You are on page 1of 42

H.

H. P.
P. Lovecraft
Lovecraft

เสียงเพรียกจากคธูลู
The Call of Cthulhu
บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์ แปล
คำนำ

ในบรรดาผลงานอันล้นหลามของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft) นิยายสั้นเรื่อง "The


Call of Cthulhu" หรือ "เสียงเรียกแห่งคธูลู" นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังและ
ทรงอิทธิพลที่สุด เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับอสูรกายโบราณนามว่า "คธูลู" ที่หลับใหลอยู่
ใต้ท้องทะเลลึก ได้สร้างความหวาดกลัวและจินตนาการอันล้ำลึกแก่ผู้อ่านมาเนิ่นนาน การแปล
วรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" สู่ภาษาไทยครั้งนี้ เป็นความพยายามที่จะนำเสนอผลงาน
อันทรงพลังของเลิฟคราฟท์ให้กับผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสกับประสบการณ์การอ่านที่น่าตื่นเต้น
และน่าสะพรึงกลัว
การแปลวรรณกรรมเรื่องนี้ เต็มไปด้วยความท้าทายหลายประการ ประการแรก ภาษาของเลิฟ
คราฟท์นั้นมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปด้วยคำศัพท์โบราณ สำนวนภาษาที่ซับซ้อน
และบรรยายถึงสิ่งลี้ลั บเหนือธรรมชาติ ซึ่ง ยากที่จะถ่ายทอดความหมายได้ อย่างครบถ้ ว น
ประการที่สอง เนื้อหาของเรื่องเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าโบราณ สถานที่
และนามบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีการอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยเข้าใจบริบทของเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้แปลพยายามอย่างเต็มที่ที่จะถ่ายทอดความงดงามของภาษาและความน่ า
สะพรึงกลัวของเนื้อหาให้คงไว้มากที่สุด รวมไปถึงการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ
ในเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถเข้าใจและดื่มด่ำกับเรื่องราวได้อย่างเต็มอรรถรส
หวังว่าการแปลวรรณกรรมเรื่อง "เสียงเรียกแห่งคธูลู" ครั้งนี้ จะเป็นการเปิดประตูสู่โลกอันน่า
พิศวงของเอช.พี. เลิฟคราฟท์ ให้กับผู้อ่านชาวไทย ที่ชื่นชอบ หรือเริ่มต้นศึกษา และหาแนวทาง
วรรณกรรมต่อยอดการออกแบบได้เข้าถึงจิ นตนาการของผู้ประพัน์กับชิ้นงานอันเป็นตำนานได้
อย่างเพลิดเพลินไม่รู้ลืม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์


ประวัติของ H.P. Lovecraft
โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟท์ (H.P. Lovecraft)
กำเนิด: 20 สิงหาคม พ.ศ. 2433 เสียชีวิต: 15 มีนาคม พ.ศ. 2480
อาชีพ: นักเขียนนิยาย
ผลงานเด่น:

• ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos)


• เรื่องสั้น "The Call of Cthulhu"
• เรื่องสั้น "The Colour Out of Space"
ชีวประวัติ: เกิดที่เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอส์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ชอบอ่าน
หนัง สือตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะวรรณกรรมสยองขวัญ เริ่มเขียนนิยายตั้งแต่อายุ 14 ปี เริ่มเต้น ตีพิมพ์ผลงานใน
นิตยสาร Weird Tales ผลงานส่วนใหญ่เป็นนิยายสยองขวัญ ผสมผสานกับนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซี สร้าง
ตำนานคธูลู (Cthulhu Mythos) จักรวาลเทพเจ้าโบราณที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัว ผลงานของเขาไม่ได้รับความ
นิยมมากนักในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ จนกระทั่ง เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
อิทธิพลงานเขียนของเลิฟคราฟท์ ผลงานของเลิฟคราฟท์มีอิทธิพลต่อนักเขียนนิยายสยองขวัญรุ่นหลังมากมาย
ปรากฏในสื่อบันเทิงหลากหลายรูปแบบ เช่น ภาพยนตร์ วิดีโอเกม บอร์ดเกม แนวคิด "ความกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก"
ของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้นักสร้างสรรค์ผลงานสยองขวัญมาจนถึงปัจจุบัน
สารบัญ

เสียงเรียกจากคธูลู The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft ............................................................................ 2


ตอนที่ 1 ความสยองในรูปปั้นดินเหนียว .................................................................................................................. 3
ตอนที่ 2 คดีของสารวัตรเลอกราสส์ ......................................................................................................................11
ตอนที่ 3 ความบ้าคลั่งจากท้องทะเล ......................................................................................................................23
สรุปเรื่องราวของ เสียงเรียกจากคธูลู (The Call of Cthulhu) .............................................................................35
เสียงเรียกคธูลู: การตีความทางการเมือง...............................................................................................................36
เสียงเรียกจากคธูลู
The Call of Cthulhu By H. P. Lovecraft

(เอกสารฉบับนี้ พบในเอกสารของผู้ล่วงลับ ฟรานซิส เวย์แลนด์ เธอร์สตัน แห่งบอสตัน)

“พลังอำนาจลึกลับ จากสิ่งมีช ีวิ ตอัน ทรงพลัง ในอดี ตกาล อาจยัง คงหลงเหลือรอดชีวิ ต ผ่าน
กาลเวลานับแสนนับล้านปี รอคอยการค้นพบ จิตสำนึกเหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์แห่ง
โบราณกาล อาจสิงสถิตอยู่ในรูปแบบหลากหลายสิ่งที่สูญหายไปนาน ก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะก้าว
เข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา ตำนานและบทกวี บันทึกเรื่องราวของพวกมัน ราวกับเป็นเศษเสี้ยวความ
ทรงจำจากอดีตกาล” —อัลเจอร์นอน แบล็ควูด

-2 -
ตอนที่ 1
ความสยองในรูปปั้นดินเหนียว

สิ่งที่เมตตาที่สุดในโลกนี้ ผมคิดว่าคงเป็นการที่จิตใจของมนุษย์นั้นไร้ซึ่งความสามารถในการ
เชื ่ อ มโยงทุก สิ ่งที ่ มารวมบรรจบกัน ได้ พวกเราอาศั ย อยู ่บ นเกาะแห่ ง ความไม่ รู ้ท ี ่ สงบสุข
ท่ามกลางมหาสมุทรอันลึกและมืดมิดยาวไกลไม่สิ้นสุด และไม่ได้ถูกลิขิตให้เดินทางไกลออกไป
เหล่าศาสตร์ความรู้ ต่างมุ่งหน้าไปในเส้นทางของตนเอง ที่ผ่านมาทำร้ายเราน้อยมาก แต่สักวัน
หนึ่งการรวบรวมชิ้นส่วนความรู้ที่ไ ม่เกี่ยวข้องกัน จะเปิดเผยความจริง อันน่าสะพรึง กลั ว
ทั้งหลาย และตำแหน่งน่าหวาดกลัวของเราที่อยู่ในนั้น จนเราต้องสติแตกจากการความจริงที่
ประจักษ์ หรือหลบหนีจากแสงสว่างอันร้ายกาจนั้น เข้าสู่ความสงบและปลอดภัยของยุคมืดที่
จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

เหล่านักปรัชญาเทวนิยม (Theosophists)1 ได้คาดเดาถึงความยิ่ง ใหญ่และน่าเกรงขามของ


วงจรแห่งจักรวาล อันที่โลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราเป็นเพียงเหตุการณ์อันฉาบฉวย พวกเขา
ได้กล่าวเป็นนัยถึงการดำรงอยู่ของสิ่งแปลกประหลาด ในถ้อยคำที่จะทำให้เลือดแข็งตัวหาก
ปราศจากการมองโลกในแง่ดีที่ซ้ำซาก แต่มิใช่จากพวกเขาเหล่านั้น ที่นำมาซึ่งเศษเสี้ยวความรู้
ต้องห้ามแห่งห้วงเวลาต้องห้ามซึ่งทำให้ผมเย็นยะเยือกเมื่อคิดถึงมัน และแทบบ้าคลั่งเมื่อได้ฝัน
ถึงมัน เศษเสี้ยวของความรู้เช่นเดียวกับความจริงอันน่าหวาดกลัวทั้งหลาย ได้ปรากฏออกมา
จากการประกอบรวมบังเอิญของสิ่ง ต่าง ๆ ที่ไ ม่เกี่ยวข้องกัน – ในกรณีนี้มาจากบทความ
หนังสือพิมพ์เก่า ๆ และบัน ทึกของศาสตราจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ผมหวัง ว่าจะไม่มีใครได้
ประกอบรวมข้อมูลเหล่านี้ได้อีกเลย และที่แน่ๆ หากผมยังมีชีวิต ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองมาเป็น
ตัวเชื่อมโยงให้ห่วงโซ่น่าสะพรึงกลัวนี้สมบูรณ์เด็ดขาด ผมคิดว่าศาสตราจารย์ก็ตั้งใจจะปิดปาก
เงียบไม่เอ่ยถึงส่วนที่เขารู้ด้วย และเขาคงทำลายบันทึกของเขาไปแล้ว หากไม่ไ ด้เกิดการ
เสียชีวิตกะทันหันขึ้นเสียก่อน การรับรู้ของผมเกี่ยวกับสิ่งนั้น เริ่มต้นขึ้นในฤดูหนาวของปี ค.ศ.
1926-1927 เมื่อ จอร์จ แกมเมลล์ แองเจลล์ อาจารย์ใหญ่กิตติมศักดิ์ ภาษากลุ่มเซมิติก แห่ง
มหาวิทยาลัยบราวน์ พรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ ถึงแก่กรรม ท่านศาสตราจารย์ แองเจลล์ เป็น

1
Theosophists หมายถึงนักศึกษาหรือสาวกของลัทธิเทวนิยม เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานหลายๆ ศาสตร์ เช่น ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ เพือ่ เข้าใจธรรมชาติของ
พระเจ้าและจุดกำเนิดของจักรวาล

-3 -
ที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกโบราณ มักได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการ
พิพิธภัณฑ์ชั้นนำอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้นการจากไปของท่านในวัย 92 ปี จึงเป็นที่จดจำของหลายคน ในท้องถิ่น ความสนใจทวี
ความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุการตายที่ยังคลุมเครือท่านศาสตราจารย์ล้มลงขณะ
เดินทางกลับจากเรือที่นิวพอร์ต พยานเล่าว่า ท่านล้มลงอย่างกะทันหัน หลังจากถูกชายผิวสี
รูปร่างคล้ายชาวเรือ ที่โผล่ออกมาจากตรอกมืดลาดชันบนเนินเขาเบียด ทรัพย์สินใดๆ ไม่สูญ
หาย แพทย์ไม่สามารถหาความผิดปกติที่ชัดเจนได้ แต่หลัง จากการถกเถียงกันอย่างงุนงง,
สรุปว่าอาจเป็นเพราะหัวใจล้มเหลวเนื่องจากการเดินขึ้นเนินเขาที่สูงชันสำหรับชายชราภาพ
เช่นท่าน ในตอนนั้น ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะคัดค้านคำตัดสินนี้ แต่หลังจากนั้น ผมเริ่มสงสัย -
มากขึ้น มากกว่าคำว่าสงสัยเสียอีก
ในฐานะทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกของลุงผู้ล่วงลับไปโดยไร้บุตร และภรรยา ตามหน้าที่ ผม
จำเป็นต้องตรวจสอบเอกสารของท่านอย่างละเอียด ดังนั้น ผมจึงย้ายแฟ้มและกล่องเอกสาร
ทั้งหมดของท่านมาเก็บไว้ที่พักของผมในบอสตัน ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมได้รวบรวมไว้นี้ สมาคม
โบราณคดีอเมริกันจะนำไปเผยแพร่ในภายหลัง แต่ทว่ามีกล่องหนึ่งที่ผมรู้สึกสับสนอย่างมาก
และไม่อยากให้ใครเห็นเลย มันถูกล็อกไว้ และผมหาแม่กุญแจไม่เจอ จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่า
ลองตรวจสอบแหวนประจำตัวที่ท่านศาสตราจารย์เคยพกติดตัวดู ปรากฏว่าผมไขกล่องออกได้
สำเร็จ แต่พอเปิดออก กลับเหมือนเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และล็อกแน่นหนาขึ้นไปอีก เพราะว่า
ภาพนูนต่ำประหลาดบนแผ่นดินเหนียว และข้อเขียน บันทึก และเศษกระดาษที่ไ ม่ต่อเนื่องกัน
พวกมันมีความหมายว่าอะไรกัน? ในช่วงบั้นปลายชีวิต ลุงของผมกลายเป็นคนหลงเชื่อเรื่องงม
งายไร้สาระไปแล้วหรือ ? ผมตั้งใจจะตามหาชิ้นงานจากประติมากรผู้แปลกประหลาดผู ้ ต้อง
รับผิดชอบต่อเรื่องวุ่นวายสับสนที่เกิดขึ้นกับความสงบสุขของชายชราคนนี้
รูปทรงนูนต่ำนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหยาบๆ มีความหนาไม่ถึงนิ้ว กว้างประมาณห้านิ้ว ยาว
ประมาณหกนิ้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นงานยุคสมัยใหม่แต่ลวดลายบนแผ่นกลับดูไม่ทันสมัยเอามากๆ
ทั ้ ง บรรยากาศและสั ญ ลั ก ษณ์ แม้ ศ ิ ล ปะแบบลู ก บาศก์ (Cubism) และลั ท ธิ อ นาคตนิ ย ม
(Futurism) จะมีรูปแบบแปลกประหลาดและหลุดโลก แต่ก็ไ ม่ได้แสดงถึงความสม่ำเสมอที่
ลึกลับแบบตัวเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่ง ลวดลายส่วนใหญ่บนแผ่นนี้ดูเหมือนจะเป็น
ตัวเขียนบางประเภทอย่างแน่นอน ถึงแม้ผมจะคุ้นเคยกับเอกสารและสะสมของลุงเป็นอย่างดี
แต่ความทรงจำของผมก็ไม่สามารถยืนยันชนิดของตัวเขียนนี้ หรือแม้แต่จะบอกใบ้ถึง ความ
เกี่ยวข้องที่ห่างไกลได้เลย

-4 -
เหนือสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนตัวอักษรโบราณนี้
มีรูปร่างที่ชัดเจนว่าเป็นภาพ แม้การวาดจะ
สไตล์อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) ทำ
ให้ เ ดาได้ ย ากว่ า เป็ น สิ ่ ง มี ช ี ว ิ ต อะไร มั น ดู
เหมื อ นสั ต ว์ ป ระหลาดบางชนิ ด หรื อ
สัญลักษณ์แทนสัตว์ประหลาด ที่มีรูปร่างซึ่ง
จินตนาการที่ป่วยไข้เท่านั้นถึงจะนึกออกได้
ถ้าผมบอกว่าจินตนาการอันค่อนข้างเพ้อ ฝัน
ของผมนึ ก ภาพหมึ ก ยั ก ษ์ มั ง กร และภาพ
ล้อเลียนมนุษย์พร้อมๆ กัน ก็คงไม่ผิดเพี้ยนไป
จากรูปลักษณ์นั้น
หัวที่มีหนวดเนื้อนิ่ม อยู่บนร่างกายแปลกประหลาดมีเกล็ดพร้อมปีกเล็กๆ แต่รูปทรงโดยรวม
ต่ า งหากที ่ ท ำให้ ม ั น น่ า กลั ว อย่ า งน่ า ขนลุ ก เบื ้ อ งหลั ง รู ป ปั ้ น นั ้ น มี เ ค้ า โครงรางๆ ของ
สถาปัตยกรรมแบบไซคลอปส์ (Cyclopean)
เนื้อหาที่แนบมาด้วยกับของแปลกประหลาดนี้ นอกเหนือจากกองของบทความตัดแปะจาก
หนังสือพิมพ์แล้ว เป็นลายมือล่าสุดของศาสตราจารย์แองเจลล์ ที่ไม่ได้เป็นบทประพันธ์หรือแต่ง
แต้มสไตล์วรรณกรรมลงไป มีเพียงสิ่งที่ดูเหมือนเอกสารหลักมีหัวข้อว่า “ลัทธิคธูลู” โดยใช้
ตัวอักษรที่พิมพ์อย่างพิถีพิถันเพื่อหลีกเลี่ยงการอ่านผิดคำศัพท์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้นฉบับ
แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกมีหัวข้อว่า “1925 - ความฝันและการวิเคราะห์ความฝันของ เอช.
เอ. วิ ลค็อกซ์, 7 ถนนโทมัส, พรอวิเดนซ์, รัฐโรดไอแลนด์” ส่วนที่สองมีหัวข้อว่า “คำบอก
เล่าของสารวัตรจอห์น อาร์. เลอแกรส, 121 ถนนเบียนวิลล์, นิวออร์ลีนส์, รัฐลุยเซียนา,
ประชุม สมาคมวิทยาศาสตร์อ เมริกัน ปี ค.ศ. 1908 - บันทึกเพิ่มเติม และ บันทึกของ
ศาสตราจารย์เว็บบ์” เอกสารต้นฉบับอื่น ๆ ล้วนเป็นโน้ตสั้น ๆ บางส่วนเป็นบันทึกความฝัน
แปลกประหลาดของบุคคลต่าง ๆ บางส่วนเป็นการอ้างอิงจากหนังสือและวารสารแนวเทวโซฟี
(โดยเฉพาะแอตแลนติสและเลมูเรียที่สาบสูญ ของ ว. สกอตต์-เอลเลียต) และที่เหลือเป็ น
ความเห็นเกี่ยวกับสมาคมลับและลัทธิซ่อนเร้นที่อยู่รอดมายาวนาน พร้อมการอ้างอิงข้อความ
ในแหล่งข้อมูลด้านเทพนิยายและมานุษยวิทยา เช่น กิ่งทองคำของ เฟรเซอร์ และ ลัทธิแม่มด
ในยุโรปตะวันตกของมิส เมอร์เรย์ บทความตัดแปะส่วนใหญ่ก ล่าวถึง โรคทางจิ ตที่ แ ปลก
ประหลาดและการระบาดของความบ้าคลั่งหรือความคลั่งไคล้เป็นกลุ่มในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.
1925
-5 -
เนื้อหาแรกของต้นฉบับสำคัญเล่าเรื่องประหลาดอันหนึ่ง ดูเหมือนว่าวันที่ 1 มีนาคม 1925 ชาย
หนุ่มผิวเข้ม รูปร่างผอมเพรียว ท่าทางตื่นเต้นประสาท ตกมาเยี่ยมศาสตราจารย์แองเจลล์ โดย
ถือปฏิมากรรมดินเผาปูนนูนต่ำรูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งยังเปียกชื้นและสดใหม่มาก บัตรของ
เขามีชื่อว่ า เฮนรี่ แอนโทนี วิลค็อกซ์ อาจารย์ของผมจำได้ว่ า เขาเป็น ลูก ชายคนเล็ ก ของ
ครอบครัวที่ค่อนข้างดี ซึ่งอาจารย์รู้จักผิวเผิน เขาเคยเรียนปั้นที่วิทยาลัยศิลปะและออกแบบ
โรดไอแลนด์ และอาศัยอยู่คนเดียวที่แฟลอร์-เดอ-ลิส บิลดิ้ง ใกล้ๆ วิทยาลัย วิลค็อกซ์เป็นหนุ่ม
ฉลาดล้ำหน้า มีพรสวรรค์เป็นที่ประจักษ์แต่มีนิสัยแปลกประหลาด ผู้คนให้ความสนใจเขามา
ตั้งแต่เด็ก เนื่องจากเรื่องราวประหลาดและความฝันแปลกๆ ที่เขามักเล่าให้คนอื่นฟัง เขาเรียก
ตัวเองว่า “อ่อนไหวทางจิต ” (Psychically Hyper Sensitive)2 แต่คนเมืองค้าขายอนุรักษ์
นิยม มักมองว่าเขา “แปลก” เขาไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนอื่น พอๆ กับที่เขาค่อยๆ หายไปจาก
สังคม ปัจจุบันมีเพียงกลุ่มนักสุนทรียศาสตร์จากเมืองอื่นๆ เท่านั้นที่รู้จักเขา แม้แต่สโมสรศิลปะ
พรอวิเดนซ์ ซึ่งต้องการรักษาความอนุรักษ์นิยมของตัวเอง ก็ยังมองว่าเขาไร้ประโยชน์
ในโอกาสที่มาเยี่ยม ศาสตราจารย์เล่าว่า ช่างแกะสลักถามเกี่ยวกับความรู้ทางโบราณคดีของ
เจ้าบ้านอย่างฉับพลัน เพื่อระบุอักษรอียิปต์โบราณ (ไฮโรกลิฟฟิค) บนภาพแกะสลักนูนต่ำ เขา
พูดด้วยลักษณะชวนฝันและประดิษฐ์ที่บ่งบอกถึงความพยายามสร้างภาพลักษณ์และเรียกร้อง
ความเห็นอกเห็นใจ ลุงของผมตอบกลับด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะความใหม่เอี่ยมของ
แผ่นภาพนั้นไม่ เกี่ ยวอะไรกั บ โบราณคดี เ ลย คำตอบโต้ ของวิ ล คอกซ์ หนุ ่ม ซึ่ง สร้างความ
ประทับใจให้ลุงของผมมากพอจะจำและบันทึกมันไว้ได้ทั้งประโยค มีเนื้อหาเป็นบทกวีที่แปลก
ประหลาด อันน่าจะเป็นเอกลักษณ์การสนทนาของเขา และภายหลังผมก็พบว่ามันแสดงถึง
ตัวตนของเขาได้อย่างมาก เขาตอบว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่มาก เพราะผมสร้างมันเมื่อคืนจาก
ความฝันถึงเมืองอันแปลกประหลาด เมืองที่ฝันถึงนั้นเก่าแก่ยิ่งกว่าเมืองไทร์ (Trye)3 ตำ
นานสฟิงซ์ผู้ใคร่ครวญ4 หรือแม้แต่บาบิโลนเมืองแห่งสวนล้อม5”
ตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อยซึ่งไปปลุกเร้าความทรงจำที่หลับใหลของลุง ผมและ
ดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่าคืนก่อนหน้านั้นเกิดแผ่นดินไหวเบาๆนับว่ารุนแรง

