You are on page 1of 41

บทที่ 5

ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน

(Heckscher-Ohlin Theorem)
ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน ถือกำเนิ ดมำจำกนักเศรษฐศำสตร ์ชำวสวีเดน 2
คน คือ เอลิ เฮคเชอร ์ และเบอร ์ทิล โอห ์ลิน
ได ้ทำกำรพัฒนำแบบจำลองกำรค ้ำระหว่ำงประเทศขึน้
่ อมำมีผูน้ ำหลักทฤษฎีนีไปใช
ซึงต่ ้ ่ ยกกันว่ำ
้กันอย่ำงแพร่หลำยดังทีเรี
ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน (Heckscher-Ohlin Theorem)
หรือเรียกเป็ นภำษำไทยได ้ว่ำ ทฤษฎีสดั ส่วนปัจจัยกำรผลิต
โดยทฤษฎีนีจะให้ ค้ วำมสำคัญแก่สด
ั ส่วนโดยเปรียบเทียบของปัจจัยกำรผลิต
(Relative Factor Proportions)
่ อยู่โดยเปรียบเทียบ
หรือปริมำณปัจจัยกำรผลิตทีมี (Relative Factor
Endowments)

โดยมีแนวคิดพืนฐำนว่ ่ ควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัย
ำประเทศจะส่งออกสินค ้ำทีมี
กำรผลิตอย่ำงเหลือเฟื อ
่ ควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีขำดแคลน
และจะนำเข ้ำสินค ้ำทีมี ่ เช่น
สมมติให ้ประเทศมีปัจจัยกำรผลิตสองชนิ ด ได ้แก่ แรงงำน (labor: L) และทุน
(capital: K) ประเทศทีมี่ แรงงำนมำกและมีทนุ น้อย
ประเทศนั้นจะมีคำ่ แรงงำนต่ำ แต่ต ้นทุนเงินทุนจะสูง
ประเทศนั้นก็จะส่งออกสินค ้ำทีใช
่ ้สัดส่วนในกำรผลิตของแรงงำนมำกกว่ำทุน
่ ้สัดส่วนในกำรผลิตของทุนมำกกว่ำแรงงำน
และจะนำเข ้ำสินค ้ำทีใช

5.1 ข้อสมมติเบืองต้
นของทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน

1. แบบจำลองเฮคเชอร ์-โอห ์ลินเป็ นแบบ 2*2*2 หมำยถึง


ประเทศทำกำรค ้ำกันมีสองประเทศ ผลิตสินค ้ำสองชนิ ด
และใช ้ปัจจัยกำรผลิตสองชนิ ด

2. ทังสองประเทศผลิ ่ อขนำดคงที่
ตสินค ้ำภำยใต ้เงือนไขผลตอบแทนต่
3. รสนิ ยม ควำมพึงพอใจในสินค ้ำของผูบ้ ริโภค
และเทคโนโลยีในกำรผลิตของทัง้ 2 ประเทศเหมือนกัน (identical
technology and preferences)
ทำให ้เสน้ ควำมพอใจมีลก
ั ษณะเหมือนกัน

และทังสองประเทศจะมี ่
ฟังก ์ชันกำรผลิ
ตสินค ้ำเหมือนกัน
ตลอดจนมีเส ้นผลผลิตเท่ำกันของสินค ้ำแต่ละประเภทของสองประเทศเป็
นเส ้นเดียวกัน
4. สินค ้ำทัง้ 2 ชนิ ดมีควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตแตกต่ำงกัน
(different factor intensities between 2 goods) นั่นคือ
สินค ้ำประเภทเน้นกำรใช ้ปัจจัยทุน
ก็ยงั คงเป็ นสินค ้ำประเภทเน้นใช ้ปัจจัยทุน
หรือสินค ้ำประเภทเน้นกำรใช ้ปัจจัยแรงงำน
ก็ยงั คงเป็ นสินค ้ำประเภทเน้นใช ้ปัจจัยแรงงำนอยู่

ไม่ว่ำรำคำปัจจัยกำรผลิตจะเปลียนแปลงไปอย่ ำงไรก็ตำม
5. ตลำดสินค ้ำและตลำดปัจจัยกำรผลิตเป็ นตลำดแข่งขันสมบูรณ์
(perfectly competitive factor market)
6. ไม่มต
ี ้นทุนค่ำขนส่งสินค ้ำระหว่ำงประเทศ
่ อยู่ในประเทศของทัง้
7. ปัจจัยกำรผลิตทีมี 2 ประเทศแตกต่ำงกัน
่ อยู่น้ันคงที่
และจำนวนทีมี

8. ปัจจัยกำรผลิตสำมำรถเคลือนย ้ำยได ้โดยเสรีในประเทศ

แต่ไม่สำมำรถเคลือนย ้ำยระหว่ำงประเทศได ้
9. กำรค ้ำระหว่ำงประเทศเป็ นไปโดยเสรี
ปรำศจำกอุปสรรคทีเป็่ นสิงกี
่ ดขวำงเรืองกำรค
่ ้ำระหว่ำงประเทศ

ไม่ว่ำจะเป็ นเรืองภำษี ่
ศุลกำกร โควตำ หรืออัตรำแลกเปลียน
10. ่ กำรเปลียนแปลงในรำยได
เมือมี ่ ้

จะไม่ส่งผลกระทบต่อกำรเปลียนแปลงในสั
ดส่วนกำรบริโภครวมในสองป
ระเทศ (homothetic taster and preferences)
่ จะท
เพือที ่ ำให ้เข ้ำใจถึงทฤษฎีของทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลินได ้ง่ำยขึน้
่ จะต
จำเป็ นอย่ำงยิงที ่ ่ อในทำงเศรษฐศำสตร ์บำงอย่ำง
้องทำควำมเข ้ำใจเครืองมื
้ ำกำรศึกษำเกียวกั
โดยในบทนี จะท ่ ่ อสำคัญทีถู
บเครืองมื ่ กนำมำใช ้ในกำรวิเครำะ
ห ์ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลินก่อน แล ้วจึงศึกษำทฤษฎีเฮคเชอร ์และโอห ์ลิน
(Heckscher-Ohlin Theorem) ่ื
และทฤษฎีอนๆที ่ ยวข
เกี ่ ้อง ได ้แก่
ทฤษฎีว่ำด ้วยควำมเท่ำเทียมกันของรำคำปัจจัยกำรผลิต (Factor-Price
Equalization Theorem) ทฤษฎีของสโตเพิล-ซำมูเอลสัน (Stolper-
Samuelson Theorem) และทฤษฎีของริบซินสกี (Rybczynski Theorem)

และสุดท ้ำยจะเป็ นกำรศึกษำเกียวกั
บกำรทดสอบทฤษฎีเฮคเชอร ์-
โอห ์ลินของลีออนเทียฟ พำรำดอค


5.2 เครืองมื ่ ในการวิเคราะห ์ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน
อทีใช้
่ อสำคัญทีถู
เครืองมื ่ กนำมำใช ้ในกำรวิเครำะห ์ทฤษฎีของเฮคเชอร ์และโอ
ห ์ลิน คือ ทฤษฎีกำรผลิตทีวิ่ เครำะห ์โดยใช ้เส ้นผลผลิตเท่ำกัน (isoquant
curve) เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิต (production possibilities curve: PPC)
และเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน (isocost curve) รูปกล่อง (The Box Diagram)
และอัตรำกำรใช ้ปัจจัย (factor intensity)

5.2.1 ทฤษฎีการผลิต (The Theory of Production)


ทฤษฎีกำรผลิต คือ
่ ้ร ับจำกกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิต
กำรศึกษำควำมสัมพันธ ์ระหว่ำงผลผลิตทีได
โดยกำรนำทฤษฎีกำรผลิตมำใช ้ในกำรวิเครำะห ์ทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน
จะใช ้เส ้นผลผลิตเท่ำกันและเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน (Isoquant-Isocost Analysis
Productive) ในกำรวิเครำะห ์ โดยถ ้ำสมมติให ้ในกำรผลิตสินค ้ำชนิ ดหนึ่ ง
มีกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตสองชนิ ด คือ ปัจจัยแรงงำน (L) และปัจจัยทุน (K)
กำรแสดงควำมสัมพันธ ์ระหว่ำงจำนวนผลผลิตกับปัจจัยกำรผลิตทัง้ 2
ชนิ ดจะเขียนในรูปสมกำรกำรผลิต ดังนี ้
Q = f (K, L)

กำหนดให ้ Q = จำนวนผลผลิต

K = จำนวนทุน

L = จำนวนแรงงำน

5.2.2
ความสัมพันธ ์ของเส้นผลผลิตเท่ากน
ั และเส้นเป็ นไปได้ในการผลิต

เส ้นผลผลิตเท่ำกัน (isoquant curve) หมำยถึง



เส ้นทีแสดงให ้เห็นถึงกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิต 2 ชนิ ด
โดยจะใช ้ในสัดส่วนแตกต่ำงกันแต่ให ้ผลผลิตเท่ำกัน ดังในรูปที่ 1
สมมติให ้มีประเทศอยู่ 2 ประเทศ ได ้แก่ ประเทศ A และประเทศ B ทัง้ 2
ประเทศจะใช ้ปัจจัยกำรผลิตแรงงำน (L) และปัจจัยกำรผลิตประเภททุน (K)

ทังหมดที
มี่ อยู่ในกำรผลิตสินค ้ำ โดยเส ้น iqa คือ
เส ้นผลผลิตเท่ำกันของประเทศ a และเส ้น iqb
คือเส ้นผลผลิตเท่ำกันของประเทศ b และจุด a หมำยถึง
ระดับกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตในกำรผลิตสินค ้ำในประเทศ A และจุด b หมำยถึง
ระดับกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตในกำรผลิตสินค ้ำชนิ ดเดียวกันในประเทศ B

K
Kb b

Ka a Iqb

Iqa
L

รู ปที่ 1 0เส ้นผลผลิตเท่ำกัLนbของทังสองประเทศ


้ La

จำกรูปภำพข ้ำงต ้น เส ้นผลผลิตเท่ำกันของประเทศ B (เส ้น iqb)


่ งกว่ำเส ้นผลผลิตเท่ำกันของประเทศ
อยู่ในระดับทีสู A (เส ้น iqa)
แสดงได ้ว่ำประเทศ B มีปริมำณกำรผลิตสินค ้ำมำกกว่ำในประเทศ A
่ ้ปัจจัยทุน (K) ในกำรผลิตมำกกว่ำแรงงำน (L)
และในประเทศ B ผลิตสินค ้ำทีใช
ทำให ้ประเทศ B ่ ้ปัจจัยกำรผลิตประเภทสินค ้ำทุน
เน้นผลิตสินค ้ำทีใช
และประเทศ A ่ ้ปัจจัยกำรผลิตประเภทแรงงำน
เน้นผลิตสินค ้ำทีใช
ทำใหถ้ ้ำนำมำเขียนแผนภำพแสดงเส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิต (PPC)

ของทังสองประเทศ โดยกำหนดให ้สินค ้ำ X
่ นกำรใช ้ปัจจัยแรงงำน
เป็ นสินค ้ำทีเน้ และสินค ้ำ Y
่ นปัจจัยกำรผลิตทุน จะได ้เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของประเทศ
เป็ นสินค ้ำทีเน้
่ ควำมโน้มเอียงไปในกำรผลิตสินค ้ำ X มำกกว่ำสินค ้ำ Y
A (PPCa) ทีมี
และเส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของประเทศ B (PPCb)
มีควำมโน้มเอียงไปในกำรผลิตสินค ้ำ Y มำกกว่ำสินค ้ำ X ดังนี ้
สินค้า
y
Ya

PPC
b

Yb
PP
Ca สินค้า
รู ปที่ 2 0เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิ ้ Xa
Xb ตของทังสองประเทศ x
รูปที่ 2 เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของทัง้ 2 ประเทศ
่ี ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของประเทศ
สำเหตุทเส A (PPCa)
มีควำมโน้มเอียงไปในกำรผลิตสินค ้ำ X เนื่ องจำกประเทศ A
มีปัจจัยกำรผลิตแรงงำนเป็ นจำนวนมำก และสินค ้ำ X
่ นผลิตสินค ้ำประเภททีเน้
เป็ นสินค ้ำทีเน้ ่ นกำรใช ้ปัจจัยแรงงำน ประเทศ A
จึงเหมำะแก่กำรผลิตสินค ้ำ X หรืออำจเป็ นไปได ้ว่ำ ประเทศ A
่ ปัจจัยแรงงำนอยู่เป็ นจำนวนมำก
เป็ นประเทศทีมี
ทำให ้รำคำปัจจัยแรงงำนในประเทศ A มีรำคำไม่สูงมำก ทำใหก้ ำรผลิตสินค ้ำ X
่ ้องใช ้แรงงำนจำนวนมำกได ้เปรียบทำงต ้นทุนเมือเปรี
ทีต ่ ยบเทียบกับประเทศ B
่ ปัจจัยแรงงำนอยูเ่ ป็ นจำนวนน้อย
ซึงมี

สำหร ับเส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของประเทศ B (PPCb)


่ ควำมโน้มเอียงในกำรผลิตสินค ้ำ
ทีมี Y เนื่ องจำกประเทศ B
มีปัจจัยกำรผลิตประเภททุนจำนวนมำก ส่งผลให ้รำคำปัจจัยทุนในประเทศ B
ไม่สูงมำก ทำใหใ้ นกำรผลิตสินค ้ำ Y
่ นกำรใช ้ปัจจัยทุนเป็ นหลักมีควำมได ้เปรียบทำงต ้นทุนในประเทศ
ทีเน้ B

เมือเปรี
ยบเทียบกับประเทศ A

โดยสรุป สำมำรถกล่ำวได ้ว่ำถ ้ำประเทศ A กับประเทศ B


เป็ นประเทศคูค ่ ้ำกัน แสดงได ้ว่ำ ประเทศ A จะเหมำะแก่กำรผลิตสินค ้ำ X

เพือกำรส่ งออกไปจำหน่ ำยยังประเทศ B และนำเข ้ำสินค ้ำ Y จำกประเทศ B

ในขณะทีประเทศ B ่
เหมำะทีจะผลิ
ตสินค ้ำ Y

เพือกำรส่ งออกไปจำหน่ ำยยังประเทศ A และนำเข ้ำสินค ้ำ X จำกประเทศ A

5.2.3
ความสัมพันธ ์ระหว่างเส้นผลผลิตเท่าก ันและเส้นต้นทุนเท่ากน

่ ำวข ้ำงต ้นแล ้วว่ำเส ้นผลผลิตเท่ำกัน
จำกทีกล่ (isoquant curve)
แสดงถึงปัจจัยกำรผลิตสองชนิ ดทีใช ่ ้ผลิตร่วมกันในสัดส่วนทีแตกต่
่ ำงกันแต่ให ้
ผลผลิตเท่ำกัน โดยมีคณุ สมบัติ ดังนี ้

1. เส ้นผลผลิตเท่ำกันเป็ นเส ้นทีลำดลงจำกซ ้ำยไปทำงขวำ (negative
sloping) เนื่ องจำกกำรทีผู
่ ผ้ ลิตใช ้ปัจจัยกำรผลิตชนิ ดหนึ่ งลดลง

ก็จะเพิมกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ ง

เพือให ้ได ้ผลผลิตจำนวนเท่ำเดิม ้ เพรำะปั
ทังนี ้ จจัยกำรผลิตทัง้ 2
ชนิ ดสำมำรถทดแทนกันได ้
2. เส ้นผลผลิตเท่ำกันจะเป็ นเล ้นโค ้งเว ้ำเข ้ำหำจุดกำเนิ ด (convex to the
origin) เพรำะว่ำอัตรำกำรทดแทนกันระหว่ำงปัจจัยกำรผลิต 2
ชนิ ดมีลก ่
ั ษณะลดลงเรือยๆ (diminishing marginal rate of
technical substitution)
่ ่ทำงขวำมือจะแสดงถึงผลผลิตทีมำกขึ
3. เส ้นผลผลิตเท่ำกันทีอยู ่ น้
4. เส ้นผลผลิตเท่ำกันจะตัดหรือสัมผัสกันไม่ได ้
รูปที่ 3 เส ้นผลผลิตเท่ำกัน

จำกรูปข ้ำงต ้น
จะเห็นได ้ว่ำเส ้นผลผลิตเท่ำกันจะเป็ นเส ้นโค ้งลำดลงจำกซ ้ำยมือไปขวำมือ
และควำมลำดเอียงของเส ้นเรียกว่ำ
อัตรำหน่ วยท ้ำยสุดของกำรทดแทนกันทำงเทคนิ คระหว่ำงปัจจัยกำรผลิต
(marginal rate of technical subsititution : MRTS) 1
่ ้นนี จะบอกถึ
ซึงเส ้ ่ กำรใช ้เ
งควำมสำมำรถของแต่ละหน่ วยของปัจจัยกำรผลิตทีมี
่ น้
พิมขึ

ในอันทีจะใช ้แทนปัจจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ งทีลดลงแล
่ ้วยังคงผลิตอยู่บนเส ้นผ
ลผลิตเท่ำกันเส ้นเดิม เช่น บนเส ้นผลผลิตเท่ำกันเส ้นที่ 1 (iq1)
ผูผ้ ลิตจะผลิตทีจุ่ ด A โดยใช ้ปัจจัยกำรผลิตทุน เท่ำกับ OK1 และ
ปัจจัยกำรผลิตแรงงำนเท่ำกับ OL1 ต่อมำถ ้ำผูผ ่ ตไปทีจุ่ ด B
้ ลิตเลือนกำรผลิ
บนเส ้นผลผลิตเส ้นเดิม ผูผ ้ ลิตจะใช ้ปัจจัยทุน OK2 และปัจจัยแรงงำน OL2

ซึงในกำรเลื ่
อนกำรผลิ ตจำกจุด A ไปยังจุด B นั้น
่ น้
ผูผ้ ลิตจะต ้องใช ้แรงงำนเพิมขึ ่
L1 L2 เพือทดแทนทุ ่
นทีลดลง K1 K2
หรืออำจจะกล่ำวได ้ว่ำโดยเฉลียแล ่ ้ว K1 K2 / L1 L2
ของทุนได ้ร ับกำรทดแทนโดยแรงงำน 1 หน่ วย
นั้นคืออัตรำกำรทดแทนทำงเทคนิ คของแรงงำนเพือทุ
่ น แสดงโดยอัตรำ K1 K2
/ L1 L2 หรือ AC/CB (marginal rate of technical substitution of
labour for capital : MRTS1k =  K /  L) ซึงค่ ่ ำ MRTS

1 MRTS หมำยถึง

จำนวนปัจจัยกำรผลิตชนิ ดหนึ่ งทีลดลงในขณะที


่ ใช่ ้ปัจจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ งเพิมขึ
่ น้ 1 หน่ วย
่ ักษำจำนวนผลผลิตให ้ได ้เท่ำเดิม
เพือร
่ ้นี จะลดลงเรื
ทีได ้ อย่ ๆ ่ กำรใช ้แรงงำนทดแทนทุนเพิมมำกขึ
เมือมี ่ น้
แสดงว่ำปัจจัยกำรผลิตทัง้ 2 ชนิ ดใช ้ทดแทนกันได ้อย่ำงไม่สมบูรณ์
เรำเรียกลักษณะนี ว่้ ำ
กำรลดน้อยถอยลงของอัตรำหน่ วยท ้ำยสุดของกำรใช ้ทดแทนกันทำงเทคนิ คระ

หว่ำงปัจจัยกำรผลิตทังสอง (diminishing rate of technical
substitution)
และเป็ นผลให ้เส ้นผลผลิตเท่ำกันมีลก
ั ษณะเป็ นเส ้นโค ้งเว ้ำเข ้ำหำจุดกำเนิ ด
(convex to the origin)
้ ควำมสัมพันธ ์อย่ำงใกล ้ชิดกับผลผลิตส่ว
อัตรำกำรทดแทนทำงเทคนิ คนี มี
นเพิม่ (marginal physical product) จำกรูปที่ 3
่ กำรเลือนกำรผลิ
เมือมี ่ ตจำกจุด A ไปยังจุด B จะมีกำรลดกำรใช ้ทุนลงเท่ำกับ
 K ผลผลิตจะลดลงเท่ำกับ  K  MPPk
่ กำรใช ้แรงงำนเข ้ำมำทดแทนผลผลิตจะเพิมขึ
และเมือมี ่ นเท่
้ ำกับ  L  MMP1
่ ด
และเมือจุ A และจุด B อยู่บนเส ้นผลผลิตเท่ำกัน

แสดงว่ำกำรเปลียนแปลงสัดส่วนกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตสินค ้ำดังกล่ำวไม่ทำให ้ป

ริมำณผลผลิตมีกำรเปลียนแปลงไป สำมำรถเขียนในรูปสมกำรได ้ ดังนี ้

 K  MPPk +  L  MPPL = 0

จัดรูปสมกำรใหม่ จะได ้
∆K
MRTSLK = -
∆L

MPPL
=
MPPK

อย่ำงไรก็ตำม ่
เพือให ้ได ้ประสิทธิภำพสูงสุดในกำรผลิต
ผูผ้ ลิตจะต ้องผลิตสินค ้ำให ้ได ้ปริมำณสูงสุดภำยใต ้งบประมำณหรือต ้นทุนทีตน ่
มีอยู่ ่ ผ
โดยต ้นทุนทีผู ้ ลิตมีอยู่น้ันสำมำรถแสดงได ้โดยเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน
(isocost curve) ่ งส่วนผสมต่ำงๆของปัจจัยกำรผลิตทัง้ 2 ชนิ ด
ทีแสดงถึ
คือปัจจัยกำรผลิตทุน (K) และแรงงำน (L)
่ ผ
ทีผู ่ อยู่ในรำคำปัจจัยกำรผลิตข
้ ลิตนำมำใช ้ร่วมกันภำยใต ้ต ้นทุนกำรผลิตทีมี
ณะนั้น และเพือควำมเข
่ ่
้ำใจในเรืองเส ้นต ้นทุนเท่ำกันมำกขึน้ ขอยกตัวอย่ำง
ดังนี ้
กำหนดให ้ผูผ
้ ลิตมีงบประมำณเท่ำกับ 100 บำท (C = 100)
รำคำของทุน 1 หน่ วยเท่ำกับ 20 บำท (Pk = 20) รำคำของแรงงำนเท่ำกับ 10
บำท (PL = 10) เส ้นต ้นทุนเท่ำกันสำมำรถแสดงเป็ นแผนภำพได ้ ดังนี ้

รูปที่ --- เส ้นต ้นทุนเท่ำกัน

่ ผ
จำกรูปภำพข ้ำงต ้น จะเห็ นได ้ว่ำ งบประมำณทีผู ้ ลิตมีอยู่ 100 บำท
ถ ้ำผูผ ้ นเพียงอย่ำงเดียวได ้ 5 หน่ วย (C/Pk = 100/20 = 5 หน่ วย)
้ ลิตซือทุ
หรือจะจ ้ำงแรงงำนเพียงอย่ำงเดียวได ้ 10 หน่ วย (C/PL = 100/10 = 10
หน่ วย) แต่ถ ้ำผูผ ้
้ ลิตใช ้ปัจจัยกำรผลิตทังสองชนิ ดร่วมกัน
่ ่บนเส ้นตรงทีเรี
จะได ้จุดทีอยู ่ ยกว่ำเส ้นต ้นทุนเท่ำกันทีมี
่ ควำมลำดเอียงของเส ้นเ
ท่ำกับ ∆K/∆L = PL/PK = 1/2
ดังนั้น ่
เพือประโยชน์ สูงสุดในกำรผลิต
ผูผ้ ลิตจะต ้องผลิตใหไ้ ด ้ผลผลิตสูงสุดภำยใตง้ บประมำณทีมี ่ อยู่

และจุดทีจะผลิ ตใหไ้ ด ้ผลผลิตสูงสุด ผูผ
้ ลิตจะต ้องผลิต ณ
่ ้นผลผลิตเท่ำกัน (isoquant curve) สัมผัสกับเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน
จุดทีเส
(isocost curve) ซึงจุ่ ดนี ควำมลำดเอี
้ ยงของเส ้นผลผลิตเท่ำกัน (isoquant
curve) จะเท่ำกับควำมลำดเอียงของเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน (isocost curve)
นั่นคือ

PL MPPL
=
PK MPPK

จัดรูปใหม่ จะได ้

MPPL MPPK
=
PL PK

โดยสำมำรถแสดงเป็ นรูปภำพได ้ ดังนี ้

รู ปที่ --- ต้นทุนตาสุ


่ ด

รูปที่ --- แสดงถึงเส ้นผลผลิตเท่ำกัน iq1 และเส ้นผลผลิตเท่ำกัน iq2


และเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน C0 และเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน C1

ทีแสดงถึ งปริมำณกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิต K และ L
่ ผ
ทีผู ้
้ ลิตสำมำรถจะซือมำได ่ ำหนดให ้
้ภำยใต ้ต ้นทุนทีก
โดยผูผ้ ลิตจะผลิตสินค ้ำให ้ได ้ต ้นทุนต่ำสุด ่
ซึงจะอยู ่ ณ
จุดทีเส่ ้นต ้นทุนเท่ำกันสัมผัสกับเส ้นผลผลิตเท่ำกัน เช่น ถ ้ำต ้นทุนทีก
่ ำหนดให ้
คือ เส ้นต ้นทุนเท่ำกัน C0 ผูผ้ ลิตจะผลิตทีจุ่ ดสัมผัสของเส ้น C0 กับ iq1
่ คอื จุด
ซึงก็ A
แต่ถ ้ำผูผ ้
้ ลิตมีต ้นทุนในกำรผลิตสูงขึนจนเส ่
้นเลือนขึ ้
นไปทำงขวำขนำนกั
บเส ้นเ
ดิมเป็ นเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน C1 ผูผ ้ ลิตจะผลิต ณ จุดดุลยภำพใหม่ทจุ่ี ด B

และเส ้นทีลำกผ่ ้ ยกว่ำเส ้นแนวทำงกำรผลิต
ำนจุดสัมผัสนี เรี (expansion
path)2

รู ปกล่อง (The Box Diagram)

รูปกล่องแสดงถึงกำรจัดสรรปัจจัยกำรผลิตของประเทศทีมี ่ อยู่ไปผลิตสิน

ค ้ำอย่ำงมีประสิทธิภำพสูงสุด เพือให ้ได ้ผลผลิตสูงสุด ดังนี ้

รูปที่ -รูปกล่องและเส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิต


2 เส ้นแนวทำงขยำยกำรผลิต หมำยถึง เส ้นทีแสดงให ้เห็นถึงกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตทัง้ 2

ชนิ ดในส่วนผสมทีแตกต่ ่ ยต ้นทุนในกำรผลิตต่ำสุด
ำงกัน ทีเสี
โดยเส ้นแนวทำงขยำยกำรผลิตได ้จำกกำรลำกเชือมต่ ่ ่
อกันของจุดทีแสดงส่ วนประกอบของปัจจัยกำร
่ ่
ผลิตทีใช ้ต ้นทุนตำสุด หรือให ้ผลผลิตสูงสุด ณ จุดสัมผัสของเส ้นผลผลิตเท่ำกันและเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน
จำกรูปที-่ ้
แกนตังแสดงปริ
มำณของทุน
ส่วนแกนนอนแสดงปริมำณของแรงงำน

รูปกล่องจะแสดงถึงปริมำณปัจจัยกำรผลิตทีประเทศมี
อยู่และเส ้นทะแยง OxOy

จะแสดงถึงอัตรำกำรใช ้ปัจจัยถัวเฉลียของประเทศ
โดยถ ้ำกำหนดให ้ประเทศผลิตสินค ้ำ 2 ชนิ ด คือ ผำ้ (x) และเหล็ก (y)

กำรผลิตข ้ำวเริมจำก ่
Ox ถึง Oy และกำรผลิตผำ้ เริมจำก Oy ถึง Ox ดังนั้น
เรำสำมำรถสร ้ำงเส ้นผลผลิตเท่ำกันของสินค ้ำ x และ y ได ้โดยสินค ้ำ x

เริมจำก Ox และสินค ้ำ y ่
เริมจำก Oy
่ ่ภำยในรูปกล่องจะแสดงถึงผลผลิตสินค ้ำ x และ y ร่วมกัน
จุดใดๆก็ตำมทีอยู
เช่น ทีจุ่ ด D แสดงถึงปริมำณของสินค ้ำข ้ำว 50 หน่ วย และผำ้ 45 หน่ วย
แต่ทว่่ี ำจุด D
่ มป
เป็ นจุดทีไม่ ่
ี ระสิทธิภำพในกำรผลิตเพรำะว่ำถ ้ำเรำเลือนกำรผลิ
ตตำมเส ้น
50x มำทีจุ่ ด A เรำจะได ้ข ้ำวเป็ นปริมำณเท่ำเดิม แต่จะได ้สินค ้ำผำ้ เพิมขึ
่ น้
เนื่ องจำกจุด A เป็ นจุดทีเส
่ ้นผลผลิตเท่ำกัน 50x สัมผัสกับเส ้นผลผลิตเท่ำกัน
60y ้
จุดนี จะเป็ ่ ประสิทธิภำพในกำรผลิต
นจุดทีมี
เพรำะอัตรำทดแทนทำงเทคนิ คในกำรผลิตสินค ้ำทัง้ 2 ชนิ ดเท่ำกัน
ประเทศจะใช ้ทุน OK และแรงงำน OL ในกำรผลิตสินค ้ำผำ้
่ อใช ้ในกำรผลิตสินค ้ำเหล็ก
ส่วนปัจจัยทีเหลื
ถ ้ำเรำลำกเส ้นผ่ำนจุดทีซึ ่ งเส
่ ้นผลผลิตเท่ำกันสองเส ้นสัมผัส
เรำจะได ้เส ้นเสน้ หนึ่ งทีเรี
่ ยกว่ำเส ้น contract curve เช่นเส ้น OxABCOy
ทุกๆจุดบนเส ้น contract curve ่ ประสิทธิภำพในกำรผลิต
เป็ นจุดทีมี

จุดอืนๆที ่ ่นอกเส ้น
อยู contract curve
่ มป
จะเป็ นจุดทีไม่ ี ระสิทธิภำพในกำรผลิต

เพรำะประเทศสำมำรถทีจะเพิ ่ นค ้ำชนิ ดหนึ่ งโดยทีสิ
มสิ ่ นค ้ำอีกชนิ ดหนึ่ งไม่ได ้ลด
ลงเลย และจำกรูป 4.3(ก)
เรำสำมำรถนำจุดทีมี ่ ประสิทธิภำพในกำรผลิตจำกกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตทัง้ 2
่ ผลผลิตผำ้ 50 หน่ วยและเหล็ก 60 หน่ วย
ชนิ ดมำผลิตสินค ้ำได ้แก่ จุด A ทีมี
่ ผลผลิตผำ้ 95 หน่ วยและเหล็ก 45 หน่ วย และจุด C ทีมี
จุด B ทีมี ่ ผลผลิตผำ้
130 หน่ วยและเหล็ก 20 หน่ วยมำสร ้ำงเส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตได ้ดังรูปที่ 4.3
(ข)

5.4 อต
ั ราการใช้ปัจจัย (Factor Intensity)

อัตรำกำรใช ้ปัจจัย หมำยถึง


อัตรำของปัจจัยกำรผลิตสองชนิ ดทีใช่ ้ในกำรผลิตสินค ้ำชนิ ดหนึ่ ง
่ ยบเทียบกับสินค ้ำอีกชนิ ดหนึ่ ง เช่น ถ ้ำกำหนดให ้มีสน
เมือเปรี ิ ค ้ำอยู่ 2 ชนิ ด
คือ ผำ้ (x) กับเหล็ก (y) และมีปัจจัยกำรผลิตอยู่ 2 ชนิ ด คือ
ปัจจัยกำรผลิตประเภททุน (K) และปัจจัยแรงงำน (L)
่ นใช ้แรงงำนเป็ นหลัก
โดยผำ้ จะเป็ นสินค ้ำทีเน้ (labor intensive)
่ ้ทุนเป็ นหลัก
ส่วนเหล็กจะเป็ นสินค ้ำทีใช (capital intensive) ดังนั้น

เมือเหล็ ่
กต ้องพึงพำปั ่
จจัยกำรผลิตประเภททุนในสัดส่วนทีมำก
ก็จะทำให ้อัตรำส่วนทุนต่อแรงงำน (K/L)
ของเหล็กย่อมมำกว่ำอัตรำส่วนทุนต่อแรงงำนของผำ้
โดยอัตรำส่วนทุนต่อแรงงำนของสินค ้ำทัง้ 2
ชนิ ดสำมำรถแสดงได ้ดังรูปต่อไปนี ้
รูปที่ --- อัตรำกำรใช ้ปัจจัยในกำรผลิตผำ้ และเหล็กในประเทศ A และประเทศ
B

จำกรูปข ้ำงต ้น กำหนดให ้มีประเทศอยู่ 2 ประเทศ ได ้แก่ ประเทศ A


และประเทศ B ทีมี่ ปัจจัยกำรผลิตอยู่ 2 ชนิ ด ได ้แก่ ปัจจัยกำรผลิตแรงงำน (L)
และปัจจัยกำรผลิตสินค ้ำประเภททุน (K) และถึงแมว้ ่ำทัง้ 2
ประเทศจะมีปัจจัยกำรผลิตเหมือนกัน
ี วำมต่ำงทำงด ้ำนอัตรำกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตแสดงได ้ดังตำรำงต่อไปนี ้
แต่ก็มค

ตำรำงที---

แสดงอัตรำกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตของสินค ้ำผำ้ และเหล็กของทังสองประเทศ

ประเท ผลผลิ ปั จจัยการผลิ อ ัตราส่วนของปั จจัยทุนต่อแรงงา


ศ ต ต น (K/L)
ทุน แรงงำน
ประเทศ ผำ้ 1 4 1/4 = 0.25
A เหล็ก 2 2 2/2 = 1
ประเทศ ผำ้ 2 2 2/2 = 1
B เหล็ก 4 1 4/1 = 4

จำกตำรำงข ้ำงต ้นได ้แสดงกำรเปรียบเทียบอัตรำกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตใน


กำรผลิตสินค ้ำผำ้ และเหล็กของทัง้ 2 ประเทศ จะพบว่ำ

- ประเทศ A กำรผลิตเหล็ก 1 หน่ วยจะใช ้ทุน 2 หน่ วย แรงงำน 2 หน่ วย


ทำใหอ้ ต
ั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1 สำหร ับกำรผลิตผำ้ 1
หน่ วยจะใช ้ทุน 1 หน่ วย แรงงำน 4 หน่ วย
อัตรำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1/4 ดังนั้น
่ นกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตประเ
สำมำรถสรุปได ้ว่ำสินค ้ำเหล็ กเป็ นสินค ้ำทีเน้
ภททุนมำกกว่ำสินค ้ำผำ้
- ประเทศ B กำรผลิตเหล็ก 1 หน่ วยจะใช ้ทุน 4 หน่ วย แรงงำน 1 หน่ วย
ทำใหอ้ ต
ั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 4 สำหร ับกำรผลิตผำ้ 1
หน่ วยจะใช ้ทุน 2 หน่ วย แรงงำน 2 หน่ วย
อัตรำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1 ดังนั้น
่ นกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตประเ
สำมำรถสรุปได ้ว่ำสินค ้ำเหล็ กเป็ นสินค ้ำทีเน้
ภททุนมำกกว่ำสินค ้ำผำ้

ดังนั้น เมือท
่ ำกำรเปรียบเทียบอัตรำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนของทัง้
2 ประเทศ จะพบว่ำ ประเทศ B
มีอต ้
ั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนในกำรผลิตสินค ้ำทังเหล็ กและผำ้ สูงกว่ำปร
ะเทศ A โดยในกำรผลิตเหล็ก ประเทศ B
มีอต
ั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 4 ่
ในขณะทีประเทศ A
มีอต
ั รำส่วนทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1 และในกำรผลิตสินค ้ำผำ้ ประเทศ B
มีอต
ั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1 ส่วนประเทศ A
มีอตั รำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนเท่ำกับ 1/4 ่
ซึงกำรที ่
ประเทศ
B
ใช ้ทุนมำกในกำรผลิตสินค ้ำทัง้ 2 ชนิ ดนี ้ อำจเป็ นสำเหตุมำจำกประเทศ B
มีปัจจัยทุนอยู่เป็ นจำนวนมำก ทำให ้รำคำทุนของประเทศ B ถูกกว่ำประเทศ A
ดังนั้น ผูผ
้ ลิตในประเทศ B
่ จะลดต
จึงใช ้ทุนไปทดแทนแรงงำนเพือที ่ ้นทุนกำรผลิตลง

5.5 ความเข้มข้นในการใช้ปัจจัยการผลิต
ในกำรศึกษำแบบจำลองของเฮคเชอร ์-
่ ค้ วำมสำคัญแก่สด
โอห ์ลินทีให ั ส่วนโดยเปรียบเทียบของปัจจัยกำรผลิต
จะเน้นกำรศึกษำเกียวกั่ ่ ้แรงงำนมำก
บกำรผลิตสินค ้ำ 2 ประเภท คือ สินค ้ำทีใช
(labor abundant) และสินค ้ำทีใช ่ ้ทุนมำก (capital abundant)
่ ก
ในทีนี ้ ำหนดให ้ผำ้ เป็ นสินค ้ำทีใช
่ ้แรงงำนมำก และเหล็ กเป็ นสินค ้ำทีใช
่ ้ทุนมำก

ซึงควำมมี
มำกของปัจจัยกำรผลิต (factor abundant)
่ อยู่โดยเปรียบเทียบของ 2 สินค ้ำ ดังนี ้
จะถูกกำหนดโดยปัจจัยกำรผลิตทีมี

ต ัวอย่าง กำหนดประเทศหนึ่ งมีกำรผลิตสินค ้ำ 2 ชนิ ด ได ้แก่ ผลิตผำ้


และผลิตเหล็ก ่
มีกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตในสัดส่วนทีแตกต่ ำงกัน
โดยกำรผลิตผำ้ จะใช ้แรงงำน 10 หน่ วยและทุน 4 หน่ วยในกำรผลิตผำ้ 1 เมตร

ในขณะทีกำรผลิ ตเหล็กจะใช ้แรงงำน 11 หน่ วย และทุน 7
หน่ วยในกำรผลิตเหล็ก 1 กิโลกร ัม

ตารางที่ 1.5 การใช้ปัจจัยการผลิตในการผลิตสินค้าผ้าและเหล็ก


ปั จจัยต่อหน่ วยผลผลิต
สินค้า
แรงงาน ทุน
ผำ้ 10 4
เหล็ก 11 7

กำหนดให ้ K หมำยถึง สินค ้ำประเภททุน


L หมำยถึง แรงงำน
K/L หมำยถึง อัตรำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนโดยเปรียบเทียบ
(relative capital labor ratios)
X1 หมำยถึง ผำ้
X2 หมำยถึง เหล็ก

ในกำรพิจำรณำว่ำสินค ้ำใดใช ้ทุนมำกหริอใช ้แรงงำนมำกกว่ำนั้น


จะพิจำรณำในรูปสัดส่วนของปัจจัยกำรผลิตทีใช่ ้ เช่น
อัตรำส่วนของปัจจัยทุนต่อแรงงำนโดยเปรียบเทียบ (K/L) ดังนี ้

กำรคำนวณหำสัดส่วนทุนต่อแรงงำน
K/Lx1 = 4/10 = 0.40

K/L x2 = 7/11 = 0.64

เพรำะฉะนั้น K/Lx1 < K/L x2

จำกผลกำรคำนวณ สำมำรถกล่ำวได ้ว่ำ


กำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตโดยเปรียบเทียบจำกกำรผลิตสินค ้ำ สำมำรถสรุปได ้ว่ำ

เหล็ก (x2) ใช ้แรงงำนทุนมำกกว่ำเมือเปรี ยบเทียบกับผำ้ (x1) ก็แสดงได ้ว่ำ
่ นกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตประเภทสินค ้ำทุนเป็ นหลัก (capital
เหล็กเป็ นสินค ้ำทีเน้
intensive)
่ นกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตประเภทแรงงำนเป็ นหลัก
และผำ้ เป็ นสินค ้ำทีเน้ (labor
intensive)
และเนื่ องจำกประเทศนี เป็
้ นประเทศทีมี
่ ปัจจัยกำรผลิตประเภททุนอยู่เป็ นจำนวน
มำก ส่งผลให ้ปัจจัยทุนในประเทศไม่สูงมำกนัก

ทำให ้ประเทศนี ควรผลิ ่
ตสินค ้ำเหล็กเพือกำรส่ งออก
เพรำะมีควำมได ้เปรียบทำงด ้ำนต ้นทุนมำกกว่ำ

และเพือหำเทคนิ ่
คกำรผลิตทีเหมำะสม (the optimum technique)
ผูผ้ ลิตจะเลือกใช ้เทคนิ คกำรผลิตทีท ่ ำให ้ผูผ
้ ลิตเสียต ้นทุนในกำรผลิตต่ำสุด

ซึงจะอยู ่ ณ ่ ้นผลผลิตเท่ำกัน
จุดทีเส (isoquant curve)
สัมผัสกับเส ้นต ้นทุนเท่ำกัน (isocost curve) ่ คอื
ซึงก็ ณ
่ ดส่วนของค่ำจ ้ำงต่อค่ำเช่ำ
จุดทีสั (wage-rent ratio : w/r)
เท่ำกับอัตรำส่วนทดแทนหน่ วยสุดท ้ำยของแรงงำนต่อทุน (the marginal
rate of technical substitution of labor for capital : MRTS)
ดังแสดงในภำพต่อไปนี ้

รู ปภาพที่ ---- จุดต้นทุนตาสุ


่ ดในการผลิตสินค้า
กำหนดให ้
w คือ ค่ำจ ้ำงปัจจัยแรงงำนต่อหน่ วย
r คือ ค่ำเช่ำปัจจัยทุนต่อหน่ วย
K คือ ปัจจัยทุน
L คือ ปัจจัยแรงงำน

จำกรูปภำพข ้ำงต ้น
จะเห็นว่ำผูผ
้ ลิตจะเลือกใช ้ทุนและแรงงำนในจุดทีเสี่ ยต ้นทุนต่ำสุดจะอยู่ทจุ่ี ด E
่ นจุดทีเส
ซึงเป็ ่ ้นต ้นทุนเท่ำกัน C1 สัมผัสกับเส ้นผลผลิตเท่ำกัน (iq) ค่ำควำมชนั
ณ จุดสัมผัสจะมีคำ่ MPPL/ MPPk เท่ำกับ w/r และในกำรผลิตเหล็ก 1
หน่ วยจะใช ้ทุนเท่ำกับ OK1 หน่ วย และใช ้แรงงำน OL1 หน่ วย โดย ณ จุด E
้ ผ
นี ผู ้ ลิตจะเสียต ้นทุน wL + rK ต่ำสุด ภำยใต ้เงือนไขที
่ ่
จะผลิตผำ้ ให ้ได ้ 1
หน่ วย (F(K, L) = 1)

และหำกนำเส ้นต ้นทุนเท่ำกันและเส ้นผลผลิตเท่ำกันทังของเหล็ กและผ้ำมำไว ้ใน
รูปภำพเดียวกัน (รูปภำพที่ ---)

จะเห็ นเส ้นแนวทำงในกำรขยำยขนำดกำรผลิตในอุตสำหกรรมทังสองแตกต่
ำง
กันอย่ำงชดั เจน
กล่ำวคือเส ้นแนวทำงในกำรขยำยขนำดกำรผลิตเหล็กจะมีคำ่ ควำมชนั มำกกว่ำ
เส ้นแนวทำงในกำรขยำยขนำดกำรผลิตผำ้ ดังภำพที่ ---- กำหนดให ้จุด X1
่ ยต ้นทุนต่ำสุดในกำรผลิตผำ้
คือจุดทีเสี และจุด X2
่ ยต ้นทุนต่ำสุดในกำรผลิตเหล็กและหำกลำกเส ้นจำกจุดกำเนิ ด
คือจุดทีเสี
(จุดศูนย ์) ผ่ำนจุด X1 และจุด X2 จะเห็นว่ำเส ้น X2 มีควำมชนั มำกกว่ำเส ้น X1
รู ปภาพที่ --------

อ ัตราส่วนทุนต่อแรงงานทีเหมาะสมในการผลิ
ตผ้าและเหล็ก

ี่ าคญ
5.6 ทฤษฎีทส ั ในแบบจาลองของเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน
่ ดอยู่ในแบบจำลองของเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน
ทฤษฎีสำคัญทีจั ได ้แก่
ทฤษฎีของเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน (Heckscher-Ohlin Theorem)
ทฤษฎีว่ำด ้วยควำมเท่ำเทียมกันของรำคำปัจจัยกำรผลิต (Factor-Price
Equalization Theorem) ทฤษฎีของสโตเพิล-ซำมูเอลสัน (Stolper-
Samuelson Theorem) และ ทฤษฎีของริบซินสกี (Rybczynski
Theorem) โดยมีรำยละเอียด ดังนี ้

5.6.1 ทฤษฎีของเฮคเชอร ์-โอลิน (The Hecksher-Ohlin


Theory) วงเล็บซ ้อนไม่เกา
ในปี ค.ศ. 1919 เอลิ

เฮคเชอร ์นักเศรษฐศำสตร ์ชำวสวีเดนได ้ลงพิมพ ์บทควำมเรือง
“ผลกระทบของกำรค ้ำระหว่ำงประเทศทีมี่ ต่อกำรกระจำยรำยได ้” (The Effect
of Foreign Trade on the Distribution of Income)

ซึงบทควำมนี ้ นพืนฐำนของทฤษฎี
เป็ ้ กำรค ้ำระหว่ำงประเทศในยุคใหม่
้ คอ
โดยระยะแรกบทควำมนี ไม่ ่ ยมีผูใ้ ดใหค้ วำมสนใจมำกนัก จนกระทังเบอร่ ์ทิล
่ นลูกศิษย ์ของเฮคเชอร ์ได ้นำมำพัฒนำ
โอห ์ลินนักเศรษฐศำสตร ์ชำวสวีเดนทีเป็
ึ้
โดยกำรสร ้ำงรูปทฤษฎีขน

เพืออธิ
บำยถึงบ่อเกิดของกำรได ้เปรียบเชิงเปรียบเทียบว่ำ

เกิดขึนเพรำะแต่
ละประเทศมีสด ่ ำงกัน
ั ส่วนปริมำณปัจจัยกำรผลิตทีต่
้ มเป็
ทำใหค้ ำอธิบำยนี เริ ่ นทียอมร
่ ่
ับกันโดยทัวไปตั ้ ปี
งแต่ คศ. 1933
้ ได ้นำทฤษฎีตพ
และในปี เดียวกันนี ก็ ิ พ ์ลงในหนังสือชือ่
ี ม
“กำรค ้ำระหว่ำงภูมภ
ิ ำคและกำรค ้ำระหว่ำงประเทศ” (Interregional and
Internation Trade) ่ อมำถูกเรียกว่ำทฤษฎีของฮิดเชอร ์และโอลิน
ซึงต่
้ ้อธิบำยเกียวกั
โดยทฤษฎีนีได ่ บกำรค ้ำของประเทศต่ำง ๆ

ในแง่ของปัจจัยและทร ัพยำกรทีประเทศมี อยู่ กล่ำวคือ ประเทศต่ำง ๆ

จะมีแนวโน้มทีจะได ่ ้ปัจจัยและ
้ประโยชน์โดยเปรียบเทียบจำกกำรผลิตสินค ้ำทีใช

ทร ัพยำกรทีประเทศนั ้นๆมีอยู่

อีกทังทฤษฎี ้
ของเขำทังสองยังได ้แสดงใหเ้ ห็นถึงควำมสัมพันธ ์ระหว่ำงโครงสร ้ำง
ทำงเศรษฐกิจกับกำรค ้ำของประเทศดังกล่ำวด ้วย

ยิงไปกว่ ำนั้นทฤษฎีดงั กล่ำวยังได ้สร ้ำงแบบจำลอง

ซึงแสดงถึ ่
งผลของกำรเปลียนแปลงของกำรค ้ำ

ซึงอำจมี ้ ำแพงภำษี
สำเหตุมำจำกกำรตังก
่ ต่อโครงสร ้ำงของเศรษฐกิจภำยในประเทศ
ทีมี

และโดยเฉพำะอย่ำงยิงผลที ่ ตอ
มี ้ กด ้วย
่ กำรแจกแจงรำยได ้ภำยในประเทศขึนอี
้ ้ทำให ้โอลินห ์ได ้ร ับรำงวัลโนเบล (Nobel Prize) ร่วมกับ
โดยต่อมำผลงำนนี ได
James Meade ในสำขำเศรษฐศำสตร ์ระหว่ำงประเทศ เมือปี ่ ค.ศ. 1977
ตำมหลักทฤษฎีเฮคเชอร ์และโอลินห ์
จะใช ้หลักกำรได ้เปรียบเชิงเปรียบเทียบมำพิจำรณำ กล่ำวคือ

แต่ละประเทศจะส่งสินค ้ำทีตนได ้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเป็ นสินค ้ำออก

ซึงหมำยถึงประเทศนั้นจะเสียต ้นทุนค่ำเสียโอกำสในกำรผลิตสินค ้ำชนิ ดนั้นต่ำ
กว่ำอีกประเทศหนึ่ ง

และประเทศจะนำเข ้ำสินค ้ำทีตนเสี ่
ยเปรียบเชิงเปรียบเทียบกับประเทศอืนๆ
โดยในกำรศึกษำจะพิจำรณำกำรค ้ำขำยระหว่ำงสองประเทศด ้วยกัน

และกำหนดให ้ผูบ้ ริโภคของทังสองประเทศมี
เส ้นของควำมพึงพอใจในสินค ้ำเห
มือนกัน มีเทคโนโลยีในกำรผลิตเท่ำเทียมกัน

เพือขจั ่ อให ้เกิดกำรได ้เปรียบเสียเปรียบระหว่ำงประเทศได ้
ดควำมแตกต่ำงทีก่
้ นค ้ำของทัง้
และกำหนดใหเ้ ส ้นอุปสงค ์ในกำรซือสิ 2 ประเทศเหมือนกัน
แต่กำรผลิตสินค ้ำของทัง้ 2
ประเทศจะมีควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตต่ำงกันดังรูปที่ ---- ต่อไปนี ้
รูปที่ 1.10 ทฤษฎีของเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน

จำกรูปข ้ำงต ้น เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิตของประเทศ A ได ้แก่ เส ้น PPCa


่ ลก
ทีมี ั ษณะเอนลำดไปทำงผำ้ มำกกว่ำ
เนื่ องจำกผำ้ เป็ นสินค ้ำทีเน้
่ นปัจจัยกำรผลิตด ้ำนแรงงำนเป็ นหลัก ทำให ้ประเทศ
A มีสด ั ส่วนของแรงงำนมำก และผลิตผำ้ มำกกว่ำเหล็ก สำหร ับประเทศ B
่ ลก
เส ้นเป็ นไปได ้ในกำรผลิต คือ PPCb ซึงมี ั ษณะลำดเอียงไปทำงเหล็กมำกกว่ำ
เพรำะประเทศ B มีสด
ั ส่วนของทุนมำก ทำใหป้ ระเทศ B
มีกำรผลิตเหล็กมำกกว่ำผำ้ ทำให ้สำมำรถสรุปได ้ว่ำ ประเทศ A
จะส่งออกสินค ้ำผำ้ ไปจำหน่ ำยยังต่ำงประเทศ เพรำะประเทศ A มีแรงงำนมำก
ต ้นทุนค่ำจ ้ำงแรงงำนต่ำ สำหร ับประเทศ B
จะส่งออกเหล็กไปจำหน่ ำยยังต่ำงประเทศ เพรำะประเทศ B
มีปัจจัยกำรผลิตประเภททุนมำกนั่นเอง
ดังนั้นถ ้ำสองประเทศนี เป็
้ นประเทศคูค
่ ้ำกัน ประเทศ A
จะส่งผำ้ ออกและนำเข ้ำเหล็ กจำกประเทศ B ส่วนประเทศ B จะส่งเหล็กออก
และนำเข ้ำผำ้ จำกประเทศ A นั่นเอง
และถ ้ำพิจำรณำโดยละเอียดเปรียบเทียบดุลยภำพในกำรผลิตของทัง้ 2
้ อนและหลังมีกำรค ้ำระหว่ำงประเทศ จะพบว่ำ
ประเทศทังก่

- ก่อนมีการค้าระหว่างประเทศ
ประเทศ A จุดดุลยภำพในกำรผลิต และจุดดุลยภำพในกำรบริโภคจะอยู่
ณ จุดที่ D* ่ นจุดทีเส
ซึงเป็ ่ ้นควำมเป็ นไปได ้ในกำรผลิต PPCa
สัมผัสกับเส ้นควำมพึงพอใจของผูบ้ ริโภคเส ้น CC1
ประเทศ B จุดดุลยภำพในกำรผลิต และจุดดุลยภำพในกำรบริโภคจะอยู่
ณ จุดที่ D ่ นจุดทีเส
ซึงเป็ ่ ้นควำมเป็ นไปได ้ในกำรผลิต PPCb
สัมผัสกับเส ้นควำมพึงพอใจของผูบ้ ริโภคเส ้น CC1
หำกเปรียบเทียบรำคำสัมพัทธ ์ของเหล็กต่อผ้ำของสองประเทศ (px2/px1)
โดยพิจำรณำจำกค่ำควำมชันของเส ้นควำมพอใจของชุมชนเส ้นที่ 1 ณ จุด
D* ของประเทศ A และค่ำควำมชันของเส ้นควำมพอใจของชุมชนเส ้นที่ 1 ณ
จุด D ของประเทศ B จะเห็นได ้ว่ำรำคำสัมพัทธ ์ของเหล็กในประเทศ B
จะถูกกว่ำในประเทศ A (ค่ำควำมชนั ของเส ้นควำมพอใจของผูบ้ ริโภค ณ จุด
D ชันน้อยกว่ำจุด D*)

- หลังมีการค้าระหว่างประเทศ

เมือประเทศมี
ระบบเศรษฐกิจแบบเปิ ด (open economy)
่ กำรติดต่อค ้ำขำยกับต่ำงประเทศแล ้ว
ทีมี
ตำมทฤษฎีของเฮคเชอร ์-
่ ค้ วำมสำคัญแก่สด
โอลินห ์ทีให ั ส่วนโดยเปรียบเทียบของปัจจัยกำรผลิต
่ ควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิ
โดยมีแนวคิดว่ำประเทศจะส่งออกสินค ้ำทีมี
ตอย่ำงเหลือเฟื อ
่ ควำมเข ้มข ้นในกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีขำดแคลน
และจะนำเข ้ำสินค ้ำทีมี ่
จะพบว่ำ
ประเทศ A
่ ควำมได ้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในกำรผลิตผำ้ มำกกว่ำประเทศ B
เป็ นประเทศทีมี
ถ ้ำพิจำรณำเส ้น PPCa จะพบว่ำลักษณะเส ้น PPCa
่ ้ปัจจัยแรงงำนในกำรผลิตเป็ นหลัก
มีควำมโน้มเอียงไปในกำรผลิตผำ้ ทีใช
ส่งผลให ้ประเทศ A หันไปผลิตผำ้ มำกขึน้

ทำให ้จุดดุลยภำพในกำรผลิตเลือนมำอยู ่ทจุ่ี ด F*
่ อยู่ไปผลิตผำ้ มำกขึนในขณะที
เพรำะใช ้ปัจจัยทีมี ้ ่
ลดกำรผลิ ตเหล็กลง
ส่วนจุดดุลยภำพในกำรบริโภคจะเคลือนย ่ ำ้ ยมำอยู่ทจุ่ี ด I*
บนเส ้นควำมพึงพอใจของผูบ้ ริโภคเส ้นที่ 3 ดังนั้นประเทศ A
จะมีผำ้ เหลือในจำนวน F*H* ่ ้องส่งไปแลกกับเหล็กจำนวน
ซึงต H*I*
่ เพียงพอในกำรบริโภค (พิจำรณำสำมเหลียม
ทีไม่ ่ F*I*H*)
ประเทศ B
จะมีควำมได ้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในกำรผลิตเหล็กมำกกว่ำประเทศ A
เพรำะเส ้น PPCb
่ ้ปัจจัยกำรผลิตประเภททุนเป็ นหลัก
มีควำมโน้มเอียงไปในกำรผลิตเหล็กทีใช
ส่งผลให ้ประเทศ B มีปริมำณกำรผลิตเหล็กมำกขึน้

ทำให ้จุดดุลยภำพในกำรผลิตเลือนจำกจุ ด D มำยังจุด F
่ อยู่ไปผลิตเหล็กมำกขึนในขณะเดี
และใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีมี ้ ยวกันก็ลดปริมำณ
กำรผลิตผำ้ ลง ส่วนจุดดุลยภำพในกำรบริโภคจะเคลือนย่ ้ำยมำอยู่ทจุ่ี ด I
บนเส ้นควำมพึงพอใจของผูบ้ ริโภคเส ้นที่ 2 ทำให ้ประเทศ B จะมีเหล็กจำนวน
HF ่ ้องส่งไปแลกกับผำ้ จำนวน
ทีต IH ่ เพียงพอในกำรบริโภค
ทีไม่
(พิจำรณำสำมเหลียม่ FIH)
่ ดขึนหลั
ผลทีเกิ ้ งมีกำรค ้ำระหว่ำงประเทศ

จะพบว่ำทังสองประเทศต่ ้ อเที
ำงมีควำมพอใจสูงขึนเมื ่ ยบกับก่อนมีกำรค ้ำระหว่ำ
งประเทศ
และรำคำสินค ้ำโดยเปรียบเทียบในสินค ้ำสองชนิ ดในสองประเทศจะมีคำ่ เท่ำกัน
(พิจำรณำจำกค่ำควำมชันของเส ้นควำมพอใจของชุมชน เส ้น 2 ทีจุ่ ด I
จะมีคำ่ ควำมชันเท่ำกับค่ำควำมชันของเสน้ ควำมพอใจของชุมชน เสน้ 3 ทีจุ่ ด
I*)
นั่นคือหลังมีกำรค ้ำระหว่ำงประเทศ

(px1/px2)1B = (px1/px2)1 A

และ (px1/px2)1A = (px1/px2)1B


่ ปัจจัยทุนเหลือเฟื อจะส่งสินค ้ำออก
กล่ำวโดยสรุปจะเห็นได ้ว่ำประเทศทีมี
่ ้ทุนมำกในขณะทีประเทศที
ทีใช ่ ่ แรงงำนเหลือเฟื อจะส่งสินค ้ำออกทีใช
มี ่ ้แรงงำน
มำก

5.6.2 ทฤษฎีวา
่ ด้วยความเท่าเทียมก ันของราคาปั จจัยการผลิต
(Factor-Price Equalization Theorem)
กฎของกำรเท่ำกันของรำคำปัจจัยกำรผลิต กล่ำวว่ำ
่ นไปอย่ำงเสรี
กำรค ้ำระหว่ำงประเทศทีเป็

จะนำมำซึงรำคำปั ่ ำเทียมกันทังสองประเทศ
จจัยกำรผลิตทีเท่ ้
โดยควำมหมำยของรำคำปัจจัยในทฤษฎีนีไม่ ้ ได ้มีควำมหมำยในแง่รำคำทร ัพย ์
สินของปัจจัยกำรผลิต ้ วนของเครืองจั
หรือไม่ได ้หมำยถึงในรำคำชินส่ ่ กร

หรือค่ำแรงทังหมดของแรงงำน
่ จะมี
แต่รำคำปัจจัยในทีนี ้ ควำมหมำยในแง่คำ่ เช่ำทีจ่่ ำยใหก้ บ
ั กำรบริกำรของปัจ
จัย ตัวอย่ำงเช่น อัตรำค่ำจ ้ำงสำหร ับกำรบริกำรของคนงำนต่อหนึ่ งช่วงเวลำ
จะเป็ นรำยสัปดำห ์ รำยเดือน หรือรำยปี ก็ได ้
และอัตรำค่ำเช่ำสำหร ับกำรใช ้บริกำรจำกทุน

ซึงกำรค ้ำเสรีจะทำใหร้ ำคำปัจจัยกำรผลิตในสองประเทศเท่ำกัน
่ ้จริงเท่ำกัน
โดยคนงำนในสองประเทศจะได ้ร ับอัตรำค่ำจ ้ำงทีแท
่ ้จริงเท่ำกันเช่นกัน
และทุนในสองประเทศจะได ้ร ับอัตรำค่ำเช่ำทีแท
่ นเช่นนี เพรำะประเทศที
ทีเป็ ้ ่ แรงงำนมำกมักจะทำกำรผลิตสินค ้ำส่งออกทีเน้
มี ่ นก

ำรใช ้แรงงำนเป็ นหลักเพือไปแลกกั ่ นกำรใช ้ทุนเป็ นหลัก
บสินค ้ำทีเน้

และเมือประเทศทำกำรส่งออกสินค ้ำเน้นกำรใช ้แรงงำนมำกก็จะทำให ้มีกำรใช ้แ
รงงำนมำกขึน้ ซึงจะส่
่ งผลให ้แรงงำนเป็ นปัจจัยสำคัญในกำรผลิตสินค ้ำส่งออก

เพือหำรำยได ้เข ้ำประเทศ ทำใหอ้ ต ่ ้จริงในประเทศทีส่
ั รำค่ำจ ้ำงทีแท ่ งออกสูงขึน้
ในขณะเดียวกันประเทศผูน้ ำเข ้ำก็จะลดกำรผลิตสินค ้ำทีใช ่ ้แรงงำนมำกลง
ทำใหอ้ ต ่ ้จริงมีแนวโน้มลดลง
ั รำค่ำจ ้ำงทีแท
่ ้จริงในประเทศทังสองเท่
และท ้ำยสุดอัตรำค่ำจ ้ำงทีแท ้ ำกัน

ซึงเหตุ ้ จะเกิดขึนในประเทศที
กำรณ์เช่นเดียวกันนี ก็ ้ ส่่ งออกสินค ้ำทีเน้
่ นกำรใช ้ปั
จจัยทุนเป็ นหลักเช่นกัน
ใ น ที่ นี ้
่ จะพิ
ขอยกตัวอย่ำงเพือที ่ สูจน์ทฤษฎีควำมเท่ำเทียมกันของรำคำปัจจัยกำรผลิต
โดยก ำหนดให ม ้ ี ป ระเทศอยู่ 2 ประเทศ ได แ้ ก่ ประเทศ A และประเทศ B
โ ด ย ทั้ ง ส อ ง ป ร ะ เ ท ศ เ ป็ น ป ร ะ เ ท ศ คู่ ค ้ ำ กั น
แ ล ะ ก ำ ห น ด ใ ห ้ ร ะ ดั บ เท ค โ น โ ล ยี ข อ ง ทั้ ง ส อ ง ป ร ะ เท ศ เห มื อ น กั น

โดยทังสองประเทศจะท ำกำรผลิต โดยอำศัย ปั จ จัย กำรผลิต สองชนิ ด ได แ้ ก่

แรงงำน (L) และทุน (K) เพือใช ้ในกำรผลิตสินค ้ำประเภทเหล็กและผำ้ ดังนี ้

รูปที่ 1.12 แสดงเส ้นกำรเท่ำเทียมกันของรำคำปัจจัยกำรผลิต

จำกรูปขำ้ งต ้นเป็ นกำรแสดงเสน


้ กำรเท่ำเทียมกันของรำคำปัจจัยกำรผลิ
ต โดยแยกพิจำรณำเป็ นก่อนและหลังทีมี ่ กำรค ้ำระหว่ำงประเทศ ดังนี ้

ก่ อ น มี ก ำ รค ้ำ ระห ว่ ำ งป ระเท ศ ป ระเท ศ A จ ะผ ลิ ต สิ น ค ้ำ ที่ จุ ด A


่ รำคำสัมพัทธ ์ของผำ้ เท่ำกับ OD และอัตรำส่วนของค่ำจ ้ำงต่อค่ำเช่ำเท่ำกับ
ทีมี
OR ในขณะที่ประเทศ B มีกำรผลิต สินคำ้ ณ จุด B ที่มีรำคำสัม พัทธ ์ของผ ำ้
เ ท่ ำ กั บ OS แ ล ะ อั ต ร ำ ส่ ว น ข อ ง ค่ ำ จ ้ ำ ง ต่ อ ค่ ำ เ ช่ ำ เ ท่ ำ กั บ OF
แ ล ะ จ ำ ก ภ ำ ค ส ำ ม ำ ร ถ ส รุ ป ไ ด ้ ว่ ำ ป ร ะ เ ท ศ A
เ ป็ น ป ร ะ เ ท ศ ที่ มี แ ร ง ง ำ น ม ำ ก เ มื่ อ เ ป รี ย บ เ ที ย บ กั บ ป ร ะ เ ท ศ B
โดยพิจำรณำจำกอัตรำค่ำจ ้ำงโดยเปรียบเทียบทีมี ่ ค่ำต่ำกว่ำประเทศ B (OR <
่ คำ่ ต่ำกว่ำประเทศ B (OD < OS)
OF) หรือจำกรำคำผำ้ โดยเปรียบเทียบทีมี

ส ำ ห ร ั บ ห ลั ง มี ก ำ ร ค ้ ำ ข ำ ย ร ะ ห ว่ ำ ง ป ร ะ เ ท ศ ป ร ะ เ ท ศ A
จ ะ ส่ ง ผ ้ ำ เป็ น สิ น ค ้ ำ อ อ ก แ ล ะ น ำ เข ้ ำ เห ล็ ก ใ น ข ณ ะ ที่ ป ร ะ เท ศ B
จะส่งเหล็กเป็ นสินค ้ำออก และนำเข ้ำผำ้ จะทำใหเ้ มือประเทศ ่ A จะส่งผำ้ ออกไป

(พิจำรณำจุด C) จะทำใหร้ ำคำผำ้ โดยเปรียบเทียบจะสูงขึนโดยปร บั รำคำจำก
OG ม ำ อ ยู่ ที่ OH ใ น ข ณ ะ ที่ ป ร ะ เ ท ศ B
่ ำผำ้ เข ้ำมำจะทำให ้รำคำผำ้ โดยเปรียบเทียบจะลดลงโดยปรบั รำคำจำก OI
เมือน
ม ำ อ ยู่ ที่ OH
ส่วนรำคำปัจจัยกำรผลิตก็จะมีกำรปรบั รำคำเช่นกันโดยอัตรำค่ำจ ้ำงโดยเปรียบ
เที ย บ ข อ ง ป ร ะ เท ศ A จ ะ สู ง ขึ ้ น จ ำ ก OD ม ำ อ ยู่ ที่ OE (ป ร ะ เท ศ A
เพิ่มกำรผลิตผำ้ มำกขึน
้ จึงเพิ่มกำรใช ้แรงงำนมำกขึนเมื
้ ่อเปรียบเทียบกับทุน
ท ำ ใ ห ้ อั ต ร ำ ค่ ำ จ ้ ำ ง โ ด ย เ ป รี ย บ เ ที ย บ สู ง ขึ ้ น )
ส่วนอัตรำค่ำจ ้ำงโดยเปรียบเทียบของประเทศ B จะลดลงจำก OF มำอยู่ท่ี OE
(ประเทศ B ลดกำรผลิ ต ผ ำ้ ลง จึง ใช แ้ รงงำนน้อ ยลงเมื่ อเปรีย บเที ย บกับ ทุ น
ทำใหอ้ ต
ั รำค่ำจ ำ้ งโดยเปรีย บเทีย บลดลง) ทำให ห
้ ลังมีก ำรคำ้ ระหว่ำงประเทศ
ทั้งรำคำปั จ จัย กำรผลิ ต และรำคำสิ น ค ำ้ ใน 2 ประเทศมี แ นวโน้ ม เท่ ำ กัน
แ ล ะ ถ ้ ำ ล ำ ก ทั้ ง 3 จุ ด เ ชื่ อ ม ต่ อ กั น จ ะ ไ ด ้ เ ส ้ น Q

ทีแสดงให ่ ลั
เ้ ห็ นถึงควำมสัมพันธ ์ระหว่ำงรำคำปัจจัยกำรผลิตและรำคำสินคำ้ ทีมี

กษณะลำดขึนจำกซ ้ำยไปขวำ (upward sloping)
รู ปที่ 1.12 การเท่าเทียมก ันในราคาปั จจัย

5.6.3 ทฤษฎีสโตเพิล-ซามู เอลสัน หรือ สโตเปอร ์-แซมมวลสัน

ทฤษฎีสโตเพิล-ซำมูเอลสัน (Stolper-Samuelson Theorem)


่ี กษำเกียวกั
เป็ นทฤษฎีทศึ ่ ี ำรตัง้
บผลกำรใช ้มำตรกำรคุ ้มกันทำงกำรค ้ำโดยวิธก
่ี ตอ
กำแพงภำษีทมี ่ กำรกระจำยรำยได ้ระหว่ำงประเทศ (The Effects of a
Tariff on the Income Distribution)
้ ้มีกำรนำเอำหลักกำรสำคัญในทฤษฎีของเฮคเชอร ์-
โดยทฤษฎีนีได
่ ้กล่ำวว่ำประเทศจะนำเข ้ำสินค ้ำทีเน้
โอลินห ์ทีได ่ นใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีตนมี
่ อยู่ใน
ประเทศน้อย
่ นใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีตนมี
และจะส่งออกสินค ้ำทีเน้ ่ อยู่ในประเทศมำก
โดยกำรเน้นใช ้ปัจจัยกำรผลิตในกำรผลิตสินค ้ำใดก็ตำม

จะไม่เปลียนกลั ่
บไม่ว่ำรำคำปัจจัยกำรผลิตจะเปลียนแปลงไปอย่ ำงไรก็ตำม
โดยหลักกำรข ้ำงต ้นเป็ นทฤษฎีเฮคเชอร ์-
่ กนำมำประยุกต ์ใช ้ในทฤษฎีสโตเพิล-ซำมูเอลสัน
โอลินห ์ทีถู

นอกจำกนี ภำยใต ้ทฤษฎีสโตเพิล-

ซำมูเอลสันยังมีข ้อสมมติเกียวกั ่ กสองประกำร ได ้แก่
บผลของภำษีขำเข ้ำเพิมอี
้ ำแพงภำษีจะมีผลทำให ้รำคำภำยในประเทศของสินค ้ำทีผลิ
1. กำรตังก ่ ต
่ งขึนเมื
แข่งขันกับสินค ้ำนำเข ้ำเพิมสู ้ อเปรี
่ ยบเทียบกับรำคำสินค ้ำส่งออ

้ ำแพงภำษีจะไม่ทำให ้แบบแผนกำรค ้ำเปลียนแปลงไป
2. กำรตังก ่
จำกข ้อสมมติข ้ำงต ้น
่ อยู่นอ้ ยโดยเปรียบเทียบสูงขึน้
จะมีผลทำให ้รำคำของปัจจัยกำรผลิตทีมี
่ ยบเทียบกับรำคำปัจจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ ง
เมือเปรี

หรือเมือเปรี ยบเทียบกับรำคำสินค ้ำชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ ง

ซึงในที ่ สำมำรถอธิ
นี ้ บำยหลักกำรของทฤษฎีนีได ้ ้โดยสมมติใหป้ ระเทศ A
่ ปัจจัยกำรผลิตแรงงำนน้อย
เป็ นประเทศทีมี
และมีปัจจัยกำรผลิตและสินค ้ำประเภททุนมำก โดยประเทศ A มีกำรผลิตสินค ้ำ
่ นปัจจัยกำรผลิตทุนเป็ นหลัก และสินค ้ำ X2
2 ชนิ ด คือ สินค ้ำ X1 ทีเน้
่ นปัจจัยกำรผลิตแรงงำนเป็ นหลัก ดังนี ้
ทีเน้

รูปที่ 3.24 กำรพิสูจน์ทฤษฎีสโตเพิล-ซำมูเอลสัน

จำกรูปภำพข ้ำงต ้น จะเห็นได ้ว่ำ ประเทศ A


มีปัจจัยกำรผลิตประเภททุนมำก จะเห็นได ้จำกเส ้น OA1AQ ของประเทศ A
มีควำมโน้มเอียงไปทำงปัจจัยกำรผลิตประเภททุน
โดยจะอยู่เหนื อเส ้นทะแยงมุมของกล่อง OQ ทำให ้ประเทศ A
เหมำะแก่กำรส่งออกสินค ้ำ X1 ไปจำหน่ ำยยังต่ำงประเทศ และนำเข ้ำสินค ้ำ X2
่ นสินค ้ำทีเน้
ซึงเป็ ่ นใช ้ปัจจัยแรงงำนจำกต่ำงประเทศ

และเมือประเทศจ ่
ำต ้องนำเข ้ำสินค ้ำ X2 จำกประเทศอืน
่ นกำรปกป้ องอุตสำหกรรมและผูผ
เพือเป็ ่ ตสินค ้ำ X2
้ ลิตภำยในประเทศทีผลิ
้ ำแพงภำษีสน
ประเทศจึงจำเป็ นจะต ้องมีกำรตังก ิ ค ้ำ X2
่ ำเข ้ำมำจำกต่ำงประเทศ โดยจำกรูปภำพที---
ทีน ่
จะแสดงให ้เห็นถึงปริมำณกำรผลิตสินค ้ำ X1 และสินค ้ำ X2 ของประเทศ A
้ อนและหลังตังก
ทังก่ ้ ำแพงภำษีขำเข ้ำ

นอกเหนื อจำกนี ้ จำกภำพที่ ---- ยังแสดงให ้เห็นถึงจุด A



ทีแสดงถึงจำนวนกำรผลิตสินค ้ำ X1 และ X2
้ ำแพงภำษีสน
ก่อนมีกำรตังก ิ ค ้ำขำเข ้ำ และจุด A1

เป็ นจุดทีแสดงถึงจำนวนกำรผลิตสินค ้ำ X1 และสินค ้ำ X2
ภำยหลังกำรตังก้ ำแพงภำษีสน
ิ ค ้ำขำเข ้ำ X2 ของประเทศ A
จำกข ้อสมมติทฤษฎีสโตเพิล-ซำมูเอลสัน ได ้กล่ำวไว ้ว่ำ
่ กำรตังก
เมือมี ้ ำแพงภำษีสน
ิ ค ้ำขำเข ้ำแล ้วนั้น
่ ้องมีกำรนำเข ้ำจำกต่ำงประเทศคือสินค ้ำ X2 มีรำคำสูงขึน้
จะทำให ้สินค ้ำทีต
่ ยบกับรำคำสินค ้ำ X1 ทีเป็
เมือเที ่ นสินค ้ำส่งออก
และผูผ้ ลิตจะทำกำรโยกย ้ำยปัจจัยกำรผลิตจำกอุตสำหกรรมกำรส่งออก คือ
สินค ้ำ X1 ไปยังอุตสำหกรรมกำรผลิตสินค ้ำ X2
่ ้องผลิตสินค ้ำแข่งขันกับสินค ้ำนำเข ้ำชนิ ดเดียวกันจำกประเทศอืน
ทีต ่ นั่นคือ
มีกำรย ้ำยจำกจุด A ไปยังจุด A1
ทำให ้มีสด ่
ั ส่วนกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตของประเทศมีกำรเปลียนแปลงไป

ซึงจะส่ งผลให ้สัดส่วนของรำคำปัจจัยกำรผลิต (w/r หรือ MMPL /MMPK )

มีกำรเปลียนแปลงตำมไปด ้วย นั่นคือ ค่ำจ ้ำงแรงงำน (w) ในประเทศ A
่ อเป็ นปัจจัยทีมี
ทีถื ่ อยู่อย่ำงขำดแคลนจะเพิมสู ่ งขึน้ ในขณะทีรำคำของปั
่ จจัยทุน
่ นปัจจัยกำรผลิตทีมี
(r) ซึงเป็ ่ อยู่อย่ำงเหลือเฟื อจะลดต่ำลง
่ งขึน้
ทำใหค้ ำ่ สัดส่วนของรำคำปัจจัยกำรผลิตเพิมสู

และเพือให ้ วอย่ำงประกอบกำรอธิบำย ดังนี ้
เ้ ข ้ำใจง่ำยขึนจะขอยกตั
้ ำแพงภำษี
- ก่อนกำรตังก

สมมติให ้รำคำปัจจัยกำรผลิต (w) เท่ำกับ 10 และรำคำปัจจัยทุน (r) เท่ำกับ 5

สัดส่วนของรำคำปัจจัยกำรผลิต (w/r) = 10/5 = 2


้ ำแพงภำษี
-หลังตังก
่ กำรโยกย ้ำยปัจจัยกำรผลิตเพือให
เมือมี ่ ้อุตสำหกรรมภำยในประเทศสำมำรถแ
ข่งขันกับสินค ้ำนำเข ้ำจำกต่ำงประเทศได ้ ทำให ้รำคำปัจจัยกำรผลิต (w)
่ งขึนจำกเดิ
เพิมสู ้ ม 10 เป็ น 20 และรำคำของปัจจัยทุน (r) ลดลงจำกเดิม 5
เป็ น 4 ทำให ้

สัดส่วนรำคำปัจจัยกำรผลิตใหม่ (w/r) = 12/4 = 3

กล่ำวโดยสรุป จะเห็นได ้ว่ำ


้ ำแพงภำษีจะมีผลทำให ้รำคำสินค ้ำภำยในประเทศของสินค ้ำทีผลิ
กำรตังก ่ ตแข่ง
่ งขึนเมื
ขันกับสินค ้ำนำเข ้ำเพิมสู ้ อเที
่ ยบกับรำคำสินค ้ำส่งออก
และจะทำใหร้ ำคำปัจจัยกำรผลิต (w) สูงขึน้ และรำคำปัจจัยทุน (r) ลดลง
่ นนั
ส่งผลให ้สัดส่วนรำคำปัจจัยกำรผลิตเพิมขึ ้ ่ นเอง

5.6.4 ทฤษฎีของริบซินสกี (Rybczynski Theorem)

ทฤษฎีรบิ ชินสกี
่ี
เป็ นทฤษฎีทแสดงถึ ่
งกำรเปลียนแปลงของปั จจัยกำรผลิตชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ งทีส่
่ ง
ผลกระทบต่อระดับกำรผลิต โดยกำหนดให ้ ปัจจัยกำรผลิตมี 2
ชนิ ดและปัจจัยกำรผลิตชนิ ดหนึ่ งมีจำนวนเปลียนแปลงไป

่ จจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ งมีจำนวนคงที่
ในขณะทีปั
และระดับรำคำสินค ้ำและรำคำปัจจัยกำรผลิตคงทีด่ ้วย
โดยสำมำรถอธิบำยได ้ดังรูปภำพที่ กำหนดให ้เส ้น KK
เป็ นเส ้นแสดงข ้อจำกัดของสินค ้ำประเภททุน (capital constraint) และเส ้น
LL เป็ นเส ้นแสดงข ้อจำกัดของปัจจัยแรงงำน (labor constraint) สมมติให ้
ประเทศทำกำรผลิตสินค ้ำ 2 ประเภท คือ ผำ้ (X) และเหล็ก (Y)
ระดับกำรผลิตบนเส ้น PPCA ของประเทศจะดุลยภำพทีจุ่ ด A คือจุดทีเส
่ ้น LL
เส ้น KK และเสน้ PPC A ตัดกันพอดี

ในระยะเวลำต่อมำมีกำรอพยพแรงงำนจำกประเทศเพือนบ ้ำนเข ้ำมำยังประเทศม
่ น้ อีกทังประชำกรซึ
ำกยิงขึ ้ ่ ่ในวัยกำลังแรงงำนมีเพิมขึ
งอยู ่ น้
่ น้ ทำใหเ้ ส ้น LL
ส่งผลให ้ปัจจัยกำรผลิตแรงงำนในประเทศเพิมขึ

เลือนไปทำงขวำเป็ นเส ้น LL1 เกิดดุลยภำพใหม่ทจุ่ี ด B (จุดทีเส
่ น้ KK เส ้น LL1

และเส ้น PPCB ตัดกันพอดี) และเมือเปรียบเทียบดุลยภำพเดิมกับดุลยภำพใหม่

จะพบว่ำ เมือประเทศมี ่ ้ในกำรผลิตมำกขึน้
จำนวนแรงงำนทีใช

ประเทศจะมีกำรผลิตผำ้ มำกขึนตำมไปด ้วย
่ ้แรงงำนเป็ นหลักในกำรผลิต
เพรำะผำ้ เป็ นสินค ้ำทีใช
โดยปริมำณผลผลิตผำ้ จะเพิมสู ่ งขึนจำกเดิ
้ ม OX1 เป็ น OX2
และผลิตเหล็กได ้ลดลงจำกเดิม OY1 เป็ น OY2
เนื่ องจำกในกำรผลิตเหล็กเน้นปัจจัยกำรผลิตประเภททุนเป็ นหลัก
และสินค ้ำประเภททุนไม่มป ้
ี ริมำณมำกขึนในประเทศ

รูปที่ 3.25 แสดงจุดดุลยภำพในกรณี ทปั


่ี จจัยแรงงำนเพิมขึ
่ น้


สำหร ับในกรณี ปัจจัยกำรผลิตประเภททุนเพิมมำกขึน้

จะมีกำรเปลียนแปลงเส ้นแสดงข ้อจำกัดของทุน ดังนี ้
รูปที่ 3.26 แสดงจุดดุลยภำพในกรณี ทปั
่ี จจัยทุนเพิมขึ
่ น้

จำกรูปภำพข ้ำงต ้น
่ี ้นแสดงข ้อจำกัดของปัจจัยทุนเปลียนแปลงไ
เป็ นกำรแสดงแผนภำพในกรณี ทเส ่
ป โดยเส ้น KK เป็ นเส ้นแสดงข ้อจำกัดของสินค ้ำประเภททุน และเส ้น LL
เป็ นเส ้นแสดงข ้อจำกัดของปัจจัยแรงงำน โดยจุด A เป็ นจุดดุลยภำพเดิม
ประเทศผลิตผำ้ OX1 และผลิตเหล็ก OY1
ิ ค ้ำประเภททุนมำกขึน้ ทำให ้เส ้น KK
ต่อมำประเทศมีสน

เลือนจำกเดิมไปทำงขวำมือได ้เส ้นใหม่เป็ นเส ้น KK1 และเส ้น PPC

จะเคลือนตั ่ ำให ้ระดับกำรผลิตเหล็ กเพิมขึ
วในลักษณะทีท ่ น้ ทำให ้ได ้จุด B
เป็ นจุดดุลยภำพใหม่มก ี ำรผลิตผำ้ ลดลงจำกเดิม OX1 เป็ น OX2
่ นจำกเดิ
และผลิตเหล็ กเพิมขึ ้ ม OY1 เป็ น OY2

กล่ำวสรุปได ้ว่ำ โดยทัวไปแล ้ว
่ นของปั
กำรเพิมขึ ้ จจัยกำรผลิตชนิ ดใดชนิ ดหนึ่ งในประเทศ
่ จจัยกำรผลิตอีกชนิ ดหนึ่ งมีจำนวนคงที่
โดยทีปั
่ นใช ้ปัจจัยกำรผลิตทีเพิ
ผลผลิตของสินค ้ำทีเน้ ่ มขึ
่ นนั
้ ้นจะมีจำนวนเพิมขึ
่ นตำมไ

ปด ้วย

ในขณะทีผลผลิ ่ นกำรใช ้ปัจจัยกำรผลิตชนิ ดทีมี
ตของสินค ้ำทีเน้ ่ จำนวนคงทีเป็

นปัจจัยหลักจะมีจำนวนลดลง

5 .7 ก า ร ท ด ส อ บ ข อ งลี อ อ น เที ย ฟ พ า ร า ด อ ค ( The Leontief


Paradox)
ก ำ ร ท ด ส อ บ ท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์ -
่ กเศรษฐศำสตร ์ส่วนใหญ่ในอเมริกำเชือว่
โอห ์ลินเกิดจำกกำรทีนั ่ ำแรงงำนเป็ นสิ่
ง ที่ ห ำ ไ ด ้ ย ำ ก แ ล ะ เ ป็ น ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต ที่ มี ร ำ ค ำ แ พ ง
ข ณ ะที่ ทุ น จ ะมี อ ย่ ำ ง เห ลื อ เฟื อ แ ล ะเป็ น ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต ที่ มี ร ำ ค ำ ถู ก
แ บ บ จ ำ ล อ ง ข อ ง เ ฮ ค เ ซ อ ร ์ โ อ ห ์ ลิ น
สำมำรถใช ้พยำกรณ์กำรส่งสินค ้ำออกของประเทศสหร ัฐอเมริกำว่ำเป็ นสินค ้ำที่
ใ ช ้ ปั จ จั ย ทุ น เ ข ้ ม ข ้ น ใ น ก ำ ร ผ ลิ ต
ขณ ะที่ สิ น ค ำ้ น ำเข ำ้ จะเป็ นสิ น ค ำ้ ที่ ใช ป
้ ั จจัย แรงงำนเข ม
้ ขน
้ ในกำรผ ลิ ต

แต่จำกควำมเชือเหล่ ้ ถูกโต ้แย ้งโดยนักเศรษฐศำสตร ์ท่ำนหนึ่ งทีกล่
ำนี ก็ ่ ำวว่ำทฤ
ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์-โ อ ลิ น ห ์ ไ ม่ เป็ น ค ว ำ ม จ ริ ง แ ล ะ ไ ด ้ ท ำ ก ำ ร พิ สู จ น์
โ ด ย นั ก เ ศ ร ษ ฐ ศ ำ ส ต ร ์ ท่ ำ น นั้ น คื อ Wassily W. Leontief
ศ ำ ส ต ร ำ จ ำ ร ย ์ ท ำ ง เ ศ ร ษ ฐ ศ ำ ส ต ร ์ม ห ำ วิ ท ย ำ ลั ย ฮ ำ ร ์เ วิ ร ์ด
ประเทศสหรฐั อเมริกำซึงได ่ ร้ บั รำงวัล Nobel Prize สำขำเศรษฐศำสตร ์ในปี
ค . ศ . 1 9 7 3
้ ก็
และผลกำรศึกษำชินนี ้ ได ้ก่อใหเ้ กิดควำมฉงนสนเทห ์ขึนในวงกำรนั
้ กเศรษฐศ
ำ ส ต ร์ อ ย่ ำ ง ก ว้ ำ ง ข ว ำ ง
ั กำรขนำนนำมว่ ำ เป็ นควำมขัด แย ง้ ของลีอ อนเทีย ฟ หรือ ที่เรีย กว่ ำ
จนได ร้ บ
Leontief Paradox นั่นเอง

ลี อ อ น เ ที ย ฟ (Leontief)
์ ่ี ก ล่ ำวว่ ำ
ได ้ท ำก ำ รท ด ส อ บ ส ม ม ติ ฐ ำน ข อ งท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เช อ ร -์ โอ ลิ น ห ท
ประเทศใดที่มี ปั จ จัย กำรผลิต ชนิ ด ไหนมำกโดยเปรีย บเทีย บกับ ประเทศอื่น
ป ระเท ศ นั้ น ก็ จ ะส่ งออ ก สิ น ค ้ำ ที่ ใช ป
้ ั จ จั ย ก ำรผ ลิ ต ช นิ ด ที่ ต น มี อ ยู่ ม ำ ก
แล ะจ ะน ำเข ้ำ สิ น ค ้ำ ที่ ป ระเท ศ ต น มี ปั จ จั ย ก ำรผ ลิ ต อยู่ อ ย่ ำ งข ำด แค ล น
ยกตัว อย่ ำ งเช่น ก ำหนดให ม ้ ี ป ระเทศอยู่ 2 ประเทศ ได แ้ ก่ ประเทศ A และ
ป ร ะ เ ท ศ B ซึ่ ง ทั้ ง 2 ป ร ะ เ ท ศ มี ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต 2 ช นิ ด คื อ
ปั จ จัย กำรผลิต ประเภททุ น (K) และ ปั จ จัย แรงงำน (L) ในกำรผลิต สิน ค ำ้ 2
ช นิ ด คื อ X ที่ เน้ น ก ำ ร ใ ช ้ ทุ น เป็ น ห ลั ก ใ น ก ำ ร ผ ลิ ต แ ล ะ สิ น ค ้ ำ Y
่ นแรงงำนเป็ นหลักในกำรผลิต
ทีเน้
กำหนดให ้สัดส่วนทุนต่อแรงงำน ได ้แก่
K K
( ) >( )
L A L B

K K w
และ ( ) > ( ) ณ ทุกระดับ
L
X L
Y
r

ต ำ ม ห ลั ก ก ำ ร ข อ ง ท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์ -
โ อ ห ์ ลิ น จ ะพิ จ ำ ร ณ ำ สั ด ส่ ว น โ ด ย เป รี ย บ เที ย บ ข อ ง ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต
แ ล ะจ ำ ก สั ด ส่ ว น ทุ น ต่ อ แ ร ง ง ำ น ข ้ ำ ง ต ้ น จ ะเห็ น ไ ด ้ว่ ำ ถ ้ ำ ป ร ะเท ศ A
มี ปั จ จัย กำรผลิ ต สิ น ค ำ้ ประเภททุ น มำกกว่ ำ ประเทศ B แสดงว่ ำ ประเทศ A
ใช ้สัดส่วนทุนต่อแรงงำนในกำรผลิตสินคำ้ มำกกว่ำประเทศ B ทำใหป้ ระเทศ A
ค ว ร จ ะ ส่ ง สิ น ค้ ำ X
่ นกำรใช ้ทุนเป็ นหลักในกำรผลิตเป็ นสินค ้ำส่งออกของประเทศ
ทีเน้
โ ด ย ใ น ก ำ ร ท ด ส อ บ ท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์ -
โ อ ลิ น ห ์ ว่ ำ เ ป็ น ไ ป ต ำ ม ส ม ม ติ ฐ ำ น ข ้ ำ ง ต ้ น ห รื อ ไ ม่ นั้ น
ลี อ อ น เ ที ย ฟ ไ ด ้ ท ำ ก ำ ร ท ด ส อ บ ส ม ม ติ ฐ ำ น ที่ ว่ ำ ถ ้ ำ ป ร ะ เ ท ศ A
มี อั ต ร ำ ส่ ว น ทุ น ต่ อ แ ร ง ง ำ น (K/L) ทั้ ง ห ม ด สู ง ก ว่ ำ ป ร ะ เท ศ อื่ น ๆ
อั ต ร ำ ส่ ว น ทุ น ต่ อ แ ร ง ง ำ น ใ น ก ำ ร ผ ลิ ต สิ น ค ้ ำ X ข อ ง ป ร ะ เท ศ A
ย่อมจะตอ้ งสูงกว่ำอัตรำส่วน K/L ในกำรผลิตสิน คำ้ ทีแข่ ่ งขันกับสินคำ้ นำเขำ้
(import competing products) ของประเทศ A
โ ด ย ลี อ อ น เ ที ย ฟ ไ ด ้ เ ลื อ ก วิ ธี วิ เ ค ร ำ ะ ห ์ ที่ เ รี ย ก ว่ ำ
“ต ำ ร ำ ง ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต แ ล ะ ผ ล ผ ลิ ต ( input-output table)”
ม ำ ใ ช ้ ใ น ก ำ ร ท ด ส อ บ ส ม ม ติ ฐ ำ น ดั ง ก ล่ ำ ว
โ ด ย น ำ ข ้ อ มู ล ก ำ ร ใ ช ้ ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต แ ล ะ ผ ล ผ ลิ ต ปี ค .ศ . 1 9 4 7
ของประเทศสหร ฐั อเมริก ำที่มี อ ยู่ 192 ภำคกำรผลิ ต มำจัด กลุ่ ม ให เ้ ป็ น 50
ก ลุ่ ม ก ำ ร ผ ลิ ต แ ล ะ ใ น 5 0 ก ลุ่ ม ก ำ ร ผ ลิ ต นี ้ ก็ มี 3 8
ก ลุ่ ม ที่ มี ก ำ ร ติ ด ต่ อ ค ้ ำ ข ำ ย กั บ ต ล ำ ด โ ล ก
และสำหรบั ข ้อมูลด ้ำนปัจจัยกำรผลิตก็จำแนกออกเป็ น 2 ประเภท คือ ปัจจัยทุน
(K) และปั จ จัย แรงงำน (L) จำกนั้ นก็ ท ำกำรค ำนวณ หำใน 2 ด ำ้ นด ว้ ยกัน
ด ้ำนแรกเป็ นกำรคำนวณหำจำนวนแรงงำนและทุนทีใช ่ ้ในกำรผลิตสินค ้ำส่งออ
ก ข อ ง ส ห ร ั ฐ อ เม ริ ก ำ ใ น มู ล ค่ ำ ห นึ่ ง ล ้ ำ น ด อ ล ล ำ ร ส
์ ห ร ั ฐ อ เม ริ ก ำ

และดำ้ นทีสองเป็ นกำรคำนวณหำจำนวนแรงงำนและทุนทีใช ่ ้ในกำรผลิตสินคำ้
่ งขันกับสินค ้ำนำเข ้ำของสหรฐั อเมริกำในมูลค่ำหนึ่ งล ้ำนดอลลำร ์สหร ัฐอเม
ทีแข่
ริ ก ำ
่ ได ้มีกำรผลิตแข่งขันในสหร ัฐอเมริกำอยู่ในระดับค
โดยสมมติให ้สินค ้ำนำเข ้ำทีมิ
งที่

กำหนดให ้ L = จ ำ น ว น ค น ปี ( man-year)
ของแรงงำนต่อผลผลิตหนึ่ งล ้ำนดอลลำร ์
K = จ ำน วน ทุ น (เค รื่อ งจั ก ร สิ่ งป ลู ก ส ร ำ้ ง อุ ป ก รณ์
สินค ้ำคงคลัง ฯลฯ)
ต่อผลผลิตหนึ่ งล ้ำนดอลลำร ์
Xi = มูลค่ำผลผลิตของอุตสำหกรรม i
Xij = มู ล ค่ ำ ผ ล ผ ลิ ต ข อ ง อุ ต ส ำ ห ก ร ร ม i
่ ้ในอุตสำหกรรม j
ทีใช
้ ดท ้ำย (final demand) ต่อผลผลิต i
Yi = อุปสงค ์ขันสุ

ดังนั้น Xi = Xij + Yi
j


ในเมือ Xij =
Xij
Xj
Xj

่ คอื
ซึงก็ Xij = aij Xj

โดยที่ aij
Xij
=
Xj
ดั ง นั้ น aij ก็ คื อ ค่ ำ สั ม ป ร ะสิ ท ธิ ์ปั จ จั ย ผ ล ผ ลิ ต ห รื อ input-out
coefficient นั่ น เอ ง ถ ้ ำ ร ะ บ บ เศ ร ษ ฐ กิ จ ข อ ง เร ำ มี อุ ต ส ำ ห ก ร ร ม n
อุตสำหกรรมเรำก็อำจนำค่ำสัมประสิทธิ ์ aij เหล่ำนั้ นมำเรียงในรูปของเมทริกซ ์
A = [aij] ได ้ดังนี ้

Output
1 2 3......................N
Input
1 a11 a12 a13……a1n
2 a21 a22 a23……a2n
3 a31 a32 a33……a3n
- -
- -
- -
n an1 an2 an3……ann


เมือเรำคำนึ งถึง Final demand ด ้วยแล ้ว เรำก็จะได ้ X =
AX + Y
และ [1-A]X = Y

ดังนั้น X = [1-A]-1Y

โ ด ย ที่ [1-A]-1 คื อ inverse matrix


ซึ่ ง แ ส ด ง ถึ ง ค ว ำ ม ต ้ อ ง ก ำ ร ใ ช ้ ใ น ก ำ ร ผ ลิ ต ( requirements)

ทังทำงตรงและทำงอ ้อมในกำรสนองอุปสงค ์ขันสุ ้ ดท ้ำยในแต่ละอุตสำหกรรม
ส ม ม ติ ใ ห้ Ld
หมำยถึ ง ควำมต อ้ งกำรใช แ้ รงงำนทำงตรงต่ อ ผลผ ลิ ต หนึ่ งหน่ วย ดัง นั้ น

ควำมตอ้ งกำรใช ้แรงงำนรวม (Lt) ทังทำงตรงและทำงอ อ้ ม (total direct and

indirect labor requirement) ในกำรทีจะผลิ ตผลผลิตหนึ่ งหน่ วยก็คอื
Ld[1-A]-1 = Lt

โดยที่ Ld เป็ น row matrix ที่ มี มิ ติ เ ท่ ำ กั บ (1 x n) และ[1-A]-1 คื อ


่ มิติ
inverse matrix ทีมี (n x n) ส่วน Lt คือ row matrix ทีมี ่ มิติ (1 x
n) สำหรบั แรงงำนทีต่ อ้ งกำรใช ้ในกำรผลิตสินคำ้ ส่งออกหนึ่ งลำ้ นดอลลำร ์ (E)
ก็คำนวณได ้จำก

L[1-A]-1E = L̅X

โดยที่ L[1-A]-1 มีมิติเท่ำกับ (1 x n) และ E คือ matrix ที่มีมิติเท่ำกับ


( n x 1) ท ำ ใ ห้ ไ ด้ L̅X
ซึ่ ง ก็ คื อ จ ำ น ว น แ ร ง ง ำ น ที่ ใ ช ้ ใ น ก ำ ร ผ ลิ ต สิ น ค ้ ำ ส่ ง อ อ ก นั่ น เอ ง
ส ำ ห ร ั บ อุ ต ส ำ ห ก ร ร ม ที่ แ ข่ ง ขั น กั บ สิ น ค ้ ำ น ำ เ ข ้ ำ ( Mc)
เรำก็คำนวณควำมต ้องกำรใช ้แรงงำน L̅ Mc ได ้จำก

L[1-A]-1Mc = L̅Mc

ในส่วนของทุนเรำก็จะสำมำรถคำนวณหำควำมต ้องกำรใช ้ทุนเพื่อกำรผ


ลิ ต สิ น ค้ ำ ส่ ง อ อ ก ( K ̅ X)
่ ้ในกำรผลิตสินค ้ำทีแข่
และควำมตอ้ งกำรของทุนทีใช ่ งขันกับสินค ้ำนำเข ้ำ K
̅Mc
ได ้ในทำนองเดียวกัน

5.8 ผลการทดสอบทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลิน


จำกกำรทดสอบตำมหลัก ตำรำงปั จ จัย กำรผลิ ต และผลผลิ ต ข ำ้ งต น

ผลกำรทดสอบสำมำรถแสดงได ้ดังตำรำง ต่อไปนี ้
ดั ง ก ล่ ำ ว ป ร ำ ก ฏ ผ ล ที่ ท ำ ใ ห ้ ตั ว Leontief เ อ ง
์ ้ั ง ห ล ำ ย ต ้ อ ง ผิ ด ค ำ ด ไ ป ต ำ ม ๆ กั น
แ ล ะบ ร ร ด ำ นั ก เศ ร ษ ฐ ศ ำ ส ต ร ท
ตัวเลขควำมต ้องกำรใช ้แรงงำนและควำมต ้องกำรใช ้ทุนทีค ่ ำนวณได ้นั้นแสดงอ
ยู่ในตำรำงที่ 2.1

ต า ร า ง ที่ -----
ความต้อ งการใช้ทุ น และแรงงานของประเทศสหร ฐั อเมริก าในปี
ค.ศ.1947
ห น่ ว ย :
พันล้านเหรียญสหร ัฐอเมริกา
อุตสาหกรรมส่งออก อุตสาหกรรมแข่งขันกบ
ั สินค้านาเข้า
ทุน (K) 2,5550 3,091
แรงงำน 182 170
(L) 13.9 18.1
อัต รำส่ ว น
K/L

่ : ลีออนเทียฟ (1953)
ทีมา

จ ำ ก ต ำ ร ำ ง ข ้ ำ ง ต ้ น ส ำ ม ำ ร ถ ส รุ ป ไ ด ้ ว่ ำ ใ น ปี ค .ศ . 1974
ป ร ะ เ ท ศ ส ห ร ั ฐ อ เ ม ริ ก ำ มี สั ด ส่ ว น ทุ น ต่ อ แ ร ง ง ำ น (K/L)
ข อ ง อุ ต ส ำ ห ก ร ร ม ส่ ง อ อ ก เ ท่ ำ กั บ 1 3 .9
และมีส ด
ั ส่ ว นทุ น ต่ อ แรงงำนของอุต สำหกรรมแข่ ง ขัน กับ สิน ค ำ้ น ำเข ำ้ 18.1
หมำยควำมว่ำอุตสำหกรรมส่งออกใช ้สัดส่วนทุนต่อแรงงำนในกำรผลิตสินค ้ำส่
ง อ อ ก น้ อ ย ก ว่ ำ สิ น ค ้ ำ ที่ มี ก ำ ร แ ข่ ง ขั น กั บ สิ น ค ้ ำ น ำ เ ข ้ ำ
ซึ่ ง ผ ล ที่ ไ ด ้ ขั ด แ ย ้ ง กั บ ท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์ -โ อ ลิ น ห ์
่ ำวว่ำประเทศทีมี
ทีกล่ ่ ปัจจัยกำรผลิตชนิ ดใดมำกโดยเปรียบเทียบกับประเทศอืน ่
ก็ ย่ อ มจะส่ ง ออกสิ น ค ำ้ ที่ใช ป้ ั จ จัย กำรผลิ ต นั้ นอย่ ำ งเข ม
้ ขน
้ ในทำงกลับ กัน
ถ ้ำ ป ร ะเท ศ ใด มี ปั จ จั ย ก ำ ร ผ ลิ ต น้ อ ย โด ย เป รีย บ เที ย บ กั บ ป ระเท ศ อื่ น
ก็ ย่ อ ม จ ะ น ำ เ ข ้ ำ สิ น ค ้ ำ นั้ น ๆ จ ำ ก ต่ ำ ง ป ร ะ เ ท ศ
แ ล ะ ถ ้ ำ เ ป็ น ไ ป ต ำ ม ส ม ม ติ ฐ ำ น ข อ ง ท ฤ ษ ฎี เ ฮ ค เ ช อ ร ์ -โ อ ลิ น ห ์
่ ออนเทียฟคำนวณได ้ควรจะมีอต
ผลทีลี ั รำส่วนทุนต่อแรงงำนของอุตสำหกรรมส่
ง อ อ ก ค ว ร มี ค่ ำ ม ำ ก ก ว่ ำ อุ ต ส ำ ห ก ร ร ม แ ข่ ง ขั น กั บ สิ น ค ้ ำ น ำ เข ้ ำ
เพรำะคนส่วนใหญ่มก ั มีควำมเข ้ำใจว่ำประเทศอเมริกำเป็ นประเทศทีมี ่ สน ิ ค ้ำทีใ่
ช ้ปั จ จัยทุนเขม้ ขน ั รำส่วนทุนต่อแรงงำนมำก ดังนั้ น
้ ในกำรผลิตมำก และมีอต
่ อต
สินค ้ำส่งออกของประเทศอเมริกำน่ ำจะเป็ นสินค ้ำทีมี ั รำส่วนทุนต่อแรงงำนสูง
กว่ำสินค ้ำนำเข ้ำ
โดยผลกำรศึกษำของลีออนเทียฟได ้รบั กำรวิพำกษ ์วิจำรณ์อย่ำงกว ้ำงขว
้ ี ผู ้น ำวิ ธ ี ก ำรศึ ก ษ ำนี ้ ไป ทดส อบ กั บ ข อ
ำง และได ม ้ มู ลข องป ระเท ศ อื่ น ๆ
และผลกำรศึกษำก็ได ้ผลลัพธ ์ทังที ้ สนั
่ บสนุ นบำ้ งและขัดแยง้ กับทฤษฎีเฮคเชอร ์-
โอลิน ห บ์ ำ้ ง ทำให ใ้ นปั จ จุบ น
ั ยังไม่ ส ำมำรถสรุป แน่ ชัด ได ว้ ่ำทฤษฎีเฮคเชอร ์-
โ อ ห ์ ลิ น ส ำ ม ำ ร ถ อ ธิ บ ำ ย รู ป แ บ บ ก ำ ร ค ้ ำ ไ ด ้ ดี เ พี ย ง ใ ด
้ มข
เพรำะงำนแต่ละชินก็ ี ้อจำกัดในแง่ของวิธก ่ ำใหไ้ ม่สำมำรถทดสอ
ี ำรศึกษำทีท
บทฤษฎีเฮคเชอร ์-โอห ์ลินได ้อย่ำงถูกต ้องนัก

----------------------------------------------------------------

You might also like