You are on page 1of 52

29/12/2558 สภาวิ

ศวกร

วิ
ชา : Air Conditioning
เนื

อหาวิ
ชา : 388 : Psychrometrics

ข อที
้ ꇾ
1 : ความเร็
วลมโดยเฉลี
ยผ่
ꇾ านคอยล์
เย็
น (Cooling Coil) ปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 1.5 เมตรต่
อวิ
น าที
2 : 2 เมตรต่
อวิ
น าที
3 : 2.5 เมตรต่
อวิ
น าที
4 : 3 เมตรต่
อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
2 : หองทํ
้ างานโดยทัวไป ้ ค่
ꇾ ในขณะใชงานมีาอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) เท่
าใด

1 : 0.50­0.65
2 : 0.66­0.80
3 : 0.81­0.95
4 : เกิ
น 0.95

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
3 : ค่
าแฟคเตอร์
เลี
ยง
ꇾ (Bypass Factor ­ BF) ของคอยล์
เย็
น (Cooling Coil) จํ
านวน 4 แถว โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 0.05
2 : 0.08
3 : 0.13
4 : 0.2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
4 : จุ
ดนํ

าคางอุ
้ ปกรณ์
(Apparatus Dew Point) ของคอยล์
นํ

าเย็
น (Chilled water coil) โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 7 องศาเซลเซี
ยส
2 : 10 องศาเซลเซี
ยส
3 : 12 องศาเซลเซี
ยส
4 : 14 องศาเซลเซี
ยส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
5 : อุ
ณหภู
มล
ิมกลับ (Return Air Temperature) โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 24 องศาเซลเซี
ยส
2 : 26 องศาเซลเซี
ยส
3 : 28 องศาเซลเซี
ยส
4 : 30 องศาเซลเซี
ยส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
6 : อุ
ณหภู
มล
ิมจ่
าย (Supply Air Temperature) โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 10 องศาเซลเซี
ยส
2 : 12 องศาเซลเซี
ยส
3 : 14 องศาเซลเซี
ยส
4 : 16 องศาเซลเซี
ยส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
7 : สภาวะออกแบบหอง
้ (Room Design Condition) โดยทัวไปเป็
ꇾ นเท่
าใด

1 : 25 องศาเซลเซี
ยส, 60%RH
2 : 22 องศาเซลเซี
ยส, 50%RH
3 : 26 องศาเซลเซี
ยส, 60%RH
4 : 25 องศาเซลเซี
ยส, 50%RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
8 : Outdoor Design Condition โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 35 CDB / 30 CWB
2 : 37 CDB / 27 CWB
3 : 37 CDB / 30 CWB
4 : 35 CDB / 28.5 CWB

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 1/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
9 : ปริ
มาณการเติ
มอากาศบริ
สุ
ทธิ
⿠ ꇾ สัดส่
โดยทัวไปมี วนเท่
าใดของปริ
มาณลมหมุ
น เวี
ยน

1 : 5%
2 : 10%
3 : 20%
4 : 25%

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
10 : สํ
าหรับหองที
้ มี
ꇾค่
าอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) เท่
ากับ 0.8 ปริ
มาณลมหมุ
น เวี
ยนในระบบปรับอากาศ โดยทัวไปเป็
ꇾ นเท่
าใด

1 : 6 หน่
วยปริ
มาณผลัดเปลี
ยนลมต่
ꇾ ꇾ (Airchange/Hr)
อชัวโมง
2 : 8 หน่
วยปริ
มาณผลัดเปลี
ยนลมต่
ꇾ ꇾ (Airchange/Hr)
อชัวโมง
3 : 10 หน่
วยปริ
มาณผลัดเปลี
ยนลมต่
ꇾ ꇾ (Airchange/Hr)
อชัวโมง
4 : 12 หน่
วยปริ
มาณผลัดเปลี
ยนลมต่
ꇾ ꇾ (Airchange/Hr)
อชัวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
11 : ปริ
มาณลมหมุ
น เวี
ยนต่
อตัน ความเย็
น โดยทัวไปเป็
ꇾ นเท่
าใด

1 : 100 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
2 : 150 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
3 : 200 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
4 : 250 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
12 : จุ
ดนํ

าคางอุ
้ ปกรณ์
(Apparatus Dew Point) ของคอยล์
นํ

ายาทํ
าความเย็
น (R­22) โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 6 องศาเซลเซียส
2 : 7.5 องศาเซลเซี
ยส
3 : 9 องศาเซลเซียส
4 : 10.5 องศาเซลเซียส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
13 : สภาวะอากาศ (ก) มี
อณ
ุหภู
มจิ

ดนํ

าคาง
้ 15 องศาเซลเซี
ยส สภาวะอากาศ (ข) มี
อณ
ุหภู
มห
ิยาดนํ

าคาง
้ 12 องศาเซลเซี
ยส ข อใดต่
้ อไปนี

ถู
กตอง

1 : สภาวะ (ก) มี
อณุหภูมก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี ยส) สูงกว่
า (ข)
2 : สภาวะ (ก) มี
อต
ั ราส่
วนความชื 뇽(กรัมไอนํ
น 뇽
า/กิโลกรัมอากาศแหง)้สู
งกว่
า (ข)
3 : สภาวะ (ก) มี
ความชื뇽 มพัน ธ์
นสั (เปอร์เซ็
น ต์) สู
งกว่
า (ข)
4 : ผิ
ดทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
14 : กระบวนการปรับอากาศที
เกิ
ꇾดขึ
นที
뇽 คอยล์
ꇾ ทําความเย็
น โดยทัวไปคื
ꇾ อกระบวนการในข อใด

1 : กระบวนการลดความชื뇽
นในอากาศ
2 : กระบวนการเพิ
มความชื
ꇾ 뇽
นในอากาศ
3 : กระบวนการทํ
าใหอากาศเย็
้ 뇽
น และลดความชื
นในอากาศ
4 : กระบวนการทํ
าใหอากาศเย็
้ น และเพิ 뇽
มความชื
ꇾ นในอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
15 : อัตราส่
วนของเศษส่
วนโมลของไอนํ

าทีมี
ꇾอยู
ใ่
นอากาศ ต่
อ เศษส่
วนโมลของไอนํ

าทีมี
ꇾอยู
ใ่
นอากาศที
ภาวะอิ
ꇾ มตั
ꇾ ว ณ อุ
ณหภู
มแ
ิละความดัน เดี
ยวกัน คื
อคํ
าจํ
ากัดความของข อ้
ใด

1 : ความชื뇽 มพัทธ์
นสั
2 : อัตราส่
วนความชื 뇽

3 : อัตราส่
วนโมลความชื 뇽

4 : ความชื뇽 าเพาะ
นจํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
16 : ข อมู
้ลใดไม่
ส ามารถอ่
านไดโดยตรงบนแผนภู
้ มไิ
ซโครเมตริ
กส์
ชาร์
ทมาตรฐาน

1 : ความชื 뇽 มพัทธ์
นสั
2 : อัตราส่วนความชืน뇽
3 : เอ็น ทาลปี
4 : ความหนาแน่ 뇽
น ของอากาศชื

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
17 : ข อใดกล่
้ าวถู
กตองเกี
้ ยวกั
ꇾ บความรอนสั
้ มผัส

้ โมมิ
1 : สามารถวัดโดยใชเทอร์ เตอร์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 2/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
2 : ไม่ ้ โมมิ
ส ามารถวัดโดยใชเทอร์ เตอร์
3 : เกิ
ดการเปลียนแปลงสถานะ

4 : เพิ
มขึ
ꇾ นเมื
뇽 ออากาศเย็
ꇾ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
18 : ความรอนที
้ ใช ้
ꇾ ในการเปลี
ยนสถานะจากของเหลวให
ꇾ กลายเป็
้ นไอคื

1 : ความรอนแฝงของการหลอม
้ (Latent heat of fusion)
2 : ความรอนแฝงของการกลายเป็
้ นไอ (Latent heat of vaporization)
3 : ความรอนจํ
้ าเพาะของการกลายเป็ นไอ (Specific heat of vaporization)
4 : ความรอนแฝง
้ (Latent heat) ของของเหลวนั น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
19 : อุ
ณหภู
มิ
ณ จุ
ดที 뇽
ความชื
ꇾ นในอากาศเริ
มเกิ
ꇾ ดการควบแน่
น เรี
ยกว่

1 뇽 มพัน ธ์
: ความชื
นสั เป็น 100%
2 : อุ
ณหภูมกิ
ระเปาะเปี ยก
3 : อุ
ณหภูมจิ

ดนํ뇽
าคาง้
4 : อุ
ณหภูมกิ
ระเปาะแหง้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
20 : ณ อุ
ณหภู
มท
ิกํ
ꇾาหนด ความสัมพัน ธ์
ี ระหว่
างความดัน จริ
งของไอนํ

าในอากาศกับความดัน ไออิ
มตั
ꇾ วเรี
ยกว่

1 : ความดัน ไอบางส่วน
2 : ความชื뇽 มพัทธ์
นสั
3 : ผลการทํ าความเย็น (Refrigeration Effect)
4 : ค่
าอัตราส่วนความชื 뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
21 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยกจะมี
ค่
าสู
งกว่
าอุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหงเมื
้อ ꇾ

1 뇽 มพัทธ์
: ความชื
นสั 100% และอุณหภูมส
ิูงกว่
า 0 องศาเซลเซียส
2 뇽 มพัทธ์
: ความชื
นสั สู
งกว่
า 100% และอุ
ณหภู มต
ิํꇾ
ากว่
า 0 องศาเซลเซี
ยส
3 뇽 มพัทธ์
: ความชื
นสั สู
งกว่
า 100 %
4 : ไม่
มท
ีางทีจะเกิ
ꇾ ดขึนได
뇽 ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
22 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยก, อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้และจุ
ดนํ

าคางจะเท่
้ ากัน เมื

1 : อากาศมี อณ
ุหภู มต
ิํꇾ
ากว่
าศูน ย์
องศาเซลเซี
ยส
2 : อากาศอิ มตั
ꇾ วดวยความชื
้ 뇽

3 : อากาศไม่ มค
ีวามชื 뇽
นเลย
4 ꇾ 뇽
: สิ
งนีไม่มท
ีางเกิดขึนได
뇽 ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
23 : อุ
ปกรณ์
ส ลิ
งไซโครมิ
เตอร์ ้
(Sling psychrometer) ใชสํ
าหรับวัดค่
าใด

1 : ความชื뇽 มพัทธ์
นสั
2 : ความชื뇽 มบรู
นสั ณ์
3 : อุ
ณหภูมิ
4 : ความดัน ไอของอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
24 : ปริ 뇽
มาณความชื
นในอากาศจะขึ
นอยู
뇽 ก
่บั ข อใด

1 : ค่
าความชื 뇽 มพัทธ์
นสั
2 : อุ
ณหภูมขิองอากาศ
3 : ความดัน ไอของอากาศ
4 : ความรอนแฝงของอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
25 : ข อความใดต่
้ อไปนี

ผิ

1 : อุ
ณหภูมกิระเปาะแหงเพิ
้ มขึ
ꇾ นในระหว่
뇽 างขบวนการใหความร
้ อน ้
2 : ความชื뇽 มพัทธ์
นสั ลดลงในระหว่ างขบวนการใหความร
้ อน ้
3 : ความชื뇽 าเพาะของอากาศ (Specific humidity) จะไม่
นจํ คงทีในระหว่
ꇾ างขบวนการทํ าความเย็
น และค่าความชื뇽 มพัทธ์
นสั จะเพิ
มขึ
ꇾ น

4 : กระบวนการทํ าความเย็
น แบบระเหย (Evaporative cooling process) จะเกิ
ดขึ
นบนเส
뇽 ้ ณหภู
นอุ มก
ิระเปาะเปี
ยกคงที ในแผนภู
ꇾ มไิ
ซโครเมตริ
ก ( Psychrometric chart)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
26 : ข อใดที
้ เป็
ꇾนคุ
ณสมบัตท
ิางกายภาพของอากาศ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 3/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : นํ

าหนั ก ความหนาแน่น อุ
ณหภูมิความรอนจํ
้ าเพาะ การนํ
าความรอน

2 : เอนทราปี เอนโทรปีความหนาแน่น ความรอนจํ
้ าเพาะ
3 : นํ

าหนั ก อุ
ณหภู มิ
เอนทราปีการนํ
าความรอน

4 : นํ

าหนั ก เอนทราปีเอนโทรปีความหนาแน่น อุ
ณหภู
มิความรอนจํ
้ าเพาะ และ การนํ
าความรอน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ 뇽 มพัทธ์
27 : ความชื
นสั ใชอ้
างอิ
้ งถึ
งปริ 뇽 งหมดในอากาศ
มาณความชื
นทั 뇽 ท่
านคิ
ดว่
าข อความข
้ างต
้ นถู
้ กตองหรื
้ อไม่

1 : ถู
กตอง

2 : ผิ

3 : ถู
กตองเป็
้ นบางส่ วน
4 : นิ 뇽 มบรู
ยามของความชื
นสั ณ์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
28 : ข อใดคื
้ อความแตกต่
างระหว่
างอุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหงและอุ
้ ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยก

1 : อุ
ณหภู
มก
ิ ้ อ้
ระเปาะแหงใช างถึ
้ งอุ ณหภูมกิ
ารกลายเป็นไอ
2 : อุ
ณหภู
มก
ิ ยกใชอ้
ระเปาะเปี างถึ
้ งอุ ณหภูมบ
ิรรยากาศของเทอร์โมมิเตอร์
3 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปี
ยกและอุณหภู มก
ิระเปาะแหงเป็
้ นสัดส่วนโดยตรงกับความดัน เกจทีตํ
ꇾꇾ
ากว่
าบรรยากาศ
4 : อุ
ณหภู
มก
ิ ้ อ้
ระเปาะแหงใช างอิ
้ งถึ งอุ
ณหภูมบิรรยากาศ และอุ
ณหภูมกิระเปาะเปียกใชอ้างอิ
้ งถึ
งอุ
ณหภู มก
ิารกลายเป็
นไอ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
29 : ถาในห
้ องปรั
้ บอากาศมี 뇽 มพัทธ์
ความชื
นสั สู
ง ข อใดถู
้ กตองที
้ สุ
ꇾด

1 : นํ

าในหองระเหยได
้ ยาก

2 : อากาศมี
อณ
ุหภู มติํ


3 : อากาศมี
เอนทัลปีสูง
4 : อากาศมี
ความเร็วตํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
30 : ถานํ
้าอากาศที
มี
ꇾอณ
ุหภู
มิ
35 องศาเซลเซี
ยส อัตราการไหล 1000 ลิ
ตร/วิ
น าที
ผสมกับอากาศที
มี
ꇾอณ
ุหภู
มิ
25 องศาเซลเซี
ยส อัตราการไหล 3000 ลิ
ตร/วิ
น าที
ข อใดคื
้ อ
ผลลัพธ์ทได
ꇾ ้

1 : อากาศอุ
ณหภู
มิ27.5 องศาเซลเซี
ยส อัตราไหล 4000 ลิตร/วิ
น าที
2 : อากาศอุ
ณหภู
มิ30 องศาเซลเซียส อัตราไหล 4000 ลิ
ตร/วิ
น าที
3 : อากาศอุ
ณหภู
มิ32.5 องศาเซลเซี
ยส อัตราไหล 4000 ลิตร/วิ
น าที
4 : ไม่
มข
ีอใดถู
้ กตอง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
31 : สภาวะในข อใดน่
้ าจะเป็
นสภาวะของอากาศที
ออกจากคอยล์
ꇾ เย็

1 : 5 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) /40% RH
2 : 12 อุ
ณหภู
มกิ
ระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) /95% RH
3 : 12 อุ
ณหภู
มกิ
ระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) /40% RH
4 : 24 อุ
ณหภู
มกิ
ระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) /55% RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
32 : หองปรั
้ บอากาศโดยทัวไป
ꇾ จะมี
ปริ 뇽
มาณความชื
นในอากาศเท่
าใด

1 : 8 g/kg dry air


2 : 10 g/kg dry air
3 : 14 g/kg dry air
4 : 22 g/kg dry air

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
33 : อากาศภายนอกอาคารโดยทัวไปในกรุ
ꇾ งเทพฯจะมี
ปริ 뇽
มาณความชื
นในอากาศเท่
าใด

1 : 14 g/kg dry air


2 : 16 g/kg dry air
3 : 22 g/kg dry air
4 : 28 g/kg dry air

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
34 : ตํ
าแหน่
งที
แสดงด
ꇾ วยเครื
้ องหมายคํ
ꇾ าถามในแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
กมาตรฐาน (Psychrometric Chart) นี

เรี
ยกว่
าอะไร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 4/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : สภาวะอากาศเข าคอยล์
้ (Air Entering Condition)
2 : จุ
ดผสมลม (Mixing Point)
3 : ข อ้1 และ 2
4 : ผิดทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
35 : ตํ
าแหน่
งที
แสดงด
ꇾ วยเครื
้ องหมายคํ
ꇾ าถามในแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
คมาตรฐาน (Psychrometric Chart) นี

เรี
ยกว่
าอะไร

1 : สภาวะอากาศออกจากคอยล์ (Air Leaving Condition)


2 : สภาวะอากาศภายใน (Indoor Condition)
3 : จุ
ดอิ
มตั
ꇾ ว (Saturation Point)
4 : สภาวะอากาศเข าคอยล์
้ (Air Entering Condition)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
36 : ตํ
าแหน่
งที
แสดงด
ꇾ วยเครื
้ องหมายคํ
ꇾ าถามในแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
กมาตรฐาน (Psychrometric Chart) นี

เรี
ยกว่
าอะไร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 5/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : สภาวะอากาศจากคอยล์ (Air Leaving Condition)


2 : สภาวะอากาศภายใน (Indoor Condition)
3 : สภาวะอากาศเข าคอยล์
้ (Air Entering Condition)
4 : ผิ
ดทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
37 : ตํ
าแหน่
งที
แสดงด
ꇾ วยเครื
้ องหมายคํ
ꇾ าถามในแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
คมาตรฐาน (Psychrometric Chart) นี

เรี
ยกว่
าอะไร

1 : สภาวะอากาศภายนอก (Outdoor Condition)


2 : สภาวะอากาศภายใน (Indoor Condition)
3 : สภาวะอากาศเข าคอยล์
้ (Air Entering Condition)
4 : สภวะอากาศออกจากคอยล์ (Air Leaving Condition)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
38 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศต่
อไปนี

เรี
ยกว่
าอะไร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 6/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศปกติ ทวไป
ัꇾ
2 : กระบวนการทํ
าความเย็น เกิ
น และอุ

่อากาศ (Over Cooling and Reheat)
3 : กระบวนการทํ
าความเย็น ล่
วงหน าและอุ
้ น
่อากาศ (Pre Cool and Reheat)
4 : กระบวนการทํ
าความเย็น ดวยการดู
้ ดความชื 뇽(Desiccant Cooling)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
39 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศต่
อไปนี

เรี
ยกว่
าอะไร

1 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศปกติ ทวไป
ัꇾ
2 : กระบวนการทํ
าความเย็น เกิ
น และอุ

่อากาศ (Over Cooling and Reheat)
3 : กระบวนการทํ
าความเย็น ล่
วงหน าและอุ
้ น
่อากาศ (Pre Cool and Reheat)
4 : กระบวนการทํ
าความเย็น ดวยการดู
้ ดความชื 뇽(Desiccant Cooling)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
40 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศต่
อไปนี

เรี
ยกว่
าอะไร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 7/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศปกติ ทวไป
ัꇾ
2 : กระบวนการทํ
าความเย็น เกิ
น และอุ

่อากาศ (Over Cooling and Reheat)
3 : กระบวนการทํ
าความเย็น ล่
วงหน าและอุ
้ น
่อากาศ (Pre Cool and Reheat)
4 : กระบวนการทํ
าความเย็น ดวยการดู
้ ดความชื 뇽(Desiccant Cooling)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
41 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศต่
อไปนี

เรี
ยกว่
าอะไร

1 : กระบวนการปรับสภาวะอากาศปกติ ทวไป
ัꇾ
2 : กระบวนการทํ
าความเย็น เกิ
น และอุ

่อากาศ (Over Cooling and Reheat)
3 : กระบวนการทํ
าความเย็น ล่
วงหน าและอ่
้ น อากาศ (Pre Cool and Reheat)
4 : กระบวนการทํ
าความเย็น ดวยการดู
้ ดความชื 뇽(Desiccant Cooling)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
42 : สภาวะออกแบบของอากาศภายนอก (Outdoor Design Condition) โดยทัวไปมี
ꇾ ค่ 뇽 มพัทธ์
าความชื
นสั เท่
าไร

1 : 50 % RH
2 : 60 % RH
3 : 70 % RH
4 : 80 % RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ 뇽 เหมาะสมสํ
43 : ระดับความชื
นทีꇾ าหรับหองปรั
้ บอากาศคื
อเท่
าใด

1 : 30­40% RH

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 8/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
2 : 50­60% RH
3 : 60­70% RH
4 : 70­80% RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ ้ ตราส่
44 : การลากเส นอั วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) ในแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
ค (Psychrometric Chart) ทํ
าอย่
างไร

้ มี
1 : ลากเส นให ้
ความชัน (Slope) เท่ากับค่
าอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) ที แกนตั
ꇾ งด 뇽 านขวาของแผนภู
้ มไิซโครเมตริค (Psychrometric Chart) ผ่
านตํ
าแหน่งสภาวะ
อากาศภายใน (Indoor Condition)
2 : ลากใหมี้Slope เท่ากับค่าอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) ที แกนตั
ꇾ งด 뇽 านขวาของแผนภู
้ มไิ
ซโครเมตริค (Psychrometric Chart)ผ่านตําแหน่
งสภาวะอากาศภายนอก
(Outdoor Condition)
3 : ลากใหมี
้ ้ างอิ
ความชัน (Slope) ขนานกับเส นอ ้ ง (Reference Line) ผ่านตําแหน่ งจุ
ดอางอิ
้ งที มี
ꇾความชัน (Slope) เท่
ากับอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) ที แกนตั
ꇾ งด 뇽 าน

ขวาของแผนภู มไิ
ซโครเมตริ ้ 뇽
ค (Psychrometric Chart) โดยเส นนี
ลากผ่านตําแหน่งสภาวะอากาศภายใน (Indoor Condition)
4 : ผิ
ดทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
45 : ในกระบวนการปรับอากาศดวยเครื
้ องปรั
ꇾ บอากาศปกติ ้่
อากาศสามารถเข าสู ้
เส นอากาศอิ
มตั
ꇾ ว (Saturation Line) ได ้
100% หรื
อไม่

1 : เป็
นไปได ้
2 : เป็
นไปไม่
ได ้
3 : ได ้
หากค่
าอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส รวบยอด (GSHR) ตํ

า เช่
น ตํ

ากว่
า 0.7
4 : ได ้
หากค่
าอัตราส่
วนความรอนสั
้ มผัส รวบยอด (GSHR) สู
ง เช่
น สู
งกว่
า1

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
46 : ในกระบวนการปรับอากาศหากตองการให
้ ้
อากาศเข าใกล
้ เส ้
้นอากาศอิ
มตั
ꇾ ว (Saturation Line) มี
วธิก
ีารอย่
างไรบาง

1 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนแถวคอยล์เย็

2 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนครี
บ(FPI­Fin per Inch)
3 : ลดความเร็วลมผ่
านคอยล์ เย็

4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
47 : ในกระบวนการปรับอากาศหากตองการให
้ ้
อากาศเข าใกล
้ เส ้
้นอากาศอิ
มตั
ꇾ ว (Saturation Line) มี
วธิก
ีารอย่
างไรบาง

1 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนแถวคอยล์เย็

2 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนครี
บ (FPI­Fin per Inch)
3 : ลด Bypass Factor
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
48 : การเพิ 뇽
มความสามารถในการลดความชื
ꇾ นออกจากอากาศของคอยล์
เย็
น มี
วธิก
ีารอย่
างไร

1 : กํ
าหนดใหอุ ้
ณหภูมจิุ
ดนํ

าคางอุ
้ ปกรณ์ (Tadp) ตํ

าลง เช่
น ตํ

ากว่
า 10 องศาเซลเซียส
2 ้
: ใชกระบวนการปรั บอากาศทีเหมาะสม
ꇾ เช่
น กระบวนการทําความเย็
น ล่
วงหน าและอุ
้ น
่อากาศ (Pre Cool and Reheat)
3 : ลดแฟคเตอร์ เลี
ยง
ꇾ (Bypass Factor)
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
49 : กระบวนการปรับอากาศแบบแบ่
งลมผ่
านคอยล์
(Face and Bypass) ช่
วยใหคอยล์
้ เย็ 뇽
น สามารถลดความชื
นออกจากอากาศได ผลดี
้ มากขึ

뇽เนื

องจากอะไร

1 : สามารถควบคุ มใหอุ
้ณหภูมจิ

ดนํ 뇽
าคางอุ
้ ปกรณ์ (Tadp) ใหอยู
้ใ่ นระดับที

ꇾองการ
้ เช่
น ตํꇾ
ากว่
า 10 องศาเซลเซี ยส
2 : กระบวนการปรับอากาศแบบนี 뇽
ไม่
ใช่
วธิก
ีารช่
วยลดความชื 뇽
นเพราะมีแฟคเตอร์เลียง
ꇾ (Bypass Factor) สูง
3 : ขบวนการปรับอากาศแบบแบ่ งลมผ่ านคอยล์ (Face and Bypass) เหมาะกับหองปรั
้ บอากาศที มี
ꇾอต
ั ราส่
วนความรอนสั
้ มผัส หอง
้ (RSHR) สู
ง หรื
อมี
ค่
า Airchange/Hr สู
งมากกว่

ปริมาณการหมุ น เวี
ยนอากาศในขบวนการปรับอากาศปกติ
4 : ข อ้1 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
50 : บนแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ
ก ถาอากาศถู
้ กปรับใหอุ
้ณหภู
มก
ิ 뇽
ระเปาะแหงและความชื
้ นลดลงเส ้ 뇽
นแสดงกระบวนการจะชี
ไปทางใด 뇽 ศทางใด
(Process path) จะชี
ไปทิ

1 : ขวาบน
2 : ขวาล่
าง
3 ้ าง
: ซายล่
4 : ขวาบน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
51 : เมื
ออากาศถู
ꇾ กปรับสภาวะผ่
านคอยล์
เย็
น และออกมาที

18 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) จะพบว่

뇽 มพัทธ์
1 : ความชื
นสั ลดลง ไอนํ

าในอากาศลดลง
뇽 มพัทธ์
2 : ความชื
นสั ลดลง ไอนํ

าในอากาศสู
งขึ


뇽 มพัทธ์
3 : ความชื
นสั สู
งขึ

뇽ไอนํ

าในอากาศลดลง

뇽 มพัทธ์
4 : ความชื
นสั สู
งขึ

뇽ไอนํ

าในอากาศสู
งขึ


http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 9/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
뇽 มพัทธ์
4 : ความชื
นสั สู
งขึ

뇽ไอนํ

าในอากาศสู
งขึ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
52 : การออกแบบที
เรี
ꇾยกว่
าการทํ
าความเย็
น แบบระเหย (Evaporative cooling) จะมี ้
เส นแสดงกระบวนการ 뇽
(Process path) ชี
ไปทางใดบนแผนภู
มไิ
ซโครเมตริ

1 : ขวาบน
2 : ขวาล่
าง
3 ้
: ซายบน
4 ้ าง
: ซายล่

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
53 : หองปรั สัดส่
้ บอากาศแบบใดมี วนความรอนสั
้ มผัส (ความรอนสั
้ มผัส /ความรอนทั
้ งหมด)
뇽 สู
งที
สุ
ꇾด

1 : หองศู
้ น ย์
คอมพิ วเตอร์
2 : หองอาหาร

3 : หองเปลี
้ ยนเสื
ꇾ อผ뇽 า้
4 : หองออกกํ
้ าลังกาย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

เนื

อหาวิ
ชา : 389 : Refrigeration

ข อที
้ ꇾ
54 : สารทํ
าความเย็
น ที
ใช ้ องปรั
ꇾ ในเครื
ꇾ บอากาศตามบานโดยทั
้ วไป
ꇾ มีꇾ าอะไร

ชอว่

1 : ไตรคลอโรฟลูออโรมี
เทน (Trichlorofluoromethane (R­11))
2 : ไดคลอโรฟลูออโรมี
เทน (Dichlorodifluoromethane (R­12))
3 : คลอโรไดฟลูออโรมี
เทน (Chlorodifluoromethane (R­22))
4 : เตตระฟลู
ออโรมี
เทน (Tetrafluoroethane (R­134a))

