Professional Documents
Culture Documents
Asso5811 PDF
Asso5811 PDF
58) 1
30 Aug 2016
⃗⃗ + 𝑐⃗
𝑏
5. ให้ 𝑎⃗, 𝑏⃗⃗, 𝑐⃗ เป็ นเวกเตอร์ หนึง่ หน่วย โดยที่ 𝑏⃗⃗ และ 𝑐⃗ ไม่ขนานกัน และ (𝑎⃗ ∙ 𝑐⃗)𝑏⃗⃗ − (𝑎⃗ ∙ 𝑏⃗⃗)𝑐⃗ =
2
มุมระหว่าง 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 2𝜋 3
ข. 𝜋3 ค. 𝜋2 ง. 𝜋
6. ถ้ า log(log 𝑎) + log(log 𝑏) = log(log 𝑐) โดยที่ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็ นจานวนจริ งที่มากกว่า 1 แล้ วค่าของ 𝑐 เท่ากับ
ข้ อใดต่อไปนี ้
ก. 𝑎 + 𝑏 ข. 𝑎𝑏 ค. (log 𝑎)𝑏 ง. 𝑏 log 𝑎
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 3
1 1 𝜋
7. ค่า 𝑥 ในข้ อใดต่อไปนี ้เป็ นคาตอบของสมการ 4 arctan (5) − arctan (𝑥) = 4
ก. 238 ข. 239 ค. 240 ง. 241
11. ให้ 𝑧 และ 𝑤 เป็ นจานวนเชิงซ้ อนโดยที่ √2𝑧 + |𝑧 + 𝑤| = 1+𝑖 และ √2𝑤 + |𝑧 − 𝑤| = 1 − 𝑖
แล้ ว 𝑧 2015 − 𝑤 2015 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
ก. −√2 − √2𝑖 ข. √2 − √2𝑖 ค. −√2 + √2𝑖 ง. √2 + √2𝑖
12. กาหนดให้ 𝜃 เป็ นจานวนจริง และให้ 𝑃 = sin2 𝜃 + cos 𝜃 , 𝑄 = cos2 𝜃 + sin 𝜃 , 𝑅 = tan 𝜃
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(1) ถ้ า 𝑃 และ 𝑄 เป็ นจานวนตรรกยะแล้ ว 𝑅 เป็ นจานวนตรรกยะ
(2) ถ้ า 𝑃 และ 𝑅 เป็ นจานวนตรรกยะแล้ ว 𝑄 เป็ นจานวนตรรกยะ
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
ก. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นจริง ข. ข้ อความ (1) เป็ นจริ ง แต่ข้อความ (2) เป็ นเท็จ
ค. ข้ อความ (1) เป็ นเท็จ แต่ข้อความ (2) เป็ นจริง ง. ข้ อความ (1) และ (2) ต่างเป็ นเท็จ
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 5
13. กาหนดส่วนของเส้ นตรง 𝐴𝐵 ในระนาบ สุม่ เลือกจุดสองจุดใดๆบน 𝐴𝐵 ซึง่ สองจุดนี ้แบ่ง 𝐴𝐵 เป็ นส่วนของเส้ นตรง
ย่อยสามเส้ น จงหาความน่าจะเป็ นที่สว่ นของเส้ นตรงย่อยสามเส้ นนี ้สามารถนามาประกอบกัน (โดยใช้ จดุ ปลายต่อกับ
จุดปลาย) แล้ วเป็ นรูปสามเหลีย่ มได้
ก. 14 ข. 13 ค. 29 ง. 27
1
𝑥 − ⌊𝑥⌋ เมื่อ 𝑥 − ⌊𝑥⌋ ≤ 2
17. กาหนดให้ 𝑓:ℝ→ℝ นิยามโดย 𝑓(𝑥) = { 1
1 − (𝑥 − ⌊𝑥⌋) เมื่อ 𝑥 − ⌊𝑥⌋ > 2
2015
จงหาค่าของ 𝑓(𝑥 + 2558) 𝑑𝑥
2015
18. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ กาหนดโดย 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 + 𝑏 ทุก 𝑥 ∈ ℝ โดยที่ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็ม
ถ้ า 𝑓(𝑓(0)) = 1 และ 𝑓(𝑓(𝑓(1))) = −11 แล้ ว จงหาค่าของ
𝑓(𝑓(𝑓(𝑓(1)))) + 𝑓(𝑓(𝑓(𝑓(2)))) + 𝑓(𝑓(𝑓(𝑓(3)))) + … + 𝑓(𝑓(𝑓(𝑓(60))))
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 7
𝑥
19. จงหาจานวนจริง 𝑥 ทังหมดที
้ ่สอดคล้ องกับสมการ 3𝑥 ∙ 8𝑥+2 = 6
20. กาหนดรูปสีเ่ หลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶𝐷 มีด้าน 𝐴𝐵 ยาว 1 หน่วย และด้ าน 𝐵𝐶 ยาว 3 หน่วย ถ้ ามีจดุ 𝑂 ภายในรูป
สีเ่ หลีย่ ม 𝐴𝐵𝐶𝐷 ซึง่ ทาให้ 𝑂𝐴
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝑂𝐶
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑂𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗ และ 𝑂𝐴
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝑂𝐷 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝐶
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑂𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗ แล้ ว 𝐴𝐶
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝑂𝐷 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗ มีคา่ เท่ากับ
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝐵𝐷
เท่าใด
𝑥−7
24. กาหนดให้ 𝑓 : ℝ → ℝ นิยามโดย 𝑓(𝑥) = |2𝑥 + 4| + 3|𝑥 − 2| + |𝑥 − 5| + | 2
| , 𝑥∈ℝ
จงหาค่าต่าสุดของ 𝑓
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 9
n
1
27. สาหรับจานวนเต็มบวก 𝑛 กาหนดให้ 𝑆𝑛 =
𝑟(𝑟+1)(𝑟+2)
r 1
28. กาหนดให้ 𝑧1 และ 𝑧2 เป็ นจานวนเชิงซ้ อนที่แตกต่างกัน 2 จานวน โดยที่ 𝑧1 𝑧2 ≠ 0 ถ้ า 𝑧12 + 𝑧22 = 𝑧1 𝑧2
และ |𝑧1 − 𝑧2 | = 1 แล้ ว |𝑧1 + 2𝑧2 | จะมีคา่ เท่ากับเท่าใด
1 𝑛 2
29. กาหนดให้ 𝑚 และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มซึง่ สอดคล้ องกับสมการ 𝑚𝑛
+𝑚 = 𝑚−𝑛
จงหาค่าสูงสุดของ 𝑚 + 𝑛
ถ้ า 𝑧1 , 𝑧2 , … , 𝑧(100
15 )
เป็ นความแปรปรวนของตัวอย่าง (100
15
) ตัวอย่างเหล่านี ้
จงหาค่าเฉลีย่ เลขคณิตของ 𝑧1 , 𝑧2 , … , 𝑧(100
15 )
12 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
1 3 𝑎 3
34. กาหนดให้ ∫0 ⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 = (∫𝑎 𝑛 ⌊
𝑛+1 √𝑥
⌋ 𝑑𝑥) โดยที่ 0 < 𝑎𝑛+1 < 𝑎𝑛 < 𝑎1 = 1 ทุกจานวนนับ 𝑛
n 1
และ nlim
𝑎𝑛 = 0 ( สามารถพิสจู น์ได้ วา่ อนุกรมอนันต์ข้างต้ นไม่ขึ ้นกับลาดับ (𝑎𝑛 )∞
𝑛=1 )
1 1 1 1 3
ถ้ า 𝐴 = 12
+ 32 + 52 + … และ 𝐵 = ∫0 ⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 แล้ ว จงหาค่าของ 12𝐴 − 𝐵
เฉลย
1. ค 10. ก 19. 1, −2 − 2 log 3 2 27. 70
2. ข 11. ข 20. 8 28. 7
𝜋
3. ค 12. ค 21. 2+2 29. 12
4. ก 13. ก 22. 100031 30. −√3
1
5. ก 14. ข 23. (𝑥 − 2)2 + (𝑦 + 2)2 = 8 31. 128
6. ง 15. ข (𝑥 + 4)2 + (𝑦 − 6)2 = 18 32. 9
100
7. ข 16. 225 24. 13.5 33. 9
37
8. ค 17. 1007.5 25. 24 34. 4
1
9. ง 18. 29580 26. 2
