You are on page 1of 12

หน่ วยที่ 1 ความสาคัญและประวัตก

ิ ารเพาะพันธุ์ปลา

ชือ
่ บทเรียน
1.1 รูค
้ วามหมายและความสาคัญของการเพาะพันธุ์ปลา
1.2 เข้าใจประวัตก
ิ ารเพาะพันธุ์ปลา

จุดประสงค์การสอน
1.1 รูค
้ วามหมายและความสาคัญของการเพาะพันธุ์ปลา
1.1.1 บอกความหมายของการเพาะพันธุ์ปลา
1.1.2 อธิบายความสาคัญของการเพาะพันธุ์ปลา
1.1.3 บอกประโยชน์ของการเพาะพันธุ์ปลา
1.2 เข้าใจประวัตก
ิ ารเพาะพันธุ์ปลา
1.2.1 อธิบายการเพาะพันธุ์ปลาในต่างประเทศ
1.2.2 อธิบายการเพาะพันธุ์ปลาในประเทศไทย

1. ความความหมายและความสาคัญของการเพาะพันธุ์ปลา
1.1 ความหมายและความสาคัญของการเพาะพันธุ์ปลา
1.1.1 ความหมายของการเพาะพันธุ์ปลา
การดาเนินการใด ๆ เพือ
่ ให้ปลาผสมพันธุ์วางไข่
พัฒนาจนเป็ นตัวอ่อนและอนุบาลดูแลลูกปลาวัยอ่อน จนมีขนาดทีต ่ ามต้องการ
ตลอดถึงการปรับปรุงพันธุ์ปลาให้มีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อม
สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของตลาด
1.1.2 สาเหตุของการเพาะพันธุ์ปลา

การรวบรวมพันธุ์สตั ว์น้าจากธรรมชาติเป็ นวิธีการทีท ่ ามาตัง้ แต่ดง้ ั เดิม


โดยวิธีการต่าง ๆ ในการจับและรวบรวม เช่น การจับลูกปลาสวาย
และลูกปลาดุกด้านในประเทศไทย การจับลูกปลานวลจันทร์ทะเล เป็ นต้น
ในการจับลูกพันธุ์ปลามีการใช้เครือ ่ งมือต่าง ๆ อาทิเช่น การใช้สวิง อวนตาถี่
และเครือ่ งมือจับแบบพื้นเมืองทั่ว ๆ ไป วิธีรวบรวมพันธุ์ดงั กล่าว
ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ในปัจจุบน ั คือ
1) ไม่สามารถทีจ่ ะกาหนดเวลา
และไม่สามารถทีจ่ ะขยายกิจการเลี้ยงให้เป็ นอุตสาหกรรมไ
ด้ เพราะปริมาณปลาทีร่ วบรวมได้มีจานวนไม่แน่ นอน
และเวลาทีจ่ บ ั ได้ไม่แน่ นอน
หรือคลาดเคลือ ่ นจากการกาหนดเวลา
2) ลูกสัตว์น้าทีร่ วบรวมได้จากธรรมชาตินน ้ั
อาจจะมีลูกสัตว์น้าชนิดอืน ่ ปะปนเข้ามาด้วยทาให้มีปญ ั หา
คืออาจเป็ นศัตรูโดยตรง คือ
กินสัตว์น้าทีเ่ ราเลี้ยงหรือแย่งอาหาร
ทาให้สตั ว์น้าทีเ่ ลี้ยงมีอตั ราการรอดตายต่าหรือเติบโตช้า
3) สัตว์น้าทีร่ วบรวมจากธรรมชาตินน ้ั
อาจโตช้าหรือโตเร็วไม่แน่ นอน
เพราะอาจมาจากพ่อแม่พน ั ธุ์ทส
ี่ มบูรณ์ แตกต่างกัน
4) ทาให้ตน ้ ทุนในการผลิตสูง
เพราะความไม่แน่ นอนในการจัดหาพันธุ์

