Professional Documents
Culture Documents
การย่อยลิปิดในอาหาร
1. การย่อยที่ปากและกระเพาะอาหาร
ในปากและกระเพาะอาหารมีเอนไซม์ Linqual lipase และ gastric lipase เป็นเอนไซม์ที่ทำางานได้แม้ในสภาวะที่เป็นกรด(acid lipase)
โดยโมเลกุลไตรกลีเซอไรด์ที่มีกรดไขมัน short และ medium chain (พบในนม) เป็นองค์ประกอบจะถูกย่อยโดย lipase ได้เป็นกรดไขมัน (fatty acid) และ
2-monoacylglycerol แต่อัตราการย่อยจะเกิดช้า เนื่องจากไขมันไม่อยู่ในรูปที่ emulsified และเอนไซม์ก็สามารถย่อยได้เฉพาะไขมันที่อยู่ผิวนอกสุด (water
interface) ดังนั้นจึงพบว่า lipase ทีป่ ากและกระเพาะอาหารจะ ทำางานได้ดีในเด็กทารกที่รับประทานนำ้านมแม่ หรือ นมวัว เพราะไตรกลีเซอไรด์ในนำ้านมอยู่ในรูปที่
emulsified แล้ว และเป็นไขมันที่มีกรดไขมันประเภท short และ medium chain อยู่มากเอ็นไซม์จึงเข้าย่อยได้
ดังนั้นในผู้ใหญ่อาหารพวกไขมันจะไม่ถูกย่อยในปากและกระเพาะ
2. การย่อยที่ลำาไส้เล็ก
ทีล่ ำาไส้เล็กเป็นแหล่งที่ลิปิดจากอาหารถูกย่อยได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากลิปิดเป็นสารที่ไม่ละลายนำ้า
ดังนั้นในขบวนการดูดซึมและการย่อยต้องมีการทำาให้อาหารไขมันละลายเข้ากับนำ้าเสียก่อน โดยขบวนการ emulsification โดยอาศัยกรดนำ้าดีและเกลือนำ้าดี (bile acid
and bile salt) ช่วยกระจายโมเลกุลของไขมันให้อยู่ในรูป mixed micelle ทำาให้ไขมันละลายนำ้าได้ดีขึ้น เอ็นไซม์จึงทำาการย่อยไขมันได้ เนื่องจาก bile salt
เป็นสารประกอบพวก amphipathic ที่มีทั้งส่วนที่เป็น hydroprobic และ hydrophilic ในโมเลกุล ถูกสังเคราะห์ขึ้นที่ตับแล้วเก็บไว้ในถุงนำ้าดี จะหลั่งสู่ลำาไส้เล็ก
เมื่อมีฮอร์โมน cholecystokinin มากระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของถุงนำ้าดี การย่อยอาหารไขมันในลำาไส้เล็กอาศัยเอนไซม์ที่สร้างมาจากตับอ่อน
การหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการย่อยไขมัน ในชั้นเยื่อบุผนังลำาไส้เล็ก จะมีการสร้างฮอร์โมน cholecystokinin (CCK)
โดยฮอร์โมนจะออกฤทธิ์ไปกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของถุงนำ้าดี ทำาให้มีการปล่อยนำ้าดีออกสู่ลำาไส้เล็ก และมีผลทำาให้ลำาไส้เคลื่อนช้าลง เพื่อให้เกิดการย่อยที่สมบูรณ์
และยังมีผลต่อการหลั่งเอนไซม์ของตับอ่อน ( pancreatic lipase) ด้วย และ Secretin จะกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่ง bicarbonate เพื่อช่วยปรับ pH ของ chyme
ให้เหมาะสม (pH ∼ 6) กับการถูกย่อยโดยเอนไซม์ในลำาไส้เล็ก ดังนี้คือ
ก. การสลายไตรกลีเซอไรด์ เนื่องจากโมเลกุลของ Triglyceride มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะถูกนำาเข้าสู่ mucosal ของ intestinal villi
ดังนั้นจึงต้องถูกย่อยโดย pancreatic lipase กอน ตัดเอง fatty acid ที่ C1 และ 3 ออก ได้เป็น 2-monoacylglycerol และ 2 fatty acid
ข. การสลายโคเลสเตอรอล เอสเตอร์ ถูกสลายโดย pancreatic cholesterol ester ได้ โคเลสเตอรอลและไขมันอิสระ
ค. การสลายฟอสโพลิปิด ถูกสลายโดย phospholipase A2 และ lysophospholipase ได้กรดไขมัน กลีเซอรอลฟอสเฟต และสารไนโตรจีนัสเบส เช่น
โคลีน เอตนอลามีน หรีอ อินอลซิทอล ฯลฯ
การดูดซึมลิปิด ที่ลำาไส้เล็ก
ไตรกลีเซอไรด์จากอาหารที่ถูกย่อยในลำาไส้เล็ก ได้เป็นกรดไขมันโดย long chain fatty acid จะรวมตัวกันอยู่ในรูป micelles กับทั้ง cholesterol , fat-
soluble vitamins ด้วย (มีการจัดเรียงตัวในลักษณะที่ลิปิดเอาด้าน hydrophobic อยู่ด้านในและเอาด้าน hydrophilic อยู่ด้านนอก)
ซึ่งทำาให้ไขมันอยู่ในรูปที่สามารถซึมผ่าน brush border membrane ของเยื่อบุผนังลำาไส้และ ละลายอยู่ใน intestinal lumen ได้ ส่วนกรดไขมันชนิด short และ
medium chain (C4-C12) สามารถซึมผ่านเซลล์ลำาไส้เล็กได้โดยตรงเข้าสู่ portal blood และถูกพาไปยังตับโดยรวมตัวกับ albumin
ส่วนกลีเซอรอลจะขนย้ายไปยังตับเพื่อเมตะบอไลท์ต่อไป ส่วน bile salt ประมาณ 95 % จะถูกนำากลับไปยังตับโดยผ่านทาง enterohepatic circulation
เพื่อนำาไปเก็บไว้ที่ถุงนำ้าดี เอาไว้ใช้เมื่อมีการย่อยอาหารไขมันอีก
(re-esterify) เป็น triacylglyceral(TG) ใหม่ เช่นเดียวกับ cholesterol และ
หลังจากดูดซึมแล้วกรดไขมันและกลีเซอรอลจะรวมกันอย่างรวดเร็ว
lysophospholipid ก็จะรวมตัวกับ fatty acid ใหม่เป็น cholesterol ester และ phospholipid ตามลำาดับ แล้วจึงมีการรวมตัวกันของ cholesterol,
cholesterol ester, phospholipid และ โปรทีน เป็น ไลโปโปรทีนชื่อ ไคโลไมครอน (chylomicron) เพื่อทำาหน้าที่พา TG (exogeneous triglyceride)
จากการย่อยและดูดซึมที่ลำาไส้เล็กไปให้เนื้อเยื่อต่างๆ ทางระบบนำ้าเหลือง
การสังเคราะห์ ไลโปโปรตีนเพื่อการขนส่งลิปิด
เนื่องจากลิปดิ เป็นสารประกอบที่ไม่ละลายนำ้า ดังนั้นในการขนส่งในกระแสเลือดจึงต้องมีตัวกลาง ซึ่งเป็นสารชีวโมเลกุลใหญ่ที่ประกอบด้วย โปรทีนกับลิปดิ ชนิดต่างๆ
เรียกว่า ไลโปโปรตีน (lipoprotein) มีโครงสร้างเป็นแบบ micelles ซึ่งประกอบด้วยลิปิดที่เอาปลายด้าย nonpolar อยู่ด้านในของโครงสร้างและปลายด้าน polar
ออกด้านนอก
(long chain) จะรวมตัวกับ 2-monaglyceral ได้เป็นไตรกลีเซอรได์โมเลกกุลใหม่
ยกตัวอย่างเช่น ในเซลล์ลำาไส้เล็ก กรดไขมันที่มีขนาดยาว
ขณะเดียวกันเซลล์ของลำาไส้เล็กจะสร้างโปรตีนที่เรียกว่า Apoprotein A-I และ Apoprotein B-48 เพื่อรวมตัวกับไตรกลีเซอไรด์ที่เกิดขึ้นใหม่ และ phospholipid
,cholesterol, cholesterol ester เกิดเป็นสารชีวโมเลกุลที่มีทั้งลิปิด และโปรทีน เรียกว่า lipoprotein (chylomicrons) ซึ่งจะผ่านผนังลำาไส้เล็ก
พาไขมันจากอาหารดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิตทางท่อนำ้าเหลืองไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ
( http://www.kumc.edu/research/medicine/biochemistry/bioc800/lip-lobj.htm)
Lipoprotein class
Wt%
Apoprotein 2 10 18 25 43
Triacylglycerol 83 50 31 4 2
Cholesterol 2 6 6 9 5
Cholesteryl ester 3 14 22 42 20
Phospholipid 7 18 22 22 30
การขนส่งลิปิดในกระแสเลือด แบ่งได้เป็น
1. การขนส่งอาหารลิปดิ จากการดูดซึมทีล่ ำาไส้เล็กไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย(exogeneous lipid)
2 2. การขนส่งลิปิดที่สร้างตับไปเก็บสะสมที่เนื้อเยื่อไขมัน (endogeneous lipid)
3 3. การขนส่งกรดไขมันออกจากเนื้อเยื่อกรดไขมันเพื่อไปออกซิไดส์ที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ (storage lipid)
การสังเคราะห์ไตรกลีเซอไรด์
การสังเคราะห์ TG ที่เยื่อบุลำาไส้เล็กโดยขบวนการ re-esterification ได้กล่าวข้างต้นแล้ว ในร่างกายการสังเคราะหื TG
ยังเกิดได้ทตี่ ับและเนื้อเยื่อไขมันและเกิดขึ้นโดยกรดไขมันจะทำาปฏิกิริยากับ glycerol-3-P ที่ได้จากการสลาย glucose ซึ่งจะเกิดสารตัวกลางคือ phosphtidic acid
และ 1, 2 diacylglycerol จากนั้นจะมีการ เติมกรดไขมันตัวที่ 3 เข้าไปให้แก่ 1, 2-diacyglycerol ได้เป็น triglyceride นอกจากนี้glycerol-3-P
สามารถสร้างจาก glycerol ได้ภายในเซลล์ตับ แต่จะไม่พบในเซลล์ไขมันเนื่องจากเนื้อเยื่อไขมันไม่มี glycerokinase ที่จะเปลี่ยน glycerol ไปเป็น glycerol 3-P
5 ลิปิดเมตะบอลิสม์ / อ.วรรณรัตน์ ยิ่งสังข์
การสะสมไตรกลีเซอไรด์ในเซลล์ไขมัน
ภายหลังการรับประทานอาหาร การเก็บสะสม TG จะเพิ่มขึ้น โดยเซลล์ไขมันสามารถนำา glucose เข้าเซลล์ได้เมื่อมีการกระตุ้นของ insulin เท่านั้น
โดยกลูโคสจะถูกออกซิไดส์ โดยขบวนการ glycolysis ได้ glycerol-3-P ขณะเดียวกัน กรดไขมันจะได้ทั้งจากการสังเคราะห์จาก acetyl CoA ที่เกิดขึ้นภายในเซลล์
หรือได้กรดไขมันมาจากการสลายไตรกลีเซอไรด์จาก VLDL และ chylomicron โดย liproprotein lipase
ที่หลั่งออกมาในเส้นเลือดฝอยของเนื้อเยื่อไขมันเมื่ออัตราส่วนของอินสุลิน/กลูคากอนเพิ่มขึ้น เอนไซม์นี้จะทำาการย่อย กรดไขมันที่ได้จะเข้าสู่เซลล์ไขมัน แล้วเปลี่ยนเป็น fatty acyl
CoA ทำาปฏิกิริยากับ glycerol 3-P ได้เป็น TG สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆเนื่องจากกรดไขมันจะไม่ถูกเก็บไว้ในรูปกรดไขมันอิสระเพราะมีความเป็นกรด ละลายนำ้ายาก
และอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ถ้าร่างกายมี glucose มาก ในขณะที่เซลล์ตับมีการสร้าง triglyceride เก็บได้ปริมาณหนึ่งเท่านั้น และมีส่งไตรกลีเซอไรด์ออกจากตับในรูปของ
VLDL
แหล่งของ ace ty l C oA
1. การสลาย amino acid ใน cytoplasm ได้ product เป็น acetyl CoA
2. การ oxidation ของ fatty acid ใน mitochondria ได้เป็น acetyl CoA ซึ่งจะออกมาที่ Cytosol ในรูปของ citrate (acetyl CoA +
oxaloacetate) เนื่องจากโคเอนไซม์เอ ของ acetyl ไม่สามารถผ่าน mitochondria membrane ได้ ขบวนการขนย้าย citrate จาก mitochrondria ไปยัง
