Professional Documents
Culture Documents
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ม.5
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ม.5
คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร์ ม.5
รายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร
ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ ๕
ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
จัดทําโดย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
(นางพรพรรณไวทยางกูร)
ผูอํานวยการสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
คําชี้แจง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดจัดทําตัวชี้วัดและสาระ
การเรี ย นรู แ กนกลาง กลุ ม สาระการเรี ย นรู ค ณิ ต ศาสตร ( ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง พ.ศ. ๒๕๖๐ )
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีจุดเนนเพื่อตองการพัฒนา
ผูเรียนใหมีความรูความสามารถที่ทัดเทียมกับนานาชาติ ไดเรียนรูคณิตศาสตรที่เชื่อมโยงความรู
กับกระบวนการ ใชกระบวนการสืบเสาะหาความรูและแกปญหาที่หลากหลาย มีการทํากิจกรรม
ดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหผูเรียนไดใชทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตรและทักษะแหง
ศตวรรษที่ ๒๑ สสวท. จึงไดจัดทําคูมือครูประกอบการใชหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๕ ที่เปนไปตามมาตรฐานหลักสูตร เพื่อเปนแนวทางใหโรงเรียนนําไปจัดการเรียน
การสอนในชั้นเรียน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๕ นี้ ประกอบดวยเนื้อหาสาระ
ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรี ยน การวัดผลประเมินผล
ระหว างเรี ยน การวิ เคราะห ความสอดคลองของแบบฝกหั ดทายบทกั บจุ ดมุงหมายประจําบท
ความรู เพิ่ มเติ มสํ า หรั บ ครู ซึ่ ง เป นความรู ที่ ค รู ค วรทราบนอกเหนื อจากเนื้ อหาในหนั งสื อ เรี ย น
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทพรอมเฉลย รวมทั้งเฉลยแบบฝกหัด ซึ่งครูผูสอนสามารถนําไปใช
เปนแนวทางในการวางแผนการจัดการเรียนรูใหบรรลุจุดประสงคที่ตั้งไว โดยสามารถนําไปจัด
กิจกรรมการเรียนรูไดตามความเหมาะสมและความพรอมของโรงเรียน ในการจัดทําคูมือครูเลมนี้
ไดรับความรวมมือเปนอยางดียิ่งจากผูทรงคุณวุฒิ คณาจารย นักวิชาการอิสระ รวมทั้งครูผูสอน
นักวิชาการ จากสถาบัน และสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จึงขอขอบคุณมา ณ ที่นี้
สสวท. หวังเปนอยางยิ่งวาคูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร เลมนี้ จะเปนประโยชน
แก ผู ส อน และผู ที่ เ กี่ ย วข อ งทุ ก ฝ า ย ที่ จ ะช ว ยให จั ด การศึ ก ษาด า นคณิ ต ศาสตร ไ ด อ ย า งมี
ประสิทธิภาพ หากมีขอเสนอแนะใดที่จะทําใหคูมือครูเลมนี้มีความสมบูรณยิ่งขึ้น โปรดแจง
สสวท. ทราบดวย จะขอบคุณยิ่ง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
กระทรวงศึกษาธิการ
แนะนําการใชคูมือครู
ในหนังสือเลมนี้แบงเปน 3 บท ตามหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษา
ปที่ 5 โดยแตละบทจะมีสวนประกอบ ดังนี้
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรูและปฏิบัติได รวมทั้งคุณลักษณะของผูเรียนในแตละ
ระดับชั้น ซึ่งสะทอนถึงมาตรฐานการเรียนรู มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเปน
รูปธรรม นําไปใชในการกําหนดเนื้อหา จัดทําหนวยการเรียนรู จัดการเรียนการสอน
และเปนเกณฑสําคัญสําหรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผูเรียน
จุดมุงหมาย
เปาหมายที่นักเรียนควรไปถึงหลังจากเรียนจบบทนี้
ความรูกอนหนา
ความรูที่นักเรียนจําเปนตองมีกอนที่จะเรียนบทนี้
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ครูควรเนนย้ํากับนักเรียน ประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ครูควร
ระมัดระวัง จุดประสงคของตัวอยางที่นําเสนอในหนังสือเรียน เนื้อหาที่ควรทบทวน
กอนสอนเนื้อหาใหม และประเด็นที่ครูควรตระหนักในการสอน
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
ประเด็นที่นักเรียนมักเขาใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหา
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
กิจกรรมในคูมือครู
กิจกรรมที่คูมือครูเลมนี้เสนอแนะไวใหครูนําไปใชในชั้นเรียน ประกอบดวยกิจกรรม
นําเขาสูบทเรียน ที่ใชเพื่อตรวจสอบความรูกอนหนาที่นักเรียนควรทราบกอนเรียน
เนื้อหาใหม และกิจกรรมที่ใชสําหรับสรางความคิดรวบยอดในเนื้อหา โดยหลังจาก
ทํากิจกรรมแลว ครูควรเชื่อมโยงผลที่ไดจากการทํากิจกรรมกับความคิดรวบยอดที่
ตองการเนน ทั้งนี้ ครูควรสงเสริมใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติกิจกรรมเหล านี้ดวย
ตนเอง
กิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรมที่นักเรียนสามารถศึกษาเพิ่มเติมไดดวยตนเอง เพื่อชวยพัฒนาทักษะการ
เรียนรูและนวัตกรรม (learning and innovation skills) ที่จําเปนสําหรับศตวรรษที่ 21
อั น ได แก การคิ ดสร า งสรรค และนวัตกรรม (creative and innovation) การคิด
แบบมีวิจารณญาณและการแกปญหา (critical thinking and problem solving)
การสื่อสาร (communication) และการรวมมือ (collaboration)
เฉลยกิจกรรมในหนังสือเรียน
เฉลยคําตอบหรือตัวอยางคําตอบของกิจกรรมในหนังสือเรียน
แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
1
บทที่ 1 เลขยกกําลัง 1
1.1 เนื้อหาสาระ 3
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน 7
1.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน 16
1.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 21
1.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 22
1.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 24
และเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
d
2
บทที่ 2 ฟงกชัน 35
2.1 เนื้อหาสาระ 37
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน 39
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน 50
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 62
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 63
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 66
และเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สารบัญ บทที่ 3
บทที่ เนื้อหา หนา
3
บทที่ 3 ลําดับและอนุกรม 82
3.1 เนื้อหาสาระ 84
3.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน 88
3.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน 95
3.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท 96
3.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู 99
ลําดับและอนุกรม และเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
d
เฉลยแบบฝกหัดและวิธีทําโดยละเอียด 116
บทที่ 1 เลขยกกําลัง 116
บทที่ 2 ฟงกชัน 149
บทที่ 3 ลําดับและอนุกรม 214
1 แหลงเรียนรูเพิ่มเติม 315
1 บรรณานุกรม 316
คณะผูจัดทํา 317
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 1
บทที่ 1
เลขยกกําลัง
ในบทเรียนนี้มุงเนนใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง และบรรลุจุดมุงหมาย
ดังตอไปนี้
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เขาใจความหมายและใชสมบัติเกี่ยวกับ • รากที่ n ของจํานวนจริง เมื่อ n เปน
การบวก การคูณ การเทากัน และการ จํานวนนับที่มากกวา 1
ไมเทากันของจํานวนจริงในรูปกรณฑ • เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวน
และจํานวนจริงในรูปเลขยกกําลังที่มี ตรรกยะ
เลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ • ดอกเบี้ย
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับดอกเบี้ย
และมูลคาของเงินในการแกปญหา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
จุดมุงหมาย
1. หารากที่ n ของจํานวนจริง เมื่อ n เปนจํานวนนับที่มากกวา 1
2. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงที่อยูในรูปกรณฑในการแกปญหา
3. ใชความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังและกรณฑที่สองในระดับ
มัธยมศึกษาตอนตน
ipst.me/8446
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 3
1.1 เนื้อหาสาระ
1. บทนิยาม 1
ให a เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มบวก “a ยกกําลัง n” หรือ “ a กําลัง n”
เขียนแทนดวย a n มีความหมายดังนี้
an = a × a × a × × a
n ตัว
a0 = 1 เมื่อ a≠0
1
a−n = เมื่อ a≠0
an
เรียก a วาเลขยกกําลัง
n
2) (a )
m n
= a mn
(a × b)
n
3) = a n × bn
n
a an
4) =
b bn
am
5) = a m−n
an
3. บทนิยาม 2
ให x และ y เปนจํานวนจริง
y เปนรากที่สองของ x ก็ตอเมื่อ y = x 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
6. ทฤษฎีบท 2
ให x ≥ 0 และ y≥0 จะได x⋅ y =xy
7. ทฤษฎีบท 3
x x
ให x ≥ 0 และ y>0 จะได =
y y
8. บทนิยาม 3
ให x และ y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1
y เปนรากที่ n ของ x ก็ตอเมื่อ y = x n
หมายเหตุ
ถา n เปนจํานวนคี่แลว รากที่ n ของ x ที่เปนจํานวนจริง จะมีรากเดียว
และถา n เปนจํานวนคูแลว เมื่อ x > 0 รากที่ n ของ x ที่เปนจํานวนจริง จะมีสองราก
9. บทนิยาม 4
ให x, y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1
y เปนคาหลักของรากที่ n ของ x ก็ตอเมื่อ
1) y เปนรากที่ n ของ x และ
2) xy ≥ 0
แทนคาหลักของรากที่ n ของ x ดวย x อานวา กรณฑที่ n ของ x หรือ คาหลัก
n
ของรากที่ n ของ x
หมายเหตุ
1) การระบุกรณฑที่ n เมื่อ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1 ทําไดโดยการเขียน n ทาง
ดานซายของเครื่องหมายกรณฑ ดังนี้ n และจะเรียก n วาเปน อันดับที่ หรือ
ดัชนี ของกรณฑ แตถา n = 2 นิยมเขียน แทน 2
2) จากบทนิยาม 4 จะไดวา ถา y เปนคาหลักของรากที่ n ของ x แลว x และ y เปน
จํานวนจริงบวกทั้งคู หรือเปนจํานวนจริงลบทั้งคู หรือเปนศูนยทั้งคู
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 5
10. ทฤษฎีบท 4
ให x, y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1 โดยที่ x และ y มีรากที่ n
จะได x ⋅ y = n
xy n n
11. ทฤษฎีบท 5
ให x, y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1 โดยที่ x และ y มีรากที่ n
n
x x
และ y≠0 จะได = n
n
y y
หมายเหตุ
1) ถ า x < 0 หรื อ y < 0 แล ว จะใช ท ฤษฎี บ ท 4 และ 5 ได เมื่ อ n เป น จํ า นวนคี่ บ วก
เทานั้น
2) ถา x เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนคี่บวกแลว − x =− x n n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
หมายเหตุ
1) เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะจะนิยามเมื่อเลขชี้กําลังเขียนอยู ใ นรู ป
1
เศษสวนอยางต่ําเทานั้นและ a ตองเปนจํานวนจริง
q
15. ทฤษฎีบท 6
ให a, b เปนจํานวนจริงที่ไมเปนศูนย และ m, n เปนจํานวนตรรกยะ โดยที่ a m
, an และ
b เปนจํานวนจริง จะไดวา
n
1) am ⋅ an = a m+n
2) (a )
m n
= a mn
( ab )
n
3) = a nbn
n
a an
4) =
b bn
am
5) = a m−n
an
16. การคิดดอกเบี้ยทบตนเปนกลไกที่นําดอกเบี้ยที่ไดรับทบเขาไปกับเงินตน ทําใหเงินตนใหมมี
ยอดสูงขึ้น ดังนั้น เมื่อคิดดอกเบี้ยรอบใหม ดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้น และเมื่อทบเขาไปกับเงินตน
ใหมจะทําใหมีมูลคาเงินสูงขึ้นเรื่อย ๆ
17. ทฤษฎีบท 7
ถาเริ่มฝากเงินดวยเงินตน P บาท ไดรับอัตราดอกเบี้ย i % ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตน
i
ทุกป (ปละครั้ง) แลวเมื่อสิ้นปที่ n จะได เงินรวม P (1 + r )n บาท เมื่อ r=
100
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 7
1.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ในการนําเขาสูบทเรียนนี้ ครูอาจกระตุนความสนใจของนักเรียนโดยการยกตัวอยางการนํา
เลขยกกําลังไปใชในชีวิตจริง เชน การระบาดของโรคไวรัสอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกเมื่อ
พ.ศ. 2557 ซึ่งเปนการเกริ่นนําที่นําเสนอไวในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้น
มัธยมศึกษาปที่ 5 โดยความรูดังกลาวอาจนําเลขยกกําลังมาชวยในการอธิบายการเพิ่มจํานวน
ของผูติดเชื้อ กลาวคือ จํานวนผูติดเชื้อเพิ่มขึ้นเปนสองเทา ทุก ๆ 24.3 วัน ถากลางเดือน
กรกฎาคม พ.ศ. 2557 มีผูติดเชื้อประมาณ 1,000 คน เมื่อเวลาผานไปทุก 24.3 วัน จะมีจํานวน
ผูติดเชื้อประมาณ
1000, 2 (1000 ) , 4 (1000 ) , 8 (1000 ) , 16 (1000 ) , 32 (1000 ) , 64 (1000 ) ,
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็ม
นักเรียนไดเรียนรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มมาแลวในระดับมัธยมศึกษา
ตอนตน เนื้อหาสวนนี้ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 5 มีไวเพื่อ
ทบทวนเรื่องดังกลาว และเพื่อเชื่อมโยงไปสูเรื่องเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ
ซึ่งเปนเนื้อหาสําคัญในบทนี้
กิจกรรม : จับคูเลขยกกําลัง
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อทบทวนหรือตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มี
เลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็ม
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ จากนั้นครูเขียนเลขยกกําลัง
ที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มตอไปนี้บนกระดาน
2 × ( 25 × 2 2 )
−4 3
1 6
3
2 23
1
26 × 2−3 42 2−5
212 32 26
16 × 4
28 2 8
215 128 299
210 8 296
128 82 1024
24 6
2 2× 4 43
2× 4×8 25 210
23 4 × 8 × 2−4 32
(2 )2 5 45
128 × 256 × 2−12
25 (2 )
3 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 9
2. ครูใหนักเรียนในกลุมจับคูเลขยกกําลังที่เปนจํานวนเดียวกัน
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกั บการจั บคูเลขยกกําลังที่ได ในข อ 2 ทั้งนี้ ในการ
อภิปรายครูควรใชคําถามถึงวิธีการที่นักเรียนใชในการจับคูเลขยกกําลัง ซึ่งนักเรียนอาจทํา
เลขยกกําลังที่กําหนดใหอยูในรูปอยางงาย
หมายเหตุ
• ครูอาจเปลี่ยนเลขยกกําลังที่เขียนบนกระดานเปนเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็ม
อื่น ๆ และสามารถเพิ่มหรือลดจํานวนเลขยกกําลังที่เขียนบนกระดาน
• ครูอาจปรับกิจกรรมนี้โดยใชเทคโนโลยี เชน Kahoot เปนเครื่องมือชวยในการทํากิจกรรม
ซึ่งจะชวยใหสามารถตรวจสอบความเขาใจเกี่ยวกับเลขยกกําลังของนักเรียนไดเปนรายบุคคล
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• การเขียนเลขยกกําลังใหอยูในรูปอยางงายในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 เปนการเขียนใหเลขยกกําลังทุกจํานวนมี ห.ร.ม. ของฐานเปน 1 โดย
ไมตองคํานวณผลลัพธ เชน
3
6
o ตัวอยางที่ 2 เขียน × 10
5
ใหอยูในรูป อย างง ายและเลขยกกําลั งทุกจํา นวนมี
5
เลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวกไดเปน 33 × 28 × 52
63 × 32
o ตั ว อย า งที่ 3 เขี ย น ให อ ยู ใ นรู ป อย างง ายและเลขยกกํ าลั ง ทุ กจํ า นวนมี
24 × 3−2
37
เลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็มบวกไดเปน
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
−2
1
( x−3 y −2 z 0 )
−2
= 3 2
x y
(( x y ) )
−2
3 2 −1
=
= (x y )
3 2 2
= (x ) ( y )
3 2 2 2
= x6 y 4
ทั้งนี้ ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบการแสดงวิธีทําในแตละขั้น
รากที่ n ของจํานวนจริง
นักเรียนไดเรียนรูเกี่ยวกับรากที่สองและกรณฑที่สองของจํานวนจริงบวก และการดําเนินการของ
จํานวนที่อยูในรูปกรณฑที่สองมาแลวในระดับมัธยมศึกษาตอนตน เนื้อหาเรื่องดังกลาวในหนังสือ
เรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีไวเพื่อเปนการทบทวน และเชื่อมโยงไปสู
เรื่อง รากที่ n ของจํานวนจริง
กิจกรรม : บิงโก
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อทบทวนหรือตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับรากที่สองของ
จํานวนจริงบวก กรณฑที่สองของจํานวนจริงบวก และการดําเนินการของจํานวนที่อยูในรูป
กรณฑที่สอง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 11
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูทําบัตรขอความจํานวน 20 ใบ แตละบัตรมีขอความเกี่ยวกับรากที่สองและกรณฑที่สอง
ของจํานวนเต็มบวก บัตรละ 1 ขอความที่ไมซ้ํากัน ดังนี้
รากที่สองที่เปนจํานวนจริงลบของ 25 รากที่สองของ 16
รากที่สองที่เปนจํานวนจริงบวกของ 144 รากที่สองที่เปนจํานวนจริงลบของ 64
รากที่สองของ 81 รากที่สองที่เปนจํานวนจริงบวกของ 49
รากที่สองของ 121 กรณฑที่สองของ 1
กรณฑที่สองของ 100 รากที่สองที่เปนจํานวนจริงลบของ 4
รากที่สองของ 9 3( 3 + 3)
32 × 2 (
2 6 3 6 − 2 24 )
27 8
3 − 48 2
4 − 169 − 100
( −11)
2
− 49
2. ครูใหนักเรียนแตละคนสรางตารางบิงโกเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 4× 4 ดังรูป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
4. ครูเลือกนักเรียนเพื่อบอกคําตอบและใหเหตุผลประกอบคําตอบ โดยใหนักเรียนทุกคนใน
ชั้นเรียนรวมกันตรวจสอบคําตอบ ในขั้นตอนนี้ครูสามารถทราบความรูพื้นฐานที่นักเรียนมี
เกี่ยวกับรากที่สองและกรณฑที่สองของจํานวนเต็มบวก และการดําเนินการของจํานวนที่
อยูในรูปกรณฑที่สองได
5. ถาตารางบิงโกของนั กเรี ยนมีจํานวนที่ เปน คําตอบ ใหนักเรียนทําเครื่ องหมายกากบาท
จํานวนนั้น
6. ครูและนักเรียนทําซ้ําขั้นตอนที่ 3 – 5 จนกระทั่งมีนักเรียนบิงโก
หมายเหตุ
• ครูอาจแนะนํากติกาของบิงโกใหนักเรียนเขาใจกอนเริ่มทํากิจกรรมนี้ เชน การบิงโก คือ
นักเรียนมีเครื่องหมายกากบาทเรียงกันทุกชองในแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวทแยง ของ
ตารางบิงโก
• ครูอาจใหนักเรียนทํากิจกรรมนี้หลายรอบไดตามความเหมาะสม
• ครูอาจเปลี่ยนบัตรขอความหรือจํานวนที่ ใหนักเรียนเติ มลงในตารางบิงโก โดยจํานวนที่ให
นักเรียนเติมตองสอดคลองกับบัตรขอความ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 13
• ในการสอนบทนิ ย าม 3 ครู ค วรเน น ย้ํ า หมายเหตุ ท า ยบทนิ ย าม พร อ มให เ หตุ ผ ลและ
ยกตัวอยางประกอบวา
o กรณีที่ n เปนจํานวนคี่ จะสามารถหารากที่ n ของ x ได สําหรับทุกจํานวนจริง x
และรากที่ n ของ x ที่เปนจํานวนจริงมีเพียงรากเดียว เชน จากตัวอยางที่ 8 ขอ 3) จะ
( −3) เนื่องจาก 5 เปนจํานวนคี่ จะไดวา รากที่ 5 ของ −243 ที่เปน
5
เห็นวา −243 =
จํานวนจริงมีรากเดียว คือ −3
o กรณีที่ n เปนจํานวนคู
เมื่อ x > 0 จะสามารถหารากที่ n ของ x ที่เปนจํานวนจริงไดสองราก นั่นคือ ถา
y เป นรากที่ n ของ x แล ว จะได x = y n = ( − y ) ดั งนั้ น รากที่ n ของ x ที่
n
คาหลักของรากที่ n
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
x, x ≥ 0
2) n
xn = เมื่อ n เปนจํานวนคู
− x, x < 0
x, x ≥ 0
ครูอาจอธิบายเพิ่มเติมวา “ n xn = เมื่อ n เปนจํานวนคู” สามารถเขียนได
− x, x < 0
เปน “ n
xn = x เมื่อ n เปนจํานวนคู”
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
1
• ในการสอนบทนิยาม 5 ครูควรเนนย้ําวา ถา a≥0 แลวหา an ไดเสมอ แตถา a<0 แลว
1
จะหา a n ที่เปนจํานวนจริงไดเฉพาะกรณีที่ n เปนจํานวนคี่ นอกจากนี้ครูควรระมัดระวัง
ในการยกตั ว อย า งเลขยกกํ า ลั งที่ มีเ ลขชี้ กํา ลังเปน จํานวนตรรกยะไมใหขัดกับ บทนิยาม
ดังกลาว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 15
• เลขยกกําลังที่อยูในรูป a q
ตามบทนิยาม 6 มีเงื่อนไขสําคัญคือ ห.ร.ม. ของ p และ q
1
เปน 1 และ a q
ตองเปนจํานวนจริง ซึ่งครูตองเนนย้ําใหนักเรียนตรวจสอบเงื่อนไขดังกลาว
14
กอนเสมอ เชน เมื่อพิจารณา ( −8) จะเห็นวา ห.ร.ม. ของ 14 และ 6 ไมเปน 1 จึงตองทํา
6
14 7 1
ใหเปนเศษสวนอยางต่ํากอน ไดเปน ซึ่ง ( −8) เปนจํานวนจริง ทําใหไดวา
3
6 3
7
14 7
1
( −8) 6 =( −8) 3 = ( −8 ) 3 =( −2 ) =
7
−128
6
6
แตเมื่อพิจารณา ( −9 ) จะเห็นวา ห.ร.ม. ของ 6 และ 4 ไมเปน 1 จึงตองทํา
4 ใหเปน
4
3 1 6
เศษสวนอยางต่ํากอน ไดเปน ซึ่ง ( −9 ) ไมเปนจํานวนจริง ดังนั้น จึงไมนิยาม ( −9 )
2 4
2
• ในการแกโจทยปญหาในหัวขอนี้ ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนใชเทคโนโลยีเปนเครื่องมือ
ชวยในการคํานวณ
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
• ในการเขียนแสดงจํา นวนให อยู ในรูป อยา งง ายในแบบฝ กหั ด 1.3 ข อ 3 อาจเขี ย นในรู ป
เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนจริงบวกหรือในรูปกรณฑก็ได เชน ขอ 12) อาจเขียน
1
ไดเปน 2 33 หรือ 23 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
16 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรม : ปญหาพระราชา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 17
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. เติมจํานวนเมล็ดขาวลงในตารางใหสมบูรณ
2. ใชขอมูลจากตารางในขอ 1 เขียนแสดงจํานวนเมล็ดขาวสําหรับกระดานหมากรุกชองที่ n
ในรูปเลขยกกําลัง
3. พระราชาตองหาเมล็ดขาวจํานวนเทาใดสําหรับชองกระดานชองสุดทายของกระดาน
หมากรุก
4. ใชขอมูลจากตารางในขอ 1 เขียนแสดงจํานวนเมล็ดขาวสะสมชองที่ 1 จนถึงชองที่ n ในรูป
เลขยกกําลัง
5. จํานวนเมล็ดขาวที่ Sissa จะไดรับทั้งหมดเปนเทาใด
6. ถาเมล็ดขาว 1 เมล็ด หนัก 0.000008 กิโลกรัมโดยประมาณแลว จงหาน้ําหนักรวมของ
เมล็ดขาวทั้งหมดที่ Sissa ขอจากพระราชา
7. ถาในแตละปมีผลผลิตขาวในโลกรวมทั้งหมดประมาณ 580 ลานตัน แลวจะตองใชเวลา
อยางนอยกี่ป จึงจะมีจํานวนเมล็ดขาวครบตามที่ Sissa ขอจากพระราชา (1 ตัน เทากับ
1,000 กิโลกรัม)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
18 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
เฉลยกิจกรรม : ปญหาพระราชา
1.