2
Psychically Hyper Sensitive ในปี ค.ศ. 1997 คู่สามีภรรยานักวิจัยชาวอเมริกัน ดร. อาเธอร์ แอรอน และดร. เอเลน แอรอน ได้ทำการสัมภาษณ์เชิ งคุณ ภาพกับ
กลุ่มตัวอย่างจำนวน 39 คน และทำการวิจัยเชิงปริมาณในกลุ่มตัวอย่าง 900 คน โดยได้พบว่า หัวใจของบุคลิกภาพแบบละเอียดอ่อนสูง หรือ HSP คือ ความลึกในการ
ประมวลผลข้อมูล (depth of processing) นั่นคือ บุคคลที่เป็น HSP จะมีความสามารถในการครุ่นคิดหรือประมวลผลสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบกับผัสสะต่าง ๆ ได้ละเอียด
ลึกซึ้งกว่าปกติ ทำให้ HSP มีแนวโน้มที่จะมีความคิดสร้างสรรค์สูง คิดลึกซึ้ง มีประสาทรับสัมผัสที่ไวกว่าปกติ และรับรู้เข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นได้ดีเป็นพิเศษ
3
Brooding Tyre เมืองท่าที่เก่าแก่ของฟีนิเซีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศเลบานอน)
4
Contemplative Sphinx สฟิงซ์ในตำนานอียิปต์ สื่อถึงปริศนาและภูมิปญ ั ญา
5
Garden-girdled Babylon กรุงบาบิโลนที่มีชื่อเสียงเรื่องสวนลอยแห่งบาบิโลน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

-6 -
ที่สุดในนิวอิงแลนด์ในรอบหลายปี จินตนาการของวิลค็อกซ์ถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนที่เข้า
นอน เขามีฝันที่แปลกประหลาดเห็นเมืองไซคลอปส์ขนาดใหญ่ที่สร้างจากบล็อกหินยักษ์และ
เสาหินขนาดมหึมาทิ่มแทงฟ้าทุกอย่างเปรอะไปด้วยน้ำเมือกสีเขียวและแฝงความสยองขวัญน่า
สะพรึงไว้ตัวหนังสืออียิปต์โบราณ
ปกคลุมไปทั่วกำแพงและเสาจากจุดที่กำหนดไม่ไ ด้เบื้องล่างมีเสียงที่ไม่ใช่เสียงดัง ขึ้นมาเป็น
ความรู้สึกสับสนอลหม่านที่จินตนาการเท่านั้นที่สามารถแปลงเป็นเสียงได้แต่เขาพยายามถ่าย
ทอดมันออกมาด้วยกลุ่มตัวอักษรที่แทบจะออกเสียงไม่ได้ว่า "คธูฮูลู ฟทากน"
ข้อความปะปนนี้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นความทรงจำอันน่าตื่นเต้นและรบกวนจิตใจ
ของศาสตราจารย์แองเจิล ท่านสอบถามประติมากรด้วยความพิถีพิถันในฐานะนักวิทยาศาสตร์
และศึกษาภาพนูนต่ำนูนสูงที่ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังปั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เขาตื่นขึ้นมา
อย่างมึนงงในสภาพสวมเพียงชุดนอน ลุงของผมโทษวัยชราของเขา วิคค็อกซ์เล่าในภายหลัง ว่า
เป็นสาเหตุที่ท่านช้าในการจำได้ทั้งอักษรโบราณและลวดลายภาพ ประเด็นคำถามจำนวนมาก
ของท่านดูไร้สาระสำหรับแขกคนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามที่พยายามเชื่อมโยงเขากับลัทธิ
หรือนิกายลึกลับ และวิคค็อกซ์ไม่สามารถเข้าใจคำสัญญาลับที่ท่านเสนอซ้ำๆ เพื่อแลกกับการ
ยอมรับว่าเป็นสมาชิกขององค์กรลึกลับ หรือนิกายนอกรีตที่แพร่หลาย เมื่อศาสตราจารย์แอง
เจิลแน่ใจว่าประติมากรไม่ได้รู้จักลัทธิหรือระบบความรู้ลึกลับใดๆ ท่านก็รบเร้าแขกด้วยการขอ
รายงานความฝันในอนาคต สิ่งนี้เกิ ดผลเป็นประจำ เพราะหลังจากการพบกันครั้งแรก บันทึก
ต้นฉบับระบุว่าชายหนุ่มมาเยี่ยมทุกวัน ในระหว่างนั้น เขาเล่าเรื่องราวภาพฝันยามค่ำคืนที่น่า
สะพรึง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือทิวทัศน์ไซคลอปอันน่าสยดสยอง ประกอบด้วยหินกร้านมืดและ
เปียกชุ่ม มีเสียงหรื อ สติ ปัญญาใต้ ดิน ตะโกนซ้ ำซากอย่ างน่ าขนลุก โดยสื่อความหมายที่
คลุมเครือจนไม่อาจบันทึกได้นอกเสียจากจะเป็นคำไร้สาระ เสียงที่เกิดซ้ำบ่อยที่สุดสองเสียง
คือ เสียงที่แทนด้วยตัวอักษร "คธึลฮู" และ ริเลย์ (R’lyeh) "
ในบันทึกที่เขียนไว้เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ระบุว่า วิลค็อกซ์ไม่มาตามนัด และจากการสอบถามไป
ยังที่พัก พบว่าเขาป่วยด้วยไข้ประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถระบุได้ และถูกพาไปยังบ้านครอบครัว
ของเขาที่ถนนวอเตอร์แมน เขาละเมอในตอนกลางคืน ปลุกให้ศิลปินคนอื่นๆ ในอาคารตื่นขึ้น
นับจากนั้น เขาก็แสดงอาการหมดสติและเพ้อสลับกันไป โทรศัพท์ถึงครอบครัวของเขาและ
ติดตามอาการของเขาอย่างใกล้ชิด โดยหมอที่รักษาคือนายแพทย์โทบี้ ซึ่งลุงของผมได้ติดต่อ
สอบถามอาการบ่อยครั้ง

-7 -
ดูเหมือนว่าจิตใจที่อ่อนล้าของชายหนุ่มผู้นี้กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งแปลกประหลาด และหมอก็รู้สึก
หวาดกลัวเป็นครั้งคราวเมื่อพูดถึงมัน อาการของชายหนุ่มไม่เพียงแต่รวมถึงการพูดถึง สิ่งที่เขา
ฝันถึงก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่ยังพูดอย่างคลุ้มคลั่งถึงสิ่งมีชีวิตมหึมา "สูงหลายไมล์" ที่เดินหรือ
เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอีกด้วย เขาไม่เคยบรรยายถึงสิ่งมีชีวิตนี้อย่างละเอียด แต่คำพูดที่บ้า
คลั่งเป็นช่วงๆ ถูกถ่ายทอดซ้ำโดยนายแพทย์โ ทบี้ ซึ่ง ทำให้ลุง ของผมเชื่อว่า ต้องเป็น สั ต ว์
ประหลาดไร้ชื่อตัวเดียวกันกับที่หลานของเขาพยายามสื่อออกมาทางรูปปั้นในฝัน คุณหมอเสริม
ว่าการอ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตนี้มักจะเป็นช่วงก่อนที่ชายหนุ่มจะหมดสติไป สิ่งที่แปลกคืออุณหภูมิ
ร่างกายของเขากลับไม่สูงเกินกว่าระดับปกติมากนัก แต่อาการโดยรวมบ่งชี้ว่าเขาเป็นไข้
มากกว่าที่จะมีปัญหาทางจิต
ในวันที่ 2 เมษายน เวลาประมาณบ่ายสามโมง อาการเจ็บป่วยของวิลค็อกซ์ไ ด้หายไปอย่าง
กะทันหัน เขานั่งตัวตรงบนเตียงด้วยความประหลาดใจที่พบว่าตัวเองอยู่ที่บ้านโดยที่ไ ม่รู้ตัวเลย
ว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งในฝันหรือในความเป็นจริง ตั้งแต่คืนวันที่ 22 มีนาคม แพทย์ประกาศว่าเขา
หายดีแล้วและเขาได้กลับไปยังที่พักอาศัยภายในสามวัน แต่สำหรับศาสตราจารย์แองเจิลล์แล้ว
วิลค็อกซ์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมได้อีกต่อไป ร่องรอยของความฝันแปลก ๆ ได้
หายไปพร้อมกับอาการป่วยของเขา และลุง ของผมก็ไ ม่ไ ด้เก็บ ข้อมูล บัน ทึก ความคิ ด ตอน
กลางคืนหลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภาพนิมิตธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสาระสำคัญอะไร
เนื้อหาต้นฉบับจบลงตรงนี้ แต่การอ้างอิง ถึง บันทึกโน๊ ตที่กระจั ดกระจายบางส่วนกระตุ้ น
ความคิดของผมมากมาย – มากมายจนในความเป็นจริง แล้วเฉพาะความคลางแคลงใจที่ฝังราก
ลึก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อตัวเป็นปรัชญาของผม เท่านั้นที่สามารถอธิบายความไม่ไว้วางใจศิลปินผู้
นี้ต่อไปได้ โน้ตที่เป็นประเด็นคือโน้ตที่บรรยายความฝันของบุคคลต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกันกับ
ที่วิลค็อกซ์หนุ่มได้รั บ ประสบการณ์แ ปลกประหลาด ดูเหมือนว่าลุง ของผมได้ด ำเนิ น การ
สอบถามอย่างรวดเร็วในวงกว้าง ไปยังเพื่อนเกือบทุกคนที่เขาสามารถถามได้โดยไม่เสียมารยาท
ขอรายงานความฝันประจำคืนของพวกเขา และวันที่ของภาพนิมิตที่สำคัญใดๆ ในช่วงเวลาที่
ผ่านมา การตอบรับคำขอของเขาดูเหมือนจะแตกต่างกันไป แต่เขาน่าจะได้รับคำตอบมากกว่า
ที่คนธรรมดาคนไหนจะจัดการได้โดยไม่ต้องมีเลขานุการ บันทึกการติดต่อฉบับแรกไม่ได้รับการ
เก็บรักษาไว้ แต่โน้ตของเขารวบรวมเนื้อหาที่ครบถ้วนและมีความสำคัญจริงๆ คนทั่วไปในสังคม
และธุรกิจ - "แก่นแท้ของแผ่นดิน " แบบดั้งเดิมของนิวอิงแลนด์ - ให้ผลลัพธ์ที่เป็นลบเกือบ
ทั้งหมด แม้จะมีกรณีประปรายของความประทับใจยามค่ำคืนที่ไม่สบายใจแต่ไร้รูปแบบ ปรากฏ
อยู่ประปราย เสมอระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึง 2 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่วิลค็อกซ์หนุ่มมีอาการ
เพ้อ นักวิทยาศาสตร์ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเล็กน้อย แม้ว่าจะมีสี่กรณีที่มีคำอธิบายคลุมเครือ

-8 -
บ่งบอกถึงเงามืดสลัวๆ ของภูมิทัศน์แปลกประหลาด และในกรณีหนึ่งมีการกล่าวถึงความกลัว
บางสิ่งที่ผิดปกติ
คำตอบที่ชัดเจนกลับกลายเป็นมาจากเหล่าศิลปินและนักกวี และผมรู้ว่าความตื่นตระหนกคง
จะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายหากพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก
ไม่มีจดหมายต้นฉบับของพวกเขา ผมสงสัยครึ่งๆ กลางๆ ว่าผู้รวบรวมข้อมูลอาจตั้งคำถามนำ
หรือแก้ไขจดหมายโต้ตอบเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เขาตั้งใจไว้เบื้องต้น นั่นคือเหตุผลที่ผมยังคงรู้สึกว่า
วิลค็อกซ์ ด้วยเหตุผลบางประการ ที่รับรู้ข้อมู ลเก่า ที ่ล ุง ของผมมีอยู่นั ้น กำลัง หลอกลวง
นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอยู่ คำตอบเหล่านี้จากนัก สุนทรี ยศาสตร์เ ล่า เรื่องราวที่น่ารำคาญ
ระหว่างวั นที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง 2 เมษายน ศิลปินและนักกวีจำนวนมากฝันถึง สิ ่ง แปลก
ประหลาด ความรุนแรงของความฝันนั้นรุนแรงขึ้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ในช่วงที่ประติมากรมี
อาการเพ้อ ประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ที่รายงานอะไรบางอย่าง รายงานภาพและเสียงเบาๆ ไม่ต่าง
จากสิ่งที่วิลค็อกซ์อธิบาย และผู้ฝันบางคนสารภาพว่ากลัวสิ่งไร้ชื่อขนาดยักษ์ที่มองเห็นได้ในช่วง
หลัง กรณีหนึ่ง ซึ่งบันทึกย่ออธิบายไว้ด้วยความเน้นย้ำนั้นน่าเศร้ามาก บุคคลนั้นเป็นสถาปนิกที่
มีชื่อเสียงซึ่งมีความโน้มเอียงไปทางเทวโซฟีและลัทธิความลับ ได้กลายเป็นบ้าอย่างรุนแรงใน
วันที่วิลค็อกซ์มีอาการชัก และเสียชีวิตไปหลายเดือนต่อมาหลังจากกรีดร้องขอให้ช่วยเหลือจาก
ปีศาจที่หลุดออกมาจากนรก หากลุงของผมอ้างถึงกรณีเหล่านี้ด้วยชื่อแทนที่จะใช้แค่หมายเลข
ผมคงจะพยายามยืนยันข้อมูลและสืบสวนด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นเช่นนั้น ผมจึงสามารถ
ติดตามได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ยืนยันบันทึกย่อได้อย่างครบถ้วน ผม
มักจะสงสัยอยู่เสมอว่า บุคคลทั้ง หมดที่ถูกศาสตราจารย์ซักถาม รู้สึกสับสนเหมือนกั บกลุ่ม
ตัวอย่างนี้หรือไม่ เป็นการดีที่คำอธิบายใดๆ จะไม่มีวันไปถึงพวกเขา
ตามที ่ ผ มได้ ใ บ้ไปแล้ว บทความตั ด แปะจากหนัง สื อพิม พ์ ได้ ก ล่ า วถึง กรณี ของอาการตื่น
ตระหนกหมู่, ความคุ้มคลั่ง และพฤติกรรมแปลกประหลาด ในช่วงเวลาดังกล่าว แน่นอนว่า
ศาสตราจารย์แองเจิล คงต้องใช้บริการบริษัทเก็บรวบข่าวตัด เพราะจำนวนบทความนั้ น
มหาศาล และแหล่งที่มาอยู่กระจัดกระจายไปทั่วโลก
ที่ลอนดอน มีข่าวคราวการฆ่าตัวตายยามค่ำคืน ชายผู้เดียวดึง ตัวกระโดดออกจากหน้ าต่าง
หลังจากร้องเสียงกรี๊ดน่ากลัว
เช่นเดียวกันกับจดหมายไร้สาระที่ส่งถึงบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ในอเมริกาใต้ ผู้คลั่ง
ศาสนาผู้นี้ทำนายอนาคตที่เลวร้ายจากภาพนิมิตที่เขาเห็น

