ์ และไม่บงั ควรอย่างยิ่งที่ผ้ ศู รัทธาคนหนึ่งเมื่อได้ ยินคน
มาดูหมิ่นท่านนบีมหุ มั มัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หรื อหลักการคาสอนของท่าน เขาจะอยู่อย่างนิ่งเฉย
ไม่ได้ แสดงกริยาใดๆ ในการที่จะปกป้องเกียรติของท่าน ทังที ้ ่สามารถจะปกป้องท่านได้
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 15 

สาม สิทธิของบิดามารดา

ไม่มีผ้ ใู ดที่สามารถปฏิเสธบุญคุณที่บดิ ามารดามีตอ่ บรรดาลูกๆ ของเขาทังสองได้ ้ ทังนี


้ ้ เนื่องจากทัง้
สองเป็ นสาเหตุที่ให้ มีบุตรเกิดขึ ้น ดังนัน้ เขาทังสองจึ
้ งเป็ นบุคคลที่ พึงได้ สิทธิมากที่สดุ ทังสองได้
้ เลี ้ยงดูบตุ ร
ตังแต่
้ เยาว์ วัยอย่างเหน็ดเหนื่ อย เพื่ อให้ ลูกรักได้ นอนอุ่นหลับสบาย มารดาต้ องอุ้ม ครรภ์ เป็ นระยะเวลา
ประมาณเก้ าเดือน ดังที่อลั ลอฮฺได้ ตรัสว่า
‫ه‬
]٢١ :‫﴿َحلتَ هَهَأ ُم هَهۥَوهَ ًناََعََوهَنََ﴾ [لقمان‬
ความว่า “มารดาของเขาได้ อ้ มุ ครรภ์เขาอย่างเหนื่อยล้ าชันแล้
้ วชันเล่
้ า” (ลุกมาน : 14)

หลังจากคลอดจากครรภ์มารดาแล้ ว มารดาก็ต้องดูแลเลี ้ยงดูให้ นมเป็ นระยะเวลาอีก 2 ปี ซึ่งเต็มไป


ด้ วยความยากลาบากและเหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส
ส่วนบิดาก็เช่นกันต้ องพยายามดิ ้นรนเพื่อหาปั จจัยมาเลี ย้ งชีพตังแต่
้ เจ้ ายังแบเบาะจนถึงเป็ นผู้ใหญ่
สามารถช่วยตัวเองได้ นอกจากนันทั ้ งสองต้
้ องพยายามอบรมเลี ้ยงดูและแนะแนวทางแก่เจ้ า ซึง่ ตัวเจ้ าเองนัน้
ตอนนัน้ ยังต้ องอาศัยคนอื่น ไม่มีความสามารถที่จะสร้ างประโยชน์หรื อโทษแก่ผ้ ูใดเลย ดังนัน้ อัลลอฮฺได้
บัญ ชาให้ เราท าดี ต่อบิด ามารดาและแสดงความกตัญ ญูกตเวที ตอบแทนบุญ คุณ ของท่านทัง้ สอง ดัง ที่
พระองค์ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
َ‫ل َٱلَم ِّص ه‬
﴾١٤َ ‫ي‬ ََ ِّ ‫ل َول ِّوَ ِّليَكَ َإ‬
َ ِّ َ َ‫ن َٱشَكر‬
َِّ ‫ي َأ‬ َ ِّ َ ‫لنَٰنَ َبِّوَ ِّليَ َهِّ ََحلتَ هَه َأ ُم هَهۥ َوهَ ًنا ََعَ َوهَنَ َوف ِّصَل هَهۥ‬
َِّ ‫ف ََعم‬ َِّ ‫﴿ َوو َصيَنا َٱ‬
]٢١ :‫[لقمان‬
ความว่า “และเราได้ สงั่ การแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา โดยที่มารดาของเขาได้ อ้ มุ
ครรภ์ เขาอย่างเหนื่อยล้ าชัน้ แล้ วชัน้ เล่า และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี เจ้ าจง
ขอบคุณข้ า และบิดามารดาของเจ้ า ยังเรานัน้ คือการกลับไป” (ลุกมาน : 14)

และพระองค์ตรัสอีกว่า
‫ه َ ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ َ
ََ‫نَعِّندكََٱلَكِّبََأح هدهماََأوََ ِّلِكهماَفلََتقلَل ههماََأف‬ ََ ‫نَإِّحََٰ ًناََإ ِّ َماَيبَلغ‬
َِّ َ‫لَإِّيَ َاههَو َب ِّٱلَوَ ِّلي‬
َ ِّ ‫لَتعَ هب هدوَاََإ‬
َ ‫﴿۞وقضََر ُبكََأ‬
‫ه‬ ُ َ ‫ه‬ ‫ه‬
﴾٢٤َ‫انَصغِّيَا‬َ ِّ ‫بَٱرََحَ ههماَكماَر َبي‬
َِّ ‫َوَٱخَفِّضََل ههماَجناحََٱذل َِّلَمِّنََٱ َلرَحَةَِّوقلَ َر‬٢٣َ‫ولََتنَهرَهماَوقلَل ههماَقوَلََك ِّريمَا‬
]١١-١٣ :‫[اإلرساء‬
ความว่า “และพระเจ้ าของเจ้ าบัญชาว่า พวกเจ้ าอย่าเคารพภักดีผ้ ใู ดนอกจากพระองค์เท่านัน้
และจงทาดีตอ่ บิดามารดา เมื่อ บุพการี คนใดคนหนึ่งหรื อทังสองคนได้
้ บรรลุส่วู ยั ชราอยู่กบั เจ้ า
ก็จงอย่ากล่าวแก่ทัง้ สองว่า อุฟ ! และอย่าขู่เข็ญ ท่านทัง้ สอง และจงพูดแก่ท่านทัง้ สองด้ วย
ถ้ อยคาที่อ่อนโยน และจงนอบน้ อมแก่ท่านทังสอง้ ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และ
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 16 
จงกล่าวว่า ข้ าแต่พระเจ้ าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทังสองเช่
้ นที่ทงสองได้
ั้ เลี ้ยงดูฉันเมื่อ
เยาว์วยั ” (อัล-อิสรออ์ : 23-24)

แท้ จริ ง สิทธิหน้ าที่ที่พึงมีต่อบิดามารดา คือการทาดีแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่านทังสองด้ ้ วย


การทาดีตอ่ ท่านทังด้ ้ วยวาจา การกระทา การมอบกาลังกายและทรัพย์ให้ แก่ท่าน การปฏิบตั ิตามคาสัง่ ของ
ท่านทัง้ สองตราบใดที่ไม่เป็ นการฝ่ าฝื นอัลลอฮฺ และไม่เป็ นอันตรายต่อตัวท่านเอง การพูดจากับท่านอย่าง
อ่อนน้ อม การแสดงหน้ าตาที่ยิ ้มแย้ ม การให้ ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับท่าน การไม่พดู จาที่ทาให้ ท่านทัง้
สองกระทบกระเทือนจิตใจยามที่ท่านทังสองแก่ ้ ชรา เจ็บป่ วย หรื ออ่อนแรง และต้ องไม่ถือว่าสิ่งเหล่านันเป็
้ น
ภาระสาหรับท่านเพราะภายภาคหน้ าตัวท่านเองก็จะอยู่ในสภาพเช่นนันเหมื ้ อนกัน ท่านเองต้ องกลายเป็ น
พ่อ หรื อ แม่ดังที่ ท่านทัง้ สองได้ เป็ นพ่อแม่ของท่านมาแล้ ว และท่านเองก็ ต้องแก่ชราในสายตาลูกหลาน
หากอัลลอฮฺทรงไว้ ชีวิตท่านยาวนาน เมื่อถึงเวลานันท่ ้ านเองคงต้ องการความกตัญญูจากลูกหลานดังที่พ่อ
แม่ของท่านเคยต้ องการจากตัวท่านมาแล้ ว หากเจ้ าเคยทาดีต่อพ่อแม่ทงสองแล้ ั้ วก็จงภูมิใจในสิ่งที่ท่านจะ
ได้ รับ นัน่ คือผลบุญ อันมากมายจากอัลลอฮฺ และท่านเองจะได้ รับการปฏิบตั ิจากลูกของท่านเหมื อนกับที่
ท่านได้ เคยปฏิบตั กิ บั พ่อแม่ของท่านเช่นกัน
ผู้ใดที่กตัญญูร้ ูคณุ บิดามารดาของเขา เขาก็จะได้ รับความกตัญญูจากลูกหลานภายภาคหน้ า ส่วน
ผู้ใดที่อกตัญญูเนรคุณบิดามารดาในภายภาคหน้ าลูกหลานของเขาจะแสดงความอกตัญญูต่อเขาเช่นกัน
ผลตอบแทนของคนเรานันจะได้ ้ รับเสมือนที่เขาได้ เคยปฏิบตั ิ
อัลลอฮฺได้ จดั ลาดับการทาดีตอ่ พ่อแม่อยู่ในระดับที่สงู ส่ง พระองค์ได้ ลาดับสิทธิของทังสองรองลงมา

จากสิทธิที่พงึ มีตอ่ พระองค์และศาสนทูตของพระองค์ ดังที่อลั ลอฮฺได้ ตรัสว่า
‫ه ه‬ َ
]٣٥ : ‫نَإِّحََٰنَا﴾ [النساء‬
َِّ َ‫شوُكواََب ِّ َهِّۦَشيَاََو َب ِّٱلَوَ ِّلي‬ َ ‫﴿۞وَٱعَ هب هدواََٱ‬
َِّ ‫ّللَولََت‬
ความว่า “และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าให้ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็ นภาคีกับพระองค์
และจงทาดีตอ่ พ่อแม่ผ้ บู งั เกิดเกล้ าทังสอง”
้ (อัน-นิสาอ์ : 36)

‫ه‬
َ‫لَٱلَم ِّص ه‬
]٢١ :‫َ﴾ [لقمان‬١٤َ‫ي‬ ََ ِّ ‫لَول ِّوَ ِّليَكََإ‬
َ ِّ ََ‫نَٱشَكر‬
َِّ ‫﴿أ‬
ความว่า “เจ้ าจงขอบคุณข้ า และจงขอบคุณบิดามารดาของเจ้ า ยังเรานันคื ้ อการกลับไป” (ลุก
มาน : 14)
ท่านนบีมหุ มั มัด ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ วางการทาดีต่อพ่อแม่เหนือกว่าการต่อสู้ในหนทาง
ของอัลลอฮฺ ดังหะดีษที่รายงานโดยท่านอิบนุ มัสอูด เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮฺ ว่า ฉันได้ กล่าวว่า
َ َ َ ُ ُ ‫حَ َ ح ُ ح‬ َ َ َ ُ ُ ‫َّ َ ُ َ َ َ ح َ ُ ح‬ َ َ َ َ َ
:‫ ث َّم أي ؟ قال‬:‫ت‬ ‫ «بهر الو هالي هن» قل‬:‫ ث َّم أي ؟ قال‬:‫ت‬ ‫ قل‬،»‫ «الصالة ىلع وق هتها‬:‫الع َم هل أ َحب إهل اهلل ؟ قال‬ ‫ أي‬،‫يَا َر ُسول اهلل‬
‫« َ ُ َ ح‬
»‫هلل‬
‫الهاد هيف س هبي هل ا ه‬
‫ه‬
ความว่า โอ้ ศาสนทูตของอัลลอฮฺ การงานใดที่อลั ลอฮฺทรงรักมากที่สดุ ? ท่านนบีตอบว่า “การ
ละหมาดในเวลาของมัน ” และฉันได้ ถามอี กว่า แล้ วมี การงานอะไรอี ก (ที่ พ ระองค์ทรงรัก )?
ท่านนบีตอบว่า “การทาดีต่อพ่อแม่” แล้ วฉันก็ถามท่านอีกว่า แล้ วการงานอะไรอีก ? ท่านนบี
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 17 
ตอบว่ า “การต่อ สู้ใ นหนทางของอัล ลอฮฺ ” (บัน ทึ ก โดย อัล -บุ ค อรี ย์ 504, มุ ส ลิ ม 85, อัต -
ติรมิซีย์ 1898, อัน-นะสาอีย์ 610, อะหฺมดั 1/439, อัด-ดาริมีย์ 1225)

หะดีษบทนี ้ชี ้ถึงความสาคัญของสิทธิที่พึงมีต่อพ่อแม่ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในปั จจุบนั มักจะละเลยและ


ไม่ให้ ความสาคัญจนถึงขันแสดงความอกตั
้ ญญูเนรคุณ และตัดขาดความสัมพันธ์กบั ท่านทังสอง ้ เราพบว่า
บางคนนันไม่
้ ให้ ความสาคัญกับสิทธิหน้ าที่ที่พึงมีตอ่ พ่อแม่ และมีบางคนถึงขันดู
้ ถกู เหยียดหยาม พูดจาขึ ้น
เสียงกับพ่อแม่ของเขาเอง ซึง่ พฤติกรรมเหล่านันเขาจะได้
้ ประสบกับตัวเองไม่ช้าก็เร็ว
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 18 

สี่ สิทธิของบุตร

บรรดาบุตรหมายรวมถึง บุตรชายและธิดา ซึง่ สิทธิตา่ งๆ ของบุตรนันมี


้ มากมาย แต่ที่สาคัญอย่างยิ่ง
คือการให้ การอบรม ปลูกฝั งศาสนา คุณธรรมและจริยธรรมในหัวใจของพวกเขา ดังที่อลั ลอฮฺตรัสว่า
‫ه ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه ه‬ َ
]٥ :‫ل ِّجارَةه﴾ [اتلحريم‬ َ ‫﴿َيَأ ُيهاَٱذلِّينََءام هنواََقوَاََأنفسكمََوأهَل ِّيكمََنارَاَوقودهاَٱنلَ ه‬
َ ‫اسَوَٱ‬
ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงคุ้มครองตัวของพวกเจ้ าและครอบครัวของพวกเจ้ าให้ พ้น
จากไฟนรก เพราะเชื ้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้ อนหิน” (อัต-ตะหฺรีม : 6)

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


َ ‫َح‬ ُ َّ َ َّ َّ ‫ُ ُ ح َ َ ُ ُ ح َ ح ُ ح َ ح‬
»‫اع هيف أه هل هه َو َم حس ُؤول ْ حن َر هْ َّي هت هه‬
ٍ ‫الر ُجل َر‬ ٍ ‫«ككم ر‬
‫ و‬،‫اع وككم مسؤول ْن ر هْيته هه‬
ความว่า “ทุกคนในหมู่พวกท่านเป็ นผู้รับผิดชอบ และทุกคนในหมูพ่ วกท่านต้ องถูกสอบสวนต่อ
ความรับผิดชอบของเขา ผู้ชายเป็ นผู้รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา และต้ องถูกสอบสวนใน
ความรับผิ ดชอบของเขา” (บันทึกโดยอัล -บุคอรี ย์ 853, อัต-ติรมิ ซี ย์ 1705, อบูดาวูด 2928,
และอะหฺมดั 2/55)

ลูก หลานคื ออะมานะฮฺ (หน้ าที่ ต้ องรับ ผิด ชอบ)บนบ่าของบิด ามารดาทุก คน ทัง้ สองท่านจะถูก
สอบสวนถึงภาระหน้ าที่ ต่อลูกหลานในวันกิยามะฮฺ และด้ วยการอบรมปลูกฝั งศาสนาและจริ ยธรรมแก่
ลูกหลานจะทาให้ พวกเขากลายเป็ นแก้ วตาดวงใจแก่พ่อแม่ ทาให้ มีความสุขทังในโลกนี
้ ้และโลกหน้ า อัลลอฮฺ
ตรัสว่า
ُ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ َ َ
َ ََ‫﴿َوَٱذلِّينََءام هنواََوَٱتبعتَ ههمََذرِّ َي هت ههمَبِّإِّيمَنََألَقَناَب ِّ ِّهمََذرِّ َيت ههمََوماََأّلَنَ ههمَمِّنََعمل ِّ ِّهمَمِّنَشَء‬
ََ‫كَٱمَ ِّرِٕۢيَبِّماَكسب‬
]12 :‫َ﴾ [الطور‬٢١ََ‫رهِّي‬
ความว่า “และผู้ศรัทธาทังหลาย
้ ที่บรรดาลูกหลานของพวกเขาได้ ดาเนินตามพวกเขาด้ วยการ
ศรัทธา เราจะให้ ลูกหลานของพวกเขาอยู่ร่วมกับพวกเขา และเราจะไม่ให้ ผลบุญจากการงาน
ของพวกเขาลดหย่อนลงจากพวกเขาแต่อย่างใด แต่ละคนนันย่ ้ อมได้ รับการค ้าประกันในสิ่งที่
เขาขวนขวายไว้ ” (อัฏ-ฏรฺู : 21)

