Professional Documents
Culture Documents
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ รหัสวิชา ว30104
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
นางพัชรี คูณทอง
ตําแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญ
ชุดที่ 5 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
คำนำ
พัชรี คูณทอง
สำรบัญ
เรื่อง หน้ำ
คำนำ ก
สำรบัญ ข
คำชี้แจงเกี่ยวกับกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ ค
แผนภูมิลำดับขั้นตอนกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ ง
คำชี้แจงกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สำหรับครู จ
คำชี้แจงกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สำหรับนักเรียน ช
สาระการเรียนรู้ / มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด 1
จุดประสงค์การเรียนรู้ 1
แนวความคิดต่อเนื่อง 2
สาระสาคัญ 3
แบบทดสอบก่อนเรียน 4
บัตรเนื้อหา ชุดที่ 5 เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 7
บัตรกิจกรรมที่ 5.1 เรื่อง การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี 32
บัตรกิจกรรมที่ 5.2 ผังมโนทัศน์ เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 34
บัตรกิจกรรมที่ 5.3 ถอดบทเรียน เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 35
แบบฝึกหัด เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 36
แบบทดสอบหลังเรียน 38
กระดาษคาตอบแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 41
บรรณำนุกรม 42
ภำคผนวก 43
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.1 เรื่อง การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี 44
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.2 ผังมโนทัศน์ เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 47
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.3 ถอดบทเรียน เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี 48
เฉลยแบบฝึกหัด เรื่อง การแบ่งชั้นโครงสร้างโลก 49
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 51
ประวัติย่อผู้จัดทำ 52
คำชี้แจงเกี่ยวกับชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์
แผนภูมิลำดับขั้นตอนกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์
อ่านคาชี้แจงและคาแนะนาในการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ศึกษาตัวชี้วัดและจุดประสงค์การเรียนรู้
เสริมพื้นฐำน
ทดสอบก่อนเรียน ผู้มีพื้นฐำนต่ำ
ศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามขั้นตอน
ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากชุดกิจกรรม
ไม่ผ่ำน ทดสอบหลังเรียน
กำรทดสอบ
ผ่ำนกำรทดสอบ
ศึกษาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่องต่อไป
แผนภูมิลำดับขั้นตอนกำรเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์
ชุดที่ 5 เรื่อง กำรแปรสัณฐำนของแผ่นธรณี
คำชี้แจงกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สำหรับครู
คำชี้แจงกำรใช้ชุดกิจกรรมกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สำหรับนักเรียน
ชุดที่ 5
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้ า ใจองค์ ป ระกอบและความสั ม พั น ธ์ ข องระบบโลก กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการ
เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิศาสตร์โลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิต
และสิ่งแวดล้อม
ตัวชี้วัด
ว 3.2 ม.6/2 อธิบายหลักฐานทางธรณีวิทยาที่สนับสนุนการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีโดย
ใช้แบบจาลอง
ว 3.2 ม.6/3 ระบุสาเหตุ และอธิบายรูปแบบแนวรอยต่อของแผ่นธรณที่สัมพันธ์กับ
การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี พร้ อมยกตัวอย่างหลักฐานทางธรณี วิทยา
ที่พบ
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายสาเหตุ และกระบวนการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี และระบุผลที่เกิดจากการ
เคลื่อนที่ของแผ่นธรณีได้ (K)
2. ทดลองและอธิบายสาเหตุที่ทาให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีได้ (P)
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายและสรุป เกี่ยวกับกระบวนการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (P)
4. อธิบายรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีที่สัมพันธ์กับการเกิดธรณีสัณฐานและโครงสร้าง
ทางธรณีวิทยาแบบต่าง ๆ (K)
5. ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเกี่ยวกับการแปรสัณฐานของแผ่นธรณีในการ
ร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนและนาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน (A)
6. มีความสนใจใฝ่เรียนรู้หรืออยากรู้อยากเห็น ทางานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ยอมรับ
ความคิดเห็นของผู้อื่นได้ (A)
ลาดับความคิดต่อเนื่อง
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
ธรณี ภ าคซึ่งเป็น ชั้น นอกสุดของโครงสร้ า งโลก แบ่งออกเป็น แผ่น ธรณี (plate)
หลายแผ่น ซึ่งเคลื่อนที่ไปบนฐานธรณีภาคทา ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีอยู่ตลอดเวลา
ทฤษฎีทวีปเลื่อน คือ แนวความคิดที่กล่าวว่า ในอดีต ณ ช่วงเวลาหนึ่งทวีปต่าง ๆ
ไม่ได้มีตาแหน่ง เหมือนกับในปัจจุบัน แต่เคยอยู่รวมกันเป็นแผ่นดินใหญ่เพียงแผ่นดินเดียวที่
เรียกว่า พันเจีย (Pangaea)
หลั ก ฐานที่ ส นั บ สนุ น ว่ า ทวี ป เคยอยู่ ติ ด กั น มาก่ อ น ได้ แ ก่ รู ป ร่ า งของขอบทวี ป
ซากดึกดาบรรพ์ ความคล้ายกันของกลุ่มหินและแนวเทือกเขา หลักฐานจากรอยครูดบนหิน
ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของธารน้า แข็งบรรพกาล
ทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นสมุทร เป็นการพบหลักฐานบนพื้นสมุทรที่สนับสนุนการ
เคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ได้แ ก่ สัน เขากลางสมุทร อายุของหิน บะซอลต์บนพื้น มหาสมุทร
ภาวะแม่เหล็กบรรพกาล
นักวิทยาศาสตร์รวบรวมหลักฐานและแนวคิด จากทฤษฎีทวีปเลื่อน ทฤษฎีการแผ่
ขยายพื้นสมุทร นา มาสรุปเป็นทฤษฎีการแปรสัณฐานของแผ่นธรณี ซึ่งกล่าวถึงการเคลื่อนที่
และการเปลี่ยนลักษณะของแผ่น ธรณี อัน เนื่องมาจากวงจรการพาความร้ อนของแมกมา
ภายในเนื้อโลก
สาระสาคัญ
นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมหลักฐานแนวคิด และทฤษฎีต่าง ๆ ตั้งแต่ทฤษฎีทวีปเลื่อน ทฤษฎี
การแผ่ขยายพื้นมหาสมุทร และแนวคิดการพาวงจรความร้อน มาสรุปเป็นทฤษฎีเรียกว่า ทฤษฎีการ
แปรสัณฐานของแผ่นธรณี ซึ่งกล่าวถึงการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงลักษณะ เช่น ขนาด ตาแหน่ง
ของแผ่นธรณี โดยมีวงจรการพาความร้อนภายในโลกเป็นกลไกสาคัญในการขับเคลื่อนให้แผ่นธรณีมี
การเคลื่อนที่ในรูปแบบต่าง ๆ การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีจะส่งผลต่อการเกิดและการเปลี่ยนปลงของ
ทวีปและมหาสมุทร รวมทั้งธรณีสัณฐานและโครงสร้างทางธรณี แผ่นธรณีแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
แผ่นทวีป และแผ่นมหาสมุทร แผ่นธรณีภาคเหล่านี้มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์และ
นักธรณีวิทยาได้ศึกษารอบต่อของแผ่นธรณีภาคอย่างละเอียด และสามารถสรุปลักษณะการเคลื่อนที่
ของแผ่นธรณีภาคได้ดังนี้
1. ขอบแผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน
2. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากัน
3. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน
ที่มา : https://www.google.com/search?sxsrf=ALiCzsZ8eHAM1GG_t_
แบบทดสอบก่อนเรียน
เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ รหัสวิชา ว30104 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
4. สนามแม่เหล็กโลกโบราณใช้เป็นหลักฐานเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีอะไร
ก. การแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค
ข. การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
ค. แม่เหล็กโลกในปัจจุบัน
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
7. เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป เกิดจากแผ่นธรณีภาคใด
ก. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร
ข. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป
ค. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีใต้มหาสมุทร
ง. แผ่นธรณีภาคพื้นทวีปกับแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป
8. สาเหตุที่ทาให้เปลือกโลกเคลื่อนที่ คือข้อใด
ก. การไหลของหินหนืดในชั้นเนื้อโลก
ข. การประทุของหินแข็งในชั้นเปลือกโลก
ค. การเคลื่อนที่ของแร่ธาตุในแก่นโลกชั้นใน
ง. การแทรกตัวขึ้นมาของแร่ธาตุจากแก่นโลกชั้นนอก
9. การที่แ ผ่ น ธรณี ภ าคในแต่ ล ะส่วนมีอั ตราการเคลื่อนที่ ไ ม่เ ท่า กั น นักเรี ยนคิดว่า เกิดจาก
สาเหตุใด
ก. ความร้อนจากชั้นเนื้อโลกถ่ายเทอุณหภูมิไม่เท่ากัน
ข. ความหนาแน่นของชั้นธรณีภาคและเนื้อโลกเท่ากัน
ค. อัตราการเคลื่อนตัวของแมกมาในชั้นเนื้อโลกไม่เท่ากัน
ง. ความหนาแน่นของชั้นธรณีภาคและเนื้อโลกไม่เท่ากัน
10. สาเหตุสาคัญที่ทาให้ธารน้าแข็งเคลื่อนที่ลงสู่ที่ต่าจนทาให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลงคืออะไร
ก. แรงดึงดูดของโลก
ข. ความลาดเอียงของภูมิประเทศ
ค. ความกดดันของธารน้าแข็งด้านบน
ง. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบๆ ธารน้าแข็ง
บัตรเนื้อหา
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชุดที่ 5 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
แผ่นธรณีเคลื่อนที่ได้เนื่องจากกระบวนการพาความร้อนภายในโลกโดยกระบวนการนี้เกิด
จากความร้อนจากแก่นโลกที่ส่งผ่านเนื้อโลกตอนล่างมาถึงเนื้อโลกตอนบนเมื่อเนื้อโลกตอนบนสูญเสีย
ความร้อนบางส่วนให้กับธรณีภาคอุณหภูมิของเนื้อโลกตอนบนจึงลดต่าลงและไหลวนลงสู่ด้านล่าง
กลับมารับพลังงานความร้อนเพิ่มจากแก่นโลกอีกครั้งเกิดการเคลื่อนที่หมุนวนจนเป็นวงจรเรียกว่า
วงจรการพาความร้อน (convection cell) ดังรูป 5.2
นักวิทยาศาสตร์ได้รวบรวมหลักฐานแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ตั้งแต่ทฤษฎีทวีปเลื่อนทฤษฎี
การแผ่ขยายพื้นมหาสมุทรและแนวคิดวงจรการพาความร้อนมาสรุปเป็นทฤษฎีเรียกว่าทฤษฎีการ
แปรสัณฐานของแผ่นธรณี (plate tectonics) ซึ่งกล่าวถึงการเคลื่อนที่และการเปลี่ยนแปลงลักษณะ
เช่น ขนาดตาแหน่ งของแผ่ น ธรณีโ ดยมีว งจรการพาความร้อนภายในโลกเป็นกลไกส าคัญในการ
ขับเคลื่อนให้แผ่นธรณีมีการเคลื่อนที่ในรูปแบบต่าง ๆ การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีนอกจากจะส่งผลต่อ
การเกิดและการเปลี่ยนแปลงของทวีปและมหาสมุทรแล้วยังส่งผลต่อธรณีสัณฐานและโครงสร้างทาง
ธรณี
การแปรสั ณ ฐานแผ่ น ธรณี ภ าค เป็ น ทฤษฎี เ ชิง ธรณี วิ ท ยาที่ ถู ก พั ฒ นาขึ้ น เพื่ อ อธิ บ ายถึ ง
หลั กฐานจากการสั งเกตการเคลื่ อ นตัว ของแผ่ นเปลื อกโลกขนาดใหญ่ โดยทฤษฎี นี้ได้พั ฒ นาต่ อ
ยอดจากทฤษฎีการเลื่อนไหลของทวีปเดิมที่ถูกเสนอขึ้นมาระหว่าง พ.ศ. 2443-2493 ทฤษฎีธรณีแปร
สัณฐานนี้ได้รับการยอมรับเป็นที่แพร่หลายหลังจากการเสนอแนวคิดที่เกี่ยวกับการกระจายของพื้น
ทะเลในคริสต์ทศวรรษที่ 1960 (ช่วงต้น พ.ศ. 2500)
โครงสร้างส่วนนอกของโลกนั้นแบ่งตามคุณสมบัติของชั้นหินต่อ คลื่นไหวสะเทือนได้สองชั้น
ชั้นที่อยู่นอกสุดคือชั้นธรณีภาคชั้นดินแข็ง (lithosphere) อันประกอบด้วยเปลือกโลกและเนื้อโลก