กระดานหมากรุกชองที่ จํานวนเมล็ดขาว จํานวนเมล็ดขาวสะสม
1 1 1
2 2 3
3 4 7
4 8 15
5 16 31
6 32 63
7 64 127
8 128 255
9 256 511
10 512 1023
สําหรับชองกระดานชองสุดทายของกระดานหมากรุก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 19
จํานวนเมล็ดขาวสะสมสําหรับกระดานหมากรุกชองที่ n คือ 2 − 1 เมล็ด n
18,446,744,073,709,551,615 เมล็ด
6. เนื่องจาก จํานวนเมล็ดขาวที่ Sissa จะไดรับทั้งหมด คือ 18,446,744,073,709,551,615 เมล็ด
และเมล็ดขาว 1 เมล็ด หนัก 0.000008 กิโลกรัมโดยประมาณ
จะไดวา น้ําหนักรวมของเมล็ดขาวทั้งหมดที่ Sissa ขอจากพระราชา คือ
18, 446,744,073,709,551,615 × 0.000008 กิโลกรัม
7. เนื่องจาก น้ําหนักรวมของเมล็ดขาวทั้งหมดที่ Sissa ขอจากพระราชา
คือ 18, 446,744,073,709,551,615 × 0.000008 กิโลกรัม
หรือ 18, 446,744,073,709,551,615 × 0.000008 ตัน
1,000
หรือประมาณ 147,573.952589676 ลานตัน
และในแตละปมีผลผลิตขาวในโลกรวมทั้งหมดประมาณ 580 ลานตัน
ดังนั้น จะตองใชเวลาอยางนอย 147,573.952589676 ≈ 255 ป จึงจะมีจํานวนเมล็ด
580
ขาวครบตามที่ Sissa ขอจากพระราชา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
20 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
แนวทางการจัดกิจกรรม : ปญหาพระราชา
เวลาในการจัดกิจกรรม 30 นาที
กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรู เรื่อง เลขยกกําลัง เพื่อแกปญหาในสถานการณที่
กําหนดให โดยกิจกรรมนี้มีสื่อ/แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “ปญหาพระราชา”
2. เครื่องคํานวณ
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ
2. ครู แจกใบกิ จกรรมป ญหาพระราชาให กั บนั กเรี ยนทุ กคนแล วให นั กเรี ยนศึ กษาข อมู ลใน
ใบกิจกรรมกอนนําอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณปญหาเพื่อใหนักเรียนทุกคนเขาใจตรงกัน
3. ครู ให นั กเรี ยนแต ล ะกลุ มช ว ยกั น ตอบคํ าถามที่ ปรากฏในขั้ นตอนการปฏิ บั ติ ข อ 1 – 7
ในใบกิจกรรม โดยใหนักเรียนใชเครื่องคํานวณตามความเหมาะสม ในระหวางที่นักเรียนทํา
กิจกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหทั่วถึงทุกกลุมและคอยชี้แนะ
4. ครู สุ มเลื อกกลุ มนั กเรี ยนเพื่ อตอบคํ าถาม และให นั กเรี ยนกลุ มอื่ น ๆ ร วมกั นอภิ ปราย
เกี่ยวกับคําตอบ รวมทั้งกระตุนใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบคําตอบ
5. ครู นํ า นั ก เรี ย นอภิ ป รายเพื่ อ นํ า ไปสู ข อ สรุ ป ของกิ จ กรรมนี้ เ กี่ ย วกั บ การเพิ่ ม ขึ้ น อย า ง
ทวีคูณของเลขยกกําลัง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 21
1.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีเปาหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การใหนักเรียน
ทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของนักเรียน
ซึ่ งหนั งสื อเรี ยนรายวิชาพื้นฐานคณิ ตศาสตร ชั้น มัธ ยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝกหัดที่
ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 1 เลขยกกําลัง ครูอาจใชแบบฝกหัดเพื่อ
วัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
จํานวนจริงในรูปกรณฑ สมบัติของจํานวนจริงในรูปกรณฑ
1.2 ขอ 2 – 5
และการหาผลบวกและผลตางของจํานวนจริงในรูปกรณฑ
เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ ทฤษฎีบทเกี่ยวกับ
เลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ และการบวก 1.3 ขอ 1 – 5
ลบ คูณ และหารเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
22 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีจุดมุงหมายวา เมื่อนักเรียนได
เรียนจบบทที่ 1 เลขยกกําลัง แลวนักเรียนสามารถ
1. หารากที่ n ของจํานวนจริง เมื่อ n เปนจํานวนนับที่มากกวา 1
2. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงที่อยูในรูปกรณฑในการแกปญหา
3. ใชความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝกหัดทายบท
ที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน ซึ่งมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุงหมาย นอกจากนีม้ ีโจทยฝกทักษะที่นาสนใจและโจทยทาทาย ครูอาจเลือกใช
แบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมายของบทเพื่อตรวจสอบวา
นักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
ทั้งนี้แบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
บทที่ 1 เลขยกกําลัง สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียน ดังนี้
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. หารากที่ n ของจํานวนจริง เมื่อ n เปนจํานวนนับที่มากกวา 1 3 1) – 4)
2. ใชความรูเกี่ยวกับจํานวนจริงที่อยูในรูปกรณฑในการแกปญหา 5 1) – 13)
6 1) – 2)
7 1) – 4)
8 1) – 2), 7)*
3. ใชความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ 1 1) – 4)
ในการแกปญหา 2 1) – 6)
4 1) – 12)
5 14)
6 3) – 6)
8 3) – 6), 7)*
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 23
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
3. ใชความรูเกี่ยวกับเลขยกกําลังที่มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนตรรกยะ 9
ในการแกปญหา (ตอ) 10
11
12
13
14 1) – 2)
15
16 1) – 2)
หมายเหตุ
แบบฝกหัดทายบทขอ 8. 7) สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียนมากกวา 1 จุดมุงหมาย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
24 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• ทฤษฎีบทเกี่ยวกับเรื่องเลขยกกําลัง ที่ไมไดแสดงการพิสูจนในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 บทที่ 1 เลขยกกําลัง แสดงการพิสูจนไดดังนี้
ทฤษฎีบท 1
ให a, b เปนจํานวนจริงที่ไมเปนศูนย และ m, n เปนจํานวนเต็ม จะไดวา
1) am × an =a m+n
2) (a ) m n
= a mn
(a × b)
n
3) = a n × bn
n
a an
4) = n
b b
m
a
5) n
= a m−n
a
พิสูจน
1) ให a, b เปนจํานวนจริงที่ไมเปนศูนย และ m, n เปนจํานวนเต็ม
จะได a × a = ( a × a × a ×× a ) ( a × a × a ×× a )
m n
m ตัว n ตัว
= a × a × a × × a
m + n ตัว
= a m+n
ดังนั้น am × an =a m+n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 25
m ตัว
= ( a × a × a × × a )( a × a × a × × a )( a × a × a × × a )
m ตัว
n วงเล็บ
= a × a × a × × a × a × a × a × × a
mn ตัว
= a mn
ดังนั้น ( a ) = a
m n mn
n วงเล็บ
= a × a × a ×× a × b × b × b ×× b
= ( a × a × a ×× a ) × (b × b × b ×× b )
n ตัว n ตัว
= a n × bn
ดังนั้น ( a × b ) n
= a n × bn
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
26 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
n วงเล็บ
1 1 1
= a × a × a ×
b b b
1 1 1 1
= a × a × a × × a × × × × ×
b b b b
1 1 1 1
= ( a × a × a × × a ) × × × × ×
b b b b
n ตัว n ตัว
1
= ( a × a × a × × a ) ×
b × b × b ×× b
n ตัว n ตัว
1
= an ×
bn
an
=
bn
n
a an
ดังนั้น =
b bn
5) ให a เปนจํานวนจริงที่ไมเปนศูนย และ m, n เปนจํานวนเต็ม
แบงการพิสูจนออกเปน 3 กรณี ดังนี้
กรณี m = n
จะได a = a m n
am
ดังนั้น = 1
an
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 27
กรณี m>n
m ตัว
am a × a × a × × a
จะได =
an a × a × a × × a
n ตัว
= a × a × a × × a โดยที่ m − n เปนจํานวนเต็ม
m–n ตัว
= a m−n
กรณี m<n
m ตัว
am a × a × a × × a
จะได =
an a × a × a × × a
n ตัว
1
= โดยที่ n−m เปนจํานวนเต็ม
a × a × a × × a
n–m ตัว
1
= n−m
a
จากทั้งสามกรณีขางตนสรุปไดวา
1 ; m=n
am
= a m − n ; m>n
an 1
; m<n
a n−m
จากบทนิยาม 1
a0 = 1 เมื่อ a≠0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
28 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1
และ a−n = เมื่อ a≠0
an
a 0 ; m−n=0
am
จะไดวา = a m − n ; m−n>0
an 1
−( m − n ) ; m−n<0
a
a m − n ; m−n=0
= a m − n ; m−n>0
m−n
a ; m−n<0
am
ดังนั้น = a m−n
an
ทฤษฎีบท 2
ให x ≥ 0 และ y≥0 จะได
x⋅ y =xy
พิสูจน
ให x, y เปนจํานวนจริง โดยที่ x ≥ 0 และ y ≥ 0
จะได x และ y เปนจํานวนจริง
ให a เปนจํานวนจริง ซึ่ง a = x นั่นคือ a 2 = x
และ b เปนจํานวนจริง ซึ่ง b = y นั่นคือ b2 = y
จะได xy = a b 2 2
( ab )
2
=
นั่นคือ ab = xy
ดังนั้น x⋅ y = xy
ทฤษฎีบท 3
ให x ≥ 0 และ y>0 จะได
x x
=
y y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 29
พิสูจน
ให x, y เปนจํานวนจริง โดยที่ x ≥ 0 และ y > 0
จะได x และ y เปนจํานวนจริง
ให a เปนจํานวนจริง ซึ่ง a = x นั่นคือ a 2 = x
และ b เปนจํานวนจริง ซึ่ง b = y นั่นคือ= b 2 y, y ≠ 0
x a2
จะได =
y b2
2
a
=
b
a x
นั่นคือ =
b y
x x
ดังนั้น =
y y
ทฤษฎีบท 4
ให x, y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1 โดยที่ x และ y มีราก
ที่ n จะได
n
x⋅n y =
n xy
พิสูจน
ให x, y เปนจํานวนจริง โดยที่ x และ y มีรากที่ n เมื่อ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1
ให a เปนจํานวนจริง และเปนรากที่ n ของ x
นั่นคือ a = n x ดังนั้น a = x
n
จะได = b ( ab )
n n n
xy a=
ดังนั้น ab = xyn
สรุปไดวา x ⋅ y =
n n nxy
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
30 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ทฤษฎีบท 5
ให x, y เปนจํานวนจริง และ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1 โดยที่ x และ y มีรากที่ n
และ y ≠ 0 จะได
n
x x
= n
n y y
พิสูจน
ให x, y เปนจํานวนจริง โดยที่ x และ y มีรากที่ n เมื่อ n เปนจํานวนเต็มที่มากกวา 1
ให a เปนจํานวนจริง และเปนรากที่ n ของ x
นั่นคือ a = n x ดังนั้น a = x n
ทฤษฎีบท 6
ให a, b เปนจํานวนจริงที่ไมเปนศูนย และ m, n เปนจํานวนตรรกยะ โดยที่ am , an
และ b เปนจํานวนจริง จะไดวา
n
1) am ⋅ an = a m+n
2) (a ) m n
= a mn
( ab )
n
3) = a nbn
n
a an
4) =
b bn
am
5) = a m−n
an
พิสูจน
การพิสูจนเปนไปในทํานองเดียวกับทฤษฎีบท 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 31
1.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 1 เลขยกกําลัง สําหรับรายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรูที่
ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
( )
6 −
1) 3
25 × 2 2) 16 2
5
−
1 7
3) 4) 50 + 32 − 18
128
1
3. จงพิจารณาวา 16 , 4 , 2 และ 16 จํานวนใดเปนจํานวนเดียวกัน
2 2 4
4. จงหาคาหลักของรากที่สองของ 5 + 24
5. กําหนดรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC ซึ่งมีดานตรงขามมุมฉากยาว 10 หนวย และดานประกอบ
มุมฉากยาว 75 และ a หนวย จงหา a
6. ตองการขุดบอน้ําใหเปนทรงกระบอกที่สามารถจุน้ําได 2,200 ลูกบาศกเมตร จงหาความยาว
ที่เปนไปไดของรัศมีของกนบอน้ําและความลึกของบอน้ํา เมื่อกําหนดให π ≈ 22
7
7. อางเก็บน้ําแหงหนึ่งเปนทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีความจุ 8.64 × 10 ลูกบาศกเมตร และวัด
6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
32 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1
1. 1) 52 × 5−3 = 52 + ( −3) = 52 − 3 = 5−1 =
5
32
2) = 32 −( −2) = 32 + 2 = 34 = 81
3−2
6
13 1
( )
6
2. 1) 3
25 × 2 = 25 × 2 2
6 6
= 25 3 × 2 2
= 252 × 23
= 625 × 8
= 5,000
−3
−
3
12
2) 16 2
= 16
= 4 −3
1
=
43
1
=
64
5
− 5
1 7
3) = 128 7
128
5
1
= 128 7
= 2 5
= 32
4) 50 + 32 − 18 = 2 × 5× 5 + 2 × 4 × 4 − 2 × 3× 3
= 5 2 + 4 2 −3 2
= ( 5 + 4 − 3) 2
= 6 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 33
1
3. เนื่องจาก 16
= 2
16 4
=
2
4
= 16 4
=
4
2 = 16
และ 16 = 4
1
จะเห็นวา 16
= = 2
4 16 4
= 2
1
ดังนั้น 16 , 4 และ 16 เปนจํานวนเดียวกัน
2 2
4. จาก 5 + 24 = 5 + 2 6
( 3 )( 2 )
= 3+ 2+ 2
= ( 3 ) + 2 ( 3 )( 2 ) + ( 2 )
2 2
5 + 24 = ( 3 + 2 )
2
จะได
เนื่องจาก 5 + 24 ) > 0
24 > 0 และ 3 + 2 > 0 ทําใหไดวา ( 3 + 2 )( 5 +
ดังนั้น คาหลักของรากที่สองของ 5 + 24 คือ 3 + 2
5. เนื่องจากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ABC มีดานตรงขามมุมฉากยาว 10 หนวย
และดานประกอบมุมฉากยาว 75 และ a หนวย
10 = ( 75 ) + a
2
จะได 2 2
100 = 75 + a 2
a 2 = 100 − 75
a 2 = 25
นั่นคือ a = −5 หรือ a = 5
เนื่องจาก a เปนความยาวของดานประกอบมุมฉากของรูปสามเหลี่ยม จะไดวา a > 0
ดังนั้น a = 5
6. ใหบอน้ํานี้มีความยาวของรัศมีของกนบอน้ําเปน r เมตร และมีความลึกเปน h เมตร
เนื่องจาก ตองการใหบอน้ํานี้จุน้ําได 2,200 ลูกบาศกเมตร
และปริมาตรของทรงกระบอกที่มีรัศมียาว r เมตร และสูง h เมตร คือ π r h ลูกบาศกเมตร 2
จะได π r h = 2, 200
2
22 2
r h ≈ 2, 200
7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | เลขยกกําลัง
34 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
2, 200 × 7
r 2h ≈
22
r 2h ≈ 700
จะไดวามีจํานวนจริงหลายคูที่สอดคลองกับ r h ≈ 700 เชน 2
8.64 × 106
h =
4.8 × 106
h = 1.8
ดังนั้น ความลึกของอางเก็บน้ํานี้ คือ 1.8
เมตร
8. พิจารณาการฝากเงินของยุพา ซึ่งฝากเงิน 10,000 บาท โดยไมมีการถอนเงิน เปนเวลา 10 ป
และไดรับดอกเบี้ยจากธนาคาร 1% ตอป โดยคิดดอกเบี้ยทบตนเปนรายป
1
นั=
่นคือ P 10000,
= n 10 และ=r = 0.01
100
จะได จํานวนเงินฝากเมื่อสิ้นปที่ 10 คือ 10,000 (1 + 0.01) ≈ 11,046.22
บาท
10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 35
บทที่ 2
ฟงกชัน
ฟงกชันเปนเรื่องที่มีความเกี่ยวของในชีวิตจริง เนื่องจากในชีวิตจริงจะพบความสัมพันธของ
ขอมูลสองกลุมคอนขางมาก เชน เมื่อนํารถยนตไปเติมน้ํามัน จํานวนเงินที่ตองชําระขึ้นอยูกับ
ปริมาณน้ํามันที่เติม คาโดยสารรถไฟขึ้นอยูกับระยะทางที่เดินทาง คาสงพัสดุไปรษณียขึ้นอยูกับ
น้ําหนักของพัสดุ กําไรที่ไดจากการขายสินคาขึ้นอยูกับจํานวนสินคาที่ขายได ขอมูลสองชุดที่มี
ความสัมพันธกันนี้ อาจเรียกขอมูลชุดแรกวา ขอมูลเขา และเรียกขอมูลชุดที่สองวา ขอมูลออก
จากตัวอยางที่ยกมานี้จะเห็นวาขอมูลเขาสัมพันธกับขอมูลออกเพียงหนึ่งตัว ในทางคณิตศาสตร
จะเรียกความสัมพันธระหวางเซตของขอมูลสองชุด โดยที่ขอมูลเขาหนึ่งตัวใหขอมูลออกเพียง
หนึ่งตัวในลักษณะนี้วาฟงกชัน โดยในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
บทที่ 2 ฟงกชัน ไดนําเสนอบทนิยามเกี่ยวกับฟงกชัน ฟงกชันจากสับเซตของจํานวนจริงไปยัง
เซตของจํานวนจริง ฟงกชันเชิงเสน ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชันขั้นบันได และฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
ในบทเรียนนี้มุงใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง และบรรลุจุดมุงหมาย
ดังตอไปนี้
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง
• ใชฟงกชันและกราฟของฟงกชันอธิบาย • ฟงกชันและกราฟของฟงกชัน (ฟงกชัน
สถานการณที่กําหนด เชิงเสน ฟงกชันกําลังสอง ฟงกชัน
ขั้นบันได ฟงกชันเอกซโพเนนเชียล)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
จุดมุงหมาย
1. หาโดเมนและเรนจ และเขียนกราฟของฟงกชัน
2. ใชความรูเกี่ยวกับฟงกชันในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• ความรูเกี่ยวกับสมการและกราฟในระดับมัธยมศึกษาตอนตน
• เซต
ipst.me/8457
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 37
2.1 เนื้อหาสาระ
1. บทนิยาม 1
ฟงกชัน คือ เซตของคูอันดับ ซึ่งคูอันดับสองคูอันดับใด ๆ ถามีสมาชิกตัวหนาเหมือนกัน
แลวสมาชิกตัวหลังตองเหมือนกัน
เซตของสมาชิกตัวหนาของคูอันดับทั้งหมด เรียกวา โดเมนของฟงกชัน
เซตของสมาชิกตัวหลังของคูอันดับทั้งหมด เรียกวา เรนจของฟงกชัน
ถา f เปนฟงกชัน โดเมนของ f เขียนแทนดวย D f และเรนจของ f เขียนแทนดวย R f
2. ถา f เปนฟงกชันซึ่งมีโดเมนเปนเซต A และมีเรนจเปนสับเซตของเซต B จะกลาววา
f เปน ฟงกชันจาก A ไป B
3. ในกรณีที่โดเมนและเรนจของฟงกชันเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง ในการกําหนดฟงกชัน
มักใชวิธีบอกเงื่อนไขในรูปสมการที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรตน x กับตัวแปรตาม y
แทนการกําหนดในรูปเซตของคูอันดับ ในกรณีนี้ จะเขียน y = f ( x ) แทน ( x, y ) ∈ f
และเรียก y วาเปนคาของฟงกชัน f ที่ x ใชสัญลักษณ f ( x )
4. ฟงกชันเชิงเสน คือ ฟงกชันที่อยูในรูป f ( x=) ax + b เมื่อ a และ b เปนจํานวนจริง
โดยกราฟของฟงกชันเชิงเสนจะเปนเสนตรง
5. ฟงกชัน f ( x=) ax + b เมื่อ a = 0 จะได ฟงกชัน f ( x ) = b มีชื่อเรียกวา ฟงกชันคงตัว
6. สําหรับฟงกชันเชิงเสน
1) ในกรณีที่สัม ประสิทธิ์ ของ x เปนจํานวนจริงบวก เมื่อสัมประสิ ทธิ์ ของ x มากขึ้ น
กราฟจะเบนเขาหาแกน Y และเมื่อสัมประสิทธิ์ของ x นอยลง กราฟจะเบนเขาหา
แกน X
2) ในกรณี ที่ สั ม ประสิ ท ธิ์ ข อง x เป น จํ า นวนจริ ง ลบ เมื่ อสั ม ประสิ ท ธิ์ ข อง x มากขึ้ น
กราฟจะเบนเขาหาแกน X และเมื่อสัมประสิทธิ์ของ x นอยลง กราฟจะเบนเขาหา
แกน Y
7. ฟงกชันกําลังสอง คือ ฟงกชันที่อยูในรูป f ( x ) = ax 2 + bx + c เมื่อ a, b และ c เปน
จํานวนจริงใด ๆ และ a ≠ 0 ลักษณะของกราฟของฟงกชันกําลังสองขึ้นอยูกับ a, b และ c
โดยเมื่อ a เปนจํานวนจริงบวกหรือจํานวนจริงลบ จะทําใหไดกราฟเปนเสนโคงหงายขึ้น
หรือคว่ําลง ตามลําดับ ดังรูป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
กราฟของฟงกชันกําลังสองมีชื่อเรียกวา พาราโบลา
จุดยอดของพาราโบลา คือ จุดสูงสุดหรือจุดต่ําสุดของพาราโบลา
ในกรณีที่ฟงกชันกําลังสองเขียนอยูในรูป f ( x ) = ax 2 + bx + c เมื่อ a ≠ 0 การหาจุดสูงสุด
หรือจุดต่ําสุดของกราฟทําไดโดยจัดรูปสมการใหอยูในรูปของ f ( x ) = a ( x − h )2 + k โดย
อาศัยการจัดบางสวนของสมการใหอยูในรูปกําลังสองสมบูรณ เพื่อใหหาจุดยอดของกราฟ
หรือจุด ( h, k ) ไดงายขึ้น
8. ฟงกชันที่มีโดเมนเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง และโดเมนถูกแบงออกเปนชวงยอย
มากกว า หนึ่ งช ว ง โดยค า ของฟ งก ชั น ในแต ล ะชว งยอ ยเปน คา คงตัว เรีย กวา ฟ งกชั น
ขั้นบันได กราฟของฟงกชันจะมีลักษณะคลายขั้นบันได
9. ฟงกชันที่อยูในรูป f ( x ) = a x เมื่อ a > 0 และ a ≠ 1 เรียกวา ฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
10. สําหรับฟงกชันเอกซโพเนนเชียล f ( x ) = a x เมื่อ a > 0 และ a ≠ 1
1) กราฟของฟงกชันจะผานจุด ( 0, 1) เสมอ ทั้งนี้เพราะ a = 1 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 39
2.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
ฟงกชัน
กิจกรรม : สัตวเลี้ยงแสนรัก
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ฟงกชัน
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูสุมเลือกนักเรียน 5 คน แลวใหนักเรียนเลือกสัตว 1 ชนิด จากชนิดสัตวเลี้ยงที่กําหนดให
ตอไปนี้
สุนัข แมว กระตาย ปลา
2. ครูกําหนดเซตขึ้นมาสองเซต คือ เซตของชื่อนักเรียน และเซตของชนิดสัตวเลี้ยง จากนั้น
เขียนแผนภาพแสดงการจับคูระหวางชื่อนักเรียนกับชนิดสัตวเลี้ยงที่นักเรียนคนนั้นเลือก
ตัวอยางเชน
ชื่อนักเรียน ชนิดสัตวเลี้ยง
ตะวัน สุนัข
จันทรา แมว
ดารา กระตาย
เมฆา ปลา
เวหา
3. ครูชี้แนะใหนักเรียนเห็นจากแผนภาพวาเซตทั้งสองมีความเกี่ยวของกัน นั่นคือ เมื่อ
กําหนดชื่อนักเรียน จะทราบวา นักเรียนคนนั้นเลือกสัตวเลี้ยงชนิดใด โดยเรียกขอมูลที่
เปนชื่อนักเรียนวา ขอมูลเขา และเรียกขอมูลที่เปนชนิดสัตวเลี้ยงวา ขอมูลออก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
4. จากนั้นครูใหนักเรียนเขียนเซตของคูอันดับแสดงการจับคูชื่อนักเรียนกับชนิดสัตวเลี้ยงที่
นักเรียนคนนั้นเลือก โดยใหสมาชิกตัวหนาของคูอันดับเปนชื่อนักเรียน และสมาชิกตัว
หลังของคูอันดับเปนชนิดสัตวเลี้ยง
แนวคําตอบ
{(ตะวัน, สุนัข), (จันทรา, กระตาย), (ดารา, ปลา), (เมฆา, สุนัข), (เวหา, แมว)}
5. ครูอธิบายเกี่ยวกับบทนิยามของฟงกชัน จะไดวาการจับคูในขอ 4 เปนฟงกชัน เนื่องจาก
สมาชิกตัวหนาแตละตัวจับคูกับสมาชิกตัวหลังเพียงตัวเดียว ซึ่งมี {ตะวัน, จันทรา, ดารา,
เมฆา, เวหา} เปนโดเมนของฟงกชัน และ {สุนัข, แมว, กระตาย, ปลา} เปนเรนจของ
ฟงกชัน
หมายเหตุ
• ในแนวทางการดําเนินกิจกรรมขอ 1 ครูอาจเปลี่ยนสิ่งที่ใหนักเรียนเลือกเปนสิ่งอื่น เชน
ความสูงของนักเรียน ขนาดของรองเทาของนักเรียน
• หลังจากแนวทางการดําเนินกิจกรรมขอ 5 แลวครูอาจใหนักเรียนพิจารณาเพิ่มเติมวา
ถากําหนดใหนักเรียน 1 คน เลือกชนิดสัตวเลี้ยงไดมากกวา 1 ชนิด เซตของคูอันดับที่ได
จะเปนฟงกชันหรือไม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• ความรูเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางระยะเวลาในการคั่วกาแฟกับอุณหภูมิของเมล็ดกาแฟ
ซึ่งเปนฟงกชัน ที่นําเสนอไวในเกริ่นนํ าของบทที่ 2 ฟงกชัน ของหนังสือเรียนรายวิ ช า
พื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีไวเพื่อเชื่อมโยงความรูเกี่ยวกับฟงกชันกับชีวิตจริง
ครูอาจใหนักเรียนศึกษาขอมูลเพิ่มเติมจากคลิปวีดิทัศนใน https://youtu.be/F2zA8YB2B_M
เพื่ อ ให นั ก เรี ย นเห็ น ความสํ า คั ญ ของฟ ง ก ชั น ในชี วิ ต จริ ง ซึ่ ง ในคลิ ป วี ดิ ทั ศ น ก ล า วถึ ง
ความสัมพันธที่มีการใหความรอนในการคั่วเมล็ดกาแฟเปนตัวแปรตน และระยะเวลาใน
การคั่วเมล็ดกาแฟเปนตัวแปรตาม ซึ่งเมื่อพิจารณากราฟของความสัมพันธดังกลาวแลว
จะเห็นวาความสัมพันธดังกลาวเปนฟงกชัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 41
• หนังสือเรี ยนรายวิ ชาเพิ่ มเติ มคณิ ตศาสตร ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 4 นํ า เสนอฟ ง ก ชั น โดย
กล า วถึ ง ผลคู ณ คาร ที เ ซี ย นและความสั ม พั น ธ แต ใ นหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 จะไมไดนําเสนอฟงกชันในแนวทางดังกลาว แตจะ
กลาวถึงฟงกชันโดยไมไดนิยามความสัมพันธ
• การตรวจสอบการเปนฟงกชันของ f ที่เขียนอยูในรูปเซตแบบแจกแจงสมาชิก ซึ่งมี
สมาชิ กเป นคู อันดั บนั้ น นั กเรี ยนอาจทําไดโดยพิ จารณาตามบทนิ ยามที่ 1 ดังแสดงใน
ตัวอยางที่ 1 หรือใชแผนภาพ ดังแสดงในตัวอยางที่ 2
• ในการหาคาของฟงกชัน ครูควรใหนักเรียนระมัดระวังกรณีที่ x ไมเปนสมาชิกของโดเมน
ของฟงกชัน เชน จากตัวอยางที่ 5 ขอ 2 กําหนด g ( x ) = 2 นั่นคือ D = − {−3} g
x+3
จะไดวา ไมนิยาม g ( −3) เนื่องจาก −3 ∉ D g
• ในกรณี ที่ โดเมนและเรนจ ของฟ งก ชั นเป นสั บเซตของเซตของจํ านวนจริ ง การกํ าหนด
ฟงกชันมักใชวิธีบอกเงื่อนไขในรูปสมการที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรตน x กับตัว
แปรตาม y แทนการกําหนดในรูปเซตของคูอันดับ กรณีนี้ จะเขียน y = f ( x ) แทน
( x, y ) ∈ f และเรียก y วาเปนคาของฟงกชัน f ที่ x ใชสัญลักษณ f ( x ) เชน การ
กําหนดฟงกชัน = f {( x, y ) =y 3 x + 2} เพื่อความสะดวกจะเขียนเพียง = y 3x + 2
หรือ f ( x=) 3x + 2
• การตรวจสอบการเปนฟงกชันของ f ที่เขียนอยูในรูปเซตแบบบอกเงื่อนไข นักเรียน
อาจทําไดโดยการพิจารณาจากกราฟของสมการที่เปนเงื่อนไข ซึ่งเมื่อลากเสนขนานกับ
แกน Y ถาไมมีเสนขนานกับแกน Y เสนใดตัดกราฟของสมการที่กําหนดใหมากกวา 1
จุด แลวเซตนั้นจะเปนฟงกชัน (ดังแสดงในตัวอยางที่ 8) แตถามีเสนขนานกับแกน Y
อยางนอย 1 เสนตัดกราฟของสมการที่กําหนดใหมากกวา 1 จุด แลวเซตนั้นจะไมเปน
ฟงกชัน (ดังแสดงในตัวอยางที่ 9) อยางไรก็ตาม นอกจากวิธีดังกลาวแลว ยังสามารถ
ตรวจสอบการเป น ฟ งก ชั น โดยใช บ ทนิย าม 1 ซึ่งจะอธิบ ายเพิ่มเติมในหัว ขอ ความรู
เพิ่มเติมสําหรับครู ของคูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
• ในการสอนเกี่ยวกับกราฟของฟงกชัน ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนไดลงมือเขียนกราฟ
ดวยตนเองพรอมทั้งสรุปวิธีเขียนกราฟ และเมื่อนักเรียนมีความเขาใจเกี่ยวกับกราฟของ
ฟงกชันดีแลว ครูอาจใหนักเรียนใชเทคโนโลยีเปนเครื่องมือชวยในการเขียนกราฟ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
ความเขาใจคลาดเคลื่อน
• นักเรียนมักเขาใจผิดวา f ( x)
เปนสัญลักษณแทนฟงกชัน ทั้งนี้ ครูควรเนนย้ําวา f ( x )
เปนสัญลักษณซึ่งใชแทนคาของฟงกชัน f ที่ x เชน f ( 2 ) เปนสัญลักษณซึ่งใชแทนคา
ของฟงกชัน f เมื่อ x = 2 นอกจากนี้ f ( x ) ยังใชแทนการเขียนฟงกชันแบบบอกเงื่อนไข
เชน f ( x=) 2 x + 1
ฟงกชันเชิงเสน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
• เนื้อหาเกี่ยวกับกราฟของฟงกชันเชิงเสนในบทนี้ ไมไดมุงเนนใหนักเรียนเขียนกราฟของฟงกชัน
เชิงเสนที่กําหนดใหเพียงอยางเดียว แตครูควรสนับสนุนใหนักเรียนใชกราฟของฟงกชันเชิงเสน
ในการแกปญหา เชน ตัวอยางที่ 15 ครูควรใชเทคโนโลยีเปนเครื่องมือชวยในการเขียนกราฟ ซึ่ง
ไดเปนดังนี้
เนื่องจากฟงกชันแสดงกําไร (ขาดทุน) ของรานถายเอกสาร เมื่อ x เปนจํานวนแผนที่
ถายเอกสารใน 1 วัน คือ f= ( x ) 0.23x − 450
เขียนกราฟของฟงกชันแสดงกําไร (ขาดทุน) ของรานถายเอกสาร ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 43
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
• การเขี ยนกราฟของฟ งก ชั นที่ กํ าหนดให ต องคํ านึ งถึ งโดเมนของฟ งก ชั นด วย เช น ใน
แบบฝกหัด 2.2 ขอ 3, 5, 6, 7 และ 8
กิจกรรม : สํารวจกราฟของฟงกชันเชิงเสน
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อเสริมความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับกราฟของฟงกชันเชิงเสน
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูจับคูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนั้นเปดเว็บไซต ipst.me/10303
2. ครู ให นั กเรี ยนแต ละคู คลิ กลากปุ มบนสไลเดอร a และ b เพื่ อสํ ารวจกราฟของฟ งก ชั น
y ax + b เมื่ อ a และ b เป นจํ านวนจริ ง ว าการเปลี่ ยนแปลงของ a และ b มี ผล
=
อยางไรตอการเปลี่ยนแปลงลักษณะของกราฟในกรณีตาง ๆ ดังนี้
• กรณี a > 0 และ a มากขึ้น เมื่อ b คงที่
แนวคําตอบ กราฟจะเบนเขาหาแกน Y
• กรณี a > 0 และ a นอยลง เมื่อ b คงที่
แนวคําตอบ กราฟจะเบนเขาหาแกน X
• กรณี a < 0 และ a มากขึ้น เมื่อ b คงที่
แนวคําตอบ กราฟจะเบนเขาหาแกน X
• กรณี a < 0 และ a นอยลง เมื่อ b คงที่
แนวคําตอบ กราฟจะเบนเขาหาแกน Y
• กรณี a คงที่ เมื่อ b มากขึ้น
แนวคําตอบ กราฟจะเลื่อนขึ้นตามแนวแกน Y
• กรณี a คงที่ เมื่อ b นอยลง
แนวคําตอบ กราฟจะเลื่อนลงตามแนวแกน Y
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลที่ไดจากการสํารวจในขอ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
หมายเหตุ
• เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมนี้แลว ครูควรเชื่อมโยงกับแบบฝกหัด 2.2 ขอ 1 และนําไปใชใน
การพิจารณากราฟของฟงกชันเชิงเสนตาง ๆ
• กิจกรรมนี้มีไวเพื่อใหนักเรียนเขาใจกราฟของฟงกชันเชิงเสนดีขึ้น ทั้งนี้ ครูไมควรวัดผล
ประเมินผลการเรียนรูที่เนนใหนักเรียนจดจําแตละกรณี
ฟงกชันกําลังสอง
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 45
กิจกรรม : สํารวจกราฟของฟงกชันกําลังสอง
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อเสริมความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับกราฟของฟงกชันกําลังสอง
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูจับคูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนั้นเปดเว็บไซต ipst.me/10304
2. ครูใหนักเรียนแตละคูคลิกลากปุมบนสไลเดอร a, h และ k เพื่อสํารวจกราฟของฟงกชัน
y = a ( x − h ) + k เมื่อ a, h และ k เปนจํานวนจริง วาการเปลี่ยนแปลงของ a, h
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 47
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลที่ไดจากการสํารวจในขอ 2
หมายเหตุ
• ผลที่ไดในขอ 2 ที่เกี่ยวกับการกวางขึ้นหรือแคบลงของกราฟนั้น เปนการพิจารณาที่
สเกลเดียวกัน
• เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมนี้แลว ครูควรเชื่อมโยงกับแบบฝกหัด 2.3 ขอ 1 และนําไปใชใน
การพิจารณากราฟของฟงกชันกําลังสองตาง ๆ
• กิจกรรมนี้มีไวเพื่อใหนักเรียนเขา ใจกราฟของฟ งกชันกํ าลังสองดีขึ้ น ทั้งนี้ ครูไมควร
วัดผลประเมินผลการเรียนรูที่เนนใหนักเรียนจดจําแตละกรณี
ฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
x
1
• ในกรณีที่มีนักเรียนถามวาฟงกชัน เชน 5( 2) , y =
y=
x
32 x + 4 , y =
5 x + 2, y =
− + 4
5
เปนฟงกชันเอกซโพเนนเชียลหรือไม ครูควรอธิบายวาเมื่อพิจารณาตามบทนิยามในหนังสือ
เรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 จะไดวา ฟงกชันเหลานี้ไมเปน
ฟงกชันเอกซโพเนนเชียล แตเมื่อศึกษาจากตําราอื่น ๆ ที่นิยามแตกตางไป อาจเรียก
ฟงกชันเหลานี้วาเปนฟงกชันเอกซโพเนนเชียล นอกจากนี้การพิจารณาวาเปนฟงกชัน
เอกซโพเนนเชียลหรือไม ไมใชจุดเนนของบทนี้
• เนื่องจากเรนจของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล คือ ดังนั้น กราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
+
อยูเหนือแกน X เสมอ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
กิจกรรม : สํารวจกราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อเสริมความเขาใจของนักเรียนเกี่ยวกับกราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล
f ( x ) = a เมื่อ a และ x เปนจํานวนจริงใด ๆ และ a > 1
x
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูจับคูนักเรียนแบบคละความสามารถ จากนั้นใหนักเรียนเปดเว็บไซต ipst.me/9046
2. ครูใหนักเรียนแตละคูสํารวจกราฟของฟงกชัน f ( x ) = 2 โดย
x
โดยให นั กเรี ยนคลิ กลากปุ มบนสไลเดอร a แล วใช คํ าถามในข อ 2 เพื่ อสั งเกตการ
เปลี่ยนแปลงคาของ f ( x )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 49
แนวคําตอบ
• เมื่อ x เปลี่ยนจากนอยไปมาก คาของ f ( x ) จะเพิ่มขึ้น
• เมื่อ x เปนจํานวนจริงบวกและเพิ่มขึ้น คาของ f ( x ) จะเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วและ
ไมมีที่สิ้นสุด
• เมื่อ x เปนจํานวนจริงลบและลดลง คาของ f ( x ) จะคอย ๆ ลดลงจนเขาใกลศูนย
แตไมเทากับศูนย
4. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับขอสังเกตที่ไดในขอ 2 และ 3
5. ครูใหนักเรียนแตละคู ปรับสไลเดอร a จากนอยไปมาก เพื่อสํารวจกราฟของฟ งก ชั น
f ( x ) = a แลวพิจารณาวา
x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
2.3 แนวทางการจัดกิจกรรมในหนังสือเรียน
กิจกรรม : ซอมบี้บุก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 51
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
เฉลยกิจกรรม : ซอมบี้บุก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 53
3.