1.1.3 ประโยชน์ของการเพาะพันธุ์ปลา
1) สามารถผลิตลูกปลาได้เป็ นจานวนมากต่อการเพาะพันธุ์ใน
แต่ละครัง้ เช่น ปลาตะเพียนขาว ปลาดุก ปลายีส ่ กเทศ
ปลาเฉา ปลาสวาย เป็ นต้น
2) ได้ลูกปลาทีม
่ ีขนาดสม่าเสมอ
3) สามารถผสมข้ามพันธุ์ เพือ
่ ให้ได้พน ั ธุ์ใหม่ เช่น
การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างปลาดุกอุยกับปลาดุกเทศ
หรือปลาดุกรัสเซีย ได้ปลาดุกลูกผสม ทีเ่ รียกว่า ”บิก ๊ อุย”
4) สามารถเพาะพันธุ์ปลาทีไ่ ม่ผสมพันธุ์กน ั เองในบ่อเลี้ยงได้
เช่น ปลาสวาย ปลาเทพา ปลาเฉา ปลาลิน ่ ปลายีส ่ กเทศ
เป็ นต้น
5) ได้ลูกปลาทีแ่ ข็งแรงปราศจากโรค
6) ประหยัดพ่อแม่พน ั ธุ์ หรือใช้พอ่ แม่พนั ธุ์จานวนน้อย
7) ประหยัดเวลาและค่าใช้จา่ ยมากกว่าการเพาะพันธุ์ปลาโดยวิ
ธีอน
ื่ เช่น การเพาะพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติเสียเวลามาก
ได้ลูกปลาไม่แน่ นอน
8) สามารถเพาะพันธุ์ปลาทีใ่ กล้จะสูญพันธุ์ให้มีปริมาณเพิม ้
่ ขึน
เช่น ปลาตะพัด ปลาม้า ปลาบึก เป็ นต้น

