Professional Documents
Culture Documents
Promise
Promise
1. ความหมายและลักษณะของคํามัน่
2. ประเภทของคํามัน่ ในระบบกฎหมายไทย
3. สถานะทางกฎหมายของคํามัน่
1 4. การมีผลของการแสดงเจตนาทําคํามัน่
3 4
5 6
การทําคํามัน่ จึงอาจเกิดขึน
้ ได้โดยทัง้ การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง ผูใ้ ห้คาํ มัน่ เป็ นผูแ้ สดงเจตนาผูกพันตนฝ่ ายเดียว ว่าจะกระทําการ
และการแสดงเจตนาโดยปริยาย หรืองดเว้นกระทําการบ่างอย่าง
นําหลักในเรื่องการแสดงเจตนามาใช้กบ
ั เรื่องคํามัน่ ด้วย เช่น เฉพาะผูใ้ ห้คาํ มัน่ เท่านัน
้ ที่มีหน้าที่หรือความผูกพัน
การมีผลของการแสดงเจตนา / ความบกพร่องของการแสดง
เจตนา / การตีความการแสดงเจตนา ฯลฯ ผูร้ บ
ั คํามัน่ ไม่มคี วามผูกพัน แต่มสี ิทธิเลือกว่าจะถือสิทธิหรือบังคับ
ให้เป็ นไปตามคํามัน่ หรือไม่
9 10
กรณีสญ
ั ญาให้ กฎหมายกําหนดว่า สัญญาให้สมบูรณ์เมือ่ มีการส่งมอบ
ทรัพย์สินที่ให้
ดังนัน
้ หาก ก. ทําสัญญาให้หนังสือ ข. สัญญาก็เกิดขึน้ และสิ้นสุดทันที ใน
คํามัน่ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ยงั ไม่เกิดขึน
้ (เกี่ยวข้องกับ เวลาที่ ก. ส่งมอบหนังสือให้ ข. สัญญาดังกล่าวจึงไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์
เหตุการณ์ในอนาคต) ในอนาคต
ต่างจากกรณี ก. ให้คาํ มัน่ ว่าจะยกหนังสือให้ ข. ซึ่งเป็ นเรื่องที่เกี่ยวกับ
ต่างจากสัญญา ในบางกรณีสญ ั ญาอาจไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เหตุการณ์ในอนาคตว่า ก. จะยกหนังสือให้ ข.
ในอนาคต แต่เป็ นเพียงการรับรองข้อเท็จจริงในอดีตว่าเกิดขึน้ จริง
หรือเป็ นเพียงการซึ่งเกิดขึน้ ทันทีในขณะในปั จจุบัน ตัวอย่าง (อดีต)
(spontaneous transaction) นาย ก. รับรองว่า ม้าตัวที่ขาย ให้ นาย ข. จนถึงขณะเวลาที่ทาํ สัญญา
สุขภาพดี ไม่เป็ นโรค
11 12
15 16
19 20
“อันว่าเช่าซื้อนัน
้ คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้ “ถ้าตามพฤติการณ์ไม่อาจจะคาดหมายได้ว่างานนัน
้ จะพึงทําให้
คํามัน่ ว่าจะขายทรัพย์สินนัน้ หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนัน้ ตกเป็ นสิทธิ เปล่าไซร้ ท่านย่อมถือเอาโดยปริยายมีคาํ มัน่ จะให้สินจ้าง”
แก่ผเู้ ช่า โดยเงือ่ นไขที่ผเู้ ช่าได้ใช้เงินเป็ นจํานวนเท่านัน้ เท่านีค้ ราว” ปั ญหาทางทฤษฎี
ลักษณะทางกฎหมายที่แท้จริงของคํามัน่ จะให้สินจ้างในมาตรา
576 ไม่ใช่ “คํามัน่ ” (Promise) ในทํานองเดียวกับคํามัน่ ว่าจะ
ซื้อหรือจะขาย / คํามัน่ ว่าจะให้ทรัพย์สิน / คํามัน่ ว่าจะให้รางวัล ซึ่ง
คํามัน่ เหล่านีเ้ ป็ นการแสดงเจตนาผูกพันตนฝ่ ายเดียวของผูใ้ ห้คาํ มัน่
21
(นิตกิ รรมฝ่ ายเดียว) 22
25 26
27 28