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
55 : ความดัน ของสารทํ
าความเย็
น ขณะที
กํ
ꇾาลังระบายความรอนทิ
้ งที ꇾนิ
뇽 คอนเดนซิ
ꇾ งยูต (Condensing Unit) เมื
อเที
ꇾ ยบกับความดัน ของสารทํ
าความเย็
น ใน Fan Coil Unit จะเป็

อย่างไร

1 ꇾนิ
: ความดัน ในคอนเดนซิ
งยูต (Condensing Unit) สู
งกว่าความดัน ใน แฟนคอยล์
ยน
ูิต (Fan Coil Unit)
2 ꇾนิ
: ความดัน ในคอนเดนซิ
งยูต (Condensing Unit) ตํ

ากว่าความดัน ใน แฟนคอยล์
ยน
ูิต (Fan Coil Unit)
3 ꇾนิ
: ความดัน ในคอนเดนซิ
งยูต (Condensing Unit) เท่
ากับความดัน ใน แฟนคอยล์
ยน
ูิต (Fan Coil Unit)
4 : ผิ
ดทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
56 : อุ
ปกรณ์
ในระบบทํ
าความเย็
น แบบอัดไอ (vapor compression system) ข อใดที
้ มีꇾการถ่
ายโอนพลังงานกับสารทํ
าความเย็
น มากที
สุ
ꇾด

1 : เครื
องอั
ꇾ ดไอ (compressor)
2 : อุ
ปกรณ์ควบแน่ น (condenser)
3 : อุ
ปกรณ์ข ยายตัว (expansion device)
4 : อุ
ปกรณ์ระเหย (evaporator)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
57 : ระบบทํ
าความเย็
น แบบดู
ดซึ ้ งงานในรู
มใชพลั ปใดเป็
นพลังงานหลักในการขับเคลื
อนระบบ

1 : พลังงานเคมี
2 : พลังงานความรอน

3 : พลังงานไฟฟ้า
4 : พลังงานจลน์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
58 : การชาร์
จนํ

ายาทํ
าความเย็
น มากเกิ
น ไปจะส่
งผลให ้

1 : ขนาดทํ าความเย็
น เพิ
มขึ
ꇾ นในขณะที
뇽 ꇾ
ความดัน ดานส่
้ งเพิมขึ
ꇾ นตาม

2 : ขนาดทํ าความเย็
น เพิ
มขึ
ꇾ นและความดั
뇽 น ดานดู
้ ดเพิ มขึ
ꇾ นตาม

3 : ขนาดทํ าความเย็
น ลดลงในขณะที ความดั
ꇾ น ดานส่
้ งเพิ
มขึ
ꇾ น뇽
4 : เพิ
มกํ
ꇾ าลังมอเตอร์
และเพิมขนาดทํ
ꇾ าความเย็ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
59 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น มี
แนวโน มที
้ จะทํ 뇽ๆ (short cycling) เมื
ꇾ างานสัน อทํ
ꇾ างานภายใตสภาวะ

1 : ภาระสู

2 : สภาวะปกติ
3 : ภาระตํ


4 : ทังหมดที
뇽 กล่
ꇾ าวถึ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 10/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
60 : สารทํ
าความเย็
น ควรจะมี
คุ
ณสมบัตอ
ิะไร

1 : ค่
าความรอนสั
้ มผัส สู

2 : ค่
าความรอนแฝงสู
้ ง
3 : ค่
าความรอนสั
้ มผัส ตํ


4 : ค่
าความรอนแฝงตํ
้ ꇾ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
61 : วิ
ธก
ีารลดขนาดการทํ
าความเย็
น ลงโดยไม่
ทํ
าการลดความเร็
วรอบการทํ
างานของคอมเพรสเซอร์
เรี
ยกว่

1 : Hot gas bypassing


2 : Low pressure bypassing
3 : High pressure bypassing
4 : Short cycling

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
62 : ภาระ (Load) ที
ลดลงบนตั
ꇾ วอี
แวปปอเรเตอร์
(Evaporator) ทํ
าใหเกิ
้ด

1 : ความตองการสารทํ
้ าความเย็น ที
เพิ
ꇾ มขึ
ꇾ น

2 : ความดัน ตกคร่
อมตัวอีแวปปอเรเตอร์ลดลง
3 : เพิ
มขนาดการทํ
ꇾ าความเย็น ของตัวอี
แวปปอเรเตอร์
4 : ความรอนถู
้ กดู ดซับเข ามามากขึ
้ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ ꇾ อไปนี
63 : จากสิ
งต่ 뇽
อะไรที
ทํ
ꇾาใหความดั
้ น ทางดานดู
้ ดไม่
สู
งเกิ
น ไป

1 : ปริ
มาณสารทํ าความเย็น ไม่
เพียงพอ
2 : เกิ
ดการรัꇾ
วของวาล์วทางดานดู
้ ด
3 : วาล์
วระเหยสารทํ าความเย็น (Expansion Valve) เปิ
ดคางไว
้ ้
4 : ไม่
มก
ีารปรับตังวาล์
뇽 วทางดานดู
้ ดใหเหมาะสม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
64 : ในวัฏจักรการทํ
าความเย็
น ความดัน ทางดานดู
้ ดสูงเกิ
น ไปมี
ส าเหตุ
มาจากอะไร

1 : เอ็ ꇾ วเปิ
กแพนชันวาล์ ดมากเกิน ไป
2 : เกิ
ดการรัꇾ
วของวาล์
วทางดานดู
้ ด
3 : กระเปาะของตัวเอ็ ꇾ วทํ
กแพนชันวาล์ างานไม่
ถก
ูตอง

4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
65 : ในวัฏจักรการทํ
าความเย็
น ความดัน ดานดู
้ ดทีตํ
ꇾꇾ
าเกิ
น ไปเกิ
ดจากสาเหตุ
อะไร

1 : ตัวดักนํ뇽
ามัน สกปรก
2 : สารทํ าความเย็ น ไม่
เพี
ยงพอ
3 : มี
นํ뇽
ามัน หล่อลืนมากเกิ
ꇾ น ไปในระบบ
4 : ถู
กทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
66 : ความดัน สารทํ
าความเย็
น ดานคอนเดนเซอร์
้ หรื
อ ดานสู
้ ง ของระบบการทํ
าความเย็
น ของเครื
องปรั
ꇾ บอากาศแบบแยกส่
วนที
ใช ้ านมี
ꇾ ตามบ ้ ค่
าประมาณเท่
าใด

1 : 60 psig
2 : 120 psig
3 : 240 psig
4 : 480 psig

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
67 : ความดัน ทางดานสู
้ ง (High side) ของ R­22 ของเครื
องปรั
ꇾ บอากาศทัวไป
ꇾ เป็
นเท่
าไร

1 : ประมาณ 20 psig
2 : ประมาณ 60 psig
3 : ประมาณ 120 psig
4 : ประมาณ 280 psig

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
68 : ค่
า R.E. (Refrigerating Effect) สามารถหาไดจากกระบวนการใด

1 : Compression
2 : Condensation
3 : Expansion

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 11/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
4 : Evaporation

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
69 : ระบบทํ
าความเย็
น ขนาด 1 ตัน ความเย็
น มี
อต
ั ราส่
วนระหว่
างความรอนที
้ ถ่
ꇾายเทออกที
คอนเดนเซอร์
ꇾ ต่
อความรอนที
้ ดู
ꇾดเข าที
้ อี
ꇾวาโปเรเตอร์
เท่
ากับ 1.25 จะมี
ค่
า COP เท่
ากับ
ข อใด

1 : 1.25
2 : 2.5
3 :4
4 :5

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
70 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ที
เป็
ꇾนระบบอัดไอ (Vapor Compression) มาตรฐานเบอร์
5 มี
ค่
า EER ปี
2006 เท่
าใด

1 : 2.9
2 : 3.4
3 : 3.5
4 :4

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
71 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ที
เป็
ꇾนระบบดู
ดซึ
ม (Absorption) แบบ Single Stage โดยทัวไป
ꇾ มี
ค่
า COP เท่
าใด

1 : 0.6
2 : 0.8
3 :1
4 : 1.2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
72 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ที
เป็
ꇾนระบบดู
ดซึ
ม (Absorption) แบบ Double Stage โดยทัวไป
ꇾ มี
ค่
า COP เท่
าใด

1 : 0.6
2 : 0.8
3 :1
4 : 1.2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
73 : วิ
ธก
ีารทํ
าความเย็
น ของเครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ระบบดู
ดซึ
ม (Absorption) คื
ออะไร

1 : การระเหยของสารทํ
าความเย็
น เช่
น ลิ
เธี
ยมโบรไมด์
2 : การระเหยของสารทํ
าความเย็
น เช่
น ลิ
เธี
ยมคลอไรด์
3 : การระเหยของนํ


4 : ไม่
มข
ีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
74 : วิ
ธก
ีารทํ
าความเย็
น ของเครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ระบบดุ
ดซึ
ม (Absorption) คื
ออะไร

1 : การระเหยของสารทําความเย็น คื
อนํ

าในสภาพสู ญญากาศ
2 : การระเหยของสารดูดซับไดแก่
้แอมโมเนี ย
3 : การทําปฏิกริ

ิาเคมี
ข องสารดู
ดซับ เช่น แอมโมเนี
ย หรื
อลิ
เธี
ยมคลอไรด์
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
75 : Sensible Cooling คื
อกระบวนการปรับอากาศที
มี
ꇾผลลัพธ์
อย่
างไร

1 : ลดอุ
ณหภูมิ
2 뇽
: ลดความชื

3 : ลดอุ
ณหภูมแิ
ละความชื뇽

4 : ลดอุ
ณหภูมโิ
ดยการระเหยนํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
76 : Latent Cooling คื
อขบวนการปรับอากาศที
มี
ꇾผลลัพธ์
อย่
างไร

1 : ลดอุ
ณหภูมิ
2 뇽
: ลดความชื

3 : ลดอุ
ณหภูมแิ
ละความชื뇽

4 : ลดอุ
ณหภูมโิ
ดยการระเหยนํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
77 : หากท่
อนํ

ายาที
เป็
ꇾน Liquid Line เกิ
ดการอุ
ดตัน บริ
เวณที
เกิ
ꇾดการอุ
ดตัน จะมี
อาการอย่
างไร

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 12/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : รอน

2 : เย็

3 : ความดัน Evaporator เพิ
มขึ
ꇾ น

4 : อุ
ณหภูมิCondenser เพิ มขึ
ꇾ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
78 : เหตุ
ใดนํ

ายาทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
ตองมี
้ ส ภาวะอย่
างไร

1 : นํ

ายาทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
ตองเป็
้ นซับคูล (Sub Cool) เพื
อทํ
ꇾ าความเย็ น ใหคอมเพรสเซอร์

2 : นํ

ายาทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
ตองเป็
้ นซุ ปเปอร์ี(Super Heat) เพื
ฮท อป้
ꇾ องกัน นํ

ายาเหลวเข าคอมเพรสเซอร์

3 : นํ

ายาทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
ตองเป็
้ นซุ ปเปอร์ี(Super Heat) เพื
ฮท อทํ
ꇾ าความเย็ น ใหคอมเพรสเซอร์

4 : นํ

ายาทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
ตองเป็
้ นซับคูล (Sub Cool) เพื
อป้
ꇾ องกัน นํ

ายาเหลวเข าคอมเพรสเซอร์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
79 : การที
นํ
ꇾ뇽
ายาใน Liquid Line มี
ส ภาพเป็
นซับคู
ล (Sub Cool) มี
ประโยชน์
อย่
างไร

1 : แสดงว่
าการระบายความรอนมี
้ ประสิ ทธิ
ภาพ
2 : ทํ
าใหกระบวนการทํ
้ าความเย็
น มี
ประสิ
ทธิ
ภาพ
3 : ทํ
าใหวาล์
้ วระเหยสารทําความเย็
น (Expansion Valve) ทํ
างานไดดี

4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
80 : ความดัน แตกต่
างระหว่
างทางดานส่
้ งและทางดานดู
้ ดของคอมเพรสเซอร์
R­22 โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 1140 Pa (162 psig)


2 : 1340 Pa (190 psig)
3 : 1540 Pa (218 psig)
4 : 1740 Pa (247 psig)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
81 : ข อใดต่
้ อไปนี

ไม่
ใช่
ส ารทํ
าความเย็

1 : อากาศ
2 : แอมโมเนี

3 : คาร์
บอนไดออกไซด์
4 : ไม่
มข
ีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
82 : ตู
เย็
้น ที
ใช ้ าน
ꇾ ตามบ ้ าความเย็
้ ใชสารทํ น ชนิ
ดใด

1 : R­11
2 : R­22
3 : R­502
4 : R­717

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

เนื

อหาวิ
ชา : 390 : Cooling Load

ข อที
้ ꇾ
83 : สภาวะอากาศจากภายนอก (Outdoor Air) จุ
ดใด เป็
นสภาวะที
ทํ
ꇾาใหเครื
้ องปรั
ꇾ บอากาศมี
ภาระการทํ
าความเย็
น มากที
สุ
ꇾด

1 : 36 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) 50%RH
2 : 35 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) 60%RH
3 : 24 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) 50%RH
4 : 22 อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหง้(องศาเซลเซี
ยส) 55%RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

84 : หองปรั
ข อที
้ ꇾ ้ บอากาศแบบใดมีั ส่
สด วนความรอนสั
้ มผัส (ความรอนสั
้ มผัส/ความรอนทั
้ งหมด
뇽 = Sensible Heat Ratio) ตํ
าที
ꇾ สุ
ꇾด

1 : ธนาคาร
2 : รานให
้ เล่้น เกมส์
คอมพิ
วเตอร์
3 ้ อผ뇽 า้
: รานเสื
4 : รานอาหาร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
85 : หองเครื
้ องสู
ꇾ บนํ

าประปาแห่ งหนึ

งจําเป็
นตองติ
้ ดตังเครื
뇽 องปรั
ꇾ บอากาศเนืꇾ
องจากไม่
ส ามารถระบายความรอนออกจากห
้ องด
้ วยวิ
้ ธอีนๆได
ꇾ ้
ื โดยเครื
องสู
ꇾ บนํ

ามีประสิ
ทธิ
ภาพ 80%
มอเตอร์มป
ีระสิ
ทธิภาพ 90% กิ
น กํ
าลังไฟฟ้
าขณะทํ างาน 20 กิ
โลวัตต์
อยากทราบว่
าภาระการทํ
าความเย็น เนื

องจากเครื
องสู
ꇾ บนํ

านี뇽
มี
ค่ากี
กิ
ꇾโลวัตต์

1 : 2 กิ
โลวัตต์
2 : 4 กิ
โลวัตต์
3 : 5.6 กิ
โลวัตต์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 13/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
4 : 20 กิ
โลวัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
86 : หองปรั
้ บอากาศที
มี
ꇾภาระการทํ
าความเย็
น สู
งสุ
ดในเดื
อนธัน วาคม น่
าจะมี
ทตั
ꇾงอยู
ี 뇽 ท
่างทิ
ศใดของตัวอาคารมากที
สุ
ꇾด

1 : เหนือ
2 : ตะวัน ออก
3 : ตะวัน ตก
4 : ใต ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
87 : ในปั จจุ
บัน วิ
ธก
ีารหาภาระความเย็
น ผ่
านโครงสรางของห
้ ꇾ สมการพื
องซึ
้ งใช ้ นฐานทางฟิ
뇽 ิส์
สก ทมี
ꇾความแม่
ี น ยํ
ามากที
สุ
ꇾดที
แนะนํ
ꇾ าโดย ASHRAE คื
อข อใด

1 : วิ
ธผ
ีลต่ างของอุณหภูมแ
ิละตัวคูณลด (CLTD/CLF)
2 : วิ
ธฟ
ีั งก์ั ถ่
ชน ายทอด (Transfer function)
3 : วิ
ธส
ีมดุ ลย์ความรอน
้ (Heat Balance)
4 : วิ
ธอ
ีนุ กรมเวลาของการแผ่รังสี
(Radiant Time Series)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
88 : ข อใดต่
้ อไปนี

ไม่จัดว่
าเป็
นภาระความเย็
น ของหอง

1 : ภาระความเย็
น ที
เข
ꇾามากั
้ บอากาศระบาย
2 : ภาระความเย็
น ที
เข
ꇾามากั
้ บอากาศรัꇾ
วไหลเข าห
้อง

3 : ภาระความเย็
น จากคน และ อุปกรณ์
ต่าง ๆ ภายในหอง

4 : ภาระความเย็
น ที

ꇾองได
้ รั้ บผ่
านโครงสรางห
้ อง้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
89 : ในการคํ
านวณหาปริ
มาณลมส่
งไปยังหองปรั
้ บอากาศจํ
าเป็ ้ ข้
นตองใช อมู
้ลต่อไปนี

ยกเวนข
้ อใด

1 : อุ
ณหภูมอ
ิอกแบบภายในหองปรั
้ บอากาศ
2 : อุ
ณหภูมล
ิมส่งที
ออกจากเครื
ꇾ องปรั
ꇾ บอากาศ
3 : ความรอนสั
้ มผัส ของหองปรั
้ บอากาศ
4 : ความรอนรวมของห
้ องปรั
้ บอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
90 : ตองการขจั
้ ดความรอนออกจากห
้ อง
้ 36,000 บี
ทย
ีตู่ ꇾ ขนาดมอเตอร์
อชัวโมง ข องคอมเพรสเซอร์
ทต
ꇾองใช
ี ้ อย่้างน อยจะต
้ องมี
้ ข นาดเท่
าใด

1 : 13.2 kw
2 : 10.6 kw
3 : 7 kw
4 : 3.5 kw

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
91 : หองมี
้ ข นาด กวาง*ยาว*สู
้ ง = 3*8*3 เมตร ตองการรั
้ กษาอุ
ณหภู
มภ
ิายในไวที
้ꇾ
24 องศาเซลเซี ยส ถาผนั
้ งทางดานกว
้ างของห
้ องทํ
้ าดวยคอนกรี
้ ตบล็อกหนา 100 มิ
ลลิ
เมตร
และฉาบปู น ทัง뇽2 ดาน้ อยู

่ดิกับหองที
้ ไม่
ꇾ ไดมี
้การปรับอากาศ ใหหาปริ
้ มาณความรอนที
้ ถ่
ꇾายเทผ่
านผนั งทางดานนี
้ 뇽 ( กํ
าหนดค่าสัมประสิ
ทธิ

⿠ารถ่
ายเทความรอนทั
้ งหมดของคอนกรี
뇽 ต
บล็อกฉาบปู น ทัง뇽2 ดาน
้ = 2.1 วัตต์
ต่
อตารางเมตร – เซลเซียส, ค่าอุ
ณหภู
มแ
ิ ตกต่
างที
ใช ้
ꇾ ในการออกแบบ เท่
ากับ 10 องศาเซลเซียส)

1 : 215 วัตต์
2 : 189 วัตต์
3 : 220 วัตต์
4 : 179 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
92 : หองปรั
้ บอากาศมี อต
ั ราการสู
ญเสี
ยความรอนสั
้ มผัส สู
งสุ
ด 117 กิ
โลวัตต์
ตองการรั
้ กษาอุ
ณหภู
มภ
ิายในหองไว
้ ที ้ꇾ
25.5 องศาเซลเซี
ยส ถาอุ
้ณหภู
มข
ิองอากาศที
เข
ꇾาเท่
้ ากับ
37.7 องศาเซลเซียส ใหคํ
้านวณหาปริ มาณอากาศทีนํ
ꇾาเข า้

1 : 8.14 ลู
กบาศก์
เมตรต่
อวิ
น าที
2 : 14,580 ลู
กบาศก์
เมตรต่
อวิน าที
3 : 16,835 ลู
กบาศก์
เมตรต่
อวิน าที
4 : 17,450 ลู
กบาศก์
เมตรต่
อวิน าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
93 : หองปรั
้ บอากาศหองหนึ้ ꇾ งมี
หลังคาทําดวยคอนกรี
้ ตหนา 100 มิลลิ
เมตร พื นที
뇽 หลั
ꇾ งคา 200 ตารางเมตร ถากํ
้าหนดใหอุ้ณหภู มภิายนอกเท่ากับ 40 องศาเซลเซี
ยส อุ
ณหภู
มิ
ของหองปรั
้ บอากาศกับ 24 องศาเซลเซี ยส ค่าสัมประสิ
ทธิ

⿠ารถ่
ายเทความรอนทั
้ งหมดของผนั
뇽 งคอนกรีตหนา 100 มิลลิ
เมตร เท่
ากับ 3.4 วัตต์
ต่
อตารางเมตร­องศาเซลเซี
ยส จงหา
ปริมาณความรอนที
้ ถ่ ꇾายเทผ่
านหลังคา

1 : 11, 880 วัตต์


2 : 12,980 วัตต์
3 : 8,980 วัตต์
4 : 10,880 วัตต์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 14/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
94 : สํ
านั กงานแห่
งหนึꇾ
งติดตังหลอดไฟฟลู
뇽 ออเรเซนต์จํ
านวน 3 แถว ตลอดความยาวของตัวสํ ꇾ 33 เมตร โดยเวนระยะหั
านั กงานซึ
งยาว ้ วทายของความยาวไว
้ ด้
านละ
้ 0.2 เมตร
โดยโป๊ะไฟแต่ละโป๊ ะประกอบดวยหลอดไฟจํ
้ านวน 3 หลอด กําหนดใหหลอดไฟฟลู
้ ออเรเซนต์มค
ีวามรอนสู
้ งกว่ าหลอดไฟธรรมดา 20 % อัน เป็
นผลมาจากบัลลาสต์ และค่
ากํ
าลังไฟ
ส่องสว่
างจากหลอดฟลู ออเรเซนต์เท่ากับ 30 วัตต์
ต่
อเมตร ใหคํ
้านวณหาค่าความรอนที
้ เกิ
ꇾดจากหลอดไฟแสงสว่ างเหล่
านี

1 : 8940 วัตต์
2 : 9490 วัตต์
3 : 8640 วัตต์
4 : 8420 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
95 : โรงภาพยนตร์แห่งหนึ

งมี 600 ที นั
ꇾꇾ
ง มีอณุหภูมภิายในทีออกแบบไว
ꇾ เท่
้ากับ 25.5 องศาเซลเซี
ยส อุ ณหภูมภ
ิายนอกเท่
ากับ 35 องศาเซลเซี
ยส อัตราส่
วนความชื뇽
นภายใน
หองเท่
้ ากับ 10 กรัม/กิ
โลกรัม และภายนอกเท่ ากับ 22 กรัม/กิ
โลกรัม ใหคํ
้านวณหาปริมาณอากาศบริสุ
ทธิท
⿠ตꇾองการและปริ
ี ้ มาณความรอนที
้ เกิ
ꇾดขึ
นจากอากาศบริ
뇽 สุทธิ

⿠ํานวนนี

กํ
าหนด
ใหปริ
้มาณอากาศบริ สุ
ทธิต
⿠่อคนเท่ากับ 3.5 ลิ
ตร/วิ น าที
/คน

1 : 2100 ลิ
ตร/วิ
น าที
, 24.5 กิ
โลวัตต์
2 : 2100 ลิ
ตร/วิ
น าที
, 77.5 กิ
โลวัตต์
3 : 2100 ลิ
ตร/วิ
น าที
, 102.0 กิ
โลวัตต์
4 : 2100 ลิ
ตร/วิ
น าที
, 53.0 กิ
โลวัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
96 : ระบบปรับอากาศชุ
ดไหนที

ꇾองใช
้ พั ้ดลมที
สามารถขั
ꇾ บปริ
มาณลมได ้
2,000 ลู
กบาศก์
ฟต
ุต่
อนาที

1 : 2 ตัน ความเย็

2 : 3 ตัน ความเย็

3 : 5 ตัน ความเย็

4 : 7.5 ตัน ความเย็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
97 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็
น ขนาด 1 ตัน ความเย็
น สามารถขจัดความรอนออกได
้ เท่
้าไร

1 : 500 บี
ทย
ีตู่
อนาที
2 : 288 บี
ทย
ีตู่
อนาที
3 : 200 บี
ทย
ีตู่
อนาที
4 : 100 บี
ทย
ีตู่
อนาที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
98 : บานหลั
้ งหนึꇾ
งมีเตารี
ดขนาด 1000 วัตต์
และหมอหุ
้งข าวไฟฟ้
้ าขนาด 800 วัตต์
ค่
าความรอนที
้ เกิ
ꇾดจากเครื
องใช ้ าเหล่
ꇾ ไฟฟ้ านี

คื

1 : 5140 BTUH
2 : 5120 BTUH
3 : 6120 BTUH
4 : 7120 BTUH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
99 : หองปรั
้ บอากาศแห่ งหนึ

งรักษาอุ
ณหภูมห
ิองไว
้ ที ้ꇾ21 องศาเซลเซี
ยสหากอุ
ณหภู
มข
ิองอากาศที
นํ ้่
ꇾาเข าสู
หองอยู
้ ท ่ี

49 องศาเซลเซี
ยส และหองมี
้ การสู
ญเสี
ยความรอนสั
้ มผัส
สูงสุ
ด 73.2 กิ
โลวัตต์
จงคํ
านวณหาปริ มาอากาศที
นํ
ꇾาเข ามา

1 : 1940 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
2 : 2170 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
3 : 1720 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
4 : 2400 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ100 : หองปรั
้ บอากาศแห่ งหนึꇾ
งมีภาระการทํ
าความเย็
น เป็
น ความรอนสั
้ มผัส (Sensible Heat) 3,000 วัตต์
ความรอนแฝง
้ 1,000 วัตต์
อยากทราบว่
าหองนี
้ 뇽สัดส่
มี วนความรอน

สัมผัส (Sensible Heat Ratio) เท่
าใด

1 : 0.3
2 : 0.75
3 :1
4 :3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
101 : อาคารที
ตั
ꇾงอยู
뇽 ท
่กรุ
ꇾงเทพมหานคร ในเดื
ี อนมิ
ถน
ุายน เวลา 12:00 น. กระจกหน าต่
้ างดานทิ
้ ศใดไดรั้
บความรอนจากแสงอาทิ
้ ตย์
มากที
สุ
ꇾด

1 : เหนือ
2 : ตะวัน ออก
3 : ตะวัน ตก
4 : ใต ้

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 15/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
102 : ความรอนส่
้ งผ่านกระจกใสพื
นที
뇽 ꇾ
1 ตารางเมตร ทางดานทิ
้ ศเหนื
อ ในเวลา 14:00 น. ของเดื
อนเมษายน ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 4 วัตต์
2 : 16 วัตต์
3 : 48 วัตต์
4 : 96 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
103 : ความรอนส่
้ งผ่านกระจกสะทอนความร
้ อนพื
้ นที
뇽 ꇾ
1 ตารางเมตร ที
มี
ꇾค่
าการบังเงา 0.5 ทางดานทิ
้ ศตะวัน ตกในเวลา 16:00 น. ของเดื
อนเมษายน ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 60 วัตต์
2 : 160 วัตต์
3 : 260 วัตต์
4 : 360 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
104 : ความรอนส่
้ งผ่านกระจกสะทอนความร
้ อนพื
้ นที
뇽 ꇾ
1 ตารางเมตร ที
มี
ꇾค่
าการบังเงา 0.5 ทางดานทิ
้ ศตะวัน ตกในเวลา 16:00 น. ของเดื
อนเมษายน ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 60 วัตต์
2 : 160 วัตต์
3 : 260 วัตต์
4 : 360 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
105 : ความรอนส่
้ งผ่านผนั งก่
ออิ
ฐหนา 20 ซม. พื
นที
뇽 ꇾ
1 ตารางเมตร ทางดานทิ
้ ศตะวัน ออก ในเวลา 11:00 น. ของเดื
อนเมษายน ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 25 วัตต์
2 : 75 วัตต์
3 : 125 วัตต์
4 : 175 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
106 : ความรอนส่
้ งผ่านหลังคาที
มุ
ꇾงดวยแผ่
้ น เหล็
กที
มี
ꇾฉนวนใยแกวหนา
้ 10 ซม. พื
นที
뇽 ꇾ
1 ตารางเมตร เวลา 12:00 น. ของเดื
อนเมษายน ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 5 วัตต์
2 : 25 วัตต์
3 : 50 วัตต์
4 : 75 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
107 : ปริ
มาณอากาศจากภายนอกอาคาร 1 ลบ.ฟุ
ต จะมี
ปริ
มาณความรอนที
้ ตꇾองปรั
้ บอากาศเท่
าใด

1 : 12.5 วัตต์
2 : 25 วัตต์
3 : 50 วัตต์
4 : 62.5 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
108 : การลดภาระการทํ
าความเย็
น ในระบบปรับอากาศ มี
วธิก
ีารอย่
างไรบาง

