Professional Documents
Culture Documents
เคมี ม.ปลาย เคมีอินทรีย์ PDF
เคมี ม.ปลาย เคมีอินทรีย์ PDF
residue functional
groupgroup
ประเภทของสารประกอบอินทรีย์
ประเภทของสารประกอบอินทรี ย ์ โครงสร้างทัว่ ไป ชื่อของ functional group
1. Hydrocarbon
1.1. Alkane −
1.2 Alkene −
1.3 Alkyne −
1.4 อนุพนั ธ์ของ Benzene aryl group
2. Alcohol R−OH hydroxyl group
3. Ether R−O−R oxy group
4. Amine R−NH 2 amino group
5. Carboxylic acid R−COOH carboxylic group
6. Ester R−COO−R oxycarbonyl group
7. Amide R−CONH 2 amide group
8. Aldehyde R−CHO carboxaldehyde group
9. Ketone R−CO−R carbonyl group
10. Alkyl Halides R-X (เมื่อ X คือ F, Cl, Br, I)
1
Isomerism
ไอโซเมอร์ ริซึม (Isomerism) หมายถึง ปรากฎการณ์ท่ีสารประกอบมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่มีโครงสร้างไม่
เหมือนกัน ทําให้มีคุณสมบัติท้ งั ทางเคมีและทางกายภาพต่างกัน เราเรี ยกสารเหล่านี้วา่ เป็ น “ไอโซเมอร์” (Isomer) กัน
สิ่ งสําคัญที่จะต้องใช้เพือ่ ตรวจสอบความเป็ นไอโซเมอร์ของสารประกอบคาร์บอน
1. สูตรโมเลกุลเหมือนกันหรื อไม่
2. สูตรโครงสร้างเหมือนกันหรื อไม่
Double bond equivalent (DBE)
หรื อค่า degree of unsatturationคํานวณได้จากสมการต่อไปนี้
H X N
DBE = C − − + +1
2 2 2
โดยสรุปความหมายของ1DBE จะมีค่าเท่ ากับการมีพนั ธะคู่ 1 คู่ หรือ วงปิ ด 1 วง เพิม่ ขึน้ มาในโครงสร้ าง
การเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพของสารประกอบอินทรีย์
สมบัติทางกายภาพโดยทัว่ ไป หมายถึง สถานะ จุดเดือด จุดหลอมเหลว และ ความสามารถในการละลายเป็ นต้น
ซึ่งสมบัติต่างๆ ดังกล่าว ล้วนเป็ นผลมาจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลทั้งสิ้น ดังนั้นสารประกอบอินทรี ยจ์ ึงสามารถ
จัดแบ่งประเภทได้ 3 ประเภทตามแรงยึดเหยีย่ วระหว่างโมเลกุล และเรี ยงลําดับจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากไป
น้อยของโมเลกุลที่มีขนาดเท่าๆ กัน ได้ดงั ต่อไปนี้
1. กลุ่มที่สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุลได้ : amide > carboxylic > alcohol > amine เพราะมีตาํ แหน่ง
ในการเกิดพันธะไฮโดรเจนได้มากกว่า
2. กลุ่มที่เป็ นโมเลกุลมีข้ วั สูง เกิดแรงระหว่างขั้วยึดเหนี่ยวกัน : ketone > aldehyde > ester > ether เพราะความเป็ นขั้ว
ที่ต่างกันโดยลดลงตามลําดับ
3. กลุ่มที่มีข้ วั ตํ่า หรื อไม่มีข้ วั ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงลอนดอน : alkyne > alkane > alkene เพราะรู ปร่ างที่แตกต่างกัน ทํา
ให้พ้ืนที่ผิวที่ยดึ ติดกันมีไม่เท่ากัน
ส่วนความสามารถในการละลายนํ้านั้น สารในกลุ่มที่ 1 และ 2 สามารถละลายนํ้าได้ดีเมื่อมีขนาดโมเลกุลเล็ก
และความสามารถในการละลายนํ้าจะค่อยๆ ลดลงไปเมื่อขนาดของโมเลกุลใหญ่ข้ ึนเรื่ อยๆ ส่วนโมเลกุลที่เป็ นกิ่งจะมีแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลตํ่ากว่าโมเลกุลที่เป็ นเส้นตรง เพราะการอัดตัวกันเป็ นไปได้ยากกว่าจึงเป็ นผลให้โมเลกุลที่มีก่ิงมาก
ละลายนํ้าได้ง่ายขึ้น และ มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวตํ่าลง
2
การเปรียบเทียบสมบัติทางเคมีของสารประกอบอินทรีย์
การ
ชนิดของสาร สูตรทัว่ ไป โครงสร้างทัว่ ไป การเรี ยกชื่อ ปฏิกิริยาเคมี
เผาไหม้
สามารถฟอกสี โบรมีนได้ในที่สว่างโดยเกิดปฏิกิริยา
Alkane C n H2n+2 -ane ไม่มี การแทนที่ได้กรดเป็ นผลิตภัณฑ์
เขม่า
มีเขม่า
2. สามารถฟอกสี KMnO 4 โดยเกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชันโดยจะได้ตะกอนสี น้ าํ ตาลของ MnO 2
Cyclolkyne - Alkyne วงปิ ด Cyclo- -yne คล้ายกับกรณี ของ Alkene แต่จะเกิดปฏิกิริยาได้ดีกว่า
สามารถเกิดปฏิกิริยาแทนที่ได้ในระบบที่มีตวั เร่ ง
ปฏิกิริยาในสภาวะที่เหมาะสม เช่น
มีเขม่า
Aromatic Ar- -
มาก
3
ประเภทสาร ลักษณะหมู่ฟังก์ชนั การเรี ยกชื่อ คุณสมบัติ/ปฏิกิริยาเคมี/ประโยชน์
1. มีจุดเดือดสูงกว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทัว่ ไป เพราะโมเลกุล
แอลกอฮอล์ ไฮดรอกซี สามารถเกิดพันธะไฮโดรเจนได้
ลงท้ายด้วย
(alcohols) (hydroxyl) 2. สามารถเป็ นกรดทางทฤษฎีได้โดยการทําปฏิกิริยากับโลหะโซเดียม
– ol
R-OH (Na) แต่เป็ นกรดที่อ่อนมากๆ และไม่เปลี่ยนสี ของลิตมัส
1. จุดเดือดสูงกว่าแอลกอฮอล์เพราะสามารถเกิดพันธะไฮโรเจนได้
มากกว่า
2. มีฤทธิ์เป็ นกรด เปลี่ยนสี กระดาษลิตมัสได้
กรดอินทรีย์ 3. สามารถทําปฏิกิริยากับ Na และ NaHCO 3
คาร์บอกซิล
(carboxylic ลงท้ายด้วย
(carboxyl)
acid) - oic acid
R-COOH
4. สามารถทําปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ได้เอสเทอร์ (Esterification)
อ่านเหมือน
แอลดีไฮด์ คาร์บอกซาลดีไฮด์ 1. สามารถทําปฏิกิริยากับสารละลายเบเนดิกต์ได้ได้ตะกอนสี
alkane
(aldehyde) (carboxaldehyde) นํ้าตาลแดงของ Cu 2 O
แต่ตดั e ออก
R-CO-H 2. ละลายนํ้าได้เล็กน้อย นิยมใช้เป็ นตัวทําละลายและยาดองศพ
แล้วเติม - al
4
อ่านเหมือน
คีโตน คาร์บอนิล นิยมใช้เป็ นตัวทําละลาย และทั้งแอลดีไฮด์และคีโตนมีจุดเดือดมากกว่า
alkane
(ketone) (carbonyl) สารประกอบไฮโดรคาร์บอนทัว่ ไป แต่ไม่มากกว่าแอลกอฮอล์ เพราะ
แต่ตดั e ออก
R-CO-R’ เนื่องจากไม่มีพนั ธะไฮโดรเจน
แล้วเติม - one
นําหน้าด้วย
1. จุดเดือดสูงกว่าไฮโดรคาร์บอนทัว่ ไปเพราะมีพนั ธะไฮโดรเจน
amino
2. มีฤทธิ์เป็ นเบส (เปลี่ยนกระดาษลิตมัสจากสี แดงเป็ นสี น้ าํ เงิน)
เอมีน อะมิโน (amino) ลงท้ายตาม
(amine) R--NH2 ชนิดของ
3. การเกิดเอไมด์
สารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอ
น
อ่านเหมือน
กรดอินทรี ยแ์ ต่
1. จุดเดือดสูงเนื่องจากมีพนั ธะไฮโดรเจน
ตัด
เอไมด์ เอไมด์ (amide) 2. สามารถเกิดปฏิกิยาไฮโดรไลซิส โดยมีกรดหรื อเบสเป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
– oic acid
(amide) R-CONR’R’’ ได้กรดอินทรี ยแ์ ละเอมีน
ออก
3. สารประกอบเอไมด์และเอมีนสามารถละลายนํ้าได้เล็กน้อย
แล้วเติม
amide เข้า
แทน
1.
2.
3.
4.
5
2. สารอินทรี ยท์ ี่มีสูตรโมเลกุลเป็ น C 3 H 6 O ที่ไม่ทาํ ปฏิกิริยากับโลหะ Na มีก่ีชนิด
1. 2 2. 3 3. 4 4. 5
1. 2.
3. 4.
5. ตารางผลการทดสอบสารอินทรี ย ์
สารอินทรี ย ์ สารที่ใช้ทดสอบ
นํ้า NaHCO 3 Na NaOH(ต้ม) Br 2 ใน CCl 4
(ในที่มืด)
A ไม่ละลาย ไม่เกิด CO 2 ไม่เกิด H 2 ไม่เกิดปฏิกิริยา Br 2 สี จางลง
B ละลาย เกิด CO 2 เกิด H 2 เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลี่ยน
C ละลาย ไม่เกิด CO 2 เกิด H 2 ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลี่ยน
D ละลาย ไม่เกิด CO 2 ไม่เกิด H 2 เกิดปฏิกิริยา ไม่เปลี่ยน
ข้อใดระบุช่ือสารได้สอดคล้องกับผลการทดลอง
A B C D
1. Cyclohexane Propanoic acid Ethanol Methyl ethanoate
2. Cyclohexane Propanol Ethane Propene
6
3. Hexanoic acid Propane Ethanoic acid Propanol
4. Hexanol Propene Ethyl acetate Propanoic acid