Professional Documents
Culture Documents
การเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัยรายวิชา
คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ (2001-0001) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาห้อง
AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ
จัดทาโดย
อาจารย์ชลธิชา สุวรรณหล้า
วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ
2
บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
ในปั จ จุ บั น การเรี ย นการสอนของประเทศไทย ส่ ว นมากมี ก ารวั ด และประเมิ น ผล
การจั ดการเรี ย นรู้ที่ ห ลากหลาย แต่ ส่ว นมากจะเป็น แบบการทาแบบทดสอบ หรื อการท า
ข้อสอบทั้งแบบอัตนัยและปรนัย และเนื่องจากทางวิทยาลัยพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ
มีนโยบายในการให้อาจารย์สร้างแบบทดสอบให้เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้วัดความรู้ในวิชาที่เรียน
ซึ่งมีลักษณะของของสอบที่มีทั้งอัตนัยและปรนัย สาหรับของระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ปีที่ 2
ผู้วิจัยจึงได้ทาการเปรียบเทียบข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัยจากรายวิชา คอมพิวเตอร์
เพือ่ งานอาชีพ (2001-0001) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพ
และบริหารธุรกิจ โดยได้สนองนโยบายดังกล่าวในเบื้องต้น คือการจัดทาข้อสอบระหว่างภาค
และปลายภาค ในลักษณะของข้อสอบที่มีทั้งแบบอัตนัยและปรนัย โดยแบบอัตนัยมีตัวเลือก 4
ตัวเลือกข้อ สอบ 10 ข้อ และแบบปรนัยมีประมาณ 5-10 ข้ อ ตามเนื้ อหาวิชา ซึ่งข้อสอบมี
ทั้งหมดจานวน 2 ชุด พร้อมเฉลย
เพื่อใช้วัดผลและประเมินผลข้อสอบที่จัดทาขึ้นมีคุณภาพเพียงไร ความยาก-ง่ายของ
ข้อสอบแต่ละแบบ ความแตกต่างของข้อสอบ จุดเด่น -จุดด้อย พร้อมทั้งหาวิธีการแก้ไขของ
ข้อสอบแต่ละแบบว่ามีอะไรบ้าง จะปรับปรุงข้อสอบให้มีคุณภาพจะต้องปรับตรงส่วนใด ดังนั้น
ในกรณีที่จะการเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัยรายวิชา คอมพิวเตอร์
เพื่องานอาชีพ (2001-0001) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพ
และบริหารธุรกิจนั้น จึงเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง
1.2 วัตถุประสงค์
1. เพื่อเป็นพัฒนาข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัยในรายวิชา คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ
(2001-0001) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและ
บริหารธุรกิจที่มปี ระสิทธิภาพแบบอิงเกณฑ์
2. เพื่ อ ศึ ก ษาการเปรี ย บเที ย บการวิ เ คราะห์ ข้ อ สอบแบบอั ต นั ย และปรนั ย รายวิ ช า
คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ (2001-0001) จากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัย
2
3
เทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ โดยใช้ผลการสอบระหว่างภาคเป็นการประเมินรอบที่ 1
และผลการทดสอบปลายภาคเป็นการประเมิน รอบที่ 2
1.3 ขอบเขตการศึกษา
1.รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ
2.ประชากร และกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย
2.1 ประชากร ได้แก่ นักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและ
บริหารธุรกิจ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2555 จานวน 1 ห้องเรียน นักศึกษาห้อง AU203 จานวน 23 คน สุม่ มา 20 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและ
บริหารธุรกิจ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2555 จานวน 1 ห้องเรียน จานวนนักศึกษาห้อง AU203 ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling)
3.ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัยคือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จานวน 60 ชั่วโมง
1.4 วิธีดาเนินการวิจัย
1.4.1 จัดเตรียมเอกสารที่ใช้ในรายวิชา
1.4.2 สอนโดยการใช้หนังสือเรียน วิชา คอมพิวเตอร์เพื่องานอาชีพ และเอกสาร
เพิ่มเติม
1.4.3 ทดสอบข้อสอบโดยใช้คะแนนสอบระหว่างภาคมาประเมินรอบที่ 1
1.4.4 วัดและประเมินผลรอบที่ 1 พร้อมทั้งหาข้อปรับปรุงแก้ไข
1.4.5 ทดสอบข้อสอบโดยใช้คะแนนสอบปลายภาคมาประเมินรอบที่ 2
1.4.6 วัดและประเมินผลรอบที่ 2
1.4.7 รวบรวม และสรุปผลการวิจัยเพื่อนาเสนอ
1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ทาให้ทราบคุณภาพของข้อสอบของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2
สาขาช่างอุตสาหกรรม (AU 203) วิทยาลัยพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ
3
4
1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ
นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ แผนกช่างยนต์ วิทยาลัย
เทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ ที่ศึกษาอยู่ในชั้นปวช.ปีที่ 2
คณะฯ หมายถึง คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ
ข้อสอบ หมายถึง ข้อสอบระหว่างภาคและปลายภาคที่จัดทาขึ้น เพื่อใช้ใน
การทดสอบ นักศึกษาคณะช่างอุตสาหกรรม วิทยาลัย
เทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ
งานสานักงาน หมายถึง วิชาชีพพืน้ ฐานที่นักศึกษาต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพื่อให้
สามารถนาไปใช้ และปฏิบัติได้
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถในการเรียน
นักศึกษา ห้อง AU203 วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและ
บริหารธุรกิจ แบบอิงเกณฑ์
4
5
บทที่ 2
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง
2.1. ความหมายของการวิเคราะห์ข้อสอบ
บุญชม ศรีสะอาด ได้ให้ความหมายของคาว่า การวิเคราะห์ข้อสอบ มาจากคาว่า
Item Analysis หมายถึง การหาค่าสถิติที่แสดงคุณลักษณะของข้อสอบเป็นรายข้อ ซึ่งตาม
ทฤษฎีดั้งเดิม (Classical Theory) นิยมหาคุณลักษณะข้อสอบ 2 ชนิด คือ ค่าความยาก
(Difficulty) กับ ค่าอานาจจาแนก (discrimination) การวิเคราะห์ขอ้ สอบเป็นเทคนิคที่ทาให้ทราบ
ว่าแต่ละข้อมีความยากเท่าใดและมีอานาจจาแนกเท่าใด เพื่อพิจารณาคัดเลือกเอาข้อสอบที่มี
คุณลักษณะเข้าเกณฑ์ไปใช้ต่อไป ในบทความนี้จะกล่าวเฉพาะแนวคิดตามทฤษฎีดั้งเดิม
5
6
6
7
2.4 ประเภทของแบบทดสอบ
แบบทดสอบมีหลายชนิด ที่ควรรู้จักมีดังนีค้ ือ
2.4.1. แบบทดสอบวั ด ผลสั มฤทธิ์ท างการเรีย น (Achievement Test) เป็ น
แบบทดสอบที่ใช้ตรวจสอบระดับความสามารถหรือความสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.4.1.2 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher – made Test) เป็น
แบบทดสอบที่ใช้วัดและประเมินผลการเรียนการสอนในห้องเรียน ส่วนมากเป็นข้อสอบวั ด
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาต่าง ๆ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
ข้อสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน
ข้อสอบเพื่อประเมินผลการเรียนการสอน
2.5 ข้อสอบมาตรฐาน
ข้อสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นแล้วนาไปใช้
ทดสอบและวิเคราะห์ผลการสอบตามวิธกี าร เพื่อปรับปรุงคุณภาพและใช้เป็นมาตรฐานในการ
ทดสอบกับเด็ก ๆ ทั่วไป มีการหาเกณฑ์ปกติ (Norm) เพื่อใช้เป็นหลักในการเปรียบเทียบคาว่า
มาตรฐานแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้ 3 แบบ ตามจุดมุ่งหมายและ
ลักษณะวิชาที่สอนคือ
7
8
8
9
9
10
10
11
11
12
12
13
2.11 ลักษณะของแบบทดสอบ
ลักษณะของแบบทดสอบที่ดีมี 10 ประการดังนี้คือ
1. มีความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง ความสามารถของแบบทดสอบที่สามารถ
วัดได้ในสิ่ งที่ต้องการจะวัดหรื อคะแนนจากแบบทดสอบนั้นให้ความหมายแก่เราตรงตามที่
ต้องการ
ความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ แบ่งเป็น 4 ชนิด
1.1 ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (content Validity) หมายถึงแบบทดสอบนัน้
มีคาถาม
สอดคล้องและครอบคลุมเนื้อหาวิชาตามที่ระบุไว้ในหลักสูตร และได้สัดส่วนที่ถูกต้องตรงกับ
ความจริง ซึ่งเราสามารถตรวจสอบดูได้จากการนาไปเทียบกับตารางวิเคราะห์หลักสูตรที่ทาไว้
ในด้านเนือ้ หาวิชา
1.2 ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Contruct Validity) หมายถึง
13
14
ความสามารถของแบบทดสอบที่จะวัดสมรรถภาพของสมองหรือพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของ
ผู้เรียนได้ตรงตามที่ระบุไว้ในหลักสูตร ในภาคความมุ่งหมาย
1.3 ความเที่ ย งตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึ ง
ความสามารถของ
แบบทดสอบที่สามารถเร้าให้นักเรียนตอบสนองออกมาตรงตามสภาพความเป็นจริงของเขา
เกณฑ์ที่ใช้เทียบก็คือ สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันของนักเรียน
1.4 ความเที่ยงตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถึ ง
ความสามารถพยากรณ์ผลการเรียนในอนาคตของนักเรียนได้ถูกต้องตาม
ความเป็ น จริ ง เกณฑ์ ที่ ใ ช้ เ ที ย บคื อ สภาพความเป็ น จริ ง หรื อ สภาพ
ความสาเร็จในอนาคตของผู้เรียน
14
15
15
16
2.12 การวางแผนสร้างแบบทดสอบมาตรฐาน
การสร้ า งแบบทดสอบมาตรฐาน เป็ น วิ ธี ก ารหนึ่ ง ที่ จ ะพั ฒ นาคุ ณ ภาพของการ