1.2 ประวัตก ิ ารเพาะพันธุ์ปลา


ประวัตค ิ วามเป็ นมาของการเพาะขยายพันธุ์ปลา
มีความเกีย่ วเนื่องต่อกันมากับประวัตค ิ วามเป็ นมาของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
โดยในระยะแรกจะมีการเลี้ยงปลาในพื้นทีล่ ม ุ่ จากการทีน ่ ้าท่วม
ต่อมามีการรวบรวมพันธุ์สตั ว์น้าจากฤดูน้าหลากมาเลี้ยงในบ่อ
พัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบน ั มีการเพาะขยายพันธุ์สตั ว์หลายชนิด
โดยวิธีการใช้วท ิ ยาการสมัยใหม่และผลจากการวิจยั ทีเ่ กิดขึน ้ อย่างต่อเนื่อง
ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ามากมายหลายชนิด
ดังนัน
้ ประวัตค ิ วามเป็ นมาเริม ่ แรกจึงมีความเกีย่ วเนื่องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ปลาจัดได้วา่ เป็ นสัตว์น้าทีไ่ ด้มีการเพาะเลี้ยงมาตัง้ แต่โบราณ
มีรายงานทัง้ ในทวีปยุโรปและเอเชีย โดยจากหลักฐานทางประวัตศ ิ าสตร์
พบว่า การเลี้ยงปลาเริม ่ มีทีอ่ ียปิ ต์เป็ นเวลาประมาณ 4,000 ปี มาแล้ว (2000
B.C.) โดยในสมัยของกษัตริย์ Maeris
ได้พบภาพแกะสลักโบราณในสุสานแสดงถึงการปล่อยปลานิล (tilapia)
รวมกับปลาชนิดอืน ่ ๆ 22 ชนิด ในทะเลสาบ
และนอกจากนี้ภาพวาดยังแสดงถึงการสร้างบ่อเลี้ยงปลาในบริเวณสวน
โดยมีชอ ่ งทางระบายน้าออกตรงกลางบ่อ เพือ ่ จับปลาทัง้ หมด (Hickling,
1971)
สาหรับทวีปเอเชีย เริม ่ มีการเลี้ยงปลาเป็ นครัง้ แรกเมือ ่ ประมาณ
4,600 ปี มาแล้ว (2698 B.C.) โดยปลาชนิดแรกทีเ่ ลี้ยงคือ ปลาไน
(common carp)
และคาดว่าการเลี้ยงปลาเริม ่ ในเวลาใกล้เคียงกับการเลี้ยงและการผลิตไหม
(silkworm production)
เนื่องจากตัวอ่อนหนอนสามารถนามาเป็ นอาหารสมทบให้ปลาในบ่อได้
(Hickling, 1971) ส่วนประเทศต่าง ๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้มีการพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าช้ากว่าจีน
โดยมีการพัฒนาการไม่กีร่ อ้ ยปี นี้เอง โดยส่วนใหญ่พฒ ั นามาจากการจับปลา
(simple – trapping) มาเป็ นการจับแล้วพักปลา (trapping – holding)
แล้วเป็ นการจับแล้วเลี้ยงปลา (trapping – holding – growing)
และในทีส ่ ุดก็เป็ นทีส
่ มบูรณ์ แบบ (complete husbandry practices)
(Ling, 1977) ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
ในระยะแรกจะมีชาวจีนเข้าไปอาศัยอยูซ ่ งึ่ พวกเขาได้นาปลาไนไปเลี้ยงด้วย
เนื่องจากปลาไนมีความทนทานต่อการขนส่งระยะไกล ๆ
แม้จะถูกกักขังในภาชนะขนาดเล็กและชาวจีนเหล่านี้ก็แนะนาวิธีการเลี้ยงปลาใ
ห้ชาวท้องถิน ่ ทาให้เทคนิคการเลี้ยงปลาได้รบ ั การถ่ายทอด
และปลาไนก็มีการเลี้ยงอย่างแพร่หลายทั่วเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
ในทีส ่ ุดประเทศในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้
จึงค่อยมีการปรับปรุงพัฒนาวิธีการเลี้ยงปลาท้องถิ่นแต่ละชนิดของตนเอง
โดยอาศัยจุดเริม ่ ต้นจากการเลี้ยงปลาไน เช่น ญีป ่ ุ่ น อินโดนีเซีย เวียดนาม
ไทย เขมร ฟิ ลิปปิ นส์ ได้เปลีย่ นวิธีการเลี้ยงแบบดัง้ เดิม (traditional
system) มาเป็ นวิธีการเลี้ยงแบบพัฒนา (intensive system)
1.2.1 การเพาะพันธุ์ปลาในต่างประเทศ
การเพาะเลี้ยงปลาของจีน
Fan Lee (473 B.C.) นักเพาะเลี้ยงปลาชาวจีนได้แต่งหนังสือ
“Treatise on Pisiculture”
ซึง่ เป็ นหนังสือเล่มแรกของจีนเกีย่ วกับการเพาะเลี้ยงปลา
โดยเขียนจากประสบการณ์ การเลี้ยงปลาไนของเขา
ซึง่ เนื้อหาประกอบด้วยลักษณะบ่อปลา วิธีการรวบรวมปลาไน
และการเจริญเติบโตของลูกปลาไน โดยได้อธิบายการเลี้ยงปลาแบบง่าย ๆ
แต่ก็เป็ นทีย่ อมรับทางหลักชีววิทยา เช่น
เขาอธิบายการสร้างบ่อปลาว่าควรมีการสร้างเกาะเล็ก ๆ
ไว้ตรงกลางบ่อเพือ ่ ปลาจะได้วา่ ยน้ารอบเกาะ
เพือ ่ ให้ปลารูส้ ก
ึ เหมือนกับว่ายน้าในแม่น้าหรือทะเลสาบ
และก็ยงั ได้อธิบายเทคนิคการคัดเลือกพ่อแม่พน ั ธุ์ปลาไน เพือ ่ ผสมพันธุ์วางไข่
ซึง่ ขณะนัน ้ ประชาชนยังเชือ ่ ว่าปลาเกิดจากเศษใบไม้ทเี่ น่ าเปื่ อย
นอกจากนี้ได้อธิบายว่า
ปลาไนมีความเหมาะสมในการเลี้ยงเนื่องจากมีรสชาติอร่อย ไม่กนิ กันเอง
เติบโตเร็ว สามารถจับได้งา่ ย
ซึง่ หลักเกณฑ์นี้ก็ยงั คงใช้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในปัจจุบน ั
ในสมัย 500 B.C. ถึง 500 A.D.
จัดได้วา่ เป็ นยุคทองของการเลี้ยงปลาไนของจีน โดยในสมัยราชวงศ์ฮ่น ั (Han
Dynasty : 206 B.C. - 7 A.D.)
มีการเลี้ยงปลาไนอย่างกว้างขวางแพร่หลายมีการขยายการเลี้ยงในบ่อไปสูแ ่ ห
ล่งน้าขนาดใหญ่ขน ึ้ ในสมัยราชวงศ์ถงั (Tang Dynasty : 618 - 906
A.D.) ประชาชนถูกห้ามจับขาย และซื้อปลา
เนื่องจากปลาไนในภาษาจีนออกเสียงว่า หลี (Li)
ซึง่ ใกล้เคียงกับนามของกษัตริย์องค์หนึ่งของจีน
มีผลทาให้ระงับการเลี้ยงปลาไน ฉะนัน
้ การเลี้ยงปลาไนทีพ ่ ฒั นามาเกือบ
1,000 ปี จึงหยุดชะงักอย่างสิน ้ เชิง และจึงมีการเลี้ยงปลา 4 ชนิดขึน ้ มาแทนที่
ได้แก่ ปลาเฉา (grass carp) ปลาซ่ง (bighead carp) ปลาเล่ง (silver
carp) และปลามัดคาร์พ (mud carp)
นับได้วา่ เป็ นจุดเปลีย่ นระบบการเลี้ยงปลาชนิดเดียว
มาเป็ นระบบการเลี้ยงปลาหลายชนิดรวมกัน
ในสมัยราชวงศ์ซุง (Sung Dynasty : 906 - 1120 A.D.)
มีการพัฒนาเทคนิคการรวบรวมและการขนส่งลูกปลามากขึน ้
โดยมีการรวบรวมลูกปลาจีนจากแม่น้าแยงซี
และแม่น้าเพิร์ดไปขายยังเมืองทีอ ่ ยูไ่ กล ๆ ทีเ่ จียงซี (Jiansi) ฟูเจียง
(Fujian) และซีเจียง (Zhejiang)
ลูกปลาทีร่ วบรวมได้จากแม่น้าก็ได้นามาเลี้ยงในบ่ออย่างแพร่หลาย นอกจากนี้
Chow Mit ได้อธิบายการขนส่งลาเลียงลูกปลาด้วยครุไม้ไผ่ไว้ในหนังสือ
“Kwei Sin Cha Shik” โดยได้แต่งในปี คริสต์ศกั ราช 1243
ในสมัยราชวงศ์มงิ๋ (Ming Dynasty : 1368 - 1644 A.D.)
่ มีการพัฒนาเปลีย่ นการเลี้ยงปลาจากแบบกึง่ พัฒนามาเป็ นแบบพัฒนา
เริม
และมีเทคนิคปลีกย่อยพัฒนามากขึน ้ ตัง้ แต่โครงสร้างบ่อปลา
ความหนาแน่ นปลาทีป ่ ล่อย การเลี้ยงแบบผสมผสาน การให้อาหารและปุ๋ ย
และการควบคุมโรคปลา เป็ นต้น Heu Kwang Chi ได้แต่งหนังสือ “A
Complete Book of Agriculture”
โดยเนื้อหาอธิบายถึงการรวบรวมลูกปลาจากแม่น้า
และการเลี้ยงลูกปลาในบ่อเป็ นส่วนใหญ่
ในสมัยราชวงศ์ชงิ (Ching Dynasty : 1644 - 1911 A.D.)
ก็มีการพัฒนาการเลี้ยงปลาคล้ายราชวงศ์มงิ๋
และมีการขนส่งและลาเลียงลูกปลาแต่ละชนิดไประยะทางไกล ๆ ได้มากขึน ้
การเลี้ยงปลาของจีนมีการพัฒนาการเลี้ยงปลา
โดยอาศัยความชานาญทีอ ่ าศัยการถ่ายทอดมาหลายชั่วอายุคน
โดยไม่ได้ใช้วท ิ ยาการสมัยใหม่จวบจนคริสต์ศกั ราช 1920
จึงเริม
่ มีการนาวิทยาการสมัยใหม่เข้ามา
โดยรัฐบาลได้สนับสนุนให้มีผไู้ ปศึกษาต่างประเทศ
และมีนกั วิชาการเพาะเลี้ยงปลามาใช้หลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มากขึน ้ ในกา
รเพาะเลี้ยงปลา
ชาวประมงจีนนับว่ามีประสบการณ์ และทักษะอย่างมากในการเลี้ยงปลา
เนื่องจากความรูท ้ ไี่ ด้รบั การถ่ายทอดในเรือ ่ ง สภาพภูมอ ิ ากาศ สีน้าในบ่อปลา
พฤติกรรมปลา คุณภาพน้าและสุขภาพปลา
และทาให้นกั วิทยาศาสตร์ของปลายประเทศในทวีปเอเชีย
นาความรูก ้ ารเพาะเลี้ยงปลาทางด้านชีวภาพ
และกายภาพจากประเทศจีนไปประยุกต์ใช้

การเพาะเลี้ยงปลาของยุโรปและอเมริกา
ในทวีปยุโรปคาดว่าเริม ่ มีการเลี้ยงปลาตัง้ แต่สมัยโรมัน
โดยผูท ้ ม
ี่ ีฐานะดีเท่านัน ้ จะทาการเลี้ยงปลา เพือ ่ บริโภคเป็ นอาหารโดยตรง
และยังไม่มีการเลี้ยงปลาอย่างจริงจังมากนัก บ่อปลาทีป ่ รากฏในสมัยกลาง
มักจะอยูใ่ นบริเวณวัดเป็ นส่วนใหญ่
โดยจะมีบอ ่ ขนาดเล็กและมีจานวนน้อยเมือ ่ เปรียบเทียบกับจานวนพระทีอ ่ ยูใ่ นวั
ด ซึง่ เป็ นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าบ่อเหล่านัน ้ จะใช้ฟก ั ปลาเพือ ่ บริโภคเท่านัน ้
(store pond)
ปลาจะถูกนามาบริโภคส่วนใหญ่ในช่วงฤดูหนาวในขณะทีอ ่ าหารประเภทเนื้อช
นิดอืน ่ ๆ ขาดแคลน และเชือ ่ ได้วา่ ในสมัยกลางนัน ้ ปลาจะมีราคาแพง
โดยเฉพาะปลาทีม ่ ีความสด
เนื่องจากความต้องการบริโภคปลาของประชาชนมีมากแต่ปริมาณปลาทีห ่ าได้
มีน้อย ทาให้มีราคาแพง สาเหตุทห ี่ าปลาได้น้อย
เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนาเครือ ่ งมือประมงจับปลา ทาให้จบ ั ปลาได้ยาก
และอีกทัง้ การขนส่งลาเลียงปลาก็มีความยากลาบากทาให้ปลามีราคาแพง
ฉะนัน ้ มีผลทาให้มีการจับปลากันอย่างมาก
โดยเฉพาะฤดูใบไม้รว่ งและฤดูหนาวเพือ ่ การบริโภค (Hickling, 1971)
การเลี้ยงปลาสมัยใหม่ของยุโรป
คาดว่าเริม ่ เป็ นครัง้ แรกในประเทศอังกฤษในช่วงคริสต์ศกั ราช 1400 – 1500
โดยชาวอังกฤษนาปลาตระกูลปลาจีนมาเลี้ยงโดยมีการสร้างบ่อเพาะพันธุ์
(breeding pond) และบ่ออนุบาล (rearing pond)
ขนาดเล็กขึน ้ มาหลังจากการสังเกตพบว่าในฤดูใบไม้ผลิ
ปลาจะผสมพันธุ์วางไข่ในบ่อ
จึงมีผลทาให้มีการสร้างบ่อเพาะพันธุ์ปลาในเวลาต่อมาและการเลี้ยงปลาของปร
ะเทศอังกฤษจึงเริม ่ รูจ้ กั แพร่หลายมากขึน ้ ตามลาดับ (Hickling, 1971)
ในคริสต์ศกั ราชที่ 14 พระชาวฝรั่งเศส ชือ่ Dom Pichon
สามารถผสมเทียมปลาเทร้า แล้วนาไปฟักในลาธาร
แต่ปรากฏว่าไข่ปลาไม่ฟก ั ออกเป็ นตัว สาเหตุทม ี่ ีสว่ นทีท ่ าให้เขาผสมเทียมปลา
ก็เนื่องจากว่าในบริเวณวัดมีบอ ่ ปลา และในสมัยนัน ้
พระไม่สามารถกินเนื้อสัตว์บกในวันศุกร์จงึ กินเนื้อปลาแทน
และก็เกิดความคิดในการเพาะพันธุ์ปลา
ในคริสต์ศกั ราชที่ 17 ทหารบกชาวออสเตรเลีย ชือ ่ Stephen
Ludwig Jacobi สามารถผสมเทียมปลาเทร้าจนฟักเป็ นตัวได้สาเร็จในปี
ค.ศ. 1757 และได้เขียนลง Hannoverschen magazine ในปี ค.ศ.1763
ในคริสต์ศกั ราชที่ 18
ประสบผลสาเร็จในการผสมเทียมปลาหลายชนิดมากขึน ้
เนื่องจากการเลี้ยงปลาแพร่หลายประกอบกับความรูใ้ หม่ ๆ มีมากขึน ้
โดยชนิดปลาและปี ทีป ่ ระสบผลสาเร็จ เช่น ปลาแซลมอน (1835)
ปราบรุคเทร้า (1851) ปลาแอตแลนติคแซลมอน (1864) ปลาคอด (1865)
และปลาสเตอเจียน (1868) เป็ นต้น
ในคริสต์ศกั ราชที่ 19
จัดได้วา่ เป็ นทศวรรษของความรุง่ เรืองของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ามีการพัฒนาเ
ทคนิคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าเป็ นลาดับ โดยในปี ค.ศ. 1930 ชาวอาร์เจนตินา
ชือ
่ B.A. Houssay
ริเริม
่ นาต่อใต้สมองมาใช้ในการฉี ดกระตุน ้ ปลาให้ผสมพันธุ์วางไข่เป็ นครัง้ แร
ก แต่ยงั ไม่ประสบผลสาเร็จ และ ค.ศ. 1934 ชาวบราซิล ชือ ่ R. Von.
Ihering
จัดได้วา่ เป็ นคนแรกประสบผลสาเร็จในการกระตุน ้ ปลาให้ผสมพันธุ์วางไข่ดว้ ย
การใช้ตอ ่ มใต้สมอง ปัจจุบน ั นี้อาจกล่าวได้วา่ การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยง
การอนุบาล และการเลี้ยงสัตว์น้าหลายชนิดของยุโรป
และอเมริกามีการพัฒนาค่อนข้างมาก
มีเทคโนโลยีชน ้ ั สูงมาพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าหลายอย่าง เช่น
การตัดต่อยีนส์ เพือ
่ ผลิตพันธุ์ปลาทีต
่ อ
้ งการ
การผลิตลูกปลาทีโ่ ตเร็วมีความทนทานโรงสูงขึน ้ เป็ นต้น

