Professional Documents
Culture Documents
จากบุตรนายช่าง..สู่บัลลังก์ศาล แก้ไขครั้ง ๑
จากบุตรนายช่าง..สู่บัลลังก์ศาล แก้ไขครั้ง ๑
หนังสือเล่มนี้ต้นสายปลายเหตุเกิด มาจากผมได้ไปให้คามั่นไว้กับตนเอง
ในวันที่สอบข้อเขียนผู้ช่วยผู้พิพากษา (รุ่นที่มีการจัดสอบพร้อมกัน ๓ สนาม) วัน
สุดท้ายเสร็จ ว่า “ถ้าหากผมสอบผ่านครั้งนี้ผมจะเขียนหนังสือ ที่กล่าวปัญหาและ
อุปสรรคในการสอบครั้งนี้ทที่ ี่ผมประสบและอัดแน่นอยู่ในจิตใจของผมตลอดมา...
สักเล่ม” ...และเมื่อประกาศผลสอบออกมา...ผมสอบติดข้อเขียน...
If you have a dream you gonna keep walking. ความดีข องหนัง เล่ มนี้ ผู้ เขี ยนขอมอบให้ แก่ บิด ามารดา ครูอ าจารย์ ที่
อบรมสั่งสอนให้ความรู้ และผู้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้เขียนเป็นอย่างดีโดย
ตลอดมา และที่ขาดไม่ได้ขอขอบคุณคุณจีราวรรณ์ กันธะวงษ์ ที่คอยเป็นกาลังใจ
สาคัญทั้งเป็นผู้ช่วยคิด ช่วยวางแผนชีวิตผู้เขียนมาตลอด ทาให้ชีวิตผมพบเจอแต่
สิ่งที่ดี ผ่านพ้นภยันตรายทั้งปวงและเป็นส่วนหนึ่งที่ทาให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์
ขึ้นมาได้ครับ
นราธิป ใจน้อย
FB : แพ่งพิเรนทร์
(เริ่มเขียน ๒๕๕๙)
คานา แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ สารบัญ
หลังจากที่เผยแพร่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ บรรพ ๑ ชีวิตก่อนหน้านี้
แพ่งพิเรนทร์มาเกือบเป็นระยะเวลา ๑ ปี เมื่อผู้เขียนกลับเข้าไปอ่านในกูเกิ้ลไดรฟ์ หมวด ๑ นิยามศัพท์
ดู ก็พบว่าไฟล์หนังสือที่อัพโหลดไว้มีปัญหาอ่านเนื้อหาไม่ได้หลายหน้า จึงขอถือ หมวด ๒ ความเบื้องต้น
โอกาสนี้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมต่อไปอีกสักเล็กน้อย เนื่องจากมีผู้อ่านแนะนาติชม หมวด ๓ พื้นเพ
เข้ามาและด้วยสาเหตุที่ระหว่างเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การทางานผู้เขียนได้นึก หมวด ๔ อุปสรรคที่พบพาลในชีวิต
ออกถึงหลักปฏิบัติตนกับเทคนิคต่างๆ ที่เคยใช้เมื่อครั้นเตรียมสอบที่ยั งไม่ได้เขียน
บรรพ ๒ ข้อแนะนา
ลงไปเพิ่มเติมอีกหลายประการ ประกอบกับ มีพี่ชายที่เคารพรักท่านหนึ่งแนะนา
หมวด ๑ การใช้ชีวิต
ปรับปรุงชื่อหนังสือให้ดูดีและตรงกับเนื้อหาในหนังสือ ให้ชัดเจนยิ่งน่าสนใจขึ้นไป
หมวด ๒ การเรียนเส้นทางนิติศาสตร์
อีก จึงขอกราบขอบพระคุณพี่ท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยอย่างยิ่งครับ ผู้เขียนจึงขอ
หมวด ๓ การศึกษาในชั้นเนติบัณฑิต
ถือโอกาสนี้ปรับปรุงหนังสือเล่มนี้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ตาม
หมวด ๔ การเตรียมตัว (และใจ) สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา
โอกาสและเวลา เพื่อจักเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย หากมีข้อแนะนาติ
ชมประการใด สามารถแนะนามายังผู้เขียนไม่ว่าช่องทางใด จักขอน้อมรับไว้เพื่อ บรรพ ๓ ชีวิตหลังจากนี้
เป็นการพัฒนาแก่ผู้เขียนยิ่งๆ ขึ้นไปครับ. หมวด ๑ อุดมการณ์
หมวด ๒ สิ่งที่จะต้องพบเจอ
หมวด ๓ สุขภาพ
นราธิป ใจน้อย หมวด ๔ คติประจาใจที่ได้จากปฏิบัติงาน
(แก้ไข ๒๕๖๑)
บรรพ ๑ “เทคนิค” หมายความว่า ยุทธวิธีหรือกลยุทธ์ การเข้าทาไปสู่เป้าหมาย
แบบเฉพาะของผู้เขียน
ชีวิตก่อนหน้านี้
“คติประจาใจ” หมายความว่า ประโยคหรือถ้อยคาในลักษณะเป็นหลัก
____________ คิด แง่คิด หรือคาคมที่ใช้ ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือปลุกใจแก่ผู้เขียน ไม่ว่าจะคิดได้ขึ้น
หมวด ๑ นิยามศัพท์ เองหรือได้รับจากผู้อื่น
ทุกความพยายามอาจไม่ประกันความสาเร็จ...แต่ทุกความสาเร็จล้วนมาจากความพยายาม./
คุณพ่อและคุณแม่ของผมก็ไม่เคยปิ ดกั้น ยิ่งสนับสนุนให้ผ มเรียนหนังสื อ อย่าง แต่ แ ล้ ว โชคชะตาก็ ก ลั บ เล่ น ตลกน าพาให้ ผ มไม่ ไ ด้ ไ ปในทางสื บ ทอด
เต็มที่ และยังยอมให้ผมไปเรียนต่อปริ ญญาตรีที่ต้องออกจากบ้านไปพักอยู่ที่อื่น กิจการของคุณพ่อกับคุณแม่เลย คงเป็นเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยากให้ผมมา
อีกด้วย อันเป็นเวลาที่ผมต้องเริ่มออกไปอยู่หอพัก และจะได้กลับมาช่วยงานที่ ทางกิ จ การด้ า นนี้ ตั้ ง แต่ แ รกแล้ ว กระมั ง คุ ณ พ่ อ ผมมั ก จะสนใจเกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
บ้านเพียงบางสัปดาห์เท่านั้น โดยท่านทั้งสองไม่ได้หวังที่จะให้ผมสืบทอดกิจการ กฎหมาย ท่านมักจะเปิดฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์ที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับกฎหมายที่
หรืออยากให้อยู่บ้านช่วยงานช่างที่บ้านแต่อย่างใดเลย น่าสนใจต่างๆ แล้วนามาพูดพูดสนทนากับผมในทุกๆ วัน ซึ่งผมจาความได้ว่า
เป็นมาตั้งแต่ผมเรียนมัธยมปลาย และท่านก็ไม่ค่อยจะสอนวิชาการช่างให้ผมสัก
ในส่วนคุณแม่ของผมนั้น ท่านสามารถช่ว ยคุณพ่อผมไม่ว่าจะเป็นงาน
เท่าไหร่ เพียงแต่ให้ผมเป็นลูกมือให้หยิบนู่นจับนี่ขัดล้างโน่นนี่ให้เท่านั้น ส่วนคุณ
ซ่อม การเงิน รวมทั้งงานบ้านด้วย หลายคนอาจสงสัยว่าผู้หญิงจะซ่อมรถเป็นด้วย
แม่ของผมท่านก็จะไม่ค่อยห้ามผมสักเท่าไหร่และปล่อยผมให้เลือกศึกษาได้ตามที่
เหรอ คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ คุณแม่ของผมทาได้ เช่นนั้นจริงๆ ท่านสามารถ
ผมสนใจ ผมจึงซึมซับและสนใจกฎหมายเรื่อยมาตั้งแต่เด็กนั่นเองครับ
ซ่อมมอเตอร์ไซค์ได้จ ริ งๆ ไม่ว่าจะเป็ น การปะหรือเปลี่ ยนยาง การเปลี่ ยนโซ่
สเตอร์ การทาระบบไฟของรถ การตั้งศูนย์ล้อรถ เป็นต้น ส่วนผมนั้น ต้องขอรับ คุณพ่อผมมักจะคอยพูดเตือนสติให้ฟังผมเสมอว่า “อย่ากลัวความจน...
สารภาพตามตรงว่าไม่ค่อยสนใจใฝ่รู้ในงานช่างของคุณพ่อมากเท่า ใดนัก จะหมั่น ไม่มีใครไม่มีหนี้...แค่เราเกิดมาก็มีหนี้แล้ว ...คือหนี้บุญคุณผู้ที่ให้โอกาสเราลืมตา
ทางานก็เนื่องจากคุณพ่อให้ค่าจ้ างไว้เพื่อเก็บไว้ซื้อเสื้อผ้าของใช้ และอุปกรณ์ และเติบโตบนโลกใบนี้” และจะคอยตาหนิผมอยู่เสมอว่า “อย่าพูดคาว่าขี้เกียจ”
ดนตรีของผมเท่านั้น เพราะผมชอบไปทางอ่านหนังสือมากกว่า จึงไม่ค่อยได้ลงลึก กับจะคอยเตือนสติผมอยู่ตลอดเวลาที่ผมบ่นว่าไม่ไหว ท้อแล้ว ไม่กล้าสู้ต่อ ว่า
ถึงขั้นซ่อมรถให้ได้ทั้งคันเหมือนอย่างคุณพ่อกับคุณแม่ แต่งานหลักๆ ของผมก็ “ลูกอย่าเพิ่งท้อ เพราะพ่อนั้นเจ็บมาเยอะ” พร้อมทั้งหัวเราะเสียงดังก้องภายใน
มักจะเป็นพวกเติมลมยาง ปะยาง การถอดล้อเปลี่ยนยาง และเปลี่ยนโซ่กับสเตอร์ ร้านแจมเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นข้อความที่มีความหมายโดนจิต โดนใจผมอย่างมาก
รถ รวมถึงไปถึงการขัดล้างอะไหล่ที่มีคราบน้ามันและโคลนเขรอะ และเป็นลูกมือ ตลอดมา ทาให้ผมฉุกคิดได้ว่า พ่อนั้นเหนื่อยมามาก มากยิ่งกว่าเราเสียอีก กว่าจะ
คุณพ่อกับคุณแม่เท่านั้น คงไม่ผิดหรอกนะครับที่ผมจะเรียกตัวเองว่า เป็น “เด็ก ส่งเสียเรามาได้ถึงเพียงนี้ หากเราไม่กัดฟันสู้ต่อแล้ว สิ่งที่พ่อคอยสนับสนุนเรามา
ช่า ง” เพราะชีวิตผมโตมากับสิ่ ง เหล่า นี้จ ริงๆ ช่วงตอนเป็นเด็กๆ ไม่ว่าจะช่ว ง จะสูญเปล่าได้ แล้วความเหนื่อยของพ่อที่ผ่านมาเราจะไม่เสียดายบ้างเลยเหรอ....
หลังจากเลิกเรียน วันหยุดหรือปิดเทอมผมมักจะไม่มีที่ ไปจริงๆ จึงต้องทางาน คาพูดของคุณพ่อผมเพียงเท่านี้แหละครับให้ผมสามารถลุกขึ้นจากการหยุดนั่งพัก
รับจ้างคุณพ่อตามที่เล่ามา เมื่อใดที่เหนื่อยล้า...แต่ไม่เคยย่อท้อ พักเหนื่อยเสร็จก็ลุกขึ้นเดินต่อ จนมาถึงวันนี้
ได้ครับ....
My hero. รอยยิ้มของแม่
ส่วนคุณแม่ผมก็จะคอยให้กาลังใจและเคียงข้างผมเสมอมาตั้งแต่เด็กๆ
ท่านจะคอย “ยิ้ม” เพื่อสื่อให้ผมรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างไรจง “He who would learn to fly one day must first
ยิ้มสู้กับมันไว้เสมอ นี่คือคาสอนที่ดียิ่งที่ผมได้รับจากท่านทั้งสองมาตั้งแต่เด็กครับ
learn to stand and walk and run and climb and
dance. One cannot fly into flying.”
“ผู้ใดอยากจะบินได้ ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะยืน เดิน วิ่ง ปีน และเต้นรา
ก่อน เพราะไม่มีใครสามารถบินได้ในทันที” – ฟรีดริช วิลเฮล์ม นิทเช่
(นักนิรุกติศาสตร์และนักปรัชญาชาวเยอรมัน)
ตอนยังเด็กผมเติบโตจากเด็กชนบทจริงๆ เข้าเรียนประถมศึกษาตอนต้น ระหว่างนั้นต้องคอยรวบรวมเอกสารต่างๆ ให้ทนายความและพนักงานอัยการ
ณ โรงเรียนชุมชนบ้านโป่ง อาเภอพร้าว จังหวังเชียงใหม่ ขอประชาสัมพันธ์ใน ดาเนินคดีแก่ผู้ต้องหา จนทาให้สูติบัตรฉบับจริงของผมสูญหายไป (ทุกวันนี้ผมไม่
โอกาสนี้สักหน่อยครับว่า อาเภอพร้าวก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง ไม่ มีสูติบัตรฉบับจริงติดตัวนะครับ มีเพียงตัวที่คัดถ่ายและเจ้าหน้าที่รับรองจากที่ว่า
ว่าจะเป็นสถานที่ที่เป็นอารยะธรรมทางศาสนาและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหลาย การอาเภอเท่านั้นครับ) แต่ถึงกระนั้น ทุกวันนี้ผมก็ยังอดคิดสงสัยไม่ได้ว่าหลังจาก
แห่ ง วั ด ที่ มี ชื่ อ เสี ย ง อาทิ เ ช่ น วั ด ดอยแม่ ปั๋ ง ๑ ซึ่ ง เป็ น วั ด ที่ ห ลวงปู่ แ หวน ผ่านพ้นเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้แล้ว คุณพ่อผมก็ยังเป็นคนที่ยิ้มได้อยู่ในทุกวัน มี
สุจิณโณ เคยจาพรรษา เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๕ จนถึงมรณภาพใน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งจะมี ความสุขกับการใช้ชีวิตตลอดมา ไม่ถือสาหาความคนที่มาทาร้ ายแต่อย่างใด คุณ
สถานที่บรรจุอัฐิของหลวงปู่แหลวน และวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่ พ่ อ ผมก็ เ คยเล่ า ให้ ฟั ง เมื่ อ ผมจ าความได้ แ ล้ ว ว่ า พ่ อ ไม่ คิ ด จะเรี ย กร้ อ งเงิ น
แหวนเท่าองค์จริงอยู่ด้วย และวัดทุ่งน้อย๒ ซึ่งเป็นวัดที่ครูบาอินสม สุมโน (พระ ค่าเสียหายจากเขาเพิ่มอีกแต่อย่างใดเลย เงินค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาลที่
ครูสีลวุฒากร) เคยจาพรรษาอยู่ สถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เช่น น้าพุ ได้ตอนนั้นก็เป็นเงินที่ได้จากประกันภัยและเงินทาขวัญที่ครอบครัวเขาจ่ายให้มา
ร้อนบ้านหนองครก น้าตกบัวตอง และน้าพุเจ็ดสี เป็นต้น๓ เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ เป็น จุดเริ่ มต้น ที่ผ มเริ่มสนใจกฎหมายมาตั้งแต่เด็ก ใน
เบื้องต้นก็จะถามคุณพ่อก่อนว่า ถ้าหากผมจะทาวิชาชีพทางกฎหมายอยากให้ผม
เหตุผลสาคัญยิ่งประการหนึ่งที่ผมมีความตั้ งใจอยากศึกษามาทางด้าน
เป็นอะไร คุณพ่อผมก็บอกว่า ให้ลองเป็นทนายความก่อน แล้วถ้ามีประสบการณ์
กฎหมาย ต้นสายปลายเหตุมาจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อของผม
มองคนมองเหตุ ก ารณ์ อ อกแล้ ว ก็ ค่ อ ยไปสอบราชการต่ อ ก็ ไ ด้ หรื อ อยากท า
เมื่อครั้งที่ผมยังเป็นทารกตัวเล็ก ๆ ว่า คุณพ่อของผมโดนเพื่อนในที่ทางานเดิม ใช้
ทนายความต่อก็แล้วแต่ผม เพราะทนายความก็จะเป็นผู้ที่สามารถยื่นมือเข้ามา
อาวุธ ปืน ยิ งถูกที่บริเวณใบหน้า กระสุนทะลุตัดเส้นประสารทตาแล้ วทะลุออก
ช่วยเหลือได้อย่างเข้าถึงและใกล้ชิดมากที่สุด หรือเรียกว่าผู้รับข้อเท็จจริงด่านแรก
บริเวณด้านหลังใบหู แต่โชคยังดีที่หมอช่วยชีวิตไว้ได้ทัน และกระสุนไม่ถูก ส่วนใด
เลยทีเดียว แล้วนามาคิดปรับกับข้อกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนผู้มี
ของสมอง แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทาให้คุณพ่อผมเสียการมองเห็น ของตาข้างซ้าย
อรรถคดี เหตุนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นที่ผมสนใจลองค้นคว้ารูปแบบงานทนายความ
ไปข้างหนึ่งจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นคุณแม่จะต้ องอุ้มผมไปนอนเฝ้าไข้คุณ
มากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้มากมายอะไรนัก เพราะขณะนั้นยังเป็นเด็กอยู่ แต่ กระนั้น
พ่อที่โรงพยาบาลอยู่ประมาณ ๖ เดือน จนกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล และ
เมื่ อ คุ ณ ครู ถ ามว่ า โตขึ้ น อยากเป็ น อะไร ผมก็ จ ะตอบไปเสมอว่ า “อยากเป็ น
๑
ทนายความครับ” ซึ่งเด็กเพื่อนๆ ทุกคนในห้องหรือแม้กระทั่งคุณครูต่างก็หันมา
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.topchiangmai.com
๒
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.pralanna.com มองหน้าผมด้วยความแปลกใจว่า ความคิดผมช่างแตกต่างจากเด็ก อื่นๆ เพราะ
๓
ขอบพระคุณข้อมูลดีๆ จาก http://www.chiangmaionly.com
ส่ ว นใหญ่ก็มักจะตอบว่า อยากเป็ น หมอบ้ าง อยากเป็นทหารหรือตารวจบ้าง ดนตรีเสริมสร้างชีวิต
นั่นเองครับ
มีวันหนึ่งเมื่อครั้งสมัยผมอยู่ชั้น ป.๖ ณ โรงเรียนชุมชนบ้านโป่ง อ.พร้าว
หลักธรรมประการหนึ่ง ที่ผมได้รับจากคุณพ่อจากเหตุการณ์เลวร้ายที่ว่า นั้นเอง เพื่อนของผมคนหนึ่งนาเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่ๆ ที่เรียกว่า “กีต้าร์” มาเล่น
มานั้น ก็คือ การไม่ยึดติด คือ ลดละจากสิ่งที่เราอยากได้อยากมี นั่นก็คือ จาก ที่โรงเรียน เพื่อนๆ ต่างล้อมวงร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ผมก็เลยเริ่มชื่นชอบ
การที่คุณพ่อผมไม่อยากจะถือโทษเอาความกับคนที่ทาร้ายพ่ออีก ปล่อยวางจาก ในเสี ยงของกีต้าร์โ ปร่งและหัดเล่ นมัน มานับแต่นั้น ต่อมาก็ มีโ อกาสพัฒ นามา
ความโกรธ และความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา จากนั้นยิ้มสู้กับชีวิตที่ยังคงหายใจอยู่ เล่นกีต้าร์ไฟฟ้าเป็นวงดนตรีกับเพื่อนๆ โดยผมรบเร้าคุณพ่อให้ซื้อทั้งกีต้าร์โปร่ง
ได้ต่อไป ทาให้ผมคิดว่า นี่แหละคือต้นแบบที่ดีเยี่ยมของผมตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว และไฟฟ้าจนคุณพ่อใจอ่อนและยอมซื้อตัวที่ราคาย่อมเยาให้ผมเล่น และนั่นแหละ
ทาให้ผมมีจิตใจที่เข้มแข็งไม่สะทกสะท้านกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาใน ครับคือจุดเริ่มต้นในวัยเด็กที่ทาให้ผมเริ่มลังเลกับการที่อยากจะเป็น “นักดนตรี”
ชีวิต สามารถผ่านพ้นมันมาจนถึงทุกวันนี้ได้โดยสวัสดิภาพครับ. ขึ้นเสียแล้ว ฮ่าๆๆ
ผมเคยมีความฝันในวัยเด็กอยู่ว่า โตขึ้นอยากเป็นนักดนตรี เพราะชอบ
เกี่ยวกับการแกะเพลงเล่นกีต้าร์ให้เพื่อนร้องอย่างมาก และชอบไปซ้อมเล่นเป็นวง
กับเพื่อนๆ กับทั้งชอบเล่นดนตรีสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ แต่
ก็ยังดีทชี่ ่วงมัธยมปลายผมยังไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทางมากนัก ซึ่งผมยังสามารถ
สอบติ ด สายวิ ท ยาศาสตร์ -คณิ ต ศาสตร์ และทางบ้ า นก็ ใ ห้ เ รี ย นสายนี้ ไ ปก่ อ น
เพราะจบแล้ว เราจะสามารถเลือกไปทางานสายงานไหนก็ได้ จะมีทางเลือกที่
กว้างขวางกว่าสายการเรียนอื่นๆ ภายหลังเมื่อใกล้จบ ม.๖ จึงเริ่มมาคิดหนักว่า
จะไปทางไหนดี เพราะชีวิตช่วงนั้นยังคงติดอยู่กับเพื่อนๆ เล่นดนตรี ทาวงและ
แต่งเพลงอยู่ (ก่อนหน้านี้ผมเคยเก็บเงินเดินทางไปพักหอในตัวอาเภอเมืองจังหวัด
เชียงใหม่เพื่อบันทึกเสียงทาเพลงกับเพื่อนๆ อยู่หลายครั้งเลยนะครับ แต่ทาไม่
ครบอัลบั้มซักที ฮาๆๆๆ) เท่าที่จาได้ ส มัยมัธยมผมกับเพื่อนๆ เคยได้ รางวัลอยู่
เพีย ง ๒ ครั้ ง คือรองชนะเลิศอัน ดับ ๒ งานทูบีนัมเบอร์วันประจาอาเภอ กับ
รางวัลชนะเลิศงานประกวดดนตรีด้านยาเสพติดของตาบลโหล่งขอด อาเภอพร้าว
จังหวัดเชียงใหม่ เท่านั้นครับ^^’ ต้องบอกได้เลยว่าชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น จนถึง
ปริญญาตรีใกล้จะจบยัง ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตสุดท้ายแล้วจะมาถึงวันที่ได้ทางานใน
หน้าที่อันทรงเกียรติเช่นทุกวันนี้เลยครับ
ดนตรีสร้างเสริมชีวิต
ความยากประกอบกับความซับซ้อนของการทางานด้านนี้ที่จะต้องมีการแก้ปัญหา
เฉพาะหน้าซึ่งมักเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ จากที่ผมอ่านแต่ตัวบทกระบวนวิธีพิจารณามา
อย่างเดียวยังไม่เข้าใจถ่องแท้จนมาถึงวันนี้ จึงเริ่มชื่นชอบการทางานในความท้า
ทายของสายงานนี้อย่างมาก เลยมีความคิดในเบื้องต้นว่า ความรู้ของผมในตอน
นั้น คงต้องสอบใบอนุญาตว่าความเป็นทนายความให้ได้เสียก่อนจึงจะสามารถ
เริ่มเก็บประสบการณ์ว่าความได้
ระหว่างฝึกงานผมมีโอกาสไปเจอท่านอัยการท่านหนึ่ง เดินมาที่ โต๊ะเด็ก
ฝึ กงานที่กาลั งนั่ งดูเอกสารต่างๆ กันอยู่ แล้ ว ท่า นก็พูดขึ้น ว่า “มีใครสั่ งซื้อค า
บรรยายเนติบัณฑิตไปแล้ว บ้างไหม” ผมยอมรับว่า ณ เวลานั้น ยังไม่รู้จักคาว่า
ภาพเมื่อครั้งซ้อมและเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ “เนติบัณฑิต” เลย ลองนึกภาพว่าขณะนั้นผมอยู่ปี ๔ (ใกล้จะจบปริญญาตรีแล้ว)
แต่พอมาถึงช่วงจบชั้นปีที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๑ ของปริญญาตรี ซึ่งทางคณะ แต่ยังไม่รู้จักเนติบัณฑิตคืออะไร แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่อายที่จะถามท่านอัยกาท่าน
จะส่งไปฝึกงานตามสถานที่ราชการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ ผมปรึกษากับ นั้นไปตรงๆ ว่า “เนติบัณฑิตคืออะไรหรือครับท่าน” ท่านอัยการท่านนั้นก็ทาหน้า
อาจารย์ที่เคารพนับถือ หลายท่านแนะนาให้ลองไปฝึกที่สานักงานอัยการจังหวัด แปลกใจอยู่สักครู่ แต่ท่านก็กรุณาอธิบายให้ผมฟังอย่างเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า เป็น
เชียงใหม่ เพราะจะทาให้ผมได้เห็นรูปแบบการทางานของทั้งทางอัยการและศาล การศึกษาขั้นต่อไปของเหล่ า นักกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีความต้องการจะสอบเป็นผู้
ด้วยไปในตัว เพราะจะต้องติดสอยห้อยตามท่านอัยการไปดูการว่าความที่ศาล พิพากษาหรืออัยการไม่ว่าจะสนามไหนก็จะต้องมีคุณ สมบัติสาคัญนี้ก่อน คือสอบ
ด้วย อันจะช่วยทาให้ผมมีโอกาสตัดสินใจได้มากยิ่งขึ้นว่าอยากจะเลือกสายงาน ผ่านเป็นเนติบัณฑิตไทยเสียก่อน ถึงจะมีสิทธิสมัครสอบได้ มาถึงตอนนี้ ผมจึง
ไหนที่ชอบและเข้ากับสไตล์ชีวิตผมกันแน่ เมื่อผมได้มีโอกาสฝึกงานไปเรื่อยๆ ก็จะ เข้าใจในทันทีว่า แม้จะจบปริญญาตรียังไม่พอสาหรับสายงานนี้ เสียแล้ว ยังไม่
พบกับ ผู้ หลั กผู้ ใหญ่ในสายงานกฎหมาย ท่านก็จ ะคอยถ่ายทอดประสบการณ์
ทางานของท่านให้ผมฟัง ให้คิดและจดจา ผมเริ่มสนใจในงานด้านกฎหมายหมาย
นี้มายิ่งขึ้นหลังจากได้ติดสอยห้อยตามท่านอัยการที่ผมฝึกงานด้วยไปศึกษาการว่า อิฐบล๊อก อิฐมอญ ยิ่งก่อ...ยิ่งสง่า
ความของท่านในบัลลังก์ ณ ศาลจั งหวัดเชียงใหม่ และเห็นถึงความท้าทายใน แต่ อิจฉาริษยา ยิ่งก่อ...ยิง่ พัง
เพียงพอที่จะสามารถมีตาแหน่งหน้าที่การงานดีๆ ได้เลยทันที ถึงตอนนี้ท่านอ่าน นักกฎหมายจะพูดคุยทักทายแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างฉันมิตรกันเป็นอย่างดีทา
ไม่ผิ ดหรอกครั บ ผมเพิ่งจะมารู้ จักคาว่า “อัยการ” กับ “ผู้พิพากษา” อย่าง ให้ชีวิตส่วนใหญ่หลังจากนี้ก็จะมีฝังตัวอยู่ที่ห้องสมุดเนติฯ หรือใต้อาคารสานัก
แท้จริงก็ตอนนี้แหละครับ ซึ่งอาจจะแตกต่างกับเด็กๆ ทั่วไป ในสมัยยุคนี้ที่สังคม อบรมฯ แห่งนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ ทาให้เกิดความปีติและความสุขสบายใจที่ได้มา
โซเชียลรุดหน้าไปไกลอย่างยิ่ง เด็กๆ สามารถรับรู้ข้อมูลได้อย่างกว้างขวางและ สถานที่แห่งนี้ในทุกวันเลยทีเดียวครับ ทั้งยัง ได้มีโอกาสเห็นผู้มุ่งมั่นมานั่งอ่านนั่ง
สามารถตั้งเป้าหมายแล้ววางแผนชีวิตว่าอยากจะเป็นอัยการหรือผู้พิพากษามาแต่ เรียนที่สานักอบรมฯ ในทุกๆ วัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ผมคิดว่าเป็นเหตุหนึ่งที่
เนิ่นๆ ได้ (ซึ่งตอนนี้ยังเคยมีเด็กมัธยมปลายมาถามผมเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบ ทาให้ผมซึมซับขึ้นความขยันนั้นมาเรื่อยๆ จนทาให้ความอยากเป็นนักดนตรีของ
ผู้พิพากษาแล้ วนะครับ ) ซึ่งจะมีตัว อย่ างมากมายให้ ค้นคว้าได้ง่ายๆ ในโลก ผมเริ่มลืมเลือนลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และแทบจะไม่มีเหลืออีกเลยในขณะที่
ออนไลน์ อั น ท าให้ เ ด็ ก ๆ สามารถได้ พ บเห็ น แรงบั น ดาลใจจากผู้ ป ระสบ มุ่งมั่นเตรียมสอบเนติบัณฑิตนั้น เพราะไม่ได้ซ้อมและฝึกฝีมือเลยกับเพื่อนๆ อีก
ความส าเร็ จ ได้อย่ างแพร่ ห ลายจากสื่ อต่างๆ ณ ปัจจุบัน ซึ่งผมเห็ นว่าเป็ น เลย เพียงหันมามุ่งแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบทั้งเนติบัณฑิตและทนายความควบคู่
ประโยชน์อย่างยิ่งแก่เยาวชนเลยทีเดียว กันไปด้วย ณ เวลานั้น เพราะสมัยตอนที่ผมเรียนนั้นจะมีการสอบใบอนุญาตว่า
ภายหลังจากที่จ บปริญญาตรี ผมจึงวางแผนและตัดสิ นใจทันทีโ ดยไม่ ความรุ่นที่ ๓๗ เข้ามาใกล้ๆ กับวันสอบเนติบัณฑิตพอดี จึงถือโอกาสรีบสมัคร
ค่อยจะคิดหนักใจอะไรมากแล้ว เพียงแต่ยังไม่อยากทางานเท่านั้น เพราะไม่รู้จะ สอบทั้งสองอย่างนี้ควบคู่กันไปในตัว จากนั้นจึง ตั้งเป้าหมายไว้ในใจว่าหากผ่าน
เริ่ ม จากการท างานอะไรดี ใ นขณะนั้ น ด้ ว ย เนื่ อ งจากยั ง มี วุ ฒิ ก ารศึ ก ษาเพี ย ง เนติบัณฑิต ก็จะวางแผนสอบเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาต่อไปตามลาดับ จึงทาให้
ปริญญาตรีใบเดียว และไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อื่นใดอีกที่จะสามารถคอยแนะนาสาย ผมเริ่มวางแผนการเรียนและการอ่านหนังสือ กับทั้งลงมือทามันอย่างหนัก หน่วง
งานอื่นๆ ทางกฎหมายนอกจากเท่าที่ผมทราบ ณ เวลานั้นอีกแล้ว ผมจึงปรึกษา จริงจังเพื่อจะให้สอบผ่านเป็นเนติบัณฑิต ไทยโดยเร็ว ที่สุด เพราะจะไม่ต้องการ
ทางบ้านขอให้ส่งเสียไปเรียนต่อเนติบัณฑิตที่กรุงเทพอีกนิดจะได้ไหม ซึ่งคุณพ่อ รบกวนทางบ้านให้เนิ่นนานเกินไปอีกแล้ว ผมจะได้ไปเริ่มทดลองทางานในสาย
กับคุณแม่ก็เห็นพ้องด้วยอย่างดุษฎี เพราะท่านทั้งสองก็คาดการณ์แล้วว่ายังพอมี งานกฎหมายอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างเต็มที่เสียที เมื่อผมสอบผ่านเนติบัณฑิต
ทุน ส่งผมเรีย นต่อ ได้อยู่ นับ แต่นั้ นมาผมก็เก็บข้าวของมุ่ง หน้า เข้ามาใช้ชีวิตใน พร้อมๆ กับสอบผ่านใบอนุญาตว่าความเป็นทนายความไปด้วยแล้ว จากนั้นจึง
เมืองกรุง ทาให้ได้พบปะกับนักกฎหมายหลากหลายท่าน มีโอกาสพบปะพูดคุย เริ่มไปหาสมัครงานด้านกฎหมายทาต่อไป
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ แก่กันโดยตลอดมา ซึ่งหลายท่านที่มา
อ่านหนังสือหรือนั่งเรียนที่สานักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เหล่า
ชีวิตการทางานโดยสังเขป หนึ่งเรียกตัวผมไปทดลองงาน ซึ่งหลังจากนั้นผมก็ได้ทางานอยู่ที่นั่นที่เดียวตลอด
มาเลยครับ บริษัทกฎหมายนั้น ก็คือ บริษัทเอสเอ็มอี ลอว์ เซอร์วิส จากัด ซึ่งทาง
ก่อนหน้าที่ผมจะสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ต้องยอมรับว่าหน้าที่การงานของ
พี่หัวหน้าสานักงานตกลงให้เงินเดือนเริ่มต้นที่ ๑๒,๐๐๐ บาท ในตาแหน่งเสมียน
ผมไม่ได้หลากหลายและคงไม่ตื่นตาอะไรมากนัก เพราะตอนเป็นเด็กก็ทางานช่ วย
ทนายความ สานักงานตั้งอยู่อาคารพาณิชย์ ย่านถนนสีลม พี่หัวหน้าสานักงาน
ครอบครัวที่อู่ซ่อมรถที่บ้านมาโดยตลอด พอมาเรียนมหาวิทยาลัยในตัวอาเภอ
หรือเจ้าของบริษัทก็เป็นทนายความวัยรุ่น ใหม่ไฟแรง บริห ารงานด้ว ยตนเอง
เมืองจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทางานนอกเวลาอะไรไปด้วย ส่วน
ทั้งหมด และท่านเป็นคนจิตใจดีเอื้อเฟื้อกับทีมงานและผมอย่างมากโดยตลอดมา
วันหยุดก็จะกลับไปช่วยงานที่บ้านเท่านั้น จากนั้นเมื่อตัดสินใจเข้ามาศึกษาต่อชั้น
พี่หั ว หน้าจะค่อยถามไถ่น้อ งๆ ในส านักงานสม่ าเสมอว่า งานที่จ่ายให้ ไ ปหนั ก
เนติบัณฑิตที่กรุงเทพก็เรียนอย่างเดียวเช่นกัน (เน้นให้จบไว้ก่อน) เพราะผมศึกษา
เกินไปไหมหรือติดขัดปัญหาอะไรให้ปรึกษาพี่ ได้ทุกเมื่อ รวมไปถึงถามไถ่เรื่อง
ข้อมูลมาก่อนแล้วว่า การเรียนระดับชั้นนี้จะต้องทุ่มเวลาให้อย่างมาก และได้ยิน
เงินเดือนและโบนัสจากงานต่างๆ ว่าเพียงพอกับภาระค่าใช้จ่ายของแต่ละคน
ว่าน้ อยคนนักที่จ ะทางานไปด้วยแล้ว เรี ยนจบเนติฯ ไปด้วย ภายในปีเดียว ใน
หรือไม่ ซึ่งหากมีปัญหาพี่หัวหน้า ก็จะปรับเปลี่ยนให้ตามสมควรตลอดมา ซึ่งผม
ขณะเดี ย วกั น นั้ น ผมก็ แ บ่ ง เวลาอ่ า นหนั ง สื อ สอบใบอนุ ญ าตว่ า ความของสภา
และเพื่อนๆ พี่ๆ ในบริษัทต่างทางานกันไปอย่างราบรื่นและมีความสุขกับการ
ทนายความไปด้ ว ย พอเรี ย นเนติบั ณ ฑิต จบผมก็ส อบผ่ านใบอนุ ญ าตว่า ความ
ทางานอย่างยิ่ง ต่อมาอีก ๓ เดือนโดยประมาณ ผมก็ได้รับใบอนุญาตว่าความ
ภาคปฏิบัติพอดี เพียงแต่รอสอบปากเปล่าเท่านั้น ช่วงเวลานั้นผมก็เลยมานั่งคิด
สามารถขึ้นว่าความเองได้อย่างเต็มตัวโดยนิตินัย (แต่โดยพฤตินัยแล้วยอมรับว่า
ใคร่ครวญว่าจะมีเวลาว่างแล้วหลังจบเนติฯ และเราก็ใช้เวลาของชีวิตที่ผ่านมาอยู่
ณ ขณะนั้นยังมีความกล้าๆ กลัวๆ เป็นอย่างมากเลยครับ ลุ้นอยู่ในทุกวันแรกๆ
กับแต่หนังสือเป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่อยากนั่งอ่านหนังสือต่อ อีกในทันทีเหมือนผู้
ว่า พี่หัวหน้ายังจะไม่จ่ายคดีให้ผมไปศาลอย่างโดดเดียวเลยหนา ฮ่าๆ) จากนั้นผม
เตรียมสอบทั่วๆ ไป จึงตัดสินใจออกหาประสบการณ์ชีวิตบนเส้นทางนักกฎหมาย
ก็ไ ด้ เ ริ่ม ท าในต าแหน่ง ทนายความและได้รั บ การเพิ่ ม เงิน เดื อ น เป็ น เดื อ นละ
สักครั้งดีกว่า จึงตัดสินใจหาสมัครงานทา ซึ่งแน่นอนครับ งานที่ผมจะสมัครคงหนี
๑๕,๐๐๐ บาท เรื่ อ ยมา ผมได้ รั บ ประสบการณ์ ง านคดี อ ย่ า งมากมายและ
ไม่พ้นอยู่ทางเดียวก็คือ งานทนายความ แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้ใบอนุญาตว่าความ
หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งเศรษฐกิจ คดีอาญาที่มักเกิดขึ้นในชีวิตประจาวัน
จึงจาเป็นต้องสมัครงานในตาแหน่งเสมียนทนายความไปก่อน ช่วงระหว่างหางาน
จนกระทั่งคดีความผิดต่อชีวิต ทาให้ได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าข้อกฎหมายต่างๆ
ท าผมได้ ต ะเวนไปสมั ค รตามบริ ษั ท หรื อ ส านั ก กฎหมายต่ า งๆ ในกรุ ง เทพฯ
อย่ า งลึ ก ซึ้ ง กว่ า ที่ เ คยแต่ นั่ ง อ่ า นอย่ า งเดี ย วเป็ น อย่ า งมาก และอยากแก่ ก าร
สัมภาษณ์แล้วสัมภาษณ์เล่า รอเรียกตัวแล้วรอเรียกเล่า ใช้เวลาเกือบเดือนนึกว่า
ตัดสินใจการดาเนินแนวคดีไปทิศทางใดในแต่ละครั้ง เพราะในครั้งนี้มีผลต่อชีวิต
จะหมดหวังต้องกลับไปขอทางานกับรุ่นพี่ที่เชียงใหม่เสียแล้ว แต่แล้วก็มีบริษัท
เสรีภาพ และทรัพย์สินของลูกความแล้ว จนทาให้บางเรื่องที่เคยค้นคว้าทาความ กฎหมายหลายเรื่องได้อย่างลึกซึ้งและสามารถจดจาเข้าใจได้นานจนสามารถนา
เข้าใจอย่างลึกซึ้งจนแตกฉานยังคงสามารถจดจาได้และเข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ กลับมาใช้งานใหม่ได้เรื่อยๆ แล้วนั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ผมในการนามาใช้ตอน
และหากเรื่องใดที่ได้ใช้บ่อยๆ ก็จะทาให้มีความชานาญมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมเห็นว่า อบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาและการปฏิบัติงานคดีในเวลาต่อมาอีกด้วย เพราะช่วยให้
หลักกฎหมายหลายเรื่องที่ใช้ในตอนทางานบ่อยๆ ผมสามารถนามาใช้ประโยชน์ ผมสามารถเข้า ใจกระบวนการต่า งๆ ได้ เป็ นอย่ างดี เข้าใจปั ญหาต่า งๆ ที่มั ก
ในการเขียนตอบข้อสอบผู้ ช่ว ยผู้พิพากษาครั้งนี้ได้ เลยทีเดียว กับทาให้ ในการ เกิด ขึ้น ในกระบวนพิจ ารณาและสามารถวางแผนแก้ไขปัญ หาต่ างๆ ได้อ ย่า ง
เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบไม่ต้องไปรื้อฟื้น ความรู้ใหม่หมดแต่ประการใด กลับยิ่ง ทันท่วงทีเลยทีเดียวครับ
จะทาให้เมื่อกลับมาอ่านเพิ่มเติมแล้วก็จะทาความเข้าใจได้เป็นไปอย่างรวดเร็วเสีย
ด้วยซ้า ผมทางานเป็นทนายความที่บริษัทนี้เป็นเวลา ๒ ปีเศษ แต่อย่างไรก็ตาม
จากที่ได้ศึกษาและรับฟังจากผู้มีประสบการณ์สอบหลากหลายท่านมา ผมยังมี
ความกั งวลใจว่า หากทางานไปด้ว ยและเตรีย มตัว สอบผู้ ช่ ว ยผู้ พิพ ากษาหรื อ
อัยการผู้ช่วยไปด้วยจะไม่มีเวลาอ่านทันตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เป็นแน่ ทั้งจะทาให้
ผมพะวงกั บ งานคดี ที่ ถื อ อยู่ ใ นมื อ อี ก ต่ า งหาก เนื่ อ งจากคดี ค วามเป็ น เรื่ อ งที่
เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ผมไม่อาจทาเพียงเพื่อให้ผ่านพ้นไป หากมาพบ
ข้อผิดพลาดในภายหลังว่าขณะงานที่ทาเราไม่ได้ใช้ความเอาใจใส่มากเพียงพอ จน
ทาให้ลูกความสูญเสียสิทธิเสรีภาพในชีวิตหรือทรัพย์สินไปโดยความไม่ถี่ถ้วนของ
เรา คงจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตและไม่มีความสุขตลอดไป ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจ
ลาจากงานออกมาเตรี ยมตัวสอบผู้ ช่วยผู้พิพากษาอย่างเต็มที่ เหตุที่ไม่ได้สอบ
อัยการผู้ช่วยปี ๒๕๕๖ เพราะขณะนั้นอายุงานของใบอนุญาตว่าความเป็นทนาย
ของผมยังไม่ครบ ๒ ปี จึงยังไม่มีสิทธิสมัครสอบนั่นเองครับ
อย่ า งไรก็ ดี เหนื อ สิ่ ง อื่ น ใดทั้ ง หลายนั้ น การจะไปสู่ “ความส าเร็ จ ”
ผมจึ ง กล่ า วได้ อ ย่ า งเต็ ม ปากว่ า ไม่ ผิ ด หวั ง เลยที่ ไ ด้ อ อกมาหา จะต้องเริ่มจากภายใน นั่นคือ “จิตใจ” จากนั้นก็คือ “ลงมือทา” โดยในภายใน
ประสบการณ์จริง เพราะนอกจากที่เล่ามาแล้วว่า สามารถช่วยให้ผมเข้าใจหลัก จิตใจนั้น ให้ส่งเสียงบอกตัวเองไว้ตลอดว่า “คุณทาได้” ครับ.
หมวด ๔ อุปสรรคที่พบพานในชีวิต รถยนต์เก๋ง ทาให้ผมเกิดแผลถลอกตามแขนและขาหลายแห่งกับฝ่าเท้า ฉีกขาดใส่
ร้องเท้าไม่ได้เลยครับ คุณจีราวรรณ์แฟนผมที่ซ้อนท้ายไปด้วยก็ได้รับแผลถลอก
แน่นอนครับว่าทุกคนต่างล้วนมีปัญหาและอุปสรรคเข้ามาในชีวิตกันอยู่
ตามตัวเช่นกันกับคิ้วแตก (ดีที่ผมไม่ทาให้เธอเสียโฉมไปด้วย) ช่วงเวลานั้นจึงเป็น
แล้ว หนังสือเล่มนี้ผมจึงขอเป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราวแบ่งปันประสบการณ์ที่
ช่วงที่ทาให้ผมวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ลุกนั่งอ่านหนังสือไม่ได้เป็นเวลา ๓ - ๔ วัน
ผมพบเจอมาแล้วกันนะครับ ผมขอเล่าเหตุการณ์ที่ ประสบพบเจอช่วงระหว่าง
เลยทีเดียว ช่ว งระหว่างนั้นทรมานและไม่ส บายใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยัง ต้องเดิน
เตรียมสอบ ซึ่งที่ผมเห็นว่าปรากฏชัดเจนที่สุดในชีวิตก็เห็นจะเป็นช่วงเตรียมสอบ
กะเผลกและเจ็บ ปวดตามตัว มาก ต้องแปะผ้ าผิ ด แผลที่ เท้าเป็นเวลาเกือบ ๒
ผู้ช่ว ยผู้ พิพากษาครั้ งนี้ นี่ แหละครั บ เพราะผมคิดว่าเหตุการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
สัปดาห์ และยังต้องเดินทางไปเสียค่าปรับที่โรงพักทั้งที่ร่างเจ็บอย่างนั้น กับต้อง
ในช่วงนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสาคัญ ถ้าผมเลือกทางผิดอาจทาให้ไม่มาถึงวันนี้ได้
ไปล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน อีกด้วย ช่วงเจ็บใหม่ๆ ผมอ่านหนังสื อได้เพี ย ง
โดยจะขอเรียงตามลาดับเหตุการณ์เท่าทีพ่ อจะจาได้ดังนี้ครับ
เล็กน้อยเท่าที่ร่างกายจะทนไหว กับต้องอยู่แต่ในห้องพักเท่านั้น เหตุการณ์นี้ผม
เรื่องราวแรก คิดว่าเป็นการได้รับบาดเจ็บ ครั้งหนักที่สุดในชีวิตของผมมาเลยทีเดียว อย่างไรก็
ครั้งหนึ่งผมประสบเหตุรถชนช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นช่วงที่ ตาม ผมคิดว่าเป็นโชคดีอย่างมากกับผมเหมือนกันที่รถผมล้มแล้วไม่มีรถยนต์คัน
ผมเริ่มกลับไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบมาได้ประมาณ ๓ – ๔ เดือนแล้ว ที่ อื่นมาข้างหลังแล้วทับหรือชนซ้าอีก และไม่ทาให้ผมกับแฟนเป็นอะไรไปมากกว่า
จังหวัดเชียงใหม่ โดยส่วนใหญ่ผมจะไปอ่านที่ศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้สิริ นธร นี้ ทั้งตามที่ได้ข่าวจะมีการประกาศสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาในเร็วๆ นี้ ยิ่งทาให้ผม
หรือเป็นที่รู้กันว่าคือห้องสมุดของมหาวิทยาลัยพายัพ ซึ่งช่วงระหว่างนั้นยังไม่มี เป็นกังวลอย่างหนักขึ้นไปอีก ที่ต้องขาดช่วงในการอ่านหนังสือและดูตัวบท ซึ่งผม
การเปิ ด รั บ สมั ค รสอบผู้ ช่ ว ยผู้ พิ พ ากษา รุ่ น ที่ ๖๖ แต่ ก็ มี ข่ า วกั น หนาหู ว่ า ก็ไม่เคยสอบสนามที่ถูกขนานนามว่าหินสุดๆ นี้ มาก่อน ผมจึงลุกขึ้นสู้กับความ
คณะกรรมการตุล าการใกล้ จ ะประกาศรั บ สมัครสอบแล้ ว ประมาณช่ว งต้น ปี เจ็บปวด และโชคดีที่แผลหายเจ็บได้ไว ผมจึงรีบกลับมาทบทวนตัวบทและอ่าน
๒๕๕๘ หลังจากที่ผมได้กลับไปพักผ่อนเติมพลังงานหลังลาออกจากงานกลับบ้าน หนังสือพิสดารที่ค้างอยู่ต่อไปได้อย่างหนัก เพื่อให้ความจาไม่ขาดหายไปมากนัก
มาสักพักหนึ่ง ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนั้นก็มีหนังสือกฎหมายต่างๆ ครบ กับเร่งอ่านต่อให้ทันตามแผนทีว่ างเอาไว้
พร้อมและใหม่อีกด้วย และผมสามารถยืมไปอ่านได้โดยสะดวก ต้องบอกไว้ก่อน
เลยครับว่าตั้งแต่เรียนปริญญาตรีจนถึงเตรียมสอบ ผมใช้แต่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมา
ไหนตลอดมา ในวันเกิดเหตุ เป็นการเฉี่ยวชนระหว่างรถมอเตอร์ไซค์ของผมกับ จงภูมิใจกับทุก “บาดแผล” ที่เกิดขึ้นในหัวใจ เพราะ
...แต่ละบาดแผล คือ “บทเรียน” ที่มีคุณค่าในชีวิต –
วอลเลซ เสต็กซ์เนอร์
นักเขียนชาวอเมริกัน
ภาพบาดแผลผมและแฟนในเวลานั้น
เรื่องราวที่สอง มาในตอนต้นผมซ่อมรถไม่ค่อยเป็นนัก งานหลักๆ ที่ผมทาได้จึงเป็นลูกมือของคุณ
แม่เป็นหลัก และคอยเก็บกวาดร้านให้ดูสะอาดสะอ้านพร้อมต้อนรับลูกค้า ที่จะ
เหตุการณ์ต่อมาคือ ช่วงเดือนเมษายน ก่อนวันเปิดรับสมัครสอบผู้ช่วยผู้
เข้ามาใช้บริการ งานช่วยกิจการในช่วงนั้นจึ งไม่ค่อยหนักสาหรับผมมากนัก จน
พิพากษา ประจาปี ๒๕๕๘ ช่วงนั้นผมเข้ามาเตรียมตัวสอบที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วง
ต่อมาสักระยะหนึ่งคุณ พ่อเริ่มมีอาการดีขึ้นไม่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยอีกแล้ ว
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ แล้ว เพราะคิดว่าอ่านที่ สานักอบรมเนติฯ จะอยู่ใกล้ผู้ มี
ท่านก็บอกกับผมว่าท่านไม่เป็นอะไรมากแล้ว หายห่วง จากนั้นท่านจึงไล่ให้ผม
ความรู้ แ ละประสบการณ์ใ นการสอบมากกว่า อ่า นอยู่ที่ มหาวิ ทยาลั ย พายั พ ที่
กลับไปเตรียมตัวสอบต่อที่กรุงเทพฯ ตามเดิมได้แล้ว
เชียงใหม่ และจะสามารถค้นคว้าตารากฎหมายได้สะดวกยิ่ งกว่า แต่ก็ต้องมีเหตุ
จาเป็นที่ทาให้ผมต้องเดินทางกลับมาที่บ้าน เนื่องจากได้ทราบจากทางบ้านว่าคุณ ช่วงเวลาที่คุณพ่อเจ็บป่วยดังกล่าว ทาให้ คุณพ่อต้องไปรับการรักษาที่
พ่อของผมป่วยถึงขั้นต้องผ่าตัด ผมจึงต้องเดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อคอยดูแล โรงพยาบาลอยู่ ห ลายครั้ ง หลายหน ไปทั้ ง โรงพยาบาลประจ าอ าเภอ ไปทั้ ง
คุณพ่อและคอยส่งท่านไปตรวจรักษาอาการที่โรงพยาบาล ท่านกลับพักรักษาตัว โรงพยาบาลเอกชนในอาเภอเมืองเชียงใหม่ ทาให้ เงินฝากที่คุณพ่อกับคุณแม่
อยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ซึ่งจากที่คุณพ่อเป็นกาลังหลักสาคัญในการ ร่วมกันสะสมมาก็เริ่มลดน้อยลงเพราะต้องนาไปใช้จ่ายค่าผ่าตัดและค่ายารักษา
ทางานหาเลี้ยงครอบครัวตลอดมา แต่วันนี้ท่านมาเจ็บป่วยจนไม่สามารถทางาน ผมในช่วงเวลานั้นจึงรู้สึกใจหายไปเลยทีเดียว เพราะจากแต่ก่อนที่เรายังเป็นเด็ก
หนักได้ตามเดิม ประกอบกับ คุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้รับลูกจ้างมาช่วยงานนาน จะจาความได้ว่าไม่คุณพ่อก็คุณแม่ที่จะคอยไปส่งผมที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น
แล้ว ซึ่งท่านทั้งสองจะช่วยกันเปิดร้านซ่อมด้วยกันเพียงสองคนมาโดยตลอด ผม เพียงไข้หวัด หรือบาดแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดก็ตาม แต่มาวันนี้ผมเริ่ม
จึงต้องกลับมาอยู่ช่วยคุณแม่เปิดร้านและช่วยทากิจการกันเองต่อไป พร้อมกับ ต้องไปส่งคุณพ่อมาโรงพยาบาลแล้ว เริ่มที่จะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่เป็นห่ว งเป็นใย
แบ่งเวลาว่างจากที่ไม่มีลูกค้ามาอ่านหนังสือไปด้วย งานซ่อมอะไรที่ใหญ่ๆ ก็จะไป จากคนที่เรารัก การที่ต้องรอลุ้นผลจากแพทย์นานๆ ว่าคุณพ่อ ป่วยเป็นอะไรกัน
ตกอยู่ ที่คุณแม่ ซึ่งแน่ น อนครั บ ว่าจากแผนการอ่านหนังสื อที่ผ มวางเป้าหมาย แน่ และคอยนั่งคุยนั่งเป็นเพื่อนท่านเวลารอคิวในจุดบริการต่างๆ ทั้งเมื่อลองย้อน
เอาไว้ก่อนหน้านี้ย่อมไม่เป็นไปตามแผนเสียแล้ว แต่กระนั้นผมก็ไม่ลดละความ นึกดูเท่าที่ผ่ านมา คุณพ่อไม่ เคยมีอาการเจ็บปวดเป็นระยะยาวอย่างนี้มาก่อน
พยายาม จึงคิดแผนขึ้นมาสารองไว้ก่อนในช่วงเวลานี้ คือการอ่านอย่างผ่อนคลาย ท่านจะเป็ นคนแข็ง แรงตลอดมา แม้จ ะหั กโหมกับ งานหนั กเพีย งใดก็ ผ่ า นพ้ น
และยืดหยุ่นแผนเดิมที่เคยวางเอาไว้ก่อนนั่นเอง โดยจะเน้นอ่านพร้อมกับจดโน๊ต ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ ไปได้หมด ผมจึงเริ่มคิดในใจว่า วันเวลามันผ่านไปรวดเร็ว
สรุปไปด้วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะเอื้ออานวยกับจังหวะโอกาสที่ไม่มีลูกค้า ขนาดนี้เลยหรือ นี่ ผมไม่ทันคิดตั้งตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย มันถึงเวลาแล้ว
เข้าร้าน ซึ่งจากทีผ่ มกลับมาที่บ้านก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้ไม่มาก เพราะอย่างที่เล่า หรือนี่ที่คุณพ่อผมเริ่มมีจะอายุมากขึ้นแล้ว และหากผมยังสอบราชการอะไรไม่ได้
ก็จะยังไม่ได้งานทามีเงินใช้เป็นของตัวเองอย่างมั่นคง แล้วจะทาเช่นไร ทางบ้าน เท่าที่เราสามารถทาได้ คือ อ่านหนังสืออย่างตั้งใจเตรียมความพร้อมให้มาก
ต้องแย่แน่ๆ เหตุการณ์นี้จึงกลับทาให้ผมมีแรงที่จะฮึดสู้เพื่อคุณพ่อและคุณแม่อีก ที่สุดเพื่อสู้ศึกในการสอบที่ใกล้จะมาถึงนี้อย่างสุดใจเพียงเท่านั้น.
สักครั้ง ผมจึ งตั้งเป้าหมายใหม่ อย่างชัดเจนว่า “ผมจะต้องน าความสาเร็ จไป
กราบเท้าท่านทั้งสองให้เร็วที่สุด จะทาให้ท่านทั้งสองเห็นความสาเร็จของผม
ให้ได้ในเวลาอันใกล้นี้”
เมื่อผมกลับมาอ่านหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาที่เปิดรับสมัครสอบ
ผู้ช่วยผู้พิพากษา ประจาปี ๒๕๕๘ พอดี แต่ผมก็จะคอยติดตามผลอาการของคุณ
พ่อจากทางบ้านมาโดยตลอด ก็ยังได้ข่าวว่าคุณพ่อยังป่วยเจ็บไม่ค่อยดีขึ้นเลย ซึ่ง
ทาให้ผมเป็นห่วงและกังวลอย่างมากไม่หาย ในใจก็คิดไว้ว่าผมคงต้องเร่งสอบ
อะไรให้ติดจะได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคงโดยเร็ว เท่านั้น ณ เวลานี้คงทาได้เพียง
เท่านี้แล้ว จากนั้นผมจึงต้องเปลี่ยนความกังวลดังกล่าวให้เป็นแรงผลักดันให้ผม
มีแรงฮึดสู้ตั้งใจอ่านหนังสือและฝึกทาข้อสอบเก่าอย่างไม่ลดละ คิดในใจว่าเรา
เหนื่อยเท่านี้แต่คุณพ่อกับคุณแม่เราเหนื่อยและเจ็บป่วยมากยิ่งกว่าอีก แทนที่จะ
มามัวแต่กังวลเพราะเราก็ไม่มีความรู้เรื่องทางแพทย์ที่จะไปรักษาท่านอยู่แล้ ว
หากสอบไม่ผ่านอีกก็ต้องรบกวนงบประมาณจากทางบ้านนานเข้าไปอีก ก็จะ
ทาให้ท่านทั้งสองไม่ได้พักผ่อนซักที ทั้งหากผมจะกลับไปซ่อมรถแทนคุณพ่อกับ
คุณแม่ก็ไม่ถนั ดมาทางนั้น อีก และคิดว่าคงจะทาให้ท่านทั้งสองเสี ยใจอย่างยิ่ง
เพราะส่งเสียผมมาถึงจุดนี้แล้ว แต่ผมกลับทามันพังทลายไปเสียจนหมดสิ้น และ
ยังอาจทาให้กิจการท่านเสียหายได้อีกด้วย คงจะไม่มีทางทามาหาได้มาเลี้ยงดู
ท่านในยามชราเป็นแน่ ในความคิดของผมช่วงเวลานั้นจึงคิดว่า คงต้องมุ่งมั่นทา
เรื่องราวที่สาม ถนนและเริ่ม รู้สึ กว่ า มีก ารบิ่น หั ก เหตุ การณ์ เหมื อนเคลื่ อ นที่ไ ปอย่า งช้า ๆ ซึ่ ง
ขณะนั้ น ผมพยายามควานเอาแขนมาใช้ ยั น พื้ น ให้ ห ยุ ด ไถล แต่ ข ณะนั้ น ผม
เหตุการณ์สาคัญอันน่าหวาดเสียวของผมอีกเหตุการณ์หนึ่ง ก็คือ ช่วง
เหมือนกับควานหาแขนตัวเองไม่เจอ ไม่อาจเอามือไปยันกับพื้นให้หยุดร่างไถลไป
หลังจากทีผ่ มดาเนินการสมัครสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาประจาปี ๒๕๕๘ (ซึ่งเป็นรอบ
ข้างหน้าได้เลย เมื่อตะเกรียกตะกายลุกขึ้นได้ก็รู้สึกชาที่ปากและเริ่มปวดฟันอย่าง
เปิดสอบรวมสามสนาม) ไปแล้ว ต่อมาช่วงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระยะเวลา
มาก เหตุการณ์ครั้งนีท้ าให้ฟันคู่หน้าของผมบิ่นแตกหักไปบางส่วนเลย หากฉีกยิ้ม
เหลืออีกเพียง ๑ เดือนเศษ ก่อนวันสอบวันแรกคือจะเริ่มสอบในวันที่ ๒ สิงหาคม
และมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าฟันแหว่งอย่างน่าตลกเลยทีเดียวครับ ทั้งยังทาให้ริม
๒๕๕๘ ผมมักจะเล่ นฟุตซอลในซอยเล็ กๆ ที่หน้าหอพักในกรุงเทพกับพวกพี่ๆ
ปากผมแตกเป็น แผลเลือดไหลออกอย่างมาก ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการบาดของ
เพื่อนๆ ที่อยู่หอเดียวกันในตอนเย็นเป็นประจา จนตั้งกลุ่มเรียกกันเองว่า “ทิพย์
พื้นผิ วถนนหรือฟันไปโดนใส่ กันแน่ แต่ที่แน่ๆ ว่าเจ็บและทรมานตอนเกิดเหตุ
กมลอะเคดามี” เลยทีเดียวครับ ฮ่าๆๆ เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการไป
ใหม่ๆ มาก ผมกินข้าวไม่ได้เป็นเกือบสองวัน ทั้งไม่กล้า ไปอ่านหนังสือที่ สานัก
อ่านหนังสือที่ สานักอบรมเนติฯ มาทั้งวันแล้ว โดยมักจะเริ่มเตะกันประมาณ ๖
อบรมเนติฯ เลย เพราะปากผมเป็นแผลค่อนข้างเด่นเห็นชัดเจนและส่องกระจกดู
โมงเย็นๆ จนถึงทุ่มหรือสองทุ่มแล้วแต่วันไหนจะมีชาวคณะมาร่วมเตะกันมาก
จะน่าอายมากๆ แต่ที่หนักกว่านั้นคือ หลังเกิดเหตุผมมารู้สึกอีกทีว่าได้รับบาดเจ็บ
น้อย จนวันหนึ่งขณะที่ผมกาลังเล่น (ซึ่งตอนนี้ผมก็จะวันที่แน่นอนไม่ได้แล้ว) อยู่ๆ
ที่นิ้วกลางข้างขวาอันเป็นมือ ข้างที่ถนัดในการใช้เขียนหนังสือ ซึ่งมีลักษณะบวม
ก็เกิดอาการวูบกะทันหันประกอบกับจังหวะชนกับเพื่อนที่เตะบอลด้วยกันแล้วล้ม
เปล่งที่ข้อกลางของนิ้ว แรกๆ งอไม่ได้เลย เป็นวินาทีที่ทาให้ผมวิตกกังวลอย่าง
ใส่ยางรถยนต์ที่เอามาวางซ้อนกันเพื่อให้กั้นลูกฟุตบอลไม่ให้กลิ้งไปไกล ตอนที่ล้ม
มาก เพราะไม่สามารถฝืนจดโน้ตย่อหรือฝึกเขียนข้อสอบเก่าได้เลย ทาให้ผมคิด
ใส่ยางรถดังกล่าวเอาด้านหน้าลง ผมก็นึกในใจแล้วว่ายางรถน่าจะนุ่มพอที่จะรับ
อะไรไม่ออก จดโน้ตอะไรไม่ได้ไปถึงหนึ่งวันเต็มๆ เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
น้าหนักตัวผมที่จะล้มทับใส่ได้ไม่ถึงกับกระแทกพื้นถนนที่เป็นคอนกรีต แต่ แล้ว
กลัวถึงขนาดว่ากระดูกนิ้วหัก ต้องเข้าเฝือกเขียนหนังสือไม่ได้จนถึงวันสอบอีก !!
เมื่อค่อยๆ ล้มตัวลงบนยางรถกลับทาให้เกิดไถลตัวไปข้างหน้าจนลงถึงพื้นถนน (ที่
ประกอบกับเวลาก็ใกล้เข้ามาอย่างยิ่งแล้ว ซึ่งหากทางบ้านรู้เข้าคงต้องเสียใจและ
เป็นคอนกรีตแข็ง) หน้าของผมไถลเข้าหาถนน ในขณะนั้นจาเหตุการณ์ได้ว่า ปาก
ผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะผมอุต ส่ า ห์ เตรียมตัว สอบมาเป็นแรมปี กว่าจะมี
ของผมจูบกับถนนแล้วค่อยๆ ไถลไปอย่างช้าๆ จนรู้สึกได้ว่าฟันกระทบกับพื้นผิว
คุณสมบัติพร้อมสอบในสนามแรกของชีวิต กลับต้องมาพ่ายแพ้เสียเวลาไปอีกเป็น
ปีๆ เพราะความสนุกส่วนตัวและความประมาทของผมแท้ๆ แต่ยังดีที่บริเวณแถว
กาลังใจอยู่ข้างหลัง ความหวังอยู่ข้างหน้า ความกล้าอยู่ที่ใจ – ซ่าร่า
หอพักมีรุ่นพี่ ๆ ผู้เป็นกัลยาณมิตรเสมอมา ซึ่ง มีประสบการณ์เตะบอลมาก่อน
หลายท่านช่วยดูอาการให้ผมในเบื้องต้นแล้วว่ากระดูกน่าจะไม่หัก และแนะนาวิธี ที่เจ็บนี้ผมยังคงใช้งานนิ้วค่อนข้างหนัก ด้วย จึงทาให้อาการบวมไม่ทุเลาลงซักที
ทุเลาอาการในเบื้องต้น เป็นเหตุให้ผลคลายความตกใจและกังวลใจอย่างยิ่ง ณ ซึ่งแพทย์ท่านดังกล่าวก็ได้แนะนาให้ผมว่าช่วงนี้ควรหาก้านไม้ไอศกรีมมาดามนิ้ว
เวลานั้นลงมาได้เป็นอย่างมาก จนต่อมาอีกวันหนึ่งผมจึงพยายามลองฝืนเขียน ที่เจ็บนี้แล้วเอาผ้าพันไว้ยึดไว้ (ซึ่งผมก็ได้แต่เพียงรับฟังไว้เท่านั้น คิดในใจแล้วคง
หนังสือดูอีกครั้ง เริ่มที่จะพอกลับมาเขียนได้ จึงต้องขอขอบพระคุณในน้าจิตมิตร ทาไม่ได้อย่างแน่แท้เพราะช่วงนี้ จาเป็นต้องใช้มือข้างถนัดเขียนหนังสือ จดโน๊ต
ไมตรีของเหล่าพี่ๆ ในซอยทิพย์กมลอันเป็นที่รักยิ่ง มา ณ โอกาสนี้ครับ และฝึกทาข้อสอบทุกวันอย่างหนักหน่วงเท่านั้น ) และแพทย์ก็จะขอนัดดูอาการ
อี ก ที ป ระมาณต้ น เดื อ นสิ ง หาคม แต่ ผ มก็ ต้ อ งขอเลื่ อ นไปพบหลั ง วั น ที่ ๑๖
ในวันต่อมา เมื่ออาการเขียนหนังสือยังรู้สึกไม่ถนัด ผมจึงตัดสินใจไปหา
สิงหาคม เป็นต้นไปเลย เพราะระหว่างนี้ไม่สามารถเดินทางมาพบแพทย์ได้อย่าง
แพทย์ เพื่ อตรวจดูอ าการ แต่เ มื่อ ไปตรวจแล้ ว แพทย์ ทาได้ ท าการเอ็ก ซเรย์ ไ ด้
แน่นอน เนื่องจากติดสอบนั่นเอง กับไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปมาบ่อยๆ นั่นเอง
วิเคราะห์ผลการเอ็กซ์เรย์ในเบื้องต้นให้ผมฟังว่า ดูจากรูปกระดูกไม่ผิดปกติ แต่
ซึง่ การมาโรงพยาบาลในแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเกือบทั้งวัน แล้ว เพราะต้องใช้ทั้งเวลา
แพทย์คนดังกล่าวก็บอกว่าท่านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกโดยเฉพาะ ยังไม่ค่อย
เดินทางกับเวลารอคิวกว่าจะได้พบแพทย์อี กด้วย อันจะทาให้ผมหมดเวลาในการ
แน่ใจในความเห็น และวันนั้นแพทย์ด้านกระดูกก็ไม่มีใครอยู่เวรตอนนี้ซักท่าน จึง
อ่านหนังสื อ ต้องผิ ด จากแผนที่ผมตั้งเป้าไว้เป็นอย่างมาก จะทาให้ ผมกระวน
ลองให้ผมกินยาแก้ปวดและทายารักษาอาการไปสัก ๑ สัปดาห์ ก่อนแล้วนัดผม
กระวายใจยิ่งขึ้นไปอีก ไม่เป็นผลดีต่อการสอบของผมเป็นแน่ เพราะต้องเสียเวลา
มาพบแพทย์ เ ฉพาะทางด้ า นกระดู ก อี ก ในสั ป ดาห์ ต่ อ มาอี ก สั ป ดาห์ ผ มก็ ม า
ไปโดยที่ไม่รู้แน่ว่านิ้วมือผมจะหายดีเมื่อใดอย่างไร แต่ถึงถึงกระนั้นผมตัดสินใจ
โรงพยาบาลตามใบนัด กว่าจะได้พบแพทย์ก็ใช้เวลานั่งรอนานมากพอสมควร
แน่วแน่แล้วว่า ผมจะไม่รอผลการตรวจกระดูกของผมอีกแล้ว ช่วงเวลานาทีทองนี้
เกือบถึงเที่ยงวัน (ผมมารอตั้งแต่ช่วงเช้า ท่านคงไม่แปลกนะครับ เพราะช่วงเวลา
ผมทาได้เพียงกัดฟันฝึกเขียนข้อสอบเก่าไปทั้งๆ ที่มือเจ็บนั้น แหละ จะเป็นตาย
นั้นเป็นนาทีทองอย่างมากในการเก็บความรู้จากการอ่านหนังสือ ทั้งการเดินทาง
อย่างไรก็ช่างมันไม่สนแล้ว เพราะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เรียกได้ว่า “ทิ้งไพ่หมด
ไปไหนมาไหนในกรุงเทพฯ ยิ่งโซนถนนเพชรเกษมที่กาลังก่อสร้างทางรถไฟฟ้า
หน้าตัก” กันเลยทีเดียว คิดในใจว่า ไม่ควรบอกเรื่องนี้ กับทางบ้านเป็นอันขาด
แล้ว ยิ่งรถติดสาหัสมาก เสียเวลากับการเดินทางแต่ละครั้งเป็นอย่างมากเลยครับ)
เพราะจะทาให้ ท่า นทั้ งสองเสี ย กาลั ง ใจและไม่ ส บายใจกั บ ตัว ผมไปโดยเปล่ า
คราวนี้ ได้ พ บแพทย์ เฉพาะทางด้า นกระดูก เสี ย ที ท่ านได้ ดู ฟิ ล์ ม เอ็ ก ซ์เ รย์ข อง
ประโยชน์ โดยที่ความบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากการหักโหมจากการอ่านหนังสือของ
สัปดาห์แล้วก็เห็นตรงกันกับแพทย์ท่านเดิมว่ากระดูกผมไม่มีอาการผิดปกติอะไร
ผมแต่อย่างใดเลย
คงจะเป็นที่กล้ามเนื้อโดยรอบของส่วนข้อต่อกระดูกนิ้วดังกล่าวเกิดการอักเสบจน
ทาให้เกิดการบวมโดยรอบข้อต่อ และทาให้การงอนิ้วยาก กับเห็นว่า ช่วงระหว่าง จงมองปัญหาให้เหมือนกับ "เม็ดทราย"..ถึงจะเยอะมากมาย..แต่เม็ดทรายก็ "เล็กนิดเดียว"
ขอเล่าย้อนเหตุการณ์ไปสักหน่อยครับ เมื่อครั้งผ่ านไปสักสองสามวัน
หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บใหม่ๆ นั้น ผมเริ่มเขียนหนังสือได้ถนัดขึ้นบ้าง แต่ก็ต้อง
เก็ บ ตั ว อ่ า นหนั ง สื อ อยู่ แ ต่ ที่ ห้ อ งพั ก อยู่ เ กื อ บสองสั ป ดาห์ และแบ่ ง เวลาไป
โรงพยาบาลตามที่แพทย์นัดอีก ดังที่เล่ามา เมื่อย้อนนึกถึงความรู้สึกในขณะนั้น
ขณะลองฝึกเขียนข้อสอบพร้อมกับ จับเวลาจริงๆ แล้ ว จะรู้สึกปวดนิ้ว นั้น มาก
และรู้สึกว่ามือล้าง่ายกว่าเดิม แต่ขณะนั้นผมคิดว่าถ้ามัวแต่อ่อนแอเช่นนี้คงอ่าน
หนังสือและจดโน้ตย่อ กับทาข้อสอบเก่า ไปด้วยไม่ทันตามที่ตั้งเป้าหมายไว้แน่ๆ
จนผ่านไปอีกสองสัปดาห์ซึ่งเริ่มเข้าสู่ต้นเดือนสิงหาคมแล้ว (เวลาเริ่มใกล้สอบเข้า
ไปทุกที) แต่นิ้วมือผมก็ยังคงบวมไม่ยอมเข้ารูปเดิมปกติสักที เวลางอก็จะมีอาการ
เสียวๆ เจ็บแปลบๆ แต่ก็พอเริ่ม เขียนได้เร็วมากขึ้นแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ เมื่ อ
มานั่งคิดใคร่ครวญดูดีๆ แล้ว คงได้แต่เพียงทาใจยอมรั บกับสิ่งที่เกิดขึ้น และ
พยายามฝึกเขียนอยู่ทุกวัน หากเหนื่อยล้า ก็พักมือบ้าง ค่อยๆ แก้ปัญหากันไป
การฝึกทาข้อสอบเก่าก็ต้องทนเอา จนมาถึง สอบวันแรกก็ยังมีอาการปวดอยู่
เล็กน้อย แต่ ณ เวลานั้นต้องไม่คิดอะไรที่เป็นลบกับตัวเองแล้ว ผมได้แต่คิดแค่
ว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป” และผมย้าอยู่ในใจเพียงว่าต้องเขียนตอบข้อสอบให้
ทันครบทุกข้อเท่านั้น จนสามารถทาให้ผมลืมความเจ็บปวดและความเหนื่อย
ความล้าไปได้เลย หลังสอบเสร็จผมกลับไปพบแพทย์ตามนัด จนแพทย์ยังต้อง
บอกกับผมว่า ณ เวลานี้คงจะกลับมาดามด้วยไม้ก็คงไม่ทัน นิ้วที่เจ็บของผมคงคืน
รูปปกติไม่ได้เสียแล้ว และมาถึงทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าข้อต่อนิ้วกลางมือขวาของผม
ภาพเมื่อครั้งเตะบอลเล่นในซอยทิพย์กมล
ก็ยังคงมีลักษณ์บวมๆ โดยรอบเล็กน้อยอยู่ แปลกตาไม่เหมือนนิ้วอื่นๆ แต่ก็คิดว่า
ผมผ่านจุดที่ต้องใช้งานมันหนักมาและคุ้มกับที่ต้อง “แลก” แล้ว
เรื่องราวที่สี่ มากมาย สับสนอลหม่านกันไปหมด จะต้องใช้สติสมาธิอย่างมากเพื่อให้เขียนตอบ
ข้อสอบลงไปให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประเด็น เมื่อผมเริ่มทาข้อสอบไปได้สักพัก
อี ก เหตุ ก ารณ์ ห นึ่ ง ที่ ผ มอยากจะมาบอกเล่ า เพราะผมเห็ น ว่ า เป็ น
(หมายถึงเวลาเริ่มลงมือเขียนจริงของผม คงประมาณผ่ านไปเกือบ ๑ ชั่ว โมง
เหตุ ก ารณ์ ที่ ส ามารถวั ด ความส าเร็ จ ของผมในวั น นี้ ไ ด้ เ ลยที เ ดี ย วครั บ เป็ น
หลังจากเริ่มการสอบแล้ว เพราะผมจะอ่านข้อสอบทั้ง ๑๐ ข้อให้จบก่อนแล้วค่อย
เหตุ ก ารณ์ ส าคั ญ ที่ พู ด ได้ เ ลยว่ า คื อ แรงบั น ดาลใจประการหนึ่ ง ที่ ท าให้ ผ มมี
เริ่มลงมือเขียนตอบในข้อแรก) ในขณะที่ผมอยู่ในห้วงแห่งความคิดและความเร่ง
ความคิดที่อยากจะเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเลยก็ว่าได้ เหตุการณ์ที่ว่าก็คือการได้
รีบอยูน่ ั้น ก็ได้กลิ่นคล้ายๆ กับการเรอออกมา ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นกลิ่นคล้ายหมู
"กลิ่ น หมูปิ้ งในห้องสอบ" ซึ่งอาจจะมีผู้เข้าสอบบางท่านรับประทานข้าวเที่ยง
ปิ้ง ซึ่งมาจากผู้เข้าสอบที่นั่งบริเวณข้างหน้า หรือด้านข้างไม่แน่ใจ ยังดีที่ไม่ใช่ผู้ที่
จาพวกหมูทอดหรือหมูปิ้งก่อนมาเข้าห้องสอบ แล้วมานั่งสอบเมื่อเจอข้อสอบที่
นั่งติดๆ กับผมมากนัก และยังดีมีผู้หญิงอีกคนนั่งคั่นหน้าผมอยู่ ในระยะแรกๆ ผม
หฤโหด (ท่านอ่านไม่ผิดหรอกครับ เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจสาคัญให้ผมอยาก
ได้รับกลิ่นแรงขึ้นเรื่ อยๆ จนทาให้ผมเสียสมาธิไปหมดเลย จนเกือบคิดอะไรไม่
เขียนหนังสือขึ้นจริงๆ) จนอาจทาเกิดความผิดปกติในท้องจึงเกิดอาการระบายลม
ออกเลยทีเดียว และเริ่มรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างยิ่ง เพราะช่วง
ออกทางปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือการเรอออกมานั่นเอง (ตามความรู้สึกของผม
นั้นหยุดปากกาเขียนเป็ นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว เนื่องจากได้รับกลิ่นนั้นแล้วไม่มี
เมื่อได้กลิ่น ณ ตอนนั้น น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ ) แต่กลิ่นของมันโชยออกมาทางที่
สมาธิคิดอะไรไม่ออกเลย และกลิ่นก็ไม่หายไปสักที ตอนนั้นจิตใจก็เริ่มท้อกับการ
ผมนั่งสอบด้วยนั่นเอง ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมก็ไม่อาจยืนยันได้ว่า ผู้ที่ส่งกลิ่นจะมาจากผู้
สอบครั้งนี้แล้ว ทั้งผมไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อื่นๆ อะไรนอกจากปากกากับดินสอ
เข้าสอบที่นั่งด้านหน้าหรือด้านข้างของผมกันแน่ แต่ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้มโน
และยางลบเข้ามาในห้องสอบเลย เนื่องจากเป็นการสอบสนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน
กลิ่นไปเองแน่นอน เพราะจาได้ว่าผู้หญิงที่นั่งสอบข้างหน้าผมถึงกับต้องควักยาดม
ชีวิตครั้งแรกของผม ผมกลัวว่าจะถูกหาว่าทุจริตในการสอบหากเอาอุปกรณ์อื่น
มาดมเลยครับ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตัวผมนั้นเป็นคนสมาธิสั้น มิได้เป็นคนจิตใจ
เข้ามาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาห้ามนาเข้ามา และก็ไม่ได้ศึกษาหรือสอบถามผู้รู้ ระเบียบ
แข็ง สติสมาธิดีกล้ าแกร่งอะไร หากมีอะไรมาสะกิดซักเล็กน้อยเข้า สมาธิที่ตั้งไว้
กรณีเช่นนี้ มาก่อนโดยละเอียดอีกด้วย จึงทาให้ ผมมืดแปดด้านที่จะหาหนทาง
ว่าแน่วแน่เพียงใดก็หลุดไปแล้วได้ ในพริบตาเลยครับ ต้องเริ่มกลับมารวบรวมกัน
แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อีกทั้งในวันแรกผมก็ไม่ได้เตรียมเสื้อกัน
ใหม่ และต้องใช้เวลาอีกสักพักเลยทีเดีย ว เรื่องเกี่ยวกับกลิ่ นหมูปิ้งนี้ก็เช่นกัน
หนาวมา หลังจากได้เห็นหลายคนใส่เสื้อกันหนาวเข้าสอบ ผมก็รู้ซึ้งเลยทันที ว่า
เหตุเกิดในวันสอบวันแรก นั่นก็คือวันสอบวิชากฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง
วันที่ ๒ จะต้องเอาเสื้อกันหนาวมาด้วย เพราะในห้องสอบก็ยังเปิดแอร์หนาวมาก
และพาณิชย์เสียด้วย ทุกท่านย่อมทราบดีว่าวันนี้ต้องใช้ความเร็วและรายละเอียด
อีกด้วย ทาให้สมองชาจนถึงขั้นคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเลยทีเดียวครับ ทั้งก็
อย่างมากในการเขียนอยู่แล้ว ยิ่งข้อสอบกฎหมายอาญาจะมีประเด็นเยอะแยะ
ไม่ได้นายาดมหรือผ้าปิดจมูกติดตัวเข้ามาด้วย เพราะไม่คิดว่ามีความจาเป็นอะไร
(ซึ่ง ณ เวลานี้ รู้ซึ้งถึงความสาคัญของยาดมแล้วครับ!!) แต่ช่วงเวลานั้นก็ไม่รู้อะไร
มาดลใจให้ผมขึ้นมา อยู่ๆ ผมสามารถเริ่มเรียก "สติ" โดยการสูดหายใจเข้าลึกๆ
ให้เต็มปอดเท่าที่จะมากได้ ณ ตอนนั้น ไม่ว่าจะยังมีกลิ่นนั้นรุนแรงเพียงใด แล้วใช้
"ลูกฮึด" ที่ผมเรียกได้ว่า "ลูกฮึดสุดท้าย" ของผมเลยทีเดียว!! จรดปากกาเขียนลง
อีกครั้ง..พยายามเขียนอะไรก็ได้ให้มันออกมาจากสมอง ณ ตอนนั้น จากนั้นผม
เริ่มรู้สึกว่าการเขียนเริ่มไหลลื่นขึ้นแล้ว พร้อมกับๆ ผู้หญิงคนที่นั่งข้างหน้าก็เริ่ม
ควักยาดมออกมาดม ทาให้ กลิ่นของยาดมของเธอเผื่อแผ่ออกมาช่วยกลบกลิ่น
มาถึงผมได้บ้าง (ต้องขอบคุณท่านผู้เข้าสอบหญิงท่านนี้มา ณ โอกาสนี้เป็นอย่าง
สูงยิ่งด้วยครับ) ซึ่งก็ทาให้ผมเพิ่งรู้อีกว่าในการสอบครั้งต่อๆ ไปไม่ควรลืมเอายา
ดมติดตัวมาด้วยเด็ดขาด!!! ฮ่าๆ^^
ผมรวบรวมสติสมาธิทาข้อสอบต่อไปอีกประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมง โดยเร่ง
ความเร็ว อย่างเต็มกาลัง เท่าที่จะทาได้ และขณะนั้นผมรู้ตัวว่าทาข้อสอบไปได้
เพียง ๓ ข้อ เท่านั้น ซึ่งภายในอีก ๒ ชั่วโมงที่เหลือจะต้องเขียนให้ครบอีก ๗ ข้อ!!
แต่ผมก็คงต้องพยายามเขียนต่อไปพร้อมกับคิดไปในใจเพียงว่า “ยังพอมีเวลา
ทาให้สุดลมหายใจไปเลย เพราะโอกาสสอบไม่ได้มาบ่อยนักอาจมีเพียงโอกาส
ครั้งนี้โอกาสเดียวเท่านั้น”...และแล้วผมก็ผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายนั้นมาได้.
บรรพ ๒ ๑. การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ถูกต้องแล้วครับ เป็นเคล็ด (ไม่) ลับ แต่
สาคัญจริงๆ สาหรับตัวผมหากอ่านหนังสือไปแล้ว เกิดอาการง่วงอ่านต่อไม่ไหว
ข้อแนะนา ขึ้นมา ผมก็จะหลับไปเลยครับ ซึ่งหากไปอ่านนอกสถานที่เช่น สานักอบรมเนติฯ
หรือห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ผมจะไม่ทรมานฝืน ตนเองแต่อย่างใด ผมคิดว่า
____________ ร่างกายก็เหมือนเครื่องยนต์ครับ ถ้าเมื่อใดเครื่องยนต์ร้อน เราฝืนขับไป เครื่องก็
จะพังง่ายเสียเปล่าๆ การฝืนตนเองอ่านต่อไป คิดแต่จะต้องอ่านให้ได้มากกว่านี้
หมวด ๑ ข้อแนะนาการใช้ชีวิต
จะต้องทาให้ได้มากกว่านี้ ก็ยิ่งจะเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ เพราะเมื่อใดที่ผม
บังคับตัวเองให้อ่านไปแล้ว สิ่งที่อ่านไปก็จะไม่ค่อยจาอยู่ดีครับ
ปฐมบท ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเริ่มต้นที่ “จิต” วิธีการพักผ่อนของผมที่อยากจะแนะนา ก็ได้แก่ การดูหนังฟังเพลง การ
ดูตลก การเล่นดนตรี ออกกาลังกาย เป็นต้น โดยเฉพาะการเล่นกีฬานี้ช่วยให้เรา
มีผู้กล่าวไว้ว่า “๙ ใน ๑๐ ของความรู้นั่นคือกาลังใจ” ณ ขณะนี้หลาย สลายไขมัน เพราะเราอ่านหนังสือจะต้องมีการกินเข้าไปก่อนหน้านี้หนักอยู่แล้ว
ท่านคงกาลังทุ่มสุดตัวอย่างแข็งขันกับการเตรียมความพร้อมสู้ศึกครั้งยิ่ งใหญ่ของ เนื่องจากเราอ่านไปมักจะเครียดจึงอาจทาให้กินจุกจิก หรือหิวง่าย การออกกาลัง
ชีวิต มีเคล็ด (ไม่) ลับหนึ่งที่คอยหล่อเลี้ยงกาลังใจให้แก่ผมตลอดมา ซึ่งหลายท่าน ของผมจะทาให้ได้แทบทุกเย็น เช่น เตะฟุตซอลในซอยหน้าหอพัก เล่นเวท เป็น
อาจมองข้ามไป ผมใช้เป็นหลักคิดสั้นๆ ง่ายๆ เพื่อให้ หัวใจดวงนี้ยังคอยมีพลังมา ต้น อันจะทาให้ร่างกายของเราสมดุล ไม่ทาให้เกิดอาการอุดตันของไขมัน หรือ
เติมอยู่ให้สามารถต่อสู้กับทุกปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามาได้อย่างง่ายดายครับ อ้วนจนเกินไป อันจะส่งผลให้ไม่เกิดความเครียดง่ายด้วยครับ และท้ายที่สุดคือ
หลักคิดที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจระหว่างเตรียมตัวสอบที่ผมมักระลึกถึงอยู่ ส่งผล “ให้อ่านอย่างมีความสุข” เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว ก็ “ให้รางวัลกับตนเอง
ทุกๆ วัน ส่วนตัวแล้วผมยึดอยู่ไม่กี่หลักครับ ได้แก่ บ้าง” การให้รางวัลแก่ตัวเองไม่จาเป็นว่าเราจะประสบความสาเร็จก่อนถึงจะให้
รางวัลได้ เพียงแค่เราลงมืออะไรไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจตามที่เราคิดว่าทาเต็มที่
ที่สุดแล้ว ผลที่เกิดขึ้นภายหลังจะออกมาเป็นเช่นไร ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดหลังเรา
ทาสุดความสามารถแล้ว หากเราพอใจในความตั้งใจที่เราได้ใส่ลงไปกับชิ้นงานที่
Getting angry is punish yourself with other ลงมือทาไปแล้ว เราก็สามารถตอบแทนความตั้งใจนั้น ได้ครับ ยังจะให้เกิดการ
people's mistakes. หล่อเลี้ยงเป็น กาลังใจแก่ตัวเราเองให้ คงอยู่ไว้ใช้ส าหรับสู้ กราศึกของชีวิต ครั้ง
ต่อไปนั่นเองครับ.
ความโกรธ เป็นแค่การหยิบความผิดพลาดของคนอื่น
มาลงโทษตัวเองเท่านั้น
๒. การยึดหลัก ๓ มั่น คือ เชื่อมั่น มุ่งมั่น และมั่นใจ. ๓. การจะทาสิ่งใดหลายๆ อย่าง ก็ค วรต้องจัดเรียงลาดับความสาคัญ
จุ ด เริ่ ม ต้ น : การจะท าเป้ า หมายใหญ่ ใ ดๆ เราควรจะต้ อ งเริ่ ม จากที่ ก่อนหลังตามสมควร นั่นคือ มีการวางแผนก่อนลงมือทาในสิ่งสาคัญ ต่างๆ แห่ง
ภายในก่อน นั่นก็คือ “จิตใจ” ของเรานี่เอง จิตใจจะต้องเกิดความรู้สึก “เชื่อมั่น” ชีวิตอย่างสม่าเสมอ แล้วดาเนินการตามแผนที่วางไว้ รวมถึงมีการประเมินผลที่ได้
เสียก่อน เมื่อเริ่มมีความเชื่อใจตนเองแล้ว และไม่สั่นคลอนไปตามสิ่งใดที่เข้ามา ปฏิบัติตามแผนมาแล้วอยู่สม่าเสมอ ว่าผลออกมาเป็นเช่นไร เหมาะสมกับเรา
กระทบ อาจเริ่ มคิดจากคาว่า “คนอื่น เขาทาได้เราก็ย่อมทาได้” สิ่ งสาคัญ อีก หรือไม่ เพื่อหาจุดบกพร่องและหาวิธีแก้ไขปรับปรุงได้อย่างทันท่วงที แต่เหนือสิ่ง
ประการหนึ่งก็คือไม่ดูถูกตนเองหรือประเมินค่าความสามารถตนเองต่าไปครับ อื่นใด แผนที่เราวางเอาไว้ก็ควรที่สามารถยืดหยุ่นในการลงมือปฏิบัติได้บ้าง ควร
จากนั้น จึงตามมาด้วยความ “มุ่งมั่น” คือ เมื่อลงมือทาสิ่งใดที่คิดว่าดี มีวิธีการปรับปรุงแผนให้เข้ากับสถานการณ์ หรือคิดหาแผนสารองไว้เผื่อบ้างด้วย
ไปแล้ว ต้องใส่ลงไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจหรือความพยายามอย่างเต็มที่ ให้เรียก ก็ดี เพราะหากเราคิดจะทาให้ได้ตรงตามแผนเดิมที่วางไว้ให้เป๊ะอย่างเดียว ไม่เผื่อ
ได้ว่า “ทุ่มสุดตัว” กับสิ่งนั้นที่เรากาลังลงมือทาอยู่นั้นไปเลยครับ ใจให้กับเหตุที่ไม่คาดการณ์มาก่อน คงจะผ่านลุล่วงไปโดยดียาก หากจะให้เป็น
เช่นนั้นก็จะทาให้ชีวิตตึงเครียดได้ง่ายเป็นแน่ ยิ่งจะทาให้เราไม่ได้ฝึกการแก้ไข
สุดท้าย หากเราทาสิ่งนั้นได้อย่างเต็มกาลังความสามารถแล้ว ก็ ไม่ต้อง ปัญหาเฉพาะหน้าอีกด้วย ผมคิดว่าการฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่บ่อยๆ จนเกิด
ไปหวั่นเกรงต่อสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ให้ “มั่นใจ” ไปเลยครับว่าเรา ความชานิช านาญ ปัญหาหนักหนาหรือหยุมหยิมอะไรก็สามารถแก้ไขได้ห มด
ทาในสิ่งที่ดีแล้วและเราต้องทาได้ ดังคาคมที่กล่าวไว้ตอนต้นที่ว่า “๙ ใน ๑๐ ย่อมจะส่งผลช่วยให้เราทางานร่วมกับผู้อื่นในภายภาคหน้าได้ ราบรื่นด้วยครับ
ของความรู้นั่นคือกาลังใจ” ซึ่งเป็นคากล่าวที่โดนใจและตรงกับการใช้ชีวิตในการ เพราะผมเคยสัมผัสประสบการณ์ตรงเช่นนี้มาแล้วครับ
ต่อสู้ฝ่าฟันการสอบแต่ละครั้งของผมตลอดที่ผ่านมา เพราะเมื่อเราเริ่มต้นด้วยมี
กาลั งใจที่ ดี แ ล้ ว ความรู้ อั น จะเป็ น เครื่ อ งมือ หรื ออาวุ ธ ที่ จ ะใช้ ต่ อสู้ ฝ่ า ฟัน ไปสู่ ๔. “เปิดใจ” รับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เชื่อว่าตอนนี้วิทยาการของโลก
จุดหมายปลายทางแห่งความสาเร็จนั้นก็เป็นไปอย่างไม่ยากแล้ว และเปรียบดั่งที่ เราก้ า วหน้ า ไปไกลอย่ า งรวดเร็ ว อย่ า งมาก เห็ น จ าเป็ น จะต้ อ งปรั บ จู น
ผมที่ชอบเล่นฟุตบอลอยู่เป็นประจา หากคิดแต่เพียงว่าเราไม่เก่งไม่กล้าไปต่อกร พฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเสียแล้ว ไม่ควรยึดติดอยู่กับ
กับใครหรือเดี๋ยวอายเขา เราก็คงจะได้แค่เดินผ่านหรือยืนมองจากข้างสนามดูคน ความคิดเดิมๆ หรือการใช้ชีวิต ในแบบเดิมๆ จนเกินไป ควรลองหาสิ่ งใหม่ ๆ
อื่นเขามีความสุขที่ได้ลงเล่นเท่านั้น ทดลองทาสิ่งใหม่ๆ หรือหาความรู้ใหม่ๆ บ้าง เพียงท่านแค่เปลี่ยนจากชีวิตที่ “ไร้
สาระ” มา “ไลฟ์สาระ” (ชีวิตที่มีแต่สาระ) สามารถทาให้ความคิดของเราเกิด
ความบรรเจิดยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้ รวมถึงส่งผลต่อการนามาปรับใช้ กับการ
เตรียมตัวสอบของเรายังได้ครับ
“ถึงแม้ทางบอลจะไม่ค่อยดี แต่หากทางบ้านเป็นแรงใจเชียร์อย่างดี..ก็มีชัยชนะได้”- คิดเอง
๕. ท้ายทีส่ ดุ ไม่ว่าเราจะทาสิ่งใดเต็มทีห่ รือทุ่มสุดตัวตามที่ตั้งเป้าหมายที่
แน่วแน่ไว้สักเพียงใดแล้ว ก็ไม่ควรทิ้งหลักทางสายกลางครับ คือ ตั้งอยู่บนความ
พอดีความพองาม การเข้าใจธรรมชาติของตนเอง สามารถยืดหยุ่นในการปฏิบัติ บทที่ ๒ ทาอย่างไรให้ใจ “อึด”
ได้ ต ามความพอเหมาะพอควรแก่ ส ถานการณ์ เพราะการที่ จ ะท าให้ ไ ด้ ต าม
เป้าหมายหรือแผนวางไว้ อย่างสมบูร ณ์แบบย่อมจะไม่เป็นไปอย่างตรงเป๊ะทุก อย่างที่เล่าเกริ่นมาตั้งแต่ต้นครับ ว่าการจะลงมือทาสิ่งใด “หัวใจ”เป็นสิ่ง
ประการเสมอไป จึงควรเตรียมจิตเตรียมใจรับมือกับเรื่องที่ไม่คาดคิดคาดฝันบ้าง ส าคั ญ ที่ สุ ด ผมจึ ง มั ก จะคอยแสวงหาองค์ ค วามรู้ ข้ อ มู ล ต่ า งๆ เพื่ อ น ามาเป็ น
แล้วใช้สติไตร่ตรองหาวิธีแก้ไขหรือปรับปรุงแผนอย่างเหมาะสมและหลากหลาย ตัวกระตุ้นหรือปลุกเร้าให้เราเกิดกาลังใจที่กล้าแข็งอย่างสม่าเสมอ ในส่วนตัวของ
เพื่อให้เกิดการเดินหน้า ต่อไป เพื่อการไปสู่เป้าหมายสุดท้ายอย่างไม่ละทิ้ง เพียง ผู้ เขี ยน ก็ค งไม่ มีอะไรแปลกไปจากผู้ อื่ นมากนั ก ก็ เริ่ม ตั้ง แต่ก ารหาตั ว อย่ างผู้
แค่เราจะทาสิ่งใดให้ “ตั้งเป้าหมายชีวิต” ไว้ให้มั่นเสียก่อน แล้วลงมือทาด้วย ประสบความส าเร็จ มาเป็นแนวทาง การหาอ่านคาคมหลั กคิดจากผู้มีชื่อเสี ยง
“วินัย” เท่านี้ก็สามารถทาให้ชีวิตของเรา “ประสบความสาเร็จ” ได้ครับ.
ต่างๆ ทั้งไทยและเทศ รวมไปถึงการฟังเพลงที่มีเนื้อหาแง่คิดให้กาลังใจ ไม่เว้น
แม้กระทั่งการค้นหาหลักการทางวิทยาศาสตร์ มาประกอบด้วย เช่น อ่านเรื่อง
ต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการบารุงสมอง เพราะผมเชื่อว่าร่างกายทุกส่วนของเราล้วนมีผล
ต่อการทางานร่วมกัน ที่จะส่งผลให้เกิดความทนทานไปถึงจิตใจเราได้ เช่น หาก
เราดูแลร่างกายและปฏิบัติตนจนไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยง่าย ความทุกข์กายก็จะไม่
เข้ามารุมเร้าตามมาบั่นทอนจิตใจเราได้ ผมจึงไม่ลืมที่จะคอยดูแลรักษาสุขภาพให้
แข็งแรงไปพร้อมกับการอ่านหนังสือและการเรียนการเตรียมตัวสอบให้คู่กันอย่าง
สม่าเสมอ
ผมมีโ อกาสไปอ่ านเจอหนังสื อเรื่อง “อยู่อย่างไรให้ สมองไม่แก่ ” ของ
นายแพทย์ ซุ กิ ย ะมะ ทะคะชิ ผู้ อ านวยการสถาบั น วิ จัย ทางการแพทย์ โ คโนะ
ประเทศญี่ปุ่น หนังสือนี้ได้ให้ความรู้ว่า หากเราบารุงและฝึกพฤติกรรมการใช้
สมองอย่างถูกวิธีจะส่งผลต่อ ความจา สมาธิ ทักษะการคิด และความมุ่งมั่นได้
เช่น การหมั่นฝึกความอึดของสมองกลีบหน้าด้วยการทางานบ้าน การจัดระเบียบ
เอกสารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เป็นประจา การฝึกสนทนากับผู้อื่น เป็นต้น
จะช่วยให้สมองในส่วนกลีบหน้ามีความแข็งแรง และยังส่งผลต่อประสิทธิภาพใน ได้พรั่งพรูความรู้ทไี่ ด้ทบทวนออกมาให้เราจรดปากกาเขียนลงในกระดาษคาตอบ
การใช้สมองส่วนอื่นๆ เช่น การใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ การคิดวิเคราะห์วินิจฉัย ได้เสียมากกว่าที่จะเอาเวลาไปเครียด
อะไรอย่างราบรื่นรวดเร็วไม่ติดๆ ขัดๆ เป็นต้น การฝึกความอึดของสมองส่วน
หลักเช่นนี้เปรียบได้กับโค้ชทาทีมฟุตบอล หากการคุมทีมให้แข็งแกร่งได้เพียง ๕
นาที ทั้งที่เกมส์การแข่งขันมีถึง ๙๐ นาที ย่อมไม่เป็นผลดี ๔ เฉกเช่นกันการเข้า บทที่ ๓ แนะนาเทคนิคด้านการเขียนตอบ
ห้องสอบของเรา จาเป็นที่จะต้องรวบรวมสมาธิและสติปัญญากับตั้งจิตให้มั่นเพื่อ
เทคนิคการดาเนินชีวิตประจาวัน อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าสามารถช่วยใน
พิชิตข้อสอบให้ได้ถึง ๔ ชั่วโมงเต็ม ไม่ใช่ว่าทาเสร็จไปข้อ สองข้อแล้วเหลียวมาดู
การเขียนตอบได้อย่า งดี ซึ่งอาจต้ อ งใช้เ วลาสั กหน่ อยในการสะสมเพิ่ม พู น ไป
เวลา รู้ตัวว่าทาเกินจากที่ตั้งเป้าไว้ไปเยอะก็รู้สึกท้อ เสียแล้ว คิดในใจแต่เพียงว่า
เรื่ อ ยๆ นั่ น คื อ การชอบอ่ า นนิ ย าย ผมเป็ น คนหนึ่ ง ที่ ช อบอ่ า นนิ ย ายอย่ า งยิ่ ง
ทาไม่ทันแน่เลยอย่างเดียว เช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นได้ง่ายมาก
โดยเฉพาะ “แนวสืบสวนสอบสวน” ผมมักจะใช้เวลาว่างๆ (ที่ต้องว่างจริงๆ) เช่น
ไม่เว้นแม้แต่ชั่วขณะหนึ่งของผู้เขียน ยิ่งในช่วงลงสนามใหม่ๆ ตั้งแต่ระดับปริญญา
หลังปิดเทอมปริญญาตรีห รือเนติบัณฑิตฯ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเวลาที่ต้องพักผ่อน
ตรี การเขียนตอบจะเป็นแบบเต็มรูปแบบ ตอบ ๓ ส่วน ตั้งแต่วางหลักกฎหมาย
สมองแล้ว โดยที่ต้องไม่มีหนังสือกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องเลยในห้วงเวลานั้น นี่ขอ
การวินิจฉัย และการสรุปฟันธงตอบ ต้องใช้พลังงานของสติสมาธิในการเรียบเรียง
แนะนาจริงๆ ครับ ท่านที่ไม่ค่อยชอบมาก่อน อาจค่อยๆ ลองหยิบมาอ่านสักเรื่อง
เขียนตอบเป็นอย่างมาก กว่าจะเขียนวางหลักกฎหมายตามที่ท่องมา และเท่าที่จา
อะไรก็ไ ด้ หรือท่ านที่ไม่ช อบนิยาย ก็อาจหาหนังสื อ อ่านเล่ น อื่นๆ ดูก็ ได้ เช่ น
ได้ในห้องสอบอย่างพอดีๆ ไม่น่าเกลียดแล้ว จากนั้นนาข้อเท็จจริงจากโจทย์มา
หนังสือแรงบันดาลใจต่างๆ ประวัติศาสตร์ สุข ภาพ เป็นต้น สะสมไปเรื่อยๆ ผม
วินิจฉัยกลั่นกรองตอบให้เป็นส่วนๆ ทีละประเด็นกว่าจะครบ จนถึงสรุปจบลงไป
เห็นว่าเหล่านี้จะช่วยให้เราได้เกิดการสังเกตการใช้ถ้อยคา และการใช้ภาษา ของ
ได้ในแต่ละข้อนั้น บางครั้งบางข้ออาจต้องกินเวลาข้ออื่นไปมากบ้างน้อยบ้าง เกิน
ผู้เขียนที่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจง่ายและคล้อยตามได้อย่างไร ซึ่ง สามารถ
กาหนดเวลาที่เราวางแผนไว้ทุกครั้ง ผู้เขียนก็มักปลงใจคิดเสียในขณะนั้นว่าเป็น
นามาประยุกต์เขียนตอบข้อสอบของผมได้มากมายเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ผม
เรื่ อง “ธรรมดา” ก็ แล้ ว กั น เราไม่จ าเป็ น ต้ องไปเคร่ง ครัด กับ แบบแผนที่เ รา
เริ่มการนารู ปแบบการวางประโยคจากนิยายมาช่วยในการเขียนตอบข้อสอบ
ตั้ ง เป้ า หมายไว้ เ ป๊ ะ ตึ ง เปรี๊ ย ะขนาดนั้ น หากแต่ ใ ห้ มั น ได้ ยื ด หยุ่ น บ้ า งตาม
ตั้งแต่สมัยปริญญาตรี ผมจะตั้งเป้าหมายในใจของการเขียนตอบทุกครั้ง ก่อนว่า
สถานการณ์ คิดได้เช่นนี้ ก็จะทาให้ไม่เครียด และยังจะส่งผลให้สมองได้มีโอกาส
จะต้องเขียนให้จูงใจอาจารย์ผู้ตรวจสามารถอ่านข้อเขียนของเราได้อย่างเข้าใจ
ซุกิยะมะ ทะคะชิ, อยู่อย่างไรให้สอมองไม่แก่, (กรุงเทพฯ: วีเลิร์น, ๒๕๔๙), ๑๕. และหน้าติดตามไปจนจบ ไม่อ่านแล้วน่าเบื่ อ ซึ่งผมเชื่อว่าหากเขียนให้ ได้เช่นนั้น
จะสามารถจูงใจให้ผู้ตรวจให้คะแนนดีครับ ทั้งการตอบแบบให้น่าอ่านน่าติดตาม ผมขอยกตัวอย่างการจดย่อสั้นของผม เช่น เรื่องการวินิจฉัยเจตนาของ
ไว้ก่อนก็จะช่วยให้คาตอบของเราเป็นไปอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กันไปตลอดเรื่ อง ผู้กระทาความผิดในคดีอาญาว่ามีเจตนาฆ่า หรือ มีเพียงเจตนาทาร้ายเท่านั้น
และใช้คาเชื่อมประโยคหรือข้อความจะเป็นไปได้อย่างลงตัว สละสลวยกลมกล่อม จากที่ผมศึกษาคาบรรยายและคาพิพากษาฎีกาต่างๆ ก็จะพบว่ามีแนววินิจฉัยที่
กับไม่ขัดแย้งกันเองครับ หลากหลายแนวกันไป เมื่อได้ข้อมูลมาพอสมควรแล้ ว ผมก็จะพยายามสรุปลงให้
สั้นๆ จนเหลือเพียงหลัก “วินิจฉัย ๓ อ.” กล่าวคือ “อาวุธ อวัยวะ และโอกาส”
ที่จะนามาเป็นตัววินิจฉัยว่าจาเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นหรือไม่ ผมจะจดข้อความเพียง
บทที่ ๔ วิธีการอ่านหนังสือในแบบฉบับของผม สั้นๆ แบบนี้ ก็จะสามารถจาไปต่อยอดในการเขียนบรรยายตอบข้อสอบในภาย
หน้าได้อีกด้วย เช่นว่า เมื่อจาเลยใช้อาวุธปืน อันเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง
ผมคิดว่าการอ่านหนังสือให้เข้าใจ จนเกิดความทรงจานั้น เราจะบังคับ
เล็งไปที่หน้าอกของผู้เสียหาย ซึ่งเป็น อวัยวะสาคัญมีหัวใจอยู่บริเวณดังกล่าว ทั้ง
ให้จาย่อมไม่เป็นผลดี ผมจึงคิดค้นหรือรวบรวมข้อมูล วิธีการต่างๆ นาๆ พัฒนา
ในขณะนั้น ไม่มี บุคคลใครเข้ าขัด ขวางจาเลย อันเป็น โอกาสที่จ าเลยสามารถ
ปรับ ปรุง เป็น รูปแบบการอ่านช่วยจ าของผมเรื่อยมา ข้อแนะนานี้สาเหตุที่ผ ม
กระทาความผิ ดได้โ ดยสะดวก เมื่อกระสุ นถูกผู้ เสี ยหายแต่ไม่ถึงแก่ ความตาย
นามาเขียนในส่ว นคาแนะนาในด้านการใช้ชีวิต ก็เนื่องมาจากผมมักจะปฏิ บัติ
จาเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญา
เช่นนี้ให้เป็นปกติประจาวัน วิธีที่อยากจะขอแนะนา เช่น การจดย่อสั้นแล้วสั้น
มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐ เป็นต้น หากแม้จะมีหลักอื่นๆ ในเรื่องเจตนา
อีก หรือจดแล้วจดอีกนั่นเอง โดยผมมักจะหาสมุด เล่มเล็กๆ ที่สามารถพกติดตัว
ฆ่านี้อีกเช่น มูลเหตุจูงใจ หรือตาแหน่งที่ถูกทาร้าย เป็นต้น แต่ต้องเข้าใจว่า การ
ไปไหนมาไหน ที่เมื่อไปอ่านเจออะไรน่าสนใจก็สามารถหยิบขึ้นมาจากกระเป๋า
สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ยิ่งถ้าเป็นสนามใหญ่ แล้ว ย่อมไม่อาจเขียนบรรยายหลัก
แล้วจดย่อหรื อสรุป ลงไปได้ทันที แต่เ หนือสิ่งอื่นใดสิ่งหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบ
กฎหมายทั้งหมดได้ทันอย่างละเอียด และครบถ้วนสมบูรณ์แบบเป็นการยากยิ่ง
สาคัญขาดไม่ได้ นั่นก็คือ “ความสุข” กับมัน ความสุขในการที่ได้อ่านได้เจอ
ผมจึงมาหัดเขียนวางหลักให้พอดีๆ เพื่อให้ทัน ต่อเวลาที่มีจากัดไว้ก่อนครับ ซึ่ง
ความรู้ใหม่ๆ ได้จดบั นทึกย่ อเอาไว้เป็ น แบบฉบับของตนเองนั่นเอง เพราะตัว
ยังไงก็ยังคงยึดหลักทางสายกลางไว้นั่นเองครับ
“ความสุ ข ” นี้ เ องจะสามารถเปลี่ ย นสภาพสิ่ ง ที่ เ ราอ่ า นจาก “ความจ าตาม
ธรรมดา” มาเป็น “ความทรงจา” ได้ครับ
“ตาสามารถมองเห็นสิง่ ที่ไกลได้..แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตัวเองได้” …ขงเบ้ง…
บทที่ ๕ หาหนังสือนอกเวลาอ่านบ้าง ทั้งชีวิตเท่าที่จะพอหาอ่านได้ นามาปรับปรุงใช้งานให้เกิดประโยชน์ในการเตรียม
ตัวสอบและการทางานมานักต่อนักแล้ว
ท่านกาลังอ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมเชื่อว่าหากท่านศึกษาจากเฟซบุ๊กหรือ
ค้นกูเกิ้ลเกี่ยวกับคาแนะนาวิธีการเตรียมตัวสอบด้านกฎหมายสนามต่างๆ ไม่ว่า
จะเป็นเนติบัณฑิต ผู้ช่วยผู้พิพากษาหรืออัยการผู้ช่ วย ก็มักจะมีผู้ที่มีความรู้ และ
ประสบการณ์มาแนะนาหนังสือกฎหมายให้ท่านอ่านจนเลือกไม่หวาดไม่ไหวอยู่
แล้ ว แต่ผ มจะฉี กแนว เป็ น ขอเสนอให้ ห าเวลาว่างอ่านหนังสื อนอกเวลาบ้า ง
เพื่อให้เราไม่เกิดความจาเจเบื่อหน่ายที่จะต้องมีความรู้สึกว่า เมื่อใดที่ลืมตาตื่น
ขึ้นมาในแต่ละวันจะต้องมาเจอกับหนังสือกฎหมายอีกแล้วหรือ ไม่ว่าท่านจะใช้วิธี
อ่านวิชาเดียวยาวไปจนจบหรืออ่านสลับไปมาหลากหลายวิชาไม่ให้เบื่อ ผมคิดว่า
มันก็ยังจะชวนให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายจาเจขึ้นได้อยู่ดี เราจึงควรหันมามองสิ่ง ตัวอย่างหนังสือที่ผมใช้อ่านนอกเวลาครับ
รอบข้างนอกเหนือจากกฎหมายบ้าง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพวกนวนิยายดังที่ผม
(บรรยายใต้ภาพ : บางเล่มจะมีสภาพเยินไปหน่อย เพราะผมพกติดตัว
แนะนาในการฝึกเขียนตอบในชีวิตประจาวันของผมไปแล้ว หนังสืออีกประเภท
ไปทางานและออกนอกสถานที่ระหว่างเดินทางด้วยครับ ซึ่งมักจะหยิบมาอ่านบน
หนึ่งที่จะขอแนะนาก็คือหนังสือแนวหลักการใช้ชีวิต เคล็ดลับสู่ ความสาเร็จต่างๆ
รถเมล์ตอนรถติดหรือบนรถไฟฟ้า (เวลาที่เจอที่นั่งว่างครับ^^’))
หรื อ หลั กการมีมนุ ษยสัมพัน ธ์ กับ ผู้อื่น เป็ น ต้น ผมคิด ว่าเป็นวิธีห นึ่งที่จะทาให้
สมองของเราผ่อนคลาย ได้ทริคใหม่ๆ ได้ความรู้รอบตัวอีกหลายด้าน ซึ่งบางครั้ง
ผมอ่านหนังสือนอกเวลาแล้วยังถึงกับตกใจว่า เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเราไม่เคยรู้มา
ก่อนเลยนะนี่ เมื่อนามาลองปรับใช้กับชีวิตประจาวันของเรา ก็สามารถใช้ ให้เกิด
ประโยชน์ได้ทาให้เห็นผลจริงด้วยครับ ทั้งยังจะทาให้เราไม่ตกยุค สมัย ซ้ายังอาจ
สามารถนาหลักการวิธีคิด บางอย่างมาปรับใช้กับวิธี คิดหรือการทาความเข้าใจ
กฎหมายที่เรากาลังศึกษาอยู่ หรือในการทางานด้านกฎหมายให้ดูง่ายขึ้นทันตาได้
อีกด้วย ซึง่ ผมก็ได้หลักการต่างๆ จากหนังสือที่มีโอกาสหาอ่านนอกเวลามาตลอด
บทที่ ๖ ยุทธวิธีเอาชนะความขี้เกียจ บทที่ ๗ หาเวลาหัวเราะบ้าง
ตัวปัญหาหนึ่งที่คอยบั่นทอนเวลาและโอกาสของคนเรา คงปฏิเสธกัน บางทีเรื่องเครียดๆ ก็ควรหาจุดที่เราสามารถหัวเราะใส่มันได้ครับ ผมเชื่อ
ไม่ได้ก็คือ “ความเกียจคร้าน” ซึ่งหลายท่านอาจสงสัยอยู่เป็นประจาว่า เหตุใด อย่างนั้น ผมมักจะหาเวลาว่างๆ พักผ่อนสมองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะดูละครหรือ
เมื่อเราเผลอตัวเผลอใจ เจ้าความขี้เกียจนี่มักจะโผล่แสดงตัวออกมาอยู่ตลอดเวลา รายการทีวีบ้าง ซึ่งจะคอยเน้นรายการตลกๆ เบาสมอง เพราะผมมีความเชื่อว่า
ผมหายแปลกใจเลยครับเมื่อ ผมไปอ่านเจอหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่ง เล่มที่เคย เมื่อใดที่ผมเหนื่อยล้ามาจากการอ่านหนังสือ เมื่อมาดูอะไรที่ตลกๆ ได้หัวเราะ
กล่าวมาในบทก่อนหน้านี้ คือ หนังสือ อยู่อย่างไรให้สอมองไม่แก่ กับความรู้ที่ อย่างจริงจังดังลั่นแล้ว (ได้สักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี) จะทาให้ผมเหมือนชาร์ตพลังในตัว
อ่านแล้วสะกิดใจขึ้นทันทีว่า โดยธรรมชาติสมองมนุษย์นั้นขี้เกียจและรักสบาย ๕ ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และรู้สึ กเหมือนกับสมองที่เส้นประสาทตึงมาทั้งวันได้ ผ่ อน
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่คนเราจะมีนิสัยขี้เกียจบ้าง ชอบผัดวันประกันพรุ่งบ้าง ไม่เว้น คลายความตึงออกไปได้ ทาให้ตอนค่าผมมักจะมีแรงฝึกทาข้อสอบเก่าตามแผนที่
แม้แต่ผู้เขียนเองในบางเวลา ทาใจครับ ทุกคนมีความขี้เกียจแฝงอยู่ในตัว ไม่ต้อง วางไว้ในแต่ละคืนว่าจะทาให้ได้วันละ ๒ ข้อ อย่างไม่มีสะดุดเลยครับ ต้องยอมรับ
ไปเครีย ดไม่ต้องไปโทษตัว เองเลย แต่เราสามารถยับยังและทุเ ลามันได้ครับ !! จริงๆ ว่าหากผมไปเจอละครหรือซีรี่ย์ของไทยเรื่องใดที่สนุกและฮาแล้วก็จะติด
กล่าวคือ ต้องคอยเตือนสติรู้คิดของเราอยู่ตลอดเวลาว่า เป้าหมายสาคัญแห่ง อย่างมาก ไม่อยากจะบอกเลยว่า ช่วงเวลาใกล้สอบผมยังอดดูไม่ได้เลยครับ ต้อง
ชีวิตเราคืออะไร เรากาลังทาเพื่อใครอยู่ ใครรอคอยเชยชมความสาเร็จของเรา เจียดเวลาเล็กๆ น้อยๆ มาดูให้จบตอนเลยครับ แต่ก็ได้ผลจริงๆ หลังจากดูเสร็จ
อยู?่ นั่นเอง การกระตุ้นความกระหายอยากอยู่เป็นประจาเช่นนี้ ผมคิดว่าจะช่วย ทาให้ผมอ่านต่ออย่างหนักหน่วงได้ต่อไปจนจบตามที่ตั้งเป้าไว้เลยครับผม.
ลดอาการนี้ลงได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียวครับ การกาหนดเป้าหมายของชีวิต ที่
ชัดเจนและการระลึกถึงมันอยู่เสมอจะทาให้เราห่างไกลจากความขี้เกียจครับ.
A person without a sense of humor is
like a wagon without springs – jolted by every
pebble in the road.
เมื่อใดที่เราต้องการความจริง ก็ต้องรับความจริงให้ได้เสียก่อน
Cr.พัน พลุแตก ตลก ๖ ฉาก ผู้ที่ไม่มีอารมณ์ขันเปรียบเหมือนรถที่ไม่มีสปริง
จะกระเทือนได้ด้วยเม็ดกรวดที่มีในถนน
๕
ซุกิยะมะ ทะคะชิ, อยู่อย่างไรให้สอมองไม่แก่, (กรุงเทพฯ: วีเลิร์น, ๒๕๔๙), ๔๓.
Henry Ward Beecher, preacher and writer (1813-1887)
บทที่ ๘ จงเป็นอะไรก็เป็นได้..แต่ไม่ดีเท่า “เป็นประโยชน์” บทรับจะไปค้นหาจึงเป็นการแก้ปัญหาได้อย่างดีประการหนึ่ง ซึ่งเวลาเป็นสิ่งที่
เราควรรักษาไว้ให้ดีที่สุด.
ช่วงระหว่างที่ผมเตรียมสอบตั้งแต่ชั้นปริญญาตรีมาแล้ว ผมมักจะชอบ
อาสาค้นข้อมูลข้อกฎหมายให้กับเพื่อนๆ หรือรุ่นพี่ที่เตรียมสอบด้วยกัน รวมไปถึง แต่ใช่ว่าเมื่อเรารับปากจะไปค้นหาให้แล้ว จะใช้เวลาค้นหาให้โดยไม่มี
บุคคลทั่วไปทีม่ าขอคาปรึกษาทางกฎหมายในโอกาสต่างๆ ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็น จากัดขอบเขตเวลา ซึง่ ผมก็มักจะวางแผนตั้งเป้าไว้ก่อนเลยว่า เรื่องที่จะไปค้นควร
การเสี ยเวลาในการอ่านหนั งสื อของผมเลยแม้แต่น้อย กลับได้ รับกลับคืนเป็น จะใช้เวลาไม่ควรเกินกี่ชั่วโมงหรือกี่นาที เพราะวันหนึ่ง เรายังต้องมีกาหนดการ
ประโยชน์ แก่ตัว ผมเองเสี ย มากกว่า ด้ว ยซ้า เพราะผมจะได้ถื อโอกาสทบทวน อ่านหนังสือให้ถึงเป้าตามที่เรากาหนดไว้แต่ละวันอยู่อีกด้วยแล้ว จึงจาเป็นต้อง
ความรู้ และทาให้รู้ว่าปัญหาใดที่กาลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ทั้งยังทาให้ผมได้ จากัดกรอบเวลาในการค้น หาเรื่องที่เกิดนอกแผนการอ่านของเราด้วย เพื่อมิ ให้
เกิดการเรียนรู้ ฝึกการค้นคว้าและแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่าหากผมใช้ชีวิต เกิดปัญหาการออกนอกเส้นทางไปสู่เป้าหมายที่วางไว้จนเกินไปครับ
แบบโดดเดี่ยว คงไม่เกิดความรู้ใหม่ๆ ได้ และไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น การเข้าไป
อีกเรื่องที่ผู้เขียนอยากจะบอกเล่ า ซึ่งเป็นความรู้สึกปีติในใจอย่างยิ่งอีก
ทาตัวให้เกิดประโยชน์ของผม ก็ เช่น หากมีประเด็นถกเถียงข้อกฎหมาย รุ่ นพี่ก็
ประการหนึ่ง ที่ในแต่ละวันเราได้มีโอกาสยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นแม้จะเพียงเล็กๆ
มักจะมาถาม หากผมตอบไม่ได้ผมก็จะอาสาไปค้นหาให้ต่อไปในทันทีโดยไม่อิด
น้อยๆ ก็ตาม แต่ผมคิดว่าได้กุศลสะสมอยู่เรื่อยๆ แล้ว นั่นก็คือ การไปห้องสมุด
เอื้อน ซึ่งผมคิดว่า คนเราเกิดมา “เพื่อคนอื่น” ไม่ใช่เพื่อตัวเองเท่านั้นครับ
เนติบัณฑิตแต่เช้า สามารถจองที่นั่งให้เพื่อน หรือรุ่นพี่ที่ร่ว มกลุ่มอ่านหนังสื อ
บางครั้งมีเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆ มาถามประเด็นข้อสงสัยกับผม หากผม ด้ว ยกั นเป็ น ประจ า เพราะผมเข้า ใจอย่ า งที่ทุ ก ท่ า นทราบดี ว่ า การใช้ชี วิ ต ใน
ตอบได้ ก็ จ ะตอบไป หากมี ความมั่ น ใจหน่ อ ยก็ จะอาจบอกฎี ก าหรือ หลั ก จาก กรุงเทพมหานคร บางคนอาจจะมีที่อยู่อาศัยหรือที่พักแตกต่างกันไป ห่างไกลจาก
หนังสือท่านอาจารย์จากเล่มไหนได้ แต่บางกรณีเริ่มชักไม่แน่ใจในหลัก และเริ่มมี สานักอบรมเนติฯ บ้าง แต่ละคนก็ใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเสียเวลาใน
การถกเถียงกันมากขึ้น สิ่งแรกที่ควรทา ณ ตอนนั้น คือ ผมมักจะตัดบทโดยอาสา การเดินทางกว่าจะมาถึงสานักอบรมฯ บางคนอาจจะนอนดึกจากสไตล์การอ่าน
ว่าจะไปค้นมาบอกอีกที เพราะเหตุผลสาคัญประการหนึ่ง คือ ผมคิดว่าเรามีกรอบ หนังสือเฉพาะตัว แต่มีเป้าหมายที่จะมาอ่านหนังสือที่ ห้องสมุดเนติฯ หากวันไหน
เวลาในการอ่านหนังสือและสถิติที่เราต้องทาให้ถึงเป้าในแต่ละวันอยู่ หากใช้เวลา ผมจะไปอ่านหนังสือผมก็มักจะไปเช้าหน่อยและจะจองที่นั่งสักโต๊ะใหญ่ เพื่อให้
ถกเถียงกันต่อไป และไม่รู้ว่าจะยืดเยื้อไปนานเพียงใด ย่อมไม่เป็นประโยชน์ต่อ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่อ่านหนังสือด้วยกันประจา แม้กระทั่งรุ่นน้องที่ขอความช่วยเหลือ
เวลาพัก รวมไปถึงอาจกินเวลาอ่านหนังสือของเราโดยเสียเปล่าอีกด้วย การตัด มาล่วงหน้าก็ทาให้ได้มีที่นั่งอ่านหนังสือกัน แต่กระนั้นผมก็จะไม่เบียดเบียนคนอื่น
จนเกินไป หากเพื่อนพี่น้องคนไหนมาสายจนเกินไป หรือติดต่อไม่ได้เกินเวลา บทที่ ๙ เป็นผู้ที่มี “ปิยวาจา”
สมควร เมื่อดูสถานการณ์แล้วว่าวันนั้นมีคนมีใช้ห้องสมุดจานวนมาก และที่นั่งจะ
“ปิยวาจา” คือ วาจาเป็นที่รัก วาจาดูดดื่มน้าใจ หรือวาจาซาบซึ้งใจ คือ
ไม่เพียงพอ ผมก็จะปล่อยที่นั่งนั้นไปเสีย ให้ผู้ที่มาแล้วได้มีโอกาสนั่งอ่าน ซึ่งเพื่อน
กล่าวคาสุภาพไพเราะอ่อนหวานสมานสามัคคี ให้เกิดไมตรีและความรักใคร่นับ
พี่น้องที่มาสายจนเกินไปก็จะเข้าใจผมดี แต่สุดท้ายเมื่อเขามาถึงก็ จะช่วยหาที่นั่ง
ถือ ตลอดถึงคาแสดงประโยชน์ประกอบด้วยเหตุผลเป็นหลักฐานจูงใจให้นิยมยอม
ให้อ่านหนังสือจนได้ ซึ่งสาหรับเพื่อนพี่หรือน้องที่มาตรงเวลาหรือไม่สายมาก ก็จะ
ตาม จากความหมายของหัวเรื่องที่อยากจะแนะนาอีกประการสาคัญข้อหนึ่ง
มีที่อ่านอย่างสบายใจ สิ่งนี้ทาให้ผมคิดว่าวันหนึ่ง ตัวเองก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
ผู้เขียนเพิ่งคิดเสริมขึ้นได้ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ ๑ นี้ เพราะเห็นว่าน่าจะเป็น
แล้ว การทาตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่บ่อยๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทาให้เกิด
ประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของเราอย่างมากในช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีการ
พลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปในแต่ละวัน ได้เป็นอย่างดี ผมยังหวนคิดขึ้นมาอยู่ใน
สื่อสารได้ก้าวหน้าไปไกลอย่างรวดเร็ว และผู้ เขียนก็ใช้ ห ลักปฏิบัติตนข้อนี้มา
บางครั้งว่า หลังจากที่ผมสอบผ่านมาแล้ว ไม่ได้กลับไปใช้บริการที่ห้องสมุดเนติ
ตลอดในทุ ก สถานการณ์ ที่ มี โ อกาสสนทนากั บ ผู้ อื่ น ปั จ จุ บั น คนเราสามารถ
บัณฑิตอีก พวกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะเป็นเช่นไรหนอ...แต่สุดท้ายทุกคนก็คงต้อง
ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย ไม่จาเป็นต้องไปพบปะกันตรงๆ อีกต่อไปแล้ว
ต่อสู้ฝ่าฟันกันต่อไป.
ดังนั้น การใช้ชีวิ ตของเราจะมีโ อกาสได้ พบปะสนทนากับผู้ อื่นได้มากขึ้นและ
หลากหลายช่องทางขึ้น ข้อสาคัญหนึ่ งอันเป็นหัวใจแห่งการสื่อสารที่พึงระลึกไว้
ให้มีระหว่างสนทนาเสมอๆ นั่นก็คือ “ปิยวาจา” นั่นเอง ผมคิดว่าข้อนี้เป็นสิ่งที่
ช่ว ยจรรโลงสั งคมให้ อยู่ร่วมกันอย่างสงบเลยทีเดียว ผมมีความเชื่อว่า สาเหตุ
สาคัญอันเป็นต้นเหตุที่คนเราจะเริ่มสื่อสารกัน นั่นก็คือการหวังจะพึ่งพาอาศัยกัน
นั่นเอง เพราะเหตุที่มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถดารงชีพอยู่ด้วยลาพัง
อย่างแน่นอน จึงต้องเกิดมีการพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เมื่อมีผู้ให้ก็ต้องมีผู้รับ มีผู้รับก็
ต้องมีผู้ให้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่หวังพึ่งพาเขา หรือถูก
“จงทาดีกับทุกคนระหว่างที่คุณปีนขึ้นที่สูง เขาพึ่งพาไหว้วาน ผมเห็นว่าก็ควรจะมีปิยวาจาต่อกัน ทั้งสิ้น หากมีได้ทั้งสองฝ่าย
เพราะคุณจะต้องเจอกับพวกเขาอีกครั้งถ้าคุณลงมา” Cr.ตุ๊กกี้ ตลก ๖ ฉาก
https://trang82.wordpress.com
เช่นนี้ เชื่อว่าการสื่อสารครั้งนั้นย่อมจะเป็นไปอย่างราบรื่น สวยงาม เข้าใจซึ่งกัน ทั้งการมีปิยวาจามีรอยยิ้มอัธยาศัยไมตรีต่อผู้อื่นเช่นนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเป็น
และกัน ไม่เกิดข้อขัดแย้งบาดหมางกันเป็นแน่แท้ ยิ่งเป็นสายงานกฎหมายอย่าง การทากุศลกรรมประจาวันอย่างหนึ่งครับ ผมเห็นว่าการทากุศลของเรามีได้หลาย
เราๆ แล้ว บางครั้งอาจเครียดจากการอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วงมาทั้งวันแล้ว รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทาบุญ การให้ทาน การแบ่งปันต่างๆ แต่สิ่งที่เราสามารถ
เมื่อไปพบพูดคุยกับผู้อื่นอาจใช้อารมณ์โดยไม่รู้ตัว ซึ่งต้องระวังอย่างมาก “การ ทาได้ง่ายๆ ในชีวิตประจาวัน ซึ่งหลายท่านอาจมองข้าม ผู้เขียนอยากจะแนะนา
สร้างมิตรไว้ดีกว่าสร้างศัตรู” ครับ เพียงการเริ่มต้นด้วยทักทายด้วยอัธยาศัยและ การแบ่งปัน “รอยยิ้ม” ให้ผู้อื่นนั่นเอง การสร้างรอยยิ้มในแต่ละครั้งไม่ใช่เป็นการ
การยิ้มแย้มให้กันอย่างจริงใจผมว่าไม่เสียหายหรือเหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย หาก ยากเหมือนที่หลายท่านเข้าใจกันเลย เพียงแค่เราทาให้เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ
จะมีอะไรต้องหวังพึ่งผู้อื่น เช่น จะสอบถามปัญหาข้อกฎหมายหรือไหว้วานให้ช่วย ของเราก่อนแล้วส่งออกมาสู่ภายนอกผ่านใบหน้าเท่านั้นเองครับ ดังนั้น การจะ
ค้นคว้าประเด็นใด หากเป็นผู้เขียนก็จะดูสถานการณ์และจังหวะอันเหมาะสม ทั้ง สร้างความรอยยิ้มและความสุ ข ให้ แก่ผู้ อื่น จึงต้องเริ่มสร้างจากภายในตัว เรา
การเอาใจเขาใส่ใจเราด้วยว่าเขาต้องเร่งอ่านหนังสือหรือมีธุระอย่างอื่นต้องทา นั่นเอง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นผลดีอย่างยิ่ง เมื่อเราหมั่นทาเป็นประจา สามารถ
ก่อนหรือไม่ ส่วนหากเราเป็นฝ่ายที่จะถู กพึ่งพาอาศัย ก็ควรที่จะเปิดใจรับฟังคา สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสุขให้ผู้อื่น ผมคิดว่ากุศลที่ได้รับ ก็ไม่ใกล้ไม่
ขอหรือปัญหาจากผู้อื่นเสียก่อน หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ควรตอบรับและมีความ ไกลตกแก่ตัวเราคือทาให้เรามีความสุขไม่ทุกข์ไปด้วยนั่นเองครับ ผู้เขียนจึงอยาก
รับผิดชอบตามที่เรารับปากไว้ แต่หากเหนือบ่ากว่าแรง ก็หาถ้อยคาปฏิเสธอย่าง ขอชื่นชมท่านผู้ที่คอยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขให้แก่ผู้อื่นโดยที่ไม่
นุ่มนวล ไม่ให้เสียน้าใจกัน เชื่อว่าเพียงเท่านี้ท่านก็ สามารถมีปิยวาจาต่อเพื่อน คิดหวังสิ่งใดตอบแทนเสมอมา ขอยกย่องท่านจริงๆ ครับ นอกจากท่านจะทาให้
ร่วมทางร่วมอุดมการณ์เดียวกันแล้ว ครับ ร่วมอุดมการณ์เดียวกันกล่าวคือ เรามี ตัวเราและผู้คนรอบข้างมีความสุขสนุกสนานแล้วยังส่งผลให้ สังคมน่าอยู่ ไปอีก
จุดหมายปลายทางอย่างเดีย วกัน คือ การสอบจนได้ทางานตามที่ใฝ่ฝั นเพื่อมา ด้วยครับ ถือว่าท่านทาแต่กุศลที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ขอยกย่องครับ ง่ายๆ ที่ปฏิบัติ
ช่วยเหลือประชาชนผู้มีอรรถคดีกับสามารถพัฒนาสังคมและประเทศชาติของเรา ได้โดยทั่วกัน เพียงแค่ส่ง “รอยยิ้ม” ให้กันเท่านั้นก็พอครับ ผู้เขียนจึงอยากจะตั้ง
ให้เจริญก้าวหน้าต่อไปได้อันถือเป็นการได้ตอบแทนคุณแผ่ นดินที่เป็นเป้าหมาย เป็นข้อแนะนาในเรื่องนี้ไว้ประการหนึ่งด้วยครับ.
ปลายทางของพวกเราชาวนักกฎหมายนั่นเองครับ ดีกว่าการปล่อยตัวปล่อยใจใช้
อารมณ์หรือความคิดไม่ดีไปในการสื่อสาร ย่อมจะไม่เป็นผลดีต่อคู่สนทนารวมถึง
ตัวเราเป็นแน่ และผลที่ตามมาคงจะได้ศัตรูยิ่งกว่ามิตร ชีวิตไม่มีความสุขหรอก
ครับ
"รอยยิ้ม" เปรียบเสมือน “กุญแจ” ที่สามารถ “เปิดหัวใจ”ของทุกคนได้.
บทที่ ๑๐ ฝึกเป็นนักคิดตลอดเวลา ทนายความ ซึ่งขณะนั้นอายุงานยังไม่ครบที่จะมีสิทธิสอบ ผมจึงยังไม่มีแผนการ
เตรียมตัวสอบในขั้นต่อไปอย่างชัดเจน ผมมักจะใช้เวลาว่างขบคิดไปเรื่อยๆ ไม่ว่า
ผมมักจะเป็นคนชอบขบคิด หรือวิเคราะห์ และชอบค้นคว้า หาคาตอบ
จะเป็นช่วงพักสมองระหว่างทางาน หรือระหว่างนั่งรถเมล์เดินทางไปทางานหรือ
ปั ญ หาที่ มั ก มี ผู้ ม าสอบถามอยู่ เ สมอๆ เช่ น การขบคิ ด เปรี ย บเที ย บระหว่ า ง
ไปศาล ผมมีความเชื่อว่า หากเราฝึกสมองให้คิดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ จะทา
หลัก การยึดถือตั วทรั พย์กับการยึดถือเอกสาร ตามฎีกาที่ ๖๒๓๐/๒๕๕๖
ให้เรามีทักษะการคิดและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วบนพื้นฐานที่มีหลักการมั่นคงได้
สัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ชาระราคาที่ดินแก่จาเลยครบถ้วนแล้ว และจาเลยส่ง
สิ่งที่ผมมักจะนามาใช้ฝึกให้สมองได้ขบคิด เช่น การคานวณค่ารถเมล์ที่เสียไปแต่
มอบการครอบครองแล้ว โจทก์ทาประโยชน์ตลอดมา เพียงแต่ยังมิได้จดทะเบียน
ละครั้ง การวางแผนการเดินทางก่อนออกสานักงานว่าจะใช้ขนส่งมวลชนทาง
โอน จ าเลยยังมีหนี้ที่จะต้องชาระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่
ใดบ้างจึงจะสามารถถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วและไม่ผิดพลาด หรือขบคิดหลัก
โจทก์เกี่ยวด้วยที่ดินพิพาทซึ่งครองอยู่นั้น โจทก์จึงเป็นผู้ทรงสิ ทธิยึดหน่วงที่ดิน
กฎหมายน่าสนใจทีป่ ระสบพบเจอในการทางานหรือจากการค้นคว้าเพื่อเขียนงาน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๔๑ แม้คดีโจทก์ตามสัญญาจะซื้อ จะขายขาดอายุความ
แล้วพยายามจดสรุปให้ได้จนตกผลึกออกมากับบันทึกย่อลงในสมุดเล่มเล็กๆ ที่ผม
ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ ประกอบมาตรา ๑๙๓/๙ ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิบังคับชาระ
มักจะพกติดตัวประจาดังที่กล่าวมาแล้ว โดยมักจะจดย่อให้สั้นกระชับให้ตนเอง
หนี้ โ ดยเรี ย กให้ จ าเลยจดทะเบี ย นโอนได้ ต าม มาตรา ๑๙๓/๒๗ แต่ ห าก
เข้าใจง่ายที่สุด เช่น ใช้คาย่อ ยกตัวอย่างคาว่า หนังสือ จดเป็น นส., เอกสาร จด
เปรียบเทียบกับกรณีตาม ฎีกาที่ ๒๒๙/๒๕๒๒ การที่ผู้ให้กู้ยึดถือเอกสารสิทธิ
เป็น อส., เอกชน จดเป็น อช., จดสัญญา เป็น ส., ลายมือชื่อ จดเป็น ลายฯ,
เช่น โฉนดที่ดินไว้ สัญญากู้เป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ผูกพันคู่ สัญญา ผู้กู้จะติดตาม
ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จดเป็น ปัญหาเกี่ยวฯ เป็นต้น
เอาคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๖ ไม่ได้จนกว่าจะชาระหนี้ แต่ก็ มิใช่สิทธิยึด
(หมายเหตุ การโน๊ตย่อแบบนี้อาจทาให้คนอื่นมาอ่านของผมมักบ่นว่าเห็นแก่ตัว
หน่วงของเจ้ าหนี้ผู้ ให้ กู้ ดังนั้ น เมื่อหนี้ ขาดอายุความ ลู กหนี้ฟ้องเรียกหนังสื อ
ไปหน่อยเพราะผมอ่านได้คนเดียว^^’) โดยผมมักจะพยายามนึกภาพไว้ล่วงหน้า
สาคัญคืนจากเจ้าหนี้ได้๗
ด้วยว่า หากเรากลับมาอ่านที่เราจดย่อไว้อีกครั้งจะสามารถเข้าใจและขยายต่อ
การฝึกขบคิดเป็นประจาเมื่อมีเวลาว่างต่างๆ ผมมักจะไม่ปล่อยให้สมอง ยอดความรู้เพิ่มเติมให้กระจ่างต่อไปได้เองก็เป็นพอแล้วครับ การฝึกจดย่อความ
เดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างสูญเวลาเปล่า ประโยชน์ (เพราะเวลาคือสิ่งที่จากไปแล้ว เช่นนั้นจะทาให้สมองเราได้ฝึกความคิดให้กระชับ และผมเชื่อว่าเป็นการฝึกเขียน
ขอให้หวนคืนมาไม่ได้) โดยขอยกตัวอย่างช่วงระหว่างที่ผมยังทางานประจาเป็น ให้สมองสัมพันธ์กับมือไปในตัว ซึ่งเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ เชื่อว่าจะทาให้ส่งผลต่อ
การใช้ความเร็วในการเขียนตอบข้อสอบขณะอยู่ในห้องสอบ เพราะเมื่อเจอกับ
๗
หนังสือคาพิพากษาศาลฎีกา ของสานักงานศาลยุติธรรม ปี ๒๕๕๖ เล่ม ๓
ข้อสอบแล้วสมองของเราทีช่ อบคิดชอบวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเป็นประจา บทที่ ๑๑ การสร้างความรู้สึกส่วนตัว
ก็จะทาการประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว แล้วส่งข้อมูลมายังมื อให้เราจรดปากกา
ก่อนการสอบในแต่ละครั้ง ซึ่งผมมักจะรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เกิดความ
เขียนไปได้อย่างสอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว ไม่ติดขัด ทั้งยังจะทาให้สมอง
กระอั ก กระอ่ ว นใจอย่ า งมาก ตั้ ง แต่ ผ มเรี ย นชั้ น ปริ ญ ญาตรี ม าแล้ ว ผมมั ก จะ
ไม่เกิดอาการล้าง่าย หมดปัญหาที่หลายคนชอบบ่นว่า “พอเจอข้อสอบเขียนไม่
แก้ปัญหาความไม่สบายใจหรืออาจจะเกิดจากความตื่นเต้นนี้ โดยการคิดแว้บเข้า
ออก” ได้เลยทีเดียวครับ.
มาในหัวก่อนสอบทุกครั้งว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” แล้วนึกถึงความหอมหวนของ
การจะได้พักผ่อน จะได้ท่องเที่ยว และจะได้ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยหลังสอบ
เสร็จ จากนั้นจึงมีความคิดต่อไปว่า “หากเราทาตรงนี้ให้ดีที่สุดแล้ว ผลมันย่อมจะ
ออกมาดี เ ป็ น อย่ า งแน่ น อน การพั ก ผ่ อ นของเราก็ จ ะเป็ น ไปอย่ า งสบายใจดี
ความสุขตามไปด้วย” ดังนั้น ความคิดสั้นๆ ดังกล่าวจึงส่งผลต่อการเข้าสอบในแต่
ละครั้งของผมจะก่อให้เกิดการลงมือทาอย่างตั้งใจสุดความสามารถทุกครั้ง จะใส่
ใจในทุกรายละเอียดของคาถามและคาตอบทุกระเบียดนิ้วมากที่สุดเท่าที่จะทาได้
ณ เวลานั้น เช่น ประณีต ตั้งแต่ การเลื อกใช้ถ้อยคากฎหมายมาวางหลั ก และ
วินิจฉัยอย่างรัดกุม จุดไหนที่ประเมินสถานการณ์ความรู้ในขณะนั้นแล้วไม่มั่นใจก็
ไม่ควรเสี่ยงเขียนไป หรือใช้คาเลี่ยงไปให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางไว้ก่อน ซึ่งการ
ตอบจะต้องระมัดระวังให้อยู่ในการขอบเขตของเนื้อหาของคาถามเป็นอย่างยิ่ง
จะต้องไม่ตอบแบบสองแง่สองง่าม หรือเหยียบเรือสองแคมเป็นอันขาด เมื่อ เรา
อ่านหนังสือมากว่าหลายเดือนแล้วจะต้องไม่เหนื่อยเปล่า และคิดไว้เพียงว่าเรา
เหนื่อยครั้งนี้เป็นครั้งเดียวก็พอแล้ว จนเมื่อสอบเสร็จแต่ละครั้ง ผมจะรู้สึกว่าผม
ทาจนหมดเรี่ยวแรงถึงกับลุกออกจากเก้าอี้นั่งสอบไม่ได้สักพักเลยทีเดียว ต้องให้
เพื่อนๆ ออกจากห้องสอบไปหมดก่อนหรืออาจารย์มาไล่ ผมจึงจะลุกกลับบ้าน
และเมื่อลงจากห้องสอบมาเพื่อนมักจะถามผมว่า “ทาได้ไหม?” ซึ่งสิ่งเดียวที่ผม
ตอบได้หลังพาตัวออกจากห้องสอบได้ทุกครั้งก็คือข้อความที่ว่า “ไม่แน่ใจ ทาไม่ บทที่ ๑๒ หมั่นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ
ค่อยได้” นั่นเอง (เพื่อนๆ หลายคนอาจได้ฟังแล้วค่อนข้างจะไม่พอใจในคาตอบ
บทนี้ผู้เขียนอยากจะขอแนะนาเป็นเกร็ดเล็กๆ ในการใช้ชีวิตในแบบฉบับ
ของผม แต่เป็นความจริ งเช่นนั้นจริงๆ ครับ เพราะเนื่องจาก ณ ตอนนั้นจะจา
ของผู้เขียนเอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการพัฒนาตนเองอย่างไม่
ไม่ได้แล้ ว ว่า ตนเองเขีย นตอบอะไรไปบ้าง) แต่แล้ วผลสอบออกมาแต่ละครั้งก็
หยุดยั้ ง นั่น เอง ยิ่ง สมัย นี้มีแ บบอย่างดีๆ หรือ ตัว อย่างผู้ ประสบความส าเร็จ ที่
เป็นไปตามคาดหมายเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ “เราได้พักผ่อนอย่างมีความสุขและ
เริ่มต้นตั้งแต่ติดลบจนสามารถประสบความสาเร็จในชีวิต ให้เราศึกษาติดตามได้
เต็มที่เสียที”
อย่ า งหลากหลายและสะดวกทางสื่ อ สั ง คมออนไลน์ ณ ปั จ จุ บั น ผู้ ที่ ป ระสบ
ความสาเร็จในชีวิตมีหลากหลายด้านมากมาย เช่น ด้านการสอบข้าราชการสนาม
ต่างๆ ด้านนักพูด หรือด้านนักธุรกิจ เป็นต้น บุคคลต่างๆ เหล่านั้น ผู้เขี ยนคิดว่า
เราสามารถน าภู มิ ค วามรู้ แ ละประสบการณ์ ก ารลองผิ ด ลองถู ก จากพวกเขา
เหล่านั้นมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้ โดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงลองผิดลองถูกเอง แม้น
ท่ า นใดจะคิ ด ว่ า ตอนนี้ ก็ ป ระสบความส าเร็ จ แล้ ว แต่ เ ราก็ ยั ง จะสามารถ
วางเป้าหมายใหม่ๆ ที่ท้าทายยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อให้เราได้ลองฟันฝ่าขั้นกว่าไปได้อีกไม่
มีวันหยุดยั้ง อันจะทาให้ชีวิตไม่น่าเบื่อ หน่ายและหยุดอยู่กับที่นั่นเอง ทั้งบางที
เราอาจจะไปค้นพบว่า การใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นมุมที่เรายังไม่เคยประสบพบ
เจอหรือลองทาในชีวิตมาก่อนเลย ซึง่ จะเป็นความรู้ใหม่สาหรับเราเลยก็เป็นได้.
● ● ●
ไม่ต้องเสียเวลามาคิดสร้างใหม่แต่อย่างใด รวมไปถึงการหาค้นอ่านแนวทางต่างๆ ให้จบภายใน ๔ ปี เพื่อคุณพ่อคุณแม่สบายใจ และจะต้องทาเกรดเฉลี่ยให้ผ่าน
จากอิน เตอร์ เน็ ตทางเว็บ ไซต์ ช่วยค้นที่เรารู้จักกันดี ชื่อว่า “กูเกิ้ล” นั่นเอง ซึ่ง เกณฑ์ ๓.๒๕ ขึ้นไปไว้ก่อนเพื่อที่จะได้รักษาทุนเรียนฟรีค่าหน่วยกิต ไปตลอดทุก
เดี๋ยวนี้มีให้ศึกษากันหลากหลายมากมายเลยครับ เทอมดังที่กล่าวมาข้างต้น หากรักษาเกรดเฉลี่ยได้เช่นนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระทาง
บ้านได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามหาวิทยาลัยเอกชนจะ
ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ผลการเรียนในชั้นมัธ ยมของผมไม่ได้ดีเลิ ศ
มีค่าเทอมที่ไม่ธรรมดา ทั้งจะยังช่วยให้ทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วงในการใช้ชีวิตของ
ประเสริฐอะไร ซ้ายังเคยไปสอบตรงที่คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมมากนัก เพราะยังเห็นว่าผมสามารถประคับประคองตัวให้อยู่ในร่องในรอยไม่
กับเพื่อนๆ ถึงกรุงเทพฯ อีกด้วย แต่ก็ไม่มีชื่อติดกับเขาเลย จึงต้องทาใจหาเรียน
ออกนอกลู่นอกทางได้สม่าเสมอดี ดังนั้นแผนการใช้ชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัยของ
กฎหมายในมหาวิทยาลัยแถวจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น ซึ่งภายหลังจากนั้น เพื่อนๆ
ผมก็จะมีห ลักๆ ก็แต่เ พียงแบ่งเวลาให้เ หมะสมเท่านั้น หาความสมดุล ให้ไ ด้
ก็แนะนาให้ใช้เกรดเฉลี่ยรวมของมัธยมปลายไปสมัครทุนตรงกับคณะนิติศาสตร์
ระหว่างการเรียนและทากิจกรรมรวมถึงการไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้าง ผมจะยึด
มหาวิทยาลัยพายัพ ระหว่างที่ยังไม่ทราบผล ผมก็สอบ O-net A-net จนผลสอบ
หลักอย่างหนึ่งไว้ก่อนว่า ไม่ว่าจะกลับมาดึกแค่ไหนก็จะต้องเข้าเรียนให้ครบ
ออกมา เมื่อคานวณคะแนนในคณะนิติศาสตร์ได้เพียงหกพันต้นๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่
ตามเกณฑ์ เพราะเนื่องจากคณะของผมจะมีเกณฑ์การเข้าเรียนอยู่ว่า ไม่ให้ต่าว่า
ถึงเกณฑ์คะแนนของปีล่าสุดของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยซ้า
ร้อยละ ๘๐ ของจานวนครั้งที่มีการเรียนการสอนทั้งหมดในแต่ละวิชา หากวิชา
ภายหลังจากนั้น ยังมีใจชื้นขึ้นมาสักหน่อย ผมก็มีชื่ อติดผู้ได้ทุนเรียนฟรีค่าหน่วย
ไหนเข้าเรียนไม่ถึงร้อยละ ๘๐ จะหมดสิทธิสอบปลายภาคในวิช านั้นทันที ซึ่ง
กิตทุกวิชาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า ระหว่าง
อาจารย์ทุกท่านจะเข้มงวดในกฎนี้อย่างมาก นักศึกษาจะไม่สามารถต่อรองได้เลย
เรียนจะต้องทาเกรดปีละไม่ต่ากว่า ๓.๒๕ ถึงจะได้ทุนเรียนฟรีค่าหน่วยกิตในชั้นปี
หากเรีย นไม่ครบแล้ ว มีท างเดีย วคือ รอติด ๐ หรือ ดล็ อปเรีย นวิช านั้ นไปเลย
ต่อไปด้วย มิเช่นนั้นถือว่าหมดสิทธิ์ทันที ในชั้นเรียนปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ที่
เท่านั้นครับ ซึ่งจะทาให้ จบการศึกษาล่าช้าไปอีกได้ ผมคิดว่าหากเป็นเช่นนั้น จะ
มหาวิทยาลัยพายัพ ซึง่ ตั้งอยู่จังหวัดเชียงใหม่ ผมจะยังไม่ค่อยมีหลักการเตรียมตัว
ทาให้ผ มเรียนไม่จบภายใน ๔ ปี อย่างแน่นอน ผมจึงตั้งปณิธ านไว้ ในใจตั้งแต่
สอบและการเข้าเรียนอะไรมาก เพราะยังถือว่าเป็นช่วงวัยรุ่นอยู่ เพิ่งจะออกห่าง
เริ่มต้นว่า หากวันไหนไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนหรือทากิจกรรมของคณะหรือของ
จากอ้อมกอดอันอบอุ่นของครอบครัว มาเริ่มใช้ชีวิตเด็กหอในอาเภอเมืองระยะ
มหาวิทยาลัยไม่ว่าจะกลับดึกแค่ไหนก็ต้องตื่นไปเรียนให้ทันให้จงได้ แม้จะหลับใน
ยาวเป็นครั้งแรก การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ก็อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย และอยู่เพื่อนๆ จึง
ห้องบ้างแต่ขอให้พอมีเนื้อหาความรู้ติดหัวกลับมาเพื่อนามาต่อยอดอ่านทบทวน
เป็นช่วงเวลาที่ค่อยๆ เก็บประสบการณ์ชีวิต โดดเดี่ยวบ้าง อยู่กับก๊วนเพื่อนสนิท
ต่อไปได้ก็ยังดีครับ
บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ละทิ้งเป้าหมายสาคัญที่ยึดมั่นไว้ใจมาตลอด คือ เรียน
การเรียนของผมนั้ นผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทาให้ ควบคู่ไปกับการทา การคบเพื่อน
กิจกรรมของคณะและมหาวิทยาลัยด้วย เห็นอย่างนี้ผมขอคุย (โม้) หน่อยว่า ผม
ผมปฏิเสธคากล่าวที่ว่า “คนเราจะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้” จริงๆ ถึงแม้ผมจะ
เคยได้รับตาแหน่งสาคัญๆ หลายอย่างของทางสโมสรนักศึกษาคณะนิติศาสตร์
ตั้งใจเรียนแค่ไหน เนื่องจากขาดจากอ้อมอกพ่อแม่ม าใหม่ๆ ยังเครื่องร้อนอยู่ก็
อาทิ ได้รับแต่งตั้งพี่เลี้ยงกลุ่มในการรับน้องปี ๑ ตั้งแต่เรียนชั้นปี ๒ เป็นประธาน
หวังจะเรียนจบให้เร็วที่สุดเพื่อความภูมิใจของทางบ้าน แต่ผมก็ยังโชคดีที่ได้พบ
ฝ่ายดนตรี ในชั้นปี ๓ ควบคู่กับเป็น รองประธานชมรมมโหรีนิติศาสตร์ ซึ่งเป็น
เจอกับเหล่าเพื่อนที่คณะ ซึ่งพวกเราจะตั้งชื่อเรียกกันเท่ๆ ว่า “แก๊งสายลม” ชื่อนี้
ชมรมเกี่ ย วกั บ การรวมตั ว ของนั ก ศึ ก ษาที่ ส นใจทางด้ า นดนตรี และมี ก ารจั ด
ได้มาเพราะเพื่อนในแก๊งคนหนึ่งเป็นคนชอบพูดชอบเจรจา ซึ่งศัพท์ทางเหนือของ
ประกวดการแสดงดนตรีประจาทุกๆ ปี และสุดท้ายได้รับตาแหน่งเป็นรองนายก
คนพูดเก่ง ก็คือ “ขี้ลม” และเพื่อนคนอื่นๆ ก็เป็นคนชอบพูดชอบเจรจากันไม่
สโมสรนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ (ซึ่งผมมักจะภาคภูมิใจใน
ยอมแพ้กันเลยครับ หลังเลิกเรียนมักจะรวมตัวกันใต้ตึกคณะ นั่งสนทนา ช่วยกัน
ตาแหน่งที่ผมได้รับมากกว่า ผลการเรียนของผมเสียอีก ฮ่าๆๆ) ตาแหน่งสุดท้ายนี้
เตรียมงานกิจกรรมของคณะหรือชมรมที่จะจัดมีขึ้นเวลาอันใกล้บ้าง หรือนั่งเล่น
ผมรู้สึ กว่าเหนื่ อยมากๆ เพราะในตอนใกล้จบการศึกษาจะต้องจัดทารวบรวม
กีตาร์ร้องเพลงกันบ้าง มีบางครั้งที่นั่งจับกลุ่มคุ ยกันใต้อาคารคณะเสียงดังอย่าง
เอกสารการประเมินงานของคณะนิติศาสตร์ ซึ่งผมกับทีมงานต้องช่วยกันทาอด
มาก จนเพื่ อ นๆ คนอื่ น รวมทั้ ง อาจารย์ ต้ อ งมาตั ก เตื อ น กลุ่ ม พวกผมจะมี กั น
หลับอดนอนเป็นแรมเดือนเลยทีเดียวครับ ซึ่งต้องแบ่งเวลาทาในช่วงใกล้สอบ
ทั้งหมดประมาณ ๑๐ กว่าคน ซึ่งตอนปีหนึ่งก็จะมีเยอะอยู่ แต่พอขึ้นชั้นปีที่ ๒ มา
ปลายภาค (ลองคิดดูครับเป็นช่วงที่บีบหัวใจอย่างมาก เพราะเป็นปีที่ลุ้นใกล้จะ
ก็จะเริ่มย้ายคณะหรือย้ายมหาวิทยาลัยกันไปบ้าง แต่จนจบชั้นปีที่ ๔ ก็จะยังคง
จบซะด้ ว ย!!) แต่ ผ ลประเมิน คณะก็ผ่ านพ้ นไปด้ ว ยดี ท าให้ คณะได้รับ คะแนน
รวบตัวกันถึง ๑๐ คนอยู่ และตลอดช่วงเวลาที่เรียนด้วยกัน ๔ ปี ก็จะจับกลุ่มกัน
ประเมินอยู่ในเกณฑ์ด้วยเสียด้วยครับ (ผมภูมิใจผลงานชิ้นนี้อย่างมาก หาย
อย่างเหนียวแน่นลงเรียนแต่ละวิชาใน Section เดียวกันตลอด ทาให้เกิดการ
เหนื่อยเลยครับ^^’) จากการแบ่งเวลาอ่านหนังสือควบคู่ไปกับการทากิจกรรม
แลกเปลี่ยนความรู้และนัดกันอ่านหนังสือร่วมกัน ซึ่งก๊วนพวกผมเรียกได้ว่าจะเป็น
โดยผมจะตั้งเป้าอ่านให้จบทันก่อนสอบอย่างน้อยวิชาละ ๑ เล่ม (ที่เลือกตั้งแต่
กลุ่มผู้ดาเนินการหลักในจัดกิจกรรมต่างๆ ของคณะเลยก็ว่ าได้ แม้ว่าเพื่อนแต่ละ
ต้นเทอมแล้วว่าวิชานี้เล่มไหนจะอ่านรู้เรื่องมากที่สุด ) ควบคู่ไปกับฝึกทาข้อสอบ
คนจะอยู่คนละชมรม ความชอบเฉพาะแตกต่างกันไป แต่หากจะต้องมีการจัด
เก่ า ทั้ง ของคณะรวมรวมและตัว อย่ า งที่ สั่ ง ซื้ อจากร้า นแถวหน้ า มหาวิ ทยาลั ย
กิจกรรมอะไร พวกเราก็จะรวมตัวช่วยเหลือร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ผลงาน
รามคาแหง เป็ น ต้น เท่านี้ผ มก็ส ามารถดาเนินการให้ บรรลุ เป้าหมายดังกล่ าว
ได้ อ ย่ า งเหนี ย วแน่ น ตลอด เป็ น สิ่ ง หนึ่ ง ที่ ป ระทั บ ใจอย่ า งยิ่ ง ในชี วิ ต รั้ ว
ข้างต้นได้อย่างรอดปลอดภัยไร้กังวลจากครอบครัวแล้วครับ
มหาวิทยาลัยของผมมาจนถึงในทุกวันนี้ ที่หากได้นั่งหวนย้อนคิดถึงคราใด ผมดี
ใจที่ได้เจอเพื่อนแท้กลุ่มนี้อย่างมาก เพื่อนกลุ่มนี้ แม้จะเป็นคนชอบสังสรรค์สัก
หน่อย แต่ก็ไม่เคยบังคับฝืนใจให้ผมต้องไปด้วยเสมอ แม้จะไปด้วยก็ไม่บังคับให้
อยู่ต่อยาวจนเสียการเรียน ทั้งยังจะคอยดูแลช่วยเหลือกัน พากันให้ได้กลับที่พัก
อย่างปลอดภัยทุกครั้ง และจะคอยไต่ถามความเป็นอยู่ถึงกันระหว่างเรียนอยู่ทุก
ครั้งเสมอมา ยังมักจะคอยชวนกันทากิจกรรมดีๆ อย่างสร้างสรรค์ เช่น ขึ้นค่าย
อาสาไปทากิจกรรมเป็นประโยชน์ต่างๆ ดังเช่นที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ทาให้พวก
เราได้มีโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุขจึงรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างเหนียวแน่นตลอดมา
จนมาถึงวันนี้ทตี่ ่างคนต่างแยกย้ายไปทางานราชการและเอกชนตามจังหวัดต่างๆ
ก็ยังคอยติดต่อไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบกันอยู่เสมอมา
ความสาคัญของการทากิจกรรม
ผมขอกล่ า วไว้ ณ ที่ นี้ เ ลยว่ า สิ่ ง ส าคั ญ อย่ า งหนึ่ ง ที่ ท าให้ ผ มอยู่ ร อด
ปลอดภัยกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมาจนถึงวันนี้ได้ ก็เนื่องด้วยการเข้าร่วม
ทากิจกรรมของคณะและทางมหาวิทยาลั ย อยู่ เสมอมา ใช่แล้ ว ครับ กิ จกรรม
สามารถทาให้เราเกิดการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีปกติสุข เสริมสร้าง
ทักษะมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่นได้ ผมจึงคิดว่ากิจกรรมมีส่วนอย่างยิ่งในการนาไป
ปรับการใช้ชีวิตผมตั้งแต่ปริญญาตรี และนาไปใช้ต่อในการฝึกงานในหน่วยงาน
ราชการทางกฎหมายเมื่อครั้งที่ผมอยู่ชั้นปีที่ ๔ นั่นก็คือ สานักงานอัยการจังหวัด
เชียงใหม่ ต่อมาก็ปรับใช้กับการเรียนเนติบัณฑิต และท้ายที่สุดคือชีวิตการทางาน
รวมถึงการรับราชการในปัจจุบัน เพราะกิจกรรมทาให้เราเรียนรู้ ถึงการ “ใจเขา
ใจเรา” ทาให้เรามีทัศนคติที่ดีต่องานและต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ตึงหรือหย่อนกับ
หลักเกณฑ์และหลักการจนเกินไป รวมถึงทาให้เรามีภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคงและ
พร้อมที่จะแก้ปัญหาอุปสรรคที่มักจะเข้ามาในทุกย่างก้าวของชีวิตได้ทุกเมื่อ ผม
จึงมีความกล้าที่จะก้าวผ่านความกลัวและความอายไปเสนอตัวกับรุ่นพี่หรือกับ
อาจารย์ทากิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานกีฬาชั้นปี ๑ งานกีฬามหาวิทยาลัย
งานประกวดดนตรีภายในคณะ งานค่ายนักกฎหมายรุ่นใหม่ จนกระทั่งงานค่าย
อาสาพัฒนาและเผยแพร่กฎหมาย ปีละ ๑ ครั้ง ที่ทาให้ผมได้เรียนรู้ถึงคาว่า “จิต
อาสา” ซึ่งผมไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาดังกล่าวทุกครั้ง จน ๒ ปีหลัง ผมได้รับ
ความไว้วางใจได้รับแต่งตั้งจากคณะทางานให้เป็นประธานฝ่ายเผยแพร่กฎหมาย
ผมมีความภาคภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้อย่างมากที่ได้ร่วมกับทีมงานจัดทาเอกสาร
ภาพการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนทากิจกรรมต่างๆ และสื่อการเผยแพร่กฎหมายต่างๆ ที่ชาวบ้านควรรู้อย่างร่วมมือร่วมใจกันแข็งขัน
ซึ่ง ค่ า ยอาสาฯ ที่ ว่า นี้ มั กจะไปท ากิ จ กรรมกั น ที่ โ รงเรีย นในพื้ น ที่ ห่ า งไกลและ ร่วมทากิจกรรมกันอย่างสนุกสนานกันอย่างยิ่งในแต่ละครั้งนั้น ยากเย็นแสนเข็น
ทุรกันดาร โดยจะต้องไปกินนอนบนเขาเป็นเวลา ๗ ถึง ๘ วัน เลยทีเดียวครับ เพียงใดก็เมื่อได้เข้าประชุม ร่ว มระดมความคิด วางแผนการดาเนินงานในทุกๆ
สัปดาห์ตลอดภาคเรียนนี้เอง ซึ่งจะต้องสละเวลาส่วนตัวเพื่อโครงการนี้ไปมาก
กิจกรรมหนึ่งที่ผมภูมิใจอยากจะนาเสมออย่างยิ่ง ณ โอกาสนี้เลย ก็คือ
พอสมควร เนื่องจากเราตกลงรับปากอาจารย์และรุ่นพี่ประธานค่ายเสียแล้ว คง
กิ จ กรรม “ค่ า ยอาสาพั ฒ นาและเผยแพร่ ก ฎหมาย” ของคณะนิ ติ ศ าสตร์
จะกลั บคาไม่ได้แล้ ว ซึ่งจะต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือและเข้าเรียนล าบากมาก
มหาวิทยาลัยพายัพ ซึ่งผมไม่เคยพลาดเลยซักปี เลยตลอด ๔ ปี เป็นกิจกรรมที่
กว่าเดิม แต่ก็ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ พอมาถึงเมื่อผมเรียนชั้น ปีที่ ๓ และปีที่ ๔
ทีมงานต้องประชุมวางแผนเตรียมงานกันอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ก่อนออกค่ายอยู่
เราไม่สามารถของบประมาณจากโครงการกระทิงแดงได้อีกเพราะจะต้องมีการ
หลายเดือน โดยจะเริ่มเตรียมงานล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเปิดเทอมหนึ่ง ซึ่งจะไปออก
หมุนเวียนให้สถาบันอื่นๆ ที่นาเสนอโครงการใหม่ๆ เข้ามาบ้าง เราจึงจาเป็นต้อง
ค่ายก็ประมาณช่วงสิ้นปีที่เป็นช่วงมหาวิทยาลัยจะหยุดยาวคริสมาสในช่วงการ
ออกหางบเองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในช่วงชั้นปีที่ ๓ ผมได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยรุ่นพี่
เรียนเทอมสองแล้ว เหตุที่ต้องประชุมกันแต่เนิ่นๆ กันขนาดนี้ก็เพราะคณะจัดงาน
ประธานค่ายและทีมงานอย่างแข็งขัน ต้องทาหนังสือของบหรือขอวัสดุอุปกรณ์
ต้องเริ่มจากศูนย์เลย คือ เริ่มตั้งแต่การหางบประมาณสนับสนุนเพื่อใช้จ่ายในค่าย
สนับสนุนไปยังสถานที่หรือหน่วยงานต่างๆ รวมไปถึงการเดินกล่องรับบริจาคกัน
และจั ดหาอุป กรณ์ในการก่อสร้ างอาคารอเนกประสงค์ให้กับโรงเรียนที่ คลาด
อย่างแข็งขันตามสถานที่ต่างๆ ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ถนนคนเดิน และตลาดนัด
แคลนจะไปตั้งค่ายกิจกรรม รวมไปถึงการรับบริจาคสิ่งของอุปกรณ์การเรียนไปส่ง
ต่างๆ เป็นต้น จนท้ายที่สุดก็สามารถจัดทาค่ายได้สาเร็จลุล่วงตามความเหมาะสม
มอบต่อให้แก่น้องๆ นักเรียนที่โรงเรียน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงเรียนที่อยู่
กับงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ผมเต็มใจร่วมแรงร่วมใจทากิจกรรมนี้อย่างยิ่ง
ห่ า งไกลและหนทางทุ ร กั น ดารอย่ า งยิ่ ง จึ ง ต้ อ งมี ก ารวางแผนจั ด ท ารายงาน
เพราะค่ายอาสาฯ นี้จะเป็นการไปให้ความช่วยเหลือแก่น้องๆ ผู้ด้อยโอกาสในถิ่น
น าเสนอแผนโครงการต่ อ บริ ษั ท เครื่ อ งดื่ ม กระทิ ง แดงเพื่ อ ของบประมาณ
ทุรกันดารห่างไกล เช่น การก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ การบริจาคสิ่ งของ
สนับสนุนในเบื้องต้น โดยในปีที่ ๑ และปีที่ ๒ เรายังได้รับงบประมาณสนับสนุน
เครื่องใช้จาเป็นและอุปกรณ์การเรียน รวมไปถึง การเผยแพร่ความรู้กฎหมายที่
จากโครงการนี้อยู่ จึงมีงบประมาณเพียงพอในการดาเนิน งานและไม่ต้องเหนื่อย
ประชาชนควรรู้ให้กับคนในชุมชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปพูดคุยให้ความรู้ หรือ
ออกไปหางบเพิ่มเติมจากแหล่งอื่นอีกมากนัก ซึ่งในการร่วมกิจกรรมค่ายอาสาฯ
ตอบข้อซักถาม กับทั้งจัดทาเอกสารทางกฎหมายแจกแก่ชาวบ้านและนักเรียน
นี้ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมในฐานะผู้ร่วมกิจกรรมเมื่ออยู่ชั้นปีที่ ๑ แต่จากนั้นเมื่อจะ
เป็นต้น ซึ่งแน่นอนครับว่าก่อนจะทาโครงการในแต่ล ะครั้ง ทางเราก็จะต้องมี
ขึ้น ชั้น ปี ที่ ๒ ผมก็เริ่มได้รั บเลื อกให้ เข้าร่ วมประชุมเป็นทีมงานฝ่ ายดนตรี และ
ทีมงานอยู่ชุดหนึ่ง ที่จะต้องเดินทางไปส ารวจโรงเรียนที่ห่ างไกลต่างๆ เพื่อหา
สันทนาการบนค่าย จึงทาให้ทราบ ณ ตอนนั้นเลยว่า กว่าจะได้ค่ายอาสาฯ ที่เรา
สถานที่จัดทาค่ายที่เหมาะสม ดังนั้น การจัดทาค่ายอาสาฯ แต่ละครั้งจะต้องใช้
เวลาและความตั้งใจจริงจากทุกฝ่ายอย่างมาก จนท้ายที่สุดค่ายอาสาฯ แต่ละครั้ง
สามารถประสบผลสาเร็จ ไปได้ด้วยดี ได้รับการตอบรับจากประชาชนในชุมชนที่
พวกเราออกไปช่วยเหลืออย่างอบอุ่น อันเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวไผ่
แดง (ชื่อเรียกประจาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ) เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังถือ
ได้ว่าเป็นการทากุศลกรรมอันยิ่งใหญ่อีกด้วยครับ
ดังนี้ ผมจึงต้องการให้ท่านเห็นความสาคัญของการเลือกคบเพื่อนและ
การทากิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ซึ่งสาคัญไม่น้อยไปกับการเรียน จะทาให้เรารู้จักแบ่ง
เวลา การวางแผนอย่างเหมาะสม รู้จักการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การมีน้าใจ
แบ่ ง ปั น อย่ า งจริ ง ใจและการมี ปิ ย วาจา โดยเฉพาะเทคนิ ค การประชุ ม
ปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นใน
การท างานเป็ น ที ม ซึ่ ง เป็ น พื้ น ฐานหลั ก ส าคั ญ ที่ จ ะต่ อ ยอดในการน าไป
ประกอบการดาเนินชีวิตของเราต่อไปในภายภาคหน้าได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ครับ ทั้งยังสามารถนาไปใช้กับการทางานด้านกฎหมายได้อย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะใน
หน้าที่การงานด้านทนายความ พนักงานอัยการ หรือผู้พิพากษาก็ตาม ต่างหนีไม่
พ้นที่จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือระดมความคิดเห็นกันตลอด ซึ่งอาจจะต้อง
พบเจอกับปัญหาที่อาจต้องมีการถกเถียงกันบ้าง หากเรามีทักษะในการควบคุม
ภาวะทางความคิดและอารมณ์ที่ดีต่อผู้อื่นก็จะสามารถรวมพลังสมองกับทีมงาน
แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันได้อย่างราบรื่น ต่างจับมือพากันก้าวไปสู่เป้าหมาย
ปลายทางร่วมกันอย่างสวัสดิภาพ ดังนี้ กิจกรรมจึงเป็นการเสริมเกราะป้องกันตัว
เราเองให้แข็งแกร่งและเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไปได้ครับ.
หมวด ๓ การศึกษาในชั้นเนติบัณฑิต
หากจะกล่าวถึงปฐมบทวิธีการวางแผนการเรียนเนติบัณฑิตของผมอย่าง
แท้จริงแล้ว คงต้องเล่าย้อนไปถึงสมัยเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยพายัพ ทาง
คณะมักจะเรียนเชิญท่านอาจารย์ผู้พิพากษาผู้ทรงคุณวุฒิและประสบการณ์มา
เป็นอาจารย์พิเศษสอนกฎหมายในบางวิชา จากที่เล่ามาในหมวดก่อนนี้ที่ว่า ผม
จะเน้นเข้าเรียนให้ครบตามเกณฑ์เป็นหลัก ซึ่งจะต้องเข้าเรียนทั้งอาจารย์ประจา
และอาจารย์พิเศษด้วย ผมจึงได้มีโอกาสเข้าเรียนวิชากฎหมายล้มละลายกับท่าน
อาจารย์สู่บุญ วุฒิวงศ์ ซึ่งอย่างที่ทราบกันผมสมัยเรียนปริญญาตรี ผมมักจะเป็น
เด็กหลังห้อง แต่อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์มีพลังในการสอนอย่างมาก สไตล์การ
สอนของท่านอาจารย์จะเดินแลกเปลี่ยนความรู้กับนักศึกษาได้อย่างทั่วห้อง จนมี
วัน หนึ่ ง ท่ านเดิ น มาถึง ที่ผ มนั่ ง ท้ า ยห้ อง แล้ ว จ้ องมองผมสั กพั ก หนึ่ ง แล้ ว ก็ น า
เอกสารในที่ท่านถืออยู่ในมือวางให้ผมบนโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ แล้วท่านบอกผมสั้นๆ ว่า
เอาเก็บไว้ศึกษาดู สักวันผมจะต้องได้ใช้แน่นอน ซึ่งเอกสารดังกล่าวคือ “ประกาศ
คณะกรรมการตุลาการ เรื่อง หลักเกณฑ์การตรวจและการให้คะแนนในการสอบ
คัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ และแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งผู้ช่วยผู้
พิพากษาฯ” กับท่านยังได้ฝากข้อคิดหนึ่งซึ่งยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจาของผม
มาจวบจนทุกว่านี้ ท่านได้ให้ข้อคิดไว้ว่า “การจะทาการรบสนามใดให้สาเร็จ
จะต้องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็จะชนะร้อยครั้ง ” (ซึ่ง ณ เวลานั้น ผมไม่รู้เลยว่า
เหตุใดท่านอาจารย์มองเห็นอะไรในตัวผมหนอ ถึงไว้วางใจเลือกจะมอบเอกสาร
ฉบั บนั้ น ให้ ผ มถื อ ไว้ เ พื่อ ไปแจกจ่ า ยให้ เพื่ อ นๆ) นั บได้ ว่า เอกสารฉบับ นั้ น เป็ น
ภาพการร่วมกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาและเผยแพร่กฎหมาย เอกสารที่ผมเริ่มต้นใช้เป็นแนวทางเตรียมตัวสอบตั้งแต่เนติบัณฑิตจนมาถึงผู้ช่วย
ผู้พิพากษาเลยทีเดียวครับ ชอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงมา ณ กล่าวคือ แนวทางการพิจารณาให้คะแนนของกรรมการผู้ตรวจมีอ ยู่ ๘
โอกาสนี้ด้วยครับ ระดับ ได้แก่
(๑) ตอบไม่ถูกธงคาตอบ และเหตุผลใช้ไม่ได้ ให้คะแนน ๐
(๒) ตอบไม่ถูกธงคาตอบ แต่เหตุผลพอฟังได้ ให้คะแนน ๑ - ๒
(๓) ตอบไม่ถูกธงคาตอบ แต่เหตุผลดี ให้คะแนน ๒ - ๔
(๔) ตอบถูกธงคาตอบ แต่เหตุผลใช้ไม่ได้ ให้คะแนน ๐ - ๑
(๕) ตอบถูกธงคาตอบ และเหตุผลพอฟังได้บ้าง ให้คะแนน ๒ - ๕
(๖) ตอบถูกธงคาตอบ และเหตุผลพอใช้ได้ ให้คะแนน ๕ - ๘
(๗) ตอบถูกธงคาตอบ และเหตุผลดี ให้คะแนน ๗ - ๘
(๘) ตอบถูกธงคาตอบ และเหตุผลดีมาก ให้คะแนน ๙ - ๑๐
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า การตอบข้อสอบกฎหมายให้ได้คะแนนดีนั้น จะ
อยู่ทเี่ หตุผลเป็นหลักครับ
หนังสือที่ใช้ศึกษาแนวการเรียนระดับเนติบัณฑิต.
ความล้มเหลวเป็นโอกาสที่เราจะเริ่มต้นอีกครั้ง แต่เป็นการเริ่มต้นอย่างฉลาดกว่าเดิม...
(Henry Ford)
เข้าเรียนและการอ่านหนังสือเราควรจะจับจ้องในเรื่องใดเป็นพิเศษบ้าง เปรียบดัง สรุปเนื้อหา ภาค ๑
เราล่องเรืออยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล เราก็สามารถรู้ได้ว่าทิศทางใด อาญา แพ่ง
จะไปหาฝั่ง ซึ่งผมเห็นว่าหากอยู่ๆ เราลงมืออ่านหนังสือ เช่น คาบรรยายฯ หรือ ข้อ เนื้อหาสาคัญ ข้อ เนื้อหาสาคัญ
จูริสไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ทิศทางความสาคัญ หรือโฟกัสส่วนสาคัญใดๆ แล้ว จะเป็น ๑. การใช้กฎหมายอาญา, อานาจ ๑. ทรัพย์ (บรรพ ๑), ทรัพย์สิน
ในการพิจารณาและพิพากษาใน (บรรพ ๔)
อันตรายอย่างมากในการเรียนเนติบัณฑิตเลยทีเดียวครับ เปรียบเป็นดั่งเรือที่
ราชอาญาจักร, ความผิดต่อเจ้า
ลอยเคว้งกลางมหาสมุทรใหญ่ เราจะหาฝั่งที่จะเทียบจอดไม่เจอสักทีนั่นเอง พนักงาน, ความผิดต่อตาแหน่ง
คาถาม: หลายท่านอาจสงสัยว่าทาไมสองสัปดาห์แรกผมไม่มีคาบรรยาย หน้าที่ราชการ, ความผิดต่อเจ้า
พนักงานในการยุติธรรม,
เนติฯ อ่าน ไม่อ่านของสมัยก่อนหรือ?
ความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ใน
คาตอบ: ต้องขอบอกก่อนเลยครับว่าผมไม่ได้วางแผนการอ่านคา การยุติธรรม
บรรยายเนติฯ ล่วงหน้าหนึ่งหรือสองสมัย มาก่อนที่จะมาเรียนเนติฯ จริงเหมือน ๒. ความรับผิดในทางอาญา, การ ๒. นิติกรรม (บรรพ ๑), สัญญา
+ กระทา, การงดเว้นกระทาการ, (บรรพ ๒)
คนอื่นเขา กล่าวคือ ผมมาเริ่มต้นด้วยการอ่านคาบรรยายเนติฯ ฉบับ ใหม่ล่าสุดใน
๓. เจตนา, ประมาท, พลาด, สาคัญ ๓. หนี้, ลาภมิควรได้, ละเมิด
สมัยที่เริ่มเรียนเนติฯ เลย จึงคิดในใจแล้วว่าการอ่านคาบรรยายเนติฯ คงต้องให้ ผิด, ความสัมพันธ์ระหว่างการ
จบภายในสัปดาห์ละเล่มให้ได้ เหมือนอย่างกับอ่านนิตยสารเลยทีเดียว แต่ความ กระทากับผล, การกระทาโดย
ยากก็คืออ่านแล้วต้องจาและนาไปใช้ตอบข้อสอบได้ ในวันสอบจริงที่จะเกิดขึ้น ป้องกัน, จาเป็น, บันดาลโทสะ,
ในอีก ๔ เดือนข้างหน้านู่นเลย หากอ่านจบในสัปดาห์ละเล่ม จึงจะสามารถอ่าน พยายาม, ตัวการ ผู้ใช้
ครบ ๑๖ เล่ม ทันก่อนวันสอบพอดี ฉะนั้น อย่าลังเล ทาใจครับ อย่างมากสุดผม ผู้สนับสนุน
อ่านคาบรรยายได้แค่รอบเดียวเท่านั้นครับ และเป็นรอบเดียวที่เข้มข้นมากจริงๆ ๔. ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุข ๔. ซื้อขาย, แลกเปลี่ยน, ให้, เช่า
ของประชาชน, ความผิด ทรัพย์, เช่าซื้อ
เมื่อได้สรุปเนื้อหาสาคัญที่จะนาไปใช้ ในการสอบแต่ละวิชาแล้ว อาจทา เกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตราย
ออกมาเป็นรูปร่างให้ดูง่ายๆ ดังนี้ครับ ต่อประชาชน, ความผิดเกี่ยวกับ
เงินตรา, ความผิดเกี่ยวกับดวง
ตรา แสตมป์และตั๋ว, ความผิด ประกอบฯ ต่างๆ
เกี่ยวเอกสาร, ความผิดเกี่ยวกับ ๑๐ กฎหมายปกครอง : พ.ร.บ.จัดตั้ง ๑๐. กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา :
บัตรอิเล็กทรอนิกส์, ความผิด . ศาลปกครองฯ, พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ, พ.ร.บ.
เกี่ยวกับหนังสือเดินทาง, ราชการทางปกครองฯ, พ.ร.บ. สิทธิบัตรฯ, พ.ร.บ.เครื่องหมาย
ความผิดเกี่ยวกับเพศ ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอานาจ การค้าฯ, พ.ร.บ.จัดตั้งศาล
๕. ความผิดเกีย่ วกับชีวิตและ ๕. ยืม, ฝากทรัพย์, ค้าประกัน, หน้าที่ระหว่างศาลฯ ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า
+ ร่างกาย, ความผิดฐานทาให้แท้ง จานอง, จานา, ตัวแทน, ระหว่างประเทศฯ
๖. ลูก, ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก ประกันภัย
คนป่วยเจ็บหรือคนชรา, ๖. ตั๋วเงิน สรุปเนื้อหา ภาค ๒
ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและ วิ.แพ่ง วิ.อาญา
ชื่อเสียง, ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ข้อ เนื้อหาสาคัญ ข้อ เนื้อหาสาคัญ
๗. ภาษี : บุคคลธรรมดา, นิติบุคคล ๗. ห้างหุ้นส่วน, บริษัท ๑. เขตอานาจศาล, อานาจตรวจคา ๑. นิยามศัพท์, ผู้เสียหาย, ผู้มี
, มูลค่าเพิ่ม, ธุรกิจเฉพาะ คู่ความของศาล, การเพิกถอน + อานาจจัดการแทนผู้เสียหาย,
๘. กฎหมายแรงงาน : พ.ร.บ. ๘. ครอบครัวและมรดก กระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, ๒. เขตอานาจสอบสวน, ผู้มีอานาจ
คุ้มครองแรงงานฯ, พ.ร.บ. คู่ความแทนที่, การส่งคาคู่ความ, ฟ้องคดีอาญา, การนา ปวิพ.มา
แรงงานสัมพันธ์, พ.ร.บ.เงิน ร้องสอด, คู่ความร่วม ใช้เท่าที่จะบังคับได้, การรับ
ทดแทนฯ, พ.ร.บ.จัดตั้งศาล ๒. พิพากษานอกฟ้องหรือเกินคาขอ มรดกความ, ร้องทุกข์, คดีแพ่ง
แรงงานฯ , ฟ้องซ้า, ดาเนินกระบวน เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
๙. รัฐธรรมนูญ : รัฐธรรมนูญแห่ง ๙. กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ พิจารณาซ้า, คาพิพากษาผูกพัน
ราชอาณาจักรไทย/รัฐธรรมนูญ : ข้อกาหนดในการส่งมอบสินค้า คู่ความ, คาพิพากษาถึงที่สุด
(ฉบับชั่วคราว), พ.ร.บ.ประกอบ (Incoterms), พ.ร.บ.รับขนของ
ฯ คดีอาญานักการเมืองฯ คดี ทางทะเลฯ ๓. กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น, ๓. อานาจฟ้อง, การสอบสวน, การ
ป.ป.ช. คดีเลือกตั้ง, ระเบียบฯ, คาฟ้อง, คาให้การ, ฟ้องซ้อน, สรุปสานวนของอัยการ
ข้อกาหนดฯ ที่ออกตาม พ.ร.บ. ทิ้งฟ้อง, ถอนฟ้อง, แก้ไขคาฟ้อง
หรือคาให้การ, ฟ้องแย้ง เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถดูหนังสือในจุดที่ควรให้ความสาคัญตรงไหน
๔. คดีมโนสาเร่, ขาดนัดยื่น ๔. กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น, ได้แล้วครับ
คาให้การ, ขาดนัดพิจารณา องค์ประกอบคาฟ้อง, การไต่สวน
มูลฟ้อง, โจทก์ขาดนัด, การ ต่อมาสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การวางแผนเข้าเรียน
ตรวจพยานหลักฐาน, การทาคา
ผมวางแผนไว้ว่า ในช่วงสองสัปดาห์แรก (เช่นกัน) ผมจะเข้าเรียนให้ได้
พิพากษา
๕. อุทธรณ์ ฎีกา ๕. อุทธรณ์ ฎีกา, การบังคับตามคา ทุกวิชาทุกคาบ ทั้งภาคปกติและภาคค่า เข้าเรียนอย่างเดียวทั้งวันยันค่า แล้วกลับ
พิพากษา ห้องจะวิเคราะห์ว่านั่งฟังท่านอาจารย์ท่านใดแล้วเราฟังรู้เรื่องเข้าใจง่ายและสนุก
๖. วิธีการคุ้มครองชั่วคราวฯ ๖. สิทธิมนุษยชน : การจับ ค้น ขัง ก็จะบันทึกในตารางเรียนไว้ แต่ไม่ได้เข้าเรียนภาคทบทวนเพราะคิดว่าการเรียนไม่
จาคุก ปล่อยชั่วคราว ควรหนักเอาเป็นเอาตายมาก แค่เข้าเรียนทั้งสองภาค และหาเวลาอ่านหนังสือ
๗. บังคับคดี ๗. กฎหมายพยานตาม ป.วิ.พ. ทบทวนกับฝึกทาข้อสอบเก่าก็หนักเอาการแล้ว ควรมีวันให้พักผ่อนหนึ่งวันเพื่อไว้
๘. พรบ.ล้มละลายฯ ส่วนคดี ๘. กฎหมายพยานตาม ป.วิ.อ. สามารถตื่นสายได้ ใช้เวลาพักสมองกับการซักผ้ารีดผ้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้ชาร์ต
ล้มละลาย พลังเพื่อเรียนในสัปดาห์ต่อไป (ซึ่งผมเคยไปเจอโฆษณาอยู่ชิ้นหนึ่ งบอกว่า “การ
๙. พรบ.ล้มละลายฯ ส่วนคดีฟื้นฟู ๙. วิชาว่าความ เช่น ร่างคาฟ้อง
กิจการ คาให้การ คาให้การและฟ้องแย้ง ซักผ้าบาบัดได้”) รวมถึงจะได้มีเวลาว่างประมวลผลการลงมือปฏิบัติตามแผนที่
คาให้การแก้ฟ้องแย้ง คาร้อง คา ผ่ า นมาว่ า เราท าไหวไหม ผิ ด แผนไปมากน้ อ ยเพี ย งใด สามารถอ่ า นทั น ตาม
ขอ คาแถลง เป็นต้น เป้ าหมายที่ ว างแผนไว้ห รื อไม่ และอ่ า นเก็บ ตกให้ ทั นภายในสั ป ดาห์ ดัง กล่ า ว
๑๐ พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ๑๐ การจัดทาเอกสารทางกฎหมาย หลังจากพ้นสองสัปดาห์แรก ในสัปดาห์ที่สามผมจะเริ่มกาหนดว่าจะเข้าเรียนหนึ่ง
. . เช่น ร่างสัญญา หนังสือเชิญ วิชาให้เหลือเพียงอาจารย์หนึ่งท่านเท่านั้น และตัดสินใจเลือกไปเลยว่าวิชานั้นจะ
ประชุมบริษัท แผนฟื้นฟูกิจการ เป็นภาคปกติหรือภาคค่า ดังนั้นการเรียนในแต่ละวัน อาจปะปนกันทั้งภาคปกติ
หลักการต่างๆ เช่น การเตรียม และภาคค่า แล้วจัดทาตารางเรียนของตนเองออกมา เมื่อคาบเรียนไหนว่า งก็จะ
คดี การจัดทาแผนฟื้นฟูกิจการ
เป็นต้น มานั่ง อ่านหนังสือ ที่ห้ องสมุด เพื่อรอเรียนวิช าที่ว างแผนจะเข้าต่อไป จะทาให้
สามารถเข้าเรียนไปด้วยและมีเวลาอ่านหนังสือไปด้วยตลอดในแต่ละวัน เพียงพอ จูริสที่เราสมควรจะต้องอ่านให้ได้อย่างน้อยต่อวัน สาหรับ ระยะปลอดภัยของผม
ต่อแผนการอ่านหนังสือที่ผมวางเอาไว้ คือ กาหนดไว้ว่าอ่านให้ได้ไม่น้อยกว่า ๔๐ หน้าต่อวัน
สุดท้าย การวางแผนการอ่านหนังสือ อย่างที่บอกไปผมเริ่มสั่งจองคา ๒. ในส่วนคาบรรยายเนติฯ นั้นจานวนหน้าจะไม่มีความแน่นอน ทาให้
บรรยายเนติฯ ในสมัยที่เริ่มเรียนเนติบัณฑิตนั้นเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตเลย จึงยัง คาดการณ์ล่วงหน้ายากตั้งแต่ต้น จึงจะต้องลุ้นดูไปแต่ละสัปดาห์ ท้ายๆ ใกล้สอบ
ไม่มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะรูปเล่มของคาบรรยายฯ เสียทีเดียวนัก แต่ในการวาง ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด (ซึ่งสังเกตได้จากคาบรรยายฯ สมัยก่อนๆ ในห้องสมุด
แผนการอ่าน (ให้ทัน) ก่อนการสอบ ผมจะวางแผนให้รัดกุมและใช้วิธีที่ค่อนข้าง เรียงจากเล่มบางไปหาหนาได้เลย) แต่ผมจะใช้วิธีนับจานวนวิชาที่ลงพิม พ์ในแต่
ง่ายสบายใจไว้ก่อน นั่นก็คือ การคานวณระยะเวลาทั้งหมดที่มีจนถึงช่วงประมาณ ละเล่ม เช่น เล่มที่จะอ่านมีทั้งหมด ๑๔ วิชา ก็จะคานวณออกมาได้ว่าอ่านให้ได้
๓ วันก่อนสอบ หารกับจานวนหน้าหนังสือที่ต้องอ่านทั้งหมด ทั้งนี้ เผื่อเหลือเผื่อ วันละไม่ต่ากว่า ๒ – ๓ วิชา เป็นต้น เท่านี้ภ ายใน ๑ สัปดาห์ก็จะอ่านจบคา
ขาดระยะเวลาที่จะต้องเว้นว่างไว้ใช้ในอ่านสอบใบอนุญาตว่าความไปด้วยแล้ว ผล บรรยายฯ ๑ เล่มพอดิบพอดี ทันที่จะรับเล่มใหม่ในสัปดาห์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง
จึงออกมาว่าจะใช้เวลาอ่านเตรียมสอบใบอนุญาตว่าความภาคทฤษฎีไม่ให้เกิน แต่หากมาถึงสัปดาห์ที่จะต้องอ่านสอบใบอนุญาตว่าความไปด้วย ก็จะเร่งอ่านคา
๑ สัปดาห์ ก่อนการสอบเพียงเท่านั้น (หมายเหตุ ในระหว่างเรียนภาค ๑ ของ บรรยายให้ได้ครึ่งเล่มให้ได้ภายใน ๒ วัน ส่วนอีกครึ่งเล่มที่เหลือก็จะเอาไปอ่าน
เนติฯ สมัย ๖๔ ผู้เขียนมีกาหนดสอบใบอนุญาตว่าความภาคทฤษฎีรุ่น ๓๗ ด้วย) ทดแทนในสัปดาห์ถัดไป ภายหลังจากสอบใบอนุญาตว่าความผ่านพ้นไปแล้ว (ไม่
ส่วนระยะเวลาที่เหลือจากนั้น แน่นอนเลยครับผมจะใช้กับการอ่านสอบเนติฯ แปลกเลยครั บ ที่ ค ะแนนสอบทั้ ง ภาคทฤษฎี แ ละปฏิ บั ติ ข องผมออกมาพอ
กล้อมแกล้มให้ผ่านไปเท่านั้น)
หนังสือที่ผมจะใช้อ่านเป็นหลักคงหนีไม่พ้น คาบรรยายฯ และหนังสือ
พิสดารวิชาต่างๆ ที่หลายท่านคงรู้จักกันดีในชื่อว่า “จูริส” นั่นเอง อย่างไรก็ดี ผมก็ต้องขอกล่าวไว้ก่อนเลยว่า แม้ผมจะอ่านคาบรรยายเนติ
ฯ แต่ละภาคแต่ละสมัยได้ทันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้อ่านเพียงเพื่อให้
๑. ในส่วนของจูริสนั้นผมก็จะดูจากเล่มแรกที่ออกมาว่าจะมีจานวนหน้า
มันผ่านไป ผมจะอ่านเซฟตนเองด้วยการ หาแผ่นกระดาษ เอ ๔ มาจดโน๊ตสั้นๆ
ทั้งเล่มเท่าใด แล้วนามาคานวณว่าทั้งภาคการศึกษาจะต้องอ่านทั้งหมดกี่เล่ม เมื่อ
เช่น หัวข้อที่อ่าน ตัวอย่างฎีกา และข้อความสาคัญๆ ที่จะใช้เป็นคีย์เวิร์ดต่อยอด
บวกกันแล้วก็จะได้จานวนหน้าทั้งหมดหารกับ ระยะเวลาที่มีอยู่นับแต่วันที่จูริส
ในการนาไปใช้ ตอบข้ อ สอบได้ ลงไปในโน้ ต วิ ช านั้ น ๆ ท าแยกเข้า แฟ้ม ไว้เ ป็ น
เล่ มแรกออกจาหน่ ายไปจนถึงก่อนสอบสั ก ๑ สั ปดาห์ (หักเวลา ๑ สั ปดาห์ ที่
รายวิชาไป เพราะเนื่องจากการอ่านคาบรรยายเนติฯ จะไม่เหมือนกับที่เราอ่าน
จะต้องอ่านสอบใบอนุญาตว่าความแล้ว นั้น) ผลออกมาก็จะได้จานวนหน้าของ
เพื่อสอบปริญญาตรีที่เราผ่านมา คาบรรยายฯ จะออกหลากหลายวิชาปนกันมา การปฏิบัติตัวในวันสอบ
ในแต่ละเล่มที่ออกทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งต้องอ่านผสมปนเปกันไป ไม่ว่าจะเป็นแพ่งปน
ไม่ว่าจะเป็นการสอบเนติบัณฑิตรวมไปถึงการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาที่จะ
กั บ อาญา หรื อ วิ . แพ่ ง ปนกั บ วิ . อาญา ไม่ ใ ช่ ส ามารถอ่ า นให้ จ บเป็ น ไปที ล ะ
กล่าวในหมวดถัดไปนั้น กิจกรรมในวันสอบ ผมมักจะเริ่มต้นด้วยการตื่นเช้าเข้าไว้
รายวิชาได้อย่างชั้นปริญญาตรี ผมจึงจดโน้ตย่อไว้แยกเป็นวิชาถึงตรงไหนพักไว้
แล้ ว ออกมาหาซื้ อ ของถวายพระจากเซเว่ น จากนั้น มาไหว้ ข อพรพระและสิ่ ง
อ่านวิชาอื่นให้จบแต่ละคาบรรยาย เพื่อรอเล่มต่อไปมาต่อ และการจดในกระดาษ
ศักดิ์สิทธิ์ของหอพักก่อนออกไปสอบ เพราะผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ผมจะขอ
เอ ๔ ก็ง่ายต่อการแยกเอกสารและการรวบรวม ซึ่งจะเป็นเอ ๔ มีเส้นหรือไม่มี
พรให้สอบผ่านเพื่อความภูมิใจของพ่อแม่ และผมจะได้กลับไปเลี้ยงดูท่านโดยเร็ว
เส้นก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนไป ผมคิดว่าการทาเช่นนี้จะสามารถช่วยให้
ที่สุด ประกอบกับ จะคิดว่าการสอบครั้งนี้เพื่อจะได้ไปทางานราชการที่เป็นความ
เราจดจาได้ว่า วิชาไหนเราอ่านถึงไหนแล้ว เมื่อได้รับคาบรรยายฯ เล่มถัดไปมา
ใฝ่ฝันสุดท้าย ขอให้ผมได้มีโอกาสได้มีหน้าที่การงานตอบแทนพระคุณแผ่นดินที่
อ่านก็จะสามารถมาจดต่อความรู้จากสัปดาห์ที่แล้วได้อย่างต่อเนื่องไม่สับสน และ
ให้ได้เกิดและเติบโตมาทุกวันนี้ นั่นเองครับ อันเป็นการปลุกใจให้ฮึกเหิมไปในตัว
โน๊ตย่อนี้ก็ยังสามารถนากลับมาทบทวนหากมีเวลาก่อนสอบได้อีกครั้งเพื่อช่วยให้
และจะทาตนให้วันนั้นสดชื่นแจ่มใสที่สุด ไม่งัวเงียง่วงหนาวหาวนอน หรืออ่อ น
เราจาได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เปลี้ยเพลียแรงไม่มีกะจิตกะใจอะไรอย่างเด็ดขาด และคืนก่อนสอบก็จะเตรียม
เพียงเท่านี้การอ่านก็จะอยู่ในระยะปลอดภัย สบายใจได้ครับว่าเราอ่าน เอกสารกับตัวบทที่จะนาติดตัวไปอ่านทวนก่อนเข้าห้องสอบที่สนามด้วย โดยจะ
ทันถึงเป้าก่อนสอบเนติฯ แน่นอน หากเรามี “วินัยที่เข้มแข็ง” ด้วยนะครับ ทั้ง วางแผนเอาไปเท่าที่คิดว่าพอสมควรไม่เอาไปมาก อันจะเป็นการแบกให้เหนื่อย
ยังสบายใจได้ว่า เมื่อเจอข้อสอบรูปแบบไหน คาตอบย่อมจะต้องผ่านตาที่เรา และกดดันตัวเองมากไปเปล่า เย็นวันนั้นก็จะหาอาหารเตรียมไว้รับประทานตอน
อ่านมาหมดแล้วเป็นแน่นอน ทั้งนี้ผมยังเห็นว่า หากเรามีความสบายใจในวันเข้า เช้าซึ่งไม่หนักมากอาจจะเป็นนมกับขนมปังก็พอ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือ
สอบ ก็จะทาให้การสอบเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น สามารถงัดความรู้ที่อยู่ใน เผ็ดตั้งแต่มื้อเย็นก่อนวันสอบจนถึงวันสอบ ซึ่งทุกท่านก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า
สมองของเรามาเรียบเรียงเขียนตอบข้ อสอบได้อย่างง่ายขึ้น และครบถ้วน อันจะ อาจเกิดผลเช่นใดในวันสอบ ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่งครับ
ทาให้การตอบได้อย่างเหตุผลดีขึ้นตามลาดับไปครับ.
ก่อนเวลาสอบ เช่น เวลาสอบประมาณ ๑๓.๓๐ น. ควรจะกินข้าวเที่ยง
“ภาระหน้าที่สาคัญทีส่ ุดของประเทศ คือการเตรียมกาลังให้พร้อมรบอยู่เสมอ” สักตั้งแต่เวลา ๑๐.๓๐ น.เป็นต้นไป และไม่ควรปล่อยให้เลยเวลาเที่ยงตรงไป
เพราะผมมี ค วามเชื่ อ ที่ ว่ า หากกิ น ใกล้ เ วลาสอบจะท าให้ รู้ สึ กง่ ว งพอถึ ง เวลา
- ขงเบ้ง
ข้อสอบมาจะหัวตื้อคิดอะไรไม่ออก เนื่องจากร่างกายจะนาพลังงานไปใช้ในการ ของแถม คาแนะนาการเตรียมสอบใบอนุญาตว่าความ
ย่อยอาหารเสียเป็นหลัก ทาให้พลังสมองถูกดึงไปใช้งานที่อื่นได้ ซึ่งเป็นอย่างนั้น
อย่ า งที่ ผ มเล่ า มาข้ า งต้ น ว่ า สมั ย ที่ ผ มสอบใบอนุ ญ าตว่ า ความเป็ น
จริงๆ ครับ เพราะหลังจากที่ได้รับฟังการอบรมจากท่านอาจารย์ ท่านหนึ่งขณะที่
ทนายความ ผมเตรีย มสอบควบคู่ไ ปกับ การสอบเนติ บัณ ฑิต ภาคหนึ่ง ไปด้ ว ย
ผู้เขียนไปฝึกงานที่ศาลแพ่ง ท่านก็ให้คาแนะนาในการกินข้าวก่อนสอบให้เสียแต่
ยุทธวิธีของผมในเบื้องต้น คือจะตั้งหลัก ในใจตัว เองก่อนว่า “ขอแค่ผ่านพอ”
เนิ่นๆ เพราะทางวิทยาศาสตร์มีว่าร่างกายจะใช้เลือดไปเลี้ยงกระเพราะอันเป็น
เพราะเนื่องจากโฟกัสใหญ่ใจความ ณ เวลานั้น คือ การเรียนเนติ ฯ ให้จบภายใน
พลังงานเพื่อใช้ในการย่อยอาหาร หากกินข้าวเวลาใกล้สอบจะทาให้เลือดไปเลี้ยง
๑ ปี ไว้ก่อน ส่ ว นเรื่องการหางานทาจะค่อยเป็นค่อยไปกันอีกที ดังที่เกริ่นไว้
สมองไม่เพียงพอ อันจะทาให้สมองไม่ได้รับพลังงานเท่าที่ควรจะทาให้ เกิดอาการ
ตอนต้นเช่นเดียวกัน ผมให้เวลากับการเตรียมตัวสอบด้านนี้เพียง ๑ สัปดาห์ก่อน
ง่วงหรือสมองไม่แล่นนั่นเอง เหตุผลสวยๆ ดีๆ จะไม่พลั่งพลูออกมาในเวลาเขียน
สอบ จากนั้นผมก็ไปเปิดดูระเบียบการสอบของสภาทนายความจึงทราบมาว่า
ตอบเท่าที่ควรครับ
หากจะสอบในประเภทรุ่น หรือที่เรียกกัน ว่า “ตั๋วรุ่น” ก็จะต้องสอบข้อเขียนกัน
ประการสุดท้ายในการเตรียมตัวสอบ ฝากไว้เป็นข้อเตือนใจ เนื่องจาก ๒ รอบคือ รอบทฤษฎีและรอบปฏิบัติ ซึ่งผมตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว ในการสอบ
เราเป็นนักศึกษาเนติบัณฑิต..เราต้อง "เรียนเก่ง" คือ ต้องรู้ทุกประเด็น แต่ไม่ใช่ แต่ละรอบ ต้องการคะแนนเพียง ๕๐ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน ก็
"เรียนเก็ง" ก็จะรู้ไม่ครบถ้วน ไปคาดเดาเฉพาะประเด็นไป แต่ถ้าหากเรียนเก่งก็ จะผ่านเกณฑ์แล้ว ซึ่งในแต่ละรอบ จาได้คล่าวๆ ว่า จะมีข้อสอบแบบอัตนัย หรือ
ต้องดูให้ครบ (คาแนะนาโดยท่านอาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร) ข้อเขียนมีคะแนนเต็ม ๘๐ คะแนน และข้อสอบแบบปรนัยหรือข้อกากบาทอีก
๒๐ คะแนน เนื้อหาที่ผมจะเพ่งเล็งคงหนีไม่พ้นคือ ข้อสอบข้อเขียน เพราะแบบ
กากบาทยังพอเดาให้ลุ้นได้ (และคงใช้เวลาฝนไม่นาน^^’) สเต็ปต่อมาของผม ก็
หนีไม่พ้น การดูข้อสอบเก่า จะเห็นได้ว่า คะแนนที่จะได้มากที่สุดก็คือ คาฟ้อง
หรือคาร้องเริ่มต้นคดี เช่น คาร้องขอจัดการมรดก (แล้วแต่คณะกรรมการแต่ละปี
จะเลือกออก)
เมื่อได้ห ลั กใหญ่ใ จความดั งข้างต้น แล้ ว การวางแผนศึกษาของผมจึ ง
เป็นไปดังต่อไปนี้
๑. จะค้นดูตัวอย่ างคาฟ้องในแต่ล ะประเภทที่น่าสนใจและเวียนออก ๑.๓ การโต้แย้งสิทธิ์ของโจทก์ เช่น วันผิดนัดของจาเลย รายละเอียดการ
ข้อสอบอยู่บ่อยครั้ง เช่น ฟ้องตามสัญญากู้ยืมเงิน ฟ้องตามสัญญาประนีประนอม ผิดนัดผิดสัญญา รายละเอียดการทาละเมิด เป็นต้น
ยอมความ ฟ้องละเมิด เป็นต้น เมื่อรวบรวมคาฟ้องทั้งหมดแล้ว พอจะสรุปเนื้อหา
หมายเหตุ หากเป็นคดีละเมิด อาจบรรยายรวมข้อ ๑.๒ และ ๑.๓ เป็น
คาบรรยายฟ้องที่ควรจะมีในทุกๆ คาฟ้องได้ดังนี้
ข้อเดียวกันไป เพราะวันเวลาเกิดเหตุก็เป็นเวลาเดียวกับที่โต้แย้งสิทธิโจทก์แล้ว
๑.๑ โจทก์และจาเลยเป็นใคร หมายเหตุ ข้อนี้ต้องดูข้อเท็จจริงแต่ล ะ เว้นเสียแต่ว่า ต่อมาภายหลังจะเกิดข้อเท็จจริงอื่นต่อเนื่องตามมา เช่น จาเลยมา
เรื่องไป ที่ควรจะต้องบรรยายส่วนนี้ประจาได้แก่ คู่ความเป็นนิติบุคคล หรือเป็น ทาหนังสือรับสภาพหนี้หรือทาสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ จึงจะ
เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองสาคัญๆ ที่มีเอกสารสิทธิอะไรประกอบบ้าง ค่อยแยกข้อบรรยายให้ชัดเจนไม่สับสนได้
และเมื่อมีข้อมูลเป็น หนังสือหรือเอกสาร ก็ต้องอ้างอิงในส่วนท้ายหัวข้อนี้ด้ว ย
๑.๔ ส่วนที่จะบรรยายรายละเอียดของค่าเสียหาย ซึ่งสามารถแจกแจง
กล่าวคือ “รายละเอียดปรากฏตาม...เอกสารท้ายคาฟ้องหมายเลข ๑” นั่นเอง
เป็นข้อย่อยต่างๆ ให้ชัดเจนลงไปได้อีก เช่น แยกเป็นต้นเงิน และส่ วนการคิด
และควรสังเกตจดจาชื่อเอกสารที่มักจะพบในชีวิตประจาวัน เช่น “หนังสือรับรอง
ดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด นับแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด คานวณได้เท่าใด แยกส่วนค่าขาด
ของสานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ประโยชน์ ค่ าเดิ น ทาง ค่ า ติด ตามทวงถามหนี้ (ตามแต่ ข้อ เท็ จจริ งจะระบุ ม า
กระทรวงพาณิ ช ย์ ” “รายการจดทะเบี ย นรถยนต์ ” “หนั ง สื อ รั บ รองการท า
ประสงค์จะให้ผู้สอบเขียนบรรยายฟ้อง) เป็นต้น
ประโยชน์” เป็นต้น
๑.๕ ส่วนการมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้ว
๑.๒ ที่มาของนิติกรรมหรือสัญญาหรือละเมิด คือ วันเวลาเริ่ มต้นของ
จาเลย/จาเลยทั้ง... ยังเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตาม.... เอกสารท้ายคาฟ้อง
เรื่อง ใครทาอะไร ที่ไหน เมื่อใด อย่างไร และหากเป็นการทานิติกรรมหรือสัญญา
หมายเลข.... เป็นต้น (ส่วนนี้จะมีหรือไม่แล้วแต่ข้อเท็จจริงที่ให้มา แต่ถ้าเขียนเกิน
ก็ค วรต้ อ งมี จิ น ตนาการไปด้ ว ยว่ า ในการท านิติ ก รรมหรื อสั ญ ญานั้ น จะต้ อ งมี
มาผู้เขียนเห็นว่าก็ไม่เสียหายอะไร ยิ่งน่าจะทาให้คาฟ้องสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น)
เอกสารของคู่กรณีอะไรบ้างเขียนประกอบอ้างอิงด้วยเสมอ อาทิ “รายละเอียด
ปรากฏตามสาเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน หรือสาเนาหนังสือรับสภาพหนี้ หรือ ๒. ปิดท้ายด้ว ย คาขอท้ายฟ้องที่ชัดเจนรั ดกุม เช่น ขอเงินก็เขียนให้
สาเนาสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารท้ายคาฟ้องหมายเลข...” เป็นต้น ชัดเจนว่า “ขอให้ จ าเลยทั้งสองร่ว มกั นหรือแทนกัน ช าระเงิน ...บาทแก่โ จทก์
พร้ อ มดอกเบี้ ย ...” เป็ น ต้น และดู ข้อ เท็จ จริ งตามโจทย์ ใ ห้ ค รบถ้ ว น หากเขา
ต้องการให้ ข ออะไรบ้ างต้องมีส ติ ร อบคอบ เขียนขอให้ ครบ เช่น ขอให้ บั งคั บ ส่วนคาร้องคาขอหรือคาแถลงอื่นๆ ก็จาเป็นหลักๆ ไป กล่าวคือ โดยหลัก
จานองโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างใด เป็นต้น จะมี ๓ ส่วนหลัก
๓. ผมจะไม่ค่อยซีเรียสเรื่องถ้อยคา แต่จะเน้นบรรยายให้พอเข้าใจว่า ๑) คดีอยู่ระหว่าง?
เรื่องราวเป็นมาอย่างไร โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างไร อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ว่าเรา
๒) เหตุผลที่โจทก์/จาเลย/ผู้ร้องมาร้องขอศาลเพราะอะไร
ต้องการขอให้ศาลทาอะไร ไม่ว่าจะเป็นทั้งคาฟ้อง คาให้การ คาร้องหรือคาแถลง
ต่างๆ คล้ ายๆ กับ เขีย นตอบข้อสอบดีๆ นี่ เอง ดั งนั้น ผมจะไม่ ค่อยเน้นความ ๓) สุดท้ายต้องการให้ศาลมีคาสั่งว่าอย่างไร
กะทั ด รั ด หรื อ กระชั บ แต่ อ าจจะบรรยายให้ ย าวหน่ อ ย เพื่ อ จะให้ เ กิ ด ความ
ซึ่งผมก็ไม่เน้นถ้อยคาเหมือนอย่างกับคาฟ้อง แต่จะบรรยายให้พออ่าน
ครบถ้วนและเข้าใจง่าย ให้พออ่านแล้วรู้เรื่อง แต่หากไปอ่านตัวอย่างคาฟ้องที่ค้น
แล้วเข้าใจว่าเราประสงค์จะให้ศาลมีคาสั่งประการใด ก็ลองนึก เปรียบเทียบอย่าง
ไว้แล้ว ถ้อยคาไหนโดนใจ ก็มักจะคัดลอกในสมุดเล่มเล็กเก็บไว้ เพื่อจะได้นามา
กับเราต้องการจะไหว้วานขอเพื่อนให้ทาอะไรบางอย่างให้เราแต่โดยดีนั่นเอง แต่
ทวนถ้อยคาหรือประโยคเด็ดก่อนเข้าห้องสอบอีกหนหนึ่ง ถ้อยคาที่เจอที่น่าสนใจ
กรณีนี้เพียงต้องขอเพื่อนเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ถ้าเราเขียนแล้วเพื่อนอ่าน
ผมมักจะจดไว้ ตัวอย่างเช่น คาฟ้องละเมิด หากจาเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยค้า
ไม่เข้าใจเพื่อนก็จะปฏิบัติตามคาขอให้เราไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น แต่คาร้องบางอย่าง
จุนก็จะต้องมีถ้อยคาว่า “จาเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยค้าจุน โดยทาสัญญาตก
อาจต้ อ งจ าโครงสร้ า งส าคั ญ ที่ แ ตกต่ า งออกไป เช่ น ค าขอออกหมายตั้ ง เจ้ า
ลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจาเลยที่ ๑ ผู้เอาประกันภัย เพื่อความ
พนักงานบังคับคดี จะต้องเขียน ๔ ส่วนดังนี้
วินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่ง จาเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชอบ”
กรณีฟ้องตัวการและตัวแทนเชิดเช่น “จาเลยที่ ๑ ได้เชิด จาเลยที่ ๒ ออกแสดง ๑) ศาลมีคาพิพากษาเมื่อใด พิพากษาว่าอย่างไร
ให้โจทก์เห็นว่าเป็นตัวแทนของจาเลยที่ ๑ โดยจาเลยที่ ๑ ได้ยินยอมให้จาเลยที่
๒) จาเลยทราบคาบังคับแล้วโดยวิธีใด เช่น ทาสัญญาประนีประนอม
๒ ลงนามในสัญญากู้ยืมเงินและส่งมอบโฉนดที่ดินแทนจาเลยที่ ๑” หรือกรณีฟ้อง
ยอมความแล้วศาลพิพากษาตามยอม หรือศาลส่งคาบังคับโดยวิธีปิดหมายเมื่อใด
ขอเปิดทางจาเป็นต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๙ เช่น
มีข้อความว่า “ที่ดินโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ๓) พ้นกาหนดตามคาบังคับหรือกาหนดตามสัญญาประนีประนอมยอม
ได้” เป็นต้น ความ (หากกรณีปิดคาบังคับต้อง +๑๕ วัน ก่อนแล้ว) จาเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือ
ชาระบางส่วน เหลือจานวนเท่าใด
๔) คาขอในส่ ว นท้าย นั่ น ก็คือ “ขอให้ ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงาน หมวด ๔ คาแนะนาการเตรียมตัว (และใจ) สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา
บังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์สินของจาเลยมาชาระหนี้ตามคาพิพากษา” นั่นเอง
ก่อ นที่จ ะกล่ า วถ้ อยค าอื่น ใดต่ อ ไปในหมวดนี้ ผมอยากจะขอให้ ท่ า น
๔. การอ่ า นข้ อ สอบเก่ า ปรนั ย จดจ าช้ อ ยส์ ค าตอบไว้ ก็ จ ะช่ว ยเสริ ม กาหนดถ้อยคาหนึ่งขึ้นมาไว้เพื่อใช้ยึดเหนี่ยวประจาใจให้ เหนียวแน่นเสียก่อน
คะแนนได้อีกทางหนึ่ง เพราะจากการที่ผมดูจากข้อสอบเก่า แล้วมาสอบ (ในรุ่นที่ หากท่านมุ่งหวังจะเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางนี้ เส้นทางที่พาอนาคตตัวเองไปสู่
ผมสอบ) มักจะเป็นข้อสอบเก่านามาวนออกทั้งนั้น อันจะช่วยลดเวลาในการอ่าน “ข้าราชการตุลาการ”...ท่านจาต้องมี “เป้าหมายที่ชัดเจน”
และทาคาตอบได้ดียิ่งขึ้น เพราะโดยหลักแล้ว ผมจะทุ่มเวลาเกือบทั้งหมด หรือ
ผมจะขอเล่ า ประสบการณ์ เ ฉพาะในส่ ว นการสอบผู้ ช่ วยผู้ พิ พากษา
ร้อยละ ๙๙ ไปกับการเขียนตอบข้อสอบอัตนัยไปเกือบหมดเวลาแล้ว จนทาให้มี
สนามใหญ่เท่านั้น เนื่องจากผู้เขียนยังไม่มีคุณสมบัติที่จะสอบในสนามเล็กและ
เวลาอ่านและฝนข้อปรนัยเหลือน้อยมาก จนตอนผมสอบภาคทฤษฎีผมฝนตอบ
สนามใหญ่ หรือสนามอัยการผู้ช่วย แต่ก่อนประกาศผลสอบของผู้เขียนก็เกือบได้
ปรนัยได้ทันเพียง ๙ ข้อเท่านั้น ก็ต้องวางปากกาลงเมื่อหมดเวลาตามระเบียบ แต่
วางแผนการเตรียมตัวสอบอัยการผู้ช่วยสนามใหญ่ ณ ช่วงเวลาหลังสอบผู้ช่วยผู้
ผลที่ออกมาเกินคาด ผมตอบถูก ๗ ข้อ!! ^^.
พิพากษารวม ๓ สนาม ปี ๒๕๕๘ เสร็จไปไม่นานนัก เพราะตอนนั้นผมคาดการณ์
ว่าเปอร์เซ็นจะสอบไม่ได้ยังมีสูงกว่าที่จะสอบได้ จึงรีบฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
จากการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาที่ผ่านพ้นไป มาดูแนวข้อสอบเก่าอัยการผู้ช่วยสนาม
ที่คาดว่าจะมีประกาศสอบต่อไปให้เร็วที่สุด แต่ไม่นานประกาศผลสอบผู้ช่วยผู้
พิพากษารุ่นที่ ๖๖ ออก (ซึ่งผมยอมรับว่าเกินคาดสาหรับผมอยู่หน่อย) จึงไม่ได้
ดาเนินการวางแผนสาหรับการสอบอัยการผู้ช่วยต่อเลยครับ
ก่อ นเริ่ ม การวางแผนการเตรีย มตัว ของผมทั้ง หมด ผมจะคอยรับ ฟั ง
คาแนะนาแนวทางจากท่านผู้มีประสบการณ์ต่างๆ เช่น ได้พื้นฐานแนวทางมาจาก
ท่านอาจารย์สู่บุญ วุฒิวงศ์ ตั้งแต่เรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์ดังที่ผมเล่ามาแล้ว ก็
นามารื้นฟื้นความเข้าใจสักหน่อย จากนั้นได้มีโอกาสพูดคุยกับท่านผู้พิพากษาที่ได้
สนทนาเป็นบางครั้งขณะไปว่าความที่ศาลหรือขณะเป็นทนายความร่วมการไกล่
เกลี่ย กับ ลูกความ กับได้ฟังได้จากรุ่ นพี่ที่ อ่านหนังสือด้ว ยกันที่เนติบัณฑิตและ เฟซบุ๊กทีไรผมก็จะเลื่อน newfeed ดูไปเรื่อย มาดูเวลาอีกที โอ้ จะหมดไปเป็น
เพื่อนผู้ประสบความสาเร็จสอบได้เป็นอัยการผู้ช่วยรุ่น ๕๐ ที่เพิ่งประกาศสอบไป ชั่วโมงแล้ว จะทาให้เสียเวลาโดยใช่เหตุได้ครับ อันตรายต่อแผนที่วางเป้าหมายไว้
ไม่นาน ก็จะได้แนวการเตรียมตัวมาอย่างหลากหลาย หลังจากได้ข้อมูลผมก็จะรีบ อย่างยิ่ง !) เพีย งเข้าไปที่ Google และค้นค าว่า “วิธีการเตรียมสอบผู้ ช่ว ย
กลับมาจดบันทึกแนวทางของแต่ละท่านไว้เพื่อกันการลืม จากนั้นก็เริ่มหาอ่าน พิพากษา” เท่านี้เองครับ จากนั้นก็เลือกจดสรุปวิธีการที่เราเห็นว่า น่าสนใจไป
แนวการเตรียมตัวสอบของผู้ประสบความสาเร็จบางท่านเท่าที่มีโอกาสและเวลา ทดลองใช้ไว้ครับ เช่น แนวทางการแบ่งเวลาอ่านหนังสือในแต่ละวัน สรุปมาตรา
อานวย ผมจะค้นทางอินเตอร์เน็ตในครั้งแรกมีโอกาสอันดีได้ไปพบเจอบทความ สาคัญที่เคยออกบ่อย การเขี ยนแบบไหนที่ไม่ควรเขียนหรือหลีกเลี่ยงเขียน เป็น
ของท่านอภิรัฐ บุญทอง โดยท่านได้แนะแนววิธีการเตรียมตัวสอบและการเลือก ต้น สุดท้ายผมจะพยายามนึกถึงอารมณ์ในการเตรียมตัวสอบสมัยเนติบัณฑิตที่
หนังสือของท่านไว้มีประโยชน์อย่างยิ่ง และผมใช้เป็นแนวในการเลือกหนังสืออ่าน ผ่านมาว่าใช้ความพยายามมามากเท่าใด เคยหามรุ่งหามค่ากับหนังสือเพียงใด
ของผมในแต่ละวิชาโดยตลอดมา ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอภิรัฐที่กรุณา จะต้องตั้งเป้าว่าจะต้องพยายามและเหน็ดเหนื่อยมากกว่าที่ผ่านเนติฯ มานั้นให้ได้
แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่ผู้มุ่งมั่นรุ่นหลังมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ เพราะผมบอกได้เลย
เมื่อได้ข้อสรุปสถานการณ์การสอบครั้งนี้ของผมแล้ว จึงประเมินตัวเองว่า
ว่า ตั้งแต่ผมเรียนปริญญาตรีนิติศาสตร์มาจนถึงเรียนจบชั้นเนติบัณฑิต ผมยังมี จะต้อ งแก้ ที่ ปัญ หาในการเขี ยนตอบข้อ สอบของตนเองให้ ไ ด้ เสี ยก่ อ น เพราะ
โอกาสอ่านหนังสือไม่หลากหลายเท่าที่ ควร จึงไม่รู้ว่าหนังสือของปรมาจารย์ท่าน หลังจากที่ลองฝึกทาข้อสอบเก่ามาได้สักพัก จะพบปัญหาว่าเขียนไม่ค่อยทันและ
ไหนดีกว่าที่เราเคยอ่านมาหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามหนังสือที่ผมตัดสินใจเลือกอ่าน ให้เหตุผลน้อย กับเมื่อตรวจกับธงแล้วเหตุผลที่เขียนไม่ค่อยตรงกับธงคาตอบเสีย
สุดท้ายก็หนีไม่พ้นหนังสือชุดพิสดารหรือที่เรียกกันคุ้นเคยว่า “จูริส” และปิดท้าย เป็ น ส่ ว นใหญ่ ซึ่ ง คงจะต้ อ งทบทวนและฝึ ก การเขี ย นตอบให้ บ่ อ ยมากยิ่ ง ขึ้ น
ด้วยคาบรรยายเนติบัณฑิต เท่านั้น เพราะอ่านเพียง ๒ รายการนี้ก็ไม่คาดว่าจะ กว่าเดิม
อ่านไม่ทันก่อนสอบแล้ว จากนั้นจึงพยายามสรุปเป็นหลักการสั้นๆ ที่จะนาไปใช้ในห้องสอบอย่าง
สาคัญอยู่ ๓ ประการ คือ
ต่อจากนั้นก็จะหาเวลาว่างๆ หาอ่านเทคนิควิธีการเขียนของผู้ที่ประสบ ๑. วางหลัก
ความสาเร็จ ท่านอื่น ๆ จากทางอินเตอร์ เน็ ตอ่านเสริมอยู่ส ม่าเสมอ เพื่อค่อยๆ ๒. เหตุผล
ปรับปรุงเทคนิควิธีการใหม่ๆ ให้เหมาะกับสไตล์ของเราให้มากที่สุด วิธีการง่ายๆ
๓. ความเร็ว
ของผมโดยที่ไม่ เล่ น โทรศัพท์แล้ว เสี ย เวลามาก เพียงเริ่มจากเปิดหน้าเว็บเพจ
ต้นตอแห่งความวุ่นวายประการสาคัญ คือ “ใจคนที่ไม่รู้จักพอ” - เล่าปี.่
ขึ้น มา เพี ย งอย่ าเพิ่ ง เข้ า ไปที่ แ อปเฟซบุ๊ ก เด็ด ขาด!! (เพราะเพี ย งผมเข้ าไปยั ง
๑. วางหลัก ผมมีความตั้งใจมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียนเนติฯ ว่า ก่อน ๒. เหตุผล ตามที่ได้เล่ามาแล้วว่า “เหตุผล” นั้น สาคัญเพียงใดสาหรับ
ทุกสิ่ งอย่ า งผมจะทาข้อสอบทุก ข้อ โดยวางหลั กกฎหมายเปิ ดหั ว ให้ ได้ ส วยหรู การสอบสนามนี้ ผมเชื่ อ ว่ า เป็น จุ ดที่ ส าคัญ ที่ สุ ด อย่ างหนึ่ง ของการเขีย นตอบ
เสียก่อน โดยอาจจะเกริ่นชื่อกฎหมายและมาตราที่ตรงๆ กับประเด็น สาคัญที่จะ ข้อสอบกฎหมายของนักกฎหมายเรานั้นจะอยู่ในส่วนของวินิจฉัยหรือส่วนที่ป รับ
ตอบจริงๆ และเนื้อความของมาตรานั้นสักเล็กน้อย จากนั้นย่อหน้าใหม่ด้วยการ ข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายนี้เอง โดยส่วนตัวแล้วผมจะเป็นคนที่เขียนตอบแบบ
วางข้อเท็จจริงที่จะนามาวินิจฉัยผลเป็นช่วงๆ ตั้งเป้าเน้นไว้ว่าจะพยายามใส่ชื่อ ไม่มุ่งพุ่งเป้าไปยังคาตอบสุดท้ายในทันที แต่ก่อนที่เราจะไปถึงธงคาตอบสุดท้าย
กฎหมายกับ เลขมาตราที่ถูกต้องไว้ให้ ได้ เสี ย ก่อน แม้จะเป็น ข้อสอบกฎหมาย ว่าจะซ้ายหรือขวา จาเลยจะถูกหรือผิด คาพิพากษาของศาลจะชอบหรือไม่ชอบ
อาญาซึ่งมีหลายประเด็นเหลือเกินหรือจะประติดประต่อข้อเท็จจริงกันมาเพียงใด ด้วยกฎหมายนั้น หรืออุทธรณ์ของโจทก์หรือของจาเลยฟังขึ้นหรือไม่ ก็ จะอธิบาย
ก็ตาม เพราะจะใส่แค่เปิดหัวเน้นๆ สัก ๒ - ๓ มาตรา เขียนมาตราละไม่ให้เกิน ขยายความหลักกฎหมายตามที่เราวางหลักในข้อ ๑. มาแล้ ว เสียก่อนเท่าที่จะ
๒ บรรทัดเท่านั้น ที่เห็นว่าตรงกับประเด็นหลักใหญ่ใจความของข้อสอบข้อนั้นๆ พยายามทาได้ โดยอาจจะมีการแทรกบรรยายนิยามศัพท์ สาคัญที่จาเป็น ต้อง
ส่วนมาตราปลีกย่อยอื่น ถ้าคิดได้อีกตอนเขียนส่ วนวินิจฉัย ไปเรื่อยๆ แล้ว ก็จะ อธิบายในประเด็นใดให้กระจ่าง เพื่อจะเป็นส่วนเสริมให้ผู้ตรวจให้คะแนนในความ
ค่ อ ยๆ ทยอยแทรกปนไปกั บ วิ นิ จ ฉั ย ข้ อ เท็ จ จริ ง ตรงส่ ว นนั้ น เลยครั บ เพราะ ละเอียดและมีความรู้ของเราได้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคาศัพท์ทางกฎหมายหรือ
เนื่องจากหากจะวางหลักกฎหมายให้ได้เยอะไปกว่านี้จะทาให้เสีย เวลาเป็นอย่าง ศัพท์ที่ต้องอาศัยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ ผมก็จะพยายามอธิบายให้มาก
มาก แน่นอนครับว่ามาตราที่จะเอาลงเปิดหัวการตอบนั้น ผมจะต้อง “คัดแล้วคัด ที่สุด เช่น ข้อสอบถามถึง เรื่องดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท ตามพจนานุกรมฉบับ
อีกๆ” (ในห้องสอบ ณ ตรงนั้นเลยจริงๆ) และถ้อยคาที่จะใส่ แต่ละมาตราก็ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายของคาว่า "เจ้าชู้" หมายความถึง ผู้
จะต้องตรงๆ เน้นๆ กับประเด็นใหญ่ของข้อสอบ ส่วนไหนไม่เกี่ยวตัดออกครับ ถ้า ใฝ่ในการชู้สาว๘ เป็นต้น
จบประโยคไม่ได้หรือคิดข้อความต่อไปไม่ออกก็ให้ใส่จุดจุดจุด (“...”) ปิดท้ายไป เทคนิ ค อี ก อย่ า งหนึ่ ง ที่ ผ มสามารถน าเหตุ ผ ลหรื อ การอธิ บ ายหลั ก
เลยครับ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ผู้ใดลักทรัพย์ (๓) โดยทา กฎหมายมาใช้ในการตอบข้อสอบได้นั้น ผมไม่สามารถคิดเองได้หรอกครับ แต่ผม
อันตรายสิ่งกีดกั้นสาหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ ... เป็นต้น ส่วนท่านที่เกิดข้อ จะจดเอาถ้อยคาหรือประโยคสวยๆ เหตุผลอันงดงามจากคาบรรยายเนติบัณฑิต
สงสัยว่าแล้วเราจะหวนกลับไปเขียนตัวบทซ้าในส่วนวินิจฉัยอีกหรือไม่อย่างไร หรือจากตัวอย่างคาพิพากษาฎีกาที่ท่านอาจารย์ประเสริฐ เสียงสุทธิวงษ์คัดมาลง
ส าหรั บ ผมแล้ ว จะไม่มีซ้าครั บ เพราะส่ ว นวินิ จฉั ยผมจะเขียนแบบข้อเท็จจริ ง ให้แล้วในบทบรรณาธิการของหนังสือคาบรรยายเนติบัณฑิตหรือตามคาพิพากษา
ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับ หลักกฎหมายไปเลย ทั้งยังอาจจะสอดแทรกการ ฎีกาที่ไปหาอ่านเจอแล้วข้อความหรือประโยคช่างโดนใจเหลือเกิน โดยจะจดเป็น
อธิบายตัวบทนั้นๆ หรือบรรยายนิยามของถ้อยคาเฉพาะรวมกันไปด้วยเลยในส่วน ส่วนๆ แยกเก็บไว้เป็นแพ็คเกจเรื่องๆ ไปว่า หากข้อสอบออกเรื่องนี้ควรมีถ้อยคา
วินิจฉัยนั้น แล้วจึงเขียนปิดท้ายไปเพียงว่า “ดังมาตรา...แห่งประมวลกฎหมาย... ไหนบ้ า งในการเขี ย นตอบของเรา โดยอาจจะจดลงในกระดาษ เอ๔ เพราะ
ที่กล่าวมาข้างต้น” ก็พอครับ
๘
ฎีกา ๓๐๑๕/๒๕๔๓ (http://deka.supremecourt.or.th)
สามารถแยกเก็บเป็นเรื่องๆ ได้ง่าย สามารถแยกเก็บเป็นแฟ้มๆ ไว้ จะทาให้ง่าย กับตนเองให้ได้ เช่น การฝึกทาข้อสอบทีละข้อ จับเวลาทาข้อละไม่เกิน ๒๔ นาที
ต่อการค้นออกมาทบทวนในช่วงสั้นๆ ก่อนวันสอบได้อย่างรวดเร็ว เช่น หลักเรื่อง (รวมเวลาอ่านข้อสอบด้วยแล้ว ) ต้องจับเวลาจริง เมื่อหมดเวลาต้องวางปากกา
การรับมรดกแทนที่จะต้องเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง และผมไปเจอข้อความจาก เขียนได้เท่าไหร่พอเท่านั้น เพื่อฝึกความซื่อตรงของเรา เพราะบางทีเราอาจเขียน
ฎีกาที่ว่า “แม้แต่คู่สมรสของบุตรเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมที่ใกล้ชิดของ เพลินจนหมดเวลาแล้วไม่ยอมวางปากกาลงทาให้อาจถูกบันทึกจากกรรมการผู้คุม
บุตรเจ้ามรดกคนหนึ่ง ตามมาตรา ๑๖๒๙ วรรคท้าย ก็ยังไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ สอบได้ว่ากระทาผิดระเบียบการสอบ ซึ่งจะส่งผลให้สิ่งที่เราพยายามทามาก่อน
บุตรเจ้ามรดกได้เพราะมิใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงฉันใด บุตรบุญธรรมของบุตรเจ้า หน้านี้ดีแล้วเสียหายไปโดยใช่เหตุ และจะเกิดความไม่สบายใจระหว่างรอประกาศ
มรดกก็ย่อมไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่บุตรเจ้ามรดกได้ฉันนั้น ...”๙ เป็นต้น เมื่อจด ผลโดยไม่จาเป็น ส่งผลต่อสภาพจิตใจที่ย่าแย่ก็เป็นได้ ดังนั้นการหมั่นฝึกเขียนโดย
แยกสะสมไว้เรื่อยๆ ก่อนสอบก็ค่อยหยิบอ่านทวนอีกที จะได้ไม่ลืมประโยคและ ฝึกคิดเองทาเองบ่อยๆ ผมเห็นว่าจะช่วยให้เราชินกับการสรุปหลักสาคัญ จุดไหน
ถ้อยคาสวยๆ เหล่านั้นนั่นเองครับ ผมเชื่อว่าแม้เราจะตอบผิดธง แต่หากทาได้ วาง ควรจะเน้นในการตอบ จุดไหนข้ามก็ได้ รู้จังหวะจบอย่างพอประมาณ รู้จักความ
หลักกฎหมายและเหตุผลการปรับบทกับข้อเท็จจริงดี ก็ไม่เสียหายอย่างยับเยิน พอดี เขียนอย่างไรไม่เยิ่นเย้อฟุ่มเฟือย ข้อสอบที่ผ มนามาใช้ฝึ กเขียนตอบนั้น
แน่ น อนครั บ (อย่ า งน้ อ ยข้ อ นี้ ต้ อ งมี แ ต้ ม !!) ท่ า นย่ อ มไม่ ไ ด้ ก ลั บ ไปมื อ เปล่ า นอกจากฝึกทาข้อสอบเก่าของสานักศาลยุติธรรมแล้ว ก็คือ การนาข้อสอบเก่า
แน่นอน^^ เนติฯ ๒๐ ปีย้อนหลัง โดยข้อสอบเนติฯ จะนามาฝึกคิดเร็วแล้วตอบในใจด้วย
๓. ความเร็ว นั้น ก็เป็นเรื่องสาคัญไม่ยิ่งหย่อนกับเหตุผลสวยเช่นกัน ซึ่ง โดยจะฝึกอ่านข้อสอบเนติฯ ดังกล่าว แล้วคิดคาตอบในใจให้ได้ ครบทุกประเด็น
สิ่งที่ผมต้องมี ก็จะไม่ได้ใช้สิ่งใดมากมาย อันได้แก่ การมีสติ สมาธิ และกาลังใจ อย่างรวดเร็วภายในเวลาประมาณ ๒ - ๕ วินาที แล้วจึงมาอ่านธงคาตอบไปเลย
นั่น เอง กับ ที่ขาดไม่ได้อย่ างยิ่ งตลอดมา ก็ คือ การหมั่นฝึ กฝนอยู่บ่อยครั้ง จน ว่าเราคิดไปถูกหรือไม่ ครบถ้วนที่ตอบไว้ในใจหรือไม่ ผมเห็นว่าเป็นการฝึกการคิด
สามารถทาให้การจรดปากกาลงไปในกระดาษครั้งใดต้องเริ่มเขียนให้ได้และต้อง เร็วอย่างหนึ่งนั่นเอง เมื่อเราฝึกความคิดให้ไวแบบนี้เป็นประจาผมคิดว่าย่อมจะ
กลั่นกรองถ้อยคาทุกประโยคออกมาอย่างสละสลวยชัดถ้อยชัดคา หนักแน่นใน ส่งผลต่อเมื่อเราเจอคาถามจริงๆ แล้วก็จะสามารถคิดตัดสินใจเขียนตอบข้อสอบ
เหตุผล ในขณะลงมือสอบจะทาให้เราระลึกถึงการกระทาในทุกห้ วงนาทีที่เขียน ไปได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียวครับ
ตอบไปกับสามารถควบคุมเวลาให้เขียนตอบทันเวลาได้เป็นอย่างดีแน่นอนครับ ก่อนเริ่มสอบจริงผมจะตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทาให้ครบ ๑๐ ข้อให้ได้ไว้
ในการหมั่นฝึกฝนของผมนั้น ผมจะตั้งเป้าหมาย แล้ววางแผน จากนั้น ก่อน เมื่อฝึกมาหลากหลายวิธีแล้วสุดท้ายจึงตัดสินใจเลือกวิธีอ่านข้อสอบให้ครบ
ทดลองท าตามแผน แล้ ว ประเมิ น ผลตนเองปฏิ บั ติ ม าอย่ า งสม่ าเสมอ อย่ า ง ทั้งหมด ๑๐ ข้อก่อนแล้วค่อยลงมือทาไปทีเดียว เหมือนอย่างคราวทาข้อสอบ
ตัวอย่ างที่ผู้ ประสบความส าเร็จ ทั่วไปเขาทากันมาและแนะนาไว้ ซึ่ งอาจมีการ เนติฯ โดยเลือกดูก่อนว่าข้อไหนค่อนข้างมั่นใจก็จะเขียนก่อน ไล่เรียงลาดับไป
ปรับปรุงพัฒนาอยู่บ้างเพื่อให้เข้ากับสไตล์ของตัวผมเองไปเรื่อยๆ จนหาจุดลงตัว เรื่อยๆ ซึ่งในห้องสอบจริงผมยอมรับว่าไม่ได้กะเวลาในการทาแต่ละข้อให้แน่ชัด
มาก่อน แต่เมื่อเริ่มทาข้อสอบไปแล้ว ผมต้องใช้เวลาอ่านข้อสอบทั้งหมดไปถึง
ฎ.๒๔ ๕/๒๕๔๐, ๗๗๓/๒๕๒๘ (ป) (http://deka.supremecourt.or.th)
เกือบ ๑ ชั่วโมง ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนกะทันหันอีก ต่อไปว่าจะต้องใช้ ทางแก้ปัญหาการจาเลขมาตรา
เวลาเขี ย นเฉลี่ ย กั น ไปในข้ อละไม่ เกิ น ๑๕ นาที เท่ า นั้ น จะเผื่ อ เวลากลั บ มา ปัญหาสาคัญอย่างหนึ่งที่นักรบอย่างเราๆ มักจะพบเจอขณะอยู่ในห้อง
ตรวจทานความถูกต้องให้ได้อีกสักรอบหรือข้อใดอาจลืม เขียนส่วนสรุปฟันธงปิด สอบก็คือ อยู่ๆ ก็นึกเลขมาตราไม่ออกซะอย่างนั้น!! ที่สาคัญเกิดขึ้นในห้องสอบ!!!
ท้ายก็จะเขียนให้ สมบู รณ์ ดังนั้น ณ เวลาขณะนั้น จึงจะต้องใช้ สติ สัมปชัญญะ
ปัญหานี้มีกันทุกๆ คนครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังต้องคอยแก้ปัญหานี้ให้แก่ตนเอง
สมาธิ และแรงใจอย่างสูงมาก ทั้งยังจะต้องตั้งสติไม่ทาข้อสอบผิดเล่มด้วย!!
มาตลอดจนชินและชาไปแล้ว ข้อแนะนา ของผมในเรื่องนี้ ก็คือ ในการอ้างอิงข้อ
ผมมีความคิดอยู่ประการหนึ่งว่า ในการจรดปากกาจะต้องเริ่มจรดลงไป
บนกระดาษคาตอบให้ อย่ างรวดเร็ ว ที่สุ ด ไม่ควรลั งเล อย่าตอบแบบกั๊ กๆ ข้อ กฎหมายเพื่อวินิจฉัยตอบข้อสอบนั้น อย่างแรกที่ไม่ควรขาดเลย ให้มีชื่อตัวเต็ม
กฎหมาย หรือไม่มั่นใจหรือตอบเป็นสองแง่สองง่ามเหยียบเรือสองแคม เมื่อจรด ของกฎหมายนั้นๆ ไม่ควรใช้คาย่อ ครับ (เว้นแต่ประเมินสถานการณ์แล้วเวลา
ปากกาลงไปแล้วต้องงัดเค้นเหตุผลหลักกฎหมายและเหตุผลเสริมในคาตอบของ กระชั้นชิดจริงๆ ก็ควรยกเว้นได้บ้างครับ) เช่น ใช้คาเต็มว่า "ประมวลกฎแพ่งและ
เราออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้นั่นเองครับ. พาณิชย์", "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" ฯลฯ หรือหากเป็นกรณีที่
ต้ อ งตอบพระราชบั ญ ญั ติ ต่ า งๆ ก็ ค วรจะจดจ า พ .ศ. ให้ ไ ด้ ด้ ว ย เช่ น
"พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓", "พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.
๒๕๑๘" เป็นต้น (ผมมีความเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยให้การตอบของเราดูดีขึ้นทันตาเห็น
ครับส่งผลต่อคะแนนได้ครับ) สาหรับรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นฉบับปัจจุบัน ไม่ควรใส่
พ.ศ.ครับ แม้จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ผมจะไม่ใส่ พ.ศ. จะเขียนเพียงว่า
"รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว)" ก็พอครับเพื่อกันเหนียวไว้
ก่อน (ประเด็นนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจชัดเจนว่าถูกที่ควรหรือไม่ แต่เคยได้รับฟังจาก
ท่านอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ในการสอนวิชานี้มาครับ ) เว้นแต่จะต้องกล่าวถึง
ฉบับที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เช่น "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐" เป็นต้น ส่วนเรื่องเลขมาตราไม่จาหรือไม่มั่นใจ ก็ไม่ควรเสี่ยงครับ ทาง
แก้ของผมก็คือ จะเขียนชื่อหมวดหรือชื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องของกฎหมายนั้นแทน
(เอาเท่าที่คิดได้ในเวลานั้น) เช่น "ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาคดีมโนสาเร่ วางหลักไว้ว่า ...", "ตามพระราชบัญญัติ เทคนิคที่คิดว่าช่วยเพิ่มคะแนนในการเขียนตอบข้อสอบของผม ได้แก่
ล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ ว่าด้วยเรื่องการขอรับชาระหนี้ของเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย ๑. ผมมักยังไม่ตอบเข้าไปตรงคาถามสุดท้ายตามที่โจทย์ถามในทันที
มีหลักว่า..." เป็นต้น โดยจะวางหลักกฎหมายไปเป็นขั้นเป็นตอนให้ท่านอาจารย์ผู้ตรวจเห็นว่าเรามีภูมิ
ความรู้อยู่บ้าง เช่น ข้ออุทธรณ์ฎีกาตาม ป.วิ.พ. ไม่ว่าจะเป็นการถามตาม มาตรา
เทคนิค การย่นเวลาในการเขียนตอบได้มากยิ่งขึ้น คือ การเขียนชื่อเต็ม
๒๒๔ หรือ มาตรา ๒๒๕ ก็ควรจะวางหลักกฎหมาย (เท่าที่จะคิดออกในเวลานั้น)
ของกฎหมายเพียงครั้งเดียวในท่อนของวินิจฉัยปรับบทกฎหมายเท่านั้นครับ หาก
ทีพ่ อจะเกี่ยวข้องกับประเด็นสาคัญๆ ของโจทย์ข้อนั้นเสียก่อน โดยเริ่มต้นวินิจฉัย
มีต้ อ งวิ นิ จ ฉั ย มาตราอื่ น ๆ ต่อ มาก็ ไ ม่ต้ อ งเขี ยนชื่ อกฎหมายเดิ มนั้ น ซ้าอี กแล้ ว
ว่ า ปั ญ หาที่ นั้ น เป็ น ปั ญ หาข้ อ เท็ จ จริ ง หรื อ ข้ อ กฎหมาย และจะให้ นิ ย าม
หรือไม่ต้องใช้ตัวย่อชื่อกฎหมายอีก เพราะเชื่อว่าเป็นที่รู้กันว่าผู้เข้าสอบประสงค์
ความหมายปัญหาต่างๆ คล่าวๆ ด้วย เช่น “ปัญหาเรื่องการตีความสัญญา ถือว่า
จะอ้างกฎหมายเดิม อันจะทาให้การตอบไม่เยิ่นเย้อและซ้าซาก ดูน่าอ่าน และไม่
เป็นปัญหาข้อกฎหมาย กล่าวคือ เป็นการที่ศาลตีความหมายถึงเจตนาที่แท้จริง
ทาให้เสียเวลาในการเขียนโดยใช่เหตุ เว้นเสียแต่ว่า ข้อสอบข้อนั้นจะต้องตอบ
ของคู่สัญญาตามถ้อยคาตัวอักษรในสัญญาที่คู่ความทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้าง ซึ่งถือว่า
กฎหมายหลายฉบั บ ก็ ค วรต้อ งเขี ย นแยกว่ า มาตราไหนจากตั ว บทฉบั บ ใดให้
ข้อเท็จจริงได้ยุติแล้ว”, “ปัญหาการอุทธรณ์โต้แย้งวันที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉั ยแล้ว
ชัดเจนด้วย เช่น ข้อสอบคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หรือข้อสอบ ป.วิ.อ. ที่
ว่าโจทก์รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทาละเมิดวันใดถือว่าอายุความเริ่มนับแต่วันดังกล่าว
ต้องอ้างมาตราใน ป.วิ.พ. ด้วย เป็นต้น
ว่าเป็นวันอื่นนั้น ถึงแม้ว่าประเด็นปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่จะเป็น
ปัญหาข้อกฎหมาย แต่การอุทธรณ์ดังกล่าวถือเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับ
ฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้ นว่าโจทก์รู้เรื่องและรู้ตัวผู้ กระทาละเมิดตั้งแต่
เมื่อใดแน่อันเป็นปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จาต้องวินิจฉัยในข้อเท็จจริงก่อนนาไปสู้
มี ๓ สิ่งที่มิอาจซ่อนอยู่ในเงามืด คือ “สุริยัน จันทรา และ ปัญหาข้อกฎหมาย จึงถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ” หรือกรณีโจทย์พระ
ความจริง” ตถาคตได้กล่าวไว้ ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร...พระ ธรรมนูญศาลยุติธรรมคงจะต้องหนีไม่พ้นปัญหาให้วินิจฉัยก่อนว่าคดีดังกล่ าวเป็น
อาทิตย์ต้องขึ้น พระจันทร์ต้องส่องแสง แม้จะลับแสงไปบาง คดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ ซึ่งหากประเมินสถานการณ์ ณ ขณะนั้นแล้วพอจะมีเวลา
เวลา...ช้าหรือเร็วความจริงต้องปรากฏ. ทีใ่ ดสักแห่งหนึ่ง เขียน ก็ควรเขียนชื่อประเภทของคดีให้เต็มรูปแบบไปเลย เช่น “คดีนี้เป็นคดีมีคา
ขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคานวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีไม่มีทุนทรัพย์ ”
เป็ น ต้น และควรใส่ เหตุผ ลประกอบอื่ น อี กเล็ กน้อยว่า เหตุใ ดจึงเป็น คดีมีทุ น "เทคนิคด้านจิตวิทยา"
ทรัพย์หรือไม่มีทุนทรัพย์ เช่น “คดีนี้ถือเป็นคดีที่มีคาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อัน ผมมักจะนาเทคนิคด้านนี้มาใช้แก้ปัญหาในห้องสอบเสมอ แม้ความจริง
อาจค านวณเป็ น ราคาเป็ น เงิ น ได้ ห รื อ คดี มี ทุ น ทรั พ ย์ เ พราะเป็ น การโต้ แ ย้ ง แล้วผมจะอ่านโจทย์จนจบ อ่านสองสามรอบก็แล้ว คงยัง ไม่รู้ธงคาตอบเลยก็ตาม
กรรมสิทธิ์กันระหว่างโจทก์และจาเลย” เป็นต้น แต่จะใช้วิธีวางหลักกฎหมายและเหตุผลของเรื่องที่โจทย์ข้อนั้นถามอยู่ พยายาม
๒. ต่อมาแม้จะได้วินิจฉัยตอบครบถ้วนตามประเด็นหลักๆ ของคาถาม นึก ให้ อ อกมามากที่ สุ ด เท่ า ที่ จะท าได้ แล้ ว สุ ดท้ า ยสรุ ป ฟั น ธงตอบให้ เ ป็ น ไป
แล้ว ผมมักจะเขียนตอบเกินเลยไปอีกสักหน่อย ในส่วนที่เห็นว่าเกี่ยวข้อง คิดว่า ทิศทางใดทิศทางนั้นโดยตลอด ไม่ตอบสองแง่สองง่ามอย่างลังเล
น่าจะช่วยให้ได้คะแนนเสริมขึ้น อันจะเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่ทาให้ผู้ตรวจ เทคนิคนี้อีกประการหนึ่งคือ การตั้งคาถามกับ ตัวเอง เริ่มจาก เราไม่
เริ่มระมัดระวังในการตรวจคาตอบของเราเพิ่มขึ้น ได้ไม่มากก็น้อยว่าผู้เข้าสอบ ต้องถามก็คงรู้คาตอบในตัวเองอยู่แล้วว่า สิ่งที่เราอยากได้จากการสอบ คงหนีไม่
ท่านนี้เขียนอย่างมีภูมิหลักกฎหมายและเหตุผลหลายด้าน ไม่ควรตรวจแบบผ่านๆ พ้น "อยากสอบผ่าน" เท่านั้น จึงเกิดคาถามต่อไปว่าถ้าอยากให้ผู้ตรวจให้
ง่ายๆ ไปอย่ า งรวดเร็ ว เสี ย แล้ ว ตัว อย่ างเช่น แม้โ จทย์จะถามแต่เพี ยงว่า การ คะแนนเราสอบผ่านจะต้องเขียนตอบอย่างไร สาหรับผม "คาตอบง่ายๆ" ก็คือ
พิพากษาของศาลชั้นต้น ชอบหรื อไม่เท่านั้น เมื่อเราให้ เหตุผลของการตอบใน ถามกลับตนเองว่า "ถ้าผมจะต้องเป็นคนให้คะแนนเองแล้ว ผู้ที่เขียนให้ผมตรวจ
ประเด็นสาคัญนั้นจนได้คาตอบสมบูรณ์แล้วว่า เช่น คาพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ ควรต้องเขียนตอบให้ได้อย่างไรนั่นเอง" เท่านั้นแหละครับผม ความรู้ที่จะใช้ใน
ชอบด้วยกฎหมาย ผมก็มักจะเสริมต่อไปว่า “ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อ การเขียนตอบก็ค่อยๆ พลั่งพลูออกมาให้เขียนลงไปอย่างไม่ขาดสาย
กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันเป็นปัญหาสาคัญศาล สิ่ ง ที่ ผ มคิ ด ว่ า จะใช้ ใ นการเขี ย นตอบมี ม ากมายหลายประการยิ่ ง
สามารถเห็นเองและหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ” หรือกรณีวินิจฉัยจาเลยเป็นฝ่าย ยกตัว อย่างได้เช่น ผมจะต้อ งจินตนาการไว้ก่อนว่า ผู้ตรวจมีค วามรู้ กฎหมาย
ผิดสั ญญา ทางแก้ของโจทก์มีทางใดบ้าง เป็นต้นว่า บอกเลิกสัญญา ริบมัดจา เท่ากับผม แล้วจะเขียนอย่างไรให้ผู้ตรวจอ่านแล้วสามารถเข้าใจความประสงค์ที่
เรียกเบี้ยปรับ เป็นต้น น่าเชื่อว่าหากทาได้เช่นนี้การตอบของเราจะออกมาดูดี แท้จริงของผมให้ได้ง่ายที่สุด ชัดแจ้งจนหายสงสัย ต้องปะติดปะต่อเรื่องให้น่าอ่าน
ขึ้นมาทันตาเห็นเลยครับ น่าติดตาม สอดคล้องเป็นทานองเดียวกั น และสละสลวยด้วย ทั้งนี้ เท่าที่เวลามี
จากัดด้วย ซึ่งหากตีกรอบใหญ่ได้เท่านี้ ผมคิดว่าผู้ตรวจคงไม่จับกระดาษคาตอบ
ของเราโยนให้พ้นมือท่านไปได้ง่ายๆ แล้วครับ
เทคนิควิธีการช่วยจาแบบฉบับคิดเอง ๔. อาจเป็ น บั น ทึ ก ค าให้ ก ารของตั ว ๔. ต้องเป็นคาให้การของผู้ร่วมกระทา
จ าเลยเอง เช่ น บั น ทึ ก ค าให้ ก ารรั บ ความผิดคนอื่นหรือจาเลยคนอื่น
ผมมักจะหัดใช้มาตลอดตั้งแต่เรียนปริญญาตรี คือ การจดจาถ้อยคา การ สารภาพในชั้นสอบสวน
เปรี ย บเที ย บความแตกต่ า งของเรื่ อ งสองเรื่ อ ง หรื อ สามเรื่ อ งขึ้ น ไปที่ มั ก ออก ๕. หากเข้า ข้อยกเว้นที่รั บฟังได้ ตาม ๕. ต้องชั่งน้าหนักด้วยความระมัดระวัง
ข้อสอบด้วยกัน เช่น ข้อสอบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ผมได้ไปเจอข้อสอบ ป.วิ.อ. ม.๒๒๖/๓ ว.สอง แล้วก็ต้องมา ตาม ป.วิ.อ. ม.๒๒๗/๑ ว.หนึ่ง
ข้อหนึ่ งที่ออกเรื่ อง พ.ร.บ.สิ ทธิบั ตรฯ กับ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้าฯ ในข้อ ชั่งน้าหนักด้ว ยความระมัดระวัง ตาม
เดียวกัน เมื่อดูธงคาตอบ ก็พบว่า สิทธิบัตร จะใช้คาว่า “การขอรับสิทธิบัตร” ม.๒๒๗/๑ ว.หนึ่ง ต่อไป
เครื่องหมายการค้า จะใช้คาว่า “การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ” เป็นต้น
หรือทาตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง เช่น
พยานบอกเล่า พยานซัดทอด
๑. โดยหลักห้ามรับฟัง ตาม ป.วิ.อ. ม. ๑. ไม่มีกฎหมายห้ามรับฟัง (ฎ.๖๑๗๓-
๒๒๖/๓ ว.สอง ๖๑๗๔/๒๕๕๖)
๒. ไม่จาเป็นจะต้องเป็น “ผู้ต้องหาว่า ๒. ต้ อ งฟั ง ว่ า เป็ น “ผู้ ต้ อ งหาว่ า ร่ ว ม
ร่วมกระทาความผิดกับจาเลย” กระท าความผิ ด กั บ จ าเลย ” หรื อ
“บุ ค คลที่ มี ส่ ว นรู้ เ ห็ น เป็ น ใจในการ
กร ะ ท าค ว า มผิ ด ” เสี ย ก่ อน ( ฎ .
๑๑๙๖๗/๒๕๕๖, ๘๓๗๙/๒๕๕๗)
๓. ผู้ให้คาพยานบอกเล่าไม่ได้มา หรือ ๓. พยานซัดทอดอาจมาเบิกความใน
มาเบิ ก ความในชั้ น พิ จ ารณาของศาล ชั้นพิจารณาของศาลก็ได้ (ฎ.๖๐๑๕/
แต่ก ลั บ ค าให้ การเดิ ม ศาลอาจรั บ ฟั ง ๒๕๓๑) แต่หากเป็นพยานบอกเล่าด้วย
บันทึกคาให้การชั้นอื่นที่พยานเคยให้ไว้ ก็ จ ะกลายเป็ น พยานที่ จ าเลยไม่ มี
เช่น คาให้การชั้นสอบสวน เป็นต้น (ฎ. โอกาสถามค้านไปด้วย ตาม ป.วิ.อ. ม.
๖๓/๒๕๓๓) ๒๒๗/๑ ว.หนึ่ง
ภาษาอังกฤษนั้นสาคัญไฉน แรงบันดาลใจของผู้เขียน
ผมเชื่อว่าจุดซึ่งทาให้ผมเกิดความหวังไม่น้อยในผลสอบที่ผ่านมา ก็คือ ในเรื่องสุ ดท้ายที่จะขอบอกเล่ า คือ แรงบันดาลใจที่เป็นต้นเหตุ หรือ
การสามารถเขียนตอบข้อสอบภาษาอังกฤษได้ ซึ่งต่อมาผมได้ยินได้ฟังคายืนยัน มูลเหตุจูงใจให้ผู้เขียนตัดสินใจตั้งมั่นสอบมาทางผู้ช่วยผู้พิพากษา ดังนี้
จากปากรุ่นพี่ผู้พิพากษาหรือท่านอาจารย์ผู้ให้การศึกษาอบรมว่า หลายท่านแล้ว
ประการแรกเลยก็คงเหมือนกับท่ านอื่นทั่วไปที่เห็นว่าวิชาชีพนี้มีเกียรติ
สอบผ่านเพราะภาษาอังกฤษช่วยไว้ ดังนั้น ผมจึงเห็น ความสาคัญอีกข้อหนึ่งว่า
และถือว่ากระทาในนามพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ อันทาให้เกิดความ
ควรจะเตรียมตัววางแผนสาหรับรับมือกับวิชานี้ไว้บ้างก็จะเป็นการดีอย่างยิ่งครับ
ภาคภูมิใจในชีวิตอย่างสูงสุดและเป็นเกียรติแก่ครอบครัววงศ์ตระกูล
แนวทางของผมสาหรับวิชานี้ก็ไม่ค่อยจะมีแผนการอะไรมาก คื อ ผมจะใช้สมุด
เล่มเล็กๆ พกติดตัวอยู่เช่นเดิม เมื่อเจอศัพท์ภาษาอังกฤษที่เด่นๆ หรือน่าแปลกไม่ ประการที่ ส อง นั่ น ก็ คื อ เป็ น วิ ช าชี พ ราชการที่ มั่ น คงสามารถเลี้ ย ง
เคยเจอมาก่อนก็จดไว้ทันที เมื่อมีโอกาสว่างๆ ก็จะหยิบมาทบทวน กับจะคอย ครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขได้
ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวกับข้องกับสากล เหตุบ้านการเมือง หรือมีรุ่นพี่ที่เตรียมตัว
ประการสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ จาเป็นจะต้องกล่าวไว้อย่างยิ่งในการแก้ไข
สอบด้วยกันสนทนากัน แล้วมาดูคาศัพท์สาคัญเป็นรายๆ ไป แต่ถึงกระนั้น ผมก็
ครั้งนี้เลย เรื่องมีอยู่ว่า ในวันหนึ่งเมื่อครั้งเข้าค่ายอบรมปัจฉิมนิเทศของคณะ ตอน
ยังหาเวลาเรียนภาษาอังกฤษทบทวนพื้นฐานคลาสเล็กๆ กับครูที่เปิดสอนแถวเนติ
ใกล้จะจบชั้นปี ๔ ซึ่งจะเป็นค่ายที่จัดอบรมเกี่ยวกับการจบออกไปแล้วจะทางาน
บัณฑิตไปด้วยครับ ซึ่งผมได้ประโยชน์จากการทบทวนพื้นฐานภาษาอังกฤษมาใช้
อะไรได้บ้างของสายกฎหมาย มีอาจารย์ที่เป็นเสมือนทั้ง โค้ช ชีวิตมหาลั ยเป็น
ทั้งในการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย และแต่งประโยคจากภาษาไทย
พี่ ช ายและเป็ น อาจารย์ ก ฎหมายที่ เ คารพนั บ ถื อ ของผมท่ า นหนึ่ ง คื อ ท่ า น
เป็ น ภาษาอั ง กฤษให้ ถู ก ต้ อ งตามโครงสร้ า งประโยค จนสามารถท าข้ อ สอบ
อาจารย์ธนัญชัย ทิพยมลฑล หรือที่พวกผมเรียกกันจนคุ้นชินว่า “อาจารย์พี่ปั๊ม”
ภาษาอังกฤษได้จนจบทุกข้อครับ แต่คะแนนก็เป็นไปตามคาดครับ ผมทาคะแนน
ที่เคารพรักยิ่ง ณ ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านเห็นแววอะไรในตัวผม ทั้งที่ผมเป็นคนบ้า
รวมได้เพียง ๔ แต้มเท่านั้น ^^
กิจกรรมเอามากๆ มีค่ายไหน กิจกรรมใด รับอาสาทาหมด ไม่ค่อยเอาดีด้านการ
สรุป ในการสอบครั้งนี้ ทุกข้อละทิ้งไม่ได้เลยครับ!! เรียนเป็นหลักเสียเท่าไหร่ อยู่ๆ ท่านก็เดินมาตบไหล่ผมแล้วกล่าวกับผมว่า “แมว
ถ้าเอ็งสอบไม่ให้ท่าน พี่จะไปเตะเอ็งถึงบ้านเลย” ประโยคนั้นยังคงดังกึกก้องใน
ใจผมเสมอมาจนถึงวันนี้ และผมจะคอยหวนคิดถึงเสมอเมื่อใดที่เริ่มรู้สึกท้อ รู้สึก
เหนื่อยจากการต่อสู้ฝ่าฝันกับอุปสรรคต่างๆ ทีผ่ มเข้ามาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ ของแถม แนวการเขียนตอบในส่วนวินิจฉัยและสรุปของผมครับ
เรียนเนติบัณฑิตและทางานทนายความ ผมจึงใคร่ขอโอกาสนี้ขอบพระคุณท่าน
- ตัวอย่างการเขียนตอบวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
อาจารย์ธ นัญชัยหรืออาจารย์ พี่ปั๊ม มา ณ โอกาสนี้ ที่ประโยคของอาจารย์เป็น
แรงผลักดันสาคัญจนทาให้ชีวิตก้าวมาถึงจุดนี้ครับ. คาถาม: คดีแพ่งเกิดที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ คดีเรื่องแรกนายเสื อเป็น
โจทก์ฟ้องนายสิงห์เป็นจาเลย หาว่านายสิงห์ยื่นคาขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง
แก้ไขรายการจดทะเบียนบริษัทและทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทอาหารไทย จากัด
อ้างมติที่ประชุมใหญ่ให้ถอนนายเสือออกจากการเป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทา
แทนบริษัทและไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในบริษัทดังกล่าวแล้ว ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการ
จดทะเบียนดังกล่าวทั้งที่บริษัทไม่เคยมีหนั งสือบอกกล่าวนัดประชุมและไม่เคยมี
มติให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการจดทะเบียนดังกล่าวจริง เป็นความเท็จทั้งสิ้น คดี
ดังกล่าวศาลวินิจฉัยว่า หากนายเสือโจทก์เห็นว่าการกระทาของบริษัทอาหารไทย
จากัด เป็นการกระทาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะฟ้องบริษัทดังกล่าว
เป็นจาเลยด้วย แต่โจทก์หาได้ทาเช่นนั้นไม่ ส่วนนายสิงห์จาเลยกระทาในฐานะ
กรรมการของบริ ษัท กรณีจึ งไม่มี บุค คลที่อ าจต้อ งรับ ผิ ด ตามค าขอของโจทก์
พิพากษายกฟ้อง ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ ถึงที่สุดแล้ว ต่อมาคดีเรื่องหลังนายเสือนา
เหตุเดียวกันนี้มาฟ้องบริษัทอาหารไทย จากัด เป็นจาเลยที่ ๑ และฟ้องนายสิงห์
เป็ น จ าเลยที่ ๒ ต่ อ ศาลจั ง หวั ด กาฬสิ น ธุ์ อี ก จ าเลยทั้ ง สองให้ ก ารให้ ก ารว่ า
ข้อความในเอกสารการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารต่างๆ
ของบริษัทจาเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นเป็นความจริง จาเลยทั้งสองได้ทา
ถู ก ต้ อ งตามขั้ น ตอนของกฎหมายทุ ก ประการ ต่ อ มาโจทก์ กั บ จ าเลยทั้ ง สอง
สามารถทาสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ โดยจาเลยทั้งสองตกลงชาระ
เงินจานวนหนึ่งให้แก่โจทก์ภายในกาหนดเวลา ๑ เดือนนับแต่วันทาสัญญา ส่วน
โจทก์หากได้รับชาระเงินครบถ้วนก็จะยอมสละสิทธิที่จะอ้างสิทธิว่าโจทก์ยังเป็นผู้
ภาพบรรยากาศสมัยผู้เขียนเตรียมตัวสอบผู้ช่วยฯ (พีท่ ี่นั่งอ่านด้วยถ่ายไว้) ถือหุ้ นและเป็ นกรรมการในบริษั ทจาเลยที่ ๑ อีกต่ อไป ศาลจัง หวัดกาฬสิ น ธุ์
พิ พ ากษาให้ ต ามยอม ต่ อ มาจ าเลยทั้ ง สองไม่ ป ระสงค์ จ ะปฏิ บั ติ ต ามสั ญ ญา หนังสื อบอกกล่าวนัดประชุมและไม่เคยมีมติให้ เปลี่ ยนแปลงแก้ไขรายการจด
ประนีประนอมยอมความดังกล่าว จาเลยทั้งสองจึงยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ทะเบียนของบริษัท ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หากโจทก์
๔ ว่า คาพิพากษาตามยอมนั้นเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยว เห็ นว่าการกระทาของบริษัทอาหารไทย จากัด เป็นการกระทาที่ไม่ช อบด้ว ย
ด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กล่าวคือ คู่ความทายอมกันในคดีที่ฟ้อง
กฎหมาย โจทก์ช อบที่จะฟ้องบริษัทดังกล่าวเป็นจาเลยด้วย แต่โจทก์หาได้ทา
โจทก์ เ ป็ น ฟ้ อ งซ้ า ศาลไม่ อ าจพิ พ ากษาตามยอมให้ ตั้ ง แต่ แ รก ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ วรรคสอง (๒) ส่วนนายเสือยื่นคา เช่นนั้นไม่ ส่วนนายสิงห์จาเลยกระทาในฐานะกรรมการบริษัท กรณีจึงไม่มีบุคคล
แก้อุทธรณ์ว่า ศาลพิพากษาตามยอมไม่ถูกต้องตรงกับประเด็นแห่งคดีที่แท้จริง ที่อาจต้องรับผิดชอบตามคาขอของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง คาวินิจ ฉัยของศาล
คาพิพากษาตามยอมไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน จังหวัดกาฬสินธุ์ดังกล่าว ถือได้ว่าในคดีแพ่งเรื่องแรกนั้นศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหา
ดังนี้ ให้ วินิจฉัยว่าข้ออ้างของแต่ล ะฝ่ายฟังขึ้นหรือไม่และคาพิพากษา ในประเด็นแห่งคดี ฟ้องของนายเสือสาหรับนายสิงห์จาเลยที่ ๒ ในคดีแพ่งเรื่อง
ของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด หลัง จึงไม่เป็นฟ้องซ้าด้วย ฟ้องคดีเรื่องหลังจึงไม่ต้องด้วยข้อห้ามตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ แต่ประการใด ข้ออุทธรณ์ของ
ธงคาตอบ: โดยหลักแล้วคดีที่ได้มีคาพิพากษาหรือคาสั่งถึงที่สุดแล้วห้าม
จาเลยทั้งสองในคดีนี้จึงฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น
มิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่าง
เดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ จากกรณีตาม ส่วนกรณีการทาสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลนั้น โดยหลักแล้ว
ปัญหา ในคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ปรากฏว่า บริษัทอาหารไทย จากัด ซึ่ง ในคดีที่คู่ความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดย
เป็นจาเลยที่ ๑ ในคดีเรื่องหลัง มิได้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีแพ่งเรื่องแรก ฟ้อง มิได้มีการถอนคาฟ้องนั้น และข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้น
ของนายเสือโจทก์สาหรับบริษัทจาเลยที่ ๑ ในคดีเรื่องหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้า ตาม ไม่ เ ป็ น การฝ่ า ฝื น ต่ อ กฎหมาย ให้ ศ าลจดรายงานพิ ส ดารแสดงข้ อ ความแห่ ง
มาตรา ๑๔๘ ดังกล่าว ข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหล่านั้นไว้ แล้วพิพากษาไปตามนั้น
อันเป็นไปตามหลักในประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๘ วรรค
ส่วนนายสิงห์ซึ่งเป็นจาเลยที่ ๒ ในคดีแพ่งเรื่องหลัง นายเสือโจทก์ฟ้อง
หนึ่ ง จากการที่ น ายเสื อ โจทก์ ฟ้ อ งขอให้ เ พิ ก ถอนนิ ติ ก รรมการจดทะเบี ย น
เป็นจาเลยในคดีแพ่งเรื่องแรกด้วย โดยนายเสือฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการจดทะเบียนของบริษัทอาหารไทย จากัด จาเลยที่ ๑ ที่
จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการจดทะเบียนของบริษัทอาหารไทย จากัด
มีผลทาให้โจทก์ไม่มีหุ้นถืออยู่ในบริษัทจาเลยที่ ๑ และถอนโจทก์ออกจากฐานะ
อ้างว่าข้อความที่นาไปขอจดทะเบียนเป็นข้อความเท็จเนื่องจากบริษัทไม่เคยมี
เป็นกรรมการของบริษั ทจาเลยที่ ๑ โดยจาเลยทั้ งสองให้ ก ารว่ า ข้ อความใน
เอกสารการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารต่างๆ ของจาเลยที่ ข้อพิพาทโดยตรงในคดีนี้ และสุ ดท้ายจะทาให้ คดีพิ พาทเสร็จเด็ดขาดไปตาม
๑ ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นเป็นข้อความที่เป็นความจริง จาเลยทั้งสองได้ทาถูกต้อง สัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อตกลงดังกล่ าวจึงเป็ นกรณีที่คู่ความตกลง
ตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า การจดทะเบียน ระงับข้อพิพาทระหว่างกันด้วยการยอมความในประเด็นแห่งคดีแล้ว ที่ศาลจังหวัด
แก้ไขรายการจดทะเบียนของจาเลยที่ ๑ ดังกล่าว จาเลยทั้งสองทาถูกต้องตาม กาฬสินธุ์มีคาพิพากษาให้ตามยอมจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้ออ้างของนายเสือก็
ขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ หากฟังว่า จาเลยทั้งสองทาไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ฟังไม่ขึ้นด้วยเช่นกัน
ของกฎหมายหรือไม่มีการประชุมและลงมติกันจริง ศาลก็ต้องพิพากษาให้เพิก
ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า ข้ออ้างทั้งของจาเลยทั้งสองและของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ถอนรายการจดทะเบียนแก้ไขทะเบียนของจาเลยที่ ๑ ซึ่งจะมีผลทาให้โจทก์ยังคง
คาพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดกาฬสิ นธุ์ช อบด้ว ยกฎหมายแล้ ว ดังที่ได้
เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอานาจกระทาการแทนจาเลยที่ ๑ แต่หากฟัง
อธิบายไว้ข้างต้น
ไม่ได้ตามฟ้อง ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้องซึ่งมีผลทาให้รายการจดทะเบียนแก้ไข
เปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนของจาเลยที่ ๑ ที่จาเลยทั้งสองกระทาไปนั้นยังมี เทียบเคียง: ฎ.๑๐๓๔๘/๒๕๕๙ ตามสาเนาคาพิพากษาของศาลชั้นต้น
ผลใช้ได้อยู่ต่อไปนั่นเอง การที่คู่ความสามารถตกลงทาสัญญาประนีประนอมยอม จาเลยที่ ๑ คดีนี้มิ ไ ด้เ ป็ น คู่ค วามเดีย วกัน กั บคดีดั งกล่า ว ฟ้องโจทก์ ส าหรั บ
ความ ที่มีข้อความให้นายเสือโจทก์ถอนหุ้นออกจากบริษัทจาเลยที่ ๑ และโจทก์ จาเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นฟ้องซ้า ส่วนจาเลยที่ ๒ คดีนี้ถูกโจทก์ฟ้องเป็นจาเลยในคดี
จะไม่เข้าไปเป็นกรรมการของบริษัทจาเลยที่ ๑ อีกต่อไป จึงเป็นข้อตกลงลักษณะ ดังกล่าว โดยโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ทานองว่า หลังจากทาสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ยอมสละสิทธิที่ รายการจดทะเบียนของบริษัท ฮ. อ้า งว่าข้อความที่นาไปขอจดทะเบียนเป็ น
จะอ้างสิ ทธิว่าโจทก์ยั งเป็ น ผู้ถือหุ้ นและเป็ นกรรมการในบริษัทจาเลยที่ ๑ อีก ข้อความเท็จเนื่องจากบริษัทไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวนัดประชุมและไม่เคยมีมติ
ต่อไป ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการสอดคล้องกับบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ให้ เ ปลี่ ย นแปลงแก้ ไขรายการจดทะเบีย นของบริ ษัท จ าเลยที่ ๒ ขาดนั ด ยื่ น
จาเลยที่ ๑ ที่ไม่ปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจาเลยที่ ๑ และสอดคล้อง คาให้การ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า หากโจทก์เห็นว่าการกระทาของบริษัท ฮ. เป็น
กับหนังสือรับรองของสานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ที่ไม่ปรากฏชื่อโจทก์เป็น การกระทาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะฟ้องบริษัทดังกล่าวเป็นจาเลย
กรรมของบริ ษัทจ าเลยที่ ๑ อีกต่อไป ทั้งข้อตกลงเช่นนั้นมีผ ลเท่ากับว่ าโจทก์ ด้วย แต่โจทก์หาได้บริษัทดังกล่าวเป็นจาเลยด้วยไม่ ส่วนจาเลยที่ ๒ กระทาใน
ยอมรับให้รายการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนของบริษัท ฐานกรรมการบริษัท กรณีจึงไม่มีบุคคลที่อาจต้องรับผิดชอบตามคาขอของโจทก์
จาเลยที่ ๑ ที่จาเลยทั้งสองได้กระทาไป ยังคงมีผลใช้ได้อยู่ต่อไป อันเป็นประเด็น ศาลไม่อาจจะพิพากษาบังคับให้ตามคาขอของโจทก์ได้ และพิพากษายกฟ้อง
ถือได้ว่า ในคดีก่อนศาลยังมิได้ วินิจ ฉั ยเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี ฟ้องโจทก์ สิทธิว่าโจทก์ยังเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการในบริษัทจาเลยที่ ๑ อีกต่อไป ซึ่ง
สาหรับจาเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นฟ้องซ้า ข้อ ตกลงดั งกล่า วจะเป็ น การสอดคล้อ งกั บบั ญ ชีร ายชื่ อผู้ ถือ หุ้น ของบริ ษั ท
จ าเลยที่ ๑ ที่ ไ ม่ ป รากฏชื่ อ โจทก์ เ ป็ น ผู้ ถื อ หุ้ น ของบริ ษั ท จ าเลยที่ ๑ และ
โจทก์ฟ้องขอให้ เ พิกถอนนิ ติกรรมการจดทะเบียนเปลี่ ยนแปลงแก้ไ ข
สอดคล้องกับหนังสือรับรองของสานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดชลบุรี
รายการจดทะเบี ย นของบริ ษัทจ าเลยที่ ๑ ที่มีผ ลทาให้ โ จทก์ไม่มี หุ้ นถืออยู่ใ น
ที่ไ ม่ปรากฏชื่อโจทก์เ ป็น กรรมของบริ ษัทจ าเลยที่ ๑ อีกต่ อไป ทั้ง ข้อตกลง
บริษัทจาเลยที่ ๑ และถอนโจทก์ออกจากฐานะเป็นกรรมการของบริษัทจาเลยที่
เช่นนั้น มี ผ ลเท่ ากับว่า โจทก์ ยอมรับ ให้ รายการจดทะเบี ยนแก้ไ ขเปลี่ ย นแปลง
๑ จาเลยทั้งสองให้การว่า ข้อความในเอกสารการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลง
รายการจดทะเบียนของบริษัทจาเลยที่ ๑ ที่จาเลยทั้งสองได้กระทาไป ยังคงมีผล
รายการในเอกสารต่ างๆ ของจาเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้นเป็นข้อความที่
ใช้ได้อยู่ต่อไป อันเป็นประเด็นข้อพิพาทโดยตรงในคดีนี้ และสุดท้ายจะทาให้คดี
เป็นความจริง จาเลยทั้งสองได้ทาถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ
พิพาทเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๓ จึงเป็นกรณีที่
ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่า การจดทะเบียนแก้ไขรายการจดทะเบียนของจาเลยที่ ๑
คู่ความตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างกันด้วยการยอมความในประเด็นแห่งคดี
ดังกล่ าว จาเลยทั้งสองทาถูกต้องตามขั้น ตอนของกฎหมายหรือไม่ หากฟังว่า
แล้ว (เล่ม ๗ หน้า ๑๔๘ – ๑๔๙)./
จาเลยทั้งสองทาไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่มีการประชุมและลง
มติกันจริง ศาลก็ต้องพิพากษาให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนแก้ไขทะเบียนของ ---------------------
จาเลยที่ ๑ ซึ่งจะมีผลทาให้โจทก์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการผู้มีอานาจ
คาถาม: คดีแพ่งเรื่องหนึ่งเกิดที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ นายค็อปเป็นโจทก์
กระทาการแทนจาเลยที่ ๑ แต่หากฟังไม่ได้ตามฟ้อง ศาลก็ ต้องพิพากษายกฟ้อง ฟ้องห้ างหุ้ นส่ว นจากัด แดงเดือด เป็นจาเลยที่ ๑ และนายมูในฐานะหุ้ นส่ ว น
ซึ่งมีผลทาให้รายการจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนของจาเลย ผู้จัดการขณะทาสัญญาเป็นจาเลยที่ ๒ ว่าร่วมกันทาสัญญาสั่งซื้อลูกฟุตบอลจาก
ที่ ๑ ที่จ าเลยทั้งสองกระทาไปนั้ น ยังมีผ ลใช้ได้อยู่ สัญญาประนีประนอมยอม นายค็อปเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยนายค็อปส่งมอบสินค้าให้ไปทั้งหมด
ความ ข้อ ๓ ที่ตกลงให้โจทก์ถอนหุ้นออกจากบริษัทจาเลยที่ ๑ และโจทก์จะไม่ ครบถ้วนแล้ว ซึ่งปัจจุบันนายมูถูกไล่อ อกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้าง
เข้าไปเป็นกรรมการของบริษัทจาเลยที่ ๑ รวมถึงไม่ติดใจที่จะเรียกร้องสิทธิและ หุ้นส่วนจากัด ดังกล่าวแล้ว แต่ได้เข้ามายื่นคาให้การภายในกาหนด ต่อสู้คดีว่า
ทรัพย์สินอื่นๆ รวมถึงเงินอื่นใดนอกจากที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอม หนี้ตามสัญญาซื้อขายลูกฟุตบอลขาดอายุความ ๒ ปี แล้ว ส่วนห้างหุ้นส่วนจากัด
แดงเดือด ขาดนัดยื่นคาให้การ นายค็อปนาพยานหลักฐานเข้าสืบจนเสร็จ ส่วน
ยอมความจากจ าเลยทั้ ง สองอี ก ต่ อ ไป จึ ง เป็ น ข้ อ ตกลงลั ก ษณะท านองว่ า
นายมูแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาพิพากษาว่าหนี้ตามซื้อขาย
หลังจากทาสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว โจทก์ยอมสละสิทธิที่จะอ้าง ขาดอายุความ ๒ ปี ยกฟ้อง นายค็อปอุทธรณ์ว่า หนี้ตามฟ้องยังไม่ขาดอายุความ
แท้จริงแล้วเป็นหนี้ที่เป็นการที่ได้ทาเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง หนี้ตามฟ้อง 193/34 (1) ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้มีหลักว่า เว้นแต่เป็นการที่ได้ทาเพื่อ
จึงมีอายุความ ๕ ปี ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ห้างหุ้นส่วนจากัด แดงเดือด กิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง อายุความจึงเป็นไปตาม มาตรา 193/33 (5) ซึ่ง
ยื่นอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอานาจฟ้องและโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิไม่สุจริต โดยอ้างอิง เป็นอายุความ ๕ ปี ศาลจึงมีอานาจวินิจฉัยว่า หนี้ค่าสินค้าของนายค็อปมีอายุ
จากคาพิพากษาของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ยกฟ้องตาม
ความตามหลัก 2 ปี หรือมีอายุความตามข้อยกเว้น 5 ปี แม้นายค็อปโจทก์จะเพิ่ง
ศาลชั้นต้นที่พิพากษาโดยชอบแล้ว ส่วนนายมูยื่นคาแก้อุทธรณ์ว่า ข้ออุทธรณ์ของ
โจทก์เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เนื่องจากจาเลยที่ ๒ ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ก็ตาม ก็ไม่เข้าข่ายเป็นข้อที่มิได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว
ให้การต่อสู้เฉพาะประเด็นอายุความ ๒ ปี ไว้เท่านั้น โดยชอบในศาลชั้นต้นตามที่นายมูจาเลยที่ ๒ อ้าง แต่ประการใด อุทธรณ์ของ
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จาต้องวินิจฉัยข้ออุทธรณ์และข้อ นายค็อปจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรค
แก้อุทธรณ์ของแต่ละฝ่ายหรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด หนึ่งแล้ว คาแก้อุทธรณ์ของนายมูฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จึงจาต้องวินิจฉัย
ในประเด็นข้ออุทธรณ์ของนายค็อปนี้อยู่
ธงคาตอบ: จากการที่นายค็อปเป็นโจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจากัด แดง
เดือด ผู้ซื้อเป็นจาเลยที่ ๑ และนายมูในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการในขณะทาสัญญา ในส่วนประเด็นข้ออุทธรณ์ของห้างหุ้นส่วนจากัด แดงเดือด จาเลยที่ ๑
เป็นจาเลยที่ ๒ อ้างว่าทั้งสองร่วมกันทาสัญญาสั่งซื้อลูกฟุตบอลจากนายค็อปเป็น นั้น โดยหลักแล้ว ปัญหาเรื่องอานาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
เงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยนายค็อปผู้ขายส่งมอบสินค้าทั้งหมดครบถ้วนแล้ว จึง ของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้น
ยังคงเหลือหนี้ในส่วนการชาระราคาเท่านั้น ต่อมามีเพียงนายมูจาเลยที่ ๒ ยื่น อุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง
คาให้การเพียงคนเดียวต่อสู้คดีว่า หนี้ตามฟ้องขาดอายุความ ๒ ปี แล้ว ซึ่งเป็น แต่ข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในอุทธรณ์ดังกล่ าวจะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้
การกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา มาตรา 193/34 ข้อเท็จจริงมาจากการดาเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วย มิใช่ได้ข้อเท็จจริงมา
(1) ต่อมาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าหนี้ตามฟ้อง จากเรื่องนอกฟ้อง นอกคาให้การ หรือนอกประเด็น หรือไม่เกี่ยวกับที่คู่ความต้อง
ขาดอายุความ ๒ ปี นายค็อปจึงอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ว่าหนี้ตามฟ้องยัง นาสืบ เมื่อห้างหุ้นส่วนจากัด แดงเดือด จาเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคาให้การ และนาย
ไม่ขาดอายุความ แท้จริงแล้วมีอายุความ ๕ ปี เนื่องจากเป็นหนี้ที่เป็นการที่ได้ทา มูจาเลยที่ ๒ ก็มิได้ให้การในประเด็นข้อนี้ไว้เลย เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้นายค็อป
เพื่ อ กิ จ การของฝ่ า ยลู ก หนี้ นั้ น เอง ตามข้ อ ยกเว้ น ในตอนท้ า ยของบทบั ญ ญั ติ โจทก์สืบพยานจนคดีเสร็จการพิจารณาและมีคาพิพากษา คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า
ดังกล่าว ซึ่งการวินิจฉัยเรื่องอายุความตามฟ้องของนายค็อปโจทก์นั้น ศาลจึงต้อง จาเลยทั้งสองต้องรับผิดในหนี้ตามสัญญาซื้อขายตามฟ้องหรือไม่เพียงใด จึงไม่มี
พิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้ทั้งหมด เมื่อตอนท้ายมาตรา ประเด็นเรื่องอานาจฟ้องและโจทก์ฟ้องคดีโดยสุจริตหรือไม่ ที่ห้างหุ้นส่วนจากัด
แดงเดือด จาเลยที่ ๑ อุทธรณ์อ้างนายค็อปโจทก์ไม่มีอานาจฟ้องและใช้สิทธิฟ้อง โดยไม่ สุ จ ริ ต โดยอ้ า งอิ ง จากค าวิ นิ จ ฉั ย ของศาลชั้ น ต้ น จึ ง เป็ น การกล่ า วอ้ า ง
โดยไม่สุจริต แม้จะอ้างอิงจากคาวินิจฉัยของศาลชั้นต้นด้วยก็ตาม ก็ยังเป็นการ ข้อเท็จจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริ งที่ได้มาจากการดาเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ
กล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่มิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดาเนินกระบวนพิจารณาโดย ไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.
ชอบ ไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง (เล่ม ๘ หน้า ๗๓)
มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ย่อมไม่ควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยข้อ
ฎีกาที่ 3358/2560 จาเลยที่ 1 อ้างว่า ฟ้องโจทก์ที่เรียกเอาค่าจ้าง
อุทธรณ์ข้อนี้ของห้างหุ้นส่วนจากัด แดงเดือด จาเลยที่ ๑
งวดสุดท้ายและค่าจ้างงานเพิ่มเติมจากจาเลยที่ 1 ขาดอายุความ 2 ปี ตาม ป.
ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จาต้องวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของ พ.พ. มาตรา 193/34 (1) ดังนั้น การวินิจฉัยเรื่องอายุความตามฟ้องของโจทก์
นายค็อปโจทก์ ข้อแก้อุทธรณ์ของนายมูจาเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น แต่ไม่จาต้องวินิจฉัย นั้น ศาลจึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวได้ทั้งหมด เมื่อ
ข้อ อุ ทธรณ์ ของห้ า งหุ้ น ส่ ว นจ ากั ด แดงเดื อด จาเลยที่ ๑ แต่ อย่ า งใด ดัง ที่ ไ ด้ ตอนท้ายมาตรา 193/34 (1) ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า เว้นแต่การใช้สิทธิ
อธิบายไว้ข้างต้น. เรียกร้องค่าการงานที่ได้ทาเพื่อกิจการของลูกหนี้ ให้มีอายุความ 5 ปี ตาม ป.
พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ศาลจึงมีอานาจวินิจฉัยว่า หนี้ค่าการงานในส่วนนี้
เทียบเคียง: ฎ.๘๘๔๘/๒๕๕๙ ปัญหาเรื่องอานาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยว
ของโจทก์มีอายุความตามหลัก 2 ปี หรือมีอายุความตามข้อยกเว้น 5 ปี แม้โจทก์
ด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น ก็มี
เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ ก็ตาม ก็ไม่เข้าข่ายเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากัน
สิทธิ ยกขึ้นอ้า งในชั้นอุทธรณ์ได้ ตาม ป.วิ. พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคสอง แต่ข้อ
มาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามที่จาเลยที่ 1 อ้าง
กฎหมายที่ ย กขึ้ น อ้ า งอิ ง ในอุ ท ธรณ์ ดั ง กล่ า วจะต้ อ งเป็ น ข้ อ กฎหมายที่ ไ ด้
ข้อเท็จจริงมาจากการดาเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วย มิใช่ได้ข้อเท็จจริง (ที่มาเว็บไซต์ http://deka.supremecourt.or.th/)./
มาจากเรื่องนอกฟ้อง นอกคาให้การ หรือนอกประเด็น หรือไม่เกี่ยวกับที่คู่ความ
ของแถม เหตุที่ศาลชั้นต้นจาต้องพิพากษายกฟ้องทั้งคดี แม้จาเลยบาง
ต้องนาสืบ เมื่อจาเลยขาดนัดยื่นคาให้การ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์สืบพยานโจทก์
คนจะไม่ยื่นคาให้การการในประเด็นเรื่องอายุความ
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๙๘ ทวิ วรรคสอง (๒) คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จาเลยต้อง
รับผิดตามเช็คพิพาทหรือไม่เพียงใด ไม่มีประเด็นเรื่องอานาจฟ้องและโจทก์ฟ้อง ฎ.1191/2560 ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกาหนดประเด็นข้อพิพาท
คดีโดยสุจริตหรือไม่ ที่จาเลยอุทธรณ์อ้างโจทก์ไม่มีอานาจฟ้องและใช้สิทธิฟ้อง ว่า สิทธิเรียกร้องตามคาฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ แม้จาเลยที่ 3 และที่
4 จะมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในคาให้การ แต่เมื่อตามคาฟ้องโจทก์อ้างว่า บทกฎหมายดังกล่าว แต่ในการดาเนินกระบวนพิจารณาในศาล เมื่อลูกหนี้หลาย
จาเลยทั้งสี่ร่ว มกัน ทาละเมิดต่อโจทก์ มูล ความแห่ งคดีจึงเป็น การชาระหนี้ซึ่ง คนถูกฟ้องร้องให้รับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในลักษณะที่ลูกหนี้หลายคนเป็น
แบ่งแยกจากกันไม่ได้ การที่จาเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าสิทธิเรียกร้องตาม ลูกหนี้ร่วมและเป็นจาเลยร่วมกันนั้น ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา
คาฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ถือว่าได้ทาโดยจาเลยที่ 3 และที่ 4 ด้วยตาม ป. และการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า
วิ.พ. มาตรา 59 (1) ระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 59 (1)
บัญญัติว่าในกรณีที่ลูกหนี้ร่วมหลายคนซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่ง
ฎ.15078/2556 จาเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ใช้บริการของจาเลยที่ 3
คดีถูกฟ้องเป็นจาเลยร่วมให้ชาระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ การที่ลูกหนี้ร่วมคน
เป็นผู้ปฏิบัติตามสัญญาขนส่งต่อเนื่องหลายรู ปแบบที่จาเลยที่ 1 และที่ 2 ทากับ
หนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้จะมีผลเท่ากับว่าลูกหนี้ร่วมคนอื่นยกอายุความขึ้น
ผู้ขาย และความเสียหายของสินค้าพิพาทเกิดจากการวางสินค้าไว้ในที่เปิดโล่ง
ต่อสู้ด้วย และเป็นกรณีที่ถือได้ว่าลูกหนี้ร่วมคนอื่นยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้
ขณะที่เกิดฝนตกหนักในระหว่างการขนส่งช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนที่ผู้ขนส่งทางบก
ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 193/29 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว การที่จาเลยที่ 3
ได้รับมอบสินค้าบรรทุกขึ้นรถที่เมืองโกเทนเบิร์ก เมื่อมีเพียงจาเลยที่ 3 เท่านั้นที่
ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในคาให้การจึงมีผลเท่ากับว่าจาเลยที่ 1
เป็นผู้ขนส่งในช่วงทางเรือจากกรุงเทพมหานครไปยังเมืองโกเทนเบิร์ก จึงฟังได้ว่า
และที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมยกอายุความขึ้นต่อสู้ด้วย แม้ว่าจาเลยที่ 1 และที่ 2
สินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างอยู่ในความดูแลของจาเลยที่ 3 จาเลยที่ 1 และที่
จะขาดนัดยื่นคาให้การก็ตาม
2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจาเลยที่ 3 อย่างลูกหนี้ร่วมต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา
301 ดังนี้ เมื่อจาเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมการ ข้อเตือนใจ: บางคนอาจจะอ่านโจทย์แล้วเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า ศาล
ที่จาเลยที่ 3 ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งยกอายุความ 9 เดือน ตาม พ.ร.บ.การขนส่ง ชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว ทาไมจาเลยที่ ๑ ยังอุทธรณ์อีก ปกติไม่น่าจะเกิดขึ้น
ต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ.2548 มาตรา 38 วรรคแรก ขึ้นต่อสู้ในคาให้การจะ ตรงนี้มักเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของนักศึกษาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ชอบข้อสงสัยใน
มีผลถึงจาเลยที่ 1 และที่ 2 ลูกหนี้ร่วมคนอื่นด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า ตาม ป.พ.พ. ข้อเท็จจริงตามโจทย์ ซึ่งไม่ควรไปเสียเวลากับเรื่องนี้ !! ควรแยกแยะว่าส่วนไหน
มาตรา 193/29 ฝ่ายลูกหนี้จะต้องยกเรื่องอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้เมื่อถูกฝ่าย เป็ น ข้ อ เท็ จ จริ ง ส่ ว นไหนเป็ น ข้ อ กฎหมายที่ โ จทย์ ต้ อ งการถาม และต้ อ งฟั ง
เจ้าหนี้ดาเนินคดีฟ้องร้องให้ชาระหนี้ ศาลจึงจะยกฟ้องในเหตุนี้ได้ แต่การยกอายุ ข้อเท็จจริงยุติไปตามโจทย์ แล้ววินิจฉัยหาข้อกฎหมายที่ถามนามาเขียนตอบให้
ความขึ้นต่อสู้ของลูกหนี้นั้น แม้ตามปกติลูกหนี้ผู้นั้นซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันใน ถูกต้องตรงตามประเด็น ไม่นอกเรื่อง หากสามารถแยกแยะได้เช่นนี้ ก็จะทาให้ไม่
มูลความแห่งคดีจะต้องยกเรื่ องอายุความขึ้นต่อสู้ด้วยตนเองจึงจะถือว่ามีผลตาม สิ้นเปลืองเวลาโดยใช้เหตุ และสามารถบริหารเวลาเขียนตอบได้ดียิ่งขึ้นครับ./
คาถาม: คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง นายดาเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงเป็นจาเลยต่อ ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหาเมือ่ นายดาเป็นโจทก์ฟ้องนายแดงเป็นจาเลย
ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ว่า นายแดงผิดสัญญาจะซื้อจะขายโดยนาที่ดินพร้อมสิ่งปลูก ต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์หาว่า นายแดงผิดสัญญาจะซื้อจะขายโดยนาที่ดินพร้อม
สร้างที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น ทาให้นายดาเสียหาย ขอให้บังคับเรียกเงินมัดจา สิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น ทาให้นายดาเสียหาย ขอให้บังคับเรียก
คืนและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยถัดจากวันฟ้อง เงินมัดจาและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยถัดจาก
เป็นต้นไป ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาสั่งรับฟ้องแบบคดีสามัญเพราะเห็นว่าไม่ใช่คดี วันฟ้องเป็นต้นไป ต่อมาก่อนวันนัดชี้สองสถานนายดายื่นคาร้องขอแก้ไขเพิ่มเติม
ผู้บริโภค โดยกาหนดวันนัดชี้สองสถานในวันที่ ๓ เมษายน ๒๕ ๐ ต่อมาวันที่ คาฟ้องโดยมีสาระสาคัญในคาฟ้องภายหลังที่ขอแก้ไขคาฟ้องคือ นายดาได้ทา
๓๑ มีนาคม ๒๕ ๐ นายดายื่นคาร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคาฟ้องว่าการกระทาของ สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาท
นายแดงตามฟ้องทาให้นายดาต้องผิดสัญญากับบริษัทโรงลาบกาฬสินธุ์ จากัด อีก ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทากับนายแดง ให้แก่บริษัทโรงลาบกาฬสินธุ์ จากัด ไป
ด้วย เนื่องจากนายดาได้ตกลงทาสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการที่จะได้รับโอน แล้ว การที่นายแดงนาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้แก่บุคคลอื่นทา
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทากับนาย ให้นายดาขาดกาไรอีก ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอรวมค่าเสียหายตามคาฟ้องเดิม
แดง ให้ แ ก่ บ ริ ษั ท โรงลาบกาฬสิ น ธุ์ จ ากั ด ไปแล้ ว ต้ อ งขาดก าไรไปอี ก และคาฟ้องภายหลังที่นายแดงต้องชาระแก่นายดานั้น คาฟ้องภายหลังนี้เป็นการ
๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงขอแก้ไขคาฟ้องเดิมและเพิ่มทุนทรัพย์โดยรวมค่าเสียหาย เพิ่มเติมคาฟ้องเดิมที่นายดาหาว่านายแดงผิดสัญญาจะซื้อจะขาย นายแดงนา
ตามคาฟ้องเดิมและคาฟ้องภายหลังเป็นเงินจานวน ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ศาล ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น ทาให้นายดาเสียหาย โดย
จังหวัดกาฬสินธุ์ตรวจคาร้องแล้วเห็นว่า เป็นคาร้องที่เพิ่มข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ไม่ เพิ่มเติมว่าการกระทาของนายแดงจาเลยทาให้ นายดาขาดกาไรไปอีกเป็นเงิน
เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาไปด้วยกันได้ ทั้งยังเป็นการเพิ่มทุนทรัพย์ จานวนมาก จึงเป็นการเพิ่มเติมคาฟ้องเดิมให้สมบูรณ์ และเพิ่มทุนทรัพย์ที่พิพาท
จากฟ้องเดิมไม่เข้าเงื่อนไขของกฎหมายที่จะอนุญาตให้แก้ไขคาฟ้องได้ จึงยกคา ในฟ้องเดิม ทั้งคาฟ้องเดิมและคาฟ้องภายหลังนี้ก็เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการ
ร้อง นายดาอุทธรณ์คาสั่ งไม่อนุ ญาตให้แก้ไขคาฟ้องของศาลจังหวัดกาฬสิ นธุ์ พิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
ในทันที แพ่ง มาตรา ๑๗๙ (๑) (๒) และวรรคท้าย เมื่อปรากฏว่านายดาได้ยื่นคาร้องขอ
แก้ไขคาฟ้องโดยทาเป็นคาร้องยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถาน ตามมาตรา ๑๘๐
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าคาสั่งไม่อนุ ญาตให้แก้ฟ้องของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์
แล้ว จึงชอบที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์จะรับคาฟ้องภายหลังของนายดาไว้พิจารณา
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
และชี้ขาดตัดสินรวมกับคาฟ้องเดิมไป คาสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขคาฟ้องของศาล สืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถานตาม ป.วิ. พ. มาตรา
จังหวัดกาฬสินธุ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ๑๘๐ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะรับคาฟ้องภายหลังของโจทก์ไว้พิจารณาและชี้ขาด
ตัดสินรวมกับคาฟ้องเดิมของโจทก์./
ดังนี้ จึ งวินิจฉัยได้ว่า คาสั่ งไม่อนุญาตให้แก้ไขคาฟ้องของศาลจังหวัด
กาฬสินธุ์ไม่ช อบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังที่ได้อธิบายไว้ ---------------------
ข้างต้น
คาถาม: ดาฟ้องแดงต่อศาลจังหวัดรัตนบุรีว่า ผิดสัญญาแบ่งที่ดินขอให้
เทียบเคียง: ฎ.๑๐๘๑๑/๒๕๕๘ สาระสาคัญในคาฟ้องภายหลังที่โจทก์ ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงตามฟ้อง แดงยื่นให้การว่า ที่ยอมทาบันทึกข้อตกลงไป
ขอแก้ไขคาฟ้องคือ โจทก์ได้ทาสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับโอนกรรมสิทธิ์ เพราะถูกข่มขู่ จึงตกเป็นโมฆียะ ขอให้ยกฟ้อง ต่อมาแดงฟ้องดาที่ศาลเดียวกัน
ที่ดิน พร้ อมสิ่งปลูกสร้ างที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทากับจาเลย ให้แก่ เป็น อีก คดี ขอให้ เ พิก ถอนบั นทึ กข้อ ตกลงฉบั บเดี ยวกัน นี้เ นื่อ งจากเหตุ โ มฆีย ะ
บริ ษั ท อ. ในราคา ๑๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ รั บ เงิ น มั ด จ ามาแล้ ว ดัง กล่ า ว หลั ง จากนั้ น คดี ที่ ด าเป็ น โจทก์ มี ค าพิ พ ากษาก่ อ นว่ า บั น ทึ ก ข้ อ ตกลง
๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท การที่จาเลยนาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้แก่ ดังกล่าวไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะแดงทาด้วยความสมัครใจจึงไม่อาจบอกล้างได้
บุคคลอื่นทาให้โจทก์ขาดกาไรอีก ๑ ๙,๐๐๐,๐๐๑ บาท รวมค่าเสียหายตามคา ความดังกล่าวปรากฏต่อศาลในคดีที่แดงเป็นโจทก์ ศาลจังหวัดรัตนบุรีจึงมีคาสั่ง
ฟ้องเดิมและคาฟ้องภายหลังที่จาเลยต้องชาระแก่โจทก์ทั้งสิ้ น ๒๓๒,๙๙๐,๐๐๑ งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องคดีที่แดงเป็นโจทก์
บาท คาฟ้องภายหลังนี้เป็นการเพิ่มเติมคาฟ้องเดิมที่โจทก์ว่าจาเลยผิดสัญญาจะ
ดังนี้ คาสั่งรับฟ้อง คาสั่งงดสืบพยาน และคาพิพากษาในคดีที่แดงเป็น
ซื้อจะขาย จาเลยนาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทไปขายให้บุคคลอื่น ทาให้
โจทก์ของศาลจังหวัดรัตนบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
โจทก์เสียหาย โดยเพิ่มเติมว่าการกระทาของจาเลยทาให้โจทก์ฟ้องผิดสัญญากับ
บริษัท อ. และขาดกาไรไปอีก ๑๖๙,๙๙๐,๐๐๑ บาท จึงเป็นการเพิ่มเติมคาฟ้อง ธงคาตอบ: คาสั่งรับฟ้องในคดีที่แดงเป็นโจทก์ไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้า
เดิมให้สมบูรณ์ และเพิ่มทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิม ทั้งคาฟ้องเดิมและคาฟ้อง เพราะคดีที่ดาเป็นโจทก์ยังไม่มีคาพิพากษาถึงที่สุ ด ตามประมวลกฎหมายวิธี
ภายหลังนี้ก็เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกัน พิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ไม่เป็นฟ้องซ้อน เพราะแม้ในคดีที่ดาเป็นโจทก์
ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๙ (๑) (๒) และวรรคท้าย เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ ฟ้องแดงจะอยู่ในระหว่างพิจารณา แต่คดีหลังแดงก็ไม่ได้เป็นโจทก์คนเดียวกันกับ
แก้ ไ ขค าฟ้ อ งโดยท าเป็ น ค าร้ อ งยื่ น ต่ อ ศาลก่ อ นวั น ชี้ ส องสถาน หรื อ ก่ อ นวั น ในคดีก่อน จึงไม่ต้องห้ามฟ้องตาม มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) และไม่ถือว่าเป็น
การดาเนินกระบวนพิจารณาซ้า เพราะในขณะยื่นฟ้องคดีหลัง คดีที่ดาเป็นโจทก์ คดีดังกล่าวเป็น ฝ่ายแพ้คดี โดยศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ชาดว่า โจทก์ทั้งสามซึ่ง
ศาลชั้นต้นยังไม่มีคาพิพากษาหรือคาสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่ง เป็นจาเลยในคดีดังกล่ าว ยอมทาบันทึกข้อตกลงกับ อ. และจาเลยที่ ๕ เพื่อ
คดีแล้ว อันจะต้องห้ามตามมาตรา ๑๔๔ คาสั่งรับฟ้องคดีที่แดงเป็นโจทก์ฟ้องดา เป็นไปตามคาประสงค์เดิมของบรรดาญาติพี่น้อง หาใช่เพราะถูกข่มขู่ให้ลงชื่อใน
จึงชอบด้วยกฎหมาย บันทึกข้อตกลงไม่ บันทึกข้อตกลงจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสามไม่
มีสิทธิบอกล้าง เมื่อ (๑) ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีแพ่งของศาลชั้นต้น มีประเด็นข้อ
แต่ต่อมา เมื่อคดีที่ดาเป็นโจทก์ฟ้องแดงมีคาพิพากษาแล้ว ซึ่งประเด็นที่
พิพาทซึ่งศาลต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน (๒) คู่ความในคดีดังกล่าวกับคู่ความใน
ศาลจั งหวัดรัตนบุ รี จะต้องวินิ จ ฉัยชี้ขาดทั้งสองคดีเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็น
คดีเป็นคู่ ความรายเดียวกั น และ (๓) ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่ าวมีคาพิพากษา
คู่ความเดียวกัน อาจสลับฝ่ายฟ้องกันก็ได้ แม้ขณะแดงยื่นฟ้องจะไม่ต้องห้ามตาม
วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องโจทก์ในคดีนี้ จึงเป็น การดาเนิน กระบวนพิจารณาซ้า
กฎหมายหรือไม่ แต่เมื่อต่อมาคดีก่อนมีคาพิพากษาอันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี
ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๔ ประกอบกับความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดี
ของศาลแล้ว คดีที่แดงเป็นโจทก์ฟ้องดาย่อมไม่อาจดาเนินกระบวนพิจารณาใดๆ
แพ่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษา ตาม
ต่อไปได้อีก เพราะจะถือเป็นการดาเนินกระบวนพิจารณาซ้ากับคดีเดิม ซึ่งการ
พระธรรมนูญ ศาลยุ ติธ รรม มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง โดยศาลฎี กาเห็ นว่ า ศาล
สืบพยานเป็นกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง ตามมาตรา ๑ (๗) คาสั่งงดสืบพยาน
อุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืนตามคาพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว โจทก์ทั้งสามจึง
และคาพิพากษาของศาลจั งหวัดรัตนบุรีจึ งชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามมาตรา
ไม่มีอานาจฟ้อง คาสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นชอบแล้ว./
๑๔๔
สังเกต การตอบจะอ้างชื่อกฎหมายเพียงครั้งเดียว ดังที่ผ มเล่าไว้แล้ ว
เทียบเคียง: ฎ.๔๔๑ - ๔๔๒/๒๕๕๙ โจทก์ทั้งสามทาบันทึกข้อตกลงกับ
ข้ า งต้ น (เทคนิ ค นี้ ผ มได้ ยิ น มาแต่ น มนาน ตั้ ง แต่ ใ ช้ ส มั ย สอบเนติ บั ณ ฑิ ต จ า
อ. และจาเลยที่ ๕ แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๑๔๔ ให้มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน
แหล่งที่มาไม่ได้แล้วนะครับ) และหลักการเขียนตอบกฎหมาย ป.วิ.พ. เกี่ยวกับ
คนละส่วนเท่ากัน ต่อมาโจทก์ทั้งสามปฏิบัติผิดข้อตกลง อ. กับจาเลยที่ ๕ จึงฟ้อง
ฟ้องซ้า ฟ้องซ้อน ดาเนินกระบวนพิจารณาซ้า ผมมักจะเขียนวินิจฉัยไปทีละขึ้น
โจทก์ทั้งสามเป็นจาเลยให้ชาระเงินพร้อมดอกเบี้ย โจทก์ทั้ งสามยื่นคาให้การต่อสู้
ตอนเริ่มจากเข้าฟ้องซ้าหรือไม่ หากไม่เข้าฟ้องซ้าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ และหากไม่
คดีขอให้ยกฟ้อง โดยอ้างเหตุทานองเดียวกับที่โจทก์ทั้งสามฟ้องจาเลยทั้งห้าใน
เป็นทั้งสองสุดท้ายจะเป็นดาเนินกระบวนพิจารณาซ้าหรือไม่นั่นเอง
คดีนี้ว่าโจทก์ทั้งสามทาบันทึกข้อตกลงเพราะถูกข่มขู่ ต่อมาศาลชั้นต้นในคดีที่
โจทก์ทั้งสามถูกฟ้องเป็นจาเลย ได้มีคาพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นจาเลยใน
คาถาม: คดีเรื่องหนึ่ง นายแดงจดทะเบียนสมรสกับนางขาว ไปตั้งรกราก ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหา จากการที่นายแดงเป็นโจทก์ฟ้องนางขาว
อยู่ที่อาเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทามาหาได้ร่วมกันจนซื้อที่ดินได้แปลง เป็นจาเลยที่ ๑ และนายเหลืองเป็นจาเลยที่ ๒ ให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝาก
หนึ่งในอาเภอดังกล่าว ด้วยความไว้วางใจภริยาจึงยินยอมให้นางขาวมีชื่อเป็น เนื่องจากนางขาวภริยาไม่ได้รับความยินยอมจากนายแดงในการจดทะเบียนขาย
เจ้าของที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานางขาวติดการพนัน จึงแอบนาที่ดินไปขายฝาก
ฝากสินสมรส ส่วนคดีก่อนเป็นคดีที่นางขาวเป็นโจทก์ฟ้องนายเหลืองเป็นจาเลยที่
ให้แก่นายเหลือง จากนั้นนายเหลืองได้จดทะเบียนขายที่ดินต่อให้นางฟ้า ต่อมา
นางขาวต้องการที่ดินคืนจึงฟ้องเพิกถอนนิติกรรมระหว่างนายเหลืองกับนางฟ้าต่อ ๑ กับนางฟ้าเป็นจาเลยที่ ๒ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากอ้างเหตุเกิดจาก
ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ้างเหตุขณะที่ตนจดทะเบียนขายฝากไปเพราะสาคัญผิด คดี การสาคัญผิด เมื่อคดีก่อนยังไม่มีคาพิพากษาถึงที่สุด คดีที่นายแดงเป็นโจทก์นี้จึง
ดังกล่าวอยู่ ระหว่างพิจารณา เมื่อนายแดงทราบเรื่องจึงรีบฟ้องเพิกถอนสัญญา ไม่ใช่ฟ้องซ้า ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
ขายฝากระหว่างนางขาวกับนายเหลืองต่อศาลจังหวัดกาฬสินธุ์เช่นกัน อ้างเหตุ
นางขาวจดทะเบียนขายฝากที่ดินอันเป็นสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็น เมื่อคดีก่อนนายแดงไม่ใช่โจทก์ ทั้งกรณีไม่ถือว่านางขาวฟ้องแทนนาย
หนังสือจากนายแดงก่อน ต่อมาคดีแรกมีคาพิพากษาแล้ว นายเหลืองจึงมายื่นคา แดงในอันที่จะใช้สิทธิเพิกถอนนิติกรรมในมูลเหตุอย่างเดียวกับคดีหลังอีกด้วย คดี
ร้องในคดีหลังว่า คดีก่อนมีคู่ความเดียวกัน โดยนางขาวเคยฟ้องตนเป็นจาเลยที่ หลังจึงไม่ใช่ฟ้องซ้อนอันจะต้องด้วยมาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
๑ ในคดีดังกล่าว ถือว่าฟ้องแทนนายแดงโจทก์ในคดีนี้แล้ว ทั้งคาฟ้องในคดีก่อน
นางขาวก็บรรยายมีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ให้การในคดีนี้ ส่วนคาให้การของ อีกทั้ง จะเห็นได้ว่าคดีหลังนี้นายแดงโจทก์ใช้สิทธิส่วนตัวในฐานะเป็น
นายเหลืองซึ่งเป็น จาเลยที่ ๒ ในคดีนี้ ก็ได้ให้การอย่างที่เคยให้การไว้ในฐานะ เจ้าของสินสมรส ขอให้เพิกถอนการทาสัญญาขายฝากที่ดิน สินสมรสเพราะนาง
จาเลยที่ ๑ ในคดีก่อนอีกด้วย คดีนี้จึงเป็นการดาเนินกระบวนพิจารณาซ้ากับคดี ขาวจาเลยที่ ๑ ทานิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายแดงก่อน นายแดง
ก่อน ผู้พิพากษาประจาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์และช่วยราชการศาลเยาวชนและ มิได้ฟ้องในฐานะเจ้าของสินสมรส เพื่อขอให้เพิกถอนการทานิติกรรมเกิดจากการ
ครอบครั ว จั ง หวั ด กาฬสิ น ธุ์ อี ก ต าแหน่ ง หนึ่ ง เป็ น เจ้ า ของส านวนปรึ ก ษากั บ ผู้ สาคัญผิด และแม้คดีหลังนี้นางขาวจะให้การมีข้อเท็จจริงเหมือนกับที่นางขาวเคย
พิพากษาหัวหน้ าคณะแล้ว มีความเห็นร่วมกันให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายไป บรรยายในค าฟ้ อ งที่ ต นเป็ น โจทก์ ฟ้ อ งนายเหลื อ ง และนายเหลื อ งยั ง ให้ ก าร
ทีเดียวแล้วพิพากษายกฟ้องคดีที่นายแดงเป็นโจทก์ในทันที นายแดงอุทธรณ์ต่อ
เช่นเดียวกับในคดีที่ถูกนางขาวฟ้องก็ตาม แต่สภาพแห่งข้อหาของนายแดงและ
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔
ดั ง นี้ ให้ วิ นิ จ ฉั ย ว่ า ค าพิ พ ากษาของศาลจั ง หวั ด กาฬสิ น ธุ์ ช อบด้ ว ย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของทั้งสองคดีก็ต่างกัน แม้คดีแพ่งที่นางขาว
กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ฟ้องจะมีคาพิพากษาแล้ว ก็ไม่ได้ทาให้คดีหลังนี้เป็นการดาเนินกระบวนพิจารณา
ซ้ากับคดีดังกล่าว กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง
ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า คาพิพากษาของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ไม่ชอบด้วย ต้องทาเป็น หนังสือ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ซึ่งเป็นสามีจาเลยที่ ๑ ไม่ได้ให้ความ
กฎหมายดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้น. ยินยอมแก่จาเลยที่ ๑ เพื่อทาสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมี
สิทธิฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาทได้ภายในกาหนด ๑
เทียบเคียง: ฎ. ๗๘/๒๕๕๙ คดีนี้โจทก์ฟ้องจาเลยทั้งสองให้เพิกถอนนิติ
ปี นับแต่วันทราบเรื่องการกระทาดังกล่าว จาเลยที่ ๑ จดทะเบียนขายฝากที่ดิน
กรรมการขายฝากเนื่องจากจาเลยที่ ๑ ไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ส่วนคดี
พิพาทให้แก่จาเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่
แพ่งหมายเลขดาที่ ๔๑ /๒๕๔๗ จาเลยที่ ๑ ฟ้อง ป. (คือจาเลยที่ ๒ คดีนี้) ที่ ๑
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ซึ่งอยู่ในระยะเวลาดังกล่าว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอเพิก
ศ. ที่ ๒ จาเลย ขอให้เพิกถอนนิติกรรมเกิดจากการสาคัญผิด เห็นได้ว่า คดีนี้โจทก์
ถอนการจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาทได้./
ใช้สิทธิส่วนตัวในฐานะเป็นเจ้าของสินสมรส ขอให้เพิกถอนการทาสัญญาขาย
ฝากที่ดิน สินสมรสเพราะจาเลยที่ ๑ ทานิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมจาก
โจทก์ โจทก์มิได้ฟ้องในฐานะเจ้าของสินสมรส เพื่อขอให้เพิกถอนการทานิติกรรม
เกิดจากการส าคัญผิ ด และแม้จ าเลยที่ ๑ จะให้ การมีข้อเท็จจริงเหมือนกับ ที่
จาเลยที่ ๑ เคยบรรยายในคาฟ้องดังกล่าว และจาเลยที่ ๒ ยังให้การเช่นเดียวกับ
ในคดีที่ถูกจาเลยที่ ๑ ฟ้อง สภาพแห่งข้อหาของโจทก์และข้ออ้างที่อาศัยเป็น
หลักแห่งข้อหาต่างกัน แม้คดีแพ่งหมายเลขดาที่ ๔๑ /๒๕๔๗ จะมีคาพิพากษา
ตามคดี แ พ่ งหมายเลขแดงที่ ๕๕๐/๒๕๔๙ ก็ ไ ม่ไ ด้ ท าให้ ค ดีนี้ เ ป็ นการดาเนิ น
กระบวนพิจารณาซ้ากับคดีแพ่งดังกล่าว
สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินเป็นสินสมรสตาม ป.
พ.พ. มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๔๗๙ กฎหมายบัญญัติให้ทา
หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่จาเลยที่ ๑ จดทะเบียนขาย
ฝากที่ดิน พิพาทเป็ น สิ น สมรสให้ แก่จ าเลยที่ ๒ เป็น กรณีที่จาเลยที่ ๑ จัดการ
สินสมรสซึ่งโดยปกติต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ ความยินยอมดังกล่าวนั้น
- ตัวอย่างการเขียนตอบวิชากฎหมายแพ่งฯ ๒๕๕๐ นายแสดไปขอออกโฉนดที่ดินจึงทราบความจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วน
หนึ่งของที่ดิน มีโ ฉนดของนายเหลื องผู้ คัดค้านมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิ ทธิ์ แม้
ค าถาม: คดี แ พ่ ง เรื่ อ งหนึ่ ง ในปี ๒๕๕๕ นายแสดยื่ น ค าร้ อ งขอ ข้อเท็จจริงจะได้ความดังกล่าว นายแสดก็ยังครอบครองทาประโยชน์และอาศัย
ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินตั้งอยู่อาเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่าตนได้รับการ อยู่ในที่ดินโดยความสงบและโดยเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา
ยกให้จากนางส้มมารดาตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ต่อมาปี ๒๕๕๐ นายแสดไปยื่นคาขอออก เช่นนี้ ถือได้ว่าการที่นายแสดครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโฉนด
โฉนด แต่ปรากฏว่าที่ดินที่ตนครอบครองทาประโยชน์จากมารดามาตลอดนั้นเป็น ของนายเหลือง แม้จะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นที่ดินของตนเองก็ตาม แต่หากนายแสด
ส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของนายเหลือง แต่ก็ถือว่าตนได้ครอบครองโดยสงบ ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่จาเป็นที่นาย
เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาโดยตลอดนับแต่เข้าครอบครองและครบ ๑๐ แสดต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินเป็นของผู้อื่นแล้วแย่งการครอบครองมาเป็นเวลากว่า
ปี แล้ว จึงขอศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ให้ ในระหว่างที่นายแสด ๑๐ ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ แม้นายแสดเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของนายเหลือง
ครอบครองที่ ดิ น ดั ง กล่ า วอยู่ นั้ น เมื่ อ ประมาณปี ๒๕๕๒ ที่ ดิ น ดั ง กล่ า วถู ก โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นที่ดินของตนเองหรือของมารดาที่ยกให้ก็ตาม ถือได้ว่าเป็น
สานักงานที่ดินจังหวัดกาฬสินธุ์เวนคืนทาเพื่อทางหลวง โดยจัดให้มีการทาสัญญา การเข้า ยึด ถื อครอบครองที่ดิ นของผู้ อื่ น ด้ว ยเจตนาเป็น เจ้ าของตามประมวล
แบ่งขายกับกระทรวงการคลังเป็นผู้ซื้อและได้ชาระค่าตอบแทนให้แก่นายเหลือง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ แล้ว หากนายแสดเข้าครอบครองโดย
แล้ว อยู่ระหว่างวางแผนโครงการก่อสร้างทางหลวง ๒ ปีให้หลัง สานักงานที่ดิน สงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี นายแสดก็
ยกเลิ กคาสั่งเวนคืนที่ดิน ของนายเหลื อง เนื่องจากตรวจสอบภายหลังว่าที่ดิน ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามบทบัญญัติแห่ง
ดังกล่าวไม่อยู่ในแนวก่อสร้างทางหลวง นายเหลืองยื่นคาคัดค้านว่า นายแสด กฎหมายดังกล่าว
ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ช่วงหนึ่งโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของมารดาตนและยกให้
อย่ า งไรก็ ดี เหตุ ที่ มี ค าสั่ ง เพิ ก ถอนรายการจดทะเบี ย นแบ่ ง ขายที่ ดิ น
นายแสดนั้น จึงมิใช่ การครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่แท้จริง จึงไม่ครบ
องค์ ป ระกอบของการครอบครองปรปั ก ษ์ ต ามกฎหมาย และระยะเวลาการ ระหว่างนายเหลืองกับกระทรวงการคลังตามคาสั่งสานักงานที่ดินจังหวัดกาฬสินธุ์
ครอบครองปรปักษ์ของนายแสดยังไม่ครบ ๑๐ ปี นั้น สืบเนื่องมาจากที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ใช้ก่อสร้างทางหลวง ถือเป็น
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้อคัดค้านของนายเหลืองทั้ง ๒ ประการฟังขึ้นหรือไม่ การจดทะเบียนนิติกรรมโดยไม่ชอบกฎหมาย และเห็นได้ว่าสานักงานที่ดินทาการ
เพราะเหตุใด เวนคืนที่ดินของนายเหลืองโดยสาคัญผิดในทรัพย์สินที่เป็นสาระสาคัญของการ
เวนคืนที่ดินก็ตาม แต่การเวนคืนที่ดินเพื่อนาไปใช้ก่อสร้างทางหลวงเป็นการใช้
ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหา จากการนายแสดผู้ร้องได้ครอบครองที่ดิน
พิพาทโดยอ้ างว่า ได้รั บ การยกให้ จ ากนางส้ มมารดา นายแสดครอบครองท า อานาจรัฐเวนคืนที่ดินเพื่อนาไปใช้ประโยชน์แก่รัฐ โดยเจ้าของที่ดินเดิมไม่มีสิทธิ
ประโยชน์ แ ละอาศั ย อยู่ ใ นที่ ดิ น พิ พ าทเรื่ อยมา ตั้ ง แต่ ปี ๒๕๔๔ ครั้น เมื่อ ในปี ตัดสินใจว่าจะยินยอมหรือไม่ ทั้งไม่อาจกาหนดหรือต่อรองราคาที่ดินเองพอใจได้
เพราะเป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายมหาชน เช่นนี้ แม้การจดทะเบียนโอนที่ดิน เทียบเคียง: ฎ.๓๐๙๓/๒๕๕๙ ผู้ร้องทั้งห้าบรรยายคาร้องขอสรุปได้ว่า
จะใช้คาว่า ซื้อขาย ก็ไม่ใช่การซื้อขายที่เป็นนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่ง มารดาผู้ร้องทั้งห้ายกที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินให้แก่ผู้ร้องทั้งห้า ผู้
และพาณิชย์ มาตรา ๔๕๓ ซึ่งจะต้องเกิดจากการกระทาด้วยความสมัครใจและ ร้องทั้งห้าร่ว มกันครอบครองทาประโยชน์และอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทเรื่อยมา
ครั้นในปี ๒๕๔๐ ผู้ร้องทั้งห้าไปขอออกโฉนดที่ดินจึงทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วน
มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตามมาตรา ๑๔๙ จึงไม่
หนึ่ ง ของที่ดิ น โฉนดเลขที่ ๒๐๗๗ ของ ช. ผู้ ร้อ งทั้ง ห้ า ร่ว มกัน ครอบครองท า
อาจนากฎหมายเรื่องการแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในสาระสาคัญของนิติ กรรม ประโยชน์และอาศัยอยู่ในที่ดินโดยความสงบและโดยเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็น
ตามมาตรา ๑๕ อันเป็นหลักกฎหมายของเอกชนมาปรับใช้กับกรณีนี้ได้ และ เจ้าของ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๓๔ เช่นนี้ การที่ผู้ร้องทั้งห้าครอบครองที่ดินพิพาทซึ่ง
การที่นายเหลืองรับโอนที่ดินพิพาทคืนมาจากกระทรวงการคลังเนื่องจากที่ดิน เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของโฉนดเลขที่ ๒๐๗๗ ซึ่ ง ผู้ คั ด ค้า นและ ณ. มีชื่ อ เป็ น เจ้ า ของ
ไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ใช้ก่อสร้างทางหลวง ย่อมมิใช่ผลโดยตรงของนิติกรรมที่เป็น กรรมสิทธิ์ร่วมกัน แม้จะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นที่ดินของตนก็ตาม แต่หากผู้ร้องทั้ง
โมฆะตามมาตรา ๑๗๒ ที่ ต้ อ งคื น กั น อย่ า งลาภมิ ค วรได้ ดั ง นั้ น จะถื อ เอาว่ า ห้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่จาเป็น
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นของนายเหลืองผู้คัดค้านมาโดยตลอดมิได้ นายแสด ที่ผู้ร้องทั้งห้าต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินเป็นของผู้อื่น แล้วแย่งการครอบครองมาเป็น
เวลากว่า ๑๐ ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ แม้ผู้ร้องทั้งห้าเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของ
จึงไม่สามารถนับเอาระยะเวลาที่เข้าครองครองในช่วงที่ที่ดินพิพาทถูกเวนคืนซึ่ง
ผู้คัดค้านโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นที่ดินของผู้ร้องทั้งห้าก็ ถือได้ว่าเป็นการเข้ายึดถือ
ถือเป็นที่ดินของรัฐมานับรวมเข้าด้วยได้ การนับระยะเวลาแย่งการครอบครอง ครอบครองที่ดินของผู้อื่นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒
ของนายแสดจึงต้องนับตั้ งแต่วันที่สานักงานที่ดินมีคาสั่งเพิกถอนนิติกรรมทาให้ แล้ว หากผู้ ร้องทั้งห้าเข้าครอบครองโดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็น
ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นนายเหลืองเป็นต้นมา เมื่อนับถึงวันที่นายแสดยื่นคา เจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ผู้ร้องทั้งห้า ก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการ
ร้องขอคดีนี้ยังไม่ถึง ๑๐ ปี นายแสดจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการ ครอบครองปรปักษ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
ครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ ตามสาเนาคาสั่งอธิบดีกรมที่ดิน เหตุที่อธิบดีกรมที่ดินโดยรองอธิบดีมี
คาสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนแบ่งขายที่ดิน ระหว่าง ช. กับกระทรวงการคลัง
ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า ข้ออ้างข้อแรกของนายเหลืองฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้าง นั้น สืบเนื่องมาจากที่ดินไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ใช้ก่อสร้างคลองชลประทาน ถือเป็น
ข้อที่สองฟังขึ้น ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น การจดทะเบียนนิติกรรมโดยไม่ชอบกฎหมาย และเห็นได้ว่ากระทรวงการคลัง ทา
การเวนคืน ที่ดินของ ช. โดยสาคัญผิด ในทรัพย์สินที่เป็นสาระส าคัญของการ
เวนคืนที่ดินก็ตาม แต่การเวนคืนที่ดินเพื่อนาไปใช้ก่อสร้างคลองชลประทานเป็น
การใช้อานาจรัฐเวนคืนที่ดินเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ แก่รัฐ โดยเจ้าของที่ดินเดิ ม
ไม่มีสิทธิตัดสินใจว่าจะยินยอมหรือไม่ ทั้งไม่อาจกาหนดหรือต่อรองราคาที่ดินเอง โดยตลอด จนมาถึงกาหนดชาระงวดที่ ๔๔ นายเหลืองไม่ชาระอีกเลย จนผ่านพ้น
พอใจได้ เพราะเป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายมหาชน เช่นนี้ แม้การจดทะเบียน ไปเกือบ เดือน ห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว จึงมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยัง
โอนที่ดินใช้คาว่า ซื้อขาย ก็ไม่ใช่การซื้อขายที่เป็นนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา นายเหลื อ งและนางส้ ม ให้ ช าระหนี้ภ ายใน ๗ วั น มิ ฉ ะนั้ น จะด าเนิ นคดี อ ย่ า ง
๔๕๓ ซึ่งจะต้องเกิดจากการกระทาด้วยความสมัครใจและมุ่งโดยตรงต่อการผูก เด็ดขาด แต่นายเหลื องกับนางส้มก็เพิกเฉย จึงถือว่าเลิกสั ญญากันแล้ว ขอให้
นิติสัมพันธ์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตามมาตรา ๑๔๙ จึงไม่อาจนากฎหมาย จาเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้
เรื่ องการแสดงเจตนาโดยสาคัญผิด ในสาระสาคัญของนิติกรรมตามมาตรา ราคาแทนเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของ
๑๕ อันเป็นหลักกฎหมายของเอกชนมาปรับใช้กับกรณีนี้ได้ และการที่ ช. รับ ค่าขาดราคาดังกล่าว ให้ร่วมกันชาระเบี้ยปรับจากการผิดนัดชาระค่าเช่าซื้อก่อน
โอนที่ดินพิพาทคืนมาจากกระทรวงการคลังเนื่องจากที่ดินไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ใช้ เลิกสัญญา และค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์คืน ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาสั่ง
ก่อสร้างคลองชลประทาน ย่อมมิใช่ผลโดยตรงของนิติกรรมที่เ ป็นโมฆะตาม รับคาฟ้องนัดพร้อมเพื่อการพิจารณา ไกล่เกลี่ย ให้การ และสืบพยาน ต่อมาถึงวัน
มาตรา ๑๗๒ ที่ต้องคืนกัน อย่างลาภมิควรได้ ดังนั้น จะถือเอาว่ากรรมสิทธิ์ใน นัดจาเลยทั้งสองทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัด ข้อง ผู้พิพากษา
ที่ ดิ น พิ พ าทเป็ น ของผู้ คั ด ค้ า นมาโดยตลอดและผู้ ร้ อ งทั้ ง ห้ า สามารถนั บ เอา ประจาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์และช่วยราชการศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด
ระยะเวลาที่เข้าครองครองในช่วงที่ที่ดินพิพาทถูกเวนคืนซึ่งถือเป็นที่ดินของรัฐ กาฬสิ น ธุ์อีกตาแหน่ง หนึ่ง เป็นเจ้า ของส านวนนั่ งพิจารณาร่ว มกับผู้ พิ พากษา
มานับรวมเข้าด้วยหาได้ไม่ การนับระยะเวลาแย่งการครอบครองของผู้ร้องทั้งห้า หัวหน้าคณะเป็นองค์คณะให้โจทก์สืบพยานหลักฐานไปฝ่ายเดียว ปรึกษากันแล้ว
ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีกรมที่ดินโดยรองอธิบดีมีคาสั่งเพิกถอนนิติกรรมทาให้ มีคาพิพากษาในวันดังกล่าวว่า แม้ตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามของโจทก์จะไม่มี
ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของ ช. เป็นต้นมา เมื่อนับถึงวันที่ผู้ร้องทั้งห้ายื่นคาร้อง ข้อความว่าจะเลิกสัญญาแต่ก็สามารถตีความเจตนาได้ว่าโจทก์มีเจตนาบอกเลิก
ขอคดีนี้ยังไม่ถึง ๑๐ ปี ผู้ร้องทั้งห้าจึง ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาทโดยการ สั ญ ญาแก่ จ าเลยทั้ ง สองแล้ ว โจทก์ มี อ านาจฟ้ อ ง แต่ เ มื่ อ โจทก์ ไ ม่ ถื อ เอา
ครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒./ กาหนดเวลาการชาระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสาคัญ จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ รวมทั้ง
-------------------- ไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน โดยให้จาเลยทั้งสองร่วมกัน
ส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน แต่
ค าถาม: คดีผู้ บ ริ โ ภคเรื่ องหนึ่ ง ห้ างหุ้ น ส่ ว นจากัด ฟ้า ขาว เป็นโจทก์ เนื่ อ งจากไม่ ได้ แ น่ว่ า จะบั งคั บ ให้ ใ ช้ร าคาแทนการส่ งมอบรถยนต์ ที่เ ช่ าซื้ อ คื น
บรรยายฟ้องต่อศาลจั งหวัดกาฬสินธุ์ว่า โจทก์ได้ทาสัญญาให้นายเหลืองจาเลยที่ หรือไม่ จึงไม่กาหนดดอกเบี้ยในส่วนค่าขาดราคาให้ ห้ างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว
๑ เช่ า ซื้ อ รถยนต์ ก ระบะหนึ่ ง คั น และมี น างส้ ม จ าเลยที่ ๒ เป็ น ผู้ ค้ าประกั น อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาให้เต็มตามคาฟ้อง
กาหนดช าระเป็ น งวดรายเดือน ทั้งหมด ๗๒ งวด ช าระทุกวันที่ ๕ ของเดือน ดั ง นี้ ให้ วิ นิ จ ฉั ย ว่ า ค าพิ พ ากษาของศาลจั ง หวั ด กาฬสิ น ธุ์ ช อบด้ ว ย
ตั้งแต่งวดที่ ๒๒ เป็นต้นมา นายเหลืองเริ่มชาระไม่ตรงกาหนด จะชาระในวัน ที่ กฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
๑๐ บ้าง วันที่ ๑๒ บ้าง เป็นต้น แต่ห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว ก็รับค่าเช่าซื้อมา
ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหา จากการห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว โจทก์ ได้ การแสดงเจตนาตามมาตรา ๑๗๑ ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคา
ทาสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กระบะหนึ่ งคันแก่นายเหลืองจาเลยที่ ๑ และมีนางส้ม สานวนหรือตัวอักษร แม้ถ้อยคาที่โจทก์ระบุในหนังสือบอกกล่าวทวงถาม จะมี
จ าเลยที่ ๒ ทาสั ญ ญาค้าประกัน หนี้ ดัง กล่ าว เมื่อ สั ญญาเกิด ขึ้น โดยชอบด้ว ย ข้อความเพียงว่า หากไม่ชาระหนี้จะดาเนินคดีอย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่มีข้อความว่าจะ
กฎหมายแล้ ว ห้ างหุ้ น ส่ ว นจ ากัด ฟ้า ขาว จึงอยู่ใ นฐานะผู้ ให้ เช่ าซื้อ ส่ ว นนาย เลิกสัญญาก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนาอันแท้ จริงของห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้า
เหลืองอยู่ในฐานะผู้เช่าซื้อ และนางส้มอยู่ในฐานะผู้ค้าประกัน แม้ ตามสัญญาเช่า ขาว ตามข้อเท็จจริงดังอุทาหรณ์แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโจทก์มีความประสงค์
ซื้อรถยนต์จะมีกาหนดเวลาเป็นสาระสาคัญก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าระหว่างผ่อน บอกเลิ ก สั ญญาไปยัง นายเหลื อ งและนางส้ มจ าเลยทั้ ง สองโดยชอบแล้ ว ห้ า ง
ชาระนายเหลืองผู้เช่าซื้อชาระค่าเช่าซื้อไม่ตรงตามกาหนดแต่ห้างหุ้นส่วนจากัด หุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว จึงมีอานาจฟ้องคดีนี้
ฟ้าขาว ก็รับค่าเช่าซื้อเรื่อยมาโดยมิได้ทักท้วงต่อนายเหลืองแต่อย่างใด ถือได้ว่า แต่อย่างไรก็ดี เมื่อห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว ไม่ถือ เอากาหนดเวลาการ
ห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาวและนายเหลืองไม่ถือเอากาหนดเวลาของการชาระค่า ชาระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสาคัญแล้ ว ถือไม่ได้ว่านายเหลืองผิ ดนัด ห้างหุ้ นส่ว น
เช่าชื้อเป็นสาระสาคัญ เช่นนี้ แม้ในภายหลังจะปรากฏว่านายเหลืองไม่ชาระค่า จากัด ฟ้าขาว จึงไม่มีสิทธิคิดเบี้ยปรับจากการผิดนัด รวมทั้งไม่มีเหตุที่จะติดตาม
เช่าซื้อตามกาหนดเวลา ก็ยังถือไม่ได้ว่านายเหลืองผิดนัด หากห้างหุ้นส่วนจากัด รถยนต์ที่เช่าซื้อคืน จึงไม่มีสิทธิคิดค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วย
ฟ้าขาว จะบอกเลิกสัญญาก็จะต้องบอกกล่าวโดยกาหนดให้นายเหลืองนาค่าเช่า
ซื้อมาชาระภายในกาหนดระยะเวลาพอสมควร ถ้านายเหลืองไม่ชาระหนี้ภายใน เมื่อตามคาขอท้ายฟ้องของโจทก์และศาลจังหวัดกาฬสินธุ์พิพากษาให้
เวลาที่กาหนด ห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาวจึงจะเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมาย จาเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๗ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นการกาหนดให้จาเลยทั้งสองทาการชาระหนี้ทีละ
อย่างก่อนหลังตามลาดับ ไม่ใช่การอันมีกาหนดพึงกระทาเพื่อชาระหนี้หลายอย่าง
หนังสือที่ห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว โจทก์ส่งให้จาเลยทั้งสองแม้มิได้มี อันจะพึงเลือกได้ ดังนั้น หนี้ตามคาพิพากษาส่วนนี้ที่จาเลยทั้งสองจะต้องกระทา
ข้อความว่า โจทก์จะบอกเลิกสัญญาแก่นายเหลืองจาเลยที่ ๑ คงมีข้อความเพียง ก่อน จึงเป็นหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน อันแสดงว่าห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว
ว่า ทวงถามและกาหนดเวลาให้นายเหลืองผู้เช่าซื้อ ชาระหนี้ภายใน ๗ วัน พร้อม โจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อและมีสิทธิติดตามเอาคืน เมื่อรถยนต์ที่
กับ มี บ ทบั งคั บ ว่า หากไม่ ป ฏิ บั ติต ามจะด าเนิ นคดีแก่ นายเหลื อ งอย่ างเด็ด ขาด เช่าซื้อยังมีอยู่ อีกทั้งห้างหุ้นส่วนจากัด ฟ้าขาว ยังสามารถบังคับให้จาเลยทั้งสอง
เท่านั้น จึงถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชาระหนี้โดยชอบตามมาตรา คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ จึงไม่แน่นอนว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบ
๓๘๗ แล้ว เมื่อคานึงถึงระยะเวลาที่นายเหลืองผิดนัดชาระค่าเช่าซื้อถึง เดือน รถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ จึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจกาหนดได้โดยแน่นอน จึงไม่มีเหตุ
แม้ ห้ า งหุ้ น ส่ ว นจ ากั ด ฟ้ า ขาว จะให้ เ วลาช าระหนี้ เ พี ย ง ๗ วั น ก็ เ ป็ น ระยะ ที่ศาลจะกาหนดดอกเบี้ยในส่วนของราคารถใช้แทนให้
พอสมควรแล้ ว ห้ างหุ้ น ส่ ว นจ ากัด ฟ้าขาว จึงมีสิ ทธิเลิ กสั ญญาได้ ซึ่งการเลิ ก
สัญญาตามมาตรา ๓๘ ให้ทาได้ด้วยการแสดงเจตนาแก่อีกฝ่าย และการตีความ ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า คาพิพากษาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ชอบด้วยกฎหมาย
ทุกประการแล้ว ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น
เทียบเคียง: ฎ.๘๒๓๘/๒๕๕ เมื่อตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ข้อ เมื่อโจทก์ไม่ถือเอากาหนดเวลาการชาระค่าเช่าซื้อเป็นสาระสาคัญแล้ว
๑๒ วรรคสอง ระบุไว้ชัดเจนว่า “การชาระค่าเช่าซื้อตรงตามกาหนดเวลาเป็น ถือไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๑ ผิดนัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดเบี้ยปรับ รวมทั้งไม่มีเหตุที่จะ
สาระสาคัญของสัญญานี้” แล้ว โจทก์ไม่อาจแปลความข้อสัญญานี้ให้เป็นอย่างอื่น ติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน จึงไม่มีสิทธิคิดค่าใช้จ่ายดังกล่าว
ดังเช่นฎีกาของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจาเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จาเลยทั้งสองร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์
ไม่ถือเอากาหนดเวลาของการชาระค่า เช่า ชื้อเป็น สาระสาคัญ นั้นชอบแล้ ว
ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็น การกาหนดให้
ดังนั้น แม้ในภายหลังจะปรากฏว่าจาเลยที่ ๑ ไม่ชาระค่าเช่าซื้อตามกาหนดเวลา
ก็ยังถือไม่ได้ว่าจาเลยที่ ๑ ผิดนัด หากโจทก์จะบอกเลิกสัญญาโจทก์จะต้องบอก จาเลยทั้งสองทาการชาระหนี้ที ละอย่ า งก่อ นหลัง ตามลาดับ ไม่ใช่ก ารอัน มี
กล่าวโดยกาหนดให้จาเลยที่ ๑ นาค่าเช่าซื้อมาชาระภายในกาหนดระยะเวลา กาหนดพึงกระทาเพื่อช าระหนี้ห ลายอย่างอันจะพึงเลือกได้ ดังนั้น หนี้ตามคา
พอสมควร ถ้าจาเลยที่ ๑ ไม่ชาระหนี้ภายในเวลาที่กาหนด โจทก์จึงจะเลิกสัญญา พิพากษาส่วนนี้ที่จาเลยทั้งสองจะต้องกระทาก่อน จึงเป็นหนี้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่า
ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๘๗ หนังสือที่โจทก์ส่งให้จาเลยทั้งสองมิได้มีข้อความว่า ซื้อคืน อันแสดงว่าโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อและมีสิทธิติดตามเอา
โจทก์จะบอกเลิกสัญญาแก่จาเลยที่ ๑ คงมีข้อความเพียงว่าโจทก์ทวงถามและ คืน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อยังมีอยู่ อีกทั้งโจทก์สามารถบังคับให้จาเลยทั้งสองคืน
กาหนดเวลาให้จาเลยที่ ๑ ชาระหนี้ภายใน ๗ วัน หรือให้ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ รถยนต์ที่เ ช่าซื้อได้ จึงไม่แน่ นอนว่าหนี้ที่จะบังคั บให้ ใช้ร าคาแทนการส่ งมอบ
คืนแก่โจทก์ พร้อมกับมีบทบังคับว่าหากไม่ปฏิบัติตามจะดาเนินคดีแก่จาเลยที่ ๑
รถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีห รือไม่ จึง เป็นหนี้ที่ไ ม่อาจกาหนดได้โดยแน่นอน จึงไม่
อย่างเด็ดขาดเท่านั้น จึงถือได้ว่าเป็นหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชาระหนี้โดย
ชอบแล้วตามมาตรา ๓๘๗ แล้ว เมื่อคานึงถึงระยะเวลาที่จาเลยที่ ๑ ผิดนัดชาระ กาหนดดอกเบี้ยในส่วนของราคารถใช้แทนให้./
ค่ า เช่ า ซื้ อ ถึ ง ๕๑ เดื อ น แม้ โ จทก์ ใ ห้ เ วลาช าระหนี้ เ พี ย ง ๗ วั น ก็ เ ป็ น ระยะ --------------------
พอสมควร โจทก์จึงมีสิทธิเลิกสัญญาได้ ซึ่งการเลิกสัญญาตามมาตรา ๓๘ ให้ทา
ได้ด้วยการแสดงเจตนาแก่อีกฝ่าย และการตีความการแสดงเจตนาตามมาตรา คาถาม: คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ นายฟ้าฟ้อง
๑๗๑ ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยค าสานวนหรือตัวอักษร แม้ นายแดงและนายเหลื องว่าสั่ งจ่ายเช็คช าระหนี้แ ก่ตน ๒๙ ฉบับ รวมเป็นเงิ น
ถ้ อ ยค าที่ โ จทก์ ร ะบุ ใ นหนั ง สื อ บอกเลิ ก สั ญ ญาว่ า หากไม่ ช าระหนี้ โ จทก์ จ ะ ๒๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อเช็คทุกฉบับถึงกาหนดชาระตามวันออกเช็ค คือ วันที่ ๑
ดาเนินคดีอย่างเด็ดขาด ไม่มีข้อความว่าโจทก์จะเลิกสัญญา แต่เมื่อพิจารณาจาก
มีนาคม ๒๕๕๘ นายฟ้านาเช็คทั้ง ๒๙ ฉบับ ไปขึ้นเงินจากธนาคาร แต่ถูกธนาคาร
เจตนาอันแท้จริงของโจทก์เห็นได้อย่างชัดเจนว่าโจทก์ต้องการบอกเลิกสัญญาไป
ยังจาเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอานาจฟ้อง ปฏิ เ สธการจ่ า ยเงิ น ตามเช็ ค ทุ ก ฉบั บ เนื่ อ งจากเงิ น ในบั ญ ชี ไ ม่ พ อจ่ า ย ขอให้
พิพากษาให้นายแดงและนายเหลืองชาระเงินตามเช็คทั้งหมดดังกล่าว นายแดง ห้ามมิให้นายฟ้าหรือผู้ทรงคนใดนาเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามที่
และนายเหลืองต่างยื่นคาให้การว่า นายแดงและนายเหลืองกล่าวอ้างนั้น เมื่อไม่มีการจดข้อกาหนดนั้นลงไว้ชัดแจ้งใน
เช็ ค พิ พ าททั้ ง ๒๙ ฉบั บ จึ ง หาเป็ น ผลอย่ า งหนึ่ ง อย่ า งใดแก่ เ ช็ ค พิ พ าท ตาม
(ก) นายแดงและนายเหลืองออกเช็คเพียงประกันการชาระหนี้ต่อนายฟ้า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๕ (๑) ประกอบด้วย มาตรา ๙๘๙
โดยมีข้อตกลงด้วยวาจากันว่าจะไม่นาเช็คทั้ง ๒๙ ฉบับดังกล่าวไปขึ้นเงินจาก วรรคหนึ่ง ถือว่านายแดงและนายเหลืองออกเช็คโดยมิได้มีข้ อกาหนดดังกล่าว
ธนาคารโดยเด็ดขาด การที่นายฟ้านาเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารจึงกระทาได้โดยชอบ
(ข) ขณะออกเช็คของนายแดงและนายเหลืองไม่ได้ลงวันที่ออกเช็ค แต่ ส่วนที่นายแดงและนายเหลืองอ้างว่าได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ไปโดยไม่
นายฟ้าไปกรอกวันที่เอง แล้วนาไปขึ้นเงินจากธนาคาร เป็นการปลอมเช็คและ ลงวันที่ออกเช็คนั้น เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าที่นายแดงและนายเหลืองยินยอมให้
กระทาการโดยไม่สุจริต ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายฟ้ากรอกวันที่ดังกล่าวลงในเช็ค นายฟ้าผู้รับเงินหรือผู้ทรงเช็คโดยชอบลงวั นที่ออกเช็คได้เอง เมื่อนายฟ้าเป็นผู้
เองทุกฉบับตามความเป็นจริง ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายกระทาการโดยสุจริตจดวันสั่งจ่ายที่ถูกต้องแท้จริง
(ค) ฟ้องของนายฟ้าขาดอายุความแล้ว ลงในเช็ค จึงเป็นการกระทาที่เป็นไปตาม มาตรา ๙๑๐ วรรคท้าย ประกอบด้วย
ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า คาให้การของนายแดงและนายเหลืองฟังขึ้นหรือไม่ มาตรา ๙๘๙ วรรคหนึ่ง กรณีหาเป็นการลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คโดยไม่สุจริตไม่
เพราะเหตุใด
ส่วนข้ออ้างของนายแดงและนายเหลืองที่ว่า ฟ้องของนายฟ้าขาดอายุ
ธงค าตอบ: กรณีตามปั ญหา จากการที่นายแดงและนายเหลืองลง ความนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายฟ้าลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๘ อันเป็นวัน
ลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้ง ๒๙ ฉบับ ให้มอบให้แก่นายฟ้า ถือได้ว่านายแดงและนาย ออกเช็คในเช็คพิพาททั้ง ๒๙ ฉบับ ซึ่งมีอายุความใช้สิทธิเรียกร้องแก่นายแดงและ
เหลืองอยู่ในฐานะผู้สั่งจ่าย ส่วนนายฟ้าอยู่ในฐานะผู้รับเงินตามเช็ค แม้นายแดง นายเหลืองเป็นระยะเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่ได้ลงในคาคัดค้านซึ่งได้ทาขึ้นภายใน
และนายเหลืองจะอ้างว่าออกเช็คทั้งหมดเพียงประกันการชาระหนี้ต่อนายฟ้า เวลาอันถูกต้องตามกาหนด หรือนับแต่วันตั๋วเงินถึงกาหนด ในกรณีที่มีข้อกาหนด
โดยมีข้อตกลงมีข้อตกลงด้วยวาจากันว่าจะไม่นาเช็คทั้ง ๒๙ ฉบับดังกล่าวไปขึ้น ไว้ว่า “ไม่ จาต้อ งมีค าคัดค้ าน” ซึ่งกรณีเช็ คเป็น ตั๋ว เงินประเภทไม่จ าต้อ งมีค า
เงินหรือเรียกเก็บเงินจากธนาคารโดยเด็ดขาดก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ คัดค้าน อายุความจึงเริ่มนับแต่วันที่ตั๋วเงินถึงกาหนด กล่าวคือ วันออกเช็คพิพาท
ไม่ปรากฏว่า เช็คพิพาททั้ง ๒๙ ฉบับ มีข้อความระบุลงในเช็คตามที่นายแดงและ นั่นเอง ตามมาตรา ๑๐๐๒ อายุค วาม ๑ ปี จึง เริ่ม นับ ตั้ง แต่ วัน ที่ ๑ มีน าคม
นายเหลืองกล่าวอ้างแต่ประการใด ทั้ง เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือที่ต้องการความ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ซึ่งจะครบอายุความในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เมื่อนายฟ้ามา
น่าเชื่อถือในระหว่างผู้สั่งจ่ายและผู้ทรงทั้งหลายว่า เมื่อนาเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้ว ฟ้องนายแดงและนายเหลืองในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธุ์ ๒๕๕๙ คดีของนายฟ้าจึงยัง
จะมีการจ่ายเงินตามเช็ค ข้อกาหนดเงื่อนไขใดๆ อันเป็นการห้ามหรือจากัดการ ไม่ขาดอายุความ
จ่ายเงินจะพึงมีได้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย เช่นนี้ ข้อตกลงว่า
ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า ข้ออ้างทั้งสามประการของนายแดงและนายเหลือง ค าถาม: นายแดงทาสั ญญาขายที่ ดินของตนตั้ งอยู่ ในตาบลแจนแลน
ฟังไม่ขึ้น ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น อาเภอกมาลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ให้แก่นายเหลือง โดยมีข้อกาหนดในสัญญาว่า
เทียบเคียง: ฎ.๓๔๘๔/๒๕๕๙ เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือที่ต้องการความ นายแดงขายฝากที่ดินไว้ ๒ ปี แล้วจะมาไถ่คืนภายในเวลาดังกล่าว มิฉะนั้นให้
น่าเชื่อถือในระหว่างผู้สั่งจ่ายและผู้ทรงทั้งหลายว่า เมื่อนาเช็คไปเรียกเก็บเงิน ที่ดินตกเป็นของนายเหลือง ทาสัญญากันเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ แต่
แล้ว จะมีการจ่ายเงินตามเช็ค ข้อกาหนดเงื่อนไขใดๆ อันเป็นการห้ามหรือจากัด เนื่องจากดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการ จึงตกลงวาจากันว่าจะไปจดทะเบียนขาย
การจ่ายเงินจะพึงมีได้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งข้อตกลงว่า ฝากในวันจันทร์ ทั้งนี้นายแดงได้ทาการส่งมอบที่ดินให้นายเหลืองเข้าอยู่อาศัยทา
ห้ามมิให้โจทก์นาเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามที่จาเลยทั้งสองกล่าว ประโยชน์ในทันทีนับแต่วันทาสัญญา แต่พอมาถึงวันจันทร์ สานักงานที่ดินจังหวัด
อ้างนั้น ไม่มีการจดข้อกาหนดนั้นลงไว้ชัดแจ้งในเช็คพิพาท จึงหาเป็นผลอย่าง กาฬสินธุ์ สาขากมลาไสย มีผู้มาใช้บริการจดทะเบียนจานวนมาก เจ้าพนักงานไม่
หนึ่งอย่างใดแก่เช็คพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๑๕ (๑) ประกอบด้วย มาตรา อาจดาเนินให้นายแดงและนายเหลืองได้ทันภายในวันดังกล่าว นายแดงและนาย
๙๘๙ วรรคหนึ่ง ถือว่าจาเลยทั้งสองออกเช็คโดยมิได้มีข้อกาหนด เหลืองจึงไม่ได้จดทะเบียนตามสัญญาแก่กัน นายแดงจึงทาหนังสือมอบอานาจไว้
ให้นายเหลืองเพื่อมาจดทะเบียนให้แทนในภายหลัง ต่อมานายเหลืองหลงลืมไม่ไป
การที่จาเลยทั้งสองสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ เพื่อแลกเงินสดไปจาก จดทะเบียนขายฝากตามที่ตกลงกัน จนระยะเวลาล่วงเลยพ้น ๒ ปี นายเหลืองได้
โจทก์ และจาเลยทั้งสองมอบเช็คพิพาททั้ง ๒ ฉบับ ให้โจทก์ไปโดยจาเลยทั้ง ยกที่ดินดังกล่ าวให้ นายฟ้าบุตรชายของตนเข้าครอบครองทาประโยชน์ต่อมา
สองไม่ลงวันที่ออกเช็คนั้น ย่อมเป็น พฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจาเลยทั้งสองยินยอม จนกระทั่งวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ นายแดงนึกขึ้นได้ว่าตนยังมีที่ดินอยู่ที่
ให้โจทก์ลงวันที่ออกเช็คได้เอง เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย จังหวัดกาฬสินธุ์ที่ขายฝากไว้แก่นายเหลื องไว้ดังกล่าว แต่เมื่อไปตรวจสอบที่
กระทาการโดยสุจริตจดวันสั่งจ่ายที่ถูกต้องแท้จริงลงในเช็ค ตาม ป.พ.พ. มาตรา สานักงานที่ดินแล้วไม่พบว่ามีการจดทะเบียนใดๆ ไว้ นายแดงจึงจดทะเบียนยก
๙๑๐ วรรคท้าย ประกอบด้วย มาตรา ๙๘๙ วรรคหนึ่ง กรณีหาเป็นการลงวันที่ ให้ นายแสดบุต รเขยของตน ในวัน ที่ ๒๙ กุ มภาพั นธ์ ๒๕๕๐ ต่อ มานายแสด
ต้องการที่จะเข้าทากินในที่ดินดังกล่าว กลั บไปพบว่านายฟ้ายังครอบครองใช้
สั่งจ่า ยในเช็ค โดยไม่สุจริ ตไม่ เมื่อโจทก์ล งวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕ ในเช็ค
ประโยชน์อยู่ จึงฟ้องขับไล่นายฟ้าออกจากที่ดิน นายฟ้าให้การว่าตนครอบครอง
พิพาททั้ง ๒ ฉบับ อายุความ ๑ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๐๐๒ จึงเริ่มนับตั้งแต่ ปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวต่อจากนายเหลืองบิดาของตนโดยสงบ เปิดเผย และเจตนา
วันดังกล่าว ซึ่งจะครบอายุความในวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗ เมื่อโจทก์มาฟ้อง เป็นเจ้าของมาแล้วเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ขอให้ยกฟ้อง
จาเลยทั้งสองในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕ คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ./ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายฟ้าหรือนายแสดใครมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน
เพราะเหตุใด
ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหา จากการที่นายแดงและนายเหลืองทาสัญญา ครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ การที่นายแดงจดทะเบียนยกที่ดินพิพาท
มีข้อความว่านายแดงขายที่ดินพิพาทให้แก่นายเหลือง โดยนายแดงขายฝากที่ดิน ให้แก่นายแสดย่อมไม่กระทบถึงสิทธิของนายฟ้าซึ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดย
พิพาทไว้ ๒ ปี สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาขายฝาก ตามประมวลกฎหมายแพ่ง ทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้นายฟ้าจะยังมิ ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
และพาณิชย์ มาตรา ๔๙๑ มิใช่สัญญาจะซื้อจะขาย ตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง ในที่ ดิ น พิ พ าท นายฟ้ า ย่ อ มมี สิ ท ธิ ย กขึ้ น เป็ น ข้ อ ต่ อ สู้ น ายแสดซึ่ ง เป็ น
แต่อย่างใด เนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในสัญญาดังกล่าวมีข้อความตอนใดที่ บุคคลภายนอกแต่มิได้เสียค่าตอบแทน เพราะเป็นกรณีไม่ต้องห้ามตามมาตรา
แสดงให้เห็นเจตนาของนายแดงกับนายเหลืองว่าประสงค์จะไปจดทะเบียนโอน ๑๒๙๙ วรรคสอง
ที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานในภายหลัง นายแดงจึงอยู่ในฐานะผู้ขายฝาก ส่วนนาย ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า นายฟ้ามีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายแสด ดังที่ได้
เหลืองอยู่ในฐานะผู้รับซื้อฝาก เมื่อสัญญาขายฝากดังกล่าวไม่ได้จดทะเบีย นต่อ อธิบายไว้ข้างต้น
พนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา
เทียบเคียง: ฎ.๙๓๗/๒๕๕๙ การที่ ช. กับ ม. ทาสัญญา มีข้อความว่า ช.
๔๙๑ เช่นนี้ แม้นายเหลืองจะได้เข้าครอบครองทาประโยชน์ในที่ดินพิพาททันที
ขายที่ดินพิพาทให้ ม. ในราคา ๙,๕๐๐ บาท โดย ช. ขายฝากที่ดินพิพาทไว้ ๒ ปี
นั บ แต่ วั น ท าสั ญ ญา แต่ โ ดยหลั ก แล้ ว นายเหลื อ งจะอ้ า งสิ ท ธิ ไ ด้ ม าโดยการ
สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาขายฝากมิใช่สัญญาจะซื้อจะขาย เนื่องจากไม่มี
ครอบครองด้วยนิติกรรมการขายฝากไม่ได้ เพราะการขายฝากนั้น ไม่ถือว่าผู้ขาย
ข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นเจตนาของ ช. กับ ม. ว่าประสงค์จะไปจดทะเบียน
ฝากสละเจตนาครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝากแต่ประการใด
โอนที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานในภายหลัง เมื่อสัญญาขายฝากดังกล่าวไม่ได้จด
แต่อย่างไรก็ดี ข้อตกลงที่ว่านายแดงจะนาเงินมาไถ่ที่ดินพิพาทคืนภายใน ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๕ วรรค
๒ ปี มิฉะนั้นให้ที่ดินตกเป็นของนายเหลืองนั้น ถือว่านายแดงมีเจตนาจะสละสิทธิ หนึ่ ง ประกอบมาตรา ๔๙๑ ม. จะอ้ างสิ ท ธิไ ด้ม าโดยการครอบครองโดยนิ ติ
ครอบครองซึ่งมีอยู่ในที่ดินพิพาทให้แก่นายเหลืองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันพ้นกาหนด กรรมการขายฝากไม่ได้ เพราะการขายฝากนั้นไม่ถือว่าผู้ขายฝากสละเจตนา
๒ ปี นับแต่วันทาสัญญาฉบับดังกล่าวแล้ว ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านาย ครอบครองโดยเด็ดขาดให้แก่ผู้ซื้อฝาก แต่ข้อตกลงที่ว่า ช. จะนาเงินมาไถ่ที่ดิน
แดงได้นาเงินไปไถ่ที่ดินพิพาทคืนแก่นายเหลืองภายในกาหนดเวลาดังกล่าว ถือว่า พิ พ าทคื น ภายใน ๒ ปี ช. ยอมโอนที่ ดิ น พิ พ าทให้ ม. ถื อ ว่ า ช. สละสิ ท ธิ
นายแดงได้สละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้นายเหลืองแล้วนับแต่วันพ้นกาหนด ครอบครองซึ่งมีอยู่ในที่ดินพิพาทให้ ม. ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันพ้นกาหนด ๒ ปีแล้ว
๒ ปี การครอบครองที่ดินพิพาทของนายเหลืองจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมา ดังนั้น เมื่อ ช. มิได้นาเงินไปไถ่ที่ดินพิพาทคืนภายในกาหนดดังกล่าว ถือว่า ช. ได้
โดยไม่ใช่การครอบครองแทนนายแดงแต่เป็นการยึดถือเพื่อตนเอง ตามมาตรา สละสิ ท ธิ ค รอบครองที่ ดิ น พิ พ าทให้ ม. แล้ ว นั บ แต่ วั น พ้ น ก าหนด ๒ ปี การ
๑๓ ๗ เมื่อปรากฏว่านายเหลืองยกที่ดินพิพาทให้นายฟ้าเข้าครอบครองต่อโดย ครอบครองที่ดินพิพาท ม. นับแต่วันดังกล่าวจึงไม่ใช่การครอบครองแทน ช. แต่
สงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของของนายฟ้า จนกระทั่งถึง วันที่ ๒๙ กุมภา เป็นการครอบครองเพื่อตนเอง เมื่อ ม. ครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนา
พั น ธุ์ ๒๕๕๐ จึ ง เป็ น เวลาเกิ น กว่ า ๑๐ ปี นายฟ้ า ย่ อ มได้ ก รรมสิ ท ธิ์ โ ดยการ เป็นเจ้าของโดยทานา ปลูกต้นตาล ต้นมะพร้าวและต้นมะม่วง ขุดบ่อเลี้ยงปลาใน
ที่ดิน พิ พาท จนกระทั่งถึ งปี ๒๕๔๐ ม. ได้ยกที่ ดินพิพ าทให้ แก่ผู้ ร้ อง ผู้ ร้องได้ โครงสร้างหนี้ตามลาพังกับนายขาดว่า นายขาดยอมรับว่าได้ทาหนังสือสัญญาเช่า
ครอบครองที่ดิน พิพาทต่อมาโดยทานา เก็บผลไม้ขายและเลี้ยงปลา โดยสงบ ซื้อรถยนต์ยังคงค้างชาระ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงเปลี่ยนแปลงการชาระหนี้ โดยมี
เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี ผู้ร้องจึงได้ เงื่อนไขในการผ่อนชาระเป็นรายเดือน เดือนละ ๑๕,000 บาท จะชาระหนี้ให้
กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ การที่ ช. จด เสร็จภายในวันที่ ๒ กรกฎาคม 25 ๕ เงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ให้เป็นไปตาม
ทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสองย่อมไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องซึ่งได้ สั ญ ญาเดิ ม ทุ ก ประการ ส่ ว นนายมากยิ น ยอมให้ น ายขาดท าสั ญ ญาปรั บ ปรุ ง
กรรมสิ ท ธิ์ใ นที่ ดิน พิพ าทโดยทางอื่ น นอกจากนิ ติก รรม แม้ผู้ ร้อ งจะยั งมิ ได้ จ ด โครงสร้างหนี้โดยรวมภาระหนี้ตามสัญญาซื้อสินค้าเหมาเชื่อทั้ง ๓๓ ฉบับ เป็นต้น
ทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ เงิ น รวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ ย ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็ น เงิ น
คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่มิได้เสียค่าตอบแทน เพราะเป็นกรณีไม่ ๘๐๐,๐๐๐ บาท เงื่อนไขการผ่อนชาระหนี้ทั้งในส่วนของต้นเงินและดอกเบี้ยค้าง
ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง./ ชาระตกลงให้เปลี่ยนเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาว ผ่อนชาระเป็นงวดรายเดือนทุกเดือน
(คาพิพากษาศาลฎีกาพุทธศักราช ๒๕๕๙ เล่ม ๒ หน้า ๒ – ๒๗.) ให้แล้วเสร็จภายใน ๕ ปี เช่นเดียวกัน และมีข้อตกลงว่า ถ้านายขาดค้างชาระ
ดอกเบี้ ย ไม่ น้ อ ยกว่ า ปี ห นึ่ ง นายขาดยอมให้ น ายมากน าดอกเบี้ ย ที่ ค้ า งช าระ
-------------------- ดังกล่าวทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ต่อไป
ในอัตราดอกเบี้ยตามสัญญานี้ ต่อมานายขาดผิดนัดชาระหนี้ทั้งสองสัญญา ห้าง
ค าถาม: เมื่ อ วั น ที่ ๑๑ กุ ม ภาพั น ธ์ ๒๕๕๘ นายขาดต้ อ งการเช่ า ซื้ อ หุ้นส่วนจากัด ไดโน่กาฬสินธุ์คาร์และนายมากต่างยื่ นฟ้องลูกหนี้ของตนต่อศาล
รถยนต์จากห้างหุ้นส่วนจากัด ไดโน่กาฬสินธุ์คาร์ แต่เนื่องจากตนเครดิตไม่ค่อยดี นางใจดีกั บ นายบุ ญ ช่ ว ยต่ า งยื่ นค าให้ การปฏิ เสธความรั บ ผิ ดในคดี ของตนว่ า
จึงไปขอให้นางใจดีมาช่วยเป็นผู้ค้าประกันในการกู้ยืมเงิน โดยยอมรับผิดอย่าง เจ้าหนี้ไปตกลงแปลงหนี้ใหม่กันเองลาพังกับนายขาดลูกหนี้ชั้นต้น หนี้เดิมระงับ
ลู กหนี้ ร่ ว ม ในจ านวน ๑ ล้ านบาท มีกาหนดช าระภายใน ๕ ปี คือ วันที่ ๑๑ ไปแล้ว ผู้ค้าประกันมิได้ตกลงด้วยจึงหลุดพ้นความรับผิด
กุมภาพันธุ์ ๒๕ ๓ โดยสัญญาค้าประกันมีข้อตกลงหนึ่งว่า “หากเจ้าหนี้ยอมผ่อน ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนางใจดี กับนายบุญช่วยในแต่ละคดีฟังขึ้น
เวลาการชาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยจะแจ้งให้ผู้ค้าประกันทราบหรือไม่ให้ทราบก็ หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตาม ผู้ค้าประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้นทุกครั้งไป” ด้วย วันเดียวกันนาย
ขาดต้องการเปิดกิจการร้านขายสินค้าปลีก จึงไปทาสัญญาซื้อสินค้าเหมาเชื่อจาก ธงคาตอบ: กรณีตามปัญหา ในส่วนหนี้ตามสัญญาระหว่างห้างหุ้นส่วน
นายมากโดยขอความช่วยเหลือให้นายบุญช่วยเพื่อนบ้านอีกคนมาช่วยทาสัญญา จากัด ไดโน่กาฬสินธุ์คาร์ ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับนายขาดผู้เช่าซื้อซึ่งเป็น
ค้าประกันให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในการมาซื้อสินค้าเชื่อแต่ละครั้ง ต่อมาวันที่ ลูกหนี้ชั้นต้นและนางใจดีผู้ค้าประกัน แม้ภายหลังทาสัญญาเช่าซื้อและค้าประกัน
๒ กรกฎาคม ๒๕ ๐ นายขาดประสบปัญหาเศรษฐกิจจึงมาขอความเห็นใจจาก ห้างหุ้ นส่ ว นจากัดเจ้าหนี้จะไปตกลงทาสัญญาปรับปรุงโครงสร้างกับนายขาด
เจ้าหนี้ทั้งสอง ห้างหุ้นส่วนจากัด ไดโน่กาฬสินธุ์คาร์จึงตกลงทาสัญญาปรับปรุง ลู ก หนี้ ชั้ น ต้ น ตามล าพั ง แต่ ต ามสั ญ ญาปรั บ ปรุ ง โครงสร้ า งหนี้ ดั ง กล่ า วมี
รายละเอียดเพียงนายขาดยอมรับว่าได้ทาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ นายขาดยังคงค้าง ส่วนหนี้ตามสัญญาระหว่างนายมากเจ้าหนี้กับนายขาดลูกหนี้ชั้นต้นและ
ชาระค่าเช่าซื้อ มีการตกลงเปลี่ยนแปลงการชาระหนี้ โดยมีเงื่อนไขในการผ่อน นายบุญช่วยผู้ค้าประกัน เมื่อนายมากตกลงทาสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ
ชาระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท จะชาระให้เสร็จภายใน นายขาดภายหลังโดยลาพัง โดยรวมภาระหนี้ของนายขาดตามสัญญาซื้อสินค้า
วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕ ๕ เงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ให้เป็นไปตามสัญญาเดิม เหมาเชื่อทั้ง ๓๓ ฉบับ เป็นเงินรวม ๗๐๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย ๑๐๐,๐๐๐
ทุกประการ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีข้อความใดแสดงว่าห้างหุ้นส่วนผู้ให้เช่า บาท รวมเป็นเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาท เงื่อนไขการผ่อนชาระหนี้ทั้งในส่วนของต้น
ซื้อกับนายขาดผู้เช่าซื้อมีเจตนาให้หนี้เช่าซื้อตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อระงับสิ้นไป เงินและดอกเบี้ยค้างชาระตกลงให้เปลี่ยนเป็นหนี้เงินกู้ระยะยาว ผ่อนชาระเป็น
แล้วมาบังคับกันใหม่ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อันเป็นการเปลี่ยนแปลง งวดรายเดือนทุกเดือน ให้แล้วเสร็จภายใน ๕ ปี เช่นเดียวกัน และมีข้อตกลงว่า
สิ่ ง ซึ่ ง เป็ น สาระส าคั ญ แห่ ง หนี้ เป็ น การแปลงหนี้ ใ หม่ ต ามความในประมวล ถ้านายขาดค้ างช าระดอกเบี้ ยไม่น้อ ยกว่ าปีห นึ่ง นายขาดยอมให้ นายมากน า
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ดังที่นางใจดีกล่าวอ้าง สัญญาปรับปรุง ดอกเบี้ยที่ค้างชาระดังกล่าวทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจานวนเงินที่
โครงสร้ า งหนี้ ดัง กล่ าวจึ ง เป็ น เพี ย งการก าหนดเงื่อ นไขการผ่ อนช าระหนี้ และ ทบเข้ากันนั้นได้ต่อไปในอัตราดอกเบี้ยตามสัญญานี้ นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการเพิ่ม
ระยะเวลาการชาระหนี้ใหม่เท่านั้น เมื่อไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ จึงไม่เป็นเหตุ จานวนหนี้ซึ่งนายขาดจะต้องรับผิด และเปลี่ยนประเภทหนี้ จึงเป็นกรณีที่นาย
ให้หนี้ตามสัญญาเช่าซื้ออันเป็นสัญญาประธานเดิมระงับ ประกอบกับเมื่อสัญญา มากและนายขาดทาสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่ งเป็นสาระสาคัญแห่งหนี้ และตกลงที่จะ
ค้าประกันมีข้อตกลงว่าผู้ค้าประกันยอมผูกพันรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับ ผู ก พั น กั น ตามสั ญ ญาปรั บ ปรุ ง โครงสร้ า งหนี้ อั น เป็ น การแปลงหนี้ ใ หม่ ต าม
ลูกหนี้ และมีข้อตกลงว่า "หากเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาการชาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้เดิมคือหนี้
จะแจ้งให้ผู้ค้าประกันทราบหรือไม่ให้ทราบก็ตาม ผู้ค้าประกันตกลงด้วยในการ ตามสัญญาซื้อสินค้าเหมาเชื่อทั้ง ๓๓ ฉบับ ที่นายบุญช่วยค้าประกันเป็นอันระงับ
ผ่อนเวลานั้ นทุกครั้ งไป" แสดงว่านางใจดีทาสั ญญาค้าประกันการกู้เงินตกลง สิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ นายบุญช่วยในฐานะผู้ค้าประกันย่อมหลุดพ้นจากความ
ยกเว้นบทบัญญัติตามมาตรา ๗๐๐ วรรคหนึ่ง (เดิม) แม้โจทก์จะผ่อนเวลาให้แก่ รับผิดตามฟ้อง
นายขาด ก็ ยั งคงต้อ งรั บ ผิ ดตามสั ญ ญาค้ าประกั น แก่ ห้ างหุ้ นส่ ว นจ ากัด ไดโน่ ดังนี้ จึงวินิจฉัยได้ว่า ข้ออ้างของนางใจดีฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างของนาย
กาฬสินธุ์คาร์ ซึ่งสัญญาค้าประกันฉบับดังกล่าวทาขึ้นก่อนพระราชบัญญัติ แก้ไข บุญช่วยฟังขึ้น ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ จะมีผลใช้
บังคับ (คือวันที่ ๑๒ กุมภาพันธุ์ ๒๕๕๘ ข้อตกลง) ข้อตกลงตามสัญญาค้าประกัน
ดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้ ตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขประมวล เทียบเคียง: ฎ.852/2555 สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นการแปลง
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับดังกล่าว นางใจดีผู้ค้าประกันจึงยังไม่หลุดพ้นความ หนี้ใหม่ทาให้หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินระงับไปและจาเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิด
รับผิด หรือไม่ เห็นว่า สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ จาเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ทาหนังสือ
สั ญ ญากู้ เงิ น จ าเลยที่ 1 ยั ง คงค้ างช าระหนี้ ต้ นเงิ นและดอกเบี้ ย มี การตกลง
เปลี่ยนแปลงการชาระหนี้ โดยมีเงื่อนไขในการผ่อนชาระเงิน ต้นและดอกเบี้ยเป็น เงื่อนไขการผ่อนชาระคืนกับเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามที่กาหนด โดยให้ถือ
รายเดือน เดือนละ 20,000 บาท จะชาระหนี้ให้เสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม หลักประกันตามสัญญาเดิมเป็นหลักประกันการชาระหนี้ตามสัญญานี้เช่นนี้ แม้
2548 เงื่อนไขและข้อตกลงอื่นๆ ให้เป็นไปตามสัญญาเดิมทุกประการ และให้ถือ สัญญาระบุว่า "โดยมีเงื่อนไขการชาระคืนดังนี้ ..." ก็ไม่อยู่ในความหมายของการ
ว่าสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างจาเลยที่ 1 กับโจทก์เงื่อนไขและข้อตกลง เพิ่มเติมเงื่อนไขเข้าในหนี้อันปราศจากเงื่อนไขที่จะทาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่ง
อื่นๆ ยังคงเป็นไปตามสัญญาเดิ มทุกประการ และไม่มีข้อความใดแสดงว่าโจทก์ ซึ่งเป็นสาระสาคัญแห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามความใน ป.พ.พ. มาตรา
กับจาเลยที่ 1 มีเจตนาให้หนี้กู้ยืมเงินตามหนังสือสัญญากู้เงินระงับสิ้นไป แล้วมา 349 เพราะเป็นเพียงการกาหนดระยะเวลาชาระหนี้ใหม่เท่านั้นกรณีจึงไม่ใช่เป็น
บังคับกันใหม่ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็น การแปลงหนี้ใหม่อันทาให้หนี้เดิมระงับ
สาระสาคัญแห่งหนี้ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและ และ ฎ.6788/2552 การทาสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างโจทก์
พาณิชย์ มาตรา 349 ดังที่จาเลยทั้งสองฎีกา สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็น กับจาเลยที่ 1 เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทาให้จาเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้าประกันหลุด
เพียงการกาหนดเงื่อนไขการผ่อนชาระหนี้และระยะเวลาการชาระหนี้ใหม่เท่านั้น พ้นจากความรับผิดหรือไม่ เห็นว่า สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีข้อความสรุป
เมื่อไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่อันทาให้หนี้เดิมระงับ โจทก์จึงมีอานาจฟ้องจาเลย ได้ว่าเป็นสัญญาที่ทาขึ้นระหว่างจาเลยที่ 1 และบริษัทสยามคอนซัลติ้ง เซอร์วิส
ทั้งสอง จากัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจาเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ฝ่ายหนึ่งกับโจทก์
เมื่อสัญญาค้าประกันการกู้เงิน ข้อ 1 มีข้อตกลงว่าจาเลยที่ 2 ยอมผูกพัน ในฐานะเจ้าหนี้อีกฝ่ายหนึ่ง โดยคู่กรณีตกลงให้นาหนี้ของจาเลยที่ 1 ตามสัญญา
รับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ และข้อ 3 มีข้อตกลงว่า "ธนาคารยอม ท รั ส ต์ รี ซี ท 1 6 ฉ บั บ ต้ น เ งิ น 7 1 ,5 4 6 ,1 0 4 . 4 6 บ า ท ด อ ก เ บี้ ย
ผ่อนเวลาการชาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยจะแจ้งให้ ผู้ค้าประกันทราบหรือไม่ให้ 20,180,880.50 บาท รวมเป็นเงิน 91,726,984.96 บาท และภาระหนี้
ทราบก็ตาม ผู้ค้าประกันตกลงด้วยในการผ่อนเวลานั้นทุกครั้งไป และยังผูกพันรับ ของจาเลยที่ 1 ตามหนังสือยินยอมชดใช้ ความเสียหายตามการออกหนังสือค้า
ผิดในฐานะผู้ค้าประกันและลูกหนี้ร่วมอยู่ตลอดไป" แสดงว่าจาเลยที่ 2 ทาสัญญา ประกันฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2540 จานวน 481,800 บาท รวมเข้ากับหนี้
ค้าประกันการกู้เงินตกลงยกเว้นบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 700 วรรคหนึ่ง ของบริษัทสยามคอนซัลติ้ง เซอร์วิส จากัด ตามสัญญาทรัสต์รีซีท 17 ฉบับ ต้น
แม้โจทก์จะผ่อนเวลาให้แก่จาเลยที่ 1 จาเลยที่ 2 ก็ยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้า เงิน 32,646,748.80 บาท ดอกเบี้ย 9,129,648.29 บาท รวมเป็นเงิน
ประกันแก่โจทก์ 41,776,397.09 บาท รวมภาระหนี้ของลูกหนี้ทั้งสองรายตามสัญญาทรัสต์รี
ฎ.6473/2553 สัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นกรณีที่จาเลยที่ 1 ซี ท ทั้ ง 33 ฉบั บ เป็ น ต้ น เงิ น 104 ,192 ,853 . 26 บาท ดอกเบี้ ย
ยอมรับว่าในวันที่ 28 กันยายน 2544 จาเลยที่ 1 มียอดหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี 29,310,528.79 บาท กับภาระหนี้การออกหนังสื อค้าประกัน 481,800
และเงินกู้ค้างชาระเป็นยอดหนี้ตามบัญชี 2,719,380 บาท และดอกเบี้ยนอก บาท รวมเป็นเงิน 133,985,182.05 บาท แล้วกาหนดเงื่อนไขการผ่อนชาระ
บัญชี 1,408,325.13 บาท ตกลงให้มีการเปลี่ยนแปลงการชาระหนี้โดยมี หนี้ทั้งในส่วนของต้นเงินและดอกเบี้ย เฉพาะหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทในส่วนของ
ต้นเงินที่ลูกหนี้แต่ละรายค้างชาระตกลงให้เปลี่ยนประเภทหนี้เป็นหนี้เงินกู้ระยะ ม า ต ร า ๑ ๘ บ ท บั ญ ญั ติ ข อ ง พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ นี้ ไ ม่
ยาววงเงิน รวมกัน 104,192,853.26 บาท โดยถือเป็นหนี้รายเดียวกันซึ่ ง กระทบกระเทือนถึงสัญญาที่ได้ทาไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่
ลูกหนี้ทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดผ่อนชาระคืนต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตรา MLR กรณีที่พระราชบัญญัตินี้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
ต่อปี โดยผ่อนชาระเป็นงวดรายเดือนทุกเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2545 ถึง มาตรา ๑๙ ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้
เดือนธันวาคม 2554 ภายใต้เงื่อนไขจานวนต้นเงินขั้นต่าที่ต้องผ่อนชาระแต่ละ ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้าประกัน ให้เป็นไปตามมาตรา ๘
เดือนตามที่กาหนดไว้กับดอกเบี้ยต่างหาก โดยมิได้แยกสัดส่วนความรับผิดของ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
ลูกหนี้แต่ละราย ทั้งสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวข้อ 6 ยังกาหนดว่า "ถ้า มาตรา ๒๐ ในกรณี ที่ เ จ้ า หนี้ ก ระท าการใด ๆ นั บ แต่ วั น ที่
ลูกหนี้ค้างชาระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง ลูกหนี้ยอมให้ธนาคารนาดอกเบี้ยที่ค้าง พระราชบั ญ ญั ติ นี้ ใ ช้ บั ง คั บ อั น มี ผ ลเป็ น การลดจ านวนหนี้ ที่ มี ก ารค้ าประกั น
ชาระดังกล่าวทบเข้ากับต้นเงิน แล้วให้คิดดอกเบี้ยในจานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้
ต่อไปในอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศของธนาคาร" เห็นได้ชัดว่าเป็นการเพิ่ม รายนั้น ให้ผู้ค้าประกันเป็นอันหลุดพ้นจากการค้าประกันตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้
จานวนหนี้ซึ่งจาเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิด และเปลี่ยนประเภทหนี้ จึงเป็นกรณีที่ ในมาตรา ๙๑ วรรคหนึ่ง แห่ ง ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ ซึ่ง แก้ ไ ข
โจทก์และจาเลยที่ 1 ทาสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสาคัญแห่งหนี้ และตกลงที่ เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
จะผู กพัน กัน ตามสั ญญาปรั บปรุ งโครงสร้ างหนี้ อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม มาตรา ๒๑ บทบัญญัติตามมาตรา ๗๒๗ แห่งประมวลกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้เดิมคือหนี้ แพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้กับสัญญาจานองที่
ตามสัญญา ทรัสต์รีซีททั้ง 16 ฉบับ ที่จาเลยที่ 3 ค้าประกันเป็นอันระงับสิ้นไป ยังมีผลบังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย
ด้วยแปลงหนี้ใหม่ จาเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้าประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด มาตรา ๒๒ บทบัญญัติตามมาตรา ๗๒๘ และมาตรา ๗๓๕ แห่ง
ตามฟ้อง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้
สังเกต ๑. ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บังคับกับการบังคับจานองที่ทาขึ้นนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย
(ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ.๒๕๕๗ มาตรา ๒ บัญญัติว่า พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อ มาตรา ๒๓ บทบัญญัติตามมาตรา ๗๓๗ แห่งประมวลกฎหมาย
พ้ น ก าหนดเก้ า สิ บ วั น นั บ แต่ วั น ประกาศในราชกิ จ จานุ เ บกษาเป็ น ต้ น ไป ซึ่ ง แพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้บังคั บกับกรณีที่ผู้รับ
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ บทบัญญัติที่ โอนต้องการไถ่ถอนจานองเมื่อมีการบอกกล่าวบังคับจานองตามมาตรา ๗๓๕
แก้ไขใหม่นี้ จึงมีผลใช้บังคับเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้
๓. คาแนะนาของผู้เขียน หากจาวันที่เริ่มใช้บังคับและเลขมาตราของ
๒. พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับดังกล่าว มีมาตรา
กฎหมายที่แก้ไขใหม่ดังกล่าวไม่ได้ แต่พอทราบว่าจะใช้กฎหมายหมายใหม่หรือไม่
ที่สาคัญควรรู้อีก คือ
ในการวินิจฉัย ก็ไม่จาเป็นต้องอ้างวันที่เริ่มใช้บังคับและเลขมาตราของ พ.ร.บ. ก่อให้การว่านายกวนก่อสร้างโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ยก
ดังกล่ าว เพราะอาจท าให้ ผิ ดพลาดได้ง่า ยและเสี ยคะแนนไปโดยใช่ เหตุ ควร ฟ้อง เมื่อคดีเสร็จการพิจาณา ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์มีคาพิพากษายกฟ้อง
วินิจฉัยไปกว้างๆ เพียงว่าข้อตกลงตามสัญญาค้าประกันมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า คาพิพากษาของศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ในคดีหลังนี้ชอบ
ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่หรือกฎหมายเดิมเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว./ ด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ภาพการหาโอกาสเล่นกีฬาต่างๆ ของผู้เขียน
พักผ่อนหย่อนใจบ้าง
หมวด ๔ คติประจาใจที่ได้จากปฏิบัติงาน
ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้สาเร็จลุล่วงที่ผู้เขียนได้รับตลอดมา
จนถึ ง ปั จ จุ บั น ก็ ยั ง คงมี ห ลั ก คติ ป ระจ าใดที่ คิ ด ขึ้ น ได้ ร ะหว่ า งเก็ บ เกี่ ย ว
ประสบการณ์สอดคล้องกับหลักการใช้ชีวิตของผู้เขียนที่เคยแนะนามาในบรรพ ๒
หมวด ๑ ของหนั งสื อนี้ แล้ ว และผู้ เขียนมักจะไม่ลื มระลึกถึง โดยจะคอยใช้ ยึด
เหนี่ยวเตือนจิตใจไว้เสมอมา ซึ่งเท่าที่คิดออกในปัจจุบันยังมีไม่กี่หลัก อาทิเช่น
๑. รู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบ ประกอบแต่กุศลกรรม
๒. ยกประโยชน์แห่งความดีความชอบต่างๆ ให้กับ “ความว่าง” จึงจะได้
ไม่หลงระเริงกับผลของมัน
๓. การทาสิ่งใดๆ ด้วยหลัก “ทางสายกลาง”
๔. จงเป็นอะไรก็เป็นได้..เท่าที่ “เป็นประโยชน์”
๕. เป็นผู้กล่าวแต่ “ปิยวาจา”
. เป็น “นักคิด” ตลอดเวลา
๗. แก้ปัญหาศัตรูด้วยการเต็มใจช่วยแม้เขาจะร้ายกับเราเพียงใด
๘. หยุดไขว่คว้า แต่ไม่หยุดพัฒนาตนเอง
๙. ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
อุปสรรคมักจะมารออยู่ทุกย่างก้าวของชีวิต ท่านควรมีอาวุธ
หนึ่งไว้คอยพิชิต นั่นคือ “กาลังใจ”
ประวัติผู้เขียน
นายนราธิป ใจน้อย
เกิดวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๑
พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๔๙ ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนพร้าววิทยาคม
พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๓ ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยพายัพ
พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ เนติบณ
ั ฑิตไทย สมัยที่ ๔ (ลาดับที่ ๑๕)
พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๕๙ ผู้ชว่ ยผู้พิพากษา รุ่นที่
พ.ศ.๒๕๕๙ - ๒๕ ๐ ผู้พิพากษาประจาศาลอาญา
พ.ศ.๒๕ ๐ - ๒๕ ๑ ผู้พิพากษาประจาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์และช่วย
ทางานศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดกาฬสินธุ์ อีกตาแหน่งหนึ่ง
พ.ศ.๒๕ ๑ - ปัจจุบัน ผู้พิพากษาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์.