4. กราฟที่ไดมีลักษณะใกลเคียงกับกราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล ที่มีโดเมนของฟงกชันเปน
∪ {0} เนื่องจากเมื่อ x เพิ่มขึ้น y จะเปนสามเทาของจํานวนกอนหนา
5. y = 5 ( 3x ) โดยที่ x แทนเวลา (วัน) และ y แทนจํานวนซอมบี้ (ตัว)
6. ใชเทคโนโลยีชวยในการคํานวณหาคา x ที่ทําให 5 ( 3x ) ≥ 69,000,000 จะได x ≥ 15
ดังนั้น คนทั้งประเทศจะกลายเปนซอมบี้ภายในเวลา 15 วัน
7. ใชเทคโนโลยีชวยในการคํานวณหาคา x ที่ทําให 5 ( 3x ) ≥ 7,570,000,000 จะได x ≥ 20
ดังนั้น คนทั้งโลกจะกลายเปนซอมบี้ภายในเวลา 20 วัน
8. ใชเทคโนโลยีชวยในการคํานวณหาคา x ที่ทําให 12 ( 6 x ) ≥ 7,570,000,000 จะได x ≥ 12
ดังนั้น คนทั้งโลกจะกลายเปนซอมบี้ภายในเวลา 12 วัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 55
แนวทางการจัดกิจกรรม : ซอมบี้บุก
เวลาในการจัดกิจกรรม 50 นาที
กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนใชความรูเรื่องฟงกชัน เพื่อแกปญหาในสถานการณที่
กําหนดให โดยกิจกรรมนี้มีสื่อ/แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
1. ใบกิจกรรม “ซอมบี้บุก”
2. ยางวงขนาดเสนผานศูนยกลาง 2 – 3 นิ้ว จํานวนเทากับจํานวนนักเรียนในหอง
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครู แ จกใบกิ จ กรรม “ซอมบี้ บุ ก ” จากนั้ น ให นั ก เรี ย นอ า นสถานการณ ที่ กํ า หนดในใบ
กิจกรรมใหเขาใจ แลวใหนักเรียนตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 1 โดยไม
คํานึงถึงความถูกตองของคําตอบ
2. ครูขออาสาสมัครจํานวน 5 คน และกําหนดใหนักเรียนกลุมนี้เปนซอมบี้ตามสถานการณ
เริ่มตน โดยนักเรียนกลุมนี้จะมียางวงใสไวที่ขอมือคนละ 1 เสน ซึ่งสมมติใหยางวงเปน
สัญลักษณแสดงการเปนซอมบี้
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมวาวันนี้เปนวันแรกที่พบซอมบี้ติดเชื้อ ดังนั้นจึงกําหนดใหวันนี้เปนวันที่
0 ซึ่งมีซอมบี้จํานวน 5 ตัว
4. ครูใหสัญญาณวาเปนวันที่ 1 และจะเริ่มแพรเชื้อซอมบี้ จากนั้นครูแจกยางวงอีก 2 เสน
ใหนักเรียนแตละคนที่เปนซอมบี้ แลวใหนักเรียนที่เปนซอมบี้นํายางวงที่ไดรับเพิ่มไปใส
ไวที่ขอมือของเพื่อนตามเงื่อนไขในสถานการณที่กําหนด
5. ครูถามนักเรียนวาในขณะนี้มีซอมบี้ในหองทั้งหมดกี่ตัว จากนั้นครูใหนักเรียนเติมจํานวน
ซอมบี้ของวันที่ 1 ลงในตารางที่ปรากฏในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 2
6. ครู ใ ห นั กเรี ย นทํ า ซ้ํ า ข อ 4 และ 5 สํ า หรั บ วั น ที่ 2 และวั น อื่ น ๆ ทั้ ง นี้ ขึ้ น อยู กั บ จํ านวน
นักเรียนในหอง
7. ครู ให นั กเรี ยนเติ มข อมู ลลงในตารางที่ ปรากฏในขั้ นตอนการปฏิ บั ติ ข อ 2 ให ส มบู ร ณ
จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันตรวจสอบคําตอบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
1 5 + 5( 2) =
5 ( 3)
2 5 ( 32 )
15 + 15 ( 2 ) =
3 5 ( 33 )
45 + 45 ( 2 ) =
ซึ่งจะทําใหนักเรียนเขาใจวาคําตอบที่ไดคือ y = 5 ( 3x ) เชื่อมโยงกับสถานการณที่
กําหนดใหอยางไร
• ในการหาฟงกชันที่ใชเพื่อตอบคําถามขอ 8 ที่ปรากฏในใบกิจกรรม ใหนักเรียนใชแนวคิด
เดียวกับการตอบคําถามขอ 5 ที่ปรากฏในใบกิจกรรม
• ในการตอบคําถามขอ 9 ที่ปรากฏในใบกิจกรรม ครูควรพิจารณาความสมเหตุสมผล
ของคําตอบ เชน นักเรียนที่ตองการใหจํานวนซอมบี้เพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว ควรเลือก
สถานการณที่มีจํานวนซอมบี้เริ่มตนนอย แตซอมบี้แตละตัวเคลื่อนที่เร็ว ทําใหแตละ
วันแพรเชื้อไดจํานวนมาก
หมายเหตุ
ครูควรสงเสริมให นั กเรียนใช เทคโนโลยีเ ปนเครื่องมือชว ยในการเขียนกราฟและการ
คํานวณ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 57
กิจกรรม : สืบจากกราฟ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. จั บ คู คํา อธิ บ ายกั บ กราฟทั้ ง หก พร อมทั้ ง กํ า หนดว า แกน X และแกน Y แทนอะไร
ใหสอดคลองกับคําอธิบายกราฟ ในตารางดานลาง
กราฟ คําอธิบาย แกน X และแกน Y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 59
เฉลยกิจกรรม : สืบจากกราฟ
1. ตัวอยางคําตอบ
กราฟ คําอธิบาย แกน X และแกน Y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
2. ตัวอยางคําตอบ
ขจรเปนนักเขียนโปรแกรม ใชเวลาสวนใหญนั่งทํางานหนาจอคอมพิวเตอร ทําใหขจรมี
น้ําหนักตัวมากขึ้น หลายปกอนหมอแนะนําใหขจรลดน้ําหนัก ขจรจึงเริ่มออกกําลังกาย
และคิดสูตรอาหารเพื่อสุขภาพและทําอาหารขายเปนงานอดิเรก โดยมีครอบครัวชวย
ชิมอาหารที่ทําและใหความเห็นเพื่อปรับปรุงสูตรอาหาร ขจรไมคอยมีเวลาออกไปพบ
เพื่อน ทําใหเพื่อนสนิทนอยลงเรื่อย ๆ ปที่แลวเกมที่ขจรเขียนโปรแกรมไดรับความนิยม
สูง ทําใหรายไดขจรเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว ขจรรูสึกอิ่มตัวกับการเขียนโปรแกรมจึงตัดสินใจ
ขายลิขสิทธิ์เกมใหกับบริษัทใหญแหงหนึ่ง และไดเงินมากอนหนึ่ง เมื่อเพื่อนไดขาววาขจร
ร่ํารวยมาก ก็เริ่มติ ดต อมาเพื่ อหวั งจะขอเงิ น ดว ยแรงสนับ สนุน จากครอบครัวอยาง
สม่ําเสมอมาโดยตลอด ทําใหขจรมั่นใจในสูตรอาหารเพื่อสุขภาพของตนเอง ขจรจึง
ตั ด สิ น ใจชวนครอบครั ว ไปต า งประเทศอย า งเงี ย บ ๆ และนํ า เงิ น ก อ นที่ ไ ด ไ ปเป ด
รานอาหารเพื่อสุขภาพที่นั่น
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 61
แนวทางการจัดกิจกรรม : สืบจากกราฟ
เวลาในการจัดกิจกรรม 30 นาที
กิ จกรรมนี้ เสนอไว ให นั กเรี ยนใช ความรู เรื่ องฟ งก ชั น เพื่ อแก ป ญหาในสถานการณ ที่
กําหนดให โดยกิจกรรมนี้มีสื่อ/แหลงการเรียนรู และขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม ดังนี้
สื่อ/แหลงการเรียนรู
ใบกิจกรรม “สืบจากกราฟ”
ขั้นตอนการดําเนินกิจกรรม
1. ครูแบงนักเรียนเปนกลุม กลุมละ 3 – 4 คน แบบคละความสามารถ
2. ครู แจกใบกิ จ กรรม “สื บจากกราฟ” จากนั้ น ให นั ก เรี ย นอ านสถานการณ ที่ กํ า หนดใน
ใบกิจกรรมใหเขาใจ ทั้งนี้ ครูควรชี้แจงเพิ่มเติมวากราฟที่กําหนดใหในกิจกรรมนี้อาจเปน
กราฟเสนแนวโนมของฟงกชันที่ไมตอเนื่อง เชน เมื่อแกน X เปนเวลาที่ผานไป และแกน Y
เปนจํานวนเพื่อนสนิท ซึ่งจํานวนเพื่อนสนิทเปนจํานวนเต็มบวก จะไดวากราฟที่ไดจะมี
ลักษณะเปนจุด
3. ครูเลือกตัวแทนนักเรียนเพื่อการจับคูคําอธิบายกับกราฟประมาณ 1 – 2 ตัวอยาง
4. เมื่อนักเรียนเขาใจการจับคูคําอธิบายกับกราฟแลว ครูใหนักเรียนตอบคําถามที่ปรากฏใน
ขั้นตอนการปฏิบัติขอ 1 โดยคําตอบมีไดหลากหลาย ซึ่งครูควรคํานึงถึงความถูกตองตาม
ลักษณะของกราฟในแตละฟงกชัน
5. จากคําตอบที่ไดในขั้นตอนการปฏิบัติขอ 1 ครูใหนักเรียนตอบคําถามที่ปรากฏในขั้นตอน
การปฏิบัติขอ 2
6. ครูใหนักเรียนแตละกลุมนําเสนอคําตอบที่ไดจากขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมขอ 1 และ 2
โดยเน น ย้ํ า ให เชื่ อมโยงกั บกราฟที่ เลื อก แลวใหนักเรี ยนกลุ มอื่ น ๆ รวมกันอภิปราย
เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของคําตอบที่นําเสนอ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
2.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีเปาหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การใหนักเรียน
ทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของนักเรียน
ซึ่งหนั งสื อเรี ยนรายวิชาพื้นฐานคณิ ตศาสตร ชั้ น มัธ ยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝกหัดที่
ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 2 ฟงกชัน ครูอาจใชแบบฝกหัดเพื่อ
วัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 63
2.5 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีจุดมุงหมายวา เมื่อนักเรียนได
เรียนจบบทที่ 2 ฟงกชัน แลวนักเรียนสามารถ
1. หาโดเมนและเรนจ และเขียนกราฟของฟงกชัน
2. ใชความรูเกี่ยวกับฟงกชันในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝกหัดทายบท
ที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุงหมาย นอกจากนี้มีโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทยทาทาย
ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมายของบทเพื่อ
ตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
ทั้งนี้ แบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
บทที่ 2 ฟงกชัน สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียน ดังนี้
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. หาโดเมนและเรนจ และเขียนกราฟของฟงกชัน 4 1) – 4)
5 1) – 6)
6 1) – 6)
11 1)*
15 3)
16 2), 4)
17*
18*
22 2)
23 1)
24 1)
25 1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. หาโดเมนและเรนจ และเขียนกราฟของฟงกชัน (ตอ) 26 1)
28 1)
2. ใชความรูเกี่ยวกับฟงกชันในการแกปญหา 7
8 1) – 3)
10 1) – 3)
11 1)* – 2)
12 1) – 4)
13 1) – 2)
15 1) – 2), 4) – 5)
16 1), 3), 5)
17*
18*
19
20
21
22 1), 3) – 6)
23 2) – 4)
24 2) – 5)
25 2) – 5)
26 2) – 5)
27 1) – 5)
28 2) – 4)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 65
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
โจทยฝกทักษะ 1 1) – 4)
2 1) – 3)
โจทยทาทาย 14
หมายเหตุ
แบบฝกหัดทายบทขอ 11. 1), 17 และ 18 สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียนมากกวา 1
จุดมุงหมาย
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
2.6 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 นําเสนอการตรวจสอบการเปน
ฟงกชันโดยการพิจารณาจากกราฟ อยางไรก็ตาม ยังสามารถตรวจสอบการเปนฟงกชันไดโดย
ใชบทนิยามของฟงกชัน (บทนิยาม 1) โดยให x1 , x2 , y1 และ y2 เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง
( x , y ) ∈ r และ ( x , y ) ∈ r จะต องแสดงว า ถ า x1 = x2 แล ว y1 = y2 เช น ในการ
1 1 2 2
1
ตรวจสอบว
= า r =
( x, y ) y
1 เปนฟงกชันหรือไม สามารถทําไดดังนี้
x + 1
ให x1 , x2 , y1 และ y2 เปนจํานวนจริงใด ๆ ซึ่ง ( x , y ) ∈ r , ( x , y ) ∈ r และ
1 1 1 2 2 1 x1 = x2
1
จาก y =
x +1
1
จะได y1 =
x1 + 1
1
x1 + 1 =
y1
1
x1 = −1
y1
1
และ y2 =
x2 + 1
1
x2 + 1 =
y2
1
x2 = −1
y2
เนื่องจาก x1 = x2
1 1
จะได −1 = −1
y1 y2
1 1
=
y1 y2
นั่นคือ y1 = y2
ดังนั้น r1 เปนฟงกชัน
และการตรวจสอบวา r=2 {( x, y ) =x y 2 − 2} เปนฟงกชันหรือไม สามารถทําไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 67
y12 = y22
นั่นคือ y1 = y2 หรือ y1 = − y2
ดังนั้น r2 ไมเปนฟงกชัน
• การกํ าหนดรู ปทั่ วไปของฟ งก ชั นเอกซ โพเนนเชี ยลในรู ป f ( x ) = a สํ าหรั บ x ที่ เป น
x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 69
รูปที่ 1
รูปที่ 2
และเมื่อ กราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียลจะเปนกราฟแสดงการเพิ่มแบบชี้กําลัง
b >1
(exponential growth) ดั ง รู ป ที่ 3 แต เ มื่ อ 0 < b < 1 กราฟจะแสดงการลดแบบชี้ กํ า ลั ง
(exponential decay) ดังรูปที่ 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
รูปที่ 3
รูปที่ 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 71
รูปที่ 5
จากรูปที่ 5 จะเห็นวา เมื่อคุกกี้มีราคา 10 บาทตอกลอง จะมีผูยินดีซื้อคุกกี้
x= 65 − 3 (10 ) =
35 กลอง
ถาเพิ่มราคาของคุกกี้เปนกลองละ 14 บาท จะมีผูยินดีซื้อคุกกี้ลดลงเหลือ
x= 65 − 3 (14 ) =
23 กลอง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
รูปที่ 6
จากรูปที่ 6 จะเห็นวา เมื่อคุกกี้มีราคา 10 บาทตอกลอง ผูขายยินดีขายคุกกี้
x 2 (10 ) + 15
= = 35 กลอง
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 73
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
รูปที่ 7
รูปที่ 8
หมายเหตุ
กราฟของฟงกชันอุปสงคและกราฟของฟงกชันอุปทานไมจําเปนต องเปนเส น ตรง
อาจเปนเสนโคงอื่น ๆ ก็ได ขึ้นอยูกับฟงกชันอุปสงคและฟงกชันอุปทานนั้น ๆ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 75
2.7 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในส ว นนี้ จ ะนํ า เสนอตั ว อย า งแบบทดสอบประจํ า บทที่ 2 ฟ ง ก ชั น สํ า หรั บ รายวิ ช าพื้ น ฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรูที่
ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. จงตรวจสอบเซตของคูอันดับที่กําหนดใหในแตละขอตอไปนี้เปนฟงกชันหรือไม
1) P = {( a, 1) , ( b, 2 ) , ( c, 3) , ( a, 4 )}
2) Q = {(1, − 1) , ( 2, − 2 ) , ( 3, − 3) , ( 4, − 4 )}
3) R= {( )( )(
2, 2 , 2, − 2 , 3, 3 , 3, − 3 )( )}
4) {(1, 1) , (1, − 1) , ( 2, 2 ) , ( 2, − 2 )}
S=
2. จงพิจารณาวาขอความ “ y= 25 − x เปนฟงกชัน เมื่อ 0 ≤ x ≤ 5 ” เปนจริงหรือเท็จ
2 2
1) โดเมนและเรนจของ f 2) จุดยอดของกราฟของ f
3) จุดที่กราฟตัดแกน X 4) คาสูงสุดหรือคาต่ําสุดของ f
5. มานี เ ป ด ร า นขายอาหาร โดยได กํา ไรจากการขายอาหารในแตล ะวัน หลังหัก คาวั ต ถุ ดิ บ
คาจางพนักงาน และคาสาธารณูปโภค หาไดจาก f ( x ) = −3 x + 720 x − 37,800 เมื่อ x
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
x
3
6. จงเขียนกราฟของ f เมื่อ f ( x) = พรอมทั้งหา
4
1) โดเมนและเรนจของ f 2) จุดที่กราฟตัดแกน X
3) จุดที่กราฟตัดแกน Y
7. หนูนิดผลิตและจําหนายอาหารเสริม ซึ่งตนทุนแบงเปน 2 สวน คือ คาบรรจุภัณฑกระปองละ
50 บาท ในการสั่ ง ซื้ อต องสั่ ง ซื้ อเป น รายเดือน เดื อนละ 500 กระป อง และค า วั ต ถุ ดิ บโดย
เฉลี่ย 100 กรัม ราคา 52.50 บาท โดยหนึ่งกระปองจะมีน้ําหนักสุทธิ 1 กิโลกรัม ถาหนูนิดตั้ง
ราคาจําหนายอาหารเสริมนี้ไวกระปองละ 800 บาท หนูนิดจะตองจําหนายอาหารเสริม
อยางนอยเดือนละกี่กระปองจึงจะไมขาดทุน
8. เชิดศักดิ์ลงทุนทําธุรกิจใหม โดยตองใชเงินลงทุนทั้งหมดใน 3 เดือนแรกของการทําธุรกิจ ซึ่ง
เดือนแรกเขาจะตองใชเงิน 20% ของเงินลงทุนทั้งหมด ในเดือนที่สองเขาจะตองใชเงิน 30%
ของเงินลงทุนทั้งหมด และในเดือนที่สามเขาจะตองใชเงินอีก 20,000 บาท ทั้งนี้ ในเดือนที่สี่
เขาจะไดเงินคืนมาซึ่งนอยกวา 25% ของเงินที่เขาลงทุนไปอยู 9,000 บาท
1) จงเขี ย นฟ ง ก ชั น แสดงจํ า นวนเงิ น ที่ เ ชิ ด ศั ก ดิ์ ข าดทุ น เมื่ อ เวลาผ า นไปสี่ เ ดื อ น เมื่ อ
กําหนดให f แทนฟงกชันแสดงจํานวนเงินที่เชิดศักดิ์ขาดทุนเมื่อเวลาผานไปสี่เดือน
และ x แทนจํานวนเงินที่เชิดศักดิ์ใชในการลงทุนทําธุรกิจนี้
2) เชิดศักดิ์ลงทุนทําธุรกิจนี้เปนจํานวนเงินทั้งหมดเทาใด
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
1. 1) P ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกันแตสมาชิกตัวหลังตางกัน
คือ ( a, 1) และ ( a, 4 )
2) Q เปนฟงกชัน เพราะสมาชิกตัวหนาของคูอันดับใน Q ไมมีตัวใดซ้ํากันเลย
3) R ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกันแตสมาชิกตัวหลังตางกัน
เชน ( 2, 2 ) และ ( 2, − 2 )
4) S ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกันแตสมาชิกตัวหลังตางกัน
เชน (1, 1) และ (1, −1)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 77
2. เขียนกราฟของ y=
2
25 − x 2 ไดดังนี้
3. 1) จาก f ( x ) = −3 x + 4 2
จะได f ( − x ) = −3 ( − x ) + 4
2
= −3 x 2 + 4
= f ( x)
ดังนั้น f เปนฟงกชันคู
2) จาก f ( x) = 3x3 + 4 x
จะได f (−x) 3( − x ) + 4 ( − x )
3
=
= −3 x 3 − 4 x
= − ( 3x3 + 4 x )
= − f ( x)
ดังนั้น f เปนฟงกชันคี่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
3) จาก f ( x) = −3 x + 1
จะได f (−x) = −3 − x + 1
= −3 x + 1
= f ( x)
ดังนั้น f เปนฟงกชันคู
4) จาก f ( x) = 3 x −1
จะได f (−x) = 3 −x −1
= 3 x −1
= f ( x)
ดังนั้น f เปนฟงกชันคู
4. เขียน f ( x ) =8 + 2 x − x ใหอยูในรูป f ( x ) = a ( x − h )
2 2
+k ไดดังนี้
f ( x) = 8 + 2x − x 2
= − ( x2 − 2 x − 8)
= − ( x 2 − 2 x + 1) + 9
− ( x − 1) + 9
2
=
จะได a = −1, h =1 และ k = 9
เนื่องจาก a < 0 ดังนั้น กราฟของ f จะคว่ําลงและมีจุดยอดที่จุด (1, 9 )
หาจุดตัดแกน X โดยกําหนดให f ( x ) = 0
นั่นคือ 8 + 2x − x = 0 2
x2 − 2 x − 8 = 0
( x − 4 )( x + 2 ) = 0
x=4 หรือ x = −2
ดังนั้น กราฟตัดแกน X ที่จุด ( 4, 0 ) และ ( −2, 0 )
เขียนกราฟของ f ( x ) =8 + 2 x − x ไดดังนี้ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 79
2) กราฟมีจุดยอดที่ (1, 9 )
3) กราฟตัดแกน X ที่ ( −2, 0 ) และ ( 4, 0 )
4) จุดยอดของกราฟเปนจุดที่ f มีคาสูงสุด และคาสูงสุด คือ 9
5. กําหนดให f เปนฟงกชันของกําไรจากการขายอาหารในแตละวันของมานี
โดยที่ f ( x ) =
−3 x + 720 x − 37,800 เมื่อ x แทนจํานวนลูกคาในแตละวัน
2
−3 ( x − 120 ) + 5, 400
2
=
นั่นคือ กราฟของ f เปนพาราโบลาคว่ําที่มีจุดยอดที่ (120, 5400 )
ดังนั้น มานีจะไดกําไรสูงสุดเมื่อมีลูกคา 120 คน และไดกําไรสูงสุด 5,400 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
x
3
6. เขียนกราฟของ f ( x) = ไดดังนี้
4
จากกราฟ จะได
1) D = และ R =
f f
+
2) กราฟไมตัดแกน X
3) จุดที่กราฟตัดแกน Y คือ ( 0, 1)
7. ให C แทนฟงกชันตนทุนในการผลิตอาหารเสริม x กระปอง
เนื่องจากตนทุนในการผลิตอาหารเสริมแบงเปน 2 สวน คือ
คาบรรจุภัณฑกระปองละ 50 บาท เดือนละ 500 กระปอง เปนเงิน 25,000 บาท
และคาวัตถุดิบโดยเฉลี่ย 100 กรัม ราคา 52.50 บาท โดยหนึ่งกระปองจะมีน้ําหนักสุทธิ 1 กิโลกรัม
เปนเงินกระปองละ 525 บาท
ดังนั้น C= ( x ) 525 x + 25,000
ให R แทนฟงกชันรายไดจากการจําหนายอาหารเสริม x กระปอง
เนื่องจากหนูนิดตั้งราคาขายอาหารเสริมนี้ไวกระปองละ 800 บาท
ดังนั้น R ( x ) = 800 x
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ฟงกชัน
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 81
275x = 25,000
x ≈ 90.91
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
บทที่ 3
ลําดับและอนุกรม
การศึกษาเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมเปนพื้นฐานสําคัญที่นําไปใชในการแกปญหาตาง ๆ ในชีวิตจริง
เชน การเพิ่มของประชากร การออมเงิน การผอนคาสินคา ซึ่งในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอเนื้อหาเรื่องลําดับเลขคณิต ลําดับเรขาคณิต อนุกรม
เลขคณิต อนุกรมเรขาคณิต และการประยุกตของลําดับและอนุกรม โดยเฉพาะอยางยิ่งการประยุกต
ของลําดับและอนุกรมในการแกป ญหาเกี่ยวกับดอกเบี้ยและมู ลคาของเงิน ซึ่งเปนเรื่องสําคัญใน
ชีวิต ประจํ าวั น และเป น เนื้ อ หาสํ า คั ญ ที่ มีในหลั กสูต รกลุ มสาระการเรีย นรูค ณิ ตศาสตร (ฉบั บ
ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ในบทเรียนนี้มุงเนนใหนักเรียนบรรลุตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรูแกนกลาง และบรรลุจุดมุงหมาย
ดังตอไปนี้
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง
• เขาใจและนําความรูเกี่ยวกับลําดับและ • ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
อนุกรมไปใช • อนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต
• เขาใจและใชความรูเกี่ยวกับดอกเบี้ย • ดอกเบี้ย
และมูลคาของเงินในการแกปญหา • มูลคาของเงิน
• คารายงวด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 83
จุดมุงหมาย
1. หาพจนตาง ๆ ของลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
2. หาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต
3. ใชความรูเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมในการแกปญหา
4. ใชความรูเกี่ยวกับดอกเบี้ยและมูลคาของเงินในการแกปญหา
ความรูกอนหนา
• เลขยกกําลัง
• ฟงกชัน
ipst.me/8455
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
3.1 เนื้อหาสาระ
1. บทนิยาม 1
ลําดับ คือ ฟงกชันที่มีโดเมนเปนเซต {1, 2, 3, ..., n} หรือมีโดเมนเปนเซตของจํานวนเต็มบวก
2. สําหรับหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 จะกลาวถึงเฉพาะ
ลําดับซึ่งแตละพจนเปนจํานวนจริงเทานั้น และเรียกวา ลําดับของจํานวนจริง
3. ลําดับจํากัด คือ ลําดับที่มีโดเมนเปนเซต {1, 2, 3, ..., n}
ลําดับอนันต คือ ลําดับที่มีโดเมนเปนเซตของจํานวนเต็มบวก
กรณี a เปนลําดับจํากัด เขียนแสดงลําดับดวย a1 , a2 , a3 , , an
กรณี a เปนลําดับอนันต เขียนแสดงลําดับดวย a1 , a2 , a3 , , an ,
4. บทนิยาม 2
ลําดับเลขคณิต คือ ลําดับซึ่งมีผลตางที่ไดจากการนําพจนที่ n + 1 ลบดวยพจนที่ n เปน
ค า คงตั ว ที่ เ ท า กั น สํ า หรั บ ทุ ก จํ า นวนเต็ ม บวก n และเรี ย กค า คงตัว ที่ เ ปน ผลตางนี้วา
ผลตางรวม
ลํ า ดั บ a1 , a2 , a3 , , an , จะเป น ลํ า ดั บ เลขคณิ ต ก็ ต อ เมื่ อ มี ค า คงตั ว d ที่
an +1 − an = d สําหรับทุกจํานวนเต็มบวก n
5. พจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d เมื่อ a1 เปนพจนแรก และ d เปน
ผลตางรวมของลําดับเลขคณิต
6. บทนิยาม 3
ลําดับเรขาคณิต คือ ลําดับซึ่งมีอัตราสวนของพจนที่ n + 1 ตอพจนที่ n เปนคาคงตัวที่
เทากัน สําหรับทุกจํานวนเต็มบวก n และเรียกคาคงตัวที่เปนอัตราสวนนี้วา อัตราสวนรวม
ลํ าดั บ a1 , a2 , a3 , , an , จะเป นลําดับเรขาคณิต ก็ตอเมื่อ มีคาคงตัว r ที่
an +1
=r สําหรับทุกจํานวนเต็มบวก n
an
7. พจน ที่ n ของลํ า ดั บ เรขาคณิ ต คื อ an = a1r n−1 เมื่ อ a1 เป น พจน แ รก และ r เป น
อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิต
8. ถา a , a , a ,..., a เปนลําดับจํากัดที่มี n พจน จะเรียกการเขียนแสดงการบวกของ
1 2 3 n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 85
S3 = a1 + a2 + a3
S n = a1 + a2 + a3 + + an
10. อนุกรมเลขคณิต คือ อนุกรมที่ไดจากลําดับเลขคณิต
11. ให a , a , a , ..., a เปนลําดับเลขคณิต ซึ่งมี d เปนผลตางรวม
1 2 3 n
n n
ผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิต คือ=
S n
2
( a1 + an ) หรือ S= n
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
12. อนุกรมเรขาคณิต คือ อนุกรมที่ไดจากลําดับเรขาคณิต
13. ให a , a , a , ..., a เปนลําดับเรขาคณิต ซึ่งมี r เปนอัตราสวนรวม
1 2 3 n
a1 (1 − r n )
ผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิต คือ Sn = เมื่อ r ≠1
1− r
14. ทฤษฎีบท 1
ถาเริ่มฝากเงินดวยเงินตน P บาท ไดรับอัตราดอกเบี้ย i% ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตน
kn
r i
ปละ k ครั้ง แลวเมื่อฝากเงินครบ n ป จะได เงินรวม P 1 + บาท เมื่อ r=
k 100
15. ถาลงทุน P บาท โดยไดรับอัตราดอกเบี้ย i% ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตนปละ k ครั้ง
i
เปนเวลา n ป กําหนดให r= แลวเมื่อครบ n ป เงินรวมที่ได คือ
100
kn
r
S P 1 +
=
k
เรียก S วามูลคาอนาคตของเงินตน P
ในทางกลับกัน จะเรียก P วามูลคาปจจุบันของเงินรวม S โดย
− kn
r
P S 1 +
=
k
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
(
R (1 + r ) (1 + r ) − 1
n
)
r
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 87
18. คางวดที่รับหรือจายตอนสิ้นงวด
พิจารณาการรับหรือจายเงินแตละงวด โดยที่แตละงวดเปนเงิน R บาท ซึ่งเริ่มรับหรือ
จายเงินตอนสิ้นงวด รวมทั้งหมด n งวด และอัตราดอกเบี้ยตองวดเปน i %
i
ให r=
100
จะได แผนภาพแสดงคางวดแตละงวด ดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
3.2 ขอเสนอแนะเกี่ยวกับการสอน
ลําดับ
กิจกรรม : โดเมนของลําดับ
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ลําดับ โดยใหนักเรียนทํากิจกรรมนี้กอนการสอน
เกี่ยวกับความหมายของลําดับและการเขียนแสดงลําดับ
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูใหนักเรียนพิจารณาแบบรูปตอไปนี้ โดยสังเกตจํานวนจุดในแตละรูป
• แบบรูปชุดที่ 1
• แบบรูปชุดที่ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 89
2. จากแบบรูปที่กําหนดใหในขอ 1 ครูใหนักเรียนเขียนเซตของคูอันดับจากแบบรูปชุดที่ 1
และ 2 โดยใหสมาชิกตัวหนาของคูอันดับคือรูปที่ และสมาชิกตัวหลังของคูอันดับคือจํานวน
จุดในแตละรูป
แนวคําตอบ
• เซตของคูอันดับจากแบบรูปชุดที่ 1 คือ {(1, 1) , ( 2, 3) , ( 3, 6 ) , ( 4, 10 ) , ( 5, 15)}
• เซตของคูอันดับจากแบบรูปชุดที่ 2 คือ {(1, 4 ) , ( 2, 9 ) , ( 3, 16 ) , ( 4, 25) , }
3. จากคําตอบที่ไดในขอ 2 ครูใหนักเรียนพิจารณาวาเซตของคูอันดับที่ไดในขอ 2 ตามแบบรูป
ชุดที่ 1 และ 2 เปนฟงกชันหรือไม เพราะเหตุใด
แนวคําตอบ
เซตของคูอันดับที่ไดในขอ 2 ตามแบบรูปชุดที่ 1 และ 2 เปนฟงกชัน เนื่องจากสมาชิก
ตัวหนาของแตละคูอันดับจับคูกับสมาชิกตัวหลังเพียงตัวเดียวเทานั้น
4. จากคําตอบที่ไดในขอ 3 ครูใหนักเรียนหาโดเมนและเรนจของฟงกชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่
1 และ 2
แนวคําตอบ
• ฟงกชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่ 1 มีโดเมน คือ {1, 2, 3, 4, 5} และเรนจ คือ {1, 3, 6, 10, 15}
• ฟงกชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่ 2 มีโดเมน คือ {1, 2, 3, } และเรนจ คือ {4, 9, 16, }
5. จากคําตอบที่ไดในขอ 4 ครูใหนักเรียนพิจารณาวาโดเมนของฟงกชันที่ไดจากแบบรูปแตละ
ชุด เปนเซตจํากัดหรือเซตอนันต
แนวคําตอบ
• โดเมนของฟงกชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่ 1 เปนเซตจํากัด
• โดเมนของฟงกชันที่ไดจากแบบรูปชุดที่ 2 เปนเซตอนันต
6. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับคําตอบที่ไดในขอ 2 – 5
หมายเหตุ
เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมนี้แลว ครูควรสอนนักเรียนเกี่ยวกับบทนิยามของลําดับและการ
เขียนแสดงลําดับ โดยครูสามารถใชลําดับจากกิจกรรมนี้เปนตัวอยางของลําดับได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
กิจกรรม : ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
จุดมุงหมายของกิจกรรม
กิจกรรมนี้ใชเพื่อนําเขาสูบทเรียน เรื่อง ลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
แนวทางการดําเนินกิจกรรม
1. ครูใหนักเรียนพิจารณาลําดับตอไปนี้
1) 1, 3, 7, , 2n − 1, 2) 6, 10, 14, 18, , 4 ( n − 1) + 6,
2 4 8
3) 1, 4, 16, 64, , 4n−1 , 4) 0, , , 2, ,
3 3 3
1 1 1 1
5) 1, 2, 3, 6, 12, 6) 1, , , ,
2 8 64 1024
1 1 1 1
7) 1, , , , 8) 10, 6, 2, − 2, − 6
2 4 8 16
9) 1, − 1, 1, − 1, 10) 2, 3, 5, 10, 20,
2. จากแตละลําดับที่กําหนดใหในขอ 1 ครูใหนักเรียนดําเนินการดังนี้
• หาผลตางของพจนที่อยูติดกัน โดยนําพจนที่อยูหลังลบดวยพจนท่ีอยูกอนหนา เพื่อ
พิจารณาวา มีลําดับในขอใดบางที่ผลตางของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัวที่เทากัน
แนวคําตอบ
2
ลําดับในขอ 2), 4) และ 8) ซึ่งมีผลตางของพจนที่อยูติดกันเปน 4, และ −4
3
ตามลําดับ
• หาอัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน โดยนําพจนที่อยูหลังหารดวยพจนที่อยูกอนหนา เพื่อ
พิจารณาวา มีลําดับในขอใดบางที่อัตราสวนของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัวที่เทากัน
แนวคําตอบ
1
ลําดับในขอ 3), 7) และ 9) ซึ่งมีอัตราสวนของพจนที่อยูติดกันเปน 4, และ
2
−1 ตามลําดับ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 91
3. จากขอ 2 ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดขอสรุปวาลําดับที่กําหนดใหในขอ 1 มี
ลําดับที่ผลตางของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัว และลําดับที่อัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน
เปนคาคงตัว
หมายเหตุ
เมื่อนักเรียนทํากิจกรรมนี้แลว ครูควรสอนนักเรียนเกี่ยวกับบทนิยามของลําดับเลขคณิต
และลําดับเรขาคณิต โดยครูสามารถใชลําดับจากกิจกรรมนี้เปนตัวอยางของลําดับได
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
จริงบวกและจํานวนจริงลบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 93
อนุกรม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
การประยุกตของลําดับและอนุกรม
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเนื้อหาและสิ่งที่ควรตระหนักเกี่ยวกับการสอน
ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับแบบฝกหัด
• เนื่ อ งจากนั ก เรี ย นไม ไ ด เ รี ย นเกี่ ย วกั บ การใช ส มบั ติ ข องลอการิ ทึ ม ในการแก ส มการ
เอกซโพเนนเชียล ดังนั้น การแกสมการ (1.04 )n = 3 ในแบบฝกหัด 3.3 ขอ 1 2) ใหใช
การหาคาประมาณของเลขยกกําลังที่ มีเลขชี้กําลังเปนจํานวนเต็ม ซึ่งจะสังเกตไดว า
(1.04 ) ≈ 2.9987 และ (1.04 ) ≈ 3.1187 แตเนื่องจาก n แทนจํานวนปที่นอยที่สุด
28 29
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 95
3.3 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน
การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพื่อปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ
ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การใหนักเรียน
ทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งที่ครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของนักเรียน
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาพื้น ฐานคณิต ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝ กหั ดที่
ครอบคลุมเนื้อหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 3 ลําดับและอนุกรม ครูอาจใชแบบฝกหัด
เพื่อวัดผลประเมินผลความรูในแตละเนื้อหาไดดังนี้
เนื้อหา แบบฝกหัด
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
3.4 การวิเคราะหแบบฝกหัดทายบท
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 มีจุดมุงหมายวาเมื่อนักเรียนได
เรียนจบบทที่ 3 ลําดับและอนุกรม แลวนักเรียนสามารถ
