Professional Documents
Culture Documents
228)
2562
https://chembites.org/chem-is-fun/
1
จุดมุ่งหมายสาคัญของปฏิบตั ิการเคมีวิเคราะห์สาหรับนักศึกษาชัน้ ปี ท่ี 2 คือ เพื่อให้นักศึกษาได้ม ี
โอกาสเรียนรูแ้ ละทาความเข้าใจหลักการทางเคมีวเิ คราะห์ ในการนี้ นักศึกษาจะได้ทาความคุน้ เคยกับเครือ่ งมือ
เครือ่ งใช้ต่างๆ ในห้องปฏิบตั กิ าร เทคนิคทัวๆ
่ ไปในการทาการทดลอง และในขณะเดียวกัน ก็ตอ้ งอาศัยความรู้
ทางเคมีวเิ คราะห์จากภาคบรรยาย รวมถึงวิธกี ารคานวณแบบต่างๆ ในการตีความข้อมูล และสรุปผลทีไ่ ด้จาก
การทดลองด้วย
คณะผูจ้ ดั ทา
สาขาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สิงหาคม 2562
ญ
้
คานา
ระเบียบการใช้หอ้ งปฏิบตั กิ ารเคมี 1
ความปลอดภัยในห้องปฏิบตั กิ ารเคมี 2
เลขนัยสาคัญ 5
อุปกรณ์ในห้องปฏิบตั กิ ารเคมี 7
เทคนิคต่างๆ ในห้องปฎิบตั กิ ารเคมีทค่ี วรทราบ 9
- เทคนิคการใช้เครือ่ งหมุนเหวีย่ ง 9
- เทคนิคการใช้ตะเกียงแก๊ส 10
- เทคนิคการใช้เครือ่ งชัง่ 11
- เทคนิคการใช้โถดูดความชืน้ 12
- เทคนิคการถ่ายเทสารละลายจากปิ เปตหรือหลอดหยด 12
- เทคนิคการอ่านปริมาตรของเหลวจากเครือ่ งแก้วบอกปริมาตร 13
- เทคนิคการไทเทรต 14
- เทคนิคการใช้ปิเปต 18
- เทคนิคการใช้บวิ เรต 20
- เทคนิคการกรองตะกอน 22
การทดลองที่ 1 การปรับเทียบอุปกรณ์วดั ปริมาตร 23
การทดลองที่ 2 การหาปริมาณของนิกเกิลด้วยวิธวี เิ คราะห์โดยน้าหนัก 36
การทดลองที่ 3 การเตรียม Standard Solution (Primary, Secondary Standard) 43
และการ Standardization
การทดลองที่ 4 การหาปริมาณคลอไรด์ดว้ ย Mohr’s Method และ Volhard’s Method 52
การทดลองที่ 5 การไทเทรตแบบสารประกอบเชิงซ้อน 57
การทดลองที่ 6 การไทเทรตแบบ Iodimetry และ Iodometry 71
การทดลองที่ 7 การใช้เครือ่ งมือทางเคมีไฟฟ้ า (Electrochemical Technique) 79
ในการวัดความเป็ นกรด-เบส – pH meter
การทดลองที่ 8 การวิเคราะห์ดว้ ยวิธกี ารวัดค่าการดูดกลืนแสง (Colorimetric analysis) 89
การทดลองที่ 9 การหา Stoichiometry ของสารประกอบเชิงซ้อนโดยวิธี Spectrophotometry 104
การทดลองที่ 10 การคานวณสถิตใิ นเคมีวเิ คราะห์ดว้ ยโปรแกรม Excel 114
ใ ้ ้
Page 1 of 124
ดภ ใ ้
I ้ ฎ พ่ ดภ
Page 2 of 124
สารเคมีห ลายชนิ ด ซึม ผ่ า นเข้า ไปในผิว หนั งได้อ ย่า งรวดเร็ว และเกิด เป็ นพิษ ขึ้น มาได้ ซึ่งแต่ ล ะคนจะมี
ความรูส้ กึ หรือเกิดพิษแตกต่างกัน
13. อย่าเทน้ าลงบนกรดเข้มข้นใดๆ แต่ค่อยๆ เทกรด
เข้มข้นลงในน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับกวนตลอดเวลา
14. อย่านาแก้วอ่อน เช่น กระบอกตวง กรวยแยก
15. ให้ค วามร้อน เพราะจะท าให้เครื่องแก้ว เกิด การ
หลอมละลาย หรือแตกหัก ใช้การไม่ได้
16. เมื่อเกิด ไฟไหม้ในห้องปฎิบ ัติการ จะต้อ งรีบ ดับ
ตะเกียงในห้องปฎิบตั ิการให้หมด และนาสารที่ติดไฟง่าย
ออกไปให้ห่างจากไฟมากที่สุด ซึ่งผูป้ ฎิบตั ิการทดลองทุก
คนควรจะรู้แ หล่ งที่เก็บ เครื่องมือดับ เพลิง และรู้จ ัก วิธีใช้
ทัง้ นี้เพือ่ สะดวกในการนามาใช้ได้ทนั ท่วงที รูปที่ 2 แสดงการให้ความร้อนแก่เครือ่ งแก้วผิดประเภท
17. ขณะต้ม สารละลายหรือให้ส ารท าปฎิกิรยิ ากัน ใน
หลอดทดลอง จะต้องหันปากหลอดทดลองออกห่างจากตัวเอง และห่างจากคนอืน่ ด้วย
ไม่ ถูกต้ อง
Page 3 of 124
II ้ ฎ ่
III ้ ฎ ่ ่ ้
Page 4 of 124
ญ
มีหลักการในการนับเลขนัยสาคัญดังนี้
1. เลขทุกตัวทีไ่ ม่ใช่ศนู ย์ (0) เป็ นเลขนัยสาคัญหมด เช่น 316, 2.16, 3927, 2.8, 9.832 มีเลขนัยสาคัญ
3, 3, 4, 2 และ 4 ตามลาดับ
2. มีเลขศูนย์ (0) ทีอ่ ยูร่ ะหว่างเลขนัยสาคัญถือเป็ นเลขนัยสาคัญด้วย เช่น 206, 1603, 1608, 200,006
มีเลขนัยสาคัญคือ 3, 4, 4 และ 6 ตามลาดับ
3. เลขศูนย์ (0) ทีอ่ ยูซ่ า้ ยมือสุดหน้าตัวเลขอืน่ ๆ ถือว่าไม่ใช่เลขนัยสาคัญ เช่น 0562, 0.589, 0.00238,
0.0000509 ทุกจานวนมีเลขนัยสาคัญ 3 ตัว
4. เลขศูนย์ (0) ทีอ่ ยูข่ วามือของตัวเลขใดๆ หลังจุดทศนิยมถือว่าเป็ นเลขนัยสาคัญหมด เช่น 140.0,
24.20, 0.2400, 0.002400 ทุกจานวนมีเลขนัยสาคัญ 4 ตัว
5. เลขศูนย์ (0) ทีอ่ ยูท่ างขวามือของเลขจานวนเต็มใดๆ อาจบ่งเลขนัยสาคัญไม่ชดั เจน เช่น 3600 ถ้า
ต้องการให้เกิดความชัดเจนขึน้ ควรเขียนอยูใ่ นรูป 3.600 103 จะมีเลขนัยสาคัญ 4 ตัว แต่ถา้ เขียนอยูใ่ นรูป
3.60 103 จะมีเลขนัยสาคัญ 3 ตัว เป็ นต้น
Page 5 of 124
ดใ ้
Page 6 of 124
ใ ้
Page 7 of 124
รูปที่ 4 แสดงอุปกรณ์และเครื่องแก้วพืน้ ฐานในห้องปฎิบตั กิ ารเคมี
Page 8 of 124
ๆใ ้ ฎ ่
1. ใ ้ ่ ่ (Centrifuge)
เครื่องหมุ น เหวี่ย งเป็ นเครื่อ งมือที่ใช้แ ยกตะกอนออกจากสารละลาย โดยอาศัย แรงเหวี่ย งหนี
ศู น ย์ ก ลางที่ เ กิ ด จากการหมุ น อย่ า งรวดเร็ ว เครื่อ งหมุ น เหวี่ ยงเป็ นอุ ป กรณ์ พื้ น ฐานที่ ส าคัญ ที่ ใ ช้ ใ น
ห้ อ งปฎิ บ ัติ ก าร ซึ่ ง มีอ ยู่ ห ลายแบบ แต่ ล ะแบบมีค วามเหมาะสมกับ งานแต่ ล ะประเภท ที่นิ ย มใช้ใ น
ห้องปฎิบตั กิ ารทัวไปนั่ น้ มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบทีห่ มุนด้วยไฟฟ้ า และทีห่ มุนด้วยมือ
Page 9 of 124
รูปที่ 6 แสดงการวางหลอดทดลองในเครือ่ งหมุนเหวีย่ ง ในทิศทางตรงกันข้ามกัน
2. ใ ้ ๊ (Bunsen burner)
3. ใ ้ ่ ่ (Analytical Balance)
การใช้เครือ่ งชังมี
่ เทคนิคดังนี้
3.1 ตัง้ เครือ่ งชังบนที่ แ่ น่นหนา อย่าให้มกี ารสันสะเทื
่ อน
3.2 ก่อนชังต้ ่ องปรับให้เครือ่ งชังอยู
่ ท่ ่ี 0 ทุกครัง้
3.3 ขณะชังให้ ่ วางน้าหนักตรงกึง่ กลางของเครือ่ งชังเสมอ
่
3.4 ห้ามวางสารเคมีบ นจานเครื่องชังโดยเด็ ่ ดขาด หาก
ต้องการชังสารที
่ ่มปี ริมาณน้ อยต้องใช้กระจกนาฬิกา
วางก่อนทีจ่ ะชัง่ ห้ามใช้กระดาษรองสารเคมีในการชัง่ รูปที่ 8 แสดงลักษณะเครือ่ งชังแบบละเอี
่ ยด
สาร
3.5 ห้ามนาวัตถุหรือสารเคมีทย่ี งั ร้อนไปชัง่ ควรตัง้ ทิง้ ไว้ให้เย็นทีอ่ ณ
ุ หภูมหิ อ้ งก่อน
3.6 เมือ่ ชังน ่ ้าหนักแล้ว หากมีสารเคมีตกหล่นอยูต่ อ้ งทาความสะอาดทันที
Page 11 of 124
3.7 อย่าชังสารที
่ ม่ นี าหนักมากกว่าความสามารถของเครือ่ งชัง่
4. ใ ้ ถดด ้ (Desiccators)
5. ถ จ ด ด
การถ่ายเทสารละลายที่อยู่ในปิ เปตหรือหลอดหยดลงในภาชนะที่บรรจุสารละลายอีกชนิดหนึ่งนัน้
หากไม่รเู้ ทคนิคหรือวิธกี ารทีถ่ กู ต้องแล้วอาจเกิดผลเสียต่อการทดลองได้ วิธกี ารทีถ่ ูกต้องนัน้ ควรทาได้ดงั นี้
Page 12 of 124
นิ ้วชี ้และนิ ้วโป้งวาง
ในลักษณะนี ้เพื่อบีบลูกยาง
ถูกต้ อง
ไม่ถกู ต้ อง
นิ ้วกลางและนิ ้วนาง
วางประคองด้ านข้ าง
(a) (b)
6. จ ่ ้
การอ่านระดับของเหลวในเครื่องแก้วบอกปริมาตร เข่น
กระบอกตวง บิวเรต และ ปิ เปต ถ้าเป็ นของเหลวใสไม่มสี ี ให้
อ่านตรงน้ าเว้าล่าง ถ้าเป็ น ของเหลวมีสใี ห้อ่านระดับผิวบนและ
เพื่อ ป้ องกัน ความผิด พลาดเนื่ อ งจากการเกิด parallax ควรให้
สายตาอยูร่ ะดับเดียวกับท้องน้า ดังรูปที่ 11
Page 13 of 124
การอ่านปริมาตรทีถ่ ูกต้องจะต้องอ่านถึงตัวเลขในทศนิยมตาแหน่ งใดขึน้ กับความละเอียดของเครื่อง
แก้วแต่ละชนิด เช่น
7. ไ
สารละลายมาตรฐาน (Standard solution) เป็ นสารละลายที่ท ราบความเข้ม ข้น แน่ น อน (ระบุ ถึง
ทศนิยม 4 ตาแหน่ง) ซึง่ เตรียมได้ 2 วิธี คือ วิธตี รงและวิธอี อ้ ม
1. (Direct method)
เตรียมโดยการชังสารให้
่ ได้น้าหนักทีแ่ น่ นอนโดยใช้เครือ่ งชังละเอี
่ ยดสาหรับวิเคราะห์ แล้วมา
ละลายให้ได้ปริมาตรทีแ่ น่ นอน โดยใช้ขวดวัดปริมาตร (Volumetric flask) สารละลายทีเ่ ตรียมได้น้ี จึงมีความ
เข้มข้นทีแ่ น่ นอนซึ่งเรียกว่า สารละลายมาตรฐานปฐมภูม ิ (Primary standard solution) สารทีจ่ ะนามาชังเพื
่ ่อ
เตรียมเป็ นสารละลายมาตรฐานปฐมภูมจิ ะต้องมีคณ ุ สมบัตดิ งั นี้
Page 14 of 124
ก. มีความบริสทุ ธิ ์สูง
ข. ไม่เปลีย่ นแปลงในระหว่างการชัง่ เช่น ไม่ทาปฏิกริยากับ O2 หรือ CO2 ในอากาศ ไม่ดดู
ความชืน้
ค. มีน้าหนักโมเลกุลสูง (เพือ่ ลดความคลาดเคลื่อนทีเ่ กิดขึน้ จากการชัง)่
ง. เป็ นสารหาง่ายและราคาถูก
2. ้ (Indirect method)
ด pH ่ ่
Page 15 of 124
การเลือกอินดิเคเตอร์กรด-เบส จึงขึน้ กับความแรงของกรด-เบสในการไทเทรต ดังนี้
1. การไทเทรตระหว่างกรดแก่และเบส เช่น HCl กับ NaOH
ทีจ่ ุดสมมูล สารละลายจะเป็ นกลาง คือ มี pH 7 ดังนัน้ อินดิเคเตอร์ทเ่ี หมาะสม คือ
Bromthymol blue ซึง่ มีชว่ ง pH = 6.0 – 7.6
2. การไทเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่ เช่น CH3COOH กับ NaOH
ที่จุ ด สมมู ล สารละลายจะมีค วามเป็ นเบส เนื่ อ งจากการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) ของ
CH3COONa ทีเ่ กิดขึน้ อินดิเคเตอร์ทเ่ี หมาะสม คือ Phenolphthalein ซึง่ มีชว่ ง pH = 8.0 – 9.8
3. การไทเทรตระหว่างกรดแก่กบั เบสอ่อน เช่น HCl กับ NH4OH
ที่จุด สมมูล สารละลายเป็ น กรด(pH 3 – 4) เนื่ องจากเกิด Hydorlysis ของเกลือ NH4Cl
อินดิเคเตอร์ทใ่ี ช้คอื Methyl Orange ซึง่ มีชว่ ง pH = 3.1 – 4.4
ช่วงทีเ่ กิดบัฟเฟอร์
รูปที่ 12 แสดงกราฟของการไทเทรตระหว่างกรดอ่อนกับเบสแก่
Page 16 of 124
II ่ ญ ่ ใ ้ใ ไ
อุปกรณ์ทใ่ี ช้วดั ปริมาตรได้อย่างแน่นอน คือ ปิ เปต (pipet) และบิวเรต (buret) อุปกรณ์ทใ่ี ช้วดั ปริมาตร
จะต้องสะอาด ถ้าผนังภายในสกปรก โดยเฉพาะอย่างยิง่ มีคราบน้ามัน หรือไขมันติดอยูจ่ ะทาให้การวัดปริมาตร
ไม่ถกู ต้อง ถ้าเป็ น buret หรือ pipet จะทาให้หยดสารละลายติดอยูต่ ามผนังภายในหลังจากปล่อยให้สารละลาย
ไหลออกไปแล้ว ดังนัน้ การทาความสะอาดจึงจาเป็ นมาก ก่อนใช้หรือเมือ่ ใช้แล้วจะต้องทาความสะอาดโดยการ
ล้างด้วยน้าสบู่หรือผงซักฟอก และใช้แปรงถูถา้ เป็ นไปได้ เช่น buret ก็ใช้แปรงก้านยาวสาหรับล้าง buret ถ้า
สกปรกมากต้องแช่ดว้ ย cleaning solution (เตรียมโดยละลาย sodium or potassium dichromate ในกรด
กามะถันเข้มข้น) แล้วล้างด้วยน้าประปาจนสะอาดแล้วกลัว้ (rinse) ด้วยน้ากลันอี ่ ก 2 - 3 ครัง้ (การกลัว้ คือ
การล้างด้วยสารละลายจานวนน้อย ๆ)
1. Volumetric pipet
Page 17 of 124
III ใ ้ pipet
4. แบ่ งสารละลายที่ต้ อ งการวัด ปริม าตรลงในบีก เกอร์ข นาด 50 cm3 ที่แ ห้งและสะอาดอีก ครัง้ ดู ด
สารละลายขึน้ มาจนระดับของสารละลายอยู่เหนือขีดบอกปริมาตร ในระหว่างนี้ตอ้ งไม่ ให้ปลายด้านล่างของปิ
เปตโผล่ พ้ น ระดับ ของสารละลาย เนื่ อ งจากจะท าให้อ ากาศภายนอกแทรกตัว เข้า ไปภายในปิ เปต เกิด
ฟองอากาศขึน้ ได้
5. ใช้น้ิวชีท้ แ่ี ห้งปิ ดปลายบนของ pipet แล้วเช็ดสารละลายทีเ่ กาะติดอยูข่ า้ งนอกทีป่ ลายล่างของ pipet ให้
แห้ง
แตะปลาย
ด้านล่างกับ
ผนังภาชนะ
Page 18 of 124
6. ขยับนิ้วชีใ้ ห้สารละลายใน pipet ไหลออกทางปลายล่างอย่าง
ช้า ๆ จนกระทัง่ ระดับ ขอบล่ า งของท้ อ งน้ า เว้ า (meniscus) ของ
สารละลาย อยู่ตรงกับขีดเครื่องหมายบอกปริมาตรพอดี โดยให้ pipet
ตัง้ ตรงและท้องน้าเว้าล่างนี้อยูใ่ นระดับเดียวกับตา
IV ใ ้ (Buret)
(Buret)
รูปที่ 16 ลักษณะบิวเรต
Page 19 of 124
3. กลัว้ ด้วยน้ ากลัน่ 2 ครัง้ โดยการเติมน้ ากลันประมาณ
่ 5 cm3 ลงไปใน buret ทางด้านบน แล้วเอียง
buret ให้น้ากลันเปี
่ ยกผนังภายในให้ทวั ่ แล้วไขน้ากลันทิ ่ ง้ ทางก๊อกซึง่ อยูท่ ป่ี ลายด้านล่าง
4. กลัว้ ด้วยสารละลายทีจ่ ะเติมอีก 2 - 3 ครัง้ ทาโดยวิธเี ดียวกันกับการกลัว้ ด้วยน้ากลัน่
5. ยึด buret ติดกับขาตัง้ (Stand) โดยใช้ทย่ี ดึ buret (buret clamp)
6. เติม สารละลายที่ต้องการลงไปให้ระดับ สารละลายอยู่เหนื อขีด 0 ถ้าใช้กรวยกรองช่วยในการเติม
สารละลาย จะต้องเอาออกทันทีเมือ่ ใช้เสร็จ
7. เปิ ดก๊อกให้สารละลายไหลสู่ปลายล่างให้เต็มปลายหลอดแก้วในส่วนทีอ่ ยู่ต่ากว่าก๊อก (เก็บสารละลาย
ที่ไหลออกมาตอนนี้ไว้ใช้ได้อีก) อย่าให้ม ีฟ องอากาศค้างอยู่ภ ายในหลอดแก้วบริเวณดังกล่าว ดังรูป ที่ 18
เนื่องจากจะทาให้การอ่านปริมาตรของเหลวคลาดเคลื่อนไป
Page 20 of 124
V ไ
Page 21 of 124
7. ขณะไทเทรตอาจมีสารละลายกระเด็นขึน้ มาติดผนังด้านในของขวด
รูปชมพู่ จึงต้องใช้ขวดฉีดน้ ากลันล้
่ างลงไป เพื่อให้สารเข้ าทาปฏิกริ ยิ าอย่าง
สมบูรณ์ การฉีดน้ ากลันลงไปจะท
่ าให้ปริมาตรของสารละลายเพิม่ ขึน้ แต่เนื้อ
สารหรือจานวนโมลของสารยังคงเดิม
8. การไทเทรตควรจะทาในทีม่ แี สงสว่างพอดี และควรมีกระดาษสีขาว
วางไว้ใต้ขวดรูปชมพูเ่ พือ่ จะทาให้สงั เกตการเปลีย่ นแปลงสีของสารละลายเมือ่
ถึงจุดยุตไิ ด้ชดั เจน
9. การไทเทรตบางครัง้ จะสังเกตจุดยุตไิ ม่ชดั จึงทาให้ ตดั สินใจได้ยากกว่าถึงจุดยุตแิ ล้วหรือยังเมื่อเป็ น
เช่นนี้ให้อ่านสารละลายใน buret ก่อน แล้วเติมสารลงไปอีก 1 หยด สังเกตการเปลี่ยนสีอกี ครัง้ แล้วจึงนามา
เลือกจุดยุตวิ ่าครัง้ ใดเหมาะสมที่สุด โดยถ้าเป็ นจุดยุตทิ ่ี แท้จริงแล้ว 1 หยดของสารที่เติมลงไปจะทาให้สขี อง
สารละลายเปลีย่ นไปอย่างชัดเจน
10. ในกรณีทไ่ี ทเทรตเกินจุดยุตกิ ต็ ้องทาการทดลองใหม่ แต่ถ้าจาเป็ นจะต้องแก้ไขจากสารละลายเดิมก็
ต้องใช้วธิ ไี ทเทรตกลับ (back titration) โดยเติมสารละลายมาตรฐานอีกชนิดหนึ่งซึ่งสามารถทาปฏิกริ ยิ ากับ
สารละลายมาตรฐานชนิดแรกลงใน buret อันทีส่ อง แล้วไทเทรตสารละลายในขวดรูปชมพู่ทไ่ี ทเทรตเกินจุดยุติ
ในครัง้ แรก เพือ่ หาปริมาตรของสารละลายมาตรฐานชนิดแรกว่าเกินมาเท่าใด
11. เมื่อไทเทรตถึงจุดยุตแิ ล้ว ไม่ควรอ่านปริมาตรสารละลาย buret ทันที จะต้องทิง้ ไว้อย่างน้อย 10 – 20
วินาที
12. สาหรับตัวอย่างหนึ่ง ๆ ควรไทเทรตอย่างน้อย 2 ครัง้ โดยปริมาณของ titrant ทีใ่ ช้ ควรต่างกันไม่เกิน
0.2 cm3
8.
Page 22 of 124
ด ่1
่ ใ ้ ่ ้ ด
(Selection and Calibration of Volumetric Glasswares)
ด ้ ภพ ่ ้ ด (Class of Accuracy)
จะแบ่งเป็ น 2 ระดับชัน้ คุณภาพ (Class of Accuracy) ตามค่าความแม่นของปริมาตรของเหลวทีว่ ดั ได้
1.ระดับชัน้ คุณภาพ A (Class A) จะมีตวั อักษร A ระบุอยู่บนเครือ่ งแก้ว ทาจากแก้วโบโรซิลเิ กต ทาให้
มีคา่ สัมประสิทธิ ์การขยายตัวน้อย ปริมาตรของเหลวทีไ่ ด้มคี วามแม่นยาสูง มีคา่ ความคลาดเคลื่อนยินยอมน้อย
2. ระดับชัน้ คุณภาพ B (Class B) จะมีตวั อักษร B ระบุอยูบ่ นเครือ่ งแก้ว ทาจากแก้วอลูมนิ ่ า-โบโรซิลิ
เกต หรือ โซดาไลม์ เนื้อแก้วชนิดนี้จะมีค่าสัมประสิทธิ ์การขยายตัวมากกว่าแก้วโบโรซิเกต เป็ นเครื่องแก้ว
กาหนดปริมาตรทีม่ คี วามแม่นยาต่ากว่าระดับชัน้ คุณภาพ A และมีคา่ ความคลาดเคลื่อนยินยอมสูงกว่า
ซึง่ เครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตรของเหลวจะมีคณ
ุ สมบัตเิ ฉพาะแตกต่างกันตามมาตรฐานทีก่ าหนดในแต่
ละประเทศ เช่น ประเทศในแถบยุ โรปจะกาหนดตามหน่ ว ยงานมาตรฐานระหว่างชาติ (The International
Organization for Standardization, ISO) ประเทศอังกฤษกาหนดตามมาตรฐานของ BS (British standard)
ประเทศเยอรมันกาหนดตามมาตรฐานของ DIN (Deutsches Institut fur Normung) เป็ นต้น
Page 24 of 124
่ 1.1 ระดับชัน้ คุณภาพของเครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตร
ชนิดของเครื่องมือ ขนาด (mL) ความคลาดเคลื่อนยินยอม (Tolerance of error) (mL)
Class A Class B
Burette: ISO 385/1-1984 50 0.05 0.1
Volumetiric pipette: 1 0.008 0.015
ISO 648-1977 5 0.015 0.03
10 0.02 0.04
25 0.03 0.06
Measuring pipette 1 0.005 0.01
(graduation interval) : 5 0.03 0.05
ISO 835 10 0.05 0.1
25 (0.1) 0.1 -
25 (0.2) 0.1 0.2
Volumetric flask: 5 0.025 0.05
ISO 1042 10 0.025 0.05
25 0.04 0.08
50 0.06 0.12
100 0.10 0.20
250 0.15 0.30
500 0.25 0.50
1000 0.40 0.80
กระบอกตวง 10 (0.1) -
(graduation interval): 10 (0.2) 0.2
ISO 4788 25 (0.2) -
25 (0.5) 0.5
50 1
100 1
250 2
500 5
Page 25 of 124
่ 1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรและน้าหนักของน้า (Conversion factor) ทีอ่ ณ
ุ หภูมติ ่างๆ
ถ ด
1. เพือ่ ให้นกั ศึกษาสามารถใช้เครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตรอย่างถูกวิธี
2. เพื่อให้นักศึกษาตระหนักถึงความส าคัญ ในการเลือกใช้เครื่องแก้ว เพื่อกาหนดปริม าตรอย่า ง
เหมาะสม ผ่านการทดลองการวัดปริมาตรน้ า 100 mL จากปิ เปตขนาด 10 mL, 25 mL บิวเรต
ขนาด 50 mL กระบอกตวงขนาด 100 mL และบีกเกอร์ขนาด 250 mL
3. เพือ่ ปรับเทียบหาปริมาตรทีแ่ น่นอนในขวดวัดปริมาตรขนาด 100 mL
4. เพือ่ หาความเทีย่ ง (precision) ในการวัดปริมาตรของปิ เปต ขวดวัดปริมาตร บิวเรต และกระบอก
ตวง
จด ผ้ ด
เมือ่ ทาการทดลองนี้แล้ว ผูเ้ รียนควรจะสามารถ
1. ตระหนักถึงความสาคัญของเครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตรและเลือกใช้ในงานวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง
และแม่นยา ตามวัตถุประสงค์การนาไปใช้งานและปริมาตรทีต่ อ้ งการ
2. ตระหนักถึงความสาคัญในการปรับเทียบอุปกรณ์วดั ปริมาตร
3. เข้าใจวิธกี ารปรับเทียบอุปกรณ์วดั ปริมาตรเบือ้ งต้น
Page 26 of 124
ด
นาบีกเกอร์ใส่น้ากลันประมาณ
่ 200 mL วัดอุณหภูมขิ องน้าในบีกเกอร์ บันทึกอุณหภูมนิ ้าทีอ่ า่ นได้
่ 1: ใ ้ ่ ้ ด ่
ในการทดลองนี้ ต้องการปริม าตรน้ า 100 mL ด้วยเครื่องแก้ว 2 ประเภท คือ เครื่องแก้วกาหนด
ปริมาตร (ปิ เปตขนาด 10 mL และ 25 mL บิวเรตขนาด 50 mL กระบอกตวงขนาด 100 mL) และ เครื่องแก้ว
ทัวไป
่ (บีกเกอร์ขนาด 250 mL)
่ 1.1 ด ้ 100 mL จ ด 10 mL 25 mL
1. นาบีกเกอร์ใส่น้ากลันประมาณ
่ 200 mL