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


ُ َ ‫ل َصالح يَ حد ُع حو‬َ ‫ح َح َح‬ ُ َ َ ‫ َص َدقَة َج َ َ ح ح ُ ح‬: ‫العبح ُد حان َق َط َع َْ َملُ ُه إ َّال م حن ثَ َالث‬
َ ِ‫ا‬َ َ َ
»‫هل‬ ٍ ‫ أو َو ٍ ه‬،‫ أو هعل ٍم ينتفع به هه همن بع هدهه‬،‫اري ٍة‬
‫ٍ ه‬ ٍ ‫ه ه‬ ‫«إهذا م‬
ความว่า “เมื่อบ่าวคนหนึ่ง (มนุษย์) ได้ เสียชีวิตลง การงานของเขาจะถูกตัดขาด นอกจากการ
งานสาม ประการ คือการบริ จาคทานที่ถาวร หรื อความรู้ ที่เป็ นประโยชน์ หรื อลูกที่ดีซงึ่ ขอดุอาอ์
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 19 
ให้ กับเขา” (บันทึกโดยมุสลิม 1631, อัต-ติรมิซีย์ 1376, อัน-นะสาอีย์ 3651, อะหฺมดั 2/327,
อัด-ดาริมีย์ 559)

นี่คือผลของการอบรมเลี ้ยงดูบตุ รหลานด้ วยกระบวนการอบรมขัดเกลาที่ดีซึ่งจะยังประโยชน์แก่บิดา


มารดาหลังจากที่เขาทังสองจากโลกนี
้ ้ไป มีบรรดาพ่อแม่หลายคนที่มองข้ ามภาระหน้ าที่นี ้จนทาให้ ลกู หลาน
ของเขาต้ องสูญเสียโอกาสและสิทธิที่พึงได้ รับ พวกเขาต่างหลงลืมภาระหน้ าที่ต่อลูกๆ พวกเขาไม่เคยที่จะ
สอบถามว่าลูกหลานไปไหนกัน กลับมาถึงบ้ านตอนไหน พวกเขาไปคบหากับเพื่อนคนไหนบ้ าง พ่อแม่บาง
คนไม่เคยชี ้แนะแนวทางแก่ลกู ๆ ไม่เคยห้ ามปรามพวกเขาจากการประพฤติชวั่ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งนักพวก
เขาพยายามอย่างยิ่ง ยวดที่ จ ะท างานเพื่ อหาเงิน เพื่ อ สะสมทรัพ ย์ อย่างมากมาย และพัฒ นาสิ นทรัพ ย์
เหล่านันให้้ งอกเงย ซึ่งส่วนใหญ่ผ้ ทู ี่ได้ รับประโยชน์จากทรัพย์สินนันก็้ เป็ นผู้อื่น ส่วนบรรดาลูกๆ นัน้ พวกเขา
ไม่เคยสนใจที่จะอบรมพัฒ นาพวกเขาให้ เป็ นคนดีทงที ั ้ ่พวกเขาสมควรได้ รับการดูแลเป็ นพิเศษเพื่อให้ เกิด
ประโยชน์ทงในโลกนีั้ ้และโลกหน้ า
และดังที่จาเป็ นสาหรับบิดามารดาที่ต้องให้ อาหารกายแก่ลกู ไม่ว่าจะเป็ นอาหารหรื อเครื่ องดื่ม ให้
เสื ้อผ้ าเป็ นอาภรณ์ ห่มกาย เฉกเช่นนัน้ แหล่ะที่เขาทัง้ สองต้ องให้ อาหารด้ านจิตใจ ด้ วยความรู้และศรัทธา
และให้ ความยาเกรงเป็ นอาภรณ์สาหรับวิญญาณของเขา ซึง่ สิ่งดังกล่าวนันย่ ้ อมประเสริฐกว่า
และส่วนหนึ่งจากสิทธิที่พึงมีต่อบุตร คือ การให้ ค่าใช้ จ่ายเลี ้ยงดูด้วยความเหมาะสมเพียงพอไม่
ฟุ่ มเฟื อยหรื อตระหนี่เกินไป เพราะนั่นเป็ นสิ่งที่จาเป็ นที่บรรดาบุตรพึงได้ รับและเป็ นการสานึกในพระกรุณา
มหาธิคณ ุ ที่อลั ลอฮฺได้ ประทานทรัพย์สินให้ แก่เรา เราจะไปหวงแหนทรัพย์สินจนเกินเหตุทาไมจนตระหนี่ที่จะ
ใช้ จ่ายมันไปแล้ วในที่ สุดเมื่อเราเสียชีวิตไปทรัพย์สินเหล่านันย่ ้ อมถูกริ บไปหมด แม้ ว่า เมื่อบิดามารดายังมี
ชีวิตอยู่แต่มีความตระหนี่ไม่ยอมให้ ค่าเลีย้ งดู บรรดาลูกสามารถเอาทรัพย์สินนันมาใช้ ้ จ่ายให้ เพียงพอต่อ
การดารงชีพดังที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ตอบคาถามแก่ ฮินดฺ บุตรี ของอุตบะฮฺ
(ดังหะดีษที่บนั ทึกโดยอัล-บุคอรี ย์และมุสลิม)
และส่วนหนึง่ ของสิทธิที่พงึ มีตอ่ บุตร คือ การไม่แสดงความลาเอียงระหว่างบุตรในการมอบของขวัญ
หรื อของกานัลใดๆ ไม่อนุญาตให้ เรามอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ลูกๆ บางคนในขณะที่ลูกๆ คนอื่นไม่ได้ รับสิ่งนัน้
ด้ วยความลาเอียง แท้ จริงแล้ วอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้ที่อธรรม เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวจะทาให้ เกิดความข้ อง
ใจและเกิดความบาดหมางใจระหว่างลูกๆ ผู้ที่ได้ รับและผู้ที่ไม่มีสิทธิ ซ ้าร้ ายอาจจะทาให้ เกิดความบาดหมาง
ใจระหว่างบิดามารดากับบุตรที่ไม่ได้ รับสิทธิดงั กล่าวด้ วย
มีบางคนที่จาแนกระหว่างบุตรที่ทาดีและอ่อนน้ อมต่อบิดามารดากับบุตรที่ไม่กระทาเช่นนัน้ ด้ วย
การมอบของขวัญหรื อของกานัลแก่บตุ รที่ทาดีตอ่ เขาก่อน อันที่จริงสิ่งเหล่านี ้ไม่ใช่เหตุผลที่จะอนุญาตให้ เรา
ลาเอียงหรื อไม่ยุติธรรมแก่พวกเขาได้ การมอบของขวัญตอบแทนบุตรโดยอาศัยการพิจารณาจากความดี
งามที่เขาปฏิบตั ิต่อบิดามารดาเป็ นสิ่งที่ไม่อนุญาต เนื่องจากผลตอบแทนที่เขาทาดีต่อพ่อแม่นนอั ั ้ ลลอฮฺจะ
เป็ นผู้ตอบแทนให้ เอง การให้ รางวัลเฉพาะแก่ลกู ที่ทาดีตอ่ บิดามารดานันจะท ้ าให้ ลกู เกิดความลาพองในการ
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 20 
งานของตน และจะทาให้ ลูกๆ คนอื่นออกห่างจากบิดามารดา และจะอยู่ในความอกตัญญูหรื อเนรคุณต่อ
บิดามารดาตลอดไป อีกอย่าง เราเองก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ วา่ บางทีภายภาคหน้ าสถานการณ์อาจจะพลิกผัน
ทาให้ ลูก ที่ กตัญ ญู ก ลายเป็ นลูกที่ เนรคุณ หรื อลูกที่ เนรคุณ อาจจะกลายเป็ นลูกที่ กตัญ ญู ก็ เป็ นได้ ทัง้ นี ้
เนื่องจากจิตใจของมนุษย์ทุกคนล้ วนอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์สามารถพลิกผันมันได้ ตามที่
พระองค์ทรงประสงค์
ในตาราหะดีษเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรี ย์และมุสลิม บันทึกว่า รายงานจากอัน -นุอฺมาน บิน บะชีรฺ ว่า บะ
ชี รฺ บิน สะอัด บิด าของเขาได้ ม อบทรั พ ย์ สิ น บางอย่างให้ แก่ ลูกชายของเขาคนหนึ่ง แล้ วมาหาท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้ วบอกกับท่านนบีถึงเรื่ องดังกล่าว ท่านบี จึงถามเขาว่า
ُ ‫ََ ح‬ َ َ َ َ‫َ ُ ََ َ ح ُ ح‬
»‫ «فأ حر هجعه‬:‫ قال‬.‫ ال‬:‫ل َك َنَلتَه همثل هذا ؟» قال‬
‫«أكل و ه‬
ความว่า “เจ้ าได้ มอบให้ เช่นนี ้แก่ลูกๆ ของเจ้ าทุกคนไหม?” เขาตอบว่า “ไม่” ท่านบี กล่าวว่า
“ดังนันจงเอาสิ
้ ่งนันกลั
้ บคืนมา”

ในบางสายรายงาน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


ُ َ َ َ ‫َّ ُ ح َ َ ح ُ َ ح‬
»‫ني أ حوال هدك حم‬ ‫«اتقوا اهلل واع هدلوا ب‬
ความว่า “ พวกท่านจงยาเกรงอัลลอฮฺ และจงให้ ความยุติธรรมระหว่างลูกๆ ของพวกท่าน”
(บันทึกโดย อัล-บุคอรี ย์ 2447, มุสลิม 1623)

และในบางสานวน มีดงั นี ้
َ ‫َ ح ح َ َ َ َ َ ح ح َ ئح َ َ ح‬
»‫ّن ال أش َه ُد َىلع َج حو ٍر‬ ‫يي ف هإ‬
‫«أش ههد ىلع هذا غ ه‬
ความว่า “ให้ ค นอื่ น มาเป็ นพยานแทนฉัน เถิ ด เพราะฉัน ไม่เป็ นพยานต่อ ความอยุติธ รรม”
(บั น ทึ ก โดยมุ ส ลิ ม 1623, อั น -นะสาอี ย์ 3681, อบู ดาวู ด 3542, อิ บ นุ มาญ ะฮฺ 2375,
อะหฺมดั 4/270)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ระบุว่า การให้ ความสาคัญแก่บุตรบางคนและละเลยอีก


บางคนนัน้ ถือเป็ นการกระทาที่อธรรม ซึง่ เป็ นการกระทาที่ต้องห้ ามในอิสลาม
แต่หากเรามอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่บรรดาบุตรตามความต้ องการหรื อความจาเป็ นของเขาในขณะที่อีก
บางคนมีความต้ องการอย่างอื่นเช่น คนหนึ่งต้ องการอุปกรณ์เครื่ องเขียน ในขณะที่ อีกคนต้ องการรักษาโรค
หรื ออีกคนต้ องการทรัพย์สินที่จะแต่งงาน ถือว่าสามารถให้ เป็ นการเฉพาะได้ แม้ ว่าจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง
ทังนี
้ ้ อันเนื่องจากความต้ องการและความจาเป็ น ซึง่ ถือว่าเป็ นเสมือนการจ่ายค่าเลี ้ยงดูนนั่ เอง
เมื่อบิดามารดาได้ ทาตามหน้ าที่ในการอบรมเลี ้ยงดูบตุ รของตนตลอดจนการให้ คา่ เลี ้ยงดูแล้ ว ไซร้ ก็
สมควรแล้ วที่ อัลลอฮฺ จะตอบแทนเขาด้ วยการให้ มีลูกที่กตัญ ญูร้ ู คุณ คอยทาดีและมอบสิทธิ ต่างๆ ที่บิดา
มารดาพึงได้ รับเป็ นการตอบแทน แต่หากเมื่อใดที่พ่อแม่ละเลยต่อหน้ าที่ ในการอบรมดูแลลูก ก็สมควรแล้ ว
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 21 
เช่นกันถ้ าอัลลอฮฺจะให้ เขาถูกทดสอบด้ วยการมี ลูกที่ เนรคุณ และอกตัญ ญูต่อ ทัง้ สองคน เพราะชนิดของ
ผลตอบแทนนันขึ ้ ้นอยูก่ บั ชนิดของการกระทาที่แต่ละคนได้ ก่อไว้ เช่นกัน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 22 

ห้ า สิทธิของเครือญาติ

สาหรับญาติพี่ น้องที่ มี ความสัม พันธ์ เครื อญาติกับท่าน เช่น เป็ นพี่ น้อง ลุง ป้า น้ า อา ตลอดจน
ลูกพี่ลกู น้ อง หรื อบุคคลอื่นที่เป็ นเครื อญาติกบั เรานันพวกเขามี
้ สิทธิพงึ ได้ รับ ดังที่อลั ลอฮฺได้ ตรัสว่า
َ ‫ه‬
]١٥ :‫﴿َوءاتََِّذاَٱلَقرَبََحق هَهۥ﴾ [اإلرساء‬
ความว่า “และจงให้ สิทธิแก่ผ้ ทู ี่เป็ นเครื อญาติ” (อัล-อิสรออ์ : 26)

และพระองค์ได้ ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه ه‬ َ
]٣٥ : ‫نَإِّحََٰنَاَوبِّذِّيَٱلَقرَبَ﴾ [النساء‬
َِّ َ‫شوُكواََب ِّ َهِّۦَشيَاََو َب ِّٱلَوَ ِّلي‬ َ ‫﴿َ۞وَٱعَ هب هدواََٱ‬
َِّ ‫ّللَولََت‬
ความว่า “และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าให้ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็ นภาคีกับพระองค์
และจงทาดีตอ่ ผู้บงั เกิดเกล้ าทังสอง
้ และต่อผู้เป็ นเครื อญาติ” (อัน-นิสาอ์ : 36)