1. หาพจนตาง ๆ ของลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต
2. หาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต
3. ใชความรูเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมในการแกปญหา
4. ใชความรูเกี่ยวกับดอกเบี้ยและมูลคาของเงินในการแกปญหา
ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ไดนําเสนอแบบฝกหัดทายบท
ที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อวัดความรูความเขาใจ
ของนักเรียนตามจุดมุงหมาย นอกจากนี้มีโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทยทาทาย ครู
อาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมายของบทเพื่อ
ตรวจสอบวานักเรียนมีความสามารถตามจุดมุงหมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม
ทั้งนี้ แบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
บทที่ 3 ลําดับและอนุกรม สอดคลองกับจุดมุงหมายของบทเรียน ดังนี้
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. หาพจนตาง ๆ ของลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต 1 1) – 4)
2 1) – 6)
9 1) – 6)
10
11
12
13
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 97
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
1. หาพจนตาง ๆ ของลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต (ตอ) 18
19
20
2. หาผลบวก n พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต 22
23 1) – 3)
24
25
26
31
32 1) – 3)
33
34 1)
40 1) – 6)
3. ใชความรูเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมในการแกปญหา 6
12
14 1) – 2)
15
16
17
21 1) – 2)
27
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
จุดมุงหมาย แบบฝกหัดทายบทขอที่
3. ใชความรูเกี่ยวกับลําดับและอนุกรมในการแกปญหา (ตอ) 28 1) – 2)
29 1) – 6)
30
34 2)
35
36
37 1) – 3)
38 1) – 4)
4. ใชความรูเกี่ยวกับดอกเบี้ยและมูลคาของเงินในการแกปญหา 41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
52
53
โจทยทาทาย 39 1) – 3)
51
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 99
3.5 ความรูเพิ่มเติมสําหรับครู
• นอกจากลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต ซึ่งไดกลาวถึงในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 แลว ยังมีลําดับอื่น ๆ ซึ่งมีชื่อเฉพาะโดยตั้งตามชื่อนัก
คณิตศาสตรที่เปนผูคนพบลําดับนั้น หรือมีชื่อตามลักษณะของลําดับ
ตัวอยางลําดับที่มีชื่อเฉพาะ
1) ลํ าดั บ ฮาร โมนิ ก (Harmonic sequence) คื อ ลํ าดั บ ของจํ านวนจริ งที่ มี ส ว นกลั บ ของ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
( −1) ,
n
1 1
−1, , − , ,
2 3 n
ขอสังเกต ลําดับสลับเปนกรณีหนึ่งของลําดับแกวงกวัด
• นอกจากอนุ กรมเลขคณิ ตและอนุ กรมเรขาคณิ ต ซึ่ งไดก ลาวถึงในหนังสื อเรียนรายวิช า
พื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 แลว ยังมีอนุกรมจํากัดอื่น ๆ อีก เชน
1) อนุกรมโทรทรรศน (Telescopic series)
สมมติวาตองการหาผลบวก
S n = a1 + a2 + a3 + + an −1 + an
ถาสามารถเขียน ai ใหอยูในรูป = ai bi +1 − bi สําหรับทุก i ∈ {1, 2, 3, , n}
เมื่อ bi เปนลําดับใด ๆ จะไดวา
S n = ( b2 − b1 ) + ( b3 − b2 ) + ( b4 − b3 ) + + ( bn − bn −1 ) + ( bn +1 − bn )
= bn +1 − b1
อนุกรมที่มีสมบัตินี้เรียกวา อนุกรมโทรทรรศน เชน
3 + 5 + 7 + + ( 2n + 1)
ให ai = 2i + 1 = i 2 + 2i + 1 − i 2 = ( i + 1)2 − i 2 และ bi = i 2
จะได 3 + 5 + 7 + + ( 2n + 1) = ( 22 − 12 ) + ( 32 − 22 ) + ( 42 − 32 ) + + ( n + 1)2 − n2
( n + 1)
2
= −1
= bn +1 − b1
ดังนั้น 3 + 5 + 7 + + ( 2n + 1) เปนอนุกรมโทรทรรศน
2) อนุกรมเลขคณิต–เรขาคณิต (Arithmetic–Geometric Series)
อนุกรมเลขคณิต–เรขาคณิตจํากัด คือ อนุกรมในรูป
a1 + a2 r + a3 r 2 + + an r n −1
เมื่อ a1 , a2 , , an เปนลําดับเลขคณิต และ 1, r , r 2 , , r n−1 เปนลําดับเรขาคณิ ต
ตัวอยางอนุกรมเลขคณิต–เรขาคณิตจํากัด เชน
1 3 5 2n − 1
+ 2 + 3 ++
2 2 2 2n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 101
1 3 1 5 1 2n − 1 1
จะเห็นวา ลําดับดังกลาวเขียนไดในรูป ⋅1 + ⋅ + ⋅ 2 + + ⋅ n −1
2 2 2 2 2 2 2
1 3 5 2n − 1
โดยมี , , ,, เปนลําดับเลขคณิต
2 2 2 2
และ 1, 1 , 12 , , 1n−1 เปนลําดับเรขาคณิต
2 2 2
ดังนั้น + 2 + 3 + + 2n n− 1 เปนอนุกรมเลขคณิต–เรขาคณิตจํากัด
1 3 5
2 2 2 2
• นอกจากอนุ ก รมจํ า กั ด ซึ่ ง ได ก ล า วไว ในหนั ง สื อ เรี ย นรายวิ ช าพื้ น ฐานคณิ ต ศาสตร ชั้ น
มัธยมศึกษาปที่ 5 ยังมีอนุกรมอนันต (infinite series) ซึ่งนิยามไดดังนี้
ให a1 , a2 , a3 , , an , เปนลําดับอนันต
เรียกการเขียนแสดงการบวก a1 + a2 + a3 + + an + วาอนุกรมอนันต
• คางวดที่กลาวถึงในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ตรงกับ
คําศัพทภาษาอังกฤษทางการเงินวา annuity และ installment อยางไรก็ตามทั้งสองคํานี้มี
ความหมายแตกตางกัน
สําหรับ annuity นั้น เปนคางวดที่ชําระเปนจํานวนเงินที่เทากันในระยะเวลาที่เทากัน
ซึ่งมักใชในกรณีของการออมเงิน เงินสะสมจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผานไป และ
จะมีการคิดดอกเบี้ยในชวงระยะเวลาที่มีการฝากเงินดวย เชน การฝากเงินเขาบัญชีเงิน
ฝากของธนาคารทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท เปนเวลา 6 เดือน โดยใหดอกเบี้ยในอัตรา
6% ตอปนั้น เงินสะสมในบัญชีจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ เดือนซึ่งเปนกําหนดชําระคางวด จนกระทั่ง
ครบ 6 เดือน ซึ่งเปนระยะเวลาชําระคางวดทั้งหมดที่กําหนดไว
สวน installment นั้น มีความหมายใกลเคียงกับ annuity แตเปนคางวดที่ชําระเปน
จํานวนเงินที่เทากันในระยะเวลาที่เทากัน ซึ่งมักใชในกรณีของการชําระหนี้ คาสินคา หรือ
บริการ โดยกอนที่จะมีการชําระคางวดสําหรับงวดแรก ผูชําระคางวดจะมียอดเงินรวมที่
ตองชํ าระคืน ซึ่งอาจมาจากผลรวมของราคาสิน ค าและดอกเบี้ย แตย อดเงิน รวมที่ ตอง
ชํ า ระคื น จะลดลงเรื่ อย ๆ ตามระยะเวลาที่ ผานไป เช น การชําระเงิน เพื่ อ จายหนี้ ซึ่งมี
ยอดเงินรวมที่ตองชําระคืน 10,000 บาท โดยชําระคืนทุกเดือน เดือนละ 2,000 บาท เปน
เวลา 5 เดือนนั้ น จะเห็นวากอนที่ จะเริ่มชําระเงิน งวดแรก ผูชําระเงินจะมียอดหนี้รวม
ทั้งหมด 10,000 บาท แตเมื่อเริ่มชําระเงินงวดที่ 1 ยอดหนี้จะลดลง และจะลดลงเรื่อย ๆ
ในทุก ๆ เดือนซึ่งเปนกําหนดชําระคางวด จนกระทั่งครบ 5 เดือน ซึ่งเปนระยะเวลาชําระ
คางวดทั้งหมดที่กําหนดไว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
3.6 ตัวอยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทที่ 3 ลําดับและอนุกรม สําหรับรายวิชาพื้นฐาน
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใช ไดตามจุ ดประสงคการเรี ยนรู ที่
ตองการวัดผลประเมินผล
ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 103
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
เฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจําบท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 105
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 107
นั่นคือ n −1 = 11
จะได n = 12
1
ดังนั้น เปนพจนที่ 12 ของลําดับเรขาคณิตนี้
8
6. วิธีที่ 1 จาก an = a1r n −1
จะได สามพจนแรกของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ a1 , a1r และ a1r 2
เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มีผลคูณของสามพจนแรกเปน 27
จะได 27 = a ( a r ) ( a r )
1 1 1
2
27 = a13 r 3
( a1r )
3
27 =
a1r = 3
3
นั่นคือ a1 = ----- (1)
r
เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มีผลบวกของสามพจนแรกเปน 9
จะได 9 = a1 + a1r + a1r 2
9 = a1 (1 + r + r 2 )
9
นั่นคือ a1 = ----- (2)
1+ r + r2
จาก (1) และ (2) จะได a1 = 3 และ r = 1
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 1
a
วิธีที่ 2 ใหสามพจนแรกของลําดับเรขาคณิต คือ ,a และ ar
r
เมื่อ r เปนอัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้
เนื่องจาก ผลคูณของสามพจนแรก คือ 27
a
จะได 27 = × a × ar
r
a3 = 27
a = 3
นั่นคือ พจนที่ 2 ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
3
จะได สามพจนแรกของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ ,3 และ 3r
r
เนื่องจาก ผลบวกของสามพจนแรก คือ 9
3
จะได 9 = + 3 + 3r
r
3
0 = 3r − 6 +
r
0 = 2
r − 2r + 1
( r − 1)
2
= 0
นั่นคือ r = 1
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 1
7. จํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 3 ลงตัว ไดแก 300, 303, 306, , 498
นั่นคือ ลําดับเลขคณิตของจํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 3 ลงตัว คือ
300, 303, 306, , 498 จะได = a1 300,
= an 498 และ d = 303 − 300 = 3
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได 498 = 300 + ( n − 1)( 3)
นั่นคือ n = 67
ดังนั้น มีจํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 3 ลงตัว ทั้งหมด 67 จํานวน
จํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 9 ลงตัว ไดแก 306, 315, 324, , 495
นั่นคือ ลําดับเลขคณิตของจํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 9 ลงตัว คือ
306, 315, 324, , 495 จะได = b1 306,
= bn 495 และ d = 315 − 306 = 9
จาก bn = b1 + ( n − 1) d
จะได 495 = 306 + ( n − 1)( 9 )
นั่นคือ n = 22
ดังนั้น มีจํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 9 ลงตัว ทั้งหมด 22 จํานวน
นั่นคือ มีจํานวนเต็มบวกตั้งแต 300 ถึง 500 ที่หารดวย 3 ลงตัว แตหารดวย 9 ไมลงตัว ทั้งหมด
67 − 22 = 45 จํานวน
8. จาก an = a1 + ( n − 1) d
เนื่องจาก พจนที่ 10 ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 95
จะได 95 = a1 + (10 − 1) d
95 = a1 + 9d ----- (1)
n
จาก Sn = ( a1 + an )
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 109
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
5
จะได 100 =
2
( 2a1 + ( 5 − 1) d )
5
100 = ( 2a1 + 4d )
2
40 = 2a1 + 4d ----- (1)
10
และ 500 =
2
( 2a1 + (10 − 1) d )
500 = 5 ( 2a1 + 9d )
100 = 2a1 + 9d ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได a1 = −4 และ d = 12
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได a50 = −4 + ( 50 − 1)(12 )
= 584
11. จํานวนเต็มบวกตั้งแต 199 ถึง 399 ที่หารดวย 3 ลงตัว ไดแก 201, 204, 207, , 399
นั่นคือ ลําดับเลขคณิตของจํานวนเต็มบวกตั้งแต 199 ถึง 399 ที่หารดวย 3 ลงตัว คือ
201, 204, 207, , 399 จะได
= a1 201,
= an 399 และ d = 204 − 201 = 3
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได 399 = 201 + ( n − 1)( 3)
นั่นคือ n = 67
n
จาก Sn = (a + a ) 1 n
2
67
จะได S67 = ( 201 + 399 )
2
= 20,100
ดังนั้น ผลบวกของจํานวนเต็มตั้งแต 199 ถึง 399 ที่หารดวย 3 ลงตัว คือ 20,100
a1 (1 − r n )
12. จาก Sn =
1− r
เนื่องจากลําดับที่กําหนดใหมี a1 = 4 และ r =3
4 (1 − 37 )
จะได S7 =
1− 3
4 ( −2186 )
=
−2
= 4,372
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 111
10
จะได S10 =
2
( 2 (8) + (10 − 1)( 2 ) )
= 170
ดังนั้น โรงละครนี้จุผูชมได 170 ที่นั่ง
14. กรซื้อรถยนตมาราคา 549,000 บาท
85
เมื่อครบ 1 ป รถยนตของกรราคา 549,000 บาท
100
2
85
เมื่อครบ 2 ป รถยนตของกรราคา 549,000 บาท
100
3
85
เมื่อครบ 3 ป รถยนตของกรราคา 549,000 บาท
100
85
จะเห็นวาราคารถของกรเปนลําดับเรขาคณิตที่มี a1 = 549,000 และ r=
100
ดังนั้น ราคารถยนตของกรเมื่อครบ 7 ป คือ a8
แทน n ดวย 8 ใน an = a1r n−1
8 −1 7
85 85
จะได a8 549,000
= = 549,000 ≈ 175,997
100 100
ดังนั้น กรจะขายรถคันนี้ไดในราคาประมาณ 175,997 บาท
15. เนื่องจาก กอยเริ่มออมเงินในเดือนมกราคม 2562 เปนเงิน 250 บาท และจะออมเงินเพิ่มขึ้น
ทุกเดือน เดือนละ 50 บาท
นั่นคือ เดือนที่ 1 (มกราคม) กอยออมเงิน 250 บาท
เดือนที่ 2 (กุมภาพันธ) กอยออมเงิน 250 + 50 บาท
เดือนที่ 3 (มีนาคม) กอยออมเงิน ( 250 + 50 ) + 50 = 250 + 2 ( 50 ) บาท
เดือนที่ 4 (เมษายน) กอยออมเงิน ( 250 + 2 ( 50 ) ) + 50 = 250 + 3 ( 50 ) บาท
จะเห็นวาเงินที่กอยออมในแตละเดือนเปนลําดับเลขคณิตที่มี a1 = 250 และ d = 50
ดังนั้น กอยจะมีเงินออมรวมเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2562 เปนเงิน S12
แทน n ดวย 12 ใน S= n ( 2a + ( n − 1) d )
n 1
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
12
จะได=
S 12
2
( 2 ( 250 ) + (12 −=
1) 50 ) 6,300
จะเห็นวาเงินที่นางออมในแตละเดือนเปนลําดับเรขาคณิตที่มี a1 = 20 และ r = 2
ดังนั้น นางจะมีเงินออมรวมเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2562 เปนเงิน S10
a1 (1 − r n )
แทน n ดวย 10 ใน Sn =
1− r
20 (1 − 2 )
10
จะได S10
= = 20, 460
1− 2
ดังนั้น นางจะมีเงินออมรวมเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2562 เปนเงิน 20,460 บาท
นั่นคือ กอยและนางจะมีเงินออมรวมกันเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 6,300 + 20, 460 =
26,760 บาท
16. วิธีที่ 1 พิจารณาในชวง 5 ปแรกที่กิ่งแกวฝากเงิน (ปที่ 1 – 5)
ใหกิ่งแกวเริ่มฝากเงินดวยเงินตน P1 บาท
1
ในที่นี้ = , k 1,=
P P1 = n 5 และ= r = 0.01
100
5
0.01
จากทฤษฎีบท 1 จํานวนเงินรวม คือ P1 1 + หรือ P1 (1.01)5 บาท
1
พิจารณาในชวง 5 ปหลังที่กิ่งแกวฝากเงิน (ปที่ 6 – 10)
เงินตนในชวง 5 ปหลัง คือ P1 (1.01)5 บาท
2
ในที่นี้ = P1 (1.01) = และ=r
5
P , k 1,=
n 5 = 0.02
100
5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 113
= 45,286.54049
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
1 − (1.01)
−1
12,000 =
R (1.01)
−1
(1 − (1.01) ) −10
1 − (1.01)
−1
R =
(
12,000 1 − (1.01) ) −1
(1.01)
−1
(1 − (1.01) ) −10
R ≈ 1,266.98
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | ลําดับและอนุกรม
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 115
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
116 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
เฉลยแบบฝกหัดและวิธีทําโดยละเอียด
บทที่ 1 เลขยกกําลัง
แบบฝกหัด 1.1
1. 1) 1100 = 1
2) ( −1) 2019
= −1
3) ( −8.43)
0
= 1
−4
1
4) = 54 = 625
5
(3 )
0
3( )( ) × 15( )( )
−2 −2 0 8 0
2. 1) × 158 =
= 30 × 150
= 1
(( )
−1
( ) ( ) )
−1 −2 −2
2) 23 × 4−2 × 32−2 × 8 = 23 × 2 2 × 25 × 23
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 117
3. 1) ( x y )( x
3 −2 −5 3
y ) = x ( ) y −2+3
3+ −5
= x −2 y
y
=
x2
−2
x4 x −8 3 3 6
2) −2 ( 2 xy ) 2 3
= −2 4 2 x y ( )
2y 2 y
2 ( ) x −8+3 y 6− 4
3− −2
=
= 25 x −5 y 2
25 y 2
=
x5
1
3) y 4 y 2 12 y −8
3
( ) = 4y
4 + 2 + ( −8 )
= 22 y −2
22
=
y2
4) (x −5 7
y )( x −2
y −7 z 0 ) = x
−5 + ( −2 )
y ( ) (1)
7 + −7
= x −7 y 0
1
=
x7
−4
1 −3 2 1 12 −8
5) x y = x y
2 2−4
24 x12
=
y8
6)
( x y )( xy )
2 3 4 −3
=
( x y )( x
2 3 −3 −12
y )
2 2
x y x y
x ( ) y ( )
2 + −3 − 2 3+ −12 −1
=
= x −3 y −10
1
= 3 10
x y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
118 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัด 1.2
1. 1) เนื่องจาก 82 = 64 และ ( −8)2 = 64
ดังนั้น รากที่ 2 ของ 64 คือ 8 และ − 8
เนื่องจาก ( 5 ) = 5 และ (− 5 )
2 2
2) 5
=
เนื่องจาก ( 4 4 ) = 4 และ ( − 4 4 ) =
4 4
3) 4
6) ( −11)2 = 121 = 11 × 11 = 11
5 5
3. 1) =
2 2
5 2
= ⋅
2 2
10
=
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 119
21 7×3
2) =
15 5×3
7× 3
=
5× 3
7
=
5
7 5
= ⋅
5 5
35
=
5
3 3
3) =
20 20
3 20
= ⋅
20 20
60
=
20
2 15
=
20
15
=
10
96 8 × 12
4) =
2 12 2 12
8 × 12
=
2 12
8
=
2
2 2
=
2
= 2
3 8 3× 2 2
5) =
4 12 4× 2 3
3 2
=
4 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
120 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3 8 3 2 3
= ⋅
4 12 4 3 3
3 6
=
12
6
=
4
3 3
9 9
6) 3
= 3
4 2× 2
3
9 32
= 3
⋅
2× 2 3 2
3
18
=
2
4. 1) 45 ⋅ 20 = 3× 3× 5 × 2 × 2 × 5
= 2 × 2 × 3× 3× 5× 5
= 2 × 3× 5
= 30
2) (7 ) (
5 −3 5 + 3 2 + 2 ) = ( 7 − 3) 5 + ( 3 + 1) 2
= 4 5+4 2
= 4 ( 5+ 2 )
3) (2 3+ 7 2 3− 7)( ) = (2 3+ 7 )2 (
3− 2 3+ 7 ) 7
= 12 + 2 21 − 2 21 − 7
= 5
(2 + 3) ( 2 + 3 )( 2 + 3 )
2
4) =
= ( 2 + 3 ) ( 2) + ( 2 + 3 )( 3 )
= 4+2 3+2 3+3
= 7+4 3
5) 3 8 − 4 18 + 7 2 = 6 2 − 12 2 + 7 2
= ( 6 − 12 + 7 ) 2
= 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 121
8 8
6) 2 5 + 125 − = 2 5 +5 5 −
20 2 5
8 5
= 2 5 + 5 5 − ⋅
2 5 5
8 5
= 2 5 +5 5 −
10
4 5
= 2 5 +5 5 −
5
4
= 2+5− 5
5
31 5
=
5
5. 1) เนื่องจาก ( −7 )2 = 49 = 7
จะได ( −7 )2 > −7
2) เนื่องจาก 5 −32 = 5
( −2 )5 =
−2 และ − 5 25 =
− 5 32 = −2
จะได 5 −32 = − 5 32
3
108 3 108
3) เนื่องจาก = = 3
27 3
= และ 3
9 3 24 = 3 9 × 24 = 3 216 = 6
4 3
4
3
108 3 3
ดังนั้น 3
< 9 24
4
12 12 6 6 2 6
4) เนื่องจาก = = = ⋅ = 2 =3 2
8 2 2 2 2 2 2
และ 18 = 3 2
12
ดังนั้น = 18
8
6 6 32
5) เนื่องจาก 3
= 3
⋅ 3 = 33 2
4 4 2
และ 3
18 3 6= 3
18 × 6= 3
22 × 33= 3 3 4
จะได 33 2 < 33 4
6
ดังนั้น 3
< 3 18 3 6
4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
122 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัด 1.3
2 2
1. 1)
27 3
=
( ) 33 3
2
3 32
32
=
32
= 1
3 3
2) ( 0.25) 2 = ( 0.52 ) 2
= ( 0.5) 3
2
2
1 3 1 3 3
3) =
125 5
2
1
=
5
1
=
52
2
( )
2
4) ( −27 ) 3 = ( −3) 3 3
= ( −3)2
= 32
2 2 2 2
+
5) 33 × 33 = 33 3
4
= 33
7
4 2 14
6) 7 3 = 73
4
(( −10) )
4
3 −3
7) ( −1000 ) −
3 =
= ( −10 )−4
1
=
( −10 )4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 123
4
1
( −1000 )− 3 =
104
2 4 2 4
+
8) 53 × 53 = 53 3
6
= 53
= 52
5 4 5 4
− + −
3 3
9) 83 ×8 3 = 8
1
= 83
1
= (2 ) 3 3
= 2
7 3 7 3
− + −
2 2
10) 0.5 2 × 0.5 2 = 0.5
4
= 0.5 2
= 0.52
5 8 5 8
− + −
11) 10 3 × 10 3 = 10 3 3
3
−
= 10 3
= 10−1
1
=
10
1 5
1 5
22 × 22 + −1
12) = 22 2
2
= 22
3
( )
3
2 3
×8 2 23 × 23 2
13) = 1
8
(2 ) 3 2
9
23 × 2 2
= 3
22
9 3
3+ −
= 2 2 2
= 26
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
124 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
1 1
14)
83 +7
=
(2 ) + 7
3 3
1 1
27 3 (3 ) 3 3
2+7
=
3
= 3
2 2
88 3 88 3
15) 2
=
11
113
2
= 83
2
= ( )
23 3
= 22
2 2 2 2
16)
23 × 12 3
=
2 3 × 22 × 3 ( ) 3
1 1
18 3 ( 2 × 32 3 )
2 4 2
2 3 × 2 3 × 33
= 1 2
2 3 × 33
2 4 1 2 2
+ − −
= 23 3 3 × 33 3
5
= 2 3 × 30
5
= 23
2 2
30 3 30 3
17) 2 2
= 2
33 × 53 ( 3 × 5) 3
2
30 3
=
15
2
= 23
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 125
5 2 5 2
8 × 33 × 63 2 3
× 33 × ( 2 × 3) 3
18) 3 5
= 3 5
22 − 22 22 − 22
5 2 2
23 × 3 3 × 2 3 × 3 3
= 3 5
22 − 22
5 2 2
23 × 3 3 × 2 3 × 3 3
= 3 3
+1
22 − 22
5 2 2
23 × 3 3 × 2 3 × 3 3
= 3
3
22 − 22 × 2
5 2 2
23 × 3 3 × 2 3 × 3 3
= 3
2 2 (1 − 2 )
5 2 2
23 × 3 3 × 2 3 × 3 3
= − 3
22
2 3 5 2
3+ − +
= −2 3 2 × 33 3
13 7
= −2 6 × 3 3
1
x −4 2 x −2
2. 1) 6 =
4y 2 y3
1
=
2x 2 y 3
3
2 2 − − 3
3
x3 x3 2
2) −3 =
x 2
3
13
= x 6
13
= x2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
126 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3 1 3 1 1
− −
3) 9x 2 ( 3x ) −
2 = 3 × 2
x2 ×3 2 ×x 2
1 3 1
2+ − + −
2 2 2
= 3 ×x
3
= 32 x
2 2
− −
6
3 3 6 3
27x 3 ×x
4) 3 = 3
y2 y2
3−2 × x −4
=
y −1
y
= 2 4
3 x
3
1
( 10 )
3
3
3. 1) = 10 3
= 10
1
2) 3
( −12 ) 3
= (( −12) ) 3 3
= −12
3) 14 56 = ( 2×7 )( 2× 2× 2×7 )
= 2× 2× 2× 2×7×7
= 2× 2×7
= 28
3
4) 6 × 3 36 = 3
6 × 3 6×6
3
= 6×6×6
= 6
5) 50 + 32 − 18 = 52 × 2 + 42 × 2 − 32 × 2
= 5 2 + 4 2 −3 2
= ( 5 + 4 − 3) 2
= 6 2
6) 3 3
5 4 + 2 32 − 108 3
= 5 3 4 + 2 3 23 × 4 − 3 33 × 4
= 5 3 4 + 4 3 4 − 33 4
= ( 5 + 4 − 3) 3 4
= 63 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 127
3
7) 3
81 + 3 375 − 3 192 = 33 × 3 + 3 53 × 3 − 3 43 × 3
= 33 3 + 5 3 3 − 4 3 3
= (3 + 5 − 4) 3 3
= 43 3
8) 3 2 + 32 − 4 64 = 3 2 + 42 × 2 − 4 24 × 22
= 3 2 + 4 2 − 2 4 22
1
= 3 2 + 4 2 − 2 22 ( ) 4
1
= 3 2 + 4 2 − 2 22
= 3 2 +4 2 −2 2
= (3 + 4 − 2) 2
= 5 2
9) (
5 2 3−2 5 ) = 2 15 − 10
= −10 + 2 15
( ) ( )( 7 + 4 5 )
2
10) 7 +4 5 = 7 +4 5
= ( 7 +4 5 )( 7 ) + ( 7 + 4 5 )( 4 5 )
= 7 + 4 35 + 4 35 + 80
= 87 + 8 35
1
11) เนื่องจาก
4
81
=
(3 ) 4 4
4 1
8
(2 ) 3 4
1
3 24
= 1
× 1
( ) 23 4 24
1
3× 24
=
2
1
3 4
= 2
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
128 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
1
8
1024 = (2 ) 10 8
10
= 28
5
= 24
1
= 2 24
1
และ
8
324
=
( 22 × 34 ) 8
4 1
9
( ) 32 4
1 1
2 4 × 32
= 1
32
1
= 24
1 1 1
4
81 8 8
324 3 4 4
ดังนั้น − 1024 + = 2 − 2 2 + 24
4
8 4
9 2
1
3 4
= − 2 + 1 2
2
1
1 4
= 2
2
1
−1
= 24
3
−
= 2 4
1
= 3
24
1
= 4
8
1 1
12) เนื่องจาก 4 (9) 6 = 4 32( ) 6
1
= 4 ( 3) 3
1 1
3 ( 24 ) 3 = (
3 23 × 3 ) 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 129
1 1
3 ( 24 ) 3 = 6 ( 3) 3
2
2 48 3 2
และ
=
(
2 2 ×3 ) 4 3
1 1
144 6 (2 × 3 )
4 2 6
8 2
2 × 23 ×3 3
= 2 1
23 × 33
8 2 2 1
1+ − −
= 2 3 3 ×3 3
3
1
= 23 ( 3 ) 3
1
= 8 ( 3) 3
2
2 48 3
1 1 1 1 1
ดังนั้น 4 ( 9 ) 6 + 3 ( 24 ) 3 −
1
= 4 ( 3) 3 + 6 ( 3) 3 − 8 ( 3) 3
144 6
1
= 2 ( 3) 3
4. 1) 72x3 = 62 × 2x3
= 6x 2x
2) 54xy 4 = 32 × 6xy 4
= 3y2 6x
32x 4 42 × 2x 4
3) =
y2 y2
4 2x 2
=
y
4) 4
( 3x )
2 4
= 3x 2
5) x 2 4 x3 − 2 x x5 + 9 x 7 = 2 x3 x − 2 x3 x + 3x3 x
= 3x3 x
6) ( 12x y ) (
3
27 xy ) = ( 2x )(
3 xy 3 3 xy )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
130 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
( 12x y ) ( 3
27 xy ) = 6 x ( 3 xy )
= 18x 2 y
2 2
5. 1) เนื่องจาก 27=
3
( 3 )=
3 3 2
3= 9
3 3
และ 9=
2
( 3 )= 2 2 3
3= 27
2 3
ดังนั้น 27 3 < 9 2
1 1
1 1 2 1 1
2) เนื่องจาก 2 18 2 =2 2 × 32 ( ) 2 =6 2 2
และ= ( )
3 4 4 3=
2 4 3 2 2
1
1
ดังนั้น 2 18 2 > 3 4 4
2 2 2 2
3) เนื่องจาก 18 312 3 =(18 × 12 ) 3 =( 63 ) 3 =62
3 1 3 1 4
+
และ 6 2 6=
2 62 =2 6=
2 62
2 2 3 1
ดังนั้น 18 12 3
3 = 6262
1 1 16 1 1 1
( )
3+
4) เนื่องจาก 3 5
7=7 7=5 75 , 49
=10 2 10
7= 75
16 1
และ >
5 5
1 1
ดังนั้น 737 5 > 4910
3 3
5) เนื่องจาก
3
2
3 6 42
4 2 = 4= 2 , −=
( )=
22 2
23
= 29
82 (2 )3 −2 −6
2
และ 6<9
3
2
3 42
ดังนั้น 4 2 < −2
8
6. จาก d = 3.57 h และ h = 49
จะได d = 3.57 49
= ( 3.57 )( 7 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 131
= 24.99
ดังนั้น ชายผูนี้สามารถมองไดไกลสุดประมาณ 24.99 กิโลเมตร
12
7. จาก W = ( 0.0016 ) L 5 และ L = 32
12
จะได W = ( 0.0016 )( 32 ) 5
12
= ( 0.0016 ) ( 2 5
) 5
= ( 0.2 )4 ( 212 )
= ( 2 × 0.1)4 ( 212 )
= 24+12 × 0.0001
= 216 × 0.0001
= 65,536 × 0.0001
≈ 6.55
ดังนั้น วาฬที่มีความยาว 32 ฟุต จะมีน้ําหนักประมาณ 6.55 ตัน
n n0 (1 + r )
t
8. จาก=
4
ในที่นี้ , r
t = 10 = = 0.04 และ n0 = 112,000
100
112,000 (1 + 0.04 )
10
จะได n =
112,000 (1.04 )
10
=
≈ 165,787.36
ดังนั้น ใน พ.ศ. 2571 จังหวัดนี้มีประชากรประมาณ 165,787 คน
0.75
9. 1) ในที่นี้ P = 50000 , n = 10 และ=r = 0.0075
100
จากทฤษฎีบท 7 จะมีจํานวนเงินฝากเมื่อสิ้นปที่ 10 คือ
50,000 (1 + 0.0075 )
10
บาท
≈ 53,879.13
ดังนั้น ถาฝากเงิน 50,000 บาท โดยไมมีการถอนเงิน เมื่อสิ้นปที่ 10 จะมีเงินฝาก
ประมาณ 53,879.13 บาท และไดรับดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ
53,879.13 − 50,000 = 3,879.13 บาท
0.75
2) ในที่นี้ n = 15,=r
= 0.0075
100
และเงินรวมในบัญชีเมื่อสิ้นปที่ 15 เทากับ 150,000 บาท จากทฤษฎีบท 7 จะได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
132 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
P (1 + 0.0075 )
15
= 150,000
150,000 (1.0075 )
−15
P =
≈ 134,095.88
ดังนั้น ถาตองการใหมีเงินในบัญชีเมื่อสิ้นปที่ 15 เปนจํานวนเงิน 150,000 บาท
แลวตองฝากเงินอยางนอยประมาณ 134,096 บาท
10. ในที่นี้ P = 20,000 และ n = 5 เงินรวมเมื่อสิ้นปที่ 5 เทากับ 22,081.62 บาท
i
ใหอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกําหนดคือ i % ตอป และ r= จากทฤษฎีบท 7 จะได
100
20,000 (1 + r )
5
= 22,081.62
22,081.62
(1 + r )5 =
20,000
(1 + r )5 ≈ 1.1041
1
1+ r ≈ (1.1041) 5
1+ r ≈ 1.02
r ≈ 0.02
นั่นคือ i ≈ 2
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกําหนดสําหรับเงินฝากนี้ประมาณ 2%
11. จากโจทย สามารถใชแนวคิดเดียวกับการคิดดอกเบี้ยแบบทบตน โดยใช P แทน
เงินเดือนเริ่มตนสําหรับพนักงานวุฒิปริญญาตรี i แทนรอยละของเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นตอป
i 7
และ r= จะได P = 18,000 และ=r = 0.07
100 100
1) ในที่นี้ n = 30 − 24 = 6
จากทฤษฎีบท 7 จะไดวา เมื่อสายธารมีอายุ 30 ป สายธารจะไดรับเงินเดือน
ประมาณ 18,000 (1 + 0.07 )6 ≈ 27,013.15 บาท
2) จากโจทย ตองการไดเงินเดือนเกิน 50,000 บาท
จากทฤษฎีบท 7 จะได
18,000 (1 + 0.07 )
n
= 50,000
50,000
(1.07 )n =
18,000
≈ 2.7778
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 133
แบบฝกหัดทายบท
2 × 50 × 3−3 2 × 50 × 3−3
1. 1) =
3−3 × 8 3−3 × 23
21−3 × 50 × 3 ( )
−3− −3
=
= 2−2 × 50 × 30
1
=
22
2 × ( 2 × 3) × 33
−2
2 × 6−2 × 33
2) =
9−3 × 8 (3 )
2 −3
× 23
2 × 2−2 × 3−2 × 33
=
3−6 × 23
2 ( ) ×3
1+ −2 −3 −2 + 3−( −6 )
=
= 2−4 × 37
37
=
24
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
134 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
(3 − 3 )
0
3) 2
+ 33 − 34 + 35 = (183)0
= 1
(2 )
3
× 3 × ( 2 × 5) × ( 2 × 3 × 5)
2 −1 2
123 × 10−1 × 302
4) =
42 × 152 × 6−2 (2 )2 2
× ( 3 × 5 ) × ( 2 × 3)
2 −2
=
(2 6
) (
× 33 × 2−1 × 5−1 × 22 × 32 × 52) ( )
2 × (3
4 2
× 5 ) × (2 × 3 )
2 −2 −2
2 ( )
6 + −1 + 2 − 4 −( −2 ) 3+ 2 − 2 −( −2 )
= ×3 × 5−1+ 2− 2
= 25 × 35 × 5−1
=
( 2 × 3 )5
5
65
=
5
x 2 y −3
2. 1) = x 2− 4 y −3− 2
x4 y 2
= x −2 y −5
1
= 2 5
x y
2)
x9 ( 2 x )
4
=
(
x9 24 x 4 )
3 3
x x
4 9 + 4 −3
= 2 x
= 24 x10
(6x y z ) ( )
2
2 −5
62 x 4 y −10 z 2
3) =
2 ( x yz ) 2( x )
3 −6 3 3
−2 y z
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 135
4) ( 2xy )( xy )
−1 2 −2
= ( 2xy )( x
−1 −2
y −4 )
2x ( ) y ( )
1+ −2 −1+ −4
=
= 2x −1 y −5
2
=
xy 5
−2
1 1
5) 2 −3 =
3x y 3 x −4 y 6
−2
32 x 4
=
y6
−1
x −1 yz −2 xy −1 z 2
6) −5 −8 =
y zx y 5 z −1 x8
x1−8 y −1−5 z ( )
2 − −1
=
= x −7 y −6 z 3
z3
=
x7 y 6
3. 1) เนื่องจาก 112 = 121 และ ( −11)2 = 121
ดังนั้น รากที่ 2 ของ 121 คือ 11 และ −11
เนื่องจาก ( 3 396 ) = 396
3
2)
(( 0.3) )
2
4. 1) ( 0.027 ) 3 =
3 3
= ( 0.3)2
= 0.09
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
136 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3
3
9 2 3 2 2
2) =
16 4
3
3
=
4
27
=
64
1 1
(2 )
−
4 −4
3) 16 4 =
= 2−1
1
=
2
1
( )
1
3 −3
4) ( −125) −
3 = ( −5)
= ( −5)−1
1
= −
5
2
2 −
1
−
3 1 3 3
5) − = −
8 2
−2
1
= −
2
= 4
3 3 3
6) 0.5 2 × 82 = ( 0.5 × 8) 2
3
= 42
3
= ( ) 22 2
= 23
= 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 137
7
5 5 7
7) 4 2 = 42
7
= (2 ) 2 2
= 27
= 128
2 2
8)
12 3
=
( )
22 × 3 3
1 1
18 3 (2 × 3 ) 2 3
4 2
2 3 × 33
= 1 2
2 3 × 33
4 1 2 2
− −
= 2 3 3 × 33 3
= 21 × 30
= 2
5 5 5
9)
53 × 2 3
=
(5 × 2)3
2 2
10 3 10 3
5
10 3
= 2
10 3
5 2
−
= 10 3 3
= 10
2 2 2 2
10)
53 × 32 3
=
53 ( )
× 2 5 3
1 1
50 3 (2 × 5 ) 2 3
2 10
5 3 ×23
= 1 2
23 ×5 3
10 1 2 2
− −
= 23 3 × 53 3
= 23 × 50
= 8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
138 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
2 2 2 2
23 × 10 3 23 × ( 2 × 5) 3
11) 1 1
= 1 1
53 × 23 53 × 2 3
2 2 2
23 × 23 × 53
= 1 1
53 × 2 3
2 2 1 2 1
+ − −
= 23 3 3 × 53 3
1
= 21 × 5 3
1
= 2 53
3 3
−
2 × ( 2 × 3)
−
2×6 2 ×3 2 ×3
12) 3 3
= 3 3
( ) ( )
− −
9 2 × 82 32 2 × 23 2
3 3
− −
2× 2 2 ×3 2 ×3
= 9
3−3 × 2 2
3 9 3
1+ − − − +1−( −3)
2 2
= 2 ×3 2
5
= 2−5 × 3 2
5
32
=
25
5. 1) 3
32 × 42 × 6 = 3 32 × 42 × ( 2 × 3)
( )
2
= 3 32 × 22 × ( 2 × 3)
3
= 33 × 25
= 63 4
2) 3
81 − 3 24 + 3 375 = 33 3 − 2 3 3 + 5 3 3
= ( 3 − 2 + 5) 3 3
= 63 3
3) 20 − 45 + 2 5 = 2 5 −3 5 + 2 5
= ( 2 − 3 + 2) 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 139
= 5
4) วิธีที่ 1 (5 2 +1 5 2 −1 )( ) = (5 )( ) (
2 + 1 5 2 − 5 2 + 1 (1) )
= 50 + 5 2 − 5 2 − 1
= 49
(5 )( ) (5 2 )
2
วิธีที่ 2 2 +1 5 2 −1 = − 12
= 50 − 1
= 49
( ) ( )( 6 − 3 )
2
5) วิธีที่ 1 6− 3 = 6− 3
= ( 6− 3 )( 6 ) − ( 6 − 3 )( 3 )
= 6 − 18 − 18 + 3
= 9 − 2 18
= 9−6 2
( ) ( 6) ( 6 )( 3 ) + ( 3 )
2 2 2
วิธีที่ 2 6− 3 = −2
= 6 − 2 18 + 3
= 9 − 2 18
= 9−6 2
6) 3 5 ( 10 + 2 5 ) = (3 5 )( 10 ) + (3 5 )( 2 5 )
= 15 2 + 30
7) ( 5 − 2 2 5 −1 )( ) = ( 5−2 2 5 − )( ) ( )
5 − 2 (1)
= 10 − 4 5 − 5 + 2
= 12 − 5 5
8) วิธีที่ 1 ( 3
3 −1 )( 3
9 + 3 3 +1 ) = ( 3
3 −1 )( 9 ) + (
3 3
)( 3 ) + (
3 −1 3 3
)
3 − 1 (1)
= 3 − 3 9 + 3 9 − 3 3 + 3 3 −1
= 3 −1
= 2
( )( ) ( )( ) ( )
2
วิธีที่ 2 3 − 1 3 3 + 3 3 (1) + (1)
3 3 2
3 −1 9 + 3 3 +1 = 3
( 3) −1
3
3
= 3
= 3 −1
= 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
140 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
9) (2 3+ 7 )( 3 −3 7 ) = (2 3+ 7 )( 3 ) − ( 2 )(
3+ 7 3 7 )
= 6 + 21 − 6 21 − 21
= −15 − 5 21
10) ( 98 − 18 )( 8 + 50 ) = ( 7 2 − 3 2 )( 2 2 +5 2 )
= ( 4 2 )( 7 2 )
= 56
3 4
5 54
11) = 3
3
5 5
3
= 54−1
3
= 53
= 5
1 867 32 1 17 3 4 2
12) 1296 + − 4 = 36 + −
2 3 4 2 3 2
1
= ( 36 + 17 − 4 )
2
49
=
2
49 2
= ⋅
2 2
49 2
=
2
15 15 15 15 15 15
13) 3
− 6
+ 9
= 3
−3 +3
135 25 125 3 5 5 5
5
= 3
5
3
5 52
= 3
⋅
5 3
52
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 141
15 15 15 5 3 25
−6 +9 =
3
135 25 125 5
3
= 25
1
1
14) เนื่องจาก 2 108 3
=
(
2 22 × 33 ) 3
2
= 2 23 × 3
5
= 3 23
3 3
1
= 1
432 3 ( 24 × 33 ) 3
3
= 4
23 ×3
1
= 4
23
1 1
และ 288 3
=
(2 × 3 )5 2 3
2 2
24 3 ( 2 × 3)
3 3
5 2
2 3 × 33
= 2
22 × 3 3
5
−2
= 23
1
−
= 2 3
1
= 1
23
1
1 1 1
3 288 3 5 1 1
ดังนั้น 23 2 108 −
3 − = 23 3 23 − 4 − 1
1 2
432 3 24 3
2 3 23
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
142 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
1+5 1−4 1 1
−
= 3 23 3 − 23 3 − 23 3
= ( )
3 22 − 2−1 − 20
1
= 12 − −1
2
21
=
2
6. 1) 3 4 x5 − 5 x 36 x3 = ( )
3 2 x2 x − 5x 6 x x ( )
= 6 x 2 x − 30 x 2 x
= (6x 2
− 30 x 2 ) x
= −24x 2 x
3
675 x 6 3 x 2 3 25
2) x 3 8 x − 4 3 27 x 4 +
3
25 x 2
= ( ) (
x 2 3 x − 4 3x 3 x + ) 3
25 x 2
3x 2
= 2 x 3 x − 12 x 3 x +
3
x2
3x 2 3 x
= 2 x 3 x − 12 x 3 x + ×
3 2 3 x
x
23
3x x
= 2 x 3 x − 12 x 3 x +
x
3 3 3
= 2 x x − 12 x x + 3x x
= ( 2 − 12 + 3) x 3 x
= −7x 3 x
2 2
27x3 3 33 × x3 3
3) 6 = 6
y y
32 × x 2
=
y4
2
27x3 3 32 x 2
6 =
y y4
1 1
125 x y 3 4
3 53 × x3−( −6 ) y 4−1 3
4) =
−6 33
27 x y
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 143
1
53 × x9 y 3 3
=
33
3
5x y
=
3
−2 2
1 1
5) 6 x 2 y 3 xy 2 = (6 −2
)(
x −1 y −2 32 x 2 y )
9 −1+ 2 −2+1
= x y
36
1 −1
= xy
4
x
= 2
2 y
2 2
− −
−2 − 3 3 −2−1 − 3 − 1 3
x y 2 x y 2 2
6) 1 =
27 xy 2 33
2
−
x −3 y −2 3
= 3
3
4
2
x y3
=
3−2
4
2 2
= 3 x y3
432a b 3 5
432a 3b5
7. 1) =
144ab 2 144ab 2
= 3a 3−1b5− 2
= 3a 2b3
= ab 3b
5a 3
5a 3 b 2
2) 3 = 3 ×
27b 27b b 2
5a 3 b 2
= 3
33 b3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
144 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
a 3 2
= 5b
3b
3)
40 x 2 y 5
=
(2 2
)
× 10 x 2 y 5
3a 2b5 2 5
3a b
2
2 xy 10 y
=
ab 2 3b
2 xy 2 10 y 3b
= 2
×
ab 3b 3b
2 xy 2 30by
=
3ab3
11a 3b 22 x 2 y 11a 3b 22 x 2 y
4) = 3
2 xy 3 25ab 2 xy 25ab
121 3−1 1−1 2−1 1−3
= a b x y
25
121 2 0 −2
= a b xy
25
121a 2 x
=
25 y 2
11a
= x
5y
8. 1) เนื่องจาก 2 2 < 3
ดังนั้น 2 2 5 < 3 5
2) เนื่องจาก ( 3 −56 )( 3 −49 ) =3 ( −56 )( −49 ) =3 ( 56 )( 49 ) =3 23 × 73 =14
และ ( 3 48 )( 3 36 ) = 3 ( 48)( 36 ) = 3 26 × 33 = 12
ดังนั้น ( 3 −56 )( 3 −49 ) > ( 3 48 )( 3 36 )
2 1 2 1
3) เนื่องจาก ( −8) 3 =
( −8 ) 3 =
( −2 )2 =4 และ ( −64 ) 3 =
−4
2 1
ดังนั้น ( −8) 3 > ( −64 ) 3
2 1 2
4) เนื่องจาก 3 ( −27 ) 3 =3 ( −27 ) 3 =3 ( −3) =27
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 145
3
3 1
−2 ( 9 ) −2 ( 3) =
3
และ 2 −2 9 2 =
=
−54
2 3
ดังนั้น 3 ( −27 ) 3 > − 2 ( 9 ) 2
1 1
5) เนื่องจาก 2 ( −8) 3 =2 ( −2 ) =−4 และ −3 ( 2 ) 2 ≈ −4.24
1 1
ดังนั้น 2 ( −8) 3 > −3 ( 2 ) 2
1
1 3 1 3
1 1 3
42
6) เนื่องจาก 2−14 2 8 2 = 4282 และ = 4282
2
−
3
8 2
1
1 3
42
ดังนั้น 2−14 2 8 2 < 3
−
8 2
1 1 3 1 1 1
7) เนื่องจาก
4
54 6
=
33 × 2
4 ( ) 4
( 2 × 3) 4 34 2 4 2 4 34
= 1 =
+ + −
3 1
34 4 × 2 4 4 2 =3
1 1 1
6 1
8
( )23 6 22
3 2 4
54 4 6
ดังนั้น 313 2 3 3 > 6
8
n0 (1 + r )
t
9. จาก=n
1.13
ในที่นี้ =
n0 7.4,
= r = 0.0113 และ t = 27
100
7.4 (1 + 0.0113)
27
จะได n =
= 7.4 (1.0113)
27
≈ 10.02
ดังนั้น ใน พ.ศ. 2586 โลกจะมีจํานวนประชากรประมาณ 10.02 พันลานคน
t
10. จาก n = 10000 (1.3)10 และ t = 10
10
จะได n = 10000 (1.3)10
10000 (1.3) =
13000 =
ดังนั้น ในอีก 10 ปขางหนา จะมีจํานวนประชากรในเมืองนี้ 13,000 คน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
146 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 147
P (1 + 0.04 )
30
= 10,000,000
P = 10,000,000 (1.04 )
−30
≈ 3,083,186.68
จะไดวา ถาตองการใหมีเงินในบัญชีเมื่อสิ้นปที่ 30 เปนจํานวนเงิน 10,000,000 บาท
แลวจะตองฝากเงินตนอยางนอย 3,083,187 บาท
15. ในที่นี้ P = 50,000 และ n = 10 เงินรวมเมื่อสิ้นปที่ 10 เทากับ 67,195.82 บาท
i
ใหอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกําหนด คือ i% ตอป และ r= จากทฤษฎีบท 7 จะได
100
50,000 (1 + r )
10
= 67,195.82
67,195.82
(1 + r )10 =
50,000
(1 + r )10 = 1.3439164
1
1+ r = (1.3439164 )10
1 + r ≈ 1.03
r ≈ 0.03
นั่นคือ i ≈ 3
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกําหนดสําหรับเงินฝากนี้ประมาณ 3%
16. จากโจทย สามารถใชแนวคิดเดียวกับการคิดดอกเบี้ยแบบทบตน โดยใช P แทนเงินเดือน
i 6
เริ่มตน i แทนรอยละของเงินเดือนของแพทยที่เพิ่มขึ้นตอป และ r= จะได=r = 0.06
100 100
1) พิจารณาเงินเดือนของนายแพทยศุภกุล
ในที่นี้ P = 17,920 และ n = 30 − 24 = 6
จากทฤษฎีบท 7 จะไดวา เมื่อนายแพทยศุภกุลมีอายุ 30 ป จะไดรับเงินเดือน
ประมาณ 17,920 (1 + 0.06 )6 ≈ 25, 419.86 บาท
พิจารณาเงินเดือนของแพทยหญิงวัฒนา
ในที่นี้ P = 20,000 และ n = 30 − 27 = 3
จากทฤษฎีบท 7 จะไดวา เมื่อแพทยหญิงวัฒนามีอายุ 30 ป จะไดรับเงินเดือน
ประมาณ 20,000 (1 + 0.06 )3 ≈ 23,820.32 บาท
ดังนั้น เมื่อทั้งสองคนมีอายุ 30 ป นายแพทยศุภกุลจะมีเงินเดือนมากกวา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
148 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
จะได 20,000 (1.06 )23 ≈ 76,394.99 และ 20,000 (1.06 )24 ≈ 80,978.69
นั่นคือ เมื่อแพทยหญิงวัฒนาทํางานไปแลว 23 ป เงินเดือนจะยังไมถึง 76,800 บาท
แตเมื่อแพทยหญิงวัฒนาทํางานไปแลว 24 ป จึงจะไดรับเงินเดือนสูงสุดของแพทย คือ
76,800 บาท
จะไดวา แพทยหญิงวัฒนาจะไดรับเงินเดือนสูงสุดเมื่ออายุ 27 + 24 = 51 ป
ดังนั้น นายแพทยศุภกุลจะไดรับเงินเดือนสูงสุดเมื่ออายุ 49 ป และแพทยหญิงวัฒนา
จะไดรับเงินเดือนสูงสุดเมื่ออายุ 51 ป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 149
บทที่ 2 ฟงกชัน
แบบฝกหัด 2.1
1. 1) เนื่องจาก สมาชิกตัวหนาของคูอันดับใน A ไมมีตัวใดซ้ํากันเลย
ดังนั้น A เปนฟงกชัน
2) เนื่องจาก มีคูอันดับใน B ที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกัน แตสมาชิกตัวหลังตางกัน
คือ ( p, 1) และ ( p, 3)
ดังนั้น B ไมเปนฟงกชัน
3) วิธีที่ 1 เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ {( x, y ) =x y 2 + 7} ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
150 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
4) เขียนกราฟแสดงความสัมพันธ {( x, y ) } ไดดังนี้
y x2 + 7
=
f ( 0=
) 0=2 0
f (1=
) 1=2 1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 151
f ( 2=
) 2=2 4
ดังนั้น f = {( −2, 4 ) , ( −1, 1) , ( 0, 0 ) , (1, 1) , ( 2, 4 )}
2) จาก f ( x=) x + 2 และ D f ={−2, − 1, 0, 1, 2}
จะได f ( −2 ) = ( −2 ) + 2 = 0 = 0
f ( −1) = ( −1) + 2 = 1= 1
f ( 0) = 0+2 = 2
f (1) = 1+ 2 = 3
f ( 2) = 2+2 = 4= 2
ดังนั้น f ={( −2, 0) , ( −1, 1) , ( 0, )( )
2 , 1, 3 , ( 2, 2 ) }
4. เนื่องจาก −2 < 1 จะได f ( −2 ) = 1
เนื่องจาก 0 < 1 จะได f ( 0 ) = 1
เนื่องจาก 1 ≤ 1 ≤ 3 จะได f (1) = 1
1 1
เนื่องจาก <1 จะได f =1
2 2
เนื่องจาก 1 ≤ 3 ≤ 3 จะได f ( 3 ) = 3
เนื่องจาก 9 > 3 จะได f ( 9 ) = 2
เนื่องจาก h > 0 จะได 3 + h > 3 นั่นคือ f ( 3 + h ) − f ( 3) =2 − 3 =−1
5. 1) แทน x ในสมการ y =− x + 2 ดวย 0, 1 และ 2 จะไดคูอันดับซึ่งเปนสมาชิกของ
เซต r ดังตาราง
x 0 1 2
y 2 1 0
( x, y ) ( 0, 2 ) (1, 1) ( 2, 0 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
152 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 153
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
154 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
และเมื่อพิจารณา =y x − 7
เนื่องจาก x − 7 ≥ 0 จะได y ≥ 0
ดังนั้น R f = { y ∈ y ≥ 0}
3) เนื่องจากในระบบจํานวนจริงไมนิยามเศษสวนที่ตัวสวนเปนศูนย
ดังนั้น 2 x − 3 ≠ 0
นั่นคือ x ≠ 3
2
3
ดังนั้น โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่ไมเทากับ
2
3
หรือ Df = x ∈ x ≠
2
และเมื่อพิจารณา y = 1
2x − 3
1
จะไดวา 2 x − 3 =
y
แสดงวา y เปนจํานวนจริงที่ไมเทากับ 0
ดังนั้น R f = { y ∈ y ≠ 0}
4) เนื่องจากในระบบจํานวนจริง จํานวนที่อยูในเครื่องหมายกรณฑที่สองตองไมเปน
จํานวนลบ
ดังนั้น x ≥ 0
จะไดวา โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับ 0 หรือ
{x x ≥ 0}
D f =∈
และเมื่อพิจารณา y = − x
เนื่องจาก x ≥ 0 จะได − x ≤ 0 นั่นคือ y≤0
ดังนั้น R f ={ y ∈ y ≤ 0}
7. เนื่องจาก − 4 < x < 3
จะได 0 ≤ x 2 < 16 นั่นคือ −6 ≤ x 2 − 6 < 10
ดังนั้น −6 ≤ f ( x ) < 10
จะไดวา R f = { y ∈ − 6 ≤ y < 10}
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 155
แบบฝกหัด 2.2
1. 1) จ
2) ข
3) ง
4) ค
5) ก
2
2. 1) x)
ให f ( = x +1
7
2 13
หาคาของฟงกชัน f ที่ 3 จะได f (=
3) ( 3) +=1
7 7
จะได จุด 13 อยูบนกราฟของ f
3,
7
2
ดังนั้น จุด ( 3, 5) ไมอยูบนกราฟ =y x +1
7
2) ให f ( x ) = −2 x − 7
หาคาของฟงกชัน f ที่ −4 จะได f ( −4 ) =−2 ( −4 ) − 7 =1
จะได จุด ( −4, 1) อยูบนกราฟของ f
ดังนั้น จุด ( −4, − 5) ไมอยูบนกราฟ 2 x + y =−7
3) เนื่องจาก y = −1 เปนกราฟเสนตรงขนานแกน X ผานจุด ( 0, − 1)
ดังนั้น จุด ( 4, − 5) ไมอยูบนกราฟ y = −1
4) เนื่องจาก x = 2 เปนกราฟเสนตรงขนานแกน Y ผานจุด ( 2, 0 )
ดังนั้น จุด ( 2, 0 ) อยูบนกราฟ x = 2
5) ให f ( x ) = − x
หาคาของฟงกชัน f ที่ 1 จะได f (1) = −1
ดังนั้น จุด (1, − 1) อยูบนกราฟ x + y = 0
3. 1) ให A ( x ) เปนฟงกชันของความยาวที่มีหนวยเปนเซนติเมตร เมื่อ x เปนความยาวที่มี
หนวยเปนนิ้ว
เนื่องจาก ความยาวที่มีหนวยเปนนิ้ว เทากับ 2.54 เทาของความยาวที่มีหนวยเปนเซนติเมตร
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
156 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 157
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
158 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 159
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
160 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 161
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
162 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 163
8. 1) เขียนกราฟของฟงกชันอุปสงคและฟงกชันอุปทาน ดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
164 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัด 2.3
y =( x − 4 ) − 3
2
1. 1)
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได= a 1,=h 4 และ k = −3
นั่นคือ กราฟหงายขึ้น มีจุดยอดที่จุด ( 4, − 3) และคูกับกราฟ (ง)
− ( x − 4) + 3
2
2) y=
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได a = −1, h =4 และ k = 3
นั่นคือ กราฟคว่ําลง มีจุดยอดที่จุด ( 4, 3) และคูกับกราฟ (ช)
y =( x + 4 ) − 3
2
3)
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได a = 1, h = − 4 และ k = −3
นั่นคือ กราฟหงายขึ้น มีจุดยอดที่จุด ( − 4, − 3) และคูกับกราฟ (ญ)
− ( x + 4) + 3
2
4) y=
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได a = −1, h =− 4 และ k = 3
นั่นคือ กราฟคว่ําลง มีจุดยอดที่จุด ( − 4, 3) และคูกับกราฟ (ก)
y 2 ( x − 2)
2
5) =
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได= a 2,=h 2 และ k = 0
นั่นคือ กราฟหงายขึ้น มีจุดยอดที่จุด ( 2, 0 ) และคูกับกราฟ (ฌ)
y =( x + 3) − 4
2
6)
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได a = 1, h = −3 และ k = − 4
นั่นคือ กราฟหงายขึน้ มีจุดยอดที่จุด ( −3, − 4 ) และคูกับกราฟ (ข)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 165
1
− ( x + 1) − 3
2
7) y=
2
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
1
จะได −1 และ k = − 3
− ,h=
a=
2
นั่นคือ กราฟคว่ําลง มีจุดยอดที่จุด ( −1, − 3) และคูกับกราฟ (ค)
−2 ( x + 3) + 2
2
8) y=
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได a = −2, h =−3 และ k = 2
นั่นคือ กราฟคว่ําลง มีจุดยอดที่จุด ( −3, 2 ) และคูกับกราฟ (ฉ)
9) y = x2 − 2 x + 3
= (x 2
− 2x + 1 + 2 )
= ( x − 1) 2
+2
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได= a 1,=h 1 และ k = 2
นั่นคือ กราฟหงายขึ้น มีจุดยอดที่จุด (1, 2 ) และคูกับกราฟ (ซ)
10) y = 2 x 2 − 4 x + 5
(
= 2 x2 − 2 x + 1 + 3 )
= 2 ( x − 1) + 3
2
เมื่อเทียบกับ y =( x − h )2 + k
จะได= a 2,= h 1 และ k = 3
นั่นคือ กราฟหงายขึ้น มีจุดยอดที่จุด (1, 3) และคูกับกราฟ (จ)
2. 1) เขียน f ( x ) = x 2 − 4 x − 5 ใหอยูในรูป f ( x ) =( x − h )2 + k ไดดังนี้
f ( x) = (x 2
− 4x + 4 − 9)
= ( x − 2) 2
−9
จะได = a 1,=h 2 และ k = −9
เนื่องจาก a > 0
ดังนั้น กราฟของฟงกชัน f หงายขึ้น และมีจุดยอดที่จุด ( 2, − 9 ) และมีคาต่ําสุด คือ −9
หาจุดที่กราฟตัดแกน X โดยกําหนดให f ( x ) = 0
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
166 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
นั่นคือ x2 − 4 x − 5 = 0
( x − 5)( x + 1) = 0
จะได x = 5 หรือ x = −1
ดังนั้น กราฟตัดแกน X ที่จุด ( −1, 0 ) และ ( 5, 0 )
เขียนกราฟของ f ( x ) = x 2 − 4 x − 5 ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 167
( )
− x2 − 6 x + 8 = 0
− ( x − 4 )( x − 2 ) = 0
จะได x = 4 หรือ x = 2
ดังนั้น กราฟตัดแกน X ที่จุด ( 2, 0 ) และ ( 4, 0 )
เขียนกราฟของ f ( x ) =− x 2 + 6 x − 8 ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
168 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
− x ( x + 2) = 0
จะได x = 0 หรือ x = − 2
ดังนั้น กราฟตัดแกน X ที่จุด ( −2, 0 ) และ ( 0, 0 )
เขียนกราฟของ f ( x ) =− x 2 − 2 x ไดดังนี้
-5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 169
เขียนกราฟของ f ( x ) = x 2 − 6 x + 8 ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
170 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
4. 1) ให f ( x ) แทนรายไดตอเดือนของเจาของหอพักแหงนี้
เมื่อ x คือ จํานวนหองวาง
จะได f ( x ) = ( 80 − x )( 4,000 + 200 x )
= 320,000 + 16,000 x − 4,000 x − 200 x 2
= −200 x 2 + 12,000 x + 320,000
ดังนั้น สมการแสดงรายไดของเจาของหอพักแหงนี้ คือ f ( x ) =
−200 x 2 + 12,000 x + 320,000
2) จาก f ( x ) = −200 x 2 + 12,000 x + 320,000
ถาตองการใหมีรายไดเดือนละ 375,000 บาท
นั่นคือ 375,000 = −200 x 2 + 12,000 x + 320,000
200 x 2 − 12,000 x + 55,000 = 0
2
x − 60 x + 275 = 0
( x − 55)( x − 5) = 0
จะได x = 5 หรือ x = 55
ถา x = 5 เจาของหอพักตองคิดคาเชาหองละ 4,000 + 200 ( 5) = 5,000 บาท
ถา x = 55 เจาของหอพักตองคิดคาเชาหองละ 4,000 + 200 ( 55) =15,000 บาท
ดังนั้น ถาตองการใหมีรายไดเดือนละ 375,000 บาท เจาของหอพักตองคิดคาเชา
หองละ 5,000 บาท หรือ 15,000 บาท
3) จาก f ( x ) = −200 x 2 + 12,000 x + 320,000
เขียนใหอยูในรูป a ( x − h )2 + k ไดดังนี้
( )
f ( x ) = −200 x 2 − 60 x + 900 + 500,000
= −200 ( x − 30 ) + 500,000
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 171
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
172 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัด 2.4
1. ให f ( x ) แทนอัตราคาบริการในการสงพัสดุของบริษัทแหงหนึ่งมีหนวยเปนบาท
เมื่อ x แทนน้ําหนักของพัสดุมีหนวยเปนกิโลกรัม จะเขียนฟงกชันของ f ( x ) ไดดังนี้
20.00 ; 0 < x ≤1
35.00 ;1 < x ≤ 2
50.00 ;2< x≤3
f ( x) =
65.00 ;3< x ≤ 4
80.00 ;4< x≤5
95.00 ;5 < x ≤ 6
เขียนกราฟของฟงกชัน f ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 173
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
174 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3. ให f ( x ) แทนคาโดยสารของรถโดยสารประเภทหนึ่งมีหนวยเปนบาท
เมื่อ x แทนระยะทางหนวยเปนกิโลเมตร จะเขียนฟงกชันของ f ( x ) ไดดังนี้
20 ;0 < x ≤ 2
23 ;2 < x ≤ 2.3
26 ;2.3 < x ≤ 2.6
29 ;2.6 < x ≤ 2.9
32 ;2.9 < x ≤ 3.2
=f ( x ) 35 ;3.2 < x ≤ 3.5
38 ;3.5 < x ≤ 3.8
41 ;3.8 < x ≤ 4.1
44 ;4.1 < x ≤ 4.4
47 ;4.4 < x ≤ 4.7
50 ;4.7 < x ≤ 5.0
เขียนกราฟของฟงกชัน f ไดดังนี้
2
1) ถาเดินทางดวยรถโดยสารตั้งแตตนสายจนสุดสาย จะตองเสียคาโดยสาร 50 บาท
2) ถาเดินทางไป 3.82 กิโลเมตร จะตองเสียคาโดยสาร 41 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 175
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
176 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3 ;0 < t ≤ 2
3.5 ;2 < t ≤ 3
4 ;3 < t ≤ 4
4.5 ;4 < t ≤ 5
5 ;5 < t ≤ 6
จะได g (t ) =
5.5 ;6 < t ≤ 7
6 ;7 < t ≤ 8
6.5 ;8 < t ≤ 9
7 ;9 < t ≤ 10
เขียนกราฟของ f และ g ไดดังนี้
2 4 6 8 10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 177
แบบฝกหัด 2.5
1. 1) แทน x ใน f ( x ) = 3x ดวย −3, − 2, − 1, 0, 1, 2 และ 3 จะได
x −3 −2 −1 0 1 2 3
1 1 1
f ( x) 1 3 9 27
27 9 3
1 1 1
( x, f ( x ) ) −3,
27
−2,
9
−1,
3
( 0, 1) (1, 3) ( 2, 9 ) ( 3, 27 )
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
178 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
x
2) แทน x ใน f ( x ) = 1 ดวย −3, − 2, − 1, 0, 1, 2 และ 3 จะได
3
x −3 −2 −1 0 1 2 3
1 1 1
f ( x) 27 9 3 1
3 9 27
1 1 1
( x, f ( x ) ) ( −3, 27 ) ( −2, 9 ) ( −1, 3) ( 0, 1) 1,
3
2,
9
3,
27
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 179
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
180 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 181
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
182 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
3. 1) เมื่อครบ 3 ป ชายคนนี้จะตองชําระเงินคืนใหธนาคารทั้งหมด
f ( 3) = 850,000 (1.08 )
3
= 1,070,755.2 บาท
โดยคิดเปนดอกเบี้ย 1,070,755.2 − 850,000 = 220,755.2 บาท
2) แทน n ใน f ( n ) = 850,000 (1.08)n ดวย 1, 2, 3, 4 และ 5 จะได คูอันดับดังตาราง
n f (n)
1 918,000
2 991,440
3 1,070,755.2
4 1,156,415.62
5 1,248,928.87
จากตาราง เขียนกราฟไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 183
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) เปนฟงกชัน
2) เปนฟงกชัน
3) ไมเปนฟงกชัน
4) ไมเปนฟงกชัน
2. 1) ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอับดับที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกัน แตตัวหลังตางกัน
คือ ( 4, d ) และ ( 4, e )
2) ไมเปนฟงกชัน เพราะมีคูอันดับที่มีสมาชิกตัวหนาเหมือนกัน แตตัวหลังตางกัน
เชน ( 3, 0 ) และ ( 3, 1)
3) เปนฟงกชัน
3. จาก f ( x ) = x 2 + 3x − 5
จะได f ( 0) = ( 0 )2 + 3 ( 0 ) − 5 = −5
f ( −1) = ( −1)2 + 3 ( −1) − 5 = −7
f ( 3) = ( 3)2 + 3 ( 3) − 5 = 13
f ( a ) = a 2 + 3a − 5
4. 1) พิจารณา f ( x ) = −3 x − 4
จะเห็นวา ไมวาแทน x ดวยจํานวนจริงใดก็จะสามารถหา f ( x ) ไดเสมอ
ดังนั้น โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริง หรือ D f =
หาเรนจของฟงกชัน f โดยให y = −3 x − 4
y+4
จะไดวา x= − ซึ่งเห็นวา ไมวาแทน y เปนจํานวนจริงใดก็จะสามารถหา x
3
ที่คูกับ y ไดเสมอ
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริง หรือ Rf =
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
184 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
2) เนื่องจากในระบบจํานวนจริง จํานวนในเครื่องหมายกรณฑที่สองตองไมเปนจํานวนจริงลบ
ดังนั้น x − 2 ≥ 0 นั่นคือ x ≥ 2
ดังนั้น โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับ 2
ให =y x − 2
เนื่องจาก x − 2 ≥ 0 จะได y ≥ 0
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับ 0
2
3) พิจารณา f ( x ) = x จะเห็นวา ไมวาแทน x ดวยจํานวนจริงใดก็จะสามารถหา
2
f ( x ) ไดเสมอ
ดังนั้น โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริง
x2
และพิจารณา y=
2
เนื่องจาก x 2 ≥ 0 จะได y ≥ 0
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับ 0
4) พิจารณา f ( x ) = 2 x 2 จะเห็นวา ไมวาแทน x ดวยจํานวนจริงใดก็จะสามารถหา
f ( x ) ไดเสมอ
ดังนั้น โดเมนของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริง
และพิจารณา y = 2 x 2
เนื่องจาก x 2 ≥ 0 จะได y ≥ 0
ดังนั้น เรนจของฟงกชัน f คือ เซตของจํานวนจริงที่มากกวาหรือเทากับ 0
5. 1) ให f ( x ) = −5 x + 2
เมื่อแทน x ดวย 0 จะได f ( 0 ) = 2 นั่นคือ จุดที่กราฟของ f ตัดแกน Y คือจุด ( 0, 2 )
2
ถา f ( x ) = 0 จะได x= นั่นคือ จุดที่กราฟของ f ตัดแกน X คือจุด 2 , 0
5 5
เขียนกราฟของ f ( x ) =−5 x + 2 ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 185
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
186 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 187
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
188 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
x
1
เขียนกราฟของ f ( x ) =−1 − ไดดังนี้
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 189
( x, f ( x ) ) (
−3, − 7 ) ( −2, − 3) ( −1, − 1) ( 0, 0 ) 1 3 7
1, 2, 3,
2 4 8
x
1
เขียนกราฟของ f ( x )= 1 − ไดดังนี้
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
190 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 191
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
192 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
= 32.7 psi
ดังนั้น ความดันน้ําทะเลที่ความลึก 40 ฟุต เปน 32.7 psi
10. 1) ให f ( x= ) mx + b เปนฟงกชันรายไดของพนักงานบริษัทแหงนี้ เมื่อไดคาเบี้ยเลี้ยง
และคาพาหนะ b บาท และไดคานายหนารอยละ m ของยอดขาย
จากโจทย กนกและอานันท มียอดขาย 200,000 บาท และ 150,000 บาท ตามลําดับ
จากคานายหนารอยละ m
จะไดวา มียอดขาย 100 บาท จะไดคานายหนา m บาท
ถากนกมียอดขาย 200,000 บาท จะไดคานายหนา m ⋅ 200,000 = 2,000m บาท
100
และอานันทมียอดขาย 150,000 บาท จะไดคานายหนา m ⋅150,000 = 1,500m บาท
100
จากโจทย กนกและอานันท ไดรับเงินจากบริษัท 34,000 บาท และ 28,000 บาท ตามลําดับ
จะไดวา 34,000 = 2,000m + b ---------- (1)
28,000 = 1,500m + b ---------- ( 2 )
จาก (1) และ ( 2 ) จะได
6,000 = 500m
m = 12
ดังนั้น บริษัทจายคานายหนาใหกับพนักงานรอยละ 12
2) จาก 34,000 = 2,000 m + b และ m = 12
จะได 34,000 = 2,000 (12 ) + b
b = 10,000
ดังนั้น บริษัทจายคาเบี้ยเลี้ยงและคาพาหนะใหกับกนกและอานันทเปนเงินคนละ
10,000 บาท
12
3) ฟงกชันแสดงรายไดที่พนักงานไดรับแตละเดือน คือ f=( x) x + 10,000
100
เมื่อ x คือ ยอดขายที่พนักงานแตละคนขายได
11. 1) ให s ( t ) เปนระยะทางที่รถไฟแลนไดใน t ชั่วโมง
เนื่องจากรถไฟสายเหนือแลนดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 50 กิโลเมตรตอชั่วโมง
จะได s ( t ) = 50t เมื่อ t ≥ 0
และเขียนกราฟของ s ( t ) ไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 193
2) ในที่นี้ t =5 จะได
s ( 5) = 50 ( 5 )
= 250
ดังนั้น ระยะทางจากสถานีรถไฟหัวลําโพงถึงสถานีนครสวรรค เทากับ 250 กิโลเมตร
12. 1) ให y เปนจํานวนชิ้นของขนมที่ขายได เมื่อ x เปนราคาขนม ( x > 35)
นั่นคือ ราคาขนมเพิ่มขึ้น x − 35 บาท จะทําใหขายขนมไดลดลง 2 ( x − 35) ชิ้น
จะได y = 100 − 2 ( x − 35)
= 100 − 2 x + 70
= 170 − 2x
ดังนั้น สมการแสดงความสัมพันธของจํานวนชิ้นที่ขายไดกับราคาขนม คือ=y 170 − 2 x
เมื่อ y เปนจํานวนชิ้นของขนมที่ขายได และ x เปนราคาขนม
2) ให f ( x ) แทนฟงกชันแสดงจํานวนเงินที่ขายไดทั้งหมด เมื่อ x เปนราคาขนม
จะได f ( x ) = (170 − 2x ) x
= 170 x − 2 x 2
( x)
ดังนั้น ฟงกชันแสดงจํานวนเงินที่ขายไดทั้งหมด คือ f = 170 x − 2 x 2
เมื่อ x เปนราคาขนม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
194 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 195
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
196 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
2
200
ให f ( x ) = 2, 400 x −
+ 400
x
200
จะได f ( x) มีคาต่ําสุด เมื่อ x− 0
=
x
นั่นคือ x = 200 และ y = 240
ดังนั้น จะตองลอมรั้วใหมีความกวาง 200 เมตร และยาว 240 เมตร จึงจะเสีย
คาใชจายนอยที่สุดและคาใชจายนอยที่สุดเปน 960,000 บาท
15. 1) ให f ( x ) แทนฟงกชันแสดงอุณหภูมิที่มีหนวยเปนองศาฟาเรนไฮต
เมื่อ x แทนอุณหภูมิที่มีหนวยเปนองศาเซลเซียส
เนื่องจาก f ( x ) เปนฟงกชันเชิงเสน จะได f ( x=) ax + b เมื่อ a และ b เปนคาคงตัว
จากจุดเยือกแข็งของน้ําบริสุทธิ์ คือ 0°C หรือ 32°F จะได f ( 0 ) = 32
แทน x ดวย 0 ใน f ( x=) ax + b จะได
f ( 0) = a ( 0) + b = b
เนื่องจาก f ( 0 ) = 32 จะได b = 32
ดังนั้น f ( x=) ax + 32
จากจุดเดือดของน้ําบริสุทธิ์ คือ 100°C หรือ 212°F จะได f (100 ) = 212
แทน x ดวย 100 ใน f ( x=) ax + 32 จะได
จะได f (100 ) = a (100 ) + 32 = 100a + 32
9
เนื่องจาก f (100 ) = 212 จะได 100a + 32 = 212 นั่นคือ a =
5
9
จะไดวา f (=
x) x + 32
5
ดังนั้น ฟงกชันแสดงอุณหภูมิที่มีหนวยเปนองศาฟาเรนไฮต เมื่อ x แทนอุณหภูมิที่
9
มีหนวยเปนองศาเซลเซียส คือ f ( =
x) x + 32
5
2) ให g ( x ) แทนฟงกชันแสดงอุณหภูมิที่หนวยเปนองศาเซลเซียส
เมื่อ x แทนอุณหภูมิที่มีหนวยเปนองศาฟาเรนไฮต
เนื่องจาก g ( x ) เปนฟงกชันเชิงเสน จะได g ( x=) ax + b เมื่อ a และ b เปนคาคงตัว
จากจุดเยือกแข็งของน้ําบริสุทธิ์ คือ 0°C หรือ 32°F จะได g ( 32 ) = 0
แทน x ดวย 32 ใน g ( x=) ax + b จะได
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 197
g ( 32 ) = 32a + b
เนื่องจาก g ( 32 ) = 0 จะได=0 32a + b นั่นคือ b = −32a
ดังนั้น g ( x ) =ax − 32a =a ( x − 32 )
จากจุดเดือดของน้ําบริสุทธิ์ คือ 100°C หรือ 212°F จะได g ( 212 ) = 100
แทน x ดวย 212 ใน g (= x ) a ( x − 32 ) จะได
g ( 212 ) = a ( 212 − 32 ) = 180a
5
เนื่องจาก g ( 212 ) = 100 จะได 180a = 100 นั่นคือ a=
9
5
จะไดวา g (=
x) ( x − 32 )
9
ดังนั้น ฟงกชันแสดงอุณหภูมิที่มีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ x แทนอุณหภูมิที่
5
มีหนวยเปนองศาฟาเรนไฮต คือ g (=
x) ( x − 32 )
9
9 5
3) จาก x)
f (= x + 32 x)
และ g (= ( x − 32 )
5 9
เขียนกราฟไดดังนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
198 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 199
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
200 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 201
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
202 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 203
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
204 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
จะไดวาความสัมพันธระหวางเวลาและระยะทางที่เครื่องบินลํานี้บินไดมีกราฟเปน
เสนตรง เพราะเครื่องบินลํานี้บินดวยอัตราเร็วคงที่
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 205
