You are on page 1of 166

เอกสารประกอบคูมือครู

กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย

ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 สําหรับครู

ลักษณะเดน คูมือครู Version ใหม


ขยายพื้นที่รูปเลมใหญขึ้นกวาเดิม จัดแบงพื้นที่ออกเปนโซน
เพื่อคนหาขอมูลไดงาย สะดวก รวดเร็ว และดูเปนระเบียบ

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate

เปาหมายการเรียนรู

สมรรถนะของผูเรียน

คุณลักษณะอันพึงประสงค

หน า หน า
โซน 1 หนั ง สื อ เรี ย น หนั ง สื อ เรี ย น โซน 1
กระตุน ความสนใจ Engage

สํารวจคนหา Explore

อธิบายความรู Explain

ขยายความเขาใจ Expand

ตรวจสอบผล Evaluate

ขอสอบเนน การคิด ขอสอบเนน การคิด


แนว NT O-NE T แนว O-NET เกร็ดแนะครู

ขอสอบ O-NET
นักเรียนควรรู
บูรณาการเชื่อมสาระ
โซน 2 โซน 3 โซน 3 โซน 2
กิจกรรมสรางเสริม บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมทาทาย
บูรณาการอาเซียน

มุม IT

No. คูมือครู คูมือครู No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es โซน 2 ชวยครูเตรียมสอน โซน 3 ชวยครูเตรียมนักเรียน


เพื่อใหครูเตรียมจัดกิจกรรมการเรียน เพื่อชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เพื่อใหครูสะดวกตอการจัดกิจกรรม โดย
การสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอนและ เกร็ดความรูสําหรับครู ความรูเสริมสําหรับ แนะนํากิจกรรมบูรณาการเชือ่ มระหวางสาระหรือ
การจัดกิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด นักเรียน รวมทั้งบูรณาการความรูสูอาเซียน กลุมสาระการเรียนรู วิชา กิจกรรมสรางเสริม
เพื่อใหนักเรียนบรรลุตามตัวชี้วัด กิจกรรมบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง และ กิจกรรมทาทาย รวมถึงเนื้อหาที่เคยออกขอสอบ
มุม IT O-NET แนวขอสอบ NT/O-NET ทีเ่ นนการคิด
พรอมเฉลยและคําอธิบายอยางละเอียด
แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชในคูมือครู

1. แถบสี 5Es แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม


แบบ 5Es เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด
สีแดง สีเขียว สีสม สีฟา สีมวง

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล


Engage Explore Explain Expand Evaluate
เสร�ม
2 • เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช • เปนขั้นที่ผูสอน • เปนขั้นที่ผูสอน • เปนขั้นที่ผูสอน • เปนขั้นที่ผูสอน
เทคนิคกระตุน ใหผูเรียนสํารวจ ใหผูเรียนคนหา ใหผูเรียนนําความรู ประเมินมโนทัศน
ความสนใจ เพื่อโยง ปญหา และศึกษา คําตอบ จนเกิดความรู ไปคิดคนตอๆ ไป ของผูเรียน
เขาสูบทเรียน ขอมูล เชิงประจักษ

2. สัญลักษณ
สัญลักษณ วัตถุประสงค สัญลักษณ วัตถุประสงค

• แสดงเปาหมายการเรียนรูที่นักเรียน • ชีแ้ นะเนือ้ หาทีเ่ คยออกขอสอบ


ตองบรรลุตามตัวชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ
ที่จะตองมี และคุณลักษณะที่พึงเกิดขึ้น ขอสอบ O-NET O-NET โดยยกตัวอยางขอสอบ
พรอมวิเคราะหคาํ ตอบ
เปาหมายการเรียนรู กับนักเรียน อยางละเอียด
(เฉพาะวิชา ชัน้ ทีส่ อบ O-NET)
• แสดงรองรอยหลักฐานตามภาระงาน • เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
ที่ครูมอบหมาย เพื่อแสดงผลการเรียนรู ขอสอบเนน การคิด การคิดและเปนแนวขอสอบ
หลักฐานแสดง ตามตัวชี้วัด แนว NT O-NE T NT/O-NET ในระดับมัธยมศึกษา
ผลการเรียนรู ตอนตน มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย
(เฉพาะระดับชัน้
มัธยมศึกษาตอนตน) พรอมเฉลยอยางละเอียด
• แทรกความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ
ขอควรระวัง ขอสังเกต แนวทางการจัด • เปนตัวอยางขอสอบทีม่ งุ เนน
กิจกรรมและอืน่ ๆ เพื่อประโยชนในการ ขอสอบเนน การคิด การคิดและเปนแนวขอสอบ
เกร็ดแนะครู จัดการเรียนการสอน แนว O-NET O-NET ในระดับมัธยมศึกษา
ตอนปลาย มีทงั้ ปรนัย - อัตนัย
(เฉพาะระดับชัน้
• ขยายความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อให มัธยมศึกษาตอนปลาย)
พรอมเฉลยอยางละเอียด
ครูนําไปใชอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียน
ไดมีความรูมากขึ้น • แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
นักเรียนควรรู
เชือ่ มกับสาระหรือกลุม สาระ
บูรณาการเชื่อมสาระ การเรียนรู ระดับชัน้ หรือวิชาอืน่
• กิจกรรมเสริมสรางพฤติกรรมและปลูกฝง ทีเ่ กีย่ วของ
คานิยมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
• ความรูห รือกิจกรรมเสริม ใหครูนาํ ไปใช กิจกรรมสรางเสริม ซอมเสริมสําหรับนักเรียนทีค่ วร
เตรียมความพรอมใหกบั นักเรียนกอนเขาสู ไดรบั การพัฒนาการเรียนรู
ประชาคมอาเซียนใน พ.ศ. 2558 โดย
บูรณาการอาเซียน บูรณาการกับวิชาทีก่ าํ ลังเรียน
• แนะนําแนวทางการจัดกิจกรรม
ตอยอดสําหรับนักเรียนทีเ่ รียนรู
• แนะนําแหลงคนควาจากเว็บไซต เพื่อให
กิจกรรมทาทาย ไดอยางรวดเร็ว และตองการ
ครูและนักเรียนไดเขาถึงขอมูลความรู ทาทายความสามารถในระดับ
ที่หลากหลาย ทั้งไทยและตางประเทศ ทีส่ งู ขึน้
มุม IT

คูม อื ครู
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es
ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ
วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย
ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้
ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage)
เสร�ม
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ
และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ 3
สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง
แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน

ขั้นที่ 2 สํารวจคนหา (Explore)


เปนขัน้ ทีผ่ สู อนเปดโอกาสใหผเู รียนลงมือศึกษา สังเกต หรือรวมมือกันสํารวจ เพือ่ ใหเห็นขอบขายของประเด็นหรือปญหา รวมถึง
วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูที่จะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน
ประเด็นหรือปญหาที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ
เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูที่เกี่ยวของกับประเด็นหรือปญหาที่ศึกษา

ขั้นที่ 3 อธิบายความรู (Explain)


เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา ตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนคนหาคําตอบ และนําขอมูล
ความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน
เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนนี้ฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห
อยางเปนระบบ

ขั้นที่ 4 ขยายความเขาใจ (Expand)


เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ
การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยง
กับประสบการณเดิมโดยนําขอสรุปทีไ่ ดไปใชอธิบายเหตุการณตา งๆ หรือนําไปปฏิบตั ใิ นสถานการณใหมๆ ทีเ่ กีย่ วของกับชีวติ ประจําวัน
ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี
คุณภาพ เสริมสรางวิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป

ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)


เปนขัน้ ทีผ่ สู อนประเมินมโนทัศนของผูเ รียน โดยตรวจสอบจากความคิดทีเ่ ปลีย่ นไปและความคิดรวบยอดทีเ่ กิดขึน้ ใหม ตรวจสอบ
ทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการ
สรางสรรคความรูร ว มกัน ผูเ รียนสามารถประเมินผลการเรียนรูข องตนเอง เพือ่ สรุปผลวามีความรูอ ะไรเพิม่ ขึน้ มาบาง เกิดความเขาใจ
มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจําวันไดอยางไร ผูเรียนจะเกิดเจตคติ
และเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนผูเรียน


เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ
ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ
เรียนรูที่มีประสิทธิภาพ สงผลตอการยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผูเรียน ตามเปาหมายของการปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2
(พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ

คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา
รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ภาคเรียนที่ 1-2
รหัสวิชา ท………………………………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป

ฝกทักษะการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด การวิเคราะห และประเมินคาวรรณคดี


เสร�ม วรรณกรรม โดยศึกษาเกีย่ วกับการอานออกเสียง การอานในชีวติ ประจําวัน ฝกทักษะการคัดลายมือ การเขียน
4 บรรยายประสบการณ การเขียนเรียงความ การเขียนยอความ การเขียนจดหมายสวนตัวและกิจธุระ
การเขียนแสดงความคิดเห็น วิเคราะหวิจารณ หรือโตแยงจากสื่อตางๆ เขียนรายงานการศึกษาคนควา
เขียนโครงงาน ฝกทักษะการพูดสรุปใจความสําคัญ การเลาเรื่องยอ การแสดงความคิดเห็น การประเมิน
ความนาเชื่อถือเรื่องจากการฟงและการดู พูดรายงานการศึกษาคนควา และศึกษาเกี่ยวกับลักษณะ
ของเสียงในภาษาไทย การสรางคํา การวิเคราะหชนิดและหนาที่ของคําในประโยค การวิเคราะหความ
แตกตางของภาษาพูดและภาษาเขียน การจําแนกและใชสํานวนที่เปนคําพังเพย และสุภาษิต การแตงบท
รอยกรองประเภทกาพยยานี 11
วิเคราะห วิถไี ทย ประเมินคา ความรูแ ละขอคิดจากวรรณคดี วรรณกรรม นิราศภูเขาทอง โคลงโลกนิติ
สุภาษิตพระรวง กาพยเรื่องพระไชยสุริยา ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา กาพยเหชมเครื่องคาวหวาน
นิทานพื้นบาน ทองจําบทอาขยานที่กําหนดและบทรอยกรองที่มีคุณคาตามความสนใจ
โดยใชกระบวนการอานเพื่อสรางความรูความคิดนําไปใชตัดสินใจ แกปญหาในการดําเนินชีวิต
กระบวนการเขียนเขียนสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟง การดู และการพูด สามารถเลือกฟง
และดู และพูดแสดงความรูความคิดอยางมีวิจารณญาณและสรางสรรค เพื่อใหเขาใจธรรมชาติภาษาและ
หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปญญาทางภาษา วิเคราะหวิจารณวรรณคดีและ
วรรณกรรมอยางเห็นคุณคาและนํามาประยุกตใชในชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไวเปนสมบัติของชาติ และมีนิสัย
รักการอาน การเขียน มีมารยาทในการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด

ตัวชี้วัด
ท 1.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9
ท 2.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9
ท 3.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6
ท 4.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6
ท 5.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5
รวม 35 ตัวชี้วัด

คูม อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน

ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ม.๑
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑
กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเรียบเรียง
นางฟองจันทร สุขยิ่ง
นางกัลยา สหชาติโกสีย
นางสาวศรีวรรณ ชอยหิรัญ
นายภาสกร เกิดออน
นางสาวระวีวรรณ อินทรประพันธ
ผูตรวจ
นางประนอม พงษเผือก
นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร
นางวรวรรณ คงมานุสรณ
บรรณาธิการ
นายเอกรินทร สี่มหาศาล

พิมพครั้งที่ ๑๔

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ISBN : 978-616-203-542-5
รหัสสินคา ๒๑๑๑๐๐๗

¾ÔÁ¾¤ÃÑ駷Õè 10 คณะผูจัดทําคูมือครู
ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2141016 ประนอม พงษเผือก
พิมพรรณ เพ็ญศิริ
สมปอง ประทีปชวง
เกศรินทร หาญดํารงครักษ
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน หลักภาษาและการใชภาษาเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับ
ใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑
โดยเนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและ
ชวยพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา
สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําให
ผูเรียนไดรับความรูอยางมีประสิทธิภาพ

¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ºÍ¡àÅ‹Òà¡ŒÒÊÔº ໚¹àÃ×Íè §¹‹ÒÃÙàŒ ¾ÔÁè àµÔÁ


Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
¨Ò¡à¹×éÍËÒÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ

สียง การพูดรายงาน ควรปฏิบัติ ดังนี


๑.๒ เสยี งในภาษาไทยและรูปตัวอักษรแทนเ ้
หลักการใชภาษา ๑) เสียงและรูปสระ
๑.๑) ต�าแหน่งที่เกิดเสียงสระในภาษาไทย
เสียงสระเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด
แนะน�ำตนเอง
ล�าดับการพูดรายงาน
เสียงในหลอดลม แล้วผ่ำนออกมำจำกล�ำคอโดยตรง

และถูกบังคับให้ผ่ำนหลอดลม กระทบเส้น ียง บอกหัวข้อเรื่องที่รำยงำน “กระผมนำยยอดดี มีสุข เป็นหัว


เสียงสระ คือ ลิ้นกับริมฝีปำก เสียงสระบำงเส

อวั ย วะที ่ ช ่ ว ยในกำรออก หน้ำกลุ่ม ๕


โดยไม่ ม ี ก ำรปิ ด กั ้ น ทำงลม ง ซึ่งลิ้น
● บอกชื่อสมำชิกในกลุ่ม ท�ำหน้ำที่เป็นตัวแทนกลุ่มมำรำยงำ
ส่วนกลำง และบำงเสียงเกิดจำกลิ้นส่วนหลั น...
เกิดจำกลิ้นส่วนหน้ำ บำงเสียงเกิดจำกลิ้น ม ฝี ป ำกห่ อ กลม บำงเสี ยงเกิดจำก
● บอกคุณและโทษของขยะ ในกลุ่ม ๕ มีสมำชิก ๗ คน ได้แก่
บำงเสี ย งเกิ ด จำกรู ป ริ ...
จะกระดกในระดับสูงต�่ำต่ำงกัน ส่วนริมฝีปำก บเดียว
● บอกวิธีท�ำขยะแปรรูป ขอสรุปรำยงำนเรื่องขยะแปรรูป
ำงหรือรี ถ้ำลิ้นยกอยู่ในระดับใดเพียงระดั
รูปริมฝีปำกปกติ บำงเสียงเกิดจำกรูปปำกกว้ ว จะเกิด
● กล่ำวชักชวนให้ผู้ฟังปฏิบัติตำม ในกลุ่มกระผมได้คิดแปรรูปขยะ...
นจำกระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งอย่ำงรวดเร็
เสียงสระที่เกิดขึ้นเรียกว่ำ สระแท้ ถ้ำลิ้นเลื่อ และหำวิธีกำรใหม่ๆ ท�ำให้เกิดคุณ
ค่ำ หำกเรำทุกคนมีวิธีกำรแปรรูปขยะด้

ื สำมเสี ย งพร้ อ มๆ กั น เรี ย กว่ ำ สระประสม หรือสระเลื่อน แล้วน�ำมำเผยแพร่ต่อไป วยตนเอง
เสียงสระสองหร ก็จะเป็นวิถีทำงหนึ่งที่ช่วยลดปัญ
กล่ำวสรุปจบด้วยกำรกล่ำวขอบคุ หำโลกร้อน
๑.๒) ลักษณะการออกเสียงสระ ●
ณผู้ฟัง
มฝีปำกที่ใช้ในกำรออกเสียง ดังนี้ ขอบคุณครับ”
๑. กำรออกเสียงสระแท้ มีลักษณะของลิ้นและริ
ริมฝีปาก บอกเล่าเก้าสิบ
เสียงสระ ลิ้น
ว�งในท่�ปกติ อ้�ป�กปกติ
อะ อ� พลังแห่งการพูด
ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง เหยียดป�กออกเล็กน้อย

ñ
อิ อี
เผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่กลม การพูดเป็นการสื่อสารที่มีความส�
อึ อือ ส่วนหลังยกขึ้นสูง าคัญ อาจก่อให้เกิดประโยชน
์ หรือโทษได้ทั้งกับตัวผู้พูดเอง
หรือกับผู้ฟัง ดังที่ปรากฏอยู่ใ
ห่อกลมเล็ก นวรรณคดีต่างๆ เช่น
หน่วยที่ อุ อู ส่วนหลังยกขึ้นสูง
เหยียดออกเหมือน อิ
เอะ เอ ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง ความส�าคัญ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อิ แต่ข�กรรไกรล่�งลดตำ่�ลงกว่� ของการพูด แม้นพูดชั่วตัวตายท�าลายมิตร


มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูด
จา
ตัวชี้วัด ขณะออกเสียง อิ
ท ๔.๑ ม.๑/๑, ๒ ธ รรมชาติของภาษาโดยทั่วไป แอะ แอ ส่วนหน้�ลดตำ่�ลงกว่� เหยียดออก ข�กรรไกรล่�ง
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)

ประกอบด ้ ว ยเสี ย งและความ หมาย ลดตำ่�ลงกว่�เมื่อออกเสียง เอะ


■ อธิบายลั
กษณะของเสียงในภาษาไทย เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
■ สรางคํา
ในภาษาไทย
การใช้ ภ าษาไทยใ ห้ ถู ก ต้ อ งและมี ขณะออกเสียง เอะ คิดก่อนพูด แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะควา
ประสิ ท ธิ ผ ล ผู ้ ใ ช้ ต ้ อ งค� า นึ ง ถึ ง การใช้ ส่วนหลังกระดกขึ้นสูง ห่อกลม ม
เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถ
โอะ โอ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง (สุภาษิตสอนหญิง : สุนทรภู)่
สื่ อ ความหมา ยได้ ชั ด เจน ซึ่ ง ต้ อ งอาศั แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อุ
เสียงในภาษาไทย ย จากข้อความข้างต้น จะเห็น
ได้ว่าค�าพูดมีความส�าคัญและมี

■ การสรางคํา การเรียนรู้และน�าไปประยุกต์ใช้ผ่านทั และความรู้สึกของผู้ฟัง ดังนั้น อิทธิพลต่อความคิด ความเชื


คําประสม คําซํ้า คําซอน กษะ ผู้พูดต้องคิดพิจารณาไตร่ตรองความ ่ อ

การฟัง การพูด การอ่าน และการเขีย
● คําพอง
นอย่าง เกิดประสิทธิภาพและผู้รับสารมี คิดก่อนพูด เพื่อให้การสื่อสาร
สม�่าเสมอ ความประทับใจ

90
98

µÑÇÍ‹ҧẺ½ƒ¡à¾×Íè ãËŒ¹¡Ñ àÃÕ¹½ƒ¡·Ñ¡ÉÐ ¹íÒàʹÍà¹×éÍËÒã¹ÃٻẺµÒÃÒ§


à¾×èÍãËŒ§‹Òµ‹Í¤ÇÒÁࢌÒã¨áÅÐ
㹡Òþٴ Í‹Ò¹ áÅÐà¢Õ¹ ËÇÁ¡Ñ¹¨¹à¡Ô´ à¡Ô´¤ÇÒÁ¤Ô´ÃǺÂÍ´
¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞã¹·Ñ¡ÉÐ
¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁÊÌҧÊÃä
ใจความส�าคัญของนิทานพื้นบ้านเรื่องจระเข้สามพัน ในแต่
ละย่อหน้ามี ดังนี้ ¾Ñ²¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙàŒ ¾×Íè ¾Ñ²¹Ò¼ÙàŒ ÃÕ¹ãËŒÁ¤Õ ³
Ø ÀÒ¾µÒÁµÑǪÕÇé ´Ñ
ó การพั

๑. ครั้งหนึ่งมีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่
๒. พ่อค้าชาวมอญขอร้องให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้ในราคาสามพั
น�้าสุพรรณ
นเบี้ย ฒนาทักษะการฟง

๓. ตาซื้อลูกจระเข้และเลี้ยงดูมันอย่างดีจนมันตัวโตคั
บกรง ตาจึงให้คนมาช่วยกันจับมัน ตอนที่ การดู และการพูด
ออกจากกรง
้ จ ระเข้ ก ิ น มั น ได้ เ อาหางฟาดจน ตาตกลงไปในน�้าแล้วคาบตา
๔. วันหนึ่งขณะที่ตาเอาอาหารให

ด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้คนมาช่วยแต่ไม่
มีใครช่วยได้ทัน คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ันเบี้ยได้กินตาเสียแล้ว และ
๕. ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาเลี้ยงในราคาสามพ
มาชาวบ้านจึงเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของ ๑. เพลงปลุกใจ จัดเป็นพลังของภ�ษ�ในเชิงสร้�งสรรค์หรือไม่ อย่�งไร
สั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยงลูกเสือ ลูกจระเข้ ต่อ ๒. ก�รใช้คำ�พ้องในก�รสื่อส�ร ควรคำ�นึงถึงสิ่งใดเป็นสำ�คัญ
ตายายนั้นว่า ต�าบลจระเข้สามพัน
เอกภาพและสัมพันธภาพ โดยปรับ ๓. อักษรส�มหมู่ มีคว�มสำ�คัญต่อก�รผันเสียงวรรณยุกต์อย่�งไร
ผู้อ่านจะต้องเชื่อมโยงใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้าให้เป็น ๔. ก�รสร้�งคำ�ในภ�ษ�ไทยเกิดขึ้นเพร�ะเหตุใด จงอธิบ�ย
องสัมพันธ์กัน โดยพิจารณาจุดมุ่งหมาย
ข้อความให้เหมาะสมและเรียบเรียงเนื้อหาให้มีความสอดคล้ ๕. เหตุใดจึงต้องระมัดระวังเมื่อใช้คำ�ซ้อนเพื่อเสียงในก�รสื่อส�ร จงอธิบ�ยพอสังเขป
นกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ดังตัวอย่าง
ของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับใจความส�าคัญได้ตรงประเด็
การจับใจความนิทานเรื่องจระเข้สามพัน ดังนี้

การจับใจความนิทานเรื่อง จระเข้สามพัน
สุพรรณบุรี เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง
นิทานเรื่องจระเข้สามพันเป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัด
พ่อค้าอ้อนวอนให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้
มีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ มี
น เบี ้ ย ตาจึ ง ซื ้ อ ลู ก จระเข้ ต ั ว นั ้ น และเลี ้ ย งดู มันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง
โดยขายให้ในราคาสามพั
กิน จระเข้ได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไป
จึงให้มันออกจากกรง วันหนึ่งขณะที่ตายื่นอาหารให้จระเข้ กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน ผู้คนต่าง
ในน�้าแล้วคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้
ว ทั้งยังสั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยง
เล่ากันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาในราคาสามพันได้กินตาเสียแล้ กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนร่วมกันคิดและบอกหลักในก�รท่องจำ�อักษรส�มหมู่
ั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน
ลูกเสือ ลูกจระเข้ และเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของตายายน แล้วแลกเปลี่ยนคว�มรู้กัน
นิทานเรื่องนี้มีเจตนาสอนว่ า ต้ อ งมี ว ิ จ ารณญาณในก ารช่วยเหลือคน ควรพิจารณาว่า กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนสำ�รวจชื่อเล่นของเพื่อนในชั้นเรียน แล้วจำ�แนกประเภทชื่อที่เป็น

นอาจเป็นอันตรายได้
สิ่งใดควรท�า สิ่งใดไม่ควรท�า ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ร้ายเพราะมั คำ�เป็นและคำ�ต�ย พร้อมทั้งบอกหลักในก�รจำ�แนกชื่อให้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๓ ให้นักเรียนร่วมกันยกตัวอย่�งคำ�พ้องที่มีปัญห�ในก�รใช้ พร้อมทั้งร่วมกัน
เสนอแนวท�งแก้ไข
ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด ภาพนํ้าจิตอาจเห็นใหเดนใส
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
(ศึกษิต : พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ)
16

118
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ
µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹ÒÂ
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

สารบัญ
ตอนที่ ๑ การพัฒนาทักษะการอาน
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอานออกเสียง ๑ - ๑๑
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การอานในชีวิตประจําวัน ๑๒ - ๒๕

ตอนที่ ๒ การพัฒนาทักษะการเขียน
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา ๒๗ - ๓๗
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๓๘ - ๖๓
หนวยการเรียนรูที่ ๓ การเขียนแสดงความคิดเห็นจากสื่อ ๖๔ - ๗๑

ตอนที่ ๓ การพัฒนาทักษะการฟง การดู และการพูด


หนวยการเรียนรูที่ ๑ การฟงและการดูสื่อ ๗๓ - ๘๐
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การฟง การดู และการพูดในชีวิตประจําวัน ๘๑ - ๙๓

ตอนที่ ๔ หลักการใชภาษา
หนวยการเรียนรูที่ ๑ เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา ๙๕ - ๑๑๘
หนวยการเรียนรูที่ ๒ ชนิดและหนาที่ของคําในประโยค ๑๑๙ - ๑๓๓
หนวยการเรียนรูที่ ๓ ความแตกตางของภาษา ๑๓๔ - ๑๔๑
หนวยการเรียนรูที่ ๔ สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต ๑๔๒ - ๑๔๗
หนวยการเรียนรูที่ ๕ การแตงบทรอยกรอง ๑๔๘ - ๑๕๕
บรรณานุกรม ๑๕๖
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
1. ครูใหขอมูลเกี่ยวกับวาระที่องคการยูเนสโก
คัดเลือกใหกรุงเทพมหานคร เปนเมือง
หนังสือโลก ป 2556 โดยจะมีการรณรงค
ใหคนไทยอานหนังสือมากขึ้นโดยเนนไปที่เด็ก
ตอนที่ ñ การพัฒนาทักษะการอาน
และเยาวชน จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียน
• นักเรียนคิดวา การรณรงคในลักษณะดังกลาว
จะสามารถทําใหคนไทยอานหนังสือ
ไดมากขึ้น จริงหรือไม อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรใหคําแนะนําที่ชวย
สรางเจตคติที่ดีตอการอานใหแกนักเรียน
เพราะการอานเปนรากฐานสําคัญของ
การเรียนรู นอกจากความรูแลวการอาน
ยังทําใหไดรับความบันเทิง ชวยจรรโลง
และยกระดับจิตใจใหหลุดพนจากความ
เศราหมองทั้งปวง)
• นักเรียนชอบอานหนังสือประเภทใด และ
การอานหนังสือที่จํากัดอยูเฉพาะที่ตนเอง
ชอบจะกอใหเกิดผลเสียอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความ
คิดเห็นไดอยางอิสระ เพราะคําตอบที่ไดนั้น
มาจากการสํารวจตนเองของนักเรียน ครูควร
พิจารณาคําตอบพรอมทั้งใหคําชี้แนะที่เปน
ประโยชน)
2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียงรอยกรอง
ที่ปรากฏหนาตอน จากนั้นรวมกันถอดความ
เปนรอยแกว แสดงความคิดเห็นของตนเอง แมลงเอยแมลงผึ้ง เที่ยวเคลาคลึงดอกไมไซเกสร
เกี่ยวกับแนวคิดที่ไดรับและแนวทางการนําไป ไดนํ้าหวานเก็บไวในรังนอน ไมเดือดรอนเพราะขยันหมั่นทํางาน
ประยุกตใชในชีวิตประจําวันของตนเอง เปรียบบัณฑิตรักการอานหนังสือ ปญญาคือนํ้าผึ้งซึ่งหอมหวาน
ยิ่งอานมากยิ่งมีปรีชาชาญ ความคิดอานฟูเฟองเปรื่องปราดเอย
(ดอกสรอยรอยแปด : ฐะปะน�ย นาครทรรพ)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 1 การพัฒนาทักษะการอาน เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักปฏิบัติการอานประเภทตางๆ
ไปใชเพื่อพัฒนาทักษะการอานของตนเองใหมีประสิทธิภาพ เพื่อใหการอานใน
แตละครั้งของตนเอง เปนการอานที่ไดรับประโยชนอยางแทจริง
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรเริ่มตนจากการสรางเจตคติที่ดีเกี่ยวกับ
การอานใหแกนักเรียน ชักจูงและชักนําใหมองเห็นความสําคัญของการอาน
โดยอาจยกตัวอยางสถานการณความพยายามของหนวยงานรัฐ เมื่อนักเรียนเห็น
ความสําคัญของการอานแลว ควรใหเรียนรูทฤษฎี แลวจึงลงมือปฏิบัติโดยอานงาน
ที่หลากหลาย ในเบื้องตนครูอาจเปนผูกําหนดกรอบ ภายหลังอาจตรวจสอบทักษะ
การเลือกรับสารของนักเรียนได โดยใหนักเรียนเลือกอานดวยตนเอง
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
อานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองไดถกู ตอง
ตามฉันทลักษณ มีความเหมาะสมกับเนื้อความ
สะทอนอารมณความรูสึกของบทอาน โดยใช
ทวงทํานอง ลีลาการอาน และนํ้าเสียงถายทอด
ไปยังผูฟงไดอยางถูกตอง เหมาะสม

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน

หน่วยที่ ñ กระตุน ความสนใจ


นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย จากนั้น
Engage

การอานออกเสียง ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๑
ก ารอ่ า นออกเสี ย งทั้ ง บทร้ อ ยแก้ ว
• จากภาพที่นักเรียนเห็นสามารถคาดเดา
สถานการณที่เกิดขึ้นภายในภาพเปน
และบทร้อยกรองเป็นการสื่อสารที่ส�าคัญ
■ อานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรองไดถูกตองเหมาะสม
เพราะเป็นการถ่ายทอดความคิด ความรู้ ลักษณะใดไดบาง
กับเรื่องที่อาน
ตลอดจนความรูส้ กึ ของผูส้ ง่ สารไปยังผูร้ บั สาร (แนวตอบ นักเรียนสามารถคาดเดา
ซึ่งการจะท�าให้ผู้รับสารเข้าใจจนเกิดความรู้ สถานการณทเี่ กิดขึน้ ภายในภาพไดอยาง
สาระการเรียนรูแกนกลาง ความบันเทิงได้ ผู้อ่านต้องรู้หลักในการอ่านทั้ง หลากหลาย โดยสถานการณทนี่ กั เรียนตอบ
■ การอานออกเสียงบทรอยแกวที่เปนบทบรรยาย ร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อน�ามาใช้ให้เหมาะสม จะตองครอบคลุมเกี่ยวกับการใชทักษะ
■ การอานออกเสียงบทรอยกรอง เชน กลอนสุภาพ จึงจะท�าให้การอ่านออกเสียงนั้นน่าฟง ผู้ฟงเกิด
กาพยยานี ๑๑ โคลงสี่สุภาพ
อารมณ์ ค ล้ อ ยตามและการฝ ก อ่ า นออกเสี ย งที่ การอานออกเสียง เชน กําลังอานหนังสือ
ถูกต้องจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการท่องบทอาขยานด้วย หรืออานนิทานใหเพื่อนๆ ฟง)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การอานออกเสียง เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถอานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองได โดยคํานึงถึงอักขรวิธี
การเวนวรรคตอน การออกเสียงไดถูกตองตามลักษณะคําประพันธ ใชนํ้าเสียง
ใหสอดคลองกับอารมณของบทอาน รวมทั้งการวางทาทางไดอยางเหมาะสม
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรคํานึงถึงความสามารถและความพรอม
ของนักเรียน ซึ่งมีความแตกตางกัน ควรใหนักเรียนมีโอกาสอานออกเสียงบทอาน
ที่หลากหลาย รวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐานสําหรับวัดคุณภาพการอานเพื่อใช
ประเมินการอานของตนเองและหมายรวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการอาน ทักษะการตั้งเกณฑ
และทักษะการประเมินใหแกนักเรียน

คูมือครู 1
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
1. ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอนดวยวิธีการ
ตั้งคําถามเพื่อสรางแรงจูงใจใหแกนักเรียน ๑ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว
• นักเรียนคิดวา บทอานรอยแกวประเภทใด การอ่ า นออกเสี ย งร้ อ ยแก้ ว หมายถึ ง การอ่ า นถ้ อ ยค� า ที่ มี ผู ้ เรี ย บเรี ย งหรื อ ประพั น ธ์ ไว้
ทีจ่ ะตองใชความรู ความเขาใจทีห่ ลากหลาย โดยเปล่งเสียง และวางจังหวะเสียงให้เป็นไปตามความนิยมและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน มีการใช้ลีลา
เกีย่ วกับทักษะการอานออกเสียง ของเสียงไปตามเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ 1 นั้นๆ ไปสู่ผู้ฟัง ซึ่งจะท�าให้ผู้ฟัง
(แนวตอบ การอานออกเสียงบทอานรอยแกว เกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเรื่องราวหรือรสของบทประพันธ์ที่อ่าน
จะใชทกั ษะทีเ่ หมือนกัน เชน การเวนวรรคตอน 2
การออกเสียงคําควบกลํ้า แตการอานนิทาน ๑.๑ หลักเกณฑ์ในการอ่าน
จะตองใชกลวิธีพิเศษเพื่อสรางทํานองเสียง หลักเกณฑ์ทั่วไปในการอ่านออกเสียงร้อยแก้ว มีดังนี้
สูง ตํ่า สรางบรรยากาศในการรับฟง) ๑. ก่อนอ่านควรศึกษาเรือ่ งทีอ่ า่ นให้เข้าใจโดยศึกษาสาระส�าคัญของเรือ่ งและข้อความทุกข้อความ
2. ครูเปดแถบบันทึกเสียงการออกเสียงรอยแกว เพื่อจะแบ่งวรรคตอนในการอ่านได้อย่างเหมาะสม
ใหนักเรียนฟง โดยที่แถบบันทึกเสียงทั้งสอง ๒. อ่านออกเสียงดังพอเหมาะกับสถานที่และจ�านวนผู้ฟัง ให้ผู้ฟังได้ยินทั่วกัน ไม่ดังหรือค่อย
มีวิธีการอานที่แตกตางกัน ในประเด็นการแบง จนเกินไป
วรรคตอน นํ้าเสียง การออกเสียงคําควบกลํ้า ๓. อ่านให้คล่อง ฟังรื่นหู และออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ชัดถ้อยชัดค�า โดยเฉพาะ
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ตัว ร ล หรือค�าควบกล�้า ต้องออกเสียงให้ชัดเจน
• แถบบันทึกเสียงที่ไดฟงมีลักษณะแตกตางกัน ๔. อ่านออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด
อยางไร และนักเรียนรูสึกประทับใจ ๕. เน้นเสียงและถ้อยค�าตามน�้าหนักความส�าคัญของใจความ ใช้เสียงและจังหวะให้เป็นไปตาม
แถบบันทึกเสียงใด เพราะอะไร เนื้อเรื่อง เช่น ดุ อ้อนวอน จริงจัง โกรธ เป็นต้น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งควรมีเหตุผลสนับสนุน
ความคิดเห็นของตนเองอยางเหมาะสม)

สํารวจคนหา Explore
แบงกลุมนักเรียนออกเปน 3 กลุม โดยใชระดับ
ความสามารถในการอานออกเสียงของนักเรียน
เปนเกณฑ
กลุม ที่ 1 มีความสามารถอยูใ นระดับตองพัฒนา
กลุมที่ 2 มีความสามารถอยูในระดับปานกลาง
กลุมที่ 3 มีความสามารถอยูในระดับดี
ใหสมาชิกในแตละกลุมรวมกันสํารวจคนหา ผู้ท�าหน้าที่ด�าเนินรายการจะต้องมีทักษะด้านการอ่านออกเสียงเป็นอย่างดี สามารถออกเสียงได้ไพเราะ และสื่อ
ความรูเ กีย่ วกับหลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว ความชัดเจน
จากสื่อที่สนใจและสามารถเขาถึงไดหรือจากบุคคล
ตนแบบ เชน ผูดําเนินรายการวิทยุ โทรทัศน 2
ผูประกาศขาว เปนตน
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การฝกซอมอานออกเสียงรอยแกวดวยตนเองอยางสมํ่าเสมอ จะชวย
1 รสของบทประพันธ ไดแก เสาวรจนี คือบทชมโฉมตัวละคร ชมความงาม เพิ่มพูนทักษะการอานออกเสียงใหแกนักเรียนไดอยางไร จงแสดงความ
ของธรรมชาติ นารีปราโมทย คือบทเกี้ยวพาราสี พิโรธวาทัง คือบทแสดงความโกรธ คิดเห็น
ตัดพอ และสัลลาปงคพิสัย คือบทครํ่าครวญ โศกเศรา ซึ่งนักเรียนสามารถซาบซึ้ง
กับรสของบทประพันธ โดยการอานวรรณคดีเรื่องตางๆ เชน มัทนะพาธา อิเหนา แนวตอบ การฝกซอมอานออกเสียงรอยแกวดวยตนเองจะทําใหเกิด
ขุนชางขุนแผน เปนตน ทักษะความชํานาญ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อฝกอานจากบทอานที่มี
2 หลักเกณฑในการอาน ปจจัยพื้นฐานของการอานออกเสียงประกอบดวย ความหลากหลาย มีระดับความยากงายแตกตางกัน เมื่อพบคําที่ไมเคย
สายตา นํ้าเสียง และการสรางอารมณใหเหมาะสมกับบทอาน เมื่อผูอานออกเสียง อานมากอน ก็สามารถที่จะคนควาวิธีการอานไดจากพจนานุกรม ทําให
มีปจจัยพื้นฐานดังกลาวขางตน สิ่งสําคัญตอมาหากตองการจะเปนผูที่ประสบ มีคลังคํามากขึ้น เมื่อจะตองอานออกเสียงใหผูอื่นฟง แลวพบคําที่เคย
ความสําเร็จในการอานออกเสียง ผูอานจะตองเรียนรูหลักเกณฑในการอาน คนควาวิธีการอานไว ก็จะทําใหอานไดถูกตอง ดังนั้นการฝกซอมอาน
อยางครบถวน ใสใจทุกรายละเอียดและสําคัญที่สุด คือตองมีความเพียรพยายาม ออกเสียงดวยตนเองอยางสมํ่าเสมอจึงเปรียบเสมือนการทําตนเองให
ในการฝกซอม นําทฤษฎีหรือหลักเกณฑที่ไดเรียนรูมาใชฝกปฏิบัติกับบทอานจริง พรอมอยูเสมอ เหมือนนักรบที่จะตองฝกการใชอาวุธอยูตลอดเวลา
โดยเริ่มจากการเลือกบทอานที่ประทับใจกอน ฝกฝนจนชํานาญแลวจึงฝกกับบทอาน
ที่หลากหลายยิ่งขึ้น

2 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 ออกมาอธิบายความรู
๖. อ่านออกเสียงให้เหมาะกับประเภทของเรื่อง รู้จักใส่อารมณ์ให้เหมาะสมตามเนื้อเรื่อง ในประเด็น “หลักเกณฑการอานออกเสียง
๗. ขณะที่อ่าน ควรสบสายตาผู้ฟัง ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ รอยแกว” ที่ไดจากการศึกษาคนควารวมกัน
๘. การอ่านในทีป่ ระชุม ต้องจับหรือถือบทอ่านให้เหมาะสมและยืนทรงตัวในท่าทีส่ ง่า จากนั้นครูเปนผูตั้งคําถามใหนักเรียนทุกคน
ในกลุมไดมีโอกาสแสดงความรูของตน
๑.๒ วิธกี ารอ่าน 2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันอานออกเสียง
ในการฝึกอ่านออกเสียงข้อความที่เป็นร้อยแก้ว จะใช้เครื่องหมายแบ่งวรรคตอนในการอ่าน บทบรรยายไมเนนการแสดงอารมณ
เพื่อเป็นการเว้นช่วงจังหวะการอ่าน ดังนี้ จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 3 อยาง
เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ พรอมเพรียงกัน โดยใชหลักเกณฑการอาน
เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / ออกเสียงที่ไดเรียนรูและฟงจากการบรรยาย
เครือ่ งหมาย _ (ขีดเส้นใต้) หมายถึง การเน้นหรือการเพิ่มน�้าหนักของเสียง ของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนแนวทาง ครูคอย
ชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไขใหแกนักเรียน
การอ่านออกเสียงข้อความที่เป็1นร้อยแก้วมีวิธีการอ่าน ๒ วิธี ดังนี้
หลังจากการอานสิ้นสุดลง
๑) วิธีการอ่านแบบบรรยาย ออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดถ้อยชัดค�า เว้นวรรคตอนให้เหมาะสม
เน้นเสียงและถ้อยค�าตามน�้าหนักความส�าคัญของใจความ เพื่อจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงจุดมุ่งหมายของ
เรื่องได้ดี

การฝึกอ่านออกเสียงแบบบรรยายไม่เน้นการแสดงอารมณ์

ในปัจจุบนั กล่าวกันว่า/เราก�าลังอยูใ่ นยุคโลกาภิวตั น์หรือเรียกอีกอย่างว่าโลกไร้พรมแดน//


แต่จะเรียกอย่างไรก็ตามเถิด/การอ่าน/ก็เป็นกระบวนการส�าคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนใน
ทศวรรษนี้/เพราะโลกของการศึกษามิได้จ�ากัดอยู่ภายในห้องเรียนที่มีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยม
แคบๆ/เท่านัน้ //แต่ขอ้ มูลข่าวสารสารสนเทศต่างๆ/ได้ยอ่ โลกให้เล็กลงเท่าทีเ่ ราอยากรูไ้ ด้รวดเร็ว/
ในชั่วลัดนิ้วมือเดียวอย่างที่คนโบราณกล่าวไว้//จะมีสื่อให้เลือกอ่านอย่างหลากหลาย//ทั้งสื่อ
สิง่ พิมพ์ทเี่ ราคุน้ เคย/ไปจนถึงสือ่ อิเล็กทรอนิกส์ทเี่ รียกว่า/“อินเทอร์เน็ต”/เพราะการต่อสูร้ กุ รานกัน
ของมนุษย์ยุคใหม่/จะใช้ข้อมูล/สติปัญญาและคุณภาพของคนในชาติ//มากกว่าการใช้ก�าลัง
อาวุธเข้าประหัตประหารกัน//หากคนในชาติด้อยคุณภาพ/ขาดการเรียนรู้/จะถูกครอบง�าทาง
ปัญญาได้ง่ายๆ/จากสื่อต่างๆ
(ชาติก้าวไกลด้วยคนไทยรักการอ่าน : มานพ ศรีเทียม)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
นอกจากจะตองเรียนรูอักขรวิธีในการอานแลว นักเรียนคิดวาตองเรียนรู
เกี่ยวกับสิ่งใดอีกบาง ที่จะทําใหการอานออกเสียงแตละครั้งมีความสมบูรณ ครูควรจัดเตรียมบทอานที่มีลักษณะเปนบทบรรยายสําหรับใหนักเรียนไดรวมกัน
จงอธิบายพรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน ฝกฝนเพิม่ เติม โดยอาจคนหาจากเรือ่ งสัน้ นวนิยาย บทความตางๆ หรืออาจคัดลอก
จากสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรูเ ลมใดเลมหนึง่ เพราะนอกจาก
แนวตอบ การอานออกเสียงใหมีความสมบูรณ นอกจากผูอานจะตองมี นักเรียนจะไดฝก อานออกเสียงแลวยังไดรับความรูเพิ่มเติมอีกดวย
ความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับอักขรวิธี ฝกฝนจนเกิดความชํานาญ
แลว ผูอานจะตองเรียนรูเกี่ยวกับการวางทาทาง บุคลิกภาพในขณะที่อาน
ทั้งในรูปแบบการนั่งอานและยืนอาน การสบสายตาผูฟง การจับ การเปด นักเรียนควรรู
การพลิกหนากระดาษ อากัปกิริยาเหลานี้จะอยูในสายตาของผูฟง เมื่อตอง
อานออกเสียงในทีส่ าธารณชน ดังนัน้ เพือ่ ใหการอานออกเสียงในแตละครัง้ 1 บรรยาย คือ ลักษณะของงานเขียนประเภทหนึ่งที่เนนการดําเนินเรื่องวาใคร
มีความสมบูรณและสรางความนาเชื่อถือในตัวผูอานใหเกิดขึ้นแกผูฟง ทําอะไร ทําอยางไร ที่ไหน และเมื่อไร เชน “หลอนนึกถึงบานริมสวนในวัยเด็ก
ผูอานออกเสียงจึงควรที่จะเรียนรูเกี่ยวกับบุคลิกภาพในขณะอานดวย ที่มักจะชวนเพื่อนๆ มุดรั้วลวดหนามเขาไปเลนในสวนเล็กๆ แหงนั้น เก็บชมพู
มะปราง หรือละมุดสีดาที่ติดกิ่งเรี่ยๆ กินกันอยางเพลิดเพลิน”

คูมือครู 3
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 2 และ 3 ออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว การฝึกอ่านออกเสียงแบบบรรยายเน้นการแสดงอารมณ์
ประเภทบรรยาย เนนการแสดงอารมณ และ
บทพรรณนาที่ไดจากการศึกษาคนควารวมกัน
เกวียนโขยกขลุกขลักไปอย่างเชื่องช้า/เสียงเพลาเสียดสีไปกับดุม/ดังเสียงแหลมเล็ก/
ตามลําดับ
สลับกับเสียงกระดิง่ วัว/ดังตามจังหวะการก้าวเดินของวัวชราสองตัวนัน้ /ฟังเป็นเพลงมาร์ชประจ�า
2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันอานออกเสียง
ทุ่ง/ที่มีตัวโน้ตธรรมชาติเป็นผู้ก�าหนดท�านอง//บางครั้ง/มันฟังดูเศร้าซึม/เหมือนอย่างเสียงของ
บทบรรยายเนนการแสดงอารมณจาก
เกวียนเล่มนี้//
หนังสือเรียนภาษาไทย หนา 4 และบทพรรณนา ชายชรานัง่ ขยับไม้แส้อยูบ่ นเกวียน/แกแกว่งไม้อยูก่ ลางอากาศ/ขณะไล่ววั ด้วยเสียงแหบพร่า/
ใหเห็นภาพ หนา 5 ตามลําดับ โดยใชหลักเกณฑ แกคงไม่กล้าเอาไม้แส้แตะหลังวัว/ให้มนั ระคายเคืองและเจ็บปวดใจ/สังขารอันร่วงโรยของไอ้แก้ว
การอานออกเสียงที่ไดเรียนรูและฟงจากการ ไอ้ไหม/วัวคูย่ ากก็ไม่ตา่ งจากเจ้าของมากนัก//หนังหย่อนยานรัดรูปลงไปโชว์กระดูก/เรีย่ วแรงของ
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 และ 3 เปน มันค่อยหมดลงไป/จนเกือบจะลากขาตนเองไม่ไหว//ถ้าแกมัง่ มีหรือพอมีใช้/ก็จะปลดเกษียณให้ววั
แนวทาง ครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข คูย่ าก/มันได้พกั ผ่อนยามชราบ้าง//แต่มนั จนใจ/เพราะแม้แต่ตวั แกเองก็ยงั ไม่ได้พกั /แม้ยา่ งเข้า ๖๕
ใหแกนักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง แล้ว/ชีวติ ทีเ่ ข้มข้นเมือ่ ตอนหนุม่ ๆ/ได้กลายเป็นความหลังอันยืดยาว/มีนยิ ายชีวติ ทีเ่ ล่าให้ลกู หลาน
ฟังได้หลายวันหลายคืนกว่าจะจบ//
ตะวันคล้อยต�า่ ลงไป/พาดยอดไม้ชายทุง่ โน่นแล้ว/วัวเดินช้าลงๆ//เหมือนมันจะล้มลง/สิน้ ใจ
ตายเสียก่อนถึงทีห่ มาย/แกหันมามองดูฟนื ในเกวียน//แล้วหันไปมองวัว/รูส้ กึ สงสารไอ้แก้วไอ้ไหม
จนหัวใจสะท้อน//แกรูด้ วี า่ /มันเหนือ่ ยสายตัวแทบขาด//แม้แต่แกนัง่ มาบนเกวียน/ยังเหนือ่ ยเพลีย
จนจะหมดแรง//แกหยิบฟืนโยนทิ้งข้างทางเสียสองสามดุ้น//
ไอ้แก้ว/ไอ้ไหม/อยู่กับแกมาตั้งแต่เป็นวัวรุ่นหนุ่ม/ยังไม่รู้งาน//แกจ�าได้ว่า/วันแรกเอาไอ้วัว
หนุม่ สองตัวเทียมเกวียน/มันตืน่ พาแกวิง่ ไปตลอดทุง่ //กว่าจะฝึกให้บา่ มันเคยแบกเกวียนได้ตอ้ งใช้
เวลานาน//พอมันเป็นวัวหนุ่มฉกรรจ์งานคล่อง/เทียมเกวียนลัดอ้อมยังไม่ทันเสร็จ//มันก็วิ่งกราก
ราวกับม้ายนต์/ไม้แส้ไม่เคยใช้เลย/ทั้งเวลาไถนาและลากเกวียน//
แกยังจ�าได้ว่า/เคยมีคนเอาวัวมาแลกถึงสองคู่/แกก็ไม่ยอม//แกรักมันเหมือนลูก/เสร็จงาน
จะอาบน�้า/ล้างขนให้มันเป็นเงาวับ//กลางคืนยังได้นอนมุ้งอย่างมีความสุข/ไม่ให้ยุงริ้นรบกวน/
มันเคยโดนขโมยไปเรียกค่าไถ่ถึงสองหน/ค่าตัวจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว//
ชีวติ ของชาวนาจนๆ อย่างลุงอ�า่ /ต้องดิน้ รนอยูก่ ลางทุง่ นาอันเปล่าเปลีย่ ว//ยิง่ ห่างไกลความ
เจริญมากเท่าไร/มือกฎหมายก็เข้าไปไม่ถงึ /กลายเป็นกฎหมู/่ กฎนักเลง//ต้องพึง่ ตัวเอง/พึง่ พีน่ อ้ ง//
ชีวติ ทีซ่ อื่ /ราบเรียบเป็นเส้นตรงของแก/ไม่มอี า� นาจพอจะเป็นทีเ่ กรงใจของใคร//นักเลงไม่เคยกลัว
ความดี/มันกลัวปืน//
1
(เกวียนชรา : นิมิตร ภูมิถาวร)

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การใชระดับเสียงใหมีความแตกตางกันในขณะที่อานมีประโยชน
1 เกวียนชรา หนึ่งในเรื่องสั้นของนิมิต ภูมิถาวร ซึ่งถูกรวมไวในหนังสือ ตอการอานเนื้อหาสาระในขอใดมากที่สุด
รวมเรื่องสั้น “ไมเรียวอันสุดทาย” โดยประกอบดวยเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ไดแก 1. นิทาน 2. ปาฐกถา
ประชาธิปไตย 5 เกวียน, ปรัชญาบนนาขาว, ชองวางระหวางกอโสน, ครู-สาวโสด, 3. แถลงการณ 4. พระบรมราโชวาท
กระสุนแหงเกียรติยศ, ไมเรียวอันสุดทาย, เสียงปรบมือใหความจน, บทเศราของ
ด.ญ. มะลิ, ปรัชญาบนขาออน, ผูแพ, หลงทาง และเด็กเอยเกลียดครูไหม วิเคราะหคําตอบ การอานออกเสียงพระบรมราโชวาท ปาฐกถาและ
แถลงการณ ผูอานออกเสียงจะตองมุงเนนไปที่การแบงวรรคตอนให
ถูกตอง เพื่อปองกันการสื่อความคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ยังตองออกเสียง
คําใหชัดเจน คําควบกลํ้า อักษรนํา เปนตน แตการอานนิทานซึ่งมีเนื้อหา
ในการเสริมสรางจินตนาการใหแกผูฟง การใชระดับเสียงใหแตกตาง
ในขณะที่อาน มีความหนัก เบา สูง ตํา่ จะชวยทําใหผฟู ง เกิดอารมณ
ความรูส กึ คลอยตามและสามารถทําความเขาใจเนื้อหาสาระของเรื่อง
ไดงายขึ้น ดังนั้นจึงตอบขอ 1.

4 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1 1. นักเรียนรวมกันสรุปความรู ความเขาใจที่
๒) วิธีการอ่านแบบพรรณนาให้เห็นภาพ ควรออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด ถูกตองเกี่ยวกับหลักการอานออกเสียงรอยแกว
ใช้น�้าเสียงและอารมณ์ในการอ่านให้เหมาะสมกับเนื้อความ บทสนทนา และบทบรรยาย ใช้น�้าเสียง นําขอมูลที่ไดมาจัดการความรูรวมกัน
แตกต่างกัน เน้นเสียง ใช้เสียงและจังหวะให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
ในหัวขอ “นิทานกับการอานออกเสียง”
การฝึกอ่านออกเสียงแบบพรรณนาให้เห็นภาพ 2. นักเรียนรวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐาน
สําหรับใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงบทอาน
ฉันเป็นสายน�้าที่ไหลเอื่อยๆ อยู่ในล�าคลอง/ฉันไหลผ่านบ้านเรือน/ชุมชนต่างๆ//บางครั้ง ประเภทรอยแกวโดยประมวลจากความรู
มีผู้คนทิ้งขยะลงมาใส่ฉัน/ท�าให้ตัวฉันมีกลิ่นเหม็น/เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป//แม้แต่สัตว์น�้า ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
ที่อาศัยอยู่ร่วมกับฉันอย่างมีความสุข/ก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย//บางตัวก็ป่วยไข้ เพื่อนๆ กลุมที่ 1 - 3 รวมถึงขอควรปรับปรุง
หายใจพะงาบๆ/เขาพยายามพูดกับฉันว่า// ทีค่ รูเปนผูช แี้ นะ หลังจากการอานออกเสียงของ
“โอย!/น�า้ จ๋า/ช่วยไหลแรงๆ//พาพวกฉันให้พน้ ไปจากบริเวณนีท้ เี ถอะ/พวกฉันอยากไปอยูใ่ น นักเรียน ซึ่งเกณฑมาตรฐานที่ถูกกําหนดขึ้นนี้
ที่ที่มีน�้าสะอาดกว่านี้ี”// จะใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงรอยแกว
“เอาเถอะ/ฉันจะพยายามพาพวกเธอไปอาศัยอยู่ที่ทะเลอันกว้างใหญ่/พวกเธอจะได้มีน�้า ของนักเรียนในชั้นเรียน
สะอาดๆ อยู่/อดทนหน่อยนะ//ฉันเองก็ไม่อยากอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน”// 3. นักเรียนคัดสรรงานเขียนรอยแกวที่ตนเอง
ว่าแล้วฉันก็ไหลลงไปสูท่ ะเลอันกว้างใหญ่/โดยมีฝงู ปลาประคองตัวลอยตามไป/ก่อนจากกัน ประทับใจ โดยเลือกระหวางบทบรรยายและ
ปลาตัวหนึ่งหันมาพูดกับฉันว่า// บทพรรณนา ความยาวไมเกิน 15 บรรทัด
“ขอบคุณมากสายน�้าผู้อารี/พวกฉันจะไม่ลืมพระคุณของท่านเลย”// เพื่อนํามาอานออกเสียงใหครูและเพื่อนๆ
“ไม่เป็นไรหรอก/เราต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่แล้ว”/ฉันตอบ//แล้วฝูงปลาก็ว่ายน�้าจากไป// ฟงหนาชั้นเรียน โดยคัดลอกดวยลายมือ
พรอมแสดงการแบงวรรคตอนการอาน
(“เรียวรุ้งเหนือทุ่งกว้าง” ใน กว่าจะมาเป็นฝน : ปัฐพร ตุกชูแสง) 4. ในขณะทีเ่ พือ่ นอานออกเสียง ใหนกั เรียนคนอืน่ ๆ
ภายในชั้นเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นและ
ประเมินการอานของเพื่อน โดยใชเกณฑ
จากวิธีการอ่านแบบบรรยาย และแบบพรรณนาให้เห็นภาพข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีวิธีการอ่าน
มาตรฐานที่รวมกันกําหนดขึ้นเปนแกนกลาง
ที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร ดังนั้น ผู้อ่านควรท�าความเข้าใจเนื้อหา
และเจตนาของผู้ส่งสารก่อนอ่านสารนั้น แล้วจึงถ่ายทอดด้วยถ้อยค�าที่ถูกต้อง ชัดเจน เว้นจังหวะ
ให้เหมาะสม หากต้องใช้น�้าเสียง อารมณ์ประกอบการอ่าน ควรเลือกใช้ให้สอดคล้องตามเนื้อเรื่อง
เพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพและผู้อ่านสามารถเกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตาม

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
การอานในขอใดถาเวนวรรคตอนผิดจะทําใหความหมายผิดไปจากเจตนาเดิม
1 พรรณนา เรื่องราวที่กลาวอยางละเอียดลึกซึ้ง โดยใสอารมณ ความรูสึกลงไป
1. นํ้าทวมปนี้มากกวา ป 2538 หลายเทา
ในบทประพันธ เพือ่ ทําใหผอู า นมองเห็นภาพไดชดั เจน ไมเนนการดําเนินเรือ่ ง ใชสาํ หรับ
2. นาซาคือหนวยงานที่เกี่ยวของกับอวกาศ
การพรรณนาความงามของสถานที่ ความรูสึก เชน “ดอกจันทนกะพอรวงพรูแตมไิ ด
3. เมื่อนักเรียนเดินผานครูตองทําความเคารพ
หลนลงสูพื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆ แดงเรื่อแกมเหลืองลอยออน กระจัดพลัดพราย
4. สิ่งเล็กๆ ที่เรียกวารักเปนชื่อของภาพยนตร
อยูในอากาศที่โปรงสะอาดหนวยหนึ่ง” หรือ “ภาพนั้นขาวอรามนวลใยอยูทามกลาง
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อานวา นํ้าทวมปนี้ / มากกวา / ป 2538 / หลายเทา ความมืดมิด มีแสงสีนาํ้ เงินแผกระจายหอมลอมราวกับรัศมีจากสรวงสวรรคเปนหินออน
ขอ 2. อานวา นาซา / คือ / หนวยงาน / ที่เกี่ยวของกับอวกาศ ขอ 4. อานวา ขนาดพอดีไมใหญเทอะทะและไมเล็กจนบอบบาง เปนรูปสลักองคพระเยซูคริสต
สิ่งเล็กๆ / ที่เรียกวารัก / เปนชื่อของภาพยนตร สวนขอ 3. หากอานวา เมื่อ นอนทอดระทวยสิ้นใจอยูบนตักพระนางมารี ทาทางที่พระนางมารีกมมองบุตรชาย
นักเรียนเดินผาน / ครูตองทําความเคารพ จะมีความหมายไปอีกประเด็นหนึ่ง ที่หาชีวิตไมแลวในออมกอดแสดงใบหนาสงบนิ่งอยางคนที่ปลงตกแลวทุกอยาง
ที่ถูกตอง ควรอานวา เมื่อนักเรียน / เดินผานครู / ตองทําความเคารพ ดังนั้น เปนภาพที่เศราซึ่งยากจะหาคําใดมาบรรยายได...”
จึงตอบขอ 3.

คูมือครู 5
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูเปดวีซีดีการพากยโขนของกรมศิลปากร
ใหนักเรียนฟง จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
• บทรอยกรองที่นักเรียนไดฟง หากอาน
การอ่านออกเสียงร้อยกรอง เป็นการอ่านที่มุ่งให้เกิดความเพลิดเพลิน ซาบซึ้งในรสของ
โดยไมใสทวงทํานอง จะทําใหไดรับความรูสึก
บทประพันธ์ ซึ่งจะต้องอ่านอย่างมีจังหวะ ลีลา และท่วงท�านองตามลักษณะของค�าประพันธ์แต่ละชนิด
ที่แตกตางกันอยางไร เพราะเหตุใด
การอ่านบทร้อยกรอง อ่านได้ ๒ แบบ ดังนี้
(แนวตอบ การอานออกเสียงรอยกรองโดย
อ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดตามปกติเหมือนอ่านร้อยแก้ว แต่มีจังหวะ
ปราศจากการใสทวงทํานองอาจทําใหผูฟง
วรรคตอน มีการเน้นสัมผัสตามลักษณะบังคับของค�าประพันธ์แต่ละชนิด
สูญเสียอรรถรสขณะที่ฟง เพราะการอาน
อ่านท�านองเสนาะ เป็นการอ่านมีส�าเนียงสูง ต�่า หนัก เบา ยาว สั้น เป็นท�านองเหมือนเสียง
โดยใหมีทํานองเสียงสูง ตํ่า หนัก เบา ยาว
ดนตรี มีการเอือ้ นเสียง เน้นสัมผัส ตามจังหวะ ลีลา และท่วงท�านองทีแ่ ตกต่างไปตามลักษณะบังคับของ
สั้น ตามจังหวะลีลาของรอยกรองจะชวย
ค�าประพันธ์ชนิดต่างๆ ให้ชัดเจน ไพเราะ เหมาะสม ท�าให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตาม
ถายทอดอารมณไปยังผูฟงไดชัดเจนและ
สมจริง) ๒.๑ หลักเกณฑ์ในการอ่าน
• นักเรียนคิดวาการอานออกเสียงรอยกรอง หลักทั่วไปของการอ่านออกเสียงร้อยกรองที่ควรค�านึงถึง มีดังต่อไปนี้
แสดงใหเห็นเอกลักษณของคนไทยอยางไร ๑. ศึกษาลักษณะบังคับของค�าประพันธ์แต่ละชนิ 1 ดที่จะอ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เช่น การแบ่ง
(แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู จังหวะ จ�านวนค�า สัมผัส เสียงวรรณยุกต์ เสียงหนักเบา เป็
เบา นต้น
นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยาง ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของค�าประพันธ์ชนิดนั้นๆ
อิสระ โดยขึ้นอยูกับทัศนคติสวนตนซึ่งครู ๓. อ่านออกเสียงค�าให้ชัดเจน ถูกต้อง โดยเฉพาะค�าที่ออกเสียง ร ล และค�าควบกล�้า
ควรชี้แนะเพิ่มเติม) ๔. อ่านเสียงดังพอสมควรที่ผู้ฟังจะได้ยินทั่วถึง ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป
๕. อ่านมีจังหวะ วรรคตอน รู้จักทอดจังหวะ เอื้อนเสียง หรือหลบเสียง
สํารวจคนหา Explore ๖. ค�าที่รับสัมผัสกัน ต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัด ถ้าเป็นสัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาว
กว่าธรรมดา
นักเรียนกลุมเดิมรวมกันสํารวจคนหาความรู
๗. อ่านเอื้อสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ เช่น
เกี่ยวกับหลักเกณฑการอานออกเสียงรอยกรอง
ดังตอไปนี้ อันรักษาศีลสัตย์กตเวที อ่านว่า กัด-ตะ-เว-ที เพื่อให้สัมผัสกับ สัตย์
กลุมที่ 1 ประเภทกลอนสุภาพ ข้าขอเคารพอภิวันท์ อ่านว่า อบ-พิ-วัน เพื่อให้สัมผัสกับ เคารพ
กลุมที่ 2 ประเภทกาพยยานี 11 ไม่มีกษัตริย์ครองปฐพี อ่านว่า ปัด-ถะ-พี เพื่อให้สัมผัสกับ กษัตริย์
กลุมที่ 3 ประเภทกาพยฉบัง 16 คิดถึงบาทบพิตรอดิศร อ่านว่า อะ-ดิด-สอน เพื่อให้สัมผัสกับ บพิตร
กลุมที่ 4 ประเภทกาพยสุรางคนางค 28 ๘. ค�าที่มีพยางค์เกินให้อ่านเร็วและเบา เพื่อให้เสียงไปตกอยู่พยางค์ที่ต้องการ
กลุมที่ 5 ประเภทโคลงสี่สุภาพ ๙. มีศิลปะในการใช้เสียง รู้จักเอื้อนเสียงให้เกิดความไพเราะ และใช้เสียงแสดงความรู้สึก
โดยนักเรียนสามารถสืบคนความรูไดจากแหลง ให้เหมาะกับข้อความ เพื่อรักษาบรรยากาศของเรื่องที่อ่าน
การเรียนรูที่สามารถเขาถึงไดและทุกคนควรมี ๑๐. เมื่ออ่านถึงตอนจะจบบทต้องเอื้อนเสียงและทอดจังหวะให้ช้าลง จนกระทั่งจบบท
สวนรวมในการสืบคน
6

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การฝกอานออกเสียงรอยกรองจนเกิดความชํานาญในทวงทํานองของ
1 เสียงหนักเบา เสียงหนักหรือคําครุ หมายถึง พยางคที่ประสมดวยสระเสียงยาว รอยกรองแตละประเภท ขั้นตอนตอมาที่นักเรียนควรฝกฝนเพื่อใหเกิด
ในแม ก.กา และพยางคที่มีตัวสะกดทั้ง 8 มาตรา สวนเสียงเบาหรือคําลหุ หมายถึง ความไพเราะขณะที่อานซึ่งถือเปนศิลปะประการหนึ่งคืออะไร
พยางคที่ประสมดวยสระเสียงสั้นในแม ก.กา พยางคที่ใชพยัญชนะตัวเดียว เชน ก็
ณ บ ซึ่งคําครุและลหุ มีความจําเปนอยางมากตอการแตงคําประพันธประเภทฉันท แนวตอบ เมื่อผูอานออกเสียงมีความชํานาญดานการออกเสียง รูจัก
โดยผูแตงจะตองบรรจุคําครุ ลหุ ใหครบตามจํานวนที่ระบุไวในฉันทลักษณ ตําแหนง ทวงทํานองแลว ควรที่จะฝกฝนศิลปะการใชเสียงเพื่อใหเกิดความไพเราะ
ใดที่กําหนดใหเปนคําครุและลหุ จะตองเปนคําครุและลหุ จะใชผิดที่หรือแทนกัน ในขณะที่อาน เชน การทอดเสียงเพือ่ ผอนจังหวะใหชา ลง การเอือ้ นเสียง
ไมได ฉันททนี่ าํ มาแตงในวรรณคดีไทย ไดแก ฉันท 8, ฉันท 11, ฉันท 12, ฉันท 14, เพือ่ ใหเขาจังหวะ การครั่นเสียง การหลบเสียงเมื่อตองออกเสียงที่เกิน
ฉันท 15, ฉันท 16, ฉันท 18, ฉันท 19, ฉันท 20 และฉันท 21 โดยจะยกตัวอยาง ความสามารถ การกระแทกเสียง เปนตน การมีทักษะที่ดีในการออกเสียง
อินทรวิเชียรฉันท ดังนี้ และมีกลวิธีพิเศษเกี่ยวกับการใชเสียง จะทําใหการอานออกเสียง
“...บงเนื้อก็เนื้อเตน พิศเสนสรีรรัว ในแตละครั้งเกิดความไพเราะ และมีเสนหชวนฟง
ทั่วรางและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอเลอะหลั่งไป
เพงผาดอนาถใจ ระกะรอยเพราะรอยหวาย”

6 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 1 คน ออกมา
การอ่ า นบทร้ อ ยกรองหรื อ ท� า นองเสนาะให้ ไ พเราะและประทั บ ใจผู ้ ฟ ั ง นั้ น ผู ้ อ ่ า นควรมี หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น
ความพร้อมทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ ก่อนอ่านท�านองเสนาะควรรักษาสุขภาพให้ดี “หลักการอานออกเสียงรอยกรอง ประเภท
ตั้งสติให้มั่นคง ไม่ตื่นเต้น ตกใจ หรือประหม่า ควรมีสมาธิทั้งก่อนอ่านและขณะอ่าน โดยก่อนอ่าน กลอนสุภาพหรือกลอนแปด” จากนั้นให
ควรตรวจดูบทอ่านอย่างคร่าวๆ และรวดเร็ว เพื่อพิจารณาว่าเนื้อหากล่าวถึงเรื่องใด ควรอ่านใส่อารมณ์ รวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะกลอน
แบบใด รวมทัง้ กวาดสายตาพิจารณาค�ายากหรือการผันวรรณยุกต์และการสะกดค�าอืน่ ๆ เพือ่ จะได้อา่ น สุภาพประชุมลํานํา จากหนังสือเรียนภาษาไทย
ให้ถูกต้องตามอักขรวิธีไม่มีข้อผิดพลาด หนา 7 โดยใชหลักการอานตามแนวทางที่ได
๒.๒ วิธกี ารอ่าน ศึกษา และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข
ใหแกนักเรียน หลังการอานสิ้นสุดลง
ในการอ่านท�านองเสนาะจากค�าประพันธ์จะมีเครื่องหมายแบ่งวรรคตอนในการอ่าน ดังนี้
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกวและ
เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / รอยกรอง ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1
๑) กลอนสุภาพ คือ กลอนแปด เป็นค�า1ประพันธ์ที่นิยมแต่งกันมาแต่โบราณ กลอนสุภาพ หนวยที่ 1 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.1
มีหลายชนิด ได้แก่ สักวา ดอกสร้อย เสภา นิราศ
าศ เพลงยาว ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะบังคับที่ต่างกัน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
แต่กลอนทุกชนิดมีลีลาหรือกระบวนความบรรยายท�านองเดียวกัน ดังเช่น
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.1
กลอนสุภาพ (กลอนแปด) บทหนึง่ มี ๒ บาท ซึง่ ๑ บาท จะมี ๒ วรรค โดยมีวรรคละ ๗-๙ ค�า เรื่อง หลักเกณฑการอานออกเสียง
วรรคแรก เรียกว่า วรรคสดับ วรรคที่สอง เรียกว่า วรรครับ วรรคที่สาม เรียกว่า วรรครอง และ
วรรคที่สี่ เรียกว่า วรรคส่ง กิจกรรมตามตัวชี้วัด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๑ ใหนกั เรียนเขียนอธิบายหลักเกณฑในการอานตอไปนี้ (ท ๑.๑ ม.๑/๑) ñõ

การอ่านกลอนสุภาพ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค และเสียงต�่า ๒ วรรค หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว


การแบ่งจังหวะวรรคในการอ่าน แบ่งดังนี้ ๑. ศึกษาสาระสําคัญของเรื่องที่อาน
...................................................................................................................................................................................................................................................

๒. อานเสียงดังพอเหมาะกับผูฟง ไมดังหรือคอยจนเกินไป
...................................................................................................................................................................................................................................................


วรรคละ ๗ ค�า อ่าน ๒/๒/๓ // ๓. อานออกเสียงใหถูกตองตามอักขรวิธี
...................................................................................................................................................................................................................................................

๔. อานออกเสียงใหเปนเสียงพูดอยางเปนธรรมชาติที่สุด
...................................................................................................................................................................................................................................................


วรรคละ ๘ ค�า อ่าน ๓/๒/๓ // ๕. เนนเสียงและถอยคําตามนํ้าหนักความสําคัญของใจความ ใชเสียงและจังหวะใหเปนไปตาม
...................................................................................................................................................................................................................................................

เนื้อเรื่อง
...................................................................................................................................................................................................................................................

วรรคละ ๙ ค�า อ่าน ๓/๓/๓ // ...................................................................................................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................................................................................................

...................................................................................................................................................................................................................................................
ฉบับ

กลอนสุภาพ (กลอนแปด) เฉลย ...................................................................................................................................................................................................................................................

หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยกรอง
๑. ศึกษาลักษณะบังคับของคําประพันธที่จะอาน
กลอนสุภาพ/แปดค�า/ประจ�าบ่อน// อ่านสามตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง//
...................................................................................................................................................................................................................................................

๒. อานใหถูกตองตามลักษณะบังคับของคําประพันธชนิดนั้นๆ
...................................................................................................................................................................................................................................................

๓. อานออกเสียงคําใหชัดเจน ถูกตอง โดยเฉพาะคําที่ออกเสียง ร ล และคําควบกลํ้า


ตอนต้นสาม/ตอนสอง/ต้องแสดง// ตอนสามแจ้ง/สามค�า/ครบจ�านวน// ...................................................................................................................................................................................................................................................

๔. อานเสียงดังพอสมควรใหผูฟงไดยินทั่วถึง
...................................................................................................................................................................................................................................................

ก�าหนดบท/ระยะ/กะสัมผัส// ให้ฟาดฟัด/ชัดความ/ตามกระสวน// ๕. อานมีจังหวะ วรรคตอน รูจักทอดจังหวะ เอื้อนเสียง หรือหลบเสียง


...................................................................................................................................................................................................................................................

๖. คําทีร่ บั สัมผัสกันตองอานเนนเสียง ถาเปนสัมผัสนอกตองทอดเสียงใหมจี งั หวะยาวกวาธรรมดา


...................................................................................................................................................................................................................................................

วางจังหวะ/กะท�านอง/ต้องกระบวน// จึงจะชวน/ฟังเสนาะ/เพราะจับใจ// ๗. อานเอื้อนสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ


...................................................................................................................................................................................................................................................

๘. คําที่มีพยางคเกินใหอานเร็วและเบา เพื่อใหเสียงไปตกอยูพยางคที่ตองการ
...................................................................................................................................................................................................................................................

๙. เอื้อนเสียงใหเกิดความไพเราะ และใชเสียงแสดงความรูสึกใหเหมาะสมกับขอความ
(ประชุมล�าน�า : หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก)) ...................................................................................................................................................................................................................................................

๑๐. เมื่ออานถึงตอนจะจบบทตองเอื้อนเสียงและทอดจังหวะใหชาลง จนกระทั่งจบบท


...................................................................................................................................................................................................................................................


7

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเวนวรรคตอนถูกตอง
1 นิราศ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดทรงสันนิษฐานวา นิราศเปนบทประพันธ
1. ใจดํา เชน อีกา
ที่เกิดขึ้นเพราะระยะเวลาที่กวีตองเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้นยาวนานมาก
2. สมาคมขาราชการพลเรือนแหงประเทศไทย
เพราะในสมัยโบราณใชเรือเปนพาหนะ กวีจึงไดบันทึกอารมณคิดถึงนางอันเปนที่รัก
3. อาหารที่มีไขมันมากไดแก พิซซา เฟรนชฟรายส
พรอมกับเลาระยะทาง สถานทีท่ ผี่ า น สิง่ ทีไ่ ดพบเห็นระหวางทาง โดยจะยกตัวอยาง
4. การนําสัตวขึ้นหรือลง ณสถานีใดใหอยูในดุลยพินิจของเจาหนาที่
นิราศภูเขาทองซึ่งเปนผลงานของสุนทรภู ดังนี้
วิเคราะหคําตอบ การเวนชองวางระหวางคํา ขอความ ประโยค ใหถกู ตอง “...มาถึงบางธรณีทวีโศก ยามวิโยคยากใจใหสะอื้น
เปนสิ่งสําคัญตอการเขียนสื่อสาร เพราะทําใหขอเขียนมีความถูกตอง อาน โอสุธาหนาแนนเปนแผนพื้น ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
ไดตรงความตองการของผูเขียน ขอ 1. คําวา “เชน” ที่มีความหมายวา เมื่อเคราะหรายกายเราก็เทานี้ ไมมีที่พสุธาจะอาศัย
“เหมือน” หรือ “อยาง” ไมตองเวนวรรคเล็กทั้งหนาและหลัง ขอ 2. ไมตอง ลวนหนาวเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไรรังเรอยูเอกา”
เวนวรรคระหวางคํานําหนาชื่อที่แสดงฐานะของนิติบุคคล หนวยงาน หรือ
กลุมบุคคลกับชื่อ ขอ 3. ตองเวนวรรคเล็กทั้งหนาและหลังคําวา ไดแก
ขอ 4. ตองเวนวรรคเล็กทัง้ หนาและหลังคําวา ณ ดังนัน้ จึงตอบขอ 2.

คูมือครู 7
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนใหทบทวนความรูเกี่ยวกับ
หลักการอานออกเสียงรอยกรองประเภทกลอน- ส�ำหรับกลอนสักวำ ดอกสร้อย และนิรำศ จะแบ่งวรรคในกำรอ่ำนเหมือนกำรอ่ำนกลอนสุภำพ
สุภาพ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ ข้ำงต้น ดังตัวอย่ำงต่อไปนี้
กลุม ที่ 1 จากนัน้ ใหนกั เรียนทัง้ ชัน้ เรียนฝกปฏิบตั ิ กลอนสักวา
อานออกเสียงทํานองเสนาะบทรอยกรองประเภท
กลอนสักวา จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 8 สักวำ/หวำนอื่น/มีหมื่นแสน// ไม่เหมือนแม้น/พจมำน/ที่หวำนหอม//
2. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทน 1 คน ออกมา กลิ่นประเทียบ/เปรียบดวง/พวงพะยอม// อำจจะน้อม/จิตโน้ม/ด้วยโลมลม//
หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น แม้นล้อลำม/หยำมหยำบ/ไม่ปลำบปลื้ม// ดังดูดดื่ม/บอระเพ็ด/ต้องเข็ดขม//
“หลักการอานออกเสียงรอยกรองประเภทกาพย ผู้ดีไพร่/ไม่ประกอบ/ชอบอำรมณ์// ใครฟังลม/เมินหน้ำ/ระอำเอย//
ยานี 11” จากหนังสือเรียนภาษาไทยหนา 8 (สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ)
โดยใชหลักการอานตามแนวทางที่ไดศึกษา ส่วนกลอนหก อ่ำนเว้นจังหวะ ดังนี้
และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข วรรคละ ๖ ค�ำ อ่ำน ๒/๒/๒ //
ใหแกนักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง
กลอนหก

นำงเหลือบ/นัยนำ/มำแล// คือแข/ส่องสรวง/ดวงจักษ์//
สบเนตร/นำงยิ้ม/พริ้มพักตร์// ยั่วรัก/ยิ่งเร่ง/ใจร้อน// 1
(กนกนคร : กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)

๒) กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกำพย์ที่มีลีลำไพเรำะ จังหวะ กระบวนกำรอ่ำนเหมำะสมอย่ำงยิ่ง


ส�ำหรับกำรพรรณนำชมควำมงำมและกำรบรรยำยปลุกเร้ำอำรมณ์
กำพย์ยำนี ๑๑ มีจำ� นวนค�ำในแต่ละบำท ๑๑ ค�ำ แบ่งเป็นวรรคหน้ำ ๕ ค�ำ วรรคหลัง ๖ ค�ำ
กำรอ่ำนกำพย์ยำนี ๑๑ ในบำทโทนั้น นิยมอ่ำนเสียงสูงกว่ำปกติจึงจะเกิดควำมไพเรำะ กำรแบ่งจังหวะ
วรรคในกำรอ่ำน มีดังนี้
วรรคหน้ำ ๕ ค�ำ อ่ำน ๒/๓ / วรรคหลัง ๖ ค�ำ อ่ำน ๓/๓ /
กาพย์ยานี ๑๑
เรื่อยเรื่อย/มำรอนรอน// ทิพำกร/จะตกต�่ำ//
สนธยำ/จะใกล้ค�่ำ// ค�ำนึงหน้ำ/เจ้ำตรำตรู//
เรื่อยเรื่อย/มำเรียงเรียง// นกบินเฉียง/ไปทั้งหมู่//
ตัวเดียว/มำพลัดคู่// เหมือนพี่อยู่/ผู้เดียวดำย//
(กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การอานออกเสียงสามารถบูรณาการไดกับเรื่องการดูแลสภาวะรางกาย
โภชนาการ การเลือกกินอาหาร การดูแลระบบหายใจ ในกลุม สาระการเรียนรู
1 กรมหมืน่ พิทยาลงกรณ เปนโอรสองคที่ 22 ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
สุขศึกษาและพลศึกษา วิชาสุขศึกษา โดยใหนกั เรียนวิเคราะหวา ระบบหายใจ
ประสูติเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2419 พระนามเดิมวา พระองคเจารัชนีแจมจรัส
มีสว นสําคัญตอการออกเสียงอยางไร และจะมีแนวทางอยางไรสําหรับการดูแล
พระองคทรงชํานาญดานภาษาและวรรณคดีเปนพิเศษ ทรงเปนกวีที่มีโวหารไพเราะ
รักษาเสียงใหมีความชัดเจน กังวาน แจมใส ไมแหบพรา จัดทําเปนใบความรู
ซึ่งงานพระนิพนธของพระองคแยกเปน 2 ประเภท ไดแก ประเภทรอยแกว คือ
เฉพาะบุคคล สงครู
จดหมายจางวางหรํ่า นิทานเวตาล สืบราชสมบัติ ตลาดเงินตรา และพระนาง
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ จะทําใหนักเรียนมีความรู
ฮองไทเฮา สวนประเภทรอยกรอง คือ กนกนคร พระนลคําฉันท และลิลิตสามกรุง
ความเขาใจ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตนเอง ดูแลปจจัยพื้นฐานของ
โดยทรงใชนามปากกาวา น.ม.ส.
การอานออกเสียง และยังสงผลไปสูการปลูกฝงใหนักเรียนมีความตื่นตัว
กับการสรางสุขภาวะสุขภาพของตนเองใหสมบูรณอีกดวย

8 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3æ, 4 และ 5 สงตัวแทนออกมา
๓) กาพย์ฉบัง ๑๖ จะอ่านเสียงสูงเสมอกันทุกวรรค หรือจะอ่านวรรคที ่ ๒ ให้ตา�่ กว่าวรรคแรก หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น
และวรรคหลัง ๑ บันไดเสียงก็ได้ จังหวะของกาพย์ฉบัง วรรคทีม่ ี ๖ ค�าจะแบ่ง ๒/๒/๒ // “หลั ก การอ า นออกเสี ย งร อ ยกรองประเภท
เป็นส่วนใหญ่ แต่บางวรรคก็ตอ้ งดูเนือ้ ความเป็นหลัก อาจแบ่งจังหวะเป็น ๒/๔ / เพราะค�า
กาพยฉบัง 16 กาพยสุรางคนางค 28 และ
ทีก่ วีใช้ควรอ่านให้เสียงต่อเนือ่ งกัน ส่วนวรรคทีม่ ี ๔ ค�า ให้แบ่งจังหวะเป็น ๒/๒ / โคลงสี่สุภาพ จากนั้นใหนักเรียนทั้งชั้นรวมกัน
กาพย์ฉบัง ๑๖ อ า นออกเสี ย งทํ า นองเสนาะกาพย ฉ บั ง 16
1 กาพยสุรางคนางค 28 และโคลงสี่สุภาพ จาก
กลางไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ฟังเสียง/เพียงเพลง// หนังสือเรียนภาษาไทย หนา 9-10 ตามลําดับ
ซอเจ้ง/จ�าเรียง/เวียงวัง// โดยใชห ลักการอานตามแนวทางที่ไดศึกษา
ยูงทอง/ร้องกะโต้งโห่งดัง// เพียงฆ้อง/กลองระฆัง// และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไขใหแก
แตรสังข์/กังสดาล/ขานเสียง // นักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) 2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การอานออกเสียงบทรอยกรอง ทําแบบวัดฯ
๔) กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จะอ่านเสียงกลางๆ เสมอกัน ยกเว้นวรรคที่ ๔ อ่านเสียงสูงกว่า
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 หนวยที่ 1 กิจกรรม
วรรคอื่นๆ ๑ บันไดเสียง หรือเพิ่มความไพเราะโดยอ่านวรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๖ เสียงต�่ากว่าวรรคแรก
ตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.3
๑ บันไดเสียง หรือวรรคที่ ๒ อ่านเหมือนเดิมแต่อ่านวรรคที่ ๖ เสียงต�่า เพียงวรรคเดียวก็ได้ จังหวะ
ของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จะอยู่กลางวรรคทุกวรรคเป็น ๒/๒ ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.3
เรื่อง การอานออกเสียงบทรอยกรอง
วันนั้น/จันทร// คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๓ ใหนักเรียนอานออกเสียงบทรอยกรองตอไปนี้ ñõ
มีดารากร// เป็นบริวาร// แบบทํานองเสนาะ (ท ๑.๑ ม.๑/๑)

เห็นสิ้น/ดินฟ้า// ในป่า/ท่าธาร//
๏ มัสมั่นแกงแกวตา หอมยี่หรารสรอนแรง
มาลี/คลี่บาน// ใบก้าน/อรชร// ชายใดไดกลืนแกง แรงอยากใหใฝฝนหา
๏ ยําใหญใสสารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) รสดีดวยนํ้าปลา ญี่ปุนลํ้ายํ้ายวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหลอนตม เจือนํ้าสมโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไมมีเทียบเปรียบมือนาง
๕) โคลงสี่สุภาพ บทหนึ่งมี ๓๐ ค�า โดย ๑ บท มี ๔ บาท วรรคหน้าในบาทที่ ๑-๔ มี ๕ ค�า ๏ หมูแนมแหลมเลิศรส
พิศหอเห็นรางชาง
พรอมพริกสดใบทองหลาง
หางหอหวนปวนใจโหย
ส่วนวรรคหลังมี ๒ ค�า แต่บาทที ่ ๔ วรรคหลังจะมี ๔ ค�า (อาจมีคา� สร้อย ๒ ค�าในบาทที ่ ๑ และ ๓) ฉบับ
๏ กอยกุงปรุงประทิ่น
รสทิพยหยิบมาโปรย
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
การอ่ า นโคลงสี่ สุ ภ าพ นิ ย มอ่ า นออกเสี ย งต�่ า ที่ ท ้ า ยวรรคบาทที่ ๒ ออกเสี ย งสู ง ที่ เฉลย ๏ เทโพพื้นเนื้อทอง
นาซดรสครามครัน
เปนมันยองลองลอยมัน
ของสวรรคเสวยรมย
ท้ายวรรคหน้าของบาทที่ ๓ และทอดเสียงที่ท้ายวรรคแรกของแต่ละบาท นิยมอ่านด้วยระดับเดียวกัน ๏ ความรักยักเปลี่ยนทา ทํานํ้ายาอยางแกงขม
กลออมกลอมเกลี้ยงกลม ชมไมวายคลับคลายเห็น
ทั้งบท แต่บางค�าจะขึ้นลงสูงต�่าตามเสียงของวรรณยุกต์ ยกเว้นวรรคแรกของบาทที่ ๓ จะอ่านเสียงสูง ๏ ขาวหุงปรุงอยางเทศ รสพิเศษใสลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไมเปน เชนเชิงมิตรประดิษฐทํา
กว่าทุกวรรค ๑ บันไดเสียง ๏ เหลือรูหมูปาตม แกงคั่วสมใสระกํา
รอยแจงแหงความขํา ชํ้าทรวงเศราเจาตรากตรอม
๏ ชาชาพลาเนื้อสด ฟุงปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ
(กาพยเหชมเครื่องคาวหวาน : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย)

9 (พิจารณาการอานของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
จากรอยกรองที่กําหนดใหตอไปนี้ นักเรียนแสดงความคิดเห็นวาจะใช
นํ้าเสียงและลีลาทาทางขณะอานอยางไร 1 กลางไพรไกขันบรรเลง คําประพันธทั้งสองบทนี้มีการสรรคําใชเปนอยางดี
“หนาวลมหมผาหอน หายหนาว เมื่อกลาวถึงไกปาที่สงเสียงขัน กวีใชคําวา ขันบรรเลง เพื่อเปรียบกับเสียงเพลง
ฟาพรํ่านํ้าคางพราว พรางฟา นอกจากจะมีเสียงไกบรรเลงเหมือนเพลงแลว ยังมีเสียงนกยูงที่เหมือนเสียงฆอง
เดนเดือนเกลื่อนกลาดดาว ดวงเดน กลอง ระฆัง แตร สังข และกังสดาลประสานไปดวย คําประพันธสองบทนี้จึงเปน
ใจเปลาเศราซบหนา นึกนองหมองใจ” ภาพพจนที่สรางจินตภาพดานเสียงใหแกผูอาน
(โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู)

แนวตอบ รอยกรองขางตนเปนบทเศรา ครํา่ ครวญ ผูอ า นจึงควรใชนาํ้ เสียง


ในลักษณะที่เรียกวา “ครั่นเสียง” และ “เครือเสียง” อานใหชาและเนิบ
กวาปกติ ปรับสีหนาใหเศราสรอยเพื่อสรางอารมณความรูสึกคลอยตาม
ใหเกิดแกผูฟง

คูมือครู 9
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการอาน
ออกเสียงรอยกรอง มาจัดการความรูรวมกัน โดยปกติ โคลงสี่สุภาพมีการแบ่งจังหวะในการอ่าน ดังนี้
ในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน /
่ ้ /
/))/
หัวขอ “นํ้าเสียง ฉันทลักษณ อรรถรส ่ // ่ ้ /

บทรอยกรอง” / ่ / ่ /))/

2. นักเรียนรวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐานสําหรับ

// ้ ่ ้ ///
ใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงบทอานประเภท วรรคที่มี ๕ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๓ และ ๒ หรือ ๒ และ ๓ หรืออื่นๆ ให้พิจารณาจาก
รอยกรอง โดยประมวลจากความรู ความเขาใจ ความหมายของค�าเป็นหลักและหากมีค�ารับสัมผัสอยู่ในวรรค จังหวะต้องตกตรงค�ารับสัมผัสเสมอ
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ โคลงสี่สุภาพ
1-3 รวมถึงขอควรปรับปรุงที่ครูเปนผูชี้แนะ เสียงฦๅ/เสียงเล่าอ้าง/ อันใด/พี่เอย/
หลังจากการอานของนักเรียน มาตรฐานที่ถูก เสียงย่อม/ยอยศใคร/ ทั่วหล้า/
กําหนดขึ้นนี้จะใชวัดคุณภาพการอานออกเสียง สองเขือ/พี่หลับใหล/ ลืมตื่น/ฤๅพี่/
รอยกรองของนักเรียนทุกๆ คนในชั้นเรียน สองพี่/คิดเองอ้า/ อย่าได้/ถามเผือ//
3. นักเรียนคัดสรรรอยกรองประเภทใดก็ไดจาก 1
(ลิลิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
วรรณคดีเรื่องที่ตนประทับใจ ความยาวไมเกิน
2 บท เพื่อนํามาอานออกเสียงใหครูและเพื่อนๆ บางกรณี จ�าเป็นต้องอ่านรวบค�า ๓ ค�า จาก ๒/๓ เป็น ๓/๒ เช่น ค�าว่า “เลื้อยบ่ท�า”
ฟง หนาชัน้ เรียน คัดลอกดวยลายมือของตนเอง และ “ชูแต่หาง” ดังนี้
พรอมแสดงการแบงวรรคตอนในการอานโดยใช
นาคี/มีพิษเพี้ยง/ สุริโย/
เครื่องหมายที่ถูกตอง
เลื้อยบ่ท�า/เดโช/ แช่มช้า/
4. ในขณะทีเ่ พือ่ นอานออกเสียง ใหนกั เรียนคนอืน่ ๆ
พิษน้อย/หยิ่งโยโส/ แมลงป่อง/
ภายในชัน้ เรียน เขียนแสดงความคิดเห็นและ ชูแต่หาง/เองอ้า/ อวดอ้าง/ฤทธี/
ประเมินการอานของเพื่อน โดยใชเกณฑ (โคลงโลกนิติ : กรมพระยาเดชาดิศร)
มาตรฐานที่รวมกันกําหนดขึ้นเปนแกนกลาง
การฝึกอ่านออกเสียงให้มปี ระสิทธิภาพ จะต้องยึดหลักเกณฑ์ของภาษาเป็นส�าคัญ
2
โดยมีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบ ควรเอาใจใส่การอ่าน
ออกเสียงคÓอ่านทีม่ ี ร ล คÓควบกลéÓ รวมถึงเสียงวรรณยุกต์ตา่ งๆ ต้องให้มเี สียงดังฟังชัด
รู้จักเลือกใช้นéÓเสียงให้สอดคล้องเหมาะสมกับข้อความที่อ่าน ตลอดจนรู้จักเน้นเสียง
ในข้อความสÓคัญต่างๆ ด้วย นอกจากนีผé อู้ า่ นควรเตรียมศึกษาบททีจ่ ะอ่าน เพือ่ จัดแบ่ง
วรรคตอนในการอ่านให้เหมาะสม รวมทัéงควรหมั่นฝึกฝนท่าทางขณะอ่านให้ถูกต้องอยู่
เสมอเพื่อให้เกิดความมั่นใจและสร้างความชื่นชมให้แก่ผู้ฟังทั่วไป

10

กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
1 ลิลิต เจาพระยาพระคลัง (หน) ไดนิพนธเรื่อง “เพชรมงกุฎ” โดยใชโคลงและ นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับปจจัยพื้นฐานในการอานออกเสียง จากนั้นให
รายแตงผสานตอเนื่องกัน และเรียกบทนิพนธนี้วา “ลิลิต” จึงกลายเปนชื่อรูปแบบ ตั้งขอสังเกตวา หากนักเรียนตองการจะเปนผูประสบความสําเร็จในการ
รอยกรองที่แตงดวยโคลงผสานกับราย รวมทั้งที่แตงดวยโคลงสลับกับราย เชน อานออกเสียง นอกจากปจจัยพื้นฐานแลวยังตองมีสิ่งใดอีกบาง สรุปเปน
ลิลิตโองการแชงนํ้า สําหรับลิลิตเพชรมงกุฎไดเคาเรื่องมาจากนิทานเวตาล แตได ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
คัดเฉพาะเรื่องที่เวตาลเลาเรื่องเกี่ยวกับพระเพชรมงกุฎถวายทาววิกรมาทิตย
ซึ่งวรรณคดีเรื่องนี้ไดปรากฏคุณคาทั้งดานวรรณศิลป ดานพระพุทธศาสนา
โดยไดแสดงคติธรรมใหมนุษยรูจักดับกิเลสตัณหา ไมปลอยใหความหลงใหลใน
กิจกรรมทาทาย
ความรักเขาครอบงํา จนเกิดความเดือดรอนในภายหลัง
2 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เปนพจนานุกรมอธิบายศัพทภาษาไทย นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผูที่จะอานทํานองเสนาะไดดี
ซึ่งทางราชการจัดทําขึ้นเพื่อใหการอาน เขียนหนังสือไทยมีมาตรฐานเดียวกัน โดย จากนั้นใหตั้งขอสังเกตวา หากนักเรียนมีคุณสมบัติของผูที่จะอานออกเสียง
มีการปรับปรุงตามลําดับเรื่อยมา เมื่อปรับปรุงพจนานุกรมฉบับหนึ่งๆ แลวเสร็จ ทํานองเสนาะครบถวน แตการอานของนักเรียนยังไมไพเราะ นักเรียน
จะออกประกาศ เรือ่ ง ระเบียบการใชตวั สะกดเพือ่ ใหหนวยงานราชการ สถานศึกษา คิดวาตนเองตองฝกฝนในเรื่องใด สรุปเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ใชตวั สะกดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึง่ ปจจุบนั เปนฉบับ พ.ศ. 2554

10 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมาอานออกเสียงรอยแกวและ
รอยกรองที่ไดคัดสรรดวยตนเอง ใหครูและ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบการอานออกเสียงของนักเรียน
๑. การฝกอ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองให้ถูกต้องไพเราะมีประโยชน์หรือมีความส�าคัญอย่างไร
แตละคน โดยใหความสําคัญกับอักขรวิธี
กับนักเรียน การเวนวรรคตอน การออกเสียงใหถูกตอง
๒. การอ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองมีหลักในการอ่านอย่างไร ตามลักษณะคําประพันธ การทําลีลานํ้าเสียง
๓. การอ่านออกเสียงมีความจ�าเปนต่อการสื่อสารในชีวิตประจ�าวันหรือไม่ อย่างไร ใหสอดคลองกับเรื่องที่อาน โดยใหคําแนะนํา
๔. การอ่านออกเสียงร้อยแก้วเปนพื้นฐานที่ส�าคัญของการอ่านบทร้อยกรองอย่างไร จงอธิบาย เปนรายบุคคลเพื่อใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
๕. ผู้ที่มีพื้นฐานในการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง ชัดเจน เหมาะส�าหรับการประกอบอาชีพใด ในการเรียนการสอน
เพราะเหตุใด 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อแสดงความคิดเห็น
ของตนเองที่ประเมินการอานของเพื่อนๆ
โดยครูคอยสังเกตวิธีการแสดงความคิดเห็น
ของนักเรียนวาตั้งอยูบนเกณฑมาตรฐานที่
รวมกันกําหนดขึ้นหรือไม อยางไร เพื่อเปน
การตรวจสอบทักษะการประเมินของนักเรียน
อีกชั้นหนึ่ง
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู 4. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนจัดโครงการ “สวนสุภาษิต” รวบรวมส�านวนสุภาษิต ข้อคิด
หรือวรรคทองในวรรณกรรม วรรณคดีที่นักเรียนประทับใจ แล้วเขียนเปน
ป้ายเล็กๆ ติดไว้ตามสวนหย่อมในโรงเรียน เช่น
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
■ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
1. ปายนิเทศประจําชั้นเรียน
■ มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี

กิจกรรมที่ ๒ จัดประกวดโครงการ “ยอดนักอ่าน” เพื่อให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ 2. รอยแกวและรอยกรอง ที่คัดลอกดวยลายมือ


ในทักษะการอ่านและความรู้ทางวิชาการ เช่น ของนักเรียน แสดงการแบงวรรคตอนในการอาน
■ ประกวดอ่านข่าวเสียงตามสายของโรงเรียน 3. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
■ ประกวด “ดีเจเสียงใส ใส่ใจสังคม”

11

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. ประโยชนของการฝกอานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองใหถูกตองไพเราะ จะทําใหผูอานมีความมั่นใจในตนเอง สรางความบันเทิงใหแกผูฟง และถายทอดอารมณ
ความรูสึกของบทอานไดอยางถูกตอง และมีประสิทธิภาพ
2. การอานออกเสียงรอยกรองจะตองศึกษาฉันทลักษณของคําประพันธ ใชนํ้าเสียง เอื้อนเสียงใหมีความไพเราะ สอดรับกันในแตละวรรค สวนการอานออกเสียง
รอยแกวจะตองคํานึงถึงการแบงวรรคตอน การเนนเสียงใหความหนัก เบา เปนตน
3. การอานออกเสียงมีความจําเปนตอการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เพราะการอานออกเสียง คือการถายทอดเนื้อหาสาระตางๆ ใหผูฟงรับรู เขาใจ และปฏิบัติตาม เชน
การอานประกาศ หรือเพื่อใหไดรับอรรถรสความบันเทิง เชน นิทาน เรื่องสั้น เปนตน
4. การอานออกเสียงรอยแกวเปนพื้นฐานสําคัญของการอานรอยกรอง เพราะถาสามารถแบงวรรคตอน ออกเสียงคําควบกลํ้า ตัว ร ล ไดชัดเจน จะทําใหสามารถอาน
ออกเสียงรอยกรองไดไพเราะ สละสลวยมากยิ่งขึ้น
5. อาชีพครู ผูประกาศขาว พิธีกร นักพากย เพราะบุคคลกลุมนี้จะตองทําหนาที่ในการถายทอดเรื่องราวตางๆ สูสาธารณชน หากมีการแบงวรรคตอน หรือออกเสียง
ผิดพลาด อาจกอใหเกิดการเขาใจสารผิดพลาด หรือทําใหเสียอรรถรสในการฟง

คูมือครู 11
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถจับใจความสําคัญจากเรื่องที่อาน
โดยระบุขอเท็จจริง ขอคิดเห็น เขาใจเนื้อหาสาระ
โดยการตีความจากคํา สัญลักษณตางๆ หรือสังเกต
จากบริบทหรือขอความแวดลอม และนําคุณคาหรือ
ความรูที่ไดรับไปปรับใชในชีวิตประจําวัน
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ Engage


ครูกระตุน ความสนใจดวยการยกตัวอยางขอความ
หน่วยที่ ò
ทีแ่ สดงความคิดเห็นเกีย่ วกับการอานทีก่ ลาววา การอานในชีวิตประจําวัน
“การดูดีหรือความฉลาดไมใชแคการหยิบ
มาอาน แตขึ้นอยูกับวาบุคคลผูนั้นอานอะไร แตใน
ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙ ใ นชีวิตประจ�าวันเรารับรู้ข้อมูล
■ จับใจความสําคัญจากเรื่องที่อาน ข่าวสารจากการอ่าน การฟง และการดู
ขณะเดียวกันการอานก็ไมไดใชสรุปวาบุคคลผูนั้น ■ ระบุเหตุและผล และขอเท็จจริงกับขอคิดเห็นจากเรื่องที่อาน มีสื่อที่ถ่ายทอด ความรู้ ความคิดจาก
ระบุและอธิบายคําเปรียบเทียบและคําที่มีหลายความหมายในบริบท
บุ คคลสู่บุคคล หรือสื่อถึงมวลชนอย่าง

ดูดีหรือเปนบุคคลที่ฉลาด แตการอานเปนการเปด ตางๆ


ตีความคํายากในเอกสารวิชาการโดยพิจารณาจากบริบท หลากหลาย แต่การฟงและการดูข้อมูล
โลกทัศนใหกวางขึ้น ใหลึก ฝกใหคิด ฝกใหเขาใจ

■ ระบุขอสังเกตและความสมเหตุสมผลของงานเขียนประเภทชักจูง ข่าวสารอาจผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึง่ บางครัง้


โนมนาวใจ
เปนการพัฒนาทรัพยากรพื้นฐานของประเทศ ■ ปฏิบัติตามคูมือแนะนําวิธีการใชงานของเครื่องมือหรือเครื่องใช จั บ ใจความและทบทวนไม่ ไ ด้ ต่ า งจาก
หากพัฒนาไดมากขึ้นก็จะทําใหประเทศชาติเจริญ ในระดับที่ยากขึ้น การอ่านหนังสือ สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ และสื่อ
■ วิเคราะหคุณคาที่ไดรับจากการอานงานเขียนอยางหลากหลาย อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส์ ซึ่ ง ผู ้ อ ่ า นสามารถทบทวน
กาวหนา” จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา เพื่อนําไปใชแกปญหาชีวิต
ท�าความเข้าใจ หรือค้นคว้าเพิ่มเติมได้
■ มีมารยาทในการอาน
• นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไรตอคําพูด สาระการเรียนรูแกนกลาง ดังนัน้ การอ่านหนังสือดีๆ อย่างสม�า่ เสมอ
ดังกลาว ■ การอานจับใจความจากสื่อตางๆ จะท�าให้ประเทืองปญญา ฉลาดรอบรู ้ และทันต่อ
การอานและปฏิบัติตามเอกสารคูมือ ความก้าวหน้าของโลก ผูเ้ รียนจึงควรฝกฝนให้รกั
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น

■ มารยาทในการอาน การอ่าน รักการศึกษาค้นคว้าเสมอ


ไดอยางอิสระ คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจ
ของครู)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การอานในชีวติ ประจําวัน เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถตีความ แปลความเพื่อเขาใจความหมายของคํา มีความ
สามารถในการแยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น เพื่อระบุไดวาเรื่องที่อานควรเชื่อถือ
หรือไม รวมถึงมีความสามารถในการวิเคราะหคุณคาที่ไดรับจากการอานและอาน
อยางมีมารยาท
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรใหนักเรียนไดศึกษาแนวทางการอาน
แตละประเภท จากนั้นจึงนําทฤษฎีมาใชอานงานเขียนที่หลากหลาย กําหนด
กิจกรรมใหปฏิบัติ เชน ใหอานงานเขียนชิ้นเดียวกันแลวรวมกันอภิปรายความ
สมเหตุสมผล ความนาเชื่อถือ และคุณคาที่ไดรับ
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะทีจ่ าํ เปนตอการอานในขัน้ สูง
ใหแกนกั เรียน เชน ทักษะการแปลความ ตีความ การจําแนก การใหเหตุผล และ
กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ

12 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถาม เพื่อนําเขาสูหัวขอการเรียน
๑ การอ่านจับใจความส�าคัญ การสอนโดยสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบ
• การอานจับใจความมีความสําคัญตอการอาน
การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระส�าคัญของข้อความหรือของหนังสือเล่มนั้น ในชีวิตประจําวันอยางไร
ว่าส่วนใดเป็นใจความส�าคัญที่ผู้เขียนน�าเสนอและส่วนใดเป็นส่วนที่ขยายใจความส�าคัญให้ชัดเจนยิง่ ขึน้ (แนวตอบ ทําใหเขาใจเนื้อหาสาระของเรื่อง
ส่วนที่เป็นใจความส�าคัญอาจอยู่ช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงท้ายของเรื่องหรือย่อหน้านั้นๆ ก็ได้ ที่อานไดครบถวนและมีประสิทธิภาพ)
ใจความส�าคัญเป็นส่วนส�าคัญที่สุดของเรื่อง หากไม่มีจะท�าให้ผู้อ่านไม่เข้าใจ นอกนั้นเป็นส่วน • หากนักเรียนไมมคี วามรู ความเขาใจเกีย่ วกับ
ขยายซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ในข้อความหนึ่งๆ หรือบทความเรื่องหนึ่งๆ อาจมีหลายย่อหน้า การอานจับใจความสําคัญ ใหจินตนาการวา
ดังนั้น แต่ละย่อหน้าจึงมีใจความส�าคัญเพียงใจความเดียวและอาจมีส่วนขยายประเด็นเดียว ประสิทธิภาพในการรับสารดวยวิธีการอาน
หรือหลายประเด็นก็ได้ บางข้อความผูเ้ ขียนไม่ได้เขียนออกมาเป็นประโยค ผูอ้ า่ นต้องจับใจความส�าคัญเอง ของนักเรียนจะเปนอยางไร
แล้วเรียบเรียงใจความส�าคัญเป็นส�านวนภาษาของตนเอง (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
หลากหลาย แตคําตอบตองมาจากการ
๑.๑ ลักษณะของใจความสำาคัญ ประเมินตนเอง ซึ่งครูควรชี้แนะวา หาก
ใจความส�าคัญ คือ ข้อความทีเ่ ป็นใจความหลักของข้อความแต่ละย่อหน้า หากขาดข้อความนี้ นักเรียนไมมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
จะท�าให้ผอู้ า่ นไม่เข้าใจเรือ่ งทีอ่ า่ น ส่วนข้อความทีเ่ ป็นส่วนขยายหรือประกอบใจความหลักให้ผอู้ า่ นเข้าใจ การอานจับใจความสําคัญ การรับสารดวย
ชัดเจนยิ่งขึ้นเรียกว่า ใจความส�าคัญรองหรือใจความขยาย การอานของนักเรียนจะไมเกิดผล เพราะ
ใจความส�าคัญจะปรากฏอยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่งของย่อหน้านั้น โดยทั่วไปจะปรากฏอยู่ นักเรียนไมสามารถสรุปไดวาเรื่องที่อาน
ตอนต้นย่อหน้า แต่บางกรณีอาจอยู่ตอนท้ายหรือตอนกลางของย่อหน้าก็ได้ เช่น เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร)

การอ่านจับใจความสÓคัญ สํารวจคนหา Explore


ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในหอง
ความรัก ความเข้าใจ คือสายใยของครอบครัว เป็นค�าขวัญที่ชนะเลิศ
โดยเขียนหมายเลข 1 และ 2 ลงบนสลาก
การประกวดค�าขวัญวันครอบครัว ซึ่งรัฐบาลก�าหนดให้วันที่ ๑๔ เมษายน
อยางละครึ่ง จากนั้นใหนักเรียนออกมาจับสลาก
ของทุกปีเป็นวันครอบครัวแห่งชาติ
ประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้
หมายเลข 1 การอานจับใจความสําคัญ
ประโยคใจความส�าคัญอยู่ตอนต้นของข้อความ ได้แก่ ความรัก ความเข้าใจ คือสายใยของ งานเขียนประเภทรอยแกว
ครอบครัว เป็นค�าขวัญที่ชนะเลิศการประกวดค�าขวัญวันครอบครัว หมายเลข 2 การอานจับใจความสําคัญ
ประโยคใจความรอง คื1อ ประโยคที่มาขยาย ได้แก่ รัฐบาลก�าหนดให้วันที่ ๑๔ เมษายนของ งานเขียนประเภทรอยกรอง
ทุกปีเป็นวันครอบครัวแห่งชาติ โดยนักเรียนที่จับสลากไดหมายเลขเหมือนกัน
จะเห็นว่า ประโยคนี้ใจความส�าคัญอยู่ตอนต้นของข้อความ ใจความที่ ๒ เป็นใจความขยาย ใหอยูกลุมเดียวกัน ซึ่งวิธีการสืบคนของนักเรียน
อาจไดมาจากการอานตํารา คนจากอินเทอรเน็ต
หรือสอบถามผูรู
13

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนอานขอความทีก่ าํ หนดใหตอ ไปนี้ แลวเขียนประโยคใจความสําคัญ
ของขอความ “กระชอนเปนเครื่องกรองของเหลวชนิดหนึ่ง สานดวยตอกไมไผ 1 วันครอบครัวแหงชาติ ครอบครัวเปนหนวยพื้นฐาน
เปนตาถี่ๆ รูปรางคลายมะนาวตัด หรือบางทีทําขอบปากเปนสี่เหลี่ยม มีหู ทางสังคมที่เล็กที่สุด แตมีบทบาทและหนาที่สําคัญที่สุด
สําหรับวางพาดปากหมอ ปากชามเพื่อกรองกะทิ กรองเมล็ดพันธุพืชหรือใช เปนสิง่ ทีย่ ดึ เหนีย่ วจิตใจและความรูส กึ ของมนุษย รัฐบาลไทย
ตากเมล็ดพืชเล็กๆ ไดแก เม็ดแตงกวา ฟกแฟง แตงไทย เปนตน” ไดเห็นความสําคัญของครอบครัว จึงไดประกาศใหวันที่
14 เมษายน ของทุกป เปนวันครอบครัว โดยสัญลักษณ
แนวตอบ ประโยคใจความสําคัญของขอความดังกลาว คือ กระชอนเปน ดังกลาว หมายถึง คนในครอบครัว ประกอบดวย พอ แม
เครื่องกรองของเหลวชนิดหนึ่ง ลูก และปู ยา ตา ยาย หรือญาติผูใหญที่อยูรวมกันดวยความอบอุนภายใต
หลังคาบานซึ่งมีลักษณะเปนวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยที่มีบรรพบุรุษคอยดูแลอบรม
สมาชิกรุนใหมของครอบครัวจนเติบโตและสามารถดํารงชีวิตในสังคมได

คูมือครู 13
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุม ทีจ่ บั สลากไดหมายเลข 1 สงตัวแทน
2 คน ออกมาอธิบายความรูในประเด็น ๑.๒ หลักการอ่านจับใจความสำาคัญ
“การอานจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท การอ่านจับใจความส�าคัญ ผู้อ่านจะต้องแยกให้ได้ว่าส่วนใดเป็นใจความหลักและส่วนใด
รอยแกว” ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน ที่เป็นส่วนขยาย ซึ่งจะท�าให้ผู้อ่านเข้าใจสารได้ตรงเจตนา ผู้อ่านควรมีหลักปฏิบัติในการอ่าน ดังนี้
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๑. ให้อ่านหนังสือทั้งเล่มหรืออ่านทั้งตอนที่ก�าหนดให้ โดยอ่านอย่างส�ารวจในส่วนประกอบ
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับแนวทาง ของหนั ง สื อ เช่ น ชื่ อ เรื่ อ ง ค� า น� า สารบั ญ ค� า ชี้ แจงหรื อ ค� า แนะน� า การใช้ ห นั ง สื อ ถ้ า มี ป ระวั ติ
การอานจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท ผู้แต่งควรอ่านด้วยเพราะจะท�าให้รู้จักภูมิหลังและแนวคิดของผู้เขียนมากขึ้น แล้วจับใจความของเรื่อง
รอยแกว โดยใชขอมูลที่ไดรับจากการฟง ให้ได้ว่าใคร ท�าอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไร ท�าไม
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล ๒. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจนว่าอ่านเพื่ออะไร แล้วตั้งค�าถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
เบื้องตน หรือที่ตนเองอยากรู้ เช่น อ่านเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านเพื่อค้นคว้าหาความรู้ หรืออ่าน
• การอานจับใจความสําคัญคือการอาน เพื่อประเทืองปัญญา การก�าหนดจุดประสงค์ในการอ่านจะท�าให้อ่านได้เข้าใจและรวดเร็วขึ้น
งานเขียนเพื่อจุดประสงคใด ๓. ผู้อ่านควรมีประสบการณ์หรือมีความรู้พื้นฐานในการอ่านบ้าง เช่น เข้าใจความหมาย
(แนวตอบ การอานจับใจความสําคัญ คือ โดยตรงของค�าศัพท์ต่างๆ หากไม่เข้าใจควรค้นหาความหมายจากพจนานุกรมหรือถามผู้รู้
การอานงานเขียนเพื่อใหทราบโครงเรื่องหรือ ๔. ทบทวนเนื้อหาหรือประเด็นส�าคัญของเรื่องนั้นให้เข้าใจ โดยตั้งค�าถามทบทวนเรื่องที่อ่าน
ประเด็นสําคัญที่ผูเขียนตองการจะถายทอด) แล้วจดจ�ารายละเอียด ประเด็นที่น่าสนใจ และบันทึกเรื่องย่อด้วยภาษาที่ตนเองเรียบเรียงขึ้นใหม่
• ในชีวิตประจําวันการอานงานเขียนซึง่ มีหลาย การอ่านจับใจความสÓคัญบทร้อยแก้ว
ยอหนา นักเรียนจะมีวธิ กี ารอยางไรที่จะทําให
การอานจับใจความสําคัญเกิดประสิทธิภาพ แมวเป็นสัตว์นา่ รัก แต่ผมไม่เคยผูกพันด้วย มันน่าร�าคาญมากกว่าในสายตาผม แต่เมือ่ ครัง้ เป็น
สูงสุด เด็กมาแล้ว เห็นแม่เลี้ยงแมวมาด้วยความรักแบบหลงใหล หาข้าวให้มันกิน จับมันขึ้นมาอุ้ม เรียก
(แนวตอบ การอานจับใจความสําคัญ มันด้วยเสียงแบบเอ็นดู ทั้งที่ร้องกวนใจ เคล้าแข้งเคล้าขาเกะกะ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฉวยโอกาสที่
งานเขียนที่มีหลายยอหนา ผูอานจะตอง แสดงความรักคนเฉพาะเมื่อเวลามันหิว อิ่มแล้วก็ไปหรือไม่ก็นอนหลับเกียจคร้าน บ่อยครั้งที่ผม
อานเรื่องทั้งหมด แลวจึงจับใจความสําคัญ อิจฉาที่คิดว่าแม่รักแมวมากกว่าผม 1
แตละยอหนา ซึ่งใจความสําคัญแตละยอหนา (ขอทาน แมว และคนเมา : อัศศิริ ธรรมโชติ)
ของงานเขียนเรื่องเดียวกัน จะตองเปนไป
ในทิศทางเดียวกัน จากนั้นจึงนําประเด็น ข้อความข้างต้นนี้มีประเด็นหลายประเด็น คือ
แตละประเด็นมาเรียบเรียงตอกันอยางเปน ๑. แมวเป็นสัตว์น่ารัก แต่ผมไม่เคยผูกพัน
ระบบ ก็จะทําใหทราบโครงเรื่องหรือสาระ ๒. แมวเป็นสัตว์น่าร�าคาญมากกว่าน่ารักในสายตาผม
๓. แม่รักแมวอย่างหลงใหล
สําคัญของงานเขียนเรื่องนั้นๆ)
๔. แมวเป็นสัตว์ฉวยโอกาส
๕. ผมอิจฉาแมวและคิดว่าแม่รักแมวมากกว่าผม
จาก ๕ ประเด็นข้างต้น ใจความส�าคัญอยูท่ ปี่ ระเด็นสุดท้าย กล่าวคือ ผูแ้ ต่งอิจฉาแมว
และคิดว่าแม่รกั แมวมากกว่าเขา ส่วนประโยคอืน่ ๆ เป็นประโยคที่มาขยายว่า ท�าไมผู้แต่งจึงอิจฉาแมว

14

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
นักเรียนอานขอความตอไปนี้ แลวสรุปใจความสําคัญใหถูกตองและ
1 อัศศิริ ธรรมโชติ เปนนักเขียนเรื่องสั้นที่มีสํานวนภาษาเปนลักษณะเฉพาะตัว ครบถวน “อยางไรก็ตาม ไมวาเราจะตอบตัวเองวาเขียนเปนหรือเขียน
และมีความโดดเดน อัศศิริ เขียนเรื่องสั้นเปนจํานวนมาก ซึ่งเรื่องขอทาน แมวและ ไมเปนคงไมไดเปนขอสรุปวา เราควรเขียนหรือปฏิเสธการเขียนตลอดชีวิต
คนเมา เปนเรื่องสั้นที่ถูกเขียนขึ้นในป 2531 ภายหลังจากที่เรื่องสั้น “ขุนทอง แตเปนการตอบเพื่อใหเรารูจักตนเองกอนที่จะเริ่มตนกาวเดินตอไปในโลก
เจาจะกลับเมื่อฟาสาง” ไดรับรางวัลซีไรตหรือรางวัลวรรณกรรมสรางสรรค ของการเขียนใหเปน ซึ่งเราทุกคนสามารถเขียนเปนไดหากเรียนรู
ยอดเยี่ยมประจําป 2524 “ขุนทองเจาจะกลับเมื่อฟาสาง” เปนรวมเรื่องสั้นที่ผูเขียน ‘ศาสตร’ และ ‘ศิลป’ ของการเขียน”
ไดรับแรงบันดาลใจอันเนื่องมาจากเหตุการณทางการเมือง 6 ตุลาคม 2519
ดังนัน้ เนือ้ หาโดยสวนใหญจงึ สะทอนใหเห็นภาพของความกดดัน ความขัดแยง แนวตอบ ใจความสําคัญของขอความดังกลาว ปรากฏอยูตอนทายของ
ทางการเมือง แสดงใหเห็นอารมณของเรื่องที่โศกเศราแตแฝงความออนโยน ขอความ ดังนี้ เราทุกคนสามารถเขียนได หากไดมีการเรียนรูศาสตร
ความโดดเดนของเรื่อง คือ ผูเขียนใหความสําคัญกับกระบวนการพรรณนา เพื่อให และศิลปเกี่ยวกับการเขียน
ผูอานเกิดอารมณความรูสึกคลอยตามไปกับอารมณของเรื่อง

14 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. หลังการอธิบายความรูของตัวแทนนักเรียน
ในกรณี ที่ เ นื้ อ หาเรื่ อ งหนึ่ ง ๆ มี ห ลายย่ อ หน้ า ซึ่ ง ในแต่ ล ะย่ อ หน้ า มี ใจความส� า คั ญ เพี ย ง กลุมที่ 1 จบลง กอนจะใหตัวแทนนักเรียน
หนึ่งใจความ เมื่อน�าใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้ามาเรียบเรียงและพิจารณาสาระโดยรวมแล้วต้องมี กลุมที่ 2 เริ่มตนการอธิบายความรูในประเด็น
ความเป็นเอกภาพและมีสัมพันธภาพ กล่าวคือ เอกภาพ หมายถึง เรื่องเดียวกัน ส่วนสัมพันธภาพ ที่กลุมของตนเองไดรับมอบหมาย ใหนักเรียน
หมายถึง มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ดังนั้น เนื้อหาในแต่ละย่อหน้าต้องเป็นเรื่องเดียวกันและมี จับกลุมยอย กลุมละ 3-5 คน หรือตามความ
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ส่วนที่เป็นสาระส�าคัญที่สุด เรียกว่า แก่นของเรื่องซึ่งแสดงแนวคิดของ เหมาะสม รวมกันอานนิทานเรือ่ งจระเขสามพัน
เรื่องนั้นๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 15 ใหเวลา
กลุมละ 10 นาที โดยแตละกลุมใชแนวทาง
บทร้อยแก้วที่นÓมาอ่านจับใจความส�าคัญ (ที่มีหลายย่อหน้า)
การอานจับใจความสําคัญที่ไดศึกษาไป
นิทานเรื่องจระเข้สามพัน 2. เมื่อครบ 10 นาที ครูสุมเรียกแตละกลุมให
มีเรือ่ งเล่าว่าครัง้ หนึง่ นานมาแล้ว มีตากับยายสองคนผัวเมียตัง้ บ้านเรือนอยูร่ มิ แม่นา�้ สุพรรณ ระบุใจความสําคัญของแตละยอหนา
จังหวัดสุพรรณบุรี ตาเป็นคนใจบุญสุนทานและชอบช่วยเหลือคนทั่วไปไม่เลือกหน้า โดยเรียงลําดับจนครบ รวมกันอภิปรายจนได
วันหนึ่งมีพ่อค้าชาวมอญคนหนึ่งพายเรือผ่านมาหน้าบ้านของตายายคู่นี้ พ่อค้ามอญจึงได้ ใจความสําคัญที่ถูกตองของแตละยอหนา
ร้องขายของและขอร้องให้ตาช่วยซื้อสินค้าของตนบ้าง ตาถามว่ามีอะไรที่น่าสนใจจะขายให้ล่ะ เพราะในแตละยอหนานักเรียนแตละกลุม
มอญบอกว่ามีลูกจระเข้ตัวเล็กๆ ขอให้ตาซื้อไว้เลี้ยงดูเล่นเถอะ เขาจะขายให้ในราคาสามพันเบี้ย อาจจับใจความไดไมเหมือนกัน นักเรียนควร
เท่านั้น บันทึกใจความสําคัญแตละยอหนาไวดวย
ตาทนพ่อค้ามอญรบเร้าให้ซื้อลูกจระเข้ไม่ได้ ประกอบกับแกเป็นคนใจดี มีเมตตา จึงซื้อ
ลูกจระเข้ตัวนั้นไว้ในราคาสามพันเบี้ยแล้วท�ากรงให้มันอยู่ที่ท่าน�้าและเลี้ยงดูลูกจระเข้อย่างดี
มีอาหารให้กินเป็นประจ�าทุกวันจนมันตัวโตไม่สามารถอยู่ในกรงได้ ตาจึงให้คนมาช่วยกันเอามัน
ออกจากกรงเพื่อให้ขึ้นจากน�้ามาอยู่บนบกบ้าง เมื่อถึงเวลามันจะมาคอยตาเอาอาหารมาให้มัน
ที่ท่าน�้าทุกวัน
วันหนึ่งตาก็งกๆ เงิ่นๆ เอาอาหารมาให้จระเข้ ขณะที่ตาก้มลงยื่นอาหารให้จระเข้กิน จระเข้
ก็เอาหางฟาดท�าให้ตาตกลงไปในน�้า มันคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายส่งเสียงร้องให้คน
มาช่วย แต่ไม่มีใครช่วยได้ทันเพราะทั้งจระเข้และตาหายไปในน�้าอย่างไร้ร่องรอย
ผู้คนต่างเล่าลือกันว่า จระเข้ที่ตาซื้อมาเลี้ยงในราคาสามพันเบี้ยได้กินตาผู้เลี้ยงดูมันเสียแล้ว
และสัง่ สอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลีย้ งลูกเสือ ลูกจระเข้ เพราะมันเป็นสัตว์ดริ จั ฉาน ไม่รคู้ ณ
ุ ผูเ้ ลีย้ งดู
อีกทั้งเป็นสัตว์กินเนื้ออาจจะท�าร้ายเจ้าของได้ในภายหลัง ต่อมาผู้คนจึงเรียกต�าบลที่ตาและยาย
ตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน เรื่องราวทั้งหมดชาวบ้านได้เล่าสืบต่อๆ กันมา จัดเป็น
ต�านานหรือนิทานพื้นบ้านเรื่องจระเข้สามพันของสุพรรณบุรีมาจนทุกวันนี้
1
(นิทานพื้นบ้านภาคกลาง : ผจงวาด กมลเสรีรัตน์ และคณะ)

15

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดไมมีความเกี่ยวของกับการอานจับใจความสําคัญ
1. การจับใจความสําคัญเปนทักษะเบื้องตนของการรับสาร 1 นิทานพื้นบาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ใหคํานิยาม
2. ใจความสําคัญคือความคิดสําคัญหรือประเด็นสําคัญของเรื่อง คําวา “นิทาน” ไววา เรื่องที่เลากันมา เชน นิทาน ชาดก นิทานอีสป ซึ่งนิทาน
3. การจับใจความสําคัญสามารถทําไดทั้งการรับสารดวยการอานและการฟง เปนเรื่องที่เลาสูกันฟงจากปากตอปาก หรือเรียกวาเปนวรรณกรรมมุขปาฐะโดยใช
4. การจับใจความสําคัญดวยการฟงไมจําเปนตองเตรียมความพรอมกอน ถอยคําธรรมดาแตมลี กั ษณะทีโ่ ดดเดน คือ เปนเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ จากจินตนาการของ
การฟง ผูแ ตง จึงมีทั้งเรื่องผจญภัย ความรัก วีรบุรุษ เรื่องเหนือธรรมชาติ ตัวละคร
มีความหลากหลายทั้งมนุษย อมนุษย และสัตวตางๆ ที่สามารถแสดงอากัปกิริยา
วิเคราะหคําตอบ การอานเพื่อจับใจความสําคัญเปนทักษะเบื้องตน ความรูสึกนึกคิดไดเชนเดียวกับมนุษย เนื้อหาของนิทานนอกจากจะใหความบันเทิง
ของการรับสารไมวาดวยวิธีการอานหรือฟง ผูรับสารจะตองคนหาความคิด แลว ยังสอดแทรกคติ คําสั่งสอนไว โดยมีเจตนาสั่งสอน แนะนําแนวทางสําหรับ
สําคัญหรือประเด็นของเรื่องใหได ซึ่งการจับใจความสําคัญดวยการฟง การดําเนินชีวิต ซึ่งนิทานพื้นบาน เปนนิทานเรื่องเลาของคนพื้นบานไทยแทๆ
หากผูฟงพอจะทราบหัวขอของการฟงก็ควรที่จะเตรียมความพรอม ที่คนไทยสวนใหญรูจักดี เชน ปลาบูทอง พิกุลทอง จันทโครพ โสนนอยเรือนงาม
โดยหาความรูเบื้องตนไป เพื่อใหงายตอการทําความเขาใจ และรวมถึง เปนตน
เตรียมความพรอมทั้งดานรางกายและจิตใจ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คูมือครู 15
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. ตัวแทนนักเรียนของแตละกลุมระบุใจความ
สําคัญของนิทานเรื่อง จระเขสามพัน โดย ใจความส�าคัญของนิทานพื้นบ้านเรื่องจระเข้สามพัน ในแต่ละย่อหน้ามี ดังนี้
เรียบเรียงจากใจความสําคัญของแตละยอหนา ๑. ครั้งหนึ่งมีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ
ที่ไดบันทึกไว เมื่อครบทุกกลุมแลวใหนักเรียน ๒. พ่อค้าชาวมอญขอร้องให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้ในราคาสามพันเบี้ย
ตรวจสอบวา ใจความสําคัญที่สรุปไดนั้น ๓. ตาซื้อลูกจระเข้และเลี้ยงดูมันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง ตาจึงให้คนมาช่วยกันจับมัน
สอดคลองกับหนังสือเรียนหรือไม หากไม ออกจากกรง
สอดคลองนักเรียนคิดวากลุมของตนเอง ๔. วันหนึ่งขณะที่ตาเอาอาหารให้จระเข้กิน มันได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไปในน�้าแล้วคาบตา
บกพรองในสวนใด ด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับการอาน ๕. ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาเลี้ยงในราคาสามพันเบี้ยได้กินตาเสียแล้ว และ
จับใจความสําคัญงานเขียนประเภทรอยแกว สั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยงลูกเสือ ลูกจระเข้ ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของ
ที่ไดจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 ตายายนั้นว่า ต�าบลจระเข้สามพัน
และประสบการณจากการลงมือปฏิบัติรวมกับ ผู้อ่านจะต้องเชื่อมโยงใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้าให้เป็นเอกภาพและสัมพันธภาพ โดยปรับ
เพื่อน ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 ข้อความให้เหมาะสมและเรียบเรียงเนื้อหาให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน โดยพิจารณาจุดมุ่งหมาย
หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.1 ของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับใจความส�าคัญได้ตรงประเด็นกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ดังตัวอย่าง
การจับใจความนิทานเรื่องจระเข้สามพัน ดังนี้
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.1 การจับใจความนิทานเรื่อง จระเข้สามพัน
เรื่อง การอานจับใจความสําคัญ : นิทาน
กิจกรรมตามตัวชี้วัด นิทานเรื่องจระเข้สามพันเป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง
มีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ มีพ่อค้าอ้อนวอนให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๒.๑ ใหนกั เรียนอานนิทานตอไปนีแ้ ลวตอบคําถาม (ท ๑.๑ ม.๑/๒, ๘, ๙) ñð
นิทานเรื่อง “เมื่ออีกา…อยากเปนหงส” โดยขายให้ในราคาสามพันเบี้ย ตาจึงซื้อลูกจระเข้ตัวนั้นและเลี้ยงดูมันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง
เหลาอีกาไมพอใจที่ขนของมันมีสีดํา แตหลงใหลขนสีขาวของหงส กาตัวหนึ่งพูดขึ้นวา
“ขาวาเปนเพราะหงสชอบลงอาบนํ้าบอยๆ จึงทําใหขนเปนสีขาว” อีกาอีกตัวจึงพูดตอบวา
“เออ คิดๆ ดูอาจจะจริงอยางที่นายวาก็ได ถาอยางนั้นพวกเราควรจะวายนํ้ากันบอยๆ และ
จึงให้มันออกจากกรง วันหนึ่งขณะที่ตายื่นอาหารให้จระเข้กิน จระเข้ได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไป
พักอยูใกลสระนํ้าซะเลย เราจะไดมีขนสีขาวเหมือนหงส ไง โอโห! แคคิดก็เทแลว” พวกอีกา
ทั้งหมดไดพากันอพยพกันไปอยู ใกลๆ กับริมลําธาร และพากันเลนนํ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน
ในน�้าแล้วคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน ผู้คนต่าง
เพราะคิดวายิ่งแชนํ้านานเทาไร ยิ่งขาวไดเร็วขึ้นเทานั้น แตขนก็ยังคงเปนสีดําเหมือนเดิม
เมื่ออีกาทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยพากันขึ้นจากนํ้าไมทันขามวันก็เริ่มรูสึกรอนๆ หนาวๆ จากนั้น เล่ากันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาในราคาสามพันได้กินตาเสียแล้ว ทั้งยังสั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยง
ไมนานเหลาอีกาก็พากันเจ็บปวยลมตายกันทีละตัวสองตัว ในที่สุดก็เหลือแตซากความทรงจํา
สุดทายของอีกาที่อยากจะเปนหงส ลูกเสือ ลูกจระเข้ และเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของตายายนั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน
ฉบับ
เฉลย ๑. ใครทําอะไร
เหลาอีกาพากันทิ้งรังเกายายไปอยูใกลกับริมลําธาร แลวพากันเลนนํ้าทั้งวันทั้งคืน
...............................................................................................................................................................................................................................................
นิทานเรื่องนี้มีเจตนาสอนว่า ต้องมีวิจารณญาณในการช่วยเหลือคน ควรพิจารณาว่า
...............................................................................................................................................................................................................................................