ดังนัน้ จ าเป็ นที่ จะต้ องเชื่ อมสัม พันธ์ กับผู้ที่เป็ นญาติด้วยกัน ด้ วยการทุ่ม เทแรงกายแรงใจ และ
เอื ้อเฟื อ้ ทรัพย์สินเงินทองในยามที่ญาติต้องการหรื อมีความจาเป็ น ซึง่ เรื่ องการช่วยเหลือกันในหมูเ่ ครื อญาติ
เป็ นสิ่งที่ได้ รับการยืนยันโดยบทบัญญัตทิ างศาสนา สติปัญญา และกมลสันดานอันเป็ นธรรมชาติของมนุษย์
มีหลักฐานตัวบทมากมายที่ ส่งเสริ ม ให้ มี การเชื่อมและสานสัมพันธ์ ในหมู่เครื อญาติที่ใกล้ ชิด ใน
ตาราหะดีษเศาะฮี ้หฺอลั -บุคอรี ย์และมุสลิม ได้ บนั ทึกหะดีษที่รายงานจากท่าอบูฮรุ ็ อยเราะฮฺ แท้ จริ งท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
َ َ َ َ َ َ‫َ َ ح‬ ‫َّ ُ َ َ َ ح َ َ َ َ ُ ح‬ َ َ ‫َّ َ َ َ َ ح َ ح َ َ َّ َ َ َ ح ُ ح‬
‫ أ َما‬، ‫ ن َع حم‬: ‫ قال‬،‫يع هة‬ ‫ام ال َعائه هذ به همن الق هط‬ ‫ هذا مق‬: ‫ فقالت‬،‫ت الر هحم‬ ‫ حّت إهذا ف َرغ همنهم قام ه‬، ‫« إهن اهلل خلق اْللق‬
َ ُ َّ َّ َ َّ ُ ُ َ َ َ َّ ُ
‫اّلل َعليح هه‬ ‫اّلل صىل‬
َ َ ََ َ َ ََ ‫َ َ ح‬ َ َ َ ‫ََح َ َ َ ح‬ َ َ َ ‫َح َ حَ َ ح َ َ َ ح‬
‫ ثم قال رسول ه‬، ‫ فذاك ل ه‬: ‫ قال‬، ‫ بىل‬: ‫ وأقطع من قطع ه ؟ قالت‬، ‫ترضني أن أ هصل من وصل ه‬
‫ح ح‬ ‫ح‬ َّ
: ‫ اق َر ُءوا إهن هشئتُ حم‬: ‫َو َسل َم‬
َ َ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫﴿َفهلََعسيَ هتمََإنَتو َ َ ه‬
ََ‫ّللَفأص َم ههمََوأعَم‬ َ‫َأولَئِّكََٱذلِّينََلعن هه هَمَٱ ه‬٢٢ََ‫ضَوتق ِّط هعوَاََأرَحامكم‬ َ ِّ ََ‫س هدوا‬
َ ِّ ‫فَٱلَۡر‬ ِّ َ‫ِلتمََأنَتف‬ ِّ
‫ه‬ ‫هه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
]١١-١١ : ‫َ﴾ [حممد‬٢٤ََ‫َأفلََيتدبَ هرونََٱلَقرَءانََأمَََعََقلوبََأقَفالها‬٢٣ََ‫أبَصَرهم‬
ความว่า “อัลลอฮฺได้ ทรงสร้ างสรรพสิ่งทังหลายจนเมื
้ ่อเสร็ จสิ ้นแล้ ว อัร-เราะหิม (ตัวเครื อญาติ)
ก็ ได้ ลุก ขึน้ มาและกล่า วว่า นี่ คื อ การยื น ของผู้ข อความคุ้ม ครองให้ พ้ น จากการถูก ตัด ขาด
พระองค์ อัล ลอฮฺ ก็ ต รัส ว่า ได้ เจ้ า จะพอพอใจหรื อ ไม่ หากฉัน จะเชื่ อ มสัม พัน ธ์ กับ ผู้ที่ เชื่ อ ม
สัม พัน ธ์ กับ เจ้ า และฉัน จะตัด ขาดกับ ผู้ที่ ตัด ขาดกับ เจ้ า ? มัน ได้ ต อบว่า ใช่ ข้ าพอใจแล้ ว ”
จากนันท่ ้ านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้ กล่าวว่า “พวกท่านจงอ่านอา
ยะฮฺนี ้เถิดหากพวกท่านประสงค์
َ َ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫﴿َفهلََعسيَ هتمََإنَتو َ َ ه‬
َ‫َأولَئِّكََٱذلِّينََلعن هه هَمَٱ ه‬٢٢ََ‫ضَوتق ِّط هعوَاََأرَحامكم‬
ََ‫ّللَفأص َم ههمََوأعَم‬ َ ِّ ََ‫س هدوا‬
َ ِّ ‫فَٱلَۡر‬ ِّ َ‫ِلتمََأنَتف‬ ِّ
‫ه‬
]12-١١ : ‫﴾ [حممد‬٢٣ََ‫أبَصَرهم‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 23 
“ดังนัน้ พวกเจ้ าหวังกันหรื อว่า หากพวกเจ้ าผินหลังให้ (กับการศรัทธาแล้ ว)พวกเจ้ าก็จะได้ ก่อ
ความเสียหายในแผ่นดิน และตัดความสัมพันธ์ ทางเครื อญาติของพวกเจ้ า ? ชนเหล่านี แ้ หล่ะ
คือบรรดาผู้ที่อลั ลอฮฺทรงสาปแช่งพวกเขา ดังนัน้ พระองค์จึงทรงทาให้ พวกเขาหูหนวกและทรง
ทาให้ พ วกเขาตาบอด(จากการได้ พ บสัจธรรมและความดีงาม)” (มุหัม มัด : 22-23) (บันทึก
โดยอัล-บุคอรี ย์ 5987 และมุสลิม 2554)

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า


َُ َ ‫َحَ ح‬ ‫ح‬ ُ ‫َ ح َ َ ُح‬
»‫حه‬‫اآلخ هر فلي هصل ر ه‬
‫ه‬ ‫هلل َوايلَ حومه‬
‫«من كن يؤ همن بها ه‬
ความว่า “ใครก็ตามที่ มี ความศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันกิ ยามะฮฺ ก็ จงเชื่อมสัมพันธ์ กับเครื อ
ญาติของเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรี ย์ 6138)

ปั จจุบนั มีผ้ คู นส่วนใหญ่มกั จะละเลยสิทธิที่พึงมีตอ่ เครื อญาติ ซึ่งเราจะพบว่าบางคนไม่ร้ ูจกั แม้ กระ
ทัง้ ญาติใกล้ ชิดของตนเอง ไม่เคยเชื่อมสัม พันธ์ กับพวกเขาไม่ว่าจะด้ วยทรัพ ย์สิน ตาแหน่งการงาน หรื อ
แสดงกิ ริยามารยาทที่ ดีง าม วัน เวลาผ่านไปพวกเขาไม่เคยนึกที่ จ ะไปเยี่ ยมญาติพี่ น้ อง ไม่เคยหยิ บ ยื่ น
ของขวัญสักชิ ้นหนึ่ง ไม่เคยช่วยเหลือพวกเขาในยามเดือดร้ อน ซ ้าร้ ายกว่านัน้ มีบางคนถึงกับทาร้ ายจิตใจ
ของผู้เป็ นญาติไม่ว่าจะเป็ นคาพูด หรื อการกระทา หรื อทังค ้ าพูดและการกระทา น่าแปลกยิ่งนักที่พวกเขา
ยอมผูกสัมพันธ์กบั คนอื่นคนไกลแต่ตดั ขามความสัมพันธ์กบั ญาติสนิทใกล้ ชิด
มี บ างคนจะเลื อ กเชื่ อ มสั ม พั น ธ์ เฉพาะกั บ ผู้ ที่ เชื่ อ มสั ม พั น ธ์ กั บ เขาด้ วยเท่ า นั น้ และจะตั ด
ความสัมพันธ์ กับผู้ที่ตดั สัมพันธ์ กับเขา เขาผู้นีไ้ ม่นับว่าเป็ นบุคคลที่เชื่อมสัมพันธ์ กับญาติมิตร แต่เป็ นผู้ที่
กระทาอย่างทัดเทียมกัน (ทาดีกับผู้ที่ทาดีกบั เขาก่อน) ซึ่งจะเขาอาจแสดงพฤติกรรมนี ้กับบรรดาญาติหรื อ
คนอื่นๆ ก็ได้ เพราะการตอบแทนในความดีไม่ได้ เจาะจงเฉพาะกับผู้ที่เป็ นญาติใกล้ ชิดเท่านัน้
ผู้ที่เชื่อมสัมพันธ์ อย่างแท้ จริ งคือผู้ที่สานสัมพันธ์ กับญาติมิตรเพื่ออัลลอฮฺเท่านัน้ โดยมิได้ คานึงว่า
เขาจะตอบรับการเชื่อมสัมพันธ์ของเราหรื อไม่ ดังที่หะดีษที่บนั ทึ กโดยอัล-บุคอรี ย์ รายงานจากอับดุลลอฮฺ
บิน อัมรฺ บิน อัล-อาศ ว่า แท้ จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า
َ ُ ُ َ ‫َ َ َّ َ َ َّ ح َ ُ َ ح‬ َ ُ ُ َ َ ‫َح‬
»‫حه َو َصل َها‬ ‫اذلي إهذا ق هطعت ر ه‬
‫اصل ه‬
‫كن الو ه‬
‫ ول ه‬،‫ئ‬
‫اصل بهالمكفه ه‬
‫«لِّس الو ه‬
ความว่า “ผู้เชื่อมสัม พันธ์ (เครื อญาติ )ไม่ใช่ผ้ ูที่ กระทาอย่างทัดเที ยมกัน (คือ หากใครเชื่ อม
สัมพันธ์ กับเขา เขาก็เชื่ อมสัมพันธ์ กับคนๆ นัน้ ) แต่ผ้ ูเชื่อมสัม พันธ์ คือ ผู้ที่เมื่ อสัม พันธ์ เครื อ
ญาติของเขาถูกตัดขาด เขาก็ต่อสัม พันธ์ กับมัน " (บันทึกโดยอัล -บุคอรี ย์ 5645, อัต-ติรมิ ซี ย์
1908, อบู ดาวูด 1697,และอะห์มดั 2/193)

มีช ายคนหนึ่งได้ กล่าวต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันมี


ญาติๆ ที่ฉนั เชื่อมสัมพันธ์กบั พวกเขา ในขณะที่พวกเขาตัดขาดฉัน ฉันทาดีกบั พวกเขาขณะที่พวกเขาทาเลว
กับฉัน ฉันต้ องคอยอดทนกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ก้าวร้ าวกับฉัน”
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 24 
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวตอบว่า
َ َ َ َ ‫َ ح َ َح ح َ ُ ح‬
» ‫ت َىلع ذل ه‬ َ َ َ َ ُ َ َ َّ َ ُ ُ ُ َ َّ َ َ َ َ ‫َ ح ُ ح َ َ َ ُ ح‬
‫ َوال ي َزال مع همن ا ه‬،‫«ل هئ كنت كما قلت فكأنما ت هسفهم المل‬
‫هلل ظ ههي علي ههم ما دم‬
ความว่า “หากท่านเป็ นอย่างที่ท่านพูด ก็เหมือนว่าท่านได้ ทาให้ พวกเขาลดเกียรติของพวกเขา
เองประหนึง่ ว่าให้ พวกเขากินขี ้เถ้ าร้ อน และจะมีผ้ คู อยช่วยเหลือสนับสนุน จากอัลลอฮฺคงอยู่กบั
ท่าน ตราบที่ทา่ นยังคงรักษาสิ่งนันไว้
้ ” (บันทึกโดยมุสลิม 2558, อะห์มดั 2/412)

หากแม้ นว่า ไม่มีบุญใดอีกสาหรับผู้ที่เชื่อมสัมพันธ์ กับเครื อญาติ นอกจากผลบุญที่อลั ลอฮฺจะทรง


เชื่อมสัมพันธ์ กบั เขาทังในโลกนี
้ ้และโลกหน้ า ด้ วยการประทานความเมตตาของพระองค์ ทรงทาให้ การงาน
ของเขาง่ายดาย ทรงปลดเปลื ้องทุกข์โศกจากเขา นัน่ ก็ยอ่ มมากมายเพียงพอแล้ ว
แต่ทว่าในความเป็ นจริ ง ยังมีคณ
ุ ค่าอื่นมากกว่านันอี
้ ก เพราะการเชื่อมสัมพันธ์ ญาติมิตรจะทาให้
ครอบครัวยิ่งใกล้ ชิด เกิดความรัก ความเอื อ้ อาทรซึ่งกันและกัน มีจิตใจที่จะช่วยเหลือเกือ้ กูลกันในยามตก
ทุกข์ได้ ยาก และรอยยิ ้มแห่งความสุขจะปรากฏขึน้ ยามที่เราได้ ได้ เชื่อมไมตรี ประโยชน์ที่กล่าวมาทัง้ หมด
ข้ างต้ นจะกลายเป็ นตาลปั ตร หากเราแทนที่การเชื่อมสัมพันธ์ในหมู่เครื อญาติด้วยการตัดญาติขาดมิตร ซึ่ง
จะส่งผลให้ เราเกิดความห่างเหินมากยิ่งขึ ้น
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 25 

หก สิทธิของสามีภรรยา

การแต่งงานก่อให้ เกิ ดผลพวงที่ส าคัญ และหน้ าที่ อันยิ่งใหญ่ เพราะการแต่งงานเป็ นการผูกสาย


สัมพันธ์ ระหว่างสามีกับภรรยา ซึ่งแต่ละฝ่ ายจาเป็ นต้ องมอบสิทธิแก่อีกฝ่ ายหนึ่ง ทังสิ
้ ทธิด้านร่างกาย สิทธิ
ด้ านสังคม และสิทธิด้านทรัพย์สิน
ดังนัน้ ทังสามี
้ และภรรยาจึงจาเป็ นต้ องใช้ ชีวิตร่วมกันด้ วยดี และต้ องทุ่มเทในสิทธิที่จาเป็ นต้ องมอบ
ให้ กับอีกฝ่ ายด้ วยความเต็ม ใจและยินดี โดยปราศจากการฝื นใจ ไม่จริ งจัง และฉาบฉวยในสิ่งที่ได้ ทุ่มเท
ให้ แก่อีกฝ่ าย อัลลอฮฺตรัสว่า
‫ه ه‬
]٢٩ : ‫وف﴾ [النساء‬ ََ ‫ِشوه‬
َ ِّ ‫نَبِّٱلمع هر‬ ِّ ‫﴿وَع‬
ความว่า “และจงคลุกคลีกบั บรรดาภรรยาของพวกเจ้ าด้ วยดี” (อัน-นิสาอ์ : 19)

พระองค์ยงั ตรัสอีกว่า
َ ‫ه َ ه‬
ََ ‫ِّلرجا َِّلَعلي ِّه‬
]١١٧ :‫نَدرجةََ﴾ [ابلقرة‬ ِّ ‫وفَول‬ ََ ‫لَٱذلِّيَعلي ِّه‬
َ ِّ ‫نَبِّٱلمع هر‬ َ ‫نَمِّث‬
َ ‫﴿وله‬
ความว่า“ และบรรดาภรรยาก็ควรได้ รับสิทธิอันชอบธรรม เช่นเดียวกับที่พวกนางต้ องปฏิบตั ิ
หน้ าที่ตอ่ สามีของพวกนาง และสาหรับบรรดาสามีจะมีความประเสริ ฐเหนือกว่าบรรดาภรรยา
หนึ่งขัน้ (นั่นคือสิ ทธิ การเป็ นผู้ปกครองและต้ องได้ รับการเชื่ อฟั งจากภรรยา)” (อัล-บะเกาะ
เราะฮฺ : 228)

ขณะเดียวกันภรรยาก็จาเป็ นต้ องทุ่มเทให้ กับสามีตามเกณฑ์ที่นางจาเป็ นต้ องทุ่มเทให้ กับเขา และ


เมื่อใดก็ตามที่สามีและภรรยาต่างปฏิบตั ิตามสิ่งที่แต่ละฝ่ ายจาเป็ นต้ องปฏิบตั ติ อ่ อี กฝ่ ายหนึ่ง ชีวิตครอบครัว
ของทังสองก็
้ จะพบกับความผาสุกและการครองชีวิตคูร่ ะหว่างทังสองก็้ จะยืนนาน แต่หากไม่เป็ นเช่นนันก็ ้ จะ
เกิดความขัดแย้ งและแตกแยก ทาให้ ชีวิตคูข่ องทังสองฝ่
้ ายต้ องระส่าระสายและไม่เป็ นสุข
มีหลักฐานมากมายที่มาในรูปของคาสัง่ เสียให้ ดแู ลสตรี และให้ คานึงถึงสภาพโดยธรรมชาติของนาง
และการที่จะให้ นางอยู่ในสภาพเพียบพร้ อมสมบูรณ์ทกุ อย่างนันเป็ ้ นสิ่งที่เป็ นไปไม่ได้ ดังคากล่าวของท่านน
บี ศ็อลลัลลออุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
‫ئ َ َ ح َُ َ ح َ َ ح َ ُ ُ ُ َ َ حَُ ح‬ ‫َّ َ ح‬ َ ‫الم حرأَ َة ُخل َق ح‬
َ ‫ فَإ َّن‬،‫استَ حو ُصوا بالنئ َسا هء َخ حيا‬ ‫« ح‬
‫ َو هإن‬،‫َسته‬ ‫ ف هإن ذهبت ت هقيمه ك‬،‫ َو هإن أع َو َج َما هيف الضل هع أعاله‬،‫ت هم حن هضل ٍع‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
‫ئ‬ ‫ فَ ح‬،‫تَ َر حكتَ ُه ل َ حم يَ َز حل أَ حع َو َج‬
»‫استَ حو ُصوا بهالن َسا هء‬
ความว่า “ท่านทัง้ หลายจงปฏิ บตั ิดีต่อเหล่าสตรี เถิด แท้ จริ งสตรี ถูกสร้ างมาจากซี่โครง และ
ซี่โครงส่วนที่คดงอที่สดุ คือส่วนบนสุดของมัน (นัน่ คือสมองหรื อความคิดอ่าน) ดังนัน้ หากท่าน
พยายามจะดัดมันให้ ตรงก็เท่ากับว่าท่านได้ ทาให้ มนั หักสะบันลง้ และหากท่านปล่อยมันไปมัน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 26 
ก็ จ ะยัง คงคดงออยู่เหมื อ นเดิม ดัง นัน้ จึง ขอให้ ท่ านทัง้ หลายปฏิ บัติดี ต่อ บรรดาสตรี เถิ ด ”
(โดยอัล-บุคอรี ย์ 3331, มุสลิม 1468)

