Professional Documents
Culture Documents
รายงานการวิ จัย
คุณสมบัติแป้ งข้าวที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์จากข้าวพันธุ์ต่างๆ
เพื่อใช้ ในอาหารเพื่อสุ ขภาพ
(Resistant Starch Properties from Rice Varietiesfor Functional Foods)
รายงานการวิ จัย
คุณสมบัติแป้ งข้าวที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์จากข้าวพันธุ์ต่างๆ
เพื่อใช้ ในอาหารเพื่อสุ ขภาพ
(Resistant Starch Properties from Rice Varietiesfor Functional Foods)
คณะผู้ วิจัย
หั วหน้ าโครงการ
ผู้ ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุ นันทา ทองทา
สาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร สานั กวิ ชาเทคโนโลยีการเกษตร
กิตติกรรมประกาศ
คณะผูว้ ิจยั ขอขอบคุณมหาวิ ทยาลัย เทคโนโลยี สุร นารี ที่ ใ ห้งบประมาณทุน อุ ด หนุ น วิ จยั
ประจาปี งบประมาณ 2551-2552 ทาให้ผลงานวิ จยั โครงการนี้ เกิ ด ขึ้ น ได้ ขอขอบคุ ณ ศูน ย์วิจยั ข้าว
ปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ศูนย์วิจยั ข้าวขอนแก่น จังหวัดขอนแก่ น และสานัก วิ จยั และพัฒ นาข้าว
กรมการข้าว สังกัด กระทรงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ใ ห้ค วามอนุ เคราะห์ ข ้าว เพื่ อ ใช้ใ นงานวิ จ ัย
ขอขอบคุ ณศูน ย์เ ครื่ อ งมื อ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยี สุ ร นารี สาหรั บอาคาร สถานที่ และ
เครื่ องมือในการวิจยั และงานวิ จยั นี้ ค งไม่สาเร็ จหากขาดผู ้ช่ วยวิ จยั เหล่ านี้ คื อ นางสาววรวิ ก ัล ยา
เกี ยรติ์พงษ์ลาภ และ นางสาวอริ ญา ลาภโคกสู ง จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
คณะผูว้ ิจยั
ข
บทคัดย่อ
ต่อเอนไซม์ที่เตรี ยมจากสภาวะความเข้มข้นของแข็งร้อยละ 10 เก็บที่อุ ณหภูมิ 25 องศาเซลเซี ย ส มี
ลักษณะเป็ นก้อนรูปร่างไม่แน่นอน (aggregate) ปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์และค่ าเอนทาลปี
สู งขึ้ นสัมพันธ์กบั การกระจายสายโซ่ ย าวของสตาร์ ช ตัด กิ่ ง แสดงผลึ ก รู ปแบบ C+Vh และแสดง
อุณหภูมิหลอมเหลวสองช่วงที่ประมาณ 88 และ 110-120 องศาเซลเซี ย ส สัมพัน ธ์ ก ับการตกผลึ ก
ของสายโซ่ส้ นั และ amylose-lipid complex ตามลาดับ สาหรับการเตรี ย มแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ที่
สภาวะความเข้มข้นของแข็งร้อยละ 21 สามารถผลิ ตแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ได้สูงถึ งร้อยละ 55 จาก
การเก็บที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ของข้าวสตาร์ ชพันธุ์กข 6 แสดงรู ปแบบผลึ ก A และอุ ณหภูมิ
หลอมเหลวสูงที่ 110 องศาเซลเซียส โดยปริ มาณสายโซ่ยาวของสตาร์ ชตัดกิ่ งไม่เป็ นปัจจัย สาคัญ ต่ อ
ปริ มาณและคุณสมบัติทางเคมีกายภาพของแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์จากการเตรี ยมที่สภาวะนี้
ง
สารบัญ
หน้ า
กิ ตติ กรรมประกาศ ก
บทคัดย่อ (ภาษาไทย) ข
สารบัญ ง
สารบัญตาราง ช
สารบัญภาพ ญ
บทที่ 1 บทนา 1
1.ความสาคัญและที่มาของปัญหาที่ ทาการวิจยั 1
2. วัตถุประสงค์ของโครงการวิจยั 3
3. วรรณกรรมและทบทวนเอกสารที่เกี่ ยวข้อง 3
3.1 สตาร์ช 3
3.2 โครงสร้างและองค์ประกอบของสตาร์ ช 4
3.3 ประเภทของสตาร์ ช 8
3.4 สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยของเอนไซม์ 10
3.5 การเกิด resistant starch type III (RS3) 12
3.6 ทฤษฎีการเกิดรี โทรเกรเดชันและการเกิ ดผลึก 14
3.7 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิ ด RS3 17
3.8 ประโยชน์ของแป้ งที่ ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์
22
บทที่ 2 วิธีดาเนินการวิจัย 25
ตอนที่ 1 25
2.1.1 วัตถุดิบและสารเคมี 25
2.1.2 การจาแนกประเภทข้าวพันธุ์ต่างๆ 28
2.1.3 การเตรี ยมสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 27
2.1.4 การศึกษาคุณสมบัติของสตาร์ ชข้าว 27
2.1.5 การวิเคราะห์กิจกรรมของเอนไซม์ 28
2.1.6 การแยกอะมิโลสออกจากตัวอย่างสตาร์ ชข้าว 30
2.1.7 การเตรี ยมสตาร์ ชสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ ง 30
2.1.8 β–amylolysis limit ของสตาร์ ชตัดกิ่ ง 31
จ
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
2.1.9 การวิเคราะห์ ปริ มาณสตาร์ ชที่ ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ 32
2.1.10 การตรวจสอบลักษณะโครงสร้างทางผลึ ก 32
2.1.11 การตรวจวัดคุณสมบัติทางความร้อน 33
2.1.12 การศึกษาจลนพลศาสตร์ การเกิ ดรี โทรเกรเดชันด้วยเครื่ อง
Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FTIR) 33
2.1.13 การวิเคราะห์ผลทางสถิ ติ 34
ตอนที่ 2 34
2.2.1 วัตถุดิบและสารเคมี 34
2.2.2 การเตรี ยมแป้ งข้าวและการแยกสตาร์ ชข้าว 35
2.2.3 การเตรี ยมแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ (Resistant starch, RS) 35
2.2.4 การวิเคราะห์ ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ 36
2.2.5 ตรวจสอบคุณสมบัติทางโครงสร้าง 36
2.2.6 การตรวจสอบคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ 37
2.2.7 การวิเคราะห์ผลทางสถิ ติ 38
บทที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการอภิปรายผล 39
ตอนที่ 1 39
3.1.1 องค์ประกอบทางเคมีและโครงสร้างทางเคมีของสตาร์
ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 39
3.1.2 ปริ มาณอะมิโลสของสตาร์ ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 39
3.1.3 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ นของสตาร์ ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 42
3.1.4 ชนิ ดของเอนไซม์ตดั กิ่ งต่อระดับการตัดกิ่ ง 44
3.1.5 ผลของโครงสร้างสตาร์ ชข้าวต่อปริ มาณ RS 49
3.1.6 ลักษณะโครงสร้างผลึกของสตาร์ ชตัดกิ่ ง 50
3.1.7 คุณสมบัติทางความร้อน 52
3.1.8 การติดตามจลนพลศาสตร์ ของกระบวนการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน 59
3.1.9 ผลของโครงสร้างอะมิโลเพคติ นต่อการเกิ ด RS3 64
ตอนที่ 2 83
3.2.1 คุณสมบัติทางโครสร้างของสตาร์ ชตัดกิ่ ง 83
ฉ
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
3.2.2 ผลของพันธุ์ขา้ วต่อการสร้างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ในสตาร์ ชตัดกิ่ ง
ที่สภาวะความเข้มข้นของการเตรี ยมเจลต่ า 88
3.2.3 คุณสมบัติทางผลึก คุณสมบัติทางความร้อนและลักษณะโครงสร้างจุลภาค
ของผลิตภัณฑ์แป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ 90
3.2.4 ผลของพันธุ์ขา้ วและอุณหภูมิต่อการสร้างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ใน
สตาร์ ชตัดกิ่ งที่สภาวะความเข้มข้นของการเตรี ยมเจลสู ง 94
3.2.5 คุณสมบัติทางผลึกและคุณสมบัติทางความร้อนของผลิ ตภัณฑ์
แป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ 95
บทที่ 4 บทสรุป 99
บรรณานุกรม 101
ภาคผนวก 106
ประวัติผวู้ ิจยั 112
ช
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้ า
1.1 ประเภทของสตาร์ชในอาหารเมื่อพิ จารณาตามความสามารถในการถูกย่อย 10
2.1 คุณลักษณะบางประการของสารประกอบเชิ งซ้อนที่ เกิ ดจากการทาปฏิ กิริยากับ
ไอโอดีนของสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ และ สตาร์ ชข้าวที่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์
Isoamylase และทาการแยกตามขนาดด้วย gel permeation chromatography (GPC)
จากสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 26
2.2 Gradient program ของเครื่ อง High Performance Anion Exchange Chromatography
with Pulse Amperometric Detector (HPAEC-PAD) 29
3.1 องค์ประกอบทางเคมีและโครงสร้างทางเคมีของสตาร์ ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 39
3.2 ปริ มาณอะมิโลสของสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 40
3.3 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution
of amylopectin) ของสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ 43
3.4 ปริ มาณ RS ของ retrograded pullulanase debranched starch: RPDS และปริ มาณ RS
ของ retrograded pullulanase+ Isoamylase debranched starch: RPIDS ที่เกิ ดรี โทรเกร
เดชันที่อุณหภูมิ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมงของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 (กข 6), P2
(พิษณุโลก 2) และ S90 (สุพรรณบุรี 90) 50
3.5 ปริ มาณความเป็ นผลึกและรูปแบบผลึ กของ native starch และ retrograded
pullulanase debranched starch: RPDS และปริ มาณ RS ของ retrograded
pullulanase+Isoamylase debranched starch: RPIDS ที่ เกิ ดรี โทรเกรเดชันที่อุณหภูมิ
4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมงของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 (กข 6), P2 (พิ ษณุโลก 2)
และ S 90 (สุพรรณบุรี 90) 51
3.6 คุณสมบัติทางความร้อนในการเกิ ดเจลาติ ไนเซชัน ชันของสตาร์ ชที่ปราศจาก
อะมิโลส (Free amylose starch : FAM) ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลู าเนส
ร่วมกับเอนไซม์ไอโซอะมิเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS)
ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90 56
3.7 ค่า Avrami exponent (n) และrate constant(k) ของสตาร์ ชข้าวที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วย
เอนไซม์พลูลูลาเนสร่วมกับไอโซอะไมเลสและบ่มที่อุณหภูมิ 4 oซ เป็ นเวลา 24
ชัว่ โมง ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามสายพันธุ์ RD 6 (กข 6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ S 90 63
ซ
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้ า
3.8 ปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลืออยูใ่ นตัวอย่างหลังการชะล้างอะมิโลส (Amylose
leaching) ของสตาร์ ชทั้งสามพันธุ์ 67
3.9 ปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลืออยูใ่ นตัวอย่างหลังการชะล้างอะมิโลส (Amylose
leaching) ร่วมกับการล้างตะกอนด้วยน้ าร้อนของสตาร์ ชทั้งสามพันธุ์ 68
3.10 ปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลืออยูใ่ นสตาร์ ชข้าวพันธุ์ พิ ษณุโลก 2 หลังการชะล้าง อะ
มิโลส (Amylose leaching) โดยใช้สารละลายด่างร่ วมกับการล้างตะกอนด้วยน้ าร้อน 70
3.11 ปริ มาณอะมิโลสหลังทาการกาจัดอะมิโลส (Leaching amylose) 71
3.12 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin) ของสตาร์ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch: FAM) 73
3.13 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin) ของสตาร์ช กข 6 ที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch: FAM)
ด้วยน้ าและ NaOH 75
3.14 สมบัติทางความร้อนของสตาร์ ชข้าวที่ปราศจากอะมิโลส(Free amylose starch: FAM)
ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 ( กข6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ S 90 (สุ พรรณบุรี 90) 78
3.15 ปริ มาณ RS ของสตาร์ชที่ปราศจากอะมิโลส(Free amylose starch: FAM)และตัดกิ่ ง
ด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่วมกับเอนไซม์ไอโซ อะไมเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24
ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 (กข 6 ), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ
S90 (สุพรรณบุรี 90) 79
3.16 ปริ มาณความเป็ นผลึกและรูปแบบของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free- amylose
starch: FAM) ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่ วมกับเอนไซม์ ไอโซอะ
ไมเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6
( กข 6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 81
3.17 สมบัติทางเทอร์โมไดนามิกในการเกิ ดเจลาติ ไนเซชัน ชันของสตาร์ ชที่ปราศจากอะ
มิโลส(Free amylose starch: FAM)ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่ วมกับ
เอนไซม์ไอโซอะไมเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ช
ข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 ( กข 6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ S 90 (สุ พรรณบุรี 90) 81
ฌ
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้ า
3.18 ข้อมูลการกระจายน้ าหนักโมเลกุลของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งตรวจวิเคราะห์โดย
HPSEC-MALLS-RI 85
3.19 ข้อมูลการกระจายสายโซ่อะมิโลเพคติ นของสาร์ ชข้าวตัดกิ่ งตรวจวิเคราะห์โดย
HPAEC-PAD 88
3.20 ระดับการย่อย เบต้าอะมิโลไลซิ สลิ มิต และปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ของ
ตัวอย่างแป้ งตัดกิ่ งความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25๐ซ 90
3.21 ปริ มาณผลึก อัตราส่วนของชนิ ดผลึกและขนาดผลึ กของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อ
เอนไซม์ที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่
อุณหภูมิ 25 ๐ซ 92
3.22 ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ในสตาร์ ชตัดกิ่ งที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้น
ร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก อุณหภูมิการเก็บ25 ๐ซ และ 50 ๐ซ 95
3.23 ปริ มาณผลึก อัตราส่วนของชนิ ดผลึกและขนาดผลึ ก ของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อ
เอนไซม์ในสตาร์ ชตัดกิ่ งที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก
อุณหภูมิการเก็บ 25 ๐ซ และ 50 ๐ซ 97
ญ
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้ า
1.1 โครงสร้างอะมิโลสและโครงสร้างอะมิโลเพคติ น 5
1.2 ลักษณะโครงสร้างแบบกึ่ งผลึ กของเม็ดสตาร์ ช 8
1.3 โครงสร้างทางผลึกชนิด A และ Bรู ปแบบการเลี้ ยวเบนของรังสี เอ็กซเรย์ของ
สตาร์ชที่มีลกั ษณะโครงสร้างทางผลึ กแบบ A, B และ Vh 9
1.4 ลักษณะโครงสร้างของ RS แต่ละชนิ ด 11
1.5 ลักษณะโครงสร้างของ RS 3 ในสารละลายอะมิโลส (a) แบบจาลอง Micelle : สาย
เกลียวคู่ถูกจัดเรี ยงตัวอย่างเป็ นระเบีย บในส่ วนโครงสร้างที่เป็ นผลึ ก (C)
นอกเหนือจากบริ เวณที่เป็ นอสัณฐาน (b) แบบจาลอง Lamella : โครงสร้าง
Lamella ถูกสร้างขึ้ นจากการพับของสายโซ่ โดยพื้ นที่ส่วนที่พบั ตัวเป็ นส่ วนอ
สัณฐาน (A) ขณะที่ส่วนกลางของ Lamella คื อ ส่ วนที่เป็ นผลึ ก (C) 13
1.6 กราฟเศษส่วนผลึกกับล็อกของเวลาของ polypropylene ที่อุณหภูมิต่างๆ 16
1.7 แสดงลักษณะการทางานของเอนไซม์แต่ละชนิ ดในการย่อยสตาร์ ช 19
3.1 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin) ของสตาร์ชข้าวพันธุ์ กข 6 (a), พิ ษณุโลก 2 (b), และสุ พรรณบุรี 90 (c) 44
3.2 ระดับการตัดกิ่ งของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลลู าเนส (Pullulanase debranched
starch : PDBS) และสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะไมเลส
(Pullulanase+ Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์
ชข้าวทั้งสาม
พันธุ์ RD6 (กข 6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 46
3.3 ระดับการย่อยของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลูลาเนสเพี ยง ( Pullulanase debranched
starch : PDBS) และสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะไมเลส
(Pullulanase+ Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสาม
พันธุ์ RD6 ( กข 6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 47
3.4 ค่า - amylolysis limit ของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลลู าเนสเพี ยง (Pullulanase
debranched starch : PDBS) และสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพลูลูลาเนสร่ วมกับไอโซ
อะไมเลส(Pullulanase+ Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์ ชข้าว
ทั้งสามพันธุ์ RD6 (กข 6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 48
ฎ
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้ า
3.5 ลักษณะโครงสร้างผลึกของ Native starch (a) และretrogradedpullulanase
debranched starch: RPDS) และ retrograded pullulanase+ Isoamylase debranched
starch: RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทัง้ สามพันธุ์ RD6 (กข 6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ
S90 (สุพรรณบุรี 90) 57
3.6 เทอร์โมแกรมการเกิดเจลาติไนเซชัน (a) native starch และ(b) retrograded-
pullulanase debranched starch: RPDS) และ retrograded pullulanase+ Isoamylase
debranched starch: RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 ( กข 6), P2
(พิษณุโลก 2) และ S90 (สุพรรณบุรี 90) 58
3.7 สเปกตรัมการดูดกลืนแสงที่วิเคราะห์ดว้ ยเครื่ อง FTIR ของสตาร์ ชข้าวที่ผ่านการ
ตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลลู าเนสร่ วมกับไอโซอะไมเลสและบ่มที่อุณหภูมิ 4 oซ เป็ น
เวลา 24 ชัว่ โมงที่ร ะยะเวลาต่างๆ ของสตาร์ ชข้างทั้งสามสายพันธุ์ (a) RD 6 ( กข
6), (b) P2 (พิษณุโลก 2) และ (c)S 90 (สุ พรรณบุรี 90) 61
3.8 ค่าสัดส่วนอัตราส่วนของค่าการดูดกลื นแสงที่ 1047 ต่อ 1037 cm-1ของสตาร์ ชข้าว
ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะไมเลสและบ่มที่อุณหภูมิ
4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ (a) RD6 (กข 6), (b) P2
(พิษณุโลก 2) และ (c) S90 (สุ พรรณบุรี 90) ที่ เวลาต่างๆ 62
3.9 กราฟของ log [-ln(EL-Et)/(EL-Eo)] ต่อ log t ตามสมการ Avrami ของสตาร์ ชข้าวที่
ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะไมเลสและบ่มที่อุณหภูมิ
4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง ของสตาร์ ชข้างทั้งสามพันธุ์ (a) RD6 ( กข 6), (b) P2
(พิษณุโลก 2) และ (c) S90 (สุ พรรณบุรี 90) 65
3.10 กราฟมาตรของการวิเคราะห์ปริ มาณอะมิโลสที่ข้ ึ นกับค่าพลังงาน
ที่ใช้ในการหลอมเหลว (melting enthalpies) ของสารประกอบเชิ งซ้อนระหว่างอะ
มิโลสและไขมัน 72
3.11 เทอร์โมแกรมการเกิดเจลาติไนเซชัน ของสารประกอบเชิ งซ้อนระหว่างสตาร์ ชข้าว
ทีป่ ราศจากอะมิโลส(Free amylose starch: FAM)กับไขมัน LPCของสตาร์ ชข้าวทั้ง
สามพันธุ์ RD6 (กข6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 72
ฏ
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้ า
3.12 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin)ของสตาร์ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch: FAM) ของ
สตาร์ช (a) ข้าวพิษณุโลก 2 และ (b) สุ พรรณบุรี 90 74
3.13 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin)ของสตาร์ช กข 6 ที่ปราศจากอะมิโลส(Free amylose starch: FAM)
ด้วย (a) น้ า และ (b) NaOH 76
3.14 ลักษณะโครงสร้างผลึกของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylosestarch:
FAM)ทัง้ สามพันธุ์ RD6 (กข6), P2 (พิ ษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 77
3.15 เทอร์โมแกรมการเกิดเจลาติไนเซชัน สตาร์ ชข้าวที่ ปราศจากอะมิโลส (Free
amylose starch: FAM) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6 (กข6), P2 (พิ ษณุโลก 2)
และ S90 (สุพรรณบุรี 90) 77
3.16 ลักษณะโครงสร้างผลึก ของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch:
FAM) ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่ วมกับเอนไซม์ไอโซอะไมเลส
และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6
(กข 6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 80
3.17 เทอร์โมแกรมการเกิดเจลาติไนเซชัน RS ของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free
amylose starch: FAM)ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พลูลูลาเนสร่
วมกับเอนไซม์ไอ
โซอะไมเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทัง้ สาม
พันธุ์ RD6 (กข 6), P2 (พิษณุโลก 2) และ S90 (สุ พรรณบุรี 90) 82
3.18 การการกระจายน้ าหนักโมเลกุลของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งตรวจวิเคราะห์โดย HPSEC-
MALLS-RI โดยเส้นทึบแสดงถึ งน้ าหนักโมเลกุล (molar mass) และเส้นบางแสดง
การตอบสนองของ RI detector 84
3.19 การกระจายสายโซ่อะมิโลเพคติ นของสาร์ ชข้าวตัดกิ่ งตรวจวิเคราะห์โดย HPAEC-
PADโดย (ก) คือสตาร์ชข้าวตัดกิ่ งจากข้าวพันธ์ กข6 (ข) คื อสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจาก
ข้าวพันธุ์พิษณุโลก 1 (ค) คื อสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจากข้าวพันธุ์พิษณุโลก 2 และ (ง) คื อ
สตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจากข้าวพันธุ์ชยั นาท 1 87
ฐ
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้ า
3.20 X-ray diffraction pattern ของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ที่สภาวะการเตรี ยม
เจลความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25 ๐ซ 91
3.21 thermogramของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ที่สภาวะการเตรี ยมเจลความ
เข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25 oซ 93
3.22 ลักษณะโครงสร้างจุลภาคของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ (A) RS-RD6 (B)
RS-P1 (C) RS-P2 (D) RS-CN1 ที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 10 โดย
น้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25 ๐ซ 94
3.23 X-ray diffraction pattern ของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ในสตาร์ ชตัดกิ่ งที่
สภาวะการเตรี ย มเจลความเข้มข้นร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก อุณหภูมิการเก็บ 25๐ซ
และ 50๐ซ 97
3.24 thermogramของตัวอย่างแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ ใ นสตาร์ ช ตัด กิ่ งที่ สภาวะการ
เตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก อุณหภูมิการเก็บ 25 ๐ซ และ 50 ๐ซ 98
1
บทที่ 1
บทนา
1. ความสาคัญและที่มาของปัญหาที่ ทาการวิ จัย
ข้า วเป็ นพื ช เศรษฐกิ จ ที่ มีค วามส าคั ญ มากของประเทศไทย ทั้ง ในด้ า นการบริ โภค
ภายในประเทศและการส่งออกไปในตลาดโลก โดยในปี พ.ศ. 2547 ประเทศไทย มี ก ารส่ งออกข้าว
27.5 ล้านตัน ซึ่ งส่งออกในรูปของข้าวสาร ส่ วนผลิ ตภัณฑ์แปรรู ปข้าวส่ งออกที่สาคัญซึ่ งมีมลู ค่าเป็ น
อันดับสองในปี 2544 คือ แป้ งข้าว ซึ่ งการส่ งออกตั้งแต่ปี 2544 ถึ งปี 2547 มีแนวโน้มที่ เพิ่ มมากขึ้ น
(จักรพันธุ์ เกษภิษโญ, 2547) แต่อย่างไรก็ตามก็ยงั มีปริ มาณเพี ยงเล็กน้อยเมื่อเปรี ยบเทียบกับปริ มาณ
การส่งออกข้าว แต่เมื่อคานวณเป็ นราคาต่อตันพบว่า ผลิ ตภัณฑ์แปรรู ปข้าวมี ร าคาสู งกว่าข้าวอย่าง
เด่นชัด โดยมีราคา 22,460 บาท/ตัน ในขณะที่ราคาข้าวมี 13,270 บาท/ตัน ดังนั้นหากสามารถพัฒนา
ผลิ ตภัณฑ์แปรรู ปข้าวให้กว้างขวางยิ่งขึ้ น ย่อมเป็ นการเพิ่ มมูลค่าของข้าวให้สูงขึ้ น
ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยเป็ นข้าวอิ นดิ กา (Indica) ซึ่ งตั้งแต่ อ ดี ต จนถึ งปั จจุบนั สานัก วิจยั
และพัฒนาข้าว กรมการข้าว ได้ดาเนิ นงานปรับปรุ งพันธุ์ขา้ วมาอย่างต่อเนื่ องจนได้ข ้าวพัน ธุ์ รั บรอง
พันธุ์แนะนา และพันธุ์ทวั่ ไป ซึ่ งมี ท้ งั พัน ธุ์ ข ้าวนาสวน ข้าวไร่ ข้าวขึ้ น น้ า ข้าวน้ าลึ ก ธัญ พื ช เมื อ ง
หนาว และข้า วญี่ ปุ่ น จ าน วน 93 พั น ธุ์ (http://www.ricethailand. go.th/data_002/rice_xx2-
03_ricebreed001_0.html)โดยทัว่ ไปข้าวเจ้าและข้าวเหนี ยวมีปริ มาณอะมิ โ ลสและอะมิ โ ลเพคติ น ที่
แตกต่างกันจึงทาให้คุณภาพของข้าวหุงสุ กและแป้ งข้าวในด้านสี ความใส ความหนื ด และการให้
ลัก ษณะเนื้ อ สั มผั ส แตกต่ างกั น ดั งนั้ น จึ ง มี ก ารน าแป้ งข้ า วเจ้
า และแป้ งข้า วเหนี ย วมาใช้ ใ น
อุตสาหกรรมต่างๆ ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามแป้ งดิ บ (native starch) มีคุณสมบัติบางประการที่ ไ ม่
เหมาะสมต่อการนาไปใช้ ดังนั้นจึงมีการนาแป้ งมาปรับเปลี่ ยนคุณสมบัติบางประการเพื่ อ ให้มีค วาม
เหมาะสมต่อการนาไปใช้งาน ที่เรี ยกว่าแป้ งดัดแปร (modified starch)
แป้ งทนการย่อ ยด้วยเอนไซม์ (enzyme resistant starch หรื อ resistant starch) จากค านิ ย าม
ของ European Flair Concerted Action on Resistant Starch (EURESTA) หมายถึ งแป้ งและ
ผลิ ตภัณฑ์ของแป้ งที่ไม่สามารถถูกย่อยด้วยเอนไซม์และถูกดูดซึ มในลาไส้เล็ ก ของมนุ ษย์สุข ภาพดี
(Euresta, 1992) ดังนั้น resistant starch (RS) จึงจัดอยูใ่ นกลุ่มของเส้น ใยอาหาร (dietary fiber) (Yue
and Waring, 1998) โดยสามารถผ่านเข้าไปถึ งลาไส้ใหญ่และถูกหมักโดยจุลินทรี ยใ์ นล าไส้ใ หญ่ ไ ด้
ผลิ ต ภัณฑ์ อ อกมาเป็ นกรดไขมัน สายสั้ นๆ (short-chain fatty acid, SCFA) เช่ น acetic acid,
2
propionic acid และ butyric acid ซึ่ งช่ วยในการป้ องกัน โรคในล าไส้ใ หญ่ (Akerberg et al., 1998;
Bird et al., 2000)
โดยทัว่ ไป RS แบ่งเป็ น 4 ประเภท (Sajilata et al., 2006; Thompson, 2000) คื อ type I, II, III
และ IV ซึ่ ง RS type III เป็ น RS ที่เกิ ดจากการรี โทรเกรเดชัน (retrogradation) ของเจลแป้ งหลังการทา
ให้เย็น และเป็ น RS ที่มีความสาคัญมากกว่า RS ประเภทอื่ น เนื่ อ งจากมี ค วามเสถี ย รต่ อ ความร้ อ นมาก
(thermal stability) (Sivak and Preiss, 1998) ทาให้ทนต่อกระบวนการหุงต้มปกติ นอกจากนี้ ก็ มีร ายงาน
ว่า RS type III สามารถถูก หมัก และผลิ ต butyric acid ได้มากกว่า RS type II และ oligosaccharide
(Brouns et al., 2002)
จากความสาคัญของ RS ดังที่กล่าวจึงทาให้มีการนา RS มาประยุกต์ ใ ช้ใ นอุ ต สาหกรรมอาหาร
มากขึ้ น โดยใช้เป็ นส่ วนผสมแทนการใช้เส้นใยอาหารจากแหล่งอื่ นๆ และใช้เพิ่ มปริ มาณเส้ น ใยอาหาร
(fiber fortified) ซึ่ งจะใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารที่ปรุ งสุ กและผ่านการอบ เช่น เบเกอรี่ ผลิ ต ภัณฑ์ ธัญ ญชาติ
สาเร็ จรูป (RTE Cereal) และขนมขบเคี้ ยว อาหารเส้น (pasta/noodle) และอาหารทอด เป็ นต้น เนื่ อ งจาก
ทนความร้อนได้สูง ดังนั้นแนวโน้มการใช้ RS เป็ นแหล่ งใยอาหารในอาหารที่ เสริ มใยอาหาร (fiber
fortification) จึงได้รับความสนใจมากขึ้ น โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกที่ใส่ ใจในเรื่ องสุ ขภาพกันมาก
ในปัจจุบนั นักวิจยั และโรงงานอุตสาหกรรมอาหารเริ่ มให้ค วามสนใจและศึ ก ษาเกี่ ย วกับ RS
มากขึ้ น เนื่องจาก RS สามารถทาหน้าที่เป็ น ใยอาหารได้ (Ranhotra et al., 1996) โดยมี ก ารผลิ ต RS ทั้ง
ชนิ ด type II และ III โดย type II จะผลิ ตจากแป้ งข้าวโพดที่ มีปริ มาณอะมิ โ ลสสู ง ส่ วน RS type III จะ
ผลิ ต จาก retrograded high amylose corn starch และ retrograded maltodextrin ซึ่ ง type III เป็ น RS ที่
ได้รับความสนใจในทางอุตสาหกรรมอาหาร เนื่ องจากมีประโยชน์ต่อสุ ขภาพในด้านการมีคุณสมบัติเชิ ง
หน้าที่เมื่อถูกใช้เป็ นส่วนผสมของอาหาร (food ingredient) ประกอบกั บศักยภาพในการการผลิ ต ในเชิ ง
อุตสาหกรรมRS ชนิ ดนี้ จึงได้รับความสนใจในการวิจยั อย่างมาก จากงานวิ จยั ที่ ผ่ านมาพบว่า ปั จจัย ที่ มี
ผลต่อการเกิด RS มีหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งปัจจัยทางด้านคุณสมบัติของสตาร์ ชที่ประกอบด้วย ความเป็ น
ผลึ กของสตาร์ช โครงสร้างของแกรนูล อัตราส่ วนระหว่างอะมิโลสและอะไมโลเพคติ น การเกิ ดรี โทรเก
รเดกชันของอะมิโลส ความยาวของสายโซ่อะมิโลส และส่ วนที่เป็ นเส้นตรงของอะมิโลเพคติ น (Goni et
al., 1996; Sajilata et al., 2006) นอกจากนี้ ย งั มี ปัจจัย ทางด้า นสภาวะในกระบวนการผลิ ต รวมถึ ง
ระยะเวลาการเก็บ (Tovar, 1992; Sievert and Pomeranz., 1989; Sajilata et al., 2006) ซึ่ งล้วนแต่ ส่งผล
ต่อปริ มาณ RS ที่เกิ ดขึ้ นโดยปริ มาณการเกิ ด RS ในแป้ งจากแหล่งที่แตกต่างกัน อาจเป็ น ผลมาจากความ
แตกต่างทางด้านโครงสร้างและการจัดเรี ยงตัวของอะมิโลสและอะไมโลเพคติ นภายในสตาร์ ช ซึ่ งยังคง
มีการศึกษาในเชิงเปรี ยบเทียบปริ มาณ RS ในแป้ งชนิ ดต่างๆ เนื่ องจากสาเหตุดงั กล่าวน้อย และโดยส่ วน
ใหญ่ก็ศึกษาในแป้ งชนิดอื่นที่ไม่ใช่แป้ งข้าวเจ้า ข้าวก็อาจใช้เป็ นแหล่งวัต ถุ ดิ บในการผลิ ต แป้ งที่ ทนต่ อ
3
การย่อยด้วยเอนไซม์ได้ ถึ งแม้ว่าแป้ งข้าวส่ วนใหญ่ จะมี อ ะมิ โ ลสไม่เกิ น 38% หากมี ก ารพัฒ นาทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม ประกอบกับสายพันธุ์ต่างๆ ของข้าวในประเทศไทยมี มากมาย
หากมีโครงสร้างโมเลกุลของอะมิโลสและอะมิโลเพคติ นที่เหมาะสม ก็อาจสามารถใช้เป็ นแหล่งวัต ถุ ดิ บ
ในการผลิ ตแป้ งที่ทนต่อการย่อ ยด้วยเอนไซม์ที่เที ย บเท่าหรื อ ดี ก ว่าแป้ งข้าวโพดได้ด ังนั้น การศึ ก ษา
สัดส่วนและโครงสร้างโมเลกุลของอะมิโลสและอะมิโลเพคติ นแป้ งข้าวจากข้าวพันธุ์ต่างๆ ที่มีต่ อ RS ที่
เกิ ดขึ้ น คุณสมบัติในการใช้ประโยชน์ และเชิ งสุ ข ภาพ จะช่ วยให้เกิ ด ความเข้าใจและสามารถน าไป
ประยุกต์ในการผลิตแป้ งข้าวที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ที่เหมาะสม เพื่ อ ใช้เป็ นแหล่ งของใยอาหาร
และเป็ น functional food ingredient เพื่ อสุ ขภาพ ซึ่ งจะนาไปสู่ การพัฒนานวัต กรรมใหม่ข องผลิ ต ภัณฑ์
แปรรู ปจากข้าว จึงเป็ นทางเลื อกหนึ่ งของการเพิ่ มมูล ค่ าของแป้ งข้าวให้มีค วามหลากหลายมากขึ้ น ที่
สามารถส่งออกไปยังยุโรปหรื อสหรัฐอเมริ กาได้
2. วั ตถุประสงค์ของโครงการวิจัย
2.1 เพื่ อศึกษาระดับการย่อยของสตารช์ขา้ วด้วยเอนไซม์ตดั กิ่ ง
2.2 เพื่อเปรี ยบเทียบคุณสมบัติสตารช์ขา้ วที่ มี RS type III สู งที่ผลิ ตจากข้าวพันธุ์ต่างๆ
2.3 เพื่อศึกษาผลของโครงสร้างอะมิโลเพคติ นจากข้าวพันธุ์ต่างๆต่อการเกิ ดRS
ร้ อ ยละ 0.4 โดยน้ าหนัก แห้ง และปริ มาณสตาร์ ช ข้าวของทุก พัน ธุ์ ที่ไ ด้มากกว่าร้ อ ยละ 95 โดย
น้ าหนักแห้ง
3.2 โครงสร้ างและองค์ประกอบของสตาร์ ช
สตาร์ ช มีสูตรเคมีโดยทัว่ ไปคื อ (C6H10O5) เป็ นพอลิ เมอร์ กลูโคสซึ่ งประกอบด้วยหน่วยของ
น้ าตาลกลูโคสเชื่ อมต่อกันด้วยพันธะกลูโคซิ ดิ ก (glucosidic linkage) ที่ ค าร์ บอนต าแหน่ งที่ 1 ทาง
ตอนปลายของสายพอลิเมอร์ มีหน่วยกลูโ คสที่ มีห มู่แอลดี ไ ฮด์ (aldehyde group) เรี ย กว่าปลายรี ดิ
วซิ่ ง (reducing end group) สตาร์ชประกอบด้วยพอลิ เมอร์ ของกลูโคส 2 ชนิ ด คื อ พอลิ เมอร์ เชิ งเส้น
(อะมิโลส, amylose) และพอลิ เมอร์ เชิ งกิ่ ง (อะมิ โ ลเพคติ น , amylopectin) ซึ่ งสตาร์ ช จากแหล่ งที่
แตกต่างกันจึงทาให้คุณสมบัติของสตาร์ ชแต่ละชนิ ดแตกต่ างกัน (กล้าณรงค์ และเกื้ อกูล, 2546)
3.2.1 อะมิโลส
อะมิโ ลสเป็ นพอลิ เมอร์ เชิ งเส้ น ของน้ าตาลกลู โ คส ประกอบโดยโมเลกุ ล ของกลู โ คส
ประมาณ 200 ถึ ง 2,000 หน่วย เชื่ อ มต่ อ กั น ด้ วยพั น ธะα-1,4-glycosidic linkage ดัง ภาพที่ 3.1
น้ าหนักโมเลกุลของอะมิโลสอยูใ่ นช่วง 105 ถึ ง 106 ดาลตัน ซึ่ งอะมิ โ ลสในสตาร์ ช แต่ ล ะชนิ ด จะมี
น้ า หนั ก โมเลกุ ล ที่ แ ตกต่ า งกั น ออกไปและมี ค่ า ระดับ ขั้ น ของพอลิ เมอไรเซชั่ น (degree of
polymerization, DP) ที่แตกต่างกันอี กด้วยสาหรับตาแหน่งของอะมิโลส ภายในเม็ดสตาร์ ช จะขึ้ น อยู่
กับชนิดของสตาร์ชโดยอะมิโลสบางส่ วนอยูใ่ นกลุ่มของอะมิโล-เพคติ น บางส่ วนกระจายอยู่ท้ งั ใน
ส่ วนอสัญฐาน (amorphous regions) และส่ วนผลึ ก (crystalline regions) อะมิโลสที่ มีข นาดโมเลกุ ล
ใหญ่จะพบเป็ นเกลียวคู่กบั อะมิโลเพคติ นอยูใ่ จกลางเม็ดสตาร์ ช สาหรั บอะมิ โ ลสที่ มีข นาดโมเลกุ ล
เล็กจะพบอยูต่ ามขอบของเม็ดสตาร์ช (Hizukuri, 1995) อะมิโลสสามารถรวมตัวเป็ นสารประกอบ
เชิ งซ้อนกับไอโอดีนและสารประกอบอิ นทรี ยอ์ ื่ นๆ เช่น บิวทานอล,กรดไขมั น, ฟี นอล, สารลดแรง
ตรึ งผิ วหลายชนิ ด และไฮโดรคาร์ บ อน โดยสารประกอบเชิ งซ้อ นเหล่ านี้ จะไม่ล ะลายในน้ า
เนื่ องจากอะมิโลสจะพัน เป็ นเกลี ย วล้อ มรอบสารละลายอิ น ทรี ย ์เหล่ านี้ แต่ เมื่ อ อยู่ใ นสารละลาย
โครงสร้ างอะมิ โ ลสจะมีห ลายรู ปแบบ คื อ ลัก ษณะเป็ นเกลี ย วม้ว น (helix) เกลี ย วที่ ค ลายตั ว
(interrupted helix)หรื อม้วนอย่างไม่เจาะจง (random coil) การที่ อ ะมิ โ ลสจะอยู่ใ นรู ปแบบใดนั้น
ขึ้ นอยูก่ บั ชนิ ดของตัวทาละลาย อุณหภูมิ และขนาดโมเลกุลของอะมิโลส
5
ภาพที่ 1.1โครงสร้างอะมิโลสและโครงสร้างอะมิโลเพคติ น
แหล่งที่มา : Tester,Karkalas and Qi (2004)
โมเลกุลประมาณ 107 ถึง 109 ดาลตัน และมีอตั ราในการคื นตัวต่ าเนื่ องจากอะมิ โ ลเพคติ น มี ล ัก ษณะ
โครงสร้างเป็ นกิ่ ง
ลักษณะโครงสร้างแบบกิ่ งของอะมิโลเพคติ นประกอบด้วยสายโซ่ 3 ชนิ ด คื อ สาย A (A-
chain) เป็ นสายโซ่ที่ เชื่ อ มต่ อ กับสายอื่ น ที่ ต าแหน่ ง เดี ย วไม่ มี กิ่ ง เชื่ อ มต่ อ ออกจากสายชนิ ด นี้
(unbranched structure) สาย B (B-chain) มี โ ครงสร้ างแบบกิ่ งเชื่ อ มต่ อ กับสายอื่ น อี ก 2 สายหรื อ
มากกว่า และสาย C (C-chain) เป็ นสายแกนซึ่ งประกอบด้วยหมู่รี ดิ วซิ ง 1 หมู่ที่เป็ นอิ สระและถู ก
แทนที่เพียงจุด C-6 (primary hydroxyl group) ซึ่ งในอะมิโลเพคติ น แต่ ล ะโมเลกุ ล จะประกอบด้วย
สาย C หนึ่ งสายเท่านั้น เนื่ อ งจากมีก ารเชื่ อ มต่ อ A-chain, B-chain และC-chain ภายในโมเลกุ ล อะ
มิโลเพคติน ด้วยพัน ธะ α-(1,6)glycosidic linkage ซึ่ งมี สาย C-chain เพี ย งหนึ่ งสายโซ่ต่ อ โมเลกุ ล
ดังนั้น อัตราส่วนของ A-chain และ B-chain จึงมี ค วามสาคัญ เนื่ อ งจากเป็ นการแสดงถึ ง degree of
multiple branching ของโมเลกุลซึ่ งอะมิโลเพคติ นหนึ่ งโมเลกุ ล จะมี อ ัต ราส่ วนของ A-chain ต่ อ B-
chain ประมาณ 1.5-2.6: 1 (กล้าณรงค์ และเกื้ อกูล, 2546)
รุ่งนภา พงศ์สวัสดิ์มานิต และคณะ (2546) ทาการศึกษาร้อยละการกระจายตัวของกิ่ งก้านอะ
มิ โ ลเพคติ นข อ งข้ า วไทยพั น ธุ์ ต่ า งๆ ด้ ว ยเค รื่ อ ง High Performance Anionic Exchange
Chromatography (HPAEC) พบว่าข้าวที่มีปริ มาณอะมิโลสต่ า มี ค่ าร้ อ ยละของการกระจายตัวของ
ความยาวกิ่ งก้านอะมิโลเพคตินสามารถแบ่งออกได้เป็ น 4 ช่ วง คื อ DP (degree of polymerization)
6-12, DP 13-24, DP 25-36และDP37 สาหรับข้าวที่มีปริ มาณอะมิ โ ลสปานกลาง พบว่าข้าวพัน ธุ์
ขาวดอกมะลิ 105 พันธุ์พิษณุโลก 1 พันธุ์พิษณุโลก 2 และพันธุ์กข 15 มีค่าร้อยละการกระจายตัวของ
DP 13-24 อยูใ่ นช่วง 52-55 เมื่อเปรี ยบเทียบแล้วน้อยกว่าข้าวพันธุ์ปทุมธานี และพัน ธุ์ สังข์ ห ยด ซึ่ งมี
ร้อยละการกระจายตัวสูงถึง 59 สาหรั บข้าวในกลุ่ มสุ ด ท้ายที่ จดั ว่ามี ปริ มาณอะมิ โ ลสสู งสามารถ
จาแนกข้าวออกได้เป็ นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะมีร้อยละการกระจายตัวของความยาวกิ่ งก้านของ
สายอะมิโลเพคติ นสายสั้นซึ่ งมี DP 6-12 มากกว่า DP 13-24 ได้แก่ พัน ธุ์ สุพ รรณบุรี 90 และ พัน ธุ์
ชัยนาท 1 สาหรับข้าวกลุ่มที่สองมีร้ อ ยละการกระจายตัวของ DP 6-12 น้อ ยกว่า DP 13-24 ได้แก่
ข้าวพันธุ์เหลืองประทิว 123 พันธุ์สุพรรณบุรี 1 พันธุ์ขาวห้าร้ อ ย พัน ธุ์ ก ข 23 พัน ธุ์ เฉี้ ยงพัทลุ ง และ
พันธุ์เจ๊กเชย
3.2.3 ขนาดและรูปร่าง
สตาร์ชที่พบในธรรมชาติจะอยูใ่ นรู ปของเม็ดสตาร์ ช (granule) ขนาดเล็ก ภายในเม็ดสตาร์ ช
ประกอบด้วยวงแหวน (growth) ลักษณะของเม็ดสตาร์ ชชนิ ด ต่ างๆ จากกล้อ งจุล ทรรศน์ แบบส่ อ ง
กราด (Scanning Electron Microscope) พบว่าเม็ดสตาร์ ชจะมีขนาด รู ปร่ าง และลักษณะแตกต่ างกัน
ออกไปขึ้ น อยู่ก ับแหล่ งสตาร์ ช นั้น ๆ เม็ด สตาร์ ช ข้าวเจ้ามี ล ัก ษณะแบน มี ห ลายเหลี่ ย ม มี ข นาด
7
เส้นผ่าศูนย์กลางอยูใ่ นช่วง 3-5 ไมโครเมตร (กล้าณรงค์ และเกื้ อ กู ล , 2546) สตาร์ ช ข้าวจะมี ข นาด
อนุภาคเล็กที่สุดในบรรดาสตาร์ชธัญพื ช
3.2.4 โครงสร้างผลึก
เม็ดสตาร์ ชมีโครงสร้ างแบบกิ่ งผลึ ก (semi-crystalline) โดยโมเลกุ ล ของอะมิ โ ลสและอะ
มิโลเพคติ นมีการจัดเรี ยงตัวกัน ในเม็ด สตาร์ ช เป็ นโครงสร้ างทั้งส่ วนที่ เป็ นผลึ ก (crystallite) และ
ส่ วนที่เป็ นอสัณฐาน (amorphous) ส่ วนอสัณฐานของเม็ด สตาร์ ช จะประกอบด้วยโมเลกุ ล ของอะ
มิโ ลสและสายโซ่ย าวของอะมิโ ลเพคติ น แสดงดังภาพ 3.2 (Jane, Wong and McPherson, 1997)
ในขณะที่ส่วนที่เป็ นผลึกเกิดจากการจัดเรี ยงตัวกันของสายโซ่ในโมเลกุลของอะมิโลเพคติ นในแนว
รัศมีเป็ นชิ้ นๆ ต่อกันของคลัสเตอร์ อะมิโลเพคติ น (series of stacked amylopectin clusters) ซึ่ งในแต่
ละคัสเตอร์ จะประกอบด้วยชั้นผลึ ก (Crystalline lamellae) ซึ่ งเกิ ดจากสายโซ่ ส้ ั น ของอะมิ โ ลเพคติ น
ที่ จดั เรี ยงตัวในลัก ษณะเกลี ย วม้วนคู่ (double helix) อย่ างเป็ นระเบี ย บสลับ กับ ชั้น อสั ณ ฐาน
(amorphous lamellae) ซึ่ งเกิ ดจากบริ เวณที่เป็ นกิ่ งของสายอะมิโลเพคติ น ที่ มีก ารจัด เรี ย งตัวอย่างไม่
เป็ นระเบียบ จะเห็นได้วา่ สายอะมิ โ ลเพคติ น จะเป็ นส่ วนประกอบทั้งในส่ วนโครงสร้ างผลึ ก และ
ส่ วนอสัณฐาน และพบว่าร้อยละ 80-90 ของจานวนอะมิโลเพคติ น จะอยู่ใ นส่ วนของชั้น ผลึ ก ส่ วน
ร้อยละ 10-20 ที่เหลื อจะอยูใ่ นส่ วนอสัณฐาน โดยส่ วนที่เป็ นชั้นผลึ กจะเป็ นส่ วนที่ทาให้เม็ดสตาร์ ช มี
ความแข็งแรงคงรูปร่างของเม็ดสตาร์ ชไว้ได้ ส่ วนอสัณฐานจะเป็ นส่ วนที่ยึดเกาะชั้น ผลึ ก ไว้ด ้วยกัน
และเป็ นส่วนที่สร้างความยืดหยุน่ ให้กบั เม็ดสตาร์ ช (Chang et.al, 2009)
เม็ดสตาร์ชจะมีโครงสร้างผลึ ก 3 แบบ ขึ้ นกับความหนาแน่นในการจัดเรี ยงตัวของเกลี ย วคู่
ถ้าเกิ ดการจัดเรี ยงตัวหนาแน่นจะเกิดเป็ นผลึ กแบบ A (A-type) เช่น สตาร์ ช จากธัญ พื ช และราก ถ้า
จัดเรี ยงตัวกันอย่างหลวมๆ จะเกิดผลึ กแบบ B (B-type) เช่น สตาร์ ชจากพื ชหัว และถ้ามี ก ารจัด เรี ย ง
ตัวทัง้ แบบ A และ B รวมกัน จะเกิดผลึ กแบบ C (C-type) เช่น สตาร์ ชจากพื ช ตระกู ล ถัว่ (กล้าณรงค์
และคณะ, 2546) นอกจากผลึ ก แบบ A, B และC แล้วบางครั้ งยังปรากฏลัก ษณะผลึ ก แบบ V (V-
type) ซึ่ งแสดงถึงโครงสร้างผลึกที่ซบั ซ้อนที่เกิ ดจากการจับกันของอะมิ โ ลสกับแอลกอฮอล์ ที่เป็ น
เส้นตรง ไอโอดีน หรื อ กรดไขมัน ซึ่ งลักษณะผลึ กแบบ V จะพบในสตาร์ ช ที่ มีปริ มาณอะมิ โ ลสมา
กกว่าหรื อเท่ากับร้อยละ 40 เช่น ในสตาร์ ชข้าวโพดที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม (Jacobs and Donald,
1998)
8
เพี ยงเล็กน้อย เพราะอาหารอยูใ่ นปากเป็ นช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นอาหารจะถู ก กลื น ผ่ านหลอด
อาหารไปยังกระเพาะอาหารซึ่ งมีเอนไซม์อะมิเลสอยูแ่ ต่ไม่สามารถทางานได้เนื่ อ งจากอะมิ เลสไม่
ทางานในสภาวะที่มีความเป็ นกรดสู ง ดังนั้นในกระเพาะอาหารจึงเกิ ดกระบวนการไฮโดรไลซิ ส คื อ
การแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตทาให้แป้ งโมเลกุลใหญ่มีขนาดเล็กลง จากนั้นกระบวนการย่อยแป้ งที่
แท้จริ งจะเกิดที่ลาไส้เล็กซึ่ งมีสภาพเป็ นด่างที่เหมาะสมกับสภาวะการย่อ ย โดยน้ าดี ทาให้ล าไส้ เล็ ก
สามารถย่อยสตาร์ ชจนสุ ดท้ายได้เป็ นน้ าตาลโมเลกุ ล เดี่ ย วที่ สามารถดู ด ซึ มเข้าสู่ ก ระแสเลื อ ดได้
ดังนั้นในเชิ งโภชนาการสตาร์ ช (nutritional starch) โดยทัว่ ไปแบ่งสตาร์ ชออกเป็ น 3 ประเภท ตาม
อัตราและระยะเวลาในการย่อย (Englyst and Hudson, 1992) ได้แก่ สตาร์ ชที่สามารถถูกย่อยได้อย่าง
รวดเร็ว (rapidly digestible starch, RDS) สตาร์ ช ที่ สามารถถู ก ย่อ ยได้อ ย่างช้าๆ (Slowly digestible
starch, SDS) และสตาร์ชทนย่อยต่อเอนไซม์ (resistant starch, RS)
(a) (b)
ตารางที่ 1.1 ประเภทของสตาร์ชในอาหารเมื่อพิ จารณาตามความสามารถในการถูกย่อย
ประเภทสตาร์ ช แหล่ งของสตาร์ ช การย่ อยในลาไส้ เล็ก
สตาร์ชที่ถูกย่อยได้อย่าง อาหารที่มีส่วนประกอบของ สามารถถูกย่อยสลายได้อย่าง
รวดเร็ว(Rapidly digestible สตาร์ ชเมื่อผ่านการหุงต้ม รวดเร็ วไปเป็ นน้ าตาล
starch : RDS) ใหม่ๆ กลูโคสภายใน 20 นาที
สามารถถูกย่อยสลายได้อย่าง
สตาร์ชที่ถูกย่อยได้อย่างช้าๆ
สตาร์ ชจากธัญพื ชดิ บ ช้าๆไปเป็ นน้ าตาลกลูโคสได้
(Slowly digestible starch :
ผลิ ตภัณฑ์เส้นที่ทาสุ ก อย่างสมบูรณ์โดยใช้เวลา
SDS)
ตั้งแต่ 20 ถึ ง 110 นาที
สตาร์ชที่ไม่สามารถถูกย่อย เมล็ดธัญพื ชที่ถูกบดหรื อ ทนต่อการย่อยสลายด้วย
ได้ (Resistant starch : RS) สตาร์ ชที่เกิ ดการคื นตัว เอนไซม์ในลาไส้เล็ก
แหล่งที่มา :Enlyst and Hudson (1992)
ข้อจากัด ยากต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ โดยส่ วนใหญ่ RS ชนิ ดนี้ จะอยูใ่ นรู แของเม็ดสตาร์ ชดิ บ (native
granular starch) พบได้ในสตาร์ ชมันฝรั่ง (potato starch) และ กล้วยดิ บ (green banana)
3. Retrogradation starch (RS3) คื อ สตาร์ ช ที่ ทนต่ อ การย่อ ยของเอนไซม์ ซึ่ งเกิ ด จากการ
จัด เรี ย งตัวใหม่ด ้วยพัน ธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุ ล ของสายอะมิ โ ลสระหว่างการทาการลด
อุณหภูมิของสตาร์ชที่ผ่านการเกิดเจลาติ ไนเซชัน ซึ่ งเรี ย กว่า กระบวนการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน เกิ ด
เป็ นโครงสร้างตาข่ายสามมิติที่มีความแข็งแรง และสามารถทนต่อการย่อยของเอนไซม์
4. Chemically modification starch (RS4) เป็ นสตาร์ ชชนิ ดใหม่ เกิ ด จากการดัด แปรทางเคมี
ที่ทาให้มีพนั ธะที่ต่างไปจาก α-(1,4) หรื อ α-(1,6) โดยปฏิ กิริยาการดัดแปรทางเคมี แบ่งออกเป็ น 3
ชนิ ด คื อ ครอสลิ งกิ ง (cross linking) เอสเทอร์ ริ ฟิ เคชัน (esterification) และ อี เทอร์ ริ ฟิ เคชั น
(etherification)
5. Amylose-lipid complexed starch (RS5) เป็ นสตาร์ ชทนต่อการย่อยของเอนไซม์ที่เกิ ด จาก
การทาปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุลอะมิโลสกับไขมันเกิ ด เป็ นโครงสร้ างที่ แข็ งแรง มี ค วามเสถี ย รต่ อ
ความร้อนสูงและสามารถทนต่อการย่อยของเอนไซม์ได้ (Jane et al., 2011)
ภาพทีcomplexed
RS5-Amylose-lipid Amylose-lipid
่ 2.4 ลักษณะโครงสร้ างของ RScomplexed
แต่ละชนิ ด
starch starch
แหล่งที่มา : Sajilata et al.(2006) and Jane et al. (2011)
12
3.5 การเกิด Resistant starch type III (RS3)
RS3ส่วนใหญ่เกิดจากการรี โทรเกรเดชัน (retrogradation) ของโมเลกุลอะมิโ ลส (Eerlingen,
Crombez, and Delcour, 1993) โดยกระบวนการเกิ ดรี โทรเกรเดชันจะเกิ ดขึ้ นเมื่อสตาร์ ช ได้รั บความ
ร้อนจนเกิดการเจลาติไนซ์อย่างสมบูรณ์ ทาให้โมเลกุลของสตาร์ ช ที่ ประกอบด้วยอะมิ โ ลสและอะ
มิโลเพคติน เกิดการกระจัดกระจายออกมาซึ่ งมีผลทาให้ ความหนื ดลดลง และเมื่ อ ปล่ อ ยให้เย็น ตัว
ลงโมเลกุลรูปร่างเกลียวสุ่มของอะมิ โ ลส (random coil) จะเคลื่ อ นที่ เข้ามาใกล้ก ัน และจับกัน ด้วย
พัน ธะไฮโดรเจนเกิ ด เป็ นโครงสร้ า งที่ มีล ั ก ษณะเป็ นเกลี ย วคู่ (double helices) (Eerligen and
Delcour, 1995) รูปแบบโครงสร้างเกลี ยวคู่ เป็ นแบบ left-handed, parallel stranded helices โดยหนึ่ ง
สายเกลียวคู่ประกอบด้วยกลูโคส 6 โมเลกุ ล ต่ อ หนึ่ งรอบ (Sajilata, Singhal and Kulkarni, 2006) ทา
ให้โครงสร้างสามารถอุม้ น้ าและไม่มีการดูดน้ าเข้ามาอี ก ส่ งผลให้มีค วามหนื ด คงตัวมากขึ้ น เกิ ด
เป็ นลักษณะคล้ายเจลเหนียวหรื อผลึ ก และเมื่อระยะเวลาผ่านไปกระบวนการรี โทรเกรเดชัน เกิ ด มาก
ขึ้ น ส่ งผลให้เกลี ยวคู่ที่เกิ ดขึ้ นเกิ ดการจัดเรี ยงตัวกันในลักษณะที่ โ ครงสร้ างหนาแน่ น และแข็ งแรง
ซึ่ งได้เป็ นผลึกที่แข็งแรงและสามารถทนต่อการย่อยของเอนไซม์ได้ (Haralampu, 2000) ซึ่ งการเกิ ดรี
โทรเกรเดชันของอะมิโลสแสดงดังภาพที่ 3.5 Eerligen and Delcour (1995) ได้เสนอกลไกของการ
เกิ ด RS3ในสารละลายอะมิโลสไว้ 2 กลไก คื อ การเกิ ด แบบไมเซลล์ (micelle formation) และการ
เกิ ด แบบการม้วนตัวของโมเลกุ ล สายตรงเป็ นชั้น บางๆ (lamellar structure) โดยโครงสร้ างแบบ
micelle เกิดจากการรวมตัวกันของโมเลกุลอะมิโลสอิ สระต่างๆ ที่อยูน่ อกเหนื อจากบริ เวณอสัณฐาน
แสดงดังภาพที่ 2.5 ซึ่ งมีการจัด เรี ย งโครงสร้ างของเกลี ย วคู่ ใ นรู ปแบบโครงสร้ างเฮกซะโกนอล
(hexagonal structure) และแสดงโครงสร้างผลึ กชนิ ดB ใน X-ray diffraction pattern
การม้วนตัวของสารพอลิ เมอร์ เหนี่ ยวนาให้เกิ ดโครงสร้า งสองมิ ติ หรื อ มี รู ปร่ างเป็ นชั้น ๆ
(Lamellar shapes) ซึ่ งแสดงในภาพที่ 3.5 สายของโมเลกุ ล จัด เรี ย งตัวกัน ในทิ ศทางตั้งฉากกับแนว
ระนาบ ซึ่ งตาแหน่งของการม้วนตัวคื อของสายพอลิ เมอร์ ส่วนอสั ณฐานและจุด ศูน ย์ก ลางของชั้น
lamellar คื อ ส่ วนที่เป็ นผลึ ก ดังนั้นการย่อยโครงสร้างสตาร์ ช ด้วยเอนไซม์ ทาให้สามารถก าจัด ทั้ง
ส่ วนที่เป็ นอสัณฐานและผลึ ก ได้เป็ นโมเลกุลเส้นตรงสายสั้น และเมื่ อ ทาการลดอุ ณหภูมิล งจะเกิ ด
โครงสร้างของRS3จึงประกอบไปด้วยโมเลกุลที่เป็ นสายตรงสั้นๆ จัดเรี ยงตัวกันเป็ นโครงสร้ างส่ วน
ผลึ กที่แข็งแรงทนต่อการย่อยของเอนไซม์
13
(a)
(b)
3.6 ทฤษฎีการเกิดรีโทรเกรเดชั น และกระบวนการเกิดผลึก
เมื่อสารละลายสตาร์ชได้รับความร้อนจนถึ งอุณหภูมิที่เกิ ดเจลาติ ไนเซชันแล้วให้ค วามร้ อ น
ต่อไปจะทาให้เม็ดสตาร์ ช พองตัวเต็ มที่ และแตกออก โมเลกุ ล ของอะมิ โ ลสขนาดเล็ ก จะกระจัด
กระจายหลุดออกมามีผลทาให้ความหนื ดลดลง และเมื่อปล่อยให้เย็น ตัวลง โมเลกุ ล อะมิ โ ลสที่ อ ยู่
ใกล้กนั จะเกิดการจัดเรี ยงตัวใหม่ด ้วยพัน ธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุ ล เกิ ด เป็ นร่ างแหสามมิ ติ ที่
แข็งแรง โดยโครงสร้างใหม่น้ ี สามารถอุม้ น้ าและไม่มีการดูดน้ าเข้ามาอี ก มีความหนื ด คงตัวมากขึ้ น
เกิ ด ลั ก ษณะเจลเหนี ย วคล้ า ยฟิ ล์ ม หรื อผลึ ก เรี ย กปรากฏการนี้ ว่ า การเกิ ด รี โทรเกรเดชั น
(Retrogradation) หรื อการคืนตัว (Setback) (Sajilata, 2006)เมื่ อ ลดอุ ณหภูมิใ ห้ต่ าลงไปอี ก ลัก ษณะ
การจัดเรี ยงตัวของโครงสร้างจะแน่นมากขึ้ น โมเลกุลอิ สระของน้ าที่อยูภ่ ายในจะถูกบีบออกมานอก
เจล เรี ยกว่า Syneresis ปรากฏการณ์ท้งั สองนี้ จะทาให้เจลมีลกั ษณะขาวขุ่น และมี ค วามหนื ด เพิ่ มขึ้ น
การคื นตัวของสตาร์ ช เปี ยกของสตาร์ ช ทาให้สารละลายมี ค วามหนื ด เพิ่ มขึ้ น ในการคื น ตัวของ
สตาร์ ชนั้นเมื่อเกิ ดขึ้ นอย่างช้า ๆ จะเกิ ดการตกตะกอน เมื่อเกิ ดขึ้ น อย่างรวดเร็ วจะทาให้เจลขุ่น การ
ตรวจสอบการเกิดรี โทรเกรเดชันมีหลายวิ ธีเช่ น การตรวจวัด สมบัติ รี โ อโลจี โดยการติ ด ตามการ
เปลี่ ยนแปลงค่า Storage modulus (G’) ซึ่ งเป็ นค่าที่แสดงถึ งความยืด หยุ่น (Elastic) ของสารกับเวลา
นอกจากนั้ น ยังสามารถติ ด ตามการเปลี่ ย นแปลงการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชั น ของสตาร์ ช จากค่ า
Instantaneous elastic modulus (G0) และค่ า Retard elastic modulus (G1) จากการศึ ก ษาการคื บ
(Creep) และอีกวิธีการหนึ่ งในการติ ดตามกระบวนการรี โทรเกรเดชันและกระบวนการเกิ ด ผลึ ก คื อ
การวัด ด้วยเครื่ อ ง Fourier Transform Infrared Spectrometers (FTIR) โดยอาศัย หลัก การที่ เมื่ อ
โมเลกุลของสารดูดกลืนแสงอินฟาเรด โมเลกุลจะถูกกระตุน้ เป็ นโมเลกุลที่มีพลังงานสู งเพี ยงพอต่ อ
การทาให้เกิดการยืดตัว (Stretching) หรื อเกิ ดการงอ (Bending) ท าให้ปรากฏเป็ นพี คการดูดกลื นแสง
อิ นฟาเรด (IR absorption peak) ที่ค่าความถี่ ต่าง ๆ สาหรับสตาร์ ชซึ่ งมีหมูฟ่ ั งก์ชนั นัลกรุ๊ ปที่สาคัญคื อ
COH นั้นสามารถดูดกลื นแสงอิ นฟาเรดได้ดีที่ความถี่ ในช่วง 1200-1000 cm-1ดังนั้น การตรวจสอบ
การเกิดรี โทรเกรเดชันของสตาร์ชจึงติ ดตามจากการเปลี่ ย นแปลงพี ค ในช่ วงความถี่ ด ังกล่ าว โดย
Van Soet (1996)ได้ศึกษาจนพลศาสตร์ ของการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน ของสตาร์ ช มัน ฝรั่ ง (10% และ
18% โดยน้ าหนัก) ด้วยเครื่ อง FTIR โดยศึกษาที่ช่วงความถี่ 1300-800 cm-1 สาหรั บสตาร์ ช มัน ฝรั่ ง
(Native potato starch) และพบพีคการดูดกลื นแสงที่เด่นชัดที่ เลขคลื่ น (Wave number) 1047 , 1018
และ 994 cm-1 ในขณะที่สตาร์ชเจลาติ ไ นเซชัน พบว่าเกิ ด พี ค ที่ เลขคลื่ น 1022 cm-1และในระหว่าง
กระบวนการรี โทรเกรเดชันของสตาร์ ชที่เก็บรักษาเป็ นเวลาหลายสัปดาห์ พบว่าพี คการดู ด กลื น แสง
ที่ เด่ น ชัด คื อ ที่เลขคลื่ น 1053, 1047, 1022 และ 1000 cm-1ดังนั้น Van Soet (1996) ได้ศึก ษาการ
อัตราส่วนของความความสู งของพี ค ที่ 1047 ต่ อ 1022 cm-1 แสดงถึ งสัด ส่ วนของโมเลกุ ล ที่ มีก าร
15
จัด เรี ย งตัวแบบเกลี ย วคู่ต่อ ส่ วนอสัณฐาน (Ratio of Short-rang molecular order to Amorphose :
RSA) เนื่ องจากการเพิ่ มขึ้ นของพี คการดูดกลื นแสงที่เลขคลื่ น 1047 cm-1 มีความสัมพัน ธ์ ก ับปริ มาณ
ของผลึ ก (Crystalline) ในโครงสร้ างสตาร์ ช ขณะที่ พี ค การดู ด กลื น แสงที่ ค วามถี่ 1022 cm-1 มี
ความสัมพัน ธ์ก ับส่ วนอสัณฐาน (Amorphous) และพบว่าค่ า RSA สั มพัน ธ์ ก ับการเพิ่ มขึ้ น ของ
ระยะเวลาการเกิดรี โทรเกรเดชัน
Goodfellow และ Wilson (1990) ศึกษาการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน ของอะมิ โ ลสและ อะมิ โ ล
เพคตินของสตาร์ชข้าวสาลี ด ้วยเครื่ อ ง FTIR ในช่ วงความถี่ 1300-900 cm-1 เป็ นเวลา 300 ชั่วโมง
พบว่าการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน เกิ ด ขึ้ น 2 ช่ วง โดยช่ วงแรกพบการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน เกิ ด ขึ้ น อย่าง
รวดเร็ วภายในครึ่ งชัว่ โมง โดยพบการเปลี่ ยนแปลงของพี คการดูดกลื นแสงที่ เด่ น ชัด ที่ ค วามถี่ 1053
และ 1003 cm-1 ซึ่ งเป็ นผลจากอะมิโลสโดยพบว่ามีการรวมตัวกันเกิ ดเป็ นสายเกลี ย วคู่ ข องอะมิ โ ลส
จากนั้นจึงมีการรวมตัวกันเพื่ อพัฒนาเป็ นโครงร่ างตาข่ายของเจลอะมิโลส จากนั้นการเกิ ด รี โ ทรเกร
เดชันอย่างช้าๆ จนครบเวลา 300 ชัว่ โมง โดยพบการเปลี่ ย นแปลงพี ค การดู ด กลื น แสงที่ เด่ น ชัด ที่
ความถี่ 1053 cm-1 ซึ่ งเป็ นผลจากอะมิโลเพคติ น โดยพบว่าช่วงแรกการเกิ ด เป็ นเกลี ย วคู่ ข องสายอะ
มิโลเพคติ น จากนั้นมีการรวมตัวกันอย่างช้า ๆ เพื่ อพัฒนาเป็ นผลึ กของโครงสร้าง
ในระหว่างการเกิดรี โทรเกรเดชัน นิ วเคลี ยสของผลึ กเกิ ดขึ้ นที่ระยะเวลาต่างกัน ระยะเวลาที่
แตกต่างกันทาให้เกิดจานวนผลึก อัตราการเจริ ญของผลึ ก และความหนาแน่นของผลึ กที่แตกต่างกัน
โดยอัตราการเกิดรี โทรเกรเดชันต้องอาศัยเวลาในการเปลี่ ยนแปลงสถานะเป็ นของแข็ ง (Solid-state
transformation) ซึ่ งสามารถศึกษาได้โ ดยการน าสัด ส่ ว นของผลึ ก ที่ เกิ ด ขึ้ น ในช่ วงเวลาต่ างกัน มา
พล็อตกราฟเทียบกับค่าล็อก (log) ของเวลาที่อุณหภูมิคงที่ ตามสมการของ Avrami
( )
เมื่อ k และ n เป็ นค่าคงที่ที่เป็ นอิ สระจากเวลา (time-independence constant) แต่ จะขึ้ น อยู่
กับระบบของการเกิดผลึก โดยปกติ ปริ มาณของผลึ กที่เกิ ดขึ้ นจะวัดได้จากการเปลี่ ย นแปลงสั ด ส่ วน
ของความเป็ นผลึกต่อโครงสร้างอสัณฐาน เนื่ องจากวัฏภาคของเหลวกับวัฏภาคของผลึ ก มี ปริ มาตร
แตกต่างกัน ส่ วนอัตราการเกิ ดผลึ กจะวัด ณ จุดที่มีการเกิ ดผลึ กร้อยละ 50 และอัต ราการเกิ ด ผลึ ก นี้
จะขึ้ นอยูก่ บั อุณหภูมิการเกิ ดผลึก โดยน้ าหนักโมเลกุลของพอลิ เมอร์ จะแปรผกผันกับอัต ราการเกิ ด
ผลึ ก กล่าวคื อถ้าพอลิ เมอร์ มีน้ าหนักโมเลกุลสู งจะส่ งผลให้อตั ราการเกิ ดผลึ กต่ านอกจากนี้ สามารถ
ติ ดตามการเปลี่ ยนแปลงของผลึ กที่เกิ ดขึ้ นเมื่อเวลาแตกต่างกันได้ โดยพล็อตกราฟสัดส่ วนของผลึ ก
กับล็อกของเวลา เพื่อเปรี ยบเทียบช่วงเวลาในการเกิ ดผลึ กของสารบางชนิ ด ได้ เช่ น กราฟสัด ส่ วน
16
ของผลึกกับล็อกของเวลาของ Polypropylene ที่อุณหภูมิต่าง ๆ ดังแสดงในรู ปที่ 2.6 ซึ่ งเป็ นการเกิ ด
ผลึ กโดยที่อตั ราการเกิดรี โทรเกรเดชัน (y) เป็ นฟั งก์ชนั ของเวลา t (Barbara, 2002)
เล็ ก น้อ ย ส่ วนอัต ราการเกิ ด maturation ก็ มีทิศ ทางการเกิ ด ผลึ ก เช่ น เดี ย วกัน กับ กระบวนการ
propagation ซึ่ ง อัต ราการเกิ ด ผลึ ก ทั้งหมด (Overall crystallization) จะขึ้ น อยู่ก ับ อัต ราการเกิ ด
nucleation และ propagation เท่านั้น สาหรับระบบที่เป็ นกิ่ งผลึ ก (Semi-crystallization) การเกิ ด ผลึ ก
นั้นจะเกิ ดขึ้ นที่อุณหภูมิระหว่าง Tgกับ Tm (Eerlingen et al., 1993)
3.7 ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด RS3
RS type III เกิดจากการนาแป้ งมาให้ความร้ อ นจนเกิ ด เจลาติ ไ นเซชัน ทาให้โ มเลกุ ล ของ
แป้ งที่ประกอบด้วยอะมิโลสและอะไมโลเพคติ นละลายออกมา เมื่ อ ปล่ อ ยให้เย็น โมเลกุ ล ของอะ
มิโลสจะสามารถมาจัดเรี ยงตัวกันใหม่ ได้เป็ นผลึ กแป้ งที่มีความแข็งแรงขึ้ น ซึ่ งเรี ย กปรากฏการณ์ น้ ี
ว่า การเกิดรี โทรเกรเดชัน (retrogradation) (Thompson et al., 2000) จากปรากฏการณ์ดงั กล่าวทาให้
การศึกษาเกี่ยวกับ RS type III มีรากฐานมาจากการศึ ก ษาวิ จยั เกี่ ย วกับการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน ของ
สตาร์ช โดยในการนาเสนองานวิจยั เกี่ ย วกับการผลิ ต RS type III ในยุค แรกๆ ใช้แต่ amylomaize
VII เป็ นวัตถุดิบตั้งต้น (Chiu et al., 1994; Iyengair et al., 1991) เนื่ องจากเชื่ อว่า RS type III เกิ ด จาก
การรี โทรเกรดของโมเลกุลอะมิโลส โดย Lu et al., (1997) ได้ศึกษาผลของอุณหภูมิต่ออัตราการเกิ ด
รี โทรเกรเดชันและโครงสร้างส่ วนที่เป็ นผลึ กของอะมิโลส โดยใช้แป้ งมันฝรั่งที่มีอะมิโลสที่ มีข นาด
โมเลกุลต่างกัน ถูกรี โทรเกรดด้วยอัตราที่ต่างกันด้วยซึ่ งแนวโน้มการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน ของอะมิ โ ล
สขึ้ นอยูก่ บั ขนาดโมเลกุลของอะมิโลสและความเข้มข้น (Suzuki et al., 1985)โดยหลักการแล้ว การ
ผลิ ตแป้ งให้มี RS ในปริ มาณสู งได้น้ นั ควรผลิ ตจากแป้ งที่ มีปริ มาณอะมิ โ ลสสู ง ซึ่ งปั จจุบนั มี เพี ย ง
ข้าวโพดเท่านั้นที่เป็ นแหล่งที่มีอ ะมิ โ ลสสู งได้ถึ ง 50-70% (Hylon V, Hylon VII) โดยSajilata et al.,
(2006) รายงานว่า RS ที่ได้จากแป้ งข้าวโพดที่ มีปริ มาณอะมิ โ ลสสู ง (70%) มี ปริ มาณถึ ง 20% (dry
matter) ซึ่ งมากกว่าปริ มาณ RS ในแป้ งข้าวโพดปกติ (25%อะมิ โ ลส) ที่ มีเพี ย ง 3%(dry matter)
มิโลสและส่วนที่เป็ นเส้นตรงของอะมิโลเพคติ น (Goni et al., 1996; Sajilata et al., 2006) นอกจากนี้
ยังมีปัจจัยทางด้านสภาวะในกระบวนการผลิ ต รวมถึ งระยะเวลาและอุ ณหภูมิก ารเก็ บ (Sievert and
Pomeranz, 1989; Sajilata et al., 2006) ซึ่ งล้วนแต่ ส่งผลต่ อ การเกิ ด และปริ มาณ RS ที่ เกิ ด ขึ้ น โดย
หลักการแล้วการผลิตสตาร์ชRS ให้มีปริ มาณสู งนั้นควรผลิ ตจากสตาร์ ชที่มีอะมิโลสสู ง ซึ่ งปัจจุบนั มี
เพี ยงข้าวโพดเท่านั้นที่เป็ นแหล่ งที่ มีอ ะมิ โ ลสสู งถึ ง 50-70% คื อ Hylon V, Hylon VII โดย Sajilata
et al. (2006) รายงานว่า RS ที่ได้จากสตาร์ ชข้าวโพดที่มีปริ มาณอะมิโลสสู ง มี ปริ มาณถึ งร้ อ ยละ 20
(น้ าหนักแห้ง) ซึ่ งมีมากกว่าปริ มาณ RS ในสตาร์ ช ข้าวโพดปกติ (25% อะมิ โ ลส) ซึ่ งมี ปริ มาณ RS
เพี ยงร้อยละ 3 (น้ าหนักแห้ง) นอกจากนี้ ในโครงสร้างของแกรนูลก็ พ บว่ามี อิ ทธิ พ ลต่ อ การเกิ ด RS
ซึ่ งเป็ นที่รู้จกั กันดี วา่ สตาร์ ชมันฝรั่ง และสตาร์ ชข้าวโพดที่มีอะมิโลสสู งมี ค วามทนทานต่ อ การย่อ ย
และดูดซึมที่ลาไส้เล็ก ในขณะที่สตาร์ ชจากธัญพื ชส่ วนใหญ่จะมีการย่อยและดูดซึ มช้าๆ แต่ สมบู ร ณ์
ซึ่ งอาจเกิ ดจากแกรนูลที่มีขนาดใหญ่ของสตาร์ ชมันฝรั่งที่มีพื้นผิ วต่อปริ มาตรน้อ ยกว่า (Haralampu,
2000) สตาร์ชที่มาจากแหล่งที่มาแตกต่างกันก็จะให้ปริ มาณ RS แตกต่ างกัน ด้วย (Goni et al., 1996)
ซึ่ งเป็ นผลมาจากโครงสร้างและการจัดเรี ยงตัวของอะมิ โ ลสและอะมิ โ ลเพคติ นภายในโครงสร้ าง
สตาร์ช ดังนั้นสตาร์ ชข้าวโพดที่มีปริ มาณอะมิโลสสู งและสตาร์ ชมันฝรั่ง จึงเป็ นแหล่ งของสตาร์ ช ที่
มี RS นอกจากนี้ สตาร์ ชข้าวก็สามารถใช้เป็ นแหล่ งของ RS ได้ ถึ งแม้ว่าสตาร์ ช ข้าวส่ วนใหญ่ จะมี
ปริ มาณอะมิโ ลสไม่เกิ น 38% แต่ไ ด้มีก ารพัฒ นาและดัด แปรสตาร์ ช ด้วยวิ ธีก ารต่ างๆ เพื่ อ ให้มี
ปริ มาณ RS สู งขึ้ น เช่น การทาให้สตาร์ ช เกิ ด การรี โ ทรเกรเดชัน (Retrograded starch) โดยการให้
ความร้อนแก่น้ าสตาร์ ชเพื่ อทาให้สตาร์ ชสุ ก แล้วทิ้งให้สตาร์ ชเกิ ดการเย็นตัวลง โมเลกุลของสตาร์ ช
ที่ละลายออกมาจะเกิดการจัดเรี ยงตัวใหม่ ได้เป็ นผลึ ก ที่ แข็ งแรงและสามารถทนต่ อ การย่อ ยของ
เอนไซม์ได้ โดย Silverio et al. (1985) รายงานว่าสตาร์ ช ข้าวสาลี ที่ผ่ านกระบวนการเจลลาติ ไ นซ์
ด้วยเครื่ องนึ่ งความดัน (Autoclave) มีปริ มาณ RS เพิ่ มขึ้ น 9% เมื่ อ เที ย บกับ native starch ที่ ไ ม่ผ่ าน
กระบวนการเจลลาติ ไนซ์และการใช้เอนไซม์ในการย่อยสตาร์ ชเพื่ อเพิ่ มอัตราการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน
เช่ น การใช้เอนไซม์ α -amylase เพื่ อ ลดขนาดโมเลกุ ล ของสตาร์ ช ได้เป็ น maltodextrin ชนิ ด ที่ มี
ระดับการย่อยต่า หรื อการใช้เอนไซม์ต ัด กิ่ ง (Debranching enzyme) (Chiu et al., 1994) ซึ่ งเป็ นการ
เพิ่ มศักยภาพในการเตรี ยม RS จากสตาร์ ชชนิ ดที่มีปริ มาณอะมิโลสต่ า โดยเอนไซม์ต ัด กิ่ งโดยทัว่ ไป
มี 2 ชนิดคือไอโซอะมิเลส(Isoamylase: EC 3.2.1.68) เป็ นเอนไซม์ที่สามารถย่อ ยจุด ที่ เป็ นกิ่ งก้าน
ของไกลโคเจนและอะมิโลเพคตินได้ดี ซึ่ งแสดงการทางานดังภาพที่ 3.7 ไม่จาเป็ นต้อ งมี cofactor
ในการทากิจกรรม สามารถดาเนินกิ จกรรมได้ดีในช่วงพี เอช 3.5-5 มีความเสถี ยรที่อุณหภูมิ 45-50 oซ
และเอนไซม์อีกชนิดคือ พูลลูลาเนส (Pullulanase : EC 3.2.1.41) เป็ นเอนไซม์ที่ใ ช้ต ัด พัน ธะ α -1,6
ของพูลลูแลนและอะมิโลเพคติน แต่การทากิ จกรรมไม่สมบูรณ์เท่ากับการย่อ ยโดยไอโซอะมิ เลส
19
และทากิจกรรมกับไกลโคเจนได้ยาก สามารถย่อ ยได้สายกลู โ คสที่ มีค วามยาว 2-3 หน่ วยได้โ ดย
Chiu et al. (1994) ได้พฒั นาวิธีการผลิ ต RS ซึ่ งเกี่ ยวข้องกับการทาให้สตาร์ ชที่มีปริ มาณอะมิ โ ลสมา
กกว่า 40% เกิ ด เจลาติ ไ นเซชัน ตามด้วยการใช้เอนไซม์ต ัด กิ่ ง (Debranching enzyme) เช่ น พู ล ลู
ลาเนสและไอโซอะมิเลส ในการลดขนาดโมเลกุ ล ของสตาร์ ช ซึ่ งพบว่าการตัด กิ่ งพัน ธะกิ่ งของ
สตาร์ ช ด้ วยเอนไซม์ต ั ด พัน ธะกิ่ ง มี ผ ลในการเพิ่ มปริ ม าณ RS และการแยกสตาร์ ช RS ด้ ว ย
กระบวนการเอกทรูชนั ให้ปริ มาณRS สู งกว่าการทาสตาร์ ช แบบพ่ น ฝอย (Spray drying) ดังนั้น การ
ตัดพันธะกิ่ งของสตาร์ ชด้วยเอนไซม์ตดั พันธะกิ่ งและการทาแห้งสตาร์ ชจึงมีผลต่ อ ปริ มาณ RS ที่ ไ ด้
Shi et al. (2006) ได้ทาการผลิ ต RS จากสตาร์ ช ที่ มีปริ มาณอะมิ โ ลสต่ า (Waxy maize starch และ
Waxy potato starch) โดยการใช้ไอโซอะมิเลสในการตัดกิ่ งของอะมิโลเพคติ น เพื่ อ ให้ไ ด้สายพอลิ
เมอร์ ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กลง จากนั้นทาการรี โทรเกรดที่ อุ ณหภูมิห ้อ งเพื่ อ ทาการสร้ างผลึ ก ให้ก ับ
สตาร์ ช ที่ ผ่ านการตัด กิ่ ง (Debranching starch) และทาแห้งด้วยระบบลม (Air-dried) ซึ่ งสามารถ
สร้าง RS ได้มากกว่า 70% และมีอุณหภูมิในการหลอมเหลว (Melting temperature) สู งกว่า 110 oซ
เพิ่ มขึ้ นประมาณ 2 เท่า (จาก 9% เป็ น 18%) ซึ่ งสอดคล้องกับการรายงานของBerry (1986) ว่าการตัด
พันธะกิ่ งของสตาร์ ชส่ งผลให้เกิ ดโมเลกุลสายโซ่ที่เป็ นเส้นตรงที่สนับสนุนให้เกิ ด RS ในปริ มาณสู ง
การวิจยั เกี่ยวกับการผลิต RS3ในยุคแรกๆ ส่ วนใหญ่ ใ ช้ amylomaize VII เป็ นวัต ถุ ดิ บตั้งต้น
(Chiu et al., 1994) เนื่ อ งจากเชื่ อ ว่ า RS3เกิ ด จากการรี โ ทรเกรเดชั น ของอะมิ โ ลส นอกจากนี้
โครงสร้างอะมิโลสที่แตกต่างกันก็เกิ ดการรี โทรเกรเดชัน ด้วยอัต ราที่ แตกต่ างกัน ซึ่ งแนวโน้มการ
เกิ ดรี โทรเกรเดชันของอะมิโลสขึ้ นกับขนาดโมเลกุลและความเข้มข้น ของอะมิ โ ลส (Shamai et al.,
2003)โดย Eerlingen, Crombez and Delcour (1993) ได้ทาการศึกษาผลของความยาวของสายโซ่อ ะ
มิ โ ลสต่ อ การเกิ ด RS3ซึ่ ง พบว่าความยาวของสายโซ่อ ะมิ โ ลสที่ มี DP 10-100 หน่ วยกลู โ คส
สนับสนุนให้เกิด RS ในปริ มาณที่สูงขึ้ น และจะมี ปริ มาณลดลงเมื่ อ DP>100 ซึ่ งสอดคล้อ งกับผล
การศึกษาของ Gidley et al. (1995)ที่รายงานว่า DP ต่ าสุ ด ที่ สามารถเกิ ด การจัด เรี ย งตัวของ double
helix คือ DP=10 และ DP ที่สูงสุดคือ DP=100 หน่วยกลูโคส โดย Eerlingen et al. (1995) รายงานว่า
DPของโมเลกุลสายโซ่ที่เป็ นเส้นตรงมีผลต่อปรากฎการณ์รี โ ทรเกรเดชัน ของสตาร์ ช เช่ น เดี ย วกับ
Schmiedl et al. (2000)ซึ่ งพบว่า DP ประมาณ 20 หน่ วยกลู โ คสเหมาะสมต่ อ การสร้ าง RS ใน
ปริ มาณสูง
เป็ นที่น่าสนใจว่าทาไมโครงสร้ างที่ เป็ นอะมิ โ ลเพคติ น ถึ งไม่สนับสนุ น การเกิ ด RS3ทั้งนี้
เนื่ อ งจากอะมิ โ ลเพคติ น มี โ ครงสร้ างที่ เป็ นกิ่ ง ก้าน แต่ อ ย่างไรก็ ต ามซึ่ งได้ ก ล่ า วมาข้างต้น ว่ า
กระบวนการตัดกิ่ งสามารถเพิ่ มปริ มาณ RS ได้ ซึ่ ง Lechmann, Jacobasch and Schmiedl (2002)ได้
สนับสนุนทฤษฎีดงั กล่าว โดยทาการตัดกิ่ งสตาร์ ชกล้วยที่มีอะมิโลเพคติ น 91.53%โดยน้ าหนัก แห้ง
ด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนส ซึ่ งจากผลการศึกษาพบว่าปริ มาณ RS สู งขึ้ นถึ ง 51% และพบว่าในสตาร์ ช
ที่ผ่านการตัดกิ่ งนั้นมีขนาดโมเลกุลเล็ ก ลงและมี สัด ส่ วนของDP 6-22 ในปริ มาณสู ง เช่ น เดี ย วกับ
Pongjanta et al. (2008) ซึ่ งทาการตัดกิ่ งสตาร์ ช มัน ฝรั่ งด้วยเอนไซม์พู ล ลู ล าเนส ซึ่ งจากการศึ ก ษา
พบว่าการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสเพิ่ มระดับการรี โทรเกรดของสตาร์ ชจาก 28.10 เป็ น 54.53%
ซึ่ งเป็ นผลทาให้ปริ มาณ RS เพิ่ มขึ้ นจาก 4.80 ถึ ง 12.33%
Cai and Shi (2010) ได้ทาการศึกษาโครงสร้างและความสามารถในการย่อยของสตาร์ ช จาก
waxy wheat, waxy maize, และ waxy potato หลังผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์ไ อโซอะมิ เลสและบ่มที่
อุณหภูมิ 25 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง ซึ่ งพบว่าสตาร์ ชจาก waxy potato ที่ผ่านการตัดกิ่ งมีสัดส่ วนของ
สายยาว (Long chain length) สู งกว่าของwaxy wheat, waxy maize ซึ่ งส่ งผลให้มีปริ มาณ RS และ
อุ ณหภูมิใ นการหลอมเหลว (Melting temperature) สู งกว่าของ waxy wheat, waxy maize อี ก ด้วย
ซึ่ งแสดงให้เห็นว่า waxy potato ที่มีโครงสร้างเป็ นโมเลกุลสายยาวสามารถเพิ่ มปริ มาณ RS ได้ โดย
การใช้กระบวนการตัดกิ่ งร่ วมกับกระบวนการรี โ ทรเกรเดชัน ซึ่ งโครงสร้ าง double helices ที่ เกิ ด
21
จากโมเลกุลสายยาวมีความแข็งแรง ต้านทานต่อการย่อยของเอนไซม์ และมีเสถี ยรภาพต่อความร้อน
ได้ดีกว่า double helices ที่เกิ ดจากโมเลกุลสายสั้น
การเพิ่ มผลผลิ ตของ RS3นอกจากการใช้เอนไซม์ใ นการตัด กิ่ งแล้ว ยังพบว่ามี อิ ทธิ พ ลอัน
เนื่ องมาจากสภาวะการเก็บ (Storage–condition) ซึ่ งโดยทัว่ ไปจะเกี่ ยวข้องกับระยะเวลาและอุ ณหภูมิ
ในการเก็บ ทั้งนี้ เพราะ RS3 จัดเป็ น retrograded starch ซึ่ งปริ มาณ RS จะเพิ่ มขึ้ น ตามระยะเวลาเก็ บ
โดยเฉพาะการเก็บที่อุณหภูมิต่ า ซึ่ ง Agama–Acevedo et al. (2004)ได้ร ายงานว่า tortillas ที่ เก็ บที่
อุณหภูมิต่า เป็ นเวลา 48 ชั่วโมง มีปริ มาณ available starch ลดลง ในขณะที่ ปริ มาณ RS ทั้งหมด
เพิ่ มขึ้ น ซึ่ งเป็ นผลอันเนื่องมาจากการเกิ ดรี โทรเกรเดชันเป็ นหลัก ในขณะที่ Schmiedel et al. (2003)
รายงานว่าการเพิ่ มปริ มาณของแข็งของเจลสตาร์ ชมันฝรั่งที่มีปริ มาณอะมิ โ ลสน้อ ยกว่า 10% (Waxy
potato starch) ที่ ผ่ านการตัด กิ่ งและผ่ านการรี โ ทรเกรดที่ อุ ณหภูมิ 4 oซ และ 25 oซ เป็ นเวลา 24
ชัว่ โมง พบว่าที่อุณหภูมิการบ่มแตกต่างกันมีผลต่อการเพิ่ มปริ มาณ RS ได้แตกต่างกัน ด้วยเนื่ อ งจาก
อุณหภูมิมีผลต่อการจัดเรี ยงโครงสร้างผลึ กที่แตกต่ างกัน โดยเมื่ อ บ่มที่ ร ะยะเวลาเท่ากัน การบ่มที่
อุ ณหภูมิ 25 oซ ส่ งผลให้ปริ มาณ RS สู งกว่าการบ่มที่ อุ ณหภูมิ 4 oซ เนื่ อ งจากผลึ ก ที่ ไ ด้มีค วาม
แข็ งแรงกว่าในขณะที่ Gonzalez-Soto et al. (2006)พบว่าระยะเวลาไม่มีผ ลต่ อ ปริ มาณ RS ของ
สตาร์ ชกล้วยที่ไม่ผ่านการตัดกิ่ ง ในขณะที่อุณหภูมิในการเก็บมี ผ ลต่ อ ปริ มาณ RS ของ debranched
banana starch อย่างมีนยั สาคัญโดยการเก็บที่อุณหภูมิ 60 oซ แสดงปริ มาณ RS ทีน่ อ้ ยกว่าการเก็ บไว้
ที่อุณหภูมิ 4 oซ และ 32 oซ
Eerlingen et al. (1994) ได้ศึก ษาการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน ของเจล waxy maize starch ที่
อุณหภูมิหอ้ งเป็ นเวลา 48 ชัว่ โมง แล้วตรวจสอบการทนต่ อ การย่อ ยด้วยเอนไซม์ pancreatic alfa-
amylase และ amyloglucosidase พบว่าสามารถสร้างปริ มาณ RS ได้ เพี ย ง 5% Lehmann et al. (2002)
การกาจัดอะมิโลเพคติ นออกด้วยเอนไซม์ที่ตดั กิ่ งได้ (Berry, 1986) ดังนั้น การตัด กิ่ งสตาร์ ช จึ งเป็ น
วิธีหนึ่ งที่สามารถเพิ่ มปริ มาณ RS ให้สูงขึ้ นได้
เป็ นที่ทราบกันดีวา่ อะมิโลสที่มี DP 80-120 หน่วยกลูโคส มีแนวโน้มการเกิ ด รี โ ทรเกรดดี
ที่สุด (Gidley and Bulpin, 1989) ดังนั้นการเร่ งการเกิ ดรี โทรเกรเดชันจะเป็ นการลดระยะเวลาในการ
สร้าง RS type III ได้ซ่ ึ งเมื่อเปรี ย บเที ย บการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน ของอะมิ โ ลสกับอะไมโลเพคติ น
พบว่าการเกิ ด ผลึ ก (recrystallization) ของอะไมโลเพคติ น จะเกิ ด ได้ช ้ าและใช้เวลานานกว่ า
เนื่ อ งจากข้อ จากั ด ในเรื่ อ งของขนาดของสายโซ่ และผลึ ก ที่ เ กิ ด ขึ้ นก็ มี ค วามเสถี ย รน้อ ยกว่ า
(Eerlingen et al., 1995) Eerlingen et al. (1993b) ศึกษาผลของความยาวของสายโซ่อ ะมิ โ ลสที่ มีต่ อ
การเกิด RS type III โดยพบว่าความยาวของสายโซ่อะมิโลสเริ่ มต้น มี ผ ลต่ อ ปริ มาณ RS ซึ่ งเมื่ อ DP
เพิ่ มขึ้ นถึง 260 หน่วยกลูโคส RS มีปริ มาณเพิ่ มขึ้ นตามความยาวของสายโซ่อะมิโลส จนถึ งค่ าคงที่
สู งสุ ดที่มี RS ประมาณ 28% ส่วนสายโซ่ที่มี DP มากกว่า 260 หน่ วยกลู โ คส ปริ มาณ RS จะลดลง
น้อยกว่า 28% ซึ่ งคาดว่าเป็ นผลมากจากการเกิ ด RS ในสารละลายอะมิ โ ลสที่ มี DP น้อ ยกว่า 100
หน่วยกลูโคส ความยาวของสายโซ่ไม่เพี ยงพอต่อการเกิ ดผลึ กที่มีความทนทาน ในทางตรงกัน ข้าม
อะมิโลสที่มี DP มากกว่า 300 หน่วยกลูโคส ก็ยากต่ อ การสร้ างสายพอลิ เมอร์ ที่มีค วามเป็ นผลึ ก ที่
ทนทานเช่ น กัน ส่ วนผลการศึก ษาของSchmiedl et al. (2000) พบว่า poly-1, 4- -D-glucanที่ มี
polymer chain lengths 10-35 หน่วยกลูโคส สามารถผลิ ต RS ได้สูงถึ ง 94% ซึ่ งมี ค วามเสถี ย รต่ อ
ความร้อนถึงอุณหภูมิ 110 องศาเซลเซี ย ส และสามารถผลิ ต กรดไขมัน สายสั้ น จากการหมัก โดย
จุลิ น ทรี ย ์ใ นล าไส้ใ หญ่ได้สูงกว่า retrograded high amylose corn starch (Novelose 330, National
Starch)
Eerlingen et al. (1994) ได้ศึกษาถึ งผลของอุ ณ หภูมิใ นการเก็
บต่ อ การเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน
ของเจลแป้ ง waxy maize starch ซึ่ งพบว่าสภาวะการเก็ บที่ อุ ณหภูมิ 6 oซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง ตาม
ด้วย 40 oซ เป็ นเวลา 29 วัน ทาให้อตั ราการรี โ ทรเกรเดชัน มากขึ้ น melting temperature เพิ่ มสู งขึ้ น
ทนต่ อ การย่อ ยด้วยเอนไซม์เพิ่ มมากขึ้ น และสามารถสร้ าง resistant starch ได้สูงถึ ง 42% ซึ่ ง
สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Fredriksson et al. (2000) ที่รายงานว่าการใช้ temperature cycle ใน
การรี โทรเกรดเจล waxy maize starch และ high-amylopectin potato starch มี ผ ลทาให้ก ารย่อ ยอะ
มิโลเพกตินด้วยเอนไซม์ -amylase เกิ ดขึ้ นช้าลง
3.8 ประโยชน์ ของสตาร์ ชที่ทนต่ อการย่ อยด้ วยเอนไซม์
สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ไม่สามารถถูกย่อยสลายได้ในลาไส้แต่จะเกิ ด การหมัก
โดยจุลิ น ทรี ย์ใ นล าไส้ใ หญ่ และผลิ ต กรดไขมัน สายสั้ น เช่ น แอซิ เตต (Acetate), บิ ว ทิ เ รต
(Butyrate) และโพรพิโอเนต (Propionate) ซึ่ งสารเหล่านี้ คือสารตั้งต้นที่สาคัญของเซลล์ เยื่ อ บุผิ วใน
23
ลาไส้ใหญ่ และยับยั้งการเปลี่ ยนแปลงของเนื้ อร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ งป้ องกัน การเกิ ด มะเร็ งล าไส้
(Arrigono et al., 1992) นอกจากนี้ ก รดไขมัน ทั้งสามชนิ ด ยังเป็ นประโยชน์ ต่ อ จุลิ น ทรี ย ์ที่เป็ น
ประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ (Probiotic microorganisms)เช่ น bifidobacterium เป็ นต้น (Sajilate
et al., 2006) จากการที่สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มีลกั ษณะเหมื อ นกับไฟเบอร์ (Fiber) จึ ง
ส่ งผลดีต่อสุขภาพของลาไส้ โดยเพิ่ มอัตราการผลิ ตต่อมเซลล์ เล็ ก ๆ หรื อ ลดการฝ่ อของเยื่ อ บุผิ วที่
ล าไส้เมื่ อ เปรี ย บเที ย บกับสตาร์ ช ทัว่ ไป แสดงให้เห็ น ว่าสตาร์ ช ที่ ทนต่ อ การย่อ ยด้วยเอนไซม์ มี
ลักษณะคล้าย กัวร์ ไฟเบอร์ ที่ละลายน้ า ซึ่ งมีอิทธิ พลต่อการเกิ ดเนื้ องอก และลดคลอเรสเตอรอลใน
เลื อด และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) (Haralampu, 2000)
สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มีผลต่อระดับน้ าตาลในเลื อด เนื่ องจากมีความสามารถ
ในการถูกย่อยต่าซึ่ งสามารถใช้เป็ นเครื่ องมือในการควบคุมการปลดปล่ อ ยปริ มาณกลู โ คส ซึ่ งจาก
งานวิจยั ของ Ranhotra et al. (1997) พบว่าสตาร์ ช ที่ ทนต่ อ การย่อ ยด้วยเอนไซม์จะเกิ ด การย่อ ย
ภายหลังการบริ โภคแล้วประมาณ 5-7 ชัว่ โมง ทาให้ระดับน้ าตาลในเลื อ ดและอิ น ซู ลิ น หลังบริ โ ภค
อาหารลดลงเมื่อเทียบกับการย่อยสตาร์ ชปกติ ที่ผ่านการให้ความร้อนซึ่ งจะเกิ ดการย่อยทันทีหลังการ
บริ โภคอาหาร เช่นเดียวกับงานวิจยั ของสตาร์ ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ช นิ ด ที่ 3 (RS3) ที่ ผ ลิ ต
โดยบริ ษทั CrystaLean® นามาใช้เป็ นส่ วนผสมในอาหาร พบว่าระดับน้ าตาลกลู โ คสเลื อ ดของผู ้
ทดสอบภายหลังการบริ โภคอาหารมีค่าต่ ากว่าการบริ โภคคาร์ โบไฮเดรตชนิ ดอื่ นๆ เช่น สตาร์ ชชนิ ด
อื่ นๆ โอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharides) และน้ าตาล เป็ นต้น โดยสตาร์ ช ที่ ทนต่ อ การย่อ ยด้วย
เอนไซม์เป็ นตัวลดระดับกลูโคสในเลื อดภายหลังรับประทานอาหาร เนื่ องจากลดการปลดปล่ อ ยกู ล
โคส และมี บ ทบาทส าคั ญ ในการควบคุ ม กระบวนการเผาผลาญ (Metabolism) ในผู ้ ป่ วย
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (ไม่ข้ ึ นกับอิ นซูลิน)
ร่ างกาย และยับยั้งการเจริ ญ เติ บโตของจุลิ น ทรี ย ์ก่ อ โรค (Pathogenic microorganisms) ในระบบ
ทางเดินอาหาร
นอกจากนี้ สตาร์ ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์ย งั ช่ วยในการยับยั้งการสะสมไขมัน โดย
Higgins et al. (2005) ได้ทาการศึกษาโดยใช้ผทู ้ ดสอบเพศชายจานวน 12 คน ให้บริ โ ภคอาหารที่ มี
การเติมเส้นใยจากสตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์เป็ นส่ วนผสมในผลิ ตภัณฑ์อาหาร ซึ่ งพบว่า
สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยสลายด้วยเอนไซม์ช่วยลดการสะสมของไขมัน เนื่ องจากภายหลังการบริ โภค
เกิ ดการออกซิเดชัน ของลิ พิ ด (Lipid oxidation) เพิ่ มขึ้ น นอกจากนี้ ย งั ช่ วยในการดู ด ซึ มแร่ ธาตุ ที่
ลาไส้ จากงานวิจยั ของ Moates et al. (1996) ที่ ไ ด้ทาการศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บผลของสตาร์ ช 2 ชนิ ด
ได้แก่สตาร์ชที่มีสัดส่วนของสตาร์ชทนย่อยต่อเอนไซม์ผสมอยูร่ ้อยละ 16 โดยน้ าหนักและสตาร์ ช ที่
ไม่มีการผสม โดยตรวจสอบผลต่อการดูดซึ มของแคลเซี ยม ฟอสฟอรั ส เหล็ ก และสังกะสี ซึ่ งผล
การทดลองพบว่า สตาร์ชที่ทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มีช่วยให้การดูด ซึ มแคลเซี ย มและเหล็ ก ของ
ลาไส้มีประสิ ทธิ ภาพมากขึ้ นนอกจากนี้ หน้าที่อื่นๆ ของสตาร์ ช ที่ ทนต่ อ การย่อ ยด้วยเอนไซม์ห รื อ
เส้นใยอาหาร คือ ช่วยป้ องกันการลดสภาวะโรคอ้วน มีบทบาทในการลดคลอเรสเตอรอลในเส้น
เลื อด ลดความเสี่ ยงต่อการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลื อด โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน เป็ นต้น
ในทางอุตสาหกรรมอาหารสตาร์ ชทนย่อยด้วยเอนไซม์ถูกประยุกต์ ใ ช้มากมาย เนื่ อ งจากมี
ขนาดอนุภาคที่เล็ก ลักษณะปรากฏเป็ นสี ขาว ไม่มีกลิ่ น มีความสามารถในการอุม้ น้ าต่ า มี คุ ณสมบัติ
ทางเคมีกายภาพที่ดี เช่น ลักษณะการพองตัว, สมบัติ ทางความหนื ด ที่ เพิ่ มขึ้ น , สมบัติ ก ารเป็ นเจล
และความสามารถในการจับกับน้ า นอกจากนี้ ย งั ไม่ทาให้เนื้ อ สั มผัสของอาหารมี ล ัก ษณะหยาบ
เหมือนกรวดทราย และไม่ทาให้เกิ ด การเปลี่ ย นแปลงทางด้านรสชาติ และเนื้ อ สั มผัส สามารถ
นามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารได้หลากหลาย เช่ น ใช้ เป็ นส่ วนผสมในผลิ ต ภัณฑ์ แทน
การใช้เส้นใยอาหารจากแหล่งอื่ นๆ และใช้เพิ่ มปริ มาณเส้นใยอาหาร (Fiber fortified) ในผลิ ต ภัณฑ์
ที่มีความชื้ นต่ า ซึ่ งจะใช้ใ นผลิ ต ภัณฑ์ อ าหารที่ ปรุ งสุ ก และผ่ านการอบ เช่ น ผลิ ต ภัณฑ์ เบเกอร์ รี่
ผลิ ตภัณฑ์ ธัญ ชาติ สาเร็ จรู ป (RTE Cereal) ขนมขบเคี้ ย ว อาหารเส้น (Pasta / Noodle) และอาหาร
ทอด เป็ นต้น ทั้งนี้ RS3เป็ น RS ที่ได้รับความสนใจมากกว่า RS ชนิ ดอื่ นๆ เนื่ องจากมีความเสถี ย รต่ อ
ความร้อน (Thermal stability) จึงสามารถรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ไ ด้ใ นระหว่างกระบวนการ
หุงต้มปกติ (Shamai et al., 2003) และเนื่ องจากโครงสร้ างส่ วนผลึ ก ของ RS3แสดงการเปลี่ ย นเฟส
(Endothermic transition) ที่อุณหภูมิ 120-160 oซ (Han et al., 2006) ดังนั้น จึ งเหมาะสาหรั บใช้เป็ น
สารเติมแต่งที่เป็ นพรี ไบโอติกที่ทนความร้อนในอาหารได้ ซึ่ งจะใช้ในอาหารพวกที่ตอ้ งผ่ านการให้
ความร้อนหรื อผลิตภัณฑ์ประเภทขนมอบ
25
บทที่ 2
วิธีดาเนินการวิจัย
ตอนที่ 1
2.1.1 วัตถุดิบและสารเคมี
ข้าวพัน ธุ์สุพ รรณบุรี 90 (Suphanburi 90, S90) พิ ษณุโ ลก 1 (Phitsanulok 1, P1)
พิ ษณุโ ลก 2 (Phitsanulok 2, P2) ได้รั บการอนุ เคราะห์ จากศูน ย์วิจยั ข้ าวปทุมธานี อ าเภอธัญ บุรี
จังหวัดปทุมธานี และข้าวพันธุ์กข 6 (RD6) ได้รับการอนุเคราะห์จากศูน ย์วิจยั ข้าวขอนแก่ น อ าเภอ
เมื อ ง จังหวัด ขอนแก่ น เอนไซม์พู ล ลู ล าเนส (Pullulanase EC 232-983-9, Sigma no P2986),
เอนไซม์ไอโซอะมิเลส (Isoamylase from Pseudomonas sp. Sigma no I5284), เอนไซม์อ ะมิ โ ลกลู
โคซิ เดส (Amyloglucosidase: EC 3.2.1.3 from Aspergillus niger, Sigma no A7095) เอนไซม์เอล
ฟาอะมิเ ลส (α-amylase: EC 3.2.1.1 type VI-B from porcine pancreas, Sigma no A3716),
เอนไซม์เบตาอะมิเลส (-amylase EC 3.2.1.2 type II-B from barley, Sigma no A7130), อะมิ โ ลส
(amylose type 3 from potato, Sigma no A0512), pullulan, glucose oxidase peroxidase reagent
(G3660) และสารเคมีพื้นฐานต่างๆ ซื้ อจาก Sigma chemical
ของกลูแคนไอโอดี น สู งสุ ด อยู่ใ นช่ วงระหว่าง 600 ถึ ง 620 นาโนเมตร (620nm>λmax>600nm),
ส่ วนที่ 3 คื อ ส่ วนประกอบที่ 2 (Fraction II, Fr. II) มี ค่ าความยาวคลื่ น ที่ ค่ าการดู ด กลื น แสงของ
สารประกอบเชิงซ้อนของกลูแคนไอโอดี นสู งสุ ด อยู่ใ นช่ วงระหว่าง 525 ถึ ง 600 นาโนเมตร (600
nm>λmax>525nm) ซึ่ งเกิ ด จากสายโซ่ข องอะมิ โ ลเพคติ น ที่ มี DP ประมาณ 45 และส่ วนที่ 4 คื อ
ส่ วนประกอบที่ 3 (FractionIII, Fr. III) มีค่ าความยาวคลื่ น ที่ ค่ าการดู ด กลื น แสงของสารประกอบ
เชิ งซ้อนของกลูแคนไอโอดีนสูงสุดน้อยกว่า525 (λmax<525nm) ซึ่ งแสดงผลดังตารางที่ 3.1
ตารางที่ 2.1คุณลักษณะบางประการของสารประกอบเชิ งซ้อนที่เกิ ดจากการทาปฏิ กิริยากับไอโอดี น
ของสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่างๆ และ สตาร์ ชข้าวที่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์ Isoamylase และ
ทาการแยกตามขนาดด้วย Gel permeation chromatography (GPC) จากสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์
ต่างๆ
Debranched starch Debranched amylopectin
Sample Absolute
(%) (%)
amylose c
a b
GPC Fr I Fr II Fr III Fr I Fr II Fr III (%)
2. 1.3 การเตรียมสตาร์ ชของข้ าวพันธุ์ต่างๆ
ทาการเตรี ยมสตาร์ ชข้าวโดยนาเมล็ดข้าวมาผ่านกรรมวิ ธี ก ารโม่เปี ยกเพื่ อ ให้ไ ด้ฟ
ลาวข้าว จากนั้นทาการสกัดโปรตีนตามวิธีการของ Sawai และ Morita (1968)เพื่ อให้มีโปรตี น เหลื อ
น้อยกว่าร้อยละ 0.5 โดยเริ่ มจากนาฟลาวมาแช่ในสารละลายโซเดี ยมคลอไรด์เข้มข้น ร้ อ ยละ 5 แล้ว
ทาการกรองด้วยกระดาษกรองเบอร์ 1 เพื่ อแยกสารละลายเกลื อ ออก ในขั้น ตอนต่ อ มาน าตะกอน
สตาร์ชมาสกัดด้วยเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 95 กรองแยกตะกอนสตาร์ ช จากนั้น สกัด โดยการแช่
ตะกอนสตาร์ชในสารละลายด่างโซเดี ยมไฮดรอกไซด์ร้อยละ0.25 สกัดนาน 16 ชัว่ โมง และทาการ
ล้างด่ างออกจากตะกอนสตาร์ ช จนกระทัง่ พี เอชของน้ าล้างตะกอนสตาร์ ช มี ค่ า พี เอชเท่ากับ 7
ขั้นตอนสุ ดท้ายล้างตะกอนสตาร์ ชด้วยน้ ากลัน่ และอบตะกอนสตาร์ ชที่อุณหภูมิ 50 oซ เป็ นเวลา 20
ชั่วโมง และทาการบดและร่ อ นตัวอย่าง เก็ บตัวอย่างสตาร์ ช ที่ อุ ณหภูมิ -20 oซ เพื่ อ ใช้สาหรั บ
วิเคราะห์ต่อไป
เช่นเดียวกันสาหรับตัวอย่างสตาร์ ชที่ทาการชัง่ น้ าหนัก 10 มิลลิ กรัม (โดยน้ าหนักแห้ง) เติ ม
3%(w/v) L-α-lysophosphatidylcholine (LPC) ปริ มาตร 50 ไมโครลิ ตรและนาไปให้ค วามร้ อ นจาก
อุณหภูมิ 20 oซ ถึง 180 oซ (heating rate 5 oซ /นาที) แล้วจึงทาการลดอุณหภูมิลงถึ ง 4 oซ (cooling rate
10 oซ /นาที) และให้ค วามร้ อ นอี ก ครั้ งจนถึ ง 140 oซ (heating rate 5 oซ /นาที ) ซึ่ งค่ าคุ ณสมบัติ ทาง
ความร้ อ นที่ ท าการวิ เคราะห์ คื อ อุ ณ หภูมิเ ริ่ มต้น ของการเปลี่ ย นเฟส (onset temperature, T0),
อุ ณหภูมิสูงสุ ด ของการเปลี่ ย นเฟส (peak temperature, Tp), อุ ณหภูมิสุด ท้ายของการเปลี่ ย นเฟส
(conclusion temperature, Tc), ช่ วงอุ ณหภูมิข องการเปลี่ ย นเฟส (Tc–T0) และค่ าพลังงานในการ
เปลี่ ยนเฟส (H) ของสารประกอบเชิ งซ้อ นระหว่างอะมิ โ ลสกับไขมัน (amylose lipid complex)
ค านวณปริ มาณอะมิโ ลสโดยแทนค่ าลงในสมการเส้น ตรงของกราฟมาตรฐานของอัต ราส่ ว น
ระหว่างอะมิโลสและอะมิโลเพคติน
2.1.4.4 ศึกษาการกระจายตัวของความยาวกิ่ งก้านสายอะมิ โ ลเพคติ น ของสตาร์ ช
(Chain length distribution)
ชัง่ ตัวอย่างสตาร์ ช 6-7 มิลลิ กรัม ละลายในน้ ากลัน่ ปริ มาตร 4.69 มิ ล ลิ ลิ ต ร ต้มใน
น้ าเดื อดเป็ นเวลา 10 นาที แล้วตั้งให้เย็นที่อุณหภูมิหอ้ ง เติ มสารละลายบัพเฟอร์ โซเดี ย มอะซิ เตรท 1
โมลาร์ (พีเอช 3.5) ปริ มาตร 100 ไมโครลิ ต ร จากนั้น เติ ม Isoamylase (11,084.31 ยูนิ ต /มิ ล ลิ ลิ ต ร)
ปริ มาตร 10 ไมโครลิตรและนาไปบ่มที่อุ ณหภูมิ 45oC เป็ นเวลา 2.5 ชั่วโมง เมื่ อ ครบระยะเวลาทา
การหยุดปฏิกิริยาโดยเติมสารละลายโซเดี ยมไฮดรอกไซค์ที่ค วามเข้มข้น 100 โมลาร์ ปริ มาตร 200
ไมโครลิ ต รและน้ ากลัน่ ปริ มาตร 5ไมโครลิ ต ร จากนั้น น าตัวอย่ างมาวิ เคราะห์ โ ครงสร้ างของ
debranched starch ด้วยเครื่ อ ง HPAEC-PAD (Dionex ICS3000, Dionex Corp., Sunnyvate, CA,
USA) ใช้ค อลัมน์ Carbopac PA200 โดยปริ มาณสารตัว อย่ า งที่ ใ ช้ ใ นการวิ เคราะห์ เ ท่ากั บ 50
ไมโครลิตร สาหรับ mobile phase ที่ประกอบด้วย eluent A คื อ โซเดี ย มไฮดรอกไซค์ เข้มข้น 0.15
โมลาร์ และ eluent B คื อ โซเดี ย มอะซิ เตรท เข้มข้น 0.1 โมลาร์ ล ะลายในโซเดี ย มไฮดรอกไซค์
เข้มข้น 0.15 โมลาร์ โ ดยการไหลของ mobile phase ควบคุ มโปรแกรมให้เป็ น gradient แสดงดัง
ตารางที่ 3.2 และอัตราการไหลเท่ากับ 1มิลลิ ลิตร/นาที
2.1.5 การวิเคราะห์ กิจกรรมของเอนไซม์
2.1.5.1 เอนไซม์พูลลูลาเนส
กิจกรรมของเอนไซม์พูลลูลาเนสวิเคราะห์ตามวิธีการของ Novo industri A/S (1983)
โดยเอนไซม์พูลลูลาเนส 1 Pullulanase Unit (PUN) หมายถึ ง ปริ มาณเอนไซม์ที่ย ่อ ยพู ล ลู แลนเป็ น
คาร์ โบไฮเดรตรี ดิวซ์ที่มีกาลังรี ดิวซ์สมมูลกับกลูโคส 1 ไมโครโมลต่อนาที ที่อุณหภูมิ 50 oซ ทาการ
วิเคราะห์โดยเตรี ยมสารละลายพูลลูแลนในน้ าปราศจากไอออนความเข้มข้น 0.4% โดยน้ าหนัก
29
ตารางที่ 2.2 Gradient program ของเครื่ อ ง High Performance Anion Exchange Chromatography
with Pulse Amperometric Detector (HPAEC-PAD)
เวลา (นาที) Eluent A (%) Eluent B (%)
0 10 90
10 20 80
25 50 50
30 40 60
40 80 20
45 100 0
60 100 0
ปริ มาตร 0.5 มิลลิ ลิตร วางในอ่างน้ าอุณหภูมิ 50 oซ เป็ นเวลา 5 นาที เติ มสารละลายเอนไซม์พู ล ลู
ลาเนสที่ทาการเจือจาง 10,000 เท่า ใน 0.1 โมลาร์ acetate buffer พี เอช 5.0 ปริ มาตร 0.5 มิ ล ลิ ลิ ต ร ที่
อุณหภูมิ 50 oซ เป็ นระยะเวลา 15 นาที หยุดปฏิ กิริยาโดยเติ ม Somogyi’s copper reagent ปริ มาตร 10
มิลลิ ลิตร จากนั้นวิเคราะห์ปริ มาณน้ าตาลรี ดิวซ์ เที ย บกับสารละลายกลู โ คสมาตรฐานตามวิ ธีก าร
ของ Somogyi’s method (Somogyi, 1952) สาหรั บแบลงค์ ทาการเติ ม Somogyi’s copper reagent
ปริ มาตร 1 มิลลิลิตร ลงในสารละลายผสมพู ล ลู ล าเนสและเอนไซม์ก่ อ นการบ่มที่ อุ ณหภูมิ 50 oซ
คานวณกิจกรรรมของเอนไซม์ในปริ มาตร 1 มิลลิ ลิตรจากปริ มาณน้ าตาลรี ดิ วซ์ ที่ถู ก ย่อ ยออกมาได้
ต่อนาที โดยเอนไซม์พูลลูลาเนสมีกิจกรรมเท่ากับ 483.3 PUN/มิลลิ ลิตร
2.1.5.2 เอนไซม์ไอโซอะมิเลส
ทาการวิเคราะห์กิจกรรมของเอนไซม์ไอโซอะมิเลสตามวิ ธีก ารของ Novo industri
A/S (1983)โดยดูดสารละลายอะมิโ ลเพคติ น มัน ฝรั่ งความเข้มข้น ร้ อ ยละ 0.4 (w/w) ปริ มาตร0.5
มิลลิ ลิตร จากนั้นเติ มเอนไซม์ไอโซอะมิเลสที่ระดับความเจือ จาง 10,000 เท่าในสารละลายอะซิ เต
รทบัฟเฟอร์เข้มข้น 0.1 โมลาร์ พี เอช 5.0 ปริ มาตร 0.5 มิ ล ลิ ลิ ต ร บ่มที่ อุ ณหภูมิ 50 oซ เป็ นเวลา 15
นาที ทาการหยุดปฏิกิริยาโดยเติม Somogyi’s copper reagent ปริ มาตร 1 มิ ล ลิ ลิ ต ร จากนั้น ทาการ
วิเคราะห์ปริ มาณน้ าตาลรี ดิ วซ์ เที ย บกับสารละลายกลู โ คสมาตรฐานตามวิ ธีก ารของ Somogyi’s
method (Somogyi, 1952) โดยแบลงค์ทาการเติ ม Somogyi copper reagent ปริ มาตร 1 มิ ล ลิ ลิ ต ร ลง
ในสารละลายผสมระหว่างอะมิโลเพกติ นมันฝรั่งและเอนไซม์ก่ อ นบ่มที่ อุ ณหภูมิ 50 oซ โดย Novo
industry AIS (1983) ให้นิยามว่า isoamylase 1 Unit หมายถึ ง ปริ มาณเอนไซม์ที่ย ่อ ยอะมิ โ ลเพคติ น
เป็ นคาโบไฮเดรตรี ดิวซ์ที่มีกาลังรี ดิ วซ์สมมูล กับกลู โ คส 1 ไมโครโมลต่ อ นาที ที่ อุ ณหภูมิ 50 oซ
30
ดังนั้นกิ จกรรมของเอนไซม์ในปริ มาตร 1 มิลลิ ลิตร จากปริ มาณน้ าตาลรี ดิวซ์ที่ถูกย่อยออกมาได้ต่ อ
นาที โดยเอนไซม์ไอโซอะมิเลสกิจกรรมเท่ากับ 11,084.31 ยูนิต/ มิลลิ ลิตร
(Autoclaved) ที่อุณหภูมิ 121 oซ เป็ นเวลา 15 นาที เพื่ อ ให้ สารละลายสตาร์ ช ข้า วเกิ ด เจลอย่า ง
สมบูรณ์ จากนั้นทาให้เย็นจนอุณหภูมิข องเจลสตาร์ ช อยู่ที่ 50 oซ ทาการเติ มเอนไซม์พู ล ลู ล าเนส
และเอนไซม์พูลลูลาเนสร่วมกับไอโซอะมิเลส ที่ระดับ 45 PUN/กรัมสตาร์ ช และบ่มที่ อุ ณหภูมิ 50 o
ซ เป็ นระยะเวลา 24 ชัว่ โมง ในระหว่างระยะเวลาบ่มทาการสุ่ มตัวอย่างสตาร์ ช สตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ ง
ปริ มาตร 0.1 มิลลิลิตร จากนั้นผสมกับสารละลายเข้มข้น DMSO และให้ความร้อนที่อุ ณหภูมิ 85 oซ
เป็ นเวลา 30 นาที เพื่อหยุดกิจกรรมของเอนไซม์ ตัวอย่างถูกทาให้เย็น และทาการวิ เคราะห์ ปริ มาณ
น้ าตาลรี ดิวซิ งค์ (reducing suger content : R) เทียบกับน้ าตาลกลูโคสมาตรฐานและปริ มาณน้ าตาล
ทั้งหมด (total sugar content :TS) ด้วยวิ ธี phenol-sulfuric acid (Dubois et al., 1956) โดยแต่ ล ะ
ตัวอย่างทาการวิเคราะห์ 3 ซ้ า เพื่ อใช้ในการคานวณระดับการตัดกิ่ ง และระดับการย่อ ยตามสมการ
ข้างล่าง
2.1.9 การวิเคราะห์ ปริมาณสตาร์ ชที่ ทนต่ อการย่ อยด้ วยเอนไซม์
การวิเคราะห์ปริ มาณ RS ของสตาร์ ช ข้าวทั้งสามชนิ ด ทั้งก่ อ นและหลังการดัด แปร โดย
วิธีการวิเคราะห์ดดั แปลงจากวิธี AOAC method (2002) โดยทาการชัง่ ตัวอย่างสตาร์ ช 100 มิ ล ลิ ก รั ม
ลงในหลอดปั่นเหวี่ยงที่มีฝาปิ ดขนาด 15 มิลลิ ลิตร จากนั้นเติ มสารละลายอะซิ เตรทบัฟ เฟอร์ ค วาม
เข้นข้น 1.2 โมลาร์ พี เอช 5.0 ปริ มาตร 4 มิ ล ลิ ลิ ต ร ที่ ผ สมเอนไซม์แพนครี เอติ ก แอลฟาอะมิ เลส
(pancreatic alpha-amylase) ที่มีเอนไซม์ อ ะมิ โ ลกลู โ คซิ เดส (amyloglucosidase; AMG, 3 ยูนิ ต /
มิลลิ ลิตร) ผสมให้เข้ากัน นาไปวางในอ่างน้ าควบคุมอุณหภูมิ 37 oซ เป็ นเวลา 16 ชั่วโมง โดยเขย่า
ตลอดเวลา จากนั้นหยุดปฏิกิริยาโดยเติ มเอทานอล 99% ปริ มาตร 4 มิ ล ลิ ลิ ต ร น าตัวอย่างที่ ไ ด้ไ ป
ปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ วรอบ 1,500 x g เป็ นเวลา 10 นาที เทส่ วนใสทิ้ง นาตะกอนที่ ไ ด้มาละลายด้วยเอ
ทานอล 50% ปริ มาตร 8 มิลลิลิตร แล้วนาไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ วรอบ 1,500 x g เป็ นเวลา 10 นาที
(ทาซ้ า 2 ครั้ ง) ค่อ ยๆ เทส่ ว นใสทิ้ งและรอให้ ต ะกอนสตาร์ ช แห้ง จากนั้ น เติ ม สารละลาย
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์เข้มข้น 2 โมลาร์ พีเอช 3.8 ปริ มาตร 8 มิลลิ ลิตร จากนั้นเติ ม AMG 3300 ยู
นิ ต/มิลลิลิตร ปริ มาตร 0.1 มิลลิลิตร แล้วนาไปวางในอ่างน้ าควบคุมอุณหภูมิ 50oC เป็ นเวลา 30 นาที
วิเคราะห์ปริ มาณกลูโคสที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยชุดทดสอบ PGO เอนไซม์ (Sigma, P7119) แล้ว
วัดค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่ น 510 นาโนเมตร คานวณปริ มาณ RS จากสมการ
F
RS (g/100 gสตาร์ ช) = 100
ตั้งค่ า เครื่ อ งในการวัด คื อ กระแสไฟฟ้ า 40 มิ ล ลิ แอมป์ ศัก ย์ไ ฟฟ้ า 40 กิ โ ลโวลต์ ความกว้า ง
divergence slit 1º ความกว้าง antiscatterring slit 1º ความเร็ วในการตรวจวัด 0.48 o/นาที ทาการ
ค านวณหาปริ มาณผลึ ก (Relative crystallinity) ตามวิ ธีข อง Herman และ Weidinger (1961) โดย
ปรับ baseline และความเรี ย บของ diffraction pattern แล้ววัด พื้ น ที่ ใ ต้ก ราฟของ diffraction pattern
ของตัวอย่างด้วยโปรแกรม EVA Diffract Plus #1 และปริ มาณความเป็ นผลึ ก (relative crystallinity)
คานวณจากอัตราส่ วนของพื้ น ที่ พี ค (diffraction peak area) ต่ อ พื้ น ที่ ท้ งั หมด (total diffraction area)
(Hermans and Weidnger, 1961)
2.1.11 การตรวจวัดคุณสมบัติทางความร้ อน
ศึกษาคุณสมบัติ ทางความร้ อ นด้วยเครื่ อ ง differential scanning calorimeter (DSC) โดยชั่ง
ตัวอย่างสตาร์ชข้าว 7-8 มิลลิกรัม ลงใน stainless steel DSC pan ขนาด 60 ไมโครลิ ตร พร้ อ มทั้งเติ ม
น้ าปราศจากไอออน 22-23 มิลลิกรัม บ่มที่อุณหภูมิ 37 oซ ข้ามคื นเพื่ อให้เข้าสู่ สมดุล จากนั้น ทาการ
ทดสอบการเปลี่ ย นแปลงเชิ งความร้ อ นด้วยเครื่ อ ง Mettler DSC 1 instrument (Mettler,Naenikon-
Uster,Switzerland)โดยตั้งโปรแกรมในการวิ เคราะห์ ที่อุ ณหภูมิ 25-200 oซ ที่ อ ั ต ราการเพิ่ มของ
อุณหภูมิ 10 oซ /นาที โดยใช้ระบบ intracooler ในการให้ความเย็น และใช้ pan เปล่ าเป็ นตัวอ้างอิ ง
(reference) ซึ่ งค่าคุณสมบัติทางความร้อนที่ทาการวิเคราะห์ คื อ อุณหภูมิเริ่ มต้นของการเปลี่ ย นเฟส
(onset temperature, T0), อุณหภูมิสูงสุ ดของการเปลี่ ยนเฟส(peak temperature, Tp ), อุ ณหภูมิสุด ท้าย
ของการเปลี่ยนเฟส (conclusion temperature, Tc), ช่วงอุณหภูมิของการเปลี่ ยนเฟส (Tc – T0) และค่ า
พลังงานในการเปลี่ยนเฟส (H)
ความสัมพันธ์จลพนศาสตร์ของการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน และคานวณค่าอัต ราการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน
โดยใช้สมการ Avrami (Avrami,1941)
ตอนที่ 2
2.2.1. วัตถุดิบและสารเคมี
ข้าว (Oryza sativa)ที่นามาวิจยั มีจานวน 4 สายพันธ์ จากสานักวิจยั และพัฒ นาข้าว กรมการ
ข้าว สังกัดกระทรงเกษตรและสหกรณ์ โดยเป็ นข้าวที่ เก็ บเกี่ ย วในปี 2553 ได้รั บอนุ เคราะห์ และ
จัดซื้ อจากศูนย์วิจยั ข้าวส่ วนภูมิภาคดังนี้ ข้าวเหนี ยวพันธุ์ กข6 (RD6) ได้รับอนุ เคราะห์ จากศูน ย์วิจยั
ข้าวอุด รธานี จังหวัด อุด รธานี ข้าวเจ้าพัน ธ์ ช ัย นาท 1 (Chai - nat 1, C1) จัด ซื้ อ จากศูน ย์วิจยั ข้าว
ชัยนาท จังหวัดชัยนาท ข้าวเจ้าพัน ธุ์ พิ ษณุโ ลก 1(Phitsanulok 1, P1) และข้าวเจ้าพัน ธุ์ พิ ษณุโ ลก 2
(Phitsanulok 2, P2) จัดซื้ อจากศูน ย์วิจยั ข้าวพิ ษณุ โ ลก จังหวัด พิ ษณุ โ ลกเอนไซม์ไ อไซอะไมเลส
(Isoamylase, Glycogen 6-glucanohydrolase, EC 3.2.1.68) ผลิ ตจากเชื้ อPseudomonas sp. จัดซื้ อจาก
บริ ษทั Megazyme International Ireland เมือง Wicklow ประเทศไอร์ แลนด์ กิ จกรรมของเอนไซม์ไ อ
ไซอะไมเลส 1 ยูนิต หมายถึง ปริ มาณเอนไซม์ที่ย ่อ ยอะมิ โ ลเพคติ น เป็ นคาร์ โ บไฮเดรตรี ดิ วซ์ ที่มี
2.2.2. การเตรียมแป้ งข้ าวและการแยกสตาร์ ชข้ าว
น าข้าวที่ผ่านการขัด สี แล้วจากโรงสี ข ้าวสหกรณ์ก ารเกษตรชุ มชนโคกเพชรบ้านสระ
มโนราห์ จังหวัดนครราชสี มา มาล้างและแช่ น้ าในอัต ราส่ วนข้าวต่ อ น้ า 1:2 เป็ นเวลา 4 ชั่วโมง
แล้วนามาโม่เปี ยก จากนั้นเหวี่ยงแยกน้ าออกด้วยเครื่ องปั่นเหวี่ยงแบบตะกร้า นาเข้าอบแห้งในตู ้ล ม
ร้อนที่อุณหภูมิ 50 ๐ซ เป็ นเวลา 1 คืน และนาแป้ งหลังอบมาบดละเอี ย ดด้วยเครื่ อ งบดละเอี ย ด แป้ ง
แห้งนามาสกัดแยกสตาร์ชข้าวตามวิธีที่ดดั แปลงจาก Ju และคณะ (2001) โดยนาแป้ งข้าว 1000 กรั ม
แช่ในสารละลายเกลือแกงความเข้มข้น 0.25% ปริ มาตร 4,000 มิลลิ ลิตรเป็ นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้น
กรองและนามากวนผสมในสารละลายเอทานอลความเข้มข้น 95% ปริ มาตร 2,500 มิ ล ลิ ลิ ต รเป็ น
เวลา 1 ชัว่ โมง กรองและนามากวนผสมกับสารละลายด่างโซเดี ยมไฮดรอกไซด์ ความเข้มข้น 0.25%
เป็ นเวลา 16 ชัว่ โมง จากนั้น เหวี่ ย งแยกสารละลายด่ างด้วยเครื่ อ งปั่ น เหวี่ ย งแบบตะกร้ า ล้างด้วย
น้ าประปาและปัน่ เหวี่ยงแยกน้ าจนกระทัง่ มี pH ประมาณ 7 และล้างอี ก ครั้ งด้วยน้ าดื่ มระบบรี เวอร์
สออสโมสิ ส นาเข้าอบแห้งในตูล้ มร้อนที่อุณหภูมิ 50๐ซ เป็ นเวลา 1 คื น และน าสตาร์ ช หลังอบมา
บดละเอียดด้วยเครื่ องบดละเอียดและร่ อนผ่านตะแกรงขนาด 75-150 เมช
ที่อุณหภูมิ 25 ๐ซ จะทาแห้งที่อุณหภูมิหอ้ งเป็ นเวลา 1 คื นตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ที่เตรี ย มได้
นามาวิเคราะห์ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ และตรวจสอบคุณสมบัติทางเคมีกายภาพ
2.2.5. ตรวจสอบคุณสมบัติทางโครงสร้ าง
2.2.5.1 การวิ เคราะห์ ปริ มาณอะไมโลสโดยวิ ธี ก ารวัด สี ด ัด แปลงจากวี ธี ข อง
Juliano, 1971 โดยวัดปริ มาณอะมิโลสในสตาร์ ชจากการทาปฎิกริ ยากับสารละลายไอโอดี น และวัด
ค่าการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น 620 นาโนเมตร ในตัวอย่างเทียบกับปริ มาณอะมิ โ ลสต่ อ อะมิ โ ล
เพคติ นจากแป้ งมันฝรั่งซึ่ งใช้เป็ นสารมาตรฐาน
2.2.5.2 การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ ยน้ าหนักโมเลกุลและการกระจายน้ าหนัก โมเลกุ ล ด้วย
เทคนิ ค การคัด แยกตามขนาดด้วยวิ ธีก ารทางโครมาโตกราฟี (High Performance Size Exclusion
Chromatography (HPSEC) ร่ วมกั บ multi-angle light scattering (MALLS) and differential
reflective index (DRI) detection)ดัดแปลงจากวิธีของ Pohu และคณะ, 2004 โดยตัวอย่างสตาร์ ช ตัด
กิ่ งแห้ง (DBS) 50 มิลลิกรัม ละลายในสารละลายโพแทสเซี มไฮดรอกไซด์ ความเข้มข้น 1 โมล่ าร์
ปริ มาตร 0.5 มิลลิลิตร เป็ นระยะเวลา 2 วัน เจือจางด้วยน้ าปราศจากไอออน 4.5 มิลลิ ลิต ร และทาให้
เป็ นกลางด้วยสารละลายไฮโดรคลอริ ก ความเข้มข้น 0.1 โมล่าร์ ปริ มาตร 5 มิลลิ ลิ ต รความเข้มข้น
สุ ดท้ายของตัวอย่างก่อนวิเคราะห์ HPSEC จะมีค่าเท่ากับ 5 มิลลิ ก รัมต่อมิลลิ ลิตร กรองตัวอย่างด้วย
เมมเบรนขนาด 0.45 ไมครอนก่อ นฉี ด เข้าคอลัมน์ และควบคุ มตัวอย่างที่ จะทาการคัด ขนาดให้มี
ปริ มาตรเท่ากับ 200 ไมโครลิตรโดยใช้ Water 717 autosample ควบคุ มการฉี ด ตัวอย่าง ใช้ค อลัมน์
Hemabio 3 คอลัมน์( Hemabio 1000, 100 และ 10 ขนาด 250 mm 8 mm) จากบริ ษทั Sopares
(Gentilly, France) ต่อ ร่ วมกับ gard coulumn จากบริ ษ ัท Sopares โดยควบคุ มอุ ณหภูมิ ใ นการ
วิเคราะห์ที่ 40๐ ซด้วยเครื่ อ งควบคุมอุ ณหภูมิ Crococil(Bordeux, France) และใช้ป้ ั ม P680 HPLC
pump ควบคุมอัตราการไหลเท่ากับ 0.5 มิลลิ ลิตรต่อนาทีใช้ดี เทคเตอร์ ร่ วมกัน 2 ดี เทคเตอร์ ได้แก่
MALLS instrument (Dawn, HELEOS TM) ประกอบกับ K5 flow cell และ He-Ne laser (λ=658 nm)
(Wyatt Technology, Santa Barbara, CA, USA) และ ERC-7515Arefractometer (Erma, Tokyo,
Japan) เฟสเคลื่อนที่ (mobile phase) ที่ใช้คือ 0.1 N KOH ที่ผ่านการกรองด้วยเมมเบรนขนาด 0.45
ไมครอนและดึ ง แก็สออก ระบบจะมี ก ารปล่ อ ยให้ mobile phase ไหลผ่ านที่ อ ั ต ราการไหล 1
37
มิลลิ ลิตรต่อนาทีก่อนการใช้งาน โครมาโตรแกรมที่ ไ ด้จะน ามานอร์ มลั ไลซ์ เพื่ อ ให้มีพื้ น ที่ ใ ต้พี ค
เท่ากัน
2.2.5.3 การวิเคราะห์ ก ารกระจายสายโซ่ด ้วยเทคนิ ค การคัด แยกตามขนาดด้วย
วิ ธี ก า รท า งโ ค ร มา โ ตก รา ฟี แ ล ก เ ปลี่ ยน ป ระ จุ (High performance anion exchange
chromatographywith Pulsed Amperometric Detection, HPAEC-PAD) โดยใช้ ดี เทคเตอร์ แ บบ
Pulsed amperometric detector(HPAEC-PAD) ตัว อย่า งสตาร์ ช ตั ด กิ่ ง แห้ง (DBS) 50 มิ ล ลิ ก รั ม
ละลายในสารละลายโพแทสเซีมไฮดรอกไซด์ ความเข้มข้น 1 โมล่ าร์ ปริ มาตร 0.5 มิ ล ลิ ลิ ต ร เป็ น
ระยะเวลา 2 วัน เจือจางด้วยน้ าปราศจากไอออน 4.5 มิลลิ ลิต ร และทาให้เป็ นกลางด้ว ยสารละลาย
ไฮโดรคลอริ ก ความเข้มข้น 0.1 โมล่าร์ ปริ มาตร 5 มิลลิ ลิตรและเจื อ จางด้วยน้ าปราศจากไอออน
10 เท่า ความเข้มข้น สุ ด ท้ายของตัวอย่างก่ อ นวิ เคราะห์ HPSEC จะมี ค่ าเท่ากับ 0.5 มิ ล ลิ ก รั มต่ อ
มิลลิ ลิตรกรองตัวอย่างด้วยเมมเบรนขนาด 0.2 ไมครอนก่อนฉี ดเข้าคอลัมน์และควบคุมตัวอย่างที่จะ
ทาการคัดขนาดให้มีปริ มาตรเท่ากับ 90 ไมโครลิ ต ร ใช้ค อลัมน์ PA-200 เพื่ อ คัด ขนาดของสายกลู
แคนและควบคุมอัตราการไหลของเฟสเคลื่ อนที่ให้ทีอตั ราการไหลเท่ากับ 0.5 มิลลิ ลิตรต่อนาที โดย
เฟสเคลื่อนที่ที่ใช้ประกอบด้วย eluent A คื อ สารละลายโซเดี ย มไฮดรอกไซด์ เข้ มข้น 150 มิ ล ลิ โ ม
ลาร์ และ eluent B คือ โซเดียมอะซีเตรตเข้มข้น 500 มิลลิ โมลาร์ ในสารละลายโซเดี ยมไฮดรอกไซด์
เข้มข้น 150 มิลลิโมลาร์
2.2.6.2 วิเคราะห์คุณสมบัติการเกิ ดเจลด้วยเทคนิ ค scanning Differential
Calorimetry (DSC)
ชัง่ ตัวอย่าง 10 มิลลิ กรัมและน้ าปราศจากไอออน 40 มิ ล ลิ ก รั มลงใน stainless steel DSC pan
ที่มีปริ มาตร 50 ไมโครลิตรบ่มไว้ที่อุณหภูมิหอ้ งเป็ นเวลา 8 ชัว่ โมง นาไปตรวจ สอบคุ ณสมบัติ ทาง
ความร้ อ นด้วยเครื่ อ งDifferential Scanning Calorimetersรุ่ น TA Q100 (TA Instruments, New
Castles, DE, USA) ที่มีระบบให้ความเย็นด้วย Intracooler และตั้งโปรแกรมในการวิ เคราะห์ ซ่ ึ งให้
อุ ณหภูมิต้ งั แต่ 10 ถึ ง 200๐ ซ ที่อ ัต รา 3๐ ซต่ อ นาที โ ดยใช้น้ าปราศจากไอออน 40 มิ ล ลิ ก รั มใน
stainless steel pan เป็ น reference และ Indium เป็ น standard ในการวิ เ คราะห์ จ าก DSC
thermograms วิ เคราะห์ ค่ าคุ ณสมบัติ ทางความร้ อ นดังนี้ onset temperature (To) peak temperature
(Tp) conclusion temperature (Tc) และ enthalpy (H) โดยใช้ Advantage Software v5.4.0 (TA
Instruments, New Castles, DE, USA)
2.2.6.3ตรวจสอบรู ปร่ างด้วยการถ่ายภาพจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่ อง
กราด (Scanning Electron microscope)
ตัวอย่างจะน ามาฉาบเคลื อ บด้วยทองให้มีค วามหนา 50 นาโนเมตร โดยใช้เครื่ อ ง Fine
Coater Ion Sputter รุ่น JFC-1100 (JEOL Ltd., Tokyo, Japan) ที่ศกั ย์ไฟฟ้ า 20 กิ โ ลโวลต์ และน ามา
ส่ องกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิ ดส่ องกราด รุ่ น JSM-5800LV (JEOL Ltd., Tokyo, Japan)
บทที่ 3
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลและการอภิปรายผล
ตอนที่ 1
3.1.1 องค์ประกอบทางเคมีและโครงสร้ างทางเคมีของสตาร์ ชข้ าวพันธุ์ต่างๆ
จากการสกัดสตาร์ชข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ตามวิ ธีก ารของ Sawai andMorita (1968) และทาการ
วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสตาร์ ชข้าวประกอบด้วย ความชื้ น โปรตี น ไขมัน ใยอาหาร และ
เถ้า แสดงผลดังตารางที่ 4.1 พบว่าสตาร์ ชข้าวมีปริ มาณความชื้ นร้อยละ 10.35-11.02 ปริ มาณโปรตี น
ร้ อ ยละ 0.41-0.46 ปริ มาณไขมัน ร้ อ ยละ 0.20-0.26 และปริ มาณเถ้าร้ อ ยละ 0.44-0.58 เนื่ อ งจาก
สตาร์ชมีปริ มาณโปรตีนน้อยกว่าร้อยละ 0.5 และมีปริ มาณไขมันต่ า แสดงให้เห็นว่าสตาร์ ชข้าวพัน ธุ์
ต่างๆที่สกัดได้มีความบริ สุทธิ์สูง
(%Apparent amylose) อยู่ร้ อ ยละ 8.77 ในขณะที่ ข ้ าวพัน ธุ์ P2และข้า วพั น ธุ์ S90มี %apparent
amylose เท่ากับ 44.73 และ 24.86 ตามลาดับจึงจัดอยูใ่ นกลุ่มข้าวที่ มีอ ะมิ โ ลสเป็ นองค์ ประกอบสู ง
ซึ่ งสอดคล้องกับผลการทดลองของรุ่ งนภา และคณะ (2546)
ปริ มาณอะมิโ ลสปรากฎที่ทาการวิ เคราะห์ ด ้วยวี ก ารเกิ ด สี ก ับไอโอดี น มี ค่ าสู งอาจเนื่ อ งมาจาก
องค์ ประกอบของอะมิโ ลเพคติ น ที่ มีข นาดสายโซ่ บางส่ วนยาวซึ่ งสามารถจับกั บไอโอดี น ได้
เช่นเดียวกับอะมิโลสจึงทาให้เกิดความคลาดเคลื่ อนของวิธีการวัดได้ (Noosuk et al., 2003)
การวิเคราะห์ ป ริ มาณอะมิ โ ลสด้ วยเครื่ อง DSC เป็ นอี ก หนึ่ ง วิ ธีที่ ใ ช้ใ นการวิ เคราะห์
ปริ มาณอะมิโลส ผลการวิเคราะห์ปริ มาณอะมิโลสของ RD6, P2 และ S90 มีค่าเท่ากับร้ อ ยละ 2.41,
20.26 และ 16.30 ตามล าดับ นอกจากนี้ รุ่ งนภา และคณะ (2546) พบว่ าเมื่ อ ท าการวิ เคราะห์
องค์ประกอบของอะมิโลเพคติ น ที่แยกจากสตาร์ ช และน ามาผ่ านการย่อ ยด้วยด้วย Pseudomonas
isoamylase และทาการแยกตามขนาดด้วย gel permeation chromatography (GPC) เพื่ อ วิ เคราะห์
โครงสร้างสายโซ่ที่เป็ นองค์ประกอบในโมเลกุลอะมิโลเพคติ นได้ ดังแสดงในตารางที่ 2.1
เมื่อเปรี ยบเทียบผลการวิเคราะห์ปริ มาณอะมิโลสของข้าวพัน ธุ์ ต่ างๆทั้ง 4 วิ ธีคื อ การเกิ ด สี
กับ ไอโอดี น , DSC, การตกตะกอนด้ ว ย Con A และคั ด แยกขนาดด้ ว ย gel permeation
chromatography (GPC) ดังแสดงในตารางที่ 3.2 พบว่าการวิ เคราะห์ ปริ มาณอะมิ โ ลสขึ้ น อยู่ก ับ
วิธีการวิเคราะห์ท้งั นี้ เนื่ องจากการวิเคราะห์ปริ มาณอะมิโลสด้วยวิธีการเกิ ดสี กบั ไอโอดี นเป็ นการวัด
ปริ มาณของกลูแคนที่สามารถทาปฏิ กิริยากับไอโอดี นและให้สารประกอบเชิ งซ้อ นที่ สามารถให้ค่ า
การดูดกลื นแสงที่ความยาวคลื่ นที่ใช้วิเคราะห์ได้ดงั นั้นค่าการดูดกลื นแสงนั้นจึงเป็ นผลรวมทั้งหมด
ของโมเลกุลกลูแคนดังกล่าวซึ่ งมีท้งั อะมิโลสและอาจมีบางส่ วนของอะมิ โ ลเพคติ น จึ งรบกวนการ
วิเคราะห์ได้ซ่ ึ งจะเห็นได้ชดั เจนในกรณี สตาร์ ชของข้าวพันธุ์ RD6 ที่ไม่มีอะมิโลสเป็ นองค์ ประกอบ
แต่เมื่อวิเคราะห์ดว้ ยวิธีการเกิดสี กบั ไอโอดี นจะให้ค่าปริ มาณอะมิโลส 8.77% ซึ่ งเป็ นผลมาจากการ
รบกวนของโมเลกุลอะมิโลเพคติ นต่อการวิ เคราะห์ วิธีน้ ี และจะพบในสตาร์ ช ข้าวทุก พัน ธุ์ และจะ
เกิ ดขึ้ นมากเมื่ อ โมเลกุ ล ของอะมิ โ ลเพคติ น มี โ ครงสร้ างของสายโซ่
ที่มีข นาดความยาวมากเป็ น
องค์ประกอบ(รุ่งนภา และคณะ, 2546) ในขณะที่พนั ธุ์ขา้ วที่โมเลกุลของอะมิโลเพคติ น มี สายโซ่ที่มี
ขนาดยาวมาก (Super long chain) เช่น ข้าวพันธุ์ P2 และ S90 พบว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่ วิเคราะห์ ไ ด้
ด้วยวิธี Con A จะใกล้เคียงกับค่าปริ มาณอะมิโลสปรากฎที่ได้จาก GPC ดังแสดงในตารางที่ 3.2 โดย
ค่าปริ มาณอะมิโลสปรากฎที่ได้จากวิธี Con A จะให้ค่าที่สูงกว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่ แท้จริ ง ที่ ไ ด้จาก
GPC ทั้งนี้ อธิ บายได้วา่ Con A จะมีความสามารถในการตกตะกอนโมเลกุลใหญ่ ซ่ ึ งได้แก่ อ ะมิ โ ลเพ
คติ นแต่ในกรณีที่สตาร์ชข้าวทีมีโมเลกุลที่ขนาดกลาง (intermediate fraction) จะทาให้ค่ าที่ วิเคราะห์
ได้สูงกว่าเนื่องจากโมเลกุลขนาดกลางบางส่ วนอาจไม่สามารถตกตะกอนได้ด ้ว ย Con A (Sievert
and Lausanne, 1993)
รุ่ งนภา และคณะ (2546) รายงานว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่ แท้จริ ง (Absolute amylose) ของ
สตาร์ชข้าวสามารถหาได้จากผลต่างของปริ มาณคาร์ โ บไฮเดรตที่ อ ยู่ใ นส่ วนของ Fr I ของสตาร์ ช
42
ข้าวกับปริ มาณคาร์โบไฮเดรตที่อยูใ่ นส่ วนของ Fr I ของอะมิ โ ลเพคติ น ที่ แยกจากสตาร์ ช ข้าว และ
สามารถจัด กลุ่ม ตามปริ ม าณอะมิ โ ลสที่ แ ท้จ ริ งได้ เป็ น 3 กลุ่ มคื อ กลุ่ ม ที่ ไ ม่ มีอ ะมิ โ ลสเป็ น
องค์ประกอบได้แก่ขา้ วพันธุ์ RD6 (โครมาโตแกรมของสตาร์ ชและอะมิโลเพคติ นที่ผ่านการย่อยด้วย
เอนไซม์ไอโซอะมิเลสประกอบด้วย Fr. II และ Fr. III เท่านั้น) กลุ่มที่ สองคื อ กลุ่ มที่ มีอ ะมิ โ ลสเป็ น
องค์ประกอบปานกลางได้แก่พนั ธุ์ P2 (%Absolute amylose ที่เป็ นองค์ประกอบร้ อ ยละ 14.88) และ
กลุ่มที่มีอะมิโลสเป็ นองค์ประกอบสู งได้แก่ S90 มี %Absolute amylose ที่ เป็ นองค์ ประกอบเท่ากับ
18.85
ตารางที่ 3.3 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิโลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin) ของสตาร์ ชข้าวพันธุ์ต่าง ๆ
Branch chain length distribution of amylopectin
Sample (%) distribution
DP 6-12 DP 13-24 DP 25-36 DP≥37
RD6 15.62 54.07 25.52 4.84
P2 19.53 51.21 19.87 9.60
S90 19.11 50.43 22.86 9.51
7.0 (a)
6.0
5.0
4.0
Relative peak area
3.0
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
7.0
6.0 (b)
5.0
Relative peak area
4.0
3.0
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
7.0
6.0
(c)
Relative peak area 5.0
4.0
3.0
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
กาหนดตัวแปรตามอื่นๆให้คงที่ โดยกาหนดให้ความเข้มข้นของสตาร์ ชทั้งสามชนิ ดอยูท่ ี่ระดับความ
เข้มข้น 10%w/w ความเข้มข้นของเอนไซม์ที่ระดับ 45PUN/g of starchและระยะเวลาในการย่อ ย 24
ชัว่ โมงเพื่ อให้เกิ ดการย่อยอย่างสมบูรณ์และทาการติ ดตามระดับการตัด กิ่ ง (Degree of debranching,
DB) และระดับการย่อย (Degree of hydrolysis, DH) ทีเ่ กิ ดขึ้ นในช่ วงระยะเวลาในการย่อ ย โดยทา
การเตรี ยมตัวอย่างเจลสตาร์ ช ข้าวที่ ร ะดับความเข้มข้น 10%w/w จากนั้น เติ มเอนไซม์ซ่ ึ งจะแบ่ง
ออกเป็ น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกทาการเติ มเอนไซม์พู ล ลู ล าเนส ที่ ร ะดับความเข้มข้น 45PUN/g of
starch ในขณะที่กลุ่มที่ 2 เติ มเอนไซม์พู ล ลู ล าเนส ที่ ร ะดับ 41.5PUN/g of starch และเอนไซม์ไ อ
โซอะมิเลสที่ระดับความเข้มข้น 3.5 U/g of starch จากนั้น บ่มตัวอย่างทั้งสองที่ อุ ณหภูมิ 50oC เป็ น
ระยะเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่ งตลอดระยะเวลาในการย่อ ยได้ทาการสุ่ มตัวอย่างออกมาเพื่ อ วิ เคราะห์
ปริ มาณน้ าตาลรี ดิวซ์ซิง (Reducing sugar) และปริ มาณน้ าตาลทั้งหมด (Total sugar) เพื่ อ ใช้ใ นการ
คานวณระดับการตัดกิ่ ง และระดับการย่อย ผลการทดลองแสดงดังภาพที่ 3.2 และ 3.3 พบว่าเมื่ อ
ระยะเวลาในการย่อยเพิ่ มขึ้ นระดับการตัดกิ่ ง และระดับการย่อยเพิ่ มขึ้ น ในทุก สภาวะการย่อ ย และ
เริ่ มคงที่เมื่อระยะเวลาในการย่อยมากกว่า 10 ชัว่ โมง นอกจากนั้น พบว่าสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งด้วยพู ล ลู
ลาเนสร่วมกับไอโซอะมิเลส (Pullulanase +Isoamylase debranched starch : PIDBS) มี ร ะดับการตัด
กิ่ งและระดับการย่อ ยสู งกว่าสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งด้วยพู ล ลู ล าเนส (Pullulanase debranched starch :
PDBS) โดย PIDBS มี ร ะดับการตัด กิ่ งและระดับการย่อ ยอยู่ที่ 90%DB และ 6%DH ในขณะที่
PDBS มีระดับการตัดกิ่ งและระดับการย่อยอยูท่ ี่ 80%DB และ 4%DH ตามลาดับ (ดังภาพที่ 3.2 และ
3.3)
46
100
Degree of debranching 80
RD 6_PDBS
60
P 2_PDBS
40 S 90_PDBS
RD 6_PIDBS
20 P 2_PIDBS
S 90_PIDBS
0
0 5 10 15 20 25
Debranching time (h)
ภาพที่ 3.2 ระดับการตัดกิ่ งของสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งด้วยพู ล ลู ล าเนส (Pullulanase debranched starch :
PDBS) และสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งด้ว ยพู ล ลู ล าเนสร่ วมกั บไอโซอะมิ เ ลส (Pullulanase+
Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
8
6
Degree of hydrolysis
RD6-PDBS
P2-PDBS
4
S90-PDBS
RD6-PIDBS
2 P2-PIDBS
S90-PIDBS
0
0 5 10 15 20 25
Hydrolysis time (h)
ภาพที่ 3.3 ระดับการย่อ ยของสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งด้วยพู ล ลู ล าเนสเพี ย ง (Pullulanase debranched
starch: PDBS) และสตาร์ ช ข้ า วตั ด กิ่ ง ด้ ว ยพู ล ลู ล าเนสร่ ว มกั บ ไอ โซอะมิ เ ล ส
(Pullulanase+Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์ ช ข้าวทั้งสามพัน ธุ์
RD6, P2 และ S90
100 a a a
b b PBDS
80 b
60
Betamylolysis limit (%)
40
20
0
RD6 P2 S90
Sample rice starch
ภาพที่ 3.4 ค่ า -amylolysis limit ของสตาร์ ช ข้ า วตั ด กิ่ ง ด้ว ยพู ล ลู ล าเนสเพี ย ง (Pullulanase
debranched starch : PDBS) และสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งด้วยพูล ลู ล าเนสร่ วมกับไอโซอะมิ เลส
(Pullulanase+Isoamylase debranched starch : PIDBS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพัน ธุ์ RD6,
P2 และ S90:อักษรที่แตกต่างกันบนกราฟ หมายถึ ง มี ค วามแตกต่ างกัน อย่างมี น ัย สาคัญ
ทางสถิติ (p0.05)
3.1.5 ผลของโครงสร้ างสตาร์ ชข้ าวต่ อปริ มาณ RS
จากผลการทดลองในตารางที่ 3.4 พบว่าการตัด กิ่ งสตาร์ ช ด้วยเอนไซม์ทาให้ปริ มาณ RS
เพิ่ มขึ้ น เมื่ อ เที ย บกับสตาร์ ช ที่ ไ ม่ผ่ านการตัด กิ่ ง (Native starch) ซึ่ งสอดคล้อ งกับผลการทดลอง
Gonzalez-Soto et al. (2004) ที่ทาการย่อยสตาร์ ชกล้วยด้วยเอนไซม์พู ล ลู ล าเนสที่ ร ะยะเวลาในการ
ย่อยแตกต่างกันและพบว่าสตาร์ชกล้วยที่ผ่านการย่อยมีปริ มาณ RS เพิ่ มขึ้ นเมื่อระยะเวลาในการย่อ ย
ยาวนานขึ้ นเมื่อเปรี ยบเทียบกับสตาร์ ชเริ่ มต้นที่ไม่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์ เนื่ องจากเมื่อเกิ ด การตัด
กิ่ งของสตาร์ ชมากขึ้ นทาให้เกิ ดเพิ่ มขึ้ นของโมเลกุลสายสั้น ๆ ที่สามารถเกิ ด การรี โ ทรเกรทจัด เรี ย ง
ตัวกันอย่างแข็งแรงและทนต่อการย่อยของเอนไซม์ได้มากกว่าสตาร์ ชที่ไ ม่ผ่ านกระบวนการตัด กิ่ ง
แต่เมื่อระยะเวลาในการย่อยมากกว่า 5 ชัว่ โมงปริ มาณ RS ไม่มีความแตกต่างกัน
หลังทาการดัดแปรสตาร์ ชข้าวด้วยวิธีการตัด กิ่ งและตามด้วยกระบวนการรี โ ทรเกรเดชัน
(Retrogradation) ที่อุณหภูมิ 4oCเป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง และทาแห้งที่อุณหภูมิห ้อ งเป็ นเวลา 48 ชัว่ โมง
ของสตาร์ ช ทั้งสามพัน ธุ์ เมื่ อ ทาการวิ เคราะห์ ปริ มาณ RS ของตัวอย่าง Retrograded pullulanase
debranched starch (RPDS) และ Retrograded pullulanase+ Isoamylase debranched starch (RPIDS)
แสดงผลดังตารางที่ 3.4 แสดงให้เห็นว่า RPIDS ให้ปริ มาณ RS สู งกว่า RPDS อย่างมี น ัย สาคัญ ทาง
สถิ ติ(p0.05) ทั้งในข้าวพัน ธุ์ RD6, P2และ S90 โดย RPIDS ของข้าวทั้งสามพัน ธุ์ มีปริ มาณ RS
เท่ากับ 18.73, 43.44 และ 42.09 ตามลาดับ ในขณะที่ RPDS ให้ปริ มาณ RS เพี ย ง 12.01, 23.85 และ
22.65 ตามล าดับ ซึ่ งผลการทดลองดังกล่ าวสั มพัน ธ์ ก ับค่ า ระดับการตั ด กิ่ งและระดับการย่อ ย
เนื่ องจากการใช้เอนไซม์พูลลูลาเนสร่ วมกับเอนไซม์ไอโซอะมิเลสพบว่ามีระดับการตัดกิ่ งและระดับ
การย่อ ยสู งกว่า ดังนั้น จึ งเกิ ด เส้ น ตรงสายสั้ น ๆ จานวนมาก (Barry,1986; Gonzalez-Soto et al.,
2004; Leong, Karim and Norziah, 2007) ซึ่ งโมเลกุ ล สายสั้ น ที่ เกิ ด ขึ้ น จากกระบวนการตัด กิ่ ง
สามารถจับตัวกันเกิ ด เป็ นโครงสร้ างเกลี ย วม้วนคู่ (double helices) (Gidley, 1987) และจัด เรี ย งตัว
เป็ นโครงสร้างที่มีความเป็ นระเบียบและแข็งแรงทนต่อการย่อยของเอนไซม์ได้ทาให้ปริ มาณ RS สู ง
กว่าสตาร์ ชข้าวที่ยอ่ ยด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสตัวเดี ยวที่มีระดับการตัดกิ่ งและระดับการย่อยต่ ากว่า
เมื่อทาการเปรี ยบเทียบระหว่างพันธุ์ขา้ ว พบว่าสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ RD6 มี ปริ มาณ RS ต่ ากว่า
ข้าวพันธุ์ P2 และพันธุ์ S90 ทัง้ RPDS และ RPIDS เนื่ องจากข้าวพันธุ์ RD6 จัดอยูใ่ นกลุ่ ม waxy rice
ซึ่ งไม่มีอะมิโลสเป็ นองค์ประกอบในโครงสร้าง ดังนั้นจึงเกิ ดการรี โทรเกรทได้นอ้ ยกว่าสตาร์ ช พัน ธุ์
ที่มีปริ มาณอะมิโลสอย่างไรก็ตามปริ มาณ RS ที่เกิ ดจากการรี โทรเกรดของอะมิ โ ลเพคติ น สามารถ
เพิ่ มขึ้ นได้ เมื่อมีการตัดกิ่ งของอะมิโลเพคติ นด้วยเอนไซม์ตดั กิ่ ง (Thompson, 2000) โดยเมื่อทาการ
เปรี ย บเทีย บกับ native starch พบว่า สตาร์ ช ข้าวทั้งสามพัน ธุ์ ที่ ผ่ านกระบวนการตัด กิ่ งตามด้ว ย
กระบวรการรี โทรเกรเดชันมีปริ มาณ RS สู งกว่าสาหรับสตาร์ ชข้าวพันธุ์ P2 และพันธุ์ S90 มีปริ มาณ
50
RS ไม่แตกต่างกันทั้งในส่ วนของ RPDS และ RPIDS ถึ งแม้ว่าสตาร์ ช ทั้งสองชนิ ด จะมี ปริ มาณอะ
มิโลสที่แตกต่างกัน แต่เนื่องจากพันธุ์ P2 มีสัดส่ วนของอะมิ โ ลเพคติ น มี สายโซ่ที่มีข นาดยาวมาก
(Super long chain) มากกว่าพันธุ์ S90 ดังนั้นหลังจากการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์ทาให้สายโซ่ ที่มีข นาด
ยาวถูกปลดปล่อยออกมาและเกิดการจับตัวกันเป็ นโครงสร้างที่แข็งแรงทนต่อการย่อยของเอนไซม์
ส่ งผลให้ปริ มาณ RS สูงเท่ากับพันธุ์ S90 ซึ่ งเหตุ ผ ลดังกล่ าวจะถู ก ศึ ก ษาเพื่ อ ยื น ยัน ผลการทดลอง
ต่อไป
ตารางที่ 3.4 ปริ มาณ RS ของ retrograded pullulanase debranched starch : RPDS และปริ มาณ RS
ของ retrograded pullulanase+Isoamylase debranched starch : RPIDS ที่เกิ ดรี โ ทรเกรเด
ชันที่อุณหภูมิ 4oC เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมงของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
1998) นอกจากนี้ ยังเกิ ด พี ค เดี่ ย วที่ 2 ที่ 19.7o ที่ ถื อ เป็ นต าแหน่ งของสารประกอบเชิ ง ซ้อ น
ระหว่างอะมิโ ลสกับไขมัน (Amylose lipid complex) (Derycke et al., 2005) ซึ่ งแสดงโครงสร้ าง
ผลึ กแบบ Vh-type อี กด้วย เนื่ องจากการเตรี ย มตัวอย่างไม่มีข้ นั ตอนของการก าจัด ไขมัน จึ งทาให้
ไขมันที่มีอยูใ่ นตัวอย่างสตาร์ชสามารถเกิ ดสารประกอบเชิ งซ้อนกับอะมิโลสได้ และค่าปริ มาณผลึ ก
แสดงดังตารางที่ 3.5
ตารางที่ 3.5 ปริ มาณความเป็ นผลึกและรู ปแบบผลึ ก ของ native starch และ retrograded pullulanase
debranched starch : RPDS และปริ มาณ RS ของ retrograded pullulanase+Isoamylase
debranched starchb : RPIDS ที่เกิ ดรี โทรเกรเดชัน ที่ อุ ณหภูมิ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง
ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
Sample Relative crystallinity (%) Crystal pattern
RD6 native starch 18.61±0.40cd A+Vh
P2 native starch 16.295±0.40d A+Vh
cd
S90 native starch 18.665±0.21 A+Vh
RD6-RPDS 20.10±0.55b B+Vh
P2-RPDS 20.79±1.11 b B+Vh
S90-RPDS 20.96±0.06b B+Vh
RD6-RPIDS 27.08±0.07a B+Vh
a
P2-RPIDS 27.20±0.11 B+Vh
S90-RPIDS 28.96±0.06 a B+Vh
หมายเหตุ :อักษรที่แตกต่างกันในแนวตั้ง หมายถึ ง มีความแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิ ติ
(p0.05)
(Double helices ) จึงจัดเรี ยงตัวกันในรู ปแบบโครงสร้างหกเหลี่ ย ม (Hexagonal) ที่ ต ้อ งการพลังงาน
เพี ยงเล็กน้อยในการเกิดโครงสร้ างผลึ ก (Eerlingen, Crombez and Delcour, 1993) และอุ ณหภูมิต่ า
ยังเพิ่ มปริ มาณผลึ กอี กด้วย เนื่ องจากอัตราการเกิ ดผลึ ก (Crystal nucleation) และจะมีค่าสู งสุ ดเมื่ อ เข้า
ใกล้ glass transition temperature , Tg ดังนั้นอุณหภูมิรีโทรเกรทที่ 4 oซ ช่ วยสนับสนุ น การเกิ ด ผลึ ก
และทาให้เกิดโครงสร้างผลึกของ RS เป็ น B-type ซึ่ งสอดคล้อ งกับผลการทดลองของ Miao et al.
(2009) ที่ทาการตัดกิ่ งสตาร์ ชข้าวโพดข้าวเหนี ยว (Waxy maize starch) ด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสมีผ ล
ทาให้โครงสร้างผลึกเปลี่ยนจาก A เป็ น B เช่นกัน
ปริ มาณความเป็ นผลึก (Relative crystallinity) ของสตาร์ ชที่ผ่านการตัดกิ่ งและรี โ ทรเกรทมี
ค่ามากว่า native starch เนื่ องจากเมื่อทาการตัดกิ่ งโมเลกุ ล สายสั้ น ที่ ถู ก ปลดปล่ อ ยออกมาสามารถ
จัดเรี ยงตัวกันใหม่กลายเป็ นผลึ กที่มีความแข็งแรง นอกจากนี้ Gunaratne and Hoover (2002) ยังได้
อธิ บายว่าค่า relative crystallinity ในสตาร์ ชแต่ละชนิ ดยังขึ้ นอยูก่ บั ปัจจัยอื่ นๆ ด้วย ได้แก่ ขนาดของ
ผลึ ก,การจัดเรี ย งตัวเกลี ย วคู่ใ นบริ เวณผลึ ก , ค่ าเฉลี่ ย ของความยาวของสายอะมิ โ ลเพคติ น และ
สัดส่ วนของอะมิ โ ลเพคติ น สายสั้ น DP 10-13 ซึ่ งสอดคล้อ งกับผลการทดลองของ Cai and Shi
(2010) พบว่าสตาร์ ชมันฝรั่งที่ผ่านการตัดกิ่ งและบ่มที่อุณหภูมิต่ าปรากฏพี คเดี่ ยวที่ 2ที่ 5o และพี ค คู่
ที่ 2 ที่ 22oและ24o ชัด เจนกว่าสตาร์ ช ข้าวสาลี และข้าวโพด แสดงให้เห็ น ว่าสตาร์ ช มัน ฝรั่ งที่ มี
สัดส่ วนของโมเลกุลสายยาวมากกว่าสามารถเกิ ดโครงสร้างผลึ กได้เร็ วกว่าโมเลกุ ล สายสั้ น ในขณะ
ที่ปริ มาณความเป็ นผลึกแสดงดังตารางที่ 3.5 พบว่าสตาร์ ชที่ผ่านกระบวนการตัด กิ่ งและรี โ ทรเกรท
ทั้ง RPDS และ RPIDS มีปริ มาณความเป็ นผลึ กสู งกว่า native starch ในขณะปริ มาณความเป็ นผลึ ก
ของ RPIDS สูงกว่า RPDS เนื่องจาก RPIDS มีค่าระดับการตัด กิ่ งและระดับการย่อ ยสู ง ดังนั้น จึ ง
เกิ ดโมเลกุลสายตรงจานวนมากกว่า (Barry, 1986; Gonzalez-Soto et al., 2004) ซึ่ งโมเลกุลสายสั้ น ที่
เกิ ดขึ้ นจากกระบวนการตัดกิ่ งสามารถจับตัวกันเกิ ดเป็ นโครงสร้างเกลี ยวม้วนคู่ และจัด เรี ย งตัวเป็ น
โครงสร้างผลึ ก ที่มีค วามเป็ นระเบีย บและแข็ งแรง ส่ งผลให้ปริ มาณความเป็ นผลึ ก ที่ มากกว่าซึ่ ง
สอดคล้องกับปริ มาณ RS ที่เกิ ดขึ้ น (ตารางที่ 3.4)
3.1.7 คุณสมบัติทางความร้ อน
ผลการศึกษาสมบัติทางความร้อนของสตาร์ ชทั้ง 3 ของ native starch และสตาร์ ช ข้าวหลัง
ทาการดัดแปรด้วยวิธีการตัดกิ่ งตามด้วยกระบวนการรี โทรเกรเดชัน (Retrogradation) ที่ อุ ณหภูมิ 4 o
ซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมงแสดงในภาพที่ 3.6 จากการวิธีการวิเคราะห์ให้ค่าอุณหภูมิเริ่ มต้นเกิ ด เจลาติ ไ น
เซชัน (To) อุณหภูมิสูงสุดในการเกิดเจลาติ ไนเซชัน (Tp) อุณหภูมิสุดท้ายของการเกิ ดเจลาติ ไ นเซชัน
(Tc) ช่วงอุณหภูมิการเกิดเลาติไนเซชัน (Tc-To) และพลังงานในการเกิ ดเจลาติ ไ นเซชัน (H) แสดง
53
ในตารางที่ 3.6 โดย native starch ทั้งสามพัน ธุ์ มี Toระหว่าง 55.31-58.47 oซ ซึ่ งไม่แตกต่ างจาก
สตาร์ ชข้าวที่ผ่านการตัดกิ่ งและตามด้วยกระบวนการรี โทรเกรเดชัน ทั้ง RPDS และ RPIDS ซึ่ งมี To
อยูร่ ะหว่าง 54.46- 57.38 oซ โดยตัวอย่างที่ผ่านการตัดกิ่ งและตามด้วยกระบวนการรี โ ทรเกรเดชัน มี
ค่า Toต่ านั้น เนื่ องจากหลังผ่านกระบวนการตัดกิ่ งซึ่ งโมเลกุลสายสั้นที่เกิ ดเป็ นจานวนมากถูกกระตุน้
ให้เกิ ด ผลึ ก ที่ อุ ณหภูมิต่ า ทาให้ผ ลึ ก ที่ เกิ ด ขึ้ น ไม่สมบรู ณ์แข็ งแรง (Sievert and Lausanne,1993).
ดังนั้นจึงส่ งผลให้ To มีค่าต่า และเมื่ อ พิ จารณาช่ วงอุ ณหภูมิก ารเกิ ด เจลาติ ไ นเซชัน (Tc-To) พบว่า
ตัวอย่างที่ผ่านการตัดกิ่ งและตามด้วยกระบวนการรี โ ทรเกรเดชัน มี ค่ า Tc-To สู งกว่า native starch
เนื่ องจากขนาดที่หลายหลายของสายโมเลกุลกลูแคนที่เกิ ดจากกระบวนการตัด กิ่ งเหนี่ ย วน าให้เกิ ด
ผลึ กที่มีความไม่สมบรูณ์ และเกิ ด ความไม่เป็ นหนึ่ งเดี ย วกัน ของโครงสร้ างผลึ ก (Heterogeneous
crystalline) (Zhang and Jin, 2011) ดังนั้นจึงมีผลทาให้เกิ ดเอนโดเทอมที่กว้าง และมีช่วงอุณหภูมิใ น
การให้ความร้อนสูงกว่าเมื่อเทียบกับ native starch
เมื่อทาการเปรี ยบเทียบระหว่าง RPDS และ RPIDS ของสตาร์ ช ทั้งสามพัน ธุ์ พบว่าเฉพาะ
RPIDS เท่า นั้น ที่ พ บการเปลี่ ย นแปลงชั้ น ที่ ส อง (Second transition) โดยมี Toระหว่ าง 111.15-
117.47 oซ ซึ่ งเกิดจากสารประกอบเชิ งซ้อ นระหว่างอะมิ โ ลสและไขมัน (Amylose-lipid complex)
(Sievert and Holm 1993) ทาให้โครงสร้างของสตาร์ ชมีความแข็งแรงยิ่ งขึ้ น จึ งส่ งผลให้อุ ณหภูมิที่
ใช้ในการหลอมละลายมีค่าสู งเนื่ อ งจากในกระบวนการเตรี ย มตัวอย่างไม่มีข้ นั ตอนก าจัด ไขมัน
ดังนั้นในระบบตัวอย่างจึงมีไขมันปะปนอยู่ ซึ่ งสามารถเกิ ดสารประกอบเชิ งซ้อนกับโมเลกุ ล ของอะ
มิโลสที่ถูกปลดปล่อยออกมาหลังกระบวนการตัดกิ่ งได้ ซึ่ งจากผลการทดลองภาพที่ 3.2 แสดงให้
เห็นว่าการใช้เอนไซม์พูลลูลาเนสร่วมกับ ไอโซอะมิ เลสมี ร ะดับการตัด กิ่ งสู งกว่าการใช้เอนไซม์
พูลลูลาเนสเพียงอย่างเดียว ทาให้โมเลกุลอะมิโลสและอะมิโลเพคติ นถูกปลดปล่ อ ยจากโครงสร้ า ง
56
ตารางที่ 3.6 คุณสมบัติทางความร้ อนในการเกิ ดเจลาติ ไนเซชันชันของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch : FAM) ที่ ผ่ านการตัด กิ่ งด้วยเอนไซม์พูล ลู -
o
ลาเนสร่ วมกับเอนไซม์
ไอโซอะมิเลส และบ่มที่ 4 C เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมง (RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
(a)
(b)
ภาพที่ 3.5 ลัก ษณะโครงสร้ างผลึ ก ของ native starch (a) และretrogradedpullulanase debranched
starch : RPDS) และ retrograded pullulanase+Isoamylase debranched starch : RPIDS)
ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
58
ข้าวสาลีและข้าวโพดที่มี Tp อยูท่ ี่ 99.7 และ 99.9 oซ ตามลาดับ แสดงให้เห็นว่าโมเลกุ ล สายยาวของ
สตาร์ ชมันฝรั่งสามารถเกิ ดโครงสร้างเกลี ยวม้วนคู่ (Double helix) ได้แข็ งแรงกว่าโมเลกุ ล สายสั้ น
ของข้าวสาลีและข้าวโพด เช่นเดียวกับ Moates et al. (1997) ที่พบว่าอุณหภูมิข องผลึ ก อะมิ โ ลสสาย
สั้นจะเพิ่ มขึ้ นจาก 57 ถึง 119 oซ เมื่อขนาดของสายโมเลกุลเพิ่ มขึ้ นจาก 12 ถึ ง 55 หน่วยกลูโคส
(a)
(b)
ภาพที่ 3.6 เทอร์ โ มแกรมการเกิ ด เจลาติ ไ นเซชัน (a) native starch และ(b)retrogradedpullulanase
debranched starch : RPDS) และ retrograded pullulanase+Isoamylase debranched
starch : RPIDS) ของสตาร์ ชข้าวทัง้ สามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
สัดส่วนของโมเลกุลสายยาวที่สามารถเกิ ดสารประกอบเชิ งซ้อ นกับไขมัน และสามารถเกิ ด พัน ธะ
ระหว่างโมเลกุลสายยาวด้วยกัน เองได้มากกว่า S90 และ RD6 นอกจากนี้ ย งั พบว่าข้าวพัน ธุ์ P2 ที่
ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะมิเลสมีช่วง Tc-To สู งกว่าข้าวพัน ธุ์ P2 ที่ ผ่ าน
การตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสอย่างเดี ยวและ native starch (แสดงในตารางที่ 3.6) ทั้งนี้ เนื่ อ งจาก
หลังจากสตาร์ชข้าวพันธุ์ P2 ถูกตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสร่ วมกับไอโซอะมิเลส ซึ่ งมี ร ะดับการ
ตัดกิ่ งสู ง ทาให้เกิ ดการกระจายตัวของของสายโมเลกุลกลูแคนในขนาดที่ ห ลายหลาย และสตาร์ ช
ข้าวพันธ์ P2 มีปริ มาณของโมเลกุลสายยาวสู ง จึงส่ งผลทาให้มีช่วง Tc-To ที่กว้างกว่าตัวอย่างสตาร์ ช
ทั้งสองพันธุ์อีกด้วย
แบ่ งออกได้เ ป็ น 3 ช่ ว ง โดยช่ วงแรกของการเกิ ด รี โทรเกรเดชัน เป็ นช่ ว งที่ มี แนวโน้ มการ
เปลี่ ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาการบ่ม 4 ชั่วโมง โดยเป็ นผลเนื่ อ งมาจากโมเลกุ ล อะ
มิโลส ซึ่ งเป็ นพอลิเมอร์เชิงเส้นจึงสามารถเคลื่ อนที่เข้ามาจัดเรี ยงตัวกันใหม่ได้ง่าย โดยเหนี่ ย วน าให้
เกิ ด โครงสร้ างสามมิติ ข องเจลสตาร์ ช (Goodfellow and Wilson, 1990; Van Soet, 1994; Hoover,
2001) จากนั้นช่วงที่ 2 เป็ นช่วงที่ค่าอัตราส่ วนของค่าการดูดกลื นแสงที่ 1047 ต่ อ 1037 cm-1 เกิ ด การ
เพิ่ มขึ้ นอย่างช้า ๆ โดยจะเกิ ด ในช่ วงระยะเวลาในการบ่มที่ 5-12 ชั่วโมงขึ้ น อยู่ก ับสายพัน ธุ์ ข อง
สตาร์ ชที่มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่ งในช่วงนี้ เกิ ด จากการจัด เรี ย งตัวของสายโมเลกุ ล อะมิ โ ลเพ
คติ นที่โมเลกุลมีสายยาวเคลื่ อนที่เข้ามาจัดเรี ยงตัวกันใหม่ โดยการเปลี่ ย นแปลงในช่ วงนี้ ย งั ช่ วยให้
ผลึ กเกิ ดการจัด เรี ย งตัวเป็ นโครงสร้ างที่ สมบรู ณ์และแข็ งแรงขึ้ น (Goodfellow and Wilson, 1990;
Van Soet, 1994; Hoover, 2001) และช่วงสุ ดท้าย เป็ นช่วงที่ไ ม่พ บการเปลี่ ย นแปลงหรื อ เป็ นช่ วงที่
การเกิดรี โทรเกรเดชัน เข้าสู่ สมดุล เมื่ อ ระยะเวลาในการบ่มมากกว่า 12 ชั่วโมงซึ่ งถื อ เป็ นช่ วงที่
โครงสร้างผลึกเกิดการจัดเรี ยงตัวอย่างสมบรู ณ์ (Hoover, 2001)
สาหรับอัต ราการเกิ ด รี โ ทรเกรเดชัน ของสตาร์ ช สามารถทานายได้ โดยใช้สมการของ
Avrami (Avrami, 1941) ซึ่ งเป็ นสมการทางคณิ ตศาสตร์ ที่สามารถทานายอัต ราการเกิ ด รี โ ทรเกรเด
ชัน ที่ ข้ ึ น กับเวลาการบ่มได้จากความสั มพัน ธ์ ร ะหว่าง exponentially linear (n) กับ เวลา (Farhat,
Blanshard and Mitchell, 2000; Farhat and Blanshard, 2001)
( )
เมื่อ เป็ นจานวนของผลึ ก ที่ได้จากการทดสอบด้วยเครื่ อ ง FTIR, E0และ EL เป็ นค่ าของผลึ ก ที่
ระยะเวลาเริ่ มต้น และที่ระยะเวลาที่ผลึ กเกิ ดขึ้ นมากที่ สุด หรื อ คงที่ ต ามล าดับ, Et เป็ นค่ าของผลึ ก ที่
เวลาใด ๆ, k เป็ นค่าอัตราคงที่ (time-1), และn เป็ นค่ า Avrami exponent ซึ่ งจากสมการที่ 1 สามารถ
แปลงเป็ นสมการที่ 2 เพื่อคานวณหาอัตราการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน ได้โ ดยการหาอัต ราการเกิ ด รี โ ทร
เกรเดชันขึ้ นกับระยะเวลาการเก็บ สามารถคานวณจากสมการที่ 2 โดยค่ า n หรื อ Avrami exponent
ได้จากความชันของกราฟระหว่าง log [- ln (EL - Et)/(EL – EO)] กับค่า log t และสามารถหาค่ า k ซึ่ ง
เป็ นค่าที่แสดงถึงอัตราการเกิดรี โทรเกรเดชันของตัวอย่างสตาร์ ช โดยถ้าค่า k มีค่ามาก นั่น หมายถึ ง
อัตราการเกิดรี โทรเกรเดชันมีค่ามาก ซึ่ งค่า k คานวณได้จากค่า log k (log k คื อ จุด ตัด ของสมการที่
2)
61
(a)
(b)
(c)
(a)
(b)
(c)
ภาพที่ 3.8 ค่าอัตราส่วนค่าการดูดกลื นแสงที่ 1047 ต่ อ 1037 cm-1ของสตาร์ ช ที่ ผ่ านการตัด กิ่ งด้วย
พูลลูลาเนสร่วมกับไอโซอะมิเลสและบ่มที่อุณหภูมิ 4 oซ 24 ชัว่ โมง ของสตาร์ ช ทั้งสาม
พันธุ์ (a) RD6, (b) P2 และ (c) S90 ที่เวลาต่าง ๆ
63
(2)
[ ]
Y = C + mX
ตารางที่ 3.7 ค่า Avrami exponent (n) และ rate constant(k) ของสตาร์ ช ข้าวที่ ผ่ านการตัด กิ่ งด้วย
เอนไซม์พูลลูลาเนสร่วมกับไอโซอะมิเลสและบ่มที่ อุ ณหภูมิ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง
ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
Sample n log k (min) k
RD6 1.127a -2.534c 2.924 x 10-3c
P2 0.727b -1.516a 3.047 x 10-2a
S90 0.735 b -1.898b 1.264 x 10-2b
หมายเหตุ : อักษรที่แตกต่างกันในแนวนอน หมายถึ ง มีความแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิ ต
(p0.05)
64
สาหรับค่า k (rate constant) สามารถคานวณได้จากค่า log k ซึ่ งเป็ นจุด ตัด ของกราฟภาพที่
3.9 และแสดงในตารางที่ 3.7 พบว่าค่ า k ของสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ P2มี ค่ าสู งกว่า S90 และพัน ธุ์ RD6
ตามลาดับเนื่องจากสตาร์ชข้าวพันธุ์ P2 และ S90 มีอะมิโลสเป็ นองค์ประกอบ ซึ่ งอะมิ โ ลสสามารถ
เหนี่ ยวนาการจัดเรี ยงตัวกันในกระบวนการรี โทรเกรเดชัน ได้ ดังที่ Van Soest et al. (1994) รายงาน
ว่าสตาร์ชมันสาปะหลังมีอตั ราการเกิ ดรี โทรเกรเดชันได้เร็ วกว่าสตาร์ ชข้าวโพดข้าวเหนี ยว เนื่ อ งจาก
สตาร์ชมันสาปะหลังมีอะมิโลสเป็ นองค์ประกอบซึ่ งสามารถจัดเรี ยงโครงสร้างและแสดงพฤติ ก รรม
เป็ นนิวเคลียสของผลึกทาให้สามารถเกิ ดการรี โทรเกรเดชันและเกิ ดผลึ กได้เร็ วกว่าสตาร์ ช ข้าวโพด
ข้าวเหนียวซึ่ งสอดคล้องกับผลของปริ มาณ RS ในตารางที่ 3.4. ที่ พ บว่าสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ P2 และ
S90 มีปริ มาณ RS สูงกว่า พันธุ์ RD6 นอกจากนี้ พบว่าข้าวพันธุ์ P2 มีอตั ราการเกิ ดรี โทรเกรเดชัน ได้
เร็ วที่สุด ซึ่ งอาจเป็ นผลจากข้าวพันธุ์ P2 มีสัด ส่ วนของโมเลกุ ล สายยาวกว่าพัน ธุ์ S90 (ดังตารางที่
3.3) ดังนั้นหลังกระบวนการตัดกิ่ งโมเลกุลเส้นตรงสายยาวจึงมีส่วนช่วยให้โมเลกลุสายสั้ น สามารถ
จับตัวกันและเกิดกระบวนการ nucleation ตามด้วย rod-like growth เกิ ด เป็ นโครงสร้ างผลึ ก ได้ง่าย
ขึ้ น เนื่ องจากโมเลกุลสายยาวเคลื่ อนที่ได้นอ้ ยและช้ากว่าโมเลกุลสายสั้น จึงมีทาให้เกิ ด การจัด เรี ย ง
ตัวได้ง่ายขึ้ นและเหนี่ ยวนาให้โมเลกุลสายสั้นจัดเรี ยงตัวกันเป็ นโครงสร้างผลึ กได้เร็ วกว่าสตาร์ ชข้าว
ที่มีสัดส่วนของโมเลกุลสายยาวน้อยกว่าและมีโมเลกุลสายสั้นสู งกว่า (S90 และ RD6) ซึ่ งเมื่อทาการ
ตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์แล้วทาให้มีจานวนของโมเลกุลสายสั้นมากขึ้ น ซึ่ งสามารถเคลื่ อนที่ อ ย่างรวดเร็ ว
ทาให้โอกาสที่โมเลกุลสามารถจับตัวกันและจัดเรี ยงตัวกันน้อยลง ส่ งผลให้อตั ราการเกิ ดรี โทรเกรเด
ชัน เกิ ด ได้ช ้ากว่าข้าวที่มีสัด ส่ วนสายยาวสู งกว่าซึ่ งสอดคล้อ งกับผลการทดลองของ Jane et al.
(1999) พบว่า สตาร์ ช ที่มีสั ด ส่ วนของ B1 และ B2 สู งสามารถเกิ ด โครงสร้ างผลึ ก ได้เ ร็ วและ
โครงสร้างผลึ กที่เกิ ดขึ้ นมีความสมบูรณ์สูง
1.5 (a)
1.0 r² = 0.939
log[(EL-Et)/(EL-Eo)
0.5
0.0
-0.5 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5
-1.0
-1.5
log t (min)
1.0
0.8 (b)
0.6 r² = 0.877
0.4
log [(EL-Et)/(EL-Eo)
0.2
0.0
-0.2 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5
-0.4
-0.6
-0.8
-1.0
log t (min)
1.0 (c)
0.8
0.6
r² = 0.872
log[ln(EL-Et)/(EL-Eo)
0.4
0.2
0.0
-0.2 0.0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5
-0.4
-0.6
-0.8
-1.0
log t (min)
ภาพที่ 3.9 กราฟของ log [-ln(EL-Et)/(EL-Eo)] ต่อ log t ตามสมการ Avrami ของสตาร์ ชที่ผ่านการตัด
กิ่ งด้วยพูลลูลาเนสร่วมกับไอโซอะมิเลสและบ่มที่ 4 oซ 24 ชั่วโมง ของสตาร์ ช ทั้งสาม
พันธุ์ (a) RD6, (b) P2 และ (c) S90
66
ออกมาค่อนข้างต่า (ไม่แสดงข้อมูล) ดังนั้นจึงทาการศึกษาที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิเจลาติ ไ นเซชัน
โดยศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการกาจัดอะมิโลส 2 ปัจจัย ได้แก่ อุณหภูมิ และระยะเวลาในการให้ค วาม
ร้อน โดยทาการทดลองหาสภาวะที่ใช้ในการกาจัดอะมิโ ลส ที่ ร ะดับความความร้ อ น80 และ 90oC
และระยะเวลาในการให้ค วามร้ อ นที่ ร ะดับ 10, 30, 60 และ 120 นาที เพื่ อ หาระดับของตัวแปร
เบื้องต้น โดยติ ดตามปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลื ออยูใ่ นตัวอย่างหลังการชะล้าง (Leaching)
ผลการทดลองดังตารางที่ 3.8 พบว่าระดับความร้อนที่ 90oC มีปริ มาณอะมิโลสหลงเหลื ออยู่
ในตัวอย่างต่ากว่าที่อุณหภูมิ 80oC และเมื่อระยะเวลาที่ให้ความร้อนเพิ่ มขึ้ นพบว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่
หลงเหลืออยูใ่ นตัวอย่างมีค่าต่ ากว่าที่ระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อระยะเวลาในการให้ค วามร้ อ นยาวนาน
ขึ้ นมีผลทาให้อะมิโลส และอะมิโลเพคติ นสู ญเสี ยโครงสร้างมากขึ้ นเช่นกัน เนื่ องจากผลของการให้
ความร้อนที่ยาวนานร่วมกันพลังงานกลที่ใช้ในการกวนตัวอย่าง มีผลทาให้โ มเลกุ ล อะมิ โ ลเพคติ น
ถูกตัดให้ส้ นั ลงไปด้วย ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ จึงเลื อกสภาวะในการให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 90oC
เป็ นเวลา 10 นาทีในการกาจัดอะมิโลสออกจากตัวอย่างสตาร์ ช เนื่ อ งจากที่ อุ ณหภูมิสูง โครงสร้ าง
ของสตาร์ชเกิดการแตกตัวได้ดีทาให้อะมิโลสที่อยูภ่ ายในโครงสร้างหลุดออกมาจึงสามารถกาจัดอะ
มิโลสออกจากโครงสร้างได้มากขึ้ น ในขณะที่อะมิโลเพคติ นไม่สูญเสี ยโครงสร้างมากนัก เนื่ อ งจาก
ให้ความร้อนในระยะเวลาที่ส้ นั
จากตารางที่ 3.8 พบว่าตัวอย่างข้าวพัน ธุ์ S90 ที่ ผ่ านการก าจัด อะมิ โ ลสยังคงมี ปริ มาณอะ
มิโลสค่อนข้างสู ง ซึ่ งอาจเนื่ องมาจากในขั้นตอนการกาจัดอะมิโลส หลังจากให้ความร้อนที่อุณหภูมิ
90oC เป็ นเวลา 10 นาทีแล้ว ตัวอย่างถูกนาไปแยกตะกอนด้วยการปั่ น เหวี่ ย ง (Centrifuge) ที่ 1500g
เป็ นเวลา 10 นาที ซึ่ งโมเลกุลของอะมิโลสบางส่ วนอาจตกตะกอนไปพร้อม ๆ กับอะมิโลเพคติ น จึ ง
ทาให้ปริ มาณอะมิโลสในตัวอย่างมีค่าสู ง ดังนั้นในขั้นตอนต่อมาของการศึ กษาได้ทาการล้างตะกอน
ตัวอย่างด้วยน้ าร้ อ นอุณหภูมิ 90oC เป็ นเวลา 10 นาที เพื่ อ ก าจัด อะมิ โ ลสที่ อ าจหลงเหลื อ อยู่ใ น
ตะกอน จากผลการทดลองตารางที่ 3.9 พบว่าปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลื ออยู่ใ นตัวอย่างมี ค่ าลดลง
เมื่อเพิ่ มจานวนครั้งของการล้าง โดยที่สตาร์ ชข้าวพันธุ์ S90 ปริ มาณอะมิโลสลดลงมาก ซึ่ งหลังจาก
ทาการล้างตะกอนครบ 3 ครั้ง พบว่าปริ มาณอะมิโลสเหลื ออยูใ่ นตัวอย่างเพี ยงร้อยละ 7.07 เมื่ อ เที ย บ
กับเริ่ มต้น และเมื่ อ ทาการล้างตะกอนมากขึ้ น (4-5 ครั้ ง) พบว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่ ห ลงเหลื อ ไม่
เปลี่ ยนแปลง (ไม่แสดงข้อมูล) แสดงให้เห็นว่าการให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 90oC เป็ นเวลา 10 นาที
ร่ วมกับการล้างตะกอนด้วยน้ าร้อนเป็ นจานวน 3 ครั้งสามารถกาจัดอะมิโลสออกจากโครงสร้างของ
สตาร์ชข้าวพันธุ์สุพรรณบุรี 90 ได้เป็ นอย่างดี
67
ตารางที่ 3.8 ปริ มาณอะมิ โ ลสที่ห ลงเหลื อ อยู่ ใ นตัวอย่า งหลัง การชะล้า งอะมิ โ ลส (Amylose
leaching) ของสตาร์ ชทั้งสามพันธุ์ (a) RD6, (b) P2 และ (c) S90
Temperature Time Remained amylose
Sample
(oC) (minutes) (%)
10 1.01±0.03
30 0.98±0.01
80
60 0.99±0.00
120 0.97±0.04
RD6
10 0.98±0.01
30 0.97±0.01
90
60 0.99±0.02
120 0.90±0.01
10 86.47±0.00
30 84.21±0.00
80
60 80.48±0.03
120 80.01±0.01
P2
10 60.14±0.02
30 58.46±0.02
90
60 57.67±0.03
120 55.84±0.01
10 72.46±0.02
30 70.45±0.03
80
60 70.01±0.02
120 68.75±0.02
S90
10 40.57±0.01
30 39.62±0.00
90
60 37.88±0.01
120 37.13±0.03
68
ตารางที่ 3.9 ปริ ม าณอะมิ โ ลสที่ ห ลงเหลื อ อยู่ ใ นตั วอย่า งหลัง การชะล้า งอะมิ โ ลส (Amylose
leaching) ร่ วมกับการล้างตะกอนด้วยน้ าร้ อ นของสตาร์ ช ทั้งสามพัน ธุ์ (a)RD6, (b) P2
และ (c)S90
Remained Amylose (%)
Sample Washing time
1 2 3
RD6 0.97±0.04a 0.95±0.02 a 0.95±0.08 a
P2 50.72±0.02 a 44.79±0.12b 40.24±0.09c
S90 31.21±0.10 a 17.73±0.06 b 7.07±0.03 c
หมายเหตุ :อักษรที่แตกต่างกันในแนวนอน หมายถึ ง มีความแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิ ติ
(p0.05)
ปริ มาณอะมิ โ ลสที่ห ลงเหลื อ ในตัวอย่างค่ อ นข้า งสู ง เนื่ อ งจากความเข้มข้น ที่ ต่ า เกิ น ไปทาให้
โครงสร้างของสตาร์ ชเปิ ดตัวได้นอ้ ยอะมิโลสจึงหลุดออกมาได้เพี ย งบางส่ วน และเมื่ อ ทาการเพิ่ ม
ความเข้มข้นของสารละลายด่างเป็ น 0.01 โมลาร์ พบว่าปริ มาณอะมิ โ ลสในตัวอย่างลดลงจานวน
มาก เนื่องจากสารละลายด่างเพียงพอต่อการเปิ ดโครงสร้างของสตาร์ ชอะมิโลสจึ งหลุ ด ออกมาและ
ถูกกาจัดออกไปได้มากขึ้ นเมื่อเพิ่ มจานวนครั้งของการล้างตะกอน แต่พ บว่าเมื่ อ ทาการล้างตะกอน
มากขึ้ น (4-5 ครั้ง) ปริ มาณอะมิ โ ลสไม่เกิ ด การเปลี่ ย นแปลง (ไม่แสดงข้อ มูล ) ในขณะที่ เมื่ อ เพิ่ ม
ความเข้มข้นของสารละลายด่างเป็ น 0.35 และ 0.5 โมลาร์ พบว่าปริ มาณอะมิ โ ลสที่ ก าจัด ได้มีค่ า
ลดลง เนื่องจากความเข้มข้นของสารละลายด่างที่มากขึ้ นมีผลทาให้โครงสร้างของสตาร์ ช บางส่ วน
ละลายปะปนอยูก่ บั สารละลายด่าง และยากแก่การแยกตะกอนหลังจากการปั่นเหวี่ ย ง ซึ่ งจะพบว่ามี
ส่ วนที่เป็ นของเหลวขุ่นอยูบ่ นตะกอนสตาร์ ชที่ไม่สามารถแยกออกได้ จึงส่ งผลให้ปริ มาณอะมิ โ ลส
ที่หลงเหลืออยู่ใ นตัวอย่า งมีค่าสู ง สาหรั บที่ ค วามเข้มข้น ด่ างเท่ากับ 1 โมลาร์ ไ ม่สามารถทาการ
วิเคราะห์ได้ เนื่องจากโครงสร้างของสตาร์ ชละลายอยูใ่ นสารละลายด่างจนไม่สามารถแยกออกจาก
กันได้ (Bennow, Bay-Smith, and Bauer, 2001; Kennedyet.al., 1992) ดังนั้น สภาวะที่ เหมาะสมใน
การกาจัดอะมิโลสในสตาร์ ชข้าวพันธุ์ P2 คื อ การใช้สารละลายด่างที่ความเข้มข้น ที่ 0.01 โมลาร์ ที่
ความร้อน อุณหภูมิ 90 oซ เป็ นเวลา 10 นาที ร่ วมกับการล้างตะกอนเป็ นจานวน 3 ครั้ ง ซึ่ งพบว่า
ปริ มาณอะมิโลสที่เหลืออยูใ่ นตัวอย่างร้อยละ 16.09 เมื่อเทียบกับปริ มาณอะมิโลสเริ่ มต้นในตัวอย่าง
สตาร์ช
เนื่องจากปริ มาณอะมิโลสที่หลงเหลื ออยูใ่ นตัวอย่าง (Remained amylose) ถู ก วิ เคราะห์ ด ้วย
วิ ธีก ารเกิ ด สี กับ ไอโอดี น จึ งท าให้ค่ าที่ ไ ด้สู งกว่า เกิ น ความเป็ นจริ ง เนื่ อ งจากถู ก รบกวนจาก
โมเลกุลอะมิโลเพคติ น ดังนั้นจึงทาการตรวจสอบปริ มาณอะมิ โ ลสด้ ว ยวิ ธี ที่มีค วามจาเพาะมากขึ้ น
ตารางที่ 3.10 ปริ มาณอะมิโ ลสที่ห ลงเหลื อ อยู่ใ นสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ P2 หลังการชะล้างอะมิ โ ลส
(Amylose leaching) โดยใช้สารละลายด่างร่ วมกับการล้างตะกอนด้วยน้ าร้อน
Concentration of NaOH Washing precipitate time Remained amylose
Sample
(M) (%)
1 38.15±0.10
0.005 2 36.29±0.04
3 33.07±0.01
1 18.41±0.13
0.01 2 19.36±0.03
3 16.09±0.02
P2
1 23.20±0.06
0.35 2 20.96±0.04
3 19.24±0.06
1 24.96±0.04
0.5 2 23.34±0.04
3 22.15±0.05
เริ่ มต้นพบว่าสามารถกาจัดอะมิโลสออกจากโครงสร้ างได้ถึ ง 82 และ 80% สาหรั บ P2-FAM และ
S90-FAM ตามลาดับ ซึ่ งถื อว่าเพี ยงพอต่อวัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้
3.5
3.0
2.5 R² = 0.987
2.0
Enthalphy (J/g)
1.5
1.0
0.5
0.0
-0.5 0 5 10 15 20 25
Amylose (%)
3.1.9.2 โครงสร้างกระจายตัวของความยาวกิ่ งก้านของสายอะมิ โ ลเพคติ น ของ
สตาร์ชที่ปราศจากอะมิโลส
8.0 (a)
7.0
6.0
Relative peak area (%)
5.0
4.0 P2
3.0 P 2-FAM
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
Degree of polymerization (DP)
8.0 (b)
7.0
6.0
Relative peak area (%)
5.0
4.0 S 90
3.0 S 90-FAM
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
Degree of polymerization (DP)
RD6-FAM-H2O) และข้าวพัน ธุ์ RD6 ที่ ก าจัด อะมิ โ ลสด้วย NaOH(RD6-free amylose with NaOH :
RD6-FAM-NaOH) มีรูปแบบความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิ โ ลเพคติ น แตกต่ างจากจาก native
starch โดยมีการกระจายตัวส่วนใหญ่อยูใ่ นช่วงDP 13-24 สู ง และมีการกระจายตัวโดยส่ วนใหญ่ อ ยู่
ในช่วง DP≥37ลดลง แต่การกระจายตัวในช่วงDP 6-12 และ DP 13-24 มีค่าเพิ่ มขึ้ น (แสดงในตาราง
ที่ 3.13) เนื่องจากในกระบวนการกาจัดอะมิโลสมีการใช้ค วามร้ อ นร่ วมกับการกวน ซึ่ งมี ผ ลทาให้
โมเลกุลสายยาวของอะมิโลเพคติ นถูกตัดให้ส้ นั ลง ส่ งผลให้ค่าการกระจายตัวในช่วง DP≥37ลดลง
แต่การกระจายตัวในช่วงDP 6-12 และ DP 13-24 มีค่าสู งขึ้ น
เมื่อทาการเปรี ยบเทียบระหว่างสารละลายที่ใช้ในกระบวนการสกัดพบว่าการใช้สารละลาย
ด่างเข้มข้น 0.01 โมลาร์ ทาให้โมเลกลุสายยาวถูกตัดให้ส้ ั น ลงมากกว่าเมื่ อ เที ย บกับการใช้น้ า โดย
พิ จารณาจากค่าการกระจายตัวในช่ วง DP≥37 ของข้าวพัน ธุ์ RD6 พบว่า RD6-FAM-NaOH มีค่ า
น้อยกว่า RD6-FAM-H2O ซึ่ งไม่แตกต่างกันมากนัก (3.81 และ 4.42 ตามลาดับ) เนื่ องจากสารละลาย
ด่างมีความสามารถทาลายพันธะไฮโดรเจน ส่ งผลให้โ ครงสร้ างสตาร์ ช ไม่แข็ งแรงและเมื่ อ ได้รั บ
ความร้อนร่วมกับแรงเฉื อนจากการกวนทาให้พ ัน ธะ 1-4 linkage ถู ก ทาลายได้ จึ งมี ผ ลให้สัด ส่ วน
การกระจายตัวในช่วง DP≥37 ลดลง
ชนิ ด ที่ ปราศจากอะมิโ ลส (Free amylose starch: FAM) ไม่แสดงโครงสร้ างทางผลึ ก เนื่ อ งจากใน
ขั้นตอนของการกาจัดอะมิโลสโครงสร้างในส่ วนที่เป็ นผลึ กถูกทาลายด้วย
8.0
(a)
7.0
6.0
Relative peak area (%)
5.0 RD 6
4.0
RD 6-FAM-
3.0 H2O
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
5.0
Relative peak area (%)
RD 6
4.0
RD 6-FAM-
3.0
NaOH
2.0
1.0
0.0
7 12 17 22 27 32 37 42 47 52 57 62
Degree of polymerization (DP)
ภาพที่ 3.13 ความยาวของกิ่ งก้านของสายอะมิ โ ลเพคติ น (Branch chain length distribution of
amylopectin) ของสตาร์ ช RD6 ที่ ปราศจากอะมิ โ ลส (Free amylose starch : FAM)
ด้วย (a) น้ า และ (b) NaOH
77
ความร้ อ นและพลั งงานกลที่ ใ ช้ ใ นการกวนตั วอย่ า ง ดั ง นั้น X-diffraction pattern จึ ง แสดง
โครงสร้างอสัณฐาน (amorphous) และมี ส่วนของผลึ ก เหลื อ อยู่เล็ ก น้อ ยซึ่ งสอดคล้อ งกับผลการ
ทดลอง DSC และโครงสร้างของสตาร์ ชเปลี่ ยนจาก A เป็ น B-type นอกจากนี้ ย งั ปรากฏพี ค เดี่ ย วที่
2 ที่ 19.7o เกิดจากอันตรกิริยาระหว่างอะมิโลสและไขมัน ซึ่ งแสดงโครงสร้างแบบ Vh-type
ภาพที่ 3.15 เทอร์โมแกรมการเกิด เจลาติ ไ นเซชัน สตาร์ ช ข้าวที่ ปราศจากอะมิ โ ลส (Free amylose
starch : FAM)ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
78
3.1.9.4 คุณสมบัติทางความร้อนของสตาร์ ชทีป่ ราศจากอะมิโลส
หลังจากที่สตาร์ชผ่านการกาจัดอะมิโลส ได้ทาการศึกษาสมบัติทางความร้ อ นของ
สตาร์ ช ข้าวด้วยเครื่ อ ง Differential Scanning Calorimeter แสดงในภาพที่ 3.15 โดยค่ า To, Tp, Tc,
(Tc-To) และ H แสดงในตารางที่ 3.14 ซึ่ งพบว่าหลังผ่านการกาจัด อะมิ โ ลสสตาร์ ช ทั้งสามพัน ธุ์ มี
ช่วงอุณหภูมิที่ใช้ในการหลอมเหลว (Tm) ระหว่าง 52.61-66.23 oซ และมี H อยู่ร ะหว่าง 4.01-4.76
(J/g)และเมื่ อ ทาการเปรี ย บเที ย บกับสตาร์ ช เริ่ มต้น (native starch) พบว่ามี Tmอยู่ใ นช่ วงอุ ณหภูมิ
เดี ยวกัน แต่สตาร์ชที่ผ่านการกาจัดอะมิโลสมี ค่ า H น้อ ยกว่า เนื่ อ งจากโครงสร้ างส่ วนผลึ ก ของ
สตาร์ ชบางส่ วนถูกทาลายในขั้นตอนการกาจัดอะมิโลสจึงมีผลทาให้โครงสร้ างไม่แข็ งแรง การใช้
พลังงานในการเกิดเจลาติไนเซชันต่ ากว่า native starch ซึ่ งสอดคล้องกับผล XRD ที่แสดงโครงสร้ าง
ผลึ กต่า
ตารางที่ 3.14 สมบัติ ทางความร้ อ นของสตาร์ ช ข้าวที่ ปราศจากอะมิ โ ลส (Free amylose starch :
FAM)ของสตาร์ ชข้าวทั้งสามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
Sample To Tp Tc Tc-To H
(oC) (oC) (oC) (oC) (J/g)
RD6-FAM 62.33 58.10 67.66 5.33 4.12
P2–FAM 55.19 58.34 68.13 12.94 4.01
S90–FAM 52.61 58.78 66.23 13.62 4.76
1.9.5 ปริ มาณ RS คุณสมบัติ ทางผลึ ก และคุ ณสมบัติ ทางความร้ อ นของสตาร์ ช ที่
ปราศจากอะมิโลส
สตาร์ ช ปราศจากอะมิ โ ลส(Free amylose starch : FAM) หลังผ่ านกระบวนการ
กาจัดอะมิโลสที่อุณหภูมิ 90 oซ ร่วมกับการล้างตะกอน ถู ก ตัด กิ่ งด้วยเอนไซม์พู ล ลู ล าเนสร่ วมกับ
เอนไซม์ไอโซอะมิเลส (Pullulanase+Isoamylase debranched starch : PIDBS) และบ่มที่ อุ ณหภูมิ 4 o
ซ เป็ นเวลา 24 ชัว่ โมงแล้วทาการวิเคราะห์ ปริ มาณ RS แสดงดังตารางที่ 3.15 พบว่า RD6-FAM มี
ปริ มาณ RS ต่ากว่า S90-FAM และ P2-FAM ตามลาดับ เนื่ องจากสตาร์ ชข้าวพันธุ์ RD6 ไม่มีสัดส่ วน
ของอะมิโลเพคตินมีสายโซ่ที่มีขนาดยาวมาก (super long chain) เป็ นองค์ประกอบในขณะที่ สตาร์ ช
ข้าวพันธุ์ P2 และพันธุ์ S90 มีโครงสร้างที่เป็ น super long chain จึงเป็ นผลทาให้สตาร์ ช ทั้งสองพัน ธุ์
มี ปริ มาณ RS สู งกว่าข้าวพัน ธุ์ RD6 และเมื่ อ ทาการตัด กิ่ งด้วยด้วยเอนไซม์พู ล ลู ล าเนสร่ วมกับ
เอนไซม์ไอโซอะมิเลส (Pullulanase+Isoamylase debranched starch : PIDBS) ทาให้ super long
79
chain ถูกตัดและถูกปลดปล่อยออกจากโครงสร้างและเกิ ด การจับตัวกัน เป็ นโครงสร้ างที่ ทนต่ อ
การย่อยของเอนไซม์ สาหรับสตาร์ชข้าวพันธุ์ P2 มีปริ มาณ RS สู งกว่าพันธุ์ S90 ถึ งแม้ว่าสตาร์ ช ทั้ง
สองชนิดจะมี super long chain เช่นเดี ยวกันแต่มีในสัดส่ วนที่แตกต่างกัน โดยที่สตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ P2
มีสัดส่วน super long chain มากกว่าพันธุ์ สุพ รรณบุรี 90 (ตารางที่ 3.15) ดังนั้น หลังจากการตัด กิ่ ง
ด้วยเอนไซม์ สายโซ่ที่มีข นาดยาวถู ก ปลดปล่ อ ยออกมาและเกิ ดการจับตัวกัน เป็ นโครงสร้ างที่
แข็งแรงทนต่อการย่อยของเอนไซม์ ส่ งผลให้ปริ มาณ RS มากกว่าดังนั้น แสดงให้เห็ น ว่าโมเลกุ ล
ของอะมิโลเพคตินมีสายโซ่ที่มีขนาดยาวมาก (super long chain) มีผลต่อการเพิ่ มปริ มาณ RS
ตารางที่ 3.15 ปริ มาณ RS ของสตาร์ ช ที่ ปราศจากอะมิ โ ลส(Free amylose starch : FAM)และตัด กิ่ ง
ด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสร่ วมกับเอนไซม์ไ อโซอะมิ เลส และบ่มที่ 4oC เป็ นเวลา 24
ชัว่ โมงของสตาร์ ชข้าวทัง้ สามพันธุ์ RD6, P2 และ S90
Sample Resistant content (%)
RD6-FAM 10.35±0.13c
P2-FAM 14.42±0.23a
S90-FAM 12.05±0.19b
หมายเหตุ :อักษรที่แตกต่างกันในแนวตั้ง หมายถึ ง มี ค วามแตกต่ างกัน อย่างมี น ัย สาคัญ ทางสถิ ติ
(p0.05)
พบว่าหลังทาการตัด กิ่ งด้วยเอนไซม์ต ามด้วยกระบวนการรี โ ทรเกรท ปริ มาณผลึ ก เพิ่ มขึ้ น เมื่ อ
เปรี ยบเทียบกับสตาร์ ชที่ผ่านการกาจัดอะมิโลสที่ยงั ไม่ผ่านกระบวนการตัด กิ่ ง (Native-free amylose
starch) ทั้งนี้ ตวั อย่างในตารางที่ 3.16 นั้นโครงสร้างกิ่ งก้านของอะมิโลเพคติ น ที่ ถู ก ตัด ด้วยเอนไซม์
และกระตุน้ ให้เกิดโครงสร้างผลึกด้วยการรี โทรเกรทที่ อุ ณหภูมิต่ าทาให้โ มเลกุ ล ของสายกลู แคน
สามารถเคลื่อนที่และเกิดการจัดเรี ยงตัวเป็ นโครงสร้างผลึ กได้ และเมื
่ อ ทาการเปรี ย บเที ย บระหว่าง
พันธุ์ ข ้าวพบว่าปริ มาณผลึ ก ที่ เกิ ด ขึ้ น ไม่มีค วามแตกต่ างกัน อย่างมี น ัย สาคัญ ทางสถิ ติ (p0.05)
เนื่ องจากหลังถูกตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์โครงสร้างกิ่ งก้านของอะมิโลเพคติ จึงเกิ ดเป็ นกูลแคนสายตรงที่
สามารถจัดเรี ยงตัวเกิดเป็ นโครงสร้างผลึ กได้เมื่อทาการรี โทรเกรท และผลจากการกาจัดอะมิ โ ลสทา
ให้ส่วนของสายยาว (Long chain) และ super long chain ของสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์ พิ ษณุโ ลก 2 และ
สุ พรรณบุรี 90 ถูกตัดให้ส้ นั ลง เป็ นผลทาให้ปริ มาณความเป็ นผลึ กไม่แตกต่ างจากสตาร์ ช ข้าวพัน ธุ์
RD6 นอกจากนี้ พบว่าปริ มาณความเป็ นผลึ กไม่ข้ ึ นกับปริ มาณ RS เช่นเดี ยวกับผลการทดลองข้างต้น
ที่กล่าวมาแล้ว
81
ตารางที่ 3.16 ปริ มาณความเป็ นผลึกและรู ปแบบผลึ กของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิ โ ลส (Free amylose
starch : FAM)ที่ผ่านการตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์พูลลูลาเนสร่ วมกับเอนไซม์ไ อโซอะมิ เลส
และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง (RPIDS) ของสตาร์ ช ข้าวทั้งสามพัน ธุ์ RD6, P2
และ S90
Sample Relative crystallinity (%) Crystalline pattern
RD6-FAM-RPIDS 6.87±0.45a B+Vh
P2-FAM-RPIDS 6.97±0.22 a B+Vh
S90-FAM-RPIDS 6.91±0.15 a B+Vh
P2-FAM- 55.5 67.5 79.4 27.1 1.08 79.6 86.1 93.9 14.3
RPIDS 2a 2a 5a 3a a
9 1 9 1 0.31
S90-FAM- 55.3 66.6 72.5 15.1 1.05
RPIDS 9a 7a 1a 2b a
ระหว่าง 55.16-79.4 oซ และมี H อยูร่ ะหว่าง 1.00-1.08 (J/g)โดยตัวอย่างทั้งสามมี Toต่ าเนื่ อ งจาก
หลังทาการตัดกิ่ งทาให้เกิ ดโมเลกุลสายสั้นเป็ นจานวนมาก อี กทั้งการกระตุ ้น ให้เกิ ด ผลึ ก ที่ อุ ณหภูมิ
ต่ าทาให้ผลึ กที่เกิ ดขึ้ นไม่แข็งแรง จึ งใช้อุ ณหภูมิใ นการหลอมเหลวต่ า นอกจากนี้ ผ ลการทดลอง
พบว่า P 2-FAM เท่านั้นที่เกิ ด second transition ซึ่ งอาจเกิ ดจากอันตรกิ ริยาระหว่างโมเลกุ ล สายยาว
ของอะมิโลเพคตินที่ถูกปลดปล่อ ยออกมาหลังผ่านกระบวนการตัด กิ่ ง เกิ ด การจัด เรี ย งตัวกัน เป็ น
โครงสร้างผลึ กที่มีความแข็งแรงยิ่งขึ้ น จึงส่ งผลให้เกิ ด second transition ในขณะที่ ไ ม่พ บใน S90 -
FAM- RPIDS และ RD6 -FAM-RPIDS
ภาพที่ 3.17 เทอร์ โ มแกรมการเกิ ด เจลาติ ไ นเซชัน RS ของสตาร์ ช ที่ ปราศจากอะมิ โ ลส (Free
amylose starch : FAM)ที่ ผ่ านการตัด กิ่ งด้วยเอนไซม์พู ล ลู ล าเนสร่ วมกับเอนไซม์ไ อ
โซอะมิเลส และบ่มที่ 4 oซ เป็ นเวลา 24 ชั่วโมง (RPIDS) ของสตาร์ ช ข้าวทั้งสามพัน ธุ์
RD6, P2 และ S90
จึงไม่สามารถติดตามกระบวนการเกิ ดรี โทรเกรเดชันของสตาร์ ชที่ปราศจากอะมิ โ ลส(Free amylose
starch : FAM) ด้วยวิธีทาง IR ได้ ซึ่ งอาจเนื่ อ งมาจากผลจากกระบวนการก าจัด อะมิ โ ลส และ
กระบวนการตัดกิ่ ง ก่อให้เกิ ดความยาวที่หลากหลายของสายเส้นตรงกลูแคน มีผลทาให้เกิ ดผลึ ก ที่ มี
ขนาดแตกต่างกันเป็ นจานวนมาก อี กทั้งไม่มีโครงสร้างในส่ วนของเป็ นอะมิโลสที่คอยเหนี่ ยวน าให้
เกิ ดการรี โทรโทรเกรเดชัน พร้ อ มทั้งโมเลกุ ล สายยาว (Long chain) และsuper long chain ไม่เพี ย ง
พอที่จะสนับสนุนทาให้เกิดการจัดเรี ยงโครงสร้างที่เป็ นระเบียบดังนั้นจึงไม่สามารถติ ด ตามการเกิ ด
รี โทรเกรเดชันของสตาร์ชที่ปราศจากอะมิโลส (Free amylose starch : FAM) ที่ผ่านกระบวนการตัด
กิ่ งและบ่มที่อุณหภูมิ 4 oซ ด้วยเทคนิ ค FTIR ได้
ตอนที่ 2
3.2.1 คุณสมบัติทางโครสร้ างของสตาร์ ชตัดกิ่ ง
จากการตรวจสอบคุณลักษณะทางโครงสร้างของสตาร์ ชตัดกิ่ งจากสตาร์ ช ข้าว 4 สายพัน ธุ์
ด้วยเทคนิค HPSEC-MALLS-DRI แสดงดังภาพที่ 3.18 และตารางที่ 3.18 พบว่า สตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ ง
จากสตาร์ชข้าวเหนียว กข 6 มีการกระจายตัวน้ าหนักโมเลกุล 2 ช่ วงประกอบด้วยช่ วงที่ 3 (fraction
III, Fr. III) ที่มีน้ าหนักโมเลกุลเฉลี่ ย โดยน้ าหนัก ประมาณ 3,500 g/mol (DP 21)โดยเป็ นส่ วนของ
สายโซ่ส้ นั ของ cluster มีความยาวสูงสุ ดประมาณ DP 36 และช่ วงที่ 2 (fraction II, Fr. II) มี น้ าหนัก
โมเลกุลเฉลี่ ยโดยน้ าหนักประมาณ 11,000 g/mol (DP 67) ซึ่ งเป็ นส่ วนของกิ่ งก้านสายโซ่ยาวซึ่ งเป็ น
สายเชื่อมต่อระหว่าง cluster (Singh และคณะ, 2007) สาหรับสตาร์ ช ตัด กิ่ งจากสตาร์ ช ข้าวเจ้าพัน ธุ์
พันธ์ชยั นาท 1 (CN1) พิษณุโลก 1 (P1) และพิ ษณุโ ลก 2 (P2) มี ก ารกระจายตัว น้ าหนัก โมเลกุ ล 3
ช่วงประกอบด้วยช่วงที่ 3 (Fr. III) น้ าหนักโมเลกุลเฉลี่ ยโดยน้ าหนั ก ประมาณ 3,700 g/mol (DP 23)
ตามลาดับช่วงที่ 2 (Fr. II) น้ าหนักโมเลกุ ล เฉลี่ ย โดยน้ าหนัก ประมาณ 13,000- 15,000 (DP 82-95)
และช่วงที่ 1 (fraction I, Fr. I) น้ าหนักโมเลกุ ล เฉลี่ ย โดยน้ าหนัก ประมาณ 270,000-410,000g/mol
(DP 1,600-2,500)โดย Fr. I มีน้ าหนักโมเลกุลเที ย บเท่ากับอะมิ โ ลส (Inouchi และคณะ,1999) เมื่ อ
เปรี ย บเที ย บปริ มาณอะมิ โ ลสในสตาร์ ช ข้า วเจ้าทั้ง 3 สายพั น ธุ์ พบว่า มี ค วามแตกต่ างกัน ใน
ปริ มาณอะมิโลสปรากฎโดย CN1<P2<P1 ตามลาดับ และให้ผลไม่สอดคล้องกับพื้ นที่ใต้พีคของพี ค
การกระจายตัวน้ าหนัก โมเลกุ ล ในช่ วง Fr. I จากการจากรายงานของรุ่ งนภา และคณะ (2546)
รายงานว่า ข้าวเจ้าพันธุ์พิษณุโลก 2 จัดอยูใ่ นกลุ่มข้าวอะมิโลสสู งปานกลาง ส่ วนข้าวเจ้าพันธุ์ชยั นาท
1 จัดอยูใ่ นกลุ่มข้าวอะมิโลสสูง โดยข้าวเจ้าพันธุ์พิษณุโลก 2 มีกิ่งก้านของอะมิ โ ลเพคติ น ที่ มีค วาม
ยาวมาก (Super long chain) จานวนมากเมื่อเทียบกับข้าวเจ้าพันธุ์ชยั นาท 1 (ร้ อ ยละ 10 ของปริ มาณ
สตาร์ ชทั้งหมดโดยน้ าหนัก) ดังนั้น เมื่ออะมิโลเพคติ นถูกตัดกิ่ งด้วยเอนไซม์ไอโซอะมิ เลสทาให้กิ่ ง
84
ก้านของอะมิโลเพคตินที่มีความยาวมาก (Super long chain) ถูกชะออกมาในช่ วงเดี ย วกับอะมิ โ ลส
โดยผลการวิจยั นี้ สอดคล้องกับผลการทดลองของรุ่ งนภา และคณะ (2546) เมื่อเปรี ยบเทียบดัชนี ก าร
กระจายน้ าหนักโมเลกุลของสตาร์ ชข้าวตัด กิ่ งจากแป้ งข้าว 4 สายพัน ธุ์ พบว่า มี ด ัช นี ก ารกระจาย
น้ าหนักโมเลกุลใกล้เคี ยงกัน นอกจากนั้น น้ าหนักโมเลกุลในส่ วน Fr. II และ Fr. III และอัต ราส่ วน
พื้ นที่ใต้พีค Fr. III/ Fr. II ของสตาร์ ชทั้ง 4 สายพันธุ์ไม่มีค วามแตกต่ างกัน แสดงให้เห็ น ว่าสตาร์ ช
ข้าวทั้ง 4 สายพันธุ์ น่าจะมีโครงสร้างน้ าหนักโมเลกุลของอะมิโลเพคติ นในส่ วนสายโซ่ ส้ ั น A-chain
สายโซ่ยาว B1-B3 chainใกล้เคียงกัน
0,5 10000000
Fr. III
1000000
0,4
100000
Relative DRI
0,3
10000
Mi
Fr. II 1000
0,2
100
0,1 Fr. I
10
0 1
12,5 13,5 14,5 15,5 16,5 17,5 18,5 19,5 20,5
Elution volume (ml)
CN1d_2 PS1 PS2d RD6
ภาพที่ 3.18 การการกระจายน
Série3 ้ า หนักSérie4
โมเลกุ ล ของสตาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งSérie10
Série9 ตรวจวิ เคราะห์ โ ดย HPSEC-
MALLS-RI โดยเส้นทึบแสดงถึ งน้ าหนักโมเลกุล (molar mass) และเส้นบางแสดงการ
ตอบสนองของ RI detector
85
86
การศึกษาโครงสร้างรายละเอี ยดการกระจายสายโซ่ของอะมิโลเพคติ นที่ มี DP<60 สามารถ
ตรวจสอบได้ดว้ ยเทคนิค HPAEC-PAD ซึ่ งสามารถแบ่งกลุ่มสายโซ่อ อกเป็ น 4 กลุ่ มตามความยาว
ของสายโซ่ ได้แก่ fa, fb1, fb2 และ fb3 โดย fa แสดงถึ งสายโซ่ ส้ ั น A-chain มี DP 6-12, fb1 แสดง
ถึ งสายโซ่ ส้ ั น ของ B1-chain มี DP 13-24, fb2 แสดงถึ งสายโซ่ ส้ ั น ของ B2-chain มี DP 25-36 และ
fb3 แสดงถึ งสายโซ่ย าวของ B-chain มี DP>37 (Hanashiro และคณะ, 1996) การกระจายสายโซ่
ของอะมิโลเพคติ นของสตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจากสตาร์ ชข้าว 4 สายพันธุ์แสดงดังภาพที่ 3.19 และตาราง
ที่ 3.19 พบว่า สตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจากข้าวเหนี ยวพันธุ์ กข 6 ประกอบไปด้วยสายโซ่ ส้ ั น ของ A-chain
(fa, DP 6-12) มากกว่าสตาร์ ช ข้ าวตัด กิ่ งจากข้า วเจ้า ทุก สายพัน ธ์ สอดคล้อ งกับงานวิ จ ัย ของ
Koroteeva และคณะ 2007 ที่พ บว่าสตาร์ ช ข้าวเหนี ย วจะมี ส่วนของ fa มากกว่าสตาร์ ช ข้าวที่ มีอ ะ
มิโลสเป็ นส่ วนประกอบ สตาร์ ชข้าวตัดกิ่ งจากข้าวเจ้าพัน ธุ์ ช ัย นาท 1 (CN1) พิ ษณุโ ลก 1(P1) และ
พิ ษณุโลก 2 (P2) มีการกระจายสายโซ่ fb2 และ fb3 ไม่แตกต่างกัน และการกระจายของสายโซ่ fb1
ไม่แตกต่างกับสตาร์ ชตัด กิ่ งข้าวเหนี ย ว กข 6ซึ่ งสอดคล้อ งกับการวิ เคราะห์ ก ารกระจายน้ าหนัก
โมเลกุ ล และอัต ราส่ วนพื้ น ที่ Fr. III/Fr. II จากเทคนิ ค HPSEC-MALLS-DRI แสดงให้เห็ น ได้ว่า
โครงสร้ า งโมเลกุ ล อะมิ โ ลเพคติ น ของสตาร์ ชตั ด กิ่ ง จากสตาร์ ช ทั้ง 4 สายพั น ธุ์ ใ นส่ ว น
interconnection cluster chain ของสายโซ่ B-chain มีโครงสร้างโมเลกุลไม่แตกต่างกันความแตกต่ าง
ของการกระจายสายโซ่ของสตาร์ชข้าวเจ้าพันธุ์ต่างๆ เทียบกับสตาร์ ชข้าวเหนี ย วพัน ธุ์ กข 6 ดังภาพ
ที่ 3.19 แสดงสตาร์ ชข้าวเจ้าทั้ง 3 สายพันธุ์ มีการกระจายของสายโซ่ยาวตั้งแต่ DP17 มากกว่าสตาร์ ช
ข้าวเหนียวพันธุ์ กข 6 โดยการกระจายสายโซ่ยาวของอะมิโล เพคติ น ในสตาร์ ช ข้าวเจ้าทั้ง 3 สาย
พันธุ์ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
87
(ก) RD6
9
relative response (%)
8
7
6
5
4
3
2
1
0
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56
Degree of polymerization
(ข) P1
7
6
0
5
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56
4 -1
3
2 -2
1
-3
0
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56 -4
Degree of polymerization Degree of polymerization
(ค) P2
surface different with RD6 (%)
8
7
1
relative response (%)
6
0
5
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56
4 -1
3
2 -2
1
-3
0
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56 -4
Degree of polymerization Degree of polymerization
(ง) CN1
8
surface different with RD6 (%))
relative response (%)
7 1
6
5
0
4 6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56
-1
3
2 -2
1
-3
0
6 11 16 21 26 31 36 41 46 51 56 -4
Degree of polymerization Degree of polymerization
ตารางที่ 3.19 ข้อ มูล การกระจายสายโซ่อ ะมิ โ ลเพคติ น ของสาร์ ช ข้าวตัด กิ่ งตรวจวิ เคราะห์ โ ดย
HPAEC-PAD
Chain lenght distribution (%)
Starch fa (DP6-12) fb1 (DP13-24) fb2 (DP25-36) fb3 (DP>37)
RD6 39.50 50.38 7.04 3.07
P1 33.85 50.13 9.68 6.34
P2 34.50 48.86 9.88 6.76
CN1 28.34 56.18 9.15 6.33
ปริ มาณของแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ลดลง การวิจยั นี้ ศึกษาปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์จากการ
ตกผลึ กของโมเลกุลตัดกิ่ งที่มีการกระจายขนาดโมเลกุลแตกต่างกัน ไม่ได้ควบคุมความยาวของสาย
โซ่เช่นเดียวกับงานวิจยั ของ Eerligen และคณะ (1993) ผลงานวิ จยั นี้ ชี้ ใ ห้เห็ น ว่า การตกผลึ ก ร่ วม
ของสายโซ่โมเลกุลสายยาวร่ วมกับสายโซ่ โ มเลกุ ล สั้ น ให้ผ ลเชิ งบวกกับปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์ โดยโมเลกุลสายโซ่ยาว (DP > 110) จะพับกันเป็ นโครงสร้าง lamella ที่มีค วามเป็ นระเบี ย บ
ยากต่อการการเข้าทาปฏิ กิริยาของเอนไซม์อะมิเลส ในขณะที่สายโซ่ โ มเลกุ ล สั้ น (DP6-110) จะพัน
กัน เป็ นเกลี ย วคู่ double helices เกิ ด โครงสร้ างแบบ micelle (Eerligen และ Delcour, 1994)
อัตราส่วนของแป้ งทนย่อยต่อ เอนไซม์ใ นตัวอย่าง RS(fresh gel): DBS มี ค่ า 1-2 สาหรั บสตาร์ ช ที่
โมเลกุลสายโซ่ยาวFr.I(DP ~2,000)เป็ นส่ วนประกอบสาหรับสตาร์ ชตัดกิ่ งจากสตาร์ ช ข้าวเหนี ย วที่
ประกอบไปด้วยสายโซ่ส้ นั Fr. II (DP 67) และ Fr. III (DP 22)แสดงอัต ราส่ วนของแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์ในตัวอย่าง RS(fresh gel): DBS เท่ากับ 17 แสดงให้เห็ น ว่า โครงสร้ างโมเลกุ ล เป็ นปั จจัย
สาคัญที่ส่งผลต่อการสร้างแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ ตัวอย่าง DBS ของสตาร์ ช ตัด กิ่ งจากสตาร์ ช มี
ปริ มาณแป้ งย่อยต่อเอนไซม์ต่า (0.9 g/ 100 g dry starch) เนื่ องจากสายโซ่ส้ ั น ของสตาร์ ช ตัด กิ่ งจะมี
Glass transition temperature (Tg) ต่าและ melting temperature (Tm) ประมาณ 50-60๐ ซมี ดังนั้น ใน
สภาวะการตัดกิ่ งที่อุณหภูมิ 50๐ซใกล้กบั Tmจึงเกิ ดแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์นอ้ ย อย่างไรก็ตาม เมื่อนา
สตาร์ ชตัดกิ่ งมาเก็บที่อุณหภูมิ 25๐ซ ซึ่ งเป็ นอุณหภูมิระหว่าง Tgและ Tmเหนี่ ยวนาให้เกิ ด การตกผลึ ก
ทาให้โมเลกุลสายโซ่เกิดการจัดเรี ยงตัวอย่างเป็ นระเบี ย บ ผลการตัด กิ่ งต่ อ ปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์ในแป้ งข้าวให้ผลเช่นเดียวกับแป้ งชนิ ดอื่ น เช่ น การรายงานของ Gonzalez-soto และคณะ
(2004) รายงานว่า แป้ งกล้วยที่ถูกตัดกิ่ งมีปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์เพิ่ มจากร้ อ ยละ 9.1 เป็ น
ร้อยละ 18 เมื่อใช้ระยะเวลาในการตัดกิ่ ง 5 ชม. และพบว่าไม่มีค วามแตกต่ างของปริ มาณแป้ งทน
ย่อยต่อเอนไซม์ที่ระยะเวลาการตัดกิ่ งนานขึ้ น (5-22 ชม.)เช่นเดี ยวกับการรายงานของ Guraya และ
คณะ (2001) ทาการตัดกิ่ งแป้ งข้าวเจ้าและข้าวเหนี ย วเป็ นระยะเวลา 24 ชม. และพบว่าให้ปริ มาณ
แป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์เพิ่ มขึ้ นเป็ นร้อยละ 40 ถึ งแม้วา่ การตัดกิ่ งจะส่ งผลให้ปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์เพิ่ มมากขึ้ น แต่ปริ มาณและระดับการเกิ ดในแป้ งแต่ละชนิ ดนั้นจะแตกต่ างกัน ซึ่ งขึ้ น อยู่ก ับ
โครงสร้างทางโมเลกุลของแป้ งแต่ละชนิ ด นอกจากนี้ จากผลการวิจยั พบว่า การทาแห้งด้วยการตาก
แห้งที่อุณหภูมิหอ้ งไม่มีผลต่อปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์
90
ตารางที่ 3.20 ระดับการย่อ ย เบต้าอะมิ โ ลไลซิ สลิ มิต และปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ ข อง
ตัวอย่างแป้ งตัดกิ่ งความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25๐ซ
RS content (g/100 g dry sample)
Degree of
ชนิด Beta-amylolysis RS
hydrolysis RS
ตัวอย่าง limit (%) DBS (dry
(%) (fresh gel)
sample)
RS-RD6 4.46 99.45 0.91 17.36 27.1
RS-P1 4.16 97.24 11.83 28.01 30.2
RS-P2 4.32 99.03 28.01 36.06 39.2
RS-CN1 4.44 98.03 22.22 36.49 36.4
พบว่า ขนาดผลึ ก มีข นาดใหญ่สุด ในตัวอย่าง RS-RD6 ตามด้วย RS-P1, RS-P2 และ RS-CN1
ตามล าดับโดยขนาดผลึ ก สั มพัน ธ์ ก ับความยาวสายโซ่ สายโซ่ ส้ ั น ทาให้ผ ลึ ก ที่ ไ ด้มีข นาดใหญ่
สอดคล้องกับความสามารถของสายโซ่ส้ นั ในการจัดเรี ยงผลึ กให้มีขนาดใหญ่ข้ ึ นจากระบบที่มีค วาม
หนื ด ต่ าเมื่อ เปรี ย บเทีย บกับสายโซ่ย าว (Buleon และคณะ 2007) อัต ราส่ วนรู ปแบบผลึ ก A:B
สัมพันธ์กบั ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ เมื่อสัดส่ วนรู ปแบบผลึ ก B มากขึ้ น ปริ มาณแป้ งทนย่อ ย
ต่อเอนไซม์จะมากขึ้ น ของสนับสนุนงานวิจยั ที่ผ่านมาว่าผลึ กรู ปแบบ B ทนต่อการย่อยมากกว่าผลึ ก
รู ปแบบ A (Planchot และคณะ 1997)
RS-CN1
Intensity (a.u.)
RS-PSL2
RS-PSL1
RS-RD6
5 10 15 20 25 30
2-theta
ภาพที่ 3.20 X-ray diffraction pattern ของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่ อ เอนไซม์ที่สภาวะการ เตรี ย มเจล
ความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็บที่อุณหภูมิ 25๐ซ
92
ตารางที่ 3.21 ปริ มาณผลึ ก อัต ราส่ วนของชนิ ด ผลึ ก และขนาดผลึ ก ของตัวอย่างแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์ที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ าหนักและเก็ บที่ อุ ณหภูมิ
25๐ซ
ชนิดตัวอย่าง ชนิดผลึก ปริ มาณผลึ ก (%) อัตราส่ วนA:B ขนาดผลึก(nm)
RS-RD6 C+Vh 73.1 9:91 12.2
RS-PSL1 C+Vh 67.5 7:93 11.4
RS-PSL2 C+Vh 67.0 4:96 10.6
RS-CN1 C+Vh 61.2 5:95 10.8
งานวิจยั นี้ เห็นได้วา่ ความยาวสายโซ่ปัจจัยที่มีความสาคัญ มากต่ อ ความแข็ งแรงของผลึ ก ปริ มาณ
ผลึ กส่ งผลถึ งปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ นอกจากนั้น amylose-lipid complex เป็ นอี ก ปั จจัย ที่ มี
ความสาคัญต่อความความแข็งแรงของผลึ กและส่ งผลถึ งปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์
RS-RD6
RS-P1
RS-P2
RS-CN1
(A) (B)
(C) (D)
ในการวิจยั ขั้นที่ 3ศึกษาผลของพัน ธุ์ ข ้าว 2 พัน ธุ์ ได้แก่ พัน ธุ์ กข6 (ข้าวเหนี ย ว)และ
พิ ษณุโลก 2 (อะมิโลสร้อยละ 12.63) ต่อปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ที่สภาวะการเตรี ย มเจลค
วามเข้มข้น สู งร้ อ ยละ 21โดยน้ าหนัก โดยเปรี ย บเที ย บอุ ณหภูมิก ารเก็ บ ที่ 25๐ ซและ 50๐ ซทั้ง นี้
เนื่ องจากสตาร์ชที่มีปริ มาณอะมิโลสสู ง เจลที่ได้หลังการเจลลาติ ไนซ์ที่ค วามเข้มข้น สู งมี ค วามแข็ ง
มาก ทาให้เอนไซม์ไอโซอะมิเลสไม่สามารถเข้าทาปฏิ กิริยาย่อยได้ ตัวอย่างแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์
RS-RD6 ที่อุณหภูมิการเก็บ 50๐ซ มีปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์สูงสุ ด (55.4 กรั มต่ อ 100 กรั ม
น้ าหนักแห้ง) และมีปริ มาณมากกว่า RS-P1 ที่อุณหภูมิการเก็บเดี ย วกัน แสดงให้เห็ น ว่า การเตรี ย ม
แป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ที่ความเข้มข้น สู งเมื่ อ เก็ บที่ อุ ณหภูมิก ารเก็ บสู งผลความแตกต่ างของการ
กระจายน้ าหนักโมเลกุลไม่มีผลต่อการสร้างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ สาหรับการเก็บที่อุณหภูมิ 25๐ซ
ของสตาร์ ช ตัด กิ่ งที่ ค วามเข้มข้น สู งให้ผ ลเช่ น เดี ย วกับการเก็ บที่ ค วามเข้มข้น ต่ า โดยเห็ น ได้ว่ า
95
ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์สูงขึ้ นเมื่อสัดส่ วนของโมเลกุลสายโซ่ยาวน้ าหนักโมเลกุลสู งมากขึ้ น
เมื่อเปรี ยบเทียบอุณหภูมิการเก็บจะเห็นความแตกต่างของการเพิ่ มปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์
อย่างชัดเจน การเก็บที่ 50๐ซสามารถสร้างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์มากกว่าการเก็ บที่ อุ ณหภูมิ 25๐ ซ
ประมาณ 2-3 เท่า เนื่องจากการเก็บที่อุณหภูมิสูง แต่ต่ ากว่า Tm เป็ นอุณหภูมิที่สนับสนุ น การเติ บโต
ของผลึก (propagation) ที่อุณหภูมิน้ ี จานวนนิ วเคลี ยสในการเกิ ด ผลึ ก จะต่ า แต่ ผ ลึ ก จะเติ บโตอย่าง
รวดเร็ ว เนื่ อ งจากระบบมีค วามหนื ด ต่ า โมเลกุ ล สามารถเคลื่ อ นที่ ไ ด้ อ ย่า งอิ ส ระ การแพร่ สู ง
(diffusion) ผลึกจึงมีขนาดใหญ่และมีความแน่นสู ง ส่ งผลให้ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์สูง การ
เตรี ยมตัวอย่างเจลแป้ งที่ความเข้มข้นสู งให้ปริ มาณแป้ งทนย่อยต่ อ เอนไซม์ต่ ากว่าเล็ ก น้อ ยจากการ
เตรี ยมตัวอย่างที่ความเข้มข้นต่า เนื่องจากระบบที่มีความหนื ด มากกว่า
3.2.5 คุ ณ สมบัติท างผลึ กและคุ ณสมบั ติ ทางความร้ อ นของผลิ ตภั ณฑ์ แป้ งทนย่ อ ยต่ อ
เอนไซม์
ตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ RS-RD6และ RS-P1 เก็ บที่ อุ ณหภูมิ 25๐ ซ แสดงลัก ษณะ
ผลึ กรูปแบบ B เป็ นลักษณะเด่น อย่างไรก็ ต ามพบผลึ ก รู ปแบบ A โดยแสดงพี ค ที่ ต าแหน่ ง 17.2๐
ในขณะที่ตวั อย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ RS-RD6และ RS-P1 เก็บที่ อุ ณหภูมิ 50๐ ซ แสดงลัก ษณะ
ผลึ กรูปแบบ A เป็ นลักษณะเด่นและพบผลึ ก รู ปแบบ B เล็ ก น้อ ย (อัต ราส่ วนร้ อ ยละ 3-5, ตารางที่
3.22) โดยแสดงพี ค เอกลัก ษณ์ที่ต าแหน่ ง 5.1๐ (ภาพที่ 3.23) ผลการวิ จยั สนับสนุ น การตกผลึ ก
โดยทัว่ ไป ที่พบว่า โมเลกุลที่มีความยาวสายโซ่ส้ นั ความเข้มข้นสู ง และอุ ณหภูมิใ นการตกผลึ ก สู ง
ทาให้เกิ ด การตกผลึ ก ในรู ปแบบ A ในขณะที่ อุ ณหภูมิต่ าและสายโซ่ย าวจะเกิ ด การตกผลึ ก ใน
รู ปแบบ B อย่างไรก็ตาม ผลการวิจยั แสดงให้เห็ น ว่าอุ ณหภูมิใ นการตกผลึ ก เป็ นปั จจัย สาคัญ ต่ อ
รู ปแบบผลึ กมากกว่าโครงสร้างโมเลกุล การเปลี่ ยนรู ปแบบผลึ ก เนื่ อ งจากที่ สัมพัน ธ์ ก ับโครงสร้ าง
96
โมเลกุลรายงานโดย Pohu และคณะ (2004) พบว่า ช่ วงเวลา 12 ชั่วโมงแรกของการตัด กิ่ ง ผลึ ก
เริ่ มต้นแสดงลักษณะผลึ กรู ปแบบ B เนื่ องจากการเกิ ด โครงสร้ างเจลของโมเลกุ ล สายโซ่ย าวและ
โมเลกุลกิ่ งก้าน จากนั้นผลึ กจะเกิ ดการเปลี่ ยนผลึ กจากผลึ ก รู ปแบบ B ไปเป็ นผลึ ก รู ปแบบ A แบบ
ค่อยเป็ นค่ อ ยไปจากการตกผลึ ก ของโมเลกุ ล สายโซ่ ส้ ั น โดยผลึ ก จะเปลี่ ย นเป็ นผลึ ก รู ปแบบ A
ทั้งหมดใช้เวลาทั้งสิ้ น 48 ชั่วโมง สาหรั บ การวิ จยั นี้ พบว่ า หลังการเก็ บ ที่ อุ ณ หภูมิ 50๐ ซเป็ น
ระยะเวลา 6 วันยังคงแสดงผลึ ก รู ปแบบ B ซึ่ งเป็ นผลึ ก ที่ เหลื อ อยู่จากการเกิ ด โครงสร้ างเจลของ
โมเลกุลสายโซ่ยาวและโมเลกุลกิ่ งก้าน และเนื่ องจากโมเลกุลสายโซ่ ย าวไม่ไ ด้ถู ก ย่อ ยเป็ นโมเลกุ ล
สั้นๆ เมื่อทาการตัด กิ่ งและตกผลึ ก ต่ อ รู ปแบบผลึ ก B จึ งยังคงปรากฏอยู่ ส่ วนโมเลกุ ล สายสั้ น ที่
ปลดปล่อยมากจากการตัดกิ่ งเมื่อนามาเก็บที่อุณหภูมิ 50๐ซเกิ ดการตกผลึ กต่อเป็ นรู ปแบบผลึ ก A ใน
การวิจยั นี้ เมื่อเปรี ยบเทียบปริ มาณผลึ กและขนาดผลึ กต่อปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ พบว่า มี
ความสัมพันธ์กนั (ตารางที่ 3.22 และตารางที่ 3.23) โดยปริ มาณผลึ กสู งและผลึ กมีขนาดใหญ่มีผลให้
ปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่อ เอนไซม์สูง และเมื่ อ เปรี ย บเที ย บรู ปแบบผลึ ก กับปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์ พบว่า รูปแบบผลึก A มีการทนต่อการย่อยด้วยเอนไซม์มากกว่ารู ปแบบผลึ ก B ซึ่ งตรงข้าม
กับการรายงานโดยทัว่ ไป ที่รายงานว่าผลึ กรู ปแบบ B มีความสามารถในการทนต่อการย่อ ยมากกว่า
ผลึ กรูปแบบ A อย่างไรก็ตาม จากการวิจยั นี้ ไม่สามารถระบุไ ด้ว่ารู ปแบบผลึ ก A มี ก ารทนต่ อ การ
ย่อยด้วยเอนไซม์มากกว่ารูปแบบผลึ ก B เนื่ องจากความสามารถในการทนต่ อ การย่อ ยยังขึ้ น อยู่ก ับ
หลายปัจจัย ได้แก่ รู ปร่ าง (morphology) ขนาด (particle size) ปริ มาณและความแน่ น ของผลึ ก
นอกจากนี้ ยังพบลักษณะผลึกรูปแบบ Vh ในตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ RS-P1 ทั้งที่ อุ ณหภูมิ
การเก็บที่ 25๐ ซและ 50๐ ซโดยแสดงพี ค ที่ ต าแหน่ ง 2-theta 14.2๐ และ 19.7๐ (ภาพที่ 3.23) ที่ เป็ น
ตาแหน่งเอกลักษณะเฉพาะของสารประกอบเชิ งซ้อ นระหว่างอะมิ โ ลสกับไขมัน (amylose-lipid
complex) (Derycke และคณะ, 2005) และเมื่อเปรี ยบเทียบความสัมพัน ธ์ ก ับปริ มาณแป้ งทนย่อ ยต่ อ
เอนไซม์จ ะเห็ น ได้ว่า amylose-lipid complex ไม่ สามารถเพิ่ มความสามารถในการทนย่ อ ยต่ อ
เอนไซม์ได้
97
o
Intensity (a.u.)
RS-PSL1-50 C
o
RS-RD6-50 C
o
RS-PSL1-25 C
o
RS-RD6-25 C
4 8 12 16 20 24 28 32
2-theta
ภาพที่ 3.23 X-ray diffraction pattern ของตัวอย่างแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ใน สตาร์ ชตัดกิ่ งที่ สภาวะ
การเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก อุณหภูมิการเก็บ 25๐ซ และ 50๐ซ
ตารางที่ 3.23 ปริ มาณผลึก อัต ราส่ วนของชนิ ด ผลึ ก และขนาดผลึ ก ของตัวอย่างแป้ งทนย่อ ย ต่ อ
เอนไซม์ในสตาร์ ชตัดกิ่ งที่สภาวะการเตรี ยมเจลความเข้มข้นร้อยละ 21 โดยน้ าหนัก
อุณหภูมิการเก็บ 25๐ซ และ 50๐ซ
ชนิดตัวอย่าง ชนิดผลึก ปริ มาณผลึ ก (%) อั ตราส่ วนA:B ขนาดผลึก(nm)
RS-RD6-25๐C C+Vh 60.3 1:99 12.3
RS-RD6-50๐C C+Vh 80.0 97:3 12.8
RS-P1-25๐C C+Vh 69.1 12:88 12.3
RS-P1-50๐C C+Vh 70.9 95:5 12.6
ในช่ วงกว้างตั้ง แต่ 50-130๐ ซ โดยมี อุ ณหภูมิ ห ลอมเหลวสู งสุ ด 2 อุ ณ หภูมิที่ 84๐ ซ ซึ่ ง เป็ นการ
อุณหภูมิหลอมเหลวของผลึกรูปแบบ B ทีเ่ กิ ดจากการรวมตัวของโมเลกุล สายโซ่ ส้ ั น และ 111๐ ซซึ่ ง
เป็ นการอุณหภูมิห ลอมเหลวของผลึ ก รู ปแบบ Vh ที่ เกิ ด จาก amylose-lipid complex ถึ งแม้ว่า
amylose-lipid complex จะไม่มีผลในการเพิ่ มความสามารถทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์ แต่ อ ย่างไรก็ ต าม
สามารถเพิ่ มคุณสมบัติในการทนต่อความร้อน (Thermal stability) ให้สูงถึ ง 130๐ซ
การเพิ่ มคุณสมบัติทนต่อความความร้อนของแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์สามารถเหนี่ ย วน าได้
โดยการเก็บที่อุณหภูมิสูงซึ่ งเป็ นอุ ณหภูมิใ กล้ก ับอุ ณหภูมิห ลอมเหลว (Tm) ของแป้ งตัด กิ่ ง ที่
อุณหภูมิใกล้ Tm จะสนับสนุนการเติ บโตของผลึ ก ผลึ กจะถูกจากัดการเกิ ดนิ วเคลี ย สแต่ จะสามารถ
เติ บโตอย่างเป็ นระเบียบ เนื่ องจากการเพิ่ มขึ้ นในเคลื่ อนที่ของโมเลกุ ล สายโซ่ (Eerlingen และคณะ,
1993) ผลการวิ จ ัย แสดงให้เห็ น ว่า การเก็ บสตาร์ ช ตัด กิ่ ง ที่ อุ ณหภูมิใ กล้ Tm สามารถปรั บปรุ ง
คุณสมบัติทางความร้อนของแป้ งทนย่อยต่อเอนไซม์ โดยตัวอย่า งแป้ งทนย่อ ยต่ อ เอนไซม์RS-RD6
และ RS-P1 ที่อุณหภูมิการเก็บ 50๐ซ แสดงอุ ณหภูมิห ลอมเหลวในช่ วงกว้างที่ อุ ณหภูมิ 62-130๐ ซ
โดยมีอุณหภูมิหลอมเหลวสูงสุดที่ประมาณ 110๐ซ
RS-RD6-25๐C
RS-RD6-50๐C
RS-P1-25๐C
RS-P1-50๐C
บทที่ 4
บทสรุ ป
ยืนยันว่าโมเลกุลของอะมิโลเพคตินมีสายโซ่ที่มีข นาดยาวมาก (super long chain) มี ผ ลต่ อ การเพิ่ ม
ปริ มาณ RS
การเตรี ยมสตาร์ชทนย่อยต่อเอนไซม์ที่ความเข้มข้นของปริ มาณของแข็งต่ า และเก็บที่
อุณหภูมิหอ้ ง ปริ มาณ RS และคุณสมบัติทนต่อความร้อนที่สูงขึ้ นสัมพันธ์กบั ปริ มาณของสายโซ่ยาว
ที่มีในสตาร์ช รูปแบบผลึกของ RS ปรากฏรู ปแบบผลึ กทั้งแบบ A จากการตกผลึ กระหว่างการตัดกิ่ ง
ของสายโซ่ส้ นั และแบบ B จากการตกผลึ กในระหว่างการตัดกิ่ ง อุณหภูมิในการหลอมเหลวของ RS
แบ่งออกเป็ น 2 ช่วง ช่วงแรกที่อุณหภูมิประมาณ 88 ๐ซ จากการตกผลึ กของโมเลกุลสายสั้นและช่วง
อุณหภูมิที่สองประมาณ 110-120 ๐ซ จาก amylose-lipid complex นอกจากนี้ การเก็บที่อุณหภูมิสูง
ทาให้เกิดการสร้างสตาร์ชทนย่อยต่อเอนไซม์ปริ มาณสู งและเกิ ดการพัฒนาคุณสมบัติทางความร้อน
ของ RS โดยแสดงอุณหภูมิหลอมเหลวที่ 110๐ซ เนื่ องจากผลของการแอนนีล รู ปแบบผลึ กของแป้ ง
ทนย่อยต่อเอนไซม์แสดงรูปแบบ A เมื่อเก็บที่อุณหภูมิสูงและแสดงรู ปแบบ A+B เมื่อเก็บที่อุณหภูมิ
ต่ า
101
บรรณานุกรม
กล้าณรงค์ ศรี รอด และ เกื้ อกูล ปิ ยะจอมขวัญ. (2546). เทคโนโลยีของแป้ ง. สานักพิ มพ์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุ งเทพมหานคร.
รุ่ งนภา พงศ์สวัสดิ์มานิต และคณะ. (2546). การศึกษาคุณสมบัติของแป้ งข้าวพันธุ์ต่างๆในประเทศ
ไทยเพื่ อเป็ นกลยุทธ์ในการสร้างผลิ ตภัณฑ์มลู ค่าเพิ่ ม.รายงานการวิ จัยตีพิมพ์ ลงหนั งสื อ
สัมมนาวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้ งที่ 43. วันที่ 1-4 กุมภาพันธ์ 2546.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุ งเทพมหานคร.
สมาคมผูส้ ่งออกข้าวไทย. 2555. สถิ ตินาเข้า-ส่ งออกข้าวไทย (สื่ ออิ เล็คทรอนิ ค). ที่มา:
http://www.customs.go.th/wps/wcm/connect/8c960143-06cb-4db8-b817-
a5c04b94d31d/CustomsReportsAugust2012.pdf?MOD=AJPERES&CACHEID=8c9
60143-06cb-4db8-b817-a5c04b94d31d.
Association of Official Analytical Chemists (AOAC).(2002). Officail Method of Analysis.
Method 2002.2 (18thed.) Arlington VA.
Avrami, M. (1941). Kinetics of Phase Change. III. Granulation, Phase Change, and
Microstructure. Ibid. 9:177–184 .
Barbara, H. S. (2002). Polymer analysis. John Wiley & Sons, Ltd. England.
Bennow, A., Bay-Smith, A. M. and Bauer, R. (2001). Size exclusion chromatography and on-line
refractive index and light scattering. International Journal of Biological
Macromolecules. 28: 409–420.
Berry, C. S. (1986). Resistant starch: Formation and measurement of starch that survives
exhaustive digestion with amylotic enzymes during the determination of dietary fiber.
Journal of Cereal Science. 4: 301-314.
Buleon, A., Colonna, P., Planchot, V. and Ball, S. (1998). Starch granules: structure and
biosynthesis. International Journal of Biological Macromolecules. 23: 85-112.
Cael, J. J., Koenig, J.L.J. and Blackwell. (1975). Infrared and Raman Spectroscopy of
Carbohydrates. Part VI: Normal Coordinate Analysis of V-Amylose. Biopolymers.
14(9): 1185-1903.
102
Cai, L., Shi, Y.-C., Rong, L. and Hsiao, B.S. (2010). Debranching and crystallization of waxy
maize starch in relation to enzyme digestibility. Carbohydrate Polymers. 81: 385-393.
Chang, H. -J.and Liu, Q. (2009). Impact of molecular structure of amylopectin and amylose on
amylose chain association during cooling. Carbohydrate Polymers. 77: 807-815.
Cheetham, N. W. H. and Tao, L. (1998). Solid state NMR studies on the structural and
conformational properties of natural maize starches. Carbohydrate Polymers. 36: 277-
284.
Chung, H. -J., Liu, Q. and Hoover, R. (2009). Effect of single and dual hydrothermal treatments
on the crystalline structure, thermal properties, and nutritional fractions of pea, lentil, and
navy bean starches. Food Research International. 43(2): 501-508.
Derycke, V. et al. (2005). Starch gelatinization andamylose-lipid interactions during rice
parboiling investigated by temperature resolved wide angle X-ray scattering and
differential scanning calorimetry. Journal of Cereal Science. 42:334-343.
Eerlingen, R.C., Crombez, M. and Delcour, J.A. (1993). Enzyme-resistant starch. I. Qualitative
influence of incubation time and temperature of autoclaved starch on resistant starch
formation. Cereal Chemistry. 70: 339–344.
Eerlingen, R.C. and Delcour, J.A. (1995). Formation, analysis, structure and properties of type III
enzyme resistant starch. Journal of Cereal Science. 22(2): 129–138.
Englyst, H. N. and Hudson, G.J. (1992). The classification and measurement of dietary
carbohydrates. Food Chemistry. 57: 15-21.
Farhat, I. A., Blanshard, J.M.V. and Mitchell, J.R. (2000). The retrogradation of waxy maize
starch extrudates: Effect of storage temperature and water content. Biopolymers. 53:
411.
Farhat, I. A. and Blanshard, J. M. V. (2001). Modeling the kinetics of starch retrogradation. In
Chinachoti, P. and Vodovotz, J., ed. Bread Staling. CRC Press LTC. 163-172.
Gidley, M. J. (1987). Factors affecting the crystalline type (A-C) of native starches and model
compounds: A rationalization of observed effects in terms of polymorphicstructure.
Carbohydrate Research. 161:301-304.
Goodfellow, B. J. and Wilson, R. H. (1990). A Fourier transform infrared study of the gelation of
amylose and amylopectin. Biopolymers. 30: 1183–1189.
103
Gunaratne, A. and Hoover, R.(2002).Effect of heat-moisture treatment on the structureand
physicochemical properties of tuber and root starches. Carbohydrate Polymers. 49 (4):
425–437.
Haralampu, S.G. (2000). Resistant starch-a review of the physical properties and biological
impact of RS3. Carbohydrate Polymer.41: 285-292.
Herman, P. H. and Weidinger, A. (1961). On the determination of the crystalline fraction of
polyethylene form X-ray diffraction.Macromolecular Chemistry. 24: 24-36.
Hizukuri, S.(1995). Analytical aspects. In Carbohydrates in food.Edited by Ann-Charlotte.
Eliasson Marcel Dekker. Inc., New York, Basel, Hong Kong, pp: 347-429.
Hood, L. F.and Mercier, C. (1978). Molecular structure of unmodified and chemically modified
manioc starches. Carbohydrate Research. 61: 53–66.
Hoover, R. (2001). Composition, molecular structure and physicochemical properties of tuber
and root starches: A review. Carbohydrate Polymers. 45: 253–267.
Inouchi et al. (1987).Chain Length Distribution of Amylopectins of Double- and Triple-Mutants
Containing the Waxy Gene in the Inbred Oh43 Maize Backgroun.Starch – Stärke. 39:
295-298.
Jacobs, H. and Delcour, J. A. (1998). Hydrothermal modification of granular starch with retention
of the granular structure:A review. Journal of Agricultural and Food Chemistry. 46:
2895-2905.
Jane, J.-L., Wong, K.-S.and McPkerson, A. E. (1997). Branch-structure
difference in starch of A-
and B-type X-ray patterns revealed by their naegeli dextrins.Carbohydrate Research.
300: 219-227.
Jane et al. (1999). Effect of amylopectin branch chain length and amylose content on the
gelatinization and pasting properties of starch.Cereal Chemistry. 76: 629-637.
Jane et al. (2011). Resistant food starches and methods related thereto. US patent#60/955,049.
Juliano, B. O. (1984). Rice starch: production, properties and uses.In R.L. Whistler, J. N.
Bemiller, and E.F. Paschall (Eds.).Starch chemistry and technology. pp: 507-529. 2th
Ed. Academic Press, Florida.
104
Kennedy, J. F., Cabral, J. M. S., Sa-Correia, I. and White, C.A. (1987). Starch biomass: a
chemical feedstock for enzyme and fermentation processes.T. Gaillard (ed.).Wiley &
Sons, New York.Starch: Properties and Potential. 13: 115-130.
Kim, S. K., Ciacco, C. F. and D'appolonia, B.L. (1976). A Research Note Kinetics study of
retrogradation of cassava starch gels. Journal of Food Science. 41: 1249–1250.
Koo, H. Y., Park, S. H., Jo, J. S., Kim, B. Y. and Baik, M. Y. (2005). Gelatinization and
retrogradation of 6-year-old Korean ginseng starchesstudied by DSC. Lebensmittel-
Wissenschaft und –Technologie, 38: 59–65.
Labuza, T. (1982). Shelf-life dating of foods. Wesport, Connecticut: Food & Nutrition Press.
Leong, Y. H., Karim, A. A. and Norziah, M. H. (2007). Effect of pullulanase debranching of sago
(Metroxylon sagu) starch at subgelatinization temperature on the yield of resistant
starch.Starch/Starke. 59: 21-32.
Manners, D. J. and Matheson, N. K. (1981). The fine structure of amylopectin.
Carbohydrate.Research.90-99.
Martins, R. C. and Silva, C. L. M. (2002). Modelling colour andchlorophyll’s losses of frozen
green beans (Phaseolus vulgaris, L.). International Journal of Refrigeration. 25: 987–
995.
Miao, M., Zhang, T. and Jiang, B. (2009). Characterizations of kabuli and desi chickpea starches
cultivated in China. Food Chemistry. 113(4): 1025-1032.
Moates, G. K., Noel, T. R., Parker, R. and Ring, S. G. (1997). The effect of chain length and
solvent interactions on the dissolution of the B-type crystalline polymorph of amylose in
water. Carbohydrate Research. 298: 327-333.
Noosuk, P., Hill, S. E., Pradipasena, P., and Mitchell, J. R. (2003). Structure–viscosity
relationships for Thai rice starches. Starch/Stärke. 55(8): 337–344.
Saha, B. G. and Zeikus, J. G. (1989). Microbial glucoamylase: Biochemical and biotechnological
features. Starch/Stärke. 41: 57-61.
Sajilata, M. G., Singhal, R. S. and Kulkarni, P. K. (2006). Resistant starch a review.
Comprehensive Reviews in Food Science and Food Safety. 5: 1-17.
Sawai, H. and Morita, Y. (1968). Studies on rice glutelin.Part I. Isolation and purification of
glutelin from rice endosperm. Agricultural Chemistry. 32(1):76-80.
105
Sievert, D. and Lausanne, J. H. (1993). Determination of amylose by differential scanning
calorimetry. Starch/Stärke. 45: 136-139.
Tester, R. F., Karkalas, J. and Qi, X. (2004). Starch structure and digestibility enzyme substrate
relationship. World’s Poultry Science Journal. 60: 185-195.
Thompson, D. B. (2000). Strategies for the manufacture of resistantstarch.Trends in Food
Science and Technology. 11: 245–253.
Van Soest, P. J. (1994). Nutritional Ecology of the Ruminant (2 nd Ed.). Cornell University
Press, Ithaca, New York.
Van Soest, P. J. (1996). Environment and forage quality. Proc. Cornell Nutr. Conf. for Feed
Manuf. p 1. Cornell Univ., Ithaca, New York.
Zhang, H. and Jin, Z. (2011). Preparation of resistant starch by hydrolysis of maize starch with
pullulanase. Carbohydrate Polymers. 83: 865-867.
106
ภาคผนวก
การวิเคราะห์ องค์ ประกอบทางเคมี
1. การวิเคราะห์ ปริมาณความชื้น (AOAC, 2002)
เครื่ องมือและอุปกรณ์
1. ตูอ้ บลมร้อน (Hot air oven)
2. เครื่ องชัง่ ไฟฟ้ าทศนิ ยม 4 ตาแหน่ง
3. เดซิเคเตอร์ (desiccators)
4. ภาชนะอะลูมิเนียมมีฝาปิ ด (moisture can)
วิธีการ
1. อบภาชนะสาหรับหาความชื้ น ในตู ้อ บไฟฟ้ าที่ อุ ณหภูมิ 105ºC เป็ นเวลา 3 ชั่วโมง น า
ออกจากตู ้อ บใส่ ใ นโถดู ด ความชื้ น ปล่ อ ยทิ้ งไว้จนกระทัง่ อุ ณหภู มิข องภาชนะลดลงเท่ ากั บ
อุณหภูมิหอ้ งแล้วชัง่ น้ าหนัก
2. ทาซ้ าข้อที่ 1 จนได้ผลต่างของน้ าหนักที่ชงั่ 2 ครั้งติ ดต่อกันไม่เกิ น 1-3 มิลลิ กรัม
3. ชัง่ ตัวอย่างที่ตอ้ งการให้ได้น้ าหนักที่แน่นอน ประมาณ 1-2 ใส่ ลงในภาชนะหาความชื้ น
ซึ่ งทราบน้ าหนักแล้ว
4. นาไปอบในตูไ้ ฟฟ้ าที่อุณหภูมิ 105ºC เป็ นเวลาประมาณ 5-6 ชัว่ โมง นาออกจากตู ้อ บใส่
ในโถดูดความชื้ น ปล่อยทิ้งไว้ใ นอุ ณหภูมิข องภาชนะลดลงเท่ากับอุ ณหภูมิห ้อ งแล้วชั่งน้ าหนัก
จากนั้นนากลับไปเข้าตูอ้ บอี กครั้ง
5. ทาซ้ าข้อที่ 4 จนได้ผลต่างของน้ าหนักที่ชงั่ สองครั้งติ ด ต่อกันไม่เกิ น 1-3 มิลลิ กรัม
6. คานวณปริ มาณความชื้ นจากสู ตร
2. การวิเคราะห์ ปริมาณไขมัน(AOAC, 2002)
เครื่ องมือและอุปกรณ์
1. อุปกรณ์ชุ ด สกัด ไขมัน (soxhelt apparatus) ประกอบด้วยขวดกลม (สาหรั บใส่ ต ัวทา
ละลาย) ซอคเลต (soxhlet) อุปกรณ์ควบแน่น (condenser) และเตาให้ความร้อน (heating mantle)
2. หลอดใส่ตวั อย่าง (extraction thimble)
3. สาลี
4. ตูอ้ บไฟฟ้ า
5. เครื่ องชัง่ ไฟฟ้ า
6. โถดูดความชื้ น (desiccators)
สารเคมี
1. ปิ โตรเลียมอีเทอร์ (petroleum ether)
วิธีการ
1. อบขวดกลมสาหรับหาปริ มาณไขมัน ซึ่ งมี ข นาดบรรจุ 250 มิ ล ลิ ลิ ต ร ในตู ้อ บไฟฟ้ าที่
อุณหภูมิ 105ºC เป็ นเวลา 3 ชัว่ โมง นาออกจากตูอ้ บใส่ ไว้ในโถดูดความชื้ น ปล่อยทิ้ งไว้จนกระทัง่
อุณหภูมิของขวดกลมลดลงเท่ากับอุณหภูมิหอ้ งแล้วชัง่ น้ าหนัก
2. ทาซ้ าข้อที่ 1 จนได้ผลต่างของน้ าหนักที่ชงั่ สองครั้งติ ดต่อกันไม่เกิ น 1-3 มิลลิ กรัม
3. ชัง่ ตัวอย่างบนกระดาษกรองที่ทราบน้ าหนักประมาณ 1-2 กรั ม ห่ อ ให้มิด ชิ ด แล้วใส่ ล ง
ในหลอดสาหรับใส่ตวั อย่าง คลุมด้วยสาลี เพื่ อให้สารตัวทาละลายมีการกระจายอย่างสม่าเสมอ
4. นาหลอดตัวอย่างใส่ลงในซอคเลต เติ มสารตัวทาละลายปิ โตรเลี ยมอี เทอร์ ลงในขวดหา
ไขมันประมาณ 150 มิลลิลิตร แล้ววางบนเตาให้ความร้อน
5. ทาการสกัดไขมันเป็ นเวลา 14 ชัว่ โมง โดยปรับเตาความร้อนให้หยดของสารทาละลาย
กลัน่ ตัวจากอุปกรณ์ควบแน่นด้วยอัตรา 150 หยดต่อนาที
6. เมื่อครบ 14 ชัว่ โมงแล้ว นาหลอดใส่ ตวั อย่างออกจากซอคเลต และกลัน่ เก็บสารทา
ละลายจนเหลือสารทาละลายในขวดกลมเพี ยงเล็กน้อยด้วยเครื่ องระเหยสุ ญญากาศ
7. นาขวดหาไขมันอบในตูอ้ บไฟฟ้ าที่อุณหภูมิ 80-90ºC จนแห้งใช้เวลาประมาณ 30 นาที
นาออกจากตูอ้ บใส่ ไว้ในโถดู ด ความชื้ น ปล่ อ ยทิ้ งไว้จนกระทัง่ อุ ณหภูมิข องขวดก้น กลมลดลง
เท่ากับอุณหภูมิหอ้ งแล้วชัง่ น้ าหนัก
8. ทาซ้ าข้อที่ 7 จนกระทัง่ ผลต่างของน้ าหนักสองครั้งติ ดต่อกันไม่เกิ น 1-3 มิลลิ กรัม
9. คานวณหาปริ มาณไขมันจากสู ตร
108
ปริ มาณไขมัน (ร้อยละโดยน้ าหนัก)= 100
1. กรดซัลฟูริกเข้มข้น (conc.H2SO4)
2. ตัวเร่งผสม (Catalyst) ระหว่าง CuSO4กับ K2SO4อัตราส่ วน (Cu : K2SO4) คื อ 1 : 10
3. โซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้น 40%
4. กรดไฮโดรคลอริ กที่ทราบความเข้นข้นแน่นอน (HCl 0.1 นอร์ มอล)
5. กรดบอริ กเข้มข้น 4%
6. โพแทสเซียมไฮโดรเจนพธาเลต
7. อินดิเคเตอร์ผสม (Mixed indicator ระหว่าง Methylene blue 0.1 กรั ม กับ Methyl red 0.2
กรัม ละลายในแอลกอฮอล์ 90% 100 มิลลิ ลิตร)
109
วิธีการเตรี ยมสารละลายกรดไฮโดรคลอริ กมาตรฐาน
1. การเตรี ยมสารละลายมาตรฐานปฐมภูมิโพแทสเซี ยมไฮโดรเจรพธาเลต
1.1 ชัง่ โพแทสเซี ยมไฮโดรเจนพธาเลตที่ ผ่ านการอบแห้ง (อุ ณหภูมิ 120ºC เป็ น
เวลา 2 ชัว่ โมง) ให้ได้น้ าหนักอยูใ่ นช่วง 2.0-2.2 กรัม โดยเครื่ องชัง่ ละเอี ยด บันทึกน้ าหนักที่ชงั่
1.2 น ามาละลายด้ วยน้ ากลั่น ปรั บปริ มาตรด้ว ยขวดปรั บ ปริ มาตรขนาด 100
มิลลิ ลิตร เขย่าขวดให้สารละลายเป็ นเนื้ อเดี ยวกัน
1.3 คานวณหาความเข้มข้นที่แน่นอน
2. การเตรี ยมสารสะลาย HCl 0.1 โมลาร์ จากกรดเกลือเข้มข้น
2.1 ตวงกรดเกลือเข้มข้นให้มีปริ มาตร 4.0-4.5 มิลลิ ลิ ต ร ด้วยกระบอกตวงขนาด
10 มิลลิลิตร
2.2 เทกรดเกลื อเข้มข้นที่ตวงแล้วลงในน้ ากลัน่ ปริ มาตร 500 มิลลิ ลิตรที่บรรจุอยูใ่ น
บิกเกอร์ ขนาด 600 มิลลิ ลิตร คนให้สารละลายเข้ากันดี เก็บสารละลายในขวดแก้วเพื่ อนี้ ไว้ใช้ต่อไป
3. การทามาตรฐานสารละลายกรดเกลื อ
3.1 ปิ เปตสารละลายกรดเกลื อมา 25 มิลลิ ลิ ต ร ใส่ ล งในขวดรู ปกรวยขนาด 250
มิลลิ ลิตร
3.2 เติมสารละลายฟี นอล์ฟทาลี น 2-3 หยด เขย่าสารละลายในขวดให้เข้ากัน
3.3 ไทเทรตด้วยสารละลายมาตรฐานทุติ ย มภูมิโ ซเดี ย มไฮดรอกไซด์ จนกระทัง่
สารละลายในขวดเปลี่ยนเป็ นสี ชมพูอ่อน บันทึกปริ มาตรโซเดี ยมไฮดรอกไซด์
3.4 ไทเทรตซ้ า 2 ครั้ง
3.5 คานวณหาความเข้มข้นที่แน่นอนของสารละลายกรดเกลื
อ
วิธีการ
1. ชัง่ ตัวอย่างให้ได้น้ าหนักแน่นอน ประมาณ 1-2 กรัม ใส่ ลงในขวดย่อยโปรตี น
2. การย่อย
2.1 เติ มตัวเร่ งผสม (Catalyst) ระหว่าง CuSO4กับ K2SO4 (CiSO4 0.5 กรั ม และ
K2SO4 5 กรัม) ในขวดย่อยโปรตีน เพื่ อเร่ งปฏิ กิริยาการย่อย
2.2 เติมกรดซัลฟูริกเข้มข้น 20 มิลลิ ลิตร (ค่อย ๆ ไหลตามข้างขวด) เขย่าเบา ๆ จน
แป้ งไม่จบั กันเป็ นก้อน ปิ ดปากขวดด้วยกระเปาะแก้วกลม
2.3 ย่อยบนอุปกรณ์ให้ความร้อนอ่อน ๆ จนได้สารละลายสี เขี ยวใส
2.4 ปล่อยทิ้งให้เย็น
110
3. การกลัน่
3.1 เมื่ อ สารละลายมี อุ ณหภูมิล ดลงแล้ว จึ งเติ มน้ า กลั่น 20 มิ ล ลิ ลิ ต ร และเติ ม
สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้นข้น 40%
3.2 จัดอุปกรณ์กลัน่
3.3 เติมกรดบอริ กเข้มข้น 4% ปริ มาตร 25 มิลลิ ลิตร ลงในขวดรู ปชมพู่ แล้วหยด
อิ นดิเคเตอร์ 5-6 หยด นาไปรองรับของเหลวรองรับสารละลายที่กลัน่ ได้ โดยใช้อุ ปกรณ์ ค วบแน่ น
จุม่ ในสารละลายกรดบอริ ก
3.4 กลัน่ จนกระทัง่ ไม่มีแอมโมเนี ยเหลื อ ให้ได้สารละลายที่ ก ลั่น ได้ประมาณ150
มิลลิ ลิตร
4. การไทเทรต
4.1 ไทเทรตสารละลายที่ ก ลั่น ได้ด ้วยกรดไฮโดรคลอริ ก ที่ ทราบความเข้มข้ น
แน่นอน สังเกตสี ของสารละลายจะเปลี่ ยนจากสี เขี ย วเป็ นสี ม่วงอ่ อ น จดปริ มาตรของกรดไฮโดร
คลอริ กที่ใช้
4.2 ทา blank โดยใส่ สารเคมีและขั้นตอนการวิเคราะห์เช่นเดี ยวกับตัวอย่าง แต่ ไ ม่
ใส่ ตวั อย่าง
( )
ปริ มาณโปรตี น (ร้อยละ)=
4. การวิเคราะห์ ปริมาณเถ้า
เครื่ องมือและอุปกรณ์
1. ถ้วยครูซิเบิล
2. เตาไฟฟ้ า
3. เตาเผา
4. เครื่ องชัง่ ละเอี ยด 4 ตาแหน่ง
5. เดซิเคเตอร์
วิธีการ
1. เผาครู ซิเบิลเพื่ อหาน้ าหนักที่แน่นอน
2. ชัง่ ตัวอย่างประมาณ 5 กรัม ใส่ ครู ซิเบิล นาไปเผาบนเตาไฟฟ้ าจนควันหมด
3. นาไปเผาจนได้ต่อในเตาไฟฟ้ าที่อุณหภูมิ 550ºC นานประมาณ 2-3 ชัว่ โมงจนกระทัง่ ได้
เถ้าสี ขาวหรื อสี เทา
4. จากนั้นนามาใส่ เดซิ เคเตอร์ ทิง้ ให้เย็นที่อุณหภูมิหอ้ งแล้วนาไปชัง่ เผาตัวอย่างซ้ านานครั้ ง
ละ30 นาที จนได้น้ าหนักต่างกันไม่เกิ น 1 มิลลิ กรัม
( )
ปริ มาณเถ้า (ร้อยละโดยน้ าหนัก)= ( )
100
ประวัติผู้วิจัย
นางสุนันทา ทองทา
นางสุนนั ทา ทองทา เกิดเมื่อวันที่ 27 ตุล าคม 2506 ณ จังหวัด นครราชสี มา ปั จจุบนั ด ารง
ตาแหน่งผูช้ ่วยศาสตราจารย์ สังกัดสาขาวิชาเทคโนโลยีอาหาร มหาวิ ทยาลัย เทคโนโลยี สุร นารี จบ
การศึกษาระดับปริ ญญาตรี วท.บ. (พัฒ นาผลิ ต ภัณฑ์ ) จากมหาวิ ทยาลัย เกษตรศาสตร์ เมื่ อ ปี พ.ศ.
2529 จบการศึกษาระดับปริ ญญาโท วท.ม. (วิทยาศาสตร์ การอาหาร) จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อปี พ.ศ. 2533 จากนั้นเข้ารับราชการบรรจุต าแหน่ งอาจารย์ที่ภาควิ ช าเทคโนโลยี อ าหาร คณะ
เทคโนโลยี มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ในปี เดี ย วกัน ต่ อ มาในปี พ.ศ. 2536 ได้รั บทุน Fulbright จาก
มูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริ กนั ไปศึกษาต่อในระดับปริ ญ ญาเอก ที่ University Of Illinois at Urbana-
Champaign สหรัฐอเมริ กา และสาเร็ จการศึกษาในปี พ.ศ. 2541
นางสุ นนั ทา ทองทา ได้มีผลงานทางวิชาการดังต่อไปนี้
1. ผลงานตีพิมพ์ / การประชุมระดับชาติ และนานาชาติ
Chaisiricharoenkul, J. and Tongta, S. 2009. Effect of extrusion paprameters on starch digestion
and physicochemical properties of Job’s Tear (Coix lacryma jobi L.) flour. Poster
presentation in Starch Update 2009: The 5 th International Conference on Starch
Technology. September 24-25, 2009. Bangkok, Thailand.
Dalai, N. and Tongta, S. 2009. Physiochemical properties of waxy and high amylose rice flour
during storage. Poster presentation in Starch Update 2009:
The 5 th International Conference
on Starch Technology. September 24-25, 2009. Bangkok, Thailand.
Kiatponglarp, W. and Tongta, S. 2009. Comparative effect of different temperature cycling on
resistant starch formation. Poster presentation in Starch Update 2009: The 5 th International
Conference on Starch Technology. September 24-25, 2009. Bangkok, Thailand.
Tongta, S. and Boonna, S. 2009. Physical modification of rice flour by extrusion. Poster
presentation in Starch Update 2009: The 5 th International Conference on Starch
Technology. September 24-25, 2009. Bangkok, Thailand.
Tongta, S. and Kiatponglarp, W. 2009. Impact of enzyme concentration and hydrolysis time on
resistant starch formation. Poster presentation in Starch Update 2009: The 5 th International
Conference on Starch Technology. September 24-25, 2009. Bangkok, Thailand.
113
Dalai, N. and Tongta, S. 2009. Physiochemical and textural properties of high amylose rice
during storage. Poster presentation in Food Innovation Asia Conference 2009. June 18-19,
2009. BITEC, Bangkok, Thailand.
Boonna, S.,Tongta, S. and Piyachomkwan, K. Effect of aging condition on resistant starch
formation of rice starch. Poster presentation in 2009 IFT Annual Meeting. June 6-9, 2009.
Anahiem, CA, USA.
Dalai, N. and Tongta, S. 2008. Comparative study on physical properties of waxy and non-waxy
rice during storage. Poster presentation in The 34 th Congress on Science and Technology of
Thailand. October 31-November 2, 2008. Bangkok, Thailand.
Boonna, S. and Tongta, S. 2008. Effect of starch content and aging temperature on slowly
digestible starch and resistant starch formation in debranched rice starch. Oral presentation
in The 34th Congress on Science and Technology of Thailand. October 31-November 2,
2008. Bangkok, Thailand.
Apirattananusorn, S., Tongta, S., Cui, S.W., and Wang, Q. 2008. Chemical, molecular, and
structural characterization of alkali extractable polysaccharides from Job’s Tears. J. Agric.
Food. Chem. 56:8549-8557.
Rareunrom, K., Tongta, S. and Yongsawatdigul, J. 2008. Effect of soy protein isolate on
chemical and physical characteristics of meat analog. Asian Journal of Food and Agro-
Industry, 1(02):97-104.
Phoungchandand, S., Bhulaidok, S., Nantachai, K., Woraphuttaporn, W., Tongta, S. and
Suvannason, V. 2007. Influence of various cereal flours on physical properties of expanded
extrudates. Khon Kaen University Research Journal. 12(4):431-441.
Boonna, S. and Tongta, S. 2007. Effect of drum drying parameters on physical properties of
pregelatinized rice flour. Poster presentation in Starch Update 2007: The 4 th International
Conference on Starch Technology. November 6-7, 2007. Bangkok, Thailand.
Kiatponglarp, W. and Tongta, S. 2007. Structural and physical properties of enzyme-resistant
starch produced from debranched and retrogradation of cassava starch. Poster presentation
in Starch Update 2007: The 4 th International Conference on Starch Technology. November
6-7, 2007. Bangkok, Thailand.
114
Siriboon, B. and Tongta, S. 2007. Effect of annealing on physicochemical properties of waxy
and normal rice starches. Poster presentation in Starch Update 2007: The 4 th International
Conference on Starch Technology. November 6-7, 2007. Bangkok, Thailand.
Chaisiricharoenkul, J. and Tongta, S. 20 7. Physicochemical and antioxidant properties of Job’s
Tear Flour. Poster presentation in The 9 th Agro-Industrial Conference, Food Innovation
Asia 2007. June 14-15, 2007. Bangkok, Thailand.
Rareunrom, K., Tongta, S. and Yongsawatdigul, J. 2007. Effect of soy protein isolate on
chemical and physical characteristics of meat analog. Oral presentation in The 9 th Agro-
Industrial Conference, Food Innovation Asia 2007. June 14-15, 2007. Bangkok, Thailand.
Siriboon, B. and Tongta, S. 2007. Effect of Annealing on Physicochemical Properties of Waxy
Rice. Poster presentation in The 9 th Agro-Industrial Conference, Food Innovation Asia
2007. June 14-15, 2007. Bangkok, Thailand.
Kiatponglarp, W. and Tongta, S. 2007. Structural and Physical Properties of Debranched Tapioca
Starch. Suranaree Journal of Science and Technology, 14(2):195-204.
Rareunrom, K., Tongta, S. and Yongsawatdigul. 2007. Effect of full fat soy flour on
characteristics of soy protein meat analog. Suranaree Journal of Science and Technology,
14(2):185-193.
Pakdeechanuan, P., Intarapichet, K. and Tongta, S. 2007. Effect of extrusion parameters on
conjugated linoleic acids of corn extrudate. J. Agric. Food. Chem., 55: 1463-1468.
Apirattananusorn, S., Cui, S.W., Wang, Q. and Tongta, S. 2006. Extraction and composition of
water-unextractable arabinoxylans from Job’s tears (Coix lacryma-jobi L.) (Abstract. pp.
238 and Poster presentation). 2006 CIFST/AAFC Joint Conference, May 28-30, 2006.
Montreal, Canada.
Kiatponglarp, W. and Tongta, S. 2006. Effect of debranching on enzyme resistant starch
formation in tapioca starch. Poster presentation in The 8 th Agro-Industrial Conference. June
15-16, 2006. Bangkok, Thailand.
Tongta, S., Ningsanond, S. and Boonna, S. 2006. Influence of hydrocolloids and soy milk solid
on physical and textural qualities of soy yoghurt. Poster presentation in The 8 th Agro-
Industrial Conference. June 15-16, 2006. Bangkok, Thailand.
115
Tongta, S., Kiatponglarp, W. and K. Sriroth, K. 2004. Effect of aging temperature on
retrogradation of concentrated cassava starch gel. In ‘ Starch: Progress in Structural
studies, Modifications and Applications’ Tomasik, P., Yuryev, V.P. and Bertoft, E. (eds.).
pp. 357-364. Drukarnia GS, Cracow.
Rareunrom, K., Tongta, S. and Yongsawatdigul. 2004. Structure and texture characteristic of soy
protein meat analog. Poster presentation The 6 th Agro-Industrial Conference. May 28-29,
2004. Bangkok, Thailand.
Sottirattanapan, P. and Tongta, S. 2003. Effect of extrusion parameters on physical
characteristics of rice extrudate. Suranaree Journal of Science and Technology. 10(3):220-
229.