๒. เพราะเหตุใด
สิ่งใดควรท�า สิ่งใดไม่ควรท�า ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ร้ายเพราะมันอาจเป็นอันตรายได้
เหลาอีกาอยากมีขนสีขาวเหมือนหงส และคิดวาที่หงสมีขนสีขาว เพราะชอบลงอาบนํ้าบอยๆ
...............................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................

๓. ผลเปนอยางไร
ขนของอีกาก็ยังคงเปนสีดําเหมือนเดิม และอีกาทั้งหลายก็เจ็บปวยลมตาย
...............................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................

๔. สรุปใจความสําคัญของนิทานเรื่องนี้
เหลาอีกาอยากมีขนสีขาวเหมือนหงส คิดวาที่หงสมีขนสีขาวเพราะหงสชอบลงอาบนํ้าบอยๆ
...............................................................................................................................................................................................................................................
เหลาอีกาจึงพากันลงเลนนํา้ ทัง้ วันทัง้ คืน จากนัน้ ไมนานเหลาอีกาทัง้ หลายก็พากันเจ็บปวยลมตาย
...............................................................................................................................................................................................................................................

๕. นิทานเรื่องนี้ใหขอคิดอะไร
จงพอใจในสิ่งที่ตนมี
...............................................................................................................................................................................................................................................

...............................................................................................................................................................................................................................................

๑๐
16

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
บุคคลในขอใดขาดพื้นฐานสําหรับการอานจับใจความสําคัญ
ครูควรอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ยังมียอหนาอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไมปรากฏ 1. กอนอานหนังสือทุกครั้งปกรณจะตองศึกษาสวนประกอบตางๆ
ใจความสําคัญในลักษณะประโยคใจความสําคัญที่ชัดเจน ซึ่งเปนหนาที่ของผูอาน ของหนังสือ
ที่จะตองอานขอความในยอหนานั้นๆ ทั้งหมด เพื่อประมวลใหทราบใจความสําคัญ 2. อรทัยจะตองตั้งจุดมุงหมายในการอานทุกครั้งเพื่อกําหนดวิธีการอาน
ดวยตนเอง จากขอความนี้ “คนกรีกโบราณเชื่อวากอนเมฆชนกัน พลังปะทะ ของตนเอง
ทําใหเกิดเสียงและเรียกฟารอง ฟาแลบ สวนเหตุการณฟาผานั้นเกิดจากองคเทพซุส 3. สมรอานเรื่องลูกชาวนาแลวเขาใจชาวนาเพราะมีแมเปนชาวนา
ทรงใชพระแสงสายฟาฟาดฟนประหารศัตรู สําหรับคนไทยโบราณเชื่อวา ฟาแลบ 4. ณภัทรไดฉายาวาหนอนหนังสือเพราะอานหนังสือเกือบทุกประเภท
เกิดเวลาที่นางเมขลาเอาแกวมาลอรามสูรและฟาผาอุบัติยามขวานที่รามสูรขวาง
ตกลงบนโลก” ไมปรากฏประโยคใจความสําคัญที่ชัดเจน แตเมื่อผูอานไดอานเรื่อง วิเคราะหคําตอบ การอานจับใจความสําคัญใหมีประสิทธิภาพผูอาน
ทั้งหมด จะสามารถประมวลไดวาใจความสําคัญของขอความนี้คือ “ความเชื่อเรื่อง จะตองมีความรูเกี่ยวกับสวนประกอบตางๆ ของหนังสือ ตั้งจุดมุงหมาย
ฟาแลบ ฟาผา ของแตละชนชาติมีความแตกตางกัน” เพื่อกําหนดวิธีการอานของตนเอง ควรมีภูมิหลังที่สอดคลองตอเรื่องที่อาน
เพื่อใหงายตอการทําความเขาใจเนื้อหาสาระ การอานหนังสือทุกประเภท
แตไมมีการตั้งจุดมุงหมายขณะอาน ไมเรียกวาผูนั้นมีพื้นฐานของการอาน
จับใจความสําคัญ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

16 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 2
บทร้อยกรองที่นÓมาอ่านจับใจความสÓคัญ สงตัวแทน 2 คน ออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “การอานจับใจความสําคัญ
บทละครนอก เรื่องสังข์ทอง งานเขียนประเภทรอยกรอง” ใหเพื่อนๆ ฟง
(๑) มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวยศวิมลไอศวรรย์ หนาชั้นเรียน
ไร้บุตรสุดวงศ์พงศ์พันธุ์ วันหนึ่งนั้นไปเลียบพระนคร 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
ราษฎรร้องว่าให้หาบุตร พระทรงภุชร้อนจิตดังพิษศร • การจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท
มิได้เสวยสรงสาคร นั่งนอนร้อนใจใช่พอดี รอยกรองมีลักษณะสําคัญอยางไร
ประชาชนจนจิตไม่คิดหวัง ยิ่งประดังพลุกพล่านทั้งกรุงศรี (แนวตอบ รอยกรองเปนงานเขียนที่กําหนด
เวทนาเป็นพระยาสมบัติมี มาไร้ที่โอรสยศไกร บังคับฉันทลักษณ ดังนั้นผูเขียนจึงตอง
จึงด�ารัสตรัสเล่ามเหสี ถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข เลือกใชคําที่สื่อความหมายไดครบถวน
เจ้ามาช่วยพี่คิดนะดวงใจ ค้นคว้าหาไปดูตามบุญ
ในขณะเดียวกันก็ตองคํานึงถึงฉันทลักษณ
บวงสรวงซ่องเซ*ทุกเวลา รักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน
ผูอานจึงตองเขาใจความหมายของคํา
ถ้วนทุกนางในให้พร้อมมุล เกลือกบุญของใครได้สร้างมา
แตละคําอยางลึกซึ้ง จึงจะสามารถเขาใจ
(บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ความหมายโดยรวมหรือใจความสําคัญ
1 ของรอยกรองบทนั้นๆ ได)
การอ่ า นจ
นจั บ ใจความส� าคั
า คั ญ ท� า ให้ ผู ้ อ ่ า นเข้ า ใจเรื่ อ งที่ อ ่ า นได้ อ ย่ า งรวดเร็ ว และถื อ เป็ น 3. นักเรียนรวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะ
การฝึกกระบวนการทางความคิดที่ดี ช่วยให้ผู้อ่านสามารถคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วและมี รอยกรองที่กําหนดให ตอไปนี้
ประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้อ่านสามารถจับใจความส�าคัญในเรื่องที่อ่านได้ดี ย่อมส่งผลให้ผู้อ่าน “ลูกก็แลดูแมแมดูลูก
เข้าใจและเรียนรู้สิ่งนั้นๆ ได้เร็วขึ้น ดังนั้น การอ่านจับใจความส�าคัญจึงเป็นทักษะพื้นฐานส�าคัญ ตางพันผูกเพียงวาเลือดตาไหล
ที่ควรหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ สะอื้นรํ่าอําลาดวยอาลัย
แลวแข็งใจจากนางตามทางมา
การอ่านจับใจความสÓคัญบทร้อยกรองเรื่อง สังข์ทอง เหลียวหลังยังเห็นแมแลเขมน
แมก็เห็นลูกนอยละหอยหา
ใจความส�าคัญของบทละครนอก เรือ่ งสังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธ- แตเหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ
เลิศหล้านภาลัย ตอนก�าเนิดพระสังข์ กล่าวถึงท้าวยศวิมลพบว่าประชาชนต่างมีความทุกข์ที่
พระองค์ไม่มพี ระราชโอรส ท�าให้พระองค์รสู้ กึ ร้อนพระทัยจึงให้พระมเหสีและสนมทัง้ ปวงช่วยกัน
โอเปลาตาตางสะอื้นยืนตะลึง”
สวดมนต์ รักษาศีลเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีพระราชโอรสสืบราชสมบัติ จากนั้นรวมกันจับใจความสําคัญตามแนวทาง
แก่นของเรื่องแสดงให้เห็นถึงความคิดและความเชื่อของคนไทยในการให้ความส�าคัญแก่ ที่ไดศึกษา โดยอาจดูตวั อยางไดจากหนังสือเรียน
ลูกชาย โดยเชือ่ ว่าการจะได้สงิ่ ใดสมดังปรารถนาจะต้องสวดมนต์ออ้ นวอน ขอพรจากสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ภาษาไทย หนา 17

*ซ่องเซ หมายถึง พูดหรือสวดพร้อมกัน

17

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเปนสาระสําคัญของขอความตอไปนี้
1 การอานจับใจความสําคัญ ใหเขาใจงายและรวดเร็ว ผูอานควรมีแนวทางและ
คนสวนใหญไมคอ ยรูต วั ยังคงอยากไดอะไรทีม่ ากขึน้ ๆ ไมวา จะเปนเงินทอง
พื้นฐาน ดังตอไปนี้
เกียรติยศชื่อเสียงหรือความรัก และก็มักจะไมไดดังใจนึก ความทุกขก็ยิ่ง
• มีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับสวนประกอบตางๆ ของหนังสือ เชน ชื่อเรื่อง
มากขึ้นตามวัยที่มากขึ้นดวย
คํานํา สารบัญ โดยเฉพาะชื่อเรื่อง ซึ่งถือเปนใจความสําคัญที่สุดของเนื้อหา
1. ความอยากของมนุษยเพิ่มตามอายุ
เรื่องนั้นๆ กลาวคือ เนื้อหาในทุกๆ สวนของเรื่องยอมเชื่อมโยงสูชื่อเรื่อง
2. คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความตองการจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งสิ้น
3. ถามนุษยอยากไดไมมีที่สิ้นสุด ก็จะยิ่งมีแตความทุกข
• ตั้งจุดมุงหมายในการอาน เพื่อใชเปนแนวทางกําหนดวิธีการอานให
4. ความทุกขของมนุษยเกิดจากความตองการในทรัพยสิน เงินทอง
เหมาะสม และจับใจความสําคัญหรือหาคําตอบไดรวดเร็วขึ้น
วิเคราะหคําตอบ สาระสําคัญของขอความนี้ คือ มนุษยทกุ คนมีความอยาก • มีทักษะทางดานภาษาสามารถเขาใจความหมายของคําศัพทตางๆ
ความตองการไมมีที่สิ้นสุด เมื่ออยากไดก็ยอมมีแตความทุกขที่ไมมีสิ้นสุด • มีประสบการณหรือภูมิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อาน เขาใจลักษณะของหนังสือ
เชนกัน ดังนั้นจึงตอบขอ 3. แตละประเภทที่มีรูปแบบและเปาหมายการเขียนที่แตกตางกัน

คูมือครู 17
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุน ความสนใจดวยกิจกรรม โดยให
นักเรียนรวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะรอยกรอง ๒ การอ่านตีความ
ทีก่ าํ หนดใหตอ ไปนี้ พรอมๆ กัน และตอบคําถาม การอ่านเพือ่ ตีความ คือ การอ่านเพือ่ คิดพิจารณาความหมายทีผ่ สู้ ง่ สารสือ่ ความหมายได้อย่าง
“ภพนี้มิใชภพหลาหงสทอง เดียวเอย
ถูกต้อง ตรงตามจุดประสงค์ โดยพิจารณาจากความหมายของถ้อยค� าต่างๆ ที่ผู้เขียนน�าเสนอให้
กาก็เจาของครอง ชีพดวย
รอบด้านก่อนสรุปสาระทั้งหมดที่ได้จากเรื่องที่อ่าน
เมาสมมติจองหอง หินชาติ
การพิจารณาความหมายของถ้อยค�ามี ๒ ลักษณะ คือ
นํ้ามิตรแลงโลกมวย หมดสิ้นสุขศานต”
พิจารณาความหมายโดยตรง หมายถึง การแปลความหมายตามตัวอักษรอย่างตรงไป
(อังคาร กัลยาณพงศ)
• นักเรียนคิดวาคําประพันธขางตนมีแนวคิด ตรงมาตามพจนานุกรม ซึ่งผู้รับสารสามารถเข้
1 าใจได้ทันที
อยางไร พิจารณาความหมายโดยนัย หมายถึ2ง การแปลความหมายที่แฝงไว้ในถ้อยค�า หรือข้อความ
(แนวตอบ ถายทอดแนวคิดเกี่ยวกับการพึ่งพา โดยผู้รับสารต้องสังเกตข้อความที่แวดล้อมม ท่าที น�้าเสียง เจตนาของผู้ส่งสาร หรือเหตุการณ์
อาศัยซึ่งกันและกัน การมีมิตรไมตรีที่ดีตอกัน ที่เกี่ยวข้องที่จะเชื่อมโยงให้ความหมายโดยนัยเด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งผู้รับสารสามารถตีความไปได้หลายแง่
หากปราศจากสิ่งนี้สังคมมนุษยก็จะไรซึ่ง หลายมุม แตกต่างกันไปตามความรู้ ความคิด เพศ วัย และประสบการณ์ของแต่ละคน
ความสุข สงบ)
๒.๑ หลักการอ่านตีความ
สํารวจคนหา Explore การอ่านตีความเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิด เมื่อได้รับรู้สิ่งใดมาต้องคิดวิเคราะห์ วิจารณ์
คิดไตร่ตรองหาเหตุผล จะท�าให้เกิดปัญญา มีวิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารยิ่งขึ้น การตีความ
นักเรียนรวมกันสํารวจคนหาความรูในประเด็น ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของเรื่องหลายแง่มุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท�าให้เห็นคุณค่าของวรรณกรรมหรือ
ที่กําหนด โดยสืบคนจากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน วรรณคดีทขี่ อ้ เขียนนัน้ เชือ่ มโยงไปถึง เห็นคุณค่าของชีวติ สิง่ แวดล้อม สะท้อนให้เห็นถึงความรูส้ กึ เหตุผล
ตําราวิชาการ อินเทอรเน็ต หรือแหลงการเรียนรูอ นื่ ๆ ของพฤติกรรมของมนุษย์
ที่สามารถเขาถึงได จากนั้นให แบงกลุม 5 กลุม หลักการปฏิบัติของการอ่านตีความ มีดังนี้
โดยมี จํ า นวนสมาชิ ก 3-5 คนส ง ตั ว แทนออกมา ๑. อ่านเนื้อหาสาระของเรื่องให้ละเอียด จับใจความส�าคัญของเรื่องที่อ่าน
จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรู ดังนี้ ๒. พิจารณาความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่โดยสังเกตการใช้ถ้อยค�า
หมายเลข 1 การอานตีความรอยกรอง
ส�านวน โวหารที่ปรากฏ
หมายเลข 2 การอานตีความรอยแกวประเภท
๓. พิจารณาว่าผู้เขียนใช้สัญลักษณ์ที่ผู้อ่านต้องหาความหมายที่แฝงอยู่
นิทาน
๔. คิดวิเคราะห์ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน
หมายเลข 3 การอานตีความบทความ
หมายเลข 4 การอานตีความเอกสารคูมือ ๕. พิจารณาบริบทข้อความหรือเหตุการณ์แวดล้อมในสถานการณ์นั้นๆ พิจารณาน�้าเสียง
หมายเลข 5 มารยาทการอาน ความรู้สึก ทรรศนะของผู้เขียนว่ามีแนวคิด อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไร
๖. จัดล�าดับใจความ เนื้อหาสาระ สรุปความคิดใหม่ ด้วยภาษาของตนเองหรืออธิบาย
ขยายความเพิ่มเติมด้วยใจที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ

18

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดปรากฏคําที่มีความหมายโดยนัย
1 ความหมายโดยนัย หรือความหมายนัยประหวัด หมายถึง คําที่มีความหมาย 1. ปฐมพงษเดินไปที่หองครัวแลวลื่นลมเตะแกวแตก
ที่เกิดจากการนึกคิด เชื่อมโยงไปถึงสิ่งอื่น ซึ่งอาจเปนนามธรรม การกระทํา เปนการ 2. กระโปรงตัวนี้ตัดเย็บสวยเตะตาฉันจริงๆ เชียว! เธอ
ใชคําที่ทําใหสื่อความหมายไดลึกซึ้ง หรือมีชั้นเชิง โดยคําที่มีความหมายนัยประหวัด 3. โดงซอมเตะฟุตบอลที่สนามกีฬาของโรงเรียนทุกๆ เย็น
มีทงั้ ทีเ่ ปนคน สัตว สิง่ ของ ผูร บั สารทีม่ ปี ระสบการณทางภาษายอมจะเขาใจความหมาย 4. จอยเตะสุนัขที่กําลังจะเดินตรงเขามากัดที่โคนขาของเขา
เชน พราน หมายถึง ผูล า , มัจจุราช หมายถึง ความตาย, เตา หมายถึง ความเชือ่ งชา
โบราณ ความขลาด วิเคราะหคําตอบ เมื่อพิจารณาจากตัวเลือกทั้ง 4 ขอ คําที่จะตอง
2 ขอความที่แวดลอม หรือเรียกวา บริบท จะชวยบอกใหผูรับสารทราบวาคํานั้นๆ พิจารณาคือคําวา “เตะ” ซึ่งขอ 1., 3. และ 4. คําวา “เตะ” เปนคํากริยา
ในที่นั้นใชความหมายตรงหรือความหมายโดยนัย เชน “สินคานี้ผลิตจากมันสมองของ ที่มีความหมายปรากฏตามรูปคําหรือมีความหมายนัยตรง โดยหมายถึง
คนไทย” คําวา มันสมอง ปกติมักทําใหผูรับสารนึกถึงอวัยวะภายในกะโหลกศีรษะ “วัดหรือเหวี่ยงไปดวยเทา” สวนคําวา “เตะ” ในขอ 2. มีความหมาย
ซึง่ เปนความหมายโดยตรง แตในทีน่ บี้ ริบทชวยใหเขาใจวาเปนการใชความหมายโดยนัย โดยนัยซึ่งหมายถึง “สะดุดตา” ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
หมายถึง ความคิด สติปญญา ภูมิปญญา

18 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 1
การอ่านตีความบทร้อยกรอง สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น
“แนวทางการอานตีความรอยกรอง” โดยใช
เมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์ ขอมูลที่ไดจากการสังเคราะหความรูรวมกัน
เทพไทอุปถัมภ์น�าชัก นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง กับเพื่อนในกลุม
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน รูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมาอธิบายความรู
ใครใครไม่เห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา เกี่ยวกับการอานตีความรอยกรอง โดยวิธีการ
ชะรอยบุญไซร้จึงได้เห็น ต่อจะเป็นคู่ครองกระมังหนา ตั้งคําถาม
คิดพลางนางเสี่ยงมาลา แม้ว่าเคยสมภิรมย์รัก • จากบทละครนอกเรือ่ งสังขทอง หากนักเรียน
ขอให้พวงมาลัยนี้ไปต้อง เจ้าเงาะรูปทองจงประจักษ์ จะทําความเขาใจความหมายของรอยกรอง
เสี่ยงแล้วโฉมยงนงลักษณ์ ผินพักตร์ทิ้งพวงมาลัยไป จะตองตีความจากสิ่งใด
1 (แนวตอบ การตีความ คือ การพิจารณา
(บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
ความหมายของงานเขียนที่ผูสงสารนําเสนอ
จากกลอนบทละครบทนี้ปรากฏค�าที่จะต้องพิจารณาความหมายอยู่สองค�า คือ เงาะกับ ดังนั้น การอานตีความรอยกรอง ผูอาน
ทอง ความหมายโดยตรงของ “เงาะ” หมายถึง คนป่า ส่วนความหมายโดยตรงของ “ทอง” หมายถึง จะตองพิจารณาถอยคําที่ปรากฏวามี
“ธาตุแท้ชนิดหนึ่ง เนื้อแน่น สีเหลืองสุกปลั่ง” ในการอ่านตีความจึงควรหาความหมายโดยนัยของค�า ความหมายไปในทิศทางใด เปนความหมาย
ทั้งสอง ความหมายโดยนัยของ “เงาะ” คือ รูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่งดงาม ไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจ ตามรูปคําหรือความหมายโดยนัย ซึ่งผูอาน
ส่วนความหมายโดยนัยของ “ทอง” หมายถึง คุณความดีหรือเนื้อแท้ของคน การที่นางรจนาเสี่ยง จะตองพิจารณาจากบริบทหรือขอความ
พวงมาลัยเลือก เงาะ ชี้ให้เห็นว่านางมองข้าม “เปลือก” หรือรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้น การจะเลือก ที่แวดลอมคํานั้นๆ)
คบหาผู้ใด ควรมองข้ามเปลือกหรือสิ่งที่ห่อหุ้มซึ่งเป็นการปรุงแต่งนั่นคือ ควรมองให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้

การอ่านตีความบทร้อยแก้วประเภทนิทาน
สติกเกอร์คนโง่
ที่ร้านแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ร้านที่ได้ชื่อว่าขายทุกสิ่งทุกอย่าง จนมีคนพูดกันเล่นๆ ว่า หาก
อยากได้ไม้จิ้มฟัน หรือเรือรบก็สามารถหาได้จากร้านนี้ ตรงเคาน์เตอร์จ่ายเงิน นอกจากถ่าน-
ไฟฉาย ยาอม และขนมขบเคี้ยวแล้ว ยังมีกล่องใส่สินค้าเล็กๆ กล่องหนึ่งตั้งอยู่ ดูจากฝุ่นที่จับและ
จ�านวนสินค้าที่ยังวางอยู่เต็มกล่องก็คงพอดูออกว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีใครสนใจ ยิ่งมีตัวหนังสือเขียน
ไว้ที่กล่องว่า สติกเกอร์คนโง่ ยิ่งท�าให้ไม่มีใครอยากยุ่งกับสินค้ากล่องนี้ แล้ววันหนึ่งก็มีเด็กชาย
คนหนึ่งชื่อ จ้อย เข้ามาถามถึงสินค้าตัวนี้ หลังจากที่ด้อมๆ มองๆ อยู่หลายวัน
“มันใช้อย่างไร” เด็กชายจ้อยถามคนขาย

19

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
การอานตีความรอยกรองใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุดจะตองมีทักษะ
พื้นฐานความรูในเรื่องใด 1 บทละครนอก หรือละครนอก เปนละครที่ชาวบานชายลวนเปนผูแสดง มีมา
ตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุที่เรียกวาละครนอก สันนิษฐานวาละครนอกเปนละคร
แนวตอบ ผูอานจะตองมีความรูเกี่ยวกับเรื่องที่อาน ทราบภูมิหลังของ ของชาวบานที่แสดงนอกเขตพระราชฐาน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย
เรื่องและผูเขียน เพื่อใหสามารถตีความไดครอบคลุม นอกจากนี้ยังตองมี ทรงพระราชนิพนธบทละครนอกขึ้น 5 เรื่อง คือ สังขทอง ไชยเชษฐ มณีพิชัย
ความรูเ กีย่ วกับคําศัพทตา งๆ ทัง้ คําไทยแท และคํายืมจากภาษาตางประเทศ ไกรทอง และคาวี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัวเมื่อครั้งดํารงพระอิสริยยศ
เพราะผูแตงมักจะใชศัพทที่ปกติไมใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน นอกจากนี้ เปนกรมหมื่นเจษฎาบดินทรก็ทรงพระราชนิพนธเรื่องสังขศิลปชัยถวายอีกหนึ่งเรื่อง
เพื่อความโดดเดนทางดานภาษาผูแตงบางคนยังไดมีการผูกศัพทขึ้นใหม จึงเปนบทละครนอก พระราชนิพนธในรัชกาลที่ 2 รวม 6 เรื่อง
เพราะสารประเภทรอยกรองมุงถายทอดเนื้อหาที่เปนคุณธรรม ปรัชญา
ที่ลึกซึ้ง ผูเขียนจึงตองถายทอดในลักษณะของการเปรียบเทียบ และใช
สัญลักษณ เปนตน

คูมือครู 19
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 2
สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น “ง่ายมาก” คนขายตอบพลางหยิบสติกเกอร์ขึ้นมาให้จ้อยดู มันเป็นสติกเกอร์ดวงกลมๆ
“การอานตีความนิทาน” โดยใชขอมูลที่ไดจาก สีส้มๆ ข้างในมีตัวหนังสือเขียนว่า “โง่” ค�าเดียวแค่นั้น “ถ้าเราอยากหายโง่ในเรื่องใดก็จงเอา
การสังเคราะหความรูรวมกันกับเพื่อนในกลุม สติกเกอร์นี้ไปแปะไว้ เช่น ถ้าอยากหายโง่เรื่องท�าครัวก็เอาไปแปะประตูครัว อยากหายโง่
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู ในต�าราเรียนเล่มไหนก็เอาสติกเกอร์คนโง่ไปแปะไว้ ง่ายๆ แค่นี้เอง”
เกี่ยวกับการอานตีความรอยแกวประเภทนิทาน
คนในร้ า นได้ ยิ น คนขายพู ด ค� า ว่ า โง่ ก็ หั น มามองทั น ที ค่ า ที่ ไ ม่ เ คยมี ใ ครซื้ อ สติ ก เกอร์
โดยวิธีการตั้งคําถาม
ประหลาดนี้เลย เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องประหลาดแน่นอน
• ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการอานตีความ
“แล้วมันจะหายโง่จริงๆ หรือ หนึ่งแผ่นมีกี่ดวง” เด็กชายจ้อยส่งเงินให้
รอยแกวประเภทนิทาน มีประโยชนอยางไร
“หนึ่งร้อยดวง” คนขายทอนเงิน “หายโง่แน่นอนไอ้หนู”
(แนวตอบ ทักษะการอานตีความ มีความสําคัญ
และจําเปนตอการอานสิ่งพิมพทุกประเภท เด็กชายจ้อยเดินถือสติกเกอร์ออกจากร้านไป ผู้คนพากันซุบซิบ แทบทุกคนลงความเห็นว่า
สําหรับการอานนิทาน ทักษะการตีความจะ เด็กชายจ้อยนั้นท่าจะเป็นเด็กโง่จริงๆ เพราะหลงไปซื้อของบ้าๆ บอๆ ไร้สาระอย่างนี้
ทําใหผูอานสามารถรับรู และเขาใจแนวคิด เด็กชายจ้อยแกะสติกเกอร์ดวงแรกมาติดที่เสาไฟข้างถนนที่เขาเดินผ่าน “ฉันไม่เข้าใจเรื่อง
ที่ผูเขียนสอดแทรกไวภายในเรื่องได) ไฟฟ้าทีค่ รูสอนเลย” แล้วก็ตดิ ทีร่ ถจักรยานของเขา “ใครหนอประดิษฐ์มนั ขึน้ มา จักรยานช่างเป็น
พาหนะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เมื่อถึงบ้าน เด็กชายจ้อยก็ติดสติกเกอร์บนหนังสือแทบทุกเล่ม เขาติดลงที่ว่าวจุฬาที่
ลุงจอมเหลาไม้ทา� ให้ เขาก็ไม่รอู้ ะไรเกีย่ วกับว่าวจุฬาเลยนี ่ และไม่ทนั จะข้ามคืนดี ของในบ้านของ
เด็กชายจ้อยก็ถูกติดไว้แทบทุกอย่าง บนกระเป๋านักเรียน บนรองเท้าผ้าใบ บนหมวกลูกเสือ ฯลฯ
รุ่งเช้า เป็นดังที่คาดเมื่อเด็กชายจ้อยเดินไปโรงเรียน เขาก็ถูกเด็กในโรงเรียนล้อเลียน
เอาทันทีทที่ กุ คนมองเห็นสติกเกอร์ทตี่ ดิ อยูต่ ามกระเป๋าและรองเท้า เด็กบางกลุม่ ถึงกับร้องตะโกน
ต่อเป็นทอดๆ ว่า “ไอ้โง่ ไอ้โง่ ไอ้โง่”
แม้เรือ่ งนีถ้ งึ ครูฝา่ ยปกครอง และครูกไ็ ด้กา� ราบเด็กทีก่ ลัน่ แกล้งเด็กชายจ้อย แต่เอาเข้าจริงๆ
ครูแทบทั้งโรงเรียนก็คิดเหมือนเด็กพวกนั้นว่าเด็กชายจ้อยเป็นเด็กโง่
๒๕ ปีผ่านไป
เด็กชายจ้อยเติบโตเป็นดอกเตอร์จ้อยผู้มีปริญญาเอกถึง ๓ ใบ ทุกวันนี้ดอกเตอร์จ้อยเป็น
อาจารย์พเิ ศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เขาได้รบั รางวัลนักวิจยั ดีเด่น ๔ ปีตดิ ต่อกัน ส�าหรับแวดวง
การศึกษาแล้ว ดอกเตอร์จอ้ ยได้รบั การยอมรับว่า เขาเป็นนักวิจยั ทีฉ่ ลาดทีส่ ดุ คนหนึง่ ของประเทศ
ถ้าใครจะสังเกตเสียหน่อยว่าบนแฟ้มเอกสารที่ดอกเตอร์จ้อยถือเดินไปมาระหว่างบรรยาย
ในการประชุมระดับชาติ ตรงด้านหน้าแฟ้มมีสติกเกอร์ที่ติดมานานจนสีซีดแล้วดวงหนึ่ง และถึง
แม้จะขาดรุ่งริ่งแต่ถ้าจะอ่านจริงๆ ก็คงแกะเป็นค�าออกมาได้ว่า “โง่”

20

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การอานขาวใหมีประสิทธิภาพ หลังจากอานจบแลว นักเรียนคิดวา
ครูควรใหนกั เรียนไดฝก อานตีความงานเขียนประเภททีห่ ลากหลาย ไมวา จะเปน ควรตั้งคําถามใดกับตนเอง
บทความ ขาว หรือรอยกรอง ซึ่งการอานขาวจะมีหลักการวา จะตองอานพาดหัวขาว
กอนเสมอ เพื่อใหทราบเรื่องราวทั้งหมด แลวจึงอานสรุปขาวยอๆ ซึ่งขาวทุกขาวจะ แนวตอบ • อานไดรวดเร็วและเขาใจเนื้อเรื่องโดยตลอดหรือไม
มีการสรุปหัวขอขาวกอนที่จะบรรยายรายละเอียดจะทําใหผูอานทราบวาขาวนั้นเปน • ขาวนี้กลาวถึงอะไร ที่ไหน และผลจากขาวนี้เปนอยางไร
ขาวอะไร เกิดขึ้นที่ใด แลวจึงอานรายละเอียดของขาว แมวาขาวบางประเภทจะไม • ขาวนีเ้ ปนจริงหรือไม อยางไร มีขอ ความทีน่ า เชือ่ ถือไดหรือไม
ตองอาศัยทักษะการตีความมากนัก เพราะธรรมชาติของการเขียนขาวจะใชภาษาที่ หากผูอ า นตั้งคําถามและสามารถตอบคําถามไดครบถวนก็จะทําให
ทําใหทกุ คนสามารถเขาใจไดทนั ที แตขา วบางประเภท เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ การอานขาวในแตละครั้งเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ขาววิชาการตางๆ ตองอาศัยทักษะการตีความ ผูอ า นตองมีความรูเ กีย่ วกับเรือ่ งทีอ่ า น
ตองทราบภูมิหลังของขาว ตองมีประสบการณจึงจะสามารถตีความได ดังนั้นครูควร
คัดเลือกขาวทีม่ เี นือ้ หาสาระดังกลาวขางตน เพือ่ ใหนกั เรียนไดฝก ฝนทักษะการตีความ

20 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 3
ดอกเตอร์จอ้ ยมักให้สมั ภาษณ์เสมอว่า เขาเติบโตร�า่ เรียนหนังสือ และประสบผลส�าเร็จในชีวติ สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น
ได้ด้วยสติกเกอร์วิเศษ “การอานตีความบทความ” โดยใชขอมูลที่ได
“ทุกครั้งที่ผมเห็นค�านี้ติดอยู่ที่ไหน มันท�าให้ผมรู้ว่าตัวเองยังโง่อยู่ และเมื่อผมรู้ว่าตัวเองโง่ จากการสังเคราะหความรูรวมกันกับเพื่อน
ผมก็พยายามศึกษาเรือ่ งนัน้ ๆ ไม่วา่ จะเป็นบัญชี ศิลปะ เครือ่ งยนต์ ตอนเด็กๆ ผมมีสติกเกอร์วเิ ศษนี้ ในกลุม
หลายร้อยดวง เด็กคนอื่นเก็บตังค์ไว้ซื้อของเล่น แต่ผมเก็บตังค์เพื่อซื้อสติกเกอร์คนโง่มาใช้ตลอด
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
การอานตีความรอยแกวประเภทบทความ
วัยเด็ก และถึงทุกวันนีผ้ มก็ยงั จินตนาการเห็นสติกเกอร์คา� นีต้ ดิ อยูบ่ นเรือ่ งทีผ่ มไม่เข้าใจตลอดเวลา”
โดยวิธีการตั้งคําถาม
(ประภาส ชลศรานนท์ : คอลัมน์ นิทานล้านบรรทัด นิตยสาร a day ฉบับที่ ๑๖๗ ประจ�าเดือนกรกฎาคม)
• งานเขียนประเภทบทความหากแยกประเภท
ตามลักษณะของเนื้อหา จะไดแกบทความ
จากนิทานข้างต้น ค�าส�าคัญคือ “สติกเกอร์คนโง่” ความหมายโดยตรงของค�า “โง่” คือ ประเภทใดบาง
“เขลา ไม่ฉลาด ไม่ร”ู้ หากอ่านอย่างตรงไปตรงมา การติดสติกเกอร์เป็นการระบุวา่ ผูใ้ ช้เป็นคนโง่ แต่เมือ่ (แนวตอบ บทความแสดงความคิดเห็น
ตีความในการหาความหมายโดยนัยของค�า “สติกเกอร์คนโง่” ตีความได้วา่ “สติกเกอร์” เป็นสัญลักษณ์ บทความทางวิชาการ บทความวิจารณ
หรือเครื่องเตือนใจ การติด “สติกเกอร์คนโง่” บนสิ่งของที่เขาไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ท�าให้เกิด บทความชีวประวัติ สารคดี เปนตน)
ความเพียรพยายามที่จะหาค�าตอบ ดังนั้น การอ่านตีความนิทานเรื่องนี้จึงสรุปได้ว่า ความคิดหรือ • เนื้อหาสาระที่ปรากฏในบทความ นักเรียน
ความเข้าใจว่าตนฉลาดนั้น ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ประสบความส�าเร็จในชีวิต แต่ต้องระลึกอยู่เสมอว่า คิดวาประกอบดวยอะไรบาง
ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ตนยังไม่รู้และต้องใช้ความพยายามเรียนรู้เพื่อหาค�าตอบ (แนวตอบ บทความจะตองประกอบไปดวย
1 ขอเท็จจริงและขอคิดเห็น)
การอ่านตีความร้อยแก้วประเภทบทความ • นักเรียนมีวิธีการอยางไรในการประเมิน
ความนาเชื่อถือของบทความที่ไดอาน
...เบื้องหน้าไกลๆ นั้น หมอและพยาบาลในเครื่องแบบสีขาวยืนกระจายกันอยู่เป็นจุดๆ
(แนวตอบ พิจารณาจากเนื้อหาวาประกอบ
กลิ่นฉุนๆ ของแอลกอฮอล์โชยคลุ้ง ขณะครูประจ�าชั้นพยายามจัดพวกเราเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง
ไปดวยขอเท็จจริงและขอคิดเห็นมากนอย
ผมได้ยินเสียงหวานๆ ของคุณป้าพยาบาลดังแว่วมา “ไม่ต้องกลัวนะคะ เจ็บเท่ามดกัด” ผม
เพียงใด)
ได้แต่แปลกใจ มดกัดยังไง เสียงร้องไห้ถึงได้ดังระงมขนาดนั้น! แถวฉีดวัคซีนเป็นแถวชนิดเดียว
• นักเรียนมีวิธีการอยางไรในการจําแนกวา
ในประเทศไทยที่ไร้การแซงคิว ไม่มีใครคิดแซงคิวใคร เด็กไทยมารยาทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
ขอความใดเปนขอเท็จจริง ขอความใดเปน
เมื่อต้องมาเข้าแถวรับการฉีดวัคซีน หลายคนยอมสละคิวให้เพื่อนอย่างไม่รู้สึกเสียดาย และเท่าที่
ขอคิดเห็น
เห็นเพือ่ นๆ ก็มกั เกรงใจ จับล็อกคนข้างหน้าไว้ไม่ยอมให้มนั สละคิว ระหว่างโมงยามอันเลวร้าย ภาพ
(แนวตอบ ขอเท็จจริงเปนขอมูลที่สามารถ
เด็กนักเรียนวิง่ หนี (ตาย) ไปต่อท้ายแถวมีให้เห็นได้แทบจะตลอดเวลา แน่นอน ผมเป็นหนึง่ ในเด็ก
พิสูจนได มีหลักฐานทางวิชาการยืนยัน
เหล่านัน้ ยิง่ แถวค่อยๆ สัน้ ขาผมก็ยงิ่ สัน่ รูแ้ หละครับว่ายังไงก็คงต้องโดนเหมือนๆ กัน แต่ขอเวลา
ชัดเจน สวนขอคิดเห็นคือขอมูลที่เกิดขึ้น
ท�าใจอีกหน่อยจะได้มยั้ ส�าหรับผมในตอนนัน้ การหนีออกมาต่อท้ายแถวไม่ใช่เรือ่ งเลวร้าย จริงอยู่
จากทัศนคติหรือความรูสึกสวนตนของบุคคล
มันเป็นการกระท�าทีอ่ อกจะน่าอาย แต่ไม่วา่ อย่างไร มันก็ยงั น่าอายน้อยกว่าเพือ่ นๆ อีกหลายคนที่
และเปนการคาดคะเน)

21

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคัดสรรบทความแสดงความคิดเห็นแลวใชทักษะการอาน เมื่อนักเรียนฝกปฏิบัติกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมแลว ควรตัง้ คําถามเพือ่ ใหนกั เรียน
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหาของบทความ ตีความเจตนาของผูเขียน รวมกันวิเคราะหวา บทความแสดงความคิดเห็นแตกตางจากบทความวิจารณอยางไร
วิเคราะหวาบทความมีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด แสดงผลการ ซึง่ การปฏิบตั กิ จิ กรรมทัง้ สองจะชวยฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญ การอานตีความ
วิเคราะหในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู การจําแนกขอเท็จจริง ขอคิดเห็น การใหเหตุผล และทักษะกระบวนการคิดอยางมี
วิจารณญาณใหแกนักเรียน
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนคัดสรรบทความวิจารณ ใชทักษะการอานจับใจความสําคัญ 1 บทความ ตรงกับคําในภาษาอังกฤษวา “Article” เปนความเรียงที่เขียนขึ้น
สรุปเนื้อหาวาผูเขียนวิจารณเกี่ยวกับเรื่องใด วิเคราะหการใหเหตุผลหรือ จากขอเท็จจริงและมักจะแสดงความคิดเห็น ขอเสนอแนะไว แบงเปน 6 ประเภท
หลักทฤษฎีของผูเขียน แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบใบความรู ไดแก บทความกึ่งชีวประวัติ บทความสัมภาษณ บทความแสดงความคิดเห็น
เฉพาะบุคคล สงครู บทความทองเที่ยว บทความวิจารณ บทความทางวิชาการ

คูมือครู 21
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การจําแนกขอเท็จจริงและขอคิดเห็นทําแบบวัดฯ วิ่งหนีไปซะไกล เท่าที่ครูประจ�าชั้นตามจับกลับมาได้ ส่วนใหญ่หนีไปหลบกันอยู่ในห้องน�้า
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 หนวยที่ 2 กิจกรรม หลังโรงเรียน
ตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.2 ถ้าได้มาเห็นการต่อแถวฉีดวัคซีนของเด็กประถม คุณจะต้องหัวเราะด้วยความตลกขบขัน
✓ แบบวัดฯ
นึกถึงตัวเองในตอนนัน้ ผมยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เหล่าเด็กน้อยผูไ้ ม่ประสีประสา ทุกคนพยายาม
ใบงาน แบบฝกฯ
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.2 แก้ปญ ั หากันอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ผใู้ หญ่อย่างเราจัดการกับความกลัวได้ดกี ว่าเด็กประถมเหล่านัน้
เรื่อง การจําแนกขอเท็จจริงและขอคิดเห็น จริงหรือ?
กิจกรรมที่ ๒.๒ ใหนกั เรียนจัดประเภทของขอความตอไปนีใ้ หถกู ตอง
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ในแต่ละวัน เรามีเรือ่ งให้กลัวกันมากมาย กับบางเรือ่ งเราพอหลบเลีย่ งได้ แต่หลายเรือ่ งไม่ตา่ ง
ñð
(ท ๑.๑ ม.๑/๓)
กับการเข้าแถวฉีดวัคซีน เรารู้ว่าอย่างไรเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันเข้าสักวัน บางคนกลัวความมืด


ผมชอบสีเขียวมากกวาสีมวง • กรุงเทพมหานครเปนเมืองหลวงของไทย
นิดาเปดรานขายเสื้อผาอยูที่หางสรรพสินคา • ถาเขาขยันมากกวานี้เขาคงไมสอบตก
บางคนกลัวความสูง บางคนกลัวที่แคบ บางคนกลัวการพูดในที่ชุมชน บางคนกลัวที่จะรับรู้


ผมวาเสื้อตัวนี้ไมเหมาะกับคุณ
เราควรมีความกตัญูตอผูมีพระคุณ
• ฉันเชื่อวาคุณไมไดทําอยางที่เขาพูด
• คุณพอไปเยี่ยมคุณปูที่กาญจนบุรี ความจริงบางอย่าง บางคนกลัวที่จะบอกความจริงบางอย่างกับใครสักคน บางคนกลัวความ


วันสงกรานตคือวันขึ้นปใหมของไทย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑ สอบไดคะแนนดีทุกคน เปลี่ยนแปลงในชีวิต บางคนกลัวที่จะต้องตัดสินใจเรื่องส�าคัญ ความกลัวเหล่านี้ยืนโบกมือ
ทักทายเราอยู่ข้างหน้า กลิ่นของมันที่โชยมา สร้างความกลัวให้เราได้ไม่ต่างกับกลิ่นแอลกอฮอล์
ขอเท็จจริง
• กรุงเทพมหานครเปนเมืองหลวงของไทย
................................................................................................................................................................................................................................................... ตอนยืนต่อแถวฉีดวัคซีน
• นิดาเปดรานขายเสื้อผาอยูที่หางสรรพสินคา
...................................................................................................................................................................................................................................................

• คุณพอไปเยี่ยมคุณปูที่กาญจนบุรี
...................................................................................................................................................................................................................................................

• วันสงกรานตคือวันขึ้นปใหมของไทย
ฉบับ
เฉลย เมือ่ ต้องเผชิญกับความกลัว บ่อยครัง้ เรามักท�าตัวเหมือนเด็กประถม กีค่ รัง้ ทีเ่ ราวิง่ วนกลับไป
...................................................................................................................................................................................................................................................

• นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑ สอบไดคะแนนดีทุกคน
................................................................................................................................................................................................................................................... ต่อท้ายแถว กี่หนที่เราอ้างกับตัวเองว่าต้องการเวลาท�าใจ ยิ่งเราขยับเข้าใกล้สิ่งที่กลัวมากเท่าไร
...................................................................................................................................................................................................................................................

เวลาท�าใจก็ดูเหมือนจะไม่เคยพอ ทุกครั้งที่ขยับเข้าไปใกล้ เราตัดสินใจท�าในสิ่งที่ไม่ต่างจาก


ขอคิดเห็น
• ผมชอบสีเขียวมากกวาสีมวง
เด็กเหล่านั้น เราวิ่งหนีกลับไปต่อท้ายแถว ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า-ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า...
...................................................................................................................................................................................................................................................

• ถาเขาขยันมากกวานี้เขาคงไมสอบตก
...................................................................................................................................................................................................................................................

• ผมวาเสื้อตัวนี้ไมเหมาะกับคุณ
ไม่แน่ใจว่าวันนั้นผมวนไปต่อท้ายแถวกี่รอบ เพื่อนคนแล้วคนเล่ากุมต้นแขนเดินสวนออกไป
...................................................................................................................................................................................................................................................

• ฉันเชื่อวาคุณไมไดทําอยางที่เขาพูด
...................................................................................................................................................................................................................................................

• เราควรมีความกตัญูตอผูมีพระคุณ
ยิ่งแถวสั้นลงเท่าไร กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ดูจะยิ่งฉุนขึ้นเท่านั้น ผมก�าลังคิดว่าจะวิ่งหนีออกไปอีก
...................................................................................................................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................................................................................................... สักรอบดีไหม ตอนนั้นเองเพื่อน ๒ คน ข้างหน้าก็ชิงตัดหน้าด้วยการวิ่งหนีออกไปพร้อมกัน


๑๑ นั่นท�าให้ผมกลายมาเป็นหัวแถวโดยไม่รู้ตัว! ช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มคือช่วงเวลาก่อนโดนเข็มเข้า
การต้องเผชิญหน้ากับป้าพยาบาลในระยะประชิดเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ผมได้แต่
หลับตาปี๋ กัดฟันแน่นด้วยความเสียวไส้ ใบหน้าผมเหยเก ขณะถกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
คุณป้าพยาบาลป้ายส�าลีโชกแอลกอฮอล์บนต้นแขนของผม มันเย็นวาบจนใจสะท้าน ความคิดผม
ตอนนั้นคือยิ่งเนื้อเย็นเท่าไร ความรู้สึกตอนที่เข็มเสียดผ่านมันเข้าไปน่าจะยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น
ฉึก! บทเรียนส�าคัญที่ผมค้นพบในวันนั้น ระดับความกลัวจะสูงที่สุด “ก่อนที่” เราจะได้สัมผัสกับ
สิ่งที่เรากลัว
การโดนฉีดยาไม่เจ็บอย่างที่คิด แน่นอน มันเจ็บกว่ามดกัดแน่ๆ แต่มันไม่ได้มากมายอย่างที่
ผมเคยจินตนาการไว้ หลังจากวันนัน้ ครัง้ ต่อมาทีถ่ กู ฉีดยาผมก็ยงั กลัวอยูด่ ี เพียงแต่คราวนีม้ นั เป็น

22

บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู การอานตีความสามารถบูรณาการไดกบั เรือ่ งการตีความหลักฐานทาง
ประวัตศิ าสตร ในกลุม สาระการเรียนรูส งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับบทความประเภทตางๆ เชน บทความทางวิชาการ
วิชาประวัตศิ าสตร เพือ่ สรางองคความรูท กี่ วางขวางใหแกนกั เรียน และทําให
เพือ่ สรางพืน้ ฐานความรู ความเขาใจใหแกนกั เรียน บทความทางวิชาการ เปนบทความ
ทราบวาการตีความไมจาํ เปนทีจ่ ะตองตีความผานตัวอักษรแตเพียงอยางเดียว
ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวของกับวิชาการเปนความรูเฉพาะดาน ซึ่งผูเขียนบทความจะ
ยังมีสญั ลักษณ สิง่ ของอีกเปนจํานวนมากทีส่ ามารถตีความได โดยเฉพาะ
ตองมีความรู ความสนใจหรือมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสาขาใด
อยางยิง่ หลักฐานทางประวัตศิ าสตร โบราณคดี ซึง่ นักโบราณคดีจะสันนิษฐาน
สาขาหนึ่ง การเขียนบทความทางวิชาการผูเขียนจะตองมีหลักฐานอางอิงที่ถูกตอง
เกี่ยวกับวิถีชีวิตของผูคนในแตละชวงเวลาที่ยังไมมีการบันทึกเรื่องราว
ชัดเจน เชน ตัวเลขทางสถิติ ผลการทดลองที่ไดรับการรับรองแลว เปนตน รวมถึง
ไวเปนลายลักษณอกั ษร โดยตีความผานหลักฐานทางโบราณคดี
ผูเขียนจะตองแสดงความคิดเห็น ขอเสนอแนะแนวคิดหรือความรูใหมๆ ใหแกผูอาน
การปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ ครูอาจพานักเรียนไปเยี่ยมชม
เพื่อเปนประโยชนตอวงการการศึกษา หรือวงวิชาการตอไปในอนาคต ดังนั้นแลว
พิพิธภัณฑสถานแหงชาติประจําจังหวัด กําหนดหัวขอใหนักเรียนจาก
บทความทางวิชาการจึงประกอบไปดวยขอเท็จจริงและขอคิดเห็น ซึ่งบทความทาง
หลักฐานทางประวัติศาสตรที่จัดแสดง นักเรียนสามารถตีความเกี่ยวกับ
วิชาการที่มีความนาเชื่อถือหรือมีความสมเหตุสมผลจะตองประกอบดวยขอเท็จจริง
ประวัติความเปนมาของทองถิ่นไดอยางไร จากนั้นใหจับกลุม กลุมละ
ในอัตราสวนที่มากกวาขอคิดเห็น
3-5 คน รวมกันจัดปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติกลูกฟูก นําเสนอ
เกี่ยวกับประวัติศาสตรทองถิ่น สงครู

22 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
ความกลัวทีแ่ ตกต่างออกไป คราวนีผ้ มรูแ้ ล้วว่าจะเจอกับอะไร เข็มทีท่ มิ่ เนือ้ เข้าไปให้ความรูส้ กึ เจ็บ การอานตีความ อานบทความที่กําหนดให
แบบไหน ผมไม่ต้องคอยสร้างภาพอันเลวร้าย แล้วมากลัวภาพเลวร้ายที่ตัวผมสร้างมันขึ้นมาเอง ในแบบวัดฯ ภาษาไทย ม. 1 ตอนที่ 1
ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “จินตนาการส�าคัญกว่าความรู้” ผมว่ามันใช้ได้กับเรื่องส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่กับ หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.4
ความกลัว กับเรื่องความกลัว, ความรู้ส�าคัญกว่าจินตนาการ ✓ แบบวัดฯ
ใบงาน แบบฝกฯ
ก่อนหน้านี้ผมหนีทุกสิ่งที่ผมกลัว ผมคิดว่าการหนีคือการแก้ปัญหา แต่คิดหาทางหนีทีไร ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.4
ผมก็หาทางหนีทีไล่ไม่เคยเจอ การหนีอาจแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว การหนีอาจให้เวลาเราท�าใจ เรื่อง การวิเคราะหความนาเชือ่ ถือของบทความ
แต่การหนีไม่เคยท�าให้ความกลัวนัน้ หายไป เพราะการหนีไม่เคยท�าให้เราเข้าใจสิง่ ทีเ่ รากลัว วันนัน้
ผมเดินกุมต้นแขนออกมา ไม่ลืมที่จะยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเพื่อนๆ ที่ยังยืนขาสั่นอยู่ในแถว หลังฉีด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๒.๔ ใหนักเรียนอานบทความตอไปนี้แลววิเคราะห ñð
ความนาเชื่อถือของบทความ (ท ๑.๑ ม.๑/๖)
วัคซีนวันนั้น ไหล่ผมเจ็บจนยกแขนไม่ขึ้นไปอีกหลายวัน ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความ จากอุทกภัยทีเ่ กิดขึน้ ในพืน้ ทีภ่ าคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัด

เจ็บปวดที่คุ้มค่า อย่างที่คุณป้าพยาบาลบอกพวกเราในวันนั้น “ภูมิคุ้มกันนี้จะอยู่กับพวกเธอ นครราชสีมา ปราจีนบุรี ลพบุรี ฯลฯ ไดสรางความเดือดรอนอยางหนักใหกับพี่นองชาวไทยในพื้นที่


ดังกลาว ไมวาจะเปนปญหาเรื่องไรที่อยูอาศัย ขาดแคลนสิ่งของที่จําเปนในการอุปโภคบริโภค
ศูนยกลางรับบริจาคออนไลน ไทยกิ๊ฟวิ่ง (www.thaigiving.org) ขอมีสวนรวมในการเปนตัวกลาง
ตลอดไป” แปลกดี, สิ่งที่ท�าให้เราหายกลัวก็คือสิ่งเดียวกับที่ท�าให้เรากลัวนั่นเอง ในชวยเหลือระหวางทาน (ผูให) กับผูประสบภัย (ผูรับ) ในครั้งนี้ศูนยกลางรับบริจาคออนไลน
ไทยกิ๊ฟวิ่ง (www.thaigiving.org) จึงตั้งศูนยขึ้นมาเพื่อเปนสื่อกลางในการรับของบริจาค จึงขอ
ที่ผ่านมา ความกลัวอาจท�าให้เราเดินกลับไปต่อท้ายแถวครั้งแล้วครั้งเล่า เราเสียเวลากับ เชิญชวนพี่นองชาวไทยทุกทาน องคกร หนวยงาน และหางรานตางๆ รวมกันบริจาคเงิน และสิ่งของ
เชน เทียนไข อาหารแหง ถานไฟฉาย และไฟฉาย ฯลฯ รวมถึงสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จําเปนอื่นๆ
การวนอยู่อย่างนั้นไปไม่รู้เท่าไร อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องมานั่งเสียดาย อันที่จริง นั่นคือ ซึ่งทางศูนยฯ จะนําสิ่งของที่ไดรับบริจาคมาทั้งหมดไปรวมกับ “ศูนยเปดรับบริจาคนํ้าทวม” ของ
ชอง ๙ อสมท. ซึ่งไดตั้งศูนยรับบริจาค โดยเปดรับบริจาคทุกวันตั้งแตบัดนี้เปนตนไป
ทานสามารถรวมบริจาคไดทมี่ ลู นิธอิ นิ เทอรเน็ตรวมพัฒนาไทย ๑๐๘ อาคารบางกอกไทยทาวเวอร
ช่วงเวลาที่เราสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายเกี่ยวกับความกลัวของเราเอง แต่ละรอบที่เราหนีไป ชั้น ๑๐ หอง ๑๐๐๔ ถนนรางนํ้า แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ๑๐๔๐๐
ฉบับ
โทรศัพท ๐-๒๖๔๒-๗๐๓๑ หรือสามารถรวมบริจาคเงินทางชือ่ บัญชี “มูลนิธอิ นิ เทอรเน็ตรวมพัฒนาไทย” เฉลย
ยืนท้ายแถว แต่ละครั้งที่เราพยายามถอยห่างจากความกลัวของตัวเอง เราจะค่อยๆ เรียนรู้ได้เอง ธนาคารกสิกรไทย สาขารางนํ้า ประเภทออมทรัพย เลขที่ ๐๕๒-๒-๗๗๓๙๒-๑ ระบุในใบสลิป
โอนเงินวา เพื่อชวยเหลือผูประสบอุทกภัย และระบุชื่อ ที่อยู เบอรโทรศัพทของผูบริจาคใหชัดเจน
ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร แถวที่เราต่อจะค่อยๆ สั้นเข้า และไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องขยับไปยืนที่ แลวแฟกซใบสลิปนั้นมาที่เบอร ๐-๒๖๔๒-๗๐๓๒ เพื่อออกใบเสร็จ
ที่มา : http://www.thaigiving.org/node/1326

หัวแถวอยู่ดี ช่วงเวลาเหล่านี้จะค่อยๆ ท�าให้เราตัดสินใจได้ และในที่สุด เราจะถกแขนเสื้อขึ้นมา จากบทความขางตนเปนบทความที่มีเนื้อหาโนมนาวใจใหรวมกันบริจาคสิ่งของใหแก


.....................................................................................................................................................................................................................................................
ผูป ระสบอุทกภัยทางภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิเคราะหความเชือ่ ถือของบทความ
และ “กล้า” เดินเข้าหาคุณป้าพยาบาลด้วยตัวเอง ความกลัวกลัวความกล้า แต่ความกล้าไม่ใช่ความ
.....................................................................................................................................................................................................................................................
พบวาบทความนีม้ คี วามนาเชือ่ ถือ เนือ่ งจากเนือ้ หาของบทความไดบอกสาเหตุของการขอรับบริจาค
.....................................................................................................................................................................................................................................................
ซึง่ สามารถพิสจู นไดวา เกิดเหตุการณนขี้ นึ้ จริงและมีผไู ดรบั ความเดือดรอนจริง อีกทัง้ ในบทความนี้
.....................................................................................................................................................................................................................................................

สามารถในการเผชิญหน้ากับความกลัว ความกล้าคือความสามารถในการเผชิญหน้ากับความจริง ยังไดใหขอมูลเกี่ยวกับสถานที่และองคกรที่ขอรับบริจาคไวอยางชัดเจนซึ่งทําใหบทความนี้สามารถ


.....................................................................................................................................................................................................................................................
เชื่อถือได
.....................................................................................................................................................................................................................................................

(คุณากร วรวรรณธนะชัย : .....................................................................................................................................................................................................................................................

.....................................................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................................................

ปรับจากคอลัมน์ โลกประจ�าตัว นิตยสาร a day ฉบับที่ ๑๖๔ ประจ�าเดือนเมษายน) .....................................................................................................................................................................................................................................................

๑๓

จากบทความ เหตุการณ์การฉีดวัคซีนในวัยเด็ก เป็นประสบการณ์วยั เด็กทีผ่ เู้ ขียนเล่าอย่างตรงไป-


ตรงมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเด็กๆ กลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้หรือไม่มีประสบการณ์ จึงหาทางหลบเลี่ยง แต่ผู้เขียน 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายวาตนเองมี
ได้หาความหมายโดยนัยของประสบการณ์ในวัยเด็กดังกล่าว โดยสรุปว่า “ความกล้าคือความสามารถ แนวทางสําหรับการวิเคราะหความนาเชื่อถือ
ในการเผชิญหน้ากับความจริง” ดังนั้น จึงตีความบทความนี้ได้ว่า ในชีวิตหนึ่งๆ ของมนุษย์จะต้อง ของบทความอยางไร
เผชิญหน้ากับความจริง ไม่อาจเลี่ยงหลบได้ และสิ่งที่จะท�าให้ก้าวออกไปเผชิญหน้าคือความกล้า (แนวตอบ การวิเคราะหความนาเชื่อถือของ
บทความ ผูวิเคราะหจะตองอานเนื้อหาสาระ
ของเรื่องตั้งแตตนจนจบ ทําความเขาใจ
ความหมายของคํา แปลความ หรือตีความ
23 เจตนาของผูเ ขียนรวมถึงพิจารณาขอเท็จจริง
ขอคิดเห็นขอมูลภายในเรื่อง)

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนเลือกศึกษาขาวเศรษฐกิจคนละ 1 ขาว ใชทักษะการอาน เมื่อครูใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมแลว ควรสุมเรียกชื่อนักเรียน
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหา พิจารณาวาเนื้อหาของขาวประกอบขึ้นจาก ออกมาแสดงผลการวิเคราะหในเบื้องตน แลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกัน
ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น และขอสนับสนุนอยูในอัตราสวนเทาใด โดยสงผล การปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนมีหลักเกณฑสําหรับพิจารณาความนาเชื่อถือ
อยางไรตอความนาเชื่อถือของขาว แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบ ของขาวที่อานในชีวิตประจําวัน
ใบความรูเฉพาะบุคคล พรอมแนบสําเนาขาว สงครู

กิจกรรมทาทาย มุม IT
นักเรียนสามารถเขาไปสืบคนบทความทางวิชาการ หรือบทความประเภทอื่น
นักเรียนเลือกศึกษาขาววิชาการคนละ 1 ขาว ใชทักษะการอาน ไดจากเว็บไซต http://www.moe.go.th/main2/article/article.htm
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหา พิจารณาวาเนื้อหาของขาวประกอบขึ้นจาก
ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น และขอสนับสนุนอยูในอัตราสวนเทาใด โดยสงผล
อยางไรตอความนาเชื่อถือของขาว แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบ
ใบความรูเฉพาะบุคคล พรอมแนบสําเนาขาว สงครู
คูมือครู 23
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 4 และ 5
สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับ
มอบหมาย โดยใชขอมูลที่ไดจากการสังเคราะห
๓ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ
นอกจากการอ่ า นจะเป็ น เครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ แ สวงหาความรู ้ แ ละความบั น เทิ ง แล้ ว การอ่ า น
ความรูรวมกันกับเพื่อนในกลุม
ยังเป็นเครื่องมือส�าคัญที่ช่วยให้ผู้อ่านปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เช่น การอ่านเอกสารคู่มือ
แนะน�าวิธกี ารใช้งานของเครือ่ งมือเครือ่ งใช้ตา่ งๆ ซึง่ อาจเรียบเรียงในลักษณะความเรียง แผนผัง แผนภาพ
ขยายความเขาใจ Expand รูปภาพ ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น แผ่นพับ ใบปลิว CD-ROM เป็นต้น โดยมีแนวทางการอ่าน ดังนี้
๑. อ่านอย่างช้าๆ เพื่อให้เข้าใจว่า เอกสารนั้นให้ปฏิบัติอะไร อย่างไร ไม่ควรคาดเดาเอง
1. นักเรียนอานคูมือปองกันไขหวัดใหญที่จัดทํา
๒. ถ้าไม่เข้าใจค�าแนะน�า หรือค�าสั่งให้สอบถามจากผู้รู้ หรือโทรศัพท์ถาม call center
โดยสํานักโรคติดตออุบัติใหม กรมควบคุม ๓. ปฏิบัติตามค�าสั่ง ค�าแนะน�าอย่างช้าๆ ทุกประการ
โรคติดตอ สุมเรียกชื่อนักเรียนตอบคําถาม สิ่งส�าคัญของการอ่านเพื่อปฏิบัติตามค�าแนะน�าเอกสารคู่มือ คือ การอ่านอย่างช้าๆ ละเอียด
โดยกําหนดสถานการณที่เปนปญหาเพื่อให รอบคอบ ไม่อ่านแบบผ่านๆ พอเข้าใจ หรือคาดเดาเอง เพราะหากความผิดพลาดเกิดขึ้นอาจส่ง
นักเรียนไดใชความรูที่ไดจากการอานคูมือ ผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้
ปองกันไขหวัดใหญแกปญหา จากนั้นนักเรียน
ทั้งชั้นเรียนรวมกันสรุปวิธีการอานเอกสารคูมือ ๔ มารยาทการอ่าน
ใหเกิดประโยชนสูงสุด เพื่อนําขอมูลที่ไดไป มารยาทเป็นวัฒนธรรมทางสังคม เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม ซึ่งสังคมยอมรับและยกย่อง
เผยแพรแกนักเรียนรวมโรงเรียนในลักษณะ มารยาทการอ่านจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะจะท�าให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้อ่านที่น่าชื่นชม นอกจากนี้
ของปายนิเทศประจําโรงเรียน ยังเป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะต่อสถานที่อีกด้วย ซึ่งมารยาทการอ่านที่ควรปฏิบัติ เช่น
2. นักเรียนเลือกอานบทความประเภทที่สนใจ ๑. การอ่านออกเสียงโดยไม่ได้เป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง ผู้อ่านไม่ควรอ่านเสียงดัง
โดยจับใจความสําคัญวาเปนเรื่องเกีย่ วกับอะไร ๒. อ่านให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น ไม่อ่านหนังสือเมื่ออยู่ในวงสนทนา ขณะฟังบรรยาย
ตีความเพือ่ แปลเจตนาของผูเ ขียน จากนั้นให ๓. ใช้หนังสือด้วยความระมัดระวัง ไม่พับฉีกให้ช�ารุดเสียหาย รวมถึงไม่ขีดเขียนวาดรูป
๔. ไม่ถือวิสาสะหยิบหนังสือของผู้อื่นมาอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต
วิเคราะหความนาเชือ่ ถือ หรือความสมเหตุสมผล
๕. ไม่อ่านสิ่งที่เป็นงานเขียนส่วนตัวของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต เช่น บันทึกส่วนตัว
ของบทความ โดยระบุวาสังเกตหรือประเมิน
๖. ไม่รับประทานอาหารขณะอ่านหนังสือเพราะจะท�าให้หนังสือเปรอะเปื้อนเกิดความสกปรก
จากสิ่งใด บันทึกเปนใบความรูเฉพาะบุคคล ๗. เมือ่ อ่านหนังสือในห้องสมุด หรือสถานทีซ่ งึ่ จัดไว้ให้อา่ นหนังสือโดยเฉพาะต้องไม่สง่ เสียงดัง
นําสงครู พรอมแนบสําเนาของบทความ รบกวนผู้อื่น รวมถึงควรปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของสถานที่นั้นอย่างเคร่งครัด
ที่เลือกอาน
3. นักเรียนรวมกันจัดปายนิเทศเกี่ยวกับมารยาท การอ่านตีความ คือ การอ่านเพือ่ ฝึกทักษะการคิด ผูอ้ า่ นต้องรูค้ วามหมายของคÓศัพท์
การอานประจําชั้นเรียน ต่างๆ ทังé ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย เพือ่ สามารถแปลความและตีความได้
อาจกล่าวได้ว่า การอ่านตีความเป็นการฝึกทักษะการคิดและการพัฒนาตนเองให้มี
ความสามารถในการอ่านระดับสูงต่อไป นอกจากนีéการเป็นผู้มีความสามารถในการอ่าน
อย่างเดียวนัน é ไม่เพียงพอ จÓเป็นต้องมีมารยาทการอ่านด้วย เพราะมนุษย์ตอ้ งอยูร่ วมกัน
เป็นกลุ่ม หากผู้ใดผู้หนึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมย่อมส่งผลกระทบต่อส่วนรวมได้

24

ขอสอบ O-NET
เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับการอานตีความเอกสารคูมือ
บุคคลในขอใดปฏิบัติตามแนวทางการปองกันโรคไขหวัดใหญ 2009
ครูควรแนะนําเกี่ยวกับการอานตีความเอกสารคูมือในบางเรื่อง โดยเฉพาะสินคา
ไดอยางถูกตอง
ที่เกี่ยวของกับความปลอดภัย ไมวาจะเปนอุปกรณอิเล็กทรอนิกส เครื่องใชไฟฟา
1. รุจนพกแอลกอฮอลเจลติดตัวเสมอ
อุปกรณทางการแพทย ยานพาหนะ เนื่องจากในเอกสารคูมืออาจมีคําศัพทหรือ
2. อานนทใชชอนกลางตักอาหารเสมอจนเปนนิสัย
ขอความบางแหงที่เปนเทคนิคเฉพาะดาน ซึ่งถาไมแนใจควรสอบถามจากผูผลิต
3. อภิชญากินอาหารเพื่อใหมีแรงทํางานโดยไมนอน
หรือผูรูกอน
4. ฤทธิ์เก็บตัวอยูที่บาน เพราะกลัวจะติดเชื้อโรคจากผูอื่น
วิเคราะหคําตอบ การพกแอลกอฮอลเจลติดตัวอยูเสมอไมสามารถ
ปองกันโรคไดอยางมีประสิทธิภาพ การรับประทานอาหาร แตไมพักผอน
จะทําใหรางกายทรุดโทรมเปนสาเหตุของการเกิดโรค และการเก็บตัว
อยูกับบาน ไมใชแนวทางการปองกันที่ถูกตอง และยังสงผลตอการ
ดําเนินชีวิตประจําวัน แนวทางการปองกันโรคไขหวัดใหญ 2009 ที่ถูกตอง
คือ การกินอาหารที่ปรุงสุกใหมๆ ใชชอนกลางตักอาหาร และรักษาความ
สะอาดดวยการลางมือ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

24 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมานําเสนอการจับใจความสําคัญ
บทความที่เลือกตามความสนใจ พรอมทั้ง
ตีความเจตนาของผูเขียนและวิเคราะห
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ความนาเชื่อถือของบทความ หนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอของนักเรียน
๑. การอ่านจับใจความส�าคัญควรมีหลักปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยพิจารณาวา
๒. การอ่านเพื่อตีความมีประโยชน์อย่างไร จงอธิบาย
๓. ความหมายโดยนัยคืออะไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
• สามารถจับใจความสําคัญของเรื่อง
๔. พฤติกรรมใดบ้างที่สะท้อนว่าบุคคลนั้นเปนผู้มีมารยาทการอ่าน ไดครบถวนหรือไม
• สามารถตีความเจตนาของผูเขียนถูกตอง
หรือไม
• มีหลักเกณฑที่เหมาะสมสําหรับการพิจารณา
ความนาเชื่อถือของบทความหรือไม อยางไร
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับการอาน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
จับใจความสําคัญ ตีความ และวิเคราะห
ความนาเชื่อถือของบทความที่เลือกอาน
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มเลือกอ่านบทความ ๑ บทความ จากงานเขียนสารคดี
โฆษณา ข่าว บทร้อยกรอง วารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ และส่ง ตามความสนใจ
ตัวแทนรายงานการตีความและสรุปเรื่องที่อ่านหน้าชั้นเรียน 2. ปายนิเทศประจําโรงเรียนเผยแพรเกี่ยวกับ
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนฝกตีความและสรุปสาระส�าคัญของข่าวที่น่าสนใจแต่ละวัน วิธีการอานเอกสารคูมือใหเกิดประสิทธิภาพ
ทางหนังสือพิมพ์ วันละอย่างน้อย ๑ ข่าว บันทึกลงสมุด ส่งครูทุกสัปดาห์ สูงสุด
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนรวบรวมค�าที่มีความหมายโดยนัยจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 3. ปายนิเทศประจําชั้นเรียนเกี่ยวกับมารยาท
แล้วช่วยกันตีความในกลุ่มของนักเรียน ครูช่วยแนะน�าเพิ่มเติม การอาน
กิจกรรมที่ ๔ นักเรียนแบ่งกลุ่มจับใจความส�าคัญหรือตีความจากเนื้อเพลงประจ�าโรงเรียน 4. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
ของนักเรียน
กิจกรรมที่ ๕ นักเรียนแบ่งกลุ่มฝกอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ น�าเสนอหน้าชั้นเรียน

25

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การอานจับใจความสําคัญ ผูอานจะตองมีสมาธิในการอาน ตั้งจุดมุงหมายใหชัดเจนวาอานเพื่ออะไร ผูอานตองตอบคําถามไดวาเรื่องที่อานเปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร
ใครทําอะไร กับใคร ที่ไหน อยางไร เมื่อไร และทําไม
2. การอานตีความเปนการรับสารในขั้นสูงที่ผูอานจะทราบเนื้อหาสาระของบทอานไดจากการตีความผานสัญลักษณที่ปรากฏในบทอาน และรวมถึงการตีความจาก
บริบทซึ่งแวดลอมบทอาน
3. ความหมายโดยนัย คือความหมายที่ไมไดปรากฏตรงตามตัวอักษร เชน วิชาภาษาไทยเปนวิชาที่หมูมาก “หมู” ในที่นี้มีความหมายวา “งายมาก” ซึ่งการใชคําที่มี
ความหมายโดยนัยมักจะใชสําหรับการถายทอดเรื่องราวเนื้อหาสาระที่มีลักษณะเปนการเปรียบเทียบ
4. พฤติกรรมที่สะทอนใหเห็นวาบุคคลนั้นๆ เปนผูมีวัฒนธรรมในการอาน เชน เมื่อเขาใชหองสมุดก็ปฏิบัติตามกฎที่กําหนดไวอยางเครงครัด ไมสงเสียงดังรบกวนผูอื่น
ไมขูด ลบ ขีด ทําลายหนังสือของหองสมุด เลือกอานหนังสือที่เปนประโยชนตอตนเอง เปนตน

คูมือครู 25
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจเกี่ยวกับการเรียนรูทักษะ
การเขียน ดวยการเลาวิวฒ ั นาการการเขียนของมนุษย
ใหนักเรียนฟง “ในอดีตมนุษยอาจใชนิ้วจุมดินหรือ
หินสีบดเปนผงผสมกับยางไม หรือกาวหนังสัตว
ตอนที่ ò การพัฒนาทักษะการเขียน
ขีดเขียน บนผนังถํ้าหรือเพิงผา จากการเขียน
บนผนังถํ้า ไดพัฒนาไปสูการเขียนบนแผนไม
แผนโลหะ ตลอดจนใบไมจาํ พวกใบลาน มาจนถึง
การประดิษฐกระดาษขึน้ ใช และในขณะนีค้ วามเจริญ
กาวหนาทางดานเทคโนโลยีการพิมพไดเขามามี
บทบาทแทนที่การเขียนดวยลายมือมากขึน้ ทุกขณะ”
จากสถานการณขางตน ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนลองจินตนาการวาหากในอนาคต
มนุษยไมตองเขียนสื่อสารดวยลายมือ
สังคมมนุษยจะเปนอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับทัศนคติและ
ประสบการณสวนตัว)
• นักเรียนคิดวาการพัฒนาทักษะการเขียน
ของตนเองใหมีประสิทธิภาพควรปฏิบัติตน
อยางไร
(แนวตอบ การเขียนเปนทักษะที่ตองฝกฝน
อยางจริงจังและสมํ่าเสมอ เพื่อใหเกิดความ
ชํานาญ ไมมีขอผิดพลาดในการสื่อความ
รูจักการเรียบเรียงถอยคําเขาประโยคใหเกิด
ความแจมชัด สละสลวย ไดใจความครบถวน
สมบูรณ ดังนั้นผูเขียนจึงจําเปนตองศึกษา
หลักเกณฑตางๆ เกี่ยวกับการเขียน เชน นานาประเทศลวน นับถือ
การใชคําใหถูกตองตรงความหมาย ถูกระดับ คนที่รูหนังสือ แตงได
มีความเหมาะสม ไมใชคําฟุมเฟอย หรือใช ใครเกลียดอักษรคือ คนปา
ถอยคําภาษาตางประเทศ เปนตน นําความรู ใครเยาะกวีไซร แนแทคนดง
เหลานี้ไปพัฒนางานเขียนของตนเองให (พระนลค�าหลวง : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ประสบผลสําเร็จตามจุดมุงหมายที่ตั้งไว)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 2 การพัฒนาทักษะการเขียน เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักปฏิบัติการเขียนที่เกิดจากการ
รวมกันสืบคนความรูก บั เพือ่ นๆ และคําชีแ้ นะของครูไปใชเพือ่ พัฒนาทักษะการเขียน
ของตนเองใหมีประสิทธิภาพ สามารถสรางงานเขียน และรวมถึงประเมินผลงาน
การเขียนของตนเองและผูอื่นอยางมีเหตุผล นาเชื่อถือ
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรเริ่มตนจากการสรางเจตคติที่ดีเกี่ยวกับ
การเขียน ชี้ใหเห็นวางานเขียนที่ดีนั้น สําคัญที่แนวคิด ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
การใชถอยคํา สํานวนโวหาร เปนเครื่องมือ หรือพาหนะในการถายทอดความคิด
ดังนั้นครูควรออกแบบการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะโดยใหนักเรียนไดฝกเขียน
ในหัวขอ และรูปแบบที่หลากหลายอยางสมํ่าเสมอ นํามาประเมินรวมกัน เพื่อสังเกต
พัฒนาการของตนเอง รวมถึงขอควรปรับปรุงแกไข

26 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ดวยรูปแบบ
ตัวอักษรอาลักษณ จากขอความที่กําหนดให
หรือคัดเลือกเองไดอยางสวยงาม ถูกตองตาม
รูปแบบมาตรฐาน
2. เขียนสื่อสารในรูปแบบตางๆ โดยใชความรู
เกีย่ วกับถอยคําสือ่ สารไดตรงประเด็น ชัดเจน
เหมาะสม สละสลวย และมีมารยาทในการเขียน

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. มุง มั่นในการทํางาน

หน่วยที่ ñ กระตุน ความสนใจ Engage


การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
ตัวชี้วัด ก ารเขี ย นเป็ น ทั ก ษะพื้ น ฐาน จากนั้นตั้งคําถามวา
ท ๒.๑ ม.๑/๑, ๒, ๙ ของการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วย • หากเพื่อนในภาพตองการจะเขียนสื่อสาร
■ คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด พัฒนาการศึกษารายวิชาต่างๆ ทีม่ คี วาม ใหไดความหมายตรงตามวัตถุประสงคหรือ
■ เขียนสื่อสารโดยใชถอยคําถูกตอง ชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย ละเอี ย ดลึ ก ซึ้ ง ผู ้ ที่ ใ ช้ ถ ้ อ ยค� า ประกอบ
■ มีมารยาทในการเขียน การเขี ย นได้ ส ละสลวยถู ก ต้ อ ง สามารถ เจตนา นักเรียนคิดวาเพื่อนจะตองมีความรู
สร้างสรรค์เป็นวิชาชีพได้ แต่ประโยชน์ที่ ในเรื่องใดบาง
ส�าคัญทีส่ ด
ุ คือ การเขียนช่วยล�าดับความคิด (แนวตอบ คําตอบของนักเรียนขึ้นอยูกับ
สาระการเรียนรูแกนกลาง ในการสื่อสาร ผู้ที่รับสารจะเข้าใจในเนื้อหา
■ การคัดลายมือดวยตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตามแบบตัวอักษรไทย และจุดมุง ่ หมายอย่างชัดเจน ดังนัน ้ การเขียน รองรอยความรูเดิม ซึ่งการเขียนสื่อสารให
■ การเขียนสื่อสาร จึงเป็นทักษะที่ต้องฝกฝนให้เกิดความช�านาญ บรรลุวัตถุประสงคนั้นผูเขียนจะตองมี
มารยาทในการเขียน
ความรูเกี่ยวกับความหมายและหนาทีข่ องคํา

มีทกั ษะการคัดลายมือเพือ่ ใหผรู บั สารสามารถ


อานได เพราะถาเขียนสื่อสารไดดี แตผูอาน
อานไมไดเนื่องจากลายมือไมชัดเจน
การสื่อสารก็จะไมสัมฤทธิผล)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา ประกอบดวย
3 หัวขอใหญ ไดแก การคัดลายมือ การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา และมารยาท
ในการเขียน เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนจะตองมีทกั ษะดานการเขียนทีม่ ปี ระสิทธิภาพ
มีลายมือทีส่ วยงาม ถูกตองตามรูปแบบ มีความรูเ กีย่ วกับการใชถอ ยคําเพือ่ การสือ่ สาร
โดยคํานึงถึงความเหมาะสม จุดประสงค และมีมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว สําหรับทักษะการคัดลายมือ ครูควรใหนกั เรียน
ศึกษาลักษณะของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต ตามรูปแบบทีเ่ ปนมาตรฐานและนําไปใช
สรางความรูที่ถูกตองเกี่ยวกับการใชถอยคําเพื่อการสื่อสารและมารยาทในการเขียน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการเขียน ทักษะการคิดสรางสรรค
ใหแกนักเรียน

คูมือครู 27
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจเพื่อนําเขาสูหัวขอ
การเรียนการสอน “การคัดลายมือ” ดวยวิธีการ ๑ ลายมือกับการเขียนสื่อสาร
ตั้งคําถามชวนคิด การคัดลายมือ เป็นการฝึกเขียนเบื้องต้นที่จ�าเป็นต้องฝึกมือตั้งแต่เยาว์วัยให้เคยชินกับ
• เพราะเหตุใดระบบการศึกษาของชาติ การเขียนทีส่ วยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะเป็นพืน้ ฐานทีจ่ ะน�าไปสูก่ ารเขียนได้ถกู ต้องคล่องแคล่ว
จึงกําหนดใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับ รวดเร็ว สวยงาม น่าอ่าน บางคนคิดว่าลายมือไม่ส�าคัญนัก ถ้าการเขียนนั้นมีเนื้อเรื่องดี มีการแสดง
หลักปฏิบัติการคัดลายมือ ความคิดเห็น ลีลาและส�านวนโวหารดีก็เพียงพอแล้วถือเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถ้าลายมืออ่าน
(แนวตอบ เพื่อสรางความเปนมาตรฐาน ไม่ออกไม่ชัดเจน ผู้อ่านก็อ่านไม่ออกท�าให้ไม่เข้าใจ ไม่ทราบคุณค่าของข้อเขียนว่าดีอย่างไร
เดียวกันของชาติ เยาวชนไทยทุกคนจึงตอง
ไดรบั การปลูกฝงเรือ่ งความสําคัญของลายมือ ๑.๑ ความสำาคัญของการคัดลายมือ
และเรียนรูล กั ษณะของตัวอักษรรูปแบบตางๆ ส�านักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ* กล่าวถึงความส�าคัญของการคัดลายมือว่า “เป็นเครือ่ งมือ
เชน แบบอาลักษณ เพือ่ ใหเกิดความตระหนัก ส�าคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด หากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้นั้น
และนําไปใชไดถูกตอง) เป็นลายมือที่หวัดจนอ่านไม่ออก การเขียนนั้นก็ไร้ค่า เกิดเป็นคนไทยจึงควรเขียนอักษรไทยให้ถูกต้อง
รวดเร็ว สวยงาม น่าอ่าน”
สํารวจคนหา Explore
๑.๒ จุดประสงค์ของการคัดลายมือ
ครูเขียนหมายเลข 1, 2, 3, 4 และ 5 ลงบน การคัดลายมือมีความส�าคัญมากต่อการพัฒนาไปสู่ทักษะการเขียน การฝึกคัดลายมือจึงมี
กระดาษ ใหนักเรียนออกมาจับสลาก ใครที่จับได จุดประสงค์ส�าคัญๆ ดังนี้
หมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน รวบรวม ๑. เพื่อฝึกการเป็นผู้ที่มีสมาธิในการเขียนตัวอักษรไทย
ความรูในประเด็น ตอไปนี้ ๒. เพื่อให้เขียนตัวหนังสือไทยได้ถูกต้องตามหลักวิธีการต่างๆ
หมายเลข 1 ความสําคัญของการคัดลายมือ ๓. เพื่อให้รู้จักการจัดระเบียบ การเว้นวรรคและเว้นช่องไฟได้ประณีตและมีความสม�่าเสมอ
หมายเลข 2 จุดประสงคของการคัดลายมือ ท�าให้อ่านง่าย ดูสบายตา
หมายเลข 3 รูปแบบตัวอักษรอาลักษณ ๔. เพื่อให้รู้จักสังเกตแบบอย่างตัวอักษรที่ถูกต้องสวยงามและน�าไปเป็นตัวอย่างในการเขียน
หมายเลข 4 รูปแบบตัวอักษรแบบกระทรวง ได้ต่อไป
ศึกษาธิการ ๕. เพื่อให้มีความภาคภูมิใจ ศรัทธา และรักการเขียนภาษาไทยอันเป็นมรดกและภาษาประจ�า
หมายเลข 5 หลักการคัดลายมือ ชาติไทย
1
อธิบายความรู Explain ๑.๓ รูปแบบตัวอักษรไทย
ตั ว อั ก ษรไทยที่ ใช้ คั ด ลายมื อ ในปั จ จุ บั น มี ห ลายรู ป แบบที่ นิ ย มคั ด เช่ น แบบอาลั ก ษณ์
นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทน 2 คน แบบหัวกลม แบบตัวเหลี่ยม แบบราชบัณฑิต
รวมกันอธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับ
มอบหมาย จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ * ปัจจุบัน คือ ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
บุคคล สงครู
28

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จุดประสงคของการคัดลายมือคือขอใด
การเรียนการสอนเรื่อง การคัดลายมือใหประสบผลสําเร็จ กอนที่นักเรียนจะมี
1. ฝกฝนสมาธิใหแกตนเอง
ความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับลักษณะตัวอักษร ควรที่จะไดรับการปลูกฝง
2. ฝกฝนการเลือกใชคําในงานเขียน
เจตคติทดี่ ตี อ อักษรไทย ครูควรสรางบรรยากาศเพือ่ ใหนกั เรียนรูส กึ วา การคัดลายมือ
3. ฝกฝนทักษะการคิดวิเคราะห
ไมใชเรื่องที่นาเบื่อ แตนักเรียนเปนสวนหนึ่งที่จะทําใหคุณคาของตัวอักษรไทยคงอยู
4. ฝกฝนการแกปญหาเฉพาะหนา
ตอไป หากตระหนักในคุณคา และนําไปใชใหถกู ตอง อักษรไทยก็จะคงอยูเ ปนมรดก
ทางวัฒนธรรม วิเคราะหคําตอบ การคัดลายมือเปนการฝกฝนการเขียนใหสามารถเขียน
ตัวอักษรไดอยางสวยงาม มีระเบียบเรียบรอย อานงาย การคัดลายมือจึง
ตองมีความบรรจงอยางสูง ผูที่ฝกคัดลายมือควรมีความอดทน และมีสมาธิ
นักเรียนควรรู จดจอกับการคัดลายมือ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
1 อักษรไทย พอขุนรามคําแหงมหาราช ทรงประดิษฐอักษรไทย เมื่อ พ.ศ.
1826 ทรงดัดแปลงจากอักษรขอมหวัด อักษรไทยเดิม และคิดอักษรไทยใหมีสระ
และวรรณยุกตใหสามารถเขียนแทนเสียงพูดของคําในภาษาไทยไดทุกคํา และเรียก
ตัวอักษรที่ทรงประดิษฐขึ้นนี้วา “ลายสือไทย”
28 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
รูปแบบอักษรไทย : แบบอาลักษณ์ อธิบายความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ลักษณะพยัญชนะ ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู
ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใช
ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ องคความรูเกี่ยวกับการคัดลายมือที่ไดรับ
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ
ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป • การพัฒนาของเทคโนโลยีดานการพิมพ
ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ล สงผลอยางไรตอระบบการสื่อสารดวยการ
เขียนของมนุษย
ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ (แนวตอบ เทคโนโลยีดานการพิมพมีความ
สะดวก รวดเร็ว เปนระบบ ระเบียบ ทีส่ าํ คัญ
ไมตองกังวลเรื่องความผิดพลาดจากการ
ลักษณะตัวเลขไทย อานไมออก ดวยเหตุนี้เทคโนโลยีดาน
การพิมพจึงเขามามีบทบาทแทนการเขียน
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ สื่อสารของมนุษย)
• นักเรียนคิดวาการคัดลายมือมีความสําคัญ
ลักษณะสระ ตอชีวิตประจําวันอยางไร
(แนวตอบ การคัดลายมือมีความสําคัญ
ะ ั า ำ ิ ี ึ ื ตอชีวติ ประจําวันในดานการเรียน เพราะ
ุ ู เ แ ็ โ ใ ไ การเรียนการสอนในโรงเรียน นักเรียนยังจะ
ตองเขียนสื่อสารดวยลายมือ หากนักเรียน
ฯ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ์ ไมใสใจหรือละเลยที่จะเขียนหรือคัดใหมี
ความสวยงาม ถูกตองหรือเขียนหวัด
ลักษณะรูปวรรณยุกต์ จนเกินไป ก็จะทําใหครูไมสามารถเขาใจใน
สิ่งที่นักเรียนสื่อสารได เนื่องจากอานลายมือ
ไมออก ดังนั้น การคัดลายมือนอกจากจะมี
่ ้ ๊ ๋ ความสําคัญในระดับสังคมประเทศชาติแลว
ยังมีความสําคัญในระดับบุคคลอีกดวย)

29

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการคัดลายมือ เกร็ดแนะครู
เพราะเหตุใดจึงตองใชเลขไทยในการเขียนภาษาไทย
ครูควรใหนักเรียนไดศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
1. เพราะเลขไทยอยูบนแปนพิมพการใชจึงสะดวกกวา
รูปแบบอาลักษณ โดยสังเกตลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
2. เพราะการใชเลขไทยเปนการชวยรักษาสมบัติชาติวิธีหนึ่ง
แตละตัว เชน ขนาดของตัวอักษร หัวของตัวอักษร การโคง การหักมุม เปนตน
3. เพราะการใชเลขไทยจําเปนตอการเขียนอยางเปนทางการ
ครูอาจสุม เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
4. เพราะการใชเลขไทยจําเปนตอการเขียนเอกสารทางราชการ
รูปแบบอาลักษณที่ไดจากการสังเกตดวยตนเอง
วิเคราะหคําตอบ การมีความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับการเขียน
พยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข จนนําไปใชเขียนสื่อสารในชีวิต
ประจําวันไดถูกตอง นอกจากจะทําใหการเขียนสื่อสารดวยลายมือในแตละ นักเรียนควรรู
ครั้งเกิดประสิทธิภาพแลว ยังเปนการชวยรักษาสมบัติของชาติวิธีหนึ่ง
เพราะการเขียนใหถูกตองตามรูปแบบเทากับเปนการลดความเปลี่ยนแปลง 1 แบบอาลักษณ ตัวอักษรแบบอาลักษณมีลักษณะสําคัญ คือ หัวตัวอักษรเปน
ของรูปแบบตัวอักษร ทําใหสมบัติของชาติทางดานภาษาไมเปลี่ยนแปลง วงรีคลายกับดอกบัว จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ตัวอักษรแบบหัวบัว” ตัวอักษร
หรือสูญหาย ดังนั้นจึงตอบขอ 2. อาลักษณเปนตัวอักษรที่มีความสวยงาม วิจิตรบรรจง ใชสําหรับถายเรื่องราว
เนื้อหาสาระในงานราชการ หรือใชเขียนเพื่อประกาศเกียรติคุณ ประกาศเกียรติยศ
เชน วุฒิบัตร ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร
คูมือครู 29
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
อธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย รูปแบบอักษรไทย : แบบกระทรวงศึกษาธิการ
จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของตัวอักษรไทย
แบบกระทรวงศึกษาธิการ

การฝึกคัดลายมือจะต้องฝึกคัดเลขไทยประกอบด้วย ซึ่งเลขไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
คงใช้ลักษณะเดียวกันไม่ว่าจะคัดตัวอักษรแบบใด ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ นี้ จะเป็นการฝึก
คัดลายมือแบบอาลักษณ์ เนื่องจากเป็นแบบอักษรไทยที่สวยงาม นิยมใช้ในการประกวดคัดลายมือ
และเขียนเอกสารส�าคัญต่างๆ ส�าหรับแบบอื่นๆ จะฝึกคัดในระดับต่อไป หรือผู้สอนอาจปรับเปลี่ยนได้
ตามความเหมาะสม

30

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
หากจะมีการจัดแขงขันประกวดคัดลายมือ จะตองใชเกณฑใดบาง
ครูควรหาตัวอยางผลงานการคัดลายมือทีใ่ ชตวั อักษรรูปแบบกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาตัดสินผูที่ไดรับรางวัล
ที่ถูกตองมาใหนักเรียนศึกษาพรอมๆ กับตัวอยางผลงานการคัดลายมือรูปแบบ
กระทรวงศึกษาธิการที่ยังมีความบกพรองในสวนตางๆ ใหนักเรียนเปรียบเทียบ แนวตอบ การประกวดคัดลายมือ เกณฑสําหรับการพิจารณาจะตอง
ลั ก ษณะของผลงานเพื่ อ ร ว มกั น ระบุ ลั ก ษณะสํ า คั ญ ของการคั ด ลายมื อ ที่ ทุ ก คน ประกอบดวย ความถูกตองของรูปแบบตัวอักษรที่กําหนดใหคัดทั้งรูป
ยอมรับ กําหนดเปนเกณฑมาตรฐานสําหรับใชวัดคุณภาพการคัดลายมือของตนเอง พยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข รูปแบบตองมีความเสมอตน-
และเพื่อนๆ ในชั้นเรียน การรวมกันปฏิบัติกิจกรรมในลักษณะดังกลาวจะชวยฝก เสมอปลาย กลาวคือ ใชรูปแบบเดียวกันตลอดทั้งการคัดตั้งแตตนจนจบ
ทักษะการตั้งเกณฑ ทักษะการประเมินใหแกนักเรียน ซึ่งเกณฑมาตรฐานสําหรับ มีขนาดที่เหมาะสม การลงนํ้าหนักมือไปที่ตัวอักษรตองมีความสมํ่าเสมอ
วัดคุณภาพการคัดลายมือที่นักเรียนรวมกันกําหนดขึ้นจะตองอยูในขอบขาย ดังนี้ การเวนชองไฟหรือชองวางระหวางตัวอักษร การเวนวรรคตอน การฉีกคํา
• ความถูกตองและเสมอตนเสมอปลายของรูปแบบตัวอักษร เมื่อขึ้นบรรทัดใหม ความสะอาด และการเสร็จทันตามเวลาที่กําหนด
• ขนาดและการลงนํ้าหนัก
• ความสวยงาม ความสะอาด การเวนชองไฟ วรรคตอน การฉีกคํา

30 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
๑.๔ หลักการคัด1ลายมือ อธิบายความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
การคัดลายมือ เป็นทักษะที่จ�าเป็นจะต้องฝึกฝนอย่างสม�่าเสมอ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรูความ
สามารถคัดได้โดยไม่เกิดอาการประหม่า หรือเกร็ง โดยผู้ฝึกควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ เขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ
คัดลายมือ จดจ�าเพื่อน�าไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง บุคคล สงครู
๑) ข้อควรปฏิบัติในการคัดลายมือ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม เพือ่ รวมกันอธิบาย
ผู้คัดลายมือต้องนั่งตัวตรงหลังไม่งอหรือก้มหน้ามากเกินไป ให้แสงสว่างเข้าด้านหน้า ความรู  แ บบโต ต อบรอบวงเกี่ ย วกั บ หลั ก การ
ตรงข้ามกับมือที่จะคัด แขนทั้งสองข้างวางบนโต๊ะ จากนั้นจับดินสอหรือปากกาให้มั่นคง ไม่หลวม คัดลายมือ โดยใชความรูความเขาใจที่ไดรับ
หรือกดนิ้วแน่นเกินไป โดยเว้นระยะห่างจากปลายปากกาหรือปลายดินสอประมาณ ๑ นิ้ว และวาง จากการฟง ตอบคําถาม
กระดาษให้ห่างจากสายตาประมาณ ๑ ไม้บรรทัด (๑๒ นิ้ว) ด้านขวาของกระดาษวางเฉียงขอบโต๊ะ • การคัดลายมือใหมีประสิทธิภาพมีหลักการ
เล็กน้อย แล้วจึงเขียนคัดลายมือให้ถูกต้องตามรูปแบบ หรือวิธีการใดบางที่จะตองปฏิบัติ
(แนวตอบ การคัดลายมือใหมีประสิทธิภาพ
๒) หลักและวิธีคัดลายมือ
ผูคัดควรมีหลักการที่ใชสําหรับยึดถือ ดังนี้
๑. อ่านข้อความที่จะคัดให้จบก่อนคัด เพื่อท�าความเข้าใจข้อความ
• อานขอความที่จะคัดใหจบครบถวน
๒. เริ่มคัดตัวอักษรจากหัวไปหางเสมอโดยไม่ยกดินสอ
• คัดตัวอักษรโดยเริ่มที่บริเวณหัวกอน
๓. ไม่เขียนตัวอักษรแบบนั่งเส้น หมายถึง ส่วนล่างของตัวอักษรทับเส้นบรรทัดโดยตลอด
โดยไมยกดินสอขณะที่เขียนตัวอักษรนั้นๆ
เช่น ตัว ข ฐานล่างของเส้นจะไม่ลากตรงทีเดียว จะมีรอยหยักตรงมุมซ้ายนิดหนึ่ง
• ไมเขียนตัวอักษร โดยเสนลางของตัว
๔. ถ้าคัดลายมือครึ่งบรรทัด ขนาดความสูงของตัวอักษรด้านบนต้องสูงเท่ากันโดยตลอด
อักษรทับเสนบรรทัด
๕. คัดตัวอักษรและข้อความด้วยตัวตรงเสมอแนวเดียวกัน ตัวอักษรไม่เอียงเอน โย้ไป
• การคัดลายมือดวยตัวบรรจงครึ่งบรรทัด
ข้างหน้าหรือหลัง
ความสูงของตัวอักษรจะตองเทากัน
๖. เว้นระยะช่องไฟระหว่างตัวอักษรให้ห่างเสมอกัน
โดยตลอด และตัวอักษรตองไมเอียงโย
๗. ถ้าเขียนผิดหรือจ�าเป็นต้องลบ ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ก่อนเขียนใหม่ต้อง
ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ลบรอยเก่าให้สะอาดเรียบร้อยเสียก่อน
• เวนชองไฟหรือระยะหางของตัวอักษร
๘. สระและวรรณยุกต์ต้องวางให้ถูกที่
อยางสมํ่าเสมอ
๙. ขนาดความกว้างความสูงของตัวอักษรและสระต้องตรงตามแบบ
• รักษาความสะอาดในการคัดลายมือ
๑๐. ต้องระมัดระวังอย่าคัดให้ตกหล่น การเว้นวรรคตอนต้องถูกต้อง
๑๑. เมื่อคัดจบต้องอ่านทบทวนและตรวจสอบอีกครั้ง จนเกิดเปนลักษณะนิสัยที่ดี)
๑๒. หมั่นฝึกฝนคัดลายมือสม�่าเสมอ อย่างน้อยเดือนละครั้ง • หลักการคัดลายมือมีความจําเปนสําหรับ
แม้ปจั จุบนั จะมีสอื่ และเทคโนโลยีตา่ งๆ ทีอ่ า� นวยความสะดวก แทนการเขียนคัดลายมือ ผูเริ่มฝกคัดอยางไร
แต่ลายมือที่สวยงามเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์และเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้บุคคลนั้นๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นและเป็น (แนวตอบ เปนกรอบใหผูคัดไดฝกฝนปฏิบัติ
บุคคลส�าคัญขององค์กรต่างๆ ดังนั้น นักเรียนจึงควรฝึกฝนจนช�านาญ เพื่อความเปนแบบแผนเดียวกัน)

31

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตองเกี่ยวกับการคัดลายมือ
1. การคัดลายมือเปนทักษะที่ไมจําเปนตองฝกฝน 1 การคัดลายมือ มี 3 ลักษณะ คือ การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด
2. ผูคัดลายมือตองมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับหลักการคัดลายมือ เปนการคัดลายมือในชวงเริ่มตนการฝกฝน เหมาะสําหรับนักเรียนชวงชั้นประถม
3. ผูคัดลายมือควรอานขอความทีละบรรทัดแลวจึงคัดลายมือ เนื่องจากเปนชวงที่กลามเนื้อมือและการประสานระหวางตายังพัฒนาไมเต็มที่
4. อาการเกร็งขอมือจะชวยใหตัวอักษรที่คัดเปนระเบียบมากขึ้น การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ชวงนี้จะมีการประสานระหวางกลามเนื้อมือ
และตาเพิ่มมากขึ้น และการคัดลายมือหวัดแกมบรรจง คือการคัดลายมือ
วิเคราะหคําตอบ การคัดลายมือเปนทักษะที่จําเปนตองฝกฝน เพื่อใหคัด แบบหวัดแตใหอานออกซึ่งใชเขียนในชีวิตประจําวัน
ไดถูกตอง สวยงาม โดยผูคัดจะตองมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับหลักการ
คัดลายมือเปนอยางดี เมื่อคัดลายมือผูคัดควรอานขอความที่จะคัดใหจบ
เสียกอน เพื่อทําความเขาใจขอความ สวนอาการเกร็งขอมือนั้น เกิดขึ้นจาก
ความประหมาของผูคัด ซึ่งถือเปนอุปสรรคของการคัดลายมือ ดังนั้นจึง
ตอบขอ 2.

คูมือครู 31
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. จากความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะสําคัญ
ของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข ¡ÒäѴÅÒÂÁ×ÍẺÍÒÅѡɳ
ตามรูปแบบอาลักษณ และแบบกระทรวง
ศึกษาธิการ นักเรียนคัดบทเพลง “รักกันไวเถิด” “รักกันไวเถิด”
ดวยตัวอักษรรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ใหเสร็จ รักกันไวเถิด เราเกิดรวมแดนไทย
ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ครูเปนผูกําหนด จะเกิดภาคไหน ก็ไทยดวยกัน
ระยะเวลาใหแกนักเรียน) ในขณะที่นักเรียนฝก เชื้อสายประเพณี ไมมีกีดกั้น
ปฏิบัติใหครูสังเกตพฤติกรรม ทาทางการคัด
เกิดใตธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย
ลายมือของนักเรียน เชน ทานั่ง การจับดินสอ
ทองถิ่นแหลมทอง เหมือนทองของแม
หรือปากกา ระยะหางระหวางสายตากับ
กระดาษหรือสมุด บันทึกพฤติกรรมเปน เกิดถิ่นเดียวกันแท เหมือนแมเดียวกันใชไหม
รายบุคคล ยามฉันมองตาคุณ อบอุนดวงใจ
2. นักเรียนทุกคนนําผลงานมาวางกลางหอง เห็นสายเลือดไทย ในสายตาบอกสายสัมพันธ
รวมกันทบทวนเกณฑมาตรฐานสําหรับใช ทะเลแสนงาม ในนํ้ามีปลา
วัดคุณภาพของการคัดลายมือที่รวมกัน พืชพันธุเกลื่อนตา ตามไรนารวงทองไสว
จัดตั้งขึ้น สงตัวแทน 1 คน ออกมาเขียน สินทรัพยมีเกลื่อนกลน บรรพชนใหไว
หลักเกณฑบนกระดานหนาชั้นเรียน จากนั้น เราลูกหลานไทย จงรวมใจรักษาใหมั่น
ใหรวมกันคัดเลือกผลงานจํานวน 5 ผลงาน แหลมทองโสภา ดวยบารมี
ที่ผานเกณฑ จัดอันดับ 1, 2 และ 3 อีก 2
ปกเกลาเราไทยนี้ รมเย็นเปนศรีผองใส
รางวัลเปนรางวัลชมเชย บันทึกรายชื่อผูที่
ใครคิดบังอาจหมิ่น ถิ่นทององคไท
ไดรับรางวัลไว นําผลงานทั้งหมดรวบรวม สงครู
ซึ่งครูควรสังเกตพฤติกรรมการประเมินผลงาน เราพรอมพลีใจ ปองถิ่นไทยและองคราชันย
ของนักเรียนเพื่อตรวจสอบทักษะการประเมิน (นคร ถนอมทรัพย)
อีกชั้นหนึ่งและอาจใหคําแนะนําตามความ
เหมาะสม ¡ÒäѴÅÒÂÁ×ÍẺ¡ÃзÃǧÈÖ¡ÉÒ¸Ô¡ÒÃ

(โคลงโลกนิติ : สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาเดชาดิศร)

๓๒

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
กิจกรรมที่ใหนักเรียนปฏิบัติจะทําใหไดเรียนรูเกี่ยวกับตัวอักษรในรูปแบบอื่นๆ นักเรียนศึกษาลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข
ทําใหเกิดความรู ความเขาใจวาหากนักเรียนมีความรูเกี่ยวกับวิธีการคัดลายมือ ตามรูปแบบตัวอักษรภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณ-
ไมวาตัวอักษรรูปแบบใดก็สามารถที่จะคัดได โดยเพิ่มการศึกษาลักษณะสําคัญ มหาวิทยาลัย คัดสรรรอยกรองความยาวไมเกิน 1 บท นํามาคัดดวย
ของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลขของรูปแบบตางๆ กอนลงมือฝกฝน รูปแบบตัวอักษรที่ศึกษา สงครู

กิจกรรมทาทาย

นักเรียนศึกษาลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข


ตามรูปแบบตัวอักษรกระทรวงศึกษาธิการ คัดสรรรอยกรองความยาว
ไมเกิน 1 บท นํามาคัดดวยรูปแบบตัวอักษรที่ศึกษา สงครู

32 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน “การใช
๒ การใช้ภาษาประกอบการเขียน ภาษาประกอบการเขียน” ดวยวิธีการตั้งคําถาม
การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และความต้องการของผู้เขียน กระตุนทักษะการคิด
เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารสามารถอ่านเข้าใจตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับ • การมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับถอยคํา
องค์ประกอบหลายๆ อย่างของทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน การใช้ภาษาประกอบการเขียน ทั้งร้อยแก้ว หรือที่เรียกวา “มีคลังคํา” จะชวยทําให
และร้อยกรองต้องรู้จักเลือกใช้ค�าให้ถูกต้องและมีน�้าหนัก โดยยึดลักษณะของภาษาไทยเป็นพื้นฐาน ผูสงสารหรือผูเขียนสามารถเขียนสื่อสาร
เพื่อให้การเขียนบรรลุจุดมุ่งหมาย สัมฤทธิผลไดอยางไร
๑) การเลือกใช้ค�าให้ถูกต้องตามความหมาย ได้แก่ (แนวตอบ ผูที่มีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
๑.๑) ถูกต้องตามความหมายที่แท้จริงของค�า เช่น ถอยคํา คือ รูความหมาย รูหนาที่ รูระดับ
ต�ารวจจับกุมกลุ่มวัยรุ่นที่หมกมุ่นกันอยู่ในห้องเช่า ของคําจะทําใหสามารถเขียนสื่อสารไดตรง
หมกมุ่น หมายถึ 1 ง การเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามวัตถุประสงค เนื่องดวยทราบวาคํานี้
ควรใช้ มั่วสุม เพราะการถูกจับแสดงว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีความหมายอยางไร ใชในบริบทอยางไร)
๑.๒) ถูกต้องตามความนิยม ค�าทีม่ คี วามหมายเดียวกัน บางครัง้ อาจใช้แทนกันได้ แต่บางครัง้
• นักเรียนคิดวางานเขียนที่ดีตองประกอบดวย
อาจใช้แทนกันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความนิยม เช่น
องคประกอบใดบาง
แถวนี้อากาศชื้นท�าให้มียุงชุม (มารวมกันจากที่ต่างๆ)
หลังบ้านของฉันมีมะม่วงดกเต็มต้น (มาก, มากกว่าปกติ) (แนวตอบ งานที่ดีจะตองประกอบไปดวย
กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าปีนี้จะมีฝนตกชุก (มีดื่น, มีมากมาย) แนวคิดที่ดี ถอยคําสํานวนโวหาร และ
แถวนี้มีโจรชุกชุม (มีดื่น, มีมากมาย) รูปแบบที่เลือกใชถายทอดเนื้อหาสาระ)
จะเห็นว่าค�าทั้ง ๔ มีความหมายเดียวกัน แต่จะน�ามาใช้ประกอบประโยคในบริบท
ต่างกัน โดยนิยมประกอบประโยคว่า “มะม่วงดก” มากกว่าที่จะประกอบว่า “มะม่วงชุก” หรือนิยม สํารวจคนหา Explore
ประกอบประโยคว่า “ยุงชุม” มากกว่าที่จะประกอบว่า “ยุงชุกชุม”
๒) การใช้ค�าให้ถูกต้องตามระเบียบภาษา ได้แก่ ครูเขียนหมายเลข 1-5 ลงบนกระดาษจํานวน
๒.๑) การใช้ตัวสะกด เครื่องหมาย ทัณฑฆาต ์ และรูปวรรณยุกต์ ตามความเหมาะสม จากนั้นใหนักเรียนออกมา
ตัวสะกด ภาษาไทยมีคา� ทีส่ ะกดต่างกัน แต่อา่ นออกเสียงเหมือนกัน หากผูใ้ ช้สะกด จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน
ไม่ถกู ต้อง ความหมายของค�าจะเปลีย่ นแปลงไปไม่สอดคล้องกับเจตนา ใครที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน
เช่น เขาไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมือง ดังตอไปนี้
เขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน หมายเลข 1 ใชคําใหถูกความหมาย
เครื่องหมายทัณฑฆาต ์ มักมีการเขียนผิดตามความเคยชิน หมายเลข 2 ใชคําใหถูกไวยากรณ
เช่น กอปร (ประกอบ) มั
2 กเขียนเป็น กอร์ป หมายเลข 3 ใชคําใหถูกหนาที่และระดับ
ชัชวาล มักเขียนเป็น ชัชวาลย์ หมายเลข 4 ขอควรระวังในการใชคํา
รูปวรรณยุกต์ ถ้าวางรูปผิดต�าแหน่ง ความหมายของค�าจะผิดไปหรือท�าให้เสียงผิด หมายเลข 5 มารยาทในการเขียน
เช่น นะคะ มักเขียนเป็น นะค่ะ
โดยนักเรียนสามารถสืืบคนความรูไดจากแหลง
ขมขื่น ถ้าเขียนเป็น ข่มขืน ความหมายจะแตกต่างกัน
การเรียนรูที่สามารถเขาถึงได
33

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดไมมีความสัมพันธกับ “หลักการเขียน”
1. ใชภาษาใหมีความประณีตไพเราะ การเรียนการสอนในหัวขอ การใชภาษาประกอบการเขียน ครูควรสราง
2. ใชภาษาใหมีความกระชับและชัดเจน ชุดคําอธิบายเพื่อใหนักเรียนเขาใจวา งานเขียนที่มีประสิทธิภาพและไดรับการ
3. ใชสํานวนภาษาตางประเทศเพื่อแสดงใหเห็นวาผูสงสารมีความรู ยอมรับจากผูอาน นอกจากจะนําเสนอเนื้อหาสาระที่ดีแลว จะตองมีความพรอม
4. ใชภาษาใหถูกตองเหมาะสมทั้งดานความหมาย หนาที่ และระดับของคํา ทางดานภาษาทั้งความถูกตองและความไพเราะ ดังนั้น การเรียนรูเกี่ยวกับการใช
ภาษาหรือถอยคําประกอบการเขียนจึงเปนเรื่องที่มีความสําคัญอยางยิ่ง
วิเคราะหคําตอบ หลักการใชภาษาประกอบการเขียนใหมีประสิทธิภาพ
ผูสงสารจะตองใชภาษาใหมีความถูกตองทั้งดานความหมาย หนาที่ และ
ระดับของคํา โดยเลือกใชถอยคําใหมีความกระชับ ชัดเจน คํานึงถึง นักเรียนควรรู
การสื่อความ ความไพเราะ เหมาะสม การใชสํานวนภาษาตางประเทศ
ไมใชหลักการเขียนที่ถูกตองเพราะในบางครั้งอาจกอใหเกิดความรําคาญ 1 มั่วสุม หมายถึง ชุมนุมกันเพื่อกระทําการในทางที่ไมดี ไมถูกตอง หรือผิด
ตอผูรับสารได ดังนั้นจึงตอบขอ 3. กฎหมาย เชน แดงชวนเพื่อนมั่วสุมเลนการพนัน
2 ชัชวาล หมายถึง สวาง รุงเรือง ซึ่งคําที่เขียนแตกตางกัน แตมีความหมายวา
สวาง ยังมีอกี เปนจํานวนมาก เรียกคําเหลานีว้ า “คําไวพจน” เชน จรัส อําไพ เปนตน

คูมือครู 33
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1-4 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย ๒.๒) การใช้ลักษณนาม เพราะลักษณนามจะบ่งบอกลักษณะของนามข้างหน้า และต้อง
หนาชั้นเรียนตามลําดับกลุม ควรแสดงตัวอยาง วางให้ถูกที่ ซึ่งปกติลักษณนามจะวางไว้หลังจ�านวนนับ เช่น
ประกอบคําอธิบาย จากนั้นใหนักเรียนแตละคน ผิด ต�ารวจล้อมจับ ๓ โจร
สรุปความรูที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู ถูก ต�ารวจล้อมจับโจร ๓ คน
เฉพาะบุคคล สงครู ผิด ถนนเส้นนี้ขรุขระมาก
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ถูก ถนนสายนี้ขรุข1ระมาก
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการเลือกใช ๒.๓) การใช้อาการนาม คื
าการนาม อ ค�าว่า การ ความ ให้ถูกต้องและใช้ในที่จ�าเป็น เช่น
ถอยคําประกอบการเขียน โดยใชความรู ผิด เขาให้ความต้อนรับเธออย่างเต็มที่
ความเขาใจ ที่สังเคราะหไดจากการฟงบรรยาย ถูก เขาต้อนรับเธออย่างเต็มที่
ของเพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตน ผิด หญิงชราถึงแก่การตาย
• จากความรู ความเขาใจทั้งหมดของนักเรียน ถูก หญิงชราถึงแก่ความตาย
สามารถสรุปแนวทางเกี่ยวกับการใชถอยคํา ๒.๔) การใช้ค�าเชื่อม (สันธาน) ค�าบุพบทให้ถูกต้อง เช่น
ประกอบการเขียนไดวาอยางไร ผิด คุณแม่ซื้อของขวัญให้กับฉัน
(แนวตอบ แนวทางการใชถอยคําประกอบ ถูก คุณแม่ซื้อของขวัญให้แก่ฉัน
การเขียน ผูเขียนจะตองใชถอยคําใหถูกตอง ผิด ประชาชนมอบช่อดอกไม้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตามตําแหนงหนาที่ ตองรูจักวาคําใด ถูก ประชาชนมอบช่อดอกไม้แด่ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทําหนาที่อะไร อยูตําแหนงใดของประโยค ๓) ใช้ค�าให้ถูกตามชนิดและหน้าที่ของค�า และถูกตามฐานะของบุคคล เช่น
และใชเมื่อใด เรียงลําดับพยางคหรือคํา ผิด วันนี้เขาใส่เสื้อสีแดง
ใหถูกตอง ไมควรใชคําที่ไมเปนที่รูจัก ถูก วันนี้เขาสวมเสื้อสีแดง
ไมใชถอยคําหรือสํานวนโวหารที่ยืมมาจาก ผิด เป็นคราวเคราะห์ดีที่มีคนผ่านมาช่วยเธอทัน
ภาษาตางประเทศโดยไมจําเปน หากมีการ ถูก เป็นคราวโชคดีที่มีคนผ่านมาช่วยเธอทัน
บัญญัติศัพทเปนคําไทยแลว ก็ควรใชคําไทย ผิด แหม! เธอปล่อยให้รอตั้งนานกว่าจะเสด็จมาได้
ในประโยค นอกจากนี้ยังตองใชถอยคําหรือ ถูก แหม! ฉันต้องรอเธอตั้งนานกว่าเธอจะมา
สํานวนใหตรงความหมาย เพราะคําใน ๔) ไม่ใช้ค�าฟุ่มเฟือย เช่น
ภาษาไทยบางคํามีความหมายที่คลายคลึงกัน) ผิด ต�ารวจยิงคนร้ายตายหมด ไม่มีใครรอด
ถูก คนร้ายถูกต�ารวจยิงตายทั้งหมด
๕) ไม่ใช้ส�านวนภาษาต่างประเทศ เช่น
ผิด หนังสือเล่มนี้ถูกแต่งโดยกวีชาวไทยเมื่อ ๓๐ ปีมาแล้ว
ถูก กวีชาวไทยแต่งหนังสือเล่มนี้เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว

34

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
รูปประโยคตอไปนี้ขอใดถูกตอง
ครูอาจรวบรวมขาวประเภทตางๆ เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ ขาวกีฬา
1. เขาทําอะไรเกงกางไมทันกิน
ที่ปรากฏตามหนาหนังสือพิมพรายวัน ซึ่งมีการใชสํานวนภาษาตางประเทศนํามาให
2. ตํารวจกําลังซักฟอกผูตองหา
นักเรียนดูเปนตัวอยางเพื่อสรางองคความรูเกี่ยวกับสํานวนโวหารตางประเทศ
3. พจนรองเพลงเสียงหวานปานนกการเวก
ในภาษาไทย จากนั้นอาจมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนอานขาวหรือบทความแลว
4. ออมเปนคนเก็บเนื้อเก็บตัวเมื่ออยูกับผูใหญ
วิเคราะหวา ในบทความมีขอความใดที่เปนสํานวนโวหารตางประเทศ แลวนักเรียน
จะแกไขใหถูกตองไดอยางไร โดยแสดงตัวอยางประกอบใหชัดเจน วิเคราะหคําตอบ ขอ 4. ประโยคที่ถูกตองคือ ออมเปนคนสงบเสงี่ยม
เมื่ออยูกับผูใหญ ขอ 3. ประโยคที่ถูกตองคือ พจนรองเพลงเสียงปานนก
การเวก ขอ 1. ประโยคทีถ่ กู ตองคือ เขาทําอะไรงุม งามไมทนั กิน ดังนัน้
นักเรียนควรรู จึงตอบขอ 2.

1 อาการนาม หมายถึง คํานามที่บอกกิริยาอาการตางๆ ของคน สัตว ซึ่งมา


จากคํากริยาหรือคําวิเศษณที่มักมีคําวา “การ” หรือ “ความ” นําหนา เชน การยืน
การเดิน ความรัก ความดี ความสวย เปนตน

34 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
๓ มารยาทในการเขียน อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
งานเขียนทีด่ แี ละมีคณ
ุ ค่า เกิดจากองค์ประกอบหลายประการ การเขียนสือ่ สารอย่างมีมารยาท หนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุป
ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคุณค่าของงานเขียน ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผล ความรูที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ
กระทบต่อมนุษย์ในหลายๆ ด้าน ประเด็นที่เห็นได้ชัด คือ ความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล สิทธิ บุคคล สงครู
เสรีภาพในการอ่าน การฟัง การดู การพูด และการเขียน ดังนั้น การเขียนสื่อสารอย่างมีมารยาทจึงควร 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ค�านึงถึงการเขียนผ่าน Social Network ด้วย เพราะการสื่อสารอย่างมีมารยาทจะสะท้อนให้เห็นว่า อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
ผู้เขียนเป็นผู้มีวัฒนธรรม หรือเป็นผู้มีความเจริญในการสื่อสาร โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ มารยาทการเขียนโดยครูเปนผูตั้งคําถาม เชน
• มารยาทการเขียนสะทอนผานงานเขียน
มารยาทในการเขียน ประเภทตางๆ อยางไร
(แนวตอบ งานเขียนที่ดีและมีคุณคาเกิดจาก
๑. การน�าเสนองานเขียนในรูปแบบสิง่ พิมพ์ ผูเ้ ขียนจะต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่างๆ องคประกอบหลายประการ สวนหนึ่งมาจาก
มากกว่า ๑ แหล่ง น�ามาวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เปรียบเทียบความน่าเชือ่ ถือ การที่ผูสงสารมีมารยาทการเขียน เขียน
นอกจากนี้ข้อมูลจะต้องมีความทันสมัย ส่วนการแชร์เรื่องต่างๆ ผ่าน Social Network สื่อสารไดถูกตองตามหลักไวยากรณ
เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ข้อความที่มีลักษณะเป็นข่าวลือ หรือเป็นเรื่องคาดเดา ปราศจากอคติ)
• พฤติกรรมที่สะทอนใหเห็นวาบุคคลนั้นๆ
๒. เมื่อผู้เขียนน�าข้อความของผู้อื่นมาใช้ หรืออ้างถึงในงานเขียนของตน จะต้องให้เกียรติ
เจ้าของผลงานด้วยการอ้างอิงแหล่งที่มาในรูปแบบต่างๆ เช่น เชิงอรรถ บรรณานุกรม
มีมารยาทในการเขียนไดแกอะไรบาง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลาก-
๓. ก ารเขียนวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นต่อเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ หรือสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ไม่วา่ จะ หลาย เชน เขียนความจริง ไมมอี คติ เปนตน)
เผยแพร่ผา่ นสิง่ พิมพ์ หรือผ่าน Social Network ผูเ้ ขียนจะต้องสือ่ สารอย่างมีสติ ใช้ขอ้ มูล • นักเรียนคิดวาขอควรระวังประการสําคัญ
แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์ ของการเขียนสือ่ สารบนโลกออนไลนคอื อะไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
๔. การสือ่ สารแบบออนไลน์ ผูเ้ ขียนจะต้องใช้งานอย่างมีสติ รูต้ วั อยูเ่ สมอว่าก�าลังอยู ่ ณ ทีใ่ ด หลากหลาย ครูควรกระตุนใหนักเรียนได
เมือ่ เข้าไปในพืน้ ทีใ่ หม่ควรศึกษาท�าความรูจ้ กั กับชุมชนออนไลน์นนั้ ก่อนทีจ่ ะเข้าร่วมสนทนา แลกเปลี่ยนประสบการณตรงซึ่งกันและกัน)
หรือท�ากิจกรรมใดๆ

๕. การใช้ภาษาในงานเขียน ควรสะกดค�าให้ถกู ต้อง ผูกประโยคให้ถกู ต้องตามหลักไวยากรณ์


สุภาพ ไม่ใช้ภาษาก�ากวม หรือท�าให้ตคี วามได้หลายแง่มมุ ส่วนการใช้ภาษาสือ่ สารบนโลก
ออนไลน์ แม้จะไม่เคร่งครัดในเรือ่ งไวยากรณ์ แต่ผเู้ ขียนก็ควรให้ความส�าคัญกับการสะกดค�า
ไม่ใช้ถอ้ ยค�าหยาบคาย เติมอารมณ์ความรูส้ กึ อย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะ
วิวาทกันในกลุ่มสมาชิก และควรทบทวนให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะเขียน

35

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดกลาวถูกตอง
1. งานเขียนที่ดีเกิดจากผูเขียนที่มีชื่อเสียง การเรียนการสอนในหัวขอ มารยาทในการเขียน ครูควรยกตัวอยางสถานการณ
2. งานเขียนที่ดีเกิดจากขอมูลที่นาเชื่อถือเพียงแหลงเดียว ใหนักเรียนฟง จากนั้นจึงใหรวมกันประเมินวาจากสถานการณนั้นๆ บุคคลใดมี
3. มารยาทของผูเขียนเปนสวนหนึ่งของงานเขียนที่มีคุณภาพ มารยาทในการเขียนมากที่สุด ซึ่งการเรียนการสอนในลักษณะดังกลาว จะทําให
4. การสื่อสารบนโลกออนไลนตองสงตอขอมูลอยางรวดเร็ว นักเรียนไดนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับมารยาทในการเขียนมาใชประเมิน
สถานการณ ฝกการวิเคราะห สังเคราะห และการใหเหตุผล
วิเคราะหคําตอบ มารยาทของผูเขียน เปนตนวา เขียนสื่อสารอยาง
ไมมีอคติ ถือเปนสวนหนึ่งที่ชวยสรางใหงานเขียนนั้นๆ เปนงานเขียนที่มี
คุณภาพ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

คูมือครู 35
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับการใชภาษา
ประกอบการเขียนทําแบบวัดฯ ภาษาไทย
ม.1 ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด ๖. ก ารสือ่ สารบนโลกออนไลน์ หากผูเ้ ขียนตัง้ ประเด็นค�าถาม หรือประเด็นทีต่ อ้ งการให้ผอู้ นื่
กิจกรรมที่ 1.3 ร่วมแสดงความคิดเห็นไว้ แล้วมีผเู้ ข้ามาตอบค�าถาม แสดงความคิดเห็น ชีแ้ นะ ผูเ้ ขียนหรือ
ผูต้ งั้ ประเด็นควรจะเข้าไปขอบคุณ หรือแสดงการรับรู ้ ซึง่ ถือเป็นมารยาทส�าคัญ นอกจากนี้
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ การเขียนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็น หรือเรือ่ งราวของผูอ้ นื่ จะต้องเขียนให้สอดคล้อง
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.3
กับเรื่อง ไม่ใช่เขียนแสดงความคิดเห็นด้วยข้อความขายสินค้า หรือประกาศรับสมัครงาน
เรื่อง การใชภาษาประกอบการเขียน
เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของเรื่อง และรบกวนการติดตามของสมาชิกคนอื่นๆ
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๓ ใหนักเรียนแกไขประโยคตอไปนี้ใหถูกตอง (ท ๒.๑ ม.๑/๒)
ñð

๑. พิศาลฉันขอยืมปากกาหนึ่งแทงสิ การเขียนเป็นการสือ่ สารทีส่ Óคัญซึง่ ผูเ้ ขียนจÓเป็นต้องเรียนรูห้ ลักเกณฑ์ วิธกี ารเขียน


พิศาลฉันขอยืมปากกาหนึ่งดามสิ
.......................................................................................................................................................................................................................................

๒. การพยายามคือหนทางแหงความสําเร็จ ตลอดจนหลักการใช้ภาษา เพื่อเลือกสรรถ้อยคÓภาษามาใช้ได้อย่1างถูกต้องเหมาะสม


ความพยายามคือหนทางแหงความสําเร็จ
.......................................................................................................................................................................................................................................

๓. ทําไมเสื้อผาของเธอถึงสกปรกเลอะเทะอยางนี้
และสละสลวย นอกจากนีผผูé เู้ ขียนต้องฝึกฝนการเขียนอย่างสม่ เสมอ อ่ งจากการเขียน
งสมÓเสมอ
งสม Óเสมอ เนื
ทําไมเสื้อผาของเธอถึงสกปรกเลอะเทอะอยางนี้
....................................................................................................................................................................................................................................... เป็นทัéงศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยทักษะการฝึกฝน โดยเริ่มต้นจากการตัéงจุดประสงค์
๔. วันนี้มีแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากลายของโปรดคุณพอดวยนะคะ
วันนี้มีแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดคุณพอดวยนะคะ
.......................................................................................................................................................................................................................................
ที่ชัดเจนว่าผู้เขียนต้องการนÓเสนอเรื่องใด กÓหนดกลุ่มเป้าหมายและเลือกประเภทของ
๕. ในความคิดของผมฝายหญิงไมไดรับความยุติธรรมเลย
ผมคิดวาฝายหญิงไมไดรับความยุติธรรมเลย
.......................................................................................................................................................................................................................................
ฉบับ
เฉลย งานเขียนให้เหมาะสม นÓเสนอด้วยการใช้ถอ้ ยคÓ สÓนวนภาษาอย่างประณีตเพื่อให้การ
๖. เรามีความยินดีที่จะชวยเหลือผูที่ขาดแคลนทุนทรัพยแตมีความขยัน สื่อสารเกิดประสิทธิภาพ
เรายินดีที่จะชวยเหลือผูที่ขาดแคลนทุนทรัพย
.......................................................................................................................................................................................................................................

๗. นองแอมพี่ฝากซื้อกรรไกรหนึ่งอันนะ
นองแอมพี่ฝากซื้อกรรไกรหนึ่งเลมนะ
.......................................................................................................................................................................................................................................