ในรายงานอื่นระบุวา่
َ ‫ َوإ حن َذ َهبح‬،‫ت ب َها َوب َها ع َوج‬
َ ‫استَ حمتَ حع‬ َ ‫استَ حمتَ حع‬
‫ت ب َها ح‬ َ َ َ َ َ َ َ َ ‫َّ ح َ ح َ َ ُ َ ح ح َ َ ح َ ح‬
‫ فَإن ح‬،‫يقة‬
‫ت‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ٍ ‫«إهن المرأة خ هلقت همن هضل ٍع لن تست هقيم ل ىلع ط هر‬
ُ َ َ ُ ‫ُ َُ َ َ حََ ََ ح‬
»‫َسها َطالق َها‬ ‫ كَستها وك‬،‫ت هقيمها‬
ความว่า “แท้ จริ งสตรี ถูกสร้ างมาจากซี่โครง นางจะไม่สามารถอยู่บนแนวทางใดแนวทางหนึ่ง
อย่างเที่ยงตรงสาหรับท่านได้ ดังนัน้ หากท่านประสงค์จะแสวงหาความสุขกับนาง ท่านก็จะ
ได้ รับความสุขกับนางขณะที่นางอยู่ในสภาพที่ คดงออยู่ และหากท่านพยายามจะดัดนางให้
ตรงก็เท่ากับว่าท่านได้ ทาให้ นางหักสะบันลง
้ และการหักของนางคือการหย่ากับนาง” (มุสลิม
1468)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


َ ‫ُ ح َ ح َ َ حَ ُ ُ َ َ ح‬ ‫َ َح ح ح‬
»‫ِض همن َها آخ َر‬
‫ إهن ك هره همنها خلقا ر ه‬،‫«ال َف َرك ُمؤ همن مؤ همنة‬
ความว่า “สามีผ้ ศู รัทธาจงอย่าเกลียดภรรยาผู้ศรัทธา หากเขาไม่ชอบนิสยั ที่ไม่ดีบางประการใน
ตัวนาง เขาก็นา่ จะพอใจนิสยั ที่ดีอื่นๆ ในตัวนาง” (มุสลิม 1469)

หะดีษต่างๆ ข้ างต้ นเป็ นการชี ้แนะจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แก่ประชาชาติของท่าน


ว่า ผู้ชายต้ องปฏิบตั ิตอ่ ผู้หญิงอย่างไร และชี ้แนะว่าผู้ชายควรจะรับเอาสิ่งที่สะดวกและเรี ยบง่ายจากผู้หญิง
เนื่องจากธรรมชาติแห่งการสร้ างของผู้หญิ งถูกสร้ างขึ ้นมาในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และไม่ได้ ดีพร้ อมเสียทุก
อย่าง โดยมีความบกพร่ องและคดงออยู่ในตัว และผู้ชายไม่สามารถที่จะแสวงหาความสุขกับนางได้ อย่าง
โล่งใจ นอกจากจะต้ องยอมรับธรรมชาติที่อลั ลอฮฺสร้ างนางมาในแบบดังกล่าวด้ วยเท่านัน้
บทเรี ยนที่ได้ รับจากหะดีษต่างๆ ข้ างต้ น ก็คือ มนุษย์ควรทาการเปรี ยบเทียบและแยกแยะระหว่าง
ความดีงามกับความบกพร่องที่มีอยู่ในตัวผู้หญิง เพราะยามใดที่เขารู้ สึกรังเกียจกับนิสยั ที่ไม่ดีบางประการ
ของนาง เขาก็ลองนานิสยั ที่ไม่ดีดงั กล่าวไปเปรี ยบเทียบกับอีกนิสยั หนึ่งของนางที่เขาพึงพอใจ โดยต้ องไม่
มองนางด้ วยสายตาที่เอือมระอาและเกลียดชังเพียงอย่างเดียว
มีสามีจานวนไม่น้อยอยากได้ ภรรยาที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และดีพร้ อม ซึ่งเป็ นสิ่งที่เป็ นไม่ได้ ดังนัน้
บรรดาสามีเหล่านันจึ ้ งตกอยูใ่ นห้ วงแห่งความทุกข์และกระวนกระวาย และไม่สามารถที่จะแสวงหาความสุข
และอยู่ร่วมกับภรรยาของพวกเขาได้ อย่างสบายใจ และบางครัง้ ก็อาจจะเป็ นเหตุนาไปสู่การหย่าร้ างกัน ดัง
คากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่วา่
ُ َ َ ُ ‫َ ح َ َح َ ُ َُ َ َ حََ ََ ح‬
»‫َسها َطالق َها‬ ‫ كَستها وك‬،‫و هإن ذهبت ت هقيمها‬...«
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 27 
ความว่า“ และหากท่านพยายามจะดัดนางให้ ตรง ก็เท่ากับว่าท่านได้ ทาให้ นางหักสะบันลง

และการหักนางก็คือการหย่ากับนางนัน่ เอง” (มุสลิม 1468)

ดังนัน้ สามีจงึ ควรมีความออมชอม อะลุ่มอล่วย ทาเป็ นเพิกเฉยและปล่อยวางบ้ างในทุกการกระทา


ของภรรยา หากว่าการกระทาเหล่านัน้ ของพวกนางไม่ได้ ก่อให้ เกิดความเสื่ อมเสียต่อศาสนาหรื อเกี ยรติ
ศักดิศ์ รี
ส่วนหนึ่งของสิ ท ธิ ที่ ส ามี พึ งปฏิ บัติต่อ ภรรยาคื อ การแสวงหาปั จ จัยยัง ชี พ แก่ภ รรยา ทัง้ อาหาร
เครื่ องดื่ม เครื่ องนุง่ ห่ม ที่อยูอ่ าศัย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้ อง เนื่องจากคาตรัสของอัลลอฮฺที่วา่
‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
ََ ‫نَووُك ِّسوت هه‬
َ ِّ ‫نَبِّٱلمع هر‬
]١٣٣ :‫وفَ﴾ [ابلقرة‬ ََ ‫﴿وَعََٱلمولودََِّ هلۥَرِّزق هه‬
ความว่า“ และหน้ าที่ของสามีผ้ เู ป็ นพ่อเด็ก คือการหาปั จจัยยังชีพและเครื่ องนุ่งห่มให้ แก่บรรดา
ภรรยาอย่างชอบธรรม” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 233)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


‫حَ ح‬ ُُ ‫ح‬ ُ ُ ‫َُ َ َح ُ ح ح‬
‫« َوله َّن عليكم هرزقه َّن َو هكس َوته َّن بهالمع ُر ه‬
»‫وف‬
ความว่า“ และหน้ าที่ของพวกท่านที่พึงปฏิบตั ิต่อบรรดาภรรยาของพวกท่าน คือการหาปั จจัย
ยังชีพ และเครื่ องนุง่ ห่มให้ แก่พวกนางอย่างชอบธรรม” (มุสลิม 2137)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกถามว่า" อะไรคือสิทธิที่ภรรยาของคนใดคนหนึ่งในหมู่พวก


เราพึงได้ รับ "?ท่านตอบว่า
‫ج حر إ َّال يف ح َ ح‬
ُ ‫حَ ح َ ََ ُ َ ئ ح ََ َ ح‬ ‫َ ح ُح ََ َ َ ح َ ََ ح ُ َ َ َ حَ َ ح َ ََ َ ح‬
»‫ت‬
‫ابلي ه‬ ‫ وال ته ه ه‬،‫ وال تقبح‬،‫ْض هب الوجه‬ ‫ وال ت ه‬،‫ وتكسوها هإذا اكتسيت‬،‫«أن تط هعمها هإذا ط هعمت‬
ความว่า“ ท่านจะต้ องให้ อาหารแก่นางเมื่อท่านทานอาหาร ให้ เครื่ องนุ่มห่มแก่นางเมื่อท่าน
สวมใส่เครื่ องนุ่งห่ม จงอย่าตบหน้ านาง อย่าด่าทอหรื อพูด จาหยาบคายกับ นาง และอย่า
ลงโทษด้ วยการปลีกตัวจากนางนอกจากให้ ทาแค่ในบ้ านเท่านัน้ (หมายถึงไม่ลงโทษด้ วยการ
หนีจากนางออกไปนอกบ้ าน)” (อบู ดาวูด 1850)

อีกส่วนหนึ่งของสิทธิที่สามีพึงปฏิบตั ิต่อภรรยาคือ สามีต้องปฏิบตั ิอย่างเป็ นธรรมระหว่างบรรดา


ภรรยาทังหลายของเขา
้ หากว่าเขามีภรรยามากกว่าหนึง่ คน โดยสามีต้องปฏิบตั ิอย่างเป็ นธรรมในด้ านปั จจัย
ยังชีพ ที่อยู่อาศัย การร่วมหลับนอน และทุกๆ สิ่งที่สามารถสร้ างความเป็ นธรรมให้ กบั บรรดาภรรยาทังสอง

คน เพราะการเอนเอียงไปทางภรรยาคนใดคนหนึ่งถือว่าเป็ นบาปใหญ่ประการหนึง่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ُ َ َ‫اء يَ حو َم الحقي‬ ُ َ ‫َ ح َ َ ح َُ ح َََ َ َ َ َ ح‬
»‫ َو هشقه َمائهل‬،‫ام هة‬ ‫ه‬ َ ‫ َج‬،‫اه َما‬ ‫ان فمال هإل هإحد‬
‫«من كنت هل امرأت ه‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 28 
ความว่า“ ผู้ใดมีภรรยาสองคน แล้ วเขาปฏิบตั ดิ ้ วยการเอนเอียงไปทางภรรยาคนใดคนหนึง่ เขา
จะปรากฏในวัน กิ ย ามะฮฺ ในสภาพที่ เอี ยงข้ าง” (อบู ดาวูด 2133, อัต-ติรมิ ซี ย์ 1141, อิบ นุ
มาญะฮฺ 1969)

อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่สามีไม่สามารถให้ ความเท่าเทียมกันแก่ภรรยาทังสองได้


้ อาทิ ความรู้สกึ รัก
ความเอ็นดู และความสบายใจ เป็ นต้ น ก็ไม่ถือว่าสามีมีบาปความผิดแต่ประการใด เพราะสิ่งดังกล่าวอยู่
นอกเหนือความสามารถของเขา อัลลอฮฺตรัสว่าٔ
‫ه‬
]٢١٩ : ‫يعواََأنَتعدِّلواََبيََٱلن ِّساءََِّولوََحرص هتمََ﴾ [النساء‬
‫﴿َولنَتستط ه‬
ِّ
ความว่า“ และพวกเจ้ าจะไม่สามารถให้ ความยุตธิ รรม) ในด้ านความรักและความรู้สกึ เอนเอียง
ของจิ ตใจ (ระหว่างบรรดาภรรยาของพวกเจ้ าได้ เลย ไม่ว่าพวกเจ้ าจะพยายามขนาดไหนก็
ตาม” (อัน-นิสาอ์ : 129)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะแบ่งเวรระหว่างบรรดาภรรยาของท่านด้ วยความยุติธรรม


แล้ วท่านจะก็ขอดุอาอ์ตอ่ อัลลอฮฺวา่
ُ ‫َ َ ُ َ َح‬ َُ ََ ُ ‫َ َح‬ َ َ
» ‫ َوال أم هل‬، ‫يما ت حم هل‬ ‫ فال تل حم هِن هف‬، ‫يما أم هل‬ ‫«امهلل ه هذا ق حس هِم هف‬
ความว่า“ โอ้ อลั ลอฮฺ นี่คือการแบ่งเวรของฉันซึง่ เป็ นสิ่งที่ฉนั ครอบครองและสามารถควบคุมได้
ดังนัน้ ขอพระองค์โปรดอย่าได้ ตาหนิฉันในสิ่งที่พระองค์ทรงครอบครองแต่ฉันไม่ได้ ครอบครอง
มัน (หมายถึงความรู้ สึกรักและเสน่หาระหว่างภรรยา)” (อบู ดาวูด 2134, อัต-ติรมิซีย์ 1140,
อิบนุ มาญะฮฺ 1971)

แต่ถ้าหากว่ามีความเหลื่อมล ้าในการไปอยูก่ บั ภรรยาคนใดคนหนึ่ง โดยที่ภรรยาคนอื่นยินยอม ก็ถือ


ว่าเป็ นที่อนุญาต ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ แบ่งเวรอยู่กับท่านหญิ งอาอิชะฮฺโดยผนวก
รวมกับเวรของท่านหญิ งเสาดะฮฺ หลังจากที่นางได้ มอบเวรของนางให้ แก่อาอิชะฮฺ และในช่วงที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ป่ วยครัง้ สุดท้ ายก่อนการเสียชีวิต ท่านได้ ถามบรรดาภรรยาของท่านว่า “พรุ่งนี ้
ฉันต้ องไปอยู่บ้านใคร? พรุ่งนี ้ฉันต้ องไปอยู่บ้านใคร?” บรรดาภรรยาของท่านก็ยินยอมให้ ท่านเลือกว่าจะอยู่
บ้ านใคร ซึ่ง ณ ตอนนัน้ ท่านนอนรักษาอาการป่ วยอยู่ที่บ้านอาอิชะฮฺจนกระทั่งท่านเสียชีวิต (อัล -บุคอรี ย์
5217, มุสลิม 2443)

ส่ ว นสิ ท ธิ ข องสามี ที่ ภ รรยาจ าเป็ นต้ อ งปฏิ บัติ ต่ อ เขาถื อ ว่ า ยิ่ ง ใหญ่ ก ว่ า สิ ท ธิ ข องภรรยาที่ ส ามี
จาเป็ นต้ องปฏิบตั ติ อ่ นาง เนื่องจากคาตรัสของอัลลอฮฺที่วา่
َ ‫ه َ ه‬
ََ ‫ِّلرجا َِّلَعلي ِّه‬
]١١٧ :‫نَدرجةََ﴾ [ابلقرة‬ ِّ ‫وفَول‬ ََ ‫لَٱذلِّيَعلي ِّه‬
َ ِّ ‫نَبِّٱلمع هر‬ َ ‫نَمِّث‬
َ ‫﴿وله‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 29 
ความว่า“ และบรรดาภรรยาก็ควรได้ รับสิทธิอันชอบธรรม เช่นเดียวกับที่พวกนางต้ องปฏิบตั ิ
หน้ าที่ตอ่ สามีของพวกนาง และสาหรับบรรดาสามีจะมีความประเสริ ฐเหนือกว่าบรรดาภรรยา
หนึ่งขัน้ (นั่นคือสิ ทธิ การเป็ นผู้ปกครองและต้ องได้ รับการเชื่ อฟั งจากภรรยา)” (อัล-บะเกาะ
เราะฮฺ 228)
ผู้ ชายคื อ ผู้ ที่ ท าหน้ าที่ เ ป็ นผู้ ปกครอง ดู แ ล และเลี ย้ งดู ผ้ ู หญิ ง ด้ วยการแสวงหาสิ่ ง ดี ๆ และ
คุณประโยชน์ตา่ งๆ ให้ แก่นาง ต้ องคอยอบรมและชี ้นานาง ดังคาตรัสของอัลลอฮฺที่วา่
‫ه‬ َ َ ‫ه‬
َ‫الَق َو همونَََعََٱلن ِّساءََِّبِّماَفضلََ ه‬
]٣١ : ‫ٱّللَبعض ههمَََعََبعضََوبِّماََأنفقواََمِّنََأمول ِّ ِّهمََ﴾ [النساء‬ َ ‫ٱلرج‬
ِّ َ﴿
ความว่า “บรรดาบุรุษเพศคือผู้ที่ทาหน้ าที่ เป็ นผู้ปกครองและดูแลเลี ้ยงดูบรรดาสตรี เพศ ด้ วย
ปั จจัยแห่งความสามารถที่อลั ลอฮฺทรงกาหนดให้ บุรุษเพศมีเหนือกว่าสตรี เพศ และเนื่องจาก
บุรุษเพศต้ องใช้ จา่ ยในทรัพย์ของพวกเขา (เพื่อเป็ นปั จจัยยังชีพแก่นาง)” (อัน-นิสาอ์ : 34)

ในจานวนสิทธิของสามีที่ภรรยาจาเป็ นต้ องปฏิบตั ติ อ่ เขาคือ ภรรยาต้ องเชื่อฟั งคาสัง่ ของสามี ยกเว้ น


ในเรื่ องที่เป็ นการฝ่ าฝื นทรยศต่ออัลลอฮฺ ) ซึ่งภรรยาไม่จาเป็ นต้ องเชื่อฟั ง (ต้ องปกป้องสามีในยามลับตาเขา
รวมทังต้้ องดูแลทรัพย์สินของเขาด้ วย แท้ จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ُ ‫ِ ال ح َم حرأَ َة أَ حن ت َ حس‬
»‫ج َد ل ه َز حو هج َها‬
ُ ‫َ َ َح َح ُ َ َ َ َََح‬ ُ ‫«ل َ حو ُكنح‬
‫ت آ همرا أحدا أن يسجد هألح ٍد؛ ألمر‬
ความว่า “หากฉันสามารถสั่ง ให้ ค นหนึ่ง กราบสุญูด ต่อคนหนึ่ง ได้ แน่น อนว่า ฉัน ก็ จ ะสั่ง ให้
ภรรยาสุญดู ต่อสามีของนาง (แต่ท่านไม่ได้ สงั่ เช่นนัน้ เพราะการสุญดู ต่อสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ
เป็ นเรื่ องต้ องห้ ามในอิสลาม)” (อบู ดาวูด 2140, อัต-ติรมิซีย์ 1159)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


‫ُ ح‬ ُ َ َ ‫َ ح ح‬ َ َ ‫َََ ح َ ح َ ح َ َ َ ح‬ َ ُ َ َ ‫َ َ َ َّ ُ ُ ح‬
»‫ ل َعنَت َها ال َمالئهكة َح َّّت تص هب َح‬،‫ فبَاِ غضبَان َعليح َها‬،‫ِج َء‬ ‫الرجل ام َرأته إهل فه َر ه‬
‫اش هه فأبت أن ت ه‬ ‫«إهذا دع‬
ความว่า “เมื่อสามีคนหนึง่ ชวนภรรยามายังที่หลับนอนของเขา แต่ภรรยากลับปฏิเสธไม่ยอมไป
ทาให้ เขานอนทัง้ คืนในสภาพที่โกรธเคือง บรรดามะลาอิกะฮฺ ก็จะสาปแช่ง นางจนถึงรุ่ งเช้ า”
(อัล-บุคอรี ย์ 5193, มุสลิม 1436)

สิทธิของสามีอีกส่วนหนึ่งที่ภรรยาจาเป็ นต้ องปฏิบตั ิตอ่ เขา ก็คือ ภรรยาต้ องไม่ยุ่งอยู่กับงานใดๆ ที่


ทาให้ บกพร่ องต่อการปรนนิบตั ิและให้ ความสุขกับสามีได้ อย่างสมบูรณ์ เต็มที่ ถึงแม้ ว่าจะเป็ นการทาอิบา
ดะฮฺสนุ ตั ก็ตาม เนื่องจากคาสอนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่วา่
‫ح َّ ح‬ َ َ‫َ َح‬ ‫َّ ح‬ َ َ ‫ال ََيل للح َم حرأَة أَ حن تَ ُص‬
َ
»‫ َوال تأذن هيف بَِّ هت هه هإال به هإذنه هه‬،‫وم َو َز حو ُج َها شا ههد هإال به هإذنه هه‬ ‫ه‬ ‫« ه ه‬
ความว่า “ไม่อนุญาตให้ สตรี ผ้ เู ป็ นภรรยาถือศีลอดสุนตั ในขณะที่สามีอยู่กับบ้ านนอก จากจะ
ได้ รับอนุญาตจากสามี และต้ องไม่อนุญาตให้ ผ้ ใู ดเข้ าบ้ านนอกจากจะได้ รับอนุญาตจากสามี
ก่อน” (อัล-บุคอรี ย์ 5195, มุสลิม 1026)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 30 

แท้ จริ ง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ บอกว่า ความพอใจของสามี ที่มี ต่อภรรยา เป็ น
สาเหตุห นึ่ ง ที่ จ ะท าให้ นางได้ เข้ า สวนสวรรค์ ดัง หะดี ษ ที่ บัน ทึ ก โดยอัต -ติ ร มิ ซี ย์ จ ากอุม มุ สะละมะฮฺ
เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮา นางเล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
َ َّ ‫ح‬ َ َ َ َ‫َ َ ح َ َ َ ح َ ُ َ َح‬
»‫ت الَنة‬‫اض دخل ه‬ٍ ‫«أَما ام َرأ ٍة ماتت َوز حوجها ْنها َر‬
ความว่า “ผู้หญิงท่านใดก็ตามที่เสียชีวิตลงในสภาพที่สามีของนางพึงพอใจต่อนาง แน่นอนว่า
นางจะได้ เข้ าสวนสวรรค์” (อัต-ติรมิซีย์ 1161, อิบนุ มาญะฮฺ 1854)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 31 

เจ็ด สิทธิของผู้นาและประชาชน

ผู้นาคือผู้ที่ปกครองดูแลกิจ การต่างๆ ของชาวมุสลิม ไม่ว่าจะเป็ นผู้นาทั่วไป เช่นผู้นาสูงสุดของ


ประเทศ หรื อผู้นาเฉพาะด้ าน เช่นประธานหรื อผู้อานวยการขององค์กรหรื อการงานเฉพาะด้ าน เป็ นต้ น พวก
เขาเหล่านันล้ ้ วนมีสิทธิที่ประชาชนหรื อผู้ที่อยู่ใต้ การปกครองของพวกเขาจาเป็ นต้ องมอบให้ ในทางกลับกัน
ประชาชนก็มีสิทธิอนั ชอบธรรมที่บรรดาผู้นาหรื อผู้บงั คับบัญชาจาเป็ นต้ องมอบให้ เช่นเดียวกัน
สิ ท ธิ ข องพลเมื อ งที่ ผู้ น าจ าเป็ นต้ องมอบให้ คื อ ผู้ น าต้ อ งปฏิ บัติ ต ามอะมานะฮฺ (หน้ าที่
รับผิดชอบ) ที่อลั ลอฮฺทรงมอบให้ และกาชับให้ ปฏิบตั ิ อาทิ ตักเตือนด้ วยความหวังดีอย่างจริงใจต่อประชาชน
ปกครองด้ วยแนวทางที่เที่ยงตรงและสามารถให้ หลักประกันในผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้ รับบนโลกนี ้และ
ในวันอาคิเราะฮฺ ด้ วยการดาเนินตามแนวทางของบรรดาผู้ศรัทธา นัน่ คือแนวทางที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม ได้ ดาเนินไว้ เป็ นแบบอย่าง เพราะการดาเนินตามแนวทางดังกล่าวเท่านันที ้ ่ผ้ นู าจะได้ รับความ
ผาสุก เช่นเดียวกับประชาชนของเขาและทุกคนที่อยู่ภายใต้ การปกครองของเขา ซึ่งเป็ นสิ่งที่สาคัญที่สุด
เพราะด้ วยการปฏิบตั ิดงั กล่าวทาให้ ประชาชนพึงพอใจต่อผู้นาและเกิดความผูกพันระหว่างทังสองฝ่ ้ าย ทา
ให้ ป ระชาชนยอมเชื่ อ ฟั ง ต่อ คาสั่งต่างๆ ของผู้น า และช่วยรักษาอะมานะฮฺ ภ าระหน้ าที่ ในสิ่ง ที่ พ วกเขา
จาเป็ นต้ องเชื่อฟั งและปกป้องผู้นา แท้ จริ ง ผู้ใดยาเกรงอัลลอฮฺ ผู้คนก็จะยาเกรงเขา และผู้ใดทาให้ อลั ลอฮฺ
ทรงพึงพอใจ อัลลอฮฺจะทรงทาให้ เขาได้ รับการช่วยเหลือจากผู้คนและทาให้ พวกเขาพึงพอใจต่อเขา เพราะ
หัวใจของผู้คนอยูใ่ นพระหัตถ์ของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงพลิกผันอย่างไรก็ได้ ตามแต่พระองค์ทรงประสงค์
ส่ วนสิ ทธิ ของผู้ นาที่ พลเมื องจาเป็ นต้ อ งมอบให้ คือให้ คาตักเตือนนะศีหะฮฺหรื อหวังดีอย่าง
บริ สทุ ธิ์ใจแก่เขาในหน้ าที่การปกครอง ช่วยสะกิดเตือนเขาเมื่อเกิดการหลงลืม ขอดุอาอ์ให้ แก่เขาเมื่อเห็นเขา
เบี่ยงเบนออกจากสัจธรรม ปฏิบตั แิ ละเชื่อฟั งตามคาสัง่ ของผู้นาในสิ่งที่ไม่เป็ นการฝ่ าฝื นหรื อทรยศต่ออัลลอ
ฮฺ เพราะการเชื่อฟั งดังกล่าวจะทาให้ เกิดความเข้ มแข็งและความเสถียรของสังคม และการไม่เชื่อฟั งผู้นาจะ
ก่อให้ เกิดความวุ่นวายและสร้ างความเสียหายต่อระบบการปกครอง ด้ วยเหตุนี ้อัลลอฮฺจึงทรงสัง่ ให้ เชื่อฟั ง
พระองค์ เชื่อฟั งท่านเราะสูลลุ ลอฮฺ และเชื่อฟั งผู้นา พระองค์ตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ َ ‫ه‬ َ
‫ّللَوأط ه‬
َ ِّ ‫ِّيعواََٱ َلر هسولََوأو‬
]٦٩ : ‫لَٱلَمَ َِّرَمِّنكمََ﴾ [النساء‬ ‫﴿َيَأ ُيهاَٱذلِّينََءام هنوَاََأط‬
َ ‫ِّيعواََٱ‬
ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟั งอัลลอฮฺ เชื่อฟั งเราะสูลของพระองค์ และเชื่อฟั งผู้นา
ของพวกเจ้ า” (อัน-นิสาอ์ : 59)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


َ َ َ َ َ َ ‫َّ ح ُ َ َّ َ ُ َ َ َ َّ َ َ َ َّ َ ح ُ ح َ َ َ ح َ َ ح ُ َ َ ح َ َ َ َ ح‬ ‫ح‬ ‫َ ح‬
»‫اعة‬ ‫ فال سمع وال ط‬،‫ ف هإن أ همر بهمع هصي ٍة‬،‫ هإال أن يؤمر بهمع هصي ٍة‬،‫« َىلع ال َم حر هء ال ُم حس هل هم السمع والطاعة هفيما أحب وك هره‬
ความว่า “มุสลิม แต่ละคนจาเป็ นต้ องเชื่อฟั งและปฏิบตั ิตามผู้นาในสิ่งที่ ตวั เองพอใจและไม่
พอใจ ยกเว้ นเมื่อถูกสัง่ ใช้ ให้ กระทาในสิ่งที่เป็ นการฝ่ าฝื นคาสัง่ ของอัลลอฮฺ ดังนันเมื
้ ่อเขาถูกสัง่
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 32 
ใช้ ให้ กระทาการฝ่ าฝื นอัลลอฮฺ เขาก็ไม่จาเป็ นต้ องเชื่อฟั งและปฏิบตั ติ ามคาสัง่ นัน”
้ (อัล-บุคอรี ย์
7144, มุสลิม 1839)

ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมรั ฺ กล่าวว่า" ครัง้ หนึ่งเราเคยเดินทางไกลพร้ อมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ


ลัยฮิวะสัลลัม แล้ วเราก็ได้ หยุดพัก ณ ที่พกั แห่งหนึ่ง หลังจากนัน้ ผู้ป่าวประกาศของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้ เรี ยกพวกเราว่า อัศ-เศาะลาตะ ญามิอะฮฺ (ได้ เวลารวมตัวกันละหมาดแล้ ว) พวกเราจึงไป
รวมตัวกันที่ทา่ นนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้ วท่านก็ได้ กล่าวว่า
َّ َ ُ َ ‫َّ ُ َ ح َ ٍّ َ َ َ ُ ُ َّ َ َ َ ًّ َ َ ح َ ح َ ُ َّ ُ َّ َ ُ َ َ َ ح َ َ ح َ ُ ُ َ ُ ح َ ُ ح َ ُ ح َ َّ َ ح‬
‫ َو هإن‬،‫رش َما َعل ُمه ل ُه حم‬ ‫ وين هذرهم‬،‫ي ما َعلمه لهم‬ ‫ُ« هإنه ما همن ن هيب بعثه اهلل هإال ك َن حقا علي هه أن يدل أمته ىلع ُ خ ه‬
َ ‫ح‬ ُ ‫ح‬ ‫ئ‬ َ ‫ح‬ َ َ ‫ح‬ ُ ََ َ َ ُ َ َ ‫َّ َ ُ ح َ ُ َ َ ح‬
‫ ت هِج ُء‬،‫ َوت هِج ُء فهتنة يُ َرق ُق َبعض َها بَعضا‬،‫ك ُرون َها‬ ُ
‫ َوأمور تن ه‬،‫آخ َرها بالء‬
ُ ُ َ َ
‫ َوسي هصيب ه‬،‫أمتكم ه هذهه جعلت ع هفيتها هيف أ َّولهها‬
ََ ‫ح‬ ‫َ َ ح َ َ َّ َ ح ُ َ ح‬ َ َ ‫ح ح ُ َ ُ ُ ح ح‬ َ َ ‫ح‬ َ ‫ح ح ُ َ ُ ُ ح ح‬
‫ار َويُدخل‬ ‫ه‬
َِّ‫ح َز َح َعن ا‬
‫ه‬ ‫ فمن أحب أن يز‬،‫ ه هذهه ه هذهه‬:‫ فيَقول ال ُمؤ هم ُن‬،‫ َوت هِج ُء ال هفتنَة‬،‫ ه هذهه ُمه هلك هِت‬:‫ال هفتنَة فيَقول ال ُمؤ هم ُن‬
‫ََ ح‬ َ َ‫َ ح ح‬ َّ ‫ح‬ ‫ح‬ ‫ح‬
َ
‫ َو َم حن بَاَ َع هإ َماما فأْ َط ُاه‬،‫َيب أن يُؤَت هإيلح هه‬
ُ
‫اذلي ه‬ ‫اس ه‬ ‫اِ ه‬ َّ ‫ َو حيلَأ هِ إ َل‬،‫هلل َو حايلَ حومه حاآل هخر‬
‫ه‬ ‫ا‬ ‫ب‬ ُ ‫ فَلحتَأته َمنَِّّتُ ُه َو ُه َو يُ حؤ هم‬،‫ال َ َّن َة‬
‫ن‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬
َ ‫ح‬ ُ ‫ح ََ َ َ ح َ َ َ ُ َُ ُُ َ ح‬ ُ ‫َ ح َ َ َ َ َ َ َ َ َ ح َ حُ ح‬
»‫ْض ُبوا ْنُ َق اآلخ هر‬‫ازعه فا ه‬ ‫ ف هإن جاء آخر َن ه‬،‫ فلي هطعه هإ هن استطاع‬،‫ وثمرة قل هب هه‬،‫صفقة ي هدهه‬
ความว่า “แท้ จริ งไม่มีนบีท่านใดที่อลั ลอฮฺแต่งตังขึ ้ ้น (ก่อนหน้ าฉัน) นอกจากต้ องทาหน้ าที่ชี ้นา
ประชาชาติของเขาให้ ร้ ูจกั สิ่งที่ดีที่สดุ ตามที่เขาได้ ร้ ูมา และต้ องเตือนพวกเขาจากความชัว่ ร้ ายที่
เลวที่สดุ ตามที่เขาได้ ร้ ูมา และแท้ จริ ง ประชาชาติ ของพวกเจ้ านี ้ถูกกาหนดให้ มีความปลอดภัย
อยูใ่ นช่วงแรกๆ ของประชาชาติ และประชาชาติชว่ งสุดท้ ายจะประสบกับภัยพิบตั ิ และสิ่งต่างๆ
อันเลวร้ ายมากมายที่ พ วกเจ้ าต้ องปฏิ เสธมัน และฟิ ตนะฮฺ ก็จะมา ซึ่งฟิ ตนะฮฺ บางส่วนที่ม า
ภายหลังจะรุนแรงกว่าจนทาให้ ผ้ คู นคิดว่าฟิ ตนะฮฺที่มาก่อนหน้ ามันเบาบางเล็กน้ อยเท่านันเอง ้
พอฟิ ตนะฮฺมา มุสลิมก็จะกล่าวว่า นี่คือหายนะที่เป็ นจุดจบของฉันแล้ วกระมัง (แล้ วฟิ ตนะฮฺนนั ้
ก็หายไป) พอฟิ ตนะฮฺใหม่มา มุสลิมก็จะกล่าวซ ้าเหมือนเดิมว่า ครัง้ นี ้แหละ ครัง้ นี ้แล้ วกระมังที่
จะเป็ นจุดจบของฉัน ดังนัน้ ผู้ใดปรารถนาจะหลีกห่างจากไฟนรกและอยากจะเข้ าสวนสวรรค์
เขาก็จงเตรี ยมพร้ อมพยายามให้ เสียชีวิตในสภาพที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ และจง
ปฏิบตั ิตอ่ คนอื่นเฉกเช่นที่เขาชอบจะให้ คนอื่นปฏิบตั ิตอ่ เขาด้ วย และผู้ใดได้ จบั มือให้ สตั ยาบัน
กับผู้นาคนใดและมีความบริ สุทธิ์ ใจในสัญญา เขาก็จงเชื่ อฟั งเขาเท่าที่สามารถจะทาได้ และ
หากมีผ้ ใู ดขึ ้นประกาศเป็ นผู้นาหรื อคิดแย่งชิงตาแหน่งจากผู้นาที่ได้ รับการให้ สตั ยาบันมา พวก
เจ้ าก็จงต่อสู้ประหัตประหารคนที่มาแย่งอานาจนัน” ้ (มุสลิม 1844)

ชายคนหนึ่งได้ ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า โอ้ ท่านนบีของอัลลอฮฺ ท่านเห็นเป็ น


อย่างไร หากบรรดาผู้นาบังคับและขอให้ เราเติมเต็มในสิทธิของพวกเขา แต่พวกเขากลับปิ ดกันไม่้ ยอมมอบ
สิทธิของพวกเรา ท่านจะสัง่ ให้ เราทาอย่างไร ?แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ตอบ หลังจากนัน้
เขาก็ถามท่านอีกครัง้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงตอบว่า
‫َّ َ َ َ ح ح َ ُ ئ ُ َ َ َ ح ُ ح َ ُ ئ ح‬
»‫حلتُ حم‬ ُ ‫اس َم حعوا َوأَط‬
‫ وعليكم ما‬،‫ فإنما علي ههم ما حلوا‬،‫يعوا‬ ‫« ح‬
‫ه‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 33 
ความว่า “พวกเจ้ าจงเชื่อฟั งและปฏิบตั ิตามพวกเขา เพราะแท้ จริ ง บรรดาผู้นาเหล่านัน้ ต้ อง
รับผิดชอบหน้ าที่ในส่วนที่พวกเขาต้ องปฏิบตั ิ ส่วนพวกเจ้ าก็ต้องแบกรับผิดชอบต่อหน้ าที่ใน
ส่วนที่พวกเจ้ าต้ องปฏิบตั ิ” (มุสลิม 1846)

และส่วนหนึ่งของสิ ท ธิ ที่ผ้ ูนาพึง ได้ รับ จากประชาชน คือ ประชาชนต้ องคอยให้ ความช่วยเหลื อ
สนับสนุนภารกิจและหน้ าที่ของผู้นา ด้ วยการช่วยเหลือผู้นาในการดาเนินกิจการที่พวกเขาได้ รับอะมานะฮฺ
มา และให้ แต่ละคนรู้ จักบทบาทและหน้ าที่ รับผิดชอบในสังคมของตัวเอง จนกระทั่งทุกๆ อย่างสามารถ
ดาเนินไปตามแนวทางที่พึงประสงค์ เพราะหากผู้นาไม่ได้ รับการช่วยเหลือจากประชาชนในภารกิจและ
หน้ าที่รับผิดชอบของพวกเขา ภารกิจของพวกเขาก็จะไม่สามารถดาเนินไปตามแนวทางที่พงึ ประสงค์ได้
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 34 

แปด สิทธิของเพื่อนบ้ าน

เพื่อนบ้ านหมายถึงผู้ที่มีบ้านเรื อนอยู่ใกล้ กบั บ้ านของท่าน เพื่อนบ้ านมีสิทธิที่ควรจะได้ รับจากท่าน


มากมาย ถ้ าเพื่อนบ้ านของท่านมีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติกบั ท่านและเป็ นมุสลิม เขาก็ควรจะได้ รับสิทธิ
สามประการด้ วยกันคือ สิทธิในฐานะเพื่อนบ้ าน สิทธิในฐานะเครื อญาติ และสิทธิในฐานะพี่น้องมุสลิม
ถ้ าเพื่อนบ้ านของท่านเป็ นมุสลิมแต่ไม่ได้ มีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติกับท่าน เขาก็ควรจะได้ รับ
สิทธิสองประการคือ สิทธิในฐานะเพื่อนบ้ าน และสิทธิในฐานะพี่น้องมุสลิมของท่าน
เช่นเดียวกับเพื่อนบ้ านที่มีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติกบั ท่านแต่เขาไม่ใช่มุสลิม เขาก็ควรจะได้ รับ
สิทธิสองประการเหมือนกันคือ สิทธิในฐานะเพื่อนบ้ าน และสิทธิในฐานะเครื อญาติ
ส่วนเพื่อนบ้ านที่ไม่ได้ มีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติกบั ท่านและไม่ใช่มสุ ลิม เขาก็ควรจะได้ รับสิทธิ
เพียงประการเดียว นัน่ คือ สิทธิในฐานะเพื่อนบ้ าน อัลลอฮฺตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬
َِّ ‫ل هن‬
]٣٥ : ‫بَ﴾ [النساء‬ َ‫ارَِّٱ ه‬
َ َ‫ارَِّذِّيَٱلَقرَبََوَٱل‬
َ َ‫ِّيَوَٱل‬
َِّ ‫نَإِّحََٰنَاَوبِّذِّيَٱلَقرَبََوَٱِلَتَمََوَٱلَمَٰك‬
َِّ َ‫﴿و َب ِّٱلَوَ ِّلي‬
ความว่า “และจงทาดีต่อบิดามารดา เครื อญาติที่ใกล้ ชิด เด็กกาพร้ าและผู้ขัดสน และเพื่อน
บ้ านที่มีความสัมพันธ์ทางเครื อญาติและเพื่อนที่ไม่มีสมั พันธ์ทางเครื อญาติ” (อัน-นิสาอ์ : 36)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า


ُُ ُ َّ َ ُ ‫ح َ َ َّ َ َ ح‬ ‫« َما َز َال ج ح ح ُ ُ ح ح‬
»‫ت أنه َسيُ َو ئرثه‬ ‫ار حّت ظنن‬‫ْبيل يو هصي هِن بهال ه‬
‫ه ه‬
ความว่า “ญิ บรี ลคอยสัง่ เสียฉันอยู่เสมอให้ ทาดีตอ่ เพื่อนบ้ าน จนฉันคาดคิดถึงขันว่
้ าเขาจะให้
เพื่อนบ้ านได้ มีสิทธิรับมรดกกันเลยทีเดียว” (อัล-บุคอรี ย์ 6014-6015, มุสลิม 6424-6425)

ดังนัน้ ส่วนหนึ่งของสิทธิที่เพื่อนบ้ านคนหนึ่งพึงจะได้ รับจากเพื่อนบ้ านอีกคนหนึง่ คือ การทาดีตอ่ เขา


ด้ วยสิ่งต่างๆ ที่สามารถกระทาได้ ไม่วา่ จะเป็ นด้ วยทรัพย์สินของเขา ชื่อเสียงหรื อบารมีในสังคม และสิ่งที่เกิด
ประโยชน์ ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
»‫ارهه‬َ ‫يان هعنح َد ا ه َ ح ُ ُ ح‬
َ ُ‫َ ح‬
‫هلل خيهم هل ه‬ ‫ال ه‬‫« خي ه‬
ความว่า “เพื่ อนบ้ านที่ ประเสริ ฐที่ สุดในทัศนะของอัลลอฮฺ คือ เพื่ อนบ้ านที่ ปฏิ บัติดีที่สุดต่อ
เพื่อนบ้ านของเขา” (อัต-ติรมิซีย์ 1944)

ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ กล่าวอีกว่า


َ ‫حس حن إ َل‬‫َحُ ح‬ ‫َ حَح ح‬ ُ ‫َ ح َ َ ُح‬
»‫ارهه‬
‫ه‬ ‫ج‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ي‬ ‫ل‬ ‫ف‬ ‫ر‬
‫ه‬ ‫خ‬
‫ه‬ ‫اآل‬ ‫هلل وايلومه‬
‫«من كن يؤ همن بها ه‬
ความว่า “ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ เขาก็จงทาดีตอ่ เพื่อนบ้ านของเขา” (อัล-บุ
คอรี ย์ 6019, มุสลิม 48)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 35 

และท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ กล่าว (แก่ อบู ซัรฺ) ว่า


َ َ‫َ َ َ ح َ َ َ َ ََ ح ح َ َ َ َ َ َ َ ح ح‬
» ‫يان‬ ‫« هإذا طبخت مرقة فأك هِث ماءها وتعاهد هج‬
ความว่า “โอ้ อบู ซัรฺ เอ๋ย เมื่อท่านต้ มน ้าแกงท่านจงเติมน ้าให้ มาก และจงแบ่งปั นให้ กบั เพื่อน
บ้ านของท่านด้ วย” (มุสลิม 2625)

ในจานวนวิธีการทาดีต่อเพื่อนบ้ านคือ การมอบของขวัญให้ แก่เขาตามโอกาสและเทศกาลต่างๆ


เพราะของขวัญเป็ นการเสริ มสร้ างความรักใคร่ให้ แน่นแฟ้นยิ่งขึ ้น และขจัดความรู้สึกบาดหมางและเป็ นศัตรู
กัน
และส่วนหนึง่ ของสิทธิที่เพื่อนบ้ านพึงปฏิบตั ิตอ่ เพื่อนบ้ านของเขาก็คือ การระงับจากการสร้ างความ
เดือดร้ อนแก่เขาทังในแง่
้ คาพูดและการกระทา ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
َُ ُ ‫اذلي َال يَأ ح َم ُن َج‬
»‫ارهُ بَ َوائهقه‬
َّ َ َ َ ‫َ َّ َ ُ ح ُ َ َّ َ ُ ح ُ َ َّ َ ُ ح ُ ح َ َ ح َ َ ُ ح‬
‫ ه‬:‫هلل ؟ قال‬
‫ من يا رسول ا ه‬:‫ هقيل‬،‫اّلل ال يؤ همن‬
‫ و ه‬،‫اّلل ال يؤ همن‬
‫ و ه‬،‫اّلل ال يؤ همن‬
‫«و ه‬
ความว่า “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขายังไม่เป็ นผู้ศรัทธา เขายังไม่เป็ นผู้ศรัทธา เขายังไม่
เป็ นผู้ศรัทธา” มีคนถามว่า ผู้ใดหรื อโอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ? ท่านตอบว่า “คนที่เพื่อนบ้ านของ
เขาไม่ปลอดภัยจากการอธรรมและความเลวของเขา” (อัล-บุคอรี ย์ 6016)

ในอีกรายงานหนึง่ ท่านกล่าวว่า
َُ ُ ‫ال َ َّن َة َم حن َال يَأح َم ُن َج‬
»‫ارهُ بَ َوائهقه‬
‫َ َح ُ ُ ح‬
‫«ال يدخل‬
ความว่า “จะไม่ได้ เข้ าสวรรค์สาหรับผู้ที่เพื่อนบ้ านของเขาไม่ปลอดภัยจากการอธรรมและความ
เลวของเขา” (มุสลิม 46)

มีผ้ คู นจานวนมากในปั จจุบนั ที่ไม่คอ่ ยให้ ความสาคัญกับสิทธิของเพื่อนบ้ าน และเพื่อนบ้ านของเขา


ไม่ป ลอดภัย จากความเลวทรามของพวกเขา ท่านจะพบว่าพวกเขาชอบที่ จ ะโต้ เถี ย งกับ เพื่ อ นบ้ า นอยู่
ตลอดเวลา ชอบทะเลาะ ล่วงละเมิดสิทธิ และสร้ างความเดือดร้ อนให้ แก่เพื่อนบ้ าน ทังด้ ้ วยคาพูดและการ
กระทา ทังหมดนั
้ นล้
้ วนเป็ นการปฏิบตั ิที่ค้านกับคาสัง่ ใช้ ของอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และเป็ นการ
กระทาที่ก่อให้ เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม ทาให้ จิตใจของพวกเขาเหินห่างกัน และไม่ให้ เกียรติซงึ่ กัน
และกัน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 36 

เก้ า สิทธิของมุสลิมทั่วไป

มีสิทธิจานวนมากมายที่มสุ ลิมแต่ละคนพึงปฏิบตั ิตอ่ พี่น้องมุสลิมของเขา ส่วนหนึง่ ของสิทธิเหล่านัน้


คือ คากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ตามที่มีระบุในหะดีษเศาะฮีหฺวา่
َ َ ُ َ ‫ٌّ َ َ َ ُ َ َ ئ ح َ َ ح َ َ َ َ َ َ َ ح ُ َ َ ح َ ح َ َ َ َ ح َ ح‬ ‫َ ح‬ ‫ح‬
‫ َوإهذا ْ َط َس‬،‫هل‬ ‫ و هإذا استنصح فانصح‬،‫ و هإذا دعك فأ هجبه‬،‫ هإذا ل هقيته فسلم علي هه‬:‫« َحق ال ُم حس هل هم َىلع ال ُم حس هل هم هست‬
ُ ‫َ َ َّ ح‬ َ ‫َ َ ح‬ َ ُ‫َ َ َ َ َ َ ح‬
»‫ َوإهذا َم هرض ف ُعد ُه َوإهذا َماِ فات هبعه‬،‫اهلل فش ئمته‬ ‫فح همد‬
ความว่า “สิ ทธิ ของมุส ลิม ที่ พึงปฏิ บัติต่อมุสลิม มี หกประการ คือ เมื่ อท่านพบเขาท่านจงให้
สลามแก่เขา เมื่อเขาเชิญ ชวนท่าน ท่านก็จงตอบรับคาเชิญของเขา เมื่อเขาขอคาชีแ้ นะและ
ตักเตือนจากท่าน ท่านก็จงให้ คาชี ้แนะและตักเตือนเขา เมื่อเขาจามและกล่าวสรรเสริ ญอัลลอ
ฮฺ ท่านก็จงขอดุอาอ์ให้ แก่เขา เมื่อเขาเจ็บป่ วยท่านก็จงไปเยี่ยมเยียนเขา และเมื่อเขาเสียชีวิต
ท่านก็จ งติดตามส่งศพ/ญะนาซะฮฺของเขา” (มุสลิม 2162, อัล -บุคอรี ย์ 1240 ด้ วยสานวนที่
ใกล้ เคียงกัน โดยระบุวา่ มีห้าประการ)

หะดีษข้ างต้ นได้ ชี ้แจงถึงสิทธิตา่ งๆ ที่มสุ ลิมคนหนึง่ พึงปฏิบตั ติ อ่ พี่น้องมุสลิม ดังนี ้

สิทธิท่ ีหนึ่ง : การให้ สลาม การให้ สลามเป็ น สุนนะฮฺ มุอักกะดะฮฺ (สุนนะฮฺที่เน้ นย ้าให้ ปฏิบตั ิ)
เพราะสลามเป็ นสาเหตุห นึ่ง ที่ จ ะท าให้ ช าวมุส ลิ ม รู้ สึ ก รั ก ใคร่ แ ละห่ ว งใยกัน ดัง ค ากล่า วของท่ านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่วา่
َ َّ ُ ‫َََ َُ ُ ح ََ َ ح َ َ َ حُ ُ ُ َ ح َح‬ َ ‫َ ُح‬ ‫ُح‬ َ َّ ‫ح‬ ُ ُ ‫َ َح‬
‫السال َم‬ ‫وه َتَابَبتُ حم ؟ أفشوا‬ ‫ أوال أدلكم ىلع َش ٍء إهذا فعلتم‬،‫ َوال تؤ همنُوا َح َّّت َتَابوا‬،‫«ال تدخل حوا الَنة َح َّّت تؤ همنُوا‬
ُ ‫ح‬
»‫بَِّنَك حم‬
ความว่า “พวกท่านจะไม่สามารถสวรรค์ได้ จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่
ศรัทธาอย่างแท้ จริ งจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่กัน เอาไหม ฉันจะบอกสิ่งหนึ่งแก่พวกท่าน เมื่อ
พวกท่านปฏิบตั ิแล้ วก็จะเกิดความรักใคร่ในหมู่ของพวกท่าน? นัน่ คือ จงโปรยสลามให้ แก่กัน
ระหว่างพวกท่าน” (มุสลิม 54)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะให้ สลามก่อนแก่ผ้ ทู ี่ทา่ นพบเจอเสมอ และท่านจะให้ สลาม


แก่เด็กๆ เมื่อยามที่ทา่ นเดินผ่านพวกเขาด้ วย
สุนนะฮฺให้ ผ้ ูน้อยหรื อเด็กเริ่ มให้ สลามแก่ผ้ ูใหญ่หรื อผู้อาวุโสกว่าก่อน กลุ่มที่มีจานวนน้ อยกว่าให้
สลามแก่กลุ่มที่มีจานวนมากกว่า และผู้ที่อยู่บนพาหนะให้ สลามแก่ผ้ ูที่กาลังเดิน แต่หากว่าผู้ที่สมควรให้
สลามก่อนตามสุนนะฮฺที่ได้ กล่าวมาข้ างต้ นไม่เริ่มให้ สลามก่อน ก็ให้ อีกฝ่ ายหนึ่งให้ สลามก่อนแทน เพื่อไม่ให้
ขาดการให้ สลาม ดังนัน้ เมื่อผู้น้อยหรื อเด็กไม่เริ่มให้ สลามแก่ผ้ ใู หญ่หรื อผู้อาวุโสกว่า ก็ให้ ผ้ ใู หญ่หรื อผู้อาวุโส
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 37 
กว่าเริ่ มให้ สลามแก่เด็กหรื อผู้น้อยแทน และเมื่อกลุ่มที่มีจานวนน้ อยกว่าไม่เริ่ มให้ สลามแก่กลุ่มที่มีจานวน
มากกว่า ก็ให้ กลุ่มที่มีจานวนมากกว่าเริ่ มให้ สลามแก่กลุ่มที่มีจานวนน้ อยกว่าแทน เพื่อให้ ได้ รับผลบุญของ
การให้ และรับสลาม
ท่านอัมมารฺ บิน ยาสิรฺ เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮุมา กล่าวว่า
ُ َ ‫ح َ ُ ح َ ح َ َ َ ح ُ َّ َ ح َ َ َ ح‬
َ ‫اق م َن ح‬ َ َ َ َ َ ‫َ َ َ ح َ َ َ ُ َّ َ َ ح‬
»‫ار‬
‫اإلقت ه‬
‫ه‬ ‫اإلنف ه‬‫ و ه‬،‫ وبذل السالمه لهلعال هم‬، ‫اإلنصاف همن نف هس‬
‫ ه‬:‫اإليمان‬
‫«ثالث من مجعهن فقد مجع ه‬
ความว่า “มี สามสิ่ งที่ ผ้ ูใดสามารถรวบรวมไว้ กับตัวแสดงว่าเขาได้ รวบรวมอีม านหรื อความ
ศรัทธาไว้ แล้ ว นัน่ คือ มีจิตใจที่เที่ยงธรรมต่อผู้อื่น โปรยสลามให้ แก่ผ้ คู น (ทังที
้ ่ร้ ูจกั และไม่ร้ ูจกั )
และการใช้ จา่ ยหรื อการบริจาคทรัพย์สินในช่วงที่ขดั สน” (อัล-บุคอรี ย์ 8)

การเริ่ ม ให้ สลามเป็ นสุ น นะฮฺ ที่ ถู ก ส่ ง เสริ ม ในขณะที่ ก ารตอบสลามนั น้ เป็ น ฟั ร ฎู กิ ฟ ายะฮฺ
(จาเป็ นต้ องปฏิบตั ิโดยภาพรวม) เมื่อผู้คนจานวนหนึ่งในกลุ่มเดียวกันได้ ปฏิบตั ิก็ถือว่าเพียงพอแล้ วสาหรับ
ทุกคน ดังนัน้ เมื่อมีการให้ สลามต่อกลุม่ ชนจานวนหนึง่ แล้ วมีคนใดคนหนึ่งในจานวนพวกเขาได้ ตอบสลามก็
ถือว่าเพียงพอและใช้ ได้ แล้ วสาหรับทุกคน อัลลอฮฺตรัสว่า
ُ ‫ه ه‬
]٧٥ : ‫ح َيةََفح ُيواََبِّأحَسنََمِّنَهاََأوََ هردوهاََ﴾ [النساء‬
ِّ ‫﴿َِإَوذاَحيِّيتمَبِّت‬
ความว่า “และเมื่อมีคนกล่าวสลามแก่พวกเจ้ า (อัสลามุอะลัยกุม) พวกเจ้ าจงตอบสลามเขา
ด้ วยสลามที่ดีกว่า (วะอะลัยกุมุส สลาม วะเราะหฺมะตุลลอฮฺ) หรื อตอบกลับเท่ากับสลามที่เขา
กล่าวมา (วะอะลัยกุมสุ สลาม)” (อัน-นิสาอ์ : 86)

ดังนัน้ การตอบสลามด้ วยคาว่า ยินดีต้อนรับ (อะฮฺลัน วะ สะฮฺลัน)เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ


เพราะคากล่าวดังกล่าวไม่ใช่การตอบสลามที่ดีกว่าหรื อเท่าเทียมกัน เพราะฉะนัน้ เมื่อมีคนให้ สลามท่านว่า
อัสลามุอะลัยกุม ท่านก็จงตอบเขาว่า วะอะลัยกุมสุ สลาม และเมื่อมีคนทักท่านว่า อะฮฺลนั ท่านก็จงทักตอบ
ว่า อะฮฺลนั ให้ เหมือนกับเขา และหากมีการกล่าวสานวนเพิ่มเติมก็จะเป็ นการประเสริฐกว่า

สิทธิท่ สี อง : เมื่อมุสลิมคนหนึ่งเชิญชวนท่ าน ท่ านก็จงรับคาเชิญของเขา


หมายความว่า เมื่อมีพี่น้องมุสลิมเชิญท่านไปยังบ้ านของเขาเพื่อรับประทานอาหารหรื อทาธุระอื่นๆ
ท่านก็จงตอบรับคาเชิญของเขา
การตอบรับคาเชิญเป็ น สุนนะฮฺ มุอักกะดะฮฺ (เน้ นให้ กระทา) เนื่องจากการตอบรับดังกล่าวจะช่วย
โอบอุ้มหัวใจของผู้เชิญ (ไม่ให้ เสียความรู้สกึ ) และทาให้ เกิดความรักใคร่สนิทสนมกัน
ในขณะที่การตอบรับการเชิญชวนสูง่ านแต่งงาน (วะลีมะฮฺ) นันเป็ ้ นสิ่งที่วาญิบ ด้ วยเงื่อนไขที่เป็ นที่
ทราบกัน เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ُ َ ‫اهلل َو َر ُس‬
»‫وهل‬ َّ ‫« َو َم حن ل َ حم ُُيب‬
َ ‫ َف َق حد َع ََص‬،‫ال حع َو َة‬
‫ه ه‬
ความว่า “และผู้ใดไม่ตอบรับคาเชิญ แท้ จริ ง เขาได้ ฝ่าฝื นต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์
แล้ ว” (มุสลิม 1432, อัล-บุคอรี ย์ 5177 ด้ วยความหมายที่ใกล้ เคียง)
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 38 

เป็ นไปได้ ว่า คากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า “เมื่อเขาเชิญชวนท่าน ท่านก็


จงตอบรับคาเชิญของเขา” นัน้ ครอบคลุมแม้ กระทัง่ การเชิญเพื่อให้ ไปช่วยเหลือเขาด้ วย เพราะท่านถูกสัง่ ให้
ตอบรับคาเชิญของเขา ดังนัน้ เมื่อมีคนเรี ยกและเชิญชวนท่านให้ ไปช่วยเขาแบกหรื อยกสิ่งใดสิ่งหนึง่ หรื อทิ ้ง/
วางสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรื ออื่นๆ ท่านก็จาเป็ นต้ องไปช่วยเหลือเขา เพราะท่านถูกสั่งให้ ปฏิบตั ิเช่นนัน้ ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
‫ُ ح ُ ح‬
»‫ان يَشد َبع ُضه َبعضا‬َ‫َ حُ ح‬ ‫ُح ُ حُح‬
‫«المؤ همن لهلمؤ هم هن كبلني ه‬
ความว่า “หน้ าที่ของผู้ศรัทธาคนหนึ่งที่มีตอ่ ผู้ศรัทธาอีกคนหนึ่งเป็ นดัง่ อาคารหนึ่งที่แต่ละส่วน
ของอาคารต่างยึดเหนี่ยวซึง่ กันและกัน” (อัล-บุคอรี ย์ 2446, มุสลิม 2585)

สิทธิท่ ีสาม : เมื่อมุสลิมคนหนึ่งขอคาชีแ้ นะและตักเตือนจากท่ าน ท่ านก็จงให้ คาชีแ้ นะแก่


เขา
หมายความว่า เมื่อมุสลิมคนหนึง่ มาหาเพื่อขอให้ ทา่ นช่วยตักเตือนและชี ้แนะแก่เขา ท่านก็จงชี ้แนะ
และให้ คาตักเตือนแก่เขา เพราะการตักเตือนเป็ นส่วนหนึ่งของศาสนา ดังคากล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะสัลลัม
َ َّ ُ َ
»‫ني َو َع َّم هت هه حم‬
َ ‫الم حسلم‬
‫هه‬
ُ ‫ألئ َّمة‬
‫وهل َو ه ه ه‬
ُ
‫ّلل َول ه َرس ه ه‬ َّ ُ ‫ئ‬
‫ ه ه‬:‫«الين اِ هصيحة‬
ความว่า “ศาสนาคื อ นะศี ห ะฮฺ (การชี แ้ นะ การปรารถนาดี ) ต่อ อัล ลอฮฺ ต่อ ศาสนทูต ของ
พระองค์ ต่อบรรดาผู้นาของชาวมุสลิม และต่อชาวมุสลิมทุกคน” (อัล-บุคอรี ย์ 35, มุสลิม 55)

แต่หากเขาไม่มาขอคาตักเตือนและคาชี ้แนะจากท่าน และท่านทราบว่าเขาจะต้ องพบกับอันตราย


หรื อเขาจะไปทาความผิด ท่านก็จาเป็ น (วาญิ บ) ต้ องให้ คาตักเตือนและชี ้แนะเขา และถือว่าเป็ นหน้ าที่รับ
ของท่านถึงแม้ ว่าเขาจะไม่ได้ ม าขอคาตักเตือนจากท่านก็ ตาม เพราะการตักเตือนดังกล่าวเป็ นการขจัด
อันตรายและสิ่งที่ไม่ดีงามอย่างหนึ่งจากพี่น้องชาวมุสลิม แต่ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาจะกระทาไม่ได้ ก่อให้ เกิด
อันตรายหรื อความผิดบาป และท่านเห็นว่าการกระทาดังกล่าวน่าจะเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นมากกว่าเขา
ท่านก็ไม่จาเป็ นต้ องกล่าวนะศีหะฮฺใดๆ แก่เขา เว้ นแต่ว่าเขาจะขอมาขอคาชี ้แนะจากท่าน เมื่อถึงเวลานัน้
ท่านจึงจาเป็ นต้ องชี ้แนะและตักเตือนเขา

สิทธิท่ สี ่ ี : เมื่อมุสลิมคนหนึ่งจามและกล่ าวสรรเสริญอัลลอฮฺ ท่ านก็จงขอดุอาอ์ ให้ แก่ เขา


ُ ‫ح ح‬
หมายความว่า เมื่อมุสลิมคนหนึ่งจามและกล่าวสรรเสริ ญอัลลอฮฺว่า “‫هلل‬ ‫ احلَمد ه‬- อัลหัมดุลิลลาฮฺ ”
ُ َ ‫ح‬
(หมายถึง มวลการสรรเสริ ญเป็ นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺ) ท่านก็จงกล่าวแก่เขาว่า “‫اهلل‬ ُ َ ‫ – يَ حر‬ยัรหะมุกล
ั ลอฮฺ”
(หมายถึง ขออัลลอฮฺโปรดประทานความเมตตาแก่ท่าน) เพื่อเป็ นการขอบคุณแก่เขาที่ได้ กล่าวสรรเสริญพระ
ผู้อภิบาลของเขาขณะจาม แต่หากเขาจามแล้ วไม่ได้ กล่าวสรรเสริ ญอัลลอฮฺ เขาไม่มีสิทธิที่จะได้ รับดุอาอ์นี ้
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 39 
ดังนันจึ
้ งไม่จาเป็ นต้ องขอดุอาอ์ให้ แก่เขา เพราะในเมื่อเขาไม่ได้ กล่าวคาสรรเสริ ญต่ออัลลอฮฺ ผลตอบแทน
ของเขาก็คือ การไม่สมควรที่จะได้ รับดุอาอ์ดงั กล่าว
การขอดุอาอ์ให้ แก่ผ้ จู ามเมื่อเขาได้ กล่าวสรรเสริ ญอัลลอฮฺเป็ นสิ่งที่วาญิ บ และผู้จามก็จาเป็ น (วา
ُ َ َ ُ ‫َ ح ح ُ ُ ُ َُ ح‬
ญิ บ) ต้ องตอบกลั บ ด้ วยค าว่ า “ ‫ك حم‬ ‫ – َه هد يكم ا هلل و يص هلح بال‬ยะฮฺ ดี กุ มุ ล ลอฮฺ วะ ยุ ศ ลิ ห์ บาละกุ ม ”
(หมายความว่า ขออัลลอฮฺโปรดประทานทางนาแก่ท่าน และแก้ ไขสภาพความเป็ นอยู่ของท่านให้ ปลอดภัย
และเปี่ ยมด้ วยนิอฺมตั ) และถ้ าหากผู้จามได้ จามอย่างต่อเนื่องก็จงกล่าวขอดุอาอ์แก่เขาจนครบสามครัง้ และ
ُ ‫اك‬
ถ้ ายังจามอีก ก็ให้ ทา่ นกล่าวขอดุอาอ์แก่เขาว่า “‫اهلل‬ َ َ‫ – َعف‬อาฟากัลลอฮฺ ” (หมายถึง ขออัลลอฮฺโปรดให้ ท่าน

หายจากอาการป่ วยด้ วยเถิด) แทนการกล่าวคาว่า “‫اهلل‬ ُ َ ‫ح‬ ُ َ ‫”يَ حر‬

สิทธิท่ หี ้ า : เมื่อมุสลิมคนหนึ่งเจ็บป่ วยท่ านก็จงไปเยี่ยมเขา


การไปเยี่ยมผู้ป่วยเป็ นสิทธิที่พี่น้องชาวมุสลิมพึงปฏิบตั ิต่อผู้ป่วย ดังนันมุ
้ สลิมทุกคนจึงจาเป็ น (วา
ญิบ) ต้ องไปเยี่ยมพี่น้องที่ป่วยไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ าหากว่าผู้ป่วยเป็ นเครื อญาติของท่าน หรื อมิตรสหาย
หรื อเพื่อนบ้ าน ก็ยิ่งจาเป็ นต้ องไปเยี่ยมเยียนพวกเขา
การไปเยี่ยมผู้ป่วยให้ ปฏิบตั ติ ามสภาพของผู้ป่วยและตามสภาพของโรค บางครัง้ อาจจาเป็ นต้ องไป
เยี่ยมบ่อยครัง้ และบางครัง้ อาจจะเพียงพอเพียงครัง้ หรื อสองครัง้ เท่านัน้ ดังนันทางที
้ ่ดีที่สดุ คือการคานึงถึง
สภาพของผู้ป่วยและโรคของเขาด้ วย
สาหรับผู้ที่ไปเยี่ยมคนป่ วยมีสนุ นะฮฺให้ สอบถามถึงสภาพและอาการป่ วยของเขา ขอดุอาอ์ให้ กบั เขา
และพูดปลอบใจเขาให้ หายวิตกกังวลและมีความหวัง เพราะสิ่งเหล่านันเป็ ้ นสาเหตุหนึ่งที่จะทาให้ ผ้ ปู ่ วยมี
อาการดีขึ ้นและหายป่ วยไวขึ ้น ผู้เยี่ยมควรจะกล่าวเตือนสติให้ ผ้ ปู ่ วยเตาบะฮฺตอ่ อัลลอฮฺด้วยสานวนที่ไม่ทา
ให้ เขาตกใจ ตัวอย่างเช่น การป่ วยของท่านในครัง้ นี ้เท่ากับว่าท่านได้ รับความดีงาม เพราะความป่ วยเป็ นสิ่ง
ที่อลั ลอฮฺใช้ ขจัดบาปต่างๆ และลบล้ างความผิดต่างๆ และหวังว่าด้ วยการที่ท่านต้ องพานักอยู่กบั ที่ จะทาให้
ท่านได้ รับผลบุญที่มากมาย ด้ วยการราลึกถึงอัลลอฮฺ ขออภัยโทษจากพระองค์ และขอดุอาอ์ต่อพระองค์ให้
มาก

สิทธิท่ หี ก : เมื่อมุสลิมคนหนึ่งเสียชีวิต ท่ านก็จงตามส่ งศพของเขา


การติดตามส่งญะนาซะฮฺหรื อการส่งศพ เป็ นหนึ่งในบรรดาสิทธิที่มสุ ลิมพึงปฏิบตั ิตอ่ พี่น้องของเขา
ขณะเดี ย วกัน การติ ด ตามส่ ง ญะนาซะฮฺ ก็ ยัง ได้ รั บ ผลบุญ ที่ ยิ่ ง ใหญ่ อี ก ด้ วย ดัง มี รายงานจากท่า นนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านกล่าวว่า
ُ‫َ َ ح‬
‫ همثل‬:‫ان ؟ قال‬ َ َ ََ َ َ َ ُ َ َ َ َ َ ‫َ َ ح َ َ َ َ َّ ُ ح‬ َ ُ َ َ َ ‫از َة َح َّّت يُ َص ئ َ َ َ ح‬
َ َ‫« َم حن تَب َع الَن‬
‫ وما ال هقياط ه‬:‫ هقيل‬،‫ان‬
‫ ومن ت هبعها حّت تدفن كن هل هقياط ه‬،‫ِّل عليها فله هقياط‬ ‫ه‬
‫ََ َح َ َ ح‬
»‫ني‬‫ني الع هظيم ه‬ ‫البل ه‬
ความว่า “ผู้ใดติดตามส่งญะนาซะฮฺจนกระทั่งเขาได้ ละหมาดให้ ศพนัน้ เขาจะได้ รับผลบุญ
เท่ากับหนึ่ง กีรอฏ และผู้ใดติดตามญะนาซะฮฺจนกระทั่งศพถูกฝั ง เขาจะได้ รับผลบุญเท่ากับ
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 40 
สองกี รอฏ” มีคนถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า สองกี รอฏนัน้ คืออะไร? ท่าน
ตอบว่า “เหมือนกับภูเขาใหญ่สองลูก” (อัล-บุคอรี ย์ 1325, มุสลิม 945)

และส่วนหนึง่ ของสิทธิที่มสุ ลิมพึงปฏิบตั ติ อ่ พี่น้องมุสลิมคือการไม่สร้ างความเดือดร้ อนแก่เขา เพราะ


การสร้ างความเดือดร้ อนแก่ชาวมุสลิมเป็ นบาปหนัก อัลลอฮฺตรัสว่า
‫ه‬ ‫ه‬ َ
]٦٧ : ‫﴾ [األحزاب‬٥٨َ‫يَماَٱكَتس هبواََفق َِّدَٱحَتملواََ هبهَتَنَاَِإَوثَمَاَ ُمبِّينَا‬
َِّ ‫﴿وَٱذلِّينََيهؤَذونََٱلَ همؤَ ِّمن ِّيََوَٱلَ همؤَمِّنَتََِّبِّغ‬
ความว่า “และบรรดาผู้ที่ชอบสร้ างความเดือดร้ อนด้ วยการกล่าวไร้ ตอ่ บรรดาผู้ศรัทธาชายและ
หญิ งในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ กระทา แท้ จริ งพวกเขาได้ แบกรับความเท็จและบาปที่ชดั แจ้ งแล้ ว ”
(อัล-อะห์ซาบ 58)

ส่วนใหญ่แล้ วผู้ที่ชอบข่มพี่น้องด้ วยการสร้ างความเดือดร้ อนแก่เขา อัลลอฮฺจะลงโทษเขาตังแต่


้ ใน
โลกนี ้แล้ ว ก่อนที่พระองค์จะลงโทษในวันอาคิเราะฮฺด้วยซ ้า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ กล่าว
ว่า
َ ُُ ُ ‫َ َ ح ُ ُ ََ َح‬ ‫َ ُ ح‬ ‫ح‬ ‫َ َ َّ ح‬ ُ َُ َُ ََ َ َ ُ َ ََ َ َ َ َ َ
‫ َوال‬،‫هل‬‫ ال َظ هلمه وال َيذ‬،‫ ال ُم حس هل ُم أخو ال ُم حس هل هم‬،‫اّلل هإخ َوانا‬ ‫ وكونوا هعباد ه‬،‫وا‬ ‫ وال تدابر‬،‫ وال َتاسدوا‬،‫«ال تبَاغ ُضوا‬
ُ ُ ُ ‫ َو َم‬،‫ىلع ال ح ُم حسلم َح َرام؛ َد ُم ُه‬
ََ ‫ُ ح‬ ‫َ َّ ئ َ ح َ ح َ َ ح‬ ‫ح‬ ‫َح ُُ َ ح‬
»‫ َو هع حر ُضه‬،‫اهل‬ ‫هه‬ ‫ ُك ال ُم حس هل هم‬،‫الرش أن َي هق َر أخ ُاه ال ُم حس هل َم‬ ‫ئ همن‬
ٍ ‫ب ام هر‬
‫ هِبس ه‬،‫َي هقره‬
ความว่า “พวกท่านจงอย่ากริ ว้ โกรธกัน อย่าอิจฉาริ ษยากัน อย่าหันหลังไม่พูดจากัน พวกเจ้ า
จงเป็ นพี่น้องกันเถิด โอ้ บรรดาบ่าวของอัลลอฮฺ มุสลิมเป็ นพี่น้องกับมุสลิม เขาจะไม่อธรรมต่อพี่
น้ องของเขา เขาจะไม่ปล่อยให้ พี่น้องของเขาถูกอธรรมโดยไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือ และเขาจะไม่
ดูถกู และเหยียบหยามพี่น้องของเขา เป็ นการเพียงพอแล้ วสาหรับผู้ใดผู้หนึ่งที่จะกลายเป็ นคน
เลวด้ วยการดูถกู เหยียดหยามพี่น้องมุสลิมของเขา มุสลิมไม่อนุญาตให้ ละเมิดต่อบรรดาพี่น้อง
มุสลิม ทังต่
้ อเลือดเนื ้อของเขา ทรัพย์สินของเขา และเกียรติของเขา” (อัล-บุคอรี ย์ 6065, 6076,
มุสลิม 2564)

สิทธิที่มสุ ลิมจาเป็ นต้ องปฏิบตั ิตอ่ มุสลิมมีมากมาย ซึ่งสามารถให้ ความหมายโดยรวมด้ วยคากล่าว


ของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า “มุสลิมคือพี่น้องของมุสลิม” เพราะเมื่อใดก็ตามที่มสุ ลิมคน
หนึ่งปฏิบตั ติ อ่ มุสลิมอีกคนหนึ่งบนพื ้นฐานของความเป็ นพี่น้องกัน เขาย่อมต้ องพยายามแสวงหาทุกความดี
งามให้ แก่พี่น้องของเขา และพยายามหลีกห่างทุกๆ สิ่งที่จะนาอันตรายมาสูเ่ ขา
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 41 

สิบ สิทธิของผู้ท่ ไี ม่ ใช่ มุสลิม

ผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมจะครอบคลุมทุกคนที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซึง่ มีด้วยกันสี่จาพวก นัน่ คือ


1. หัรบีย์ หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมที่เป็ นศัตรูกบั ชาวมุสลิม
2. มุสตะมัน หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมที่อยูภ่ ายใต้ การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิม
3. มุอาฮัด หมายถึงผู้ที่ไม่มสุ ลิมที่มีพนั ธะสัญญากับชาวมุสลิม
4. ซิมมีย์ หมายถึงผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมที่อาศัยอยูภ่ ายใต้ การปกครองของรัฐอิสลาม
ผู้ที่ไม่ใช่มุส ลิม ที่ เป็ นศัตรู กับชาวมุสลิม (หัรบีย์) พวกเราไม่จาเป็ นต้ องมอบสิทธิ ด้านการให้ การ
คุ้มครองหรื อการดูแลแก่พวกเขา
ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมที่อยู่ภายใต้ การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิม(มุสตะมัน) พวกเราจาเป็ นต้ องมอบ
สิทธิด้านการให้ การคุ้มครองแก่พวกเขาตามเวลาและสถานที่ที่ได้ ตกลงไว้ เนื่องจากอัลลอฮฺได้ ตรัสไว้ วา่
‫َ ه‬
]6 : ‫جرههَح َّتَيسمعَكلمَٱّللَِّث َمَأبل ِّغ ههَمأمن ههۥَ﴾ [اتلوبة‬
ِّ ‫شوُك ِّيَٱستجاركَفأ‬
‫ه‬
ِّ ‫﴿ِإَونَأحدَمِّنَٱلم‬
ความว่า “และหากมีคนใดในบรรดาผู้ตงภาคี ั ้ ต่ออัลลอฮฺ ได้ ขอความคุ้มครองจากเจ้ า เจ้ าก็จง
ให้ การคุ้มครองแก่เขา จนกระทัง่ เขาได้ ฟังพระดารัสของอัลลอฮฺ หลังจากนันเจ้
้ าก็จงส่งเขายังที่
ปลอดภัย” (อัต-เตาบะฮฺ : 6)

ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่ มีพันธะสัญ ญากับชาวมุสลิม (มุอาฮัด) เราชาวมุสลิมจาเป็ นต้ องยึดมั่นใน


สัญญาที่ได้ กระทาไว้ กบั พวกเขาตลอดระยะเวลาสัญญาที่ได้ ตกลงกันไว้ ระหว่างทังสองฝ่้ าย ตราบใดที่พวก
เขายังซื่อสัตย์ในคามัน่ สัญญาและไม่ได้ ทาลายสัญญาที่ได้ ทาไว้ กบั เรา มิได้ บกพร่องใดๆ ในสัญญาที่ได้ ทา
ไว้ กับเรา ไม่ได้ สนับสนุนหรื อให้ ความช่วยเหลือผู้ใดเพื่อต่อต้ านหรื อทาลายเรา และไม่ได้ สร้ างความเสื่อม
เสียหรื อทาลายศาสนาของเรา อัลลอฮฺได้ ตรัสว่า
‫كمَأحدَاَفأت ُِّمواَإِلهمَعهد هَهمَإل ه‬
‫ه‬ ‫ه ه‬ ‫ه‬ ُ َ َ
َ‫َم َدت ِّ ِّهم‬ ِّ ِّ ِّ ‫شوُك ِّيَث َمَلمَينق هصووُكمَشيَاَولمَيهظ ِّه هرواَعلي‬ ‫ه‬
ِّ ‫﴿َإِّلَٱذلِّينَعهدتمَمِّنَٱلم‬
‫َ َ ه‬
]4 : ‫﴾ [اتلوبة‬٤ََ‫إِّنَٱّللَُي ُِّبَٱل هم َتقِّي‬
ความว่า “นอกจากบรรดาผู้ที่ตงภาคีั ้ ตอ่ พระองค์ (ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา) บางกลุม่ ที่พวกเจ้ าได้ ทา
สัญญาไว้ แล้ วพวกเขามิได้ บกพร่องใดๆ ในสัญญาที่ได้ ทาไว้ กบั แก่พวกเจ้ า และมิได้ สนับสนุน
ผู้ใดต่อต้ านพวกเจ้ า ดังนัน้ จงรักษาสัญญาของพวกเขาให้ ครบถ้ วน จนถึงกาหนดเวลาของ
พวกเขาเถิด แท้ จริงอัลลอฮฺนนั ้ ทรงรักผู้ที่ยาเกรงทังหลาย”
้ (อัต-เตาบะฮฺ : 4)

พระองค์ได้ ตรัสอีกว่า
َ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫ه‬ ‫َ ه‬
َ ِّ ََ‫﴿ِإَونَنكثواََأيمن ههمَمِّنََبع َِّدَعه ِّدهِّمََوطع هنوا‬
]21 : ‫فَدِّين ِّكمََفقت ِّلواََأئ ِّ َمةََٱلكف َِّرَإِّن ههمََلََأيمنََل ههمَ﴾ [اتلوبة‬
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
 42 
ความว่า “และหากพวกเขาทาลายคามัน่ สัญญาที่พวกเขาได้ ทาไว้ กบั พวกเจ้ า และพวกเขาได้
กล่าวหาและใส่ร้ายต่อศาสนาของพวกเจ้ า พวกเจ้ าก็จงต่อสู้กับบรรดาผู้นาแห่งการปฏิเสธ
ศรั ท ธาเหล่านัน้ เพราะแท้ จ ริ ง พวกเขาไม่ไ ด้ ยึด มั่น ในสัญ ญาที่ ไ ด้ ท าไว้ กับ พวกเจ้ า ” (อัต -
เตาบะฮฺ : 12)

ส่วนผู้ที่ไม่ใช่มสุ ลิมที่อาศัยอยู่ภายใต้ การปกครองของรัฐอิสลาม(ซิมมีย์) พวกเขาเหล่านี ้เป็ นผู้ที่เรา


จาเป็ นต้ องมอบสิทธิแก่พวกเขามากที่สดุ และพวกเขาก็ต้องคานึงถึงสิทธิของพวกเราชาวมุสลิมด้ วย เพราะ
พวกเขาเป็ นกลุม่ ชนที่อาศัยอยูใ่ นรัฐอิสลาม ภายใต้ การคุ้มครองดูแลของชาวมุสลิมโดยที่แลกกับการจ่ายค่า
ญิซยะฮฺ เพื่อเป็ นการคุ้มครองดูแลพวกเขา
ดัง นัน้ ผู้น าของชาวมุส ลิ ม จึง จ าเป็ นต้ องตัด สิ น คดี ข องพวกเขาด้ วยกฎหมายอิ ส ลามในเรื่ อ งที่
เกี่ยวกับชีวิต ทรัพย์สินและเกียรติของพวกเขา และให้ ลงโทษพวกเขาในความผิดที่พวกเขามีความเชื่อว่ามัน
เป็ นสิ่งต้ องห้ าม(หะรอม) สาหรับพวกเขา และผู้นาจาเป็ นต้ องให้ การดูแลคุ้มครองและปกป้องไม่ ให้ ผ้ ใู ด
สร้ างความเดือดร้ อนหรื อทาอันตรายต่อพวกเขา
เสื ้อผ้ าและการแต่งกายของพวกเขาจาเป็ นต้ องแตกต่างจากการเสื ้อผ้ าและแต่งกายของชาวมุสลิม
(เพื่อความสะดวกในการแยะแยะและการกากับดูแล) และพวกเขาจาเป็ นต้ องไม่แสดงสิ่งใดที่ไม่ดีงามใน
อิสลามอย่างโจ่งแจ้ ง หรื อสิ่งที่เป็ นสัญลักษณ์ในศาสนาของพวกเขา เช่น ระฆังและไม้ กางเขน
ส่วนหุก่ม ต่างๆ เกี่ ยวกับชาวซิม มีย์นนั ้ บรรดานักวิชาการอิสลามได้ กล่าวถึงแล้ วอย่างละเอียดใน
หนังสือต่างๆ ของพวกเขา ซึง่ เราไม่จาเป็ นต้ องกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี ้อีก
และมวลการสรรเสริญเป็ นเอกสิทธิของอัลลอฮฺพระผู้อภิ บาลแห่งสากลโลก เศาะละวาตและสลามขอ
จงประสบแด่ทา่ นนบีมหุ มั มัด ตลอดจนบรรดาวงศ์วานและมิตรสหายของท่านทังหลาย ้

เขียนโดย
มุหมั มัด ศอลิห์ อัล-อุษัยมีน
สิทธิโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่อิสลามยืนยันรับรอง
1

You might also like