Professional Documents
Culture Documents
กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย
ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 สําหรับครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สมรรถนะของผูเรียน
คุณลักษณะอันพึงประสงค
หน า หน า
โซน 1 หนั ง สื อ เรี ย น หนั ง สื อ เรี ย น โซน 1
กระตุน ความสนใจ Engage
สํารวจคนหา Explore
อธิบายความรู Explain
ขยายความเขาใจ Expand
ตรวจสอบผล Evaluate
ขอสอบ O-NET
นักเรียนควรรู
บูรณาการเชื่อมสาระ
โซน 2 โซน 3 โซน 3 โซน 2
กิจกรรมสรางเสริม บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมทาทาย
บูรณาการอาเซียน
มุม IT
2. สัญลักษณ
สัญลักษณ วัตถุประสงค สัญลักษณ วัตถุประสงค
คูม อื ครู
5Es การจัดกิจกรรมตามขั้นตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es
ขั้นตอนการสอนที่สัมพันธกับขั้นตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ
วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย
ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้
ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage)
เสร�ม
เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ
และคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูความรูของบทเรียนใหม ชวยใหผูเรียนสามารถ 3
สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนการสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสราง
แรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน
คูม อื ครู
คําอธิบายรายวิชา
รายวิชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา กลุมสาระการเรียนรู ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ภาคเรียนที่ 1-2
รหัสวิชา ท………………………………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป
ตัวชี้วัด
ท 1.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9
ท 2.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6 ม.1/7 ม.1/8 ม.1/9
ท 3.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6
ท 4.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5 ม.1/6
ท 5.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/4 ม.1/5
รวม 35 ตัวชี้วัด
คูม อื ครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ม.๑
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑
กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผูเรียบเรียง
นางฟองจันทร สุขยิ่ง
นางกัลยา สหชาติโกสีย
นางสาวศรีวรรณ ชอยหิรัญ
นายภาสกร เกิดออน
นางสาวระวีวรรณ อินทรประพันธ
ผูตรวจ
นางประนอม พงษเผือก
นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร
นางวรวรรณ คงมานุสรณ
บรรณาธิการ
นายเอกรินทร สี่มหาศาล
พิมพครั้งที่ ๑๔
๑
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
ISBN : 978-616-203-542-5
รหัสสินคา ๒๑๑๑๐๐๗
¾ÔÁ¾¤ÃÑ駷Õè 10 คณะผูจัดทําคูมือครู
ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2141016 ประนอม พงษเผือก
พิมพรรณ เพ็ญศิริ
สมปอง ประทีปชวง
เกศรินทร หาญดํารงครักษ
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน หลักภาษาและการใชภาษาเลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับ
ใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑
โดยเนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและ
ชวยพัฒนาผูเรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา
สะดวกแกการจัดการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําให
ผูเรียนไดรับความรูอยางมีประสิทธิภาพ
ñ
อิ อี
เผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่กลม การพูดเป็นการสื่อสารที่มีความส�
อึ อือ ส่วนหลังยกขึ้นสูง าคัญ อาจก่อให้เกิดประโยชน
์ หรือโทษได้ทั้งกับตัวผู้พูดเอง
หรือกับผู้ฟัง ดังที่ปรากฏอยู่ใ
ห่อกลมเล็ก นวรรณคดีต่างๆ เช่น
หน่วยที่ อุ อู ส่วนหลังยกขึ้นสูง
เหยียดออกเหมือน อิ
เอะ เอ ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง ความส�าคัญ ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อิ แต่ข�กรรไกรล่�งลดตำ่�ลงกว่� ของการพูด แม้นพูดชั่วตัวตายท�าลายมิตร
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูด
จา
ตัวชี้วัด ขณะออกเสียง อิ
ท ๔.๑ ม.๑/๑, ๒ ธ รรมชาติของภาษาโดยทั่วไป แอะ แอ ส่วนหน้�ลดตำ่�ลงกว่� เหยียดออก ข�กรรไกรล่�ง
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)
90
98
การจับใจความนิทานเรื่อง จระเข้สามพัน
สุพรรณบุรี เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง
นิทานเรื่องจระเข้สามพันเป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัด
พ่อค้าอ้อนวอนให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้
มีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ มี
น เบี ้ ย ตาจึ ง ซื ้ อ ลู ก จระเข้ ต ั ว นั ้ น และเลี ้ ย งดู มันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง
โดยขายให้ในราคาสามพั
กิน จระเข้ได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไป
จึงให้มันออกจากกรง วันหนึ่งขณะที่ตายื่นอาหารให้จระเข้ กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน ผู้คนต่าง
ในน�้าแล้วคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้
ว ทั้งยังสั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยง
เล่ากันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาในราคาสามพันได้กินตาเสียแล้ กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนร่วมกันคิดและบอกหลักในก�รท่องจำ�อักษรส�มหมู่
ั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน
ลูกเสือ ลูกจระเข้ และเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของตายายน แล้วแลกเปลี่ยนคว�มรู้กัน
นิทานเรื่องนี้มีเจตนาสอนว่ า ต้ อ งมี ว ิ จ ารณญาณในก ารช่วยเหลือคน ควรพิจารณาว่า กิจกรรมที่ ๒ ให้นักเรียนสำ�รวจชื่อเล่นของเพื่อนในชั้นเรียน แล้วจำ�แนกประเภทชื่อที่เป็น
นอาจเป็นอันตรายได้
สิ่งใดควรท�า สิ่งใดไม่ควรท�า ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ร้ายเพราะมั คำ�เป็นและคำ�ต�ย พร้อมทั้งบอกหลักในก�รจำ�แนกชื่อให้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๓ ให้นักเรียนร่วมกันยกตัวอย่�งคำ�พ้องที่มีปัญห�ในก�รใช้ พร้อมทั้งร่วมกัน
เสนอแนวท�งแก้ไข
ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด ภาพนํ้าจิตอาจเห็นใหเดนใส
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
(ศึกษิต : พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ)
16
118
Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ
µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹ÒÂ
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
สารบัญ
ตอนที่ ๑ การพัฒนาทักษะการอาน
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอานออกเสียง ๑ - ๑๑
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การอานในชีวิตประจําวัน ๑๒ - ๒๕
ตอนที่ ๒ การพัฒนาทักษะการเขียน
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา ๒๗ - ๓๗
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๓๘ - ๖๓
หนวยการเรียนรูที่ ๓ การเขียนแสดงความคิดเห็นจากสื่อ ๖๔ - ๗๑
ตอนที่ ๔ หลักการใชภาษา
หนวยการเรียนรูที่ ๑ เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา ๙๕ - ๑๑๘
หนวยการเรียนรูที่ ๒ ชนิดและหนาที่ของคําในประโยค ๑๑๙ - ๑๓๓
หนวยการเรียนรูที่ ๓ ความแตกตางของภาษา ๑๓๔ - ๑๔๑
หนวยการเรียนรูที่ ๔ สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต ๑๔๒ - ๑๔๗
หนวยการเรียนรูที่ ๕ การแตงบทรอยกรอง ๑๔๘ - ๑๕๕
บรรณานุกรม ๑๕๖
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
1. ครูใหขอมูลเกี่ยวกับวาระที่องคการยูเนสโก
คัดเลือกใหกรุงเทพมหานคร เปนเมือง
หนังสือโลก ป 2556 โดยจะมีการรณรงค
ใหคนไทยอานหนังสือมากขึ้นโดยเนนไปที่เด็ก
ตอนที่ ñ การพัฒนาทักษะการอาน
และเยาวชน จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียน
• นักเรียนคิดวา การรณรงคในลักษณะดังกลาว
จะสามารถทําใหคนไทยอานหนังสือ
ไดมากขึ้น จริงหรือไม อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรใหคําแนะนําที่ชวย
สรางเจตคติที่ดีตอการอานใหแกนักเรียน
เพราะการอานเปนรากฐานสําคัญของ
การเรียนรู นอกจากความรูแลวการอาน
ยังทําใหไดรับความบันเทิง ชวยจรรโลง
และยกระดับจิตใจใหหลุดพนจากความ
เศราหมองทั้งปวง)
• นักเรียนชอบอานหนังสือประเภทใด และ
การอานหนังสือที่จํากัดอยูเฉพาะที่ตนเอง
ชอบจะกอใหเกิดผลเสียอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความ
คิดเห็นไดอยางอิสระ เพราะคําตอบที่ไดนั้น
มาจากการสํารวจตนเองของนักเรียน ครูควร
พิจารณาคําตอบพรอมทั้งใหคําชี้แนะที่เปน
ประโยชน)
2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียงรอยกรอง
ที่ปรากฏหนาตอน จากนั้นรวมกันถอดความ
เปนรอยแกว แสดงความคิดเห็นของตนเอง แมลงเอยแมลงผึ้ง เที่ยวเคลาคลึงดอกไมไซเกสร
เกี่ยวกับแนวคิดที่ไดรับและแนวทางการนําไป ไดนํ้าหวานเก็บไวในรังนอน ไมเดือดรอนเพราะขยันหมั่นทํางาน
ประยุกตใชในชีวิตประจําวันของตนเอง เปรียบบัณฑิตรักการอานหนังสือ ปญญาคือนํ้าผึ้งซึ่งหอมหวาน
ยิ่งอานมากยิ่งมีปรีชาชาญ ความคิดอานฟูเฟองเปรื่องปราดเอย
(ดอกสรอยรอยแปด : ฐะปะน�ย นาครทรรพ)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 1 การพัฒนาทักษะการอาน เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักปฏิบัติการอานประเภทตางๆ
ไปใชเพื่อพัฒนาทักษะการอานของตนเองใหมีประสิทธิภาพ เพื่อใหการอานใน
แตละครั้งของตนเอง เปนการอานที่ไดรับประโยชนอยางแทจริง
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรเริ่มตนจากการสรางเจตคติที่ดีเกี่ยวกับ
การอานใหแกนักเรียน ชักจูงและชักนําใหมองเห็นความสําคัญของการอาน
โดยอาจยกตัวอยางสถานการณความพยายามของหนวยงานรัฐ เมื่อนักเรียนเห็น
ความสําคัญของการอานแลว ควรใหเรียนรูทฤษฎี แลวจึงลงมือปฏิบัติโดยอานงาน
ที่หลากหลาย ในเบื้องตนครูอาจเปนผูกําหนดกรอบ ภายหลังอาจตรวจสอบทักษะ
การเลือกรับสารของนักเรียนได โดยใหนักเรียนเลือกอานดวยตนเอง
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
อานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองไดถกู ตอง
ตามฉันทลักษณ มีความเหมาะสมกับเนื้อความ
สะทอนอารมณความรูสึกของบทอาน โดยใช
ทวงทํานอง ลีลาการอาน และนํ้าเสียงถายทอด
ไปยังผูฟงไดอยางถูกตอง เหมาะสม
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
การอานออกเสียง ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๑
ก ารอ่ า นออกเสี ย งทั้ ง บทร้ อ ยแก้ ว
• จากภาพที่นักเรียนเห็นสามารถคาดเดา
สถานการณที่เกิดขึ้นภายในภาพเปน
และบทร้อยกรองเป็นการสื่อสารที่ส�าคัญ
■ อานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรองไดถูกตองเหมาะสม
เพราะเป็นการถ่ายทอดความคิด ความรู้ ลักษณะใดไดบาง
กับเรื่องที่อาน
ตลอดจนความรูส้ กึ ของผูส้ ง่ สารไปยังผูร้ บั สาร (แนวตอบ นักเรียนสามารถคาดเดา
ซึ่งการจะท�าให้ผู้รับสารเข้าใจจนเกิดความรู้ สถานการณทเี่ กิดขึน้ ภายในภาพไดอยาง
สาระการเรียนรูแกนกลาง ความบันเทิงได้ ผู้อ่านต้องรู้หลักในการอ่านทั้ง หลากหลาย โดยสถานการณทนี่ กั เรียนตอบ
■ การอานออกเสียงบทรอยแกวที่เปนบทบรรยาย ร้อยแก้วและร้อยกรอง เพื่อน�ามาใช้ให้เหมาะสม จะตองครอบคลุมเกี่ยวกับการใชทักษะ
■ การอานออกเสียงบทรอยกรอง เชน กลอนสุภาพ จึงจะท�าให้การอ่านออกเสียงนั้นน่าฟง ผู้ฟงเกิด
กาพยยานี ๑๑ โคลงสี่สุภาพ
อารมณ์ ค ล้ อ ยตามและการฝ ก อ่ า นออกเสี ย งที่ การอานออกเสียง เชน กําลังอานหนังสือ
ถูกต้องจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการท่องบทอาขยานด้วย หรืออานนิทานใหเพื่อนๆ ฟง)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การอานออกเสียง เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถอานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองได โดยคํานึงถึงอักขรวิธี
การเวนวรรคตอน การออกเสียงไดถูกตองตามลักษณะคําประพันธ ใชนํ้าเสียง
ใหสอดคลองกับอารมณของบทอาน รวมทั้งการวางทาทางไดอยางเหมาะสม
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรคํานึงถึงความสามารถและความพรอม
ของนักเรียน ซึ่งมีความแตกตางกัน ควรใหนักเรียนมีโอกาสอานออกเสียงบทอาน
ที่หลากหลาย รวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐานสําหรับวัดคุณภาพการอานเพื่อใช
ประเมินการอานของตนเองและหมายรวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการอาน ทักษะการตั้งเกณฑ
และทักษะการประเมินใหแกนักเรียน
คูมือครู 1
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
1. ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอนดวยวิธีการ
ตั้งคําถามเพื่อสรางแรงจูงใจใหแกนักเรียน ๑ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว
• นักเรียนคิดวา บทอานรอยแกวประเภทใด การอ่ า นออกเสี ย งร้ อ ยแก้ ว หมายถึ ง การอ่ า นถ้ อ ยค� า ที่ มี ผู ้ เรี ย บเรี ย งหรื อ ประพั น ธ์ ไว้
ทีจ่ ะตองใชความรู ความเขาใจทีห่ ลากหลาย โดยเปล่งเสียง และวางจังหวะเสียงให้เป็นไปตามความนิยมและเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน มีการใช้ลีลา
เกีย่ วกับทักษะการอานออกเสียง ของเสียงไปตามเจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ 1 นั้นๆ ไปสู่ผู้ฟัง ซึ่งจะท�าให้ผู้ฟัง
(แนวตอบ การอานออกเสียงบทอานรอยแกว เกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเรื่องราวหรือรสของบทประพันธ์ที่อ่าน
จะใชทกั ษะทีเ่ หมือนกัน เชน การเวนวรรคตอน 2
การออกเสียงคําควบกลํ้า แตการอานนิทาน ๑.๑ หลักเกณฑ์ในการอ่าน
จะตองใชกลวิธีพิเศษเพื่อสรางทํานองเสียง หลักเกณฑ์ทั่วไปในการอ่านออกเสียงร้อยแก้ว มีดังนี้
สูง ตํ่า สรางบรรยากาศในการรับฟง) ๑. ก่อนอ่านควรศึกษาเรือ่ งทีอ่ า่ นให้เข้าใจโดยศึกษาสาระส�าคัญของเรือ่ งและข้อความทุกข้อความ
2. ครูเปดแถบบันทึกเสียงการออกเสียงรอยแกว เพื่อจะแบ่งวรรคตอนในการอ่านได้อย่างเหมาะสม
ใหนักเรียนฟง โดยที่แถบบันทึกเสียงทั้งสอง ๒. อ่านออกเสียงดังพอเหมาะกับสถานที่และจ�านวนผู้ฟัง ให้ผู้ฟังได้ยินทั่วกัน ไม่ดังหรือค่อย
มีวิธีการอานที่แตกตางกัน ในประเด็นการแบง จนเกินไป
วรรคตอน นํ้าเสียง การออกเสียงคําควบกลํ้า ๓. อ่านให้คล่อง ฟังรื่นหู และออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ชัดถ้อยชัดค�า โดยเฉพาะ
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ตัว ร ล หรือค�าควบกล�้า ต้องออกเสียงให้ชัดเจน
• แถบบันทึกเสียงที่ไดฟงมีลักษณะแตกตางกัน ๔. อ่านออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด
อยางไร และนักเรียนรูสึกประทับใจ ๕. เน้นเสียงและถ้อยค�าตามน�้าหนักความส�าคัญของใจความ ใช้เสียงและจังหวะให้เป็นไปตาม
แถบบันทึกเสียงใด เพราะอะไร เนื้อเรื่อง เช่น ดุ อ้อนวอน จริงจัง โกรธ เป็นต้น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งควรมีเหตุผลสนับสนุน
ความคิดเห็นของตนเองอยางเหมาะสม)
สํารวจคนหา Explore
แบงกลุมนักเรียนออกเปน 3 กลุม โดยใชระดับ
ความสามารถในการอานออกเสียงของนักเรียน
เปนเกณฑ
กลุม ที่ 1 มีความสามารถอยูใ นระดับตองพัฒนา
กลุมที่ 2 มีความสามารถอยูในระดับปานกลาง
กลุมที่ 3 มีความสามารถอยูในระดับดี
ใหสมาชิกในแตละกลุมรวมกันสํารวจคนหา ผู้ท�าหน้าที่ด�าเนินรายการจะต้องมีทักษะด้านการอ่านออกเสียงเป็นอย่างดี สามารถออกเสียงได้ไพเราะ และสื่อ
ความรูเ กีย่ วกับหลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว ความชัดเจน
จากสื่อที่สนใจและสามารถเขาถึงไดหรือจากบุคคล
ตนแบบ เชน ผูดําเนินรายการวิทยุ โทรทัศน 2
ผูประกาศขาว เปนตน
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การฝกซอมอานออกเสียงรอยแกวดวยตนเองอยางสมํ่าเสมอ จะชวย
1 รสของบทประพันธ ไดแก เสาวรจนี คือบทชมโฉมตัวละคร ชมความงาม เพิ่มพูนทักษะการอานออกเสียงใหแกนักเรียนไดอยางไร จงแสดงความ
ของธรรมชาติ นารีปราโมทย คือบทเกี้ยวพาราสี พิโรธวาทัง คือบทแสดงความโกรธ คิดเห็น
ตัดพอ และสัลลาปงคพิสัย คือบทครํ่าครวญ โศกเศรา ซึ่งนักเรียนสามารถซาบซึ้ง
กับรสของบทประพันธ โดยการอานวรรณคดีเรื่องตางๆ เชน มัทนะพาธา อิเหนา แนวตอบ การฝกซอมอานออกเสียงรอยแกวดวยตนเองจะทําใหเกิด
ขุนชางขุนแผน เปนตน ทักษะความชํานาญ โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อฝกอานจากบทอานที่มี
2 หลักเกณฑในการอาน ปจจัยพื้นฐานของการอานออกเสียงประกอบดวย ความหลากหลาย มีระดับความยากงายแตกตางกัน เมื่อพบคําที่ไมเคย
สายตา นํ้าเสียง และการสรางอารมณใหเหมาะสมกับบทอาน เมื่อผูอานออกเสียง อานมากอน ก็สามารถที่จะคนควาวิธีการอานไดจากพจนานุกรม ทําให
มีปจจัยพื้นฐานดังกลาวขางตน สิ่งสําคัญตอมาหากตองการจะเปนผูที่ประสบ มีคลังคํามากขึ้น เมื่อจะตองอานออกเสียงใหผูอื่นฟง แลวพบคําที่เคย
ความสําเร็จในการอานออกเสียง ผูอานจะตองเรียนรูหลักเกณฑในการอาน คนควาวิธีการอานไว ก็จะทําใหอานไดถูกตอง ดังนั้นการฝกซอมอาน
อยางครบถวน ใสใจทุกรายละเอียดและสําคัญที่สุด คือตองมีความเพียรพยายาม ออกเสียงดวยตนเองอยางสมํ่าเสมอจึงเปรียบเสมือนการทําตนเองให
ในการฝกซอม นําทฤษฎีหรือหลักเกณฑที่ไดเรียนรูมาใชฝกปฏิบัติกับบทอานจริง พรอมอยูเสมอ เหมือนนักรบที่จะตองฝกการใชอาวุธอยูตลอดเวลา
โดยเริ่มจากการเลือกบทอานที่ประทับใจกอน ฝกฝนจนชํานาญแลวจึงฝกกับบทอาน
ที่หลากหลายยิ่งขึ้น
2 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 ออกมาอธิบายความรู
๖. อ่านออกเสียงให้เหมาะกับประเภทของเรื่อง รู้จักใส่อารมณ์ให้เหมาะสมตามเนื้อเรื่อง ในประเด็น “หลักเกณฑการอานออกเสียง
๗. ขณะที่อ่าน ควรสบสายตาผู้ฟัง ในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ รอยแกว” ที่ไดจากการศึกษาคนควารวมกัน
๘. การอ่านในทีป่ ระชุม ต้องจับหรือถือบทอ่านให้เหมาะสมและยืนทรงตัวในท่าทีส่ ง่า จากนั้นครูเปนผูตั้งคําถามใหนักเรียนทุกคน
ในกลุมไดมีโอกาสแสดงความรูของตน
๑.๒ วิธกี ารอ่าน 2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันอานออกเสียง
ในการฝึกอ่านออกเสียงข้อความที่เป็นร้อยแก้ว จะใช้เครื่องหมายแบ่งวรรคตอนในการอ่าน บทบรรยายไมเนนการแสดงอารมณ
เพื่อเป็นการเว้นช่วงจังหวะการอ่าน ดังนี้ จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 3 อยาง
เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ พรอมเพรียงกัน โดยใชหลักเกณฑการอาน
เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / ออกเสียงที่ไดเรียนรูและฟงจากการบรรยาย
เครือ่ งหมาย _ (ขีดเส้นใต้) หมายถึง การเน้นหรือการเพิ่มน�้าหนักของเสียง ของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนแนวทาง ครูคอย
ชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไขใหแกนักเรียน
การอ่านออกเสียงข้อความที่เป็1นร้อยแก้วมีวิธีการอ่าน ๒ วิธี ดังนี้
หลังจากการอานสิ้นสุดลง
๑) วิธีการอ่านแบบบรรยาย ออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดถ้อยชัดค�า เว้นวรรคตอนให้เหมาะสม
เน้นเสียงและถ้อยค�าตามน�้าหนักความส�าคัญของใจความ เพื่อจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงจุดมุ่งหมายของ
เรื่องได้ดี
การฝึกอ่านออกเสียงแบบบรรยายไม่เน้นการแสดงอารมณ์
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
นอกจากจะตองเรียนรูอักขรวิธีในการอานแลว นักเรียนคิดวาตองเรียนรู
เกี่ยวกับสิ่งใดอีกบาง ที่จะทําใหการอานออกเสียงแตละครั้งมีความสมบูรณ ครูควรจัดเตรียมบทอานที่มีลักษณะเปนบทบรรยายสําหรับใหนักเรียนไดรวมกัน
จงอธิบายพรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน ฝกฝนเพิม่ เติม โดยอาจคนหาจากเรือ่ งสัน้ นวนิยาย บทความตางๆ หรืออาจคัดลอก
จากสารานุกรมไทยสําหรับเยาวชน ฉบับเสริมการเรียนรูเ ลมใดเลมหนึง่ เพราะนอกจาก
แนวตอบ การอานออกเสียงใหมีความสมบูรณ นอกจากผูอานจะตองมี นักเรียนจะไดฝก อานออกเสียงแลวยังไดรับความรูเพิ่มเติมอีกดวย
ความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับอักขรวิธี ฝกฝนจนเกิดความชํานาญ
แลว ผูอานจะตองเรียนรูเกี่ยวกับการวางทาทาง บุคลิกภาพในขณะที่อาน
ทั้งในรูปแบบการนั่งอานและยืนอาน การสบสายตาผูฟง การจับ การเปด นักเรียนควรรู
การพลิกหนากระดาษ อากัปกิริยาเหลานี้จะอยูในสายตาของผูฟง เมื่อตอง
อานออกเสียงในทีส่ าธารณชน ดังนัน้ เพือ่ ใหการอานออกเสียงในแตละครัง้ 1 บรรยาย คือ ลักษณะของงานเขียนประเภทหนึ่งที่เนนการดําเนินเรื่องวาใคร
มีความสมบูรณและสรางความนาเชื่อถือในตัวผูอานใหเกิดขึ้นแกผูฟง ทําอะไร ทําอยางไร ที่ไหน และเมื่อไร เชน “หลอนนึกถึงบานริมสวนในวัยเด็ก
ผูอานออกเสียงจึงควรที่จะเรียนรูเกี่ยวกับบุคลิกภาพในขณะอานดวย ที่มักจะชวนเพื่อนๆ มุดรั้วลวดหนามเขาไปเลนในสวนเล็กๆ แหงนั้น เก็บชมพู
มะปราง หรือละมุดสีดาที่ติดกิ่งเรี่ยๆ กินกันอยางเพลิดเพลิน”
คูมือครู 3
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 2 และ 3 ออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว การฝึกอ่านออกเสียงแบบบรรยายเน้นการแสดงอารมณ์
ประเภทบรรยาย เนนการแสดงอารมณ และ
บทพรรณนาที่ไดจากการศึกษาคนควารวมกัน
เกวียนโขยกขลุกขลักไปอย่างเชื่องช้า/เสียงเพลาเสียดสีไปกับดุม/ดังเสียงแหลมเล็ก/
ตามลําดับ
สลับกับเสียงกระดิง่ วัว/ดังตามจังหวะการก้าวเดินของวัวชราสองตัวนัน้ /ฟังเป็นเพลงมาร์ชประจ�า
2. นักเรียนในชั้นเรียนรวมกันอานออกเสียง
ทุ่ง/ที่มีตัวโน้ตธรรมชาติเป็นผู้ก�าหนดท�านอง//บางครั้ง/มันฟังดูเศร้าซึม/เหมือนอย่างเสียงของ
บทบรรยายเนนการแสดงอารมณจาก
เกวียนเล่มนี้//
หนังสือเรียนภาษาไทย หนา 4 และบทพรรณนา ชายชรานัง่ ขยับไม้แส้อยูบ่ นเกวียน/แกแกว่งไม้อยูก่ ลางอากาศ/ขณะไล่ววั ด้วยเสียงแหบพร่า/
ใหเห็นภาพ หนา 5 ตามลําดับ โดยใชหลักเกณฑ แกคงไม่กล้าเอาไม้แส้แตะหลังวัว/ให้มนั ระคายเคืองและเจ็บปวดใจ/สังขารอันร่วงโรยของไอ้แก้ว
การอานออกเสียงที่ไดเรียนรูและฟงจากการ ไอ้ไหม/วัวคูย่ ากก็ไม่ตา่ งจากเจ้าของมากนัก//หนังหย่อนยานรัดรูปลงไปโชว์กระดูก/เรีย่ วแรงของ
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 และ 3 เปน มันค่อยหมดลงไป/จนเกือบจะลากขาตนเองไม่ไหว//ถ้าแกมัง่ มีหรือพอมีใช้/ก็จะปลดเกษียณให้ววั
แนวทาง ครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข คูย่ าก/มันได้พกั ผ่อนยามชราบ้าง//แต่มนั จนใจ/เพราะแม้แต่ตวั แกเองก็ยงั ไม่ได้พกั /แม้ยา่ งเข้า ๖๕
ใหแกนักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง แล้ว/ชีวติ ทีเ่ ข้มข้นเมือ่ ตอนหนุม่ ๆ/ได้กลายเป็นความหลังอันยืดยาว/มีนยิ ายชีวติ ทีเ่ ล่าให้ลกู หลาน
ฟังได้หลายวันหลายคืนกว่าจะจบ//
ตะวันคล้อยต�า่ ลงไป/พาดยอดไม้ชายทุง่ โน่นแล้ว/วัวเดินช้าลงๆ//เหมือนมันจะล้มลง/สิน้ ใจ
ตายเสียก่อนถึงทีห่ มาย/แกหันมามองดูฟนื ในเกวียน//แล้วหันไปมองวัว/รูส้ กึ สงสารไอ้แก้วไอ้ไหม
จนหัวใจสะท้อน//แกรูด้ วี า่ /มันเหนือ่ ยสายตัวแทบขาด//แม้แต่แกนัง่ มาบนเกวียน/ยังเหนือ่ ยเพลีย
จนจะหมดแรง//แกหยิบฟืนโยนทิ้งข้างทางเสียสองสามดุ้น//
ไอ้แก้ว/ไอ้ไหม/อยู่กับแกมาตั้งแต่เป็นวัวรุ่นหนุ่ม/ยังไม่รู้งาน//แกจ�าได้ว่า/วันแรกเอาไอ้วัว
หนุม่ สองตัวเทียมเกวียน/มันตืน่ พาแกวิง่ ไปตลอดทุง่ //กว่าจะฝึกให้บา่ มันเคยแบกเกวียนได้ตอ้ งใช้
เวลานาน//พอมันเป็นวัวหนุ่มฉกรรจ์งานคล่อง/เทียมเกวียนลัดอ้อมยังไม่ทันเสร็จ//มันก็วิ่งกราก
ราวกับม้ายนต์/ไม้แส้ไม่เคยใช้เลย/ทั้งเวลาไถนาและลากเกวียน//
แกยังจ�าได้ว่า/เคยมีคนเอาวัวมาแลกถึงสองคู่/แกก็ไม่ยอม//แกรักมันเหมือนลูก/เสร็จงาน
จะอาบน�้า/ล้างขนให้มันเป็นเงาวับ//กลางคืนยังได้นอนมุ้งอย่างมีความสุข/ไม่ให้ยุงริ้นรบกวน/
มันเคยโดนขโมยไปเรียกค่าไถ่ถึงสองหน/ค่าตัวจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว//
ชีวติ ของชาวนาจนๆ อย่างลุงอ�า่ /ต้องดิน้ รนอยูก่ ลางทุง่ นาอันเปล่าเปลีย่ ว//ยิง่ ห่างไกลความ
เจริญมากเท่าไร/มือกฎหมายก็เข้าไปไม่ถงึ /กลายเป็นกฎหมู/่ กฎนักเลง//ต้องพึง่ ตัวเอง/พึง่ พีน่ อ้ ง//
ชีวติ ทีซ่ อื่ /ราบเรียบเป็นเส้นตรงของแก/ไม่มอี า� นาจพอจะเป็นทีเ่ กรงใจของใคร//นักเลงไม่เคยกลัว
ความดี/มันกลัวปืน//
1
(เกวียนชรา : นิมิตร ภูมิถาวร)
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การใชระดับเสียงใหมีความแตกตางกันในขณะที่อานมีประโยชน
1 เกวียนชรา หนึ่งในเรื่องสั้นของนิมิต ภูมิถาวร ซึ่งถูกรวมไวในหนังสือ ตอการอานเนื้อหาสาระในขอใดมากที่สุด
รวมเรื่องสั้น “ไมเรียวอันสุดทาย” โดยประกอบดวยเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ไดแก 1. นิทาน 2. ปาฐกถา
ประชาธิปไตย 5 เกวียน, ปรัชญาบนนาขาว, ชองวางระหวางกอโสน, ครู-สาวโสด, 3. แถลงการณ 4. พระบรมราโชวาท
กระสุนแหงเกียรติยศ, ไมเรียวอันสุดทาย, เสียงปรบมือใหความจน, บทเศราของ
ด.ญ. มะลิ, ปรัชญาบนขาออน, ผูแพ, หลงทาง และเด็กเอยเกลียดครูไหม วิเคราะหคําตอบ การอานออกเสียงพระบรมราโชวาท ปาฐกถาและ
แถลงการณ ผูอานออกเสียงจะตองมุงเนนไปที่การแบงวรรคตอนให
ถูกตอง เพื่อปองกันการสื่อความคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ยังตองออกเสียง
คําใหชัดเจน คําควบกลํ้า อักษรนํา เปนตน แตการอานนิทานซึ่งมีเนื้อหา
ในการเสริมสรางจินตนาการใหแกผูฟง การใชระดับเสียงใหแตกตาง
ในขณะที่อาน มีความหนัก เบา สูง ตํา่ จะชวยทําใหผฟู ง เกิดอารมณ
ความรูส กึ คลอยตามและสามารถทําความเขาใจเนื้อหาสาระของเรื่อง
ไดงายขึ้น ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
4 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1 1. นักเรียนรวมกันสรุปความรู ความเขาใจที่
๒) วิธีการอ่านแบบพรรณนาให้เห็นภาพ ควรออกเสียงให้เป็นเสียงพูดอย่างธรรมชาติที่สุด ถูกตองเกี่ยวกับหลักการอานออกเสียงรอยแกว
ใช้น�้าเสียงและอารมณ์ในการอ่านให้เหมาะสมกับเนื้อความ บทสนทนา และบทบรรยาย ใช้น�้าเสียง นําขอมูลที่ไดมาจัดการความรูรวมกัน
แตกต่างกัน เน้นเสียง ใช้เสียงและจังหวะให้เป็นไปตามเนื้อเรื่อง ในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
ในหัวขอ “นิทานกับการอานออกเสียง”
การฝึกอ่านออกเสียงแบบพรรณนาให้เห็นภาพ 2. นักเรียนรวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐาน
สําหรับใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงบทอาน
ฉันเป็นสายน�้าที่ไหลเอื่อยๆ อยู่ในล�าคลอง/ฉันไหลผ่านบ้านเรือน/ชุมชนต่างๆ//บางครั้ง ประเภทรอยแกวโดยประมวลจากความรู
มีผู้คนทิ้งขยะลงมาใส่ฉัน/ท�าให้ตัวฉันมีกลิ่นเหม็น/เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป//แม้แต่สัตว์น�้า ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
ที่อาศัยอยู่ร่วมกับฉันอย่างมีความสุข/ก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย//บางตัวก็ป่วยไข้ เพื่อนๆ กลุมที่ 1 - 3 รวมถึงขอควรปรับปรุง
หายใจพะงาบๆ/เขาพยายามพูดกับฉันว่า// ทีค่ รูเปนผูช แี้ นะ หลังจากการอานออกเสียงของ
“โอย!/น�า้ จ๋า/ช่วยไหลแรงๆ//พาพวกฉันให้พน้ ไปจากบริเวณนีท้ เี ถอะ/พวกฉันอยากไปอยูใ่ น นักเรียน ซึ่งเกณฑมาตรฐานที่ถูกกําหนดขึ้นนี้
ที่ที่มีน�้าสะอาดกว่านี้ี”// จะใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงรอยแกว
“เอาเถอะ/ฉันจะพยายามพาพวกเธอไปอาศัยอยู่ที่ทะเลอันกว้างใหญ่/พวกเธอจะได้มีน�้า ของนักเรียนในชั้นเรียน
สะอาดๆ อยู่/อดทนหน่อยนะ//ฉันเองก็ไม่อยากอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน”// 3. นักเรียนคัดสรรงานเขียนรอยแกวที่ตนเอง
ว่าแล้วฉันก็ไหลลงไปสูท่ ะเลอันกว้างใหญ่/โดยมีฝงู ปลาประคองตัวลอยตามไป/ก่อนจากกัน ประทับใจ โดยเลือกระหวางบทบรรยายและ
ปลาตัวหนึ่งหันมาพูดกับฉันว่า// บทพรรณนา ความยาวไมเกิน 15 บรรทัด
“ขอบคุณมากสายน�้าผู้อารี/พวกฉันจะไม่ลืมพระคุณของท่านเลย”// เพื่อนํามาอานออกเสียงใหครูและเพื่อนๆ
“ไม่เป็นไรหรอก/เราต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่แล้ว”/ฉันตอบ//แล้วฝูงปลาก็ว่ายน�้าจากไป// ฟงหนาชั้นเรียน โดยคัดลอกดวยลายมือ
พรอมแสดงการแบงวรรคตอนการอาน
(“เรียวรุ้งเหนือทุ่งกว้าง” ใน กว่าจะมาเป็นฝน : ปัฐพร ตุกชูแสง) 4. ในขณะทีเ่ พือ่ นอานออกเสียง ใหนกั เรียนคนอืน่ ๆ
ภายในชั้นเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นและ
ประเมินการอานของเพื่อน โดยใชเกณฑ
จากวิธีการอ่านแบบบรรยาย และแบบพรรณนาให้เห็นภาพข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีวิธีการอ่าน
มาตรฐานที่รวมกันกําหนดขึ้นเปนแกนกลาง
ที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร ดังนั้น ผู้อ่านควรท�าความเข้าใจเนื้อหา
และเจตนาของผู้ส่งสารก่อนอ่านสารนั้น แล้วจึงถ่ายทอดด้วยถ้อยค�าที่ถูกต้อง ชัดเจน เว้นจังหวะ
ให้เหมาะสม หากต้องใช้น�้าเสียง อารมณ์ประกอบการอ่าน ควรเลือกใช้ให้สอดคล้องตามเนื้อเรื่อง
เพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพและผู้อ่านสามารถเกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตาม
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
การอานในขอใดถาเวนวรรคตอนผิดจะทําใหความหมายผิดไปจากเจตนาเดิม
1 พรรณนา เรื่องราวที่กลาวอยางละเอียดลึกซึ้ง โดยใสอารมณ ความรูสึกลงไป
1. นํ้าทวมปนี้มากกวา ป 2538 หลายเทา
ในบทประพันธ เพือ่ ทําใหผอู า นมองเห็นภาพไดชดั เจน ไมเนนการดําเนินเรือ่ ง ใชสาํ หรับ
2. นาซาคือหนวยงานที่เกี่ยวของกับอวกาศ
การพรรณนาความงามของสถานที่ ความรูสึก เชน “ดอกจันทนกะพอรวงพรูแตมไิ ด
3. เมื่อนักเรียนเดินผานครูตองทําความเคารพ
หลนลงสูพื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆ แดงเรื่อแกมเหลืองลอยออน กระจัดพลัดพราย
4. สิ่งเล็กๆ ที่เรียกวารักเปนชื่อของภาพยนตร
อยูในอากาศที่โปรงสะอาดหนวยหนึ่ง” หรือ “ภาพนั้นขาวอรามนวลใยอยูทามกลาง
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อานวา นํ้าทวมปนี้ / มากกวา / ป 2538 / หลายเทา ความมืดมิด มีแสงสีนาํ้ เงินแผกระจายหอมลอมราวกับรัศมีจากสรวงสวรรคเปนหินออน
ขอ 2. อานวา นาซา / คือ / หนวยงาน / ที่เกี่ยวของกับอวกาศ ขอ 4. อานวา ขนาดพอดีไมใหญเทอะทะและไมเล็กจนบอบบาง เปนรูปสลักองคพระเยซูคริสต
สิ่งเล็กๆ / ที่เรียกวารัก / เปนชื่อของภาพยนตร สวนขอ 3. หากอานวา เมื่อ นอนทอดระทวยสิ้นใจอยูบนตักพระนางมารี ทาทางที่พระนางมารีกมมองบุตรชาย
นักเรียนเดินผาน / ครูตองทําความเคารพ จะมีความหมายไปอีกประเด็นหนึ่ง ที่หาชีวิตไมแลวในออมกอดแสดงใบหนาสงบนิ่งอยางคนที่ปลงตกแลวทุกอยาง
ที่ถูกตอง ควรอานวา เมื่อนักเรียน / เดินผานครู / ตองทําความเคารพ ดังนั้น เปนภาพที่เศราซึ่งยากจะหาคําใดมาบรรยายได...”
จึงตอบขอ 3.
คูมือครู 5
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูเปดวีซีดีการพากยโขนของกรมศิลปากร
ใหนักเรียนฟง จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
• บทรอยกรองที่นักเรียนไดฟง หากอาน
การอ่านออกเสียงร้อยกรอง เป็นการอ่านที่มุ่งให้เกิดความเพลิดเพลิน ซาบซึ้งในรสของ
โดยไมใสทวงทํานอง จะทําใหไดรับความรูสึก
บทประพันธ์ ซึ่งจะต้องอ่านอย่างมีจังหวะ ลีลา และท่วงท�านองตามลักษณะของค�าประพันธ์แต่ละชนิด
ที่แตกตางกันอยางไร เพราะเหตุใด
การอ่านบทร้อยกรอง อ่านได้ ๒ แบบ ดังนี้
(แนวตอบ การอานออกเสียงรอยกรองโดย
อ่านออกเสียงธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดตามปกติเหมือนอ่านร้อยแก้ว แต่มีจังหวะ
ปราศจากการใสทวงทํานองอาจทําใหผูฟง
วรรคตอน มีการเน้นสัมผัสตามลักษณะบังคับของค�าประพันธ์แต่ละชนิด
สูญเสียอรรถรสขณะที่ฟง เพราะการอาน
อ่านท�านองเสนาะ เป็นการอ่านมีส�าเนียงสูง ต�่า หนัก เบา ยาว สั้น เป็นท�านองเหมือนเสียง
โดยใหมีทํานองเสียงสูง ตํ่า หนัก เบา ยาว
ดนตรี มีการเอือ้ นเสียง เน้นสัมผัส ตามจังหวะ ลีลา และท่วงท�านองทีแ่ ตกต่างไปตามลักษณะบังคับของ
สั้น ตามจังหวะลีลาของรอยกรองจะชวย
ค�าประพันธ์ชนิดต่างๆ ให้ชัดเจน ไพเราะ เหมาะสม ท�าให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตาม
ถายทอดอารมณไปยังผูฟงไดชัดเจนและ
สมจริง) ๒.๑ หลักเกณฑ์ในการอ่าน
• นักเรียนคิดวาการอานออกเสียงรอยกรอง หลักทั่วไปของการอ่านออกเสียงร้อยกรองที่ควรค�านึงถึง มีดังต่อไปนี้
แสดงใหเห็นเอกลักษณของคนไทยอยางไร ๑. ศึกษาลักษณะบังคับของค�าประพันธ์แต่ละชนิ 1 ดที่จะอ่านให้เข้าใจแจ่มแจ้ง เช่น การแบ่ง
(แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู จังหวะ จ�านวนค�า สัมผัส เสียงวรรณยุกต์ เสียงหนักเบา เป็
เบา นต้น
นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยาง ๒. อ่านให้ถูกต้องตามลักษณะบังคับของค�าประพันธ์ชนิดนั้นๆ
อิสระ โดยขึ้นอยูกับทัศนคติสวนตนซึ่งครู ๓. อ่านออกเสียงค�าให้ชัดเจน ถูกต้อง โดยเฉพาะค�าที่ออกเสียง ร ล และค�าควบกล�้า
ควรชี้แนะเพิ่มเติม) ๔. อ่านเสียงดังพอสมควรที่ผู้ฟังจะได้ยินทั่วถึง ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป
๕. อ่านมีจังหวะ วรรคตอน รู้จักทอดจังหวะ เอื้อนเสียง หรือหลบเสียง
สํารวจคนหา Explore ๖. ค�าที่รับสัมผัสกัน ต้องอ่านเน้นเสียงให้ชัด ถ้าเป็นสัมผัสนอกต้องทอดเสียงให้มีจังหวะยาว
กว่าธรรมดา
นักเรียนกลุมเดิมรวมกันสํารวจคนหาความรู
๗. อ่านเอื้อสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ เช่น
เกี่ยวกับหลักเกณฑการอานออกเสียงรอยกรอง
ดังตอไปนี้ อันรักษาศีลสัตย์กตเวที อ่านว่า กัด-ตะ-เว-ที เพื่อให้สัมผัสกับ สัตย์
กลุมที่ 1 ประเภทกลอนสุภาพ ข้าขอเคารพอภิวันท์ อ่านว่า อบ-พิ-วัน เพื่อให้สัมผัสกับ เคารพ
กลุมที่ 2 ประเภทกาพยยานี 11 ไม่มีกษัตริย์ครองปฐพี อ่านว่า ปัด-ถะ-พี เพื่อให้สัมผัสกับ กษัตริย์
กลุมที่ 3 ประเภทกาพยฉบัง 16 คิดถึงบาทบพิตรอดิศร อ่านว่า อะ-ดิด-สอน เพื่อให้สัมผัสกับ บพิตร
กลุมที่ 4 ประเภทกาพยสุรางคนางค 28 ๘. ค�าที่มีพยางค์เกินให้อ่านเร็วและเบา เพื่อให้เสียงไปตกอยู่พยางค์ที่ต้องการ
กลุมที่ 5 ประเภทโคลงสี่สุภาพ ๙. มีศิลปะในการใช้เสียง รู้จักเอื้อนเสียงให้เกิดความไพเราะ และใช้เสียงแสดงความรู้สึก
โดยนักเรียนสามารถสืบคนความรูไดจากแหลง ให้เหมาะกับข้อความ เพื่อรักษาบรรยากาศของเรื่องที่อ่าน
การเรียนรูที่สามารถเขาถึงไดและทุกคนควรมี ๑๐. เมื่ออ่านถึงตอนจะจบบทต้องเอื้อนเสียงและทอดจังหวะให้ช้าลง จนกระทั่งจบบท
สวนรวมในการสืบคน
6
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การฝกอานออกเสียงรอยกรองจนเกิดความชํานาญในทวงทํานองของ
1 เสียงหนักเบา เสียงหนักหรือคําครุ หมายถึง พยางคที่ประสมดวยสระเสียงยาว รอยกรองแตละประเภท ขั้นตอนตอมาที่นักเรียนควรฝกฝนเพื่อใหเกิด
ในแม ก.กา และพยางคที่มีตัวสะกดทั้ง 8 มาตรา สวนเสียงเบาหรือคําลหุ หมายถึง ความไพเราะขณะที่อานซึ่งถือเปนศิลปะประการหนึ่งคืออะไร
พยางคที่ประสมดวยสระเสียงสั้นในแม ก.กา พยางคที่ใชพยัญชนะตัวเดียว เชน ก็
ณ บ ซึ่งคําครุและลหุ มีความจําเปนอยางมากตอการแตงคําประพันธประเภทฉันท แนวตอบ เมื่อผูอานออกเสียงมีความชํานาญดานการออกเสียง รูจัก
โดยผูแตงจะตองบรรจุคําครุ ลหุ ใหครบตามจํานวนที่ระบุไวในฉันทลักษณ ตําแหนง ทวงทํานองแลว ควรที่จะฝกฝนศิลปะการใชเสียงเพื่อใหเกิดความไพเราะ
ใดที่กําหนดใหเปนคําครุและลหุ จะตองเปนคําครุและลหุ จะใชผิดที่หรือแทนกัน ในขณะที่อาน เชน การทอดเสียงเพือ่ ผอนจังหวะใหชา ลง การเอือ้ นเสียง
ไมได ฉันททนี่ าํ มาแตงในวรรณคดีไทย ไดแก ฉันท 8, ฉันท 11, ฉันท 12, ฉันท 14, เพือ่ ใหเขาจังหวะ การครั่นเสียง การหลบเสียงเมื่อตองออกเสียงที่เกิน
ฉันท 15, ฉันท 16, ฉันท 18, ฉันท 19, ฉันท 20 และฉันท 21 โดยจะยกตัวอยาง ความสามารถ การกระแทกเสียง เปนตน การมีทักษะที่ดีในการออกเสียง
อินทรวิเชียรฉันท ดังนี้ และมีกลวิธีพิเศษเกี่ยวกับการใชเสียง จะทําใหการอานออกเสียง
“...บงเนื้อก็เนื้อเตน พิศเสนสรีรรัว ในแตละครั้งเกิดความไพเราะ และมีเสนหชวนฟง
ทั่วรางและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว
แลหลังละลามโล หิตโอเลอะหลั่งไป
เพงผาดอนาถใจ ระกะรอยเพราะรอยหวาย”
6 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 1 คน ออกมา
การอ่ า นบทร้ อ ยกรองหรื อ ท� า นองเสนาะให้ ไ พเราะและประทั บ ใจผู ้ ฟ ั ง นั้ น ผู ้ อ ่ า นควรมี หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น
ความพร้อมทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ ก่อนอ่านท�านองเสนาะควรรักษาสุขภาพให้ดี “หลักการอานออกเสียงรอยกรอง ประเภท
ตั้งสติให้มั่นคง ไม่ตื่นเต้น ตกใจ หรือประหม่า ควรมีสมาธิทั้งก่อนอ่านและขณะอ่าน โดยก่อนอ่าน กลอนสุภาพหรือกลอนแปด” จากนั้นให
ควรตรวจดูบทอ่านอย่างคร่าวๆ และรวดเร็ว เพื่อพิจารณาว่าเนื้อหากล่าวถึงเรื่องใด ควรอ่านใส่อารมณ์ รวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะกลอน
แบบใด รวมทัง้ กวาดสายตาพิจารณาค�ายากหรือการผันวรรณยุกต์และการสะกดค�าอืน่ ๆ เพือ่ จะได้อา่ น สุภาพประชุมลํานํา จากหนังสือเรียนภาษาไทย
ให้ถูกต้องตามอักขรวิธีไม่มีข้อผิดพลาด หนา 7 โดยใชหลักการอานตามแนวทางที่ได
๒.๒ วิธกี ารอ่าน ศึกษา และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข
ใหแกนักเรียน หลังการอานสิ้นสุดลง
ในการอ่านท�านองเสนาะจากค�าประพันธ์จะมีเครื่องหมายแบ่งวรรคตอนในการอ่าน ดังนี้
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
เครื่องหมาย / หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะสั้นๆ หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกวและ
เครื่องหมาย // หมายถึง การหยุดเว้นช่วงจังหวะที่ยาวกว่าเครื่องหมาย / รอยกรอง ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1
๑) กลอนสุภาพ คือ กลอนแปด เป็นค�า1ประพันธ์ที่นิยมแต่งกันมาแต่โบราณ กลอนสุภาพ หนวยที่ 1 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.1
มีหลายชนิด ได้แก่ สักวา ดอกสร้อย เสภา นิราศ
าศ เพลงยาว ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะบังคับที่ต่างกัน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
แต่กลอนทุกชนิดมีลีลาหรือกระบวนความบรรยายท�านองเดียวกัน ดังเช่น
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.1
กลอนสุภาพ (กลอนแปด) บทหนึง่ มี ๒ บาท ซึง่ ๑ บาท จะมี ๒ วรรค โดยมีวรรคละ ๗-๙ ค�า เรื่อง หลักเกณฑการอานออกเสียง
วรรคแรก เรียกว่า วรรคสดับ วรรคที่สอง เรียกว่า วรรครับ วรรคที่สาม เรียกว่า วรรครอง และ
วรรคที่สี่ เรียกว่า วรรคส่ง กิจกรรมตามตัวชี้วัด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๑ ใหนกั เรียนเขียนอธิบายหลักเกณฑในการอานตอไปนี้ (ท ๑.๑ ม.๑/๑) ñõ
การอ่านกลอนสุภาพ นิยมอ่านเสียงสูง ๒ วรรค และเสียงต�่า ๒ วรรค หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยแกว
การแบ่งจังหวะวรรคในการอ่าน แบ่งดังนี้ ๑. ศึกษาสาระสําคัญของเรื่องที่อาน
...................................................................................................................................................................................................................................................
