Professional Documents
Culture Documents
โมเลกุลอะตอมคู ⇒ เสนตรง
โมเลกุลที่มี > 3 อะตอมขึ้นไป
⇒ หลายรูปราง: เสนตรง, มุมงอ, …
และจะมี อะตอมกลาง อยางนอย 1 อะตอม
“อะตอมกลาง” หมายถึงอะตอมที่สรางพันธะกับอะตอมอื่น
อยางนอย 2 อะตอม
ทฤษฎีพันธะเวเลนซ:
อะตอมกลางในโมเลกุลใด ๆ จะสรางพันธะดวยออรบิทัล
ของอะตอม (คือ s-, p-, d- หรือ f-ออรบิทัล) โดยตรงไมได
จะตองนําออรบิทัลเหลานัน้ มาสรางเปนไฮบริดออรบิทัล
(hybrid orbital) กอน
1
กระบวนการที่ออรบิทัลอะตอมรวมตัวกันเปน
ออรบิทัลใหมหรือไฮบริดออรบิทัลนีเ้ รียกวา
ไฮบริไดเซชัน (hybridization)
ออรบิทัลใหมที่เกิดขึ้นมี
- รูปรางตางไปจากเดิม
- มีพลังงานเปลี่ยนไป
- แตมีจํานวนเทาเดิม
ไฮบริดออรบิทัลที่ไดจะมี
- รูปรางเหมือนกัน
- ขนาดเทากัน และ
- มีพลังงานเทากันหมด
โดยทั่วไป ออรบิทัลอะตอมที่จะนํามาผสมกันเปน
ไฮบริดออรบิทัล ก็คอื เวเลนซออรบทิ ัล (valence orbital)
2
การเกิดไฮบริดออรบิทัลเมื่อ s และ p อยางละ 1 ออรบิทัล
รวมกันเปนออรบิทัลใหม 2 ออรบิทลั เรียกวา
sp ไฮบริดออรบิทัล
ไฮบริไดเซชันเปนผลมาจากการคํานวณตาม
หลักการของทฤษฎีกลศาสตรควอนตัมโดย
นําฟงกชันคลื่นของออรบิทัลมารวมกันใน
เชิงคณิตศาสตร แลวหารูปรางของออรบิทัล
sp ไฮบริดออรบิทัลมีรูปรางเปนเสนตรง คือ
มุมระหวางออรบิทัลทั้งสองเทากับ 180o
รูปรางโมเลกุล : VSEPR
3
___ ___ ___ 2p ___ ___ 2p
___ ___ sp-ไฮบริดออรบิทัล
___ 2s
___ 1s ___ 1s
กอนสราง หลังสราง
ระดับพลังงานเปลี่ยนแปลง ทําให
- การจัดอิเล็กตรอนเปลี่ยน และ
- จํานวนอิเล็กตรอนเดี่ยวอาจเปลี่ยน
กอนสราง หลังสราง
sp-ไฮบริดออรบิทัลมีพลังงานอยูระหวาง
s- และ p- เดิม
p-ออรบิทัล (2 ออรบิทัล) ที่ไมไดเขารวมใน
ไฮบริไดเซชันมี พลังงานคงเดิม
4
s-ออรบิทัล กับ 2p-ออรบิทัล 2 ออรบิทัล
ไดไฮบริดออรบิทัล 3 ออรบิทัล ซึ่งเรียกวา
sp2-ไฮบริดออรบิทัล
5
s-ออรบิทัล กับ p-ออรบทิ ัล 3 ออรบทิ ัล
ได sp3-ไฮบริดออรบิทัล จํานวน 4 ออรบิทัล
มีรูปรางเปนรูปทรงสี่หนา (tetrahedron)
และมุมระหวางไฮบริดออรบิทัลแตละคู = 109.5o
หลักการใชไฮบริดออรบทิ ัลอธิบายการเกิดพันธะในโมเลกุล
ตองทราบโครงสรางของโมเลกุลกอน แลวจึงเลือก
ไฮบริดออรบิทัลที่มีรูปรางใกลเคียงกับรูปรางของโมเลกุล
มากที่สุดเปนออรบิทัลทีอ่ ะตอมกลางใชในการสรางพันธะ
กับอะตอมอืน่
6
โมเลกุล BeCl2 มีรูปรางเปนเสนตรง
Be เปนอะตอมกลาง และพันธะ Be−Cl ทั้งสองยาวเทากัน
___ ___ ___ 2p
Cl Be Cl
↑↓ 2s
Be
↑↓ 1s
กอนสราง
ไฮบริดออรบิทัลที่มีรูปรางคลายโมเลกุลนี้ที่สุด คือ ?