1.2.2 การเพาะพันธุ์ปลาในประเทศไทย
การเพาะเลี้ยงปลาของไทย
การพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของไทย ได้เริม ่ ในสมัยรัชการที่ 5
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในปี พ.ศ.2445
ได้มีประกาศพระราชบัญญัตอ ิ ากรค่าน้า
ทาให้การใช้แหล่งน้าจับปลาต้องเสียเงิน ฉะนัน ้ การบริหารการประมงในช่วง
พ.ศ. 2444 – 2464 จึงมุง่ เน้นเก็บภาษี อากรมากกว่าการบารุงพันธุ์สตั ว์น้า
ทาให้ปริมาณสัตว์น้าในธรรมชาติมีจานวนลดลงจนปริมาณปลาทีจ่ บ ั ได้ไม่เพีย
งพอ และปลาก็มีขนาดเล็กลง
พ.ศ.2464 ได้เริม ้
่ มีการบารุงพันธุ์สตั ว์น้าขึน
โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห ่ วั
ได้ทรงมีประกาศกระแสพระบรมราชโองการจัดปันหน้าทีร่ าชการในเรือ ่ งการเ
พาะพันธุ์สตั ว์น้า เมือ
่ 22 กันยายน 2464
โดยกาหนดให้กระทรวงเกษตราธิการมีหน้าทีเ่ กีย่ วกับเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
การดูแลรักษาสัตว์น้า การกาหนดฤดูกาลงดจับสัตว์น้า
รวมทัง้ การกาหนดเครือ ่ งมือจับสัตว์น้า
ซึง่ นับไว้เป็ นการเริม่ ต้นการอนุ รกั ษ์ สตั ว์น้าของประเทศและในช่วงนี้เจ้าพระย
าพลเทพ (เฉลิม โกมารกุล ณ นคร) ซึ่งเป็ นเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ
ได้มีดาริให้มีหน่ วยงานเพาะพันธุ์ปลาหรือเรียกอีกชือ ่ หนึ่งว่า
หน่ วยงานบารุงรักษาพันธุ์สตั ว์น้า
รัฐบาลจึงได้ตด ิ ต่อไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาขอให้ชว่ ยหาผู้ชานาญการเรือ ่ ง
ปลามาช่วยวางแผนพัฒนาการประมงของประเทศสยาม และได้ ดร.ฮิว
แมคคอร์มคิ สมิท (H.M. Smith)
มาเป็ นทีป ่ รึกษาแผนกสัตว์น้าของรัฐบาลสยามในปี พ.ศ. 2466
เพือ่ ทาการสารวจชนิดและปริมาณสัตว์น้า ว่ามีมากน้อยเพียงไร
รวมทัง้ วิธีการเพาะพันธุ์สตั ว์น้า เพือ ่ ไม่ให้สตั ว์น้ามีปริมารณลดน้อยลงไป
ดร.สมิท
ได้สารวจพันธุ์สตั ว์น้าทัง้ ในน้าจืดและน้าเค็มเกือบทั่วราชอาณาจักร
และได้รายงานการสารวจพืชพันธุ์สตั ว์น้า และการอุตสาหกรรมสัตว์น้า
รวมทัง้ ข้อแนะนาในการบังคับบัญชา การอนุรกั ษ์ และการพัฒนา เช่น
มาตรการป้ องกันจานวนปลา ไม่ให้มีจานวนลดลง
โดยการห้ามจับสัตว์น้าในบางช่วง และกาหนดขนาดเครือ ่ งมือทีจ่ บั สัตว์น้า
ข้อวิจารณ์ เหล่านี้ได้เขียนลงในหนังสือ “A Review of the Aquatic
Resources and Fisheries of Siam, with Plans and
Recommendations for their Administration, Conservation and
Development”
พ.ศ. 2473 ดร.สมิท
ได้แนะนารัฐบาลสยามในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
และเสนอให้กาหนดเขตบึงบอระเพ็ด
เป็ นทีร่ กั ษาพืชพันธุ์สตั ว์น้าและสร้างสถานีประมงบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
เป็ นสถานีประมงแห่งแรกของประเทศไทย
พ.ศ. 2484 มีการสร้างสถานีประมงกว๊านพะเยา จ.เชียงราย
เป็ นสถานีประมงแห่งทีส ่ องของประเทศ
นอกจากนี้รฐั บาลก็ยงั สร้างเขือ่ นระบายน้าทีห ่ นองหาน จ.สกลนคร