35. 719.5
แนวคิด
1. ค
ก. 𝐴 ∆ 𝐵 = 𝐵 ∆ 𝐴
(𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐵 − 𝐴) = (𝐵 − 𝐴) ∪ (𝐴 − 𝐵)
𝐴 𝐵
ข้ อ ข. ค. ง. จะใช้ เทคนิค “กาหนดสมาชิกตัวแทน” ให้ แต่ละส่วน แล้ วหาผลลัพธ์ 1 6 2
5 7 4
ให้ 𝐴, 𝐵, 𝐶 มีสมาชิกดังรูป 3
ข. 𝐴 ∆ (𝐵 ∆ 𝐶) = (𝐴 ∆ 𝐵) ∆ 𝐶 𝐶
{1, 5, 6, 7} ∆ {2, 3, 5, 6} = {1, 2, 4, 5} ∆ {3, 4, 5, 7}
{1, 7, 2, 3 } = {1, 2, 3, 7}
ค. (𝐴 ∆ 𝐵) ∪ 𝐶 = (𝐴 ∪ 𝐶) ∆ (𝐵 ∪ 𝐶)
{1, 2, 4, 5} ∪ {3, 4, 5, 7} = {1, 3, 4, 5, 6, 7} ∆ {2, 3, 4, 5, 6, 7}
{1, 2, 3, 4, 5, 7} = {1, 2 }
ง. (𝐴 ∆ 𝐵) ∩ 𝐶 = (𝐴 ∩ 𝐶) ∆ (𝐵 ∩ 𝐶)
{1, 2, 4, 5} ∩ {3, 4, 5, 7} = {5, 7} ∆ {4, 7}
{4, 5} = {5, 4 }
2. ข
ประโยคในรูป ถ้ า → แล้ ว ต้ องสมมติให้ ตวั หน้ าเป็ นจริ ง แล้ วดูวา่ ตัวหลังต้ องเป็ นจริ ง ตามมัย้
ก. สมมติให้ ∀𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
แสดงว่า 𝑥 ทุกตัวต้ องทาให้ ทงั ้ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ งทังคู ้ ่
การที่ 𝑥 ทุกตัวทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุปได้ วา่ ∀𝑥𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง
การที่ 𝑥 ทุกตัวทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุปได้ วา่ ∀𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ ∀𝑥𝑃(𝑥) ∧ ∀𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง → ก. ถูก
ข. สมมติให้ ∀𝑥[𝑃(𝑥) ∨ 𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
แสดงว่า 𝑥 ทุกตัวต้ องทาให้ 𝑃(𝑥) หรื อ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ งตัวใดตัวหนึง่ หรื อทังคู
้ ่
ซึง่ 𝑥 บางตัว อาจทาให้ 𝑃(𝑥) จริ ง แต่ทาให้ 𝑄(𝑥) เท็จ และ 𝑥 บางตัว อาจทาให้ 𝑃(𝑥) เท็จ แต่ทาให้ 𝑄(𝑥) จริ ง
14 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
การที่ มี 𝑥 บางตัวทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นเท็จ จะสรุปได้ วา่ ∀𝑥𝑃(𝑥) เป็ นเท็จ
การที่ มี 𝑥 บางตัวทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นเท็จ จะสรุปได้ วา่ ∀𝑥𝑄(𝑥) เป็ นเท็จ
ซึง่ ในกรณีนี ้ จะทาให้ ∀𝑥𝑃(𝑥) ∨ ∀𝑥𝑄(𝑥) เป็ นเท็จ → ข. ผิด
(ตัวอย่างเช่น การที่ “ทุกคนเป็ นผู้ชายหรื อผู้หญิง” จะสรุปไม่ได้ วา่ “ทุกคนเป็ นผู้ชาย” หรื อ “ทุกคนเป็ นผู้หญิง”)
ค. สมมติให้ ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
แสดงว่า มี 𝑥 บางตัวที่ทาให้ ทงั ้ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ งทังคู
้ ่
การที่ 𝑥 ตัวนันท
้ าให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุปได้ วา่ ∃𝑥𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง
การที่ 𝑥 ตัวนันท
้ าให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุปได้ วา่ ∃𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ ∃𝑥𝑃(𝑥) ∧ ∃𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง → ค. ถูก
ง. สมมติให้ ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∨ 𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
แสดงว่า มี 𝑥 บางตัวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) หรื อ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ งตัวใดตัวหนึง่ หรื อทังคู
้ ่
กรณีที่ 𝑥 ตัวนัน้ ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุ ปได้ วา่ ∃𝑥𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง
กรณีที่ 𝑥 ตัวนัน้ ทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง จะสรุ ปได้ วา่ ∃𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง
ดังนั
้ น้ ∃𝑥𝑃(𝑥) หรื อ ∃𝑥𝑄(𝑥) จะเป็ นจริ งตัวใดตัวหนึง่ หรื อทังคู
้ ่
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ ∃𝑥𝑃(𝑥) ∨ ∃𝑥𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง → ง. ถูก
3. ค
ถ้ า 𝑥 อยูใ่ นค่าสัมบูรณ์ หรื อ ถูกยกกาลังคู่ มักจะไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึง่ (เพราะ ค่าบวก และ ค่าลบ จะได้ ผลลัพธ์เท่ากัน)
จะเห็นว่า ข้ อ ข. และ ง. จะเข้ าข่ายนี ้ เช่น กรณี 𝑥 = 1 กับ 𝑥 = −1 จะได้ ผลลัพธ์เท่ากัน → ไม่ใช่หนึง่ ต่อหนึ่ง
|1| |−1| 1 2|1| 2|−1|
ข. √1+1 2
=
√1+(−1)2
=2 ง. |1|+1 = |−1|+1 = 1
𝑎 𝑏
สมมติให้ 1+|𝑎|
= 1+|𝑏|
→ พิจารณาเครื่ องหมาย จะเห็นว่าตัวส่วนเป็ นบวก เหมือนกันทังสองข้้ าง
คูณไขว้
ดังนัน้ ตัวเศษ คือ 𝑎 กับ 𝑏 ต้ องมีเครื่องหมายเหมือนกัน ไม่งนผลหารจะเท่
ั้ ากันไม่ได้
𝑎 + 𝑎|𝑏| = 𝑏 + |𝑎|𝑏
𝑎 = 𝑏 𝑎 กับ 𝑏 มีเครื่ องหมายเหมือนกัน จะทาให้ 𝑎|𝑏| = |𝑎|𝑏
ทาให้ ตดั 𝑎|𝑏| ทางซ้ าย กับ |𝑎|𝑏 ทางขวา ได้
ดังนัน้ ค. เป็ นหนึง่ ต่อหนึง่
4. ก
ก. ข้ อนี ้ เหมือนโจทย์ต้องการกระจายรูท
𝑓(𝑥) = √𝑥 4 − 4𝑥 2 แต่ การกระจายรูทแบบนี ้ ทาได้ ภายใต้ เงื่อนไขว่า
= √𝑥 2 (𝑥 2 − 4) ถ้ า 𝑥 2 (𝑥 2 − 4) ≥ 0 แล้ ว 𝑥 2 ≥ 0 และ 𝑥2 − 4 ≥ 0
= √𝑥 2 √𝑥 2 − 4 𝑥 2 (𝑥 − 2)(𝑥 + 2) ≥ 0
= |𝑥| √𝑥 2 − 4 กาลังคู่ ไม่ต้องสลับ บวก ลบ
+ − − +
−2 0 2
จะเห็นว่า ถ้ า 𝑥 = 0
𝑥 ∈ (−∞, −2] ∪ {0} ∪ [2, ∞) จะทาให้ 𝑥 2 − 4 ติดลบ
ขัดแย้ งกับเงื่อนไข
ดังนัน้ 𝑓(0) จะหาค่าได้ แต่ 𝑔(0) จะหาค่าไม่ได้ → 𝑓 ≠ 𝑔 → ก. ผิด
ข. หา D𝑓 → ต้ องแก้ อสมการ 𝑥 2 (𝑥 2 − 4) ≥ 0 ซึง่ แก้ ไปแล้ วในข้ อ ก.