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
206 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
จะไดวา ความสัมพันธระหวางเวลาและความสูงของระดับน้ําในบอเปนกราฟเสนตรง
เพราะ ภานุเปดน้ําใสบอดวยอัตราเร็วคงที่
2) ในการหาความสูงของระดับน้ําในบอ เมื่อเปดน้ําดวยอัตราเร็วคงที่ 7 นาที
สามารถทําไดโดย เขียนเสนตรง x = 7 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจุดตัดดังรูป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 207
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
208 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
จะไดวา ความสัมพันธระหวางเวลาที่ผานไปและน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นมีกราฟใกลเคียง
กับกราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล การเพิ่มขึ้นในชวงแรกน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นมี
อัตราการเพิ่มขึ้นอยางชา ๆ แตเมื่อเวลาผานไปน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นมีอัตราการเพิ่มขึ้น
อยางรวดเร็ว
2) ในการหาน้ําหนักที่เพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผานไป 5 เดือน
สามารถทําไดโดย เขียนเสนตรง x = 5 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจุดตัดดังรูป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 209
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
210 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
จะไดวา ความสัมพันธระหวางเวลาที่ผานไปและราคารถยนตมีกราฟใกลเคียงกับ
กราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล เพราะ ในชวงแรกราคารถยนตลดลงอยาง
รวดเร็ว แตเมื่อเวลาผานไปราคารถยนตลดลงดวยอัตราที่ลดลง
2) ในการหาเวลาที่ผานไป เมื่อราคาของรถยนตเหลือนอยกวาครึ่งหนึ่งของราคาที่ซื้อมา
สามารถทําไดโดย เขียนเสนตรง y = 500,000 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจุดตัดดังรูป
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 211
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
212 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
ราคา (บาท)
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5 213
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
214 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
บทที่ 3 ลําดับและอนุกรม
แบบฝกหัด 3.1.1
1. 1) แทน n ใน a=
n 2n + 5 ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สี่พจนแรกของลําดับดังนี้
a1 = 2 (1) + 5 = 7
a2 = 2 ( 2 ) + 5 = 9
a3 = 2 ( 3) + 5 = 11
a4 = 2 ( 4 ) + 5 = 13
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับนี้ คือ 7, 9, 11 และ 13
n
1
2) แทน n ใน an = ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สี่พจนแรกของลําดับดังนี้
2
1
1 1
a1 = =
2 2
2
1 1
a2 = =
2 4
3
1 1
a3 = =
2 8
4
1 1
a4 = =
2 16
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 215
n +1
4) แทน n ใน an = ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สี่พจนแรกของลําดับดังนี้
n
1+1
a1 = = 2
1
2 +1 3
a2 = =
2 2
3 +1 4
a3 = =
3 3
4 +1 5
a4 = =
4 4
3 4 5
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับนี้ คือ 2, , และ
2 3 4
1 + ( −1)
n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
216 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 217
แบบฝกหัด 3.1.2
1. 1) จาก a1 = 2 และ d =4 จะได
a2 = a1 + d = 2+4 = 6
a3 = a2 + d = 6+4 = 10
a4 = a3 + d = 10 + 4 = 14
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 2, 6, 10 และ 14
2) จาก a1 = 3 และ d = 5 จะได
a2 = a1 + d = 3+5 = 8
a3 = a2 + d = 8+5 = 13
a4 = a3 + d = 13 + 5 = 18
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 3, 8, 13 และ 18
3) จาก a1 = −3 และ d = 3 จะได
a2 = a1 + d = −3 + 3 = 0
a3 = a2 + d = 0+3 = 3
a4 = a3 + d = 3+3 = 6
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ −3, 0, 3 และ 6
4) จาก a1 = − 4 และ d = 2 จะได
a2 = a1 + d = −4 + 2 = −2
a3 = a2 + d = −2 + 2 = 0
a4 = a3 + d = 0+2 = 2
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ − 4, − 2, 0 และ 2
5) จาก a1 = 5 และ d = −2 จะได
a2 = a1 + d = 5 + ( −2 ) = 3
a3 = a2 + d = 3 + ( −2 ) = 1
a4 = a3 + d = 1 + ( −2 ) = −1
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 5, 3, 1 และ −1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
218 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
a4 = a3 + d = ( −11) + ( − 4 ) = −15
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ −3, − 7, − 11 และ −15
1 1
7) จาก a1 = และ d= จะได
2 2
1 1
a2 = a1 + d + = = 1
2 2
1 3
a3 = a2 + d = 1 + =
2 2
3 1
a4 = a3 + d = + = 2
2 2
1 3
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ , 1, และ 2
2 2
5 3
8) จาก a1 = และ d= − จะได
2 2
5 3
a2 = a1 + d =
+− = 1
2 2
3 1
a3 = a2 + d = 1+ − = −
2 2
1 3
a4 = a3 + d = − + − = − 2
2 2
ดังนั้น สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 5 , 1, − 1 และ − 2
2 2
2. 1) เนื่องจาก a1 = 4, d = 3 และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
a3 = 4 + ( 3 − 1)( 3)
= 4 + ( 2 )( 3)
= 10
ดังนั้น a3 = 10
2) เนื่องจาก a1 = 7, d = −3 และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
a12 = 7 + (12 − 1)( −3)
= 7 + (11)( −3)
= −26
ดังนั้น a12 = −26
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 219
4
3) เนื่องจาก a1 = , d = −1 และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
5
4
a20 = + ( 20 − 1)( −1)
5
4
= + (19 )( −1)
5
91
= −
5
91
ดังนั้น a20 = −
5
4) เนื่องจาก a1 = 4, d = 1 และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
2
1
a11 = 4 + (11 − 1)
2
1
= 4 + (10 )
2
= 9
ดังนั้น a11 = 9
3. 1) จากลําดับเลขคณิต 11, 13, 15, 17, 19,
จะได a1 = 11 และ d = 13 − 11 = 2
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
จะได an = 11 + ( n − 1)( 2 )
= 11 + 2n − 2
= 2n + 9
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 2n + 9
2) จากลําดับเลขคณิต 7, 10, 13, 16, 19,
จะได a1 = 7 และ d = 10 − 7 = 3
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
220 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จะได an = 7 + ( n − 1) 3
= 7 + 3n − 3
= 3n + 4
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 3n + 4
3) จากลําดับเลขคณิต 2, − 1, − 4, − 7, − 10,
จะได a1 = 2 และ d =−1 − 2 =−3
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
จะได an = 2 + ( n − 1)( −3)
= 2 − 3n + 3
= −3n + 5
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ −3n + 5
4) จากลําดับเลขคณิต 4, 2, 0, − 2, − 4,
จะได a1 = 4 และ d =2 − 4 =−2
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
จะได an = 4 + ( n − 1)( −2 )
= 4 − 2n + 2
= −2n + 6
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ −2n + 6
1 3
5) จากลําดับเลขคณิต 0, , 1, , 2,
2 2
1 1
จะได a1 = 0 และ d = −0=
2 2
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 221
1
จะได an = 0 + ( n − 1)
2
1 1
= n−
2 2
1 1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ n−
2 2
3 5 7
6) จากลําดับเลขคณิต , 2, , 3, ,
2 2 2
3
จะได a1 = และ d = 2 − 3 = 1
2 2 2
เนื่องจากพจนที่ n ของลําดับเลขคณิต คือ an = a1 + ( n − 1) d
3 1
จะได an = + ( n − 1)
2 2
3 1 1
= + n−
2 2 2
1
= n +1
2
1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ n +1
2
4. 1) จาก a1 = 13 และ a2 = 25
จะได d = 25 − 13 = 12
นั่นคือ a3 = a2 + d = 25 + 12 = 37
a4 = a3 + d = 37 + 12 = 49
a5 = a4 + d = 49 + 12 = 61
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ 37, 49 และ 61 ตามลําดับ
2) จาก a1 = 18, a3 = 11 และ an = a1 + ( n − 1) d
จะได 11 = 18 + ( 3 − 1) d
7
d = −
2
7 29
นั่นคือ a2 = a1 + d = 18 + − =
2 2
7 15
a4 = a3 + d = 11 + − =
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
222 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
15 7
a5 = a4 + d = +− = 4
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 223
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
224 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 225
a = −1
นั่นคือ สามพจนแรกของลําดับเลขคณิต คือ −1, − 4, − 7
จะได a1 = −1 และ d =−4 − ( −1) =−3
จาก an = a1 + ( n − 1) d จะได
an = −1 + ( n − 1)( −3)
= −1 − 3n + 3
= 2 − 3n
ดังนั้น a ในลําดับเลขคณิตที่กําหนดให คือ −1 และพจนทั่วไปของลําดับ คือ 2 − 3n
14. สมศักดิ์ไดรับเงินเดือนเดือนละ 25,000 บาท และไดรับเงินเดือนเพิ่มขึ้นปละ 1,000 บาท
นั่นคือ เมื่อสมศักดิ์ทํางานได 1 ป เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ 25,000 + 1,000 = 26,000 บาท
เมื่อสมศักดิ์ทํางานได 2 ป เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ 26,000 + 1(1,000 ) = 27,000 บาท
เมื่อสมศักดิ์ทํางานได 3 ป เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ 26,000 + 2 (1,000 ) = 28,000 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวาเมื่อสมศักดิ์ทํางานได n ป เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ
26,000 + ( n − 1)(1,000 ) บาท
จะไดวา ลําดับของเงินเดือนที่สมศักดิ์ไดรับเมื่อทํางานได 1, 2, 3, …, n, … ป คือ
26000, 27000, 28000, , 26000 + ( n − 1)(1000 ) ,
ซึ่งเปนลําดับเลขคณิตที่มีพจนแรกเปน 26,000 และผลตางรวมเปน 1,000
เมื่อสมศักดิ์ทํางานได 6 ป เขาจะไดรับเงินเดือนเทากับพจนที่ 6 ของลําดับนี้
ดังนั้น เมื่อสมศักดิ์ทํางานได 6 ป เขาจะไดรับเงินเดือนเดือนละ 26,000 + ( 6 − 1)(1,000 ) =
31,000 บาท
15. บริษัทแหงหนึ่งรับซื้อรถยนตที่ใชแลว 1 ปในราคาที่ต่ํากวาราคาที่บริษัทขาย 100,000 บาท
สําหรับรถยนตที่ใชแลวเกิน 1 ป ราคาซื้อคืนจะลดลงอีกปละ 70,000 บาท
วิธีที่ 1 พิจารณาราคาที่บริษัทรับซื้อรถคืน
เนื่องจาก ซื้อรถยนตจากบริษัทนี้มาในราคา 1,000,000 บาท
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 1 ป บริษัทจะรับซื้อรถคืนในราคา
1,000,000 − 100,000 = 900,000 บาท
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 2 ป บริษัทจะรับซื้อรถคืนในราคา
900,000 − ( 2 − 1)( 70,000 ) = 830,000 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
226 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 3 ป บริษัทจะรับซื้อรถคืนในราคา
900,000 − ( 3 − 1)( 70,000 ) =760,000 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวาสําหรับรถยนตที่ใชแลว n ป บริษัทจะรับซื้อรถคืนในราคา
900,000 − ( n − 1)( 70,000 ) บาท
จะได ลําดับของราคาที่บริษัทจะรับซื้อคืน สําหรับรถยนตที่ใชไปแลว 1, 2, 3, …, n, … ป คือ
900000, 830000, 760000, , 900,000 − ( n − 1)( 70,000 ) ,
ซึ่งเปนลําดับเลขคณิตที่มีพจนแรกเปน 900,000 และผลตางรวมเปน 70,000
เมื่อใชรถยนตไปแลว 5 ป ราคาที่บริษัทจะรับซื้อคืนเทากับพจนที่ 5 ของลําดับนี้
ดังนั้น เมื่อใชรถยนตไปแลว 5 ป ราคาที่บริษัทจะรับซื้อคืนเทากับ
900,000 − ( 5 − 1)( 70,000 ) =620,000 บาท
นั่นคือ เมื่อใชรถยนตไปแลว 5 ป บริษัทจะรับซื้อรถยนตคืนในราคาที่ต่ํากวาราคา
ที่ซื้อจากบริษัท 1,000,000 − 620,000 = 380,000 บาท
วิธีที่ 2 พิจารณาสวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืน
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 1 ป สวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืนเทากับ 100,000 บาท
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 2 ป สวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืนเทากับ
100,000 + ( 2 − 1) 70,000 = 170,000 บาท
สําหรับรถยนตที่ใชแลว 3 ป สวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืนเทากับ
100,000 + ( 3 − 1) 70,000 = 240,000 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวาสําหรับรถยนตที่ใชแลว n ป สวนตางของราคาขายและ
ราคาซื้อคืนเทากับ 100,000 + ( n − 1)( 70,000 ) บาท
จะได ลําดับของสวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืน สําหรับรถยนตที่ใชไปแลว
1, 2, 3, …, n, … ป คือ 100000, 170000, 240000, , 100000 + ( n − 1)( 70000 ) ,
ซึ่งเปนลําดับเลขคณิตที่มีพจนแรกเปน 100,000 และผลตางรวมเปน 70,000
เมื่อใชรถยนตไปแลว 5 ป สวนตางของราคาขายและราคาซื้อคืนเทากับพจนที่ 5 ของ
ลําดับนี้
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 227
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
228 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัด 3.1.3
1. 1) จาก 2, 4, 8, 16, เปนลําดับเรขาคณิต
จะไดวา อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้หาไดจากอัตราสวนของพจนหลังตอ
พจนหนาที่อยูติดกันซึ่งเปนคาคงตัวที่เทากัน
a2 4
นั่นคือ = = 2
a1 2
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 2
2) จาก 18, 6, 2, 2 , เปนลําดับเรขาคณิต
3
จะไดวา อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้หาไดจากอัตราสวนของพจนหลังตอ
พจนหนาที่อยูติดกันซึ่งเปนคาคงตัวที่เทากัน
a2 6 1
นั่นคือ = =
a1 18 3
1
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
3
3) จาก 75, 15, 3, 3 , เปนลําดับเรขาคณิต
5
จะไดวา อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้หาไดจากอัตราสวนของพจนหลังตอ
พจนหนาที่อยูติดกันซึ่งเปนคาคงตัวที่เทากัน
a2 75 1
นั่นคือ = =
a1 15 5
1
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
5
4) จาก −8, − 0.8, − 0.08, − 0.008, เปนลําดับเรขาคณิต
จะไดวา อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้หาไดจากอัตราสวนของพจนหลังตอ
พจนหนาที่อยูติดกันซึ่งเปนคาคงตัวที่เทากัน
a2 −0.8 1
นั่นคือ = = 0.1 =
a1 −8 10
1
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 229
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
5a
a2 2= 5a 1 a
นั่นคือ = ⋅ = เมื่อ a≠0
a1 5 2 5 2
a
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ เมื่อ a≠0
2
2. 1) จากลําดับเรขาคณิต 1, 7, 49, 343,
7
จะได a1 = 1 และ r= = 7
1
พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิต คือ an = a1r n−1
จะได a5 = a1r 5−1 = 1( 7 4 ) = 7 4 = 2,401
a7 = a1r 7 −1 = 1( 7 )
6
= 76 = 117,649
ดังนั้น สามพจนถัดไปของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 2401, 16807 และ 117649
2) จากลําดับเรขาคณิต −1, 2, − 4, 8,
2
จะได a1 = −1 และ r= = −2
−1
พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิต คือ an = a1r n−1
a5 = a1r 5−1 = ( −1)( −2 )
4
จะได = −16
a6 = a1r 6 −1 = ( −1)( −2 )
5
= 32
a7 = a1r 7 −1 = ( −1)( −2 )
6
= −64
ดังนั้น สามพจนถัดไปของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ −16, 32 และ −64
1 1
3) จากลําดับเรขาคณิต 3, 1, , ,
3 9
1
จะได a1 = 3 และ r =
3
พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิต คือ an = a1r n −1
4
1 1 1
จะได a5 = a1r 5 −1
= 3 = 3 =
3 3 27
5
1 1 1
a6 = a1r 6−1 = 3 = 4 =
3
3 81
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 231
6
1 1 1
a1r 7 −1 = 3 = 5 =
a7 =
3 3 243
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
232 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
6. 1) จากลําดับเรขาคณิต 1, 3, 9,
จะได a1 = 1 และ r = 3
จาก an = a1r n−1
จะได= an 1= ( 3)n −1 3n −1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 3n −1
2) จากลําดับเรขาคณิต 25, 5, 1,
1
จะได a1 = 25 และ r=
5
จาก an = a1r n −1
n −1
1
จะได an = 25 = 52 ⋅ 51− n = 53− n
5
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 53−n
3) จากลําดับเรขาคณิต 1, − 1, 1, − 1,
จะได a1 = 1 และ r = −1
จาก an = a1r n−1
1( −1) = ( −1)n −1
n −1
จะได an =
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ ( −1)n−1
4) จากลําดับเรขาคณิต −2, 4, − 8,
จะได a1 = −2 และ r = −2
จาก an = a1r n−1
จะได an =− ( 2 )n
( 2 )( −2 )n −1 =−
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ ( −2 )n
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 233
1 1 1
5) จากลําดับเรขาคณิต , , , เมื่อ x≠0
x x 2 x3
1 1
จะได a1 = และ r=
x x
จาก an = a1r n −1
n −1
11 1
จะได
= an =
x x xn
1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ เมื่อ x≠0
xn
6) จากลําดับเรขาคณิต 1, 0.3, 0.09, 0.027,
จะได a1 = 1 และ r = 0.3
จาก an = a1r n−1
จะได
= an 1= ( 0.3)n −1 ( 0.3)n −1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ ( 0.3)n−1
7) จากลําดับเรขาคณิต −8, − 0.8, − 0.08, − 0.008,
จะได a1 = −8 และ r = 0.1
จาก an = a1r n−1
n −1
1
จะได −8 ( 0.1)
an =
n −1
−8
= −80 ( 0.1)
=
n
10
−80 ( 0.1)
n
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
8) จากลําดับเรขาคณิต 2, 2 3, 6,
จะได a1 = 2 และ r = 3
จาก an = a1r n−1
จะได an = 2 ( 3 )
n −1
( 3)
n −1
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
234 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
16 = a1 ( 2 )
4
ดังนั้น
จะได a1 = 1
ดังนั้น พจนแรกของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 1
8. เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มี a3 = 12 และ a6 = 96
จาก an = a1r n−1
จะได= a3 a=1r
3−1
a1r 2
และ= a6 a=1r
6 −1
a1r 5
ดังนั้น 12 = a1r 2 ----- (1)
และ 96 = a1r 5 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได r 3 = 8 นั่นคือ r = 2
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 2
9. เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มี a1 = 2, a2 = −6 และ a3 = 18
จาก an = a1r n−1
จะได −6 =2r 2−1 นั่นคือ −6 =2r ----- (1)
และ 18 = 2r 3−1
นั่นคือ 18 = 2r 2
----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได r = −3
นั่นคือ a=n 2 ( −3)n−1
เมื่อ an = 162
162 = 2 ( −3)
n−1
จะได
81 = ( −3)n−1
( −3)4 = ( −3)n−1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 235
นั่นคือ n −1 = 4
จะได n = 5
ดังนั้น 162 เปนพจนที่ 5 ของลําดับเรขาคณิตนี้
10. 1) พจนที่หายไปของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ a3 , a4 และ a5
1
จากลําดับเรขาคณิตที่กําหนดให จะได a1 = 4 และ r=
4
จาก an = a1r n −1
n −1 n−2
1 1
จะได=
an a=
1r
n −1
4 =
4 4
3− 2
1 1
นั่นคือ a3 = =
4 4
4− 2
1 1
a4 = =
4 16
5− 2
1 1
a5 = =
4 64
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
236 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
n −1
1 1
กรณี r= จะได an = 2
3 3
2 −1
1 2
นั่นคือ a2 = 2 =
3 3
4 −1
1 2
a4 = 2 =
3 27
5 −1
1 2
a5 = 2 =
3 81
n −1
กรณี r = − 1 จะได a=n 2 − 1
3 3
2 −1
1 2
นั่นคือ a2 = 2 − = −
3 3
4 −1
1 2
a4 = 2 − = −
3 27
5 −1
1 2
a5 = 2 − =
3 81
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 237
n −1
1 3 1
กรณี r= จะได an =
7 7 7
2 −1
3 1 3
นั่นคือ a2 = =
7 7 7 7
3−1
3 1 3
a3 = =
7 7 49
4 −1
3 1 3
a4 = =
7 7 49 7
6 −1
3 1 3
a6 = =
7 7 343 7
n −1
1 3 1
กรณี r= − จะได a= −
7
n
7 7
2 −1
3 1 3
นั่นคือ a2 = − = −
7
7 7 7
3−1
3 1 3
a3 = − =
7
7 49
4 −1
3 1 3
a4 = − = −
7
7 49 7
6 −1
3 1 3
a6 = − = −
7 7 343 7
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
238 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
2 9
จาก (1) และ (2) จะได r= และ a1 =
3 4
n −1 n −3
92 2
นั่น=
คือ an =
4 3 3
2 −3
2 3
จะได a2 = =
3 2
4 −3
2 2
a4 = =
3 3
5−3
2 4
a5 = =
3 9
7 −3
2 16
a7 = =
3 81
9 3 2 4
ดังนั้น พจนที่หายไป คือ , , , และ 16 ตามลําดับ
4 2 3 9 81
11. 1) ให a เปนพจนที่อยูระหวาง 5 และ 20
จะได 5, a, 20 เปนสามพจนที่เรียงติดกันในลําดับเรขาคณิต
an +1
จาก r=
an
a 20
จะได =
5 a
2
a = 100
นั่นคือ a = 10 หรือ a = −10
ดังนั้น พจนที่อยูระหวาง 5 และ 20 ในลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 10 หรือ −10
2) ให a เปนพจนที่อยูระหวาง 8 และ 12
จะได 8, a, 12 เปนสามพจนที่เรียงติดกันในลําดับเรขาคณิต
an +1
จาก r=
an
a 12
จะได =
8 a
2
a = 96
นั่นคือ a = 4 6 หรือ a = − 4 6
ดังนั้น พจนที่อยูระหวาง 8 และ 12 ในลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 4 6 หรือ −4 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 239
an +1
12. จาก r=
an
a + 20 a + 105
จะได =
a+3 a + 20
( a + 20 )( a + 20 ) = ( a + 3)( a + 105)
a 2 + 40a + 400 = a 2 + 108a + 315
68a = 85
5
a =
4
5 17
จะได a+3= +3=
4 4
5 85
a + 20 = + 20 =
4 4
5 425
และ a + 105 = + 105 =
4 4
ดังนั้น สามพจนแรกของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 17 , 85 และ 425
4 4 4
17
นั่นคือ a1 = และ r = 5
4
จะได พจนทั่วไป คือ an = a1r n−1 = 17 ( 5)n−1
4
ดังนั้น a = 5 และ พจนทั่วไป คือ 17 5n−1 ( )
4 4
13. ในการคํานวณจํานวนประชากรในแตละป จะพิจารณาเมื่อสิน้ ปนั้น ๆ
จาก พ.ศ. 2550 ประชากรในอําเภอหนึ่งมี 60,000 คน และประชากรในอําเภอนี้เพิ่มขึ้นปละ 2%
จะไดวา
ใน พ.ศ. 2551 (ครบ 1 ป) จะมีประชากร 60,000 + 60,000 ( 0.02 ) =60,000 (1.02 ) คน
ใน พ.ศ. 2552 (ครบ 2 ป) จะมีประชากร 60,000 (1.02 ) + 60,000 (1.02 )( 0.02 ) = 60,000 (1.02 ) คน
2
ใน พ.ศ. 2553 (ครบ 3 ป) จะมีประชากร 60,000 (1.02 )2 + 60,000 (1.02 )2 ( 0.02 ) =60,000 (1.02 ) คน
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
240 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 241
แบบฝกหัด 3.2.1
n
1. 1) จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
4
จะได S 4 = ( 2 ( 3) + ( 4 − 1)( 2 ) ) = 24
2
ดังนั้น ผลบวก 4 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 24
n
2) จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
7
จะได S7 = ( 2 ( 5 ) + ( 7 − 1)( 4 ) ) = 119
2
ดังนั้น ผลบวก 7 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 119
n
3) จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
9
จะได S9 = ( 2 ( −3) + ( 9 − 1)( 5 ) ) = 153
2
ดังนั้น ผลบวก 9 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 153
n
4) จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
11
จะได S11 =
2
( 2 ( −7 ) + (11 − 1)( 3) ) = 88
ดังนั้น ผลบวก 11 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 88
n
5) จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
14
จะได S14 =
2
( 2 ( −5) + (14 − 1)( −2 ) ) = −252
ดังนั้น ผลบวก 14 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −252
2. 1) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 5 และ d =2
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
50
จะได S50 =
2
( 2 ( 5) + ( 50 − 1)( 2 ) ) = 2,700
ดังนั้น ผลบวก 50 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 2,700
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
242 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
2) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 0 และ d =2
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
30
จะได S30 =
2
( 2 ( 0 ) + ( 30 − 1)( 2 ) ) = 870
ดังนั้น ผลบวก 30 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 870
3) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = −2 และ d =5
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
60
จะได S60 =
2
( 2 ( −2 ) + ( 60 − 1)( 5) ) = 8,730
ดังนั้น ผลบวก 60 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 8,730
4) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 5 และ d = −3
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
75
จะได S75 =
2
( 2 ( 5) + ( 75 − 1)( −3) ) = −7,950
ดังนั้น ผลบวก 75 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −7,950
1 1
5) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = และ d=
2 2
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
50 1 1 1, 275
จะได S50 = 2 + ( 50 − 1) =
2 2 2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 243
32
จะได S32 = ( 6 + 99 ) = 1,680
2
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 1,680
2) จาก an = a1 + ( n − 1) d
อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = −7, d = −3 และ an = −109
จะได −109 = −7 + ( n − 1)( −3)
−109 = −7 − 3n + 3
n = 35
n
จาก S n = ( a1 + an )
2
35
จะได S35 =
2
( −7 + ( −109 ) ) = −2,030
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −2,030
3) จาก an = a1 + ( n − 1) d
อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = −7, d = 3 และ an = 131
จะได 131 = −7 + ( n − 1)( 3)
131 = −7 + 3n − 3
n = 47
n
จาก S n = ( a1 + an )
2
47
จะได S 47 = ( −7 + 131) = 2,914
2
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 2,914
4. ให =
a1 6,=
d 4 และ an = 26
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได 26 = 6 + ( n − 1)( 4 )
26 = 6 + 4n − 4
n = 6
n
จาก S n = ( a1 + an )
2
6
จะได S6 = ( 6 + 26 ) = 96
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
244 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 245
182
จะได S182 = (17 + 379 ) = 36,036
2
ดังนั้น ผลบวกของจํานวนคี่ตั้งแต 17 ถึง 379 คือ 36,036
8. ให a10 = 20 และ a5 = 10
จะได 20 = a1 + (10 − 1) d
นั่นคือ 20 = a1 + 9d ----- (1)
และ 10 = a1 + ( 5 − 1) d
นั่นคือ 10 = a1 + 4d ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได d = 2 และ a1 = 2
พิจารณาผลบวกของพจนที่ 8 ถึงพจนที่ 15 คือ
a8 + a9 + a10 + + a15 = ( a1 + a2 + a3 + + a15 ) − ( a1 + a2 + a3 + + a7 ) = S15 − S7
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
7
จะได S7 = ( 2 ( 2 ) + ( 7 − 1)( 2 ) ) = 56
2
15
และ S15 =
2
( 2 ( 2 ) + (15 − 1)( 2 ) ) = 240
นั่นคือ S15 − S7 = 240 − 56 = 184
ดังนั้น ผลบวกของพจนที่ 8 ถึงพจนที่ 15 ของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 184
9. จากที่กําหนดให จะไดวา
ทับทิมออมเงินวันแรก 1 บาท
ออมเงินในวันที่สอง 1 + 1 = 2 บาท
ออมเงินในวันที่สาม 2 + 1 = 3 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา ทับทิมออมเงินในวันที่ n เทากับ n บาท
จะได เงินที่ทับทิมออมในวันที่ 1, 2, 3, , n คือ 1, 2, 3, , n บาท ซึ่งเปนลําดับ
เลขคณิตที่มีพจนแรกเปน 1 และผลตางรวมเปน 1
ให Sn แทนจํานวนเงินออมทั้งหมดของทับทิม เมื่อออมครบ n วัน
ดังนั้น จํานวนเงินออมทั้งหมดของทับทิม เมื่อออมครบ 30 วัน คือ S30
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
246 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
30
จะได S30 =
2
( 2 (1) + ( 30 − 1)(1) ) = 465
ดังนั้น ถาทับทิมออมเงินจนครบ 30 วัน ทับทิมจะมีเงินออมทั้งหมด 465 บาท
10. การจัดแผนไมตามเงื่อนไขที่กําหนดเปนดังรูป
ชั้นที่ n แผนไม 5 แผน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 247
แบบฝกหัด 3.2.2
1. 1) จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S4 =
3 1 − 24(= 45
)
1− 2
ดังนั้น ผลบวก 4 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 45
2) จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S7 =
(
5 1 − 47 ) = 27,305
1− 4
ดังนั้น ผลบวก 7 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 27,305
3) จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
( −3) (1 − 59 ) 3
จะได S9 =
1− 5
=
4
(
1 − 59 )
ดังนั้น ผลบวก 9 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 3 (1 − 59 )
4
4) จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
( −7 ) (1 − 311 ) 7
จะได S11 =
1− 3
=
2
(
1 − 311 )
ดังนั้น ผลบวก 11 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 7 (1 − 311 )
2
5) จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
( −5) (1 − ( −2 )14 ) 5 14
จะได S14 =
1 − ( −2 )
=
3
(
2 −1 )
ดังนั้น ผลบวก 14 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 5 ( 214 − 1)
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
248 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
6
2. 1) อนุกรมเรขาคณิตที่กําหนดใหมี a1 = 2 และ r= = 3
2
แทน n ดวย 9 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S9 =
(
2 1 − 39 ) = 39 − 1 = 19,682
1− 3
ดังนั้น ผลบวก 9 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 19,682
12 4
2) อนุกรมเรขาคณิตที่กําหนดใหมี a1 = 9 และ =r =
9 3
แทน n ดวย 8 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
4 8 4 8
9 1 − 9 1 −
3 3 4 8
จะได S8 =
= = −27 1 −
4 1 3
1− −
3 3
4 8
ดังนั้น ผลบวก 8 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ −27 1 −
3
4
2 2
3) อนุกรมเรขาคณิตที่กําหนดใหมี a1 = และ =r 92=
3 3
3
แทน n ดวย 10 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
10
2 2
1 −
3 3 2 10
จะได S10 =
2
= 2 1 −
3
1−
3
10
2
ดังนั้น ผลบวก 10 พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 2 1 −
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 249
27
3. 1) อนุกรมที่กําหนดใหมี r
a1 = 9, = = 3 และ an = 729
9
จาก an = a1r n−1
จะได 729 = 9 ( 3n−1 )
81 = 3n−1
34 = 3n−1
นั่นคือ n −1 = 4
n = 5
แทน n ดวย 5 ใน Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
จะได S5 =
(
9 35 − 1 ) =
9
( 243 − 1) = 1,089
3 −1 2
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 1,089
2 1 1
2) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 4, r= = และ an =
4 2 512
จาก an = a1r n −1
n−1
1 1
จะได = 4
512 2
n−1
1 1
11
=
2 2
11 n−1
1 1
=
2 2
นั่นคือ n − 1 = 11
n = 12
แทน n ดวย 12 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
1 12
4 1 −
2 12
จะได S12 =
= 8 1 − 1
1 2
1−
2
12
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 8 1 − 1
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
250 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
−2
3) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 1, r = = −2 และ an = 256
1
จาก an = a1r n−1
จะได 256 = 1( −2 )n−1
( −2 )8 = ( −2 )n−1
นั่นคือ n −1 = 8
n = 9
แทน n ดวย 9 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S9 =
(
1 1 − ( −2 )
9
) =
1
(1 + 512 ) = 171
1 − ( −2 ) 3
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเรขาคณิตนี้ คือ 171
4. จากที่กําหนดให จะไดวา
มังกรออมเงินวันแรก 1 บาท
ออมเงินในวันที่สอง 2 (1)= 2= 21 บาท
ออมเงินในวันที่สาม 2 ( 2 )= 4= 22 บาท
ออมเงินในวันที่สี่ 2 ( 4 )= 8= 23 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา มังกรออมเงินในวันที่ n เทากับ 2n−1 บาท
จะได เงินที่มังกรออมในวันที่ 1, 2, 3, , n, คือ 1, 21 , 22 , , 2n−1 , บาท ซึ่งเปน
ลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1 และอัตราสวนรวมเปน 2
ให Sn แทนจํานวนเงินออมทั้งหมดของมังกร เมื่อออมครบ n วัน
ดังนั้น จํานวนเงินออมทั้งหมดของมังกร เมื่อออมครบ 15 วัน คือ S15
จาก Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
จะได S15 =
(
1 215 − 1 ) = 215 − 1 = 32,767
2 −1
ดังนั้น เมื่อครบ 15 วัน มังกรจะมีเงินออมทั้งหมด 32,767 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 251
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
252 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จาก Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
จะได S7 =
(
300,000 (1.03) (1.03) − 1
7
) ≈ 2,367,700.81
1.03 − 1
นั่นคือ เมื่อครบสองป ผูจัดการฝายขายควรทํายอดขายรวมไดเทากับยอดขายที่ไดใน
ไตรมาสแรกของปที่ 1 รวมกับยอดขายรวมที่ผูจัดการฝายขายควรทําไดตั้งแตไตรมาสสอง
ของปที่ 1 ถึงไตรมาสสี่ของปที่ 2 ซึ่งเทากับ 300,000 + S7 บาท
ดังนั้น เมื่อครบสองป ผูจัดการควรทํายอดขายทั้งหมดใหไดประมาณ
300,000 + 2,367,700.81 = 2,667,700.81 บาท
1
6. ถังใบหนึง่ มีน้ําอยู 5,832 ลิตร แตละวันจะใชน้ํา ของปริมาณน้ําที่อยูในถัง
3
วันที่ 1 จะใชน้ําไป 1 ( 5,832 ) ลิตร และเหลือน้ําอยูในถัง 5,832 − 1 ( 5,832 ) =
2
( 5,832 ) ลิตร
3 3 3
1 2
วันที่ 2 จะใชน้ําไป ( 5,832 ) ลิตร และเหลือน้ําอยูในถัง
3 3
2
2 1 2 2
( 5,832 ) − ( 5,832 ) =
( 5,832 ) ลิตร
3 3 3 3
2
วันที่ 3 จะใชน้ําไป 2 ( 5,832 ) ลิตร และเหลือน้ําอยูในถัง
3
2 2
2 1 2 2 3
( 5,832 ) (
− 5,832 ( 5,832 ) ลิตร
) =
3 3 3 3
n−1
2
ในทํานองเดียวกัน วันที่ n จะใชน้ําไป ( 5,832 ) ลิตร
3
จะได ปริมาณน้ําที่ใชไปในวันที่ 1, 2, 3, , n, คือ
2 n−1
1 2 1 2 1 2 1
( 5832 ) ,
( 5832 ) , ( 5832 ) , , ( 5832 ) ,
3 3 3 3 3 3 3
ซึ่งเปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรกเปน 1 ( 5,832 ) และอัตราสวนรวมเปน 2
3 3
ให Sn แทนปริมาณน้ําที่ใชไปทั้งหมด เมื่อครบ n วัน
ดังนั้น ปริมาณน้ําที่ใชไปทั้งหมด เมื่อครบ 6 วัน คือ S6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 253
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
1 2 6
( 5,832 ) 1 −
3 3
จะได S6 =
2
= 5,320
1−
3
นั่นคือ เมื่อครบ 6 วัน ใชน้ําไปทั้งหมด 5,320 ลิตร
ดังนั้น เมื่อครบ 6 วัน จะมีน้ําเหลืออยูในถัง 5,832 − 5,320 = 512 ลิตร
7. จาก รถยนตมีมูลคาลดลง 20% หมายความวาราคารถยนตคันนี้จะลดลง 20% ของราคา
รถยนตคันนี้ในปกอนหนา
บริษัทซื้อรถยนตคันนี้มาราคา 1,000,000 บาท
เมื่อครบ 1 ป รถยนตคันนี้จะมีราคาลดลง 0.2 (1,000,000 ) บาท ทําใหมูลคาของรถ
เทากับ 1,000,000 − 0.2 (1,000,000 ) = 0.8 (1,000,000 ) บาท
เมื่อครบ 2 ป รถยนตคันนี้จะมีราคาลดลง 0.2 ( 0.8 (1,000,000 ) ) บาท ทําใหมูลคาของรถ
เทากับ 0.8 (1,000,000 ) − 0.2 ( 0.8 (1,000,000 ) ) =( 0.8)2 (1,000,000 ) บาท
เมื่อครบ 3 ป รถยนตคันนี้จะมีราคาลดลง 0.2 ( ( 0.8)2 (1,000,000 ) ) บาท ทําใหมูลคาของรถ
เทากับ ( 0.8)2 (1,000,000 ) − 0.2 ( ( 0.8)2 (1,000,000 ) ) =
( 0.8)3 (1,000,000 ) บาท
ในทํานองเดียวกัน เมื่อครบ n ป รถยนตคันนี้จะมีราคาลดลง 0.2 ( ( 0.8)n−1 (1,000,000 ) ) บาท
จะไดวา เมื่อครบ 1, 2, 3, , n, ป รถยนตคันนี้จะมีราคาลดลง เทากับ
0.2 (1000000 ) , 0.2 ( 0.8 (1000000 ) ) , 0.2 ( ( 0.8 ) (1000000 ) ) , , 0.2 ( ( 0.8 ) (1000000 ) ) ,
2 n−1
จะได S5 =
(
0.2 (1,000,000 ) 1 − ( 0.8 )
5
) = 672,320
1 − 0.8
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
254 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 255
แบบฝกหัด 3.3
1. 1) ในที่นี้ไมมีการฝากและถอนในระหวาง 10 ปนี้
i
ให P 100000,
= = n 10 และ i=4 จะไดวา=r = 0.04
100
จากทฤษฎีบท 9 จะไดวา จํานวนเงินเมื่อฝากเงินครบ 10 ป คือ 100,000 (1 + 0.04 )10
หรือประมาณ 148,024.43 บาท
2) จากเงินตน 100,000 บาท
จะไดวา จํานวนเงินรวมเพิ่มขึ้นเปน 3 เทาของเงินตน คือ จํานวนเงินรวม 300,000 บาท
ให n แทนจํานวนปที่จะทําใหมีเงินเพิ่มขึ้นเปน 3 เทาของเงินตน
จากทฤษฎีบท 9 จะไดวา
300,000 = 100,000 (1 + 0.04 )
n
(1.04 )n = 3
เนื่องจาก (1.04 )28 ≈ 2.999 และ (1.04 )29 ≈ 3.119
ดังนั้น ตองฝากเงินครบ 29 ป จะทําใหมีเงินเพิ่มขึ้นเปนอยางนอยสามเทาของเงินตน
2. 1) ดอกเบี้ยที่ไดจากการฝากเงินตน P บาท โดยธนาคารคิดดอกเบี้ยในอัตรา i % ตอป
i
และคิดดอกเบี้ยใหครั้งสุดทายครั้งเดียวเมื่อฝากเงินครบ n ป เทากับ P n บาท
100
จาก P = 100,000 และ i=3
3
ดังนั้น ดอกเบี้ยที่ไดจากการฝากเงินนี้เปนเวลา n ป เทากับ 100,000 n = 3,000n บาท
100
จะไดวา จํานวนเงินในบัญชีเมื่อครบปที่ n เมื่อธนาคารคิดดอกเบี้ยใหครั้งสุดทายครั้งเดียว
เทากับ 100,000 + 3,000n บาท
i
2) ให P = 100000 และ i=3 จะไดวา=r = 0.03
100
จากทฤษฎีบท 9 จะไดวา จํานวนเงินเมื่อฝากเงินครบ n ป คือ 100,000 (1 + 0.03)n บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
256 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
i
3. ให =
P 100000,
= k 4,=
n 10 และ i=4 จะไดวา=r = 0.04
100
4(10 )
จากทฤษฎีบท 10 จะไดวา จํานวนเงินรวมเมื่อฝากเงินครบ 10 ป คือ 100,000 1 + 0.04
4
หรือประมาณ 148,886.37 บาท
ให P 100000,
4.= = n 10 และมีเงินรวม 141,060 บาท
จากทฤษฎีบท 9 จะไดวา
100,000 (1 + r ) = 141,060
10
(1 + r )10 = 1.4106
1+ r = 10
1.4106
r = 10
1.4106 − 1
r ≈ 0.035
ดังนั้น ธนาคารแหงนี้ใหอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.5% ตอป
5. เมื่อตนปปญญาฝากเงิน 100,000 บาท กับธนาคารแหงหนึ่ง และฝากเงินเพิ่มอีก 100,000 บาท
ทุกตนป โดยธนาคารกําหนดอัตราดอกเบี้ย 3% และคิดดอกเบี้ยแบบทบตนทุกป
เขียนแผนภาพแสดงการฝากเงินและมูลคาของเงินเมื่อฝากเงินครบ 15 ป ไดดังนี้
จากแผนภาพจะไดวา เมื่อฝากเงินครบ 15 ป
เงินฝากเมื่อตนปที่ 1 จะมีมูลคา 100,000 (1.03)15 บาท
เงินฝากเมื่อตนปที่ 2 จะมีมูลคา 100,000 (1.03)14 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 257
2 15
100,000 (1.03) + 100,000 (1.03) + + 100,000 (1.03) บาท
ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี 15 พจน พจนแรก คือ 100,000 (1.03) และอัตราสวนรวม คือ 1.03
100,000 (1.03) (1.03) − 1
15
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
258 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 259
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นปที่ 5
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 1 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 (1.0025)60 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 2 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 (1.0025)59 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 3 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 (1.0025)58 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 60 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 (1.0025 ) บาท
นั่นคือ เมื่อสิ้นปที่ 5 สุดาจะไดเงินรวม
2,000 (1.0025 ) + 2,000 (1.0025 ) + 2,000 (1.0025 ) + + 2,000 (1.0025 )
60 59 58
บาท
หรือ 2,000 (1.0025) + 2,000 (1.0025)2 + 2,000 (1.0025)3 + + 2,000 (1.0025)60 บาท
ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี 60 พจน พจนแรก คือ 2,000 (1.0025) และอัตราสวนรวม คือ 1.0025
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
260 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นปที่ 4
3,000 (1.015 )
15
เงินฝากเมื่อสิ้นงวดที่ 1 จํานวน 3,000 บาท จะมีมูลคา บาท
3,000 (1.015 ) บาท
14
เงินฝากเมื่อสิ้นงวดที่ 2 จํานวน 3,000 บาท จะมีมูลคา
3,000 (1.015 ) บาท
12
เงินฝากเมื่อสิ้นงวดที่ 3 จํานวน 3,000 บาท จะมีมูลคา
เงินฝากเมื่อสิ้นงวดที่ 15 จํานวน 3,000 บาท จะมีมูลคา 3,000 (1.015) บาท
เงินฝากเมื่อสิ้นงวดที่ 16 จํานวน 3,000 บาท จะมีมูลคา 3,000 บาท
นั่นคือ เมื่อสิ้นปที่ 4 หรือสิ้นงวดที่ 16 ทอแสงจะไดเงินรวม
3,000 (1.015 ) + 3,000 (1.015 ) + 3,000 (1.015 ) + + 3,000 (1.015 ) + 3,000
15 14 13
บาท
หรือ 3,000 + 3,000 (1.015) + 3,000 (1.015) + 3,000 (1.015) + + 3,000 (1.015)15 บาท
2 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 261
จากแผนภาพจะไดวา
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 1 คือ R (1.0025)−1 บาท
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 2 คือ R (1.0025)−2 บาท
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 3 คือ R (1.0025)−3 บาท
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 60 คือ R (1.0025)−60 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
262 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1 − (1.0025 )
−1
จะได 500,000 =
R (1.0025 )
−1
(1 − (1.0025) ) −60
1 − (1.0025 )
−1
นั่นคือ R =
( )
500,000 1 − (1.0025 )
−1
≈ 8,984.35
(1.0025) (1 − (1.0025) )
−1 −60
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 263
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นปที่ 4
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 1 จํานวน 10,000 บาท จะมีมูลคา 10,000 (1.003)48 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 2 จํานวน 10,000 บาท จะมีมูลคา 10,000 (1.003)47 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 3 จํานวน 10,000 บาท จะมีมูลคา 10,000 (1.003)46 บาท
เงินฝากเมื่อตนเดือนที่ 48 จํานวน 10,000 บาท จะมีมูลคา 10,000 (1.003) บาท
นั่นคือ เมื่อสิ้นปที่ 4 วัชระจะไดเงินรวม
10,000 (1.003) + 10,000 (1.003) + 10,000 (1.003) + + 10,000 (1.003)
48 47 46
บาท
หรือ 10,000 (1.003) + 10,000 (1.003)2 + 10,000 (1.003)3 + + 10,000 (1.003)48 บาท
ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี 48 พจน พจนแรก คือ 10,000 (1.003) และอัตราสวนรวม คือ 1.003
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
264 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
แบบฝกหัดทายบท
1. 1) เนื่องจาก −5 และ an = a1 + ( n − 1) d
− 4, d =
a1 = จะได
a8 = − 4 + ( 8 − 1)( −5 )
= − 4 − 35
= −39
ดังนั้น a8 = −39
2) เนื่องจาก 2 และ an = a1 + ( n − 1) d
−5, d =
a1 = จะได
a9 = −5 + ( 9 − 1)( 2 )
= − 5 + 16
= 11
ดังนั้น a9 = 11
1
3) เนื่องจาก a1 =− ,d= −2 และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
2
1
a15 = − + (15 − 1)( −2 )
2
1
= − − 28
2
57
= −
2
ดังนั้น a15 = − 57
2
4 1
4) เนื่องจาก= a1 = ,d และ an = a1 + ( n − 1) d จะได
3 3
4 1
a15 = + (15 − 1)
3 3
4 14
= +
3 3
= 6
ดังนั้น a15 = 6
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 265
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
266 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 267
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
268 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
a1 + d = 4 ----- (1)
และ a13 + a23 + a33 = 408
a13 + ( a1 + d ) + ( a1 + 2d ) = 408
3 3
( 64 − 3( 4 ) d + 3( 4) d
2 2
) ( ( )
− d 3 + 43 + 64 + 3 42 d + 3 ( 4 ) d 2 + d 3 ) = 408
จากการจัดวางแผนไมในชั้นที่ 2 โดยใหแนวกึ่งกลางตามดานยาวของแผนไมแตละแผนอยู
ตรงกับรอยตอของแผนไมแตละคูในชั้นแรก
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 269
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
270 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
1
จะได a1 = และ r = 5
4
จาก an = a1r n −1
1 n −1
จะได an =
4
( )
5
n −1
2 3
จะได an =
− −
9 8
n−1
2 3
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ − −
9 8
6) จากลําดับเรขาคณิต ab3 , a 2b 2 , a 3b, เมื่อ a ≠ 0 และ b ≠ 0
a 2b 2 a
จะได a1 = ab3 และ
= r =
ab3 b
จาก an = a1r n −1
n −1
a
จะได an (=
= ab3 ) a n b 4− n
b
ดังนั้น พจนที่ n ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ a nb 4− n เมื่อ a ≠ 0 และ b ≠ 0
10. จาก an = a1r n −1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 271
1
อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = −162 และ r= −
3
12 −1
1 2
จะได − 162 −
a12 = =
3 2,187
2
ดังนั้น พจนที่ 12 ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
2,187
11. จาก an = a1r n −1
a
อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 1 และ r=
2
10 −1
a a9
จะได
= a10 1=
2 512
a9
ดังนั้น พจนที่ 10 ของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ
512
8 64
12. เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มี a2 = และ a5 =
3 81
จาก an = a1r n−1
จะได=a2 a= 1r
2 −1
a1r
และ= a5 a= 1r
5 −1
a1r 4
8
ดังนั้น = a1r ----- (1)
3
64
และ = a1r 4 ----- (2)
81
8 2
จาก (1) และ (2) จะได r3 = นั่นคือ r=
27 3
ดังนั้น อัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้ คือ 2
3
13. เนื่องจาก ลําดับเรขาคณิตนี้มี a1 == 63 และ
7, a2 −21, a3 = a4 = −189
จาก an = a1r n−1
จะได −21 = 7r 2−1 นั่นคือ −21 =7r ----- (1)
และ 63 = 7r 3−1 นั่นคือ 63 = 7r 2 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได r = −3
นั่นคือ a=n 7 ( −3)n−1
เมื่อ an = 5,103
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
272 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
7 ( −3)
n−1
จะได 5,103 =
729 = ( −3)n−1
( −3)6 = ( −3)n−1
นั่นคือ n −1 = 6
จะได n = 7
ดังนั้น 5,103 เปนพจนที่ 7 ของลําดับเรขาคณิตนี้
14. 1) จาก a1 = −15, a5 = −1215 และ an = a1r n −1
จะได −1215 = −15 r 5−1
r4 = 81
นั่นคือ r = 3 และ r = −3
ดังนั้น เมื่ออัตราสวนรวมเปน 3 จะได a, b และ c คือ −45, − 135 และ −405
ตามลําดับ และเมื่ออัตราสวนรวมเปน −3 จะได a, b และ c คือ 45, − 135
และ 405 ตามลําดับ
4 27
2) จาก a1 = , a5 = และ an = a1r n−1
3 64
27 4 5−1
จะได = r
64 3
81
r4 =
256
นั่นคือ r = และ r = − 3
3
4 4
ดังนั้น เมื่ออัตราสวนรวมเปน 3 จะได a, b และ c คือ 1, 3 และ 9
4 4 16
ตามลําดับ และเมื่ออัตราสวนรวมเปน − จะได a, b และ c คือ −1, 3 และ − 9
3
4 4 16
ตามลําดับ
15. ให a เปนจํานวนที่บวกกับ 5, 22 และ 107 แลว 5 + a, 22 + a, 107 + a เปนลําดับเรขาคณิต
22 + a 107 + a
จะไดอัตราสวนรวมของลําดับเรขาคณิตนี้หาไดจาก หรือ
5+a 22 + a
22 + a 107 + a
นั่นคือ =
5+a 22 + a
( 22 + a )( 22 + a ) (107 + a )( 5 + a )
=
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 273
(
a1 1 + r + r 2 ) = −3 ----- (1)
เนื่องจากผลคูณของสามพจนนี้ คือ 8
จะไดวา ( a1 )( a1r ) ( a1r 2 ) = 8
a13 r 3 = 8
a1r = 2
2
a1 =
r
2
แทน a1 ดวย ใน (1) จะได
r
2
r
(
1 + r + r 2 = −3)
2 r 2 + 5r + 2 = 0
( 2r + 1)( r + 2 ) = 0
1
นั่นคือ r= − หรือ r = −2
2
1
กรณี r= − จะได a1 = − 4
2
n−1
1
ดังนั้น พจนทั่วไปของลําดับนี้ คือ ( − 4 ) −
2
กรณี r = −2 จะได a1 = −1
ดังนั้น พจนทั่วไปของลําดับนี้ คือ ( −1)( −2 )n−1
17. การรณรงคลดการใชถุงพลาสติกในอําเภอหนึ่ง ทําใหจํานวนถุงพลาสติกที่ใชแลวลดลงปละ 5%
ของจํานวนถุงพลาสติกที่ใชแลวในปกอนหนา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
274 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 275
จะไดวา ( 6 ) − 6 =−12
a2 − a1 =−
a3 − a2 = 6 − ( −6 ) = 12
จะเห็นวา ผลตางของพจนที่อยูติดกันไมเปนคาคงตัวที่เทากัน
พิจารณาอัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน
a2 −6
จะไดวา = = −1
a1 6
a3 6
= = −1
a2 −6
a4 −6
= = −1
a3 6
6 ( −1)
n
an
= = −1
an −1 6 ( −1)n −1
จะเห็นวา อัตราสวนของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัวที่เทากัน ซึ่งเทากับ −1
ดังนั้น ลําดับนี้ไมเปนลําดับเลขคณิต แตเปนลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ −1
3) จาก 4, 2, 0, − 2, , 6 − 2n
พิจารณาผลตางของพจนที่อยูติดกัน
จะไดวา a2 − a1 =2 − 4 =−2
a3 − a2 =0 − 2 =−2
( 2 ) − 0 =−2
a4 − a3 =−
an − an −1 =( 6 − 2n ) − ( 6 − 2 ( n − 1) ) =( 6 − 2n ) − ( 8 − 2n ) =−2
จะเห็นวา ผลตางของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัวที่เทากัน ซึ่งเทากับ −2
พิจารณาอัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน
a2 2 1
จะไดวา = =
a1 4 2
a3 0
= = 0
a2 2
จะเห็นวา อัตราสวนของพจนที่อยูติดกันไมเปนคาคงตัวที่เทากัน
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวมเทากับ −2 แตไมเปนลําดับเรขาคณิต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
276 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
n
1 1 1
4) จาก 3, 1, , , , 9
3 9 3
พิจารณาผลตางของพจนที่อยูติดกัน
จะไดวา a2 − a1 =−
1 3 =−2
1 2
a3 − a2 = − 1 =−
3 3
จะเห็นวา ผลตางของพจนที่อยูติดกันไมเปนคาคงตัวที่เทากัน
พิจารณาอัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน
a2 1
จะไดวา =
a1 3
1
a3 3 1
= =
a2 1 3
1
a4 9 1
= =
a3 1 3
3
n
1
9
an 3 1
= = n −1
an −1 1 3
9
3
จะเห็นวา อัตราสวนของพจนที่อยูติดกันเปนคาคงตัวที่เทากัน ซึ่งเทากับ −1
ดังนั้น ลําดับนี้ไมเปนลําดับเลขคณิต แตเปนลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวมเทากับ −1
1 2 1 4 n
5) จาก − , − , − , − , , −
4 5 2 7 n+3
พิจารณาผลตางของพจนที่อยูติดกัน
2 1 3
จะไดวา a2 − a1 = − − − =−
5 4 20
1 2 1
a3 − a2 = − − − =−
2 5 10
จะเห็นวา ผลตางของพจนที่อยูติดกันไมเปนคาคงตัวที่เทากัน
พิจารณาอัตราสวนของพจนที่อยูติดกัน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 277
2
−
a2 5 8
จะไดวา = =
a1 1 5
−
4
1
−
a3 2 5
= =
a2 2 4
−
5
จะเห็นวา อัตราสวนของพจนที่อยูติดกันไมเปนคาคงตัวที่เทากัน
ดังนั้น ลําดับนี้ไมเปนลําดับเลขคณิตและไมเปนลําดับเรขาคณิต
19. 1) พจนที่หายไปของลําดับนี้ คือ a4 , a5 และ a6
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
27 5 27 5
เนื่องจาก a2 − a1 = − 11 = และ a3 − a2 = 16 − =
2 2 2 2
จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2
5
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = 11 และ d=
2
จาก an = a1 + ( n − 1) d
5 37
จะได a4 = 11 + ( 4 − 1) =
2 2
5
a5 = 11 + ( 5 − 1) = 21
2
5 47
a6 = 11 + ( 6 − 1) =
2 2
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ 37 , 21 และ 47
ตามลําดับ
2 2
a2 a3
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
27
a2 2 27 a3 16 32 27 32
เนื่องจาก = = และ = = ซึ่ง ≠
a1 11 22 a2 27 27 22 27
2
a2 a3
จะเห็นวา ≠
a1 a2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
278 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ดังนั้น ลําดับนี้ไมเปนลําดับเรขาคณิต
2) พจนที่หายไปของลําดับนี้ คือ a3 , a5 และ a6
11 7 72
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต จะตองไดวา d = a2 − a1 = − =
7 11 77
7
a1 = และ a4 = 265
11 77
จาก an = a1 + ( n − 1) d
7 72 265
จะได a4 = + ( 4 − 1) =
11 77 77
7 72
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = และ d=
11 77
7 72 193
จะได a3 = + ( 3 − 1) =
11 77 77
7 72 337
a5 = + ( 5 − 1) =
11 77 77
7 72 409
a6 = + ( 6 − 1) =
11 77 77
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ 193 , 337 และ 409
ตามลําดับ
77 77 77
11
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต จะตองไดวา a2
r =
= 7= 121 และ a4 =
265
a1 7 49 77
11
จาก an = a1r n −1
3−1
7 121 102, 487 102, 487 265
จะได a4
= = ซึ่ง ≠
11 49 539 539 77
นั่นคือ ลําดับนี้ไมเปนลําดับเรขาคณิต
3) พจนที่หายไปของลําดับนี้ คือ a4 , a5 และ a6
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
8 4
เนื่องจาก a2 − a1 =4 − 6 =−2 และ a3 − a2 = − 4 =−
3 3
จะเห็นวา a2 − a1 ≠ a3 − a2
ดังนั้น ลําดับนี้ไมเปนลําดับเลขคณิต
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 279
a2 a3
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
8
a2 4 2 a3 3 2
เนื่องจาก = = และ = =
a1 6 3 a2 4 3
a2 a3
จะเห็นวา =
a1 a2
2
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต ที่มี a1 = 6 และ r=
3
จาก an = a1r n −1
4 −1
2 16
จะได=a4 6=
3 9
5 −1
2 32
=a5 6=
3 27
6 −1
2 64
=a5 6=
3
81
16 32
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ , และ 64 ตามลําดับ
9 27 81
4) พจนที่หายไปของลําดับนี้ คือ a3 , a5 และ a6
5 5 15
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต จะตองไดวา d =a2 − a1 =− − =−
3 6 6
5
a1 = และ a4 = − 20
6 3
จาก an = a1 + ( n − 1) d
5 15 20
จะได a4 =+ ( 4 − 1) − =−
6 6 3
5 15
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเลขคณิต ที่มี a1 = และ d= −
6 6
5 15 25
จะได a3 =+ ( 3 − 1) − =−
6 6 6
5 15 55
a5 =+ ( 5 − 1) − =−
6 6 6
5 15 35
a6 =+ ( 6 − 1) − =−
6 6 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
280 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
25 55 35
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ − ,− และ − ตามลําดับ
6 6 3
5
−
a2
กรณีที่ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต จะตองไดวา r= = 3 = −2
a1 5
6
5
a1 = และ a4 = − 20
6 3
จาก an = a1r n −1
5 20
จะได a4 = ( −2 )4−1 =
−
6 3
5
ดังนั้น ลําดับนี้เปนลําดับเรขาคณิต ที่มี a1 = และ r = −2
6
5 10
a3 = ( −2 ) =
3−1
จะได
6 3
5 40
a5 = ( −2 ) =
5 −1
6 3
5 80
a6 = ( −2 )6−1 =−
6 3
10 40
ดังนั้น พจนที่ขาดหายไป คือ , และ − 80 ตามลําดับ
3 3 3
20. ให 10, a2 , a3 เปนลําดับเลขคณิตที่มีผลตางรวม คือ d
และ 10, b2 , b3 เปนลําดับเรขาคณิตที่มีอัตราสวนรวม คือ r
เนื่องจาก a2 = b2 และ b3 − a3 = 2.5
จะไดวา 10 + d = 10r
d = 10r − 10 ----- (1)
และ 10r − (10 + 2d )
2
= 2.5 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะไดวา
10r 2 − (10 + 2 (10r − 10 ) ) = 2.5
10r 2 − 20r + 10 = 2.5
4 r 2 − 8r + 3 = 0
( 2r − 3)( 2r − 1) = 0
3 1
จะไดวา r= หรือ r=
2 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 281
3
กรณี r= จะได d =5
2
ดังนั้น พจนทั่วไปของลําดับเลขคณิต คือ 10 + ( n − 1)( 5)
21. พิจารณาบริษัท A ซึ่งใหเงินเดือนเริ่มตน 20,000 บาท และแตละปจะขึ้นเงินเดือนให
1,500 บาท จะไดวา
ปที่ 1 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A จะไดรับเงินเดือน 20,000 บาท
ปที่ 2 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A จะไดรับเงินเดือน
20,000 + 1,500 บาท
ปที่ 3 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A จะไดรับเงินเดือน
( 20,000 + 1,500 ) + 1,500 = 20,000 + 2 (1,500 ) บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา ปที่ n ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A
จะไดรับเงินเดือน 20,000 + ( n − 1)(1,500 ) บาท
นั่นคือ ปที่ 1, 2, 3, , n ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A จะได
รับเงินเดือน 20000, 20000 + 1500, 20000 + 2 (1500 ) , , 20000 + ( n − 1)(1500 ) บาท
ซึ่งเปนลําดับเลขคณิตที่มีพจนแรก คือ 20,000 และผลตางรวม คือ 1,500
ให an แทนลําดับของเงินเดือนของเจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท A
โดยพจนทั่วไป คือ a=n 20000 + ( n − 1)(1500 ) ----- (1)
พิจารณาบริษัท B ซึ่งใหเงินเดือนเริ่มตน 20,000 บาท และแตละปจะขึ้นเงินเดือนให 5%
ของเงินเดือนปกอนหนา จะไดวา
ปที่ 1 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท B จะไดรับเงินเดือน 20,000 บาท
ปที่ 2 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท B จะไดรับเงินเดือน
20,000 (1.05 ) บาท
ปที่ 3 ของการทํางาน เจาหนาที่ฝายทรัพยากรบุคคลของบริษัท B จะไดรับเงินเดือน
20,000 (1.05 )(1.05 ) = 20,000 (1.05 ) บาท
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
282 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 283
n
จาก Sn =( a1 + an )
2
246
จะได S 246 = (19 + 999 ) = 125,214
2
ดังนั้น ผลบวกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 125,214
23. 1) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 2 และ d =4
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
40
จะได S 40 =
2
( 2 ( 2 ) + ( 40 − 1)( 4 ) ) = 3,200
ดังนั้น ผลบวก 40 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 3,200
2) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = 20 และ d = −3
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
70
จะได S70 =
2
( 2 ( 20 ) + ( 70 − 1)( −3) ) = −5,845
ดังนั้น ผลบวก 70 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −5,845
1 2
3) อนุกรมที่กําหนดใหมี a1 = − และ d=
3 3
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
จะได S100 = 100 2 − 1 + (100 − 1) 2 = 9,800
2 3 3 3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
284 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
นั่นคือ n = 50
ผลบวกของจํานวนเต็มตั้งแต 9 ถึง 357 ที่หารดวย 7 ลงตัว คือ 14 + 21 + 28 + + 357
n
หาไดจาก Sn = ( a1 + an )
2
50
จะได S50 = (14 + 357 )
2
= 9, 275
ดังนั้น ผลบวกของจํานวนที่ 7 หารลงตัว ตั้งแต 9 ถึง 357 คือ 9,275
25. ให a4 = 11 และ a 9 = − 4
จะได 11 = a1 + ( 4 − 1) d
นั่นคือ 11 = a1 + 3d ----- (1)
และ − 4 = a1 + ( 9 − 1) d
นั่นคือ − 4 = a1 + 8d ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได d = −3 และ a1 = 20
พิจารณาผลบวกของพจนที่ 12 ถึงพจนที่ 25 คือ
a12 + a13 + a14 + + a25 = ( a1 + a2 + a3 + + a25 ) − ( a1 + a2 + a3 + + a11 ) = S 25 − S11
n
จาก S=
n
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
25
จะได S 25 =
2
( 2 ( 20 ) + ( 25 − 1)( −3) ) = − 400
11
และ S11 =
2