ประเมินผลในโรงเรียนได้ แบบทดสอบมาตรฐานมีลักษณะเด่น คือ มีคุณภาพดี เพราะผ่านการ
วิ เ คราะห์ ม าแล้ ว มี เ กณฑ์ ป กติ ซึ่ ง ท าให้ ส ามารถแปลความหมายคะแนนได้ ถู ก ต้ อ งมี คู่ มื อ
ดาเนินการสอบทาให้วิธดี าเนินการสอบเป็นมาตรฐานเดียวกัน การใช้แบบทดสอบมาตรฐานใน
โรงเรี ยนจะช่ วยให้ สามารถปรับ คุณภาพของการศึกษาในโรงเรีย นไม่ให้ ตกต่าได้ การสร้า ง
แบบทดสอบมาตรฐานมีขนั้ ตอนการสร้างดังนี้
1. สร้ า งตารางจ าแนกเนื้ อ หาและพฤติ ก รรม จะท าให้ ท ราบว่ า จะสร้ า ง
แบบทดสอบวัดเนื้อหาอะไร พฤติกรรมอะไร อย่างละเท่าไร รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้าง
ตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรรมได้กล่าวไว้แล้ว
2. สร้างข้อคาถามตามตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรรม ศึกษาหลักการสร้าง
ข้อคาถามที่ดี และการใช้ตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรมในการสร้างแบบทดสอบ
3. นาแบบทดสอบไปทดลองใช้ เป็นการนาแบบทดสอบไปสอบในสถานการณ์จริง
กับกลุ่มนักเรียนในระดับชั้นเดียวกับแบบทดสอบที่สร้างขึ้น ควรไปสอบหลังจากที่นักเรียนได้
เรียนเนือ้ หาครบแล้ว
4. วิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ เพื่อหาค่าความยากง่ายและอานาจจาแนกของข้อสอบ
ศึกษาวิธีการวิเคราะห์และการแปลความหมายได้
5. ปรับปรุงข้อสอบที่คุณภาพยังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วนาไปทดลองใช้ใหม่ และนามา
วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย และอานาจจาแนกอีกครั้งหนึ่ง
6. เก็บเข้าธนาคารข้อสอบ ข้อสอบที่มีคุณภาพดีแล้วจะนาเก็บเข้าธนาคารข้อสอบ
7. จัดพิมพ์แบบทดสอบเป็นฉบับ เพื่อไว้ใช้ต่อไป
8. สร้างคู่มือดาเนินการสอบ โดยกาหนดเกี่ยวกับวิธีดาเนินการสอบ ซึ่งกล่าวถึงการ
เตรี ย มตั ว ก่ อ นการสอบ ได้ แ ก่ การก าหนดวัน เวลา สถานที่ ส อบ อุ ป กรณ์ ก ารสอบ และ
ผู้ดาเนิ นการสอบว่า ควรเตรียมตั วอย่า งไร ข้ อแนะนาเกี่ย วกับวิ ธีดาเนิ นการขณะสอบ การ
ปฏิบัตติ นของผู้ดาเนินการสอบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการปฏิบัตเิ มื่อหมดเวลาสอบ
9. หาเกณฑ์ ป กติ เกณฑ์ ป กติ โ ดยทั่ ว ไปจะเป็ น คะแนนมาตรฐานเพื่ อ ใช้ ส าหรั บ
เปรียบเทียบคะแนนสอบ ทาให้สามารถแปลความหมายของคะแนนได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
16
17
ลาดับขั้นการสร้างแบบทดสอบมาตรฐานโดยสรุปแสดงได้ดังภาพ
1. สร้างตารางจาแนกเนือ้ หาและ
พฤติกรรม
2. สร้างข้อคาถามตามตารางในขั้นที่ 1
3. นาข้อสอบไปทดลองใช้
4. วิเคราะห์
ข้อสอบรายข้อ
5. ปรับปรุง
ไม่ดี
ดี
6. เก็บเข้าธนาคารข้อสอบ
7. จัดพิมพ์เป็นฉบับ
10. แบบทดสอบมาตรฐาน
17
18
หลักในการเขียนข้อสอบ
การเขียนข้อสอบที่ดี ควรจะเริ่มจากจุดมุ่งหมายว่าเขียนข้อสอบเพื่อจุดประสงค์อะไร
จะ ข้อสอบจะต้องเขียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายนั้น หลักทั่วไปที่ควรคานึงถึงในการเขียน
ข้อสอบแบบเลือกตอบ มีดังนีค้ ือ
1. เขียนคาถามให้เป็นประโยคคาถามที่สมบูรณ์
ตัวอย่าง ต้นไม้ต้องการปุ๋ย เหมือนคนต้องการอะไร
ก. ไขมัน
ข. โปรตีน
ค. เกลือแร่
ง. วิตามิน
2. คาถามควรใช้คาให้พอเหมาะ ไม่ฟุ่มเฟือย
ตัวอย่าง คาถามที่ไม่ดี เช่น
คนที่ มีร ายได้ น้อยไม่ สามารถจะซื้ ออาหารประเภทเนื้อ สัต ว์รับ ประทาน ก็
อาจจะซื้ อ อาหารจ าพวกพื ช ที่ มี ร าคาถู ก แต่ มี คุ ณ ค่ า เท่ า กั น มารั บ ประทานแทนได้ พื ช ดั ง
กล่าวคืออะไร
ก. งา
ข. ถั่ว
ค. มัน
ง. เผือก
คาถามควรถามสัน้ ๆ คือ อาหารชนิดใดที่มีคุณค่าแทนเนือ้ สัตว์ได้
18
19
ก. กระป๋องบุบ
ข. กระป๋องเป็นสนิม
ค. ฝากระป๋องบวมนูน
ง. ตะเข็บกระป๋องปิดสนิท
คาถามที่ดี คือ นักเรียนควรเลือกอาหารกระป๋องที่มีลักษณะเช่นไร
4. เขียนคาถามให้ชัดเจนและถามให้ตรงจุด คาถามที่ไม่ชัดเจนว่า
ต้องการคาแปลหรือความหมาย ควรถามให้ชัดเจน เช่นตัวอย่าง คาถามที่ไม่ชัดเจน เช่น
พระรัตนตรัยคืออะไร
ก. ศีล
ข. ผ้าไตรจีวร
ค. แก้ว 3 ดวง
ง. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คาถามที่ชัดเจน เช่น พระรัตนตรัย แปลว่าอะไร หรือ พระรัตนตรัย หมายถึงอะไร
5. ถามข้อละปัญหาเดียวหรือเรื่องเดียว
ตัวอย่าง คาถามที่ไม่ดี เช่น
หินอัคนีใช้ทาประโยชน์อะไร
ก. ทาครก – จังหวัดชลบุรี
ข. ทาถนน – จังหวัดลาปาง
ค. ทาปูนขาว – จังหวัดสระบุรี
ง. ทากระดานชนวน – จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ควรถามคาถามแยกเป็น 2 คาถาม และจะได้เป็น 2 ข้อคือ
1. ถามเกี่ยวกับประโยชน์
2. ถามว่ามีมากที่ไหน
6. ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับวัยของผู้ตอบ
ตัวอย่าง คาถามที่ไม่ดี เช่น
นักเรียนจะช่วยพัฒนาโรงเรียนได้โดยวิธีใด
ก. มาโรงเรียนทุกวัน
ข. ทาความเคารพครู
19
20
ค. ทาการบ้านส่งครูทุกวัน
ง. ทาความสะอาดห้องเรียน
คาถามนีไ้ ม่เหมาะกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาเพราะบางคนอาจไม่เข้าใจ ควรเปลี่ยนเป็น
คาง่าย ๆ เช่น นักเรียนจะช่วยเหลือโรงเรียนโดยวิธีใด
7. ข้อเดียวต้องมีคาตอบเดียว
ตัวอย่าง ที่ไม่ดี เช่น
สิ่งใดที่ไม่เข้าพวก
ก. เนือ้
ข. นม
ค. ไข่
ง. ข้าว
จ. ปลา
คาถามที่ไม่ชัดเจนอาจทาให้เกิดความเข้าใจผิดของผู้ตอบ คาตอบข้อนี้อาจเป็นข้าว เพราะ
คุณค่าทางอาหารแตกต่างจากข้ออื่น แต่นักเรียนบางคนอาจตอบ นม เพราะเป็นของเหลว
แต่ตัวเลือกอื่นมีลักษณะเป็นของแข็ง ฉะนั้นคาถามจึงต้องถามให้ชัดเจน มิฉะนั้นคาตอบถูก
อาจมีมากกว่า 1 คาตอบ
20
21
ก. รีบอาบน้า ล้างหน้า
ข. ดื่มน้ามาก ๆ
ค. นั่งพัก
ง. เดินไปมา
ตัวเลือกควรเรียงใหม่ ดังนี้
ก. นั่งพัก
ข. เดินไปมา
ค. ดื่มน้ามาก ๆ
ง. รีบอาบน้า ล้างหน้า
11. ระวังเรื่องเพศและพจน์ของคาถามและตัวเลือก
ไม่ดี ชื่อใดเป็นวีรสตรีของไทย ดีข้นึ ชื่อใดเป็นวีรสตรีของไทย
ก. พระนเรศวร ก. นางเสือง
ข. คุณหญิงโม ข. นางนพมาศ
ค. พระยาพิชัยดาบหัก ค. คุณหญิงโม
ง. นายจันหนวดเขีย้ ว ง. ท้าวศรีจุฬาลักษณ์
21
22
12. ตัวเลือกถูกและตัวลวงอย่าให้สั้นยาวแตกต่างกันมากนัก
ไม่ดี อะตอมคืออะไร ดีข้นึ ส่วนที่เล็กที่สุดของสสารอัน
ก. สารประกอบ ประกอบด้วยนิเคลียสซึ่งถูกล้อมรอบด้วย
ข. โมเลกุล อีเลคตรอน เรียกว่าอะไร
ค. ของผสม ก. สารประกอบ
ง. ส่วนที่เล็กที่สุดของสสารประกอบด้วย ข. โมเลกุล
นิวเคลียส ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยอีเลคตรอน ค. ของผสม
ง. อะตอม
14. อย่าใช้คาศัพท์หรือภาษาแปลกกว่าคาอื่น ๆ
ไม่ดี แพทย์ใช้กล้องอะไรดูของเล็ก ๆ ดีขึ้น กล้องจุลทรรศน์ใช้สาหรับส่อง
ดูอะไร
ก. กล้องขยาย ก. ดาว
ข. กล้องส่อง ข. เชือ้ โรค
ค. กล้องถ่ายรูป ค. โครงกระดูก
ง. กล้องจุลทรรศน์ ง. รูปถ่าย
15. อย่าให้ตัวเลือกถูกและผิดเด่นชัดเกินไป
ไม่ดี ในสมัยโบราณนักรบไทยใช้อาวุธอะไรมากที่สุด ดีขึ้น ในสมัยโบราณนักรบไทยใช้อาวุธ
อะไรมากที่สุด
22
23
ก. ดาบ ก. ธนู
ข. ปืนกล ข. ดาบ
ค. จรวด ค. หอก
ง. เครื่องบิน ง. กระบี่
16. คาถามควรเร้าให้นักเรียนได้ใช้ความคิด คาถามควรถามให้นักเรียนได้คิดเพื่อ
วัดความเข้าใจของนักเรียนบ้าง เช่น
ไม่ดี ใบไม้ทาหน้าที่อะไร ดีข้นึ ใบไม้ทาหน้าที่คล้ายอะไร
ก. ย่อยอาหาร ก. คนใช้
ข. คายอาหาร ข. คนครัว
ค. ปรุงอาหาร ค. คนเก็บเงิน
ง. ดูดซึมอาหาร ง. คนเปิดประตู
18. ไม่ควรถามในเรื่องที่เด็กคล่องปากอยู่แล้ว
ไม่ดี เมื่ออหิวาต์กาเริบ ควรปฏิบัตอิ ย่างไร
ก. กินยาป้องกัน
ข. กาจัดแมลงวัน
ค. ล้างมือก่อนกินอาหาร
ง. ไปหาหมอตรวจสุขภาพ
คาถามข้อนี้ตรงกับคากล่าวที่ว่า “อหิวาต์กาเริบ ล้างมือก่อนเปิบด้วยน้าประปา.....”
23
24
24
25
2. แบบตัวเลือกคงที่ เป็นแบบที่กาหนดตัวเลือกให้ชุดหนึ่งสาหรับตอบคาถาม
หลาย ๆ ข้อ ข้อ คาถามเหล่ านั้นจะต้องเป็นเรื่ องเดี ยวกัน หรือเกี่ ยวกัน เป็นลั กษณะทานอง
เดียวกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
จงพิจารณาชื่อโรคตัง้ แต่ข้อ 1 ถึง ข้อ 8 ว่าตรงกับตัวเลือกใดที่กาหนดให้
ก. โรคที่เกิดจากการสัมผัส
ข. โรคที่เกิดจากสัตว์นาโรค
ค. โรคที่เกิดกับระบบทางเดินอาหาร
ง. โรคที่เกิดกับระบบทางเดินของลมหายใจ
ข้อ 1. ไข้ไทฟอยด์
ข้อ 2. ไข้หวัดใหญ่
ข้อ 3. โรคริดสีดวงตา
ข้อ 4. วัณโรค
ข้อ 5. โรคไข้เลือดออก
ข้อ 6. โรคบิด
ข้อ 7. โรคตาแดง
ข้อ 8. โรคไข้มาลาเรีย
25
26
26
27
ลักษณะของเครื่องมือวัดผลที่ดี
เครื่องมือวัดผลเป็นชุดของสิ่งเร้าที่ใช้วัดพฤติกรรมหรือคุณลักษณะเพื่อให้ได้ข้อมูล
เกี่ยวกับพฤติกรรมหรือคุณลักษณะของสิ่งนั้น ตามที่ผู้วัดต้องการ เครื่องมือวัดผลนี้อาจได้มา
จาก 2 ทาง คือ
1. เครื่องมือที่มผี ู้อื่นสร้างไว้แล้วหรือเครื่องมือมาตรฐาน
2. เครื่องมือที่ครูสร้างขึ้นเองเนื่องจากไม่สามารถหาเครื่องมือวัดได้ตรงกับพฤติกรรม
หรือคุณลักษณะที่จะวัดได้ จึงต้องสร้างใหม่อย่างมีหลักวิชาและต้องหาคุณภาพของเครื่องมือ
ด้วยเครื่องมือวัดผลที่ดีจะต้องเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพจึงจะช่วยให้การวัดผลมีความถูกต้อง
เชื่อถือได้และผลการประเมินที่ได้ย่อมเชื่อถือได้ด้วย ดังนั้นเครื่องมือที่ครูสร้างขึ้นเองก่อนจะ
นาไปใช้จริงจึงควรตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนทุกครั้ง การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
