Professional Documents
Culture Documents
นายเอกราช แสนจันทะ
สารนิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาวารสารศาสตรบัณฑิต
กลุ่มวิชาภาพยนตร์และภาพถ่าย
คณะวารสารศาสตร.และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
พ.ศ. 2565
หัวข้อสารนิพนธ์ การศึกษาสัมพันธบท และการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มเพศหลากหลาย
กรณีศึกษา ซีรีส์วาย เรื่อง แค่เพื่อนครับเพื่อน
โดย นายเอกราช แสนจันทะ
กลุ่มวิชา ภาพยนตร์และภาพถ่าย
อาจารย์ที่ปรึกษา : การศึกษาเฉพาะเรื่อง
................................................................................
(รองศาสตราจารย์ ดร.กำจร หลุยยะพงศ์)
หัวข้อสารนิพนธ์ การศึกษาสัมพันธบท และการเคลื่อนไหวทาง
สังคมของกลุ่มเพศหลากหลาย
กรณีศึกษา ซีรีส์วาย เรื่อง แค่เพื่อนครับเพื่อน
ชื่อผู้เขียน นายเอกราช แสนจันทะ
ชื่อปริญญา วารสารศาสตร์บัณฑิต
กลุ่มวิชา/คณะ/มหาวิทยาลัย ภาพยนตร์และภาพถ่าย
คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์
ปีการศึกษา 2564
บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ
สารบัญ
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
1.2 วัตถุประสงค์
1.2.1 เพื่อศึกษาสัมพันธบทระหว่างนวนิยายเรื่อง หลังม่าน และ ซีรีส์เรื่อง แค่เพื่อนครับเพื่อน
1.2.2 เพื่อเขียนบทภาพยนตร์สั้นที่ต่อยอดมาจากนวนิยายเรื่อง หลังม่าน และ ซีรีส์เรื่อง แค่เพื่อน
ครับเพื่อน ที่มีประเด็นทางสังคมและคงลักษณะเด่นของสื่อวาย
1.3 ขอบเขตการศึกษา
1.4 วิธีการศึกษาและค้นคว้า
การศึกษาสัมพันธบท
บทภาพยนตร์สนั้ มีประเด็นเชิงสังคมและ
คงไว้ซึ่งลักษณะเด่นของสื่อประเภทวาย
ภาพที่ 1
กรอบแนวคิดของการวิจัย
บทที่ 2
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
4. ความดึงดูดใจ (attraction)
เมื่อเข้าใจถึงปัญหาที่กีดกั้นตัวละครหลักทั้งสองให้แยกห่างออกจากกัน บทนิยายจะ
นำพาให้ตัวละครทั้งสอง ต้องมาเจอกันและเกิดความพิศมัยซึ่งกันและกัน หรือ ฝ่ายใดฝ่าย
หนึ่ง เพื่อให้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และเริ่มเกิดความลุ่มหลงต่อกัน
5. การเผยความรู้สึก (declaration)
ถึงจุดหนึ่งของความสัมพันธ์หลังจากที่ทั้งคู่ฝ่าฟันอุปสรรคกันมา ความรู้สึกรักจึงเอ่อล้น
ออกมาจากภายใน นี่จึงเป็นจุดที่ตัวละครหลักทั้งสองคนจะสารภาพรักกัน เพราะปิดกั้น
ความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
6. การตายเป็นพิธี (point of ritual death)
เมื่อทั้งคู่สารภาพรักกันเรียบร้อย บทของนิยายจะทำให้ทั้งคู่ต้องผิดหวังกับความรักครั้งนี้
และแยกทั้งคู่ให้ออกจากกัน เนื่องด้วยปัญหาที่กีดขวางอาจไม่ถูกแก้ไข หรือ ความไม่ชัดเจน
ของความรู้สึกที่ตัวละครฝ่ายในฝ่ายหนึ่งมี นี่จึงถือเป็นจุดที่จะนำผู้อ่านให้ตกสู่ห้วงอารมณ์
ของความเศร้าและได้ลุ้นเอาใจช่วยให้รักครั้งนี้กลับมาสมหวังอีกครั้ง
7. การระลึกได้ (recognition)
เป็นขั้นตอนที่ตัวละครหลักได้ระลึกถึงความสัมพันธ์อันหอมหวานที่ทั้งสองมีร่วมกัน การ
ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ทั้งคู่จะหาหนทางกลับมาโคจรเจอกันอีกครั้ง
เพื่อสานสัมพันธ์ครั้งนี้ต่ออีกหนหนึง่
8. การสมรักสมรส (betrothal)
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของความสัมพันธ์ เป็นบทสรุปของความรักครั้งนี้ ว่า ทั้งคู่ได้ครองรัก
กันอย่างหวานชื่น หรือ เจ็บปวด ได้รักกันในโลกนี้ โลกหน้า หรือโลกไหน เช่น ในคู่กรรม
การจบของอังศุมาลินและโกโบริ คือการได้รักกันไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด หรือพบเจอกันที่ทาง
ช้างเผือกก็ตาม ในทางใดทางหนึ่ง ภาษาเขียนจะบอกให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงบทสรุปของความรัก
ครั้งนี้ ไม่ว่าจะสมหวังหรือไม่ก็ตาม
จากข้อมูลข้างต้น ผู้วิจัยจะใช้ความรู้เรื่องการแบ่งองค์ประกอบของโครงเรื่องนิยายแนวรักโรแมน
ติกนี้ไปใช้ในการอ่านนิยายและซีรีส์เพื่อให้เห็นถึงรายละเอียดและองค์ประกอบที่อยู่ในตัวบทของทั้งสอง
สื่อ ทำให้เมื่อเปรียบเทียบต่อกันแล้ว เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด เมื่อนำมาศึกษาในเชิงของสัมพันธ
บทแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกันเป็นตารางที่ทำให้เห็นชัดเจนในข้อเปรียบเทียบนั้น
2.4 การประกอบสร้างตัวละครชายรักชายในซีรีส์วาย
2.4.1 อาชีพ
การที่ให้ตัวละครชายรักชายวัยอุดมศึกษาเลือกศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือแม้กระทั่งให้
นักเรียนมัธยมเรียนอยู่ในโรงเรียนชายล้วน จึงเป็นการช่วงชิงพื้นที่
และท้าทายอำนาจปีตาธิปไตย หรือ แนวคิดชายเป็นใหญ่ ดังงานวิจัยของ ธงชัย แช่เจี่ย (2561); สุ
ภาวรรณ คงสุวรรณ์ (2561); อนุชา พิมศักดิ์ และโสภี อุ่นทะยา (2560); อรวรรณ วิชญวรรณกุล
(2559) ที่กล่าวว่า ชีรีส์วายเป็นพื้นที่ในจินตนาการ ที่สะท้อนการท้าทายอำนาจในสังคมไทย ทั้ง
อำนาจปิตาธิปไตยและอำนาจในระบบอาวุโส ด้วยกรอบของโรมานซ์ (Romance) การท้าทายอำนาจ
ดังกล่าวจึงกลายเป็นการผลิตช้ำอำนาจมากกว่าและในฐานะนักเขียนสตรี ผู้เขียนก็ยังคงมอง
ความสัมพันธ์ชายรักชายผ่านกรอบของปิตาธิปไตย รวมถึงประกอบสร้างอัตลักษณ์เควียร์แช่แข็งตาม
สูตร ทั้งรูปลักษณ์แสดงเพศสถานะ และพฤติกรรมแสดงเพศสถาน: เพื่อตอบสนองรสนิยมการอ่าน
ของกลุ่มสาววาย
2.4.2 ลักษณะทางกายภาพ รูปร่างหน้าตา
การเลือกนักแสดงที่มีรูปลักษณ์ตรงตาม "พิมพ์นิยม" เป็นการสะท้อน
เจตจำนงของผู้สร้างชีรีส์วาย ที่ต้องการเรียกความนิยมจากกลุ่มผู้ชม ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินตาม
ขนบธรรมเนียมของละครโทรทัศน์ไทยกระแสหลักที่นำเสนอภาพลักษณ์ของตัวละครหลักที่สมบูรณ์
แบบเพียบพร้อมไปทุกด้าน (จเร สิงหโกวินท์, 2560) เพราะในปัจจุบันกลุ่มนักแสดงไม่ได้มีหน้าที่แค่
ทำการแสดงในชีรีส์เท่านั้น แต่ยังมีการออกงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับแฟนคลับที่ถูกจัดขึ้น
หลังจากที่ชีรีสได้ออกอากาศแล้ว ดังนั้นการใช้กลุ่มนักแสดงที่มีหน้าตาดี ทุ่นดี จึงเป็นส่วนหนึ่งของ
กิจกรรมทางตลาดในระยะยาวอีกด้วย
ดังนั้นนอกจากหน้าตาของนักแสดงวายจะดีแล้ว รูปร่างของนักแสดงซีรีส์
วายก็ต้องดีตามไปด้วย เนื่องจากในชีรีส์วายทุกเรื่องก็มีการถอดเสื้อให้นักแสดงได้โชว์เรือนร่าง เพื่อ