1 : การควบคุ มความรอนรั
้ บจากดวงอาทิ ตย์ (Solar Heat Gain) และการระบายอากาศ (Ventilation)
2 : การควบคุ มการระบายอากาศ (Ventilation) และความรอนรั
้ บภายใน (Internal Heat Gain)
3 : การควบคุ มความรอนรั
้ บภายใน (Internal Heat Gain) และการสะสมพลังงานอุ ณหภาพ (Thermal Storage)
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
109 : คอนกรี
ตหนา 250 มิ
ลลิ
เมตร ขนาด 1 ตารางเมตร จะสะสมความรอนที
้ อุ
ꇾณหภู
มแ
ิตกต่
าง 7 องศาเซลเซี
ยส ไดเท่
้าไร

1 : 1600 กิ
โลวัตต์
2 : 2600 กิ
โลวัตต์
3 : 3600 กิ
โลวัตต์
4 : 4600 กิ
โลวัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
110 : ภาระความรอนแฝง
้ ꇾ สัดส่
(Latent Load) โดยทัวไปมี วนประมาณเท่
าใดของภาระการปรับอากาศโดยรวม

1 : 5%
2 : 15%

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 16/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : 30%
4 : 50%

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
111 : หองหม
้ อแปลงไฟฟ้
้ า ขนาด 2000 kVA จํานวน 2ลู
ก มี
อต
ั ราการสู
ญเสี
ยในรู
ปความรอน
้ 30 W/kVA จะมี
ความรอนออกมาเท่
้ าไร และจะตองระบายความร
้ อนด
้ วยปริ
้ มาณลม
เท่าไร ถายอมให
้ ลมที
้ มาระบายความร
ꇾ อนมี
้ อณ
ุหภู มส
ิูงขึ

뇽5 องศาเซลเซียส

1 : 60 kW, 20 m3/s
2 : 60 kW, 4 m3/s
3 : 120 kW, 20 m3/s
4 : 120 kW, 40 m3/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
112 : วัส ดุ
มค
ีวามเป็
นฉนวนความรอนมากที
้ สุ
ꇾด

1 : ไมเนื
้뇽
อแข็ง
2 : ไมเนื
้뇽
ออ่อน
3 : อากาศ
4 : โฟมโพลี ส ไตลี

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
113 : ลิ
ฟต์
โดยสาร สามารถบรรทุ
กนํ

าหนั กได ้
1600 กิ
โลกรัม ดวยความเร็
้ ว 240 เมตร/นาที ้
ใชกํ
าลังมอเตอร์
40 กิ
โลวัตต์
โดยมอเตอร์
มป
ีระสิ
ทธิ
ภาพ 90% หองเครื
้ องลิ
ꇾ ฟต์
ตองระบายความร
้ อนเท่
้ าไร

1 : 40 กิ
โลวัตต์
2 : 20 กิ
โลวัตต์
3 : 4 กิ
โลวัตต์
4 : 2 กิ
โลวัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

เนื

อหาวิ
ชา : 391 : Airduct Design and Ventilation System Design

ข อที
้ ꇾ
114 : โรงงานแห่
งหนึ

ง มีพนที
뇽 ꇾ
ื 10,000 ตารางเมตร สู
ง 8 เมตร กฎกระทรวงฉบับที

33 ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุ
มอาคาร กํ
าหนดใหวิ
้ศวกรตองออกแบบให
้ มี

การระบาย
อากาศอย่างน อย
้ 4 เท่
าของปริมาตรหองต่ ꇾ อยากทราบว่
้ อชัวโมง าตองออกแบบให
้ พั
้ดลมสามารถระบายอากาศดวยอั
้ ตราเท่าใด

1 : 80,000 ลู
กบากศ์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
2 : 160,000 ลู
กบากศ์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
3 : 320,000 ลู
กบากศ์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
4 : 480,000 ลู
กบากศ์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
115 : ความเร็
วลมในท่
อลมปรับอากาศของที
พั
ꇾกอาศัยไม่
ควรสู
งเกิ
น เท่
าใดเพื
อไม่
ꇾ กอ
่ใหเกิ
้ดเสี
ยงดังรบกวน

1 : 0.75 เมตร/วิ
น าที
2 : 7.50 เมตร/วิ
น าที
3 : 75 เมตร/วิ
น าที
4 : 750 เมตร/วิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
116 : หน ากากจ่
้ ายลมเย็
น ที
มี
ꇾอต
ั ราการจ่
ายลม 200 ลิ
ตร/วิ
น าที
ควรมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 50x50 มิ
ลลิ
เมตร
2 : 100x100 มิ
ลลิ
เมตร
3 : 200x200 มิ
ลลิ
เมตร
4 : 300x300 มิ
ลลิ
เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
117 : วิ
ธก
ีารออกแบบท่
อลมในข อใดมี
้ การปรับสมดุ
ลความดัน ในระบบ ในขันตอนการเลื
뇽 อกขนาดท่
อลม

1 : Equal friction method


2 : Balance capacity method
3 : Static regain method
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
118 : การออกแบบท่
อลมวิ
ธ ใี
ดที
ได
ꇾ ขนาดท่
้ อลมเท่
ากัน ในทุ
กส่
วนของท่
อลมที
มี
ꇾปริ
มาตรการไหลเท่
ากัน

1 : Equal friction method


2 : Balance capacity method

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 17/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : Static regain method
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
119 : ในการเปลี
ยนจากท่
ꇾ อกลมที
ออกแบบเป็
ꇾ นท่ ꇾ ยมที
อสี
เหลี
ꇾ เที
ꇾ ยบเท่
า มี
เงื
อนไขตามข
ꇾ อกํ
้าหนดในข อใด

1 : มี
ความสู
ญเสี ยความดัน เท่
ากัน ที
ปริ
ꇾ มาตรการไหลทีไหลในท่
ꇾ อเท่
ากัน
2 : มี
ความสู
ญเสี ยความดัน เท่
ากัน ที
ความเร็
ꇾ วของอากาศทีไหลในท่
ꇾ อเท่ากัน
3 : มี
พนที
뇽 หน
ื ꇾ าตั
้ ดของท่ อลมเท่
ากัน
4 : ท่ ꇾ ยมที
อสี
เหลีꇾ ไดꇾ มี
้ ้ านศู
เส นผ่ น ย์กลางไฮดรอลิ กส์
เท่ ้ านศู
ากับขนาดเส นผ่ น ย์
กลางท่
อกลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
120 : หองมี
้ ข นาดความกวาง้ 2 เมตร ยาว 5. เมตร และสู
ง 3 เมตร ถาความสู
้ งนั ยสํ
าคัญ (Significant height) ของหองเท่
้ ากับ 2.4 เมตร ผู
ออกแบบกํ
้ าหนดค่
า air change
ของหองไว
้ เท่้ากับ 15 ถามว่
าตองใช
้ พั ้ดลมในการหมุน เวี
ยนอากาศขนาดเท่ าใด

1 : 360 ลู
กบาศก์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
2 : 450 ลู
กบาศก์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
3 : 390 ลู
กบาศก์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง
4 : 420 ลู
กบาศก์
เมตรต่ ꇾ
อชัวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
121 : ท่
อลมนํ
าอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
ข ามาบริ
้ เวณภายในอาคารจะต่
อเข ากั
้บท่อลมชนิ
ดไหน

1 : ท่
อลมระบายอากาศของระบบท่ อลม
2 : ท่
อลมส่งของระบบท่อลม
3 : ท่
อลมกลับของระบบท่อลม
4 : ผิ
ดทุ
กข อ้เนื

องจากจะถู
กนํ ้่
าเข าสู
บริเวณปรับอากาศโดยตรง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
122 : ระยะทางที
ลมจะเคลื
ꇾ อนที
ꇾ ไปได
ꇾ ้ (Throw) จากหน ากากจ่
้ ายลมขึ
นอยู
뇽 ก
่บั อะไร

1 : ปริ
มาณลม, พืนที
뇽 จ่
ꇾายลมของหน ากาก,
้ องศาจ่ายลมของหน ากาก

2 : ความเร็
วลม, ส่
วนกลับของพืนที
뇽 จ่
ꇾายลมของหน ากาก,
้ องศาจ่ายลมของหน ากาก

3 : ปริ
มาณลม, ส่วนกลับของรากทีสองของพื
ꇾ นที
뇽 จ่
ꇾายลมของหน ากาก,องศาจ่
้ ายลมของหน ากาก

4 : ความเร็
วลม,พืนที
뇽 จ่
ꇾายลมของหน ากาก,องศาจ่
้ ายลมของหน ากาก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
123 : สมการที
ช่
ꇾวยใหเราสามารถออกแบบตลอดจนตรวจสอบสมรรถนะของอุ
้ ปกรณ์
จ่
ายลมในระบบท่
อลมคื

1 : สมการโมเมนตัม (Momentum equation)


2 : สมการอนุ
รักษ์
มวล (Conservation of mass)
3 : สมการเบอร์นู
ลี

(Bernoulli’s equation)
4 : สมการพลังงานของการไหลแบบไม่ คงตัว (Unsteady­flow energy equation)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
124 : วิ
ธก
ีารออกแบบท่
อลมวิ
ธไ
ีหนที
เหมาะสํ
ꇾ าหรับระบบท่
อลมความเร็
วสู

1 : Velocity reduction method


2 : Static regain method
3 : Equal friction method
4 : Constant velocity method

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
125 : การออกแบบระบบท่
อลมจ่
ายของระบบปรับอากาศจะ

1 : เพิ
ꇾ 뇽 กั้
มความชื
นให บอากาศ
2 : ลดอุณหภู
มข
ิองลมจ่ าย
3 : ไม่
กระทบต่
อการแจกจ่ายลม (Air distribution)
4 : กระทบต่
อการแจกจ่ายลม (Air distribution)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
126 : การออกแบบระบบท่
อลมโดยวิ
ธล
ีดความเร็
วลม (Velocity reduction method) ความเร็
วลมสู
งสุ
ดที
เลื
ꇾอกมาจะเกิ
ดขึ
นที
뇽 ไหน

1 : บริ
เวณปากทางเข าท่
้ อลมจากตัวพัดลม
2 : บริ
เวณปลายสุดของท่อลม
3 : บริ
เวณทางแยกจากท่ ้่
อเมนเข าสู
ทอ
่สาขา
4 : ในท่อลมสาขา

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
127 : การออกแบบท่
อลมระบายอากาศที
มี
ꇾอนุ
ภาคแขวนลอยอยู
ใ่ ้
นกระแสลม ควรใชวิ
ธก
ีารออกแบบท่
อลมวิ
ธไ
ีหนถึ
งจะดี
ทสุ
ꇾด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 18/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : Constant velocity method


2 : Velocity reduction method
3 : Equal friction method
4 : Static regain method

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
128 : Static regain method เป็
นวิ
ธก
ีารออกแบบท่
อลมที
มี
ꇾวัตถุ
ประสงค์
เพื
ออะไร

1 : เพื
อรั
ꇾกษาความดัน อัน เนื

องจากความเร็ ว (Velocity pressure) ใหมี้ค่
าคงที ตลอดทั
ꇾ งระบบ

2 : เพื
อรั
ꇾกษาความดัน สถิ ต (Static pressure) ใหมี ้ค่
าคงที ตลอดทั
ꇾ งระบบ

3 : เพื
อรั
ꇾกษาความดัน ทังหมด
뇽 (Total pressure) ใหมี ้
ค่าคงที ตลอดทั
ꇾ งระบบ

4 : เพื
อให
ꇾ ขนาดของท่
้ อลมขาออกมี ข นาดเท่ ากัน หมดเมือมี
ꇾ ปริมาณลมเท่ ากัน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
129 : ค่
าความเสี
ยดทานในการออกแบบโดยวิ
ธี
Equal friction method นิ ้ วยเป็
ยมใชหน่ นอะไรในระบบ SI

1 : นิ

วนํ뇽
าต่อเมตร
2 : นิ

วปรอทต่ อฟุต
3 : นิ

วนํ뇽
าต่อ 100 ฟุต
4 : ปาสคาลต่ อเมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
130 : การสู
ญเสี
ยกํ
าลังงานในท่
อลมจะแปรผัน โดยตรงไปกับ

1 : ความเร็
วในท่อลม
2 : ปริมาณลมในท่อ
3 ้ าศู
: เส นผ่ น ย์
กลางของท่
อลม
4 : ความเร็
วในท่อลมยกกํ
าลังสาม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
131 : ท่
อลมที
มี
ꇾข นาดระหว่
าง 13 ถึ
ง 30 inch ควรเลื ้ น เหล็
อกใชแผ่ (1.25 oz/ft2) เบอร์
กอาบสังกะสี อะไร เพื
อใช ้
ꇾ ในการทํ
าท่
อลม

1 : เบอร์
26
2 : เบอร์
24
3 : เบอร์
22
4 : เบอร์
20

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
132 : ท่
อลมความเร็
วตํ

าคือท่
อลมอะไร

1 : ท่
อลมที
มี
ꇾความเร็
วลมภายในท่
อตํ

ากว่
า 1500 ฟุ
ตต่
อนาที
และมี
ความดัน สแตติ
กส์
ตํ

ากว่
า 2 นิ

วนํ뇽

2 : ท่
อลมที
มี
ꇾความเร็
วลมภายในท่
อตํ

ากว่
า 1000 ฟุ
ตต่
อนาที
และมี
ความดัน สแตติ
กส์
ตํ

ากว่
า 1 นิ

วนํ뇽

3 : ท่
อลมที
มี
ꇾความเร็
วลมภายในท่
อตํ

ากว่
า 2000 ฟุ
ตต่
อนาที
และมี
ความดัน สแตติ
กส์
ตํ

ากว่
า 2 นิ

วนํ뇽

4 : ท่
อลมที
มี
ꇾความเร็
วลมภายในท่
อตํ

ากว่
า 2000 ฟุ
ตต่
อนาที
และมี
ความดัน สแตติ
กส์
ตํ

ากว่
า 1.5 นิ

วนํ뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
133 : ท่
อลมสํ
าหรับส่
งลมที
อั
ꇾตราเดี
ยวกัน และออกแบบที
ความเสี
ꇾ ยดทานเท่
ากัน อยากทราบว่
าท่
อลมที
มี
ꇾหน าตั
้ ดอย่
างไรจะประหยัดวัส ดุ
ทํ
าท่
อลมมากที
สุ
ꇾด

1 ꇾ ยมจตุ
: สี
เหลี
ꇾ รัส
2 ꇾ ยมผื
: สี
เหลี
ꇾ น ผา้
3 : วงรี
4 : วงกลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
134 : หน ากากรั
้ บลมกลับ (Return Air Grille) ที
มี
ꇾข นาด 24x24 นิ

ว สามารถรับลมกลับไดกี
้ลู
ꇾกบาศก์
ฟต
ุต่
อนาที

1 : 800 ลู
กบาศก์ฟต
ุต่อนาที
2 : 1,600 ลู
กบาศก์
ฟตุต่
อนาที
3 : 3,200 ลู
กบาศก์
ฟตุต่
อนาที
4 : 4,800 ลู
กบาศก์
ฟตุต่
อนาที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
135 : ในการออกแบบท่
อส่
งลมของระบบปรับอากาศ ท่
อลมที
มี
ꇾความยาว 100 ฟุ
ต ควรมี
Pressure Drop ประมาณเท่
าไร

1 : 0.0075 นิ 뇽
วนํ 뇽

2 : 0.075 นิ뇽
วนํ 뇽

3 : 0.75 นิ

วนํ 뇽

4 : 7.5 นิ

วนํ뇽

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 19/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
136 : เพื
อไม่
ꇾ ใหมี
้เสี
ยงดังของลมมากเกิ
น ไป ความเร็
วลมในท่
อลมประธานของระบบปรับอากาศควรมี
ค่
าไม่
เกิ
น เท่
าใด

1 : 50 ฟุ
ตต่
อนาที
2 : 150 ฟุ
ตต่
อนาที
3 : 1500 ฟุ
ตต่
อนาที
4 : 3000 ฟุ
ตต่
อนาที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
137 : หัวจ่
ายลมเย็
น สํ
าหรับลมจ่
าย 400 ลู
กบากศ์
ฟต
ุต่
อนาที
ควรมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 4x4 นิ


2 : 6x6 นิ


3 : 8x8 นิ


4 : 12x12 นิ뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
138 : หน ากากสํ
้ าหรับลมกลับที
มี
ꇾปริ
มาณลม 2,000 ลู
กบากศ์
ฟต
ุต่
อนาที
ควรมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 12x6 นิ


2 : 24x12 นิ뇽

3 : 36x24 นิ뇽

4 : 48x36 นิ뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
139 : ข อใดไม่
้ ใช่
หน าที
้ ของฉนวนหุ
ꇾ มท่
้ อลม

1 : ป้
องกัน การกลัꇾ
นตัวเป็นหยดนํ뇽

2 : ป้
องกัน การสูญเสี ยความเย็

3 : ป้
องกัน การแผ่ รังสีความเย็

4 : ป้
องกัน การรัꇾ
วของลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
140 : ความเร็
วลมที
ท่
ꇾอลมแยกโดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 500 fpm ( 2.5 m/s)


2 : 800 fpm (4m/s)
3 : 1500 fpm (7.5 m/s)
4 : 2000 fpm (10 m/s)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
141 : ความเร็
วลมที
หั
ꇾวจ่
ายลมโดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 200 fpm (1 m/s)


2 : 350 fpm (2 m/s)
3 : 600 fpm (3 m/s)
4 : 800 fpm (4 m/s)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
142 : ความเร็
วลมที
หน
ꇾ ากากลมกลั
้ บโดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

1 : 200 fpm (1 m/s)


2 : 400 fpm (2 m/s)
3 : 600 fpm (3 m/s)
4 : 800 fpm (4 m/s)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
143 : ท่
อลมที
มี
ꇾความกวาง
้ 1.20 เมตร สํ อลม Low Pressure ใชสั้
าหรับท่ งกะสี
เบอร์
อะไร

1 : เบอร์
26
2 : เบอร์
24
3 : เบอร์
22
4 : เบอร์
20

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
144 : ท่
อลมที
มี
ꇾความกวาง
้ 1 เมตร สํ อลม Medium Pressure ใชสั้
าหรับท่ งกะสี
เบอร์
อะไร

1 : เบอร์
26
2 : เบอร์
24

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 20/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : เบอร์
22
4 : เบอร์
20

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
145 : เหตุ
ใดฉนวนใยแกวสํ
้าหรับหุ
มท่
้ อลมจึ
งตองมี
้ อลูมเิ
นี
ยมฟอยล์

1 : เพื
อไม่
ꇾ ใหใยแก
้ วหลุ
้ ดร่
วง
2 : เพื
อทํ
ꇾ าหน าที
้ เป็
ꇾนฉนวนป้ 뇽
องกัน ความชื

3 : เพื
อความเรี
ꇾ ยบรอยและป้
้ องกัน ฉนวนเสี
ยหาย
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
146 : ปริ
มาณการระบายอากาศในอาคารที
ไม่
ꇾ ปรับอากาศ โดยทัวไปควรอยู
ꇾ ใ่
นช่
วง Airchanges/Hr. เท่
าไร

1 : 5 ­10 Airchanges/Hr
2 : 10 ­15 Airchanges/Hr
3 : 15­25 Airchanges/Hr
4 : 25­40 Airchanges/Hr

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
147 : ความเร็
วลมผ่
านตัวคนในหองปรั
้ บอากาศ โดยทัวไปควรอยู
ꇾ ใ่
นช่
วงความเร็
วลมเท่
าไร

1 : < 10 fpm
2 : < 50 fpm
3 : < 100 fpm
4 : < 200 fpm

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
148 : ในกรณี
ข องคลังสิ
น คา้การระบายอากาศที
ดี
ꇾเพี
ยงอย่
างเดี
ยวสามารถทํ
าใหอุ
้ณหภู
มภ
ิายในอาคารตํ

ากว่
าภายนอกอาคารไดหรื
้อไม่

1 : ได ้
เพราะผลของการระบายอากาศทํ
าใหอากาศเย็
้ น ลง
2 : การระบายอากาศทํ
าใหเกิ
้ดกระแสลมมาก
3 : การระบายอากาศทํ
าใหค่
้า MRT ลดลง
4 : ไม่
ได ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
149 : ปริ
มาณการระบายอากาศดวย
้ Stack Effect ขึ
นกั
뇽 บอะไรบาง

1 : ความสู
งระหว่ างช่องลมเข าด
้านล่
้ าง และช่
องระบายอากาศออกดานบน(Stack
้ Height)
2 : อุ
ณหภูมแิตกต่ างระหว่างลม เข า้ออก
3 : ขนาดพื นที
뇽 ปากลม
ꇾ เข า้ออก
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
150 : เหตุ
ใดอาคารที
อาศั
ꇾ ยการระบายอากาศจึ
งตองมี
้ ค่า MRT ตํ

1 : เพราะการระบายอากาศไม่
ส ามารถกํ
าจัดรังสี
ความรอนได
้ ้
2 : เพราะการระบายอากาศเป็
นการสรางกระแสลม

3 : เพราะการระบายอากาศเป็
นการถ่ายมวลความรอน้
4 : ข อ้1 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
151 : การระบายอากาศที
ดี
ꇾตองคํ
้ านึงถึ
งเรื
องอะไรบ
ꇾ าง

1 : การลัดวงจร
2 : จุ
ดอับ
3 : แหล่งกํ
าเนิ
ดมลภาวะ
4 : ทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
152 : เหตุ
ใดจุ
ดอับในการระบายอากาศ จึ
งเป็
นปั ญหาในการระบายอากาศ

1 : เพราะไม่ มก
ีระแสลม
2 : เป็นทีสะสมของมลภาวะ

3 : เป็นทีสะสมความชื
ꇾ 뇽

4 : ทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
153 : ความเร็
วลมที
ครอบดู
ꇾ ดควัน โดยปกติ
เป็
นเท่
าใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 21/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : 0.25 m/s
2 : 0.5 m/s
3 : 0.75 m/s
4 : 1 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
154 : ท่
อลมสํ
าหรับปริ
มาณลม 2000 L/s ควรจะมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 850 x 450 mm
2 : 1500 x 250 mm
3 : 1900 x 250 mm
4 : 2200 x 200 mm

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
155 : ท่
อลมสํ
าหรับปริ
มาณลม 1000 L/s ควรจะมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 850 x 350 mm
2 : 910 x 250 mm
3 : 1150 x 200 mm
4 : 600 x 350 mm

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
156 : ท่
อลม Low Pressure หมายถึ
งท่
อลมที
มี
ꇾระดับความดัน ในท่
อลมเท่
าใด

1 : < 25 mm WG
2 : < 50 mm WG
3 : 50 – 100 mm WG
4 : >100 mm WG

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
157 : ท่
อลม Medium Pressure หมายถึ
งท่
อลมที
มี
ꇾระดับความดัน ในท่
อลมเท่
าใด

1 : < 25 mm WG
2 : < 50 mm WG
3 : 50 – 100 mm WG
4 : >100 mm WG

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
158 : ท่
อลม High Pressure หมายถึ
งท่
อลมที
มี
ꇾระดับความดัน ในท่
อลมเท่
าใด

1 : < 25 mm WG
2 : < 50 mm WG
3 : 50 – 100 mm WG
4 : >100 mm WG

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
159 : ท่
อลม Medium Pressure มี ้
ใชในกรณี
ใดบาง

1 : เมื
อเดิ
ꇾ น ท่อลมเป็ นระยะยาวมาก
2 : เมื
อมี
ꇾ การติดตังกล่
뇽 องเก็ ีง แผงกรองอากาศประส ท
บเส ย ิธิ
ภาพสูง
3 : เมื
อมี
ꇾ การติดตังอุ
뇽 ปกรณ์ทมี ีดทานสู
ꇾแรงเส ย
ี ง หรื
ออุ
ปกรณ์ทต
ꇾองการความดั
ี ้ น ลมสู ่VAV
ง เชน
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
160 : เหตุ
ใดจึ
งตองควบคุ
้ มปริ
มาณการรัꇾ
วของลมในระบบท่
อลม

1 : เพื
อลดการสู
ꇾ ีลม
ญเส ย
2 : เพื
อให
ꇾ มี
้ ลมเพี
ยงพอกับทีต
ꇾองการ

3 : เพื
อประหยั
ꇾ ดพลังงาน เนื

องจากตองใช ้ งงานในการสรางลมเย็
้ พลั ้ น มาก
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
161 : เหตุ
ใดจึ
งไม่
ควรเดิ
น ท่
อลมเย็
น นอกบริ
เวณหองปรั
้ บอากาศ

1 : ทํ
าใหท่้อลมเย็ น อยู
ใ่
นสภาพแวดลอมที้ ไม่
ꇾ เหมาะสม
2 : ลมเย็น จะรัꇾ
วออกนอกพื นที
뇽 ปรั
ꇾ บอากาศ
3 : ค่
าก่
อสรางท่
้ อลมเย็ น สู

4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 22/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
162 : องค์ ้ ่
ประกอบของฉนวนใยแกวในส วนของใยแกวมี
้หน าที
้ อะไร

1 : ป้
องกัน ความรอน

2 : ป้ 뇽

องกัน ความชน
3 : ป้
องกัน ความรอนและความช
้ 뇽


4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
163 : องค์ ้ ่
ประกอบของฉนวนใยแกวในส วนของอลู
มเิ
นี
ยมฟอยล์
มห
ีน าที
้ อะไร

1 : ป้
องกัน ความรอน

2 : ป้ 뇽

องกัน ความชน
3 : ป้
องกัน ความรอนและความช
้ 뇽


4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
164 : การออกแบบระบบท่
อลมแบบกางปลามี
้ ประโยชน์
อย่
างไร

1 : สวยงาม
2 : ประหยัดค่
าก่
อสรางท่
้ อลม
3 : ทํ
าใหความดั
้ น ลมที
หั
ꇾวจ่
ายเท่
ากัน ทุ
กหัว
4 : ทํ
าใหสามารถปรั
้ บความดัน ลมใหสมดุ
้ ลย์ ไดง่
้าย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
165 : ท่
อลม Low Velocity หมายถึ
งท่
อลมที
มี
ꇾระดับความเร็
วในท่
อลมเท่
าใด

1 : < 5 m/s
2 : < 12.7 m/s
3 : >12.7 m/s
4 : > 20 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
166 : ท่
อลม High Velocity หมายถึ
งท่
อลมที
มี
ꇾระดับความเร็
วในท่
อลมเท่
าใด

1 : < 5 m/s
2 : < 12.7 m/s
3 : >12.7 m/s
4 : > 20 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
167 : หัวจ่
ายลมแบบเพดานมี
จุ
ดเด่
น ที
เหนื
ꇾ อกว่
าหัวจ่
ายชนิ
ดอื
นอะไร

1 : การกระจายลมดี
2 : สวยงาม และเงียบ
3 : มี
ระยะเป่าไดไกล

4 : ราคาถูก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
168 : หัวจ่
ายลมแบบเป่
าข างมี
้ ข อควรระวั
้ งอะไร

1 : การกระจายลม
2 : ลมเย็ น ตกลงเป็
นจุ
ดๆ
3 : ระดับเส ยีง
4 : ถู
กทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
169 : ข อควรระวั
้ งในการติ
ดตังหั
뇽 วจ่
ายลมคื
ออะไร

1 : การกระจายลมใหออกเต็
้ มหน าหั
้ วจ่
าย
2 : ลมรัꇾ
วทีคอหั
ꇾ วจ่
าย
3 : การลัดวงจรลม
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
170 : การกระจายลมใหเต็
้มหน าหั
้ วจ่
าย มี
วธิอ
ีย่
างไร

1 : ทํ
าใหความดั
้ น ลมที
เข
ꇾาหั
้วจ่
ายเป็
น Velocity Pressure
2 : ทํ
าใหความดั
้ น ลมที
เข
ꇾาหั
้วจ่
ายเป็
น Static Pressure
3 : ทํ
าใหความดั
้ น ลมที
เข
ꇾาหั
้วจ่
ายเป็
น Velocity Pressure และ Static Pressure

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 23/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
171 : การแปลงความดัน ลมใหเป็
้น Static Pressure มี
วธิอ
ีย่
างไร

1 ้ องลม (Air Plenum)


: ใชกล่
2 ้ น Perforated Steel Sheet ขวางทิ
: ใชแผ่ ศทางลม
3 ้ บปริ
: ใชใบปรั มาณลม
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
172 : ใยแกวที
้มี น 24 K (kg/m3) มี
ꇾความหนาแน่ จุ
ดเด่
น เหนื
อกว่
า 16 K อย่
างไร

1 : ฉนวน 24 K มี
ค่าการนํ
าความรอนน
้ อยกว่
้ าฉนวน 16 K มากกว่ า 20%
2 : ฉนวน 24 ้
K สามารถใชความหนาน อยกว่
้ าฉนวน 16 K ครึ งหนึ
ꇾ ꇾ

3 : ฉนวน 24 뇽 ดี

K ทนความชนได ้กว่
าฉนวน 16 K
4 : ฉนวน 24 K มี
ปัญหาเนืꇾ
องจากการยุ
บตัวของฉนวนน อยกว่
้ าฉนวน 16 K

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
173 : การหาขนาดท่
อลมดวยวิ
้ ธี ้ ข อใด
Equal friction ใชเกณฑ์้

1 : ความเร็
วในท่
อลมไม่
เกิ
น 3.5 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 0.8 ปาสกาล/เมตร
2 : ความเร็
วในท่
อลมไม่
เกิ
น 7.5 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 0.8 ปาสกาล/เมตร
3 : ความเร็
วในท่
อลมไม่
เกิ
น 3.5 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 1.2 ปาสกาล/เมตร
4 : ความเร็
วในท่
อลมไม่
เกิ
น 7.5 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 1.2 ปาสกาล/เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
174 : ลานจอดรถใตดิ
้น มี
พนที
뇽 ꇾ
ื 7,200 ตารางเมตร สู
ง 3 เมตร กฎกระทรวงฉบับที

33 ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุ
มอาคาร กํ
าหนดใหวิ
้ศวกรตองออกแบบให
้ มี

การระบาย
อากาศอย่างน อย
้ 4 เท่
าของปริ
มาตรหองต่ ัꇾ อยากทราบว่
้ อชวโมง าตองออกแบบอย่
้ างน อยตามข
้ อใด
้ จึงผ่
านข อกํ
้าหนดตามกฎหมาย

1 : พัดลมแบบไหลตามแนวแกนขนาด 12,000 ลิตรต่


อวิ
น าที
จํ
านวน 1 ตัว
2 : พัดลมแบบไหลตามแนวแกนขนาด 12,000 ลิตรต่
อวิ
น าที
จํ
านวน 2 ตัว
3 : พัดลมแบบหอยโข่
งขนาด 12,000 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
จํ
านวน 3 ตัว
4 : พัดลมแบบหอยโข่
งขนาด 12,000 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
จํ
านวน 4 ตัว

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
175 : ในระบบปรับอากาศ ถาต
้องการให
้ ้อลมหลักส่
ท่ งลมได ้
15 ลู
กบาศก์
เมตรต่
อวิ
น าที
ควรออกแบบใหท่
้อลมมี
ข นาดอย่
างน อยสุ
้ ดเท่
าใด เพื
อให
ꇾ ลดต
้ นทุ
้ น และไม่
ใหเกิ ีง
้ดเส ย
ดัง

1 : 1000 x 1000 ตารางมิ


ลลิ
เมตร
2 : 1500 x 1000 ตารางมิ
ลลิ
เมตร
3 : 2000 x 1000 ตารางมิ
ลลิ
เมตร
4 : 1500 x 1500 ตารางมิ
ลลิ
เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
176 : ท่
อลมใด มี ีดทานต่
แรงเส ย อหน่
วยความยาวมากที
สุ
ꇾด

1 อส่
: ท่ งลม 1000 ลิ
ตร/วิ
น าที
ขนาด 200 x 200 ตร. มม.
2 อส่
: ท่ งลม 2000 ลิ
ตร/วิ
น าที
ขนาด 400 x 400 ตร. มม.
3 อส่
: ท่ งลม 4000 ลิ
ตร/วิ
น าที
ขนาด 800 x 800 ตร. มม.
4 : ไม่
มข
ีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

้ ꇾ177 : พัดลมระบายอากาศ ส่
ข อที งลมดวยความดั
้ น รวม 1 กิ
โลปาสคาล และปริ ัꇾ
มาณลม 7200 ลบ.ม./ชวโมง ดวยความเร็
้ วรอบ 750 รอบ/นาทีและพัดลมและมอเตอร์
ต่
างมี
ิธิ
ประส ท ภาพคงทีꇾ
80% ถาต
้องการปริ
้ มาณลมเพิมขึ
ꇾ นเป็ ัꇾ จะตองปรั
뇽 น 14400 ม./ชวโมง ้ บความเร็วรอบเป็ าใด และใส่
นเท่ กาํ
ลังงานเท่
าใด

1 : 750 รอบ/นาทีและ 20 กิ
โลวัตต์
2 : 750 รอบ/นาทีและ 40 กิ
โลวัตต์
3 : 1500 รอบ/นาทีและ 20 กิ
โลวัตต์
4 : 1500 รอบ/นาทีและ 40 กิ
โลวัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

เนื

อหาวิ
ชา : 392 : Piping Design

ข อที
้ ꇾ
178 : ท่
อนํ

าเย็
น และท่
อนํ

าระบายความรอนของระบบปรั
้ บอากาศขนาดใหญ่
นิ ้อแบบใด
ยมใชท่

1 : ท่
อเหล็กกลาไร
้ สนิ
้ม
2 : ท่
อเหล็กดํ

3 : ท่
อพี ีี
วซ
4 : ท่
อทองแดง

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 24/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
179 : เครื
องทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็
น ขนาด 350 กิ
โลวัตต์
ความเย็
น (100 ตัน ความเย็
น ) จ่
ายนํ

าเย็
น ที
อุ
ꇾณหภู
มิ ีส (44.6 องศาฟาเรนไฮด์
7 องศาเซลเซย ) และรับนํ

าเย็
น กลับที
อุ
ꇾณหภู
มิ
13
องศาเซลเซย ีส (55.4 องศาฟาเรนไฮด์) ควรต่
อกับท่
อนํ

าเย็
น ขนาดเท่าใด

1 : 50 มิ
ลลิ
เมตร
2 : 100 มิ
ลลิ
เมตร
3 : 200 มิ
ลลิ
เมตร
4 : 400 มิ
ลลิ
เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
180 : การคํ
านวณแรงดัน ของเครื
องสู
ꇾ บนํ

าของระบบท่
อนํ

าแบบใดที
ไม่
ꇾ ตองนํ
้ าค่าความดัน สถิ
ต (Static Head) มารวม

1 : ระบบท่
อนํ 뇽
าเย็น
2 : ระบบท่
อนํ 뇽
าระบายความรอน

3 : ระบบท่
อนํ 뇽
าทิง뇽
4 : ผิดทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ181 : ระบบสู
บนํ

าทีมี
ꇾเครื
องสู
ꇾ บนํ

าทีꇾความสามารถในการส่
มี งนํ

า 15 ลิ
ตร/วิ
น าที
ทีความดั
ꇾ น 150 กิ
โลปาสกาล จํ
านวน 2 เครื
อง
ꇾ เมื
อทํ
ꇾ างานร่
วมกัน แบบขนาน ข อใดเป็
้ นผลลัพธ์
ทีถู
ꇾกตองที
้ สุ
ꇾด

1 : ระบบสู
บนํ าจะสามารถส่
뇽 งนํ

าได ้
30 ลิ
ตร/วิ
น าที
ที
ความดั
ꇾ น 150 กิ
โลปาสกาล
2 : ระบบสู
บนํ าจะสามารถส่
뇽 งนํ

าได ้
15 ลิ
ตร/วิ
น าที
ที
ความดั
ꇾ น 300 กิ
โลปาสกาล
3 : ระบบสู
บนํ าจะสามารถส่
뇽 งนํ

าได ้
30 ลิ
ตร/วิ
น าที
ที
ความดั
ꇾ น 300 กิ
โลปาสกาล
4 : ผิดทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ182 : จากสู
ตรหาค่
าการสู ีความดัน ของของไหลแบบอัดตัวไม่
ญเส ย ได ้เนื
ꇾ ีดทานภายในท่
องจากความเส ย อ ข อต่
้ อไปนี

ข อใดที
้ ไม่ ่ัวแปรที
ꇾ ใชต มี
ꇾผลโดยตรงต่
อค่
าการสู ี
ญเส ย
ความดัน

1 : ความหยาบของผิวภายในท่

2 : ความเร็
วของของไหลภายในท่

3 ้ านศู
: ความยาวและขนาดเส นผ่ น ย์
กลางภายในของท่

4 : ปริ
มาตรของการไหลทีไหลผ่
ꇾ านท่ อ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
183 : ระบบท่
อนํ

าระบายความรอน
้ (condenser water system) โดยปกติ
จะมี
ลักษณะดังต่
อไปนี

ยกเวนข
้ อใด

1 : เป็
นระบบท่ อนํ뇽
าแบบเปิ ด
2 : ไม่
หมฉนวนป้

้ องกัน ความรอน

3 : ใชถั้
งนํ

าขยายตัวในการป้ ีหาย
องกัน ระบบเส ย
4 ꇾ อระหว่

: เชอมต่ างเครืองทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็น กับหอระบายความรอน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
184 : ข อใดเรี
้ ยงลํ าดับความยาวเที
ยบเท่
า (Equivalent Length) ของวาล์
วจากมากไปหาน อยได
้ ถู ้ ้ สํ
กตอง าหรับกรณี
ทวาล์
ꇾ วทุ
ี กตัวมี
ข นาดเท่
ากัน

1 : Globe valve, Swing check valve, Gate valve


2 : Gate valve, Swing check valve, Globe valve
3 : Swing check valve, Globe valve, Gate valve
4 : Gate valve, Globe valve, Swing check valve

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
185 : เครื
องทํ
ꇾ านํ 뇽
าเย็
น ขนาด 3,500 กิ
โลวัตต์
ความเย็
น (1,000 ตัน ความเย็ ้ อั้
น ) จะตองใช ตราการไหลของนํ

าเย็
น กี
ลิ
ꇾตรต่
อวิ
น าที อนาที
(แกลลอนต่ ) ถากํ
้าหนดอุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ําเย็

เข าและออกต่
้ างกัน 5.5 องศาเซลเซยีส และสัมประส ท
ิธิ

⿠มรรถนะการทํ
าความเย็ น (COP) มีค่
าเท่
ากับ 4

1 : 158 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,500 แกลลอนต่
อนาที
)
2 : 152 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,400 แกลลอนต่
อนาที
)
3 : 164 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,600 แกลลอนต่
อนาที
)
4 : 145 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,300 แกลลอนต่
อนาที
)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
186 : เครื
องทํ
ꇾ าความเย็น ขนาด 3,500 กิโลวัตต์
ความเย็
น (1,000 ตัน ความเย็ ้ อั้
น ) จะตองใช ตราการไหลของนํ 뇽
าระบายความรอนกี
้ ลิ
ꇾตรต่
อวิ
น าที อนาที
(แกลลอนต่ ) ถากํ
้าหนด
อุ
ณหภู มน
ิ뇽
ําระบายความรอนเข
้ าและออกต่
้ ีส และสัมประส ท
างกัน 5.5 องศาเซลเซย ิธิ

⿠มรรถนะการทํ าความเย็
น เท่
ากับ 4

1 : 190 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(3,000 แกลลอนต่
อนาที
)
2 : 196 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(3,100 แกลลอนต่
อนาที
)
3 : 152 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,400 แกลลอนต่
อนาที
)
4 : 177 ลิ
ตรต่
อวิ
น าที
(2,800 แกลลอนต่
อนาที
)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 25/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ187 : อาคารสูง 23 เมตรมีระบบท่อนํ

าเย็น ที
มี
ꇾค่
าความยาวเทียบเท่
าของท่
อเท่
ากับ 100 เมตร มี ค่ ีดทานของการไหลภายในท่
าความเส ย อเท่
ากับ 3.5 เมตรต่
อความยาว
100 เมตร มี
ค่าความเร็
วของนํ

าในระบบท่อเท่
ากับ 2.5 เมตรต่
อวิ
น าทีใหคํ
้านวณหาค่
าความดัน รวม (Total head) ของระบบท่
อนํ

าเย็
น ดังกล่
าว

1 : 3.5 เมตร
2 : 26.5 เมตร
3 : 23 เมตร
4 : 19.5 เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
188 : ข อใดเป็
้ นการเลื
อกขนาดของท่
อนํ

าทีไม่
ꇾ น่
าถู ้ สํ
กตอง าหรับการออกแบบระบบท่
อนํ

าเย็

1 : ท่
อขนาด 1.25 นิ

ว ความเร็วนํ

าในท่อ 1.4 เมตรต่อวิ
น าที
2 : ท่
อขนาด 2 นิ

ว ความเร็
วนํ

าในท่อ 1.8 เมตรต่อวิ
น าที
3 : ท่
อขนาด 0.5 นิ

ว ความเร็
วนํ뇽
าในท่อ 0.9 เมตรต่อวิ
น าที
4 : ท่
อขนาด 4 นิ

ว ความเร็
วนํ

าในท่อ 1.8 เมตรต่อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
189 : ข อความใดต่
้ อไปนี

ไม่ถก
ูตอง

1 : การดู
ดยก (Suction lift) เกิ
ดขึนเมื
뇽 อแหล่
ꇾ งป้ อนนํ뇽
าอยู

่ํꇾ
ากว่าระดับการติ
ดตังเครื
뇽 องสู
ꇾ บนํ 뇽

2 : ความดัน จ่
ายสถิต (Static discharge head) คื
อระยะทางในแนวดิ งจากเครื
ꇾ องสู
ꇾ บนํ뇽
าไปจนถึงจุ
ดปล่อยนํ 뇽
าอย่
างอิ
ส ระ
3 : ความดัน รวม (Total head) = ความดัน จ่
ายพลวัตรวม (Total dynamic discharge head) ­ ความดัน ดู
ดสถิตรวม (Total static suction lift) เมื
อระบบมี
ꇾ การดู
ดยก (Suction lift)
4 : ความดัน รวม (Total head) = ความดัน จ่
ายพลวัตรวม (Total dynamic discharge head) + ความดัน ดู
ดสถิตรวม (Total static suction lift) เมื
อระบบมี
ꇾ การดู
ดยก (Suction lift)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
190 : ข อความใดต่
้ อไปนี

ถู
กตอง

1 : เมื
อระบบมี
ꇾ ความดัน ดู
ด (suction head) เราจํ าเป็
นตองคํ
้ านวณหาค่ าความดัน ดุ
ดสุทธิ (NPSH) ของเครืองสู
ꇾ บนํ뇽

2 : ค่
าความดัน ดู
ดสุทธิจริ
ง (NPSH available) เป็ นฟั งก์ัꇾ
ชนของการออกแบบเครื องสู
ꇾ บนํ 뇽

3 : ในระบบเปิด เมื
อเกิ
ꇾ ดการดุ ดยก (suction lift) เราตองคํ
้ านวณหาค่ าความดัน ดู
ดสุทธิทตꇾองการ
ี ้ (NPSH required)
4 : การเลือกเครืองสู
ꇾ บนํ뇽
าในระบบเปิ ด ตองเลื
้ อกเครื องสู
ꇾ บนํ 뇽
าทีมี
ꇾค่
าความดัน ดู
ดสุทธิทต
ꇾองการ
ี ้ (NPSH required) น อยกว่
้ าหรือเท่
ากับค่
าความดัน ดู
ดสุ
ทธิ
จริ
ง (NPSH available)
เสมอ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
191 : ตองการสู
้ บนํ

าไดสู
้ง 30 เมตร ที
อั
ꇾตราการไหล 30 ลบ.เมตร. ต่ ัꇾ โดยที
อชวโมง ประส
ꇾ ท ิธิ
ภาพของเครื
องสู
ꇾ บนํ

าเท่
ากับ 60 % จะตองใช ้ องสู
้ เครื ꇾ บนํ

าขนาดกี
กิ
ꇾโลวัตต์

1 : 4.09 kw
2 : 7.8 kw
3 : 4.2 kw
4 : 3.6 kw

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
192 : ความเร็
วของนํ

าทีแนะนํ
ꇾ าใหใช ้
้ในการออกแบบระบบท่
อนํ

าขึนอยู
뇽 เ่
งื
อนไขใดบ
ꇾ าง

1 ้
: การใชงานของท่ อ
2 : ราคาของตัวท่ อ
3 ีดทานของท่
: แรงเส ย อ
4 : ข อ้1 และข อ้3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
193 : ในการเลื
อกขนาดท่
อ อย่
างน อยเราจะต
้ องทราบค่
้ าอะไรบาง

1 : ความเร็
วและความดัน ลดทังหมด

2 : ปริ
มาณอัตราการไหลและความเร็ ว
3 : ความดัน ลดทังหมดและปริ
뇽 มาณอัตราการไหล
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
194 : ความเร็
วนํ

าตํꇾ
าสุดที
ใช ้
ꇾ ในการออกแบบระบบท่
อนํ

ามีค่
าเท่
ากับเท่
าไร

1 : 0.9 เมตรต่
อวิ
น าที
2 : 0.5 เมตรต่
อวิ
น าที
3 : 0.6 เมตรต่
อวิ
น าที
4 : 1.2 เมตรต่
อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
195 : ท่
อใดในระบบปรับอากาศที
ไม่
ꇾ ตองหุ
้ มฉนวน

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 26/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : ท่
อนํ

าเย็ ้ ่
น ดานส ง
2 : ท่
อนํ

าเย็
น ดานกลั
้ บ
3 : ท่
อนํ

าระบายความรอน้
4 : ท่
อสารทํ
าความเย็ น ดานดู
้ ด

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
196 : ท่
อนํ

าระบายความรอนของเครื
้ องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น ขนาด 3,500 กิ
โลวัตต์
ความเย็
น ควรมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 150 มม.
2 : 350 มม.
3 : 500 มม.
4 : 600 มม.

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
197 : ถังรับการขยายตัวนํ

าแบบเปิ
ด (Open­Type Expansion Tank) ตองติ
้ ดตังอยู
뇽 ท
่จุ
ꇾดใดของระบบท่
ี อนํ

าเย็
น ของระบบปรับอากาศ

1 : จุ
ดที
สู
ꇾงทีสุ
ꇾด
2 : จุ
ดที
ตํ
ꇾꇾ
าทีสุ
ꇾด
3 : จุ
ดที
ใกล
ꇾ ด้านดู
้ ดของเครืองสู
ꇾ บนํ

ามากที
สุ
ꇾด
4 : จุ
ดที
อยู
ꇾ ใ่
กลกั้บดานจ่
้ ายของเครื
องสู
ꇾ บนํ뇽
ามากที
สุ
ꇾด

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
198 : ท่
อนํ
뇽 น สํ
าเย็ ꇾ ่
าหรับเครื
องส งลมเย็
น ขนาด 210 กิ
โลวัตต์
ความเย็
น ควรมี
ข นาดเท่
าใด

1 : 50 มม.
2 : 80 มม.
3 : 100 มม.
4 : 150 มม.

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
199 : โดยปกติ
ความเร็
วของนํ

าในท่
อนํ

าเย็
น ประธาน (Main Chilled Water) มี
ค่
าประมาณเท่
าใด

1 : 2.4­3.7 m/s
2 : 1.2­2.1 m/s
3 : 3­4.6 m/s
4 : 1.5­3 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
200 : โดยปกติ
ความเร็
วของนํ

าในท่
อนํ

าเย็
น แยก (Branch Chilled Water) มี
ค่
าประมาณเท่
าใด

1 : 2.4­3.7 m/s
2 : 1.2­2.1 m/s
3 : 1.2­4.6 m/s
4 : 1­3 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
201 : ท่
านมี
ความเห็
น ในการเลื
อกเกทวาล์
ว (Gate Valve) และโกลบวาล์
ว (Globe valve) อย่
างไร

1 : เกทวาล์ ้ อยกว่
ว (Gate Valve) ใชระยะน ้ า และมี ราคาถูกกว่

2 : โกลบวาล์ ว (Globe valve) ทํ
าหน าที
้ ปรั
ꇾ บปริ
มาณนํา ส่
뇽 วนเกทวาล์
ว (Gate Valve)ทํ
าหน าที
้ ปิ
ꇾด เปิ

3 : โกลบวาล์ ว (Globe valve) มี
ข นาดใหญ่ และมี
ราคาแพง
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
202 : ท่
านมี
ความเห็
น ในการเลื
อกบัตเตอร์
ฟลายวาล์
ว (Butterfly Valve)และโกลบวาล์
ว (Globe Valve) อย่
างไร

1 : ทัง뇽2 ชนิ ้าหน าที


ด ใชทํ ้ ปรั
ꇾ บปริ มาณนํ 뇽

2 : บัตเตอร์ ฟลายวาล์ ้
ว (Butterfly Valve) ใชระยะในการติ
ดตังน
뇽 อย
้ และมีราคาถูกกว่
า โดยเฉพาะขนาดใหญ่

3 : บัตเตอร์ ฟลายวาล์ว (Butterfly Valve) สามารถสังเกตตํ
าแหน่ งลิ
นได
뇽 ้เมื
อใช ้ ดกานปิ
ꇾ ชนิ ้ ด เปิ

4 : ถู
กทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
203 : อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ําเย็
น จ่
ายและนํ

าเย็
น กลับ (Chilled Water Supply/Return Temperature) ของระบบปรับอากาศทัวไป
ꇾ เป็
นเท่
าไร

1 : 4.44 / 10 องศาเซลเซยีส
2 : 5.55 / 11.11 องศาเซลเซยีส
3 : 7 / 12 องศาเซลเซยีส
4 : 8.33 / 13.9 องศาเซลเซยีส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 27/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ204 : อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ําระบายความรอนจ่
้ ายและนํ

าระบายความรอนกลั
้ บ (Cooling Water Supply/Return Temperature) ของหอระบายความรอน
้ (Cooling Tower) ทัวไป
ꇾ เป็

เท่าไร

1 : 26.7 / 32.2 องศาเซลเซยีส


2 : 32.2 / 37.8 องศาเซลเซยีส
3 : 29.44 / 35 องศาเซลเซยีส
4 : 35 / 40.55 องศาเซลเซยีส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
205 : เมื
อเปรี
ꇾ ยบเที
ยบวิีารส่
ธก งความเย็
น ดวยระบบท่
้ อลมกับระบบท่
อนํ

าเย็
น ข อใดเป็
้ นคํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง

1 : ระบบท่ ้ งงานน อยกว่


อลมใชพลั ้ า เพราะอากาศมี ค่
าความจุ
ความรอนมากกว่
้ า
2 : ระบบท่ อนํ

าเย็ ้ งงานน อยกว่
น ใชพลั ้ า เพราะนํ 뇽
าเย็
น มี
ค่
าความจุ
ความรอนมากกว่
้ า
3 : ระบบท่ ้ งงานมากกว่
อลมใชพลั า เพราะมี
การสู ีความเย็
ญเส ย น ในระบบมากกว่

4 : ข อ้2 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
206 : ระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบใดที
เป็
ꇾนการออกแบบใหมี
้การสมดุ
ลนํ

าภายในระบบเอง (Self Balance)

1 : ระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบไหลกลับโดยตรง (Direct Return)
2 : ระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบไหลกลับ (Reverse Return)
3 : ระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบวงลู
ป (Ring Loop)
4 : ระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบวงรวม (Header)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

207 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับระบบท่
อนํ
뇽 น สํ
าเย็ าหรับงานปรับอากาศ ข อใดเป็
้ นคํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง

1 : เป็
นระบบปิด (Closed System)
2 : เป็
นระบบเปิด (Open System)
3 : เป็
นระบบปิด (Closed System) และ ระบบเปิ
ด (Open System)
4 : เป็
นระบบเลียงทางหลั
ꇾ ก (Bypass System)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

208 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับระบบท่
อนํ

าระบายความรอน
้ ข อใดเป็
้ นคํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง

1 : เป็
นระบบปิด (Closed System)
2 : เป็
นระบบเปิด (Open System)
3 : เป็
นระบบปิด (Closed System) และระบบเปิด (Open System)
4 : เป็
นระบบเลียงทางหลั
ꇾ ก (Bypass System)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
209 : ถังรับการขยายตัวนํ

า (Expansion Tank) มี
ไวเพื
้ออะไร

1 : สํารองนํ뇽

2 : เติมนํ

าและกําหนดระดับความดัน นํ

าของระบบ
3 : รับนํ

าทีขยายและหดตั
ꇾ ว
4 : ข อ้2 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
210 : การปรับสมดุ
ลนํ

าของหอระบายความรอน
้ (Cooling Tower) มี
วธิก
ีารอย่
างไรไดบ้าง

1 ้
: ใชอ่างของ Cooling Tower ร่
วมกัน
2 : ถู
กทุกข อ้
3 : เดิ
น ท่
อนํ뇽
าแบบไหลยอนกลั
้ บ (Reverse Return)
4 : มี
ทอ
่Equalizer ต่ ꇾ

อเชอมระหว่
างอ่างของ Cooling Tower

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
211 : การทดสอบท่
อดวยวิ
้ ธคีวามดัน อุ
ทกสถิ
ต (Hydrostatic Test) ขนาด 1.5 เท่
า มี
จุ
ดประสงค์
เพื
ออะไร

1 : เพื
อทดสอบความแข็
ꇾ งแรงและความสามารถในการรับความดัน นํ

าของระบบท่

2 : เพื
อหารอยรั
ꇾ ꇾ
วทัวไป

3 : เพื
อทดสอบหาอายุ
ꇾ ้
การใชงานของท่

4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ ีจากการที
212 : ผลเส ย มี
ꇾโพรงอากาศระหว่
างฉนวนและท่
อนํ

าเย็
น คื
ออะไร

1 : ไม่
ส วยงาม
2 : ค่
าการนําความรอนเพิ
้ มขึ
ꇾ น

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 28/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : เกิ
ดการควบแน่
น และทํ
าใหฉนวนเส
้ ีหายในระยะยาว

4 : เปลื
องฉนวน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
213 : การต่
อท่
อนํ

าเย็
น ที
เป็
ꇾนท่
อเหล็
กดํ
ากับแฟนคอยล์
ทมี
ꇾข อต่
ี ้ อเป็ อทองแดง ควรใชข้
นท่ อต่
้ อชนิ
ดใด

1 : ข อต่
้ อเกลียวทองแดง
2 : ข อต่
้ อเกลียวทองเหลื
อง
3 : ข อต่
้ อเกลียว พี
วีซี
4 : ข อต่
้ อหน าแปลน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
214 : ระบบท่
อนํ

าระบายความรอน
้ บางครังที
뇽 อั
ꇾตราไหลเท่
ากัน ตองเลื
้ อกขนาดท่
อเผื
อให
ꇾ ใหญ่
้ ข นเล็
뇽 กน อย
ึ ้ เนื

องจากอะไร

1 : เนื

องจากเป็
นระบบเปิ ด (Open System)
2 : เนื

องจากเป็
นระบบปิ ด (Closed System)
3 : เนื

องจากมี
โอกาสเกิ ดตะกรัน ภายในท่อ
4 : เนื

องจาก บางครังต
뇽 องติ
้ ดตังนอกอาคาร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
215 : การหาขนาดท่
อนํ

าขนาดไม่
เกิ
น 50 มิ
ลลิ ้ ข อใด
เมตร ใชเกณฑ์้

1 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 1.2 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 300 ปาสกาล/เมตร
2 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 1.2 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 500 ปาสกาล/เมตร
3 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 3.0 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 300 ปาสกาล/เมตร
4 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 3.0 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 500 ปาสกาล/เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
216 : การหาขนาดท่
อนํ

าขนาดมากกว่
า 50 มิ
ลลิ ้ ข อใด
เมตร ใชเกณฑ์้

1 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 1.2 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 300 ปาสกาล/เมตร
2 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 1.2 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 500 ปาสกาล/เมตร
3 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 3.0 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 300 ปาสกาล/เมตร
4 : ความเร็
วในท่
อนํ

าไม่
เกิ
น 3.0 เมตร/วิ
น าที ีดทานไม่
และความเส ย เกิ
น 500 ปาสกาล/เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
217 : เครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น (Water Chiller) ขนาด 500 ตัน มี
อณ
ุหภู
มน
ิ뇽
ําเย็
น เข า/ออก
้ เท่ ีส จะมี
ากับ 12.5/7 องศาเซลเซย อต
ั ราการไหลของนํ

าเย็
น เท่
าใด

1 : 46 ลิ
ตร/วิ
น าที
2 : 56 ลิ
ตร/วิ
น าที
3 : 66 ลิ
ตร/วิ
น าที
4 : 76 ลิ
ตร/วิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
218 : เครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น (Water Chiller) ขนาด 500 ตัน ความเย็
น มี
อณ
ุหภู
มน
ิ뇽
ําเย็
น เข า/ออก
้ เท่ ีส จะตองออกแบบท่
ากับ 12.7/7.2 องศาเซลเซย ้ อใหมี
้ ้ าศู
เส นผ่ น ย์
กลางขนาด
อย่างน อยเท่
้ าใด