เป็นการตรวจสอบคุณสมบัติของเครื่องมือในเรื่อง ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความยาก
อานาจจาแนก และความเป็นปรนัย
27
28
ประเภทของความเที่ยงตรง
ความเที่ยงตรงแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) หมายถึงคุณสมบัติของข้อคาถามที่
สามารถวัดได้ตรงตามเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเมื่อรวบรวมข้อคาถามทุกข้อ
เป็นเครื่องมือทั้งฉบับจะต้องวัดได้ครอบคลุมเนือ้ หาและพฤติกรรมทั้งหมดที่ต้องการวัดด้วย
ความเที่ ย งตรงเชิ ง เนื้ อ หาเป็ น คุ ณ สมบั ติ ที่ ส าคั ญ ที่ สุ ด โดยเฉพาะแบบทดสอบวั ด
ผลสัมฤทธิ์ เพราะแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาต่า นักเรียนไม่สามารถแสดง
ความรู้ ห รื อ พฤติ ก รรมที่ เ ขามี อ ยู่ ไ ด้ เพราะความรู้ ห รื อ พฤติ ก รรมที่ เ ขามี อ ยู่ ไ ม่ ไ ด้ ถู ก วั ด
ข้อสอบวัดในสิ่งที่ครูไม่ได้สอน หรือครูสอนแต่ไม่ได้วัด ผลที่ตามมาคือผู้สอบตอบข้อสอบไม่
ถูกเป็นส่วนใหญ่ส่งผลให้คะแนนที่ได้จากการวัดครั้งนั้น ขาดความเชื่อถือ วัดในสิ่งที่ต้องการ
จะวัดจริง ๆ ไม่ได้และเมื่อนาผลการวัดครั้งนั้น ๆ ไปประเมินผล ผลการประเมินครั้งนั้น ๆ ก็
ขาดความเชื่อถือตามไปด้วย
28
29
29
30
แบบทดสอบที่เชื่อมั่นได้จะสามารถให้คะแนนได้คงที่แน่นอน ปกติในการสอบแต่ละครั้งคะแนน
ที่ได้มักไม่คงที่ แต่ถ้าอันดับที่ของผู้สอบยังคงที่เหมือนเดิม ก็ยังถือว่าแบบทดสอบนั้นมีความ
เชื่อมั่นสูง เนื่องจากความเชื่อมั่นของแบบสอบ หมายถึงความคงที่ของคะแนนที่ได้จากการ
สอบของคนกลุ่มเดิม หลาย ๆ ครั้ง การหาค่าความเชื่อมั่นจึงยึดหลักการสอบหลาย ๆ ครั้ง
แล้วหาความสัมพันธ์ของคะแนนที่ได้จากการสอบหลายครั้งนั้น ถ้าคะแนนของเด็กแต่ละคน
คงที่หรือขึ้นลงตามกันแสดงว่าแบบทดสอบนัน้ มีค่าความเชื่อมั่นสูง ค่าความเชื่อมั่นคานวณได้
จากการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนทั้งสองชุด จากการสอบนักเรียนกลุ่มเดิม
2 ครัง้ โดยใช้แบบทดสอบเดียวกัน ความเชื่อมั่นมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1.00
วิธีหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทาได้หลายวิธีดังนี้
1. การสอบซ้า (Test – retest) เป็นการนาแบบทดสอบชุดเดียวกันไปสอบเด็ก
กลุ่ ม เดี ย วกั น 2 ครั้ ง ในเวลาห่ า งกั น พอสมควร แล้ ว น าคะแนนทั้ ง 2 ชุ ด นั้ น มาหา
ความสัมพันธ์กัน ค่าที่ได้ คือค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบ วิธีการเช่นนี้เรียกว่า “Measure
of Stability”
การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยการสอบซ้ามีข้อเสียอยู่หลายประการดังนี้
1.1 การสอบโดยการใช้แบบทดสอบเดียวกันซ้ากันหลาย ๆ ครั้ง ทาให้
ผู้สอบ
เกิดความเบื่อหน่าย เพราะธรรมชาติของคนไม่ชอบความซ้าซากจาเจ
1.2 เสียเวลาในการสอบมาก
1.3 ผู้สอบเกิดการเรียนรู้จากการสอบครั้งแรก ทาให้การสอบครั้ง
หลังเกิดความคลาดเคลื่อนได้
ฉะนั้น การหาค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบโดยวิธีการสอบซ้า จึงไม่เป็นที่นิยมกัน
30
31
การวิเคราะห์ข้อสอบ
31
32
การวิเคราะห์ข้อสอบตามแนวคิดอิงกลุ่ม
การประเมินผลตามแนวคิดอิงกลุม่ เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของผู้เรียนในกลุ่ม เพื่อดู
ว่ า ใครเก่ ง -อ่ อ นกว่ า กั น ดั ง นั้ น ลั ก ษณะที่ ส าคั ญ ของข้ อ สอบจะต้ อ งค านึ ง ถึ ง ความยาก
(difficulty) และอานาจจาแนก (discrimination) โดยพยายามเลือกข้อสอบที่มีค่าความยาก
พอเหมาะ และสามารถจาแนกผูส้ อบได้
1. ความยากของข้อสอบ (difficulty : p) หมายถึง สัดส่วนของจานวนผู้ที่ทาข้อสอบข้อนั้น
ถูกกับจานวนคนทัง้ หมด ซึ่งมีสูตร ดังนี้
สูตร
กรณีใช้กับตัวถูก กรณีใช้กับตัวลวง
เมื่อ P แทน ค่าความยากของข้อสอบรายข้อ เมื่อ P แทน ค่าความยากของตัวลวง
R แทน จานวนผู้ที่ทาข้อสอบข้อนั้นถูก R แทน จานวนผู้ที่ตอบตัวลวงนั้น
N แทน จานวนคนทัง้ หมด N แทน จานวนคนทัง้ หมด
ตัวอย่าง 7.1 ในการสอบวิชาภาษาไทยจานวน 20 ข้อ มี่ผู้เข้าสอบทั้งหมด 30 คน ปรากฏว่าใน
ข้อที่ 1 มีผู้ทาถูก 20 คน จงหาความยากของข้อสอบข้อที่ 1
32
33
จากสูตร
33
34
สูตร หรือ
34
35
2. ถ้าค่าอานาจจาแนกสูง แสดงว่าข้อสอบมีอานาจจาแนกสูง
3. ถ้าค่าอานาจจาแนกต่า หรือเป็นศูนย์ แสดงว่าข้อสอบไม่มอี านาจจาแนก
4. ค่าอานาจจาแนกที่ดีของตัวถูกมีค่าอยู่ระหว่าง .20 ถึง 1.00 ส่วนตัวลวงมีค่าอยู่ระหว่าง .05
ถึง .50
5. ในกรณีที่พิจารณาค่าอานาจจาแนกทั้งตัวถูกและตัวลวงมีเกณฑ์ ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี .
2537 : 151-152)
ตาราง 7.2 เกณฑ์การพิจารณาค่าอานาจจาแนกตัวถูก และตัวลวง
ค่า r ตัวถูก ค่า r ตัวลวง
ค่าลบ ใช้ไม่ได้
.00 ไม่มีอานาจจาแนก ค่าลบ ใช้ไม่ได้
.01 ถึง .09 ต่า .00 ถึง .04 ใช้ไม่ได้
.10 ถึง .19 ค่อนข้างต่า
35
36
H1 / / /
H2 / / /
H3 / / /
H4 / / /
H5 / / /
H6 / /
H7 / / / /
H8 / /
รว ม 6 1 1 0 0 8 5 2 1
(H)
ข้อที่ 1 2 60
36
37
L1 / / / / /
L2 / / / /
L3 / / /
L4 / / /
L5 / / /
L6 / / /
L7 / / /
L8
รวม 2 3 3 0 1 7 2 6 0
(L)
ตัวถูก
ตัวลวง
ตัวถูก ตัวลวง
P แทน ค่าความยากของข้อสอบ P แทน ค่าความยากของข้อสอบ
r แทน ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบ r แทน ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบ
RH แทน จานวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก RH แทนจานวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบตัวเลือกนั้น
RL แทน จานวนคนในกลุ่มต่าที่ตอบถูก RL แทน จานวนคนในกลุ่มต่าที่ตอบตัวเลือกนั้น
NH แทน จานวนคนทัง้ หมดในกลุ่มสูง NH แทน จานวนคนทัง้ หมดในกลุ่มสูง
NL แทน จานวนคนทัง้ หมดในกลุ่มต่า NL แทน จานวนคนทัง้ หมดในกลุ่มต่า
ตัวอย่าง 7.3 ในข้อ 1 มีวิธกี ารหาค่า P และ r ดังนี้
ตัวถูก (ก) ;
37
38
38
39
การวิเคราะห์ข้อสอบตามแนวคิดอิงเกณฑ์
การประเมินตามแนวคิดอิงเกณฑ์เป็นการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของผู้เรียนกับ
เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานว่าอยู่ในระดับถึงมาตรฐานที่ยอมรับหรือไม่ การตรวจสอบคุณภาพของ
แบบทดสอบตามแนวคิดนี้ มีวิธีหาค่าความยากของข้อสอบ เช่นเดียวกับแนวคิดแบบอิงกลุ่ม
เพียงแต่ค่าความยากนั้นไม่ได้ถือว่าข้อสอบที่ยากหรือง่าย เป็นข้อสอบที่ไม่ดีแต่จะเน้นการวัด
ตรงจุดประสงค์เป็นสาคัญ ดังนั้น ข้อสอบที่วัดตรงตามจุดประสงค์และเป็นข้อสอบที่ง่ายหรือ
ยากก็ถอื ว่าเป็นข้อสอบที่ดี
สูตร (สาหรับตัวถูก)
39
40
T แทน จานวนคนที่เข้าสอบทั้งสองครัง้
การแปลความหมายค่า S (กรณีตัวถูก)
การพิจารณาคุณภาพของข้อสอบในด้านความไว พิจารณาตามระดับค่า S ดังนี้
ตาราง 7.4 เกณฑ์การพิจารณาคุณภาพของข้อสอบในด้านความไว (index of sensitivity)
ค่า S ความหมาย
40
41
ข้อที่ 1 2 3 20
ชื่ อ RB RA RB RA RB RA RB RA
นักเรียน
1. นก / / / / / /
2. ไก่ / / / / / /
3. แมว / / / / / /
4. เสือ / / / / /
5. ช้าง / / / / /
รวมคนถูก 5 5 3 5 5 0 0 5
วิธีใช้ดัชนี S มีดังนี้
1. ใช้ในกรณีที่มีการทดสอบ 2 ครัง้ คือ ก่อนสอน และหลังสอน
41
42
2. หาค่าอานาจจาแนกตัวถูกโดยใช้ดัชนี S แต่ถ้าจะหาค่าอานาจจาแนกตัวลวงด้วยควรใช้สูตร
ดังนี้
สูตร (สาหรับตัวลวง)
เมื่อ S แทน ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบของตัวลวงนัน้
RA แทน จานวนคนที่ตอบของตัวลวงนัน้ หลังสอน
RB แทน จานวนคนที่ตอบตัวลวงนั้นก่อนสอน
T แทน จานวนคนที่เข้าสอบทั้งสองครัง้
การพิจารณาคุณภาพของข้อสอบในด้านความไว ในกรณีของตัวลวงพิจารณาเป็นรายตัวเลือก
ดังนี้
2.1 ค่า RA ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดี
2.2 ถ้าค่า S เป็นลบ เป็นตัวลวงที่ไม่ดี ต้องแก้ไขปรับปรุง
2.3 ถ้าค่า S เป็นบวก เป็นตัวลวงที่ใช้ได้
2. การหาค่าอานาจจาแนกตามวิธีของเบรนแนน (Brennan)
เบรนแนน (Brennan) ได้เสนอสูตรในการหาค่าอานาจจาแนกของข้อสอบแล้วตั้งชื่อเป็นดัชนีบี
(discrimination index B) การหาค่าอานาจจาแนกวิธีนี้จะสอบครั้งเดียวจากกลุ่มตัวอย่างเดียว
แล้วแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ที่สอบได้คะแนนผ่านเกณฑ์ และกลุ่มผู้ที่สอบได้คะแนนไม่
ผ่านเกณฑ์ มีสูตรดังนี้ (Brennan. 1972 : 292)
สูตร (สาหรับตัวถูก)
เมื่อ B แทน ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบ
U แทน จานวนคนทาข้อสอบข้อนั้นถูกของกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์
L แทน จานวนคนทาข้อสอบข้อนั้นถูกของกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์
N1 แทน จานวนคนที่สอบผ่านเกณฑ์
N2 แทน จานวนคนที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์
การแปลความหมายค่าดัชนีบี (B-index)
ตาราง 7.5 เกณฑ์การแปลความหมายค่าดัชนีบี (B-index)
42
43
ค่ า ( B- หมายความว่าข้อสอบนั้นสามารถ
index)
43
44
1 2 3 10
1.หนึ่ง 1 1 1 1 10
รอบรู้ 2. 1 1 1 1 10
หน่อย 1 1 1 1 9
3.เปิ้ล 1 1 0 1 8
4.ชมพู่ 1 1 1 0 8
5.เขียว 1 1 1 0 8
6.หวาน
U 6 6 5 4
ไม่ 1.แมว 1 1 1 0 7
รอบรู้ 2.ไก่ 1 0 1 1 6
3.หมู 1 0 1 0 4
4.เสือ 1 1 0 1 4
L 4 2 3 2
จากสูตร
44
45
ข้อ 1 : ข้อ 2 :
ส่วนข้ออื่น ๆ มีวิธกี ารคานวณเช่นเดียวกัน
สรุปผลการวิเคราะห์
ข้อสอบข้อที่ 1 : เป็นข้อสอบที่ไม่ดี เพราะบ่งชีผ้ ู้รอบรู้-ไม่รอบรู้ ได้ถูกต้องน้อยมาก
ข้อสอบข้อที่ 2 : เป็นข้อสอบที่ดี เพราะบ่งชีผ้ ู้รอบรู้-ไม่รอบรู้ ได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
ข้อสอบข้อที่ 3 : เป็นข้อสอบที่ไม่ดี เพราะบ่งชีผ้ ู้รอบรู้-ไม่รอบรู้ ได้ถูกต้องน้อยมาก
ข้อสอบข้อที่ 10 : เป็นข้อสอบที่ไม่ดี เพราะบ่งชีผ้ ู้รอบรู้-ไม่รอบรู้ ได้ถูกต้องน้อยมาก
สรุปได้ว่าข้อสอบที่ควรคัดเลือกไว้คือ ข้อ 2 ส่วนข้อที่ควรตัดทิ้ง คือ ข้อที่ 1,3 และ 10
สูตร (สาหรับตัวลวง)
เมื่อ B แทน ค่าอานาจจาแนกของข้อสอบ
U แทน จานวนคนที่สอบผ่านเกณฑ์ตอบตัวลวงนั้น
L แทน จานวนคนที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ตอบตัวลวงนั้น
N1 แทน จานวนคนที่สอบผ่านเกณฑ์
N2 แทน จานวนคนที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์
การวิเคราะห์ข้อสอบอัตนัย
การวิเคราะห์ขอ้ สอบอัตนัยจะต้องทาการแบ่งกลุ่มนักเรี ยนที่เข้าสอบออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่ม
เก่ง (กลุ่มสูง) และกลุ่มอ่อน (กลุ่มต่า) โดยใช้เทคนิค 25 % ของจานวนนักเรียนที่เข้าสอบ
วิธีการคานวณจะต้องใช้สูตรของ D.R.Sabers (1970) ดังนี้
ดัชนีค่าความยาก (PE) มีสูตร ดังนี้
45
46
f fx f fx
5 3 15 5 0 0
4 5 20 4 1 4
3 2 6 3 3 9
2 0 0 2 5 10
1 0 0 1 0 0
0 0 0 0 1 0
รวม 10 45 รวม 10 23
46
47
บทสรุป
การตรวจสอบคุ ณ ภาพแบบทดสอบ เป็ นการตรวจสอบว่ าแบบทดสอบนั้ น ๆ มี คุณ ภาพดี
เพี ยงใด หลัง จากที่ นาแบบทดสอบไปใช้ และตรวจให้ค ะแนนแล้ว การตรวจสอบคุ ณภาพ
แบบทดสอบจะกระทาใน 2 ลักษณะ คือ การตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบรายข้อ หรือ
การวิเคราะห์ข้อสอบ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณาความยาก (difficulty) และค่าอานาจจาแนก
(discrimination) ส่วนการตรวจสอบคุณภาพแบบทดสอบทั้งฉบับนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณา
ความเที่ยงตรง (validity) และ ความเชื่อมั่น (reliability) การวิเคราะห์ข้อสอบ มีแนวคิดในการ
หาคุณภาพ 2 แนวคิด คือ การวิเคราะห์ข้อสอบตามแนวคิดอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ โดยการ
วิเคราะห์ขอ้ สอบตามแนวคิดอิงกลุม่ จะพิจารณาในเรื่องความยากและอานาจจาแนก ส่วนการ
วิเคราะห์ขอ้ สอบตามแนวคิดอิงเกณฑ์จะพิจารณาเฉพาะค่าอานาจจาแนกเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลุ่มกับเกณฑ์
การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
1. เป็น การเปรี ย บเที ย บความสามารถของ 1. เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของ
47
48
2.14 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จิร ศัก ดิ์ สุ ทั ศนะจิน ดาม ประภาพร ตั้ง ธนธานิช และสุพ รรณี ปูน อน
(บทคัด ย่ อ : 2548) เรื่ อง การจั ดท าข้อ สอบวั ด ความรู้ พื้ น ฐานวิช าชีพ สั ต วแพทย์ แ ละการ
วิเคราะห์ขอ้ สอบสาหรับนักศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ชั้นปีที่ 6 ที่จะสาเร็จการศึกษาในเดือน
มีนาคม 2548 เพื่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในการจัดทาข้อสอบให้มีความชานาญเป็นอย่าง
48
49
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย
แผนภูมิที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย
49
50
บทที่ 3
วิธีดาเนินการวิจัย
3.1 ขั้นตอนการดาเนินการวิจัย
ผู้วิจัยได้กาหนดขั้นตอนในการวิจัยไว้ดังนี้
3.1.1 ศึก ษาหลั กการ ทฤษฏี แนวความคิด เกี่ ยวกั บ ศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บการวิ เ คราะห์
ข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัย ของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3
สาขาการบัญชี (AC 301) วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ
3.1.2 ก าหนดกรอบความคิ ด ในการวิ จั ย ผู้ วิ จั ย ได้ ก าหนดกรอบความคิ ด เพื่ อ
ทาการศึกษาเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัย ของนักศึกษา
ระดั บชั้ นประกาศนี ยบั ตรวิ ชาชีพชั้ นปี ที่ 3 สาขาการบั ญชี (AC 301) วิ ทยาลั ย
เทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจกาหนดวัตถุประสงค์
3.1.3 ก าหนดกลุ่ ม ประชากร ส าหรั บ การวิ จั ย ในครั้ ง นี้ ได้ ก าหนดกลุ่ ม ประชากร คื อ
นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ
วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ กาหนดวัตถุประสงค์ จานวน 36 คน
ประกอบไปด้วย เพศชายจานวน 2 คน เพศหญิงจานวน 34 คน โดยใช้แบบทดสอบ
จานวน 36 ชุด และสถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล คือการหาค่าร้อยละ
3.1.4 สร้างเครื่องมือการวิจัย การสร้างเครื่องมือการวิจัย ผู้วิจยั ศึกษาจากหลักการ ทฤษฎี
แนวคิด วัตถุประสงค์ เพื่อจาแนกว่าควรสร้างเครื่องมือวัดด้านใดบ้างให้เหมาะสมกับ
สภาพของนั ก ศึ ก ษาระดั บ ประกาศนี ย บั ต รวิ ช าชี พ ชั้ น ปี ที่ 3 สาขาการบั ญ ชี
50
51
คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจกาหนดวัตถุประสงค์ที่
ต้องการศึกษา
3.1.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนาเครื่องมือที่สร้างขึ้นมา ให้นักศึกษากลุ่มตัวอย่างได้
ตอบแบบสอบถามและเก็บข้อมูลด้วยตนเอง
3.1.6 การสรุปผลการวิจัยและนาเสนอผลการวิจัย โดยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูล
และเขียนสรุปผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ในการท าวิ จั ย ในครั้ ง นี้ ผู้ ท าวิ จั ย ได้ ใ ช้ ก ลุ่ ม ของประชากรในการส ารวจข้ อ มู ล เป็ น
นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 สาขาการบัญชี (AC 301) จานวน 36 คน
ของวิทยาลัยพายัพเทคโนโลยีและบริหารธุรกิจ
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการเก็บข้อมูลที่ใช้เพื่อการศึกษาในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ออกแบบเครื่องมือสาหรับเก็บ
รวบรวมข้อมูล คือ การใช้แบบทดสอบ กล่าวคือ จะใช้ แบบทดสอบสาหรับนักศึกษาในเรื่อง
ทาการศึกษาเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัยและปรนัย ซึ่งแบบทดสอบ จะแบ่ง
ออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 แบบทดสอบแบบอัตนัย
ตอนที่ 2 แบบทดสอบแบบปรนัย
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้นาเครื่องมือที่สร้างขึ้น มา คือ แบบทดสอบ ซึ่งให้
นักศึกษากลุ่มตัวอย่างได้ทดลองทาและเก็บข้อมูลด้วยตนเอง
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลในครัง้ นี้ ผู้วิจัยได้ทาการวิเคราะห์ตามกระบวนการระเบียบวิธีการ
วิจัยเชิงปริมาณ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. ศึกษาคุณสมบัติพื้นฐานของบุคคล โดยวิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน เช่น ค่าร้อยละ
(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
1.1 ค่าสถิติร้อยละ (Percentage) (นิศารัตน์ ศิลปเดช 2542: 144)
51
52
f
สูตร P 100
n
X
สูตร ΣX
N
NX 2 (X ) 2
สูตร SD
N(N 1)
52
53
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
4.1 ผลการศึกษาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับนักศึกษา
การศึกษาข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา ประกอบไปด้วย เพศ และอายุ
จากการศึกษาข้อมูลพืน้ ฐานของนักศึกษา ห้อง AC301 จานวน 36 คนซึ่งประกอบด้วย
เพศ และอายุ พบว่านักศึกษาเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 94.45
53
54
54
55
บทที่ 5
สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
5.1 ผลการศึกษา
จากการศึกษาข้อมูลพืน้ ฐานของนักศึกษา ห้อง AC301 จานวน 36 คนซึ่งประกอบด้วย
เพศ และอายุ พบว่านักศึกษาเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 94.45
จากการสอบถามข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา AC 301 จานวนทั้งหมด 36 คน โดย
การสอบถามเรื่องเพศพบว่านักศึกษาเป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 5.56 เพศหญิงคิดเป็นร้อยละ
94.45
การเปรียบเทียบการวิเคราะห์ข้ อสอบแบบอัตนัยและปรนัยรายวิช า งานสานักงาน
(2201-2303) โดยส่วนใหญ่นักศึกษาจะทาแบบทดสอบแบบอัตนัยผ่าน 28 คน คิดเป็น 77.78
เปอร์เซ็นต์ ไม่ผ่าน 8 คน คิดเป็น 22.22 เปอร์เซ็นต์ และนักศึกษาสามารถทาแบบทดสอบแบบ
ปรนัยผ่าน 14 คน คิดเป็น 38.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่ผ่าน 22 คน คิดเป็น 61.12 เปอร์เซ็นต์
5.2 ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป
5.2.1 ควรมีการศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึน้ จากการทาแบบทดสอบแต่ละชนิด เพื่อที่จะนา
ผลการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุง การทาข้อสอบให้ตรงกับหลักสูตรของนักศึกษา เพื่อ
ก่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้งานสูงสุด
5.2.2 ควรทาการวิจัยและติดตามการประเมินผลข้อสอบแต่ละประเภทของนักศึกษาอย่าง
ต่อเนื่อง เพื่อนาผลวิจัยที่ได้รับไปปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีให้มปี ระสิทธิภาพ
55