2. นาขวดรูปชมพู่ท่สี ะอาดขนาด 250 mL มาหนึ่งขวด ชังบนเครื ่ ่องชังแบบละเอี
่ ยด และ
บันทึกน้าหนักทีไ่ ด้ดว้ ยทศนิยมสีต่ าแหน่งในหน่วยกรัม (น.น.ขวด)
3. นาขวดรูปชมพูอ่ อกมานอกเครือ่ งชัง่ ปิ เปตน้ากลันจากบี ่ กเกอร์ขอ้ 1 ด้วยปิ เปตขนาด 10
mL ใส่ลงในขวดรูปชมพู่ จานวน 10 ครัง้ (จะได้ 100 mL)
4. นาไปชังน ่ ้าหนักด้วยเครือ่ งชังตั ่ วเดิมและบันทึกน้าหนัก (น.น.ขวด + น้า)
5. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 1-4 ซ้าอีก 2 ครัง้ (ใช้ปิเปตอันเดิมตลอดการทดลอง)
6. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 1 – 5 โดยเปลี่ยนจากปิ เปตขนาด 10 mL เป็ นปิ เปตขนาด 25
mL ในการปิ เปตน้าจานวน 4 ครัง้ ให้ครบ 100 mL
่ 1.2 ด ้ 100 mL จ ด 50 mL
1. เติมน้ากลันลงในบิ
่ วเรต ปรับปริมาตรให้อยูท่ ข่ี ดี ศูนย์
2. นาขวดรูปชมพู่ท่สี ะอาดขนาด 250 mL มาหนึ่งขวด ชังบนเครื ่ ่องชังแบบละเอี
่ ยด และ
บันทึกน้าหนักทีไ่ ด้ดว้ ยทศนิยมสีต่ าแหน่งในหน่วยกรัม (น.น.ขวด)
3. นาขวดรูปชมพู่ออกมานอกเครื่องชัง่ ไขน้ ากลันจากบิ ่ วเรตข้อ 1 ลงในขวดรูปชมพู่ ครัง้
ละ 50 mL จานวน 2 ครัง้ (จะได้ 100 mL)
4. นาไปชังน ่ ้าหนักด้วยเครือ่ งชังตั
่ วเดิมและบันทึกน้าหนัก (น.น.ขวด + น้า)
5. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 1-4 ซ้าอีก 2 ครัง้ (ใช้บวิ เรตอันเดิมตลอดการทดลอง)
่ 1.3 ด ้ 100 mL จ ด 100 mL
1. นาขวดรูปชมพู่ท่สี ะอาดขนาด 250 mL มาหนึ่งขวด ชังบนเครื ่ ่องชังแบบละเอี
่ ยด และ
บันทึกน้าหนักทีไ่ ด้ดว้ ยทศนิยมสีต่ าแหน่งในหน่วยกรัม (น.น.ขวด)
2. นาขวดรูปชมพูอ่ อกมานอกเครือ่ งชัง่
3. เติม น้ า กลัน่ ลงในกระบอกตวงให้ได้ป ริม าตร 100 mL โดยดู ท่ีข ีด บอกปริม าตรของ
กระบอกตวง แล้วเทน้ากลันลงขวดรู ่ ปชมพูท่ ท่ี ราบน้าหนักแล้วจากข้อ 1
4. นาไปชังน ่ ้าหนักด้วยเครือ่ งชังตั
่ วเดิมและบันทึกน้าหนัก (น.น.ขวด + น้า)
Page 27 of 124
5. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 1-4 ซ้าอีก 2 ครัง้ (ใช้กระบอกตวงเดิมตลอดการทดลอง)
่ 1.4 ด ้ 100 mL จ ด 250 mL
1. นาขวดรูปชมพู่ท่สี ะอาดขนาด 250 mL มาหนึ่งขวด ชังบนเครื ่ ่องชังแบบละเอี
่ ยด และ
บันทึกน้าหนักทีไ่ ด้ดว้ ยทศนิยมสีต่ าแหน่งในหน่วยกรัม (น.น.ขวด)
2. นาขวดรูปชมพูอ่ อกมานอกเครือ่ งชัง่
3. นาบีกเกอร์ทส่ี ะอาดขนาด 250 mL มาหนึ่งใบ เติมน้ ากลันลงในบี่ กเกอร์ให้ได้ปริมาตร
100 mL โดยดูทข่ี ดี บอกปริมาตรของบีกเกอร์
4. เทน้ ากลันจากบี
่ กเกอร์ล งในขวดรูปชมพู่ท่ที ราบน้ า หนักแล้ว (ขวดในข้อ 1) นาไปชัง่
น้าหนักด้วยเครือ่ งชังตั
่ วเดิมและบันทึกน้าหนัก (น.น.ขวด + น้า)
5. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 1-3 ซ้าอีก 2 ครัง้ (ใช้บกี เกอร์ใบเดิมตลอดการทดลอง)
*** ตอนที่ 1.1 - ตอนที่ 1.4 จะต้องนาน้าหนักของน้ากลันแต่ ่ ละส่วนทีบ่ นั ทึกได้ ไปคานวณเป็ นปริมาตร โดยใช้
ตารางความสัมพันธ์ระหว่างน้ าหนักและปริมาตรของน้ า ณ อุณหภูมใิ นวันทีท่ าการทดลอง (ตารางที่ 1.2) และ
คานวณหาความเที่ย ง (precision) ของปริม าตรที่ค านวณได้ ซึ่งถ้า มีเทคนิ ค ในการใช้ เครื่อ งแก้ว กาหนด
ปริมาตรและเทคนิคการชังที ่ ด่ ี รวมถึงเครือ่ งแก้วนัน้ มีความแม่นยาในการกาหนดปริมาตรสูง พิสยั สัมพัทธ์ควร
มีคา่ ไม่เกิน 2 ppt (ppt - ส่วนในพันส่วน, part per thousand)
่ 2: ดด
การทดลองนี้ ต้องการให้นักศึกษาได้เรียนรูว้ ธิ กี ารปรับเทียบเครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตรด้วยตนเองได้
ในเบือ้ งต้น โดยทาการทดลองปรับเทียบขวดวัดปริมาตรเป็ นตัวแทนในการศึกษา
1. ปิ ดจุกขวดวัดปริมาตรขนาด 100 mL แล้วนาไปชังน ่ ้ าหนักเครื่องชังแบบละเอี
่ ยด บันทึกน้ าหนัก ที่
ได้ดว้ ยทศนิยมสีต่ าแหน่งในหน่วยกรัม (น.น. ขวด) ขวดวัดปริมาตรเริม่ ต้นนี้ควร ้ และสะอาด
2. นาขวดวัดปริมาตรออกจากเครือ่ งชัง่
3. เติม น้ ากลัน่ ลงไปในขวดวัด ปริม าตรจนระดับ ท้องน้ าตรงกับ ขีด กาหนดปริม าตร ( ้
่ ่ เพือ่ มิให้เครือ่ งชังเปี
่ ยกซึง่ จะส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนของน้าหนักทีไ่ ด้)
4. ปิ ดจุกขวดวัดปริมาตรอีกครัง้ เพื่อป้ องกันการระเหยของน้ า แล้วนาไปชังน
่ ้ าหนัก บันทึกน้ าหนัก
ขวด + จุกปิ ด+ น้า (ครัง้ ที่ 1)
5. ใช้หลอดหยดดูดน้าออกจากขวดวัดปริมาตรขวดเดิม ให้ระดับน้าต่ากว่าขีดกาหนดปริมาตรเล็กน้อย
ตัง้ ไว้สกั ครู่
Page 28 of 124
6. ทาซ้าข้อ 3 ถึง ข้อ 5 อีก 2 ครัง้ (ใช้ขวดวัดปริมาตรเดิมตลอดการทดลอง)
7. นาน้ าหนักของน้ าทัง้ 3 ครัง้ ไปคานวณหาปริมาตร ณ อุณหภูมนิ ้ าจากตาราง 1.2 และหาปริมาตร
เฉลีย่
8. คานวณหาค่าแก้ความผิดพลาดจากการอ่านปริมาตร (correction) และค่าพิสยั สัมพัทธ์
9. อภิปรายผลการทดลองทีไ่ ด้
***หมายเหตุ***
การอ่านค่าน้าหนักจากเครือ่ งชังละเอี
่ ยด ต้องบันทึกค่าน้าหนักถึงทศนิยม 4 ตาแหน่ง
การรายงานปริมาตรจากเครือ่ งแก้วกาหนดปริมาตร (ปิ เปต บิวเรต กระบอกตวง และขวดวัดปริมาตร)
จะต้องบันทึกด้วยทศนิยม 2 ตาแหน่ง
เอกสารอ้างอิง
1. เอกสารประกอบการสอนวิชา เคมีวเิ คราะห์ (คม.228) โดยอ.ดร.กมลทิพย์ เสรีนนท์ชยั
2. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ สานักตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสตั ว์ ปี ท่ี 2 เล่มที่ 1
Page 29 of 124
ผ ด ่1
่ ใ ้ ่ ้ ด
่ 1: ใ ้ ่ ้ ด ่
อุณหภูมขิ องน้า…………………………… oC
น.น.ขวด (g)
ปริมาตรของน้า (mL)
Page 30 of 124
ประเภทของปิ เปต..................................... ขนาด ......25........ mL Class…………
ครัง้ ที่ 1 ครัง้ ที่ 2 ครัง้ ที่ 3
น.น.ขวด (g)
ปริมาตรของน้า (mL)
น.น.ขวด (g)
ปริมาตรของน้า (mL)
Page 31 of 124
่ 1.3 การกาหนดปริมาตรน้า 100 mL จากกระบอกตวงขนาด 100 mL Class ……………
ครัง้ ที่ 1 ครัง้ ที่ 2 ครัง้ ที่ 3
น.น.ขวด (g)
ปริมาตรของน้า (mL)
น.น.ขวด (g)
ปริมาตรของน้า (mL)
Page 32 of 124
้ ( ด พ ้ ด จ ด ่ ...........)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
พ พ ( ด พ ้ ด จ ด ่ ...........)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 33 of 124
่ 2: ด ด
อุณหภูมขิ องน้า………………………… oC
ขวดวัดปริมาตร ขนาด ....................... mL Class…………
ครัง้ ที่ 1 ครัง้ ที่ 2 ครัง้ ที่ 3
ปริมาตรของน้า (mL)
้ ( ด พ ้ ด จ ด ่ 2)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
พ พ ( ด พ ้ ด จ ด ่ ...........)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 34 of 124
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 35 of 124
ด ่2
่ ด้ ด ้
Nickel เป็ นธาตุ ท รานสิช ัน มี atomic number เท่ า กับ 28 มีคุ ณ สมบัติดึ งดู ด ได้ ต่ อ แม่ เหล็ ก เลข
oxidation ทีพ่ บมากทีส่ ดุ คือ +2 โดยในธรรมชาติจะพบ Ni58 มากทีส่ ดุ
ตะกอน Ni(DMG)2 ทีเ่ กิดขึน้ นี้ สามารถละลายได้ในกรด สารละลายแอลกอฮอล์ เข้มข้น 50% น้ าร้อน
สารละลายแอมโมเนี ย เข้ม ข้น ที่ม ี Co2+ แต่จ ะไม่ ล ะลายในสารละลายแอมโมเนี ย เจือจาง สารละลายเกลือ
แอมโมเนีย สารละลาย CH3COOH-CH3COONa เจือจาง
Page 36 of 124
ถ้ามี NH3 และ Co หรือ Zn หรือ Cu ปนเปื้ อนอยู่ในสารละลายปริมาณมาก จะทาให้การตกตะกอน
ของ Ni(DMG)2 เกิด ได้ ช้ า ลง เนื่ อ งจาก DMG ส่ ว นหนึ่ ง จะไปท าปฏิ กิร ิย ากับ Co, Zn และ Cu เกิด เป็ น
สารประกอบเชิงซ้อนทีล่ ะลายน้าได้ ซึง่ ทาให้ต้องใช้ DMG ในปริมาณทีม่ ากขึน้
นอกเหนื อจากการเกิดตะกอนกับ Ni2+ แล้ว DMG สามารถทาปฏิกริ ยิ ากับ Pd, Pt และ Bi ได้ด้วย
โดย Pd และ Pt จะสามารถตกตะกอนได้ทงั ้ ในสารละลายด่างอ่อนๆ และสารละลายกรดอ่อนๆ ส่วน Bi จะ
ตกตะกอนได้ในสารละลายทีเ่ ป็ นด่างมากๆ
จด ผ้ ด
1. มีเทคนิคในการวิเคราะห์โดยน้ าหนัก ได้แก่ การใช้เครือ่ งชังไฟฟ้
่ าอย่างละเอียด การอบแห้งและหา
น้าหนักทีแ่ น่นอนของครูซเิ บิล การถ่ายเทเชิงปริมาณวิเคราะห์ การกรอง และเทคนิคในการตกตะกอน
2. เข้าใจถึงผลของสิง่ เจือปนทีจ่ ะมีต่อผลการวิเคราะห์
3. เข้าใจถึงข้อดี ข้อเสีย ของการตกตะกอนจากสารละลายเนื้อเดียว
4. สามารถคานวณปริมาณของนิกเกิลได้จากน้าหนักของตะกอน
Page 37 of 124
ด
2. ชนิดของตัวอย่าง
2.1 ตัวอย่างของแข็งทีล่ ะลายน้า
ชังตั
่ วอย่างที่ทราบน้ าหนักละเอียด 0.2 กรัม ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 หรือ 100 mL (บันทึก
น้ าหนักตัวอย่างด้วยทศนิยม 4 ตาแหน่ ง) ละลายตัวอย่างในบีกเกอร์ดว้ ยน้ ากลัน่ ถ่ายสารละลายตัวอย่างจาก
บีกเกอร์ลงขวดวัดปริมาตรขนาด 100.00 mL พร้อมทัง้ ใช้น้ากลันชะสารละลายจากบี
่ กเกอร์ลงขวดวัดปริมาตร
