You are on page 1of 198

ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

กฎหมายลักษณะครอบครัว
รศ.ดร.มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล
คําพิพากษาฎีกาที+ -.-/0102
สามีตามบรรพ * เดิม มีสทิ ธิจัดการและฟ้ องคดีเพื<อประโยชน์แก่
ที<พิพาทซึ<งเป็ นสินบริคณห์ตามบรรพ * เดิม มาตรา IJKL, IJKN จึง
ฟ้ องขับไล่ ผ้ ูอาศัยที<ดินนัTนได้ โดยลําพัง ไม่ ต้องมีหนังสือยินยอมของ
ภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 311/0102
บิดายกที<พิ พ าทให้ โจทก์จําเลยใช้ เป็ นที<อยู่ อาศัยและทํากินเมื<อ
แต่ งงานกัน ก่ อนจดทะเบียนสมรส ก่ อนใช้ บ รรพ * ที<แ ก้ ไขใหม่ ที<
พิพาทจึงตกเป็ นของโจทก์จาํ เลยคนละครึ<ง ครัTงโจทก์จาํ เลยจดทะเบียน
สมรสก็ก ลายเป็ นสิ น เดิ ม ของแต่ ล ะฝ่ าย และเป็ นสิ น ส่ ว นตั ว ตาม
พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ * แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ท<ไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ]*IN
คําพิพากษาฎีกาที+ 0--3/0102
ทรัพย์พิพาทเป็ นมรดกของบ.ตกได้ แก่โจทก์และจําเลยที@ B เป็ นทรัพย์สนิ
ที@จาํ เลยที@ B ได้ มาระหว่ างสมรสจึงเป็ นสินสมรส จําเลยที@ G ในฐานะสามีของ
จําเลยที@ B มีอาํ นาจจัดการสินบริคณห์ ฟ้ องคดีนM ีเกี@ยวกับการสงวน บํารุงรักษา
หรือการใดๆ เพื@อประโยชน์แก่สินบริคณห์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ มาตรา GTUU, GTUW และ GTUX เดิม แม้ ภายหลังจะมีพระราชบัญญัติ
ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ [ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ท@ไี ด้ ตรวจชําระ
ใหม่ พ.ศ. B[GX ใช้ บังคับแล้ ว ก็หาทําให้ สิทธิของจําเลยที@ G ซึ@งมีอยู่ก่อนนัMน
ต้ องเสียไปไม่ จําเลยที@ G ยังคงมีอาํ นาจที@จะจัดการทรัพย์พิพาทได้ ต่อไปตาม
มาตรา ` แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงมีอาํ นาจที@จะใช้ สทิ ธิของจําเลยที@ B ซึ@ง
เป็ นทายาท ยกอายุความหนึ@งปี ขึMนเป็ นข้ อต่อสู้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา GT[[
คําพิพากษาฎีกาที+ 024/0101
พระราชบัญ ญั ติใ ห้ ใ ช้ บทบัญ ญั ติบรรพ 0 แห่ งประมวลกฎหมาย
แพ่ ง และพาณิ ช ย์ ที> ไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ พ.ศ. E0FG มาตรา H เป็ น
บทบัญญัติแก้ ไขข้ อขัดข้ องในระยะเริ>มแรกที>ประกาศใช้ บทบัญญัติบรรพ
0 ที>ตรวจชําระใหม่ โดยให้ คู่สมรสที>มีอาํ นาจจัดการสินบริคณห์อยู่แล้ ว
ตามบรรพ 0 เดิม คงมีอาํ นาจจัดการต่อไป จึงไม่เป็ นการขัดต่อหลักการ
ชายหญิงมีสทิ ธิเท่าเทียมกันตามบทบัญญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญ
บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่มาตรา FUHH บัญญัติว่าอํานาจจัดการ
สิน สมรสรวมถึ ง อํา นาจจํา หน่ า ยด้ ว ย ดั ง นัW น ที>พ ระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใ ช้
บทบัญญัติบรรพ 0 ฯ มาตรา H ใช้ คาํ ว่า อํานาจจัดการ จึงหมายรวมถึง
อํานาจการจําหน่ ายด้ วยเช่ นกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้ บังคับแห่ งบทบัญญัติ
ในมาตรา FUHF เดิม
คําพิพากษาฎีกาที+ 024/0101 (ต่อ)
โจทก์จาํ เลยเป็ นสามีภริ ยากันก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ ทีEดินและสิEงปลูกสร้ างราย
พิพาทเป็ นสินสมรสทีEจาํ เลยได้ รับมรดกจากบิดา เมืEอไม่ มีสัญญา
ก่อนสมรสกําหนดไว้ เป็ นอย่างอืEนเมืEอใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่แล้ ว จําเลยก็มีอาํ นาจจําหน่าย
ได้ โดยไม่ต้องรับความยินยอมจากโจทก์ซEึงเป็ นภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ --.0/0103
ตามบทบัญญัติแห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์บรรพ
D เดิม สามีเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์และมีสทิ ธิฟ้องคดีเกีEยวกับการ
สงวนบํารุงรักษาหรือการใดๆ เพืEอประโยชน์แก่สนิ บริคณห์ โจทก์
สมรสกับภริยาก่อนใช้ บทบัญญัติบรรพ D แห่ งประมวลกฎหมาย
แพ่ ง และพาณิ ช ย์ ทEีไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ จึ ง มี อ ํา นาจฟ้ องเรี ย กค่ า
สินไหมทดแทนในมูลละเมิด เพืEอความเสียหายทีEเกิดแก่ทรัพย์สนิ
อั น เป็ นการฟ้ องคดี เ พืE อประโยชน์ แ ก่ สิ น บริ ค ณห์ ไ ด้ เพราะ
บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D ทีEต รวจชํา ระใหม่ ไม่ ก ระทบกระเทือ นถึ ง
อํานาจจัดการสินบริคณห์ทEคี ู่สมรสได้ มอี ยู่แล้ ว
มาตรา &'()
ถ้ าสามีภริยามิได้ ทาํ สัญญากันไว้ ในเรืEองทรัพย์สนิ เป็ น
พิเศษก่อนสมรสความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรืEองทรัพย์สนิ
นัWน ให้ บงั คับตามบัญญัตใิ นหมวดนีW
ถ้ าข้ อความในในสัญญาก่อนสมรสขัดต่อความสงบ
เรียบร้ อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือระบุให้ ใช้ กฎหมาย
ประเทศอืEนบังคับเรืEองทรัพย์สนิ นัWน ข้ อความนัWนๆ เป็ นโมฆะ
คําพิพากษาฎีกาที+ -43:/0103
ทีE พิ พ าทสิ น สมรสซึE ง เป็ นสิ น บริ ค ณห์ ต าม ป.พ.พ.มาตรา
[\]^ เดิม สามีย่อมมีสิทธิจัดการสินบริคณห์รวมทัWงฟ้ องคดีด้วย
ตามพระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใช้ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_ มาตรา
` โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ -00-/010;
เดิมทีEพิพาทมีชE ือ พ. ถือกรรมสิทธิaร่วมกับบิดาก่อนสมรสกับ
โจทก์ จึ ง เป็ นสิน เดิ ม ของ พ. กึEง หนึE ง ซึE ง ตกเป็ นสิน ส่ ว นตั ว ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ อีก
กึEงหนึEงซึEงตกเป็ นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ อีกกึEงหนึEง พ. ได้ รับมรดกของบิดาหลัง
สมรส จึงตกเป็ นสินสมรสของโจทก์และ พ. สามี เมืEอทีEพิพาทเป็ น
สินสมรสและสินส่วนตัว จึงเป็ นสินบริคณห์ตามมาตรา [\]^ เดิม
สิEงปลูกสร้ างบนทีEพิพาทย่ อมตกเป็ นส่วนควบ พ. ทําหนังสือมอบ
อํานาจให้ ขายทีEดินและสิEงปลูกสร้ างรายพิพาท ซึEงเป็ นสินบริคณห์
ให้ จาํ เลยทัWงห้ า ต้ องถือว่าโจทก์ยินยอมให้ ขาย
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<40/012<
สามีจาํ นองทีEดินสินสมรสไว้ กบั ธนาคารขณะประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\]b บรรพ D เดิม มีผลใช้ บังคับอยู่
และไม่มีสญ ั ญาก่อนสมรสกําหนดให้ ภริยาเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์
หรือให้ จัดการร่วมกัน สามีจึงเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ได้ แต่ผ้ ูเดียว
ดั ง นัW น การทีEส ามี นํา ทีEดิ น สิน สมรสไปจํา นองกับ ธนาคารจึ ง มี ผ ล
สมบูรณ์ผูกพันทีEดนิ ทีEจาํ นอง ภริยาไม่มสี ทิ ธิขอกันส่วน
คําพิพากษาฎีกาที+ 24-4/0122
พระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใช้ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง ประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ.^D[_ มาตรา
` บัญญัติว่า “บทบัญญัติบรรพ D แห่ งประมวลกฎหมายแพ่งและ
พ า ณิ ช ย์ ทีE ไ ด้ ต ร ว จ ชํ า ร ะ ใ ห ม่ ท้ า ย พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ นีW ไ ม่
กระทบกระเทือนถึงอํานาจการจัดการสินบริคณห์ทEคี ู่สมรสฝ่ ายใด
ฝ่ ายหนึE ง ได้ มี อ ยู่ แ ล้ วในวั น ใช้ บั ง คั บ บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D แห่ ง
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ ทEี ไ ด้ ตรวจชํ า ระใหม่ ท้ า ย
พระราชบัญญัตินW ี” ดังนัWน การใช้ บทบัญญัติในบรรพ D ทีEได้ ตรวจ
ชํ า ระใหม่ จึ ง ต้ องอยู่ ภายใต้ บทบั ญ ญั ติ ใ นมาตรา ` ของ
พระราชบัญญัตดิ งั กล่าวเมืEอปรากฏว่า จําเลยทีE ^ สามีโจทก์มี
คําพิพากษาฎีกาที+ 24-4/0122 (ต่อ)
อํานาจจัดการเกีEยวกับทีEดินซึEงเป็ นสินบริคณห์อยู่ก่อนวันใช้ บังคับ
บทบั ญ ญั ติ บ รรพ D ทีEไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ จึ ง คงมี อ ํา นาจจั ด การ
สินบริคณห์รายนีWต่อไปและอํานาจจัดการนัWน มาตรา [\`` ทีEได้
ตรวจชํา ระใหม่ ใ ห้ รวมถึ ง อํา นาจจํา หน่ า ยด้ ว ย จํา เลยทีE ^ จึ ง
จําหน่ ายทีEดินดังกล่ าวได้ โดยไม่ ต้องได้ รับความยินยอมจากโจทก์
ก่อน นิติกรรมการซืWอขายทีEดินระหว่ างจําเลยทีE ^ กับจําเลยทีE [
ชอบด้ วยกฎหมาย โจทก์ขอให้ เพิกถอนไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 2:.-/012.
โจทก์จดทะเบียนสมรสก่อน ป.พ.พ. บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. E0FG ใช้ บังคับ สามีโจทก์จึงเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ตาม ป.พ.พ.
บรรพ 0 เดิมและ พ.ร.บ. ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. E0FG มาตรา H การที>โจทก์ฟ้องขอให้ จาํ เลยโอนที>ดินพิพาทซึ>ง
เป็ นสินสมรส เป็ นการกระทําเพื>อประโยชน์แก่สนิ บริคณห์ ตาม ป.พ.พ.
พ.ศ. EUHH (บรรพ 0 เดิม) มาตรา FU`G ซึ>งต้ องได้ รับอนุ ญาตจาก
สามีโจทก์ก่อน การที>โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้ รับอนุ ญาตจากสามีถือว่ ามี
ความบกพร่ องในเรื> องความสามารถตามนัยแห่ งประมวลกฎหมายวิธี
พิ จ ารณาความแพ่ ง มาตรา 0` กรณีจึ ง ต้ อ งทํา การแก้ ไ ขข้ อ บกพร่ อ ง
เสียก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ 1140/01:<
โจทก์กบั ช. จดทะเบียนสมรสกันเมืEอปี ^\bg ตึกแถวพิพาท
เป็ นทรั พย์สินทีE ช. ได้ มาระหว่ างสมรส จึงเป็ นสินสมรสระหว่ าง
โจทก์กบั ช. ตาม ป.พ.พ. บรรพ D เดิม มาตรา [\]] ทีEใช้ บังคับ
อยู่ ในขณะนัWน และเป็ นสินบริ คณห์ ตามมาตรา [\]^ วรรคสอง
ของบรรพ D เดิ ม ช. ให้ จํา เลยเช่ า ตึ ก แถวพิ พ าทตัW ง แต่ ปี พ.ศ.
^Dg_ และปี พ.ศ. ^D^_ ช. ได้ จดทะเบียนให้ จาํ เลยเช่า hg ปี ไม่
ปรากฏว่ามีสัญญาก่อนสมรสระหว่างโจทก์กับ ช. ตกลงเป็ นอย่าง
อืEน ช. จึงเป็ นผู้มีอาํ นาจจัดการตึกแถวพิ พาทได้ ฝ่ายเดียวมาแต่
แรก ตามมาตรา [\]b บรรพ D เดิม และตาม พ.ร.บ.
คําพิพากษาฎีกาที+ 1140/01:< (ต่อ)
ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ . แห่ง ป.พ.พ. ที5ตรวจชําระใหม่มาตรา < ก็บัญญัติ
รั บ รองว่ า ป.พ.พ. บรรพ . ที5 ไ ด้ ต รวจชํ า ระใหม่ ท้ า ย พ.ร.บ. นีD ไม่
กระทบกระเทือนอํานาจจัดการสินบริคณห์ท5ีคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งมีอยู่
แล้ วในวั น ใช้ บั ง คั บ บรรพ . ใหม่ นD ี ถ้ าคู่ ส มรสฝ่ ายใดเป็ นผู้ จั ด การ
สินบริคณห์ท5คี ู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งมีอยู่แล้ วในวันใช้ บงั คับบรรพ . ใหม่นD ี
ถ้ าคู่สมรสฝ่ ายใดเป็ นผู้จัดการสินบริคณห์ฝ่ายเดียว ให้ ถอื ว่าคู่สมรสอีกฝ่ าย
หนึ5งได้ ยินยอมให้ คู่สมรสนัDนจัดการสินสมรสด้ วย ช. เพียงฝ่ ายเดียวจึงมี
อํานาจให้ เช่าตึกแถวพิพาทได้ โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยาตาม
ป.พ.พ. บรรพ . เดิม มาตรา STUV นิติกรรมการเช่าตึกแถวพิพาทซึ5งทํา
ไว้ เมื5อวันที5 SX มีนาคม Y.YX ชอบด้ วยกฎหมาย
คําพิพากษาฎีกาที+ --;-/01:2
ที5ดินและบ้ านพิพาทเป็ นทรัพย์สนิ ที5จาํ เลยที5 S ได้ มาระหว่างสมรสกับ
โจทก์ก่อนประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ . ที5ตรวจชําระใหม่
พ.ศ. Y.SX ใช้ บังคับ จึงเป็ นสินสมรสระหว่างโจทก์กบั จําเลยที5 S และเมื5อ
ไม่ ป รากฏว่ ามี สั ญ ญาก่ อ นสมรสบั ญ ญั ติ ไ ว้ เป็ นอย่ างอื5 น ทัD ง ตาม
พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ . แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ท5ีได้ ตรวจชําระใหม่ ท้ายพระราชบัญญัตินD ี ไม่ กระทบกระเทือนถึง
อํานาจการจัดการสินบริคณห์ท5คี ู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ5งได้ มีอยู่แล้ วในวันใช้
บัง คับ บทบัญ ญั ติ บรรพ . เมื5อ โจทก์ซ5ึ ง เป็ นสามีมีอ าํ นาจในการจัด การ
รวมทัDงอํานาจจําหน่ ายสินสมรสอยู่แล้ ว โจทก์จึงมีอาํ นาจจัดการสินสมรส
ต่อไป การที5จาํ เลยที5 S ได้ ยกที5ดินและบ้ านพิพาทให้ แก่จาํ เลยที5 Y โดยมิได้
รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงมีอาํ นาจขอเพิกถอนนิตกิ รรมได้
คําพิพากษาฎีกาที+ --;-/01:2 (ต่อ)
แต่ ก ารเพิ ก ถอนนิ ติ ก รรมดั ง กล่ า วได้ ก ระทํา เมืE อ ใช้ บ ทบั ญ ญั ติ
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ D ทีEตรวจชําระใหม่ ใช้
บังคับ ซึEงเป็ นกรณีไม่มีบทกฎหมายทีEจะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้ อง
นําบทกฎหมายทีEใกล้ เคียงอย่างยิEง คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา [\bg มาใช้ บังคับตามมาตรา \ นิติกรรมการให้
ระหว่างจําเลยทีE [ และทีE ^ กระทําลงเมืEอวันทีE b มกราคม ^D^_
โจทก์ยE ืนฟ้ องขอให้ เพิกถอนการให้ เมืEอวันทีE [b มิถุนายน ^D\[
พ้ นสิบปี นับแต่วันทีEได้ ทาํ นิตกิ รรมนัWนๆ ฟ้ องโจทก์จึงขาดอายุความ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\bg วรรคสอง
มาตรา 1465
คําพิพากษาฎีกาที+ :0-:/012:

โจทก์จํา เลยยั ง เป็ นสามี ภ ริ ย ากัน อยู่ แ ละไม่ ป รากฏว่ า ได้ ท าํ


สัญญากันไว้ ในเรืEองทรัพย์สินเป็ นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์
ระหว่างสามีภริยาของโจทก์จาํ เลยในเรืEองทรัพย์สนิ นัWนก็ต้องบังคับ
ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ D หมวด \ ว่าด้ วย
ทรัพย์สินระหว่ างสามีภริยา และโจทก์จาํ เลยซึEงเป็ นสามีภริยาจะ
ฟ้ องร้ องกันด้ วยเรืEองทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาไม่ได้ เว้ นแต่จะมี
กฎหมายให้ อาํ นาจไว้ เท่านัWน กรณีตามคําฟ้ องของโจทก์เป็ นเรืEอง
โจทก์ขอแบ่ งเงินค่ าขายทีEดินสินสมรสจากจําเลยกึEงหนึEง ซึEงเป็ น
กรณีทEีไ ม่ มี บ ทบั ญ ญั ติ ข องกฎหมายให้ ฟ้ องแบ่ ง ได้ โ จทก์จึ ง ไม่ มี
อํานาจฟ้ อง
คําพิพากษาฎีกาที+ 243-/0121
จําเลยที) + ขายรถยนต์ซ)ึ งเป็ นสินสมรสให้ แก่ จําเลยที) @ โดยมิได้ รับ
ความยินยอมจากโจทก์เมื)อโจทก์และจําเลยที) + ยังเป็ นสามีภริยากันอยู่และ
ไม่ ป รากฏว่ า ได้ ทํา สั ญ ญากั น ไว้ ในเรื) อ งทรั พ ย์ สิ น เป็ นพิ เ ศษก่ อ นสมรส
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาของโจทก์และจําเลยที) + ในเรื)องทรัพย์สนิ นัSน
จึงต้ องบังคับตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. บรรพ U หมวด V ว่าด้ วยทรัพย์สนิ
ระหว่ างสามีภริ ยาซึ)งตาม ป.พ.พ. มาตรา +UWW จะมีการแบ่ งสินสมรสได้
ต่ อ เมื) อ มี ก ารหย่ า กั น เท่ า นัS น และแม้ คู่ ส มรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ) ง จะจํา หน่ า ย
สิน สมรสไปเพื) อ ประโยชน์ ข องตนฝ่ ายเดี ย วหรื อ ในกรณี อ) ืน ตามที)ม าตรา
+UWV บั ญ ญั ติ ไ ว้ กฎหมายก็ใ ห้ ถื อ เสมื อ นว่ า ทรั พ ย์ สิน นัS น ยั ง คงมี อ ยู่ เ พื) อ
จัดแบ่งสินสมรส เมื)อกฎหมายให้ ถือเสมือนว่ารถยนต์ยังคงมีอยู่เพื)อจัดแบ่ง
สินสมรสแล้ ว โจทก์กไ็ ม่ได้ รับความเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอาํ นาจฟ้ องเรียกร้ อง
เงินที)ได้ จาการขายรถยนต์จากจําเลย
มาตรา 1466
คําพิพากษาฎีกาที+ 22:3/0120
สัญ ญาก่ อ นสมรสทีEผ้ ู ร้ อ งและจํา เลยทํา ขึW นมี ข้ อ ความว่ า ให้
ทรัพย์สนิ ทีEมีอยู่ก่อนสมรสตกเป็ นสินสมรสนัWน เมืEอปรากฏว่าผู้ร้อง
และจํา เลยมิ ไ ด้ จ ดแจ้ ง ข้ อ ความอั น เป็ นสั ญ ญาก่ อ นสมรสไว้ ใ น
ทะเบียนสมรสพร้ อมกับการจดทะเบียนสมรสว่ามีสญ ั ญานัWนแนบไว้
สัญญาก่อนสมรสดังกล่ าวย่ อมตกเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\]] เมืEอทรัพย์สินดังกล่ าวถูกโจทก์ยึด
ขายทอดตลาดชําระหนีW ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนของผู้ร้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา ^b`
มาตรา 1468
คําพิพากษาฎีกาที+ -<.0/01<:
ทีEดินและบ้ านเรือนเป็ นของภริยาก่อนสมรสและได้ ทาํ สัญญา
ก่อนสมรสว่ามีสามีจะไม่เกีEยวข้ องกับทรัพย์ของภริยาก็ตาม แต่เมืEอ
ภริยาปล่อยให้ สามีลงชืEอในใบไต่สวนเพืEอขอออกโฉนดว่าเป็ นทีEของ
สามี แ ล้ ว สามี เ อาไปจํา นองผู้ อEืน และเอาเงิ น นัW น มาซืW อรถยนต์ ใ ช้
รับส่งคนโดยสารอันเป็ นอาชีพของสามีภริยา เป็ นเหตุให้ ผ้ ูรับจํานอง
เชืEอโดยสุจริตว่าเป็ นทีEของสามีดังนีWการจํานองนัWนสมบูรณ์ใช้ บังคับ
ได้ และผูกพันภริยา
มาตรา 1469
คําพิพากษาฎีกาที+ -0;:/010- (ประชุมใหญ่)
โจทก์อยู่กนิ กับจําเลยต่อมาอีก IN ปี แล้ วจึงได้ จดทะเบียนหย่ากัน
เมื<อ พ.ศ.]*^J และเพิ<งมาฟ้ องขอแบ่งที<ดินสินสมรส เมื<อตามสัญญา
ระบุ ชัด ว่ า โจทก์จะไม่ เอาทรั พ ย์สินอื<นนอกจากที<ได้ รับตามสัญญา ก็
เท่ากับยอมให้ ทรัพย์พิพาทอันเป็ นทรัพย์ท<มี อี ยู่แล้ วในขณะทําสัญญานัTน
ตกเป็ นสิทธิแก่จาํ เลยไปฝ่ ายเดียว และสัญญาที<ทาํ ไว้ ต่อกันในระหว่ าง
สามีภริยา เมื<อไม่ ได้ บอกล้ างภายในกําหนด I ปี นับแต่ วันที<ขาดจาก
การสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา IJKI บรรพ * เดิม (บรรพ * ใหม่
มาตรา IJKN) ก็ต้องถือว่าใช้ บังคับได้ อยู่เสมอ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้อง
ขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีก
คําพิพากษาฎีกาที+ -213/0100
สามีภริยาหย่ากันโดยทําบันทึกในรายงานประจําวันของสถานี
ตํา รวจ และได้ จ ดทะเบี ย นหย่ า กัน แล้ ว สามี ต้ อ งจ่ า ยค่ า เลีW ยงชี พ
ตามทีEตกลงไว้ ซEึงเป็ นเงินจํานวนเดียวก็ได้ ถ้ าภริยาไม่ยอมรับ สามีก ็
ขอวางทรัพย์ได้ ตามมาตรา hh[ มิใช่หนีWระงับไปเองก่อนวางทรัพย์
ภริ ย าจึ ง ฟ้ องบั ง คั บ ให้ ส ามี จ่ า ยค่ า เลีW ยงชี พ ตามยอมได้ ข้ อ ตกลง
เกีEย วกับ ค่ า เลีW ยงชี พ หลั ง จากหย่ า ไม่ ใ ช่ สัญ ญาระหว่ า งสมรสตาม
มาตรา [\]_
คําพิพากษาฎีกาที+ 2-4/012<
เมืEอสามีทาํ หนังสือสละสิทธิในทรั พย์สินทัWงปวงให้ แก่ภริ ยาทีE
พาทซึE ง ในโฉนดมี ชE ื อ ภริ ย าถื อ กรรมสิ ท ธิa แ ต่ ผ้ ู เ ดี ย วย่ อ มตกเป็ น
กรรมสิทธิaของภริยาโดยสมบูรณ์ หาจําต้ องจดทะเบียนกันอีกไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ :0--/012-
การที>โจทก์ (ภริ ยา) ฟ้ องจําเลย (สามี) เป็ นคดีอาญาฐานทําร้ าย
ร่ างกายและหน่วงเหนี>ยวกักขังทําให้ เสื>อมเสียเสรีภาพ จําเลยยอมรับผิด
และตกลงชดใช้ เงิน Ubb,bbb บาท พร้ อมทัWงยอมให้ โจทก์มีสทิ ธิถอนเงิน
ฝากในธนาคารที>โจทก์จาํ เลยมีช> ือร่ วมกันแต่ เพียงผู้เดียว ภริ ยาจึงถอน
ฟ้ องนัWน ข้ อตกลงดังกล่ าวเป็ นข้ อตกลงชดใช้ ค่าเสียหายที>จาํ เลยกระทํา
ละเมิดต่ อโจทก์รวมทัWงค่ าอุปการะเลีWยงดูโจทก์ในระหว่ างแยกกันอยู่ ไม่
เกี>ยวกับการถอนฟ้ องคดีอาญา จึงย่อมมีผลใช้ บังคับได้ ตามกฎหมาย หา
ได้ มีวัตถุประสงค์ท>เี ป็ นการต้ องห้ ามชัดแจ้ งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความ
สงบเรี ย บร้ อยหรื อ ศี ล ธรรมอั น ดี ข องประชาชนอั น จะเป็ นโมฆะตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา FFf หรือเป็ นสัญญาเกี>ยวกับ
ทรั พ ย์ สิ น ระหว่ า งสามี ภ ริ ย าโดยตรงซึ> ง จํา เลยมี สิ ท ธิ บ อกล้ า งได้ ต าม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา FU`G ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ :21./012-

การที>สามีภริยาทําสัญญาระหว่างสมรสจํากัดสิทธิบางอย่างในระหว่าง
กันเองในเรื>องทรัพย์สนิ เพื>อประโยชน์ของครอบครัวด้ วยความสมัครใจก็ดี
เพื>อสลาทรัพย์สนิ ให้ แก่กนั ในระหว่างสามีภริยาด้ วยความสมัครใจก็ดี ไม่
เป็ นการขัดต่ อบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี>ยวด้ วยความสงบเรียบร้ อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา FFU และเป็ นการใช้ สิท ธิ โ ดยชอบตามมาตรา Fff` สัญ ญา
ดังกล่าวจึงเป็ นสัญญาที>ชอบด้ วยกฎหมายใช้ บังคับได้ ฉะนัWน เมื>อสามีทาํ
สัญญาจะไม่เข้ าไปเกี>ยวข้ องหรือเรียกร้ องสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สนิ ที>มีอยู่ใน
ปัจจุบัน หรือจะมีขW ึนในอนาคตซึ>งมีช> ือภริยาเป็ นผู้ถอื กรรมสิทธิi ข้ อสัญญา
ดังกล่าวถือได้ ว่าสามีได้ สละกรรมสิทธิiในทรัพย์เช่นว่านัWนให้ แก่ภริยาแล้ ว
เมื>อสามีไม่ เคยบอกล้ างสัญญานีWจนถึงกรรมทรัพย์สินดังกล่ าวจึงเป็ นสิน
ส่วนตัวของภริยาตามมาตรา FUHF (f) ไม่เป็ นมรดกของสามี
คําพิพากษาฎีกาที+ 2333-233;/0121

ข้ อตกลงเรืEองการหย่าและแบ่งทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาเป็ น
ข้ อ ตกลงทีE แ บ่ ง แยกจากกั น มิ ไ ด้ จึ ง มิ ไ ด้ เ ป็ นสั ญ ญาทีE เ กีE ย วข้ อ ง
ทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาอย่างเดียวโดยตรง อันจะมีผลให้ ฝ่ายใด
ฝ่ ายหนึE ง มี สิท ธิ ทEีจ ะบอกล้ า งได้ ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ มาตรา [\]_
คําพิพากษาฎีกาที+ 1:.1-1:.3/012;

โจทก์เป็ นผู้ยกทีEดินให้ จาํ เลยผู้เป็ นภริยาระหว่างสมรส โจทก์มี


สิทธิบอกล้ างสัญญาระหว่างสมรสในเวลาใดก็ได้ ระหว่างทีEเป็ นสามี
ภริยากันอยู่โจทก์มีหนังสือบอกล้ างไปถึงจําเลยเป็ นการบอกล้ างโดย
ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์ ม าตรา [\]_ ทีEไ ด้
ตรวจชําระใหม่ พ.ศ.^D[_ แล้ ว และแม้ สิทธิบอกล้ างจะเป็ นสิทธิ
เฉพาะตัว แต่เมืEอมีการบอกล้ างโดยชอบก่อนทีEโจทก์จะถึงแก่กรรม
แล้ ว จึงไม่เป็ นสิทธิเฉพาะตัวอีกต่อไปและย่อมตกทอดไปยังทายาท
ของโจทก์ ทายาทจึงเข้ าเป็ นคู่ความแทนทีEโจทก์ซEึงถึงแก่กรรมใน
ระหว่างพิจารณาได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 14;:/012.

โจทก์จาํ เลยเป็ นสามีภริยาโดยจดทะเบียนสมรส แต่หย่าขาดกัน


ตามประเพณีศาสนาอิสลามโดยมิได้ จดทะเบียนหย่ า ถือว่ ายังเป็ น
สามี ภ ริ ย ากัน ตามกฎหมายเมืE อ ทํา สัญ ญาแบ่ ง ผลประโยชน์ แ ละ
ทรัพย์สนิ กัน จึงเป็ นสัญญาระหว่างสมรสทีEเกีEยวกับทรัพย์สนิ ทีEทาํ ไว้
ต่อกันในระหว่างเป็ นสามีภริยา แม้ มีข้อตกลงไม่ให้ บอกเลิกสัญญา
ก็ฝ่ าฝื นต่ อ ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา [\]_
ข้ อตกลงดังกล่าวจึงเป็ นโมฆะ
คําพิพากษาฎีกาที+ :;::/0124

การทีE โ จทก์ ย กทีE ดิ น ให้ จํ า เลยมี ก รรมสิ ท ธิa ร วมตามบั น ทึ ก


ข้ อตกลงเรืE องกรรมสิทธิaรวมในระหว่ างสมรส มีผลทําให้ ทEีดินตก
เป็ นสิน ส่ ว นตั ว ของจํา เลย ซึE ง บั น ทึก ดั ง กล่ า วเป็ นสัญ ญาระหว่ า ง
สมรสทีEสมบูรณ์ใช้ บังคับกันได้ กรณีมิใช่การยกให้ ซEึงจะถอนคืนการ
ให้ ได้ ต่อเมืEอมีเหตุเนรคุณตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา Dh[ โจทก์จึงมีสทิ ธิบอกล้ างได้ ตามมาตรา [\]_
คําพิพากษาฎีกาที+ ;4;./01:0
บันทึกข้ อตกลงเกี@ยวกับการจัดแบ่งทรัพย์สนิ ที@ให้ จาํ เลยที@ G มีกรรมสิทธิaใน
ที@ ดิ น พร้ อมสิ@ ง ปลู ก สร้ างพิ พ าทนัM น เป็ นสั ญ ญาระหว่ า งสมรสตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GTUX เมื@อโจทก์และจําเลยที@ G ยังมิได้ จด
ทะเบียนหย่า โจทก์ย่อมมีสทิ ธิบอกล้ างสัญญาระหว่างสมรสแก่จาํ เลยที@ G ได้ ตาม
มาตรา GTUX ซึ@งการที@โจทก์ฟ้องจําเลยที@ G ต่อศาลแพ่ งกรุงเทพใต้ ขอหย่าและ
ขอแบ่ ง สิน สมรส และศาลแพ่ ง กรุ ง เทพใต้ เ ห็น ว่ า คดี ไ ม่ อ ยู่ ใ นอํา นาจของศาล
ดังกล่ าว ย่อมถือได้ ว่าโจทก์ได้ ใช้ สิทธิบอกเลิกสัญญาระหว่างสมรสแล้ ว ย่อมทํา
ให้ สัญญาดังกล่ าวสิMนความผูกพัน ทําให้ ทรัพย์พิพาทกลับเป็ นสินสมรสดังเดิม
และเมื@อโจทก์นําคดีนM ีมาฟ้ องต่ อศาลที@มีอาํ นาจพิ จารณาพิ พากษาใหม่ ภายใน
กําหนดระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา GXd/G` วรรค
สอง จึงต้ องถือว่ าขณะฟ้ องคดีนM ี ข้ อตกลงเกี@ยวกับการจัดแบ่ งทรัพย์สินซึ@งเป็ น
สัญญาระหว่ างสมรสระหว่ างโจทก์กับจําเลยที@ G ได้ สM ินผลแล้ ว ทรัพย์พิพาทจึง
เป็ นสินสมรสอยู่ขณะฟ้ อง โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ องคดีนM ีได้ การขอให้ เพิกถอนนิติ
กรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา GTWf คู่สมรสต้ องขอเพิกถอนนิติกรรมทัMงหมด จะ
เพิกถอนเฉพาะส่วนหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ .-./01:3

โจทก์ จ ดทะเบี ย นให้ ทีE ดิ น ` แปลงแก่ จํา เลยซึE ง เป็ นภริ ย า


ระหว่ างสมรส นิติกรรมการให้ จึงเป็ นสัญญาทีEเกีEยวกับทรัพย์สินทีE
โจทก์จาํ เลยได้ ทาํ ไว้ ต่อกันในระหว่างเป็ นสามีภริยา ซึEงตาม ป.พ.พ.
มาตรา [\]_ ได้ บญ ั ญัตถิ งึ การบอกล้ างสัญญาทีEเกีEยวกับทรัพย์สนิ ทีE
สามีภริยาทําไว้ ต่อกันในช่ วงเวลาดังกล่ าวได้ โดยเฉพาะแล้ ว ดังนัWน
เมืE อ โจทก์ต้ อ งการบอกล้ า งสัญ ญาการให้ ทEีดิ น ทัWง หมดต่ อ จํา เลย
กรณีต้องนําบทบัญญัติตามมาตรา [\]_ มาใช้ บังคับ หาใช่ต้องนํา
บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา DhD อันเป็ นบทบัญญัติทEวั ไปมาใช้
บังคับไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;-:/01:.
โจทก์ยอมให้ จาํ เลย (ภริยา) มีช@ือร่วมในบัญชีเงินฝากของธนาคารซึ@งยื@นคํา
ขอเปิ ดบัญชีในระหว่างที@โจทก์และจําเลยเป็ นคู่สมรส โดยโจทก์ตกลงยกเงินฝากที@
เป็ นสินส่วนตัวของโจทก์ในบัญชีดังกล่าว จํานวน G,[ff,fff บาท ให้ แก่จาํ เลย
จึงเป็ นสัญญาเกี@ยวกับทรัพย์สนิ ระหว่างที@เป็ นสามีภริยากัน ซึ@งประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GTUX ให้ สิทธิสามีหรือภริยาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ@งบอกล้ าง
สัญญาได้ ดังนัMน เมื@อโจทก์ได้ บอกล้ างนิติกรรมการให้ เงินต่อจําเลย ซึ@งเป็ นการ
กระทําในระหว่างที@เป้ ฯสามีภริยากันอยู่จึงเป็ นการใช้ สทิ ธิบอกล้ างตามบทบัญญัติ
ดังกล่าว อันเป็ นบทบัญญัติท@มี ุ่งคุ้มครองสิทธิของคู่สมรสโดยทั@วไปที@ได้ ทาํ สัญญา
เกี@ย วกับ ทรั พ ย์ สิน กัน ไว้ ใ นระหว่ า งสมรส โดยตกอยู่ ภ ายใต้ อิทธิพ ลของความ
เสน่หาหรือเหตุอ@นื ใดอันทําให้ ตนต้ องเสียประโยชน์มิให้ ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือ
ถูกข่มเหงโดยไม่เป็ นธรรม เหตุแห่ งการบอกล้ างจึงขึMนอู่กับความพอใจของผู้ให้
เมื@อโจทก์ซ@ึงเป็ นผู้ให้ ไม่พอใจจําเลย โจทก์ย่อมใช้ สทิ ธิบอกล้ างนิติกรรมได้ ไม่ใช่
การใช้ สทิ ธิโดยไม่สจุ ริต
มาตรา 1470
คําพิพากษาฎีกาที+ 311/0102

บิดาจําเลยยกทีEพิพาทให้ โจทก์จาํ เลยใช้ เป็ นทีEอยู่อาศัยและทํา


กินเมืEอแต่งงานกัน ก่อนจะทะเบียนสมรส ก่อนใช้ บรรพ D ทีEแก้ ไข
ใหม่ ทีEพิพาทจึงตกเป็ นของโจทก์จาํ เลยคนละครึEง ครัWงโจทก์จาํ เลย
จดทะเบีย นสมรสก็ก ลายเป็ นสิน เดิ ม ของแต่ ล ะฝ่ าย และเป็ นสิน
ส่วนตัวตามพระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ D แห่ งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_
คําพิพากษาฎีกาที+ -13;/010:
ทีEดินของชายถือกรรมสิทธิaรวมกับมารดามาก่อนเป็ นสามีภริยา
กับโจทก์ เป็ นสินส่วนตัวของชาย ต่อมาชายทําสัญญาประนีประนอม
แบ่งกับมารดาเมืEอโจทก์จาํ เลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ ว ก็เป็ นแต่
แบ่ งกรรมสิทธิaรวมระหว่ างจําเลยกับมารดา ทีEดินไม่ เป็ นสินสมรส
(คงเป็ นสินส่วนตัวตามเดิม)
คําพิพากษาฎีกาที+ 220;/010:
โจทก์ฟ้องว่าเป็ นเจ้ าของรถยนต์ แต่นาํ สืบว่ารถยนต์พิพาทเป็ น
ของภริยาโจทก์ตามทะเบียนรถยนต์ซEึงย่อมเป็ นกรรมสิทธิaรวมของ
สามีภริยาตามกฎหมาย แต่แม้ จะเป็ นสินส่วนตัวของภริยา โจทก์ก ็
เป็ นผู้ครอบครองและใช้ สอยรถยนต์พิพาท จึงมีอาํ นาจฟ้ องจําเลยทีE
h ซึEงเป็ นผู้รับประกันภัยคําW จุนรถยนต์ของจําเลยทีE ^ ทีEทาํ ละเมิดต่อ
โจทก์ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 133/010;

โจทก์ฟ้องเรียกร้ องเอามรดกของบิดาในฐานะทีEตนเป็ นทายาท


และทรัพย์สนิ ทีEได้ มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกเป็ นสินส่วนตัว
ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`[ (h) จึงเป็ น
เรืEองเกีEยวกับสินส่วนตัวมิใช่ เป็ นเรืEองการจัดการสินสมรส โจทก์มี
อํานาจฟ้ องโดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมของคู่สมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 22;/012<
โจทก์จํา เลยเป็ นสามี ภ ริ ย ากัน โจทก์มี ช@ ื อ เป็ นเจ้ า ของกรรมสิท ธิaใ นที@ดิ น
สินสมรสแต่ผ้ ูเดียว ในระหว่างสมรส จําเลยได้ ทาํ หนังสือสัญญาและจดทะเบียน
ยกที@ดิ น ดั ง กล่ า วพร้ อ มสิ@ ง ปลู ก สร้ า งให้ แก่ โ จทก์ แสดงว่ า จํา เลยมี เ จตนายก
ทรัพย์สินซึ@งเป็ นสินสมรสส่วนของตนทัMงหมดให้ แก่โจทก์ ย่อทําให้ ทรัพย์สินนัMน
หมดสภาพจากการเป็ นสินสมรสและตกเป็ นสินส่วนตัวของโจทก์ และสัญญานีM
เป็ นสัญญาระหว่างสมรสที@สมบูรณ์ใช้ บังคับกันได้ เมื@อจําเลยยกทรัพย์สินให้ แก่
โจทก์และทรัพย์สนิ นัMนตกเป็ นสินส่วนตัวของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิ ช ย์ มาตรา GT`G (d) แล้ ว จํา เลยก็ไ ม่ มี สิ ท ธิ ใ นทรั พ ย์ สิ น นัM น ต่ อ ไป
โจทก์จาํ เลยหย่ากัน โจทก์ฟ้องขับไล่จาํ เลยออกจากทรัพย์สนิ ดังกล่าวได้ ประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GT`G (d) ที@บัญญัติให้ ทรัพย์สนิ ที@สามีภริยา
ฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ@งได้ มาระหว่างสมรสโดยการให้ โดยเสน่หาเป็ นสินส่วนตัวนัMน มิได้
กําหนดให้ ใช้ บังคับแต่เฉพาะกรณีท@บี ุคคลภายนอกเป็ นผู้ยกทรัพย์สินให้ เท่านัMน
แต่ได้ รวมถึงกรณีท@สี ามีภริยายกทรัพย์สนิ ให้ แก่กนั ในระหว่างสมรสด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 3;4/0120

ที>ดินที>จําเลยได้ รับมาหลั งจากประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์


บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. E0FG ใช้ บังคับแล้ ว แม้ จาํ เลยกับผู้
ร้ องจะสมรสกันก่อนกฎหมายใหม่ใช้ บังคับ ก็ยังต้ องนําประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ บรรพ 0 ที>ได้ ตรวจชําระใหม่ นW ีมาใช้ บังคับ เมื>อจําเลย
ฝ่ ายเดียวได้ ท>ดี ินดังกล่าวมาในระหว่างสมรสโดยการยกให้ โดยเสน่หา จึง
เป็ นสินส่วนตัวของจําเลยตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา
FUHF (f) ส่วนที>ดินที>จําเลยได้ มาในระหว่ างสมรสก่อนหน้ าที> เมื>อไม่
ปรากฏว่าบิดายกให้ จาํ เลยแต่ผ้ ูเดียวหรือให้ ผ้ ูร้องด้ วย จึงต้ องเป็ นไปตาม
บทสัน นิ ษ ฐานของประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา FUHU
ตอนท้ าย ที>ให้ ถอื ว่าเป็ นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจําเลย
คําพิพากษาฎีกาที+ .-0/0122

เครืE อ งทองรู ป พรรณ เครืE อ งเพชร แหวน เข็ม ขั ด นากและ


เครืEองประดับอืEนๆ ตามฟ้ อง เป็ นเครืEองประดับกายซึEงรวมกันแล้ ว
มีราคาไม่มาก เมืEอพิจารณาตามฐานะและรายได้ ของบิดาโจทก์และ
ผู้ตายแล้ ว เป็ นเครืEองประดับกายตามควรแก่ฐานะของผู้ตาย แม้
ผู้ตายได้ มาโดยบิดาโจทก์เป็ นผู้มาหาให้ หรือผู้ตายหาเองในระหว่าง
สมรสก็ตามก็เป็ นสินส่วนตัวของผู้ตาย
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<30/0121

จําเลยได้ ทEดี ินมาโดยบิดาจําเลยยกให้ แม้ จะเป็ นการยกให้ ใน


ระหว่ างสมรส แต่ เมืEอการยกให้ มิได้ ทาํ เป็ นหนังสือระบุว่าให้ เป็ น
สินสมรส ทีEดินจึงตกเป็ นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิช ย์ มาตรา [\`[ (h) ส่ ว นทีEม าตรา [\`\ วรรคสอง ให้
สัน นิษฐานไว้ ก่ อ นว่ า เป็ นสิน สมรสนัWน จะต้ อ งเป็ นกรณีทEีสงสัยว่ า
ทรัพย์สินอย่ างหนึEงเป็ นสินสมรสหรือมิใช้ แต่ เมืEอข้ อเท็จจริงปราก
กว่าทีEดินเป็ นสินส่วนตัวโดยแจ้ งชัดปราศจากข้ อสงสัยแล้ ว จึงไม่อาจ
นําอ้ างมาใช้ บงั คับได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 2333-233;/0121

สร้ อยคอทองคําและพระเครืEองทีEจาํ เลยซืWอให้ แต่โจทก์ระหว่าง


สมรสเป็ นทรัพย์ทEเี ป็ นเครืEองประดับกายตามควรแก่ฐานะของโจทก์
โดยเฉพาะ จึงเป็ นสินส่วนตัว
คําพิพากษาฎีกาที+ -.1/0123

จํา เลยได้ รั บ ยกให้ ทEีดิ น ภารยทรั พ ย์ ใ นวั น ทีEจ ดทะเบี ย นเมืE อ


พ.ศ.^D^[ อันเป็ นเวลาภายหลังจากการประกาศใช้ พระราชบัญญัติ
ให้ ใช้ บทบัญญัติบรรพ D แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทีE
ได้ ต รวจชํา ระใหม่ พ.ศ. ^D[_ แล้ ว ทีEดิ น ทีEไ ด้ รั บ ยกให้ จ ะเป็ น
สิ น สมรสหรื อ สิ น ส่ ว นตั ว จึ ง ต้ อ งพิ จ ารณาตามบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง
กฎหมายดังกล่าว ท. ได้ ทาํ หนังสือยกให้ ทEดี ินภารยทรัพย์แก่จาํ เลย
โดยไม่ ได้ ระบุไว้ ในหนังสือยกให้ ว่าให้ เป็ นสินสมรส จึงต้ องถือว่ า
ทีEดินภารยทรัพย์ของจําเลยเป็ นสินส่วนตัวของจําเลยตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\`[
คําพิพากษาฎีกาที+ -.1/0123 (ต่อ)

ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`h บัญญัติว่า


สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ ายใดให้ ฝ่ายนัWนเป็ นผู้จัดการ ดังนัWนจําเลย
จึงมีสิทธิทาํ นิติกรรมก่อให้ เกิดภาระจํายอมในทีEดินภารยทรัพย์อัน
เป็ นสินส่วนตัวของจําเลยได้ เองตามลําพั งโดยไม่ ต้องได้ รับความ
ยินยอมจากจําเลยร่วมซึEงเป็ นภริยา สัญญาประนีประนอมยอมความ
ระหว่างโจทก์จาํ เลยจึงมีผลผูกพันจําเลย
คําพิพากษาฎีกาที+ 0:3;/01:4

บ้ านทีEโจทก์นาํ ยึดออกขายทอดตลาดซึEงปลูกอยู่บนทีEดินของผู้
ร้ อง เป็ นทรัพย์สินทีEผ้ ูร้องได้ มาโดยการรับมรดกร่ วมกับทายาทอืEน
ของ ล. สิทธิของผู้ร้องโอนในบ้ านจึงเป็ นสินส่วนตัวของผู้ร้องตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา [\`[ (h) มิ ใ ช่
สินสมรสทีEโจทก์จะมีสทิ ธินาํ ยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้ าของรวมคน
หนึE ง ย่ อ มใช้ สิท ธิค รอบไปถึง ทรั พ ย์ สิน ทัWง หมด เพืE อ เรี ย กร้ อ งเอา
ทรัพย์สนิ คืนได้ ตามมาตรา [hD_ จึงมีอาํ นาจร้ องขัดทรัพย์
คําพิพากษาฎีกาที+ 2-4</0122

ทีEดินและบ้ าน โจทก์รับโอนกรรมสิทธิaมาหลังจากทําการสมรส
กับจําเลยแล้ วโดยโจทก์และจําเลยร่ วมกันซืWอมา จึงเป็ นสินสมรส
ตู้ เย็ น โทรทั ศ น์ สี แ ละตู้ ลํ า โพงอั น เป็ นของใช้ ภายในบ้ านเป็ น
ทรัพย์สนิ ได้ มาระหว่างสมรสจึงเป็ นสินสมรส
ทีEดินซึEงจําเลยซืWอมาในระหว่ างสมรสและมีชE ือโจทก์จาํ เลยถือ
กรรมสิท ธิaร่ ว มกัน โดยจํา เลยนํา เงิ น ทีEไ ด้ ม าจากการค้ า ขายและ
เงินเดือนไปซืWอนัWน เมืEอเงินจํานวนดังกล่ าวเป็ นเงินทีEจําเลยได้ มา
ระหว่ างสมรสจึงเป็ นสินสมรส การทีEจําเลยนําเงินสินสมรสไปซืWอ
ทีEดนิ ทีEดนิ ดังกล่าวจึงเป็ นสินสมรสด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ -<12/012;

จําเลยใช้ เงินของจําเลยซืWอสลากกินแบ่งฯ ก่อนสมรสกับโจทก์


สลากกินแบ่งฯ ออกรางวัลหลังจากทีEโจทก์จาํ เลยสมรสกันแล้ วและ
ถู ก รางวั ล เงิ น รางวั ล ทีEจํา เลยได้ รั บ มาจากการถู ก สลากกิ น แบ่ ง
รัฐบาลระหว่ างสมรสถือว่ าเป็ นทรัพย์สินทีEได้ มาระหว่ างสมรสย่ อม
เป็ นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ D ทีEได้
ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_ มาตรา [\`\ ([)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0;31/012;

เงินบํานาญเป็ นเงินทีEทางราชการจ่ ายให้ แก่ข้าราชการผู้ทEีพ้น


จากราชการแล้ วตามกฎหมายว่าด้ วยบําเหน็จบํานาญข้ าราชการ เมืEอ
ข้ าราชการผู้นWันมีคู่สมรสทีEชอบด้ วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็ นการ
ได้ เ งิ น มาในระหว่ า งสมรส ย่ อ มถื อ ว่ า เป็ นเงิ น บํา นาญนัW น เป็ น
สินสมรส การทีEจาํ เลยนําเงินบํานาญมาซืWอทีEดินและต่ อมาได้ ปลูก
สร้ างบ้ านซึEงเป็ นส่วนควบของทีEดินในระหว่างสมรส ทีEดินและบ้ าน
จึงเป็ นสินสมรสตามบทบัญญัติบรรพ D แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ มาตรา [\`\ ([) ซึEงใช้ บังคับอยู่
ในขณะนัWน หาใช่เป็ นสินส่วนตัวของจําเลยไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 2.2</01:0

เมืEอไม่ได้ ความชัดว่า ส. ได้ ทEดี ินพิพาทมาก่อนสมรสหรือได้ มา


ในระหว่างสมรสกับ ล. จึงต้ องด้ วยข้ อสันนิษฐานของกฎหมายทีEให้
สันนิษฐานไว้ ก่อนว่ าเป็ นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ มาตรา [\`\ วรรคท้ าย เมืEอ ส. ตาย ทีEดินพิพาทซึEงเป็ น
สินสมรสย่ อมตกเป็ นของ ล. กึEงหนึEง ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา []^D ([) ประกอบมาตรา [Dhh อีกกึEงหนึEง
เป็ นมรดกตกแก่ ล. กั บ โจทก์ คนละส่ ว นเท่ า ๆ กั น ตามมาตรา
[]^_ ([) ประกอบด้ วยมาตรา []hD ([)
คําพิพากษาฎีกาที+ ::;;/01:0
การที<จํา เลยซึ< ง เป็ นภริ ย าโจทก์ไ ด้ รั บ มรดกคื อ ที<ดิน พิ พ าทเมื< อ ปี
พ.ศ. ]*^N ขณะที<มีการใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ *
เดิม การพิจารณาว่าที<พิพาทเป็ นทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยาประเภทใด
ต้ อ งพิ จ ารณาตามบทกฎหมายที<ใ ช้ ใ นขณะที<ไ ด้ ม าคื อ ตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ * เดิม มาตรา IJKK วรรคหนึ<ง ที<
บัญญัติว่า สินสมรสได้ แก่ทรัพย์สนิ ทัTงหมดที<คู่สมรสได้ มาระหว่างสมรส
นอกจากที<ระบุไว้ ว่าเป็ นสินเดิมหรือสินส่วนตัวตามมาตรา IJKc หรือ
IJKJ เมื<อจําเลยได้ รับที<ดินพิพาททางพินัยกรรมในระหว่างสมรสและ
ไม่ มี ก ารระบุ ว่ า ให้ เ ป็ นสิน สมรสหรื อ สิน ส่ ว นตั ว ที<ดิ น พิ พ าทจึ ง เป็ น
สินสมรสระหว่ างโจทก์กับจําเลย แม้ ต่อมาจะมีการแบ่ งแยกและออก
โฉนดใหม่ เมื<อประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ * ใหม่ ใช้
บังคับแล้ วก็ไม่ทาํ ให้ เปลี<ยนเป็ นสินส่วนตัว โจทก์จึงมีสิทธิขอแบ่งที<ดิน
พิพาทตามฟ้ องได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -<;-</01:3

จําเลยทัDงสองอยู่กินฉันสามีภริยาตัDงแต่ปี Y._. แต่จดทะเบียนสมรา


กันเมื5อวันที5 ST มิถุนายน Y.YU จําเลยที5 S ซืDอที5ดินพิพาทจากผู้อ5 ืนเมื5อ
วันที5 T เมษายน Y.Yb ที5ดินพิพาทจึงเป็ นทรัพย์สนิ ที5ได้ มาก่อนที5จาํ เลยทัDง
สองจดทะเบียนสมรสกัน หาใช่ เป็ นทรัพย์สินที5จาํ เลยทัDงสองได้ มาระหว่ าง
สมรสอัน จะทํา ให้ เ ป็ นสิน สมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา ST<T ไม่ เพราะ
สินสมรสจะต้ องเป็ นทรัพย์สนิ ที5คู่สมรสได้ มาระหว่างสมรสเท่านัDน กฎหมาย
หาได้ บั ญ ญั ติ ใ ห้ ทรั พ ย์ สิ น ที5 คู่ ส มรสร่ ว มกั น เป็ นเจ้ าของอยู่ ก่ อ นสมรส
กลายเป็ นสิน สมรสเมื5 อ ได้ มี ก ารสมรสกัน ดั ง นัD น สัญ ญาขายที5ดิ น พิ พ าท
ระหว่ างโจทก์กับจําเลยที5 S จึงมิใช่ การจําหน่ ายสินสมรสที5ต้องได้ รับความ
ยินยอมจากจําเลยที5 Y เป็ นหนังสือ จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
คําพิพากษาฎีกาที+ 2240/01:.

จําเลยกับโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่ แต่เมื5อยังมิได้ จดทะเบียนหย่ ากัน


จํ า เลยกั บ โจทก์ จึ ง ยั ง มี ฐ านะเป็ นสามี ภ ริ ย ากั น โดยชอบด้ วยกฎหมาย
ทรั พย์สินที5คู่ สมรสได้ มาในระหว่ างสมรสย่ อมเป็ นสินสมรสตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา ST<T (S) เงินกองทุนสํารองเลีDยงชีพ
พนักงานการไฟฟ้ านครหลวง เงินชดเชย เงินค่ าตอบแทนพิเศษเนื5องจาก
การลาออก เงิ น ค่ า หุ้ น สมาชิ ก สหกรณ์อ อมทรั พ ย์ และเงิ น โบนั ส ซึ5 ง เป็ น
ทรัพย์สนิ ที5จาํ เลยได้ มาระหว่างสมรส จึงเป็ นสินสมรส
หมายเหตุ กรณีเ ช่ น นีDถือ ได้ ว่ าที5ดิน พิ พ าทเป็ นทรั พ ย์สิน ส่ ว นตัว ของ
จําเลยที5 S ตาม ป.พ.พ. มาตรา ST<S (S) จําเลยที5 S มีอาํ นาจจัดการเอง
โดยลํา พั ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ST<b ฉะนัD น การที5จํา เลยที5 S ขายที5ดิ น
พิพาท จึงไม่ต้องรับความยินยอมจากจําเลยที5 Y ภริยาแต่อย่างใด
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<30/0121

จําเลยได้ ทEดี ินมาโดยบิดายกให้ แม้ จะเป็ นการยกให้ ในระหว่าง


สมรส แต่เมืEอการยกให้ มิได้ ทาํ เป็ นหนังสือระบุว่าให้ เป็ นสินสมรส
ทีEดินจึงตกเป็ นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา [\`[ (h) ส่วนทีEมาตรา [\`\ วรรคสอง ให้ สนั นิษฐานไว้
ก่อนว่ าเป็ นสินสมรสนัWน จะต้ องเป็ นกรณีทEีสงสัยว่ าทรัพย์สินอย่ าง
หนึEงเป็ นสินสมรสหรือมิใช่ แต่เมืEอเข้ าเท็จจริงปรากกว่าทีEดินเป็ นสิน
ส่ ว นตั ว โดยแจ้ ง ชั ด ปราศจากข้ อ สงสัย แล้ ว จึ ง ไม่ อ าจนํา อ้ า งมาใช้
บังคับได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -1<0/0100

สิทธิตามสัญญาเช่ าซืWอเป็ นทรัพย์สิน เมืEอได้ มาระหว่ างสมรส


สามีภริยาเป็ นเจ้ าของรวม ภริยาฟ้ องคดีเกีEยวกับสินบริคณห์ได้ โดย
รับอนุญาตจากสามีตามมาตรา [\]_ เดิมทีEใช้ ในขณะทีEภริยาฟ้ อง
คดีละเมิดและประกันภัยรถทีEสามีเช่าซืWอ
คําพิพากษาฎีกาที+ 0:../0102

สุนัขในบ้ านจําเลยออกจากบ้ านไปกัดโจทก์ ภริยาจําเลยรับว่ า


เป็ นเจ้ า ของ เมืE อ กรณี เ ป็ นทีE ส งสั ย ต้ อ งสั น นิ ษ ฐานว่ า สุ นั ข เป็ น
สิน สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์ มาตรา [\`\
จําเลยจึงเป็ นเจ้ าของสุนัขด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 23-</0103

จํา เลย (สามี ) ซืW อทีE ดิ น มี โ ฉนดแล้ วลงชืE อ มารดาเป็ นผู้ ถื อ


กรรมสิท ธิaใ นระหว่ า งทีEจํา เลยยั ง มิไ ด้ ห ย่ า ขาดจากโจทก์ (ภริ ย า)
ทีEดนิ แปลงนีWจึงเป็ นสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -1.0/010;

การจดทะเบียนโอนทีEดินพิพาทระหว่างโจทก์ ธ. และ ก. เป็ น


การจดทะเบียนกันหลอกๆ เท่ากับเป็ นการแสดงเจตนาลวงเพืE อ
เปลีEยนสภาพทีEดินพิพาทจากสินสมรสให้ เป็ นสินส่วนตัวของโจทก์
จึงเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [[b
ซึEงมีผลเสมือนหนึEงว่ามิได้ มีการโอนเกิดขึWนเลย ทีEดินพิพาทจึงคงมี
สภาพเป็ นสินสมรสระหว่ างโจทก์จําเลยอยู่ เช่ นเดิม หาใช่ เป็ นสิน
ส่วนตัวของโจทก์ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ :<1:/010.

จําเลยให้ การปฏิเสธฟ้ องของโจทก์ว่า โจทก์เป็ นหญิงมีสามี แต่


ไม่ ไ ด้ แ นบหนั ง สือ ให้ ค วามยิ น ยอมมาท้ า ยคํา ฟ้ อง ฟ้ องโจทก์ไ ม่
สมบู ร ณ์ต ามกฎหมายโดยมิไ ด้ อ้ า งเหตุแ ห่ ง การนีW ว่ า ทีEพิ พ าทเป็ น
สินสมรส จึงไม่มีปัญหาทีEจะต้ องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา [\`_ จําเลยจะอ้ างข้ อสันนิษฐานตามมาตรา
[\`\ วรรคท้ าย มาใช้ โดยจําเลยมิได้ ให้ การไว้ โดยชัดแจ้ งหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 344/0104

ทีEดินทีEโจทก์ได้ มาระหว่ างสมรสโดยการยกให้ โดยเสน่ หาเมืEอ


วันทีE [h มีนาคม ^D[b ก่อนประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
บรรพ D ทีEได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_ ใช้ บังคับ จึงต้ องเป็ นไป
ตามบรรพ D เดิ ม เมืE อ หนั ง สือ ยกให้ มิ ไ ด้ แ สดงไว้ ว่ า ให้ เป็ นสิน
ส่ วนตัวแก่ โจทก์ จึง ตกเป็ นสิน สมรสตามมาตรา [\]] บรรพ D
เดิม
คําพิพากษาฎีกาที+ 0014/0104

ของขวัญที5เป็ นของใช้ ในครอบครัวซึ5งญาติและเพื5อนของคู่สมรสมอบ


ให้ เนื5องในวันสมรสนัDน ผู้ให้ ย่อมมีเจตนาที5จะให้ คู่สมรสได้ ใช้ สอยเมื5ออยู่
ร่วมกัน ถ้ าไม่ปรากฏว่าผู้ให้ รายใดได้ แสดงเจตนาไว้ เป็ นพิเศษว่ามอบให้ แก่
คู่สมรสฝ่ ายใดโดยเฉพาะแล้ ว แม้ จะเป็ นของที5มอบให้ ก่อนวันแต่งงาน S วัน
ก็ตาม ก็ถอื ได้ ว่าเป็ นทรัพย์สนิ ที5คู่สมรสได้ มาระหว่างสมรส ตกเป็ นสินสมรส
ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา ST<T (S) ของใช้ ใ น
ครอบครัวแม้ จะเป็ นของขวัญวันแต่งงาน หรือเป็ นของที5ซD ือมาหลังการสมรส
แล้ วก็ตามก็เป็ นสินสมรส เข็มขัดทองซึ5งเป็ นของหมัDนให้ แก่โจทก์นDันเมื5อ
จําเลยได้ ใช้ ให้ บุคคลภายนอกไปเอาคืนมาจากบิดาโจทก์ จําเลยก็ต้องรับผิด
คืนให้ แก่โจทก์ด้วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 42/012-

จําเลย (สามี) ประสบอุบัติเหตุขณะทํางาน นายจ้ างปลดจําเลย


ออกจากงาน จําเลยได้ รับเงินค่าชดเชยและผลประโยชน์ตามสิทธิทEี
จํา เลยพึ ง ได้ ต ามกฎหมายซึE ง นายจ้ า งจะต้ อ งจ่ า ยแก่ จํา เลยผู้ เ ป็ น
ลูกจ้ างโดยเกิดสิทธิขW ึนจากผลของกฎหมาย หาใช่ นายจ้ างจ่ ายให้
จําเลยโดยเสน่ หาไม่ เมืEอจําเลยซึEงเป็ นคู่สมรสของโจทก์ (ภริยา)
ได้ รับเงินดังกล่ าวมาระหว่ างสมรส จึงเป็ นสินสมรสตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`\ ([) อันโจทก์มีสิทธิขอ
แบ่งจากจําเลยเมืEอหย่ากัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 1;:;/012-

โจทก์ได้ รับทีEดินมาระหว่างสมรสโดยมารดายกให้ โจทก์และพีE


อีก h คนโดยเสน่ ห า ก่ อ นทีEป ระมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์
บรรพ D ทีEได้ ตรวจชําระใหม่ใช้ บังคับ เมืEอการยกให้ มิได้ แสดงไว้ ว่า
ให้ เป็ นสินส่วนตัว ทีEดินส่วนของโจทก์จึงตกเป็ นสินสมรส แม้ ต่อมา
มี ก ารแบ่ ง แยกโฉนดออกเป็ นส่ ว นของโจทก์ภ ายหลั ง ทีEป ระมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ D ทีEได้ ตรวจชําระใหม่ ใช้ บังคับ
แล้ วตาม ก็เป็ นเรืEองการแบ่งทรัพย์สนิ ในระหว่างผู้ถอื กรรมสิทธิaรวม
หาทําให้ ทEีดินส่ วนของโจทก์เปลีE ยนเป็ นสินส่ วนตัวของโจทก์ต าม
มาตรา [\`[ (h) ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 3;.-3.</0121

จําเลยทีE D จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย แม้ จาํ เลยทีE D จะเลิกร้ าง


กับผู้ตายไปนานแล้ ว แต่เมืEอไม่ได้ จดทะเบียนหย่ากัน ทรัพย์ทEผี ้ ูตาย
ได้ มาระหว่างทีEเป็ นสามีภริยากับจําเลยทีE D ย่อมเป็ นสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -0../0121

เงินตามโครงการผลประโยชน์เมืEอออกจากงานซึEงนายจ้ างจะ
จ่ายให้ แก่ลูกจ้ างเมืEอออกจากงาน เป็ นเงินของลูกจ้ าง ถ้ าลูกจ้ างยัง
ไม่ตายและออกจากงานนายจ้ างก็ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้ แก่ลูกจ้ าง
ตามระเบี ย บข้ อ บั ง คั บ ของนายจ้ า ง ดั ง นัW น เมืE อ ลู ก จ้ า งตาย เงิ น
ดังกล่าวจึงเป็ นมรดกของผู้ตาย มิใช่สนิ สมรสระหว่างผู้ตายกับภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<-2/0121

โจทก์จาํ เลยได้ ทEดี ินแปลงพิพาททัWงสองแปลงมาระหว่างสมรส


และได้ มาขณะทีEใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ D เดิม
การทีEจะพิจารณาว่าเป็ นทรัพย์สนิ ประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึง
ต้ องพิจารณาตามบทกฎหมายทีEใช้ ในขณะทีEได้ มา การรับโอนทีEดิน
พิพาททัWงสองแปลงมาเป็ นของจําเลยมิได้ ระบุไว้ ว่าให้ เป็ นสินส่วนตัว
หรือสินเดิม จึงเป็ นการได้ มาในฐานะทีEเป็ นสินสมรสตามทีEกาํ หนด
ไว้ ในมาตรา [\]] แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ
D เดิม (เทียบเคียงฎีกาทีE ]__/^D^_)
คําพิพากษาฎีกาที+ 2:4</0121
พระราชบัญญัติให้ ใช้ บทบัญญัติ บรรพ [ แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ท@ไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. B[GX มาตรา B บัญญัติไว้ ว่า พระราชบัญญัติ
นีMให้ ใช้ บังคับตัMงแต่ วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุ เบกษาเป็ นต้ นไป ที@ดิน
พิพาทซึ@งเป็ นสินสมรสของผู้ร้องกับจําเลยที@ G อยู่ก่อนวันดังกล่ าว แม้ จะได้ มา
ระหว่างสมรสโดยการรับมรดกก็ไม่กลับกลายเป็ นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพราะจะ
เป็ นการใช้ มาตรา GT`G (d) แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ท@ไี ด้ ตรวจ
ชําระใหม่ย้อนหลัง ข้ อต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทัMงความตามมาตรา [
ก็มีความหมายเฉพาะว่า ความสมบูรณ์ของการต่างๆ ตามที@บัญญัติไว้ ในมาตรานีM
ไม่ถูกกระทบกระเทือนคือไม่เสื@อมเสียไปเท่านัMน ไม่ได้ มีข้อความให้ ใช้ บทบัญญัติ
บรรพ [ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ท@ไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. B[GX
ย้ อนหลังอันเป็ นการยกเว้ นความตามมาตรา B ดังที@กล่าวมาข้ างต้ นแล้ ว จะถือว่า
ความสมบู ร ณ์ ข องการอื@ นนอกจากที@ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ในมาตรา [ ต้ องถู ก
กระทบกระเทือนถึง คือต้ องเปลี@ยนไปใช้ กฎหมายใหม่หาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 2333-233;/0121

ทรั พย์สินทีEได้ มาหลังจากมีความตกลงจะหย่ ากันเมืEอยังไม่ มี


การหย่าทรัพย์สนิ นัWนต้ องเป็ นสินสมรส
มาตรา 1472
คําพิพากษาฎีกาที+ 3;3/01--
ภริยาเอาเงินซ่อมแซมบ้ านซึEงเป็ นสินส่วนตัว และปลูกบ้ านใหม่
บนทีEดินซึEงเป็ นสินส่วนตัว แม้ จะกระทําภายหลังการสมรส บ้ านทีE
ซ่อมและบ้ านทีEปลูกใหม่กย็ ่อมเป็ นสินส่วนตัว
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<24/0100
ทีEดินสินส่วนตัวของสามีได้ เปลีEยนแปลงไปโดยแลกเปลีEยนกับ
ทีEดิน [ แปลงกับสิทธิทEีจะได้ รับเงินตอบแทนอีกจํานวนหนึEงตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความ ทีEดินทีEได้ มาใหม่กบั สิทธิทEจี ะได้ รับ
เงินนัWนเป็ นสินส่วนตัวของสามี
คําพิพากษาฎีกาที+ -1:/010:
บ้ านพิพาทผู้ร้องเอาเงินทีEได้ จากการขายบ้ านและทีEดินซึEงเป็ น
สิน เดิม ของผู้ ร้ อ งซืW อมา บ้ า นพิ พ าทจึ ง เป็ นสิน เดิม ของผู้ ร้ อ งตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\]D บรรพ D เดิม ทีE
ใช้ บั ง คั บ อยู่ ใ นขณะนัW น ซึE ง ตามพระราชบั ญ ญั ติ ใ ห้ ใช้ บรรพ D
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทEไี ด้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. ^D[_
มาตรา ` ได้ บัญญัติให้ สนิ เดิมเป็ นสินส่วนตัวบ้ านพิพาทจึงเป็ นสิน
ส่วนตัวของผู้ร้อง
คําพิพากษาฎีกาที+ 10:1/012-
จําเลยที@ G ขายที@ดินสินเดิมแล้ วนําเงินไปซืMอที@ดินแปลงใหม่ ที@ดินแปลงใหม่
จึงเป็ นทรัพย์สนิ ที@ต้องเอามาแทนสินเดิมที@ขายไป แม้ ต่อมาจําเลยที@ G จะได้ ขาย
ที@ดินแปลงใหม่ดังกล่าวแล้ วนําเงินบางส่วนไปรับซืMอฝากที@ดินแปลงพิพาทแล้ วตก
ได้ เป็ นของจําเลยที@ G เพราะผู้ขายมิได้ ไถ่คืน ที@ดินแปลงพิพาทก็ยังคงเป็ นสินเดิม
ของจําเลยที@ G ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GTU[ บรรพ [
เดิม
โรงเรี ย นและตึ ก แถวปลู ก สร้ างลงในที@ พิ พ าทอั น เป็ นสิ น เดิ ม โดยไม่ มี
หลักฐานว่าจําเลยที@ G ใช้ เงินจากการขายสินเดิมปลูกสร้ าง กลับได้ ความว่าผู้ปลูก
สร้ าง สร้ างให้ แทนการจ่ายเงินสดเป็ นค่าหน้ าที@ดินที@ปลูกอาคารพาณิชย์ในที@ดิน
ของ ส. ภริยาจําเลยที@ G ดังนีM โรงเรียนและตึกแถวบนที@พิพาทจึงเป็ นทรัพย์สนิ ที@
สามีภริยาได้ มาระหว่ างสมรส จึงเป็ นสินสมรสระหว่ าง ส. และจําเลยที@ G ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา GTUU บรรพ [ เดิม
คําพิพากษาฎีกาที+ 10:4/0122
จําเลยทีE [ ปลูกสร้ างบ้ านพิพาทบนทีEดินสินส่วนตัวของตน แม้
สามีจ ะช่ ว ยออกเงิน ในการปลู ก สร้ า งด้ ว ยถึง หนึE ง ในสาม แต่ ต าม
พฤติการณ์เป็ นการช่ วยเหลือกันฉั นสามีภริ ยา หาใช่ เป็ นการร่ วม
ลงทุนปลูกบ้ านพิพาทด้ วยไม่ ดังนีW บ้ านพิพาทจึงเป็ นส่วนควบของ
ทีEดินและเป็ นสินส่วนตัวของจําเลยทีE [ การทีEจาํ เลยทีE [ ปลูกสร้ าง
บ้ านพิพาทในระหว่างสมรสจึงไม่ทาํ ให้ บ้านพิพาทเป็ นสินสมรสอัน
จะเป็ นทรัพย์มรดกของสามีครึEงหนึEงด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<30/0121
จําเลยได้ ทEดี ินมาโดยบิดาจําเลยยกให้ แม้ จะเป็ นการยกให้ ใน
ระหว่ างสมรส แต่ เมืEอการยกให้ มิได้ ทาํ เป็ นหนังสือระบุว่าให้ เป็ น
สินสมรส ทีEดินจึงตกเป็ นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิช ย์ มาตรา [\`[ (h) ส่ ว นทีEม าตรา [\`\ วรรคสอง ให้
สัน นิษฐานไว้ ก่ อ นว่ า เป็ นสิน สมรสนัWน จะต้ อ งเป็ นกรณีทEีสงสัยว่ า
ทรัพย์สนิ อย่างหนึEงเป็ นสินสมรสหรือมิใช่ แต่เมืEอข้ อเท็จจริงปรากฏ
ว่าทีEดินเป็ นสินส่วนตัวโดยแจ้ งชัดปราศจากข้ อสงสัยแล้ ว จึงไม่อาจ
นําบทบัญญัตติ ามทีEโจทก์อ้างมาใช้ บงั คับได้
มาตรา 1473
คําพิพากษาฎีกาที+ 3;3/01--
สินส่วนตัวของภริยานัWน หาได้ มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ ถอื ว่า
เป็ นทรั พย์สินของสามีผ้ ูเป็ นลูกหนีWตามคําพิ พากษา ดังนัWน จึงไม่
อาจนําบทบัญญัติในมาตรา ^b^ วรรคท้ ายแห่ งประมวลกฎหมาย
วิธพี ิจารณาความแพ่งมาใช้ กบั กรณีนW ีได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0:;0/0100
ภริยาให้ ก้ ูเงินทีEเป็ นสินส่วนตัวมีอาํ นาจฟ้ องเรียกเงินนัWนคืนได้
โดยลํา พั ง แม้ ภ ริ ย าให้ ก้ ู เ งิ น ทีEเ ป็ นสิน สมรสและฟ้ องคดี โ ดยสามี
ไม่ ได้ ยินยอมด้ วย แต่ ปรากฏชัWนฎีกาว่ าสามีตายแล้ วไม่ มีทางให้ มี
สามีเข้ าจัดการร่ วมด้ วย ภริยาจัดการสินสมรสได้ โดยลําพัง และมี
อํานาจฟ้ อง
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;0:/0101
ทีE ดิ น และบ้ านเป็ นสิ น เดิ ม ของจํ า เลยทีE [ เมืE อใช้ บั ง คั บ
บทบัญ ญั ติบ รรพ D แห่ ง ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิชย์ทEีได้
ตรวจชํา ระใหม่ แ ล้ ว ย่ อ มเป็ นสิน ส่ ว นตั ว อัน จํา เลยทีE [ มี อ าํ นาจ
จําหน่ายได้ เอง โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากโจทก์ผ้ ูเป็ นสามี
และมิใช่ทรัพย์สนิ ทีEโจทก์จะมีส่วนแบ่งเมืEอหย่ากัน
คําพิพากษาฎีกาที+ ;4/0104
โจทก์ แ ละจํา เลยที5 S เป็ นสามี ภ ริ ย ากั น ต่ า งประสงค์ จ ะแบ่ ง ที5ดิ น
สินสมรสซึ5งถือกรรมสิทธิhร่วมกันอยู่ออกเป็ นสัดส่วน ได้ มีการออกหนังสือ
รับรองการทําประโยชน์ของที5ดินดังกล่ าวส่วนใหญ่ ในชื5อโจทก์แล้ วขายไป
โดยจํา เลยที5 S รู้ เ ห็น ด้ ว ย ต่ อ มาจํา เลยที5 S ได้ รั บ หนั ง สือ รั บ รองการทํา
ประโยชน์ในที5ดินส่วนที5เหลือคือที5พิพาทในชื5อของจําเลยที5 S ผู้เดียว ดังนีD
ถือได้ ว่าโจทก์กับจําเลยที5 S ได้ ตกลงแบ่งที5ดินทัDงแปลงออกเป็ นของแต่ละ
ฝ่ ายแล้ ว ที5พิพาทจึงหมดสภาพจากการเป็ นสินสมรส ตกเป็ นสินส่วนตัวของ
จํา เลยที5 S จํา เลยที5 S ย่ อ มมี อ าํ นาจขายที5พิ พ าทโดยไม่ ต้ อ งได้ รั บ ความ
ยินยอมจากโจทก์ เมื5อจําเลยที5 S ขายที5พิพาทให้ แก่จาํ เลยที5 b โจทก์จึงไม่มี
อํานาจฟ้ องขอให้ เพิกถอนหนังสือรับรองการทําประโยชน์ท5พี ิพาทและการ
จดทะเบียนซืDอขายระหว่างจําเลยที5 S กับจําเลยที5 b
คําพิพากษาฎีกาที+ 024./0121
ทีEพิ พ าทเป็ นสินส่วนตัวของจําเลย ซึEงได้ รับการยกให้ มาจาก
บิดาก่อนทําการสมรสกับ ป. จําเลยจึงมีอาํ นาจจัดการสินส่วนตัวได้
โดยไม่ ต้องได้ รับความยินยอมจากสามี นิติกรรมโอนทีEพิพาทตีใช้
หนีWให้ โจทก์ย่อมสมบูรณ์แม้ ไม่ได้ รับความยินยอมจาก ป.
คําพิพากษาฎีกาที+ -.1/0123
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`h บัญญัติว่า
สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ ายใดให้ ฝ่ายนัWนเป็ นผู้จัดการ ดังนัWน จําเลย
จึงมีสิทธิทาํ นิติกรรมก่อให้ เกิดภาระจํายอมในทีEดินภารยทรัพย์อัน
เป็ นสินส่วนตัวของจําเลยได้ เองตามลําพั งโดยไม่ ต้องได้ รับความ
ยินยอมจากจําเลยร่วมซึEงเป็ นภริยา สัญญาประนีประนอมยอมความ
ระหว่างโจทก์จาํ เลยจึงมีผลผูกพันจําเลย
มาตรา 1475
คําพิพากษาฎีกาที+ -23:/01<.
แม้ ภริ ยาจะมีชE ื อในโฉนดถือกรรมสิทธิaแต่ ผ้ ู เดียว ทีEดินก็อาจ
เป็ นสินสมรสระหว่างสามีภริยานัWนได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 00;</010-
ทีE ดิ น สิ น สมรสระหว่ า งโจทก์ จํา เลยซึE ง มี ชE ื อ จํา เลยเป็ นผู้ ถื อ
กรรมสิทธิaในโฉนดทีEดิน โจทก์ซEึงเป็ นภริยาร้ องขอให้ ลงชืEอตนเป็ น
เจ้ า ของร่ ว มกั น ในโฉนดนัW น ได้ ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ มาตรา [\]` (บรรพ D เดิม) ส่วนรถยนต์นWันแม้ จะมีชE ือ
จํา เลยเป็ นเจ้ า ของในใบทะเบี ย นรถยนต์ ก ็ต าม แต่ ใ บทะเบี ย น
รถยนต์กม็ ิใช่ เอกสารอันเป็ นทีEตWังแห่ งกรรมสิทธิa จึงไม่ ใช่ เอกสาร
เป็ นสํา คัญ สํา หรั บ ทรั พ ย์ (รถยนต์) ตามความหมายแห่ ง มาตรา
ดังกล่าว จึงบังคับจําเลยให้ ลงชืEอโจทก์เป็ นเจ้ าของร่วมกันไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -13/010;

ทีEดิน พิ พ าทเป็ นสิน สมรสระหว่ า งโจทก์จํา เลยทีEมีเ อกสารคือ


โฉนดเป็ นสํา คั ญ โจทก์ ซEึ ง เป็ นภริ ย าจะต้ อ งขอให้ ลงชืE อ ตนเป็ น
เจ้ าของรวมในโฉนดนัWนก็ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<-2/0121
สิทธิของสามีหรือภริยาที@บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา GT`[ นัMน กฎหมายกําหนดให้ อกี ฝ่ ายหนึ@งต้ องปฏิบัติตามคําร้ องขอของ
อีกฝ่ ายหนึ@งซึ@งไม่ มีช@ ือในเอกสารสําคัญให้ ต้องยินยอมให้ ฝ่ายนัMนลงชื@อตนเป็ น
เจ้ าของร่วมด้ วย โจทก์ได้ มีหนังสือขอให้ จาํ เลยจัดการให้ โจทก์ลงชื@อถือกรรมสิทธิa
ในที@ดินที@อ้างว่าเป็ นสินสมรส จําเลยเพิกเฉย เป็ นการโต้ แย้ งสิทธิขงโจทก์ท@มี ีตาม
กฎหมาย โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ องจําเลยได้
สิทธิของคู่สมรสที@จะร้ องขอให้ ลงชื@อตนเป็ นเจ้ าของรวมในเอกสารสําคัญ
ตามที@กาํ หนดไว้ ในประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GT`[ ย่ อมมีอยู่
ตลอดเวลาเท่าที@ยังเป็ นสามีภริยากันไม่ว่าจะช้ านานเท่าใด เมื@อโจทก์จาํ เลยยังเป็ น
สามีภริยากันอยู่ โจทก์ย่อมจะใช้ สทิ ธิขอให้ ลงชื@อตนด้ วยได้ โดยไม่ต้องคํานึงถึงว่า
ได้ ล่วงเลยเวลาที@ได้ สินสมรสมาแล้ วนานเท่าไร เพราะมิใช่ กรณีท@ีจะต้ องใช้ สิทธิ
เรียกร้ องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกําหนดไว้ จึงไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ 4;0</0124
แม้ จาํ เลยที5 Y จดทะเบียนสมรสกับจําเลยที5 S ในขณะที5จาํ เลยที5 S เป็ น
สามีภริยาโดยชอบด้ วยกฎหมายกับโจทก์ และการสมรสระหว่างจําเลยที5 S
กับจําเลยที5 Y เป็ นโมฆะก็ตาม แต่ เมื5อในระหว่ างที5จาํ เลยที5 S ซืDอที5พิพาท
มายังไม่มีฝ่ายใดฟ้ องให้ การสมรสเป็ นโมฆะตาม ป.พ.พ. บรรพ . ที5ตรวจ
ชํา ระใหม่ พ.ศ. Y.SX มาตรา STX. ซึ5 ง เป็ นกฎหมายที5ใ ช้ อ ยู่ ใ นขณะที5
บัญญัติว่าคําพิพากษาศาลเท่านัDนจะแสดงว่าการสมรสใดเป็ นโมฆะแล้ ว จึง
ต้ องถือว่ า การสมรสระหว่ างจําเลยที5 S กับจําเลยที5 Y ยังมีอยู่ ที5พิพาทจึง
เป็ นที5ดินที5จาํ เลยที5 S มาระหว่ างสมรสกับทัDงโจทก์และจําเลยที5 Y จึงเป็ น
สินสมรสระหว่างจําเลยที5 S กับจําเลยที5 Y ด้ วย จําเลยที5 Y ย่อมมีสทิ ธิลงชื5อ
เป็ นเจ้ าของรวมในโฉนดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ST<. โจทก์ไม่มีสทิ ธิขอให้
เพิกถอนชื5อจําเลยที5 Y ออกจากโฉนดที5ดนิ ดังกล่าว
มาตรา 1476
คําพิพากษาฎีกาที+ .<1/0100

การร้ องขอให้ ศาลตัW ง เป็ นผู้ จั ด การมรดก ไม่ เ กีE ย วกั บ เรืE อ ง
สิน สมรส คู่ ค วามมี สิท ธิเ ข้ า มาดํา เนิ น คดี โ ดยไม่ ต้ อ งได้ รั บ ความ
ยินยอมจากคู่สมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 04:;/012.

โจทก์ฟ้องเรียกค่ าเสียหายทีEจาํ เลยทีE [ ลูกจ้ างจําเลยทีE ^ ได้


ก่อให้ เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ซEึงเป็ นสินสมรสระหว่างโจทก์กบั
ส. สามีโจทก์จากจําเลยทีE ^ ซึEงไม่ เข้ ากรณีใดในอนุ มาตรา [ ถึง
อนุมาตรา b ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\`]
วรรคหนึEง โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ องจําเลยทัWงสองได้ โดยไม่จาํ ตองได้ รับ
ความยินยอมจากสามีตามวรรคสองของบทบัญญัตดิ งั กล่าว
คําพิพากษาฎีกาที+ 21::/01:0
การทําพินัยกรรมมิใช่ เป็ นการจัดการสินสมรสทีEจะต้ องได้ รับ
ความยินยอมจากคู่ สมรสอีก ฝ่ ายหนึEงตามประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย์ มาตรา [\`] วรรคหนึEง
คําพิพากษาฎีกาที+ ;4;./01:0
จํา เลยทีE [ นํ า ทรั พ ย์ พิ พ าทซึE ง เป็ นสิ น สมรสไปจํา นองแก่
ธนาคารจําเลยทีE ^ โดยปราศจากความยิน ยอมของโจทก์ซEึงเป็ น
ภริยาทีEชอบด้ วยกฎหมาย เป็ นการฝ่ าฝื นต่อประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา [\`] ([) แต่จาํ เลยทีE [ ให้ ความยินยอมแล้ ว
ย่อมถือได้ ว่า จําเลยทัWงสองร่ วมกันทํานิติกรรมจํานองโดยไม่สุจริต
และไม่ชอบด้ วยกฎหมาย ทัWงเป็ นการโต้ แย้ งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึง
มีอ าํ นาจฟ้ องขอเพิ ก ถอนนิ ติก รรมจํา นองดัง กล่ า วได้ ต ามมาตรา
[\bg วรรคหนึEง
คําพิพากษาฎีกาที+ 2240/01:.
การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา [\`] วรรคหนึEง จําเลยหรือโจทก์ซEึงเป็ นสามี
ภริยาย่ อมมีอาํ นาจจัดการได้ โดยมิต้องได้ รับความยินยอมจากอีก
ฝ่ ายหนึEง แต่การจัดการสินสมรสจะต้ องจัดการด้ วยความระมัดระวัง
ไม่ให้ เป็ นทีEเสียหายและต้ องไม่กระทําการอย่างหนึEงอย่างใดให้ เกิด
ความเสียหายแก่สนิ สมรสตามมาตรา [\`] วรรคสอง และมาตรา
1474 (1) (5)
มาตรา 1476/1
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<;1/0102
สามีทาํ สัญญาคําW ประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ให้ ไว้ กับ
ธนาคารจําเลย เป็ นการผูกพันตัวสามีมิได้ เกีEยวกับสินสมรส หาได้
ก่ อ ให้ เกิ ด ภาระติ ด พั น ซึE ง สิ น สมรสไม่ จึ ง มิ ใ ช่ เ ป็ นการจั ด การ
สินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`],
[\`` อัน ภริ ย าจะต้ อ งให้ ค วามยิ น ยอมร่ ว มกัน เป็ นหนั ง สือ ตาม
มาตรา [\`_ ภริยาฟ้ องขอให้ เพิกถอนสัญญาคําW ประกันดังกล่ าว
ตามมาตรา [\bg วรรคสอง ไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -<0/0101

ทรัพย์ทEโี จทก์ให้ เช่าเป็ นของบุตรโจทก์ การฟ้ องขับไล่จาํ เลยจึง


ไม่ ใช่ เป็ นการจัดการสินสมรสของโจทก์กับสามีจะต้ องทําร่ วมกัน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\`]
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<3</0103
การทีEจาํ เลยทําสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาต่ อพนักงานอัยการ
โดยระบุเรื อนอันเป็ นสินสมรสไว้ ท้ายสัญญาประกัน เพืE อเป็ นการ
แสดงหลัก ทรั พ ย์ห าใช่ เป็ นนิติก รรมในการจัด การสินสมรซึEงสามี
ภริยาจะต้ องจัดการร่ วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา [\`] ไม่ จึงเป็ นนิติกรรมทีEสมบูรณ์และผูกพันจําเลยโดย
ไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยาการระบุเรือนไว้ ท้ายประกันซึEง
อาจเป็ นผลให้ มีการยึดเรือนนัWน เมืEอมีการผิดสัญญาประกัน เป็ น
เรืEองในชัWนบังคับคดี เป็ นคนละเรืEองกันกับการจัดการสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 133/010;

โจทก์ฟ้องเรียกร้ องเอามรดกของบิดาในฐานะทีEตนเป็ นทายาท


และทรัพย์สนิ ทีEได้ มาระหว่างสมรสโดยการรับมรดกเป็ นสินส่วนตัว
ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`[ (h) จึงเป็ น
เรืEองเกีEยวกับสินส่วนตัว มิใช่ เป็ นเรืEองการจัดการสินสมรสโจทก์มี
อํานาจฟ้ องโดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมของคู่สมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 2222/010;
นาง ส. ร้ องขอเข้ าเป็ นคู่ ค วามแทนทีE โ จทก์ ผ้ ู เป็ นมารดา
ทรัพย์สินทีEอาจได้ มาตามคําพิพากษาซึEงจะตกได้ แก่ผ้ ูร้องก็จะเป็ น
สินส่วนตัวของผู้ร้อง มิใช่เป็ นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับสามี กรณีจึง
มิใช่เป็ นกรณีทEผี ้ ูร้องเข้ าไปจัดการสินสมรสอันจะต้ องจัดการร่วมกับ
สามีหรือต้ องได้ รับความยินยอมจากสามีตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา [\`],[\`` และ [\`b
คําพิพากษาฎีกาที+ 2042/012<

เงินทีEโจทก์ให้ จาํ เลยกู้เป็ นเงินสินสมรสซึEงโจทก์และภริยาย่อม


เป็ นผู้ จั ด การเงิน ดัง กล่ า วร่ ว มกัน อํา นาจจั ด การสิน สมรสรวมถึง
อํานาจฟ้ องและต่อสู้คดีเกีEยวกับสินสมรสนัWนด้ วย การทีEโจทก์ฟ้อง
คดีเรี ยกคืน เงิน กู้ ด้ งกล่ าวจากจําเลย จึงเป็ นการฟ้ องคดีเกีEยวกับ
สินสมรส โจทก์ต้องฟ้ องร่ วมกับภริยาหรือได้ รับความยินยอมจาก
ภริยาเสียก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ --41/012-

โจทก์ฟ้ องเรี ย กค่ า เสีย หายในมู ล ละเมิ ด ไม่ ไ ด้ ฟ้ องเกีEย วกับ


สิน สมรส เป็ นการฟ้ องตามสิท ธิทEีมี อ ยู่ เ ป็ นการเฉพาะตั ว จึ ง ไม่
จําต้ องได้ รับความยินยอมจากสามี
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;::/012-

สิทธิตามสัญญาจ้ างแรงงานเป็ นสิทธิเฉพาะตัวไม่เป็ นสินสมรส


แม้ โจทก์เป็ นหญิงมีสามีกย็ ่อมฟ้ องเรียกเงินตามสัญญาจ้ างแรงงาน
ได้ โดยไม่ จําต้ อ งได้ รับความยินยอมจากสามี เพราะมิใ ช่ เป็ นการ
จัดการสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 22;-/0123

การคํWา ประกั น สั ญ ญากู้ เ บิ ก เงิ น เกิ น บั ญ ชี ไ ม่ ใ ช่ ก ารจั ด การ


เกีEย วกับ สิน สมรส สามี ไ ม่ จํา ต้ อ งรั บ ความยิ น ยอมจากภริ ย าก็ใ ช้
บังคับได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 000</0123

ภริยาฟ้ องเรียกเงินมัดจําค่าซืWอทีEดินจากผู้จะขายตามสัญญาจะ
ซืWอจะขายทีEดิน ไม่ ใช่ การจัดการสินสมรส ไม่ อยู่ ในข้ อจํากัดทีEต้อง
ได้ รับความยินยอมจากสามีก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ ;2</0124

คู่สมรสฝ่ ายหนึEงฝ่ ายใดฟ้ องคดีต้องได้ รับความยินยอมจากอีก


ฝ่ ายหนึEงก็เฉพาะการฟ้ องคดีเกีEยวกับสินสมรสซึEงเป็ นทรัพย์สนิ ทีEทWงั
สองฝ่ ายต้ องจัดการร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา [\`]
คําพิพากษาฎีกาที+ 1033/0124
แม้ ผู้ ร้ องจะเป็ นภริ ย าของจํ า เลยแต่ ก ็ มิ ไ ด้ ถู ก ฟ้ องด้ วยจึ ง เป็ น
บุคคลภายนอกและชอบที5จะนําคดีตามที5กล่าวอ้ างว่า สัญญาประนีประนอม
ยอมความระหว่างโจทก์กบั จําเลยในคดีนDันไม่ชอบด้ วยกฎหมาย เพราะเป็ น
การจัดการสินสมรสโดยผู้ร้องมิได้ ให้ ความยินยอมด้ วย ไปฟ้ องขอให้ ศาล
เพิกถอนเป็ นอีกคดีหนึ5ง จะยื5นคําร้ องขอให้ เพิกถอนในคดีซ5ึงตนมิได้ เป็ น
คู่ ความด้ วยหาได้ ไม่ การร้ องขอให้ ศาลมีคําสั5งปล่ อยทรั พย์ตามประมวล
กฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา YVV ต้ องเป็ นเรื5องที5ผ้ ูร้องกล่าวอ้ าง
ว่ า จํา เลยไม่ ใ ช่ เ จ้ า ของทรั พ ย์ ดั ง กล่ า ว เมื5 อ อ้ า งว่ า ทรั พ ย์ นDั น เป็ นสิน สมรส
ระหว่ างจําเลยกับผู้ร้องร่ วมกัน เท่ากับยอมรับว่ าจําเลยเป็ นเจ้ าของทรัพย์
ด้ วย ผู้ร้องจึงหามีสทิ ธิขอให้ ปล่อยทรัพย์ไม่
มาตรา 1477
คําพิพากษาฎีกาที+ 0213/012;

ย. กับโจทก์เป็ นสามีภริยาและร่วมกันประกอบอาชีพรับจ้ างขุด


ดิน แม้ ชE ือคู่สัญญาฝ่ ายทีEรับจ้ างจําทะในนามของ ย. เพียงคนเดียว
แต่โจทก์กบั ย. ก็มีอาํ นาจจัดกิจการร่วมกัน ทัWงเงินค่าจ้ างทีEจาํ เลยทีE
[ และทีE ^ ต้ องจ่ายก็เป็ นสินสมรสระหว่าง ย. กับโจทก์ เมืEอ ย. ทํา
หนังสือยินยอมให้ โจทก์ฟ้องคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจําเลยทีE [
และทีE ^ ให้ ชําระเงินค่ าจ้ างเพืE อประโยชน์แก่สินสมรสนัWนได้ ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา [\``
คําพิพากษาฎีกาที+ ::1/01:<
หนังสือให้ ความยินยอมของผู้ร้องมีข้อความให้ คู่สมรสของผู้ร้องคือจําเลยที@
B มี อ ํา นาจทํา นิ ติ ก รรมทุ ก ชนิ ด เกี@ ย วกั บ การจั ด การสิ น สมรสของผู้ ร้ องตาม
ป.พ.พ. มาตรา GT`` และผู้ร้องยังให้ ความยินยอมแก่จาํ เลยที@ B ให้ มีอาํ นาจทํา
นิติกรรมทุกชนิดกับธนาคารโจทก์ได้ โดยให้ ถือเสมือนหนึ@งเป็ นการกระทําของผู้
ร้ องเอง เมื@อจําเลยที@ B ทําสัญญาคําM ประกันหนีMของบริษัท บ. แก่โจทก์โดยผู้ร้อง
ได้ ให้ ความยินยอมในภายหลัง ถือได้ ว่าหนีMตามสัญญาคําM ประกันที@จาํ เลยที@ B เป็ น
ผู้ก่อขึMนในระหว่ างสมรส ผู้ร้องได้ ให้ สัตยาบันแล้ ว จึงเป็ นหนีMร่วมระหว่ างผู้ร้อง
และจําเลยที@ B ตาม ป.พ.พ. มาตรา GTXf (T) แต่ สินส่วนตัวของภริยาไม่ ใช่
ทรัพย์ท@เี ป็ นของภริยาซึ@งตามกฎหมายอาจถือได้ ว่าเป็ นทรัพย์สินของลูกหนีMตาม
คําพิพากษา หรือเป็ นทรัพย์สินที@อาจบังคับเอาชําระหนีMตามคําพิพากษาได้ ตาม
ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา BWB วรรคท้ าย โจทก์มิได้ ฟ้องผู้
ร้ องเป็ นจําเลย ผู้ร้องมิได้ เป็ นลูกหนีMตามคําพิพากษาของโจทก์ แม้ หนีMท@จี าํ เลยที@
B เป็ นหนีMโจทก์ จะเป็ นหนีMร่วมระหว่างจําเลยที@ B กับโจทก์ โจทก์กไ็ ม่มีอาํ นาจยึด
ที@พิพาทซึ@งเป็ นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพื@อชําระหนีMแก่โจทก์
คําพิพากษาฎีกาที+ .-0/01:;

โจทก์ฟ้ องขั บ ไล่ จํา เลยออกจากทีEดิ น พิ พ าทซึ ง เป็ นสิน สมรส


ระหว่างโจทก์และภริยา ซึEงตาม ป.พ.พ. มาตรา [\`` ถือว่าการทีE
โจทก์ ฟ้ องขั บ ไล่ จํา เลยออกจากทีE ดิ น พิ พ าทย่ อ มเป็ นการสงวน
บํารุงรักษาสินสมรส หรือเพืEอประโยชน์แก่สนิ สมรส โจทก์จึงมีสทิ ธิ
ฟ้ องจําเลยได้ โดยไม่ต้องได้ รับความยินยอมจากภริยา
มาตรา 1478
คําพิพากษาฎีกาที+ 0.1</0103

ผู้ร้องกับสามีจองซืWอบ้ านและทีEดินไว้ ต่อมา อ. สามีทW งิ ร้ างไป ผู้


ร้ องไม่ อาจกู้เงินและจดทะเบียนจํานองบ้ านและทีEดินทีEจองไว้ จึง
ร้ องขอให้ ศาลมีคําสัEงอนุ ญาตให้ อ. จัด การขอกู้เงินพร้ อมกับจด
ทะเบียนจํานองบ้ านและทีEดินไว้ กับบริ ษัท ค. และอนุ ญาตให้ อ.
โอนสิทธิการจองบ้ านและทีEดินดังกล่าวให้ กับบุคคลภายนอกต่อไป
ดังนีWเป็ นการยืEนคําร้ องขอแทน อ. โดยทีE อ. มิได้ มอบอํานาจให้ ผ้ ู
ร้ องกระทําการแทน ผู้ร้องจึงไม่มีอาํ นาจโดยชอบด้ วยกฎหมายทีEจะ
ยืEนคําร้ องขอดังกล่าวได้
มาตรา 1479
คําพิพากษาฎีกาที+ 0<.3/0:4;

สามีลงชืEอเป็ นพยานในสัญญาทีEภริยาจํานองสินบริคณห์ถือว่ า
สามีอนุญาตให้ จาํ นองแล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;</0:4.

หญิงมีสามีทาํ นิติกรรมแลกเปลีEยนทีEดินโดยสามีมิได้ ยินยอม


เป็ นหนังสือ สามีบอกล้ างได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -23</01<2

การทีEภริยาทําสัญญาจะขายทีEดินมีโฉนดอันเป็ นสินบริคณห์ให้
โจทก์ โดยภริยาได้ รับเงินราคาทีEดินบางส่วนแล้ ว และโดยสามีร้ ูเห็น
ยิน ยอมแล้ วนัWน เป็ นกรณีต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิชย์
มาตรา \D] วรรคสอง ซึE ง ไม่ ต้ อ งมี ห ลั ก ฐานเป็ นหนั ง สือ ก็ใ ช้ ไ ด้
ฉะนัW น ความยิน ยอมของสามีจึง ไม่ ต้ อ งทํา เป็ นหนัง สือ โจทก์ฟ้ อง
ขอให้ บงั คับภริยาโอนทีEดนิ ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -231/01<4

การทีEสามีจะยกทีEดินซึEงเป็ นสินบริคณห์ให้ แก่ใครโดยเสน่หาได้


นัWน จะต้ องได้ รับความยินยอมเป็ นหนังสือจากภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<;1/0102

สามีทาํ สัญญาคําW ประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ให้ ไว้ กับ


ธนาคารจําเลย เป็ นการผูกพันตัวสามีมิได้ เกีEยวกับสินสมรส หาได้
ก่ อ ให้ เกิ ด ภาระติ ด พั น ซึE ง สิ น สมรสไม่ จึ ง มิ ใ ช่ เ ป็ นการจั ด การ
สินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`],
[\`` อัน ภริ ย าจะต้ อ งให้ ค วามยิ น ยอมร่ ว มกนเป็ นหนั ง สือ ตาม
มาตรา [\`_ ภริยาฟ้ องขอให้ เพิกถอนสัญญาคําW ประกันดังกล่ าว
ตามมาตรา [\bg วรรคสอง ไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ :<1:/010.

จําเลยให้ การปฏิเสธฟ้ องของโจทก์ว่า โจทก์เป็ นหญิงมีสามี แต่


โจทก์ไม่ ได้ แนบหนังสือให้ ความยินยอมมาท้ ายคําฟ้ อง ฟ้ องโจทก์
ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายโดยมิได้ อ้างเหตุแห่ งการนีWว่าทีEพิพาทเป็ น
สินสมรส จึงไม่มีปัญหาทีEจะต้ องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา [\`_ จําเลยจะอ้ างข้ อสันนิษฐานตามมาตรา
[\`\ วรรคท้ าย มาใช้ โดยจําเลยมิได้ ให้ การไว้ โดยชัดแจ้ งหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ :.0;/0104

กรณีหญิงมีสามีฟ้องคดีโดยต้ องมีหนังสือให้ ความยินยอมของ


สามี ก เ็ ฉพาะการฟ้ องคดี เ กีEย วกับ สิน สมรสเท่ า นัW น แต่ ถ้ า เป็ นสิน
ส่วนตัว หญิงมีสามีย่อมมีอาํ นาจฟ้ องคดีได้ โดยลําพัง จําเลยให้ การ
ปฏิเสธฟ้ องโจทก์ว่าโจทก์เป็ นหญิงมีสามีไม่ได้ รับความยินยอมเป็ น
หนังสือจากสามีจึงไม่มีอาํ นาจฟ้ อง โดยมิได้ อ้างเหตุแก่งหารนีWว่าทีE
พิพาทเป็ นสินสมรส กรณีกไ็ ม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย์ มาตรา [\`_ โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ อง
คําพิพากษาฎีกาที+ 2342/0120

คํายินยอมของสามีหรือภริยาเพืEอให้ อีกฝ่ ายหนึEงทํานิติกรรม


กฎหมายมิได้ บัญญัติให้ ทาํ ต่ อหน้ าเจ้ าพนักงาน เมืEอผู้ร้องซึEงเป็ น
ภริ ยาจํา เลยรั บ ว่ า หนั ง สือ ยิน ยอมเป็ นหนัง สือ ของผู้ ร้อ งทีEถู ก ต้ อ ง
แท้ จริงแล้ ว การทีEจาํ เลยนําหนังสือยินยอมดังกล่าวไปใช้ จดทะเบียน
จํานองทีEดนิ การจํานองย่อมไม่เป็ นโมฆะ
คําพิพากษาฎีกาที+ 112-/012:

ผู้ร้องนานะภริยาจําเลยทีE h ลงชืEอให้ ความยินยอมในการทํานิติ


กรรมจํานองทีEดิน แม้ หนังสือยินยอมจะไม่ ได้ ทาํ ทีEสาํ นักงานทีEดิน
และต่ อ เจ้ า พนั ก งานทีEดิ น ก็มี ผ ลสมบู ร ณ์ต ามกฎหมาย ไม่ ขั ด ต่ อ
ป.พ.พ. มาตรา [\`_
คําพิพากษาฎีกาที+ :<:3/0121

สัญญาคําW ประกันทีE น. ยอมผูกพันตนต่ อจําเลยซึEงเป็ นเจ้ าหนีW


ของ ส. เพืE อ ชํา ระหนีW เมืE อ ส. ลู ก หนีW ไม่ ชํา ระหนีW เป็ นสั ญ ญาคํWา
ประกันด้ วยบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา ]bg ซึEงผูกพันตัว น. มิได้
เกีEยวกับสินสมรส และมิใช่ เป็ นการจัดการสินสมรสตาม ป.พ.พ.
บรรพ D ทีEได้ ตรวจชําระใหม่ มาตรา [\`], [\`` ทีEโจทก์ซEึงเป็ น
สามีจะต้ องให้ ความยินยอมร่ วมกันเป็ นหนังสือตามมาตรา [\`_
โจทก์จึงขอให้ เพิกถอนสัญญาคําW ประกันดังกล่าวตามมาตรา [\bg
ไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 21::/01:0
แม้ การทีE ร. ให้ ทEดี ินพิพาทซึEงเป็ นสินสมรสโดยเสน่หาแก่จาํ เลย
โดยมิได้ รับความยินยอมเป็ นหนังสือของโจทก์ซEึงเป็ นคู่ สมรสอีก
ฝ่ ายหนึEงตาม ป.พ.พ. มาตรา [\`] (\) และ [\`_ และโจทก์มี
สิทธิฟ้องขอให้ เพิกถอนการให้ ดังกล่าวภายในกําหนดเวลา [ ปี นับ
แต่วันทีEได้ ร้ ูเรืEองทีE ร. จดทะเบียนการให้ ทEดี ินแก่จาํ เลยหรือภายใน
[g ปี นับแต่วันจดทะเบียนการให้ ตามมาตรา [\bg ได้ กต็ าม แต่
โจทก์ยังมิได้ ฟ้องขอให้ เพิกถอนการให้ ดังนีW ทีEดินพิพาทจึงยังเป็ น
กรรมสิทธิaของจําเลยอยู่ และจําเลยครอบครองในฐานะเป็ นเจ้ าของ
กรรมสิท ธิaเ นืE อ งจากได้ รั บ ยกให้ จ าก ร. จํา เลยจึ ง ไม่ มี ห น้ า ทีEแ บ่ ง
สินสมรสดังกล่าวของ ร. ให้ โจทก์
มาตรา 1480
การจัดการสินสมรสซึEงต้ องจัดการ่วมกัน หรือต้ องได้ รับ
ความยินยอมจากอีกฝ่ ายหนึEงตามมาตรา [\`] ถ้ าคู่สมรสฝ่ ายหนึEง
ได้ ทาํ นิตกิ รรมไปแต่เพียงฝ่ ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอม
ของคู่สมรสอีกฝ่ ายหนึEง คู่สมรสอีกฝ่ ายหนึEงอาจฟ้ องให้ ศาลเพิก
ถอนนิตกิ รรมนัWนได้ เว้ นแต่คู่สมรสอีกฝ่ ายหนึEงได้ ให้ สตั ยาบันแก่นิติ
กรรมนัWนแล้ ว หรือในขณะทีEทาํ นิตกิ รรมนัWนบุคคลภายนอกได้ กระทํา
โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
การฟ้ องให้ ศาลเพิกถอนนิตกิ รรมตามวรรคหนึEง ห้ ามมิ
ให้ ฟ้องเมืEอพ้ นหนึEงปี นับแต่วันทีEได้ ร้ เู หตุอนั เป็ นมูลให้ เพิกถอน
หรือเมืEอพ้ นสิบปี นับแต่วันทีEได้ ทาํ นิตกิ รรมนัWน
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<;1/0102

สามีทาํ สัญญาคําW ประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของ ท. ให้ ไว้ กับ


ธนาคารจําเลย เป็ นการผูกพันตัวสามีมิได้ เกีEยวกับสินสมรส หาได้
ก่ อ ให้ เกิ ด ภาระติ ด พั น ซึE ง สิ น สมรสไม่ จึ ง มิ ไ ด้ เป็ นการจั ด การ
สินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\`],
[\`` อัน ภริ ย าจะต้ อ งให้ ค วามยิ น ยอมร่ ว มกัน เป็ นหนั ง สือ ตาม
มาตรา [\`_ ภริยาฟ้ องขอให้ เพิกถอนสัญญาคําW ประกันดังกล่ าว
ตามมาตรา [\bg วรรคสอง ไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0.43/0101

โจทก์กบั ช. สมรสกัน ]g ปี มาแล้ ว มีบุตรคนเดียวต่อมาโจทก์


ไปบวชชีโดยไม่ได้ หย่ากัน ช. เป็ นข้ าราชการบํานาญ ออกจากบ้ าน
เดิมไปพักอาศัยอยู่กบั จําเลยและมารดาแล้ วยกทีEพิพาท \ แปลงอัน
เป็ นสินสมรสให้ จาํ เลยซึEงไม่ ได้ เป็ นญาติกับโจทก์ หรือ ช. โดยไม่
ปรากฏว่าโจทก์ และ ช. มีทรัพย์สนิ มีค่าอย่างอืEนอีก ดังนัWนถือไม่ได้
ว่าเป็ นการให้ ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา [\bg เมืEอปราศจากความยินยอมของ
โจทก์ การให้ จึงไม่สมบูรณ์ โจทก์ขอเพิกถอนได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 2<3</0103

การทีEจาํ เลยทําสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาต่ อพนักงานอัยการ


โดยระบุเรื อนอันเป็ นสินสมรสไว้ ท้ายสัญญาประกัน เพืE อเป็ นการ
แสดงหลักทรัพย์ หาใช่ เป็ นนิติกรรมในการจัดการสินสมรสซึEงสามี
ภริยาจะต้ องจัดการร่ วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา [\`] ไม่ จึงเป็ นนิติกรรมทีEสมบูรณ์และผูกพันจําเลยโดย
ไม่ ต้ อ งได้ รั บ ความยิ น ยอมจากภริ ย าการระบุ เ รื อ นไว้ ท้ า ยสัญ ญา
ประกัน ซึE ง อาจเป็ นผลให้ มี ก ารยึ ด เรื อ นนัW น เมืE อ มี ก ารผิ ด สัญ ญา
ประกัน เป็ นเรืEองในชัWนบังคับคดี เป็ นคนละเรืEองกันกับการจัดการ
สินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ 034/012-
โจทก์ (ภริยา) กับจําเลยทีE [ (สามี) ตกลงทําหนังสือหย่าและ
แบ่งทรัพย์สนิ กัน แต่ไม่ได้ ไปจดทะเบียนหย่า จึงถือไม่ได้ ว่าได้ หย่า
ขาดกันแล้ ว ข้ อตกลงเรืEองการหย่าและข้ อตกลงเรืEองแบ่งทรัพย์สนิ
เป็ นข้ อตกลงทีEแยกจากกันไม่ได้ เมืEอยังไม่มีการหย่า ข้ อตกลงเรืEอง
แบ่งทรัพย์สนิ ดงกล่าวจึงใช้ บังคับไม่ได้ ทรัพย์จึงคงเป็ นสินสมรสอยู่
ตามเดิม เมืEอจําเลยทีE [ ขายทรัพย์อันเป็ นสินสมรสให้ จาํ เลยทีE ^
โดยไม่ได้ รับความยินยอมจากโจทก์ซEึงเป็ นคู่สมรส และจําเลยทีE ^
ได้ กระทําโดยไม่สจุ ริตแล้ ว โจทก์จึงมีอาํ นาจทีEจะฟ้ องขอให้ เพิกถอน
นิ ติ ก รรมซืW อขายทรั พ ย์ นWั น ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ มาตรา [\bg วรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที+ 04-</012-
ส. ทําสัญญาจะซืDอจะขายที5ดินและบ้ านอันเป็ นสินสมรสของโจทก์กับ
ส. ให้ แก่จาํ เลย แล้ วผิดสัญญา จําเลยจึงฟ้ องเรียกเบีDยปรับและมัดจําคืน ส.
ทําสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมชําระเบีDยปรับและคืนเงินมัด
จําให้ จาํ เลย ดังนีD สัญญาจะซืDอจะขายที5ดินและบ้ านได้ ระงับไปแล้ วด้ วยผล
แห่ ง สั ญ ญาประนี ป ระนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิช ย์ มาตรา V.Y โจทก์ซ5ึ ง เป็ นสามี จ ะฟ้ องขอให้ เ พิ ก ถอนมิ ไ ด้ ส่ ว น
สัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็ นนิติกรรมเกี5ยวกับหนีDเงิน มิได้ ทาํ ขึDน
เพื5อผูกพันสินสมรสโดยเฉพาะ จึงมิใช่เป็ นการจัดการสินสมรสตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา ST<U, ST<< และ STV_ โจทก์ซ5ึงเป็ น
สามีจะฟ้ องขอให้ เพิกถอนมิได้ เช่นเดียวกัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 1;:./012-
ทรั พย์สินซึ5งจําเลยที5 S ได้ มาโดยการยกให้ โดยเสน่ หาก่อนประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ . ที5ได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. Y.SX ใช้
บั ง คั บ อัน เป็ นสิน สมรสระหว่ า งจํา เลยที5 S กับ โจทก์นDั น หากต่ อ มาเมื5 อ
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์ บรรพ . ที5ไ ด้ ต รวจชํา ระใหม่ พ.ศ.
Y.SX ใช้ บังคับแล้ ว จําเลยที5 S ได้ นาํ เอาสินสมรสนัDนไปขายฝากแก่จาํ เลยที5
Y โดยมิได้ รับความยินยอมของโจทก์ผ้ ูเป็ นสามี และโจทก์กม็ ิได้ ให้ สตั ยาบัน
ในเรื5องอํานาจของโจทก์ท5จี ะขอเพิกถอนนิติกรรมขายฝากดังกล่าวจะต้ องนํา
บทบัญญัติมาตรา STV_ วรรคสอง แห่ งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ . ที5ได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. Y.SX มาใช้ บังคับ โดยต้ องพิจารณาว่า
ในขณะทํานิติกรรมขายฝากจําเลยที5 Y ซึ5งเป็ นบุคคลภายนอกกระทําการโดย
สุจริตหรือไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 1;:./012- (ต่อ)

โจทก์กับจําเลยทีE [ แยกกันอยู่ โดยโจทก์ไปอยู่ กับภริ ยาเก่า


ก่อน จําเลยทีE [ ทํานิติกรรมขายฝากทีEดินและสิEงปลูกสร้ างซึEงเป็ น
สินสมรสให้ จําเลยทีE ^ ประมาณ ^ ปี ราคาทีEซW ือขายเป็ นราคาทีE
สมควร โฉนดทีEดินทุกแปลงมีชE ือจําเลยทีE [ เป็ นผู้ถือกรรมสิทธิa ไม่
มีชE ือโจทก์ถือกรรมสิทธิaร่วมด้ วย โดยจําเลยทีE [ บอกจําเลยทีE ^ ว่า
ได้ ห ย่ าขาดกับ โจทก์แล้ ว ซึEง มีเหตุผ ลทีEจํา เลยทีE ^ จะเชืE อ เช่ น นัWน
จําเลยทีE ^ จึงเป็ นผู้รับซืWอฝากทีEดินและสิEงปลูกสร้ างโดยสุจริต ย่อม
ได้ รั บ ความคุ้ ม ครองตามมาตรา [\bg วรรคสอง โจทก์จึ ง ไม่ มี
อํานาจฟ้ องขอให้ ศาลเพิกถอนนิตกิ รรมนีWได้
คําพิพากษาฎีกาที+ :4./012: (ประชุมใหญ่)

จําเลยและจําเลยร่วมเป็ นสามีภริยากันตามกฎหมาย จําเลยขาย


ฝากทรั พ ย์ ทEีเ ป็ นสิ น สมรสไว้ แ ก่ โ จทก์ โ ดยจํา เลยร่ ว มมิ ไ ด้ ร้ ู เห็ น
ยินยอมด้ วยการทีEจาํ เลยร่ วมทราบเรืEองขายฝากแล้ วได้ ติดต่อขอซืWอ
ทรัพย์ดังกล่าวคืนจากโจทก์เป็ นเรืEองทีEจาํ เลยร่ วมติดตามเอาทรัพย์
ของตนคืน ถือไม่ได้ ว่าเป็ นการชําระหนีWหรือเรียกทวงให้ ชาํ ระหนีWอนั
จะถือเป็ นการให้ สัตยาบันแก่การขายฝาก และทีEจาํ เลยร่ วมทราบ
แล้ วไม่ ฟ้องขอให้ เพิกถอนสัญญาขายฝากก็ถือไม่ ได้ ว่าเป็ นการให้
สัตยาบันเช่นเดียวกัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 4:3/0123
โจทก์บรรยายฟ้ องแต่ เพี ยงว่ า ที@ดินและตึกพิ พาทเป็ นสินสมรสของบิดา
มารดาโจทก์ ระหว่างอยู่กนิ ด้ วยกันบิดาโจทก์ได้ จดทะเบียนโอนขายที@ดินและตึก
พิ พ าทให้ แ ก่ จํา เลยในขณะที@จํา เลยเป็ นเลขานุ ก ารและเป็ นภริ ย าไม่ ช อบด้ ว ย
กฎหมายของบิดาโจทก์ และมีผ้ ูปลอมลายมือชื@อของมารดาโจทก์ลงในหนังสือให้
ความยินยอม นิติกรรมซืMอขายจึงไม่สมบูรณ์ และไม่ชอบด้ วยกฎหมาย โดยมิได้
บรรยายถึงการกระทําของจําเลยว่าได้ รับโอนมาไม่สจุ ริต ที@บรรยายว่าจําเลยเป็ น
เลขานุการและภริยาไม่ขอบด้ วยกฎหมายของบิดาโจทก์นMัน หาใช่ ว่าจําเลยจะได้
กระทําโดยไม่สจุ ริตไม่และที@บรรยายว่าลายมือขื@อของมารดาโจทก์ปลอมนัMน มิได้
กล่าวอ้ างว่าจําเลยเป็ นผู้ปลอมหรือร่ วมรู้เห็นในการปลอมด้ วย เมื@อจําเลยให้ การ
ว่า จําเลยซืMอที@ดินและตึกพิพาทมาโดยสุจริต ตามคําฟ้ องและคําให้ การจึงฟั งเป็ น
ยุ ติได้ แล้ วว่ าขณะที@ทาํ นิติกรรมการซืMอขายนัMน จําเลยซึ@งเป็ นบุคคลภายนอกได้
กระทํา การโดยสุ จ ริ ต โจทก์ ไ ม่ มี อ ํา นาจฟ้ องขอให้ เพิ ก ถอนได้ ต ามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา GTWf คดีจึงไม่ มีประเด็นที@จะต้ องสืบพยาน
โจทก์จาํ เลยต่อไป
คําพิพากษาฎีกาที+ 0;31/012;
เงิ น บํา นาญเป็ นเงิ น ที5ท างราชการจ่ า ยให้ แก่ ข้ า ราชการผู้ ท5ีพ้ น จาก
ราชการแล้ วตามกฎหมายว่าด้ วยบําเหน็จบํานาญข้ าราชการ เมื5อข้ าราชการผู้
นัDนมีคู่สมรสที5ชอบด้ วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็ นการได้ เงินมาในระหว่าง
สมรส ย่อมถือว่าเงินบํานาญนัDนเป็ นสินสมรส เมื5อนําเงินนัDนมาซืDอที5ดินและ
ต่อมาได้ ปลูกสร้ างบ้ านซึ5งเป็ นส่วนควบของที5ดินในระหว่างสมรสที5ดินและ
บ้ านจึงเป็ นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา ST<< (S) จําเลยที5 S ขายที5ดิน
พร้ อมบ้ านสินสมรสให้ จําเลยที5 Y โดยโจทก์ซ5ึงเป็ นคู่สมรสไม่ ได้ ให้ ความ
ยินยอม ราคาที5ขายเป็ นราคาถูกมาก ละตามพฤติการณ์ จําเลยที5 Y ต้ อง
ทราบว่ าจําเลยที5 S กับโจทก์เป็ นสามีภริยากัน จําเลยที5 Y จึงรับโอนที5ดิน
พร้ อมบ้ านโดยไม่สจุ ริต โจทก์ย่อมมีสทิ ธิฟ้องขอให้ เพิกถอนนิติกรรมนัDนได้
ตาม ป.พ.พ. มาตรา STV_ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที+ 2:.;/01:0
จําเลยให้ การว่าทรัพย์จาํ นองเป็ นสินสมรสระหว่างจําเลยกับ ป.
การจํานองทีEดินดังกล่ าวจําเลยไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ ความยินยอม
โจทก์ร้ อู ยู่แล้ วว่าจําเลยเป็ นภริยาโดยชอบด้ วยกฎหมายของ ป. หาก
ข้ อเท็จจริงฟั งได้ ว่าทรัพย์จาํ นองเป็ นสินสมรสระหว่าง ป. กับจําเลย
แล้ ว การทีE ป. ทํานิติกรรมจํานองโดยปราศจากความยินยอมของ
จํา เลย นิ ติ ก รรมนัW น จะสมบู ร ณ์ ต่ อ เมืE อ จํา เลยได้ ใ ห้ สัต ยาบั น แก่
สัญญาจํานองแล้ ว หรือในขณะทีEทาํ นิติกรรมนัWนโจทก์ผ้ ูรับจํานองซึEง
เป็ นบุคคลภายนอกได้ กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนตาม ป.
พ.พ. มาตรา [\bg การทีEศาลล่ างทัWงสองพิพากษาคดีไปโดยมิได้
ฟังข้ อเท็จจริงให้ ครบถ้ วนจึงเป็ นการไม่ชอบ
มาตรา 1481
คําพิพากษาฎีกาที+ :;./01<-

สามีทาํ พินัยกรรมยกสินสมรสให้ ผ้ ูอEนื เสียทัWงหมด โดยภริยาไม่


ทราบหรือยินยอม พินัยกรรมนัWนใช้ บงั คับส่วนของภริยาไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 1<1/01<4

ห้ อ งแถวเป็ นสิน สมรสของสามี ภ ริ ย าคนละครึE ง เมืE อ สามี ท าํ


พินัยกรรมยกห้ องแถวหลังนีWให้ แก่บุคคลอืEน ถือว่ าพินัยกรรมเกิน
ส่วนของตน แม้ ภริยาจะลงชืEอยินยอมให้ ทาํ พินัยกรรม พินัยกรรมก็
ไม่ มีผลผูกพันส่วนของภริยากึEงหนึEงในห้ องแถวนีW แต่พินัยกรรมนีW
ไม่เสียเปล่าไป ใช้ ได้ เฉพาะส่วนของตนเท่านัWนเอง
คําพิพากษาฎีกาที+ ::--::2/01-.