ตอบสนองความต้องการของผู้ชม เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นว่ามีตัวละครชายรักชายที่มีหุ่นหมี หรือกลุ่มที่
มีขนเยอะเลย ทั้ง ๆ ที่สัดส่วนของคนกลุ่มนี้ในสังคมก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากลุ่มอื่น
การเลือกนักแสดงที่มีรูปลักษณ์ตรงตาม "พิมพ์นิยม" เป็นการสะท้อน
เจตจำนงของผู้สร้างชีรีส์วาย ที่ต้องการเรียกความนิยมจากกลุ่มผู้ชม ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินตาม
ขนบธรรมเนียมของละครโทรทัศน์ไทยกระแสหลักที่นำเสนอภาพลักษณ์ของตัวละครหลักที่สมบูรณ์
แบบเพียบพร้อมไปทุกด้าน (จเร สิงหโกวินท์, 2560) เพราะในปัจจุบันกลุ่มนักแสดงไม่ได้มีหน้าที่แค่
ทำการแสดงในชีรีส์เท่านั้น แต่ยังมีการออกงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับแฟนคลับที่ถูกจัดขึ้น
หลังจากที่ชีรีสได้ออกอากาศแล้ว ดังนั้นการใช้กลุ่มนักแสดงที่มีหน้าตาดี ทุ่นดี จึงเป็นส่วนหนึ่งของ
กิจกรรมทางตลาดในระยะยาวอีกด้วย
ดังนั้นนอกจากหน้าตาของนักแสดงวายจะดีแล้ว รูปร่างของนักแสดงซีรีส์
วายก็ต้องดีตามไปด้วย เนื่องจากในชีรีส์วายทุกเรื่องก็มีการถอดเสื้อให้นักแสดงได้โชว์เรือนร่าง เพื่อ
ตอบสนองความต้องการของผู้ชม เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นว่ามีตัวละครชายรักชายที่มีหุ่นหมี หรือกลุ่มที่
มีขนเยอะเลย ทั้ง ๆ ที่สัดส่วนของคนกลุ่มนี้ในสังคมก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากลุ่มอื่น
2.4.3 บทบาททางเพศและรสนิยมทางเพศ
ตัวละครชายรักชายในชีรีส์วายทั้ง 20 ตัวมีการระบุสถานะบทบาททางเพศ
ไว้อย่างชัดเจน ตายตัว และไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยแบ่งออกเป็นตัวละครที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายรุก
หรือ พระเอก 10 ตัวละคร และตัวละครที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายรับ หรือ นายเอก 10 ตัวละคร ซึ่งเป็นไป
ในทิศทางเดียวกับผลการสัมภาษณ์เชิงลึก ที่ระบุว่าตัวละครชายรักชายจะถูกกำหนดมาให้มีบทบาท
ทางเพศอย่างตายตัว ม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเอกจะต้องทำหน้าที่เป็นรุกเสมอ และนายเอกจะ
เป็นรับตลอด ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่บทบาททางเพศจะสามารถสลับปรับเปลี่ยนได้ โดย
เรียกว่า "โบท" ที่สามารถเป็นได้ทั้งรุกและรับ เพราะในปัจจุบันมีความลื่นไหลทางเพศที่สูงมาก ไม่
เหมือนกับคู่รักชายหญิงที่ถูกกำหนดบทบาทไว้อย่างชัดเจน บทบาททางเพศของตัวละครชายรักชาย
ในชีรีส์วายจึงเป็นเหมือนกับการนำเอาความสัมพันธ์ของชายหญิงมาครอบทับไว้
2.4.4 การแสดงออกในฐานะคนรักในพื้นที่ต่าง ๆ
การแสดงออกในฐานะคู่รักของตัวละครชายรักชายมีความสัมพันธ์กับระดับ
ของพื้นที่อย่างมีนัยยะสำคัญ คือยิ่งพื้นที่มีความเป็นส่วนตัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถแสดงออกใน
ความสัมพันธ์ได้มากเท่านั้น ดังที่เห็นได้จากในพื้นที่ส่วนตัว ตัวละครชายรักชายสามารถแสดงออกถึง
ความรักได้ถึงขั้นสูงสุด คือการมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ในพื้นที่กึ่งสาธารณะและพื้นที่สาธารณะตัว
ละครเหล่านี้ไม่สามารถแสดงการกระทำดังกล่าวได้ เพราะสำหรับสังคมไทยแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่การไม่
ยอมรับในกลุ่มชายรักชาย แต่ยังไม่ยอมรับในการแสดงความรักที่มากจนเกินไปในพื้นที่สาธารณะอีก
ด้วย การจูบกันในพื้นที่สาธารณะก็ขัดกับบริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทยที่มักไม่แสดงความรัก
มากนัก และมองว่าการจูบกันในพื้นที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
ดังนั้นการให้ตัวละครชายรักชายปรากฏตัวและแสดงความสัมพันธ์ในพื้นที่
กึ่งสาธารณะและสาธารณะจะช่วยให้เกิดการยอมรับกลุ่มชายรักชายได้มากขึ้นและเสนอว่ากลุ่มชาย
รักชายก็มีอยู่ทั่วไปในสังคม ขณะเดียวกันการแสดงออกในฐานะคนรักในพืน้ ที่สาธารณะด้วยการจูบ ก็
เป็นการต่อต้านจารีต ประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมไทย ดังนั้นในชีรีส์บางเรื่องก็แสดงให้เห็นว่า
การกระทำดังกล่าวจะทำให้เกิดการลงโทษจากสังคมอย่างไร อย่างเช่นใน หมอกที่เกือบโดนไล่ออก
จากโรงเรียนเพราะไปจูบกับตี๋ในเมืองหิมะ (อาตี๋ของผม) หรืออาทิตย์และก้องภพที่ถูกคนในที่ทำงาน
นินทาจากที่มีรูปก้องภพและอาทิตย์ไปจูบกันที่บริเวณชายหาด (SOTUS S the Series)
2.4.5 การยอมรับตนเอง
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความเห็นของผู้ให้ข้อมูลสำคัญระบุว่า แม้ว่าตัว
ละครชายรักชายจะยอมรับว่าตนเองนั้นกำลังคบหากับผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่ได้ยอมรับว่าตนเองเป็น
กลุ่มชายรักชาย ส่วนสาเหตุที่ทำให้ตัวละครสามารถยอมรับตนเองได้นั้น มีด้วยกันหลายสาเหตุ เช่น
เกิดจากการมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย ความรักที่มีให้กัน ซึ่งในความป็นจริงยังมีปัจจัยอีกมากมายที่เป็น
ตัวกำหนดให้เกิดการยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นสายตาคนรอบข้าง ครอบครัว
อนึ่งตัวละครชายรักชายก็ยังใช้ชีวิตแบบผู้ชายทั่วไปในสังคม มีการยอมรับ
ว่าตนเองชอบผู้ชาย แต่ไม่ได้มีการแสดงออกเหมือนผู้หญิง เพราะมีการให้ค่าความเป็นชายมากกว่า
ความเป็นหญิง ทั้งจากลักษณะภายนอก การแต่งกาย คำพูด ซึ่งการให้ตัวละครชายรักชายส่วนใหญ่
กล้าที่จะยอมรับตนเอง สอดคล้องกับการศึกษาของ (บงกชมาศ เอกเอี่ยม, 2532) ที่พบว่า กลุ่มชาย
รักชายมีกลยุทธ์ในการนำเสนอตนเองในพื้นที่สาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกลงโทษจากหน่วย
หรือสถาบันต่าง ๆ ทางสังคม ก็คือการแสดงออกซึ่งความเป็นชาย ( Pass as Straight) และ ลดความ
เป็นหญิง (Defeminization) ลง แม้ว่าจะมีอีก 2 ตัวละครจะให้คำนิยามตนเองว่าเป็นชายแท้ แต่ก็ทำ
ทุกอย่างเหมือนกลุ่มชายรักชาย นั้นเป็นการตอบโต้ความเชื่อและบรรทัดฐานของสังคม เพราะกลุ่ม
ชายรักชายก็คือคนปกติ ไม่ได้แตกต่งจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ซีรีส์วายจึงอาจเป็นการชี้นำให้กลุ่มชายรัก
ชายในสังคมไทยกล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนเองเป็น
2.4.6 การเปิดเผยตนเอง
การเปิดเผยตนเองเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากของกลุ่มชายรักชาย ซึ่ง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเปิดผยกับบุคคลรอบข้างได้ ต้องขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ ความสบายใจ และ