ให้หมด แล้วปรับปริมาตรด้วยน้ ากลันจนถึ
่ ง ขีดกาหนดปริมาตร ผสมให้เข้ากัน แล้วทาการทดลองตามข้อ 3
เป็ นต้นไป
2.2 ตัวอย่างเป็ นสารละลาย (สารละลายตัวอย่างนัน้ ละลายอยูใ่ นน้าแล้ว)
ให้ทาการทดลองตามข้อ 3 เป็ นต้นไปได้เลย
3. เตรียมบีกเกอร์ขนาด 250 mL 3 ใบ ปิ เปตสารละลายตัวอย่าง 10.00 mL ใส่ในบีกเกอร์แต่ละใบ เติม
น้ ากลันประมาณ
่ 100 mL ทุกบีกเกอร์มแี ท่งแก้วคนและกระจกนาฬิกาสาหรับปิ ดครอบ เช็คว่าสารละลายเป็ น
กรดแล้วหรือไม่ด้วยกระดาษลิตมัสสีน้ าเงิน ถ้ายังไม่เป็ นกรดให้เติมสารละลาย HCl 1:1 (หรือ 6 M HCl) จน
เป็ นกรด
4. ให้ความร้อนจนเกือบเดือด (ประมาณ 70 C) เติม tartaric acid 1.5 g และ methyl red 5 หยด (pH
4.2-6.3, red-yellow) ถ้าสารละลายมีสแี ดง ต้องเติม 6 M NH3 จนกว่าสีของสารละลายจะเป็ นสีเหลือง
Page 38 of 124
5. ให้ความร้อนกับสารละลายที่อณ ุ หภูมปิ ระมาณ 70 C ไปเรือ่ ย ๆ และค่อยๆ เติม dimethylglyoxime
ทีละหยดพร้อมทัง้ คนสารละลายตลอดเวลาจนครบ 20 mL แล้วเติม 3 M ammonium acetate ทีล ะหยด
จนกระทังเกิ่ ดตะกอนสีแดงของ nickel dimethylglyoximate พร้อมทัง้ คนสารละลายตลอดเวลาจนครบ 20 mL
ปล่อยแท่งแก้วคนไว้ในบีกเกอร์เพือ่ ไม่ให้เกิดการสูญหายของตะกอนทีต่ ดิ แท่งแก้วคน
6. เติม dimethylglyoxime เพิ่มอีก 1 mL บนสารละลายส่วนใส (supernatant) ให้สงั เกตว่ามีต ะกอน
เกิดเพิม่ ขึน้ อีกหรือไม่ ถ้ามีตะกอนเกิดขึน้ ให้เติม dimethylglyoxime อีก 5 mL
7. Digest ตะกอนบน hot plate ทีป่ ระมาณ 70-80 C นาน 40 นาที ระวังอย่าให้สารละลายเดือด เพราะ
จะทาให้ Ni-dimethylglyoxime สลายตัว สังเกตได้จากสีของตะกอนจะปรากฏเป็ นสีคล้า
8. ปล่อยให้เย็นลงถึงอุณหภูมหิ อ้ งและกรองตะกอนด้วยซินเตอร์กลาสครูซเิ บิลทีเ่ ตรียมไว้
9. การถ่ายตะกอนลงในซินเตอร์กลาสครูซิเบิลจะใช้ rubber policeman เป็ นอุป กรณ์ ช่วยในการน า
ตะกอนทีต่ ดิ อยูบ่ ริเวณผนังบีกเกอร์ออกมาได้งา่ ยขึน้
** วิธกี ารกรองทีร่ วดเร็วและทาให้ได้ตะกอนทีบ่ ริสุทธิ ์ สามารถทาตามแนวทางดังนี้ เท supernatant ลง
ใน crucible ก่อน โดยให้มตี ะกอนค้างอยู่ในบีกเกอร์ให้มากทีส่ ุด แล้วใช้น้ าล้างตะกอนประมาณ 20-25 mL เท
ลงในบีกเกอร์เพือ่ เป็ นการล้างตะกอน แล้วเทส่วน supernatant ผ่านครูซเิ บิล ทาซ้าจนครบ 100 mL จากนัน้ จึง
เทตะกอนทีต่ กค้างในบีกเกอร์ลงครูซเิ บิลให้หมด แล้วใช้น้ าล้างตะกอนอีกประมาณ 50 mL ล้างตะกอนทีอ่ ยู่ใน
ครูซเิ บิล
Page 39 of 124
ถ
1. จงบอกประโยชน์ วิธใี ช้และโอกาสทีใ่ ช้ของซินเตอร์กลาสครูซเิ บิล
2. ทาไมจึงล้างตะกอนด้วยน้าเย็น
3. ทาไมจึงเติม precipitation agent ลงไป 1.5 เท่า จะเติมมากหรือน้อยกว่านี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
้ :
Page 40 of 124
ผ ด ่2
่ ด้ ด ้
้ ่ ่ ซ
ครูซเิ บิลใบที่ 1 ครูซเิ บิลใบที่ 2 ครูซเิ บิลใบที่ 3
้ ่ ่
ครูซเิ บิลใบที่ 1 ครูซเิ บิลใบที่ 2 ครูซเิ บิลใบที่ 3
Page 41 of 124
Ni (g/100 ml)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
พ พ
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 42 of 124
ด ่3
2. Practical grade
ด ด (Volumetric Analysis)
เป็ นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ทีใ่ ช้กนั มาก เนื่องจากเป็ นวิธที ง่ี า่ ย ไม่ต้องใช้
เครื่องมือมาก และทาได้อย่างรวดเร็ว มีความแม่นยา โดยปกติหมายถึง การหาปริมาณสารที่เราต้อ งการรู้
(analyte) โดยวัด ปริม าตรของสารที่รู้ค วามเข้ม ข้น (สารละลายมาตรฐาน หรือ standard solution) ที่ท า
Page 43 of 124
ปฏิกริ ยิ าพอดีกบั สารที่ต้องการรู้ ซึ่งการใช้วิธีการไทเทรตเพื่อหาปริม าตรสารที่ทาปฏิกิรยิ าพอดี เรีย กว่ า
Titrimetric Analysis โดยเรีย กสารละลายที่อยู่ใน buret ว่า titrant และเรียกจุดที่ทาปฏิกริ ยิ ากัน พอดีว่า จุ ด
สมมูล (equivalence point) ซึง่ โดยปกติจะต้องทาการเติมสารอื่นเพื่อให้สามารถมองเห็นจุดสมมูลนี้ โดยสารที่
เติมลงไปเพื่อให้เห็นจุดสมมูลเรียกว่า indicator และจะเรียกจุดที่ indicator มีการเปลีย่ นแปลงสีว่า จุดยุติ (end
point) ส าหรับ ปฏิกิร ิย าเคมีท่ีส ามารถน ามาใช้ในการวิเคราะห์โ ดยวิธีก ารไทเทรตจะ ต้อ งเป็ นปฏิกิรยิ าที่
stoichiometric รวดเร็ว และไม่มปี ฏิกริ ยิ าข้างเคียงเกิดขึน้
ถ ด
1. เพือ่ ให้เรียนรูถ้ งึ primary, secondary standard, standardisation และวิธคี านวณ
2. ให้รเู้ ทคนิคในการใช้เครื่องชังละเอี
่ ยด ขวดวัดปริมาตร (volumetric flask) ปิ เปต (pipette) และ
วิธกี ารไทเทรต
Page 44 of 124
ด
Page 45 of 124
่2 ฐ NaOH Standardisation ด้ KHP
2.1 ฐ NaOH
ทาการเตรียมสารละลาย NaOH เข้มข้น 0.1 M ปริมาตร 300 mL โดยการนา NaOH pallet
มาละลายด้วยน้ากลันในบี
่ กเกอร์ เก็บสารละลาย 0.1 M NaOH ทีเ่ ตรียมได้ในขวดพลาสติก (polyethylene)
** ** HCl NaOH ่ จ ่1 2จ ้ ไ ใ ้ ใ ่3
Page 46 of 124
่3 ไ ด - ใ ้ ด
3.1 Phenolphthalein Indicator
ปิ เปตสารละลาย 0.1 M HCl ที่เตรียมไว้ ปริม าตร 10 mL ลงใน Erlenmeyer flask ขนาด
125 mL เติม phenolphthalein indicator 2 - 3 หยด แล้วทาการไทเทรตด้วยสารละลาย NaOH (บรรจุอยู่ใน
บิวเรต) จนถึงจุดยุติ จดปริมาตร NaOH ทีใ่ ช้ ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้ แล้วหาปริมาตรเฉลีย่ ของ NaOH ที่
ใช้
ปิ เปตสารละลาย 0.1 M HCl ที่เตรียมไว้ ปริม าตร 10 mL ลงใน Erlenmeyer flask ขนาด
125 mL เติม methyl orange indicator 2 - 3 หยด แล้วทาการไทเทรตด้วยสารละลาย NaOH (บรรจุอยู่ในบิว
เรต) จนถึงจุดยุติ จดปริมาตร NaOH ทีใ่ ช้ ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้ แล้วหาปริมาตรเฉลีย่ ของ NaOH ทีใ่ ช้
1. ในการไทเทรต HCl ด้ว ย NaOH นั น้ indicator ที่เหมาะสมส าหรับ การบอกจุ ด ยุ ติคือ indicator ชนิ ด ใด
เพราะเหตุใด
Reference:
D.A. Skoog, D.M. West, F.J. Holler and S.R. Crouch, Analytical Chemistry: An Introduction, 7th ed.
Chapters 12 and 13, pp. 265-324.
Page 47 of 124
ผ ด ่3
่1 ฐ HCl Standardisation
1.1 ฐ HCl 300 mL
กาหนดให้: conc. HCl คือ HCl เข้มข้น 37% w/w density = 1.169 kg/L HCl mw = 36.46 g/mol
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 48 of 124
การคานวณ (แสดงการคานวณให้ดู 1 ตัวอย่าง)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
่2 ฐ NaOH Standardisation
2.1 ฐ NaOH 300 mL
ดใ ้: NaOH mw = 39.9971 g/mol density (solid) = 2.1 kg/L solubility 111g/100 mL (20 C)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
2.2 ฐ NaOH
Page 49 of 124
การคานวณ (แสดงการคานวณให้ดู 1 ตัวอย่าง)
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
่3 ไ ด - ใ ้ ด
อินดิเคเตอร์ ปริมาตรสารละลาย (mL) ครัง้ ที่ 1 ครัง้ ที่ 2 ครัง้ ที่ 3 เฉลีย่
Phenolphthalein สารละลาย HCl
สารละลาย NaOH
Methyl Orange สารละลาย HCl
สารละลาย NaOH
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 50 of 124
ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 51 of 124
ด ่4
1. Mohr’s method
เป็ น Argentometric method ที่เก่า แก่ท่ีสุ ด ใน 3 วิธี เป็ นการไทเทรตแบบ direct titration
โดยมี chromate (CrO42-) เป็ น indicator ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ คือ
2. Volhard’s method
Page 52 of 124
3. Fajan’s method
ถ ด
Page 53 of 124
ด
1.1 ชัง่ AgNO3 (M.W. 169.87) หนั ก .................... g ละลายด้ ว ยน้ า กลัน่ ให้ ไ ด้
ปริมาตรประมาณ 500 mL เก็บสารละลายในขวดสีชา (หรือเก็บเข้าในตู้ เพือ่ เลีย่ งการสัมผัสกับแสง)
1.2 เตรียมสารละลายมาตรฐาน NaCl ซึ่งเตรียมได้จากการชัง่ NaCl 0.1xxx g ลงใน บีกเกอร์
100 mL โดยใช้เครื่องชังละเอี
่ ยดทีม่ ีทศนิยม 4 ตาแหน่ ง (บันทึกน้ าหนักละเอียดถึงทศนิยม 4 ตาแหน่ ง) เติม
น้ ากลันเพื
่ ่อให้ NaCl ละลาย แล้ว ถ่ายสารละลายที่ได้ลงใน volumetric flask ขนาด 100.00 mL ใช้น้ ากลัน่
กลัว้ สารละลายทีต่ ดิ ค้างในบีกเกอร์และแท่งแก้วลงใน volumetric flask ให้หมด จากนัน้ ปรับปริมาตรด้วยน้ า
กลันจนถึ
่ งขีดกาหนดปริมาตร
1.3 การ Standardisation AgNO3 ท าโดยปิ เปตสารละลายมาตรฐาน NaCl (จากข้อ 1.2) มา
10.00 mL ใส่ใน Erlenmeyer flask ขนาด 125 mL เติม indicator (5% K2CrO4) 1 mL แล้ว ทาการไทเทรต
ด้วยสารละลาย AgNO3 จนได้ตะกอนสีแดงอิฐของ Ag2CrO4 บันทึกปริมาตร AgNO3 ทีใ่ ช้ในการไทเทรตจน
เห็นจุดยุติ
1.4 ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้