จะได้ D𝑓 = (−∞, −2] ∪ {0} ∪ [2, ∞) → ดังนัน้ (−∞, −2] เป็ นสับเซตของ D𝑓 → ข. ถูก
ค. จาก D𝑓 = (−∞, −2] ∪ {0} ∪ [2, ∞) → ดังนัน้ [2, ∞) เป็ นสับเซตของ D𝑓 → ข. ถูก
ง. เนื่องจาก 𝑥 ถูกยกกาลังคู่ ดังนัน้ 𝑓 น่าจะไม่ใช่ฟังก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ (เพราะ เลขลบ กับ เลขบวก ยกกาลังคู่ จะ
กลายเป็ นบวกเท่ากัน) ซึง่ จะเห็นว่า 𝑓(2) = √24 − 4(2)2 และ 𝑓(−2) = √(−2)4 − 4(−2)2
= √16 − 16 = √ 16 − 16
= 0 = 0
เนื่องจาก 𝑓(2) = 𝑓(−2) ดังนัน้ 𝑓 ไม่เป็ นฟั งก์ชนั หนึง่ ต่อหนึง่ → ง. ถูก
5. ก
⃗⃗ + 𝑐⃗
𝑏
(𝑎⃗ ∙ 𝑐⃗)𝑏⃗⃗ − (𝑎⃗ ∙ 𝑏⃗⃗)𝑐⃗ = 2 จาก 𝑢̅ ∙ 𝑣̅ = |𝑢̅||𝑣̅ | cos 𝜃 ให้ มุมระหว่าง 𝑎⃗ และ 𝑐⃗ = 𝜃𝑎𝑐
⃗⃗
𝑏 𝑐⃗
(|𝑎⃗||𝑐⃗| cos 𝜃𝑎𝑐 ) 𝑏⃗⃗ − (|𝑎⃗||𝑏⃗⃗| cos 𝜃𝑎𝑏 ) 𝑐⃗ = +2 มุมระหว่าง 𝑎⃗ และ 𝑏⃗⃗ = 𝜃𝑎𝑏
2
⃗⃗
𝑏 𝑐⃗
𝑎⃗, 𝑏⃗⃗, 𝑐⃗ เป็ นเวกเตอร์ หนึ่งหน่วย
( 1 ∙ 1 ∙ cos 𝜃𝑎𝑐 ) 𝑏⃗⃗ − ( 1 ∙ 1 ∙ cos 𝜃𝑎𝑏 )𝑐⃗ = +2
2
6. ง
log(log 𝑎) + log(log 𝑏) = log(log 𝑐)
log 𝑀 + log 𝑁 = log 𝑀𝑁
log( log 𝑎 ∙ log 𝑏 ) = log(log 𝑐)
ตัด log ทังสองข้
้ าง
log 𝑎 ∙ log 𝑏 = log 𝑐
โยน log 𝑎 ที่คณ
ู อยู่ ไปเป็ นเลขชี ้กาลังหลัง log
log 𝑏 log 𝑎 = log 𝑐
ตัด log ทังสองข้
้ าง
𝑏 log 𝑎 = 𝑐
7. ข
หา tan (4 arctan 15) ก่อน โดยใช้ สตู ร tan มุม 2 เท่า 2 รอบ 2 tan 𝐴
1 1 tan(2𝐴) =
1 2 tan(arctan ) 2( ) 2 25 5 1 − tan2 𝐴
5 5
tan (2 arctan ) = 1 = 1 2
= ∙ =
5 1−tan2(arctan ) 1−( ) 5 24 12
5 5
1 5
1 2 tan(2 arctan ) 2( ) 5 144 120
5 12
tan (4 arctan 5) = 1 = 5 2
= ∙
6 119
= 119
…(∗)
1−tan2(2 arctan ) 1−( )
5 12
1 1 𝜋
และจาก 4 arctan (5) − arctan (𝑥) = 4
1 𝜋 1
4 arctan 5 = 4
+ arctan 𝑥
1 𝜋 1
tan (4 arctan 5) = tan ( 4 + arctan (𝑥))
tan 𝐴+tan 𝐵
𝜋 1 tan(𝐴 + 𝐵) =
จาก (∗) 120 tan
4
+ tan(arctan )
𝑥
1−tan 𝐴 tan 𝐵
119
= 𝜋 1
1 − tan tan(arctan )
4 𝑥
1
120 1 +
𝑥
= 1
119 1 − ( 1 )( )
𝑥
120 119 คูณไขว้
120 − 𝑥
= 119 + 𝑥
239
1 = 𝑥
𝑥 = 239
8. ค
ก. เอาสองค่าที่โจทย์ให้ มาคูณกัน เพื่อให้ 𝑧 ตัดกับ 𝑧 −1 และ 𝑤 ตัดกับ 𝑤 −1 ดังนี ้
(𝑧 + 𝑤 −1 )(𝑧 −1 + 𝑤) = (√2 + 𝑖)(1 + √2𝑖)
𝑧𝑧 −1 + 𝑧𝑤 + 𝑤 −1 𝑧 −1 + 𝑤 −1 𝑤 = √2 + 2𝑖 + 𝑖 − √2
1 + 𝑧𝑤 + (𝑧𝑤)−1 + 1 = 3𝑖
𝑧𝑤 + (𝑧𝑤)−1 = −2 + 3𝑖 → ไม่เป็ นเต็มบวก → ก. ผิด
ข. เอา 𝑧𝑤 + (𝑧𝑤)−1 = −2 + 3𝑖 จาก ก. มายกกาลังสอง จะได้
(𝑧𝑤)2 + 2𝑧𝑤(𝑧𝑤)−1 + (𝑧𝑤)−2 = 4 − 12𝑖 − 9
(𝑧𝑤)2 + 2 + (𝑧𝑤)−2 = −5 − 12𝑖
(𝑧𝑤)2 + (𝑧𝑤)−2 = −7 − 12𝑖 → ไม่เป็ นเต็มบวก → ข. ผิด
ค. ใช้ สตู ร น3 + ล3 = (น + ล)(น2 − นล + ล2 ) จะได้
(𝑧𝑤)3 + (𝑧𝑤)−3 = (𝑧𝑤 + (𝑧𝑤)−1 )((𝑧𝑤)2 − 𝑧𝑤(𝑧𝑤)−1 + (𝑧𝑤)−2 )
จาก ก. จาก ข.
= ( −2 + 3𝑖 )(−7 − 12𝑖 − 1 )
= ( −2 + 3𝑖 )(−8 − 12𝑖)
= 16 + 24𝑖 − 24𝑖 + 36 = 52 → ค. ถูก
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 17
10. ก
A B C D เงื่อนไขการเข้ าแถวคือ A > B > C > D และ E > F > G > H
E F G H และ A < E , B < F , C < G , D < H
ข้ อนี ้ จะไล่นบั เอาก็ได้ → ให้ ทกุ คนเข้ าแถวจากเตี ้ยไปสูง แล้ วแปะหมายเลข 1, 2, 3, … , 8
เนื่องจาก D กับ H น้ อยสุดในแถว และในหลักขวา D < H → D น้ อยสุด → D = 1 D C B A #
4
C ต้ องมากกว่า D จะได้ C > 1 5
C = 2, 3 3 6 4
C ต้ องน้ อยกว่าตัวอื่นๆอีก 5 ตัว (A, B, G, F, E) จะได้ C < 4 7
2 5
B ต้ องมากกว่าตัวอื่นๆอีก 2 ตัว (C, D) จะได้ B > 2 4 6 3
B = 3, 4, 5 7
B ต้ องน้ อยกว่าตัวอื่นๆอีก 3 ตัว (A, F, E) จะได้ B < 6 1 6
5 7 2
A ต้ องมากกว่าตัวอื่นๆอีก 3 ตัว (B, C, D) จะได้ A > 3 5
A = 4, 5, 6, 7
6
A ต้ องน้ อยกว่าตัวอื่นๆอีก 1 ตัว (E) จะได้ A < 8 4
7
3
3
จากตารางจะได้ จานวนวิธี = 4 + 3 + 2 + 3 + 2 = 14 วิธี 5
6
7 2
หรื อถ้ าจะคานวณ จะสามารถใช้ เทคนิคในเรื่ อง Catalan Number ได้ โดยจับคูแ่ บบการเข้ าแถว กับ การเรี ยงตัวอักษร
“ล” และ “น” อย่างละ 4 ตัว โดยมีข้อกาหนดว่า จานวน “ล” นับจากซ้ าย ≥ จานวน “น” นับจากซ้ าย ในทุกๆตาแหน่ง
ของการเรี ยงตัวอักษร
18 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
วิธีจบั คูค่ ือ ให้ คนที่สงู ที่สดุ เลือกว่าจะยืนแถวหลัง (ล) หรื อ แถวหน้ า (น) แล้ วไปยืนชิดทางซ้ ายของแถวนันๆ
้
ให้ คนที่สงู ถัดมา เลือกว่าจะยืนแถวหลัง (ล) หรื อ แถวหน้ า (น) แล้ วไปยืนชิดทางซ้ ายของแถวนันๆ ้
⋮
6 4 2 1
เช่น “ล ล น ล น ล น น” จะได้ ผลลัพธ์คือ 8 7 5 3
87654321
