Professional Documents
Culture Documents
บทที่-2 ปวส
บทที่-2 ปวส
บทที่ 2
หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
2.1 การให้ความช่วยเหลือคนพิการทางการ
เคลื่ อนไหว
2.1.1 สถิติคนพิการ คนพิการที่ได้รับการออกบัตรคนพิการ จำนวน
1,998,096 คน คิดเป็ น 3.01 เปอร์เซ็นของประชากรทัง้ หมด เป็ นเพศ
ชาย 1,043,632 คน คิดเป็ น 52.23 เปอร์เซ็น และเพศหญิง 954,815
คน คิดเป็ น 47.77 เปอร์เซ็น
2.2 รถเข็นวีลแชร์
รถเข็นผูพ
้ ิการ (Wheelchair) ในความหมายที่ร้จ
ู ักกันในภาษาไทย
มีอยู่หลายคำ เช่น เก้าอีร้ ถเข็น,เก้าอีล
้ ้อ,รถเข็นคนไข้,รถเข็นนั่ง หรือ รถ
เข็นผู้ป่วย ถือว่าเป็ นพาหนะหรือเครื่องมือสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเดิน
หรือการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเนื่องมาจากอายุอาการเจ็บป่ วย หรือ ความ
พิการ การทำงานของเก้าอีล
้ ้อเข็นมีทงั ้ แบบที่ผู้นั่งเป็ นผู้ควบคุมให้เก้าอี ้
ล้อเข็นเคลื่อนที่ไปได้เองด้วยการหมุนล้อหลัง หรือ การอาศัยผู้ช่วยเข็น
ทำการเข็นให้นอกจากนีย
้ ังมีเก้าอีล
้ ้อเข็นระบบไฟฟ้ าที่ใช้พลังงาน
ภายนอกในการขับเคลื่อน โดยความเป็ นมาของรถเข็นผู้ป่วยเท่าที่ปรากฎ
ในหลักฐานภาพวาดบนกระถางของกรีกตัง้ แต่ 600 ปี ก่อนคริสตกาล ซึง่
ต่อมาอีก 300 ปี ก็พบหลักฐานว่าชาวจีนใช้รถเข็นล้อเดียวสำหรับการ
เคลื่อนย้ายคนพิการรวมทัง้ วัสดุสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเป็ นครัง้ แรกก่อนที่
จะปรากฎเรื่องราวของเก้าอีล
้ ้อเข็นในงานศิลปะของจีนราวคริสต์ศตวรรษ
ที่ 525 ทัง้ นี ้ ยังพบภาพวาดขงจื๊ อนั่งอยู่บนเก้าอีล
้ ้อเข็นในราวปี 1680 อีก
ด้วยนอกจากนีย
้ ังมีข้อมูลระบุว่าประมาณปี 1760 เริ่มมีการใช้พาหนะ
สำหรับคนป่ วยกันแล้วโดยในปี 1993 มีวิศวกรเครื่องยนต์สองคนที่เป็ น
เพื่อนกันคือ แฮร์รี่เจ็นนิ่งส์ และ เฮอร์เบิร์ท เอเวอเรสท์ ถือเป็ นผู้ที่
ประสบความสำเร็จเป็ นรายแรกในการสร้างรถเข็นผู้ป่วยราคาถูก หรือ w
heelchair ราคาถูก ที่ทำด้วยโลหะน้ำหนักเบาชนิดพับเก็บได้สำหรับ
จำหน่ายเป็ นครัง้ แรกเหตุผลที่สำคัญคือเอเวอเรสท์เคยหลังหักจาก
อุบัติเหตุในการทำเหมืองแร่จึงได้ทำขึน
้ มาเพื่อใช้งาน
2.2.1 อุปกรณ์มาตรฐานรถเข็นผู้พิการ
9
2.3 กล่องมอเตอร์
รูปค
ทีวบคุ ม
่ 2.2 แสดงการทำงานของวี ล
กล่องคอนโทลเลอร์ควบคุมมอเตอร์ บัสเลส ส่วนใหญ่ในปั จจุบัน ที่
ใช้งานทั่วไปกับมอเตอร์บัสเลสแบบ 3 เฟส จะมีการใช้งานในการจ่าย
ไฟฟ้ าในองศาที่ 60° และ 120° โดยจะเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ ากระแสตรง
ให้เป็ นกระแสสลับตามจังหวะของเฟสต่างๆ มีการใช้การควบคุมวงจรการ
ทำงานด้วยไมโคคอนโทลเลอร์ และมี เพาเวอร์มอสเฟส ในการตัดต่อ
กระแสไฟฟ้ า จะส่งพลังงานให้กับมอเตอร์3 เฟส จะแบ่งการควบคุม
ทำงานในการจ่ายเป็ นคลื่นพลังงานที่ปล่อยให้กับมอเตอร์ 2 แบบคือ
12
ต้องบำรุงรักษามากโดยผูใ้ ช้จะต้องเติมน้ำกลัน
่ ทุก 6 เดือนหรือเมื่อรถวิง่
ครบ10,000 กิโล
2.4.1.4 แบตเตอรีแ
่ บบแห้ง เป็ นแบตเตอรีท
่ ไ่ี ม่จำเป็ นต้อง
เติมน้ำกลัน
่ ตลอดอายุการใช้งานโดยจะมีแผ่นปิ ดซีลไว้หลายๆ ชัน
้ ป้ องกัน
น้ำกรดในแบตเตอรีร่ ะเหยออกไปข้างนอกข้อดีของแบตเตอรีป
่ ระเภทนี้ คือ
เมื่อจอดรถทิง้ ไว้นานๆ แบตเตอรีก
่ ย
็ งั เก็บไฟอยูส
่ ามารถสตาร์ทรถได้ปกติ
2.4.2 แบตเตอรี่แห้ง แบ่งออกเป็ นประเภทได้ดังนี ้
2.4.2.1 แบบคาร์บอน-สังกะสี ประกอบด้วย กล่อง
สังกะสีทรงกระบอก ซึ่งเป็ นขัว้ ลบและเป็ นที่บรรจุอิเล็กโตรไลท์ อิเล็กโทร
ไลท์ (Electrolyte) เป็ นน้ำยาที่ทำปฏิกิริยาเคมีกับอิเล็กโทรดที่จุ่มอยู่
อาจเป็ นเกลือ(Salt) กรดหรือด่าง(Alkaline) ก็ได้
2.4.2.2 แบบอัลคาไลน์ เซลล์ไฟฟ้ าแบบนีเ้ หมาะสมดีทก
ุ
อย่างยกเว้นราคาเพราะให้กระแสไฟฟ้ าสูงและทำงานได้ดท
ี อ
่ี ณ
ุ หภูมป
ิ กติ
สามารถเก็บไว้ได้นานอยูไ่ ด้นานเฉลีย
่ นานกว่าห้า
2.4.2.3 แบบซิลเวอร์ออกไซด์ ใช้ในงานสำรวจพื้นผิว
ดวงจันทร์ มีอายุการใช้งานนานกว่าอัลคาร์ไลน์ถึง 3 เท่า ถ้าใช้กับไฟฉาย
จะไม่หรี่เลยจนกว่าเซลล์จะหมดอายุไปโดยสิน
้ เชิงแต่ค่าใช้จ่ายก็ต้องสูง
ด้วยคือประมาณ 200 บาทต่อชั่วโมง
2.4.2.4 แบบเมอร์คิวรี่ เซลล์ไฟฟ้ าแบบนีใ้ ช้กันอย่าง
แพร่หลายในเครื่องใช้ที่ใช้เซลล์แบบกระดุมแต่ราคาเซลล์แบบเมอร์คิวรี่
15
2.5 คันเร่งไฟฟ้ า
คันเร่งไฟฟ้ าถือเป็ นเทคโนโลยีที่เราได้ยินมาแล้วพักใหญ่โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ หากกล่าวถึง ระบบคันเร่งสาย ที่รถ
มอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่ใช้อยู่โดยปกติแล้ว เวลาที่เราบิดคัดเร่ง ตัวสายคัน
เร่งที่โยงอยู่กับประกับคันเร่งจะเชื่อมต่อกับลูกชักด้านใน หากเป็ นรถ
มอเตอร์ไซค์ที่จ่ายน้ำมันด้วยระบบคาร์บูเรเตอร์ หรือ ลิน
้ ปี กผีเสื้อ เห็นได้
ในรถมอเตอร์ไซค์ที่จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดยุคปั จจุบันกับระบบ
คาร์บูเรเตอร์บางรุ่น ดังนัน
้ จึงเท่ากับว่าสิ่งที่เราควบคุมเวลาต้องการจะเร่ง
รถคือ ปริมาณน้ำมัน หรือ ปริมาณอากาศอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไหลเข้าสู่