1.5 ทา Blank โดยใช้น้ากลันแทน ่ NaCl บันทึกปริมาตร AgNO3 ทีใ่ ช้ในการไทเทรตจนเห็นจุดยุติ
1.6 ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้
1.7 คานวณความเข้มข้นทีแ่ น่นอนของ AgNO3
: AgNO3 ฤ ์ ด ผ ถ ผ
2.1 ชัง่ KSCN (M.W. 97.184) หนัก ประมาณ .................... g ละลายด้วยน้ ากลัน่ ให้ได้ป ริม าตร
ประมาณ 300 mL
2.2 การ Standardisation ของสารละลายมาตรฐาน KSCN สามารถท าได้โ ดยน ามาไทเทรตกับ
สารละลายมาตรฐาน AgNO3 โดยปิ เปตสารละลายมาตรฐาน AgNO3 10.00 mL ใส่ Erlenmeyer flask ขนาด
250 mL เติม HNO3 ความเข้มข้น 6 M ปริมาตร 1 mL และ ferric alum indicator 1 mL แล้วทาการไทเทรต
Page 54 of 124
ด้วยสารละลาย KSCN จนได้สารละลายที่มสี นี ้ าตาลอ่อน โดยจุดยุ ติสามารถสังเกตได้เมื่อทาการเขย่าแล้ว
สีน้าตาลอ่อนทีไ่ ด้ไม่มกี ารเปลีย่ นแปลง
2.3 ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้
2.4 คานวณความเข้มข้นทีแ่ น่นอนของ KSCN
3.1 ปิ เปตสารละลายตัวอย่างน้ าปลามา 1.00 mL ใส่ใน beaker ขนาด 100 mL เติมน้ ากลันประมาณ
่
10-20 mL เช็ค ค่ า pH ของสารละลายแล้ว ท าการปรับ pH ของสารละลายให้ เป็ นกลาง (pH = 7) โดยใช้
NaHCO3 0.5 M หรือ HNO3 0.5 M เมือ่ สารละลายเป็ นกลางแล้ว ถ่ายสารละลายลงใน volumetric flask ขนาด
100.00 mL ใช้น้ ากลันกลั่ ว้ สารละลายตัวอย่างทีต่ ดิ ค้างในบีกเกอร์และแท่งแก้วลงใน volumetric flask ให้หมด
จากนัน้ ปรับปริมาตรด้วยน้ ากลันจนถึ
่ งขีดกาหนดปริมาตร วัด pH ของสารละลายตัวอย่างทีเ่ จือจางแล้วด้วย
pH paper
** เก็บสารละลายตัวอย่างนี้ไว้ใช้ในการทดลองตอนที่ 4 ด้วย**
3.2 ปิ เปตสารละลายทีเ่ ตรียมได้จากข้อ 3.1 มา 10.00 mL ใส่ใน Erlenmeyer flask ขนาด 125 mL
เติม indicator (5% K2CrO4) ลงไป 1 mL แล้วทาการไทเทรตกับสารละลายมาตรฐาน AgNO3 จนได้ตะกอนสี
แดงอิฐของ Ag2CrO4 บันทึกปริมาตร AgNO3 ทีใ่ ช้
3.3 ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้
3.4 คานวณหาปริมาณคลอไรด์ในตัวอย่างด้วยหน่วยร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร (%w/v) และรายงาน
ยีห่ อ้ น้าปลาทีท่ าการไทเทรต พร้อมระบุปริมาณทีฉ่ ลากมาด้วย
Page 55 of 124
: nitrobenzene เป็ นสารก่อมะเร็งทีม่ กี ลิน่ เหม็นมาก ดังนัน้ ห้ามเติมทิง้ ไว้เด็ดขาดให้เติมเมื่อจะ
ทาการไทเทรตต่อแล้วเท่ านัน้ เมื่อทาการไทเทรตเสร็จให้นาไปทิ้งในขวดทิ้งสารทันที และ ห้ามนาบีกเกอร์
บรรจุ nitrobenzene ออกนอกตูด้ ดู ควัน
Page 56 of 124
ด ่5
่ ไ ซ้
EDTA เป็ นกรดทีไ่ ม่คอ่ ยละลายน้า ดังนัน้ เราจึงใช้เกลือโซเดียมของ EDTA ซึง่ ละลายน้าได้ดี
และราคาถูกกว่า ในการเตรียมสารละลายมาตรฐาน EDTA
Page 57 of 124
pH EDTA
H + H 3Y −
H 4Y H+ + H 3Y − K1 = 1.0 10 −2 =
H 4Y
H + H 2Y 2−
H 3Y − H+ + H 2Y 2− K2 = 2.2 10 −3 =
H 3Y −
2− + 3− −7 H + HY 3−
H 2Y H + HY K3 = 6.9 10 =
H 2Y 2−
H + Y 4−
HY 3− H+ + Y 4− K4 = 5.5 10 −11 =
HY 3−
Page 58 of 124
รูปที่ 5.2 การเกิดสารเชิงซ้อนของ Metal-EDTA complex
โดยทัวไปปฏิ
่ กริ ยิ าการเกิด metal-EDTA complex สามารถเขียนได้ดงั นี้
pH ่
ถ้าดูจากค่า Kf จะเห็นว่า complex ของ EDTA มีคา่ Kf สูงมาก ซึง่ แสดงว่า complex เกิดขึน้
ได้ดี แต่อนั ทีจ่ ริง ค่า Kf ในตารางนัน้ เป็ นค่า kf ของปฏิกริยา
Page 59 of 124
สมมติว่าเราเติม EDTA หรือ EDTA –Na salt ลงไปในสารละลาย Mg2+ ในปริมาณคิดเป็ นความ
เข้มข้นเท่ากับ [Y*] ซึง่ EDTA จะแตกตัวเกิด species ต่าง ๆ คือ Y4- , HY3- , H2Y2- , H3Y- และ H4Y
ขึน้ กับ pH ของสารละลาย (ดูรปู ที่ 4.1 ประกอบ)
-
Y* = Y4- + HY3-
H2Y2- + H3Y + H4Y +
2 4- + 3
= Y4- + H+ Y4- + H+ Y H+ Y4- + H+ 4 Y4-
K4 K4K3 K4K3K2 K4K3K2K1
2 3 4
= Y4- 1 + H+ + H+ + H+ + H+
K4 K4K3 K4K3K2 K4K3K2K1
= Y4- Q
เมือ่ Q แทนค่าในวงเล็บข้างต้น
Kf = [MgY2-] = [MgY2-]
[Mg2+][Y4-] [Mg2+][Y*]/Q
Kf = K’f = [MgY2-]
Q [Mg2+][Y*]
pH = 2 Q = 2.5 x 108 Kf = 2
Page 60 of 124
Mn+ + H2Y2- MYn-4 + 2H+
จะเห็นว่าถ้าเราให้ EDTA ทาปฏิกริ ยิ ากับ Mn+ จะเกิด H+ ขึน้ เรือ่ ย ๆ เมือ่ การไทเทรตดาเนินไป
จะทาให้ pH ของสารละลายลดลงเรือ่ ย ๆ ถ้าลดลงมากก็จะมีผลทาให้ effective formation constant ลดลง
ดังกล่าวข้างต้น เราจึงต้องรักษา pH ให้คงทีโ่ ดยเติม buffer solution เช่นการเติม ammonia-ammonium
salt buffer solution เพือ่ ควบคุม pH ให้เท่ากับ 10 (การเติม ammonium salt buffer นอกจากจะปรับ
pH แล้ว NH3 ยังทาหน้าทีป่ ้ องกันไม่ให้ metal ตกตะกอนอีกด้วย เช่น Cd2+ , Cu2+ , Ni2+ , และ Zn2+ จะ
ตกตะกอนได้ ไฮดรอกไซด์ท่ี pH > 7 แต่ถา้ เติม NH3 ลงไปจะไม่เกินตะกอน เพราะเกิดเป็ น ammonia
complex ซีง่ complex นี้มคี วามเสถียรน้อยกว่า EDTA complex จึงยังคงสามารถไทเทรต complex นี้
ด้วย EDTA ได้)
Titration curve
ถ้าเราเขียนกราฟระหว่าง pM (หรือ – log [Mn+]) กับปริมาณของ titrant (EDTA) ทีจ่ ะเห็นว่ามี
จุด reflexion เกิดทีจ่ ุด equivalence point ดังภาพข้างล่าง
Page 61 of 124
จาก titiration curve เราจะทราบว่า equivalence point อยู่ท่ี pM เท่าไร หรือเราอาจจะคานวณ
pM ที่ end point ได้ เช่น ในการไทเทรตสารละลาย Mg2+ ความเข้มข้นประมาณ 0.1 M ด้วย 0.1 M
EDTA ที่ pH 10 ทีจ่ ุด end point
[Mg2+] = [Y*]
Mg 2+ = 1.7 10 −5 M
pMg = 4.77
นันคื
่ อ end point , pMg มีค่า 4.77 (เมือ่ pH = 10)
Indicator
ใน acid – base titration เราจะใช้ pH indicator เพือ่ ชี้ end point แต่ใน complexometric
titration จะเห็นได้จากไทเทรชันเคิ
่ ฟว่าทีจ่ ุด end point pM จะเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว เราจึงใช้ metal-
ion sensitive indicator หรือเรียกสัน้ ๆ ว่า metal indicator
metal indicator จะทาปฏิกริ ยิ ากับ metal ion ให้ complex ทีม่ สี ตี ่างไปจากเมือ่ เป็ น free indicator ทา
ให้ metal indicator ชีจ้ ุด end point ได้ ตัวอย่างเช่น Eriochrome Black T
(H2In-)
Eriochrome Black T
Page 62 of 124
เมือ่ เขียนแทน Eriochrome Black T ด้วย H2In- ที่ pH ต่างๆ จะมีการแตกตัวดังนี้
pH < 6 pH 7 - 11 pH > 11
น้าเงิน แดง
MgIn- จะเกิด ขึ้น ดีห รือ ไม่ ข้นึ กับ ปริม าณของ Mg2+ , H+ และ HIn2- กราฟข้า งล่ า งนี้ แ สดง
ความสัมพันธ์ของ pMg และ pH ต่อการเกิดของ MgIn-
pMg
pH
Page 63 of 124
ภ ไ ด้ EDTA
Page 64 of 124
ด ่ 5.1
ถ ด
1. เพือ่ เตรียม primary std. EDTA และ secondary std. Mg2+ solution
2. เพือ่ เรียนรูถ้ งึ หลักการของการไทเทรตด้วย EDTA ความสาคัญของ pH และ indicator
ชัง่ Na2H2Y2·2H2O (M.W. 372.24) ทีผ่ ่านการอบที่ 80oC เป็ นเวลาอย่างน้อย 2 ชัวโมง
่ โดย
ใช้เครือ่ งชังละเอี
่ ยดทีม่ ที ศนิยม 4 ตาแหน่ ง หนัก 2.5xxx g ในบีกเกอร์ (บันทึกน้ าหนักละเอียด) ละลายด้วยน้ า
กลัน่ ถ่ายสารละลายลงใน volumetric flask แล้วใช้น้ ากลันกลั ่ ว้ สารละลายทีต่ ดิ ค้างในบีกเกอร์และแท่งแก้วลง
ใน volumetric flask ขนาด 250.00 mL ให้หมด จากนัน้ ปรับ ปริมาตรด้วยน้ ากลันจนถึ ่ งขีดกาหนดปริมาตร
คานวณความเข้มข้นทีแ่ น่นอนของสารละลาย EDTA
Page 65 of 124
้
**ห้ ำมนำ NH4Cl buffer solution มำไว้ทีโ่ ต๊ะปฏิ บตั ิ กำร หำกต้ องกำรใช้ ให้ ไปเอำที ต่ ู้ดูด
ควัน
***เมือ่ เติ มสำรละลำย NH4Cl buffer solution และ indicator แล้วจะต้ องทำกำรไทเทรต
ทันที เพือ่ ป้ องกัน NH3 ระเหยไป***
3. ด พ่ ดผ ่ pH
3.1 ขวดใบที่ 1: ปิ เปตสารละลาย Mg2+ (ทีเ่ ตรียมจากข้อ 2) ลงไป 10.00 mL เติมน้ ากลัน่ 2
mL ลงไป แล้วทาการทดลองตามข้อ 2.3 ถึง 2.5 (เมือ่ เสร็จสิน้ การไทเทรต ให้ทาการวัด pH ของสารละลายใน
ขวดรูปชมพูใ่ บที่ 1 นี้ดว้ ยกระดาษวัด pH อีกครัง้ พร้อมบันทึกผลลงในรายงาน)
3.2 ขวดใบที่ 2: ปิ เปตสารละลาย Mg2+ (ทีเ่ ตรียมจากข้อ 2) ลงไป 10.00 mL เติมน้ ากลัน่ 2
mL ลงไป แล้วหยด 0.5 M HCl ลงไป 1-2 หยด ทาการทดลองตามข้อ 2.3 ถึง 2.5
3.3 ขวดใบที่ 3: ปิ เปตสารละลาย Mg2+ (ทีเ่ ตรียมจากข้อ 2) ลงไป 10.00 mL ตวงน้ ากลัน่ 2
mL ลงไป แล้วหยด 0.5 M NaOH ลงไป 1-2 หยด ทาการทดลองตามข้อ 2.3 ถึง 2.5
Page 66 of 124
ด ่ 5.2
่ Ca ด้ substitution titration
Ca ด ใ ้ Eriochrome BT ็ indicator
ถ ด
1. ็ % Ca ใ ด้ Substitution Titration
Page 67 of 124
- ทาการไทเทรต ด้วยสารละลายมาตรฐาน EDTA จนสารละลายเปลีย่ นสี จากสีแดงเป็ น
น้าเงิน
- ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้ นาผลทีไ่ ด้มาคานวณหาปริมาณ Ca ในตัวอย่างเป็ น % w/w
2. ็ % Ca ใ ด้ Direct titration
้ !!!