การแสดงเจตนาที่ไม่ตอ้ งมีผร้ ู บ
ั การแสดงเจตนา หมายถึง เมือ่ ผูแ้ สดงเจตนาได้กระทําการทัง้ ปวงในลักษณะที่วิญญูชนเข้าใจได้
การแสดงเจตนาที่กฎหมายรับรองให้มีผลได้เมื่อได้แสดงเจตนา ว่าได้แสดงเจตนาไปโดยเด็ดขาดแล้ว
สําเร็จลงแล้ว แม้ไม่มผี รู้ บั การแสดงเจตนา การแสดงเจตนาที่ไม่ตอ้ งมีผรู้ ับการแสดงเจตนาการแสดงเจตนา
ย่อมสําเร็จลง เมือ่ ผูแ้ สดงเจตนาแสดงเจตนาให้ปรากฏรับรูไ้ ด้ โดย
ไม่ตอ้ งส่งเจตนาไปยังผูใ้ ด
33 34
35 36
37 38
43 44
นิตก
ิ รรมฝ่ ายเดียวโดยเคร่งครัดเป็ นนิตกิ รรมซึ่งเกิดขึน้ โดยการแสดง มีกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้การแสดงเจตนาฝ่ ายเดียวก่อให้เกิดนิติ
เจตนาของบุคคลผูท้ าํ ฝ่ ายเดียวโดยแท้ ไม่ตอ้ งมีบคุ คลผูอ้ ื่นรับการแสดง สัมพันธ์ขนึ้ ได้ แต่เป็ นนิตสิ มั พันธ์ที่ผกู พันผูแ้ สดงเจตนาได้เฉพาะตัวผู้
เจตนานัน้ คําเสนอชนิดที่บ่งระยะเวลาให้บอกกล่าวสนองรับตาม มาตรา
354 ก็เป็ นนิตกิ รรมฝ่ ายเดียวโดยเคร่งครัดเช่นกัน เพราะถอนคําเสนอนี้ แสดงเจตนาเท่านัน้ โดยที่อีกฝ่ ายหนึง่ ไม่ตอ้ งแสดงเจตนารับเอานิติ
ก่อนระยะเวลานัน้ ไม่ได้ สัมพันธ์นนั้ เช่น คําเสนอ จะถอนไม่ได้ภายในระยะเวลาหนึง่ ตาม
ส่วนคําเสนอต่อผูอ้ ยู่ห่างโดยระยะทางนัน ้ เป็ นนิตกิ รรมฝ่ ายเดียวชนิด มาตรา 354, 355
ทัว่ ไป ซึ่งมีผลเมือ่ มีผรู้ บั การแสดงเจตนานัน้ เพราะสามารถถอนคําเสนอ
ได้หากคําถอนนัน้ ถึงก่อนหรือพร้อมกับการแสดงเจตนาหรือคําเสนอนัน้
51 52
“นิตก
ิ รรมฝ่ ายเดียวนัน้ ได้แก่นติ กิ รรมซึ่งเกิดขึน้ โดยการแสดง คําเสนอเป็ นนิตก
ิ รรม เนือ่ งจากสัญญาจะต้องมีบคุ คลสองฝ่ าย
เจตนาของบุคคลฝ่ ายเดียว เมือ่ บุคคลฝ่ ายเดียวแสดงเจตนาทํานิติ ด้วยกัน เรียกว่านิตกิ รรมสองฝ่ าย หรืออีกนัยหนึง่ ว่าต้องมีนติ ิ
กรรมก็เกิดผลเป็ นนิตกิ รรมทําทันที เช่น....คําเสนอหรือคําสนอง กรรมสองอันมาบวกกันจึงจะเรียกเป็ นสัญญา ซึ่งได้แก่การที่ฝ่าย
(มาตรา 354-361)...” หนึง่ เสนอไปและอีกฝ่ ายหนึง่ สนองรับ
53 54
คําเสนอเป็ นนิตก
ิ รรม โดยเป็ นนิตกิ รรมฝ่ ายเดียวซึ่งต้องมีผรู้ ับการ “แม้คาํ เสนอจะก่อความผูกพันก็มไิ ด้ก่อให้เกิดนิติสม
ั พันธ์ หรือก่อ
แสดงเจตนา เพราะการแสดงเจตนานัน้ จะเป็ นนิติกรรมได้จะต้อง “หนี”้ ในความหมายทางนิตนิ ยั แต่คาํ เสนออาจเป็ นนิตกิ รรมเพราะมี
กระทําต่อบุคคลหนึง่ เช่นคําเสนอหรือคําสนอง (มาตรา 354- ลักษณะของการสร้างความผูกพันประการหนึง่ ที่เรียกว่า “ความ
361) ผูกพันตามคําเสนอ” กล่าวคือความผูกพันก็จะไม่ถอนคําเสนอ
เนือ่ งจากนิตก ิ รรมคือการกระทําของบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมาย ภายในเวลาที่บ่งไว้...เวลาอันควรคาดหมายว่าอีกฝ่ ายจะสนองรับ...
และมุง่ ประสงค์จะก่อให้เกิดผลในกฎหมายผูกพันกันในการก่อ หรือในขณะนัน้ ...ซึ่งต้องแยกระหว่าง “ความผูกพันตามคําเสนอ”
เปลี่ยนแปลง โดน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ
ออกจาก “ความผูกพันทางหนี”้ ตามคําเสนอ...”
นิตก ิ รรมจึงเป็ นเหตุหนึง่ ที่ทาํ ให้สิทธิเกิดการเคลื่อนไหวตามความ
55 56
ประสงค์ของบุคคล เริ่มตัง้ แต่การก่อสิทธิไปจนกระทัง่ ถึงระงับสิทธิ
57 58
คําเสนออย่างเดียวไม่ใช่นต
ิ กิ รรม เนือ่ งจากนิตกิ รรมบางชนิด เช่น คําเสนอไม่ใช่นต
ิ กิ รรม เนือ่ งจากนิตกิ รรมบางชนิดเป็ นการแสดง
สัญญาซึ่งเป็ นนิตกิ รรมสองฝ่ าย ต้องประกอบด้วยการแสดงเจตนา เจตนาทางหนึง่ ทางเดียวและแต่ฝ่ายเดียว ก็สาํ เร็จเป็ นนิตกิ รรม
หลายฝ่ ายต่อเนือ่ งกัน เป็ นคําเสนอคําสนอง มีขอ้ ตกลงกันจึงจะ อันหนึง่ อย่างบริบรู ณ์ แต่นติ กิ รรมบางชนิดที่ตอ้ งประกอบด้วยการ
เกิดขึน้ เป็ นสัญญาขึน้ ได้ นิตกิ รรมฝ่ ายเดียว บุคคลใดแสดงเจตนา แสดงเจตนาสองฝ่ าย ซึ่งทัง้ สองฝ่ ายอาจจะแสดงเจตนาในเวลา
ใกล้เคียงหรือติดต่อกัน
ฝ่ ายเดียวออกไปก็เกิดผลเป็ นนิตกิ รรมขึน้ ทันที แต่ในบางกรณีก็มี
กฎหมายบังคับว่า จะต้องมีผรู้ บั การแสดงเจตนาฝ่ ายเดียวนัน้ ด้วย หรือฝ่ ายหนึง่ แสดงเจตนาเป็ นคําเสนอไปยังบุคคลอีกฝ่ ายหนึง่ แล้ว
เว้นระยะเวลาไว้ให้บคุ คลอีกฝ่ ายหนึง่ แสดงเจตนาเป็ นคําสนองรับ
จึงจะเกิดผลในกฎหมาย เช่น คําเสนอคําสนอง (มาตรา 354 ถึง เมือ่ รวมเจตนาทัง้ สองฝ่ ายเข้าด้วยกันโดยเจตนาถูกต้องตรงกันก็
361) 59 สําเร็จรูปเป็ นนิตกิ รรมคือเกิดเป็ นสัญญาขึน้ 60
“ควรเข้าใจว่า คําเสนอนัน
้ เป็ นเพียงการแสดงเจตนา ไม่ใช่นติ กิ รรม ในความเห็นฝ่ ายหลัง สัญญาจึงมิใช่กรณีที่นต
ิ กิ รรมฝ่ ายเดียว
เพราะการทําคําเสนอมิได้กอ่ ให้ เกิด โอนไป หรือเปลี่ยนแปลงสิทธิ จํานวนสองนิตกิ รรม มารวมกันเป็ นนิตกิ รรมสองฝ่ าย แต่หมายถึง
การเกิด โอนไป หรือ เปลี่ยนแปลงสิทธิจะเกิดขึน้ เมื่อได้รวมกับคํา สองเจตนามาทําให้เกิดนิติกรรมขึน้ หนึง่ นิตกิ รรม
สนอง เกิดเป็ นสัญญาขึน้ แล้ว ดังนัน้ คําเสนอจึงมีฐานะเป็ นแต่เพียง
การแสดงเจตนาที่เป็ นส่วนหนึง่ ของนิตกิ รรม (ในที่ นีค้ ือ สัญญา)
เท่านัน้ ”
63 64
แม้ผทู้ าํ คําเสนอจะประสงค์ตอ่ ผลทางกฎหมาย แต่ผทู้ าํ คําเสนอไม่ โดยเหตุนี้ จึงอาจอธิบายได้ว่า คํามัน่ ไม่ตอ้ งการการสนองรับ เพรา
ประสงค์ให้การแสดงเจตนาของตนเกิดผลทันที แต่ประสงค์ให้ ก่อสิทธิแก่ผรู้ บั คํามัน่ แล้ว ต่างจากคําเสนอ ซึ่งต้องการการสนอง
เกิดผลเมือ่ คําเสนอถูกสนองรับ (ไม่มง่ ุ โดยตรงต่อการผูกนิติ รับ เพราะคําเสนอในตัวเอง ไม่กอ่ ให้เกิดความเคลื่อนไหวแห่งสิทธิใด
สัมพันธ์) ๆ จนกว่าจะมีการสนองรับ
**ภาษาอังกฤษของคําว่า มุง่ โดยตรง คือ immediate
purpose ในขณะที่ผทู้ าํ คํามัน่ มุง่ โดยตรงต่อการผูกนิตสิ มั พันธ์ ซึ่งจะสอดคล้องกับทฤษฎีที่เห็นว่า คํามัน่ ในฐานะที่เป็ นนิตก ิ รรมฝ่ าย
(เจตนาของผูท้ าํ คํามัน่ จึงหนักแน่นกว่าผูท้ าํ คําเสนอ) เดียว ก่อให้เกิดหนีไ้ ด้ เมือ่ หนีเ้ กิดแล้ว จึงบังคับตามหนีไ้ ด้เลย ไม่
จําต้องสนองรับคํามัน่ อีก
65 66
67 68
คํามัน่ คําเสนอ
เป็ นนิตกิ รรม ไม่เป็ นนิตกิ รรม
พินยั กรรม และคํามัน่ ว่าจะให้ทรัพย์สิน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร จง
คํามัน่ ว่าจะซื้อ หรือคํามัน่ ว่าจะขายไม่ คําเสนอซื้อ/ขายไม่บ่งเวลา ผูกพันภายใน
อธิบายในประเด็นต่อไปนี้
กําหนดเวลา ผูกพันผูใ้ ห้คาํ มัน่ ไปตลอด ระยะเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รบั คํา
พิจารณาในแง่ความประสงค์ของผูแ้ สดงเจตนา
สนอง
ั ษณะ (nature or characteristic) หรือ
พิจารณาในแง่ลก
ก่อให้เกิดหนีใ้ นตัวเอง ไม่ตอ้ งการการ ไม่กอ่ ให้เกิดหนีใ้ นตัวเอง จนกว่าจะถูกสนอง สถานะทางกฎหมาย (legal status)
สนองรับ รับ จึงเกิดหนีส้ ญ ั ญา
พิจารณาในแง่การมีผลของการแสดงเจตนา
หากผูใ้ ห้คาํ มัน่ ตาย คํามัน่ ไม่สิ้นผล ไม่ หากผูเ้ สนอตาย คําเสนออาจสิ้นผล ตาม
พิจารณาในแง่การเป็ นผลของนิตก ิ รรม
ต้องด้วยมาตรา 360 มาตรา 360 69 70
พิจารณาในแง่แบบแห่งนิตก ิ รรม
71 72