1 : 100 มิ
ลลิ
เมตร
2 : 150 มิ
ลลิ
เมตร
3 : 200 มิ
ลลิ
เมตร
4 : 250 มิ
ลลิ
เมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
219 : เครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น A (Water Chiller A) ขนาด 500 ตัน ความเย็ สัมประส ท
น มี ิธิ

⿠ง่
สมรรถนะการทําความเย็
น (COP) = 5 และเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น B (Water Chiller B)
ขนาด 500 ตัน ความเย็
น มีCOP = 1 ต่
างมี
อณ
ุหภู มน
ิ뇽
ําเย็
น เข า/ออก
้ และ อุ
ณหภูมน
ิ뇽
ําระบายความรอนเท่
้ ากัน ข อใดเป็
้ นคําตอบที
ถู
ꇾกตอง

1 : ท่
อนํ

าระบายความรอนมี
้ ข นาดเท่
ากัน
2 : ท่
อนํ

าเย็
น มี
ข นาดเท่
ากัน
3 : ถู
กทังสองข
뇽 อ้
4 : ผิ
ดทังสองข
뇽 อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

เนื

อหาวิ
ชา : 393 : Equipment

220 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับระบบส่
งลมขนาดใหญ่
ทีต
ꇾองการพั
้ ดลมที
มี
ꇾแรงดัน สถิ
ตย์
สู
ง 1000 ปาสกาล (4 นิ

วนํ뇽
า) ควรเลื ้ดลมแบบใด
อกใชพั

1 : พัดลมใบแฉก (Propeller Fan)


2 : พัดลมหอยโข่
ง ใบโคง้เอียงหน า้(Centrifugal Fan, Forward­curved)
3 : พัดลมหอยโข่
ง ใบโคง้เอียงหลัง (Centrifugal Fan, Backward­curved)
4 : พัดลมติ
ดเพดาน (Ceiling Mounted Fan)

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 29/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ ꇾ ่
221 : เครื
องส งลมเย็
น แบบใดเหมาะที
จะใช ้ องปรั
ꇾ ในห ้ บอากาศที

ꇾองการความสะอาด
้ ่หองสะอาดในอุ
เชน ้ ตสาหกรรมอิ คส ์
เลคทรอนิ หรื
อ หองผ่
้ าตัดในโรงพยาบาล

1 ꇾ ่
: เครื
องส งลมเย็ ั 뇽 ยว (Single Skin)
น แบบผนั งชนเดี
2 ꇾ ่
: เครื
องส งลมเย็
น แบบผนั งสองชน ั 뇽(Double Skin)
3 : แฟนคอลย์ ยน
ูิตแบบติดตังภายในฝ้
뇽 าเพดาน
4 ꇾ ่
: เครื
องส งลมเย็
น แบบติ
ดผนั ง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
222 : รู
ปใดเป็
นโคงสมรรถนะของพั
้ ดลมหอยโข่
งชนิ
ดใบโคงเอี
้ ยงหลัง (Backward ­ curved Centrifugal Fan)

1:

2:

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 30/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

3:

4:

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
223 : ข อใดต่
้ อไปนี

ไม่ถก
ูตอง

1 : ถังขยายตัวในระบบท่
อนํ뇽
าเย็น มี
ไวส้ ํ
าหรับรองรับการเปลี ยนแปลงปริ
ꇾ มาตรของนํ

าในระบบ และมี
ไดเพี
้ยงถังเดี
ยวเท่ 뇽 ํ
านั นส าหรับระบบท่
อนํ

าเย็
น แบบปิ
ดใด ๆ
2 : เครืองสู
ꇾ บนํ뇽
าจะกํ
าหนดไดหลั
้ งจากการออกแบบระบบท่ อนํ뇽
าแลว้
3 : พัดลมติดตังมากั
뇽 บเครืꇾ ่
องส งลมเย็น ที
เป็
ꇾนชุดสําเร็
จจากโรงงานเป็ นพัดลมชนิ
ดหอยโข่ ง
4 : หอระบายความรอนควรอยู
้ ใ่นที
มิ
ꇾดชดิทังนี
뇽 뇽
เพือป้ ꇾ

ꇾ องกัน ส งสกปรกปนเปื뇽
อนในนํ

าระบายความรอน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

224 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับการติ
ดตังชุ
뇽 ดควบแน่
น (Condensing unit) การมี
ระยะห่
างรอบตัวเครื
องตามที
ꇾ ผู
ꇾผลิ
้ ตแนะนํ
ากํ
าหนดดวย

1 : ขนาดทํ าความเย็

2 : ขนาดของเครื องเป่
ꇾ าลมเย็ น
3 : ขนาดของพื นที
뇽 ที
ꇾทํ
ꇾาการติ
ดตัง뇽
4 : ระยะเวนว่
้างโดยรอบของเครื อง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

225 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับการติ
ดตังชุ
뇽 ดควบแน่
น (Condensing unit) การมี
ระยะห่
างรอบตัวเครื
องตามที
ꇾ ผู
ꇾผลิ
้ ตกํ
าหนด เป็

1 ꇾ าเป็

: ส งจํ นเมื
อติ
ꇾ ดตังเพื
뇽 อใช ้
ꇾ งานในบ านเท่
้ านั น뇽
2 ꇾ าเป็

: ส งจํ นเมื
อติ
ꇾ ดตังเพื
뇽 อใช ้
ꇾ งานในเช งิ
พาณิชย์
3 ꇾ าเป็

: ส งจํ นถาหากว่
้ ามีการกําหนดไวโดยรหั
้ ส หรื
อมาตรฐาน (Code or Standard)
4 ꇾ าเป็

: ส งจํ นเมื
อไรก็
ꇾ ตามที มี
ꇾการติ
ดตังชุ
뇽 ดควบแน่น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 31/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
226 : ชนิ
ดของพัดลมที
เหมาะสมกั
ꇾ ้
บการใชงานความดั น สู
งคื

1 : พัดลมใบพัดแบบติดผนั ง (Propeller type fan)


2 : พัดลมติ
ดตังในท่
뇽 อกลม (Tube­axial fan)
3 : พัดลมหอยโข่ง ใบโคงเอี
้ ยงหลัง (Backward curved centrifugal fan)
4 : พัดลมหอยโข่ง ใบโคงเอี
้ ยงหน า้(Forward curved centrifugal fan)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
227 : ถาความเร็
้ วรอบของเครื
องสู
ꇾ บนํ

าเพิ
มขึ
ꇾ นเป็
뇽 น 2 เท่
า กํ
าลังงานที

ꇾองการของเครื
้ องสู
ꇾ บนํ

าจะเพิ
มขึ
ꇾ นเป็
뇽 นกี
เท่
ꇾา

1 :2 เท่

2 :4 เท่

3 :6 เท่

4 :8 เท่

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
228 : ความตานทานระบบ
้ (System resistance) ในระบบเครื
องสู
ꇾ บนํ

าจะแปรผัน ตาม

1 : กํ
าลังสองของปริ
มาตรอัตราการไหล
2 : รากทีสองของปริ
ꇾ มาตรอัตราการไหล
3 : กํ
าลังสามของปริ
มาตรอัตราการไหล
4 : ผิ
ดทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
229 : มอเตอร์
ขับเครื
องสู
ꇾ บนํ

ามีกาํ ิธิ
ลังขาออก 20 kW ประส ท ภาพของมอเตอร์
เท่ ิธิ
ากับ 0.9 และประส ท ภาพของเครื
องสู
ꇾ บนํ

าเท่
ากับ 0.6 ใหหากํ ꇾ่
้ าลังที
ส งทอดใหกั้
บนํ

า (Water
horsepower)

1 : 20 kW
2 : 18 kW
3 : 12 kW
4 : 10.8 kW

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ ꇾ เกิ

230 : ส งทีꇾดขึ
นกั
뇽 บอัตราการไหลและความดัน เมื
อขนาดใบพั
ꇾ ดของเครื
องสู
ꇾ บนํ

าเล็
กลง คื

1 : อัตราการไหลลดลงแต่ความดัน เพิมขึ
ꇾ น

2 : อัตราการไหลและความดัน เพิ
มขึ
ꇾ น

3 : อัตราการไหลและความดัน ลดลง
4 : ไม่ ่งหมด
ใชท ั 뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ231 : ถาอุ
้ณหภู มน
ิ뇽
ําเข าและออกของหอระบายความร
้ อน
้ (Cooling tower) เป็
น 40 องศาเซลเซยีส และ 32 องศาเซลเซย
ีส ตามลํ
าดับ และอุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยกของ
บรรยากาศเป็น 29 องศาเซลเซย ีส ใหหาอุ
้ ณหภูมเิ ้่
ข าสู
อด
ุมคติ(Approach temperature) ของหอระบายความรอน

1 : 40 องศาเซลเซยีส
2 : 32 องศาเซลเซยีส
3 : 29 องศาเซลเซยีส
4 ีส
: 3 องศาเซลเซย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

232 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับเครื
องสู
ꇾ บนํ

า ข อใดเป็
้ นคํ
าตอบที
ไม่
ꇾ ถก
ูตอง

1 : กรณีใบพัดมี ้ าศู
ข นาดเส นผ่ น ย์
กลางคงที ꇾ
ปริมาณการไหลจะแปรผัน โดยตรงกับความเร็วรอบ
2 : กรณีทความเร็

ี วรอบคงทีꇾ
กํ ้ าศู
าลังงานจะแปรผัน โดยตรงกับเส นผ่ น ย์
กลางของใบพัดยกกําลังสาม
3 : ความเร็วรอบจําเพาะเป็
นตัวเลขทีใช ้
ꇾ บ่
งบอกถึงสมรรถนะของเครืองสู
ꇾ บนํ뇽
าแบบหอยโข่ง
4 : เปอร์
เซนต์ การสลิปในเครืองสู
ꇾ บนํ뇽
าแบบหอยโข่ งคื
อค่าอัตราส่
วนของการสลิ ปต่
อระยะขจัดทีเกิ
ꇾดขึน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
233 : การลดอุ
ณหภู
มข
ิองสารทํ
าความเย็
น จะเกิ
ดมากที
สุ
ꇾดที
อุ
ꇾปกรณ์
ตัวไหน

1 : ชุดระเหย (evaporator)
2 : คอมเพรสเซอร์ (compressor)
3 : ชุดควบแน่ น (condenser)
4 : ข อ้1 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
234 : ขนาดการทํ
าความเย็
น ของเครื
องปรั
ꇾ บอากาศสามารถควบคุ
มไดจาก

1 : การเปลี
ยนรอบความเร็
ꇾ วของคอมเพรสเซอร์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 32/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
2 : การเปลี ยนปริ
ꇾ มาณนํ

าระบายความรอนให
้ กั้ บชุ
ดควบแน่

3 : การเปลี ยนปริ
ꇾ มาณสารทํ
าความเย็
น ในระบบ
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
235 : คอมเพรสเซอร์
แบบใดที
มี ิธิ
ꇾประส ท ภาพสู ꇾามาใชกั้
งและเหมาะที
นํ บเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น ขนาดมากกว่
า 500 ตัน ขึ
นไป

1 : แบบลู
กสูบ
2 : แบบหอยโข่ ง
3 : แบบสกรู
4 : แบบโรตารีꇾ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
236 : หอระบายความรอน
้ (Cooling Tower) จะระบายความรอนได
้ น้อยลงเมื
้ อใด

1 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหงของอากาศสู
้ งขึน

2 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะแหงของอากาศตํ
้ ꇾ
าลง
3 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยกของอากาศสู
งขึน

4 : อุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยกของอากาศตํ

าลง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
237 : เครื
องสู
ꇾ บนํ

าในรู
ปเป็
นเครื
องสู
ꇾ บนํ

าชนิ
ดใด

1 : End Suction Pump


2 : Horizontal Split Case Pump
3 : Vertical Split Case Pump
4 : In­line Pump

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
238 : ข อใดไม่
้ ุ่
ใชค ณสมบัตท
ิดี ꇾ ่
ꇾข องเครื
ี องส งลมเย็

1 : ลมรัꇾ
วน อย

2 : ลางทํ
้ าความสะอาดภายในไดง่

าย
3 : นํ

าหนั กมาก
4 : ตัวถังมีความเป็
นฉนวนดี

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ239 : หอระบายความรอน
้ (Cooling Tower) โดยทัวไปต
ꇾ องมี
้ การเติ
มนํ

าชดเชยนํ

าทีสู ีเนื
ꇾญเส ย ꇾ
องจาก การระเหย การเป็
นละอองปลิ
วไปกับกระแสลม และการปล่
อยนํ

าทิง뇽
(Blowdown) รวมกัน ประมาณเท่
าใด

1 : 0.3% ของปริ
มาณนํ뇽
าระบายความรอนหมุ
้ น เวียน
2 : 3% ของปริ
มาณนํ뇽
าระบายความรอนหมุ
้ น เวี
ยน
3 : 10% ของปริ
มาณนํ뇽
าระบายความรอนหมุ
้ น เวี
ยน
4 : 15% ของปริ
มาณนํ뇽
าระบายความรอนหมุ
้ น เวี
ยน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
240 : พัดลมชนิ
ดหอยโข่
ง (centrifugal fan) แบบใบโคงเอี
้ ยงหน า้(forward curve) และใบโคงเอี
้ ยงหลัง (backward curve) ต่
างกัน อย่
างไร

1 : พัดลมหอยโข่
งใบโคงเอี
้ ยงหน า้(forward curve centrifugal fan) ราคาแพงกว่า
2 : พัดลมหอยโข่
งใบโคงเอี
้ ยงหลัง (backward curve centrifugal fan) เหมาะกับกรณีทต
ꇾองการความดั
ี ้ น สถิ
ต (static pressure) สู

3 : พัดลมหอยโข่
งใบโคงเอี
้ ยงหลัง (backward curve centrifugal fan) เหมาะกับกรณีลมมีไอกรด
4 : พัดลมหอยโข่ ้ ยงหน า้(forward curve centrifugal fan) เหมาะสํ
งใบโคงเอี าหรับกรณี
ลมมี ꇾ

ส งสกปรกมาก

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 33/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
241 : สปริ
งที
ใช ้ บเครื
ꇾ รองรั ꇾ ่
องส งลมเย็
น มี
หน าที
้ อะไร

1 : เพื
อให ꇾ ่
ꇾ เครื
้ องส งลมเย็น เคลือนที
ꇾ ไดꇾ เมื
้อเกิ
ꇾ ดแผ่
น ดิ
น ไหว
2 : เพื
อไม่
ꇾ ใหความส
้ ัꇾ
นสะเทื อนส่ งผ่
านไปยังพืน

3 : เพื
อไม่
ꇾ ใหความเย็
้ นส่
งผ่ านไปยังพืน

4 : เพื
อไม่
ꇾ ใหความช
้ 뇽

นจากพื นทํ
뇽 าใหเครื
้ องเป็
ꇾ นสนิ ม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
242 : การติ
ดตังหอระบายความร
뇽 อน
้ (cooling tower) ข อใดเป็
้ นคํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง

1 : ติ
ดตังในตํ
뇽 าแหน่ งทีสู
ꇾงกว่าเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็

2 : ติ
ดตังในตํ
뇽 าแหน่ งทีตํ
ꇾꇾ
ากว่าเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็

3 : ติ
ดตังโดยมี
뇽 หลังคาคลุ ม
4 : ติ
ดตังในตํ
뇽 าแหน่ งเหนื อลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
243 : คอยล์ น (cooling coil) สํ
เย็ ꇾ ่
าหรับเครื
องส งลมเย็
น โดยทัวไปมี
ꇾ คอยล์
จํ
านวนกี
แถว

1 : 3­4 แถว
2 : 6­8 แถว
3 : 10­12 แถว
4 : 1­2 แถว

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
244 : ความเร็
วลมผ่
านคอยล์
เย็
น (cooling coil) โดยทัวไปควรเป็
ꇾ นเท่
าใด

1 : 1 m/s
2 : 2 m/s
3 : 3 m/s
4 : 3.5 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ245 : โดยทัวไปหอระบายความร
ꇾ อน
้ (cooling Tower) สามารถทํ
าใหอุ
้ณหภู
มน
ิ뇽
ําระบายความรอนลดลงได
้ เป็
้นประมาณเท่
าใด หากอุ
ณหภู
มก
ิระเปาะเปี
ยก (wet bulb
temperature) เป็ ีส
น 28.3 องศาเซลเซย

1 : 28 ีส
องศาเซลเซย
2 : 32 ีส
องศาเซลเซย
3 : 34 ีส
องศาเซลเซย
4 : 36 ีส
องศาเซลเซย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
246 : เครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบดู ึ(Absorption chiller) โดยทัวไปในอาคารพานิ
ดซม ꇾ ชย์ ้
ใชอะไรเป็
นสารทํ
าความเย็

1 : แอมโมเนีย
2 : ลิ
เธียมโบรไมด์
3 : ลิ
เธียมคลอไรด์
4 : นํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
247 : เครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบดู ึ(Absorption chiller) โดยทัวไปใช
ดซม ꇾ ้
อะไรเป็ ดซับ (absorbent)
นสารดู

1 : แอมโมเนีย
2 : ลิเธี
ยมโบรไมด์
3 : นํ


4 : ข อ2
้ และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
248 : ระบบการทํ
าความเย็
น แบบระเหย (evaporative cooling) ทํ
าความเย็
น ใหอากาศได
้ อย่
้างไร

1 : ลดความรอนโดยรวมให
้ กั้
บอากาศ
2 : ลดอุ
ณหภูมขิองอากาศ โดยการเปลียนเป็ 뇽

ꇾ นความชน
3 뇽

: ลดความชนของอากาศ โดยการเปลี
ยนเป็
ꇾ นอุณหภู
มิ
4 : เพิ
มความช
ꇾ 뇽 กั้

นให บอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
249 : เหตุ
ใดจึ
งตองมี
้ การไล่
อากาศ (air vent) ที
คอยล์
ꇾ นํ뇽
าเย็
น (chilled water cooling coil)

1 : เพื
อให
ꇾ มี

การระบายอากาศ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 34/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
2 : เพื
อไล่
ꇾ อากาศทีค
ꇾางอยู
้ ใ่นคอยล์ เย็

3 : เพื
อใช ้
ꇾ ในการเติ ้่
มอากาศเข าสู
ระบบ
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
250 : การปรับปริ
มาณลมของพัดลมหอยโข่
ง (Centrifugal Fan) ทํ
าไดอย่
้างไรบาง

1 : ปรับรอบพัดลม
2 : ติ
ดตังชุ
뇽 ดแผ่น ปรับปริ
มาตรลม (Discharge Volume Damper)
3 : ติ
ดตังไอนํ
뇽 뇽าร่
องทางเข า้(Inlet Vane) ที
ปากลมเข
ꇾ า้
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

251 : การลดผลกระทบของการสัꇾ
ข อที
้ ꇾ นสะเทื ꇾ ่
อนของเครื
องส งลมเย็
น ทํ
าอย่
างไร

1 : ติดตังสปริ
뇽 งหรื อแท่น ยางรองเครื
องตามความเหมาะสม

2 : ปรับสมดุลย์ข องพัดลม
3 : เสริมแท่น คอนกรีต
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
252 : หอระบายความรอน(Cooling
้ Tower) ชนิ
ดการไหลตามขวาง (Cross Flow) โดยทัวไปมี
ꇾ ปริมาณนํ

าสู ีเท่
ญเส ย าใด

1 : 1% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
2 : 2% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
3 : 3% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
4 : 4% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
253 : หอระบายความรอนชนิ
้ ดการไหลตามขวาง (Cooling Tower) ชนิ
ดการไหลตามขวาง (Counter Flow) โดยทัวไปมี
ꇾ ปริมาณนํ

าสู ีเท่
ญเส ย าใด

1 : 1% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
2 : 2% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
3 : 3% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน
4 : 4% ของปริ
มาณนํ

าหมุ
น เวี
ยน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
254 : ท่
านมี
ความเห็
น ในการเลื ้ องสู
อกใชเครื
ꇾ บนํ

าชนิ
ด End Suction และ Split case อย่
างไร

1 : End Suction มีราคาถูกกว่


า แต่
การซอ่มบํ
ารุ
งยากกว่

2 : End Suction เหมาะกับขนาดเล็ กถึงปานกลาง
3 : Split Case เหมาะกับเครื
องสู
ꇾ บนํ뇽
าขนาดใหญ่
4 : ถู
กทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
255 : หลักการเลื
อกคอยล์
เย็
น (Cooling Coil Selection) คื
ออะไร

1 : เลื
อกจากตัน ความเย็
น ที

ꇾองการ

2 : เลื
อกจากตัน ความเย็
น และ GSHRที

ꇾองการ

3 : เลื
อกจากตัน ความเย็
น และ RSHRที

ꇾองการ

4 : เลื
อกจากตัน ความเย็
น GSHR และปริมาณลมที

ꇾองการ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
256 : การเพิ
มความสามารถในการรี
ꇾ 뇽

ดความชนออกจากอากาศของคอยล์
เย็
น มี
วธิก
ีารอย่
างไร

1 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนแถวคอยล์เย็

2 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนครี
บ(FPI­Fin per Inch)
3 : ลดความเร็วลมผ่
านคอยล์ เย็

4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
257 : การเพิ
มความสามารถในการรี
ꇾ 뇽

ดความชนออกจากอากาศของคอยล์
เย็
น มี
วธิก
ีารอย่
างไร

1 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนแถวคอยล์เย็

2 : เพิ
มจํ
ꇾ านวนครี
บ (FPI­Fin per Inch)
3 : ลดแฟคเตอร์เลี
ยง
ꇾ (Bypass Factor)
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
258 : คอมเพรสเซอร์
ชนิ
ดใดเป็
นชนิ
ดเปลี
ยนปริ
ꇾ มาตร (Positive Displacement)

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 35/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : ลูกสูบ (Reciprocate) และกนหอย


้ (Scroll)
2 : กนหอย
้ (Scroll) และเกลี
ยว (Screw)
3 : เกลียว (Screw) และหอยโข่ ง (Centrifugal)
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
259 : คอมเพรสเซอร์
ชนิ
ดใดเป็
นชนิ
ด Centrifugal

1 : ลู
กสู
บ (Reciprocate)
2 : หมุ
น (Rotary)
3 : กนหอย
้ (Scroll)
4 : หอยโข่ง (Centrifugal)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
260 : การไหลของนํ

าในคอยล์
เย็
น ควรมี
ลักษณะใด

1 : การไหลแบบเรี
ยบ (Laminar Flow)
2 : การไหลแบบปัꇾ
นป่วน (Turbulent Flow)
3 : การไหลแบบผสม (Mixed Flow)
4 : การไหลแบบสุ่
ม (Random Flow)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
261 : การไหลของนํ

าในคอยล์
เย็
น ควรเป็
นการไหลแบบเรี
ยบหรื
อการไหลแบบปัꇾ
นป่วน (Laminar หรื
อ Turbulent Flow)

1 : เป็
นการไหลแบบเรี
ยบ (Laminar Flow) เพือให
ꇾ มี
้ ีดทางตํ
แรงเส ย ꇾ

2 : เป็
นการไหลแบบเรี
ยบ (Laminar Flow) เพือให
ꇾ มี
้การถ่
ายเทความรอนได
้ ดี้
3 : เป็
นการไหลแบบปัꇾ
นป่วน (Turbulent Flow) เพื
อให
ꇾ มี
้ ีดทางตํ
แรงเส ย ꇾ

4 : เป็
นการไหลแบบปัꇾ
นป่วน (Turbulent Flow) เพื
อให
ꇾ มี

การถ่ายเทความรอนได
้ ดี ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
262 : ความเร็
วนํ

าในคอยล์
เย็
น ควรเป็
นอย่
างไร

1 : สู
งเพื อให
ꇾ เกิ ีดทานมาก ทํ
้ดแรงเส ย าใหสามารถควบคุ
้ มปริ
มาณนํ뇽
าไดดี

2 : ตํ

าเพื อให
ꇾ เกิ ีดทานน อย
้ดแรงเส ย ้
3 : ไดทั
้งนั
뇽 น

4 : สู
งเพื อให
ꇾ เป็
้นการไหลแบบปัꇾ
นป่วน (Turbulent Flow) แต่
ไม่
มากจนมี ีดทาน
ผลกับแรงเส ย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ ีดทานของนํ
263 : แรงเส ย าสํ
뇽 าหรับคอยล์
เย็
น ปกติ
ควรเป็
นเท่
าใด

1 : 1.52­3.04 m
2 : 4.6­7.6 m
3 : 9.1­12.2 m
4 : 12.2­15.2 m

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
264 : การทํ
ากับดักนํ

ารูปตัวยู
(U­Trap) ที
ท่
ꇾอนํ

าทิ ꇾ ่
งจากเครื
뇽 องส งลมเย็
น มี
จุ
ดประสงค์
อะไร

1 : เพือป้
ꇾ องกัน ลมยอนจากท่
้ อนํ

าทิ
ง뇽
2 : เพือให
ꇾ นํ
้뇽
าทิ งไหลได
뇽 โดยสะดวก

3 : เพืꇾ ดั้
อใช ꇾ

กส งสกปรก
4 : ข อ้1 แล 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ ꇾ ่
265 : เครื
องส งลมเย็
น แบบมอเตอร์
อยู

่น าคอยล์
้ (Draw Through) มี
จุ
ดเด่
น ที
เหนื
ꇾ อกว่
าแบบมอเตอร์
อยู

่ลังคอยล์
(Blow Through) อะไร

1 ีดทานน อยกว่
: แรงเส ย ้ า
2 : สามารถทํ าความเย็
น ไดมากกว่
้ า
3 : ลมผ่านหน าคอยล์
้ เย็
น สมํ
าเสมอมากกว่
ꇾ า
4 : เงี
ยบกว่ า

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

266 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับเครื
องปรั
ꇾ บอากาศแบบการระเหยสารทํ
าความเย็
น โดยตรง (DX) ไม่
ควรเดิ
น ท่
อนํ

ายายาวกว่
า 15 เมตร ดวยเหตุ
้ ผลอะไร

1 : คอมเพรสเซอร์ตองทํ
้ างานหนั กขึน

2 : มี ꇾ

ความเส ยงของการตกค างของนํ
้ 뇽
ามัน หล่
อลื
นในระบบ

3 : ทํ
าใหประส
้ ท ิธิ
ภาพและความเย็น ลดลง
4 : ถู
กทุ
กข อ้

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 36/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ องผสมลม (Mixing Box) สํ
267 : กล่ ꇾ ่
าหรับเครื
องส งลมเย็
น มี
ประโยชน์
อย่
างไร

1 : ทํ าใหลมกลั
้ บและอากาศบริ สุทธิม
⿠กีารผสมกัน
2 : ทํ าใหมี
้แรงดูดอากาศบริสุ
ทธิเ⿠
ข ามาผสมกั
้ บลมกลับ
3 : ไม่ จํ
าเป็น กิ
น เนื

อทีꇾ
และเปลื
องเงิน
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
268 : การแลกเปลี
ยนความร
ꇾ อนที
้ คอยล์
ꇾ เย็
น (Cooling Coil) โดยทัวไปเป็
ꇾ นแบบใด

1 : การไหลแบบสวนทาง (Counter Flow)


2 : การไหลแบบขนาน (Parallel Flow)
3 : การไหลแบบขวาง (Cross Flow)
4 : การไหลแบบผสม (Mixed Flow)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
269 : การเปิ
ดนํ

าทิง뇽(Bleed Off) ที
หอระบายความร
ꇾ อน
้ (Cooling Tower) มี
ความจํ
าเป็
นอย่
างไร

1 : ไม่
จํ
าเป็
น เพราะทํ
าใหเปลื
้ องนํ뇽

2 : ไม่
จํ
าเป็
น เพราะนํ

าจะสู ีไปกับอากาศหรื
ญเส ย อลนและการรั
้ ꇾ
วซมึอยู

่ลว้
3 : จํ
าเป็
น เพราะจะทํ
าใหสามารถเติ
้ มนํ

าเข ามาใหม่

4 : จํ
าเป็
น เพื
อลดความเข
ꇾ มข
้ นของสารเคมี
้ อนั จะทํ
าใหระบบเกิ
้ ดการกัดกร่
อน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
270 : สารเคมี
ทเติ
ꇾมในหอระบายความรอน
ี ้ (Cooling Tower) คื
ออะไร

1 : คลอรี น เพือฆ่ 뇽

ꇾ าเชอโรคและตะไคร่
2 : สารยับยังการกั
뇽 ดกร่ อน (Corrosion Inhibitor)
3 : สารชวี ฆาต (Biocide)
4 : ข อ้2 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
271 : หอระบายความรอน
้ (Cooling Tower) ที
ดี
ꇾควรจะมี
คุ
ณสมบัตอ
ิย่
างไร