จะเห็นว่า การให้ เลือกแถวตามลาดับความสูง จะทาให้ ความสูงภายในแถวเรี ยงจากมากไปน้ อย
และการกาหนดให้ จานวน “ล” นับจากซ้ าย ≥ จานวน “น” นับจากซ้ าย ในทุกๆตาแหน่ง จะทาให้ คนที่ยืนแถวหน้ า
สูงน้ อยกว่าคนที่อยูแ่ ถวหลังในตาแหน่งเดียวกันเสมอ
1 1
ซึง่ จากสูตรของ Catalan Number จะเรี ยงได้ = 𝑛+1 (2𝑛
𝑛
) = 4+1 (84) = 14 วิธี
11. ข
เนื่องจาก |𝑧 + 𝑤| และ |𝑧 − 𝑤| เป็ นจานวนจริง จะไม่มีสว่ นจินตภาพ
ดังนัน้ จะพิจารณา “ส่วนจินตภาพ” ทังสองฝั
้ ่ง ในสมการที่กาหนดให้ ก่อน
ไม่มีสว่ นจินตภาพ ไม่มีสว่ นจินตภาพ
√2𝑧 + |𝑧 + 𝑤| = 1 + 𝑖 √2𝑤 + |𝑧 − 𝑤| = 1 − 𝑖
(2016−1)𝜋
ดังนัน้ 𝑧 2015 = 12015 cis 2015𝜋
4
= 1 cis 4
𝜋
= 1 cis (− 4 ) =
√2
2
−
√2
2
𝑖
จะได้ 𝑧 2015
−𝑤 2015
= 𝑧 2015
− (−𝑧) 2015
= 𝑧 2015 + 𝑧 2015
√2 √2
= 2𝑧 2015 = 2( 2 − 2
𝑖) = √2 − √2𝑖
12. ค
จานวนตรรกยะ บวกลบคูณหาร กับจานวนตรรกยะ จะได้ ผลลัพธ์เป็ นจานวนตรรกยะเสมอ
ดังนัน้ เราจะพยายามเอาจานวนที่โจทย์กาหนดให้ เป็ นตรรกยะ มาจัดรูปไปสูค่ า่ ที่โจทย์ถาม
(1) สมมติให้ 𝑃 และ 𝑄 เป็ นตรรกยะ ดังนัน้ 𝑃 + 𝑄 = sin2 𝜃 + cos 𝜃 + cos2 𝜃 + sin 𝜃
= 1 + cos 𝜃 + sin 𝜃 เป็ นตรรกยะด้ วย
เนื่องจาก 1 เป็ นตรรกยะ ดังนัน้ cos 𝜃 + sin 𝜃 ต้ องเป็ นตรรกยะ …(1)
และจะได้ 𝑃 − 𝑄 = (sin2 𝜃 + cos 𝜃) − (cos 2 𝜃 + sin 𝜃)
= sin2 𝜃 − cos 2 𝜃 + cos 𝜃 − sin 𝜃
= (sin 𝜃 − cos 𝜃)(sin 𝜃 + cos 𝜃) − (sin 𝜃 − cos 𝜃)
= (sin 𝜃 − cos 𝜃)(sin 𝜃 + cos 𝜃 − 1 ) เป็ นตรรกยะด้ วย
แต่จาก (1) จะได้ sin 𝜃 + cos 𝜃 − 1 เป็ นจานวนตรรกยะ ดังนัน้ จะได้ sin 𝜃 − cos 𝜃 เป็ นตรรกยะ …(2)
(1) + (2) จะทาให้ cos 𝜃 ตัดกัน จะสรุ ปได้ วา่ 2 sin 𝜃 เป็ นตรรกยะ → จะได้ sin 𝜃 เป็ นตรรกยะ
→ ทาต่อจาก (1) จะได้ วา่ cos 𝜃 เป็ นตรรกยะ
sin 𝜃
→ ดังนัน้ tan 𝜃 = cos 𝜃 เป็ นตรรกยะ
(เมื่อ cos 𝜃 ≠ 0)
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่า การพิสจู น์เป็ นไปได้ ภายใต้ เงื่อนไข cos 𝜃 ≠ 0
กรณีที่ cos 𝜃 = 0 เช่น เมื่อ 𝜃 = 𝜋2 จะได้ 𝑃 = sin2 𝜋2 + cos 𝜋2 = 1 + 0 = 1 เป็ นตรรกยะ
𝜋 𝜋
𝑄 = cos 2 2 + sin 2 = 0 + 1 = 1 เป็ นตรรกยะ
แต่จะเห็นว่า tan 𝜋2 หาค่าไม่ได้ → ดังนัน้ (1) ผิด
13. ก
จะประกอบเป็ นสามเหลีย่ มได้ เมือ่ แต่ละด้ าน สันกว่
้ า อีกสองด้ านที่เหลือรวมกัน
𝑥 𝑦 𝑧
𝐴 𝐵 นัน่ คือ 𝑥 < 𝑦 + 𝑧 , 𝑦 < 𝑥 + 𝑧 และ 𝑧 < 𝑥 + 𝑦
(ถ้ ามีด้านไหนยาวเกินไป จะทาให้ สองด้ านที่เหลือมาต่อกันไม่ถงึ → )
ซึง่ จากรูป จะเห็นว่า 𝑥 < 𝑦 + 𝑧 เมื่อ 𝑥 สันกว่ ้ าครึ่งหนึง่ ของ 𝐴𝐵 นัน่ เอง
และจาก 𝑦 < 𝑥 + 𝑧 และ 𝑧 < 𝑥 + 𝑦 จะได้ วา่ ทัง้ 𝑦 และ 𝑧 ก็ต้องสันกว่ ้ าครึ่งหนึง่ ของ 𝐴𝐵 ด้ วย
ดังนัน้ ทัง้ 𝑥, 𝑦 และ 𝑧 ต้ องสันกว่
้ าครึ่งหนึง่ ของ 𝐴𝐵 จึงจะประกอบเป็ นสามเหลีย่ มได้
และเนื่องจาก ในสามด้ าน 𝑥, 𝑦 และ 𝑧 จะมีได้ อย่างมากเพียงด้ านเดียวเท่านัน้ ที่ยาวเกินครึ่งหนึง่ ของ 𝐴𝐵
ดังนัน้ สองจุดที่สมุ่ ได้ จะแบ่ง 𝐴𝐵 ออกเป็ นแบบใดแบบหนึง่ ใน 4 แบบ คือ
1) 𝑥 ยาวเกินครึ่ง 2) 𝑦 ยาวเกินครึ่ง 3) 𝑧 ยาวเกินครึ่ง 4) ไม่มีด้านไหนยาวเกินครึ่ง
กรณีที่ 𝑥 ยาวเกินครึ่ง จะเกิดขึ ้นเมือ่ สองจุดที่สมุ่ ได้ ตกอยูท่ างครึ่งขวาของ 𝐴𝐵
ความน่าจะเป็ น ที่สมุ่ จุดจุดหนึง่ บน 𝐴𝐵 แล้ วได้ จดุ ทางครึ่งขวา จะเท่ากับ 12 ครึ่งขวา
𝐴 𝐵
1 1 1
ดังนัน้ ความน่าจะเป็ นที่ทงสองจุ
ั้ ดที่สมุ่ ได้ อยูท่ างครึ่งขวา = 2 × 2 = 4
ความน่าจะเป็ นที่ 𝑦 ยาวเกินครึ่ง และ 𝑧 ยาวเกินครึ่ง จะเท่ากับ 14 เช่นกัน (เพราะเราสามารถจับคูแ่ บบที่ 𝑥 ยาวเกินครึ่ง
กับแบบที่ 𝑦 ยาวเกินครึ่ง แบบหนึง่ ต่อหนึง่ ได้ โดยการสลับ 𝑥 + 𝑦 + 𝑧 เป็ น 𝑦 + 𝑥 + 𝑧)
ดังนัน้ จะเหลือความน่าจะเป็ นให้ กรณีไม่มีด้านไหนเกินครึ่ง = 1 − 3 (14) = 14
14. ข
−|𝑦| + 𝑥 − √𝑥 2 + 𝑦 2 − 1 ≥ 1
𝑥 − |𝑦| − 1 ≥ √𝑥 2 + 𝑦 2 − 1
(𝑥 − |𝑦| − 1)2 ≥ 𝑥2 + 𝑦2 − 1 ค่ารูททางขวา ≥ 0
𝑥 2 + |𝑦|2 + 1 − 2𝑥|𝑦| − 2𝑥 + 2|𝑦| ≥ 𝑥2 + 𝑦2 − 1
2 − 2𝑥|𝑦| − 2𝑥 + 2|𝑦| ≥ 0 ดังนัน้ 𝑥 − |𝑦| − 1 ≥ 0 ด้ วย
1 − 𝑥|𝑦| − 𝑥 + |𝑦| ≥ 0 𝑥 ≥ |𝑦| + 1
|𝑦| + 1 − 𝑥|𝑦| − 𝑥 ≥ 0
(|𝑦| + 1) − 𝑥(|𝑦| + 1) ≥ 0
(|𝑦| + 1)(1 − 𝑥) ≥ 0 เอามาต่อกัน จะได้ 1 ≥ 𝑥 ≥ |𝑦| + 1 …(∗)
1−𝑥 ≥ 0
เป็ นบวกเสมอ 1 ≥ 𝑥
พิจารณา ซ้ ายสุด กับขวาสุดของ (∗) จะได้ 1 ≥ |𝑦| + 1 → เป็ นจริ งได้ เมื่อ 𝑦 = 0 เท่านัน้
แทน 𝑦 = 0 ใน (∗) จะได้ 1 ≥ 𝑥 ≥ 1 → 𝑥=1 ดังนัน้ อสมการนี ้มีคาตอบเดียวคือ (𝑥, 𝑦) = (1, 0)
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 21
15. ข
ลองวาดกราฟคร่าวๆดูก่อน โดยหาจุด (𝑥, 𝑦) ง่ายๆ ที่ทาให้ สมการเป็ นจริ ง จะได้ ดงั ตาราง 𝑥 0 1
1
4
เมื่อนาจุดในตาราง ไปพิจารณาร่วมกับกราฟอื่นที่เคยรู้จกั จะพอ เดาลักษณะกราฟได้ ดงั รูป 1
𝑦 1 0 4
1 1 1
จะเห็นว่ากราฟไม่นา่ จะเป็ นเส้ นตรงสอง
1 1
( , )
4 4 เส้ น แต่ยงั อาจจะเป็ นพาราโบลา วงรี
1 1 1 หรื อ ไฮเพอร์ โบลาได้ อยู่
2 2 𝑥+𝑦=1
𝑥 +𝑦 =1 √𝑥 + √𝑦 = 1
ซึง่ ถ้ าจัดรูป √𝑥 + √𝑦 = 1
ได้ เหมือนกับสมการ
𝑥 + 2√𝑥𝑦 + 𝑦 = 1
พาราโบลาเลย
2√𝑥𝑦 = 1−𝑥−𝑦
4𝑥𝑦 = 1 + 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 − 2𝑦 + 2𝑥𝑦
0 = 𝑥 2 − 2𝑥𝑦 + 𝑦 2 − 2𝑥 − 2𝑦 + 1
16. 225
1 + 2 + ⋯ + 𝑛 = 12 + 22 + ⋯ + 𝑝 2
𝑛(𝑛+1) 𝑝(𝑝+1)(2𝑝+1)
=
2 6
𝑝(𝑝+1)(2𝑝+1)
𝑛(𝑛 + 1) =
3
17. 1007.5
2015
จะหา 𝑓(𝑥 + 2558) 𝑑𝑥 โดยดูจากพื ้นทีใ่ ต้ กราฟ
2015
และ 𝑦 = 𝑓(𝑥 + 2558) จะได้ จากการเลือ่ นกราฟไปทางซ้ าย 2558 หน่วย ซึง่ จะยังคงได้ กราฟรูปเดิม
𝑦 = 𝑓(𝑥)
(เพราะกราฟซ ้าทุกๆรอบจานวนเต็มของ 𝑥)
จาก −2015 ไปถึง 2015 จะมีสามเหลีย่ มทังหมด ้ 2015 − (−2015) = 4030 รู ป
1 1 1
ซึง่ สามเหลีย่ มแต่ละรูปมีพื ้นที่ = 2 ∙ 1 ∙ 2 = 4
2015
1
ดังนัน้ 𝑓(𝑥 + 2558) 𝑑𝑥 = 4030 ∙ 4 = 1007.5
2015
18. 29580
เนื่องจาก 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนเต็ม จะจัดรูปให้ ฝั่งซ้ ายเป็ นตัวเลข แล้ วอ้ างว่าตัวเลขฝั่งซ้ ายเขียนเป็ นผลคูณได้ ไม่กี่แบบ
𝑓(𝑓(0)) = 1
𝑓(𝑎(0) + 𝑏) = 1
𝑓( 𝑏) = 1
𝑎𝑏 + 𝑏 = 1 𝑎+1 𝑏
1 เขียนเป็ นผลคูณได้ แค่ 2 แบบ 1 1 𝑎=0, 𝑏=1
(𝑎 + 1)𝑏 = 1
คือ 1 × 1 กับ −1 × −1 −1 −1 𝑎 = −2 , 𝑏 = −1
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 23
จะได้ 𝑎 = 0 , 𝑏 = 1 หรื อ 𝑎 = −2 , 𝑏 = −1
ถ้ า 𝑎 = 0 , 𝑏 = 1 จะได้ 𝑓(𝑥) = (0)𝑥 + 1 = 1 → 𝑓(𝑥) = 1 เสมอ โดยไม่ขึ ้นกับค่า 𝑥
ดังนัน้ จะได้ 𝑓(𝑓(𝑓(1))) = 1 ซึง่ ขัดแย้ งกับที่โจทย์บอกว่า 𝑓(𝑓(𝑓(1))) = −11
ถ้ า 𝑎 = −2 , 𝑏 = −1 จะได้ 𝑓(𝑥) = −2𝑥 − 1 ดังนัน้ 𝑓(𝑓(𝑓(1))) = 𝑓(𝑓(−2(1) − 1))
= 𝑓(𝑓( −3 ))
= 𝑓( −2(−3) − 1 )
= 𝑓( 5 )
= −2(5) − 1
= −11
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝑎 = −2 , 𝑏 = −1 เท่านัน้ และจะได้ 𝑓(𝑥) = −2𝑥 − 1
พิจารณาสิง่ ที่โจทย์ถาม → จะได้ 𝑓(𝑓(𝑓(𝑓(𝑛)))) = 𝑓(𝑓(𝑓( −2𝑛 − 1 )))
= 𝑓(𝑓(−2(−2𝑛 − 1) − 1))
= 𝑓(𝑓( 4𝑛 + 1 ))
= 𝑓( −2(4𝑛 + 1) − 1 )
= 𝑓( −8𝑛 − 3 )
= −2(−8𝑛 − 3) − 1
= 16𝑛 + 5
60 60 60
ดังนัน้ สิง่ ที่โจทย์ถาม = 16𝑛 + 5 = 16 𝑛 + 5
n 1 n 1 n 1
60(60+1)
= 16( 2 ) + 60(5) = 29280 + 300 = 29580
19. 1, −2 − 2 log 3 2
𝑥
3𝑥 ∙ 8𝑥+2 = 6 2 𝑥−1
3𝑥 log 2 (3 ∙ 2𝑥+2 ) = log 2 1
3𝑥 ∙ 2 𝑥+2 = 3∙2 2
3𝑥
3𝑥 ∙ 2𝑥+2
(𝑥 − 1) (log 2 (3 ∙ 2 𝑥+2 )) = 0
3∙2
= 1
3𝑥 2
3𝑥−1
∙2
𝑥+2
−1
= 1 𝑥 = 1 หรื อ log 2 (3 ∙ 2𝑥+2 ) = 0
3𝑥 − (𝑥+2)
3𝑥−1 ∙ 2 𝑥+2 = 1 2
2𝑥−2 log 2 3 + log 2 2𝑥+2 = 0
3𝑥−1 ∙ 2 𝑥+2 = 1 2
log 2 3 + 𝑥+2 = 0
2(𝑥−1)
3𝑥−1 ∙ 2 𝑥+2 = 1 2
2 𝑥−1 = − log 2 3
𝑥+2
(3 ∙ 2 𝑥+2 ) = 1 2
− log 3 = 𝑥+2
2
−2 − 2 log 3 2 = 𝑥
20. 8
𝐶
โจทย์ให้ 𝐴𝐵 = 1 และ 𝐵𝐶 = 3 → จะสมมติให้ 𝐴𝐵⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑢̅ และ 𝐵𝐶 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑣̅
𝐷
→ จะได้ |𝑢̅| = 1 และ |𝑣̅ | = 3
𝑑̅ 𝑂
𝑣̅ สังเกตว่าข้ อมูลที่โจทย์ให้ จะอิงกับจุด 𝑂 → จะให้ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐵 = 𝑏̅ และ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗𝑂𝐷 = 𝑑̅
𝑏̅
แต่ไม่ต้องกาหนด ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐴 กับ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐶 แล้ ว เพราะ 𝑂𝐴
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑂𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = 𝑏̅ − 𝑢̅
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝐵𝐴
𝐴 𝑢̅ 𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐶 = ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ 𝐵𝐶 = 𝑏̅ + 𝑣̅
𝑂𝐵 + ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
24 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
จากโจทย์ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐴 + ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐶 = ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐵 + ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐷 และ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐴 ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗𝑂𝐶 = ⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐵 ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗
𝑂𝐷
𝑏̅ − 𝑢̅ + 𝑏̅ + 𝑣̅ = 𝑏̅ + 𝑑̅ (𝑏̅ − 𝑢̅) ∙ (𝑏̅ + 𝑣̅ ) = 𝑏̅ ∙ 𝑑̅
𝑏̅ − 𝑢̅ + 𝑣̅ = 𝑑̅
โจทย์ถาม ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝐵𝐷
𝐴𝐶 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗ = ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝐵𝐶
(𝐴𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ) ∙ (𝐵𝑂
⃗⃗⃗⃗⃗⃗ + 𝑂𝐷
⃗⃗⃗⃗⃗⃗⃗ ) −𝑢̅ + 𝑣̅ = −𝑏̅ + 𝑑̅
= ( 𝑢̅ + 𝑣̅ ) ∙ (−𝑏̅ + 𝑑̅ )
= ( 𝑢̅ + 𝑣̅ ) ∙ (−𝑢̅ + 𝑣̅ )
= −𝑢̅ ∙ 𝑢̅ + 𝑢̅ ∙ 𝑣̅ − 𝑣̅ ∙ 𝑢̅ + 𝑣̅ ∙ 𝑣̅
= −|𝑢̅|2 + |𝑣̅ |2
2
= −1 + 32 = 8
𝜋
21. 2+
2
𝜋 𝜋
ให้ arcsin 𝑥 = 𝛼 และ arcsin 𝑦 = 𝛽 → จากเรนจ์ของ arcsin จะได้ 𝛼, 𝛽 ∈ [− 2 , 2
]
𝑥 = sin 𝛼 𝑦 = sin 𝛽
แทนในโจทย์ จะได้
arcsin 𝑥 + arcsin 𝑦 = arcsin( 𝑥 √1 − 𝑦 2 + 𝑦 √1 − 𝑥 2 )
𝛼 + 𝛽 = arcsin(sin 𝛼 √1 − sin2 𝛽 + sin 𝛽 √1 − sin2 𝛼)
𝛼 + 𝛽 = arcsin(sin 𝛼 √ cos2 𝛽 + sin 𝛽 √ cos2 𝛼 )
𝜋 𝜋
𝛼 + 𝛽 = arcsin( sin 𝛼 | cos 𝛽 | + sin 𝛽 | cos 𝛼 | ) เนื่องจาก 𝛼, 𝛽 ∈ [− 2 , 2 ]
𝛼 + 𝛽 = arcsin( sin 𝛼 cos 𝛽 + sin 𝛽 cos 𝛼 ) จะได้ cos 𝛼 , cos 𝛽 ≥ 0
𝛼 + 𝛽 = arcsin( sin(𝛼 + 𝛽) )
จะเห็นว่าบรรทัดสุดท้ ายเป็ นจริ งเสมอ ภายใต้ เงื่อนไขว่า 𝛼 + 𝛽 ต้ องอยูใ่ นเรนจ์ของ arcsin ซึง่ คือ [ − 𝜋2 , 𝜋2 ]
จะได้ เงื่อนไขคือ − 𝜋2 ≤ 𝛼 + 𝛽 ≤ 𝜋2 → แบ่งกรณีวาด ตามจตุภาค จะได้ ดงั รูป
𝑌
กรณี 𝑥, 𝑦 ≥ 0 : จะได้ 𝛼, 𝛽 ∈ [ 0 , 𝜋2 ]
กรณี 𝑥 < 0 , 𝑦 ≥ 0 : 𝜋 𝜋
− ≤ 𝛼+𝛽 ≤
จะได้ − 𝜋2 ≤ 𝛼 < 0 2 2
𝜋 𝜋 จตุภาคแรก
และ 0 ≤ 𝛽 ≤
2 จริงเสมอ 𝛼 ≤
2
−𝛽 sin เป็ น
ดังนัน้ − 𝜋2 ≤ 𝛼 + 𝛽 < 𝜋
≤
𝜋 เพราะ sin 𝛼 ≤ sin ( − 𝛽) ฟั งก์ชนั เพิ่ม
𝜋
2 2 2
𝛼, 𝛽 ≥ 0 sin 𝛼 ≤ cos 𝛽
สอดคล้ องกับเงื่อนไขเสมอ
sin 𝛼 ≤ √1 − sin2 𝛽
𝑥 ≤ √1 − 𝑦 2
𝑥 2 + 𝑦2 ≤ 1
𝑋
กรณี 𝑥, 𝑦 < 0 : สังเกตว่า ถ้ าแทน 𝑥 ด้ วย −𝑥 และ
กรณี 𝑥 ≥ 0 , 𝑦 < 0 :
แทน 𝑦 ด้ วย −𝑦 จะได้ สมการกราฟกลับเป็ นเหมือนเดิม 𝜋
จะได้ 0 ≤ 𝛼 ≤
2
𝜋 𝜋
− ≤ 𝛼 + 𝛽 ≤ และ − 𝜋2 ≤ 𝛽 < 0
2 2
−
𝜋
≤ arcsin 𝑥 + arcsin 𝑦 ≤
𝜋 เปลี่ยน ดังนัน้ − 𝜋2 ≤ 𝛼 + 𝛽 < 𝜋
≤
𝜋
2 2
𝜋 𝜋
𝑥, 𝑦 2 2
−
2
≤ arcsin(−𝑥) + arcsin(−𝑦) ≤
2
เป็ นลบ สอดคล้ องกับเงื่อนไขเสมอ
𝜋 𝜋
− ≤ − arcsin 𝑥 − arcsin 𝑦 ≤
2 2
𝜋 𝜋
≥ arcsin 𝑥 + arcsin 𝑦 ≥−
2 2
𝜋(12 )
𝑄3 : เหมือน 𝑄1 𝑄4 : ได้ หมดทุกจุด
𝜋
จะได้ พื ้นที่ = 2 (12 + 4
) = 2+2 เมื่อ 𝑥, 𝑦 ∈ [−1, 1]
22. 100031
จานวน “ไม่เกิน 𝑛 หลัก” ที่ผลบวกเลขโดดเป็ น 5 จะเทียบได้ กบั การแจกของเหมือนกัน 5 ชิ ้น ให้ คน 𝑛 คน โดยอาจมีบาง
คนไม่ได้ ของ (ถ้ าคนไหนไม่ได้ ของ ถือว่าหลักนันเป็
้ น 0 และถ้ าหลักหน้ าๆเป็ น 0 จะกลายเป็ นจานวนที่น้อยกว่า 𝑛 หลัก)
เช่น ถ้ าแจกของเหมือนกัน 5 ชิ ้น ให้ คน 3 คน จะได้ 005 , 014 , 023 , 032 , … , 401 , 410 , 500
จาก Stars & Bars การแจกของเหมือนกัน 5 ชิ ้น ให้ คน 𝑛 คน โดยอาจมีคนไม่ได้ ของ จะมี (5+𝑛−1
𝑛−1
) แบบ
เช่น ถ้ า 𝑛 = 1 จะได้ จานวนไม่เกิน 1 หลัก มี ( 1−1 ) = (0) = 1 แบบ (คือ 5)
5+1−1 5
แก้ (1) กับ (2𝑎) จะได้ หนึง่ คาตอบ และ แก้ (1) กับ (2𝑏) จะได้ อกี หนึง่ คาตอบ
(1) 4ℎ + 3𝑘 − 2 = 0 (1) 4ℎ + 3𝑘 − 2 = 0
(2𝑎) ℎ − 3𝑘 − 8 = 0 (2𝑏) 3ℎ + 𝑘 + 6 = 0
(1) + (2𝑎) : 5ℎ − 10 = 0 3 × (2𝑏) : 9ℎ + 3𝑘 + 18 = 0 …(3𝑏)
ℎ = 2 (3𝑏) − (1) : 5ℎ + 20 = 0
(2𝑎) : 2 − 3𝑘 − 8 = 0 ℎ = −4
6 (2𝑏) : 3(−4) + 𝑘 + 6 = 0
𝑘 = −3 = −2
𝑘 = 6
26 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
24. 13.5
𝑥−7
𝑓(𝑥) = |2𝑥 + 4| + 3|𝑥 − 2| + |𝑥 − 5| + | 2 |
คูณ 2 ตลอด
2𝑓(𝑥) = 4|𝑥 + 2| + 6|𝑥 − 2| + 2|𝑥 − 5| + |𝑥 − 7|
𝑥𝑖 𝑓𝑖
จากสมบัติของมัธยฐาน จะได้ 2𝑓(𝑥) มีคา่ น้ อยที่สดุ เมื่อ 𝑥 = มัธยฐานของข้ อมูลดังตาราง −2 4
ซึง่ จากตาราง จะได้ มธั ยฐานจะอยูต่ าแหน่งที่ 13+1
2
=7 2 6
5 2
และจะเห็นว่า 𝑓𝑖 สะสม เกิน 7 ในชันที ้ ่ 2 (4 + 6 > 7) → มัธยฐาน = 2 7 1
13
ดังนัน้ ค่าน้ อยสุดของ 2𝑓(𝑥) = 4|2 + 2| + 6|2 − 2| + 2|2 − 5| + |2 − 7|
= 16 + 0 + 6 + 5 = 27
27
ดังนัน้ ค่าน้ อยสุดของ 𝑓(𝑥) =
2
= 13.5
25. 24
𝑎 𝑏 𝑐 เมทริ กซ์ไม่เอกฐาน แสดงว่า (𝑎𝑒𝑖 + 𝑏𝑓𝑔 + 𝑐𝑑ℎ) − (𝑔𝑒𝑐 + ℎ𝑓𝑎 + 𝑖𝑑𝑏) ≠ 0
[𝑑 𝑒 𝑓]
𝑔 ℎ 𝑖 ดังนัน้ ในบรรดา 𝑎𝑒𝑖 , 𝑏𝑓𝑔 , 𝑐𝑑ℎ , 𝑔𝑒𝑐 , ℎ𝑓𝑎 , 𝑖𝑑𝑏 ทังหกตั
้ ว ต้ องมีบางตัว ≠ 0
จะเห็นว่ากลุม่ ทีเ่ หลือ 𝑔𝑒𝑐 , ℎ𝑓𝑎 , 𝑖𝑑𝑏 ทาแบบเดิมไมได้ แล้ ว เพราะพวกนี ้ผ่านแนวทแยงมุมหลัก 𝑎, 𝑒, 𝑖
𝑎 𝑏 1 0 𝑏 1
กรณี 𝑔𝑒𝑐 ≠ 0 จะได้ 𝑔, 𝑒, 𝑐 = 1 ได้ เป็ น [𝑑 1 𝑓 ] → 𝑒 = 1 ไปแล้ ว ทาให้ 𝑎, 𝑖 ต้ องเป็ น 0 ได้ [𝑑 1 𝑓]
1 ℎ 𝑖 1 ℎ 0
→ 1 ที่เหลือ จะเลือกลงได้ 4 แบบ
กรณี ℎ𝑓𝑎 ≠ 0 กับ 𝑖𝑑𝑏 ≠ 0 ทาแบบเดียวกัน ได้ อีกกรณีละ 4 แบบ
ดังนัน้ จานวนแบบทังหมด
้ = 6 + 6 + 4 + 4 + 4 = 24 แบบ
26. 12
จะจัดรูปให้ คา่ ลิมิตอยูใ่ นรูป 00 แล้ วใช้ กฎของโลปิ ตาล
ให้ ℎ = 𝑥1 จะได้ 𝑥 = ℎ1 และจะเห็นว่า lim x
ℎ = lim
1
x 𝑥
= 0
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 27
1 1
𝑥+1 𝑥 1 +1
ดังนัน้ lim
x
𝑥 (arctan ( ) − arctan ( ))
𝑥+2 𝑥+2
= lim (arctan (ℎ1
ℎ
h0 +2
) − arctan ( 1 ℎ ))
+2
ℎ ℎ
1+ℎ 1
1 ℎ ℎ
= lim ℎ (arctan ( 1+2ℎ ) − arctan ( 1+2ℎ ))
h0
ℎ ℎ
1+ℎ 1
arctan( ) − arctan( )
1+2ℎ 1+2ℎ
= lim ℎ
h0
1 1
arctan( ) − arctan( )
จะเห็นว่า ถ้ าแทน ℎ=0 จะได้ คา่ ลิมิตเป็ น 1
0
1
ซึง่ อยูใ่ นรูป 00
1 (1+2ℎ)(1) − (1+ℎ)(2) 1 −2
∙ − 2 ∙ (1+2ℎ)2
1+ℎ 2 (1+2ℎ)2 1
ดิฟบน 1+( ) 1+( )
ใช้ กฎของโลปิ ตาล จะได้ ดิฟล่าง = 1+2ℎ
1
1+2ℎ
1 (1 )(1) − (1 )(2) 1 −2
∙ − ∙ 1 1
แทน ℎ=0 จะได้ = 1+ 1 1
1
1+ 1 1
= −2+ 1 = 2
27. 70
ใช้ เทเลสโคปิ ค จะเห็นว่า 1
𝑟(𝑟+1)
− (𝑟+1)(𝑟+2) =
1 𝑟+2 − 𝑟
𝑟(𝑟+1)(𝑟+2)
=
2
𝑟(𝑟+1)(𝑟+2)
1 1 1 1
( − (𝑟+1)(𝑟+2)) =
2 𝑟(𝑟+1) 𝑟(𝑟+1)(𝑟+2)
k k
1 1 1 1
ดังนัน้ 𝑆𝑘 = = (𝑟(𝑟+1) − (𝑟+1)(𝑟+2))
r 1 𝑟(𝑟+1)(𝑟+2) r 1 2
k
1 1 1
=
2 r 1 𝑟(𝑟+1)
− (𝑟+1)(𝑟+2)
1 1 1 1 1 1 1 1 1
= 2 ((1∙2 − 2∙3) + (2∙3 − 3∙4) + (3∙4 − 4∙5) + ⋯ + (𝑘(𝑘+1) − (𝑘+1)(𝑘+2)))
ตัดกันได้ เป็ นทอดๆ
เหลือตัวแรกสุด 1 1
= ( −
1 1 1
+ − + − + ⋯+
1 1 1 1
− (𝑘+1)(𝑘+2))
2 1∙2 2∙3 2∙3 3∙4 3∙4 4∙5 𝑘(𝑘+1)
กับ ตัวสุดท้ าย 1 1 1
= ( − (𝑘+1)(𝑘+2))
2 2
1 1
= −
4 2(𝑘+1)(𝑘+2)
28. 7
เนื่องจาก 𝑧1 𝑧2 ≠ 0 จะได้ 𝑧1 ≠ 0 และ 𝑧2 ≠ 0
จัดรูปสมการ ให้ เป็ นสมการกาลังสองที่มี 𝑧𝑧1 เป็ นตัวแปร → 𝑧12 + 𝑧22 = 𝑧1 𝑧2
2
𝑧12 − 𝑧1 𝑧2 + 𝑧22 = 0
÷ 𝑧22 ตลอด
𝑧 2 𝑧1
( 1) − +1 = 0
𝑧2 𝑧2
2 2
𝑧1 −𝑏±√𝑏2 −4𝑎𝑐 −(−1) ± √(−1)2 − 4(1)(1) 1 √3
จะได้ 𝑧2
= 2𝑎
= 2(1)
= 2
± 2
𝑖 → ดังนัน้ 𝑧 1 √3
|𝑧1 | = √(2) + (± 2 )
2
|𝑧1 |
|𝑧2 |
= 1
|𝑧1 | = |𝑧2 | …(∗)
และจาก (𝑧1 − 𝑧2 )2 = 𝑧12 − 2𝑧1 𝑧2 + 𝑧22
โจทย์ให้ 𝑧12 + 𝑧22 = 𝑧1 𝑧2
(𝑧1 − 𝑧2 )2 = 𝑧1 𝑧2 − 2𝑧1 𝑧2
(𝑧1 − 𝑧2 )2 = −𝑧1 𝑧2
|𝑧1 − 𝑧2 |2 = |−𝑧1 𝑧2 |
โจทย์ให้ |𝑧1 − 𝑧2 | = 1
1 = |𝑧1 ||𝑧2 |
|𝑧1 | = |𝑧2 | จาก (∗)
1 = |𝑧1 |2
1 = |𝑧1 |
ดังนัน้ |𝑧1 | = |𝑧2 | = 1 → แทนในสูตร |𝑧1 − 𝑧2 |2 = |𝑧1 |2 + |𝑧2 |2 − (𝑧1 𝑧̅2 + 𝑧̅1 𝑧2 )
1 = 1 + 1 − (𝑧1 𝑧̅2 + 𝑧̅1 𝑧2 )
𝑧1 𝑧̅2 + 𝑧̅1 𝑧2 = 1
29. 12
1 𝑛 2
+ =
𝑚𝑛 𝑚 𝑚−𝑛 → ตัวส่วนห้ ามเป็ น 0 ดังนัน้ 𝑚≠0 และ 𝑛≠0 และ 𝑚≠𝑛
1 + 𝑛2 2
𝑚𝑛
= 𝑚−𝑛
(1 + 𝑛 2 )(𝑚
− 𝑛) = 2𝑚𝑛
𝑚 − 𝑛 + 𝑛2 𝑚 − 𝑛3 = 2𝑚𝑛
32. 9
ข้ อนี ้ ต้ องสังเกตว่า การบวกและคูณเมทริ กซ์ [𝑎 −𝑏
] จะเหมือนกับการบวกและคูณจานวนเชิงซ้ อน 𝑎 + 𝑏𝑖 ดังนี ้
𝑏 𝑎
บวก คูณ
𝑎 −𝑏 𝑐 −𝑑 𝑎 + 𝑐 −(𝑏 + 𝑑) 𝑎 −𝑏 𝑐 −𝑑 𝑎𝑐 − 𝑏𝑑 −(𝑎𝑑 + 𝑏𝑐)
[ ]+[ ] = [ ] [ ][ ]= [ ]
𝑏 𝑎 𝑑 𝑐 𝑏+𝑑 𝑎+𝑐 𝑏 𝑎 𝑑 𝑐 𝑎𝑑 + 𝑏𝑐 𝑎𝑐 − 𝑏𝑑
(𝑎 + 𝑏𝑖) + (𝑐 + 𝑑𝑖) = (𝑎 + 𝑐) + (𝑏 + 𝑑)𝑖 (𝑎 + 𝑏𝑖)(𝑐 + 𝑑𝑖) = (𝑎𝑐 − 𝑏𝑑) + (𝑎𝑑 + 𝑏𝑐)𝑖
33. 100
9
∑ 𝑥𝑖2 ∑𝑥 2
จาก ความแปรปรวนประชากร = 11 จะได้ 100
− (100𝑖) = 11 2
𝑆ประชากร =
∑ 𝑥𝑖2
− 𝑥̅ 2
𝑁
∑ 𝑥𝑖2 ∑ 𝑥𝑖2 + 2 ∑ 𝑥𝑖 𝑥𝑗
100
− 1002
= 11
(∑ 𝑥𝑖 )2 = (𝑥1 + 𝑥2 + … + 𝑥𝑛 )(𝑥1 + 𝑥2 + … + 𝑥𝑛 )
= 𝑥1 2 + 𝑥1 𝑥2 + 𝑥1 𝑥3 + … + 𝑥2 𝑥1 + 𝑥2 2 + 𝑥2 𝑥3 + …
จะเห็นว่า 𝑥1 𝑥2 กับ 𝑥2 𝑥1 จะกลายเป็ น 2𝑥1 𝑥2
𝑥1 𝑥3 กับ 𝑥3 𝑥1 จะกลายเป็ น 2𝑥1 𝑥3 …
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 31
∑ 𝑦𝑖2 − 𝑁𝑦̅ 2
และจากสูตร 𝑆ตั2วอย่าง = (𝑦𝑘 −𝑦̅)
หรือจัดรูปจาก 𝑆ตั2วอย่าง = ∑ 𝑁−1
2
𝑁−1
∑ 𝑦𝑖2 15 ∑ 𝑦 2 ∑ 𝑦𝑘2 − 2𝑦̅ ∑ 𝑦𝑘 + ∑ 𝑦̅ 2
= − 14 ( 15𝑖) =
14 𝑁−1
∑ 𝑦𝑘2 – 2𝑦̅(𝑁𝑦̅) + 𝑁𝑦̅ 2
∑ 𝑦𝑖2 ∑ 𝑦𝑖2 +2 ∑ 𝑦𝑖 𝑦𝑗 =
= − 𝑁−1
14 14∙15 ∑ 𝑦𝑘2 − 𝑁𝑦̅ 2
15 ∑ 𝑦𝑖2 −(∑ 𝑦𝑖2 +2 ∑ 𝑦𝑖 𝑦𝑗 )
=
𝑁−1
= 14∙15
14 ∑ 𝑦𝑖2 −2 ∑ 𝑦𝑖 𝑦𝑗
= 14∙15
14 ∑ 𝑦𝑖2 −2 ∑ 𝑦𝑖 𝑦𝑗
ดังนัน้ 𝑧 แต่ละตัว จะหาได้ จาก 14∙15
โจทย์ถาม 𝑧̅ → ต้ องเอา 𝑧 ทัง้ 100
( 15 ) ตัวมาบวกกัน แล้ วหารด้ วย (100
15
)
เนื่องจาก 𝑦𝑖 แต่ละตัว จะกระจายอยูใ่ น 𝑧 ทัง้ (100 15
) ตัวอย่างเท่าๆกัน ดังนัน้ เราสามารถรวม 𝑦𝑖 ในกลุม
่ ตัวอย่าง
ทัง้ ( 15 ) กลุม่ แล้ วจับกลุม่ ใหม่ให้ เป็ น 𝑥𝑖 ในกลุม่ ประชากร โดยการเทียบสัดส่วนของจานวนพจน์ได้ ดังนี ้
100
15 15∙14
∑𝑧 14 ∙ ∙∑ 𝑥𝑖2 −2∙ ∑ 𝑥𝑖 𝑥𝑗
ดังนัน้ (100
= 100
14∙15
100∙99
15 )
1 1
= ∙ ∑ 𝑥𝑖2 − 2 ∙ ∑ 𝑥𝑖 𝑥𝑗
100 100∙99
99 ∑ 𝑥𝑖2 − 2 ∑ 𝑥𝑖 𝑥𝑗
= 100∙99
11∙1002
จาก (∗)
= 100∙99
100
=
9
37
34. 4
1
3 3 3
หา 𝐵 : ⌊
√𝑥
⌋ คือ การปั ดเศษลงของ
√𝑥
→ จะแบ่ง ⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 ตามค่าต่างๆทีเ่ ป็ นจานวนเต็มของ √3𝑥
0
3 3
จะเห็นว่า เมือ่ 𝑥 ∈ (0, 1) จะได้ √𝑥
≥3 → เมื่อ √𝑥
=3 จะได้ 𝑥=1
3 3 2
เมื่อ √𝑥
=4 จะได้ 𝑥 = (4)
3 3 2
เมื่อ √𝑥
=5 จะได้ 𝑥 = (5)
⋮
32 สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58)
2 2
3 3
1 1 4 5
3 3 3 3
ดังนัน้ ⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 = 2⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 + 2⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 + 2⌊
√𝑥
⌋ 𝑑𝑥 + …
0 3 3 3
4 5 6
2 2
3 3
1 4 5
= 2 3 𝑑𝑥 + 2 4 𝑑𝑥 + 2 5 𝑑𝑥 + …
3 3 3
4 5 6
3 2 3 2 3 2 3 2 3 2
= 3 (1 − ( ) ) + 4 (( ) − ( ) ) + 5 (( ) − ( ) ) + …
4 4 5 5 6
3 2 3 2 3 2 3 2 3 2
= 3(1) − 3( ) + 4( ) −4( ) + 5( ) − 5( ) + …
4 4 5 5 6
3 2 3 2 3 2
= 3 + (4) + (5) + (6) + …
1 1 1
= 3 + 9( 42 + 52
+ 62
+⋯)
โจทย์ถาม 12𝐴 − 𝐵 ดังนัน้ ต้ องจัดรูป 𝐴 ให้ คล้ ายๆกัน จะได้ ตดั กันได้
หา 𝐴 : 112 + 312 + 512 + ⋯ = (112 + 212 + 312 + 412 + 512 + ⋯ ) − (212 + 412 + 612 + ⋯ )
1 1 1 1 1 1 1 1 1
= (12 + 22 + 32 + 42 + 52 + ⋯ ) − 22 (12 + 22 + 32 + ⋯ )
3 1 1 1
= (
4 12
+ 22 + 32 + ⋯ )
3 1 1 1 1 1 1
ดังนัน้ 12𝐴 − 𝐵 = 12 ∙ ( 2 +
4 1 22
+
32
+ ⋯ ) − (3 + 9 (
42
+
52
+
62
+ ⋯ ))
1 1 1 1 1 1
= 9 ( 2+ + + ⋯) −3 −9( + + + ⋯)
1 22 32 42 52 62
1 1 1
= 9 (2 + 2+ ) −3
1 2 32
9 37
= 9 + + 1 − 3 =
4 4
35. 719.5
3002
𝑛𝜋 𝑘𝜋
จะหาทังหมด
้ sin2 (
3003
) ก่อน แล้ วค่อยหักด้ วย sin2 (3003 ) ที่ ห.ร.ม. (𝑘, 3003) ≠ 1
n 1
3002
2𝑛𝜋
สังเกตว่า cos (3003) คล้ ายกับผลบวกของ “รากที่ 3003 ของ 1”
n 1
0
รากที่ 3003 ของ 1 = รากที่ 3003 ของ 1 cis 0
รากตัวแรก = 3003√1 cis 3003 →
= 1 cis 0
2𝜋 4𝜋 2(3002)𝜋
→ รากที่เหลือ = 1 cis 3003 , 1 cis 3003 , … , 1 cis 3003
แต่จากสูตรผลบวกรากของสมการ 𝑧 3003 = 1 จะได้ วา่ รากทัง้ 3003 ตัว ต้ องบวกกันได้ 0
2𝜋 4𝜋 2(3002)𝜋
ดังนัน้ 1 cis 0 + 1 cis 3003 + 1 cis
3003
+ … + 1 cis
3003
= 0
สมาคม ม. ปลาย (พ.ย. 58) 33
2𝜋 4𝜋 2(3002)𝜋
คิดเฉพาะส่วนจริงที่เป็ น cos จะได้ 1 cos 0 + 1 cos 3003 + 1 cos 3003 + … + 1 cos 3003
= 0
3002
2𝑛𝜋
1 + cos (3003) = 0
n 1
3002
2𝑛𝜋
cos (3003) = −1
n 1
3002
𝑛𝜋 3002 1 3003
แทนใน (∗) จะได้ sin2 (3003) = 2
− 2 (−1) = 2
n 1
𝑘𝜋
ถัดมา หัก sin2 (3003 ) ที่ ห.ร.ม. (𝑘, 3003) ≠ 1
เนื่องจาก 3003 = 3 ∙ 7 ∙ 11 ∙ 13 ดังนัน้ 𝑘 ต้ องหารด้ วย 3 หรื อ 7 หรื อ 11 หรื อ 13 ลงตัว
3𝜋 6𝜋 9𝜋 3000𝜋
หารด้ วย 3 ลงตัว → ต้ องหัก sin2 (3003 ) + sin2 (
3003
) + sin2 (
3003
) + … + sin2 (
3003
)
𝜋 2𝜋 3𝜋 1000𝜋
= sin2 (1001) + sin2 (1001) + sin2 (1001) + … + sin2 ( 1001 )
1000
𝑛𝜋
= sin2 ( ) 3002
1001
n 1 ทาแบบเดียวกับที่เคยทา sin2 (3003
𝑛𝜋
) =
3003
2
1001 n 1
= 2
7𝜋 14𝜋 21𝜋 2996𝜋
หารด้ วย 7 ลงตัว → ต้ องหัก sin2 (3003) + sin2 (3003) + sin2 (3003) + … + sin2 ( 3003 )
𝜋 2𝜋 3𝜋 428𝜋
= sin2 (429) + sin2 (429) + sin2 (429) + … + sin2 ( 429 )
428
𝑛𝜋
= sin2 (429)
n 1
429
= 2
3003
283
ทาแบบเดียวกัน จะได้ หารด้ วย 11 ลงตัว → ต้ องหัก 11
2
= 2
3003
231
หารด้ วย 13 ลงตัว → ต้ องหัก 13
2
= 2
21𝜋
แต่จะเห็นว่า มีบางตัวที่โดน “หักซ ้า” (เช่น sin2 (3003) จะโดนหักทัง้ ตอนหาร 3 ลงตัว และ ตอนหาร 7 ลงตัว)
ดังนัน้ จะใช้ หลัก Inclusive – Exclusive เพื่อชดเชยตัวซ ้า จะได้ คาตอบ คือ
หัก หารลงตัว ตัวเดียว รวม หารลงตัว สองตัว หัก หารลงตัว สามตัว
3003 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1
2
(1 − 3 − 7 − 11 − 13 + 3∙7 + 3∙11 + 3∙13 + 7∙11 + 7∙13 + 11∙13 − 3∙7∙11 − 3∙7∙13 − 3∙11∙13 − 7∙11∙13)
เครดิต
ขอบคุณ คุณ Gtr Ping จาก GTRmath สาหรับข้ อสอบครับ
ขอบคุณ เว็บ MathCenter สาหรับเฉลยคาตอบ และวิธีทา