sp-ไฮบริดออรบิทัล
7
___ ___ ___ 2p ___ ___ 2p
↑ ↑ sp-ไฮบริดออรบิทัล
↑↓ 2s
↑↓ 1s ↑↓ 1s
กอนสราง หลังสราง
พันธะที่เกิดจากการซอนเหลื่อมของ sp-ไฮบริดออรบิทัล
กับ 3p-ออรบิทัลเหมือนกัน ทําใหพันธะยาวเทากัน
8
โมเลกุล BF3 มีรูปรางเปนระนาบสามเหลี่ยม
มี B เปนอะตอมกลางและพันธะทั้งสามยาวเทากัน
↑ 2p
↑↓ 2s
B
↑↓ 1s
กอนสราง
อะตอมกลางควรเลือกสราง sp2-ไฮบริดออรบิทัล
เพราะมีรูปรางใกลเคียงกับรูปรางโมเลกุลที่สุด
การจัดอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปดังนี้
↑ 2p 2p
↑ ↑ ↑ sp2-ไฮบริดออรบิทัล
↑↓ 2s
↑↓ 1s ↑↓ 1s
กอนสราง หลังสราง
9
อิเล็กตรอนเดี่ยว 3 ตัวใน sp2-ไฮบริดออรบิทัล
ทําให B สรางพันธะได 3 พันธะกับ F 3 อะตอม
การสรางพันธะในโมเลกุล CH4
↑ ↑ 2p
รูปรางเปนทรงสี่หนา
↑↓ 2s C ใชไฮบริดออรบิทัลอะไร
C
↑↓ 1s
กอนสราง
10
C ใช sp3-ไฮบริดออรบิทลั
เมื่อสรางไฮบริดออรบิทลั แลว C มีอิเล็กตรอนเดี่ยว 4 ตัว
↑ ↑ 2p
↑ ↑ ↑ ↑ sp3-ไฮบริดออรบิทัล
↑↓ 2s
↑↓ 1s ↑↓ 1s
กอนสราง หลังสราง
ไฮโดรเจนและเฮโลเจนทุกธาตุตางก็มอี ิเล็กตรอนเดี่ยวเพียงตัวเดียว
ในอะตอม จึงสรางพันธะโคเวเลนตไดเพียง 1 พันธะ
(ยกเวนเมือ่ เฮโลเจนเปนอะตอมกลาง)
พันธะในโมเลกุล CH3Cl, CH2Cl2, CHCl3 และ CCl4
จึงเกิดขึน้ ในลักษณะเดียวกัน
11
CH3Cl, CH2Cl2, CHCl3 และ CCl4
C สรางพันธะเดี่ยว 4 พันธะดวย
sp3-ไฮบริดออรบิทัลเหมือนกัน
12
ขอสังเกตนี้เปนจริงในโมเลกุลอื่นทุกชนิดที่คารบอนสราง
พันธะเดี่ยว เชน ในอีเทน (CH3CH3) คารบอนทั้งสองอะตอม
สรางพันธะเดี่ยว 4 พันธะเหมือนกันดวย sp3-ไฮบริดออรบิทลั
ในไฮโดรคารบอนอิ่มตัวชนิดอื่น ๆ พันธะของคารบอนก็เปนเชนเดียวกัน
โมเลกุล NH3
↑ ↑ ↑ 2p
มี 3 ออรบิทลั วาง
↑↓ 2s สรางได 3 พันธะ จริง
รูปราง สามเหลี่ยมแบนราบ
↑↓ 1s
ไมจริง
กอนสราง
13
โมเลกุล NH3 มีรูปรางเปนพีระมิดฐานสามเหลี่ยม
มี N เปนอะตอมกลาง ไฮบริดออรบทิ ัลที่มีรูปรางใกลเคียงกับ
รูปรางโมเลกุลที่สุดคือ sp3 และ
N สรางพันธะเดี่ยว 3 พันธะ แสดงวาไฮบริดออรบิทัล
จะตองมีอิเล็กตรอนเดี่ยว 3 ตัว
↑ ↑ ↑ 2p
↑↓ ↑ ↑ ↑ sp3-ไฮบริดออรบิทัล
↑↓ 2s
↑↓ 1s ↑↓ 1s
กอนสราง หลังสราง
14
จากการทดลองพบวามุมพันธะทั้งสามมุมของโมเลกุลนี้
มีคาเทากัน คือ 107.3o ซึง่ เล็กกวามุมระหวาง
sp3-ไฮบริดออรบิทัลเดิม(109.5o)
15
H2O มีรูปรางเปนมุมงอและมีมมุ พันธะ 104.5o
ไฮบริดออรบิทัลที่เหมาะสมคือ sp3 เชนเดียวกับใน NH3
↑↓ 1s
104.5°
104.5°
แรงผลักจากอิเล็กตรอนคูโ ดดเดี่ยว 2 คูทําให
อิเล็กตรอนคูร วมพันธะถูกผลักใหเขาใกลกนั
และทําใหมุมพันธะ < 109.5o และ < มุมพันธะใน NH3
16
โมเลกุลของฟอรมลั ดีไฮด(CH2=O) มีโครงสราง
เปนรูปสามเหลี่ยมระนาบและมีพันธะคูระหวาง C กับ O ดังนี้
H
c O
H
↑↓ 1s ↑↓ 1s
กอนสราง หลังสราง
17
พันธะ σ เกิดขึ้นโดยการซอนเหลือ่ มในแนวตรง
ของไฮบริดออรบิทัลดังรูป
C O
2p-ออรบิทัลที่เหลือมีอิเล็กตรอนเดี่ยว
สรางพันธะ π กับ 2p-ออรบิทัลที่มีอิเล็กตรอนเดี่ยว
ของออกซิเจนได
18
CH2O
O2
O สรางพันธะเชนเดียวกับเมือ่ อยูในโมเลกุล O2
19
CH2=CH2
CH2O
เปรียบเทียบความเหมือน
H−C≡N:
ตามทฤษฎีพนั ธะเวเลนซ คารบอนซึ่งเปนอะตอมกลางควรสราง
พันธะดวย sp-ไฮบริดออรบิทัลซึ่งมีลกั ษณะเปนเสนตรงเชนกัน
จากสูตรโครงสรางจะเห็นวา C ตองมีอิเล็กตรอนเดี่ยว 4 ตัว
จึงจะสรางพันธะไดครบ
การจัดอิเล็กตรอนหลังจากที่สรางไฮบริดออรบิทลั แลวจึงเปนดังนี้
20
↑ ↑ 2p
↑ ↑ sp-ไฮบริดออรบิทัล
↑↓ 1s
พันธะทั้งหมดในโมเลกุลนี้ จึงเกิดขึ้นดังภาพ
21
HCN
N2
N สรางพันธะเชนเดียวกับเมือ่ อยูในโมเลกุล N2
CH≡CH
พันธะในโมเลกุลของอะเซทิลีน(C2H2)
ซึ่งมีรูปรางเปนเสนตรงก็เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน
22
โมเลกุล CO2 ซึ่งมีรูปรางเปนเสนตรง อะตอมกลาง คือ
C ก็ตองใชไฮบริดออรบทิ ัลแบบ sp เชนเดียวกับใน C2H2
พันธะโคออรดิเนตโคเวเลนต
พันธะโคเวเลนต : การซอนเหลื่อมของออรบิทัลที่มี
อิเล็กตรอนเดี่ยว ทําใหมีการใชอิเล็กตรอนรวมกัน 1 คู
แตการใชอิเล็กตรอนรวมกัน 1 คู ก็อาจเกิดจากออรบิทัลที่มี
2 อิเล็กตรอนซอนเหลื่อมกับออรบิทลั ที่ไมมอี ิเล็กตรอนเลยได
23
พันธะที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้เรียกวา
พันธะโคออรดิเนตโคเวเลนต (coordinate covalent bond)
เชน เมือ่ NH3 หรือ H2O ทําปฏิกิริยากับ H+ กลายเปน
NH4+ หรือ H3O+ ไอออน ตามลําดับ
พันธะโคออรดิเนตโคเวเลนตในบางโมเลกุลเกิดขึน้ จาก
การซอนเหลือ่ มทางดานขาง เชน ในโมเลกุล CO
24
↑ ↑ 2p C มีอิเล็กตรอนเดี่ยว 2 ตัวใน 2p-ออรบิทลั
และมี 2p-ออรบิทัลวาง 1 ออรบิทัล
↑↓ 2s สวน O มีอิเล็กตรอนเดี่ยว 2 ตัวและ
2p อีกออรบิทลั หนึ่งมีอิเล็กตรอน 2 ตัว
↑↓ 1s จึงเกิดพันธะโคเวเลนต 2 พันธะ (σ + π)
และพันธะโคออรดิเนตโคเวเลนต
กอนสราง
1 พันธะ(π)
25
ทฤษฎีออรบิทัลโมเลกุล
26
การรวมออรบิทัลของอะตอม
เมื่อไฮโดรเจน 2 อะตอมรวมตัวกันเปนโมเลกุล
การซอนเหลือ่ มในแนวตรงของ 1s-ออรบิทัล
จะทําใหเกิดออรบิทัลโมเลกุล 2 ออรบทิ ัล
1. ออรบิทัลโมเลกุลแบบสรางพันธะ
(bonding molecular orbital หรือ BMO แทนดวย σ1s)
ซึ่งมีพลังงานต่ํากวาออรบิทัลอะตอมเดิม และ
2. ออรบิทัลโมเลกุลแบบตานพันธะ
(antibonding molecular orbital หรือ AMO แทนดวย σ*1s)
ซึ่งมีพลังงานสูงกวาออรบิทัลอะตอมเดิม
ถาอิเล็กตรอนอยูในออรบิทัลโมเลกุลแบบสรางพันธะ
โมเลกุลจะเสถียร
แตถามีอิเล็กตรอนอยูในออรบิทัลโมเลกุลแบบตานพันธะ
โมเลกุลจะไมเสถียร
27
แผนภาพระดับพลังงานของออรบิทลั โมเลกุลและ
การจัดอิเล็กตรอนในโมเลกุล H2 และรูปรางของ
ออรบิทัลโมเลกุลที่เกิดขึน้ เปนดังนี้
σ∗1S
1s 1s
σ1S
σ∗1S
σ1S
จากรูปรางของออรบิทัลโมเลกุล
ถามีอิเล็กตรอนอยูในออรบิทัล σ1s ความหนาแนนอิเล็กตรอน
ในบริเวณระหวางนิวเคลียสทั้งสองจะสูงและดึงดูดใหอะตอม
ทั้งสองอยูรวมกันได
28
แตถามีอิเล็กตรอนอยูในออรบิทัล σ1s*
ซึ่งมีความหนาแนนอิเล็กตรอนต่ําในบริเวณระหวางนิวเคลียส
แรงผลักระหวางนิวเคลียสจะทําใหโมเลกุลไมเสถียร
σ∗1S
σ1S
อันดับพันธะและเสถียรภาพของโมเลกุล
เสถียรภาพของโมเลกุลจะขึ้นอยูกับวาอิเล็กตรอนที่เขาอยูใน
ออรบิทัลโมเลกุลแบบสรางพันธะมีจํานวนมากกวาหรือ
เทากับอิเล็กตรอนที่เขาอยูในออรบิทัลแบบตานพันธะ
29
ถาอิเล็กตรอนเขาอยูในออรบิทัลโมเลกุลแบบสรางพันธะ
โมเลกุลจะเสถียรกวาอะตอมเดิมเพราะออรบิทัลโมเลกุลมี
ระดับพลังงานต่ํากวาออรบิทัลอะตอม
แตถามีอิเล็กตรอนอยูในออรบิทัลโมเลกุลแบบตานพันธะ
ก็มีแนวโนมจะทําใหโมเลกุลมีเสถียรภาพลดลง
30
ในกรณี H2
อันดับพันธะ = (2-0) / 2 = 1
ดังนั้น โมเลกุลของ H2 จึงเสถียร
พิจารณาการรวมตัวกันของ He 2 อะตอม:
He มี 1s-ออรบิทัล
ดังนั้น เมื่อรวมกันจะได σ1s และ σ1s* และ
มี e- รวมเทากับ 4 ตัว
จึงมีการจัดอิเล็กตรอนเปน σ1s2 σ 1s*2 ดังรูป
σ∗1S
1s 1s
σ1S
31
อันดับพันธะ = (2 – 2) / 2 = 0
นั่นคือ พันธะไมเสถียร
การจัดอิเล็กตรอนในโมเลกุล
32
- ออรบิทัลโมเลกุลแบบสรางพันธะ(σ2s) และ
- ออรบทิ ัลโมเลกุลแบบตานพันธะ(σ2s*)
และอิเล็กตรอนจะเขาอยูใ นออรบิทัลโมเลกุลเหลานี้
33
Be2 มีอันดับพันธะ = 0 ⇒ ไมเสถียร
34
σ∗Z
σ∗Z
2pz 2pz
σZ
σZ
(ก) การรวมแบบ σ
π∗x
π∗x
2px 2px
πx
πx
(ข) การรวมแบบ π
pz-ออรบิทัลของทั้งสองอะตอมเขารวมกันในแนวตรง
ไดออรบิทัลโมเลกุล 2 ออรบิทัล คือ σz และ σ z*
35
ระหวางอะตอมในคาบเดียวกัน ระดับพลังงานของ
ออรบิทัลเหลานี้มีคาไมแตกตางกันนัก แตการเรียงลําดับ
พลังงานอาจแตกตางกัน
การเรียงลําดับพลังงานของออรบิทัลโมเลกุลที่ไดจาก
การรวมตัวของ 2p-ออรบทิ ัลของธาตุในคาบที่สอง เปนดังภาพ
การเรียงลําดับพลังงานของออรบิทัลโมเลกุล
ที่ไดจากการรวมตัวของ 2p-ออรบิทัล
σ*z σ*z
π*x π*y π*x π*y
σz πx πy
πx πy σz
36
สรุป
สําหรับโมเลกุลอะตอมคูข องธาตุในคาบที่สอง(ยกเวนออกซิเจน
ฟลูออรีน และนีออน) ออรบิทัลโมเลกุลมีพลังงานสูงขึ้นตาม
ลําดับดังนี้
σ1s < σ1s* < σ2s < σ2s* < πx = πy < σz < πx* = πy* < σz*
σ1s < σ1s* < σ2s < σ2s* < σz < πx = πy < πx* = πy* < σz*
37
โมเลกุล การจัดอิเล็กตรอน อันดับพันธะ
Li2 2 * 2 2 1
σ1s σ1s σ2s
Be2 2 * 2 2 * 2 0
σ1s σ1s σ2s σ 2s
B2 2 * 2 2 * 2 1 1 1
σ1s σ1s σ2s σ 2s πx πy
C2 2 * 2 2 * 2 2 2 2
σ1s σ1s σ2s σ 2s πx πy
N2 2 * 2 2 * 2 2 2 2 3
σ1s σ1s σ2s σ 2s πx πy σz
O2 2 * 2 2 * 2 2 2 2 *1 * 1 2
σ1s σ1s σ2s σ 2s σz πx πy π x π y
F2 2 * 2 2 * 2 2 2 2 *2 * 2 1
σ1s σ1s σ2s σ 2s σz πx πy π x π y
Ne2 2 * 2 2 * 2 2 2 2 *2 * 2 *2 0
σ1s σ1s σ2s σ 2s σz πx πy π x π y σz
สําหรับอะตอมคูที่ประกอบดวยธาตุตางชนิดกัน
วิธีการสรางออรบิทัลโมเลกุล การจัดอิเล็กตรอน
และการคํานวณอันดับพันธะก็ใชวิธีการเดียวกับที่กลาวมา
38
โมเลกุล CO และไอออน CN- มีจํานวนอิเล็กตรอนรวมเทากัน
และเทากับในโมเลกุล N2 พอดี จึงมีการจัดอิเล็กตรอนใน
ออรบิทัลโมเลกุลและอันดับพันธะเทากับของ N2
สําหรับโมเลกุลที่มอี ิเล็กตรอนรวมกันเปนจํานวนคี่
อันดับพันธะอาจมีคาไมเปนเลขจํานวนเต็มก็ได เชน
โมเลกุล NO มีอิเล็กตรอนรวม 7 + 8 = 15 ตัว
มีการจัดอิเล็กตรอนในออรบิทัลโมเลกุลเปนดังนี้
2 * 2 2 * 2 2 2 2 *1
σ1s σ 1s σ2s σ 2s σz πx πy π x
39
Delocalized molecular orbitals are not confined between
two adjacent bonding atoms, but actually extend over three
or more atoms.
40
แรงระหวางโมเลกุล
(Intermolecular Forces)
แรงดึงดูดระหวางโมเลกุลหรือแรงระหวางโมเลกุล
เปนสาเหตุที่ทําใหแกสควบแนนเปนของเหลวและแข็งตัวเปนผลึกได
แบงออกเปน 2 ประเภท คือ พันธะไฮโดรเจน และแรงแวนเดอรวาลส
41
พันธะไฮโดรเจน
X−H----Y
42
O O
N
O
ระหวางโมเลกุลของน้ํา ระหวางน้ํากับแอมโมเนีย
ตัวอยางโมเลกุลที่สรางพันธะไฮโดรเจนไดแก
ไฮโดรเจนฟลูออไรด(HF) น้ํา(H2O) และแอมโมเนีย(NH3)
ซึ่งมีผลทําใหของเหลวทั้งสามชนิดนีม้ ีจุดเดือดสูงผิดปรกติ
เมื่อเทียบกับสารประกอบจําพวกเดียวกัน
43
500
400 H2 O
HF H2Te
จุดเดือดปกติ / K 300
H2 S H 2 Se SbH3
NH3 AsH HI
HCl HBr 3
SnH
GeH4 Xe Rn
4
200 PH3
SiH4
CH4 Kr
100 Ar
He Ne
0
1 3 5 7
เลขคาบของอะตอมกลาง
พันธะไฮโดรเจนมีความแข็งแรงเพียงประมาณ 5 - 10 %
ของพันธะโคเวเลนตปรกติเนื่องจากอะตอม H และ Y
อยูหางกันมากกวาความยาวของพันธะโคเวเลนตทั่วไป
44
แรงแวนเดอรวาลส
(van der Waals forces)
δ−
δ + −
δ δ+ −
δ O+
δ−
H Cl H Cl H δ H
Cl− H+ O+
δ δ δ
H H
45
แรงขั้วคู-ขั้วคูเหนี่ยวนํา (dipole-induced dipole)
เปนแรงดึงดูดระหวางโมเลกุลมีขั้วกับโมเลกุลไมมขี ั้ว
เมื่อโมเลกุล 2 ชนิดนี้เขาใกลกนั ขั้วคูของโมเลกุลมีขั้ว
สามารถเหนี่ยวนําใหเกิดขั้วออนขึน้ ในโมเลกุลไมมีขั้ว
ทําใหดึงดูดกันไดแตไมแข็งแรงนัก เชน แรงดึงดูด
ระหวางโมเลกุล HCl กับโมเลกุล N2
46
การเคลื่อนทีข่ อง e- รอบ ๆ นิวเคลียสบางขณะทําใหกลุม หมอก e-
มีความหนาแนนไมสม่ําเสมอกัน แตละโมเลกุลจึงเกิดขั้วขึ้นได
ในชวงเวลาสั้น ๆ เมือ่ ผานชวงเวลานีไ้ ปแลว e- จะเปลี่ยน
ตําแหนงใหม และอาจเกิดขั้วคูใหมในทิศทางที่ตางจากเดิม
ขั้วคูที่เกิดขึ้นชั่วขณะในโมเลกุลเหลานี้ทําใหเกิดแรงดึงดูด
(หรือแรงผลัก)อยางออนระหวางกันได ยิ่งโมเลกุลมี e- มาก
โอกาสที่จะเกิดขั้วคูชั่วขณะก็มีมากและโมเลกุลก็มักดึงดูดกันไดดีขึ้น
แรงแผกระจายระหวางโมเลกุล Ar
โมเลกุลดึงดูดกัน โมเลกุลผลักกัน
47