ถ้าสารละลาย EDTA เหลือ < 60 mL ให้เตรียมเพิม่ โดยการชัง่ EDTA มา 1.2xxx กรัม (ด้วยเครือ่ ง
ชังละเอี
่ ยด 4 ตาแหน่ ง) แล้วทาให้เป็ น สารละลายปริม าตร 100 mL คานวณความเข้มข้น ที่แน่ น อนและใช้
สาหรับการทดลองที่ 4.3 และ 4.4 ต่อไป (ใช้แทนสารละลาย EDTA เดิม)
Page 68 of 124
ด ่ 5.3
เมื่ อ ท าการไทเทรตของผสมของ Mg2+ และ Zn2+ ด้ ว ย EDTA ที่ pH 10 โดยใช้ Erio BT เป็ น
indicator จะสามารถหาปริมาณของ Mg2+ + Zn2+ ได้ และเมื่อเติม KCN ลงไปหลังการไทเทรต Zn2+ จะทา
ปฏิกริ ยิ ากับ CN- ได้สารประกอบเชิงซ้อน Zn-CN complex ทีเ่ สถียรกว่า Zn-EDTA complex ทาให้ม ี EDTA
อิสระเกิดขึน้ และเมือ่ ทาการไทเทรตหาปริมาณ EDTA อิสระด้วยสารละลายมาตรฐาน Mg2+ จะทาให้สามารถ
หาปริมาณของ Zn2+ ได้
ถ ด
1. การทีเ่ ราสามารถหาปริมาณของ Zn2+ โดยวิธขี า้ งต้นได้ เนื่องจาก Zn2+ มีคุณสมบัตทิ ส่ี าคัญอย่างไร
บ้าง
2. วิธกี ารทดลองนี้สามารถนาไปใช้หาปริมาณของโลหะอิออนตัวอืน่ ได้หรือไม่ เช่น Ca2+, Fe2+ และ Cu2+
Page 69 of 124
ด ่ 5.4
่ Ca + Mg ใ ้
Ca Mg ใ ้
ถ ด
เพือ่ นาวิธี EDTA-titration ไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์น้านม
ด
1. ปิ เปตตัวอย่างน้านมมา 5.00 mL ลงใน Erlenmeryer flask ขนาด 125 หรือ 250 mL
2. เติมสารละลายมาตรฐาน EDTA จากบิวเรต ปริมาตร 10.00 mL เขย่าให้ผสมกันดีแล้วเติม
NH4Cl buffer solution pH 10 ลงไป 20 mL ด้วยกระบอกตวง และ Erio BT 3-4 หยด สีข องสารละลายจะ
เปลีย่ นจากขาวของน้านมเป็ นน้าเงินอ่อน
3. ทาการไทเทรต ด้วยสารละลายมาตรฐาน Mg2+ จนกว่าสีจะเปลีย่ นจากน้าเงินเป็ นสีม่วง
4. ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้
5. ทา blank titration โดยการใช้น้ากลันแทนน
่ ้านม (ทาการทดลองซ้าอีก 2 ครัง้ )
6. คานวณหาปริมาณของ Ca + Mg ในน้านม เทียบกับฉลากระบุของกล่องนม
***เมือ่ เติ มสำรละลำย NH4Cl buffer solution และ indicator แล้วจะต้ องทำกำรไทเทรต
ทันที เพือ่ ป้ องกัน NH3 ระเหยไป***
Page 70 of 124
ด ่6
่ ไ Iodimetry Iodometry
I2(s) + 2 e 2 I- Eo = 0.54 V
I2(aq) + I- I3-
I3 - + 2 e 3 I-
SnCl2 , H2SO3 , H2S , Na2S2O3 เป็ นสารรีดวิ ซิงทีแ่ รง ทาปฏิกริ ยิ ากับ I2 ได้แม้ในสารละลายกรด
(ดูปฏิกริ ยิ าเคมีขา้ งล่าง)
As3+, Sb3+ ซึ่งเป็ นสารรีดวิ ซ์ท่อี ่อน จะทาปฏิกริ ยิ ากับกรด I2 ได้ดกี ต็ ่อเมื่ออยู่ในสารละลายเป็ น
กลางหรือเป็ นกรดเล็กน้อย
Page 71 of 124
ดังตัวอย่างปฏิกริ ยิ าข้างล่าง
H2 S + I2 S + 2 H+ + 2 I- ------(3)
ดังนัน้ สารตัวแรกในปฏิกริ ยิ าตัวอย่างที่ (1) – (5) ซึง่ เป็ นสารรีดวิ ซ์ จึงใช้วธิ ี Iodimetry เพือ่ วิเคราะห์
ปริมาณได้
IO3- + 6 H+ + 5 I- 3 I2 + H2 O -------(10)
I2 + 2 Na2S2O3 2 I- + S4O62-
Page 72 of 124
ที่ pH ต่ากว่า 8 ค่า reduction potential ของ I2 I- จะไม่เปลี่ยนแปลงตาม pH แต่ถ้า
pH สูงกว่า 8 I2 จะทาปฏิกริ ยิ ากับ OH- ดังสมการ
I2 + OH- I- + IO- + H 2O
3 IO- 2 I- + IO3-
I- + O2 + 4 H+ 2 I2 + 2 H2O
Indicator
อัน ที่จ ริงแล้ว สารละลายไอโอดีน สามารถทาหน้ าที่เป็ น self indicator ได้เนื่ องจาก สารละลาย
ไอโอดีนเข้มข้น 0.1 M แม้เพียงหยดเดียวในสารละลาย 100 ml ก็จะยังให้สเี หลืองอ่อนของไอโอดีน ดังนัน้
ถ้าสารละลายที่ถูกไทเทรตไม่ม ีส ี เราก็สามารถใช้สขี องไอโอดีน ที่ไทเทรตเป็ น ตัวชี้จุด end point ได้ แต่
อย่างไรก็ต าม ปกตินิ ย มใช้น้ าแป้ งเป็ น indicator เพราะสามารถชี้จุด end point ได้ชดั เจนกว่ า แป้ งจะท า
ปฏิกริ ยิ ากับไอโอดีนในสารละลายไอโอไดด์ให้ complex สีน้าเงินเข้ม แม้จะมีไอโอดีนเพียง 2 x 10-5 M และ
ไอโอไดด์ม ากกว่า 4 x 10-4 M ที่ 20 oC ก็จะยังเห็น สีน้ าเงิน complex ได้แ ต่ sensitivity จะลดลงเมื่อ
อุณหภูมสิ งู ขึน้ หรือถ้าเติม solvent อื่น ๆ เช่น EtOH ลงไป และน้าแป้ งไม่สามารถนามาใช้ในสารละลายกรด
แก่ เพราะจะเกิดปฏิกริ ยิ า Hydrolysis ของแป้ งขึน้ น้ าแป้ งยังมีขอ้ เสียอื่น ๆ คือ ละลายน้ าได้ยากมาก น้ า
แป้ งทีเ่ ตรียมได้มกั ไม่อยูต่ วั complex ของแป้ งกับไอโอดีนไม่ละลายน้า ทาให้จาเป็ นต้องเติมน้าแป้ ง เมือ่ การ
ไทเทรตใกล้ ๆ ถึง end point แล้ว (ในกรณีการไทเทรตหาไอโอดีน) โดยดูจากสีของไอโอดีนทีจ่ างลงเมื่อ
ใกล้ end point
Page 73 of 124
จากข้อเสียของน้าแป้ งในการปฏิบตั จิ งึ ใช้ sodium starch glycollate แทน เพราะละลายได้ในน้ าอุ่น
และเก็บไว้ใช้ได้นานหลายเดือน complex ทีเ่ กิดขึน้ ละลายน้ าได้ สีของ indicator จะเปลีย่ นจากสีเขียวอ่อน
เป็ นสีน้าเงินเข้มทีจ่ ุด end point
indicator
กรณี ใช้ sodium starch glycollate ให้ผสมสารนี้ 5 g ลงไป EtOH 1-2 ml แล้ว เติม น้ าเย็น
100 ml ต้มให้รอ้ นจนเดือด 2-3 นาที พร้อมกับคนไปด้วยจะได้ส ารละลายสีเขียวอ่อน นาไป เจือจางเป็ น
สารละลาย 1% เวลาใช้ให้เติม indicator เข้มข้น 1 % นี้ 1 ml ต่อสารละลายทีถ่ กู ไทเทรต 100 ml
Page 74 of 124
ด ่ 6.1
่ Na2S2O3, I2 Standardization
S2O32- + H+ HSO3- + S
ซึง่ สามารถแก้ไขได้โดยการใช้น้าต้ม (เพือ่ ไล่ CO2) เติม CHCl3 ลงไปในสารละลายทีเ่ ตรียม 2-3 หยด
และเก็บสารละลายนี้ในทีม่ ดื
ถ ด
1. ชัง่ Na2S2O3 (M.W. 158.18) หนักประมาณ 1.5 – 1.7 g (เครือ่ งชัง่ 2 ตาแหน่ ง) ทาให้เป็ นสารละลาย
ปริมาตร 400 mL ด้วยน้ากลัน่ ในบีกเกอร์ขนาด 500 mL เก็บสารละลายไว้ในทีม่ ดื
2. ชัง่ KIO3 มา 0.08xx g (เครื่องชังละเอี
่ ยดและบันทึกน้ าหนักด้วยทศนิยม 4 ตาแหน่ ง) ละลายน้ ากลัน่
แล้วปรับปริมาตรเป็ น 100.00 mL ใน volumetric flask
3. ปิ เปตสารละลาย KIO3 ที่เตรียมได้มา 10.00 mL ใส่ใน Erlenmeyer flask ขนาด 125 หรือ 250 mL
แล้วเติม 10% KI ลงไป 10 mL และ H2SO4 ความเข้มข้น 1 M ปริมาตร 5 mL ไ I2 ่ ได้ โดย
ใช้ Na2S2O3 ทีเ่ ตรียมไว้ (บรรจุในบิวเรต) เมื่อสีของไอโอดีนจางลงมาก (เปลีย่ นจากสีน้ าตาลเป็ นเหลืองอ่อน)
จึงเติมน้าแป้ งลงไป 2 mL แล้วทาการไทเทรตต่อไปจนไม่มสี ี
Page 75 of 124
** ** ใ ้ 3 ไ พ้ จไ พ่ 1 M H2SO4 ไ
Erelenmeyer flask ใ ไ พ่ ด ไ I2 **
้ ้ Na2S2O3
1. ชังผลึ
่ ก I2 (M.W. 253.809) หนักประมาณ ...................... g (ด้วยเครื่องชัง่ 2 ตาแหน่ ง ห้ามใช้
เครือ่ งชังละเอี
่ ยด เนื่องจาก I2 เป็ นของแข็งทีร่ ะเหิดได้สามารถรวมตัวกับความชืน้ เกิดเป็ น HI จะทาให้เครือ่ งชัง่
เสียได้)
2. เติมสารละลาย KI เข้มข้น 10% ประมาณ 8-10 mL ลงไปบนผลึก I2 อย่างช้า ๆ พร้อมกับคนให้ I2
ละลายหมด (ถ้า I2 ยังไม่ละลาย ให้เติมสารละลาย KI เพิม่ อีกประมาณ 1-2 mL เพือ่ ละลายให้มากทีส่ ดุ ) แล้วจึง
เติมน้ ากลันลงไปภายหลั
่ งจนได้ปริมาตรสุทธิ 300 mL ในบีกเกอร์ แล้วเทเฉพาะสารละลายเก็บลงในขวดสีชา
แล้วปิ ดฝา (**ห้ามเทผลึก I2 ทีไ่ ม่ละลายลงไป ผลึก I2 ทีเ่ หลือให้ทง้ิ ในขวดทิง้ I2**)
3. ปิ เปตสารละลาย I2 ทีเ่ ตรียมได้ 25.00 mL ทาการไทเทรตด้วยสารละลาย Na2S2O3 (บรรจุอยูใ่ นบิว
เรต) โดยเมือ่ สีของ I2 จางลงเป็ นสีเหลืองอ่อน ๆ จึงเติมน้าแป้ งลงไป 2 mL แล้วทาการไทเทรตต่อจนถึงจุดยุติ
** ไ ้ 3ไ flask **
4. ทาการทดลองซ้า 2 ครัง้ แล้วคานวณหาความเข้มข้นทีแ่ น่นอนของสารละลาย I2 ในหน่วย Molarity
Page 76 of 124
ด ่ 6.2
่ ซ
ซึ่ ง ปฏิ กิร ิย าที่ เกิด ขึ้น นี้ ด าเนิ น ไปอย่ า งรวดเร็ว และ Stoichiometric ดัง นั ้น จึง ท าให้ ส ามารถใช้
สารละลายมาตรฐานไอโอดีนในการไทเทรตเพือ่ หาปริมาณของ Ascorbic acid ได้
ถ ด
1. ชังวิ
่ ตามินซี 2 เม็ดในบีกเกอร์บนเครือ่ งชังละเอี
่ ยด (บันทึกน้าหนักรวมกันด้วยทศนิยม 4 ตาแหน่ง)
- หากตัวอย่างวิตามินซีทน่ี ามาระบุปริมาณวิตามินซีมากกว่า 200 mg ให้ชงเพี
ั ่ ยง 1
เม็ดสาหรับทาการทดลอง และทาตามคาแนะนาเพิม่ เติมจากอาจารย์ผคู้ มุ ปฏิบตั กิ าร
Page 77 of 124
2. เติมน้ ากลันประมาณ
่ 20 mL เพื่อแช่ให้เม็ดวิตามินละลาย แล้วเทสารละลายวิตามินซีผ่านกระดาษ
กรองเบอร์ 1 ลงใน volumetric flask ขนาด 100.00 mL หรือ 250.00 mL เพื่อแยกแป้ งในเม็ดวิตามินซีออก
จากสารละลาย (อย่าลืม “ ” วิตามินซีบางส่วนทีต่ ดิ ค้างอยู่บนกระดาษกรองด้วยน้ ากลันลงใน
่ volumetric
flask ด้วย) จากนัน้ ปรับปริมาตรสารละลายวิตามินซีให้เป็ น 100.00 mL ใน volumetric flask
** ดษ ด ่ใ ***
3. ปิ เปตสารละลายวิตามินซี 25.00 mL ใส่ใน Erlenmeyer flask ขนาด 125 หรือ 250 mL
4. เติมสารละลายกรด H2SO4 ความเข้มข้น 1 M ปริมาตร 25 mL
5. เติมน้าแป้ ง 2 mL
6. ทาการไทเทรต ด้วยสารละลายมาตรฐาน I2 ความเข้มข้น 0.01 M จนถึงจุดยุติ (สีน้าเงิน)
7. ทาการทดลองตัง้ แต่ขอ้ 3-6 ซ้าอีก 2 ครัง้ แล้วคานวณหาปริมาณของ ascorbic acid ในวิตามินซี 1
เม็ด
Page 78 of 124
ด ่7
ใ ด ็ ด- – pH meter
ด ด ็ ด-
pH = - log(aH)
ซึง่ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่าความเข้มข้นดังนี้
+
aH = H.[H ]
Page 79 of 124
pH = - log[H+]
(ก) (ข)
Page 80 of 124
** ใ ้ ่ ดพ **
1. การวัด pH ให้ถูกต้อง จาเป็ นต้องมีการปรับเทียบ (Calibration) electrode กับสารละลายมาตรฐาน
บัฟเฟอร์ ซึ่งควรปรับเทียบบัฟเฟอร์อย่างน้อย 2 จุด และบัฟเฟอร์ทใ่ี ช้ควรมี pH ครอบคลุมช่วงตัวอย่างทีจ่ ะ
วิเคราะห์ จะยิง่ ได้ค่าที่แม่นยาขึ้น เช่น บัฟ เฟอร์ pH 4-7 สาหรับตัวอย่างที่เป็ นกรด หรือ บัฟ เฟอร์ pH 7-9
สาหรับตัวอย่างทีเ่ ป็ นเบส
2. สารละลายมาตรฐานบัฟเฟอร์ทใ่ี ช้ปรับเทียบ และสารละลายตัวอย่าง ควรมีอณ ุ หภูมเิ ท่ากัน
** ้ ด ษ **
- ้ ขัดถูหรือใช้น้ิวสัมผัสบริเวณขัว้ กระเปาะแก้วของ electrode เด็ดขาด
- เมื่อไม่ได้ใช้งาน electrode ชัวคราว
่ ให้จุ่มไว้ในน้ าประปาหรือสารละลายบัฟเฟอร์ pH 7.00 ให้ท่วม
ปลายกระเปาะแก้ว ไม่ควรทิง้ ให้แห้งและไม่ควรจุ่มในน้ากลัน่
- เมื่อเสร็จสิ้นการทางาน ต้องล้างปลายกระเปาะแก้วของ electrode ด้วยน้ ากลัน่ แล้วใช้กระดาษทิชชู
ซับน้าบริเวณผิวขัว้ แก้วเบา ๆ และเก็บใน storage solution
ใ ้ ่ pH meter
Page 81 of 124
Metrohm 827
1. กด power on
2. กด CAL
3. จุ่ม electrode ใน buffer pH 7.00 แล้วกด OK
4. กด OK อีกครัง้
5. ล้าง electrode ด้วยน้ากลัน่ แล้วใช้กระดาษชาระ ซ น้ า
บริเวณผิว electrode แล้ว จุ่ ม electrode ลงใน buffer pH
4.01 แล้วกด OK
6. กด OK อีกครัง้ จะปรากฏค่า slope ทีห่ น้าจอ
7. กด OK, พร้อมใช้งานได้ทนั ที
Consort 860
1. กด power on
2. กด MODE เลือกไปที่ [pH] จากนัน้ กด CAL
3. กด CAL อีกครัง้ เลือกบัฟเฟอร์ pH ทีต่ อ้ งการ standardize เช่น pH 7.00
4. กดปุ่ม CAL อีกครัง้ แล้วปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนทีป่ รากฏบนหน้าจอ คือ ล้าง electrode ด้วยน้ ากลัน่
แล้วใช้กระดาษชาระ ซ น้า บริเวณผิว electrode แล้วจุ่ม electrode ลงในบัฟเฟอร์ pH 7.00
5. กด CAL จะปรากฏค่า pH บนหน้าจอ รอจนกว่าเครือ่ งจะสังให้ ่ เปลีย่ นเป็ นบัฟเฟอร์ตวั ถัดไป
6. กดปุ่ม CAL อีกครัง้ แล้วปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนทีป่ รากฏบนหน้าจอ คือ ล้าง electrode ด้วยน้ ากลัน่
แล้วใช้กระดาษชาระ ซ น้า บริเวณผิว electrode แล้วจุ่ม electrode ลงในบัฟเฟอร์ pH 4.01
7. กด CAL จะปรากฏค่า pH บนหน้าจอ
8. เมื่อทาการ calibrate เสร็จ เครื่องจะปรากฏคาว่า Calibration Successful ให้กดปุ่ ม CAL เพื่อ
กลับสูห่ น้าหลัก เครือ่ งจะพร้อมใช้วดั ค่า pH ในตัวอย่าง
9. ทาการล้าง electrode ด้วยน้ ากลัน่ แล้วใช้กระดาษชาระ ซ น้ าบริเวณผิว electrode ก่อนจุ่ ม
electrode ลงในสารละลายตัวอย่าง
Page 82 of 124
ด ่ 7.1
่ ด ็ ด- ด pH
ถ ด
Page 83 of 124
ด ่ 7.1
่ ด ็ ด- ด pH
ถ ด
Page 83 of 124
ด ่ 7.2
่ Ionization Constant ด
Page 84 of 124
ด ่ 7.2
่ Ionization Constant ด
Page 84 of 124
้ ด
ถ
1. จงหาค่า pH ที่ equivalent point ในการไทเทรตนัน้ ตรงกับ equivalent point ในทางทฤษฎีทค่ี านวณ
ได้หรือไม่
2. End point ของการไทเทรตข้างต้นอยู่ท่ไี หนบ้าง หากไม่ม ี pH มิเตอร์ เราจะต้องใช้อนิ ดิเคเตอร์ ตัว
ไหนในการบอก end point
Page 85 of 124
ผ ด ่7
่ ใ ้ ่ ไฟฟ้ ใ ด ็ ด- – pH meter
ด ่ 7.1
ึ pH
ค่า pH จาก ค่า pH จาก
สารละลาย ชือ่ สารเคมี
pH paper pH meter
1. น้ากลัน่
2. น้าประปา
3. 0.1M HCl
4. 0.1 M CH3COOH
5. 0.1 M NaOH
6. 0.1 M Na2CO3
7. น้าอัดลมโคล่า
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 86 of 124
ด ่ 7.2
Page 87 of 124
Titration Curve
ภ ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
Page 88 of 124
ด ่8
่ ด้ ด ดด
(Colorimetric Analysis)
เมือ่ แสง visible light ไปกระทบทีว่ ตั ถุ ถ้าวัตถุนนั ้ สามารถดูดกลืนแสงได้หมด จะเห็นวัตถุนนั ้ เป็ นสีดา
แต่ถา้ วัตถุนัน้ ดูดกลืนแสงไม่หมดหรือดูดกลืนแสงเพียงบางช่วงคลื่น จะเห็นวัตถุนัน้ เป็ นสีต่างๆ เช่น ถ้าวัตถุ
ดูดกลืนแสงสีน้าเงิน จะเห็นวัตถุเป็ นสีเหลือง ถ้าวัตถุดดู กลืนแสงสีเขียว จะเห็นวัตถุเป็ นสีแดง เป็ นต้น โดยวัตถุ
ต่างชนิดกันจะมีการดูดกลืนแสงทีช่ ว่ งต่างกัน และวัตถุชนิดเดียวกันแต่ปริมาณต่างกันจะมีการดูดกลืนแสงช่ วง
เดียวกันในปริมาณทีแ่ ตกต่างกัน คุณสมบัตกิ ารดูดกลืนแสงของวัตถุ นอกจากจะใช้ในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ
ของสารแล้ว ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณได้ดว้ ย นันคื ่ อ เราสามารถใช้การสังเกตสีเพือ่ บอกว่าสาร
นัน้ คืออะไร และใช้การสังเกตความเข้มของสีเพือ่ บ่งบอกว่าสารนัน้ มีปริมาณเท่าใด ซึง่ วิธกี ารวิเคราะห์โดยการ
เปรียบเทียบสีน้ีเรียกว่า colorimetric analysis
Page 89 of 124
k คือ ค่าคงทีเ่ ฉพาะตัวของสารทีด่ ูดกลืน เรียก absorptivity (ใช้เมื่อความเข้มข้นของสารละลายไม่ใช่
หน่วยโมลาร์)
คือ ค่ า คงที่ เ ฉพาะตั ว ของสารที่ ดู ด กลื น เรีย ก Molar absorptivity (ใช้ เ มื่ อ ความเข้ ม ข้น ของ
สารละลายอยูใ่ นหน่วยโมลาร์)
** ด Colorimetry ด้ ้ ด ด **
ดังนี้
1. ่ ่ใ ้ ดด ด( max)
เตรี ย มสารละลายมาตรฐานของสารที่
ต้ อ งการตรวจวัด 1 ความเข้ ม ข้ น เพื่ อ น าไปสแกน
สเปกตรัม การดูด กลืน (ยกตัว อย่า ง รูป ที่ 8.1) โดย
ปกตินั้นจะเลือกความยาวคลื่นสูงสุด ( max)
ซึ่งเป็ น
ความยาวคลื่น ที่ส ารมีความสามารถในการดูด กลืน
แสงได้มากทีส่ ดุ
2. ้ ฟ ฐ
2.1 เตรียมสารละลายมาตรฐานที่มคี วามเข้มข้นต่างกัน จานวน 4 – 5 ความเข้มข้น และ
เตรียมสารละลายแบลงค์
2.2 เทสารละลายแบลงค์ลงในคิวเวต เพื่อนาไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ max โดยทัวไปจะ่
นิยมกดให้เครือ่ งสเปกโทรโฟโตมิเตอร์อา่ นค่าสารละลายแบลงค์เป็ นศูนย์ เพือ่ ความสะดวก
2.3 เทสารละลายมาตรฐานลงในคิวเวต เพื่อวัดค่าการดูดกลืนแสง โดยทาทีละความเข้มข้น
จากสารละลายมาตรฐานเข้มข้นต่าไปสูง
2.4 พล๊ อ ตกราฟระหว่ า งค่ า การดู ด กลืน แสง (แกน y) และความเข้ม ข้น ของสารละลาย
มาตรฐาน (แกน x) จะได้ก ราฟมาตรฐานเส้น ตรงสาหรับ ใช้เทีย บวิเคราะห์ป ริม าณสารที่ส นใจใน
สารละลายตัวอย่างได้
Page 90 of 124
่ 8.2 ตัวอย่างกราฟมาตรฐาน
3. การวัดค่าการดูดกลืนแสงของสารละลายตัวอย่าง
3.1 สารละลายตัวอย่างจะต้องเป็ นสารละลายเนื้อเดียว (เช่น ไม่มสี ารแขวนลอย ไม่มฟี อง
เป็ นต้น)
3.2 ปิ เปตสารละลายตัวอย่างลงในขวดวัดปริมาตร ปรับปริมาตรด้วยทาละลายชนิดเดียวกับ
ทีเ่ ตรียมสารละลายมาตรฐาน
3.3 เทสารละลายตัว อย่ า งลงในคิว เวต เพื่อวัด ค่ าการดูด กลืน แสง ที่ค วามยาวคลื่น และ
อุณหภูมเิ ดียวกับทีส่ ารมาตรฐาน
3.4 นาค่าการดูดกลืนแสงทีไ่ ด้ไปเทียบในกราฟมาตรฐาน ด้วยการแทนค่าการดูดกลืนแสงลง
ในค่า y ของสมการเส้น ตรงที่ได้ หรือ เทีย บจากกราฟโดยตรง เพื่อหาความเข้มข้นสารที่สนใจใน
ตัวอย่างต่อไป
Page 91 of 124
ใ ้ ่ spectrophotometer
Mapada V-1100
Mapada V-1200
** ้ ใ ใ ้ ่ spectrophotometer**
- เปิ ด power on เพือ่ warm แหล่งกาเนิดแสงก่อนใช้งานประมาณ 20 นาที เพือ่ ให้แสงมีความเข้มคงที่
- อย่าเปิ ดฝาครอบช่องใส่ตวั อย่างทิง้ ไว้ เพราะจะทาให้ detector เกิดอาการล้า (fatigue)
- ห้ามสัมผัสโดน window ภายในช่องบรรจุสารตัวอย่าง และ ระมัดระวังอย่าให้สารละลายหกอยูภ่ ายใน
Page 92 of 124
็ ด Colorimetric analysis
โดยปฏิ กิ ร ิย านี้ จ ะเกิ ด ขึ้น ได้ ดี เ มื่ อ pH ของสารละลายอยู่ ร ะหว่ า ง 3-9 โดยถ้ า ค่ า pH < 3 จะ
เกิดปฏิกริ ยิ าดังสมการที่ 2
o-phen + 2H+ H2-o-phen k=8.32x104 ----- (2)
สาหรับความยาวคลื่นสูงสุดทีใ่ ช้สาหรับติดตามวัดค่าการดูดกลืนแสงของสารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง
Fe-ophen นัน้ สามารถพิจารณาได้จากสเปกตรัมการดูดกลืน (ดังแสดงไว้ในตัวอย่างรูปที่ 8.1) ซึง่ จะเห็นได้ว่า
สารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง Fe2+ กับ o-phen (ตามสมการที่ 1) จะมีปรากฏสเปกตรัมการดูดกลืนแสงย่านวิซิ
เบิลและมีความยาวคลื่นทีเ่ กิดการดูดกลืนแสงสูงสุด ( max) ที่ 510 nm ในขณะทีส่ ารประกอบเชิงซ้อนระหว่าง
Fe3+ กับ o-phen ซึง่ ได้สารประกอบเชิงซ้อนทีไ่ ม่มสี นี นั ้ จะไม่พบสเปกตรัมการดูดกลืนแสงย่านวิซเิ บิลแต่อย่าง
ใด
Page 93 of 124
ถ ด
่1 ด พ่ ด พ pH ่ ดด (Abs.)
1.1 ปิ เปตสารละลายมาตรฐาน 5x10-4 M Fe2+ ปริมาตร 5.00 mL ลงใน volumetric flask ขนาด
50.00 mL จานวน 4 ใบ จากนัน้ เติม 10% Hydroxylamine hydrochloride ลงไป 2.0 mL และสารละลาย 10-3
M 1,10-o-phenanthroline ปริมาตร 8.0 mL
1.2 Volumetric flask ใบที่ 1 เติมสารละลาย 0.1 M H2SO4 ประมาณ 0.5-1 mL เพื่อปรับให้ได้
ค่า pH ประมาณ 2-3 (โดยใช้กระดาษวัด pH) แล้วทาการปรับปริมาตรด้วยน้ ากลัน่ ตัง้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึง
ทาการวัดค่า Abs. โดยใช้น้ากลันเป็ ่ น reference
1.3 Volumetric flask ใบที่ 2 เติม สารละลาย buffer pH 5 ปริม าตร 5 mL จากนั น้ ทาการปรับ
ปริมาตรด้วยน้ากลัน่ ตัง้ ทิง้ ไว้ 10 นาที แล้วนาไปวัดค่า Abs. ทีค่ วามยาวคลื่น 510 nm
1.4 Volumetric flask ใบที่ 3 - 4 ให้เติม 1 M NaOH ปริมาตร 2 และ 4 mL ตามลาดับ เพื่อปรับ
ให้ได้ค่า pH ประมาณ 8 และ 12 (โดยใช้กระดาษวัด pH) แล้วทาการปรับปริมาตรด้วยน้ ากลัน่ ตัง้ ทิ้งไว้ 10
นาที แล้วจึงทาการวัดค่า Abs.
1.5 เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง pH กับ Abs. โดยให้ค่า Abs. เป็ นแกนตัง้ (แกน y)
และค่า pH เป็ นแกนนอน (แกน x)
1.6 อภิปรายผลของ pH ทีม่ ตี ่อค่าการดูดกลืนแสงของสารเชิงซ้อนทีศ่ กึ ษา และอธิบายถึงสภาวะ
ทีเ่ หมาะสมของการหาปริมาณเหล็ก
Page 94 of 124
่ 1 การเตรีย มสารละลายที่ pH ต่าง ๆ เพื่อศึกษาอิทธิพ ลของ pH ต่อค่าการดูด กลืน แสงของสาร
เชิงซ้อน
ขวด volumetric flask ขนาด 50 mL
ปริมาตรสารละลาย (mL)
ขวดที่ 1 ขวดที่ 2 ขวดที่ 3 ขวดที่ 4
Buffer pH 5 - 5.0 - -
เติมน้ากลันลงไปในแต่
่ ละขวดจนถึงขีดกาหนดปริมาตร 50.00 mL ปิ ดจุก แล้วผสม
สารละลายในแต่ละขวดให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
*ใช้น้ากลันเป็
่ น blank
่2 ด พ่ ด พ ้ ้ o-phen ่ ดด
Page 95 of 124
2.4 จากกราฟทีไ่ ด้ควรใช้ปริมาณ 1,10-o-phenanthroline เท่าใดในการทดลอง ให้ใช้ความเข้มข้นของ
1,10-o-phenanthroline ที่เหมาะสมจากการทดลองนี้ ไปใช้สร้างกราฟมาตรฐานและการหาปริม าณ Fe ใน
ตัวอย่างต่อไป
เติมน้ากลันลงไปในแต่
่ ละขวดจนถึงขีดกาหนดปริมาตร 50.00 mL ปิ ดจุก แล้วผสม
สารละลายในแต่ละขวดให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
*ใช้น้ากลันเป็
่ น blank
่3 ้ ฟ ฐ (Calibration curve)
Page 96 of 124
3.6 จากผลการทดลองที่ได้ นามาเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่าง Abs กับความเข้มข้นของ
Fe2+
3.7 จากกราฟมาตรฐาน จงหาค่า molar absorptivity ของ Fe-o-phen complex
่4 Fe ใ ้
4.1 ปิ เปตตัวอย่างน้ามา ….. mL (ด้วยปริมาตรทีเ่ หมาะสม)
4.2 เติมสารละลาย Hydroxylamine 2 mL
4.3 เติมสารละลาย 1,10-o-phenanthroline ปริมาตรทีเ่ หมาะสมจากการทดลองที่ 2
4.4 ปรับ pH โดยการเติมบัฟเฟอร์ pH 5 ลงไปปริมาตร 5 mL
4.5 ปรับปริมาตรให้ครบ 50 mL ด้วยน้ากลัน่ ตัง้ ทิง้ ไว้ 10 นาทีแล้วจึงนาไปวัดค่า Abs.