(mantle) ชั้ น บนซึ่ ง มี อุ ณ หภู มิ ต่ าและแข็ ง เกร็ ง ชั้ น ล่ า งลงไปคื อ ชั้ น ฐานธรณี ภ าคชั้ น ดิ น อ่ อ น
(asthenosphere) ซึ่งมีสถานะเป็น ของแข็งแต่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างต่าและขาดความแข็งแรง
อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนที่ได้คล้ายของเหลวเมื่อพิจารณาในช่วงระยะเวลาเชิงธรณีวิทยา ชั้นแมนเทิล
ที่อยู่ลึกลงไปภายใต้ชั้นดินอ่อนนั้นจะมีความแข็งมากขึ้นอีกครั้ง กระนั้นความแข็งดังกล่าวไม่ได้มา
จากการเย็นลงของอุณหภูมิ แต่เนื่องมาจากความดันที่มีอยู่สูง
ธรณีภาคแบ่งเป็นแผ่นเปลือกโลกหลายแผ่นประกอบกัน ในกรณีของโลกสามารถแบ่งเป็น
แผ่นขนาดใหญ่ได้เจ็ดแผ่น และแผ่นขนาดเล็กอีกจานวนมาก แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้เคลื่อนที่สัมพันธ์
กับ แผ่ น เปลื อกโลกอื่ น ๆ ขอบของเปลื อกโลกสามารถแบ่ งได้ เป็ นสามประเภทตามลั กษณะการ
เคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกสัมพัทธ์ของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นนั้น คือ ขอบเปลือกโลกที่มีการชน
กันหรือบรรจบกัน ขอบเปลือกโลกที่มีการแยกตัวออกจากกันหรือกระจายจากกัน และขอบเขตที่มี
การแปลงสภาพ ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาต่างๆ ได้แก่ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ การก่อตัวของ
ภูเขา และการเกิดขึ้นของเหวสมุทรนั้นจะเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของขอบเขตแผ่นดิน
การเคลื่อนตัวด้านข้างของแผ่นดินนั้นมีอัตราเร็วอยู่ระหว่าง 0.66 ถึง 8.50 เซนติเมตรต่อปี
แผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่
แผ่นเปลือกโลกที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่
1. แผ่นแอฟริกา ครอบคลุมทวีปแอฟริกา เป็นแผ่นทวีป แอฟริกา เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปเอเชีย ทั้งในแง่ของพื้นที่และจานวนประชากร ด้วยพื้นที่
ประมาณ 30.2 ล้านตารางกิโลเมตร (11.7 ล้านตารางไมล์) รวมทั้งเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ข้างเคียง ทวีป
แอฟริกามีพื้นที่ประมาณร้อยละ 6 ของพื้นผิวโลกทั้งหมด และนับเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 20.4
ของพื้น ดิน ทั้ งหมด ประชากรกว่า 1,100 ล้ า นคน (พ.ศ. 2556) ในดิน แดน 61 ดิ นแดน นับ เป็ น
ร้อยละ 14.72 ของประชากรโลก
ทวีปแอฟริกาถูกล้อมรอบด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนเหนือ คลองสุเอซ และทะเล
แดง บริเวณคาบสมุทรไซนายทางตะวันออกเฉียงเหนือ มหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกเฉียงใต้
และมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตก ประกอบด้วย 54 รัฐ
3. แม่น้า
1. แม่น้าไนล์ เป็นแม่น้าสายที่ยาวที่สุดในโลก ต้นน้าคือทะเลสาบวิกตอเรีย ไหลลงทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน
2. แม่น้าคองโก เป็นแม่น้าเขตศูนย์สูตร ไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติก
3. แม่น้าไนเจอร์ อยู่ในส่วนแอฟริกาตะวันตก ต้นน้าอยู่ที่ประเทศเซียร์ราเลโอน ไหลลงสู่
อ่าวกินี
4. แม่น้าแซมเบซี อยู่ทางด้านตะวันออกของทวีปมีแอ่งน้าตก น้าค่อนข้างไหลเชี่ยว ไหล
ลงมหาสมุทรอินเดีย ที่ประเทศโมซัมบิก
แม้ว่ามีตานานเล่าขานเกี่ยวกับการมีอยู่ของดินแดนใต้ตั้งแต่ยุคโบราณ แอนตาร์กติกาถูกระบุ
ว่าเป็นดินแดนสุดท้ายบนโลกในประวัติศาสตร์ที่ถูกค้นพบ เพราะไม่มีใครเคยพบเลยจนกระทั่ง พ.ศ.
2363 นักสารวจชาวรัสเซียเฟเบียน ก็อทลีป ฟอน เบลลิ่งเชาเซนและมิคาอิล ลาซาเรฟที่อยู่บนเรือ
สลุ บ วอสตอค และเรื อ สลุ บ เมอร์ นี ย์ ได้ สั ง เกตเห็ น หิ้ ง น้ าแข็ ง ฟิ ม โบลแต่ ก็ ไ ม่ ไ ด้ ส นใจเนื่ อ งจาก
สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรต่อมนุษย์ ขาดแคลนทรัพยากรในการสารวจและความห่างไกลของพื้นที่
ต่อมาพ.ศ. 2438 ทีมสารวจชาวนอร์เวย์ได้รับการยืนยันการมาเยือนดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรก
ทวีปแอนตาร์กติกาเป็นดินแดนใต้การปกครองร่วมโดยพฤตินัยตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบสนธิสัญญาแอนตาร์กติก ที่ลงนามครั้งแรกโดย 12 ประเทศใน
พ.ศ. 2502 และตามด้วยการลงนามอีกเพิ่ม 38 ประเทศ ระบบสนธิสัญญานี้ห้ามมิให้มีการทาเหมือง
แร่ กิจกรรมทางทหาร ทดลองระเบิดนิ วเคลียร์และการกาจัดกากนิวเคลียร์ แต่จะสนับสนุนการวิจัย
ทางวิทยาศาสตร์และปกป้องชั้นโอโซนของทวีป ทาให้มีการทดลองอย่างต่อเนื่องโดนนักวิทยาศาสตร์
4,000 คนจากหลายประเทศบนทวีปนี้
ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยบังเอิญจากยุโรปไปอเมริกาของโคลัมบัสในขณะที่กาลังค้นหาเส้นทาง
ไปยังอินเดียแสดงให้เห็นความดึงดูดใจเหล่านี้ เส้นทางสายไหมกลายเป็นเส้นทางการค้าหลักของฝั่ง
ตะวันออกกับฝั่งตะวันตกในขณะที่ช่องแคบมะละกากลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สาคัญ ช่วงศตวรรษที่
20 ความแข็งแรงของประชากรเอเชียและเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก) เติบโตเป็นอย่าง
มากแต่การเติบโตของ ประชากรโดยรวมลดลงเรื่อย ๆ เอเชียเป็นแหล่งกาเนิดของศาสนาหลักบนโลก
หลายศาสนา อาทิ ศ าสนาคริ ส ต์ , ศาสนาอิ ส ลาม, ศาสนายู ด าห์ ศาสนาฮิ น ดู พ ระพุ ท ธศาสนา
ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า ศาสนาเชน ศาสนาซิกข์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์และศาสนาอื่น ๆ อีกมากมาย
เนื่องจากเอเชียมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายทางแนวคิด ภูมินามวิทยาของเอเชียมี
ตั้งแต่สมัยคลาสสิกซึ่งคาดว่าน่าจะตั้งตามลักษณะผู้คนมากกว่าลักษณะทางกายภาพ เอเชียมีความ
แตกต่างกัน อย่ างมากทั้ง ด้านภูมิภ าค กลุ่ มชาติพันธุ์ วัฒ นธรรม สภาพแวดล้ อม เศรษฐศาสตร์