เครื่องยนต์โดยตรงด้วยระบบกลไกปกติ แต่การควบคุมอัตราการจ่าย
17
หมุนนีท
้ ำให้เกิดกำลังงานมีแกนวางอยู่ในตลับลูกปื น (Ball Bearing) ซึ่ง
ประกอบอยู่ในแผ่นเปิ ดหัวท้าย (End Plate) ของมอเตอร์
เล็กหรือใหญ่และจำนวนรอบจะมากหรือน้อยนัน
้ ขึน
้ อยู่กับการออกแบบ
ของตัวโรเตอร์ชนิดนัน
้ ๆ เพื่อที่จะให้เหมาะสมกับงานต่างๆ ที่ต้องการ
ควรศึกษาต่อไปในเรื่องการพันอาร์มาเจอร์ (Armature Winding) ใน
โอกาสต่อไป
2.6.1.3 หลักการของมอเตอร์กระแสไฟฟ้ าตรง (Motor
Action) เมื่อเป็ นแรงดันกระแสไฟฟ้ าตรงเข้าไปในมอเตอร์ ส่วนหนึ่งจะ
แปรงถ่านผ่านคอมมิวเตเตอร์เข้าไปในขดลวดอาร์มาเจอร์สร้างสนามแม่
เหล็กขึน
้ และกระแสไฟฟ้ าอีกส่วนหนึ่งจะไหลเข้าไปในขดลวดสนามแม่
เหล็ก (Field coil) สร้างขัว้ เหนือ-ใต้ขน
ึ ้ จะเกิดสนามแม่เหล็ก 2 สนาม
ในขณะเดียวกัน ตามคุณสมบัติของเส้นแรง แม่เหล็ก จะไม่ตัดกันทิศทาง
ตรงข้ามจะหักล้างกัน และทิศทางเดียวจะเสริมแรงกัน ทำให้เกิดแรงบิด
ในตัวอาร์มาเจอร์ ซึง่ วางแกนเพลาและแกนเพลานี ้ สวมอยู่กับตลับลุกปื น
ของมอเตอร์ ทำให้อาร์มาเจอร์นห
ี ้ มุนได้ ขณะที่ตัวอาร์มาเจอร์ทำหน้าที่
หมุนได้นเี ้ รียกว่า โรเตอร์ (Rotor) ซึง่ หมายความว่าตัวหมุน การที่อำนาจ
เส้นแรงแม่เหล็กทัง้ สองมีปฏิกิริยาต่อกัน ทำให้ขดลวดอาร์มาเจอร์หรือ
โรเตอร์หมุนไปนัน
้ เป็ นไปตามกฎซ้ายของเฟลมมิ่ง
2.6.1.4 ชนิดของมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสตรง
1) มอเตอร์แบบอนุกรม (Series Motor) คือ
มอเตอร์ที่ต่อขดลวดสนามแม่เหล็กอนุกรมกับอาร์เมเจอร์ของมอเตอร์
ชนิดนีว้ ่า ซีรีสฟิ ลด์ (Series Field) มีคุณลักษณะที่ดีคือให้แรงบิดสูงนิยม
ใช้เป็ นต้นกำลังของรถไฟฟ้ ารถยกของเครนไฟฟ้ า ความเร็วรอบของ
มอเตอร์อนุกรมเมื่อไม่มีโหลดความเร็วจะสูงมากแต่ถ้ามีโหลดมาต่อ
22
ใช้หลักการดูดและผลักกันของแม่เหล็กถาวรกับแม่เหล็กไฟฟ้ าจากขด
ลวดมาทำให้เกิดการหมุนของมอเตอร์
2.6.2.1 มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับแบ่งออกเป็ น3 ชนิด
ได้แก่
1) มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับชนิด 1เฟส หรือเรียกว่า
ซิงเกิลเฟสมอเตอร์
2) มอเตอร์ไฟฟ้ าสลับชนิด 2 เฟสหรือเรียกว่าทูเฟส
มอเตอร์
3) มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับชนิด 3 เฟสหรือเรียกว่าที
เฟสมอเตอร์
2.6.3 มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับชนิด 1 เฟส หรือเรียกว่า
ซิงเกิลเฟสมอเตอร์ (A.C. Sing Phase)
2.6.3.1 สปลิทเฟสมอเตอร์(Split phase motor)
มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสไฟฟ้ าสลับชนิดเฟสเดียวแบบสปลิท เฟสมอเตอร์มี
ขนาดแรงม้าขนาดตัง้ แต่ 1/4 แรงม้า , 1/3 แรงม้า, 1/2 แรงม้าจะมี
ขนาดไม่เกิน 1 แรงม้าบางทีนิยมเรียกสปลิทเฟสมอเตอร์นีว้ ่า อินดักชั่
นมอเตอร์( Induction motor) มอเตอร์ชนิดนีน
้ ิยมใช้งาน มากในตู้เย็น
เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก เครื่องซักผ้า
2.6.3.2 คาปาซิเตอร์มอเตอร์ (Capacitor Motor) คา
ปาซิเตอร์เตอร์เป็ นมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสสลับ 1 เฟสที่มีลักษณะคล้ายสป
ลิทเฟสมอเตอร์มาก ต่างกันตรงที่มีคาปาซิสเตอร์เพิ่มขึน
้ มาท าให้
มอเตอร์แบบนีม
้ ีคุณสมบัติพิเศษกว่าสปลิทเฟสมอเตอร์ คือมี แรงบิด
24
ขณะสตาร์ทสูงใช้กระแสขณะสตาร์ทน้อยมอเตอร์ชนิดนีม
้ ีขนาดตัง้ แต่
1/20 แรงม้าถึง10 แรงม้า มอเตอร์นีน
้ ิยมใช้งานเกี่ยวกับ ปั๊ มน้ำ เครื่อง
อัดลม ตู้แช่ตู้เย็น
2.6.3.3 รีพัลชั่นมอเตอร์(Repulsion Motor) เป็ น
มอเตอร์ที่ มีขดลวดโรเตอร์ (Rotor) จะต่อเข้ากับคอมมิวเตเตอร์และมี
แปรงถ่านเป็ นตัวต่อ ลัดวงจร จึงทำให้ปรับความเร็วและแรงบิดได้ โดย
การปรับตำแหน่งแปรงถ่าน สเตเตอร์( Stator ) จะมีขดลวดพันอยู่ใน
ร่องเพียงชุดเดียวเหมือนกับขดรันของสปลิทเฟสมอเตอร์ เรียกว่า ขด
ลวดเมน (Main winding) ต่อกับแหล่งจ่ายไฟโดยตรง แรงบิดเริ่มหมุน
สูง ความเร็วคงที่ มีขนาด 0.37-7.5 กิโลวัตต์ (10 แรงม้า) ใช้กับงาน ปั๊ ม
คอมเพลสเซอร์ ปั๊ มลม ปั๊ มน้ำขนาดใหญ่
2.6.3.4 ยูนิเวอร์แซลมอเตอร์ (Universal Motor) เป็ น
มอเตอร์ขนาดเล็กมีขนาดกำลังไฟฟ้ าตัง้ แต่ 1/200 แรงม้าถึง 1/30
แรงม้า นำไปใช้ได้กับแหล่งจ่ายไฟฟ้ ากระแสตรงและใช้ได้กับแหล่งจ่าย
ไฟฟ้ ากระแสสลับชนิด 1 เฟส มอเตอร์ชนิดนีม
้ ีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือให้
แรงบิดเริ่มหมุนสูงนำไปปรับความเร็วได้ทัง้ ปรับความเร็วได้ง่ายทัง้ วงจร
ลดแรงดัน
2.6.3.5 เช็ดเด็ดโพลมอเตอร์ (Shaded Pole Motor)
เป็ นมอเตอร์ขนาดเล็กที่สุดมีแรงบิดเริ่มหมุนต่ำมากนำไปใช้งานได้กับ
เครื่องใช้ไฟฟ้ าขนาดเล็ก ๆ เช่น ไดร์เป่ าผม พัดลมขนาดเล็ก
2.6.4 มอเตอร์ไฟฟ้ าสลับชนิด 2 เฟสหรือเรียกว่าทูเฟส
มอเตอร์ (A.C.Two phase Motor)
25
2.8 สวิตช์
การทำงานของสวิตช์ ส่วนประกอบพื้นฐานของสวิตช์จะมีส่วนที่
เรียกว่าหน้าสัมผัสอยู่ภายในซึ่งคล้ายกับสะพานเชื่อมให้กระแสไฟฟ้ าไหล
ในวงจรไฟฟ้ าได้สวิตช์ทำหน้าที่ เปิ ด-ปิ ด วงจรไฟฟ้ า ทำให้วงจรไฟฟ้ าเกิด
35
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่เรามองไม่เห็น เกิดขึน
้ จากการวาดวงกลมโดย
ผ่านจุดศูนย์กลางของดุมล้อ? (ดังสีแดง) หากรถคุณมีจำนวนดุมล้อถูกแต่
เว้นระยะห่างผิดจะทำให้ล้อไม่พอดี
2.9.3 ขนาดจุกล้อ ขนาดจุกล้อมี 2 แบบ ได้แก่ hub-centric
และ lug-centric การออกแบบแบบ hub-centric เป็ นล้อที่ใส่จุกล้อก่อน
ที่จะขันปลอกหรือหัวให้แน่น ในการออกแบบนีจ
้ ุกจะยื่นออกมาจากเพลา
ซึง่ สามารถใช้เป็ นการตัง้ ศูนย์ล้อได้ สำหรับล้ออัลลอยด์ตามร้านต่างๆ? รู
ของจุกล้อมักใหญ่กว่าของเดิมที่ติดมากับล้อจึงทำให้คุณจำเป็ นต้องนำรถ
ไปตัง้ ศูนย์ หรือใส่ hub-centric ring ซึง่ ทำด้วยพลาสติกโลหะทรงกลมที่
สามารถเข้าเส้นผ่านศูนย์กลางภายนอกของจุกล้อได้ เพื่อให้มั่นใจว่าติด
อยู่กับศูนย์กลางล้อแน่นอน การออกแบบแบบ lug-centric เป็ นการวาง
ศูนย์กลางให้ล้อขณะที่อยู่ระหว่างการขันดุมล้อให้แน่นเพราะจุกจะไม่ย่ น
ื
ออกมา
2.9.4 ประเภทของ ล้อ
2.9.4.1 Magnesium Alloy – วัสดุที่ใช้คือ
Magnesium ผสม Alloy ซึ่งคำว่าล้อแม็ก ที่คนไทยเราเรียกกันติดปาก
มาจนถังปั จจุบันก็ย่อมาจากคำว่า Magnesium นี่แหละสำหรับ
Magnesium Alloy นัน
้ มีการผลิตและมีการใช้งานมาอย่างยาวนาน โดย
ในอดีตนัน
้ Magnesium Alloy เป็ นล้อที่ผลิตมาใช้เพื่อการแข่งขันและใช้
กับรถ Super Car ในช่วงประมานปี 60’s
38
2.9.6.2 แบบกระทะล้อซีล
่ วด กะทะล้อแบบนีน
้ ิยมใช้กับ
รถแข่ง รถสปอร์ต หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็ นกะทะล้อที่มีน้ำหนักเบา
แต่มค
ี วามแข็งแรงสูงมาก สามารถถอดเปลี่ยนล้อได้อย่างรวดเร็ว มีเกลียว
ล็อกล้ออยู่ตรงกลางอันเดียว รูปแบบของล้อแบบซี่ กะทะล้อแบบซี่
ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนของขอบล้อ ซึ่งมีลก
ั ษณะคล้ายกับขอบกะ
ทะล้อของกะทะล้อแบบเหล็กกล้าอัดขึน
้ รูป ส่วนที่สอง คือ ซี่ลวด ซึ่งใช้
แทนจานกะทะล้อในล้อแบบเหล็กกล้า ซี่ลวดทำด้วยเหล็กกล้าที่มีความ
แข็งแรงสูงใช้วิธีการยึดแบบไขว้ไปมา โดยทั่วไปซี่ลวดจะรับแรงดึงได้
มากกว่าแรงกด ความแข็งแรงของกะทะล้อแบบซี่ลวด ขึน
้ อยู่กับขอบกะ
ทะล้อ และการร้อยซี่ลวดระหว่างปลอกสวมดุมล้อ และขอบกะทะล้อ
2.9.6.3 กะทะล้อโลหะผสม หรือล้อแม็ก กะทะล้อแบบนี ้
ผลิตโดยการหล่อ โดยใช้โลหะเบาผสมกัน คืออะลูมิเนียม กับแม็กนีเซียม
ซึง่ ทำให้กะทะล้อแบบนี ้ มีน้ำหนักเบา และแข็งแรงกว่ากะทะล้อแบบ
เหล็กกล้า ปั จจุบันมีความนิยมใช้ล้อแม็กกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมากขึน
้