Professional Documents
Culture Documents
ฎีกา สหัส ทรัพย์สิน
ฎีกา สหัส ทรัพย์สิน
กฎหมายลักษณะครอบครัว
รศ.ดร.มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล
คําพิพากษาฎีกาที+ -.-/0102
สามีตามบรรพ * เดิม มีสทิ ธิจัดการและฟ้ องคดีเพื<อประโยชน์แก่
ที<พิพาทซึ<งเป็ นสินบริคณห์ตามบรรพ * เดิม มาตรา IJKL, IJKN จึง
ฟ้ องขับไล่ ผ้ ูอาศัยที<ดินนัTนได้ โดยลําพัง ไม่ ต้องมีหนังสือยินยอมของ
ภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 311/0102
บิดายกที<พิ พ าทให้ โจทก์จําเลยใช้ เป็ นที<อยู่ อาศัยและทํากินเมื<อ
แต่ งงานกัน ก่ อนจดทะเบียนสมรส ก่ อนใช้ บ รรพ * ที<แ ก้ ไขใหม่ ที<
พิพาทจึงตกเป็ นของโจทก์จาํ เลยคนละครึ<ง ครัTงโจทก์จาํ เลยจดทะเบียน
สมรสก็ก ลายเป็ นสิ น เดิ ม ของแต่ ล ะฝ่ าย และเป็ นสิ น ส่ ว นตั ว ตาม
พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ * แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ท<ไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ]*IN
คําพิพากษาฎีกาที+ 0--3/0102
ทรัพย์พิพาทเป็ นมรดกของบ.ตกได้ แก่โจทก์และจําเลยที@ B เป็ นทรัพย์สนิ
ที@จาํ เลยที@ B ได้ มาระหว่ างสมรสจึงเป็ นสินสมรส จําเลยที@ G ในฐานะสามีของ
จําเลยที@ B มีอาํ นาจจัดการสินบริคณห์ ฟ้ องคดีนM ีเกี@ยวกับการสงวน บํารุงรักษา
หรือการใดๆ เพื@อประโยชน์แก่สินบริคณห์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ มาตรา GTUU, GTUW และ GTUX เดิม แม้ ภายหลังจะมีพระราชบัญญัติ
ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ [ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ท@ไี ด้ ตรวจชําระ
ใหม่ พ.ศ. B[GX ใช้ บังคับแล้ ว ก็หาทําให้ สิทธิของจําเลยที@ G ซึ@งมีอยู่ก่อนนัMน
ต้ องเสียไปไม่ จําเลยที@ G ยังคงมีอาํ นาจที@จะจัดการทรัพย์พิพาทได้ ต่อไปตาม
มาตรา ` แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีอาํ นาจที@จะใช้ สทิ ธิของจําเลยที@ B ซึ@ง
เป็ นทายาท ยกอายุความหนึ@งปี ขึMนเป็ นข้ อต่อสู้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา GT[[
คําพิพากษาฎีกาที+ 024/0101
พระราชบัญ ญั ติใ ห้ ใ ช้ บทบัญ ญั ติบรรพ 0 แห่ งประมวลกฎหมาย
แพ่ ง และพาณิ ช ย์ ที> ไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ พ.ศ. E0FG มาตรา H เป็ น
บทบัญญัติแก้ ไขข้ อขัดข้ องในระยะเริ>มแรกที>ประกาศใช้ บทบัญญัติบรรพ
0 ที>ตรวจชําระใหม่ โดยให้ คู่สมรสที>มีอาํ นาจจัดการสินบริคณห์อยู่แล้ ว
ตามบรรพ 0 เดิม คงมีอาํ นาจจัดการต่อไป จึงไม่เป็ นการขัดต่อหลักการ
ชายหญิงมีสทิ ธิเท่าเทียมกันตามบทบัญญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญ
บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่มาตรา FUHH บัญญัติว่าอํานาจจัดการ
สิน สมรสรวมถึ ง อํา นาจจํา หน่ า ยด้ ว ย ดั ง นัW น ที>พ ระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใ ช้
บทบัญญัติบรรพ 0 ฯ มาตรา H ใช้ คาํ ว่า อํานาจจัดการ จึงหมายรวมถึง
อํานาจการจําหน่ ายด้ วยเช่ นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้ บังคับแห่ งบทบัญญัติ
ในมาตรา FUHF เดิม
คําพิพากษาฎีกาที+ 024/0101 (ต่อ)
โจทก์จาํ เลยเป็ นสามีภริ ยากันก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ ทีEดินและสิEงปลูกสร้ างราย
พิพาทเป็ นสินสมรสทีEจาํ เลยได้ รับมรดกจากบิดา เมืEอไม่ มีสัญญา
ก่อนสมรสกําหนดไว้ เป็ นอย่างอืEนเมืEอใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่แล้ ว จําเลยก็มีอาํ นาจจําหน่าย
ได้ โดยไม่ต้องรับความยินยอมจากโจทก์ซEึงเป็ นภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ --.0/0103
ตามบทบัญญัติแห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์บรรพ
D เดิม สามีเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสทิ ธิฟ้องคดีเกีEยวกับการ
สงวนบํารุงรักษาหรือการใดๆ เพืEอประโยชน์แก่สนิ บริคณห์ โจทก์
สมรสกับภริยาก่อนใช้ บทบัญญัติบรรพ D แห่ งประมวลกฎหมาย
แพ่ ง และพาณิ ช ย์ ทEีไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ จึ ง มี อ ํา นาจฟ้ องเรี ย กค่ า
สินไหมทดแทนในมูลละเมิด เพืEอความเสียหายทีEเกิดแก่ทรัพย์สนิ
อั น เป็ นการฟ้ องคดี เ พืE อประโยชน์ แ ก่ สิ น บริ ค ณห์ ไ ด้ เพราะ
บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D ทีEต รวจชํา ระใหม่ ไม่ ก ระทบกระเทือ นถึ ง
อํานาจจัดการสินบริคณห์ทEคี ู่สมรสได้ มอี ยู่แล้ ว
มาตรา &'()
ถ้ าสามีภริยามิได้ ทาํ สัญญากันไว้ ในเรืEองทรัพย์สนิ เป็ น
พิเศษก่อนสมรสความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรืEองทรัพย์สนิ
นัWน ให้ บงั คับตามบัญญัตใิ นหมวดนีW
ถ้ าข้ อความในในสัญญาก่อนสมรสขัดต่อความสงบ
เรียบร้ อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือระบุให้ ใช้ กฎหมาย
ประเทศอืEนบังคับเรืEองทรัพย์สนิ นัWน ข้ อความนัWนๆ เป็ นโมฆะ
คําพิพากษาฎีกาที+ -43:/0103
ทีE พิ พ าทสิ น สมรสซึE ง เป็ นสิ น บริ ค ณห์ ต าม ป.พ.พ.มาตรา
[\]^ เดิม สามีย่อมมีสิทธิจัดการสินบริคณห์รวมทัWงฟ้ องคดีด้วย
ตามพระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใช้ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_ มาตรา
` โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ -00-/010;
เดิมทีEพิพาทมีชE ือ พ. ถือกรรมสิทธิaร่วมกับบิดาก่อนสมรสกับ
โจทก์ จึ ง เป็ นสิน เดิ ม ของ พ. กึEง หนึE ง ซึE ง ตกเป็ นสิน ส่ ว นตั ว ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ อีก
กึEงหนึEงซึEงตกเป็ นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ อีกกึEงหนึEง พ. ได้ รับมรดกของบิดาหลัง
สมรส จึงตกเป็ นสินสมรสของโจทก์และ พ. สามี เมืEอทีEพิพาทเป็ น
สินสมรสและสินส่วนตัว จึงเป็ นสินบริคณห์ตามมาตรา [\]^ เดิม
สิEงปลูกสร้ างบนทีEพิพาทย่ อมตกเป็ นส่วนควบ พ. ทําหนังสือมอบ
อํานาจให้ ขายทีEดินและสิEงปลูกสร้ างรายพิพาท ซึEงเป็ นสินบริคณห์
ให้ จาํ เลยทัWงห้ า ต้ องถือว่าโจทก์ยินยอมให้ ขาย
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<40/012<
สามีจาํ นองทีEดินสินสมรสไว้ กบั ธนาคารขณะประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\]b บรรพ D เดิม มีผลใช้ บังคับอยู่
และไม่มีสญ ั ญาก่อนสมรสกําหนดให้ ภริยาเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์
หรือให้ จัดการร่วมกัน สามีจึงเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ได้ แต่ผ้ ูเดียว
ดั ง นัW น การทีEส ามี นํา ทีEดิ น สิน สมรสไปจํา นองกับ ธนาคารจึ ง มี ผ ล
สมบูรณ์ผูกพันทีEดนิ ทีEจาํ นอง ภริยาไม่มสี ทิ ธิขอกันส่วน
คําพิพากษาฎีกาที+ 24-4/0122
พระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใช้ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง ประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ.^D[_ มาตรา
` บัญญัติว่า “บทบัญญัติบรรพ D แห่ งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พ า ณิ ช ย์ ทีE ไ ด้ ต ร ว จ ชํ า ร ะ ใ ห ม่ ท้ า ย พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ นีW ไ ม่
กระทบกระเทือนถึงอํานาจการจัดการสินบริคณห์ทEคี ู่สมรสฝ่ ายใด
ฝ่ ายหนึE ง ได้ มี อ ยู่ แ ล้ วในวั น ใช้ บั ง คั บ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ ทEี ไ ด้ ตรวจชํ า ระใหม่ ท้ า ย
พระราชบัญญัตินW ี” ดังนัWน การใช้ บทบัญญัติในบรรพ D ทีEได้ ตรวจ
ชํ า ระใหม่ จึ ง ต้ องอยู่ ภายใต้ บทบั ญ ญั ติ ใ นมาตรา ` ของ
พระราชบัญญัตดิ งั กล่าวเมืEอปรากฏว่า จําเลยทีE ^ สามีโจทก์มี
คําพิพากษาฎีกาที+ 24-4/0122 (ต่อ)
อํานาจจัดการเกีEยวกับทีEดินซึEงเป็ นสินบริคณห์อยู่ก่อนวันใช้ บังคับ
บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D ทีEไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ จึ ง คงมี อ ํา นาจจั ด การ
สินบริคณห์รายนีWต่อไปและอํานาจจัดการนัWน มาตรา [\`` ทีEได้
ตรวจชํา ระใหม่ ใ ห้ รวมถึ ง อํา นาจจํา หน่ า ยด้ ว ย จํา เลยทีE ^ จึ ง
จําหน่ ายทีEดินดังกล่ าวได้ โดยไม่ ต้องได้ รับความยินยอมจากโจทก์
ก่อน นิติกรรมการซืWอขายทีEดินระหว่ างจําเลยทีE ^ กับจําเลยทีE [
ชอบด้ วยกฎหมาย โจทก์ขอให้ เพิกถอนไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 2:.-/012.
โจทก์จดทะเบียนสมรสก่อน ป.พ.พ. บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. E0FG ใช้ บังคับ สามีโจทก์จึงเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ตาม ป.พ.พ.
บรรพ 0 เดิมและ พ.ร.บ. ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. E0FG มาตรา H การที>โจทก์ฟ้องขอให้ จาํ เลยโอนที>ดินพิพาทซึ>ง
เป็ นสินสมรส เป็ นการกระทําเพื>อประโยชน์แก่สนิ บริคณห์ ตาม ป.พ.พ.
พ.ศ. EUHH (บรรพ 0 เดิม) มาตรา FU`G ซึ>งต้ องได้ รับอนุ ญาตจาก
สามีโจทก์ก่อน การที>โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้ รับอนุ ญาตจากสามีถือว่ ามี
ความบกพร่ องในเรื> องความสามารถตามนัยแห่ งประมวลกฎหมายวิธี
พิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา 0` กรณีจึ ง ต้ อ งทํา การแก้ ไ ขข้ อ บกพร่ อ ง
เสียก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ 1140/01:<
โจทก์กบั ช. จดทะเบียนสมรสกันเมืEอปี ^\bg ตึกแถวพิพาท
เป็ นทรั พย์สินทีE ช. ได้ มาระหว่ างสมรส จึงเป็ นสินสมรสระหว่ าง
โจทก์กบั ช. ตาม ป.พ.พ. บรรพ D เดิม มาตรา [\]] ทีEใช้ บังคับ
อยู่ ในขณะนัWน และเป็ นสินบริ คณห์ ตามมาตรา [\]^ วรรคสอง
ของบรรพ D เดิ ม ช. ให้ จํา เลยเช่ า ตึ ก แถวพิ พ าทตัW ง แต่ ปี พ.ศ.
^Dg_ และปี พ.ศ. ^D^_ ช. ได้ จดทะเบียนให้ จาํ เลยเช่า hg ปี ไม่
ปรากฏว่ามีสัญญาก่อนสมรสระหว่างโจทก์กับ ช. ตกลงเป็ นอย่าง
อืEน ช. จึงเป็ นผู้มีอาํ นาจจัดการตึกแถวพิ พาทได้ ฝ่ายเดียวมาแต่
แรก ตามมาตรา [\]b บรรพ D เดิม และตาม พ.ร.บ.
คําพิพากษาฎีกาที+ 1140/01:< (ต่อ)
ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ . แห่ง ป.พ.พ. ที5ตรวจชําระใหม่มาตรา < ก็บัญญัติ
รั บ รองว่ า ป.พ.พ. บรรพ . ที5 ไ ด้ ต รวจชํ า ระใหม่ ท้ า ย พ.ร.บ. นีD ไม่
กระทบกระเทือนอํานาจจัดการสินบริคณห์ท5ีคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งมีอยู่
แล้ วในวั น ใช้ บั ง คั บ บรรพ . ใหม่ นD ี ถ้ าคู่ ส มรสฝ่ ายใดเป็ นผู้ จั ด การ
สินบริคณห์ท5คี ู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งมีอยู่แล้ วในวันใช้ บงั คับบรรพ . ใหม่นD ี
ถ้ าคู่สมรสฝ่ ายใดเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ฝ่ายเดียว ให้ ถอื ว่าคู่สมรสอีกฝ่ าย
หนึ5งได้ ยินยอมให้ คู่สมรสนัDนจัดการสินสมรสด้ วย ช. เพียงฝ่ ายเดียวจึงมี
อํานาจให้ เช่าตึกแถวพิพาทได้ โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยาตาม
ป.พ.พ. บรรพ . เดิม มาตรา STUV นิติกรรมการเช่าตึกแถวพิพาทซึ5งทํา
ไว้ เมื5อวันที5 SX มีนาคม Y.YX ชอบด้ วยกฎหมาย
คําพิพากษาฎีกาที+ --;-/01:2
ที5ดินและบ้ านพิพาทเป็ นทรัพย์สนิ ที5จาํ เลยที5 S ได้ มาระหว่างสมรสกับ
โจทก์ก่อนประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ . ที5ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. Y.SX ใช้ บังคับ จึงเป็ นสินสมรสระหว่างโจทก์กบั จําเลยที5 S และเมื5อ
ไม่ ป รากฏว่ ามี สั ญ ญาก่ อ นสมรสบั ญ ญั ติ ไ ว้ เป็ นอย่ างอื5 น ทัD ง ตาม
พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ . แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ท5ีได้ ตรวจชําระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินD ี ไม่ กระทบกระเทือนถึง