ประวัติศาสตร์และระบบรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก เช่น พื้นเขตร้อน
หรื อ ทะเลทรายในตะวั น ออกกลาง ภู มิ อ ากาศแบบอบอุ่ น ทางตะวั น ออก ภู มิ อ ากาศแบบกึ่ ง
อารกติกทางตอนกลางของทวีปและภูมิอากาศแบบขั้วโลกในไซบีเรีย
ทวีปยุโรป เป็นทวีปที่ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือและส่วนมากอยู่ในซีกโลกตะวันออก ทางทิศเหนือ
ติดกับ มหาสมุทรอาร์ กติก ทางทิศใต้ติดกับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางทิศตะวันออกติดกับ ทวีป
เอเชีย ทางทิศตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นอนุทวีปทางด้านตะวันตกของทวีปยูเรเชีย
ตั้ ง แต่ ป ระมาณ 1850 การแบ่ ง ยุ โ รปกั บ เอเชี ย มั ก ยึ ด ตามสั น ปั น น้ าของเทื อ กเขายู รั ล
และเทือกเขาคอเคซัส แม่น้ ายู รั ล ทะเลแคสเปียน ทะเลดาและช่องแคบตุรกี แม้ค าว่า "ทวี ป "
จะหมายถึงภูมิศาสตร์กายภาพของผืนดินขนาดใหญ่ที่ไม่มีการแบ่งอย่างแน่นอนและชัดเจน จึงมีการ
โยกย้ายติดต่อกันในช่วงสมัยคลาสสิก ทาให้บริเวณชายแดนยุโรปกับเอเชียของยูเรเชียนั้นแสดงให้
เห็นความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ภาษา ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของตะวันออกกับตะวันตก
และแบ่งจากกันอย่างเด่นชัดกว่าการขีดเส้นแบ่งเขตแดน เส้นแบ่งเขตแดนของทวีปไม่ได้แบ่งตามเส้น
แบ่งเขตแดนทางการเมืองทาให้ตุรกี รัสเซียและคาซัคสถานเป็นประเทศข้ามทวีป
ทวีป ยุ โ รปโดยเฉพาะกรี ซโบราณเป็น แหล่ งก าเนิ ด วัฒ นธรรมตะวั นตก การล่ มสลายของ
จักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ 476 และสมัยการย้ายถิ่นช่วงต่อมา เป็นจุดจบของสมัยโบราณและ
เป็ น จุ ด เริ่ ม ต้ น ของสมั ย กลาง มนุ ษ ยนิ ย มสมั ย ฟื้ น ฟู ศิ ล ปวิ ท ยา ยุ ค แห่ ง การส ารวจ ศิ ล ปะและ
วิทยาศาสตร์ อัน เป็ น เป็ น รากฐานน าไปสู่ ส มัยใหม่ ตั้งแต่ ยุค แห่ งการส ารวจเป็นต้น มานั้นยุโ รปมี
บทบาทสาคัญระดับโลกในด้านเศรษฐกิจ ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 20 ประเทศในยุโรปมีอานาจ
ปกครองหลาย ๆ ครั้งในทวีปอเมริกา เกือบทั้งหมดของแอฟริกาและโอเชียเนียร่วมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่
ของเอเชีย
ยุ คเรื องปั ญญาหลั ง จากการปฏิวัติ ฝ รั่ง เศสและสงครามนโปเลี ยนส่ งผลให้ เกิด การปฏิรู ป
วัฒนธรรม การเมืองและเศรษฐกิจในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 การ
ปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหราชอาณาจักรช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิ จ วั ฒ นธรรมและสั ง คมเป็ น อย่ า งมากในยุ โ รปตะวั น ตกและขยายไปทั่ ว ทั้ ง โลกในเวลา
ต่อ มา สงครามโลกทั้ง 2 ครั้ งมี ส มรภู มิ ส่ ว นใหญ่ อยู่ ใ นทวีป ยุ โ รปนั้ น ทาให้ ช่ว งกลางศตวรรษที่
20 สหภาพโซเวียตและสหรัฐขึ้นมามีอานาจในขณะที่ประเทศยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่มีอานาจลดลง
[7] ระหว่างสงครามเย็นยุโรปถูกแบ่งด้วยม่านเหล็กระหว่างเนโททางตะวันตกกับกติกาสัญญาวอร์ซอ
ทวีปอเมริกาเหนือมีประชากรมนุษย์เป็นครั้งแรกในช่วงยุคน้าแข็งครั้งล่าสุดโดยเดินทางผ่าน
สะพานแผ่นดินเบริงเจียเมื่อประมาณ 40,000 ถึง 17,000 ปีก่อน ประชากรมนุษย์กลุ่มนี้รู้จักกันใน
ชื่ อ พาลี โ อ-อิ น เดี ย นซึ่ ง อยู่ ใ นช่ ว ง 10,000 ปี ก่ อ น (จุ ด เริ่ ม ต้ น ของยุ ค อาร์ เ คอิ ก หรื อ เมสโซ-
อินเดียน) คลาสสิกสเตจมีช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษ 6 ถึง 13 ศตวรรษ ยุคก่อนโคลัมเบีย น
สิ้นสุดใน ค.ศ. 1492 และเริ่มมีการอพยพและการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปในช่วงยุคแห่งการ
สารวจและช่วงต้นของยุคกลางทาให้รูปแบบวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึง
ปฏิสัมพันธ์ของการตั้งอาณานิคมของยุโรปในอเมริกาเหนือ เช่น ชาวผิวขาว ชาวพื้นเมือง ทาสชาว
แอฟริกาและกลุ่มชนรุ่นหลัง
นอกจากนี้ ยั ง มี แ ผ่ น เปลื อ กโลกที่ มี ข นาดเล็ ก กว่ า ได้ แ ก่ แผ่ น อิ น เดี ย แผ่ น อาระเบี ย
แผ่นแคริบเบียน แผ่นฮวนเดฟูกา แผ่นนาสกา แผ่นทะเลฟิลิปปินส์ และแผ่นสโกเชีย
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกนั้นมีสาเหตุมาจากการรวมตัวและแตกออกของทวีปเมื่อผ่าน
ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ รวมถึงการรวมตัวของมหาทวีปในบางครั้ง ซึ่งได้รวมทุกทวีปเข้าด้วยกัน มหาทวีป
โรดิเนีย (Rodinia) นั้นคาดว่าก่อตัวขึ้นเมื่อหนึ่งพันล้านปีที่ผ่านมา และได้ครอบคลุมผืนดินส่วนใหญ่
บนโลก จากนั้นจึงเกิดการแตกตัวไปเป็นแปดทวีปเมื่อ 600 ล้านปีที่แล้ว ทวีปทั้งแปดนี้ต่อมาเข้า
มาร่ วมตัว กันเป็น มหาทวีปอีกครั้ง โดยมีชื่อว่า แพงเจีย (Pangaea) และในที่สุ ด แพงเจีย ก็แตก
ออกไปเป็ น ทวี ป ลอเรเชี ย (Laurasia) ซึ่ ง กลายมาเป็ น ทวี ป อเมริ ก าเหนื อ และยู เ รเชี ย และทวี ป
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกนั้นมีสาเหตุมาจากการรวมตัวและแตกออกของทวีปเมื่อผ่าน
ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ รวมถึงการรวมตัวของมหาทวีปในบางครั้ง ซึ่งได้รวมทุกทวีปเข้าด้วยกัน มหาทวีป
โรดิเนีย (Rodinia) นั้นคาดว่าก่อตัวขึ้นเมื่อหนึ่งพันล้านปีที่ผ่านมา และได้ครอบคลุมผืนดินส่วนใหญ่
บนโลก จากนั้นจึงเกิดการแตกตัวไปเป็นแปดทวีปเมื่อ 600 ล้านปีที่แล้ว ทวีปทั้งแปดนี้ต่อมาเข้า
มาร่ ว มตัว กัน เป็ น มหาทวีป อีกครั้ ง โดยมีชื่อว่า แพงเจีย (Pangaea) และในที่สุ ด แพงเจีย ก็แตก
ออกไปเป็ น ทวีป ลอเรเชีย (Laurasia) ซึ่งกลายมาเป็นทวีปอเมริกาเหนือและยูเรเชีย และทวี ป
กอนด์วานา (Gondwana) ซึ่งกลายมาเป็นทวีปอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ได้กล่าวข้างต้น ดังที่เห็นกัน