cytosol จะเกิดขึ้นเมื่อมี ATP ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีพลังงานเหลือเฟือจะมีการสร้างกรดไขมันขึ้นมาก โดยพบว่า ATP ที่มีมากจะยับยั้ง isocitrate
dehydrogenase ใน TCA cycle ทำาให้มี citrate คั่งใน mitochondria และผ่านออกมายัง cytosol ได้ เกิดการสลายเป็น acetyl CoA และ
oxaloacetat3.การสลาย glucose โดยขบวนการ glycolysis ใน cytoplasm ได้เป็น pyruvate ทีผ่ ่านเข้าไปใน mitochondria แล้วเปลี่ยนเป็น acetyl
CoA โดย pyruvate dehydrogenase แล้วเปลี่ยนเป็น citrate จึงสามารถมาอยู่ใน cytosol
7 ลิปิดเมตะบอลิสม์ / อ.วรรณรัตน์ ยิ่งสังข์
แหล่งของ NA DPH
1. ได้จาก HMS ซึ่งเป็น pathway ที่ให้ NADPH ที่ใช้ในการสังเคราะห์กรดไขมัน
2. เป็น NADH ที่ได้จากการเปลี่ยน malate เป็น pyruvate
การสลายเอากรดไขมันจาก TG ในเนื้อเยื่อไขมัน
ในภาวะที่ร่างกายขาดแคลนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต(fasting state) , อดอาหาร (starvation) หรือออกกำาลังกายอย่างหนัก
จะต้องมีการสลายไตรกลีเซอไรด์ที่เก็บสะสมไว้เพื่อให้ได้กรดไขมันออกมาจาก TG กรดไขมันและกลีเซอรอลที่ได้จะเข้าสู่ระบบไหลเวียน
กรดไขมันที่เกิดขึ้นจะถูกพาจากเซลล์ไขมันไปกับกระแสเลือดโดยจับตัวกับ albumin ซึ่งจะถูกออกซิไดซ์ด้วยขบวนการ -oxidation เพื่อให้ได้พลังงาน
การเกิดพลังงานจากกรดไขมันเกิดได้โดยอาศัยการออกซิไดซ์โดยปฏิกิริยาในขบวนการ -oxidation เป็นการออกซิไดส์โดยใช้ออกซิเจน
8 ลิปิดเมตะบอลิสม์ / อ.วรรณรัตน์ ยิ่งสังข์
O
8 CH3-C-ScoA เข้า TCA cycle ได้ 12x8 = 96 ATP
7 FADH2 เข้า electron transport ได้ 2x7 = 14 ATP
7 NADH เข้า eletron transport ได้ 3x7 = 21 ATP
ใช้ ATP ในปฏิกิริยาการกระตุ้น = -2 ATP
ปริมาณ ATP ที่ได้ทั้งหมด = 129 ATP
ปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกรดไขมันไม่อิ่มตัว
การออกซิไดซ์กรดไขมันไม่อิ่มตัว สามารถเกิดปฏิกิริยาโดย -oxidation ได้เช่นเดียวกับกรดไขมันอิ่มตัว เฃ่น การออกซิไดซ์กรดโอเลอิค (18:1 ω-9)
CH3(CH2)7 CH=CHCH2 CH2 CH2 C H2 CH2CH2 CH2 COOH
β-oxidation 4 รอบ
O O
CH3(CH2)6 CH=CH-C ∼ SCoA + 4FADH2 + 4NADH + 4H +
+ 4CH3-C-ScoA
จะเกิดต่อเนื่องไป จนคาร์บอนอะตอมในโมเลกุลถูกเปลี่ยนเป็น acetyl CoA จะได้พลังงาน = [(9x12) + (7x2) + (8x3) –2] = 144 ATP
การสังเคราะห์และการสลายโคเลสเตอรอล
โคเลสเตอรอลสามารถสังเคราะห์ในร่างกายได้ และจะถูกลำาเลียงในกระแสโลหิตในรูปของ lipoproteins นำาไปใช้สร้างเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างผนังเซลล์
หรือนำาไปเปลี่ยนเป็นกรดนำ้าดี ไวตามินดี และสเตียรอยด์ ฮอร์โมน โคเลสเตอรอลในร่างกายอาจได้มาจากอาหารหรือจากการสังเคราะห์ตั้งต้น คือ acetyl CoA ซึ่งอาจได้มาจาก
glucose, fatty acids หรือ amino acid ซึ่งพบมากทีต่ ับและลำาไส้เล็ก
ปฏิกิริยาแรกในการสังเคราะห์ โคเลสเตอรอล เกิดจาก acetyl CoA 2 โมเลกุลมารวมตัวกันได้เป็น Acetoacetyl CoA ซึ่งจะรวมกับ acetyl CoA
อีกโมเลกุลหนึ่งเป็น 3-hydroxy-3-methyglutaryl CoA (HMG CoA) และ HMG CoA จะเปลี่ยนเป็น mevalonate โดยเอนไซม์ HMG CoA
reductase ปฏิกิริยาทั้งหมดนี้เป็นจุดควบคุมอัตราเร็วของกระบวนการสังเคราะห์โคเลสเตอรอล และเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นรูป isoprene
จนกระทั่งสุดท้ายได้เป็นโคเลสเตอรอล ที่มีคาร์บอน 27 อะตอม
การสังเคราะห์และการสลายคีโตนบอดีส์
ในสภาวะที่มีการสลายกรดไขมันมาก ๆ เช่น ภาวะอดอาหารหรือในคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมี acetyl CoA มาก ซึ่งตับก็จะเปลี่ยน acetyl CoA ไปเป็น
ketone bodies (acetoacetate, 3-hydroxybotyrate และ acetone) และถูกส่งผ่านกระแสเลือดไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทีส่ ามารถเปลี่ยนกลับไปเป็น acetyl
CoA และถูก Oxidized ต่อจนได้พลังงาน
ในภาวะปกติตับจะมีการสร้าง ketone bodies ได้น้อย และมีระดับหนึ่งเท่านั้นประมาณ 1
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของพลาสม่าเพื่อเป้นสารเชื้อเพลิงแก่เซลล์กล้ามเนื้อ หัวใจ ไต และจะมีคีโตนบอดี้กำาจัดออกทางปัสสาวะไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อวัน
แต่จะมีการสร้างมากขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะอดอาหาร ซึ่งร่างกายจำาเป็นต้องใช้พลังงาน ดังนี้นจึงต้องมีการสร้าง ketone bodies แต่เมื่อได้ตามที่อัตราการสร้าง ketone
bodies มากกว่าการใช้ จะทำาให้เกิด ketonemia และ ketonuria ซึ่งสามารถพบได้ในคนที่อดอาหารนาน ๆ หรือเป็นโรคเบาหวานรุนแรงควบคุมได้
ketone bodies เป็นแหล่งพลังงานทีส่ ำาคัญ เพราะ
1. ละลายได้ดีในกระแสเลือด จึงไม่จำาเป็นต้องรวมตัวอยู่ในรูป lipoprotein หรือ ขนส่งโดย albumin
2. ในช่วงที่มี acetyl CoA มากเกิดกว่าที่ตับจะเปลี่ยนแปลงโดยขบวนการ oxidative ได้ตับจะทำาหน้าที่เปลี่ยนเป็นคีโตนบอดีส์ได้ทันที
3.Extrahepatic tissue เช่น skeletal, cardiac muscle, renal cortex สามารถนำาไปใช้ได้ แม้แต่สมอง
พยาธิสภาพที่เกิดจากความผิดปกติของลิปิดเมตะบอลิสม์
ภาวะไคโลไมครอนสูงในเลือด (Hyperchylomicronemia)
เป็นภาวะที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือดด้วย แต่จะเป็นไตรกลีเซอไรด์ที่ได้จากอาหาร
หากไลโปโปรทีนไลเปสที่ผนังเซลล์หลอดเลือดซื่งสลายกรดไขมันจากไตรกลีเซอไรด์ใน chylomicron มีการทำางานลดลง ทำาให้การสลาย chylomicron
ในเลือดลดลง จืงทำาให้ปริมาณไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด
การรักษาควรให้ได้อาหารไขมันประเภท medium chain triglyceride เพราะไขมันประเภทนี้หลังจากการย่อยแล้ว
กรดไขมันที่ได้จะสามารถดูดซึมไปใช้ได้โดยจะจับตัวกับอัลบูมิน ไม่มีการรวมตัวใหม่ในผนังลำาไส้เล็ก จึงไม่มี chylomicron
13 ลิปิดเมตะบอลิสม์ / อ.วรรณรัตน์ ยิ่งสังข์
การติดสุราและการเกิดตับแข็ง
สุราที่ดื่มเข้าไปเมื่อถูกออกซิไดส์ในร่างกายที่ตับ จะทำาให้ได้อัลดีไฮด์ และมี NADH คั่งในกระแสเลือดอย่างมาก NADH
ที่มีมากในเลือดส่งผลกระทบให้เกิดการยับยั้งเอ็นไซม์ที่ใช้ในการออกซิไดส์กรดไขมัน แต่จะเกิดการกระตุ้นสารที่ใช้สังเคราะห์กรดไขมันขึ้นมาแทนที่
เพราะแอบลกอฮอล์ที่ถูกออกซิไดส์ทตี่ ับ ทำาให้มี acetyl CoA ในตับเพิ่มขึ้น เกิดกระตุ้นการสร้างไขมันชนิด longchain fatty acid
และนำาไปสู่การสังเคราะห็เป็นไตรกลีเซอไรด์ ขณะเคดียวกันแอลกอฮอล์ทำาให้อัตราการสร้างโปรทีนที่จะมารวมตัวกับลิปดิ เป็นไลโปโปรทีนชนิด VLDL มีลดลง
ทำาให้การพาไขมันออกจากตับเกิดได้น้อยกว่าปกติ จึงทำาให้มีไขมันคั่งในตับเกิดภาวะ fatty liver และนำาไปสู่ตับแข็ง (cirrhosis) ได้ในที่สุด
ภาวะอ้วนผิดปกติ (Obesity)
เป็นภาวะที่มีการสะสมไตรกลีเซอไรด์มากเกิดปกติ โดยธรรมชาติของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงสารชีวโมเลกุลต่างๆ เพื่อให้เกิดพลังงานและเก็บเป็นเชื้อเพลิงสะสม
มีการเปลี่ยนกลูโคส กรดไขมันเป็นไตรกลีเซอไรด์เพื่อเป็นพลังงานสะสม ร่างกายมีความสามารถที่จะสะสมไกลโคเจนที่กล้ามเนื้อ ตับ ในปริมาณที่จำากัด
แต่การเก็บเชื้อเพลิงสะสมที่เนื้อเยื่อไขมันไม่มีขีดจำากัด การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากๆ เกิดการกระตุ้นเอ็นไซม์ fatty acid synthetase ให้ทำางานดีขึ้นมา
ขณะเดียวกันการเมตะบอลิสม์คาร์โบไฮเดรต ทำาให้เกิด acetyl CoA ในร่างกายมาก จึงสามารถนำาไปสร้างเป็นกรดไขมัน และสร้างในรูปไตรกลีเซอไรด์
เพื่อสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมันได้โดยไม่มีขีดจำากัด ทำาให้เกิดภาวะอ้วนผิดปกติ
เอกสารอ้างอิง
1. Myrray RK,Granner DK, Mayes PA, Rodwell VW. Harper's biochemistry. 24 th ed. New Jersey: Prentice Hall
International Inc., 1996.
2. Voet D, Parson WW, Vance DE. Principles of biochemistry. Oxford: Wm.C. Brown Publishers, 1995.
3. Mathews CR, Van Holde KE. Biochemistry. 2 ed. Puerto Rico: The Benjamin/Cummings Publishing Company
nd
Inc,1996
4. Marks DB, Marks AD, Smith CM. Basic medical biochemistry : A clinical approach. Baltimore, Maryland :
Williams& Wilkins, 1996.
5. (http://www.kumc.edu/research/medicine/biochemistry/bioc800/lip-lobj.htm)
6.อุษณีย์ วินิจเขตคำานวณ. ลิปิด: ชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ใ เชียงใหม่
7. สมทรง เลขะกุล. เมตะบอลิสมของลิปิด: นิโลบล เนื่องตัน,บรรณาธิการ. ชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลใ กรุงเทพ: โรงพิมพ์ บริษัทธรรมสาร จำากัด .2536
14 ลิปิดเมตะบอลิสม์ / อ.วรรณรัตน์ ยิ่งสังข์