สามี จ ะทํ า พิ นั ย กรรมยกสิ น สมรสอั น เป็ นส่ ว นหนึE งของ


สินบริคณห์ระหว่างตนกับภริยาให้ แก่บุคคลอืEนเกินกว่าส่วนของตน
ไม่ได้ แต่พินัยกรรมนัWนก็หาได้ เสียไปทัWงหมดไม่ คงมีผลใช้ บังคับได้
เฉพาะส่วนของสามีผ้ ูตาย
คําพิพากษาฎีกาที+ -<.2/01:<
ในการทําพินัยกรรมเกี5ยวกับสินสมรสระหว่างสามีภริยาต้ องบังคับตาม
ป.พ.พ. มาตรา STVS ที5ระบุว่าสามีหรือภริยาไม่มีอาํ นาจทําพินัยกรรมยก
สินสมรสที5เกินกว่าส่วนของตนให้ แก่บุคคลใดได้ ดังนัDน แม้ ข้อเท็จจริงจะฟัง
ได้ ว่ าโจทก์ต กลงยิน ยอมให้ ช. สามีทาํ พิ นัยกรรมยกสิน สมรสของตนให้
บุคคลอื5น ข้ อตกลงยินยอมนัDนย่อมฝ่ าฝื นต่อบทบัญญัติดังกล่ าว และยังขัด
ต่ อความมุ่งหมายของ ป.พ.พ. มาตรา SUTU ที5กาํ หนดให้ บุคคลใด ๆ มี
สิทธิทาํ พินัยกรรมยกทรั พย์สินให้ บุคคลอื5นได้ กแ็ ต่ เฉพาะทรั พย์สินที5เป็ น
ของตนเท่านัDน เหตุนD ีข้อตกลงยินยอมดังกล่ าวจึงไม่ ทาํ ให้ พินัยกรรมที5 ช.
จัดทํามีผลผูกพันไปถึงที5ดินสินสมรสที5เป็ นส่วนของโจทก์ด้วย โจทก์ย่อม
ฟ้ องขอให้ ศาลพิ พากษาแสดงว่ าพิ นัยกรรมไม่ มีผลผูกพั นสินสมรสที5เป็ น
ส่วนของโจทก์ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 21::/01:0
แม้ ร. มี สิ ท ธิ ท ํา พิ นั ย กรรมยกบ้ านพิ พ าททีE เ ป็ นสิ น สมรส
ระหว่าง ร. กับโจทก์ ส่วนทีE ร. มีกรรมสิทธิaอยู่ครึEงหนึEงให้ แก่จาํ เลย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา [\`] วรรคสองได้ กต็ าม แต่ ร. ก็ไม่มีสทิ ธิทาํ
พิ นั ย กรรมยกกรรมสิท ธิaใ นบ้ า นส่ ว นของโจทก์อีก ครึE ง หนึE ง ให้ แ ก่
จํา เลยได้ การทีE ร. ทํา พิ นั ย กรรมยกบ้ า นสิน สมรสทัWง หลั ง ให้ แ ก่
จํา เลย จึง ไม่ มีผ ลผู ก พั น ส่ วนทีEเป็ นกรรมสิทธิaของโจทก์ โจทก์ใ น
ฐานะเป็ นเจ้ าของมี สิ ท ธิ ฟ้ องติ ด ตามเอาคื น ทรั พ ย์ ส่ ว นทีE เ ป็ น
กรรมสิทธิaของตนได้ โดยไม่ มีกาํ หนดเวลาการใช้ สิทธิเว้ นแต่ จะถูก
จํากัดด้ วยอายุ ความได้ สิทธิ โดยโจทก์ไม่ ต้องฟ้ องขอให้ เพิ กถอน
พินัยกรรมของ ร. ก่อน
มาตรา 1484
คําพิพากษาฎีกาที+ 4<-/0123
โจทก์จาํ เลยเป็ นสามีภริยากัน มีสินสมรสเป็ นเงินสดฝากอยู่ทEี
ธนาคาร จําเลยได้ ถอนเงินจากธนาคารไปหมดสิWน แต่กม็ ิใช่ กรณีทEี
โจทก์จะร้ องขอให้ ศาลสัEงแยกสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิช ย์ มาตรา [\b\ ได้ เพราะจํา เลยมิ ใ ช่ เ ป็ นผู้ มี อ าํ นาจ
จัดการสินสมรสฝ่ ายเดียว อย่างไรก็ตามเงินฝากในธนาคารเช่นนีWถอื
ได้ ว่ า เป็ นสิ น สมรสจํา พวกทีEมี เ อกสารเป็ นสํา คั ญ ซึE ง ตามมาตรา
[\`D ให้ สทิ ธิแก่โจทก์ทEจี ะร้ องขอให้ ลงชืEอตนเป็ นเจ้ าของรวมกันใน
เอกสารนัWนได้ เมืEอจําเลยไม่ยินยอม จึงถือได้ ว่ามีข้อโต้ แย้ งสิทธิของ
โจทก์เกิดขึWนแล้ ว โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ องขอให้ ลงชืEอตนเป็ นเจ้ าของ
รวมกันในบัญชีเงินฝากธนาคารนัWนได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -3:1/01:.
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอลงชื<อร่ วมในอสังหาริมทรัพย์ท<เี ป็ นสินสมรส
และขอค่ า อุ ป การะเลีT ยงดู ต่ อ มาโจทก์ จํ า เลยตกลงทํ า สั ญ ญา
ประนีประนอมยอมความในเรื<องการตกลงหย่ าขาดและแบ่ งสินสมรส
ศาลพิ พ ากษาตามยอม ซึ< ง ตามสัญญาดัง กล่ าว โจทก์แ ละจําเลยต้ อ ง
ปฏิบัติดังนีT ข้ อ I จําเลยต้ องขายที<ดิน ] แปลงให้ แล้ วเสร็จภายใน K
เดือน แล้ วนําเงินที<หักค่าใช้ จ่ายมาชําระให้ แก่โจทก์ ข้ อ ] จําเลยตกลง
โอนที<ดิน * โฉนดให้ แกโจทก์ ข้ อ c ที<ดินนอกจากนีTให้ เป็ นของจําเลย
ข้ อ J โจทก์จาํ เลยตกลงหย่ากันเมื<อโจทก์ได้ รับเงินตามข้ อ I และได้ รับ
โอนที<ดินตามข้ อ ] เรียบร้ อยแล้ ว แต่ปรากฏว่าจําเลยยังจําหน่ายที<ดิน
ตามข้ อ I ไม่ได้ และระยะเวลา K เดือนที<กาํ หนดไว้ กผ็ ่านไปแล้ ว ดังนัTน
เมื< อจํ า เลยซึ< งเป็ น ลู กห นีT ต ามคํ า พิ พ ากษ าปฏิ บั ติ ต ามสั ญ ญา
ประนีประนอมยอมความไม่ครบถ้ วน สถานภาพของการสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -3:1/01:. (ต่อ)
ระหว่ า งโจทก์ แ ละจํา เลยยั ง คงมี ผ ลตามกฎหมาย คู่ ส มรสคงต้ อ งมี
ภาระหน้ าที<ผิดต่อบุคคลภายนอก หรืออาจได้ รับความเสียหายจากการ
จัดการสินสมรสของคู่สมรสอีกฝ่ ายหนึ<ง การที<โจทก์มาฟ้ องจําเลยคดีนT ี
เพื<อขอเป็ นผู้จัดการสินสมรสแต่ฝ่ายเดียวโดยมีเหตุจาํ เลยปลอมลายมือ
ชื< อโจทก์ในการจัด การเกี<ยวกับ ที<ดิน สิน สมรส ชอบที<โจทก์จ ะขอเป็ น
ผู้จัดการสินสมรสฝ่ ายเดียวและจัดการแยกสินสมรส จึงมิใช่ เรื<องโจทก์
ขอให้ จาํ เลยปฏิบตั ติ ามคําพิพากษาตามยอมและเป็ นคนละประเด็นกัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 2240/01:.
จําเลยเป็ นฝ่ ายจัดการสินสมรส แต่ จําเลยมอบอํานาจให้ สหกรณ์ออม
ทรัพย์รับเงินค่าตอบแทนพิเศษ เงินชดเชย เงินโบนัส และเงินได้ อ)นื ๆ ที)จาํ เลย
มีสิทธิได้ รับจากการไฟฟ้ านครหลวง รวมทัSงเงินค่ าหุ้ นของจําเลยในสหกรณ์
ออมทรัพย์ชาํ ระหนีSจาํ นองโดยโจทก์มิได้ ร้ ูเห็นหรือให้ สัตยาบันในหนีSจาํ นอง
ส่วนนีS และสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ รับเงินค่าหุ้นของจําเลย +_`,bbb บาท และ
รับเงินจากการไฟฟ้ านครหลวง Wbb,bbb บาท รวมเป็ นเงิน V_`,bbb บาท
นํามาชําระหนีSจาํ นองของจําเลยบางส่วนแล้ ว จําเลยยังได้ รับเงิน U`c,_@U
บาท ไปจาการไฟฟ้ านครหลวงอีกด้ วย ซึ)งเงินจํานวนหลังนีSจาํ เลยได้ นาํ ไปใช้
เพื)อประโยชน์ของจําเลยฝ่ ายเดียวโดยโจทก์และบุตรมิได้ รับการช่วยเหลือเลีSยง
ดูจากจําเลยคงเหลือเงินสินสมรสอยู่เพียง +,@@+,WVb บาท ถือได้ ว่าเป็ นการ
จัดการสินสมรสเป็ นที)เสียหายถึงขนาด และทําความเสียหายให้ แก่สินสมรส
รวมทัSงไม่นาํ เงินสินสมรสนัSนมาอุปการะเลีSยงดูโจทก์ด้วย โจทก์จึงมีเหตุสมควร
ร้ อ งขอให้ แ ยกสิน สมรสได้ ต ามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์ มาตรา
1484 (1) (2) (5)
มาตรา &'*)
สามีหรือภริยาอาจร้ องขอต่อศาลให้ ตนเป็ นผู้จัดการ
สินสมรสโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึEง หรือเข้ าร่วมจัดการใน
การนัWนได้ ถ้ าการทีEจะทําเช่นนัWนจะเป็ นประโยชน์ยEิงกว่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 2::1/010:

การร้ องขอเข้ าร่ วมเป็ นผู้ จัด การสินสมรสตามประมวลกฎหมาย


แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL* ผู้ร้องจะต้ องแสดงให้ เห็นว่ าการที<ทาํ
เช่นนัTนเป็ นประโยชน์ย<ิงกว่า แต่กรณีของโจทก์เป็ นเรื<องที<โจทก์ต้องการ
เป็ นผู้จัดการสินสมรสร่ วมกับสามีตามอํานาจที<มีอยู่แล้ วโจทก์จึงไม่อาจ
อาศัยประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL* ร้ องขอให้ ศาล
ตัTงโจทก์เป็ นผู้จัดการสินสมรสร่วมกับสามีได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -<12/012;

ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ * ที<ได้ ตรวจชําระใหม่


พ.ศ.]*IN มาตรา IJL* บัญญัติว่า สามีหรือภริยาอาจร้ องขอต่อศาล
ให้ ตนเป็ นผู้จัดการสินสมรสโดยเฉพาะอย่ างใดอย่ างหนึ<งหรือเข้ าร่ วม
จัดการในการนัTนได้ ถ้ าการที<จะทําเช่ นนัTนจะเป็ นประโยชน์ย<ิงกว่า เป็ น
ข้ อยกเว้ นจากหลักทั<วไป เมื<อไม่ ปรากฏว่ าโจทก์จําเลยทําสัญญาก่อน
สมรสกั น ไว้ เงิ น รางวั ล ที<เ หลื อ ฝากในธนาคารซึ< ง เป็ นส่ ว นหนึ< ง ของ
สิน สมรส เงิ น รางวั ล ที<จํา เลยสามี ไ ด้ รั บ มาจากการถู ก สลากกิน แบ่ ง
รัฐบาลระหว่างสมรส โจทก์จาํ เลยย่อมเป็ นผู้จัดการสินสมรสร่ วมกันอยู่
แล้ ว กรณีจึ ง ไม่ มี เ หตุ จํา เป็ นใดๆ ที<โ จทก์จ ะเป็ นผู้ จั ด การเงิ น รางวั ล
ดังกล่าวเพียงผู้เดียวแต่อย่างใด
มาตรา 1487
คําพิพากษาฎีกาที+ :0-:/012:

โจทก์จาํ เลยยงเป็ นสามีภริยากันอยู่ และไม่ปรากฏว่าได้ ทาํ สัญญา


กันไว้ ในเรื<องทรัพย์สนิ เป็ นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามี
ภริยาของโจทก์จาํ เลยในเรื<องทรัพย์สินนัTนก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติ
แห่ ง ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ บรรพ * หมวด J ว่ า ด้ ว ย
ทรั พย์สินระหว่ างสามีภริ ยา และโจทก์จําเลยซึ<งเป็ นสามีภริ ยากัน จะ
ฟ้ องร้ อ งกัน ด้ ว ยเรื< อ งทรั พ ย์ สิน ระหว่ า งสามี ภ ริ ย าไม่ ไ ด้ เว้ น แต่ จ ะมี
กฎหมายให้ อาํ นาจไว้ เท่านัTน กรณีตามคําฟ้ องของโจทก์เป็ นเรื<องโจทก์
ขอแบ่ งเงินค่ าขายที<ดินสินสมรสจากจําเลยกึ<งหนึ<ง ซึ<งเป็ นกรณีท<ีไม่ มี
บทบัญญัตขิ องกฎหมายให้ ฟ้องแบ่งได้ โจทก์จึงไม่มอี าํ นาจฟ้ อง
คําพิพากษาฎีกาที+ :2.0/01:<
โจทก์ฟ้องขอแบ่ งที5ดินที5โจทก์อ้างว่ าโจทก์จําเลยหามาได้ ร่วมกันใน
ระหว่างอยู่กนิ ฉันสามีภริยาก่อนจดทะเบียนสมรส เท่ากับโจทก์ฟ้องขอแบ่ง
ทรั พ ย์ สิน ที5โ จทก์อ้ า งว่ า มี อ ยู่ ก่ อ นสมรสอัน เป็ นสิน ส่ ว นตั ว ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ST<S (S) ซึ5งแต่ละฝ่ ายในฐานะเจ้ าของย่อมมีอาํ นาจจัดการเองได้
โดยลําพั งตามมาตรา ST<b และมาตรา SbbU แม้ ต่อ มาจะจดทะเบียน
สมรสกันก็ไม่ทาํ ให้ สนิ ส่วนตัวนัDนกลับเป็ นสินสมรสได้ จึงไม่ใช่การฟ้ องร้ อง
เกี5ยวกับทรัพย์สนิ ระหว่างสามีภริยา อันต้ องห้ ามมิให้ ฟ้องร้ องตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ . หมวด T ว่าด้ วยทรัพย์สินระหว่างสามี
ภริ ยา และการห้ ามมิให้ สามีหรื อภริ ยายึดหรื ออายัดทรั พย์สินของอีกฝ่ าย
หนึ5งตามมาตรา STV< ก็ไม่ใช่ห้ามมิให้ ฝ่ายหนึ5งฟ้ องร้ องอีกฝ่ ายหนึ5งให้ แบ่ง
ทรัพย์สินที5เป็ นกรรมสิทธิhรวมที5มีอยู่ก่อนสมรส เมื5อโจทก์มีหนังสือขอแบ่ง
ที5ดินดังกล่าวไปยังจําเลย แล้ วจําเลยไม่แบ่งให้ โจทก์ย่อมมีอาํ นาจฟ้ องจําเลย
ให้ แบ่งที5ดนิ ได้ ตามมาตรา SbUb
มาตรา 1488
คําพิพากษาฎีกาที+ -<:4/0102

โจทก์นาํ ยึดที<ดินซึ<งเป็ นสินสมรสระหว่ างจําเลยและผู้ร้องโดยไม่


ต้ องขอแบ่งส่วนของจําเลยออกก่อนได้ ผู้รอง (ภริยา) เป็ นเจ้ าของร่วม
ในทรัพย์ท<ยี ึด ชอบที<จะร้ องขอต่อศาลให้ กันส่วนของผู้ร้องออกได้ แต่
จะร้ องขอให้ ปล่อยทรัพย์ท<ถี ูกยึดไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ ::4/012;

โจทก็ฟ้องว่ า จําเลยที< I เป็ นสามีโจทก์ ได้ สมยอมแกล้ งเป็ นหนีT


จําเลยที< ] พี<สาว และสมยอมทําสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้
ศาลชัTนต้ นพิพากษาตามยอม ขอให้ ศาลพิพากษาว่ าจําเลยที< ] จะอ้ าง
สิท ธิต ามคํา พิ พ ากษาตามยอมยึ ด ทรั พ ย์ สิน อัน เป็ นสิน สมรสระหว่ า ง
โจทก์กับจําเลยที< I มิได้ และให้ ถือว่ าจําเลยที< ] ไม่ มีสิทธิได้ รับชําระ
หนีT จากทรั พ ย์ สิน ของจํา เลยที< I และให้ ถ อนการยึ ด ทรั พ ย์ ทTัง หมดที<
จําเลยที< ] ได้ นาํ เจ้ าพนักงานบังคับคดียึดไว้ แล้ วตามคําฟ้ องดังกล่ าว
การยอมความของจําเลยที< I และที< ] เรื<องของบุคคลทัTงสอง ไม่มีผล
เป็ นการโต้ แย้ งสิทธิหรือหน้ าที<ของโจทก์ซ<ึงเป็ นภริยาของจําเลยที< I เลย
เพราะการบังคับคดีของจําเลยที< ] ต่อจําเลยที< I นัTน จําเลยที< ] คงยึด
ได้ เฉพาะสินส่วนตัวและสินสมรสที<เป็ นส่วนของจําเลยที< I เท่านัTน ตาม
ป.พ.พ. มาตรา IJLL จะยึดสินสมรสส่วนของโจทก์ไม่ได้ ถ้ านํา
คําพิพากษาฎีกาที+ ::4/012; (ต่อ)
ยึ ด โจทก์ ก ็ข อกั น สิ น สมรสส่ ว นของตนได้ ต ามประมวลกฎหมายวิ ธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา ]Li เมื<อจําเลยที< ] มีสทิ ธิยึดสินสมรสส่วน
ของจําเลยที< I ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา IJLL ดังกล่ าวเช่ นนีT โจทก์จะ
ฟ้ องขอห้ ามมิให้ จําเลยที< ] ยึด สิน สมรสระหว่ างโจทก์กับ จําเลยที< I
มิได้ เพราะจําเลยที< I เป็ นลูกหนีTของจําเลยที< ] ตามคําพิพากษาจําเลย
ที< ] ย่อมมีสทิ ธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สนิ ส่วนของจําเลยที< I ได้ และที<
โจทก์ขอให้ ถอนการยึดทรัพย์ท<ีจาํ เลยที< ] นํายึดไว้ นTัน เมื<อจําเลยที< ]
เป็ นเจ้ าหนีTตามคําพิพากษา และจําเลยที< I ไม่ชาํ ระหนีTตามคําพิพากษา
จําเลยที< ] ย่อมมีสทิ ธิยึดทรัพย์ของจําเลยที< I ได้ โจทก์ไม่มีอาํ นาจใดที<
จะขอให้ จาํ เลยที< ] ถอนการยึดทรัพย์ได้ การที<จาํ เลยที< ] นํายึดทรัพย์
อันเป็ นสินสมรสระหว่างโจทก์กบั จําเลยที< I ไม่เป็ นการโต้ แย้ งสิทธิของ
โจทก์ตามประมวลกําหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา ** โจทก์ไม่มี
อํานาจฟ้ อง
มาตรา 1489
คําพิพากษาฎีกาที+ -<24/0140

เจ้ าหนีTตามคําพิพากษายึดสินส่วนตัวของภริยาจําเลยโดยมิได้ ฟ้อง


ภริยาเป็ นจําเลยไม่ได้ เพราะภริยาเป็ นคนนอกคดี แม้ จะปรากฏว่าภริยา
จะเป็ นลูกหนีTร่วมก็ตาม
คําพิพากษาฎีกาที+ -310/0100
สินส่วนตัวของภริยาไม่ใช่ทรัพย์สนิ ที<เป็ นของภริยาซึ<งตามกฎหมาย
อาจถือได้ ว่าเป็ นทรัพย์สนิ ของลูกหนีTตามคําพิพากษาหรือเป็ นทรัพย์สนิ
ที<อาจบังคับเอาชําระหนีTตามคําพิพากษาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา ]L] วรรคท้ าย โจทก์มิได้ ฟ้องผู้รับ (ภริยา)
เป็ นจําเลย ผู้ร้องไม่ ได้ เป็ นลูกหนีTตามคําพิพากษาของโจทก์ แม้ หนีTท<ี
จําเลยที< I เป็ นลู กหนีTโจทก์เป็ นหนีTร่วมระหว่ างจําเลยที< I กับผู้ ร้อง
โจทก์กไ็ ม่ มีอาํ นาจยึดที<พิพาทซึ<งเป็ นสินส่วนตัวของผู้ร้องเพื<อนําชําระ
หนีTแก่โจทก์ได้ ตามนัยแห่งคําพิพากษาฎีกาที< I^cN/]JN]
คําพิพากษาฎีกาที+ 0;01/010.

ผู้ร้องเป็ นภริยาโดยชอบด้ วยกฎหมายของจําเลย จําเลยไปยืมเงิน


โจทก์มาเพื<ออุปการะและเพื<อประโยชน์ร่วมกันระหว่างจําเลยกับผู้ร้อง
ซึ<งเป็ นหนีTร่วมผู้ร้อง ไม่ มีสิทธิขอกันส่วนในสินสมรสที<โจทก์นาํ ยึดมา
ขายทอดตลาดเพื<อชําระหนีTตามคําพิพากษา
คําพิพากษาฎีกาที+ 2;:1/012<

จําเลยกับผู้ร้องเป็ นสามีภริยากันได้ ร่วมกันประกอบอาชีพจัดสรร


ที<ดนิ และสร้ างตึกแถวขาย หนีTท<โี จทก์นาํ มาฟ้ องเกิดจากจําเลยผิดสัญญา
ขายที<ดินพร้ อมตึกแถวที<จาํ เลยเป็ นผู้จัดสรรดังกล่าวให้ แก่โจทก์ จึงเป็ น
หนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา IJN^ และมีผล
ให้ เ จ้ า หนีT บั ง คั บ ชํา ระหนีT จากสิน สมรสและสิน ส่ ว นตั ว ได้ ต ามมาตรา
IJLN โจทก์ชอบที<จะบังคับชําระหนีTจากสินสมรสได้ ทTงั หมด ผู้ร้องไม่มี
สิทธิกนั ส่วนของตนไว้
มาตรา 1490
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-.0/010.

หนีTท<ี ต. ทําสัญญารับสภาพหนีT แม้ จะเป็ นหนีTซ<ึงก่อขึTนในระหว่าง


สมรสของ ต. และจํา เลยที< I (ภริ ย า) แต่ มิ ใ ช่ ห นีT ที< บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใน
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL] บรรพ * เดิม หรือ
มาตรา IJN^ ที<บัญญัติใหม่ จึงมิใช่หนีTร่วมที<จาํ เลยที< I จะต้ องร่ วมรับ
ผิดด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 01-1/012-

การที<จาํ เลยที< ] ทําสัญญาคําT ประกันโจทก์เพื<อการปฏิบัติงานและ


เพื< อความเสียหายอันเกิดจากจําเลยที< I ซึ<งเป็ นบุตรทํางานกับโจทก์
โดยที<ผ้ ูร้องผู้เป็ นมารดาของจําเลยที< I และเป็ นภริยาของจําเลยที< ] ไม่
คั ด ค้ า น แต่ ผ้ ู ร้ องมิ ไ ด้ เ ป็ นคู่ สั ญ ญาหรื อ ยิ น ยอมด้ ว ยกรณี เ ป็ นการ
เฉพาะตัวของจําเลยที< ] ผู้คาํT ประกันโดยตรง ไม่เกี<ยวข้ องกับกิจการอัน
จําเป็ นในครอบครัวหรือเกี<ยวข้ อกับสินสมรส หรือเกิดจากการงานที<ผ้ ู
ร้ องกับจําเลยที< ] ทําด้ วยกัน จึงไม่ เป็ นหนีTร่วมตามนัยมาตรา IJN^
แห่ งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ ผู้ร้องไม่ ต้องผูกพันในมูลหนีT
เรียกทรัพย์คืนและคําT ประกันที<โจทก์ฟ้องจําเลยที< I ที< ] และมีสทิ ธิร้อง
ขอกันส่วนในที<พิพาทกึ<งหนึ<งในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิkรวม ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ]Li
คําพิพากษาฎีกาที+ -34;/012.

ภริยานําเงินกู้บางส่วนไปชําระค่ าปลูกสร้ างและตบแต่ งบ้ าน หนีT


ดังกล่าวจึงเป็ นหนีTร่วมกันระหว่างภริยาและสามี
คําพิพากษาฎีกาที+ -.0./01:2

จําเลยที< I ได้ ท<ีดินที<จํานองมาในระหว่ างที<จําเลยที< I สมรสกับ


จําเลยที< c ที<ดินดังกล่ าวจึงเป็ นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา IJiJ
(I) และเมื<อจําเลยที< c นําที<ดินสินสมรสไปจดทะเบียนจํานองแก่โจทก์
โดยจําเลยที< c ให้ ความยินยอม หนีTดังกล่าวจึงเป็ นหนีTท<จี าํ เลยที< I และ
ที< c ซึ<งเป็ นภริยาสามีเป็ นลูกหนีTร่วมตามมาตรา IJN^ (]) โจทก์ย่อม
มีอาํ นาจฟ้ องจําเลยที< c ให้ ร่วมรับผิดกับจําเลยที< I ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ ;;-/01<.

หนีTท<สี ามีก่อขึTนด้ วยการกู้เงินโจทก์มาลงทุนทําการประมงหาเลีTยง


ครอบครัวย่อมเป็ นหนีTร่วมระหว่างสามีภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ -0;-01<-

ภริยากู้เงินมาใช้ ในการก่อสร้ างที<สามีรับจ้ างทําอยู่ สามีต้องรับผิด


ร่วมด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ ;.2/01<;

หนีTท<เี กิดขึTนเนื<องจากการงานซึ<งสามีภริยาทําด้ วยกันต้ องถือว่าเป็ น


หนีTร่วมกันระหว่างสามีภริยา ฉะนัTน สามีจึงต้ องรับผิดในหนีTนTันร่วมกับ
ภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ .<</0122

การที<จําเลยที< ] ได้ ให้ คํารั บ รองต่ อธนาคารผู้ ให้ ก้ ู ว่ าจําเลยที< ]


ทํางานเกษตรกับจําเลยที< I ผู้เป็ นสามีและรับผูกพันว่าเงินที<จาํ เลยที< I
กู้นTันเป็ นเงินที<นาํ ไปเพื<อใช้ ในการเกษตร หนีTเงินกู้ดังกล่าวจึงเป็ นหนีTอนั
เนื<องจากการงานซึ<งสามีภริยาทําด้ วยกัน แม้ จาํ เลยที< ] ไม่ได้ ลงชื<อใน
หนังสือกู้ร่วมกับจําเลยที< I จําเลยทัTงสองก็มฐี านะเป็ นลูกหนีTร่วม
คําพิพากษาฎีกาที+ -.10/0121

จําเลยที< ] สามีโดยชอบด้ วยกฎหมายของผู้ร้องทําสัญญาเบิกเงิน


เกินบัญชีกับโจทก์ มีทรัพย์พิพาทจํานองเป็ นประกันโดยผู้ร้องยินยอม
และให้ ผ้ ูร้องมีสิทธิเบิกจ่ ายเงินจากบัญชีได้ เพื<อนําเงินมาลงทุนทําการ
ค้ าขายพืชไร่ ร่วมกัน ถือว่ าเป็ นหนีTร่วมอันเกิดขึTนเนื<องจากการงานซึ<ง
สามีภ ริ ย าทํา ด้ ว ยกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิช ย์ มาตรา
IJN^ (c) ผู้ร้องจึงไม่มีสทิ ธิขอกันส่วนของผู้ร้องจากทรัพย์พิพาทที<ขาย
ทอดตลาด
คําพิพากษาฎีกาที+ 0.4/01:-

โจทก์ฟ้ องว่ า จํา เลยเป็ นภริ ย า ว. จํา เลยและ ว. ทํา กิจ การโรงสี
ร่วมกัน ว. กู้ยืมเงินโจทก์ไปทํากิจการโรงสี เป็ นการฟ้ องให้ จาํ เลยรับผิด
ในหนีTสนิ ที<ทาํ การค้ าร่วมกับ ว. ตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^
คําพิพากษาฎีกาที+ :<--/01:3
โจทก์บรรยายฟ้ องว่ าจําเลยทัTงสองเป็ นสามีภริยากันเป็ นเจ้ าของ
ร้ านร่วมกันประกอบกิจการขายของชําและจําจําเลยทัTงสองร่วมกันสั<งซืTอ
สินค้ าจากโจทก์ ดังนีTสภาพแห่งข้ อหาของโจทก์เกี<ยวกับความรับผิดของ
จําเลยที< ] จึงมีว่า จําเลยที< ] ร่ วมกับจําเลยที< I ในการสั<งซืTอสินค้ าไป
จากโจทก์อันเป็ นความผิดตามสัญญาซืTอขายประการหนึ<ง และจําเลยที<
] ต้ อ งร่ ว มรั บ ผิ ด ในหนีT ค่ า สิ น ค้ า กั บ จํา เลยที< I เพราะเป็ นหนีT ร่ ว ม
ระหว่างสามีภริยาที<เกิดขึTนเนื<องจากการงานซึ<งสามีภริยาทําด้ วยกันตาม
ป.พ.พ. มาตรา IJN^ (c) อีกประการหนึ<งเท่านัTน ไม่มีข้อหาว่าหนีTราย
นีT เป็ นหนีT ร่ ว มระหว่ า งสามี ภ ริ ย าเพราะเป็ นหนีT เกี< ย วกั บ การจั ด การ
บ้ า นเรื อ นและจั ด หาสิ<ง จํา เป็ นสํา หรั บ ครอบครั ว การอุป การะเลีT ยงดู
ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตร
ตามสมควรแก่อตั ภาพตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^ แต่อย่างใด
คําพิพากษาฎีกาที+ :<--/01:3 (ต่อ)
เมื< อ ศาลชัT น ต้ น มิ ไ ด้ ฟั ง ข้ อ เท็จ จริ ง ว่ า จํา เลยที< ] ร่ ว มด้ ว ยในกรส่ ง ซืT อ
สินค้ าจากโจทก์หรือร่วมด้ วยในการประกอบกิจการของร้ าน ศาลชัTนต้ น
ก็ชอบที<จะพิพากษายกฟ้ องจําเลยที< ] การที<ศาลชัTนต้ นวินิจฉัยว่าจําเลย
ที< I สั< ง ซืT อสิ น ค้ า จากโจทก์ เ พื< อ ใช้ ใ นกิ จ การค้ า ขายของร้ านซึ< ง เป็ น
สิ<งจําเป็ นในครอบครัวของจําเลยทัTงสองเพื<อนํารายได้ มาใช้ จ่ายในการ
อุปการะเลีTยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการ
รั กษาพยาบาลด้ วย อันเป็ นหนีTร่วมระหว่ างจําเลยทัTงสองซึ<งเป็ นสามี
ภริยากันตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^ (I) แล้ วพิพากษาให้ จาํ เลยที< ]
ร่วมรับผิดกับจําเลยที< I และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนัTน จึงเป็ นกรณีท<ี
ศาลล่ างทัTงสองพิพากษาในเรื<องนอกจากที<ปรากฏในคําฟ้ อง อันเป็ น
การต้ องห้ ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ ง มาตรา IJ]
ปั ญหานีTเป็ นข้ อกฎหมายเกี<ยวด้ วยความสงบเรี ยบร้ อยของประชาชน
ศาลฎีกามีอาํ นาจยกขึTนวินิจฉัยได้ แม้ จาํ เลยที< ] จะมิได้ ยกขึTนฎีกา
คําพิพากษาฎีกาที+ 0--/01<4

หนีTอนั เกิดจากการที<สามีทาํ ละเมิด มิใช่หนีTร่วมอันภริยาต้ องรับผิด


ด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 3;4/0120

แม้ ผ้ ู ร้ อ งกับ จํา เลยจะร่ ว มกัน กระทํา หนีT ละเมิ ด แต่ ก ารเป็ นการ
เฉพาะตัวของผู้ร้องกับจําเลยไม่เกี<ยวกับกิจการอันจําเป็ นในครอบครัว
หรือเกี<ยวข้ องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานที<ทาํ ด้ วยกันในฐานะที<
เป็ นสามีภริยา จึงไม่เป็ นหนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา IJN^ เมื<อ โจทก์มิไ ด้ ฟ้ องผู้ ร้ อ งเป็ นจํา เลยด้ ว ย จึ ง ไม่ อ าจจะ
บังคับคดีให้ กระทบกระทั<งถึงสิทธิของผู้ร้องที<มีอยู่ เหนือสินสมรสตม
ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่งมาตรา ]Li ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0103/010-

ศาลพิพากษาให้ สามีชาํ ระหนีTละเมิดซึ<งสามีทาํ ให้ โจทก์เสียหาย ใน


การทํางานเป็ นกรรมกรรับจ้ างค้ าข้ าวโพดที<โจทก์มอบหมายซึ<งภริยาก็
ทราบ หนีTตามคําพิ พากษานีTไม่ ใช่ หนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา IJN^ ภริ ยาไม่ มีส่วนรู้เห็นในการทําละเมิด ต่ อ
โจทก์ ในการบังคับคดีต้องกันส่วนเป็ นของภริยากึ<งหนึ<งของเงินที<ขาย
ทอดตลาดที<ดนิ สินสมรสที<โจทก์นาํ ยึด
คําพิพากษาฎีกาที+ -1-</0100

สามีเอาที<ดินสินสมรสไปจํานองธนาคารเอาเงินไปปรนเปรอภริยา
น้ อย หนีTนT ีไม่เป็ นหนีTร่วม ตามมาตรา IJL] (I) ที<ใช้ อยู่ในขณะนัTนอัน
ภริ ย าจะต้ อ งร่ ว มรั บ ผิ ด ใช้ หนีT ด้ ว ย สามี ไ ม่ มี สิ ท ธิ ท<ี จ ะขอให้ หั ก หนีT
ดังกล่าวออกจาสินสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -123/0100

สามีเป็ นกรรมการสหกรณ์ขายข้ าวโพด โดยภริยารู้และช่วยโดยนํา


คนไปขายข้ าวโพดแก่สหกรณ์ เป็ นการหารายได้ มาจุ นเจือครอบครั ว
ร่ วมกัน สามีผิดสัญญาต่อสหกรณ์ทาํ ข้ าวโดยขาดหาย สหกรณ์ยึดห้ อง
แถวที<เป็ นของสามีภริยาร่วมกันในการบังคับคดีแก่สามีได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -310/0100

เจ้ าหนีTตามคําพิพากษาของสามีในคดีท<ภี ริยามิได้ ถูกฟ้ องด้ วย ยึด


ที<ดิน สิน ส่ ว นตัว ของภริ ยาชําระหนีTไ ม่ ไ ด้ แม้ เป็ นหนีTร่ว มระหว่ างสามี
ภริยา กรณีไม่เข้ าประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา ]L]
คําพิพากษาฎีกาที+ 023</0100

ภริยาจํานองที<ดินสินสมรสโดยสามีร้ ูเห็นยินยอมเป็ นหนีTร่วมตาม


มาตรา IJL] (]) สามีขอกันส่วนของตนออกไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 20.4/0100

ค่ารักษาพยาบาลเป็ นหนีTร่วมตามมาตรา IJL] (I) เดิม สามีต้อง


รั บ ผิ ด ร่ ว มกั บ ภริ ย าในเงิ น ที< ภ ริ ย าขอให้ โจทก์ อ อกเงิ น ทดรองค่ า
รักษาพยาบาลภริยาไปก่อน
คําพิพากษาฎีกาที+ 24;-24./0102

การหย่าโดยคําพิพากษามีผลตัTงแต่เวลาคําพิพากษาถึงที<สดุ สามีก้ ู
เงินไปสร้ างตึกแถวขาย เป็ นการประกอบกิจการงานหาเลีTยงครอบครัว
จึงเป็ นหนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL]
เดิม ซึ<งเจ้ าหนีTบังคับคดีแก่สนิ บริคณห์ได้ ตมมาตรา IJL^ เดิม แม้ มิได้
ฟ้ องภริยาด้ วยก็ตาม
คําพิพากษาฎีกาที+ 03-./010:

ผู้ร้องซึ<งเป็ นสามีกับจําเลยจดทะเบียนสมรสเมื<อ พ.ศ. ]*]^ แต่


อยู่กนิ กันมาประมาณ c^ ปี แล้ ว จําเลยกับผู้ร้องร่วมกันสร้ างบ้ านพิพาท
ก่อนจดทะเบียนสมรสจึงมีกรรมสิทธิkร่วมกันคนละครึ<ง และถือว่ าเป็ น
สิน ส่ ว นตั ว ของผู้ ร้ อ งครึ< ง หนึ< ง หนีT ตามฟ้ องจํา เลยก่ อ ให้ เ กิด ขึT นก่ อ น
สมรส จึงมิใช้ หนีTร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา
IJN^ (J) ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนเงินที<ได้ จากการขายทอดตลาดบ้ าน
พิพาทได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 2-13/0101

หนีTท<ีสามีหรื อภริ ยาก่ อขึTนในระหว่ างสมรสซึ<งประมวลกฎหมาย


แพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา IJL] เดิ ม บั ญ ญั ติ ใ ห้ ถื อ เป็ นหนีT ร่ ว มนัT น
หมายถึงการเป็ นสามีภริยากันโดยชอบด้ วยกฎหมาย เมื<อผู้ร้องมิได้ เป็ น
ภริยาโดยชอบด้ วยกฎหมายของจําเลย และมิได้ เป็ นลูกหนีTร่วมในคดีท<ี
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจําเลยด้ วย หนีTท<จี าํ เลยกู้จากโจทก์จึงไม่เป็ นหนีT
ร่วมที<ผ้ ูร้องจะต้ องรับผิดร่วมด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-.2/010.

หนีTท<ี ต. (สามี) ทําสัญญารับสภาพหนีT แม้ จะเป็ นหนีTซ<ึงก่อขึTนใน


ระหว่างสมรสของ ต. และจําเลยที< I (ภริยา) แต่มิใช่หนีTตามที<บัญญัติ
ไว้ ในประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJL] บรรพ * เดิม
หรือมาตรา IJN^ บรรพ * ใหม่ จึงมิใช่ หนีTร่วมที<จาํ เลยที< I จะต้ อง
ร่วมรับผิดด้ วย
บิด าจําเลยที< I ยกที<พิ พ าทให้ จําเลยที< I เมื<อสมรสกับ ต. แล้ ว
และการยกให้ มิ ไ ด้ ระบุ ว่ า ให้ เป็ นสิ น ส่ ว นตั ว ดั ง นีT ที< พิ พ าทจึ ง เป็ น
สินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา IJKK บรรพ
* เดิม ซึ< ง เป็ นกฎหมายที<ใช้ อ ยู่ ในขณะยกให้ ต. จึง มีก รรมสิทธิkในที<
พิพาทครึ<งหนึ<ง แม้ ท<พี ิพาทมีช< ือจําเลยที< I ในโฉนดแต่ผ้ ูเดียว การที< ต.
ให้ ความยินยอมให้ จาํ เลยที< I โอนที<พิพาทอันเป็ นสินสมรสให้ แก่
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-.2/010. (ต่อ)

บุตรโดยเสน่หา ในขณะที<ตนมีหนีTซ<ึงไม่สามารถชําระให้ หมดไปได้ ขณะ


ยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็ นการทําให้ เจ้ าหนีTเสียเปรียบ เพราะไม่ มีทรัพย์อ< ืน
ของลูกหนีTท<จี ะยึดมาชําระหนีTได้ ศาลเพิกถอนการโอนได้
เมื<อ ต. ถึงแก่กรรม จําเลยซึ<งเป็ นทายาทต้ องรั บผิดชดใช้ หนีTให้
โจทก์ และเมื<อโจทก์ทวงถามแล้ ว จําเลยไม่ยอมชําระหนีT จําเลยในฐานะ
ทายาทย่ อมได้ ช< ื อว่ าเป็ นผู้ ผิด นัด และต้ องรั บ ผิด ชดใช้ ด อกเบีTยให้ แ ก่
โจทก์
คําพิพากษาฎีกาที+ 2342/0120

ผู้ ร้ อ งทํา หนั ง สือ ให้ ค วามยิ น ยอมจํา เลยซึ< ง เป็ นสามี ท าํ นิ ติ ก รรม
เกี<ยวกับการแก้ ไขหนีTจาํ นองรวมทัTงกิจการอื<นที<กระทําไปโดยผู้ร้องขอ
ร่วมรับผิดชอบในนิติกรรมนัTนเสมือนผู้ร้องได้ กระทําเองทุกประการ ถือ
ว่าผู้ร้องยอมให้ สตั ยาบันหนีTท<เี กิดขึTนว่าเป็ นหนีTร่วมระหว่างจําเลยกับผู้
ร้ อง จํานองจึงต้ องผูกพันที<ดนิ ทัTงหมดรวมทัTงส่วนของผู้ร้องด้ วย
คําพิพากษาฎีกาที+ -3<1--3<3/012;

สามีไปติดต่อขอสินเชื<อจากธนาคาร แต่ไม่ได้ นาํ เงินสินเชื<อที<ได้ รับ


ไปอุ ป การะเลีT ยงดู ภ ริ ย า หนีT ดั ง กล่ า วจึ ง เป็ นหนีT ที< ส ามี ก่ อ ขึT นเพื< อ
ประโยชน์ของสามีฝ่ายเดียว ไม่ใช่หนีTร่วม
คําพิพากษาฎีกาที+ 224/01:<

จําเลยที< c เป็ นภริยาจําเลยที< I ได้ ลงลายมือชื<อในหนังสือให้ ความ


ยินยอม ระบุว่า จําเลยที< c ยินยอมให้ จาํ เลยที< I คู่สมรสของตนทํานิติ
กรรมทุกอย่างกับโจทก์ได้ ถือว่าจําเลยที< c ได้ ร่วมกับรู้หนีTท<จี าํ เลยที< I
ได้ ก่อให้ เกิดขึTนตามสัญญากู้เงินและจําเลยที< c ได้ ให้ สัตยาบันในหนีT
ดังกล่าว หนีTตามสัญญากู้เงินจึงเป็ นหนีTร่วมระหว่างจําเลยที< I กับจําเลย
ที< c ตาม ป.พ.พ. มาตรา IJN^ (J) จําเลยที< I และจําเลยที< c ต้ อง
รับผิดใช้ หนีTร่วมกันต่อโจทก์
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-<;/01:2

จําเลยที< I ทําสัญญากู้เงินไปจากโจทก์ โดยจําเลยที< c สามีของ


จําเลยที< I ลงลายมือชื<อในหนังสือให้ ความยินยอมซึ<งมีข้อความว่า ตน
ยินยอมให้ จาํ เลยที< I ทํานิติกรรมทุกอย่างกับโจทก์ได้ ดังนีTถือว่าจําเลย
ที< c ร่ ว มรั บ รู้ ห นีT ที<จํา เลยที< I ก่ อ ให้ เกิ ด ขึT นและให้ สั ต ยาบั น ในหนีT
ดังกล่าว จึงเป็ นหนีTร่วมซึ<งจําเลยที< I และจําเลยที< c ต้ องรับผิดร่วมกัน

You might also like