อํานาจการจัดการสินบริคณห์ท5คี ู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งได้ มีอยู่แล้ วในวันใช้
บัง คับ บทบัญ ญั ติ บรรพ . เมื5อ โจทก์ซ5ึ ง เป็ นสามีมีอ าํ นาจในการจัด การ
รวมทัDงอํานาจจําหน่ ายสินสมรสอยู่แล้ ว โจทก์จึงมีอาํ นาจจัดการสินสมรส
ต่อไป การที5จาํ เลยที5 S ได้ ยกที5ดินและบ้ านพิพาทให้ แก่จาํ เลยที5 Y โดยมิได้
รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงมีอาํ นาจขอเพิกถอนนิตกิ รรมได้
คําพิพากษาฎีกาที+ --;-/01:2 (ต่อ)
แต่ ก ารเพิ ก ถอนนิ ติ ก รรมดั ง กล่ า วได้ ก ระทํา เมืE อ ใช้ บ ทบั ญ ญั ติ
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ ใช้
บังคับ ซึEงเป็ นกรณีไม่มีบทกฎหมายทีEจะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้ อง
นําบทกฎหมายทีEใกล้ เคียงอย่างยิEง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา [\bg มาใช้ บังคับตามมาตรา \ นิติกรรมการให้
ระหว่างจําเลยทีE [ และทีE ^ กระทําลงเมืEอวันทีE b มกราคม ^D^_
โจทก์ยE ืนฟ้ องขอให้ เพิกถอนการให้ เมืEอวันทีE [b มิถุนายน ^D\[
พ้ นสิบปี นับแต่วันทีEได้ ทาํ นิตกิ รรมนัWนๆ ฟ้ องโจทก์จึงขาดอายุความ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\bg วรรคสอง
มาตรา 1465
คําพิพากษาฎีกาที+ :0-:/012:
การที>สามีภริยาทําสัญญาระหว่างสมรสจํากัดสิทธิบางอย่างในระหว่าง
กันเองในเรื>องทรัพย์สนิ เพื>อประโยชน์ของครอบครัวด้ วยความสมัครใจก็ดี
เพื>อสลาทรัพย์สนิ ให้ แก่กนั ในระหว่างสามีภริยาด้ วยความสมัครใจก็ดี ไม่
เป็ นการขัดต่ อบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี>ยวด้ วยความสงบเรียบร้ อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา FFU และเป็ นการใช้ สิท ธิ โ ดยชอบตามมาตรา Fff` สัญ ญา
ดังกล่าวจึงเป็ นสัญญาที>ชอบด้ วยกฎหมายใช้ บังคับได้ ฉะนัWน เมื>อสามีทาํ
สัญญาจะไม่เข้ าไปเกี>ยวข้ องหรือเรียกร้ องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สนิ ที>มีอยู่ใน
ปัจจุบัน หรือจะมีขW ึนในอนาคตซึ>งมีช> ือภริยาเป็ นผู้ถอื กรรมสิทธิi ข้ อสัญญา
ดังกล่าวถือได้ ว่าสามีได้ สละกรรมสิทธิiในทรัพย์เช่นว่านัWนให้ แก่ภริยาแล้ ว
เมื>อสามีไม่ เคยบอกล้ างสัญญานีWจนถึงกรรมทรัพย์สินดังกล่ าวจึงเป็ นสิน
ส่วนตัวของภริยาตามมาตรา FUHF (f) ไม่เป็ นมรดกของสามี
คําพิพากษาฎีกาที+ 2333-233;/0121
ข้ อตกลงเรืEองการหย่าและแบ่งทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาเป็ น
ข้ อ ตกลงทีE แ บ่ ง แยกจากกั น มิ ไ ด้ จึ ง มิ ไ ด้ เ ป็ นสั ญ ญาทีE เ กีE ย วข้ อ ง
ทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาอย่างเดียวโดยตรง อันจะมีผลให้ ฝ่ายใด
ฝ่ ายหนึE ง มี สิท ธิ ทEีจ ะบอกล้ า งได้ ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ มาตรา [\]_
คําพิพากษาฎีกาที+ 1:.1-1:.3/012;
บ้ านทีEโจทก์นาํ ยึดออกขายทอดตลาดซึEงปลูกอยู่บนทีEดินของผู้
ร้ อง เป็ นทรัพย์สินทีEผ้ ูร้องได้ มาโดยการรับมรดกร่ วมกับทายาทอืEน
ของ ล. สิทธิของผู้ร้องโอนในบ้ านจึงเป็ นสินส่วนตัวของผู้ร้องตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา [\`[ (h) มิ ใ ช่
สินสมรสทีEโจทก์จะมีสทิ ธินาํ ยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้ าของรวมคน
หนึE ง ย่ อ มใช้ สิท ธิค รอบไปถึง ทรั พ ย์ สิน ทัWง หมด เพืE อ เรี ย กร้ อ งเอา
ทรัพย์สนิ คืนได้ ตามมาตรา [hD_ จึงมีอาํ นาจร้ องขัดทรัพย์
คําพิพากษาฎีกาที+ 2-4</0122
ทีEดินและบ้ าน โจทก์รับโอนกรรมสิทธิaมาหลังจากทําการสมรส
กับจําเลยแล้ วโดยโจทก์และจําเลยร่ วมกันซืWอมา จึงเป็ นสินสมรส
ตู้ เย็ น โทรทั ศ น์ สี แ ละตู้ ลํ า โพงอั น เป็ นของใช้ ภายในบ้ านเป็ น
ทรัพย์สนิ ได้ มาระหว่างสมรสจึงเป็ นสินสมรส
ทีEดินซึEงจําเลยซืWอมาในระหว่ างสมรสและมีชE ือโจทก์จาํ เลยถือ
กรรมสิท ธิaร่ ว มกัน โดยจํา เลยนํา เงิ น ทีEไ ด้ ม าจากการค้ า ขายและ
เงินเดือนไปซืWอนัWน เมืEอเงินจํานวนดังกล่ าวเป็ นเงินทีEจําเลยได้ มา
ระหว่ างสมรสจึงเป็ นสินสมรส การทีEจําเลยนําเงินสินสมรสไปซืWอ
ทีEดนิ ทีEดนิ ดังกล่าวจึงเป็ นสินสมรสด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ -<12/012;
เงินตามโครงการผลประโยชน์เมืEอออกจากงานซึEงนายจ้ างจะ
จ่ายให้ แก่ลูกจ้ างเมืEอออกจากงาน เป็ นเงินของลูกจ้ าง ถ้ าลูกจ้ างยัง
ไม่ตายและออกจากงานนายจ้ างก็ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้ แก่ลูกจ้ าง
ตามระเบี ย บข้ อ บั ง คั บ ของนายจ้ า ง ดั ง นัW น เมืE อ ลู ก จ้ า งตาย เงิ น
ดังกล่าวจึงเป็ นมรดกของผู้ตาย มิใช่สนิ สมรสระหว่างผู้ตายกับภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<-2/0121
การร้ องขอให้ ศาลตัW ง เป็ นผู้ จั ด การมรดก ไม่ เ กีE ย วกั บ เรืE อ ง
สิน สมรส คู่ ค วามมี สิท ธิเ ข้ า มาดํา เนิ น คดี โ ดยไม่ ต้ อ งได้ รั บ ความ
ยินยอมจากคู่สมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 04:;/012.
ภริยาฟ้ องเรียกเงินมัดจําค่าซืWอทีEดินจากผู้จะขายตามสัญญาจะ
ซืWอจะขายทีEดิน ไม่ ใช่ การจัดการสินสมรส ไม่ อยู่ ในข้ อจํากัดทีEต้อง
ได้ รับความยินยอมจากสามีก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ ;2</0124
สามีลงชืEอเป็ นพยานในสัญญาทีEภริยาจํานองสินบริคณห์ถือว่ า
สามีอนุญาตให้ จาํ นองแล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;</0:4.
การทีEภริยาทําสัญญาจะขายทีEดินมีโฉนดอันเป็ นสินบริคณห์ให้
โจทก์ โดยภริยาได้ รับเงินราคาทีEดินบางส่วนแล้ ว และโดยสามีร้ ูเห็น
ยิน ยอมแล้ วนัWน เป็ นกรณีต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิชย์
มาตรา \D] วรรคสอง ซึE ง ไม่ ต้ อ งมี ห ลั ก ฐานเป็ นหนั ง สือ ก็ใ ช้ ไ ด้
ฉะนัW น ความยิน ยอมของสามีจึง ไม่ ต้ อ งทํา เป็ นหนัง สือ โจทก์ฟ้ อง
ขอให้ บงั คับภริยาโอนทีEดนิ ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -231/01<4
โจทก์ฟ้ องว่ า จํา เลยเป็ นภริ ย า ว. จํา เลยและ ว. ทํา กิจ การโรงสี
ร่วมกัน ว. กู้ยืมเงินโจทก์ไปทํากิจการโรงสี เป็ นการฟ้ องให้ จาํ เลยรับผิด
ในหนีTสนิ ที<ทาํ การค้ าร่วมกับ ว. ตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^
คําพิพากษาฎีกาที+ :<--/01:3
โจทก์บรรยายฟ้ องว่ าจําเลยทัTงสองเป็ นสามีภริยากันเป็ นเจ้ าของ
ร้ านร่วมกันประกอบกิจการขายของชําและจําจําเลยทัTงสองร่วมกันสั<งซืTอ
สินค้ าจากโจทก์ ดังนีTสภาพแห่งข้ อหาของโจทก์เกี<ยวกับความรับผิดของ
จําเลยที< ] จึงมีว่า จําเลยที< ] ร่ วมกับจําเลยที< I ในการสั<งซืTอสินค้ าไป
จากโจทก์อันเป็ นความผิดตามสัญญาซืTอขายประการหนึ<ง และจําเลยที<
] ต้ อ งร่ ว มรั บ ผิ ด ในหนีT ค่ า สิ น ค้ า กั บ จํา เลยที< I เพราะเป็ นหนีT ร่ ว ม
ระหว่างสามีภริยาที<เกิดขึTนเนื<องจากการงานซึ<งสามีภริยาทําด้ วยกันตาม
ป.พ.พ. มาตรา IJN^ (c) อีกประการหนึ<งเท่านัTน ไม่มีข้อหาว่าหนีTราย
นีT เป็ นหนีT ร่ ว มระหว่ า งสามี ภ ริ ย าเพราะเป็ นหนีT เกี< ย วกั บ การจั ด การ
บ้ า นเรื อ นและจั ด หาสิ<ง จํา เป็ นสํา หรั บ ครอบครั ว การอุป การะเลีT ยงดู
ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตร
ตามสมควรแก่อตั ภาพตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^ แต่อย่างใด
คําพิพากษาฎีกาที+ :<--/01:3 (ต่อ)
เมื< อ ศาลชัT น ต้ น มิ ไ ด้ ฟั ง ข้ อ เท็จ จริ ง ว่ า จํา เลยที< ] ร่ ว มด้ ว ยในกรส่ ง ซืT อ
สินค้ าจากโจทก์หรือร่วมด้ วยในการประกอบกิจการของร้ าน ศาลชัTนต้ น
ก็ชอบที<จะพิพากษายกฟ้ องจําเลยที< ] การที<ศาลชัTนต้ นวินิจฉัยว่าจําเลย
ที< I สั< ง ซืT อสิ น ค้ า จากโจทก์ เ พื< อ ใช้ ใ นกิ จ การค้ า ขายของร้ านซึ< ง เป็ น
สิ<งจําเป็ นในครอบครัวของจําเลยทัTงสองเพื<อนํารายได้ มาใช้ จ่ายในการ
อุปการะเลีTยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการ
รั กษาพยาบาลด้ วย อันเป็ นหนีTร่วมระหว่ างจําเลยทัTงสองซึ<งเป็ นสามี
ภริยากันตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^ (I) แล้ วพิพากษาให้ จาํ เลยที< ]
ร่วมรับผิดกับจําเลยที< I และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนัTน จึงเป็ นกรณีท<ี
ศาลล่ างทัTงสองพิพากษาในเรื<องนอกจากที<ปรากฏในคําฟ้ อง อันเป็ น
การต้ องห้ ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ ง มาตรา IJ]
ปั ญหานีTเป็ นข้ อกฎหมายเกี<ยวด้ วยความสงบเรี ยบร้ อยของประชาชน
ศาลฎีกามีอาํ นาจยกขึTนวินิจฉัยได้ แม้ จาํ เลยที< ] จะมิได้ ยกขึTนฎีกา
คําพิพากษาฎีกาที+ 0--/01<4
แม้ ผ้ ู ร้ อ งกับ จํา เลยจะร่ ว มกัน กระทํา หนีT ละเมิ ด แต่ ก ารเป็ นการ
เฉพาะตัวของผู้ร้องกับจําเลยไม่เกี<ยวกับกิจการอันจําเป็ นในครอบครัว
หรือเกี<ยวข้ องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานที<ทาํ ด้ วยกันในฐานะที<
เป็ นสามีภริยา จึงไม่เป็ นหนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา IJN^ เมื<อ โจทก์มิไ ด้ ฟ้ องผู้ ร้ อ งเป็ นจํา เลยด้ ว ย จึ ง ไม่ อ าจจะ
บังคับคดีให้ กระทบกระทั<งถึงสิทธิของผู้ร้องที<มีอยู่ เหนือสินสมรสตม
ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่งมาตรา ]Li ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0103/010-
สามีเอาที<ดินสินสมรสไปจํานองธนาคารเอาเงินไปปรนเปรอภริยา
น้ อย หนีTนT ีไม่เป็ นหนีTร่วม ตามมาตรา IJL] (I) ที<ใช้ อยู่ในขณะนัTนอัน
ภริ ย าจะต้ อ งร่ ว มรั บ ผิ ด ใช้ หนีT ด้ ว ย สามี ไ ม่ มี สิ ท ธิ ท<ี จ ะขอให้ หั ก หนีT
ดังกล่าวออกจาสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -123/0100
การหย่าโดยคําพิพากษามีผลตัTงแต่เวลาคําพิพากษาถึงที<สดุ สามีก้ ู
เงินไปสร้ างตึกแถวขาย เป็ นการประกอบกิจการงานหาเลีTยงครอบครัว
จึงเป็ นหนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL]
เดิม ซึ<งเจ้ าหนีTบังคับคดีแก่สนิ บริคณห์ได้ ตมมาตรา IJL^ เดิม แม้ มิได้
ฟ้ องภริยาด้ วยก็ตาม
คําพิพากษาฎีกาที+ 03-./010:
ผู้ ร้ อ งทํา หนั ง สือ ให้ ค วามยิ น ยอมจํา เลยซึ< ง เป็ นสามี ท าํ นิ ติ ก รรม
เกี<ยวกับการแก้ ไขหนีTจาํ นองรวมทัTงกิจการอื<นที<กระทําไปโดยผู้ร้องขอ
ร่วมรับผิดชอบในนิติกรรมนัTนเสมือนผู้ร้องได้ กระทําเองทุกประการ ถือ
ว่าผู้ร้องยอมให้ สตั ยาบันหนีTท<เี กิดขึTนว่าเป็ นหนีTร่วมระหว่างจําเลยกับผู้
ร้ อง จํานองจึงต้ องผูกพันที<ดนิ ทัTงหมดรวมทัTงส่วนของผู้ร้องด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ -3<1--3<3/012;