เพือ ่ เก็บกักน้า และเป็ นทีร่ กั ษาพืชพันธุ์ในปี พ.ศ. 2484
แต่การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2496
อันเนื่องมากจากมหาสงครามเอเชียบูรพาทาให้การก่อสร้างล่าช้า
พ.ศ. 2485 มีการสร้างสถานีประมงหนองหาน จ.สกลนคร
เป็ นสถานีแห่งทีส ่ ามของประเทศ หลังจากการบูรณะปรับปรุงบึงบอระเพ็ด
กว๊านพะเยา และหนองหานเป็ นทีร่ กั ษาพืชพันธุ์สตั ว์น้าในภาคกลาง
ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉี ยงเหนือ ตามลาดับ
งานบูรณะแหล่งน้าก็ลดน้อยลง
ทาให้งานส่วนใหญ่มุง่ เน้นการเพาะพันธุ์สตั ว์น้า
การกาหนดเขตรักษาพืชพันธุ์สตั ว์น้า ฤดูกาลจับสัตว์น้า
และชนิดเครือ ่ งมือประมง เพือ ่ รักษาสัตว์น้าให้มีตลอดไป
ในช่วงทีก ่ ระทรวงเกษตราธิการเริม ่ งานบารุงรักษาสัตว์น้านัน ้
กรมรักษาสัตว์น้าได้จดั ส่งข้าราชการไปศึกษาวิชาการเพาะพันธุ์ปลาทีส ่ หรัฐอเ
มริกา ตัง้ แต่ พ.ศ. 2473 โดยมีผไู้ ด้รบ ั คัดเลือกรับทุนมหิดล 3 ท่าน ได้แก่
หลวงจุลชีพพิชชาธร นายบุญ อินทรัมพรรย์ และนายโชติ สุวตั ถิ
และท่านเหล่านี้ก็ได้นาวิชาความรูด ้ า้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดา้ นการเพา
ะเลี้ยงสัตว์น้ามาพัฒนาการประมงของประเทศ
ในเวลาต่อมาโดยอาศัยความรูท ้ างด้านวิทยาศาสตร์เข้ามาประยุกต์
เพือ ่ ผลิตลูกปลา จนประสบผลสาเร็จเป็ นครัง้ แรกในการผลิตลูกปลาไน ในปี
พ.ศ. 2486 โดยวิธีการเลียนแบบธรรมชาติ
พ.ศ. 2493
กรมประมงได้รบ ั ความช่วยเหลือจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชา
ชาติ (FAO) ได้สง่ ดร.เชา เวน ลิง (Dr. Shao Wen Ling)
ผูเ้ ชีย่ วชายการเพาะพันธุ์ปลามาช่วยพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของไทย
ซึง่ ก็ยงั ช่วยหาทุนให้นกั วิชาการประมงไทยไปอบรมหลักสูตรการเพาะเลี้ยงปล
าทีอ ่ นิ โดนีเซียและนักวิชาการไทย
ก็นาเทคนิคการเพาะพันธุ์ปลาหมอเทศของอินโดนีเซียมาผลิตลูกปลาหมอเทศ
และทาให้ปลานิลมีการเลี้ยงอย่างแพร่หลาย
พ.ศ. 2509
สามารถเพาะปลาสวายด้วยวิธีการผสมเทียมสาเร็จเป็ นครัง้ แรก
และการเพาะพันธุ์ปลาสวายด้วยวิธีการผสมเทียมครัง้ นี้เป็ นจุดเริม ่ ต้นการพัฒน
าการเพาะพันธุ์ปลาชนิดอืน ่ ๆ
ทีไ่ ม่วางไข่ในบ่อให้วางไข่ได้ในช่วงเวลาต่อมาร (ตารางที่ 1.1)
เทคนิคการเพาะเลี้ยงปลาน้าจืดจึงได้คอ ่ ย ๆ
ประยุกต์ขน ึ้ มาเพาะพันธุ์ปลาน้ากร่อย ปลาทะเลรวมทัง้ สัตว์น้าชนิดอืน
่ ๆ
ให้ประสบผลสาเร็จจนกระทั่งปัจจุบน ั เช่น
ประสบความสาเร็จในการเพาะฟักกุง้ แชบ๊วย
ซึง่ จัดว่าเป็ นกุง้ ทะเลชนิดแรกทีส ่ ามารถเพาะพันธุ์ได้ในปี พ.ศ.2514
และในช่วงต่อมาก็สามารถประสบผลสาเร็จในการเพาะฟัก
และอนุบาลกุง้ กุลาลาย กุง้ กุลาดา หอยแครง หอยนางนม หอยแมลงภู่
รวมทัง้ สัตว์น้าทีม ่ ีคณ
ุ ค่าทางเศรษฐกิจอีกหลายชนิด
ก็เนื่องมาจากการประยุกต์ใช้ความรูท ้ างด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีมาพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า