( 2 ( 20 ) + (11 − 1)( −3) ) = 55
นั่นคือ S 25 − S11 = − 400 − 55 = − 455
ดังนั้น ผลบวกของพจนที่ 12 ถึงพจนที่ 25 ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ − 455
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 285
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
286 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได = an 17,500 + ( n − 1)(1, 200 =) 16,300 + 1, 200n
ดังนั้น สูตรการคํานวณเงินเดือนของยงยุทธในแตละป คือ 16,300 + 1, 200n
เมื่อ n เปนจํานวนเต็มบวกที่ใชแทนจํานวนปที่คํานวณเงินเดือนของยงยุทธ ตั้งแต พ.ศ. 2560
เนื่องจาก พ.ศ. 2590 คือปที่ 31 ซึ่งนับตั้งแต พ.ศ 2560
จะได เงินเดือนของยงยุทธในพ.ศ. 2590 เทากับ 16,300 + 1, 200 ( 31) =
53,500 บาท
พิจารณา การหาเงินรวมทั้งหมดที่ยงยุทธไดรับ
เนื่องจากใน 1 ป ยงยุทธไดรับเงินเดือน 12 เดือน
นั่นคือ ใน พ.ศ. 2590 เงินรวมทั้งหมดที่ยงยุทธไดรับคือ 12 S31 บาท
n
จาก Sn = ( a1 + an )
2
31
จะได 12 ( S31 ) = 12 (17,500 + 53,500 )
2
= 13,206,000
ดังนั้น เงินเดือนของยงยุทธใน พ.ศ. 2590 คือ 53,500 บาท และเงินรวมทั้งหมดที่เขา
ไดรับคือ 13,206,000 บาท
28. โรงละครแหงหนึ่งจัดเกาอี้แถวแรกไว 12 ตัว แถวที่สอง 14 ตัว แถวที่สาม 16 ตัว เชนนี้ไปเรื่อย ๆ
นั่นคือ จํานวนเกาอี้ในแถวที่ 1, 2, 3, … เทากับ 12, 14, 16, … ซึ่งเปนลําดับเลขคณิตที่มี
พจนแรก คือ 12 และผลตางรวม คือ 2
1) ตองการจัดเกาอี้ไวทั้งหมด 20 แถว
พิจารณาผลบวกของจํานวนเกาอี้ตั้งแตแถวที่ 1 ถึงแถวที่ 20 คือ a1 + a2 + a3 + + a20 = S 20
n
จาก Sn =
2
( 2a1 + ( n − 1) d )
20
จะได S 20 =
2
( 2 (12 ) + ( 20 − 1)( 2 ) ) = 620
ดังนั้น ถาตองการจัดเกาอี้ไวทั้งหมด 20 แถว จะตองใชเกาอี้ทั้งหมด 620 ตัว
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 287
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได an = 5 + ( n − 1)( 3)
= 5 + 3n − 3
= 3n + 2
ดังนั้น ระยะหางระหวางตะกรากับชามใบที่ n เทากับ 3n + 2 เมตร
5) ใหการแขงขันนี้มีชาม n ใบ
จากขอ 4) จะไดวา 23 = 3n + 2
n = 7
ดังนั้น จํานวนชามทั้งหมด เทากับ 7 ใบ
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
288 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 289
3 = ( 3)
5 n−1
นั่นคือ n −1 = 5
n = 6
แทน n ดวย 6 ใน Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
6 ( 36 − 1)
จะได S6 = = 2,184
3 −1
ดังนั้น 6 + 18 + 54 + + 1, 458 = 2,184
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
290 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
แทน n ดวย 30 ใน Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
(
1 430 − 1 ) 1 30
จะได S30 =
4 −1
=
3
(4 −1 )
3 3 3 3
2) จากลําดับเรขาคณิต − , , − , ,
32 16 8 4
3
จะได a1 = − และ r = −2
32
แทน n ดวย 43 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S43 =
−
3
32
(
1 − ( −2 )
43
) =
( −2 )43 − 1
1 − ( −2 ) 32
27 9 3 1
3) จากลําดับเรขาคณิต , , , ,
32 16 8 4
27
จะได a1 = และ r = 2
32 3
แทน n ดวย 28 ใน Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
28
27 2
1 −
32 3 28
81 2
จะได S28 =
2
= 1 −
1− 32 3
3
1
33. ให a5 = − 4 และ a8 =
2
จะได −4 = a1r 5−1
นั่นคือ −4 = a1r 4 ----- (1)
1
และ = a1r 8−1
2
1
นั่นคือ = a1r 7 ----- (2)
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 291
1
จาก (1) และ (2) จะได r= − และ a1 = − 64
2
พิจารณาผลบวกของพจนที่ 2 ถึงพจนที่ 9 คือ
a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 + a8 + a9 = ( a1 + a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 + a8 + a9 ) − a1 = S9 − a1
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
1 9
− 64 1 − −
2 171
จะได S9 = = −
1 4
1− −
2
จะได S9 − a1 = − 171 − ( − 64 ) = 85
4 4
ดังนั้น ผลบวกของพจนที่ 2 ถึงพจนที่ 9 คือ 85
4
34. ให a3 = 6 และ a7 = 24
จะได 6 = a1r 3−1
นั่นคือ 6 = a1r 2 ----- (1)
และ 24 = a1r 7 −1
นั่นคือ 24 = a1r 6 ----- (2)
จาก (1) และ (2) จะได r = 2 หรือ r = − 2 และ a1 = 3
1) พิจารณาผลบวกของพจนที่ 7 ถึงพจนที่ 17 คือ
a7 + a8 + a9 + + a17 = ( a1 + a2 + a3 + + a17 ) − ( a1 + a2 + a3 + + a6 ) = S17 − S6
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
( ) ( 2)
17 17
3 1 − 2
3 − 1
ถา r= 2 จะได S17 = =
1− 2 2 −1
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
292 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
( ) ( 2)
6 6
3 1 − 2
3 − 1
และ S6 = =
1− 2 2 −1
( 2) ( 2)
17 6
3 − 1 3 − 1
จะได S17 − S6 = −
2 −1 2 −1
( 2)
17
3 − 1 − ( 8 − 1)
=
2 −1
( 2)
17
3 − 8
=
2 −1
( ) ( )
17
3 1 + 2
17
3 1 − − 2
ถา r= − 2 จะได S17 = =
( )
1− − 2 1+ 2
3 1 − ( − 2 ) ( )
6
3 1 − 2
6
และ S6 = =
1− (− 2 ) 1+ 2
3 1 + ( 2 ) ( )
17 6
3 1 − 2
จะได S17 − S6 = −
1+ 2 1+ 2
( 2)
17
3 1 + − (1 − 8 )
=
1+ 2
( 2)
17
3 + 8
=
1+ 2
( 2)
17
3 − 8
ดังนั้น ถา r= 2 แลว ผลบวกของพจนที่ 7 ถึงพจนที่ 17 คือ
2 −1
( 2)
17
3 + 8
ถา r= − 2 แลว ผลบวกของพจนที่ 7 ถึงพจนที่ 17 คือ
1+ 2
2) พิจารณาผลคูณของพจนที่ 3 ถึงพจนที่ 26 คือ
a3 a4 a5 a26 = ( a r )( a r )( a r )( a r )
1
2
1
3
1
4
1
25
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 293
24
( 2 + 25)
= ( a1 )24 r 2
= ( a1 )24 ( r 324 )
จะได ( a1 )24 ( r 324 ) ( 2)
324
ถา r= 2 = 324
= 2162324
จะได ( a1 )24 ( r 324 ) ( )
324
ถา r= − 2 = 324 − 2
( 2)
324
= 324 ( −1)
324
= 2162324
ดังนั้น ผลคูณของพจนที่ 3 ถึงพจนที่ 26 คือ 2162324
35. วิทยามีเงิน 6,561 บาท
1
เขาไปเที่ยวและใชเงินทุกวัน โดยที่แตละวันใชเงิน ของเงินที่เหลือจากวันกอนหนา จะไดวา
3
วันที่ 1 วิทยาใชเงินไป 1 ( 6,561) บาท
3
1 2
นั่นคือ เมื่อครบ 1 วัน วิทยาเหลือเงินอยู 6,561 − ( 6,561) = ( 6,561) บาท
3 3
1 2
วันที่ 2 วิทยาใชเงินไป ( 6,561) บาท
3 3
2
นั่นคือ เมื่อครบ 2 วัน วิทยาเหลือเงินอยู 2 ( 6,561) − 1 2 ( 6,561) =
2
( 6,561) บาท
3 3 3 3
2
1 2
วันที่ 3 วิทยาใชเงินไป ( 6,561) บาท
3 3
2 2
2 1 2 2 3
นั่นคือ เมื่อครบ 3 วัน วิทยาเหลือเงินอยู ( 6,561) − ( 6,561) =
3
( 6,561) บาท
3 3 3
n−1
1 2
ในทํานองเดียวกัน วันที่ n วิทยาใชเงินไป ( 6,561) บาท
3 3
n
2
นั่นคือ เมื่อครบ n วัน วิทยาเหลือเงินอยู ( 6,561) บาท
3
8
2
ดังนั้น เมื่อครบ 8 วัน วิทยาจะมีเงินเหลือ ( 6,561) = 256 บาท
3
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
294 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
จะได S15 =
(
21,000 1 − (1.09 )
15
) ≈ 616,579.24 บาท
1 − 1.09
ดังนั้น เงินเดือนของวิบูลยเมื่อขึ้นปที่ 6 เปนเงินประมาณ 32,311.10 บาท
และเงินรวมที่วิบูลยไดรับเมื่อทํางานครบ 15 ป เปนเงินประมาณ 616,579.24 บาท
37. 1) การแขงขันรอบที่ 1 มีผูเขาแขงขันทั้งหมด 32 คน จะมีการแขงขัน 16 คู
การแขงขันรอบที่ 2 มีผูเขาแขงขัน คือ ผูชนะจากรอบที่ 1 ซึ่งมี 16 คน
1
จะมีการแขงขัน 8= (16 ) คู
2
การแขงขันรอบที่ 3 มีผูเขาแขงขัน คือ ผูชนะจากรอบที่ 2 ซึ่งมี 8 คน
2
1
จะมีการแขงขัน 4 = (16 ) คู
2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 295
n−1
1
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา การแขงขันรอบที่ n จะมีการแขงขัน (16 ) คู
2
n−1
1
ดังนั้น ในรอบที่ n มีผูเขาแขงขัน (16 ) คู
2
2) เนื่องจากรอบสุดทายที่จะไดผูชนะ จะมีการแขงขันเพียง 1 คู
นั่นคือ หา n ที่ทําให an = 1
n−1
1
จะไดวา 1 = (16 )
2
n−1
1 1
=
16 2
4 n−1
1 1
=
2 2
4 = n −1
นั่นคือ n = 5
ดังนั้น รายการลูกทุงเสียงทองมีการแขงขันทั้งหมด 5 รอบ
3) จาก 1) และ 2) จะไดวา รายการลูกทุงเสียงทองมีการแขงขันทั้งหมด 5 รอบ
โดยรอบที่ 1, 2, 3 และ 5 มีการแขงขัน 16, 8, 4 และ 1 คู ตามลําดับ
4 −1
1
พิจารณาการแขงขันรอบที่ 4 จะไดวา มีการแขงขัน (16 ) = 2 คู
2
ดังนั้น รายการลูกทุงเสียงทองมีการแขงขันทั้งหมด 16 + 8 + 4 + 2 + 1 = 31 คู
38. คอนโดมิเนียมแหงหนึ่งไดประมาณจํานวนแมลงสาบที่มีอยูขณะเริ่มตนโครงการไว 6,000 ตัว
หลังจากวางยากําจัดแมลงสาบในจุดตาง ๆ พบวา อัตราการลดลงของจํานวนแมลงสาบ
เทากับ 17% ตอวัน
นั่นคือ จํานวนแมลงสาบลดลงวันละ 17% ของจํานวนแมลงสาบที่เหลืออยูในวันกอนหนา
ถาไมมีแมลงสาบเพิ่มขึ้นในระยะเวลา 7 วัน จะไดวา
17
จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 1 ที่ดําเนินโครงการ เทากับ ( 6,000 ) ตัว
100
17 83
ทําใหเหลือจํานวนแมลงสาบอยู 6,000 − ( 6,000 ) = ( 6,000 ) ตัว
100 100
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
296 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
17 83
จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 2 ที่ดําเนินโครงการ เทากับ ( 6,000 ) ตัว
100 100
2
83 17 83 83
ทําใหเหลือจํานวนแมลงสาบอยู ( 6,000 ) − ( 6,000 ) =
( 6,000 ) ตัว
100 100 100 100
2
17 83
จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 3 ที่ดําเนินโครงการ เทากับ ( 6,000 ) ตัว
100 100
ทําใหเหลือจํานวนแมลงสาบอยู
2 2
83 17 83 83 3
( 6,000 ) − ( 6,000 ) =
( 6,000 ) ตัว
100 100 100 100
ในทํานองเดียวกัน จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ n ที่ดําเนินโครงการ เทากับ
n−1 n
17 83 83
( 6,000 ) ตัว ทําใหเหลือจํานวนแมลงสาบอยู ( 6,000 ) ตัว
100 100 100
1) เนื่องจาก จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่เริ่มตนโครงการ คือ จํานวนแมลงสาบ
17
ที่ถูกกําจัดในวันที่ 1 ที่ดําเนินโครงการ ซึ่งเทากับ ( 6,000 ) = 1,020 ตัว
100
ดังนั้น จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่เริ่มตนโครงการ เทากับ 1,020 ตัว
2) เนื่องจาก จํานวนแมลงสาบขณะเริ่มตนโครงการ เทากับ 6,000 ตัว
และจํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 1 ที่ดําเนินโครงการ เทากับ 1,020 ตัว
ดังนั้น จํานวนแมลงสาบที่เหลืออยูหลังจากดําเนินโครงการไปแลว 1 วัน เทากับ
6,000 – 1,020 = 4,980 ตัว
3) เนื่องจาก จํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 1, 2, 3, , n ที่ดําเนินโครงการ
เทากับ
2 n−1
17 17 83 17 83 17 83
( 6,000 ) , ( 6,000 ) , ( 6,000 ) , , ( 6,000 )
100 100 100 100 100 100 100
17 83
ซึ่งเปนลําดับเรขาคณิตที่มีพจนแรก คือ ( 6,000 ) ผลตางรวม คือ และ
100 100
n−1
17 83
พจนทั่วไป คือ ( 6,000 )
100 100
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 297
และจํานวนแมลงสาบทั้งหมดที่ถูกกําจัดหลังจากดําเนินโครงการไปแลว 7 วัน
คือ ผลรวมของจํานวนแมลงสาบที่ถูกกําจัดในวันที่ 1, 2, 3, , 7 ที่ดําเนิน
โครงการ ซึ่งเทากับ a1 + a2 + a3 + a4 + a5 + a6 + a7 =
S7
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
7
17 83
6,000 1 −
100 100
จะได S7 = ≈ 4,372 ตัว
83
1−
100
ดังนั้น จํานวนแมลงสาบทั้งหมดที่ถูกกําจัดหลังจากดําเนินโครงการไปแลว 7 วัน
มีประมาณ 4,372 ตัว
4) เนื่องจาก จํานวนแมลงสาบขณะเริ่มตนโครงการ เทากับ 6,000 ตัว
และจํานวนแมลงสาบทั้งหมดที่ถูกกําจัดหลังจากดําเนินโครงการไปแลว 7 วัน ประมาณ
4,372 ตัว
ดังนั้น จํานวนแมลงสาบที่เหลืออยูหลังจากดําเนินโครงการไปแลว 7 วัน ประมาณ
6,000 – 4,372 = 1,628 ตัว
39. จาก จํานวนวันในการปฏิบัติภารกิจ 25 วัน จะไดวา
แบบที่ 1 เศรษฐีจะจายคาตอบแทนทั้งหมด 25 × 50,000 = 1, 250,000 บาท
แบบที่ 2 เศรษฐีจะจายคาตอบแทน ในวันที่ 1, 2, 3, … เปนเงิน 5, 10, 20, … สตางค
ซึ่งเปนลําดับเรขาคณิตที่มี a1 = 5 และ r = 2
จะไดวา เศรษฐีจะจายคาตอบแทนรวมในแบบที่ 2 เทากับ S25
จาก Sn =
(
a1 r n − 1 )
r −1
จะได S25 =
(
5 225 − 1 ) = 167,772,155
2 −1
นั่นคือ เศรษฐีจะจายคาตอบแทนรวมในแบบที่ 2 เทากับ 167,772,155 สตางค
หรือ 1,677,721.55 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
298 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 299
จะได S7 =
(
2 47 − 1 ) = 10,922
4 −1
ดังนั้น 2 + 8 + 32 + + 8,192 เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ 10,922
2) กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
เนื่องจาก a2 − a1 = 14 − 7 = 7 และ a3 − a2 = 21 − 14 = 7
จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต ที่มี=
a1 7,=d 7 และ an = 98
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได 98 = 7 + ( n − 1)( 7 )
98 = 7n
n = 14
ดังนั้น 98 เปนพจนที่ 14 ของอนุกรมนี้
n
จาก Sn = ( a1 + an )
2
14
จะได S14 = ( 7 + 98) = 735
2
ดังนั้น 7 + 14 + 21 + + 98 เปนอนุกรมเลขคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ 735
a2 a3
กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
a2 14 a3 21 3
เนื่องจาก = = 2 และ = =
a1 7 a2 14 2
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
300 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
a2 a3
จะเห็นวา ≠
a1 a2
ดังนั้น อนุกรมนี้ไมเปนอนุกรมเรขาคณิต
3) กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
1 1 3 1
เนื่องจาก a2 − a1 =1 − = และ a3 − a2 = −1 =
2 2 2 2
จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2
1 1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต ที่ม=
ี a1 =,d และ an = 30
2 2
จาก an = a1 + ( n − 1) d
1 1
จะได 30 = + ( n − 1)
2 2
1
30 = n
2
n = 60
ดังนั้น 30 เปนพจนที่ 60 ของอนุกรมนี้
n
จาก Sn = ( a1 + an )
2
60 1
จะได S60 = + 30 = 915
2 2
1 3
ดังนั้น + 1 + + + 30 เปนอนุกรมเลขคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ 915
2 2
กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต จะตองไดวา a2 = a3
a1 a2
3
a2 1 a3 2 3
เนื่องจาก = 1= 2 และ = =
a1 a2 1 2
2
a2 a3
จะเห็นวา ≠
a1 a2
ดังนั้น อนุกรมนี้ไมเปนอนุกรมเรขาคณิต
4) กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
เนื่องจาก a2 − a1 =− 8 16 = −8 และ a3 − a2 =4 − 8 =− 4
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 301
จะเห็นวา a2 − a1 ≠ a3 − a2
ดังนั้น อนุกรมนี้ไมเปนอนุกรมเลขคณิต
a2 a3
กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
a2 8 1 a3 4 1
เนื่องจาก = = และ = =
a1 16 2 a2 8 2
a2 a3
จะเห็นวา =
a1 a2
1 1
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่ม=
ี a1 16,
= r และ an =
2 32
จาก an = a1r n −1
n−1
1 1
จะได = 16
32 2
n−1
1 1
= 24
2 5
2
n−1
1 1
=
5
2 ⋅2 4
2
9 n−1
1 1
= 2
2
นั่นคือ n −1 = 9
n = 10
1
ดังนั้น เปนพจนที่ 10 ของอนุกรมนี้
32
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
1 10
16 1 −
2
1,023
จะได S10 =
1
=
1− 32
2
1 1,023
ดังนั้น 16 + 8 + 4 + + เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ
32 32
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
302 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
5) กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
เนื่องจาก a2 − a1 = 3 − ( −1) = 4 และ a3 − a2 =−9 − 3 =−12
จะเห็นวา a2 − a1 ≠ a3 − a2
ดังนั้น อนุกรมนี้ไมเปนอนุกรมเลขคณิต
a2 a3
กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
a2 3 a3 −9
เนื่องจาก = = −3 และ = = −3
a1 −1 a2 3
a2 a3
จะเห็นวา =
a1 a2
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต ที่มี −1, r =
a1 = −3 และ an = −729
จาก an = a1r n −1
จะได −729 = −1( −3)n−1
729 = ( −3)n−1
( −3)6 = ( −3)n−1
นั่นคือ n −1 = 6
n = 7
ดังนั้น −729 เปนพจนที่ 7 ของอนุกรมนี้
จาก Sn =
(
a1 1 − r n )
1− r
( −1) (1 − ( −3)7 )
จะได S7 = = −547
1 − ( −3)
ดังนั้น ( −1) + 3 + ( −9 ) + + ( −729 ) เปนอนุกรมเรขาคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ −547
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 303
6) กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต จะตองไดวา a2 − a1 = a3 − a2
เนื่องจาก a2 − a1 =−6 − ( −10 ) =4 และ a3 − a2 =−2 − ( −6 ) =4
จะเห็นวา a2 − a1 = a3 − a2
ดังนั้น อนุกรมนี้เปนอนุกรมเลขคณิต ที่มี a1 =
−10, d = 4 และ an = 90
จาก an = a1 + ( n − 1) d
จะได 90 = −10 + ( n − 1)( 4 )
90 = −14 + 4n
n = 26
ดังนั้น 90 เปนพจนที่ 26 ของอนุกรมนี้
n
จาก Sn = ( a1 + an )
2
26
จะได S26 = ( −10 + 90 ) = 1,040
2
ดังนั้น −10 − 6 − 2 + + 90 เปนอนุกรมเลขคณิตที่มีผลบวกของอนุกรม เทากับ 1,040
a2 a3
กรณีที่อนุกรมนี้เปนอนุกรมเรขาคณิต จะตองไดวา =
a1 a2
a2 −6 3 a3 −2 1
เนื่องจาก = = และ = =
a1 −10 5 a2 −6 3
a2 a3
จะเห็นวา ≠
a1 a2
ดังนั้น อนุกรมนี้ไมเปนอนุกรมเรขาคณิต
41. ฝากเงิน 5,000 บาท ไดรับอัตราดอกเบี้ยรอยละ 1.5 ตอป โดยคิดดอกเบี้ยแบบทบตนทุก 3 เดือน
ในที่นี้ไมมีการฝากและถอนในระหวาง 3 ป
i 1.5
ให =
P 5000,=
k 4,=
n 3 และ i = 1.5 จะไดวา=r = = 0.015
100 100
4( 3 )
0.015
จากทฤษฎีบท 10 จะไดวา จํานวนเงินในบัญชีเมื่อฝากเงินครบ 3 ป คือ 5,000 1 + บาท
4
หรือประมาณ 5,229.70 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
304 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 305
จากทฤษฎีบท 10 จะไดวา
2(10 )
r
148,595 = 100,000 1 +
2
20
r
1.48595 = 1 +
2
r
นั่นคือ 1+ = 20 1.48595
2
r = 2 ( 20
1.48595 − 1 )
r ≈ 0.04
ดังนั้น ธนาคารแหงนี้กําหนดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ตอป
45. ตนตระการกูเงินจากวิทวัสจํานวน 200,000 บาท โดยมีกําหนดชําระหนี้ทั้งหมดในอีก 2 ป
ขางหนา เปนเงิน 300,000 บาท และดอกเบี้ยที่วิทวัสเรียกเก็บคิดดอกเบี้ยแบบทบตนทุกป
= ให P 200000,
= n 2 และมีเงินรวม 300,000 บาท
จากทฤษฎีบท 9 จะไดวา
300,000 = 200,000 (1 + r )
2
1.5 = (1 + r )2
นั่นคือ r = 1.5 − 1
r ≈ 0.2247
ดังนั้น ดอกเบี้ยที่วิทวัสเรียกเก็บสามารถคิดเปนอัตราดอกเบี้ยรอยละ 0.2247 × 100 =
22.47 ตอป
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกลาวไมเปนไปตามที่กฎหมายกําหนด
46. วิชัยตองการฝากเงินกับธนาคารแหงหนึ่งซึ่งกําหนดอัตราดอกเบี้ย 5% ตอป โดยคิดดอกเบี้ย
แบบทบตนทุกป และวิชัยตองการใหมีเงินในบัญชีประมาณ 250,000 บาท ในเวลา 10 ป
โดยไมมีการฝากถอนในระหวาง 10 ปนี้
5
ให =
S 250000,=
k 1,=
n 10 และ i=5 นั่นคือ=r = 0.05
100
−1(10 )
0.05
จะได P = 250,000 1 + ≈ 153, 478.31
1
ดังนั้น วิชัยตองฝากเงินตนไวอยางนอย 153,479 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
306 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นเดือนที่ n
เงินฝากในตนเดือนที่ 1 จํานวน 1,000 บาท จะมีมูลคา 1,000 (1.002 )n บาท
เงินฝากในตนเดือนที่ 2 จํานวน 1,000 บาท จะมีมูลคา 1,000 (1.002 )n−1 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 307
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นงวดที่ 24
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
308 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
2,000 (1.0025 )
23
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 1 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา บาท
2,000 (1.0025 ) บาท
22
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 2 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา
2,000 (1.0025 ) บาท
21
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 3 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 23 จํานวน 2,000 บาท
จะมีมูลคา 2,000 (1.0025 ) บาท
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 24 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 บาท
นั่นคือ เมื่อสิ้นเดือนที่ 24 หมากจะไดเงินรวม
2,000 (1.0025 ) + 2,000 (1.0025 ) + 2,000 (1.0025 ) + + 2,000
23 22 21
บาท
หรือ 2,000 + 2,000 (1.0025) + 2,000 (1.0025)2 + + 2,000 (1.0025)23 บาท
ซึ่งเปนอนุกรมเรขาคณิตที่มี 24 พจน พจนแรก คือ 2,000 และอัตราสวนรวม คือ 1.0025
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 309
จากแผนภาพจะไดวาเมื่อสิ้นงวดที่ 24
2,000 (1.01)
23
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 1 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา บาท
2,000 (1.01) บาท
22
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 2 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา
2,000 (1.01) บาท
21
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 3 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 23 จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 (1.01) บาท
เงินฝากเมื่อสิ้นเดือนที่ 24 (ครบ 2 ป) จํานวน 2,000 บาท จะมีมูลคา 2,000 บาท
นั่นคือ เมื่อเวลาผานไป 2 ป มะปรางจะไดเงินออมทั้งหมด
2,000 (1.01) + 2,000 (1.01) + 2,000 (1.01) + + 2,000 บาท
23 22 21
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
310 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
ถาไมมีการฝากถอนในระยะเวลา 1 ป
จากทฤษฎีบท 10 จะไดวา เมื่อครบ 1 ป สมซาจะมีเงินในบัญชีทั้งหมด
12(1)
0.1
100,000 1 + บาท หรือประมาณ 101,206.62 บาท
100
จาก สมซาโอนเงินใหนองสาวทุกวันที่ 1 ของเดือน ตั้งแตเดือนมิถุนายน 2561 โดย
ไมเสียคาธรรมเนียมในการโอน
จะไดวา เมื่อตนเดือนที่ 1 (มิถุนายน) สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อครบ 1 ป
เงินในบัญชีของสมซาจะลดลง 5,000 (1.001)12 บาท
เมื่อตนเดือนที่ 2 สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อครบ 1 ป เงินในบัญชีของ
สมซาจะลดลง 5,000 (1.001)11 บาท
เมื่อตนเดือนที่ 3 สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อครบ 1 ป เงินในบัญชีของ
สมซาจะลดลง 5,000 (1.001)10 บาท
ในทํานองเดียวกัน จะไดวา เมื่อตนเดือนที่ 12 สมซาถอนเงินไป 5,000 บาท ทําใหเมื่อ
ครบ 1 ป เงินในบัญชีของสมซาจะลดลง 5,000 (1.001) บาท
ดังนั้น เมื่อครบ 1 ป เงินในบัญชีของสมซาจะลดลงทั้งหมด
5,000 (1.001) + 5,000 (1.001) + 5,000 (1.001) + + 5,000 (1.001)
12 11 10
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 311
จากแผนภาพจะไดวา
−1
3 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 1 คือ R 1 + R
= บาท
200 203
−2 2
3 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 2 คือ R 1 + R
= บาท
200 203
−3 3
3 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 3 คือ R 1 + R
= บาท
200 203
−6 6
3 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 6 คือ R 1 + R
= บาท
200 203
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
312 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 313
จากแผนภาพจะไดวา
−1
1 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 1 คือ R 1 + R
= บาท
200 201
−2 2
1 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 2 คือ R 1 + R
= บาท
200 201
−3 3
1 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 3 คือ R 1 + R
= บาท
200 201
−48 48
1 200
มูลคาปจจุบันของเงินผอนงวดที่ 48 คือ R 1 + R
= บาท
200 201
นั่นคือ เมื่อครบ 4 ป (48 เดือน) ยอดเงินรวมที่อนงคจายเพื่อผอนรถยนต เทากับ
2 3 48
200 200 200 200
R + R + R + + R บาท
201 201 201 201
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
314 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5
48
200 200
R 1 −
201 201
จะได 510,000 =
200
1−
201
200
510,000 1 −
นั่นคือ R = 201 ≈ 11,977.36
48
200 200
1 −
201 201
ดังนั้น อนงคจะตองผอนชําระเดือนละประมาณ 11,977.36 บาท
และเสียดอกเบี้ยทั้งหมด 48 (11,977.36 ) − 51,000 =
64,913.28 บาท
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 315
แหลงเรียนรูเพิ่มเติม
forvo.com เปนเว็บไซตที่รวบรวมการออกเสียงคําในภาษาตาง ๆ กอตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2008
โดยมีจุดมุงหมายเพื่อพัฒนาการสื่อสารทางการพูด ผานการแลกเปลี่ยนการออกเสียงคําในภาษา
ตาง ๆ ทั้งจากบุคคลที่เปนเจาของภาษาและบุคคลที่ไมใชเจาของภาษา forvo.com ไดรับคัดเลือก
จากนิตยสาร Times ใหเปน 50 เว็บไซตที่ดีที่สุดใน ค.ศ. 2013 (50 best websites of 2013) ปจจุบัน
เว็บไซตนี้เปนฐานขอมูลที่รวบรวมการออกเสียงที่ใหญที่สุด มีคลิปเสียงที่แสดงการออกเสีย ง
คําศัพทประมาณสี่ลานคําในภาษาตาง ๆ มากกวา 330 ภาษา
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
316 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
บรรณานุกรม
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2524). คูมือครูวิชาคณิตศาสตร ค 012 ตาม
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 ของกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพคุรุสภาลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2558). คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2558). คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร
เลม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2557). คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร
เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2561). หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
คณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 เลม 1 ตามผลการเรียนรูกลุมสาระการเรียนรู
คณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ สกสค. ลาดพราว.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. (2557). หนังสือเรียนรูเพิ่มเติมเพื่อเสริม
ศักยภาพคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 – 6 ระบบจํานวนจริง. กรุงเทพฯ: พัฒนา
คุณภาพวิชาการ.
สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตร
แหงประเทศไทย.
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5 317
คณะผูจัดทํา
คณะที่ปรึกษา
ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปจํานงค สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.ศรเทพ วรรณรัตน สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.วนิดา ธนประโยชนศักดิ์ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณะผูจัดทําคูมือครู
นางสาวปฐมาภรณ อวชัย สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวอัมริสา จันทนะศิริ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.จิณณวัตร เจตนจรุงกิจ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายทศธรรม เมขลา สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายพัฒนชัย รวิวรรณ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวภิญญดา กลับแกว สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.ศศิวรรณ เมลืองนนท สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
ดร.สุธารส นิลรอด สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นายเชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ
จังหวัดนครปฐม
ดร.บุญยงค ศรีพลแผว มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี
นางสาวปรารถนา วิริยธรรมเจริญ โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม
นายสุบรรณ ตั้งศรีเสรี โรงเรียนจันทรประดิษฐารามวิทยาคม กรุงเทพฯ
คณะผูพิจารณาคูมือครู
นายประสาท สอานวงศ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
รศ. ดร.สมพร สูตินันทโอภาส สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจินตนา อารยะรังสฤษฏ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวจําเริญ เจียวหวาน สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
318 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 5
บรรณาธิการ
รศ. ดร.สิริพร ทิพยคง สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คณะทํางานฝายเสริมวิชาการ
นางสาวขวัญใจ ภาสพันธุ โรงเรียนราชวินิตบางเขน กรุงเทพฯ
นายณรงคฤทธิ์ ฉายา โรงเรียนสาธิตแหงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
ศูนยวิจัยและพัฒนาการศึกษา กรุงเทพฯ
นายถนอมเกียรติ งานสกุล โรงเรียนสตรีภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
นางนงนุช ผลทวี โรงเรียนทับปุดวิทยา จังหวัดพังงา
นางมยุรี สาลีวงศ โรงเรียนสตรีสิริเกศ จังหวัดศรีสะเกษ
นางสาวศราญลักษณ บุตรรัตน โรงเรียนบางละมุง จังหวัดชลบุรี
นายศรัณย แสงนิลาวิวัฒน โรงเรียนวิทยาศาสตรจุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี
จังหวัดเพชรบุรี
วาที่รอยตรีสามารถ วนาธรัตน โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จังหวัดพิษณุโลก
นางศุภรา ทวรรณกุล ขาราชการบํานาญ
นายสุกิจ สมงาม ขาราชการบํานาญ
นางสุปราณี พวงพี ขาราชการบํานาญ
นายชัยรัตน สุนทรประพี นักวิชาการอิสระ
ฝายนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
นางสาวปยาภรณ ทองมาก สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี