Professional Documents
Culture Documents
ระบอบอาณานิคมของฝรั่งเศสและรวมไปถึงกองทัพญี่ปุ่นที่เข้ามารุกรานเวียดนาม นำมาซึ่งการล่มสลาย
และความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของประเทศเวียดนาม จนผลักดันให้ชาว
เวียดนามลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องเอกราช พลังชาตินิยมจึงก่อตัวขึ้นอย่างเข้มแข็ง ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มปัญญาชนที่
เล็งเห็นว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์อาจเป็นคำตอบให้กับการต่อสู้เพื่อเอกราช นำโดยนายโฮจิมินห์ ซึ่งพลังชาตินิยมและ
การต่อสู้อย่างหนักตามแนวทางคอมมิวนิส ต์ของชาวเวียดนามได้นำไปสู่การได้รับเอกราชและเสรีภ าพ ชาว
เวียดนามสามารถขับไล่ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสออกไปได้สำเร็จ โฮจิมินห์จึงได้ประกาศเอกราชเวียดนาม ซึ่งถือได้ว่านำ
ความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มาสู่ประวัติศาสตร์เวียดนาม อันได้แก่ การสิ้นสุดของระบอบอาณานิคม และจุดจบ
ของการปกครองภายใต้ระบอบกษัตริย์ อย่างไรก็ดี การถูกกดขี่ที่ฝังรากลึกมานานจากระบอบอาณานิคมส่งผลให้
ชาวเวียดนามปรารถนาในความเท่าเทียมที่แท้จริง นำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ และการเกิดขึ้นของ
การปกครองแบบสังคมนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเหนือ อีกทั้งจากการต่อสู้อันยาวนาน นับตั้งแต่ยุค
อาณานิคม เวียดนามจำเป็นต้องฝึกฝนกองกำลังของตัวเองอยู่เสมอ ส่งผลให้เวียดนามในปัจจุบันมีกองทัพที่
เข้มแข็งที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากการถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสในยุคอาณา
นิคม ซึง่ ถูกตอกย้ำผ่านปัจจัยอันได้แก่ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งคือชาตินิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ซึ่งคือเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและความเหลื่อมล้ำ รวมไปถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งคือการศึกษาและ
วัฒนธรรม ครั้งเมื่อยังอยู่ภายใต้ระบอบอาณานิคม
ลักษณะการปกครองของเวียดนามเหนือในยุคหลังอาณานิคมอันเป็นผลจากระบอบอาณานิคม
นับตั้งแต่ที่เวียดนามตกเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส ประชาชนชาวเวียดนาม ณ เวลานั้นถูกกดขี่ขูด
รีดจากการดำเนินนโยบายของประเทศเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส และเกิดเป็นความไม่พอใจและการต่อต้านที่มีร่วมกัน
ของคนในชาติ ซึ่งรูปแบบของอุดมการณ์ช าตินิยมนี้เองก็ได้ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นประกอบกับการมาของ
ขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโฮจิมินห์ ที่ได้ใช้ประเด็นเรื่องชาตินิยมกับแนวทางความเสมอภาคทาง
สังคมที่ต้องการปลดแอก อนึ่ง อุดมการณ์สังคมนิยมนี้เองก็มีส่วนสำคัญมาจากตัวผู้นำอย่างโฮจิมินห์ ที่ได้ปลูกฝัง
และขยายแนวคิดดังกล่าวนี้แก่ชาวเวียดนาม ซึ่งโฮจิมินห์ก็ได้มีโอกาสได้ศึกษาและซึมซับกับแนวคิดดังกล่าวเมื่อครั้ง
ที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส1
เมื่อได้รับชัยชนะ โฮจิมินห์จึงได้สถาปนาเวียดนามเหนือสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามที่มีรูปแบบการ
ปกครองแบบสังคมนิยมภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
เวียดนามหลังจากเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมนิยมมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองตาม แนวคิดของ
มาร์กซิสต์2 โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศสังคมนิยมด้วยกัน และผลกระทบที่สำคัญจากรูปแบบการปกครอง
ดังกล่าวทำให้เวียดนามเหนือมีทิศทางในการพัฒนาประเทศที่แตกต่างจากเวียดนามใต้แบบตลาดเสรีที่ควบคุมโดย
ชาติตะวันตก เป็นผลให้เกิดอุปสรรคต่อการรวมชาติของเวียดนามเหนือและใต้ในเวลาต่อมา
โดยหลังการได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1946 พรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มใช้นโยบายการลดภาษีที่ดินแบ่งปันที่
เน้นส่วนรวมให้เป็นธรรม ชาวนาที่ยากจนได้รับที่ดินชั่วคราวในการทำมาหากิน 3 แต่หลังจากที่นายโฮจิมินห์
กลับมาจากการไปเยือนนครปักกิ่ง ได้มีการประกาศใช้ระบบภาษีแบบเหมา เจ๋อตุง ซึ่งส่งผลต่อระบบการเก็บภาษี
ของเวียดนามเหนืออย่างสมบูรณ์ 4 โดยการเปลี่ยนแปลงกลไกการเก็บภาษีทางการเกษตรและภาษีทางการค้าถือ
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ และมีผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวม
ภาษีทางการเกษตรและภาษีการค้าถูกเรียกเก็บจากการกะประมาณ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมากกว่าความเป็น
จริง อีกทั้งยังเก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก จนทำให้ประชาชนไม่สามารถแบกรับภาระดังกล่าวได้ 5 โดยในภาษี
การเกษตร มีการเก็บภาษีเพิ่มเติม ในนามของ “งบประมาณของหมู่บ้าน” ซึ่งตกอยู่ในอำนาจการดูแลของพรรค
คอมมิวนิสต์ เปรียบเสมือนการขูดรีดประชาชนอย่างแท้จริง 6 และด้วยความที่ภาษีการเกษตรนั้นจำเป็นจะต้อง
จ่ายเป็นข้าวสาร ส่งผลให้คอมมิวนิสต์กลายเป็นเจ้าของที่แท้จริงในพื้นที่การเกษตร7
ในขณะที่การค้า และภาษีการค้า มีการดำเนินนโยบายปิดล้อมต่อเขตที่อยู่ในการยึดครองของฝรั่งเศส
ส่งผลให้กองทัพฝรั่งเศสและผู้ที่อยู่ในความคุ้มครองของกองทัพขาดแคลนสิ่งของที่จำเป็น 8 เกิดการพัฒนา ทักษะ
ของคนในชุมชนในการผลิตสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ9 แต่เมื่อจีนที่มาถึงเวียดนามเหนือชี้แจงกับทางผู้นำถึงอันตรายต่างๆ
อันจะเกิดจากระบบทุนนิยมของเศรษฐกิจ จึงมีการเปลี่ยนแปลงแผนเศรษฐกิจไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่าง
รวดเร็ว โดยมีการกำหนดภาษีทางการค้าเพื่อทำลายวิสาหกิจส่วนบุคคลทุกชนิด และก่อตั้งสำนักงานการค้า
(Trade Office) เพื่อการผูกขาดการค้าทุกชนิดโดยสิ้นเชิง10 จนนำไปสู่การปฏิรูปรูปที่ดินที่ดำเนินการอย่างจริงจัง
และรุนแรง ระหว่างปีค.ศ. 1953 – ค.ศ. 195711
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ยังมีการใช้ความรุนแรงขึ้น โดยมีการโจมตีหรือ
สังหารประชาชน โดยใช้ปัญหาของการจ่ายภาษีเป็นเครื่องปิดบังแผนการที่ได้รับการไตร่ตรองไว้แล้ว 12 แสดงให้
เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากประชาธิปไตยจอมปลอมเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ โดยหนึ่งในเจตนา คือเพื่อ
ต้องการทำลายชนชั้นกลางในเมืองให้หมดสิ้น ผลของการสังหารโหดนี้เพื่อแพร่ขยายความเกรงกลัวต่อพรรค
คอมมิวนิสต์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มประชาชนในทุกชนชั้น
นอกจากการนำไปสู่การปกครองแบบสังคมนิยมแล้ว ระบอบอาณานิคมยังส่งผลให้กองทัพของเวียดนามมี
ความเข้มแข็งสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ การรุกรานของฝรั่งเศสทำให้ชาวเวียดนามต้องลุกฮือต่อต้าน
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เองจึงพัฒนากลายมาเป็นการสู้รบแบบกองโจร นอกจากนี้โฮจิมินห์ยังได้จัดตั้งกองกำลังติด
อาวุธ และกองพลน้อยโฆษณาชวนเชื่อติดอาวุธ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับชาวเวียดนาม
ในการต่อต้านฝรั่งเศส เป็นปฏิบัติการเชิงจิตวิทยา ซึ่งก็ปฏิบัติการดังกล่าวทำให้ชาวเวียดนามจำนวนมากเข้าสมัคร
เป็นทหารอาสาเข้าต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศส นอกจากนี้เวียดนามก็ยังได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธจากประเทศ
เพื่อนบ้านรอบๆ เช่น ไทยและฟิลิปปินส์ เวียดนามจึงสามารถทำสงครามที่ยืดเยื้อ ในทางกลับกันกัน ฝรั่งเศสก็
ประสบความศูนย์เสียจากการรบที่ยืดเยื้อ จึงเริ่มมีความคิดที่ไม่อยากครอบครองเวียดนามและถอนกำลังออกใน
ที่สุด13 และนำมาสู่เอกราชของเวียดนาม ซึ่งสมรภูมิการรบดังกล่าวก็สะท้อนถึงแสนยานุภาพและความกล้าหาญ
ของเวียดนามทั้งที่มีการพัฒนาด้านการทหารที่ด้อยกว่า และผลพวงนี้เองก็ทำให้เวียดนามเห็นถึงความสำคัญของ
การพัฒนาด้านกองทัพต่อความมั่นคงของประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้เข้าควบคุมอำนาจและจัดระบบ
กองทัพให้มีเสถียรภาพ และในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เวียดนามได้เพิ่มงบประมาณในการพัฒนาศั กยภาพของ
กองทัพเพื่อรับมือต่อภัยคุกคามความมั่นคง ทำให้ในปัจจุบัน 14 กองทัพเวียดนามนับว่ามีแสนยานุภาพและเข้มแข็ง
มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจัยที่กำหนดลักษณะการปกครองของเวียดนามเหนือภายหลังยุคอาณานิคม
ปัจจัยทางการเมือง
นับตั้งแต่ฝรั่งเศสได้เข้ามาแผ่อิทธิพลและยึดครองเวียดนาม โครงสร้างของเวียดนามได้เปลี่ยนแปลงไปตาม
ทิศทางที่ฝรั่งเศสได้วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านวัฒนธรรม การ
เปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จึงนำไปสู่การลุกฮือของชาวเวียดนามที่ต้องการเรียกร้องเอกราช และเป็นการ จุดกระแส
แนวคิดชาตินิยมให้รุนแรงขึ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชาวเวียดนามได้รับการปลูกฝังเรื่องแนวคิดชาตินิยมมาอย่าง
ยาวนานจนกลายเป็นเหมือนลักษณะประจำชาติ เพราะเวียดนามถูกรุนรานจากประเทศมหาอำนาจตั้งแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน15 ซึ่งฉนวนเหตุสำคัญที่ทำให้พลังชาตินิยมก่อตัวขึ้ นอย่างเข้มแข็งในหมู่ชาวเวียดนามอีกครั้ง คือ
ประชาชนถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมและช่องว่างระหว่างชนชั้นที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ความคับ
แค้นใจผนวกกับความรู้สึกไม่เสมอภาคทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในหมู่พลเมืองชาวเวียดนาม จึงทำให้ชาวเวียดนาม
ต้องการแสวงหาหนทางต่อสู้เพื่อขับไล่ชาวต่างชาติ 16 แนวคิดชาตินิยมจึงพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น
พรรคคอมมิวนิสต์ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวเวียดนามจำนวนมาก
นอกจากนั้น คุณสมบัติและศักยภาพของผู้นำคอมมิวนิสต์หรือโฮจิมินท์ยังทำให้เวียดนามเหนือเปลี่ยน
ระบอบการปกครองเป็นสังคมนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากเขามีอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่
จะพาเวียดนามไปสู่อิสรภาพและรอดพ้นจากการถูกกดขี่ 17 ซึ่งโฮจิมินท์เชื่อว่าลัทธิสัง คมนิยมและคอมมิวนิส ต์
เท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยชาวเวียดนามให้เป็นอิสระได้ 18 ในที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้
เวียดนามได้รับเอกราชและเสรีภาพอย่างสมบูรณ์จากการปลุกจิตสำนึกให้คนเวียดนามต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากเจ้า
อาณานิคมที่ส่งผ่านบทกวี ประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมต่างๆ ตั้งแต่ยุคจารีตประวัติศาสตร์19
ในขณะที่ฝรั่งเศสได้เข้ามารุกรานเวียดนามนั้น การเปลี่ยนแปลงทางด้านการปกครองรวมถึงระบอบ
เศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศเวียดนามยากจนลงและด้วยแนวคิดชาตินิยมที่ฝังรากลึกมานับตั้งแต่บรรพบุรุษก็มีผลทำ
ให้ชาวเวียดนามต้องเป็นกบฏร่วมใจกันต่อต้านฝรั่งเศสหลายต่อหลายครั้ง ถึงแม้การต่อต้านฝรั่งเศสในช่วงก่อน
ค.ศ. 1920 จะไม่สำเร็จด้วยปัจจัยหลายด้าน เช่น การขาดผู้นำขบวนการ การขาดกลยุทธ์ที่เหมาะสม เป็นต้น20 แต่
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวเวียดนามได้เห็นตัวอย่างที่จะสร้างความหวังให้ กับประชาชนได้นั่นก็คือ การที่
ญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย และความสำเร็จจากการปฏิว ัติในจีนและรัส เซีย รวมถึงการที่รัสเซียให้ความสนับ สนุน
ขบวนการชาตินิย มในเวียดนามด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ปัญญาชนเวียดนามในช่ว งเวลานั้นมีความเห็นตรงกันว่า
อุดมการณ์คอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ที่ทันสมัย ส่วนอุดมการณ์ขงจื๊อก็เริ่มที่ล้าหลังขึ้น21
นอกจากการมีจิตสำนึกในชาติที่ทำให้ประชาชนชาวเวียดนามหันมาสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์มากขึ้น
แล้ว พรรคคอมมิวนิสต์เองก็ยังได้แสวงหาแนวร่วมโดยสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นทั้งขบวนการชาตินิยมและเป็น
ขบวนการที่มุ่งจะแก้ปัญหาของชาวนาและกรรมกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ22 พรรคมีนโยบายที่จะปฏิวัติให้
ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ชาวนาที่ยากจนก็มีที่ดินทำกิน ส่วนกรรมกรก็จะไม่ได้รับการกดขี่ขูดรีดอีกต่อไป มวลชน
ชาวนาและกรรมกรจึงเป็นแรงพลังอันสำคัญของประเทศในการต่อสู้เพื่อเอกราช ประกอบกับความอ่อนแอลงของ
ฝรั่งเศสในการที่จะปราบปราม เพราะในช่วงเวลานั้นฝรั่งเศสได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองอีกประการหนึ่งด้วย
แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามจะปรับกลยุทธ์ต่างๆให้มีความเหมาะสมมากขึ้น มีการผสมผสานการ
ต่อสู้ทางการเมืองและการต่อสู้ทางอาวุธได้ดีกว่าเดิม แต่พรรคก็ยังต้องต้องต่อสู้เพื่อเป้าหมายการรวมประเทศเข้า
ด้วยกันกับเวียดนามใต้ที่ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์เองไม่มีอำนาจมากเท่าในเวียดนามเหนือ เนื่องด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่
แตกต่างระหว่างสองภูมิภาค ภาคเหนือมีความแห้งแล้งมาก ส่วนภาคใต้มีความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนจึงไม่ต้องต่อสู้ดิ้น
รนหนีจากความยากลำบากมากเท่าเวียดนามเหนือ23
ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ย่อมไม่ควรมองข้ามปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดลักษณะการปกครอง
ของเวียดนามเหนือในยุคหลังอาณานิคม โดยภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป เจ้าอาณานิคมต้องการ
วัตถุดิบมหาศาลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมของยุโรป24 ระบบเศรษฐกิจของเวียดนามซึ่งเดิมเคยเป็น ระบบ
เศรษฐกิจแบบผลิตเพื่อยังชีพถูกผูกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพื่อสอดรับกับความ
ต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป 25 ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับชาวนา ซึ่งเป็น
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะชาวนาส่วนมากไม่ได้ถือครองที่ดิน แต่ เป็นเพียงผู้เช่าที่ดินและแรงงาน
รับจ้าง ในขณะที่ผู้ที่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงคือ ชาวฝรั่งเศสและชาวเวียดนามจำนวนน้อย ซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าของ
ที่ดิน พ่อค้าและนักเดินเรือชาวจีนซึ่งเป็นคนกลางและควบคุมโรงสีข้าวที่สำคัญในเวียดนาม อีกทั้งยังมีผลประโยชน์
ร่วมกับชาวฝรั่งเศส26 ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้เจ้าที่ดินยิ่งร่ำรวย แต่ชาวเวียดนามส่วนมากกลับยิ่ง ประสบ
ความยากจน ในขณะเดียวกันระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมยังนำความเปราะบางมาสู่กลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวเวียดนาม
ซึ่งส่องสะท้อนอย่างชัดเจนผ่านภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1930 ตลาดสินค้าออกต้องเผชิญกับราคา
วัตถุดิบที่ตกต่ำภายใต้ตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา รวมไปถึงถ่านหิน ซึ่งมีส่วนสำคั ญอย่างยิ่งต่อระบบ
เศรษฐกิจของเวียดนาม27 กลุ่มผู้ใช้แรงงานจึงต้องประสบปัญหาการตกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สภาวะเศรษฐกิจ
ตกต่ำดังกล่าวจึงก่อให้เกิดการจลาจลและการประท้วงตามมา ซึ่งเปรียบเสมือนชนวนที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองในเวลาต่อมา28
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมซึ่งส่งผลให้ระบบสังคมและเศรษฐกิจของเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปจากวิถีชีวิตเดิม
เป็นอย่างมาก ยังก่อให้เกิดอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนดให้เวียดนามเหนือมีลักษณะการปกครองแบบสังคมนิยม
คือ ปัจจัยความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซี่งเป็นผลจากการที่ฝรั่งเศสยึดเอาประโยชน์แก่ตนเป็น หลัก ไม่ได้สนใจชีวิต
ความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองแม้แต่น้อย เร่งการผลิตและส่งออกข้าวจำนวนมหาศาล จนกระทบต่อการบริโภค
ภายในประเทศ ข้าวและอาหารมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการบริโภค ผู้คนจำนวนมากล้มป่วยและเสียชีวิตเนื่องจาก
สภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะในเวียดนามเหนือ เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าเวียดนามใต้ ทำให้ผล
ผลิตการเกษตรที่ได้มีจำนวนน้อยกว่า มิหนำซ้ำยังต้องส่งผลผลิตที่ได้มาให้แก่เหล่านายทุน ยิ่งทำให้ขาดแคลน
สำหรับบริโภคในครัวเรือน โดยเฉพาะช่วงสงครามที่การเพาะปลูกเป็นไปได้ยาก อีกทั้งฝรั่งเศสยังกักตุนเสบียงไว้ให้
พรรคพวกตน โดยไม่สนคนพื้นเมืองอีกด้วย29 ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นในสังคมที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ชาวเวียดนามไม่
มีสิทธิ์ที่จะมีปากมีเสียงต่อรองกับฝรั่งเศสได้ แม้ว่าตนจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถมีข้าวปลาอาหารเพื่อประทัง
ชีวิตได้ก็ตาม ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าไม่เพียงแต่จะเกิดความยากจนเท่านั้น ทว่ายังเกิดปัญหาความอดยากขึ้นอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้หลังจากเวียดนามเหนือเปลี่ยนผ่านมาอยู่ใต้ผู้นำโฮจิมินห์ นายโฮจิมินห์ ได้เห็นถึงสภาวะย้ำแย่
จากสงครามและการอยู่ใต้การปกครองของฝรั่งเศสที่ผ่านมา เวียดนามเหนือจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูทั้งโครงสร้าง
พื้นฐานของสังคมและระบบเศรษฐกิจเสียใหม่ โดยเฉพาะการแก้ไขความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ในการวางรากฐานของ
เวียดนามเหนือ นายโฮจิมินห์ได้สนับสนุนระบบสังคมนิยม โดยนำเสนอว่าจะนำพวกเขาไปสู่ความเท่าเที ยม
แน่นอนว่าระบอบการปกครองแบบใหม่นี้ย่อมได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากชาวเวียดนามเหนือเองก็
ต้องการหลุดพ้นจากความยากแค้น การถูกเอารัดเอาเปรียบจากต่างชาติในสมัยการปกครองโดยอาณานิคมและ
สร้างความเท่าเทียมในสังคมที่ตนโหยหาได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแนวคิดสังคมนิยมจึงได้รับการยอมรับอย่าง
แพร่หลาย และเป็นแนวคิดที่ฝังลึกอย่างเข้มแข็งในสังคมเวียดนามเหนือ
ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
นอกจากปัจจัยทางการเมืองและทางเศรษฐกิจแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อลักษณะการปกครองแบบ
สังคมนิยมของเวียดนามเหนือคือ ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม กล่าวคือ การที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับความนิยม
อย่างล้นหลามมีสาเหตุมาจากวิธีการชักจูงผู้คนอย่างชาญฉลาด นโยบายของพรรคที่ซื้อใจประชาชนเป็นจำนวน
มาก โดยเฉพาะนโยบายทางด้านการศึกษา ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาของ
ประชาชนชาวเวียดนามเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องการพัฒนาบุคลากรให้กลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพต่อไปใน
อนาคตและสร้างความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจแบบสังคมนิยมให้กับชาวเวียดนามรู้และเข้าใจ 30
ประกอบกับการที่หนึ่งในปัญหาหลักของเวียดนามในยุคอาณานิคมคือ การไม่รู้หนังสือของประชาชน โดยมีสาเหตุ
มาจากการการปิดกั้นความรู้ของอาณานิคมต่อชาวเวียดนาม รัฐบาลอาณานิคมได้ทำการจำกัดการศึกษา ส่งผลให้มี
โรงเรียนจำนวนมากถูกปิดตัวลง และถึงแม้ในภายหลังจะมีการตั้งโรงเรียนขึ้น แต่การสมัครเข้าเรียนยังคงอยู่ใน
อัตราที่ต่ำและเป็นการศึกษาคุณภาพต่ำ 31 เยาวชนเวียดนามจำนวนมากที่ เติบโตภายใต้การปกครองของระบอบ
อาณานิคมอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ นำไปสู่การถูกชักจูงด้วยนโยบายต่างๆของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะการ
ส่งเสริมการศึกษาเนื่องจากชาวเวียดนามจำนวนมากมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว 32 และมีการเรียกร้อง
การพัฒนาการศึกษาอยู่บ่อยครั้ งในช่วงอาณานิคม33 และนอกจากนโยบายด้านการศึกษาแล้ว นโยบายทางด้าน
วัฒ นธรรมอื่น ๆ อย่างวรรณคดีและศิล ปะก็เป็นสิ่งดึงดูดใจประชาชนชาวเวียดนามให้หันมาสนับสนุนพรรค
คอมมิวนิสต์ เช่น การฟื้นฟูเพลงพื้นบ้าน หรือที่เรียกกันว่า กา เยิ่ม (Ca Ngam) การแสดงพื้นบ้าน หรือการ
สนับสนุนกวีนิพนธ์ วรรณกรรมเวียดนามต่างๆทั้งของรุ่นเก่าและรุ่นใหม่34 ซึ่งในยุคอาณานิคมนั้น ฝรั่งเศสจำกัดการ
แสดงออกทางศิลปะเป็นอย่างมาก 35 โดยเฉพาะวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ของเวียดนามและแทนที่ด้วย
ความเป็นฝรั่งเศสแทน อย่างการสอนว่าบรรพบุรุษของเวียดนามคือชาวกอล (Gauls)36 หรือการเปลี่ยนจากการใช้
อักษรภาพแบบจีนโบราณมาเป็นตัวอักษรก๊วกงื้อ (Quoc Ngu)37 ประกอบกับช่วงสงครามที่การสร้างสรรค์ศิลปะ
ชะงักไป38 ทำให้ประชาชนต้องการความเป็นเวียดนามของตัวเองกลับคืนมา นำไปสู่การให้ความสนับสนุนแก่พรรค
คอมมิวนิสต์ที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงออกทางศิลปะ รวมไปถึงเอกลักษณ์ความเป็นเวียดนามผ่าน
ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆที่ห่างหายไปในช่วงอาณานิคม
สรุป
การเข้ามาของระบอบอาณานิคมนำมาซึ่งการเกิดขึ้นของขบวนการชาตินิยม อันเป็นผลจากการถูกกดขี่
และการเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าอาณานิคม รวมไปถึงการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จนเป็นที่นิยมในหมู่ชาว
เวียดนาม โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชน กลุ่มชาวนา และกลุ่มกรรมกร ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบ
เศรษฐกิจให้กลายเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งผูกขาดประโยชน์เพียงแค่เจ้าอาณานิคมและชนชั้นสูงชาวเวียดนาม
เพียงหยิบมือ จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำภายในสังคมที่ยิ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันระบอบอาณานิคมยัง
ทำให้ชาวเวียดนามส่วนมากไม่ได้รับการศึกษาและถูกจำกัดการแสดงออกทางศิลปะและวัฒนธรรมแบบเวียดนาม
ทำให้พรรคคอมมิวนิส ต์ได้รับความนิยมสูงขึ้นเมื่อทางพรรคออกนโยบายส่งเสริมการศึกษาและฟื้นฟูวัฒนธรรม
เวียดนามดั้งเดิม ซึ่งในท้ายที่สุดปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดลักษณะการปกครองของเวียดนาม
เหนือภายหลังได้รับเอกราช โดยเวียดนามเหนือได้กลายเป็นระบอบสังคมนิยมโดยพรรคคอมมิวนิ สต์จากความ
พยายามต้องการให้สังคมเกิดความเท่าเทียม อีกทั้งยังส่งผลให้กองทัพทางการทหารของเวียดนามแข็งแกร่งมา
จนถึงปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากระบอบอาณานิคมที่ถึงแม้ว่าสงครามเพื่อกอบกู้เอกราชจะจบลง แต่ถึงกระนั้น
ความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากภัยคุกคามได้ฝังรากลึกสู่เวียดนามเสมอมา
11 Trung Dang. (2018). Vietnam’s Post-1975 AGRARIAN REFORMS. [online]. Retrieved from
24 มิลตัน, ออสบอร์น. (2544). เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สังเขปประวัติศาสตร์. แปลโดย มัทนา เกษกมล, พรรณงาม เง่าธรรมสาร และ
216-217.
28 มิลตัน, ออสบอร์น. (2544). เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สังเขปประวัติศาสตร์. แปลโดย มัทนา เกษกมล, พรรณงาม เง่าธรรมสาร และ
172-173.
32 สุนันทา สิงห์เทพ. (2547). พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกับการสร้างเวียดนามเหนือให้เป็นรัฐสังคมนิยม ค.ศ. 1954-1975. (สาร
173.
34 สุนันทา สิงห์เทพ. (2547). พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกับการสร้างเวียดนามเหนือให้เป็นรัฐสังคมนิยม ค.ศ. 1954-1975. (สาร
36 เหวียน คักเวียน. (2552). เวียดนาม ประวัติศาสตร์ฉบับพิศดาร แปลจาก Vietnam : A Long History. แปลโดย เพ็ชรี สุมิตร. หน้า
172.
37 เรื่องเดียวกัน, หน้า 173-74.