๘. เธอมาในชุดสีชมพูลายจุดดูสดใสนารักจริงๆ
เธอสวมชุดสีชมพูลายจุดดูสดใสนารักจริงๆ
.......................................................................................................................................................................................................................................

๙. สันติใหของขวัญปใหมกับคุณตา
สันติใหของขวัญปใหมแดคุณตา
.......................................................................................................................................................................................................................................

๑๐. โจทกเลขขอนี้ยากจริงๆ เธอชวยฉันหาคําตอบหนอยสิ


โจทยเลขขอนี้ยากจริงๆ เธอชวยฉันหาคําตอบหน อยสิ
.......................................................................................................................................................................................................................................

๒๑

2. นักเรียนคนหาขาวในหนังสือพิมพ บทความ
ในนิตยสารหรือวารสารที่สนใจนํามาวิเคราะห
รูปแบบการใชภาษาทั้งขอดีและขอบกพรอง
เปนชิ้นงานเฉพาะบุคคล สงครู

36

บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การคัดลายมือและความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการใชภาษาประกอบการ
เขียน สามารถบูรณาการไดกับเรื่องบทบาทและหนาที่ของเยาวชนไทย ในกลุม
1 การเขียนอยางสมํ่าเสมอ หมายถึง การที่ผูเขียนหรือผูฝกเขียนมีความรู
สาระการเรียนรูสังคมศึกษา วิชาหนาที่พลเมือง โดยใหนักเรียนรวมกลุมกัน
ความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับรูปแบบหรือโครงสรางของงานเขียนประเภทตางๆ
ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทและหนาที่ของเยาวชนไทย สังเคราะหความรูรวมกัน
รวมถึงมีความสามารถในการเลือกใชถอยคําเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาไดอยางเหมาะสม
แลวใชความรูเกี่ยวกับการใชถอยคําประกอบการเขียนสรางสรรคคําขวัญเพื่อ
เมื่อฝกฝนบอยครั้งก็จะเกิดความชํานาญ เพราะการเขียนเปนทักษะที่ทุกคนสามารถ
ปลุกจิตสํานึกใหเยาวชนตระหนักในหนาที่ และบทบาทของตนเอง ใชทักษะ
ฝกฝนไดหากมีความเพียรพยายาม
การคัดลายมือเขียนคําขวัญลงบนแผนพลาสติกลูกฟูกหุมพลาสติกใหเรียบรอย
นําไปติดในสถานที่สาธารณะของโรงเรียน
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะชวยฝกฝนทักษะที่จําเปน
ตอนักเรียน เชน ทักษะการทํางานรวมกัน กระบวนการคิดเชิงสรางสรรค
โดยใชทักษะการคัดลายมือและความรูเกี่ยวกับการใชภาษาประกอบการเขียน
เชื่อมโยงเขาดวยกัน

36 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูเก็บผลงานการคัดลายมือของนักเรียน
มาตรวจสอบโดยมีแนวทางการใหคะแนน ดังนี้
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
• ความถูกตองและสมํ่าเสมอของรูปแบบ
ตัวอักษร
• การวางตําแหนงของสระ วรรณยุกต
๑. ในปัจจุบันการคัดลายมือมีความจ�าเปนอย่างไร • การเวนชองไฟ วรรคตอนเหมาะสม
๒. หากนักเรียนต้องเข้าแข่งขันคัดลายมือ นักเรียนจะเตรียมความพร้อมอย่างไร
๓. การมีมารยาทในการเขียน จะส่งผลให้นักเรียนเปนผู้มีวัฒนธรรมได้อย่างไร
• ขนาดและนํ้าหนักของเสนตัวอักษร
• ความเปนระเบียบ สะอาด เรียบรอย
เขียนขอควรปรับปรุงลงบนผลงานของนักเรียน
แลวสงคืน เพื่อใหเปนแนวทางการปรับปรุง
ผลงานใหไดมาตรฐานตามเกณฑประเมิน
นอกจากนี้ครูควรแจงรายชื่อผูที่ไดคะแนนสูงสุด
ตามลําดับ 1, 2 และ 3 รวมถึงผูที่ไดรับรางวัล
ชมเชยอีก 2 รางวัล เพื่อใหนักเรียนทั้งหมด
ทราบผลการประเมินของตนเองวาตรงกับ
ผลการประเมินของครูหรือไม อยางไร
2. ครูตรวจสอบบทวิเคราะหรูปแบบการใชภาษา
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ของขาว บทความในนิตยสารหรือวารสารที่
นักเรียนเลือก โดยพิจารณาวาไดนําองคความรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกบทกลอนหรือวรรคทองของวรรณคดีที่ชื่นชอบ ๔ บท เกี่ยวกับการเลือกใชถอยคําประกอบการเขียน
มาฝกคัดลายมือตัวบรรจง ครึ่งบรรทัด มาใชวิเคราะหหรือไม อยางไร และรวมถึงการ
กิจกรรมที่ ๒ จัดประกวดการคัดลายมือแบบอาลักษณ์ ภาคเรียนละ ๑ ครั้ง ยกตัวอยางประกอบตรงกับคําอธิบาย
กิจกรรมที่ ๓ จัดประกวดคัดลายมือในห้องเรียน คัดเลือกผู้ที่มีลายมือสวยงามเปนระเบียบ 3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
และมีความถูกต้องมากที่สุด เพื่อเปนตัวแทนของห้องไปประกวดคัดลายมือ
ในระดับชั้นต่อไป
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเ ฉพาะบุคคลทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
2. ผลงานการคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดดวย
ตัวอักษรรูปแบบอาลักษณ หรือรูปแบบกระทรวง
ศึกษาธิการ
3. ผลงานการวิเคราะหรูปแบบการใชภาษาในการ
37 เขียนขาวหรือบทความที่เลือก
4. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การคัดลายมือยังคงมีความสําคัญในทุกยุคทุกสมัย เพราะแมวาระบบการพิมพจะมีการพัฒนาอยางตอเนื่อง แตการเขียนสื่อสารดวยลายมือก็ยังมีความสําคัญ
ตอกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน กระบวนการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เชน การกรอกแบบฟอรมตางๆ และการคัดลายมือก็ยังมีความสําคัญตอการ
เปลี่ยนแปลงของรูปแบบตัวอักษรไทย เพราะการคัดลายมืออาจชวยชะลอความเปลี่ยนแปลงทางดานรูปแบบของตัวอักษรไทยที่กําลังเกิดขึ้นใหชาลง ดวยการสราง
รูปแบบที่เปนมาตรฐานเดียวกันทั้งชาติ ใหเยาวชนยึดถือ ปฏิบัติ
2. ผูที่เขาแขงขันประกวดคัดลายมือ นอกจากจะมีลายมือที่สวยงามแลว ควรศึกษาหลักการคัดลายมือใหแมนยํา ศึกษารายละเอียดลักษณะสําคัญของตัวอักษร
แตละตัว แตละรูปแบบวาเขียนแตกตางกันอยางไร และสิ่งสําคัญควรฝกฝนอยางสมํ่าเสมอจนเกิดความชํานาญ
3. ผูที่มีวัฒนธรรม คือ ผูที่เจริญแลว วัฒนธรรมทําใหมนุษยแตกตางจากสัตว มีระบบ แบบแผน และความสุภาพในการแสดงออก การเขียนอยางมีมารยาท เชน
เขียนความจริง เขียนอยางเปนกลาง เขียนดวยถอยคําสุภาพ เหลานี้ยอมสะทอนวาผูปฏิบัติเปนผูมีวัฒนธรรม หรือมีความเจริญแลวในการสื่อสาร

คูมือครู 37
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
เขียนสื่อสารในรูปแบบตางๆ เชน เรียงความ
แนะนําตนเอง สถานที่ ยอความ จดหมาย รายงาน
และโครงงาน โดยเลือกใชถอยคําที่เหมาะสม
ไพเราะ และคํานึงถึงมารยาทในการเขียน

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ Engage


ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย จากนั้น หน่วยที่ ò
ตั้งคําถามวา
• การเขียนเพื่อการสื่อสารมีความจําเปน การเขียนเพื่อการสื่อสาร
ตอมนุษยอยางไร ตัวชี้วัด
ท ๒.๑ ม.๑/๒, ๓, ๔, ๕, ๗, ๘, ๙
ก ารเขี ย นสื่ อ สารด้ ว ยภาษาที่
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ■ เขียนสื่อสารโดยใชถอยคําที่ถูกตองชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย สร้ า งสรรค์ ใ นรู ป แบบต่ า งๆ มี ค วาม
ไดอยางหลากหลาย ครูควรอธิบายเพิ่มเติม ■

เขียนบรรยายประสบการณ
เขียนเรียงความ เขียนยอความ เขียนจดหมายสวนตัวและกิจธุระ
ส�าคัญมาก ผูเ้ ขียนต้องศึกษาและท�าความ
การเขียน คือ การใชภาษาเพื่อถายทอด ■ เขียนรายงานการศึกษาคนควา เขียนโครงงาน เข้ า ใจในลั ก ษณะรู ป แบบของงานเขี ย น
■ มีมารยาทในการเขียน
ต้ อ งศึ ก ษาองค์ ป ระกอบ การใช้ ภ าษาที่
ความรู ความคิด ความรูสึก และจินตนาการ สาระการเรียนรูแกนกลาง ถูกต้อง จึงจะเขียนสื่อสารได้สัมฤทธิผล
ของผูเขียนไปสูผูอานไดอยางถูกตอง ดังนั้น ■ การเขียนสือ่ สาร เชน การเขียนแนะนําตนเอง การเขียนแนะนํา
สถานที่สําคัญ การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส
การเขียนจึงเปนกลวิธีการสื่อสารที่ทําให ■ การเขียนบรรยายประสบการณ การเขียนเรียงความ การเขียน
ย อ ความจากสื่ อ ต า งๆ การเขี ย นย อ ความจากเรื่ อ งที่ อ า น
มนุษยเขาใจซึ่งกันและกัน หากปราศจาก การเขี ย นจดหมายส ว นตั ว และกิ จ ธุ ร ะ การเขี ย นรายงาน
การศึกษาคนควา การเขียนโครงงาน
การเขียน ในสังคมก็จะไมมีความเขาใจอันดี ■ มีมารยาทในการเขียน
ตอกัน ไมมีการสงถายความรู เนื่องดวยไมมี
เครื่องมือบันทึกความรู ทายที่สุดยอมไมเกิด
การพัฒนา)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนเพื่อการสื่อสาร เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับถอยคํา สํานวนโวหาร เปน
เครือ่ งมือสําหรับถายทอดความรู ความคิด และจินตนาการของตนเอง ผานงานเขียน
รูปแบบตางๆ ไดแก เรียงความ ยอความ จดหมายสวนตัว จดหมายกิจธุระ
การเขียนรายงานการศึกษาคนควา และการเขียนโครงงาน โดยคํานึงถึงความ
ถูกตอง ความไพเราะ เหมาะสม และมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับลักษณะ
องคประกอบและกลวิธีการเขียนของงานเขียนแตละประเภท รูจักเครื่องมือสําหรับ
ถายทอดความคิด สรางเสริมจินตนาการใหแกนักเรียนดวยวิธีการตางๆ เพื่อปลุก
พลังทางความคิด จากนั้นจึงใหลงมือฝกปฏิบัติ รวมกันกําหนดประเด็นสําหรับใช
ประเมินงานเขียนของตนเองและผูอื่น
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะ เชน ทักษะกระบวนการคิด
สรางสรรค ทักษะการสังเคราะห ทักษะการประเมินใหแกนักเรียน

38 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับรูปแบบ
1
๑ ¡ÒÃà¢Õ¹àÃÕ§¤ÇÒÁ ของงานเขียน เชน เรียงความ เรื่องสั้น นวนิยาย
จากนั้นตั้งคําถามวา
เรียงความ คือ งานเขียนรอยแกวประเภทหนึง่ ทีแ่ ตงขึน้ ตามความรูส กึ นึกคิดของผูเ ขียน โดยนํา
• เรียงความ เปนงานเขียนที่มีลักษณะสําคัญ
ถอยคํามาประกอบกันเปนประโยค แลวเรียบเรียงใหมีความตอเนื่องตามโครงเรื่องที่ผูเขียนกําหนดไว
การเขียนเรียงความทีด่ เี ริม่ ตนทีค่ วามคิด ผูเ ขียนตองฝกคิดในเรือ่ งตางๆ อยางเปนระบบ มีเหตุผล
อยางไร
ถูกทิศทาง รวมถึงจะตองเขียนแนวคิด สวนขยายใหมีความสัมพันธตอเนื่องกัน (แนวตอบ เรียงความเปนงานเขียนที่แสดง
ความคิด ความรู จินตนาการของผูเขียน
๑.๑ องคประกอบของเรียงความ สูผูอาน โดยใชภาษาที่ถูกตอง สละสลวย
เนื้อหาของเรียงความมี ๓ สวน ไดแก สวนคํานํา สวนเนื้อเรื่อง และสวนสรุป ซึ่งเนื้อความ มีศิลปะในการเรียบเรียง เนื้อหาที่สมบูรณ
ในสวนที่เปนเนื้อเรื่องจะมีความยาวมากกวาสวนอื่นๆ โดยใชการขึ้นยอหนาใหมเพื่อลําดับประเด็น นาอาน ประกอบดวยเอกภาพ สัมพันธภาพ
ที่นําเสนอ และสารัตถภาพ)
๑) สวนคํานํา เปนเนื้อความสวนแรกที่ใชเกริ่นนําเขาสูเรื่อง ทําใหผูอานทราบวาเรียงความ • นักเรียนคิดวา รูปแบบงานเขียนมีประโยชน
เรื่องนี้จะกลาวถึงอะไร คํานําจะมีความยาวประมาณ ๑ ยอหนา โดยผูเขียนจะตองเลือกใชถอยคํา อยางไรตอการเขียนเพื่อการสื่อสาร
เพื่อเราความรูสึกสนใจของผูอานใหติดตามเรื่อง และยังตองเขียนใหสอดคลองกับชื่อเรื่อง เนื้อเรื่อง (แนวตอบ ความแตกตางดานรูปแบบจะชวย
ทั้งหมด ทําใหผูเขียนเลือกใชรูปแบบไดเหมาะสมกับ
การเขียนคํานําทําไดหลายวิธี เชน การใชคําถาม การยกสุภาษิต สํานวน วาทกรรม จุดประสงคของงานเขียนที่ตั้งไว)
หรือคํากลาวของบุคคลสําคัญ ซึ่งสิ่งที่ยกมากลาวอางจะตองนาเชื่อถือ เกี่ยวของ และสอดคลองกับ
ประเด็นความคิดหลักของเรียงความ สํารวจคนหา Explore
¡ÒÃà¢Õ¹¤Ó¹Ó ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนภายใน
ชัน้ เรียน โดยเขียนหมายเลข 1, 2 และ 3 ในจํานวน
...ประเทศของเรารักษาเอกราช อธิปไตย และอิสรภาพใหสมบูรณมนั่ คงมาไดจนถึงทุกวันนี้
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
เพราะคนไทยทุกหมูเ หลา รูร กั สามัคคี และรูจ กั ทําหนาทีข่ องแตละฝายใหประสานสงเสริมกัน เมือ่
แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ทุกคนมุงปฏิบัติดังนี้ ความถูกตองเรียบรอย ความพัฒนากาวหนา และความมั่นคง เปนปกแผน
รวมกัน ดังนี้
จึงบังเกิดขึ้น พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
หมายเลข 1 องคประกอบของการเขียน
มหาราช บรมนาถบพิตร ที่วาดวยเรื่อง ความสามัคคี และกระตุนเตือนใหเราปวงชนชาวไทย
เรียงความ
สํารวจตนเองวา สรางความสามัคคีใหเกิดขึ้นในชาติแลวหรือยัง
หมายเลข 2 วิธีการเขียนองคประกอบของ
๒) สวนเนื้อเรื่อง เปนองคประกอบที่สําคัญที่สุด เพราะเปนสวนที่บรรจุเนื้อหาสาระ ความ เรียงความ
รูสึกนึกคิดของผูเขียน กอนลงมือเรียบเรียง ผูเขียนจะตองวางโครงเรื่องใหเรียบรอย จะเขียนเรื่องใด หมายเลข 3 แนวทางการเขียนเรียงความ
เพื่อจุดประสงคใด ขอมูลที่ตองใชมีอะไรบาง ประเด็นใดเปนประเด็นหลักควรนํามาเขียนกอน แลว นักเรียนที่จับสลากไดหมายเลขเหมือนกัน
ประเด็นใดควรนํามาขยายความสนับสนุนประเด็นหลัก สิ่งสําคัญ คือ ทุกประเด็นตองสัมพันธกัน ใหอยูกลุมเดียวกัน โดยอาจสืบคนขอมูลไดจาก
และมุงสูวัตถุประสงคหลัก การเขียนสวนเนื้อเรื่องควรยึดแนวทาง ดังนี้ แหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
๓๙

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ในกระบวนการสงสารดวยการเขียนใครคือผูรับสาร
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา องคประกอบของการเขียนประกอบดวย เนื้อหา
1. ผูอาน 2. ผูเขียน
ภาษา รูปแบบ โดยเนื้อหาหรือเนื้อเรื่อง คือ สิ่งที่ผูเขียนตองการใหผูอานรับทราบ
3. ผูฟง 4. ผูพูด
ภาษา คือ ถอยคํา สํานวนโวหารที่ผูเขียนปรุงแตงใหเกิดสีสัน ความงดงาม ตางไป
วิเคราะหคําตอบ ทักษะการสื่อสารของมนุษยมีองคประกอบ ดังนี้ จากภาษาธรรมดาเพื่อใชถายทอดเนื้อหาสาระและรูปแบบ เชน รอยแกว รอยกรอง
ผูสงสาร สาร สื่อ และผูรับสาร โดยที่ผูอานจะเปนผูรับสารในกระบวนการ โดยผูเขียนจะตองเลือกใชใหเหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
สงสารดวยการเขียน ผูเขียนจะเปนผูสงสารในกระบวนการสงสารดวย
การเขียน ผูฟงจะเปนผูรับสารในกระบวนการสงสารดวยการพูด และผูพูด
จะเปนผูสงสารในกระบวนการสงสารดวยการพูด ดังนั้นจึงตอบขอ 1. นักเรียนควรรู
1 การเขียนเรียงความ ผูที่จะเขียนเรียงความไดดี จะตองมีความรู ความเขาใจ
เกี่ยวกับรูปแบบ องคประกอบ วิธีการเขียน ขั้นตอนการเขียน และสํานวน โดยนํา
ความรูมาใชเปนแนวทางสําหรับการเขียน หมั่นฝกฝนจนเกิดทักษะความชํานาญ
สามารถเขียนเรียงความไดถูกตองตามรูปแบบ มีความไพเราะดวยสํานวนภาษา
ของตนเอง
คูมือครู 39
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทนออกมา
อธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย ๑. เขียนให้มีสารัตถภาพ หมายถึง เขียนได้ถูกต้อง แจ่มแจ้งสมบูรณ์ ผู้อ่านสามารถเข้าใจ
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูลที่สมาชิก วัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี
ภายในกลุมรวมกันสืบคน ๒. เขียนให้มเี อกภาพ หมายถึง เขียนให้ได้ใจความส�าคัญในแต่ละย่อหน้า ไม่ออกนอกเรือ่ ง
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนตอบคําถาม โดยใช สับสน วกวน
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย ๓. เขียนให้มสี มั พันธภาพ หมายถึง เขียนให้เนือ้ หาแต่ละย่อหน้ามีความสัมพันธ์เกีย่ วเนือ่ ง
ของเพือ่ นๆ กลมุ ที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบือ้ งตน กันโดยตลอดทั้งเรื่อง ย่อหน้าต่อๆ มาจะต้องสัมพันธ์กับย่อหน้าที่ผ่านมา
• องคประกอบของเรียงความไดแกอะไรบาง ๓) ส่วนสรุป เป็นส่วนที่ใช้เพื่อปิด หรือจบเรียงความ ผู้เขียนต้องท�าให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่าง
(แนวตอบ สวนคํานํา เนื้อหา และสรุป) ความพึงใจที่ได้รับแง่คิด ข้อคิด
• ผูเขียนเรียงความที่แบงประเด็นแตละประเด็น การเขียนส่วนสรุป ผู้เขียนไม่ควรใช้ค�าขึ้นต้นย่อหน้าว่า “สรุป” “สรุปแล้ว” “สรุปได้ว่า”
ไวคนละยอหนา มีจุดประสงคอยางไร เพราะจะท�าให้เรียงความขาดความต่อเนื่อง ส่วนสรุปของเรียงความไม่ควรให้รายละเอียดเพิ่มเติม
(แนวตอบ เพือ่ ไมใหเนือ้ ความสับสน หรือขาด แต่ต้องสร้างหรือเน้นสาระส�าคัญ เช่น การสรุปด้วยค�าสั่งสอน บอกให้ท�า หรือเลิกท�าบางสิ่งบางอย่าง
นํา้ หนัก ประเด็นตางๆ ในเรียงความแตละเรือ่ ง สรุปด้วยการกล่าวอ้างบทร้อยกรอง ค�าคม วาทกรรม ที่ช่วยเน้นย�้าประเด็นความคิดหลัก
จะตองเชื่อมโยงกันเพื่อมุงเสนอสาระสําคัญ)
• การเขียนคํานําในเรียงความสามารถใชวิธีใด การเขียนสรุป
ไดบาง
ชาติไทยจะเจริญก้าวหน้าก็เพราะไทย ชาติไทยจะเป็นปึกแผ่นก็เพราะไทย ชาติไทย
(แนวตอบ การเขียนคํานําของเรียงความ
จะสมบูรณ์พูนสุขก็เพราะไทย แต่การจะบรรลุถึงข้อนั้นๆ ได้ เริ่มต้นที่ความสามัคคี ขอชาวไทย
เรื่องหนึ่งๆ สามารถเขียนไดหลายวิธี เชน
ทั้งหลายผู้หวังให้ชาติมั่นคง จงมีความสามัคคี รักใคร่ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อ
นําดวยการตั้งคําถาม นําดวยการยกสํานวน
คนไทย ชาติไทย อันเป็นที่รักยิ่ง “อันความกลมเกลียวกันเป็นใจเดียวประเสริฐศรี ทุกสิ่งประสงค์
สุภาษิต คําคม บทกวี นําดวยขาว เหตุการณ
จงใจ จะเสร็จสมได้ด้วยสามัคคี”
ปจจุบันที่เกี่ยวของกับประเด็นหลักของ
เรียงความ เปนตน) ๑.๒ แนวทางการเขียนเรียงความ
• การเขียนสรุปในเรียงความสามารถใชวิธีใด การเขียนเรียงความในระยะฝึกฝน ควรน�าเรื่องใกล้ตัวมาเขียน โดยผู้ฝึกฝนควรมีความรู้
ไดบาง ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเมื่อต้องเขียนเรียงความ เพื่อน�าไปใช้ฝึกฝนอย่างถูกต้องและสม�่าเสมอ
(แนวตอบ การเขียนสวนสรุปของเรียงความเรื่อง ๑) ก�าหนดแนวคิด ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะสื่อสารเรื่องอะไร เพื่ออะไร เช่น ถ้าจะเขียนเรื่อง
หนึ่งๆ สามารถเขียนไดหลายวิธี เชน การสรุป “ความสามัคคี” ก็อาจเขียนแนวคิดหลักได้ว่า “ความสามัคคี เป็นปัจจัยส�าคัญในการด�ารงอยู่ของชาติ
ดวยการสั่งสอน บอกใหทํา หรือใหเลิกทํา ช่วยท�าให้คนในชาติมเี ป้าหมายเดียวกัน อยูร่ ว่ มกันได้ คนในชาติจงึ ควรเร่งสร้างความสามัคคีให้เกิดขึน้ ”
บางสิ่งบางอยาง การสรุปดวยคําประพันธ แนวคิดหลักจะท�าให้ขอบเขตเนื้อหาชัดเจนยิ่งขึ้น
เปนตน) ๒) วางโครงเรื่อง คือ เค้าโครงของเรียงความ เป็นการจัดล�าดับหมวดหมู่ความคิด เพื่อใช้
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา แหลง เป็นกรอบในการเรียบเรียงเนื้อหา ท�าให้พิจารณาได้ว่า เนื้อหาในแต่ละประเด็นมีสัดส่วนที่เหมาะสม
ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 มีความ หรือไม่ สาระส�าคัญเพียงพอ น่าเชื่อถือหรือไม่ และท�าให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ตามล�าดับ ไม่สับสน
นาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น 40
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การใชภาษาในขอใดสรางอารมณสะเทือนใจใหเกิดขึ้นแกผูอานมากที่สุด
ครูควรสรางองคความรูใหแกนักเรียนเกี่ยวกับสํานวนภาษาที่ใชสําหรับการเขียน 1. ใครคือครู ครูคือใคร
เรียงความ ซึ่งสํานวนเรียงความ คือ ลักษณะการใชภาษาในการเขียนเรียงความ 2. โอวาอนิจจาความรัก
เรื่องหนึ่งๆ มี 5 ประเภท ไดแก บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร 3. แมนี้มีบุญคุณมากมาย
สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร ซึง่ โวหารแตละประเภทจะมีลกั ษณะสําคัญทีแ่ ตกตางกัน 4. จากเรือนเหมือนนกที่จากรัง
ดังนี้ บรรยายโวหารเหมาะสําหรับการเลาเรื่อง อธิบายเรื่องราวตางๆ ตามลําดับ
เหตุการณ พรรณนาโวหาร เหมาะสําหรับการใหรายละเอียดเพื่อใหผูอานซาบซึ้ง วิเคราะหคําตอบ “ใครคือครู ครูคือใคร” ใชภาษาในลักษณะของการ
เพลิดเพลินไปกับขอความนั้นๆ เทศนาโวหารมีจุดมุงหมายเพื่อแสดงความแจมแจง ตัง้ คําถามชวนใหคดิ แตมไิ ดมเี จตนาใหผรู บั สารตอบ “โอวา อนิจจาความรัก”
มุงชักจูงใหผูอานคลอยตามอารมณ ความรูสึกของผูเขียน อุปมาโวหาร เปนโวหาร ใชภาษาเพื่อเกริ่นนํากอนที่จะอธิบายความ จึงยังไมปรากฏถอยคําที่กอให
เปรียบเทียบเพือ่ ใหเกิดความชัดเจนดานความหมาย ภาพ และเกิดอารมณความรูส กึ เกิดอารมณสะเทือนใจ “แมนมี้ บี ญ ุ คุณมากมาย”ใชภาษาเพื่อบอกใหทราบ
สาธกโวหาร มุงใหความชัดเจน โดยการยกตัวอยางเพื่ออธิบายหรือสนับสนุน “จากเรือนเหมือนนกทีจ่ ากรัง” ใชภาษาในลักษณะของความเปรียบ นําชีวติ
ความคิดเห็นที่เสนอใหหนักแนนขึ้น โดยเรียงความเรื่องหนึ่งๆ จะใชโวหารทั้ง 5 ของคนที่พลัดถิ่น เปรียบเทียบกับนกที่ไรรัง จึงทําใหผูอานเกิดอารมณ
ประกอบกัน อาจจะมีโดดเดนบาง เชน เรียงความเชิงพรรณนาโวหาร สะเทือนใจและรูสึกคลอยตามมากที่สุด ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

40 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การวางโครงเรื่อง ความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูลที่สมาชิก
ขั้นระดมความคิด ผู้เขียนต้องรวบรวมประเด็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนให้มากที่สุด ภายในกลุมรวมกันสืบคน
เช่น ถ้าเขียนเรียงความเรื่องความสามัคคี ประเด็นความคิดที่รวบรวมได้อาจมี ดังนี้ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๑. ความสามัคคีคืออะไร ความรูแ บบโตตอบรอบวง โดยใชความรูท ี่ไดรับ
๒. ความสามัคคีส�าคัญอย่างไร จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 และ 2
๓. การเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๔. คนไทยมักไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง • เพราะเหตุใดสวนเนือ้ เรือ่ งจึงเปนองคประกอบ
๕. การร่วมมือกันท�าสิ่งผิดไม่ใช่ความสามัคคี ทีส่ าํ คัญทีส่ ดุ ในการเขียนเรียงความเรือ่ งหนึง่ ๆ
๖. คนในชาติต้องคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ (แนวตอบ เพราะเปนสวนที่บรรจุเนื้อหาสาระ
๗. ชาติส�าคัญกว่าชีพ
ความรูสึกนึกคิดของผูเขียนที่ตองการ
ขัน้ เลือกและจัดหมวดหมู ่ ผูเ้ ขียนต้องเลือกเฉพาะประเด็นทีเ่ กีย่ วข้อง น�าความคิดทีผ่ า่ นการคัดเลือก
นําเสนอไปสูผูอาน)
มาจัดหมวดหมู่ โดยมีหลักว่า ความคิดที่ใกล้เคียงกันอยู่หมวดเดียวกัน
• นักเรียนคิดวาสวนเนื้อเรื่องของเรียงความ
๑. ความหมาย ความส�าคัญของความสามัคคี
ที่ดีควรมีลักษณะสําคัญอยางไร
๑.๑ ความสามัคคีคืออะไร ส�าคัญอย่างไร
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย
(แนวตอบ ควรมีลักษณะสําคัญ ดังนี้
๒.๑ ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน • มีการดําเนินเรื่องโดยเรียงตามลําดับเวลา
๒.๒ ความไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เหตุผล ความสําคัญ หรือตําแหนงพื้นที่
๒.๓ ความเข้าใจเกี่ยวกับค�าว่าสามัคคี โดยขึ้นอยูกับลักษณะของเนื้อหา
๓. คนในชาติต้องคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ • ประกอบดวยยอหนาที่สื่อความไดชัดเจน
๔. ชาติส�าคัญกว่าชีพ ครบถวน ไมกระจัดกระจายโดยมีทงั้ ยอหนา
ขั้นจัดล�าดับ เมื่อผู้เขียนได้หมวดหมู่ความคิดที่ล�าดับประเด็นใหญ่ ประเด็นย่อยแล้ว ให้น�ามา ทีเ่ ปนสวนขยาย เสริมความและเนนความ
ล�าดับความ หรือล�าดับเนื้อหา ว่าจะน�าเสนออะไรก่อนหลัง โดยอาจล�าดับความตามเหตุผล เวลา • ประโยคแตละประโยค ยอหนาแตละ
เหตุการณ์ ความส�าคัญ ยอหนามีความสัมพันธกัน)
๑. ความหมาย ความส�าคัญของความสามัคคี • การวางโครงเรื่องเพื่อการเขียนเรียงความ
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย มีแนวทางอยางไร
๓. วิธีการสร้างความสามัคคี (แนวตอบ มีแนวทาง ดังนี้
ขั้นขยายความ เมื่อจัดล�าดับความคิดได้แล้ว ให้ผู้เขียนเขียนขยายความคิดในแต่ละประเด็น • ระดมความคิด ที่เกี่ยวของกับประเด็นที่
ให้ชัดเจนขึ้น ตองการเขียน
๑. ความหมายและความส�าคัญของค�าว่า “สามัคคี” • เลือกและจัดหมวดหมูความคิด
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย • จัดลําดับความคิด จะนําเสนอประเด็นใด
กอน-หลัง)
41 • เขียนขยายความคิด เพื่อใหมองเห็น
ภาพรวมของเนื้อหา)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
คําวา “เติมเต็ม” คืออะไร ถาพูดถึงแกวนํ้า การเติมเต็มก็คือการใสนํ้าลง
ทักษะการเขียนเรียงความ ครูควรเห็นความสําคัญของการใหรายละเอียด
ไปใหเต็มแกว แตหากเปนชีวิต การที่เราจะทําใหเต็มนั้น เราตองรูกอนวา
เกี่ยวกับขั้นตอนของการเขียนเรียงความ ควรใหนักเรียนเขาใจวา การกําหนด
ขอบเขตของการเติมเต็มของชีวิตนั้นอยูตรงไหน ขอความนี้ควรอยูสวนใด
จุดมุงหมายในการเขียนจะทําใหทราบวาตองรวบรวม คัดเลือก จัดกลุมขอมูล
ของเรียงความเรื่อง “ชีวิตคือการเติมเต็ม”
ในลักษณะใดเพื่อใหครอบคลุมจุดมุงหมาย เมื่อไดขอมูลที่มีคุณภาพ ครบถวน
1. เนื้อเรื่อง 2. คํานํา
จึงนํามาจัดลําดับความสําคัญในการนําเสนอ เขียนขยายแนวคิด เรียบเรียงเปน
3. สรุป 4. ถูกทั้งขอ 1. และ 3.
ถอยคําเพือ่ วางโครงเรือ่ ง จากนั้นจะมองเห็นแนวทางการใชสํานวนภาษาโดยมี
วิเคราะหคําตอบ เรียงความประกอบดวยสวนสําคัญ 3 สวน ไดแก คํานํา หลักการสําคัญอยูวา ผูเขียนจะตองมีความรู ความเขาใจในสํานวนโวหารทั้ง
เนื้อเรื่อง สรุป ซึ่งองคประกอบแตละสวนทําหนาที่แตกตางกัน คํานํา 5 ประเภท พิจารณาลักษณะเนื้อหาเรียงความของตนเองวา ตองการใหผูอาน
คือ เนื้อความสวนแรกที่เกริ่นนําเขาสูเรื่อง ชวยแนะนําใหผูอานทราบวา เกิดความคิด ความรูสึก หรือความเขาใจอยางไรหลังจากอานจบ เมื่อสรุปไดวา
เรียงความเรื่องนี้กลาวถึงอะไร เนื้อเรื่อง เปนสวนบรรจุแนวคิดหรือสาระ จะใชโวหารลักษณะใดจึงลงมือเขียนอยางมีสมาธิ โดยเริ่มเขียนตามโครงเรื่อง
ทั้งหมด สรุป เปนการกลาวปดเรื่อง จากคํานิยามของแตละสวนทําให ที่วางไว เมื่อเขียนเสร็จแลวจึงอานทบทวนและแกไขขอบกพรอง
สามารถสรุปไดวา ขอความดังกลาวควรอยูใ นสวนคํานํา ดังนัน้ จึงตอบขอ 2.

คูมือครู 41
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียนเรียงความ ๒.๑ การเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าความมั่นคงสถาวรของชาติ
โดยใชความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ๒.๒ ความไม่กล้าแสดงความคิดที่แตกต่างของตนเอง
เพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ ๒.๓ การที่กลุ่มคนสามัคคีร่วมกันกระท�าสิ่งผิด สิ่งนั้นไม่เรียกว่าความสามัคคี
ตอบคําถาม ๓. วิธีการสร้างความสามัคคี
• ความรูเกี่ยวกับโวหารในการเขียน ไดแก ๓.๑ ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่คนในชาติเห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคง
บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร สถาวรของชาติ
สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร มีความเกีย่ วของ ๓.๒ ปลูกฝังให้เห็นการด�ารงอยู่ของชาติ ส�าคัญกว่าการด�ารงอยู่ของตนเอง
กับการเขียนเรียงความอยางไร
(แนวตอบ การเขียนเรียงความ คือการเขียน ๓) แสวงหาข้อมูล หากผูเ้ ขียนไม่มคี วามรู ้ ความเชีย่ วชาญในเรือ่ งทีเ่ ขียน จะต้องแสวงหาข้อมูล
เพื่อแสดงความรูสึก ความคิด ความเขาใจ จากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ สิ่งที่ต้องให้ความส�าคัญเมื่อต้องแสวงหาข้อมูล มีดังนี้
จินตนาการหรือประสบการณของผูเขียน ๑. อ่าน ฟัง หรือดูข้อมูลอย่างละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มากกว่า ๑ แหล่ง
การเขียนเรียงความเปนทั้งศาสตรและศิลป ๒. จับสาระส�าคัญของข้อมูล ตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ ว่าข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ
กลาวคือ ตองเขียนใหอยูในรูปแบบที่กําหนด มากน้อยเพียงใด ข้อความใดเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ข้อความใดเป็นข้อคิดเห็น
ไดแก คํานํา เนื้อเรื่อง สรุป และเขียนอยางมี ๓. บันทึกไว้กันลืม สะดวกต่อการน�าไปใช้ในภายหลัง โดยใช้บัตรบันทึกข้อมูล เป็นต้น
ศิลปะ ดวยการใชถอ ยคํา สํานวนโวหารในการ ๔. ยึดหลักส�าคัญว่า ผู้รับสารต้องได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง แม่นย�า ทันสมัย
เขียนเรียงรอยออกมาเปนเรื่องราว โดยเลือก ๔) เรียบเรียงเนื้อหา การเขียนเรียงความอาจเขียนได้หลายลักษณะ ถ้าเป็นเรียงความที่ต้อง
ใชสํานวนโวหารใหไพเราะเหมาะสม) ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ควรเขียนแบบอธิบาย ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนามธรรม ควรเขียนแบบอธิบาย
• หากตองเขียนเรียงความ นักเรียนจะมี แล้วยกตัวอย่างประเภทนิทานประกอบ แต่ถ้าเป็นเรียงความเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ควรเขียน
แนวทางการเขียนอยางไร แบบบรรยาย พรรณนา ขยายความให้ละเอียด ชัดเจน
(แนวตอบ ผู้เขียนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับย่อหน้ามาช่วยล�าดับความ จะต้องย่อหน้าใหม่
• กําหนดแนวคิด เมื่อกล่าวถึงประเด็นใหม่ แต่ควรมีย่อหน้าเล็กๆ ที่ใช้เชื่อมโยงระหว่างประเด็น นอกจากนี้จะต้องใช้
• วางโครงเรื่อง ความรู้เกี่ยวกับหลักภาษามาผูกประโยค ซึ่งควรเป็นประโยคสั้นๆ สื่อความหมายชัดเจน เข้าใจง่าย
• คนหาขอมูลที่จําเปน สุภาพ ควรรู้จักเลือกสรรถ้อยค�าที่เหมาะสมทั้งเสียงและความหมายมาใช้ ไม่ใช้ศัพท์ยากที่ตนเองไม่
• เรียบเรียงเนื้อหาสาระ เข้าใจ การใช้ค�าศัพท์ที่ถูกต้องและเรียบง่ายจะเหมาะที่สุดส�าหรับการฝึกเขียนระยะเริ่มแรก รวมถึง
• อานทบทวน) ไม่ควรใช้ค�าซ�้าๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้ค�าอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ๕) อ่านทบทวน ด้วยใจที่เป็นกลาง เพื่อหาข้อบกพร่อง สิ่งที่ต้องพิจารณา ได้แก่ รูปแบบ
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 ความคิด กลวิธีการน�าเสนอ และภาษา จุดใดบกพร่องให้ท�าเครื่องหมายไว้แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง หรือ
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด อาจเขียนทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง แล้วกลับมาแก้ไข ถ้ามีโอกาสควรให้ผู้อื่นอ่านแล้ววิจารณ์ เพื่อน�า
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ค�าแนะน�าไปปรับปรุงแก้ไขให้เป็นเรียงความที่ดี
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)

42

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การเขียนเรียงความเรื่อง “กลวยพันธุไมสารพัดประโยชน” โครงเรื่อง
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมใหแกนักเรียนเกี่ยวกับความแตกตางระหวางความเรียง
ขอใดจําเปนนอยที่สุด
กับเรียงความ ดังตาราง ตอไปนี้
1. ลักษณะของกลวย
ลักษณะเฉพาะ ความเรียง เรียงความ 2. ประเภทของกลวย
3. ประโยชนของกลวย
รูปแบบ มีรปู แบบไมตายตัว โดยแบงเปน มีรปู แบบทีช่ ดั เจน แบงเปน 4. ความเชื่อเกี่ยวกับกลวย
สวนๆ ได 3 สวน ไดแก สวนตน 3 สวน ไดแก คํานํา เนือ้ เรือ่ ง
สวนกลาง และสวนทาย และสรุป วิเคราะหคําตอบ โครงเรือ่ ง หมายถึง เคาโครงของงานเขียนทําใหผเู ขียน
ภาษา ใชภาษาไดหลายระดับ นิยมใชภาษาแบบทางการ จัดลําดับเนือ้ หาเหมาะสม เนือ้ ความสัมพันธกนั มีเอกภาพ สัมพันธภาพ และ
หรือกึ่งทางการ สารัตถภาพ จากตัวเลือกที่กําหนดให คําตอบในขอ 1., 2. และ 3. มีความ
สัมพันธกนั และเชือ่ มโยงสัมพันธกบั ชือ่ เรือ่ ง สวนประเด็น “ความเชือ่ เกีย่ วกับ
เนื้อหา มุ  ง เสนอแนวคิดและอารมณ มุงเสนอแงคิดและความรู กลวย” มีความสอดคลองกับชือ่ เรือ่ งนอยทีส่ ดุ และไมมคี วามสัมพันธใกลเคียง
ความรูสึกของผูเขียน เปนสําคัญ กับประเด็นทัง้ 3 ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.

42 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
เรียงความเรื่อง ความสามัคคี องคประกอบ วิธีการเขียนองคประกอบ
แนวทางการเขียนเรียงความและสํานวนโวหาร
...ประเทศของเรารักษาเอกราช อธิปไตย และอิสรภาพให้สมบูรณ์มั่นคงมาได้จนถึง เขียนเรียงความคนละ 1 เรื่อง ความยาวไมเกิน
ทุกวันนี ้ เพราะคนไทยทุกหมูเ่ หล่า รูร้ กั สามัคคี และรูจ้ กั ท�าหน้าทีข่ องแต่ละฝ่ายให้ประสานส่งเสริม 1 หนากระดาษ A4 โดยกําหนดจุดมุงหมาย
กัน เมื่อทุกคนมุ่งปฏิบัติดังนี้ ความถูกต้องเรียบร้อย ความพัฒนาก้าวหน้า และความมั่นคง ของเรียงความดวยตนเอง
เป็นปึกแผ่นจึงบังเกิดขึ้น พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล 2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่าด้วยเรื่องความสามัคคี และกระตุ้นเตือนให้เราปวงชน ของเรียงความที่ดี เพื่อใชประเมินเรียงความ
ชาวไทย ส�ารวจตนเองว่า สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติแล้วหรือยัง ของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน และใช
ความสามัคคี คือ ความปรองดอง เป็นหนึ่งเดียว ในประวัติศาสตร์ชาติไทยทั้งที่ได้บันทึก
เปนแนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป
และไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แสดงให้เห็นว่า เมื่อใดที่คนในชาติมีความปรองดอง เป็น
ซึ่งประเด็นที่รวมกันกําหนดควรครอบคลุม
น�้าหนึ่งใจเดียว ชาติย่อมพ้นรอดปลอดภัยจากความพิบัติทั้งปวง แต่ถ้าเมื่อใดคนในชาติเห็นแก่
ประโยชน์ส่วนตน เมื่อนั้นชาติทั้งชาติก็จะพินาศย่อยยับ
ดังตอไปนี้
การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนี้ เป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้ความสามัคคี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ (แนวตอบ
ทุกคนในชาติพงึ มีเสือ่ มถอยลง เพราะบุคคลทีม่ องเห็นแต่ประโยชน์สว่ นตนยิง่ ใหญ่กว่าความมัน่ คง • มีความถูกตองดานรูปแบบ มีชื่อเรื่อง
สถาวรของชาติ ย่อมสามารถกระท�าการณ์ทกุ อย่างได้เพียงเพือ่ ให้ตนได้รบั ประโยชน์มากกว่าผูอ้ นื่ คํานํา เนื้อเรื่อง สรุป ครบถวนในสัดสวน
โดยหลงลืมไปว่า หากชาติอยู่ไม่ได้ ตนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชาติก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน นอกจาก ที่เหมาะสม
ความเห็นแก่ประโยชน์สว่ นตนแล้ว ความเข้าใจผิดเกีย่ วกับความสามัคคีกเ็ ป็นอีกปัจจัยหนึง่ เพราะ • มีแนวความคิดที่ดี สอดคลองกับชื่อเรื่อง
ความสามัคคีไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องพูดเหมือนกัน เราสามารถแตกต่างได้ แต่ตอ้ งแตกต่าง วัตถุประสงคของเรียงความ มีเหตุผล
อย่างสอดคล้อง และการสามัคคีกันไปกระท�าสิ่งที่ผิด นั่นก็ไม่เรียกว่า ความสามัคคี เปนไปได ชัดเจน นาสนใจ สะทอนใหเห็น
ทุกคนสามารถบอกได้วา่ ความสามัคคีคอื อะไร ส�าคัญอย่างไร แต่มสี กั กีค่ นทีต่ ระหนักว่า ความคิดสรางสรรคของผูเขียน
ความสามัคคีเป็นสัญลักษณ์แห่งการด�ารงอยู่ของชาติ ในครอบครัว สังคม ประเทศที่เกิดความ • กลวิธีหรือเทคนิคในการเขียน เชน
ขัดแย้ง แบ่งฝ่าย ทุกคนต่างเรียกหาความสามัคคี ซึง่ ความสามัคคีเป็นสิง่ ทีไ่ ม่สามารถเกิดขึน้ ได้เอง การเปรียบเทียบ การขยาย การพรรณนา
ผู้เพรียกหาต้องเป็นผู้สร้าง การลําดับเรื่อง และรวมถึงการตั้งชื่อเรื่อง
การจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ เริ่มต้นที่การปลูกฝังให้บุคคลนั้นๆ รู้ว่า เหมาะสม เราความสนใจ
ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ ความคิดพฤติกรรมของบุคคลล้วนส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ • ภาษา สามารถใชคํา กลุมคํา ประโยค
ปลูกฝังให้มองเห็นความคงอยู่ของชาติส�าคัญกว่าการคงอยู่ของตน เพราะการคงอยู่ของชาติ จังหวะ ลีลาในการเขียนเหมาะสม นาอาน
หมายถึง การคงอยู่ของชนชาติเชื้อไทย • ความถูกตองของการเขียนสะกดคํา การันต
ชาติไทยจะเจริญก้าวหน้าก็เพราะไทย ชาติไทยจะเป็นปึกแผ่นก็เพราะไทย ชาติไทย วรรคตอน ความสะอาด ลายมือ กระดาษที่
จะสมบูรณ์พูนสุขก็เพราะไทย แต่การจะบรรลุถึงข้อนั้นๆ ได้ เริ่มต้นที่ความสามัคคี ขอชาวไทย
ใชและมารยาทที่ดีของผูเขียน)
ทั้งหลายผู้หวังให้ชาติมั่นคง จงมีความสามัคคี รักใคร่ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อ
คนไทย ชาติไทย อันเป็นที่รักยิ่ง “อันความกลมเกลียวกันเป็นใจเดียวประเสริฐศรี ทุกสิ่งประสงค์
จงใจ จะเสร็จสมได้ด้วยสามัคคี”

43

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเขียนสวนสรุปในเรียงความโดยละเอียด การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา เปนการเขียนเรื่องราวตามประสบการณ
วาสามารถเขียนโดยใชวิธีใดไดบาง ยกตัวอยางจากเรียงความที่ไดรับ หรือจินตนาการของผูเขียนอยางมีรูปแบบและหลักเกณฑ นักเรียนจะตองมีความรู
รางวัลหรือไดรับการยกยองประกอบใหชัดเจน สรุปเปนใบความรู เกี่ยวกับการใชถอยคํา สํานวนโวหารประเภทตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งพรรณนา
เฉพาะบุคคล สงครู โวหาร ครูควรทบทวนการใชถอยคํา สํานวนโวหารในงานเขียนเชิงพรรณนาใหแก
นักเรียน ซึ่งงานเขียนเชิงพรรณนาผูเขียนตองเลือกใชถอยคําเพื่อสื่อความหมาย
สื่อภาพ สื่ออารมณใหเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ควรเลือกใชถอยคําที่ใหความหมาย
กิจกรรมทาทาย ชัดเจน คําที่มีเสียงเสนาะหรือสัมผัส งานเขียนเชิงพรรณนาตองมีใจความดี แม
จะพรรณนาความยืดยาว แตใจความตองมุงใหเกิดภาพ อารมณ และความรูสึก
สอดคลองกับเนื้อหาที่กําลังพรรณนา ในบางกรณีอาจตองใชอุปมาโวหารและ
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเขียนสวนคํานําในเรียงความโดยละเอียด สาธกโวหารประกอบดวย เพื่อใหเกิดภาพและอารมณที่เดนชัดขึ้น นอกจากนี้
วาสามารถเขียนโดยใชวิธีใดไดบาง ยกตัวอยางจากเรียงความที่ไดรับ ครูควรใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทางดานซายมือ ผลจากการปฏิบัติกิจกรรมจะชวย
รางวัลหรือไดรับการยกยองประกอบใหชัดเจน สรุปเปนใบความรู สรางความรู ความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับวิธีการเขียนเรียงความ การไดสังเคราะห
เฉพาะบุคคล สงครู ความรูจ ากตัวอยางทีถ่ กู ตอง จะทําใหนกั เรียนมองเห็นแนวทางในการเขียนเพือ่ นําไป
พัฒนางานเขียนของตนเองตอไป
คูมือครู 43
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน โดยคัดสรร
บทบรรยายจากประสบการณที่มีความโดดเดน
ดานถอยคําและสํานวนภาษา ใหนักเรียนที่มี
๒ การเขียนสื่อสาร
ความสามารถในการอานออกเสียง ออกมาอานให ๒.๑ การเขียนบรรยายประสบการณ์
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันสรุป การบรรยาย เป็นวิธีแสดงความคิดที่ส�าคัญประเภทหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะแสดงความคิดแบบใด
สาระสําคัญวา ผูเ ขียนไดเขียนบรรยายประสบการณ ก็ตาม ความคิดนัน้ ต้องมีการเชือ่ มโยงและมีความสัมพันธ์กนั ในเรือ่ งต่างๆ เช่น การบรรยายเป็นการบอก-
ดานใด เล่าเรือ่ งราว หรือเหตุการณ์วา่ ใคร ท�าอะไร ทีไ่ หน เมือ่ ไร อย่างไร เกิดผลอะไร กล่าวคือ เป็นการเล่า
(แนวตอบ คําตอบของนักเรียนขึ้นอยูกับประเภท ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของเรื่องตามที่เป็นอยู่โดยค�านึงถึงความต่อเนื่อง
ของบทบรรยายที่ครูคัดเลือก)
การบรรยายประสบการณ์
สํารวจคนหา Explore ล่องแพแม่วัง
วันนัน้ ในนาทีแรกทีเ่ ริม่ ต้นออกเดินทางล่องแพ พวกเราก็ตอ้ งช่วยกันออกแรงเข็นแพบนหาดทราย
จากบทบรรยายที่นักเรียนไดฟง ใหนักเรียน
ลงสู่ระดับน�้าลึก เมื่อแพเริ่มลอยน�้าจึงขึ้นนั่ง เราออกจะเขินๆ ชาวบ้านวัฒนาที่มายืนดูอยู่ริมตลิ่ง ดูคณะ
จับกลุมยอย กลุมละ 3-5 คน ตามความเหมาะสม เราที่เดินทางกันแบบพิสดารนั่นเอง เขาคงคิดว่า คนกลุ่มนี้แปลกอยู่ดีๆ ไม่ชอบ มีถนนหนทางให้เดิน
เพื่อรวมกันสืบคนความรูเกี่ยวกับการเขียนบรรยาย ทางอย่างสะดวกสบายก็ไม่ชอบ ต้องล�าบากล�าบนนั่งหลังขดหลังแข็งลอยแพไปตามน�้า การที่ชาวบ้าน
ประสบการณ มายืนดูราวกับมีงานอะไรนั้น ก็เพราะการจัดล่องแพในล�าน�้าแม่วังนี้ยังเป็นของใหม่นั่นเอง
เมือ่ แพเริม่ ลอยน�า้ ในต้นทาง คณะล่องแพยังคงตืน่ เต้นกับการเดินทาง มีการแย่งหน้าทีท่ า� งานกัน
อธิบายความรู Explain นิดหน่อยคือ ต่างก็เดินหาไม้ถอ่ ช่วยกันออกแรงถ่อแพ ทัง้ ด้านหัวแพและท้ายแพ แต่แทนทีแ่ พจะลอยน�า้ ฉิว
ก็เปล่า ดิฉนั สังเกตเห็นนายท้ายแพต้องท�างานหนัก คอยคัดท้ายไม่ให้แพขวางล�ากลางแม่นา�้ เพราะนักถ่อแพ
ครูตงั้ คําถามเพือ่ ใหนกั เรียนรวมกันอธิบายความรู สมัครเล่นนัน้ คุณเธอกดไม้ถอ่ เฉียงกับกระแสน�า้ มากไป เมือ่ แรงกดเต็มทีจ่ งึ ท�าให้แพหนีกระแสน�า้ ไปตาม
เกี่ยวกับการเขียนบรรยายประสบการณที่ไดจากการ แรงถ่อซึง่ ไปคนละทางกับนายหัว นัน่ แหละจึงท�าให้นายท้ายต้องท�างานหนักในระยะแรก ประกอบกับล�าน�า้
สืบคนรวมกับเพื่อนๆ ในกลุม แม่วงั ช่วงผ่านบ้านวัฒนานี ้ เป็นคุง้ คดโค้งมาก ระดับน�า้ ก็ตนื้ แพจึงเคลือ่ นทีช่ า้ เมือ่ ผ่านชาวบ้านทีก่ า� ลัง
• การเขียนบรรยายมีลักษณะสําคัญอยางไร ซักผ้าต่างก็โบกมือทักทายกัน
(แนวตอบ การเขียนบรรยายคือ การเขียน (ล่องแพแม่วัง : ร�าไพพรรณ แก้วสุริยะ, วารสารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๒)
เพื่อถายทอดความรู ความคิดของผูเขียน
ข้อสังเกต
ไปสูผูอาน)
๑. งานเขียนเรื่อง “ล่องแพแม่วัง” ที่ตัดตอนน�ามาเสนอนี้ ผู้เขียนบรรยายเรื่องการท่องเที่ยว
• การเขียนบรรยายเรื่องจากประสบการณ ตามที่ได้มีประสบการณ์มาจริงๆ
มีลักษณะสําคัญอยางไร ๒. ถ้อยค�าที่ใช้บรรยายเป็นการเล่าสู่กันฟังแบบกันเอง ชวนให้น่าติดตามอ่าน เช่น ตอนที่
(แนวตอบ การเขียนบรรยายเรือ่ งจากประสบการณ นักถ่อแพสมัครเล่นช่วยกันออกแรงถ่อแพในระยะแรก แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีความช�านาญแพจึงไม่
คือ การเขียนเลาเหตุการณทเี่ กิดขึน้ ตามจริง เคลื่อนฉิวอย่างที่ทุกคนต้องการ
โดยเปนประสบการณตรงของผูเ ขียน อาจมีการ ๓. วิธีเขียนบรรยายแบบนี้ ผู้เขียนที่มีประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาแล้วจะสามารถ
สอดแทรกความคิดเห็นและขอสังเกตตางๆ ไว) เขียนเล่าได้อย่างละเอียดลออ และเป็นวิธีการเขียนที่ฝึกได้ไม่ยากนัก

44

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล ไดแก พืชและสัตวทั่วไป รางกายจะประกอบขึ้นจาก
ครูควรคัดสรรงานเขียนประเภท บรรยายประสบการณทมี่ จี ดุ มุง หมายแตกตางกัน
เซลลมากมายหลายลานเซลล โดยเซลลที่มีลักษณะคลายกันหรือเปนเซลล
มาใหนักเรียนอานเพื่อใหมองเห็นแนวทางการเขียน ซึ่งครูอาจมอบหมาย
ชนิดเดียวกันมาอยูดวยกัน ทําหนาที่อยางเดียวกัน เรียกกลุมเซลลเหลานี้วา
ชิน้ งานยอยใหนกั เรียนเขียนใบความรูเ ฉพาะบุคคล อธิบายแนวทางการเขียนบรรยาย
เนื้อเยื่อ ขอความขางตนใชโวหารชนิดใดในการเขียน
เรือ่ งจากประสบการณสงครู เพื่อเปนการตรวจสอบความรู ความเขาใจ โดยคําตอบ
1. พรรณนาโวหาร 2. สาธกโวหาร
ควรอยูในขอบขาย ดังนี้
3. เทศนาโวหาร 4. บรรยายโวหาร
1. กําหนดจุดมุงหมายในการเขียนวาจะเลาเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพื่ออะไร
ซึ่งขั้นตอนนี้มีความสําคัญตอการนําเสนอและการใชภาษา วิเคราะหคําตอบ ขอความขางตน มีลักษณะการใชภาษาเพื่ออธิบายความ
2. เรื่องที่จะนํามาเขียนบรรยายควรเปนเรื่องที่นาสนใจ เกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ หลายเซลล ซึง่ โวหารทีม่ คี วามเหมาะสมสําหรับกระบวนการ
3. ตองเขียนขอมูลตางๆ อยางถูกตอง ชัดเจน แสดงขอเท็จจริงอยาง อธิบาย คือ บรรยายโวหาร เพราะโวหารชนิดนี้ มุงใหเกิดความชัดเจน
ตรงไปตรงมา กลาวถึงเฉพาะสาระสําคัญของเรือ่ งอยางตรงไปตรงมา ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.
4. วางโครงเรื่องเชนเดียวกับการเขียนเรียงความ
5. ใชภาษาที่เราความสนใจและนาติดตามอานตั้งแตตนจนจบ

44 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจดวยการขออาสาสมัคร
จํานวน 3-5 คน ออกมาแนะนําตนเองในแบบฉบับ
๒.๒ การเขียนแนะนำาตนเอง ของแตละคน จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ความแตกตางในการแนะนําตนเองของ
การเขียนแนะน�าตนเอง
เพื่อนๆ แตละคน คืออะไร
1 (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
ข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ ชื่อเล่น ไหม อายุ ๑๓ ปี
หลากหลาย)
สถานที่เกิด จังหวัดกาฬสินธุ์ พี่น้อง ๓ คน
บิดา รับราชการ มารดา แม่บ้าน
ระดับประถมศึกษา บูรณะวิทยาการ กรุงเทพฯ
สํารวจคนหา Explore
ความสามารถพิเศษ วาดภาพ ตีขิม แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม กลุมละ 3-5 คน
ข้อบกพร่อง สงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ฉันชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ มีชื่อเล่น ไหม - การใช้สรรพนาม ความรูรวมกัน ดังนี้
อายุ ๑๓ ปี เกิดที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ มี พี่ น้อง ๓ คน - การเว้นวรรค หมายเลข 1 การเขียนแนะนําตนเอง
บิดา มีอาชีพรับราชการ แม่เป็นแม่บ้าน ฉันเรียนจบ - ขาดเหตุผลอธิบาย หมายเลข 2 การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ
ชั้นประถมศึกษาที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนบูรณะวิทยาการ - สรรพนามไม่สม�่าเสมอ หมายเลข 3 การเขียนสื่อสารบนสื่อ
ดิฉันชอบการวาดภาพและชอบเล่นดนตรีประเภทเครื่องตี ขิม - ระบุชอื่ เครือ่ งดนตรี อิเล็กทรอนิกส
ไม่ตอ้ งบอกว่าเครื่องตี
อธิบายความรู Explain
การเขียนแนะน�าตนเอง 1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “การเขียนแนะนําตนเอง”
ดิฉันชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ ปัจจุบันอายุ ๑๓ ปี เกิดที่จังหวัดกาฬสินธุ์ บิดามี พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
อาชีพรับราชการ ส่วนมารดามีอาชีพเป็นแม่บ้าน ดิฉันมีชื่อเล่นว่า ไหม ส่วนชื่อแพรวาเป็นชื่อที่ 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู
บิดามารดาตั้งให้ตามเอกลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ซึ่งมีชื่อเสียงด้านผ้าไหมแพรวา ดิฉันมีพี่ชาย เกี่ยวกับการเขียนแนะนําตนเอง
๑ คน พี่สาว ๑ คน ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง ดิฉันต้องย้ายโรงเรียนตามบิดาเมื่อท่านได้มาประจ�า • นักเรียนคิดวาการเขียนแนะนําตนเองมี
อยู่ที่กรุงเทพฯ ดิฉันได้เข้าเรียนและส�าเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนบูรณะ ความเกี่ยวของกับการเขียนบรรยายอยางไร
วิทยาการ ดิฉนั ชอบการวาดภาพและเคยส่งผลงานเข้าประกวดระดับประเทศได้รบั รางวัลหลายครัง้ (แนวตอบ การเขียนบรรยายเปนพื้นฐานของ
นอกจากนี้ดิฉันยังสามารถตีขิมและเคยเป็นนักดนตรีไทยประจ�าวงของโรงเรียนบูรณะวิทยาการ การเขียนแนะนําตนเอง)
ปัจจุบันดิฉันเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง และยังคงฝึกซ้อมตีขิม
เป็นงานอดิเรก

45

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
นักเรียนคิดวาบุคคลใดใหขอมูลสําหรับการแนะนําตนเองไดเหมาะสม
นอยที่สุด ครูสรางองคความรู ความเขาใจที่ถูกตองใหแกนักเรียนเกี่ยวกับกระบวนการ
1. วราภรณ บอกชื่อ-นามสกุล ชื่อเลน อายุ ของตนเองใหเพื่อนๆ ฟง สื่อสารเพื่อแนะนําตนเองตอกลุมบุคคลวา สามารถกระทําได 2 วิธี คือการพูดและ
2. ไมตรีบอกอุปนิสัยสวนตัวและงานอดิเรกที่ชอบทําหากมีเวลาวาง การเขียน แตการแนะนําตนเองจะกอใหเกิดความประทับใจก็ตอเมื่อผูสงสารเลือกใช
3. นวียาบอกสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัวที่ประสบผลสําเร็จ วิธีการสงสารดวยการพูด แตถึงอยางไรก็ตามการเขียนแนะนําตนเองเปนพื้นฐาน
จากธุรกิจสงออก ของการพูดแนะนําตนเองที่ดี หากผูพูดไดเขียนตนรางไวอยางสมบูรณ
4. ปฐมพงษบอกอาชีพของบิดา มารดา และสาเหตุที่ตองยายจาก
โรงเรียนเดิม
นักเรียนควรรู
วิเคราะหคําตอบ ขอมูลสวนตัวที่จะเลือกมาแนะนําตนเอง ควรเปนขอมูล
ที่ทําใหผูอื่นรูจักเรา เชน ชื่อ-นามสกุล ชื่อเลน อายุ ภูมิลําเนา อาชีพของ 1 ขอมูลสวนตัว นอกจากชือ่ และนามสกุล ผูแ นะนําตนเองอาจเลือกใหขอ มูลอืน่ ๆ
บิดา มารดา อุปนิสัยสวนตัว งานอดิเรก แตขอมูลที่คอนขางไปในทาง ตามความเหมาะสม ขึ้นอยูกับจุดประสงคในการแนะนําตนเอง เชน ชื่อเลน ครอบครัว
ยกตนขมทานไมเหมาะสมที่จะนํามาบรรยายใหผูอื่นฟง และในการแนะนํา ภูมิลําเนา ที่อยูปจจุบัน การศึกษา งานอดิเรก อุปนิสัย ความสามารถพิเศษโดยคํานึง
ตนเองกับเพือ่ นรวมชัน้ ก็ไมจาํ เปนตองใหขอ มูลดังกลาว ดังนัน้ จึงตอบขอ 3. วาขอมูลที่ระบุจะตองชวยเสริมภาพลักษณของตนเอง

คูมือครู 45
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “การเขียนแนะนําสถานที่ ๒.๓ การเขียนแนะนำาสถานทีส่ าำ คัญ
สําคัญ” พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายความรูเ กีย่ วกับ การเขียนแนะน�าสถานที่ส�าคัญ
การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ โดยใชความรูที่ เยือนนครพนม ชมถิ่นไทย-เวียดนาม
ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
ช่วงนีห้ ลายพืน้ ที ่ หลายอณูของเมืองไทยมีฝนฟ้า
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เทลงมาให้เราๆ ได้เย็นชุม่ ฉ�า่ สบายกายคลายความร้อน
• การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญมีความ ลงได้บา้ ง บางคนถึงกับไม่อยากทีจ่ ะลุกออกจากทีน่ อน
สัมพันธอยางไรกับการเขียนบรรยาย ด้วยซ�้าไป แอบขอนอนต่อเวลาเป็นว่าเล่น พูดไปแล้ว
ประสบการณ น�้าผึ้งเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ แหมก็อากาศดี
(แนวตอบ เพราะการเขียนแนะนําสถานที่ ซะขนาดนี้ใครจะยอมปล่อยให้ลอยนวลล่ะค่ะ แต่ไม่ว่า
สําคัญ คือ การเขียนบรรยายประสบการณ อากาศจะร้อนจะหนาวกันซะขนาดไหน ก็อย่าลืมทีจ่ ะดูแล
ประเภทหนึ่ง) สุขภาพตัวเองด้วยนะคะเดีย๋ วจะอดเทีย่ วพักผ่อนยาวๆ ที่
• นักเรียนคิดวางานเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ จะถึงนีก้ นั
ประกอบดวยขอมูลกี่สวน อะไรบาง และ อย่างสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วของทริปนีท้ นี่ า�้ ผึง้ จะแนะน�า
เพราะเหตุใดจึงเปนเชนนั้น อยู่ที่ จ.นครพนมค่ะ ที่นี่นอกจากจะเป็นเมืองริมโขง
(แนวตอบ ประกอบดวยขอมูล 2 กลุม คือ ทีน่ า่ อยูแ่ ละสงบเงียบแล้ว ยังเป็นดินแดนคูค่ วามสัมพันธ์
ขอมูลที่เปนขอเท็จจริง และขอมูลที่เปน อินโดจีนที่มีเรื่องราวน่าสนใจอีกด้วยค่ะ อย่างที่จวน
ขอคิดเห็น เพราะการเขียนแนะนําสถานที่ ผูว้ า่ ราชการจังหวัดนครพนมหลังเก่า ภายนอกตึกดูเก่าๆ พระธาตุพนมในวัดพระธาตุพนมวรวิหาร  
สําคัญเปนการเขียนบรรยายประสบการณ แต่ซอ่ นด้วยความสวยแนวคลาสสิก เป็นสถาปัตยกรรม เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนม
ประเภทหนึง่ ซึง่ การเขียนบรรยายประสบการณ แบบฝรัง่ เศสสไตล์คอเรียน ออกแบบโดยใช้ผนังรับน�้าหนัก ภายในตัวอาคารมีนิทรรศการภาพเก่า
จะประกอบดวยขอมูลที่เปนขอเท็จจริงของ เล่าเรื่องเมืองนครพนม จากห้องแรกเราจะได้รู้จักกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดท่านแรก ซึ่งเป็น
สถานที่และขอคิดเห็นที่ผูเขียนมีตอสิ่งหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนับจากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ และยังเป็นผู้อ�านวยการ
สร้างอาคารหลังนี้อีกด้วยนะคะ มีภาพของท่านผู้ว่าฯ แต่ละท่านทั้งที่เคยอยู่ที่จวนหลังนี้และ
สิ่งใดหรือสถานที่นั้นๆ)
ไม่ได้อยู่ที่จวนหลังนี้ค่ะ
• การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญและสถานที่
ห้องถัดไปก็จะเป็นห้องเก็บรวมภาพย่านเก่าของเมืองนครพนมไว้ ตัวเมืองจะเลียบยาว
ทองเทีย่ วมีความคลายคลึงหรือแตกตางกัน ตามแม่นา�้ โขง ถนนเส้นเลียบแม่นา�้ โขงคือถนนสายหลักสายแรกของ จ.นครพนมค่ะ เมืองนครแห่ง
อยางไร อีสานดินแดนสองฝัง่ แม่นา�้ โขงแถบนีเ้ ดิมทีเป็นทีต่ งั้ ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ตัวเมืองตัง้ อยูท่ าง
(แนวตอบ มีความคลายคลึงกัน เพราะเปน ฝัง่ ซ้ายของล�าน�า้ โขง (ฝัง่ ลาว) บริเวณทางใต้ปากเซบัง้ ไฟตรงข้ามกับพระธาตุพนมในปัจจุบนั ผูค้ น
การเขียนบรรยายประสบการณที่ผูเขียนได ในเมืองนครพนมจะอยูร่ วมกันอย่างกลมกลืน มีทงั้ คนญวนคือคนไทยเชือ้ สายเวียดนาม คนจีนและ
เดินทางไปประสบดวยตนเอง สวนขอแตกตาง คนลาว แต่เดิมในประวัติศาสตร์ประเทศไทยกับประเทศลาวนั้นเป็นเมืองเดียวกันในอาณาจักร
อยูท วี่ ธิ กี ารเรียบเรียงขอมูล กลาวคือ การเขียน ศรีโคตรบูรณ์และมรุกขนคร ต่อมาได้แยกกันตอนที่มีสงคราม ฝรั่งเศสยึดเมืองลาวไป ภาพที่
แนะนําสถานที่ทองเที่ยว ผูเขียนควรเขียน
ในลักษณะของการเชิญชวน ปรากฏรูปแบบ 46
ภาษาในเชิงโนมนาวใจ ใหผูอานเดินทางไป
ทองเที่ยวยังสถานที่นั้นๆ)
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอมูลในขอใดมีความเหมาะสมนอยที่สุดสําหรับการเขียนแนะนําสถานที่
ครูควรใหนักเรียนอานบทความแนะนําสถานที่ทองเที่ยว สถานที่สําคัญจาก
ทองเที่ยวหรือสถานที่สําคัญของจังหวัดลพบุรี
นิตยสาร วารสาร เชน อนุสาร อ.ส.ท. นิตยสารเที่ยวรอบโลก หรือพ็อกเกตบุก
1. ภูมิศาสตร 2. ประวัติศาสตร
เกี่ยวกับการเดินทางทองเที่ยว เพื่อใหนักเรียนมีมุมมองเกี่ยวกับการเขียนแนะนํา
3. การแกปญหาจํานวนลิง 4. การเดินทาง
ที่กวางไกล นําแนวทางการเขียนที่สังเคราะหไดจากการศึกษางานเขียนของผูอื่น
มาใชพัฒนางานเขียนของตนเอง วิเคราะหคําตอบ การเขียนแนะนําสถานที่ทองเที่ยว คือการเขียนเลา
ประสบการณของผูเขียน นําผูอานไปทองเที่ยวอยางประหยัด เนื้อหา
ควรประกอบดวยความรูและความเพลิดเพลินใจ ขอควรระวังสําหรับ
มุม IT การเขียนแนะนําสถานที่คือ ผูเขียนไมควรแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปญหาใดปญหาหนึ่งโดยปราศจากการไตรตรอง
นักเรียนสามารถเขาไปอานบทความหรือสารคดีเชิงทองเที่ยวไดจากเว็บไซต ซึ่งอาจทําใหผูอานเกิดความเขาใจที่ผิดพลาดตอสถานที่นั้นๆ ได
ของอนุสาร อ.ส.ท. http://www.osotho.com/th/home/index.php ที่เว็บไซตนี้ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
จะทําใหนักเรียนมีมุมมองที่กวางขวางเกี่ยวกับการเขียนแนะนําสถานที่ ไดเรียนรู
รูปแบบการใชภาษา ถอยคํา สํานวนโวหารทีเ่ ปนลักษณะสําคัญของงานเขียนประเภทนี้

46 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเ กีย่ วกับการเขียนบรรยาย
จัดแสดงอยูภายในก็จะเปนภาพที่ใหคนในนครพนม และการเขียนแนะนําตนเองสรางสรรคงานเขียน
ไดมีสวนรวมในการสงเขามาประกวด ไมวาจะเอา แนะนําตนเอง
ภาพมาจากที่ไหนก็ตามนะคะ 2. นักเรียนใชองคความรูเ กีย่ วกับการเขียนแนะนํา
และหองถัดไปจะไดเรียนรูวัฒนธรรมและ สถานที่สําคัญสรางสรรคงานเขียนของตนเอง
ศิลปกรรมของทางนครพนมนะคะ จากนัน้ เราเดินตาม โดยเลือกเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ คนละ
รอยพอ*ไปที่ชั้น ๒ ซึ่งเราก็จะไดเห็นภาพเมื่อครั้งที่ 1 สถานที่ ความยาวไมเกิน 1 หนากระดาษ A4
พระบาทสมเด็จพระเจาอยูห วั *เสด็จฯ มาเยีย่ มราษฎร 3. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ทํ าให เกิ ดภาพประวั ติศาสตร ของงานเขียนแนะนําตนเองที่ดี เพื่อใชประเมิน
ภาพนี้ นี่ก็คือแมเฒาตุมที่รอรับเสด็จถวายดอกบัว แม เฒาตุมถวายดอกบัวแดพระบาทสมเด็จ งานเขียนของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
๓ ดอก ทําใหเปนภาพที่อยูในความทรงจําของใคร มหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเกณฑที่นักเรียนรวมกันจัดตั้งขึ้นควร
หลายๆ คน ภาพนี้เกิดขึ้นที่นครพนมบริเวณสามแยกชยางกูรทางไปพระธาตุพนมคะ และ ครอบคลุม ดังตอไปนี้
หลังจากทีเ่ ราไดเยีย่ มชมนิทรรศการภายในจวนหลังเกานีเ้ รียบรอย เราเขาไปกันที่ “เฮือนเฮือไฟ” (แนวตอบ
หรือเรือนเรือไฟกันตอคะ • มีขอมูลเฉพาะบุคคลครบถวน
สําหรับเฮือนเฮือไฟนี้นะคะ เปนเรือนที่จัดแสดงภาพและเลาเรื่องราวประเพณี และ • การลําดับขอมูล มีความตอเนื่อง
วัฒนธรรมการไหลเรือไฟของชาว จ.นครพนม ซึ่งมีความนาสนใจมาก ไมแพที่อื่นเลยละคะ • ภาษา สามารถใชถอยคําบรรยายไดอยาง
จากจวนผูวาฯ เราเดินมาไดสักพักเราก็ตองมาสะดุดอยูที่หอนาฬกาเวียดนามอนุสรณ ซึ่งเปน เหมาะสม ถูกตองตามหลักไวยากรณ
เหมือนสิง่ แทนความขอบคุณของชาวเวียดนามทีม่ ตี อ ผืนแผนดินไทย กอนทีจ่ ะอพยพกลับประเทศ • การเขียนสะกดคํา การันต การเวนวรรคตอน
เวียดนามไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ แตถาหากอยากจะซึมลึกกับวัฒนธรรมไทย-เวียดนามมากกวานี้ ความสะอาดเรียบรอย ลายมือ กระดาษทีใ่ ช
ก็ตอ งไปทีห่ มูบ า นมิตรภาพไทย-เวียดนามคะ ทีห่ มูบ า นมิตรภาพไทย-เวียดนาม หรือหมูบ า นนาจอก และมารยาทที่ดีของผูเขียน)
เปนหมูบ า นเกาแก ชาวบานสวนใหญมเี ชือ้ สายเวียดนามทัง้ สิน้ และทีน่ กี่ ม็ ปี ระวัตศิ าสตรทนี่ า สนใจ 4. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
มาก โดยเฉพาะเปนหมูบานที่ทานโฮจิมินหไดเคยเขามาพักอาศัยนานถึง ๒ ป กอนที่จะกอบกู งานเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ เพื่อใชประเมิน
อิสรภาพไดสาํ เร็จอีกดวยนะคะ งานนีเ้ ราไดเขาชมบานของลุงโฮไดอยางเต็มที่ บานของทานโฮจิมนิ ห งานเขียนของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน
เปนบานชัน้ เดียว หนาบานมีตน มะพราว ๒ ตน ทีท่ า นปลูกเอง ซึง่ เปนสัญลักษณและรหัสทีเ่ ขาใจกัน ซึ่งเกณฑที่รวมกันจัดตั้งขึ้นควรครอบคลุม
ในกลุม กอบกูอ สิ รภาพ ภายในบานเปนทีพ่ กั และทีท่ าํ งานทีเ่ รียบงาย ซึง่ สมัยกอนเวลาทีท่ า นสงขาวสาร ดังตอไปนี้
ถึงสมาชิกในกลุม ก็จะใชนกพิราบทีเ่ ลีย้ งไวในบานเล็กๆ หลังนี้ สงขาวอีกดวยละคะ (แนวตอบ
เปนอยางไรกันบางคะ คุณผูอานคงรูสึกวาเปนหมูบานเล็กๆ แตกลับมีเรื่องที่นาสนใจ • เลือกสถานที่ไดเหมาะสม นาสนใจ
มากมายใชไหมละคะ นํ้าผึ้งอยากจะบอกนะคะวา การที่เราไดมาเยือนนครพนมครั้งนี้ไดทั้งความ • กําหนดจุดมุงหมายในการเขียนไดชัดเจน
สนุกและก็ความรูมากมายเลยนอกจากเปนเมืองสงบและนาอยู ยังเปนเมืองทีส่ านสัมพันธภาพ • รวบรวมและลําดับขอมูลไดตอเนื่อง
มิตรภาพดีๆ ระหวางเพื่อนบานไวอยางเหนียวแนนดวยละคะ ถาหากคุณผูอ า นมีโอกาสก็อยาลืม • นําเสนอนาติดตาม ชวยสนับสนุนขอมูล
แวะมาเที่ยวที่ จ.นครพนม นะคะ • สํานวนภาษาถูกตองตามหลักไวยากรณ
(เยือนนครพนม ชมถิน่ ไทย-เวียดนาม : สราลี กิตยิ ากร, หนังสือพิมพโพสตทเู ดย ฉบับวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒) ไพเราะ สละสลวย สื่อความงาย
• ความนาเชื่อถือและการอางอิงแหลงขอมูล
* “พอ” และ “พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว” ในที่นี้หมายถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล • การเขียนสะกดคํา ความสะอาดเรียบรอย
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๔๗
เวนวรรคตอน ลายมือ กระดาษที่เลือกใช
และมารยาทที่ดีของผูเขียน)
บูรณาการเชื่อมสาระ
การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญสามารถบูรณาการไดกับกลุมสาระ เกร็ดแนะครู
การเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี โดยเรียนเชิญครูที่สอนสาระ
ครูควรชี้แนะใหแกนักเรียนวา การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ สถานที่ทองเที่ยว
เทคโนโลยี มาใหความรูแ กนกั เรียนเกีย่ วกับการบันทึกวิดโี อใหอยูใ นรูปแบบ
มีจดุ มุง หมายสําคัญ คือทําใหผอู า นไดรจู กั สถานทีน่ นั้ ๆ ผานการถายทอดดวยถอยคํา
ของไฟลที่สามารถนําไปโพสตลงบนเว็บไซตของโรงเรียนแลวสามารถคลิก
สํานวนโวหารของผูเ ขียน ทําใหไดรบั ทัง้ ความรู และความบันเทิง โดยเฉพาะอยางยิง่
ลิงกเขาไปรับชมได จากนั้นใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 3-5 คน เลือก
การเขียนแนะนําสถานที่ทองเที่ยวอาจประกอบดวยขอมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร
สถานที่สําคัญภายในจังหวัด (ไมควรซํ้ากัน) ใชองคความรูเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร เปนตน ดังนั้น วิธีการเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ สถานที่ทองเที่ยว
การเขียนรวมกันเขียนบทบรรยายแนะนําสถานที่สําคัญ นําเสนอในรูปแบบ
ผูเขียนจะตองมีความรู ความเขาใจในทุกแงมุมเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ เปนอยางดี
ของบันทึกการเดินทางมีทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียงบรรยาย และอาจมีเสียง
ไมควรฟงจากคําบอกเลาของผูอ นื่ แลวนํามาเขียน ควรเขียนขึน้ จากประสบการณตรง
ดนตรีประกอบ นําสงครูโดยโพสตลงบนเว็บไซต ครูมอบหมายใหนักเรียน
ของตนเอง รวมทั้งมีความรู ความเขาใจ ความสามารถในการใชถอยคํา สํานวน
แตละคนเขาไปชมวิดีโอคลิปของแตละกลุม แลววิเคราะหผลงาน เชน
โวหาร หรือมีศลิ ปะในการเขียนเพือ่ ใหผอู า นไดรบั ทัง้ ความรูแ ละความบันเทิง ทีส่ าํ คัญ
สถานที่ที่เลือก ขอมูล การลําดับเนื้อหา การลําดับภาพ เสียงประกอบ
ไมควรดวนสรุปหรือแสดงความคิดเห็นสวนตนลงไปในประเด็นที่ไมทราบแนชัด
นําผลการวิเคราะหมาสรุปผลในชั้นเรียน เพื่อคัดเลือกกลุมที่นําเสนอไดดี
นอกจากนีผ้ เู ขียนอาจมีการอางอิงแหลงขอมูลไวทา ยงานเขียนเพือ่ เพิม่ ความนาเชือ่ ถือ
ที่สุด ผลของการปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนเห็นประโยชนของสื่อ
ซึ่งแหลงอางอิงอาจเปนหนังสือ หรือบุคคลทองถิ่นผูเปนเจาของวัฒนธรรม
อิเล็กทรอนิกสหากใชในเชิงสรางสรรค และเรียนรูวิธีการประเมินงาน
ของตนเองและผูอื่น
คูมือครู 47
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุม ที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “การเขียนสื่อสารบนสื่ออิเล็กทรอนิกส” ข้อสังเกต
พรอมทัง้ ระบุแหลงทีม่ าของขอมูลจากนั้นครูสุมเรียก ๑. งานเขียนนี้ใช้ภาษาไม่เป็นทางการ ท�าให้ผู้อ่านรู้สึกสนุกไปด้วย
ชือ่ นักเรียนเพือ่ ตอบคําถาม ๒. มีการใช้ค�าภาษาต่างประเทศ เช่น ทริปนี้ แม้ว่าเป็นค�าที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ควรใช้ค�า
• สถานการณที่วัยรุนไทยใชภาษาสแลง ภาษาต่างประเทศเท่าที่จ�าเป็น
คําคะนองในการสื่อสารเปนเรื่องผิดหรือไม ๓. มีการใช้ส�านวนในย่อหน้าบทน�าที่ไม่สอดคล้องกันนัก เช่น “ใครจะยอมปล่อยให้ลอยนวล”
อยางไร ส�านวนนี้ปกติใช้กับผู้ร้าย
๔. ผู ้ เขี ย นไม่ ไ ด้ ใ ห้ ร ายละเอี ย ดเส้ น ทางการเดิ น ทางและต� า แหน่ ง ที่ ตั้ ง ของสถานที่ เช่ น
(แนวตอบ การใชคําเหลานี้สนทนากัน
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดหลังเก่า เฮือนเฮือไฟ หมู่บ้านนาจอก
เฉพาะกลุมไมใชเรื่องผิด แตควรตระหนักวา
๕. ผู้เขียนสอดแทรกประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ท�าให้ผู้อ่านมีความรู้เพิ่มขึ้น
ไมใชคําที่ถูกตองตามหลักไวยากรณไทย ๖. งานเขียนมีข้อบกพร่องในการใช้ภาษา ได้แก่ การใช้ค�าฟุ่มเฟือย เช่น “นะคะ” “ค่ะ” หรือ
รวมถึงไมสุภาพเมื่อจะนําไปใชสื่อสาร การใช้รูปวรรณยุกต์ เช่น “เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ” ที่ถูกต้องต้องเขียนว่า “เป็นอย่างไรกันบ้างคะ”
ในโอกาสที่เปนทางการควรใชคําที่ถูกตอง สรุป แม้งานเขียนนี้จะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ก็ท�าให้ผู้อ่านได้รับความรู้และความเพลิดเพลิน
และคํานึงถึงความเหมาะสม) 1
๒.๔ การเขียนบนสือ่ อิเล็กทรอนิกส์
ขยายความเขาใจ Expand
การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์
นักเรียนรวมกันอภิปรายในหัวขอ “การสื่อสาร
ผ า นสื่ อ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส ส  ง เสริ ม แนวคิ ด การเรี ย นรู  การสนทนาจากกระทู้ทางสื่ออินเทอร์เน็ต
เอมี่ : ชอบค�าขวัญวันเด็กปีนี้มะ
ตลอดชีวิตไดอยางไร” นําผลการอภิปรายมาจัดการ
พล : ชอบฉลาดคิด คนคิดฉลาดเจงๆ
ความรู  ร  ว มกั น ในลั ก ษณะของป า ยนิ เ ทศประจํ า
เอมี่ : จิตบริสุทธิ์ เป็นยังไงอะ
ชั้นเรียน
พล : ก็จิตไม่ด�าอิ
เอมี่ : งั้น ผูกพันรักสามัคคี ก็คือ เด็กใจขาวคิดเก่งร่วมกันจุดไฟฝัน ชิมิ?
พล : เอ! ภาษาเทพนี่
ข้อสังเกต
๑. ค�าศัพท์ที่ใช้สนทนาเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มของวัยรุ่น มีการใช้ค�าที่ผู้เขียนประดิษฐ์ขึ้นเอง
เช่น มะ (ไหม) เจงๆ (จริงๆ) ยังไงอะ (อย่างไรล่ะ) อิ (สิ) ชิมิ (ใช่ไหม)
๒. ผู้เขียนโต้ตอบกันบนกระดานสนทนามักจะเป็นกลุ่มคนวัยเดียวกันและสนใจเรื่องเดียวกัน
จึงจะสามารถใช้ภาษาโต้ตอบกันได้
๓. ภาษาที่ใช้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องใช้ค�าใดแทนภาษาพูดแบบธรรมดา
๔. บทสนทนานี้เน้นความสนุกจนเกินเลย โดยน�าค�าขวัญประจ�าวันเด็กมาเบี่ยงเบนจนคุณค่า
ของค�าขวัญหมดไป

48

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดเปนวิธีการแกไขปญหาการใชคําคะนองหรือคําสแลงที่จะทําให
1 สื่ออิเล็กทรอนิกส มีทั้งขอดีและขอเสีย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับวาผูใชงานจะมี
ภาษาไทยไมวิบัติ
วิจารณญาณในการเลือกใชเพื่อการสื่อสารอยางไร การสื่อสารผานสื่ออิเล็กทรอนิกส
1. รวมกันเดินรณรงคเพื่อสรางจิตสํานึกที่ดีแกเยาวชน
มีขอดี คือ สามารถสืบคนหรือเผยแพรขอมูลขาวสารที่เปนประโยชน สนับสนุน
2. หนวยงานของรัฐบาลกําหนดบทบัญญัติใหปฏิบัติตาม
แนวคิดการเรียนรูตลอดชีพ ไมจํากัดวัย เพศ สถานที่ และเวลา แตถาผูใชปราศจาก
3. ผลิตสื่อเผยแพรขอเสียของการใชคําคะนองในการสื่อสาร
วิจารณญาณในการใช เผยแพรขอมูลขาวสารที่เปนเท็จหรือสรางความแตกแยกก็จะ
4. ผูใชภาษาไทยเพื่อการสื่อสารควรคํานึงถึงความเหมาะสมในการใช
เกิดผลเสียขึ้น ดังนั้น นักเรียนในฐานะที่มีความรูความเขาใจเกี่ยวกับขอดีและขอเสีย
ของการสื่อสารผานสื่ออิเล็กทรอนิกส จึงควรใชสื่อประเภทนี้ในทิศทางที่ถูกตองและ วิเคราะหคําตอบ การใชคําคะนองหรือคําสแลงสนทนาในชีวิตประจําวัน
ใหคาํ แนะนําแกนอ งๆ เยาวชนทีร่ เู ทาไมถงึ การณ ก็จะมีสว นชวยสังคมไดอกี ทางหนึง่ ระหวางกลุม บุคคลทีม่ คี วามสนิทสนมไมใชสงิ่ ผิดรายแรง แตผใู ชควรตระหนัก
วา ไมใชคําที่ถูกตอง เปนถอยคําที่เกิดขึ้นเฉพาะชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง
และอาจจะพนสมัยไป เมื่อตองสื่อสารกับผูอื่นหรือกับบุคคลที่มีอาวุโสกวา
ในสถานการณที่เปนทางการ ควรที่จะเลือกใชถอยคําใหถูกตองเหมาะสม
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

48 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูเลาสถานการณใหนักเรียนฟงเกี่ยวกับความ
๓ การเขียนย่อความ 1
เจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี ที่มนุษยสามารถรับรู
ย่อความ คือ การจับใจความส�าคัญของเรื่องที่ได้อ่าน
น ได้ฟัง หรือได้ดูมา ให้ได้ความว่าใคร
ขอมูลขาวสารความบันเทิงไดรวดเร็วยิ่งขึ้น บางสิ่ง
ท�าอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด เพราะเหตุใดหรือมีแนวคิดอย่างไร แล้วน�ามาเรียบเรียงสรุปให้ได้
ที่เปนประโยชน แตอาจหลงลืมได จากนั้นครู
ใจความครบถ้วน สั้น กระชับ ด้วยส�านวนของตนเอง
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ขอมูล ขาวสารที่เปนประโยชน นักเรียนจะ
การเขียนย่อความ มีวิธีในการจดจําหรือเก็บรักษาขอมูลนั้นได
อยางไร
สื่อมวลชนสามารถจะน�าเรื่องราวต่างๆ ไปสู่บุคคลเป็นจ�านวนมากได้แม้ว่าบุคคลเหล่านั้น (แนวตอบ สามารถเก็บรักษาขอมูลเหลานัน้ ได
ในรูปแบบของการบันทึกเปนขอความ โดย
จะแยกกันอยู่ในสถานที่ต่างๆ ก็ตาม นับได้ว่าสื่อมวลชนมีความส�าคัญต่อการศึกษา เพราะช่วย
ระบุใจความสําคัญและแหลงทีม่ า ซึง่ เรียกวา
เผยแพร่ข่าวสารความรู้แก่มวลชนได้อย่างรวดเร็ว แต่ในบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายเหล่านั้น
“ยอความ”)
หนังสือพิมพ์รายวันมีบทบาทและอิทธิพลต่อการศึกษามากที่สุด เพราะเสนอข่าวสารได้คงทน
• ทักษะการยอความมีความจําเปนตอชีวิต
ถาวรเป็นหลักฐานให้ผู้อ่านได้มีเวลาคิดตรึกตรองและสามารถย้อนกลับไปอ่านทบทวนได้
ประจําวันของนักเรียนอยางไร
หนังสือพิมพ์รายวันจึงเข้าถึงมหาชน และเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษามาก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
(ศรีวรรณ ช้อยหิรัญ) ไดอยางอิสระ)
• การยอความที่ดี ผูยอตองมีความรูในเรื่อง
ใดบาง
ใจความส�าคัญของข้อความนี้ คือ หนังสือพิมพ์รายวันเป็นสื่อสารมวลชนที่มีอิทธิพลต่อ
(แนวตอบ ตองรูหลักการยอความและรูปแบบ
การศึกษามากที่สุด เพราะบันทึกข่าวสารที่คงทนถาวรซึ่งสามารถน�าไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อการศึกษา
การเขียน)
ใจความส� า คั ญ หมายถึ ง ข้ อ ความที่ ส� า คั ญ ที่ สุ ด ในงานเขี ย น ข้ อ ความที่ มี ใจความส� า คั ญ
รองลงมาเรียกว่า พลความ
ข้อความในงานเขียนต่างๆ จ�าแนกเนื้อหาได้ ๓ ชนิด คือ สํารวจคนหา Explore
๑. ข้อเท็จจริง เป็นข้อความหรือเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือที่เป็นอยู่ตามจริง มีหลักฐานสามารถ แบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม ตามความสมัครใจ
พิสูจน์ได้ เช่น ถ้าฝนตกในเวลาที่แดดออก เราจะมองเห็นรุ้งกินน�้า จากนั้นใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็น
๒. ข้อคิดเห็น เป็นข้อความทีแ่ สดงความรูส้ กึ หรือความคิดเห็นของผูเ้ ขียนเอง หรือเป็นข้อความ สําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้
ที่แสดงการคาดคะเน เช่น ชีวิตที่มีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว เป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายมาก หมายเลข 1 หลักการยอความ
๓. ข้อความที่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เป็นข้อความที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียนที่ หมายเลข 2 การเขียนคํานํายอความ
เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้นๆ เช่น ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล ท�าให้รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว โดยนักเรียนสามารถสืบคนความรูไดจากแหลง
การเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได เชน ตํารา
สื่อการเรียนรูอิเล็กทรอนิกส เปนตน แตละกลุม
ควรรวมกันลงมติคัดเลือกผูมีทักษะในการจด
บันทึกทําหนาที่เปนผูจดบันทึกสาระสําคัญที่ได
49
จากการสืบคนรวมกัน

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้คือองคประกอบของการยอความเรื่องหนึ่งๆ
ครูควรชีแ้ นะแกนกั เรียนวา การยอความทีถ่ กู ตอง คือ การจับใจความสําคัญของ
1. รูปแบบและสรุป
เรือ่ งทีอ่ า น ดังนัน้ การยอความเรือ่ งเดียวกันแมผยู อ จะเปนคนละคน แตใจความสําคัญ
2. หลักการและรูปแบบ
ทีไ่ ดจะเปนไปในทิศทางเดียวกัน การฝกฝนใหนกั เรียนยอความจากเรือ่ งทีอ่ า นหรือฟง
3. สวนนําและเนื้อความ
อยางหลากหลายจะชวยฝกทักษะการสรุปยอและทักษะการสังเคราะหใหแกนักเรียน
4. เนื้อความและสวนสรุป
ซึ่งสามารถนําไปประยุกตใชใหเกิดประโยชนในชีวิตประจําวันของตนเองได
วิเคราะหคําตอบ การยอความเปนการเขียนทีม่ รี ปู แบบเฉพาะ โดยยอความ
เรื่องหนึ่งๆ จะประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน ไดแก สวนที่ 1 สวนนํา
หรือสวนขึ้นตน เปนสวนที่บอกที่มาของเรื่องที่นํามายอ สวนที่ 2 คือ นักเรียนควรรู
เนื้อความเปนสวนที่ยอเรื่องที่อานหรือฟง ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
1 การจับใจความสําคัญของเรือ่ งทีไ่ ดอา น เมือ่ อานเรือ่ งทีม่ ขี นาดยาว การยอความ
จําเปนตองอาศัยความรูเรื่องยอหนาเปนพื้นฐาน เพื่อสามารถจับใจความสําคัญ
ในแตละยอหนาไดถูกตอง ซึ่งประสิทธิภาพของการยอความวัดจากผูยอสามารถ
สรุปความไดวา เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร หรือใคร ทําอะไร ที่ไหน เมื่อไร อยางไร

คูมือครู 49
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “หลักการยอความ” 1
การเขียนย่อความ
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ทางเหนือของกัมพูชาติดกับชายแดนไทย คือหนึ่งในแหล่งที่เป็น
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับหลักการ มรดกทางวัฒนธรรมส�าคัญของประเทศ สร้างขึ้นในราวปลายศตวรรษที่ ๑๑ หลังแพ้คดีความ
ยอความ โดยใชความรูที่ไดรับจากการฟง ในศาลโลก ไทยจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด๑ จึงได้มกี ารท�าแผนทีข่ นึ้ ใหม่ทแี่ สดง
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล เขตให้เห็นว่าแม้ตัวปราสาทพระวิหารจะอยู่ในเขตแดนเขมรก็ตาม แต่โดยลักษณะสันปันน�้า
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พื้นที่โดยรอบเกือบทั้งหมดอยู่ในไทย ส่วนทางเขมรไม่ยอมรับพื้นที่ซึ่งไทยก�าหนดจึงเกิดเป็น
• การยอความมีหลักปฏิบัติอยางไร ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกันขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องมายาวนาน ต่อมาเมื่อทางเขมรขอให้คณะกรรมการ
(แนวตอบ ตองอานหรือฟงเรื่องที่ยอโดย มรดกโลกก�าหนดให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยผนวกกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนเข้าไป
ละเอียด พิจารณาวาสิ่งใดเปนใจความสําคัญ ด้วย ทางไทยจึงไม่ยอมรับ ถ้าหาข้อยุตริ ะหว่างกันไม่ได้ อาจน�าไปสูก่ ารเผชิญหน้ากันทางก�าลัง
และสิ่งใดเปนใจความสําคัญรอง เพื่อใหทราบ หรือไม่ก็เป็นคดีความในศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง ๒
เนื้อหาหลักหรือสาระสําคัญของเรื่องทั้งหมด ข้อความ ๑ เป็นข้อความที่แสดงอารมณ์
เขียนสวนนําเพื่อบอกแหลงที่มาของเรื่อง ข้อความ ๒ เป็นข้อความที่แสดงความคิดเห็น
ที่นํามายอใหถูกตองชัดเจน เรียบเรียง ส่วนข้อความที่เหลือทั้งหมด เป็นข้อความที่เป็นข้อเท็จจริง
ใจความสําคัญดวยสํานวนภาษาของตนเอง
หากเนื้อเรื่องเดิมใชสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 ๑) หลักการย่อความ มีหลักในการปฏิบัติ ดังนี้
ใหเปลี่ยนเปนสรรพนามบุรษุ ที่ 3 แตถา ปรากฏ ๑. อ่านเรื่องที่จะย่ออย่างละเอียดหลายๆ ครั้ง เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวแจ่มแจ้ง
คําราชาศัพทใหคงไวเชนเดิม นอกจากนี้ ๒. เขียนค�าน�าการขึ้นต้นย่อความตามรูปแบบประเภทของเรื่องที่ย่อ
ถาขอความที่ยอเปนรอยกรองใหถอดความ ๓. เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ ให้เป็นบุรุษที่ ๓
เปนรอยแกวกอนแลวจึงลงมือยอความ) ๔. ศึกษาศัพท์ ส�านวนโวหาร และตีความเรื่องที่อ่าน
๕. ถ้าเรื่องที่ย่อเป็นร้อยกรองต้องถอดค�าประพันธ์เป็นร้อยแก้ว แล้วจึงย่อ
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๖. ถ้าเดิมมีราชาศัพท์ให้คงไว้
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1
๗. จับใจความส�าคัญของแต่ละย่อหน้า แล้วสรุปด้วยถ้อยค�าส�านวนของผู้ย่อเอง
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด ๒) การเขียนค�าน�าย่อความ มีความส�าคัญมากส�าหรับการเขียนย่อความ เพราะช่วยให้รู้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น แหล่งที่มาของเรื่องที่ย่อและใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงได้ การเขียนค�าน�าย่อความมีรูปแบบเฉพาะที่
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม) ผู้เขียนจะต้องศึกษา ดังนี้
๑. การย่อนิทาน นิยาย เรื่องสั้น ให้บอกประเภทชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ที่มาของเรื่อง เช่น

ย่อนิทานเรื่อง.................................................ของ.......................................................................................................
จาก......................................................ความว่า
......................................................................................................................................................................................................

50

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับหลักการยอความ
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา การเขียนยอความเปนการเรียบเรียงใจความสําคัญ
1. เปลี่ยนคําราชาศัพทเปนสํานวนผูยอ
ของสิง่ ทีไ่ ดอา นหรือฟง ดังนัน้ หากนักเรียนตองการจะเขียนยอความไดดจี งึ ตองอาศัย
2. เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 เปน 3
ทั้งความสามารถในการอาน การฟงเพื่อจับใจความ และความสามารถในการเขียน
3. จับใจความสําคัญ แลวสรุปเปนสํานวนของผูยอ
ประกอบกัน
4. ถาเรื่องที่ยอเปนรอยกรองตองถอดความใหเปนรอยแกว
วิเคราะหคําตอบ การยอความมีหลักการยอ ดังนี้ อานเรื่องที่ยออยาง
นักเรียนควรรู ละเอียด เขียนสวนนําของยอความใหถูกตองตามรูปแบบที่กําหนด เปลี่ยน
สรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 เปนสรรพนามบุรุษที่ 3 ทําความเขาใจ
1 การเขียนยอความ มีประโยชนตอนักเรียน เพราะทุกครั้งที่เกิดการแสวงหา ความหมายของถอยคํา สํานวนโวหาร ถาเรื่องที่ยอเปนรอยกรองตอง
ความรูไมวาจะดวยวิธีการอานหรือการฟง หากนักเรียนไมละเลยที่จะจดบันทึก ถอดความเปนรอยแกว ยอความดวยสํานวนภาษาของตนเอง หากเรื่อง
ใจความสําคัญเหลานัน้ ไวในรูปแบบของการยอความ ก็จะทําใหนกั เรียนมีคลังความรู ที่ยอปรากฏคําราชาศัพทใหคงไวเชนเดิม ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
ที่สามารถกลับมาทบทวนหรือนําไปใชตอยอดไดอีกในอนาคต

50 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒. การย่อค�าสอน ค�าบรรยาย ค�ากล่าวปาฐกถา ให้บอกประเภท ชื่อเรื่อง เจ้าของเรื่อง ความรูในประเด็น “การเขียนคํานํายอความ”
ผู้ฟัง สถานที่ และเวลาที่แสดงเท่าที่จะทราบได้ เช่น พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ย่อค�าสอนเรื่อง.....................................................................ของ ...............................................................................
จาก......................................................ความว่า อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
.....................................................................................................................................................................................................
การเขียนคํานํายอความ โดยใชความรูที่ไดรับ
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
๓. การย่อค�าปราศรัย สุนทรพจน์ พระราชด�ารัส ฯลฯ ต้องบอกประเภท เจ้าของเรื่อง เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ผู้ฟัง โอกาสที่กล่าว สถานที่กล่าว วัน เดือน ปีที่กล่าวเท่าที่จะทราบได้ เช่น • การเขียนคํานํายอความมีความสําคัญ
อยางไร
ย่อค�าปราศรัยของ......................แก่.................................ในโอกาส.......................ทาง(ที่) ....................... (แนวตอบ การเขียนคํานํายอความ ชวยใหรู
วันที.่ ...................................................................................ความว่า แหลงที่มาของเรื่องที่อานหรือฟง สามารถ
.....................................................................................................................................................................................................
ใชเปนหลักฐานอางอิงไดเมื่อกลับมาศึกษา
ทบทวนในภายหลัง)
นิทานที่นÓมาย่อความ • คํานํายอความแตละประเภทจะมีลักษณะ
แตกตางกัน แตมีขอมูลบางประการที่จําเปน
ในสวนหลังบ้านผูม้ ฐี านะดี ปลูกดอกกุหลาบประดับสวนเพือ่ ความสวยงามและให้ความสดชืน่ ตองใสเหมือนกัน ขอมูลนั้นคืออะไร
แก่เจ้าของบ้านและผูพ้ บเห็น ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ลูกสาวเจ้าของบ้านมักจะเข้ามาเดินชมสวน (แนวตอบ ชื่อเรื่อง ชื่อผูแตง แหลงที่มาของ
เธอจะตรงมาที่แปลงปลูกกุหลาบที่ก�าลังออกดอกตูมและแย้มบานอวดสีแดง เหลือง ชมพู และ เรื่องนั้นๆ)
ขาวบริสุทธิ์... • หากนักเรียนตองการอานเรื่องราวตางๆ ที่มี
“โอ้...กุหลาบช่างสวยและหอมเหลือเกิน” สาวน้อยอุทานด้วยอาการเริงร่า ใครๆ ต่างชม
ความงามของกุหลาบกลิ่นหอมและสีสันสดสวย จนท�าให้กุหลาบทั้งแปลงหลงตัวเองเย่อหยิ่ง
หลายยอหนา นักเรียนจะมีวิธีการยอความ
ล�าพองใจในความสวยของตน อยางไรใหมีประสิทธิภาพ
“นี่พวกเราดูดอกบานไม่รู้โรยพวกนี้สิ เกิดเป็นมันไม่มีใครชมเลย ผีเสื้อยังไม่อยากเข้าใกล้” (แนวตอบ ตองอานเรื่องอยางละเอียด จากนั้น
ดอกบานไม่รู้โรยอดทนฟังคารมอันถากถางทุกวี่ทุกวันก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้บ้าง จึงพิจารณาแตละยอหนาของบทอาน โดย
“ความหอมความสวยของเจ้ามีประโยชน์อะไรบ้าง” คนหาใจความสําคัญ และใจความรองของ
“อุย๊ ...ตาย...ย...ว้ายกรีด๊ ...” ดอกกุหลาบสีชมพูรอ้ งขึน้ สุดเสียงอย่างดัดจริต หันไปทางกุหลาบ แตละยอหนา เมื่อจะลงมือยอจึงนําใจความ
สีขาว พลางว่า “กุหลาบขาวราวปุยฝ้าย หล่อนบอกพวกบานไม่รโู้ รยหน่อยสิวา่ พวกเรามีประโยชน์ สําคัญที่คนหาไดมาเรียบเรียงดวยสํานวน
อะไรบ้าง” กุหลาบสีขาวดูจะสงบเสงีย่ มกว่าสีอนื่ ๆ ตอบว่า “ได้จะ้ ...กุหลาบกลิ่นหอมอย่างพวกเรา ภาษาของตนเอง)
เหมาะจะเก็บไปใส่แจกันตั้งอวดความสวยที่โต๊ะรับแขก เอาไปร้อยพวงมาลัยก็ได้...” 3. นักเรียนรวมกันสรุปความคิดเห็นวา แหลงขอมูล
วันไหว้ครูมาถึง ลูกสาวเจ้าของบ้านพาเพื่อนมาจัดพานไหว้ครูที่บ้านของเธอโดยปูเสื่อนั่ง
ช่วยกันท�าใต้ร่มไม้...
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 มีความนาเชื่อถือหรือไม
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
51 ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
การอานในขอใดที่ไมควรใชหลักการยอความ
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับการรับสารของคนในยุคปจจุบัน การอานหรือ
1. การอานโฆษณาจากหนังสือพิมพ
การฟงขอมูลที่เผยแพรสามารถกระทําไดโดยระบบเครือขายอินเทอรเน็ตผานเว็บไซต
2. การอานสารคดีเชิงทองเที่ยวจากจุลสาร
ตางๆ ซึง่ การยอความเนือ้ หาสาระหรือขอมูลทีไ่ ดจากการรับสารดวยวิธนี ี้ นักเรียนจะ
3. การอานบทความเชิงอนุรักษจากนิตยสาร
ตองอางอิงรูปแบบรายละเอียดที่จําเปนตองระบุในสวนตนของการยอความเหมือน
4. การอานขั้นตอนการประดิษฐจากนิตยสารรายปกษ
การยอความอื่นๆ คือตองระบุชื่อเรื่อง ชื่อผูแตง (ถามี) เว็บไซต และวัน เดือน ป
วิเคราะหคําตอบ การอานโฆษณาสามารถใชหลักการยอความได ที่เขาชมหรือวัน เดือน ป ที่เรื่องนั้นไดเผยแพรบนเว็บไซต ดังนี้
โดยพิจารณาวา เปนโฆษณาเกี่ยวกับสินคาอะไร สรรพคุณ สถานที่
ยอเรื่อง เลนไปรูไป หลักฟสิกส งายๆ ในสวนสนุก ผูจัดการออนไลน
วางจําหนาย การอานสารคดีเชิงทองเที่ยวสามารถใชหลักการยอความได
http://www.manager.co.th/science/view News.aspx?NewsID=95100000
โดยพิจารณาวา สถานที่นั้นตั้งอยูที่ใด เดินทางไปอยางไร ที่พัก อาหาร
41921 9 เมษายน 2551 ความวา
การอานบทความเชิงอนุรักษสามารถใชหลักการยอความได โดยพิจารณา
วา สถานทีท่ ไี่ ดรบั การอนุรกั ษคอื ทีใ่ ด ทําไมตองอนุรกั ษ แลวอนุรกั ษอยางไร
สวนการอานขัน้ ตอนการประดิษฐ ผูอ า นไมสามารถใชหลักการยอความได
เพราะผูอานจะตองปฏิบัติตามขั้นตอนทุกๆ ขอ เพื่อใหประกอบชิ้นงาน
ไดสําเร็จ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 51
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับหลักการและ
รูปแบบการยอความ ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 “อ้อย...ดูสิกุหลาบสวยเหลือเกิน”
ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด “ตอนนี้ความสวยของกุหลาบไม่เป็นประโยชน์กับการตกแต่งพานไหว้ครูของเราหรอก
กิจกรรมที่ 2.3 กุหลาบใจเสาะเหี่ยวเร็วเกินไป เรามาช่วยกันเก็บดอกบานไม่รู้โรยจัดพานไหว้ครูกันเถอะ”
บรรดาเด็กสาวในกลุ่มต่างช่วยกันเก็บบานไม่รู้โรยจ�านวนมาก สีขาว สีม่วงอ่อน สีชมพู
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ ของดอกบานไม่รู้โรยถูกเก็บมาตกแต่งพานไหว้ครู
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.3
เรื่อง การยอความ
กลุ่มเด็กสาวนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายต่างช่วยกันคิดออกแบบรูปทรงดินเหนียวและ
บรรจุตกแต่งด้วยบานไม่รโู้ รยต่างสีเป็นลวดลาย โดยมีดอกรักเข้ามาร่วมแซมให้ความสวยงามยิง่ ขึน้
กิจกรรมที่ ๒.๓ ใหนักเรียนยอบทความเรื่องโลกสรรพสินคา-ถุงผา
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ñð “พรุ่งนี้แหละพานดอกบานไม่รู้โรยจะได้น�าไปกราบไหว้ครู”
(ท ๒.๑ ม.๑/๒, ๕, ๙)
“ไม่เพียงแต่ไหว้ครูนะจ๊ะ พานดอกไม้ยังจะได้ประกวดเอารางวัลด้วย”
โลกสรรพสินคา-ถุงผา
ดูเหมือนจะมีภาพลักษณที่เขียวกวาถุงกระดาษและถุงพลาสติก เพราะหันไปทางใด
พวกเด็กสาวต่างมองเพ่งพิศพานดอกไม้ของพวกเธออย่างภาคภูมิใจในความสวย นุ่มนวล
ก็ไดยินคําเชิญชวน “หิ้วถุงผาลดโลกรอน” ทั้งที่ในความเปนจริง มันไมไดเปนมิตรกับโลก
แบบรอยเปอรเซ็นต เนื่องจากการผลิตถุงผาแตละใบลวนตองใชทรัพยากร ใชพลังงาน และ
ของบานไม่รู้โรย...
กระทบถึงสิ่งแวดลอมดวยกันทั้งนั้น แตจะมากหรือนอยขึ้นอยูกับวา…เปนผาอะไร คุณครูให้เราจัดพานประดับโต๊ะหมู่บูชาด้วยนะจ๊ะ เร่งมือหน่อย จะค�่าเสียก่อน
ถุงผาดิบผลิตจากเสนใยฝาย โดดเดนดวยความสามารถในการแบกรับนํ้าหนักมากๆ
แตรูหรือไม ไรฝายซึ่งเปนตนทางของวัตถุดิบนั้นไดชื่อวาเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่ตองการนํ้า ในยามนั้น...เสียงคุยกันของเด็กสาวต่างท�าให้ดอกกุหลาบผู้เย่อหยิ่งได้รู้ว่า บานไม่รู้โรย
มากที่สุดในโลก และใชสารเคมีมากเปนอันดับตนๆ เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกพืชชนิดอื่น
คิดเปนรอยละ ๑๖ ของสารเคมีการเกษตรที่ใชกันทั่วโลก เพื่อใหไดผลผลิตฝาย ๑ กิโลกรัม ที่พวกเธอพูดถากถางเช้าเย็นนั้นมีคุณค่าไม่น้อยเลย
ตองปอนนํ้ามากถึง ๗,๐๐๐-๒๓,๐๐๐ ลิตร ใชปุยเคมี ๔๕๗ กรัม และใชยาฆาแมลง ๑๖ กรัม
ฉบับ แมจะมีการทําไรฝายอินทรียแตก็นอยนิดเพียงหยิบมือ ไมเพียงพอตอความตองการของ
เวลาต่อมา... “พวกเราขอโทษนะบานไม่รโู้ รย ทีเ่ ราพูดจาไม่นา่ ฟังกับเจ้าทุกวีท่ กุ วัน” กุหลาบ
เฉลย
อุตสาหกรรมสิ่งทอ
ถุงผาโพลีเอสเตอรผลิตจากเสนใยสังเคราะห ซึ่งมีตนทางวัตถุดิบ เปนกาซธรรมชาติ
แสนสวยกล่าวค�าขอโทษ...
หรือนํ้ามันดิบ คุณสมบัติเหนือกวาถุงผาฝายตรงที่นํ้าหนักเบา แถมยังสะดวกพกพา เพราะพับ
มวนใหมีขนาดเล็กลงไดงาย เพื่อใหไดเสนใยโพลีเอสเตอร ๑ กิโลกรัม ตองใชกาซธรรมชาติ
“ไม่เป็นไรจ้ะ...พวกเราไม่ถือสาหาความหรอก เพราะเรารู้ว่าดอกไม้ในสวนนี้ต่างให้ความ
หรือนํ้ามันดิบประมาณ ๑.๕ กิโลกรัม สวยงามและให้ประโยชน์แตกต่างกัน” ดอกบานไม่รู้โรยบอกด้วยวาจาและน�้าเสียงที่สุภาพน่าฟัง
เปรียบเทียบกันเฉพาะขั้นตอนการผลิต ถุงผาฝายใชพลังงานมากกวา ๑.๒ เทา
ตองการนํ้ามากกวาประมาณ ๓ เทา และปลอยกาซคารบอนไดออกไซดมากกวา ๑.๕ เทา
1
แตสุดทายเมื่อหมดอายุขัยการใชงาน ถุงผาโพลีเอสเตอร ไมยอยสลาย ไมกลายสภาพ ขณะที่ (นิทานเรื่อง ดอกกุหลาบเย่อหยิ่ง : โชติ ศรีสุวรรณ, นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๘๐๔)
ถุงผาฝายซึ่งเปนเสนใยจากธรรมชาติสามารถกลับคืนสูบานของมันไดแนนอน ผลการศึกษา
ของหนวยงานดานสิง่ แวดลอมของรัฐบาลออสเตรเลียระบุวา หากพิจารณาจากพลังงานทัง้ หมด
ที่ใชในกระบวนการผลิต ถุงผาจะเปนทางเลือกทีด่ กี วาถุงพลาสติก ๑๔ เทา และดีกวาถุงกระดาษ
ถึง ๓๙ เทา ก็ตอเมื่อถุงผาใบนั้นมีสถิติการใชงานประมาณ ๕๐๐ ครั้ง
(บทความเรื่องโลกสรรพสินคา-ถุงผา : ฐิตินันท ศรีสถิต จากนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ ๓๐๒ เมษายน ๒๕๕๔)
การย่อความนิทาน
๒๘

ย่อนิทานเรื่อง ดอกกุหลาบเย่อหยิ่ง ของ โชติ ศรีสุวรรณ จากนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่


โดยนักเรียนตองอานบทความทั้งหมดอยาง ๒๘๐๔ ความว่า
ละเอียดจากนั้นใหคนหาใจความสําคัญหลักและ ดอกกุหลาบหลงตัวเองว่ามีสีสวยกลิ่นหอมจึงดูถูกดอกบานไม่รู้โรย แต่เมื่อถึงวันไหว้ครู
ใจความรองในแตละยอหนา แสดงในรูปแบบ ดอกบานไม่รู้โรยกลับได้รับเลือกไปใช้ ดอกกุหลาบจึงส�านึกว่าดอกไม้ทุกอย่างต่างสวยงามและมี
ประโยค โดยเขียนวา ยอหนาที่ 1 ใจความสําคัญ ประโยชน์ต่างกัน
คือ............. ใจความรองคือ....................................
นําใจความสําคัญในแตละยอหนามาเรียบเรียง
ดวยสํานวนภาษาของผูยอเองโดยใชรูปแบบ
การยอความที่ถูกตอง 52

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จากสถานการณตอไปนี้ “สมพรตั้งใจไปชมนิทรรศการศิลปะที่หอศิลป
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมแกนักเรียนวา นอกจากสวนนําและสวนเนื้อหาของ
แหงหนึ่ง ในวันนั้นไดมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางวิถีชีวิต
ยอความแลว ความยาวของยอความก็มีความสําคัญเชนเดียวกัน ซึ่งยอความ
และวิถีศิลปะ สมพรจึงเปลี่ยนใจเขารับฟงการเสวนาดังกลาว กอนที่จะ
เรื่องหนึ่งๆ ไมวาจะมีความยาวกี่ยอหนาก็ตาม เมื่อยอแลวโดยสวนใหญความยาว
เดินชมผลงานศิลปะ เนื้อหาสาระที่ไดฟงมีความนาสนใจ สมพรจึงตั้งใจ
จะอยูในอัตรารอยละ 20-30 ของเรื่องที่นํามายอ
ที่จะจดบันทึกสาระสําคัญไว แตสมพรไมมีทักษะการยอความ” ถานักเรียน
เปนสมพรจะมีวิธีการในการแกไขปญหาเบื้องตนอยางไร
นักเรียนควรรู แนวตอบ ในเบื้องตนจะขึ้นตนเพื่อบอกแหลงที่มาของเรื่องที่ฟง โดย
ระบุวา ฟงเรื่องอะไร ใครเปนคนพูด ฟงที่ไหน เมื่อไร อยางไร จากนั้น
1 นิตยสาร ตรงกับคําในภาษาอังกฤษวา magazine เปนสือ่ สิง่ พิมพประเภทหนึง่ จึงตั้งใจฟงเรื่องโดยตลอดอยางมีสมาธิ แลวบันทึกสาระสําคัญของเรื่อง
ที่มีระยะเวลาในการวางจําหนาย เนื้อหามีความหลากหลาย มุงใหทั้งความรู ดวยสํานวนภาษาของตนเอง
และความบันเทิง ซึ่งนิตยสารฉบับแรกของโลกคือ “นิตยสารสกอต” (The Scots
Magazine) โดยตีพิมพครั้งแรกในสกอตแลนด

52 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับการอาน
บทความที่นÓมาย่อความ ในชีวิตประจําวันคัดสรรบทความ คําสอนหรือ
สุนทรพจนประเภทใดประเภทหนึ่ง จํานวน
ต้นไม้แม้ใบจะแห้งเหี่ยวร่วงหล่น กิ่งจะเฉาจนโทรมเห็นชัด แต่ว่ารากยังฝังลึกมั่นไม่ขาด 1 เรื่อง นํามาอานแลวยอความ โดยแสดง
และไม่เน่าก็ยังยืนต้นอยู่ได้ เมื่อได้รับน�้าต้นนั้นก็อาจกลับฟื้น แตกใบ แตกกิ่ง งอกงามสืบไป ใจความสําคัญของแตละยอหนาในรูปแบบ
ส่วนต้นไม้ทรี่ ากแก้วขาดสะบัน้ หรือเน่าจะสิน้ ราก แม้ยงั ยืนต้นให้เห็นว่าเป็นกิง่ ใบงอกงามอยู่ ประโยคอยางชัดเจน นําประโยคสําคัญแตละ
ก็อยู่ได้อีกไม่นานเท่าไร สุดท้ายต้องยืนต้นเฉาแห้งตายไป
ยอหนามาเรียงลําดับพรอมตัดทอนรายละเอียด
ปลีกยอยของเรือ่ งออกไป แลวนํามาเรียบเรียงใหม
ความส�าคัญของต้นไม้อยูท่ รี่ าก เรือ่ งนีเ้ ปรียบกับมนุษย์กพ็ อเป็นไปได้ โดยอธิบายว่าคนเรานัน้
ดวยสํานวนภาษาของตนเอง
แม้มือจะเสีย เท้าจะเสีย ตาจะบอด หูจะหนวก แม้พิการเสียอวัยวะอื่นๆ ไป แต่ใจยังดีอยู่
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
คือยังมุง่ ดี หวังดี ใฝ่ฝนั ดี และนิยมในความดี คนเช่นนีย้ งั เป็นคนดีตอ่ ไปได้ อาจประสบความเจริญ
ของยอความที่ถูกตอง เพื่อใชประเมินการเขียน
ของชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมสมปรารถนา เพราะเขาเสียเฉพาะอวัยวะอันเป็นเสมือนกิ่งใบของ ยอความของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน
ต้นไม้ ส่วนใจอันเป็นรากแก้วนั้นยังสมบูรณ์และสดชื่นอยู่ และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป
ส่วนคนใดแม้อวัยวะต่างๆ ดีสมบูรณ์ บริสุทธิ์ แต่ใจเขาเสียเพราะมุ่งชั่ว หวังชั่ว ใฝ่ฝันชั่ว ซึ่งเกณฑที่นักเรียนรวมกันจัดตั้งขึ้นควร
และนิยมแต่ความชั่วเช่นนี้ ต้องเป็นคนชั่วช้าอย่างร้ายแรงซึ่งยากจะเป็นคนดีได้โดยต้องประสบ ครอบคลุม ดังตอไปนี้
แต่ความเสื่อมเป็นนิตยกาล คล้ายต้นไม้ที่สดแต่กิ่งใบ แต่รากแก้วเน่าเสียแล้ว จะยืนต้นอยู่ได้อีก (แนวตอบ
ไม่นานนัก • ใชรูปแบบการขึ้นตนสวนนําของยอความ
เสียอวัยวะจงยอมเสีย ถ้าถึงโอกาสจ�าเป็นต้องเสีย แต่อย่ายอมให้ใจเสียเพราะคนเรา ไดถูกตองกับประเภทของงานเขียนที่
ถ้าใจเสียย่อมเสียหมดทุกอย่าง โอกาสที่จะเป็นคนดีได้ ถึงเป็นอยู่ก็อยู่ในห้วงทุกข์ ดุจต้นไม้ที่ นํามายอ
รากแก้วเน่าแล้วฉะนั้น • สรุปสาระสําคัญของเรื่องไดครบถวน และ
1 เปนสํานวนภาษาของตนเอง
(บทความเรื่องรักษารากแก้ว จากหนังสือแสงธรรม : มูลนิธิ ก.ศ.ม.)
• มีขนาดความยาวของเนื้อความที่ยอแลว
อยูในเกณฑที่เหมาะสม
• การเขียนสะกดคํา การเวนวรรคตอน
การย่อบทความ ไมฉีกคํา ลายมือ ความสะอาดเรียบรอย)
ย่อบทความ เรื่อง รักษารากแก้ว ในหนังสือ แสงธรรม ของมูลนิธิ ก.ศ.ม. หน้า ๒๑๖–๒๑๗
ความว่า
รากแก้วของต้นไม้ทหี่ ยัง่ รากลึกไม่ขาดไม่เน่าย่อมท�าให้ตน้ ไม้ยนื ต้นงอกงามได้ฉนั ใด ใจมนุษย์
ที่คิดดี มุ่งดี ใฝ่ดี จะช่วยให้ชีวิตมนุษย์ประสบความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมฉันนั้น

53

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเปนประโยชนของการยอความ
1. ประหยัดเวลา 2. เตือนความจํา 1 บทความ เปนความเรียงประเภทหนึ่งที่เขียนขึ้นจากขอเท็จจริง โดยผูเขียน
3. สรุปเนื้อหาใหกระชับ 4. ถูกทุกขอ มักจะแสดงความคิดเห็นไวดวย ซึ่งหลักที่ควรคํานึงถึงในการเขียนบทความ มีดังนี้
• ควรตั้งชื่อเรื่องใหมีความนาสนใจ
วิเคราะหคําตอบ การยอความกอใหเกิดประโยชนตอผูรับสาร คือ ทําให • มีจุดมุงหมายในการเขียนที่ชัดเจน
ประหยัดเวลา เมื่อจะหาความรูในเรื่องเดิมก็ไมตองเสียเวลาไปอานใหม • เปนเรื่องที่ผูอานกําลังใหความสนใจ
เพียงแคอานสาระสําคัญที่เคยบันทึกไว ก็จะชวยทบทวนความจําได • ผูอานอานแลวจะไดรับทั้งความรู และความบันเทิง รวมทั้งไดขอคิดที่เปน
นอกจากนี้การยอความยังทําใหผูอานสามารถสรุปเนื้อหาของเรื่องไดกระชับ ประโยชนตอชีวิตประจําวัน
ชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4. • มีการจัดลําดับความอยางเปนระบบ ตอเนื่องไมสับสน
• โครงเรื่องตองประกอบดวยคํานํา เนื้อเรื่อง สรุป เชนเดียวกับเรียงความ
• มีวิธีการเขียนและใชภาษาเพื่อเราความสนใจของผูอาน ทําใหอยากติดตาม
อานเรื่องตอไปจนจบ

คูมือครู 53
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลง
ทางการสื่อสาร ในปจจุบันนักเรียนสามารถ ๔ การเขียนจดหมาย
สงจดหมายถึงเพื่อนที่อยูไกลขามทวีปไดเพียง
การเขียนจดหมาย เป็นการสื่อสารโดยตรงระหว่างบุคคล โดยใช้ตัวหนังสือหรือข้อความ
ปลายนิ้วสัมผัส ผานระบบเครือขายอินเทอรเน็ต
แทนการพูดจา ดังนั้น สารในจดหมายจึงต้องเป็นข้อความที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง บอกความประสงค์ของ
หรือที่เรียกวา “จดหมายอิเล็กทรอนิกส” (E-mail)
ผู้ส่งสารได้สมบูรณ์ตามต้องการ เพราะผู้รับจดหมายไม่มีโอกาสซักถามขณะที่ได้รับสาร ถ้าเขียน
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ไม่ ชั ด เจนจะท� า ให้ เ กิ ด ความเข้ า ใจคลาดเคลื่ อ น ฉะนั้ น ผู ้ เขี ย นจดหมายจึ ง ควรใช้ ภ าษาที่ ถู ก ต้ อ ง
• จดหมายที่เขียนลงบนกระดาษสงผานระบบ
สละสลวย เหมาะกับระดับบุคคลและกาลเทศะ รวมถึงต้องมีมารยาทในการเขียน
ไปรษณียกับจดหมายที่เขียนสงผานระบบ
ประเภทของจดหมาย ในระดับชั้นนี้ขอแยกประเภทจดหมายออกเป็น ๒ ชนิด คือ
เครือขายอินเทอรเน็ต มีความแตกตางกัน
๑) จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนถึงผู้ที่เรารู้จักคุ้นเคยเพื่อส่งข่าวคราว เล่าเรื่อง
อยางไร
ไต่ถามทุกข์สุข แสดงความรัก ความระลึกถึง ความหวังดี ความห่วงใย หรือขอความช่วยเหลือกัน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ในระหว่างญาติ มิตร พ่อแม่ ครู อาจารย์ ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาระดับกันเอง หรือที่เรียกว่า ภาษาปาก
ไดอยางหลากหลายและอิสระ)
แต่ต้องเหมาะสมกับสถานะของบุคคล

สํารวจคนหา Explore จดหมายขอความช่วยเหลือ


แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม ในจํานวน
เทาๆ กัน จากนั้นใหสงตัวแทนออกมาจับสลาก หอพักเอื้ออารี พระราม ๒
ประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้ ซอย ๑๔ เขตจอมทอง
หมายเลข 1 ลักษณะและโครงสรางของ กรุงเทพฯ ๑๐๑๕๐
จดหมาย ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๒
เรียน อาจารย์ฟองจันทร์ สุขยิ่ง
หมายเลข 2 จดหมายสวนตัว ดิ ฉั น ขอกราบขอบพระคุ ณ ที่ อ าจารย์ ก รุ ณ าให้ ยื ม หนั ง สื อ มาอ่ า นก่ อ นสอบท� า ให้ ไ ด้
หมายเลข 3 จดหมายกิจธุระ คะแนนดี ดิฉันเขียนจดหมายมาเพราะมีปัญหาเรื่องการเรียนที่โรงเรียนใหม่ เกี่ยวกับเรื่อง
หมายเลข 4 มารยาทในการเขียนจดหมาย การเลือกกิจกรรมเสริมเพราะตัดสินใจไม่ถูกตามประสารักพี่เสียดายน้อง ดิฉันต้องการให้
กิจกรรมเสริมสอดคล้องและสนับสนุนต่อการเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จึงขอความ
อธิบายความรู Explain กรุณาอาจารย์ช่วยให้ค�าปรึกษา ถ้าอาจารย์จะกรุณาวันเสาร์ที่ ๒๘ มีนาคมนี้ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ดิฉันจะขอไปกราบอาจารย์ที่บ้าน คงจะไม่เป็นการรบกวนอาจารย์จนเกินไปนะคะ
นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย ส�าหรับวันนี้ดิฉันขอจบจดหมายเพียงเท่านี้ก่อน อาจารย์โปรดระมัดระวังรักษาสุขภาพ
ความรูในประเด็น “ลักษณะและโครงสรางของ ด้วยนะคะ
จดหมาย” พรอมระบุแหลงที่มาของขอมูล เพื่อนๆ
บันทึกความรูที่ไดรับจากการฟง ด้วยรักและเคารพอย่างสูง
วรรณศรี ช้อนเงิน

54

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จดหมายมีประโยชนตอการสื่อสารของมนุษยอยางไร และตองคํานึงถึง
ครูควรชีแ้ นะเพิม่ เติมแกนกั เรียนเกีย่ วกับโครงสรางของจดหมาย ซึ่งมีโครงสราง
สิ่งใดบาง
สําคัญ 3 สวน ไดแก สวนหัว ประกอบดวย ที่อยู ของผูเขียนจดหมาย วัน เดือน
ป ที่เขียนจดหมาย เรื่อง (ใชในกรณีที่เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และ แนวตอบ การเขียนจดหมายทําใหมนุษยสามารถสง “สาร” จากผูสงไปยัง
จดหมายราชการ) เรียน สิง่ ทีส่ ง มาดวย (ใชในกรณีทเี่ ปนจดหมายกิจธุระ จดหมาย ผูรับไดโดยที่บุคคลทั้งสองฝายไมจําเปนตองพบหนากัน ทําใหการติดตอ
ธุรกิจ และจดหมายราชการ) สวนเนื้อเรื่อง ประกอบดวย ยอหนาแรกเปนที่มาของ สื่อสารเปนไปโดยสะดวก รวดเร็ว และประหยัด การเขียนจดหมายผูสง
เรื่อง ยอหนาที่สองเปนวัตถุประสงครายละเอียด และยอหนาที่สามเปนยอหนาสรุป ตองคํานึงถึงวัตถุประสงคในการเขียนและผูที่จะติดตอดวย หากตอง
ซึ่งยอหนาแรกและยอหนาที่สองอาจรวมเปนยอหนาเดียวกันไดขึ้นอยูกับเนื้อความ ติดตอกับบุคคลที่ไมรูจักดวยกิจธุระตางๆ ควรใชถอยคําที่เปนทางการไว
สวนทายประกอบดวย คําลงทาย ลายมือชือ่ ผูส ง ชือ่ ผูส ง และตําแหนง (ใชในกรณีที่ จะเหมาะสมที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผูเขียนจดหมายจะตองคํานึงถึง ไดแก
เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และจดหมายราชการ) หนวยงานและหมายเลข เนื้อหาสาระของจดหมายและบุคคลที่ติดตอดวย ซึ่งขอควรคํานึง
โทรศัพท ของผูสง (ใชในกรณีที่เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และจดหมาย ทั้งสองประการนี้จะสงผลตอการเลือกใชรูปแบบและถอยคําในการเขียน
ราชการ)

54 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 2 และ 3 สงตัวแทนออกมา
๒) จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยกิจธุระ อธิบายความรูในประเด็น “จดหมายสวนตัว”
เช่น การติดต่อสอบถาม การบอกขายหรือแจ้งรายการสินค้า การเตือน การทวงถาม การแจ้งข่าวสาร และ “จดหมายกิจธุระ” ตามลําดับ พรอมระบุ
หากเป็นจดหมายกิจธุระที่ติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัท ห้างร้าน องค์กรต่างๆ เรียกว่า จดหมายธุรกิจ แหลงที่มาของขอมูล เพื่อนๆ บันทึกความรูที่
จะใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ ไดรับจากการฟง
2. นักเรียนรวมกันเปรียบเทียบลักษณะที่เหมือน
จดหมายติดต่อสอบถาม หรือแตกตางกันของจดหมายสวนตัวและ
จดหมายกิจธุระ
โรงเรียนพอเพียง ถ.ลาดยา ต.ในเมือง 3. นักเรียนรวมกันสรุปลักษณะของจดหมาย
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ๓๔๐๐๐ สวนตัวและจดหมายกิจธุระ พรอมกับ
หลักเกณฑการเขียน
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (แนวตอบ จดหมายสวนตัว คือ จดหมายที่เขียน
ถึงกันอยางไมเปนทางการกับบุคคลที่สนิทสนม
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน คุนเคย เพื่อสงขาวคราว แจงธุระเล็กๆ นอยๆ
หรือไตถามทุกขสุข ดังนั้นจึงไมเครงครัด
ผมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพอเพียง จ.อุบลราชธานี ผมติดตาม ในรูปแบบ ภาษา และถอยคําในการเขียน
อ่านหนังสือพิมพ์มติชนเป็นประจ�าทุกวัน ทราบข่าวว่าส�านักพิมพ์จัดอบรมวิชาชีพต่างๆ จึงมี ขึ้นอยูกับความสนิทสนมระหวางผูสงและผูรับ
ความสนใจมาก แต่เนื่องจากผมเป็นคนต่างจังหวัดและจะมีเวลาว่างในช่วงปิดเทอมจึงขอทราบ หากเปนบุคคลที่สนิทสนมมากๆ ก็อาจใช
ข้อมูล ดังนี้ ภาษาปากหรือภาษาระดับกันเอง แตถาเปน
๑. ช่วงระยะเวลาปิดภาคเรียนจะมีก2ารอบรมที่ใด เมื่อใด บุคคลที่ยังไมสนิทหรือมีอาวุโสสูงกวาควรใช
๒. หลั หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับงานโลหะมีกี่เรื่อง เรื
ง ่องใดบ้าง ภาษาระดับทางการ หรือกึ่งทางการเพื่อแสดง
๓. ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าใด ความสุภาพ ออนนอม สวนจดหมายกิจธุระ
๔. ผมอยู่ต่างจังหวัด ขอค�าแนะน�าเกี่ยวกับสถานที่พักด้วย เปนจดหมายทีเ่ ขียนขึน้ โดยมีวตั ถุประสงคเฉพาะ
หวังว่าท่านคงจะกรุณาให้ขอ้ มูลแก่ผมซึง่ มีความสนใจจะน�าความรูไ้ ปประกอบอาชีพเสริม เชน การติดตอสอบถาม การขอความรวมมือ
ระหว่างเรียน ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอความอนุเคราะหจากบุคคลที่ไมสนิทสนม
ขอแสดงความนับถือ คุนเคย จึงควรเครงครัดในรูปแบบกฎเกณฑ
สมชาย มิตรไทย ถอยคํา ภาษาควรใชภาษาในระดับที่เปน
เด็กชายสมชาย มิตรไทย ทางการ กระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา
สอดคลองกับวัตถุประสงค)

55

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดจัดเปนจดหมายกิจธุระ
1. จดหมายถึงไกเพื่อนรัก 1 จดหมายกิจธุระ ผูเขียนจะตองกําหนดจุดประสงคหรือวัตถุประสงคในการ
2. จดหมายถึงพอและแม เขียนใหชัดเจน จัดระเบียบความคิดใหเปนระบบ มีความกระชับ เขาใจงาย
3. จดหมายขอความชวยเหลือจากคุณปา โดยบอกทีม่ า สาเหตุของเรือ่ ง ตามดวยเนือ้ เรือ่ งหรือวัตถุประสงค เขียนดวยลายมือ
4. จดหมายสอบถามการรับสมัครนักเรียนฝกงาน ทีส่ ะอาด เรียบรอย สวยงาม หรือพิมพใหเปนระเบียบถูกตองตามโครงสรางของ
จดหมายแตละประเภท กอนสงจดหมายผูเขียนควรตรวจทานเนื้อหาเพื่อดูการ
วิเคราะหคําตอบ จดหมายสวนตัว คือ จดหมายที่เขียนติดตอกันอยาง สื่อความและความถูกตองของภาษา
ไมเปนทางการ ระหวางคนที่สนิทสนม เพื่อสงขาวคราว ไตถามทุกขสุข 2 โลหะ ธาตุทมี่ สี มบัตสิ าํ คัญ คือ เปนตัวนําไฟฟาและความรอนทีด่ ี มีจดุ หลอมเหลว
ดังนั้น จดหมายถึงไกเพื่อนรัก จดหมายถึงพอแม และจดหมายขอความ สูง ตีแผใหเปนแผนหรือดึงใหเปนเสนลวดขัดใหเปนเงาได เคาะแลวมีเสียงดังกังวาน
ชวยเหลือจากคุณปาจึงจัดเปนจดหมายสวนตัว สวนจดหมายกิจธุระ คือ เชน เหล็ก ทองแดง ทองคํา เปนตน
จดหมายระหวางบุคคลทีต่ ดิ ตอสือ่ สารกันดวยกิจธุระ เชน การติดตอสอบถาม
แตถาบริษัทติดตอกับบริษัทเรียกวา จดหมายธุรกิจ จดหมายสอบถาม
การรับสมัครนักเรียนฝกงานจึงจัดเปนจดหมายกิจธุระ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คูมือครู 55
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “มารยาทในการเขียน ๓) มารยาทในการเขียนจดหมาย
จดหมาย” พรอมระบุแหลงทีม่ าของขอมูล การเขียนจดหมายเป็นรูปแบบการสื่อสารของมนุษย์ ที่ท�าให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้
เพื่อนๆ บันทึกความรูที่ไดรับจากการฟง โดยไม่จา� เป็นต้องพบหน้า ประหยัดเวลา สะดวก และรวดเร็ว ปัจจุบนั ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
2. หลังการอธิบายความรูของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 ท�าให้เกิดจดหมายทีส่ ง่ ทางไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนิกส์
นักเรียนรวมกันสรุปขอควรคํานึงในการ หรือ อีเมล (E-mail) ท�าให้การสื่อสารระหว่าง
การเขียนจดหมาย บุคคลมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เขียน
(แนวตอบ ไมวาจะเขียนจดหมายประเภทใด สื่อสารด้วยจดหมายควรค�านึงอยู่เสมอว่า ผู้รับ
ก็ตาม ผูเขียนควรคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้ ไม่มโี อกาสซักถามเกีย่ วกับสิง่ ทีส่ งสัย แต่จะตีความ
• เขียนขอความใหแจมแจง ตองคํานึงวา และเข้าใจตามเนื้อความที่ปรากฏ ดังนั้น ผู้เขียน
ผูรับไมมีโอกาสซักถามในขณะที่รับสาร จึงควรเขียนจดหมายด้วยความรอบคอบ ใช้ภาษา
แตจะตีความและเขาใจไปตามตัวหนังสือ สื่อความให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา โดยมีหลักการ
• ใชรูปแบบของจดหมายใหถูกตองตรงกับ เขียน ดังนี้
วัตถุประสงค ผู้เขียนจดหมายควรเลือกใช้กระดาษและซองที่มีสีสุภาพ ๑. ต้องใช้คา� ขึน้ ต้น ลงท้ายให้เหมาะสม
• แสดงมารยาทที่เหมาะสมตอบุคคลที่ติดตอ สะอาด เรียบร้อย และเขียนด้วยลายมือทีอ่ า่ นง่าย มีระเบียบ กับระดับของบุคคล และเนื้อความของจดหมาย
ดวย โดยแสดงผานการใชถอยคําที่สุภาพ ๒. เลือกใช้สีหมึก กระดาษและซองที่เหมาะสม สุภาพ รวมถึงไม่ใช้ซองหรือกระดาษ
นอบนอม และรวมถึงการเลือกใชกระดาษ ของทางราชการมาเขียนจดหมายส่วนตัว
จดหมาย ซอง การจาหนาซอง) ๓. เขียนให้ตรงประเด็น และควรเป็นเรื่องเดียวกันกับหัวข้อที่ตั้งไว้ เรียบเรียงและล�าดับ
ประเด็นให้ชัดเจน บอกวัตถุประสงค์ที่ต้องการ สิ่งที่หวังจะให้ผู้รับปฏิบัติหรือด�าเนินการ
ขยายความเขาใจ Expand ๔. ถ้ า เป็ น การเขี ย นด้ ว ยลายมื อ ควรเขี ย นให้ อ ่ า นง่ า ย ชั ด เจน ตั ว บรรจง ใช้ ป ากกา
แทนการใช้ดินสอ และรวมถึงการรักษาความสะอาด
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ ๕. ผนึ ก ดวงตราไปรษณี ย ากรให้ ค รบถ้ ว นตามอั ต ราที่ ก� า หนดไว้ และไม่ น� า ดวงตรา-
โครงสรางและหลักเกณฑการเขียนจดหมาย ไปรษณียากรที่ใช้แล้วน�ากลับมาใช้ซ�้า
สวนตัวและจดหมายกิจธุระ เลือกเขียน ๖. จ่าหน้าซองจดหมายโดยระบุชอื่ นามสกุล ทีอ่ ยูข่ องผูร้ บั พร้อมรหัสไปรษณียใ์ ห้ครบถ้วน
จดหมายประเภทใดประเภทหนึง่ คนละ 1 ฉบับ และไม่สอดสิ่งของมีค่าอื่นใดลงในซองจดหมาย
โดยนักเรียนเปนผูก าํ หนดสถานการณดว ยตนเอง ๗. หากเป็นการส่งอีเมล ผู้เขียนจะต้องพิมพ์อีเมลแอดเดรสของผู้ที่จะส่งจดหมายไปถึง
(พรอมแนบซองจดหมายที่จาหนาซองเรียบรอย ในช่องส�าหรับผูร้ บั ในกรณีทตี่ อ้ งการจะส่งอีเมลไปหาหลายๆ คน ในเวลาเดียวกันให้พมิ พ์อเี มลแอดเดรส
แลว) แตยังไมตองนําจดหมายบรรจุซอง สงครู ของคนเหล่านั้นลงในช่อง Cc: คั่นด้วยเครื่องหมาย ; จนครบจ�านวน พิมพ์ข้อความที่เป็นหัวเรื่องในช่อง
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อประเมินคุณภาพ Subject และไม่ควรส่งอีเมลแบบไม่มีหัวเรื่อง
ของจดหมายที่ตนเองเขียนขึ้น รวมถึงเพื่อนๆ ๘. ก่อนส่งจดหมาย ผูเ้ ขียนควรอ่านทบทวนเพือ่ ตรวจดูการสือ่ ความ ความสะอาดเรียบร้อย
ในชั้นเรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไข เป็นต้น
ในครั้งตอไป
56

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงมารยาทในการเขียนจดหมายกิจธุระผิดไปจากความเปนจริง
ครูควรสรุปเกี่ยวกับหลักเกณฑการประเมินคุณภาพของการเขียนจดหมายให
1. เลือกใชกระดาษ และซองที่มีสีสุภาพ เหมาะสม
นักเรียนเขาใจตรงกันอีกครั้งหนึ่ง หรืออาจชี้แนะเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไมครบถวน
2. จาหนาซอง และระบุรหัสไปรษณียใหครบถวน
ซึ่งเกณฑที่ใชประเมินคุณภาพของการเขียนจดหมายควรครอบคลุมประเด็น
3. เขียนดวยลายมือหรือพิมพใหสะอาดเรียบรอย
ดังตอไปนี้
4. ใชภาษาระดับไมเปนทางการในการสื่อสาร
• เลือกใชรูปแบบไดถูกตอง สอดคลองตรงตามวัตถุประสงคหรือเนื้อหาสาระ
ของจดหมาย วิเคราะหคําตอบจ มารยาทในการเขียนจดหมาย สามารถแสดงผาน
• มีโครงสรางสําคัญครบถวนทัง้ 3 สวน ไดแก สวนหัว สวนเนือ้ หา และสวนทาย การเลือกใชกระดาษและซองที่มีสีสุภาพ เขียนดวยลายมือที่สะอาด
• ใชถอยคํา สํานวน ภาษา สอดคลองกับเนื้อหา โดยคํานึงถึงความเหมาะสม เรียบรอย หรือพิมพโดยใชรูปแบบที่ถูกตอง ใชภาษาใหเหมาะสมกับ
สุภาพ และแสดงความนอบนอมใหเกียรติผูรับ ระดับของบุคคล และเนื้อหาสาระของจดหมาย ใชภาษาระดับทางการ
• ลายมือสะอาดเรียบรอย เปนระเบียบสวยงาม การเขียนสะกดคํา การันต หรือกึ่งทางการในการสื่อสารเพื่อใหเกียรติคูสื่อสาร นอกจากนี้ผูสงสาร
การเวนวรรคตอน ยังตองจาหนาซองระบุชื่อ นามสกุล ที่อยู ของผูรับใหครบถวน ถูกตอง
• มีมารยาทในการเขียน โดยแสดงผานการใชถอ ยคํา การเลือกใชกระดาษ ซอง ชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
สีหมึก และการจาหนาซอง

56 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูตงั้ คําถามเพือ่ นําเขาสูห วั ขอการเรียนการสอน
๕ การเขียนรายงาน • หากนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
การเขียนรายงาน ถือเป็นศิลปะอย่างหนึง่ ทีผ่ เู้ ขียนต้องใช้ความสามารถในการเรียบเรียงเนือ้ หา แลวตองการนําเสนอใหผูอื่นไดทราบ จะมี
ที่ศึกษาค้นคว้ามาจากแหล่งความรู้ต่างๆ ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความ วิธีการนําเสนออยางไร
เข้าใจถูกต้องชัดเจน การเขียนรายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งผู้เขียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ (แนวตอบ นําเสนอเปนรูปเลมรายงาน)
องค์ประกอบและขั้นตอนการเขียนเป็นอย่างดี จึงจะเขียนได้ถูกต้องและชัดเจน • รายงานกับโครงงานมีประโยชนอยางไร
๑) องค์ประกอบของรายงาน รายงานมีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ส่วน ดังต่อไปนี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๑.๑) ส่วนต้น รายงานวิชาการในส่วนต้นประกอบด้วย ๕ ส่วน ดังนี้ ไดอยางอิสระ)
๑. ปกนอกหรือหน้าปก แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกเขียนชื่อเรื่อง ส่วนที่สอง • นักเรียนคิดวาการทํารายงานและโครงงาน
เขียนชื่อ นามสกุลของผู้เขียนรายงาน ส่วนที่สามเป็นส่วนที่แจ้งว่ารายงานนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบ ชวยสรางทักษะที่จําเปนตอชีวิตประจําวัน
การศึกษาวิชาอะไร โรงเรียนใด และจัดท�าขึ้นเมื่อใด อยางไร
๒. ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น (มีทั้งปกหน้าและปกหลัง) (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๓. ปกใน ระบุข้อความเหมือนกับปกนอก ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับวิจารณญาณและ
๔. ค�าน�า เขียนบอกจุดมุ่งหมาย มูลเหตุ และวิธีการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนกล่าว ประสบการณสวนตน ซึ่งการทํารายงานและ
ขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งรายงานเสร็จสมบูรณ์ โครงงานจะชวยเสริมสรางทักษะ เชน ทักษะ
๕. สารบัญ หมายถึง บัญชีบทหรือหัวข้อส�าคัญในรายงาน ต้องเขียนเรียงตามล�าดับ การวิเคราะห ทักษะการสรางสรรค ทักษะ
เนือ้ หาของรายงานฉบับนัน้ ส่วนสารบัญตารางและสารบัญภาพจะแยกออกจากสารบัญเนือ้ เรือ่ ง สารบัญ การเก็บรวบรวมขอมูล นอกจากนี้ยังชวย
ตารางจะแสดงชือ่ ของตารางทุกตาราง สารบัญภาพจะแสดงชือ่ ภาพประกอบทัง้ หมดทีป่ รากฏในรายงาน สรางทักษะการทํางานรวมกัน การยอมรับฟง
เรียงตามล�าดับ ความคิดเห็นของผูอื่น)
๑.๒) ส่วนเนื้อเรื่อง จะใช้หลักเกณฑ์การเขียนเรียงความในการแบ่ง ดังนี้
๑. บทน�า ส่วนนี้ผู้เขียนจะต้องชี้แจงเหตุผล วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า สํารวจคนหา Explore
ในหัวข้อที่เลือก อธิบายเนื้อหาสาระอย่างย่อ เพื่อให้ผู้อ่านท�าความเข้าใจในเบื้องต้น แบงนักเรียนเปน 2 กลุม ตามความสมัครใจ
๒. เนื้อหา ส่วนนี้ผู้เขียนจะต้องน�าเสนอผลการศึกษาค้นคว้าตามวัตถุประสงค์ จากนั้นใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็น
ขอบเขตของรายงาน และโครงเรื่องที่ก�าหนดไว้ โดยเรียบเรียงตามล�าดับหัวข้อที่ระบุไว้ในสารบัญ สําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังตอไปนี้
หากเป็นรายงานขนาดยาว ควรแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นบทๆ แต่ละบทแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง หมายเลข 1 การเขียนรายงาน
หัวข้อย่อย แต่หากเป็นรายงานขนาดสั้น ไม่จ�าเป็นต้องแบ่งเป็นบท แต่ควรแบ่งเป็นหัวข้อ หรือ หมายเลข 2 การเขียนโครงงาน
ประเด็นโดยใช้ย่อหน้า โดยสมาชิกในแตละกลุมจะตองรวมกันสืบคน
เนือ้ หาของรายงานนอกจากจะมีขอ้ ความทีผ่ ทู้ า� รายงานเรียบเรียงจากความรู ้ ความคิด ขอมูลจากแหลงการเรียนรูตางๆ ซึ่งการสืบคน
ที่ได้ประมวลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ด้วยส�านวนภาษาของตนแล้ว ยังอาจมีข้อความที่ผู้เขียนยกมา ขอมูลแตละกลุมจะตองครอบคลุมประเด็น
กล่าวอ้างในรายงาน ซึง่ จะต้องระบุแหล่งทีม่ าให้ชดั เจน เพราะเป็นการให้เกียรติเจ้าของข้อความ และเป็น ดังตอไปนี้
มารยาทการเขียนสื่อสารที่ส�าคัญประการหนึ่ง • องคประกอบของรายงานหรือโครงงาน
• ขั้นตอนการเขียนหรือการปฏิบัติ
57

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ปญหาภาวะโลกรอน นักเรียนคิดวาภาพดานซายมือ เปนภาพ
ครูผสู อนควรสรางองคความรู ความเขาใจเพิ่มเติมใหแกนักเรียนเกี่ยวกับ
1. บทนํา อะไร มีความเกี่ยวของกับการเขียนรายงาน
ความแตกตางระหวางรายงานกับโครงงาน ดังนี้
2. ภาวะโลกรอนคืออะไร เชิงวิชาการอยางไร
3. สาเหตุของภาวะโลกรอน หัวขอ ผูจัดทําสนใจหรือครูเปนผูกําหนด
4. ผลกระทบจากภาวะโลกรอน แนวตอบ คือ ภาพของโครงเรื่องรายงาน
โดยมีความเกี่ยวของกับการเขียนรายงาน เกิดจากความสงสัยหรือการตั้งคําถามของผูจัดทํา
4.1 ผลกระทบที่เกิดกับ
สภาพอากาศ เพราะเปนหนึง่ ในขัน้ ตอนการเขียนรายงาน ทักษะ เนนการรวบรวมขอมูล วิเคราะห สังเคราะห จนผูทํารายงานเขาใจลึกซึ้ง
4.2 ผลกระทบที่เกิดกับ หลังจากที่เลือกหัวขอไดแลว ผูจัดทําตอง เริ่มจากกระบวนการสังเกต จดบันทึก คนควา ทดลอง ลงมือปฏิบัติ
ประเทศไทย กําหนดวัตถุประสงค เขียนโครงเรือ่ งรายงาน กระบวนการคิดที่ซับซอน การแกปญหาที่อาจเกิดขึ้นระหวางปฏิบัติใน
5. การปองกันภาวะโลกรอน ขั้นตอนตางๆ
5.1 การปองกันโดยรัฐบาล เพื่อใหงายตอการสํารวจ รวบรวมขอมูล
5.2 การปองกันโดยความ นํามาเรียบเรียงดวยสํานวนภาษาของตนเอง เปาหมาย ไดขอสรุปเปนรายงาน
รวมมือของประชาชน พรอมทั้งอางอิงแหลงขอมูลในรูปแบบ ไดคาํ ตอบสําหรับคําถามทีต่ งั้ ไว มีชนิ้ งานทีส่ ามารถนําไปพัฒนาตอยอดได
6. บทสรุป บรรณานุกรมใหถูกตอง
หมายเหตุ : บรรทัดบนเปนลักษณะของรายงาน บรรทัดลางเปนลักษณะของโครงงาน

คูมือครู 57
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
การระบุแหล่งที่มาของข้อความกรณีที่ผู้เขียนคัดลอกข้อความมาโดยตรง
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับการเขียนรายงาน โดยใช สุภาษิต หมายถึง ค�ากล่าวที่ดีที่เป็นจริงทุกสมัย มีคติชวนให้คิด เป็นค�าเตือน ค�าสอน หรือ
องคความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ค�าสัง่ สอนให้ประพฤติด ี มีกริ ยิ ามารยาทดี และกล่าวถึงเรือ่ งทัว่ ไป สอนให้เห็นสัจจะธรรมแห่งชีวติ
เพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม (ดวงใจ ไทยอุบุญ ๒๕๕๒ : ๒๓๖)
• รายงานทางวิชาการมีความแตกตางจาก
รายงานทั่วไปประเด็นใดชัดเจนที่สุด จากตัวอย่าง ผู้เขียนรายงานอาจท�ารายงานในหัวข้อ การใช้สุภาษิตในภาษาไทย ซึ่งจ�าเป็น
(แนวตอบ รายงานทัว่ ไป คือ รายงานทีน่ าํ เสนอ ต้องให้ความหมายของสุภาษิต ดังนั้น เพื่อความน่าเชื่อจึงต้องกล่าวอ้างผลงานของนักวิชาการ
ขอเท็จจริงหรือขอคิดเห็นของบุคคล เพื่อให ท่านอื่นที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการนั้นๆ ซึ่งเป็นการคัดลอกข้อความมาโดยตรง ผู้เขียนรายงาน
ทราบผลการปฏิบัติงาน เหตุการณ ความ จึงต้องระบุชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์ และ/หรือ เลขหน้าไว้ในวงเล็บ
เคลื่อนไหว ทั้งที่ผานไปแลว กําลังดําเนินอยู
และจะเกิดในอนาคต สวนรายงานเชิงวิชาการ การระบุแหล่งที่มาของข้อความกรณีที่ผู้เขียนสรุปเนืéอหา หรือแนวคิดมา
คือ เอกสารที่เปนผลจากการศึกษาคนควา
รวบรวม วิเคราะหเรื่องทางวิชาการเรื่องใด ภาษาไทยถิ่น ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทยมาตรฐานที่เกิดจากการแปรอันเนื่องมาจาก
เรื่องหนึ่งอยางมีระเบียบแบบแผน) การย้ายถิ่น รวมถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ ๒๕๔๙)
• โครงเรื่องของรายงานคืออะไรและมีความ
สําคัญอยางไรตอการเขียนรายงาน จากตัวอย่าง ผู้เขียนรายงานอาจท�ารายงานในหัวข้อ ภาษาไทยถิ่น อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
(แนวตอบ โครงเรื่อง คือ กรอบที่ผูเขียน ซึ่งจ�าเป็นต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาษาไทยถิ่น จึงได้สรุปลักษณะเฉพาะของ
รายงานวางไวเพื่อกําหนดสวนตางๆ ของการ ภาษาถิ่นจากหนังสือที่นักวิชาการท่านอื่นได้ศึกษาไว้ ผู้เขียนรายงานจึงต้องระบุชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์
เขียน ใชเปนแนวทางการเขียนรายงาน โดย ไว้ในวงเล็บ โดยไม่ระบุเลขหน้า
กําหนดเนือ้ หาทีเ่ ปนหัวขอใหญ หัวขอรอง และ การใช้ถ้อยค�า ส�านวนโวหาร และระดับภาษาในการเรียบเรียงรายงาน ควรเป็นระดับทางการ
หัวขอยอย ไวตามลําดับความสําคัญ หรือกึ่งทางการ ตรงไปตรงมา อ่านเข้าใจง่าย ถูกต้องตามหลักภาษาและความหมาย ใช้ค�าศัพท์ทาง
ชวยใหผูเขียนรายงานทราบวาจะตองเขียน วิชาการถูกต้อง เหมาะสม ประโยคกระชับ ชัดเจน ตรวจสอบความถูกต้องของตัวสะกด
เรื่องใดบาง มีสัดสวนเนื้อหาอยางไร เทาใด) ๑.๓) ส่วนท้าย ประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
• การวางแผนชวยทําใหการเขียนรายงาน ๑. บรรณานุกรม หมายถึง บัญชีรายชื่อหนังสือที่ใช้ประกอบการเขียนรายงาน
ประสบความสําเร็จไดอยางไร โดยเขียนไว้ส่วนสุดท้ายของรายงาน
(แนวตอบ ชวยทําใหขอบเขตการทํารายงาน ๒. ภาคผนวก หมายถึง เรื่องหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในรายงาน แต่
มีความชัดเจนวาจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใด น�าไปเขียนเพิ่มเติมไว้ในส่วนท้ายของรายงานเพื่อให้ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
อยางไร คนขอมูลอยางไร มีแนวทางใด ๓. อภิธานศัพท์ หมายถึง ค�าอธิบายศัพท์ส�าคัญๆ ที่ปรากฏในรายงาน
ในการรวบรวม จัดหมวดหมู และเรียบเรียง
ขอมูล)
58

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดไมใชวิธีการสืบคนขอมูลสําหรับการทํารายงานและโครงงานที่ถูกตอง
ในกระบวนการสํารวจคนหา (Explore) นักเรียนแตละคนจะไดเขากลุมใหญ
1. อานหนังสือ 2. การสํารวจ
เพื่อรวมกันศึกษาในประเด็นเดียวกัน ซึ่งกลุมใหญทั้งสองกลุมจะไดรับประเด็นที่
3. การสรางแบบสอบถาม 4. การตัดตอจากขอมูลของผูอื่น
แตกตางกัน เมื่อแตละกลุมออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
ครูควรใหนักเรียนทั้งชั้นรวมกันสรุปลักษณะสําคัญของรายงานและโครงงานเพื่อให วิเคราะหคําตอบ การทํารายงานและโครงงานหากจะใชขอมูลปฐมภูมิ
มองเห็นความแตกตางดานองคประกอบ รูปแบบ และวิธีปฏิบัติ สามารถทําไดหลายวิธี เชน การจัดทีมสํารวจสอบถามขอมูล หรือหากจะ
ใชขอมูลทุติยภูมิหรือขอมูลที่มีผูศึกษาไวแลวจะสังเคราะหขอมูลดวยวิธี
การอาน เมื่อไดขอมูลที่มีประสิทธิภาพ ผูทํารายงานจะตองรวบรวม
เรียบเรียงขอมูลเหลานั้นดวยสํานวนภาษาของตนเอง ไมนําขอมูลของผูอื่น
มาตัดตอเปนรายงานของตนเอง ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

58 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒) ขั้นตอนการเขียนรายงาน มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเขียน ดังนี้ ความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย
๒.๑) วางแผนการท�ารายงาน ก่อนท�ารายงานทุกครั้ง ควรมีการวางแผนงานโดยเลือก 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
หัวข้อเรื่องที่จะท�ารายงานและก�าหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจะศึกษาค้นคว้าเรื่องใด จากนั้นจึงก�าหนด อธิบายความรูเกี่ยวกับการเขียนรายงานและ
เค้าโครงเรื่อง ตั้งหัวข้อเรื่องให้เป็นไปตามล�าดับความส�าคัญจากหัวข้1อใหญ่ไปหัวข้อย่อย โครงงานโดยใชความรูที่ไดรับจากการฟง
๒.๒) รวบรวมข้อมูล เป็ เป็นการค้นคว้าจากแหล่งวิชาการต่างๆงๆ โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร บรรยายของเพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตน
การสัมภาษณ์ การฟัง การดู จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เมื่อส�ารวจและรวบรวมข้อมูลแล้ว ผู้เขียน สําหรับตอบคําถาม
รายงานควรบันทึกข้อมูลทีไ่ ด้อย่างเป็นระบบ โดยอาจบันทึกลงในบัตรบันทึกข้อมูล หรือบันทึกเป็นไฟล์ • โครงงานมีความแตกตางจากรายงาน
ลงในคอมพิวเตอร์ โดยระบุหัวเรื่อง แหล่งที่มาของเรื่อง เนื้อเรื่อง และแหล่งค้นคว้าให้ครบถ้วน เชิงวิชาการอยางไร
เมือ่ น�ามาจัดเก็บควรเก็บโดยเรียงตามล�าดับตัวอักษรของหัวเรือ่ ง หรือชือ่ ผูแ้ ต่ง เพือ่ สะดวกต่อการค้นคว้า (แนวตอบ โครงงานเปนกิจกรรมที่เปดโอกาส
๒.๓) การจัดระเบียบข้อมูล การน�าเสนอข้อมูลในรายงานควรเรียบเรียงข้อมูลให้สมบูรณ์ ใหผูเรียนไดศึกษาคนควา ลงมือปฏิบัติ
มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันตลอดด้วยส�านวนของผูท้ า� รายงาน ใช้ภาษาระดับทางการ กระชับเข้าใจง่าย ดวยตนเอง โดยอาศัยกระบวนการทาง
สุภาพ อาจใช้ภาษาต่างประเทศเท่าทีจ่ า� เป็น ตลอดจนมีหลักฐานและเหตุผลประกอบการน�าเสนอข้อมูล วิทยาศาสตร สวนรายงานเปนการรวบรวม
๒.๔) การน�าเสนอข้อมูล โดยน�าเสนอรายละเอียดต่างๆ เช่น วัตถุประสงค์ ขั้นตอน วิเคราะห สังเคราะห และเรียบเรียงขอมูล)
การท�างาน ข้อสรุป ข้อเสนอแนะ แล้วน�าเสนอเป็นรูปเล่มรายงาน

๖ การเขียนโครงงาน
โครงงาน หมายถึง กิจกรรมทีเ่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง
ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการ
อื่นใดในการศึกษาหาค�าตอบในเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอนคอยแนะน�า
การท�าโครงงานสามารถท�าได้ทกุ ระดับการศึกษา ทัง้ รายบุคคลหรือเป็นงานกลุม่ ก็ได้ ขึน้ อยูก่ บั
ลักษณะของโครงงาน
๑) องค์ประกอบของโครงงาน โครงงานมีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑.๑) ส่ ว นต้ น คื อ ส่ ว นที่ บ อกชื่ อ ของโครงงาน หลั ก การและเหตุ ผ ล วั ต ถุ ป ระสงค์
ผู้รับผิดชอบ และที่ปรึกษาโครงงาน
๑.๒) ส่วนกลาง คือ ส่วนที่เป็นวิธีการด�าเนินงานต่างๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการท�า
โครงงาน
๑.๓) ส่วนท้าย คือ ส่วนที่เป็นผลการด�าเนินการ สรุปผลการด�าเนินงาน ผลที่คาดว่า
จะได้รับ และข้อเสนอแนะ

59

กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับประเภทของขอมูลและวิธีการเก็บรวบรวม 1 แหลงวิชาการ หรือแหลงขอมูลที่สําคัญในปจจุบัน ไดแก หองสมุด และ
ขอมูลเพื่อนํามาทํารายงานเชิงวิชาการและโครงงาน บันทึกขอมูลในรูปแบบ อินเทอรเน็ต ซึ่งหองสมุดในประเทศไทยแบงเปน 5 ประเภท ไดแก หอสมุด
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู แหงชาติ หองสมุดประชาชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุดมหาวิทยาลัยหรือ
หองสมุดสถาบันอุดมศึกษา หองสมุดเฉพาะสาขาวิชา นอกจากนี้ยังมี
หอจดหมายเหตุอีกดวย โดยประเภทของขอมูลที่มีใหบริการภายในหองสมุด
กิจกรรมทาทาย แบงไดเปน 3 กลุม ดังนี้
• วัสดุตีพิมพ ไดแก หนังสือทั่วไป หนังสืออางอิง นิตยสาร วารสาร จุลสาร
หนังสือพิมพ วิทยานิพนธ รายงาน วัสดุตีพิมพอื่นๆ เชน หนังสือ ตัวเขียน
นักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับกลวิธีการเขียนเรียบเรียงและวิธีการ จดหมายเหตุ แผนที่
นําเสนอรายงานเชิงวิชาการและโครงงานใหมีความนาสนใจ บันทึกขอมูล • วัสดุไมตีพิมพ เชน สไลด ฟลมสตริป แผนโปรงใส วัสดุยอสวน
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู • สือ่ อิเล็กทรอนิกส ไดแก ซีดรี อมและฐานขอมูลออนไลน (Online database)

คูมือครู 59
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนทบทวนความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
องคประกอบของโครงงาน แลวทําแบบวัดฯ ภาษา ๒) ขั้นตอนการท�าโครงงาน มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเขียน ดังนี้
ไทย ม. 1 ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด ๒.๑) การเลือกหัวเรื่อง หัวเรื่องของโครงงานมักจะได้จากปัญหา ค�าถาม หรือความสนใจ
กิจกรรมที่ 2.6 เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของผู้เขียน หรือได้จากแหล่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและความสนใจ เช่น
จากการอ่านหนังสือ การเข้าชมนิทรรศการ การสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว เป็นต้น
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ ๒.๒) การวางแผน การท�าโครงงานต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การด�าเนินงาน
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.6 เป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ
เรื่อง องคประกอบของโครงงาน การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทั่วไปเขียนเพื่อแสดงความคิด แผนงาน และ
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ขั้นตอนการท�าโครงงาน ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
กิจกรรมที่ ๒.๖ ใหนักเรียนพิจารณาขอความตอไปนี้วาเปนองคประกอบ ñð
สวนใดของโครงงานและเขียนลงในชองวางใหถูกตอง

เค้าโครงของโครงงาน
(ท ๒.๑ ม.๑/๘)

ขอบเขตการศึกษาคนควา
๑. ......................................................................... ศึกษาจากสํานวนไทยตามพยัญชนะ ก-ฮ ระยะ
เวลาในการศึกษาวันที่ ๔-๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

ชื่อโครงงาน
๒. ......................................................................... นานาสัตวกับสํานวนไทย ๑. ชือ่ โครงงาน ผูร้ บั ผิดชอบ อาจารย์ทปี่ รึกษา ๖. เครื่องมือเครื่องใช้
ขอเสนอแนะ
๓. ......................................................................... การศึกษาสัตวชนิดตางๆ ในสํานวนไทย ควรศึกษา
เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาและสาเหตุที่เลือกใชสัตว

ดังกลาวในสํานวนดวย
๒. หลักการและเหตุผล ๗. วิธีด�าเนินการ
วิธีการดําเนินงาน
๔. ......................................................................... รวบรวมสํานวนไทยที่เกี่ยวของกับสัตว
ฉบับ
เฉลย
คณะผูจัดทําโครงงาน
๕. ......................................................................... เด็กชายธันวา วาจนกิจ

ผลที่คาดวาจะไดรับ
๓. วัตถุประสงค์ ๘. อภิปรายผล
๖. ......................................................................... ทราบชนิดของสัตวที่นํามาใชในสํานวนไทย

วัตถุประสงค
๗. ......................................................................... เพื่อศึกษาชนิดของสัตวที่ปรากฏในสํานวนไทย

หลักการและเหตุผล
๘. ......................................................................... ทัง้ นีส้ มาชิกในกลุม มีความสนใจทีจ่ ะศึกษาเกีย่ วกับ ๔. ขอบเขตการศึกษา ๙. สรุปผลการด�าเนินงาน
สัตวชนิดตางๆ ที่อยูในสํานวนไทยเพื่อรวบรวม
และจําแนกประเภท

เอกสารทีใ่ ชในการศึกษา
๙. ......................................................................... หนังสือสํานวนไทยและสุภาษิตคําพังเพย ๕. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๑๐. ข้อเสนอแนะ
สรุปผลการดําเนินงาน
๑๐. ......................................................................... จากการศึกษาพบชนิดของสัตวทปี่ รากฏในสํานวน
ไทย ดังนี้

๓๒
๒.๓) การด�าเนินงาน การลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายาม
ท�าตามแผนงาน เตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อม ปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ
ค�านึงถึงความประหยัดและปลอดภัยในการท�างาน ตลอดจนบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ท�าอะไรบ้าง
ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร
๒.๔) การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงานเป็นวิธีสื่อสารความหมาย
วิธีหนึ่งที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีการด�าเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ
ที่เกี่ยวกับโครงงานนั้น โดยเขียนด้วยภาษาที 1 ่เข้าใจง่าย ชัดเจน และครอบคลุมประเด็นส�าคัญ
๒.๕) การน�าเสนอผลงาน
เสนอผลงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการท�าโครงงาน การน�าเสนอผลงาน
สามารถท�าได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของประเภทโครงงาน เนื้อหา เวลา และระดับของ
ผู้เรียน อาจน�าเสนอผลงานด้วยการรายงานหน้าชั้นเรียน หรือน�าเสนอผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

60

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การนําเสนอโครงงานมีวัตถุประสงคอยางไร
1 การนําเสนอผลงาน เปนขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่นักเรียนไดใช
1. เพื่อใหผูเรียนใชความสามารถอยางรอบดาน
ระยะเวลาปฏิบัติงานโครงงานตามแผนที่วางไวแลว โดยการนําเสนอผลงานจะ
2. เพื่อใหผูเรียนมีโอกาสไดอานหนังสืออยางหลากหลาย
ชวยทําใหนักเรียนมีความกลาแสดงออก เชื่อมั่นในผลงานของตนเอง ตอบขอ
3. เพื่อใหผูเรียนเรียนรูวิธีปฏิบัติงานตามคําสั่ง
ซักถามได การนําเสนอผลงานมีหลายลักษณะ ผูจัดทําตองเลือกใชใหเหมาะสม
4. เพื่อใหผูเรียนไดฝกกระบวนการคิด
กับรายงานหรือโครงงาน เชน การบรรยายประกอบแผนใส การใช PowerPoint
เปนตน วิเคราะหคําตอบจ การทําโครงงานเปนการเปดโอกาสใหผูเรียนไดเรียนรู
จากการปฏิบตั ิ ฝกกระบวนการคิด การคนควา ปฏิบตั ดิ ว ยตนเอง นําความรู
ความสามารถที่มีมาใชปฏิบัติงานได และเปนประโยชนในอนาคตผลที่ได
จึงเปนรูปธรรมชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

60 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนแบงกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ
โครงงาน 5-6 คน ใชองคความรูเกี่ยวกับการทํารายงาน
เชิงวิชาการ รวมกันทํารายงานตามหัวขอที่กลุม
เรื่อง การศึกษาที่มาของภาษาในการตั้งชื่อจริง สนใจ มีเวลาในการปฏิบัติทั้งสิ้น 1 สัปดาห
โดยเริ่มจากการวางโครงเรื่องในหัวขอที่เลือก
คณะผู้จัดท�าโครงงาน
เด็กชายณวีร์ ก้องเกียรติงาม เด็กหญิงปานใจ ทวีเกียรติ ระบุประเภทของขอมูลที่จะใช วิธีการคนควา
เด็กชายสหภาพย์ หอมสกุลวงศ์ เด็กหญิงปานฤทัย สุขใจยิง่ รวบรวมขอมูล สงครู
เด็กหญิงแก้วตา สุขทิพย์ เด็กหญิงแอนนา ไทเลอร์ 2. ครูพิจารณาโครงเรื่องที่นักเรียนนําสง พรอม
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน แสดงความคิดเห็นหรือขอชี้แนะตางๆ สง
อาจารย์ปุณยวีร์ โรจนหิรัญพงศ์ โครงเรื่องนั้นคืน ใหนักเรียนดําเนินการตอ
3. สมาชิกรวมกันลงมติเลือกรูปแบบการนําเสนอ
หลักการและเหตุผล
สังคมไทยเป็นสังคมที่รับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะวัฒนธรรม ขอมูล เพื่อเตรียมความพรอมสําหรับ
ทางด้านภาษา ซึ่งจะเห็นว่าการตั้งชื่อของคนไทยมีความหลากหลายอันเนื่องมาจากอิทธิพลของ การนําเสนอหนาชั้นเรียน
ภาษา สมาชิกในกลุ่มจึงมีความสนใจที่จะศึกษาที่มาของภาษาในการตั้งชื่อจริง และได้รวบรวม
รายชื่อเพื่อจ�าแนกประเภทตามที่มาของภาษา
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้รู้จักที่มาของภาษาที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง
๒. เพื่อให้มีข้อมูลและหลักการสังเกตค�าที่น�ามาตั้งชื่อ
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
“ภาษา” หมายถึง ภาษาเขียนที่มีที่มาจากภาษาต่างๆ ที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง โดยสมาชิก
ในกลุ่มต้องการศึกษาที่มาของภาษาในชื่อจริงว่าเป็นค�าที่มาจากภาษาใด โดยศึกษาจากรายชื่อ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จ�านวน ๓ ห้องเรียน ระยะเวลาในการศึกษา วันที่ ๑๒–๒๐
กรกฎาคม ๒๕๕๒
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
๑. รู้ที่มาของภาษาที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง
๒. มีข้อมูลและหลักการสังเกตค�าที่น�ามาตั้งชื่อ
เอกสารและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
๑. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
๒. ทะเบียนรายชื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
๓. หนังสือหลักภาษาไทย และอื่นๆ
๔. เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต

61

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
จากภาพที่กําหนดใหนักเรียน
ครูอาจสรางสรรคกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนฝกทักษะการประเมิน
คิดวาเกี่ยวของกับการทํารายงาน
โดยใหนักเรียนรวมกันสรุปเกณฑเพื่อใชประเมินเกี่ยวกับลักษณะรูปเลมของรายงาน
อยางไร
เชิงวิชาการ และรายงานผลการปฏิบัติโครงงาน โดยคําตอบของนักเรียนควร
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ องคประกอบครบถวน รูปแบบการเขียนถูกตอง
ขอมูลมีความนาเชื่อถือ และมีการอางอิงขอมูลในรูปแบบที่ถูกตอง มีการคนควา
เก็บรวบรวมและเรียบเรียงขอมูลอยางเปนระบบ สํานวนภาษาที่ใชเหมาะสมกับ
แนวตอบ ภาพดังกลาว คือภาพการเก็บขอมูลภาคสนาม เปนหนึ่งในวิธีการ งานเขียนเชิงวิชาการ นอกจากนี้ควรใหรวมกันสรุปเกณฑสําหรับใชประเมินการ
เก็บขอมูลเพื่อนํามาทํารายงาน ซึ่งผูทํารายงานจะตองศึกษาและพิจารณาวา นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยคําตอบของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
จะเก็บขอมูลภาคสนามจากแหลงใด หากเลือกที่จะใชการแจกแบบสอบถาม การเตรียมพรอม ความแมนยําในขอมูล สือ่ ประกอบ บุคลิกภาพ ทาทาง การใชเสียง
ผูจัดทําจะตองออกแบบคําถามในแบบสอบถามเพื่อใหไดขอมูลที่เพียงพอ รูปแบบการนําเสนอทีเ่ ลือกใชมคี วามสอดคลองกับขอมูลและมีความเปน Team work
ตอความตองการ กําหนดกลุมเปาหมายที่จะตอบแบบสอบถามใหชัดเจน
วิธีการสงแบบสอบถาม วิธีการเรียกคืนแบบสอบถาม เปนตน

คูมือครู 61
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
หลังเสร็จสิ้นการนําเสนอรายงานเชิงวิชาการ
ของนักเรียนแตละกลุม ครูชวนนักเรียนสนทนา วิธีด�าเนินการ
เกี่ยวกับเหตุการณนํ้าทวมในป 2554 ซึ่งเปน ๑. รวบรวมข้อมูลรายชื่อ แล้วสมาชิกทุกคนร่วมกันแยกประเภทของรายชื่อตามภาษา
เหตุการณที่คนไทยไดรับความสูญเสียอยางรายแรง ๒. น�ารายชื่อที่แยกประเภทภาษามาวิเคราะห์และตรวจสอบที่มาจากพจนานุกรม
โดยครูกระตุน ใหนกั เรียนเกิดการตัง้ คําถามวา ๓. สอบถามจากเจ้าของชื่อ ผู้รู้ ผู้ปกครอง หรือครูเพื่อให้ทราบที่มาของภาษา
ชวงเวลาที่ผานมาในสถานการณนั้น คนไทยสูญเสีย ๔. บันทึกผล น�าข้อมูลมาเรียบเรียงและสรุปผลการศึกษา
สิ่งใดบาง อะไรคือความเดือดรอน อะไรคือสาเหตุ อภิปรายผลการศึกษา
แหงการสูญเสีย จากปญหาตางๆ ใหนกั เรียนรวมกัน ตารางแสดงที่มาของภาษาในการน�ามาใช้ตั้งชื่อจริงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
(ใชกลุมเดิมตอนที่ทํารายงานเชิงวิชาการ) จ�านวน ๗๒ รายชื่อ จ�าแนกประเภทตามที่มาของภาษา ๔ ภาษา ดังนี้
ใชองคความรูเกี่ยวกับการทําโครงงานสรางสรรค ภาษาบาลี–สันสกฤต บุปผา อัจฉราฉวี ทัศนียา กฤตธีรา กมล กรรณิการ์ ณวีร์ สุรเชษฐ์
โครงงานเพื่อเปนหนึ่งในทางเลือกสําหรับการ กุณฑีรา ศิรา ทวีศักดิ์ อนันต์ กมลชนก สัญญา ปรัชญา ปรานี
บุตรี เพชร นัยนา หฤทัย สันติ บุษบา กัลยากร ศรีวรรณ ชนินทร์
ปองกันปญหาที่อาจเกิดขึ้นไดอีกในอนาคต จุฑารัตน์ กชวรรณ วิริยาพร อัชฌาพร อรอนงค์ สุรีย์ พัชนิภา ราช
โดยใหเวลาในการปฏิบัติโครงงานเปนเวลา ธนิต อมราภรณ์ สุกัญญา กฤษณา อุทัยวรรณ วิจิตรา วราภรณ์
2 สัปดาห พรอมทั้งเขียนรายงานโครงงานสงครู สุจิตรา ประณต ภูมิศักดิ์ สมเกียรติ สหภาพย์ ดุลฤดี
ศึกษาจากตัวอยางในหนังสือเรียนภาษาไทย
ภาษาไทย สมใจ ใบตอง ปานใจ สมปอง สุดา ดอกไม้ มะลิ บัวแก้ว ทอฝัน แก้วตา
หนา 61- 62
ภาษาอังกฤษ คริสต์ แอนนา เมลซี เจนนี่ โจเซฟ ไมเคิล จอห์น อัลเบิร์ต
ตรวจสอบผล Evaluate
ภาษาเขมร เพ็ญแข ผกากรอง จ�าเริญ จ�ารัส ช�านาญ เชวง เผดิม อ�านวย
1. นักเรียนแตละกลุมรวมกันนําเสนอรายงาน
การศึกษาคนควาเชิงวิชาการในหัวขอที่เลือก สรุปผลการด�าเนินงาน
หนาชั้นเรียน ชื่อจริงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จ�านวน ๗๒ รายชื่อ มีที่มาจากภาษาบาลี-
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันนําเสนอโครงงาน สันสกฤตมากที่สุด ส่วนภาษาอื่นๆ มีจ�านวนใกล้เคียงกัน
หนาชั้นเรียน ข้อเสนอแนะ
เมือ่ รูท้ มี่ าของรายชือ่ นักเรียนว่ามีทมี่ าจากภาษาใดแล้ว ควรฝึกแปลความหมายของชือ่ ต่างๆ
เหล่านั้นซึ่งจะช่วยให้มีความรู้เรื่องค�าศัพท์ในภาษาต่างๆ มากขึ้น

การเขียนเป็นสือ่ ทีช่ ว่ ยเผยแพร่ความรูค้ วามคิดให้กว้างไกล เป็นเครือ่ งมือใช้สÓหรับ


สือ่ สารทัéงเรื่องในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมทัéงเป็นสื่อกลางที่ให้ความรู้ ความคิด
และความเพลิดเพลินแก่คนทุกเพศทุกวัย ดังนัéน จึงควรหมั่นฝึกฝนการเขียนอยู่เสมอ
ให้มีพัฒนาการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อเป็นพืéนฐานที่ดีในการศึกษาขัéนสูงต่อไป

62

บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู การทําโครงงานสามารถบูรณาการไดทั้งนอกกลุมสาระการเรียนรูและ
ในกลุมสาระการเรียนรูเดียวกัน กลาวคือ กระบวนการที่นักเรียนใชปฏิบัติ
ครูควรยกตัวอยางขั้นตอนการปฏิบัติโครงงานเพื่อใหนักเรียนเขาใจยิ่งขึ้น ดังนี้
โครงงานคือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร ซึง่ โครงงานเหลานีเ้ ปนโครงงาน
สมมติวากลุมของนักเรียนตองการจะทําโครงงานเพื่อปองกันการสูญเสียชีวิตจาก
ที่เปนประโยชนตอบุคคลทั่วไป ดังนั้นจึงใหนักเรียนทั้งระดับชั้นรวมกัน
การถูกสัตวมีพิษทําราย นักเรียนอาจจะลงมติวาจะใชความรูทางวิทยาศาสตรจัดทํา
ลงมติวาจะมีรูปแบบการนําเสนอผลงานของโครงงานอยางไร หากมีมติ
โครงงานประเภทประดิษฐสรางสรรคไมเทาปองกันสัตวมีพิษ ในประเด็นเดียวกันนี้
วาจะนําเสนอในรูปแบบนิทรรศการเคลื่อนที่ก็ตองรวมกันกําหนดสถานที่
กลุมอื่นอาจลงมติวาจะทําโครงงานประเภทสํารวจ ทําการสํารวจเกี่ยวกับสัตวมีพิษ
สําหรับจัดแสดง โดยอาจเริ่มจากบริเวณชุมชนใกลเคียง ใชทักษะทางภาษา
ในประเทศไทย ระบุลกั ษณะสําคัญ วิธปี ฐมพยาบาลเบือ้ งตนเมือ่ ถูกทําราย หนวยงาน
เขียนประชาสัมพันธการจัดกิจกรรม เขียนจดหมายขอความรวมมือจากผูที่
ที่เกี่ยวของหรือที่สามารถขอความชวยเหลือได บางกลุมอาจจับประเด็นเรื่องการ
เกี่ยวของ เปนตน
ขาดแคลนอาหาร แลวจัดทําโครงงานประดิษฐโดยใชความรูเ กีย่ วกับการถนอมอาหาร
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะทําใหนักเรียน ไดแสดง
คิดคน ผลิตขาวที่สามารถเก็บรักษาไดเปนเวลานาน หรือคิดคนวิธีการถนอมอาหาร
ความสามารถของตนเอง กอใหเกิดความภาคภูมิใจ เรียนรูการทํางาน
รูปแบบใหมเพื่อใหพนจากภาวะขาดแคลนอาหาร เปนตน
รวมกับผูอื่น ซึ่งเปนทักษะที่จําเปนในการดํารงชีวิตประจําวัน

62 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูตรวจสอบผลงานเขียนสื่อสารในรูปแบบ
ตางๆ ที่นักเรียนนําสง ไดแก เรียงความ
การเขียนแนะนําตนเอง การเขียนแนะนํา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
สถานที่ การยอความ จดหมายสวนตัวหรือ
จดหมายกิจธุระ รูปเลมรายงาน โครงงาน
๑. การเขียนเรียงความมีลักษณะอย่างไร ซึ่งการพิจารณาของครู ควรยึดเกณฑ ดังนี้
๒. การย่อความไม่ใช่การตัดต่อข้อความ นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
๓. การเขียนจดหมายลาครูและจดหมายถึงเพื่อนมีรูปแบบการเขียนแตกต่างกันอย่างไร
• ความถูกตองของรูปแบบ
๔. การเขียนรายงานมีความส�าคัญอย่างไรในการเรียน จงอธิบาย • จุดมุงหมาย แนวคิด ความคิดสรางสรรค
๕. การเขียนโครงงานมีประโยชน์อะไรบ้าง และสามารถน�ามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้อย่างไร • กลวิธีการเขียน
• สํานวนภาษา
• การเขียนสะกดคํา เวนวรรคตอน
• มารยาทในการเขียน ลายมือ ความสะอาด
• การอางอิงแหลงขอมูล ความนาเชื่อถือ
หรือความเปนไปไดของสถานการณ (ในกรณี
เขียนจดหมาย)
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอรายงานเชิงวิชาการ
และโครงงานของนักเรียนแตละกลุม
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ควรยึดเกณฑ ดังนี้
• รูปแบบการนําเสนอ และการใชสื่อประกอบ
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกหัวข้อที่น่าสนใจเพื่อเขียนเรียงความคนละ ๑ เรื่อง • ความแมนยําในขอมูล
แล้วน�าเสนอในชั้นเรียน เช่น • บุคลิกภาพโดยรวมของกลุม
■ สารเสพติดกับวัยรุ่นไทย
• มีสวนรวมในการนําเสนอ Team work
■ คุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
■ ค่านิยมของเยาวชน

กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนเลือกอ่านนิทานเรื่องที่ชอบคนละ ๑ เรื่อง แล้วเขียนย่อความ


ให้ถูกต้อง หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนฝกเขียนจดหมายถึงเพื่อนต่างโรงเรียนตามสถานการณ์สมมติ
และใช้ภาษาเขียนอย่างสร้างสรรค์ 1. เรียงความ
กิจกรรมที่ ๔ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๔ คน เลือกประเด็นที่น่าสนใจร่วมกัน
2. การเขียนแนะนําตนเอง และสถานที่
เขียนเปนโครงงานน�าเสนอกับครูผู้สอน โดยมีระยะเวลาการด�าเนินการ
๑ เดือน 3. การเขียนยอความ
4. การเขียนจดหมายสวนตัวหรือจดหมายกิจธุระ
5. การเขียนรายงานและโครงงาน
63 6. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เรียงความ คืองานเขียนรอยแกว ทีม่ งุ เสนอแงคดิ ความรู เปนประเด็นสําคัญ มีรปู แบบทีช่ ดั เจน ประกอบดวยคํานํา เนือ้ เรือ่ ง และสรุป นิยมใชภาษาแบบทางการ
หรือกึ่งทางการในการเขียน
2. เห็นดวย เพราะการยอความ คือการสรุปใจความสําคัญของเรื่องที่อานดวยสํานวนของผูยอเอง ดังนั้น การยอความจึงตองใชทักษะการอานจับใจความสําคัญ
ประกอบ การตัดตอขอความจะทําใหไมไดสาระสําคัญที่แทจริง
3. มีความแตกตางกันในประเด็นของรูปแบบการใชภาษา คือ การเขียนจดหมายถึงครูจะตองใชถอยคําใหเหมาะสมกับสถานภาพของบุคคล ดังนั้น ภาษาที่ใชจึงเปน
ภาษากึ่งทางการ หรือทางการ สวนจดหมายถึงเพื่อนเปนจดหมายที่ติดตอระหวางบุคคลที่คุนเคย ดังนั้น ภาษาที่ใชจึงเปนภาษากึ่งทางการ หรือภาษาปาก
หากมีความสนิทสนมคุนเคยกัน
4. ทําใหมีวิธีการสําหรับการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยางเปนระบบ และมีรูปแบบในการนําเสนอที่ถูกตอง
5. การเขียนโครงงานมีประโยชนในการตอยอดความรูเชิงทฤษฎีใหออกมาในรูปแบบของการลงมือปฏิบัติ ใหไดผลจริง ซึ่งมีประโยชนตอชีวิตประจําวัน คือ กอใหเกิด
กระบวนการคิดที่เปนระบบ เรียนรูวิธีการทํางานรวมกัน และการยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น

คูมือครู 63
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหา
สาระที่ไดรับจากสื่อผานชองทางตางๆ เชน การอาน
การฟง และการดูดวยสํานวนภาษาของตนเอง

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ Engage


ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย นําเขา หน่วยที่ ó
สูหนวยการเรียนรูดวยวิธีการชวนสนทนาเกี่ยวกับ
การรับรูขาวสารในชีวิตประจําวันของนักเรียน
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากสื่อ
หลังจากนั้นตั้งคําถามวา ตัวชี้วัด ก ารเขี ย นแสดงความคิ ด เห็ น
• ในชีวิตประจําวัน นักเรียนรับรูขาวสาร ท ๒.๑ ม.๑/๖
เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อที่ไดรับ
เป็นการฝกให้ผู้เขียนรู้จักใช้ความคิด
ใช้ ป  ญ ญา และความรู ้ ต ่ อ สิ่ ง ที่ ไ ด้ เ ห็ น

ผานชองทางใดบาง
ได้ยิน ได้ฟง ได้อ่าน หรือได้ดู โดยใช้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ภาษาเป็นสื่อในการแสดงออก ทั้งนี้ย่อม
ไดอยางอิสระขึ้นอยูกับประสบการณสวนตน) สาระการเรียนรูแกนกลาง
ขึน
้ อยูก่ บ ั ผูเ้ ขียนว่ามีประสบการณ์ ความรู้
การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อตางๆ เชน
• การแสดงความคิดเห็น มีความจําเปนอยางไร และมีเหตุผลทีด ่ มี ารองรับมากน้อยเพียงใด

● บทความ

(แนวตอบ การแสดงความคิดเห็น คือ ● หนังสืออานนอกเวลา การเขี ย นเพื่ อ แสดงความคิ ด เห็ น เป็ น การ
● ขาวและเหตุการณประจําวัน
ถ่ายทอดความนึกคิดของตนให้เป็นที่แพร่-
การแลกเปลี่ยนความรู ความคิดซึ่งกันและกัน ● เหตุการณสําคัญตางๆ
หลาย ย่ อ มมี ทั้ ง ผู ้ เ ห็ น คล้ อ ยตามและเห็ น
ตอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การแสดงความคิดเห็น ขั ด แย้ ง ท� า ให้ เ กิ ด การเพิ่ ม พู น ความรู ้ แ ละ
จะทําใหกลุมบุคคลมีมุมมองใหมๆ กอใหเกิด เกิดการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ภาษาเขียนจึงเป็น
การเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาไปในทิศทาง เครือ่ งมือส�าคัญอย่างหนึง่ ในการพัฒนาความคิด
ที่ดีขึ้น)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนแสดงความคิดเห็นจากสือ่ เปาหมาย
สําคัญคือ นักเรียนสามารถเขียนแสดงความคิดเห็นทีม่ ตี อ เนือ้ หาสาระทีไ่ ดรบั จากสือ่
โดยคํานึงถึงความถูกตอง เปนกลาง และมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับประเภทและ
เนือ้ หาสาระของสารทีไ่ ดรบั จากสือ่ โครงสรางของการแสดงความคิดเห็น แนวทาง
การเขียน และชองทางการเขียนแสดงความคิดเห็น จากนัน้ จึงใหลงมือปฏิบตั โิ ดยมี
ขัน้ ตอน ดังนี้ ศึกษาเนือ้ หาสาระจากสือ่ โดยการอาน ฟง และดู จดบันทึกสาระสําคัญ
ทีเ่ กิดจากการตัง้ ขอสังเกต การขยายความคิดเพือ่ แสดงความคิดเห็น ระบุเหตุผล
โดยอางอิงจากรองรอยความรูแ ละประสบการณเดิม นําเสนอเปนผลงานเขียนของ
ตนเอง
การเรียนการสอนในลักษณะนีจ้ ะชวยฝกทักษะการวิเคราะห และทักษะการให
เหตุผลแกนกั เรียนซึง่ มีความจําเปนตอชีวติ ประจําวัน

64 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
สํารวจคนหา Explore
แบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม ในจํานวน
๑ ËÅÑ¡¡ÒÃà¢Õ¹áÊ´§¤ÇÒÁ¤Ô´àËç¹ เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้น
การเขียนแสดงความคิดเห็น เปนทักษะการเขียนอยางหนึ่งที่ตองอาศัยการวิเคราะห วิจารณ ใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับ
อยางมีเหตุผล ซึ่งผูเขียนตองมีความรูในเรื่องที่แสดงความคิดเห็น โดยมีหลักการเขียน ดังนี้ การสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้
๑. ผูเขียนจะตองรูวาจะแสดงความคิดเห็นเรื่องอะไรจะตองมีความรูในเรื่องนั้นๆ อยางดีพอ หมายเลข 1 ประเภทและเนื้อหาสาระของสื่อ
๒. ผูเขียนตองหยิบยกทั้ง1ขอดี ขอดอย ของสิ่งที่แสดงความคิดเห็นอยางมีเหตุผล โดยไมใช ในชีวิตประจําวัน
อารมณวิจารณ ตองปราศจากอคติ หมายเลข 2 โครงสรางของความคิดเห็น
๓. ผูเขียนตองชี้แจงสาเหตุที่อาจเปนไปไดทั้งในทางดีและไมดีใหเห็นชัดเจน หมายเลข 3 หลักการเขียนแสดงความคิดเห็น
๔. ผูเขียนตองเสนอแนะวาควรแกไขในสิ่งที่ไมดีอยางไร ถาแกไขแลวจะเกิดผลอยางไร หมายเลข 4 ชองทางการแสดงความคิดเห็น
๕. ผูเขียนตองแสดงความคิดเห็นอยางละเอียดในแงที่เปนประโยชนตอสวนรวม
๒ ¡ÒÃà¢Õ¹áÊ´§¤ÇÒÁ¤Ô´àËç¹¼‹Ò¹Ê×è͵‹Ò§æ อธิบายความรู Explain
การแสดงความคิดเห็นผานสื่อในสังคมปจจุบันเปนเรื่องปกติที่มีอยูทุกวัน จากการที่พบเห็น นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ไดยิน ไดฟงสิ่งใด ถาเห็นดวย ไมเห็นดวย ชอบ ไมชอบ มักมีผูออกมาวิจารณโดยเฉพาะอยางยิ่ง ความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ของตนเองไดรบั มอบหมาย
ทางหนาหนังสือพิมพ โทรทัศน และผานทางสื่ออินเทอรเน็ต ถาสังคมมีความขัดแยง การแสดง ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
ความคิดเห็นยิ่งมีความหลากหลาย ซึ่งมักแสดงออกในรูปของบทความที่ผูเขียนมักจะหยิบยกปญหา
• การเขียนแสดงความคิดเห็น คืออะไร
ในสังคมขณะนัน้ มาเขียน มีทงั้ ปญหาสวนรวมและปญหาสวนบุคคล ปญหาสวนรวม เชน ปญหาเศรษฐกิจ
(แนวตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็น คือ
การศึกษา การเมือง การปกครอง ปญหาสวนบุคคล เชน การปองกันอาชญากรรม การรักษา
ความปลอดภัย เปนตน บางครั้งก็มีผูแสดงความคิดเห็นตอบโตบทความที่มีผูอื่นเขียนขึ้นเพื่อจะแสดง
การเขียนที่ประกอบดวยขอมูลที่เปนขอ
แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งของตนดวย เท็จจริงกับการแสดงความคิดเห็นตอเรื่องใด
เรื่องหนึ่ง ซึ่งลักษณะของการแสดงความ
คิดเห็นควรเปนไปในเชิงสรางสรรค เปนกลาง
ไมเลือกที่รักมักที่ชัง)
• นักเรียนคิดวาสือ่ สิง่ พิมพและสือ่ อิเล็กทรอนิกส
มีขอดีและขอเสียแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งจะทําใหไดคําตอบที่
หลากหลายและกวางขวาง ครูควรชี้แนะ
ขอมูลที่ถูกตองใหแกนักเรียน)
• เนือ้ หาสาระทีน่ กั เรียนไดรบั รูผ า นกระบวนการ
รับสารมีอะไรบาง
(แนวตอบ ขาวประเภทตางๆ เชน ขาว
การแสดงความคิดเห็นรวมกันถือเปนการแลกเปลีย่ นทัศนคติ ความรูท ดี่ ี ซึง่ ทุกคนตองเคารพในความคิดเห็นของผูอ นื่ การเมือง ขาวกีฬา ขาวเศรษฐกิจ หนังสือ
บทความ บทเพลง ละคร รายการโทรทัศน
๖๕
ตางๆ เปนตน)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนคิดวาพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นของบุคคลที่กําหนดให
ตอไปนี้ ใครแสดงความคิดเห็นไดเหมาะสมที่สุด 1 อคติ คือ ความลําเอียง ความไมเที่ยงธรรม เกิดจากสาเหตุ 4 ประการ ดังนี้
1. พรแสดงความคิดเห็นในเรื่องสวนตัวของกุง ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรัก ไมใหความยุติธรรมเพราะความรักใคร โทสาคติ
2. หนอยแสดงความคิดเห็นตอความเชื่อของนอย ลําเอียงเพราะชัง ไมใหความยุติธรรมเพราะไมชอบ โมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา
3. นิดแสดงความคิดเห็นโดยยึดเหตุผลของตนเองเปนใหญ ไมใหความยุติธรรมเพราะความไมรู หลงผิด ไมสอบสวนความจริงใหรอบคอบ
4. แปงแสดงความคิดเห็นตอขาวอาชญากรรมที่อานจากหนังสือพิมพ และภยาคติ ลําเอียงเพราะความกลัว

วิเคราะหคําตอบ การแสดงความคิดเห็นเปนพฤติกรรมประการหนึ่งของ บูรณาการ


มนุษยทจี่ ะทําใหเกิดการมองหลายๆ แงมมุ เรือ่ งทีไ่ มควรแสดงความคิดเห็น เศรษฐกิจพอเพียง
หรือวิพากษวิจารณ เชน เรื่องสวนตัวของผูอ นื่ ทีส่ าํ คัญไมควรยึดถือแต
เฉพาะความคิดเห็นของตน ดังนั้นจึงตอบขอ 4. การสรางความรู ความเขาใจเกี่ยวกับความพอเพียงทางดานความคิด เปน
จุดเริม่ ตนของความพอเพียงในดานอืน่ ๆ ใหนกั เรียนหาความรูเ กีย่ วกับคําวา “พอเพียง”
จากนั้นใหเขียนแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่วา “จะนําความพอเพียงมาใชพัฒนา
ตน พัฒนาการเรียนอยางไร” แลวนําสงครูผูสอน ซึ่งในชั้นเรียนครูผูสอนอาจสุมเรียก
นักเรียนพูดแสดงความคิดเห็น เพื่อฝกฝนทักษะทางภาษาทั้งสองประการ

คูมือครู 65
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ 1
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากข่าว
มอบหมาย
http://www.dailynews.co.th/content/economic/286384/ท่องเที่ยวพร้อมแยกกระทรวงท�างาน
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
• บุคคลในสังคมจําเปนตองแสดงความคิดเห็น ทèองเทีèยวพรéอมแยกกระทรวงท�ำงำน
ของตนและขณะเดียวกันก็ตองยอมรับฟง
ททท. รับลูก คสช. แยกกระทรวงท่องเทีย่ วกับกีฬาออกจากกัน หลังทีผ่ า่ นมา ท�างานซ�า้ ซ้อนกัน
ความคิดเห็นของผูอื่นดวย กระบวนการนี้มี
แต่รับต้องหาบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวมาท�างาน
ความสําคัญอยางไร
วันอังคาร ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗:๓๒ น.
(แนวตอบ การแสดงความคิดเห็นทําใหมอง
นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงกรณี
สิง่ ตางๆ รอบดาน ซึง่ จําเปนตอสังคม
ที่ ค ณะรั ก ษาความสงบแห่ ง ชาติ (คสช.) มี แ นวคิ ด จะแยกกระทรวงการท่ อ งเที่ ย วและกี ฬ า
ประชาธิปไตยที่ตองฟงเสียงสวนใหญ)
ออกจากกันว่า ต้องการให้การแยกกระทรวงฯ ในครัง้ นี ้ เป็นการปรับบทบาทครัง้ ใหญ่ของกระทรวงฯ
• ความคิดเห็น ประกอบดวยอะไรบาง
โดยเฉพาะการปรับหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงฯ ที่ปัจจุบันซ�้าซ้อนเรื่องการท�างาน
(แนวตอบ ที่มา ขอสนับสนุน และขอสรุป
ท�าให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาสินค้าท่องเที่ยว และ
ซึ่งที่มา คือ สวนที่เปนเรื่องราวตางๆ ที่ทําให
ออกโรดโชว์สินค้าท่องเที่ยว
เกิดการแสดงความคิดเห็น ขอสนับสนุน คือ
นอกจากนี้ จะต้ อ งหั น มาพิ จ ารณาเรื่ อ งบทบาทของบุ ค ลากรในกระทรวงด้ ว ย ไม่ ใช่
เหตุผลที่อาจจะเปนหลักการ ขอเท็จจริง
เปลี่ยนแค่เพียงชื่อกระทรวงฯ โดยเฉพาะบุคลากรของกระทรวงการท่องเที่ยว และของกรม
รวมทั้งขอคิดเห็นของผูอื่น ที่นํามาสรุป
การท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากกีฬา ท�าให้ขาดความเชี่ยวชาญด้านการท�างานภาคการท่องเที่ยว
ความคิดเห็นของผูเขียน ขอสรุป เปนสวนที่
การปรับโครงสร้างการแยกกระทรวงนั้น ไม่จ�าเป็นว่าจะต้องกลับไปอยู่กับส�านักนายกรัฐมนตรี
สําคัญที่สุดของการแสดงความคิดเห็น
แต่ส�าคัญที่หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงจะต้องมีวิสัยทัศน์เดียวกัน มีจุดประสงค์ที่จะ
เปนการสรุปประเด็นทั้งหมดของการเขียน
พัฒนาการท่องเทีย่ วให้ไปในทิศทางทีด่ ไี ด้ แต่ทงั้ นี ้ ก็ยงั มีปญ
ั หาว่าหากจะปรับจริงๆ จะน�าบุคลากร
แสดงความคิดเห็นตอเรื่องนั้นๆ)
มาจากไหน เพราะปัจจุบนั บุคลากรส่วนใหญ่มาจากฝ่ายกีฬา ซึง่ หากปรับก็อยากจะได้คนทีส่ ามารถ
• นักเรียนคิดวาความคิดเห็นของบุคคล
มาท�างานด้านการท่องเที่ยวได้จริงๆ ทั้งนี้ด้านส�านักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
มีความแตกตางกันหรือไม และอะไรคือ
(ทีเส็บ) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ซึ่งเป็น
สาเหตุของความแตกตาง
หน่วยงานภายใต้องค์กรมหาชนก็เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่หากจะ
(แนวตอบ ความคิดเห็นของบุคคลมีความ
มารวมจะต้องปรับการท�างานให้มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อให้บูรณาการการท�างานไปสู่เป้าหมาย
แตกตางกัน เนื่องมาจากสาเหตุตางๆ ดังนี้
การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตได้
คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย เชาวน
ด้านนายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ปญญา อิทธิพลของสิ่งแวดลอม ความรู
กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดการปรับโครงสร้างของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะ
ประสบการณ ความเชื่อ และคานิยม)
จะส่งผลกับการท�างานในภาคเอกชนได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะการตัดสินใจเชิงนโยบายต่างๆ
• นักเรียนมีวิธีการบอกตนเองใหยอมรับฟง
ที่จะท�างานได้รวดเร็ว ไม่ต้องผ่านขั้นตอนมากเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งถ้าแยกออกมาจะท�าให้
ความคิดเห็นของผูอื่นอยางไร เพื่อลดปญหา
ความขัดแยง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น 66
ไดอยางอิสระและหลากหลาย)

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
พาดหัวขาวในขอใดใชภาษาเพื่อการแสดงความคิดเห็น
1 ขาว หากแบงประเภทของขาวโดยพิจารณาในแงระดับขาว จะแบงได 2 ประเภท
1. รอนนี่ ชาน พอพระ นักอสังหาฯ
ไดแก ขาวหนัก เปนขาวทีม่ เี นือ้ หาสาระในเชิงใหความรู ความคิด มากกวาความบันเทิง
2. เชียงราย...ตกหนัก คราชีวิตหญิงชรา 76
สวนขาวเบา เปนขาวที่มีเนื้อหาสาระใหความบันเทิงมากกวาความรู และความคิด
3. ดวยคะแนน 2 ตอ 1 เซต วอลเลยบอลสาวไทย
เปนเรื่องราวที่เขาใจงาย มีผลตออารมณความรูสึกของผูอาน แตถาแบงประเภท
4. ถึงไทยแลว...โรคมือ เทาปาก สธ.หาทางปองกัน
ของขาว โดยพิจารณาในแงระดับความรูสึกตอบสนอง จะแบงได 2 ประเภทเชนกัน
ไดแก ขาวที่ผูอานมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ไมวาจะเปนความรูสึกทางบวกหรือลบ วิเคราะหคําตอบ พาดหัวขาว คือ การนําประเด็นสําคัญของขาวมาเขียน
เชน ขาวบันเทิง ขาวกีฬา ขาวอาชญากรรม เปนตน และขาวที่ผูอานมีปฏิกิริยา เพื่อบอกใหผูอานทราบวา วันนี้มีเหตุการณอะไรเกิดขึ้นบาง พาดหัวขาว
ตอบสนองชา เพราะผูอานตองใชความคิด ความรู ประสบการณในการพิจารณา จึงมีจุดประสงคเพื่อเรียกรองความสนใจของผูอาน การพาดหัวขาวแสดง
ทําความเขาใจ เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ ขาวการศึกษา เปนตน ความคิดเห็น คือ การที่ผูเขียนใชถอยคําเพื่อแสดงอารมณ ความรูสึกที่มีตอ
เนื้อขาว หรือผูที่เกี่ยวของกับขาว คําตอบในขอ 2., 3. และ 4. เปนประโยค
ที่ผูเขียนมุงแสดงขอเท็จจริง ประโยคในขอ 1. ปรากฏการใชถอยคําในเชิง
แสดงความคิดเห็นคือคําวา “พอพระ” ซึ่งคํานี้มักจะกลาวชมเชยแกบุคคล
ที่มีจิตใจดีหรือใจบุญมากเปนพิเศษ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.

66 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนอานตัวอยางการเขียนแสดงความ
คิดเห็นจากขาวในหนังสือเรียนภาษาไทย
การบริหารงานต่าง ๆ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปัจจุบัน หนา 67 แลววิเคราะหในประเด็นตอไปนี้
ยังท�างานซ�า้ ซ้อน อีกทัง้ กว่า ๘๐% ของบุคลากรในกระทรวงฯ ยังเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญด้านกีฬามากกว่า • ที่มาของการแสดงความคิดเห็น
จึงอยากให้ปรับการท�างานให้สะดวก และเชื่อมโยงกับงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น วัฒนธรรม • จุดประสงคของการแสดงความคิดเห็น
และแรงงาน • ขอมูลที่ผูเขียนใชสนับสนุนความคิดเห็น
ของตน
นับว่าเช้านี้เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีของผม ข่าวแรกที่เปิดอ่านท�าให้อิ่มเอมหัวใจ เพราะมองเห็น • ความนาเชื่อถือ
แล้วว่าประเทศไทยของเราก�าลังจะเดิ ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายในแตละประเด็น
1 นไปสู่ทิศทางใด 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนในประเด็นตอไปนี้
ข่าวนี้ บางคนเห็นพาดหัวข่าวแล้ว อาจจะผ่านเลยไป เพราะประเมินว่า ไม่เกี่ยวกับฉัน แบบนี้
มีให้เห็นกันมากครับ ชีวิตนี้ขออ่านแต่ข่าวบันเทิงอย่างเดียว ผมอยากฝากถึงเพื่อนๆ ทุกคน • นักเรียนจะเลือกแสดงความคิดเห็น
ในบล็อกนีน้ ะครับ เราลองมาให้ความสนใจกับข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ หรือข่าวอืน่ ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง จากขาวประเภทใด เพราะเหตุใด
กับความเป็นไปของประเทศดูบ้าง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เราเป็นพลเมือง เป็นส่วนหนึ่งที่จะ • นักเรียนมีแนวทางอยางไรในการเขียนแสดง
ท�าให้ประเทศพัฒนา หากไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่านโยบายของประเทศเป็นอย่างไร ภาครัฐท�างาน ความคิดเห็นจากขาวที่เลือก
กันอย่างไร แล้วเราจะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศได้อย่างไร ทายคําตอบของนักเรียน ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม
สละเวลาส่วนตัวสักนิด อ่านคร่าวๆ ก็ได้ครับ พอให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสมัยนี้สื่อมวลชน เพื่อสรางความรู ความเขาใจที่ถูกตอง
เขียนพาดหัวข่าวได้ทันกินทันใช้ดีเหมือนกับรู้ว่าผู้อ่านเวลาน้อย ข่าวนี้ก็เช่นเดียวกันเพียงอ่าน
พาดหัวข่าวก็รแู้ ล้วว่าเกิดอะไรขึน้ หรือใครท�าอะไร แต่หากคุณอ่านคร่าวๆ ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ ก็อย่า
น�าไปพูดต่อนะครับ ถ้าจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดก็ตาม ควรอ่านให้ครบความ เสียเวลา
ไม่มากหรอก
จากพาดหัวข่าว ไล่เรียงมาทีเ่ นือ้ ข่าวเป็นการเขียนขยายความหรือให้รายละเอียดได้ด ี เมือ่ อ่าน
จบแล้วท�าให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่า ท�าไมต้องแยกกระทรวง แล้วท�าได้จริงหรือไม่ เมื่อแยกแล้วมีผลดี
ผลเสียอย่างไร เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาพบว่าผู้เขียนสื่อสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ไม่สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัว แต่ขอ้ เสียของข่าวนีก้ ม็ นี ะครับ บางช่วงบางตอนก็ให้รายละเอียด
มากเกินไป ผู้อ่านบางคนอ่านมาถึงช่วงกลางๆ อาจเบื่อได้ พาลจะอ่านไม่จบเสียเปล่าๆ
ขึ้นชื่อว่า “ข่าว” บางคนก็ไม่อยากอ่านแล้ว โดยเฉพาะข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ เพราะ
ไม่อยากคิด ไม่อยากวิเคราะห์ ล�าพังเรื่องปากเรื่องท้องก็หนักพออยู่แล้ว อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับ
อ่านไว้เป็นความรู้ น�าไปปรับใช้ ความรู้บางอย่างยังไม่เป็นประโยชน์ในวันนี้ แต่เป็นประโยชน์ใน
วันหน้าแน่นอน อย่างน้อยๆ ข่าวนี้ ก็ท�าให้ผมคิดถึงอนาคตของตนเอง ความรู้ความสามารถก็พอมี
ลองท�าธุรกิจโฮมสเตย์ดูก็ไม่เสียหลาย เพราะภาครัฐเขาโฟกัสเรื่องการท่องเที่ยวน่าดู

67

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
หัวขอการเขียนแสดงความคิดเห็นในขอใดตางจากขออื่น 1 พาดหัวขาว หนังสือพิมพนิยมพาดหัวขาวเปนกลุมประโยค โดยละหนวย
1. ศาสตรการบําบัดออฟฟศซินโดรม เชื่อมไว สวนการใชถอยคํานิยมใชคําทับศัพทและสํานวนภาษาตางประเทศ
2. ธาลัสซีเมียรุกฆาต เด็กแบเบาะปวยนับหมื่น
3. การปราบปรามยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย
4. สื่อสังคมออนไลน...เสพติด “like” และ “comment”
วิเคราะหคําตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็นในขอ 1., 2. และ 3.
เปนการเขียนแสดงความคิดเห็นที่เกิดจากขอเท็จจริง การเขียนแสดงความ
คิดเห็นในขอ 4. เปนการแสดงความคิดเห็นในเชิงคานิยม เปนสถานการณ
ทางวัฒนธรรม ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คูมือครู 67
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ
การเขียนแสดงความคิดเห็นหนังสืออ่านนอกเวลา
มอบหมาย
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม โดยใช เรื่อง แมงมุมเพื่อนรัก
ความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ เพือ่ เป็นการฝึกเขียนแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับหนังสืออ่านนอกเวลา เมือ่ นักเรียนอ่านจบแล้ว
กลุม ที่ 3 เปนขอมูลเบือ้ งตนสําหรับตอบคําถาม ให้ลองตั้งค�าถามเป็นข้อๆ แล้วน�ามาเรียบเรียงใหม่ ดังนี้
• สิ่งที่ผูแสดงความคิดเห็นจะตองมีกอนการ ๑. ใครเขียนหนังสือเล่มนี้
แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งคือ ๒. จัดพิมพ์ที่ไหน เมื่อไร มีกี่หน้า ขนาดรูปเล่ม
อะไร เพราะเหตุใด ๓. รูปประกอบเป็นอย่างไร
(แนวตอบ ผูเขียนแสดงความคิดเห็นจะตอง ๔. แบ่งเนื้อหาเป็นกี่บท ใช้เวลาอ่านมากน้อยแค่ไหน
มีความรู ความเขาใจในเรื่องที่ตนจะแสดง ๕. ความยากง่ายของเนื้อเรื่อง เหมาะสมกับวัยผู้อ่านหรือไม่
ความคิดเห็นเปนอยางดี เพื่อที่จะแสดง ๖. การใช้ภาษาเป็นอย่างไร
ความคิดเห็นไดอยางลึกซึ้ง ครบถวน และ ๗. ตัวละครเด่นๆ มีใครบ้าง
รอบดาน) ๘. เรื่องนี้มีสาระอะไรบ้าง
• นักเรียนมีวิธีการหรือแนวทางการเขียนแสดง เมื่อหาค�าตอบในแต่ละข้อได้แล้ว น�ามาเรียบเรียงใหม่ได้ดังนี้
ความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระที่ไดรับจากสื่อ แมงมุมเพื่อนรักเป็นหนังสืออ่านส�าหรับเยาวชน ชุดก่อนนิทรา อันดับที่ ๔/๒๑ เขียน
ที่ไดอาน ฟง หรือดูอยางไร โดย อี.บี.ไวท์ แปลโดย ผู้ใช้นามปากกาว่า มัลลิกา เล่มที่น�ามาอ่านจัดพิมพ์โดย บริษัทโรงพิมพ์
(แนวตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็น ไทยวัฒนาพานิช จ�ากัด เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ หนังสือเล่มนี้มีความยาว ๑๖๓ หน้า มีขนาดกะทัดรัด
เกี่ยวกับสาระที่ไดรับจากสื่อ ผูเขียนจะตอง สามารถพกพาไปในที่ต่างๆ ได้ง่าย แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒๒ บท สามารถอ่านให้จบได้ในเวลา
อาน ฟง หรือดูเรื่องนั้นๆ อยางละเอียด ไม่กี่ชั่วโมง น่าเสียดายที่ภาพประกอบมีน้อย แต่ก็มีครบทุกตอนและเป็นเพียงลายเส้นขาวด�า
ถี่ถวน ใหเกิดความเขาใจที่ถองแท จากนั้น ถ้าเป็นภาพสีจะช่วยให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านยิ่งขึ้น เนื้อเรื่องเหมาะส�าหรับเยาวชนที่เรียนอยู่ใน
จึงจับสาระสําคัญของเรื่องวา กลาวถึงอะไร ระดับชั้น ม.ต้น แสดงความรักและเมตตาของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีต่อเจ้าหมูแสนรู้ รวมทั้งแสดง
แลวตนเองมีความคิดเห็นอยางไรตอประเด็น ถึงความรักความผูกพันระหว่างสัตว์ที่เป็นเพื่อนกัน แสดงถึงความเอื้อเฟื้อ ไมตรีจิต และความ
นั้นๆ เห็นดวย หรือไมเห็นดวย พรอมกับ ห่วงใยอันบริสุทธิ์ ท�าให้เห็นว่าสังคมโลกทั้งมนุษย์และสัตว์ ถ้ามีความเอื้ออาทรต่อกันจะช่วย
แสดงเหตุผลประกอบใหชัดเจน ซึ่งเหตุผล จรรโลงสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น นอกจากความสนุกสนานน่าติดตามแล้วสิ่งที่ท�าให้ผู้อ่านสนใจ
เหลานั้นอาจไดมาจากความรูเดิม และศึกษาต่อคือธรรมชาติของสัตว์ชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฏในเรื่อง ทั้งหมดนี้ได้รับ
ประสบการณ หรืออื่นๆ แลวจึงเขียน การถ่ายทอดจากผู้แปลในลีลาส�านวนภาษาที่สั้น กระชับ ง่าย น่าติดตาม เรื่องแมงมุมเพื่อนรัก
เรียบเรียงดวยสํานวนภาษาของตนเอง) จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าและเหมาะอย่างยิ่งส�าหรับเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียน

68

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ขอมูลในขอใดไมจําเปนตอง
ครูรวมสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการเขียนสื่อสารเพื่อแสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
บนสื่อสังคมออนไลน เพื่อใหนักเรียนรวมแบงปนประสบการณตรงหรือประสบการณ
1. เจาของผลงาน
รองที่ไดรับจากการเขียนแสดงความคิดเห็นผานสื่ออิเล็กทรอนิกส โดยปราศจาก
2. การใชสํานวน ภาษา
การไตรตรอง หรือการมีอคติกอใหเกิดผลเสียอยางไร จากนั้นนําขอมูลทั้งหมด
3. สํานักพิมพที่จัดพิมพ
มาจัดการความรูรวมกันในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียนในประเด็น
4. เนื้อหาสาระที่โดดเดน
“การเขียนแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน like or unlike ในสังคมยุคใหม”
วิเคราะหคําตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับหนังสือทีอ่ า น ผูเ ขียน
วิจารณจะตองอานหนังสือเลมนั้นเพื่อใหเกิดความเขาใจที่แจมแจง โดย
รูปแบบแลวการเขียนแสดงความคิดเห็นที่มีตอหนังสือเลมหนึ่งๆ จะแสดง
ความคิดเห็นตอสวนตางๆ ดังนี้ ภูมิหลังของผูเขียน แรงบันดาลใจ เนื้อหา
สาระ แนวคิด ถอยคํา ความไพเราะเหมาะสม ตัวละคร ความยากงายหรือ
ความเหมาะสมกับวัยของผูอาน ซึ่งขอมูลที่ผูวิจารณไมจําเปนตองแสดง
ความคิดเห็น คือ สํานักพิมพที่จัดพิมพ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

68 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากรายการโทรทัศน์ ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ
มอบหมาย
วันนี้ดิฉันในฐานะของผู้ชมที่เป็นแม่จะขอพูดถึงรายการน�้าดีรายการหนึ่ง ที่รับชมกี่ครั้งก็อด 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
จะชื่นชมความสามารถของทีมงาน และวิสัยทัศน์ของผู้ผลิตรายการไม่ได้ รายการกบนอกกะลา ความรูที่ไดรับจากการฟง ครูสุมเรียกชื่อ
เป็นรายการโทรทัศน์ ประเภทสารคดี ที่ผลิตโดยบริษัททีวีบูรพา จ�ากัด ออกอากาศทางสถานี นักเรียนตอบคําถาม โดยใชกระบวนการ
โทรทัศน์โมเดิรน์ ไนน์ทวี ี สัปดาห์ละครัง้ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. ของวันอาทิตย์ ความยาว สังเคราะหความรู และถามคําถามเดียวกันนี้
ประมาณ ๕๕ นาที ด�าเนินรายการโดยพิธีกรภาคสนามที่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาท�าหน้าที่ กับนักเรียนคนอื่นๆ เพื่อใหเกิดการแสดง
ซึ่งความโดดเด่นของรายการนี้มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ ความคิดเห็นที่ครอบคลุมคําตอบ
ข้อแรก พิธีกร หรือผู้ด�าเนินรายการ มีเอกลักษณ์เฉพาะตน พูดจาฉะฉาน แสดงออก • ในชีวิตประจําวันมนุษยแสดงความคิดเห็น
อย่างเป็นมิตร มีทศั นคติในแง่บวก มีใจเป็นกลางและเปิดกว้าง ซึง่ ถือเป็นคุณลักษณะทีส่ า� คัญของ ตอเรื่องใดไดบาง
พิธกี รภาคสนาม เพราะจะต้องมีสว่ นร่วมกับการค้นหาค�าตอบของประเด็นความรูใ้ นแต่ละสัปดาห์ (แนวตอบ แสดงความคิดเห็นไดทั้งในเรื่อง
ถ้ามีอคติหรือคิดเฉพาะในมุมของตน ก็ไม่เหมาะที่จะมาเป็นพิธีกรรายการสารคดี เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา สังคม
ข้อสอง รูปแบบรายการมีความน่าสนใจ ซึง่ พิธกี รภาคสนามจะพาผูช้ มไป “ไขปริศนาความรู”้
ความบันเทิง เปนตน)
ตัง้ แต่ตน้ ทางจนสุดปลายทาง โดยทีพ่ ธิ กี รมีสว่ นร่วมกับการท�ากิจกรรม หรือเรียกได้วา่ “ลงไปคลุกคลี
• นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นผาน
ตีโมง” ด้วย ซึ่งลักษณะเช่นนี้ ดิฉันคิดว่าเราควรจะดูไว้เป็นแบบอย่าง แล้วสอนลูกสอนหลานว่า
ถ้าอยากจะรู้อะไร ต้องรู้ให้จริง ให้อ่าน ให้ค้น ให้ท�าด้วยตนเอง
ชองทางการสื่อสารใดไดบาง
ข้อสาม ความรู้ที่น�าเสนอในแต่ละสัปดาห์ เรียกว่า “ทันกินทันใช้” หรือเรียกว่า เหมาะสม (แนวตอบ การพูด และการเขียน
กับกาลเทศะ ใช้ได้จริง ซึ่งกว่าจะได้ประเด็นมาน�าเสนอ เชื่อแน่ว่าทีมงานทุกคนต้องร่วมกันคิด เชน บทความ หรือการเขียนผานสื่อ
ร่วมกันวางแผน ร่วมกันค้นคว้า จุดนี้ต้องชมเชย “ความช่างสงสัย” ของทีมงาน อิเล็กทรอนิกสในสื่อสังคมออนไลน)
ข้อสี่ ความใส่ใจของผู้ผลิตรายการ ในจุดนี้ต้องชมเชยว่า ผู้ผลิตรายการอาจไม่ได้มุ่งแสวงหา
ผลก�าไรมากนัก แต่มุ่งที่จะมอบความรู้ให้แก่ผู้บริโภคสื่อ รายการกบนอกกะลาเป็นรายการที่เป็น
มิตรกับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คนหาเช้ากินค�่า ผู้ใหญ่ หรือเด็ก
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านหลายๆ ท่าน อาจคิดไปได้ว่า ดูแล้วดิฉันจะชื่นชมรายการนี้
อย่างออกหน้าออกตา จุดนี้ขอยอมรับโดยไม่ขอแก้ตัว เพราะดิฉันในฐานะผู้บริโภคสื่อรู้สึกดีใจ
ทีย่ งั มีรายการน�า้ ดีแบบนีอ้ ยูใ่ นผังรายการของช่อง อยากจะฝากถึงเพือ่ นๆ เราเองต้องรูจ้ กั เลือกค่ะ
เพราะรายการบางประเภท เนื้อหาสาระไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจ�าวัน เมื่ออ่าน เมื่อฟัง
เมื่อดูมากๆ เข้า ก็กลายเป็นขยะทางความคิด เป็นกับดักให้ยึดติดอยู่กับสิ่งฟุ้งเฟ้อ หรืออะไร
ที่ไม่ใช่แก่นแท้ของชีวิต ท้ายที่สุดจะเป็นผู้อ่อนแอทางความคิด ตัดสินไม่ได้ว่าอะไรจริง อะไร
ไม่จริง พูดให้เป็นทางการก็คือ ไม่มีวิจารณญาณ เพราะรอแต่ให้มีคนมาป้อนข้อมูล แล้วก็ไม่รู้ว่า
เขาป้อนอะไรให้แก่เรา รายการกบนอกกะลาท�าให้ดิฉันได้คิด และจะปลูกฝังลูกว่า รู้อะไรต้องรู้
ให้จริง และจะรู้จริงได้ ต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง

69

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนสํารวจวาบนสื่อสังคมออนไลนบุคคลที่เขาไปมีสวนรวมในการ ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับการแสดงความคิดเห็น การวิจารณ ใหแกนกั เรียน
แสดงความคิดเห็นไดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดบาง พรอมยก ดวยชุดคําอธิบาย การแสดงความคิดเห็นเปนพืน้ ฐานของการวิจารณ การใหเหตุผล
ตัวอยางประกอบใหชัดเจน สรุปผลการสํารวจเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สําหรับการแสดงความคิดเห็นและการวิจารณมคี วามแตกตางกัน เหตุผลทีแ่ สดงไวใน
สงครู การวิจารณตอ งมีนาํ้ หนัก เปนหลักวิชา อางอิงได มีแหลงทีม่ า ยกตัวอยางใหชดั เจน
และเห็นจริงวาอะไรคือขอดี อะไรคือขอบกพรองของสิง่ นัน้ ๆ

กิจกรรมทาทาย

นักเรียนศึกษาวาการแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลนมีขอควร
คํานึงใดบาง สรุปผลการศึกษาเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู

คูมือครู 69
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนคัดสรรบทความที่เขียนแสดงความ 1
คิดเห็นในเรื่องตางๆ ไว เชน ขาว หนังสือ Best จากตัวอย่าง ท�าให้เห็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการเขียนแสดงความคิดเห็นได้หลายประการ ดั
ลายประการ งนี้
seller หรือรายการโทรทัศนที่กําลังไดรับความ ๑. เรื่องที่จะน�ามาเขียน ต้องเป็นเรื่องทันสมัย ถูกกาลเทศะ ค�านึงถึงสภาพแวดล้อม ความ
นิยม นํามาวิเคราะหประเด็นทีบ่ ทความกลาวถึง คิด ความเชื่อ ค่านิยมของกลุ่มสังคม ไม่ควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องละเอียดอ่อน นอกจากนี้
การเรียบเรียง และรูปแบบการใชภาษาทีป่ รากฏ ผู้เขียนควรพิจารณาว่า ผู้รับสารเป็นใคร เพื่อให้เลือกเรื่อง และเลือกใช้ระดับภาษาสื่อสารได้เหมาะสม
ในบทความนั้นๆ สรุปผลการวิเคราะห ๒. ภาษาทีใ่ ช้ในการเขียนแสดงความคิดเห็น เป็นได้ตงั้ แต่ภาษาทางการ กึง่ ทางการ ภาษาสนทนา
เปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนสื่อสารเรื่องใด กับใคร ผ่านสื่อประเภทใด เช่น ในตัวอย่างการเขียนแสดง
2. นักเรียนคัดสรรขาว หนังสือ หรือรายการโทรทัศน ความคิดเห็นจากข่าว ผู้เขียนสื่อสารกับบุคคลในชุมชนออนไลน์ ผ่านบล็อกส่วนตัว จึงไม่เคร่งครัดใน
ที่ชื่นชอบ สนใจ หรือเรื่องราวอื่นๆ ที่กําลังเปน ไวยากรณ์ ถ้อยค�าที่ใช้จึงปรากฏทั้งภาษากึ่งทางการ ภาษาปาก
ประเด็นทางสังคม นํามาเขียนแสดงความ ๓. ผู้เขียนควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ตนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์
คิดเห็นเกี่ยวกับสาระที่ไดรับ ความยาวไมเกิน อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง รวมถึงแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้อ่าน และสังคม
1 หนา กระดาษ A4 โดยใชองคความรูที่ไดจาก สร้างพฤติกรรม หรือปลูกฝังค่านิยมที่ดี
การสังเกตบทความในขอ 1. เปนกรอบสําหรับ
การพัฒนาทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ ขึนé อยูก่ บั ความรู ้ ความคิด และประสบการณ์
ของตนเอง ของบุคคลนัéน การเปิดใจให้กว้างใช้เหตุและผลมาสนับสนุนความคิดเห็นจะทÓให้
3. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ ข้อความนัéนน่าสนใจและน่าติดตาม ในฐานะของผู้อ่านเมื่ออ่านข้อความต่างๆ ผ่านสื่อ
ของการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระ ต้องใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองก่อนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยไม่ใช้อารมณ์
จากสื่อที่ไดรับ ซึ่งคําตอบของนักเรียน ควร และมีอคติตอ่ สิง่ ทีไ่ ด้รบั แม้ในระดับนักเรียนจะยังไม่มโี อกาสแสดงความคิดเห็นผ่านสือ่
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ได้มากนัก การเริ่มต้นจากการแสดงความคิดเห็นในหนังสืออ่านนอกเวลาหรือข่าวที่พบ
(แนวตอบ ให้เกิดความชÓนาญก่อน เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะการเขียนให้ดีขึéน
• มีจุดมุงหมายในการเขียนที่ชัดเจน
• จับสาระสําคัญไดถูกตอง
• แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระสําคัญ
ไดครอบคลุม ยกเหตุผลเพื่อสนับสนุน
ความคิดเห็นของตนเองไดอยางนาเชื่อถือ
ตรงไปตรงมา ปราศจากอคติ
• การเขียนสะกดคํา เวนวรรคตอน
• ลายมือ ความสะอาด เรียบรอย และมารยาท
ที่ดีของผูเขียน)

70

บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การเขี ย นแสดงความคิ ด เห็ น สามารถบู ร ณาการได กั บ เรื่ อ งหลั ก การ
ประเมินงานทัศนศิลป ในกลุมสาระการเรียนรูศิลปะ วิชาทัศนศิลป โดย
1 การเขียน ไมวาผูเขียนตองการจะสื่อสารเนื้อหาลักษณะอยางไรก็ตาม ผูเขียน
ในชัน้ ตนนักเรียนยังไมจาํ เปนตองมีความรูใ นวิธกี ารทางศิลปะมากนัก เพราะ
จะตองเลือกกลวิธีการเขียนและรูปแบบใหสอดคลองกับเรื่องราวนั้นๆ เพื่อใหผูอาน
การประเมิ น งานในขั้ น แรก เป น เพี ย งการประเมิ น เพื่ อ ชื่ น ชม เปนการ
ไดรับทั้งรสคําและรสความ และดวยรูปแบบของงานเขียนที่หลากหลายจะทําให
แสดงความรู  สึ ก ส ว นตั ว ที่ มี ต  อ ผลงาน แลกเปลี่ ย นทั ศ นะซึ่ ง กั น และกั น
ผูเขียนสรางสรรคผลงานไดหลายรูปแบบเชนกัน
แตถึงอยางไรก็ตองมีเหตุผลที่เพียงพอและนาเชื่อถือ ครูอาจฝกใหนักเรียน
เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระหรือแนวคิดที่ไดรับจากการชมผลงาน
“วัฏจักรแหงชีวิต” ของพิชัย นิรันต เพื่อฝกทักษะ นําเสนอเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู ความยาวไมเกิน 1 หนา กระดาษ A4

70 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมานําเสนอผลงานเขียนแสดง
ความคิดเห็นของตนเองใหครูและเพื่อนๆ ฟง
หนาชั้นเรียน
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. ครูตรวจสอบสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึง
ประสงคของผูเรียนจากการทํางานรวมกันและ
๑. “ติเพื่อก่อ” เปนหลักการแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด การตอบคําถามแบบโตตอบรอบวง
๒. การแสดงความคิดเห็น ควรเสนอแนะแนวทางแก้ไขด้วยหรือไม่ อย่างไร
๓. หากนักเรียนต้องเขียนแสดงความคิดเห็นบทความที่เปนผลงานของเพื่อน
3. ครูตรวจใบความรูเฉพาะบุคคลโดยพิจารณา
นักเรียนมีหลักการแสดงความคิดเห็นอย่างไร รูปแบบการวิเคราะหของนักเรียนเพื่อแยกแยะ
๔. การแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์มีลักษณะอย่างไร แนวทางที่เปนประโยชนตอการเขียนแสดง
๕. การแสดงความคิดเห็นจ�าเปนจะต้องมีข้อเสนอแนะประกอบด้วยหรือไม่ อย่างไร ความคิดเห็นของตนเอง
4. ครูตรวจสอบผลงานการเขียนแสดงความ
คิดเห็นของนักเรียน โดยพิจารณาจาก
การจับประเด็นหรือสาระสําคัญของเรื่องที่เลือก
การเรียบเรียง การใชภาษา การแสดงเหตุผล
ประกอบความคิดเห็นของตนเอง
5. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นจากข่าวหรือบทความที่ก�าหนด
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลแสดงผลการวิเคราะห
แล้วร่วมกันอภิปราย และสรุปข้อคิดเห็น
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนหาประเด็นข่าวเพื่อฝกแสดงความคิดเห็น แล้วน�าเสนอหน้าชั้นเรียน บทความแสดงความคิดเห็นเพื่อหาแนวทาง
เช่น การเขียนแสดงความคิดเห็นจากการสังเกต
■ ข่าวอาชญากรรม วิเคราะหผลงานของผูอื่น
■ ข่าวเศรษฐกิจ 2. ผลงานเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระ
■ ข่าวการศึกษา ของขาว หนังสือ รายการโทรทัศนที่เลือกตาม
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเพลงที่นักเรียนชื่นชอบ ความสนใจ
๑ เพลง แล้วน�ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน

71

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เปนหลักการแสดงความคิดเห็นที่ถูกตอง เพราะการแสดงความคิดเห็นที่ดีจะตองเปนไปในเชิงสรางสรรค กอใหเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทําใหกลุมหรือสังคมดีขึ้น
2. การเขียนแสดงความคิดเห็นที่ดี ผูเขียนควรเขียนเสนอแนะแนวทางแกไขไวเพื่อใหผูเกี่ยวของหรือผูฟงนําไปพิจารณาเพื่อใหไดแนวทางที่ดีที่สุดสําหรับทางออก
ของปญหานั้นๆ
3. ตองอานบทความของเพื่อนใหเขาใจกอนวา เพื่อนกําลังแสดงความคิดเห็นในประเด็นใด อยางไร แลวจึงแสดงความคิดเห็นในประเด็นเดียวกันนั้น โดยปราศจาก
อคติ
4. การแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรคตองกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น การเดินตอไปขางหนา สวนการแสดงความคิดเห็นที่กอใหเกิดความขัดแยง
แบงฝกแบงฝาย เชนนี้ไมเรียกวาการแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค
5. การเขียนแสดงความคิดเห็นจําเปนตองมีขอเสนอแนะประกอบดวยเพื่อใหผูที่เกี่ยวของกับปญหามองเห็นแนวทางในการแกไขที่ชัดเจนขึ้น หรือนําขอเสนอแนะนั้นไป
ปรับปรุงตอยอดจนไดแนวทางแกไขที่ดีที่สุด

คูมือครู 71
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนหรือใหนักเรียนที่มี
ความสามารถในการอานออกเสียงออกมาอาน
ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด
ภาพนํ้าจิตอาจเห็นไดเดนใส
ตอนที่ ó การพั ฒนาทักษะการฟง
การดู และการพูด
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป
ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง
งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด
เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• จากบทประพันธดงั กลาวแสดงความเชือ่ มโยง
ระหวางการฟง การดู และการพูดอยางไร
( แนวตอบ บทประพั น ธนี้ส ามารถสรุปไดวา
ถามีความรูหรือความคิดกวางไกล ก็ยอมมี
ความสามารถในการใชภาษามากขึ้นไปดวย
ซึง่ การจะทําใหเกิดความรูห รือความคิดทีก่ วาง
ไกลได บุคคลผูนั้นตองเปนผูมีวิจารณญาน
เลือกรับและสั่งสมความรูจากแหลงขอมูลที่มี
ประสิทธิภาพผานทักษะการฟงและการดู
จากนั้นจึงถายทอดเรื่องราวที่มีทั้งสารัตถะ
และวาทศิลปผานทักษะการพูด)

ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด ภาพนํ้าจิตอาจเห็นไดเดนใส
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
(ศึกษิต : พระราชวรวงศเธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 3 การพัฒนาทักษะการฟง การดู และการพูด
ทักษะทางภาษาที่จะตองไดรับการฝกฝน ไดแก ทักษะการฟง ดู ซึ่งเปนทักษะ
การรับสาร สวนทักษะการพูด นั้นเปนทักษะการสงสาร เปาหมายสําคัญของ
ตอนที่ 3 จึงมี 2 เปาหมาย ประการแรก คือ นักเรียนมีความรูเทาทันสื่อ เลือกรับสื่อ
อยางมีประสิทธิภาพ มีวจิ ารณญาณ ประการทีส่ อง มีทกั ษะความสามารถดานการพูด
ถายทอดเนื้อหาสาระตรงวัตถุประสงค มีวาทศิลป และมารยาทการพูด
การจะบรรลุเปาหมายทัง้ 2 ประการ ครูควรออกแบบการเรียนการสอน สรางสรรค
กิจกรรมเพื่อใหนักเรียนไดฝกทักษะหลายๆ ดาน ไปพรอมๆ กัน เชน ฝกฟงและดู
ขาวสารในชีวติ ประจําวัน โดยใชวจิ ารณญาณในการไตรตรองเนือ้ หาสาระ พรอมๆ กับ
การนําเนื้อหาสาระเหลานั้นมาถายทอดใหเพื่อนๆ รวมชั้นเรียนฟง

72 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
ฟงและดูเรื่องตางๆ อยางมีมารยาท

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน

กระตุน ความสนใจ Engage

หน่วยที่ ñ ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ในความคิดเห็นของนักเรียนกระบวนการ
รับสารดวยการฟงและการดู มีลักษณะการ
การฟงและการดูสื่อ ทํางานอยางไร
ตัวชี้วัด (แนวตอบ เปนกระบวนการทํางานที่สัมพันธ
ท ๓.๑ ม.๑/๖ ก ารฟง การดูสอื่ ต่างๆ เป็นทักษะ กันของระบบประสาทหูและตา)
■ มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด ที่ส�าคัญในชีวิตประจ�าวัน เพราะต้อง • นักเรียนคิดวา “ฟงได” กับ “ฟงเปน”
อาศัยการฟง การดู เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ แตกตางกันอยางไร
รอบตัว โดยใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรอง
ให้รอบคอบ จึงจะช่วยให้การฟงหรือดูนน ั้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
สาระการเรียนรูแกนกลาง
มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและก่ อ ให้ เ กิ ด ประโยชน์ ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะวา การฟงได
■ มารยาทในการฟง การดู และการพูด
สูงสุดในการด�ารงชีวิต นอกจากนี้มารยาท เปนเพียงการทํางานของอวัยวะรับเสียง
ในการฟง การดูสอื่ ต่างๆ ก็นบ ั เป็นวัฒนธรรม แลวแปลความหมาย แตการฟงเปน ผูฟงจะ
อย่างหนึ่งที่ผู้ฟง ผู้ดู ควรยึดถือและปฏิบัติให้ สามารถตีความสารที่ไดรับวาสวนใดเปน
ถูกต้องเหมาะสม ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น ซึ่งนักเรียนจะได
ประโยชนจากการฟงอยางแทจริง ก็ตอเมื่อ
นักเรียนมีทักษะการฟงที่เรียกวา “ฟงเปน”)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การฟงและการดูสื่อ เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะสําคัญของการรับสารดวยการ
ฟงและดู วัตถุประสงค อุปสรรคในการรับสาร แนวทางแกไข รวมถึงแนวทางเพื่อ
พัฒนาตนเองใหมที กั ษะการรับสารทีม่ ปี ระสิทธิภาพ โดยคํานึงถึงมารยาททีเ่ หมาะสม
สําหรับการฟงและดูในสถานการณที่แตกตางกัน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยใหนกั เรียน
เปนผูสืบคนความรูดวยตนเอง นําความรูมารวมแบงปนภายในชั้นเรียน เมื่อมี
ความรูในเชิงทฤษฎีแลว ครูควรพานักเรียนออกไปฟงการอภิปราย การแสดง
นิทรรศการ หรือชมการแสดงละครนาฏศิลป เพือ่ ฝกปฏิบตั ทิ กั ษะการฟงและดู
ในสถานการณจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยพัฒนาใหนักเรียนเปนผูมีวิจารณญาณ
ในการฟง อีกทั้งยังไดนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับมารยาทในการฟงและดูไป
ใชจริงในแตละสถานการณที่เผชิญ โดยครูอาจทําแบบบันทึกพฤติกรรมขณะพาไป
ทัศนศึกษานอกสถานที่
คูมือครู 73
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
สํารวจคนหา Explore
แบงนักเรียนออกเปน 6 กลุม ในจํานวนเทาๆ กัน
1
หรือตามความเหมาะสม จากนัน้ ใหแตละกลุม ลงมติ
เลือกหัวหนากลุม และสงตัวแทนออกมาจับสลาก
๑ การสื่อสารจากการฟังและการดู
ประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังตอไปนี้ การฟังและการดู เป็นทักษะการรับสารของมนุษย์ทมี่ กั เกิดร่วมกันเสมอ เช่น การชมภาพยนตร์
หมายเลข 1 การรับสารโดยการฟงและดู ต้องใช้ทักษะทั้งการฟังและดูประกอบกันจึงจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการใช้ทักษะ
ประกอบกัน ทั้งสองนี้ก็อาจเกิดแยกกัน เช่น การฟังวิทยุ ก็ไม่จ�าเป็นต้องอาศัยทักษะการดู หรือการดูป้ายสัญญาณ
หมายเลข 2 การรับสารโดยการฟงและดู จราจร ก็ไม่ต้องอาศัยทักษะการฟัง เป็นต้น
อยางใดอยางหนึ่ง การรับสารสามารถแบ่งโดยใช้ทักษะการฟังและการดูออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้
หมายเลข 3 วัตถุประสงคในการรับสาร ๑.๑ การรับสารโดยการฟังและการดูประกอบกัน
หมายเลข 4 ลักษณะของผูฟงและดูที่ดี การรับสารโดยการฟังและการดูประกอบกันนี้ เป็นลักษณะการรับสารจากสื่อภาพและเสียง
หมายเลข 5 การพัฒนาทักษะการฟงและดูให
พร้อมกัน ซึ่งสามารถแบ่งการรับสารลักษณะนี้ออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
มีประสิทธิภาพ
๑) การรับสารที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสาร
หมายเลข 6 มารยาทในการฟงและการดู
และผูร้ บั สารสามารถส่งสารโต้ตอบกันได้ เช่น การพูดจาสนทนา การประชุมอภิปราย การสือ่ สารลักษณะนี้
โดยนักเรียนสามารถสืบคนไดจากแหลงขอมูล
ที่มีความนาเชื่อถือ ซึ่งครูควรสังเกตวิธีการเลือก ต้องตัง้ ใจฟังสารทีผ่ สู้ ง่ สารส่งมา ประกอบกับดูลกั ษณะท่าทางหรือการแสดงออกทางสีหน้าทีผ่ สู้ ง่ สารใช้
แหลงขอมูลและวิธีการคนควาของนักเรียน ผู้รับสารจึงสามารถวิเคราะห์ ใคร่ครวญอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสารได้
ดังนัน้ ผูร้ บั สารต้องใช้วจิ ารณญาณในการตีความ ประเมินค่าสาร และตอบกลับด้วยถ้อยค�า
อธิบายความรู Explain ที่เหมาะสม สุภาพ มีมารยาท และมีกิริยาที่งดงาม โดยค�านึงถึงความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพื่อให้
เกิดความเข้าใจกันท�าให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทนหรือหัวหนา ๒) การรับสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารทางเดียว
กลุม ออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่กลุม เช่น การดูข่าว การฟังเทศน์ การดูภาพยนตร์ การสื่อสารลักษณะนี้ผู้รับสารไม่มีโอกาสโต้ตอบกับ
จับสลากได ตามลําดับ พรอมทั้งระบุแหลงที่มา ผู้ส่งสาร ดังนั้น ผู้รับสารต้องตั้งใจฟังและดูเพื่อติดตามเรื่องราวให้ครบถ้วน และน�ามาพิจารณา
ของขอมูล ประกอบกัน เช่น การดูละครเวที ต้องตั้งใจฟังบทสนทนาและพิจารณากิริยาท่าทางการแสดงของ
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ตัวละคร แสง สี เสียง เพลงที่น�ามาประกอบ เพื่อวิเคราะห์ ตีความ และประเมินค่าสาร จึงจะท�าให้
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2
ได้รับข้อคิด ความรู้ ข้อเท็จจริง หรือความบันเทิงจากสารนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ๑.๒ การรับสารโดยการฟังหรือการดูอย่างใดอย่างหนึง่
ไดอยางอิสระ โดยครูคอยชี้แนะเพิ่มเติม) การรับสารโดยใช้การฟัง หรือการดูอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ เป็นลักษณะของการรับสารจาก
สือ่ ภาพ หรือสือ่ เสียงเพียงอย่างใดอย่างหนึง่ ไม่ได้นา� ทักษะทัง้ สองมาใช้รว่ มกัน สามารถแบ่งการรับสาร
ลักษณะนี้ออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้

74

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
กอนการฟงทุกครั้ง นักเรียนจะตองตั้งจุดประสงคในการฟงและดู ขอใด
1 การฟง เปนกระบวนการอยางหนึ่งในการรับสารของมนุษย ซึ่งการรับสาร ตอไปนี้ มีจุดประสงคในการฟงและดูแตกตางจากขออื่น
ปรากฏในหลายลักษณะ เชน ผานการมองดวยสายตา การไดยินเสียง การสูดดม 1. ละคร 2. ภาพยนตร
การสัมผัส เปนตน การฟงเปนทักษะที่สําคัญสําหรับการพัฒนาความรูของมนุษย 3. รําวงพื้นบาน 4. สาธิตการทําขนม
หลักคําสอนในพระพุทธศาสนาไดกลาวถึง “หัวใจนักปราชญ” (สุ จิ ปุ ลิ) ไวดังนี้
สุ คือ สุตะ การฟง จิ คือ จิตตะ การคิด ปุ คือ ปุจฉา การถาม ลิ คือ ลิขิต วิเคราะหคําตอบ การรับสารไมใชเพียงเพือ่ เขาใจสารจากผูส ง สารเทานัน้
การเขียน ดังนั้น สุตะหรือการฟงจึงเปนแนวทางแรกในการเปนผูร ู ไมใชเพียงทักษะ การรับสารบางประเภท บางโอกาสก็มจี ดุ ประสงคเพือ่ ความบันเทิง ความสุข
การรับสาร แตเปนกุญแจสําคัญในการแสวงหาความรู การฟงจึงเปนทักษะที่สําคัญ และความเพลิดเพลิน เกิดอารมณคลอยตามไปกับเนื้อหาสาระตางๆ
ดังนี้ เหลานั้น ซึ่งการรับสารเพื่อความบันเทิงมีประโยชนดานจิตใจเปนสําคัญ
1. การฟงเปนสวนสําคัญของการคิดและการพูด คือความเพลิดเพลิน ชวยคลายความตึงเครียดในชีวิตจากเรื่องตางๆ
2. การฟงชวยเพิ่มพูนความรูและใหความบันเทิง ในขณะเดียวกันยังไดรับขอคิดในการดําเนินชีวิต ชวยยกระดับจิตใจ
3. การฟงเปนกระบวนการเรียนรูอยางหนึ่งของมนุษย ใหพนจากความเศราหมอง การรับสารในลักษณะนี้ ไดแก การฟงเพลง
4. การฟงเปนพฤติกรรมของผูมีมารยาทในการสมาคม การชมภาพยนตร การตูน หรือการแสดงที่มีจุดมุงหมายเพื่อสราง
ความบันเทิง ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

74 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑) การรับสารที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสาร อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงโดยใชความรู
และผู้รับสารสามารถโต้ตอบกันได้ เช่น การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ผู้รับสารสามารถใช้ทักษะการฟัง ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
เพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงต้องตั้งใจฟังสารประกอบกับการพิจารณาน�้าเสียงของผู้ส่งสาร จึงจะช่วย เพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบื้องตน
ให้การรับสารนั้นมีประสิทธิภาพ หรือการสนทนาทางอินเทอร์เน็ต เราไม่ได้ใช้ทักษะการฟัง ใช้แต่ สําหรับตอบคําถาม
ทักษะการดูเพื่ออ่านข้อความ หรือสัญลักษณ์ที่ผู้ส่งสารส่งมาแล้วพิจารณาตีความก็สามารถเกิด • การรับสารที่มีการโตตอบระหวางผูสงสาร
ความเข้าใจสารได้ อย่างไรก็ตาม การสื่อสารทั้งสองลักษณะนี้ผู้รับสารต้องพิจารณาวิเคราะห์สาร กับผูรับสาร หากใชชองทางการสื่อสารเปน
ที่ได้รับให้ดี และสามารถโต้ตอบกลับไปให้เหมาะสมถูกต้องกับสถานการณ์การสื่อสารนั้นๆ เกณฑ จะเรียกการรับสารในลักษณะ
๒) การรับสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เช่น การฟังรายการวิทยุ ดังกลาววาอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ
การดูป้ายสัญญาณจราจร การดูสื่อโฆษณาตามถนน การฟังเพลง หรือดูภาพยนตร์แบบออนไลน์จาก (แนวตอบ การสือ่ สารสองทาง เชน การสนทนา
เว็บไซต์ต่างๆ การรับสารเหล่านี้ ผู้รับสารไม่ต้องส่งสารโต้ตอบกลับไป อาศัยเพียงทักษะด้านการฟัง ทั่วไป การสนทนาทางโทรศัพท การประชุม
หรือการดูอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สาร เพื่อท�าความเข้าใจและประเมินค่า เปนตน)
หรือบางครั้งก็เพื่อปฏิบัติตาม เช่น การดูสัญญาณมือของต�ารวจจราจร เป็นต้น • การรับสารที่ไมมีการโตตอบระหวางผูสงสาร
กับผูรับสาร หากใชชองทางการสื่อสารเปน


ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... เกณฑจะเรียกการรับสารในลักษณะดังกลาว

รำยกำรส�ำหรับเด็ก (๒-๑๒ ปี)



๑๓
วาอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ
(แนวตอบ การสื่อสารทางเดียว เชน การฟง
วิทยุ การรับฟงและชมรายการทางโทรทัศน


ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... รำยกำรทีผ ่ ู้ ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ
แก่ผู้ชมที่มีอำยุน้อยกว่ำ ๑๓ ปี เปนตน)
• นักเรียนคิดวาการสื่อสารสองทางกับ
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
รำยกำรส�ำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
(๒-๖ ปี) น
๑๘
การสื่อสารทางเดียว มีขอดี ขอเสีย อยางไร
(แนวตอบ ขอดีของการสื่อสารสองทาง

ท คือ เมื่อผูฟงเกิดความสงสัยในประเด็นใด
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
รำยกำรทีผ่ ู้ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ
แก่ผู้ชมที่มีอำยุน้อยกว่ำ ๑๘ ปี ประเด็นหนึ่ง ก็สามารถที่จะสอบถามหรือ
โตแยงเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ถูกตอง


รำยกำรทั่วไปเหมำะส�ำหรับผู้ชมทุกวัย ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... ตรงกันไดในทันที ในขณะที่การสื่อสาร


ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... ทางเดียวไมสามารถกระทําเชนนั้นได)
• การจะเลือกใชวิธีการสื่อสารแบบใดนักเรียน
รำยกำรเฉพำะ
ไม่เหมำะแก่เด็กและเยำวชน
คิดวาขึ้นอยูกับสิ่งใดเปนสําคัญ
รำยกำรทีผ่ ู้ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ (แนวตอบ จุดมุงหมายในการสื่อสาร)
โทรทัศน์เป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้ชมอย่างมาก ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกชมรายการต่างๆ ให้เหมาะกับวัย

75

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
การรับสารดวยการฟงและดูขอใดแตกตางจากขออื่น
ครูควรสรางองคความรูใหแกนักเรียนเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสารของมนุษย
1. การฟงอภิปราย 2. การฟงเทศน
ที่ใชติดตอสื่อสารโดยทั่วไปในชีวิตประจําวัน ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก
3. การชมภาพยนตร 4. การฟงรายการวิทยุ
การสื่อสารทางเดียว (One-way communication process) เปนการสื่อสารที่
วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกทัง้ 4 ขอ ปรากฏรูปแบบการรับสาร ผูสงสารถายทอดเนื้อหาสาระผานสัญลักษณซึ่งในที่นี้คือ ภาษา ทั้งวัจนภาษาและ
2 ประเภท คือ การรับสารทีผ่ รู บั สารจะตองใชทกั ษะการฟงและดูประกอบกัน อวัจนภาษา ผานชองทางการสื่อสารไปยังผูรับสารในสถานการณตางๆ โดยที่
ซึง่ ในตัวเลือก ไดแก การฟงอภิปราย การฟงเทศน และการชมภาพยนตร ผูรับสารไมมีการตอบกลับ (Feed back) เชน การบรรยาย การกลาวสุนทรพจน
สวนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การรับสารที่ผูรับสารจะตองใชทักษะการฟง สวนการสื่อสารสองทาง (Two-way communication process) คลายกับ
หรือการดูอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งในตัวเลือก ไดแก การฟงรายการวิทยุ กระบวนการสื่อสารทางเดียว แตแตกตางกันตรงที่ผูรับสารมีการโตตอบกลับมา
เนื่องจากเปนการรับสารผานสื่อที่เปนเสียง จึงใชทักษะการฟงเพียง ซึ่งทั้งสองฝายตางทําหนาที่เปนทั้งผูสงสารและผูรับสาร เชน การสนทนากับเพื่อน
ประการเดียว และการฟงรายการวิทยุยงั จัดเปนการรับสารทีไ่ มมกี ารโตตอบ การโทรศัพทไปขอเพลงจากนักจัดรายการวิทยุ เปนตน
ระหวางผูสงสารกับผูรับสาร ยกเวนในบางกรณี แตโดยสวนใหญจะไมมี
การโตตอบ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คูมือครู 75
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง ๒ จุดมุ่งหมายของการรับสารด้วยทักษะการฟัง การดู
ระบุแหลงทีม่ าของขอมูล
โดยทั่ ว ไปการรั บ สารด้ ว ยทั ก ษะการฟั ง การดู นั้ น ผู ้ รั บ สารควรจะต้ อ งตั้ ง จุ ด ประสงค์ ไว้
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ซึ่งจุดประสงค์เหล่านี้มีอยู่ ๓ ลักษณะ ดังนี้
ความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใชความรู
๑) ฟังหรือดูเพื่อแสวงหาความรู้และความรอบรู้ การรับสารลักษณะนี้มุ่งหมายเพื่อให้
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
เกิดความงอกงามทางสติปัญญา เช่น การฟังค�าอธิบาย การฟังบรรยาย การอ่านบทความทางวิชาการ
เพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ
ผู้รับสารต้องรู้จักจับใจความและประเด็นส�าคัญ โดยอาศัยหลักการไตร่ตรองใคร่ครวญ ตีความ และ
ตอบคําถาม
การพิจารณาหาเหตุผล
• พฤติกรรมใดที่สะทอนใหเห็นวาการรับสาร
๒) ฟังหรือดูเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินและความซาบซึ้ง การรับสารลักษณะนี้มุ่งเน้น
นั้นๆ เกิดความผิดพลาด
ความสนุกสนาน บันเทิง หรือเพื่อสนองความต้องการทางด้านอารมณ์ เป็นการพัฒนาจินตนาการและ
(แนวตอบ ผูรับสารจะไมสามารถเขาใจหรือ
ความคิดสร้างสรรค์ของบุคคล เช่น การชมภาพยนตร์ การชมนิทรรศการ การดูการแสดงละครเวที
จับสาระสําคัญของสารที่ผูสงสารถายทอดได
หรือการละเล่นต่างๆ เป็นต้น
หรือเกิดความเขาใจคลาดเคลื่อน)
๓) ฟั ง หรื อ ดู เ พื่ อ ให้ ไ ด้ ข ้ อ คิ ด การรับสารลักษณะนี้มุ่งหมายเพื่อหาข้อคิดเป็นคติชีวิต
• การรับสารนอกเหนือจากจะตองเขาใจสารแลว
ของบุคคล จึงต้องอาศัยการพิจารณาด้วยเหตุผล ตัดสินว่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด และมีข้อคิดใด
นักเรียนคิดวาผูรับสารยังจะตองมีคุณสมบัติ
ที่มีประโยชน์สามารถน�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิตของตนได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมบ้าง เช่น การฟัง
ใดอีกบาง
บรรยายเรื่อง “ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข” เป็นต้น
(แนวตอบ ตองแยกแยะใจความสําคัญของ
สิ่งที่ฟง และดูกับขอมูลที่เปนรายละเอียด
ปลีกยอยออกจากกันได)
๓ ลักษณะของผู้ฟัง ผู้ดูที่ดี
• การตั้งจุดประสงคสําหรับการฟงและดู ผู้รับสารด้วยการฟัง การดูที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
เปนประโยชนตอกระบวนการรับสารอยางไร ๑) มีจุดมุ่งหมายในการฟัง การดู ผู้รับสารต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการฟัง การดู จึงจะ
(แนวตอบ จุดประสงคสําหรับการฟงและดูเปน ท�า ให้การรับสารนั้นมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อผู้รับสารมีจุดมุ่งหมายในการรั บ สารแล้ ว ย่ อ มมี
เสมือนกรอบที่ชวยกําหนดขอบเขตในการ ความสามารถจับใจความส�าคัญที่ต้องการได้ดีกว่าการรับสารโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย เพราะสุดท้าย
เลือกเรื่องที่ฟงและดู เลือกรับสารไดตรงกับ อาจได้สารที่ไม่สมบูรณ์
วัตถุประสงคที่ตั้งไว ไมเสียเวลากับการรับสาร ๒) มีความพร้อมในการฟัง การดู การรับสารด้วยการฟัง การดูจะมีประสิทธิภาพได้หรือไม่นนั้
ที่ไมกอใหเกิดประโยชน) ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้รับสารทั้งความพร้อมทางกาย เช่น มีการรับรู้ทางภาพและเสียงดี สุขภาพ
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ร่างกายดี ไม่ปวดศีรษะ เป็นไข้ และความพร้อมทางจิตใจ คือ มีความตั้งใจ อารมณ์ไม่เครียด ไม่มี
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 ความหวาดกลั ว หรื อ วิ ต กกั ง วล นอกจากนั้ น ความพร้ อ มของบรรยากาศหรื อ สภาพแวดล้ อ มที่ ดี
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด ก็มีส่วนส�าคัญ เพราะสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีเสียงหรือกลิ่นรบกวน อากาศถ่ายเทได้ดี ย่อมส่งเสริม
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ให้การรับสารมีประสิทธิภาพ
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)

76

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การฟงและดูรายการใดตองใชวิจารณญาณในการวิเคราะหขอเท็จจริง
ครูควรอธิบายใหนกั เรียนเขาใจวา ทักษะหรือความสามารถในการฟงเปนทักษะ
ขอคิดเห็นมากที่สุด
เฉพาะบุคคล แตถงึ อยางไรก็ตามยังมีแนวทางสําหรับการพัฒนาประสิทธิภาพในการ
1. เพลงยอดนิยม
ฟงของบุคคลใหไดยดึ ถือ ฝกฝนปฏิบตั ิ โดยเริม่ จากการกําหนดจุดประสงคในการฟง
2. หนูนอยแสนเกง
ใหชดั เจน เพือ่ เตรียมความพรอม มีสมาธิขณะฟงเพือ่ ใหการรับสารเกิดประสิทธิภาพ
3. รายการเที่ยวทั่วไทย
วิเคราะหผสู ง สาร จับใจความสําคัญของเรือ่ งทีฟ่ ง และรวมถึงมีมารยาทในการฟง
4. จับประเด็นประเทศไทย
เพือ่ ใหการฟงในแตละครัง้ ราบรืน่ และประสบผลสําเร็จ นอกจากนีค้ รูควรชีแ้ จงวา
ในการรับสารนอกเหนือจากการทําความเขาใจเนือ้ หาสาระทีไ่ ดฟง และดูแลว ผูร บั สาร วิเคราะหคําตอบ คําตอบในขอ 1., 2. และ 3. เปนรายการทีใ่ หความบันเทิง
ยังจะตองวิเคราะหสารทีไ่ ดรบั มาในดานตางๆ ดังนี้ ความถูกตองนาเชือ่ ถือ ความเปน และความเพลิดเพลิน แตรายการจับประเด็นประเทศไทย เปนรายการที่จะ
เหตุเปนผล ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น วัตถุประสงคของผูส ง สาร หากสามารถวิเคราะห ตองมีการแสดงความรู ความคิดเห็นของบุคคลผูร ว มรายการและรวมถึง
สารทีไ่ ดรบั มาครบทุกประเด็น ก็จะทําใหการรับสารในแตละครัง้ เกิดประสิทธิภาพ ผูด าํ เนินรายการในการตัง้ คําถามชี้นําประเด็นในสถานการณใดสถานการณ
สูงสุด ผูร บั สารสามารถนําความรู ความคิดทีไ่ ดรบั จากการฟงและดูไปใชแกปญ  หา หนึ่งที่กําลังเกิดขึ้นในสังคมไทย ดังนัน้ การฟงและดูรายการทีม่ เี นือ้ หาสาระ
ในชีวติ ประจําวันไดอยางเหมาะสม เชนนี้ ผูฟงและดูตองใชวิจารณญาณแยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น
กอนตัดสินใจเชือ่ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

76 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๓) มีสมาธิ การมีสมาธิในการรับสารทัง้ การฟังและการดูเป็นสิง่ จ�าเป็น เพราะจะท�าให้การสือ่ สาร ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง
มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ฟังหรือดูไม่ควรคิดเรื่องอื่น เนื่องจากจะท�าให้ผู้รับสารเสียสมาธิ นอกจากนี ้ ระบุแหลงที่มาของขอมูล
ผู้รับสารต้องฝึกฝนสมาธิให้กับตนเองอย่างสม�่าเสมอ และพยายามให้ความสนใจในสิ่งที่ฟังหรือดู 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๔) มีความสนใจในสาร ขณะรับสารจะต้องให้ความสนใจในสาร ความสนใจจะเกิดขึ้นได้ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใช
เมื่อเรื่องที่ฟังหรือดูนั้นสอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้รับสาร ฉะนั้นผู้รับสารจะต้องอ่านมาก ฟังมาก ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
เห็นมาก เพือ่ ให้มปี ระสบการณ์กว้างขวาง ซึง่ จะช่วยให้มคี วามสนใจในสารต่างๆ ได้ดยี งิ่ ขึน้ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล
๕) มีความตั้งใจฟัง ตั้งใจดู การฟังหรือดูที่เรียกว่า “ตั้งใจ” ผู้รับสารต้องมีความเอาใจใส่ เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง มีความอดทนฟังและดูตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะการรับสารเพียงบางส่วนจะท�าให้ • ลักษณะของผูฟงและดูที่ดีในความคิดเห็น
ได้สารไม่สมบูรณ์และการสื่อสารจะไม่มีประสิทธิภาพ ของนักเรียนตองมีคุณสมบัติอยางไร
๖) มีอาการส�ารวมและมีมารยาทอันดี ให้เกียรติผู้ส่งสาร ในบางสถานการณ์ผู้รับสาร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ต้องพิจารณาถึงมารยาทในการฟัง การดู และให้เกียรติผู้ส่งสาร เช่น ในการฟังบรรยาย ไม่ควรเข้า ไดอยางหลากหลายและอิสระ โดยคําตอบ
ห้องบรรยายสายกว่าก�าหนด ขณะทีผ่ บู้ รรยายก�าลังพูด ก็ไม่ควรพูดจาหยอกล้อกัน หรือลุกเดินเข้าออก ควรจะครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
โดยไม่จ�าเป็น เป็นต้น มีจดุ ประสงคในการฟง มีสมาธิ มีความพรอม
1
๗) มีความสามารถในการจับใจความ การรับสารด้วยการฟัง การดูให้มีประสิทธิภาพ ทั้งกายและจิตใจ มีมารยาท ไมมีอคติตอ
ผูร้ บั สารต้องสามารถจับใจความและจับประเด็นส�าคัญของเรื่อง แล้วสรุปเป็นความคิดของตนเองได้ เรื่องที่ฟงและดู รวมถึงผูสงสาร จดบันทึก
ผู ้ รั บ สารต้ อ งสามารถวิ เ คราะห์ เจตนาของผู ้ ส ่ ง สารว่ า มี จุ ด ประสงค์ แ ละแนวคิ ด ใดในการส่ ง สาร ขณะฟงเพื่อนํากลับไปทบทวนในภายหลัง
การจับใจความต้องได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกับการมีสมาธิ บุคคลที่มีทักษะการจับใจความได้ดี มีปญญาและวิจารณญาณไตรตรองสารที่ได
จับประเด็นส�าคัญได้ร2วดเร็ว ย่อมมีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็ว
ฟงและดูกอนยอมรับและนําไปปรับใชใน
๘) ไม่มีอคติต่อสารหรือผู้ส่งสาร การรับสารด้วยการฟัง การดู ผู้รับสารต้องมีจิตใจ
ชีวิตประจําวันของตนเอง)
• นักเรียนคิดวาการมีอคติสงผลอยางไร
เป็นกลาง ไม่มีอคติล�าเอียงต่อสารหรือผู้ส่งสาร เพราะอคติความล�าเอียงเหล่านี้จะท�าให้รับสาร
ตอการฟงและดู
โดยปราศจากเหตุผล การสรุปผลอาจเข้าข้างผู้ส่งสารหรือปฏิเสธการรับรู้สารได้ การรับข้อมูล
(แนวตอบ หากผูรับสารมีอคติตอการฟงและดู
อาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ดังนั้น ผู้รับสารต้องรับสารด้วยความเป็นธรรม จึงจะท�าให้
จะทําใหผูรับสารไมสามารถฟงและดูดวยใจ
การพิจารณาความคิดเห็นเป็นไปอย่างเที่ยงตรงและเป็นประโยชน์แก่ผู้รับสาร
ที่เปนกลางได รับรูสาระสําคัญของการฟง
๙) ตริตรองด้วยปัญญา การฟัง การดูสื่อต่างๆ สั่งสมให้เกิดความรอบรู้ จึงต้องรู้จักเลือก
และดูครั้งนั้นๆ ไดไมเต็มที่ ซึ่งเปนการ
สารทีเ่ ป็นประโยชน์ เมือ่ รับสารแล้วต้องคิดพิจารณาด้วยตนเอง แยกแยะให้เห็นเหตุและผล คุณและโทษ
เสียเวลาโดยเปลาประโยชน)
ข้อดีและข้อเสีย ต้องตริตรองให้เห็นชัด จึงจะตกลงปลงใจที่จะเชื่อถือสารนั้นด้วยเหตุผลและปัญญา 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๑๐) จดบันทึกสิ่งที่ฟังที่ดูมาแล้วน�าไปใช้ประโยชน์ การจดบันทึกเป็นหัวใจส�าคัญข้อหนึ่ง แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 4
ใน “หัวใจนักปราชญ์” ผู้ที่ฝึกนิสัยจดบันทึกการฟัง การดูอยู่เสมอย่อมจะจดจ�าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
พบเห็นมาและน�าไปใช้ประโยชน์ในการด�าเนินชีวิตประจ�าวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
77

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
บุคคลใดตอไปนี้มีลักษณะของผูฟงและดูที่ดี
1 มีความสามารถ นอกจากความสามารถในการจับใจความสําคัญแลว ผูที่จะ
1. มาลีจะตั้งจุดมุงหมายกอนการฟงและดูทุกครั้ง
ประสบความสําเร็จในการฟงและดูสื่อ จะตองเปนผูมีความสามารถทางไวยากรณ
2. สมพิศไมชอบผูดําเนินรายการทานนี้จึงไมรับชมรายการ
ของภาษาเพื่อใหสามารถรับรูความหมายไดตรงตามเจตนาของผูสงสาร มีความ
3. สมปองฟงสมชายซึ่งเปนเพื่อนสนิทกลาวหาสมศรี แลวเชื่อทันที
สามารถทางภาษาสังคมที่ปรากฏใช เชน ภาษาถิ่น ภาษาสแลง ภาษาเฉพาะกลุม
4. สมพงศไมไดจดบันทึกการฟงบรรยายของวิทยากรเพราะคิดวาตนเอง
มีความสามารถในการตีความเนื้อหาสาระ และประการสุดทายคือ มีความสามารถ
มีความจําที่ดี
ในการเชื่อมโยงสิ่งที่ไดฟงและดูกับความรูพื้นฐานหรือประสบการณของตนเอง
วิเคราะหคําตอบ การฟงและดูสื่อในชีวิตประจําวันใหเกิดประสิทธิภาพ 2 อคติ อคติของผูฟงที่เปนอุปสรรคในการฟง สามารถพิจารณาได 4 กรณี ดังนี้
สูงสุด ปจจัยหนึ่งขึ้นอยูกับผูฟงและดู ซึ่งการฟงและดูที่ดี ผูฟงและดู กรณีที่ 1 ผูฟงมีอคติตอผูพูด ยอมสงผลใหผูฟงไมตั้งใจฟง มีความคิดเห็นขัดแยง
ควรตัง้ จุดมุง หมายทุกครัง้ เพราะเมือ่ มีจดุ มุง หมายยอมสามารถจับใจความ กรณีที่ 2 ผูฟ ง มีอคติตอ สารหรือเนือ้ หาสาระ ยอมสงผลใหผฟู ง ไมสนใจและไมใสใจฟง
สําคัญได การมีอคติตอผูสงสาร การเชื่อโดยปราศจากการใชวิจารณญาณ กรณีที่ 3 ผูฟ ง มีอคติตอ สือ่ เชน ผูฟ ง ไมชอบฟงรายการวิทยุ จึงทําใหเกิดการเลือกรับ
ไตรตรอง และการฟงโดยไมมีการจดบันทึกสาระสําคัญของสิ่งที่ไดฟงไดดู สือ่ ในการฟง
เหลานี้ลวนไมใชลักษณะของผูฟงและดูที่ดี ดังนั้นจึงตอบขอ 1. กรณีที่ 4 ผูฟ ง มีอคติตอ ตนเอง เชน ไมเชือ่ มัน่ ในตนเอง ไมมคี วามภาคภูมใิ จในตนเอง
ดูถูกตนเองวาไมสามารถรับฟงสารเรื่องนั้นๆ ได
คูมือครู 77
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง ๔ มารยาทในการฟัง การดูสื่อต่างๆ
ระบุแหลงที่มาของขอมูล
มารยาท เป็นสิ่งส�าคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพราะปกติมนุษย์ไม่ได้อยู่ตามล�าพังคนเดียว
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใชความรู ในโลก การอยู่ร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่บุคคลในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในโรงเรียน ในสังคม ต้องมีการติดต่อ
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ สื่อสารสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่เสมอ มารยาทการฟัง การดูจึงจัดเป็นมารยาททางสังคม ถ้าขาดมารยาท
เพื่อนๆ กลุมที่ 5 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ เหล่านี้ไปจะท�าให้กลายเป็นบุคคลเห็นแก่ตัว ไม่มีความสุภาพ เช่น การเปิดวิทยุเสียงดัง ท�าให้เกิด
ตอบคําถาม ความร�าคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง เป็นต้น
• ความรูเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการฟง บุคคลผู้มีมารยาทในการฟัง การดู ถือเป็นผู้มีวัฒนธรรมดีงาม ย่อมได้รับการยกย่องและ
และดูมีประโยชนอยางไร ยอมรับจากบุคคลอื่น และยังเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท�าให้การติดต่อสื่อสารบรรลุผลได้โดยง่าย
(แนวตอบ จะทําใหมีแนวทางสําหรับการฟง มารยาทการฟัง การดูจึงนับเป็นคุณธรรมประการหนึ่ง ทั้งยังเป็นวัฒนธรรมที่จะต้องปลูกฝัง มารยาท
และดูในชีวติ ประจําวัน ทําใหการฟงและดู การฟัง การดูที่ดี มีดังนี้
ในแตละครั้งเกิดประโยชนสูงสุด) ๑) แสดงความตั้งใจและมีความกระตือรือร้นในการฟัง การดู ผู้รับสารควรแสดงความ
• นักเรียนมีแนวทางสําหรับการพัฒนาทักษะ ตั้งใจในการฟัง การดู ด้วยการมองผู้ส่งสารด้วยความสนใจตั้งใจอย่างจริงจัง การมองดูควรดูอย่าง
การฟงและดูอยางไร สงบไม่ใช่ดูอย่างยิ้มเยาะหรือดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น อาการของการมองดู
1 ผู้พูดจึงต้องแสดงความสนใจ
(แนวตอบ มีแนวทางปฏิบัติ 3 ประการ อย่างแท้จริง และคิดตามขณะที่ฟังหรือดู รวมทั้งจดบันทึกไว้ เมื่อเห็นว่าสารนั้นมีประโยชน์ควรแก่
ประการทีห่ นึง่ ตัง้ ใจฟง และดูดว ยความอดทน การจดจ�า ไม่ควรวาดภาพล้อเลียน วาดรูปเล่น หรือจดบันทึกสิ่งอื่นๆ
เอาใจใส ในการฟงเรื่องราวตางๆ เปนเวลา ๒) มีความส�ารวม คือ แสดงอาการสงบในขณะที่ฟัง หรือดู ผู้รับสารควรมีความสงบจดจ่อ
นาน อาจทําใหเกิดความอึดอัด เหนื่อยลา กับการฟัง การดู ไม่ทา� กิรยิ าลุกลนหันไปหันมาไม่อยูน่ งิ่ โดยเฉพาะในการเข้าร่วมประชุม เพราะจะท�าให้
ทําใหเสียสมาธิ ผูฟงที่ดีจะตองอดทนตอ ผู้อื่นร�าคาญ ต้องแสดงความสนใจขณะที่ผู้พูดก�าลังพูดอยู่ ถ้ามีข้อสงสัยควรรอให้ผู้พูดเปิดโอกาส
ความรูสึกเหลานั้น ประการที่สอง พิจารณา ให้ถามได้
ประโยชนจากการฟงและดูใหมากที่สุด และ
๓) มีมารยาทในการฟัง การดูในที่ชุมนุมชน ผู้รับสารควรมีมารยาทในการปฏิบัติตน ดังนี้
ประการที่สาม พยายามจับใจความสําคัญ
๑. ถ้าเป็นการประชุม ควรไปให้ตรงเวลา หรือก่อนประชุมเล็กน้อย ถ้ามีเอกสารประกอบ
ของเรื่องที่ฟงและดูใหได แลวนํามาสรุป
การประชุมจะต้องอ่านมาล่วงหน้า
จัดระเบียบความคิดวาผูสงสารมีจุดประสงค
อยางไร และมีเหตุผลอะไรมาสนับสนุน ๒. อยู่ในอาการสงบไม่พูดคุยกัน หรือท�ากิจธุระส่วนตัว เพราะอาจก่อให้เกิดความร�าคาญ
แนวคิดนั้น) แก่ผู้อื่น
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลงขอมูล ๓. ไม่ควรน�าเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงเข้าไปด้วย เพราะอาจท�าเสียงดัง หรือลุกขึ้นเดินวิ่งเล่น
ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 5 มีความนาเชือ่ ถือหรือไม ท�ากิริยาอาการรบกวนผู้อื่น
เพราะเหตุใด ๔. ไม่ลุกเดินเข้าออกโดยไม่จ�าเป็น ถ้าจะต้องลุกขึ้นเพื่อออกก่อนเวลา ควรเลือกนั่งใกล้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ประตูทางออก
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
78

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
การปฏิบตั กิ จิ กรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายกอนเก็บใบความรูเ ฉพาะบุคคล นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับอุปสรรคที่ทําใหการฟงในแตละครั้งไมประสบ
ของนักเรียน ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน นําเสนอผลการศึกษาเพื่อ ผลสําเร็จ หรือไมไดประสิทธิภาพมากเทาที่ควร พรอมทั้งเสนอแนะ
แบงปนขอมูล จากนั้นใหนักเรียนบริหารจัดการความรูรวมกันในลักษณะของปาย แนวทางการกําจัดอุปสรรค นําเสนอเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
นิเทศประจําชั้นเรียนในหัวขอ “ฟงและดู อยางไรใหเกิดประโยชนในชีวิตประจําวัน”

กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
1 จดบันทึกไว มนุษยใชทักษะการฟงประมาณรอยละ 40 แตมักจะจดจําเนื้อหา นักเรียนศึกษาแนวทางการฟงและดูสารแตละประเภท ไดแก การฟง
สาระของเรื่องที่ตนเองฟงไดเพียงครึ่งหนึ่งเทานั้น เปนเพราะกระบวนการทํางานของ และดูสารประเภทใหความรู การฟงและดูสารประเภทใหความบันเทิง
สมองของมนุษยมีกระบวนการในการคัดเลือกขอมูลขาวสารตางๆ โดยจะเลือก นําเสนอเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ตีความตามทัศนคติ หรือจดจําเฉพาะเนือ้ หาทีส่ นใจ ซึง่ เรือ่ งราวทีไ่ มไดใหความสําคัญ
อาจเปนประโยชนในอนาคต ดังนั้น ผูฟงและดูจึงควรรูจักจดบันทึกสาระสําคัญ
ของเรื่องไว โดยใชหลักการยอความเปนเครื่องมือในการบันทึก
78 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุมที่ 6 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๕. ไม่น�าอาหาร เครื่องดื่ม หรือของขบเคี้ยวเข้าไปรับประทาน เพราะจะไปรบกวนผู้อื่น ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้งระบุ
และอาจท�าให้สถานที่สกปรก แหลงที่มาของขอมูล
๖. ไม่แสดงอาการไม่เหมาะสมต่อเพื่อนต่างเพศในสถานที่ประชุม หรือในการชมมหรสพ
เพราะผิดกาลเทศะและแสดงถึงการขาดวัฒนธรรมอันดีงาม ขยายความเขาใจ Expand
๗. ควรปรบมื อ เป็ น การให้ เ กี ย รติ แ ก่ ผู ้ พู ด เมื่ อ มี ก ารแนะน� า ผู ้ พู ด และเมื่ อ จบการพู ด
1. ในชีวิตประจําวันนักเรียนจะตองอยูใน
รวมทั้งปรบมือให้แก่สถานที่เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง อันเป็นมารยาทที่ดีงาม
สถานการณการฟงและดูทแี่ ตกตางกัน เชน
๘. การดูมหรสพไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ หรือการฟังดนตรี เมื่อมีเพลงสรรเสริญ
การฟงบรรยายของครู การอภิปราย การสัมมนา
พระบารมี ควรยืนตรงเพื่อแสดงความเคารพจนกว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีจะจบลง ไม่ควรลุกเดิน
การฟงและดูคอนเสิรต มหรสพตางๆ จาก
ขณะเพลงสรรเสริญพระบารมียังบรรเลงอยู่ หรือพูดคุยกันระหว่างที่เพลงสรรเสริญพระบารมียังไม่จบ ความหลากหลายของสถานการณการฟง
และดูใหนักเรียนอภิปรายรวมกันในประเด็น
การฟัง การดูเป็นทักษะการรับสารที่ใช้สมÓ่ เสมอในชีวิตประจÓวัน ผู้รับสารควร “มารยาทในการฟงและดูสาํ หรับสถานการณ
มีลักษณะของผู้ฟังผู้ดูที่ดี รู้จุดมุ่งหมายของการรับสารด้วยทักษะการฟัง การดู ตลอดจน ที่แตกตางกัน” ใหเวลา 20 นาที
มีมารยาทในการฟัง การดูสื่อ เพราะจะทÓให้ผู้รับสารสามารถสรุปความ ซึ่งรวมไปถึง 2. นักเรียนสรุปผลการอภิปรายเปนใบความรู
จับประเด็นสÓคัญจากสือ่ ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ทังé ยังส่งเสริมให้การฟัง การดู เฉพาะบุคคล สงครู โดยยกตัวอยางสถานการณ
มีประสิทธิภาพและเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีทักษะการฟัง การดูที่ดี ประกอบและเขียนแสดงมารยาทที่ควรปฏิบัติ
ในสถานการณนั้นๆ ใหชัดเจน

79

บูรณาการเชื่อมสาระ
การฟงและดูบูรณาการไดกับเรื่องหลักการขับรองและบรรเลงเพลงสากล เกร็ดแนะครู
ในตัวชี้วัดเกี่ยวกับการนําเสนอตัวอยางเพลงที่ตนเองชื่นชอบ อภิปราย
ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับแนวทางการฟงและดูสารประเภทใหความรู
ลักษณะเดนทีท่ าํ ใหบทเพลงนาชืน่ ชม ในกลุม สาระการเรียนรูศ ลิ ปะ วิชาดนตรี-
และสารประเภทใหความบันเทิงแกนักเรียน ในรูปแบบของตารางเปรียบเทียบ ดังนี้
นาฏศิลป กลาวคือ เมื่อนักเรียนมีความรูเ กีย่ วกับแนวทางการฟงและดูสาร
ทีใ่ หความรู และสารทีใ่ หความบันเทิง นักเรียนยอมสามารถอภิปรายเบือ้ งตน สารประเภทใหความรู สารประเภทใหความบันเทิง
ไดวา บทเพลงนัน้ ๆ มีลกั ษณะเนื้อหาอยางไร เปนเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
วิเคราะหองคประกอบของบทเพลง ไมวา จะเปน เนือ้ รอง ทํานอง ดนตรี • พิจารณาแหลงขอมูล • พิจารณาสาระสําคัญ
นํา้ เสียงของนักรอง สามารถตีความนัยสําคัญทีซ่ อ นไวในบทเพลงและรวมถึง • จับใจความสําคัญของเรื่อง • วิเคราะหองคประกอบของสาร เชน
ตัดสินประเมินคาโดยแสดงเหตุผลที่ชัดเจนประกอบ การปฏิบัติกิจกรรม • พิจารณารายละเอียดที่อาจเปน เพลง ควรวิเคราะห ชื่อเพลง ทํานอง
ครูควรใหนักเรียนคัดสรรบทเพลงที่ตนเองชื่นชอบ พรอมอธิบายลักษณะเดน ประโยชน เนื้อรอง ดนตรี นํ้าเสียงนักรอง
ที่ทําใหบทเพลงนั้นนาชื่นชม โดยใชแนวทางการฟงและดูสารประเภทให • วิเคราะหขอเท็จจริงและขอคิดเห็น เปนตน
ความบันเทิงเปนกรอบสําหรับการวิเคราะห นําเสนอบทวิเคราะหในรูปแบบ • พิจารณาความนาเชื่อถือ • ตีความนัยสําคัญ
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู • วิเคราะหกลวิธีการนําเสนอ • ตัดสินประเมินคา
• วิเคราะหการใชภาษา

คูมือครู 79
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูพิจารณาใบความรูเฉพาะบุคคลของนักเรียน
สรุปผลการอภิปรายในประเด็น “มารยาทใน
การฟงและดูสาํ หรับสถานการณทแี่ ตกตางกัน”
โดยพิจารณาความสมเหตุสมผลของสถานการณ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ทีน่ กั เรียนยกตัวอยาง ความถูกตองของพฤติกรรม
๑. การสื่อสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารในชีวิตประจ�าวันมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
ที่ควรปฏิบัติในสถานการณการฟงและดูนั้นๆ
๒. หากนักเรียนต้องการฟังหรือดูเพื่อแสวงหาความรู้ ควรเลือกสื่อประเภทใด
และรวมถึงการเขียนสะกดคํา การเวนวรรคตอน ๓. หากนักเรียนฟังการบรรยายในหัวข้อ “เรียนอย่างไร ให้มีความสุข”
ลายมือ ความสะอาดเรียบรอย มารยาท นักเรียนมีจุดมุ่งหมายในการฟังอย่างไร
ในการเขียน ๔. เหตุใดก่อนการชมภาพยนตร์ทุกครั้ง จึงมีการเปดเพลงสรรเสริญพระบารมี
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู ๕. นักเรียนมีหลักในการเลือกดูสื่อโทรทัศน์อย่างไร จงอธิบายพอสังเขป

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลสรุปผลการอภิปราย
2. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู

กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู

กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนร่วมกันฟังและดูสื่อประเภทต่างๆ แล้วร่วมกันอภิปราย


และสรุปประโยชน์ที่ได้รับ เช่น
■ สื่อที่ให้ความรู้

■ สื่อที่ให้ข้อคิด

กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนจับใจความส�าคัญของโฆษณาทางโทรทัศน์ ๑ โฆษณา


แล้วน�ามาวิเคราะห์ว่า ผูส้ ง่ สารต้องการสื่อความหมายถึงผู้รับสารอย่างไร
กิจกรรมที่ ๓ ให้นักเรียนอภิปรายส�านวนเกี่ยวกับการฟัง การดู และการพูด ต่อไปนี้
■ ฟังหู ไว้หู

■ ไม่ดูตาม้า ตาเรือ

■ พูดมากยากนาน พูดน้อยพลอยร�าคาญ

80

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การสื่อสารที่ไมมีการโตตอบระหวางผูสงสารและผูรับสาร หรือการสื่อสารทางเดียว เชน การฟงเทศน หรือบทบรรยายธรรมะ หากผูฟงฟงอยางตั้งใจ มีสมาธิกับสิ่งที่ฟง
คิดทบทวนดวยตนเองก็จะทําใหเกิดภาวะจิตใจที่สงบ แจมใส
2. การฟงและดูเพื่อแสวงหาความรูควรเลือกฟงและดูการบรรยายทางวิชาการ สัมมนาทางวิชาการ เปนตน
3. จุดมุงหมายของการฟงในหัวขอ “เรียนอยางไร ใหมีความสุข” คือ การฟงเพื่อจับสาระสําคัญ นําแนวคิดที่เปนประโยชนมาปรับใชใหเขากับชีวิตประจําวันของตนเอง
4. การเปดบทเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร เพื่อใหบุคคลที่เขาไปรับชมไดมีโอกาสรวมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองคอยางพรอมเพรียงกัน ไดรับรูถึง
พระราชกรณียกิจผานภาพและเสียง เปนการถวายความเคารพแดพระองคประการหนึ่ง
5. หลักในการเลือกดูสื่อโทรทัศน โดยสวนใหญแลวจะเปนไปเพื่อความบันเทิง ดังนั้นการเลือกดูจึงเลือกดูรายการที่ใหความเพลิดเพลิน และไดรับสาระความรู
ในขณะเดียวกัน

80 คูมือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. พูดจับใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟงและดู
2. พูดเลาเรื่อง และแสดงความคิดเห็น
เชิงสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู
3. สามารถพูดรายงานในเรื่องหรือประเด็นที่เลือก
โดยมีแหลงคนควาที่ตองใชทักษะการฟง
การดู และการสนทนา
4. มีมารยาทในการฟง การดู และการสนทนา

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย รับผิดชอบ

ò
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
หน่วยที่
การฟง การดู และการพูดในชีวิตประจําวัน กระตุน้ ความสนใจ Engage
ตัวชี้วัด
ท ๓.๑ ม.๑/๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖
ก ารฟัง การดู และการพูด เป็น
ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
■ พูดสรุปใจความสําคัญของเรื่องที่ฟงและดู
ทักษะที่ใช้ควบคู่กันในชีวิตประจ�าวัน
■ เลาเรื่องยอจากเรื่องที่ฟงและดู เพื่ อ ให้ ผู ้ พู ด และผู ้ ฟ ั ง เกิ ด ความเข้ า ใจ จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
■ พูดแสดงความคิดเห็นอยางสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู ตรงกั น จ� า เป็ น ต้ อ งมี ห ลั ก การและ • บุคคลในภาพใชทักษะการสื่อสารใดบาง
■ ประเมินความนาเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหาโนมนาวใจ
ตัวอย่างให้ศึกษาและฝกปฏิบัติ การฟัง
■ พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาคนควาจากการฟง การดู
การดู และการพูดอย่างสร้างสรรค์ต้อง และทักษะนั้นมีความสัมพันธกันอยางไร
และการสนทนา
■ มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด หมัน ่ ฝกปฏิบตั อิ ยูเ่ สมอ โดยเฉพาะอย่างยิง่ (แนวตอบ ใชทักษะการฟง การดู และการพูด
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ในยุคของข้อมูลข่าวสารปัจจุบัน นักเรียน ความสัมพันธคือ ในขณะที่รับสารตองใช
ควรรู ้ จั ก สั ง เกตพิ จ ารณาเลื อ กฟั ง และดู
■ การพู ด สรุ ป ความ การพู ด แสดงความรู ความคิ ด อย า ง
ในสิง่ ทีเ่ ป็นประโยชน์ รวบรวมเป็นข้อมูลความรู้ การฟงและดู หลังจากประมวลผลหรือ
สรางสรรคจากเรื่องที่ฟงและดู
■ การพูดประเมินความนาเชื่อถือของสื่อ สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นค�าพูดทีเ่ หมาะสม ตีความสารแลว ยอมเกิดขอสงสัยจึงใช
■ การพูดรายงานการศึกษาคนควาจากแหลงเรียนรูตางๆ กับเจตนาได้ การพูด เพื่อซักถามในสิ่งที่สงสัย หรือนําไป
ในชุมชน และทองถิ่นของตน
■ มารยาทในการฟง การดู และการพูด ถายทอดใหผูอื่นฟง พรอมๆ กับการแสดง
ความคิดเห็นของตนเองที่มีตอเรื่องที่เลา)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การฟง การดู และการพูดในชีวติ ประจําวัน
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจในหลักปฏิบัติและสามารถฝก
ปฏิบัติการพูดประเภทตางๆ ได เชน การพูดสรุปใจความสําคัญ การพูดเลาเรื่อง
การพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค การประเมินความนาเชื่อถือของสาร
การพูดรายงานเชิงวิชาการ ซึ่งทักษะการพูดทั้งหมด มีลักษณะรวมกัน คือ เกิดขึ้น
หลังจากที่ผูพูดไดใชทักษะการฟงและดูสารตางๆ จนสิ้นกระบวนความแลว
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรชี้แนะและเชื่อมโยงใหนักเรียนเห็นความ
สัมพันธของทักษะการฟง ดูและพูด นําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับแนวทางการฟง
และดูสื่อจากหนวยการเรียนรูที่ 1 มาประยุกตใชกับการฟงเพื่อวัตถุประสงคเฉพาะ
โดยครูเปนผูกําหนดกรอบเพื่อใหนักเรียนไดนําหลักปฏิบัติมาใชฝกปฏิบัติจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการสรุปยอ การเรียงลําดับ
การสรุปความเห็น กระบวนการคิดสรางสรรค การประเมิน กระบวนการคิดอยางมี
วิจารณญาณ การรวบรวมขอมูล การตั้งเกณฑ ใหแกนักเรียน

คู่มือครู 81
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจและนํา
นักเรียนเขาสูหัวขอการเรียนการสอน โดยถาม ๑ การพูดจับใจความสÓคัญจากการฟังและดูสื่อ
คําถามเดียวกันนี้กับนักเรียนหลายๆ คน เพื่อให
ในชีวิตประจ�ำวันมนุษย์รับสำรด้วยกำรฟังและดูจำกสื่อต่ำงๆ มำกมำย เช่น จำกกำรดู
คําตอบที่ไดเพียงพอสําหรับการสรุปแนวทาง
ภำพยนตร์ โทรทัศน์ กำร์ตูน อินเทอร์เน็ต หรือจำกแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เช่น สถำนประกอบกำร หรือ
ที่ถูกตองรวมกัน
• นักเรียนมีแนวทางอยางไรในการเลือกเรื่อง ได้พบเห็นจำกสถำนกำรณ์ในสังคมทั่วไป เป็นต้น ผู้ฟังที่ฉลำดจะเลือกฟังและดูแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์
ที่ฟงและดูมาถายทอดใหผูอื่นฟง ฟังอย่ำงตั้งใจและจับใจควำมส�ำคัญของเรื่องที่ฟังและดูให้ได้ แล้วพิจำรณำว่ำได้ประโยชน์อะไรบ้ำง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น จำกสิ่งที่ฟังและดู บำงครั้งอำจเก็บควำมรู้ที่ได้จำกกำรฟังและดูมำพูดต่อ หรือมำเล่ำต่ออีกก็ได้
ไดอยางอิสระขึน้ อยูก บั คานิยมและวิจารณญาณ เพื่อกำรเป็นผู้ฟังและผู้พูดที่ดี จ�ำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ ทักษะที่ส�ำคัญ คือ กำรพูด
สวนตน ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จับใจควำมส�ำคัญจำกกำรฟังและดูสื่อต่ำงๆ ซึ่งมีหลักกำรพิจำรณำ ดังนี้
แนวทางในการเลือกเรื่องที่ฟงและดูมา ๑. ฟังและดูสื่อให้ตลอด พยำยำมท�ำควำมเข้ำใจและจับใจควำมส�ำคัญของเรื่องเป็นตอนๆ ว่ำ
ถายทอด ควรเลือกเรื่องที่ผูพูดมีความรู เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้ำง ใครท�ำอะไรกับใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่ำงไร
ความเขาใจเปนอยางดี เปนเรื่องที่อยูใน ๒. เรียบเรียงใจควำมส�ำคัญออกมำเป็นภำษำพูดที่เข้ำใจง่ำย จัดล�ำดับเหตุกำรณ์ตำมเวลำ
กระแสสังคม หรือในความสนใจของผูฟง) หรือควำมน่ำสนใจของเรื่อง
๓. บอกที่มำของเรื่องให้ชัดเจนว่ำมำจำกสื่อใดหรือเป็นผลงำนของใคร ไม่อ้ำงตนว่ำเป็น
ส�ารวจค้นหา Explore เจ้ำของเรื่องเสียเอง
๔. ใช้ภำษำพูดให้เหมำะสมกับกำลเทศะและวัยของผู้ฟัง ควรค�ำนึงถึงควำมสนใจ ควำมพร้อม
แบงนักเรียนเปน 5 กลุม แตละกลุมสงตัวแทน
ของผู้ฟัง
ออกมาจับสลากประเด็นเกี่ยวกับการพูดในรูปแบบ
ตางๆ จากเรื่องที่ฟงและดู เพื่อนําไปสืบคนความรู ๕. คุมน�้ำเสียงและจังหวะกำรพูดให้สอดคล้องกลมกลืน และมีท่ำทำงประกอบเรื่องที่พูดบ้ำง
รวมกันจากแหลงการเรียนรู แหลงขอมูลที่สามารถ ตำมสมควร
เขาถึงได ดังตอไปนี้ ๖. เปิดโอกำสให้ผู้ฟังได้ซักถำมข้อสงสัยเมื่อผู้พูดพูดจบ
หมายเลข 1 การพูดสรุปใจความสําคัญ ๗. สังเกตผูฟ้ งั เพือ่ ประเมิ1นควำมสนใจและปรับกำรพูดให้มคี วำมเหมำะสม
หมายเลข 2 การพูดเลาเรื่อง ๘. สร้ำงศรัทธำในกำรพูดให้เกิดขึน้ เพรำะผูฟ้ งั จะเกิดควำมสนใจ สำมำรถฟัง
หมายเลข 3 การพูดแสดงความคิดเห็น อย่ำงมีใจจดจ่อ และมีควำมเชื่อมั่นว่ำกำรฟังนั้น จะก่อให้เกิดควำมรอบรู้และ
เชิงสรางสรรค เป็นประโยชน์ได้
หมายเลข 4 การพูดรายงานการศึกษาคนควา ๙. สร้ำงทักษะในกำรสื่อสำรให้มีควำมน่ำสนใจ
เรื่องหรือประเด็นที่คนควาจาก
การฟง การดู และการสนทนา
โดยสมาชิกทุกคนภายในกลุมตองมีสวนรวม
ในการสืบคนขอมูล ทั้งนี้แตละกลุมควรคํานึงถึง
ความนาเชื่อถือของแหลงขอมูลดวย
82

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงลักษณะของการพูดที่ดีไดถูกตองสมบูรณที่สุด
ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวา การพูดสรุปใจความสําคัญของเรื่อง สามารถ
1. พูดแลวขัดแยง
ทําไดหลายกรณี ขึน้ อยูก บั ชองทางการรับสารของผูพ ดู เชน การพูดสรุปใจความสําคัญ
2. พูดโดยใชอารมณ
ของเรื่องจากการอาน หรือการพูดสรุปใจความสําคัญของเรื่องจากการฟงและดู
3. พูดแลวผูฟงมีความสุข
4. พูดแลวบรรลุวัตถุประสงค
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ การพูด คือ การถายทอดความรู ความคิดหรือความ
ตองการของผูพูดสื่อความหมายไปยังผูฟงเพื่อใหเกิดการรับรูและอาการ
1 สรางศรัทธาในการพูด เปนสิ่งที่ผูพูดจะตองสรางขึ้นดวยตนเอง เชน ตอบสนอง โดยใชถอยคํา นํ้าเสียง รวมทั้งอากัปกิริยาตางๆ ประกอบกัน
การแตงกาย บุคลิกภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง หากผูพูดมีความมั่นใจในตนเอง ดังนั้น ลักษณะของการพูดที่ดีคือ พูดแลวบรรลุวัตถุประสงคที่ตั้งไว
เชื่อมั่นในขอมูล ความเชื่อมั่นเหลานั้นจะสะทอนไปยังผูฟง สงผลใหผูฟงเกิด แตการพูดที่ไมควรใหเกิดขึ้น ไดแก การพูดโดยใชอารมณ พูดแลวกอให
ศรัทธาในผูพูด และมีแนวโนมที่จะคิดเห็นคลอยตามหรือเชื่อในสิ่งที่ผูพูดสงสาร เกิดความขัดแยง สวนการพูดที่พูดแลวผูฟงมีความสุข แตถาไมบรรลุ
วัตถุประสงค ก็ยงั ถือเปนการพูดทีด่ หี รือสมบูรณไมได ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.

82 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การพูดจับใจความสÓคัญจากการอ่าน ความรูใ นประเด็น “การพูดสรุปใจความสําคัญ”
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
ความเชื่อของไทย ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการพูดสรุป
ใจความสําคัญ โดยใชความรู ความเขาใจ
พอเด็กคลอด หมอต�ำแยหรือแพทย์ผดุงครรภ์จะต้องส่งเด็กให้กับผู้ที่บิดำมำรดำของเด็ก
ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1
จัดเตรียมไว้ คือ ผู้ที่มีนิสัยและควำมประพฤติเป็นที่ถูกใจของบิดำมำรดำ ซึ่งถือกันว่ำเด็กนั้นจะ
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
มีนิสัยเหมือนกับผู้ที่มำรับอุ้มครั้งแรก ต่อมำก็อำบน�้ำ เมื่อน�ำเด็กลงอ่ำงน�้ำต้องเอำเงินหรือทอง • นักเรียนคิดวาปญหาในการรับสารของ
หรือแหวน สำยสร้อย อย่ำงหนึง่ อย่ำงใดแล้วแต่สะดวกใส่ลงไปในอ่ำงน�ำ้ แล้วจึงอุม้ เด็กลงอำบน�ำ้ นักเรียนและหมายรวมถึงบุคคลทัว่ ไป คืออะไร
เป็นเคล็ดที่ดีเพรำะเข้ำใจกันว่ำ เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง อำบน�้ำ (แนวตอบ ปญหาประการสําคัญของการ
แต่งตัวแล้วก็วำงบนเบำะซึ่งอยู่ในกระด้ง ถ้ำเป็นเด็กหญิงก็ให้ใส่ด้ำยเข็มลงไปด้วย จะได้เก่ง รับสาร คือ ผูรับสารหรือผูฟงไมสามารถ
ในกำรเย็บปักถักร้อย ถ้ำชำยก็ใส่กระดำษ ดินสอ จะได้เป็นปรำชญ์ จับประเด็นสําคัญของเรื่องที่อานหรือเรื่อง
คนไทยสมัยโบรำณเชื่อว่ำ เมื่อทำรกเกิดใหม่ๆ จะต้องมีแม่ซื้อมำซื้อทำรกนั้นไป เป็นกำร ที่ฟงได)
ซื้อกันท่ำผี คือ ถ้ำไม่มีแม่ซื้อก็กลัวผีจะแย่งเอำไปเลี้ยง นั่นหมำยถึงเด็กทำรกจะตำยเมื่อคลอด • การจับใจความสําคัญมีความจําเปนตอ
ใหม่ๆ ประเพณีเมื่อทำรกเกิด เขำมักเอำใส่กระด้งร่อนแล้วร้องว่ำ สำมวันลูกผี สี่วันลูกคน ชีวิตประจําวันของมนุษยอยางไร
(แนวตอบ การจับใจความสําคัญเปนทักษะ
ลูกของใครมำรับเอำไปเน้อ แล้วก็มีผู้หนึ่งตอบว่ำ ลูกข้ำเอง แล้วก็เอำเบี้ย ๓๒ เบี้ย ออกมำซื้อ
เบื้องตนของการรับสาร ผูรับสารจําเปน
เป็ น กำรลวงผี ว ่ ำ เด็ ก นี้ ไ ม่ ดี แม่ ข องตั ว ที่ ค ลอดออกมำไม่ รั ก จนต้ อ งมี คนอื่ น มำซื้ อ ไปเลี้ ย ง
จะตองฝกฝนเพื่อใหสามารถรับสารที่ผู
เมื่อเป็นดังนี้ผีก็ไม่อยำกได้ คือ ไม่เอำไปเลี้ยงที่เมืองผี เด็กนั้นจึงรอดอยู่ในโลกมนุษย์ได้ สงสารถายทอดไดอยางครบถวนและรวดเร็ว)
(ตำ�รับวรรณคดีไทย : เจือ สตะเวทิน)
• การพูดสรุปใจความสําคัญหรือการพูดจับใจ
สวัสดีค่ะ ท่ำนผู้ฟังที่เคำรพ ความสําคัญมีแนวทางที่สําคัญอยางไร
หนังสือต�ำรับวรรณคดีไทยของศำสตรำจำรย์เจือ สตะเวทิน ได้กล่ำวถึงควำมเชื่อของไทย (แนวตอบ ผูพูดตองฟงและดูสื่อใหจบตลอด
ที่น่ำสนใจตั้งแต่แรกคลอดเลยนะคะว่ำ ให้คนที่มีควำมประพฤติดีมำคอยอุ้มเด็กเป็นครั้งแรก ทัง้ เรือ่ ง พยายามทําความเขาใจเนือ้ หาสาระ
เด็กจะได้มนี สิ ยั ดีตำมคนนัน้ ถ้ำจะอำบน�ำ้ ก็ให้เอำเงินทองของมีคำ่ ใส่ลงไปเป็นเคล็ดว่ำโตขึน้ จะได้ และจับใจความสําคัญของเรือ่ งเปนตอนๆ วา
ร�่ำรวยเงินทอง พออำบน�้ำเสร็จถ้ำเป็นเด็กผู้หญิงจะมีด้ำย เข็ม วำงไว้บนเบำะนอน เชื่อว่ำโตขึ้น เรือ่ งทีไ่ ดฟง และดูเปนเรือ่ งเกีย่ วกับอะไร ใคร
จะได้เก่งเย็บปักถักร้อย ส่วนเด็กผูช้ ำยก็จะจัดดินสอและกระดำษแทน เพือ่ เป็นเคล็ดว่ำโตขึน้ จะได้ ทําอะไร กับใคร ทีไ่ หน อยางไร โดยมีแนวทาง
เหมือนกับการอานจับใจความสําคัญ)
เป็นปรำชญ์ นอกจำกนี้ ยังมีพิธีที่ให้มีแม่ซื้อมำท�ำพิธีซื้อเด็กจำกแม่ตัวจริงอีกด้วยค่ะ เพื่อเป็น
กำรลวงผีว่ำเด็กคนนี้ไม่ดี ขนำดแม่ยังไม่รัก ท�ำให้ผีไม่อยำกได้ เด็กจะได้มีชีวิตรอดปลอดภัย

83

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET บูรณาการอาเซียน
บุคคลใดตอไปนี้ฟงและดูสารประเภทใหความบันเทิง จรรโลงจิตใจ
ความเชื่อ คานิยมของคนแตละชาติมีความแตกตางกัน กลุมชาติพันธุ หรือกลุม
1. สุดาฟงและดูรายการวิทยสัประยุทธ
ประเทศที่ตั้งอยูในภูมิภาคเดียวกัน ยอมมีความเชื่อหรือคานิยมที่มาจากจุดกําเนิด
2. ปฐมฟงและดูละครเวทีเรื่องขางหลังภาพที่โรงละครแหงหนึ่ง
เดียวกัน เพื่อความรู ความเขาใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับกลุมประเทศสมาชิกอาเซียน
3. ธานีฟงและดูรายการสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับกลุมประเทศอาเซียน
เพื่อสรางความเขาใจอันดีใหเกิดมีตอประเทศเพื่อนบาน เพื่อตอบสนองความรวมมือ
4. กานดาฟงและดูรายการจับประเด็นทิศทางประเทศไทยกับเศรษฐกิจ
ของประชาคมอาเซียนในดาน “ประชาคม สังคม และวัฒนธรรม” ครูอาจมอบหมาย
อาเซียน
ชิ้นงานยอยใหแกนักเรียน โดยแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน จํานวน 10 กลุม ใหแตละ
วิเคราะหคําตอบ การประเมินสารที่ไดรับวาเปนสารประเภทใด มีวิธีการ กลุม สงตัวแทนออกมาจับสลากเลือกประเทศ จากนัน้ สมาชิกของแตละกลุม จึงรวมกัน
ทีไ่ มซบั ซอน กลาวคือ ภายหลังจากทีผ่ รู บั สารไดอา น หรือฟงและดูสารนัน้ ๆ ศึกษาเกี่ยวกับประเพณีที่เกิดจากความเชื่อและคานิยมของคนในประเทศนั้นๆ นํา
จบลง ผูรับสารตองตั้งคําถามกับตนเองวา สารเหลานั้นไดใหสิ่งใดแก ขอมูลมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อหาจุดรวมหรือรากเหงาทางวัฒนธรรม
ตนเอง ซึ่งสารที่ใหความรูจะทําใหผูรับสารไดรูในสิ่งที่ไมเคยรู หรือเพิ่มพูน ของกลุมประเทศสมาชิกอาเซียน จากนั้นจึงนําขอมูลทั้งหมดมาจัดการความรู
ความรู สวนสารที่ใหความบันเทิงจะทําใหผูรับสารเกิดความสุขใจ รวมกันในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
ความเพลิดเพลินใจ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

คู่มือครู 83
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ การพูดจับใจความส�าคัญจากการอ่าน
การพูดสรุปใจความสําคัญโดยใชความรู
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ เชิดต่อตัวระหว่
1 างจางวางศรกับนายแช่ม
เพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ กำรประชั
รประชันเริ่มขึ้นด้วยวงปี่พำทย์เครื่องห้ำวงวังบูรพำที่มีจำงวำงศรเป็นคนระนำดเอก
ตอบคําถาม ส่วนวงหลวงของกรมมหรสพมีนำยแช่มเป็นระนำดเอก เริ่มกำรบรรเลงด้วยเพลงโหมโรงแล้ว
• ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการพูดสรุป 2
ตีเดี่ยวกันเพลงต่อเพลง จำกเพลงพญำโศก โศก เชิดนอก (สี่จับ) และเพลงเดี่ยวอื่นๆ เรื่อยไป จนถึง
ใจความสําคัญของเรือ่ งทีฟ่ ง และดูมปี ระโยชน
เพลงกรำวใน ผลปรำกฏว่ำทั้งสองวำงฝีมือก�้ำกึ่งคู่คี่กันมำตลอด ก็ยังไม่ปรำกฏผลแพ้ชนะกัน
ตอนักเรียนอยางไร
อย่ำงเด็ดขำด เนื่องด้วยคนระนำดเอกทั้งสองวงมีฝีมือเด่นกันไปคนละอย่ำง จำงวำงศรนั้น
(แนวตอบ หากมีความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การพูดสรุปใจความสําคัญ จะทําใหมีแนวทาง ตีไหวร่อนวิจิตรโลดโผน ส่วนนำยแช่มนั้นก็ตีได้ทั้งไหวทั้งจ้ำน่ำเกรงขำมนั่นเอง
ในการฟงและดูเพื่อใหไดสาระที่เปนประโยชน ในที่สุดกำรประชันก็ต้องตัดสินกันที่เพลงเชิด เพรำะเพลงเชิดนั้นเป็นกำรตีวัดควำมไหว
จากสื่อตางๆ) (ควำมเร็ว) วัดน�้ำเสียงของระนำดที่ออกมำ รวมทั้งเป็นกำรวัดเรี่ยวแรงของคนตีระนำดเป็น
• นักเรียนฟงและดูเรื่องตางๆ ที่มีความ ประกำรส�ำคัญ กำรเชิดต่อตัวหมำยถึงว่ำ เมื่อคนแรกตีระนำดจนจบท�ำนองวรรคสุดท้ำยของ
หลากหลาย มีวิธีการใดที่จะทําใหจดจํา ตัวเชิดแล้ว คนที่สองจะต้องฉวยรับเข้ำให้ทันตำมจังหวะ และยังต้องเร่งควำมเร็วให้มำกขึ้น
สาระสําคัญของเรื่องที่ฟงและดูไดดียิ่งขึ้น จนถึงวรรคสุดท้ำยของตัวเชิด คนแรกต้องเข้ำไปฉวยรับให้ทัน แล้วก็เพิ่มควำมเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
(แนวตอบ การฟง และดูสารจากสื่อตางๆ ใน กำรตีเชิดต่อตัวดังนี้ ถือเป็นกำรพิสูจน์ควำมเร็ว ควำมแข็งแรงของร่ำงกำย พร้อมกับ
ชวงเวลาเดียวกัน อาจทําใหประสิทธิภาพใน พิสูจน์สติสัมปชัญญะและสมำธิของผู้ตีไปด้วยในเวลำเดียวกัน กำรตีเชิดจะต้องตีลักษณะนี้
การจดจําสิ่งตางๆ ทํางานไดไมดีเทาที่ควร
ไปทีละตัว ทีละตัว ทีละตัว หำกเสียงระนำดของใครอ่อนแรงหรือช้ำลง หรือสะดุดหยุดลง
ดังนั้น สิ่งที่จะชวยจดจําสาระสําคัญของสาร
ก็หมำยถึงควำมพ่ำยแพ้ที่เจ็บปวดที่สุด
คือ การจดบันทึก หรือเรียกวา กรอบบันทึก
รายละเอียดการฟง) ผลของกำรแพ้ชนะในกำรประชันต่อตัวเชิดนั้น ต้องดูที่อำกำรหลุด หรือ ตำย อำกำรหลุด
• นักเรียนคิดวาการพูดสรุปใจความสําคัญมี ก็คือ กำรรับเชิดตัวต่อไปไม่ทัน เพรำะไม่สำมำรถตีไหวหรือเร็วเท่ำคู่ต่อสู้ที่ส่งมำให้ได้
สวนชวยใหเกิดการตอยอดความรูไดอยางไร ส่วนอำกำรตำยนั้นก็คือ กำรฉวยรับทัน แต่เมื่อตีด้วยควำมเร็วเท่ำที่รับมำก็ไม่สำมำรถรักษำ
(แนวตอบ การพูดสรุปใจความสําคัญ เปนการ ควำมเร็วระดับนี้ต่อไปได้ ต้องหยุดตี หรือไม่ก็เกิดอำกำรกล้ำมเนื้อเกร็งจนมือตำย ไม่สำมำรถ
ถายทอดสารประเภทหนึ่ง หากเรื่องที่นํามา เคลื่อนไหวต่อไปอีกได้
ถายทอดมีความนาสนใจ หรือเปนเรื่องทีก่ าํ ลัง ผลของกำรประชันครำวนั้น นำยแช่มนักระนำดวงหลวงเกิดอำกำรมือตำย จริงๆ คือ
อยูใ นกระแสสังคม เกิดการแลกเปลีย่ นความ ยิ่งตี ยิ่งเกร็ง และเกิดอำกำรปวดจนชำต้องถอนจังหวะลงมำจนบรรเลงตัวเชิดเข้ำสู่วรรคท้ำย
คิดเห็นซึ่งกันและกัน ทําใหเกิดมุมมองใหมๆ จนจบเพลงก่อน ขณะที่ใบหน้ำของท่ำนชุ่มไปด้วยเหงื่อและสองมือยังก�ำไม้ระนำดแน่นอยู่
ทําใหเกิดการตอยอดความรู)
ในที่สุดลูกวงต้องเข้ำมำช่วยกันแกะไม้ระนำดออกจำกมือ
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลง
ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 มีความนาเชื่อถือ
หรือไม เพราะเหตุใด 84
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
สถานการณใดแสดงวาบุคคลผูนั้นปราศจากแนวทางการฟงเพื่อ
1 วงปพ าทย เปนรูปแบบการประสมวงดนตรีของเครือ่ งดนตรีในกลุม เครือ่ งเปา
จับใจความสําคัญ
ไดแก ป และเครื่องดนตรีในกลุมเครื่องตี ไดแก ระนาด และฆอง เปนตน ในการ
1. นารีหาขอมูลเตรียมพรอมเพื่อฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียน
บรรเลงปจะทําหนาที่เปนประธานของวง สวนฆองวงใหญจะทําหนาที่บรรเลง
2. สมยศจดบันทึกสาระสําคัญทีไ่ ดจากการฟงสัมมนาเรือ่ งประชาคมอาเซียน
ทํานองเพลงหลักของเพลง ในขณะที่เครื่องทําทํานองอื่นๆ จะทําหนาที่แปรทํานอง
3. ขณะที่ฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียน มนตรีหันไปสนทนากับ
ลูกฆองใหเปนทางเฉพาะตามความเหมาะสมกับเครื่องดนตรีนั้นๆ โดยมีเครื่องทํา
สนธยาเกี่ยวกับประเด็นที่พึี่งผานไป
จังหวะ เชน กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหมง รวมบรรเลงประกอบ วงปพาทยนับเปน
4. ขณะที่ฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียนอรทัยคิดตั้งคําถามกับตนเอง
วงดนตรีที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเกือบทุกชวงของชีวิต ตั้งแตเกิด
เกี่ยวกับเรื่องที่ฟง
จนกระทั่งเสียชีวิต นอกจากนี้ยังใชบรรเลงประกอบการแสดงตางๆ เชน โขน
ละคร และลิเก เปนตน วิเคราะหคําตอบ แนวทางสําหรับการฟงเพื่อจับใจความสําคัญ ผูฟง
2 เชิดนอก หรือเพลงเชิดนอก คือเพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาการตอสูหรือการ ตองเตรียมความพรอมกอนเขาฟง ดวยการหาขอมูลเบื้องตนเพื่อจะได
ไลติดตามของตัวละครที่ไมใชมนุษย เชน ตอนที่หนุมานไลจับนางสุพรรณมัจฉา เขาใจเนื้อหาสาระของเรื่องไดงายขึ้น พยายามตั้งคําถามในขณะที่ฟง
เพื่อขยายความคิดของตนเอง บันทึกสาระสําคัญที่ไดจากการฟง ไมควร
หันไปสนทนากับเพื่อนเพราะอาจทําใหพลาดสาระสําคัญของเรื่องได
ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
84 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนจํานวนไมตาํ่ กวาครึง่ หนึง่
ของจํานวนนักเรียนทั้งหมด แลวใชคําถามตอไปนี้
ภำพทีท่ กุ คนเห็นและเป็นภำพทีป่ ระทับใจทีส่ ดุ นัน้ ก็คอื จำงวำงศรได้คลำนเข้ำไปกรำบขอขมำ
นำยแช่มนักระนำดรุน่ พีจ่ ำกวงหลวงทีไ่ ด้ลว่ งล�ำ้ ก�ำ้ เกินในเชิงดนตรี เพรำะเป็นหน้ำทีท่ ตี่ อ้ งท�ำถวำย ถามนักเรียนที่ถูกสุมเรียกชื่อทุกคน เพื่อใหได
ตำมพระประสงค์ของเจ้ำนำย คําตอบที่มีความถูกตองและครอบคลุม
มีเรื่องเล่ำกันต่อมำว่ำ “นำยแช่มนั้นเป็นฝ่ำยแพ้ในเรื่องของควำมไหว (เร็ว) แก่จำงวำงศร • จากความรู ความเขาใจทั้งหมด นักเรียนมี
แต่แม้จะตีระนำดจนมือตำยแล้ว เสียงระนำดของท่ำนก็ยังเจิดจ้ำสม�่ำเสมอไม่มีเสียงเสียเลย” แนวทางสําหรับการฟงเพื่อนําไปพูด
จึงเป็นอันกล่ำวได้ว่ำ สรุปใจความสําคัญอยางไร
“นำยศรชนะไหว แต่นำยแช่มชนะจ้ำ” (แนวตอบ มีแนวทาง 6 ประการ สําหรับ
ก็เป็นอันกล่ำวได้ว่ำทั้งสองท่ำนนั้นต่ำงก็มีควำมสำมำรถสุดยอดไปคนละอย่ำง และผลจำก การฟงเพือ่ นําไปพูดสรุปใจความสําคัญ ดังนี้
กำรประชันกันในครำวนัน้ ท�ำให้เกิดจุดเปลีย่ นครัง้ ส�ำคัญทีใ่ ห้นำยแช่มมุง่ เอำดีในทำงปี่ จนมีควำม • เตรียมความพรอมกอนฟง เพือ่ ใหสามารถ
สำมำรถเป็นเลิศอีกด้ำนหนึ่ง เขาใจเนื้อหาสาระไดครบถวน
ครูประสิทธิ์ ถำวร กล่ำวไว้ว่ำ • มีสมาธิในการฟง ดวยตระหนักวาการฟง
“ท่ำนเหล่ำนีเ้ ทวดำส่งมำเพือ่ พัฒนำดนตรีไทย เรำควรยกย่องเทิดทูนท่ำนมำกกว่ำทีจ่ ะเอำ แตกตางจากการอาน เมื่ออานหนังสือ
ควำมสำมำรถของท่ำนมำเปรียบเทียบกัน” แลวขาดสมาธิยังสามารถกลับมาอาน
(ต�มรอยโหมโรง : ไพศ�ล อินทวงศ์) ทบทวนได แตการฟงนั้นหากขาดสมาธิ
สวัสดีค่ะ ท่ำนผู้ฟังที่เคำรพ อาจทําใหพลาดสาระสําคัญของเรื่องได
เชิดต่อตัวระหว่ำงจำงวำงศรกับนำยแช่มนี้ ผู้เขียนได้เล่ำถึงกำรประชันระนำดกันระหว่ำง • รูจ กั ตัง้ คําถามขณะทีฟ่ ง เพือ่ ใหมคี วามคิด
จำงวำงศรกับนำยแช่ม ซึ่งขณะที่แข่งทั้งสองคนฝีมือสูสีคู่คี่กันตลอด ไม่รู้ผลแพ้ชนะ เนื่องจำกมี ที่กวางไกล ขยายความคิดของตนเอง
ควำมสำมำรถที่เด่นไปคนละทำง คือ จำงวำงศรตีระนำดได้ไหวและมีลีลำโลดโผน ส่วนนำยแช่ม • จับประเด็นสําคัญของเรื่องใหได
ตีได้หนักแน่นชัดเจนแม่นย�ำ จนในที่สุดก็มำตัดสินกันที่กำรประชันเพลงเชิดต่อตัวเพื่อวัด • จดบันทึก เพราะการจดบันทึกเปนวิธีการ
ควำมเร็ว ผลปรำกฏว่ำนำยแช่มเกิดอำกำรมือตำย คือ กล้ำมเนื้อเกร็งไม่สำมำรถแข่งต่อไปได้ ที่จะชวยจับใจความสําคัญจากการฟง
ต้องรีบถอนจบเพลงก่อน จึงเป็นฝ่ำยพ่ำยแพ้ไป แต่ฝมี อื กำรตีระนำดของทัง้ สองก็เป็นทีป่ ระทับใจ ไดเปนอยางดี และยังชวยใหมีสมาธิจดจอ
ของผู้ชมอย่ำงยิ่ง อยูกับเรื่องที่ฟง
บอกเล่าเก้าสิบ • เมื่อจะนํามาพูดถายทอดใหผูอื่นฟงควร
เรียบเรียงสาระสําคัญของเรื่องดวยสํานวน
ระนาด ภาษาของตนเองพรอมทั้งระบุแหลงที่มา
ของเรื่องให ชัดเจน)
ระนาด เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีวิวัฒนาการมาจากกรับ โดยใช้ไม้กรับขนาด
ลดหลั่นกันลงไปเรียกว่า ลูกระนาด ใช้เชือกร้อยให้ติดกันเรียกว่าผืนระนาด แล้วใช้ขี้ผึ้งกับตะกั่ว
มาผสมกันติดตรงหัวท้ายของลูกระนาดเพื่อถ่วงเสียงให้มีระดับเสียงต่างๆ กัน เวลาบรรเลง
เอาผืนระนาดมาขึงแขวนไว้บนรางลูกระนาดท�าด้วยไม้ไผ่บง หรือไม้ไผ่ตง ต่อมาอาจท�าด้วยไม้แก่น
เช่น ไม้ชิงชัน ไม้มะหาด หรือไม้พะยูง ระนาดมี ๒ ชนิด คือ ระนาดเอกและระนาดทุ้ม

85

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
จากสถานการณตอไปนี้ขอใดแสดงวาผูพูด “พูดเปน”
ครูควรเสริมสรางองคความรูทางดนตรีไทยใหแกนักเรียน ซึ่งเปนเอกลักษณ
1. ฉันไมชอบผูชายที่สูงกวาปกติ
ทางวัฒนธรรมไทยที่โดดเดน โดยนําภาพเกี่ยวกับระนาดเอกและระนาดทุมมาให
2. เธอแตงตัวโบราณชะมัดยาดเลย
นักเรียนชม แลวอธิบาย
3. เด็กคนนี้หนาตาสวย แตมารยาทแยมาก
รางของระนาดเอกและระนาดทุมจะมีความแตกตางกัน กลาวคือ ขอบราง
4. เธอใสชุดนี้แลว มองดูเหมือนกาคาบพริกจริงๆ
ของระนาดเอกจะขนานกันทั้งดานลางและดานบน แตระนาดทุมขอบดานลาง
วิเคราะหคําตอบ การพูดที่ดีจะตองไมกอใหเกิดความขัดแยงขึ้นกับ จะตรง สวนขอบดานบนจะเวา และประการสําคัญ คือ ระนาดเอกมีเทาเดียว
ตัวผูพูดและผูฟง ซึ่งผูพูดที่พูดเปนควรหลีกเลี่ยงคําพูดที่จะกอใหเกิด สวนระนาดทุมมี 4 เทา
ความไมพอใจ คําตอบในขอ 2., 3. และ 4. เปนการพูดเชิงตําหนิ ซึ่งอาจ
สรางความรูสึกไมพอใจใหแกผูฟงได ดังนั้นจึงตอบขอ 1.

ระนาดทุม ระนาดเอก

คู่มือครู 85
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการพูด
สรุปใจความสําคัญของเรื่องที่ฟงและดู มาใช การพูดจับใจความสÓคัญจากการฟัง
ทําความเขาใจตัวอยางการพูดสรุปใจความสําคัญ
จากการฟงบทเพลงพระราชนิพนธสมตํา เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มต�า
จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 86 ต่อไปนี้จะเล่า ถึงอาหารอร่อย
2. นักเรียนนําความรู ความเขาใจ ที่เกิดจากการ คือส้มต�ากินบ่อย รสชาติแซบดี
สังเกตและประมวลผลจากตัวอยางขางตน วิธีการก็ง่าย จะกล่าวได้ดังนี้
คัดเลือกเรื่องราวของบุคคลที่นําเสนอผาน มันเป็นวิธี วิเศษเหลือหลาย
รายการตางๆ ทางโทรทัศนที่สนใจ รางบทพูด ไปซื้อมะละกอ ขนาดพอเหมาะเหมาะ
เพื่อนํามาพูดสรุปใจความสําคัญของตอนนั้นๆ สับสับเฉาะเฉาะ ไม่ต้องมากมาย
ต�าพริกกับกระเทียม ให้ยอดเยี่ยมกลิ่นอาย
ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
มะนาวน�้าปลาน�้าตาลทราย น�้าตาลปี๊บถ้ามี
3. นักเรียนรวมกันตัง้ เกณฑเพือ่ กําหนดลักษณะทีด่ ี ปรุงรสให้เยี่ยมหนอ ใส่มะละกอลงไป
ของการพูดสรุปใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟง อ้อ อย่าลืมใส่ กุ้งแห้งป่นของดี
และดู เพื่อใชประเมินการพูดของตนเอง มะเขือเทศเร็วเข้า ถั่วฝักยาวเร็วรี่
รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน และใชเปนแนวทาง เสร็จสรรพแล้วซี ยกออกจากครัว
ปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของ กินกับข้าวเหนียว เที่ยวแจกให้ทั่ว
นักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ กลิ่นหอมยวนยั่ว น่าน�้าลายไหล
(แนวตอบ จดต�าราจ�า ส้มต�าลาวเอาต�ารามา
• เรื่องที่นํามาพูดสรุปใจความสําคัญมี ใครหม�่าเกินอัตรา ระวังท้องจะพัง
ความนาสนใจ ขอแถมอีกนิด แล้วจะติดใจใหญ่
• ผูพูดมีการเกริ่นนําเกี่ยวกับสาเหตุของ ไก่ย่างด้วยเป็นไร อร่อยแน่จริงเอย
การเลือกเรื่อง ที่มาของเรื่อง ใหรายละเอียด (เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มต�า : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)
ของเรื่องไดนาสนใจ สวัสดีค่ะ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
• ผูพูดสามารถจับใจความสําคัญของเรื่อง เพลงส้มต�านี้เป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน
ไดครบถวน ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีซึ่งเนื้อเพลงได้บอกเครื่องปรุงและวิธีท�าส้มต�าอย่างง่ายๆ ไว้ คือ
• ผูพูดสามารถใชภาษาสื่อสารไดเหมาะสม ใช้มะละกอต�าคลุกเคล้ากับเครือ่ งประกอบต่างๆ ได้แก่ มะนาว น�า้ ปลา น�า้ ตาลทราย หรือน�า้ ตาลปีบ๊
พร้อมทั้งใส่กุ้งแห้งป่น มะเขือเทศ และถั่วฝักยาว เมื่อเสร็จแล้วยกมารับประทานกับข้าวเหนียว
ชัดเจน ไมเยิ่นเยอ และเปนสํานวนของตนเอง และหากแถมด้วยไก่ย่างจะท�าให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น
• ผูพูดสามารถแสดงทาทางขณะพูดหรือ
ใชสื่อประกอบการพูดไดเหมาะสม การฟังและดูสอื่ ต่างๆ เพือ่ น�ามาถ่ายทอดหรือเล่าต่อ เราควรตัง้ ใจฟัง พยายามจับใจความส�าคัญ
• ผูพูดควรมีมารยาทในการพูด เชน ให้ได้ สังเกตว่าผู้ส่งสารมีแนวคิดอย่างไร จุดเด่นที่น่าประทับใจได้แก่อะไรบ้าง แล้วจึงน�ามาเรียบเรียง
กลาว ทักทายผูฟง แตงกายเรียบรอย) เป็นภาษาของตนเองถ่ายทอดให้ผู้ฟังต่อไปโดยใช้ภาษาที่กระชับสละสลวย
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา
ที่ยกตัวอยาง ใหอยูในดุลยพินิจของครู 86

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
บุคคลใดมีพฤติกรรมไมเหมาะสมตอการพูดในที่สาธารณะ
หลังจากที่นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะที่ดีของการพูดสรุป
1. เอมอรพูดชัดถอยชัดคํา
ใจความสําคัญแลว ครูควรใหเวลานักเรียนสําหรับการเตรียมตัวเพื่อเลือกเรื่อง
2. แกวใจใชภาษาที่เขาใจงายชัดเจน
สําหรับนํามาพูด รางบทพูด และออกแบบการพูดใหไดตามเกณฑที่รวมกัน
3. สมปรารถนาเปนกันเองเต็มที่กับผูฟง
จัดตั้งขึ้น โดยอาจนัดหมายใหนํามาพูดในคาบหนา ซึ่งการตรวจสอบผล
4. ปานธาราสบสายตาผูฟงอยางสมํ่าเสมอ
จะนําไปรวมไวที่ทายหนวยการเรียนรู พรอมกับการพูดประเภทอื่นๆ เพื่อใหครู
มองเห็นภาพรวมของการตรวจสอบผลทั้งหมดวา ในหนวยการเรียนรูนี้ตอง วิเคราะหคําตอบ การสบสายตาผูฟงในขณะที่พูด จะสรางความรูสึกที่ดี
ตรวจสอบการพูดประเภทใดบาง ครูอาจจะบริหารจัดการเวลาเรียนโดยจัดให ใหแกผูฟง การใชภาษาที่เขาใจงายชวยทําใหสามารถสื่อสารกับผูฟงได
หนึ่งคาบเปนคาบของการนําเสนอ และตรวจสอบการพูดทุกๆ ประเภทในคาบนี้ ตรงตามจุดประสงคที่ตั้งไว การออกเสียงใหชัดเจน คําควบกลํ้า ตัว ร ล
จํากัดความยาวไมวาจะเปนการพูดประเภทใดก็ตาม คนละไมเกิน 1 นาที หรือ จะทําใหการพูดในแตละครั้งมีเสนห ไพเราะ ชวนฟง และสื่อความได
ครูอาจจะจัดสรรเวลาใหแตละคาบสอนมีการตรวจสอบประเภทการพูดที่ไดสอนไป ชัดเจน แตการแสดงทาทางเปนกันเองแบบเต็มที่กับผูฟงเปนมารยาทที่ไม
ในคาบกอนหนา เชน ถาในสัปดาหนี้เรียนเรื่องการพูดสรุปใจความสําคัญ คาบหนา เหมาะสมเพราะในสถานการณนั้นๆ อาจมีบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคม
ที่นักเรียนเรียนเรื่องการพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู ทายคาบชวงเวลา 20 นาที คุณวุฒิ วัยวุฒิ ที่แตกตางกันรวมอยูดวย จึงควรแสดงมารยาทที่เปนกลาง
ครูอาจสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมาพูดสรุปใจความสําคัญหนาชั้นเรียน หรือเปนทางการ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

86 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒ การเล่าเรื่องจากการฟังและการดูสื่อ ความรูในประเด็น “การพูดเลาเรื่องจากสื่อ
การเล่าเรือ่ ง คือ กำรถ่ำยทอดประสบกำรณ์ ทัง้ ควำมคิด จินตนำกำร ควำมรูส้ กึ ควำมต้องกำร
ที่ฟงและดู” พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
และเจตนำรมณ์ของผู้เล่ำ เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดกำรตอบสนอง มีสัมฤทธิผลตำมจุดมุ่งหมำยของ
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ผู้เล่ำ กำรเล่ำเรื่องอำจใช้วิธีกำรพูดหรือวิธีกำรเขียนก็ได้
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
การพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู โดยใช
๒.๑ จุดมุง่ หมายของการเล่าเรือ่ ง ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
กำรเล่ำเรื่องมีจุดมุ่งหมำยส�ำคัญ ดังนี้ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล
๑. เพื่อควำมเพลิดเพลิน เช่น กำรเล่ำนิทำน เล่ำเรื่องข�ำขัน เป็นต้น เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๒. เพื่อให้ควำมรู้และอธิบำยหลักเกณฑ์หรือข้อเสนอแนะต่ำงๆ • การพูดเลาเรือ่ งจากสือ่ ทีฟ่ ง และดู มีประโยชน
๓. เพื่อกำรสั่งสอน อบรม ขอร้อง ขอควำมเห็นใจ ตอนักเรียนอยางไร
๔. เพื่อกำรเชิญชวนหรือชักชวนในเชิงกำรประชำสัมพันธ์ (แนวตอบ เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง)
๕. เพื่อปลุกใจ ชักจูงใจ • การพูดเลาเรื่องและการพูดสรุปใจความ-
๖. เพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่ำนเกิดจินตนำกำร สําคัญ แตกตางกันอยางไร
๗. เพื่อแสดงควำมคิดเห็นและเสียดสีสังคม (แนวตอบ การพูดเลาเรื่องเปนการพูดเพื่อ
ถายทอดประสบการณของผูพูดที่ไดจาก
๒.๒ วิธกี ารพูดเล่าเรือ่ ง การอาน ฟง และดู หรือทองเที่ยว มุงให
กำรเล่ำเรื่องเป็นกำรสื่อควำมคิดระหว่ำงผู้เล่ำและผู้ฟัง ผู้เล่ำที่ดีจึงควรเป็นผู้ที่มีควำมสำมำรถ ความเพลิดเพลิน อาจมีความคิดเห็นสวนตัว
ในกำรถ่ำยทอดควำมคิดให้แก่ผู้ฟังได้ดี โดยใช้วิธีกำรที่เหมำะสม สอดแทรกอยูบาง แตการพูดสรุปใจความ-
๑) คุณสมบัติของผู้เล่าเรื่องที่ดี ผู้เล่ำเรื่องที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ สําคัญ เปนการพูดเพื่อใหผูฟงทราบวา
๑. มีบุคลิกภำพดี เรื่องนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใคร ทําอะไร
๒. มีควำมจ�ำดี รอบรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เล่ำ กับใคร ที่ไหน อยางไร ไมมีถอยคําที่เปน
๓. น�้ำเสียงชัดเจน ออกเสียงได้ถูกต้องตำมอัก1ขรวิธี การแสดงความคิดเห็น)
๔. มีอำรมณ์
รมณ์ดีและรักษำอำรมณ์ให้ปกติมั่นคงได้ • บุคคลที่จะสามารถเปนผูเลาเรื่องไดดี ควรมี
๕. มีมำรยำทดี รู้จักกำลเทศะ คุณสมบัติอยางไร
๖. มีไหวพริบ ปฏิภำณ สำมำรถแก้ปัญหำเฉพำะหน้ำได้ (แนวตอบ เปนผูที่สามารถจดจํารายละเอียด
๗. มีควำมเชือ่ มัน่ ในตนเอง สำมำรถแสดงท่ำทำง อำกัปกิรยิ ำประกอบกำรเล่ำได้อย่ำงเหมำะสม ไดดี มีทักษะในการจับสาระสําคัญ และมี
๘. ใช้จิตวิทยำในกำรเข้ำถึงผู้ฟังกลุ่มต่ำงๆ ตลอดทั้งสำมำรถประเมินผู้ฟังได้ ทักษะดานภาษา)
๒) ขั้นตอนการพูดเล่าเรื่อง มีดังนี้ 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๒.๑) การเลือกเรื่อง จะต้องเลือกเนื้อหำให้เหมำะสมกับกลุ่มของผู้ฟัง เพรำะควำมสนใจ แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
ของผู้ฟังย่อมแตกต่ำงกันด้วยเพศ อำยุ ประสบกำรณ์ อำชีพ รสนิยม และอื่นๆ มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
87 ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
บุคคลใดเตรียมตัวสําหรับการพูดไดพรอมมากที่สุด
1. เอออกกําลังกายและพักผอนอยางเพียงพอ ครูควรชีแ้ นะใหนกั เรียนไดเขาใจวา การพูดเลาเรือ่ งเปนศิลปะการพูดทีม่ คี วาม
2. อรกินอาหารครบ 5 หมู เพื่อใหรางกายแข็งแรง แตกตางไปจากการพูดรายงานหรือการพูดอภิปราย การพูดบรรยาย เพราะไมได
3. อิ่มพักผอนอยางเพียงพอและเตรียมเนื้อหาสาระ มุง ทีจ่ ะนําเสนอเนือ้ หาทางวิชาการ แตมงุ เพือ่ ใหผฟู ง เกิดความเพลิดเพลินเปนสําคัญ
4. โอเตรียมเนื้อหาสาระที่จะพูดและฝกฝนอยางสมํ่าเสมอ
วิเคราะหคําตอบ การเตรียมความพรอมสําหรับการพูด ดวยการกิน นักเรียนควรรู
อาหารใหครบ 5 หมู พักผอนใหเพียงพอหรือการออกกําลังกาย เปนเพียง
ปจจัยหนึ่งที่จะทําใหการพูดในแตละครั้งประสบผลสําเร็จ สิ่งสําคัญที่สุด 1 รักษาอารมณใหปกติมั่นคง การพูดเลาเรื่อง เปนการพูดเพื่อถายทอด
สําหรับการเตรียมความพรอมเพื่อการพูดคือ ผูพูดจะตองเตรียมเนื้อหา ประสบการณ ซึ่งยอมจะตองแฝงอคติ ความชอบหรือไมชอบสวนตนไว การพูด
สาระที่จะพูดใหครบถวนตามจุดประสงคที่ตั้งไวและฝกฝนอยางสมํ่าเสมอ เลาเรื่องที่ดีผูพูดควรรักษาอารมณของตนเองใหมั่นคงในขณะที่เลา เพราะการ
จนเกิดทักษะความชํานาญ เมื่อถึงสถานการณจริงจะไดไมประหมาหรือ เลาเรื่องในบางครั้งอาจมีผูฟงแสดงความคิดเห็นที่ไมสอดคลองกับความคิดเห็น
ตื่นเตน ดังนั้นจึงตอบขอ 4. ของผูเลาเรื่อง หากไมรักษาอารมณใหมั่นคง ไมยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น
ก็อาจกอใหเกิดความขัดแยงไดในภายหลัง

คู่มือครู 87
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนคัดเลือกเรื่องที่มีโอกาสไดฟงและดูจาก 1
สื่อตางๆ ใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการ ๒.๒) การใช้น�้าเสียง ต้องเล่ำให้ดังพอได้ยินกันทั่วถึง ใช้น�้ำเสียงให้สอดคล้องกับอำรมณ์
พูดเลาเรื่อง รางบทพูดเพื่อนํามาถายทอดให ของตัวละครและมีจังหวะในกำรเล่ำ เมื่อใดควรเน้นเสียง เมื่อใดควรจะใช้เสียงธรรมดำ หรือเมื่อใด
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน โดยเรื่องที่เลือก ควรหยุดเพื่อพักหำยใจและเรียกร้องควำมสนใจ
อาจมีเนื้อหาในเชิงสารคดีหรือบันเทิงคดีก็ได ๒.๓) การใช้สีหน้าท่าทาง ผู้เล่ำควรปรับเปลี่ยนสีหน้ำท่ำทำงให้สอดคล้องกับอำรมณ์
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ ของตัวละครและบรรยำกำศในเรื่อง กวำดสำยตำให้ทั่วถึง ไม่ควรจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งนำนเกินไป
ที่ดีของการพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ไดฟง และดู ใช้สำยตำประกอบกำรเล่ำเรื่องให้สอดคล้องกับอำกัปกิริยำของตัวละคร
เพือ่ ใชประเมินการพูดของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ๒.๔) การสร้างอารมณ์ ผู้เล่ำควรสร้ำงอำรมณ์ให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง แต่พึงระวังอย่ำใช้
ในชัน้ เรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไข อำรมณ์มำกเกินไปจนเป็นกำรแสดงละคร ถ้ำเล่ำเรื่องตลกอย่ำหัวเรำะแสดงควำมขบขันเสียเอง
ในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของนักเรียนควร ๒.๕) การใช้อุปกรณ์ เรื่องบำงเรื่องจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบกำรเล่ำ เช่น เสียงประกอบ
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ภำพประกอบ หุ่นจ�ำลอง เป็นต้น ผู้เล่ำควรจะเตรียมไว้ให้พร้อมและใช้ให้ถูกตำมขั้นตอนของเรื่อง
(แนวตอบ ๒.๖) การวิเคราะห์ผู้ฟัง หลักทั่วไปในกำรวิเครำะห์ผู้ฟัง คือ ค�ำนึงถึงเพศ วัย ระดับ
• เรื่องที่คัดเลือกมาเลาเปนเรื่องที่นาสนใจ กำรศึกษำ อำชีพ และรสนิยม กำรวิเครำะห์ผู้ฟังจะท�ำให้ผู้พูดเลือกเรื่องได้สอดคล้องกับควำมต้องกำร
และเกิดขึ้นจริง ของผู้ฟัง
• ผูพูดมีกลวิธีการเลาเปนลําดับขั้น โดย
เริ่มจากกลาวทักทายผูฟงทั้งกอนและหลัง
๒.๓ ประโยชน์ของการเล่าเรือ่ ง
การพูด เกริ่นนําใหเห็นความสําคัญของเรื่อง กำรเล่ำเรื่องมีประโยชน์ ดังนี้
ระบุแหลงที่มา เลาเรื่องไดนาสนใจ ในขณะที่ ๑. ช่วยให้ผฟู้ งั มีควำมรู้ ประสบกำรณ์ทไี่ ด้ทรำบรำยละเอียดเกีย่ วกับเรือ่ งทีน่ ำ่ รูเ้ ป็นกำรเปิดทำง
เลาใชนํ้าเสียง สีหนา ทาทาง หรือสื่อประกอบ ไปสู่ควำมก้ำวหน้ำในอนำคต
ไดสอดคลองกับเรื่อง ลําดับเหตุการณในเรื่อง ๒. สร้ำงควำมบันเทิง ผ่อนคลำยควำมเครียดแก่ผู้ฟัง
ไมสับสน สรุปลงทายเกี่ยวกับเรื่องที่เลา ๓. สร้ำงจินตนำกำรให้กับผู้ฟัง
ไดนาประทับใจและเปนประโยชนตอผูฟง ๔. สร้ำงแนวควำมคิดใหม่ ช่วยให้ผู้ฟังสำมำรถน�ำควำมคิดมำผสมผสำนกันเกิดเป็นกำรสร้ำง
• ผูพูดสามารถใชภาษาสื่อสารไดเหมาะสม พฤติกรรมที่ดี โดยเฉพำะกำรฟังนิทำนหรือเรื่องที่เล่ำเป็นบทควำมต่ำงๆ
และเปนสํานวนของตนเอง ๕. ช่วยสร้ำงสรรค์บุคคลและสังคม สะท้อนควำมส�ำคัญ ควำมรุ่งเรือง และควำมเสื่อมโทรม
• ผูพูดมีมารยาทในการพูด เชน แตงกาย ของบุคคลหรือสังคมมนุษย์ เพื่อเป็นแนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิต กำรแก้ไขปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
สะอาดเรียบรอย รักษาเวลาในการพูด) เพื่อเป็นแนวทำงกำรป้องกันภัยอันตรำย ภัยจำกสงครำม และภัยจำกโรคร้ำยต่ำงๆ
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา ๖. กำรเล่ำเรื่องช่วยพัฒนำตัวผู้เล่ำให้มีบุคลิกดี มีควำมมั่นใจในตนเอง รู้จักกำรใช้ภำษำได้ดี
ที่ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู และถูกต้อง รักกำรค้นคว้ำ ช่วยให้เป็นผู้ที่สำมำรถล�ำดับควำมคิดต่ำงๆ ของตนเองได้ดีอีกด้วย
กำรจับใจควำมเป็นพืน้ ฐำนทีส่ ำ� คัญในกำรศึกษำวิชำกำรด้ำนต่ำงๆ เพรำะจะช่วยให้รจู้ กั คิด รู้จัก
วิเครำะห์ใจควำมส�ำคัญของสำร สำมำรถประมวลควำมคิดนัน้ ๆ อย่ำงเป็นระบบเพือ่ บันทึกหรือถ่ำยทอด
ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้ำใจได้

88

กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
1 การใชนํ้าเสียง เปนสิ่งที่สามารถเราอารมณความรูสึกของผูฟงใหมีตอเรื่อง นักเรียนศึกษาวาการฟงและดูเรื่องประเภทสารคดี เมื่อจะนํามาพูด
หรือเนื้อหาสาระที่ผูพูดกําลังพูดได ดังนั้น ผูพูดที่ดีจึงตองมีคุณภาพเสียงที่ดี ใชเสียง ถายทอดใหผูอื่นรับทราบจะมีแนวทางอยางไร โดยนําเสนอผลการศึกษา
ทีด่ งั พอเหมาะ คือดังพอทีผ่ ฟู ง ซึง่ นัง่ อยูแ ถวสุดทายจะไดยนิ การพูดทีช่ ดั เจนจะทําให ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ผูพูดมีความนาเชื่อถือ ผูพูดไมควรพูดชาจนเกินไป เพราะอาจทําใหผูฟงเกิดความ
รําคาญ แตก็ไมควรพูดเร็วเกินไปจนทําใหเกิดขอผิดพลาด
กิจกรรมทาทาย
บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง นักเรียนศึกษาวาการฟงและดูเรื่องประเภทบันเทิงคดี เมื่อจะนํามาพูด
ใหนักเรียนสํารวจ คนควา หรือตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณในชีวิตประจําวัน ถายทอดใหผูอื่นรับทราบจะมีแนวทางอยางไร โดยนําเสนอผลการศึกษา
ที่สะทอนใหเห็นความพอเพียงในดานตางๆ แลวนําเรื่องราวที่ประทับใจเหลานั้นมา ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
เลาสูเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อเปนสวนหนึ่งของการสรางความพอเพียงใหเกิดมีขึ้นแก
คนรอบขาง คนใกลตัว

88 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๓ การพูดเชิงวิชาการ ความรูในประเด็น “การพูดรายงานเรื่องหรือ
การพูดเชิงวิชาการ ในระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนต้น คือ กำรน�ำเสนอผลกำรศึกษำค้นคว้ำ ประเด็นที่เลือกศึกษาคนควาจากการฟง
ตำมที่ครูมอบหมำย โดยนักเรียนจะเขียนรำยงำนทำงวิชำกำรตำมรูปแบบที่ก�ำหนด แล้วพูดน�ำเสนอ การดูและสนทนา”
สิ่งที่ได้ศึกษำค้นคว้ำหน้ำชั้นเรียน เป็นกำรพูดรำยงำนเนื้อหำวิชำกำร โดยกำรอธิบำย เล่ำเรื่อง 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
วิเครำะห์เพื่อพัฒนำทักษะกำรเรียนรู้ครบทั้ง ๔ ด้ำน ได้แก่ ฟัง พูด อ่ำน และเขียน ซึ่งตรงกับ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
หัวใจนักปรำชญ์ คือ สุ. จิ. ปุ. ลิ. กำรพูดเชิงวิชำกำร มีหลำยแบบด้วยกัน ดังนี้ การพูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่เลือกศึกษา
๑) การประชุม คือ กำรที่บุคคลหลำยฝ่ำยได้พบปะกันด้วยวัตถุประสงค์อย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง คนควาจากการฟง การดู และสนทนา โดยใช
หรือหลำยอย่ำง เพื่อพิจำรณำ ปรึกษำ ขอค�ำแนะน�ำ ขอควำมคิดเห็น เพื่อด�ำเนิินงำน หรือประสำนงำน ความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
โดยมีระเบียบวำระกำรประชุม และมีบันทึกรำยงำนกำรประชุม ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตน
๒) การสัมมนา คือ กำรประชุมปรึกษำหำรือกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวในวงกว้ำง สําหรับตอบคําถาม
กำรสัมมนำประกอบด้วย วิทยำกร ผูเ้ ข้ำร่วมกำรสัมมนำ ผูส้ มั มนำทีไ่ ด้รบั มอบหมำยให้เป็นผูน้ ำ� อภิปรำย • กระบวนการคนหาขอมูลเพื่อนํามาทํา
เฉพำะเรื่อง ซึ่งมักเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้ำนวิชำกำรหรือบริหำรเพียงด้ำนเดียว รายงานเชิงวิชาการ ในความคิดเห็นของ
๓) การอภิปราย มักใช้ในเรื่องกำรแสดงควำมคิดเห็น เช่น เพื่อแลกเปลี่ยนควำมรู้ เพื่อแก้ไข นักเรียนมีวิธีการใดบาง
ปัญหำสังคม เพื่อลงมติว่ำสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดอย่ำงไร เพื่อสร้ำงทัศนคติแบบประชำธิปไตย (แนวตอบ สามารถคนควาไดจากขอมูล
๔) การพูดรายงาน นิยมใช้ในห้องเรียน โดยผู้รำยงำนมีเอกสำรรวมเล่มส่งครูผู้สอน และ ปฐมภูมิ เชน การสอบถาม การสัมภาษณ
อำจมีเอกสำรย่อยแจกผู้ฟังด้วย กำรพูดรำยงำนมักจะพูดตอนที่ส�ำคัญๆ และเรื่องที่นอกเหนือจำก การสนทนา การฟง การดู การเก็บขอมูล
เอกสำรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่รำยงำน กำรพูดรำยงำนหน้ำชั้นเรียนส่วนใหญ่เป็นหน้ำที่ของหัวหน้ำกลุ่ม ภาคสนาม หรือขอมูลทุติยภูมิ เชน การอาน
หรือเลขำนุกำรกลุ่มที่เป็นผู้กล่ำวรำยงำนสรุปสำระส�ำคัญ งานหรือขอมูลที่เกี่ยวของกับประเด็นของ
กำรพูดเพื่อเสนอรำยงำน ควรยึดหลัก ดังนี้ รายงานซึ่งมีผูศึกษาไวบางแลว)
๑. พูดข้อมูลที่ค้นคว้ำมำจำกกำรท�ำรำยงำนไปตำมล�ำดับให้ต่อเนื่องกัน ถ้ำเป็นเรื่องยำว • การฟง การดู และสนทนามีความเกี่ยวของ
ต้องแบ่งเป็นหัวข้อ พูดแต่ละข้อให้สัมพันธ์กัน อยางไรกับการพูดรายงานเชิงวิชาการ
๒. ใช้ภำษำพูดทีก่ ระชับ เข้ำใจง่ำย สุภำพ พูดด้วยเสียงทีด่ งั พอสมควร หนักแน่น แสดงควำม (แนวตอบ รายงานเชิงวิชาการในบางประเด็น
มั่นใจ อำจอ่ำนข้อควำมส�ำคัญบำงตอน ถ้ำมีเอกสำรแจกควรแนะน�ำให้ดูโดยบอกเลขหน้ำและบรรทัด ตองอาศัยขอมูลที่เกิดจากการใชทักษะ
ให้ผู้ฟังได้พบข้อควำมนั้นๆ ก่อนจึงพูดต่อ การฟง การดู และสนทนาในการคนควา
๓. เสนอข้อมูลตรงประเด็นและยกหลักฐำน เหตุผลมำประกอบกำรพูดอย่ำงเพียงพอ หาขอมูล)
ไม่มำกหรือน้อยเกินไป • นักเรียนมีแนวทางในการฟง การดู และ
๔. ไม่ใช้ภำษำต่ำงประเทศถ้ำมีค�ำภำษำไทยใช้อยู่แล้วและเป็นที่รู้จัก นอกจำกเป็นค�ำใหม่ สนทนาเพื่อนําขอมูลที่ไดมาใชทํารายงาน
หรือเป็นศัพท์เฉพำะวงกำรนั้นๆ เชิงวิชาการอยางไร
๕. พูดค�ำควบกล�้ำและเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องชัดเจน มิฉะนั้นจะผิดควำมหมำย รวมทั้ง (แนวตอบ นําขอมูลที่บันทึกไวมาจัดหมวดหมู
ออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องตำมหลักภำษำไทย คัดกรอง รวบรวม และเรียบเรียง เลือกใช
ขอมูลที่เปนประโยชนและเกี่ยวของกับ
89 หัวขอของรายงาน)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดคือการแสดงออกทางภาษาที่ถูกตองเมื่อพูดรายงานเชิงวิชาการ
ครูควรชีแ้ นะใหแกนกั เรียนเกีย่ วกับการสืบคนขอมูลเพือ่ นํามาทํารายงานเชิงวิชาการ
1. ประมวลใชถอยคําที่แฝงมุกตลกขบขัน
นอกจากวิธกี ารอานแลว ยังสามารถสืบคนขอมูลไดจากการฟง การดู และสนทนา
2. ประณมใชถอยคําแสดงความเปนกันเองกับผูฟง
ซึ่งการสนทนา หมายถึง ปรึกษาหารือ พูดจาโตตอบกัน เปนพฤติกรรมการสื่อสาร
3. ประไพใชถอยคําเพื่อเราอารมณความรูสึกของผูฟง
ซึ่งประกอบดวยบุคคลตั้งแตสองคนขึ้นไป พูดคุยกันดวยจุดประสงคตางๆ
4. ประพิศใชถอยคําที่เปนทางการ กระชับ เขาใจงาย
วิเคราะหคําตอบ การพูดรายงานเชิงวิชาการเปนการพูดเพื่อแสดงขอมูล
ความรูที่ผานการวิเคราะหตามหลักวิชา ภาษาที่ใชจึงควรเปนภาษา นักเรียนควรรู
ในระดับทางการ สั้น กระชับ ชัดเจน ถูกหลักไวยากรณ และเขาใจงาย
ดังนั้นจึงตอบขอ 4. 1 การพูดเชิงวิชาการ เปนการพูดเพื่อใหความรู ความเขาใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตอผูฟง โดยมีหลักฐานอางอิงทางวิชาการที่สามารถพิสูจนได ขอมูลที่นํามาพูดได
ผานการวิเคราะห วิจัยตามหลักวิชาการ ผูพูดควรใชภาษาที่เขาใจงายเพื่อถายทอด
ความรู มีความสามารถในการลําดับความคิด และฝกฝนการพูดอยางถูกวิธี
เปนประจําจนเกิดความชํานาญ

คู่มือครู 89
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนจับกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ
ไมเกิน 6 คน รวมกันปรึกษาเพื่อลงมติในการ การพูดรายงาน ควรปฏิบัติ ดังนี้
เลือกหัวขอหรือประเด็นสําหรับการทํารายงาน ล�าดับการพูดรายงาน
เชิงวิชาการ โดยนักเรียนจะตองมีวิธีการสืบคน ● แนะน�ำตนเอง
ขอมูลจากการฟง การดู และสนทนา โดยที่ “กระผมนำยยอดดี มีสุข เป็นหัวหน้ำกลุ่ม ๕
● บอกหัวข้อเรื่องที่รำยงำน
นักเรียนอาจเลือกศึกษาในประเด็น ดังนี้ ท�ำหน้ำที่เป็นตัวแทนกลุ่มมำรำยงำน...
● บอกชื่อสมำชิกในกลุ่ม
ปราชญชุมชน ศิลปะพื้นบานในชุมชน การผลิต ในกลุ่ม ๕ มีสมำชิก ๗ คน ได้แก่...
● บอกคุณและโทษของขยะ
สินคาขึน้ ชือ่ ภายในชุมชน รวมกันสืบคน คนควา ● บอกวิธีท�ำขยะแปรรูป ขอสรุปรำยงำนเรื่องขยะแปรรูป
กล่ำวชักชวนให้ผู้ฟังปฏิบัติตำม ในกลุ่มกระผมได้คิดแปรรูปขยะ...
ขอมูล เรียบเรียงเปนรูปเลมรายงานใหถูกตอง ●

และหำวิธีกำรใหม่ๆ ท�ำให้เกิดคุณค่ำ หำกเรำทุกคนมีวิธีกำรแปรรูปขยะด้วยตนเอง


สมบูรณตามรูปแบบที่เคยศึกษาในหัวขอ
แล้วน�ำมำเผยแพร่ต่อไป ก็จะเป็นวิถีทำงหนึ่งที่ช่วยลดปัญหำโลกร้อน
การเขียนรายงานเชิงวิชาการ พรอมทั้งซักซอม ขอบคุณครับ”
กล่ำวสรุปจบด้วยกำรกล่ำวขอบคุณผู้ฟัง
การนําเสนอหนาชั้นเรียน

2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
ที่ดีของการพูดรายงานเชิงวิชาการเพือ่ ใช บอกเล่าเก้าสิบ
ประเมินการนําเสนอหนาชัน้ เรียนของเพือ่ นๆ
ซึง่ คําตอบของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น พลังแห่งการพูด
ดังตอไปนี้ การพูดเป็นการสื่อสารที่มีความส�าคัญ อาจก่อให้เกิดประโยชน์ หรือโทษได้ทั้งกับตัวผู้พูดเอง
(แนวตอบ หรือกับผู้ฟัง ดังที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีต่างๆ เช่น
• ประเด็นที่เลือกศึกษามีความนาสนใจและ
เปนประโยชนตอกลุมผูฟง ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
ความส�าคัญ
แม้นพูดชั่วตัวตายท�าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
• ระบุวิธีการสืบคน ขอมูลมีความนาเชื่อถือ ของการพูด
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)
• นําเสนอเปนลําดับขั้นตอน โดยเริ่มจาก
การกลาวทักทายผูฟง แจงประเด็น พรอมทั้ง เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
เกริ่นนํา ใหเห็นความสําคัญและสาเหตุที่เลือก คิดก่อนพูด แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
หัวขอรายงาน นําเสนอเนื้อหาไดครอบคลุม (สุภาษิตสอนหญิง : สุนทรภู)่
ใชนํ้าเสียง ทาทาง สีหนา และสื่อประกอบได จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่าค�าพูดมีความส�าคัญและมีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อ
สอดคลอง และความรู้สึกของผู้ฟัง ดังนั้น ผู้พูดต้องคิดพิจารณาไตร่ตรองความคิดก่อนพูด เพื่อให้การสื่อสาร
• ใชภาษาไดถูกตองตามหลักภาษา เขาใจงาย เกิดประสิทธิภาพและผู้รับสารมีความประทับใจ
และเปนสํานวนของตนเอง
• Team work และมีมารยาทในการพูด)
คําตอบของนักเรียนอาจนอกเหนือจากที่ 90
ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู

บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู นักเรียนรวมกันศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ “Stop Teen Mom
หยุดการตัง้ ครรภไมพรอมในวัยรุน ” บันทึกขอมูลหรือประเด็นตางๆ จากสิง่
ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับขั้นตอนการสนทนาเพื่อนําขอมูลมาใชประกอบ
ที่ไดฟงและดูไวรวมกัน จากนั้นใหรวมกันคิดวานักเรียนจะมีสวนรวมแกไข
การทํารายงาน โดยชี้แนะวาในเบื้องตนจะเกิดขึ้นจากภายในกลุมกอน กลาวคือ
ปญหาอยางไร โดยใหนําความรูดานทักษะการพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู
เมื่อไดขอมูลบางประการมา แลวมีความคิดเห็นที่ตางออกไป นักเรียนก็จะตอง
ไมวาจะเปนการพูดสรุปความ การเลาเรื่อง การแสดงความคิดเห็น
สนทนาภายในกลุมเกี่ยวกับแนวทางการนําขอมูลไปใช แตถามีการสนทนานอกกลุม
การประเมินความนาเชื่อถือ มาบูรณาการเขากับกลุมสาระการเรียนรู
สนทนากับผูอื่น ผูเปนเจาของขอมูลที่จะนํามาใชประกอบเนื้อหาของรายงาน เรียก
สุขศึกษาและพลศึกษา โดยอาจรวมกันจัดเสวนาเพื่อเผยแพรแนวทาง
วิธีการนั้นวา “การสัมภาษณ” หรือ “การสอบถาม” คณะผูจัดทําจะตองรวมกัน
ปองกันตนเอง จัดโครงการหรือจัดรายการเสียงตามสาย นําเสนอเนื้อหา
ติดตอแหลงขอมูล นัดเวลา เตรียมประเด็นคําถาม อุปกรณบันทึกเสียง เมื่อเริ่มตน
สาระเพื่อปลูกฝงคานิยมเกี่ยวกับการรักนวลสงวนตัว การเห็นคุณคาใน
สนทนาควรกลาวทักทายแนะนําตนเอง ระหวางสนทนาควรเปนทั้งผูพูดและผูฟง
ตนเอง การบูรณาการในลักษณะดังกลาว เปนการบูรณาการเชิงสรางสรรค
ที่ดี ใชถอยคําที่สุภาพในการตั้งคําถาม ใชนํ้าเสียง สีหนา ทาทาง แววตาประกอบ
ที่มีประโยชนตอการดํารงชีวิตประจําวันของนักเรียน เปนการนําสิ่งที่ไดฟง
การสนทนาอยางสุภาพ ในกลุม ควรมีผทู เี่ ปนคนตัง้ คําถาม ผูจ ดบันทึก ผูด แู ลอุปกรณ
และดูมาเผยแพรแกผูอื่นขยายผลตอภายในโรงเรียนของตนเอง
บันทึกเสียง เมื่อจบการสัมภาษณควรกลาวขอบคุณในความรวมมือและกลาวอําลา
อยางสุภาพ หากปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้ ก็จะทําใหไดขอมูลที่มีประสิทธิภาพ
เอื้อประโยชนตอการทํารายงาน

90 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๔ การพูดเชิงสร้างสรรค์ ความรูในประเด็น “การพูดเชิงสรางสรรค”
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
การพูดแสดงความคิดเห็น ติ ชม วิจำรณ์ เสนอแนะในทำงที่สำมำรถจะน�ำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อำจเป็นกำรพูดให้ก�ำลังใจ ให้ข้อคิดพิจำรณำข้อเท็จจริง ถ้ำสิ่งใดดีแล้วให้ท�ำได้เลย สิ่งใดควรปรับปรุง
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
ก็เสนอแนะให้ปรับปรุง และสิ่งใดไม่ดีควรแนะน�ำให้ตัดทิ้งไป ซึ่งกำรพูดในลักษณะนี้ต้องมีวิธีกำรพูด
จูงใจให้คล้อยตำม อำจยกตัวอย่ำงให้เห็นจริงชัดเจนจนยอมรับและเชื่อถือในควำมคิดเห็นนั้น กำรพูด
การพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค
แสดงควำมคิดเห็นเชิงสร้ำงสรรค์ต้องมีจุดประสงค์เพื่อให้มีกำรแก้ไขปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องที่ฟงและดู โดยใชความรู ความเขาใจ
ในทำงที่ดีงำมเป็นหลัก ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 4
๑) การพูดแสดงความคิดเห็น เป็นกำรพูดที่แสดงควำมเชื่อ ควำมคิด หรือควำมรู้สึก เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีลักษณะต่ำงๆ ดังนี้ • นักเรียนคิดวาพฤติกรรมใดบางที่สะทอน
๑. ควำมคิดเห็นเฉพำะตัว เช่น ฉันชอบหน้ำหนำวมำกกว่ำหน้ำร้อน ใหเห็นวา ผูพูดเปนผูมีมารยาทในการพูด
๒. กำรแสดงควำมรู้สึก เช่น ฉันเกิดเป็นคนไทยก็ขอตำยในเมืองไทย (แนวตอบ นักเรียนระบุพฤติกรรมได
๓. กำรคำดคะเนไม่แน่นอน เช่น เด็กคนนี้ฉลำดพูดน่ำจะเรียนเก่งนะ หลากหลาย ครูชี้แนะเพิ่มเติม)
๔. แสดงกำรเปรียบเทียบ เช่น คนไม่รู้ค่ำของที่มีอยู่เหมือนวำนรได้แก้ว • การพูดแสดงความคิดเห็นและการวิเคราะห
๕. แสดงกำรแนะน�ำหรือเสนอแนะ เช่น อำหำรเช้ำจะช่วยบ�ำรุงร่ำงกำยให้มีพลังสมอง ความนาเชื่อถือของเรื่องที่ไดฟงและดู
และพลังกำยในกำรเรียน หรือกำรท�ำงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ มีความสัมพันธกันอยางไร
๒) การพูดให้ก�าลังใจ เป็นกำรพูดที่มีพลัง ให้คติเตือนใจ สอนใจที่ควรน�ำมำเป็นแง่คิดในกำร (แนวตอบ การพูดแสดงความคิดเห็น คือ
สร้ำงสรรค์ให้ชีวิตดีขึ้น ให้อดทนต่อสู้ ท�ำในสิ่งที่ถูกที่ควร ล้วนเป็นกำรพูดเชิงสร้ำงสรรค์ทั้งสิ้น เช่น การพูดเพื่อถายทอดความรูสึก ความคิดของ
ผูพูดที่มีตอเรื่องนั้นๆ ดวยการยกเหตุผล
ชีวิตคือกำรต่อสู้ ศัตรูคือยำก�ำลัง ควำมหวังคือเข็มทิศ
ใจเป็นนำย กำยเป็นบ่ำว
ที่ชัดเจนประกอบ ซึ่งการพูดแสดงความ
คิดดี ท�ำดี พูดดี ชีวีเป็นสุข คิดเห็นเปนพื้นฐานของการวิเคราะหความ
ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู คือผู้เจริญ นาเชื่อถือของเรื่อง กลาวคือ เมื่อมีการให
คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว คนชั่วชอบท�ำลำย เหตุผลที่เพียงพอก็จะทําใหผูพูดสามารถ
1 วิเคราะหไดวาเรื่องนั้นๆ มีความนาเชื่อถือ
๓) การพูดติชม หมำยถึง กำรพูดติเพื่อก่อและชมให้ก�ำลังใจ ซึ่งควำมจริงควรพูดชมก่อนติ หรือไม อยางไร)
โดยให้เหตุผลประกอบและเสนอแนะด้วย เช่น 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
แหลงขอมูลของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 4
“พี่ว่ำ...น้องใส่ชุดนี้สีสันสดใส สมกับวัย เข้ำกับผิว มีความนาเชือ่ ถือหรือไม เพราะเหตุใด
แต่นำ่ เสียดำยที่แบบมันสั้นไปหน่อย น่ำจะลุกนั่งไม่ถนัด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
เวลำนั่งลงกรำบจะตึงร่นท�ำให้อึดอัดไม่สะดวก ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ถ้ำเปลี่ยนชุดก็ให้ยำวกว่ำนี้เพื่อลุกนั่งสบำยๆ ก็จะดีนะ”

91

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนคิดวาปจจัยใดบางที่ทําใหความคิดเห็นของบุคคลมีความ
แตกตางกัน 1 ติชม เปนการพูดเพื่อแสดงความคิดเห็นประการหนึ่ง เปนลักษณะการพูด
ที่เรียกวา “ติเพื่อกอ” การพูดในลักษณะนี้ผูพูดจะกลาวถึงขอบกพรองตางๆ
แนวตอบ ความคิดเห็น คือความรูสึกที่บุคคลมีตอเรื่องหนึ่งๆ ซึ่งความ แตในขณะเดียวกันก็ไดแนะนําหรือเสนอแนะแนวทางแกไขไวใหดวย เปนการพูด
รูสึกที่จะเกิดขึ้นโดยสวนใหญมี 2 ประการ คือ ชอบและไมชอบ แตการ ดวยความหวังดี มีเจตนาหวังจะใหเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แสดงความคิดเห็นที่ดีและมีลักษณะสรางสรรค ผูแสดงความคิดเห็นควร นับเปนการพูดในเชิงสรางสรรค
มีเหตุผล ขอมูลประกอบ กลาวคือ ตองอธิบายไดวา ตนเองชอบ หรือ
ไมชอบ เพราะอะไร และเหตุผลนั้นตองมีนํ้าหนักนาเชื่อถือ ไมใชตั้งอยู
บนพืน้ ฐานของอารมณเพียงอยางเดียว ซึง่ สิง่ ทีท่ าํ ใหแตละคนมีความคิดเห็น
แตกตางกัน มีสาเหตุหลายประการ เชน ระดับความสามารถ สติปญญา
การคิด การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว ประสบการณสวนตน ศาสนา
ความเชื่อ วัฒนธรรม คานิยม ประเพณี เปนตน

คู่มือครู 91
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนคัดเลือกรายการเชิงสารคดีที่มีโอกาส
ไดรับชม ใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ ๔) มารยาทการพูด มนุษย์ไม่สำมำรถด�ำรงชีวติ อยูไ่ ด้ตำมล�ำพัง ย่อมต้องมีเครือ่ งมือทีใ่ ช้ตดิ ต่อ
การพูดเลาเรื่องและการพูดแสดงความคิดเห็น สื่อสำรเพื่อถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด หรือบอกควำมต้องกำรของตนแก่ผู้อื่น ซึ่งกำรพูดถือเป็นหนึ่ง
เชิงสรางสรรค บูรณาการรวมกัน รางบทพูด ในเครื่องมือที่มนุษย์เลือกใช้ กำรพูดที่ประสบผลส�ำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหำสำระเพียงประกำรเดียว
เพื่อนํามาถายทอดใหครูและเพื่อนๆ ฟง โดย แต่ยงั รวมถึงมำรยำทของผูพ้ ดู อีกด้วย โดยแบ่งมำรยำททีจ่ ะต้องปฏิบตั ใิ นกำรพูดออกเป็น ๒ รูปแบบ ดังนี้
เลาเรื่องและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ๔.๑) การพูดระหว่างบุคคล เมื่อพบบุคคลที่รู้จักย่อมต้องทักทำยกันเพื่อแสดงไมตรีที่ดี
ในประเด็นตางๆ ทีไ่ ดจากการสังเกต ผาน ต่อกัน สื่อสำรด้วยถ้อยค�ำสุภำพ ไม่หยำบคำย ไม่โอ้อวด ยกตนข่มท่ำน หลีกเลี่ยงกำรถำมเรื่องส่วนตัว
มุมมองความคิดของตนเอง เชน สาระ หรือถำมในเรื่องที่คู่สนทนำไม่สบำยใจที่จะตอบ ไม่พูดเฉพำะเรื่องของตน แต่ควรฟังในขณะที่ผู้อื่น
การดําเนินรายการ เปนตน พรอมทั้งวิเคราะห พูด ไม่พูดแทรกในขณะที่ผู้อื่นก�ำลังแสดงควำมคิดเห็น รู้จักกล่ำวค�ำขอบคุณ ขอโทษให้เหมำะสมกับ
ความนาเชื่อถือของเนื้อหาสาระตอนที่รับชม สถำนกำรณ์ เมื่อสนทนำกับผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติ ให้ควำมเคำรพ ส�ำรวมกิริยำอำกำรให้สุภำพเรียบร้อย
2. นักเรียนรวมกันตัง้ เกณฑเพือ่ กําหนดลักษณะทีด่ ี พูดด้วยน�้ำเสียงที่นุ่มนวล ไม่โต้เถียง หรือไม่พูดแทรกในขณะที่ผู้ใหญ่ก�ำลังพูด
ของการพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค ๔.๒) การพูดในที่สาธารณะ ผู้พูดต้องรักษำมำรยำทให้มำกกว่ำกำรพูดระหว่ำงบุคคล
เกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู เพื่อใชประเมินการพูด เพรำะกำรพูดในที่สำธำรณะย่อมมีผู้ฟังมำกกว่ำ และมีควำมแตกต่ำงทั้งด้ำนอำยุ กำรศึกษำ ค่ำนิยม
ของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน และใชเปน ผู้พูดสำมำรถน�ำมำรยำทในกำรพูดระหว่ำงบุคคลมำปรับใช้ได้ แต่ควรปฏิบัติเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง
แนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบ กับกำรแต่งกำยให้สุภำพเรียบร้อย ไปถึงสถำนที่พูดก่อนเวลำเล็กน้อยเพื่อเตรียมควำมพร้อม ในขณะที่
ของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ พู ด ต้ อ งไม่ พ ำดพิ ง เรื่ อ งส่ ว นตั ว ของผู ้ อื่ น ในที่ ป ระชุ ม พู ด ด้ ว ยเสี ย งดั ง ชั ด เจน ให้ ไ ด้ ยิ น ทั่ ว ถึ ง กั น
(แนวตอบ ใช้นำ�้ เสียงทีส่ ภุ ำพ ไม่พดู เกินเวลำทีก่ ำ� หนด นอกจำกนีค้ วรให้ควำมส�ำคัญกับผูฟ้ งั ด้วยกำรกวำดสำยตำมอง
• เปนเรื่องที่นาสนใจ เกิดขึ้นจริงและเปน อย่ำงทั่วถึง ไม่จับจ้องไปที่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือจ้องมองอย่ำงไร้จุดหมำย รวมถึงไม่น�ำปมด้อย พฤติกรรมของ
ประโยชนตอผูฟง ผู้อื่นมำพูดล้อเลียนในที่ประชุม
• ผูพูดมีกลวิธีการพูดแสดงความคิดเห็น
เปนลําดับขั้น โดยเริ่มจากการกลาวทักทาย การฟัง การดู และการพูดในชีวิตประจÓวัน ต้องอาศัยการฝึ ก ฝนและสั่ ง สม
ผูฟง เกริ่นนําใหเห็นความสําคัญของเรื่อง ประสบการณ์อย่างต่อเนือ่ ง ถือเป็นกระบวนการสะสมความรูอ้ ย่างหนึง่ โดยเฉพาะอย่างยิง่
ระบุแหลงที่มา แสดงความคิดเห็น วิเคราะห เมื่อได้ฟังและดูแล้วควรจะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย
ความนาเชื่อถือของเรื่องไดโดยมีเหตุผล ดังนัน้ ก่อนการพูดควรพิจารณาเนือ้ หา ตลอดจนการใช้ภาษาอย่างประณีตและพิจารณา
สรุปจบทายประทับใจใหแงคิดแกผูฟง ว่าจะก่อให้เกิดผลแก่ผู้ฟังอย่างไร
ใชนํ้าเสียง ทาทางหรือสื่อไดสอดคลอง
กับเรื่อง
• ใชภาษาในเชิงสรางสรรคเพื่อแสดงความ
คิดเห็นและมีมารยาทในการพูด)
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา
ที่ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู

92

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
สถานการณที่กําหนดตอไปนี้ สําหรับครูอานใหนักเรียนฟง เพื่อใหนักเรียน นักเรียนวิเคราะหสถานการณวา “ขวัญใจ ประเมินความนาเชื่อถือ
ปฏิบัติกิจกรรมที่ปรากฏทางดานขวามือ ของโฆษณานั้นอยางไร จึงเกิดปญหาในลักษณะดังกลาว” แสดงผลการ
“ขวัญใจ ชมโฆษณาครีมทาผิวยี่หอ lady beauty คําโฆษณาระบุไววา ‘ทําให วิเคราะหของตนเองในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ผิวขาวกระจางใส สดชื่น กระชับ นุมนวลเหมือนเด็กแรกเกิด เห็นผลทันใจภายใน
1 สัปดาห ผานการวิจัยจากสถาบันที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา จากการทดสอบ
พบวาผูใช 100 เปอรเซ็นตพึงพอใจ lady beauty สิ่งดีๆ ที่คุณคูควร’ ขวัญใจ กิจกรรมทาทาย
จึงไปซื้อครีมมาใชทันที ผานไป 1 สัปดาห ผิวของขวัญใจเริ่มบาง เปนผื่นแดง และ
ไมสามารถถูกแสงแดดได มีผลกระทบตอการดําเนินชีวิตประจําวัน ขวัญใจจึงไป
พบแพทยเฉพาะทาง เพื่อรักษาอาการดังกลาว เสียเงินคารักษาพยาบาลไปเปน นักเรียนศึกษาวาจะมีวิธีหรือแนวทางการประเมินความนาเชื่อถือ
จํานวนมาก จนปจจุบันนี้อาการยังไมหายขาด” กอนเก็บใบความรู ครูสุมเรียกชื่อ ของสารที่มีเนื้อหาโนมนาวใจอยางไรเพื่อไมใหเกิดปญหาดังเชนขวัญใจ
นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน ออกมานําเสนอผลการวิเคราะหและผลการศึกษา แสดงผลการศึกษาของตนเองในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ของตน ซึ่งผลจากการปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนมองเห็นแนวทางการประเมิน
ความนาเชื่อถือของสารที่มีเนื้อหาโนมนาวใจ โดยเฉพาะอยางยิ่ง “โฆษณา”

92 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมาพูดสรุปใจความสําคัญเกี่ยวกับ
เนื้อหาสาระตอนที่เลือกจากรายการตางๆ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. นักเรียนออกมาพูดเลาเรื่องที่ไดมีโอกาสฟงและ
ดูจากสื่อตางๆ
3. นักเรียนออกมาพูดเลาเรื่องและแสดงความ
๑. สื่อใดที่จัดว่�มีอิทธิพลต่อก�รใช้ชีวิตประจำ�วันของนักเรียนม�กที่สุด จงอธิบ�ย
พร้อมยกตัวอย่�งประกอบ
คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดูจากรายการ
๒. ก�รพูดจับใจคว�มสำ�คัญจ�กก�รฟังและดูสื่อต่�งๆ ควรมีหลักก�รอย่�งไรบ้�ง ที่เลือกตามความสนใจ พรอมทั้งวิเคราะห
๓. ก�รพูดเล่�เรื่องที่ดีควรคำ�นึงถึงสิ่งใดบ้�ง ความนาเชื่อถือของเรื่อง
๔. ลักษณะเด่นของภ�ษ�ที่ใช้ในก�รพูดเชิงวิช�ก�รคืออะไร 4. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอรายงาน
๕. ก�รพูดในโอก�สใดที่มักใช้ภ�ษ�อย่�งเป็นท�งก�ร เชิงวิชาการในประเด็นที่เลือกศึกษาจากการฟง
การดู และสนทนา
5. ครูตรวจสอบการพูดหรือรางบทพูดของนักเรียน
โดยพิจารณาใหสอดคลองกับเกณฑที่นักเรียน
รวมกันกําหนดขึ้นภายใตคําแนะนําของครู
6. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มฟังและดูสื่อจ�กร�ยก�รต่�งๆ ท�งโทรทัศน์หรือวิทยุ
แล้วจับใจคว�มสำ�คัญเพื่อเล่�ให้เพื่อนฟังหน้�ชั้นเรียน 1. รางบทพูดสรุปใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟง
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนพูดเล่�เรื่องจ�กประสบก�รณ์คนละ ๑ เรื่อง หน้�ชั้นเรียน เช่น และดู ความยาวไมเกิน 1 นาที
■ ก�รผจญภัยในค่�ยลูกเสือ 2. รางบทพูดเลาเรื่องที่ไดมีโอกาสฟงและดูจาก
■ ร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน สื่อตางๆ ความยาวไมเกิน 1 นาที
■ บริจ�คสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 3. รางบทพูดเลาเรื่องและแสดงความคิดเห็น
กิจกรรมที่ ๓ สมมติว่�นักเรียนเป็นเจ้�ของผลิตภัณฑ์สินค้� OTOP ชนิดหนึ่ง ให้นักเรียน เชิงสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู ความยาว
พูดนำ�เสนอคว�มเป็นม�และก�รดำ�เนินง�นของผลิตภัณฑ์ต่อที่ประชุม ไมเกิน 1 นาที
กิจกรรมที่ ๔ ก�รพูดเป็นก�รสื่อส�รที่มีคว�มสำ�คัญอ�จก่อให้เกิดประโยชน์ หรือโทษได้
4. รูปเลมรายงานการศึกษาคนควาในประเด็นที่
ทั้งกับผู้พูดและผู้ฟัง ให้นักเรียนรวมกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน ๓ คน ค้นห�
บทร้อยกรองในวรรณคดีเรื่องต่�งๆ ที่นำ�เสนอแนวคิดเกี่ยวกับก�รพูด เลือกศึกษาจากการฟง การดู และสนทนา
ม�อภิปร�ยร่วมกันในชั้นเรียน จ�กนั้นให้นำ�ข้อมูลม�จัดป้�ยนิเทศ
ประจำ�ชั้นเรียนในหัวข้อ “พลังแห่งก�รพูด”

93

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. สื่อที่มีอิทธิพลตอชีวิตประจําวันของมนุษยมากที่สุด คือ สื่ออิเล็กทรอนิกสประเภทตางๆ เชน วิทยุ โทรทัศน เพราะสื่อเหลานี้สามารถเขาถึงกลุมบุคคลไดงาย มีความ
เกี่ยวของใกลชิดกับชีวิตประจําวันของมนุษยมากที่สุด
2. การพูดจับใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟงและดูจากสื่อตางๆ ผูพูดควรฟงและดูเรื่องนั้นๆ จนจบตลอดทั้งเรื่อง สรุปความใหไดวาเปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใคร ทําอะไร
กับใคร ที่ไหน อยางไร เมื่อไร ทําไม โดยใชสํานวนภาษาเปนของผูพูดเอง
3. การพูดเลาเรื่อง คือการถายทอดประสบการณที่เกิดจากการไดอาน ไดฟง หรือไดดู ใหผูอื่นไดรวมรับรู ดังนั้น การพูดเลาเรื่อง ผูพูดที่ดีควรคํานึงถึงเนื้อหาที่นํามาเลา
ควรเปนเรื่องที่เปนประโยชน ชวยเพิ่มพูนสติปญญาและจรรโลงใจใหแกผูฟง
4. การพูดเชิงวิชาการ เปนการพูดเพื่อถายทอดขอเท็จจริงอยางตรงไปตรงมา ดังนั้น ภาษาที่ใชในการพูดเชิงวิชาการจึงไมปรากฏคําที่แสดงความคิดเห็นหรือแสดง
ความลังเลใจ เชน ฉันคิดวา... ขอมูลนี้นาจะ...
5. การพูดที่ใชภาษาทางการ จะขึ้นอยูกับโอกาส กาลเทศะ และเนื้อหาสาระ การใชภาษาที่เปนทางการจะใชสนทนากับบุคคลที่มีอาวุโสสูงกวา บุคคลที่ไมสนิทคุนเคย
และใชสําหรับการพูดในที่สาธารณชน เชน การพูดอภิปราย การพูดบรรยาย

คู่มือครู 93
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูชวนสนทนาเกี่ยวกับสาเหตุที่นกั เรียนตองมี
ความรู ความเขาใจ ทีถ่ กู ตองเกีย่ วกับหลักการใช
ภาษาไทย เพราะหลักภาษาไทยเปนหลักเกณฑที่
ชวยควบคุมใหคนไทยใชภาษาไทยใหเปนแบบแผน
ตอนที่ ô หลักการใชภาษา
ที่ถูกตองตรงกัน และยังชวยอนุรักษเอกลักษณ
ทางภาษาใหคงอยูตอไป จากนั้นตั้งคําถามกับ
นักเรียนวา
• นอกจากภาษาไทยแลว นักเรียนคิดวายังมี
สิ่งใดอีกบาง ซึ่งถือเปนมรดกทางวัฒนธรรม
ของชาติที่ควรรักษาสืบไป และเพราะเหตุใด
(แนวตอบ โบราณสถาน โบราณวัตถุ เพราะ
สิ่งเหลานี้ ทําใหรับรูเรื่องราวความเปนมา
ของประเทศชาติ)

อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซอนใสเสียในฝก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงคอยชักเชือดฟนใหบรรลัย
จับใหมั่นคั้นหมายใหวายวอด ชวยใหรอดรักใหชิดพิสมัย
ตัดใหขาดปรารถนาหาสิ่งใด เพียรจงไดดังประสงคที่ตรงดี
(เพลงย�วถว�ยโอว�ท : สุนทรภู่)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 4 หลักการใชภาษา เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมี
ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักภาษาไทย โดยในระดับชั้นนี้ นักเรียนควรเรียนรู
ในเรื่องเสียงในภาษาไทย การสรางคําในภาษาไทย ชนิดและหนาที่ของคํา สํานวน
คําพังเพย สุภาษิต และการแตงบทรอยกรอง สามารถอธิบายลักษณะสําคัญ และนํา
ไปใชไดอยางถูกตอง
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอน โดยใหนกั เรียน
รวมกันสรางองคความรูดวยตนเอง จากการรวมกลุมกันสืบคน ตั้งคําถามเพื่อให
นักเรียนอธิบายความรู ความเขาใจของตนเอง

94 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถอธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย
ซึ่งประกอบดวยเสียงสระ เสียงพยัญชนะ และ
เสียงวรรณยุกต รวมถึงวิธกี ารสรางคําในภาษาไทยได

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ Engage

หน่วยที่ ñ นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย จากนั้น


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• เสียงมีความเกี่ยวของอยางไรกับ
เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา กระบวนการสื่อสารของมนุษย
(แนวตอบ เสียง คือ สิ่งที่มนุษยเปลงออกมา
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๑, ๒
ธ รรมชาติของภาษาโดยทั่วไป เพื่อใชในการสื่อสาร ซึ่งเสียงในภาษาไทย
ประกอบดวย เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และ
■ อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย
ประกอบด้ ว ยเสี ย งและความหมาย
■ สรางคําในภาษาไทย การใช้ ภ าษาไทยให้ ถู ก ต้ อ งและมี เสียงวรรณยุกตประกอบกันเปนคํา ดังนั้น
ประสิ ท ธิ ผ ล ผู ้ ใ ช้ ต ้ อ งค� า นึ ง ถึ ง การใช้ หากไมมีเสียงเหลานี้ มนุษยก็ไมสามารถ
เสียงในภาษาให้ถูกต้อง เพื่อให้สามารถ สื่อสารกันได)
สาระการเรียนรู้แกนกลาง สื่ อ ความหมายได้ ชั ด เจน ซึ่ ง ต้ อ งอาศั ย
■ เสียงในภาษาไทย การเรียนรู้และน�าไปประยุกต์ใช้ผ่านทักษะ
■ การสรางคํา
● คําประสม คําซํ้า คําซอน การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนอย่าง
● คําพอง
สม�่าเสมอ

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย ไดแก
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกตไดถูกตอง อธิบายเกี่ยวกับพลังของ
ภาษาในดานตางๆ และรวมถึงอธิบายวิธีการสรางคําในภาษาไทย
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยให
นักเรียนรวมกลุมกันสืบคนองคความรูที่จําเปนตอการอธิบายความรูดวยตนเอง
รวมถึงการตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดทบทวนและแสดงความรู ความเขาใจของตน
ผานคําถามที่ครูเปนผูกําหนดขึ้น
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการจําแนกประเภทและทักษะ
การนําความรูไปใชใหแกนักเรียน

คู่มือครู 95
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนําเขาสูหัวขอ
การเรียนการสอน ๑ เสียงในภาษาไทย
• อวัยวะที่ใชสําหรับการออกเสียงของมนุษย
เสียงในภาษา หมำยถึง เสียงของมนุษย์ที่เปล่งออกมำเพื่อใช้ในกำรสื่อสำร เสียงในภำษำไทย
หากนํามาจัดระบบ จะไดแกระบบใดบาง
ประกอบด้วยเสียงสระ เสี1ยงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ อวัยวะที่ใช้ออกเสียง ได้แก่ ปอด
(แนวตอบ ระบบหายใจ ระบบการเกิดเสียง
หลอดลม และกล่องเสียงที่ล�ำคอ เมื่อลมผ่ ำนเส้นเสียงจะท�ำให้เส้นเสียงสะบัดเกิดเป็นเสียงก้อง
และระบบการเปลงเสียง)
ถ้ำไม่สะบัดมำกเสียงก็จะไม่ก้อง จำกนั้นลมก็จะถูกปล่อยผ่ำนไปทำงช่องปำก แล้วไปกระทบกับ
• อวัยวะตางๆ ในรางกายที่ใชออกเสียง
ส่วนต่ำงๆ ของปำก เช่น ลิ้นไก่ ลิ้น ริมฝีปำก ฟัน ปุ่มเหงือก เพดำนแข็ง เพดำนอ่อน ท�ำให้เสียง
หากมีความผิดปกติ นักเรียนคิดวาตนเอง
ถูกกัก กั้นลมด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปำก หรือถูกกักลมในช่องปำก แล้วปล่อยบำงส่วน
จะสามารถออกเสียงไดหรือไม เพราะเหตุใด
ออกไปทำงข้ำงลิ้น หรือดันลมให้เสียดแทรกอวัยวะต่ำงๆ ออกมำ หรือดันลมให้ขึ้นจมูก ท�ำให้เกิดเป็น
(แนวตอบ อวัยวะในการออกเสียงของมนุษย
เสียงต่ำงๆ
หากมีความผิดปกติหรือบกพรองบริเวณ
สวนใดสวนหนึ่งแลว จะทําใหไมสามารถ
ออกเสียงไดหรือออกเสียงไดไมชัดเจน
เพราะอวัยวะเหลานี้ทํางานสัมพันธกัน)
• นักเรียนคิดวามีสาเหตุใดหรือไม ที่ทําให โพรงจมูก
เสียงพูดของมนุษยมีความแตกตางกัน ริมฝีปาก ฟัน ลิ้น
และความแตกตางกันของเสียงกอใหเกิดผล กล่องเสียง เส้นเสียง
อยางไรตอชีวิตประจําวัน หลอดลม
(แนวตอบ การที่มนุษยมีเสียงแตกตางกันนั้น
มีสาเหตุมาจากอวัยวะที่ใชในการออกเสียง
มีขนาดไมเทากัน เชน เสียงเด็กกับเสียง ปอด
ผูใหญ เสียงของผูหญิงกับเสียงของผูชาย
ซึ่งความแตกตางกันของเสียงจะทําใหมนุษย
แตละคนสามารถจดจําเสียงพูดและวิธีการ
พูดของบุคคลที่เราคุนเคยได)
ภาพแสดงอวัยวะต่างๆ ที่ใช้ในการออกเสียง

อวัยวะต่ำงๆ ดังกล่ำวข้ำงต้น ต่ำงมีหน้ำที่โดยตรงอยู่แล้ว เช่น ปำกเป็นทำงผ่ำนของอำหำร


ด่ำนแรก โดยมีฟันท�ำหน้ำที่ขบเคี้ยวอำหำร และลิ้นท�ำหน้ำที่ลิ้มรสอำหำร ส่วนจมูกท�ำหน้ำที่หำยใจ
และดมกลิ่น นอกจำกนั้นอวัยวะเหล่ำนี้ก็ยังท�ำหน้ำที่ในกำรออกเสียงดังที่อธิบำยข้ำงต้นอีกด้วย
ถ้ำอวัยวะเหล่ำนี้ผิดปกติ มนุษย์จะไม่สำมำรถออกเสียงได้ หรือออกเสียงได้แต่ไม่ชัดเจน

96

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงเสียงในภาษาไดถูกตอง
1 กลองเสียง หรือเสนเสียง เปนอวัยวะสําคัญทีท่ าํ ใหเกิดเสียง เสนเสียงประกอบดวย 1. เสียงในภาษามีเฉพาะในภาษาไทย
เสนเอ็นและกลามเนื้อ 2 แผน เสนเสียงทั้งสองวางขวางอยูตรงกลางกลองเสียง โดย 2. เสียงในภาษาคือเสียงที่ไมมีความหมาย
กลองเสียง คือ สวนที่อยูเหนือหลอดลมขึ้นมา ประกอบดวยกระดูกออนหลายสวน 3. เสียงในภาษาเกิดจากการเลียนแบบจากธรรมชาติ
สวนที่อยูดานหนาคือ กระดูกออนไทรอยด ปลายดานหนึ่งของเสนเสียงทั้งสอง 4. เสียงในภาษาคือเสียงที่เปลงออกมาแลวมีความหมายเพื่อใชสื่อสารกัน
จะเชื่อมอยูกับกระดูกชิ้นนี้ และอยูชิดกัน สวนปลายอีกดานหนึ่งจะเชื่อมอยูกับ ในชีวิตประจําวัน
กระดูกออนอาริตินอยด ซึ่งเปนกระดูกออนอีก 2 ชิ้น กระดูกออนอาริตินอยดกับ
ปลายเสนเสียงดานที่แยกหางจากกันไดจะอยูทางดานหลัง กระดูกออนอาริตินอยด วิเคราะหคําตอบ เสียงในภาษา คือเสียงที่มนุษยเปลงออกมาแลวมี
และกลามเนื้อในกลองเสียง จะทําใหเสนเสียงทั้งสองอยูชิดหรือหางจากกันได ความหมาย ใชสําหรับการติดตอสื่อสารในชีวิตประจําวัน เสียงใน
เมื่อเสนเสียงอยูหางกัน ดานหนาจะชิดกัน สวนดานหลังจะหางกัน ทําใหเกิดเปน ภาษาเปนระบบการทํางานของอวัยวะในรางกายไมใชการเลียนแบบจาก
ชองสามเหลี่ยม ทําใหลมผานเขาไปถึงปอดหรือผานออกมาจากปอดไดสะดวก ธรรมชาติ และภาษาของทุกชนชาติลวนมีเสียงในภาษาเปนของตนเอง
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

96 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทาํ สลากเทากับจํานวนนักเรียนภายในชัน้ เรียน
๑.๑ ลักษณะของเสียงในภาษาไทย โดยเขียนหมายเลข 1- 4 ลงบนกระดาษในจํานวน
เสียงในภาษาไทย มี ๓ ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ โดยมีลักษณะ เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ใหแตละคน
ดังต่อไปนี้ ออกมาจับสลาก ใครที่จับสลากไดหมายเลข
๑. เสียงสระ เป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาจากปอด หลอดลม กล่องเสียง ผ่านล�าคอสูช่ อ่ งปาก ช่องจมูก
เหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน เมื่อจับสลากจน
โดยสะดวก ลมทีเ่ ปล่งออกมาจะไม่ถกู สกัดกัน้ จากอวัยวะใดๆ ในปาก แต่จะมีการเปลีย่ นแปลงระดับของลิน้ และ ครบแลว ครูแจงประเด็นสําหรับการสืบคนความรู
รูปริมฝีปาก โดยการยกลิ้นขึ้นในระดับต่างกันและริมฝีปากห่อมากน้อยต่างกัน ท�าให้เกิดเสียงก้อง เส้นเสียง รวมกัน ดังนี้
สั่นสะเทือน และสามารถออกเสียงได้ยาวนาน หมายเลข 1 เสียงและรูปสระ
เสียงสระเป็นเสียงที่ช่วยให้พยัญชนะออกเสียงได้ เพราะเสียงพยัญชนะจะต้องอาศัยเสียงสระควบคู่เสมอ
เสียงสระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสียง และมีอักษรที่ใช้แทนเสียงได้ เรียกว่า รูปสระ มี ๒๑ รูป แต่เดิม
หมายเลข 2 เสียงและรูปพยัญชนะ
มั ก จะคุ ้ น เคยกั บ การท่ อ งเสี ย งสระคู ่ สั้ น -ยาว ทั้ ง สระเดี่ ย วและประสม จึ ง มี ค วามเข้ า ใจว่ า สระประสม หมายเลข 3 เสียงและรูปวรรณยุกต
มี ๖ หน่วยเสียง นับรวมกับสระเดีย่ ว ๑๘ หน่วยเสียง เป็น ๒๔ หน่วยเสียง ปัจจุบนั ราชบัณฑิตยสถานได้พจิ ารณาว่า หมายเลข 4 การออกเสียงภาษาไทย
สระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสี1ยง คือ สระเดี่ยว ๑๘ หน่วยเสียง สระประสม ๓ หน่วยเสียง ตามหลัก โดยนักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนความรู
ภาษาศาสตร์ ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้พิจารณาว่าเสียงสระประสมในภาษาไทยมีเพียง ๓ หน่วยเสียง ได้แก่ เอีย
เอือ และอัว ซึ่งเป็นสระเสียงยาว
จากแหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
เชน บทเรียนอิเล็กทรอนิกส หนังสือบรรทัดฐาน
สระเดี่ยว - อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ
เสียงสระ ภาษาไทย เลม 1 เปนตน นําขอมูลมาสรุปความรู
สระประสม - เอีย เอือ อัว ความเขาใจรวมกันเพื่อสงตัวแทนออกไปนําเสนอ
หนาชั้นเรียน
๒. เสียงพยัญชนะ เป็ น เสี ย งที่ เ ปล่ ง ออกมาจากปอด หลอดลม กล่ อ งเสี ย ง ผ่ า นล� า คอสู ่ ช ่ อ งปาก
ช่องจมูก โดยให้ลิ้นกล่อมเกลาเสียงให้กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือให้ริมฝีปากกระทบกัน
ลมที่เกิดขึ้นจะถูกสกัดกั้นในล�าคอ ช่องปากหรือช่องจมูก เสียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเสียงแปร คือ มีลักษณะ
แตกต่างกันไป โดยเสียงทีแ่ ปรเกิดเป็นเสียงพยัญชนะ มีจา� นวน ๒๑ หน่วยเสียง และมีอกั ษรแทนเสียงพยัญชนะ
จ�านวน ๔๔ รูป
พยัญชนะต้น - เดี่ยว ควบกล�้า อักษรน�า
เสียงพยัญชนะ
พยัญชนะท้าย - กง กน กม เกย เกอว กก กด กบ

๓. เสียงวรรณยุกต์ เป็นเสียงที่มีท�านองสูงต�่าเหมือนเสียงดนตรี โดยจะได้ยินเสียงวรรณยุกต์ขณะที่


ออกเสียงพยัญชนะหรือสระ เสียงวรรณยุกต์นี้บางเสียงถูกสกัดกั้น หรือไม่ถูกสกัดกั้นจึงเกิดเป็นเสียงสูงต�่า
บางเสี ย งอยู ่ ร ะหว่ า งเสี ย งสู ง กั บ เสี ย งต�่ า บางที ก็ เ ป็ น เสี ย งต�่ า แล้ ว ค่ อ ยๆ เลื่ อ นไปสู ่ เ สี ย งสู ง เสี ย ง
วรรณยุกต์มี ๕ เสียง เรียงจากเสียงต�่าไปหาเสียงสูงได้ ดังนี้ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี
และเสียงจัตวา

เสียงวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา

97

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดกลาวถูกตอง
1. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระ และเสียงตัวสะกด 1 นักภาษาศาสตร คือ ผูที่ใชวิธีการทางวิทยาศาสตรในการวิจัยดานตางๆ
2. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระเกิน และวรรณยุกต ของภาษา เชน การศึกษาคนควาเกี่ยวกับรากศัพท ลักษณะโครงสรางของภาษา
3. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสั้น เสียงยาว และเสียงสระเกิน จัดระบบประเภทของภาษา เปนตน ซึง่ นักภาษาศาสตรอาจเปนผูเ ชีย่ วชาญภาษาใด
4. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ เชน ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน
ภาษาเยอรมัน ภาษาญีป่ นุ ภาษาบาลี-สันสกฤต ภาษาลาว หรืออาจเปนภาษาถิน่
วิเคราะหคําตอบ เสียงในภาษาไทยประกอบดวยเสียง 3 ชนิด ไดแก ภาษามลายู ภาษาของชนกลุมนอย ซึ่งนักภาษาศาสตรที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ซึ่งเสียงเหลานี้จะประกอบกัน • มีความชํานาญทั้งในดานการพูด การอาน การฟง การเขียน
เขาเปนคําทีม่ คี วามหมายเพือ่ ใชสอื่ สารในชีวติ ประจําวัน ดังนัน้ จึงตอบขอ 4. • มีความคิดสรางสรรค สนใจสิ่งแวดลอม ศิลปะ ประเพณี วัฒนธรรม
ของเจาของภาษา
• มีความเพียรพยายามที่จะฝกฝนตนเองใหเกิดทักษะ
• ชอบและสนใจในเรื่องตางๆ เกี่ยวกับภาษา

คู่มือครู 97
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 3 คน ออกมา
อธิบายความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมาย ๑.๒ เสียงในภาษาไทยและรูปตัวอักษรแทนเสียง
ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียน จะตอง ๑) เสียงและรูปสระ
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ๑.๑) ต�าแหน่งที่เกิดเสียงสระในภาษาไทย เสียงสระเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด
• ลักษณะของเสียงสระ และถูกบังคับให้ผ่ำนหลอดลม กระทบเส้นเสียงในหลอดลม แล้ว1ผ่ำนออกมำจำกล� 2 ำคอโดยตรง
• การออกเสียงสระ โดยไม่มีกำรปิดกั้นทำงลม อวัยวะที่ช่วยในกำรออกเสี
รออกเสียงสระ คือ ลิ้นกับริมฝีปำก เสียงสระบำงเสี
งสระบ ยง
• รูปที่ใชแทนเสียงสระ เกิดจำกลิ้นส่ว นหน้ำ บำงเสีย งเกิดจำกลิ้นส่ว นกลำง และบำงเสีย งเกิดจำกลิ้ นส่ ว นหลั ง ซึ่ ง ลิ้ น
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล จะกระดกในระดับสูงต�่ำต่ำงกัน ส่วนริมฝีปำก บำงเสียงเกิดจำกรูปริมฝีปำกห่อกลม บำงเสียงเกิดจำก
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู รูปริมฝีปำกปกติ บำงเสีย งเกิดจำกรูปปำกกว้ำงหรือรี ถ้ำ ลิ้นยกอยู่ในระดั บ ใดเพี ยงระดั บ เดี ยว
เกี่ยวกับลักษณะของเสียงสระ โดยใชความรู เสียงสระที่เกิดขึ้นเรียกว่ำ สระแท้ ถ้ำลิ้นเลื่อนจำกระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งอย่ำงรวดเร็ว จะเกิด
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ เสียงสระสองหรือสำมเสียงพร้อมๆ กัน เรียกว่ำ สระประสม หรือสระเลื่อน
เพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ ๑.๒) ลักษณะการออกเสียงสระ
ตอบคําถาม ๑. กำรออกเสียงสระแท้ มีลักษณะของลิ้นและริมฝีปำกที่ใช้ในกำรออกเสียง ดังนี้
• เสียงสระมีลักษณะสําคัญที่แตกตางจากเสียง
ชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก
(แนวตอบ เสียงสระ เปนเสียงทีเ่ ปลงออกมาจาก อะ อ� ว�งในท่�ปกติ อ้�ป�กปกติ
ปอด ผานมายังหลอดลม กลองเสียง เสนเสียง
อิ อี ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง เหยียดป�กออกเล็กน้อย
และผานลําคอสูชองปาก ชองจมูกโดยเร็ว
โดยลมที่ผานออกมานั้นจะไมถูกอวัยวะใดๆ อึ อือ ส่วนหลังยกขึ้นสูง เผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่กลม
ภายในชองปาก เชน ริมฝปาก ฟน หรือลิ้น อุ อู ส่วนหลังยกขึ้นสูง ห่อกลมเล็ก
สกัดกั้นลมนั้นๆ ไว แตจะเปลี่ยนแปลงระดับ เอะ เอ ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง เหยียดออกเหมือน อิ
การยกลิน้ และการหอริมฝปากมากนอยตางกัน แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อิ แต่ข�กรรไกรล่�งลดตำ่�ลงกว่�
ทําใหเสียงที่เกิดขึ้นเปนเสียงกอง ซึ่งก็คือ ขณะออกเสียง อิ
เสียงสระ) แอะ แอ ส่วนหน้�ลดตำ่�ลงกว่� เหยียดออก ข�กรรไกรล่�ง
• เสียงสระแตละเสียงมีความแตกตางกันดวย ขณะออกเสียง เอะ ลดตำ่�ลงกว่�เมื่อออกเสียง เอะ
สาเหตุใด โอะ โอ ส่วนหลังกระดกขึ้นสูง ห่อกลม
(แนวตอบ เสียงสระมีความแตกตางกัน แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อุ
อันเนื่องมาจากลักษณะของการยกลิ้น
และการจัดรูปริมฝปากขณะที่ออกเสียง)

98

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
หลังจากใหนักเรียน ปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย ครูสุมเรียก นักเรียนศึกษาวาเสียงสระทีป่ รากฏใชในภาษาไทยมีทงั้ สิน้ กีเ่ สียง แตเดิม
ชือ่ นักเรียน ออกมาแสดงผลการศึกษาหนาชัน้ เรียน เพือ่ ความเขาใจทีถ่ กู ตองรวมกัน ที่กําหนดไววาเสียงสระในภาษาไทยมี 32 หนวยเสียง เปนเพราะเหตุใด
ในปจจุบันจึงเหลือเพียง 21 หนวยเสียง สรุปผลการศึกษาลงสมุด สงครู

นักเรียนควรรู กิจกรรมทาทาย
1 ลิ้น เปนสวนที่เคลื่อนไหวไดมากที่สุดในการออกเสียงพูด สวนที่เคลื่อนไหว
ของลิ้นแตละสวนจะมีผลตอการออกเสียง ลิ้น สามารถแบงออกเปนสวนๆ ได
3 สวน ไดแก ปลายลิ้น หรือสวนปลายสุดของลิ้น หนาลิ้น หรือลิ้นสวนหนา อยู นักเรียนศึกษาวาเสียงสระทั้ง 21 หนวยเสียง มีการเปลี่ยนแปลงระดับ
ตรงขามกับเพดานแข็ง และหลังลิ้น หรือลิ้นสวนหลัง อยูตรงขามกับเพดานออน การยกตัวของลิน้ และจัดรูปริมฝปากอยางไร สรุปผลการศึกษาลงสมุด สงครู
2 ริมฝปาก เปนอวัยวะสวนที่สามารถเคลื่อนไหวไดมากและทําใหเสียงมีความ
แตกตางกัน ผูพูดอาจจะบังคับริมฝปากใหปดสนิท ใหเปดเล็กนอย ใหเปดกวางขึ้น
ใหยื่นออกมา ใหหอกลมหรือทําเปนรูปรีได

98 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก ความรูแ บบโตตอบรอบวงเกีย่ วกับการออกเสียงสระ
เอ�ะ ออ ส่วนหลังลดตำ่�กว่� ห่อกลม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
ขณะที่ออกเสียง โอ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตน
เออะ เออ ส่วนกล�งกระดกขึ้นสูง อ้�ป�กปกติ สําหรับตอบคําถาม
แต่ไม่เท่�กับขณะที่ออกเสียง เอือ • สระหนา สระกลาง และสระหลัง เปนคํา
ที่ใชอธิบายเสียงสระโดยใชตําแหนงของ
จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ สระทั้งหมด ๙ คู่ จะออกเสียงแถวหน้ำเป็นเสียงสั้น ๙ เสียง อวัยวะใดเปนเกณฑ และแตละตําแหนง
แถวหลังออกเสียงเป็นเสียงยำว ๙ เสียง รวม ๑๘ เสียง ลักษณะลิ้นและปำกจะอยู่ในท่ำเดิมตลอด มีความแตกตางกันอยางไร
มีเพียงลิ้นส่วนใดส่วนหนึ่งเท่ำนั้นที่เคลื่อนที่ ลิ้นเพียงส่วนเดียวที่ท�ำให้เกิดเสียง จึงเรียกสระทั้ง (แนวตอบ ใชตําแหนงการยกตัวของลิ้น
๑๘ เสียงนี้ว่ำ สระแท้ หรือสระเดี่ยว 1 เปนเกณฑ โดยทีส่ ระหนา คือสระทีอ่ อกเสียง
๒. กำรออกเสี
รออกเสียงสระประสม มีลักษณะกำรใช้
ษณะก ลิ้นและริมฝีปำกในกำรออกเสียง ดังนี้ เมื่อลิ้นสวนหนายกขึ้นสูงกวาสวนอื่น ไดแก
เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก สระอิ สระอี สระเอะ สระเอ สระแอะ และ
สระแอ สระกลาง คือสระที่ออกเสียงเมื่อลิ้น
เอีย ลิ้นส่วนหน้�กระดกสูงขึ้น ป�กอ้�กว้�ง ข�กรรไกรล่�งเคลื่อนตำ่�ลงม�
แล้วลดตำ่�ลงม� สวนกลางยกขึ้นสูงกวาสวนอื่น ไดแก สระอึ
เอือ ลิ้นส่วนกล�งยกสูงขึ้น ป�กอ้�เพร�ะขยับข�กรรไกรล่�งลง สระอือ สระเออะ และสระเออ สระหลัง คือ
แล้วลดตำ่�ลงม� สระที่ออกเสียงเมื่อลิ้นสวนหลังยกขึ้นสูงกวา
อัว ลิ้นส่วนหลังยกสูงขึ้น ริมฝีป�กที่จีบกลมจะอ้�ออกเล็กน้อย สวนอื่น ไดแก สระอุ สระอู สระโอะ สระโอ
แล้วลดตำ่�ลงม� สระเอาะ และสระออ)
จำกกำรออกเสียงจะเห็นว่ำ ลิ้นส่วนหน้ำ ลิ้นส่วนกลำง และลิ้นส่วนหลังจะขยับเคลื่อนที่
ท�ำหน้ำที่ออกเสียงร่วมด้วย จึงเรียกว่ำเสียง สระประสม ซึ่งลักษณะเสียงที่ประสมกัน มีดังนี้
อี + อ� = เอีย
อือ + อ� = เอือ
อู + อ� = อัว

๓. รูป อ�ำ ไอ ใอ เอำ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ รูปเหล่ำนี้มีลักษณะกำรออกเสียงประสมกัน


ระหว่ำงเสียงสระกับเสียงพยัญชนะ ดังนี้
อำ� มีเสียง อะ + ม ไอ มีเสียง อะ + ย
ใอ มีเสียง อะ + ย เอ� มีเสียง อะ + ว
ฤ มีเสียง ร + อึ ฤๅ มีเสียง ร + อือ
ฦ มีเสียง ล + อึ ฦๅ มีเสียง ล + อือ

99

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้มีความแตกตางจากขออื่น
เพื่อความรู ความเขาใจ ที่มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสระประสมในภาษาไทย ครูควรให
1. ใหหาสินเมื่อใหญ
นักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ประกอบขึ้นจากสระประสมทั้ง 3 เสียง ในภาษาไทย
2. วิมานนอยลอยริมฝง
ดวยปากเปลา และตรวจสอบความถูกตองของคํานั้นๆ รวมกัน
3. เมื่อนอยใหเรียนวิชา
4. แลวลงในเรือที่นั่งบัลลังกทอง
วิเคราะหคําตอบ จุดประสงคของขอสอบนี้ ตองการใหหาวาประโยคใน นักเรียนควรรู
ขอใดไมปรากฏคําที่ประกอบขึ้นจากสระประสม ซึ่งสระประสม คือสระที่
ออกเสียงโดยอวัยวะที่ใชออกเสียงอยูในตําแหนงมากกวา 1 ตําแหนง 1 สระประสม คือสระที่ออกเสียงโดยอวัยวะที่ใชออกเสียงอยูในตําแหนง
ซึ่งหนวยเสียงสระประสมในภาษาไทยมี 3 หนวยเสียง ไดแก สระเอีย มากกวา 1 ตําแหนง ถาอวัยวะอยูในตําแหนงหนึ่งแลวเปลี่ยนไปอยูในอีกตําแหนง
สระเอือ และสระอัว จากคํานิยามนี้จึงสามารถวิเคราะหไดวาตัวเลือกใน หนึ่ง สระนั้นจะเปนสระประสม 2 เสียง แตถาออกเสียงสระใดแลวอวัยวะเปลี่ยน
ขอ 1. คําที่ประสมดวยสระประสมไดแกคําวา “เมื่อ” ขอ 3. คําที่ประสม จากตําแหนงหนึ่งไปสูตําแหนงอีก 2 ตําแหนง เรียกวา สระประสม 3 เสียง
ดวยสระประสมไดแกคําวา “เมื่อ” ขอ 4. คําที่ประสมดวยสระประสม ซึ่งเสียงสระประสมในภาษาไทยเปนสระประสม 2 เสียง
ไดแกคําวา “เรือ” ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

คู่มือครู 99
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการออกเสียงสระ ดังนั้น รูป อ�ำ ไอ ใอ เอำ ฤ ฤ ๅ ฦ ฦ ๅ ไม่นับว่ำเป็นเสียงสระเพรำะมีเสียงสระที่เป็นสระแท้
ในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จาก ประสมอยู่แล้ว จึงนับว่ำเป็นลักษณะของพยำงค์
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล ๑.๓) การใช้รูปสระแทนเสียงสระ ตัวอักษรที่ใช้แทนเสียงสระมี ๒๑ รูป (ตำมต�ำรำของ
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พระยำอุปกิตศิลปสำร) มีชื่อเรียกและวิธีใช้ ดังนี้
• เสียงสระมีความเกี่ยวของกับเสียงพยัญชนะ รูปสระ ชื่อสระ การใช้รูปสระโดยตรง ประสมกับรูปอื่น
ในภาษาไทยอยางไร
(แนวตอบ เสียงสระในภาษาไทยเปนเสียง -ะ วิสรรชนีย์ ประวิสรรชนีย์หลังพยัญชนะ ประสมกับรูปอืน่ เป็นสระ เอะ แอะ โอะ
เป็นสระ อะ เช่น มะระ เอ�ะ เออะ เช่น เละ แทะ โต๊ะ เก�ะ เถอะ
ที่ชวยใหเสียงพยัญชนะในภาษาไทยสามารถ
ออกเสียงได)
• นักเรียนคิดวาขอสังเกตที่โดดเดนของเสียง -ั ไม้หันอ�ก�ศ เขียนข้�งบนพยัญชนะ เป็นเสียง ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อัว เช่น กลัว
หรือไม้ผัด สระอะ เมื่อมีตัวสะกด เช่น
สระในภาษาไทยคืออะไร ม + อะ + น = มัน
(แนวตอบ รูปสระตางๆ ที่เขียนในภาษาไทยจะ
ใชเขียนตามลําพังไมได ตองใชคูกับพยัญชนะ -็ ไม้ไต่คู้ เขียนข้�งบนแทนวิสรรชนีย์ในสระ ประสมกับตัว ก เป็นสระ เอ�ะ มีเสียง
บ�งตัวที่มีตัวสะกด เช่น วรรณยุกต์โท คือ ก็
เสมอ แมกระทั่งสระลอย เชน สระอะ ก็จะ ข + เอะ + น = เข็น
ตองมีพยัญชนะตัว อ กํากับอยูดวย)
-� ล�กข้�ง เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ อ� ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อำ� เอ� เอ�ะ
เช่น ก� ม� น� เช่น นำ� เม� เค�ะ
-ิ พินทุ์อิ เขียนข้�งบนพยัญชนะ เป็นสระ อิ ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อี อึ อือ เอีย
เอือ และใช้แทนตัว อ ของสระเออ เมือ่ มี
ตัวสะกด เช่น ด + เออ + น = เดิน

-่ ฝนทอง เขียนข้�งบนพินทุ์อิ เป็นสระ อี ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอีย เช่น เสีย

-ำ นฤคหิต หรือ เขียนข้�งบนล�กข้�ง เป็นสระ อำ�


หย�ดนำ้�ค้�ง เขียนข้�งบนพินทุ์อิ เป็นสระ อึ
" ฟันหนู เขียนข้�งบนพินทุ์อิ เป็นสระ อือ ประสมกับสระอื่น เป็นสระ เอือ เช่น เรือ

-ุ ตีนเหยียด เขียนข้�งล่�งพยัญชนะ เป็นสระ อุ


เช่น ยุ่ง คุณ

100

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ประโยคในขอใดตอไปนี้ปรากฏสระลดรูปมากที่สุด
ครูควรสรางความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับการเรียกชื่อรูปสระ
1. ดําเปนคนสะอาดและทํางานเรียบรอย
ในภาษาไทย ที่ปรากฏในแบบเรียนภาษาไทยในอดีต เชน หนังสือจินดามณี
2. แดงเปนคนขยันเขาทําขนมขายทุกวัน
ของพระโหราธิบดี หนังสือมูลบทบรรพกิจ ซึง่ เปนแบบเรียนหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6
3. สมเปนคนรวยและมักจะสวมเสื้อผาสวยๆ
ผูแ ตงคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (นอย อาจารยางกูร) เพื่อความรูความเขาใจ
4. เขียวเปนคนนิ่งเฉยและปลอยใหเวลาผานเลย
ที่อาจเปนประโยชนในอนาคต ครูควรใหนักเรียนบันทึกชุดคําอธิบาย ลงสมุด
วิเคราะหคําตอบ สระลดรูป คือสระที่เมื่อนํามาประสมกับพยัญชนะเปน
คําแลวจะไมปรากฏรูปสระใหเห็นหรือลดรูปบางสวนไป เชน สระโอะ เมื่อ
มุม IT นํามาใชประสมเปนคําและมีตัวสะกดจะไมปรากฏรูปสระโอะ ขอ 1. คําที่
ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา คน ขอ 2. คําที่ประสมดวยสระลดรูป
นักเรียนสามารถฝกออกเสียงสระในภาษาไทย ศึกษารูปแบบการยกลิ้น ไดแก คําวา คน (ข) นม ขอ 3. คําที่ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา
และหอริมฝปากเพื่อการออกเสียงสระไดชัดเจนจาก www.youtube.com/ สม คน รวย สวม สวย ขอ 4. คําที่ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา
Watch?v=UptiQ5f89pM คน เฉย เลย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

100 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
1 อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการใช
รูปสระ ชื่อสระ การใช้รูปสระโดยตรง ประสมกับสระอื่น
รูปสระแทนเสียงสระในภาษาไทย โดยใชความรู
-ู ตีนคู้ เขียนข้�งล่�งพยัญชนะ เป็นสระ อู
ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ
เช่น สูง ศูนย์
กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เ- ไม้หน้� เขียนข้�งหน้�พยัญชนะ เป็นสระ เอ ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอะ แอะ เออะ
• การใชรูปแทนเสียงสระในภาษาไทยมีวิธีการ
เช่น เสเพล เออ เอ�ะ เอีย เอือ เอ� เช่น เตะ และ
เขียนไม้หน้�สองรูป เป็นสระ แอ เถอะ เธอ เก�ะ เสีย เรือ เข� ใชอยางไร อธิบายพรอมยกตัวอยางประกอบ
เช่น แรง (แนวตอบ การใชรูปสระแทนเสียงสระ
โ- ไม้โอ เขียนข้�งหน้�พยัญชนะ เป็นสระ ประสมกับสระอื่น เป็นสระ โอะ เช่น โต๊ะ ในภาษาไทย ปรากฏรูปแบบการใช
โอ เช่น โมโห โปะ ดังตอไปนี้
ใ- ไม้ม้วน เขียนข้�งหน้�พยัญชนะแทนเสียง • คงรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคําจะ
อะ เมื่อมี ย เป็นตัวสะกด เช่น เขียนรูปสระปรากฏครบถวน ไดแก สระ
ห + อะ + ย + เสียงโท = ให้ อะ สระอา สระอิ สระอี สระอึ สระอุ สระ
ไ- ไม้มล�ย เขียนข้�งหน้�พยัญชนะแทน ใช้ประสมกับตัว ย ในคำ�ที่ม�จ�ก อู สระเอ สระแอ สระโอ สระออ สระเอีย
เสียงอะ เมือ่ มี ย เป็นตัวสะกด เช่น ภ�ษ�สันสกฤต เช่น ไสย ไวย�กรณ์ และสระเออ
ม + อะ + ย + เสียงตรี = ไม้
• แปลงรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปน
-อ ตัวออ เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ
คําจะแปลงสระเดิมใหเปนอีกรูปแบบหนึ่ง
ออ เช่น ขอ มอง
ไดแก สระอะ สระเอะ สระแอะ และสระเออ
-ว ตัววอ เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ อัว
• ลดรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคํา
เมื่ อ มี ตั ว สะกด เช่ น ช + อั ว + น
= ชวน จะไมปรากฏรูปสระหรือปรากฏบางสวน
-ย ตัวยอ เขียนข้�งหลังพยัญชนะแทนเสียง ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอีย เช่น เปีย ไดแก สระโอะ สระออ สระเออ และสระอัว
อะ เมื่อมี ย เป็นตัวสะกด ในคำ� เสีย • เติมรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคํา
ที่ม�จ�กภ�ษ�สันสกฤต เช่น ไสย จะเติมรูป นอกเหนือจากทีม่ อี ยูแ ลว ไดแก
ไวย�กรณ์ สระอือ)
ฤ รึ แทนเสียงริ เช่น ฤทธิ์ • เพราะเหตุใดจึงตองมีการกําหนดรูปสระ
แทนเสียงรึ เช่น มฤตยู หฤทัย เพื่อแทนเสียงสระในภาษาไทย
แทนเสียงเรอ เช่น ฤกษ์ (แนวตอบ การกําหนดรูปสระเพื่อแทนเสียง
ฤๅ รือ แทนเสียงรือ เช่น ฤๅษี สระในภาษาไทยเพื่อใชเปนสัญลักษณแทน
ฦ ลึ แทนเสียงลึ เสียงใหมีความถูกตองตรงกัน เขียนแบบนี้
ออกเสียงอยางนี้ นอกจากเปนสัญลักษณ
ฦๅ ลือ แทนเสียงลือ เช่น ฦๅช� ฦๅส�ย
ใหเห็นเปนรูปธรรมแลว ยังใชเปนเครือ่ งหมาย
นําในการออกเสียงใหถูกตองชัดเจน)
101

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
รูปสระในขอใดมีเสียงเดียวกัน ครูผูสอนอาจใหนักเรียนรวมกันจัดทําปายนิเทศประจําชั้นเรียนเกี่ยวกับรูปสระ
1. -ะ กับ ใ- ในภาษาไทย เพื่อใชสําหรับเตือนความจําและนําไปใชไดถูกตอง นอกจากนี้ควรให
2. - กับ - นักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ใชรูปสระแตกตางกัน ไดแก คงรูป แปลงรูป ลดรูป
3. เ- กับ โ- และเติมรูป พรอมตรวจสอบความถูกตองของคํานั้นๆ รวมกัน
4. โ- กับ ใ-
วิเคราะหคําตอบ รูปสระ -ะ กับ ใ- ถึงแมจะมีรูปเขียนตางกัน แตมีเสียง
สระเดียวกันคือ เสียงสระ อะ ดังนั้นจึงตอบขอ 1. นักเรียนควรรู
1 รูปสระ ลักษณะสําคัญของรูปสระในภาษาไทยนั้นเปนสระจม กลาวคือ
เปนสระที่ไมสามารถปรากฏไดโดยลําพัง แตจะตองประกอบกับพยัญชนะเสมอ

คู่มือครู 101
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทน 3 คนออกมา
อธิบายความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมาย จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ รูปสระทั้งหมด ๒๑ รูป จะประสมกันเกิดเป็นเสียงสระ รูปสระ
ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียน จะตอง เหล่ำนี้ใช้แทนเสียงสระโดยตรง และประสมกับรูปสระต่ำงๆ เพื่อแทนเสียงสระข้ำงต้น เช่น ะ ใช้แทน
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ เสียงสระอะ และประสมกับรูปอื่นเป็นเสียงสระเอะ แอะ โอะ เอำะ เออะ เป็นต้น นอกจำกนี้
• ลักษณะของเสียงพยัญชนะ รูปสระต่ำงๆ ยังมีวิธีใช้เขียนเมื่อประสมกับพยัญชนะ และประสมกับสระอื่นๆ ที่ต่ำงกัน ดังนี้
• การใชอักษรแทนเสียงพยัญชนะ ๑. เขียนหน้ำพยัญชนะต้น เช่น เฉไฉ ใบไม้ โมเม เป็นต้น
• รูปแบบการใชพยัญชนะในภาษาไทย ๒. เขียนหลังพยัญชนะต้น เช่น สำระ มฤตยู รอก่อน ชวน เป็นต้น
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล ๓. เขียนบนพยัญชนะต้น เช่น มัว กิน ถึง ฝีมือ ก็ดี เป็นต้น
2. ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายความรูเ กีย่ วกับ ๔. เขียนใต้พยัญชนะต้น เช่น มุ่ง กู งู ดุ เป็นต้น
ลักษณะของเสียงพยัญชนะ โดยใชความรู ๕. เขียนโดดๆ โดยไม่ต้องประสมกับพยัญชนะ เช่น ฤทัย ฤๅษี ฦๅชำ เป็นต้น
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ๖. เขียนประสมสระอื่น อำจเขียนบนพยัญชนะ หลังพยัญชนะ หรือล้อมรอบพยัญชนะก็ได้
เพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ เช่น เมีย มือ ถึง เสีย มัว เธอ เลอะ ขนมเปี๊ยะ เป็นต้น
ตอบคําถาม ๗. ไม่มีรูปสระ มีแต่เสียงสระเท่ำนั้น เช่น บ่ ณ ธ ลม เป็นต้น
• เสียงพยัญชนะมีลักษณะสําคัญที่แตกตาง ๒) เสียงและรูปพยัญชนะ
จากเสียงชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร ๒.๑) ต�าแหน่งที่เกิดของเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด
(แนวตอบ เสียงพยัญชนะ เปนเสียงที่เปลง ผ่ำนมำตำมหลอดลม กระทบเส้นเสียงในหลอดลม แล้วผ่ำนมำถึงล�ำคอ ลมที่ออกมำนี้จะถูกกักกั้นไว้
ออกมาจากปอด เดินทางผานหลอดลม ในส่วนต่ำงๆ ของช่องปำกบำงส่วน หรือถูกกักทั้งหมดแล้วจึงปล่อยลมออกมำทำงปำกหรือขึ้นจมูกก็ได้
กลองเสียง เสนเสียง ผานลําคอสูชองปาก ท�ำให้เรำรู้สึกว่ำกำรออกเสียงพยัญชนะไม่สะดวกเท่ำกับกำรออกเสียงสระ จุดที่ลมถูกกักกั้นแล้วปล่อย
โดยใหลิ้นกลอมเกลาเสียงใหกระทบกับ ให้ลมออกมำนั้นเป็นที่เกิดของเสียงพยัญชนะ เรียกว่ำ ที่เกิด ที่ตั้ง หรือฐำนกรณ์ พยัญชนะมีที่เกิด
อวัยวะสวนตางๆ ภายในชองปาก เชน ฟน หลำยแห่ง ดังนี้
ริมฝปาก ปุมเหงือก เพดานออน เพดานแข็ง
๑. เกิดจากการกักลม แล้วปล่อยออกมาจากล�าคอ เช่น เสียง /ก/ /ค/ /ง/
ยกตัวอยาง เสียง /ป/ เปนเสียงพยัญชนะที่
ลมเดินทางผานปอด หลอดลม กลองเสียง 1
๒. เกิดจากการที่เอาลิ้นไปแตะที่เพดานปาก
พดานปาก แล้วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /จ/ /ฉ/ /ย/
เสนเสียง จนกระทั่งลมเดินทางมาถึงบริเวณ 2
ชองปาก กอนที่ลมจะถูกปลอยออกมานั้น ๓. เกิดจากการทีเ่ อาลิน้ ไปแตะทีป่ มุ่ เหงือก แล้
ก วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /ฏ/ /ฑ/ /ฒ/ /ณ/
ริมฝปากไดกักลมไวชั่วระยะหนึ่งกอนที่จะ 3
ปลอยออกมา) ๔. เกิดจากการที่เอาลิ้นไปแตะที่ฟัน แล้วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /ต/ /ถ/ /ท/ /น/
• จากความรู ความเขาใจทั้งหมดของนักเรียน ๕. เกิดจากการกักลมที่ริมฝีปาก แล้วปล่อยเสียงออกมา เช่น เสียง /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/
ขอสังเกตประการสําคัญของเสียงพยัญชนะ
คืออะไร ๖. เกิดในที่ต่างๆ เช่น เสียง /ร/ /ล/ เกิดที่ลิ้น เสียง /ว/ เกิดจากการห่อริมฝีปาก
(แนวตอบ เสียงพยัญชนะจะออกเสียงตาม
ลําพังไมได จะตองมีเสียงสระมากํากับหรือ
ประสมอยูดวยจึงจะสามารถออกเสียง 102
และมีความหมาย)

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดตอไปนี้กลาวไมถูกตองเกี่ยวกับเสียงพยัญชนะ
1 เพดานปาก หรือเพดานแข็ง หมายถึง เพดานสวนที่โคงเปนกระดูกแข็ง 1. พยัญชนะตนเดี่ยวในภาษาไทยมี 44 หนวยเสียง
ซึ่งอวัยวะที่อยูเขาไปจากเพดานแข็งคือ เพดานออน มีลักษณะเปนกระดูกออน 2. หนวยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยมี 21 หนวยเสียง
ที่ขยับขึ้นลงไดเล็กนอย 3. เสียงพยัญชนะมีทั้งที่เปนเสียงกองและเสียงไมกอง
2 ปุมเหงือก เปนสวนที่นูนออกมาตรงบริเวณหลังฟนดานบน เมื่อยกลิ้นแตะดู 4. หนวยเสียงพยัญชนะนาสิก ไดแก ม /m/ น /n/ และ ง /ŋ/
จะรูสึกวามีลักษณะเปนคลื่น
วิเคราะหคําตอบ เสียงพยัญชนะในภาษาไทยมีทั้งสิ้น 21 หนวยเสียง
3 ฟน เปนอวัยวะซึ่งเปนฐานหรือตําแหนงที่เกิดของเสียงหลายชนิด เชน เสียง มีทั้งที่เปนเสียงกองและไมกอง เสียงที่ลมออกทางปาก ทางจมูก
เสียดแทรกที่เกิดระหวางฟนกับริมฝปาก เสียงเสียดแทรกที่เกิดที่ฟน เสียงเกิดที่ฟน หรือเรียกวาเสียงนาสิก ไดแก ม /m/ น /n/ และ ง / ŋ/ เสียงที่ลมถูกกัก
เสียงเสียดแทรก เสียงขางลิ้น เสียงลิ้นรัว ดังนั้นจึงตอบขอ 1.

102 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๒.๒)  ลักษณะและประเภทของเสียงพยัญชนะ ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการใชอักษรแทน
เสียงพยัญชนะในภาษาไทยแบ่งได้หลายประเภท โดยยึดจากลักษณะของลมที่ผ่าน เสียงพยัญชนะ โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
ช่องปากหรือช่องจมูกออกมา ดังตารางต่อไปนี้ จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลมุ ที่ 2 เปนขอมูล
ประเภทของเสียงพยัญชนะ ลักษณะของเสียง เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เสียงระเบิด เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมถูกกักหรือกั้นด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งภายใน • เสียงพยัญชนะในภาษาไทยมีหลายประเภท
ช่องปาก ได้แก่ เสียง /ป/ /ต/ /จ/ /ก/ /อ/ /พ/ /ท/ /ช/ /ค/ /บ/ /ด/ ไดแก เสียงระเบิด เสียงกักหรือเสียงหยุด
เสียงนาสิก เป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมถูกกักไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งภายในช่องปาก แล้วลด เสียงนาสิก เสียงขางลิน้ เสียงรัว เสียงกระทบ
ลิ้นไก่ลงท�าให้ลมออกไปทางจมูก ได้แก่ เสียง /ม/ /ง/ /น/
เสียงข้างลิ้น เป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาแล้วลมถูกกักไว้ภายในช่องปาก แล้วปล่อยให้ลมบางส่วน
เสียงเสียดแทรก เสียงกึ่งสระ นักเรียนคิดวา
ออกไปทางข้างลิ้น ได้แก่ เสียง /ล/ ความแตกตางดังกลาวมีสาเหตุจากอะไร
เสียงกระทบ เ ป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาขณะทีป่ ลายลิน้ สัน่ สะบัด ถ้าปลายลิน้ สัน่ หลายครัง้ จะเกิด (แนวตอบ สาเหตุที่ทําใหพยัญชนะแตละ
เป็นเสียงรัว ถ้าปลายลิ้นสะบัดเพียงครั้งเดียวเรียกเสียงกระทบ ได้แก่ เสียง /ร/ หนวยเสียงมีความแตกตางกัน เพราะลมที่
เสียงเสียดแทรก เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมต้องบีบตัวผ่านช่องแคบๆ ท�าให้เกิดเสียงซู่ซ่า
ได้แก่ เสียง /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ ผานออกมาจากแหลงกําเนิด กอนถูกปลอย
เสียงกึ่งสระ เป็นเสียงเลื่อนระหว่างเสียงสระ ๒ เสียง ได้แก่ เสียง /ย/ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดเมื่อ ออกมา ไดถูกอวัยวะในชองปากกลอมเกลา
อวัยวะออกเสียงเลื่อนจากต�าแหน่งสระอิ หรือ อี ไปยังสระที่ตามมา ส่วนเสียง จนกระทั่งมีเสียงที่แตกตางกัน และมี
/ว/ เป็นเสียงกึ่งสระที่เกิดเมื่ออวัยวะออกเสียงเลื่อนจากต�าแหน่งสระอุ หรือ อู
ไปยังสระที่ตามมา บางเสียงที่ลมผานออกมาทางชองจมูก)
• เสียงนาสิก มีลักษณะสําคัญอยางไร
๒.๓)  การใช้อักษรแทนเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะในภาษาไทย มี ๒๑ หน่วยเสียง คือ
(แนวตอบ เสียงนาสิก หมายถึง พยัญชนะกอง
เสียง /ก/ /ค/ /ง/ /จ/ /ช/ /ซ/ /ด/ /ต/ /ท/ /น/ /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/ /ย/ /ร/ /ล/ /ว/ /อ/ /ฮ/
ที่ออกเสียงโดยลมถูกกักไว ณ ที่ใดที่หนึ่งใน
มีตัวอักษรแทนเสียงพยัญชนะ ๔๔ รูป พยัญชนะบางเสียงมีรูปมากกว่าเสียง ดังนี้
ชองปาก แลวลดลิน้ ไกลงทําใหลมผานออกไป
เสียงพยัญชนะ รูปพยัญชนะ เสียงพยัญชนะ รูปพยัญชนะ ทางชองจมูก ไดแก เสียง น /n/ ม /m/ และ
๑. /ก/ ก ๑๒. /ป/ ป ง /ŋ/)
๒. /ค/ ข ฃ ค ฅ ฆ ๑๓. /พ/ ผ พ ภ • หนวยเสียงพยัญชนะตนในภาษาไทย
๓. /ง/ ง ๑๔. /ฟ/ ฝ ฟ มีทั้งสิ้นกี่หนวยเสียง
๔. /จ/ จ ๑๕. /ม/ ม (แนวตอบ 21 หนวยเสียง)
๕. /ช/ ฉ ช ฌ ๑๖. /ย/ ย ญ
๖. /ซ/ ซ ศ ษ ส ๑๗. /ร/ ร
๗. /ด/ ด ฎ ฑ ๑๘. /ล/ ล ฬ
๘. /ต/ ต ฏ ๑๙. /ว/ ว
๙. /ท/ ท ธ ฑ ฒ ถ ฐ ๒๐. /อ/ อ
๑๐. /น/ น ณ ๒๑. /ฮ/ ห ฮ
๑๑. /บ/ บ

103

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการใชพยัญชนะในภาษาไทย โดยใชเปน ครูควรยกตัวอยางการอธิบายเสนทางการเดินทางของเสียงพยัญชนะใหนกั เรียน
พยัญชนะตนเดี่ยว พยัญชนะควบกลํ้า และพยัญชนะทายหรือตัวสะกด ฟง เพือ่ ใหมองเห็นทิศทางการปฏิบตั งิ านของตนเอง เชน เสียง ง /ŋ/ เปนเสียงนาสิก
อธิบายคํานิยามและยกตัวอยางคําประกอบใหชดั เจน นําเสนอผลการศึกษา เกิดที่ฐานเพดานออน เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวนหลังจะขึ้นไปแตะเพดานออน
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ลมจะถูกกักในบริเวณดังกลาว ในขณะเดียวกันเพดานออนและลิ้นไกจะลดระดับ
ลงมาทําใหลมผานออกไปทางชองจมูกได เมือ่ เปดเพดานออน ลมจะออกทางปากดวย
ขณะทีเ่ ปลงเสียงนัน้ เสนเสียงอยูช ดิ กันแตไมสนิท ลมจากปอดจะผานเสนเสียงขึน้ มา
กิจกรรมทาทาย ทําใหเสนเสียงเกิดการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ครูควรใหนักเรียนออกมานําเสนอ
ผลการศึกษาจากการปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย เพื่อเปนการ
แลกเปลี่ยนขอมูลซึ่งกันและกัน เกิดความรู ความเขาใจที่ถูกตองตรงกัน
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการออกเสียงพยัญชนะทั้ง 21 หนวยเสียง วามี
วิธีการเดินทางของเสียงตั้งแตตนกําเนิดของเสียงจนกระทั่งลมถูกปลอย
ออกมาอยางไร นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเ ฉพาะบุคคล สงครู

คู่มือครู 103
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับรูปแบบการใช ๒.๔) การใช้พยัญชนะ สำมำรถแบ่
1 งได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้
พยัญชนะในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ๑. พยัญชนะต้นเสียง คือ พยัญชนะทีอ่ ยูต่ น้ ค�ำหรือต้นพยำงค์
พย ซงึ่ ใช้ได้ ๓ ลักษณะ ดังนี้
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พยัญชนะต้นเสียง ลักษณะพยัญชนะต้น ตัวอย่าง
• เสียงพยัญชนะในภาษาไทย หากแบงโดยใช พยัญชนะต้นเดี่ยว พยัญชนะหนึ่งตัวอยู่ต้นคำ� หรือต้นพย�งค์ ซึ่ง กิน นั่ง พูด ยืน เดิน
เกณฑการนําไปใชหรือการประกอบรูปคํา หน่ ว ยเสี ย งพยั ญ ชนะทั้ ง ๒๑ หน่ ว ยเสี ย ง ใน
จะแบงไดกี่ประเภท อะไรบาง ภ�ษ�ไทยส�ม�รถปร�กฏเป็นพยัญชนะต้นของ
(แนวตอบ 3 ประเภท ไดแก พยัญชนะตน พย�งค์ ได้ทุกหน่วยเสียง
พยัญชนะควบกลํ้า และพยัญชนะทาย) /ปร/ แปร ปรับ
• พยัญชนะควบกลํ้าในภาษาไทยปรากฏ /ปล/ ปล� ปลอบ
เปนพยัญชนะตน ไดจํานวนกี่เสียง
/ตร/ ตรง แตร
และอะไรบาง
(แนวตอบ 11 คู ไดแก /ปร/ /ปล/ /ตร/ /กล/ /กล/ กล้� กลอง
พยัญชนะควบแท้ในภ�ษ�ไทยมีหน่วย
/กร/ /กว/ /พล/ /พร/ /คล/ /คร/ และ /คว/) เสียงพยัญชนะที่ส�ม�รถออกเสียง /กร/ กรุง เกรียว
• นักเรียนตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับเสียงพยัญชนะ ควบกลำ้� คือ ออกเสียงพยัญชนะ /กว/ กว�ง กว�ด
ควบกลํา้ ตอไปนี้ /บร/ /บล/ /ดร/ /ทร/ /ฟร/ ๒ เสียง ติดต่อกัน โดยไม่มีเสียงสระ /พล/ เพลง พลู ผลิ
พยัญชนะควบกลำ้� คั่นกล�ง ปร�กฏทั้งสิ้น ๑๑ คู่
/ฟล/ /ซตร/ แตกตางจากพยัญชนะควบกลํ้า
/พร/ พร�น พริก พฤกษ์
ทั้ง 11 คูอยางไร
(แนวตอบ พยัญชนะควบกลํ้า /บร/ /บล/ /ดร/ /คล/ คล�น คล้อย เขล�
/ทร/ /ฟร/ /ฟล/ /ซตร/ เปนพยัญชนะ /คร/ ครอง เคร� ขรัว
ควบกลํ้าที่เกิดขึ้นจากการยืมคําในภาษา /คว/ คว�ม คว้�ง ขว�ง
อังกฤษมาใช) พยัญชนะควบไม่แท้ คือ คำ�ที่ประสมกับพยัญชนะ จริง เศร้� ไซร้ สระ สร้�ง สร้อย (หรือ
• พยัญชนะทายทั้ง 9 หนวยเสียงปรากฏ ตัวอืน่ แล้วออกเสียงเพียงเสียงเดียว ตัวทีม่ �ควบกลำ�้ อ�จออกเสียงเป็นเสียงอืน่ ไป เช่น ทร�บ
ในตําแหนงใดของการประสมหนวยคํา ด้วยไม่ออกเสียง พุทร� ต้นไทร ฉะเชิงเทร� ทรัพย์)
(แนวตอบ ปรากฏตามหลังสระ) อักษรนำ� พยั ญ ชนะต้ น สองเสี ย งที่ อ อกเสี ย งร่ ว มกั น สนิ ท หม� หมอ หมู หนู แหน หน� หนี หง�ย
และทำ�ให้เสียงพยัญชนะตัวทีส่ องเสียงสูงขึน้ กว่�เดิม หรูหร� หลวม อย่� อยู่ อย่�ง อย�ก
เสียงพยัญชนะทัง้ สองเสียงประสมกันแต่ไม่กลมกลืน กนก ขนม ขนุน เฉลิม ฉล�ด ตล�ด
กันสนิท จึงมีเสียง อะ กล�งคำ�กึ่งเสียง ตลก ตลอด ฝรั่ง สน�ม สนุกสน�น

104

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีเสียงพยัญชนะควบกลํ้ามากที่สุด
ครูควรใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ขึ้นตนดวยพยัญชนะควบกลํ้าใน
1. อยาเลนสนุกสนานครื้นเครงบนซากปรักหักพัง
ภาษาไทย ทั้งควบแทและควบไมแท รวมถึงคําที่ขึ้นตนดวยพยัญชนะควบกลํ้าที่เกิด
2. ครอบครัวนี้รวมพลังสูผีพรายในนิทานปรัมปรา
จากการยืมคําในภาษาอังกฤษมาใช ตรวจสอบความถูกตอง และวิธีการออกเสียงที่
ถูกตองรวมกัน จากนั้นจึงใหนักเรียนบันทึกคําลงในสมุด สงครู 3. เหลาวัวควายเดินกินนํ้าบริเวณหนองนํ้าใกลทุงนา
4. นกปรอดสีขาวบินปรอบนทองฟาเวลายามเย็น
วิเคราะหคําตอบ ขอสอบลักษณะนี้ถาหากโจทยใหหาเสียงพยัญชนะ
นักเรียนควรรู ควบ ตองหาทั้งคําควบแทและคําควบไมแท แตถาโจทยใหหาพยัญชนะ
1 พยัญชนะตนเสียง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่ปรากฏหนาสระในพยางคหนึ่งๆ ควบกลํ้า ตองหาเฉพาะคําควบแท จากคํานิยามนี้ ขอ 1. ไดแกคําวา
ในภาษาไทยทุกพยางคจะขึ้นตนดวยเสียงพยัญชนะ โดยอาจเปนเสียงพยัญชนะ ครื้น เครง ขอ 2. ไดแกคําวา ครอบ ครัว พราย ขอ 3. ไดแกคําวา
เดี่ยวหรือควบกลํ้าก็ได แตจะไมมีพยางคที่ขึ้นตนดวยสระ ควาย ใกล และขอ 4. ไดแกคําวา ปรอ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

104 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 3 คน ออกมา
๒. พยั พยัญชนะท้ายเสียงง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่อยู่ท้ายค�าหรือพยางค์ เรียกว่า อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
มาตราตัวสะกด มีทั้งหมด จ�านวน ๘ เสียง ดังนี้ ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียนจะตอง
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
มาตราตัวสะกด เสียง รูปพยัญชนะท้าย ตัวอย่าง
• ลักษณะของเสียงวรรณยุกต
๑. แม่กก /ก/ ก ข ค ฆ ปัก สุข ยุค เมฆ • รูปและเสียงของวรรณยุกต
๒. แม่กด /ต/ ด ฎ ต ฏ จ ช ท ธ โปรด กฎ ชาติ ปรากฏ นิจ คช บาท • หลักการผันเสียงวรรณยุกต
ศ ษ ส ซ ฐ ฑ ฒ ถ พุธ อากาศ โทษ รส ก๊าซ อิฐ ครุฑ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
วัฒนา รถ 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู
๓. แม่กบ /ป/ บ ป พ ฟ ภ ลบ บาป เทพ กราฟ โลภ เกี่ยวกับลักษณะของเสียงวรรณยุกต โดย
๔. แม่กง /ง/ ง ลิง แสง แห่ง ใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
๕. แม่กน /น/ น ณ ญ ร ล ฬ ซน คุณ กาญจน์ พร นิล กาฬ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูล
๖. แม่กม /ม/ ม ชม คาม เข็ม เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
• เสียงวรรณยุกตมีลักษณะสําคัญที่แตกตาง
๗. แม่เกย /ย/ ย ขาย ควาย เชย
จากเสียงชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร
๘. แม่เกอว /ว/ ว หิว แว่ว ขาว แก้ว เลี้ยว เปรี้ยว
(แนวตอบ เสียงวรรณยุกตเปนเสียงที่มี
ทํานองสูง ตํ่า ดังนั้น ขอสังเกตเกี่ยวกับ
เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์นี้ ถ้าตัวใดมีเครื่องหมายทัณฑฆาต (-์) ก�ากับอยู่แสดงว่าพยัญชนะ
เสียงวรรณยุกต คือ เสียงวรรณยุกตเปน
ตัวนั้นไม่ต้องออกเสียง จะออกเสียงเฉพาะเสียงพยัญชนะท้ายตัวที่เหลือ เช่น พิมพ์ (พิม) ศุกร์ (สุก)
เสียงดนตรี หากเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต
พจน์ (พด) ทิพย์ (ทิบ) วงศ์ (วง) พิพัฒน์ (พิพัด) จะทําใหความหมายของคําเปลี่ยนแปลงไป)
๓) เสียงและรูปวรรณยุกต์ • วรรณยุกตระดับและวรรณยุกตเปลี่ยนระดับ
๓.๑) ลักษณะและประเภทของเสียงวรรณยุกต์ วรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายแสดงระดับ มีความแตกตางกันอยางไร
เสียงสูงต�่าในภาษา ค�าที่มีรูปพยัญชนะและสระเหมือนกัน ถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน จะท�าให้ค�า (แนวตอบ วรรณยุกตระดับ คือ วรรณยุกต
มีความหมายต่างกัน เช่น ที่มีเสียงสูงหรือตํ่าคงที่ ไดแก เสียงสามัญ
เอก และตรี สวนวรรณยุกตเปลี่ยนระดับ คือ
นา น่า น้า ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า ไข ไข่ ไข้ เรือ เรื่อ เรื้อ วรรณยุกตที่มีการเปลี่ยนระดับเสียงจากสูง
ไปตํ่า หรือตํ่าไปสูงในพยางคเดียวกัน ไดแก
เสียงวรรณยุกต์จะปรากฏทุกครั้งเมื่อมีการออกเสียง ค�าไทยทุกค�าจะปรากฏเสียง
เสียงวรรณยุกตโท โดยเปลี่ยนจากระดับสูง
วรรณยุกต์ก�ากับอยู่ด้วยเสมอ ค�าบางค�ามีรูปวรรณยุกต์ก�ากับหรืออาจจะไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับอยู่
ลงมาตํ่า และเสียงวรรณยุกตจัตวา โดย
ก็ได้ วรรณยุกต์มี ๔ รูป ๕ เสียง ดังนี้ เปลี่ยนจากระดับตํ่าขึ้นสูง)

105

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับพยัญชนะทายเสียงหรือพยัญชนะสะกด เกร็ดแนะครู
ขอใดมีเสียงพยัญชนะสะกดตางจากขออื่น
เพื่อเพิ่มความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับพยัญชนะสะกดหลายเสียง
1. ขาว 2. ตัว
ในภาษาอังกฤษ เมื่อภาษาไทยยืมคํานั้นๆ มาใชไดมีการตัดเสียงพยัญชนะทายให
3. ผิว 4. เกี่ยว
เหลือเพียงเสียงเดียว เชน “world” เมื่อยืมมาใชในภาษาไทยไดตัดพยัญชนะที่อยู
วิเคราะหคําตอบ พยัญชนะสะกด หรือพยัญชนะทายเสียง เมื่อนําไป
หนาตัวสะกดออก แลวใสเครื่องหมายทัณฑฆาตไวบนพยัญชนะตัวสะกดตัวสุดทาย
ประกอบรูปคําจะปรากฏในตําแหนงทายคําหรือทายพยางค ซึง่ ในภาษาไทย
เปน “เวิลด”
มี 9 มาตรา ไดแก แม ก.กา แมกก แมกด แมกบ แมกง แมกน แมกม
แมเกย และแมเกอว จากตัวเลือกในขอ 1. พยัญชนะสะกด คือ /ว/ ขอ 2.
ไมมีเสียงพยัญชนะสะกด เปนคําในมาตรา แม ก. กา ประสมดวย สระ -ัว นักเรียนควรรู
ขอ 3. พยัญชนะสะกด คือ /ว/ และขอ 4. พยัญชนะสะกด คือ /ว/
ดังนั้นจึงตอบขอ 2. 1 พยัญชนะทายเสียง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่ปรากฏหลังสระ เปนเสียง
สะกดของพยางค ซึ่งพยัญชนะทายในภาษาไทยจะปรากฏไดเพียงครั้งละเสียง
แตกตางจากภาษาอื่นๆ เชน ภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะมีเสียงพยัญชนะสะกด
ไดครั้งละหลายเสียง

คู่มือครู 105
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับเสียงวรรณยุกต เสียง รูป ระดับเสียง ตัวอย่าง หมายเหตุ
ในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ วรรณยุกต์ วรรณยุกต์
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูล สามัญ - ปานกลาง มีระดับ กิน ทอง ลืม ย�า ไม่มีรูปวรรณยุกต์แทนเสียง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม เสียงคงที่
• เสียงวรรณยุกตในภาษาไทยแบงออกเปน เอก ต�่าสุด มีเสียงคงที่ เก่ง ผ่า หนัก สุข บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์
กี่ประเภท และมีความแตกตางกันอยางไร ่
สม�่าเสมอ ก�ากับ
(แนวตอบ วรรณยุกตในภาษาไทยแบงเปน
2 ประเภท คือ วรรณยุกตมีรูปและวรรณยุกต โท ้ ตอนต้นเป็นเสียงสูง ใกล้ ข้า ค่า ช่าง บางค�ามีรูปวรรณยุกต์ ่ ก�ากับ
ปลายเสียงเปลี่ยน มาก นาบ แต่มีเสียงวรรณยุกต์โท
ไมมรี ปู ซึง่ วรรณยุกตมรี ปู หมายถึง วรรณยุกต ระดับเป็นเสียงต�่า บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
ที่มีเครื่องหมายบอกระดับเสียงใหเห็นชัดเจน
อยูบนพยัญชนะ มี 4 รูป ไดแก เอก โท ตรี ตรี ๊ สูง โต๊ะ จ๊ะ กั๊ก รัก บางค�ามีรูปวรรณยุกต์ ้ ก�ากับ
คิด น้อง ไว้ ใช้ แต่มีเสียงวรรณยุกต์ตรี
และจัตวา สวนวรรณยุกตไมมีรูป ไดแก บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
เสียงที่มีทํานอง สูง ตํ่าของอักษร ไมมีรูป
วรรณยุกตกํากับก็สามารถอานออกเสียงได จัตวา ตอนต้นเสียงต�่า แจ๋ว ก๋วยเตี๋ยว บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
๋ ตอนปลายเสียงเป็น เหลือง เขียว
เหมือนมีรูปวรรณยุกตกํากับ เชน ฝาย เปน ระดับเสียงที่สูงขึ้น
คําพื้นเสียงของอักษรสูง ซึ่งคําพื้นเสียงของ
อักษรสูง คือ เสียงจัตวา แมไมปรากฏ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า ค�าไทยทุกค�าต้องมีเสียงวรรณยุกต์ก�ากับเสมอ เสียงบางเสียง
รูปวรรณยุกตจัตวาแตก็สามารถออกเสียง อาจมีรูปหรือไม่มีรูปก็ได้
จัตวาได) วรรณยุกต์ที่มีแต่เสียงไม่มีรูป เช่น
• นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไร เกี่ยวกับ
คําในภาษาไทยที่เมื่อเปลี่ยนรูปและเสียง กา มา เดือน เสียงสามัญ
วรรณยุกตแลว จะทําใหความหมายของคํา ขาด จาก หลบ เสียงเอก
เปลี่ยนแปลงไป ฆาต แรด พูด เสียงโท
(แนวตอบ ชวยใหภาษาไทยมีคําสําหรับ รัก น้อง วัด เสียงตรี
ใชสื่อสารมากขึ้นในชีวิตประจําวัน) สาว ขา สวย เสียงจัตวา

ส�าหรับวรรณยุกต์ที่มีรูป รูปกับเสียงอาจไม่ตรงกันก็ได้

106

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ประโยคในขอใดปรากฏคําที่มีเสียงวรรณยุกตไมตรงกับรูปมากที่สุด
การเรียนการสอนในหัวขอหลักการผันเสียงวรรณยุกต ครูควรใหคํานิยาม 1. พี่ของฉันเปนคนนารัก 2. ในปามีแตตนไม
เกี่ยวกับการผันเสียงวรรณยุกต ดังนี้ การผันเสียงวรรณยุกต หมายถึง การเปลี่ยน 3. กระตายตื่นตูม 4. เขาไมมีที่ไป
เสียงวรรณยุกตของพยางคที่ประกอบขึ้นจากพยัญชนะตนกับสระ หรือพยัญชนะตน
กับสระและตัวสะกดเดียวกัน โดยใสรูปวรรณยุกตที่ตางกันก็จะทําใหความหมาย วิเคราะหคําตอบ หากนักเรียนมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับไตรยางศ
ของคําแตกตางกันดวย นอกจากนี้ยังทําใหเกิดคําเปน คําตาย ขึ้นในภาษาไทย จะทําใหสามารถทําขอสอบขอนี้ไดงายและรวดเร็วขึ้น เมื่อสังเกตจาก
ซึ่งเอื้อประโยชนตอการนําไปประกอบการแตงบทรอยกรองเพื่อใหตรงฉันทลักษณ ตัวเลือกจะเห็นวา ขอ 3. เปนคําที่ประสมดวยพยัญชนะที่เปนอักษรกลาง
มากที่สุด ซึ่งโดยสวนใหญจะออกเสียงตรงกับรูปวรรณยุกตมีเพียงคําวา
กระ คําเดียวทีไ่ มมรี ปู วรรณยุกตกาํ กับแตออกเสียงเปนเสียงเอก ซึง่ ตัวเลือก
มุม IT ในขอ 3. จึงตัดทิ้งไดทันที พิจารณาวรรณยุกตที่มีเสียงไมตรงกับรูป
หมายถึง มีรูปวรรณยุกตกํากับแตเวลาอาน อานออกเสียงไมตรงกับรูป
นักเรียนสามารถคนควาความรู ความเขาใจเกี่ยวกับพยัญชนะไทย วรรณยุกตที่กํากับอยูขางบน ขอ 1. ไดแกคําวา พี่ ของ ฉัน นา รัก ขอ 2.
และการผันวรรณยุกตไดจากเว็บไซต www.st.ac.th/bhatips/gramma3.htm ไดแกคําวา ไม ขอ 4. ไดแกคําวา เขา ไม ที่ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.

106 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการ
วรรณยุกต์ที่มีเสียงตรงกับรูป เช่น ผันเสียงวรรณยุกตที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ
ข่ำ สง่ำ หมี่ วรรณยุกต์รูปเอก เสียงเอก
ตอบคําถาม
ก้อง จ้ำ ป้ำ วรรณยุกต์รูปโท เสียงโท
• จากที่นักเรียนเคยทราบวา มีการแบง
โต๊ะ แก๊ส กัก๊ วรรณยุกต์รูปตรี เสียงตรี
พยัญชนะออกเปน อักษรสูง อักษรกลาง
แต๋ว จ๋ำ ปิ๋ม วรรณยุกต์รูปจัตวำ เสียงจัตวำ
และอักษรตํ่า การแบงพยัญชนะในลักษณะ
ดังกลาวมีประโยชนอยางไร
วรรณยุกต์ที่มีเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น
(แนวตอบ การจําแนกพยัญชนะเปนอักษรสูง
ว่ำ ค่ำ ง่ำย โล่ง วรรณยุกต์รูปเอก เสียงโท อักษรกลาง และอักษรตํ่า ทําใหสามารถ
ร้อน น้อง ฟ้ำ ค�้ำ วรรณยุกต์รูปโท เสียงตรี ผันคําใหมีเสียงและรูปตางๆ กันได เมื่อ
คําเหลานั้นมีเสียงและรูปตางกันจะทําให
๓.๒) หลักการผันเสียงวรรณยุกต์ เนื่องจำกเสียงวรรณยุกต์จะใช้ควบคู่กับรูปพยัญชนะ ความหมายของคําตางกันดวย เชน ปา ปา
ดังนั้น ในกำรผันเสียงวรรณยุกต์เพื่อแยกควำมหมำยของค�ำ ผู้เรียนจ�ำเป็นต้องมีควำมรู้เกี่ยวกับ ปา ปา ปา คําทั้ง 5 คํา ลวนมีเสียง รูป และ
ไตรยำงศ์ หรืออักษรสำมหมู่ และเรื่องค�ำเป็น ค�ำตำย พอสังเขป ดังนี้ ความหมายที่ตางกันในบริบทที่แตกตางกัน
๑. ไตรยำงศ์ คือ กำรจัดพยัญชนะไทยทั้ง ๔๔ รูป แบ่งเป็นสำมหมู่เพื่อให้สะดวก ทําใหภาษาไทยมีคําใชเพิ่มมากขึ้น)
ในกำรผันอักษร ดังนี้ • การผันเสียงวรรณยุกตชวยทําใหภาษาไทย
มีคําใชเพิ่มขึ้นไดอยางไร
ไตรยางศ์ (แนวตอบ การผันเสียงวรรณยุกตเมื่อรูป
1 วรรณยุกตที่ใชกํากับขางบนคํานั้นๆ
อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต�่า เปลี่ยนไป เสียงที่ไดก็จะเปลี่ยนไป สงผลให
ความหมายของคําเปลี่ยนแปลงไปดวย
ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ภ
ฟ ฮ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ
เชนกัน จึงทําใหมีคําใชในความหมายที่
แตกตางกัน เชน ฉันปาลูกดอก พอไป
เดินปา ปาของฉันเปนคนใจดี เปนตน)
• วรรณยุกตสามารถออกเสียงไมตรงกับรูปได
๒. ค�ำเป็น คือ ค�ำที่ประสมกับสระเสียงยำวในแม่ ก กำ เช่น พี่ ป้ำ ไป เรือ และ
นักเรียนยกตัวอยางคําที่ตรงกับขอสังเกต
ค�ำที่สะกดในแม่กง กน กม เกย เกอว เช่น ลุง กิน นม เลย หิว รวมทั้งค�ำที่ประสมด้วยเสียงอ�ำ ไอ ใอ
(แนวตอบ คําที่ออกเสียงไมตรงกับรูป
เอำ เช่น น�้ำ ไม่ ใจ เมำ
วรรณยุกต เชน อักษรตํ่า ถามีรูปวรรณยุกต
๓. ค�ำตำย คือ ค�ำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กำ เช่น มะระ เกะกะ เอะอะ
เอกจะอานออกเสียงเปนเสียงโท เชน คา
เลอะเทอะ และค�ำที่สะกดในแม่กก กด กบ เช่น นก มด จับ
และถามีรูปวรรณยุกตโท จะอานออกเสียง
เปนเสียงตรี เชน นํา้ หรืออักษรสูงในคําวา ขา
107 ไมปรากฏรูปวรรณยุกตแตเวลาอานออกเสียง
จะออกเสียงเปนเสียงจัตวา)

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับไตรยางศ เกร็ดแนะครู
ขอใดใชพยัญชนะตนของคําเปนอักษรตํ่าคูทั้งหมด
ครูควรจัดกิจกรรมยอยภายในชั้นเรียน โดยใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยาง
1. งูใหญในรั้ววัดโมลี
พยัญชนะในหมวดอักษรสูงที่มีเสียงคูกับพยัญชนะในหมวดอักษรตํ่าคู
2. ฉันฝากถุงขาวสวยใหผอง
3. การจัดเด็กตองบอกปาอบ
4. คนแซเฮงชอบแฟนพันธุแท
วิเคราะหคําตอบ อักษรตํ่าคู หรืออักษรตํ่าที่มีเสียงคูกับอักษรสูง นักเรียนควรรู
มี 14 ตัว ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ ซึ่งตัวเลือกในขอ 1. 1 อักษรตํ่า คือ พยัญชนะที่มีพื้นเสียงเปนเสียงสามัญ มี 24 ตัว แบงเปน
เปนอักษรตํ่าเดี่ยวทุกตัว ขอ 2. เปนอักษรสูงทุกตัว ขอ 3. เปนอักษรกลาง อักษรตํ่าคู และอักษรตํ่าเดี่ยว ซึ่งอักษรตํ่าคู คืออักษรตํ่าที่มีเสียงคูกับอักษรสูง
ทุกตัว ดังนั้นจึงตอบขอ 4. มี 14 ตัว ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ และอักษรตํ่าเดี่ยว คือ
อักษรตํ่าที่ไมมีเสียงคูกับอักษรสูงมี 10 ตัว ไดแก ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ

คู่มือครู 107
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม ตามความสมัครใจ
โดยใหมีจํานวนสมาชิกเทาๆ กัน ดังนี้ การผันวรรณยุกต์ของอักษรต�่าค�าเป็นและอักษรต�่าค�าตายมีข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งว่า
กลุมที่ 1 อักษรสูง อักษรต�่าค�าตาย และอักษรต�่าค�าเป็นนั้นจะมีพื้นเสียงที่แตกต่างกัน ดังจะได้แสดงไว้ในวิธีผันเสียง
กลุมที่ 2 อักษรกลาง วรรณยุกต์ต่อไปนี้
กลุมที่ 3 อักษรตํ่า
ใหแตละกลุม ออกมาเลนเกม “ผันคําตามเงือ่ นไข” ลักษณะพยางค์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
เริ่มจากกลุมที่ 1 อักษรสูง ออกมาหนาชั้นเรียน ข่� ข้� ข�
จากนัน้ ใหสมาชิกภายในกลุม เลือกทีจ่ ะเปนพยัญชนะ คำ�เป็น ฝ่�ย ฝ้�ย ฝ�ย
สระ หรือวรรณยุกตตามใจชอบไดคนละ 2 ตัว อักษรสูง เสื่อ เสื้อ เสือ
ไมซํ้ากันและเขียนลงบนฝามือทั้งสองขางของตนเอง ขะ ข้ะ
จากนั้นครูกําหนดเงื่อนไขใหสรางคําที่ประสมดวย คำ�ต�ย
ขัด ขั้ด
อักษรสูง คําเปน เสียงโท นักเรียนในกลุมจะตอง ข�ด ข้�ด
ชวยกันประสมคําใหไดตามเงื่อนไขดังกลาว
สมาชิกคนอื่นๆ ภายในกลุมที่ไมไดเปนหนึ่งในคํา ก� ก่� ก้� ก๊� ก๋�
คำ�เป็น กัน กั่น กั้น กั๊น กั๋น
ที่ประสมนั้นใหนั่งลง ลอมรอบเพื่อนที่เปนตัวแทน
ก�ง ก่�ง ก้�ง ก๊�ง ก๋�ง
ของคําที่ประสมขึ้น ตัวแทนของคําใหชูฝามือของ อักษรกลาง
ตนเองขางใดขางหนึ่งที่เปนสวนประกอบของคําให คำ�ต�ย
จะ จ้ะ จ๊ะ จ๋ะ
เพื่อนๆ รวมชั้นเรียนไดเห็น จากนั้นครูสุมเรียกชื่อ จับ จั้บ จั๊บ จั๋บ
นักเรียนในกลุมที่ 2 หรือ 3 อธิบายความรูวาการผัน จ�บ จ้�บ จ๊�บ จ๋�บ
วรรณยุกตของเพื่อนถูกตองหรือไม เพราะเหตุใด ค� ค่� ค้�
ซึ่งนักเรียนในกลุมที่ 1 อาจประสมไดคําวา “ฝาย” คำ�เป็น คัน คั่น คั้น
แสดงวาการประสมคํานั้นถูกตอง แตถานักเรียน ว�ว ว่�ว ว้�ว
ประสมไดคําวา “ฝาย” คํานี้ไมถือวาถูกตองตาม อักษรต�่า คำ�ต�ย ค่ะ คะ
เงื่อนไข เพราะ “ฝาย” ประสมดวยอักษรสูง คําเปน สระเสียงสั้น คึ่ก คึก
แตเปนเสียงจัตวา จากนั้นจึงใหแตละกลุมสลับกัน คำ�ต�ย ว�ก ว้�ก
สระเสียงย�ว เชิด เชิ้ด
ออกมาเลนเกมจนครบทุกกลุม โดยกลุมที่ไมไดเลน
จะเปนกลุมที่อธิบายความรูเกี่ยวกับคําที่เพื่อนผัน อักษรกลางผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง ขณะที่อักษรสูงและอักษรต�่าไม่สามารถผันครบ ๕ เสียงได้
จากนั้นใหสรุปความรูรวมกันเกี่ยวกับการผันเสียง ทั้งยังมีรูปและเสียงไม่ตรงกัน แต่มีวิธีผันอักษรสูง อักษรต�่าให้ครบ ๕ เสียงได้ ดังนี้
วรรณยุกตลงสมุด

108

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีเสียงวรรณยุกตครบทั้งหาเสียง
เกมที่ใหนักเรียนปฏิบัติในกระบวนการอธิบายความรู (Explain) เปนเกมที่ 1. เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง
สรางสรรคขึ้นมาเพื่อใหนักเรียนไดประมวลความรูทั้งหมด ซึ่งความรูที่จะทําให 2. ฉันรักภาษาไทยมากที่สุด
สามารถเลนเกมนี้ไดถูกตอง คือ ความรูเกี่ยวกับการประสมคําจากเสียงสระ 3. หมูหมากาไก หมูไปไกมา
เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต อักษรสามหมู (ไตรยางศ) คําเปน คําตาย การผัน 4. ฉันภาคภูมิใจในภาษาไทยของเรา
วรรณยุกต ถาสมมติวา นักเรียนกลุม ที่ 1 ไมมใี ครเลือกเปนพยัญชนะในหมูอ กั ษรสูงเลย
นักเรียนก็จะไมสามารถประสมคําได ในขณะเดียวกัน นักเรียนที่เปนกลุมอักษรตํ่า วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. “เรื่อย” เสียงโท “มา” เสียงสามัญ และ “เรียง”
หากไดรับเงื่อนไขใหผสมคําจากอักษรตํ่า คําตาย เสียงตรี แตนักเรียนประสมคํา เสียงสามัญ ขอ 2. “ฉัน” เสียงจัตวา “รัก” เสียงตรี “ภา” เสียงสามัญ
ไดเปนคําวา “นํ้า” นั่นแสดงวา นักเรียนยังไมมีความรูเกี่ยวกับคําเปนและคําตาย “ษา” เสียงจัตวา “ไทย” เสียงสามัญ “มาก” เสียงโท “ที่” เสียงโท “สุด”
เพราะคําที่นักเรียนประสมได เปนอักษรตํ่า คําเปน รูปโท เสียงตรี เสียงเอก ขอ 3. “หมู” เสียงจัตวา “หมา” เสียงจัตวา “กา” เสียงสามัญ
“ไก” เสียงเอก “ไป” เสียงสามัญ “มา” เสียงสามัญ และขอ 4. “ฉัน”
เสียงจัตวา “ภาค” เสียงโท “ภูมิ” เสียงสามัญ “ใจ” เสียงสามัญ “ใน”
เสียงสามัญ “ภา” เสียงสามัญ “ษา” เสียงจัตวา “ไทย” เสียงสามัญ “ของ”
เสียงจัตวา “เรา” เสียงสามัญ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

108 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 1 คน ออกมา
๑. อักษรต�่ำที่มีเสียงคู่กับอักษรสูง สำมำรถผันคู่กันได้ ดังนี้ อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
เสียงวรรณยุกต์ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
อักษร 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
สูง - ข่� ข้� - ข� การออกเสียงภาษาไทย โดยใชความรู
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ตำ่� ค� - ค่� ค้� -
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูลเบื้องตน
๒. อักษรต�่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรสูง สำมำรถผันให้ครบ ๕ เสียงได้โดยใช้ ห น�ำ หรือ อ น�ำ (แนวตอบ การออกเสียงคําในภาษาไทย ผูอาน
ดังนี้ จะตองคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้
เสียงวรรณยุกต์ • ออกเสียงพยัญชนะใหถูกตองชัดเจน
อักษร
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
• ออกเสียงคําควบกลํ้าใหชัดเจนและ
เปนไปตามธรรมชาติ
ห นำ� ง� หง่� ง่� ง้� หง�
• ไมอานรวบคํา ยอคํา หรือตัดความ
อ นำ� ย� อย่� ย่� ย้� หย� • ระมัดระวังการออกเสียงวรรณยุกต
กำรใช้รูปวรรณยุกต์ มีหลักในกำรใช้ ดังนี้ เพราะหากออกเสียงผิดจะทําใหความหมาย
๑. วำงเหนือพยัญชนะต้นที่เป็นพยัญชนะเดี่ยว เช่น พ่อ แม่ น้อง เป็นต้น ของคําเปลี่ยนแปลงไปและสื่อความหมาย
๒. พยัญชนะต้นทีเ่ ป็นพยัญชนะเดีย่ วทีม่ รี ปู สระเหนือพยัญชนะนัน้ ให้วำงรูปวรรณยุกต์ คลาดเคลื่อนไปจากเจตนาของผูสงสาร)
เหนือสระ เช่น พี่ เสื่อ มื้อ เป็นต้น
๓. ถ้ ำ พยั ญ ชนะต้ น เป็ น พยั ญ ชนะควบกล�้ ำ อั ก ษรน� ำ ให้ ว ำงรู ป วรรณยุ ก ต์ เ หนื อ
พยัญชนะต้นตัวที่สอง เช่น กว้ำง กล้ำ หน้ำ เป็นต้น 1
๔. ถ้ำพยัญชนะต้นเป็นอักษรควบ อักษรน�ำ มีสระเหนือพยัญชนะต้น ให้วำงรูปวรรณยุกต์
เหนือสระที่พยัญชนะต้นตัวที่สอง เช่น หนี้ หนึ่ง ปล�้ำ เป็นต้น
๑.๓ การออกเสียงภาษาไทย
เสียงในภำษำไทยเป็นเสียงทีม่ เี อกลักษณ์เฉพำะ ผูเ้ รียนจ�ำเป็นต้องศึกษำและฝึกฝนกำรออกเสียง
ให้ถูกต้อง เพรำะถ้ำออกเสียงผิด กำรเขียนก็จะผิดด้วย เป็นอุปสรรคในกำรสื่อสำร
กำรออกเสียงภำษำไทยให้ถูกต้อง มีลักษณะดังนี้
๑. ออกเสียงพยัญชนะ และถ้อยค�ำให้คล่องถูกต้อง ชัดเจน ตำมหลักกำรออกเสียงภำษำไทย
ไม่ออกเสียงช้ำหรือเร็วเกินไป เช่น
มกรำคม ออกเสียงว่ำ มะ-กะ-รำ-คม
สัปดำห์ ออกเสียงว่ำ สับ-ดำ หรือ สับ-ปะ-ดำ
อำชญำกร ออกเสียงว่ำ อำด-ยำ-กอน หรือ อำด-ชะ-ยำ-กอน

109

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
คําในขอใดตอไปนี้มีเสียงวรรณยุกตตรงกับคําวา “นํ้าแข็ง” ทุกคํา
ครูควรสรางองคความรูเพิ่มเติมใหแกนักเรียน ดวยชุดคําอธิบายวา การอานคํา
1. ปลาเค็ม นํ้าใจ
ในภาษาไทยที่ใชพยัญชนะ สระและวรรณยุกตประสมกัน มีหลักการผันวรรณยุกต
2. นํ้าปลา มานํ้า
ซึ่งประกอบดวยการใชอักษรสามหมูหรือไตรยางศ ลักษณะของพยางคหรือคําเปน
3. นาสาว ลางขา
คําตาย กับรูปวรรณยุกต สามสิ่งนี้ประกอบกัน โดยผูที่มีความรู ความเขาใจ
4. ปลาทู ไหมฝน
เกี่ยวกับหลักการผันวรรณยุกตจะทําใหอานออกเสียงคําในภาษาไทยไดถูกตอง
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ปลาเค็ม มีเสียงสามัญ, สามัญ นํ้าใจ มีเสียง
ตรี, สามัญ ขอ 2. นํ้าปลา มีเสียงตรี, สามัญ มานํ้า มีเสียงตรี, ตรี ขอ 4.
ปลาทู มีเสียงสามัญ, สามัญ ไหมฝน มีเสียงจัตวา, จัตวา จากโจทยคาํ วา นักเรียนควรรู
“นํา้ แข็ง” มีเสียงวรรณยุกตเปนเสียงตรี กับ เสียงจัตวา ขอ 3. คําวา
“นาสาว” มีเสียงตรีและเสียงจัตวา คําวา “ลางขา” มีเสียงตรี และเสียง 1 อักษรนํา คือ พยัญชนะสองตัวเรียงกันและพยัญชนะตัวหนามีอทิ ธิพลนําเสียง
จัตวา ดังนั้นจึงตอบขอ 3. วรรณยุกตของตัวทีต่ ามมา โดยทีต่ วั หนาจะเปนอักษรสูงหรืออักษรกลาง ซึ่งตัวที่
ตามมาจะเปนอักษรตํ่าเดี่ยวเทานั้น

คู่มือครู 109
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนจับกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ
สมัครใจ จากนั้นใหใชความรู ความเขาใจ ๒. ออกเสียงควบกล�้ำให้ชัดเจน เป็นธรรมชำติ ไม่ดัดเสียงหรือเน้นเสียงเกินไป เช่น ปรับปรุง
เกี่ยวกับเสียงในภาษาไทย จัดปายนิเทศ กรุยกรำย กล้อง แกล้ง กล้วย ควำย ขวนขวำย ขวักไขว่ เป็นต้น
ขนาดเล็กลงบนแผนพลาสติกลูกฟูก สงครู ๓. ระมัดระวังไม่ออกเสียงเลียนแบบภำษำต่ำงประเทศ เช่น เสียง /จ/ /ช/ /ร/ /ล/ /ว/
โดยอธิบายลักษณะเฉพาะของเสียงและ /ฟ/ /ท/ /ด/ ไม่พูด ฉัน เป็น Chan ประเทศไทย ไม่ออกเสียงเป็น ประเทศไช หรือออกเสียง /ร/
การทําหนาที่ในหนวยคํา โดยใหนักเรียน โดยรัวลิ้นมำกเกินไป
เลือกวากลุมของตนเองจะศึกษาเสียง ๔. ไม่ออกเสียงตัดค�ำ ย่อค�ำ หรือรวบค�ำ เช่น
ประเภทใด ระหวางเสียงสระ เสียงพยัญชนะ อย่ำงนี้ ไม่ออกเสียงเป็น หยั่งเนี้ยะ หยั่งงี้
และเสียงวรรณยุกต มหำวิทยำลัย ไม่ออกเสียงเป็น หมำลัย
2. นักเรียนรวบรวมคําศัพท ซึ่งราชบัณฑิตยสถาน ดิฉัน ไม่ออกเสียงเป็น เดี๊ยน ดั๊น
ไดกําหนดไววาอานได 2 แบบ จากหนังสือ ๕. เมื่อพูดอย่ำงเป็นทำงกำรต้องใช้ภำษำไทยกลำงและต้องออกเสียงให้ชัดเจน ระมัดระวัง
“อานอยางไรเขียนอยางไร” ทําเปนสมุดคําศัพท ไม่ออกเสียงส�ำเนียงท้องถิ่น เช่น โกหก ไม่ออกเสียงเป็น กอหก ฉัน ไม่ออกเสียงเป็น ฉั่น เมื่อสนทนำ
โดยรวบรวมใหไดจํานวน 30 คํา รวมถึง อย่ำงไม่เป็นทำงกำรกับคนในท้องถิ่นเดียวกัน หรือผู้ที่คุ้นเคยควรรักษำเอกลักษณ์ภำษำถิ่นของตน
ตั้งขอสังเกตดวยวาคํานั้นๆ คนสวนใหญนิยม และใช้ภำษำถิ่นด้วยควำมภำคภูมิใจ
อานแบบใด และเพราะเหตุใด เชน ๖. ไม่พูดภำษำไทยปนกับภำษำต่ำงประเทศ เพรำะผู้ฟังอำจไม่เข้ำใจ
๗. ระมัดระวังกำรออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องไม่ออกเสียงเพี้ยน เช่น พ่อแม่ ไม่ออกเสียง
คําวา เพชรบุรี อานวา เพ็ด-บุ-รี หรือ เพ็ด-ชะ-
เป็น พ้อ แม้
บุ-รี แตคนสวนใหญนิยมออกเสียงวา เพ็ด-บุ-รี
๘. อ่ำนเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
เพราะงายตอการออกเสียงและเปนที่เขาใจ
ข้อสังเกต
ตรงกัน
๑. กำรเขียนอักษรในภำษำไทยไม่มีสัญลักษณ์บอกว่ำจบประโยคหรือจบข้อควำม ผู้สื่อสำร
คําวา โจรกรรม อานวา โจ-ระ-กํา หรือ ต้องรู้จักเว้นวรรคเมื่อจบข้อควำม หำกมีค�ำเชื่อม เช่น และ แต่ กับ ต้องเขียนประโยคติดกัน
โจน-ระ-กํา แตคนสวนใหญนิยมออกเสียงวา ๒. กำรเขียนตัวอักษรแทนเสียง ตัว /อ/ /ว/ /ย/ แทนได้ทั้งพยัญชนะและสระ อีกทั้งค�ำบำงค�ำ
โจน-ระ-กํา เพราะงายตอการออกเสียงและ ไม่มีรูปสระเพรำะเป็นสระลดรูป เมื่อจะออกเสียงผู้อ่ำนต้องพิจำรณำควำมหมำยด้วยว่ำควรอ่ำน
สอดคลองกับคําวาโจร อย่ำงไร เช่น กรกนกสวย ขนมครกอร่อย เป็นต้น
๓. ค�ำบำงค�ำมีตัวสะกดท้ำยวรรค ผู้อ่ำนต้องระมัดระวังอย่ำเผลออ่ำนเป็นพยัญชนะต้น เช่น
อำจอง ต้องออกเสียงเป็น อำด-อง ไม่ใช่ออกเสียงเป็น อำ-จอง
๔. กำรออกเสียงในภำษำกับกำรเขียนตัวอักษร บำงค�ำออกเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น น�้ำ เท้ำ
เป็นต้น เขียน น -ำ น�้ำ วรรณยุกต์รูปโท ถ้ำวิเครำะห์เสียงตำมรูปที่ปรำกฏ อ�ำ คือ สระอะ มี /ม/
เป็นตัวสะกด แต่ออกเสียงเป็น /น/ สระอำ /ม/ เป็นตัวสะกด วรรณยุกต์รูปโท ออกเสียงเป็น
วรรณยุกต์ตรี กำรออกเสียงที่ผิดไปจำกรูปนี้มีไม่มำกนัก เมื่อผู้ฟังรับสำรได้เข้ำใจ ก็เป็นที่ยอมรับ แต่ก็
มีบำงค�ำที่ออกเสียงตรงกับรูป เช่น กำด�ำ เก้ำอี้ เข้ำถ�้ำ ผู้เรียนต้องรู้จักสังเกตและจดจ�ำ

110

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําในขอใดตอไปนี้มีความสัมพันธกับคําวา “สักวา” ทั้งสองคํา
การเรียนการสอนในหัวขอ การอานออกเสียงภาษาไทย ครูควรคัดสรรบทอาน 1. กรี เพลา
ที่มีความหลากหลาย ระดับความยาก งายของคําอาน มาใหนักเรียนไดฝกปฏิบัติจริง 2. มัจฉา ตุกตา
เพือ่ ฝกฝนใหสามารถอานไดถกู ตองตามหลักเกณฑการออกเสียง และการแบงวรรคตอน 3. สัตวา เพลา
นอกจากนี้ยังควรใหความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการออกเสียงคําตอไปนี้ 4. สัพยอก ชุกชี
• คําควบกลํ้าแท และคําควบกลํ้าไมแท
• การอานอักษรนํา การอานพยางคที่มี รร (ร หัน) วิเคราะหคําตอบ คําที่กําหนดใหจากโจทย เปนคําที่มีลักษณะการอาน
• การอานพยางคที่มีพยัญชนะหรือสระที่ไมตองออกเสียง แบบแทรกเสียงสระระหวางพยางค จึงอานวา สัก-กะ-วา จากตัวเลือกใน
• การอานคําสมาส ขอ 1. อานวา กฺรี, กะ-รี และ เพฺลา, เพ-ลา ขอ 2. อานวา มัด-ฉา และ
• การอานคําที่ตองแทรกเสียงสระระหวางพยางค ตุก-กะ-ตา ขอ 3. อานวา สัด-ตะ-วา และ เพฺลา, เพ-ลา ขอ 4. อานวา
• การอานคําพองรูป การอานคําบาลี สันสกฤต เปนตน สับ-พะ-ยอก และ ชุก-กะ-ชี ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

110 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อกระตุนความ
๒ ¾Åѧ¢Í§ÀÒÉÒ สนใจและนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน
พลั ง ของภาษา หมายถึ ง อํ า นาจของภาษา ส ว นภาษา หมายถึ ง เสี ย งพู ด ของมนุ ษ ย • ในความคิดเห็นของนักเรียนภาษามีพลัง
(วัจนภาษา) และกิริยาทาทาง (อวัจนภาษา) รวมทั้งสัญลักษณ เชน ตัวอักษรที่ใชแทนเสียง ภาษา อยางไร
มีหนาที่ในการสื่อสารทําความเขาใจของบุคคลใหเขาใจตรงกัน มีอํานาจในการสรางสรรคและทําลาย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๑) พลังของภาษาเชิงบวก เปนพลังทางสรางสรรค ภาษามีพลังสรางสรรค ดังนี้ ไดอยางอิสระ ขึน้ อยูก บั ทัศนคติและวิสยั ทัศน
๑. ภาษาสรางขวัญกําลังใจ เชน ขอใหเดินทางโดยปลอดภัย สวนตน เชน ภาษาทําใหมนุษยสามารถ
๒. ภาษาชวยปลอบประโลมใจ เมื่อยามเจ็บปวด สิ้นหวัง ทอถอย เชน คุณโชคดีจังที่ได สื่อสารกันไดเขาใจ ภาษาทําใหสังคมเจริญ
คุณหมอนพพรมารักษา คุณรูไ หมหมอคนนีเ้ กงทีส่ ดุ ในประเทศไทยเรือ่ งรักษาโรคหัวใจ ชาวตางชาติยงั มา กาวหนา ภาษาทําใหคนมีสิ่งยึดเหนี่ยว
ใหหมอรักษาเลย รวมกัน ภาษาทําใหเกิดความเปนชาตินิยม
๓. ภาษาชวยสรางสัมพันธไมตรี เชน คนไทยมักใชคําพูดวา ยินดีตอนรับ เปนตน)
๔. ภาษาชวยสรางความฮึกเหิม เชน ในการแขงขันกีฬาหรือในการเชียรกีฬาสีของโรงเรียน • นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไรกับคํากลาว
เพลงเชียรทําใหนักกีฬาคึกคัก เขมแข็ง เชน สีฟา สู สู สีฟาสูตาย สีฟาไวลาย สีฟา สู สู ที่วา “ภาษาเปนเครื่องมือสื่อความคิด
๕. ภาษาเพื่อโนมนาวใจ ใหเชื่อถือ เห็นจริง คลอยตาม ใหความสนใจ หรือเปลี่ยนใจ ความรูสึก จินตนาการของมนุษย ภาษาไทย
เปลี่ยนพฤติกรรม ไดแก เชิญชวนเกี่ยวกับอาหาร เชน ขาวแชชาววัง ขาวตังเสวย กวยเตี๋ยวหลาน ชวยใหคนไทยรักและเขาใจกันเปนอยางดี”
โกฮับ กาแฟสูตรโบราณ ผูรับสารจะรูสึกวานาจะอรอยเปนพิเศษ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๖. ภาษาใหคติสอนใจ ให1ความรื่นรมย จรรโลงใจใหเปนสุข เชน บทธรรมะ สุภาษิตสอนใจ
ไดอยางอิสระ แตคําตอบของคําถามนี้ควร
คําขวัญ คําคม บทเพลง บทกลอมเด็ก เปนตน
เปนไปในทิศทางที่เห็นดวยหรือสนับสนุน
คํากลาว เพราะการมีภาษาเปนสื่อกลางเพื่อ
ใชสาํ หรับการสือ่ สารระหวางกัน ทําใหมนุษย
สามารถสื่อความคิด ความรูสึก จินตนาการ
ใหผูอื่นรับรูได ภาษาจึงมีพลังทําใหคนเขาใจ
กัน รับรูความตองการของกันและกัน ทําให
ไมแตกแยกกันเพราะความไมเขาใจหรือ
เขาใจผิด)

ส�ารวจค้นหา Explore
แบงนักเรียนเปน 5 กลุม ตามความสมัครใจ
โดยกําหนดจํานวนสมาชิกตามความเหมาะสม
คนไทยนิยมตั้งชื่อแกบุตรหลานของตนดวยถอยคําที่ไพเราะ มีความหมายไปในทิศทางที่ดีงาม เพืื่อความเปนสิริมงคล จากนัน้ ใหแตละกลุม รวมกันสืบคนความรูใ นประเด็น
โดยจะใหผูใหญที่นับถือ และมีความแตกฉานทางดานภาษาหรือพระสงฆเปนผูตั้งชื่อให นับเปนพลังเชิงสรางสรรค
“พลังของภาษาที่มีตอชีวิตประจําวัน” โดยนักเรียน
ของภาษาประการหนึ่ง
อาจสืบคนไดจากแหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถ
๑๑๑ เขาถึงได เชน ตําราวิชาการ อินเทอรเน็ต หรือ
การสังเกตพฤติกรรมของคนในสังคม
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดไมมีความเกี่ยวของกับพลังของภาษา
1. ภาษาทําใหคนเปนสวนหนึ่งของสังคม ครูควรมอบหมายใหนกั เรียนสืบคนความรูเ กีย่ วกับเพลงกลอมลูกหรือเพลง
2. ภาษาทําใหมนุษยมีความเขาใจที่ดีตอกัน กลอมเด็กของแตละภาค โดยเลือกภาคที่นักเรียนสนใจ คัดลอกเนื้อเพลง แลวนํามา
3. ภาษาชวยสะทอนความคิด ความเปนตัวตน วิเคราะหวามีรูปแบบการใชภาษาอยางไร ภาษาที่ใชในบทเพลงมีพลังอยางไร
4. ภาษาทําใหสถานภาพทางสังคมของคนเปลี่ยนไป และเปนพลังที่กอใหเกิดสิ่งใด เชน ใชภาษาเพื่อถายทอดความรักของแมที่มีตอลูก
ใชภาษาเพื่อสรางความอบอุน เปนตน
วิเคราะหคําตอบ พลังของภาษา หมายถึง อํานาจของภาษาที่มีตอชีวิต
ประจําวันของมนุษย เชน ทําใหมนุษยสามารถสื่อสารเขาใจซึ่งกันและ
กันได สรางความเขาใจอันดีตอกัน ทําใหมนุษยเปนสวนหนึ่งของสังคม นักเรียนควรรู
ชวยสะทอนตัวตนของบุคคล แตภาษาไมสามารถทําใหสถานภาพทาง
สังคมของบุคคลนั้นๆ เปลี่ยนแปลงได ดังนั้นจึงตอบขอ 4. 1 บทกลอมเด็ก ประเทศไทยมีบทกลอมเด็กหรือเพลงกลอมเด็กทั่วทุกภาค
โดยมีชื่อเรียกแตกตางกัน เชน ภาคเหนือเรียกวา เพลงนอนสาหลา หรือ
นอนสาเดอ ภาคกลางเรียกวา เพลงกลอมลูก ภาคใตเรียกวา เพลงชานองหรือ
เพลงเปล ซึ่งแตละภูมิภาคจะมีเนื้อรอง ทํานองที่แตกตางกัน โดยเนื้อรองจะ
สะทอนใหเห็นวิถีชีวิตของคนในภูมิภาคนั้นๆ
คู่มือครู 111
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนแตละกลุมนําความรูมาแบงปน ซักถาม
ซึ่งกันและกัน เปนเวลา 10 นาที จากนั้นใหยืน
ในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบายความรูแบบ ๒) พลังของภาษาเชิงลบ เปนพลังในดานการทําลาย จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ตอน
โตตอบรอบวงเกีย่ วกับพลังของภาษา โดยใชความรู อุศเรนตีเมืองผลึก นางวาลีไดอาสาพระอภัยมณีตอสูกับอุศเรนนางกลาววา

ความเขาใจ ที่ไดรับจากการสืบคนดวยตนเองและ “ประเวณี ตีงูใหหลังหัก มันก็มักทํารายเมื่อภายหลัง
การแลกเปลี่ยนกับเพื่อนเปนขอมูลเบื้องตน จระเขใหญไปถึงนํ้ามีกําลัง เหมือนเสือขังเขาถึงดงก็คงราย
• การตั้งชื่อบุคคลใหมีความหมายไปในทิศทาง อันแมทัพจับไดแลวไมฆา ไปขางหนาศึกจะใหญขึ้นใจหาย
ที่ดีงามและรวมถึงใชภาษาบาลี สันสกฤต ตองตํารับจับใหมั่นคั้นใหตาย จะทําภายหลังยากลําบากครัน
ประกอบในชื่อเปนความเชื่อที่สะทอนใหเห็น จะพลิกพลิ้วชิวหาเปนอาวุธ ประหารบุตรเจาลังกาใหอาสัญ
พลังของภาษาทีม่ ตี อ ชีวติ ประจําวันของมนุษย ตองตัดศึกลึกลํ้าที่สําคัญ นางหมายมั่นมุงเห็นจะเปนการ…”1
อยางไร (พระอภัยมณ� : สุนทรภู)
(แนวตอบ ภาษามีผลตอจิตใจ ความรูสึก นางวาลีจึงเยาะเยยถากถางอุศเรนวา จะปลอยใหไปชวยเหลือพอที่ไดรับบาดเจ็บจากการ-
ความเชื่อและคานิยมของคนในสังคม สูรบ อุศเรนเจ็บใจที่รบแพ และพอที่ชราตองอาวุธอาการสาหัสอาจเสียชีวิตได ความเจ็บแคนที่แพ
หรืออาจกลาววา ภาษามีพลังทําใหเกิดคลื่น ผูหญิงทําใหปวดใจจนกระอักเปนเลือดและตายในที่สุด
ความรูสึก คลื่นความเชื่อของคน เชน ภาษามีพลังมหาศาล สามารถใชไดทั้งทางสรางสรรคและทางทําลาย ในการสื่อสารระหวาง
การตั้งชื่อ จะเลือกใชถอยคําที่มีความหมาย บุคคลหากใชคําพูดดีมีนํ้าเสียงสุภาพ กิริยาทาทางนุมนวล ไมถากถางดูหมิ่นผูอื่น และมีความจริงใจ
ไปในทิศทางที่ดี เพื่อใหเปนสิริมงคลตอ ยอมสงผลใหผูพูดและผูฟงมีสัมพันธภาพที่ดีตอกัน ทําการสิ่งใดก็สัมฤทธิผล
คนๆ นั้น รวมถึงคําที่นํามาใชประกอบการ
ตั้งชื่อ จะประกอบขึ้นจากคําในภาษาบาลี
สันสกฤต เปนสวนใหญ เพื่อใหเกิดความรูสึก
ที่ศักดิ์สิทธิ์ เขมขลัง เพราะคนไทยมีความ
เชื่อวาภาษาบาลี สันสกฤตเปนภาษามงคล)

ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนแตละกลุมจัดการความรูรวมกันใน
ลักษณะของปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติก
ลูกฟูก โดยนําเสนอในประเด็นเกี่ยวกับ “พลังของ
ภาษาในชีวิตประจําวัน” บางกลุมอาจนําเสนอ
พลังของภาษาในดานความรูสึก พลังของภาษา
ภาษาไทยเปนเอกลักษณของชาติ ควรใชใหถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของบุคคลและกาลเทศะ
ในดานการกําหนดพฤติกรรมของคนในสังคม
พลังของภาษาในดานพิธีกรรม เปนตน รวมกัน ๑
ประเวณี ในทีน่ มี้ คี วามหมายเหมือนประเพณี หมายถึง สิง่ ทีน่ ยิ มประพฤติปฏิบตั สิ บื ๆ กันมาจนเปนแบบแผน
เตรียมความพรอมเพื่อออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
๑๑๒

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
บุคคลใดตอไปนี้ใชพลังของภาษาไปในเชิงสรางสรรค
1 พระอภัยมณี เปนนิทานคํากลอนเรื่องยิ่งใหญที่ทําใหสุนทรภูมีชื่อเสียง 1. วิชิตพูดโนมนาวใหอมรชัยทําการบานใหแกตนเอง
เพราะเปนผลงานชิน้ เอกของสุนทรภู ซึง่ ไดรบั การยกยองวาเปนยอดของกลอนนิทาน 2. ภาณุพูดโนมนาวใจเพื่อใหผูฟงเกิดความรูสึกแบงฝกแบงฝาย
มีความยาว 96 เลมสมุดไทย ลักษณะพิเศษของนิทานคํากลอนเรือ่ งพระอภัยมณี คือ 3. จันทรพูดโนมนาวใหสมใจเขาใจผิดกับกัลยา เพราะจันทรไมชอบกัลยา
การผูกเรือ่ งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ มีความแตกตางจากวรรณคดีเรื่องอื่นๆ 4. สมภพพูดใหคนในชุมชนรวมมือกันทําแนวกระสอบทรายปองกันนํ้าทวม
ในชวงเวลาเดียวกันที่ผแู ตงแตงโดยอาศัยเคาเรือ่ งจากนิทานชาดก นิทานพืน้ บาน
หรือจากประวัตศิ าสตร วิเคราะหคําตอบ พลังของภาษา คือ อํานาจของภาษาที่กอใหเกิดผลตอ
พฤติกรรมของมนุษยในแตละสังคม ดังนั้นพลังของภาษาในเชิงสรางสรรค
จึงกอใหเกิดพฤติกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีงาม ไมใชการใช
พลังของภาษาเพื่อสรางผลประโยชนใหแกตนเอง โนมนาวใหผูอื่นขัดแยง
หรือแบงฝกแบงฝาย ขาดความสามัคคีกัน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

112 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อชักนําความรูสึก ความคิด
๓ การสร้างคÓ ของนักเรียนใหมีตอหัวขอการเรียนการสอน
• คําที่ปรากฏใชในภาษาไทย มีแหลงที่มา
มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีกำรติดต่อสื่อสำรกันมำกขึ้น ค�ำศัพท์ต่ำงๆ ก็ต้องมีควำมหลำกหลำย
หรือมีวิธีการสรางคําอยางไร
เพื่อแสดงอำรมณ์ และควำมรู้สึกนึกคิดออกมำให้ตรงตำมวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสำรมำกที่สุด ค�ำมูล
(แนวตอบ นักเรียนตอบตามรองรอย
ซึ่งเป็นค�ำดั้งเดิมที่มีใช้ในภำษำไทยมีไม่เพียงพอที่จะน�ำไปใช้ จึงจ�ำเป็นต้องมีกำรสร้ำงค�ำขึ้นใหม่ ความรูเดิมของตนเอง เชน การประสมคํา
ด้วยกำรประสมค�ำ ซ้อนค�ำ และซ�้ำค�ำ การซอนคํา การซํ้าคํา การยืมคําจากภาษา
1 ตางประเทศ การบัญญัติศัพท เปนตน)
๓.๑ ค�ามูล
ค�ามูล เป็นค�ำดั้งเดิมที่มีใช้ในภำษำไทย มีควำมหมำยสมบูรณ์ชัดเจนในตัวเอง อำจเป็น ส�ารวจค้นหา Explore
ค�ำไทยแท้ หรือเป็นค�ำยืมจำกภำษำต่ำงประเทศก็ได้ ค�ำมูลแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ดังนี้
๑) ค�ามูลพยางค์เดียว เป็นค�ำพยำงค์เดียวที่มีควำมหมำย จัดเป็นค�ำไทยแท้และค�ำยืม ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
จำกภำษำต่ำงประเทศ โดยเขียนหมายเลข 1-5 ลงบนกระดาษในจํานวน
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ใหแตละ
ค�ามูลพยางค์เดียว คนออกมาจับสลาก ใครที่จับสลากไดหมายเลข
ค�าไทยแท้ กิน นอน ร้อน เย็น พ่อ แม่ อ� ปู่ ย่� เหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน เมื่อนักเรียนจับสลาก
จนครบแลว ครูแจงประเด็นสําหรับการสืบคน
ค�ายืมจากภาษาจีน เก๋ง ก๊ก โต๊ะ ห้�ง เกี๊ยะ เกี๊ยว ก๋ง เฮีย ความรูรวมกัน ดังนี้
ค�ายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต บ�ป กรรม บ�ตร เวร ผล อ�สน์ หมายเลข 1 คํามูล
ค�ายืมจากภาษาอังกฤษ แชร์ เมตร ลิตร เกม เทป ชอล์ก ออนซ์ หมายเลข 2 คําประสม
หมายเลข 3 คําซอน
๒) ค�ามูลหลายพยางค์ ค�ำที่มีสองพยำงค์ขึ้นไป มีควำมหมำยในตัวไม่สำมำรถแยกพยำงค์ หมายเลข 4 คําซํ้า
ในค�ำออกได้เพรำะจะท�ำให้ไม่ได้ควำมหมำย ค�ำมูลหลำยพยำงค์อำจเป็นค�ำไทยแท้ หรือเป็นค�ำยืม หมายเลข 5 คําพอง
จำกภำษำต่ำงประเทศก็ได้ โดยนักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนความรู
ค�ามูลหลายพยางค์ ในประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมายทุกๆ แงมมุ จากแหลง
การเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
ค�าไทยแท้ ดอกไม้ โหระพ� มะลิ มะม่วง มะระ มะละกอ เกเร
ค�ายืมจากภาษาจีน ซ�ล�เป� บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เฉ�ก๊วย อั่งเป� เก้�อี้ อธิบายความรู้ Explain
ค�ายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต น�ฬิก� ร�ชินี ม�รด� นมัสก�ร วิจ�รณ์
นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ค�ายืมจากภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟต์ สติกเกอร์
ความรูในประเด็น “คํามูล” ซึ่งขอมูลที่นําเสนอควร
เปนขอมูลทีไ่ ดสบื คนจากแหลงการเรียนรูท นี่ า เชือ่ ถือ
ดังนั้น นักเรียนจึงควรระบุดวยวา กลุมของตนเอง
113 สืบคนขอมูลมาจากแหลงการเรียนรูใด

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับคํามูล เกร็ดแนะครู
ขอใดไมเปนคํามูล
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา การประสมคํา ซํ้าคํา ซอนคํา และการใชคําพอง
1. เผอเรอ 2. มาลา
เปนวิธกี ารสรางคําเพือ่ ใหมคี าํ ใชเพิม่ มากขึน้ ในภาษาไทย และสามารถสือ่ ความหมาย
3. แจกัน 4. คาตัว
ไดกวางขวางยิง่ ขึน้ สอดคลองกับการเปลีย่ นแปลง ความเจริญกาวหนาของสังคมไทย
วิเคราะหคําตอบ คํามูลเปนคําดั้งเดิมที่มีใชในภาษาไทย มีความหมาย
ชัดเจนในตัว แบงออกเปน 2 ประเภท คือ คํามูลพยางคเดียว และคํามูล
หลายพยางค ซึ่งคํามูลตั้งแตสองพยางคขึ้นไปจะมีความหมายสมบูรณในตัว
ไมสามารถแยกพยางคในคําออกได หากแยกพยางคออกแลว จะทําให นักเรียนควรรู
ไมมีความหมาย จากคํานิยามดังกลาว ทําใหไดขอสรุปวา เผอเรอ มาลา 1 คํามูล คือ คําที่มีความหมายชัดเจนในตัว ไมสามารถแยกพยางคออกจาก
และแจกัน เปนคํามูล สวนคําวา “คาตัว” เปนคําประสม ดังนัน้ จึงตอบขอ 4. กันได แบงออกเปน 2 ประเภท คือ คํามูลพยางคเดียว และคํามูลหลายพยางค
ซึ่งคํามูลอาจเปนคําทั้ง 7 ชนิดในภาษาไทย ไดแก คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา
คําวิเศษณ คําบุพบท คําสันธาน คําอุทาน หรืออาจเปนคําที่มาจากภาษาอื่น

คู่มือครู 113
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย 1
ความรูในประเด็น “คําประสม” พรอมทั้งระบุ ๓.๒ ค�าประสม
แหลงที่มาของขอมูล ค�าประสม เป็นค�ำที่สร้ำงขึ้นใหม่โดยกำรน�ำค�ำมูลตั้งแต่สองค�ำขึ้นไปมำรวมกันเกิดเป็นค�ำใหม่
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ควำมหมำยใหม่ขึ้น ค�ำประสมอำจมำจำกกำรประสมค�ำไทยกับค�ำไทย ค�ำไทยกับค�ำภำษำต่ำงประเทศ
ความรูเกี่ยวกับคํามูลและคําประสม โดยใช หรือค�ำภำษำต่ำงประเทศประสมกัน เช่น
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบือ้ งตน การประสมค�า ค�ามูล ค�าประสม
สําหรับตอบคําถาม คำ�ประสมที่เป็นคำ�ไทยกับคำ�ไทย ห�ง เสือ ห�งเสือ
• คํามูลในภาษาไทยมีกปี่ ระเภท ไดแกอะไรบาง คำ�ประสมที่เป็นคำ�ไทยกับคำ�ต่�งประเทศ ยก เมฆ ยกเมฆ
(แนวตอบ คํามูลในภาษาไทยมี 2 ประเภท (คำ�ไทย) (คำ�บ�ลี สันสกฤต)
ไดแก คำ�ประสมที่เป็นคำ�ต่�งประเทศกับ บัตร เชิญ บัตรเชิญ
• คํามูลพยางคเดียว คำ�ต่�งประเทศ (คำ�บ�ลี สันสกฤต) (คำ�เขมร)
• คํามูลหลายพยางค)
• คํามูลพยางคเดียวมีประโยชนอยางไรตอวิธกี าร ๑) ค�าประสมที่เกิดความหมายใหม่แต่ยังมีเค้าความหมายเดิม เช่น
สรางคําในภาษาไทย เตำ + ถ่ำน = เตำถ่ำน หมำยถึง เตำที่ใช้ถ่ำนเป็นเชื้อเพลิง
(แนวตอบ วิธีการสรางคําในภาษาไทย ซึ่งไดแก เตำ + รีด = เตำรีด หมำยถึง เตำที่ใช้รีดเสื้อผ้ำ
คําประสม คําซํา้ คําซอน โดยคําแตละประเภท ผ้ำ + ขี้ริ้ว = ผ้ำขี้ริ้ว หมำยถึง ผ้ำเก่ำขำดที่ใช้เช็ดถูพื้น
มีวิธีการสรางคําแตกตางกัน เชน คําประสม ๒) ค�าประสมที่เกิดความหมายใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น
เกิดจากการนําคํามูลตั้งแตสองคําขึ้นไปมา ขำย + หน้ำ = ขำยหน้ำ หมำยถึง รู้สึกอับอำย
รวมกันเปนคําใหม ที่มีความหมายใหม แตยัง รำด + หน้ำ = รำดหน้ำ หมำยถึง อำหำรประเภทก๋วยเตีย๋ วมีนำ�้ ปรุงข้น
คงเคาความหมายเดิม) หัก + ใจ = หักใจ หมำยถึง ตัดใจไม่ให้คิดถึงเหตุต่ำงๆ
• คําประสมที่ปรากฏใชอยูในปจจุบันประกอบ ๓) ค�าประสมที่เกิดจากการย่อค�าให้กะทัดรัด มักขึ้นต้นด้วยค�ำว่ำ การ ความ ของ
ขึ้นจากคําประเภทใดบาง เครื่อง ชาว นัก ผู้ ช่าง เช่น กำรค้ำ ควำมคิด ของหวำน เครื่องเรือน ชำวนำ นักเรียน ผู้ขำย ช่ำงภำพ
(แนวตอบ ประกอบขึ้นจากคําไทยกับคําไทย เป็นต้น
คําไทยกับคํายืม และจากคํายืมภาษา ข้อสังเกต
ตางประเทศทั้งสองคํา) ๑. ถ้ำน�ำค�ำมูลสองค�ำมำรวมกันแล้วไม่เกิดควำมหมำยใหม่ ไม่จัดเป็นค�ำประสม เช่น
ลูก + ไก่ = ลูกไก่ หมำยถึง ลูกของไก่ (เป็นกลุ่มค�ำ)
ดำว + ลูก + ไก่ = ดำวลูกไก่ หมำยถึง ชื่อดำว (เป็นค�ำประสม)
๒. ค�ำภำษำบำลีประสมกับค�ำสันสกฤตไม่ถือเป็นค�ำประสม แต่เป็นค�ำสมำส เช่น
คุณ + ธรรม = คุณธรรม อ่ำนว่ำ คุน-นะ-ท�ำ
มัธยม + ศึกษำ = มัธยมศึกษำ อ่ำนว่ำ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ

114

ขอสอบ O-NET
นักเรียนควรรู ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับการสรางคําในภาษาไทย
คําในขอใดมีวิธีการสรางคําแตกตางจากขออื่น
1 คําประสม มีองคประกอบสําคัญ 2 สวน ไดแก คําหลักและคําขยาย ซึ่งคําหลัก
1. ปวดราว ปวดเมื่อย
คือ คําที่ใชเปนคําตั้งตน สวนคําขยาย คือ คําที่มีตําแหนงอยูหลังคําหลัก เชน
2. บอกบท บอกใบ
คําหลัก คําขยาย ความหมาย 3. เศราโศก เศราหมอง
4. คลาดเคลื่อน คลาดแคลว
ปด ปาก ไมใหมีโอกาสพูด วิเคราะหคําตอบ ภาษาไทยมีวิธีการสรางคํา ไดแก การประสมคํา
การซอนคํา และการซํ้าคํา ซึ่งตัวเลือกในขอ 1., 3. และ 4. มีวิธีการสรางคํา
ลูก ชาง สรรพนามแทนตัวผูพูดเมื่อพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่เรียกวา การซอนคํา คือ การนําคําที่มีความหมายใกลเคียงกันหรือ
ใจ เสีย ใจไมดีเพราะกลัวหรือวิตก กังวล หมดกําลังใจ ตรงขามกันมาซอนกัน เพื่อใหเกิดคําใหมที่มีความหมายชัดเจนขึ้น
สวนขอ 2. มีวิธีการสรางคําที่แตกตางไปจากขออื่น เรียกวา การประสมคํา
นํ้า แข็ง นํ้าที่แข็งเปนกอนเพราะถูกความเย็นจัด
โดยนําคํามูลตัง้ แต 2 คํา ขึน้ ไปมาประกอบกันเกิดเปนคําใหมทยี่ งั คงมี
หนังสือ พิมพ สิ่งพิมพที่เสนอขาวสาร และความเห็นแกประชาชน เคาความหมายเดิม ดังนั้นจึงตอบขอ 2.

114 คู่มือครู
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนกลุมที่ 3 และ 4 สงตัวแทนออกมา
๓.๓ ค�าซ้อน อธิบายความรูในประเด็น “คําซอน” และ “คําซํ้า”
ค�าซ้อน เป็นกำรสร้ำงค�ำโดยน�ำค�ำมูลทีม่ คี วำมหมำยเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงข้ำมกัน ตามลําดับ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
มำวำงซ้อนกัน เกิดค�ำใหม่ มีควำมหมำยใหม่ โดยควำมหมำยใหม่อำจกว้ำงขึ้น หนักแน่นขึ้น หรือ
เบำลงก็ได้ ขยายความเข้าใจ Expand
๑) ค�าซ้อนเพื่อความหมาย คือ ค�ำซ้อนที่เกิดจำกค�ำมูลที่มีควำมหมำยเหมือนกัน ใกล้เคียง
กัน หรือตรงกันข้ำมมำวำงชิดกัน มีลักษณะดังนี้ นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับคําซอน
ควำมหมำยเหมือนกัน เช่น เสื่อสำด เหำะเหิน พูดจำ และคําซํ้าทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4
ควำมหมำยใกล้เคียงกัน เช่น คัดเลือก แนะน�ำ เกรงกลัว หนวยที่ 1 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.6
ควำมหมำยตรงกันข้ำมกัน เช่น ผิดชอบ ชั่วดี ได้เสีย
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
๒) ค�าซ้อนเพื่อเสียง คือ ค�ำซ้อนที่เกิดจำกกำรน�ำค�ำที่มีเสียงคล้องจองและมีควำมหมำย
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.6
สัมพันธ์กันมำซ้อนกัน เพื่อให้ออกเสียงได้ง่ำยและไพเรำะ มีลักษณะดังนี้
เรื่อง การระบุประเภทของค�า
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้น เช่น เร่อร่ำ ท้อแท้ จริงจัง ตูมตำม ซุบซิบ
ซ้อนเสียงสระ เช่น รำบคำบ จิ้มลิ้ม แร้นแค้น เบ้อเร่อ อ้ำงว้ำง กิจกรรมที่ ๑.๖ ใหนกั เรียนอานขอความตอไปนี้ แลวตอบคําถามทายเนือ้ ความ
(ท ๔.๑ ม.๑/๒)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ñð
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้นและสระ เช่น ออดอ้อน อัดอั้น รวบรวม ๑. เมื่อนอยใหเรียนวิชา ใหหาสินเมื่อใหญ
ซ้ อ นด้ ว ยพยำงค์ ที่ ไ ม่ มี ค วำมหมำย แต่ มี เ สี ย งสั ม พั น ธ์ กั บ ค� ำ ที่ มี ค วำมหมำย เช่ น อยาใฝเอาทรัพยทาน
คํามูลมี…………………………….. ๑๗ คํา
อยาริรานแกความ

พยำยงพยำยำม กระดูกกระเดี้ยว เมื่อ นอย ให เรียน วิชา หา สิน ใหญ อยา ใฝ เอา ทรัพย ทาน ริ
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................
ร...............................................................................................................................................................................................................................................
าน แก ความ

ซ้อนด้วยค�ำที่มีควำมหมำยใกล้เคียงแล้วเพิ่มพยำงค์ให้เสียงสมดุลกัน เช่น สะกิดสะเกำ ๒. ถึงหนาแพแลเห็นเรือที่นั่ง


เคยหมอบรับกับพระจมื่นไวย
คิดถึงครั้งกอนมานํ้าตาไหล
แลวลงในเรือที่นั่งบัลลังกทอง

ขโมยขโจร กระดุกกระดิก คําประสมมี…………………………….. คํา
เรือที่นั่ง คิดถึง ครั้งกอน นํ้าตา พระจมื่นไวย บัลลังกทอง
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................

ค�ำซ้อน ๔-๖ พยำงค์ จะมีเสียงสัมผัสภำยในค�ำ เช่น ทรัพย์ในดินสินในน�้ำ โบกปัดพัดวี


...............................................................................................................................................................................................................................................
๓. กานบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มรรยาทสอสันดาน ชาติเชื้อ
ข้ำเก่ำเต่ำเลี้ยง ถ้วยโถโอชำม ประเจิดประเจ้อ โฉดฉลาดเพราะคําขาน ควรทราบ ฉบับ
เฉลย
หยอมญาเหี่ยวแหงเรื้อ บอกราย แสลงดิน
คําซอนมี……………………………..คํา ๕
๓.๔ ค�าซ�า้ ลึกตื้น ชาติเชื้อ โฉดฉลาด หยอมญา เหี่ยวแหง
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................
๔. นองแอฟเธอคาวขาว ซวยสวย นิสัยก็ดี๊ดี เธอเดินผานมาทางนี้ทุกๆ เชา เด็กๆ แถวนี้เห็น
ค�ำซ�ำ้ เป็นกำรสร้ำงค�ำเพือ่ ให้เกิดควำมหมำยใหม่วธิ หี นึง่ โดยกำรน�ำค�ำเดิมมำกล่ำวซ�ำ้ มี ๒ วิธี เธอทีไรตองรีบวิ่งเขาไปขอถายรูปคูกับเธอเปนประจํา เพราะความนารักของเธอเลยทําใหเธอ
ไดใจคนแถวนี้ไปเต็มๆ
ดังนี้ คําซํ้ามี…………………………….. ๖
คาวขาว ซวยสวย ดี๊ดี ทุกๆ เด็กๆ เต็มๆ
คํา
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................
๑) ค�าซ�้าที่ใช้ไม้ยมก (ๆ) ก�ากับ เช่น ...............................................................................................................................................................................................................................................
๕. เชาวันนี้ฉันลืมใสรองเทา เพราะรีบวิ่งออกไปใสบาตร ทําใหถูกเศษแกวบาดเทาเปนแผลใหญ
เด็กๆ ไปไหน (เด็กๆ หมำยถึง เด็กหลำยคน) เลยตองเสียเงินคาทําแผลหนึ่งรอยบาท
คําพองมี…………………………….. ๓ คํา
ของอร่อยๆ ทั้งนั้น (อร่อยๆ หมำยถึง ของอร่อยทุกอย่ำง ไม่เน้นว่ำอร่อยเพียงใด) บาตร บาด บาท
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................

๒) ค�าซ�้าที่เล่นเสียงวรรณยุกต์ โดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์แรกให้สูงขึ้น เช่น ๕๗


น้องคนที่หมำยเลขสำม ซ้วยสวย (ซ้วยสวย หมำยถึง สวยมำกๆ)
ลองรับประทำนก๋วยเตี๋ยวร้ำนนี้ไหมคะ พี่เขำบอกว่ำอร้อยอร่อย (อร้อยอร่อย หมำยถึง
อร่อยมำก)

115

ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการสรางคําดวยวิธีการซํ้าคํา เกร็ดแนะครู
คําซํ้าในขอใดมีจํานวนพยางคที่ออกเสียงซํ้านอยที่สุด
ครูควรอธิบายเพื่อสรางความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการสรางคําในภาษาไทย
1. รมชมพูๆ ที่เธอซื้อมาฝากจากญี่ปุนพังเสียแลวเมื่อวันกอน
ดวยวิธีการซอนคํา จากนั้นมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนรวบรวมคําซอนใน
2. คุณครูเรียกนักเรียนใหออกมาอานหนังสือหนาชั้นทีละคนๆ
ชีวิตประจําวันจํานวน 20 คํา นํามาวิเคราะห ดังตารางตอไปนี้
3. แลวในวันหนึ่งๆ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑแหงนี้ประมาณกี่คน
4. เขาไมไดใสเสื้อผาสีๆ มาหลายเดือนแลวเพราะกําลังไวทุกขใหญาติ
ผูใหญ ลักษณะ
คํา ที่มา จุดประสงค จํานวนคํา
วิเคราะหคําตอบ คําซํ้า เกิดจากการนําหนวยคําเดียวกันมาออกเสียงซํ้า การซอน
กัน 2 ครั้ง โดยใชเครื่องหมายไมยมกกํากับ ขอ 1. อานวา ชม-พู-ชม-พู มี เสื่อสาด คําไทย อธิบายความหมาย คําที่มีความหมาย 2
4 พยางค ขอ 2. อานวา ที-ละ-คน-ที-ละ-คน มี 6 พยางค ขอ 3. อานวา ซอนกับ ของคําในภาษาถิ่น เหมือนกันซอนกัน
วัน-หฺนึ่ง-วัน-หฺนึ่ง มี 4 พยางค สวนขอ 4. อานวา สี-สี มี 2 พยางค ภาษาถิ่น ความหมายของคํา
ดังนั้นจึงตอบขอ 4. จะปรากฏทีค่ าํ หลัก
คือคําวา “เสื่อ”

คู่มือครู 115
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “คําพอง” พรอมทั้งระบุ กำรสร้ำงค�ำมีควำมจ�ำเป็นในภำษำเพรำะช่วยให้มคี ำ� ทีม่ คี วำมหมำยใหม่ใช้ในภำษำมำกขึน้ ค�ำที่
แหลงที่มาของขอมูล สร้ำงใหม่เหล่ำนี้ คือ ค�ำประสม ค�ำซ้อน ค�ำซ�ำ้ ค�ำทัง้ ๓ ชนิดนี้ มีวธิ กี ำรสร้ำงค�ำทีแ่ ตกต่ำงกัน แต่ลว้ นมี
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการ พื้นฐำนของค�ำมำจำกค�ำมูล กำรศึกษำกำรสร้ำงค�ำนอกจำกจะช่วยให้รู้จักกำรสร้ำงค�ำใหม่ๆ มำใช้
ฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม รวมกันสรุป ในภำษำแล้ว ยังช่วยให้สำมำรถน�ำค�ำแต่ละชนิดไปใช้ประโยชน์เพือ่ กำรสือ่ สำรได้อย่ำงถูกต้องเหมำะสม
หลักเกณฑการสรางคําประสม คําซอน คําซํ้า
และคําพอง โดยมีครูคอยชี้แนะเพิ่มเติม ๔ คÓพ้อง
หากพบการอธิบายความรูออกนอกประเด็น ๑) ค�าพ้องเสียง หมำยถึง ค�ำที่อ่ำนออกเสียงเหมือนกันแต่สะกดต่ำงกัน มีควำมหมำยต่ำงกัน
เช่น
ขยายความเข้าใจ Expand พี่ชอบนั่งดูพระจันทร์ใต้ต้นจันทน์ทุกคืน
(จันทร์ หมำยถึง พระจันทร์หรือดวงจันทร์)
นักเรียนใชความรูความเขาใจเกี่ยวกับคําพอง
(จันทน์ หมำยถึง ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 1
๒) ค�าพ้องรูป หมำยถึง ค�ำที่เขียนเหมือนกันแต่อ่ำนต่ำงกันและควำมหมำยต่ำงกัน เช่น
กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.4 และ 1.5
เรำขับรถไปต่อไม่ได้แล้วพี่เพรำะเพลำหัก
(เพลำ อ่ำนว่ำ เพฺลำ หมำยถึง แกนส�ำหรับสอดดุมรถหรือดุมเกวียน)
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ รีบๆ หน่อย เพลำนี้ข้ำศึกมำประชิดเรำแล้ว
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.4 และ 1.5
เรื่อง ค�าพ้อง (เพลำ อ่ำนว่ำ เพ-ลำ หมำยถึง เวลำ)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
นักเรียนต้องอ่ำนบริบทให้เข้ำใจก่อนจึงจะสำมำรถอ่ำนออกเสียงได้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๑.๔ ใหนักเรียนทําเครื่องหมายกากบาท ( ✗ ) ทับคําที่ตรงกับ
ความหมายที่กําหนดให (ท ๔.๑ ม.๑/๒) õ ๓) ค�าพ้องความหมาย (ค�ำไวพจน์) หมำยถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งอำจเรียกได้หลำยค�ำ ทั้งนี้ก็เพรำะ
๑.
๒.
คําถามในวิชาคณิตศาสตร
ทําสิ่งที่ชํารุดใหคืนดี
โจทย

สอม
โจทก
ซ✗อม
ในภำษำไทย มีค�ำให้เรียกใช้ได้มำกมำยตำมควำมเหมำะสม เรำมักเลือกใช้ค�ำลักษณะนี้ในกำรแต่ง
๓.
๔.
ฝงนํ้าสําหรับจอดเรือ
นกชนิดหนึ่ง
ถา
อินทรีย
ท✗า
อิ✗นทรี ค�ำประพันธ์ เช่น
๕. ระบบวิชาความรู ศาสตร
✗ สาสน
๖.
๗.
บอกเรื่องราวใหผูอื่นฟง
สาดหรือเทใหกระจายไป
เหลา
ราด
เล✗า
ลาด
ค�ำที่หมำยถึง น�้ำ ได้แก่ ชล วำรี นที สำยธำรำ กระแสสินธุ์

๘.
๙.
ชื่อแมลงชนิดหนึ่ง
พืชที่เกิดตามพื้นดินพวกหนึ่ง
พึ่ง
หญ
✗า
ผึ✗้ง
ยา
ค�ำที่หมำยถึง ดวงจันทร์ ได้แก่ ศศิธร รัชนีกร แข จันทร์ จันทรำ แถง
๑๐. ชั้นที่ทําลดหลั่นกันเปนลําดับ คั่น ขั✗้น
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
๔) ค�าพ้องรูปพ้องเสียง เป็นค�ำที่เขียนเหมือนกัน อ่ำนเหมือนกัน แต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน
กิจกรรมที่ ๑.๕ ใหนกั เรียนเลือกคําทีอ่ ยูใ นวงเล็บเติมลงในประโยคใหถกู ตอง
ฉบับ
เฉลย
(ท ๔.๑ ม.๑/๒)
ñð
เป็นค�ำต่ำงชนิดและต่ำงหน้ำที่กัน เช่น
เยา จนคนรุน…………………
๑. เสื้อผาราคายอม………………… เยาว สามารถซื้อได (เยาว, เยา)
ศิลป เจาของรานเชิญพระสงฆมาโยงดายสาย……………..
๒. โอไปรวมงานเปดราน…………….. สิญจน (ศิลป, สิญจน)
เขำขึ้นเขำไปหำเขำกวำงมำท�ำยำ
ไสย คิวอารมณ ไมแจม…………………
๓. ดวยอํานาจคุณ…………………
(ไส, ใส, ไสย)
ใส จนผลัก…………………
ไส พยาบาลที่คอยดูแล
(เขำ ค�ำแรกเป็นค�ำสรรพนำม บุรุษที่ ๓ ท�ำหน้ำที่เป็นประธำนของประโยค)
๔. หนึ่งขายอาหาร…………………สัตว ดวยความซื่อ…………………
สัตย ไมโกงตาชั่ง (สัตย, สัตว)
จัน ที่สีเหลืองแบบพระ…………………
๕. นุยชอบลูก…………………
จัน, จันทน)
จันทร จึงเอาไปปลูกใกลตน………………….
จันทน (จันทร, (เขำ ค�ำที่สอง หมำยถึง ภูเขำ)
การ งาน โดยไมสนใจ…………………
๖. สมทํา…………………
การ, การณ)
กาล เวลาและเหตุ…………………
การณ บานเมืองทีผ่ า นไป (กาล,
(เขำ ค�ำที่สำม หมำยถึง อวัยวะส่วนที่แข็งมำกอยู่บนหัวสัตว์ ซึ่งใช้เป็นอำวุธในกำรต่อสู้
วาณิช ลองเรือสําเภาไปทําการ…………………
๗. …………………
เทียน …………………
๘. พิธีเวียน………………….
วาณิชย ที่ประเทศใกลเคียง (วาณิช, วาณิชย)
เทียร ยอมไปดวยเหลา…………………เธียร ที่มาพบปะแลกเปลี่ยนความรูกัน ป้องกันตัว)
(เทียร, เธียร, เทียน)
กบินทร ควบคุมเหลาสมุน…………………
๙. พญา………………… กบิล ใหอยูในโอวาท (กบิล, กบินทร)
ทะลาย มะพราวรวงลงมาทับกระทอมจนพัง…………………
๑๐. พายุพัดแรงจน………………… ทลาย (ทะลาย, ทลาย)

๕๖
116

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําซอนในขอใดมีวิธีการประกอบรูปคําเหมือนกัน
ครูควรสรางชุดคําอธิบายเพื่อใหสามารถสรุปหลักเกณฑการสรางคําซํ้าได ดังนี้ 1. อวนพี ดูแล รุงริ่ง
“คําซํ้า คือ คําที่ประกอบขึ้นจากหนวยคํา 2 หนวย ซึ่งเปนหนวยคําที่เหมือนกัน 2. ยากงาย เสื่อสาด จิตใจ
ทุกประการ โดยใชไมยมกกํากับเพือ่ ใหออกเสียงซํา้ หนวยคําทีน่ าํ มาสรางเปนคําซํา้ 3. จิตใจ บานเรือน เสื่อสาด
คือคําทัง้ 7 ชนิด ในภาษาไทยเมื่อนําคําซํ้ามาประกอบในรูปประโยค จะอานได 4. บานเรือน ถวยชาม ถากถาง
2 กรณี คือ ออกเสียงธรรมดา กับออกเสียงโดยเนนเสียงวรรณยุกตที่พยางคหนา
คําที่ซํ้าแลวจะมีความหมายตางไปจากเดิม เชน เปนพหูพจน เนนความสําคัญ วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อวนพี นําคําทีม่ คี วามหมายเหมือนกันมา
เปนตน” โดยครูมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนประกอบรูปประโยคจํานวน ซอนกัน ดูแล นําคําทีม่ คี วามหมายเหมือนกันมาซอนกัน รุง ริง่ เปนคําซอน
10 ประโยค พรอมอธิบาย ดังนี้ เพื่อเสียง ขอ 2. ยากงาย นําคําที่มีความหมายตรงขามกันมาซอนกัน
1. พี่ๆ ของฉันทํางานอยูที่ตางจังหวัด คําซํ้าคือ “พี่ๆ” เมื่อซํ้าคําแลวทําใหมี เสื่อสาด นําคําที่มีความหมายเหมือนกันมาซอนกัน จิตใจ นําคําที่มี
ความหมายเปนพหูพจน (มีจํานวนมากกวาหนึ่ง) ความหมายเหมือนกันมาซอนกัน ขอ 4. บานเรือน นําคําทีม่ คี วามหมาย
2. แมครัวเลือกหมูเนื้อๆ มาทําแกงพะแนงเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก คําซํ้าคือ เหมือนกันมาซอนกัน ถวยชาม นําคําที่มีความหมายคลายกันมาซอนกัน
“เนื้อๆ” เมื่อซํ้าคําแลวทําใหความหมายของคํามีความสําคัญมากขึ้น ถากถาง เปนคําซอนเพื่อเสียง ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

116 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนนําองคความรูเกี่ยวกับการสรางคํา
ค�ำไทยเป็นภำษำค�ำโดดที่ค�ำเดียวมีหลำยควำมหมำย เช่น ขัน อำจหมำยถึง ภำชนะตักน�้ำ ในภาษาไทย รวมกันอภิปรายวา การสรางคํา
หรือกิริยำอำกำรท�ำให้แน่นขึ้น หรืออำกำรส่งเสียงร้องของไก่ตัวผู้ในยำมเช้ำก็ได้ และอำจมีค�ำที่อ่ำน ดวยวิธีการประสมคํา ซอนคํา และซํ้าคํา มี
ออกเสียงเหมือนกันแต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน เช่น พระขรรค์ เขตขัณฑ์ ดังนั้น กำรจะอ่ำนค�ำพ้อง ลักษณะสําคัญที่แตกตางกันอยางไร ทําใหมี
ผู้อ่ำนต้องอ่ำนบริบทคร่ำวๆ ก่อน เพื่อพิจำรณำว่ำควรจะอ่ำนอย่ำงไรจึงจะถูกต้อง อย่ำรีบร้อนอ่ำน คําใชเพิ่มขึ้นไดอยางไร และตั้งขอสังเกตวา
โดยไม่เข้ำใจควำมหมำยของค�ำ ในภาษาไทยยังมีการสรางคําดวยวิธีการอื่นอีก
หรือไม นําคําตอบที่ไดจากการอภิปราย บันทึก
คนไทยโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเองมานานนับพันปี และมีตัวอักษรเป็นของ เปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ตนเองมาเป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี ภาษาไทยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด 2. นักเรียนแตละกลุมที่ศึกษาในประเด็นตางๆ
แต่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เราจึงสามารถอ่านศิลาจารึก คัมภีร ์ พระไตรปิฎก รวมกันทบทวนความรูเกี่ยวกับวิธีการสรางคํา
ตÓราต่างๆ ทีจ่ ารึกเรือ่ งราว ความรู้ของบรรพบุรุษได้เข้าใจ เป็นหน้าที่ของลูกหลานไทย ในรูปแบบที่กลุมของตนเองจับสลากได
ที่จะต้องศึกษาภาษาไทยให้เข้าใจ ออกเสียงภาษาไทยให้ถูกต้องชัดเจน สามารถสร้าง จากนั้นใหรวมกันคนหาคําศัพทในภาษาไทย
คÓไทยและใช้คÓไทยทั้งการพูด อ่าน และเขียนได้ถูกต้องตามหลักภาษา ทีม่ ลี กั ษณะการสรางคําตรงกับทีก่ ลุม ศึกษา
ใหไดจํานวนมากที่สุด ทําเปนสมุดคําศัพท
ซึ่งคําที่สามารถหาภาพประกอบได ก็ควรหา
ภาพประกอบและแตงประโยค เพื่อแสดง
ความหมายเมื่อนําไปใชเพื่อการสื่อสารใน
สถานการณจริง

117

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงคําซํ้าในภาษาไทย พรอม ครูควรสรางความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับคําพองในภาษาไทย
ยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรู โดยอธิบายใหเห็นวา คําพองที่ปรากฏใชในภาษาไทยมี 3 ประเภท โดยมีหลัก
เฉพาะบุคคล สงครู จํางายๆ ดังนี้
1. พองรูป รูปเหมือนกัน แตออกเสียงตางกัน เชน เพลา กรี เปนตน
2. พองเสียง เสียงเหมือนกัน แตเขียนตางกัน เชน กานท กานต กาญจน เปนตน
กิจกรรมทาทาย 3. พองทั้งรูปพองทั้งเสียง คือ เหมือนทั้งรูปทั้งเสียง แตความหมายไมเหมือนกัน
เชน
“เขาลําคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอรางทางพมา
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับชนิดของคําที่สามารถนํามาสรางเปนคําซอน เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แตรอทารั้งทุกขมาตามทาง”
ในภาษาไทย พรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษา เมือ่ ใหนกั เรียนปฏิบตั กิ จิ กรรมสรางเสริม และกิจกรรมทาทาย กอนเก็บใบความรู
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ของนักเรียน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 5-10 คน ออกมานําเสนอผลการ
ศึกษาเพือ่ แลกเปลีย่ นขอมูล ซักถามซึง่ กันและกันจนเกิดความเขาใจทีถ่ กู ตองรวมกัน

คู่มือครู 117
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอขอมูล
เกี่ยวกับเสียงในภาษาไทยที่กลุมของตนเอง
เลือกศึกษา
2. ครูสุมเรียกนักเรียนบางกลุมออกมานําเสนอ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ขอมูลเกี่ยวกับพลังของภาษา
๑. เพลงปลุกใจ จัดเป็นพลังของภ�ษ�ในเชิงสร้�งสรรค์หรือไม่ อย่�งไร
3. ครูตรวจสอบขอมูลการนําเสนอของนักเรียนวา ๒. ก�รใช้คำ�พ้องในก�รสื่อส�ร ควรคำ�นึงถึงสิ่งใดเป็นสำ�คัญ
มีความถูกตอง ครอบคลุมหรือไม รวมถึงแหลง ๓. อักษรส�มหมู่ มีคว�มสำ�คัญต่อก�รผันเสียงวรรณยุกต์อย่�งไร
การเรียนรูที่เลือกคนควา ๔. ก�รสร้�งคำ�ในภ�ษ�ไทยเกิดขึ้นเพร�ะเหตุใด จงอธิบ�ย
4. ครูตรวจสอบปายนิเทศที่นักเรียนรวมกันจัดทํา ๕. เหตุใดจึงต้องระมัดระวังเมื่อใช้คำ�ซ้อนเพื่อเสียงในก�รสื่อส�ร จงอธิบ�ยพอสังเขป
โดยพิจารณาจากความถูกตอง ครอบคลุม
รูปแบบการนําเสนอและความสวยงาม
5. ครูตรวจสอบใบความรูเฉพาะบุคคลที่บันทึก
ผลการอภิปรายเกี่ยวกับการสรางคํา
ในภาษาไทย
6. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู


1. ปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติกลูกฟูก
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนร่วมกันคิดและบอกหลักในก�รท่องจำ�อักษรส�มหมู่
เกี่ยวกับเสียงในภาษาไทย (ประเภทที่เลือก แล้วแลกเปลี่ยนคว�มรู้กัน
ศึกษา) กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนสำ�รวจชื่อเล่นของเพื่อนในชั้นเรียน แล้วจำ�แนกประเภทชื่อที่เป็น
2. ปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติกลูกฟูก คำ�เป็นและคำ�ต�ย พร้อมทั้งบอกหลักในก�รจำ�แนกชื่อให้ถูกต้อง
เกี่ยวกับพลังของภาษา (ในประเด็นที่เลือก กิจกรรมที่ ๓ ให้นักเรียนร่วมกันยกตัวอย่�งคำ�พ้องที่มีปัญห�ในก�รใช้ พร้อมทั้งร่วมกัน
ศึกษา) เสนอแนวท�งแก้ไข
3. สมุดรวบรวมคําศัพทอานอยางไรเขียนอยางไร
4. สมุดรวบรวมคําศัพทที่เกิดจากการสรางคํา
ในรูปแบบตางๆ
5. ใบความรูเฉพาะบุคคลที่บันทึกผลการอภิปราย
6. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู

118

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เพลงปลุกใจจัดเปนพลังของภาษา เพราะเนื้อหาของบทเพลงเราใหเกิดอารมณความรูสึกฮึกเหิม สรางความรูสึกเปนอันหนึ่งอันเดียวกันใหเกิดขึ้นแกผูฟงบทเพลง
2. การใชคําพองผูใชจะตองทราบเกี่ยวกับความแตกตางระหวางคําพองรูป คําพองเสียง คําที่พองทั้งรูปและเสียง เมื่อเวลาที่จะตองอานคําพองแตละประเภทควรสังเกต
ความหมายโดยรวมของประโยคกอนเพื่อที่จะไดอานออกเสียงถูกตอง และเมื่อจะใชคําพองเพื่อเขียนสื่อสารก็ควรจดจํารูปและความหมายของคําแตละคํา
3. การจําแนกพยัญชนะเปนอักษรสูง อักษรกลาง อักษรตํ่า ทําใหสามารถผันคําใหมีเสียงและรูปตางๆ ได เมื่อคําเหลานั้นมีเสียงและรูปตางกัน ความหมายของคําก็จะ
ตางกันดวย เชน ปา ปา ปา ปา ปา
4. การสรางคําในภาษาไทยเกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางดานสังคม เทคโนโลยี การแลกรับวัฒนธรรมตางประเทศเขามาใช ทําใหคําที่มีอยูมีจํานวนไมพอสําหรับใชสื่อ
ความหมายได จึงมีการสรางคําใหมเกิดขึ้น
5. การใชคําซอนเพื่อเสียงในการสื่อสารตองระมัดระวังเรื่องการเลือกใชใหเหมาะสมกับสถานการณ เพราะหากใชไมถูกตองหรือไมเหมาะสมอาจกอใหเกิดความเขาใจ
ที่คลาดเคลื่อนได

118 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถวิเคราะหชนิดและหนาที่ของคํา
ในประโยคได

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มีความรับผิดชอบ
3. มุงมั่นในการทํางาน

กระตุน้ ความสนใจ Engage

หน่วยที่ ò ครูตงั้ คําถามกับนักเรียนเพือ่ กระตุน ความสนใจ


และนําเขาสูหนวยการเรียนรู
• ในความคิดเห็นของนักเรียน ประโยคมี
ชนิดและหนาที่ของคําในประโยค ความสําคัญตอการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
ของมนุษย อยางไร
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๓
ค�า ในภาษาไทยสามารถจ�าแนก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความ
■ วิเคราะหชนิดและหนาที่ของคําในประโยค
ตามหน้าที่ของค�าได้ ๗ ชนิด ค�าเหล่านี้ คิดเห็นไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับพื้นฐานหรือ
มีหน้าที่และต�าแหน่งการวางในประโยค รองรอยความรูเ ดิม โดยครูอาจชีแ้ นะเพิม่ เติม
แตกต่างกัน การศึกษาชนิดของค�าโดย วาประโยคมีความสําคัญตอการสื่อสารใน
ท� า ความเข้ า ใจถึ ง หน้ า ที่ ข องค� า นั้ น ๆ ที่
ชีวิตประจําวันของมนุษย เพราะการสื่อสาร
ปรากฏในประโยค ช่ ว ยให้ ส ามารถใช้ ค� า
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ในการสื่ อ สารได้ ถู ก ต้ อ งตรงความหมาย ดวยถอยคําเพียงคําเดียวหรือกลุมคํานั้น
■ ชนิดและหนาที่ของคํา และหลักไวยากรณ์ภาษาไทย ไมสามารถสื่อความหมายไดครบถวนตาม
จุดมุงหมายของผูสงสาร ดังนั้นจึงตอง
เรียบเรียงถอยคํา กลุมคําใหเปนประโยค
เพือ่ ใหสามารถสือ่ สารไดตรงตามจุดมงุ หมาย
ที่ตั้งไว)

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู ชนิดและหนาที่ของคําในประโยค
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจเกีย่ วกับคําทัง้ 7 ชนิดในภาษาไทย
จนกระทั่งสามารถวิเคราะหหนาที่และจําแนกชนิดของคําในประโยคที่พบได
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยให
นักเรียนเปนผูคนหา แลกเปลี่ยนองคความรูเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคํา
ในภาษาไทยดวยตนเอง โดยใชวธิ กี ารแบงกลุม สืบคน แลวจึงนําขอมูลมาแลกเปลีย่ น
แบงปนซึ่งกันและกัน จากนั้นครูจึงทําหนาที่เปนผูตั้งคําถามโดยโจทย ควรทําหนาที่
ทบทวนความรู ความเขาใจของนักเรียน เมื่อมีความรู ความเขาใจที่เพียงพอจึง
มอบหมายชิ้นงานใหวิเคราะหหนาที่และจําแนกชนิดของคําจากรูปประโยคที่พบเห็น
ในชีวิตประจําวัน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการจําแนกและการวิเคราะห
ใหแกนักเรียน สามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําไปใช
เขียนหรือพูดสื่อสารในชีวิตประจําวันไดถูกตองและมีประสิทธิภาพ

คู่มือครู 119
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจและ
1
ความสงสัยใครรู โดยพยายามใหนักเรียนทุกคน
มีสวนรวมกับการตอบคําถาม
๑ ลักษณะของพยางค์ คÓ
คÓ กลุ่มคÓ และประโยค
• นักเรียนคิดวาเสียงในภาษาไทย คํา และ ค�ำเกิดจำกกำรน�ำเสียงในภำษำ คือ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ประสมกัน
ประโยคมีความสัมพันธกันอยางไร ค�ำทีป่ ระสมแล้วไม่มคี วำมหมำยเรียกว่ำ “พยำงค์” ถ้ำพยำงค์หนึง่ พยำงค์ หรือสองพยำงค์ขนึ้ ไปรวมกัน
(แนวตอบ เสียงในภาษาไทย ประกอบดวย จะเกิดเป็นค�ำทีม่ คี วำมหมำยขึน้ เรียกว่ำ “ค�ำ” ดังนัน้ ค�ำหนึง่ ค�ำอำจมีพยำงค์เดียว หรือหลำยพยำงค์กไ็ ด้
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ค�า จ�านวนพยางค์ ความหมาย
จะรวมกันเปนคําที่มีความหมาย แตการ กิ ๑ ไม่มี
สื่อสารดวยถอยคําไมสามารถสื่อสารได กิน ๑ เคี้ยว เคี้ยวกลืน ทำ�ให้ล่วงลำ�คอลงสู่กระเพ�ะอ�ห�ร
ครอบคลุมจุดประสงคของผูสงสาร มะระ ๒ ชื่อไม้เถ�ชนิดหนึ่ง ผลขรุขระ รสขม กินได้
ดังนั้นคําจึงรวมกันเปนกลุมคําหรือวลี ขัน ๑ - ภ�ชนะตักนำ้�หรือใส่นำ้�
และวลีจึงรวมกันเปนประโยคเพื่อใชสื่อสาร - หมุนให้แน่น
ในชีวิตประจําวัน) - หัวเร�ะ น่�หัวเร�ะ ชวนหัวเร�ะ

ส�ารวจค้นหา Explore จำกตัวอย่ำงจะเห็นว่ำค�ำไทยค�ำเดียวมีหลำยควำมหมำย และควำมหมำยจะแตกต่ำงกันเมือ่ ปรำกฏ


ในต�ำแหน่งต่ำงๆ ของประโยค ผูอ้ ำ่ นจึงต้องพิจำรณำบริบทหรือข้อควำมทีแ่ วดล้อมด้วย เช่น
นักเรียนจับกลุมยอย กลุมละ 3 คน รวมกัน
ศึกษาคนควาเพื่อสรางความรู ความเขาใจที่ถูกตอง หนูหยิบขันให้แม่หน่อย ขัน เป็นค�ำนำม หมำยถึง ภำชนะตักน�ำ้
เกี่ยวกับลักษณะของคํา ประโยค และสวนประกอบ เอกขันหัวตะปูเกลียวจนแน่น ขัน เป็นค�ำกริยำ หมำยถึง หมุนให้แน่น
ของประโยคในภาษาไทย จากแหลงการเรียนรูที่ น้องพูดจำน่ำขัน ขัน เป็นค�ำวิเศษณ์ หมำยถึง น่ำหัวเรำะ
สามารถเขาถึงได เชน ตําราวิชาการ อินเทอรเน็ต เมื่อน�ำค�ำหลำยๆ ค�ำมำเรียงกันตำมระเบียบของภำษำจะเกิดเป็นกลุ่มค�ำที่มีควำมหมำย
เปนตน จดบันทึกความรูขอมูลที่เปนประโยชนหรือ แต่ยังไม่สมบูรณ์เรียกว่ำ “กลุ่มค�ำ” หรือ “วลี” ถ้ำกลุ่มค�ำนั้นมีควำมหมำยชัดเจนว่ำ ใครท�ำอะไร
ขอสังเกตรวมกันลงสมุด ท�ำแก่ใคร ท�ำให้เข้ำใจได้ชัดเจนขึ้นเรียกว่ำ “ประโยค” เพื่อให้เข้ำใจประโยคได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็อำจ
มีค�ำ กลุ่มค�ำ หรือประโยคมำขยำยก็ได้ วลีจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยค
ดังนั้นในกำรสื่อสำรเพื่อให้มีควำมเข้ำใจตรงกัน หำกใช้เพียงค�ำพูดเป็นค�ำๆ หรือกลุ่มค�ำ
อำจไม่สำมำรถสื่อควำมได้ชัดเจน จ�ำเป็นต้องใช้ถ้อยค�ำที่เป็นประโยคจึงจะได้ควำมเด่นชัด ประโยค
ที่ใช้สื่อสำรกันทั่วไป ได้แก่ ประโยคควำมเดียว (ประโยคสำมัญ) ประโยคควำมรวม และประโยค
ควำมซ้อน ซึ่งควำมสั้นยำวของประโยคขึ้นอยู่กับควำมต้องกำรของผู้ส่งสำร ดังนั้น จึงต้องศึกษำ
ควำมส�ำคัญของประโยค ชนิดและหน้ำที่ของค�ำซึ่งเป็นส่วนประกอบของประโยคให้เข้ำใจ เพื่อให้
กำรสื่อสำรมีควำมหมำยครบถ้วน ชัดเจน และมีประสิทธิภำพ

120

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีจํานวนพยางคนอยที่สุด
ครูอาจมอบหมายชิ้นงานยอยใหแกนักเรียน ดวยการใหแตละคนรวบรวม 1. สรรพางค
คําศัพทที่ปรากฏใชในภาษาไทยที่เคยไดฟงหรือเคยอาน จํานวน 20 คํา 2. สมานไมตรี
เขียนคําอาน พรอมทั้งระบุจํานวนพยางคของคําใหถูกตอง บันทึกลงสมุด สงครู 3. สรรพสินคา
4. สังกรประโยค
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อานวา สัน-ระ-พาง มีจํานวนพยางค 3 พยางค
ขอ 2. อานวา สะ-หฺมาน-ไม-ตฺรี มีจํานวนพยางค 4 พยางค ขอ 3. อานวา
1 คํา คือ หนวยยอยที่สุดในภาษาที่มีความหมายและสามารถปรากฏได สับ-พะ-สิน-คา มีจํานวนพยางค 4 พยางค สวนขอ 4. อานวา สัง-กะ-ระ-
ตามลําพัง โดยคําเกิดจากการนําเสียงในภาษามารวมกันเปนพยางค อาจจะมี ปฺระ-โหฺยก หรือ สัง-กอ-ระ-ปฺระ-โหฺยก มีจํานวนพยางค 5 พยางค
พยางคเดียวหรือหลายพยางคก็ได พยางคใดๆ จะมีฐานะเปนคําก็ตอเมื่อ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
พยางคนั้นๆ มีความหมายและสามารถปรากฏไดตามลําพัง ดังนั้น คุณสมบัติ
ของคําจึงตองประกอบดวยรูปภาษา ความหมาย และสามารถปรากฏไดอยางอิสระ

120 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ความเขาใจของ
๒ ส่วนประกอบของประโยคในการสื่อสาร ตนเองเกี่ยวกับคําในภาษาไทยและสวนประกอบ
ของประโยค ซึ่งไดจากการสืบคนรวมกันกับเพื่อน
สำรที่ ใช้ ส1ื่ อ สำรกั น ส่ ว นมำกจะพู ด และเขี ย นเป็ น ประโยคหรื อ วลี ประโยคประกอบด้ ว ย
ในกลุม ครูผูสอนอาจใชวิธีการสุมเรียกชื่อเพื่อตอบ
ส่วนส�ำคัญ ๒ ส่วน คือ ภภำคประธำนและภำคแสดง
คําถาม
๑) ภาคประธาน ได้แก่ ส่วนที่เป็นผู้กระท�ำ อำจจะมีส่วนขยำยหรือไม่มีก็ได้ เช่น
• คําในภาษาไทยเกิดขึ้นไดอยางไร
กองลูกเสือสำมัญโรงเรียนนพเก้ำวิทยำไปอยู่ค่ำยพักแรมที่ค่ำยลูกเสือวชิรำวุธำนุสรณ์
นักเรียนโรงเรียนสำยอนุสรณ์สละที่นั่งให้คนชรำ
(แนวตอบ คําเกิดจากการนําเสียงในภาษาไทย
๒) ภาคแสดง ได้แก่ ส่วนที่บอกอำกำรหรือบอกสภำพของประธำน อำจมีส่วนขยำยหรือ ซึ่งไดแก เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียง
ไม่มีก็ได้ ส่วนขยำยอำจเป็นค�ำ วลี หรือประโยคก็ได้ เช่น วรรณยุกตมาประกอบขึ้นเปนคํา)
นกร้องเสียงไพเรำะ • ประโยคมีลักษณะสําคัญที่โดดเดนอยางไร
นภำและครอบครัวย้ำยไปอยู่บ้ำนใหม่ซึ่งสร้ำงเสร็จเรียบร้อยแล้ว (แนวตอบ ประโยค คือหนวยทางภาษาที่
ประกอบดวยคําหลายคํามาเรียงตอกัน
ตัวอย่างการวิเคราะห์ประโยค ซึ่งคําที่นํามาเรียงตอกันนั้น ตองมีความ
ภาคประธาน ภาคแสดง สัมพันธทางไวยากรณตอ กันอยางใดอยางหนึง่
ประโยค บทประธาน ส่วนขยาย
บทกริยา บทกรรม ซึ่งประโยคเปนหนวยทางภาษาที่สามารถ
กริยา ส่วนขยาย กรรม ส่วนขยาย สื่อความไดวาเกิดอะไรขึ้น หรืออะไรมีสภาพ
กริยา กรรม
กองลูกเสือส�มัญ กองลูกเสือ โรงเรียน ไป อยู่ค่�ย ค่�ยลูกเสือ วชิร� เปนอยางไร ทําใหมนุษยสามารถสื่อสารกัน
โรงเรียนนพเก้�วิทย� ส�มัญ นพเก้�วิทย� พักแรม วุธ�นุสรณ์ ไดเขาใจ)
ไปอยู่ค่�ยพักแรมที่ค่�ย • นักเรียนลองตั้งขอสังเกตเบื้องตนเกี่ยวกับ
ลูกเสือวชิร�วุธ�นุสรณ์ * คำ�เชือ่ ม คือ ที่
ประโยคที่ใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน
นักเรียนโรงเรียน นักเรียน โรงเรียน สละ ให้คนชร� ทีน่ ง่ั - มีลักษณะการเรียงรูปประโยค อยางไร
ส�ยอนุสรณ์สละที่นั่ง ส�ยอนุสรณ์
ให้คนชร� (แนวตอบ การเรียงคําเขาประโยคในภาษาไทย
นกร้องเสียงไพเร�ะ นก - ร้อง เสียงไพเร�ะ - -
ในเบื้องตนประกอบดวยผูกระทํา และคํา
นภ�และครอบครัว นภ�และ - ย้�ยไปอยู่ - บ้�นใหม่ - แสดงสภาพหรืออาการ เปนการสื่อสารเพื่อ
ย้�ยไปอยู่บ้�นใหม่ ครอบครัว บอกสภาพ เชน ฉันเดิน ฉันหิว ฉันนอน
(ประโยคหลัก) เมื่อตองการความชัดเจนยิ่งขึ้น ประโยคจะ
บ้�นใหม่สร้�งเสร็จ บ้�น ใหม่ สร้�งเสร็จ เรียบร้อยแล้ว - - ประกอบดวยผูกระทํา คําแสดงสภาพอาการ
เรียบร้อยแล้ว และผูถูกกระทํา เปนการสื่อสารเพื่อบอกวา
(ประโยคย่อย) ใครทําอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น เชน ฉันเดิน
ไปโรงเรียน ฉันดื่มนํ้า ฉันกินขาว เปนตน)

121

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับนามวลีและกริยาวลี โดยรวบรวมขอมูลให ครูควรใหคําอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวลีในภาษาไทย เมื่อครูใหนักเรียนปฏิบัติ
ครอบคลุมประเด็นเกีย่ วกับความหมาย สวนประกอบและหนาทีใ่ นประโยค กิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย กอนเก็บใบความรูควรสุมเรียกชื่อนักเรียน
นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู กิจกรรมละ 3-5 คน เพือ่ แลกเปลีย่ นขอมูล ความรูท เี่ ปนประโยชนระหวางกัน จากนัน้
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา วลีในภาษาไทยมีทั้งหมด 5 ประเภท แตเพราะเหตุใดใน
ประโยคจึงประกอบดวยสวนสําคัญเบื้องตนเพียง 2 สวน ไดแก นามวลีและกริยาวลี
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาเกีย่ วกับปริมาณวลี บุพบทวลี และวิเศษณวลี โดยรวบรวม
ขอมูลใหครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับความหมาย สวนประกอบ และหนาที่ 1 สวนสําคัญ 2 สวน โดยทั่วไปประโยคประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน
ในประโยค นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ไดแก นามวลีและกริยาวลี โดยนามวลีทําหนาที่เปนภาคประธานของประโยค
สวนกริยาวลีทําหนาที่เปนภาคแสดงของประโยค โดยนักเรียนอาจศึกษาเพิ่มเติม
เกี่ยวกับสวนประกอบของประโยค ไดจากหนังสือบรรทัดฐานภาษาไทย เลม 3
ซึ่งจัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือครู 121
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากจํานวน 7 ใบ โดยเขียนหมายเลข
1-7 ลงบนกระดาษ คัดเลือกตัวแทนนักเรียนที่มี
คุณลักษณะเปนผูนําและมีความสามารถในการ
๓ ชนิดและหน้าที่ของคÓในประโยค
สรุปประเด็น ออกมาจับสลากจํานวน 7 คน ดังนี้ ค�ำในภำษำจ�ำแนกได้เป็น ๗ ชนิด คือ ค�ำนำม ค�ำสรรพนำม ค�ำกริยำ ค�ำวิเศษณ์ ค�ำบุพบท
หมายเลข 1 คํานาม ค�ำสันธำน และค�ำอุทำน กำรที่ค�ำไทยค�ำเดียวมีหลำยควำมหมำยและหลำยหน้ำที่ ทั้งกำรจัดล�ำดับค�ำ
หมายเลข 2 คําสรรพนาม ในประโยค ถ้ำเรียงผิดต�ำแหน่งจะท�ำให้หน้ำที่และควำมหมำยผิดไป นักเรียนจึงต้องเรียนรู้ชนิด
หมายเลข 3 คํากริยา และหน้ำที่ของค�ำในประโยค เพื่อให้ผู้รับสำรและผู้ส่งสำรเข้ำใจได้ตรงกัน และประสบผลส�ำเร็จใน
หมายเลข 4 คําวิเศษณ กำรสื่อสำร รวมถึงหน้ำที่กำรงำนตำมจุดประสงค์
หมายเลข 5 คําบุพบท ๓.๑ หมวดค�านาม
หมายเลข 6 คําสันธาน ค�านาม คือ ค�ำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สภำพ ลักษณะ และอำกำรของสิ่งมีชีวิต
หมายเลข 7 คําอุทาน และสิ่งที่ไม่มีชีวิต ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนำมธรรม
ใหนักเรียนทั้ง 7 คน เปดรับสมาชิกกลุม ใน ๑) ประเภทของค�านาม แบ่งได้ ๕ ประเภท ต่อไปนี้
จํานวนเทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม เมื่อได ๑.๑) ค�านามที่เรียกชื่อทั่วไป ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ ชื่อสถำนที่ เช่น พ่อ ช้ำง
จํานวนสมาชิกแลว ใหสมาชิกของแตละกลุมรวมกัน สมุด โรงเรียน ธนำคำร เป็นต้น
ศึกษาวาหมวดคํานั้นๆ มีนิยามอยางไร ทําหนาที่ ๑.๒) ค�านามที่เป็นชื่อเฉพาะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ และชื่อสถำนที่
ใดในประโยค รวบรวมและบันทึกขอมูลที่เปน เช่น พระอภัยมณี ช้ำงก้ำนกล้วย หนังสือเรียนภำษำไทย สถำนีรถไฟหัวล�ำโพง เป็นต้น
ประโยชนเหลานั้นไว โดยนักเรียนสามารถสืบคน ๑.๓) ค�านามที่บอกความเป็นหมู่พวก กลุ่ม หรือคณะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ
ความรูเพื่อตอบประเด็นขางตนไดจากตําราทาง และชือ่ สถำนที่ เช่น คณะนักเรียนโรงเรียนบ้ำนหนองน�ำ้ ใส โขลงช้ำงพัง กองหนังสือ หมูบ่ ำ้ นท่ำข้ำม เป็นต้น
วิชาการเกี่ยวกับภาษาไทย เชน หนังสือบรรทัดฐาน ๑.๔) ค�านามที่เป็นนามธรรม ไม่มีขนำดและรูปร่ำง แต่สำมำรถสื่อควำมหมำยได้เข้ำใจ
ภาษาไทย เลม 3 ซึง่ จัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
หรืออินเทอรเน็ต โดยควรคํานึงถึงความนาเชื่อถือ 1
“กำร” หรือ “ควำม” น�ำหน้ำค�ำกริยำเรียกว่ำ อำกำรนำม เช่น กำรกิ ก น กำรนอน กำรเดิน
ของแหลงขอมูล กำรนั่ง ซึ่งค�ำที่มี “ควำม” น�ำหน้ำ มักเป็นค�ำวิเศษณ์หรือค�ำที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น ควำมรัก ควำมซื่อสัตย์
ควำมจงรักภักดี ควำมคิด ควำมโกรธ ควำมผูกพัน เป็นต้น
“กำร” น�ำหน้ำค�ำนำม จัดเป็นนำมทั่วไป เช่น กำรบ้ำน กำรเมือง กำรครัว กำรคลัง
๑.๕) ค�านามที่ใช้บอกลักษณะของนาม บำงทีเรียก ลักษณนำม ค�ำนำมประเภทนี้
บอกให้ทรำบถึงลักษณะของสิ่งที่กล่ำวถึงว่ำมีรูปพรรณสัณฐำนเป็นอย่ำงไร เช่น

บ้�นเรือน มีลักษณน�มเป็น หลัง


รถ ร่ม มีลักษณน�มเป็น คัน
ดินสอ มีลักษณน�มเป็น แท่ง
กระด�ษ มีลักษณน�มเป็น แผ่น

122

ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
คํานามในขอใดตอไปนี้ทําหนาที่ตางจากขออื่น
1 อาการนาม คําอาการนามที่ขึ้นตนดวยหนวยคําเติมหนา “การ” เชน การกิน 1. หนังสือเลมนี้มีแตคนสนใจ
หากตั้งขอสังเกตจะเห็นวาเปนคําที่แสดงใหเห็นกระบวนการในการทํากริยา สวนคํา 2. เขาชอบอานหนังสือเลมนี้มากที่สุด
อาการนามที่ขึ้นตนดวยหนวยคําเติมหนา “ความ” เชน ความเปนอยู จะแสดงสภาพ 3. หนังสือชุดนี้พวกเขาเหลานั้นชอบมาก
หรือลักษณะรวมๆ ของกริยา ซึ่งคํากริยาบางคําสามารถเติม “การ” เพื่อสรางคํา 4. หนังสือเลมนี้นาสนใจเพราะเปนเรื่องที่ดีมาก
อาการนามได แตไมสามารถเติม “ความ” ได เชนเดียวกับคํากริยาบางคําก็เติมได
เฉพาะ “ความ” และคํากริยาบางคําก็ไมสามารถเติมไดทั้ง “การ” และ “ความ” เชน วิเคราะหคําตอบ ตัวเลือกทั้ง 4 ขอ มีคํานามเปนคําเดียวกัน คือคําวา
คําวา “คือ” “หนังสือ” แตหนังสือคําเดียวกันนี้ทําหนาที่ในประโยคแตกตางกัน ขอ 1.
“หนังสือ” ทําหนาที่เปนกรรมในประโยค ขอ 2. “หนังสือ” ทําหนาที่เปน
กรรมในประโยค ขอ 3. “หนังสือ” ทําหนาที่เปนกรรมในประโยค สวนขอ
4. “หนังสือ” ทําหนาทีเ่ ปนประธานในประโยค ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.

122 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
นอกจำกนี้ ค�ำลักษณนำมใช้เป็นค�ำบอกจ�ำนวนนับโดยมีจ�ำนวนนับอยู่หน้ำลักษณนำมนั้น อธิบายความรูในประเด็น “คํานาม” โดยนํา
เช่น มีคนเดินมำในห้อง ๑๐ คน แม่ซื้อดินสอให้ฉัน ๕ แท่ง หรือใช้ประกอบหลังค�ำนำม เช่น เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
บ้ำนหลังที่ทำสีขำวเป็นบ้ำนของพี่ชำย สมุดเล่มนี้ฉันยืมน้องมำ เป็นต้น และการทําหนาที่ในประโยค
๒) หน้าที่ของค�านามในประโยค ค�ำนำมมีหน้ำที่ในประโยค ดังนี้ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๒.๑) ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
คณะรัฐมนตรีก�ำลังประชุมที่รัฐสภำ คํานาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
ปลำฉลำมกัดนักท่องเที่ยวที่ก�ำลังเล่นน�้ำทะเล จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปน
๒.๒) ท�าหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น ขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ลูกๆ ก�ำลังอ่ำนหนังสือเรียน • คํานาม แบงเปนกี่ประเภท และไดแก
เด็กๆ ชอบเล่นตุ๊กตำ อะไรบาง
๒.๓) ท�าหน้าที่เป็นกรรมตรงและกรรมรอง โดยค�ำที่อยู่หลังกริยำเป็นกรรมตรง ถ้ำมี (แนวตอบ 5 ประเภท ไดแก คํานามเรียกชื่อ
ค�ำว่ำ แก่ หรือ ให้ อยู่ข้ำงหน้ำค�ำนำมนั้นเรียกว่ำ กรรมรอง เช่น ทั่วไป คํานามที่เปนชื่อเฉพาะ คํานามที่บอก
แม่ให้เงินแก่น้องทุกวัน (เงิน เป็นกรรมตรง ส่วนน้อง เป็นกรรมรอง) ความเปนหมู เปนพวก คํานามทีเ่ ปนนามธรรม
เรำส่งสิ่งของต่ำงๆ ให้ผู้ประสบภัยน�้ำท่วม และคํานามที่ใชบอกลักษณะ)
(สิ่งของต่ำงๆ เป็นกรรมตรง ส่วนผู้ประสบภัยน�้ำท่วม เป็นกรรมรอง) • ลักษณนามมีความสัมพันธอยางไรกับ
๒.๔) ท�าหน้าที่ขยายค�าอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ ขยำยค�ำนำม ค�ำกริยำ เช่น คํานามที่อยูขางหนา
นำยณรงค์ รักดี คณะกรรมกำรหมู่บ้ำนกล่ำวเปิดงำนวันสิ่งแวดล้อมไทย (แนวตอบ คําลักษณนามทําหนาที่บอกให
(นำยณรงค์ รักดี เป็นค�ำนำมที่เป็นชื่อเฉพำะ คณะกรรมกำรหมู่บ้ำน เป็นค�ำนำม ทราบวาคํานามที่อยูขางหนามีรูปพรรณ
ทั่วไปที่ขยำยนำมชื่อเฉพำะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น) สัณฐานอยางไร เชน บานมีลักษณนามเปน
พ่อนอนเล่นที่เก้ำอี้ (เก้ำอี้ เป็นค�ำนำมขยำยค�ำกริยำเพื่อบอกสถำนที่) หลัง นักเรียน มีลักษณนามเปนคน)
เรำก�ำลังรับประทำนอำหำรว่ำงตอนบ่ำย (อำหำรว่ำงตอนบ่ำย เป็นค�ำนำมขยำยกริยำ • คํานามสามารถทําหนาทีใ่ ดไดบา งในประโยค
และบอกเวลำตอนบ่ำย) (แนวตอบ คํานามสามารถทําหนาทีใ่ นประโยค
๒.๕) ท�าหน้าที่เป็นค�าเรียกขาน เช่น ไดโดยเปนประธาน เปนกรรมตรง กรรมรอง
คุณยำยขำท�ำอะไรอยู่คะ (คุณยำย เป็นค�ำนำม ส่วนคุณยำยขำ เป็นค�ำเรียกขำน) ทําหนาที่ขยายคําอื่นในประโยคใหชัดเจน
คุณต�ำรวจคะถนนตกไปทำงไหนคะ (ต�ำรวจ เป็นค�ำนำม ส่วนคุณต�ำรวจคะ ท�ำหน้ำที่ ยิ่งขึ้น ทําหนาที่เปนคําเรียกขาน และสวน
เป็นค�ำเรียกขำน) เติมเต็มใหคํากริยาในประโยค)
๒.๖) ท�าหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มให้ค�ากริยา เป็น เหมือน คล้ำย เท่ำ คือ แปลว่ำ เช่น
พุ่มพวงเป็นรำชินีเพลงลูกทุ่ง
น้องนกหน้ำตำคล้ำยพ่อมำก

123

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ประโยคในขอใดไมปรากฏคําสมุหนามหรือคํานามทีบ่ อกความเปนหมูเ ปนพวก
ครูควรแนะนําเพิ่มเติมใหแกนักเรียนวา เกณฑการจําแนกชนิดของคํามี
1. คณะนักเรียนโรงเรียนบานรีวิทยาไปทัศนศึกษา
หลายเกณฑ ดังนั้น จึงทําใหจํานวนชนิดของคําแตกตางกันออกไปดวย เชน
2. ฝูงโลมาวายมาเกยตื้นบริเวณปากอาวไทย
พระยาอุปกิตศิลปสาร จําแนกชนิดของคําออกเปน 7 ชนิด อาจารยวจิ นิ ตน
3. กองหนังสือวางอยูบนโตะในหองสมุด
ภาณุพงศ จําแนกชนิดของคําออกเปน 26 ชนิด อาจารยนววรรณ พันธุเมธา จําแนก
4. ชาวนาตองการสวิงหาปลาหลายปาก
ชนิดของคําออกเปน 6 ชนิด สวนหนังสืออุเทศภาษาไทย ชุดบรรทัดฐานภาษาไทย
วิเคราะหคําตอบ คําสมุหนาม คือ คํานามที่บอกความเปนหมู เปนพวก เลม 3 ซึ่งจัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ ไดจําแนกชนิดของคําออกเปน 12 ชนิด
กลุมหรือคณะ ไดแก ชื่อบุคคล ชื่อสัตว ชื่อสิ่งของ และชื่อสถานที่ จากคํา โดยใชเกณฑหนาที่ ตําแหนงที่ปรากฏ ความสัมพันธกับคําอื่น และความหมาย
นิยามนี้ทําใหพิจารณาไดวา คําสมุหนามในขอ 1. คือคําวา “คณะ” เปนเกณฑสําหรับการจําแนก ดังนี้ คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําชวยกริยา
คําสมุหนามในขอ 2. คือคําวา “ฝูง” คําสมุหนามในขอ 3. คือคําวา “กอง” คําวิเศษณ คําที่เกี่ยวกับจํานวน คําบอกจํานวน คําบุพบท คําเชื่อม คําลงทาย
สวนคําวา “ปาก” ในขอ 4. ไมใชคําสมุหนาม แตเปนคําลักษณนาม คําอุทานและคําปฏิเสธ
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คู่มือครู 123
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 2 สงตัวแทน 2 คน ออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “คําสรรพนาม” โดยนําเสนอ ๓.๒ หมวดค�าสรรพนาม
ขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยามและ ค�าสรรพนาม คือ ค�ำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ มักใช้ในกำรพูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน คุณ ท่ำน
การทําหนาที่ในประโยค เขำ เรำ เป็นต้น
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๑) ประเภทของค�าสรรพนาม แบ่งได้ ๗ ประเภท ดังนี้
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําสรรพนาม ๑.๑) ค�าสรรพนามที่ใช้ในการพูด (บุรุษสรรพนาม) ได้แก่
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง สรรพนามบุรุษที่ การใช้ ตัวอย่างค�าสรรพนาม
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล ๑ ใช้แทนตัวผู้พูด ข้� ฉัน ดิฉัน หนู ผม กระผม เกล้�กระผม ข้�พเจ้�
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม ข้�พระพุทธเจ้�
• คําสรรพนามมีลักษณะสําคัญที่โดดเดน ๒ ใช้แทนผู้ที่พูดด้วย แก เจ้� เธอ คุณ ท่�น พระคุณเจ้� ฝ่�พระบ�ท
จากคําชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร ใต้ฝ่�พระบ�ท ใต้ฝ่�ละอองธุลีพระบ�ท
(แนวตอบ คําสรรพนาม คือคําที่ใชแทนชื่อคน ๓ ใช้แทนผู้ที่ถูกกล่�วถึง เข� มัน แก เธอ ท่�น ท่�นช�ย ท่�นหญิง
สัตว สิ่งของ หรืออาจกลาววาเปนคําที่ใชแทน พระองค์หญิง เสด็จพระองค์หญิง ทูลกระหม่อม
คํานาม สามารถแบงได 7 ประเภท ไดแก
• คําสรรพนามที่ใชในการพูด กำรใช้ค�ำสรรพนำมบำงครั้งสำมำรถใช้ต�ำแหน่งหรือหน้ำที่แทนได้ เช่น
• คําสรรพนามชี้ระยะ มะลิช่วยครูยกสมุดหน่อยสิ (ครู เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑)
• คําสรรพนามที่ใชเปนคําถาม หมอจะให้หนูไปตรวจที่ห้องไหนคะ (หมอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
• คําสรรพนามบอกความไมเฉพาะเจาะจง คุณสุดำ ท่ำนผู้อ�ำนวยกำรอยู่ไหมคะ (ท่ำนผู้อ�ำนวยกำร เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๓)
ค�ำที่ใช้แสดงควำมสัมพันธ์ทำงเครือญำติอำจใช้เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑ หรือบุรุษที่ ๒ ก็ได้
• คําสรรพนามบอกความชี้ซํ้า แบงพวก
ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังต้องพิจำรณำบริบทว่ำเป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑ หรือ ๒ เช่น
• คําสรรพนามเชื่อมประโยค
พ่อคะ นำยกสมำคมฝำกจดหมำยเชิญมำให้ค่ะ (พ่อ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
• คําสรรพนามทีช่ ว ยเนนคํานามทีอ่ ยูข า งหนา)
ค�ำบุรุษสรรพนำมบำงค�ำอำจเป็นได้ทั้งสรรพนำมบุรุษที่ ๒ หรือบุรุษที่ ๓ เช่น
เธอไม่รับประทำนอำหำรประเภทเนื้อใช่ไหม (เธอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
เธอเป็นผู้หญิงที่สุภำพ อ่อนโยน น่ำรักมำก (เธอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๓)
ดังนั้น กำรที่จะบอกว่ำค�ำนั้นๆ เป็นค�ำชนิดใด ท�ำหน้ำที่อะไรในประโยค ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังต้อง
พิจำรณำว่ำค�ำสรรพนำมนั้นวำงอยู่ในต�ำแหน่งใดของประโยค และพิจำรณำบริบทว่ำข้อควำมแวดล้อม
เป็นอย่ำงไร จึงจะพิจำรณำควำมหมำยได้ 1 ถูกต้อง
๑.๒) ค�าสรรพนามชี้ระยะ คือ ค�ำสรรพนำมที่ใช้แทนค�ำนำมที่อยู่ใกล้ หรือห่ำงและไกล
จำกผู้พูด ได้แก่ ค�ำ นี่ นั่น โน่น เช่น
นี่เสื้อของใคร (นี่ เป็นสรรพนำมแทนนำมที่อยู่ใกล้ผู้พูด)
นั่นเป็นกระเป๋ำของเธอหรือ (นั่น เป็นสรรพนำมแทนนำมที่อยู่ห่ำงจำกผู้พูด)
โน่นเพื่อนเธอหรือ (โน่น เป็นสรรพนำมแทนเพื่อนซึ่งอยู่ไกลจำกผู้พูดมำก)

124

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดปรากฏคําบุรุษสรรพนามที่ทําหนาที่ตางจากขออื่น
ครูอาจสรางสรรคกจิ กรรมภายในชัน้ เรียน ดวยการใหนกั เรียนประกอบรูปประโยค
1. เราพาพอกับแมไปซื้อของที่ตลาด
โดยใชคําสรรพนามชี้ระยะ ปากเปลาเปนรายบุคคล
2. ฉันไมไดไปโรงเรียนเพราะไมสบาย
3. วันนี้เคามีเรื่องมาเลาใหฟงดวยแหละ
4. ผมเตือนแกหลายครั้งแลววาเวลาขับรถตองระวัง
นักเรียนควรรู
วิเคราะหคําตอบ คําสรรพนาม คือ คําที่ใชแทนชื่อ คน สัตว สิ่งของ
1 คําสรรพนามชี้ระยะ ในหนังสืออุเทศภาษาไทย เลม 3 ไดระบุวา คําสรรพนาม โดยคําสรรพนามสามารถทําหนาที่ไดเชนเดียวกับคํานาม จากรูปประโยค
ชี้ระยะมี 8 คํา ไดแก นี่ นั่น โนน นูน นี้ นั้น โนน นูน โดยจะใชบอกระยะใกลที่สุด ทีป่ รากฏ ขอ 1. “เรา” เปนคําสรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแทนตัวผูพ ดู ทําหนาที่
ไปจนถึงระยะไกลที่สุด 4 ระยะ ไดแก นี่ กับ นี้ บอกระยะใกลที่สุด นั่น กับ นั้น เปนประธานในประโยค ขอ 2. “ฉัน” เปนคําสรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแทนตัว
บอกระยะที่ไกลออกไป โนน กับ โนน บอกระยะที่ไกลออกไปอีก นูน กับ นูน บอก ผูพ ดู ทําหนาทีเ่ ปนประธานในประโยค ขอ 3. “เคา” เปนคําสรรพนามบุรุษ
ระยะไกลที่สุด คําสรรพนามชี้ระยะ นี่ นั่น โนน นูน สามารถใชตามหลังคํากริยา ที่ 1 ใชแทนตัวผูพูดทําหนาที่เปนประธานในประโยค สวนขอ 4. “แก”
เชน นั่งนี่ไหม หรือใชขึ้นตนประโยคได เมื่อใชขึ้นตนประโยคอาจตามดวยคํานาม เปนคําสรรพนามบุรุษที่ 3 ใชแทนผูที่ถูกกลาวถึงทําหนาที่เปนกรรมใน
หรือคํากริยาก็ได เชน นี่กระเปาใคร นั่นวิ่งไปแลว เปนตน ประโยค ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

124 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑.๓) ค�ำสรรพนำมที่ใช้เป็นค�ำถำม ได้แก่ ค�ำว่ำ ใคร อะไร ไหน เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคํา
ใครมำเปิดตู้ของฉัน สรรพนาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
เธอต้องกำรอะไร การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล
ไหนกระเป๋ำของฉัน เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๑.๔) ค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ไม่ก�ำหนดว่ำเป็นใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใด หรือผู้ใด • เธอ คุณ ทาน ตัวอยางคําเหลานี้ จัดเปน
ไม่ต้องกำรค�ำตอบ มักใช้พูดลอยๆ เชิงปรำรภ เช่น คําสรรพนามประเภทใด
ไหนๆ ก็เป็นไปแล้ว ท�ำใจเสียเถิด (แนวตอบ จัดเปนคําสรรพนามที่ใชในการพูด
(ไหนๆ เป็นค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ท�ำหน้ำที่ประธำนของประโยค) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวาบุรุษสรรพนาม)
ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง • คําสรรพนามชี้ระยะ เปนคําสรรพนามที่
(ใดๆ เป็นค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ท�ำหน้ำที่เป็นประธำนของประโยค) ทําหนาที่ใดในประโยค พรอมยกตัวอยาง
๑.๕) ค�ำสรรพนำมบอกควำมชี้ซ�้ำ แบ่งพวก หรือรวมพวก ได้แก่ ต่ำง บ้ำง กัน ประโยคประกอบคําอธิบาย
ค�ำสรรพนำมประเภทนี้มักใช้ชี้ซ�้ำกับค�ำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ เช่น (แนวตอบ คําสรรพนามชีร้ ะยะ คือ คําสรรพนาม
ผู้คนต่ำงช่วยกันตักน�้ำดับไฟ ที่ชี้หรือแสดงใหเห็นวาคํานามของประโยค
(ต่ำง เป็นค�ำสรรพนำมแทนผู้คน แสดงควำมรวมพวก) นั้นๆ อยูหางจากตัวผูพูดมากเทาไร ไดแก
นักเรียนบ้ำงก็เล่นบ้ำงก็นั่งท�ำงำน
คําวา นี่ นั่น นูน โนน เชน นี่บานใหมของ
(บ้ำง เป็นค�ำสรรพนำมแทนนักเรียน บอกควำมแยกพวก)
ฉัน นั่นโรงเรียนของฉัน นูนแมวของฉัน
เด็กๆ นัดท�ำรำยงำนกันที่ห้องสมุด
โนนตนไมที่พอของฉันปลูกไว)
(กัน เป็นค�ำสรรพนำมแทนเด็กๆ บอกควำมชี้ซ�้ำ)
• นักเรียนคิดวาคําสรรพนามมีประโยชนอยางไร
๑.๖) ค�ำสรรพนำมเชือ่ มประโยค ใช้แทนนำมทีอ่ ยูข่ ำ้ งหน้ำและท�ำหน้ำทีเ่ ชือ่ มประโยคหลัก
ตอการเขียนสื่อสาร
และประโยคย่อยให้เป็นประโยคเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นประโยคควำมซ้อน โดยค�ำที่ใช้แทนนำมและ
ใช้เชื่อมประโยคนี้ ได้แก่ ค�ำว่ำ ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เช่น
(แนวตอบ คําสรรพนาม คือ คําทีใ่ ชแทนชือ่ คน
คุณย่ำชอบหลำนที่อดทน ขยัน ซื่อสัตย์ กตัญญู (ที่ เป็นค�ำสรรพนำมแทนหลำน)
สัตว สิ่งของ ซึ่งคําสรรพนามมีประโยชน
ประโยคหลัก คือ ย่ำชอบหลำน ตอการเขียนสื่อสาร คือทําใหผูเขียนไมตอง
ประโยคย่อย คือ หลำนเป็นคนอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ กตัญญู เขียนคํานามนั้นๆ ซํ้ากันหลายๆ ครั้ง ซึ่ง
เด็กน้อยผู้ร่ำเริงคนนั้นเป็นหลำนภำรโรง (ผู้ เป็นค�ำสรรพนำมแทนเด็กน้อย) อาจกอใหเกิดความไมราบรื่นในการสื่อสาร
ประโยคหลัก คือ เด็กน้อยเป็นหลำนภำรโรง เชน ประโยคที่เขียนวา “สมชายไมสบาย
ประโยคย่อย คือ เด็กน้อยคนนั้นร่ำเริง สมชายจึงไมไปโรงเรียน” กับประโยคที่เขียน
๑.๗) ค�ำสรรพนำมที่เน้นค�ำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ เพื่อบอกควำมรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อผู้ที่ วา “สมชายไมสบายเขาจึงไมไปโรงเรียน”
กล่ำวถึงข้ำงหน้ำ ค�ำสรรพนำมประเภทนี้มักเป็นค�ำสรรพนำมบุรุษที่ ๓ เช่น สองประโยคนีแ้ สดงประโยชนของคําสรรพนาม
ฉันรู้ดีว่ำคุณแม่คุณพ่อท่ำนรักลูกทุกคนอย่ำงเท่ำเทียมกัน ตอการเขียนสื่อสารไดอยางชัดเจน)
(ค�ำว่ำ ท่ำน แทนคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งผู้พูดกล่ำวถึงด้วยควำมรักเคำรพ)

125

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ประโยคในขอใดไมปรากฏคําสรรพนามบอกความไมเจาะจง
1. ใดๆ ในโลกลวนอนิจจัง ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมใหแกนักเรียนวา ชนิดของคําในภาษาไทย นอกจากจะทํา
2. ไมวาอยูที่ไหนก็ไมสุขใจเทาบานเรา หนาที่ตางๆ ในประโยคแลว ยังสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมอีกดวย กลาวคือ คําบุรุษ-
3. อมรชัยถามสมศรีวาเธอกําลังทําอะไร สรรพนามในแตละภาษา จะสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมและการมองโลกที่แตกตางกัน
4. อะไรๆ เขาก็สามารถกินไดทุกสิ่งทุกอยาง คําบุรุษสรรพนามในภาษาไทยสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมไทย การมองโลก และแสดง
วัฒนธรรมการใชภาษาไทยหลายประการ เชน แสดงสถานภาพ แสดงความอาวุโส
วิเคราะหคําตอบ คําสรรพนามบอกความไมเจาะจง คือ คําสรรพนาม แสดงเพศ แสดงความสุภาพ แสดงความสนิทสนมระหวางผูพูดกับผูฟงและผูที่
ที่จะไมกําหนดวาเปนใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใดหรือผูใด ไมตองการคําตอบ กลาวถึง จากนั้นจึงใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําสรรพนามที่สะทอนใหเห็น
มักกลาวขึ้นลอยๆ จากรูปประโยคสามารถวิเคราะหไดวาคําสรรพนาม วัฒนธรรมไทยในดานตางๆ
บอกความไมเฉพาะเจาะจงในขอ 1. คือคําวา “ใดๆ” ขอ 2. คือคําวา “ไหน”
ขอ 4. คือคําวา “อะไรๆ” สวนคําวา “อะไร” ในขอ 3. เปนคําสรรพนาม
ที่ใชเปนคําถามเพื่อตองการใหผูฟงตอบ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

คู่มือครู 125
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับหนาที่ของคํา คุณพัชรเธอมีธุรกิจส�ำคัญต้องไปต่ำงจังหวัดค่ะ
สรรพนาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก (ค�ำว่ำ เธอ แทนคุณ1พัชร ซึ่งกล่ำวถึงด้วยควำมยกย่องและคุ้นเคย)
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล ๒) หน้าทีข่ องค�าสรรพนาม เนือ่ งจำกค�ำสรรพนำม คือ ค�ำทีแ่ ทนค�ำนำม ฉะนัน้ ค�ำสรรพนำม
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม จึงมีหน้ำที่เหมือนค�ำนำม ดังนี้
• นอกจากการทําหนาที่เปนประธานและกรรม ๒.๑) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
ในประโยคแลว คําสรรพนามยังทําหนาที่ใด ผมซื้อของมำฝำกคุณยำยครับ
ในประโยคไดอีกบาง ใครๆ ก็รุมซื้อจนท�ำไม่ทัน
๒.๒) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
(แนวตอบ ทําหนาที่เปนสวนเติมเต็ม และทํา
คุณแม่ให้ฉันไปตลำด
หนาที่เปนคําขยายคํานามในประโยค)
เรำถูกนำยจ้ำงให้ออกจำกงำน
• คําสรรพนามเปนคําที่ใชแทนคํานาม ๒.๓) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มในประโยค มักตำมหลังค�ำว่ำ เป็น เหมือน
จากขอสังเกตนี้ นักเรียนสามารถสรุปหนาที่ คล้ำย เท่ำ เช่น
ของคําสรรพนามไดหรือไม อยางไร น้องนิดหน้ำตำเหมือนเธอมำก
(แนวตอบ เนื่องจากคําสรรพนามเปนคําที่ใช ถ้ำฉันเป็นเขำนะฉันจะขยันมำกกว่ำนี้
แทนคํานาม ดังนั้นจึงสามารถสรุปไดวา ๒.๔) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นค�าขยาย เช่น
คําสรรพนามสามารถทําหนาที่ในประโยคได สุดำหยิบกระเป๋ำใบนัน้ ให้ฉนั หน่อย (นัน้ เป็นค�ำสรรพนำมชีเ้ ฉพำะขยำยค�ำว่ำกระเป๋ำ)
เชนเดียวกับคํานาม เชน ของที่ถืออยู่นั่นเป็นอะไร (นั่น เป็นค�ำสรรพนำมไม่เจำะจงขยำยค�ำว่ำของในมือ)
• เปนประธานในประโยค เชน ฉันไปซื้อของ
ที่ตลาด เขาไมสบาย
• เปนกรรมในประโยค เชน คุณแมใหฉัน
ไปซื้อของที่ตลาด สุนัขกัดเขาจนไดรับ
บาดเจ็บ)
• การจะระบุวาคําสรรพนามนั้นๆ ทําหนาที่ใด
ในประโยค นักเรียนมีวิธีการสังเกตอยางไร
(แนวตอบ ผูอานหรือผูฟงประโยคนั้นๆ
จะตองพิจารณาวาคําสรรพนามนั้นวางอยู
ในตําแหนงใดของประโยค รวมถึงบริบท
แวดลอมดวยวาเปนอยางไร จึงจะสามารถ
บอกหนาที่ของคําสรรพนามนั้นๆ และทําให
เขาใจความหมายของประโยคไดถูกตอง) การเขียนสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผู้เขียนควรศึกษาความหมายและชนิดของค�าได้จากพจนานุกรมภาษาไทย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

126

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําสรรพนาม “ทาน” ในขอใดแตกตางจากขออื่น
ครูสรางสรรคกิจกรรมยอยภายในชั้นเรียนเพื่อสรางความรู ความเขาใจที่ถูกตอง 1. ทานเดินทางไปตางจังหวัดเมื่อสัปดาหที่แลว
เกี่ยวกับหนาที่ของคําสรรพนาม โดยใหนักเรียนยกตัวอยางประโยคที่ใชคําสรรพนาม 2. ผมเห็นทานเดินไปที่ดานหลังของสํานักงานเมื่อสักครู
ทําหนาที่เชนเดียวกับคํานาม 3. ขอเชิญทานถายรูปเพื่อเปนเกียรติแกเจาภาพงานในวันนี้
4. ดิฉันเรียนทานไปแลววาคุณจะมาพบพรอมกับครอบครัว
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ จากรูปประโยคในขอ 1. คําวา “ทาน” เปนคํา
สรรพนามบุรุษที่ 3 ใชแทนผูที่ถูกกลาวถึง เชนเดียวกับคําวา “ทาน”
1 หนาที่ของคําสรรพนาม ในภาษาระดับที่ไมเปนทางการ คําบุรุษสรรพนาม ในรูปประโยคขอ 2. และ ขอ 4. สวนขอ 3. “ทาน” เปนคําสรรพนาม
บางคําอาจทําหนาที่ไดหลายหนาที่ เชน คําวา “เรา” อาจทําหนาที่เปนไดทั้ง บุรุษที่ 2 แทนผูที่ผูพูดสื่อสารดวย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
คําสรรพนามบุรุษที่ 1 และคําสรรพนามบุรุษที่ 2 จากรูปประโยค เราพาพอกับแม
ไปดูหนัง “เรา” ในประโยคแรกเปนคําสรรพนามบุรุษที่ 1 ทําหนาที่เปนประธาน
ของประโยค กับรูปประโยค เราตองกินขาวเยอะๆ จะไดโตเร็วๆ “เรา” ในประโยค
ที่สองเปนคําสรรพนามบุรุษที่ 2

126 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
๓.๓ หมวดค�ากริยา อธิบายความรูในประเด็น “คํากริยา” โดยนํา
ค�ากริยา คือ ค�ำที่แสดงอำกำร บอกสภำพ หรือแสดงกำรกระท�ำของประธำนในประโยค เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
หำกขำดค�ำกริยำจะสื่อสำรกันไม่เข้ำใจ ค�ำกริยำจึงเป็นค�ำส�ำคัญในประโยคซึ่งอำจจะเป็นค�ำแสดง และการทําหนาที่ในประโยค
อำกำรค�ำเดียวหรือเป็นกลุ่มค�ำก็ได้ เช่น นั่ง นั่งเล่น ดู ดูแล ร้อง ร้องเรียก เรียกร้อง ร้องเพลง 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
นั่งร้องเพลง เป็นต้น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
๑) ประเภทของค�ากริยา แบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้ คํากริยา โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
๑.๑) ค�ากริยาทีม่ คี วามหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ตอ้ งมีกรรมมำรับข้ำงท้ำย เป็นค�ำทีบ่ อก จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3
อำกำรแล้วผู้ฟังสำมำรถเข้ำใจได้ทันที อำจมีค�ำขยำยกริยำ หรือค�ำบุพบทประกอบประโยคก็ได้ เช่น เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
นกร้องเพลงในสวน (มีส่วนขยำย คือ ค�ำว่ำ ในสวน) • คํากริยามีความสัมพันธทางไวยากรณกับ
แม่นั่งเล่นที่ใต้ถุนบ้ำน (มีส่วนขยำย คือ ค�ำว่ำ ที่ใต้ถุนบ้ำน) คํานามในประโยคอยางไร
๑.๒) ค�ากริยาที่ต้องมีกรรมมารับ ค�ำกริยำชนิดนี้ถ้ำไม่มีกรรมมำรับข้ำงท้ำยจะท�ำให้ผู้ฟัง (แนวตอบ คํากริยาเปนคําที่แสดงอาการ
ไม่เข้ำใจเพรำะควำมหมำยยังไม่สมบูรณ์ เช่น บอกสภาพ หรือแสดงการกระทําของประธาน
ฉันไป (โรงเรียน) (จำกประโยคข้ำงต้น ไม่สำมำรถบอกได้ว่ำ ไปไหน) ในประโยค ซึ่งคํานามและคําสรรพนามเปน
สมสุขซื้อ (ชุดเนตรนำรี) (จำกประโยคข้ำงต้น ไม่สำมำรถบอกได้ว่ำ ซื้ออะไร) คําที่ทําหนาที่เปนประธานในประโยคได
๑.๓) ค�ากริยาที่ต้องมีส่วนเติมเต็ม เพรำะใจควำมของประโยคยังไม่สมบูรณ์ ต้องมี ดังนั้น คํากริยาจึงมีความสัมพันธทาง
ค�ำนำมหรือสรรพนำมมำรับข้ำงท้ำยจึงจะได้ใจควำมสมบูรณ์ ค�ำกริยำประเภทนี้ได้แก่ค�ำว่ำ เป็น ไวยากรณกับคํานามและคําสรรพนามใน
เหมือน คล้ำย เท่ำ แปลว่ำ หมำยควำมว่ำ เท่ำกับ รำวกับ คือ เช่น ประโยค คือ ทําหนาทีบ่ อกสภาพ บอกอาการ
น้องชำยของฉันเป็นนักดนตรี ของคํานามหรือคําสรรพนามนั้นๆ)
เธอวำงท่ำรำวกับนำงพญำ • คํากริยาที่ตองมีกรรมมารับกับคํากริยา
๑.๔) ค�าช่วยกริยา เป็นค�ำที่ไม่มีควำมหมำยในตัวเองต้องอำศัยกริยำส�ำคัญในประโยค ที่ไมตองมีกรรมมารับ มีลักษณะสําคัญ
ช่วยสื่อควำมหมำยในประโยคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ค�ำช่วยกริยำเป็นค�ำที่บอกควำมรู้สึก กำรคำดคะเน ที่แตกตางกันอยางไร
กำรขอร้อง บังคับ โดยกริยำช่วยบำงค�ำจะอยู่ท้ำยประโยค ถ้ำเอำค�ำช่วยกริยำออกก็ไม่ท�ำให้ขำด (แนวตอบ คํากริยาที่ตองมีกรรมมารับ เมื่อนํา
ใจควำมส�ำคัญ เช่น มาใชในประโยค โดยไมมีกรรมมารองรับ
วันนี้ฝนตกหนักรถคงติดมำก (เป็นกำรคำดคะเน) จะทําใหประโยคไมสมบูรณหรือไมสามารถ
ลูกควรนอนได้แล้ว มิฉะนั้นพรุ่งนี้จะตื่นสำย (เป็นกำรขอร้องโดยให้เหตุผล) สื่อความได เชน ฉันกิน “กิน” เปนคํากริยา
๒) หน้าที่ของค�ากริยา มีดังนี้ ที่ตองมีกรรมมารับ เมื่อนํามาใชในประโยค
๒.๑) เป็นค�าแสดงอาการหรือบอกสภาพของประธาน เช่น จะทําใหสื่อความไดไมสมบูรณ ไมทราบวา
ไก่จิกข้ำวที่ตำกบนลำน ฉันกินอะไร สวนประโยค นักเรียนหัวเราะ
นกอินทรีบินร่อนบนท้องฟ้ำ ถึงแมจะไมมีหนวยกรรมมาเติมเต็ม
ก็สามารถเขาใจความหมายไดเพราะ
“หัวเราะ” เปนคํากริยาที่ไมตองมีกรรม
127 มารับก็สามารถสื่อความได)

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
“เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก เพื่อใหมันบังแดดตอนบาย” คําที่
ครูควรอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคํากริยาที่มีความหมายสมบูรณในตัวเอง
ขีดเสนใตเปนคําชนิดใด และทําหนาที่ใดในประโยค
ในตําราของพระยาอุปกิตศิลปสาร เรียกวา อกรรมกริยา สวนในหนังสืออุเทศ
1. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่เชื่อมประโยค
ภาษาไทย ชุดบรรทัดฐานภาษาไทย เลม 3 กระทรวงศึกษาธิการ เรียกวา คํากริยา
2. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่บอกความชี้เฉพาะ
อกรรม แตมีความหมายเชนเดียวกัน คือ คํากริยาที่ไมตองมีกรรมมารับหรือมาเปน
3. เปนคําลักษณนาม ทําหนาที่บอกลักษณะของคํานามที่อยูขางหนา
หนวยเติมเต็ม จากนั้นครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคํากริยาอกรรม เชน หัวเราะ
4. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่แทนกรรมของประโยคเมื่อมีการกลาวซํา้
ปวดทอง พรอมทั้งแตงประโยคประกอบใหชัดเจน นอกจากนี้ควรอธิบายคํากริยา
วิเคราะหคําตอบ จากประโยค “เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก อีกประเภทหนึง่ ซึง่ มีลกั ษณะตรงขามกับอกรรมกริยา คือ “สกรรมกริยา” พรอมกับให
เพื่อใหมันบังแดดตอนบาย” ประโยคนี้มีการกลาวซํ้าถึงคําที่เปนกรรมตรง นักเรียนยกตัวอยางประโยคประกอบใหชัดเจน ดวยปากเปลาภายในชั้นเรียน
ของประโยค ซึ่งประโยคเต็มคือ “เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก
เพื่อใหตนกามปูบังแดดตอนบาย” “มัน” จึงเปนคําสรรพนามที่ถูกใช
แทนตนกามปูเมื่อถูกกลาวซํ้าอีกครั้งในประโยค ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

คู่มือครู 127
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 2 คนออกมา
อธิบายความรูในประเด็น “คําวิเศษณ” ๒.๒) ค�ำกริยำท�ำหน้ำที่ขยำยนำม เช่น
โดยนําเสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของ คุณยายท�าอาหารถวายพระทุกวัน
คํานิยามและการทําหนาที่ในประโยค (ท�าอาหาร เป็นกริยาส�าคัญ ถวาย เป็นค�ากริยาขยายนาม พระ)
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย พี่ชวนฉันไปทะเล
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําวิเศษณ (ชวน เป็นกริยาส�าคัญ ไป เป็นค�ากริยาขยาย ทะเล)
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง ๒.๓) ค�ำกริยำที่ท�ำหน้ำที่เหมือนค�ำนำม เช่น
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล สูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิตเป็นพิษต่อคนใกล้เคียง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม (สูบบุหรี่ เป็นค�ากริยา ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนค�านาม)
• คําวิเศษณมีลักษณะสําคัญที่โดดเดนจาก พูดดีเป็นศรีแก่ตัว
คําชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร (พูดดี เป็นค�ากริยา ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนค�านาม)
(แนวตอบ คําวิเศษณ คือคําที่ใชสําหรับ
ประกอบคําอื่นๆ และชวยขยายคําอื่นๆ ใหมี
๓.๔ หมวดค�ำวิเศษณ์
เนื้อความที่แปลกออกไป ทําใหใจความของ ค�ำวิเศษณ์ คือ ค�าที่ประกอบค�าอื่นและช่วยขยายค�าอื่นให้มีเนื้อความแปลกออกไป ท�าให้
ประโยคนั้นๆ มีความสมบูรณดวยอารมณ ใจความในประโยคสมบูรณ์ด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ
ความรูสึกและจินตนาการ) ๑) ประเภทของค�ำวิเศษณ์ จ�าแนกย่อยได้ ๙ ประเภท ดังนี้
• คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาโดยทั่วไป ๑.๑) ค�ำวิเศษณ์บอกลักษณะ เช่น
หมายความวาอยางไร ยกตัวอยางประโยค นางสาวไทยผิวขาวสวยจริงๆ
ประกอบใหชัดเจน ขนมไทยหอมหวานน่1ารับประทาน
(แนวตอบ คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาทั่วไป ๑.๒) ค�ำวิเศษณ์บอกเวลำ เช่น
คือ คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาใดๆ ก็ได ลูกนอนดึกมากจึงตื่นสาย
ไมไดกําหนดวาจะตองใชขยายเฉพาะคํากริยา วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง
คํานี้ เชนคําวา “ที่สุด” สามารถใชขยาย ๑.๓) ค�ำวิเศษณ์บอกสถำนที่ เช่น
คํากริยาใดก็ได เชน “เขาเกงที่สุด” “เขาขยัน บ้านน้องอยู่ฝั่งซ้าย บ้านพี่อยู่ฝั่งขวา
ที่สุด” หรือคําวา “จริงๆ” ใชขยายคํากริยา บ้านของเขาอยู่ไกลจากบ้านของเธอ
ใดก็ได เชน “แมเสียใจจริงๆ” “เขาไปจริงๆ” ๑.๔) ค�ำวิเศษณ์บอกปริมำณหรือจ�ำนวน เช่น
เปนตน) เปิดเทอมนี้แม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจ�านวนมาก
ลูกทุกคนต่างมากราบขอพรแม่
๑.๕) ค�ำวิเศษณ์บอกควำมไม่ชี้เฉพำะ เช่น
หนูท�างานอะไรก็ได้
ไม่มีใครรักเธอเท่าแม่

128

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
ครูยกตัวอยางวลีตอไปนี้ใหนักเรียนฟง แดงแจ, ขาวจั๊วะ, ดําป, คมกริบ, นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาทั่วไปที่ปรากฏใช
เหลืองออย หรือวลีอนื่ ๆ เพิม่ เติม เมื่อนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและ ในภาษาไทย โดยรวบรวมและนํามาเรียบเรียงเขาประโยคประกอบ
กิจกรรมทาทาย ครูควรสุม เรียกชือ่ นักเรียนออกมาแสดงผลการศึกษาเพือ่ แลกเปลีย่ น คําอธิบายใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะ
ขอมูลความรู จากนัน้ ใหทกุ คนรวมกันสรุปเกีย่ วกับหนาทีแ่ ละรูปแบบการใชคาํ วิเศษณ บุคคล สงครู

นักเรียนควรรู กิจกรรมทาทาย
1 คําวิเศษณบอกเวลา ใชเพื่อบงบอกเวลาที่เกิดเหตุการณหรือการกระทํา
อยางใดอยางหนึง่ เชน กลางคืน กลางวัน เมือ่ กี้ เปนตน ซึง่ อาจปรากฏในประโยค นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาคําใดคําหนึ่ง
โดยอยูใ นตําแหนงตนหรือทายประโยคก็ได โดยไมทําใหความหมายโดยรวมของ โดยเฉพาะที่ปรากฏใชในภาษาไทย โดยรวบรวมและนํามาเรียบเรียง
ประโยคเปลี่ยนไป เชน “เชาๆ นักกีฬาจะซอมวิง่ กัน” กับ “นักกีฬาจะซอมวิง่ กัน เขาประโยคประกอบคําอธิบายใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ
ตอนเชาๆ” ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู

128 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑.๖) ค�าวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคํา
บ้ำนโน้นเขำมีงำนแต่งงำน วิเศษณ โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
เด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน 1 การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล
๑.๗) ค�าวิเศษณ์แสดงค�าถาม เช่น เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
วิชำใดที่เธอชอบเรียนมำกที่สุด • คําวิเศษณมีความสัมพันธทางไวยากรณ
มีอะไรหำยไปบ้ำง กับคําที่อยูขางหนา และสงผลตอ
๑.๘) ค�าวิเศษณ์แสดงการร้องเรียก ขานรับ หรือแสดงความสุภาพ เช่น ประโยคนั้นๆ อยางไร
แสงเอ๊ย เปิดประตูให้ยำยหน่อย (แนวตอบ คําวิเศษณ คือคําที่ใชขยายคํา
คุณตำครับ ผมขออนุญำตไปเล่นดนตรีกับเพื่อนนะครับ ที่อยูขางหนา เพื่อทําใหประโยคนั้นๆ
๑.๙) ค�าวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ เช่น มีความสมบูรณ กอใหเกิดความเขาใจ
อย่ำเปิดประตูรับคนแปลกหน้ำ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น)
ไม่ใช่เธอคนเดียวที2่ล�ำบำก คนอื่นๆ ก็ล�ำบำกเหมือนกัน • จากประโยค “ลมพัดแรง” กับ “นนทตอก
๒) หน้าที่ของค�าวิเศษณ์ ค�ำวิเศษณ์เป็นค�ำที่ขยำยค�ำอื่น ท�ำให้ควำมหมำยของค�ำต่ำงๆ ตะปูแรงๆ หนอย” แสดงใหเห็นตําแหนง
กระจ่ำงชัดเจนยิ่งขึ้น ค�ำวิเศษณ์จึงมีหน้ำที่ ดังนี้ ของคําวิเศษณอยางไร
๒.๑) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�านาม เช่น (แนวตอบ หากประโยคประกอบดวยประธาน
คนดีธรรมะย่อมคุ้มครอง และคํากริยาที่ไมตองมีกรรมมารับ ตําแหนง
เด็กเล็กๆ ก�ำลังว่ำยน�้ำในสระ ของคําวิเศษณจะปรากฏหลังคํากริยานั้นๆ
๒.๒) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�าสรรพนาม เช่น โดยตรง ดังนัน้ คําวา “แรง” ซึง่ เปนคําวิเศษณ
เขำเองเป็นตัวกำรในเรื่องนี้ จึงปรากฏอยูหลังคําวา “พัด” แตถาประโยค
ใครโง่ที่หลงไปเป็นเหยื่อเขำ ประกอบดวยประธาน กริยา และกรรม
๒.๓) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�ากริยา เช่น คําวิเศษณจะปรากฏในตําแหนงหลังคํานาม
ยำยเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปเปิดประตู ซึ่งทําหนาที่เปนกรรมตรงในประโยค ในที่นี้
นลินีพูดจำไพเรำะ คําวา “แรง” จึงปรากฏหลังคําวา “ตะปู”)
๒.๔) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�าวิเศษณ์ เช่น
เด็กๆ ไม่ควรนอนดึกเกินไป
เด็กชำยพชรเป็นเด็กฉลำดเฉียบแหลม เก่ง และดี
๒.๕) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่เป็นค�าบอกสภาพและเป็นตัวแสดงกริยาอาการ เช่น
กล้วยเครือนี้แก่จัดแล้ว (แก่จัดแล้ว เป็นค�ำวิเศษณ์แสดงสภำพ)
น�้ำในขวดนี้เย็นจัด (เย็นจัด เป็นค�ำแสดงสภำพของน�้ำ)

129

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ประโยคในขอใดตอไปนี้ใชคําวิเศษณไดถูกตอง
1. ผูหญิงคนนั้นไวผมยาวป 1 คําวิเศษณแสดงคําถาม หมายถึง คําวิเศษณที่ใชแสดงคําถามเกี่ยวกับการ
2. เด็กคนนั้นตัวอวนกลมมอตอ กระทําวากระทําไปเพราะเหตุใด หรือเพื่อวัตถุประสงคอะไร กระทําลงไปเวลาใด
3. เขาเหลาดินสอจนแหลมเปยบ กระทําในลักษณะใด เชน เหตุใดจึงไมแจงกําหนดการลวงหนา ทําไมสัตวปา
4. เขาเคี้ยวหนังไกทอดกรอบดังกรอดๆ หลายชนิดจึงสูญพันธุ เครื่องบินจะลงเมื่อไร ซึ่งคําวิเศษณแสดงคําถามบางคําจะ
ปรากฏในรูปประโยคตําแหนงตนหรือตําแหนงทายประโยคเทานั้น ไมสามารถสลับ
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. คําวิเศษณ คือ “ป” ใชขยายคําวา “ดํา” เปน ตําแหนงได เชน “เหตุใดจึงมาชา” ไมสามารถสลับตําแหนงเปน “มาชาเหตุใด” ได
“ดําป” ที่ถูกตองควรใชคําวา “ยาวเฟอย” ขอ 2. คําวิเศษณ คือ “มอตอ” 2 หนาที่ของคําวิเศษณ สํานวนบางสํานวนที่ปรากฏใชในภาษาไทยสามารถทํา
ใชขยายคําวา “เตี้ย” เปน “เตี้ยมอตอ” ที่ถูกตองควรใชคําวา “กลมดิ๊ก” หนาที่เชนเดียวกับคําวิเศษณได คือ ใชขยายคํากริยาที่อยูขางหนา เชน พูดนํ้าไหล
สวนขอ 4. คําวิเศษณ คือ “กรอด” ใชในรูปประโยควา “กัดฟนดังกรอดๆ” ไฟดับ ทํางานหามรุงหามคํ่า สั่นเปนเจาเขา โกรธเปนฟนเปนไฟ นอนกินบาน
ที่ถูกตองควรใชคําวา “ดังกรวมๆ” ดังนั้นจึงตอบขอ 3. กินเมือง เปนตน

คู่มือครู 129
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
อธิบายความรูในประเด็น “คําบุพบท” โดยนํา ๓.๕ หมวดค�าบุพบท
เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
1
ค�าบุพบท คือ ค�ำที่ใช้เชื่อมค�ำต่อค�ำ มักอยู่หน้ำค�ำนำม ค�ำสรรพนำม หรือค�ำกริยำ มีค�ำว่ำ
และการทําหนาที่ในประโยค ด้ ว ย โดย ใน ของ แห่ ง กั บ แก่ แด่ ต่ อ เป็ น ต้ น ค� ำ บุ พ บทมั ก จะน� ำ หน้ ำ ค� ำ หรื อ กลุ ่ ม ค� ำ
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย เพื่อบอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงข้อควำมข้ำงหน้ำกับค�ำ หรือกลุ่มค�ำข้ำงหลัง
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําบุพบท การใช้และหน้าที่ของค�าบุพบท
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 5 เปนขอมูล ค�าบุพบท การใช้ ตัวอย่าง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม ของ แห่ง ใน ใช้เพื่อแสดงคว�มเป็นเจ้�ของ โรงเรียนส�ธิตแห่งมห�วิทย�ลัยเกษตรศ�สตร์
บ�งเขนเปิดรับสมัครนักเรียน
• จากรูปประโยค “เขาวางแผนไปเที่ยวทะเล กับ ใช้กับข้อคว�มที่เป็นไปในทิศท�ง น้�กับหล�นม�เยี่ยมป้�ที่โรงพย�บ�ล
กับเพื่อนๆ” คําบุพบทในประโยคนี้คือคําวา เดียวกัน
อะไรและบอกความหมายอยางไร แก่ แด่ ใช้ในคว�มหม�ยว่� ให้
(แนวตอบ คําบุพบทในประโยคนี้คือคําวา “กับ” - แด่ ใช้เมื่อผู้น้อยให้ผู้ใหญ่ - คุณย่�ถว�ยภัตต�ห�รเพลแด่พระสงฆ์
- แก่ ใช้เมื่อผู้ใหญ่ให้ผู้น้อยและ - พ่อยกมรดกให้แก่ลูก
ซึ่งบอกความหมายของการกระทํากริยา ใช้กับคนทั่วไป
รวมกันระหวาง “เขา” “เพื่อน” โดยคํากริยา ต่อ เมื่อประจันหน้� หรือใช้บอกคว�ม - น�ยแดงทำ�ดีต่อหน้�เจ้�น�ยเท่�นั้น
ที่กระทํารวมกันคือ “วางแผนไปเที่ยว”) เฉพ�ะ - เลข�นุก�รแสดงคว�มคิดเห็นต่อที่ประชุม
• คําบุพบทมักมีความหมายในทิศทางใดบาง แต่ จ�ก ใช้นำ�หน้�คำ�เพื่อบอกเวล�หรือบอก - แหวนนี้ท่�นได้แต่ใดม�
(แนวตอบ คําบุพบทมักมีความหมาย สถ�นที่ และอ�จใช้แทนกันได้ - เข�ม�จ�กไหน
เพื่อบอกตําแหนง หนาที่ ความเกี่ยวของ ละบุพบท อ�จละบุพบทในฐ�นที่เข้�ใจได้ แม่อยู่ที่บ้�น (อ�จละบุพบท ที่)
ความมุงหมาย ความเปนเจาของ) ข้อสังเกต
• จากรูปประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” ค�ำบุพบทจะใช้บอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงข้อควำมข้ำงหน้ำและข้ำงหลัง ดังนั้น ค�ำบุพบท
กับ “สุนัขของอิงฟาหายไป” ใชคําบุพบทใน จึงต้องอยู่หน้ำค�ำนำม ค�ำสรรพนำม ค�ำกริยำ และค�ำวิเศษณ์ เช่น
ความหมายที่แตกตางกันอยางไร ๑. น�ำหน้ำค�ำนำม เช่น อย่ำหักพร้ำด้วยเข่ำ ของขวัญนี้เพือ่ น้องนะจ๊ะ
(แนวตอบ ประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” ๒. น�ำหน้ำค�ำสรรพนำม เช่น พี่ดีตอ่ ฉันมำก พระท่ำนให้พรแก่พวกเรำ
ใชคาํ บุพบทเพือ่ บอกตําแหนงทีต่ งั้ สวนประโยค ๓. น�ำหน้ำค�ำกริยำ เช่น เขำเป็นคนเห็นแก่ได้ หนังสือนี้เขำใช้สำ� หรับค้นคว้ำเท่ำนั้น
“สุนัขของอิงฟาหายไป” ใชคําบุพบทเพื่อบอก
หรือแสดงความเปนเจาของ) ๓.๖ หมวดค�าสันธาน
ค�าสันธาน คือ ค�ำทีเ่ ชือ่ มประโยคกับค�ำ เชือ่ มประโยคกับกลุม่ ค�ำ หรือเชือ่ มประโยคกับประโยค
รวมให้เป็นประโยคเดียวกัน ท�ำให้ประโยคชัดเจน กะทัดรัด สละสลวยยิ่งขึ้น ดังนั้น ประโยค
ที่เกิดใหม่จึงสำมำรถแยกเป็นประโยคควำมเดียวได้ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป จะพบค�ำสันธำนในประโยค
ควำมรวมและประโยคควำมซ้อน ดังเช่นตำรำงต่อไปนี้

130

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดใชคําบุพบทถูกตอง
ครูควรยกตัวอยางประโยคแลวใหนกั เรียนรวมกันวิเคราะหวา คําบุพบทในประโยค
1. เราทุกคนมั่นใจตอมติที่ประชุม
นั้นๆ คือคําวาอะไร และบอกความหมายอยางไร เชน “พอตัดแตงตนไมหลายตน
2. นองตั้งใจเรียนเพราะอนาคตของตนเอง
ในสวน” คําบุพบทคือ “ใน” ปรากฏหนานามวลี “สวน” รวมกันเปนบุพบทวลี
3. เรากลาวคําสรรเสริญแกพระผูมีพระภาคเจา
“ในสวน” ใชขยายนามวลี “ตนไมหลายตน” โดยใชคําบุพบทเพื่อบอกตําแหนง ที่ตั้ง
4. นิสิตตองยื่นคํารองตอมหาวิทยาลัยเมื่อตองการเปลี่ยนวิชา
วิเคราะหคําตอบ คําบุพบทมักมีความหมายเพื่อบอกตําแหนง หนาที่
นักเรียนควรรู ความเกี่ยวของ ความมุงหมาย ความเปนเจาของของนามวลีที่มีความ
สัมพันธกับคํากริยา หรือบอกความสัมพันธระหวางนามวลีกับนามวลี
1 คําบุพบท หรือคําบุรพบท เมื่ออยูในประโยคจะปรากฏในตําแหนงหนานาม ในประโยคเดียวกัน จากคํานิยามขางตนจะทําใหวิเคราะหไดวา ขอ 1.
วลี และประกอบกันเปนบุพบทวลี ทําหนาที่เปนสวนขยายนามวลีหรือกริยาวลีที่ ที่ถูกตองควรใชคําวา “ในมติ” ขอ 2. ที่ถูกตองควรใชคําวา “เพื่ออนาคต
อยูขางหนา เชน ปากกาของฉันหายบอย คําบุพบทคือ “ของ” ปรากฏหนานามวลี ของตนเอง” ขอ 3. ที่ถูกตองควรใชคําวา “แดพระผูมีพระภาคเจา”
“ฉัน” รวมเปนบุพบทวลีขยายคํานาม “ปากกา” บุพบทวลี “ของฉัน” รวมกับนามวลี ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
“ปากกา” กลายเปนนามวลีเดียวกัน “ปากกาของฉัน”

130 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 6 และกลุมที่ 7 สงตัวแทน
กลุมละ 2 คน ออกมาอธิบายความรูใน
ประโยคความเดียว ประโยคความเดียว เชื่อมด้วยสันธาน กลายเป็น
ประเด็น “คําสันธาน” และ “คําอุทาน”
พ่อของฉันเป็น แม่ของฉันเป็น และ พ่อและแม่ของฉันเป็น ตามลําดับ โดยนําเสนอขอมูลใหครอบคลุม
คนขอนแก่น คนขอนแก่น คนขอนแก่น
ประเด็นของคํานิยามและการทําหนาที่ใน
(ประโยคคว�มรวม)
ถั่วสุก ง�ไหม้ กว่�...ก็ กว่�ถั่วจะสุกง�ก็ไหม้ ประโยค
(ประโยคคว�มรวม) 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถามเกี่ยวกับ
เด็กยืนร้องไห้ เด็กเป็นน้องของฉัน ที่ เด็กที่ยืนร้องไห้เป็นน้อง คําสันธาน และคําอุทาน โดยใชความรู
ของฉัน ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
(ประโยคคว�มซ้อน) เพื่อนๆ กลุมที่ 6 และ 7 เปนขอมูลเบื้องตน
สําหรับตอบคําถาม หรือครูอาจใหนักเรียน
หน้าที่ของค�าสันธาน ค�ำสันธำนมีหน้ำที่ ดังนี้ ตั้งคําถามเพื่อถาม-ตอบกันเอง โดยครูเปน
๑.๑) เชื่อมค�ากับค�า เช่น ผูชวยในการตั้งขอสังเกตเพื่อชี้นําใหนักเรียน
ฉันกับเธอเป็นศิษย์เก่ำโรงเรียนวัฒนำวิทยำลัยเหมือนกัน (เชื่อม ฉัน กับ เธอ) ตั้งคําถาม
๑.๒) เชื่อมค�ากับกลุ่มค�า เช่น • นักเรียนคิดวาคําสันธานและคําบุพบท
คุณพ่อและญำติๆ ของฉันต่ำงเลีย้ งฉลองแสดงควำมยินดีทฉี่ นั ได้รำงวัล (เชือ่ มคุณพ่อ มีรูปแบบการใชในประโยคแตกตางกัน
และ ญำติๆ ของฉัน) อยางไร
๑.๓) เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น (แนวตอบ คําบุพบทมักจะใชนําหนาคําหรือ
เธอจะเอำสำยสร้อยหรือเอำนำฬิกำ (เชื่อมประโยคเธอจะเอำสำยสร้อย กับ เธอ กลุมคําเพื่อแสดงหรือบอกความสัมพันธ
จะเอำนำฬิกำ ด้วยค�ำว่ำ หรือ เพื่อให้เลือกอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง) ระหวางนามวลีทั้งสองในประโยค สวนคํา
ข้อสังเกต สันธานจะใชเชื่อมประโยคกับประโยค
๑. กำรใช้ค�ำสันธำนเชื่อมประโยคบำงครั้งอำจละค�ำสันธำนไว้ในฐำนที่เข้ำใจ เช่น รวมใหเปนประโยคเดียวกัน จากตัวอยาง
(เมื่อ) น�้ำมำ ปลำ (ก็) กินมด (แต่พอ) น�้ำลด มด (ก็) กินปลำ รูปประโยค “แมวของอรทัยหายไป” กับ
๒. ค�ำว่ำ ให้ เป็นค�ำกริยำ แต่เมื่อน�ำมำเชื่อมประโยค ก็ท�ำหน้ำที่เป็นค�ำสันธำน เช่น ประโยค “พอและแมเปนผูใหกําเนิดลูก”
กรรมกรชุมนุม จะเห็นวาประโยคแรกไมสามารถแยกประโยค
กรรมกรเรียกร้องรัฐบำล ไดเพราะใชคําบุพบท “ของ” เพื่อแสดงความ
รัฐบำลขึ้นค่ำแรง เปนเจาของ แตประโยคหลังสามารถแยก
รวมเป็ น ประโยคควำมซ้ อ น กรรมกรชุ ม นุ ม และเรี ย กร้ อ งรั ฐ บำลให้ขึ้ น ค่ ำ แรง โดยมี ไดคือ “พอเปนผูใหกําเนิดลูก” “แมเปนผูให
ค�ำสันธำน และ กับ ให้ เชื่อมประโยค กําเนิดลูก” ดังนั้นการใชคําสันธานหรือ
๓. ค�ำสรรพนำมเชื่อมควำม ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เมื่อเชื่อมประโยคจะท�ำหน้ำที่เป็นค�ำสันธำน เช่น คําเชื่อมจึงเปนการเชื่อมหนวยทางภาษา
เขำท�ำงำน เขำต้องอดทนมำก เชื่อมประโยคเป็น เขำท�ำงำนทีต่ ้องใช้ควำมอดทนมำก ตั้งแต 2 หนวยขึ้นไปเขาเปนหนวยภาษา
เดียวกัน)
131

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคนหาประโยคจากงานเขียนประเภทตางๆ ที่พบเห็นใน จากกิจกรรมสรางเสริมคําตอบของนักเรียนจะมีลักษณะ ดังนี้
ชีวิตประจําวัน จํานวน 20 ประโยค นํามาวิเคราะหวาแตละคํามีความ “ฉันกินขาวที่โรงอาหาร” “ฉัน” เปนคําสรรพนาม ทําหนาทีเ่ ปนประธานใน
สัมพันธทางไวยากรณตอกันอยางไร สรุปผลการศึกษาเปนใบความรู ประโยค “กิน” เปนคํากริยามีความสัมพันธทางไวยากรณกับคําวาฉัน โดยแสดง
เฉพาะบุคคล สงครู สภาพ หรืออาการ “ขาว” เปนคํานาม ทําหนาที่เปนกรรมตรงของประโยค มี
ความสัมพันธทางไวยากรณกับคําวา ฉัน โดยถูกกระทํา “ที่” เปนคําบุพบทปรากฏ
หนานามวลี โรงอาหาร รวมเปนบุพบทวลี “ที่โรงอาหาร” ขยายกริยาวลี “กิน”
กิจกรรมทาทาย สวนกิจกรรมทาทาย คําตอบจะมีลักษณะ ดังนี้
“บนทองฟานกบินไปมาอยางอิสระ” ปรากฏการยายสวนใดสวนหนึ่งของ
นักเรียนคนหาประโยคจากงานเขียนประเภทตางๆ ที่พบเห็นในชีวิต ประโยคในที่นี้คือ ยายบุพบทวลี “บนทองฟา” มาไวหนาประธานเพื่อเนนยํ้า
ประจําวัน นํามาวิเคราะหวาประโยคมีการยายตําแหนงคําเพื่อตองการ สถานที่
เนนสวนใดสวนหนึ่งหรือไม สรุปผลการวิเคราะหเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู

คู่มือครู 131
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. จากความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับชนิดและ
หนาที่ของคําในประโยค ใหนักเรียนเลือกศึกษา ๔. ค�ำสันธำนอำจเป็นค�ำชนิดอื่น เช่นเดียวกับค�ำสรรพนำมในข้อ ๓ แต่เมื่อท�ำหน้ำที่เชื่อมค�ำ
ภาษาในงานเขียนตอไปนี้ กลุ่มค�ำ หรือประโยค ค�ำนั้นก็เป็นค�ำสันธำน เช่น
- ภาษาในงานหนังสือพิมพ เขำท�ำงำนระหว่ำงเรียน (ระหว่ำง เป็นค�ำบุพบทเพรำะอยู่หน้ำค�ำกริยำ)
- ภาษาในงานโฆษณา เขำท�ำงำนระหว่ำงน้องชำยนอนหลับ (ระหว่ำง เป็นค�ำสันธำนเพรำะเชื่อมประโยค)
- ภาษาในงานบันเทิงคดี
โดยศึกษาวามีรูปแบบการเรียงคําเขาประโยค ๓.๗ หมวดค�าอุทาน
อยางไร การเรียงคําเขาประโยคไดคํานึงถึงชนิด ค�าอุทาน คือ ค�ำหรือเสียงที่เปล่งออกมำเพื่อแสดงอำรมณ์ ควำมรู้สึกต่ำงๆ เช่น ดีใจ เสียใจ
หนาที่ และความสัมพันธทางไวยากรณหรือไม พอใจ ตกใจ แปลกใจ เป็นต้น ค�ำอุทำนไม่มีควำมหมำยส�ำคัญในประโยค แต่ท�ำให้ผู้รับสำรเข้ำใจเจตนำ
อยางไร เขียนผลการวิเคราะหแลวนํามาเสนอ และควำมรู้สึกของผู้ส่งสำรชัดเจนยิ่งขึ้น
ใหครูและเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน ประเภทของค�าอุทาน แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้
2. นักเรียนเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ ๑.๑) ค�าอุทานบอกอารมณ์ ความรู้สึก เช่น
ตนเองเกีย่ วกับชนิดและหนาทีข่ องคําทัง้ 7 ชนิด ตำยจริง ! ฉันลืมปิดเตำแก๊ส (ตำยจริง อุทำนด้วยควำมตกใจ)
ในภาษาไทย พรอมยกตัวอยางประโยคจาก ไชโย ! สวนกุหลำบชนะแล้ว (ไชโย อุทำนด้วยควำมดีใจ)
สือ่ ทีพ่ บเห็นในชีวติ ประจําวันจํานวน 10 ประโยค ๑.๒) ค�าอุทานเสริมบท เป็นค�ำที่ไม่ได้บอกอำรมณ์ควำมรู้สึกของผู้พูด แต่ใช้ในกำร
เพื่อแสดงผลการวิเคราะหหนาที่และจําแนก สนทนำเพื่อแสดงควำมรู้สึกคุ้นเคยและท�ำให้กำรสนทนำมีรสชำติขึ้น เช่น
ชนิดของคําในประโยคโดยศึกษาและคนหา ควำมประพฤติของหลำนๆ ท�ำให้ย่ำหนักอกหนักใจมำกนะ
ตัวอยางใหครบทั้ง 7 ชนิด เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่ำงไร
กำรใช้ค�ำอุทำนท�ำให้ผู้รับสำรเกิดอำรมณ์คล้อยตำม สนุกสนำนตำมเนื้อเรื่อง และเห็น
ภำพพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น

เนือ่ งจากคÓในภาษาไทยมีหลากชนิดและหลากความหมาย ซึง่ แต่ละคÓทÓหน้าที่


แตกต่างกัน การทีจ่ ะจÓแนกว่าคÓนัน
้ เป็นคÓชนิดใด ทÓหน้าทีอ่ ย่างไร สังเกตจากตÓแหน่ง
ที่คÓปรากฏในประโยค การเรียนรูเ้ กีย่ วกับชนิดและหน้าทีข่ องคÓในประโยค คือสิ่งจÓเป็น
เพราะจะทÓให้ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

132

บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู ชนิดและหนาที่ของคําในประโยคมีความจําเปนอยางยิ่งตอการนําไป
ใชในชีวิตประจําวันเพื่อการสื่อสารในรูปแบบตางๆ ซึ่งนักเรียนสามารถนํา
กิจกรรมในกระบวนการขยายความเขาใจที่ใหนักเรียนปฏิบัตินั้น จะทําให
องคความรูเรื่องชนิดและหนาที่ของคําบูรณาการไดกับเรื่องการเขียน
นักเรียนมองเห็นรูปแบบการใชคําเพื่อเรียบเรียงเขาประโยคโดยใชทักษะการสังเกต
ในกลุมสาระการเรียนรูวิชาภาษาไทย โดยครูมอบหมายใหนักเรียน
ในการปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งการเรียงคําเขาประโยคสําหรับภาษาหนังสือพิมพ จะไม
เขียนเรียบเรียงเกี่ยวกับชีวิตของตนเองในชวงระยะเวลาที่ผานมาความ
คํานึงถึงความถูกตองทางไวยากรณ แตจะมุงเนนเพื่อการสื่อสาร และเราความสนใจ
เปลี่ยนแปลงตางๆ ของชีวิตที่สามารถนํามาใชเปนบทเรียนหรือแงคิด
เปนสําคัญ เชน ครม.ดันพระธาตุเมืองคอนมรดกโลก หรือการใชภาษาเพื่อการ
ใหแกผูอื่นได โดยใชความรูเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําเรียงรอย
โฆษณาของรานขายอุปกรณทางการเกษตรที่เขียนไววา “ดิน ขุย ปุย กาบ” เปนการ
ประโยคเปนเรื่องราวความยาวไมเกิน 1 หนา กระดาษ A4 สงครู
เรียบเรียงคําเขาประโยคที่ไมมีประธาน กริยา กรรม มุงเพียงสื่อสารใหเขาใจวา
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ จะทําใหนักเรียนนํา
รานนี้ขายดิน ขุยมะพราว ปุย และกาบมะพราว เมื่อนักเรียนไดทํากิจกรรมจะทําให
ความรู ความเขาใจในเชิงทฤษฎีไปใชปฏิบัติจริงในสถานการณการสื่อสาร
เกิดความเขาใจวา การเรียบเรียงคําเขาประโยคของงานเขียนแตละประเภทมีความ
ที่แตกตางกัน
แตกตางกันดวยจุดประสงค การวิเคราะหชนิดและหนาทีข่ องคําจึงตองพิจารณาจาก
ความสัมพันธทางไวยากรณกับคําอื่นๆ ในประโยคเปนสําคัญ

132 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนนําเสนอขอมูลเกีย่ วกับการเรียบเรียงคํา
เขาประโยคของภาษาในงานเขียนทีเ่ ลือกศึกษา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอขอมูลของนักเรียน
โดยพิจารณาวาสามารถบอกไดวา การเรียบเรียง
คําเขาประโยคมีลักษณะอยางไร ซึ่งขอมูลที่นํา
๑. เหตุใดจึงต้องศึกษ�เรื่องชนิดและหน้�ที่ของคำ�ในประโยค
๒. คำ�ในภ�ษ�ไทยมีกี่ประเภท อะไรบ้�ง
เสนอยอมสะทอนใหเห็นวา นักเรียนมีความรู
๓. ถ้�ผู้สื่อส�รเรียงคำ�สลับตำ�แหน่งในประโยค จะทำ�ให้ก�รสื่อส�รประสบผลสำ�เร็จหรือไม่ ความเขาใจเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคํา
๔. คำ�สันธ�นมีวิธีใช้ประกอบประโยคอย่�งไร ยกตัวอย่�งประกอบ จนกระทั่งสามารถบอกไดวาการใชภาษา
๕. จงระบุพร้อมให้เหตุผลประกอบว่�คำ�ต่อไปนี้คำ�ใดเป็นอ�ก�รน�มและคำ�ใดเป็นคำ�น�ม ก�รบ้�น ของงานเขียนประเภทที่เลือกมีรูปแบบอยางไร
ก�รเมือง ก�รรักษ�พย�บ�ล ก�รทูต ก�รคลัง ก�รกิน ก�รนอน ก�รเลี้ยงดู ก�รอบรม ก�รกุศล หรือบกพรองทางไวยากรณอยางไร
ก�รทำ�บุญ คว�มดี คว�มง�ม คว�มสงบสุข คว�มส�มัคคี คว�มรัก คว�มรับผิดชอบ คว�มมัธยัสถ์ 3. ใบความรูเ ฉพาะบุคคลแสดงความรู ความเขาใจ
คว�มละเอียดถี่ถ้วน คว�มอุดมสมบูรณ์ คว�มอ้วน เกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําในภาษาไทย
พรอมบทวิเคราะหหนาที่ จําแนกชนิดของคํา
จากประโยคที่นําเสนอ
4. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู หลักฐานแสดงผลการเรียนรู


1. ขอมูลการวิเคราะหรูปแบบการเรียบเรียงคํา
กิจกรรมที่ ๑ ให้นกั เรียนรวบรวมคำ�ทีเ่ ขียนเหมือนกันแต่มคี ว�มหม�ยแตกต่�งกัน นำ�ม�
เขาประโยคของภาษาในงานเขียนที่เลือก
แต่งประโยคให้สอดคล้องกับคว�มหม�ยนั้น เช่น ฉัน เข� เก�ะ
กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนแต่งเรื่องจ�กจินตน�ก�ร โดยใช้คำ�อุท�นทั้งอุท�นบอกอ�รมณ์ 2. ใบความรูเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับการวิเคราะห
และอุท�นเสริมบท ให้มีคว�มย�วประม�ณ ๑๐ บรรทัด หนาที่และชนิดของคํา
กิจกรรมที่ ๓ ให้นกั เรียนรวบรวมประโยคคว�มรวมและประโยคคว�มซ้อนจ�กหนังสือพิมพ์
หรือหนังสือเรียน แล้ววิเคร�ะห์ว่�คำ�ใดเป็นคำ�สันธ�น เพร�ะเหตุใด
กิจกรรมที่ ๔ ให้นักเรียนเลือกประโยคคว�มเดียว ประโยคคว�มรวม และประโยค
คว�มซ้อนจ�กหนังสือที่อ่�น ประเภทละ ๕ ประโยค นำ�ม�วิเคร�ะห์ว่�
ส่วนใดเป็นภ�คประธ�น ส่วนใดเป็นภ�คแสดง หรือส่วนขย�ย

133

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การศึกษาเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําในประโยค จะทําใหสามารถอาน เขียน หรือพูดสื่อสารทําความเขาใจกับผูอื่นในรูปแบบที่ซับซอนขึ้นได
2. คําในภาษาไทยมี 7 ประเภท ไดแก คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําวิเศษณ คําบุพบท คําสันธาน และคําอุทาน
3. ถาเรียงคําสลับตําแหนงในประโยคจะทําใหการสื่อสารไมประสบผลสําเร็จตามจุดประสงคที่ตั้งไว เพราะคําคําเดียวมีหลายความหมายและสามารถทําไดหลายหนาที่
ในประโยค ถาเรียงผิดตําแหนงจะทําใหหนาที่และความหมายเปลี่ยนไป
4. คําสันธาน คือ คําทีใ่ ชเชือ่ มประโยคกับคํา เชือ่ มประโยคกับกลุม คํา หรือเชือ่ มประโยคกับประโยคใหเปนประโยคเดียวกัน ทําใหประโยคทีเ่ กิดขึน้ ใหมนนั้ มีความชัดเจน
มากขึ้น เชน แมและฉันไปซื้อของที่ตลาด ประโยคนี้ใชคําสันธาน “และ” เชื่อมระหวางประโยค “แมไปซื้อของที่ตลาด” “ฉันไปซื้อของที่ตลาด” ประโยคที่เกิดขึ้นใหมนี้
จึงมีความชัดเจนมากขึ้น คือ หมายรวมถึงทั้งแมและฉันที่ไปซื้อของที่ตลาด
5. คํานาม ไดแก การบาน การเมือง การทูต การคลัง และการกุศล สวนคําอาการนาม ไดแก การรักษาพยาบาล การกิน การนอน การเลี้ยงดู การอบรม การทําบุญ
ความดี ความงาม ความสงบสุข ความสามัคคี ความรัก ความรับผิดชอบ ความมัธยัสถ ความละเอียดถี่ถวน ความอุดมสมบูรณ ความอวน เพราะมีหนวยคําเติมหนา
“การ” หรือ “ความ” นําหนาคํากริยาหรือคําวิเศษณ

คู่มือครู 133
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
วิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและ
ภาษาเขียนที่ปรากฏใชในชีวิตประจําวันไดโดยใช
การเปรียบเทียบ

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มีความรับผิดชอบ

ó
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตงั้ คําถามกับนักเรียนเพือ่ กระตุน ความสนใจ
และสรางการมีสวนรวมตอการเรียนการสอน หน่วยที่
ในชั้นเรียน
• นักเรียนคิดวาความแตกตางของภาษา ความแตกตางของภาษา
มีความหมายอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๔
ใ นชีวิตประจ�าวันมนุษย์รับสาร
ด้วยการฟัง การอ่าน ส่งสารด้วยการพูด
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับพื้นฐานและรองรอย ■ วิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและภาษาเขียนตามความสนใจ
และการเขี ย น ดั ง นั้ น ทั ก ษะการฟั ง
ความรูเดิม ซึ่งนักเรียนอาจตอบวาภาษา การพูด การอ่าน และการเขียนจึงเป็น
มีความแตกตางในประเด็นของการเลือก ทักษะส�าคัญที่จ�าเป็นต้องฝกฝน
การสื่อสารที่ดีผู้ใช้ภาษาจะต้องมี
ใชถอยคํา ภาษามีความแตกตางเมื่ออยูใน สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ความรู้เรื่องการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
สถานการณหรือโอกาสการสื่อสารที่ ■


ภาษาพูด
ภาษาเขียน เข้าใจความหมาย ลักษณะภาษาพูด ภาษาเขียน
แตกตางกัน ภาษามีความแตกตางเมื่อ สามารถใช้ภาษาได้ถกู ต้องตามหลักภาษา และ
เนื้อหาสาระที่จะสื่อสารมีความแตกตางกัน ระดับภาษา เหมาะสมแก่กาลเทศะและบุคคล
ผู้ที่มีทักษะในการใช้ภาษาสื่อสารจะท�าให้เข้าใจ
เปนตน) ตรงกัน ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจใดย่อมประสบผล
ส�าเร็จ

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู ความแตกตางของภาษา เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถวิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและภาษาเขียนทีใ่ ชสอื่ สาร
ในชีวิตประจําวันได โดยใชวิธีการเปรียบเทียบ
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรใหนักเรียนคนควาเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ
ของภาษาพูดและภาษาเขียนดวยตนเอง ในลักษณะการแบงกลมุ สืบคน จากนั้นจึงนํา
ขอมูลมาเปรียบเทียบเพื่อใหเห็นความแตกตางของภาษาทั้งสองประเภท
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการเปรียบเทียบใหแกนักเรียน
และเพื่อความรู ความเขาใจที่มากยิ่งขึ้น ครูควรใหนักเรียนสังเกตวิธีการใชภาษาพูด
และภาษาเขียนในชีวิตประจําวันของตนเองเพื่อฝกทักษะการเปรียบเทียบจาก
สถานการณจริง

134 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจดวยวิธีการตั้งคําถาม
๑ ภาษาพูด เพื่อใหนักเรียนมีสวนรวมในการเรียนการสอน
และเริ่มฝกทักษะการสังเกต
กำรพูดเป็นกำรสื่อสำรโดยใช้ถ้อยค�ำ น�้ำเสียง รวมทั้งกิริยำอำกำร ถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด
• นักเรียนสังเกตพฤติกรรมการใชภาษาพูด
ควำมรู้สึก จินตนำกำร และควำมต้องกำรของผู้พูดให้ผู้ฟังรับรู้และตอบสนอง ดังนั้น กำรพูดจึงมี
ของตนเองวามีลักษณะอยางไร
ควำมส�ำคัญมำก เพรำะค�ำพูดเป็นสือ่ ท�1ำให้กำรสือ่ สำรสัมฤทธิผล อีกทัง้ สำมำรถท�ำให้คนรักและคนชังได้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ดังที่สุนทรภู่กล่ำวไว้ในนิรำศภูเขำทองและเพลงยำวถวำยโอวำทว่ำ
ไดอยางอิสระ เชน หากพูดกับคนที่มีความ
“ถึงบำงพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต สนิทสนม คุนเคย จะมีการลดระดับความ
แม้นพูดชั่วตัวตำยท�ำลำยมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพรำะพูดจำ” เปนทางการลงมา โดยเลือกใชถอยคําภาษา
“อันอ้อยตำลหวำนลิ้นแล้วสิ้นซำก แต่ลมปำกหวำนหูไม่รู้หำย ในระดับปาก แตถาสื่อสารกับบุคคลที่ไม
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลำย เจ็บจนตำยนั้นเพรำะเหน็บให้เจ็บใจ” สนิทสนมจะเลือกใชถอยคําภาษาในระดับ
ดังนั้น ผู้พูดต้องพูดอย่ำงระมัดระวัง กล่ำวคือ พูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ เป็นมงคล พูดในเชิง ที่เปนทางการ)
สร้ำงสรรค์ พูดด้วยถ้อยค�ำที่ไพเรำะ มีส�ำเนียงอ่อนหวำน และมีท่ำทีอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อกล่ำวถึง
ผู้อื่นให้กล่ำวด้วยเจตนำดี ไม่ใช้วจีทุจริต เช่น ค�ำหยำบ ค�ำเท็จ ค�ำส่อเสียด ค�ำเพ้อเจ้อ เป็นต้น ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
โดยเขียนหมายเลข 1 และ 2 ลงบนสลากในจํานวน
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ความรูรวมกัน ผูที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยู
กลุมเดียวกัน
หมายเลข 1 ภาษาพูด
หมายเลข 2 ภาษาเขียน
โดยแตละกลุมรวมกันสืบคนวาภาษาที่กลุม
ของตนเองไดรับมอบหมาย มีความสําคัญอยางไร
ตอกระบวนการสื่อสารของมนุษย ลักษณะเฉพาะ
ของแตละภาษา โอกาสหรือสถานการณในการใช
ซึ่งนักเรียนสามารถสืบคนไดจากแหลงการเรียนรู
ตางๆ ที่สามารถเขาถึงได เชน ตําราทางวิชาการ
การแสดงพื้นบ้าน จะใช้ภาษาพูดเพื่อการถ่ายทอด จึงท�าให้ผู้รับชมและฟังสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระได้โดยทันที อินเทอรเน็ต หรือการรวบรวมจากรองรอยความรู
ท�าให้เกิดอรรถรสในการชม เดิมของสมาชิกแตละคนภายในกลุม เปนตน

135

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพและความสัมพันธระหวางบุคคลวา หลังจากใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายครูควรให
สงผลตอการเลือกใชถอยคําภาษาเพื่อการสื่อสารอยางไร สรุปความรูที่ได นักเรียนเขากลุมใหญ เพื่อแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกันเกี่ยวกับขอมูลที่ได
จากการศึกษาคนควาลงสมุด จากการสืบคน เปนเวลา 10 นาที จากนั้นจึงใหจัดการความรูรวมกันโดยสมมติ
สถานการณ 2-3 สถานการณ แลวนํามาแสดงบทบาทสมมติหนาชั้นเรียน

กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสภาวะทางอารมณของบุคคลและสถานการณ 1 นิราศภูเขาทอง เปนนิราศเรื่องเอกของสุนทรภูที่ไดรับยกยองใหเปนยอดของ
ทางการสื่อสารวาสงผลตอการเลือกใชถอยคําภาษาเพื่อการสื่อสารอยางไร กลอนนิราศ ซึ่งนิราศภูเขาทองเปนนิราศที่สมบูรณดวยลักษณะของกระบวนนิราศ
สรุปความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงสมุด ทุกประการ ใชถอยคําที่ประณีต บรรจงเรียงรอยมากกวานิราศเรื่องอื่นๆ อีกทั้ง
สุนทรภูยังไดสอดแทรกโลกทัศน ความรูสึกนึกคิดสวนตนลงไปไดอยางไพเราะ

คู่มือครู 135
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทน 2 คน
ออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับ ๑.๑ ลักษณะของภาษาพูด
มอบหมายตามลําดับ โดยนําเสนอขอมูลใหมี ภาษาพูด หมำยถึง ภำษำทีใ่ ช้พดู ในชีวติ ประจ�ำวันผูพ้ ดู ไม่เคร่งครัดในระเบียบของภำษำ มุง่ เน้น
ความครอบคลุมประเด็นๆ ตาง ที่ไดกําหนดไว ให้สำมำรถสือ่ สำรเข้ำใจได้ตรงกันและบรรลุผลตำมทีต่ อ้ งกำรเท่ำนัน้ โดยมีลกั ษณะทีค่ วรสังเกต ดังนี้
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการ ๑. ระดับภำษำที่ใช้ส่วนมำกเป็นภำษำระดับกันเอง ระดับสนทนำ ระดับกึ่งทำงกำร มักใช้
ฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 ภำษำระดับกันเองส�ำหรับคนสนิท คุ้นเคย เช่น ใช้สรรพนำมว่ำ ฉัน เรำ เธอ เป็1 นต้น ใช้ภำษำระดับ
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 3 สนทนำกับคนที่ไม่คุ้นเคย แตกต่ำงกันด้วยคุณวุฒิต่ำงๆ เพื่อแสดงควำมสุภำพ เช่น ใช้สรรพนำมว่ รรพน ำ
กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 3.1 ผม กระผม ดิฉัน คุณ ท่ำน
๒. ประโยคทีใ่ ช้สว่ นมำกเป็นประโยคควำมเดียวและประโยคควำมรวม ส่วนประโยคควำมซ้อน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ มีไม่มำกนัก
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 3.1 ๓. มักมีกำรตัดค�ำ ย่อค�ำ รวบค�ำ เพื่อควำมรวดเร็ว เช่น
เรื่อง ระดับภาษา
ใหญ่เปื่อยไม่งอกสอง หมำยถึง ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เนื้อเปื่อย ไม่ใส่ถั่วงอกสองชำม
กิจกรรมตามตัวชี้วัด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ผอ. สบำยดีหรือ หมำยถึง ท่ำนผู้อ�ำนวยกำรสบำยดีหรือ
กิจกรรมที่ ๓.๑ ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ ñð
๔. มี ค� ำ ลงท้ ำ ยเรี ย กขำนหรื อ ค� ำ ขำนรั บ เพื่ อ แสดงควำมสุ ภ ำพหรื อ ยกย่ อ ง เช่ น แม่ จ ๋ ำ
(ท ๔.๑ ม.๑/๔)

๑. ภาษาพูด ภาษาที่ใชพูดในชีวิตประจําวัน ไมเครงครัดในระเบียบของภาษา


..........................................................................................................................................................................

..........................................................................................................................................................................
คุณหนูขำ คุณคงเข้ำใจนะคะ เป็นต้น
๒. ภาษาพูดระดับ
กันเอง
ไมเครงครัดในระเบียบทางภาษา ใชสนทนาในชีวิตประจําวัน
..........................................................................................................................................................................
ระหวางคนใกลชิด สนิทสนมกัน
..........................................................................................................................................................................
๕. มีกำรใช้ภำษำท้องถิ่นปะปน เช่น ปลำแดก บักหุ่ง ต�ำมั่ว บักหนำน บักเสี่ยว เป็นต้น
๓. ภาษาพูดระดับ ใชสนทนากับผูที่ไมคุนเคย ตองติดตอกันตามมารยาททางสังคม
.......................................................................................................................................................................... ๖. มีกำรพูดโดยใช้ถ้อยค�ำ ส�ำนวนโวหำร สุภำษิต ค�ำพังเพย ค�ำซ�้ำ ค�ำซ้อน ค�ำคล้องจอง
สนทนา ..........................................................................................................................................................................

๔. ภาษาพูดระดับ ใชสื่อสารกับมวลชนหรือสนทนากับคนกลุมใหญ
.......................................................................................................................................................................... ประกอบกำรพูด หรือใช้ค�ำพูดที่มีควำมหมำยโดยนัยต้องตีควำม เช่น จับปลำสองมือ ย้อมแมวขำย
ทางการ
วัวหำยล้อมคอก เป็นต้น
..........................................................................................................................................................................

๕. ภาษาพูดระดับ ใชสื่อสารในงานพิธีการ ใชภาษาตามระเบียบแบบแผน


..........................................................................................................................................................................
ฉบับ
เฉลย พิธีการ
๖. ภาษาเขียน
..........................................................................................................................................................................

การถายทอดความรู ความรูสึก ความเขาใจของมนุษยโดยใชอักษร


..........................................................................................................................................................................
๗. มีกำรใช้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เช่น กำรละประธำน กริยำ กรรม หรือค�ำบุพบทไว้ในฐำน
หรือสัญลักษณอื่นๆ แทนคําพูด
..........................................................................................................................................................................

ใชถายทอดอารมณของผูสื่อสารเหมือนเสียงพูดของมนุษย
ที่เข้ำใจซึ่งสำมำรถสื่อสำรกันได้เพรำะเป็นกำรพูดเฉพำะตัวบุคคล ผู้พูดอยู่ในสถำนกำรณ์นั้นอยู่แล้ว
๗. ภาษาเขียนอยาง ..........................................................................................................................................................................

ไมเปนทางการ ที่พูดสื่อสารในชีวิตจริง
.......................................................................................................................................................................... หำกถ่ำยทอดเป็นภำษำเขียนก็ต้องดูข้อควำมที่แวดล้อม (บริบท) จึงจะเข้ำใจ เช่น
๘. ภาษาเขียนอยาง เปนการเขียนอยางมีแบบแผน มีหลักในการเขียน ใชภาษาสละสลวย
กรกนก : “(พี่) ซื้ออะไรมำบ้ำงคะ พี่ซื้อ (ของ) ได้ครบหรือยัง” ละสรรพนำมและกรรม
..........................................................................................................................................................................

เปนทางการ ..........................................................................................................................................................................

๙. ลักษณะประโยค
ที่ใชในภาษาพูด
ใชประโยคความเดียวหรือประโยคความรวม ประโยคมักไมสมบูรณ
..........................................................................................................................................................................

..........................................................................................................................................................................
วนิดำ : “(พี)่ ก็ไม่ได้ซอื้ อะไรมำกหรอก (พีซ่ อื้ ของ) ได้ครบแล้วล่ะ” ละสรรพนำมและประโยค
๑๐. ลักษณะของ เขียนตามภาษาพูดที่พูดในชีวิตประจําวัน และเขียนโดยใชภาษา
..........................................................................................................................................................................

ภาษาเขียน ที่กลั่นกรองอยางละเมียดละไม
..........................................................................................................................................................................
๑.๒ ระดับภาษาทีใ่ ช้ในการพูดสือ่ สาร
๖๖ กำรพูดในชีวิตประจ�ำวันมีลักษณะกำรใช้ภำษำแต่ละระดับแตกต่ำงกัน ดังนี้
๑) ภาษาพิธีการ มีลักษณะเป็นแบบแผน ใช้ถ้อยค�ำประณีตบรรจง มุ่งให้ผู้รับสำรฟังด้วย
ควำมส�ำรวม มักพบในกำรพูดสดุดี ค�ำกล่ำวบวงสรวง ค�ำกล่ำวในพิธีต่ำงๆ
๒) ภาษาทางการ มีลักษณะเป็นแบบแผน แต่ใช้ถ้อยค�ำกะทัดรัดกว่ำระดับพิธีกำร ถ้อยค�ำ
มีควำมสละสลวย แต่ชัดเจน เคร่งครัดไวยำกรณ์ ใช้สื่อสำรอย่ำงเป็นทำงกำรไปสู่สำธำรณชน มักพบ
ในกำรแสดงปำฐกถำ

136

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดเปนลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูด
สําหรับหนวยการเรียนรูนี้ ครูมีความจําเปนอยางยิ่งที่จะตองใหความรู ความ 1. มีความเครงครัดในเรื่องไวยากรณ
เขาใจทีถ่ กู ตองเกีย่ วกับระดับภาษา เพราะนักเรียนจะตองมีความรู ความเขาใจเรือ่ ง 2. ใชประโยคที่ซับซอนในการสื่อสาร
ระดับภาษาเปนพืน้ ฐานเพือ่ ใหมขี อ มูลเพียงพอทีจ่ ะแยกแยะไดวาถอยคําในระดับ 3. ใชประโยคที่ละประธานในการสื่อสาร
ภาษานี้มักจะใชในการพูด ถอยคําในระดับภาษานี้มักจะใชในการเขียน 4. มักขึ้นตนประโยคโดยการใชคํานามธรรม
วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดเปนภาษาที่ใชสําหรับการสื่อสารในชีวิต
นักเรียนควรรู ประจําวันในสถานการณที่ไมเปนทางการกับบุคคลที่มีความสนิทสนม
คุนเคย ไมมีความเครงครัดทางไวยากรณ ไมมีการใชรูปประโยคที่ซับซอน
1 ความสุภาพ หมายถึง ความเรียบรอย ออนโยน สามารถแสดงออกโดยผาน ในการสื่อสาร จุดประสงคเพียงเพื่อใหเขาใจความหมาย และปรากฏการ
การใชภาษาและการกระทํา ในดานการใชภาษาสามารถแสดงความสุภาพได 2 วิธี ใชรูปประโยคที่ละสวนประกอบของประโยค เชน ละประธาน ละกรรม
คือ การใชนาํ้ เสียงและการเลือกใชคาํ การใชนาํ้ เสียงทีถ่ อื กันวาสุภาพ คือ การพูดเบาๆ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
และทอดเสียงใหยาว หรือเรียกวาพูดใหมหี างเสียง สวนการเลือกใชถอ ยคําเพือ่ แสดง
ความสุภาพนัน้ จะสังเกตไดจากการใชคาํ สรรพนาม และคําลงทายในการสือ่ สาร

136 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๓) ภาษากึ่งทางการ มีลักษณะก
ษณะกำรใช้ถ้อยค�ำคล้ำยคลึงกับภำษำทำงกำร แต่ลดระดับควำม ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับกระบวนการ
เป็นทำงกำร ลดควำมเคร่งครัดในไวยำกรณ์ ผู้ส่งสำรและผู้รับสำรมีปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงกัน มีส่วนร่วม สื่อสารของมนุษย โดยใชความรู ความเขาใจจาก
ในกำรสื่อสำร มักพบในกำรอภิปรำย กำรประชุม กำรบรรยำยในชั้นเรียน รองรอยความรูเดิมหรือประสบการณสวนตนเปน
๔) ภาษาสนทนา มีกำรใช้ถอ้ ยค�ำทีเ่ ป็นกันเองมำกขึน้ ระยะห่ำงระหว่ำงผูส้ ง่ สำรและผูร้ บั สำร ขอมูลเบื้องตน สําหรับตอบคําถาม
มีน้อยลง เป็นภำษำที่ใช้เพื่อกำรสนทนำอย่ำงมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ใช้ในกำรพูดคุย สนทนำกับบุคคล • ภาษาพูดมีลักษณะสําคัญอยางไร
ทั่วไปที่รู้จักกันในวงสนทนำ หรือคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง (แนวตอบ ภาษาพูดเปนภาษาที่ใชสื่อสาร
๕) ภาษากันเอง มีกำรใช้ถ้อยค�ำที่เป็นกันเองมำกขึ้น ไม่ให้ควำมส�ำคัญกับควำมถูกต้องทำง ในชีวิตประจําวัน ซึ่งผูพูดจะไมเครงครัด
ไวยำกรณ์ ผูส้ ง่ สำรและผูร้ บั สำรมีควำมสนิทสนมกัน ใช้ถอ้ ยค�ำทีเ่ ข้ำใจกันเป็นกำรส่วนตัว ค�ำเฉพำะกลุม่ ในระเบียบของภาษาหรือไวยากรณของ
รูปประโยคมากนัก)
๒ ภาษาเขียน • ในกระบวนการสื่อสารของมนุษยประกอบ
ภาษาเขียน หมำยถึง กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมรู้สึกนึกคิด ควำมคิด ควำมเข้ำใจของมนุษย์ ดวยผูสงสาร สาร ผูรับสาร และสื่อ
โดยใช้อักษรหรือใช้สัญลักษณ์อื่นๆ แทนค�ำพูด เช่น แผนภำพ แผนภูมิ แผนที่ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ นักเรียนคิดวาผูสื่อสารมีโอกาสติดตอกับ
เข้ำใจ และตอบสนองตำมที่ผู้เขียนต้องกำร กำรเขียนเป็นกำรสื่อสำรที่เป็นลำยลักษณ์อักษร และเป็น
ผูรับสารที่มีลักษณะอยางไรไดบาง
หลักฐำนที่ใช้อ้ำงอิงได้ ผู้เขียนสำมำรถตรวจทำน ทบทวน แก้ไขให้ถูกต้องเหมำะสมได้ ซึ่งแตกต่ำง
(แนวตอบ ผูสื่อสารมีโอกาสติดตอสื่อสารกับ
จำกภำษำพูดเพรำะกำรพูดเป็นกำรสื่อสำรเฉพำะหน้ำที่มีโอกำสแก้ไขค�ำพูดของตนน้อยมำก ภำษำพูด
จึงอำจผิดพลำดไม่เหมำะสมได้เท่ำกับภำษำเขียน
บุคคลที่อาจมีสถานภาพทางสังคมที่สูงกวา
อาจติดตอกับคนที่สนิท คนแปลกหนา หรือ
๒.๑ ความส�าคัญของภาษาเขียน บางครั้งอาจตองติดตอสื่อสารกับบุคคลที่มี
ในสมัยโบรำณกำรเขียนมีควำมส�ำคัญในฐำนะที่เป็นหลักฐำนในกำรบันทึกควำมรู้ ควำมคิด สภาวะทางอารมณตา งๆ เชน ดีใจ หงุดหงิด
ควำมเชื่อ สภำพสังคมในสมัยนั้นถ่ำยทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้ำใจวิถีชีวิตของบรรพชน หรือเสียใจ ทอแท เปนตน)
เป็นกำรเขียนเพื่อระบำยอำรมณ์ ควำมรู้สึก หรือเพื่อแสดงภูมิปัญญำของผู้เขียน แต่ปัจจุบันกำรเขียน • นักเรียนคิดวาสภาวะทางอารมณของบุคคล
มีควำมส�ำคัญมำกขึ้น นอกจำกเป็นกำรสื่อสำรควำมรู้ควำมเข้ำใจจำกคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแล้ว สงผลตอการเลือกใชถอยคําในการพูด
กำรเขียนยังท�ำให้เกิดอำชีพ เช่น อำชีพนักเขียนสำรคดี นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ นักโฆษณำ สื่อสารอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ
เป็นต้น กำรเขียนบันทึกเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นท�ำให้ทรำบสภำพวิถีชีวิต ควำมคิด ควำมเชื่อ ควำมต้องกำร (แนวตอบ ความรูสึกโกรธ โมโห ฉุนเฉียว ดีใจ
ของคนในสังคม กำรเขียนกฎหมำย เป็นกฎระเบียบแนวทำงที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติเพื่อให้สังคมสงบสุข หรือเศราใจยอมสงผลใหภาษาที่จะใชสื่อสาร
กำรเขียนข่ำว เป็นกำรแจ้งข่ำวครำว เหตุกำรณ์บ้ำนเมืองให้คนในสังคมทรำบ ดังนั้น ภำษำเขียนจึงเป็น แตกตางไปจากการสื่อสารที่คูสื่อสารมี
เครื่องมือแสดงควำมคิด ควำมรู้ อำรมณ์ ควำมรู้สึก และแสดงภูมิปัญญำของมนุษย์ สภาวะทางอารมณปกติ เชน นิดกับหนอย
๒.๒ ลักษณะของภาษาเขียน เปนเพื่อนสนิทกัน ในการพูดคุยจะเรียกชื่อ
กำรเขียนเป็นกำรบันทึกควำมรู้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจต่ำงๆ เป็นลำยลักษณ์อักษร ซึ่งแตกต่ำง เลนของกันและกันเสมอ แตเมื่อหนอยทําให
จำกภำษำพูด ผู้เขียนสำมำรถขัดเกลำภำษำให้สละสลวย ท�ำให้ภำษำเขียนมีลักษณะสุภำพ ถูกต้อง นิดโกรธ นิดจะใชสรรพนามเรียกหนอย
ตำมระดับภำษำ ตรงควำมหมำย และสะกดถูกต้อง ภำษำเขียนโดยทั่วไปมี ๒ ลักษณะ คือ วา “คุณ” ซึ่งเปนคําที่แสดงความหางเหิน
ไมสนิทสนมกันเหมือนเชนที่ผานมา จาก
137 สถานการณที่ยกตัวอยางนี้จะเห็นวาสภาวะ
ทางอารมณของผูสงสารมีผลตอการเลือกใช
ถอยคําเพื่อการสื่อสาร)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
บุคคลใดตอไปนี้ขาดความสุภาพในการสื่อสาร
1. มงคลพูดกับคุณแมโดยใชคําลงทายวา “ครับ” 1 ภาษากึ่งทางการ ในหนังสือเกี่ยวกับวิชาภาษาไทย ไดกําหนดระดับภาษาไว
2. วิศรุตสนทนากับอาจารยที่ปรึกษาดวยนํ้าเสียงที่นุมนวล แตกตางกัน ดังนี้
3. ทิวากรใชสรรพนามแทนตนเองวา “ผม” เมื่อสนทนากับญาติผูใหญ 3 ระดับ 5 ระดับ
4. สุพจนสนทนากับคุณพอโดยใชนํ้าเสียงที่สั้นและหวนเพื่อความรวดเร็ว
ภาษาปาก ภาษาปาก
วิเคราะหคําตอบ ความสุภาพ หมายถึง ความเรียบรอยออนโยน ซึ่ง ภาษากึ่งทางการ ภาษากึ่งราชการ
สามารถแสดงออกได 2 ทาง คือการเลือกใชถอยคําและการวางตัว โดยใน ภาษาสนทนา
ประเด็นของการเลือกใชถอยคํา ไดแก การใชคําลงทายและคําสรรพนาม ภาษาทางการ ภาษาระดับพิธีการ
ที่เหมาะสมหรือแสดงความเคารพเมื่อตองสื่อสารกับบุคคลที่มีอาวุโสสูง ภาษาราชการ
กวา เชน พอ แม ครู อาจารย ญาติผูใหญ เปนตน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
ซึ่งภาษากึ่งทางการจะใชในการพูดและการเขียนที่มีความเปนทางการขึ้นมา
จากการสนทนาในชีวิตประจําวัน สวนภาษาทางการจะใชในการเขียนมากกวา
การพูด หรืออาจใชสําหรับการพูดที่เปนทางการ เชน คํากลาวปฏิญาณตนของ
นายกรัฐมนตรี เปนตน
คู่มือครู 137
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของภาษาพูดและ ๑) เขียนตามภาษาพูดที่พูดในชีวิตประจ�าวัน เหมำะสมกับลักษณะวิถีชีวิต ควำมเป็นอยู่
ภาษาเขียนที่จะทําใหนักเรียนสามารถวิเคราะห ของบุคคล เช่น กำรเขียนบันทึกส่วนตัว บันทึกควำมรู้จำกกำรอ่ำน กำรเขียนเรื่องสั้น นวนิยำย นิทำน
เปรียบเทียบความแตกตางได อัตชีวประวัติ เป็นต้น
• เมื่อนักเรียนไดอานขอความ “...มึงมาดูอะไร ๒) เขียนโดยใช้ภาษาทีก่ ลัน่ กรองถ้อยค�าอย่างละเมียดละไม มีควำมประณีตในกำรใช้ภำษำ
นี่สิ เขาเรียกใหพรดูอะไรบางอยาง...” กับ ใช้ภำษำที่ถูกต้องตำมพจนำนุกรม ตำมรูปแบบ ตำมระเบียบ และตำมขนบธรรมเนียมของภำษำ เช่น
ประโยค “...งานวิจัยเรื่องนี้ศึกษาความสําคัญ กำรเขียนเรียงควำม ย่อควำม บทควำม สำรคดี รำยงำน โครงงำน และร้อยกรอง เป็นต้น
และผลกระทบของแนวคิดเรื่องศักดิ์ศรี...”
นักเรียนคิดวาตนเองจะตองมีความรูใน
๒.๓ การใช้ภาษาเขียน
เรือ่ งใดจึงจะสามารถวิเคราะหไดวา ขอความใด กำรสื่อสำรด้วยภำษำเขียนนั้น ผู้ส่งสำรต้องมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเรื่องหลักภำษำและสำมำรถ
ใชภาษาพูดและขอความใดใชภาษาเขียนใน ใช้ภำษำเขียนถ่ำยทอดอำรมณ์ ควำมรู้ ควำมคิด จินตนำกำร และประสบกำรณ์ เป็นตัวอักษรสื่อสำร
การสื่อสาร ให้ผู้รับสำรเข้ำใจได้ อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้ภำษำเขียนขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมำยของผู้ส่งสำรและรูปแบบ
(แนวตอบ ตองมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ กำรเขียน ซึ่งสำมำรถแบ่งได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้
ระดับภาษา เพราะภาษาในแตละระดับมี ๑) การเขียนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นกำรเขียนถ่ำยทอดเหตุกำรณ์ อำรมณ์ ควำมรู้สึกของ
ผู้เขียน เช่น กำรเขียนบันทึกประจ�ำวัน กำรเขียนจดหมำย กำรเขียนเล่ำเรื่อง กำรแต่งเพลง กำรเขียน
รูปแบบการใชถอยคําตางกัน หากมีความรู
เรื่องสั้น นวนิยำย เป็นต้น ให้ผู้อื่นได้รับรู้ หรือเก็บไว้อ่ำนเอง ภำษำเขียนอย่ำงไม่เป็นทำงกำร
ความเขาใจเกี่ยวกับระดับภาษา จะสามารถ
เป็นกำรถ่ำยทอดอำรมณ์ของผู้สื่อสำรเหมือนเสียงพูดของมนุษย์ที่ใช้สื่อสำรในชีวิตประจ�ำวัน
ตอบไดวา ขอความแรกเขียนดวยภาษาพูด
เพราะปรากฏการใชถอ ยคําในระดับภาษาปาก ๒) การเขียนอย่างเป็นทางการ เป็นกำรเขียนอย่ำงมีแบบแผน มีหลักในกำรเขียน เช่น
สวนขอความที่สองเปนประโยคที่เขียนดวย กำรเขียนเรียงควำม ย่อควำม กำรแต่งค�ำประพันธ์ กำรเขียนรำยงำนกำรศึกษำค้นคว้ำ กำรเขียนรำยงำน
ภาษาเขียน เพราะปรากฏการใชถอยคําใน โครงงำน รำยงำนกำรวิจัย กำรเขียนบันทึกข้อควำม จดหมำยรำชกำร เป็นต้น กำรใช้ภำษำเขียนต้อง
ระดับทางการ) มีกำรขัดเกลำภำษำให้ละเมียดละไม ไพเรำะสละสลวย เหมำะสมกับระดับภำษำ สถำนภำพบุคคล
• นอกจากระดับภาษาแลว นักเรียนยังจะตอง โอกำส และสถำนกำรณ์ ถูกต้องตำมข้อบังคับ
มีความรูเกี่ยวกับอะไรอีกบาง ที่จะทําให องค์ประกอบ และรูปแบบที่ก�ำหนด
สามารถวิเคราะหความแตกตางของภาษาพูด ระดั บ ภำษำเป็ น สิ่ ง ส� ำ คั ญ ที่ จ� ำ เป็ น ต้ อ ง
และภาษาเขียนได ค�ำนึงถึงทุกครัง้ ทีใ่ ช้ภำษำ ไม่วำ่ จะเป็นกำรพูดหรือ
(แนวตอบ ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะ กำรเขียน เพรำะกำรสือ่ สำรจะไม่ประสบผลส�ำเร็จ
สําคัญของแตละภาษาจะทําใหสามารถ หำกใช้ระดับภำษำไม่ถกู ต้อง อย่ำงไรก็ตำมในชีวติ -
วิเคราะหความแตกตางภาษาพูดและ ประจ�ำวัน ผูส้ อื่ สำรอำจใช้ระดับภำษำปะปนกันได้
ภาษาเขียนได เชน ภาษาพูดมักใชคําซํ้า เช่น ภำษำระดับพิธกี ำร อำจมีภำษำระดับทำงกำร
คําที่ไมชัดเจน ใชรูปประโยคที่ละประธาน
วัยรุ่นมักมีภาษาที่ใช้เฉพาะกลุ่ม และเปลี่ยนแปลงไป ปะปนอยู่ด้วย
สวนภาษาเขียนมักปรากฏการใชคํานามธรรม ตามสมัยนิยม
ที่ขึ้นตนดวยคําวา “การ” ใชประโยคที่ขึ้นตน
ดวยคําวา “เปนที่” ใชประโยคที่ขึ้นตนดวย 138
คําบุพบท ใชประโยคที่ซับซอน เปนตน)

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถูกตองที่สุด
หลังจากนักเรียนตอบคําถามในขอแรกเกี่ยวกับหลักเกณฑการวิเคราะหภาษา
1. ภาษาพูดมีความเครงครัดทางไวยากรณ
พูดและภาษาเขียนจากรูปประโยคที่กําหนด ครูอาจตั้งคําถามเพิ่มเติม เพื่อให
2. ภาษาพูดและภาษาเขียนสามารถแยกออกจากกันได
นักเรียนตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับการใชภาษาพูดและภาษาเขียนในชีวิตประจําวัน ซึ่งครู
3. ภาษาพูดและภาษาเขียนสามารถนําไปใชขามสถานการณกันได
ควรชี้แนะใหเขาใจวา ภาษาพูดไมไดหมายถึงภาษาที่ใชสื่อเปนเสียงพูดเทานั้น
4. การพิจารณาภาษาพูดและภาษาเขียนใหพิจารณาจากผูที่สงสาร
เพราะในชีวิตประจําวันผูสื่อสารสามารถนําถอยคําที่ปกติใชในภาษาพูดไปเขียน
สื่ อ สารได เช น การเขี ย นบทสนทนาของตั ว ละครในเรื่ อ งสั้ น เพื่ อ ความสมจริ ง วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดและภาษาเขียน ไมสามารถแยกออกจากกันได
“ใหตายเถอะ สุดจะวางฟอรมโต แตงตัวก็เชยเชย หมอคงคิดวาโกเต็มที่ เราทักทาย อยางชัดเจน เพราะในบางสถานการณผูสื่อสารอาจใชภาษาพูดในการเขียน
ดีๆ วาจะมีโอกาสพูดจาภาษาดอกไมกนั บางไหม มันกลับถามกระชากๆ วามีธรุ ะอะไร และใชภาษาเขียนในการพูด ภาษาพูดไมมีความเครงครัดเรื่องไวยากรณ
โธ...ไอหอย แถมยังบอกใหไปนัดกับเลขาฯ แลวทําเปนหันไปคุยกับแขกใหญโต การพิจารณาวาขอความนั้นๆ เปนภาษาพูดหรือภาษาเขียน ตองพิจารณา
พูดธุรกิจพันลาน...” (บนเสนลวด : วัฒน วรรลยางกูร) และการพูดในบางโอกาส จากสถานการณประกอบกับรูปแบบการใชถอยคําระดับภาษา ดังนั้น
ก็นาํ ภาษาเขียนไปใชในสถานการณทเี่ ปนทางการ เชน แถลงการณของนายกรัฐมนตรี จึงตอบขอ 3.
แถลงการณของสํานักพระราชวัง เปนตน

138 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
1
๓ เปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน การวิเคราะหภาษาพูดและภาษาเขียน ทําแบบวัดฯ
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 3 กิจกรรมตาม
ภำษำพูดที่ใช้ในกำรสื่อสำรมีอยู่หลำยระดับ และแตกต่ำงจำกภำษำเขียน เพรำะภำษำเขียน
ตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 3.3
มีระดับและระเบียบที่เคร่งครัดมำกกว่ำภำษำพูด

ภาษาพูด ภาษาเขียน ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ


ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 3.3
๑. มุ่งสื่อส�รอย่�งรวดเร็วทำ�ให้ใช้คำ�ในประโยค ๑. มุ่งสื่อส�รให้เข้�ใจ รู้จักคิดและตีคว�ม ผู้เขียน เรื่อง การวิเคราะหภาษา
ไม่สมบูรณ์ กำ�กวม อ�จทำ�ให้ผรู้ บั ส�รเข้�ใจผิด มีเวล�ในก�รกลั่นกรองถ้อยคำ�และผู้อ่�นมีเวล�
เช่น ขอหอมหน่อย อ�จหม�ยถึง ขอต้นหอม ในก�รพิจ�รณ�ส�ร กิจกรรมที่ ๓.๓ ใหนกั เรียนพิจารณาขอความตอไปนีว้ า ควรจัดเปนภาษาพูด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ñð
หรือขอหอม (แก้ม) ก็ได้ หรือภาษาเขียนในระดับใด (ท ๔.๑ ม.๑/๔)

๒. ใช้ภ�ษ�ไม่ประณีต มักใช้ภ�ษ�ระดับกันเอง ๒. มีก�รใช้ภ�ษ�ประณีตกว่�ภ�ษ�พูดเพร�ะผู้เขียน ๑. คิดดูเถอะ ถาชาวบานชาวเมืองเขาเดือดรอน คุณจะสบายอยูคนเดียวไดยังไง


ภาษาพูด ระดับกันเอง
...........................................................................................................................................................................................................................................
และภ�ษ�สนทน�หรือกึ่งท�งก�ร มีเวล�ในก�รขัดเกล�ภ�ษ�ให้สละสลวยตรงกับ ๒. อยางนี้มันทีฮูทีอิทนะ แย็ปมาตองซัดตูมตอบไป
ภาษาพูด ระดับกันเอง
ระดับภ�ษ� ...........................................................................................................................................................................................................................................

๓. การกระจายอํานาจออกสูทองถิ่น จะทําใหประชาชนไดเรียนรูการใชสิทธิ และการทําหนาที่


ของตน และเทากับไดเรียนรูการเปนประชาธิปไตย
๓. มักพูดคำ�ไทยปนกับภ�ษ�ต่�งประเทศและ ๓. มีก�รใช้ภ�ษ�ต่�งประเทศในง�นเขียนที่เป็น ภาษาเขียน ระดับทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๔. ไงพวก ตอนนี้ลํ่าซําละซี อยากอบโกยจนพุงแตกนะ


เลียนเสียงภ�ษ�ต่�งประเทศ ทำ�ให้เสียงใน วิช�ก�ร ห�กเขียนเล่�เรื่องจะอธิบ�ยคว�มหม�ย ภาษาพูด ระดับกันเอง
...........................................................................................................................................................................................................................................

ภ�ษ�เปลี่ยนไป ของคำ�ภ�ษ�ต่�งประเทศด้วย ฉบับ


เฉลย
๕. คุณจะทํางานนี้ใหสําเร็จแตลําพังคนเดียวไดอยางไร
ภาษาพูด ระดับทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๖. เราขอเชิญชวนคนหนุมคนสาวที่มีบุคลิกดี และรักความกาวหนามารวมงานกับเรา
๔. ก�รพูดไม่ส�ม�รถใช้เป็นหลักฐ�นอ้�งอิง ๔. ก�รเขียนเป็นล�ยลักษณ์อักษรส�ม�รถใช้เป็น ภาษาเขียน ระดับไมเปนทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๗. สุดาเพื่อนรัก ปดเทอมนี้คุณแมจะพาฉันไปเที่ยวระยอง ฉันหวังวาเราคงไดพบกัน


นอกจ�กบันทึกเสียงหรือบันทึกภ�พไว้เท่�นัน้ หลักฐ�นอ้�งอิงได้ ภาษาเขียน ระดับไมเปนทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๘. คุณนิดเปนผูจัดการไรคนใหมใชไหมคะ
ภาษาพูด ระดับกึง่ ทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๙. ขอขอบคุณกรมศิลปากรที่มองเห็นคุณคา และสนับสนุนศิลปกรรมรวมสมัยของไทย และ


๕. ก�รพูดเป็นก�รสื่อส�รเฉพ�ะหน้� ผู้พูดมีเวล� ๕. ก�รเขียนผู้เขียนมีเวล�คิดห�คำ�ตอบ ห�ข้อมูล ยังอนุญาตใหนักเรียนเขาชมไดโดยไมเสียคาใชจาย
ภาษาเขียน ระดับทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

คิดตอบคำ�ถ�มน้อย อ�จพูดผิดพล�ดได้ และ หลักฐ�นอ้�งอิงทำ�ให้ก�รเขียนมีคว�มน่�เชื่อถือ ๑๐. คุณมาลินคี รับ รูจ กั กับคุณสุพรรษาหนอย คุณสุพรรษากําลังจะยายจากบริษทั โนเคมาอยูก บั
เราเร็วๆ นี้
ไม่ส�ม�รถเรียกคำ�พูดกลับม�แก้ไขได้ ภาษาพูด ระดับกึง่ ทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................

๖. ก�รพูดเป็นก�รสื่อส�รประจันหน้� อ�จมี ๖. ก�รเขียนตอบโต้โดยไม่ได้ประจันหน้�กัน ๖๘

คำ�พูดที่มีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจผู้ฟัง จนเกิด แม้คว�มคิดเห็นจะไม่ตรงกัน แต่ก็ส�ม�รถ


ก�รตอบโต้กันทั้งท�งว�จ�และท�งก�ย ลดระดับคว�มขัดแย้งได้
๗. ก�รพูดปัจจุบันมักออกเสียงผิดเพี้ยน ทำ�ให้ ๗. ก�รใช้ภ�ษ�ในง�นเขียน ผู้เขียนมีอิทธิพลต่อก�ร
ภ�ษ�เปลี่ยนแปลงได้ม�ก ห�กพูดผิดก็ทำ�ให้ ใช้ภ�ษ� มักสร้�งคำ�ใหม่ สำ�นวนใหม่ มีก�ร
เขียนผิดด้วย ตั้งสมญ�น�ม ซึ่งเป็นแบบอย่�งของก�รใช้ภ�ษ�
ทั้งดีและไม่ดี

139

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดตอไปนี้ไมใชประเด็นที่แสดงถึงความแตกตางระหวางภาษาพูด
กับภาษาเขียน 1 เปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน การพิจารณาวาการใชถอยคําหนึ่งๆ
1. ไวยากรณ เปนภาษาพูดหรือภาษาเขียนตองพิจารณาภาพรวมทัง้ หมดของขอความหรือขอเขียน
2. ระดับภาษา เพราะในขอความหรือขอเขียนหนึ่งๆ อาจมีการใชถอยคําที่มีระดับภาษามากกวา
3. ผูสงสารและผูรับสาร 1 ระดับ และในบางกรณีคําบางคําอาจใชไดทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน เชน
4. โอกาสและสถานการณในการสื่อสาร คําวา บาน หากทราบวารูปประโยคนั้นๆ ใชสื่อสารในสถานการณใด ก็จะสามารถ
ทราบไดวาเปนภาษาพูดหรือภาษาเขียน รวมทั้งทําใหตัดสินใจไดวา เมื่ออยูใน
วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดและภาษาเขียนเมื่อนํามาเปรียบเทียบแลว จะ สถานการณหนึ่งๆ จะมีวิธีการเรียบเรียงภาษาเพื่อใหเหมาะสมกับสถานการณ
ทําใหมองเห็นความแตกตางกันในประเด็น ความเครงครัดเรื่องไวยากรณ และบรรลุวัตถุประสงคของการสื่อสารอยางไร
ระดับภาษาที่ใชในกระบวนการสื่อสาร รวมถึงโอกาสและสถานการณใน
การสื่อสาร ซึ่งในกระบวนการสื่อสารของมนุษยไมวาจะใชภาษาพูด หรือ
ภาษาเขียนในการสื่อสารจะไมมีความแตกตางในประเด็นของผูสงสาร
หรือผูรับสาร ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

คู่มือครู 139
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. จากคําถามและกิจกรรมตางๆ ที่นักเรียน 1
ไดปฏิบัติ ใหเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ ตัวอย่างการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
ตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่จะตองคํานึงถึงสําหรับการ
เลือกใชถอยคําเพื่อการสื่อสารทั้งในรูปแบบ อำจำรย์คะ หนูรู้สึกไม่สบำยและปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ สงสัยจะเป็นไข้หวัดใหญ่
ภาษาพูด
ของการพูดและการเขียน บันทึกเปนใบความรู หนูขออนุญำตหยุดเรียน ๒ วัน นะคะ
เฉพาะบุคคล สงครู
2. นักเรียนจัดทําตารางวิเคราะหลักษณะเดน
เฉพาะที่ทําใหภาษาพูดและภาษาเขียนมี กรำบเรียนอำจำรย์ที่เคำรพ ดิฉันรู้สึกไม่ใคร่สบำยมำก มีอำกำรปวดศีรษะ
ความแตกตางกันที่ปรากฏใชในชีวิตประจําวัน ตัวร้อน มีไข้ แพทย์บอกว่ำเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงขออนุญำตลำป่วยเป็นเวลำ
ภาษาเขียน
โดยการยกตัวอยางประกอบใหเห็นชัดเจน เชน ๒ วัน
ถานักเรียนวิเคราะหวา ลักษณะเดนเฉพาะของ
ภาษาพูด คือ ใชประโยคที่ไมมีกริยา นักเรียน
ก็ตองยกตัวอยางประโยคประกอบดวย เชน เพื่อนผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วพูดว่ำ “เอ็งลองดูซิ ถ้ำเขียนแบบนี้ได้
“วันนี้ วันเสาร” โดยประโยคที่นํามาประกอบคํา ภาษาพูด เอำมำให้กู แล้วเอำไปเล่มละสี่พัน” แค่ดูชื่อก็รู้ว่ำเน่ำสนิททั้งนั้น เช่น รักสุดหัวใจ
อธิบายนี้ละคํากริยา “เปน” เมื่อเปนภาษาเขียน คุณนำยตัณหำ วำสนำคนยำก มันคำบลูกคำบดอกไปทำงโป๊ ทั้งนั้น ผมท�ำไม่ได้
ตองใชวา “วันนี้เปนวันเสาร” หรือ “คนนั้น
เพื่อนฉัน” เมื่อเปนภาษาเขียนตองใชวา “คนนั้น
เปนเพื่อนของฉัน” สรุปผลการวิเคราะหเปน เพื่อนของผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วบอกว่ำ ถ้ำผมเขียนตำมแนวที่ตลำด
ตาราง นําสงครู ภาษาเขียน ต้องกำร คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัณหำ กำมำรมณ์ ค่อนไปทำงลำมก จะให้รำคำ
เล่มละสี่พัน แต่ผมไม่สำมำรถท�ำเช่นนั้นได้

ภาษาพูดและภาษาเขียนมีความสÓคัญในการสื่อสาร มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
เพราะภาษาเขียนบันทึกภาษาพูดตามที่เป็นจริง สะท้อนภาพวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ
ของคนในสมัยนัน ้ ๆ อีกทัง้ ถ่ายทอดอารมณ์ ความรูส้ กึ จินตนาการ ความคิดของผูส้ ง่ สาร
ให้ผู้รับสารทราบ อย่างไรก็ตาม ภาษาพูดและภาษาเขียนย่อมมีความแตกต่างกัน
ทั้งในเรื่องลักษณะภาษาและการใช้ภาษา ผู้เรียนจึงควรเรียนรู้และสังเกตการใช้ภาษา
ว่าใช้อย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ตรงความหมาย เหมาะสมกั 2 บระดับบุคคล
เพื่อให้การสื่อสารบรรลุผลตามเป้าหมายไม่สูญเสียเอกลักษณ์ทางภาษา

140

บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูดและ
ภาษาเขียนสามารถบูรณาการไดกับเรื่องทักษะการพูดและการเขียน
1 ภาษาพูดและภาษาเขียน ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการวิเคราะหความ
ในกลุมสาระการเรียนรูวิชาภาษาไทย โดยครูใหนักเรียนเลือกเขียนแนวทาง
แตกตางของภาษา สามารถนําไปใชได 2 กรณี คือ ใชในสถานภาพที่เปนผูรับสาร
การนําภาษาพูดและภาษาเขียนไปใชเพือ่ การสือ่ สารในชีวติ ประจําวัน เชน
เชน ถานักเรียนอานเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปนเรื่องราวเกี่ยวกับความเปนจริงใน
นักเรียนบางคนอาจเลือกนําไปใชในทักษะการเขียนของตนเอง โดยมี
สังคม นักเรียนยอมคาดหวังวาภาษาจะตองมีความสมจริง ปรากฏการใชภาษาพูด
แนวทางวาจะนําความรู ความเขาใจไปปรับใชในการเขียนบทสนทนาของ
ในบทสนทนาของตัวละคร แตถาในหนังสือเลมนั้นใชภาษาเขียน คือใชถอยคําที่เปน
ตัวละครใหมีความสมจริง นักเรียนที่เลือกทักษะการพูด อาจมีแนวทาง
ทางการมากเกินไปในบทสนทนา นักเรียนก็จะสามารถวิเคราะหไดวารูปแบบการใช
วาจะนําไปปรับใชในสวนของการเลือกใชถอยคําสื่อสารใหเหมาะสมกับ
ภาษาในเรื่องสั้นเรื่องนี้ไมมีความสมจริง ในกรณีที่นักเรียนเปนผูสงสาร ก็จะทําให
สถานการณ ซึ่งนักเรียนควรแสดงตัวอยางที่ชัดเจนประกอบคําอธิบาย
เลือกใชภาษาเพื่อสื่อสารไดตรงกับวัตถุประสงคและมีความถูกตอง
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะชวยฝกทักษะการนํา
2 เอกลักษณทางภาษา ภาษาไทยเปนภาษาที่มีเอกลักษณหลายประการ เชน ความรูไปประยุกตใช ทําใหมองเห็นประโยชนของการเรียนรูในเชิงทฤษฎี
คําคําเดียวมีหลายความหมาย ภาษาไทยเปนภาษาดนตรีมรี ะดับเสียงสูง ตํา่ ภาษาไทย ใหเขาใจกอนนําไปใชในชีวิตประจําวันของตนเอง
มีระดับ นิยมใชคําใหเหมาะสมแกบุคคล โดยเฉพาะเรื่องการเคารพผูอาวุโสตองใช
ภาษาใหเหมาะกับวัยวุฒิ ลําดับญาติ เปนตน

140 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมานําเสนอความรู
ความเขาใจของตนเองเกี่ยวกับปจจัยที่ตอง
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
คํานึงถึงสําหรับการเลือกใชถอยคําเพื่อการ
สื่อสารในรูปแบบของการพูดและการเขียน
2. ครูตรวจสอบตารางวิเคราะหลักษณะเดน
๑. ภ�ษ�พูดและภ�ษ�เขียนมีคว�มแตกต่�งกันอย่�งไร จงอธิบ�ย
๒. ก�รใช้ภ�ษ�เขียนในก�รสื่อส�รควรระมัดระวังในเรื่องใดบ้�ง จงอธิบ�ย
เฉพาะที่ทําใหภาษาพูดและภาษาเขียนมีความ
๓. ภ�ษ�สแลงที่ใช้กันในชีวิตประจำ�วันควรนำ�ไปใช้เป็นภ�ษ�เขียนหรือไม่ เพร�ะเหตุใด แตกตางกัน โดยพิจารณาวานักเรียนนําเสนอ
๔. ภ�ษ�พูดมีอิทธิพลต่อภ�ษ�เขียนหรือไม่ เพร�ะเหตุใด ลักษณะเฉพาะของแตละภาษาไดครอบคลุม
๕. ก�รใช้ภ�ษ�พูดและภ�ษ�เขียนอย่�งสร้�งสรรค์มีหลักก�รใช้อย่�งไร ทุกประเด็นหรือไม รวมถึงความถูกตองของ
ตัวอยางประโยค
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับปจจัยที่ตองคํานึง
ถึงในการเลือกใชถอยคําเพื่อการสื่อสารใน
รูปแบบของการพูดและการเขียน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
2. ตารางวิเคราะหลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูด
และภาษาเขียน
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนช่วยกันรวบรวมภ�ษ�พูดที่ใช้ในชีวิตประจำ�วัน ๕-๑๐ คำ� ร่วมกัน
อภิปร�ยถึงคว�มถูกต้องเหม�ะสมในก�รนำ�ม�ใช้ และเสนอแนะวิธีก�ร 3. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
นำ�ม�ใช้ให้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนยกตัวอย่�งคำ�สแลงที่ใช้กันในปัจจุบัน นำ�ม�วิเคร�ะห์และแสดง
คว�มคิดเห็นเกี่ยวกับคว�มหม�ยและระดับของภ�ษ�
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนฝกแต่งประโยคจ�กภ�ษ�พูดให้เป็นภ�ษ�เขียนอย่�งถูกต้อง เช่น
■ ภ�ษ�พูด แม่ชอบดูละครทีวี
■ ภ�ษ�เขียน แม่ชอบดูละครโทรทัศน์
กิจกรรมที่ ๔ นักเรียนจัดกิจกรรมรณรงค์ก�รใช้ภ�ษ�ไทยให้ถูกต้องและมีระเบียบแบบแผน
เช่น
■ กิจกรรมรักษ์ภ�ษ�ไทย

■ กิจกรรมวัยรุ่นวัยใส ใส่ใจก�รใช้ภ�ษ�ไทย

141

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. ภาษาพูด เปนภาษาที่ใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน จึงไมเครงครัดในเรื่องความถูกตองตามหลักภาษาหรือไวยากรณ เนนที่การสื่อสารเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ตรงกัน
บรรลุวัตถุประสงคความตองการของผูสงสาร สวนภาษาเขียนเปนภาษาที่เครงครัดในเรื่องความถูกตองของไวยากรณ
2. การใชภาษาเขียนในการสื่อสารควรระมัดระวังเกี่ยวกับสถานการณในการสื่อสาร บางครั้งที่ผูสื่อสารนําภาษาเขียนมาใชสื่อสารในการพูด ในเนื้อหาสาระที่ไมจําเปน
ตองใชภาษาเขียนหรือภาษาที่เปนทางการอาจกอใหเกิดความรําคาญตอคูสื่อสารได
3. ภาษาสแลงที่ใชกันอยูในชีวิตประจําวันเมื่อจะนํามาใชในภาษาเขียนก็ตองพิจารณากอนวา จะนํามาเขียนในบริบทใด ถาเขียนในบริบทของงานบันเทิงคดีที่ตองการ
ความสมจริงของตัวละคร ก็อาจใชคําศัพทสแลงเหลานี้ในบทสนทนาของตัวละครได
4. ในชีวิตประจําวันมนุษยใชภาษาพูดและภาษาเขียนปะปนกัน ในบางสถานการณที่เปนทางการอาจใชถอยคําที่เปนภาษาเขียนมาใชสื่อสาร แตในบางสถานการณ
ก็ใชถอยคําในภาษาพูดมาใชเขียนสื่อสาร เชน ในงานบันเทิงคดี หรืองานเขียนสื่อสารที่ไมเปนทางการ เชน นิตยสาร บทความ เปนตน
5. การใชภาษาพูดและภาษาเขียนอยางสรางสรรค ผูส ง สารจะตองคํานึงอยูเ สมอวาสิง่ ทีไ่ ดสอื่ สารออกไปนัน้ จะไมสรางความเดือดรอนใหแกใคร แตจะกอใหเกิดการ
เปลีย่ นแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเพียงเทานี้ก็ถือวาเปนการใชภาษาเชิงสรางสรรค

คู่มือครู 141
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถจําแนกประเภท ใชสํานวน สุภาษิต
คําพังเพยไดถูกตองตรงความหมายและเหมาะสม
กับสถานการณ

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมั่นในการทํางาน
4. รักความเปนไทย

กระตุน้ ความสนใจ Engage


ครูนําเขาสูหนวยการเรียนรู โดยกลาวถึงที่มา
หน่วยที่ ô
และลักษณะของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
วาเปนวัฒนธรรมทางภาษาที่พัฒนามาจากวิถีชีวิต
ความเปนอยูของคนไทยในยุคที่ผานมา ซึ่งเปน
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๖
ภ าษาไทยเป็นภาษาทีไ่ พเราะ ซึง่ ค�า
ค�าเดียวมีหลายความหมาย ทัง้ ความหมาย
ถอยคําทีไ่ มตรงไปตรงมา มีชนั้ เชิง ตองคิดตามจึงจะ ■ จําแนกและใชสํานวนที่เปนคําพังเพยและสุภาษิต โดยตรง และความหมายโดยนัย ผู้ฟัง
เขาใจ จากนัน้ ใหนกั เรียนรวมกันแสดงความคิดเห็นวา ต้องสังเกตและตีความ จึงจะเข้าใจอารมณ์
สํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไทย มีประโยชน น�้าเสียง และจุดมุ่งหมายของผู้พูด ค�าพูด
อยางไร ประเภทนี้เรียกว่า ส�านวน หรือเรียกว่า
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น สาระการเรียนรู้แกนกลาง ส�านวนโวหารก็ได้ การศึกษาเรื่องส�านวน
ไดอยางอิสระ โดยอาจกลาวถึงประโยชนดานสังคม ■ สํานวนที่เปนคําพังเพยและสุภาษิต ค�าพังเพย สุภาษิต จะท�าให้ผเู้ รียนสามารถใช้
เชน เปนถอยคําอันดีงามที่มุงสอนใหคนประพฤติดี ทักษะการรับสารได้เข้าใจลึกซึ้งและสามารถ
หรือประโยชนดานวรรณศิลป เชน เปนถอยคํา ส่งสารได้อย่างไพเราะคมคาย สละสลวย และ
สละสลวย ใชคํานอยแตกินความมาก) ตรงความหมายยิ่งขึ้น

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต เปาหมาย
สําคัญคือ นักเรียนสามารถจําแนกและใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไดถูกตอง
ตรงความหมายที่แทจริงและเขากับสถานการณการสื่อสาร
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอน โดยใหนกั เรียน
เปนผูค น หาองคความรูท จี่ าํ เปนสําหรับการบรรลุเปาหมายดวยตนเอง ไดแก คํานิยาม
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตแตละประโยคเทาที่คนควาได
แนวทางการนําไปใชและรวมถึงขอควรระวังในการใช โดยแบงกลุม สําหรับการสืบคน
หรือสรางกิจกรรมฝกปฏิบัติเพื่อใหเกิดกระบวนการสังเคราะหความรู
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยเสริมสรางทักษะที่จําเปนใหแกนักเรียน เชน
ทักษะการสังเกต ทักษะการจําแนก และทักษะการนําความรูไปใช

142 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
สÓนวน คÓพังเพย และสุภาษิต เขียนหมายเลข 1-4 ลงบนสลากในจํานวนเทาๆ กัน
ในกำรอ่ำนและกำรฟังสำรต่ำงๆ บ่อยครั้งที่มักพบเห็นกำรใช้ส�ำนวน ค�ำพังเพย สุภำษิต หรือตามความเหมาะสม จากนัน้ ใหแตละคนออกมา
เพื่อสื่อสำรให้ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังได้เข้ำใจมำกยิ่งขึ้น เช่น ฝ่ำยค้ำนติงรัฐบำลเรื่องกำรใช้งบจะเป็นแบบ จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน
ต�ำน�้ำพริกละลำยแม่1น�้ำ ซึ่งส�ำนวน ค�ำพังเพย และสุภำษิต จะมีลักษณะแตกต่ำงกัน ดังนี้
ผูที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน
ดังนี้
๑) ส�านวน พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ควำมหมำยว่ำ น. ถ้อยค�ำ
หมายเลข 1 สํานวน
ที่เรียบเรียง โวหำร บำงทีใช้ว่ำ ส�ำนวนโวหำร ถ้อยค�ำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้ว
หมายเลข 2 คําพังเพย
มีควำมหมำยไม่ตรงตำมตัวอักษรหรือมีควำมหมำยอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ำยน�้ำ สอนหนังสือ
หมายเลข 3 สุภาษิต
สังฆรำช กินบนเรือนขี้รดบนหลังคำ น�้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ำ หมายเลข 4 แนวทางการใชสํานวน
๒) ค�าพังเพย หมำยถึง ถ้อยค�ำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำ โดยกล่ำวเป็นกลำงๆ เพื่อ คําพังเพย และสุภาษิต
ให้ตีควำมให้เข้ำกับเรื่อง ไม่ใช่ค�ำสอน แต่เป็นค�ำติชมอยู่ในตัว เช่น กระต่ำยตื่นตูม กบเลือกนำย
หน้ำไหว้หลังหลอก ขี่ช้ำงจับตั๊กแตน อธิบายความรู้ Explain
๓) สุภาษิต ภำษิตหรือสุภำษิต หมำยถึง ค�ำที่กล่ำวดี ค�ำพูดมีคติควรฟัง เป็นถ้อยค�ำที่แสดง
หลักควำมจริง มุ่งแนะน�ำ สั่งสอน เตือนสติ เช่น น�้ำเชี่ยวอย่ำขวำงเรือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะย่อม 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธิบาย
รักษำผู้ประพฤติธรรม ช้ำๆ ได้พร้ำสองเล่มงำม น�้ำขึ้นให้รีบตัก ความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมายหนาชัน้ เรียน
นอกจำกนี้ในภำษำไทยยังมีกำรใช้ค�ำขวัญและค�ำคมด้วย เพื่อให้ถ้อยค�ำในภำษำมีควำมลึกซึ้ง ตามลําดับของกลุม
กินใจยิ่งขึ้น 2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับคํานิยาม
๔) ค�าขวัญ ค�าคม หมำยถึง ข้อควำมที่กล่ำวด้วยโวหำรอันคมคำย แสดงแง่คิด ปรัชญำ ของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต สังเกต
มีควำมหมำยลึกซึ้งกินใจ เช่น งำนคือเงิน เงินคืองำนบันดำลสุข สะอำดกำยเจริญวัย สะอำดใจ
ลักษณะสําคัญที่เหมือนหรือแตกตางกันของ
สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
เจริญสุข อย่ำหมิ่นเงินน้อย อย่ำคอยวำสนำ ไม่มีใครแก่เกินเรียน
(แนวตอบ ลักษณะสําคัญทีเ่ หมือนกันของสํานวน
ในควำมหมำยโดยทั่วไป เมื่อพูดถึงส�ำนวนไทย จะมีควำมหมำยกว้ำงๆ คือ รวมทั้งส�ำนวน
คําพังเพย และสุภาษิต เชน
โวหำร ค�ำพังเพย สุภำษิต ค�ำขวัญ และค�ำคมทั้งหมดว่ำเป็นส�ำนวนไทย กำรใช้ภำษำพูดและภำษำ
• มีลักษณะของการสืบทอดตอๆ กันมา
เขียนในชีวิตประจ�ำวันมักจะใช้ส�ำนวนโวหำรประกอบอยู่เสมอ เพรำะคนไทยมีนิสัยประนีประนอม • สะทอนใหเห็นรองรอยทางประวัติศาสตร
ไม่ต�ำหนิใครตรงๆ แต่จะพูดเป็นนัยให้ผู้ฟังคิดเอง ช่ำงสังเกต สนใจสิ่งแวดล้อม และคนรอบข้ำง นิยม ประเพณี วัฒนธรรม และสภาพวิถีชีวิตของ
ควำมสุภำพ เป็นนักคิด นักปรัชญำ มีควำมรู้ในวรรณกรรม วรรณคดี เข้ำใจวิถีชีวิตของคนในสังคม คนในอดีต
มีไหวพริบช่ำงกระทบกระเทียบเปรียบเปรย จึงมักใช้สำ� นวน โวหำร ค�ำพังเพย สุภำษิต ประกอบกำรพูด ลักษณะสําคัญที่แตกตางกันของสํานวน
หรือกำรเขียน ผู้รับสำรต้องคิดและตีควำมจึงจะเข้ำใจ ถ้ำคิดให้ลึกซึ้งก็จะเกิดสติปัญญำ เข้ำใจคน คําพังเพย และสุภาษิต เชน
เข้ำใจโลกยิ่งขึ้น เพรำะค�ำส�ำนวนโวหำรเหล่ำนี้ให้คติเตือนใจ ให้แนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิต แสดง • สํานวน คือ ถอยคําที่เรียบเรียงขึ้น
ให้เห็นลักษณะของคนไทยเด่นชัด มีความหมายไมตรงตามตัวอักษร
• คําพังเพย คือ ถอยคําหรือขอความที่กลาว
กลางๆ เพื่อใหตีความเขากับเรื่อง
143
• สุภาษิต คือ ถอยคําที่กลาวดี มีลักษณะ
เปนคําสอนเพื่อเตือนสติ)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้มีความเกี่ยวของกับประโยชนของการศึกษาสํานวน
คําพังเพยและสุภาษิตนอยที่สุด ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเห็นวาการใชภาษาใหถูกตองตามหลักไวยากรณ
1. ประเพณีและวัฒนธรรม แตเพียงประการเดียว แมจะใชสื่อความไดแตอาจไมมีพลังพอที่จะกระทบอารมณ
2. พัฒนาสังคมและประเทศชาติ ความรูส กึ ของผูร บั สารได ผูส ง สารจึงตองมีความรูค วามเขาใจเกีย่ วกับสํานวน
3. ความคิด ความเชื่อ และคานิยม คําพังเพย และสุภาษิต ทัง้ ในดานความแตกตางและความหมายทีแ่ ทจริง ซึง่ เปนศิลปะ
4. ประวัติศาสตรความเปนมาของชาติ ในการใชภาษารูปแบบหนึง่ และนําไปใชใหถกู ตองเหมาะสมกับสถานการณการสือ่ สาร

วิเคราะหคําตอบ การศึกษาเกี่ยวกับสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต


จะทําใหผูที่ศึกษาไดมองเห็นประวัติศาสตร ความเปนมาของชนชาติ นักเรียนควรรู
ประเพณี วัฒนธรรม และรวมถึงทราบวาคนในอดีตเขาคิด เขาเชื่อ
และเขาทําอะไร ขอที่มีความเกี่ยวของนอยที่สุด คือชวยพัฒนาสังคมและ 1 สํานวน มีลักษณะพิเศษเพราะใชถอยคํานอยแตกินความมาก โดยอาศัย
ประเทศชาติ ดังนั้นจึงตอบขอ 2. ความเปรียบที่สื่อเรื่องราวไดมากกวาการอธิบายดวยถอยคําที่ยืดยาว

คู่มือครู 143
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิต โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม เปนขอมูล
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม โดยครูใหเวลาในการ
ประมวลผลความรู ความเขาใจรวมกันในชั้นเรียน
อีกครั้งหนึ่งเปนเวลา 10 นาที
• เพราะเหตุใดในภาษาไทยจึงปรากฏการใช
สํานวน คําพังเพย และสุภาษิตเพือ่ การสือ่ สาร
ในชีวิตประจําวัน
(แนวตอบ เพราะคนไทยเปนคนเจาบท
เจากลอนและเปนคนชางสังเกต นําพฤติกรรม
ของคนไปเปรียบเทียบกับสิ่งตางๆ รอบตัว
เพือ่ อธิบายพฤติกรรมของคนเหลานัน้ ใหชดั เจน
ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ดวยความที่คนไทยมีลักษณะ
นิสัยประนีประนอม ไมชอบความขัดแยง และ น�้าพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เป็นส�านวนที่แสดงให้เห็นความเอื้ออาทรต่อกันของคนในสังคมไทย
มีความเกรงใจผูอ นื่ ดังนัน้ เมือ่ เกิดสถานการณ
ที่ตองการจะตักเตือนหรือติติงใคร จึงมัก
ไมวากลาวโดยตรง แตจะหยิบยกสํานวน
คําพังเพยหรือสุภาษิตขึ้นมากลาวอางทําให
ผูฟงตองใครครวญและตีความดวยตนเอง)
• การใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
สามารถนําไปใชเพื่อการสื่อสารในรูปแบบใด
ไดบาง
(แนวตอบ นําไปใชประกอบการพูดหรือ
การเขียนสื่อสารในชีวิตประจําวันเพื่อให
ขอความเหลานั้นกระทบอารมณความรูสึก
ของผูรับสารหรือมีความคมคาย ลึกซึ้ง)
• นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดการใชสํานวน
คําพังเพยและสุภาษิตในปจจุบันจึงคอยๆ
เลือนหายไป ขี่ช้างจับตั๊กแตน คนไทยมักใช้เปรียบเปรยกับการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม) 144

ขอสอบเนน การคิด
บูรณาการอาเซียน แนว O-NET
คน “..........................” จะใชจายตองระมัดระวัง ควรเติมสํานวนใน
ทุกสังคมกอนจะมีการกําหนดกฎหมายใหบุคคลยึดถือปฏิบัติเพื่อใหอยูรวมกัน ขอใดลงในชองวางจึงจะเหมาะสมที่สุด
ไดอยางสงบสุข จะมีครอบครัวซึ่งเปนหนวยพื้นฐานที่เล็กที่สุดในสังคมทําหนาที่ใน 1. เบี้ยหวัดนอย
การอบรมสั่งสอนบุคคลในครอบครัวใหมีความประพฤติที่ถูกทํานองคลองธรรม 2. ยากจนขนแคน
โดยคําสอนเหลานี้อาจมีลักษณะเปนถอยคําธรรมดา หรือถูกเรียบเรียงขึ้นใหมีความ 3. เบี้ยนอยหอยนอย
ลึกซึ้ง การสั่งสอนดวยวิธีการนี้นับเปนหนึ่งในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมในอดีต 4. ชักหนาไมถึงหลัง
เพื่อตอบสนองนโยบายดานประชาคมสังคมวัฒนธรรม ครูอาจแบงกลุมนักเรียน
กลุมละ 3-5 คน ใหไดจํานวน 10 กลุม มอบหมายใหรวมกันสืบคนเกี่ยวกับถอยคํา วิเคราะหคําตอบ คําตอบในขอ 1. เบี้ยหวัด เปนคํานาม หมายถึง
ที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อใชขัดเกลาคนในสังคม นําขอมูลมาแลกเปลี่ยนกัน พรอมทั้ง เงินไดจากราชการ คําตอบในขอ 2. ไมใชสํานวนแตเปนลักษณะของ
อภิปรายวา ถอยคํา คําสอนเหลานั้นสะทอนใหเห็นความคิด ความเชื่อของคนใน คําซอนในภาษาไทย คําตอบในขอ 4. ชักหนาไมถึงหลัง เปนคํากลาวที่มี
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตอยางไร จัดการผลการอภิปรายรวมกันในลักษณะ ความหมายถึงคนที่มีรายไดไมพอกับรายจายในแตละเดือน สวนคําตอบ
ของปายนิเทศประจําชั้นเรียน ในขอ 3. เปนสํานวนที่กลาวถึงคนที่มีเงินนอยจะใชจายตองระมัดระวัง
ไมสุรุยสุราย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

144 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับแนวทาง
บทสนทนาในชีวิตประจ�าวันที่สอดแทรกส�านวน คÓพังเพย และสุภาษิต
การนําสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไปใชเพือ่ การ
แม่ศรีร้องเรียกแม่พร้อม สื่อสารในชีวิตประจําวัน
“แม่พร้อม เร็วๆ หน่อยซี มัวแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั่นแหละเดี๋ยวก็ไม่ทันงำนเขำหรอก” • จากสถานการณ “เพื่อนสองคนของสมสมร
“เสร็จแล้วจ้ะ แหม จะไปงำนแต่งงำนของเศรษฐีทั้งที ต้องสวยหน่อยล่ะ จะรีบร้อนไปท�ำไม กําลังขัดแยงกันและอยูในอารมณหงุดหงิด
บ้ำนก็ใกล้ๆ แค่นี้เอง” แม่พร้อมตอบ สมสมรซึ่งรับรูเหตุการณมาโดยตลอดพูดขึ้น
“นี่เธอ รู้เรื่องเจ้ำสำวไหม เขำว่ำเจ้ำสำวสวย เจ้ำบ่ำวรวย สมกันรำวกับกิ่งทองใบหยก” วา “เธอสองคนไมตอ งเถียงกันหรอก ฉันเคย
แม่ศรีพูด บอกแลวใชไหมวา คบคนใหดูหนา ซื้อผาให
“รู้ เขำเป็นลูกสำวคุณนำยทรัพย์ไงล่ะ เห็นเขำเล่ำว่ำเธอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แต่เรียน ดูเนื้อ” จากสถานการณดังกลาว นักเรียน
ไม่จบ มีคนเห็นว่ำคบเพื่อนชำยหลำยคนจึงเรียนไม่จบ แม่เขำเลยให้กลับมำช่วยขำยของที่บ้ำน คิดวาสมสมรควรใชสํานวนนี้ หรือไม
พอดีไปถูกตำต้องใจเถ้ำแก่เฮงเจ้ำของร้ำนทองในตลำด เจ้ำสำวสวยเจ้ำบ่ำวมีเค้ำหล่อแต่แก่ อยางไร
ไปหน่อย จะว่ำสมเป็นกิ่งทองใบหยกก็พอได้ คุณนำยทรัพย์สดุ แสนจะดีใจเลยจับใส่ตะกร้าล้างน�า้ (แนวตอบ สมสมรไมควรใชสํานวนนี้ เพราะ
หมดห่วงไป” แม่พร้อมเล่ำ เมื่อพิจารณาแลวเทากับเปนการซํ้าเติมเพื่อน
“อย่ำงนี้ก็ย้อมแมวขายน่ะซี พอดีกันเลย เถ้ำแก่เฮงก็ไม่เบำ กี่เมียแล้วล่ะ เห็นสำวๆ ไม่ได้ ทั้งสองคนใหรูสึกวาเปนความผิดของตนเอง
ท�ำกะลิ้มกะเหลี่ย เป็นเฒ่าหัวงูเชียว” แม่ศรีเสริม ที่เลือกคบเพื่อนเชนนี้ จึงตองมาทะเลาะกัน
“พอล่ะ อย่ำพูดต่ออีกเลย ถึงบ้ำนงำนแล้วละ” แม่พร้อมกระซิบให้แม่ศรีหยุดพูด กอใหเกิดความบาดหมางขึ้นอีก สํานวนที่
สองนำงต่ำงปั้นหน้า แล้วเข้ำแถวไปรดน�้ำอวยพรเจ้ำบ่ำวเจ้ำสำว แม่พร้อมกล่ำวว่ำ สมสมรจะใชควรมีความหมายไปในทิศทาง
“ขอให้รกั ใคร่ ให้อภัยกัน ใจเดียวรักเดียว มีลกู เต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะจ๊ะ” แกไขสถานการณ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
แม่ศรี “ขอให้อยูด่ ว้ ยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรนะ” ของเพื่อนทั้งสองไมใหทะเลาะกัน ปรับความ
เมื่อมำถึงที่โต๊ะอำหำร เจ้ำภำพจัดเลี้ยงโต๊ะจีน มีแขกมำร่วมงำนจ�ำนวนมำก สองนำง เขาใจซึ่งกันและกัน เชน “เธอสองคนอยา
กระซิบกันเบำๆ “เจ้ำภำพจัดงำนใหญ่โตสมฐำนะเศรษฐีนะ” แม่พร้อมว่ำ ทะเลาะกันเลย ยิง่ พูดไปก็เหมือนสาวไสใหกา
แม่ศรี “ฉันว่ำต�าน�้าพริกละลายแม่น�้ามำกกว่ำ” กินเปลาๆ เรื่องใดใหอภัยกันไดก็ใหอภัยกัน
แม่พร้อม “เอ้ำ! ก็เขำรวยซะอย่ำง ใครจะท�ำไม แค่นขี้ นหน้าแข้งไม่รว่ งหรอก” ไป สามัคคีคือพลังนะ” เปนตน)
แม่ศรี “ปกติเถ้ำแก่เฮงเขำเค็มนะ น่ำกลัวว่ำคุณนำยทรัพย์จะขว้างงูไม่พน้ คอ” • นักเรียนมีแนวทางหรือวิธีการอยางไรในการ
แม่พร้อม “ช่ำงเขำเถอะ ฉันว่ำยังไงก็ขอให้เขำอยูก่ นั ยืดๆ อย่ำให้กน้ หม้อไม่ทนั ด�าก็แล้วกัน เลือกใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
คนรู้จักกัน ยังไงๆ ฉันก็สงสำรฝ่ำยหญิง คนเรำมันก็พลำดกันได้ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
ยังรูพ้ ลัง้ ได้แต่งงำนเป็นตัวเป็นตนก็ดแี ล้ว และฉันก็สงสำรแม่เขำด้วย หัวอกแม่นะ แม่ศรี เขำเลีย้ งดู (แนวตอบ เลือกใชใหตรงกับความหมาย
ฟูมฟัก ทะนุถนอมมำตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ก็หวังจะให้ได้ดี พอได้แต่งก็พลอยยินดีกับเขำด้วย” เขากับเนื้อเรื่องและสถานการณการสื่อสาร
และอยาใชมากเกินไปโดยเฉพาะในการเขียน
(เรียบเรียงโดยคณะผู้เขียน)
เพราะอาจทําใหผูอานเกิดความรําคาญได)

145

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับแหลงที่มาของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวาการนําสํานวนไปใชในการสื่อสาร นอกจาก
ไทย พรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ ผูสงสารจะตองมีความรู ความเขาใจ เปนอยางดีเกี่ยวกับความหมายและที่มาของ
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู สํานวนแลว ยังตองคํานึงถึงความเหมาะสมกับกาลเทศะและความจําเปนอีกดวย
เนื่องจากการพูดและการเขียนที่มีการใชสํานวนหากใชไดถูกตอง เหมาะสมและ
พอดีจะเปนการเพิ่มความสละสลวยใหแกขอความ แตหากใชเกินความจําเปนอาจ
กิจกรรมทาทาย เปนอุปสรรคในการสื่อสารได เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรม
ทาทายกอนเก็บใบความรูของนักเรียน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน
นําเสนอผลการศึกษาของตนเองหนาชั้นเรียน เพื่อเปนการแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกัน
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับแนวทางและขอควรระวังในการนําสํานวน และกัน
คําพังเพยและสุภาษิตไปใชในสถานการณการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู

คู่มือครู 145
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต จากบทสนทนาหน้า ๑๔๕ มีผู้พูดเพียงสองคน แต่ใช้ถ้อยค�าส�านวนโวหารหลากหลาย ดังนี้
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 ๑. ส�ำนวน เป็นค�าที่มีความหมายโดยนัย ไม่ตรงตามตัวอักษร ได้แก่
หนวยที่ 4 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 4.1 แต่งองค์ทรงเครื่อง หมายความว่า แต่งตัว มีความหมายเชิงประชดว่า แต่งตัวนานมาก
เหมือนลิเก หรือละครที่ตัวเอกมีเครื่องแต่งตัวมาก ต้องแต่งตัวนาน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ กิ่งทองใบหยก หมายความว่า คู่แต่งงานที่เหมาะสมกันทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ความรู้
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 4.1 ใส่ตะกร้าล้างน�้า หมายความว่า ท�าให้หมดมลทิน เหมือนผักเหมือนปลาที่สกปรก หรือมี
เรื่อง การใช้ส�านวน ค�าพังเพยและสุภาษิต กลิ่นเหม็น ใส่ตะกร้าล้างน�้าแล้วก็จะสะอาดขึ้น หายเหม็นคาว
ย้อมแมวขาย หมายความว่า ตกแต่งคนหรือสิ่งของที่ไม่ดี หรือมีค่าน้อย โดยมีเจตนา
กิจกรรมตามตัวชี้วัด

กิจกรรมที่ ๔.๑ ใหนักเรียนเติมสํานวนที่กําหนดใหลงในชองวางใหถูกตอง


คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
หลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าดี
ñð
(ท ๔.๑ ม.๑/๖)
เฒ่าหัวงู หมายความว่า ชายแก่เจ้าเล่ห์ ชอบหลอกสาวๆ
ขิงก็รา ขาก็แรง
กิ่งทองใบหยก
ตีนเทาฝาหอย
ดินพอกหางหมู
กระตายตื่นตูม
จับปลาสองมือ
ปั้นหน้า หมายความว่า ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
มือไมพาย เอาเทารานํ้า
ตกนํ้าไมไหล ตกไฟไมไหม
วัวลืมตีน
ขวางงูไมพนคอ
ตํานํ้าพริกละลายแมนํ้า
มะนาวไมมีนํ้า ๒. ค�ำพังเพย เป็นค�าที่กล่าวเปรียบเปรย กล่าวเป็นกลางๆ ไม่ว่าใคร ได้แก่
สอนจระเขใหวายนํ้า ปดทองหลังพระ คางคกขึ้นวอ
ต�าน�้าพริกละลายแม่น�้า หมายความว่า ใช้จ่ายทรัพย์มากมายโดยไร้ประโยชน์
ขิงก็รา ขาก็แรง
๑. คูนี้ไมมีใครยอมใครเลยจริงๆ………………………………………………….
ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หมายความว่า ไม่สนใจสิ่งที่เสียไป โดยเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย
ฉบับ ตีนเทาฝาหอย
๒. แมเลี้ยงลูกมาตั้งแต………………………………………………….มีหรือจะไมรูวาลูกนิสัยเปนอยางไร
เฉลย
กระตายตื่นตูม
๓. เธอนี่ทําตกอกตกใจเปน………………………………………………….ไปได
ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายความว่า ท�าอะไรแล้ว ผลร้ายหรือภาระไม่พ้นตนเอง
กิ่งทองใบหยก
๔. วิชิตกับรินลดาสมกันราวกับ…………………………………………………. ก้นหม้อไม่ทันด�า หมายความว่า แต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยาไม่นานก็เลิกร้างกัน
ตํานํ้าพริกละลายแมนํ้า
๖. ฉันวางานนี้สงสัยจะ………………………………………………………..
ดินพอกหางหมู
๕. เธอไมยอมทําการบาน ปลอยใหคั่งคางจนกลายเปน………………………………………………….
ไมคุมกับที่ลงทุนไปเลยจริงๆ
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง หมายความว่า ทุกคนมีโอกาสท�าผิดได้
จับปลาสองมือ
๗. จะเลือกใครก็ไมยอมเลือกเสียที………………………………………………….อยูได ตีนเท่าฝาหอย หมายความว่า เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก
มือไมพาย เอาเทารานํ้า ทําแบบนี้แลวเมื่อไรกลุมเราจะงานเสร็จ
๘. เธอนี่มันเปนประเภท………………………………………………….
๓. สุภำษิต เป็นค�าที่ไพเราะ ให้ข้อคิด ให้คติเตือนใจ ได้แก่
วัวลืมตีน
๙. พอไดดีมีฐานะก็ทําตัวเปน………………………………………………….ไมยอมกลับมาหาพวกเราเลยนะ
ตกนํ้าไมไหล ตกไฟไมไหม
๑๐. ฉันเชื่อวาคนดีๆ อยางกานต ……………………………………………………….. ยังไงเขาก็ตองปลอดภัย
ขอให้รักใคร่ ให้อภัยกัน ใจเดียวรักเดียว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง หมายความว่า
๗๒ ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขให้รักกันมั่นคงให้อภัยไม่นอกใจกัน (ไม่ท�าผิดศีลธรรม)
ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร หมายความว่า
ให้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
2. นักเรียนทําสมุดรวบรวมสํานวน คําพังเพย และ
สุภาษิต ประเภทละ 10 ชนิด นํามาเขียนอธิบาย การสือ่ สารในชีวติ ประจÓวัน ผูส้ ง่ สารมักจะใช้สÓนวนโวหารประกอบการพูดและการ
ความหมาย แสดงรูปแบบการใชที่ถูกตอง เขียนอยู่เสมอ การใช้สÓนวนโวหาร คÓพังเพย สุภาษิต แสดงว่าคนไทยเป็นคนช่างคิด
ในรูปของประโยค พรอมทั้งบอกที่มาของสํานวน ช่างสังเกต รู้จักใช้ถ้อยคÓได้อย่างเหมาะสมกับโอกาสและสถานการณ์ ใช้คÓพูดได้ตรง
คําพังเพยหรือสุภาษิตนั้นๆ สงครูโดยอาจ จุดประสงค์ โดยหลีกเลีย่ งการพูดตรงๆ ให้สะเทือนใจ ผูร้ บั สารต้องรูจ้ กั คิด สังเกตบริบท
สรางสรรคภาพประกอบขึ้นเองหรือคนหา ผูท้ ส่ี ามารถใช้สÓนวน คÓพังเพย และสุภาษิตเหมาะสม จะทÓให้การใช้ภาษาสละสลวยขึ้น
จากแหลงการเรียนรูอื่นๆ มาประกอบตามความ
เหมาะสม
146

บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการจําแนกความหมายที่ถูกตองของสํานวน
คําพังเพย และสุภาษิต สามารถนําไปบูรณาการไดกับกลุมสาระการเรียนรู
ครูอาจขออาสาสมัครนักเรียนอานขอความนี้ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
ศิลปะ วิชาทัศนศิลป กลาวคือ เมือ่ นักเรียนเขาใจความหมายของสํานวนนัน้ ๆ
“ปญหาความวุนวายที่เกิดขึ้นในปจจุบัน เพราะจํานวนคนที่เสนอตัวทํางานเพื่อ
อย า งลึ ก ซึ้ ง ก็ จ ะสามารถถ า ยทอดออกมาเป น ภาพที่ ส ามารถอธิ บ าย
สวนรวมจําพวกวัวเห็นแกหญา ขี้ขาเห็นแกกิน มีมากขึ้นเรื่อยๆ คนจําพวกนี้มี
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไดครอบคลุมโดยใชความรู
อุดมการณเหมือนไมหลักปกเลน มีกิจวัตรประจําวันในการละเลงขนมเบื้องดวยปาก
เกีย่ วกับองคประกอบศิลป เชน เสน สี แสง เงา เปนเครือ่ งมือในการถายทอด
เดินลอยชายไปมาและสวมหนากากเขาหากันไปวันๆ ประกอบกับคอยหาชองทาง
ผลงาน โดยนักเรียนอาจรวมกันคัดเลือกสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
สรางวิมานในอากาศ ขายฝนใหกบั คนทัว่ ไปเพือ่ ประโยชนสว นตน” จากนัน้ ตัง้ คําถาม
ที่นักเรียนควรรูชวยกันวาดภาพประกอบ จัดการความรูรวมกันในลักษณะ
กับนักเรียนวา ขอความดังกลาวมีลักษณะการใชสํานวนอยางไร ซึ่งนักเรียนสามารถ
ของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
แสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ ขึน้ อยูก บั ทักษะการวิเคราะหและสังเคราะหสว นตน
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะทําใหนักเรียนมองเห็น
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมวา ขอความดังกลาวมีลักษณะการใชสํานวน คําพังเพยและ
ความสัมพันธระหวางกระบวนการคิดและกระบวนการถายทอดความคิด
สุภาษิตมากเกินความจําเปน ในการเขียนเพื่อการสื่อสารเมื่อจะใชสาํ นวน คําพังเพย
ของมนุษยโดยใชภาษา ทาทาง นอกจากนี้ยังสามารถถายทอดผานภาพ
และสุภาษิตประกอบการเขียน ควรคํานึงถึงความเหมาะสม กาลเทศะและความจําเปน
ซึ่งประกอบดวยจุด เสน สี แสง และเงา เปนตน
หากใชเกินความจําเปน อาจทําใหผรู บั สารเกิดความสับสนและเบือ่ หนาย เปนอุปสรรค
ในการสื่อสาร

146 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูตรวจสอบสมุดรวบรวมสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิตของนักเรียน โดยมีขอ ควรพิจารณา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ดังตอไปนี้
• จําแนกประเภทของสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิตไดถูกตอง
๑. ก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิตในชีวิตประจำ�วัน มีคว�มจำ�เป็นหรือไม่ เพร�ะเหตุใด
๒. สำ�นวนไทยส่งผลต่อก�รสื่อส�รได้อย่�งไร จงอธิบ�ยและยกตัวอย่�งประกอบ
• ใหความหมายของสํานวน คําพังเพย
๓. ห�กนักเรียนต้องก�รเตือนสติเพื่อนเรื่องก�รคบมิตร ควรจะเลือกใช้สุภ�ษิตใด และสุภาษิตที่คัดเลือกมานําเสนอไดถูกตอง
๔. สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิต มีคว�มแตกต่�งกันอย่�งไร • บอกที่มาของสํานวน คําพังเพย และ
๕. ก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิตในก�รสื่อส�รช่วยอนุรักษ์ภ�ษ�ไทยได้หรือไม่ อย่�งไร สุภาษิตที่คัดเลือกมานําเสนอไดถูกตอง
• ยกตัวอยางสถานการณการใชในรูป
ประโยคหรือนําสํานวน คําพังเพย และ
สุภาษิตมาประกอบประโยคไดถูกตองตรง
ความหมายที่แทจริง
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู

หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
1. สมุดรวบรวมสํานวน คําพังเพยและสุภาษิต
2. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๔-๕ คน รวบรวมสำ�นวนไทย
และห�คว�มหม�ยของสำ�นวนต่อไปนี้
■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับสัตว์

■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับป�ก

■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับใจ

■ สำ�นวนไทยที่ม�จ�กนิท�น ตำ�น�นต่�งๆ

กิจกรรมที่ ๒ เล่นละครหรือบทบ�ทสมมติเกี่ยวกับปริศน�สำ�นวนไทย แล้วให้เพื่อนๆ


ในชั้นเรียนห�คำ�ตอบ ให้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๓ แข่งขันท�ยภ�พปริศน�สำ�นวนไทย
กิจกรรมที่ ๔ ให้นักเรียนรวบรวมก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิตจ�กหนังสือพิมพ์-
ร�ยวัน แล้วนำ�ไปติดที่ป้�ยนิเทศ

147

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตมีความสําคัญตอการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เพราะถึงแมวาการสื่อสารใหถูกตองตามหลักภาษาจะสามารถทําใหเขาใจกัน
ไดแลว แตก็อาจมีพลังไมมากพอที่จะกระทบอารมณความรูสึกของผูรับสารได
2. สํานวนไทยมีสวนชวยในการสื่อสาร โดยชวยเพิ่มใหเกิดความชัดเจนในการสื่อสาร การสื่อสารในบางเรื่องหากใชสํานวนชวยสื่อสารอาจทําใหเขาใจงายกวาโดยที่
ไมตองอธิบายความ
3. สุภาษิตเกี่ยวกับการคบมิตรมีปรากฏใชเปนจํานวนมากในภาษาไทย เชน คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ทานคบคนเชนไรก็เปนคน
เชนนั้นแล เปนตน
4. สํานวนเปนคําที่มีความหมายไมตรงตามตัวอักษร มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ เชน เฒาหัวงู คําพังเพย เปนคําที่กลาวกลางๆ เพื่อใหตีความเขากับเรื่อง
มีความหมายลึกซึ้งกวาสํานวน มีลักษณะติชมหรือแสดงความเห็นอยูในตัว เชน ทํานาบนหลังคน นํ้าถึงไหน ปลาถึงนั่น สวนสุภาษิต คือ ขอความสั้นๆ แตกิน
ความลึกซึ้งและเปนคําสอนหรือวางหลักความจริง เชน ตนแลเปนที่พึ่งแหงตน เปนตน
5. การใชสํานวน สุภาษิต และคําพังเพยใหถูกตองตรงความหมายและเหมาะสมกับสถานการณการสื่อสารนับเปนการชวยอนุรักษภาษาไทยประการหนึ่ง เพราะถอยคํา
เหลานี้เปนถอยคําที่กลาวสืบตอกันมาเปนระยะเวลานาน ถายทอดกันมาปากตอปาก แสดงใหเห็นความรุมรวยทางภาษาของคนไทย หากใชใหถูกตองจึงเปนการชวย
อนุรักษเอกลักษณทางภาษาใหคงอยูตอไป

คู่มือครู 147
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถแตงบทรอยกรองประเภทกาพยได

สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด

คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. รักความเปนไทย

กระตุน้ ความสนใจ Engage

õ
ครูนําเขาสูหนวยการเรียนรู ดวยการชักชวน
นักเรียนสนทนาเกี่ยวกับบทรอยกรองประเภทตางๆ
ที่รูจัก สุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อทองบทรอยกรองนั้น
ใหเพือ่ นๆ ฟง จากนัน้ ครูกระตุน ใหนกั เรียนตัง้ ขอสังเกต หน่วยที่
เกี่ยวกับบทรอยกรอง ดวยวิธีการตั้งคําถาม
• การไดอานหรือฟงบทรอยกรองบทหนึ่งๆ การแตงบทรอยกรอง
แลวรูสึกวามีความไพเราะ นักเรียนคิดวา
มีสาเหตุมาจากสิ่งใด
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๕
ค นไทยเป็นชนชาติที่ได้ชื่อว่า
■ แตงบทรอยกรอง
เจ้าบทเจ้ากลอน จากประวัติศาสตร์
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น การประพันธ์วรรณคดีตา่ งๆ ทีม่ ลี กั ษณะ
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับหลักฐานและรองรอย เป็นค�าประพันธ์ร้อยกรองอยู่มากมาย
ความรูเดิม ซึ่งสิ่งที่ทําใหบทรอยกรองมีความ ค�าประพันธ์ประเภทกาพย์ เป็นค�าประพันธ์
ที่ ไ พเราะและแต่ ง ง่ า ย เหมาะส� า หรั บ
ไพเราะมีสาเหตุมาจากความสามารถของกวี
สาระการเรียนรู้แกนกลาง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ดังนั้น ผู้เรียน
ในการเลือกใชถอ ยคําทีม่ ไี พเราะทางดานเสียง ■ แตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี ๑๑ จึงควรศึกษารูปแบบฉันทลักษณ์และฝกแต่ง
และความหมายที่ลึกซึ้ง) เพราะนอกจากจะเป็ น การฝ ก ทั ก ษะการใช้
ภาษาไทยแล้ว ยังเป็นการสืบสานและอนุรักษ์
มรดกทางภาษาอีกด้วย

เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การแตงบทรอยกรอง ครูควรชี้แนะวา
แมการแตงบทรอยกรองจะเปนเรื่องของพรสวรรค แตก็ไมไดหมายความวาจะไม
สามารถฝกฝนได หากคนๆ นั้น มีพรสวรรคแตไมมีพรแสวงในการที่จะฝกฝน
เรียนรู ก็อาจทําใหพรสวรรคนั้นหดหายไป ดังนั้น การแตงบทรอยกรองจึงสําคัญ
ที่การฝกฝน หากมีความรู ความเขาใจเปนอยางดีเกี่ยวกับฉันทลักษณ คํา และมี
จินตนาการที่กวางไกล ก็จะสามารถเปนผูที่แตงบทรอยกรองไดดี เปาหมายสําคัญ
ของหนวยการเรียนรูนี้ จึงอยูที่นักเรียนสามารถแตงบทรอยกรองประเภทกาพยได
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนใหนักเรียน
คนควาความรูเ กีย่ วกับฉันทลักษณของกาพยแตละประเภท และศิลปะแหงการประพันธ
จากนั้นจึงนําทฤษฎีมาใชฝกปฏิบัติจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการนําความรูไปใชและทักษะ
การประเมินใหแกนักเรียน

148 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
๑ การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ โดยเขียนหมายเลข 1-3 ลงบนกระดาษในจํานวน
การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ เป็นกำรแต่งค�ำประพันธ์ของไทยทีง่ ำ่ ยทีส่ ดุ เพรำะมีเพียง เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
กำรบังคับจ�ำนวนค�ำ เสียง และสัมผัส เท่ำนั้น ไม่มีบังคับครุ ลหุ เหมือนค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ค�ำประพันธ์ประเภทกำพย์จึงเป็นที่นิยมแต่งกันมำตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยำ และนิยมแต่งร่วมกับ ความรูรวมกัน ดังนี้
ค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ เพรำะมีเสียงไพเรำะ หมายเลข 1 กาพยยานี 11
วรรณคดี หมายเลข 2 กาพยฉบัง 16
1 ประเภทกำพย์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ กำพย์เห่เรือและกำพย์ห่อโคลงเสด็จประพำส หมายเลข 3 กาพยสุรางคนางค 28
ธำรทองแดงพระนิพนธ์ในเจ้ำฟ้ำธรรมธิเบศร (เจ้ำฟ้ำกุ้ง) กำพย์เห่ชมเครื่องคำวหวำนพระรำชนิพนธ์
ในพระบำทสมเด็ จ พระพุ ท ธเลิ ศ หล้ ำ นภำลั ย (ร.๒) และกำพย์ เรื่ อ งพระไชยสุ ริ ย ำของสุ น ทรภู ่ โดยนักเรียนที่จับสลากไดหมายเลขเหมือนกัน
ซึ่งสมัยต้นรัตนโกสินทร์ใช้เป็นแบบฝึกอ่ำนกำรสะกดค�ำในมำตรำตัวสะกดต่ำงๆ และก�ำหนดให้ ใหอยูกลุมเดียวกัน สืบคนใหมีความครอบคลุมใน
ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษำตอนต้นเรียนในปัจจุบัน เรื่องคณะหรือจํานวนคําภายในบท เสียงและสัมผัส
ลักษณะข้อบังคับของร้อยกรองประเภทกำพย์ มีดังนี้ ของกาพยแตละประเภท ซึ่งการนําเสนอของ
๑) คณะ หมำยถึง จ�ำนวนที่ก�ำหนดใน ๑ บทว่ำมีกี่วรรค วรรคละกี่ค�ำ ตัวเลขท้ำยชื่อกำพย์ นักเรียนควรแสดงแผนผังประกอบใหชัดเจน
บอกว่ำในหนึ่งบทนั้นมีจ�ำนวนค�ำกี่ค�ำ เช่น ยำนี ๑๑ หนึ่งบท มี ๑๑ ค�ำ ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�ำ โดยสามารถสืบคนไดจากแหลงการเรียนรูตางๆ
สุรำงคนำงค์ ๒๘ หนึ่งบท มี ๒๘ ค�ำ ที่สามารถเขาถึงได เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต
๒) เสียง หมำยถึง ข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ กำพย์แต่ละชนิดจะมีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ เปนตน
แตกต่ำงกันซึ่งวรรณยุกต์บำงเสียงท�ำให้กำพย์บำงชนิดมีควำมไพเรำะ หรือค�ำสุดท้ำยของวรรค
ในกำพย์บำงชนิดควรหลีกเลี่ยงกำรใช้วรรณยุกต์บำงเสียง
๓) สัมผัส หมำยถึง ข้อบังคับที่ใช้ในฉันทลักษณ์เพื่อให้เสียงรับกัน ประกอบด้วยสัมผัสใน
และสัมผัสนอก ดังนี้
สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่อยู่ภำยในวรรค ช่วยให้บทร้อยกรองมีควำมไพเรำะ ซึ่งค�ำประพันธ์
ประเภทกำพย์จะไม่บังคับใช้สัมผัสใน
สัมผัสนอก เป็นสัมผัสนอกวรรคหรือสัมผัสระหว่ำงวรรค ตลอดจนสัมผัสระหว่ำงบท
โดยกำพย์แต่ละชนิดมีกำรบังคับสัมผัสทีแ่ ตกต่ำงกัน กล่ำวคือ ในบทหนึง่ ค�ำท้ำยวรรคจะส่งสัมผัสรับกับ
ค�ำใดค�ำหนึ่งในวรรคต่อไป โดยบังคับให้ต้องใช้วรรณยุกต์รูปใด เสียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำพย์แต่ละชนิด

๒ กาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกำพย์ที่แต่งง่ำย มีลีลำกำรอ่ำนช้ำๆ อ่อนหวำน มักใช้แต่งพรรณนำชม
ควำมงดงำมของสิ่งของ ธรรมชำติ สิ่งแวดล้อม มักนิยมแต่งคู่กับโคลง โดยขึ้นต้นด้วยโคลง แล้วต่อด้วย
กำพย์ยำนี ๑๑ อีกหลำยบทที่มีเนื้อหำตรงกันกับโคลง เรียกว่ำ กำพย์ห่อโคลง

149

ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดมีความเกี่ยวของกับการแตงบทรอยกรองนอยที่สุด
1. ฉันทลักษณ ครูอาจสรางองคความรูที่มีความจําเปนตอการแตงบทรอยกรองประเภทตางๆ
2. สิ่งแวดลอมและบรรยากาศ ใหแกนักเรียน เชน คําคลองจอง โดยใหคํานิยามเกี่ยวกับคําคลองจอง จากนั้นจึง
3. ความสามารถในการใชถอยคํา ใหนักเรียนคนหนึ่งขึ้นตนคําแลวใหคนตอๆ ไป หาคําที่ลงทายดวยเสียงที่คลองจอง
4. จินตนาการและความคิดสรางสรรค กับคําขางหนา เชน นารี ลีลา พาไป ใครทํา คํานวณ.......ชวนชม ลมลวง เปนตน

วิเคราะหคําตอบ การแตงบทรอยกรองผูแตงจะตองมีคุณสมบัติหรือ
มีความรูในเรื่องฉันทลักษณ เพื่อใหสามารถแตงไดถูกตองทั้งจํานวนคํา นักเรียนควรรู
จํานวนวรรคและตําแหนงสัมผัส มีจินตนาการ ความคิดสรางสรรคในการ
ถายทอดเนือ้ หาสาระทีเ่ ปนประโยชนแกผอู า น และมีความสามารถในการ 1 กาพยหอโคลงเสด็จประพาสธารทองแดง เปนวรรณคดีที่ประพันธดวย
เลือกใชถอยคํา เลือกสรรถอยคําที่มีความไพเราะทั้งดานเสียงและ บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 และอธิบายความดวยโคลงสี่สุภาพควบคู
ความหมายเพื่อถายทอดแนวคิดของตนเองไดอยางครบถวน สิ่งที่มีความ สลับกันไป เนื้อหากลาวถึงความงาม ความสมบูรณของธรรมชาติ โดยเฉพาะ
เกี่ยวของนอยที่สุด คือสิ่งแวดลอมและบรรยากาศ ดังนั้นจึงตอบขอ 2. สัตวปาและพืชพรรณธรรมชาติหลากหลายชนิด

คู่มือครู 149
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย โดย กำพย์ยำนี ๑๑ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้
นําเสนอใหมีความครอบคลุมตามประเด็น ๑) คณะ กำพย์ยำนี ๑ บท มี ๒ บำท ๑ บำท มี ๒ วรรค วรรคหน้ำมี ๕ ค�ำ วรรคหลัง
ที่กําหนดไว มี ๖ ค�ำ รวม ๑ บำท มี ๑๑ ค�ำ บำทแรกเรียกว่ำ บำทเอก บำทสองเรียกว่ำ บำทโท
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า ในวรรคแรกมี ๕ ค�ำ วรรคหลังมี ๖ ค�ำ เหมือนกันทั้งบำทเอก
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับฉันทลักษณ และบำทโท รวม ๑ บำท มี ๑๑ ค�ำ จ�ำนวนตัวเลขที่บอกไว้ท้ำยกำพย์ หมำยถึง ก�ำหนดจ�ำนวนค�ำ
ของกาพยยานี 11 โดยใชความรู ความเขาใจ ใน ๑ บำท เช่น ยำนี ๑๑ หนึง่ บำท มี ๑๑ ค�ำ
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 ๓) เสียง ค�ำสุดท้ำยของบำทโทใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำเป็นส่วนใหญ่เพรำะจะท�ำให้
เปนขอมูลเบื้องตน อ่ำนได้ไพเรำะ ส่วนค�ำสุดท้ำยของบทผูแ้ ต่งมักหลีกเลีย่ งไม่ใช้คำ� ตำยและค�ำทีม่ รี ปู วรรณยุกต์ อำจมีทใี่ ช้
(แนวตอบ กาพยยานี 11 บทหนึ่งมี 2 บาท ค�ำตำยเสียงตรีหรือเสียงเอกบ้ำงแต่นอ้ ยมำก
บาทแรกเรียกวา บาทเอก บาทที่สองเรียกวา ๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๒ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้
บาทโท บาทหนึ่งมีจํานวนคําทั้งสิ้น 11 คํา สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยของวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคหลัง
แบงเปน 2 วรรค วรรคหนามีจํานวนคํา 5 คํา ในบำทเอก
วรรคหลังมีจํานวนคํา 6 คํา ดังนั้นกาพยยานี 11 ค�ำท้ำยของบำทเอกสัมผัสกับค�ำท้ำยของวรรคหน้ำของบำทโท
บทหนึ่ง จึงมี 4 วรรค สัมผัสบังคับในกาพยยานี สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยของบำทเอกบทต่อไป
11 ประกอบดวยสัมผัสระหวางวรรค คือ คําทาย
ของวรรคหนาจะสงสัมผัสมายังคําที่ 1, 2 หรือ 3 แผนผังและตัวอย่างกาพย์ยานี ๑๑
ของวรรคหลังในบาทเอก คําทายของวรรคหลัง
ในบาทเอกจะสงสัมผัสมายังคําทายของวรรค           
หนาในบาทโท สวนสัมผัสระหวางบท จะเกิดขึ้น           
เมื่อมีการแตงกาพยยานี 11 มากกวา 1 บท
ซึ่งคําทายของบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําทาย           
ของวรรคหลังในบาทเอกของบทตอไป)           

ยำนีมแี บบมำ วรรคแรกห้ำหลังหกค�ำ


ค�ำท้ำยวรรคแรกน�ำ มำสัมผัสวรรคหลังตำม
ค�ำท้ำยของวรรคหลัง ส่งมำยังท้ำยวรรคสำม
สัมผัสทีด่ งี ำม ระหว่ำงบทต้องจดจ�ำ
(ท ๐๔๑ ก�รประพันธ์ : ฐะปะนีย์ น�ครทรรพ)

หมายเหตุ ค�ำท้ำยวรรคแรกของบำทโท จะสัมผัสค�ำที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคที่ ๒ บำทโท หรือไม่กไ็ ด้

150

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําในตัวเลือกใดตอไปนี้เหมาะสมที่จะนํามาเติมในชองวางทั้ง 2 คํา
ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรมเพิม่ เติมโดยใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับกาพยยานี 11
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบิน.........ไปทั้งหมู
โดยใหจัดลําดับกาพยยานี 11 ที่กําหนดตอไปนี้ใหถูกตองตามฉันทลักษณและ
ตัวเดียวมาพลัด........ เหมือนพี่อยูผูเดียวดาย
เนื้อความ
1. เอียง, เฉียง
ลูกศิษยคิดลางครู
2. พลัน, ครัน
ลอยฆาฟนดวยตัณหา
3. เฉียง, คู
สอเสียดเบียดเบียนกัน
4. เรียง, บาน
ลูกไมรูคุณพอมัน
(ลูกศิษยคิดลางครู ลูกไมรูคุณพอมัน วิเคราะหคําตอบ บทรอยกรองขางตนอยูในวรรณคดีเรื่อง กาพยเหเรือ
สอเสียดเบียดเบียนกัน ลอยฆาฟนดวยตัณหา) พระนิพนธในเจาฟาธรรมธิเบศรหรือเจาฟากุง ซึง่ ประพันธดว ยกาพยยานี 11
จากตัวเลือกถายึดจากสัมผัสบังคับของกาพยยานี 11 จะพบวาคําทาย
ซึ่งครูอาจหาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยกาพยยานี 11 มาเขียนสลับวรรคกัน ของวรรคหนาจะสงสัมผัสมายังคําที่ 1, 2 หรือ 3 ของวรรคหลังในบาทเอก
สรางสรรคเปนใบงาน ใหนักเรียนไดใชความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยยานี 11 คําทายของวรรคหลังในบาทเอกจะสงสัมผัสมายังคําทายของวรรคหนา
ปฏิบัติกิจกรรม ในบาทโท ดังนั้นจึงตอบขอ 3.

150 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
หลักการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ มีดงั นี้ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการ
๑. ค�ำทีร่ บั สัมผัสไม่ใช้คำ� ทีม่ เี สียงเดียวกับค�ำทีส่ ง่ สัมผัส แม้จะเขียนต่ำงกัน เช่น สำน-ศำล-สำร แตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 โดยใช
๒. ในกำรแต่งกำพย์ยำนี ๑๑ ไม่มีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ หรือรูปวรรณยุกต์ แต่ส่วนใหญ่ ความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
จะนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำในค�ำสุดท้ำยของบำทโท เสียงตรี เสียงเอก ก็มบี ำ้ งแต่ไม่คอ่ ยนิยม ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 เปนขอมูลเบือ้ งตนสําหรับ
ค�ำสุดท้ำยของบท ไม่นยิ มใช้คำ� ตำยหรือค�ำทีม่ รี ปู วรรณยุกต์ ตอบคําถาม
๓. กำพย์ยำนี ๑๑ เหมำะกับเนือ้ หำทีเ่ ป็นพรรณนำโวหำร เช่น พรรณนำควำมรูส้ กึ ควำมรัก • นักเรียนตั้งขอสังเกตวาบทรอยกรอง
และควำมงำม ประเภทกาพยมีความแตกตางจากบท
๔. สัมผัสใน คือ สัมผัสภำยในวรรคเป็นสัมผัสไม่บังคับจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ถือเป็นข้อบังคับ
รอยกรองประเภทอื่นๆ อยางไร
และไม่เคร่งครัดมำกนัก แต่ถำ้ มีจะท�ำให้ทำ� นองของกำพย์ยำนี ๑๑ ไพเรำะสละสลวยยิง่ ขึน้ เช่น
(แนวตอบ บทรอยกรองประเภทกาพยมีความ
แตกตางจากบทรอยกรองประเภทอื่น ดังนี้
รอนรอนอ่อนอัสดง พระสุรยิ งเย็นยอแสง
• แตกตางจากกลอนในเรื่องการแบงวรรค
ช่วงดังน�ำ้ ครัง่ แดง แฝงเมฆเขำเงำเมรุธร การอาน
• แตกตางจากโคลงและรายในเรื่อง
ลิงค่ำงครำงโครกครอก ฝูงจิง้ จอกออกเห่ำหอน
ไมบังคับคําเอก และคําโท
ชะนีวเิ วกวอน นกหกร่อนนอนรังเรียง • แตกตางจากฉันทในเรื่องไมบังคับคําครุ
1 คําลหุ)
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
• กาพยยานี 11 เปนบทรอยกรองที่มีความ
หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่ำงแสดงสัมผัสสระ
เหมาะสมที่จะนํามาใชถายทอดเนื้อความ
๓ กาพย์ฉบัง ๑๖ ที่มีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ กาพยยานี 11 เปนบทรอยกรอง
กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นร้อยกรองที่ใช้บรรยำยควำมที่รวดเร็ว มีลีลำคึกคัก มีควำมไพเรำะ ที่มีความเหมาะสมจะนํามาใชถายทอด
น�้ำเสียงก้องกังวำน แสดงควำมสง่ำงำมจึงนิยมใช้แต่งร่วมกับค�ำฉันท์ บรรยำยควำมยิ่งใหญ่อลังกำร
เนือ้ ความทีเ่ ปนพรรณนาโวหาร เชน พรรณนา
หรือพรรณนำควำมโอ่อ่ำงดงำมของบ้ำนเมือง ปรำสำทรำชวัง เช่น ฉันท์ยอเกียรติชำวนครรำชสีมำ
ความรูสึก ความรัก ความงาม)
ของพระยำอุปกิตศิลปสำร (นิ่ม กำญจนำชีวะ) สำมัคคีเภทค�ำฉันท์ ของ นำยชิต บุรทัต ฉันท์ดุษฎีสังเวย
กล่อมช้ำง เป็นต้น โบรำณนิยมแต่งกำพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อพำกย์โขนและบทสวดมนต์ ปัจจุบันนิยมแต่ง 2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลง
ร่วมกับฉันท์ถวำยพระพรในโอกำสต่ำงๆ ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 มีความนาเชื่อถือ
กำพย์ฉบัง ๑๖ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้ หรือไม เพราะเหตุใด
๑) คณะ กำพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค คือ วรรคต้น วรรคกลำง และวรรคท้ำย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า กำพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค วรรคต้นมี ๖ ค�ำ วรรคกลำง ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
มี ๔ ค�ำ และวรรคท้ำยมี ๖ ค�ำ รวม ๓ วรรค มี ๑๖ ค�ำ เท่ำกับตัวเลขท้ำยชื่อว่ำกำพย์ฉบัง ๑๖
๓) เสียง นิยมใช้เสียงสำมัญและเสียงจัตวำเป็นค�ำส่งสัมผัสและค�ำท้ำยวรรค

151

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคัดสรรวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภท เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายกอนเก็บผลงานให
กาพยยานี 11 จํานวน 1 บท นํามาโยงเสนสัมผัสใหถูกตอง พรอมกับ ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศึกษา วิเคราะห หนาชัน้ เรียน
ถอดความเปนรอยแกวใหไดใจความสมบูรณ แสดงผลการปฏิบัติกิจกรรม เพื่อเปนการแบงปนขอมูลซึ่งกันและกัน
ลงสมุด สงครู

นักเรียนควรรู
กิจกรรมทาทาย
1 กาพยพระไชยสุริยา เปนผลงานของสุนทรภู ประพันธดวยกาพยยานี 11
กาพยฉบัง 16 และกาพยสุรางคนางค 28 โดยมีจุดมุงหมายเพื่อใชเปนแบบเรียน
นักเรียนศึกษาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภท สอนอานและเขียน เมือ่ สุนทรภูไ ดทาํ หนาทีถ่ วายพระอักษรเจาฟาอาภรณ เจาฟากลาง
กาพยยานี 11 ในจํานวนเพียงพอที่จะแสดงใหเห็นรูปแบบการใชเสียง และเจาฟาปว พระราชโอรสในสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟากุณฑลทิพยวดี
วรรณยุกตในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลการศึกษาวิเคราะห พระอัครชายาในรัชกาลที่ 2 กาพยพระไชยสุริยา ยังมีคุณคาดานวรรณศิลปที่โดดเดน
ลงสมุด สงครู มีสัมผัสในทุกวรรค ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร แสดงอารมณที่หลากหลาย
รวมถึงใหขอคิดคติเตือนใจในเรื่องความซื่อสัตยสุจริต
คู่มือครู 151
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 และ 3 สงตัวแทนออกมา
อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย ๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้
โดยนําเสนอใหมีความครอบคลุมตามประเด็น สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคกลำง
ที่กําหนดไวตามลําดับ สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยวรรคสำมของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคหน้ำของบทต่อไป
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู แผนผังและตัวอย่างกาพย์ฉบัง ๑๖
เกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยฉบัง 16 โดยใช
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย          
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูลเบื้องตน      
(แนวตอบ กาพยฉบัง 16 บทหนึ่งมี 3 วรรค          
วรรคแรกมีจํานวนคํา 6 คํา วรรคที่สองมี
จํานวนคํา 4 คํา และวรรคที่สามมีจํานวนคํา     

6 คํา รวมแลวทั้งสามวรรคจะมีจํานวนคําทั้งสิ้น ชำยใดไม่เทีย่ วเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร
16 คํา สัมผัสบังคับในกาพยฉบัง 16 ไดแก มิอำจประสบพบสุข
สัมผัสระหวางวรรค โดยคําสุดทายของวรรคแรก ชำยใดอยูเ่ หย้ำเนำทุกข์ ไม่ดน้ ซนซุก
จะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสอง ก็ชอื่ ว่ำชัว่ มัวเมำ
สวนสัมผัสระหวางบทคําสุดทายของวรรคสาม (นิท�นเวต�ล : น.ม.ส.)
ในบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรค หลักการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ มีดังนี้
แรกในบทตอไป) ๑. กำพย์ฉบังมีลีลำคึกคัก โลดโผนและสง่ำกว่ำกำพย์ยำนี โบรำณนิยมใช้แต่งบทพำกย์โขน
3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ บทสวดมนต์ ถ้ำเป็นนิยำย นิทำนก็ใช้เป็นบทพรรณนำโวหำรทีต่ อ้ งกำรให้มลี ลี ำดังกล่ำว ปัจจุบนั นิยมใช้
ฉันทลักษณของกาพยสุรางคนางค 28 โดยใช เขียนบทสดุดี และบทปลุกใจ
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย ๒. ค�ำสุดท้ำยของบทมักนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำกันมำก ส่วนวรรณยุกต์อื่น
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตน ไม่นิยมใช้และพบไม่บ่อยนัก ไม่บังคับสัมผัสระหว่ำงวรรคที่ ๒ กับวรรคที่ ๓ จะมีหรือไม่มีก็ได้
(แนวตอบ กาพยสุรางคนางค 28 บทหนึ่งมี ๓. ควำมไพเรำะของกำพย์ฉบังขึ้นอยู่กับเสียงสัมผัสใน นิยมเพิ่มในวรรคเป็นคู่ๆ ทุกวรรค
7 วรรค วรรคละ 4 จึงทําใหมีจํานวนคําทั้งสิ้น ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร เช่น
28 คํา ซึ่งสัมผัสในกาพยสุรางคนางค 28 ไดแก เขำสูงฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องก้องเสียง
สัมผัสระหวางวรรคมีจํานวน 4 แหง คือ คําทาย
ของวรรคแรกสงสัมผัสมายังคําสุดทายของ ส�ำเนียงน่ำฟังวังเวง
วรรคสอง คําสุดทายของวรรคสามสงสัมผัส กลำงไพรไก่ขนั บรรเลง ฟังเสียงเพียงเพลง
มายังคําสุดทายของวรรคหาและวรรคหก
ซอเจ้งจ�ำเรียงเวียงวัง
คําสุดทายของวรรคสี่สงสัมผัสมายังคําแรกหรือ
(ก�พย์พระไชยสุริย� : สุนทรภู่)
คําที่สองของวรรคหา ‘บางตํารากลาววาเปน
หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่ำงแสดงสัมผัสสระ
คําที่สามของวรรคหา’ สวนสัมผัสระหวางบท
คําสุดทายของวรรคเจ็ดในบทแรกจะสงสัมผัส 152
มายังคําสุดทายของวรรคสามในบทตอไป)

ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับกาพยฉบัง 16
ครูควรใหนักเรียนทํากิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อทบทวนความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
1. มีจํานวนคําทั้งสิ้น 28 คํา
กาพยฉบัง 16 โดยครูอาจคนหาวรรณคดีทปี่ ระพันธดว ยกาพยฉบัง 16 นํามาเขียนเปน
2. มีการบังคับเสียงวรรณยุกตใหเปนไปตามแบบแผน
ขอความทีไ่ มมกี ารเวนวรรคบนกระดาน จากนัน้ สุม เรียกชือ่ นักเรียน หรือขออาสาสมัคร
3. เหมาะสมที่จะใชในกระบวนความที่เปนการพรรณนา
ออกมาจัดวรรคขอความดังกลาวใหถูกตองตรงตามฉันทลักษณของกาพยฉบัง 16
4. บทหนึ่ง มี 3 วรรค วรรคแรก 6 คํา วรรคสอง 4 คํา และวรรคหลัง 6 คํา
วิเคราะหคําตอบ กาพยฉบัง 16 บทหนึ่งมี 3 วรรค วรรคแรกมี 6 คํา
วรรคสองมี 4 คํา และวรรคทายมี 6 คํา ดังนั้น บทหนึ่งจึงมีจํานวนคํา
ทั้งสิ้น 16 คํา ซึ่งลักษณะคําประพันธเหมาะสมที่จะใชในการแตงบทสดุดี
บทไหวครู และไมมีการบังคับเสียงวรรณยุกต ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

152 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๔ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ความรูเกี่ยวกับการแตงบทรอยกรองประเภท
กาพยฉบัง 16 และกาพยสุรางคนางค 28
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้
• กาพยฉบัง 16 เปนบทรอยกรองที่มีความ
๑) คณะ กำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ หนึ่งบท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ ค�ำ รวม ๒๘ ค�ำ
เหมาะสมจะนํามาใชกับเนื้อความที่มี
๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า ในแต่ละวรรค มี ๔ ค�ำ ๗ วรรค รวมเป็น ๒๘ ค�ำ จึงเขียนจ�ำนวน
ลักษณะอยางไร
ค�ำท้ำยชื่อกำพย์ว่ำสุรำงคนำงค์ ๒๘ หมำยถึง มีจ�ำนวนค�ำ ๑ บท ๒๘ ค�ำ (แนวตอบ กาพยฉบัง 16 เปนบทรอยกรองที่
๓) เสียง ไม่บังคับเสียงวรรณยุกต์ แต่ส่วนมำกนิยมเสียงสำมัญและเสียงจัตวำ มีจังหวะลีลาโลดโผน ในสมัยโบราณนิยมใช
๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๔ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้ แตงเปนบทพากยโขน บทสวดมนต ปจจุบัน
สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคสอง นิยมใชแตงเปนบทไหวครู บทสดุดีหรือเรื่อง
ค�ำท้ำยวรรคสำมสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคห้ำและวรรคหก ทั่วไปในการบรรยายความ)
ค�ำท้ำยวรรคสี่สัมผัสกับค�ำที่หนึ่งหรือสองของวรรคห้ำ • การแตงบทรอยกรองประเภทกาพยฉบัง 16
สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยวรรคเจ็ดของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคที่สำมของบท ไมมีการบังคับเรื่องเสียงวรรณยุกตแตเพราะ
ต่อไป เหตุใด นักเรียนจึงควรเรียนรูเ กีย่ วกับความ
นิยมในการใชเสียงวรรณยุกตคําทายวรรค
แผนผังและตัวอย่างกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
(แนวตอบ การเรียนรูเกี่ยวกับความนิยมใน
            เสียงวรรณยุกตคําทายวรรค นับเปนศิลปะ
การประพันธประการหนึ่ง เพราะความรู
                เหลานี้จะชวยทําใหกาพยฉบัง 16 ที่แตงมี
            ความไพเราะ อานแลวใหความรูสึกราบรื่น
ตอเนื่อง)
                • นักเรียนคิดวาความไพเราะของการแตง
สุรำงคนำงค์ เจ็ดวรรคจัดวำง ให้ถกู วิธี กาพยสุรางคนางค 28 คืออะไร
สัมผัสมีหลัก ค�ำวรรคละสี่ ยีส่ บิ แปดมี ครบบทจดจ�ำ (แนวตอบ ภายในวรรคเดียวกัน ผูแตง
สุรำงคนำงค์ แต่งเป็นตัวอย่ำง เหมำะสมคมข�ำ สามารถใชการเลนคํา ซํ้าคําหรือซํ้าความ
คิดนึกตรึกตรำ เลือกหำถ้อยค�ำ สอดเสียงสูงต�ำ่ ฟังเพรำะเสนำะแล ไดเหมาะสม)
(ท ๐๔๑ ก�รประพันธ์ : ฐะปะนีย์ น�ครทรรพ) 2. นักเรียนเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ
ตนเองเกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยแตละ
หลักการแต่งกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีดังนี้
ประเภท ไดแก กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16
๑. ค�ำสุดท้ำยของวรรคที่ ๓ หำกลงด้วยเสียงจัตวำจะเพิ่มควำมไพเรำะยิ่งขึ้น
และกาพยสุรางคนางค 28 โดยเขียนแผนผัง
๒. ควำมไพเรำะของกำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ บำงวรรคอำจจะเล่นค�ำ ซ�้ำค�ำ ซ�้ำควำม
ด้วยเสียงสระหรือเสียงพยัญชนะก็จะเพิ่มควำมไพเรำะขึ้น แสดงฉันทลักษณ โยงสัมผัสระหวางวรรค
ระหวางบทใหถูกตอง รวมถึงตั้งขอสังเกต
153 เกี่ยวกับการใชเสียงวรรณยุกตในคําทายวรรค
เพื่อเพิ่มความไพเราะใหแกกาพย สรุปเปน
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาบทรอยกรองประเภทกาพยฉบัง 16 แลวตั้งขอสังเกตวา ครูควรยกตัวอยางบทสดุดีที่ประพันธดวยกาพยฉบัง 16 เชน บารมีพระรมเกลา
สามารถนําไปประพันธรวมกับบทรอยกรองประเภทใดไดบาง โดยยก (วรรณคดี สรรพจิต) โดยขออาสาสมัครนักเรียนที่มีทักษะการอานออกเสียงที่ดี
ตัวอยางประกอบ นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล ออกมาอานออกเสียงทํานองเสนาะใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน จากนั้นใหรวมกัน
ลงสมุด สงครู ถอดความ เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทางซายมือ กอนเก็บใบความรู ครูอาจสุม
เรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน เพื่อแสดงผลการศึกษาและผลการวิเคราะห
หนาชั้นเรียน แลกเปลี่ยนขอมูล เพื่อนําไปประยุกตใชในกิจกรรมตอๆ ไป หรือการ
กิจกรรมทาทาย แตงบทรอยกรองของตนเอง

นักเรียนศึกษาวรรณคดีเรือ่ งทีป่ ระพันธดว ยบทรอยกรองประเภทกาพย-


ฉบัง 16 ในจํานวนเพียงพอที่จะแสดงใหเห็นรูปแบบการใชเสียงวรรณยุกต
ในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลศึกษาวิเคราะหลงสมุด สงครู

คู่มือครู 153
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแ บบโตตอบรอบวงเกีย่ วกับการแตงบทรอยกรอง ๓. สัมผัสใน เป็นสัมผัสไม่บงั คับจะมีหรือไม่มกี ไ็ ด้ ส่วนใหญ่นยิ มแต่งให้มสี มั ผัสในเป็นคูๆ่ เช่น
ดวยวิธีการตั้งคําถามของครู
• ผูที่จะแตงบทรอยกรองไดดี ควรมีคุณสมบัติ จันทราคลาเคลือ่ น กระเวนไพรไก่เถือ่ น เตือนเพือ่ นขานขัน
อยางไร
(แนวตอบ ปูเ่ จ้าเขาเขิน ก่เู กริน่ หากัน สินธุพลุ นั่ ครืน้ ครัน่ หวัน่ ไหว
• มีความรู ความเขาใจในเรื่องฉันทลักษณ พระฟืน้ ตืน่ นอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนทัย
• มีความรูใ นขนบและศิลปะแหงการประพันธ
• มีทักษะในการอานออกเสียง เช้าตรูส่ รุ ยิ น ขึน้ พ้นเมรุไกร มกี รรมจ�าไป ในป่าอารัญ
• เปนผูรอบรู ซึ่งไดมาจากการอานมาก (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
ฟงมาก)
• ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณของบทรอยกรอง หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่างแสดงสัมผัสสระ
เพียงพอหรือไมกับการแตงบทรอยกรองให
เกร็ดภาษา
ไพเราะ ลุมลึก
(แนวตอบ ความรู ความเขาใจในเรื่อง
ศิลปะในการประพันธ์
ฉันทลักษณจะทําใหนักเรียนเปนผูที่แตง
บทรอยกรองได แตไมพอสําหรับการแตง การแต่งค�าประพันธ์ให้ไพเราะ แสดงให้เห็นความสามารถของกวีและความงามเชิงวรรณศิลป์
บทรอยกรองใหไพเราะ นักเรียนตองมีความรู สามารถท�าได้หลายวิธี เช่น การใช้โวหาร ภาพพจน์ การเล่นค�า เล่นเสียง ดังตัวอย่างการสรรค�า
ในเชิงศิลปะแหงการประพันธ รูวาจะตองเลือก โดยการใช้ภาพพจน์แบบสัทพจน์ เพื่อให้เกิดจินตนาการ เห็นภาพและเกิดเสียงที่ได้ยินจากรส
ใชคําอยางไร ใหมีความไพเราะทั้งดานเสียง ของบทประพันธ์ เช่น
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคลอเคียง
ความหมาย ถายทอดแนวคิดไดครบถวน แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
สวนบทรอยกรองจะมีความลุมลึกหรือไมนั้น ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เพลินฟังวังเวง
ยอมขึ้นอยูกับแนวคิดและจินตนาการของ อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ผูแตงเปนสําคัญ) (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
• ทักษะดานการออกเสียง มีความเกี่ยวของ
กับการแตงบทรอยกรองอยางไร บทร้อยกรองเป็นเอกลักษณ์และสมบัติทางภาษาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คง
(แนวตอบ เพราะในขณะที่แตงบทรอยกรอง อยู่ด้วยการแต่งบทร้อยกรองและพัฒนาให้มีศิลปะ เพิ่มความงามทางภาษา เนื่องด้วย
ผูแตงจะตองอานออกเสียงคําที่บรรจุลงไป บทร้อยกรองมีฉันทลักษณ์ที่บังคับเป็นกฎเกณฑ์ ส่งผลให้เป็นงานประพันธ์ที่มีสÓนวน
ในแตละวรรคดวย เพื่อตรวจสอบวาคําที่บรรจุ ภาษาดี มีความสละสลวย มีคณ ุ ค่าทัง้ ด้านภาษาและเนือ้ หา ซึง่ ให้ความรู ้ ความสนุกสนาน
ลงไปนั้นเมื่อออกเสียงแลว ทําใหทวงทํานอง ข้อคิด คติเตือนใจ ผูอ้ า่ นสามารถนÓไปปรับใช้กบั การดÓเนินชีวติ ประจÓวัน อีกทัง้ ยังเป็น
ของบทรอยกรองที่แตงมีความสะดุดหรือไม การช่วยดÓรงสมบัติทางภาษาของชาติได้เป็นอย่างดี
และหากพบวาไมเหมาะสม จะไดแกไขให
ถูกตอง เหมาะสม) 154

กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา ผูที่แตงบทรอยกรองได คือผูที่แตงบทรอยกรองได นักเรียนอานวรรณคดีเรื่อง กาพยพระไชยสุริยา ตั้งแตวรรค “วันนั้น
ถูกตองตามฉันทลักษณทั้งจํานวนคํา วรรค และสัมผัส สวนผูที่แตงเปน คือผูที่มี จันทร...วาวอนเวียงวัง” โดยแสดงแผนผังโยงสัมผัสใหถูกตอง พรอมทั้ง
ความรูในเชิงศิลปะแหงการประพันธ สามารถสรรคําหรือเลือกคําที่มีความถึงพรอม ถอดความเปนรอยแกว ลงสมุด สงครู
ในดานเสียง ทั้งเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต เลือกใชคําที่มีความถึงพรอม
ในดานความหมาย มีพลังทําใหผูอาน ผูฟง ไดเห็น ไดยิน ไดสัมผัส นอกจากนี้
ยังตองรูขนบการประพันธ รูวาคําประพันธประเภทนี้เหมาะที่จะใชกับเนื้อความใด กิจกรรมทาทาย
การจัดวางคําใหไดเสียงเสนาะ เมื่อมีความรูในดานฉันทลักษณและศิลปะแหงการ
ประพันธ ก็เทากับวานักเรียนมีเครื่องมือสําหรับการถายทอดจินตนาการหรือแนวคิด
ของตนเอง ซึ่งความลุมลึกของบทรอยกรองแตละบทลวนเกิดจากจินตนาการหรือ นักเรียนศึกษาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภทกาพย
ความคิดของผูแตง เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมดานขวามือ กอนเก็บใบความรู สุรางคนางค 28 ในจํานวนเพียงพอที่จะแสดงใหเห็นรูปแบบการใชเสียง
ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศึกษาและวิเคราะหแลกเปลีย่ น วรรณยุกตในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลการศึกษาวิเคราะหลงสมุด
ความรู เพือ่ นําไปประยุกตใชในกิจกรรมตอๆ ไป หรือการแตงบทรอยกรองของตนเอง สงครู

154 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม และรวมถึง
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู รองรอยความรูเดิม หรือประสบการณสวนตนของ
นักเรียน รวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะของ
๑. ก�รศึกษ�ฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองมีประโยชน์ต่อก�รแต่งคำ�ประพันธ์อย่�งไร บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 ที่ดี สําหรับ
๒. วรรณคดีที่แต่งด้วยก�พย์ย�นี ๑๑ ที่นักเรียนรู้จักมีเรื่องใดบ้�ง ใชประเมินผลงานการแตงบทรอยกรองประเภท
๓. สัมผัสในมีคว�มสำ�คัญต่อก�รแต่งคำ�ประพันธ์หรือไม่ อย่�งไร กาพยยานี 11 ของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ใน
๔. ก�พย์ฉบัง ๑๖ นิยมแต่งคำ�ประพันธ์ที่มีลักษณะเนื้อห�อย่�งไร ชั้นเรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไขใน
๕. ก�พย์สุร�งคน�งค์มีลักษณะคำ�ประพันธ์อย่�งไร ครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของนักเรียนควรครอบคลุม
ประเด็น ดังตอไปนี้
(แนวตอบ เชน
• มีฉันทลักษณที่ถูกตอง
• นําศิลปะแหงการประพันธมาใชไดสอดคลอง
เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
• สะทอนจินตนาการ หรือมีความลุมลึกใน
แนวคิดที่ถายทอด
• ลําดับความและสื่อความไดครบถวน)
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู จากนัน้ ใหแตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11
คนละไมตํ่ากวา 2 บท
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกแต่งคำ�ประพันธ์ประเภทก�พย์ คนละ ๑ ชนิด ในหัวข้อ
ที่กำ�หนด หรือให้นักเรียนกำ�หนดเอง เช่น
■ โลกร้อนจริงหนอ
ตรวจสอบผล Evaluate
■ มลพิษในชีวิต
1. ครูตรวจสอบบทรอยกรองประเภทกาพยยานี
■ คนไทยไม่แล้งนำ้�ใจ
11 โดยยึดหลักเกณฑที่นักเรียนรวมกันกําหนด
■ ขยะดีมีค่�
ขึ้นภายใตคําแนะนําของครู
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนแบ่งกลุ่ม แต่งคำ�ประพันธ์ประเภทก�พย์ต�มที่ร่วมกันกำ�หนดหัวข้อ
แล้วนำ�เสนอผลง�นหน้�ชั้นเรียน 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนแต่งคำ�ประพันธ์เกี่ยวกับก�รใช้ภ�ษ�ไทยให้ถูกต้อง เพื่อรณรงค์
ก�รใช้ภ�ษ�ไทยในโรงเรียน แล้วนำ�ม�จัดป้�ยนิเทศ
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 จํานวน
ไมตํ่ากวา 2 บท

155

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การแตงบทรอยกรองแตละประเภทสิ่งสําคัญประการแรก คือ ผูแตงจะตองมีความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับฉันทลักษณของบทรอยกรอง เพื่อใหสามารถแตงได
ถูกตองตามแบบแผน ทั้งเรื่องจํานวนคํา จํานวนวรรค สัมผัส และเสียงวรรณยุกต
2. วรรณคดีที่แตงดวยบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 ไดแก กาพยเหชมเครื่องคาวหวาน กาพยเหเรือ กาพยพระไชยสุริยา
3. สัมผัสในแมวาจะไมใชสัมผัสบังคับที่จะตองปรากฏในบทรอยกรอง แตถือกันโดยทั่วไปวา หากผูแตงแตละคนสามารถเลือกสรรถอยคําใหมีสัมผัส เกิดความคลองจอง
ของเสียงสระ เสียงพยัญชนะภายในวรรคเดียวกันได จะยิ่งทําใหบทรอยกรองนั้นๆ มีความไพเราะมากยิ่งขึ้น เปนศิลปะแหงการประพันธ
4. กาพยฉบัง 16 ในสมัยโบราณนิยมแตงเพื่อใชเปนบทพากยโขน แตในปจจุบันนิยมแตงเปนบทสวด บทไหวครู บทสดุดีหรือเรื่องทั่วไปในการบรรยายความ
5. กาพยสุรางคนางค 28 บทหนึ่งมี 7 วรรค วรรคละ 4 คํา ซึ่งสัมผัสของกาพยสุรางคนางค 28 ไดแก สัมผัสระหวางวรรคมีจํานวน 4 แหง คือ คําทายของวรรคแรก
สงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสอง คําสุดทายของวรรคสามสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคหาและวรรคหก คําสุดทายของวรรคสี่สงสัมผัสมายังคําแรก
หรือคําที่สองของวรรคหา สวนสัมผัสระหวางบทคําสุดทายของวรรคเจ็ดในบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสามในบทตอไป

คู่มือครู 155
กระตุ้นความสนใจ ส�ำรวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

บรรณานุกรม
กองเทพ เคลือบพณิชกุล. ๒๕๔๒. การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
กุหลำบ มัลลิกะมำศ และวิพุธ โสภวงศ์. ๒๕๔๒. การเขียน ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
กุสุมำ รักษมณี. ๒๕๓๔. สีสันวรรณกรรม. กรุงเทพมหำนคร : ศยำม.
. ๒๕๓๑. ทักษะสื่อสาร ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๓๑. ทักษะสื่อสาร ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
กุสุมำ รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สังกัปภาษา ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
เจือ สตะเวทิน. ๒๕๒๒. ต�ารับวรรณคดี. กรุงเทพมหำนคร : อนงค์ศิลป์กำรพิมพ์.
ฐะปะนีย์ นำครทรรพ. ๒๕๔๓. การเขียน ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๑๙. ท ๐๔๑ การประพันธ์. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๒๖. ท ๐๔๒ การเขียน ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๒๘. บันไดหลักภาษา ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๔๒. บันไดหลักภาษา ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๔๒. บันไดหลักภาษา ๓. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
ฐะปะนีย์ นำครทรรพ และคณะ. ๒๕๔๒. ภาษาสุนทร ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
ณรงค์ มั่นเศรษฐวิทย์. ๒๕๔๐. ภาษากับความคิด. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
นววรรณ นำครสรรพ. ๒๕๒๗. ไวยากรณ์ไทย. กรุงเทพมหำนคร : รุ่งเรืองสำส์นกำรพิมพ์.
บรรจบ พันธุเมธำ. ๒๕๓๔. ลักษณะภาษาไทย. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์คุรุสภำ.
ผจงวำด พูลแก้ว. ๒๕๔๗. แบบฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน. กรุงเทพมหำนคร : สุวีริยำสำส์น.
ไพศำล อินทวงศ์. ๒๕๔๗. ตามรอยโหมโรง. กรุงเทพมหำนคร : สุวีริยำสำส์น.
. ๒๕๓๘. เอกสารการสอนชุดการใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรุง) หน่วยที่ ๙-๑๕. นนทบุรี : โรงพิมพ์
มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ ๑-๗. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย
สุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ ๘-๑๕. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย
สุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๔๔. เอกสารการสอนชุดการเขียนเพื่อการสื่อสารธุรกิจ หน่วยที่ ๑-๘. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์
มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช.
รำชบัณฑิตยสถำน. ๒๕๕๐. พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย ภาคฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหำนคร : รำชบัณฑิตยสถำน.
รำชบัณฑิตยสถำน. ๒๕๕๖. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหำนคร : ศิริวัฒนำ
อินเตอร์พริ้นท์ จ�ำกัด (มหำชน).
วนิดำ จันทรุจิรำกร. ๒๕๔๓. อินเทอร์เน็ต มิติใหม่ของการสื่อสาร. กรุงเทพมหำนคร : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น.
วำสนำ บุญสม. ๒๕๓๙. กลอนสัมผัสใจได้อย่างไร. กรุงเทพมหำนคร : ลินคอร์น โปรโมชั่น.
วิจิตร อำวะกุล. ๒๕๔๐. เพื่อการพูดการฟังและการประชุมที่ดี. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
สนิท ตั้งทวี. ๒๕๓๖. อ่านไทย. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
สุวิทย์ มูลค�ำ. ๒๕๔๕. ชวนครูฮาพานักเรียนเฮ. กรุงเทพมหำนคร : หจก.ภำพพิมพ์.
อัจฉรำ ชีวพันธ์. ๒๕๔๔. อ่านสนุก-ปลุกส�านึก. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
อัศศิริ ธรรมโชติ. ๒๕๓๐. ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง. กรุงเทพมหำนคร : ก.ไก่.
อุปกิตศิลปสำร, พระยำ. ๒๕๓๕. หลักภาษาไทย : อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหำนคร :
ไทยวัฒนำพำนิช.

156

156 คู่มือครู

You might also like