4.6 หาความเข้ม ข้น ของ Fe ในน้ า ตัว อย่ างในหน่ ว ย Molarity (M) และ ppm (mg Fe / L) โดยใช้
calibration curve ทีไ่ ด้จากการทดลองตอนที่ 3
่ 3 การเตรียมสารละลายสาหรับสร้างกราฟมาตรฐาน (calibration curve) และสารละลายตัวอย่าง
ขวด volumetric flask ขนาด 50 mL
ปริม าตรสารละลาย
(mL) ขวดที่ 1** ขวดที่ 2 ขวดที่ 3 ขวดที่ 4 ขวดที่ 5 ขวดที่ 6
(reagent blank) (ตัวอย่าง)
5 x 10-4 M Fe2+ 0.00 1.00 2.00 3.00 5.00 -
น้าตัวอย่าง - - - - - ???
10%
2.0 2.0 2.0 2.0 2.0 2.0
hydroxylamine
เติมน้ากลันลงไปในแต่
่ ละขวดจนถึงขีดกาหนดปริมาตร 50.00 mL ปิ ดจุก แล้วผสม
สารละลายในแต่ละขวดให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
Page 97 of 124
คำแนะนำ: การปิ เปตปริมาตรน้าตัวอย่างมาให้เหมาะสมนัน้ ต้องมีค่าการดูดกลืนแสงทีเ่ กิดขึน้ อยูใ่ นช่วงของ
กราฟมาตรฐานที่เป็ นเส้นตรง คือ ต้องมีค่าการดูดกลืนแสงอยู่ระหว่างค่าการดูดกลืนแสงของสารมาตรฐาน
ความเข้ม ข้น ต่ า สุด และค่าการดูดกลืน แสงของสารมาตรฐานความเข้มข้น สูงสุด ของกราฟมาตรฐาน หรือ
พิจารณาง่าย ๆ ว่า สีของสารละลายตัวอย่างทีเ่ ตรียมขึน้ นัน้ จะต้องมีความเข้มสีอยู่ในช่วงความเข้มสีของขวด
สารละลายมาตรฐาน
้
D.C. Harris, Quantitative Chemical Analysis, 5th Edition, 1999.
Page 98 of 124
ผ ด ่8
่ ็ ด้ 1,10-Phenanthroline ด ฟ
่1 ด พ่ ด พ pH ่ ดด (Abs.)
กราฟความสัมพันธ์ระหว่าง pH และค่าการดูดกลืนแสง
Page 99 of 124
่2 ด พ่ ด พ ้ ้ o-phen ่ ดด
Absorbance
ฟ ฐ
ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
่ Stoichiometry ซ้ ด
Spectrophotometry
สูตรของสารเชิงซ้อนคือ ML2
Mole-Ratio method
❑ เตรียมสารละลายผสมโดยให้ความเข้มข้นของ metal ion คงที่ และความเข้มข้นของ ligand
ต่างๆ กัน
❑ วัด absorbance ของแต่ละสารละลายทีค่ วามยาวคลื่นทีเ่ หมาะสม
❑ สร้างกราฟระหว่าง A กับอัตราส่วนโดยโมลของ M และ L จะได้เส้นตรง 2 เส้นที่ม ี slope
ต่างกัน เมือ่ ต่อเส้นตรงทัง้ สองจะตัดกันทีอ่ ตั ราส่วนโดยโมลของสารเชิงซ้อน
รูปที่ 9.2 แสดง Mole-ratio plots ของสารเชิงซ้อนทีม่ อี ตั ราส่วนโดยโมล 1:1 และ 1:2
พิจารณาปฏิกริ ยิ าซึง่ เกิดสารเชิงซ้อน MxLy จากปฏิกริ ยิ าของ ไอออนของโลหะ M x โมล กับลิแกนด์ L y โมล
xM+yL MxLy
mass-balance expression ของระบบนี้คอื
molar concentration of cation M = CM = [M] + x [MxLy] (1)
molar concentration of ligand L = CL = [L] + y [MxLy] (2)
เมือ่ analytical concentration ของ L สูงมำก สมดุลจะเลื่อนไปทางขวามาก ทาให้ [M] << x [MxLy]
ดังนัน้
จาก (1) CM = x [MxLy]
ถ้าระบบเป็ นไปตาม Beer’s law
A1 = b [MxLy] = b CM/x
= molar absorptivity ของ MxLy
b = path length
ดังนัน้ เมือ่ ความเข้มข้นของ L สูง ถ้า plot absorbance กับ CM จะได้เส้นตรง
slope = b /x
เมือ่ analytical concentration ของ M สูงมำก สมดุลจะเลื่อนไปทางขวามาก สมมุตวิ า่ [L] << y [MxLy]
จาก (2) CL = y [MxLy]
ถ ด
1. เพือ่ ศึกษาวิธกี ารหา Stochiometry แบบต่างๆ
2. เพือ่ หา Stoichiometry ของสารประกอบเชิงซ้อน Iron-Phenanthroline
่ (Apparatus)
เครือ่ ง Colorimeter และ Absorption cell
2. ปรับปริมาตรให้ครบ 25 mL ด้วยน้ากลันและเขย่
่ าให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
7 x 10-4 M Fe2+ 0.00 1.00 2.00 3.00 4.00 5.00 6.00 7.00 8.00 9.00 10.00
Buffer pH 5 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0
10%hydroxylamine 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0
7 x 10-4 M o-phen 10.00 9.00 8.00 7.00 6.00 5.00 4.00 3.00 2.00 1.00 0.00
ปรับปริมาตรด้วยน้ากลันจนถึ
่ งขีดกาหนดปริมาตร ปิ ดจุก เพือ่ ผสมให้สารละลายเป็ นเนื้อเดียวกัน แล้วตัง้ ทิง้ ไว้ 10 นาที แล้ววัดค่าการ
ดูดกลืนแสงทีค่ วามยาวคลืน่ 510 nm
** ใช้น้ากลันเป็
่ น blank
3. ปรับปริมาตรให้ครบ 25 mL ด้วยน้ากลันและเขย่
่ าให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
7 x 10-4 M Fe2+ 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00 2.00
Buffer pH 5 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0
10%hydroxylamine 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0
7 x 10-4 M o-phen 1.00 2.00 3.00 4.00 5.00 6.00 8.00 10.00 12.00 15.00
ปรับปริมาตรด้วยน้ากลันจนถึ
่ งขีดกาหนดปริมาตร ปิ ดจุก เพือ่ ผสมให้สารละลายเป็ นเนื้อเดียวกัน แล้วตัง้ ทิง้ ไว้ 10 นาที
แล้ววัดค่าการดูดกลืนแสงทีค่ วามยาวคลืน่ 510 nm
** ใช้น้ากลันเป็
่ น blank
3. ปรับปริมาตรให้ครบ 25 mL ด้วยน้ากลันและเขย่
่ าให้เป็ นเนื้อเดียวกัน
7 x 10-4 M Fe2+ 5.00 5.00 5.00 5.00 5.00 7 x 10-4 M Fe2+ 0.50 1.00 1.50 2.00 2.50
Buffer pH 5 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0 Buffer pH 5 5.0 5.0 5.0 5.0 5.0
hydroxylamine 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0 hydroxylamine 1.0 1.0 1.0 1.0 1.0
7 x 10-4 M 1.00 2.00 3.00 4.00 5.00 2.1 x 10-3 M 10.00 10.00 10.00 10.00 10.00
o-phen o-phen
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
[Phenanthroline] [Phenanthroline]
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
………………………………….. …………………………………..
ผ ด
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………
ใ ้ Microsoft Excel ้ ใ ด้
ฟ ้ ้
ตัวดาเนินการทางคณิตศาสตร์
Operator ใ ้
+ บวก 4+7
- ลบ 15-3 หรือ -6
* คูณ 8*3.5
/ หาร 9/4
% เปอร์เซ็นต์ 3%(มีคา่ เท่ากับ 0.03)
^ ยกกาลัง 2^3(หมายถึง 2 ยกกาลัง3)
ผ (SUM)
1. เลือกเซลทีต่ อ้ งการให้เมือ่ ทาการคานวณเสร็จแล้วผลลัพธ์แสดงในเซลนัน้ ๆ ในรูปคือเซล E2
2. ที่ Tab Home คลิกปุ่ม (อยูบ่ นแถบ Toolbar) หรือกด Shift+ F3 จะปรากฏหน้าต่าง
Insert Function ดังรูปข้างล่างนี้ จากนัน้ คลิกเลือกประเภทของฟั งก์ชนจากเมนู
ั่ ของช่อง
select a category เช่น ในทีน่ ้ีตอ้ งการหาผลรวมจึงเลือก SUM
SUM หาผลรวมของข้อมูล
AVERAGE หาค่าเฉลีย่
STDEV หาค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (SD)
VAR หาค่าความแปรปรวน
MIN หาค่าต่าสุดของข้อมูล
MAX หาค่าสูงสุดของข้อมูล
MEDIAN หาค่ากลาง
ใช้ปัดเศษเลขทศนิยม
ROUND
โดยถ้าน้อยกว่า 0.5 ให้ปัดลงนอกนัน้ ให้ปัดขึน้
FLOOR ใช้ปัดเศษเลขทศนิยมทิง้
1) ด F-test
เป็ นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบความแปรปรวนของข้อมูล 2 ชุด ทีไ่ ด้จากสภาวะการทดลองต่างกัน
เช่น วิธที ดสอบ ผูท้ ดสอบ หรือเครื่องมือ เป็ นต้น การทดสอบนี้เพื่อใช้บอกถึงความเที่ยงของข้อมูล 2 ชุดว่า
จากการใช้สองวิธใี นการวิเคราะห์ มีค่าการกระจาย หรือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ
หรือไม่
วิธที ดสอบ
2) ด t-test
เป็ นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของข้อมูล เช่น ค่าเฉลีย่ ทีไ่ ด้จากการวัดตัวอย่าง (จากการ
ทดลอง)กับค่าจริงหรือค่าทีย่ อมรับได้ หรือค่า เฉลี่ยของข้อมูล 2 ชุดทีไ่ ด้จากการวัดด้วยสภาวะทีต่ ่างกัน การ
ทดสอบนี้ใช้ในการทดสอบความถูกต้องของวิธี การคานวณค่า t มี 2 กรณีดว้ ยกัน คือ
1. การเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ จากการทดลองกับค่าจริง (Student’s t-test)
ตัวอย่าง การวิเคราะห์หาปริมาณฟอสเฟตในตัวอย่างน้ า 6 แหล่ง โดยใช้วธิ วี เิ คราะห์ 2 วิธที แ่ี ตกต่างกัน คือ วิธี
ทีป่ รับปรุงขึน้ และวิธมี าตรฐาน ได้ผลการวิเคราะห์ดงั นี้
ปริมาณฟอสเฟต (mg/L)
ตัวอย่าง
วิธที ป่ี รับปรุง วิธมี าตรฐาน
1 9.5 8.9
2 12.3 12.8
3 11.3 11.7
ในส่วนของ Input
- Variable 1 Range: ให้เลือกช่วงของข้อมูลชุดที่ 1 สาหรับวิธที ป่ี รับปรุง
- Variable 2 Range: ให้เลือกช่วงของข้อมูลชุดที่ 2 สาหรับวิธมี าตรฐาน
- กาหนดค่าเฉลีย่ ของความแตกต่างทีต่ อ้ งการทดสอบ ในทีน่ ้ี µd = 0 จึง
กาหนดให้ Hypothesized Mean Difference : 0
- คลิก ✓ หน้า Labels เพราะมีการรวมชือ่ ตัวแปรไว้ในช่วงของข้อมูล
- Alpha : 0.05 หมายถึงระดับนัยสาคัญทางสถิตทิ ต่ี อ้ งการ
ในส่วนของ Output options
- ให้เลือก New Worksheet Ply: เมือ่ โปรแกรมคานวณเสร็จจะนาผลทีไ่ ด้ไปไว้ใน Worksheet ใหม่
Page 120 of 124
หรือเลือก Output Range และใส่ชว่ งทีจ่ ะบันทึกผลลัพธ์ทจ่ี ะเกิดขึน้
้ ้ ฟ
1. เลือกเซลข้อมูลทีต่ ้องการสร้างกราฟ ในตัวอย่างจะสร้างกราฟระหว่างความเข้มข้นของ Al กับค่า
การดูดกลืนแสง
ด ใ ด ่ 10
(ใช้โปรแกรม Microsoft Excel 2007 ในการคานวณ)
ด ่1 ด ่2 ด ่3
น้าหนัก crucible + ตะกอน 21.4296 23.4915 21.8323
น้าหนัก crucible 20.7926 22.8311 21.2483
น้าหนักตะกอนทีไ่ ด้ ………………….. ………………….. …………………..
Mean ของน้าหนักตะกอนทีไ่ ด้ ………………….. ………………….. …………………..
Standard deviation ของน้าหนัก
………………….. ………………….. …………………..
ตะกอนทีไ่ ด้
RSD, ppt ………………….. ………………….. …………………..
่ พ่ บ (µg L-1)
ปริมาณตะกัวที
ตัวอย่างที่
วิธที างเคมีไฟฟ้ า วิธี FAAS
1 22.2 25.0
2 19.2 19.5
3 15.7 16.6
4 20.4 21.3
5 19.6 20.7
6 15.7 16.8
3. ในการทดลองหาปริมาณไนไตรท์ดว้ ยวิธี colorimetry ทาการเตรียมสารละลายมาตรฐานไนไตรท์
เข้มข้น 0.02, 0.04, 0.06, 0.08 และ 0.10 mg L-1 แล้วทาปฏิกริ ยิ ากับ reagent นาไปวัดค่าการ
ดูดกลืนแสงได้ผลดังตาราง
ค่าการดูดกลืนแสง (abs.)
ความเข้มข้นไนไตรท์ (n = 3)
(mg L-1) ค่าเฉลีย่ ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน
(Mean) (SD)
0.02 0.15 0.03
0.04 0.35 0.02
0.06 0.52 0.02
0.08 0.67 0.03
0.10 0.82 0.04