ทัศนคติที่มีต่อกลุ่มชายรักชายของคนที่จะเปิดตัวด้วย จึงแตกต่างจากในชีรีส์วายที่ทุกคนสามารถ
เปิดเผยตนเองได้ สอดคล้องกับกรรวบรวมข้อมูลของ กมลเศรษฐ์ เก่งการเรือ (2554, อ้างถึงใน กฤช
เตชะประเสริฐ, 2556) ที่พบว่า ในสังคมไทยมีกลุ่มชายรักชายแอบแฝงสูงถึงร้อยละ 60 และเปิดตัวไม่
ถึงร้อยละ 40 โดยกลุ่มชายรักชายจะเปิดตัวก็ต่อเมื่อมีความพร้อม มีหน้าที่การงานที่ประสบ
ความสำเร็จแล้ว มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในการทำงาน เช่น เป็นศิลปินดัง นักวิชาการที่ประสบ
ความสำเร็จ และหากกลุ่มชายรักชายเปิดตัวแล้ว ได้รับปฏิกิริยาที่เป็นลบ เช่น การปฏิเสธกลับมา จะ
ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้
ดังนั้นการสร้างให้ตัวละครรอบข้างสามารถยอมรับสภาพความเป็นชายรัก
ชายได้ จึงเป็นการสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมาใหม่ โดยใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงทางมา
ประกอบสร้างใหม่ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไมได้ว่าเป็นการชี้นำสังคมให้คล้อยตามและยอมรับกลุ่มชาย
รักชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มชายรักชายจะกล้าเปิดตัวมากขึ้นหลังจากที่ได้รับชมซีรีส์วาย
ดังเช่นคำให้สัมภาษณ์ของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
2.4.7 ความคาดหวังในชีวิตและจุดจบของตัวละคร
ชีรีส์วายทุกเรื่องได้เลือกที่จะนำเสนจุดจบของตัวละครในเชิงที่จบแบบ
สุขนาฎกรรม (Happy Ending) โดยส่วนมากความสุขนี้มักจะเริ่มมาตั้งแต่การกล้ายอมรับในตัวเอง
การเปิดตัวกับคนในครอบครัวและคนรอบข้าง ตลอดจนได้เป็นคู่รักกับตัวละครอื่น ตามที่คาดหวังของ
ตัวละคร ซึ่นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวละครชายรักชายไม่ได้มีความแตกต่งจากตัวละครอื่น หรือ คนรัก
ต่างเพศแต่อย่างใด ที่เพียงต้องการแค่การเป็นที่ยอมรับ ต้องการความรักตามสมควร
สอดคล้องกับงานวิจัยของ นุชณาภรณ์ สมญาติ (2561) และ ปุรินทร์ นาค
สิงห์ (2555) ที่พบว่าซีรีส์วายไทยมักมีเนื้อหาเรื่องราวของความรักที่ค่อนข้างเป็นการชวนฝัน เป็น
ความรักที่สวยงาม มีตอนจบที่บริบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ต้องการอยู่ร่วมกับคนรักซึ่ง
ไม่แตกต่างจากคู่รักต่างเพศที่ต้องการสร้างครอบครัวให้อบอุ่น บอกกับสังคมว่าเกย์ไม่ได้แตกต่างจาก
คนโดยทั่วไปที่ต้องการมีชีวิตคู่ รักเดียวใจเดียว และปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
อีกทั้งการจบในแบบสุขนาฎกรรม (Happy Ending) ยังเป็นการตอบโต้การ
ตีตราของสังคมไทยที่มีต่อกลุ่มชายรักชายว่าเป็นพวกส่ำส่อนทางเพศ เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อย จนนำไปสู่
การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างโรคเอดส์ จนไปถึงการเกิดโศกนาฏกรรมความรัก (Jackson &
Cook, 1998) อันเนื่องมาจากการนำเสนอข่าวและภาพลักษณ์ของกลุ่มชายรักชายในสื่อกระแสหลั ก
ในอดีต จนเป็นที่มาของวาทกรรม "ไม่มีรักแท้ในหมู่ชายรักชาย" เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชายรัก
ชายก็ต้องการความรักและมีคู่ครองไม่ต่างจากคนอื่น
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความเห็นของกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่ระบุว่า
ทุกตัวละครชายรักชายในซีรีส์วายทุกเรื่อง ล้วนมีชีวิตที่ดี เป็นที่ยอมรับของครอบครัวและคนรอบข้าง
ได้ใช้ชีวิตตกลงคบหาดูใจกับคู่ครองของตน โดยเป็นจุดจบแบบสุขนาฎกรรม (Happy Ending ซึ่ง
อาจจะไม่ตรงกับความจริงมากนัก ในชีวิตจริงนั้นยาวกว่าชีรีส์ม าก และไม่มีใครที่จะสมหวังได้ทุกคน
การที่ซีรีส์เลือกจะนำเสนอให้ตอนจบ
2.4.8 การให้คุณค่ากับความเป็นชายในลักษณะอุดมคติ
ตัวละชายรักชายทั้งหมด ถูกสร้างให้มีความป็นชายอย่างชัดเจน ด้วยการมี
รูปร่างสมส่วน มีกล้ามเนื้อ ดูสุขภาพดี หน้าตาพิมพ์นิยม สะอาดสะอ้าน ไร้หนวด ไร้เครา มีการ
เปิดเผยเรือนร่างในชีรีส์วายทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครนายเอก สวมใส่เสื้อผ้าแบบผู้ชาย ไม่มีการ
แสดงออกสาว และถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ "เกย์แมน" ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ชายมากที่สุด ไมใช่
"เกย์สาว" หรือ "กะเทย" ดังที่ Bronski (1998) กล่าวว่า ภาพลักษณ์การแสดงออกของเกย์ต่อ
สาธารณะนั้นต้องทำให้เกย์มีความใกล้เคียงกับผู้ชาย โดยต้องทำให้ร่างกายดูแข็งแรง มีกล้าม เปิดเผย
เรือนร่าง ดังนัน้ เกย์จึงต้องแสดงลักษณะความเป็นชายให้ปรากฏและลดทอนความเป็นหญิงลง
(Defeminization)
รวมไปถึงการเลือกให้ตัวละครชายรักชายศึกษาอยู่ในคณะเรียนที่มีความ
เป็นชายสูง เช่น วิศวกรรมศาสตร์ หรือเรียนในโรงเรียนชายล้วนด้วยเช่นกัน ลักษณะอุดมคตินี้ยังควบ
รวมไปถึงระดับฐานะทางสังคม ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับปานกลางจนถึงระดับสูง มีที่อยู่เป็นหลัก
แหล่ง และอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งผู้ปกครองของตัวละครเกือบทั้งหมดประกอบอาชีพเป็นเจ้าของ
กิจการ
ลักษณะของความเป็นชายในอุดมคตินี้จะสามารถพบได้ในตัวละครพระเอก
มากกว่านายเอก อันเนื่องมาจากการนำความสัมพันธ์ของคนรักต่างเพศมาครอบไว้ทำให้ นายเอก
ต้องรับบท เป็นนางเอก โดยลักษณะนิสัยของพระเอกที่มีความเป็นอุดมคตินี้ ประกอบไปด้วย รักเดียว
ใจเดียว คนอบอุ่น เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ มีความเป็นผู้นำ สามารถปกป้องคนรักได้
2.4.9 การสร้างโลกอุดมคติของการยอมรับกลุ่มชายรักชาย
ตัวละครชายรักชายจากตัวละครชายรักชายจากชีรีส์วายทั้ง 10 เรื่องต่างมี
กระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศเป็นของตนเอง ซึ่งแต่ละตัวละครนั้นมีสาเหตุของการเป็นกลุ่มชาย
รักชาย ความสับสน ความทุกข์ และวิธีการยอมรับตนเองที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ทุกตัวละครมี
เหมือนกันหมด คือ เมื่อตัวละครชายรักชายได้ทำการเปิดตัวกับบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะ คนใน
ครอบครัว เพื่อนสนิท หรือที่ทำงาน ทุกคนสามารถยอมรับและปฏิบัติตนกับกลุ่มชายรักชายได้เหมือน
ปรกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงในสังคม เนื่องจากการเป็นกลุ่มชายรักชายได้ถูกกำหนดว่า
เป็นบุคคลที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ จากกลุ่มคนที่ได้รับการสถาปนาว่าเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่
ได้สร้าง "ความจริง" ชุดนี้ขึ้นมา อย่างสอดคล้องและลงตัวกันในทุกสาขา ทุกศาสตร์ เพื่อเป็นการ
กำกับควบคุม ทำให้บุคคลต่าง ๆ ในสังคมรับเอาชุดความจริงนี้มาเป็นกฎเกณฑ์ และกีดกันกลุ่มชายรัก
ชายจนกลาย "เป็นอื่น" ในสังคม (ทศวร มณีศรีขำ, 2545) ดังนั้นจึงเป็นไม่ได้เลยที่ในชีวิตจริงที่ทุกคน
จะยอมรับกลุ่มชายรักชาย และสามารถทำทุกอย่างได้อย่างเป็นปรกติ ไร้ซงึ่ การล้อเลียน เหยียดเพศ
หากแต่เป็นเพียงการหยอกล้อ แชวกันเท่านั้น โดยเฉพาะในสังคมที่มีผู้ชายที่อยู่เป็นจำนวนมาก
อย่างเช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือโรงเรียนชายล้วน
การที่ทำให้ทุกคนสามารถยอมรับในกลุ่มชายรักชายจึงเป็นการสร้างโลกใน
อุดมคติ (Utopia) ขึ้นมาตามแบบฉบับของละครโรแมนซ์ ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการขั้น
พื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการหลีกหนีจากความเป็นจริงในสังคม ความเบื่อหน่าย หรือความจำเจใน
ชีวิตประจำวัน (นัทธนัย ประสานนาม, 2562)
ในขณะเดียวกันการนำเสนอฉากการเปิดเผยตนเองและการสร้างให้ทุกคน
ยอมรับตัวละครชายรักชาย อาจเป็นเพราะผู้กำกับต้องการสื่อสารกับสังคมในประเด็นเพศวิถีของ
ผู้ชายที่รักกัน จึงได้สอดแทรกฉากเหล่านี้เข้ามา (สหธร เพชรวิโรจน์ชัย, 2562)
2.4.10 รักเดียวใจเดียว
การให้ตัวละครชายรักชายมีความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียว
(Monogamy) นี้ ถือว่าเป็นการมอบรางวัลให้แก่ตัวละครชายรักชายที่ต้องฝ่าฝันอุปสรรคกันมาทั้ง
เรื่อง ด้วยการได้รับความรักที่ดีบริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความรัก
ความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับในสังคม เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่
นำมาสู่ความสงบสุขของคนในสังคม (ปรเมศวร์ ตั้งสถาพร, 2563) ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็น
ถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของกลุ่มชายรักชายที่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับคนรักของตน ไม่แตกต่างจากคน
ทั่วไปที่ต้องการมีชีวิตคู่ และปรารถนาที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข (ปุรินทร์ นาคสิงห์, 2555)
นอกจากจะเป็นรางวัลให้แก่ตัวละครแล้ว ก็ถือว่าเป็นการมอบรางวัลให้แก่
ผู้ชมที่อดทนรอคอยรับชมมาโดยตลอด และพื้นฐานของชีรีส์วายนั้นก็คือละครโรแมนซ์ที่อัดแน่นด้วย
อุดมการณ์ของความรักที่ในสุดท้ายแล้วย่อมลงเอยด้วยความสุขสมหวังชั่วนิรันดร์ โดยมีผู้ชมเป็น
ผู้หญิง (นลินทิพย์ เนตรวงศ์, 2559) จึงทำให้ผู้ชมคาดหวังและต้องการเห็นตัวละครประสบ
ความสำเร็จในชีวิตรักในโลกอุดมคติ ดังนั้นชีรีส์วายจึงเลือกตอบสนองความต้องการของผู้ชมด้วยการ
นำเสนอตอนจบในแบบสุขนาฎกรรม (Happy Ending)
เมื่อต้องอยู่ในแนวคิดรักเดียวใจเดียว ทำให้ตัวละครชายรักชายที่กำลังคบ
หาดูใจกับผู้หญิงอยู่แล้ว ต้องมีเหตุให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นด้วยการให้แฟนผู้หญิงของตัวละครชายรัก
ชายนอกใจไปมีคนอื่น ทั้งแฟนของปุณณ์ (Love Sick The Series รักวุ่น วัยรุ่นแสบ) ฟิวส์ (Make It
Right the Series รักออกเดิน) นอกจากนี้ยังมีการผลักให้ตัวละครหญิงกลายเป็นตัวร้าย ด้วยการให้
วางแผน หรือหาเรื่องกลั่นแกล้ง ตัวละครชายรักชายอีกตัวที่มาใกล้ชิดกับคนรักของตน เห็นได้ชัดกับ
พริ้ง (2 Moons the Seies เดือนเกี้ยวเดือน 2) ที่นำรูปวโยไปปล่อยในเพจและกล่าวหาว่าวาโยขาย
ตัว จนสร้างความอับอายให้แก่วาโยเป็นอย่างมาก แต่สำหรับ เพลินเพลง แฟนของน็อค ( Together
with Me อกหักมารักกับผม) ร้ายยิ่งกว่านั้น ด้วยการวางแผนทำร้ายร่างกายกร แฉว่ากรกับน็อคเป็น
กลุ่มชายรักชาย รวมถึงยังมีเรื่องการจำหน่ายสินค้าไม่ได้คุณภาพอีกด้วย ตัวละครหญิงเหล่านี้จึงถูก
สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอุปสรรคในความรักของตัวละครชายรักชาย
ทั้งหมดนี้เป็นการหาเหตุผลมารองรับให้ตัวละครชายรักชายนั้นมีความชอบ
ธรรมในการเลือกตัวละครชายอีกตัวแทนที่จะคบกับแฟนของตน อีกทั้งเป็นการสร้างภาพให้ตัวละคร
ชายรักชายยังดูดีอยู่ในสายตาผู้ชม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวละครชายรักชายเองก็นอกใจคนรัก
ของตนเช่นกัน พฤติกรรมของตัวละครชายรักชายที่มีแฟนอยู่แล้วนี้ แท้จริงแล้วเป็นความท้าทาย
และเมิดบรรทัดฐานของสังคมและความเชื่อทางศาสนาในประเด็นเรื่อง การรักเดียวใจเดียว ด้วยการ
คบซ้อนทั้งผู้ชายและผู้หญิงในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้วชีรีส์วายก็จบด้วยการกลับมาอยู่ในแนวคิด
รักเดียวใจเดียวในที่สุด
สรุปผลของซีรีส์วายต่อผู้บริโภค
จากลักษณะการประกอบสร้างของตัวละครชายรักชายข้างต้น ล้วนมีส่วนที่
ตรงกับความเป็นจริงของกลุ่มชายรักชาย และไม่ตรงกับความเป็นจริงในรายละเอียด แสดงให้เห็นว่า
สื่อก็ได้ทำหน้าที่สะท้อนภาพความเป็นจริง (Reflect) บางส่วน และขณะเดียวกันก็มีการนำเสนอภาพ
เกินจริงที่ผิดไปจากความเป็นจริง (Distortion)
นอกจากนี้ชีส์วายยังช่วยทำให้เห็นว่ากลุ่มชายรักชายไม่ได้มีความแตกต่าง
จากกลุ่มคนทั่วไป ด้วยการสร้างพฤติกรรมการแสดงของตัวละครทั้งลักษณะการพูด การแสดงอารมณ์
นิสัยส่วนตัว รูปแบบการดำเนินชีวิต ที่เหมือนกับคนทั่วไป ขณะเดียวกันก็เลือกนำเสนอภาพความรัก
แบบรักเดียวใจเดียว ซึ่งช่วยลดวาทกรรมไม่มีรักแท้ในหมู่ชายรักชายออกไปได้ รวมถึงการสร้างการ
ยอมรับกลุ่มชายรักชายในโลกอุดมคติ พร้อมทั้งช่วยสร้างแบบอย่างและทำให้สังคมเกิดการยอมรับใน
กลุ่มชายรักชายได้มากขึ้นเช่นกัน
ขณะส่วนที่ยังเป็นภาพเกินจริงก็คือ การที่นำเสนอตัวละครชายรักชายมีแต่
ความเป็นชายในอุดมคติ นอกจากนี้ยังนำเสนอความสัมพันธ์ของตัวละครชายรักชายด้วยรูปแบบของ
ชายหญิงมาสวมทับ ทำให้ตัวละครนายเอก มีความป็นหญิงสูงกว่าตัวละครพระเอก และมีการกำหนด
บทบาททางเพศอย่างตายตัว โดยไม่มีความลื่นไหลทางเพศ
2.5 ขบวนการเคลื่อนไหวของเกย์ในสังคมไทยภาคปฏิบัติการและกระบวนทัศน์
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ (2553) ได้ศึกษาแนวคิดการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มเกย์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน
กลุ่มหลากหลายทางเพศในสังคมไทย และผลจากการศึกษาสรุปออกมาได้ดังนี้
1. องค์ความรู้เกี่ยวกับเกย์ไทยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา นักวิชาการไทยมักจะมองอัต
ลักษณ์เกย์ด้วยกรอบความคิดแบบตะวันตก กล่าวคือ มองว่าบุคคลที่เป็ นเกย์มีเส้นทางการ
เรียนรู้และสร้างอัตลักษณ์เกย์แบบเส้นตรง คือ เริ่มจา กสงสัยว่าตนเองต่างไปจากผู้ชาย และ
เปลี่ยนไปสู่การยอมรับอัตลักษณ์ในขั ้นสุดท้าย การอธิบายในแนวนี ้อาศัยกรอบความคิดเรื่อง
“การเปิ ดเผย” ในฐานะที่เป็ นเครื่องมือของการแสดงอัตลักษณ์เกย์ และเชื่อว่าอัตลักษณ์เกย์มี
ความคงที่และเป็ นสากล ซึ่งเป็ นอิทธิพลความคิดแบบ Essentialism/Constructionism การ
อธิบายในแนวนี ้มองข้ามความซับซ้อนของวิธีการแสดงออกถึงตัวตนเกย์ที่มีการ “เปิ ดเผย” และ
“ปกปิ ด” ตัวตนทางเพศไปพร้อม ๆ กัน
การให้ความส าคัญกับการสร้างอัตลักษณ์ ท าให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกย์ไทยมุ่งที่จะ
แบ่งแยกว่าเกย์แตกต่างจากชายหญิง (รักต่างเพศ) เป็ นความพยายามที่จะอธิบายแบบคู่ตรง
ข้าม ซึ่งฝ่ ายหนึ่งเป็ นเกย์ที่ถูกสังคมกดขี่ข่มเหง และอีกผ่ายหนึ่งเป็ นรักต่างเพศที่มีอ านาจ
เหนือกว่า นั กวิชาการไทยมักจะเชื่อว่าชาวเกย์ในสังคมไทยถูกกระท าจากสังคม และมองหา
หนทางที่จะท าให้เกย์ได้รับการปลดปล่อย นักวิชาการแนวนี ้มักจะเชื่อว่าการให้สิทธิกับเกย์คือ
ทางออกหรือเป็ นการแก้ปัญหา เช่นเดียวกับการเรียกร้องสิทธิของเกย์ในตะวันตก องค์ความรู้ที่
ชูประเด็นอัตลักษณ์เกย์ หรือ Gay Identity จึงเป็ นองค์ความรู้ที่มองเกย์แบบ “ความจริงแท้” มี
เอกภาพและมีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เมื่อน ามาอธิบายวิถีชีวิตของเกย์ในสังคมไทย กลับเป็ น
การบดบังความซับซ้อน และความหลากหลายของการแสดงตัวตนเกย์ไทยที่มิได้มีเอกภาพอย่าง
ที่คิด หากแต่การแสดง อัตลักษณ์เกย์ไทยมีลักษณะเป็ น “อัตลักษณ์ทับซ้อน” (Multiole
Identity) และอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ (Situated Identity) ซึ่งท าให้เกย์คนหนึ่ง
สามารถแสดงความเป็ นชายในบางโอกาสและเป็ นเกย์ในบางเวลา รวมทั ้ง ใช้ความเป็ นชาย
(Masculinity) และความเป็ นหญิง (Femininity) เพื่อแสดงอัตลักษณ์เกย์กับคนรัก หรือกับคู่นอน
เช่น เป็ นเกย์รับ เกย์รุก เกย์สาว เกย์แมน เกย์สาวเสีย เกย์โบท เป็ นต้น การแสดงอัตลักษณ์
เหล่านี ้จะเกิดขึ ้นในเกย์แต่ละคน ท าให้อัตลักษณ์เกย์ไทยไม่ได้มีแบบเดียว สิ่งเหล่านี ้สะท้อนให้
เห็นว่าเกย์ไทยมีการปรับเปลี่ยน “เพศสภาพ” (Gender) ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ดังนั ้น
แนวคิดที่มองว่าเพศสภาพเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกับอัตลักษณ์จึงเป็ นเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ กล่าวคือ
เกย์ไทยมีการน าเพศสภาพทั ้งชายและหญิงมาประกอบสร้างบนอัตลักษณ์ของตัวเอง ท าให้อัต
ลักษณ์เกย์ไม่จ าเป็ นต้องเป็ นอ้างอิงจากความเป็ นชายอย่างเดียว หรือความเป็ นหญิงอย่างเดียว
นอกจากนั ้น เพศวิถีแบบรักเพศเดียวกัน (Homosexuality)ที่เกย์แสดงออกผ่านพฤติกรรมทาง
เพศ (ร่วมรักทางทวารหนัก) ก็สามารถเกิดขึ ้นได้กับผู้ชายขายบริการทางเพศ (Male Sex
Worker) ที่นิยามตัวเองว่าเป็ น “ผู้ชาย” จากจุดนี ้จะเห็นว่าเพศวิถีซึ่งเป็ นเรื่องของอารมณ์ความ
ปรารถนาของบุคคล สามารถเกิดขึ ้นได้กับคนที่มีเพศสภาพแบบไหนก็ได้ ความเข้าใจเหล่านี ้ได้
เปิ ดมุมมองใหม่ในการอธิบายระบบ Gender/Sexuality ที่มิใช่เป็ นสิ่งที่มีเอกภาพและคงที่อยู่ใน
ตัวคน มิใช่เป็ นแก่นแท้ (Essense) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หากแต่เป็ นเครื่องมือส าหรับการ
แสดงออกเชิงเพศสัมพันธ์และเพศปฏิบัติที่บุคคลเป็ นผู้เลือก
2. คุณลักษณะทางวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในชุมชนเกย์ไทย มีความสัมพันธ์กับ
วัฒนธรรมบริโภคที่ขับเคลื่อนโดยสถานประกอบการต่าง ๆ ในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา กล่าวคือ การ
มาถึงของบาร์ ผับ และซาวน่า คือการเข้ามาเติมเต็มอารมณ์ความรู้สึก และสร้างพื ้นที่ส าหรับ
การแสดงตัวให้กับเกย์ไทย ท่ามกลางความรู้กระแสหลักที่สังคมมองว่าเกย์เป็ นคน “เบี่ยงเบน
ทางเพศ” การที่สถานประกอบการเข้ามามีอิทธิพลต่อการแสดงตัวตนทางเพศของเกย์ไทยส่งผล
ให้ชาวเกย์ทั ้งหลายเลือกที่จะเปิ ดเผยพฤติกรรมเกย์ในพื ้นที่ส่วนตัว และปกปิ ดความเป็ นเกย์ใน
พื ้นที่สาธารณะ ชีวิตของเกย์ไทยจึงมีสองด้าน คือ แสดงตัวตนเกย์ในพื ้นที่ลับ ๆ และแสดงตัว
เป็ นผู้ชายในชีวิตประจ าวัน
การปกปิ ดและการเปิ ดเผยตัวตนเกย์ในท านองนี ้ จะเกิดขึ ้นในวัฒนธ รรมที่เอื ้อให้เกย์
แสดงตัวตนกับเพื่อนผ่านการใช้ชีวิตที่เน้นความสนุกสนาน ความเป็ นส่วนตัว และแสวงหาความ
พึงพอใจจากรูปลักษณ์ภายนอก วัฒนธรรมดังกล่าวนี ้เป็ นผลผลิตโดยตรงจากวัฒนธรรมบริโภค
ซึ่งมีการน าเรื่องเพศ เซ็กส์ และกามารมณ์เป็ นมาสินค้าและบริการ จะเห็นไดว่าเกย์ ไทยคุ้นเคย
กับการแสดงตัวตนในบาร์ ผับ ซาวน่า มากกว่าจะแสดงตัวตนในครอบครัว เพราะในสถาน
ประกอบการเหล่านี ้ได้สร้างค่านิยมเกี่ยวกับการรับรู้ถึงความเป็ นเกย์ผ่านกามารมณ์เป็ นหลัก ซึ่ง
คอยก ากับความคิดให้เกย์เชื่อว่าตนเองจะเรียนรูค้ วามเป็ นเกย์ได้ก็ต้องมีประสบการณ์ทางเ พศ
และตอกย ้าด้วยการหาความสุขทางเพศผ่านรูปลักษณ์ (รูปร่างดี หน้าตาดี) และรักษาภาพพจน์
ผู้ชายโดยไม่น าความเป็ นเกย์ไปเปิ ดเผย ซึ่งท าให้เกย์ไทยแต่ละคนมีการแสวงหาความสุข
ส่วนตัวแบบของใครของมัน คุณลักษณะเหล่านี ้พบเห็นได้ในชุมชนเกย์ไทยปัจจุบันและมี
ความส าคัญเหนือกว่ามิติทางการเมือง (การเรียกร้องสิทธิ) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ส านึกเชิง
การเมืองของเกย์ไทยแฝงอยู่ในการวัฒนธรรมบริโภค ที่ส่งเสริมให้เกย์แสวงหาความสุขทางเพศ
ได้อย่างอิสระ วัฒนธรรมบริโภคของเกย์ไทยจึงมีความหมายเท่ากับ “สิทธิและเสรีภาพ” ที่สังคม
ไม่เข้ามาปิ ดกั ้น
3. การเดินพาเหรดของเกย์ไทย เป็ นภาพสะท้อนของการกระบวนทัศน์การสร้างความ
เป็ นปกติให้เกย์ (Normalizing Gay Identity) กล่าวคือ ในช่วงทศวรรษ 2540 เกย์ไทยพยายาม
แสดงตัวตนในพื ้นที่สาธารณะมากขึ ้น และการน าตัวเองไปสู่พื ้นที่ดังกล่าวนั ้นก็ต้องท าให้ตนเอง
เป็ นที่ยอมรับและเข้ากันได้กับคนส่วนใหญ่ ดังนั ้น เกย์ไทยจึงเลือกที่จะน าเอาศิลปวัฒนธรรม
ชาติมาน าเสนอ ไม่ว่าจะเป็ นการส่งเสริมให้แต่งกายแบบไทยประเพณี การส่งเส ริมประเพณีลอย
กระทง และการสนับสนุนให้พาเหรดเกย์เป็ นเครื่องมือดึงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาประเทศไทย
กิจกรรมเหล่านี ้เกิดขึ ้นบนค าขวัญที่ว่า “เอกภาพในความแตกต่าง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเดิน
พาเหรดของเกย์ไทยมิได้มีเป้ าหมายทางการเมือง หรือต้องการที่จะท้าทายกฎระเบียบทางสังคม
เหมือนตะวันตก
การเดินพาเหรดของเกย์ไทย ยังสะท้อนภาพทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการต่อรองในการ
แสดงตัวตนเกย์ในพื ้นที่สาธารณะ และการต่อรองกับความเป็ นเกย์สากล ซึ่งต้องพูดถึงสิทธิ
เสรีภาพในฐานะเป็ นเป้ าหมายที่เกย์ตะวันตกน ามาแสดงในการเดินพาเหรด เกย์ไทยที่ออกมา
แสดงตัวตนในการเดินพาเหรดพยายามเชื่อมโยงตัวเองกับบริบทเกย์สากล ซึ่งแผ่ขยายมาพร้อม
กับการบริโภคสินค้า/บริการ เห็นได้จากการน าเกย์ชาวตะวันตกที่เป็ นเจ้าของสถานประกอบการ
ต่างๆเข้ามาเป็ นผู้สนับสนุน เป็ นสปอนเซอร์ (เจ้าของบาร์ในย่านสีลม และสุรวงษ์) ท าให้มีการ
พูดถึง “สิทธิ” ที่สอดคล้องกับผู้น าเกย์ไทยในองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีความคิด มีอุดมการณ์และความ
เชื่อเรื่องการเรียกร้องสิทธิของเกย์ และในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงเข้ากับสังคมไทย โดยการ
น าประเพณีของชาติมาผนวกรวมเข้ากับการแสดงตัวตนเกย์ วิธีการเหล่านี ้คือสิ่งที่เกย์ไทยใช้
เพื่อที่จะท าให้สังคม “ยอมรับ” และเห็นว่าเกย์มีประโญชน์ต่อสังคม
4. การท างานด้านสุขภาวะทางเพศ การให้ความรู้โรคเอดส์ และการส่งเสริมให้เกย์มี
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย สะท้อนกระบวนทัศน์ “การเป็ นคนดี” ของชาวเกย์ที่ต้องการท าให้สังคม
เห็นว่าเกย์มิใช่คน “ผิดปกติ” พื ้นที่การท างานด้านเอชไอวี/เอดส์ ถือเป็ นพื ้นที่ที่เกย์นัก
เคลื่อนไหวออกมารณรงค์ให้เกย์รู้จักดูแลสุขภาพตัวเองและป้ องกันตัวจากโรคเอดส์ ซึ่งในยุค
แรก ๆ ที่มีโรคนี ้เกิดขึ ้น สังคมต่างหวาดกลัวและคิดว่าโรคเอดส์เป็ นโรคของเกย์ หรือเกย์เป็ นผู้
แพร่เชื ้อเอดส์ ความคิดเหล่านี ้ส่งผลด้านลบให้กับ เพราะเกิดการตีตราว่าเกย์เป็ นคนส ่าส่อนทาง
เพศ ภาพลักษณ์ดังกล่าวนี ้ท าให้นักต่อสู้และผู้น าองค์กรเกย์พยายามสร้างค าอธิบายใหม่เพื่อท า
ให้สังคมไม่มองเกย์ในแง่ลบ
ความหมายเกี่ยวกับ “กุลเกย์” หรือ การเป็ นเกย์ที่ดีกลายเป็ นความหมายที่ใช้ต่อสู้กับ
ภาพลักษณ์ของเกย์ที่ส ่าส่อนทางเพศ ความคิดในท านองนี ้เป็ นพื ้นฐานในการท างานด้านสุข
ภาวะทางเพศ จะเห็นว่าองค์กรเกย์ล้วนมีเป้ าหมายเดียวกันคืออยากเห็นเกย์รับผิดชอบต่อ
ตัวเองและผู้อื่น รักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนคู่นอน หรือใช้ถุงยางอนามัยทุกครั ้งที่มีเพศสัมพันธ์
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องเป็ นเกย์อย่างมีคุณภาพ มีความภูมิใจในตัวเอง และอยู่ร่วมกับคนอื่นได้
โดยไม่ท าตัวเป็ นปัญหา กระบวนทัศน์นี ้ ด าเนินควบคู่ไปกับการท างานด้านสุขภาวะทางเพศ
ซึ่งองค์กรสามารถสร้างแกนน าและอาสาสมัคร ที่มีความรู้ความสามารถออกไปท างานในพื ้นที่
ต่าง ๆ ทั ้งในเมืองและท้องถิ่น จนเกิดเครือข่ายการท างานในประเด็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับ
ชาย สิ่งเหล่านี ้ท าให้เห็นประสบการณ์ทางเพศของชายรักชายในท้องถิ่นที่ไม่จ าเป็ นต้องแสดง
“อัตลักษณ์เกย์” เหมือนกับชายรักชายที่อาศัยในเขตเมือง หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้ชายที่แสดง
“พฤติกรรม” แบบเกย์ อาจไม่จ าเป็ นต้องนิยามว่าตนเองเป็ นเกย์หรือแสดงอัตลักษณ์แบบเกย์
ความเข้าใจนี ้น าไปสู่การทบทวนวิธีคิดเกี่ยวกับเพศสภาพและเพศวิถีในสังคมไทย ซึ่งผู้ศึกษา
ค้นพบว่า “พฤติกรรม” หรือการปฎิบัติทางเพศ ไม่จ าเป็ นต้องเป็ นสิ่งเดียวกับส านึกในตัวตน
หรืออัตลักษณ์เกย์
5. การน ากรอบความคิดเควียร์มาอธิบายการเคลื่อนไหวของเกย์ในสังคมไทย ท าให้มอง
การเคลื่อนไหวของเกย์ไทยในมิติทางวัฒนธรรม มากกว่าเป็ นการเคลื่อนไหวทางการเมือง
กล่าวคือ ในช่วงเวลที่เกย์ไทยออกมาแสดงตัวในพื ้นที่สาธารณะผ่านการเดินพาเหรดและการ
ท างานด้านสุขภาวะทางเพศ เป็ นช่วงเวลาของการต่อรองกับระบบเพศวิถีกระแสหลัก และกับ
ความเป็ นเกย์สากล การต่อรองดังกล่าวนี ้เปิ ดพื ้นที่ให้มีการทบทวน ถกเถียง และสร้าง
ความหมายระหว่างชาวเกย์กับคนในสังคม ซึ่งถือเป็ นกระบวนการสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่
มิได้น าไปสู่ค าตอบส าเร็จรูป หรือล้มล้างกฎระเบี ยบทางสังคมที่มีอยู่เดิม หากแต่เป็ นความ
พยายามที่เกย์ไทยจะออกมาจากซอกหลืบ พื ้นที่ส่วนตัว และทดลองจะเข้าไปอยู่ในพื ้นที่
ส่วนรวม/สาธารณะ เป็ นการท าให้การแสดงอัตลักษณ์เกย์มีช่วงเวลาที่ยาวนานขึ ้น เป็ นการ
ต่อรองเพื่อการแสดงบทบาท ระหว่างตัวตนเกย์กับตัวตนแบบผู้ชายที่เกย์ไทยต้องเรียนรู้ที่จะใช้
ชีวิตทั ้งสองแบบไปพร้อม ๆ กัน มิติเหล่านี ้คือมิติเชิงวัฒนธรรมท าให้การเคลื่อนไหวของเกย์ไทย
มิใช่การออกมาเรียกร้องกฎหมายเหมือนเกย์ในตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความพยายามที่จะพูดถึง “สิทธิ” ผ่านเกย์ที่เป็ นผู้น าในองค์กรต่าง
ๆ ซึ่งผู้น าเกย์เหล่านี ้ได้ปรับวิธีคิดแบบตะวันตกเข้ากับเงื่อนไขแบบไทย โดยกระตุ้นและ
ผลักดันให้เกย์ออกมาท างานเพื่อสังคม ออกมาใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองท าประโยชน์
ให้กับผู้อื่นเท่าที่จะท าได้ ถ้าหากมองด้วยกรอบความคิดแบบเก่า
(Esssentialism/Constructionism) ก็อาจท าให้เข้าใจได้ว่าการออกมาเคลื่อนไหวของเกย์คือการ
ออกมาเรียกร้องสิทธิ และมองเห็นสังคมเป็ นศัตรู แต่เมื่อใช้ความคิดเควียร์มาอธิบายก็จะพบว่า
เกย์ไทยมิได้ยืนอยู่ตรงข้ามกับสังคม แต่พยายาม “ผนวกรวม” ตัวเองเข้าไปอยู่ในกฎระเบียบของ
สังคม ข้อแตกต่างจากการอธิบาย ด้วยกรอบความคิดทั ้งสองแบบนี ้คือกระบวนการแสวงหา
ความรู้เกี่ยวกับเกย์ที่มีปลายทางต่างกัน ความคิดแบบเก่ามองเกย์แบบส าเร็จรูปและพยายาม
สร้างคู่ต่อสู้ให้กับเกย์ ส่วนความคิดเควียร์มองเกย์แบบเปิ ด ไม่ยึดติดกับแนวคิดอัตลักษณ์และ
เพศวิถี แต่พยายามวิพากษ์กระบวนการสร้าง ตัวตนของเกย์ผ่านประสบการณ์ชีวิต เป็ นการเปิ ด
พื ้นที่ให้เกย์ได้ “พูด” และ “สร้างความหมาย” ต่อชีวิตของตัวเองโดยไม่จ าเป็ นต้องยืนอยู่ตรงข้าม
