Professional Documents
Culture Documents
จัดทาโดย
นางสาวสุกานดา จงสกุลธรรม
6020500438 หมู่ 730
เสนอ
คณาจารย์โครงการจัดตั้งภาควิชาฟิสิกส์
คณะศิลปะศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาและแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนา
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาเกิดขึ้นได้อย่างไร?
F=qv x B
เมื่อ q = ประจไฟฟ้าและเวกเตอร์
F = แรงที่เกิดขึ้นกับประจุ
v = ความเร็ว
B = สนามแม่เหล็ก
กระแสไฟฟ้าในขดลวดตัวนาเกิดจากฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านขดลวดตัวนามีการเปลี่ยนแปลง เรียกการ
ทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าลักษณะนี้ว่า "การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้า" (electromagnetic induction) และเรียก
กระแสไฟฟ้าที่เกิดจากวิธินี้ว่า "กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา (induced current)
การผลิตกระแสด้วยวิธีการเหนี่ยวนา
การเคลื่อนที่ขดลวดทองแดงตัดฟลักซ์แม่เหล็ก
จากการศึกษาเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนา จะทาให้เกิดสนามแม่เหล็กหรือฟลักซ์แม่เหล็ก
รอบลวดตัวนนานั้นในทางกลับกันฟลักซ์แม่เหล็กก็น่าจะทาให้มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นบ้างซึ่งความคิดนี้ Michael
Faraday นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ค้นพบและสรุปผลว่า “ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง ฟลักซ์แม่เหล็ก ณ
บริเวณใดการเปลี่ยนฟลักซ์แม่เหล็กนี้จะเหนี่ยวนาให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นในตัวนาที่วางอยู่ในบริเวณนั้น” เรียก
ผลที่เกิดขึ้นว่า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้า ( electromagnetic induction ) และเรียกกระแสไฟฟ้าที่เกิด
จากวิธีการนี้ว่า กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาที่เกิดขึ้นบนเส้นลวดตัวนาที่เคลื่อนที่ตัดเส้นแรงแม่เหล็ก
1. อัตราเร็วของลวดตัวนา
2. ขนาดของสนามแม่เหล็ก
3. ความยาวของเส้นลวด
ในการศึกษาเรื่องกระแสเหนี่ยวนาถ้าพิจารณาขดลวดตัวนาเป็นขดลวดรูปสี่เหกลี่ยมมุมฉาก เคลื่อนที่
ตัดฟลักซ์แม่เหล็ก
รูป 2 ขดลวดตัวนาเคลื่อนที่ตัดฟลักซ์แม่เหล็ก
กฎของฟาราเดย์
มีใจความว่า “เมื่อมีฟลักซ์แม่เหล็กที่มีค่าเปลี่ยนแปลงผ่านขดลวดตัวนาจะมีแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาเกิดขึ้น
ในขดลวดตัวนนานั้น”
รูป 5 แสดงการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กผ่านขดลวดตัวนา
รูป 8 แสดงทิศของกับแรงเคลื่อนไฟฟ้าต้านกลับในมอเตอร์กระแสตรง
เราสามารถนาความรู้เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาไปอธิบายผลที่เกิดขึ้นในเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด
เช่นมอเตอร์ไฟฟ้า แบลลัสต์ในวงจรฟลูออเรสเซนต์ เป็นต้น เมื่อให้กระแสไฟฟ้าเข้ามอเตอร์ กระแสไฟฟ้านี้จะ
ทาให้เกิดโมเมนต์แรงคู่คู่ควบ ทาให้ขดลวดหมุนขณะที่มอเตอร์หมุนจะทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านขดลวดมีค่า
เปลี่ยนแปลงและเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนา ซึ่งมีทิศทางตรงข้ามกับแรงเคลื่อนไฟฟ้าเดิม จึงเป็นผลทาให้
กระแสไฟฟ้าที่ผ่านมอเตอร์ขณะหมุนด้วยอัตราเร็วคงตัวมีค่าน้อยกว่ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านมอเตอร์ขณะเริ่มหมุน
แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาในกรณีนี้เรียกว่า แรงเคลื่อนไฟฟ้าต้านกลับ
e คือ แรงเคลื่อนไฟฟ้าต้านกลับ
I คือ กระแสไฟฟ้าที่ผ่านขดลวดทั้งหมด
R คือ ความต้านทานของขดลวด
r คือ ความต้านทานภายในของแหล่งกาเนิด
จาก I =
จะได้ I =
กฎของเลนซ์
ต่อไปพิจารณากรณีที่แท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่เข้าหาห่วงโลหะ เมื่อแท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่ไปทางขวาเข้า
หาห่วง ดังรูป (a) ฟลักซ์แม่เหล็กซึ่งพุ่งผ่านลูปมีค่าเพิ่มขึ้นเทียบกับเวลา ในการหักล้างการเพิ่มขึ้นของฟลักซ์
แม่เหล็กทางด้านขวากระแสเหนี่ยวนาจะต้องสร้างฟลักซ์ที่พุ่งไปทางด้านซ้ายดังรูป (b) ดังนั้นกระแสเหนี่ยวนา
จะมีทิศทางดังแสดงในรูป นั่นคือเส้นสนามแม่เหล็กเนื่องจากกระแสเหนี่ยวนาต่อต้านการเคลื่อนที่ของแท่ง
แม่เหล็ก คล้ายกับว่าขั้วแม่เหล็กผลักกัน สรุปได้ว่า พื้นผิวทางด้านซ้ายของลูปกระแสเป็นขั้วเหนือและผิว
ด้านขวาเป็นขั้วใต้ ถ้าแท่งแม่เหล็กเคลื่อนที่ไปทางซ้ายออกห่างห่วงดังรูป (c) ฟลักซ์แม่เหล็กที่เคลื่อนที่ผ่าน
พื้นที่ปิดมีทิศไปทางขวามือลดลงเมื่อเทียบกับเวลา ขณะนั้นกระแสเหนี่ยวนาในลูปมีทิศดังรูป (d) เนื่องจากทิศ
ของกระแสแบบนี้ทาให้เกิดฟลักซ์แม่เหล็กในทิศทางเดียวกับ ฟลักซ์แม่เหล็กจากภายนอก ในกรณีนี้ ผิว
ด้านซ้ายของลูปเป็นขั้วใต้และผิวด้านขวามือของลูปเป็นขั้วเหนือ
เพื่อให้เข้าใจกฎของเลนส์ให้พิจารณาตัวอย่างที่แท่งตัวนาเคลื่อนที่ไปทางด้านขวาของรางขนานโดยมี
สนามแม่เหล็กจากภายนอกขนาดสม่าเสมอพุ่งผ่านรูป (a) แท่งตัวนาเคลื่อนที่ไปทางด้านขวาของรางตัวนาที่
ขนานกัน โดยมีสนามแม่เหล็กจากภายนอกขนาดสม่าเสมอพุ่งผ่าน ฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านพื้นที่ปิดของลูปจะ
เพิ่มขึ้นตามเวลาจากกฏของเลนส์พบว่ากระแสเหนี่ยวนาต้องมีทิศทวนเข็มนาฬิกา รูป(b)เมื่อแท่งเคลื่อนที่ไป
ทางด้านซ้ายกระแสเหนี่ยวนาจะมีทิศตามเข็มนาฬิกา กฎของเลนส์ เป็นกฎสาหรับใช้ดูทิศของแรงเคลื่อนไฟฟ้า
เหนี่ยวนา หรือกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาที่เกิดขึ้นในวงจรปิด กล่าวได้ว่า "ทิศของกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาหรือ
แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาที่เกิดขึ้นในวงจรปิดหนึ่งเมื่อฟลักซ์แม่เหล็กที่ผ่านวงจรนั้นเปลี่ยนแปลง จะมีทิศที่จะ
ทาให้มันสร้างสนามแม่เหล็กหรือฟลักซ์แม่เหล็กให้คงเดิมเสมอ" เช่น
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/slfkjfwdoifjpoergr/krasae-fifa-heniyw-na-laea-raeng-kheluxn-fifa-
heniyw-na
http://www.neutron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=
2531&Itemid=3
https://sites.google.com/site/xsfdzfcsaf/home/raeng-kheluxn-fifa-heniyw-na-ni-mxtexr-laea-
kheruxng-kaneid-fifa
http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/physics4_2_1/lesson2/more4_2_/item2_18.ph
p