1 : กิ
น นํ

าน อย

2 : มี ิธิ
ประส ท ภาพสู

3 : ไม่
กอ่ใหเกิ
้ดมลภาวะ
4 : ถุ
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ ꇾ ่
272 : เครื
องส งลมสําหรับระบบปรับอากาศ (AHU) ตองการส
้ ่
งลมดวยความดั
้ น รวม 1 กิ
โลปาสคาล และปริ
มาณลม 4 ลบ.ม./วิ
น าที
ถาพั
้ ดลมมี ิธิ
ประส ท ภาพรวม 80% จะตอง

เลือกมอเตอร์
ข นาดอย่างน อยเท่
้ าใด

1 : 4000 วัตต์ที
ประส
ꇾ ท ิธิ
ภาพมอเตอร์
ประมาณ 80%
2 : 5000 วัตต์ที
ประส
ꇾ ท ิธิ
ภาพมอเตอร์
ประมาณ 80%
3 : 6000 วัตต์ที
ประส
ꇾ ท ิธิ
ภาพมอเตอร์
ประมาณ 80%
4 : ไม่
ส ามารถตอบได ้เนื

องจากไม่
ไดกํ
้าหนดความเร็
วรอบของพัดลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
273 : เครื
องสู
ꇾ บนํ뇽
าเย็
น เครื
องหนึ
ꇾ ꇾ
งห่
างจากเครื ꇾ ่
องส งลมเย็
น เครื
องไกลสุ
ꇾ ดเป็ ꇾ ่
นระยะในแนวราบ 650 เมตร เครื
องส งลมเย็
น อยู

ู่งขึ
นไปในแนวดิ
뇽 งꇾ50 เมตร และมี
ความดัน สู ี
ญเส ย
ในท่อตรงประมาณ 1เมตร/35เมตร และมี ความดัน สู
ญเส ยีจากข อต่
้ อและวาล์
วต่างๆอี
กประมาณ 20%ของท่ อตรง เมื
อนํ
ꇾ ามาตรวัดความดัน (pressure gauge) มาวัดทีทางออกของ

เครื
องสู
ꇾ บนํ뇽
าเย็น จะอ่
านความดัน ไดประมาณเท่
้ าใด

1 : 24 เมตร นํ


2 : 50 เมตร นํ


3 : 74 เมตร นํ


4 : 98 เมตร นํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
274 : โดยปกติ
คุ
ณสมบัตพ ิัดลมในแคตาล็อก จะบอกทีความหนาแน่
ꇾ น ของอากาศมาตรฐาน (Standard air) ถานํ ้สภาวะอากาศที
้ามาใชที
ꇾ มี
ꇾความหนาแน่
น ของอากาศเป็
น 0.8
เท่าของอากาศมาตรฐาน และวัดอัตราการไหลจริ
งได ้
100 ลิ
ตร/วิ
น าที
อยากทราบว่าในแคตาล็
อกจะระบุ
อต
ั ราการไหลเท่าใด

1 : 80 ลิตร/วิ
น าที
2 : 100 ลิตร/วิ
น าที
3 : 125 ลิตร/วิ
น าที
4 : ไม่
ส ามารถระบุได ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

เนื

อหาวิ
ชา : 394 : Controls

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 37/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
275 : เทอร์
โมสแตต (Thermostat) ของเครื
องปรั ้
ꇾ บอากาศใชในการทํ
าหน าที
้ อะไร

1 : ควบคุ
มความเร็
วลมผ่านคอยล์
2 : ควบคุ
มความชน뇽

3 : ควบคุ
มอุ
ณหภูมิ
4 : ควบคุ
มอุ
ณหภูมแิ 뇽

ละความชน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
276 : วาล์
วควบคุ
มอัตโนมัต ิ
(Automatic Control Valve) ที
ติ
ꇾดตังในระบบนํ
뇽 뇽
าเย็
น ทํ
าหน าที
้ อะไร

1 : ปรับสมดุ
ลนํ뇽
าเย็น
2 : ระบายนํ

าเย็น ทิ
งเมื
뇽 อความดั
ꇾ น เกิ

3 : ควบคุมความดัน ไม่
ใหสู

งเกิน จนทํ ꇾ ่
าใหเครื
้ องส งลมเย็ ีหาย
น เส ย
4 : ควบคุมอัตราไหลนํ뇽
าเย็
น ใหเหมาะสมกั
้ บภาระการทําความเย็ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
277 : ข อใดต่
้ อไปนี

ไม่ถก ้ ํ
ูตองส าหรับระบบที
ใช ้ วควบคุ
ꇾ วาล์ มสองทางและวาล์
วควบคุ
มสามทางแบบปรับปริ
มาณการจ่
ายนํ

าเข าคอยล์
้ ไดโดยอั
้ ตโนมัต ิ

1 : ทังสองแบบจะจ่
뇽 ายนํ

าเย็ น เข าคอยล์
้ นํ

าเย็
น ในปริ
มาณที แปรเปลี
ꇾ ยนตามภาระความเย็
ꇾ น
2 ้
: การใชงานในระบบที มี
ꇾข นาดใหญ่ ระบบทีใช ้ วควบคุ
ꇾ วาล์ มสองทางจะประหยัดพลังงานของเครืองสู
ꇾ บนํ

าเย็
น ไดมากกว่
้ าระบบที
ใช ้ วควบคุ
ꇾ วาล์ มสามทาง
3 : อุ
ณหภู มข
ิองนํ

าเย็
น ทีไหลกลั
ꇾ ้่
บเข าสูทอ่นํ

ากลับหลักจะเท่ากัน ทังสองระบบ

4 : ในการวางระบบท่อนํ

าที ใช ้ วควบคุ
ꇾ วาล์ มสองทางจะมีการใชท่้อร่วม (common pipe) ดวยเสมอ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
278 : โดยปกติ
จะควบคุ
มการทํ
างานของเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น ใหเป็
้นไปตามภาระความเย็
น ที
ลดลงได
ꇾ อย่
้างไร

1 : เมื
อภาระความเย็
ꇾ น ลดลง อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ํากลับจะตํ

ากว่
าค่
าที
ตั
ꇾงไว
뇽 ้
อุ ตรวจวัดจะส่
ปกรณ์ งสัญญาณไปยังชุ
ดควบคุ
มเพื
อปรั
ꇾ บการทํ
างานของคอมเพรสเซอร์
2 : เมื
อภาระความเย็
ꇾ น ลดลง อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ํากลับจะตํ

ากว่
าค่
าที
ตั
ꇾงไว
뇽 ้
อุ ตรวจวัดจะส่
ปกรณ์ งสัญญาณไปยังชุ
ดควบคุ
มเพื
อปรั
ꇾ บการทํ
างานของอุ
ปกรณ์จ่
ายสารทํ
าความเย็

3 : เมื
อภาระความเย็
ꇾ น ลดลง อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ํากลับจะตํ

ากว่
าค่
าที
ตั
ꇾงไว
뇽 ้
อุ ตรวจวัดจะส่
ปกรณ์ งสัญญาณไปยังชุ
ดควบคุ
มเพื
อปรั
ꇾ บการทํ
างานของเครื
องสู
ꇾ บนํ


4 : เมื
อภาระความเย็
ꇾ น ลดลง อุ
ณหภู
มน
ิ뇽
ํากลับจะตํ

ากว่
าค่
าที
ตั
ꇾงไว
뇽 ้
อุ ตรวจวัดจะส่
ปกรณ์ งสัญญาณไปยังชุ
ดควบคุ
มเพื
อปรั
ꇾ บหรี
วาล์
ꇾ วนํ

าเย็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
279 : อุ
ปกรณ์
ควบคุ
มเพื
อความปลอดภั
ꇾ ยของเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบที
เป็ ดสํ
ꇾนชุ าเร็
จจากโรงงาน ที
จํ
ꇾาเป็
นตองติ
้ ดตังเพิ
뇽 มเติ
ꇾ มคื
อข อใด

1 : Flow switch
2 : Pressure relief valve
3 : Rupture disk
4 : Fusible plug

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
280 : หน าที
้ ของเทอร์
ꇾ มล
ั เอ็ ัꇾ ว (Thermal Expansion Valve) คื
กแพนชนวาล์ ออะไร

1 : ควบคุมปริ มาณก๊
าซทีมาจากเครื
ꇾ องระบายความร
ꇾ อน

2 : รักษาความเป็นซุปเปอร์
ฮที(Superheat) ของก๊ าซที
ออกจากอี
ꇾ แวปปอเรเตอร์
(Evaporator) ใหคงที
้ ꇾ
3 : ควบคุมปริ มาณก๊
าซทีเข ้่
ꇾาสูถงั เก็
บนํ뇽
ายา
4 : แยกนํ뇽
ามัน ออกจากสารทําความเย็ น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

281 : บริ
ข อที
้ ꇾ เวณไหนที
ท่
ꇾานคิ
ดว่
าเป็
นตํ
าแหน่
งที
ดี
ꇾในการติ
ดตังเทอร์
뇽 โมสแตต (Thermostat)

1 : ในหองครั
้ ว
2 : ในหองนํ
้ 뇽 า
3 : บนผนั งดานนอก

4 : ใกลกั้
บหน ากากลมกลั
้ บ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
282 : ตัวเทอร์
มส
ิเตอร์
(Thermistor) ในเทอร์
มอสแตต (Thermostat) แบบอิ
เลคทรอนิ ์นิ
กส ช ดติ
ดผนั งทํ
าหน าที
้ วัꇾ
ดอะไร

1 : อุ
ณหภูมิ
2 : ความชน뇽

3 : ความดัน บรรยากาศ
4 : อุ
ณหภูมแิ ละความชน뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
283 : การวัดความดัน และอุ
ณหภู
มข
ิองท่
อนํ

ายาทํ
าความเย็
น ทางดานดู
้ ด ทํ
าไวเพื
้อหาอะไร

1 : อุ
ณหภูมข
ิองอากาศที
เข
ꇾาและออกจากคอยล์
้ ข องอี
แวปปอเรเตอร์
(Evaporator)
2 : ปริ
มาณสารทํ
าความเย็
น ในระบบ

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 38/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
นซับคู
3 : ความเป็ ล (Subcooling) ของสารทํ
าความเย็
น ที
ออกจากคอนเดนซ
ꇾ ꇾนิ

งยูต (Condensing unit)
4 : ความเป็
นซุปเปอร์ี(Superheat) ของสารทํ
ฮท าความเย็น ออกจากตัวอี
แวปปอเรเตอร์
(Evaporator)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
284 : เครื
องมื
ꇾ อวัดต่
อไปนี

อะไรเป็
นเครื ꇾ วั้
องที
ꇾ ใช ดความดัน สถิ
ตและความดัน ทังหมดในระบบท่
뇽 อลม

1 : Psychrometer
2 : Diaphragm type differential pressure gauge
3 : Portable air hood
4 : Anemometer

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
285 : ความเร็
วรอบของมอเตอร์
3 เฟส ขึ
นอยู
뇽 ก
่บั

1 : แรงดัน ไฟฟ้ าจ่ายใหกั้


บมอเตอร์
2 : กระแสไฟฟ้ าดึ ้่
งเข าสู
มอเตอร์
3 : ความถี ของระบบไฟฟ้
ꇾ าทีจ่
ꇾายใหกั้
บมอเตอร์
4 : แฟคเตอร์ กาํลัง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
286 : ฟิ ์ละตัวตัดวงจร (Circuit Breaker) ไม่
วส แ ไดป้
้องกัน มอเตอร์
ไฟฟ้
าจากอะไร

1 : การลัดวงจร
2 : มอเตอร์ไหม ้
3 : มอเตอร์ถก
ูโหลดมากเกิ
น ไป
4 : มอเตอร์รอนเกิ
้ น ไป

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
287 : ขนาดของเทอร์ กส เ์
โมสแตติ อ็ ัꇾ ว (Thermostatic Expansion Valve) จะเลื
กแพนชนวาล์ อกจาก

1 : การตังอุ
뇽 ณหภู
มซ
ิปุเปอร์ี(Superheat)
ฮท
2 : ขนาดแรงมา้
3 : ขนาดตัน ความเย็น
4 : ทุ
กข อดั
้ งกล่าวข างต
้ น้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
288 : ในการควบคุ
มการเดิ
น เครื
องระบบทํ
ꇾ าความเย็ ้
น แบบใชนํ

าเย็
น อุ
ปกรณ์ กสัꇾ
ใดควรจะถู งใหเดิ
้น เครื
องก่
ꇾ อน

1 : คอมเพรสเซอร์
2 : เครื
องสู
ꇾ บนํ

าระบายความรอน

3 : พัดลมหอผึ
งนํ
ꇾ 뇽

4 : เครื
องสู
ꇾ บนํ

าเย็น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
289 : Motor Control Center หรื
อ ตู
ควบคุ
้ มมอเตอร์
มี
ไวเพื
้อทํ
ꇾ าหน าที
้ อะไร

1 : สัꇾ
งเปิดปิดมอเตอร์
2 : ป้องกัน มอเตอร์
โอเวอร์
โหลด
3 : ป้องกัน กระแสไฟฟ้าเกิ
น ที
มอเตอร์

4 : ถู
กทุ กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
290 : อุ
ปกรณ์
ทใช ้
ꇾ ในการปรั
ี บความเร็
วรอบของมอเตอร์
เครื
องสู
ꇾ บนํ

าเย็
น เพื
อปรั
ꇾ บอัตราการไหลของนํ

าเย็ ้ างานโดยรับสัญญาณจากอุ
น ในระบบ ตองทํ ปกรณ์
ใด

1 : อุ
ปกรณ์ 뇽

วัดความชนของอากาศ
2 : อุ
ปกรณ์
วัดความเร็
วของนํ뇽

3 : อุ
ปกรณ์
วัดความหนาแน่ น ของนํ


4 : อุ
ปกรณ์
วัดความดัน ของนํ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
291 : หน าที
้ ของวาล์
ꇾ วควบคุ
มอัตโนมัต ิ
(Automatic Control Valve) ในระบบท่
อนํ

าเย็
น คื
ออะไร

1 : ปิ
ดโดยอัตโนมัตเิมื
อความดั
ꇾ น เกิ

2 : ปรับอัตราการไหลของนํ뇽
าเย็น ใหเหมาะสมกั
้ บภาระการทําความเย็น
3 : ปรับสมดุลอัตราไหลของนํ 뇽
าเย็น เนื
ꇾ ีดทานที
องจากความเส ย ต่ ꇾ ่
ꇾางกัน ของเครื
องส งลมเย็
น ในระบบ
4 : สรางความดั
้ น ลดในระบบใหเหมาะสมกั
้ บอัตราไหลทีเปลี
ꇾ ยนแปลง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
292 : ขนาดของสตาร์ (Starter) สํ
ทเตอร์ าหรับมอเตอร์
โดยทัวไปมี
ꇾ ข นาดเป็
นกี
เท่
ꇾาของ Rated Full Load Amp

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 39/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 :1
2 : 1.25
3 : 1.5
4 : 1.75

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

293 : ขนาดของตัวตัดวงจร (Circuit Breaker) สํ


ข อที
้ ꇾ าหรับมอเตอร์
โดยทัวไปมี
ꇾ ข นาดเป็
นกี
เท่
ꇾาของ Rated Full Load Amp

1 :1
2 : 1.5
3 :2
4 : 2.5

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
294 : ขนาดของสายไฟฟ้ ꇾอนตัวตัดวงจร (Circuit Breaker) สํ
าที
ป้ าหรับมอเตอร์
โดยทัวไปมี
ꇾ ข นาดเป็
นกี
เท่
ꇾาของขนาดตัวตัดวงจร (Circuit Breaker)

1 :1
2 : 1.15
3 : 1.25
4 : 1.5

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
295 : วาล์
วควบคุ
มสามทาง (3 Way Control Valve) มี
ลักษณะการทํ
างานเป็
นแบบใด

1 : เป็
นแบบหรี นํ
ꇾ뇽

2 : เป็
นแบบ Bypass
3 : เป็
นแบบ Mixing
4 : เป็
นทัง뇽3 แบบ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
296 : วาล์
วควบคุ
มสองทาง (2 Way Control Valve) มี
ลักษณะการทํ
างานเป็
นแบบใด

1 : เป็
นแบบหรี นํ
ꇾ뇽

2 : เป็
นแบบ Bypass
3 : เป็
นแบบ Mixing
4 : เป็
นทัง뇽3 แบบ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
297 : วาล์
วควบคุ
มสองทาง (2 Way Control Valve) มี
ลักษณะการทํ
างานเป็
นแบบใด

1 : เป็
นแบบหรี นํ
ꇾ뇽

2 : เป็
นแบบ Bypass
3 : เป็
นแบบ Mixing
4 : เป็
นทัง뇽3 แบบ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
298 : การทํ
างานของวาล์ ม (Control Valve) สํ
วควบคุ ꇾ ่
าหรับเครื
องส น สัꇾ
งลมเย็ งงานดวยอะไร

1 : Thermostat
2 : Humidistat
3 : Pressure Sensor
4 : Flow Sensor

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
299 : การทํ
างานของวาล์
วระเหยสารทํ น (Expansion Valve)สํ
าความเย็ าหรับเครื
องทํ น สัꇾ
ꇾ าความเย็ งงานดวยอะไรเป็
้ นหลัก

1 : Temperature Sensor
2 : Pressure Sensor
3 : Flow Sensor
4 : Thermostat

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
300 : อุ
ปกรณ์
เพื
อป้ ีหายจากความดัน นํ
ꇾ องกัน ความเส ย 뇽
ายาผิ
ดปกติ
คอ
ือะไร

1 : High Pressure Cut Out


2 : Low Pressure Cut Out
3 : Hi­Lo Pressure Cut out
4 : Overload

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 40/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
301 : Freezestat มี
หน าที
้ อะไร

1 : ควบคุมอุณหภูมขิองเครื
องทํ
ꇾ านํ

าแข็ง
2 : ป้ ีหายเนื
องกัน ความเส ย ꇾ
องจากนํ

าในคอยล์
เย็
น จัดจนเป็
นนํ

าแข็

3 : ป้
องกัน นํ
뇽 ้่
ายาเหลวเข าสู
คอมเพรสเซอร์
4 : ป้
องกัน นํ

าแข็
งจับทีคอยล์
ꇾ เย็น

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
302 : Flow Switch ในระบบท่
อนํ

ามีหน าที
้ อะไร

1 : ตรวจสอบปริ มาณการไหลของนํ


2 : วัดการไหลของนํ 뇽

3 : วัดความดัน นํ


4 : วัดอุ
ณหภูมขิองนํ뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
303 : ความดัน ที
อ่
ꇾานค่
าไดจาก
้ Pressure Gauge คื
ออะไร

1 : Velocity Pressure
2 : Static Pressure
3 : Total Pressure
4 : Pressure Head

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
304 : Overload relay ในเครื
องปรั
ꇾ บอากาศ ทํ
าหน าที
้ อะไร

1 : หน่วงเวลาการทํ างานของมอเตอร์ คอมเพรสเซอร์ เพื


อป้ ีหายจากการเปิ
ꇾ องกัน การเส ย ด/ปิ
ดเครื
องปรั
ꇾ บอากาศอย่
างกะทัน หัน
2 : ระบายนํ 뇽
าคอนเดนเสททิ ง뇽เมื
อความดั
ꇾ น ในอ่างพักเกิน
3 : ควบคุ มความดัน ของสารทํ าความเย็น ไม่ใหเกิ
้น ทีกํ
ꇾาหนด
4 : ป้องกัน มอเตอร์ ีหาย เมื
เส ย อทํ
ꇾ างานเกิ
น กําลัง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
305 : ในระบบนํ
뇽 น สํ
าเย็ าหรับปรับอากาศ (Chilled water system) ตองมี
้ ถงั รับนํ

าขยายตัว (Expansion tank) ข อใดเป็
้ นการติ
ดตังที
뇽 ถู
ꇾกตอง

1 : ถังขยายตัวแบบเปิ
ด ควรอยูส
ู่งสุดของระบบท่
อนํ

าเย็
น และทําหน าที
้ รองรั
ꇾ บการขยายตัวของนํ 뇽
าเย็

2 : ถังขยายตัวแบบเปิ
ด ควรอยูต
่ํꇾ
าสุดของระบบท่
อนํ

าเย็
น และทําหน าที
้ รองรั
ꇾ บการขยายตัวของนํ 뇽
าเย็

3 : ถังขยายตัวแบบเปิ
ด อยู

่รงกลางของระบบท่ อนํ

าเย็น และทําหน าที
้ รองรั
ꇾ บการขยายตัวของนํ 뇽
าเย็น
4 : ถังขยายตัวแบบเปิ
ด อยู

่ําแหน่ งใดก็
ไดของระบบท่
้ อนํ뇽
าเย็
น และทําหน าที
้ รองรั
ꇾ บการขยายตัวของนํ 뇽
าเย็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
306 : Variable speed drive, VSD เป็นอุ
ปกรณ์ทควบคุ
ꇾ มความเร็
ี วรอบของมอเตอร์
ทขั
ꇾบเครื
ี องสู
ꇾ บนํ

าหรื ้ กการเปลี
อพัดลม โดยใชหลั ยนความถี
ꇾ ของกระแสไฟฟ้
ꇾ าที
จ่
ꇾายใหกั้

มอเตอร์อยากทราบว่ าเมื
อต
ꇾ องการให
้ ความเร็
้ วรอบของมอเตอร์
ลดลง 2 เท่
า จะเกิ
ดเหตุ
การณ์
ใด

1 : ความถี
ลดลง
ꇾ 2 เท่
า กํ
าลังที
เพลาลดลง
ꇾ 12.5%
2 : ความถี
ลดลง
ꇾ 2 เท่
า กํ
าลังที
เพลาเพิ
ꇾ มขึ
ꇾ น
뇽12.5%
3 : ความถี
ลดลง
ꇾ 4 เท่
า กํ
าลังที
เพลาลดลง
ꇾ 25%
4 : ความถี
ลดลง
ꇾ 4 เท่
า กํ
าลังที
เพลาเพิ
ꇾ มขึ
ꇾ น
뇽25%

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

เนื

อหาวิ
ชา : 395 : Fire Safety

ข อที
้ ꇾ
307 : ท่
อลมที
ติ
ꇾดตังผ่
뇽 านผนั งกัน ไฟที
มี
ꇾอต ัꇾ ตองทํ
ั ราการทนไฟ 2 ชวโมง ้ าอย่
างไร

1 : หามติ
้ ดตังผ่
뇽 านผนั งกัน ไฟโดยเด็
ดขาด
2 : ติ
ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ไฟ
3 : ติ
ดตังท่
뇽 อลมชนิ ดกัน ไฟ
4 : ติ
ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ควัน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
308 : กฎหมายควบคุ
มอาคาร กํ
าหนดใหต้
องอั
้ ดความดัน บัน ไดหนี
ไฟของอาคารสู
งในกรณี
ทไม่
ꇾ ส ามารถทํ
ี ่งเปิ
าชอ ่
ดสู
ภายนอกไดทุ ั 뇽อยากทราบว่
้กชน าข อใดผิ
้ ด

1 : ระบบอัดความดัน มี
หน าที
้ ในการสร
ꇾ างความดั
้ น ใหสู
้งเพี
ยงพอในการป้ องกัน ควัน รัꇾ
วเข าภายในบั
้ น ได
2 : ระบบอัดความดัน มี
หน าที
้ ทํ
ꇾาใหบั้
น ไดหนีไฟมีส ภาพทีเหมาะสมส
ꇾ ําหรับพนั กงานดับเพลิ งในการทํ างาน
3 : ระบบอัดความดัน มี ꇾมออกซเิ
หน าที
้ เติ จนใหกั้บอาคาร
4 : ระบบอัดความดัน ตองไม่
้ ส รางความดั
้ น สู
งเกิ
น ไปจนทําใหประตู
้ เปิ ดไดยาก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
309 : ความตองการส
้ ํ
าหรับความปลอดภัยในชวีต
ิและทรัพย์ิจากอัคคี
สน ภัย ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่
งประเทศไทย ใน
พระบรมราชูปถัมภ์
มี
วัตถุ
ประสงค์ดังต่
อไปนี

ยกเวนข
้ อใด

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 41/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
1 : จํ
ากัดการกระจายของควัน ผ่
านระบบท่ อลมภายในอาคาร หรื ้่
อเข าสู
อาคารจากภายนอก
2 : จํ
ากัดการกระจายของไฟผ่ านระบบท่ อลมจากพื
นที
뇽 ที
ꇾเกิ
ꇾดเพลิ
งไหม ้
ไม่
วา่จะอยู

่ายในหรื อภายนอกอาคาร
3 : ป้ ้
องกัน การใชระบบท่
อลมภายในอาคารระบายควัน ไฟในกรณี ทเกิ
ꇾดเพลิ
ี งไหม ้
4 : คงไวซ ꇾ

้งความสามารถในการป้ องกัน ไฟของอาคารและส่ ่พื
วนประกอบเชน น
뇽ผนั ง หลังคา ที
มี
ꇾการติ
ดตังระบบท่
뇽 อลม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ310 : ท่อลมเพื
อความปลอดภั
ꇾ ยในชวีต
ิและทรัพย์ิจากอัคคี
สน ภัย ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่
งประเทศไทย ในพระบรม
ราชู
ปถัมภ์ตองเป็
้ นไปตามข อกํ
้าหนดดังนี 뇽
ยกเวนข
้ อใด

1 : ตองสร
้ างขึ
้ นจากวั
뇽 ส ดุ
ทไม่
ꇾ ตด
ี ิไฟและไม่ นส่
เป็ วนทีทํ
ꇾาใหเกิ
้ดควัน เมือเกิ
ꇾ ดเพลิ
งไหม ้
2 : ท่อลมตองสร
้ างขึ
้ นด
뇽 วยวั
้ ส ดุ
ทเสริ
ꇾ มความแข็
ี งแรงและป้ องกัน การรัꇾ
วเพื
อให
ꇾ เป็
้นไปตามความตองการใช
้ ้
งาน
3 : วัส ดุ
ทใช ้างท่
ꇾ สร
ี ้ อลมตองเหมาะสมกั
้ บการสัมผัส อย่
างต่อเนื

องกับอุ ณหภูมแ
ิ 뇽

ละความชนของอากาศทีอยู
ꇾ ใ่
นท่
อลม
4 : ไม่ ้อลมกับอากาศที
ใชท่ มี
ꇾอณ
ุหภู มส
ิูงกว่
า 120 องศาเซลเซย ีส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
311 : องค์
กรใดต่
อไปนี

ที
เกี
ꇾยวข
ꇾ องโดยตรงกั
้ บการออกมาตรฐานเกี
ยวกั
ꇾ บการป้
องกัน อัคคี
ภั ย

1 : ASHRAE
2 : NFPA
3 : ANSI
4 : ASME

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
312 : ข อความใดถู
้ กตอง

1 : วัส ดุ
หมท่
ุ้ อลมและวัส ดุ บภ
ุายในท่ อลมตองทํ
้ าจากวัส ดุ ทไม่
ꇾ ตด
ี ิไฟ เมือเกิ
ꇾ ดเพลิงไหมจะมี
้ แต่ ควัน เท่
านั น

2 : ท่อลมส่ วนที
ติ
ꇾดตังผ่
뇽 านผนั งกัน ไฟตองติ
้ ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ไฟที
สามารถปิ
ꇾ ดไดสนิ
้ ทโดยอัตโนมัตเิมื
อเกิ
ꇾ ดอุณหภู มส
ิูง
3 : ลินกั
뇽 น ไฟที
ใช ้
ꇾ ป้
องกัน ชอ่งเปิดบนผนั งหรือพื
นที
뇽 ทนไฟตั
ꇾ งแต่ ัꇾ
뇽 3 ชวโมงขึ นไปต
뇽 องมี
้ อตั ราการทนไฟไม่ น อยกว่ ัꇾ
้ า 2 ชวโมง
4 : สารทํ าความเย็น ทีꇾามาใชต้
นํ องไม่
้ เป็ นพิ
ษต่อคน และตองมี
้ คุณสมบัตไิ ม่
ลามไฟ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
313 : วิ
ธก
ีารใดต่
อไปนี

ที
ไม่ ้
ꇾ ใชในการระบายควั น

1 : Pressurization
2 : De­pressurization
3 : Ventilation
4 : Uncontainment

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
314 : พัดลมชนิ
ดใดที
เหมาะสมส
ꇾ ําหรับนํ ้
ามาใชในการระบายควั น ไฟออกจากอาคาร

1 : พัดลมหอยโข่
งแบบมี ส ายพานขับ
2 : พัดลมชนิ
ดไหลตามแกน
3 : พัดลมแบบใบพัด (Propeller fan)
4 : พัดลมหอยโข่
งชนิดขับตรง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ ꇾ ใชว่
315 : ข อใดที
้ ไม่ ัตถุ
ประสงค์
ข องการมี
ระบบระบายหรื
อควบคุ
มควัน ในอาคาร

1 ꇾ องกัน ชวี
: เพื
อป้ ติของคนในอาคาร
2 ꇾ ว่
: เพื
อช ยพนั กงานดับเพลิงในการต่ กั้
อสู บไฟ
3 : เพื
อป้
ꇾ องกัน โครงสรางของอาคาร

4 : เพื
อรั
ꇾกษาทรัพย์ ิในตัวอาคารใหมี
สน ้ ีหายน อยที
ความเส ย ้ สุ
ꇾด

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
316 : ในการออกแบบพัดลมอัดอากาศ ควรจะติ
ดตังหน
뇽 ากากจ่
้ ายลมในบัน ไดหนี
ไฟอย่
างน อยทุ
้ ก ๆ กี
ช ั 뇽
ꇾน

1 :3 ั 뇽
ชน
2 :4 ชนั 뇽
3 :5 ชน ั 뇽
4 :2 ชน ั 뇽

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
317 : ท่
อลมที
ใช ้
ꇾ ในระบบควบคุ
มและระบายควัน ควรจะมี
ความสามารถทนไฟไดนานอย่
้ างน อยกี
้ ช ัꇾ
ꇾวโมง

1 :4 ัꇾ
ชวโมง
2 :1 ัꇾ
ชวโมง
3 :2 ัꇾ
ชวโมง
4 :3 ัꇾ
ชวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3
http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 42/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
318 : วัส ดุ
ใดหามนํ
้ ามาทํ
าเป็
นท่
อลม

1 : เหล็ น อาบสังกะส ี
กแผ่
2 : ไมอั้

3 ปซัꇾ
: ยิ มบอร์

4 : ไม่
มขีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
319 : บัน ไดอัดความดัน เพื
อป้
ꇾ องกัน ควัน ไฟเข าภายในบั
้ น ไดเมื
อเกิ
ꇾ ดเหตุ
เพลิ
งไหม ้
ตองมี ้
้ ความดัน ขณะใชงานอย่
างน อยเท่
้ าใด

1 : 5 Pa
2 : 20 Pa
3 : 40 Pa
4 : 100 Pa

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
320 : ข อความใดผิ
้ ด

1 : ลิ
นกั
뇽 น ไฟ ตองทํ
้ างานโดยอัตโนมัตเิ มื
อมี
ꇾ อณุหภู
มิ
74 องศาเซลเซย ีส
2 : ลิ
นกั
뇽 น ไฟ ตองติ
้ ดตังให뇽 สามารถเข
้ าไปตรวจสอบและบํ
้ ารุ
งรักษาได ้
3 : ในท่อลมระบายควัน จากหองครั
้ ว (Kitchen Exhaust) ตองติ
้ ดลิ นกั
뇽 น ไฟทุ
กๆระยะ 30 เมตร
4 : ท่
อลมที ผ่
ꇾานผนั งกัน ไฟ ตองติ
้ ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ไฟ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
321 : กฎกระทรวงฉบับที

33 ออกตามความใน พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร มี
ข อกํ
้าหนดใหการออกแบบระบบปรั
้ บอากาศและระบายอากาศในอาคารสู งและอาคารขนาดใหญ่
พเิ
ศษ
ตองปฏิ
้ บั ต ต
ิาม อยากทราบว่
า อาคารสู
งหมายถึ
งอาคารที
สู
ꇾงตังแต่
뇽 กเมตรขึ

ี นไป
뇽 และอาคารขนาดใหญ่ พเิ
ศษหมายถึ
งอาคารที มี
ꇾข นาดพื
นที
뇽 ตั
ꇾงแต่
뇽 กตารางเมตรขึ

ี นไป

1 : 15 เมตร, 2,000 ตารางเมตร


2 : 23 เมตร, 2,000 ตารางเมตร
3 : 15 เมตร, 10,000 ตารางเมตร
4 : 23 เมตร, 10,000 ตารางเมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
322 : ตามกฎกระทรวงฉบับที

33 ออกตามความใน พ.ร.บ. ควบคุ
มอาคาร ท่
อลมที
ผ่
ꇾานผนั งทนไฟ ตองออกแบบให
้ มี

ลักษณะอย่
างไร

1 : ตองติ
้ ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ไฟที มี
ꇾอต
ั ราการทนไฟไม่น อยกว่ ัꇾ 30 นาที
้ า 1 ชวโมง
2 : ตองหุ
้ มด้วยฉนวนหนาไม่
้ น อยกว่
้ า 50 มิลลิเมตร
3 : วัส ดุ
ทอ
่ลมตองทํ
้ าจากแผ่ น เหล็
กดํ
าหนาไม่
น อยกว่
้ า 2 มิลลิ
เมตร
4 : ตองติ
้ ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ควัน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
323 : ตามกฎกระทรวงฉบับที

33 ออกตามความใน พ.ร.บ. ควบคุ
มอาคาร บัน ไดหนี
ไฟตองออกแบบเพื
้ อป้
ꇾ องกัน ควัน ไฟขัดขวางการอพยพหนี
ไฟ การออกแบบในข อใดเป็
้ นไป
ตามข อกํ
้าหนดในกฎกระทรวงดังกล่ าว

1 : จัดใหมี
้ ่งระบายอากาศเปิ
ชอ ดสู่
ภายนอกได ้ มีพนที
뇽 รวมอย่
ื ꇾ างน อย
้ 1 ตารางเมตรต่ ั 뇽
อชน
2 : ออกแบบใหมี้
ระบบอัดลมในชอ่งบัน ไดทีมี ้
ꇾความดัน ลมในขณะใชงานไม่ น อยกว่
้ า 40 ปาสกาล
3 : ออกแบบใหมี้
ระบบระบายควัน ออกจากชอ ่งบัน ได โดยมีอต
ั ราการระบายควัน ไม่
น อยกว่
้ า 6 เท่
าของปริ
มาตรหองต่ ัꇾ
้ อชวโมง
4 : ออกแบบใหบั้น ไดมี
ระบบกรองอากาศทีมี ิธิ
ꇾประส ท ภาพไม่น อยกว่
้ า 80%

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
324 : มาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ว.ส.ท. กํ
าหนดใหท่
้อลมระบายอากาศจากครอบดู
ดลม (Hood) ในหองครั ้ วั้
้ วตองใช ส ดุ
ใด

1 : แผ่
น เหล็กอาบสังกะส ห
ีนา 2 มิลลิ
เมตร
2 : แผ่ บซัꇾ
น ยิ มบอร์
ดหนา 9 มิลลิเมตร
3 : แผ่
น ไมอั้
ดหนา 4 มิลลิเมตร
4 : แผ่
น เหล็กดําหนา 2 มิ
ลลิเมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
325 : มาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ว.ส.ท. หามใช ้
้ ทางเดิ
น ร่ ่งบัน ได ชอ
วม บัน ได ชอ ่งลิ
ฟท์ นส่
ข องอาคารเป็ วนหนึ
ꇾ อลมส่
งของระบบท่ ง หรื
อระบบท่
อลมกลับ มี
วัตถุ
ประสงค์เพื
ออะไร

1 : เพื
อป้
ꇾ องกัน ไม่ใหควั
้น ไฟแพร่ ้
กระจายในเส นทางทีต
ꇾองใช ้
้ ในการอพยพหนี
ไฟ ในกรณี
เกิ
ดเหตุ
เพลิ
งไหม ้
2 : เพื
อป้
ꇾ องกัน ความเย็ น รัꇾ
วไหล
3 : เพื
อป้ ีงดังรบกวนไปทัวทั
ꇾ องกัน เส ย ꇾ งอาคาร

4 : เพื
อป้
ꇾ องกัน ไม่ใหความช
้ 뇽 ยนแปลงอย่

นเปลี
ꇾ างรวดเร็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
326 : มาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ว.ส.ท. มี
ข อกํ
้าหนดเพื
อป้
ꇾ องกัน ไฟลามระหว่ ั 뇽 านทางระบบท่
างชนผ่ อลม อยากทราบว่
าข อใดออกแบบได
้ ตามมาตรฐาน

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 43/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : ท่
อลมแนวดิ
งทะลุ
ꇾ ผา่ ั 뇽1
นจากชน ถึ ั 뇽3
งช น ติ
ดตังลิ
뇽 นกั
뇽 น ไฟในตําแหน่
งทีท่
ꇾอลมทะลุ
ผา่นพื
นของอาคาร

2 : ท่
อลมแนวดิ
งทะลุ
ꇾ ผา่นจากชนั 뇽1 ถึ
งช นั 뇽3 ก่
อผนั งทีมี
ꇾอต ัꇾ
ั ราการทนไฟ 2 ชวโมงล อมรอบท่
้ อลมทีทะลุ
ꇾ ผา่
นพื
นของอาคารตลอดแนว

3 : ท่
อลมแนวดิ
งทะลุ
ꇾ ผา่นจากชน ั 뇽1 ถึ
งช น ั 뇽3 หุ
มฉนวนใยแก
้ วหนา
้ 50 มิ ลลิเมตร
4 : ท่
อลมแนวดิ
งทะลุ
ꇾ ผา่นจากชน ั 뇽1 ถึ
งช น ั 뇽3 ีน
ทาส ก ั ไฟ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
327 : Fire Damper มี
หน าที
้ อะไร

1 : ปรับปริ
มาณลมในท่ อลมระบายควัน ไฟ
2 : ป้
องกัน ไฟลามในท่ อลมระบายควัน จากหองครั
้ ว
3 : ป้
องกัน ไฟลาม
4 : ป้
องกัน ควัน ไฟลาม

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
328 : Smoke Damper มี
หน าที
้ อะไร

1 : ควบคุมปริ มาณลมในการระบายควัน ไฟ
2 : ป้
องกัน ควัน ไฟลาม
3 : ป้
องกัน ควัน ไฟจากท่
อลมระบายควัน จากหองครั
้ ว
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

329 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับผนั งทนไฟที
มี
ꇾอต
ั ราการทนไฟไม่
เกิ ัꇾ ลิ
น 3 ชวโมง นกั
뇽 น ไฟจะตองมี
้ อตั ราการทนไฟเป็
นเท่
าใด ตามมาตรฐาน UL555

1 :1 ัꇾ 30 นาที
ชวโมง
2 :2 ัꇾ
ชวโมง
3 :2 ัꇾ 30 นาที
ชวโมง
4 :3 ัꇾ
ชวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
330 : มาตรฐาน ว.ส.ท. กํ
าหนดใหท่
้อลมที
มี
ꇾข นาดปริ
มาณลมเกิ
น กว่
าเท่
าใด ตองติ
้ ดตัง뇽Smoke damper

1 : 750 L/s
2 : 1000 L/s
3 : 1500 L/s
4 : 2000 L/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
331 : ท่
อลมระบายควัน ไฟมี
ข อกํ
้าหนดในเรื
องฉนวนหุ
ꇾ มท่
้ อลมอย่
างไร

1 : ไม่
ตองหุ
้ มฉนวน
้ ้
เพราะใชในการระบายควั น ไฟเท่
านั น

2 : หุ
มด
้วยฉนวนใยแก
้ วเหมื
้ อนท่ อส่งลมเย็

3 : หุ
มด
้วยฉนวนแอสเบสตอส

4 : หุ
มด
้วยฉนวนที
้ สามารถทนอุ
ꇾ ณหภูมไิ
ดถึ

ง 540 องศาเซลเซย ีส

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
332 : ความเร็
วลมโดยเฉลี
ยที
ꇾ ประตู
ꇾ หนีไฟสํ
าหรับบัน ไดที
มี
ꇾระบบอัดอากาศในขณะที
ระบบอั
ꇾ ดอากาศทํ
างานควรเป็
นเท่
าใด

1 : 0.5 m/s
2 : 1 m/s
3 : 1.3 m/s
4 : 1.75 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
333 : พัดลมอัดอากาศในบัน ไดหนี
ไฟจะตองมี
้ ข นาดอย่
างตํ

าเท่
าใด

1 : 5000 L/s
2 : 6000 L/s
3 : 7000 L/s
4 : 7100 L/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
334 : ระบบการควบคุ
มควัน ในลานกลางอาคาร (Atrium) ตองมี
้ ระบบการเติ
มอากาศประกอบดวยหรื
้ อไม่

1 : ไม่
ตอง
้ เพราะลมจะถูกดู
ดเข ามาเอง

2 : ไม่
ตอง
้ เพราะการเติ
มอากาศจะทํ าใหไฟลุ
้ กมากขึน

3 : ตอง
้ เพือทดแทนอากาศที
ꇾ ถู
ꇾกดู
ดออกไปและเพือมี
ꇾ อากาศเข ามาเจื
้ อจางควัน ไฟ
4 : ตอง
้ เพือให
ꇾ สภาพอาคารมี
้ ความดัน เป็
นบวก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 44/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
335 : ข อใดถื
้ อเป็นบัน ไดหนี
ไฟที
ดี
ꇾมากที
สุ
ꇾด

1 : ประตู หนี
ไฟทีเปิ
ꇾดตลอดเวลา
2 : บัน ไดหนีไฟทีมี
ꇾพัดลมอัดอากาศเข าบั
้น ไดหนี ไฟ
3 : บัน ไดหนีไฟทีมี
ꇾส ปริ
งเกลอร์
ดับเพลิงในบัน ไดหนีไฟ
4 : บัน ไดหนีไฟทีมี
ꇾพัดลมดูดควัน ออกจากบัน ไดหนีไฟ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
336 : อุ
ปกรณ์
ตรวจจับเพลิ ้ ดใดควรใชกั้
งไหมชนิ บหองนอน
้ มากที
สุ
ꇾด

1 : อุ
ปกรณ์
ตรวจจับควัน
2 : อุ
ปกรณ์
ตรวจจับความรอน

3 : อุ
ปกรณ์
ตรวจจับเปลวเพลิง
4 : อุ
ปกรณ์
ตรวจจับคาร์บอนไดออกไซด์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที337 : สํ
้ ꇾ าหรับการอัดอากาศเข าบั
้น ไดหนี
ไฟ ควรรักษาความดัน คร่
อมประตู
หนี
ไฟเท่
าใด ถาแรงมากสุ
้ ดที
คนจะสามารถเปิ
ꇾ ดประตู
หนี
ไฟไดอยู
้ท่ี

130 นิ
วตัน และประตู
หนี
ไฟกวาง

1 เมตร สู
ง 2 เมตร

1 : ไม่น อยกว่
้ า 65 ปาสกาล แต่
ไม่
เกิ
น 90 ปาสกาล
2 : เท่ากับ 65 ปาสกาล
3 : ไม่น อยกว่
้ า 38 ปาสกาล แต่
ไม่
เกิ
น 65 ปาสกาล
4 : ข อมู
้ลไม่ เพี
ยงพอ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

เนื

อหาวิ
ชา : 396 : Indoor Air Quality

ข อที
้ ꇾ ใชว่
338 : ข อใดไม่
้ ัตถุ
ประสงค์
ข องการเติ
มอากาศจากภายนอกเข ามาผสมกั
้ บอากาศภายในอาคาร

1 : เพื
อเจื
ꇾ อจางกลิ
นที
ꇾ เกิ
ꇾดขึ
นภายในอาคาร

2 : เพื
อเจื
ꇾ อจางก๊
าซทีเกิ
ꇾดขึ
นจากคน

3 : เพื
อเจื
ꇾ อจางก๊
าซทีเกิ
ꇾดจากวัส ดุ
กอ
่สราง

4 : เพื
อเพิ
ꇾ มอิ
ꇾ ออนลบภายในอาคาร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
339 : ข อใดผิ
้ ดหลักการป้ ꇾ

องกัน ส งปนเปื

อนในอากาศ ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่
งประเทศไทย ในพระบรมราชู
ปถัมภ์

1 : มี
การกรองอากาศทีหมุ
ꇾ น เวี
ยนในระบบปรับอากาศ
2 : มี
การจัดตํ
าแหน่งของแผงกรองอากาศใหกรองอากาศหลั
้ งผ่านคอยล์
ทํ
าความเย็
น ในกรณีทมี ั 뇽ตองจั
ꇾแผงกรองอากาศหลายชน
ี ้ ดใหมี
้แผงกรองอากาศอย่
างน อยหนึ
้ ꇾ ั 뇽
งชนกรองอากาศ
หลังจากผ่านคอยล์ทําความเย็น
3 : มี
การเติ
มอากาศจากภายนอก โดยวิ ธก
ีารเติ
มอากาศเข ามาจากภายนอกหรื
้ อการระบายอากาศจากภายในทิ ง뇽
4 : มี การเติ
มอากาศจากภายนอกในอัตราไม่ น อยกว่
้ าที กํ
ꇾาหนดใน มาตรฐานการระบายอากาศเพือคุ
ꇾ ณภาพอากาศภายในอาคารทียอมรั
ꇾ บได ้ ของสมาคมวิ ศวกรรมสถานแห่

ประเทศไทย ในพระบรมราชู ปถัมภ์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

้ ꇾ340 : การระบายอากาศสํ
ข อที าหรับที
จอดรถภายในอาคารด
ꇾ วยวิ
้ ธกีล ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่
งประเทศไทย ในพระบรม
ราชู
ปถัมภ์มี
ข อกํ
้าหนดดังนี

ยกเวนข
้ อใด

1 : จัดใหมี
้กลอุ
ปกรณ์ ขับเคลื
อนอากาศ
ꇾ ꇾ องทํ

ซงต ้ างานตลอดเวลาที ใช ้ จอดรถนั
ꇾ สอยทีꇾ น
뇽 เพื
อให
ꇾ เกิ
้ดการนํ
าอากาศภายนอกเข ามาด
้ วยอั
้ ตราไม่น อยกว่
้ า 7.5 ลิ ตรต่
อวิ
น าที
ต่อตาราง
เมตร
2 : พื
นที
뇽 ช ่งเปิ
ꇾอ ดสู่
ภายนอกตองไม่
้ น อยกว่
้ ารอยละ
้ 20 ของพื นที
뇽 ผนั
ꇾ งดานนั
้ นๆ
뇽 และพืนที
뇽 ช ่งเปิ
ꇾอ ดรวมทังหมดต
뇽 องไม่
้ น อยกว่
้ ารอยละ
้ 10 ของพื นที
뇽 อาคารที
ꇾ จอดรถ

3 : ตองออกแบบช
้ ่งทางลมเข าให
อ ้ นํ
้าอากาศเข ามาจากบริ
้ เวณทีไม่
ꇾ มส
ีารหรือก๊
าซอัน ตราย
4 : หามใช ้ งของรถเป็
้ ทางวิ ꇾ ่งทางลมเข าหลั
นชอ ้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
341 : สารฟอร์
มล
ั ดี
ไฮน์
(Formaldehyde) มาจาก

1 : ฉนวนโฟม
2 : กระเบืองปู
뇽 พน


3 : แผ่น ยาง
4 : แกรนิ ต

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
342 : ผลกระทบที
มี
ꇾต่
อสุ
ข ภาพจากปั ญหาคุ
ณภาพอากาศภายในอาคารคื

1 : ทํ าใหรู

ส้
กึเวี
ยนศรี
ษะโดยไม่
ทราบสาเหตุ
2 : ทํ าใหเป็
้นไข ้หนาวสัꇾ

3 : ทํ าใหเกิ
้ดอาการภูมแ
ิพ้
4 : ข อ้1 และ 3

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 45/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
343 : ข อใดจั
้ ดว่ าอยู
ใ่
นกรณี
ข องอาการแพตึ
้ก (Sick building syndrome)

1 : เป็นไข อย่
้างต่อเนืꇾ
องทังในที
뇽 ทํ
ꇾางานและทีบ
ꇾาน

2 : ติ 뇽

ดเชอจากในทีทํ
ꇾางาน
3 : ปวดศรี ัꇾ
ษะเฉพาะในชวโมงทํ างาน
4 : เป็นไข หวั
้ดใหญ่ ทติꇾดมาจากเพื
ี อนร่
ꇾ วมงาน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
344 : โรคปอดอักเสบลี
เจี
ยนแนร์
(Legionnaire’s disease) จัดว่
าเป็
นโรคอยู
ใ่
นกลุ

มไหน

1 : กลุ

มอาการ อาคารป่
วย (Sick building syndrome)
2 : กลุ

มอาการเจ็
บป่วยที
เกี
ꇾยวพั
ꇾ น กับอาคาร (Building related illness)
3 : กลุ

มอาการไวต่
อสารเคมี (Multiple chemical sensitivity)
4 : กลุ

มอาการโรควัณโรค

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
345 : อัตราการระบายอากาศตํ

าสุดต่
อคนที
กํ
ꇾาหนดไวในมาตรฐาน
้ ASHRAE 62.2, 2004

1 : 5 CFM
2 : 7.5 CFM
3 : 10.0 CFM
4 : ผิ
ดทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
346 : ตามข อกํ ีจากบริ
้าหนดมาตรฐานการระบายอากาศของ ASHRAE อากาศเส ย เวณสู
บบุ
หรี

1 : สามารถหมุน เวี
ยนนํ ้ ไดหากผ่
ากลับมาใชใหม่ ้ านการกรองอากาศเรี ยบรอยแล
้ ว้
2 : ไม่
ส ามารถหมุน เวี
ยนนํ ้ ได ้
ากลับมาใชใหม่
3 : ไม่
อนุญาตใหมี้การระบายอากาศในบริเวณสูบบุ
หรี

4 : มี
การกําหนดอัตราการระบายอากาศในบริ เวณสู
บบุ
หรีที
ꇾช ั เจน
ꇾด

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
347 : ข อใดที
้ เป็
ꇾนจริ
งในแง่
ข องคุ
ณภาพอากาศภายในอาคาร

1 : ปั ญหาการปนเปื
뇽 뇽

อนจากเชอโรคมั กจะพบเห็ น ไดในกรณี
้ ทความช

ี 뇽 ัมพัทธ์

นส ภายในอาคารมีค่
าตํ

ากว่
า 40 %
2 : ปั ญหาการระบายอากาศจะเพิ มขึ
ꇾ นจากมาตรการการอนุ
뇽 รักษ์
พลังงานภายในอาคาร
3 : สารฟอร์มล
ั ดี
ไฮน์(Formaldehyde) จัดเป็ นสารปนเปื뇽
อนที มาจากเช
ꇾ 뇽

อโรคในแผ่
น ไมอั้

4 : ปั ญหาทางจิตไม่
จัดว่
าเป็
นปั ญหาที เกี
ꇾยวข
ꇾ องกั
้ บคุณภาพอากาศภายในอาคาร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
348 : ในการระบายอากาศโดยคํ
านึ
งถึ
งคุ ้ ส่
ณภาพอากาศภายในอาคาร ข อใดมีวนถู
กตองมากที
้ สุ
ꇾด

1 ่งระบายอากาศเส ย
: ชอ ีควรอยูด
่านใต
้ ลมของอาคาร
้ ่งนํ
และชอ าอากาศเข าควรอยู
้ เ่
หนือลมของอาคาร
2 : หองนํ
้ 뇽
าในอาคารควรจะอยู
ใ่
นดานที ꇾแสงแดดส่
้ มี องตลอดเวลาเพื
อมิ
ꇾ ใหเกิ
้ดกลินอั
ꇾ บชน 뇽

3 : กํ
าหนดบริเวณใดบริเวณหนึꇾ
งในอาคารใหเป็
้นเขตสูบบุ
หรี

4 ้
: ใชฉนวนใยแก วในระบบท่
้ อลมปรับอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที349 : สํ
้ ꇾ านั กงานแห่
งหนึ

งมีพนที
뇽 ꇾ
ื 1,000 ตารางเมตร มี
ความหนาแน่
น ของพนั กงาน 10 ตารางเมตรต่ าระบบปรับอากาศของสํ
อคน อยากทราบว่ านั กงานนี

ตองมี
้ การเติ
มอากาศ
จากภายนอกอย่ างน อยเท่
้ าใด

1 : 10 ลิ
ตรต่อวิ
น าที
2 : 100 ลิ
ตรต่อวิ
น าที
3 : 1,000 ลิ
ตรต่อวิน าที
4 : 10,000 ลิตรต่อวิ
น าที

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
350 : ข อใดคื
้ อหลักในการควบคุ
มคุ
ณภาพอากาศในอาคาร

1 : การเจื
อจาง (Dilution)
2 ꇾ

: การกรองส งสกปรกออกจากอากาศ (Filtration)
3 : ถู
กทังข
뇽 อ้1 และ 2
4 : ผิ
ดทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
351 : HEPA Filter คื
ออะไร

1 : แผงกรองอากาศที
มี
ꇾความสามารถในการกรองอนุ ภาคขนาด 0.3 Micron ไดไม่
้ตํꇾ
ากว่
า 99.97%
2 : เครื
องฟอกอากาศที
ꇾ กํ
ꇾาจัดไวรัส และแบคที
เรี
ยได ้

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 46/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : แผงกรองอากาศทีมี
ꇾความสามารถในการกรอง 80% Arrestance ขึ
นไป

4 : แผงกรองอากาศใยสังเคราะห์
มค
ีวามสามารถในการกรอง 60 % Efficiency Dust Spot Test ขึ
นไป

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

352 : สํ
ข อที
้ ꇾ าหรับระบบปรับอากาศสํ
าหรับหองผ่
้ าตัด ข อใดผิ
้ ด

1 : ติ
ดตังแผงกรองอากาศชนิ
뇽 ด HEPA
2 : มี
ลมจ่าย 10 เท่
าของปริ
มาตรหองต่ ัꇾ
้ อชวโมง
3 : มี
อากาศเติ มจากภายนอก (Outdoor Air) 5 เท่
าของปริ
มาตรหองต่ ัꇾ
้ อชวโมง
4 : มี
ความดัน เป็
นบวก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

353 : สํ
ข อที
้ ꇾ ꇾ ส้
าหรับระบบปรับอากาศของหองที
้ ใช ํ
าหรับแยกผู
ป่
้วยที
เป็
ꇾนโรคติ
ดต่
อที
แพร่ 뇽

ꇾ เชอทางอากาศได ้
ข อใดผิ
้ ด

1 : มี
การเติมอากาศจากภายนอก (Outdoor Air) มากกว่าระบายอากาศทิงอย่
뇽 างน อย
้ 15%
2 : ไม่
ต่
อท่ อลมระบายอากาศทิ
งกั
뇽บท่
อลมอืนๆ

3 : ติ
ดตังแผงกรองอากาศชนิ
뇽 ด HEPA กรองอากาศที หมุ
ꇾ น เวี
ยนภายในหอง

4 : มี
ลมจ่าย 15 เท่
าของปริ
มาตรหองต่ ัꇾ
้ อชวโมง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
354 : ตามกฎกระทรวงฉบับทีꇾ
33 ออกตามความใน พ.ร.บ. ควบคุ ้ ํ
มอาคาร หองส านั กงานที
มี
ꇾข นาด 100 ตารางเมตร สู
ง 2.5 เมตร ตองจั
้ ดใหมี
้การนํ
าอากาศจากภายนอกเข ามา

ในระบบปรับภาวะอากาศอย่างน อยเท่
้ าใด

1 : 100 ลู
กบาศก์เมตรต่ ัꇾ
อชวโมง
2 : 200 ลู
กบาศก์เมตรต่ ัꇾ
อชวโมง
3 : 1,000 ลู
กบาศก์เมตรต่ ัꇾ
อชวโมง
4 : 2,000 ลู
กบาศก์เมตรต่
อชวโมงัꇾ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

355 : ระบบปรับอากาศสํ
ข อที
้ ꇾ าหรับอาคารสํ
านั กงานทัวไปจะมี
ꇾ การหมุ
น เวี
ยนอากาศเท่
าใด

1 : 4 Airchanges/h
2 : 6 Airchanges/h
3 : 10 Airchanges/h
4 : 20 Airchanges/h

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
356 : หองปรั
้ บอากาศโดยทัวไป
ꇾ ควรจะอยู
ใ่
นสภาพที
เป็
ꇾน Infiltration หรื
อ Exfiltration

1 : หองปรั
้ บอากาศโดยทัวไปอยู
ꇾ ใ่
นสภาพเป็
นกลาง
2 : Infiltration
3 : Exfiltration
4 : แลวแต่
้ ส ถานการณ์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
357 : หองสะอาด
้ หรื
อ Clean Room Class 10K หรื
อ Class 10000 หมายถึ
งอะไร