ตารางที่ 1.1 ชนิดปลาน้าจืดทีป


่ ระสบผลสาเร็จในการเพาะพันธุ์

ชนิดของป ปี ทีป
่ ระสบ วิธีการเพาะพันธุ์ ผูว้ จิ ยั
ลา ความสาเร็

ไน 2486 เลียนแบบธรรมช แผนกการทดลองและเพาะเ
าติ ลี้ยง
ดุกด้าน 2500 เลียนแบบธรรมช ปราโมทย์ วานิชการ
าติ
ตะเพียนขา 2503 เลียนแบบธรรมช อารีย์ สิทธิมงั ค์ และคณะ
ว าติ
ดุกอุย 2503 ฉี ดฮอร์โมน สนิท ทองสง่า
สวาย 2509 ฉี ดฮอร์โมน อารีย์ สิทธิมงั ค์ และคณะ
เล่ง 2509 ฉี ดฮอร์โมน มนู โพธารส และวนิช
วารีกุล
เฉา 2510 ฉี ดฮอร์โมน มนู โพธารส และคณะ
ซ่ง 2510 ฉี ดฮอร์โมน คณะประมง

ชนิดของปลา ปี ทีป
่ ระสบ วิธีการเพาะพันธุ์ ผูว้ จิ ยั
ความสาเร็จ
ทรงเครือ
่ ง 2512 ฉี ดฮอร์โมน เมฆ บุญพราหมณ์
และคณะ
ยีส
่ กเทศ 2514 ฉี ดฮอร์โมน ประสิทธิ ์ เกษสัญชัย
และวิโรจน์สุขสุชีพ
ยีส
่ ก 2517 ฉี ดฮอร์โมน ชนินทร ศรีทองสุข
และเทียนทอง
อยูเ่ วชวัฒนา
กระโห้ 2517 ฉี ดฮอร์โมน ลิขต ิ นุกูลรักษ์ และมานพ
ตัง้ ตรงไพโรจน์
เนื้ออ่อน 2520 ฉี ดฮอร์โมน กิจจา ใจเย็น และคณะ
บูท
่ ราย 2521 ฉี ดฮอร์โมน ชัยศริริ ศริรก ิ ุล และอมร
บัวผัน
กาดา 2523 ฉี ดฮอร์โมน กาพล อุดมคณานาท
และอานวย แท่นทอง
กดเหลือง 2525 ฉี ดฮอร์โมน อานวย แท่นทอง
และวสันต์ ศรีวฒ ั นะ
ตะพาก 2525 ฉี ดฮอร์โมน อานวย แท่นทอง
และวสันต์ ศรีวฒ ั นะ
บึก 2526 ฉี ดฮอร์โมน เสน่ ห์ ผลประสิทธิ ์
คางเบือน 2526 ฉี ดฮอร์โมน อานวย แท่นทอง
และคณะ
สร้อยขาว 2528 ฉี ดฮอร์โมน ครรชิต วัฒนดิลกกุล
ทีม
่ า วีรพงศ์ 2536
วิธีสอนและกิจกรร บรรยาย
ม นักศึกษาแยกกลุม ่ ค้นคว้าข้อมูลอภิปรายถึงความสาคั
ญ และประโยชน์ของการเพาะพันธุ์ปลา
21, 29
หนังสืออ้างอิง
เอกสารประกอ 1
สือ
่ การสอน

แผ่นโปร่งใส
วัสดุโสตทัศน์
เครือ
่ งฉายแผ่นโปร่งใส

งานทีม
่ อบหมาย

การถามตอบในชัน
้ เรียน
สอบกลางภาค
การวัดผล

หมายเหตุ :

You might also like