อยู่ทุกวันนี้
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (plate motion) คือลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือก
โลก 2 แผ่นที่อยู่ติดกัน สามารถจาแนกได้ออกเป็น 3 รูปแบบ ตามลักษณะการเคลื่อนที่สัมพัทธ์กัน
ระหว่างแผ่นเปลือกโลกทั้งสอง ได้ดังต่อไปนี้
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแบบเคลื่อนผ่านกัน
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแบบเคลื่อนแยกจากกัน
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแบบชนเข้าหากัน
การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
สูงได้เนื่องจากบริเวณโดยรอบมีการหดตัวที่มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงแนว
ร่องหุบเขาที่เกิดขึ้นได้ นักธรณีวิทยายังคงศึกษาถึงเหตุการณ์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง เช่น สนามแม่เหล็ก
โลกโบราณ ซากดึกดาบรรพ์ต่างๆที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ทาให้ปัจจุ บันได้มีการกล่าวถึง
ทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี ที่จะมาอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ได้แก่
1. ทฤษฎีทวีปเลื่อน (Continental Drift)
2. ทฤษฎีแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ (Plate Tectonics)
ในค.ศ. 1620 ฟรานซิส เบคอน ได้ตั้งข้อสังเกต ถึงการที่สองฟากมหาสมุทรแอตแลนติก มี
ลักษณะสัณฐานวิทยาที่สอดคล้องกันต่อมา P.Placet 1668 พยายามอธิบายว่าสองฟากมหาสมุทร
แอตแลนติกน่าจะเชื่อมกันมาก่อน แต่ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลใดสนับสนุน นอกจากอาศัยลักษณะ
คล้ายคลึงสอดคล้องกันของชายฝั่งมหาสมุทรเท่านั้น จากนั้นในปี 1858 Antonio Sniderได้อาศัย
ข้อมูลชั้นหินในยุค Carboniferous ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือมาเชื่อมโยงกันซึ่งสามารถสรุปได้
ว่า ก่อนหน้านี้ทวีปทั้งหมดเคยเป็นทวีปผืนเดียวกันมาก่อน แล้วจึงค่อยๆ แยกออกจากกันในภายหลัง
ในปี 1908 Frank B. Taylor ได้อธิบายถึงของการที่มหาทวีป 2 ทวีปซึ่งเคยวางตัว อยู่ใกล้ขั้วโลก
เหนือและใต้แยกออกเป็นทวีปเล็กๆ และเคลื่อนที่มาในทิศเข้าหาเส้นศูนย์สูตร นั่นคือมหาทวีปลอเร
เซีย (Laurasia) ซึ่งอยู่ทางเหนือและมหาทวีปกอนด์วานา (Gondwanaland) ซึ่งอยู่ทางใต้ โดยเป็น
การเคลื่อนที่ของเปลือกโลกไซอัลเท่านั้น ต่อมาในปี 1910 Alfred Wegene ได้สร้างแผนที่มหาทวีป
ใหม่ โดยอาศัยรูปร่างแผนที่ของ Snider และตั้งชื่อว่ามหาทวีปพันเจีย ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทร
พัน ธาลาสซา (Panthalassa) แล้ ว เกิ ดการแยกออกและเคลื่ อ นที่ไ ปอยู่ ณ ตาแหน่ งที่ เห็ นอยู่ใ น
ปัจ จุบั น โดยขณะเคลื่ อนที่ก็เกิดเทือกเขาขึ้น ต่อมา Taylor ได้อธิบายว่ารอยชิ้นทวีปที่ขาดหล่ น
ปรากฏเป็นเกาะแก่ง หรือรอยฉีกที่พบเป็นร่องลึกยังปรากฏอยู่บนพื้นมหาสมุทร
เคลื่อนที่แยกออกจากกัน
เมื่อ แผ่ น เปลื อ กโลกเคลื่ อนที่แ ยกออกจากกัน ที่ บริ เวณแนวแผ่ นเปลื อกโลกแยกตั ว
(Divergent Boundaries) หิ น หนื ด ร้ อ น (Hot Magma) จากชั้ น แมนเทิ ล จะแทรกตั ว ขึ้ น มาตาม
ช่องว่างตามแนวรอยแตก เมื่อหินหนืดเย็นตัวก็จะกลายเป็นแผ่นเปลือกโลกใหม่ การแทรกตัวขึ้นมา
ของหิน หนื ดจะทาให้แนวแยกตัวนั้ นสู งขึ้นกลายเป็นแนวเทือกเขากลางมหาสมุทร (Mid-Ocean
Ridges) แสดงถึงขอบของแผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทร เปลือกโลกใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องมี
อัตราเร็วในการเกิดประมาณ 20 ลูกบาศก์กิโลเมตรต่อปี
แนวเทือกเขากลางสมุทร
มีลักษณะเป็นแนวเทือกเขาเตี้ยวางตัวทอดยาวไปบนพื้นมหาสมุทรคล้ายกับเทือกเขาบน
ทวีป เทือกเขากลางสมุทรที่สาคัญได้แก่ Mid-Atlantic Ridge และ East Pacific Rise เป็นต้น กลาง
เทือกเขามีลักษณะพิเศษคือมีร่องลึกอันเกิดจากรอยเลื่อนทอดตัวตลอดความยาวของเทือกเขา โดยมี
ลั ก ษณะคล้ า ยคลึ ง กั บ ร่ อ งหุ บ เขาที่ ป รากฏอยู่ บ นแผ่ น ดิ น หลายแห่ ง เช่ น ร่ อ งหุ บ เขาทางด้ า น
ตะวันออกของทวีปแอฟริกา หรือร่องหุบเขาบริเวณแม่น้าไรน์ในยุโรป เป็นต้น บนเทือกเขากลาง
สมุทรมีการยกตัวขึ้นมาของหินหลอมละลายที่ลึกลงไปในชั้นเนื้อโลกทาให้เกิดเป็นหินอัคนีพุจาพวก
Basalt และ Ultramafic หินอัคนีพุเหล่านี้แสดงหลักฐานเป็นแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้น
ขณะที่หินหลอมละลายกาลังเย็นตัว แถบบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่าสนามแม่เหล็กโลกได้เกิดการกลับขั้ว
ไปมาตลอดเวลา นอกจากนี้ยังพบว่าแถบบันทึกสนามแม่เหล็กโลกนี้ปรากฏอยู่บนหินที่ประกอบเป็น
พื้นมหาสมุทรทั้งสองฟากของเทือกเขากลางสมุทรด้วย และพบว่ายิ่งห่างออกไปจากแนวกลางของ
เทือกเขาชุดหินจะมีอายุแก่ขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าหินเหล่านี้ เกิดขึ้นก่อนที่กลางเทือกเขา
แล้ ว ค่อยเคลื่ อนที่ออกจากกัน เรื่อย ๆ ตามกาลเวลา จากการคานวณการเคลื่อนที่ทาให้ กาหนด
ความเร็วของการแยกตัวได้ว่าอยู่ระหว่าง 1 ถึง 15 เซนติเมตรต่อปี ดังนั้นเราสามารถระบุขอบของ
แผ่นเปลือกโลกในส่วนที่กาลังแยกตัวออกจากกันจากบริเวณเทือกเขากลางสมุทรได้
เคลื่อนที่เข้าชนกัน
เมื่อแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรใหม่มีการเย็นตัวเป็นเวลากว่าสิบล้านปี ความหนาแน่นก็จะ
ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนมีความหนาแน่นมากกว่าชั้นหินหนืดที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นจึงมุดตัวลงไปใต้โลก
เรียกว่า Subduction การมุดตัวนี้จะเกิดขึ้นในบริเวณแนวแผ่นเปลือกโลกลู่เข้าหากัน (Convergent
Plate Boundaries) ซึ่งแผ่นเปลือกโลกทั้งสองแผ่นมีการเคลื่อนที่เข้าชนกัน แผ่นเปลือกโลกมหา
สมุทรที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะเข้าชนและมุดตัวใต้แผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปที่ความหนาแน่น
น้อยกว่า เมื่อแผ่นเปลือกโลกมุดตัวลงไปในโลก จะเกิดการบีบอัดและหลอมเป็นบางส่วน (Partially
Melting) เนื่องจากอุณหภูมิและความดันที่สูงขึ้น ทาให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟ ขึ้นเหนือบริเวณ
ที่มีการมุดตัว โดยการเคลื่อนที่แบบ Convergence จะทาให้เกิดลักษณะธรณีสัณฐาน 3 แบบ ได้แก่
1. การสร้างเทือกเขา
แรงดันจากการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรทาให้แผ่นเปลือกภาคพื้นทวีปที่มี
ความหนาแน่นน้อยกว่าที่เคลื่อนที่ต้านแรงดังกล่าวเกิดการโก่งตัวเกิดเป็นแนวเทือกเขาขนาดใหญ่
(Mountain Ranges) เช่น เทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาร๊อกกี้
2. ร่องลึกมหาสมุทรและหมู่เกาะ
เมื่อแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรสองแผ่นเคลื่อนที่ชนกันและการมุดตัว บริเวณที่มีการมุด
ตั ว จะเกิ ด ร่ อ งลึ ก มหาสมุ ท ร (Oceanic Trenches) และแนวหมู่ เ กาะภู เ ขาไฟ (Volcanic Island
Chains)
3. ร่องลึกก้นสมุทร
ร่องลึกนี้ถูกพบที่ใต้มหาสมุทรใกล้ขอบของทวีป และมักพบว่ามีแนวเกาะภูเขาไฟรูปโค้ง
อยู่ ด้ านอยู่ ใกล้ ขอบทวี ป หิ น ภู เขาไฟที่ เกิด ขึ้น ตามแนวเกาะภูเ ขาไฟนี้ เป็น จาพวกหิ น Andesite
ซึ่งแตกต่างไปจากหินอัคนีที่เกิดบริเวณเทือกเขากลางสมุทรที่ส่วนใหญ่เป็นหิน Basalt นอกจากนั้น
บริเวณนี้ยังพบว่าเป็นบริเวณที่มีความร้อนสูงและมีการเกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง พบว่าตาแหน่ง
จุดกาเนิดแผ่นดินไหว มีลักษณะเอียงเทลงไปจากแนวร่องลึกลงไปถึงชั้นฐานธรณีภาค ที่ประมาณ
ความลึ ก ถึ ง 700 กิ โ ลเมตร เรี ย กแนวแผ่ น ดิ น ไหวเอี ย งเทนี้ ว่ า เขตเบนนิ อ อฟ (Benioff Zones)
จากการศึกษากลไกการเกิดแผ่นดินไหวที่พบในที่ลึกพบว่ามีแผ่นดินไหวจานวนหนึ่งน่าจะเกิดจาก
รอยเลื่อนที่มีลักษณะสอดคล้องกับการเอียงของ Benioff Zone โดยแสดงเป็นลักษณะของรอยเลื่อน
ย้อน ดังนั้นจึงเกิดเป็นสมมติฐานว่าบริเวณนี้แผ่นเปลือกโลกกาลังมุด ตัวเอียงลง และถูกกลืนหายไป
ในชั้นฐานธรณีภาค ขณะเดียวกันแนวเกาะภูเขาไฟและเขตความร้อนพิภพสูงก็อธิบายว่าได้เกิดการ
หลอมตัวของแผ่นเปลือกโลกในที่ลึกจนกลายเป็นมวลหินหลอมเหลว ซึ่งมวลหินหลอมเหลวค่อยๆ
หาทางเคลื่อนที่ขึ้นข้างบนมาเย็นตัวเป็นมวลหินอัคนีทั้งหินอัคนีพุและหินอัคนีแทรกดัน นอกจากนี้ใน
บริเวณใกล้เคียงที่ขอบของแผ่นเปลือกโลกด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านน่าจะเกิดการเข้าชนกันทา
ให้เกิดการคดโค้งโก่งงอพร้อมกับรอยเลื่อนย้อนมากมายจนทาให้วัสดุถูกยกตัวขึ้นเป็นแนวแคบยาว
ขนานไปตามแนวชนกันของขอบแผ่นเปลือกโลกนั่นคือการเกิดเป็นแนวเทือกเขานั่นเอง
เคลื่อนผ่าน
แผ่ น เปลื อ กโลกมี ก ารเคลื่ อ นที่ ผ่ า นซึ่ ง กั น และกั น ในบริ เ วณแนวรอยเลื่ อ นแปรสภาพ
(Transform Boundaries) มักพบในแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร ซึ่งเป็นสาเหตุทาให้แนวเทือกเขา
กลางมหาสมุทรเลื่อนเหลื่อมออกจากกัน บางบริเวณก็พบว่าตัดผ่านแผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปด้วย
ในมหาสมุทรแนวดังกล่าวนี้มักจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวกาลังไม่มากอยู่เป็นประจา ส่วนในภาคพื้น
ทวีปแนวดังกล่าวมักถูกจากัดทาให้เกิดการสะสมพลังงานและก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในเวลา
ต่อมาเมื่อเกิดการเลื่อนอย่างฉับพลัน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายได้ ดังเช่น รอยเลื่อนซานแอนเดียส
รอยเลื่อนระนาบด้านข้าง
เป็ น ลั ก ษณะของรอยเลื่ อ นแนวระดับ (Strike-Slip Fault) ซึ่งพบตั ดแนวเทือ กเขากลาง
สมุทรและทาให้แนวเทือกเขาเหลื่อมกันและจากข้อมูลแผ่ นดินไหวพบว่า แนวรอยเลื่อนนี้อยู่ลึ ก
ประมาณ 300 กิโ ลเมตร รอยเลื่ อ นชนิด นี้ยั ง ไม่ ทราบถึ งสาเหตุ ข องการเกิ ด แต่ ส ามารถใช้ร ะบุ
ขอบเขตของแผ่นโลกที่เกิดได้รวมทั้งบอกถึงการเคลื่อนตัวเฉียดผ่านกันของแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ชิด
กันด้วย
บัตรกิจกรรมที่ 5.1
ถอดบทเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี
จุดประสงค์กิจกรรม
อธิบายสาเหตุที่ทาให้แผ่นธรณีเคลื่อนที่โดยใช้แบบจาลอง
วัสดุ-อุปกรณ์
1. น้ามันพืช 1 ลิตร
2. แผ่นวัสดุเบา ลอยบนน้ามันได้ และทนความร้อน เช่น แผ่นโฟมบาง ไม้บัลซา
ขนาด กว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 8 เซนติเมตร จานวน 2 แผ่น
3. บีกเกอร์ขนาด 2,000 มิลลิลิตร จานวน 1 ใบ
4. ผงวัสดุที่แขวนลอยอยู่ได้ในน้ามัน เช่น ผงพริกป่น ขี้เลื่อย
5. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชุด
6. แท่งแก้วคนสาร 1 แท่ง
วิธีการทากิจกรรม
1. เทน้ามันพืชลงในบีกเกอร์ และน้าบีกเกอร์ตั้งบนชุดตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ใส่ผงวัสดุลงตรงกลางบีกเกอร์ใช้แท่งแก้วกดให้ผงวัสดุแขวนลอยอยู่ในชั้นน้ามันพืช
3. วางแผ่นโฟมที่ตัดเป็นรูปร่างของแผ่นธรณี 2 แผ่น โดยวางให้ชิดกันและ อยู่ตรงกลางของ
บีกเกอร์
4. สังเกตการเคลื่อนที่ของผงวัสดุและแผ่นโฟมก่อนจุดไฟ
5. จุดไฟที่ตะเกียงแอลกอฮอล์ 6. สังเกตการเคลื่อนที่ของผงวัสดุ และแผ่นโฟม และบันทึก
ผลการสังเกต โดยวาดภาพ และเขียนบรรยาย
ผลการทากิจกรรม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
คาถามท้ายกิจกรรม
1. เมื่อให้ความร้อนกับ น้ามัน น้ามันและแผ่นโฟมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร สังเกตได้จาก
สิ่งใด
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. น าน้ ามั น มัน พืช แผ่ น โฟม และความร้อนที่ใ ห้ ในกิจ กรรมเปรีย บเทียบได้ กับอะไรใน
ธรรมชาติ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. กิจกรรมนี้เปรียบกับการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีได้อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
บัตรกิจกรรมที่ 5.2
แผนผังมโนทัศน์ เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
บัตรกิจกรรมที่ 5.3
ถอดบทเรียน เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
แบบฝึกหัด
เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
1. แผ่นทวีปใดที่ดูเหมือนว่าเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันมาก่อน เพราะเหตุใด
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จากภาพในหนังสือเรียนหน้า 60 จงอธิบายเกี่ยวกับเปลือกใต้มหาสมุทรตามความเข้าใจ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบทดสอบหลังเรียน
เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
รายวิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ รหัสวิชา ว30104 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
4. เทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป เกิดจากแผ่นธรณีภาคใด
ก. แผ่นธรณีภาคพื้นทวีปกับแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป
ข. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีใต้มหาสมุทร
ค. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีภาคพื้นทวีป
ง. แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรกับแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร
5. สนามแม่เหล็กโลกโบราณใช้เป็นหลักฐานเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีอะไร
ก. การแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค
ข. การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
ค. แม่เหล็กโลกในปัจจุบัน
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
7. สาเหตุที่ทาให้เปลือกโลกเคลื่อนที่ คือข้อใด
ก. การไหลของหินหนืดในชั้นเนื้อโลก
ข. การประทุของหินแข็งในชั้นเปลือกโลก
ค. การเคลื่อนที่ของแร่ธาตุในแก่นโลกชั้นใน
ง. การแทรกตัวขึ้นมาของแร่ธาตุจากแก่นโลกชั้นนอก
9. การที่แ ผ่ น ธรณี ภ าคในแต่ ล ะส่วนมีอั ตราการเคลื่อนที่ ไ ม่เ ท่า กั น นักเรี ยนคิดว่า เกิดจาก
สาเหตุใด
ก. ความร้อนจากชั้นเนื้อโลกถ่ายเทอุณหภูมิไม่เท่ากัน
ข. ความหนาแน่นของชั้นธรณีภาคและเนื้อโลกเท่ากัน
ค. อัตราการเคลื่อนตัวของแมกมาในชั้นเนื้อโลกไม่เท่ากัน
ง. ความหนาแน่นของชั้นธรณีภาคและเนื้อโลกไม่เท่ากัน
10. สาเหตุสาคัญที่ทาให้ธารน้าแข็งเคลื่อนที่ลงสู่ที่ต่าจนทาให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลงคืออะไร
ก. แรงดึงดูดของโลก
ข. ความลาดเอียงของภูมิประเทศ
ค. ความกดดันของธารน้าแข็งด้านบน
ง. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบๆ ธารน้าแข็ง
กระดาษคาตอบ
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
ชุดที่ 5 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน
ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง
1 1
2 2
3 3
4 4
5 5
6 6
7 7
8 8
9 9
10 10
บรรณานุกรม
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.1
ถอดบทเรียน เรื่อง การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี
จุดประสงค์กิจกรรม
อธิบายสาเหตุที่ทาให้แผ่นธรณีเคลื่อนที่โดยใช้แบบจาลอง
วัสดุ-อุปกรณ์
1. น้ามันพืช 1 ลิตร
2. แผ่นวัสดุเบา ลอยบนน้ามันได้ และทนความร้อน เช่น แผ่นโฟมบาง ไม้บัลซา
ขนาด กว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 8 เซนติเมตร จานวน 2 แผ่น
3. บีกเกอร์ขนาด 2,000 มิลลิลิตร จานวน 1 ใบ
4. ผงวัสดุที่แขวนลอยอยู่ได้ในน้ามัน เช่น ผงพริกป่น ขี้เลื่อย
5. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชุด
6. แท่งแก้วคนสาร 1 แท่ง
การเตรียมตัวล่วงหน้า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
1. ตัดแผ่นวัสดุเบาจานวน 2 แผ่น ตามขนาดที่กาหนด โดยอาจตัดเป็นรูปร่างทวีปต่าง ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ข้อเสนอแนะสาหรับครู
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
1. หากไม่มีบีกเกอร์ขนาดใหญ่สามารถใช้ชามแก้วทนไฟสาหรับทาอาหารแทนได้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
2. ควรก าชั บ ให้ นั ก เรี ย นระมั ด ระวั ง ในการจุ ด ไฟ ไม่ สั ม ผั ส หรื อ เข้ า ใกล้ แ หล่ ง ก าเนิ ด
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ความร้อน และภาชนะที่ยังมีความร้อนอยู่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
3. เพื่อประหยัดทรัพยากรอาจทดลองโดยใช้ชุดสาธิตเพียง 1-2 ชุด และให้นักเรียน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
แต่ละ กลุ่มผลัดกันออกมาสังเกตผล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
4. ครูอภิปรายร่วมกับนักเรียนเกี่ยวกับเหตุผลในการใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น การใช้ น้ามันพืช
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ซึ่ง เป็ น ของเหลวแทนเนื้ อ โลกที่ เป็ น ของแข็ง ที่ มีส ภาพพลาสติ กเนื่ องจากเมื่ อ น้ ามัน พื ช ได้ รั บ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ความร้อนจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วและอันตรายน้อยกว่าการใช้พาราฟิน แผ่นวัสดุ เบาแทนแผ่นธรณี
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
และตะเกียงแอลกอฮอล์แทนแหล่งกาเนิดความร้อนภายในโลก
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
วิธีการทากิจกรรม
1. เทน้ามันพืชลงในบีกเกอร์ และน้าบีกเกอร์ตั้งบนชุดตะเกียงแอลกอฮอล์
2. ใส่ผงวัสดุลงตรงกลางบีกเกอร์ใช้แท่งแก้วกดให้ผงวัสดุแขวนลอยอยู่ในชั้นน้ามันพืช
3. วางแผ่นโฟมที่ตัดเป็นรูปร่างของแผ่นธรณี 2 แผ่น โดยวางให้ชิดกันและ อยู่ตรงกลางของ
บีกเกอร์
4. สังเกตการเคลื่อนที่ของผงวัสดุและแผ่นโฟมก่อนจุดไฟ
5. จุดไฟที่ตะเกียงแอลกอฮอล์ 6. สังเกตการเคลื่อนที่ของผงวัสดุและแผ่นโฟม และบันทึก
ผลการสังเกต โดยวาดภาพ และเขียนบรรยาย
ผลการทากิจกรรม
สรุปผลการทากิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
จากกิจกรรมเมื่อ น้ามันได้รับความร้อน น้ามันด้านล่างที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจะเกิดการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ขยายตัวทาให้ความหนาแน่นลดลงจึงเคลื่อนที่ขึ้นสู่ด้านบน เมื่อเคลื่อนที่ใกล้ผิวหน้าของน้ามัน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
จะถ่ายโอนความร้อนให้กับอากาศทาให้มีอุณหภูมิต่าลงและมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นจึงจมลง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
สู่ด้านล่ าง และเมื่อได้รับ ความร้อนอีกครั้งก็จะเคลื่อนที่เช่นเดิมหมุนวนเป็นวงจร ซึ่งสังเกต
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
การเคลื่ อนที่ได้จ ากการเคลื่ อนที่ของผงวัส ดุ ลั กษณะการถ่ายเทความร้อนดังกล่ าวเรียกว่ า
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
การพาความร้อน และผลจากการเคลื่อนที่ของน้ามันทาให้แผ่นโฟมที่วางอยู่ด้านบนเคลื่อนที่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
ตามกระแสของน้ ามั น ที่อ ยู่ ด้า นล่ า ง เช่น เดีย วกับ การเคลื่ อนที่ของแผ่ นธรณีที่ ว างตัว อยู่บ น
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
เนื้อโลก
…………………………………………………………………………………………………………………………………………....
คาถามท้ายกิจกรรม
1. เมื่อให้ ค วามร้ อ นกับ น้ ามั น น้ามั นและแผ่ นโฟมมี การเปลี่ ยนแปลงอย่างไร สั ง เกตได้
จากสิ่งใด
แนวคาตอบ
น้ามันมีการเคลื่อนที่จากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบนและจมกลับลงมาด้านล่างหมุนวนเป็นวงจร
สังเกตได้จากวัสดุที่ลอยอยู่ในน้ามัน ส่วนแผ่นโฟมจะมีการเคลื่อนที่ แยกออกจากกัน
2. น าน้ ามั น มัน พืช แผ่ น โฟม และความร้อนที่ใ ห้ ในกิจ กรรมเปรีย บเทียบได้ กับอะไรใน
ธรรมชาติ
แนวคาตอบ
น้ามันพืชเทียบได้กับเนื้อโลก แผ่นโฟมเทียบได้กับแผ่นธรณี ความร้อนจากตะเกียง
แอลกอฮอล์เทียบกับความร้อนจากภายในโลก
3. กิจกรรมนี้เปรียบกับการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีได้อย่างไร
แนวคาตอบ
แผ่นโฟมด้านบนเคลื่อนที่ออกจากกันเนื่องจากการหมุนวนของน้ามันด้านล่าง
เช่นเดียวกับแผ่นธรณีที่เคลื่อนที่ได้เนื่องจากการหมุนวนของเนื้อโลกที่เกิดจากการพาความร้อน
เช่นเดียวกับแบบจาลอง
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.2
แผนผังมโนทัศน์ เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของครูผู้สอน
เฉลยบัตรกิจกรรมที่ 5.3
ถอดบทเรียน เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของครูผู้สอน
เฉลยแบบฝึกหัด
เรื่อง การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
1. แผ่นทวีปใดที่ดูเหมือนว่าเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันมาก่อน เพราะเหตุใด
แนวคาตอบ
ทวีปอเมริกาใต้กับทวีปแอฟริกาเคยเป็นแผ่นดินเดียวกันมาก่อน เพราะมีลักษณะรูปร่าง
ของแผ่นดินที่ต่อกันได้สนิท และมีหลักฐานจากซากดึกดาบรรพ์รวมทั้งหินบนภูเขาที่อยู่ในแต่ละ
ทวีปมีลักษณะและอายุการกาเนิดเหมือนกัน
4. จากภาพในหนังสือเรียนหน้า 60 จงอธิบายเกี่ยวกับเปลือกใต้มหาสมุทรตามความเข้าใจ
แนวคาตอบ
เปลือกโลกใต้มหาสมุทรเป็นเปลือกโลกส่วนที่ถูกปกคลุมด้วยน้า วางตัวอยู่ตอนบนของ
ชั้นเนื้อโลกส่วนมากประกอบด้วยธาตุซิลิกาและแมกนีเซียมบางครั้งเรียกว่า ชั้นไซมา
มีความหนาแน่นมากกว่าเปลือกโลกภาคพื้นทวีป เพราะท้องมหาสมุทรมีการสะสมพอกพูนพื้นที่
อยู่เสมอจากลาวาที่ไหลขึ้นมาตามรอยแตกของเปลือกโลกใต้มหาสมุทร จนในที่สุดเกิดเป็นร่อง
กลางมหาสมุทร
6. นักเรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
แนวคาตอบ
1) ทฤษฎีการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาค อธิบายการเกิดภูเขาไฟและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น
บนโลก การเกิดภูเขา แผ่นดินและมหาสมุทร
2) อธิบายถึงวิวัฒนาการและความสัมพันธ์ของพื้นที่ต่างๆบนโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่
ตลอดเวลาจุดประกายให้เห็นถึงความเป็นพลวัตรของโลก
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
ชุดที่ 5 การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน
ข้อ ก ข ค ง ข้อ ก ข ค ง
1 1
2 2
3 3
4 4
5 5
6 6
7 7
8 8
9 9
10 10
ประวัติย่อผู้จัดทา
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. 2535 ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหินสูง ตาบลช่องเม็ก อาเภอสิรินธร
จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. 2538 มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเบ็ตตี้ดูเมน 2 ช่องเม็ก ตาบลช่องเม็ก
อาเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. 2541 มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสิรินธรวิทยานุสรณ์ อาเภอสิรินธร
จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. 2545 ปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต (ค.บ.) สาขาวิชาฟิสิกส์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
พ.ศ. 2556 ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (ศษ.ม.) สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
มหาวิทยาลัยราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี