Professional Documents
Culture Documents
37 e 3 Ee 34 F 82 A 9 A 9 Abfcf
37 e 3 Ee 34 F 82 A 9 A 9 Abfcf
1. เกิดขึ้นได้ในทุกระดับของสังคม โดยหัวข้อและเนื้อหาจะไม่จํากัดขอบเขต
2. โดยสิ่งแรกที่ต้องคิดคํานึงก็คือ ในการโต้แย้งทุกครั้ง จะต้องกําหนดขอบเขตให้ชัดว่า หัวข้ออะไร และมีประเด็นที่สําคัญอะไรบ้าง
3. การโต้แย้งที่ตรงประเด็นตามหัวข้อที่กําหนด จะทําให้ลดความสับสนได้ หร ือทําให้การโต้แย้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้
4. เนื้อหาในการโต้แย้ง จะต้องคล้อยตามหัวข้อ ตัวอย่างเช่น หัวข้อคือ การเลี้ยงสัตว์ในสวนสัตว์ และเนื้อหาก็คือ เราทําผิดศีลธรรมไหม ใน
การนําสัตว์มาเลี้ยงไว้ในสวนสัตว์
5. ข้อที่ควรนึกถึงไว้เสมอคือ ผู้เป็นฝ่ายเรมิ่ จะต้องกล่าวหร ือเสนอสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงผลของการโต้แย้ง ส่วนฝ่ายค้าน ก็กล่าวถึงข้อ
บกพร่องและข้อเสีย หร ือชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีประโยชน์ หร ือมีข้อเสียเยอะ
การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
การตั้งประเด็นในการโต้แย้ง
การโต้แย้งเกีย
่ วกับนโยบายหรือข้อ
การโต้เเย้งเกีย
่ วกับข้อเท็จจริง
เสนอเพื่ อเปลีย
่ นแปลงสภาพเดิม
การโต้แย้งเกีย
่ วกับนโยบายหรือข้อ
เสนอเพื่ อเปลีย
่ นแปลงสภาพเดิม
การโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายหรือข้อเสนอ
เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพเดิม
เริม
่ ต้นขึ้นเมือ
่ มีผู้ใดผู้หนึ่งเสนอทรรศนะของตนเพื่ อให้บุคคลอืน
่ พิ จารณายอมรับ
ฝ่ายเสนอ ฝ่ายโต้แย้ง
ประเด็นที่ ๑ ประเด็นที่ ๑
ข้อเท็จจริงที่อ้างถึง มีหรือเป็นเช่นนั้น แย้งว่าเรื่องนั้นไม่มีอยู่จริง
จริงหรือไม่ อยู่ที่ไหน
ประเด็นที่ ๒
ประเด็นที่ ๒
แย้งว่าได้ตรวจสอบแล้ว แต่ไม่
การตรวจสอบสิ่ งทีอ้างถึงนั้นทําได้ ปรากฏว่ามี
หรือไม่ด้วยวิธีใด
การโต้เเย้งเกี่ยวกับคุณค่า
มักจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่ วนตัวไม่อาจจะกําหนด
ประเด็นนี้แน่นอนลงไปได้
การโต้แย้งประเภทนี้จะมีความรู้สึกส่ วนตัวแทรกอยู่
ด้วย
กระบวนการโต้แย้ง
มีอะไรบ้าง
การนิยามคําหรือกลุม
่ คําสํ าคัญทีอ
่ ยู่ในประเด็นของการโต้แย้ง
การกําหนดความหมายของคําให้ชัดเจนว่า ผู้นิยามต้องจํากัดขอบเขตความหมายของคําให้ครอบคลุมถึงเรื่องอะไรบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดการโต้แย้งที่ไปคนละทิศคนละทาง หรือเกิดการเชื่ อมโยงไปยังเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการโต้แย้ง
วิธีการนิยามแบ่งเป็น 2 วิธี
การเปรียบเทียบ การยกตัวอย่าง
การกล่าวอ้างที่มาของข้อมูล และข้อเท็จจริง
จะต้องกล่าวตามความจริงเสมอ
ห้ามกล่าวอ้างเลื่อนลอย หรือบิดเบือนความ
จริง เพราะอาจทําให้หมดความน่าเชื่ อถือ
การชี้ ให้เห็นจุดอ่อนและความผิดพลาดของทรรศนะของฝ่ายตรงกันข้าม
การโตแยงนั้นมุงใหทรรศนะของตนเองไดรับการยอมรับ โดยชี้ใหเห็นจุดเดนของทรรศนะของตนและจุดออนของทรรศนะฝายตรงขาม ซึ่ง
จุดออนของทรรศนะของบุคคลจะอยูที่
ปริมาณและความถูกต้องของข้อมูล “ข้อสรุปทรรศนะนั้นต้องอนุมาน
“นิยามดีต้องรัดกุมและแจ่มแจ้ง” ด้วยวิธน
ี ิรนัยที่สืบเนื่องมาจาก
สมมุติฐานหรือหลักทั่วไปที่เป็นที่
จุดอ่อนของนิยามที่ไม่รดั กุมหรือไม่ ยอมรับเสียก่อน”
แจ่มแจ้งก็คือ วกวน ใช้คําทีเ่ ข้าใจได้ “ทรรศนะใดก็ตามเมื่อตั้งอยู่ บนฐาน
ยาก และ มีความเป็นอคติ หรือเจตนา ข้อมูลผิดพลาด หรือข้อมูลที่มีน้อย
อันสร้าง เกินไป ทรรศนะนั้นก็จะไม่มีความ
ประโยชน์แก่ฝ่ายตนเองเท่านั้น หนักแน่นน่าเชื่อถือ”
ถ้าจับจุดอ่อนของการนิยามได้ก็ต้องชี้ ยกตัวอย่างทรรศนะที่มีจุดอ่อนใน
ให้ชัดเจนว่านิยามของผู้โต้แย้งมีจุด ความถูกต้องของข้อมูล เช่น
อ่อนอย่างไรและควรนิยามอย่างไรจึง ‘เราควรยุบสถานที่อา ่ นหนังสือประจํา
เป็นการมีเหตุผลและตรงต่อความจริง หมู่บ้านเพราะมีผู้ใช้บริการน้อยมาก’
การนิยามคําสําคัญ สมมุติฐานและวิธีการอนุมาน
ผู้ตัดสินใช้ดุลพินิจของตนโดยอาศัยความรู้
ผู้ตัดสินวางตัวเป็นกลาง มักใช้กับการโต้วาที และประสบการณ์ในการช่วยตัดสิน มี
ทรรศนะของตน
ตัวอย่าง: การตัดสินของผู้พิพากษาในคดี
ต่างๆ ตัวอย่าง: การตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง
การตัดสินเพื่อลงมติในที่ประชุม
ข้อโต้แย้งกระทําได้
ฝ่ายนํามาโต้แย้งกัน พร้อมกับพิจารณาคํา
ไม่พิจารณา โต้แย้งของทั้งสอง
นอกเหนือไปจากนั้น ฝ่ายโดยละเอียด
อย่างไร
ข้อควรสั งเกตในการโต้แย้ง
1 2 3
ประเด็นโต้เเย้งที่ไม่สร้างสรรค์มีดังนี้
1. ประเด็นโต้เเย้งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
2. ประเด็นโต้เเย้งที่ไม่มีทางโต้เเย้งกันได้
3. ประเด็นโต้เเย้งที่เป็นเรอื่ งอ่อนไหว
ขอบคุณค่ะ/ครับ