-9 -
▪ รายงานจากแคลิฟอร์เนีย บรรยายถึงชุมชนลัทธิเทวโซฟี ที่สวมชุดขาวกันทั้งหมู่ เพื่อ
รอคอย “ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์” ที่ไม่เคยมาถึง ขณะที่ข่าวจากอินเดีย รายงานอย่าง
ปิดบังเกี่ยวกับความไม่สงบของชาวพื้นเมืองอย่างรุนแรงในช่วงปลายเดือนมีนาคม
▪ พิธีกรรมลึกลับของลัทธิวูดูมีเพิ่มมากขึ้นในเฮติ และป้อมปราการต่างๆ ในแอฟริกา
รายงานเสียงบ่นพึมพำที่ไม่เป็นลางดี
▪ เจ้าหน้าที่อเมริกันในฟิลิปปินส์ พบว่าบางเผ่าก่อความรำคาญในช่วงเวลานี้ และตำรวจ
นิวยอร์ก ถูกชาวเลเวนต์ (ชาวตะวันออกกลาง) ที่เป็นโรคฮิสทีเรียรุมล้อม ในคืนวันที่
22-23 มีนาคม
▪ ทางตะวั น ตกของไอร์ แ ลนด์ ก็ เ ต็ ม ไปด้ ว ยข่ า วลื อ และตำนานที ่ แ ปลกประหลาด
เช่นเดียวกับ Ardois-Bonnot จิตรกรแนวแฟนตาซี ชาวฝรั่งเศส ได้จัดแสดงภาพเขียน
“Dream Landscape” ที่ดูหมิ่นศาสนา ในงานนิทรรศการศิลปะปารีส ฤดูใบไม้ผลิ ปี
1926
▪ และมี ร ายงานเรื ่ อ งราวความเดื อ ดร้ อ นมากมายในสถานพยาบาลโรคจิ ต เพี ย ง
ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งกลุ่มแพทย์จากการสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันที่แปลก
ประหลาด และวาดข้อสรุปที่สับสน รวบรวมบทความแปลกประหลาดมากมาย;
และ ในวันนี้ผมแทบจะนึกภาพความคิดเหตุผลที่ผมได้ทิ้งมันไว้ข้างหลังแต่ตอนนั้นไม่ออกเลย
ผมได้แต่เชื่อมั่นว่าพ่อหนุ่มวิลค็อกซ์ คงจะรู้เรื่องราวเก่าๆ ที่ศาสตราจารย์ได้กล่าวถึง

-10 -
ตอนที่ 2
คดีของสารวัตรเลอกราสส์

เนื้อหาที่เหลือจากต้นฉบับยาวของลุง ผม ซึ่ง รูปปั้นและภาพนูนต่ำของประติมากรทำให้มี


ความสำคั ญ นั ้ น เป็ น หั ว ข้ อ ในช่ ว งครึ ่ ง หลั ง ทั ้ ง หมด ครั ้ ง หนึ ่ ง ก่ อ นหน้ า นั ้ น ดู เ หมื อ นว่ า
ศาสตราจารย์แองเจิล เคยเห็นภาพร่างอันน่าสยดสยองของสัตว์ประหลาดไร้ชื่อ สับสนกับ
อักษรโบราณที่ไม่รู้จัก และได้ยินพยางค์อักษรที่ไม่เป็นมงคล ซึ่ง แปลได้เพียงว่า “คธึลฮู”
เท่านั้น; และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงที่น่าหวั่นไหวและน่ากลัว จึงไม่น่าแปลกใจที่
เขาไล่ล่าวิลค็อกซ์หนุ่มด้วยคำถามและความต้องการข้อมูล
ประสบการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1908 สิบเจ็ดปีก่อนหน้านั้น เมื่อสมาคมโบราณคดี
อเมริกันจัดการประชุมประจำปีที่เซนต์หลุยส์ ศาสตราจารย์แองเจิล ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิและ
ความสำเร็จที่เหมาะสม มีบทบาทสำคัญในทุกการพิจารณา; และเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ถูก
ติดต่อจากคนนอกหลายคนที่ใช้ประโยชน์จากการประชุมเพื่อเสนอคำถามสำหรับการตอบที่
ถูกต้องและปัญหาสำหรับการแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ
บุคคลสำคัญของคนนอกกลุ่มนี้ และกลายเป็นจุดสนใจของการประชุมในเวลาอันรวดเร็ว คือ
ชายวัยกลางคนรูปลักษณ์ธรรมดา เดินทางมาไกลตั้งแต่ นิวออร์ลีนส์ เพื่อต้องการข้อมูลพิเศษ
บางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากแหล่งท้องถิ่น ชายคนนี้ชื่อ จอห์น เรย์มอนด์ เลอแกรส เป็น
อาชีพสารวัตรตำรวจ เขามาพร้อมกับสิ่งของที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของเขา นั่นคือรูป
ปั้นหินโบราณที่น่าขยะแขยะน่าสะพรึงใจ ไร้ที่มาที่ไปชัดเจน อย่าเข้าใจผิดว่าสารวัตรเลอแกรส
สนใจโบราณคดีเลย ตรงกันข้าม ความต้องการคำอธิบายของเขามีแรงจูงใจมาจากเหตุผลด้าน
การทำงาน ล้วนๆ รูปปั้น รูปเคารพ วัตถุมงคล หรืออะไรก็ตามที่มันเป็น ถูกยึดมาได้หลาย
เดือนก่อนหน้านี้ บริเวณป่าพรุทางใต้ของนิวออร์ลีนส์ ระหว่างการเข้าจู่โจมลัทธิบูดูที่คาดว่าจะ
มีพิธีกรรม และพิธีกรรมที่แปลกประหลาดน่าสยดสยองที่เกี่ยวข้องกับมัน ทำให้ตำรวจไม่
สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขาบังเอิญไปเจอกับลัทธิอันมืดมิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และชั่วร้ายยิ่ง
กว่าแม้กระทั่งกลุ่มบูดูของแอฟริกาที่เลื่องลือในความมืดมน นอกเหนือจากเรื่องเล่าที่แปลก
ประหลาดและไม่น่าเชื่อถือซึ่งบังคับเอามาจากสมาชิกที่ถูกจับกุม พวกเขาไม่สามารถค้นพบ
อะไรเกี ่ ย วกั บ ที ่ ม าของมั น ได้ เ ลย ดั ง นั ้ น ความวิ ต กกั ง วลของตำรวจจึ ง อยู ่ ท ี ่ ค วามรู ้ ด ้ า น

-11 -
โบราณวัตถุใดๆ ที่อาจช่วยให้พวกเขาสามารถระบุสัญลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้ และผ่านมัน
ไปสู่การติดตามลัทธิไปจนถึงต้นตอ
สารวัตรเลอกราสส์แทบตั้งตัวไม่ติดกับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหลังจากที่ยื่นสิ่งของนั้นออกไป
เพียงแค่เห็นมันแวบเดียว บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตื่นตัวขั้นสุด และพวก
เขาไม่รอช้าที่จะเบียดเสียดกันเข้ามาดู ร่างอันเล็กน้อยนั้น ความแปลกประหลาดและกลิ่นอาย
แห่งยุคโบราณที่อธิบายไม่ได้ ได้บ่งบอกถึงดินแดนลึกลับและโบราณที่ยังไม่มีใครค้นพบ ไม่มี
รูปแบบการแกะสลักใดที่สามารถจำแนกรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของรูปปั้น แต่ดูเหมือนจะ
มีอายุย้อนไปนับหลายศตวรรษหรือกระทั่งพันปีที่ถูกจารึกไว้บนพื้นผิวหินสีเขียวคล้ำที่ไม่อาจ
ระบุที่มาได้
รูปปั้นนั้นถูกส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งอย่างช้าๆ เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาอย่างใกล้ชิด
และละเอียด รูปปั้นนี้มีความสูงประมาณเจ็ดถึงแปดนิ้ว ผลงานศิลปะประณีตบรรจงอย่างยิ่ง
มันแสดงถึงสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อย่างเลือนลาง แต่มีหัวเหมือนปลาหมึก หน้า
เป็นมวลของหนวด เส้นผมเป็นเกล็ด ดูคล้ายยางพารา ลำตัวอ้วนพี มีกรงเล็บขนาดมหึมาทั้ง
เท้าหน้าและเท้าหลัง ปีกยาวแคบอยู่ด้านหลัง สิ่งมีชีวิตนี้ดูเหมือนเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่น่า
กลัวและผิดธรรมชาติ มันมีรูปร่างอ้วนพีและยองกายอย่างชั่วร้ายอยู่บนแท่นสี่เหลี่ยมหรือแท่ น
ประดับด้วยตัวอักษรที่ถอดรหัสไม่ได้ ปลายปีกแตะขอบด้านหลังของแท่น ที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ในขณะที่กรงเล็บยาวโค้งของขาหลังที่งอและหมอบอยู่ จับขอบด้านหน้าและยื่นลงมาประมาณ
หนึ่งในสี่ของด้านล่างของแท่น หัวคล้ายปลาหมึกโน้มไปข้างหน้า ทำให้ปลายหนวดสัมผัสกับ
หลังเท้าหน้าขนาดใหญ่ที่กอดเข่าของสิ่งมีชีวิตที่หมอบอยู่ ลักษณะโดยรวมนั้นเหมือนมีชีวิต
ผิดปกติ และน่ากลัวยิ่งขึ้นเพราะแหล่งที่มาของมันไม่เป็นที่รู้จักเลย อายุที่เก่าแก่ มหาศาล น่า
เกรงขาม และประเมินค่ามิได้นั้นชัด เจน; แต่ไ ม่มีส่วนใดที่แ สดงความเชื่อ มโยงกับ ศิ ล ปะ
ประเภทใดที่เป็นที่รู้จักในช่วงวัยเยาว์ของอารยธรรม หรือแม้กระทั่งในยุคอื่น วัสดุของมันแยก
ออกจากกันโดยสิ้นเชิง เป็นปริศนา หินสีดำอมเขียว สบู่ มีลายเส้นและรอยขีดสีทองหรือ
เหลือบรุ้ง ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งใดที่คุ้นเคยในแวดวงธรณีวิทยาหรือแร่วิทยา ตัวอักษรตามฐานนั้น
ก็สร้างความสับสนเช่นกัน ไม่มีสมาชิกคนใดที่ปรากฏ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้
ครึ่งหนึ่งของโลกในด้านนี้อยู่ด้วย แต่ก็ไ ม่สามารถแม้แต่จะนึกถึงความสัมพันธ์ทางภาษาที่
ห่างไกลที่สุดได้ ตัวอักษรเหล่านั้น เช่นเดียวกับเนื้อหาและวัสดุ ล้วนเป็นของบางสิ่งที่ห่างไกล
และแตกต่างจากมนุษยชาติอย่างที่เรารู้จักอย่างน่ากลัว บางสิ่ง ที่ชวนให้นึกถึงวัฏจักรชีวิต
เก่าแก่และไม่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งโลกของเราและความคิดของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

-12 -
แม้ว่าทุกคนต่างส่ายหัว ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อปริศนาของสารวัตร แต่ในกลุ่มนั้นมีชายคน
หนึ่งสงสัยว่า รูปร่างและตัวเขียนอันน่าสยดสยองนั้น มีความคุ้นเคยแปลกประหลาด เขาเล่า
เรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนรู้ด้วยความลังเลเล็กน้อยบุคคลผู้นี้คือ ศาสตราจารย์วิลเลียม แช
นนิง เว็บบ์ นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และนักสำรวจผู้มีชื่อเสียงผู่วงลับ สี่สิบ
แปดปีก่อน ศาสตราจารย์เว็บบ์ เดินทางไปกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ เพื่อค้นหาจารึกอักษรรูน
โบราณ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ระหว่างการสำรวจชายฝั่งตะวันตกของกรีนแลนด์ เขา
ได้พบกับชนเผ่าหรือลัทธิบูชาปีศาจแปลกประหลาด พวกเอสกิโมกลุ่มนี้มีศาสนาอันแปลก
ประหลาด คือการบูชารูปปั้นปีศาจ ซึ่งสร้างความสยดสยองและสะพรึงกลัวให้แก่ศาสตราจารย์
เว็บบ์ ด้วยความกระหายเลือดและน่ารังเกียจอย่างโจ่งแจ้ง ศาสนานี้เป็นสิ่งที่เอสกิโมกลุ่มอื่น
รู้จักน้อยมาก พวกเขาพูดถึงมันด้วยความหวาดกลัว เล่าว่ามันสืบทอดมาจากยุคโบราณอันน่า
ลึกลับตั้งแต่ก่อนโลกถือกำเนิด ดูช่างสยองขวัญยิ่งนัก นอกจากพิธีกรรมลึกลับที่ไร้ชื่อ และการ
สังเวยมนุษย์แล้ว ยังมีพิธีกรรมประจำตระกูลบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมุ่งสู่ปีศาจผู้เฒ่าผู้
ยิ่งใหญ่ หรือ เทอร์นาซุก ศาสตราจารย์เว็บบ์ บันทึกสำเนียงการสวดอย่างพิถีพิถัน จากคำบอก
เล่าของ แองกู๊ค หรือ นักบวชผู้ทรงเวทมนตร์ชรา เขาใช้ตัวอักษรโรมันแทนเสียงตามความ
เข้าใจที่ดีที่สุด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือวัตถุมงคลที่ลัทธิบูชานี้หวงแหน พวกเขาเต้นรำรอบวัตถุนี้ เวลาที่
แสงออโรราพุ่งสูงเหนือหน้าผาน้ำแข็ง Jan-Led6 ศาสตราจารย์เว็บบ์ กล่าวว่า มันเป็นรูปสลัก
หินนูนต่ำที่หยาบมาก ประกอบไปด้วยภาพวาดที่น่าสยดสยองและตัวเขียนลึกลับ เท่าที่เขา
พิจารณา ดูเหมือนว่ามันมีความคล้ายคลึงกันอย่างหยาบๆ ในทุกๆ ด้านที่สำคัญ กับสิ่งชั่วร้ายที่
วางอยู่ตรงหน้าที่ประชุมนี้
ข้อมูลนี้ซึ่งเหล่าบรรดาสมาชิกได้รับด้วยความระทึกใจและความประหลาดใจ ได้พิสูจน์แล้วว่า
น่าตื่นเต้นเป็นสองเท่าสำหรับผู้ตรวจการเลอกลาสส์; และเขาก็เริ่มที่จะสอบถามผู้ให้ข้อมูลด้วย
คำถามต่างๆ ในทันที โดยที่เขาได้สังเกตเห็นและคัดลอกบทสวดของลัทธิบูชาสิ่งมีชีวิตในหนอง
น้ำเอาไว้ ซึ่งคนของเขาได้จับกุมไป เขาจึงวิงวอนให้ศาสตราจารย์ระลึกให้ได้มากที่สุดถึงพยางค์
ที ่ ไ ด้ บ ั น ทึ ก ไว้ท ่ า มกลางหมอผี ช าวเอสกิ โ มที่ บ ู ช าปี ศ าจ 7 จากนั ้ น ก็ ไ ด้ ม ีก ารเปรี ยบเที ยบ
รายละเอียดต่างๆ8 อย่างถี่ถ้วนและช่วงเวลาของความเงียบที่น่าเกรงขามจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อทั้ง

6
Jan-led เป็นคำภาษาอาหรับที่ตรงกับคำว่า "หน้าผาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง" มากที่สุด
7
นายตำรวจและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าพิธีกรรมที่แยกห่างกันอย่างมากมาย ทั้งที่ของชาวเอสกิโมและนักบวชแห่งหลุยเซียน่ากลับมีการร่ายมนต์แบบเดียวกันอย่าง
น่าประหลาดใจ
8
การค้นพบนี้บ่งบอกถึงลัทธิที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกลับ ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบความเชื่อแบบโบราณที่แผ่ขยายและแทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมหลายๆแห่ง

-13 -
นักสืบและนักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นด้วยกับตัวตนเสมือนจริงของวลีที่เหมือนกันในพิธีกรรมชั่ว
ร้ายทั้งสองที่แยกจากกันโดยระยะทางหลายโลก สิ่งที่สำคัญก็คือ ทั้งหมอผีชาวเอสกิโมและ
นักบวชในบึงหลุยเซียน่า ต่างได้สวดให้กับเทพที่คล้ายๆ กันด้วยอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน
มากๆ —การแบ่งคำเป็นการคาดเดาจากช่วงแบ่งแบบดั้งเดิมในวลี ของบทสวดที่สวดออกมา
ดังๆ:
“Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn9.”
สารวัตรเลอกราสส์แทบมีข้อได้เปรียบเหนือศาสตราจารย์เว็บบ์อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะ
นักโทษชาวพื้นเมืองหลายคนได้พูดซ้ำสิ่งที่นักประกอบพิธีรุ่นเก่าเคยบอกถึงความหมายของคำ
เหล่านั้น โดยข้อความที่ได้รับมีใจความประมาณว่า : “ในบ้านของพระองค์ ณ ริเลย์ คธูลูผู้
สิ้นชีพยังคงรอคอยอยู่ในห้วงฝัน”
และในตอนนี้ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการอย่างเร่งด่วนและแพร่หลาย ผู้ตรวจการ สารวัตร
เลอกราสส์ได้เล่าประสบการณ์ของเขากับเหล่าผู้นับถือลัทธิในหนองน้ำได้อย่างละเอียดที่สุด
เท่าที่จะทำได้ โดยบอกเล่าเรื่องราวที่ผมสัมผั สได้ว่า ลุง ของผมให้ ความสำคัญ อย่างลึ ก ซึ้ ง
เรื่องราวดังกล่าวมีกลิ่นอายของความฝันอันแสนประหลาดของผู้แต่งตำนานและนักเทววิทยา
เปิดเผยถึงระดับจินตนาการเกี่ยวกับจักรวาลที่น่าประหลาดใจในหมู่คนเชื้อสายผสมและพวกที่
ถูกขับไล่ ซึ่งน้อยคนจะคาดคิดว่าพวกเขาจะมีสิ่งนั้น
ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1907 กองตำรวจนิวออร์ลีนส์ได้รับการร้องขออย่างเร่งด่วนจาก
แถบหนองน้ำและทะเลสาบทางตอนใต้ เหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานนิสัยดี
แต่ยังคงมีความดั้งเดิมของลูกน้องลาฟิตต์ ต่างหวาดกลัวสุดขีดกับสิ่งลึกลับที่โผล่มาหาพวกเขา
ในยามค่ำคืน เห็นได้ชัดว่านี่คือลัทธิวูดู ทว่ามีความน่าสะพรึงกลัวกว่าที่พวกเขาเคยพบเจอ และ
มีผู้หญิงกับเด็กบางคนหายไปหลังจากเสียงกลองทอม-ทอมที่ชั่วร้ายเริ่มดังก้องอยู่ลึกเข้าไปใน
ป่าดำอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยงเข้าไป มีเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งและเสียงกรีดร้อง
ที่สะเทือนใจ บทสวดที่ทำให้จิตวิญญาณหนาวสั่นและเปลวเพลิงของปีศาจที่เต้นระบำ ผู้ส่ง
สารที่ตกใจกลัวกล่าวเสริมว่าชาวบ้านทนไม่ไหวอีกแล้ว
หน่วยตำรวจจำนวนยี่สิบนาย พร้อมด้วยรถสองคันและรถยนต์หนึ่งคัน ได้ออกเดินทางในตอน
บ่ายแก่ๆ โดยมีชายร่างผอมโซผู้หวาดผวาเป็นผู้นำทาง เมื่อถึงจุดที่รถไม่สามารถแล่นไปได้อีก
พวกเขาลงจากรถและเดินลุยอย่างเงียบเชียบไปหลายไมล์ภายในป่าไซปรัสอันน่าสะพรึงกลัวซึ่ง
แสงตะวันไปไม่ถึง พวกเขาพบเห็นรากไม้ที่บิดเบี้ยวน่าเกลียดและตะไคร่น้ำแบบต้นมอสสาย
9
ฟะทักน์

-14 -
พันธ์สเปน (Spanish Moss) ห้อยระย้าเป็นปมคล้ายบ่วง สร้างความหวาดกลัว ทุกครั้งที่เจอ
กองหินชื้นๆ หรือชิ้นส่วนของกำแพงผุพัง ความทึบนี้ราวกับซ่อนเร้นการมีอยู่สิ่งชั่วร้ายไว้ ซึ่ง
ต้นไม้ผิดรูปทุกต้น และดงเห็ดทุกกอต่างร่วมกันก่อเกิดความกดดันนี้ขึ้น
ในที่สุด กลุ่มบ้านเรือนโทรมๆ อันเป็นที่อยู่ของผู้อยู่อาศัยที่ลี้ภัยมา ก็ปรากฏในสายตา เหล่า
ชาวบ้านที่หวาดวิตกพากันวิ่งกรูออกมาล้อมรอบกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ถือตะเกียงแสงริบหรี่ เสียง
กลองทัมทัมที่ห่อผ้าปิดไว้ ดังทึบเบาๆ กังวาลมาจากที่ไกลโพ้น ส่วนเสียงกรีดโหยหวนก็ลอยมา
กับสายลมเป็นระยะ ราวกับว่ามีแสงสีแดงอำพันเรื่อๆ ลอดออกมาผ่านเถาวัลย์ของพุ่มไม้ ไป
ยังสุดปลายของเส้นทางป่าที่ดำมืดไม่รู้จบ เหล่าผู้อยู่อาศัยลี้ภัยหวาดกลัวเกินกว่าจะแม้แต่ถูก
ทิ้งไว้ตามลำพัง ไม่มีผู้ใดกล้าอาสาเดินหน้าต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียวเพื่อไปยัง จุ ดที่มีการบูชาสิ่ง
ชั่วร้าย ดังนั้น ผู้ตรวจการเลอกลาสและตำรวจอีกสิบเก้านายจึงต้องฝ่าความมืดเข้าไปสู่เขตหวง
ห้ามอันน่าสะพรึงที่ไม่มีผู้ใดเคยย่างกรายมาก่อน
พื้นที่ซึ่งเหล่าตำรวจได้เข้ามายังนี้ มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความชั่วร้ายมาแต่โบราณ แทบไม่มีคน
ขาวกล้าสำรวจ มีตำนานเล่าถึง ทะเลสาบลึกลับที่ไ ม่เคยมีผู้ใดพบเห็น เป็นที่อยู่อาศัยของ
สิ่งมีชีวิตสีขาวขนาดใหญ่ไร้รูปร่างมีนัยน์ตาเรืองแสง ชาวบ้านเล่ากันปากต่อปากว่ามีปีศาจติด
ปีกค้างคาวบินขึ้นมาจากถ้ำใต้ดินเพื่อบูชาสิ่งมีชีวิตนี้ในยามเที่ยงคืน ว่ากันว่า สิ่งนี้อยู่มาตั้งแต่
ก่อนยุค D'lberville ก่อน La Salle ก่อนที่ชนพื้นเมืองจะมาตั้งรกราก หรือแม้แต่ก่อนหน้าที่
บรรดาสัตว์ป่าจะปรากฏตัว มันคือฝันร้ายในคราบความจริง ใครเห็นเป็นต้องตาย แต่มันทำให้
ผู้คนฝันได้ พวกชาวบ้านจึงรู้ว่าต้องอยู่ให้ห่าง พิธีบูชาในครั้งนี้เกิดขึ้นตรงขอบของพื้นที่ต้องห้าม
ก็จริง แต่แค่ตรงขอบๆ ก็ถือว่าเลวร้ายเกินพอ นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมชาวบ้านถึงกลัว
สถานที่บูชามากกว่าแม้แต่เสียงโหยหวนอันน่าตื่นตระหนกและเหตุการณ์สยองขวัญทั้งหลาย
บทกวีหรือความบ้าคลั่งเท่านั้นที่จะบรรยายเสียงที่ลูกน้องของเลอกราสส์ได้ยิน ขณะที่พวกเขา
พายเรือฝ่าหนองน้ำอันดำมืดมุ่งหน้าสู่แสงแดงเรืองโรจน์และเสียงกลองทับเบา ๆ ที่เลือนราง มี
เสียงร้องที่แปลกประหลาด ทั้งเสียงของมนุษย์และเสียงของสัตว์ป่า การได้ยินเสียงแบบนั้นจาก
แหล่งที่มาที่ควรจะเป็นอีกแบบนั้น มันช่างน่าสยองขวัญ เสียงคำรามของสัตว์ป่าปนเปกับเสียง
ร้องโหยหวนอันเร่งเร้ากวัดแกว่งไปสู่ความบ้าคลั่งของปีศาจ พวกมันกรีดร้องและส่งเสียงร้อง
อันบ้าคลั่งวิปลาส ดังก้องกังวาลไปทั่วป่าทึมราวกับพายุแห่งโรคระบาดจากนรก พักหนึ่ง เสียง
โหวกเวกที่ไม่เป็นระเบียบก็หยุดลง จากนั้น เสียงร้องประสานอันทรงพลังราวกับได้ร ับ การ
ฝึกฝน ก็ดังขึ้นพร้อมกับบทสวดอันน่าสะพรึงกลัว:
“Ph’nglui mglw’nafh Cthulhu R’lyeh wgah’nagl fhtagn.”

-15 -
เมื่อพวกเขาไปถึงจุดที่ต้นไม้โปร่งขึ้น ฉากอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ทันใดนั้นสี่คน
ในกลุ่มล้มลง คนหนึ่งหมดสติ อีกสองคนส่ง เสียงร้องโหยหวนจนโชคดีที่ความบ้าคลั่ง ของ
พิธีกรรมนั้นกลบเสียงของพวกเขาไป เลอกราสส์รีบสาดน้ำจากหนองใส่หน้าคนที่หมดสติ
ขณะที่ทุกคนยืนตัวสั่นด้วยความกลัวจนเกือบจะตกอยู่ในภวังค์
ท่ามกลางป่าที่เปิดโล่ง มีเกาะหญ้าที่แห้งพอสมควร ไม่มีต้นไม้และมีขนาดประมาณไร่เศษ
ปรากฏฝูงชนที่ผิดรูปผิดร่างราวกับฝูงสัตว์ประหลาด พวกมันส่งเสียงร้อง โหยหวน และบิดตัว
ไปมาล้อมรอบกองไฟขนาดมหึมา ซึ่งเผยให้เห็นเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางสูงราว
แปดฟุต บนเสาหินนั้นวางรูปปั้นแกะสลักน่าสะอิดสะเอียนซึ่ง ดูไม่เข้ากันเลยกับขนาดที่เ ล็ก
กะทัดรัดของมัน

ศพของชาวบ้านที่โดนจับตัวไป ถูกแขวนหัวลงมาจากนั่งร้านสิบอันที่ตั้งล้อมรอบเสาหินและ
กองไฟ กลุ่มสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กระโดดโลดเต้นและส่งเสียงคำรามวนเวียนไปทางขวาอย่ างไม่
สิ้นสุด เหมือนกับประกอบพิธีกรรมบูชาอันบ้าคลั่ง
หนึ่งในทีม ซึ่งเป็นชาวสเปนผู้มีจินตนาการสูง คิดว่าเขาได้ยินเสียงตอบรับต่อพิธีกรรมนี้มาจาก
จุดที่ลึกเข้าไปในป่าโบราณที่เต็มไปด้วยตำนานและความน่ากลัว ชายคนนี้มีนามว่า โจเซฟ ดี.
กัลเวซ ผมได้พบและซักถามเขาในภายหลัง แต่ข้อมูลที่ได้นั้นค่อนข้างเชื่อถือไม่ได้เท่าไรนัก เขา
ยังบอกอีกด้วยว่า ได้ยินเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ แวบหนึ่งได้เห็นดวงตาที่เปล่งประกาย และ
ร่างสีขาวขนาดมหึมาอยู่ไกลออกไปหลังแนวต้นไม้ ผมคิดว่าเขาคงจะรับฟังเรื่องผีและตำนาน
พื้นเมืองมามากเกินไป
อาการตกตะลึงของเจ้าหน้าที่กินเวลาอันสั้น เพราะหน้าที่ต้องมาก่อน ถึงแม้จะมีฝูงปีศาจร่วม
ร้อยตน พวกตำรวจก็ไม่ลังเลที่จะชักอาวุธปืนออกมายิงและบุกเข้าไปอย่างเด็ดเดี่ยว ห้าาทีถัด
มาเกิดความโกลาหลวุ่นวายเกินกว่าจะพรรณนาได้ มีการต่อสู้กัน การยิง ปะทะ และการ
หลบหนี สุดท้ายเลอกราสส์สามารถรวบตัวคนบ้าคลั่ง ในพิธีกรรมได้สี่สิบเจ็ดคน พวกมันถูก
บังคับให้แต่งตัวและยืนเข้าแถวระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจสองแถว ผู้เข้าร่วมพิธีถูกยิง ตายห้าคน
และต้องหามอีกสองคนที่บาดเจ็บหนักใส่เปลสนามไป รูปปั้นปีศาจบนเสาหินถูกรื้อลงอย่าง
ระมัดระวัง และเลอกราสส์ขนมันกลับไปด้วย
หลังจากพวกเขาถูกสอบสวนที่สำนักงานใหญ่ ในสภาพที่อ่อนล้าหลังจากเดินทางอันเต็มไปด้วย
ความเครียด นักโทษทั้งหมดดูเป็นพวกเลือดผสมชั้นต่ำ และมีสภาพจิตใจที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่

-16 -
เป็นลูกเรือ มีคนผิวดำและลูกครึ่ง ผสมอยู่บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอินเดียตะวันตก หรือชาว
โปรตุเกสที่มีต้นกำเนิดจากหมู่เกาะเคปเวิร์ด
แน่นอนว่าความเชื่อแบบวูดูได้แทรกซึมเข้าไปในลัทธินอกรีตนี้ แต่ทว่าก่อนจะทันได้สอบถาม
ไปมากนัก กลับชัดเจนแล้วว่ามีบางสิ่งที่ลึกซึ้งและเก่าแก่กว่าความเชื่อในภูติผีแบบคนผิวดำ
เกี่ยวข้องอยู่ด้วย แม้จะต่ำทรามและโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใด แต่เหล่าคนเหล่านี้กลับยึดมั่นใน
แนวคิดหลักของความเชื่ออันน่าสะอิดสะเอียนนี้อย่างน่าประหลาดใจ

พวกเขากล่าวกันว่า พวกเขานับถือ “มหาเทพบรรพกาล” ผู้ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณก่อน


จะมีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น ผู้ซึ่งมาสู่โลกสมัยก่อนจากฟากฟ้า เหล่าเทพบรรพกาลเหล่านี้ได้จากไป
แล้ว อยู่ภายในพื้นโลกและใต้ท้องทะเล แต่ทว่าร่างที่ไร้วิญญาณของพวกเขาได้ส่งผ่านความลับ
ผ่านความฝันให้กับมนุษย์ยุคแรก ผู้ก่อตั้งลัทธิบูชาที่ไม่เคยสูญสิ้นไป นี่คือลัทธินั้น และเหล่า
นักโทษบอกว่าลัทธินี้มีมาโดยตลอดและจะคงอยู่ตลอดไป ซ่อนเร้นอยู่ในดินแดนอันห่างไกล
และสถานที่มืดมิดทั่วโลก จนกว่าจะถึงกาลที่มหาปุโรหิต คธูลู ผู้สถิตอยู่ในเคหาเร้นลับในเมือง
มหึมาแห่ง ริเลย์ (R’lyeh) ใต้ผืนน้ำจะผงาดขึ้นและนำโลกกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจของเขาอีก
ครั้ง สักวัน เขาจะเรียกหาในยามที่ดวงดาวเรียงตัวเหมาะสม และลัทธิเร้นลับนี้ก็จะคอย
ปลดปล่อยเขาอยู่เสมอ
ในตอนนี้ จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใดๆ เพิ่มเติมแล้ว เหลือเพียงความลับที่แม้แต่การทรมานก็
ไม่อาจเค้นหาออกมาได้ มนุษยชาติไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ
อีกมากมาย และมีบางร่างที่โผล่พ้นความมืดขึ้นมาเยี่ยมเยียนผู้ซื่อสัตย์เพียงไม่กี่คน แต่นี่ไม่ใช่
“เทพเจ้าโบราณ” (Great Old Ones) แม้แต่มนุษย์คนเดียวก็ไม่เคยเห็นพวกเขา รูปสลักนั้น
แทนตัวมหาเทพคธูลู แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าองค์อื่นๆ จะเหมือนเขาหรือไม่ ไม่มีใครอ่านอักษร
โบราณได้แล้ว แต่ความรู้บางอย่างถูกส่งต่อปากต่อปาก บทสวดนั้นไม่ใช่ความลับ เพราะมันไม่
เคยถูกเปล่งเสียงออกมา แค่เพียงกระซิบเท่านั้น ความหมายของบทสวดมีเพียงว่า
“ในเคหา ณ ริเลย์ เทพคธูลูผู้วายชนม์รอคอยอยู่ในห้วงนิทรา”
มีนักโทษเพียงสองคนที่มีสติพอจะถูกรับโทษแขวนคอ ส่วนที่เหลือถูกส่งไปยังสถานบำบัดต่างๆ
ทุกคนปฏิเสธว่าเกี่ยวข้องกับการสังหารในพิธีกรรม โดยบอกว่าเป็นการกระทำของ “สิ่งมีปีก
ดำ” ซึ่ ง มาหาพวกเขาจากสถานที ่ช ุม นุม โบราณในป่ าผีส ิ ง แต่ ไ ม่ สามารถหาคำอธิ บ ายที่
สมเหตุสมผลเกี่ยวกับพวกพันธมิตรลึกลับเหล่านี้ได้ สิ่งที่ตำรวจรวบรวมได้นั้นมาจากชายชรา

-17 -
เชื้อสายผสมชื่อคาสโตร ที่บอกว่าตัวเองเคยล่องเรือไปยังดินแดนแปลกประหลาด พูดคุยกับ
ผู้นำลัทธิอมตะบนภูเขาในจีน
คาสโตรเล่าเศษเสี้ยวตำนานอันน่ากลัว ที่ทำให้แนวคิดของเหล่านักเทววิทยาต้องซีดจาง และ
ทำให้มนุษย์รวมถึงโลกนี้ดูใหม่และไม่ยั่งยืน เขาเล่าว่าเป็นช่วงระยะเวลายาวนานนับกัปป์กัลป์ที่
'สิ่งอื่นๆ' เคยครอบครองโลก และพวกเขามีมหานครอยู่มากมาย เขายังอ้างต่อไปว่า ชาวจีนผู้
ไม่รู้จักตายได้บอกว่ายังมีซากของพวกมันหลงเหลืออยู่ในรูปของหินขนาดยักษ์บนหมู่เกาะใน
แปซิฟิก สิ่งเหล่านี้ตายไปหมดแล้วตั้ง แต่ก่อนมนุษย์จะถือกำเนิด แต่มีศาสตร์บางอย่างที่
สามารถปลุกพวกมันขึ้นมาได้เมื่อดวงดาวกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องในวัฏจักรแห่งความ
เป็นนิรันดร์ อันที่จริง พวกมันเดินทางมาจากห้วงดวงดาว และนำรูปเคารพของพวกมันมาด้วย
คาสโตร กล่าวต่อไปว่า เหล่านี้มิใช่สิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อธรรมดา พวกมันมีรูปร่าง -
ภาพปั้นจากดวงดาวมิได้พิสูจน์เรื่องนี้หรือ? - แต่รูปร่างนั้นไม่ได้ถูกสร้างจากสสาร เมื่อดวงดาว
เรียงตัวกันอย่างถูกต้อง พวกมันสามารถพุ่งทะยานจากโลกหนึ่งสู่อีกโลกหนึ่งบนท้องฟ้าได้ แต่
เมื่อดวงดาวผิดตำแหน่ง พวกมันก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป
พวกมันก็จะไม่มีวันตายจริงๆ พวกมันทั้งหมดนอนอยู่ในบ้านหิน ภายในมหานครนามว่าริเลย์
อันได้รับการพิทักษ์โดยมนตร์สะกดอันทรงพลังของคธูลู เพื่อรอการฟื้นคืนชีพอันรุ่งโรจน์ เมื่อ
ดวงดาวและโลกพร้อมที่จะรับพวกมันอีกครั้ง แต่ในเวลานั้น จะต้องมีพลัง บางอย่างจาก
ภายนอกเข้ามาปลดปล่อยร่างกายของพวกมัน มนตร์สะกดที่รักษาพวกมันไว้ ณ ที่เดิม ยังคง
ขัดขวางไม่ให้พวกมันเคลื่อนไหว พวกมันทำได้เพียงนอนตื่นอยู่ในความมืดมิดและคิดไปเรื่อยๆ
ตลอดช่วงเวลาหลายล้านปีที่ผ่านไป พวกมันรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล แต่อักษรของพวก
มันคือการส่งผ่านความคิด แม้ตอนนี้ พวกมันยังคงพูดคุยกันอยู่ในหลุมฝังศพ เมื่อมนุษย์คนแรก
ถือกำเนิดขึ้นหลังจากความโกลาหลอันยาวนาน เหล่านี้ได้พูดคุยกับมนุษย์ที่มีสัมผัสพิเศษ ผ่าน
การปั้นรูปในฝันของพวกเขา เพราะนั่นเป็นเพียงวิธีเดียวที่ภาษาของพวกมันจะเข้าถึง สมองอัน
เป็นเนื้อหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้
หลังจากนั้น" คาสโตรกระซิบ "มนุษย์กลุ่มแรกนั้นได้ก่อตั้งลัทธิบูชาขึ้นโดยใช้รูปเคารพเล็กๆ ซึ่ง
พวกเกรทโอลด์วันส์เป็นผู้มอบให้ รูปเคารพเหล่านี้ถูกนำมาจากยุค สมัยอันเลือนราง บน
ดวงดาวอันมืดมิด ลัทธินี้จะไม่มีวันสิ้นสูญตราบใดที่ดวงดาวยังคงอยู่ในตำแหน่ง ที่ถูกต้อง และ
เหล่านักบวชผู้ลึกลับจะปลดปล่อยมหาคธูลู ออกจากสุสาน เพื่อชุบชีวิตสาวกของพระองค์ และ
เริ่มการปกครองเหนือโลกนี้อีกครั้ง ช่วงเวลานั้นจะสังเกตได้ง่าย เพราะมนุษยชาติจะกลายเป็น
เช่นเดียวกับเกรทโอลด์วันส์ เสรี ไร้ขอบเขต อยู่เหนือความดีและความชั่ว โดยไม่สนกฎหรือ
ศีลธรรม มนุษย์ทุกคนจะตะโกน สังหาร และรื่นเริงไปกับความสุข จากนั้น เหล่าโอลด์วันส์ที่
-18 -
เป็นอิสระจะสอนวิธีใหม่ๆ ในการส่งเสียง สังหาร รื่นเริงและเสพสุข โลกทั้งใบจะลุกโชนไปด้วย
เปลวไฟแห่งความปี ติ ยินดีแ ละความเป็นอิ สระ ขณะเดียวกัน ลัทธิจะต้องทำพิธ ี ก รรมที่
เหมาะสมเพื่อรักษาความทรงจำเกี่ยวกับวิถีโบราณ และเผยแพร่คำทำนายการกลับมาของเหล่า
โอลด์วันส์"
ในยุคสมัยโบราณ ผู้ถูกเลือกสามารถพูดคุยกับโอลด์วันส์ที่ถูกฝังอยู่ในความฝัน แต่บางสิ่งได้
เกิดขึ้น เมืองหินอันยิ่งใหญ่ริเลย์ ที่เต็มไปด้วยแท่งเสาหินขนาดใหญ่และสุสาน ได้จมอยู่ใต้คลื่น
ทะเล และน่านน้ำลึกซึ้งที่เปี่ยมไปด้วยความลึกลับปฐมกาล เป็นเสมือนกำแพงขัดขวางการ
สื่อสารกับวิญญาณเหล่านั้น ทว่าความทรงจำไม่เคยตาย และเหล่าหัวหน้านักบวชได้บอกว่า
เมืองนั้นจะผุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดวงดาวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม จากนั้น วิญญาณดำแห่งพื้น
พิภพ เหม็นอับและลึกลับ เต็มไปด้วยข่าวลือคลุมเครือที่เก็บเกี่ยวได้จากถ้ำใต้ก้นทะเลที่ถูกลืม
ก็จะโผล่ขึ้นมาจากผืนดิน แต่คาสโตรผู้เฒ่าไม่กล้าที่จะพูดถึงพวกมันมากนัก เขาเลี่ยงอย่าง
รวดเร็ว และการเกลี้ยกล่อมหรือชั้นเชิงใดๆ ก็ไม่อาจเค้นอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้จากเขาได้อีก
นอกจากนี้ เขายังหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงขนาดของเหล่าโอลด์วันส์อีกด้วย เกี่ยวกับลัทธิ เขาบอก
ว่า เขาคิดว่าศูนย์กลางนั้นน่าจะอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันไร้เส้นทางของอาระเบีย ที่ซึ่ง อิเร็ม
(Irem) เมืองแห่งเสา, หลับใหลอยู่โดยไม่มีสิ่งใดแตะต้อง ลัทธินี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับลัทธิแม่มดใน
ยุโรป และแทบไม่เป็นที่รู้จักนอกเหนือจากสมาชิกของตนเอง ไม่มีหนังสือเล่มใดพูดถึงมันอย่าง
ชัดเจน แม้ว่าชาวจีนผู้มีชีวิตอมตะจะบอกว่ามีการตีความหนังสือแห่งความตายนีโครโนมิคอน
10 ของอับดุล อัลฮาซเร็ต ชาวอาหรับผู้ บ้า คลั่ง อย่างน้อยสองแบบให้ เหล่ าผู้มีญ าณหยั่ง รู ้ไ ด้

เลือกอ่าน โดยเฉพาะท่อนที่ถูกพูดถึงอย่างมากนั่นคือ
“สิ่งที่มิอาจตาย แม้จะหลับใหลชั่วนิรันดร์ เมื่อยุคสมัยแปลกประหลาดผ่านพ้นไป...
แม้แต่ความตายก็อาจสิ้นสูญ”
เลอกราสส์ ผู้ซึ่งทั้งทึ่งและฉงน ได้พยายามสอบถามหาที่มาทางประวัติศาสตร์ของลัทธินี้แต่ก็ไร้
ผล คลาสโตร ดูเหมือนว่าจะพูดความจริงเมื่อบอกว่ามันเป็นความลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ของ
มหาวิทยาลัยทูเลนไม่สามารถให้ความกระจ่างใด ๆ เกี่ยวกับลัทธิหรืองานประติมากรรมนี้ได้
เลย และเมื่อนักสืบได้ขอคำอธิบายจากผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ เขาก็ได้รับข้อมูลเพียงนิทาน
กรีนแลนด์ของศาสตราจารย์เว็บบ์เท่านั้น

10
นีโครโนมิคอน (อักษรละติน: Necronomicon) เป็นตำราเวทย์สมมุติทปี่ รากฏในงานประพันธ์ชุดตำนานคธูลู ของ เอช. พี. เลิฟคราฟท์และถูกหยิบยืมไปอ้างถึงโดย
นักประพันธ์อื่น ๆ โดยปรากฏครั้งแรกในเรื่องสั้น The Hound ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2467 แต่หนึ่งปีก่อนหน้านั้น เลิฟคราฟท์ก็ได้อ้างคำพูดของตัวละคร อับ
ดุล อัลฮาเซรด ซึ่งเป็นผู้แต่งนีโครโนมิคอนไว้แล้วในเรื่อง The Nameless City เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้นั้นมีเรื่องราวของเกรทโอลด์วันและพิธีกรรมที่ใช้อัญเชิญอยู่ด้วย

-19 -
ความสนใจอย่างล้นหลามที่เกิดขึ้นในการประชุมจากเรื่องราวของ เลอกราสส์ ซึ่งได้รับการ
ยืนยันจากรูปปั้นนั้น สะท้อนให้เห็นในการติดต่อโต้ตอบที่ตามมาของผู้เข้าร่วมประชุม แม้จะ
แทบไม่มีการพูดถึงในสิ่งพิมพ์อย่างเป็นทางการของสมาคมเลยก็ตาม ความระมัดระวังคือสิ่ง
แรกที่ผู้ที่คุ้นเคยกับการเผชิญกับการหลอกลวงและการแอบอ้างต้องใส่ใจ เลอกราสส์ ให้ยืมรูป
ปั้นแก่ศาสตราจารย์เว็บบ์อยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อท่านศาสตราจารย์เสียชีวิต รูปปั้นก็ถูกส่งคืน
ให้แก่เขาและยังคงอยู่ในครอบครองของ เลอกราสส์ ซึ่งผมได้เห็นมันมาไม่นานนี้เอง มันเป็นสิ่ง
ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และมีความคล้ายคลึงกับประติมากรรมในฝันของหนุ่ม วิลคอกซ์
อย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นเรื่องปกติที่ลุงของผมรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องราวของประติมากร เพราะเขาจะไม่คิดอย่างไรได้
บ้าง หลังจากได้รับรู้เรื่องราวของลัทธิจาก เลอกราสส์ และยังได้ยินเรื่องราวของชายหนุ่มผู้
อ่อนไหว ผู้ที่ไม่ได้ฝันถึงเพียงแค่รูปร่างเท่านั้น แต่ยังฝันถึงอักษรอียิปต์โบราณที่ปรากฏบนทั้ง
รูปปั้นที่พบในหนองน้ำ และหินแกะสลักจากกรีนแลนด์ และที่สำคัญที่สุด ชายผู้นี้ยัง ฝันถึง
ถ้อยคำสามคำที่ทั้งนักปีศาจเอสกิโมและชาวพื้นเมืองหลากเชื้อชาติในลุยเซียน่าเปล่งออกมา
อย่างเหมือนกันอีกด้วย? การลงมือสืบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนทันทีของศาสตราจารย์แองเจิล
นั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้อย่างยิ่ง แม้โดยส่วนตัวแล้ว ผมสงสัยว่า วิลคอกซ์ อาจได้ยินเรื่องของลัทธิ
มาทางอ้อม และกุเรื่องฝันเหล่านี้ขึ้นเพื่อเพิ่มความลึกลับและสานต่อเรื่องราวโดยเอาลุงของผม
เป็นตัวละครหลัก บันทึกความฝันรวมถึงบทความหนังสือพิมพ์ที่ศาสตราจารย์รวบรวมไว้ได้นั้น
แน่นอนว่าเป็นหลั ก ฐานสนับ สนุน ที่ หนั กแน่น แต่ด้วยความยึ ดมั่น ในหลัก เหตุ ผ ลของผม
ประกอบกับความแปลกประหลาดของเรื่ องราวทั้ง หมด จึง ทำให้ผมตัดสิน ใจเลือกเชื ่ อ ใน
คำอธิบายที่ฟังดูมีเหตุผลที่สุด ดังนั้น หลังจากศึกษาต้นฉบับอย่างละเอียดอีกครั้ง และเชื่อมโยง
บันทึกทางเทววิทยาและมานุษยวิทยากับเรื่องราวของลัทธิที่ เลอกราสส์ เล่า ผมจึงเดินทางไป
เมืองพรอวิเดนซ์เพื่อพบกับประติมากรหนุ่มและต่อว่าเขาอย่างที่สมควรได้รับฐานที่กล้าหลอก
ล่อชายผู้ทรงภูมิและสูงวัย
วิลค็อกซ์ยังคงอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในอาคาร เฟลอร์-เดอ-ลีส์ (Fleur-de-Lys) บนถนนโทมัส
อันเป็นอาคารแบบวิกตอเรียนอันชวนสะอิดสะเอียนเลียนแบบสถาปัตยกรรมแบบเบรตันใน
ศตวรรษที่สิบเจ็ด โชว์จั่วหน้าอาคารปูนปั้นประดับประดาอยู่ท่ามกลางเรือนอาศัยอันงดงาม
สมัยอาณานิคมบนเนินโบราณ ภายใต้เงามืดของโบสถ์จอร์เจียนที่ถือว่าวิจิตรที่สุดในอเมริกา
ผมพบเขาอยู่ในห้อง กำลังหมกมุ่นกับผลงานของเขา และจากชิ้นงานที่กระจัดกระจายอยู่
โดยรอบทำให้ผมต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ของเขาลึกซึ้งและน่าอัศจรรย์ ผมเชื่อว่าสักวันเขาจะ
โด่งดังในฐานะหนึ่งในศิลปินผู้แหวกแนว สร้างรูปปั้นจากดินเหนียวและหินอ่อนที่สะท้อนฝัน

-20 -
ร้ายและจินตนาการอันล้ำเลิศเช่นเดียวกับที่อาเธอร์ มาเชนบรรยายผ่านงานเขียน หรือที่
คลาร์ก แอชตัน สมิธ ถ่ายทอดผ่านบทร้อยกรองและภาพวาด
ชายหนุ่มรูปร่างบอบบาง ดูราวกับไม่ได้รับการดูแล ผมเผ้ารุงรัง เขาหันมาอย่างเกียจคร้านเมื่อ
ผมเคาะประตู และถามธุระของผมโดยไม่แม้แต่ลุกขึ้นยืน เมื่อผมแนะนำตัว เขาดูสนใจอยู่บ้าง
เพราะลุงของผมได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวเขาตั้งแต่ครั้งที่เ ข้าไปล้วงลึกถึงฝัน
อันประหลาด ทว่าลุงก็มิได้อธิบายถึงจุดประสงค์ในการศึกษาเรื่องนี้ ผมมิได้เล่ารายละเอียดตรง
นี้ให้เขารับรู้ แต่เปลี่ยนมาลองหยั่งเชิงเขาอย่างแนบเนียนแทน ในไม่นานผมก็มั่นใจว่าชายหนุ่ม
ผู้นี้มีความจริงใจอย่างแท้จริง การพูดถึงฝันร้ายของเขาไม่มีทางที่ใครจะปลอมแปลงได้เลย ฝัน
พวกนั้นและสิ่งที่หลงเหลือในจิตใต้สำนึกของเขาได้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่องานศิลปะ และเขาก็ได้
โชว์รูปปั้นอันชวนสะอิดสะเอียนให้ ผมชม รูปร่างในรูปปั้นนั้นทำให้ผมแทบสั่นเทิ้มด้วยอำนาจ
ลึกลับสีดำที่มันสื่อออกมา เขายืนยันว่าไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตในรูปปั้นนี้มาก่อนนอกจากในนิมิต
ฝันของเขาเอง แต่รูปร่างนี้ก็ผุดขึ้นมาใต้ฝ่ามือของเขาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้คือสิ่ง
ที่เขาร่ำเพ้อถึงยามไข้ขึ้นสูง เขาพิสูจน์ให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับลัทธิ
เร้นลับ นอกเหนือจากสิ่งที่ลุงของผมเผลอหลุดปากไประหว่างการซักถามอย่างไม่ลดละ ผม
พยายามนึกอีกครั้งถึงหนทางใดที่เขาอาจได้รับอิทธิพลสุดประหลาดนี้
เขาเล่าถึงฝันของเขาด้วยลีลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์กวีราวกับต้องมนต์สะกด ทำให้ผมเห็นอย่าง
แจ่มชัดถึงเมืองหินสีเขียวอันลื่นไหล นครแห่งไซคลอปเปี้ยนอันชื้นแฉะ ซึ่งเขาย้ำว่ารูปทรงทาง
เรขาคณิตผิดเพี้ยนไปหมด ผมยังได้ยินเสียงเรียกขานอันไม่ขาดสายจากใต้พิภพที่ทำให้ผมหวาด
ผวาไปครึ่งจิตครึ่งใจ “คธูลู ฟะทักน์”, “คธูลู ฟะทักน์” (Cthulhu fhtagn) ถ้อยคำเหล่านี้เป็น
ส่วนหนึ่งของพิธีกรรมอันน่ากลัวที่บอกเล่าถึงการหลับใหลและฝันร้ายของคธูลผู้วายชนม์อยู่
ภายในห้องใต้ดินลึกลับ ณ เมืองรัลเยห์ แม้ว่าความเชื่อส่วนตัวผมจะยึดมั่นในเหตุผล ผมก็รู้สึก
สะเทือนใจไปกับเรื่องเหล่านี้ ผมแน่ใจว่าวิลค็อกซ์คงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับลัทธิแบบผิวเผิน
ผ่านทางใดทางหนึ่งและลืมเลือนไปแล้วเมื่อคลุกเคล้านิทานและสิ่งที่เขาจินตนาการมากมาย
เข้าด้วยกัน ต่อมา ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่เขาเคยรับรู้ได้ผุดขึ้นมาในจิตใต้
สำนึกผ่านความฝัน ผ่านงานปั้นนูนต่ำ และผ่านรูปปั้นน่าขยะแขยงที่ผมได้เห็นเมื่อครู่นี้ ดังนั้น
การที่เขาหลอกลวงลุงของผมนั้นไม่ได้เกิดจากมุ่งร้ายแต่อย่างใด หนุ่มผู้นี้มีบุคลิกที่แสดงออก
เกินงามและไร้มารยาทอยู่บ้าง นั่นเป็นบุคลิกที่ผมไม่ชอบเลย แต่ยามนีผ้ มก็เต็มใจจะยอมรับใน
ทั้งพรสวรรค์และความซื่อตรงของเขา ผมร่ำลาเขาด้วยไมตรีจิตและขอให้เขาพบกับความสำเร็จ
สมดังที่พรสวรรค์ของเขามีให้

-21 -
เรื่องลัทธิประหลาดนั้นยังคงดึงดูดใจผมอยู่ไม่หาย ในบางครั้ง ผมถึงกับวาดฝันถึง ชื่อเสียงที่จะ
ได้รับจากการค้นคว้าที่มาและความเกี่ยวข้องของลัทธินั้น ผมเดินทางไปนิวออลีนส์ พูดคุยกับ
เลอกราสส์และสมาชิกคนอื่นๆ ในหน่วยบุกโจมตีสมัยก่อน ได้เห็นรูปเคารพสุดสยอง และแม้แต่
ซักถามพวกนักโทษเลือดผสมที่ยังรอดชีวิต โชคร้ายที่คาสโทรชราได้ตายไปหลายปีแล้ว สิ่งที่ผม
ได้ยินมาโดยตรง แม้จะเป็นเพียงการยืนยันในรายละเอียดตามที่ลุงของผมได้เขียนไว้ แต่กลับ
จุดไฟความตื่นเต้นในตัวผมขึ้นมาใหม่ เพราะผมรู้สึกได้ว่ากำลังสาวรอยลัทธิโบราณที่ลับสุดยอด
มันจะเป็นการค้นพบที่จะทำให้ผมกลายเป็นนักมานุษยวิทยาผู้มีชื่อเสียง ทัศนคติของผมยังคง
ยึดมั่นในวัตถุนิยมอย่างแข็งขัน อย่างที่ยังปรารถนาอยู่ในตอนนี้ และผมได้ละเลยความบังเอิญที่
น่าแปลกประหลาดระหว่างบันทึกความฝันกับเศษข่าวที่ศาสตราจารย์แองเจลล์รวบรวมไว้ด้วย
ความดื้อรั้นเกินจะอธิบาย
สิ่งหนึ่งที่ผมเริ่มสงสัย และตอนนี้กลัวว่าผมจะล่วงรู้ไปแล้วก็คือ การตายของลุงผมห่างไกลจาก
ความเป็นไปตามธรรมชาติ เขาพลัดตกบนถนนแคบๆ บนเนินที่ทอดลงจากท่าเรือโบราณแห่ง
หนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยชาวต่างชาติเลือดผสม หลังจากที่ถูกผลักอย่างไม่ตั้งใจโดยกะลาสีผิวดำ ผม
ยังไม่ลืมสายเลือดผสมและงานเดินเรือของสมาชิกลัทธิในรัฐลุยเซียนา และคงไม่แปลกใจหาก
ได้รู้ภายหลังว่าพวกเขามีวิธีการลับๆ มีการใช้เข็มพิษร้ายกาจ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานพอๆ
กับพิธีกรรมและความเชื่ออันลี้ลับของพวกเขา จริงอยู่ที่เลอกราสส์และลูกทีมของเขาถูกปล่อย
ตัวไป แต่ในนอร์เวย์ กะลาสีรายหนึ่งผู้เห็นบางสิ่งบางอย่างได้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่า
การสอบถามลึกลงไปของลุงผมหลังได้เห็นข้อมูลของประติมากร จะไปเข้าหูของผู้ไม่ประสงค์ดี?
ผมเชื่อว่าศาสตราจารย์แองเจลล์ตายเพราะเขารู้มากเกินไป หรือเพราะมีแนวโน้มว่าเขาจะรู้
มากเกินไป ส่วนตัวผมจะจบชีวิตแบบเขาหรือไม่นั้นยังคงต้องรอดูต่อไป เพราะตอนนี้ผมเองก็ได้
รู้เรื่องราวต่างๆ มากมายเช่นกัน