กับใคร
การศึกษาในที่นี ้ได้อาศัยข้อมูลภาคสนาม (Ethnographic Data) ที่สะท้อนวิธีคิด
และวิธีปฏิบัติของเกย์ไทยในสถานการณ์ต่าง ๆ ตั ้งแต่การใช้ชีวิตในสถานประกอบการ ในสื่อ
สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ในการเดินพาเหรดและการท างานด้านสุขภาวะทางเพศ วิธีคิดและ
ปฏิบัติการต่าง ๆ ของเกย์ไทยที่น าเสนอในการศึกษาเรื่องนี ้ได้สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ
เพศสภาพและเพศวิถีในสังคมไทยเป็ นสิ่งที่ไม่มีเอกภาพ จากประสบการณ์ชีวิตของบุคคลที่เป็ น
เกย์พิสูจน์ให้เห็นว่าเพศสภาพและเพศวิถีมีความยืดหยุ่น และเป็ นเครื่องมือส าหรับการ
แสดงออกทางเพศในสถานการณ์ต่าง ๆ และไม่จ าเป็ นต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของ
บุคคลเสมอไป ข้อมูลภาคสนามเหล่านี ้ยืนยันว่าชีวิตของเกย์ไทยมีกา รปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
เพื่อที่จะแสวงหาพื ้นที่ยืนทางสังคม และสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน จนท าให้อัต
ลักษณ์เกย์ไทยมีลักษณะทับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ซึ่งเป็ นสิ่งที่เควียร์
พยายามยกขึ ้นตอบโต้กระบวนทัศน์แบบปฏิฐานนิยมที่ปรากฎอยู่ในกลุ่ม Essentialist และ
Constructionist
ข้อค้นพบในการศึกษาเรื่องนี ้ จะช่วยเปลี่ยนมุมมองในการอธิบายปัญหาของเกย์จาก
คนที่ถูกกระท าจากสังคมหรือเป็ นเหยื่อสังคม ไปเป็ นการมองว่าเกย์คือผู้หนึ่งที่มีส่วน “กระท า”
และ “ถูกกระท า” ภายใต้วิธีคิดแบบเพศวิถีกระแสหลัก(รักต่างเพศ) เมื่อเป็ นเช่นนี ้ก็จะท าให้
เห็นว่าปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เกย์เป็ น “ผู้เล่น” อยู่นั ้นต่างสะท้อนกระบวนทัศน์ทางสังคมไม่ว่าจะ
เป็ นเพื่อสร้างความหมายของเกย์ที่ดีและเกย์เป็ นคนปกติ การมองดูปรากฎการณ์และการ
เคลื่อนไหวของเกย์ในสังคมไทยจึงต้องมองสิ่งเหล่านี ้ในฐานะเป็ นการ “เปลี่ยนผ่าน” ทาง
วัฒนธรรม (Cultural Process) ของกลุ่มคนที่พยายามออกมาแสดงตัวในพื ้นที่สาธารณะ
พร้อม ๆ กับการสร้างความหมายผ่านค่านิยม ความเชื่อ และความคิดเรื่องเพศที่คอยก ากับวิธี
คิดและวิธีปฏิบัติทางสังคม การเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมนี ้คือสิ่งที่ยืนยันว่าการ เคลื่อนไหว
ของเกย์มีพลังต่อการท าให้สังคมหันมาถกเถียงและเรียนรู้จากคนที่เคยถูกตีตรา เพื่อที่จะ
ทบทวนความหมายต่าง ๆ ว่าสิทธิและความเท่าเทียมทางสังคม ควรจะด าเนินไปอย่างไร
ปฏิบัติการต่างๆของเกย์ในสังคมไทยล้วนเป็ นเครื่องแสดงว่า มนุษย์ทุกคนควรจะมีพื ้นที่ส าหรับ
การแสดงออกเชิงวัฒนธรรม (ค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์ แบบแผนการด าเนินชีวิต ) ซึ่งสิ่งนี ้
เป็ นมากกว่าสิทธิทางกฎหมาย เพราะสิทธิในการแสดงตัวและการนิยามตัวตน เป็ นสิ่งที่ท าให้
มนุษย์รู้ว่าอะไรคือคุณค่าของตัวเอง
2.6 แนวคิดเกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์
ในที่นี้จะเน้นการเขียนบทภาพยนตร์ขนาดสั้น จะมีลักษณะเด่น ดังนี้
เป็นโครงสร้างที่ยึดหลักบทแบบ 3 องก์เป็นหลัก (Three-act Structure)’
ซึ่งโครงสร้างบทแบบ 3 องก์ จะเป็นสูตรโครงสร้างของบทที่ได้กำหนดการ
ดำเนินเรื่องตามจุดต่าง ๆ เริ่มจากองก์แรกจะเป็นการปูเรื่อง เป็นการเล่าให้เห็นภาพก่อนว่าภาพยนตร์
เรื่องนี้มีลักษณะอย่างไร แล้วเราจะเห็น Motivations ของแต่ละตัวละคร จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือ
อะไร ซึง่ พอถึงจุดหนึ่งจะเกิดอุปสรรคต่อความต้องการหรือปมขัดแย้ง (Conflict) อาจจะเกิดจาก
ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ที่มีความต้องการที่ขัดกัน ทั้งการแย่งชิงกัน ความไม่ยุติธรรม
การไม่เข้าใจกัน การสื่อสารที่ผิดพลาด นอกจากนี้อาจจะไม่ได้มาจากระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง อาจจะ
เป็นธรรมชาติ เช่น ความตาย หายนะ หรือสัตว์ร้าย และผิดธรรมชาติ เช่น ผี วิญญาณ หรือมนุษย์ต่าง
ดาว เป็นต้น และนั่นเป็นการเข้าสู่องก์ที่สอง ซึ่งเป็นการดำเนินเรื่อง การอยู่กับปัญหาหรือการแก้ไข
ปัญหา ซึ่งจะนำพาไปสู่จุดเปลี่ยนเรื่อง/จุดหักเห (Turning Point/Mid-Point) คือ การที่ปัญหามัน
ร้ายแรงขึ้น สิ่งที่พยายามจะแก้ไขกลับยากขึ้น ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง หรือต่อสู้กับมันหนักขึ้น
กว่าเดิม เช่น เอพยายามทำลายบี แต่แล้วบีก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หรือเอพยายามจะขโมยทองจาก
ธนาคาร เขาคิดว่าไม่มีใครสามารถจับเขาได้ แต่ระหว่างปฏิบัติการมีเสียงประกาศว่าตำรวจล้อม
ทางออกไว้ทั้งหมดแล้ว และมันเป็นปัญหาสุดท้ายของเขาที่จะแก้ไขมัน ซึ่งการแก้ไขครั้งนี้จะนำพาไป
จุดที่พีคที่สุดของเรื่อง ที่เรียกกันว่าจุดสูงสุด (Climax) จุดนี้ คือ การแก้ไขที่ทุกอย่างต้องนิ่งและ
จะต้องพาเข้าสู่จุดจบของเรื่องให้ได้ ซึ่งจะทำให้เข้าสู่จดจบของเรื่องให้ได้ ซึ่งจะทำให้เข้าสู่องก์ที่สาม
ซึ่งเป็นองก์สุดท้าย ซึ่งเป็นองก์ที่เกี่ยวกับการคลี่คลาย ซึ่งองก์นี้ จะเห็นผลลัพธ์จากการกระทำที่ผ่าน
มาของทั้งเรื่อง เราจะได้รู้ว่าแต่ละคนแต่ละอย่างจะลงเอยอย่างไร แล้วเขาจะทำอะไรต่อหลังจากที่ทุก
อย่างได้คลี่คลายลง
โดยสรุป โครงสร้างบทขนาดสั้น ยึดการเขียนบทแบบ 3 องก์และการสื่อสารที่เข้าใจง่าย มีเพียง
จุดมุ่งหมายเดียวในการสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องมีพล็อตรอง (Sub-Plot) เพื่อโอบอุ้มเนื้อเรื่อง
บทที่ 3
ระเบียบวิธีวิจัย
จากตารางด้านบน สามารถอธิบายได้เพิ่มเติมดังนี้
1.ในแง่โครงเรื่อง นิยาย ดำเนินเรื่อง เป็นเรื่องราวของครอบครัวสองครอบครัวที่พ่อแม่ของทั้ง
สองบ้านไม่ถูกกัน แต่ลูกของทั้งสองบ้านแอบเล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน แต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่ถูกกันเพื่อ
ปกปิดมิตรภาพเหล่านั้น จนในที่สุดลูกชายของทั้งสองบ้านก็รักกัน ทำให้พ่อแม่ของฝ่ายหนึ่งยื่นคำขาดจะ
จับลูกชายคลุมถุงชน จนเกิดการแตกหักของลูกชายกับบ้าน แต่ท้ายที่สุดหลังจากที่ทะเลาะกันไป ก็
กลับมาคืนดีกับบ้าน และทั้งสองบ้านก็เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของลูกชายทั้งสองดี
แต่ในตัวซีรีส์ โครงเรื่อง มีการตัดเรื่องคลุมถุงชนออกไป และใส่เป็นซีนของการหนีออกจากบ้าน