1 : หมายถึ
งหองที
้ เมื
ꇾอทํ
ꇾ าการวัดดวยเครื
้ องตรวจจั
ꇾ บอนุ
ภาคขนาด 0.05 micron จะมี
ปริ
มาณอนุ
ภาคน อยกว่
้ า 10000 อนุ
ภาคต่
อปริ
มาตร 1 cuft
2 : หมายถึ
งหองที
้ เมื
ꇾอทํ
ꇾ าการวัดดวยเครื
้ องตรวจจั
ꇾ บอนุ
ภาคขนาด 0.5 micron จะมี
ปริ
มาณอนุ
ภาคน อยกว่
้ า 10000 อนุ
ภาคต่
อปริ
มาตร 1 cuft
3 : หมายถึ
งหองที
้ เมื
ꇾอทํ
ꇾ าการวัดดวยเครื
้ องตรวจจั
ꇾ บอนุ
ภาคขนาด 0.03 micron จะมี
ปริ
มาณอนุ
ภาคน อยกว่
้ า 10000 อนุ
ภาคต่
อปริ
มาตร 1 cuft
4 : หมายถึ
งหองที
้ เมื
ꇾอทํ
ꇾ าการวัดดวยเครื
้ องตรวจจั
ꇾ บอนุ
ภาคขนาด 0.3 micron จะมี
ปริ
มาณอนุ
ภาคน อยกว่
้ า 10000 อนุ
ภาคต่
อปริ
มาตร 1 cuft

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
358 : มาตรฐาน ว.ส.ท กํ ꇾ ่
าหนดใหเครื
้ องส งลมเย็
น ที
มี
ꇾข นาดเกิ
น 1000 L/s ตองมี
้ แผงกรองอากาศชนิ
ดใด

1 : ชนิ
ดอลูมเิ
นี
ยมถักหนา 25 mm
2 : ชนิ ้ ังเคราะห์
ดเส นใยส หนา 13 mm
3 : แผงกรองอากาศทีมี ิธิ
ꇾประส ท ภาพ MERV8 (ASHRAE 52.2)
4 : แผงกรองอากาศทีมี ิธิ
ꇾประส ท ภาพ 20% (ASHRAE 52.1 Dust Spot)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
359 : การติ
ดตังระบบปรั
뇽 บอากาศแบบ Split Type หรื
อ VRV จะมี
วธิก
ีารเติ
มอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
พือให
ꇾ เป็
้นไปตามมาตรฐาน วสท ไดอย่
้างไร

1 : ไม่จํ
าเป็น เพราะในทางปฏิ บั ต ท
ิผ่
ꇾานมาเป็
ี นที ยอมรั
ꇾ บว่ าไม่
ตองมี
้ การเติ มอากาศบริสุ
ทธิ⿠
2 : ไม่จํ
าเป็น เพราะเครื
องปรั
ꇾ บอากาศในปั จจุ บัน มี
เครื
องฟอกอากาศและสามารถผลิ
ꇾ ตอากาศบริสุ
ทธิใ⿠
นตัว
3 : จัดใหมี
้ระบบระบายอากาศ เชน ่การติ ดตังพั
뇽 ดลมระบายอากาศ
4 : จัดใหมี
้ระบบการเติมอากาศบริ สุ
ทธิ เ⿠
ข าไปที
้ ทางลมกลั
ꇾ ꇾ ่
บของเครื
องส งลมเย็
น หรื
อ ใหมี
้ระบบ Fresh Air Supply ผ่
าน Fresh Air Unit

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
360 : เครื
องปรั ꇾ สามารถใชกั้
ꇾ บอากาศแบบ Split Type ทัวไป บหองผ่
้ าตัดไดหรื
้อไม่

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 47/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : ได ้
เพราะเป็
นทีꇾ บในโรงพยาบาลส่
ยอมรั วนใหญ่
ในปั จจุ
บั น
2 : ได ้ ้
หากใชรุน
่ทีมี
ꇾเครื
องฟอกอากาศ
ꇾ Plasma หรื
อ Nano
3 : ไม่
ได ้
เพราะมี ิธิ
ประส ท ภาพในการกรองอากาศตํ

ากว่ามาตรฐาน
4 : ไม่
ได ้
เพราะมี ิธิ
ประส ท ภาพในการกรองอากาศและการเติ มอากาศบริ
สุ
ทธิ

⿠ตํ
ꇾꇾ
ี ากว่
ามาตรฐาน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
361 : เครื
องฟอกอากาศที
ꇾ ขายโดยทั
ꇾ วไป ้
ꇾ เหมาะกับการใชงานในลั กษณะใด

1 : หองผ่
้ าตัด
2 : หองปลอดเช
้ 뇽


3 : หองประชุ
้ ม
4 : หองนอน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
362 : พัดลมนํ
뇽 ้
า เหมาะกับการใชงานในลั กษณะใด

1 : ทีอยู่าศัย
ꇾ อ
2 : หองอาหาร

3 : โรงงานอาหาร
4 : ลานภายนอก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
363 : ข อควรระวั
้ ꇾํ
งที
ส าคัญเป็
นอย่
างยิ
งในการติ
ꇾ ดตัง뇽Cooling Tower และพัดลมนํ

าคือ

1 : ละอองนํ 뇽

2 : การกิ น นํ


3 : ปั ญหาโรคที เกี
ꇾยวกั
ꇾ บระบบทางเดิ
น หายใจ
4 ีง
: เส ย

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
364 : เหตุ
ใดจึ
งไม่
ควรใหห้
องปรั
้ บอากาศมี
ความดัน อากาศเป็
นลบ

1 : ทํ
าใหฝุ
้่
นเข ามามาก

2 : ทํ
าใหความช
้ 뇽 ามามาก

นเข ้
3 : ยากต่
อการควบคุ มสภาวะอากาศ
4 : ถู
กทุ
กข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ ความสบายเชงิ
365 : สภาวะใด มี ความรอน
้ (Thermal Comfort) มากที
สุ
ꇾด

1 : 22 CDB/60%RH ความเร็
วลม 0.2 m/s
2 : 24 CDB/60%RH ความเร็
วลม 0.1 m/s
3 : 25 CDB/55%RH ความเร็
วลม 0.2 m/s
4 : 22 CDB/17 CWB ความเร็
วลม 0.1 m/s

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
366 : การออกแบบระบบปรับอากาศและระบายอากาศในอาคารขนาดใหญ่
ทวไป
ัꇾ ควรจะตอง

1 : มี
การนํ
าอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
ข ามาภายในอาคารมากกว่
้ าทีดู ีออกจากอาคาร
ꇾดอากาศเส ย
2 : มี
การนํ
าอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
ข ามาภายในอาคารน
้ อยกว่
้ าที ดู ีออกจากอาคาร
ꇾดอากาศเส ย
3 : มี
การนํ
าอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
ข ามาภายในอาคารเท่
้ ากับที
ดู ีออกจากอาคาร
ꇾดอากาศเส ย
4 : มี
การนํ
าอากาศบริ
สุ
ทธิ
เ⿠
ข ามาภายในอาคารมากกว่
้ าหรือน อยกว่
้ าที ดู ีออกจากอาคาร ไม่
ꇾดอากาศเส ย แตกต่
างกัน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
367 : ข อใดไม่
้ ่ั จจัยที
ใชป บ่
ꇾงบอกการปรับสภาวะเพื
อความสบายของคน

1 : อุ
ณหภูมกิระเปาะแหงของอากาศ

2 : อุ
ณหภูมกิระเปาะเปี
ยกของอากาศ
3 : ความเร็
วของอากาศ
4 : ไม่
มข
ีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

เนื

อหาวิ
ชา : 397 : Energy Efficiency

ข อที
้ ꇾ
368 : เครืองปรั
ꇾ บอากาศเครืองหนึ
ꇾ ꇾงที
ได
ꇾ ฉลากประหยั
้ ดไฟเบอร์
5 มี
ค่ ิธิ
าประส ท ้
ภาพการใชความเย็
น (EER) เท่
ากับ 11 อยากทราบว่
าถาเครื
้ องปรั
ꇾ บอากาศนี

มี
ข นาดทํ
าความเย็

12,000 บี
ทย ี/ูัꇾ จะใชกํ
ชวโมง ้าลังไฟฟ้าเท่
าใด

1 : 320 วัตต์
2 : 917 วัตต์

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 48/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร
3 : 1,091 วัตต์
4 : 1,320 วัตต์

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
369 : ข อใดไม่
้ ี่
มส วนชว่
ยในการประหยัดพลังงานของระบบปรับอากาศ

1 ้ องปรั
: ใชเครื
ꇾ บอากาศที มี ิธิ
ꇾประส ท ภาพสูง
2 ้
: ใชอุ
ปกรณ์ ปรับลดความเร็วรอบของพัดลมเมื
อต ตราการส่
ꇾ องการอั
้ งลมน อยลง

3 : ป้
องกัน ลมรัꇾ
วผ่านกรอบประตู และหน าต่
้ าง
4 : การนํ
าตู เย็
้น มาไวในห
้ องปรั
้ บอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
370 : การทดสอบการรัꇾ
ว เพื
อลดการสู
ꇾ ญเส ยีพลังงานจากการรัꇾ
วของระบบท่
อลม ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่
งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์
มี
แนวทางในการปฏิบั ต ด
ิังนี

ยกเวนข
้ อใด

1 : ท่ ꇾ างานที

อลมซงทํ ความดั
ꇾ น สถิ
ตย์
สูงกว่
า 750 ปาสคาล ตองทํ
้ าการทดสอบการรัꇾ ว ดวยวิ
้ ธกีารที
เป็
ꇾนที
ยอมรั บส ่
ꇾ บ โดยการทดสอบตองทดสอบกั
้ วนของท่
อลมมี
พนที
뇽 อย่
ื ꇾ างน อย
้ 25%
ของพื นที
뇽 ท่
ꇾอลมทังหมด

2 : ท่ ꇾพก

อลมซงมี ิด ้ น 750 ปาสคาลตองแสดงในแบบให
ั ความดัน ใชงานเกิ ้ เห็ ั เจน
้น ชด
3 : อัตราการรัꇾ
วสูงสุดทียอมรั
ꇾ บไดต้องไม่
้ เกิ น ค่
าทีคํ
ꇾานวณจากสมการหรื
อจากตารางที กํ
ꇾาหนดในมาตรฐาน
4 : การทดสอบท่ อลมจะทํ าหลังจากที ได
ꇾ ติ
้ดตังหุ
뇽 มฉนวนเรี
้ ยบรอยแล
้ ว้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ 371 : ข อแนะนํ
้ ้
าในการประหยัดพลังงานในการใชระบบปรั บอากาศและระบายอากาศ ตามมาตรฐานระบบปรับอากาศและระบายอากาศ ของสมาคมวิ
ศวกรรมสถานแห่

ประเทศไทย ในพระบรมราชู
ปถัมภ์
มี
ดังนี

ยกเวนข
้ อใด

1 : ติ
ดตังระบบควบคุ
뇽 뇽 บลมสํ
มลิ
นปรั าหรับเติ
มอากาศจากภายนอก
2 ้ องปรั
: ใชเครื
ꇾ บอากาศที มี ิธิ
ꇾประส ท ภาพไม่ตํ

ากว่
าค่
าทีแนะนํ
ꇾ า
3 : ปิ
ดเครืองปรั
ꇾ บอากาศขณะพักกลางวัน เป็ นเวลาหนึꇾ ัꇾ หรื
งชวโมง อ ทุ
กครังที
뇽 ไม่ ้
ꇾ ใชหองทํ
้ างาน
4 ้
: ใชฉนวนที มี
ꇾค่
าความตานความร
้ อนไม่
้ น อยกว่
้ าค่ าทีแนะนํ
ꇾ า

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
372 : วิ
ธ ใี
ดที
ไม่ ่ารใชงานอุ
ꇾ ใชก ้ ปกรณ์
ในระบบปรับอากาศอย่
างมี ิธิ
ประส ท ภาพ

1 : ควบคุ มความดัน ทางดานคอนเดนเซอร์


้ ใหตํ้

าทีสุ
ꇾด
2 : ควบคุ มความดัน ทางดานอี
้ แวปปอเรเตอร์ใหตํ
้ꇾ
าทีสุ
ꇾด
3 ้มาณลมกลับและปริ
: ใชปริ มาณลมบริสุ
ทธิใ⿠
หเหมาะสม

4 : เดิ
น เครื
องทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็
น ตามลํ
าดับของภาระทีเกิ
ꇾดขึน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
373 : การทยอยเพิ
มภาระ
ꇾ (Soft loading) ใหกั้
บเครื
องทํ
ꇾ านํ
뇽 น สามารถชว่
าเย็ ยการประหยัดพลังงานในแง่
ใด

1 : ทําใหเครื
้ องทํ
ꇾ านํ 뇽
าเย็
น ไม่
เกิ ึหรอเร็
ดการส ก ꇾ าใหลดประส

วซงจะทํ ้ ิธิ
ท ภาพการทํ างาน
2 : ลดความตองการพลั
้ งงานสู งสุ ꇾ

ดในระบบ ซงอาจเกิ ดขึ
นขณะเริ
뇽 มเดิ
ꇾ น เครื
องทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็

3 : ชว่ยใหมอเตอร์
้ ข องคอมเพรสเซอร์ กนิกระแสไฟน อยลง

4 : อุ
ณหภู มน
ิ뇽
ําเย็
น จะไม่
ลดตํ ꇾ
าลงอย่
างรวดเร็ ꇾ นอัน ตรายต่

ว ซงจะเป็ อเครืองทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
374 : ทํ
าไมการเพิ
มอุ
ꇾ ณหภู
มน
ิ뇽
ําเย็
น ใหสู
้ 뇽 งส่
งขึ
นจึ งผลใหเกิ
้ดการประหยัดพลังงาน

1 : สารทํ
าความเย็น มีอณุหภู
มลิดลงโดยอัตโนมัต ิ
เครื
องจึ
ꇾ งทํางานลดลง
2 : ความดัน ของสารทํ าความเย็
น ทางดานเครื
้ องระเหย
ꇾ (Evaporator) ลดลง เครืองต
ꇾ องการพลั
้ งงานในการอัดลดลงดวย

3 : ความดัน ของสารทํ าความเย็
น ทางดานเครื
้ องระเหย
ꇾ (Evaporator) เพิ
มขึ
ꇾ น
뇽เครื
องต
ꇾ องการพลั
้ งงานในการอัดลดลงดวย

4 : สารทํ
าความเย็น รับความรอนได
้ น้อยลง
้ เครื องจึ
ꇾ งทํ างานน อยลง

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ ꇾ บอากาศแบบแยกส่
375 : เครื
องปรั วน เบอร์
4 มี
ค่ ิธิ
าประส ท ภาพการใหความเย็
้ น (EER) ไม่
ตํ

ากว่
าเท่
าไร

1 : 10.6
2 : 9.6
3 : 8.6
4 : 7.6

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ
376 : วิ
ธก
ีารควบคุ
มความดัน ทางดานคอนเดนเซอร์
้ ใหตํ
้ꇾ
าลงเพื
อการประหยั
ꇾ ดพลังงานกระทํ
าไดโดยวิ
้ ธ ใี

1 ้มาณสารทํ
: ใชปริ าความเย็น น อยเท่
้ าที ต
ꇾองการ

2 : ลดอุณหภูมนิ

ําระบายความรอนลง

3 : เพิ
มอุ
ꇾ ณหภูมน
ิ 뇽

าเย็น ใหสู
้งขึ


4 : เดิ
น ท่
อนํ

ายาใหส้ ันเท่
뇽 าทีจะทํ
ꇾ าได ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 49/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

ข อที
้ ꇾ
377 : เกณฑ์
การออกแบบเพื
อการอนุ
ꇾ รักษ์
พลังงานกํ
าหนดค่ 뇽 ัมพัทธ์

าความชนส ตํ

าสุดในการออกแบบสํ
าหรับสภาวะภายในอาคารไวที
้เท่
ꇾ าไร

1 : 55 % RH
2 : 50 % RH
3 : 45 % RH
4 : 40 % RH

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
378 : ตามเกณฑ์
ข อกํ
้าหนดในการออกแบบเพื
อการอนุ
ꇾ รักษ์
พลังงานระบุ
ไวว่
้าเครื
องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น ควรจะมี
อย่
างน อย
้ 2 ชุ
ดเมื
อขนาดของการทํ
ꇾ าความเย็
น มากกว่
าเท่
าไร

1 : 400 kW
2 : 450 kW
3 : 500 kW
4 : 600 kW

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
379 : เครื
องทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็
น แบบหอยโข่งแบบระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
า ขนาดการทํ
าความเย็
น 1,000 ตัน ความเย็
น ตองมี
้ ค่ากิ
โลวัตต์
ต่
อตัน ความเย็
น ไม่
เกิ
น เท่
าใดเพื
อให
ꇾ ผ่

านเกณฑ์
ตามทีꇾาหนดใน พ.ร.บ.การส่
กํ งเสริ
มการอนุ
รักษ์
พลังงาน

1 : 0.7 กิ
โลวัตต์
ต่
อตัน ความเย็

2 : 0.8 กิ
โลวัตต์
ต่
อตัน ความเย็

3 : 0.9 กิ
โลวัตต์
ต่
อตัน ความเย็

4 : ไม่
มขีอใดถู
้ ก

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
380 : ค่
าการถ่
ายโอนความรอนรวบยอด
้ (OTTV) และค่
าการถ่
ายโอนความรอนของหลั
้ งคา (RTTV) ขันตําสํ
뇽 ꇾ าหรับอาคารสรางใหม่
้ ตองไม่
้ เกิ
น เท่
าใด

1 : OTTV = 45 และ RTTV= 25 วัตต์


ต่
อตารางเมตร
2 : OTTV = 25 และ RTTV= 45 วัตต์
ต่
อตารางเมตร
3 : OTTV = 30 และ RTTV= 20 วัตต์
ต่
อตารางเมตร
4 : OTTV = 20 และ RTTV= 30 วัตต์
ต่
อตารางเมตร

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 1

ข อที
้ ꇾ
381 : เครื
องปรั
ꇾ บอากาศที
ได
ꇾ รั้
บฉลากประหยัดไฟเบอร์
5 ตองมี ิธิ
้ ประส ท ภาพการใหความเย็
้ น (EER) ไม่
น อยกว่
้ าเท่าใด

1 : 7.6
2 : 8.6
3 : 9.6
4 : 10.6

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
382 : อาคารใด เข าข่
้ายเป็ ม ตาม พ.ร.บ. การส่
นอาคารควบคุ งเสริ
มการอนุ
รักษ์
พลังงาน

1 : อาคารที
มี
ꇾพนที
뇽 ขนาด
ื ꇾ 10,000 ตารางเมตรขึ นไป

2 : อาคารที
ติ
ꇾดตังหม
뇽 อแปลงขนาด
้ 1,175 kVA ขึนไป

3 : อาคารที
ติ
ꇾดเครื
องปรั
ꇾ บอากาศรวม 500 ตัน ขึ นไป

4 : อาคารที
เปิ ้
ꇾดใชงานหลั งเดื
อนธัน วาคม พ.ศ. 2538

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

ข อที
้ ꇾ383 : ตาม พ.ร.บ. การส่
งเสริ
มการอนุ
รักษ์
พลังงาน มี
การออกกฎกระทรวง บัญญัตใิ
หอาคารควบคุ
้ มตองติ
้ ดตังเครื
뇽 องปรั
ꇾ บอากาศที
มี ิธิ
ꇾมาตรฐานประส ท ภาพพลังงานตามที
กํ
ꇾาหนด
ไว ้
ข อใดต่
้ อไปนี 뇽
ปฏิบัตไิดอย่
้างถูกตอง

1 : ติ
ดตังเครื
뇽 องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบเกลียว ระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
า (Water­ Cooled Screw Chiller) ขนาด 150 ตัน ความเย็ น กิน ไฟ 0.75 กิโลวัตต์ต่
อตัน ความเย็ น
2 : ติ
ดตังเครื
뇽 องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบหอยโข่ ง ระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
า (Water­Cooled Centrifugal Chiller) ขนาด 300 ตัน ความเย็ น กิ
น ไฟ 0.75 กิโลวัตต์ต่อตัน ความเย็

3 : ติ
ดตังเครื
뇽 องทํ
ꇾ านํ

าเย็
น แบบลูกสูบ ระบายความรอนด
้ วยอากาศ
้ (Air­Cooled Reciprocating Chiller) ขนาด 100 ตัน ความเย็น กิน ไฟ 1.20 กิ
โลวัตต์ต่อตัน ความเย็

4 : ติ ꇾ บอากาศแยกส่
ดตังเครื
뇽 องปรั วน ระบายความดวยอากาศ
้ (Air­Cooled Split Type Air­Conditioner) ขนาด 2 ตัน ความเย็น กิ
น ไฟ 1.50 กิโลวัตต์ต่อตัน ความเย็

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

384 : การส่
ข อที
้ ꇾ งผ่
านความรอนในรู
้ รังส ี
ปแบบของการแผ่ ้
ใชวิ
ธ ใี

1 : การสะทอนความร
้ อน

2 : การส่
งถ่
ายมวลความรอน

3 : การส่
งพลังงานคลืนแม่
ꇾ เหล็
กไฟฟ้

4 : การพาความรอน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
385 : สภาวะอากาศน่
าสบายขึ
นกั ꇾํ
뇽 บปั จจัยที
ส าคัญอะไรบาง

1 : อุ
ณหภู
มิ

2 : ความชน 뇽

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 50/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร


2 : ความชน
3 : อุ
ณหภูมแ
ิละความชน뇽

4 : อุ
ณหภูมิ 뇽ความเร็

ความชน วลม การหมุ
น เวี
ยนอากาศ อุ
ณหภู
มจิ รังส ี
ากการแผ่ คุ
ณภาพอากาศ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
386 : อุ
ณหภู
มจิ
ากการแผ่ ีวามรอน
รังส ค ้ (Mean Radiant Temperature – MRT) คื
ออะไร

1 : เป็
นอุ
ณหภู
มท
ิวัี

ดไดด้วยเทอร์
้ โมมิ
เตอร์ปกติ
2 : เป็
นอุ
ณหภู
มท
ิวัี

ดที ผิ
ꇾวกระจกหรื
อผนั งอาคาร
3 : เป็
นอุ
ณหภู
มท
ิรู

ีส้ึไดที
ก ้เกิ
ꇾดจากผลของการแผ่ ีวามรอน
รังส ค ่จากความเข มของแสงแดด
้ เชน ้
4 : เป็
นอุ
ณหภู
มท
ิรู

ีส้ึไดที
ก ้เกิ
ꇾดจากผลของการแผ่ ีวามรอน
รังส ค ่จากผิ
้ เชน วของกระจกหรือหลังคาที
รꇾ
อน

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
387 : การทํ
าความเย็
น แบบจ่
ายพื
นที
뇽 กว ้ (District Cooling) ชว่
ꇾ าง ยในการประหยัดพลังงานอย่
างไร

1 : เป็นระบบทีใช ้ กการเฉลี
ꇾ หลั ยภาระ(Load
ꇾ Sharing)
2 : ในกรณี ทมี ้ างเวลา(Mixed Use) ทํ
ꇾลักษณะการใชงานต่
ี าใหสามารถลดขนาดระบบทํ
้ าความเย็

3 : เหมาะกับกลุ ่
มอาคารทีอยู
ꇾ ห
่า่
งๆกัน
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ ꇾ บอากาศแบบแยกส่
388 : เครื
องปรั วน (Split Type) เหมาะกับอาคารสํ
านั กงานขนาดใหญ่
หรื
อไม่

1 : เหมาะ หากเลื ้ องปรั


อกใชเครื
ꇾ บอากาศเบอร์ 5 หรื
อ6
2 : เหมาะ เพราะสามารถปิ
ดเปิดไดโดยอิ
้ ส ระ
3 : ไม่
เหมาะ เพราะไม่
มก
ีารเฉลียภาระ
ꇾ (Load Sharing)
4 : ไม่
เหมาะ เพราะค่
าติ
ดตังระบบสู
뇽 งกว่าระบบอื

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
389 : เหตุ
ใด เครื
องปรั
ꇾ บอากาศชนิ
ดระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
าประหยัดไฟมากกว่
าชนิ
ดระบายความรอนด
้ วยอากาศ

1 : การระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
าโดยทัวไปมี ิธิ
ꇾ ประส ท ภาพโดยรวมมากกว่า โดยเฉพาะอย่ ꇾ ํ
างยิ
งส าหรับระบบปรับอากาศตังแต่
뇽 ข นาดกลางขึ
นไป

2 : การระบายความรอนด
้ วยอากาศทํ
้ าใหอากาศโดยรอบอาคารร
้ อนขึ
้ น뇽
3 : ไม่แน่เพราะการระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
าตองเปลื
้ องไฟและนํ
뇽 มสํ
าเติ าหรับระบบนํ

าระบายความรอน้
4 : ข อ้1 และ 2

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
390 : เหตุ
ใดจึ
งไม่
ควรติ
ดตังพั
뇽 ดลมระบายอากาศในหองปรั
้ บอากาศทัวไป

1 : พัดลมระบายอากาศมักจะมี ข นาดใหญ่
เกิ
น ไป
2 : ทําใหสภาพความดั
้ น ในหองเป็
้ นลบ
3 : หองปรั
้ บอากาศในปั จจุ บัน หามไม่
้ ใหมี้
การสูบบุ
หรี
แล
ꇾ ว้จึ
งไม่
มค
ีวามจํ
าเป็
นอี
กต่
อไป
4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
391 : ประโยชน์
ข องระบบการทํ
าความเย็
น แบบจ่
ายพื
นที
뇽 กว
ꇾ าง อส่
้ (District Cooling) ต่ วนรวมคื
ออะไร

1 : ชว่
ยลดความตองการไฟฟ้
้ าของโครงการ
2 : ชว่
ยลดความจําเป็ าและระบบส่
นในการสรางโรงไฟฟ้
้ ง
3 : ชว่
ยลดการนําเข าของอุ
้ ปกรณ์การทํ
าความเย็

4 : ถู
กทุกข อ้

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 4

ข อที
้ ꇾ
392 : การประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศวิ
ธไ
ีหนไดผลดี
้ มากที
สุ
ꇾด

1 : ปิ
ดเครื
องปรั
ꇾ บอากาศตอนพักเทียง

2 : เลื ้ องปรั
อกใชเครืꇾ บอากาศเบอร์
5
3 : ลดภาระการปรับอากาศ
4 ้ องปรั
ꇾ บอากาศแบบแยกส่
: ใชเครื วน (Split Type)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
393 : เครื
องปรั
ꇾ บอากาศชนิ
ดใดมี ิธิ
ประส ท ภาพสู
งสุ

1 ꇾ บอากาศแบบแยกส่
: เครื
องปรั วน ระบายความรอนด
้ วยอากาศ
้ (Air­cooled split type air conditioner)
2 ꇾ บอากาศแบบรวมส่
: เครื
องปรั วน ระบายความรอนด
้ วยอากาศ
้ (Package air­cooled air conditioner)
3 : เครื
องทํ
ꇾ านํ뇽
าเย็
น ระบายความรอนด
้ วยนํ
้ 뇽
า (Water­cooled chiller)
4 : เครื
องปรั
ꇾ บอากาศแบบตัดหน าต่้ าง (Window type air conditioner)

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 3

ข อที
้ ꇾ
394 : ข อใดถู
้ กตองทีꇾด สํ
้ สุ าหรับการประหยัดพลังงาน

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 51/52
29/12/2558 สภาวิ
ศวกร

1 : เมื
อเริ
ꇾ มเปิ
ꇾ ดเครืองปรั
ꇾ บอากาศในบาน
้ ควรปรับเทอร์
โมสตัทที
อุ
ꇾณหภู มิ ีส และปรับความเร็
23 องศาเซลเซย วพัดลมระดับตํ


2 : เมื
อเริ
ꇾ มเปิ
ꇾ ดเครืองปรั
ꇾ บอากาศในบาน
้ ควรปรับเทอร์
โมสตัทที
อุ
ꇾณหภู มิ ีส และปรับความเร็
27 องศาเซลเซย วพัดลมระดับสู

3 : ควรถอดแผงกรองอากาศของเครืองปรั
ꇾ บอากาศมาทํ าความสะอาด อย่างน อย
้ ปี
ละ 1ครัง뇽
4 : ควรเลือกเครื
องปรั
ꇾ บอากาศใหใหญ่
้ กว่าความตองการ
้ จะไดกิ
้น ไฟน อยๆ

คํ
าตอบที
ถู
ꇾกตอง
้: 2

http://www.coe.or.th/coe/main/coeHome.php?aMenu=701012&aSubj=50&aMajid= 52/52

You might also like