-22 -
ตอนที่ 3
ความบ้าคลัง
่ จากท้องทะเล

หากสวรรค์จะมอบของขวัญให้ ผมคงขอให้ความทรงจำอัน เกิ ดจากบัง เอิญ นั้น ลบหายไป


เหตุการณ์เมื่อดวงตาผมดันเหลือบไปเห็นกระดาษหลงอยู่บนชั้นวาง มันไม่ใช่สิ่งที่จะสะดุดตา
ผมในกิจวัตรประจำวันแต่อย่างใด เพราะมันคือวารสารเก่าฉบับหนึ่งจากออสเตรเลีย นิตยสาร
ชื่อ ซิดนีย์ บูเลติน ฉบับวันที่ 18 เมษายน ปี ค.ศ. 1925 แม้แต่หน่วยงานเก็บข้อมูลที่รวบรวม
เนื้อหาสำหรับการวิจัยของคุณลุงผมในตอนนั้นก็พลาดมันไป
ตอนนั้นผมได้พักการสืบเสาะเกี่ยวกับสิ่งที่ศาสตราจารย์แองเจลล์เรียกว่า “ลัทธิคธูลู” และ
กำลังไปเยี่ยมเพื่อนผู้ทรงความรู้คนหนึ่งในเมืองแพ็ตเตอร์สัน รัฐนิวเจอร์ซี เขาเป็นภัณฑารักษ์
ของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและนักแร่วิทยาชื่อดัง
วันหนึ่งขณะที่กำลังตรวจสอบตัวอย่างแร่ที่วางอยู่บนชั้นจัดเก็บหยาบๆ ในห้องด้านหลังของ
พิพิธภัณฑ์ สายตาของผมสะดุดเข้ากับภาพแปลก ๆ บนหนังสือพิมพ์เก่าฉบับหนึ่งที่ปูรองอยู่ใต้
ก้อนหิน มันคือ ซิดนีย์ บูเลติน ฉบับที่ผมได้เอ่ยถึงนั่นเอง ด้วยเพื่อนผมมีเครือข่ายกว้างขวางไป
ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ภาพที่เห็นเป็นงานแกะสลักหินสุดสะพรึงรูปร่างประหลาด ถอดแบบมา
จากวัตถุที่เลอกราสส์พบเจอในหนองน้ำแทบไม่ผิดเพี้ยน
ด้วยความกระตือรือร้น ผมรีบกวาดสายตาไล่ดูเนื้อหาล้ำค่าบนกระดาษนั้นอย่างละเอียด และ
ต้องผิดหวังเมื่อพบว่ามันเป็นเพียงเรื่องสั้น ๆ กระนั้น สิ่งที่บทความสื่อถึงคือลางบอกเหตุ
สำคัญต่อภารกิจซึ่งกำลังซบเซาของผม ผมจึงรีบฉีกมันออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อนำไปศึกษา
ต่อ เนื้อหาในบทความมีดังนี้:

ซากเรือลึกลับกลางทะเล!
เรือยอร์ชติดอาวุธของนิวซีแลนด์ถูกพบลอยลำไร้จุดหมาย
ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวพร้อมศพ! เรื่องราวแห่งการต่อสู้สุดโหดท่ามกลางมหาสมุทร!
ลูกเรือผู้รอดปฏิเสธการให้รายละเอียด! จะเกิดอะไรขึ้น?
พบรูปบูชาประหลาดบนเรือ! เตรียมสอบสวนหาสาเหตุ!

-23 -
รายงานด่วนเช้านี้: เรือบรรทุกสินค้า วิจิเลิร์น (Vigilant) ของบริษัทมอร์ริสัน ซึ่งออกเดินทาง
จากเมือง บัลปาราอิโซ ได้ลากจูง เรือยอร์ช อเลิร์ต (Alert) ที่ได้รับความเสียหาย มีอาวุธครบ
มือ แต่ถูกทิ้งร้าง มาถึงท่าเรือในอ่าว ดาร์ลิ่ง เรือลำดังกล่าวเป็นของเมือง ดะนีดิน ประเทศ
นิวซีแลนด์ ก่อนหน้านี้มีผู้พบเห็น เรือยอร์ช อเลิร์ต ในวันที่ 12 เมษายน อยู่ที่ละติจูดใต้ 34°
21′, ลองจิจูดตะวันตก 152° 17′ ขณะถูกทิ้งร้างมีผู้รอดชีวิตหนึ่งคนในสภาพกึ่งเพ้อ และมีชาย
อีกหนึ่งคนที่เสียชีวิตมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์
เรือวิจเิ ลิร์น ออกเดินทางจากบัลปาราอิโซ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม และในวันที่ 2 เมษายน ได้ถูก
พัดออกนอกเส้นทางไปทางใต้เป็นระยะทางไกลเนื่องจากพายุรุนแรงและคลื่นยักษ์ ในวันที่ 12
เมษายน ลูกเรือพบเรือ อเลิร์ต ร้างลอยอยู่กลางทะเล เมื่อเข้าเทียบ พวกเขาพบผู้รอดชีวิตหนึ่ง
คนอยู่ในสภาพกึ่งเพ้อ อีกหนึ่งคนเสียชีวิตไปแล้วนานนับสัปดาห์ ชายที่รอดชีวิตกอดรูปสลักหิน
ประหลาดน่าสะพรึงกลัวสูงราวหนึ่งฟุตเอาไว้ ทางการทั้งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ สมาคม รอยัล โซ
ไซตี้ และพิพิธภัณฑ์บนถนน คอลเลจสตรีท ต่างแสดงความงุนงงกับต้นกำเนิดของรูปเคารพ
ปริศนานี้ ผู้รอดชีวิตบอกว่าเขาพบมันในห้องโดยสารเล็กๆ บนเรือยอร์ช ภายในศาลเจ้ าไม้
ขนาดธรรมดา
หลังจากฟื้นคืนสติ ชายผู้นี้เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดเกี่ยวกับการปล้นทะเลและการสังหาร
หมู่ เขาชื่อ กุสตาร์จ โยเฮนเซ่น ชาวนอร์เวย์ที่ดูมีความรู้ความสามารถ เป็นรองกัปตันบนเรือใบ
สองเสาชื่อ เอ็มม่า ออกจากเมือง โอ๊คแลนด์ มุ่งหน้าสู่เมืองกายาโอ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์
พร้อมลูกเรือสิบเอ็ดคน เขาเล่าว่าเรือ เอ็มม่า ได้ถูกพายุใหญ่ในวันที่ 1 มีนาคมพัดเลยเส้นทาง
ไปทางใต้อย่างมาก และในวันที่ 22 มีนาคม ที่ละติจูดใต้ 49° 51′ ลองจิจูดตะวันตก 128° 34′
พวกเขาได้พบกับเรือ อเลิร์ต ซึ่งบรรจูลูกเรือหน้าตาแปลกประหลาดคล้ายพวกคานากะส์และ
ลูกครึ่ง หลังจากถูกสั่งให้หันเรือกลับ กัปตันคอลลินส์ปฏิเสธ ทำให้ลูกเรือแปลกประหลาดเปิด
ฉากยิงใส่เรือ เอ็มม่า ด้วยปืนใหญ่ทองเหลืองที่ผิดปกติสำหรับเรือยอร์ช
โยเฮนเซ่น เล่าต่อว่าลูกเรือของ เอ็มม่า สู้ยิบตา และถึงแม้เรือจะเริ่มจมจากรอยรั่วใต้น้ำ พวก
เขาก็ยังพยายามพุ่งเข้าชนเรือข้าศึกและบุกเข้าไปสู้กับลูกเรือโหดบนดาดฟ้าเรือยอร์ช ลูกเรือ
ของ เอ็มม่า จำเป็นต้องสังหารข้าศึกทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมากกว่า เนื่องจากพวกมันต่อสู้แบบบ้า
คลั่งและดูเหมือนไม่ชำนาญนัก

-24 -
ลูกเรือสามคนของ เอ็มม่า รวมทั้งกัปตันคอลลินส์และต้นเรือกรีน ถูกฆ่าตาย ลูกเรือที่เหลืออีก
แปดคนนำโดยรองกัปตัน โยเฮนเซ่น ยึดเรือยอร์ช และเดินหน้าต่อตามเส้นทางเดิม เพื่อตามหา
สาเหตุที่ถูกสั่งให้หันกลับ ในวันต่อมา พวกเขาเจอและขึ้นฝั่งบนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ไม่
เคยมีรายงานเกาะใดๆ ภายในบริเวณนั้น จากนั้น ลูกเรือหกคนเสียชีวิตอย่างลึกลับบนเกาะ
โยเฮนเซ่น พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงส่วนนี้ และบอกเพียงว่าพวกเขาตกไปในร่องหิน ต่อมาดู
เหมือนว่าเขาและเพื่อนอีกหนึ่งคนพยายามนำเรือออกเดินทาง แต่ประสบกับพายุใหญ่ในวันที่
2 เมษายน ตั้งแต่นั้นจนถึงวันที่ได้รับการช่วยเหลือในวันที่ 12 ชายคนนี้แทบจำเหตุการณ์ไม่ได้
และเขาไม่รู้ว่า วิลเลียม ไบร์เด็น เพื่อนร่วมทางของเขาตายตั้งแต่เมื่อไหร่ การตายของ ไบร์เด็น
ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากความตื่นตกใจหรือสภาพอากาศเลวร้าย
สายด่วนจากเมืองดะนีดินรายงานว่าเรือ อเลิร์ต มีชื่อเสียงในฐานะเรือขนส่งสินค้าข้ามเกาะ แต่
มักมีข่าวลือไม่ดีตามบริเวณริมน้ำ เรือลำนี้เป็นของกลุ่มลูกครึ่งแปลกๆ ที่มักจะนัดพบและเดิน
เข้าไปในป่าตอนกลางคืน ซึ่งดึงดูดความสนใจไม่น้อย เรือ อเลิร์ต ได้ล่องออกจากดะนีดินอย่าง
เร่งรีบหลังเหตุการณ์พายุและแผ่นดินไหวในวันที่ 1 มีนาคม ผู้สื่อข่าวจาก โอ็คแลนด์ ให้ข้อมูล
ว่าเรือ เอ็มม่า และลูกเรือมีชื่อเสียงที่ดี ส่วน โยเฮนเซ่น ก็ถูกอธิบายว่าเป็นชายที่สุขุมและเป็นที่
นับถือ กองทัพเรือจะเริ่มการสอบสวนเรื่องทั้ง หมดในวันพรุ่งนี้ และทุกฝ่ายจะพยายามให้
โยเฮนเซ่น พูดถึงรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมมากกว่าที่เคยเล่ามา

ทั้งหมดนี้ พร้อมๆ กับภาพวาดของรูปปั้นแห่งนรก ได้จุดประกายห่าฝนของความคิดในหัวผม!


นี่คือคลังสมบัติข้อมูลใหม่เกี่ยวกับลัทธิคธูลู และข้อพิสูจน์ว่าพวกมันมีผลประโยชน์อันแปลก
ประหลาดในท้องทะเลเช่นเดียวกับบนดินแดน แล้วแรงจูงใจอะไรที่ทำให้ลูกเรือลูกผสมสั่งให้
เรือเอ็มม่าหันกลับ ในขณะที่พวกเขาแล่นเรือไปพร้อมกับรูปปั้นสุดสยองของพวกมัน? เกาะที่ไม่
รู้จัก ซึ่งลูกเรือเอ็มม่าหกคนได้ตายลง และต้นเรือโยเฮนเซ่นปิดปากเงียบเรื่องมัน คือเกาะอะไร
กันแน่? การสืบสวนของรองกองทัพเรือได้เปิดเผยอะไรบ้าง และมีอะไรที่เรารู้เกี่ยวกับลัทธิชั่ว
ร้ายใน ดะนีดิน? และที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดคือ ความเชื่อมโยงของแต่ละวันที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะ
เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งให้ความสำคัญที่ชั่วร้ายและไม่อาจปฏิเสธได้แก่เหตุการณ์อันหลากหลาย
ที่อาของผมได้บันทึกไว้อย่างพิถีพิถัน

-25 -
วันที่ 1 มีนาคม—วันที่ 28 กุมภาพันธ์ตามเส้นแบ่งเขตวันสากล—แผ่นดินไหวและพายุได้
เกิดขึ้น จาก ดะนีดิน เรือ อเลิร์ต พร้อมลูกเรืออันน่ารังเกียจได้พุ่งออกไปอย่างกระตือรือร้นราว
กับถูกเรียกโดยอำนาจ และในอีกด้านหนึ่งของโลก กวีและศิลปินได้เริ่มฝันถึงเมืองอันแปลก
ประหลาด เหม็นอับ ราวกับเมืองของพวกไซคลอป ในขณะที่ช่างแกะสลักหนุ่มได้หล่อรูปร่าง
อันน่าสะพรึงของคธูลูในยามหลับ วันที่ 23 มีนาคม ลูกเรือของเอ็มม่าได้ขึ้นฝั่งบนเกาะที่ไม่รู้จัก
และทิ้งร่างชายหกคนไว้ที่นั่น และในวันนั้นเองความฝันของคนที่มีจิตใจอ่อนไหวได้ทวีความ
ชัดเจนเจิดจ้าขึ้นและเต็มไปด้วยความกลัวต่อการไล่ล่าโดยสัตว์ประหลาดยักษ์ ขณะที่สถาปนิก
คนหนึ่งได้เสียสติและช่างแกะสลักก็หลุดเข้าสู่ห้วงเพ้ออย่างฉับพลัน! แล้วจะว่าอย่างไรกับพายุ
ในวันที่ 2 เมษายน—วันที่ความฝันทั้งหมดเกี่ยวกับเมืองชื้นแฉะยุติลง และวิลค็อกซ์รอดพ้น
จากการจองจำของไข้ประหลาดโดยไม่ได้รับอันตราย? จะว่าอย่างไรกับเรื่องทั้งหมดนี้—รวมถึง
คำบอกใบ้ของคาสโตรเฒ่าเกี่ยวกับพวกเทพโบราณผู้ถือกำเนิดจากดวงดาวซึ่งจมอยู่ใต้น้ำและ
การกลับขึ้นครองโลกของพวกมัน ลัทธิที่ภักดีต่อพวกมันและความเป็นเจ้าแห่ง ความฝันของ
พวกมัน? ผมกำลังโงนเงนอยู่บนขอบของความน่าสะพรึงกลัวระดับจักรวาลที่อยู่นอกเหนือ
ความสามารถในการรับรู้ของมนุษย์หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น นี่ต้องเป็นฝันร้ายแห่งจิตใจอย่าง
เดียวแน่นอน เพราะในบางวิธี วันที่สองของเดือนเมษายนได้ยุติภัยคุกคามจากสัตว์ประหลาดที่
ได้เริ่มบุกเข้ายึดครองจิตวิญญาณของมนุษยชาติ
ตอนเย็นวันนั้น หลังจากวันอันวุ่นวายกับการส่งโทรเลขและการเตรียมตัว ผมร่ำลาเจ้าของบ้าน
และขึ้นรถไฟไปยังซานฟรานซิสโก ไม่ถึงเดือนผมก็มาถึง ดะนีดิน แต่ที่นั่นผมพบว่าแทบไม่มี
ใครรู้เรื่องลัทธิประหลาดที่เคยรวมตัวตามโรงเตี๊ยมเก่าๆ แถวท่าเรือ พวกเศษเดนริมน้ำนั้นพบ
เห็นได้ทั่วไปจนไม่ค่อยมีใครพูดถึงเป็นพิเศษ แต่ก็มีเสียงร่ำลือว่าพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์เหล่านี้เคย
เดินทางเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งมีผู้พบเห็นแสงไฟสีแดงและเสียงกลองเบาๆ จากเนินเขาไกลๆ ใน
โอ๊คแลนด์ ผมทราบว่า โยเฮนเซ่น กลับมาพร้อมผมสีเหลืองเปลี่ยนเป็นสีขาว หลังจากโดน
สอบสวนแบบขอไปทีที่ ซิดนีย์ จากนั้นเขาได้ขายบ้านของเขาที่ถนน เวสสตรีท และล่องเรือ
กลับไปยังบ้านเก่าของเขาพร้อมภรรยาใน ออสโล เขายัง ไม่ยอมพูดถึง ประสบการณ์ สุ ด
สะเทือนขวัญนี้ให้เพื่อนฟังมากกว่าที่พูดกับเจ้าหน้าที่กองทัพเรือ รายละเอียดเดียวที่พวกเขาให้
ผมได้คือ ที่อยู่ใน ออสโล
หลังจากนั้น ผมเดินทางไป ซิดนีย์ และสนทนากับบรรดาลูกเรือและสมาชิกศาลทหารเรือ แต่
นั่นก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากนัก ผมได้เห็นเรือ อเลิร์ต ซึ่งถูกขายไปใช้งานเชิงพาณิชย์แล้ว จอด
อยู่ที่ท่า เซอร์คูลาร์คีย์ (Circular Quay) ใน ซิดนีย์ โคว์จ (Cove) แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรจาก
ตัวเรือที่ไม่เปิดเผยความลับใดๆ รูปสลักคล้ายหมึกยักษ์มีหัวมังกร ตัวเกล็ด ปีก ที่ยืนหมอบอยู่

-26 -
บนแท่นจารึกอักษรโบราณนั้นถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ ไฮร์ด ปาร์คผมใช้เวลานานในการศึกษา
อย่างละเอียด และพบว่ามันเป็นฝีม ือ ประติ มากรรมอัน ชั ่วร้า ยที ่ส วยงามประณี ต พร้อ ม
บรรยากาศลึกลับ น่าสะพรึงกลัว โบราณ และความแปลกประหลาดราวกับมาจากต่ างดาว
เหมือนกับตัวอย่างชิ้นเล็กที่ เลอกราสส์เคยครอบครอง นักธรณีวิทยาบอกผมว่าพวกเขาพบว่า
มันเป็นปริศนา พวกเขายืนยันว่าไม่มีหินชนิดนี้บนโลกใบนี้ จากนั้นผมก็นึกขึ้นได้อย่างสะเทือน
ใจถึงเรื่องที่ คลาสโต เคยบอกกับ เลอร์กราสส์ เกี่ยวกับเทพโบราณผู้ยิ่งใหญ่: "พวกมันมาจาก
ดวงดาว และนำรูปเคารพของพวกมันมาด้วย"
จิตใจสั่นคลอนด้วยการเปิดเผยความจริง สุดแปลกประหลาดนี้ ผมจึงตัดสินใจไปเยี ่ย มรอง
กัปตันโยเฮนเซ่น ใน ออสโล ผมจึงล่องเรือไป ลอนดอน และขึ้นเรือไปยังเมืองหลวงของนอร์เวย์
ทันที ในวันหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง ผมมาถึงท่าเรือเรียบร้อยใกล้เงาของเทือกเขา เอ็จเบิร์ค ที่อยู่
ในย่านเมืองเก่าของกษัตริย์ แฮโรล์ด ฮาร์ดราดา (Harold Haardrada) ซึ่งยังคงรักษาชื่อของ
ออสโล ไว้ ต ลอดหลายศตวรรษที ่ เ มื อ งใหญ่ แ ห่ ง นี ้ ซ ่ อ นตั ว อยู ่ ภ ายใต้ ช ื ่ อ "คริ ส เที ย น่ า
(Christiana)" ผมเดินทางระยะสั้นด้วยแท็กซี่ และเคาะประตูอาคารโบราณหลัง เล็กที ่ มี
ด้านหน้าปูนฉาบ ด้วยหัวใจที่เต้นรัว หญิงผู้โศกเศร้าในชุดดำมาเปิดประตู ผมถึงกับผิดหวังเมื่อ
เธอพูดภาษาอังกฤษสำเนียงตะกุกตะกักว่า กุสตาร์จ โยเฮนเซ่น ได้เสียชีวิตไปแล้ว
ภรรยาของเขาบอกว่าเขาไม่เคยกลับมาเป็นคนเดิมหลังจากเหตุการณ์บนทะเลในปี ค.ศ. 1925
เขาไม่ได้เล่าอะไรให้เธอฟังมากกว่าที่เล่าให้สาธารณชนรู้ แต่ได้ทิ้งต้นฉบับขนาดยาว ซึ่งเขาบอก
ว่าเป็น "ปัญหาทางเทคนิค" และถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษเพื่อป้องกันไม่ให้เธอบังเอิญอ่าน
และเผชิญอันตราย เขาเดินผ่านตรอกแคบๆ ใกล้ท่าเรือ โกเธนเบิร์กตอนที่ห่อเอกสารหล่นจาก
หน้าต่างห้องใต้หลังคาลงมาใส่เขา ลูกเรือชาวอินเดียสองคนรีบเข้ามาช่วยประคอง แต่เขาก็
ขาดใจตายก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง แพทย์หาสาเหตุการตายไม่พบจึงสรุปว่าเกิดจากอาการ
หัวใจและสุขภาพที่ทรุดโทรม
ตอนนี้ความน่ากลัว อันแสนมืดมิดปริศนาได้กัดกินภายในตัวผม มันจะไม่ยอมปล่อยผมไป
จนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ ไม่ว่าจะโดย “อุบัติเหตุ” หรือวิธีใดก็ตาม ผมโน้มน้าวภรรยาม่าย
ของผู้ตายโดยอ้างว่าความสัมพันธ์ของผมกับ “เรื่องปัญหาทางเทคนิค” ของสามีเธอเพียง
พอที่จะทำให้ผมมีสิทธิ์ครอบครองต้นฉบับ จึงได้นำเอกสารนั้นติดตัวไปและเริ่มอ่านมันบนเรือที่
มุ่งหน้าไปลอนดอน มันเป็นเอกสารที่เรียบง่าย เล่าไปเรื่อยๆ - บันทึกประจำวันฉบับหยาบๆ
ของกะลาสีเรือผู้ไร้เดียงสา พยายามรำลึกถึงการเดินทางอันเลวร้ายครั้งสุดท้ายนั้นทีละวัน ผม
ไม่สามารถพยายามคัดลอกมันทีละคำด้วยความสับสนและฟุ่มเฟือยทั้งหมด แต่จะเล่าใจความ

-27 -
สำคัญให้มากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า ทำไมเสียงน้ำกระทบกับด้านข้างของเรือจึงทนไม่ไ ด้ถึง
ขนาดที่ผมต้องยัดสำลีอุดหู
โชคดีที่โยเฮนเซ่น ยังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดถึงแม้เขาจะเห็นเมืองและสิ่งนั้น (The Thing) แต่ผม
คงจะไม่สามารถขับตาหลับลงได้อีกต่ อไป เมื่อคิดถึงความสยองขวัญที่แอบแฝงอยู่ตลอดเวลา
เบื้องหลังชีวิต ไม่ว่าในกาลเวลาหรืออวกาศ รวมถึงการดูหมิ่นลัทธิศาสนาอันชั่วร้ายเหล่านั้น
จากดวงดาวโบราณที่ฝันร้ายอยู่ใต้ทะเล ซึ่งลัทธิฝันร้ายรู้จักและชื่นชอบ พวกมันพร้อมและ
กระหายที่จะปล่อยสัตว์ร้ายเหล่านั้นออกมาบนโลกทุกครั้งที่แผ่นดินไหวอีกครั้ง ค้ำยันยกหนุน
เมืองแห่งหินผาอันมหึมาของพวกมันขึ้นสู่แสงอาทิตย์และอากาศอีกครั้ง
การเดินทางของโยเฮนเซ่น เริ่มต้นตรงตามที่เขาเล่าต่อรองผู้บัญชาการทหารเรือ เรือใบเอ็มมา
บรรทุกสินค้าถ่วง ล่องออกจากเมืองโอคแลนด์เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เผชิญกับพายุรุนแรงอัน
เกิดจากแผ่นดินไหว รุนแรงราวกับ เวทมนต์มายาใต้ ทะเลโผล่ ขึ้นมาเพ่นพ่ าน สร้างความ
หวาดกลัวฝังลึกในใจผู้คน เมื่อเรือกลับเข้าควบคุม พวกเขาแล่นไปได้อย่างราบรื่นจนกระทั่งถูก
เรืออเลิร์ท ยับยั้งการเดินทางในวันที่ 22 มีนาคม โยเฮนเซ่น บรรยายด้วยความเสียใจถึงการ
โจมตีและการจมของเรือเอ็มมา เขาพูดถึงพวกศาสนิกนิกายลึกลับผิวคล้ำบนเรืออเลิร์ ทด้วย
ความสยดสยอง พวกมันมีลักษณะชั่วร้ายประหลาดที่ทำให้การสังหารพวกมันกลายเป็นหน้าที่
อันจำเป็น โยเฮนเซ่นแแสดงความประหลาดใจอย่างบริสุทธิ์ใจต่อข้อกล่าวหาโหดร้ายที่ศาลไต่
ถามโยนมาให้ลูกเรือของเขา ต่อมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาแล่นเรือยอร์ชที่ยึดมาได้
ภายใต้การควบคุมของโยเฮนเซ่น ไปพบเสาหินขนาดใหญ่โผล่พ้นน้ำทะเล ที่ละติจูดใต้ 47° 9′
ลองจิ จ ู ด ตะวั น ตก 126° 43′ พวกเขาพบชายฝั ่ ง ที ่ เ ต็ ม ไปด้ ว ยโคลน แอ่ ง กว้ า ง และซาก
ปรักหักพังไซโคลเปียน (Cyclopean masonry)11 ที่ปกคลุมไปด้วยวัชพืช สถานที่แห่งนี้ชวน
ให้นึกถึงเมืองศพอันน่าสะพรึงกลัวริเลย์ที่สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยแขยขนาดมหึมาจาก
ดวงดาวอันมืดมิดในยุคโบราณกาลอันไพศาล สถานที่นี้เป็นตัวแทนของความหวาดกลัวสูงสุด
ของมนุษยชาติ คธูลูผู้ยิ่งใหญ่และบริวารของมัน อาศัยอยู่ในห้องใต้ดินสีเขียวขลุกขลิก และ
หลังจากผ่านเวลายาวนานนับไม่ถ้วน พวกมันก็ส่งความคิดแพร่กระจายความหวาดกลัวไปยัง
ฝันร้ายของผู้ และเรียกร้องสาวกให้มาร่วมพิธีปลดปล่อยและฟื้นฟู
โยเฮนเซ่น ไม่ได้คาดการณ์เรื่องราวเหล่านี้ แต่สวรรค์รู้ว่าในไม่ช้า เขาก็ได้พบเห็นสิ่งที่
เลวร้ายเกินพอ!

11
การก่ออิฐไซโคลเปียน (Cyclopean masonry) เทคนิคการก่อสร้างโบราณที่ใช้หินขนาดใหญ่ โดยไม่ใช้ปูนหรือวัสดุยึดติดอื่นใด หินแต่ละก้อนถูกวางเรียงซ้อนกัน
อย่างแนบชิดจนแทบไม่มีรอยต่อ อารยธรรมนี้พบได้หลายแห่งทั่วโลก เช่น กรีกโบราณ: พบเห็นได้ใน Mycenae, Tiryns และ Delphi อเมริกาใต้โบราณ: พบเห็นได้ใน
Machu Picchu ของชาวอินคา ญี่ปุ่นโบราณ: พบเห็นได้ในปราสาทโอดาวาระ ชื่อมาจากตำนานของยักษ์ไซคลอปตาเดียวทรงพลังเท่านั้นที่จะสร้างกำแพงแบบนี้ได้

-28 -
ตามที่ผมคาดเดาไว้ ยอดเขาเพียงลูกเดียวเท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา นั่นคือป้อมปราการอันน่า
สะพรึงใจ ประดับยอดด้วยเสาหินขนาดมหึมา ซึ่งเป็นที่ฝังร่างของคธูลูผู้ยิ่งใหญ่ เวลาที่ผมนึกถึง
สิ่งต่างๆ มากมายที่อาจซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่างนั่น ผมเกือบจะฆ่าตัวตายเสียให้พ้นๆ โยเฮนเซ่น
และลูกเรือของเขารู้สึกหวาดเกรงต่อความยิ่งใหญ่เหนือจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลอย่างหาที่สุด
ไม่อันปกครองโดยเหล่าปีศาจแห่ง บรรพกาลนี้ และคงเดาออกได้โดยไม่ต้องมีใครบอกว่า
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สิ่งใดที่อยู่ในโลกนี้หรือโลกที่มีสติสัมปชัญญะ ความพรั่นประหวั่นต่อขนาด
อันมหึมาน่าเหลือเชื่อของบล็อกหินสีเขียวมรกต ต่อความสูง อัน น่าเวียนหัว 12 ของเสาหิน
แกะสลักขนาดใหญ่ และต่อความเหมือนกันอย่างน่าตะลึงของรูปปั้นขนาดมหึมาและภาพนูน
ต่ำกับรูปปั้นประหลาดที่พบในศาลเจ้าบนเรือ อเลิร์ต ปรากฏชัดเจนในทุกบรรทัดของคำ
บรรยายอันน่าหวาดกลัวของนายท้ายเรือ
โดยที่ไม่รู้จักรูปลักษณ์ของลัทธิอนาคตนิยม โยเฮนเซ่นบรรยายเมืองนั้นออกมาได้ใกล้เคียงกับ
แนวคิดนั้นมาก เพราะแทนที่จะบรรยายถึงโครงสร้างหรืออาคารใดๆ อย่างชัดเจน เขากลับพูด
ถึงแต่ความประทับใจกว้างๆ เกี่ยวกับมุมแหลมอันกว้างใหญ่และพื้นผิวหิน - พื้นผิวที่ใหญ่โตม
หึมเกินกว่าจะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เหมาะสมสำหรับโลกใบนี้ และเต็มไปด้วยภาพสลักและ
สัญลักษณ์โบราณอันน่าสยดสยอง
ที่ผมเอ่ยถึงเรื่องมุมแหลมนั้นเพราะมันชวนให้นึกถึงสิ่งที่วิลค็อกซ์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับฝันร้ายอัน
เลวร้ายของเขา เขากล่าวว่าเรขาคณิตของสถานที่ในฝันที่เขาเห็นนั้นผิดปกติ ไม่ยึดถือหลัก
ยูคลิด และเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะอิดสะเอียนของทรงกลมและมิติอื่นนอกเหนือจากมิติ
ของเรา ตอนนี้ ชาวเรือผู้ไม่ได้ร่ำเรียนอะไรเลย กลับรู้สึกถึงสิ่งเดียวกันในขณะที่มองดูความจริง
อันน่าสะพรึงกลัว
โยเฮนเซ่นกับลูกเรือของเขาขึ้นฝั่งบนโขดหินโคลนลาดเอียง ณ ป้อมปราการมหึมานี้ พวกเขา
ปีนป่ายอย่างลื่นไถลไปตามก้อนหินขนาดยักษ์ที่เคลือบเมือกลื่นๆ มันไม่น่าจะใช่บันไดที่มนุษย์
สร้างแม้แต่น้อย แสงตะวันบิดเบี้ยวขณะที่สาดส่องผ่านหมอกไอพิษที่ลอยคละคลุ้งเหนือ
ปราการชุ่มโชกแห่งนี้ ความเกรี้ยวกราดบิดเบี้ยวและความพรั่นพรึงซ่อนเร้นรอคอยอยู่ใน
เหลี่ยมมุมบ้าคลั่งของก้อนหินสลัก ที่เปลี่ยนจากนูนเป็นเว้าเพียงแค่กะพริบตา
ความกลัวที่อธิบายไม่ได้คืบคลานเข้าเกาะกุมนักสำรวจทุกคน ท่ามกลางภาพเบื้องหน้าที่มีเพียง
โขดหิน โคลนเลน และสาหร่าย พวกเขาต่างอยากจะหันหลังวิ่งหนีหากไม่เกรงว่าจะถูกคนอื่น

12
Vertiginous (เวอร์ติจิเนิส): เวียนหัว เนื่องจากความสูง

-29 -
เยาะหยัน พวกเขาจำใจค้นหาอย่างลวกๆ เพื่อจะได้พกของติดไม้ติดมือกลับไปสักชิ้น... แต่การ
ค้นหาของพวกเขาก็สูญเปล่า
โรดริเกซ ชาวโปรตุเกส เป็นคนแรกที่ปีนขึ้นไปถึงเชิงแท่งหินเสาขนาดยักษ์และตะโกนบอกถึง
สิ่งที่เขาพบ คนที่เหลือรีบตามหลัง และมองอย่างใคร่รู้ไปยังประตูแกะสลักขนาดใหญ่ที่มีภาพ
นูนต่ำรูปหมึกผสมมังกรอันคุ้นตา โยเฮนเซ่นเล่าว่า มันใหญ่เท่าประตูโรงนา พวกเขาทุกคน
มั่นใจว่ามันคือประตูเพราะมันมีทั้งวงกบประตูสวยงาม ธรณีประตู และเสาข้างประตู แม้ว่าจะ
ตัดสินใจไม่ได้ว่ามันวางราบเหมือนประตูกับดัก หรือทำมุมเอียงเหมือนประตูห้องใต้ดินตาม
บ้านทั่วไป เหมือนกับที่วิลค็อกซ์เคยกล่าวไว้ เรขาคณิตของสถานที่นี้ผิดเพี้ยนไปหมด เราไม่
สามารถแน่ใจได้ว่าพื้นทะเลและพื้นดินอยู่ในแนวระนาบเดียวกันหรือไม่ ตำแหน่งของทุกสิ่ง
อย่างจึงดูผิดรูปผิดร่าง เหมือนภาพลวงตา
ไบรเดนพยายามดันไปที่ตัวหินในหลายจุดแต่ไม่สำเร็จ จากนั้นโดโนแวนก็คลำหินอย่างละเอียด
รอบๆ ขอบ และค่อยๆ กดลงไปทีละจุด เขายังปีนขึ้นไปอย่างไม่รู้จบตามรอยสลักประหลาดบน
หิน เราต้องเรียกมันว่าปีน ทั้งที่จริงพื้นผิวอาจไม่ได้อยู่ในแนวตั้งก็ตาม พลพรรคต่างทึ่งว่าประตู
ใดในจักรวาลจะใหญ่โตขนาดนี้ได้ จากนั้น ไม่นานแผ่นหินขนาดใหญ่ยักษ์นั้นก็เริ่มขยับเข้าด้าน
ในอย่างช้าๆ พวกเขาเห็นว่ามันติดกับถ่วงสมดุลเอาไว้ โดโนแวนเลื่อนตัวหรือผลักตัวเองลงมา
ตามเสาข้างประตูและกลับมาสมทบกับพวกพ้อง ทุกคนเฝ้ามองประตูหินแกะสลักขนาดมหึมา
ค่อยๆ เคลือ่ นถอยเข้าไป ภายใต้ภาพลวงตาแปลกประหลาดนี้ มันดูเคลื่อนตัวผิดปกติไปในแนว
ทแยง หักล้างกฎทุกอย่างทั้งเรื่องวัตถุและมุมมอง
ช่องโหว่เบื้องหน้านั้นดำมืดราวกับความมืดทึบที่แท้จริง ราวกับเป็นวัตถุทึบแสง ความมืดมิดนั้น
ช่างชัดเจนเสียจนน่าหวาดผวา มันบังบดส่วนต่างๆ ของผนังด้านในที่ไม่ควรปรากฏให้เห็น สิ่งที่
อยู่ภายในนั้นทะลักออกมาเหมือนควันที่ถูกกักขังมานานแสนนาน มันมืดมิดจนบดบังดวง
อาทิตย์ ราวกับดวงอาทิตย์กำลัง หดตัวและเคลื่อนหนีไ ปบนท้องฟ้าที่ย่นและแหว่ง ราวกับ
แผลเป็น ด้วยปีกที่เป็นเยื่อบางเหมือนแผ่นเยื่อ
กลิ่นที่โชยออกมาจากร่องลึกที่เพิ่งเปิดใหม่นั้นเลวร้ายเกินจะทน ไฮคินส์ที่มีหูไวสังเกตได้ว่ามี
เสียงแฉะแยะน่าขนลุกดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง ทุกคนตั้งใจฟัง เสียงนั้นยังคงดังอยู่จนกระทั่ง ...
“มัน” คลานออกมาด้วยน้ำลายไหลเยิ้ม มันเบียดตัวขนาดมหึมา สีเขียวเหนียวเยื่อไหลทะลุ
กรอบประตูมืดนั้น ผ่านสู่บรรยากาศภายนอกที่เต็มไปด้วยพิษภัยของเมืองแห่งความวิปลาส
ลายมือของโยเฮนเซ่นเลือนรางลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เขาเขียนบรรยายถึงสิ่งนั้น จากชายหก
คนที่ไม่เคยกลับไปถึงเรือ เขาคิดว่าสองคนเสียชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีดในวินาทีอันน่า

-30 -
สาปแช่งนั้น สิ่งนั้นไม่อาจบรรยายได้ภาษา หรือวลีใดๆ ถึงเสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกสยองเกล้า
และความบ้าคลั่ง แห่งกาลนานอันยิ่งยวดเช่นนั้น ความขัดแย้งประหลาดพิสดารของสสาระ
พลังงาน และระเบียบจักรวาล ภูเขาเดินหรืออาจจะเซถลาะไปมา พระเจ้า! ไม่น่าแปลกใจเลยที่
สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้จะคลั่งไป และวิลคอกซ์ผู้โชคร้ายเพ้อคลั่งด้วยไข้ในช่วงเวลาที่
รับรู้ทางจิตนั้น สิ่งที่มาจากรูปปั้น สิ่งสกปรกสีเขียว ผลผลิตเหนียวเหนอะจากดวงดาว ฟื้นคืน
ชีพเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ของมัน ดวงดาวเรียงตัวกันอีกครั้ง และสิ่งที่ลัทธิโบราณล้มเหลวที่จะทำ
สำเร็จ พวกกะลาสีเรือผู้ไร้เดียงสาได้ทำสำเร็จโดยไม่ตั้งใจ หลังจากผ่านเวลานับแสนล้านปี13
คธูลูผู้ยิ่งใหญ่กลับคืนสู่เสรีอีกครั้ง และโหยหาความรื่นรมย์

ก่อนที่ใครจะได้หันหลังกลับ ร่างของผู้ชายสามคนถูกกงเล็บอันเขลอะขระคร่าชีวิตไปเสียแล้ว
ขอพระเจ้าโปรดคุ้มครองพวกเขา หากยังมีความสงบเหลืออยู่ในจักรวาลนี้ พวกเขาคือ โดโน
แวน, เกอร์เรรา, และ แองสตรอม ในขณะที่อีกสามคนพุ่งตัวอย่างบ้าคลั่งลงสู่หุบเขาลึกสีเขียว
13
วิกินทิลเลียน (vigintillions), เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างใหญ่มาก อาจแปลเป็น "นับแสนล้านปี" เพื่อความเข้าใจง่าย

-31 -
ที่ทอดตัวไปสุดสายตาเพื่อไปยังเรือ พาร์คเกอร์พลาดท่าลื่น และโยเฮนเซ่นสาบานว่าเขาเห็น
พาร์คเกอร์ถูกกลืนหายไปในมุมของก้อนหินที่ไม่น่าจะมีอยู่ตรงนั้น ... รูปทรงมันแหลมคม แต่
กลับแสดงพฤติกรรมราวกับว่ามันเป็นมุมป้าน สุดท้ายเหลือเพียงไบรเดนและโยเฮนเซ่นที่มาถึง
เรือได้ พวกเขาลากเรืออย่างสุดชีวิตออกห่างจากเรือ อเลิร์ตขณะที่ความอัปลักษณ์ขนาดมหึมา
กระโจนลงมาจากหินลื่น พังทลายลงบนผืนน้ำ
แม้ ว ่ า ลู กเรื อทั้ งหมดจะออกไปที่ ช ายฝั่ ง แล้ว แต่ เ ครื ่ อ งจั กรไอน้ ำยัง คงเปิด ทำงานอยู่ ใน
สถานการณ์คับขัน ความตื่นตระหนกพลุ่งพล่าน พวกเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที วิ่งขึ้นวิ่ง ลง
ระหว่างพังงาเรือและห้องเครื่อง เพื่อสตาร์ทเรือ อเลิร์ต ท่ามกลางภาพบิดเบี้ยวสยดสยองอัน
ไม่อาจอธิบายได้ เรือค่อยๆ เริ่มแหวกผืนน้ำอันตราย ในขณะที่บนชายฝั่งอันเหม็นคาวซึ่งแปร
สภาพไปจากโลกที่เรารู้จัก สิ่งมีชีวิตไททันจากดวงดาวพลุ่งพล่านและส่งเสียงร้องประหลาด
คล้ายโพลีมีอัส – (ยักษ์ตาเดียวไซคลอปส์ ) สาปแช่งเรือของโอดิสซีอุสที่หลบหนีไ ป จากนั้น
อย่างกล้าหาญยิ่งกว่าไซคลอปส์ในนิทาน คธูลูผู้ยิ่งใหญ่เลื่อนร่างอันลื่นไหลลงสู่ผืนน้ำ และเริ่ม
ไล่ล่าพวกเขากวัดแกว่งแขนขาอันทรงพลังก่อคลื่นมหาศาล ไบรเดนหันไปมองและสูญ เสียสติ
ไป ส่งเสียงหัวเราะแหลมสูงเป็นช่วงๆ จนกระทั่งความตายมาพรากชีวิตไปในคืนหนึ่งในห้อง
โดยสาร ขณะที่โจฮานเซ่นกำลังเดินเพ้อไปมา
แม้โยเฮนเซ่นจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขารู้ดีว่าสิ่งนั้นจะตามทันเรือ
อเลิร์ต ได้อย่างแน่นอน จนกว่าเครื่องจักรจะทำงานเต็มที่ เขาจึงตัดสินใจเสี่ยงโชคอย่างหัก
หาญ ด้วยการเร่งเครื่องจักรให้เร็วที่สุด แล้ววิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าเรืออย่างรวดเร็วเพื่อหมุนหาง
เสือกลับทิศทาง เกิดเป็นน้ำวนขนาดใหญ่และฟองคลื่นสีขุ่นมัวในน้ำเกลือเหม็นสาบ เมื่อไอน้ำ
พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ชาวนอร์เวย์ผู้กล้าหาญก็ขับเรือมุ่งหน้าเข้าหาก้อนวุ้นเหนียวเหนอะหนะที่ไล่
ตามมา ซึ่งโผล่พ้นจากฟองน้ำสกปรกนั้น คล้ายกับหัวเรือของเรือรบปีศาจ หัวหมึกยักษ์พร้อม
หนวดที่เลื้อยไหลเกือบจะชนกับหัวเรือของเรือยอร์ชลำแกร่ง แต่โยเฮนเซ่นก็ยังคงขับต่อไป
อย่างไม่ลดละ เสียงระเบิดดังขึ้นราวกับกระเพาะปัสสาวะที่แตก เละเทะเหลวแหลกเต็มไปด้วย
ความสกปรกเหนียวเหนอะ เหมือนปลาท้องแบนถูกผ่าซีก กลิ่นเหม็นเหมือนกับหลุมศพนับพัน
เปิดออก และเสียงที่ผู้บันทึกเหตุการณ์ไม่อาจบรรยายลงบนกระดาษ ชั่วขณะ เรือถูกปกคลุม
ไปด้วยหมอกสีเขียวแสบตาและกัดกร่อน จากนั้นก็เหลือเพียงเสียงฟู่ฟ่อโกรธเคืองที่ท้ายเรือ
เท่านั้น ที่นั่น – พระเจ้าบนสวรรค์ ! – ชิ้นส่วนเหนียวเหนอะหนะที่กระจัดกระจายของ
สิ่งมีชีวิตประหลาดจากฟากฟ้า กำลังรวมตัวกันอีกครั้งอย่างเลือนรางในรูปร่างดั้งเดิ ม ที ่น่า
ขยะแขยงของมัน ขณะที่ระยะห่างระหว่างมันกับเรือกว้างขึ้นทุกวินาที เพราะเรือ อเลิร์ต
กำลังได้รับแรงผลักดันจากไอน้ำที่เพิ่มขึ้น

-32 -
นั่นคือทั้งหมด หลังจากนั้น โยเฮนเซ่น ได้แต่ครุ่นคิดถึงรูปเคารพในห้องโดยสารและหาอาหาร
กินประทังชีวิตให้ตัวเขาเองกับคนบ้าขี้หัวเราะที่อยู่ข้าง ๆ เขาไม่ได้พยายามเดินเรือ ต่อ หลัง
ความบ้าบิ่นในช่วงแรก เพราะผลที่ตามมาเหมือนได้พรากเอาบางสิ่งออกไปจากจิตวิญ ญาณ
ของเขา
จากนั้นพายุก็เข้าถล่มในวันที่ 2 เมษายน ความรู้สึกของเขาเหมือนถูกหมุนเหวี่ยง ผ่านอ่าวเวิ้ง
ว้างในห้วงอนันต์ ราวกับนั่งอยู่บนหางดาวหางที่พุ่งไปท่ามกลางจักรวาลที่โคลงเคลง หรือไม่ก็
ร่วงหล่นจากหลุมสู่ดวงจันทร์ วนเวียนกลับตกลงสู่หลุมอีกครั้ง พลางมีเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
ของเหล่าเทพเจ้าอาวุโสที่ผิดรูปผิดร่างผสานกับเสียงกรีดร้องของปีศาจติดปีกคล้ายค้างคาวสี
เขียวแห่งยมโลก ทาร์ทารัส (Tartarus)14
และท่ามกลางฝันร้ายนั้นก็มีการช่วยเหลือ - เรือวิจิเลิร์น, ศาลทหารเรือ, ท้องถนนของเมือง
ดะนีดิน และการเดินทางอันยาวนานกลับบ้านเกิดที่บ้านหลังเก่าใกล้ เอ็จเบิร์ค เขาเล่าออกมา
ไม่ได้หรอก - คนอื่นคงคิดว่าเขาบ้าเสียแล้ว เขาจะต้องเขียนสิ่งที่เขารู้เอาไว้ก่อนความตายจะ
มาเยือน แต่ภรรยาของเขาต้องไม่ล่วงรู้เด็ดขาด แม้แต่ความตายเขายัง รู้สึกว่าเป็นสิ่ ง ที่
ประเสริฐก็ต่อเมื่อมันสามารถลบความทรงจำเหล่านี้ออกไปได้
นี่คือเอกสารที่ผมอ่าน และตอนนี้ผมได้เก็บมันไว้ในกล่องเหล็กพร้อมกับรูปสลักนูนต่ ำ และ
เอกสารของศาสตราจารย์ แองเจลล์ บั น ทึ ก ของผมจะถู กเก็ บไปพร้ อ มกั น —การทดสอบ
สติสัมปชัญญะของตัวเอง ซึ่งรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ที่ผมหวังว่าจะไม่มีวันถูกนำมาต่อกันอีกครั้ง ผม
ได้เผชิญหน้ากับทุกความสยดสยองที่จักรวาลนี้ซุกซ่อนเอาไว้ และท้องฟ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ
รวมถึงดอกไม้แห่งฤดูร้อนจะกลายเป็นยาพิษสำหรับผมตลอดไป แต่ผมคิดว่าคงมีชีวิตอยู่ไ ด้ไ ม่
นานนัก ผมจะต้องพบจุดจบแบบเดียวกับลุงของผม แบบเดียวกับโจแฮนเซนผู้โชคร้าย ผมรู้
มากเกินไป และลัทธิยังคงดำรงอยู่
ผมเชื่อว่าคธูลูเองก็ยังมีชีวิตอยู่ในเหวนั้น ซึ่งเป็นที่หลบภัยของมันมาตั้งแต่ยุคที่ดวงอาทิตย์ยัง
อ่อนเยาว์ เมืองต้องสาปของมันจมลงสู่ใต้ทะเลอีกครั้ง หลังจากที่เรือวิจิเลิร์น แล่นผ่านพื้นที่นั้น
หลังพายุเดือนเมษายน แต่เหล่าสมุนบนโลกของมันยังคงร้องตะโกน เต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และ
บูชาแท่นหินรูปเคารพในสถานที่ลับตาคน มันคงติดอยู่ใต้เหวลึกสีดำขณะที่เมืองจมลง มิเช่นนั้น
ตอนนี้โลกคงเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและความคลุ้มคลั่ง ใครจะรู้จุดจบจะเป็นอย่างไร? สิ่งที่
เคยขึ ้ น มาได้ ก็ อ าจจะจมลงอี ก ครั ้ ง และสิ ่ ง ที ่ เ คยจมลง ก็ อ าจจะลอยขึ ้ น มา ความน่ า

14
Tartarus ทาร์ทารัส หรือ ทาร์ทารอส หวลึกที่ใช้เป็นคุกใต้ดินสำหรับทรมานและลงโทษคนทำชั่วและเป็นคุกสำหรับพวกไททัน สถานที่ใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ ไม่มี
แสงใดๆส่องลงมาได้แน่นอน เหมาะแก่การกักขังยักษ์ และอสูรกายต่างๆได้เป็นอย่างดี

-33 -
สะอิดสะเอียนหลับใหลและฝันอยู่ในห้วงลึก และความเสื่อมโทรมกำลังแผ่ไปยังเมืองต่างๆ ของ
มนุษยชาติ
โอกาสนั้นจะมาถึง—แต่ผมต้องไม่คิด! ผมไม่อาจจะคิดได้! ภาวนาแค่ว่าถ้าหากผมไม่รอดชีวิต
บันทึกฉบับนี้ผู้จัดการมรดกของผมจะใช้ความระมัดระวังรอบคอบมากกว่าความกล้าหาญ พวก
เขาต้องแน่ใจว่ามันจะไม่ตกอยู่ในมือของบุคคลอื่นเป็นอันขาด

-34 -
สรุปเรื่องราวของ
เสียงเรียกจากคธูลู (The Call of Cthulhu)

บทที่ 1: รูปปั้นสยอง ในบรรดาเอกสารของลุงแรนด์ลอฟ์ คาร์เตอร์ ผู้ล่วงลับ มีรูปปั้นนูนต่ำชิ้น


หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของผม รูปปั้นนั้นแกะสลักจากหินสีดำสนิท แสดงภาพสัตว์ประหลาดที่
ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันมีลำตัวคล้ายปลาหมึกขนาดยักษ์ ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวมรกต
บนหัวมีหนวดยาวระโยงระยาง ประดับด้วยตาสีฟ้าเรืองแสง

รูปปั้นนั้นดูน่าสยดสยอง เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

บทที่ 2: เรื่องของสายสืบเลแกรส ผมค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับรูปปั้นนั้นจากบันทึกของ จอห์น แก


รส สายสืบเอกชน เขาเล่าถึงคดีฆาตกรรมปริศนาที่เกิดขึ้นในนิวออร์ลีนส์ เหยื่อถูกฆ่าอย่าง
โหดเหี้ยม ศพถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แกรสค้นพบความเชื่อโบราณเกี่ยวกับ "คธูลู" เทพเจ้าผู้ชั่วร้ายที่หลับใหลอยู่ใต้ท้องทะเล

บทที่ 3: ความวิปลาสจากทะเล บันทึกของแกรสพาผมไปสู่เมืองร้างริมทะเล ที่นั่นผมพบกับ


กลุ่มคนคลั่งที่บูชาคธูลู พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายจะตื่นขึ้นมาปกครองโลก พิธีกรรมอันน่า
สยดสยอง เหล่าผู้คลั่งไคล้สวดมนต์เรียกคธูลู เสียงเพรียกจากเหล่าผู้คลั่งไคล้ปลุกคธูลูให้ตื่นขึ้น
จากการหลับใหล เรื่องราวสยองขวัญที่เล่าถึงเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายนามว่า "คธูลู" ที่หลับใหลอยู่ใต้
ท้องทะเล เมื่อคธูลูตื่นขึ้น มันจะนำความวิบัติมาสู่โลก

สัตว์ประหลาดยักษ์โผล่ขึ้นจากทะเล สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คน

-35 -
เสียงเรียกคธูลู:
การตีความทางการเมือง

คธูลู เทพเจ้าผู้ชั่วร้ายจากนิยายของ H. P. Lovecraft มักถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์ นัก


วรรณกรรมหลายคนวิเคราะห์ว่า คธูลู เปรียบเสมือนตัวแทนของ อำนาจเผด็จการ ระบบการ
ปกครองที่กดขี่ ความลุ่มหลงในลัทธิคลั่ง และ ความน่ากลัวของสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

1. คธูลู : ตัวแทนของอำนาจเผด็จการ
คธูลู เป็นเทพเจ้าที่มีพลังอำนาจมหาศาล อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ การตื่นขึ้นของคธูลู
เปรียบเสมือนการขึ้นสู่อำนาจของเผด็จการ ผู้กุมอำนาจเด็ดขาด กดขี่ข่มเหงประชาชน
2. คธูลู : ตัวแทนของระบบการปกครองที่กดขี่
คธู ลู ปกครองโลกด้ ว ยความโหดร้ า ย มนุ ษ ย์ ส ู ญ เสี ย อิ ส รภาพ ถู ก บั ง คั บ ให้ ค ล้ อ ยตาม
เปรียบเสมือนระบบการปกครองที่กดขี่ จำกัดเสรีภาพ ควบคุมความคิด
3. คธูลู : ตัวแทนของความลุ่มหลงในลัทธิคลั่ง
เหล่าผู้คลั่งไคล้คธูลู บูชาคธูลู สรรเสริญคธูลู ยอมสละชีวิตเพื่อคธูลู เปรียบเสมือนความลุ่ม
หลงในลัทธิคลั่ง ศาสนา หรืออุดมการณ์ ที่บดบังความคิด ปิดกั้นเหตุผล
4. คธูลู : ตัวแทนของความน่ากลัวของสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
คธูลู เป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว อยู่เหนือความเข้าใจของมนุษย์ การปรากฏตัวของคธูลู สร้าง
ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก เปรียบเสมือนความน่ากลัวของสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
ภัยคุกคามที่ยากจะรับมือ

-36 -
H.
H. P.
P. Lovecraft
Lovecraft

เสียงเพรียกจากคธูลู
The Call of Cthulhu
บัญญพนต์ พูลสวัสดิ์ แปล

You might also like