แทน ทั้งสองแกล้งทำเป็นเลิกกันแล้ว แต่ยังคบกันอยู่ และในท้ายที่สุดความลับก็แตก แต่พ่อแม่ของทั้งสอง
บ้านก็ยินยอมและพยายามทำความเข้าใจ ไม่ชวนทะเลาะกัน จบบริบูรณ์ ทั้งยังให้น้องสาวของบ้านแรก มี
แฟนเป็นผู้หญิงอีก ทำให้เห็นว่า ซีรีส์มีการดัดแปลงเนื้อหาเพื่อเพิ่มประเด็นทางสังคมในแง่ของความ
หลากหลายทางเพศลงไปต่างจากนิยายที่เป็นเรื่องราวตามขนบของนิยายวาย
4.2 บทภาพยนตร์ขนาดสั้น
จากสัมพันธบทที่ได้มีการเปรียบเทียบแล้ว จึงนำมาซึ่งการเขียนบทภาพยนตร์ขนาดสั้น โดยใน
ท้ายที่สุดแล้ว สื่อวายของประเทศไทย กำลังเติบโตและขยายใหญ่ และกำลังต่อสู้กับขนบความคิด
แบบเดิมๆ พยายามใส่ประเด็นทางสังคมเข้าไปในซีรีส์มากขึ้นแล้ว และผู้บริโภคเองก็สนับสนุน ทำให้
มองเห็นถึงแนวทางของสื่อวายไทยที่จะเป็นสื่อที่ไม่ทอดทิ้งปัญหาเชิงสังคมที่มีอยู่ในสังคมไทย ทำหน้าที่
ของสื่อคือ เป็นทั้งภาพสะท้อน และประกอบสร้างความจริงไปด้วยกัน ถึงแม้จะยังมีเรื่องของความเกินจริง
อยู่บ้างแต่ก็เป็นสื่อที่ให้ความหวังใหม่แก่กลุ่มคนเพศหลากหลายต่อไป
สำหรับในที่นี้ ผูเ้ ขียนได้ลองเขียนบท ใช้แนวคิดสัมพันธบท จากเดิมที่พบว่า สื่อวายสามารถ
ปรับเปลี่ยนดัดแปลงได้ มีบาส่วนคือ แก่นกับความขัดแย้งที่ไม่อาจปรับเปลี่ยน ในที่นี้ ผู้เขียน จึงจะ
ลองปรับเปลีย่ น โดยย้อนวัยของตัวละครก่อนที่จะเป็นเหตุการณ์ในปัจจุบนั และแทรกแนวคิดเกี่ยวกับ
ความหลากหลายทางเพศ โดยอิงประเด็นเรื่อง สมรสเท่าเทียม ดังรายละเอียด ตัวบทภาพยนตร์
ดังต่อไปนี้
เรื่องย่อ
ปราณ เด็กผู้ชาย 10 ขวบมาดนิ่ง กำลังเล่นสนุกกับภา น้องสาว 8 ขวบเด็กข้างบ้าน เด็กทั้งสอง
นั่งเล่นขายของกันอย่างมีความสุข ทันใดนั้น ภัทร เด็กผู้ชาย 10 ขวบอีกคน พี่ชายของภาก็ได้เข้ามา
จุ้นจ้าน ทำทีเป็นลูกค้ามาซื้อของ แต่ดันหกล้ม หม้อ ชาม ถ้วยดินเหนียวที่เพิ่งปั้นเสร็จก็โดนทับแบนจน
เอามาเล่นต่อไม่ได้ ภาจึงเสนอว่า ให้มาเล่นพ่อแม่ลูกกัน ทั้งสามคนจึงตกลง โอน้อยออกเลือกตำแหน่งกัน
จับพลัดจับพลู ปราณได้เป็นพ่อ ส่วน ภัทรได้เป็นแม่ และภากลับได้เป็นลูก
ภัทรไม่พอใจที่ได้เป็นแม่ จึงทะเลาะกับปราณ ภาพยายามห้ามพี่ทั้งสอง ด้วยเห็นแก่น้อง ภัทร
เลยท้าปราณเป่ายิงฉุบกัน ใครแพ้ได้เป็นแม่ ทั้งคู่เป่ากันไปสิบตา ร้อยตา พันตาก็เสมอกันทุกที สุดท้ายเลย
ยอมแพ้ ภานั่งหลับรอแล้ว ภัทรเลยปลุกภา ภาไม่ตื่น งัวเงียจะให้ภัทรอุ้มเดินกลับบ้าน ทั้งสามจึงเดินกลับ
บ้านกัน สิ้นสุดที่หน้าบ้าน ภัทรกำลังโบกมือลาปราณ และปราณก็โบกมือให้ ไม่ทันระวัง ปราณหกล้มจน
เป็นแผล ภาเห็นเลือดเลยร้องไห้เสียงดัง
แม่ของภัทรวิ่งออกมาดูภา แต่ปราณต่างหากที่เป็นแผล แม่ปราณเดินออกมาดูหน้าบ้าน ตกใจที่
ภัทรเป็นแผล แม่ๆ ทั้งสองไปเอาผลาสเตอร์มาแย่งกันจะทำแผลให้ได้ สุดท้าย ภัทร วัย 36 ปี จึงเดินเข้า
มาเอาพลาสเตอร์ปิดแผลให้ปราณวัย 36 ปี ที่ข้อศอกถลอกอยู่ทั้งคู่ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนภัทรจะแกล้งจิ้ม
แผลให้ภัทรเจ็บ ภาวัย 34 ปี จึงเดินเข้ามาดุพี่ที่ไม่ยอมเข้าไปล้างแผลในบ้าน จนเสียงหัวเราะของทั้งสาม
คนค่อยๆ เงียบลง บ้านทั้งสองหลังก็เปิดไฟสว่างขึ้นมา
บทที่ 5
สรุปและอภิปรายผล
5.1 สรุปผล
การศึกษานี้ ได้ศึกษาถึงขั้นตอนการทำการศึกษาสัมพันธบทได้ข้อสรุปว่า จากนิยายเป็นซีรีส์ มี
การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบมากมาย ทั้งตัวละคร เนื้อหา ความขัดแย้ง และได้ลงมือปฏิบัติเขียนบท
ภาพยนตร์ด้วยข้อมูลดังกล่าว ทำให้ภาพยนตร์ถูกเชื่อมเข้ากับตัวบทของนิยาย และซีรีส์ ยังมีการแทรก
องค์ประกอบเกี่ยวกับสมรสเท่าสเทียม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมของกลุ่มเพศหลากหลายอีกด้วย
5.2 อภิปรายผล
จากปัญหาที่เป็นข้อถกเถียงว่า ซีรีส์วายไทยที่มีปริมาณมากนั้น ไม่สามารถผลักดันให้เกิดการ
เคลื่อนไหวทางสังคมได้ จากผลการวิจัย ภายใต้แนวคิดสัมพันธบท แนวคิดการเล่าเรื่อง ซีรีส์วาย และ
ความหลากหลายทางเพศ ทำให้เห็นถึงอุปสรรคของการพูดถึงประเด็นปัญหาเชิงสังคมในสื่อประเภทวาย
ดังนี้
- อุปสรรคจากกรอบของสื่อประเภทวาย ต้องมีเนื้อหาเบา เน้นปมปัญหาของความสัมพันธ์
ระหว่างตัวละครเอก ไม่มุ่งเน้นไปที่ปัญหาของการเป็นกลุ่มเพศหลากหลาย เน้นขายฉากจิ้น ฟินจิกหมอน
คล้ายละครรักโรแมนติกแต่เป็นเวอร์ชั่น ช-ช
- เพศหลากหลายในประเทศไทย ถูกมองว่าเป็นการตลาดชนิดหนึ่ง ทำให้เมื่อมีผลประโยชน์เชิง
ธุรกิจเข้ามา จึงกลายเป็น Queerbaiting ซึ่งทำให้ประเด็นเชิงสังคม ถูกมองเป็นเพียงแค่การตลาด ไม่
สามารถโน้มน้าวให้ผู้คนเกิดการตระหนักรู้ถึงปัญหาเชิงสังคมได้
อย่างไรก็ดี จากการทดลองการทำสัมพันธบท ก็พบว่า ตัวบทสามารถเป็นพื้นทีเปิดให้กับการต่อสู้
ต่อรองความหมายได้ในระดับหนึ่ง นับตั้งแต่การขยายและเปลี่ยนแปลงตัวบทจากนวนิยายไปสู่ละคร และ
ในที่นี่ ก็ได้ขยับมาทดลองการทำภาพยนตร์สั้น
จากการสรุปผลแล้ว สื่อวายของประเทศไทย ยังคงมีการต่อสู้ทางวัฒนธรรม และไม่ยอมถูกปกปิด
ตัวตนของกลุ่มเพศหลากหลาย แต่การต่อสู้นี้ ต้องประนีประนอบกับสังคมและค่านิยมกระแสหลัก เพื่อ
ไม่ให้เกิดความเกลียดชังและการแตกหัก แต่ให้เกิดเป็นการประสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับสังคม
ถึงแม้ว่าอาจจะยังคงมีเรื่องของบทบาททางเพศ รูปร่างหน้าตาที่ตามพิมพ์นิยม หรือ ความเป็นชายที่ติดอยู่
กับตัวละคร แต่อย่างน้อย สื่อวายก็สามารถสร้างการตระหนักรู้ว่า ยังมีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอยู่ใน
ประเทศไทยนี้ และพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างจากใครเลย ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และความรักนั้น
ไร้ซึ่งพรมแดนของเพศ ชนชั้น หรือฐานนะ ซึ่งสร้างความเข้าใจในแง่ของวาทกรรมทางเพศที่ไม่ดีต่อกลุ่ม
เพศหลากหลายโดยเฉพาะกลุ่มเกย์ ให้กลายเป็นวาทกรรมที่ดีมากขึ้น และไม่เกิดการกีดกันทางเพศอันเกิด
มาจากสื่อที่นำเสนอเนื้อหาที่ชักจูงให้เกิดความเข้าใจผิด และรู้สึกว่ากลุ่มเพศหลากหลายนั้นผิดปกติและ
แตกต่าง
บรรณานุกรม
หนังสือ
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ชัยยงค์ พรหมวงศ์, นิคม ทาแดง และไพบูรณ์ คะเชนทรพรรค์. (2547). รูปแบบรายการวิทยุ
โทรทัศน์. สืบค้นจาก http://www.ipesp.ac.th/learning/thai/chapter9- 3.html
สันติชัย อาภรณ์ศรี. (2565). หรือ 'ซีรีส์วาย' นี่แหละคือซอฟต์พาวเวอร์ของไทย.
สืบค้นจาก https://www.gqthailand.com/culture/article/series-y-soft-power