๒. อานเสียงดังพอเหมาะกับผูฟง ไมดังหรือคอยจนเกินไป
...................................................................................................................................................................................................................................................
วรรคละ ๗ ค�า อ่าน ๒/๒/๓ // ๓. อานออกเสียงใหถูกตองตามอักขรวิธี
...................................................................................................................................................................................................................................................
๔. อานออกเสียงใหเปนเสียงพูดอยางเปนธรรมชาติที่สุด
...................................................................................................................................................................................................................................................
วรรคละ ๘ ค�า อ่าน ๓/๒/๓ // ๕. เนนเสียงและถอยคําตามนํ้าหนักความสําคัญของใจความ ใชเสียงและจังหวะใหเปนไปตาม
...................................................................................................................................................................................................................................................
เนื้อเรื่อง
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................
ฉบับ
หลักเกณฑการอานออกเสียงรอยกรอง
๑. ศึกษาลักษณะบังคับของคําประพันธที่จะอาน
กลอนสุภาพ/แปดค�า/ประจ�าบ่อน// อ่านสามตอน/ทุกวรรค/ประจักษ์แถลง//
...................................................................................................................................................................................................................................................
๒. อานใหถูกตองตามลักษณะบังคับของคําประพันธชนิดนั้นๆ
...................................................................................................................................................................................................................................................
๔. อานเสียงดังพอสมควรใหผูฟงไดยินทั่วถึง
...................................................................................................................................................................................................................................................
๘. คําที่มีพยางคเกินใหอานเร็วและเบา เพื่อใหเสียงไปตกอยูพยางคที่ตองการ
...................................................................................................................................................................................................................................................
๙. เอื้อนเสียงใหเกิดความไพเราะ และใชเสียงแสดงความรูสึกใหเหมาะสมกับขอความ
(ประชุมล�าน�า : หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก)) ...................................................................................................................................................................................................................................................
๒
7
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเวนวรรคตอนถูกตอง
1 นิราศ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ไดทรงสันนิษฐานวา นิราศเปนบทประพันธ
1. ใจดํา เชน อีกา
ที่เกิดขึ้นเพราะระยะเวลาที่กวีตองเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้นยาวนานมาก
2. สมาคมขาราชการพลเรือนแหงประเทศไทย
เพราะในสมัยโบราณใชเรือเปนพาหนะ กวีจึงไดบันทึกอารมณคิดถึงนางอันเปนที่รัก
3. อาหารที่มีไขมันมากไดแก พิซซา เฟรนชฟรายส
พรอมกับเลาระยะทาง สถานทีท่ ผี่ า น สิง่ ทีไ่ ดพบเห็นระหวางทาง โดยจะยกตัวอยาง
4. การนําสัตวขึ้นหรือลง ณสถานีใดใหอยูในดุลยพินิจของเจาหนาที่
นิราศภูเขาทองซึ่งเปนผลงานของสุนทรภู ดังนี้
วิเคราะหคําตอบ การเวนชองวางระหวางคํา ขอความ ประโยค ใหถกู ตอง “...มาถึงบางธรณีทวีโศก ยามวิโยคยากใจใหสะอื้น
เปนสิ่งสําคัญตอการเขียนสื่อสาร เพราะทําใหขอเขียนมีความถูกตอง อาน โอสุธาหนาแนนเปนแผนพื้น ถึงสี่หมื่นสองแสนทั้งแดนไตร
ไดตรงความตองการของผูเขียน ขอ 1. คําวา “เชน” ที่มีความหมายวา เมื่อเคราะหรายกายเราก็เทานี้ ไมมีที่พสุธาจะอาศัย
“เหมือน” หรือ “อยาง” ไมตองเวนวรรคเล็กทั้งหนาและหลัง ขอ 2. ไมตอง ลวนหนาวเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไรรังเรอยูเอกา”
เวนวรรคระหวางคํานําหนาชื่อที่แสดงฐานะของนิติบุคคล หนวยงาน หรือ
กลุมบุคคลกับชื่อ ขอ 3. ตองเวนวรรคเล็กทั้งหนาและหลังคําวา ไดแก
ขอ 4. ตองเวนวรรคเล็กทัง้ หนาและหลังคําวา ณ ดังนัน้ จึงตอบขอ 2.
คูมือครู 7
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนใหทบทวนความรูเกี่ยวกับ
หลักการอานออกเสียงรอยกรองประเภทกลอน- ส�ำหรับกลอนสักวำ ดอกสร้อย และนิรำศ จะแบ่งวรรคในกำรอ่ำนเหมือนกำรอ่ำนกลอนสุภำพ
สุภาพ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ ข้ำงต้น ดังตัวอย่ำงต่อไปนี้
กลุม ที่ 1 จากนัน้ ใหนกั เรียนทัง้ ชัน้ เรียนฝกปฏิบตั ิ กลอนสักวา
อานออกเสียงทํานองเสนาะบทรอยกรองประเภท
กลอนสักวา จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 8 สักวำ/หวำนอื่น/มีหมื่นแสน// ไม่เหมือนแม้น/พจมำน/ที่หวำนหอม//
2. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทน 1 คน ออกมา กลิ่นประเทียบ/เปรียบดวง/พวงพะยอม// อำจจะน้อม/จิตโน้ม/ด้วยโลมลม//
หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น แม้นล้อลำม/หยำมหยำบ/ไม่ปลำบปลื้ม// ดังดูดดื่ม/บอระเพ็ด/ต้องเข็ดขม//
“หลักการอานออกเสียงรอยกรองประเภทกาพย ผู้ดีไพร่/ไม่ประกอบ/ชอบอำรมณ์// ใครฟังลม/เมินหน้ำ/ระอำเอย//
ยานี 11” จากหนังสือเรียนภาษาไทยหนา 8 (สักวาหวานอื่นมีหมื่นแสน : พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ)
โดยใชหลักการอานตามแนวทางที่ไดศึกษา ส่วนกลอนหก อ่ำนเว้นจังหวะ ดังนี้
และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไข วรรคละ ๖ ค�ำ อ่ำน ๒/๒/๒ //
ใหแกนักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง
กลอนหก
นำงเหลือบ/นัยนำ/มำแล// คือแข/ส่องสรวง/ดวงจักษ์//
สบเนตร/นำงยิ้ม/พริ้มพักตร์// ยั่วรัก/ยิ่งเร่ง/ใจร้อน// 1
(กนกนคร : กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การอานออกเสียงสามารถบูรณาการไดกับเรื่องการดูแลสภาวะรางกาย
โภชนาการ การเลือกกินอาหาร การดูแลระบบหายใจ ในกลุม สาระการเรียนรู
1 กรมหมืน่ พิทยาลงกรณ เปนโอรสองคที่ 22 ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
สุขศึกษาและพลศึกษา วิชาสุขศึกษา โดยใหนกั เรียนวิเคราะหวา ระบบหายใจ
ประสูติเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2419 พระนามเดิมวา พระองคเจารัชนีแจมจรัส
มีสว นสําคัญตอการออกเสียงอยางไร และจะมีแนวทางอยางไรสําหรับการดูแล
พระองคทรงชํานาญดานภาษาและวรรณคดีเปนพิเศษ ทรงเปนกวีที่มีโวหารไพเราะ
รักษาเสียงใหมีความชัดเจน กังวาน แจมใส ไมแหบพรา จัดทําเปนใบความรู
ซึ่งงานพระนิพนธของพระองคแยกเปน 2 ประเภท ไดแก ประเภทรอยแกว คือ
เฉพาะบุคคล สงครู
จดหมายจางวางหรํ่า นิทานเวตาล สืบราชสมบัติ ตลาดเงินตรา และพระนาง
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ จะทําใหนักเรียนมีความรู
ฮองไทเฮา สวนประเภทรอยกรอง คือ กนกนคร พระนลคําฉันท และลิลิตสามกรุง
ความเขาใจ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตนเอง ดูแลปจจัยพื้นฐานของ
โดยทรงใชนามปากกาวา น.ม.ส.
การอานออกเสียง และยังสงผลไปสูการปลูกฝงใหนักเรียนมีความตื่นตัว
กับการสรางสุขภาวะสุขภาพของตนเองใหสมบูรณอีกดวย
8 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3æ, 4 และ 5 สงตัวแทนออกมา
๓) กาพย์ฉบัง ๑๖ จะอ่านเสียงสูงเสมอกันทุกวรรค หรือจะอ่านวรรคที ่ ๒ ให้ตา�่ กว่าวรรคแรก หนาชั้นเรียน เพื่ออธิบายความรูในประเด็น
และวรรคหลัง ๑ บันไดเสียงก็ได้ จังหวะของกาพย์ฉบัง วรรคทีม่ ี ๖ ค�าจะแบ่ง ๒/๒/๒ // “หลั ก การอ า นออกเสี ย งร อ ยกรองประเภท
เป็นส่วนใหญ่ แต่บางวรรคก็ตอ้ งดูเนือ้ ความเป็นหลัก อาจแบ่งจังหวะเป็น ๒/๔ / เพราะค�า
กาพยฉบัง 16 กาพยสุรางคนางค 28 และ
ทีก่ วีใช้ควรอ่านให้เสียงต่อเนือ่ งกัน ส่วนวรรคทีม่ ี ๔ ค�า ให้แบ่งจังหวะเป็น ๒/๒ / โคลงสี่สุภาพ จากนั้นใหนักเรียนทั้งชั้นรวมกัน
กาพย์ฉบัง ๑๖ อ า นออกเสี ย งทํ า นองเสนาะกาพย ฉ บั ง 16
1 กาพยสุรางคนางค 28 และโคลงสี่สุภาพ จาก
กลางไพร/ไก่ขัน/บรรเลง// ฟังเสียง/เพียงเพลง// หนังสือเรียนภาษาไทย หนา 9-10 ตามลําดับ
ซอเจ้ง/จ�าเรียง/เวียงวัง// โดยใชห ลักการอานตามแนวทางที่ไดศึกษา
ยูงทอง/ร้องกะโต้งโห่งดัง// เพียงฆ้อง/กลองระฆัง// และครูคอยชี้แนะขอควรปรับปรุงแกไขใหแก
แตรสังข์/กังสดาล/ขานเสียง // นักเรียนหลังการอานสิ้นสุดลง
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) 2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การอานออกเสียงบทรอยกรอง ทําแบบวัดฯ
๔) กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จะอ่านเสียงกลางๆ เสมอกัน ยกเว้นวรรคที่ ๔ อ่านเสียงสูงกว่า
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 หนวยที่ 1 กิจกรรม
วรรคอื่นๆ ๑ บันไดเสียง หรือเพิ่มความไพเราะโดยอ่านวรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๖ เสียงต�่ากว่าวรรคแรก
ตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.3
๑ บันไดเสียง หรือวรรคที่ ๒ อ่านเหมือนเดิมแต่อ่านวรรคที่ ๖ เสียงต�่า เพียงวรรคเดียวก็ได้ จังหวะ
ของกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จะอยู่กลางวรรคทุกวรรคเป็น ๒/๒ ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.3
เรื่อง การอานออกเสียงบทรอยกรอง
วันนั้น/จันทร// คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๓ ใหนักเรียนอานออกเสียงบทรอยกรองตอไปนี้ ñõ
มีดารากร// เป็นบริวาร// แบบทํานองเสนาะ (ท ๑.๑ ม.๑/๑)
เห็นสิ้น/ดินฟ้า// ในป่า/ท่าธาร//
๏ มัสมั่นแกงแกวตา หอมยี่หรารสรอนแรง
มาลี/คลี่บาน// ใบก้าน/อรชร// ชายใดไดกลืนแกง แรงอยากใหใฝฝนหา
๏ ยําใหญใสสารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) รสดีดวยนํ้าปลา ญี่ปุนลํ้ายํ้ายวนใจ
๏ ตับเหล็กลวกหลอนตม เจือนํ้าสมโรยพริกไทย
โอชาจะหาไหน ไมมีเทียบเปรียบมือนาง
๕) โคลงสี่สุภาพ บทหนึ่งมี ๓๐ ค�า โดย ๑ บท มี ๔ บาท วรรคหน้าในบาทที่ ๑-๔ มี ๕ ค�า ๏ หมูแนมแหลมเลิศรส
พิศหอเห็นรางชาง
พรอมพริกสดใบทองหลาง
หางหอหวนปวนใจโหย
ส่วนวรรคหลังมี ๒ ค�า แต่บาทที ่ ๔ วรรคหลังจะมี ๔ ค�า (อาจมีคา� สร้อย ๒ ค�าในบาทที ่ ๑ และ ๓) ฉบับ
๏ กอยกุงปรุงประทิ่น
รสทิพยหยิบมาโปรย
วางถึงลิ้นดิ้นแดโดย
ฤๅจะเปรียบเทียบทันขวัญ
การอ่ า นโคลงสี่ สุ ภ าพ นิ ย มอ่ า นออกเสี ย งต�่ า ที่ ท ้ า ยวรรคบาทที่ ๒ ออกเสี ย งสู ง ที่ เฉลย ๏ เทโพพื้นเนื้อทอง
นาซดรสครามครัน
เปนมันยองลองลอยมัน
ของสวรรคเสวยรมย
ท้ายวรรคหน้าของบาทที่ ๓ และทอดเสียงที่ท้ายวรรคแรกของแต่ละบาท นิยมอ่านด้วยระดับเดียวกัน ๏ ความรักยักเปลี่ยนทา ทํานํ้ายาอยางแกงขม
กลออมกลอมเกลี้ยงกลม ชมไมวายคลับคลายเห็น
ทั้งบท แต่บางค�าจะขึ้นลงสูงต�่าตามเสียงของวรรณยุกต์ ยกเว้นวรรคแรกของบาทที่ ๓ จะอ่านเสียงสูง ๏ ขาวหุงปรุงอยางเทศ รสพิเศษใสลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไมเปน เชนเชิงมิตรประดิษฐทํา
กว่าทุกวรรค ๑ บันไดเสียง ๏ เหลือรูหมูปาตม แกงคั่วสมใสระกํา
รอยแจงแหงความขํา ชํ้าทรวงเศราเจาตรากตรอม
๏ ชาชาพลาเนื้อสด ฟุงปรากฏรสหื่นหอม
คิดความยามถนอม สนิทเนื้อเจือเสาวคนธ
(กาพยเหชมเครื่องคาวหวาน : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย)
9 (พิจารณาการอานของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
จากรอยกรองที่กําหนดใหตอไปนี้ นักเรียนแสดงความคิดเห็นวาจะใช
นํ้าเสียงและลีลาทาทางขณะอานอยางไร 1 กลางไพรไกขันบรรเลง คําประพันธทั้งสองบทนี้มีการสรรคําใชเปนอยางดี
“หนาวลมหมผาหอน หายหนาว เมื่อกลาวถึงไกปาที่สงเสียงขัน กวีใชคําวา ขันบรรเลง เพื่อเปรียบกับเสียงเพลง
ฟาพรํ่านํ้าคางพราว พรางฟา นอกจากจะมีเสียงไกบรรเลงเหมือนเพลงแลว ยังมีเสียงนกยูงที่เหมือนเสียงฆอง
เดนเดือนเกลื่อนกลาดดาว ดวงเดน กลอง ระฆัง แตร สังข และกังสดาลประสานไปดวย คําประพันธสองบทนี้จึงเปน
ใจเปลาเศราซบหนา นึกนองหมองใจ” ภาพพจนที่สรางจินตภาพดานเสียงใหแกผูอาน
(โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู)
คูมือครู 9
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการอาน
ออกเสียงรอยกรอง มาจัดการความรูรวมกัน โดยปกติ โคลงสี่สุภาพมีการแบ่งจังหวะในการอ่าน ดังนี้
ในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน /
่ ้ /
/))/
หัวขอ “นํ้าเสียง ฉันทลักษณ อรรถรส ่ // ่ ้ /
บทรอยกรอง” / ่ / ่ /))/
2. นักเรียนรวมกันกําหนดเกณฑมาตรฐานสําหรับ
่
// ้ ่ ้ ///
ใชวัดคุณภาพการอานออกเสียงบทอานประเภท วรรคที่มี ๕ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๓ และ ๒ หรือ ๒ และ ๓ หรืออื่นๆ ให้พิจารณาจาก
รอยกรอง โดยประมวลจากความรู ความเขาใจ ความหมายของค�าเป็นหลักและหากมีค�ารับสัมผัสอยู่ในวรรค จังหวะต้องตกตรงค�ารับสัมผัสเสมอ
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ โคลงสี่สุภาพ
1-3 รวมถึงขอควรปรับปรุงที่ครูเปนผูชี้แนะ เสียงฦๅ/เสียงเล่าอ้าง/ อันใด/พี่เอย/
หลังจากการอานของนักเรียน มาตรฐานที่ถูก เสียงย่อม/ยอยศใคร/ ทั่วหล้า/
กําหนดขึ้นนี้จะใชวัดคุณภาพการอานออกเสียง สองเขือ/พี่หลับใหล/ ลืมตื่น/ฤๅพี่/
รอยกรองของนักเรียนทุกๆ คนในชั้นเรียน สองพี่/คิดเองอ้า/ อย่าได้/ถามเผือ//
3. นักเรียนคัดสรรรอยกรองประเภทใดก็ไดจาก 1
(ลิลิตพระลอ : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง)
วรรณคดีเรื่องที่ตนประทับใจ ความยาวไมเกิน
2 บท เพื่อนํามาอานออกเสียงใหครูและเพื่อนๆ บางกรณี จ�าเป็นต้องอ่านรวบค�า ๓ ค�า จาก ๒/๓ เป็น ๓/๒ เช่น ค�าว่า “เลื้อยบ่ท�า”
ฟง หนาชัน้ เรียน คัดลอกดวยลายมือของตนเอง และ “ชูแต่หาง” ดังนี้
พรอมแสดงการแบงวรรคตอนในการอานโดยใช
นาคี/มีพิษเพี้ยง/ สุริโย/
เครื่องหมายที่ถูกตอง
เลื้อยบ่ท�า/เดโช/ แช่มช้า/
4. ในขณะทีเ่ พือ่ นอานออกเสียง ใหนกั เรียนคนอืน่ ๆ
พิษน้อย/หยิ่งโยโส/ แมลงป่อง/
ภายในชัน้ เรียน เขียนแสดงความคิดเห็นและ ชูแต่หาง/เองอ้า/ อวดอ้าง/ฤทธี/
ประเมินการอานของเพื่อน โดยใชเกณฑ (โคลงโลกนิติ : กรมพระยาเดชาดิศร)
มาตรฐานที่รวมกันกําหนดขึ้นเปนแกนกลาง
การฝึกอ่านออกเสียงให้มปี ระสิทธิภาพ จะต้องยึดหลักเกณฑ์ของภาษาเป็นส�าคัญ
2
โดยมีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบ ควรเอาใจใส่การอ่าน
ออกเสียงคÓอ่านทีม่ ี ร ล คÓควบกลéÓ รวมถึงเสียงวรรณยุกต์ตา่ งๆ ต้องให้มเี สียงดังฟังชัด
รู้จักเลือกใช้นéÓเสียงให้สอดคล้องเหมาะสมกับข้อความที่อ่าน ตลอดจนรู้จักเน้นเสียง
ในข้อความสÓคัญต่างๆ ด้วย นอกจากนีผé อู้ า่ นควรเตรียมศึกษาบททีจ่ ะอ่าน เพือ่ จัดแบ่ง
วรรคตอนในการอ่านให้เหมาะสม รวมทัéงควรหมั่นฝึกฝนท่าทางขณะอ่านให้ถูกต้องอยู่
เสมอเพื่อให้เกิดความมั่นใจและสร้างความชื่นชมให้แก่ผู้ฟังทั่วไป
10
กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
1 ลิลิต เจาพระยาพระคลัง (หน) ไดนิพนธเรื่อง “เพชรมงกุฎ” โดยใชโคลงและ นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับปจจัยพื้นฐานในการอานออกเสียง จากนั้นให
รายแตงผสานตอเนื่องกัน และเรียกบทนิพนธนี้วา “ลิลิต” จึงกลายเปนชื่อรูปแบบ ตั้งขอสังเกตวา หากนักเรียนตองการจะเปนผูประสบความสําเร็จในการ
รอยกรองที่แตงดวยโคลงผสานกับราย รวมทั้งที่แตงดวยโคลงสลับกับราย เชน อานออกเสียง นอกจากปจจัยพื้นฐานแลวยังตองมีสิ่งใดอีกบาง สรุปเปน
ลิลิตโองการแชงนํ้า สําหรับลิลิตเพชรมงกุฎไดเคาเรื่องมาจากนิทานเวตาล แตได ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
คัดเฉพาะเรื่องที่เวตาลเลาเรื่องเกี่ยวกับพระเพชรมงกุฎถวายทาววิกรมาทิตย
ซึ่งวรรณคดีเรื่องนี้ไดปรากฏคุณคาทั้งดานวรรณศิลป ดานพระพุทธศาสนา
โดยไดแสดงคติธรรมใหมนุษยรูจักดับกิเลสตัณหา ไมปลอยใหความหลงใหลใน
กิจกรรมทาทาย
ความรักเขาครอบงํา จนเกิดความเดือดรอนในภายหลัง
2 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เปนพจนานุกรมอธิบายศัพทภาษาไทย นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผูที่จะอานทํานองเสนาะไดดี
ซึ่งทางราชการจัดทําขึ้นเพื่อใหการอาน เขียนหนังสือไทยมีมาตรฐานเดียวกัน โดย จากนั้นใหตั้งขอสังเกตวา หากนักเรียนมีคุณสมบัติของผูที่จะอานออกเสียง
มีการปรับปรุงตามลําดับเรื่อยมา เมื่อปรับปรุงพจนานุกรมฉบับหนึ่งๆ แลวเสร็จ ทํานองเสนาะครบถวน แตการอานของนักเรียนยังไมไพเราะ นักเรียน
จะออกประกาศ เรือ่ ง ระเบียบการใชตวั สะกดเพือ่ ใหหนวยงานราชการ สถานศึกษา คิดวาตนเองตองฝกฝนในเรื่องใด สรุปเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ใชตวั สะกดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึง่ ปจจุบนั เปนฉบับ พ.ศ. 2554
10 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมาอานออกเสียงรอยแกวและ
รอยกรองที่ไดคัดสรรดวยตนเอง ใหครูและ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบการอานออกเสียงของนักเรียน
๑. การฝกอ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองให้ถูกต้องไพเราะมีประโยชน์หรือมีความส�าคัญอย่างไร
แตละคน โดยใหความสําคัญกับอักขรวิธี
กับนักเรียน การเวนวรรคตอน การออกเสียงใหถูกตอง
๒. การอ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองมีหลักในการอ่านอย่างไร ตามลักษณะคําประพันธ การทําลีลานํ้าเสียง
๓. การอ่านออกเสียงมีความจ�าเปนต่อการสื่อสารในชีวิตประจ�าวันหรือไม่ อย่างไร ใหสอดคลองกับเรื่องที่อาน โดยใหคําแนะนํา
๔. การอ่านออกเสียงร้อยแก้วเปนพื้นฐานที่ส�าคัญของการอ่านบทร้อยกรองอย่างไร จงอธิบาย เปนรายบุคคลเพื่อใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
๕. ผู้ที่มีพื้นฐานในการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง ชัดเจน เหมาะส�าหรับการประกอบอาชีพใด ในการเรียนการสอน
เพราะเหตุใด 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อแสดงความคิดเห็น
ของตนเองที่ประเมินการอานของเพื่อนๆ
โดยครูคอยสังเกตวิธีการแสดงความคิดเห็น
ของนักเรียนวาตั้งอยูบนเกณฑมาตรฐานที่
รวมกันกําหนดขึ้นหรือไม อยางไร เพื่อเปน
การตรวจสอบทักษะการประเมินของนักเรียน
อีกชั้นหนึ่ง
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู 4. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนจัดโครงการ “สวนสุภาษิต” รวบรวมส�านวนสุภาษิต ข้อคิด
หรือวรรคทองในวรรณกรรม วรรณคดีที่นักเรียนประทับใจ แล้วเขียนเปน
ป้ายเล็กๆ ติดไว้ตามสวนหย่อมในโรงเรียน เช่น
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
■ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
1. ปายนิเทศประจําชั้นเรียน
■ มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี
11
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. ประโยชนของการฝกอานออกเสียงรอยแกวและรอยกรองใหถูกตองไพเราะ จะทําใหผูอานมีความมั่นใจในตนเอง สรางความบันเทิงใหแกผูฟง และถายทอดอารมณ
ความรูสึกของบทอานไดอยางถูกตอง และมีประสิทธิภาพ
2. การอานออกเสียงรอยกรองจะตองศึกษาฉันทลักษณของคําประพันธ ใชนํ้าเสียง เอื้อนเสียงใหมีความไพเราะ สอดรับกันในแตละวรรค สวนการอานออกเสียง
รอยแกวจะตองคํานึงถึงการแบงวรรคตอน การเนนเสียงใหความหนัก เบา เปนตน
3. การอานออกเสียงมีความจําเปนตอการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เพราะการอานออกเสียง คือการถายทอดเนื้อหาสาระตางๆ ใหผูฟงรับรู เขาใจ และปฏิบัติตาม เชน
การอานประกาศ หรือเพื่อใหไดรับอรรถรสความบันเทิง เชน นิทาน เรื่องสั้น เปนตน
4. การอานออกเสียงรอยแกวเปนพื้นฐานสําคัญของการอานรอยกรอง เพราะถาสามารถแบงวรรคตอน ออกเสียงคําควบกลํ้า ตัว ร ล ไดชัดเจน จะทําใหสามารถอาน
ออกเสียงรอยกรองไดไพเราะ สละสลวยมากยิ่งขึ้น
5. อาชีพครู ผูประกาศขาว พิธีกร นักพากย เพราะบุคคลกลุมนี้จะตองทําหนาที่ในการถายทอดเรื่องราวตางๆ สูสาธารณชน หากมีการแบงวรรคตอน หรือออกเสียง
ผิดพลาด อาจกอใหเกิดการเขาใจสารผิดพลาด หรือทําใหเสียอรรถรสในการฟง
คูมือครู 11
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถจับใจความสําคัญจากเรื่องที่อาน
โดยระบุขอเท็จจริง ขอคิดเห็น เขาใจเนื้อหาสาระ
โดยการตีความจากคํา สัญลักษณตางๆ หรือสังเกต
จากบริบทหรือขอความแวดลอม และนําคุณคาหรือ
ความรูที่ไดรับไปปรับใชในชีวิตประจําวัน
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การอานในชีวติ ประจําวัน เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถตีความ แปลความเพื่อเขาใจความหมายของคํา มีความ
สามารถในการแยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น เพื่อระบุไดวาเรื่องที่อานควรเชื่อถือ
หรือไม รวมถึงมีความสามารถในการวิเคราะหคุณคาที่ไดรับจากการอานและอาน
อยางมีมารยาท
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรใหนักเรียนไดศึกษาแนวทางการอาน
แตละประเภท จากนั้นจึงนําทฤษฎีมาใชอานงานเขียนที่หลากหลาย กําหนด
กิจกรรมใหปฏิบัติ เชน ใหอานงานเขียนชิ้นเดียวกันแลวรวมกันอภิปรายความ
สมเหตุสมผล ความนาเชื่อถือ และคุณคาที่ไดรับ
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะทีจ่ าํ เปนตอการอานในขัน้ สูง
ใหแกนกั เรียน เชน ทักษะการแปลความ ตีความ การจําแนก การใหเหตุผล และ
กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ
12 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถาม เพื่อนําเขาสูหัวขอการเรียน
๑ การอ่านจับใจความส�าคัญ การสอนโดยสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบ
• การอานจับใจความมีความสําคัญตอการอาน
การอ่านจับใจความ คือ การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระส�าคัญของข้อความหรือของหนังสือเล่มนั้น ในชีวิตประจําวันอยางไร
ว่าส่วนใดเป็นใจความส�าคัญที่ผู้เขียนน�าเสนอและส่วนใดเป็นส่วนที่ขยายใจความส�าคัญให้ชัดเจนยิง่ ขึน้ (แนวตอบ ทําใหเขาใจเนื้อหาสาระของเรื่อง
ส่วนที่เป็นใจความส�าคัญอาจอยู่ช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงท้ายของเรื่องหรือย่อหน้านั้นๆ ก็ได้ ที่อานไดครบถวนและมีประสิทธิภาพ)
ใจความส�าคัญเป็นส่วนส�าคัญที่สุดของเรื่อง หากไม่มีจะท�าให้ผู้อ่านไม่เข้าใจ นอกนั้นเป็นส่วน • หากนักเรียนไมมคี วามรู ความเขาใจเกีย่ วกับ
ขยายซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ ในข้อความหนึ่งๆ หรือบทความเรื่องหนึ่งๆ อาจมีหลายย่อหน้า การอานจับใจความสําคัญ ใหจินตนาการวา
ดังนั้น แต่ละย่อหน้าจึงมีใจความส�าคัญเพียงใจความเดียวและอาจมีส่วนขยายประเด็นเดียว ประสิทธิภาพในการรับสารดวยวิธีการอาน
หรือหลายประเด็นก็ได้ บางข้อความผูเ้ ขียนไม่ได้เขียนออกมาเป็นประโยค ผูอ้ า่ นต้องจับใจความส�าคัญเอง ของนักเรียนจะเปนอยางไร
แล้วเรียบเรียงใจความส�าคัญเป็นส�านวนภาษาของตนเอง (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
หลากหลาย แตคําตอบตองมาจากการ
๑.๑ ลักษณะของใจความสำาคัญ ประเมินตนเอง ซึ่งครูควรชี้แนะวา หาก
ใจความส�าคัญ คือ ข้อความทีเ่ ป็นใจความหลักของข้อความแต่ละย่อหน้า หากขาดข้อความนี้ นักเรียนไมมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
จะท�าให้ผอู้ า่ นไม่เข้าใจเรือ่ งทีอ่ า่ น ส่วนข้อความทีเ่ ป็นส่วนขยายหรือประกอบใจความหลักให้ผอู้ า่ นเข้าใจ การอานจับใจความสําคัญ การรับสารดวย
ชัดเจนยิ่งขึ้นเรียกว่า ใจความส�าคัญรองหรือใจความขยาย การอานของนักเรียนจะไมเกิดผล เพราะ
ใจความส�าคัญจะปรากฏอยู่ในประโยคใดประโยคหนึ่งของย่อหน้านั้น โดยทั่วไปจะปรากฏอยู่ นักเรียนไมสามารถสรุปไดวาเรื่องที่อาน
ตอนต้นย่อหน้า แต่บางกรณีอาจอยู่ตอนท้ายหรือตอนกลางของย่อหน้าก็ได้ เช่น เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนอานขอความทีก่ าํ หนดใหตอ ไปนี้ แลวเขียนประโยคใจความสําคัญ
ของขอความ “กระชอนเปนเครื่องกรองของเหลวชนิดหนึ่ง สานดวยตอกไมไผ 1 วันครอบครัวแหงชาติ ครอบครัวเปนหนวยพื้นฐาน
เปนตาถี่ๆ รูปรางคลายมะนาวตัด หรือบางทีทําขอบปากเปนสี่เหลี่ยม มีหู ทางสังคมที่เล็กที่สุด แตมีบทบาทและหนาที่สําคัญที่สุด
สําหรับวางพาดปากหมอ ปากชามเพื่อกรองกะทิ กรองเมล็ดพันธุพืชหรือใช เปนสิง่ ทีย่ ดึ เหนีย่ วจิตใจและความรูส กึ ของมนุษย รัฐบาลไทย
ตากเมล็ดพืชเล็กๆ ไดแก เม็ดแตงกวา ฟกแฟง แตงไทย เปนตน” ไดเห็นความสําคัญของครอบครัว จึงไดประกาศใหวันที่
14 เมษายน ของทุกป เปนวันครอบครัว โดยสัญลักษณ
แนวตอบ ประโยคใจความสําคัญของขอความดังกลาว คือ กระชอนเปน ดังกลาว หมายถึง คนในครอบครัว ประกอบดวย พอ แม
เครื่องกรองของเหลวชนิดหนึ่ง ลูก และปู ยา ตา ยาย หรือญาติผูใหญที่อยูรวมกันดวยความอบอุนภายใต
หลังคาบานซึ่งมีลักษณะเปนวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยที่มีบรรพบุรุษคอยดูแลอบรม
สมาชิกรุนใหมของครอบครัวจนเติบโตและสามารถดํารงชีวิตในสังคมได
คูมือครู 13
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุม ทีจ่ บั สลากไดหมายเลข 1 สงตัวแทน
2 คน ออกมาอธิบายความรูในประเด็น ๑.๒ หลักการอ่านจับใจความสำาคัญ
“การอานจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท การอ่านจับใจความส�าคัญ ผู้อ่านจะต้องแยกให้ได้ว่าส่วนใดเป็นใจความหลักและส่วนใด
รอยแกว” ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน ที่เป็นส่วนขยาย ซึ่งจะท�าให้ผู้อ่านเข้าใจสารได้ตรงเจตนา ผู้อ่านควรมีหลักปฏิบัติในการอ่าน ดังนี้
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๑. ให้อ่านหนังสือทั้งเล่มหรืออ่านทั้งตอนที่ก�าหนดให้ โดยอ่านอย่างส�ารวจในส่วนประกอบ
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับแนวทาง ของหนั ง สื อ เช่ น ชื่ อ เรื่ อ ง ค� า น� า สารบั ญ ค� า ชี้ แจงหรื อ ค� า แนะน� า การใช้ ห นั ง สื อ ถ้ า มี ป ระวั ติ
การอานจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท ผู้แต่งควรอ่านด้วยเพราะจะท�าให้รู้จักภูมิหลังและแนวคิดของผู้เขียนมากขึ้น แล้วจับใจความของเรื่อง
รอยแกว โดยใชขอมูลที่ไดรับจากการฟง ให้ได้ว่าใคร ท�าอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไร ท�าไม
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล ๒. ตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจนว่าอ่านเพื่ออะไร แล้วตั้งค�าถามที่เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน
เบื้องตน หรือที่ตนเองอยากรู้ เช่น อ่านเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน อ่านเพื่อค้นคว้าหาความรู้ หรืออ่าน
• การอานจับใจความสําคัญคือการอาน เพื่อประเทืองปัญญา การก�าหนดจุดประสงค์ในการอ่านจะท�าให้อ่านได้เข้าใจและรวดเร็วขึ้น
งานเขียนเพื่อจุดประสงคใด ๓. ผู้อ่านควรมีประสบการณ์หรือมีความรู้พื้นฐานในการอ่านบ้าง เช่น เข้าใจความหมาย
(แนวตอบ การอานจับใจความสําคัญ คือ โดยตรงของค�าศัพท์ต่างๆ หากไม่เข้าใจควรค้นหาความหมายจากพจนานุกรมหรือถามผู้รู้
การอานงานเขียนเพื่อใหทราบโครงเรื่องหรือ ๔. ทบทวนเนื้อหาหรือประเด็นส�าคัญของเรื่องนั้นให้เข้าใจ โดยตั้งค�าถามทบทวนเรื่องที่อ่าน
ประเด็นสําคัญที่ผูเขียนตองการจะถายทอด) แล้วจดจ�ารายละเอียด ประเด็นที่น่าสนใจ และบันทึกเรื่องย่อด้วยภาษาที่ตนเองเรียบเรียงขึ้นใหม่
• ในชีวิตประจําวันการอานงานเขียนซึง่ มีหลาย การอ่านจับใจความสÓคัญบทร้อยแก้ว
ยอหนา นักเรียนจะมีวธิ กี ารอยางไรที่จะทําให
การอานจับใจความสําคัญเกิดประสิทธิภาพ แมวเป็นสัตว์นา่ รัก แต่ผมไม่เคยผูกพันด้วย มันน่าร�าคาญมากกว่าในสายตาผม แต่เมือ่ ครัง้ เป็น
สูงสุด เด็กมาแล้ว เห็นแม่เลี้ยงแมวมาด้วยความรักแบบหลงใหล หาข้าวให้มันกิน จับมันขึ้นมาอุ้ม เรียก
(แนวตอบ การอานจับใจความสําคัญ มันด้วยเสียงแบบเอ็นดู ทั้งที่ร้องกวนใจ เคล้าแข้งเคล้าขาเกะกะ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ฉวยโอกาสที่
งานเขียนที่มีหลายยอหนา ผูอานจะตอง แสดงความรักคนเฉพาะเมื่อเวลามันหิว อิ่มแล้วก็ไปหรือไม่ก็นอนหลับเกียจคร้าน บ่อยครั้งที่ผม
อานเรื่องทั้งหมด แลวจึงจับใจความสําคัญ อิจฉาที่คิดว่าแม่รักแมวมากกว่าผม 1
แตละยอหนา ซึ่งใจความสําคัญแตละยอหนา (ขอทาน แมว และคนเมา : อัศศิริ ธรรมโชติ)
ของงานเขียนเรื่องเดียวกัน จะตองเปนไป
ในทิศทางเดียวกัน จากนั้นจึงนําประเด็น ข้อความข้างต้นนี้มีประเด็นหลายประเด็น คือ
แตละประเด็นมาเรียบเรียงตอกันอยางเปน ๑. แมวเป็นสัตว์น่ารัก แต่ผมไม่เคยผูกพัน
ระบบ ก็จะทําใหทราบโครงเรื่องหรือสาระ ๒. แมวเป็นสัตว์น่าร�าคาญมากกว่าน่ารักในสายตาผม
๓. แม่รักแมวอย่างหลงใหล
สําคัญของงานเขียนเรื่องนั้นๆ)
๔. แมวเป็นสัตว์ฉวยโอกาส
๕. ผมอิจฉาแมวและคิดว่าแม่รักแมวมากกว่าผม
จาก ๕ ประเด็นข้างต้น ใจความส�าคัญอยูท่ ปี่ ระเด็นสุดท้าย กล่าวคือ ผูแ้ ต่งอิจฉาแมว
และคิดว่าแม่รกั แมวมากกว่าเขา ส่วนประโยคอืน่ ๆ เป็นประโยคที่มาขยายว่า ท�าไมผู้แต่งจึงอิจฉาแมว
14
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
นักเรียนอานขอความตอไปนี้ แลวสรุปใจความสําคัญใหถูกตองและ
1 อัศศิริ ธรรมโชติ เปนนักเขียนเรื่องสั้นที่มีสํานวนภาษาเปนลักษณะเฉพาะตัว ครบถวน “อยางไรก็ตาม ไมวาเราจะตอบตัวเองวาเขียนเปนหรือเขียน
และมีความโดดเดน อัศศิริ เขียนเรื่องสั้นเปนจํานวนมาก ซึ่งเรื่องขอทาน แมวและ ไมเปนคงไมไดเปนขอสรุปวา เราควรเขียนหรือปฏิเสธการเขียนตลอดชีวิต
คนเมา เปนเรื่องสั้นที่ถูกเขียนขึ้นในป 2531 ภายหลังจากที่เรื่องสั้น “ขุนทอง แตเปนการตอบเพื่อใหเรารูจักตนเองกอนที่จะเริ่มตนกาวเดินตอไปในโลก
เจาจะกลับเมื่อฟาสาง” ไดรับรางวัลซีไรตหรือรางวัลวรรณกรรมสรางสรรค ของการเขียนใหเปน ซึ่งเราทุกคนสามารถเขียนเปนไดหากเรียนรู
ยอดเยี่ยมประจําป 2524 “ขุนทองเจาจะกลับเมื่อฟาสาง” เปนรวมเรื่องสั้นที่ผูเขียน ‘ศาสตร’ และ ‘ศิลป’ ของการเขียน”
ไดรับแรงบันดาลใจอันเนื่องมาจากเหตุการณทางการเมือง 6 ตุลาคม 2519
ดังนัน้ เนือ้ หาโดยสวนใหญจงึ สะทอนใหเห็นภาพของความกดดัน ความขัดแยง แนวตอบ ใจความสําคัญของขอความดังกลาว ปรากฏอยูตอนทายของ
ทางการเมือง แสดงใหเห็นอารมณของเรื่องที่โศกเศราแตแฝงความออนโยน ขอความ ดังนี้ เราทุกคนสามารถเขียนได หากไดมีการเรียนรูศาสตร
ความโดดเดนของเรื่อง คือ ผูเขียนใหความสําคัญกับกระบวนการพรรณนา เพื่อให และศิลปเกี่ยวกับการเขียน
ผูอานเกิดอารมณความรูสึกคลอยตามไปกับอารมณของเรื่อง
14 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. หลังการอธิบายความรูของตัวแทนนักเรียน
ในกรณี ที่ เ นื้ อ หาเรื่ อ งหนึ่ ง ๆ มี ห ลายย่ อ หน้ า ซึ่ ง ในแต่ ล ะย่ อ หน้ า มี ใจความส� า คั ญ เพี ย ง กลุมที่ 1 จบลง กอนจะใหตัวแทนนักเรียน
หนึ่งใจความ เมื่อน�าใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้ามาเรียบเรียงและพิจารณาสาระโดยรวมแล้วต้องมี กลุมที่ 2 เริ่มตนการอธิบายความรูในประเด็น
ความเป็นเอกภาพและมีสัมพันธภาพ กล่าวคือ เอกภาพ หมายถึง เรื่องเดียวกัน ส่วนสัมพันธภาพ ที่กลุมของตนเองไดรับมอบหมาย ใหนักเรียน
หมายถึง มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ดังนั้น เนื้อหาในแต่ละย่อหน้าต้องเป็นเรื่องเดียวกันและมี จับกลุมยอย กลุมละ 3-5 คน หรือตามความ
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ส่วนที่เป็นสาระส�าคัญที่สุด เรียกว่า แก่นของเรื่องซึ่งแสดงแนวคิดของ เหมาะสม รวมกันอานนิทานเรือ่ งจระเขสามพัน
เรื่องนั้นๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 15 ใหเวลา
กลุมละ 10 นาที โดยแตละกลุมใชแนวทาง
บทร้อยแก้วที่นÓมาอ่านจับใจความส�าคัญ (ที่มีหลายย่อหน้า)
การอานจับใจความสําคัญที่ไดศึกษาไป
นิทานเรื่องจระเข้สามพัน 2. เมื่อครบ 10 นาที ครูสุมเรียกแตละกลุมให
มีเรือ่ งเล่าว่าครัง้ หนึง่ นานมาแล้ว มีตากับยายสองคนผัวเมียตัง้ บ้านเรือนอยูร่ มิ แม่นา�้ สุพรรณ ระบุใจความสําคัญของแตละยอหนา
จังหวัดสุพรรณบุรี ตาเป็นคนใจบุญสุนทานและชอบช่วยเหลือคนทั่วไปไม่เลือกหน้า โดยเรียงลําดับจนครบ รวมกันอภิปรายจนได
วันหนึ่งมีพ่อค้าชาวมอญคนหนึ่งพายเรือผ่านมาหน้าบ้านของตายายคู่นี้ พ่อค้ามอญจึงได้ ใจความสําคัญที่ถูกตองของแตละยอหนา
ร้องขายของและขอร้องให้ตาช่วยซื้อสินค้าของตนบ้าง ตาถามว่ามีอะไรที่น่าสนใจจะขายให้ล่ะ เพราะในแตละยอหนานักเรียนแตละกลุม
มอญบอกว่ามีลูกจระเข้ตัวเล็กๆ ขอให้ตาซื้อไว้เลี้ยงดูเล่นเถอะ เขาจะขายให้ในราคาสามพันเบี้ย อาจจับใจความไดไมเหมือนกัน นักเรียนควร
เท่านั้น บันทึกใจความสําคัญแตละยอหนาไวดวย
ตาทนพ่อค้ามอญรบเร้าให้ซื้อลูกจระเข้ไม่ได้ ประกอบกับแกเป็นคนใจดี มีเมตตา จึงซื้อ
ลูกจระเข้ตัวนั้นไว้ในราคาสามพันเบี้ยแล้วท�ากรงให้มันอยู่ที่ท่าน�้าและเลี้ยงดูลูกจระเข้อย่างดี
มีอาหารให้กินเป็นประจ�าทุกวันจนมันตัวโตไม่สามารถอยู่ในกรงได้ ตาจึงให้คนมาช่วยกันเอามัน
ออกจากกรงเพื่อให้ขึ้นจากน�้ามาอยู่บนบกบ้าง เมื่อถึงเวลามันจะมาคอยตาเอาอาหารมาให้มัน
ที่ท่าน�้าทุกวัน
วันหนึ่งตาก็งกๆ เงิ่นๆ เอาอาหารมาให้จระเข้ ขณะที่ตาก้มลงยื่นอาหารให้จระเข้กิน จระเข้
ก็เอาหางฟาดท�าให้ตาตกลงไปในน�้า มันคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายส่งเสียงร้องให้คน
มาช่วย แต่ไม่มีใครช่วยได้ทันเพราะทั้งจระเข้และตาหายไปในน�้าอย่างไร้ร่องรอย
ผู้คนต่างเล่าลือกันว่า จระเข้ที่ตาซื้อมาเลี้ยงในราคาสามพันเบี้ยได้กินตาผู้เลี้ยงดูมันเสียแล้ว
และสัง่ สอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลีย้ งลูกเสือ ลูกจระเข้ เพราะมันเป็นสัตว์ดริ จั ฉาน ไม่รคู้ ณ
ุ ผูเ้ ลีย้ งดู
อีกทั้งเป็นสัตว์กินเนื้ออาจจะท�าร้ายเจ้าของได้ในภายหลัง ต่อมาผู้คนจึงเรียกต�าบลที่ตาและยาย
ตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน เรื่องราวทั้งหมดชาวบ้านได้เล่าสืบต่อๆ กันมา จัดเป็น
ต�านานหรือนิทานพื้นบ้านเรื่องจระเข้สามพันของสุพรรณบุรีมาจนทุกวันนี้
1
(นิทานพื้นบ้านภาคกลาง : ผจงวาด กมลเสรีรัตน์ และคณะ)
15
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดไมมีความเกี่ยวของกับการอานจับใจความสําคัญ
1. การจับใจความสําคัญเปนทักษะเบื้องตนของการรับสาร 1 นิทานพื้นบาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ใหคํานิยาม
2. ใจความสําคัญคือความคิดสําคัญหรือประเด็นสําคัญของเรื่อง คําวา “นิทาน” ไววา เรื่องที่เลากันมา เชน นิทาน ชาดก นิทานอีสป ซึ่งนิทาน
3. การจับใจความสําคัญสามารถทําไดทั้งการรับสารดวยการอานและการฟง เปนเรื่องที่เลาสูกันฟงจากปากตอปาก หรือเรียกวาเปนวรรณกรรมมุขปาฐะโดยใช
4. การจับใจความสําคัญดวยการฟงไมจําเปนตองเตรียมความพรอมกอน ถอยคําธรรมดาแตมลี กั ษณะทีโ่ ดดเดน คือ เปนเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ จากจินตนาการของ
การฟง ผูแ ตง จึงมีทั้งเรื่องผจญภัย ความรัก วีรบุรุษ เรื่องเหนือธรรมชาติ ตัวละคร
มีความหลากหลายทั้งมนุษย อมนุษย และสัตวตางๆ ที่สามารถแสดงอากัปกิริยา
วิเคราะหคําตอบ การอานเพื่อจับใจความสําคัญเปนทักษะเบื้องตน ความรูสึกนึกคิดไดเชนเดียวกับมนุษย เนื้อหาของนิทานนอกจากจะใหความบันเทิง
ของการรับสารไมวาดวยวิธีการอานหรือฟง ผูรับสารจะตองคนหาความคิด แลว ยังสอดแทรกคติ คําสั่งสอนไว โดยมีเจตนาสั่งสอน แนะนําแนวทางสําหรับ
สําคัญหรือประเด็นของเรื่องใหได ซึ่งการจับใจความสําคัญดวยการฟง การดําเนินชีวิต ซึ่งนิทานพื้นบาน เปนนิทานเรื่องเลาของคนพื้นบานไทยแทๆ
หากผูฟงพอจะทราบหัวขอของการฟงก็ควรที่จะเตรียมความพรอม ที่คนไทยสวนใหญรูจักดี เชน ปลาบูทอง พิกุลทอง จันทโครพ โสนนอยเรือนงาม
โดยหาความรูเบื้องตนไป เพื่อใหงายตอการทําความเขาใจ และรวมถึง เปนตน
เตรียมความพรอมทั้งดานรางกายและจิตใจ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 15
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. ตัวแทนนักเรียนของแตละกลุมระบุใจความ
สําคัญของนิทานเรื่อง จระเขสามพัน โดย ใจความส�าคัญของนิทานพื้นบ้านเรื่องจระเข้สามพัน ในแต่ละย่อหน้ามี ดังนี้
เรียบเรียงจากใจความสําคัญของแตละยอหนา ๑. ครั้งหนึ่งมีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ
ที่ไดบันทึกไว เมื่อครบทุกกลุมแลวใหนักเรียน ๒. พ่อค้าชาวมอญขอร้องให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้ในราคาสามพันเบี้ย
ตรวจสอบวา ใจความสําคัญที่สรุปไดนั้น ๓. ตาซื้อลูกจระเข้และเลี้ยงดูมันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง ตาจึงให้คนมาช่วยกันจับมัน
สอดคลองกับหนังสือเรียนหรือไม หากไม ออกจากกรง
สอดคลองนักเรียนคิดวากลุมของตนเอง ๔. วันหนึ่งขณะที่ตาเอาอาหารให้จระเข้กิน มันได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไปในน�้าแล้วคาบตา
บกพรองในสวนใด ด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับการอาน ๕. ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาเลี้ยงในราคาสามพันเบี้ยได้กินตาเสียแล้ว และ
จับใจความสําคัญงานเขียนประเภทรอยแกว สั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยงลูกเสือ ลูกจระเข้ ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของ
ที่ไดจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 ตายายนั้นว่า ต�าบลจระเข้สามพัน
และประสบการณจากการลงมือปฏิบัติรวมกับ ผู้อ่านจะต้องเชื่อมโยงใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้าให้เป็นเอกภาพและสัมพันธภาพ โดยปรับ
เพื่อน ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 ข้อความให้เหมาะสมและเรียบเรียงเนื้อหาให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน โดยพิจารณาจุดมุ่งหมาย
หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.1 ของเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับใจความส�าคัญได้ตรงประเด็นกับวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ดังตัวอย่าง
การจับใจความนิทานเรื่องจระเข้สามพัน ดังนี้
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.1 การจับใจความนิทานเรื่อง จระเข้สามพัน
เรื่อง การอานจับใจความสําคัญ : นิทาน
กิจกรรมตามตัวชี้วัด นิทานเรื่องจระเข้สามพันเป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี เล่ากันว่าครั้งหนึ่ง
มีตากับยายสองคนผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น�้าสุพรรณ มีพ่อค้าอ้อนวอนให้ตาช่วยซื้อลูกจระเข้
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๒.๑ ใหนกั เรียนอานนิทานตอไปนีแ้ ลวตอบคําถาม (ท ๑.๑ ม.๑/๒, ๘, ๙) ñð
นิทานเรื่อง “เมื่ออีกา…อยากเปนหงส” โดยขายให้ในราคาสามพันเบี้ย ตาจึงซื้อลูกจระเข้ตัวนั้นและเลี้ยงดูมันอย่างดีจนมันตัวโตคับกรง
เหลาอีกาไมพอใจที่ขนของมันมีสีดํา แตหลงใหลขนสีขาวของหงส กาตัวหนึ่งพูดขึ้นวา
“ขาวาเปนเพราะหงสชอบลงอาบนํ้าบอยๆ จึงทําใหขนเปนสีขาว” อีกาอีกตัวจึงพูดตอบวา
“เออ คิดๆ ดูอาจจะจริงอยางที่นายวาก็ได ถาอยางนั้นพวกเราควรจะวายนํ้ากันบอยๆ และ
จึงให้มันออกจากกรง วันหนึ่งขณะที่ตายื่นอาหารให้จระเข้กิน จระเข้ได้เอาหางฟาดจนตาตกลงไป
พักอยูใกลสระนํ้าซะเลย เราจะไดมีขนสีขาวเหมือนหงส ไง โอโห! แคคิดก็เทแลว” พวกอีกา
ทั้งหมดไดพากันอพยพกันไปอยู ใกลๆ กับริมลําธาร และพากันเลนนํ้าตลอดทั้งวันทั้งคืน
ในน�้าแล้วคาบตาด�าน�้าหายไปอย่างรวดเร็ว ยายจึงร้องให้คนมาช่วยแต่ไม่มีใครช่วยได้ทัน ผู้คนต่าง
เพราะคิดวายิ่งแชนํ้านานเทาไร ยิ่งขาวไดเร็วขึ้นเทานั้น แตขนก็ยังคงเปนสีดําเหมือนเดิม
เมื่ออีกาทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยพากันขึ้นจากนํ้าไมทันขามวันก็เริ่มรูสึกรอนๆ หนาวๆ จากนั้น เล่ากันว่าจระเข้ที่ตาซื้อมาในราคาสามพันได้กินตาเสียแล้ว ทั้งยังสั่งสอนกันสืบต่อมาว่าห้ามเลี้ยง
ไมนานเหลาอีกาก็พากันเจ็บปวยลมตายกันทีละตัวสองตัว ในที่สุดก็เหลือแตซากความทรงจํา
สุดทายของอีกาที่อยากจะเปนหงส ลูกเสือ ลูกจระเข้ และเรียกต�าบลที่ตั้งบ้านเรือนของตายายนั้นว่าต�าบลจระเข้สามพัน
ฉบับ
เฉลย ๑. ใครทําอะไร
เหลาอีกาพากันทิ้งรังเกายายไปอยูใกลกับริมลําธาร แลวพากันเลนนํ้าทั้งวันทั้งคืน
...............................................................................................................................................................................................................................................
นิทานเรื่องนี้มีเจตนาสอนว่า ต้องมีวิจารณญาณในการช่วยเหลือคน ควรพิจารณาว่า
...............................................................................................................................................................................................................................................
๒. เพราะเหตุใด
สิ่งใดควรท�า สิ่งใดไม่ควรท�า ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ร้ายเพราะมันอาจเป็นอันตรายได้
เหลาอีกาอยากมีขนสีขาวเหมือนหงส และคิดวาที่หงสมีขนสีขาว เพราะชอบลงอาบนํ้าบอยๆ
...............................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................
๓. ผลเปนอยางไร
ขนของอีกาก็ยังคงเปนสีดําเหมือนเดิม และอีกาทั้งหลายก็เจ็บปวยลมตาย
...............................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................
๔. สรุปใจความสําคัญของนิทานเรื่องนี้
เหลาอีกาอยากมีขนสีขาวเหมือนหงส คิดวาที่หงสมีขนสีขาวเพราะหงสชอบลงอาบนํ้าบอยๆ
...............................................................................................................................................................................................................................................
เหลาอีกาจึงพากันลงเลนนํา้ ทัง้ วันทัง้ คืน จากนัน้ ไมนานเหลาอีกาทัง้ หลายก็พากันเจ็บปวยลมตาย
...............................................................................................................................................................................................................................................
๕. นิทานเรื่องนี้ใหขอคิดอะไร
จงพอใจในสิ่งที่ตนมี
...............................................................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................................................
๑๐
16
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
บุคคลในขอใดขาดพื้นฐานสําหรับการอานจับใจความสําคัญ
ครูควรอธิบายใหนักเรียนเขาใจวา ยังมียอหนาอีกลักษณะหนึ่งซึ่งไมปรากฏ 1. กอนอานหนังสือทุกครั้งปกรณจะตองศึกษาสวนประกอบตางๆ
ใจความสําคัญในลักษณะประโยคใจความสําคัญที่ชัดเจน ซึ่งเปนหนาที่ของผูอาน ของหนังสือ
ที่จะตองอานขอความในยอหนานั้นๆ ทั้งหมด เพื่อประมวลใหทราบใจความสําคัญ 2. อรทัยจะตองตั้งจุดมุงหมายในการอานทุกครั้งเพื่อกําหนดวิธีการอาน
ดวยตนเอง จากขอความนี้ “คนกรีกโบราณเชื่อวากอนเมฆชนกัน พลังปะทะ ของตนเอง
ทําใหเกิดเสียงและเรียกฟารอง ฟาแลบ สวนเหตุการณฟาผานั้นเกิดจากองคเทพซุส 3. สมรอานเรื่องลูกชาวนาแลวเขาใจชาวนาเพราะมีแมเปนชาวนา
ทรงใชพระแสงสายฟาฟาดฟนประหารศัตรู สําหรับคนไทยโบราณเชื่อวา ฟาแลบ 4. ณภัทรไดฉายาวาหนอนหนังสือเพราะอานหนังสือเกือบทุกประเภท
เกิดเวลาที่นางเมขลาเอาแกวมาลอรามสูรและฟาผาอุบัติยามขวานที่รามสูรขวาง
ตกลงบนโลก” ไมปรากฏประโยคใจความสําคัญที่ชัดเจน แตเมื่อผูอานไดอานเรื่อง วิเคราะหคําตอบ การอานจับใจความสําคัญใหมีประสิทธิภาพผูอาน
ทั้งหมด จะสามารถประมวลไดวาใจความสําคัญของขอความนี้คือ “ความเชื่อเรื่อง จะตองมีความรูเกี่ยวกับสวนประกอบตางๆ ของหนังสือ ตั้งจุดมุงหมาย
ฟาแลบ ฟาผา ของแตละชนชาติมีความแตกตางกัน” เพื่อกําหนดวิธีการอานของตนเอง ควรมีภูมิหลังที่สอดคลองตอเรื่องที่อาน
เพื่อใหงายตอการทําความเขาใจเนื้อหาสาระ การอานหนังสือทุกประเภท
แตไมมีการตั้งจุดมุงหมายขณะอาน ไมเรียกวาผูนั้นมีพื้นฐานของการอาน
จับใจความสําคัญ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
16 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 2
บทร้อยกรองที่นÓมาอ่านจับใจความสÓคัญ สงตัวแทน 2 คน ออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “การอานจับใจความสําคัญ
บทละครนอก เรื่องสังข์ทอง งานเขียนประเภทรอยกรอง” ใหเพื่อนๆ ฟง
(๑) มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวยศวิมลไอศวรรย์ หนาชั้นเรียน
ไร้บุตรสุดวงศ์พงศ์พันธุ์ วันหนึ่งนั้นไปเลียบพระนคร 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
ราษฎรร้องว่าให้หาบุตร พระทรงภุชร้อนจิตดังพิษศร • การจับใจความสําคัญงานเขียนประเภท
มิได้เสวยสรงสาคร นั่งนอนร้อนใจใช่พอดี รอยกรองมีลักษณะสําคัญอยางไร
ประชาชนจนจิตไม่คิดหวัง ยิ่งประดังพลุกพล่านทั้งกรุงศรี (แนวตอบ รอยกรองเปนงานเขียนที่กําหนด
เวทนาเป็นพระยาสมบัติมี มาไร้ที่โอรสยศไกร บังคับฉันทลักษณ ดังนั้นผูเขียนจึงตอง
จึงด�ารัสตรัสเล่ามเหสี ถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข เลือกใชคําที่สื่อความหมายไดครบถวน
เจ้ามาช่วยพี่คิดนะดวงใจ ค้นคว้าหาไปดูตามบุญ
ในขณะเดียวกันก็ตองคํานึงถึงฉันทลักษณ
บวงสรวงซ่องเซ*ทุกเวลา รักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน
ผูอานจึงตองเขาใจความหมายของคํา
ถ้วนทุกนางในให้พร้อมมุล เกลือกบุญของใครได้สร้างมา
แตละคําอยางลึกซึ้ง จึงจะสามารถเขาใจ
(บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ความหมายโดยรวมหรือใจความสําคัญ
1 ของรอยกรองบทนั้นๆ ได)
การอ่ า นจ
นจั บ ใจความส� าคั
า คั ญ ท� า ให้ ผู ้ อ ่ า นเข้ า ใจเรื่ อ งที่ อ ่ า นได้ อ ย่ า งรวดเร็ ว และถื อ เป็ น 3. นักเรียนรวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะ
การฝึกกระบวนการทางความคิดที่ดี ช่วยให้ผู้อ่านสามารถคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วและมี รอยกรองที่กําหนดให ตอไปนี้
ประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้อ่านสามารถจับใจความส�าคัญในเรื่องที่อ่านได้ดี ย่อมส่งผลให้ผู้อ่าน “ลูกก็แลดูแมแมดูลูก
เข้าใจและเรียนรู้สิ่งนั้นๆ ได้เร็วขึ้น ดังนั้น การอ่านจับใจความส�าคัญจึงเป็นทักษะพื้นฐานส�าคัญ ตางพันผูกเพียงวาเลือดตาไหล
ที่ควรหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ สะอื้นรํ่าอําลาดวยอาลัย
แลวแข็งใจจากนางตามทางมา
การอ่านจับใจความสÓคัญบทร้อยกรองเรื่อง สังข์ทอง เหลียวหลังยังเห็นแมแลเขมน
แมก็เห็นลูกนอยละหอยหา
ใจความส�าคัญของบทละครนอก เรือ่ งสังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธ- แตเหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ
เลิศหล้านภาลัย ตอนก�าเนิดพระสังข์ กล่าวถึงท้าวยศวิมลพบว่าประชาชนต่างมีความทุกข์ที่
พระองค์ไม่มพี ระราชโอรส ท�าให้พระองค์รสู้ กึ ร้อนพระทัยจึงให้พระมเหสีและสนมทัง้ ปวงช่วยกัน
โอเปลาตาตางสะอื้นยืนตะลึง”
สวดมนต์ รักษาศีลเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มีพระราชโอรสสืบราชสมบัติ จากนั้นรวมกันจับใจความสําคัญตามแนวทาง
แก่นของเรื่องแสดงให้เห็นถึงความคิดและความเชื่อของคนไทยในการให้ความส�าคัญแก่ ที่ไดศึกษา โดยอาจดูตวั อยางไดจากหนังสือเรียน
ลูกชาย โดยเชือ่ ว่าการจะได้สงิ่ ใดสมดังปรารถนาจะต้องสวดมนต์ออ้ นวอน ขอพรจากสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ภาษาไทย หนา 17
17
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเปนสาระสําคัญของขอความตอไปนี้
1 การอานจับใจความสําคัญ ใหเขาใจงายและรวดเร็ว ผูอานควรมีแนวทางและ
คนสวนใหญไมคอ ยรูต วั ยังคงอยากไดอะไรทีม่ ากขึน้ ๆ ไมวา จะเปนเงินทอง
พื้นฐาน ดังตอไปนี้
เกียรติยศชื่อเสียงหรือความรัก และก็มักจะไมไดดังใจนึก ความทุกขก็ยิ่ง
• มีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับสวนประกอบตางๆ ของหนังสือ เชน ชื่อเรื่อง
มากขึ้นตามวัยที่มากขึ้นดวย
คํานํา สารบัญ โดยเฉพาะชื่อเรื่อง ซึ่งถือเปนใจความสําคัญที่สุดของเนื้อหา
1. ความอยากของมนุษยเพิ่มตามอายุ
เรื่องนั้นๆ กลาวคือ เนื้อหาในทุกๆ สวนของเรื่องยอมเชื่อมโยงสูชื่อเรื่อง
2. คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความตองการจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งสิ้น
3. ถามนุษยอยากไดไมมีที่สิ้นสุด ก็จะยิ่งมีแตความทุกข
• ตั้งจุดมุงหมายในการอาน เพื่อใชเปนแนวทางกําหนดวิธีการอานให
4. ความทุกขของมนุษยเกิดจากความตองการในทรัพยสิน เงินทอง
เหมาะสม และจับใจความสําคัญหรือหาคําตอบไดรวดเร็วขึ้น
วิเคราะหคําตอบ สาระสําคัญของขอความนี้ คือ มนุษยทกุ คนมีความอยาก • มีทักษะทางดานภาษาสามารถเขาใจความหมายของคําศัพทตางๆ
ความตองการไมมีที่สิ้นสุด เมื่ออยากไดก็ยอมมีแตความทุกขที่ไมมีสิ้นสุด • มีประสบการณหรือภูมิหลังเกี่ยวกับเรื่องที่อาน เขาใจลักษณะของหนังสือ
เชนกัน ดังนั้นจึงตอบขอ 3. แตละประเภทที่มีรูปแบบและเปาหมายการเขียนที่แตกตางกัน
คูมือครู 17
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngagew
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุน ความสนใจดวยกิจกรรม โดยให
นักเรียนรวมกันอานออกเสียงทํานองเสนาะรอยกรอง ๒ การอ่านตีความ
ทีก่ าํ หนดใหตอ ไปนี้ พรอมๆ กัน และตอบคําถาม การอ่านเพือ่ ตีความ คือ การอ่านเพือ่ คิดพิจารณาความหมายทีผ่ สู้ ง่ สารสือ่ ความหมายได้อย่าง
“ภพนี้มิใชภพหลาหงสทอง เดียวเอย
ถูกต้อง ตรงตามจุดประสงค์ โดยพิจารณาจากความหมายของถ้อยค� าต่างๆ ที่ผู้เขียนน�าเสนอให้
กาก็เจาของครอง ชีพดวย
รอบด้านก่อนสรุปสาระทั้งหมดที่ได้จากเรื่องที่อ่าน
เมาสมมติจองหอง หินชาติ
การพิจารณาความหมายของถ้อยค�ามี ๒ ลักษณะ คือ
นํ้ามิตรแลงโลกมวย หมดสิ้นสุขศานต”
พิจารณาความหมายโดยตรง หมายถึง การแปลความหมายตามตัวอักษรอย่างตรงไป
(อังคาร กัลยาณพงศ)
• นักเรียนคิดวาคําประพันธขางตนมีแนวคิด ตรงมาตามพจนานุกรม ซึ่งผู้รับสารสามารถเข้
1 าใจได้ทันที
อยางไร พิจารณาความหมายโดยนัย หมายถึ2ง การแปลความหมายที่แฝงไว้ในถ้อยค�า หรือข้อความ
(แนวตอบ ถายทอดแนวคิดเกี่ยวกับการพึ่งพา โดยผู้รับสารต้องสังเกตข้อความที่แวดล้อมม ท่าที น�้าเสียง เจตนาของผู้ส่งสาร หรือเหตุการณ์
อาศัยซึ่งกันและกัน การมีมิตรไมตรีที่ดีตอกัน ที่เกี่ยวข้องที่จะเชื่อมโยงให้ความหมายโดยนัยเด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งผู้รับสารสามารถตีความไปได้หลายแง่
หากปราศจากสิ่งนี้สังคมมนุษยก็จะไรซึ่ง หลายมุม แตกต่างกันไปตามความรู้ ความคิด เพศ วัย และประสบการณ์ของแต่ละคน
ความสุข สงบ)
๒.๑ หลักการอ่านตีความ
สํารวจคนหา Explore การอ่านตีความเป็นการฝึกทักษะกระบวนการคิด เมื่อได้รับรู้สิ่งใดมาต้องคิดวิเคราะห์ วิจารณ์
คิดไตร่ตรองหาเหตุผล จะท�าให้เกิดปัญญา มีวิจารณญาณในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารยิ่งขึ้น การตีความ
นักเรียนรวมกันสํารวจคนหาความรูในประเด็น ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาของเรื่องหลายแง่มุมลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท�าให้เห็นคุณค่าของวรรณกรรมหรือ
ที่กําหนด โดยสืบคนจากแหลงการเรียนรูตางๆ เชน วรรณคดีทขี่ อ้ เขียนนัน้ เชือ่ มโยงไปถึง เห็นคุณค่าของชีวติ สิง่ แวดล้อม สะท้อนให้เห็นถึงความรูส้ กึ เหตุผล
ตําราวิชาการ อินเทอรเน็ต หรือแหลงการเรียนรูอ นื่ ๆ ของพฤติกรรมของมนุษย์
ที่สามารถเขาถึงได จากนั้นให แบงกลุม 5 กลุม หลักการปฏิบัติของการอ่านตีความ มีดังนี้
โดยมี จํ า นวนสมาชิ ก 3-5 คนส ง ตั ว แทนออกมา ๑. อ่านเนื้อหาสาระของเรื่องให้ละเอียด จับใจความส�าคัญของเรื่องที่อ่าน
จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรู ดังนี้ ๒. พิจารณาความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่โดยสังเกตการใช้ถ้อยค�า
หมายเลข 1 การอานตีความรอยกรอง
ส�านวน โวหารที่ปรากฏ
หมายเลข 2 การอานตีความรอยแกวประเภท
๓. พิจารณาว่าผู้เขียนใช้สัญลักษณ์ที่ผู้อ่านต้องหาความหมายที่แฝงอยู่
นิทาน
๔. คิดวิเคราะห์ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน
หมายเลข 3 การอานตีความบทความ
หมายเลข 4 การอานตีความเอกสารคูมือ ๕. พิจารณาบริบทข้อความหรือเหตุการณ์แวดล้อมในสถานการณ์นั้นๆ พิจารณาน�้าเสียง
หมายเลข 5 มารยาทการอาน ความรู้สึก ทรรศนะของผู้เขียนว่ามีแนวคิด อารมณ์ ความรู้สึกอย่างไร
๖. จัดล�าดับใจความ เนื้อหาสาระ สรุปความคิดใหม่ ด้วยภาษาของตนเองหรืออธิบาย
ขยายความเพิ่มเติมด้วยใจที่เป็นกลาง ปราศจากอคติ
18
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดปรากฏคําที่มีความหมายโดยนัย
1 ความหมายโดยนัย หรือความหมายนัยประหวัด หมายถึง คําที่มีความหมาย 1. ปฐมพงษเดินไปที่หองครัวแลวลื่นลมเตะแกวแตก
ที่เกิดจากการนึกคิด เชื่อมโยงไปถึงสิ่งอื่น ซึ่งอาจเปนนามธรรม การกระทํา เปนการ 2. กระโปรงตัวนี้ตัดเย็บสวยเตะตาฉันจริงๆ เชียว! เธอ
ใชคําที่ทําใหสื่อความหมายไดลึกซึ้ง หรือมีชั้นเชิง โดยคําที่มีความหมายนัยประหวัด 3. โดงซอมเตะฟุตบอลที่สนามกีฬาของโรงเรียนทุกๆ เย็น
มีทงั้ ทีเ่ ปนคน สัตว สิง่ ของ ผูร บั สารทีม่ ปี ระสบการณทางภาษายอมจะเขาใจความหมาย 4. จอยเตะสุนัขที่กําลังจะเดินตรงเขามากัดที่โคนขาของเขา
เชน พราน หมายถึง ผูล า , มัจจุราช หมายถึง ความตาย, เตา หมายถึง ความเชือ่ งชา
โบราณ ความขลาด วิเคราะหคําตอบ เมื่อพิจารณาจากตัวเลือกทั้ง 4 ขอ คําที่จะตอง
2 ขอความที่แวดลอม หรือเรียกวา บริบท จะชวยบอกใหผูรับสารทราบวาคํานั้นๆ พิจารณาคือคําวา “เตะ” ซึ่งขอ 1., 3. และ 4. คําวา “เตะ” เปนคํากริยา
ในที่นั้นใชความหมายตรงหรือความหมายโดยนัย เชน “สินคานี้ผลิตจากมันสมองของ ที่มีความหมายปรากฏตามรูปคําหรือมีความหมายนัยตรง โดยหมายถึง
คนไทย” คําวา มันสมอง ปกติมักทําใหผูรับสารนึกถึงอวัยวะภายในกะโหลกศีรษะ “วัดหรือเหวี่ยงไปดวยเทา” สวนคําวา “เตะ” ในขอ 2. มีความหมาย
ซึง่ เปนความหมายโดยตรง แตในทีน่ บี้ ริบทชวยใหเขาใจวาเปนการใชความหมายโดยนัย โดยนัยซึ่งหมายถึง “สะดุดตา” ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
หมายถึง ความคิด สติปญญา ภูมิปญญา
18 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 1
การอ่านตีความบทร้อยกรอง สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น
“แนวทางการอานตีความรอยกรอง” โดยใช
เมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์ ขอมูลที่ไดจากการสังเคราะหความรูรวมกัน
เทพไทอุปถัมภ์น�าชัก นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง กับเพื่อนในกลุม
นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน รูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมาอธิบายความรู
ใครใครไม่เห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา เกี่ยวกับการอานตีความรอยกรอง โดยวิธีการ
ชะรอยบุญไซร้จึงได้เห็น ต่อจะเป็นคู่ครองกระมังหนา ตั้งคําถาม
คิดพลางนางเสี่ยงมาลา แม้ว่าเคยสมภิรมย์รัก • จากบทละครนอกเรือ่ งสังขทอง หากนักเรียน
ขอให้พวงมาลัยนี้ไปต้อง เจ้าเงาะรูปทองจงประจักษ์ จะทําความเขาใจความหมายของรอยกรอง
เสี่ยงแล้วโฉมยงนงลักษณ์ ผินพักตร์ทิ้งพวงมาลัยไป จะตองตีความจากสิ่งใด
1 (แนวตอบ การตีความ คือ การพิจารณา
(บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
ความหมายของงานเขียนที่ผูสงสารนําเสนอ
จากกลอนบทละครบทนี้ปรากฏค�าที่จะต้องพิจารณาความหมายอยู่สองค�า คือ เงาะกับ ดังนั้น การอานตีความรอยกรอง ผูอาน
ทอง ความหมายโดยตรงของ “เงาะ” หมายถึง คนป่า ส่วนความหมายโดยตรงของ “ทอง” หมายถึง จะตองพิจารณาถอยคําที่ปรากฏวามี
“ธาตุแท้ชนิดหนึ่ง เนื้อแน่น สีเหลืองสุกปลั่ง” ในการอ่านตีความจึงควรหาความหมายโดยนัยของค�า ความหมายไปในทิศทางใด เปนความหมาย
ทั้งสอง ความหมายโดยนัยของ “เงาะ” คือ รูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่งดงาม ไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจ ตามรูปคําหรือความหมายโดยนัย ซึ่งผูอาน
ส่วนความหมายโดยนัยของ “ทอง” หมายถึง คุณความดีหรือเนื้อแท้ของคน การที่นางรจนาเสี่ยง จะตองพิจารณาจากบริบทหรือขอความ
พวงมาลัยเลือก เงาะ ชี้ให้เห็นว่านางมองข้าม “เปลือก” หรือรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้น การจะเลือก ที่แวดลอมคํานั้นๆ)
คบหาผู้ใด ควรมองข้ามเปลือกหรือสิ่งที่ห่อหุ้มซึ่งเป็นการปรุงแต่งนั่นคือ ควรมองให้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้
การอ่านตีความบทร้อยแก้วประเภทนิทาน
สติกเกอร์คนโง่
ที่ร้านแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ร้านที่ได้ชื่อว่าขายทุกสิ่งทุกอย่าง จนมีคนพูดกันเล่นๆ ว่า หาก
อยากได้ไม้จิ้มฟัน หรือเรือรบก็สามารถหาได้จากร้านนี้ ตรงเคาน์เตอร์จ่ายเงิน นอกจากถ่าน-
ไฟฉาย ยาอม และขนมขบเคี้ยวแล้ว ยังมีกล่องใส่สินค้าเล็กๆ กล่องหนึ่งตั้งอยู่ ดูจากฝุ่นที่จับและ
จ�านวนสินค้าที่ยังวางอยู่เต็มกล่องก็คงพอดูออกว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีใครสนใจ ยิ่งมีตัวหนังสือเขียน
ไว้ที่กล่องว่า สติกเกอร์คนโง่ ยิ่งท�าให้ไม่มีใครอยากยุ่งกับสินค้ากล่องนี้ แล้ววันหนึ่งก็มีเด็กชาย
คนหนึ่งชื่อ จ้อย เข้ามาถามถึงสินค้าตัวนี้ หลังจากที่ด้อมๆ มองๆ อยู่หลายวัน
“มันใช้อย่างไร” เด็กชายจ้อยถามคนขาย
19
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
การอานตีความรอยกรองใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุดจะตองมีทักษะ
พื้นฐานความรูในเรื่องใด 1 บทละครนอก หรือละครนอก เปนละครที่ชาวบานชายลวนเปนผูแสดง มีมา
ตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยา เหตุที่เรียกวาละครนอก สันนิษฐานวาละครนอกเปนละคร
แนวตอบ ผูอานจะตองมีความรูเกี่ยวกับเรื่องที่อาน ทราบภูมิหลังของ ของชาวบานที่แสดงนอกเขตพระราชฐาน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย
เรื่องและผูเขียน เพื่อใหสามารถตีความไดครอบคลุม นอกจากนี้ยังตองมี ทรงพระราชนิพนธบทละครนอกขึ้น 5 เรื่อง คือ สังขทอง ไชยเชษฐ มณีพิชัย
ความรูเ กีย่ วกับคําศัพทตา งๆ ทัง้ คําไทยแท และคํายืมจากภาษาตางประเทศ ไกรทอง และคาวี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจาอยูหัวเมื่อครั้งดํารงพระอิสริยยศ
เพราะผูแตงมักจะใชศัพทที่ปกติไมใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน นอกจากนี้ เปนกรมหมื่นเจษฎาบดินทรก็ทรงพระราชนิพนธเรื่องสังขศิลปชัยถวายอีกหนึ่งเรื่อง
เพื่อความโดดเดนทางดานภาษาผูแตงบางคนยังไดมีการผูกศัพทขึ้นใหม จึงเปนบทละครนอก พระราชนิพนธในรัชกาลที่ 2 รวม 6 เรื่อง
เพราะสารประเภทรอยกรองมุงถายทอดเนื้อหาที่เปนคุณธรรม ปรัชญา
ที่ลึกซึ้ง ผูเขียนจึงตองถายทอดในลักษณะของการเปรียบเทียบ และใช
สัญลักษณ เปนตน
คูมือครู 19
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 2
สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น “ง่ายมาก” คนขายตอบพลางหยิบสติกเกอร์ขึ้นมาให้จ้อยดู มันเป็นสติกเกอร์ดวงกลมๆ
“การอานตีความนิทาน” โดยใชขอมูลที่ไดจาก สีส้มๆ ข้างในมีตัวหนังสือเขียนว่า “โง่” ค�าเดียวแค่นั้น “ถ้าเราอยากหายโง่ในเรื่องใดก็จงเอา
การสังเคราะหความรูรวมกันกับเพื่อนในกลุม สติกเกอร์นี้ไปแปะไว้ เช่น ถ้าอยากหายโง่เรื่องท�าครัวก็เอาไปแปะประตูครัว อยากหายโง่
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู ในต�าราเรียนเล่มไหนก็เอาสติกเกอร์คนโง่ไปแปะไว้ ง่ายๆ แค่นี้เอง”
เกี่ยวกับการอานตีความรอยแกวประเภทนิทาน
คนในร้ า นได้ ยิ น คนขายพู ด ค� า ว่ า โง่ ก็ หั น มามองทั น ที ค่ า ที่ ไ ม่ เ คยมี ใ ครซื้ อ สติ ก เกอร์
โดยวิธีการตั้งคําถาม
ประหลาดนี้เลย เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องประหลาดแน่นอน
• ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการอานตีความ
“แล้วมันจะหายโง่จริงๆ หรือ หนึ่งแผ่นมีกี่ดวง” เด็กชายจ้อยส่งเงินให้
รอยแกวประเภทนิทาน มีประโยชนอยางไร
“หนึ่งร้อยดวง” คนขายทอนเงิน “หายโง่แน่นอนไอ้หนู”
(แนวตอบ ทักษะการอานตีความ มีความสําคัญ
และจําเปนตอการอานสิ่งพิมพทุกประเภท เด็กชายจ้อยเดินถือสติกเกอร์ออกจากร้านไป ผู้คนพากันซุบซิบ แทบทุกคนลงความเห็นว่า
สําหรับการอานนิทาน ทักษะการตีความจะ เด็กชายจ้อยนั้นท่าจะเป็นเด็กโง่จริงๆ เพราะหลงไปซื้อของบ้าๆ บอๆ ไร้สาระอย่างนี้
ทําใหผูอานสามารถรับรู และเขาใจแนวคิด เด็กชายจ้อยแกะสติกเกอร์ดวงแรกมาติดที่เสาไฟข้างถนนที่เขาเดินผ่าน “ฉันไม่เข้าใจเรื่อง
ที่ผูเขียนสอดแทรกไวภายในเรื่องได) ไฟฟ้าทีค่ รูสอนเลย” แล้วก็ตดิ ทีร่ ถจักรยานของเขา “ใครหนอประดิษฐ์มนั ขึน้ มา จักรยานช่างเป็น
พาหนะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
เมื่อถึงบ้าน เด็กชายจ้อยก็ติดสติกเกอร์บนหนังสือแทบทุกเล่ม เขาติดลงที่ว่าวจุฬาที่
ลุงจอมเหลาไม้ทา� ให้ เขาก็ไม่รอู้ ะไรเกีย่ วกับว่าวจุฬาเลยนี ่ และไม่ทนั จะข้ามคืนดี ของในบ้านของ
เด็กชายจ้อยก็ถูกติดไว้แทบทุกอย่าง บนกระเป๋านักเรียน บนรองเท้าผ้าใบ บนหมวกลูกเสือ ฯลฯ
รุ่งเช้า เป็นดังที่คาดเมื่อเด็กชายจ้อยเดินไปโรงเรียน เขาก็ถูกเด็กในโรงเรียนล้อเลียน
เอาทันทีทที่ กุ คนมองเห็นสติกเกอร์ทตี่ ดิ อยูต่ ามกระเป๋าและรองเท้า เด็กบางกลุม่ ถึงกับร้องตะโกน
ต่อเป็นทอดๆ ว่า “ไอ้โง่ ไอ้โง่ ไอ้โง่”
แม้เรือ่ งนีถ้ งึ ครูฝา่ ยปกครอง และครูกไ็ ด้กา� ราบเด็กทีก่ ลัน่ แกล้งเด็กชายจ้อย แต่เอาเข้าจริงๆ
ครูแทบทั้งโรงเรียนก็คิดเหมือนเด็กพวกนั้นว่าเด็กชายจ้อยเป็นเด็กโง่
๒๕ ปีผ่านไป
เด็กชายจ้อยเติบโตเป็นดอกเตอร์จ้อยผู้มีปริญญาเอกถึง ๓ ใบ ทุกวันนี้ดอกเตอร์จ้อยเป็น
อาจารย์พเิ ศษในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เขาได้รบั รางวัลนักวิจยั ดีเด่น ๔ ปีตดิ ต่อกัน ส�าหรับแวดวง
การศึกษาแล้ว ดอกเตอร์จอ้ ยได้รบั การยอมรับว่า เขาเป็นนักวิจยั ทีฉ่ ลาดทีส่ ดุ คนหนึง่ ของประเทศ
ถ้าใครจะสังเกตเสียหน่อยว่าบนแฟ้มเอกสารที่ดอกเตอร์จ้อยถือเดินไปมาระหว่างบรรยาย
ในการประชุมระดับชาติ ตรงด้านหน้าแฟ้มมีสติกเกอร์ที่ติดมานานจนสีซีดแล้วดวงหนึ่ง และถึง
แม้จะขาดรุ่งริ่งแต่ถ้าจะอ่านจริงๆ ก็คงแกะเป็นค�าออกมาได้ว่า “โง่”
20
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การอานขาวใหมีประสิทธิภาพ หลังจากอานจบแลว นักเรียนคิดวา
ครูควรใหนกั เรียนไดฝก อานตีความงานเขียนประเภททีห่ ลากหลาย ไมวา จะเปน ควรตั้งคําถามใดกับตนเอง
บทความ ขาว หรือรอยกรอง ซึ่งการอานขาวจะมีหลักการวา จะตองอานพาดหัวขาว
กอนเสมอ เพื่อใหทราบเรื่องราวทั้งหมด แลวจึงอานสรุปขาวยอๆ ซึ่งขาวทุกขาวจะ แนวตอบ • อานไดรวดเร็วและเขาใจเนื้อเรื่องโดยตลอดหรือไม
มีการสรุปหัวขอขาวกอนที่จะบรรยายรายละเอียดจะทําใหผูอานทราบวาขาวนั้นเปน • ขาวนี้กลาวถึงอะไร ที่ไหน และผลจากขาวนี้เปนอยางไร
ขาวอะไร เกิดขึ้นที่ใด แลวจึงอานรายละเอียดของขาว แมวาขาวบางประเภทจะไม • ขาวนีเ้ ปนจริงหรือไม อยางไร มีขอ ความทีน่ า เชือ่ ถือไดหรือไม
ตองอาศัยทักษะการตีความมากนัก เพราะธรรมชาติของการเขียนขาวจะใชภาษาที่ หากผูอ า นตั้งคําถามและสามารถตอบคําถามไดครบถวนก็จะทําให
ทําใหทกุ คนสามารถเขาใจไดทนั ที แตขา วบางประเภท เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ การอานขาวในแตละครั้งเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ขาววิชาการตางๆ ตองอาศัยทักษะการตีความ ผูอ า นตองมีความรูเ กีย่ วกับเรือ่ งทีอ่ า น
ตองทราบภูมิหลังของขาว ตองมีประสบการณจึงจะสามารถตีความได ดังนั้นครูควร
คัดเลือกขาวทีม่ เี นือ้ หาสาระดังกลาวขางตน เพือ่ ใหนกั เรียนไดฝก ฝนทักษะการตีความ
20 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 3
ดอกเตอร์จอ้ ยมักให้สมั ภาษณ์เสมอว่า เขาเติบโตร�า่ เรียนหนังสือ และประสบผลส�าเร็จในชีวติ สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็น
ได้ด้วยสติกเกอร์วิเศษ “การอานตีความบทความ” โดยใชขอมูลที่ได
“ทุกครั้งที่ผมเห็นค�านี้ติดอยู่ที่ไหน มันท�าให้ผมรู้ว่าตัวเองยังโง่อยู่ และเมื่อผมรู้ว่าตัวเองโง่ จากการสังเคราะหความรูรวมกันกับเพื่อน
ผมก็พยายามศึกษาเรือ่ งนัน้ ๆ ไม่วา่ จะเป็นบัญชี ศิลปะ เครือ่ งยนต์ ตอนเด็กๆ ผมมีสติกเกอร์วเิ ศษนี้ ในกลุม
หลายร้อยดวง เด็กคนอื่นเก็บตังค์ไว้ซื้อของเล่น แต่ผมเก็บตังค์เพื่อซื้อสติกเกอร์คนโง่มาใช้ตลอด
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
การอานตีความรอยแกวประเภทบทความ
วัยเด็ก และถึงทุกวันนีผ้ มก็ยงั จินตนาการเห็นสติกเกอร์คา� นีต้ ดิ อยูบ่ นเรือ่ งทีผ่ มไม่เข้าใจตลอดเวลา”
โดยวิธีการตั้งคําถาม
(ประภาส ชลศรานนท์ : คอลัมน์ นิทานล้านบรรทัด นิตยสาร a day ฉบับที่ ๑๖๗ ประจ�าเดือนกรกฎาคม)
• งานเขียนประเภทบทความหากแยกประเภท
ตามลักษณะของเนื้อหา จะไดแกบทความ
จากนิทานข้างต้น ค�าส�าคัญคือ “สติกเกอร์คนโง่” ความหมายโดยตรงของค�า “โง่” คือ ประเภทใดบาง
“เขลา ไม่ฉลาด ไม่ร”ู้ หากอ่านอย่างตรงไปตรงมา การติดสติกเกอร์เป็นการระบุวา่ ผูใ้ ช้เป็นคนโง่ แต่เมือ่ (แนวตอบ บทความแสดงความคิดเห็น
ตีความในการหาความหมายโดยนัยของค�า “สติกเกอร์คนโง่” ตีความได้วา่ “สติกเกอร์” เป็นสัญลักษณ์ บทความทางวิชาการ บทความวิจารณ
หรือเครื่องเตือนใจ การติด “สติกเกอร์คนโง่” บนสิ่งของที่เขาไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ท�าให้เกิด บทความชีวประวัติ สารคดี เปนตน)
ความเพียรพยายามที่จะหาค�าตอบ ดังนั้น การอ่านตีความนิทานเรื่องนี้จึงสรุปได้ว่า ความคิดหรือ • เนื้อหาสาระที่ปรากฏในบทความ นักเรียน
ความเข้าใจว่าตนฉลาดนั้น ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ประสบความส�าเร็จในชีวิต แต่ต้องระลึกอยู่เสมอว่า คิดวาประกอบดวยอะไรบาง
ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ตนยังไม่รู้และต้องใช้ความพยายามเรียนรู้เพื่อหาค�าตอบ (แนวตอบ บทความจะตองประกอบไปดวย
1 ขอเท็จจริงและขอคิดเห็น)
การอ่านตีความร้อยแก้วประเภทบทความ • นักเรียนมีวิธีการอยางไรในการประเมิน
ความนาเชื่อถือของบทความที่ไดอาน
...เบื้องหน้าไกลๆ นั้น หมอและพยาบาลในเครื่องแบบสีขาวยืนกระจายกันอยู่เป็นจุดๆ
(แนวตอบ พิจารณาจากเนื้อหาวาประกอบ
กลิ่นฉุนๆ ของแอลกอฮอล์โชยคลุ้ง ขณะครูประจ�าชั้นพยายามจัดพวกเราเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง
ไปดวยขอเท็จจริงและขอคิดเห็นมากนอย
ผมได้ยินเสียงหวานๆ ของคุณป้าพยาบาลดังแว่วมา “ไม่ต้องกลัวนะคะ เจ็บเท่ามดกัด” ผม
เพียงใด)
ได้แต่แปลกใจ มดกัดยังไง เสียงร้องไห้ถึงได้ดังระงมขนาดนั้น! แถวฉีดวัคซีนเป็นแถวชนิดเดียว
• นักเรียนมีวิธีการอยางไรในการจําแนกวา
ในประเทศไทยที่ไร้การแซงคิว ไม่มีใครคิดแซงคิวใคร เด็กไทยมารยาทดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
ขอความใดเปนขอเท็จจริง ขอความใดเปน
เมื่อต้องมาเข้าแถวรับการฉีดวัคซีน หลายคนยอมสละคิวให้เพื่อนอย่างไม่รู้สึกเสียดาย และเท่าที่
ขอคิดเห็น
เห็นเพือ่ นๆ ก็มกั เกรงใจ จับล็อกคนข้างหน้าไว้ไม่ยอมให้มนั สละคิว ระหว่างโมงยามอันเลวร้าย ภาพ
(แนวตอบ ขอเท็จจริงเปนขอมูลที่สามารถ
เด็กนักเรียนวิง่ หนี (ตาย) ไปต่อท้ายแถวมีให้เห็นได้แทบจะตลอดเวลา แน่นอน ผมเป็นหนึง่ ในเด็ก
พิสูจนได มีหลักฐานทางวิชาการยืนยัน
เหล่านัน้ ยิง่ แถวค่อยๆ สัน้ ขาผมก็ยงิ่ สัน่ รูแ้ หละครับว่ายังไงก็คงต้องโดนเหมือนๆ กัน แต่ขอเวลา
ชัดเจน สวนขอคิดเห็นคือขอมูลที่เกิดขึ้น
ท�าใจอีกหน่อยจะได้มยั้ ส�าหรับผมในตอนนัน้ การหนีออกมาต่อท้ายแถวไม่ใช่เรือ่ งเลวร้าย จริงอยู่
จากทัศนคติหรือความรูสึกสวนตนของบุคคล
มันเป็นการกระท�าทีอ่ อกจะน่าอาย แต่ไม่วา่ อย่างไร มันก็ยงั น่าอายน้อยกว่าเพือ่ นๆ อีกหลายคนที่
และเปนการคาดคะเน)
21
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคัดสรรบทความแสดงความคิดเห็นแลวใชทักษะการอาน เมื่อนักเรียนฝกปฏิบัติกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมแลว ควรตัง้ คําถามเพือ่ ใหนกั เรียน
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหาของบทความ ตีความเจตนาของผูเขียน รวมกันวิเคราะหวา บทความแสดงความคิดเห็นแตกตางจากบทความวิจารณอยางไร
วิเคราะหวาบทความมีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด แสดงผลการ ซึง่ การปฏิบตั กิ จิ กรรมทัง้ สองจะชวยฝกทักษะการอานจับใจความสําคัญ การอานตีความ
วิเคราะหในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู การจําแนกขอเท็จจริง ขอคิดเห็น การใหเหตุผล และทักษะกระบวนการคิดอยางมี
วิจารณญาณใหแกนักเรียน
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนคัดสรรบทความวิจารณ ใชทักษะการอานจับใจความสําคัญ 1 บทความ ตรงกับคําในภาษาอังกฤษวา “Article” เปนความเรียงที่เขียนขึ้น
สรุปเนื้อหาวาผูเขียนวิจารณเกี่ยวกับเรื่องใด วิเคราะหการใหเหตุผลหรือ จากขอเท็จจริงและมักจะแสดงความคิดเห็น ขอเสนอแนะไว แบงเปน 6 ประเภท
หลักทฤษฎีของผูเขียน แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบใบความรู ไดแก บทความกึ่งชีวประวัติ บทความสัมภาษณ บทความแสดงความคิดเห็น
เฉพาะบุคคล สงครู บทความทองเที่ยว บทความวิจารณ บทความทางวิชาการ
คูมือครู 21
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การจําแนกขอเท็จจริงและขอคิดเห็นทําแบบวัดฯ วิ่งหนีไปซะไกล เท่าที่ครูประจ�าชั้นตามจับกลับมาได้ ส่วนใหญ่หนีไปหลบกันอยู่ในห้องน�้า
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 1 หนวยที่ 2 กิจกรรม หลังโรงเรียน
ตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.2 ถ้าได้มาเห็นการต่อแถวฉีดวัคซีนของเด็กประถม คุณจะต้องหัวเราะด้วยความตลกขบขัน
✓ แบบวัดฯ
นึกถึงตัวเองในตอนนัน้ ผมยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เหล่าเด็กน้อยผูไ้ ม่ประสีประสา ทุกคนพยายาม
ใบงาน แบบฝกฯ
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.2 แก้ปญ ั หากันอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ผใู้ หญ่อย่างเราจัดการกับความกลัวได้ดกี ว่าเด็กประถมเหล่านัน้
เรื่อง การจําแนกขอเท็จจริงและขอคิดเห็น จริงหรือ?
กิจกรรมที่ ๒.๒ ใหนกั เรียนจัดประเภทของขอความตอไปนีใ้ หถกู ตอง
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได ในแต่ละวัน เรามีเรือ่ งให้กลัวกันมากมาย กับบางเรือ่ งเราพอหลบเลีย่ งได้ แต่หลายเรือ่ งไม่ตา่ ง
ñð
(ท ๑.๑ ม.๑/๓)
กับการเข้าแถวฉีดวัคซีน เรารู้ว่าอย่างไรเราก็ต้องเผชิญหน้ากับมันเข้าสักวัน บางคนกลัวความมืด
•
•
ผมชอบสีเขียวมากกวาสีมวง • กรุงเทพมหานครเปนเมืองหลวงของไทย
นิดาเปดรานขายเสื้อผาอยูที่หางสรรพสินคา • ถาเขาขยันมากกวานี้เขาคงไมสอบตก
บางคนกลัวความสูง บางคนกลัวที่แคบ บางคนกลัวการพูดในที่ชุมชน บางคนกลัวที่จะรับรู้
•
•
ผมวาเสื้อตัวนี้ไมเหมาะกับคุณ
เราควรมีความกตัญูตอผูมีพระคุณ
• ฉันเชื่อวาคุณไมไดทําอยางที่เขาพูด
• คุณพอไปเยี่ยมคุณปูที่กาญจนบุรี ความจริงบางอย่าง บางคนกลัวที่จะบอกความจริงบางอย่างกับใครสักคน บางคนกลัวความ
•
•
วันสงกรานตคือวันขึ้นปใหมของไทย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑ สอบไดคะแนนดีทุกคน เปลี่ยนแปลงในชีวิต บางคนกลัวที่จะต้องตัดสินใจเรื่องส�าคัญ ความกลัวเหล่านี้ยืนโบกมือ
ทักทายเราอยู่ข้างหน้า กลิ่นของมันที่โชยมา สร้างความกลัวให้เราได้ไม่ต่างกับกลิ่นแอลกอฮอล์
ขอเท็จจริง
• กรุงเทพมหานครเปนเมืองหลวงของไทย
................................................................................................................................................................................................................................................... ตอนยืนต่อแถวฉีดวัคซีน
• นิดาเปดรานขายเสื้อผาอยูที่หางสรรพสินคา
...................................................................................................................................................................................................................................................
• คุณพอไปเยี่ยมคุณปูที่กาญจนบุรี
...................................................................................................................................................................................................................................................
• วันสงกรานตคือวันขึ้นปใหมของไทย
ฉบับ
เฉลย เมือ่ ต้องเผชิญกับความกลัว บ่อยครัง้ เรามักท�าตัวเหมือนเด็กประถม กีค่ รัง้ ทีเ่ ราวิง่ วนกลับไป
...................................................................................................................................................................................................................................................
• นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๑ สอบไดคะแนนดีทุกคน
................................................................................................................................................................................................................................................... ต่อท้ายแถว กี่หนที่เราอ้างกับตัวเองว่าต้องการเวลาท�าใจ ยิ่งเราขยับเข้าใกล้สิ่งที่กลัวมากเท่าไร
...................................................................................................................................................................................................................................................
• ถาเขาขยันมากกวานี้เขาคงไมสอบตก
...................................................................................................................................................................................................................................................
• ผมวาเสื้อตัวนี้ไมเหมาะกับคุณ
ไม่แน่ใจว่าวันนั้นผมวนไปต่อท้ายแถวกี่รอบ เพื่อนคนแล้วคนเล่ากุมต้นแขนเดินสวนออกไป
...................................................................................................................................................................................................................................................
• ฉันเชื่อวาคุณไมไดทําอยางที่เขาพูด
...................................................................................................................................................................................................................................................
• เราควรมีความกตัญูตอผูมีพระคุณ
ยิ่งแถวสั้นลงเท่าไร กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ดูจะยิ่งฉุนขึ้นเท่านั้น ผมก�าลังคิดว่าจะวิ่งหนีออกไปอีก
...................................................................................................................................................................................................................................................
22
บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู การอานตีความสามารถบูรณาการไดกบั เรือ่ งการตีความหลักฐานทาง
ประวัตศิ าสตร ในกลุม สาระการเรียนรูส งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับบทความประเภทตางๆ เชน บทความทางวิชาการ
วิชาประวัตศิ าสตร เพือ่ สรางองคความรูท กี่ วางขวางใหแกนกั เรียน และทําให
เพือ่ สรางพืน้ ฐานความรู ความเขาใจใหแกนกั เรียน บทความทางวิชาการ เปนบทความ
ทราบวาการตีความไมจาํ เปนทีจ่ ะตองตีความผานตัวอักษรแตเพียงอยางเดียว
ที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวของกับวิชาการเปนความรูเฉพาะดาน ซึ่งผูเขียนบทความจะ
ยังมีสญั ลักษณ สิง่ ของอีกเปนจํานวนมากทีส่ ามารถตีความได โดยเฉพาะ
ตองมีความรู ความสนใจหรือมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสาขาใด
อยางยิง่ หลักฐานทางประวัตศิ าสตร โบราณคดี ซึง่ นักโบราณคดีจะสันนิษฐาน
สาขาหนึ่ง การเขียนบทความทางวิชาการผูเขียนจะตองมีหลักฐานอางอิงที่ถูกตอง
เกี่ยวกับวิถีชีวิตของผูคนในแตละชวงเวลาที่ยังไมมีการบันทึกเรื่องราว
ชัดเจน เชน ตัวเลขทางสถิติ ผลการทดลองที่ไดรับการรับรองแลว เปนตน รวมถึง
ไวเปนลายลักษณอกั ษร โดยตีความผานหลักฐานทางโบราณคดี
ผูเขียนจะตองแสดงความคิดเห็น ขอเสนอแนะแนวคิดหรือความรูใหมๆ ใหแกผูอาน
การปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ ครูอาจพานักเรียนไปเยี่ยมชม
เพื่อเปนประโยชนตอวงการการศึกษา หรือวงวิชาการตอไปในอนาคต ดังนั้นแลว
พิพิธภัณฑสถานแหงชาติประจําจังหวัด กําหนดหัวขอใหนักเรียนจาก
บทความทางวิชาการจึงประกอบไปดวยขอเท็จจริงและขอคิดเห็น ซึ่งบทความทาง
หลักฐานทางประวัติศาสตรที่จัดแสดง นักเรียนสามารถตีความเกี่ยวกับ
วิชาการที่มีความนาเชื่อถือหรือมีความสมเหตุสมผลจะตองประกอบดวยขอเท็จจริง
ประวัติความเปนมาของทองถิ่นไดอยางไร จากนั้นใหจับกลุม กลุมละ
ในอัตราสวนที่มากกวาขอคิดเห็น
3-5 คน รวมกันจัดปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติกลูกฟูก นําเสนอ
เกี่ยวกับประวัติศาสตรทองถิ่น สงครู
22 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
ความกลัวทีแ่ ตกต่างออกไป คราวนีผ้ มรูแ้ ล้วว่าจะเจอกับอะไร เข็มทีท่ มิ่ เนือ้ เข้าไปให้ความรูส้ กึ เจ็บ การอานตีความ อานบทความที่กําหนดให
แบบไหน ผมไม่ต้องคอยสร้างภาพอันเลวร้าย แล้วมากลัวภาพเลวร้ายที่ตัวผมสร้างมันขึ้นมาเอง ในแบบวัดฯ ภาษาไทย ม. 1 ตอนที่ 1
ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “จินตนาการส�าคัญกว่าความรู้” ผมว่ามันใช้ได้กับเรื่องส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่กับ หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 2.4
ความกลัว กับเรื่องความกลัว, ความรู้ส�าคัญกว่าจินตนาการ ✓ แบบวัดฯ
ใบงาน แบบฝกฯ
ก่อนหน้านี้ผมหนีทุกสิ่งที่ผมกลัว ผมคิดว่าการหนีคือการแก้ปัญหา แต่คิดหาทางหนีทีไร ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.4
ผมก็หาทางหนีทีไล่ไม่เคยเจอ การหนีอาจแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว การหนีอาจให้เวลาเราท�าใจ เรื่อง การวิเคราะหความนาเชือ่ ถือของบทความ
แต่การหนีไม่เคยท�าให้ความกลัวนัน้ หายไป เพราะการหนีไม่เคยท�าให้เราเข้าใจสิง่ ทีเ่ รากลัว วันนัน้
ผมเดินกุมต้นแขนออกมา ไม่ลืมที่จะยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเพื่อนๆ ที่ยังยืนขาสั่นอยู่ในแถว หลังฉีด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๒.๔ ใหนักเรียนอานบทความตอไปนี้แลววิเคราะห ñð
ความนาเชื่อถือของบทความ (ท ๑.๑ ม.๑/๖)
วัคซีนวันนั้น ไหล่ผมเจ็บจนยกแขนไม่ขึ้นไปอีกหลายวัน ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความ จากอุทกภัยทีเ่ กิดขึน้ ในพืน้ ทีภ่ าคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหลายจังหวัด อาทิ จังหวัด
.....................................................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................................................
๑๓
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนเลือกศึกษาขาวเศรษฐกิจคนละ 1 ขาว ใชทักษะการอาน เมื่อครูใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมแลว ควรสุมเรียกชื่อนักเรียน
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหา พิจารณาวาเนื้อหาของขาวประกอบขึ้นจาก ออกมาแสดงผลการวิเคราะหในเบื้องตน แลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกัน
ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น และขอสนับสนุนอยูในอัตราสวนเทาใด โดยสงผล การปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนมีหลักเกณฑสําหรับพิจารณาความนาเชื่อถือ
อยางไรตอความนาเชื่อถือของขาว แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบ ของขาวที่อานในชีวิตประจําวัน
ใบความรูเฉพาะบุคคล พรอมแนบสําเนาขาว สงครู
กิจกรรมทาทาย มุม IT
นักเรียนสามารถเขาไปสืบคนบทความทางวิชาการ หรือบทความประเภทอื่น
นักเรียนเลือกศึกษาขาววิชาการคนละ 1 ขาว ใชทักษะการอาน ไดจากเว็บไซต http://www.moe.go.th/main2/article/article.htm
จับใจความสําคัญสรุปเนื้อหา พิจารณาวาเนื้อหาของขาวประกอบขึ้นจาก
ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น และขอสนับสนุนอยูในอัตราสวนเทาใด โดยสงผล
อยางไรตอความนาเชื่อถือของขาว แสดงผลการวิเคราะหในรูปแบบ
ใบความรูเฉพาะบุคคล พรอมแนบสําเนาขาว สงครู
คูมือครู 23
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุมที่จับสลากไดหมายเลข 4 และ 5
สงตัวแทนออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับ
มอบหมาย โดยใชขอมูลที่ไดจากการสังเคราะห
๓ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ
นอกจากการอ่ า นจะเป็ น เครื่ อ งมื อ ที่ ใช้ แ สวงหาความรู ้ แ ละความบั น เทิ ง แล้ ว การอ่ า น
ความรูรวมกันกับเพื่อนในกลุม
ยังเป็นเครื่องมือส�าคัญที่ช่วยให้ผู้อ่านปฏิบัติตนในเรื่องต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เช่น การอ่านเอกสารคู่มือ
แนะน�าวิธกี ารใช้งานของเครือ่ งมือเครือ่ งใช้ตา่ งๆ ซึง่ อาจเรียบเรียงในลักษณะความเรียง แผนผัง แผนภาพ
ขยายความเขาใจ Expand รูปภาพ ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น แผ่นพับ ใบปลิว CD-ROM เป็นต้น โดยมีแนวทางการอ่าน ดังนี้
๑. อ่านอย่างช้าๆ เพื่อให้เข้าใจว่า เอกสารนั้นให้ปฏิบัติอะไร อย่างไร ไม่ควรคาดเดาเอง
1. นักเรียนอานคูมือปองกันไขหวัดใหญที่จัดทํา
๒. ถ้าไม่เข้าใจค�าแนะน�า หรือค�าสั่งให้สอบถามจากผู้รู้ หรือโทรศัพท์ถาม call center
โดยสํานักโรคติดตออุบัติใหม กรมควบคุม ๓. ปฏิบัติตามค�าสั่ง ค�าแนะน�าอย่างช้าๆ ทุกประการ
โรคติดตอ สุมเรียกชื่อนักเรียนตอบคําถาม สิ่งส�าคัญของการอ่านเพื่อปฏิบัติตามค�าแนะน�าเอกสารคู่มือ คือ การอ่านอย่างช้าๆ ละเอียด
โดยกําหนดสถานการณที่เปนปญหาเพื่อให รอบคอบ ไม่อ่านแบบผ่านๆ พอเข้าใจ หรือคาดเดาเอง เพราะหากความผิดพลาดเกิดขึ้นอาจส่ง
นักเรียนไดใชความรูที่ไดจากการอานคูมือ ผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้
ปองกันไขหวัดใหญแกปญหา จากนั้นนักเรียน
ทั้งชั้นเรียนรวมกันสรุปวิธีการอานเอกสารคูมือ ๔ มารยาทการอ่าน
ใหเกิดประโยชนสูงสุด เพื่อนําขอมูลที่ไดไป มารยาทเป็นวัฒนธรรมทางสังคม เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม ซึ่งสังคมยอมรับและยกย่อง
เผยแพรแกนักเรียนรวมโรงเรียนในลักษณะ มารยาทการอ่านจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะจะท�าให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้อ่านที่น่าชื่นชม นอกจากนี้
ของปายนิเทศประจําโรงเรียน ยังเป็นการแสดงถึงการมีสัมมาคารวะต่อสถานที่อีกด้วย ซึ่งมารยาทการอ่านที่ควรปฏิบัติ เช่น
2. นักเรียนเลือกอานบทความประเภทที่สนใจ ๑. การอ่านออกเสียงโดยไม่ได้เป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง ผู้อ่านไม่ควรอ่านเสียงดัง
โดยจับใจความสําคัญวาเปนเรื่องเกีย่ วกับอะไร ๒. อ่านให้ถูกต้องตามกาลเทศะ เช่น ไม่อ่านหนังสือเมื่ออยู่ในวงสนทนา ขณะฟังบรรยาย
ตีความเพือ่ แปลเจตนาของผูเ ขียน จากนั้นให ๓. ใช้หนังสือด้วยความระมัดระวัง ไม่พับฉีกให้ช�ารุดเสียหาย รวมถึงไม่ขีดเขียนวาดรูป
๔. ไม่ถือวิสาสะหยิบหนังสือของผู้อื่นมาอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต
วิเคราะหความนาเชือ่ ถือ หรือความสมเหตุสมผล
๕. ไม่อ่านสิ่งที่เป็นงานเขียนส่วนตัวของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต เช่น บันทึกส่วนตัว
ของบทความ โดยระบุวาสังเกตหรือประเมิน
๖. ไม่รับประทานอาหารขณะอ่านหนังสือเพราะจะท�าให้หนังสือเปรอะเปื้อนเกิดความสกปรก
จากสิ่งใด บันทึกเปนใบความรูเฉพาะบุคคล ๗. เมือ่ อ่านหนังสือในห้องสมุด หรือสถานทีซ่ งึ่ จัดไว้ให้อา่ นหนังสือโดยเฉพาะต้องไม่สง่ เสียงดัง
นําสงครู พรอมแนบสําเนาของบทความ รบกวนผู้อื่น รวมถึงควรปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของสถานที่นั้นอย่างเคร่งครัด
ที่เลือกอาน
3. นักเรียนรวมกันจัดปายนิเทศเกี่ยวกับมารยาท การอ่านตีความ คือ การอ่านเพือ่ ฝึกทักษะการคิด ผูอ้ า่ นต้องรูค้ วามหมายของคÓศัพท์
การอานประจําชั้นเรียน ต่างๆ ทังé ความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย เพือ่ สามารถแปลความและตีความได้
อาจกล่าวได้ว่า การอ่านตีความเป็นการฝึกทักษะการคิดและการพัฒนาตนเองให้มี
ความสามารถในการอ่านระดับสูงต่อไป นอกจากนีéการเป็นผู้มีความสามารถในการอ่าน
อย่างเดียวนัน é ไม่เพียงพอ จÓเป็นต้องมีมารยาทการอ่านด้วย เพราะมนุษย์ตอ้ งอยูร่ วมกัน
เป็นกลุ่ม หากผู้ใดผู้หนึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมย่อมส่งผลกระทบต่อส่วนรวมได้
24
ขอสอบ O-NET
เกร็ดแนะครู ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับการอานตีความเอกสารคูมือ
บุคคลในขอใดปฏิบัติตามแนวทางการปองกันโรคไขหวัดใหญ 2009
ครูควรแนะนําเกี่ยวกับการอานตีความเอกสารคูมือในบางเรื่อง โดยเฉพาะสินคา
ไดอยางถูกตอง
ที่เกี่ยวของกับความปลอดภัย ไมวาจะเปนอุปกรณอิเล็กทรอนิกส เครื่องใชไฟฟา
1. รุจนพกแอลกอฮอลเจลติดตัวเสมอ
อุปกรณทางการแพทย ยานพาหนะ เนื่องจากในเอกสารคูมืออาจมีคําศัพทหรือ
2. อานนทใชชอนกลางตักอาหารเสมอจนเปนนิสัย
ขอความบางแหงที่เปนเทคนิคเฉพาะดาน ซึ่งถาไมแนใจควรสอบถามจากผูผลิต
3. อภิชญากินอาหารเพื่อใหมีแรงทํางานโดยไมนอน
หรือผูรูกอน
4. ฤทธิ์เก็บตัวอยูที่บาน เพราะกลัวจะติดเชื้อโรคจากผูอื่น
วิเคราะหคําตอบ การพกแอลกอฮอลเจลติดตัวอยูเสมอไมสามารถ
ปองกันโรคไดอยางมีประสิทธิภาพ การรับประทานอาหาร แตไมพักผอน
จะทําใหรางกายทรุดโทรมเปนสาเหตุของการเกิดโรค และการเก็บตัว
อยูกับบาน ไมใชแนวทางการปองกันที่ถูกตอง และยังสงผลตอการ
ดําเนินชีวิตประจําวัน แนวทางการปองกันโรคไขหวัดใหญ 2009 ที่ถูกตอง
คือ การกินอาหารที่ปรุงสุกใหมๆ ใชชอนกลางตักอาหาร และรักษาความ
สะอาดดวยการลางมือ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
24 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมานําเสนอการจับใจความสําคัญ
บทความที่เลือกตามความสนใจ พรอมทั้ง
ตีความเจตนาของผูเขียนและวิเคราะห
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ความนาเชื่อถือของบทความ หนาชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอของนักเรียน
๑. การอ่านจับใจความส�าคัญควรมีหลักปฏิบัติอย่างไรบ้าง โดยพิจารณาวา
๒. การอ่านเพื่อตีความมีประโยชน์อย่างไร จงอธิบาย
๓. ความหมายโดยนัยคืออะไร จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
• สามารถจับใจความสําคัญของเรื่อง
๔. พฤติกรรมใดบ้างที่สะท้อนว่าบุคคลนั้นเปนผู้มีมารยาทการอ่าน ไดครบถวนหรือไม
• สามารถตีความเจตนาของผูเขียนถูกตอง
หรือไม
• มีหลักเกณฑที่เหมาะสมสําหรับการพิจารณา
ความนาเชื่อถือของบทความหรือไม อยางไร
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับการอาน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
จับใจความสําคัญ ตีความ และวิเคราะห
ความนาเชื่อถือของบทความที่เลือกอาน
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มเลือกอ่านบทความ ๑ บทความ จากงานเขียนสารคดี
โฆษณา ข่าว บทร้อยกรอง วารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ และส่ง ตามความสนใจ
ตัวแทนรายงานการตีความและสรุปเรื่องที่อ่านหน้าชั้นเรียน 2. ปายนิเทศประจําโรงเรียนเผยแพรเกี่ยวกับ
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนฝกตีความและสรุปสาระส�าคัญของข่าวที่น่าสนใจแต่ละวัน วิธีการอานเอกสารคูมือใหเกิดประสิทธิภาพ
ทางหนังสือพิมพ์ วันละอย่างน้อย ๑ ข่าว บันทึกลงสมุด ส่งครูทุกสัปดาห์ สูงสุด
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนรวบรวมค�าที่มีความหมายโดยนัยจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 3. ปายนิเทศประจําชั้นเรียนเกี่ยวกับมารยาท
แล้วช่วยกันตีความในกลุ่มของนักเรียน ครูช่วยแนะน�าเพิ่มเติม การอาน
กิจกรรมที่ ๔ นักเรียนแบ่งกลุ่มจับใจความส�าคัญหรือตีความจากเนื้อเพลงประจ�าโรงเรียน 4. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
ของนักเรียน
กิจกรรมที่ ๕ นักเรียนแบ่งกลุ่มฝกอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ น�าเสนอหน้าชั้นเรียน
25
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การอานจับใจความสําคัญ ผูอานจะตองมีสมาธิในการอาน ตั้งจุดมุงหมายใหชัดเจนวาอานเพื่ออะไร ผูอานตองตอบคําถามไดวาเรื่องที่อานเปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร
ใครทําอะไร กับใคร ที่ไหน อยางไร เมื่อไร และทําไม
2. การอานตีความเปนการรับสารในขั้นสูงที่ผูอานจะทราบเนื้อหาสาระของบทอานไดจากการตีความผานสัญลักษณที่ปรากฏในบทอาน และรวมถึงการตีความจาก
บริบทซึ่งแวดลอมบทอาน
3. ความหมายโดยนัย คือความหมายที่ไมไดปรากฏตรงตามตัวอักษร เชน วิชาภาษาไทยเปนวิชาที่หมูมาก “หมู” ในที่นี้มีความหมายวา “งายมาก” ซึ่งการใชคําที่มี
ความหมายโดยนัยมักจะใชสําหรับการถายทอดเรื่องราวเนื้อหาสาระที่มีลักษณะเปนการเปรียบเทียบ
4. พฤติกรรมที่สะทอนใหเห็นวาบุคคลนั้นๆ เปนผูมีวัฒนธรรมในการอาน เชน เมื่อเขาใชหองสมุดก็ปฏิบัติตามกฎที่กําหนดไวอยางเครงครัด ไมสงเสียงดังรบกวนผูอื่น
ไมขูด ลบ ขีด ทําลายหนังสือของหองสมุด เลือกอานหนังสือที่เปนประโยชนตอตนเอง เปนตน
คูมือครู 25
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจเกี่ยวกับการเรียนรูทักษะ
การเขียน ดวยการเลาวิวฒ ั นาการการเขียนของมนุษย
ใหนักเรียนฟง “ในอดีตมนุษยอาจใชนิ้วจุมดินหรือ
หินสีบดเปนผงผสมกับยางไม หรือกาวหนังสัตว
ตอนที่ ò การพัฒนาทักษะการเขียน
ขีดเขียน บนผนังถํ้าหรือเพิงผา จากการเขียน
บนผนังถํ้า ไดพัฒนาไปสูการเขียนบนแผนไม
แผนโลหะ ตลอดจนใบไมจาํ พวกใบลาน มาจนถึง
การประดิษฐกระดาษขึน้ ใช และในขณะนีค้ วามเจริญ
กาวหนาทางดานเทคโนโลยีการพิมพไดเขามามี
บทบาทแทนที่การเขียนดวยลายมือมากขึน้ ทุกขณะ”
จากสถานการณขางตน ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนลองจินตนาการวาหากในอนาคต
มนุษยไมตองเขียนสื่อสารดวยลายมือ
สังคมมนุษยจะเปนอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับทัศนคติและ
ประสบการณสวนตัว)
• นักเรียนคิดวาการพัฒนาทักษะการเขียน
ของตนเองใหมีประสิทธิภาพควรปฏิบัติตน
อยางไร
(แนวตอบ การเขียนเปนทักษะที่ตองฝกฝน
อยางจริงจังและสมํ่าเสมอ เพื่อใหเกิดความ
ชํานาญ ไมมีขอผิดพลาดในการสื่อความ
รูจักการเรียบเรียงถอยคําเขาประโยคใหเกิด
ความแจมชัด สละสลวย ไดใจความครบถวน
สมบูรณ ดังนั้นผูเขียนจึงจําเปนตองศึกษา
หลักเกณฑตางๆ เกี่ยวกับการเขียน เชน นานาประเทศลวน นับถือ
การใชคําใหถูกตองตรงความหมาย ถูกระดับ คนที่รูหนังสือ แตงได
มีความเหมาะสม ไมใชคําฟุมเฟอย หรือใช ใครเกลียดอักษรคือ คนปา
ถอยคําภาษาตางประเทศ เปนตน นําความรู ใครเยาะกวีไซร แนแทคนดง
เหลานี้ไปพัฒนางานเขียนของตนเองให (พระนลค�าหลวง : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ประสบผลสําเร็จตามจุดมุงหมายที่ตั้งไว)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 2 การพัฒนาทักษะการเขียน เปาหมายสําคัญคือ
นักเรียนสามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักปฏิบัติการเขียนที่เกิดจากการ
รวมกันสืบคนความรูก บั เพือ่ นๆ และคําชีแ้ นะของครูไปใชเพือ่ พัฒนาทักษะการเขียน
ของตนเองใหมีประสิทธิภาพ สามารถสรางงานเขียน และรวมถึงประเมินผลงาน
การเขียนของตนเองและผูอื่นอยางมีเหตุผล นาเชื่อถือ
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรเริ่มตนจากการสรางเจตคติที่ดีเกี่ยวกับ
การเขียน ชี้ใหเห็นวางานเขียนที่ดีนั้น สําคัญที่แนวคิด ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
การใชถอยคํา สํานวนโวหาร เปนเครื่องมือ หรือพาหนะในการถายทอดความคิด
ดังนั้นครูควรออกแบบการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะโดยใหนักเรียนไดฝกเขียน
ในหัวขอ และรูปแบบที่หลากหลายอยางสมํ่าเสมอ นํามาประเมินรวมกัน เพื่อสังเกต
พัฒนาการของตนเอง รวมถึงขอควรปรับปรุงแกไข
26 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ดวยรูปแบบ
ตัวอักษรอาลักษณ จากขอความที่กําหนดให
หรือคัดเลือกเองไดอยางสวยงาม ถูกตองตาม
รูปแบบมาตรฐาน
2. เขียนสื่อสารในรูปแบบตางๆ โดยใชความรู
เกีย่ วกับถอยคําสือ่ สารไดตรงประเด็น ชัดเจน
เหมาะสม สละสลวย และมีมารยาทในการเขียน
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. มุง มั่นในการทํางาน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา ประกอบดวย
3 หัวขอใหญ ไดแก การคัดลายมือ การเขียนสื่อสารดวยถอยคํา และมารยาท
ในการเขียน เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนจะตองมีทกั ษะดานการเขียนทีม่ ปี ระสิทธิภาพ
มีลายมือทีส่ วยงาม ถูกตองตามรูปแบบ มีความรูเ กีย่ วกับการใชถอ ยคําเพือ่ การสือ่ สาร
โดยคํานึงถึงความเหมาะสม จุดประสงค และมีมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว สําหรับทักษะการคัดลายมือ ครูควรใหนกั เรียน
ศึกษาลักษณะของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต ตามรูปแบบทีเ่ ปนมาตรฐานและนําไปใช
สรางความรูที่ถูกตองเกี่ยวกับการใชถอยคําเพื่อการสื่อสารและมารยาทในการเขียน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการเขียน ทักษะการคิดสรางสรรค
ใหแกนักเรียน
คูมือครู 27
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจเพื่อนําเขาสูหัวขอ
การเรียนการสอน “การคัดลายมือ” ดวยวิธีการ ๑ ลายมือกับการเขียนสื่อสาร
ตั้งคําถามชวนคิด การคัดลายมือ เป็นการฝึกเขียนเบื้องต้นที่จ�าเป็นต้องฝึกมือตั้งแต่เยาว์วัยให้เคยชินกับ
• เพราะเหตุใดระบบการศึกษาของชาติ การเขียนทีส่ วยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะเป็นพืน้ ฐานทีจ่ ะน�าไปสูก่ ารเขียนได้ถกู ต้องคล่องแคล่ว
จึงกําหนดใหนักเรียนเรียนรูเกี่ยวกับ รวดเร็ว สวยงาม น่าอ่าน บางคนคิดว่าลายมือไม่ส�าคัญนัก ถ้าการเขียนนั้นมีเนื้อเรื่องดี มีการแสดง
หลักปฏิบัติการคัดลายมือ ความคิดเห็น ลีลาและส�านวนโวหารดีก็เพียงพอแล้วถือเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถ้าลายมืออ่าน
(แนวตอบ เพื่อสรางความเปนมาตรฐาน ไม่ออกไม่ชัดเจน ผู้อ่านก็อ่านไม่ออกท�าให้ไม่เข้าใจ ไม่ทราบคุณค่าของข้อเขียนว่าดีอย่างไร
เดียวกันของชาติ เยาวชนไทยทุกคนจึงตอง
ไดรบั การปลูกฝงเรือ่ งความสําคัญของลายมือ ๑.๑ ความสำาคัญของการคัดลายมือ
และเรียนรูล กั ษณะของตัวอักษรรูปแบบตางๆ ส�านักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ* กล่าวถึงความส�าคัญของการคัดลายมือว่า “เป็นเครือ่ งมือ
เชน แบบอาลักษณ เพือ่ ใหเกิดความตระหนัก ส�าคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด หากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้นั้น
และนําไปใชไดถูกตอง) เป็นลายมือที่หวัดจนอ่านไม่ออก การเขียนนั้นก็ไร้ค่า เกิดเป็นคนไทยจึงควรเขียนอักษรไทยให้ถูกต้อง
รวดเร็ว สวยงาม น่าอ่าน”
สํารวจคนหา Explore
๑.๒ จุดประสงค์ของการคัดลายมือ
ครูเขียนหมายเลข 1, 2, 3, 4 และ 5 ลงบน การคัดลายมือมีความส�าคัญมากต่อการพัฒนาไปสู่ทักษะการเขียน การฝึกคัดลายมือจึงมี
กระดาษ ใหนักเรียนออกมาจับสลาก ใครที่จับได จุดประสงค์ส�าคัญๆ ดังนี้
หมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน รวบรวม ๑. เพื่อฝึกการเป็นผู้ที่มีสมาธิในการเขียนตัวอักษรไทย
ความรูในประเด็น ตอไปนี้ ๒. เพื่อให้เขียนตัวหนังสือไทยได้ถูกต้องตามหลักวิธีการต่างๆ
หมายเลข 1 ความสําคัญของการคัดลายมือ ๓. เพื่อให้รู้จักการจัดระเบียบ การเว้นวรรคและเว้นช่องไฟได้ประณีตและมีความสม�่าเสมอ
หมายเลข 2 จุดประสงคของการคัดลายมือ ท�าให้อ่านง่าย ดูสบายตา
หมายเลข 3 รูปแบบตัวอักษรอาลักษณ ๔. เพื่อให้รู้จักสังเกตแบบอย่างตัวอักษรที่ถูกต้องสวยงามและน�าไปเป็นตัวอย่างในการเขียน
หมายเลข 4 รูปแบบตัวอักษรแบบกระทรวง ได้ต่อไป
ศึกษาธิการ ๕. เพื่อให้มีความภาคภูมิใจ ศรัทธา และรักการเขียนภาษาไทยอันเป็นมรดกและภาษาประจ�า
หมายเลข 5 หลักการคัดลายมือ ชาติไทย
1
อธิบายความรู Explain ๑.๓ รูปแบบตัวอักษรไทย
ตั ว อั ก ษรไทยที่ ใช้ คั ด ลายมื อ ในปั จ จุ บั น มี ห ลายรู ป แบบที่ นิ ย มคั ด เช่ น แบบอาลั ก ษณ์
นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทน 2 คน แบบหัวกลม แบบตัวเหลี่ยม แบบราชบัณฑิต
รวมกันอธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับ
มอบหมาย จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ * ปัจจุบัน คือ ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
บุคคล สงครู
28
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จุดประสงคของการคัดลายมือคือขอใด
การเรียนการสอนเรื่อง การคัดลายมือใหประสบผลสําเร็จ กอนที่นักเรียนจะมี
1. ฝกฝนสมาธิใหแกตนเอง
ความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับลักษณะตัวอักษร ควรที่จะไดรับการปลูกฝง
2. ฝกฝนการเลือกใชคําในงานเขียน
เจตคติทดี่ ตี อ อักษรไทย ครูควรสรางบรรยากาศเพือ่ ใหนกั เรียนรูส กึ วา การคัดลายมือ
3. ฝกฝนทักษะการคิดวิเคราะห
ไมใชเรื่องที่นาเบื่อ แตนักเรียนเปนสวนหนึ่งที่จะทําใหคุณคาของตัวอักษรไทยคงอยู
4. ฝกฝนการแกปญหาเฉพาะหนา
ตอไป หากตระหนักในคุณคา และนําไปใชใหถกู ตอง อักษรไทยก็จะคงอยูเ ปนมรดก
ทางวัฒนธรรม วิเคราะหคําตอบ การคัดลายมือเปนการฝกฝนการเขียนใหสามารถเขียน
ตัวอักษรไดอยางสวยงาม มีระเบียบเรียบรอย อานงาย การคัดลายมือจึง
ตองมีความบรรจงอยางสูง ผูที่ฝกคัดลายมือควรมีความอดทน และมีสมาธิ
นักเรียนควรรู จดจอกับการคัดลายมือ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
1 อักษรไทย พอขุนรามคําแหงมหาราช ทรงประดิษฐอักษรไทย เมื่อ พ.ศ.
1826 ทรงดัดแปลงจากอักษรขอมหวัด อักษรไทยเดิม และคิดอักษรไทยใหมีสระ
และวรรณยุกตใหสามารถเขียนแทนเสียงพูดของคําในภาษาไทยไดทุกคํา และเรียก
ตัวอักษรที่ทรงประดิษฐขึ้นนี้วา “ลายสือไทย”
28 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
รูปแบบอักษรไทย : แบบอาลักษณ์ อธิบายความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ลักษณะพยัญชนะ ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู
ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใช
ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ องคความรูเกี่ยวกับการคัดลายมือที่ไดรับ
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ
ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป • การพัฒนาของเทคโนโลยีดานการพิมพ
ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ล สงผลอยางไรตอระบบการสื่อสารดวยการ
เขียนของมนุษย
ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ (แนวตอบ เทคโนโลยีดานการพิมพมีความ
สะดวก รวดเร็ว เปนระบบ ระเบียบ ทีส่ าํ คัญ
ไมตองกังวลเรื่องความผิดพลาดจากการ
ลักษณะตัวเลขไทย อานไมออก ดวยเหตุนี้เทคโนโลยีดาน
การพิมพจึงเขามามีบทบาทแทนการเขียน
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ สื่อสารของมนุษย)
• นักเรียนคิดวาการคัดลายมือมีความสําคัญ
ลักษณะสระ ตอชีวิตประจําวันอยางไร
(แนวตอบ การคัดลายมือมีความสําคัญ
ะ ั า ำ ิ ี ึ ื ตอชีวติ ประจําวันในดานการเรียน เพราะ
ุ ู เ แ ็ โ ใ ไ การเรียนการสอนในโรงเรียน นักเรียนยังจะ
ตองเขียนสื่อสารดวยลายมือ หากนักเรียน
ฯ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ์ ไมใสใจหรือละเลยที่จะเขียนหรือคัดใหมี
ความสวยงาม ถูกตองหรือเขียนหวัด
ลักษณะรูปวรรณยุกต์ จนเกินไป ก็จะทําใหครูไมสามารถเขาใจใน
สิ่งที่นักเรียนสื่อสารได เนื่องจากอานลายมือ
ไมออก ดังนั้น การคัดลายมือนอกจากจะมี
่ ้ ๊ ๋ ความสําคัญในระดับสังคมประเทศชาติแลว
ยังมีความสําคัญในระดับบุคคลอีกดวย)
29
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการคัดลายมือ เกร็ดแนะครู
เพราะเหตุใดจึงตองใชเลขไทยในการเขียนภาษาไทย
ครูควรใหนักเรียนไดศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
1. เพราะเลขไทยอยูบนแปนพิมพการใชจึงสะดวกกวา
รูปแบบอาลักษณ โดยสังเกตลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
2. เพราะการใชเลขไทยเปนการชวยรักษาสมบัติชาติวิธีหนึ่ง
แตละตัว เชน ขนาดของตัวอักษร หัวของตัวอักษร การโคง การหักมุม เปนตน
3. เพราะการใชเลขไทยจําเปนตอการเขียนอยางเปนทางการ
ครูอาจสุม เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต
4. เพราะการใชเลขไทยจําเปนตอการเขียนเอกสารทางราชการ
รูปแบบอาลักษณที่ไดจากการสังเกตดวยตนเอง
วิเคราะหคําตอบ การมีความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับการเขียน
พยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข จนนําไปใชเขียนสื่อสารในชีวิต
ประจําวันไดถูกตอง นอกจากจะทําใหการเขียนสื่อสารดวยลายมือในแตละ นักเรียนควรรู
ครั้งเกิดประสิทธิภาพแลว ยังเปนการชวยรักษาสมบัติของชาติวิธีหนึ่ง
เพราะการเขียนใหถูกตองตามรูปแบบเทากับเปนการลดความเปลี่ยนแปลง 1 แบบอาลักษณ ตัวอักษรแบบอาลักษณมีลักษณะสําคัญ คือ หัวตัวอักษรเปน
ของรูปแบบตัวอักษร ทําใหสมบัติของชาติทางดานภาษาไมเปลี่ยนแปลง วงรีคลายกับดอกบัว จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งวา “ตัวอักษรแบบหัวบัว” ตัวอักษร
หรือสูญหาย ดังนั้นจึงตอบขอ 2. อาลักษณเปนตัวอักษรที่มีความสวยงาม วิจิตรบรรจง ใชสําหรับถายเรื่องราว
เนื้อหาสาระในงานราชการ หรือใชเขียนเพื่อประกาศเกียรติคุณ ประกาศเกียรติยศ
เชน วุฒิบัตร ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร
คูมือครู 29
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
อธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย รูปแบบอักษรไทย : แบบกระทรวงศึกษาธิการ
จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรู
ความเขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของตัวอักษรไทย
แบบกระทรวงศึกษาธิการ
การฝึกคัดลายมือจะต้องฝึกคัดเลขไทยประกอบด้วย ซึ่งเลขไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
คงใช้ลักษณะเดียวกันไม่ว่าจะคัดตัวอักษรแบบใด ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ นี้ จะเป็นการฝึก
คัดลายมือแบบอาลักษณ์ เนื่องจากเป็นแบบอักษรไทยที่สวยงาม นิยมใช้ในการประกวดคัดลายมือ
และเขียนเอกสารส�าคัญต่างๆ ส�าหรับแบบอื่นๆ จะฝึกคัดในระดับต่อไป หรือผู้สอนอาจปรับเปลี่ยนได้
ตามความเหมาะสม
30
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
หากจะมีการจัดแขงขันประกวดคัดลายมือ จะตองใชเกณฑใดบาง
ครูควรหาตัวอยางผลงานการคัดลายมือทีใ่ ชตวั อักษรรูปแบบกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาตัดสินผูที่ไดรับรางวัล
ที่ถูกตองมาใหนักเรียนศึกษาพรอมๆ กับตัวอยางผลงานการคัดลายมือรูปแบบ
กระทรวงศึกษาธิการที่ยังมีความบกพรองในสวนตางๆ ใหนักเรียนเปรียบเทียบ แนวตอบ การประกวดคัดลายมือ เกณฑสําหรับการพิจารณาจะตอง
ลั ก ษณะของผลงานเพื่ อ ร ว มกั น ระบุ ลั ก ษณะสํ า คั ญ ของการคั ด ลายมื อ ที่ ทุ ก คน ประกอบดวย ความถูกตองของรูปแบบตัวอักษรที่กําหนดใหคัดทั้งรูป
ยอมรับ กําหนดเปนเกณฑมาตรฐานสําหรับใชวัดคุณภาพการคัดลายมือของตนเอง พยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข รูปแบบตองมีความเสมอตน-
และเพื่อนๆ ในชั้นเรียน การรวมกันปฏิบัติกิจกรรมในลักษณะดังกลาวจะชวยฝก เสมอปลาย กลาวคือ ใชรูปแบบเดียวกันตลอดทั้งการคัดตั้งแตตนจนจบ
ทักษะการตั้งเกณฑ ทักษะการประเมินใหแกนักเรียน ซึ่งเกณฑมาตรฐานสําหรับ มีขนาดที่เหมาะสม การลงนํ้าหนักมือไปที่ตัวอักษรตองมีความสมํ่าเสมอ
วัดคุณภาพการคัดลายมือที่นักเรียนรวมกันกําหนดขึ้นจะตองอยูในขอบขาย ดังนี้ การเวนชองไฟหรือชองวางระหวางตัวอักษร การเวนวรรคตอน การฉีกคํา
• ความถูกตองและเสมอตนเสมอปลายของรูปแบบตัวอักษร เมื่อขึ้นบรรทัดใหม ความสะอาด และการเสร็จทันตามเวลาที่กําหนด
• ขนาดและการลงนํ้าหนัก
• ความสวยงาม ความสะอาด การเวนชองไฟ วรรคตอน การฉีกคํา
30 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
๑.๔ หลักการคัด1ลายมือ อธิบายความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
การคัดลายมือ เป็นทักษะที่จ�าเป็นจะต้องฝึกฝนอย่างสม�่าเสมอ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุปความรูความ
สามารถคัดได้โดยไม่เกิดอาการประหม่า หรือเกร็ง โดยผู้ฝึกควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ เขาใจที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ
คัดลายมือ จดจ�าเพื่อน�าไปปฏิบัติอย่างถูกต้อง บุคคล สงครู
๑) ข้อควรปฏิบัติในการคัดลายมือ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม เพือ่ รวมกันอธิบาย
ผู้คัดลายมือต้องนั่งตัวตรงหลังไม่งอหรือก้มหน้ามากเกินไป ให้แสงสว่างเข้าด้านหน้า ความรู แ บบโต ต อบรอบวงเกี่ ย วกั บ หลั ก การ
ตรงข้ามกับมือที่จะคัด แขนทั้งสองข้างวางบนโต๊ะ จากนั้นจับดินสอหรือปากกาให้มั่นคง ไม่หลวม คัดลายมือ โดยใชความรูความเขาใจที่ไดรับ
หรือกดนิ้วแน่นเกินไป โดยเว้นระยะห่างจากปลายปากกาหรือปลายดินสอประมาณ ๑ นิ้ว และวาง จากการฟง ตอบคําถาม
กระดาษให้ห่างจากสายตาประมาณ ๑ ไม้บรรทัด (๑๒ นิ้ว) ด้านขวาของกระดาษวางเฉียงขอบโต๊ะ • การคัดลายมือใหมีประสิทธิภาพมีหลักการ
เล็กน้อย แล้วจึงเขียนคัดลายมือให้ถูกต้องตามรูปแบบ หรือวิธีการใดบางที่จะตองปฏิบัติ
(แนวตอบ การคัดลายมือใหมีประสิทธิภาพ
๒) หลักและวิธีคัดลายมือ
ผูคัดควรมีหลักการที่ใชสําหรับยึดถือ ดังนี้
๑. อ่านข้อความที่จะคัดให้จบก่อนคัด เพื่อท�าความเข้าใจข้อความ
• อานขอความที่จะคัดใหจบครบถวน
๒. เริ่มคัดตัวอักษรจากหัวไปหางเสมอโดยไม่ยกดินสอ
• คัดตัวอักษรโดยเริ่มที่บริเวณหัวกอน
๓. ไม่เขียนตัวอักษรแบบนั่งเส้น หมายถึง ส่วนล่างของตัวอักษรทับเส้นบรรทัดโดยตลอด
โดยไมยกดินสอขณะที่เขียนตัวอักษรนั้นๆ
เช่น ตัว ข ฐานล่างของเส้นจะไม่ลากตรงทีเดียว จะมีรอยหยักตรงมุมซ้ายนิดหนึ่ง
• ไมเขียนตัวอักษร โดยเสนลางของตัว
๔. ถ้าคัดลายมือครึ่งบรรทัด ขนาดความสูงของตัวอักษรด้านบนต้องสูงเท่ากันโดยตลอด
อักษรทับเสนบรรทัด
๕. คัดตัวอักษรและข้อความด้วยตัวตรงเสมอแนวเดียวกัน ตัวอักษรไม่เอียงเอน โย้ไป
• การคัดลายมือดวยตัวบรรจงครึ่งบรรทัด
ข้างหน้าหรือหลัง
ความสูงของตัวอักษรจะตองเทากัน
๖. เว้นระยะช่องไฟระหว่างตัวอักษรให้ห่างเสมอกัน
โดยตลอด และตัวอักษรตองไมเอียงโย
๗. ถ้าเขียนผิดหรือจ�าเป็นต้องลบ ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด ก่อนเขียนใหม่ต้อง
ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ลบรอยเก่าให้สะอาดเรียบร้อยเสียก่อน
• เวนชองไฟหรือระยะหางของตัวอักษร
๘. สระและวรรณยุกต์ต้องวางให้ถูกที่
อยางสมํ่าเสมอ
๙. ขนาดความกว้างความสูงของตัวอักษรและสระต้องตรงตามแบบ
• รักษาความสะอาดในการคัดลายมือ
๑๐. ต้องระมัดระวังอย่าคัดให้ตกหล่น การเว้นวรรคตอนต้องถูกต้อง
๑๑. เมื่อคัดจบต้องอ่านทบทวนและตรวจสอบอีกครั้ง จนเกิดเปนลักษณะนิสัยที่ดี)
๑๒. หมั่นฝึกฝนคัดลายมือสม�่าเสมอ อย่างน้อยเดือนละครั้ง • หลักการคัดลายมือมีความจําเปนสําหรับ
แม้ปจั จุบนั จะมีสอื่ และเทคโนโลยีตา่ งๆ ทีอ่ า� นวยความสะดวก แทนการเขียนคัดลายมือ ผูเริ่มฝกคัดอยางไร
แต่ลายมือที่สวยงามเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์และเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้บุคคลนั้นๆ มีคุณสมบัติโดดเด่นและเป็น (แนวตอบ เปนกรอบใหผูคัดไดฝกฝนปฏิบัติ
บุคคลส�าคัญขององค์กรต่างๆ ดังนั้น นักเรียนจึงควรฝึกฝนจนช�านาญ เพื่อความเปนแบบแผนเดียวกัน)
31
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตองเกี่ยวกับการคัดลายมือ
1. การคัดลายมือเปนทักษะที่ไมจําเปนตองฝกฝน 1 การคัดลายมือ มี 3 ลักษณะ คือ การคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัด
2. ผูคัดลายมือตองมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับหลักการคัดลายมือ เปนการคัดลายมือในชวงเริ่มตนการฝกฝน เหมาะสําหรับนักเรียนชวงชั้นประถม
3. ผูคัดลายมือควรอานขอความทีละบรรทัดแลวจึงคัดลายมือ เนื่องจากเปนชวงที่กลามเนื้อมือและการประสานระหวางตายังพัฒนาไมเต็มที่
4. อาการเกร็งขอมือจะชวยใหตัวอักษรที่คัดเปนระเบียบมากขึ้น การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ชวงนี้จะมีการประสานระหวางกลามเนื้อมือ
และตาเพิ่มมากขึ้น และการคัดลายมือหวัดแกมบรรจง คือการคัดลายมือ
วิเคราะหคําตอบ การคัดลายมือเปนทักษะที่จําเปนตองฝกฝน เพื่อใหคัด แบบหวัดแตใหอานออกซึ่งใชเขียนในชีวิตประจําวัน
ไดถูกตอง สวยงาม โดยผูคัดจะตองมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับหลักการ
คัดลายมือเปนอยางดี เมื่อคัดลายมือผูคัดควรอานขอความที่จะคัดใหจบ
เสียกอน เพื่อทําความเขาใจขอความ สวนอาการเกร็งขอมือนั้น เกิดขึ้นจาก
ความประหมาของผูคัด ซึ่งถือเปนอุปสรรคของการคัดลายมือ ดังนั้นจึง
ตอบขอ 2.
คูมือครู 31
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. จากความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะสําคัญ
ของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข ¡ÒäѴÅÒÂÁ×ÍẺÍÒÅѡɳ
ตามรูปแบบอาลักษณ และแบบกระทรวง
ศึกษาธิการ นักเรียนคัดบทเพลง “รักกันไวเถิด” “รักกันไวเถิด”
ดวยตัวอักษรรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ใหเสร็จ รักกันไวเถิด เราเกิดรวมแดนไทย
ภายในระยะเวลาที่กําหนด (ครูเปนผูกําหนด จะเกิดภาคไหน ก็ไทยดวยกัน
ระยะเวลาใหแกนักเรียน) ในขณะที่นักเรียนฝก เชื้อสายประเพณี ไมมีกีดกั้น
ปฏิบัติใหครูสังเกตพฤติกรรม ทาทางการคัด
เกิดใตธงไทยนั้น ปวงชนทุกคนคือไทย
ลายมือของนักเรียน เชน ทานั่ง การจับดินสอ
ทองถิ่นแหลมทอง เหมือนทองของแม
หรือปากกา ระยะหางระหวางสายตากับ
กระดาษหรือสมุด บันทึกพฤติกรรมเปน เกิดถิ่นเดียวกันแท เหมือนแมเดียวกันใชไหม
รายบุคคล ยามฉันมองตาคุณ อบอุนดวงใจ
2. นักเรียนทุกคนนําผลงานมาวางกลางหอง เห็นสายเลือดไทย ในสายตาบอกสายสัมพันธ
รวมกันทบทวนเกณฑมาตรฐานสําหรับใช ทะเลแสนงาม ในนํ้ามีปลา
วัดคุณภาพของการคัดลายมือที่รวมกัน พืชพันธุเกลื่อนตา ตามไรนารวงทองไสว
จัดตั้งขึ้น สงตัวแทน 1 คน ออกมาเขียน สินทรัพยมีเกลื่อนกลน บรรพชนใหไว
หลักเกณฑบนกระดานหนาชั้นเรียน จากนั้น เราลูกหลานไทย จงรวมใจรักษาใหมั่น
ใหรวมกันคัดเลือกผลงานจํานวน 5 ผลงาน แหลมทองโสภา ดวยบารมี
ที่ผานเกณฑ จัดอันดับ 1, 2 และ 3 อีก 2
ปกเกลาเราไทยนี้ รมเย็นเปนศรีผองใส
รางวัลเปนรางวัลชมเชย บันทึกรายชื่อผูที่
ใครคิดบังอาจหมิ่น ถิ่นทององคไท
ไดรับรางวัลไว นําผลงานทั้งหมดรวบรวม สงครู
ซึ่งครูควรสังเกตพฤติกรรมการประเมินผลงาน เราพรอมพลีใจ ปองถิ่นไทยและองคราชันย
ของนักเรียนเพื่อตรวจสอบทักษะการประเมิน (นคร ถนอมทรัพย)
อีกชั้นหนึ่งและอาจใหคําแนะนําตามความ
เหมาะสม ¡ÒäѴÅÒÂÁ×ÍẺ¡ÃзÃǧÈÖ¡ÉÒ¸Ô¡ÒÃ
๓๒
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
กิจกรรมที่ใหนักเรียนปฏิบัติจะทําใหไดเรียนรูเกี่ยวกับตัวอักษรในรูปแบบอื่นๆ นักเรียนศึกษาลักษณะสําคัญของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลข
ทําใหเกิดความรู ความเขาใจวาหากนักเรียนมีความรูเกี่ยวกับวิธีการคัดลายมือ ตามรูปแบบตัวอักษรภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณ-
ไมวาตัวอักษรรูปแบบใดก็สามารถที่จะคัดได โดยเพิ่มการศึกษาลักษณะสําคัญ มหาวิทยาลัย คัดสรรรอยกรองความยาวไมเกิน 1 บท นํามาคัดดวย
ของพยัญชนะ สระ วรรณยุกต และตัวเลขของรูปแบบตางๆ กอนลงมือฝกฝน รูปแบบตัวอักษรที่ศึกษา สงครู
กิจกรรมทาทาย
32 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน “การใช
๒ การใช้ภาษาประกอบการเขียน ภาษาประกอบการเขียน” ดวยวิธีการตั้งคําถาม
การเขียน คือ การแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และความต้องการของผู้เขียน กระตุนทักษะการคิด
เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ผู้รับสารสามารถอ่านเข้าใจตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับ • การมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับถอยคํา
องค์ประกอบหลายๆ อย่างของทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน การใช้ภาษาประกอบการเขียน ทั้งร้อยแก้ว หรือที่เรียกวา “มีคลังคํา” จะชวยทําให
และร้อยกรองต้องรู้จักเลือกใช้ค�าให้ถูกต้องและมีน�้าหนัก โดยยึดลักษณะของภาษาไทยเป็นพื้นฐาน ผูสงสารหรือผูเขียนสามารถเขียนสื่อสาร
เพื่อให้การเขียนบรรลุจุดมุ่งหมาย สัมฤทธิผลไดอยางไร
๑) การเลือกใช้ค�าให้ถูกต้องตามความหมาย ได้แก่ (แนวตอบ ผูที่มีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
๑.๑) ถูกต้องตามความหมายที่แท้จริงของค�า เช่น ถอยคํา คือ รูความหมาย รูหนาที่ รูระดับ
ต�ารวจจับกุมกลุ่มวัยรุ่นที่หมกมุ่นกันอยู่ในห้องเช่า ของคําจะทําใหสามารถเขียนสื่อสารไดตรง
หมกมุ่น หมายถึ 1 ง การเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามวัตถุประสงค เนื่องดวยทราบวาคํานี้
ควรใช้ มั่วสุม เพราะการถูกจับแสดงว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม มีความหมายอยางไร ใชในบริบทอยางไร)
๑.๒) ถูกต้องตามความนิยม ค�าทีม่ คี วามหมายเดียวกัน บางครัง้ อาจใช้แทนกันได้ แต่บางครัง้
• นักเรียนคิดวางานเขียนที่ดีตองประกอบดวย
อาจใช้แทนกันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความนิยม เช่น
องคประกอบใดบาง
แถวนี้อากาศชื้นท�าให้มียุงชุม (มารวมกันจากที่ต่างๆ)
หลังบ้านของฉันมีมะม่วงดกเต็มต้น (มาก, มากกว่าปกติ) (แนวตอบ งานที่ดีจะตองประกอบไปดวย
กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าปีนี้จะมีฝนตกชุก (มีดื่น, มีมากมาย) แนวคิดที่ดี ถอยคําสํานวนโวหาร และ
แถวนี้มีโจรชุกชุม (มีดื่น, มีมากมาย) รูปแบบที่เลือกใชถายทอดเนื้อหาสาระ)
จะเห็นว่าค�าทั้ง ๔ มีความหมายเดียวกัน แต่จะน�ามาใช้ประกอบประโยคในบริบท
ต่างกัน โดยนิยมประกอบประโยคว่า “มะม่วงดก” มากกว่าที่จะประกอบว่า “มะม่วงชุก” หรือนิยม สํารวจคนหา Explore
ประกอบประโยคว่า “ยุงชุม” มากกว่าที่จะประกอบว่า “ยุงชุกชุม”
๒) การใช้ค�าให้ถูกต้องตามระเบียบภาษา ได้แก่ ครูเขียนหมายเลข 1-5 ลงบนกระดาษจํานวน
๒.๑) การใช้ตัวสะกด เครื่องหมาย ทัณฑฆาต ์ และรูปวรรณยุกต์ ตามความเหมาะสม จากนั้นใหนักเรียนออกมา
ตัวสะกด ภาษาไทยมีคา� ทีส่ ะกดต่างกัน แต่อา่ นออกเสียงเหมือนกัน หากผูใ้ ช้สะกด จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน
ไม่ถกู ต้อง ความหมายของค�าจะเปลีย่ นแปลงไปไม่สอดคล้องกับเจตนา ใครที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน
เช่น เขาไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมือง ดังตอไปนี้
เขาไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน หมายเลข 1 ใชคําใหถูกความหมาย
เครื่องหมายทัณฑฆาต ์ มักมีการเขียนผิดตามความเคยชิน หมายเลข 2 ใชคําใหถูกไวยากรณ
เช่น กอปร (ประกอบ) มั
2 กเขียนเป็น กอร์ป หมายเลข 3 ใชคําใหถูกหนาที่และระดับ
ชัชวาล มักเขียนเป็น ชัชวาลย์ หมายเลข 4 ขอควรระวังในการใชคํา
รูปวรรณยุกต์ ถ้าวางรูปผิดต�าแหน่ง ความหมายของค�าจะผิดไปหรือท�าให้เสียงผิด หมายเลข 5 มารยาทในการเขียน
เช่น นะคะ มักเขียนเป็น นะค่ะ
โดยนักเรียนสามารถสืืบคนความรูไดจากแหลง
ขมขื่น ถ้าเขียนเป็น ข่มขืน ความหมายจะแตกต่างกัน
การเรียนรูที่สามารถเขาถึงได
33
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดไมมีความสัมพันธกับ “หลักการเขียน”
1. ใชภาษาใหมีความประณีตไพเราะ การเรียนการสอนในหัวขอ การใชภาษาประกอบการเขียน ครูควรสราง
2. ใชภาษาใหมีความกระชับและชัดเจน ชุดคําอธิบายเพื่อใหนักเรียนเขาใจวา งานเขียนที่มีประสิทธิภาพและไดรับการ
3. ใชสํานวนภาษาตางประเทศเพื่อแสดงใหเห็นวาผูสงสารมีความรู ยอมรับจากผูอาน นอกจากจะนําเสนอเนื้อหาสาระที่ดีแลว จะตองมีความพรอม
4. ใชภาษาใหถูกตองเหมาะสมทั้งดานความหมาย หนาที่ และระดับของคํา ทางดานภาษาทั้งความถูกตองและความไพเราะ ดังนั้น การเรียนรูเกี่ยวกับการใช
ภาษาหรือถอยคําประกอบการเขียนจึงเปนเรื่องที่มีความสําคัญอยางยิ่ง
วิเคราะหคําตอบ หลักการใชภาษาประกอบการเขียนใหมีประสิทธิภาพ
ผูสงสารจะตองใชภาษาใหมีความถูกตองทั้งดานความหมาย หนาที่ และ
ระดับของคํา โดยเลือกใชถอยคําใหมีความกระชับ ชัดเจน คํานึงถึง นักเรียนควรรู
การสื่อความ ความไพเราะ เหมาะสม การใชสํานวนภาษาตางประเทศ
ไมใชหลักการเขียนที่ถูกตองเพราะในบางครั้งอาจกอใหเกิดความรําคาญ 1 มั่วสุม หมายถึง ชุมนุมกันเพื่อกระทําการในทางที่ไมดี ไมถูกตอง หรือผิด
ตอผูรับสารได ดังนั้นจึงตอบขอ 3. กฎหมาย เชน แดงชวนเพื่อนมั่วสุมเลนการพนัน
2 ชัชวาล หมายถึง สวาง รุงเรือง ซึ่งคําที่เขียนแตกตางกัน แตมีความหมายวา
สวาง ยังมีอกี เปนจํานวนมาก เรียกคําเหลานีว้ า “คําไวพจน” เชน จรัส อําไพ เปนตน
คูมือครู 33
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1-4 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย ๒.๒) การใช้ลักษณนาม เพราะลักษณนามจะบ่งบอกลักษณะของนามข้างหน้า และต้อง
หนาชั้นเรียนตามลําดับกลุม ควรแสดงตัวอยาง วางให้ถูกที่ ซึ่งปกติลักษณนามจะวางไว้หลังจ�านวนนับ เช่น
ประกอบคําอธิบาย จากนั้นใหนักเรียนแตละคน ผิด ต�ารวจล้อมจับ ๓ โจร
สรุปความรูที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรู ถูก ต�ารวจล้อมจับโจร ๓ คน
เฉพาะบุคคล สงครู ผิด ถนนเส้นนี้ขรุขระมาก
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ถูก ถนนสายนี้ขรุข1ระมาก
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการเลือกใช ๒.๓) การใช้อาการนาม คื
าการนาม อ ค�าว่า การ ความ ให้ถูกต้องและใช้ในที่จ�าเป็น เช่น
ถอยคําประกอบการเขียน โดยใชความรู ผิด เขาให้ความต้อนรับเธออย่างเต็มที่
ความเขาใจ ที่สังเคราะหไดจากการฟงบรรยาย ถูก เขาต้อนรับเธออย่างเต็มที่
ของเพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตน ผิด หญิงชราถึงแก่การตาย
• จากความรู ความเขาใจทั้งหมดของนักเรียน ถูก หญิงชราถึงแก่ความตาย
สามารถสรุปแนวทางเกี่ยวกับการใชถอยคํา ๒.๔) การใช้ค�าเชื่อม (สันธาน) ค�าบุพบทให้ถูกต้อง เช่น
ประกอบการเขียนไดวาอยางไร ผิด คุณแม่ซื้อของขวัญให้กับฉัน
(แนวตอบ แนวทางการใชถอยคําประกอบ ถูก คุณแม่ซื้อของขวัญให้แก่ฉัน
การเขียน ผูเขียนจะตองใชถอยคําใหถูกตอง ผิด ประชาชนมอบช่อดอกไม้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด
ตามตําแหนงหนาที่ ตองรูจักวาคําใด ถูก ประชาชนมอบช่อดอกไม้แด่ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทําหนาที่อะไร อยูตําแหนงใดของประโยค ๓) ใช้ค�าให้ถูกตามชนิดและหน้าที่ของค�า และถูกตามฐานะของบุคคล เช่น
และใชเมื่อใด เรียงลําดับพยางคหรือคํา ผิด วันนี้เขาใส่เสื้อสีแดง
ใหถูกตอง ไมควรใชคําที่ไมเปนที่รูจัก ถูก วันนี้เขาสวมเสื้อสีแดง
ไมใชถอยคําหรือสํานวนโวหารที่ยืมมาจาก ผิด เป็นคราวเคราะห์ดีที่มีคนผ่านมาช่วยเธอทัน
ภาษาตางประเทศโดยไมจําเปน หากมีการ ถูก เป็นคราวโชคดีที่มีคนผ่านมาช่วยเธอทัน
บัญญัติศัพทเปนคําไทยแลว ก็ควรใชคําไทย ผิด แหม! เธอปล่อยให้รอตั้งนานกว่าจะเสด็จมาได้
ในประโยค นอกจากนี้ยังตองใชถอยคําหรือ ถูก แหม! ฉันต้องรอเธอตั้งนานกว่าเธอจะมา
สํานวนใหตรงความหมาย เพราะคําใน ๔) ไม่ใช้ค�าฟุ่มเฟือย เช่น
ภาษาไทยบางคํามีความหมายที่คลายคลึงกัน) ผิด ต�ารวจยิงคนร้ายตายหมด ไม่มีใครรอด
ถูก คนร้ายถูกต�ารวจยิงตายทั้งหมด
๕) ไม่ใช้ส�านวนภาษาต่างประเทศ เช่น
ผิด หนังสือเล่มนี้ถูกแต่งโดยกวีชาวไทยเมื่อ ๓๐ ปีมาแล้ว
ถูก กวีชาวไทยแต่งหนังสือเล่มนี้เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว
34
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
รูปประโยคตอไปนี้ขอใดถูกตอง
ครูอาจรวบรวมขาวประเภทตางๆ เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ ขาวกีฬา
1. เขาทําอะไรเกงกางไมทันกิน
ที่ปรากฏตามหนาหนังสือพิมพรายวัน ซึ่งมีการใชสํานวนภาษาตางประเทศนํามาให
2. ตํารวจกําลังซักฟอกผูตองหา
นักเรียนดูเปนตัวอยางเพื่อสรางองคความรูเกี่ยวกับสํานวนโวหารตางประเทศ
3. พจนรองเพลงเสียงหวานปานนกการเวก
ในภาษาไทย จากนั้นอาจมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนอานขาวหรือบทความแลว
4. ออมเปนคนเก็บเนื้อเก็บตัวเมื่ออยูกับผูใหญ
วิเคราะหวา ในบทความมีขอความใดที่เปนสํานวนโวหารตางประเทศ แลวนักเรียน
จะแกไขใหถูกตองไดอยางไร โดยแสดงตัวอยางประกอบใหชัดเจน วิเคราะหคําตอบ ขอ 4. ประโยคที่ถูกตองคือ ออมเปนคนสงบเสงี่ยม
เมื่ออยูกับผูใหญ ขอ 3. ประโยคที่ถูกตองคือ พจนรองเพลงเสียงปานนก
การเวก ขอ 1. ประโยคทีถ่ กู ตองคือ เขาทําอะไรงุม งามไมทนั กิน ดังนัน้
นักเรียนควรรู จึงตอบขอ 2.
34 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน รวมกัน
๓ มารยาทในการเขียน อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
งานเขียนทีด่ แี ละมีคณ
ุ ค่า เกิดจากองค์ประกอบหลายประการ การเขียนสือ่ สารอย่างมีมารยาท หนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียนแตละคนสรุป
ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคุณค่าของงานเขียน ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผล ความรูที่ไดรับจากการฟงเปนใบความรูเฉพาะ
กระทบต่อมนุษย์ในหลายๆ ด้าน ประเด็นที่เห็นได้ชัด คือ ความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล สิทธิ บุคคล สงครู
เสรีภาพในการอ่าน การฟัง การดู การพูด และการเขียน ดังนั้น การเขียนสื่อสารอย่างมีมารยาทจึงควร 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ค�านึงถึงการเขียนผ่าน Social Network ด้วย เพราะการสื่อสารอย่างมีมารยาทจะสะท้อนให้เห็นว่า อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
ผู้เขียนเป็นผู้มีวัฒนธรรม หรือเป็นผู้มีความเจริญในการสื่อสาร โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ มารยาทการเขียนโดยครูเปนผูตั้งคําถาม เชน
• มารยาทการเขียนสะทอนผานงานเขียน
มารยาทในการเขียน ประเภทตางๆ อยางไร
(แนวตอบ งานเขียนที่ดีและมีคุณคาเกิดจาก
๑. การน�าเสนองานเขียนในรูปแบบสิง่ พิมพ์ ผูเ้ ขียนจะต้องศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งต่างๆ องคประกอบหลายประการ สวนหนึ่งมาจาก
มากกว่า ๑ แหล่ง น�ามาวิเคราะห์ แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น เปรียบเทียบความน่าเชือ่ ถือ การที่ผูสงสารมีมารยาทการเขียน เขียน
นอกจากนี้ข้อมูลจะต้องมีความทันสมัย ส่วนการแชร์เรื่องต่างๆ ผ่าน Social Network สื่อสารไดถูกตองตามหลักไวยากรณ
เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ข้อความที่มีลักษณะเป็นข่าวลือ หรือเป็นเรื่องคาดเดา ปราศจากอคติ)
• พฤติกรรมที่สะทอนใหเห็นวาบุคคลนั้นๆ
๒. เมื่อผู้เขียนน�าข้อความของผู้อื่นมาใช้ หรืออ้างถึงในงานเขียนของตน จะต้องให้เกียรติ
เจ้าของผลงานด้วยการอ้างอิงแหล่งที่มาในรูปแบบต่างๆ เช่น เชิงอรรถ บรรณานุกรม
มีมารยาทในการเขียนไดแกอะไรบาง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลาก-
๓. ก ารเขียนวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นต่อเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ หรือสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ไม่วา่ จะ หลาย เชน เขียนความจริง ไมมอี คติ เปนตน)
เผยแพร่ผา่ นสิง่ พิมพ์ หรือผ่าน Social Network ผูเ้ ขียนจะต้องสือ่ สารอย่างมีสติ ใช้ขอ้ มูล • นักเรียนคิดวาขอควรระวังประการสําคัญ
แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช้อารมณ์ ของการเขียนสือ่ สารบนโลกออนไลนคอื อะไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
๔. การสือ่ สารแบบออนไลน์ ผูเ้ ขียนจะต้องใช้งานอย่างมีสติ รูต้ วั อยูเ่ สมอว่าก�าลังอยู ่ ณ ทีใ่ ด หลากหลาย ครูควรกระตุนใหนักเรียนได
เมือ่ เข้าไปในพืน้ ทีใ่ หม่ควรศึกษาท�าความรูจ้ กั กับชุมชนออนไลน์นนั้ ก่อนทีจ่ ะเข้าร่วมสนทนา แลกเปลี่ยนประสบการณตรงซึ่งกันและกัน)
หรือท�ากิจกรรมใดๆ
35
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดกลาวถูกตอง
1. งานเขียนที่ดีเกิดจากผูเขียนที่มีชื่อเสียง การเรียนการสอนในหัวขอ มารยาทในการเขียน ครูควรยกตัวอยางสถานการณ
2. งานเขียนที่ดีเกิดจากขอมูลที่นาเชื่อถือเพียงแหลงเดียว ใหนักเรียนฟง จากนั้นจึงใหรวมกันประเมินวาจากสถานการณนั้นๆ บุคคลใดมี
3. มารยาทของผูเขียนเปนสวนหนึ่งของงานเขียนที่มีคุณภาพ มารยาทในการเขียนมากที่สุด ซึ่งการเรียนการสอนในลักษณะดังกลาว จะทําให
4. การสื่อสารบนโลกออนไลนตองสงตอขอมูลอยางรวดเร็ว นักเรียนไดนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับมารยาทในการเขียนมาใชประเมิน
สถานการณ ฝกการวิเคราะห สังเคราะห และการใหเหตุผล
วิเคราะหคําตอบ มารยาทของผูเขียน เปนตนวา เขียนสื่อสารอยาง
ไมมีอคติ ถือเปนสวนหนึ่งที่ชวยสรางใหงานเขียนนั้นๆ เปนงานเขียนที่มี
คุณภาพ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
คูมือครู 35
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับการใชภาษา
ประกอบการเขียนทําแบบวัดฯ ภาษาไทย
ม.1 ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด ๖. ก ารสือ่ สารบนโลกออนไลน์ หากผูเ้ ขียนตัง้ ประเด็นค�าถาม หรือประเด็นทีต่ อ้ งการให้ผอู้ นื่
กิจกรรมที่ 1.3 ร่วมแสดงความคิดเห็นไว้ แล้วมีผเู้ ข้ามาตอบค�าถาม แสดงความคิดเห็น ชีแ้ นะ ผูเ้ ขียนหรือ
ผูต้ งั้ ประเด็นควรจะเข้าไปขอบคุณ หรือแสดงการรับรู ้ ซึง่ ถือเป็นมารยาทส�าคัญ นอกจากนี้
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ การเขียนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็น หรือเรือ่ งราวของผูอ้ นื่ จะต้องเขียนให้สอดคล้อง
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.3
กับเรื่อง ไม่ใช่เขียนแสดงความคิดเห็นด้วยข้อความขายสินค้า หรือประกาศรับสมัครงาน
เรื่อง การใชภาษาประกอบการเขียน
เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าของเรื่อง และรบกวนการติดตามของสมาชิกคนอื่นๆ
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
กิจกรรมที่ ๑.๓ ใหนักเรียนแกไขประโยคตอไปนี้ใหถูกตอง (ท ๒.๑ ม.๑/๒)
ñð
๓. ทําไมเสื้อผาของเธอถึงสกปรกเลอะเทะอยางนี้
และสละสลวย นอกจากนีผผูé เู้ ขียนต้องฝึกฝนการเขียนอย่างสม่ เสมอ อ่ งจากการเขียน
งสมÓเสมอ
งสม Óเสมอ เนื
ทําไมเสื้อผาของเธอถึงสกปรกเลอะเทอะอยางนี้
....................................................................................................................................................................................................................................... เป็นทัéงศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยทักษะการฝึกฝน โดยเริ่มต้นจากการตัéงจุดประสงค์
๔. วันนี้มีแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากลายของโปรดคุณพอดวยนะคะ
วันนี้มีแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายของโปรดคุณพอดวยนะคะ
.......................................................................................................................................................................................................................................
ที่ชัดเจนว่าผู้เขียนต้องการนÓเสนอเรื่องใด กÓหนดกลุ่มเป้าหมายและเลือกประเภทของ
๕. ในความคิดของผมฝายหญิงไมไดรับความยุติธรรมเลย
ผมคิดวาฝายหญิงไมไดรับความยุติธรรมเลย
.......................................................................................................................................................................................................................................
ฉบับ
เฉลย งานเขียนให้เหมาะสม นÓเสนอด้วยการใช้ถอ้ ยคÓ สÓนวนภาษาอย่างประณีตเพื่อให้การ
๖. เรามีความยินดีที่จะชวยเหลือผูที่ขาดแคลนทุนทรัพยแตมีความขยัน สื่อสารเกิดประสิทธิภาพ
เรายินดีที่จะชวยเหลือผูที่ขาดแคลนทุนทรัพย
.......................................................................................................................................................................................................................................
๗. นองแอมพี่ฝากซื้อกรรไกรหนึ่งอันนะ
นองแอมพี่ฝากซื้อกรรไกรหนึ่งเลมนะ
.......................................................................................................................................................................................................................................
๘. เธอมาในชุดสีชมพูลายจุดดูสดใสนารักจริงๆ
เธอสวมชุดสีชมพูลายจุดดูสดใสนารักจริงๆ
.......................................................................................................................................................................................................................................
๙. สันติใหของขวัญปใหมกับคุณตา
สันติใหของขวัญปใหมแดคุณตา
.......................................................................................................................................................................................................................................
๒๑
2. นักเรียนคนหาขาวในหนังสือพิมพ บทความ
ในนิตยสารหรือวารสารที่สนใจนํามาวิเคราะห
รูปแบบการใชภาษาทั้งขอดีและขอบกพรอง
เปนชิ้นงานเฉพาะบุคคล สงครู
36
บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การคัดลายมือและความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการใชภาษาประกอบการ
เขียน สามารถบูรณาการไดกับเรื่องบทบาทและหนาที่ของเยาวชนไทย ในกลุม
1 การเขียนอยางสมํ่าเสมอ หมายถึง การที่ผูเขียนหรือผูฝกเขียนมีความรู
สาระการเรียนรูสังคมศึกษา วิชาหนาที่พลเมือง โดยใหนักเรียนรวมกลุมกัน
ความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับรูปแบบหรือโครงสรางของงานเขียนประเภทตางๆ
ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทและหนาที่ของเยาวชนไทย สังเคราะหความรูรวมกัน
รวมถึงมีความสามารถในการเลือกใชถอยคําเพื่อเรียบเรียงเนื้อหาไดอยางเหมาะสม
แลวใชความรูเกี่ยวกับการใชถอยคําประกอบการเขียนสรางสรรคคําขวัญเพื่อ
เมื่อฝกฝนบอยครั้งก็จะเกิดความชํานาญ เพราะการเขียนเปนทักษะที่ทุกคนสามารถ
ปลุกจิตสํานึกใหเยาวชนตระหนักในหนาที่ และบทบาทของตนเอง ใชทักษะ
ฝกฝนไดหากมีความเพียรพยายาม
การคัดลายมือเขียนคําขวัญลงบนแผนพลาสติกลูกฟูกหุมพลาสติกใหเรียบรอย
นําไปติดในสถานที่สาธารณะของโรงเรียน
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะชวยฝกฝนทักษะที่จําเปน
ตอนักเรียน เชน ทักษะการทํางานรวมกัน กระบวนการคิดเชิงสรางสรรค
โดยใชทักษะการคัดลายมือและความรูเกี่ยวกับการใชภาษาประกอบการเขียน
เชื่อมโยงเขาดวยกัน
36 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูเก็บผลงานการคัดลายมือของนักเรียน
มาตรวจสอบโดยมีแนวทางการใหคะแนน ดังนี้
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
• ความถูกตองและสมํ่าเสมอของรูปแบบ
ตัวอักษร
• การวางตําแหนงของสระ วรรณยุกต
๑. ในปัจจุบันการคัดลายมือมีความจ�าเปนอย่างไร • การเวนชองไฟ วรรคตอนเหมาะสม
๒. หากนักเรียนต้องเข้าแข่งขันคัดลายมือ นักเรียนจะเตรียมความพร้อมอย่างไร
๓. การมีมารยาทในการเขียน จะส่งผลให้นักเรียนเปนผู้มีวัฒนธรรมได้อย่างไร
• ขนาดและนํ้าหนักของเสนตัวอักษร
• ความเปนระเบียบ สะอาด เรียบรอย
เขียนขอควรปรับปรุงลงบนผลงานของนักเรียน
แลวสงคืน เพื่อใหเปนแนวทางการปรับปรุง
ผลงานใหไดมาตรฐานตามเกณฑประเมิน
นอกจากนี้ครูควรแจงรายชื่อผูที่ไดคะแนนสูงสุด
ตามลําดับ 1, 2 และ 3 รวมถึงผูที่ไดรับรางวัล
ชมเชยอีก 2 รางวัล เพื่อใหนักเรียนทั้งหมด
ทราบผลการประเมินของตนเองวาตรงกับ
ผลการประเมินของครูหรือไม อยางไร
2. ครูตรวจสอบบทวิเคราะหรูปแบบการใชภาษา
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ของขาว บทความในนิตยสารหรือวารสารที่
นักเรียนเลือก โดยพิจารณาวาไดนําองคความรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกบทกลอนหรือวรรคทองของวรรณคดีที่ชื่นชอบ ๔ บท เกี่ยวกับการเลือกใชถอยคําประกอบการเขียน
มาฝกคัดลายมือตัวบรรจง ครึ่งบรรทัด มาใชวิเคราะหหรือไม อยางไร และรวมถึงการ
กิจกรรมที่ ๒ จัดประกวดการคัดลายมือแบบอาลักษณ์ ภาคเรียนละ ๑ ครั้ง ยกตัวอยางประกอบตรงกับคําอธิบาย
กิจกรรมที่ ๓ จัดประกวดคัดลายมือในห้องเรียน คัดเลือกผู้ที่มีลายมือสวยงามเปนระเบียบ 3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
และมีความถูกต้องมากที่สุด เพื่อเปนตัวแทนของห้องไปประกวดคัดลายมือ
ในระดับชั้นต่อไป
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเ ฉพาะบุคคลทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
2. ผลงานการคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดดวย
ตัวอักษรรูปแบบอาลักษณ หรือรูปแบบกระทรวง
ศึกษาธิการ
3. ผลงานการวิเคราะหรูปแบบการใชภาษาในการ
37 เขียนขาวหรือบทความที่เลือก
4. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การคัดลายมือยังคงมีความสําคัญในทุกยุคทุกสมัย เพราะแมวาระบบการพิมพจะมีการพัฒนาอยางตอเนื่อง แตการเขียนสื่อสารดวยลายมือก็ยังมีความสําคัญ
ตอกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียน กระบวนการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เชน การกรอกแบบฟอรมตางๆ และการคัดลายมือก็ยังมีความสําคัญตอการ
เปลี่ยนแปลงของรูปแบบตัวอักษรไทย เพราะการคัดลายมืออาจชวยชะลอความเปลี่ยนแปลงทางดานรูปแบบของตัวอักษรไทยที่กําลังเกิดขึ้นใหชาลง ดวยการสราง
รูปแบบที่เปนมาตรฐานเดียวกันทั้งชาติ ใหเยาวชนยึดถือ ปฏิบัติ
2. ผูที่เขาแขงขันประกวดคัดลายมือ นอกจากจะมีลายมือที่สวยงามแลว ควรศึกษาหลักการคัดลายมือใหแมนยํา ศึกษารายละเอียดลักษณะสําคัญของตัวอักษร
แตละตัว แตละรูปแบบวาเขียนแตกตางกันอยางไร และสิ่งสําคัญควรฝกฝนอยางสมํ่าเสมอจนเกิดความชํานาญ
3. ผูที่มีวัฒนธรรม คือ ผูที่เจริญแลว วัฒนธรรมทําใหมนุษยแตกตางจากสัตว มีระบบ แบบแผน และความสุภาพในการแสดงออก การเขียนอยางมีมารยาท เชน
เขียนความจริง เขียนอยางเปนกลาง เขียนดวยถอยคําสุภาพ เหลานี้ยอมสะทอนวาผูปฏิบัติเปนผูมีวัฒนธรรม หรือมีความเจริญแลวในการสื่อสาร
คูมือครู 37
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
เขียนสื่อสารในรูปแบบตางๆ เชน เรียงความ
แนะนําตนเอง สถานที่ ยอความ จดหมาย รายงาน
และโครงงาน โดยเลือกใชถอยคําที่เหมาะสม
ไพเราะ และคํานึงถึงมารยาทในการเขียน
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนเพื่อการสื่อสาร เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถใชความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับถอยคํา สํานวนโวหาร เปน
เครือ่ งมือสําหรับถายทอดความรู ความคิด และจินตนาการของตนเอง ผานงานเขียน
รูปแบบตางๆ ไดแก เรียงความ ยอความ จดหมายสวนตัว จดหมายกิจธุระ
การเขียนรายงานการศึกษาคนควา และการเขียนโครงงาน โดยคํานึงถึงความ
ถูกตอง ความไพเราะ เหมาะสม และมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับลักษณะ
องคประกอบและกลวิธีการเขียนของงานเขียนแตละประเภท รูจักเครื่องมือสําหรับ
ถายทอดความคิด สรางเสริมจินตนาการใหแกนักเรียนดวยวิธีการตางๆ เพื่อปลุก
พลังทางความคิด จากนั้นจึงใหลงมือฝกปฏิบัติ รวมกันกําหนดประเด็นสําหรับใช
ประเมินงานเขียนของตนเองและผูอื่น
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะ เชน ทักษะกระบวนการคิด
สรางสรรค ทักษะการสังเคราะห ทักษะการประเมินใหแกนักเรียน
38 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับรูปแบบ
1
๑ ¡ÒÃà¢Õ¹àÃÕ§¤ÇÒÁ ของงานเขียน เชน เรียงความ เรื่องสั้น นวนิยาย
จากนั้นตั้งคําถามวา
เรียงความ คือ งานเขียนรอยแกวประเภทหนึง่ ทีแ่ ตงขึน้ ตามความรูส กึ นึกคิดของผูเ ขียน โดยนํา
• เรียงความ เปนงานเขียนที่มีลักษณะสําคัญ
ถอยคํามาประกอบกันเปนประโยค แลวเรียบเรียงใหมีความตอเนื่องตามโครงเรื่องที่ผูเขียนกําหนดไว
การเขียนเรียงความทีด่ เี ริม่ ตนทีค่ วามคิด ผูเ ขียนตองฝกคิดในเรือ่ งตางๆ อยางเปนระบบ มีเหตุผล
อยางไร
ถูกทิศทาง รวมถึงจะตองเขียนแนวคิด สวนขยายใหมีความสัมพันธตอเนื่องกัน (แนวตอบ เรียงความเปนงานเขียนที่แสดง
ความคิด ความรู จินตนาการของผูเขียน
๑.๑ องคประกอบของเรียงความ สูผูอาน โดยใชภาษาที่ถูกตอง สละสลวย
เนื้อหาของเรียงความมี ๓ สวน ไดแก สวนคํานํา สวนเนื้อเรื่อง และสวนสรุป ซึ่งเนื้อความ มีศิลปะในการเรียบเรียง เนื้อหาที่สมบูรณ
ในสวนที่เปนเนื้อเรื่องจะมีความยาวมากกวาสวนอื่นๆ โดยใชการขึ้นยอหนาใหมเพื่อลําดับประเด็น นาอาน ประกอบดวยเอกภาพ สัมพันธภาพ
ที่นําเสนอ และสารัตถภาพ)
๑) สวนคํานํา เปนเนื้อความสวนแรกที่ใชเกริ่นนําเขาสูเรื่อง ทําใหผูอานทราบวาเรียงความ • นักเรียนคิดวา รูปแบบงานเขียนมีประโยชน
เรื่องนี้จะกลาวถึงอะไร คํานําจะมีความยาวประมาณ ๑ ยอหนา โดยผูเขียนจะตองเลือกใชถอยคํา อยางไรตอการเขียนเพื่อการสื่อสาร
เพื่อเราความรูสึกสนใจของผูอานใหติดตามเรื่อง และยังตองเขียนใหสอดคลองกับชื่อเรื่อง เนื้อเรื่อง (แนวตอบ ความแตกตางดานรูปแบบจะชวย
ทั้งหมด ทําใหผูเขียนเลือกใชรูปแบบไดเหมาะสมกับ
การเขียนคํานําทําไดหลายวิธี เชน การใชคําถาม การยกสุภาษิต สํานวน วาทกรรม จุดประสงคของงานเขียนที่ตั้งไว)
หรือคํากลาวของบุคคลสําคัญ ซึ่งสิ่งที่ยกมากลาวอางจะตองนาเชื่อถือ เกี่ยวของ และสอดคลองกับ
ประเด็นความคิดหลักของเรียงความ สํารวจคนหา Explore
¡ÒÃà¢Õ¹¤Ó¹Ó ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนภายใน
ชัน้ เรียน โดยเขียนหมายเลข 1, 2 และ 3 ในจํานวน
...ประเทศของเรารักษาเอกราช อธิปไตย และอิสรภาพใหสมบูรณมนั่ คงมาไดจนถึงทุกวันนี้
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
เพราะคนไทยทุกหมูเ หลา รูร กั สามัคคี และรูจ กั ทําหนาทีข่ องแตละฝายใหประสานสงเสริมกัน เมือ่
แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ทุกคนมุงปฏิบัติดังนี้ ความถูกตองเรียบรอย ความพัฒนากาวหนา และความมั่นคง เปนปกแผน
รวมกัน ดังนี้
จึงบังเกิดขึ้น พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
หมายเลข 1 องคประกอบของการเขียน
มหาราช บรมนาถบพิตร ที่วาดวยเรื่อง ความสามัคคี และกระตุนเตือนใหเราปวงชนชาวไทย
เรียงความ
สํารวจตนเองวา สรางความสามัคคีใหเกิดขึ้นในชาติแลวหรือยัง
หมายเลข 2 วิธีการเขียนองคประกอบของ
๒) สวนเนื้อเรื่อง เปนองคประกอบที่สําคัญที่สุด เพราะเปนสวนที่บรรจุเนื้อหาสาระ ความ เรียงความ
รูสึกนึกคิดของผูเขียน กอนลงมือเรียบเรียง ผูเขียนจะตองวางโครงเรื่องใหเรียบรอย จะเขียนเรื่องใด หมายเลข 3 แนวทางการเขียนเรียงความ
เพื่อจุดประสงคใด ขอมูลที่ตองใชมีอะไรบาง ประเด็นใดเปนประเด็นหลักควรนํามาเขียนกอน แลว นักเรียนที่จับสลากไดหมายเลขเหมือนกัน
ประเด็นใดควรนํามาขยายความสนับสนุนประเด็นหลัก สิ่งสําคัญ คือ ทุกประเด็นตองสัมพันธกัน ใหอยูกลุมเดียวกัน โดยอาจสืบคนขอมูลไดจาก
และมุงสูวัตถุประสงคหลัก การเขียนสวนเนื้อเรื่องควรยึดแนวทาง ดังนี้ แหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
๓๙
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ในกระบวนการสงสารดวยการเขียนใครคือผูรับสาร
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา องคประกอบของการเขียนประกอบดวย เนื้อหา
1. ผูอาน 2. ผูเขียน
ภาษา รูปแบบ โดยเนื้อหาหรือเนื้อเรื่อง คือ สิ่งที่ผูเขียนตองการใหผูอานรับทราบ
3. ผูฟง 4. ผูพูด
ภาษา คือ ถอยคํา สํานวนโวหารที่ผูเขียนปรุงแตงใหเกิดสีสัน ความงดงาม ตางไป
วิเคราะหคําตอบ ทักษะการสื่อสารของมนุษยมีองคประกอบ ดังนี้ จากภาษาธรรมดาเพื่อใชถายทอดเนื้อหาสาระและรูปแบบ เชน รอยแกว รอยกรอง
ผูสงสาร สาร สื่อ และผูรับสาร โดยที่ผูอานจะเปนผูรับสารในกระบวนการ โดยผูเขียนจะตองเลือกใชใหเหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
สงสารดวยการเขียน ผูเขียนจะเปนผูสงสารในกระบวนการสงสารดวย
การเขียน ผูฟงจะเปนผูรับสารในกระบวนการสงสารดวยการพูด และผูพูด
จะเปนผูสงสารในกระบวนการสงสารดวยการพูด ดังนั้นจึงตอบขอ 1. นักเรียนควรรู
1 การเขียนเรียงความ ผูที่จะเขียนเรียงความไดดี จะตองมีความรู ความเขาใจ
เกี่ยวกับรูปแบบ องคประกอบ วิธีการเขียน ขั้นตอนการเขียน และสํานวน โดยนํา
ความรูมาใชเปนแนวทางสําหรับการเขียน หมั่นฝกฝนจนเกิดทักษะความชํานาญ
สามารถเขียนเรียงความไดถูกตองตามรูปแบบ มีความไพเราะดวยสํานวนภาษา
ของตนเอง
คูมือครู 39
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทนออกมา
อธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย ๑. เขียนให้มีสารัตถภาพ หมายถึง เขียนได้ถูกต้อง แจ่มแจ้งสมบูรณ์ ผู้อ่านสามารถเข้าใจ
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูลที่สมาชิก วัตถุประสงค์ของผู้เขียนได้เป็นอย่างดี
ภายในกลุมรวมกันสืบคน ๒. เขียนให้มเี อกภาพ หมายถึง เขียนให้ได้ใจความส�าคัญในแต่ละย่อหน้า ไม่ออกนอกเรือ่ ง
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนตอบคําถาม โดยใช สับสน วกวน
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย ๓. เขียนให้มสี มั พันธภาพ หมายถึง เขียนให้เนือ้ หาแต่ละย่อหน้ามีความสัมพันธ์เกีย่ วเนือ่ ง
ของเพือ่ นๆ กลมุ ที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบือ้ งตน กันโดยตลอดทั้งเรื่อง ย่อหน้าต่อๆ มาจะต้องสัมพันธ์กับย่อหน้าที่ผ่านมา
• องคประกอบของเรียงความไดแกอะไรบาง ๓) ส่วนสรุป เป็นส่วนที่ใช้เพื่อปิด หรือจบเรียงความ ผู้เขียนต้องท�าให้ผู้อ่านเกิดความกระจ่าง
(แนวตอบ สวนคํานํา เนื้อหา และสรุป) ความพึงใจที่ได้รับแง่คิด ข้อคิด
• ผูเขียนเรียงความที่แบงประเด็นแตละประเด็น การเขียนส่วนสรุป ผู้เขียนไม่ควรใช้ค�าขึ้นต้นย่อหน้าว่า “สรุป” “สรุปแล้ว” “สรุปได้ว่า”
ไวคนละยอหนา มีจุดประสงคอยางไร เพราะจะท�าให้เรียงความขาดความต่อเนื่อง ส่วนสรุปของเรียงความไม่ควรให้รายละเอียดเพิ่มเติม
(แนวตอบ เพือ่ ไมใหเนือ้ ความสับสน หรือขาด แต่ต้องสร้างหรือเน้นสาระส�าคัญ เช่น การสรุปด้วยค�าสั่งสอน บอกให้ท�า หรือเลิกท�าบางสิ่งบางอย่าง
นํา้ หนัก ประเด็นตางๆ ในเรียงความแตละเรือ่ ง สรุปด้วยการกล่าวอ้างบทร้อยกรอง ค�าคม วาทกรรม ที่ช่วยเน้นย�้าประเด็นความคิดหลัก
จะตองเชื่อมโยงกันเพื่อมุงเสนอสาระสําคัญ)
• การเขียนคํานําในเรียงความสามารถใชวิธีใด การเขียนสรุป
ไดบาง
ชาติไทยจะเจริญก้าวหน้าก็เพราะไทย ชาติไทยจะเป็นปึกแผ่นก็เพราะไทย ชาติไทย
(แนวตอบ การเขียนคํานําของเรียงความ
จะสมบูรณ์พูนสุขก็เพราะไทย แต่การจะบรรลุถึงข้อนั้นๆ ได้ เริ่มต้นที่ความสามัคคี ขอชาวไทย
เรื่องหนึ่งๆ สามารถเขียนไดหลายวิธี เชน
ทั้งหลายผู้หวังให้ชาติมั่นคง จงมีความสามัคคี รักใคร่ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อ
นําดวยการตั้งคําถาม นําดวยการยกสํานวน
คนไทย ชาติไทย อันเป็นที่รักยิ่ง “อันความกลมเกลียวกันเป็นใจเดียวประเสริฐศรี ทุกสิ่งประสงค์
สุภาษิต คําคม บทกวี นําดวยขาว เหตุการณ
จงใจ จะเสร็จสมได้ด้วยสามัคคี”
ปจจุบันที่เกี่ยวของกับประเด็นหลักของ
เรียงความ เปนตน) ๑.๒ แนวทางการเขียนเรียงความ
• การเขียนสรุปในเรียงความสามารถใชวิธีใด การเขียนเรียงความในระยะฝึกฝน ควรน�าเรื่องใกล้ตัวมาเขียน โดยผู้ฝึกฝนควรมีความรู้
ไดบาง ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเมื่อต้องเขียนเรียงความ เพื่อน�าไปใช้ฝึกฝนอย่างถูกต้องและสม�่าเสมอ
(แนวตอบ การเขียนสวนสรุปของเรียงความเรื่อง ๑) ก�าหนดแนวคิด ต้องคิดให้รอบคอบว่าจะสื่อสารเรื่องอะไร เพื่ออะไร เช่น ถ้าจะเขียนเรื่อง
หนึ่งๆ สามารถเขียนไดหลายวิธี เชน การสรุป “ความสามัคคี” ก็อาจเขียนแนวคิดหลักได้ว่า “ความสามัคคี เป็นปัจจัยส�าคัญในการด�ารงอยู่ของชาติ
ดวยการสั่งสอน บอกใหทํา หรือใหเลิกทํา ช่วยท�าให้คนในชาติมเี ป้าหมายเดียวกัน อยูร่ ว่ มกันได้ คนในชาติจงึ ควรเร่งสร้างความสามัคคีให้เกิดขึน้ ”
บางสิ่งบางอยาง การสรุปดวยคําประพันธ แนวคิดหลักจะท�าให้ขอบเขตเนื้อหาชัดเจนยิ่งขึ้น
เปนตน) ๒) วางโครงเรื่อง คือ เค้าโครงของเรียงความ เป็นการจัดล�าดับหมวดหมู่ความคิด เพื่อใช้
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา แหลง เป็นกรอบในการเรียบเรียงเนื้อหา ท�าให้พิจารณาได้ว่า เนื้อหาในแต่ละประเด็นมีสัดส่วนที่เหมาะสม
ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 มีความ หรือไม่ สาระส�าคัญเพียงพอ น่าเชื่อถือหรือไม่ และท�าให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ตามล�าดับ ไม่สับสน
นาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น 40
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การใชภาษาในขอใดสรางอารมณสะเทือนใจใหเกิดขึ้นแกผูอานมากที่สุด
ครูควรสรางองคความรูใหแกนักเรียนเกี่ยวกับสํานวนภาษาที่ใชสําหรับการเขียน 1. ใครคือครู ครูคือใคร
เรียงความ ซึ่งสํานวนเรียงความ คือ ลักษณะการใชภาษาในการเขียนเรียงความ 2. โอวาอนิจจาความรัก
เรื่องหนึ่งๆ มี 5 ประเภท ไดแก บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร 3. แมนี้มีบุญคุณมากมาย
สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร ซึง่ โวหารแตละประเภทจะมีลกั ษณะสําคัญทีแ่ ตกตางกัน 4. จากเรือนเหมือนนกที่จากรัง
ดังนี้ บรรยายโวหารเหมาะสําหรับการเลาเรื่อง อธิบายเรื่องราวตางๆ ตามลําดับ
เหตุการณ พรรณนาโวหาร เหมาะสําหรับการใหรายละเอียดเพื่อใหผูอานซาบซึ้ง วิเคราะหคําตอบ “ใครคือครู ครูคือใคร” ใชภาษาในลักษณะของการ
เพลิดเพลินไปกับขอความนั้นๆ เทศนาโวหารมีจุดมุงหมายเพื่อแสดงความแจมแจง ตัง้ คําถามชวนใหคดิ แตมไิ ดมเี จตนาใหผรู บั สารตอบ “โอวา อนิจจาความรัก”
มุงชักจูงใหผูอานคลอยตามอารมณ ความรูสึกของผูเขียน อุปมาโวหาร เปนโวหาร ใชภาษาเพื่อเกริ่นนํากอนที่จะอธิบายความ จึงยังไมปรากฏถอยคําที่กอให
เปรียบเทียบเพือ่ ใหเกิดความชัดเจนดานความหมาย ภาพ และเกิดอารมณความรูส กึ เกิดอารมณสะเทือนใจ “แมนมี้ บี ญ ุ คุณมากมาย”ใชภาษาเพื่อบอกใหทราบ
สาธกโวหาร มุงใหความชัดเจน โดยการยกตัวอยางเพื่ออธิบายหรือสนับสนุน “จากเรือนเหมือนนกทีจ่ ากรัง” ใชภาษาในลักษณะของความเปรียบ นําชีวติ
ความคิดเห็นที่เสนอใหหนักแนนขึ้น โดยเรียงความเรื่องหนึ่งๆ จะใชโวหารทั้ง 5 ของคนที่พลัดถิ่น เปรียบเทียบกับนกที่ไรรัง จึงทําใหผูอานเกิดอารมณ
ประกอบกัน อาจจะมีโดดเดนบาง เชน เรียงความเชิงพรรณนาโวหาร สะเทือนใจและรูสึกคลอยตามมากที่สุด ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
40 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การวางโครงเรื่อง ความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูลที่สมาชิก
ขั้นระดมความคิด ผู้เขียนต้องรวบรวมประเด็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนให้มากที่สุด ภายในกลุมรวมกันสืบคน
เช่น ถ้าเขียนเรียงความเรื่องความสามัคคี ประเด็นความคิดที่รวบรวมได้อาจมี ดังนี้ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๑. ความสามัคคีคืออะไร ความรูแ บบโตตอบรอบวง โดยใชความรูท ี่ไดรับ
๒. ความสามัคคีส�าคัญอย่างไร จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 และ 2
๓. การเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๔. คนไทยมักไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง • เพราะเหตุใดสวนเนือ้ เรือ่ งจึงเปนองคประกอบ
๕. การร่วมมือกันท�าสิ่งผิดไม่ใช่ความสามัคคี ทีส่ าํ คัญทีส่ ดุ ในการเขียนเรียงความเรือ่ งหนึง่ ๆ
๖. คนในชาติต้องคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ (แนวตอบ เพราะเปนสวนที่บรรจุเนื้อหาสาระ
๗. ชาติส�าคัญกว่าชีพ
ความรูสึกนึกคิดของผูเขียนที่ตองการ
ขัน้ เลือกและจัดหมวดหมู ่ ผูเ้ ขียนต้องเลือกเฉพาะประเด็นทีเ่ กีย่ วข้อง น�าความคิดทีผ่ า่ นการคัดเลือก
นําเสนอไปสูผูอาน)
มาจัดหมวดหมู่ โดยมีหลักว่า ความคิดที่ใกล้เคียงกันอยู่หมวดเดียวกัน
• นักเรียนคิดวาสวนเนื้อเรื่องของเรียงความ
๑. ความหมาย ความส�าคัญของความสามัคคี
ที่ดีควรมีลักษณะสําคัญอยางไร
๑.๑ ความสามัคคีคืออะไร ส�าคัญอย่างไร
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย
(แนวตอบ ควรมีลักษณะสําคัญ ดังนี้
๒.๑ ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน • มีการดําเนินเรื่องโดยเรียงตามลําดับเวลา
๒.๒ ความไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เหตุผล ความสําคัญ หรือตําแหนงพื้นที่
๒.๓ ความเข้าใจเกี่ยวกับค�าว่าสามัคคี โดยขึ้นอยูกับลักษณะของเนื้อหา
๓. คนในชาติต้องคิดว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ • ประกอบดวยยอหนาที่สื่อความไดชัดเจน
๔. ชาติส�าคัญกว่าชีพ ครบถวน ไมกระจัดกระจายโดยมีทงั้ ยอหนา
ขั้นจัดล�าดับ เมื่อผู้เขียนได้หมวดหมู่ความคิดที่ล�าดับประเด็นใหญ่ ประเด็นย่อยแล้ว ให้น�ามา ทีเ่ ปนสวนขยาย เสริมความและเนนความ
ล�าดับความ หรือล�าดับเนื้อหา ว่าจะน�าเสนออะไรก่อนหลัง โดยอาจล�าดับความตามเหตุผล เวลา • ประโยคแตละประโยค ยอหนาแตละ
เหตุการณ์ ความส�าคัญ ยอหนามีความสัมพันธกัน)
๑. ความหมาย ความส�าคัญของความสามัคคี • การวางโครงเรื่องเพื่อการเขียนเรียงความ
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย มีแนวทางอยางไร
๓. วิธีการสร้างความสามัคคี (แนวตอบ มีแนวทาง ดังนี้
ขั้นขยายความ เมื่อจัดล�าดับความคิดได้แล้ว ให้ผู้เขียนเขียนขยายความคิดในแต่ละประเด็น • ระดมความคิด ที่เกี่ยวของกับประเด็นที่
ให้ชัดเจนขึ้น ตองการเขียน
๑. ความหมายและความส�าคัญของค�าว่า “สามัคคี” • เลือกและจัดหมวดหมูความคิด
๒. ปัจจัยที่ท�าให้ความสามัคคีเสื่อมถอย • จัดลําดับความคิด จะนําเสนอประเด็นใด
กอน-หลัง)
41 • เขียนขยายความคิด เพื่อใหมองเห็น
ภาพรวมของเนื้อหา)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
คําวา “เติมเต็ม” คืออะไร ถาพูดถึงแกวนํ้า การเติมเต็มก็คือการใสนํ้าลง
ทักษะการเขียนเรียงความ ครูควรเห็นความสําคัญของการใหรายละเอียด
ไปใหเต็มแกว แตหากเปนชีวิต การที่เราจะทําใหเต็มนั้น เราตองรูกอนวา
เกี่ยวกับขั้นตอนของการเขียนเรียงความ ควรใหนักเรียนเขาใจวา การกําหนด
ขอบเขตของการเติมเต็มของชีวิตนั้นอยูตรงไหน ขอความนี้ควรอยูสวนใด
จุดมุงหมายในการเขียนจะทําใหทราบวาตองรวบรวม คัดเลือก จัดกลุมขอมูล
ของเรียงความเรื่อง “ชีวิตคือการเติมเต็ม”
ในลักษณะใดเพื่อใหครอบคลุมจุดมุงหมาย เมื่อไดขอมูลที่มีคุณภาพ ครบถวน
1. เนื้อเรื่อง 2. คํานํา
จึงนํามาจัดลําดับความสําคัญในการนําเสนอ เขียนขยายแนวคิด เรียบเรียงเปน
3. สรุป 4. ถูกทั้งขอ 1. และ 3.
ถอยคําเพือ่ วางโครงเรือ่ ง จากนั้นจะมองเห็นแนวทางการใชสํานวนภาษาโดยมี
วิเคราะหคําตอบ เรียงความประกอบดวยสวนสําคัญ 3 สวน ไดแก คํานํา หลักการสําคัญอยูวา ผูเขียนจะตองมีความรู ความเขาใจในสํานวนโวหารทั้ง
เนื้อเรื่อง สรุป ซึ่งองคประกอบแตละสวนทําหนาที่แตกตางกัน คํานํา 5 ประเภท พิจารณาลักษณะเนื้อหาเรียงความของตนเองวา ตองการใหผูอาน
คือ เนื้อความสวนแรกที่เกริ่นนําเขาสูเรื่อง ชวยแนะนําใหผูอานทราบวา เกิดความคิด ความรูสึก หรือความเขาใจอยางไรหลังจากอานจบ เมื่อสรุปไดวา
เรียงความเรื่องนี้กลาวถึงอะไร เนื้อเรื่อง เปนสวนบรรจุแนวคิดหรือสาระ จะใชโวหารลักษณะใดจึงลงมือเขียนอยางมีสมาธิ โดยเริ่มเขียนตามโครงเรื่อง
ทั้งหมด สรุป เปนการกลาวปดเรื่อง จากคํานิยามของแตละสวนทําให ที่วางไว เมื่อเขียนเสร็จแลวจึงอานทบทวนและแกไขขอบกพรอง
สามารถสรุปไดวา ขอความดังกลาวควรอยูใ นสวนคํานํา ดังนัน้ จึงตอบขอ 2.
คูมือครู 41
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียนเรียงความ ๒.๑ การเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าความมั่นคงสถาวรของชาติ
โดยใชความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ๒.๒ ความไม่กล้าแสดงความคิดที่แตกต่างของตนเอง
เพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ ๒.๓ การที่กลุ่มคนสามัคคีร่วมกันกระท�าสิ่งผิด สิ่งนั้นไม่เรียกว่าความสามัคคี
ตอบคําถาม ๓. วิธีการสร้างความสามัคคี
• ความรูเกี่ยวกับโวหารในการเขียน ไดแก ๓.๑ ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่คนในชาติเห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคง
บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร สถาวรของชาติ
สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร มีความเกีย่ วของ ๓.๒ ปลูกฝังให้เห็นการด�ารงอยู่ของชาติ ส�าคัญกว่าการด�ารงอยู่ของตนเอง
กับการเขียนเรียงความอยางไร
(แนวตอบ การเขียนเรียงความ คือการเขียน ๓) แสวงหาข้อมูล หากผูเ้ ขียนไม่มคี วามรู ้ ความเชีย่ วชาญในเรือ่ งทีเ่ ขียน จะต้องแสวงหาข้อมูล
เพื่อแสดงความรูสึก ความคิด ความเขาใจ จากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ สิ่งที่ต้องให้ความส�าคัญเมื่อต้องแสวงหาข้อมูล มีดังนี้
จินตนาการหรือประสบการณของผูเขียน ๑. อ่าน ฟัง หรือดูข้อมูลอย่างละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มากกว่า ๑ แหล่ง
การเขียนเรียงความเปนทั้งศาสตรและศิลป ๒. จับสาระส�าคัญของข้อมูล ตรวจสอบอย่างละเอียด รอบคอบ ว่าข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ
กลาวคือ ตองเขียนใหอยูในรูปแบบที่กําหนด มากน้อยเพียงใด ข้อความใดเป็นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ข้อความใดเป็นข้อคิดเห็น
ไดแก คํานํา เนื้อเรื่อง สรุป และเขียนอยางมี ๓. บันทึกไว้กันลืม สะดวกต่อการน�าไปใช้ในภายหลัง โดยใช้บัตรบันทึกข้อมูล เป็นต้น
ศิลปะ ดวยการใชถอ ยคํา สํานวนโวหารในการ ๔. ยึดหลักส�าคัญว่า ผู้รับสารต้องได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้อง แม่นย�า ทันสมัย
เขียนเรียงรอยออกมาเปนเรื่องราว โดยเลือก ๔) เรียบเรียงเนื้อหา การเขียนเรียงความอาจเขียนได้หลายลักษณะ ถ้าเป็นเรียงความที่ต้อง
ใชสํานวนโวหารใหไพเราะเหมาะสม) ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ควรเขียนแบบอธิบาย ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนามธรรม ควรเขียนแบบอธิบาย
• หากตองเขียนเรียงความ นักเรียนจะมี แล้วยกตัวอย่างประเภทนิทานประกอบ แต่ถ้าเป็นเรียงความเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ควรเขียน
แนวทางการเขียนอยางไร แบบบรรยาย พรรณนา ขยายความให้ละเอียด ชัดเจน
(แนวตอบ ผู้เขียนต้องใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับย่อหน้ามาช่วยล�าดับความ จะต้องย่อหน้าใหม่
• กําหนดแนวคิด เมื่อกล่าวถึงประเด็นใหม่ แต่ควรมีย่อหน้าเล็กๆ ที่ใช้เชื่อมโยงระหว่างประเด็น นอกจากนี้จะต้องใช้
• วางโครงเรื่อง ความรู้เกี่ยวกับหลักภาษามาผูกประโยค ซึ่งควรเป็นประโยคสั้นๆ สื่อความหมายชัดเจน เข้าใจง่าย
• คนหาขอมูลที่จําเปน สุภาพ ควรรู้จักเลือกสรรถ้อยค�าที่เหมาะสมทั้งเสียงและความหมายมาใช้ ไม่ใช้ศัพท์ยากที่ตนเองไม่
• เรียบเรียงเนื้อหาสาระ เข้าใจ การใช้ค�าศัพท์ที่ถูกต้องและเรียบง่ายจะเหมาะที่สุดส�าหรับการฝึกเขียนระยะเริ่มแรก รวมถึง
• อานทบทวน) ไม่ควรใช้ค�าซ�้าๆ ในที่ใกล้ๆ กัน ควรเปลี่ยนใช้ค�าอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ๕) อ่านทบทวน ด้วยใจที่เป็นกลาง เพื่อหาข้อบกพร่อง สิ่งที่ต้องพิจารณา ได้แก่ รูปแบบ
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 ความคิด กลวิธีการน�าเสนอ และภาษา จุดใดบกพร่องให้ท�าเครื่องหมายไว้แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง หรือ
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด อาจเขียนทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง แล้วกลับมาแก้ไข ถ้ามีโอกาสควรให้ผู้อื่นอ่านแล้ววิจารณ์ เพื่อน�า
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ค�าแนะน�าไปปรับปรุงแก้ไขให้เป็นเรียงความที่ดี
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
42
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การเขียนเรียงความเรื่อง “กลวยพันธุไมสารพัดประโยชน” โครงเรื่อง
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมใหแกนักเรียนเกี่ยวกับความแตกตางระหวางความเรียง
ขอใดจําเปนนอยที่สุด
กับเรียงความ ดังตาราง ตอไปนี้
1. ลักษณะของกลวย
ลักษณะเฉพาะ ความเรียง เรียงความ 2. ประเภทของกลวย
3. ประโยชนของกลวย
รูปแบบ มีรปู แบบไมตายตัว โดยแบงเปน มีรปู แบบทีช่ ดั เจน แบงเปน 4. ความเชื่อเกี่ยวกับกลวย
สวนๆ ได 3 สวน ไดแก สวนตน 3 สวน ไดแก คํานํา เนือ้ เรือ่ ง
สวนกลาง และสวนทาย และสรุป วิเคราะหคําตอบ โครงเรือ่ ง หมายถึง เคาโครงของงานเขียนทําใหผเู ขียน
ภาษา ใชภาษาไดหลายระดับ นิยมใชภาษาแบบทางการ จัดลําดับเนือ้ หาเหมาะสม เนือ้ ความสัมพันธกนั มีเอกภาพ สัมพันธภาพ และ
หรือกึ่งทางการ สารัตถภาพ จากตัวเลือกที่กําหนดให คําตอบในขอ 1., 2. และ 3. มีความ
สัมพันธกนั และเชือ่ มโยงสัมพันธกบั ชือ่ เรือ่ ง สวนประเด็น “ความเชือ่ เกีย่ วกับ
เนื้อหา มุ ง เสนอแนวคิดและอารมณ มุงเสนอแงคิดและความรู กลวย” มีความสอดคลองกับชือ่ เรือ่ งนอยทีส่ ดุ และไมมคี วามสัมพันธใกลเคียง
ความรูสึกของผูเขียน เปนสําคัญ กับประเด็นทัง้ 3 ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.
42 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
เรียงความเรื่อง ความสามัคคี องคประกอบ วิธีการเขียนองคประกอบ
แนวทางการเขียนเรียงความและสํานวนโวหาร
...ประเทศของเรารักษาเอกราช อธิปไตย และอิสรภาพให้สมบูรณ์มั่นคงมาได้จนถึง เขียนเรียงความคนละ 1 เรื่อง ความยาวไมเกิน
ทุกวันนี ้ เพราะคนไทยทุกหมูเ่ หล่า รูร้ กั สามัคคี และรูจ้ กั ท�าหน้าทีข่ องแต่ละฝ่ายให้ประสานส่งเสริม 1 หนากระดาษ A4 โดยกําหนดจุดมุงหมาย
กัน เมื่อทุกคนมุ่งปฏิบัติดังนี้ ความถูกต้องเรียบร้อย ความพัฒนาก้าวหน้า และความมั่นคง ของเรียงความดวยตนเอง
เป็นปึกแผ่นจึงบังเกิดขึ้น พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล 2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่าด้วยเรื่องความสามัคคี และกระตุ้นเตือนให้เราปวงชน ของเรียงความที่ดี เพื่อใชประเมินเรียงความ
ชาวไทย ส�ารวจตนเองว่า สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติแล้วหรือยัง ของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน และใช
ความสามัคคี คือ ความปรองดอง เป็นหนึ่งเดียว ในประวัติศาสตร์ชาติไทยทั้งที่ได้บันทึก
เปนแนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป
และไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แสดงให้เห็นว่า เมื่อใดที่คนในชาติมีความปรองดอง เป็น
ซึ่งประเด็นที่รวมกันกําหนดควรครอบคลุม
น�้าหนึ่งใจเดียว ชาติย่อมพ้นรอดปลอดภัยจากความพิบัติทั้งปวง แต่ถ้าเมื่อใดคนในชาติเห็นแก่
ประโยชน์ส่วนตน เมื่อนั้นชาติทั้งชาติก็จะพินาศย่อยยับ
ดังตอไปนี้
การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนี้ เป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้ความสามัคคี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ (แนวตอบ
ทุกคนในชาติพงึ มีเสือ่ มถอยลง เพราะบุคคลทีม่ องเห็นแต่ประโยชน์สว่ นตนยิง่ ใหญ่กว่าความมัน่ คง • มีความถูกตองดานรูปแบบ มีชื่อเรื่อง
สถาวรของชาติ ย่อมสามารถกระท�าการณ์ทกุ อย่างได้เพียงเพือ่ ให้ตนได้รบั ประโยชน์มากกว่าผูอ้ นื่ คํานํา เนื้อเรื่อง สรุป ครบถวนในสัดสวน
โดยหลงลืมไปว่า หากชาติอยู่ไม่ได้ ตนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชาติก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน นอกจาก ที่เหมาะสม
ความเห็นแก่ประโยชน์สว่ นตนแล้ว ความเข้าใจผิดเกีย่ วกับความสามัคคีกเ็ ป็นอีกปัจจัยหนึง่ เพราะ • มีแนวความคิดที่ดี สอดคลองกับชื่อเรื่อง
ความสามัคคีไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องพูดเหมือนกัน เราสามารถแตกต่างได้ แต่ตอ้ งแตกต่าง วัตถุประสงคของเรียงความ มีเหตุผล
อย่างสอดคล้อง และการสามัคคีกันไปกระท�าสิ่งที่ผิด นั่นก็ไม่เรียกว่า ความสามัคคี เปนไปได ชัดเจน นาสนใจ สะทอนใหเห็น
ทุกคนสามารถบอกได้วา่ ความสามัคคีคอื อะไร ส�าคัญอย่างไร แต่มสี กั กีค่ นทีต่ ระหนักว่า ความคิดสรางสรรคของผูเขียน
ความสามัคคีเป็นสัญลักษณ์แห่งการด�ารงอยู่ของชาติ ในครอบครัว สังคม ประเทศที่เกิดความ • กลวิธีหรือเทคนิคในการเขียน เชน
ขัดแย้ง แบ่งฝ่าย ทุกคนต่างเรียกหาความสามัคคี ซึง่ ความสามัคคีเป็นสิง่ ทีไ่ ม่สามารถเกิดขึน้ ได้เอง การเปรียบเทียบ การขยาย การพรรณนา
ผู้เพรียกหาต้องเป็นผู้สร้าง การลําดับเรื่อง และรวมถึงการตั้งชื่อเรื่อง
การจะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นแก่คนในชาติ เริ่มต้นที่การปลูกฝังให้บุคคลนั้นๆ รู้ว่า เหมาะสม เราความสนใจ
ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชาติ ความคิดพฤติกรรมของบุคคลล้วนส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ • ภาษา สามารถใชคํา กลุมคํา ประโยค
ปลูกฝังให้มองเห็นความคงอยู่ของชาติส�าคัญกว่าการคงอยู่ของตน เพราะการคงอยู่ของชาติ จังหวะ ลีลาในการเขียนเหมาะสม นาอาน
หมายถึง การคงอยู่ของชนชาติเชื้อไทย • ความถูกตองของการเขียนสะกดคํา การันต
ชาติไทยจะเจริญก้าวหน้าก็เพราะไทย ชาติไทยจะเป็นปึกแผ่นก็เพราะไทย ชาติไทย วรรคตอน ความสะอาด ลายมือ กระดาษที่
จะสมบูรณ์พูนสุขก็เพราะไทย แต่การจะบรรลุถึงข้อนั้นๆ ได้ เริ่มต้นที่ความสามัคคี ขอชาวไทย
ใชและมารยาทที่ดีของผูเขียน)
ทั้งหลายผู้หวังให้ชาติมั่นคง จงมีความสามัคคี รักใคร่ปรองดอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อ
คนไทย ชาติไทย อันเป็นที่รักยิ่ง “อันความกลมเกลียวกันเป็นใจเดียวประเสริฐศรี ทุกสิ่งประสงค์
จงใจ จะเสร็จสมได้ด้วยสามัคคี”
43
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเขียนสวนสรุปในเรียงความโดยละเอียด การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา เปนการเขียนเรื่องราวตามประสบการณ
วาสามารถเขียนโดยใชวิธีใดไดบาง ยกตัวอยางจากเรียงความที่ไดรับ หรือจินตนาการของผูเขียนอยางมีรูปแบบและหลักเกณฑ นักเรียนจะตองมีความรู
รางวัลหรือไดรับการยกยองประกอบใหชัดเจน สรุปเปนใบความรู เกี่ยวกับการใชถอยคํา สํานวนโวหารประเภทตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งพรรณนา
เฉพาะบุคคล สงครู โวหาร ครูควรทบทวนการใชถอยคํา สํานวนโวหารในงานเขียนเชิงพรรณนาใหแก
นักเรียน ซึ่งงานเขียนเชิงพรรณนาผูเขียนตองเลือกใชถอยคําเพื่อสื่อความหมาย
สื่อภาพ สื่ออารมณใหเหมาะสมกับเนื้อเรื่อง ควรเลือกใชถอยคําที่ใหความหมาย
กิจกรรมทาทาย ชัดเจน คําที่มีเสียงเสนาะหรือสัมผัส งานเขียนเชิงพรรณนาตองมีใจความดี แม
จะพรรณนาความยืดยาว แตใจความตองมุงใหเกิดภาพ อารมณ และความรูสึก
สอดคลองกับเนื้อหาที่กําลังพรรณนา ในบางกรณีอาจตองใชอุปมาโวหารและ
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการเขียนสวนคํานําในเรียงความโดยละเอียด สาธกโวหารประกอบดวย เพื่อใหเกิดภาพและอารมณที่เดนชัดขึ้น นอกจากนี้
วาสามารถเขียนโดยใชวิธีใดไดบาง ยกตัวอยางจากเรียงความที่ไดรับ ครูควรใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทางดานซายมือ ผลจากการปฏิบัติกิจกรรมจะชวย
รางวัลหรือไดรับการยกยองประกอบใหชัดเจน สรุปเปนใบความรู สรางความรู ความเขาใจที่ถูกตองเกี่ยวกับวิธีการเขียนเรียงความ การไดสังเคราะห
เฉพาะบุคคล สงครู ความรูจ ากตัวอยางทีถ่ กู ตอง จะทําใหนกั เรียนมองเห็นแนวทางในการเขียนเพือ่ นําไป
พัฒนางานเขียนของตนเองตอไป
คูมือครู 43
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน โดยคัดสรร
บทบรรยายจากประสบการณที่มีความโดดเดน
ดานถอยคําและสํานวนภาษา ใหนักเรียนที่มี
๒ การเขียนสื่อสาร
ความสามารถในการอานออกเสียง ออกมาอานให ๒.๑ การเขียนบรรยายประสบการณ์
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน จากนั้นรวมกันสรุป การบรรยาย เป็นวิธีแสดงความคิดที่ส�าคัญประเภทหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะแสดงความคิดแบบใด
สาระสําคัญวา ผูเ ขียนไดเขียนบรรยายประสบการณ ก็ตาม ความคิดนัน้ ต้องมีการเชือ่ มโยงและมีความสัมพันธ์กนั ในเรือ่ งต่างๆ เช่น การบรรยายเป็นการบอก-
ดานใด เล่าเรือ่ งราว หรือเหตุการณ์วา่ ใคร ท�าอะไร ทีไ่ หน เมือ่ ไร อย่างไร เกิดผลอะไร กล่าวคือ เป็นการเล่า
(แนวตอบ คําตอบของนักเรียนขึ้นอยูกับประเภท ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของเรื่องตามที่เป็นอยู่โดยค�านึงถึงความต่อเนื่อง
ของบทบรรยายที่ครูคัดเลือก)
การบรรยายประสบการณ์
สํารวจคนหา Explore ล่องแพแม่วัง
วันนัน้ ในนาทีแรกทีเ่ ริม่ ต้นออกเดินทางล่องแพ พวกเราก็ตอ้ งช่วยกันออกแรงเข็นแพบนหาดทราย
จากบทบรรยายที่นักเรียนไดฟง ใหนักเรียน
ลงสู่ระดับน�้าลึก เมื่อแพเริ่มลอยน�้าจึงขึ้นนั่ง เราออกจะเขินๆ ชาวบ้านวัฒนาที่มายืนดูอยู่ริมตลิ่ง ดูคณะ
จับกลุมยอย กลุมละ 3-5 คน ตามความเหมาะสม เราที่เดินทางกันแบบพิสดารนั่นเอง เขาคงคิดว่า คนกลุ่มนี้แปลกอยู่ดีๆ ไม่ชอบ มีถนนหนทางให้เดิน
เพื่อรวมกันสืบคนความรูเกี่ยวกับการเขียนบรรยาย ทางอย่างสะดวกสบายก็ไม่ชอบ ต้องล�าบากล�าบนนั่งหลังขดหลังแข็งลอยแพไปตามน�้า การที่ชาวบ้าน
ประสบการณ มายืนดูราวกับมีงานอะไรนั้น ก็เพราะการจัดล่องแพในล�าน�้าแม่วังนี้ยังเป็นของใหม่นั่นเอง
เมือ่ แพเริม่ ลอยน�า้ ในต้นทาง คณะล่องแพยังคงตืน่ เต้นกับการเดินทาง มีการแย่งหน้าทีท่ า� งานกัน
อธิบายความรู Explain นิดหน่อยคือ ต่างก็เดินหาไม้ถอ่ ช่วยกันออกแรงถ่อแพ ทัง้ ด้านหัวแพและท้ายแพ แต่แทนทีแ่ พจะลอยน�า้ ฉิว
ก็เปล่า ดิฉนั สังเกตเห็นนายท้ายแพต้องท�างานหนัก คอยคัดท้ายไม่ให้แพขวางล�ากลางแม่นา�้ เพราะนักถ่อแพ
ครูตงั้ คําถามเพือ่ ใหนกั เรียนรวมกันอธิบายความรู สมัครเล่นนัน้ คุณเธอกดไม้ถอ่ เฉียงกับกระแสน�า้ มากไป เมือ่ แรงกดเต็มทีจ่ งึ ท�าให้แพหนีกระแสน�า้ ไปตาม
เกี่ยวกับการเขียนบรรยายประสบการณที่ไดจากการ แรงถ่อซึง่ ไปคนละทางกับนายหัว นัน่ แหละจึงท�าให้นายท้ายต้องท�างานหนักในระยะแรก ประกอบกับล�าน�า้
สืบคนรวมกับเพื่อนๆ ในกลุม แม่วงั ช่วงผ่านบ้านวัฒนานี ้ เป็นคุง้ คดโค้งมาก ระดับน�า้ ก็ตนื้ แพจึงเคลือ่ นทีช่ า้ เมือ่ ผ่านชาวบ้านทีก่ า� ลัง
• การเขียนบรรยายมีลักษณะสําคัญอยางไร ซักผ้าต่างก็โบกมือทักทายกัน
(แนวตอบ การเขียนบรรยายคือ การเขียน (ล่องแพแม่วัง : ร�าไพพรรณ แก้วสุริยะ, วารสารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๒)
เพื่อถายทอดความรู ความคิดของผูเขียน
ข้อสังเกต
ไปสูผูอาน)
๑. งานเขียนเรื่อง “ล่องแพแม่วัง” ที่ตัดตอนน�ามาเสนอนี้ ผู้เขียนบรรยายเรื่องการท่องเที่ยว
• การเขียนบรรยายเรื่องจากประสบการณ ตามที่ได้มีประสบการณ์มาจริงๆ
มีลักษณะสําคัญอยางไร ๒. ถ้อยค�าที่ใช้บรรยายเป็นการเล่าสู่กันฟังแบบกันเอง ชวนให้น่าติดตามอ่าน เช่น ตอนที่
(แนวตอบ การเขียนบรรยายเรือ่ งจากประสบการณ นักถ่อแพสมัครเล่นช่วยกันออกแรงถ่อแพในระยะแรก แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีความช�านาญแพจึงไม่
คือ การเขียนเลาเหตุการณทเี่ กิดขึน้ ตามจริง เคลื่อนฉิวอย่างที่ทุกคนต้องการ
โดยเปนประสบการณตรงของผูเ ขียน อาจมีการ ๓. วิธีเขียนบรรยายแบบนี้ ผู้เขียนที่มีประสบการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาแล้วจะสามารถ
สอดแทรกความคิดเห็นและขอสังเกตตางๆ ไว) เขียนเล่าได้อย่างละเอียดลออ และเป็นวิธีการเขียนที่ฝึกได้ไม่ยากนัก
44
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล ไดแก พืชและสัตวทั่วไป รางกายจะประกอบขึ้นจาก
ครูควรคัดสรรงานเขียนประเภท บรรยายประสบการณทมี่ จี ดุ มุง หมายแตกตางกัน
เซลลมากมายหลายลานเซลล โดยเซลลที่มีลักษณะคลายกันหรือเปนเซลล
มาใหนักเรียนอานเพื่อใหมองเห็นแนวทางการเขียน ซึ่งครูอาจมอบหมาย
ชนิดเดียวกันมาอยูดวยกัน ทําหนาที่อยางเดียวกัน เรียกกลุมเซลลเหลานี้วา
ชิน้ งานยอยใหนกั เรียนเขียนใบความรูเ ฉพาะบุคคล อธิบายแนวทางการเขียนบรรยาย
เนื้อเยื่อ ขอความขางตนใชโวหารชนิดใดในการเขียน
เรือ่ งจากประสบการณสงครู เพื่อเปนการตรวจสอบความรู ความเขาใจ โดยคําตอบ
1. พรรณนาโวหาร 2. สาธกโวหาร
ควรอยูในขอบขาย ดังนี้
3. เทศนาโวหาร 4. บรรยายโวหาร
1. กําหนดจุดมุงหมายในการเขียนวาจะเลาเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพื่ออะไร
ซึ่งขั้นตอนนี้มีความสําคัญตอการนําเสนอและการใชภาษา วิเคราะหคําตอบ ขอความขางตน มีลักษณะการใชภาษาเพื่ออธิบายความ
2. เรื่องที่จะนํามาเขียนบรรยายควรเปนเรื่องที่นาสนใจ เกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ หลายเซลล ซึง่ โวหารทีม่ คี วามเหมาะสมสําหรับกระบวนการ
3. ตองเขียนขอมูลตางๆ อยางถูกตอง ชัดเจน แสดงขอเท็จจริงอยาง อธิบาย คือ บรรยายโวหาร เพราะโวหารชนิดนี้ มุงใหเกิดความชัดเจน
ตรงไปตรงมา กลาวถึงเฉพาะสาระสําคัญของเรือ่ งอยางตรงไปตรงมา ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.
4. วางโครงเรื่องเชนเดียวกับการเขียนเรียงความ
5. ใชภาษาที่เราความสนใจและนาติดตามอานตั้งแตตนจนจบ
44 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจดวยการขออาสาสมัคร
จํานวน 3-5 คน ออกมาแนะนําตนเองในแบบฉบับ
๒.๒ การเขียนแนะนำาตนเอง ของแตละคน จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ความแตกตางในการแนะนําตนเองของ
การเขียนแนะน�าตนเอง
เพื่อนๆ แตละคน คืออะไร
1 (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยาง
ข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ ชื่อเล่น ไหม อายุ ๑๓ ปี
หลากหลาย)
สถานที่เกิด จังหวัดกาฬสินธุ์ พี่น้อง ๓ คน
บิดา รับราชการ มารดา แม่บ้าน
ระดับประถมศึกษา บูรณะวิทยาการ กรุงเทพฯ
สํารวจคนหา Explore
ความสามารถพิเศษ วาดภาพ ตีขิม แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม กลุมละ 3-5 คน
ข้อบกพร่อง สงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ฉันชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ มีชื่อเล่น ไหม - การใช้สรรพนาม ความรูรวมกัน ดังนี้
อายุ ๑๓ ปี เกิดที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ มี พี่ น้อง ๓ คน - การเว้นวรรค หมายเลข 1 การเขียนแนะนําตนเอง
บิดา มีอาชีพรับราชการ แม่เป็นแม่บ้าน ฉันเรียนจบ - ขาดเหตุผลอธิบาย หมายเลข 2 การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ
ชั้นประถมศึกษาที่กรุงเทพฯ ที่โรงเรียนบูรณะวิทยาการ - สรรพนามไม่สม�่าเสมอ หมายเลข 3 การเขียนสื่อสารบนสื่อ
ดิฉันชอบการวาดภาพและชอบเล่นดนตรีประเภทเครื่องตี ขิม - ระบุชอื่ เครือ่ งดนตรี อิเล็กทรอนิกส
ไม่ตอ้ งบอกว่าเครื่องตี
อธิบายความรู Explain
การเขียนแนะน�าตนเอง 1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “การเขียนแนะนําตนเอง”
ดิฉันชื่อ ด.ญ. แพรวา รักวิทยาการ ปัจจุบันอายุ ๑๓ ปี เกิดที่จังหวัดกาฬสินธุ์ บิดามี พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
อาชีพรับราชการ ส่วนมารดามีอาชีพเป็นแม่บ้าน ดิฉันมีชื่อเล่นว่า ไหม ส่วนชื่อแพรวาเป็นชื่อที่ 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู
บิดามารดาตั้งให้ตามเอกลักษณ์ของจังหวัดกาฬสินธุ์ซึ่งมีชื่อเสียงด้านผ้าไหมแพรวา ดิฉันมีพี่ชาย เกี่ยวกับการเขียนแนะนําตนเอง
๑ คน พี่สาว ๑ คน ดิฉันเป็นลูกคนสุดท้อง ดิฉันต้องย้ายโรงเรียนตามบิดาเมื่อท่านได้มาประจ�า • นักเรียนคิดวาการเขียนแนะนําตนเองมี
อยู่ที่กรุงเทพฯ ดิฉันได้เข้าเรียนและส�าเร็จการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนบูรณะ ความเกี่ยวของกับการเขียนบรรยายอยางไร
วิทยาการ ดิฉนั ชอบการวาดภาพและเคยส่งผลงานเข้าประกวดระดับประเทศได้รบั รางวัลหลายครัง้ (แนวตอบ การเขียนบรรยายเปนพื้นฐานของ
นอกจากนี้ดิฉันยังสามารถตีขิมและเคยเป็นนักดนตรีไทยประจ�าวงของโรงเรียนบูรณะวิทยาการ การเขียนแนะนําตนเอง)
ปัจจุบันดิฉันเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง และยังคงฝึกซ้อมตีขิม
เป็นงานอดิเรก
45
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
นักเรียนคิดวาบุคคลใดใหขอมูลสําหรับการแนะนําตนเองไดเหมาะสม
นอยที่สุด ครูสรางองคความรู ความเขาใจที่ถูกตองใหแกนักเรียนเกี่ยวกับกระบวนการ
1. วราภรณ บอกชื่อ-นามสกุล ชื่อเลน อายุ ของตนเองใหเพื่อนๆ ฟง สื่อสารเพื่อแนะนําตนเองตอกลุมบุคคลวา สามารถกระทําได 2 วิธี คือการพูดและ
2. ไมตรีบอกอุปนิสัยสวนตัวและงานอดิเรกที่ชอบทําหากมีเวลาวาง การเขียน แตการแนะนําตนเองจะกอใหเกิดความประทับใจก็ตอเมื่อผูสงสารเลือกใช
3. นวียาบอกสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัวที่ประสบผลสําเร็จ วิธีการสงสารดวยการพูด แตถึงอยางไรก็ตามการเขียนแนะนําตนเองเปนพื้นฐาน
จากธุรกิจสงออก ของการพูดแนะนําตนเองที่ดี หากผูพูดไดเขียนตนรางไวอยางสมบูรณ
4. ปฐมพงษบอกอาชีพของบิดา มารดา และสาเหตุที่ตองยายจาก
โรงเรียนเดิม
นักเรียนควรรู
วิเคราะหคําตอบ ขอมูลสวนตัวที่จะเลือกมาแนะนําตนเอง ควรเปนขอมูล
ที่ทําใหผูอื่นรูจักเรา เชน ชื่อ-นามสกุล ชื่อเลน อายุ ภูมิลําเนา อาชีพของ 1 ขอมูลสวนตัว นอกจากชือ่ และนามสกุล ผูแ นะนําตนเองอาจเลือกใหขอ มูลอืน่ ๆ
บิดา มารดา อุปนิสัยสวนตัว งานอดิเรก แตขอมูลที่คอนขางไปในทาง ตามความเหมาะสม ขึ้นอยูกับจุดประสงคในการแนะนําตนเอง เชน ชื่อเลน ครอบครัว
ยกตนขมทานไมเหมาะสมที่จะนํามาบรรยายใหผูอื่นฟง และในการแนะนํา ภูมิลําเนา ที่อยูปจจุบัน การศึกษา งานอดิเรก อุปนิสัย ความสามารถพิเศษโดยคํานึง
ตนเองกับเพือ่ นรวมชัน้ ก็ไมจาํ เปนตองใหขอ มูลดังกลาว ดังนัน้ จึงตอบขอ 3. วาขอมูลที่ระบุจะตองชวยเสริมภาพลักษณของตนเอง
คูมือครู 45
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “การเขียนแนะนําสถานที่ ๒.๓ การเขียนแนะนำาสถานทีส่ าำ คัญ
สําคัญ” พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายความรูเ กีย่ วกับ การเขียนแนะน�าสถานที่ส�าคัญ
การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ โดยใชความรูที่ เยือนนครพนม ชมถิ่นไทย-เวียดนาม
ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
ช่วงนีห้ ลายพืน้ ที ่ หลายอณูของเมืองไทยมีฝนฟ้า
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เทลงมาให้เราๆ ได้เย็นชุม่ ฉ�า่ สบายกายคลายความร้อน
• การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญมีความ ลงได้บา้ ง บางคนถึงกับไม่อยากทีจ่ ะลุกออกจากทีน่ อน
สัมพันธอยางไรกับการเขียนบรรยาย ด้วยซ�้าไป แอบขอนอนต่อเวลาเป็นว่าเล่น พูดไปแล้ว
ประสบการณ น�้าผึ้งเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ แหมก็อากาศดี
(แนวตอบ เพราะการเขียนแนะนําสถานที่ ซะขนาดนี้ใครจะยอมปล่อยให้ลอยนวลล่ะค่ะ แต่ไม่ว่า
สําคัญ คือ การเขียนบรรยายประสบการณ อากาศจะร้อนจะหนาวกันซะขนาดไหน ก็อย่าลืมทีจ่ ะดูแล
ประเภทหนึ่ง) สุขภาพตัวเองด้วยนะคะเดีย๋ วจะอดเทีย่ วพักผ่อนยาวๆ ที่
• นักเรียนคิดวางานเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ จะถึงนีก้ นั
ประกอบดวยขอมูลกี่สวน อะไรบาง และ อย่างสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วของทริปนีท้ นี่ า�้ ผึง้ จะแนะน�า
เพราะเหตุใดจึงเปนเชนนั้น อยู่ที่ จ.นครพนมค่ะ ที่นี่นอกจากจะเป็นเมืองริมโขง
(แนวตอบ ประกอบดวยขอมูล 2 กลุม คือ ทีน่ า่ อยูแ่ ละสงบเงียบแล้ว ยังเป็นดินแดนคูค่ วามสัมพันธ์
ขอมูลที่เปนขอเท็จจริง และขอมูลที่เปน อินโดจีนที่มีเรื่องราวน่าสนใจอีกด้วยค่ะ อย่างที่จวน
ขอคิดเห็น เพราะการเขียนแนะนําสถานที่ ผูว้ า่ ราชการจังหวัดนครพนมหลังเก่า ภายนอกตึกดูเก่าๆ พระธาตุพนมในวัดพระธาตุพนมวรวิหาร
สําคัญเปนการเขียนบรรยายประสบการณ แต่ซอ่ นด้วยความสวยแนวคลาสสิก เป็นสถาปัตยกรรม เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนครพนม
ประเภทหนึง่ ซึง่ การเขียนบรรยายประสบการณ แบบฝรัง่ เศสสไตล์คอเรียน ออกแบบโดยใช้ผนังรับน�้าหนัก ภายในตัวอาคารมีนิทรรศการภาพเก่า
จะประกอบดวยขอมูลที่เปนขอเท็จจริงของ เล่าเรื่องเมืองนครพนม จากห้องแรกเราจะได้รู้จักกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดท่านแรก ซึ่งเป็น
สถานที่และขอคิดเห็นที่ผูเขียนมีตอสิ่งหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนับจากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕ และยังเป็นผู้อ�านวยการ
สร้างอาคารหลังนี้อีกด้วยนะคะ มีภาพของท่านผู้ว่าฯ แต่ละท่านทั้งที่เคยอยู่ที่จวนหลังนี้และ
สิ่งใดหรือสถานที่นั้นๆ)
ไม่ได้อยู่ที่จวนหลังนี้ค่ะ
• การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญและสถานที่
ห้องถัดไปก็จะเป็นห้องเก็บรวมภาพย่านเก่าของเมืองนครพนมไว้ ตัวเมืองจะเลียบยาว
ทองเทีย่ วมีความคลายคลึงหรือแตกตางกัน ตามแม่นา�้ โขง ถนนเส้นเลียบแม่นา�้ โขงคือถนนสายหลักสายแรกของ จ.นครพนมค่ะ เมืองนครแห่ง
อยางไร อีสานดินแดนสองฝัง่ แม่นา�้ โขงแถบนีเ้ ดิมทีเป็นทีต่ งั้ ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ตัวเมืองตัง้ อยูท่ าง
(แนวตอบ มีความคลายคลึงกัน เพราะเปน ฝัง่ ซ้ายของล�าน�า้ โขง (ฝัง่ ลาว) บริเวณทางใต้ปากเซบัง้ ไฟตรงข้ามกับพระธาตุพนมในปัจจุบนั ผูค้ น
การเขียนบรรยายประสบการณที่ผูเขียนได ในเมืองนครพนมจะอยูร่ วมกันอย่างกลมกลืน มีทงั้ คนญวนคือคนไทยเชือ้ สายเวียดนาม คนจีนและ
เดินทางไปประสบดวยตนเอง สวนขอแตกตาง คนลาว แต่เดิมในประวัติศาสตร์ประเทศไทยกับประเทศลาวนั้นเป็นเมืองเดียวกันในอาณาจักร
อยูท วี่ ธิ กี ารเรียบเรียงขอมูล กลาวคือ การเขียน ศรีโคตรบูรณ์และมรุกขนคร ต่อมาได้แยกกันตอนที่มีสงคราม ฝรั่งเศสยึดเมืองลาวไป ภาพที่
แนะนําสถานที่ทองเที่ยว ผูเขียนควรเขียน
ในลักษณะของการเชิญชวน ปรากฏรูปแบบ 46
ภาษาในเชิงโนมนาวใจ ใหผูอานเดินทางไป
ทองเที่ยวยังสถานที่นั้นๆ)
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอมูลในขอใดมีความเหมาะสมนอยที่สุดสําหรับการเขียนแนะนําสถานที่
ครูควรใหนักเรียนอานบทความแนะนําสถานที่ทองเที่ยว สถานที่สําคัญจาก
ทองเที่ยวหรือสถานที่สําคัญของจังหวัดลพบุรี
นิตยสาร วารสาร เชน อนุสาร อ.ส.ท. นิตยสารเที่ยวรอบโลก หรือพ็อกเกตบุก
1. ภูมิศาสตร 2. ประวัติศาสตร
เกี่ยวกับการเดินทางทองเที่ยว เพื่อใหนักเรียนมีมุมมองเกี่ยวกับการเขียนแนะนํา
3. การแกปญหาจํานวนลิง 4. การเดินทาง
ที่กวางไกล นําแนวทางการเขียนที่สังเคราะหไดจากการศึกษางานเขียนของผูอื่น
มาใชพัฒนางานเขียนของตนเอง วิเคราะหคําตอบ การเขียนแนะนําสถานที่ทองเที่ยว คือการเขียนเลา
ประสบการณของผูเขียน นําผูอานไปทองเที่ยวอยางประหยัด เนื้อหา
ควรประกอบดวยความรูและความเพลิดเพลินใจ ขอควรระวังสําหรับ
มุม IT การเขียนแนะนําสถานที่คือ ผูเขียนไมควรแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ตอสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปญหาใดปญหาหนึ่งโดยปราศจากการไตรตรอง
นักเรียนสามารถเขาไปอานบทความหรือสารคดีเชิงทองเที่ยวไดจากเว็บไซต ซึ่งอาจทําใหผูอานเกิดความเขาใจที่ผิดพลาดตอสถานที่นั้นๆ ได
ของอนุสาร อ.ส.ท. http://www.osotho.com/th/home/index.php ที่เว็บไซตนี้ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
จะทําใหนักเรียนมีมุมมองที่กวางขวางเกี่ยวกับการเขียนแนะนําสถานที่ ไดเรียนรู
รูปแบบการใชภาษา ถอยคํา สํานวนโวหารทีเ่ ปนลักษณะสําคัญของงานเขียนประเภทนี้
46 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเ กีย่ วกับการเขียนบรรยาย
จัดแสดงอยูภายในก็จะเปนภาพที่ใหคนในนครพนม และการเขียนแนะนําตนเองสรางสรรคงานเขียน
ไดมีสวนรวมในการสงเขามาประกวด ไมวาจะเอา แนะนําตนเอง
ภาพมาจากที่ไหนก็ตามนะคะ 2. นักเรียนใชองคความรูเ กีย่ วกับการเขียนแนะนํา
และหองถัดไปจะไดเรียนรูวัฒนธรรมและ สถานที่สําคัญสรางสรรคงานเขียนของตนเอง
ศิลปกรรมของทางนครพนมนะคะ จากนัน้ เราเดินตาม โดยเลือกเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ คนละ
รอยพอ*ไปที่ชั้น ๒ ซึ่งเราก็จะไดเห็นภาพเมื่อครั้งที่ 1 สถานที่ ความยาวไมเกิน 1 หนากระดาษ A4
พระบาทสมเด็จพระเจาอยูห วั *เสด็จฯ มาเยีย่ มราษฎร 3. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ทํ าให เกิ ดภาพประวั ติศาสตร ของงานเขียนแนะนําตนเองที่ดี เพื่อใชประเมิน
ภาพนี้ นี่ก็คือแมเฒาตุมที่รอรับเสด็จถวายดอกบัว แม เฒาตุมถวายดอกบัวแดพระบาทสมเด็จ งานเขียนของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
๓ ดอก ทําใหเปนภาพที่อยูในความทรงจําของใคร มหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเกณฑที่นักเรียนรวมกันจัดตั้งขึ้นควร
หลายๆ คน ภาพนี้เกิดขึ้นที่นครพนมบริเวณสามแยกชยางกูรทางไปพระธาตุพนมคะ และ ครอบคลุม ดังตอไปนี้
หลังจากทีเ่ ราไดเยีย่ มชมนิทรรศการภายในจวนหลังเกานีเ้ รียบรอย เราเขาไปกันที่ “เฮือนเฮือไฟ” (แนวตอบ
หรือเรือนเรือไฟกันตอคะ • มีขอมูลเฉพาะบุคคลครบถวน
สําหรับเฮือนเฮือไฟนี้นะคะ เปนเรือนที่จัดแสดงภาพและเลาเรื่องราวประเพณี และ • การลําดับขอมูล มีความตอเนื่อง
วัฒนธรรมการไหลเรือไฟของชาว จ.นครพนม ซึ่งมีความนาสนใจมาก ไมแพที่อื่นเลยละคะ • ภาษา สามารถใชถอยคําบรรยายไดอยาง
จากจวนผูวาฯ เราเดินมาไดสักพักเราก็ตองมาสะดุดอยูที่หอนาฬกาเวียดนามอนุสรณ ซึ่งเปน เหมาะสม ถูกตองตามหลักไวยากรณ
เหมือนสิง่ แทนความขอบคุณของชาวเวียดนามทีม่ ตี อ ผืนแผนดินไทย กอนทีจ่ ะอพยพกลับประเทศ • การเขียนสะกดคํา การันต การเวนวรรคตอน
เวียดนามไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ แตถาหากอยากจะซึมลึกกับวัฒนธรรมไทย-เวียดนามมากกวานี้ ความสะอาดเรียบรอย ลายมือ กระดาษทีใ่ ช
ก็ตอ งไปทีห่ มูบ า นมิตรภาพไทย-เวียดนามคะ ทีห่ มูบ า นมิตรภาพไทย-เวียดนาม หรือหมูบ า นนาจอก และมารยาทที่ดีของผูเขียน)
เปนหมูบ า นเกาแก ชาวบานสวนใหญมเี ชือ้ สายเวียดนามทัง้ สิน้ และทีน่ กี่ ม็ ปี ระวัตศิ าสตรทนี่ า สนใจ 4. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
มาก โดยเฉพาะเปนหมูบานที่ทานโฮจิมินหไดเคยเขามาพักอาศัยนานถึง ๒ ป กอนที่จะกอบกู งานเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ เพื่อใชประเมิน
อิสรภาพไดสาํ เร็จอีกดวยนะคะ งานนีเ้ ราไดเขาชมบานของลุงโฮไดอยางเต็มที่ บานของทานโฮจิมนิ ห งานเขียนของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน
เปนบานชัน้ เดียว หนาบานมีตน มะพราว ๒ ตน ทีท่ า นปลูกเอง ซึง่ เปนสัญลักษณและรหัสทีเ่ ขาใจกัน ซึ่งเกณฑที่รวมกันจัดตั้งขึ้นควรครอบคลุม
ในกลุม กอบกูอ สิ รภาพ ภายในบานเปนทีพ่ กั และทีท่ าํ งานทีเ่ รียบงาย ซึง่ สมัยกอนเวลาทีท่ า นสงขาวสาร ดังตอไปนี้
ถึงสมาชิกในกลุม ก็จะใชนกพิราบทีเ่ ลีย้ งไวในบานเล็กๆ หลังนี้ สงขาวอีกดวยละคะ (แนวตอบ
เปนอยางไรกันบางคะ คุณผูอานคงรูสึกวาเปนหมูบานเล็กๆ แตกลับมีเรื่องที่นาสนใจ • เลือกสถานที่ไดเหมาะสม นาสนใจ
มากมายใชไหมละคะ นํ้าผึ้งอยากจะบอกนะคะวา การที่เราไดมาเยือนนครพนมครั้งนี้ไดทั้งความ • กําหนดจุดมุงหมายในการเขียนไดชัดเจน
สนุกและก็ความรูมากมายเลยนอกจากเปนเมืองสงบและนาอยู ยังเปนเมืองทีส่ านสัมพันธภาพ • รวบรวมและลําดับขอมูลไดตอเนื่อง
มิตรภาพดีๆ ระหวางเพื่อนบานไวอยางเหนียวแนนดวยละคะ ถาหากคุณผูอ า นมีโอกาสก็อยาลืม • นําเสนอนาติดตาม ชวยสนับสนุนขอมูล
แวะมาเที่ยวที่ จ.นครพนม นะคะ • สํานวนภาษาถูกตองตามหลักไวยากรณ
(เยือนนครพนม ชมถิน่ ไทย-เวียดนาม : สราลี กิตยิ ากร, หนังสือพิมพโพสตทเู ดย ฉบับวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒) ไพเราะ สละสลวย สื่อความงาย
• ความนาเชื่อถือและการอางอิงแหลงขอมูล
* “พอ” และ “พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว” ในที่นี้หมายถึง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล • การเขียนสะกดคํา ความสะอาดเรียบรอย
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๔๗
เวนวรรคตอน ลายมือ กระดาษที่เลือกใช
และมารยาทที่ดีของผูเขียน)
บูรณาการเชื่อมสาระ
การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญสามารถบูรณาการไดกับกลุมสาระ เกร็ดแนะครู
การเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี โดยเรียนเชิญครูที่สอนสาระ
ครูควรชี้แนะใหแกนักเรียนวา การเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ สถานที่ทองเที่ยว
เทคโนโลยี มาใหความรูแ กนกั เรียนเกีย่ วกับการบันทึกวิดโี อใหอยูใ นรูปแบบ
มีจดุ มุง หมายสําคัญ คือทําใหผอู า นไดรจู กั สถานทีน่ นั้ ๆ ผานการถายทอดดวยถอยคํา
ของไฟลที่สามารถนําไปโพสตลงบนเว็บไซตของโรงเรียนแลวสามารถคลิก
สํานวนโวหารของผูเ ขียน ทําใหไดรบั ทัง้ ความรู และความบันเทิง โดยเฉพาะอยางยิง่
ลิงกเขาไปรับชมได จากนั้นใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 3-5 คน เลือก
การเขียนแนะนําสถานที่ทองเที่ยวอาจประกอบดวยขอมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร
สถานที่สําคัญภายในจังหวัด (ไมควรซํ้ากัน) ใชองคความรูเกี่ยวกับ
ประวัติศาสตร เปนตน ดังนั้น วิธีการเขียนแนะนําสถานที่สําคัญ สถานที่ทองเที่ยว
การเขียนรวมกันเขียนบทบรรยายแนะนําสถานที่สําคัญ นําเสนอในรูปแบบ
ผูเขียนจะตองมีความรู ความเขาใจในทุกแงมุมเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆ เปนอยางดี
ของบันทึกการเดินทางมีทั้งภาพเคลื่อนไหว เสียงบรรยาย และอาจมีเสียง
ไมควรฟงจากคําบอกเลาของผูอ นื่ แลวนํามาเขียน ควรเขียนขึน้ จากประสบการณตรง
ดนตรีประกอบ นําสงครูโดยโพสตลงบนเว็บไซต ครูมอบหมายใหนักเรียน
ของตนเอง รวมทั้งมีความรู ความเขาใจ ความสามารถในการใชถอยคํา สํานวน
แตละคนเขาไปชมวิดีโอคลิปของแตละกลุม แลววิเคราะหผลงาน เชน
โวหาร หรือมีศลิ ปะในการเขียนเพือ่ ใหผอู า นไดรบั ทัง้ ความรูแ ละความบันเทิง ทีส่ าํ คัญ
สถานที่ที่เลือก ขอมูล การลําดับเนื้อหา การลําดับภาพ เสียงประกอบ
ไมควรดวนสรุปหรือแสดงความคิดเห็นสวนตนลงไปในประเด็นที่ไมทราบแนชัด
นําผลการวิเคราะหมาสรุปผลในชั้นเรียน เพื่อคัดเลือกกลุมที่นําเสนอไดดี
นอกจากนีผ้ เู ขียนอาจมีการอางอิงแหลงขอมูลไวทา ยงานเขียนเพือ่ เพิม่ ความนาเชือ่ ถือ
ที่สุด ผลของการปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนเห็นประโยชนของสื่อ
ซึ่งแหลงอางอิงอาจเปนหนังสือ หรือบุคคลทองถิ่นผูเปนเจาของวัฒนธรรม
อิเล็กทรอนิกสหากใชในเชิงสรางสรรค และเรียนรูวิธีการประเมินงาน
ของตนเองและผูอื่น
คูมือครู 47
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุม ที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบายความรู
ในประเด็น “การเขียนสื่อสารบนสื่ออิเล็กทรอนิกส” ข้อสังเกต
พรอมทัง้ ระบุแหลงทีม่ าของขอมูลจากนั้นครูสุมเรียก ๑. งานเขียนนี้ใช้ภาษาไม่เป็นทางการ ท�าให้ผู้อ่านรู้สึกสนุกไปด้วย
ชือ่ นักเรียนเพือ่ ตอบคําถาม ๒. มีการใช้ค�าภาษาต่างประเทศ เช่น ทริปนี้ แม้ว่าเป็นค�าที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ควรใช้ค�า
• สถานการณที่วัยรุนไทยใชภาษาสแลง ภาษาต่างประเทศเท่าที่จ�าเป็น
คําคะนองในการสื่อสารเปนเรื่องผิดหรือไม ๓. มีการใช้ส�านวนในย่อหน้าบทน�าที่ไม่สอดคล้องกันนัก เช่น “ใครจะยอมปล่อยให้ลอยนวล”
อยางไร ส�านวนนี้ปกติใช้กับผู้ร้าย
๔. ผู ้ เขี ย นไม่ ไ ด้ ใ ห้ ร ายละเอี ย ดเส้ น ทางการเดิ น ทางและต� า แหน่ ง ที่ ตั้ ง ของสถานที่ เช่ น
(แนวตอบ การใชคําเหลานี้สนทนากัน
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดหลังเก่า เฮือนเฮือไฟ หมู่บ้านนาจอก
เฉพาะกลุมไมใชเรื่องผิด แตควรตระหนักวา
๕. ผู้เขียนสอดแทรกประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ท�าให้ผู้อ่านมีความรู้เพิ่มขึ้น
ไมใชคําที่ถูกตองตามหลักไวยากรณไทย ๖. งานเขียนมีข้อบกพร่องในการใช้ภาษา ได้แก่ การใช้ค�าฟุ่มเฟือย เช่น “นะคะ” “ค่ะ” หรือ
รวมถึงไมสุภาพเมื่อจะนําไปใชสื่อสาร การใช้รูปวรรณยุกต์ เช่น “เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ” ที่ถูกต้องต้องเขียนว่า “เป็นอย่างไรกันบ้างคะ”
ในโอกาสที่เปนทางการควรใชคําที่ถูกตอง สรุป แม้งานเขียนนี้จะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่ก็ท�าให้ผู้อ่านได้รับความรู้และความเพลิดเพลิน
และคํานึงถึงความเหมาะสม) 1
๒.๔ การเขียนบนสือ่ อิเล็กทรอนิกส์
ขยายความเขาใจ Expand
การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์
นักเรียนรวมกันอภิปรายในหัวขอ “การสื่อสาร
ผ า นสื่ อ อิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ส ส ง เสริ ม แนวคิ ด การเรี ย นรู การสนทนาจากกระทู้ทางสื่ออินเทอร์เน็ต
เอมี่ : ชอบค�าขวัญวันเด็กปีนี้มะ
ตลอดชีวิตไดอยางไร” นําผลการอภิปรายมาจัดการ
พล : ชอบฉลาดคิด คนคิดฉลาดเจงๆ
ความรู ร ว มกั น ในลั ก ษณะของป า ยนิ เ ทศประจํ า
เอมี่ : จิตบริสุทธิ์ เป็นยังไงอะ
ชั้นเรียน
พล : ก็จิตไม่ด�าอิ
เอมี่ : งั้น ผูกพันรักสามัคคี ก็คือ เด็กใจขาวคิดเก่งร่วมกันจุดไฟฝัน ชิมิ?
พล : เอ! ภาษาเทพนี่
ข้อสังเกต
๑. ค�าศัพท์ที่ใช้สนทนาเป็นภาษาเฉพาะกลุ่มของวัยรุ่น มีการใช้ค�าที่ผู้เขียนประดิษฐ์ขึ้นเอง
เช่น มะ (ไหม) เจงๆ (จริงๆ) ยังไงอะ (อย่างไรล่ะ) อิ (สิ) ชิมิ (ใช่ไหม)
๒. ผู้เขียนโต้ตอบกันบนกระดานสนทนามักจะเป็นกลุ่มคนวัยเดียวกันและสนใจเรื่องเดียวกัน
จึงจะสามารถใช้ภาษาโต้ตอบกันได้
๓. ภาษาที่ใช้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องใช้ค�าใดแทนภาษาพูดแบบธรรมดา
๔. บทสนทนานี้เน้นความสนุกจนเกินเลย โดยน�าค�าขวัญประจ�าวันเด็กมาเบี่ยงเบนจนคุณค่า
ของค�าขวัญหมดไป
48
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดเปนวิธีการแกไขปญหาการใชคําคะนองหรือคําสแลงที่จะทําให
1 สื่ออิเล็กทรอนิกส มีทั้งขอดีและขอเสีย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับวาผูใชงานจะมี
ภาษาไทยไมวิบัติ
วิจารณญาณในการเลือกใชเพื่อการสื่อสารอยางไร การสื่อสารผานสื่ออิเล็กทรอนิกส
1. รวมกันเดินรณรงคเพื่อสรางจิตสํานึกที่ดีแกเยาวชน
มีขอดี คือ สามารถสืบคนหรือเผยแพรขอมูลขาวสารที่เปนประโยชน สนับสนุน
2. หนวยงานของรัฐบาลกําหนดบทบัญญัติใหปฏิบัติตาม
แนวคิดการเรียนรูตลอดชีพ ไมจํากัดวัย เพศ สถานที่ และเวลา แตถาผูใชปราศจาก
3. ผลิตสื่อเผยแพรขอเสียของการใชคําคะนองในการสื่อสาร
วิจารณญาณในการใช เผยแพรขอมูลขาวสารที่เปนเท็จหรือสรางความแตกแยกก็จะ
4. ผูใชภาษาไทยเพื่อการสื่อสารควรคํานึงถึงความเหมาะสมในการใช
เกิดผลเสียขึ้น ดังนั้น นักเรียนในฐานะที่มีความรูความเขาใจเกี่ยวกับขอดีและขอเสีย
ของการสื่อสารผานสื่ออิเล็กทรอนิกส จึงควรใชสื่อประเภทนี้ในทิศทางที่ถูกตองและ วิเคราะหคําตอบ การใชคําคะนองหรือคําสแลงสนทนาในชีวิตประจําวัน
ใหคาํ แนะนําแกนอ งๆ เยาวชนทีร่ เู ทาไมถงึ การณ ก็จะมีสว นชวยสังคมไดอกี ทางหนึง่ ระหวางกลุม บุคคลทีม่ คี วามสนิทสนมไมใชสงิ่ ผิดรายแรง แตผใู ชควรตระหนัก
วา ไมใชคําที่ถูกตอง เปนถอยคําที่เกิดขึ้นเฉพาะชวงเวลาใดเวลาหนึ่ง
และอาจจะพนสมัยไป เมื่อตองสื่อสารกับผูอื่นหรือกับบุคคลที่มีอาวุโสกวา
ในสถานการณที่เปนทางการ ควรที่จะเลือกใชถอยคําใหถูกตองเหมาะสม
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
48 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูเลาสถานการณใหนักเรียนฟงเกี่ยวกับความ
๓ การเขียนย่อความ 1
เจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี ที่มนุษยสามารถรับรู
ย่อความ คือ การจับใจความส�าคัญของเรื่องที่ได้อ่าน
น ได้ฟัง หรือได้ดูมา ให้ได้ความว่าใคร
ขอมูลขาวสารความบันเทิงไดรวดเร็วยิ่งขึ้น บางสิ่ง
ท�าอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด เพราะเหตุใดหรือมีแนวคิดอย่างไร แล้วน�ามาเรียบเรียงสรุปให้ได้
ที่เปนประโยชน แตอาจหลงลืมได จากนั้นครู
ใจความครบถ้วน สั้น กระชับ ด้วยส�านวนของตนเอง
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ขอมูล ขาวสารที่เปนประโยชน นักเรียนจะ
การเขียนย่อความ มีวิธีในการจดจําหรือเก็บรักษาขอมูลนั้นได
อยางไร
สื่อมวลชนสามารถจะน�าเรื่องราวต่างๆ ไปสู่บุคคลเป็นจ�านวนมากได้แม้ว่าบุคคลเหล่านั้น (แนวตอบ สามารถเก็บรักษาขอมูลเหลานัน้ ได
ในรูปแบบของการบันทึกเปนขอความ โดย
จะแยกกันอยู่ในสถานที่ต่างๆ ก็ตาม นับได้ว่าสื่อมวลชนมีความส�าคัญต่อการศึกษา เพราะช่วย
ระบุใจความสําคัญและแหลงทีม่ า ซึง่ เรียกวา
เผยแพร่ข่าวสารความรู้แก่มวลชนได้อย่างรวดเร็ว แต่ในบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายเหล่านั้น
“ยอความ”)
หนังสือพิมพ์รายวันมีบทบาทและอิทธิพลต่อการศึกษามากที่สุด เพราะเสนอข่าวสารได้คงทน
• ทักษะการยอความมีความจําเปนตอชีวิต
ถาวรเป็นหลักฐานให้ผู้อ่านได้มีเวลาคิดตรึกตรองและสามารถย้อนกลับไปอ่านทบทวนได้
ประจําวันของนักเรียนอยางไร
หนังสือพิมพ์รายวันจึงเข้าถึงมหาชน และเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษามาก (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
(ศรีวรรณ ช้อยหิรัญ) ไดอยางอิสระ)
• การยอความที่ดี ผูยอตองมีความรูในเรื่อง
ใดบาง
ใจความส�าคัญของข้อความนี้ คือ หนังสือพิมพ์รายวันเป็นสื่อสารมวลชนที่มีอิทธิพลต่อ
(แนวตอบ ตองรูหลักการยอความและรูปแบบ
การศึกษามากที่สุด เพราะบันทึกข่าวสารที่คงทนถาวรซึ่งสามารถน�าไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อการศึกษา
การเขียน)
ใจความส� า คั ญ หมายถึ ง ข้ อ ความที่ ส� า คั ญ ที่ สุ ด ในงานเขี ย น ข้ อ ความที่ มี ใจความส� า คั ญ
รองลงมาเรียกว่า พลความ
ข้อความในงานเขียนต่างๆ จ�าแนกเนื้อหาได้ ๓ ชนิด คือ สํารวจคนหา Explore
๑. ข้อเท็จจริง เป็นข้อความหรือเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือที่เป็นอยู่ตามจริง มีหลักฐานสามารถ แบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม ตามความสมัครใจ
พิสูจน์ได้ เช่น ถ้าฝนตกในเวลาที่แดดออก เราจะมองเห็นรุ้งกินน�้า จากนั้นใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็น
๒. ข้อคิดเห็น เป็นข้อความทีแ่ สดงความรูส้ กึ หรือความคิดเห็นของผูเ้ ขียนเอง หรือเป็นข้อความ สําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้
ที่แสดงการคาดคะเน เช่น ชีวิตที่มีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว เป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายมาก หมายเลข 1 หลักการยอความ
๓. ข้อความที่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึก เป็นข้อความที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียนที่ หมายเลข 2 การเขียนคํานํายอความ
เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้นๆ เช่น ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล ท�าให้รู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว โดยนักเรียนสามารถสืบคนความรูไดจากแหลง
การเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได เชน ตํารา
สื่อการเรียนรูอิเล็กทรอนิกส เปนตน แตละกลุม
ควรรวมกันลงมติคัดเลือกผูมีทักษะในการจด
บันทึกทําหนาที่เปนผูจดบันทึกสาระสําคัญที่ได
49
จากการสืบคนรวมกัน
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้คือองคประกอบของการยอความเรื่องหนึ่งๆ
ครูควรชีแ้ นะแกนกั เรียนวา การยอความทีถ่ กู ตอง คือ การจับใจความสําคัญของ
1. รูปแบบและสรุป
เรือ่ งทีอ่ า น ดังนัน้ การยอความเรือ่ งเดียวกันแมผยู อ จะเปนคนละคน แตใจความสําคัญ
2. หลักการและรูปแบบ
ทีไ่ ดจะเปนไปในทิศทางเดียวกัน การฝกฝนใหนกั เรียนยอความจากเรือ่ งทีอ่ า นหรือฟง
3. สวนนําและเนื้อความ
อยางหลากหลายจะชวยฝกทักษะการสรุปยอและทักษะการสังเคราะหใหแกนักเรียน
4. เนื้อความและสวนสรุป
ซึ่งสามารถนําไปประยุกตใชใหเกิดประโยชนในชีวิตประจําวันของตนเองได
วิเคราะหคําตอบ การยอความเปนการเขียนทีม่ รี ปู แบบเฉพาะ โดยยอความ
เรื่องหนึ่งๆ จะประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน ไดแก สวนที่ 1 สวนนํา
หรือสวนขึ้นตน เปนสวนที่บอกที่มาของเรื่องที่นํามายอ สวนที่ 2 คือ นักเรียนควรรู
เนื้อความเปนสวนที่ยอเรื่องที่อานหรือฟง ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
1 การจับใจความสําคัญของเรือ่ งทีไ่ ดอา น เมือ่ อานเรือ่ งทีม่ ขี นาดยาว การยอความ
จําเปนตองอาศัยความรูเรื่องยอหนาเปนพื้นฐาน เพื่อสามารถจับใจความสําคัญ
ในแตละยอหนาไดถูกตอง ซึ่งประสิทธิภาพของการยอความวัดจากผูยอสามารถ
สรุปความไดวา เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร หรือใคร ทําอะไร ที่ไหน เมื่อไร อยางไร
คูมือครู 49
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “หลักการยอความ” 1
การเขียนย่อความ
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ทางเหนือของกัมพูชาติดกับชายแดนไทย คือหนึ่งในแหล่งที่เป็น
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับหลักการ มรดกทางวัฒนธรรมส�าคัญของประเทศ สร้างขึ้นในราวปลายศตวรรษที่ ๑๑ หลังแพ้คดีความ
ยอความ โดยใชความรูที่ไดรับจากการฟง ในศาลโลก ไทยจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวด๑ จึงได้มกี ารท�าแผนทีข่ นึ้ ใหม่ทแี่ สดง
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล เขตให้เห็นว่าแม้ตัวปราสาทพระวิหารจะอยู่ในเขตแดนเขมรก็ตาม แต่โดยลักษณะสันปันน�้า
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พื้นที่โดยรอบเกือบทั้งหมดอยู่ในไทย ส่วนทางเขมรไม่ยอมรับพื้นที่ซึ่งไทยก�าหนดจึงเกิดเป็น
• การยอความมีหลักปฏิบัติอยางไร ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกันขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องมายาวนาน ต่อมาเมื่อทางเขมรขอให้คณะกรรมการ
(แนวตอบ ตองอานหรือฟงเรื่องที่ยอโดย มรดกโลกก�าหนดให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยผนวกกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนเข้าไป
ละเอียด พิจารณาวาสิ่งใดเปนใจความสําคัญ ด้วย ทางไทยจึงไม่ยอมรับ ถ้าหาข้อยุตริ ะหว่างกันไม่ได้ อาจน�าไปสูก่ ารเผชิญหน้ากันทางก�าลัง
และสิ่งใดเปนใจความสําคัญรอง เพื่อใหทราบ หรือไม่ก็เป็นคดีความในศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง ๒
เนื้อหาหลักหรือสาระสําคัญของเรื่องทั้งหมด ข้อความ ๑ เป็นข้อความที่แสดงอารมณ์
เขียนสวนนําเพื่อบอกแหลงที่มาของเรื่อง ข้อความ ๒ เป็นข้อความที่แสดงความคิดเห็น
ที่นํามายอใหถูกตองชัดเจน เรียบเรียง ส่วนข้อความที่เหลือทั้งหมด เป็นข้อความที่เป็นข้อเท็จจริง
ใจความสําคัญดวยสํานวนภาษาของตนเอง
หากเนื้อเรื่องเดิมใชสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 ๑) หลักการย่อความ มีหลักในการปฏิบัติ ดังนี้
ใหเปลี่ยนเปนสรรพนามบุรษุ ที่ 3 แตถา ปรากฏ ๑. อ่านเรื่องที่จะย่ออย่างละเอียดหลายๆ ครั้ง เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวแจ่มแจ้ง
คําราชาศัพทใหคงไวเชนเดิม นอกจากนี้ ๒. เขียนค�าน�าการขึ้นต้นย่อความตามรูปแบบประเภทของเรื่องที่ย่อ
ถาขอความที่ยอเปนรอยกรองใหถอดความ ๓. เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ ให้เป็นบุรุษที่ ๓
เปนรอยแกวกอนแลวจึงลงมือยอความ) ๔. ศึกษาศัพท์ ส�านวนโวหาร และตีความเรื่องที่อ่าน
๕. ถ้าเรื่องที่ย่อเป็นร้อยกรองต้องถอดค�าประพันธ์เป็นร้อยแก้ว แล้วจึงย่อ
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๖. ถ้าเดิมมีราชาศัพท์ให้คงไว้
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1
๗. จับใจความส�าคัญของแต่ละย่อหน้า แล้วสรุปด้วยถ้อยค�าส�านวนของผู้ย่อเอง
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด ๒) การเขียนค�าน�าย่อความ มีความส�าคัญมากส�าหรับการเขียนย่อความ เพราะช่วยให้รู้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น แหล่งที่มาของเรื่องที่ย่อและใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงได้ การเขียนค�าน�าย่อความมีรูปแบบเฉพาะที่
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม) ผู้เขียนจะต้องศึกษา ดังนี้
๑. การย่อนิทาน นิยาย เรื่องสั้น ให้บอกประเภทชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ที่มาของเรื่อง เช่น
ย่อนิทานเรื่อง.................................................ของ.......................................................................................................
จาก......................................................ความว่า
......................................................................................................................................................................................................
50
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับหลักการยอความ
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา การเขียนยอความเปนการเรียบเรียงใจความสําคัญ
1. เปลี่ยนคําราชาศัพทเปนสํานวนผูยอ
ของสิง่ ทีไ่ ดอา นหรือฟง ดังนัน้ หากนักเรียนตองการจะเขียนยอความไดดจี งึ ตองอาศัย
2. เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 เปน 3
ทั้งความสามารถในการอาน การฟงเพื่อจับใจความ และความสามารถในการเขียน
3. จับใจความสําคัญ แลวสรุปเปนสํานวนของผูยอ
ประกอบกัน
4. ถาเรื่องที่ยอเปนรอยกรองตองถอดความใหเปนรอยแกว
วิเคราะหคําตอบ การยอความมีหลักการยอ ดังนี้ อานเรื่องที่ยออยาง
นักเรียนควรรู ละเอียด เขียนสวนนําของยอความใหถูกตองตามรูปแบบที่กําหนด เปลี่ยน
สรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 เปนสรรพนามบุรุษที่ 3 ทําความเขาใจ
1 การเขียนยอความ มีประโยชนตอนักเรียน เพราะทุกครั้งที่เกิดการแสวงหา ความหมายของถอยคํา สํานวนโวหาร ถาเรื่องที่ยอเปนรอยกรองตอง
ความรูไมวาจะดวยวิธีการอานหรือการฟง หากนักเรียนไมละเลยที่จะจดบันทึก ถอดความเปนรอยแกว ยอความดวยสํานวนภาษาของตนเอง หากเรื่อง
ใจความสําคัญเหลานัน้ ไวในรูปแบบของการยอความ ก็จะทําใหนกั เรียนมีคลังความรู ที่ยอปรากฏคําราชาศัพทใหคงไวเชนเดิม ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
ที่สามารถกลับมาทบทวนหรือนําไปใชตอยอดไดอีกในอนาคต
50 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒. การย่อค�าสอน ค�าบรรยาย ค�ากล่าวปาฐกถา ให้บอกประเภท ชื่อเรื่อง เจ้าของเรื่อง ความรูในประเด็น “การเขียนคํานํายอความ”
ผู้ฟัง สถานที่ และเวลาที่แสดงเท่าที่จะทราบได้ เช่น พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ย่อค�าสอนเรื่อง.....................................................................ของ ...............................................................................
จาก......................................................ความว่า อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
.....................................................................................................................................................................................................
การเขียนคํานํายอความ โดยใชความรูที่ไดรับ
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
๓. การย่อค�าปราศรัย สุนทรพจน์ พระราชด�ารัส ฯลฯ ต้องบอกประเภท เจ้าของเรื่อง เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ผู้ฟัง โอกาสที่กล่าว สถานที่กล่าว วัน เดือน ปีที่กล่าวเท่าที่จะทราบได้ เช่น • การเขียนคํานํายอความมีความสําคัญ
อยางไร
ย่อค�าปราศรัยของ......................แก่.................................ในโอกาส.......................ทาง(ที่) ....................... (แนวตอบ การเขียนคํานํายอความ ชวยใหรู
วันที.่ ...................................................................................ความว่า แหลงที่มาของเรื่องที่อานหรือฟง สามารถ
.....................................................................................................................................................................................................
ใชเปนหลักฐานอางอิงไดเมื่อกลับมาศึกษา
ทบทวนในภายหลัง)
นิทานที่นÓมาย่อความ • คํานํายอความแตละประเภทจะมีลักษณะ
แตกตางกัน แตมีขอมูลบางประการที่จําเปน
ในสวนหลังบ้านผูม้ ฐี านะดี ปลูกดอกกุหลาบประดับสวนเพือ่ ความสวยงามและให้ความสดชืน่ ตองใสเหมือนกัน ขอมูลนั้นคืออะไร
แก่เจ้าของบ้านและผูพ้ บเห็น ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน ลูกสาวเจ้าของบ้านมักจะเข้ามาเดินชมสวน (แนวตอบ ชื่อเรื่อง ชื่อผูแตง แหลงที่มาของ
เธอจะตรงมาที่แปลงปลูกกุหลาบที่ก�าลังออกดอกตูมและแย้มบานอวดสีแดง เหลือง ชมพู และ เรื่องนั้นๆ)
ขาวบริสุทธิ์... • หากนักเรียนตองการอานเรื่องราวตางๆ ที่มี
“โอ้...กุหลาบช่างสวยและหอมเหลือเกิน” สาวน้อยอุทานด้วยอาการเริงร่า ใครๆ ต่างชม
ความงามของกุหลาบกลิ่นหอมและสีสันสดสวย จนท�าให้กุหลาบทั้งแปลงหลงตัวเองเย่อหยิ่ง
หลายยอหนา นักเรียนจะมีวิธีการยอความ
ล�าพองใจในความสวยของตน อยางไรใหมีประสิทธิภาพ
“นี่พวกเราดูดอกบานไม่รู้โรยพวกนี้สิ เกิดเป็นมันไม่มีใครชมเลย ผีเสื้อยังไม่อยากเข้าใกล้” (แนวตอบ ตองอานเรื่องอยางละเอียด จากนั้น
ดอกบานไม่รู้โรยอดทนฟังคารมอันถากถางทุกวี่ทุกวันก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้บ้าง จึงพิจารณาแตละยอหนาของบทอาน โดย
“ความหอมความสวยของเจ้ามีประโยชน์อะไรบ้าง” คนหาใจความสําคัญ และใจความรองของ
“อุย๊ ...ตาย...ย...ว้ายกรีด๊ ...” ดอกกุหลาบสีชมพูรอ้ งขึน้ สุดเสียงอย่างดัดจริต หันไปทางกุหลาบ แตละยอหนา เมื่อจะลงมือยอจึงนําใจความ
สีขาว พลางว่า “กุหลาบขาวราวปุยฝ้าย หล่อนบอกพวกบานไม่รโู้ รยหน่อยสิวา่ พวกเรามีประโยชน์ สําคัญที่คนหาไดมาเรียบเรียงดวยสํานวน
อะไรบ้าง” กุหลาบสีขาวดูจะสงบเสงีย่ มกว่าสีอนื่ ๆ ตอบว่า “ได้จะ้ ...กุหลาบกลิ่นหอมอย่างพวกเรา ภาษาของตนเอง)
เหมาะจะเก็บไปใส่แจกันตั้งอวดความสวยที่โต๊ะรับแขก เอาไปร้อยพวงมาลัยก็ได้...” 3. นักเรียนรวมกันสรุปความคิดเห็นวา แหลงขอมูล
วันไหว้ครูมาถึง ลูกสาวเจ้าของบ้านพาเพื่อนมาจัดพานไหว้ครูที่บ้านของเธอโดยปูเสื่อนั่ง
ช่วยกันท�าใต้ร่มไม้...
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 มีความนาเชื่อถือหรือไม
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
51 ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
การอานในขอใดที่ไมควรใชหลักการยอความ
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับการรับสารของคนในยุคปจจุบัน การอานหรือ
1. การอานโฆษณาจากหนังสือพิมพ
การฟงขอมูลที่เผยแพรสามารถกระทําไดโดยระบบเครือขายอินเทอรเน็ตผานเว็บไซต
2. การอานสารคดีเชิงทองเที่ยวจากจุลสาร
ตางๆ ซึง่ การยอความเนือ้ หาสาระหรือขอมูลทีไ่ ดจากการรับสารดวยวิธนี ี้ นักเรียนจะ
3. การอานบทความเชิงอนุรักษจากนิตยสาร
ตองอางอิงรูปแบบรายละเอียดที่จําเปนตองระบุในสวนตนของการยอความเหมือน
4. การอานขั้นตอนการประดิษฐจากนิตยสารรายปกษ
การยอความอื่นๆ คือตองระบุชื่อเรื่อง ชื่อผูแตง (ถามี) เว็บไซต และวัน เดือน ป
วิเคราะหคําตอบ การอานโฆษณาสามารถใชหลักการยอความได ที่เขาชมหรือวัน เดือน ป ที่เรื่องนั้นไดเผยแพรบนเว็บไซต ดังนี้
โดยพิจารณาวา เปนโฆษณาเกี่ยวกับสินคาอะไร สรรพคุณ สถานที่
ยอเรื่อง เลนไปรูไป หลักฟสิกส งายๆ ในสวนสนุก ผูจัดการออนไลน
วางจําหนาย การอานสารคดีเชิงทองเที่ยวสามารถใชหลักการยอความได
http://www.manager.co.th/science/view News.aspx?NewsID=95100000
โดยพิจารณาวา สถานที่นั้นตั้งอยูที่ใด เดินทางไปอยางไร ที่พัก อาหาร
41921 9 เมษายน 2551 ความวา
การอานบทความเชิงอนุรักษสามารถใชหลักการยอความได โดยพิจารณา
วา สถานทีท่ ไี่ ดรบั การอนุรกั ษคอื ทีใ่ ด ทําไมตองอนุรกั ษ แลวอนุรกั ษอยางไร
สวนการอานขัน้ ตอนการประดิษฐ ผูอ า นไมสามารถใชหลักการยอความได
เพราะผูอานจะตองปฏิบัติตามขั้นตอนทุกๆ ขอ เพื่อใหประกอบชิ้นงาน
ไดสําเร็จ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 51
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับหลักการและ
รูปแบบการยอความ ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 “อ้อย...ดูสิกุหลาบสวยเหลือเกิน”
ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด “ตอนนี้ความสวยของกุหลาบไม่เป็นประโยชน์กับการตกแต่งพานไหว้ครูของเราหรอก
กิจกรรมที่ 2.3 กุหลาบใจเสาะเหี่ยวเร็วเกินไป เรามาช่วยกันเก็บดอกบานไม่รู้โรยจัดพานไหว้ครูกันเถอะ”
บรรดาเด็กสาวในกลุ่มต่างช่วยกันเก็บบานไม่รู้โรยจ�านวนมาก สีขาว สีม่วงอ่อน สีชมพู
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ ของดอกบานไม่รู้โรยถูกเก็บมาตกแต่งพานไหว้ครู
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.3
เรื่อง การยอความ
กลุ่มเด็กสาวนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายต่างช่วยกันคิดออกแบบรูปทรงดินเหนียวและ
บรรจุตกแต่งด้วยบานไม่รโู้ รยต่างสีเป็นลวดลาย โดยมีดอกรักเข้ามาร่วมแซมให้ความสวยงามยิง่ ขึน้
กิจกรรมที่ ๒.๓ ใหนักเรียนยอบทความเรื่องโลกสรรพสินคา-ถุงผา
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ñð “พรุ่งนี้แหละพานดอกบานไม่รู้โรยจะได้น�าไปกราบไหว้ครู”
(ท ๒.๑ ม.๑/๒, ๕, ๙)
“ไม่เพียงแต่ไหว้ครูนะจ๊ะ พานดอกไม้ยังจะได้ประกวดเอารางวัลด้วย”
โลกสรรพสินคา-ถุงผา
ดูเหมือนจะมีภาพลักษณที่เขียวกวาถุงกระดาษและถุงพลาสติก เพราะหันไปทางใด
พวกเด็กสาวต่างมองเพ่งพิศพานดอกไม้ของพวกเธออย่างภาคภูมิใจในความสวย นุ่มนวล
ก็ไดยินคําเชิญชวน “หิ้วถุงผาลดโลกรอน” ทั้งที่ในความเปนจริง มันไมไดเปนมิตรกับโลก
แบบรอยเปอรเซ็นต เนื่องจากการผลิตถุงผาแตละใบลวนตองใชทรัพยากร ใชพลังงาน และ
ของบานไม่รู้โรย...
กระทบถึงสิ่งแวดลอมดวยกันทั้งนั้น แตจะมากหรือนอยขึ้นอยูกับวา…เปนผาอะไร คุณครูให้เราจัดพานประดับโต๊ะหมู่บูชาด้วยนะจ๊ะ เร่งมือหน่อย จะค�่าเสียก่อน
ถุงผาดิบผลิตจากเสนใยฝาย โดดเดนดวยความสามารถในการแบกรับนํ้าหนักมากๆ
แตรูหรือไม ไรฝายซึ่งเปนตนทางของวัตถุดิบนั้นไดชื่อวาเปนพื้นที่เกษตรกรรมที่ตองการนํ้า ในยามนั้น...เสียงคุยกันของเด็กสาวต่างท�าให้ดอกกุหลาบผู้เย่อหยิ่งได้รู้ว่า บานไม่รู้โรย
มากที่สุดในโลก และใชสารเคมีมากเปนอันดับตนๆ เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกพืชชนิดอื่น
คิดเปนรอยละ ๑๖ ของสารเคมีการเกษตรที่ใชกันทั่วโลก เพื่อใหไดผลผลิตฝาย ๑ กิโลกรัม ที่พวกเธอพูดถากถางเช้าเย็นนั้นมีคุณค่าไม่น้อยเลย
ตองปอนนํ้ามากถึง ๗,๐๐๐-๒๓,๐๐๐ ลิตร ใชปุยเคมี ๔๕๗ กรัม และใชยาฆาแมลง ๑๖ กรัม
ฉบับ แมจะมีการทําไรฝายอินทรียแตก็นอยนิดเพียงหยิบมือ ไมเพียงพอตอความตองการของ
เวลาต่อมา... “พวกเราขอโทษนะบานไม่รโู้ รย ทีเ่ ราพูดจาไม่นา่ ฟังกับเจ้าทุกวีท่ กุ วัน” กุหลาบ
เฉลย
อุตสาหกรรมสิ่งทอ
ถุงผาโพลีเอสเตอรผลิตจากเสนใยสังเคราะห ซึ่งมีตนทางวัตถุดิบ เปนกาซธรรมชาติ
แสนสวยกล่าวค�าขอโทษ...
หรือนํ้ามันดิบ คุณสมบัติเหนือกวาถุงผาฝายตรงที่นํ้าหนักเบา แถมยังสะดวกพกพา เพราะพับ
มวนใหมีขนาดเล็กลงไดงาย เพื่อใหไดเสนใยโพลีเอสเตอร ๑ กิโลกรัม ตองใชกาซธรรมชาติ
“ไม่เป็นไรจ้ะ...พวกเราไม่ถือสาหาความหรอก เพราะเรารู้ว่าดอกไม้ในสวนนี้ต่างให้ความ
หรือนํ้ามันดิบประมาณ ๑.๕ กิโลกรัม สวยงามและให้ประโยชน์แตกต่างกัน” ดอกบานไม่รู้โรยบอกด้วยวาจาและน�้าเสียงที่สุภาพน่าฟัง
เปรียบเทียบกันเฉพาะขั้นตอนการผลิต ถุงผาฝายใชพลังงานมากกวา ๑.๒ เทา
ตองการนํ้ามากกวาประมาณ ๓ เทา และปลอยกาซคารบอนไดออกไซดมากกวา ๑.๕ เทา
1
แตสุดทายเมื่อหมดอายุขัยการใชงาน ถุงผาโพลีเอสเตอร ไมยอยสลาย ไมกลายสภาพ ขณะที่ (นิทานเรื่อง ดอกกุหลาบเย่อหยิ่ง : โชติ ศรีสุวรรณ, นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๘๐๔)
ถุงผาฝายซึ่งเปนเสนใยจากธรรมชาติสามารถกลับคืนสูบานของมันไดแนนอน ผลการศึกษา
ของหนวยงานดานสิง่ แวดลอมของรัฐบาลออสเตรเลียระบุวา หากพิจารณาจากพลังงานทัง้ หมด
ที่ใชในกระบวนการผลิต ถุงผาจะเปนทางเลือกทีด่ กี วาถุงพลาสติก ๑๔ เทา และดีกวาถุงกระดาษ
ถึง ๓๙ เทา ก็ตอเมื่อถุงผาใบนั้นมีสถิติการใชงานประมาณ ๕๐๐ ครั้ง
(บทความเรื่องโลกสรรพสินคา-ถุงผา : ฐิตินันท ศรีสถิต จากนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ ๓๐๒ เมษายน ๒๕๕๔)
การย่อความนิทาน
๒๘
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จากสถานการณตอไปนี้ “สมพรตั้งใจไปชมนิทรรศการศิลปะที่หอศิลป
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมแกนักเรียนวา นอกจากสวนนําและสวนเนื้อหาของ
แหงหนึ่ง ในวันนั้นไดมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางวิถีชีวิต
ยอความแลว ความยาวของยอความก็มีความสําคัญเชนเดียวกัน ซึ่งยอความ
และวิถีศิลปะ สมพรจึงเปลี่ยนใจเขารับฟงการเสวนาดังกลาว กอนที่จะ
เรื่องหนึ่งๆ ไมวาจะมีความยาวกี่ยอหนาก็ตาม เมื่อยอแลวโดยสวนใหญความยาว
เดินชมผลงานศิลปะ เนื้อหาสาระที่ไดฟงมีความนาสนใจ สมพรจึงตั้งใจ
จะอยูในอัตรารอยละ 20-30 ของเรื่องที่นํามายอ
ที่จะจดบันทึกสาระสําคัญไว แตสมพรไมมีทักษะการยอความ” ถานักเรียน
เปนสมพรจะมีวิธีการในการแกไขปญหาเบื้องตนอยางไร
นักเรียนควรรู แนวตอบ ในเบื้องตนจะขึ้นตนเพื่อบอกแหลงที่มาของเรื่องที่ฟง โดย
ระบุวา ฟงเรื่องอะไร ใครเปนคนพูด ฟงที่ไหน เมื่อไร อยางไร จากนั้น
1 นิตยสาร ตรงกับคําในภาษาอังกฤษวา magazine เปนสือ่ สิง่ พิมพประเภทหนึง่ จึงตั้งใจฟงเรื่องโดยตลอดอยางมีสมาธิ แลวบันทึกสาระสําคัญของเรื่อง
ที่มีระยะเวลาในการวางจําหนาย เนื้อหามีความหลากหลาย มุงใหทั้งความรู ดวยสํานวนภาษาของตนเอง
และความบันเทิง ซึ่งนิตยสารฉบับแรกของโลกคือ “นิตยสารสกอต” (The Scots
Magazine) โดยตีพิมพครั้งแรกในสกอตแลนด
52 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนใชองคความรูเกี่ยวกับการอาน
บทความที่นÓมาย่อความ ในชีวิตประจําวันคัดสรรบทความ คําสอนหรือ
สุนทรพจนประเภทใดประเภทหนึ่ง จํานวน
ต้นไม้แม้ใบจะแห้งเหี่ยวร่วงหล่น กิ่งจะเฉาจนโทรมเห็นชัด แต่ว่ารากยังฝังลึกมั่นไม่ขาด 1 เรื่อง นํามาอานแลวยอความ โดยแสดง
และไม่เน่าก็ยังยืนต้นอยู่ได้ เมื่อได้รับน�้าต้นนั้นก็อาจกลับฟื้น แตกใบ แตกกิ่ง งอกงามสืบไป ใจความสําคัญของแตละยอหนาในรูปแบบ
ส่วนต้นไม้ทรี่ ากแก้วขาดสะบัน้ หรือเน่าจะสิน้ ราก แม้ยงั ยืนต้นให้เห็นว่าเป็นกิง่ ใบงอกงามอยู่ ประโยคอยางชัดเจน นําประโยคสําคัญแตละ
ก็อยู่ได้อีกไม่นานเท่าไร สุดท้ายต้องยืนต้นเฉาแห้งตายไป
ยอหนามาเรียงลําดับพรอมตัดทอนรายละเอียด
ปลีกยอยของเรือ่ งออกไป แลวนํามาเรียบเรียงใหม
ความส�าคัญของต้นไม้อยูท่ รี่ าก เรือ่ งนีเ้ ปรียบกับมนุษย์กพ็ อเป็นไปได้ โดยอธิบายว่าคนเรานัน้
ดวยสํานวนภาษาของตนเอง
แม้มือจะเสีย เท้าจะเสีย ตาจะบอด หูจะหนวก แม้พิการเสียอวัยวะอื่นๆ ไป แต่ใจยังดีอยู่
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
คือยังมุง่ ดี หวังดี ใฝ่ฝนั ดี และนิยมในความดี คนเช่นนีย้ งั เป็นคนดีตอ่ ไปได้ อาจประสบความเจริญ
ของยอความที่ถูกตอง เพื่อใชประเมินการเขียน
ของชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมสมปรารถนา เพราะเขาเสียเฉพาะอวัยวะอันเป็นเสมือนกิ่งใบของ ยอความของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน
ต้นไม้ ส่วนใจอันเป็นรากแก้วนั้นยังสมบูรณ์และสดชื่นอยู่ และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป
ส่วนคนใดแม้อวัยวะต่างๆ ดีสมบูรณ์ บริสุทธิ์ แต่ใจเขาเสียเพราะมุ่งชั่ว หวังชั่ว ใฝ่ฝันชั่ว ซึ่งเกณฑที่นักเรียนรวมกันจัดตั้งขึ้นควร
และนิยมแต่ความชั่วเช่นนี้ ต้องเป็นคนชั่วช้าอย่างร้ายแรงซึ่งยากจะเป็นคนดีได้โดยต้องประสบ ครอบคลุม ดังตอไปนี้
แต่ความเสื่อมเป็นนิตยกาล คล้ายต้นไม้ที่สดแต่กิ่งใบ แต่รากแก้วเน่าเสียแล้ว จะยืนต้นอยู่ได้อีก (แนวตอบ
ไม่นานนัก • ใชรูปแบบการขึ้นตนสวนนําของยอความ
เสียอวัยวะจงยอมเสีย ถ้าถึงโอกาสจ�าเป็นต้องเสีย แต่อย่ายอมให้ใจเสียเพราะคนเรา ไดถูกตองกับประเภทของงานเขียนที่
ถ้าใจเสียย่อมเสียหมดทุกอย่าง โอกาสที่จะเป็นคนดีได้ ถึงเป็นอยู่ก็อยู่ในห้วงทุกข์ ดุจต้นไม้ที่ นํามายอ
รากแก้วเน่าแล้วฉะนั้น • สรุปสาระสําคัญของเรื่องไดครบถวน และ
1 เปนสํานวนภาษาของตนเอง
(บทความเรื่องรักษารากแก้ว จากหนังสือแสงธรรม : มูลนิธิ ก.ศ.ม.)
• มีขนาดความยาวของเนื้อความที่ยอแลว
อยูในเกณฑที่เหมาะสม
• การเขียนสะกดคํา การเวนวรรคตอน
การย่อบทความ ไมฉีกคํา ลายมือ ความสะอาดเรียบรอย)
ย่อบทความ เรื่อง รักษารากแก้ว ในหนังสือ แสงธรรม ของมูลนิธิ ก.ศ.ม. หน้า ๒๑๖–๒๑๗
ความว่า
รากแก้วของต้นไม้ทหี่ ยัง่ รากลึกไม่ขาดไม่เน่าย่อมท�าให้ตน้ ไม้ยนื ต้นงอกงามได้ฉนั ใด ใจมนุษย์
ที่คิดดี มุ่งดี ใฝ่ดี จะช่วยให้ชีวิตมนุษย์ประสบความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมฉันนั้น
53
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดเปนประโยชนของการยอความ
1. ประหยัดเวลา 2. เตือนความจํา 1 บทความ เปนความเรียงประเภทหนึ่งที่เขียนขึ้นจากขอเท็จจริง โดยผูเขียน
3. สรุปเนื้อหาใหกระชับ 4. ถูกทุกขอ มักจะแสดงความคิดเห็นไวดวย ซึ่งหลักที่ควรคํานึงถึงในการเขียนบทความ มีดังนี้
• ควรตั้งชื่อเรื่องใหมีความนาสนใจ
วิเคราะหคําตอบ การยอความกอใหเกิดประโยชนตอผูรับสาร คือ ทําให • มีจุดมุงหมายในการเขียนที่ชัดเจน
ประหยัดเวลา เมื่อจะหาความรูในเรื่องเดิมก็ไมตองเสียเวลาไปอานใหม • เปนเรื่องที่ผูอานกําลังใหความสนใจ
เพียงแคอานสาระสําคัญที่เคยบันทึกไว ก็จะชวยทบทวนความจําได • ผูอานอานแลวจะไดรับทั้งความรู และความบันเทิง รวมทั้งไดขอคิดที่เปน
นอกจากนี้การยอความยังทําใหผูอานสามารถสรุปเนื้อหาของเรื่องไดกระชับ ประโยชนตอชีวิตประจําวัน
ชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4. • มีการจัดลําดับความอยางเปนระบบ ตอเนื่องไมสับสน
• โครงเรื่องตองประกอบดวยคํานํา เนื้อเรื่อง สรุป เชนเดียวกับเรียงความ
• มีวิธีการเขียนและใชภาษาเพื่อเราความสนใจของผูอาน ทําใหอยากติดตาม
อานเรื่องตอไปจนจบ
คูมือครู 53
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลง
ทางการสื่อสาร ในปจจุบันนักเรียนสามารถ ๔ การเขียนจดหมาย
สงจดหมายถึงเพื่อนที่อยูไกลขามทวีปไดเพียง
การเขียนจดหมาย เป็นการสื่อสารโดยตรงระหว่างบุคคล โดยใช้ตัวหนังสือหรือข้อความ
ปลายนิ้วสัมผัส ผานระบบเครือขายอินเทอรเน็ต
แทนการพูดจา ดังนั้น สารในจดหมายจึงต้องเป็นข้อความที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง บอกความประสงค์ของ
หรือที่เรียกวา “จดหมายอิเล็กทรอนิกส” (E-mail)
ผู้ส่งสารได้สมบูรณ์ตามต้องการ เพราะผู้รับจดหมายไม่มีโอกาสซักถามขณะที่ได้รับสาร ถ้าเขียน
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ไม่ ชั ด เจนจะท� า ให้ เ กิ ด ความเข้ า ใจคลาดเคลื่ อ น ฉะนั้ น ผู ้ เขี ย นจดหมายจึ ง ควรใช้ ภ าษาที่ ถู ก ต้ อ ง
• จดหมายที่เขียนลงบนกระดาษสงผานระบบ
สละสลวย เหมาะกับระดับบุคคลและกาลเทศะ รวมถึงต้องมีมารยาทในการเขียน
ไปรษณียกับจดหมายที่เขียนสงผานระบบ
ประเภทของจดหมาย ในระดับชั้นนี้ขอแยกประเภทจดหมายออกเป็น ๒ ชนิด คือ
เครือขายอินเทอรเน็ต มีความแตกตางกัน
๑) จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนถึงผู้ที่เรารู้จักคุ้นเคยเพื่อส่งข่าวคราว เล่าเรื่อง
อยางไร
ไต่ถามทุกข์สุข แสดงความรัก ความระลึกถึง ความหวังดี ความห่วงใย หรือขอความช่วยเหลือกัน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ในระหว่างญาติ มิตร พ่อแม่ ครู อาจารย์ ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาระดับกันเอง หรือที่เรียกว่า ภาษาปาก
ไดอยางหลากหลายและอิสระ)
แต่ต้องเหมาะสมกับสถานะของบุคคล
54
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
จดหมายมีประโยชนตอการสื่อสารของมนุษยอยางไร และตองคํานึงถึง
ครูควรชีแ้ นะเพิม่ เติมแกนกั เรียนเกีย่ วกับโครงสรางของจดหมาย ซึ่งมีโครงสราง
สิ่งใดบาง
สําคัญ 3 สวน ไดแก สวนหัว ประกอบดวย ที่อยู ของผูเขียนจดหมาย วัน เดือน
ป ที่เขียนจดหมาย เรื่อง (ใชในกรณีที่เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และ แนวตอบ การเขียนจดหมายทําใหมนุษยสามารถสง “สาร” จากผูสงไปยัง
จดหมายราชการ) เรียน สิง่ ทีส่ ง มาดวย (ใชในกรณีทเี่ ปนจดหมายกิจธุระ จดหมาย ผูรับไดโดยที่บุคคลทั้งสองฝายไมจําเปนตองพบหนากัน ทําใหการติดตอ
ธุรกิจ และจดหมายราชการ) สวนเนื้อเรื่อง ประกอบดวย ยอหนาแรกเปนที่มาของ สื่อสารเปนไปโดยสะดวก รวดเร็ว และประหยัด การเขียนจดหมายผูสง
เรื่อง ยอหนาที่สองเปนวัตถุประสงครายละเอียด และยอหนาที่สามเปนยอหนาสรุป ตองคํานึงถึงวัตถุประสงคในการเขียนและผูที่จะติดตอดวย หากตอง
ซึ่งยอหนาแรกและยอหนาที่สองอาจรวมเปนยอหนาเดียวกันไดขึ้นอยูกับเนื้อความ ติดตอกับบุคคลที่ไมรูจักดวยกิจธุระตางๆ ควรใชถอยคําที่เปนทางการไว
สวนทายประกอบดวย คําลงทาย ลายมือชือ่ ผูส ง ชือ่ ผูส ง และตําแหนง (ใชในกรณีที่ จะเหมาะสมที่สุด ดังนั้น สิ่งที่ผูเขียนจดหมายจะตองคํานึงถึง ไดแก
เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และจดหมายราชการ) หนวยงานและหมายเลข เนื้อหาสาระของจดหมายและบุคคลที่ติดตอดวย ซึ่งขอควรคํานึง
โทรศัพท ของผูสง (ใชในกรณีที่เปนจดหมายกิจธุระ จดหมายธุรกิจ และจดหมาย ทั้งสองประการนี้จะสงผลตอการเลือกใชรูปแบบและถอยคําในการเขียน
ราชการ)
54 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 2 และ 3 สงตัวแทนออกมา
๒) จดหมายกิจธุระ เป็นจดหมายระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ติดต่อสื่อสารกันด้วยกิจธุระ อธิบายความรูในประเด็น “จดหมายสวนตัว”
เช่น การติดต่อสอบถาม การบอกขายหรือแจ้งรายการสินค้า การเตือน การทวงถาม การแจ้งข่าวสาร และ “จดหมายกิจธุระ” ตามลําดับ พรอมระบุ
หากเป็นจดหมายกิจธุระที่ติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัท ห้างร้าน องค์กรต่างๆ เรียกว่า จดหมายธุรกิจ แหลงที่มาของขอมูล เพื่อนๆ บันทึกความรูที่
จะใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ ไดรับจากการฟง
2. นักเรียนรวมกันเปรียบเทียบลักษณะที่เหมือน
จดหมายติดต่อสอบถาม หรือแตกตางกันของจดหมายสวนตัวและ
จดหมายกิจธุระ
โรงเรียนพอเพียง ถ.ลาดยา ต.ในเมือง 3. นักเรียนรวมกันสรุปลักษณะของจดหมาย
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ๓๔๐๐๐ สวนตัวและจดหมายกิจธุระ พรอมกับ
หลักเกณฑการเขียน
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (แนวตอบ จดหมายสวนตัว คือ จดหมายที่เขียน
ถึงกันอยางไมเปนทางการกับบุคคลที่สนิทสนม
เรียน บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน คุนเคย เพื่อสงขาวคราว แจงธุระเล็กๆ นอยๆ
หรือไตถามทุกขสุข ดังนั้นจึงไมเครงครัด
ผมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพอเพียง จ.อุบลราชธานี ผมติดตาม ในรูปแบบ ภาษา และถอยคําในการเขียน
อ่านหนังสือพิมพ์มติชนเป็นประจ�าทุกวัน ทราบข่าวว่าส�านักพิมพ์จัดอบรมวิชาชีพต่างๆ จึงมี ขึ้นอยูกับความสนิทสนมระหวางผูสงและผูรับ
ความสนใจมาก แต่เนื่องจากผมเป็นคนต่างจังหวัดและจะมีเวลาว่างในช่วงปิดเทอมจึงขอทราบ หากเปนบุคคลที่สนิทสนมมากๆ ก็อาจใช
ข้อมูล ดังนี้ ภาษาปากหรือภาษาระดับกันเอง แตถาเปน
๑. ช่วงระยะเวลาปิดภาคเรียนจะมีก2ารอบรมที่ใด เมื่อใด บุคคลที่ยังไมสนิทหรือมีอาวุโสสูงกวาควรใช
๒. หลั หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับงานโลหะมีกี่เรื่อง เรื
ง ่องใดบ้าง ภาษาระดับทางการ หรือกึ่งทางการเพื่อแสดง
๓. ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าใด ความสุภาพ ออนนอม สวนจดหมายกิจธุระ
๔. ผมอยู่ต่างจังหวัด ขอค�าแนะน�าเกี่ยวกับสถานที่พักด้วย เปนจดหมายทีเ่ ขียนขึน้ โดยมีวตั ถุประสงคเฉพาะ
หวังว่าท่านคงจะกรุณาให้ขอ้ มูลแก่ผมซึง่ มีความสนใจจะน�าความรูไ้ ปประกอบอาชีพเสริม เชน การติดตอสอบถาม การขอความรวมมือ
ระหว่างเรียน ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอความอนุเคราะหจากบุคคลที่ไมสนิทสนม
ขอแสดงความนับถือ คุนเคย จึงควรเครงครัดในรูปแบบกฎเกณฑ
สมชาย มิตรไทย ถอยคํา ภาษาควรใชภาษาในระดับที่เปน
เด็กชายสมชาย มิตรไทย ทางการ กระชับ ชัดเจน ตรงไปตรงมา
สอดคลองกับวัตถุประสงค)
55
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดจัดเปนจดหมายกิจธุระ
1. จดหมายถึงไกเพื่อนรัก 1 จดหมายกิจธุระ ผูเขียนจะตองกําหนดจุดประสงคหรือวัตถุประสงคในการ
2. จดหมายถึงพอและแม เขียนใหชัดเจน จัดระเบียบความคิดใหเปนระบบ มีความกระชับ เขาใจงาย
3. จดหมายขอความชวยเหลือจากคุณปา โดยบอกทีม่ า สาเหตุของเรือ่ ง ตามดวยเนือ้ เรือ่ งหรือวัตถุประสงค เขียนดวยลายมือ
4. จดหมายสอบถามการรับสมัครนักเรียนฝกงาน ทีส่ ะอาด เรียบรอย สวยงาม หรือพิมพใหเปนระเบียบถูกตองตามโครงสรางของ
จดหมายแตละประเภท กอนสงจดหมายผูเขียนควรตรวจทานเนื้อหาเพื่อดูการ
วิเคราะหคําตอบ จดหมายสวนตัว คือ จดหมายที่เขียนติดตอกันอยาง สื่อความและความถูกตองของภาษา
ไมเปนทางการ ระหวางคนที่สนิทสนม เพื่อสงขาวคราว ไตถามทุกขสุข 2 โลหะ ธาตุทมี่ สี มบัตสิ าํ คัญ คือ เปนตัวนําไฟฟาและความรอนทีด่ ี มีจดุ หลอมเหลว
ดังนั้น จดหมายถึงไกเพื่อนรัก จดหมายถึงพอแม และจดหมายขอความ สูง ตีแผใหเปนแผนหรือดึงใหเปนเสนลวดขัดใหเปนเงาได เคาะแลวมีเสียงดังกังวาน
ชวยเหลือจากคุณปาจึงจัดเปนจดหมายสวนตัว สวนจดหมายกิจธุระ คือ เชน เหล็ก ทองแดง ทองคํา เปนตน
จดหมายระหวางบุคคลทีต่ ดิ ตอสือ่ สารกันดวยกิจธุระ เชน การติดตอสอบถาม
แตถาบริษัทติดตอกับบริษัทเรียกวา จดหมายธุรกิจ จดหมายสอบถาม
การรับสมัครนักเรียนฝกงานจึงจัดเปนจดหมายกิจธุระ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 55
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “มารยาทในการเขียน ๓) มารยาทในการเขียนจดหมาย
จดหมาย” พรอมระบุแหลงทีม่ าของขอมูล การเขียนจดหมายเป็นรูปแบบการสื่อสารของมนุษย์ ที่ท�าให้สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้
เพื่อนๆ บันทึกความรูที่ไดรับจากการฟง โดยไม่จา� เป็นต้องพบหน้า ประหยัดเวลา สะดวก และรวดเร็ว ปัจจุบนั ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
2. หลังการอธิบายความรูของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 ท�าให้เกิดจดหมายทีส่ ง่ ทางไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนิกส์
นักเรียนรวมกันสรุปขอควรคํานึงในการ หรือ อีเมล (E-mail) ท�าให้การสื่อสารระหว่าง
การเขียนจดหมาย บุคคลมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้เขียน
(แนวตอบ ไมวาจะเขียนจดหมายประเภทใด สื่อสารด้วยจดหมายควรค�านึงอยู่เสมอว่า ผู้รับ
ก็ตาม ผูเขียนควรคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้ ไม่มโี อกาสซักถามเกีย่ วกับสิง่ ทีส่ งสัย แต่จะตีความ
• เขียนขอความใหแจมแจง ตองคํานึงวา และเข้าใจตามเนื้อความที่ปรากฏ ดังนั้น ผู้เขียน
ผูรับไมมีโอกาสซักถามในขณะที่รับสาร จึงควรเขียนจดหมายด้วยความรอบคอบ ใช้ภาษา
แตจะตีความและเขาใจไปตามตัวหนังสือ สื่อความให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา โดยมีหลักการ
• ใชรูปแบบของจดหมายใหถูกตองตรงกับ เขียน ดังนี้
วัตถุประสงค ผู้เขียนจดหมายควรเลือกใช้กระดาษและซองที่มีสีสุภาพ ๑. ต้องใช้คา� ขึน้ ต้น ลงท้ายให้เหมาะสม
• แสดงมารยาทที่เหมาะสมตอบุคคลที่ติดตอ สะอาด เรียบร้อย และเขียนด้วยลายมือทีอ่ า่ นง่าย มีระเบียบ กับระดับของบุคคล และเนื้อความของจดหมาย
ดวย โดยแสดงผานการใชถอยคําที่สุภาพ ๒. เลือกใช้สีหมึก กระดาษและซองที่เหมาะสม สุภาพ รวมถึงไม่ใช้ซองหรือกระดาษ
นอบนอม และรวมถึงการเลือกใชกระดาษ ของทางราชการมาเขียนจดหมายส่วนตัว
จดหมาย ซอง การจาหนาซอง) ๓. เขียนให้ตรงประเด็น และควรเป็นเรื่องเดียวกันกับหัวข้อที่ตั้งไว้ เรียบเรียงและล�าดับ
ประเด็นให้ชัดเจน บอกวัตถุประสงค์ที่ต้องการ สิ่งที่หวังจะให้ผู้รับปฏิบัติหรือด�าเนินการ
ขยายความเขาใจ Expand ๔. ถ้ า เป็ น การเขี ย นด้ ว ยลายมื อ ควรเขี ย นให้ อ ่ า นง่ า ย ชั ด เจน ตั ว บรรจง ใช้ ป ากกา
แทนการใช้ดินสอ และรวมถึงการรักษาความสะอาด
1. นักเรียนใชองคความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ ๕. ผนึ ก ดวงตราไปรษณี ย ากรให้ ค รบถ้ ว นตามอั ต ราที่ ก� า หนดไว้ และไม่ น� า ดวงตรา-
โครงสรางและหลักเกณฑการเขียนจดหมาย ไปรษณียากรที่ใช้แล้วน�ากลับมาใช้ซ�้า
สวนตัวและจดหมายกิจธุระ เลือกเขียน ๖. จ่าหน้าซองจดหมายโดยระบุชอื่ นามสกุล ทีอ่ ยูข่ องผูร้ บั พร้อมรหัสไปรษณียใ์ ห้ครบถ้วน
จดหมายประเภทใดประเภทหนึง่ คนละ 1 ฉบับ และไม่สอดสิ่งของมีค่าอื่นใดลงในซองจดหมาย
โดยนักเรียนเปนผูก าํ หนดสถานการณดว ยตนเอง ๗. หากเป็นการส่งอีเมล ผู้เขียนจะต้องพิมพ์อีเมลแอดเดรสของผู้ที่จะส่งจดหมายไปถึง
(พรอมแนบซองจดหมายที่จาหนาซองเรียบรอย ในช่องส�าหรับผูร้ บั ในกรณีทตี่ อ้ งการจะส่งอีเมลไปหาหลายๆ คน ในเวลาเดียวกันให้พมิ พ์อเี มลแอดเดรส
แลว) แตยังไมตองนําจดหมายบรรจุซอง สงครู ของคนเหล่านั้นลงในช่อง Cc: คั่นด้วยเครื่องหมาย ; จนครบจ�านวน พิมพ์ข้อความที่เป็นหัวเรื่องในช่อง
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อประเมินคุณภาพ Subject และไม่ควรส่งอีเมลแบบไม่มีหัวเรื่อง
ของจดหมายที่ตนเองเขียนขึ้น รวมถึงเพื่อนๆ ๘. ก่อนส่งจดหมาย ผูเ้ ขียนควรอ่านทบทวนเพือ่ ตรวจดูการสือ่ ความ ความสะอาดเรียบร้อย
ในชั้นเรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไข เป็นต้น
ในครั้งตอไป
56
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงมารยาทในการเขียนจดหมายกิจธุระผิดไปจากความเปนจริง
ครูควรสรุปเกี่ยวกับหลักเกณฑการประเมินคุณภาพของการเขียนจดหมายให
1. เลือกใชกระดาษ และซองที่มีสีสุภาพ เหมาะสม
นักเรียนเขาใจตรงกันอีกครั้งหนึ่ง หรืออาจชี้แนะเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไมครบถวน
2. จาหนาซอง และระบุรหัสไปรษณียใหครบถวน
ซึ่งเกณฑที่ใชประเมินคุณภาพของการเขียนจดหมายควรครอบคลุมประเด็น
3. เขียนดวยลายมือหรือพิมพใหสะอาดเรียบรอย
ดังตอไปนี้
4. ใชภาษาระดับไมเปนทางการในการสื่อสาร
• เลือกใชรูปแบบไดถูกตอง สอดคลองตรงตามวัตถุประสงคหรือเนื้อหาสาระ
ของจดหมาย วิเคราะหคําตอบจ มารยาทในการเขียนจดหมาย สามารถแสดงผาน
• มีโครงสรางสําคัญครบถวนทัง้ 3 สวน ไดแก สวนหัว สวนเนือ้ หา และสวนทาย การเลือกใชกระดาษและซองที่มีสีสุภาพ เขียนดวยลายมือที่สะอาด
• ใชถอยคํา สํานวน ภาษา สอดคลองกับเนื้อหา โดยคํานึงถึงความเหมาะสม เรียบรอย หรือพิมพโดยใชรูปแบบที่ถูกตอง ใชภาษาใหเหมาะสมกับ
สุภาพ และแสดงความนอบนอมใหเกียรติผูรับ ระดับของบุคคล และเนื้อหาสาระของจดหมาย ใชภาษาระดับทางการ
• ลายมือสะอาดเรียบรอย เปนระเบียบสวยงาม การเขียนสะกดคํา การันต หรือกึ่งทางการในการสื่อสารเพื่อใหเกียรติคูสื่อสาร นอกจากนี้ผูสงสาร
การเวนวรรคตอน ยังตองจาหนาซองระบุชื่อ นามสกุล ที่อยู ของผูรับใหครบถวน ถูกตอง
• มีมารยาทในการเขียน โดยแสดงผานการใชถอ ยคํา การเลือกใชกระดาษ ซอง ชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
สีหมึก และการจาหนาซอง
56 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูตงั้ คําถามเพือ่ นําเขาสูห วั ขอการเรียนการสอน
๕ การเขียนรายงาน • หากนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
การเขียนรายงาน ถือเป็นศิลปะอย่างหนึง่ ทีผ่ เู้ ขียนต้องใช้ความสามารถในการเรียบเรียงเนือ้ หา แลวตองการนําเสนอใหผูอื่นไดทราบ จะมี
ที่ศึกษาค้นคว้ามาจากแหล่งความรู้ต่างๆ ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความ วิธีการนําเสนออยางไร
เข้าใจถูกต้องชัดเจน การเขียนรายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งผู้เขียนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ (แนวตอบ นําเสนอเปนรูปเลมรายงาน)
องค์ประกอบและขั้นตอนการเขียนเป็นอย่างดี จึงจะเขียนได้ถูกต้องและชัดเจน • รายงานกับโครงงานมีประโยชนอยางไร
๑) องค์ประกอบของรายงาน รายงานมีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ส่วน ดังต่อไปนี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๑.๑) ส่วนต้น รายงานวิชาการในส่วนต้นประกอบด้วย ๕ ส่วน ดังนี้ ไดอยางอิสระ)
๑. ปกนอกหรือหน้าปก แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรกเขียนชื่อเรื่อง ส่วนที่สอง • นักเรียนคิดวาการทํารายงานและโครงงาน
เขียนชื่อ นามสกุลของผู้เขียนรายงาน ส่วนที่สามเป็นส่วนที่แจ้งว่ารายงานนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบ ชวยสรางทักษะที่จําเปนตอชีวิตประจําวัน
การศึกษาวิชาอะไร โรงเรียนใด และจัดท�าขึ้นเมื่อใด อยางไร
๒. ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น (มีทั้งปกหน้าและปกหลัง) (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๓. ปกใน ระบุข้อความเหมือนกับปกนอก ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับวิจารณญาณและ
๔. ค�าน�า เขียนบอกจุดมุ่งหมาย มูลเหตุ และวิธีการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนกล่าว ประสบการณสวนตน ซึ่งการทํารายงานและ
ขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ จนกระทั่งรายงานเสร็จสมบูรณ์ โครงงานจะชวยเสริมสรางทักษะ เชน ทักษะ
๕. สารบัญ หมายถึง บัญชีบทหรือหัวข้อส�าคัญในรายงาน ต้องเขียนเรียงตามล�าดับ การวิเคราะห ทักษะการสรางสรรค ทักษะ
เนือ้ หาของรายงานฉบับนัน้ ส่วนสารบัญตารางและสารบัญภาพจะแยกออกจากสารบัญเนือ้ เรือ่ ง สารบัญ การเก็บรวบรวมขอมูล นอกจากนี้ยังชวย
ตารางจะแสดงชือ่ ของตารางทุกตาราง สารบัญภาพจะแสดงชือ่ ภาพประกอบทัง้ หมดทีป่ รากฏในรายงาน สรางทักษะการทํางานรวมกัน การยอมรับฟง
เรียงตามล�าดับ ความคิดเห็นของผูอื่น)
๑.๒) ส่วนเนื้อเรื่อง จะใช้หลักเกณฑ์การเขียนเรียงความในการแบ่ง ดังนี้
๑. บทน�า ส่วนนี้ผู้เขียนจะต้องชี้แจงเหตุผล วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้า สํารวจคนหา Explore
ในหัวข้อที่เลือก อธิบายเนื้อหาสาระอย่างย่อ เพื่อให้ผู้อ่านท�าความเข้าใจในเบื้องต้น แบงนักเรียนเปน 2 กลุม ตามความสมัครใจ
๒. เนื้อหา ส่วนนี้ผู้เขียนจะต้องน�าเสนอผลการศึกษาค้นคว้าตามวัตถุประสงค์ จากนั้นใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็น
ขอบเขตของรายงาน และโครงเรื่องที่ก�าหนดไว้ โดยเรียบเรียงตามล�าดับหัวข้อที่ระบุไว้ในสารบัญ สําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังตอไปนี้
หากเป็นรายงานขนาดยาว ควรแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นบทๆ แต่ละบทแบ่งเป็นหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง หมายเลข 1 การเขียนรายงาน
หัวข้อย่อย แต่หากเป็นรายงานขนาดสั้น ไม่จ�าเป็นต้องแบ่งเป็นบท แต่ควรแบ่งเป็นหัวข้อ หรือ หมายเลข 2 การเขียนโครงงาน
ประเด็นโดยใช้ย่อหน้า โดยสมาชิกในแตละกลุมจะตองรวมกันสืบคน
เนือ้ หาของรายงานนอกจากจะมีขอ้ ความทีผ่ ทู้ า� รายงานเรียบเรียงจากความรู ้ ความคิด ขอมูลจากแหลงการเรียนรูตางๆ ซึ่งการสืบคน
ที่ได้ประมวลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ด้วยส�านวนภาษาของตนแล้ว ยังอาจมีข้อความที่ผู้เขียนยกมา ขอมูลแตละกลุมจะตองครอบคลุมประเด็น
กล่าวอ้างในรายงาน ซึง่ จะต้องระบุแหล่งทีม่ าให้ชดั เจน เพราะเป็นการให้เกียรติเจ้าของข้อความ และเป็น ดังตอไปนี้
มารยาทการเขียนสื่อสารที่ส�าคัญประการหนึ่ง • องคประกอบของรายงานหรือโครงงาน
• ขั้นตอนการเขียนหรือการปฏิบัติ
57
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ปญหาภาวะโลกรอน นักเรียนคิดวาภาพดานซายมือ เปนภาพ
ครูผสู อนควรสรางองคความรู ความเขาใจเพิ่มเติมใหแกนักเรียนเกี่ยวกับ
1. บทนํา อะไร มีความเกี่ยวของกับการเขียนรายงาน
ความแตกตางระหวางรายงานกับโครงงาน ดังนี้
2. ภาวะโลกรอนคืออะไร เชิงวิชาการอยางไร
3. สาเหตุของภาวะโลกรอน หัวขอ ผูจัดทําสนใจหรือครูเปนผูกําหนด
4. ผลกระทบจากภาวะโลกรอน แนวตอบ คือ ภาพของโครงเรื่องรายงาน
โดยมีความเกี่ยวของกับการเขียนรายงาน เกิดจากความสงสัยหรือการตั้งคําถามของผูจัดทํา
4.1 ผลกระทบที่เกิดกับ
สภาพอากาศ เพราะเปนหนึง่ ในขัน้ ตอนการเขียนรายงาน ทักษะ เนนการรวบรวมขอมูล วิเคราะห สังเคราะห จนผูทํารายงานเขาใจลึกซึ้ง
4.2 ผลกระทบที่เกิดกับ หลังจากที่เลือกหัวขอไดแลว ผูจัดทําตอง เริ่มจากกระบวนการสังเกต จดบันทึก คนควา ทดลอง ลงมือปฏิบัติ
ประเทศไทย กําหนดวัตถุประสงค เขียนโครงเรือ่ งรายงาน กระบวนการคิดที่ซับซอน การแกปญหาที่อาจเกิดขึ้นระหวางปฏิบัติใน
5. การปองกันภาวะโลกรอน ขั้นตอนตางๆ
5.1 การปองกันโดยรัฐบาล เพื่อใหงายตอการสํารวจ รวบรวมขอมูล
5.2 การปองกันโดยความ นํามาเรียบเรียงดวยสํานวนภาษาของตนเอง เปาหมาย ไดขอสรุปเปนรายงาน
รวมมือของประชาชน พรอมทั้งอางอิงแหลงขอมูลในรูปแบบ ไดคาํ ตอบสําหรับคําถามทีต่ งั้ ไว มีชนิ้ งานทีส่ ามารถนําไปพัฒนาตอยอดได
6. บทสรุป บรรณานุกรมใหถูกตอง
หมายเหตุ : บรรทัดบนเปนลักษณะของรายงาน บรรทัดลางเปนลักษณะของโครงงาน
คูมือครู 57
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ไดรบั มอบหมาย
การระบุแหล่งที่มาของข้อความกรณีที่ผู้เขียนคัดลอกข้อความมาโดยตรง
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับการเขียนรายงาน โดยใช สุภาษิต หมายถึง ค�ากล่าวที่ดีที่เป็นจริงทุกสมัย มีคติชวนให้คิด เป็นค�าเตือน ค�าสอน หรือ
องคความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ค�าสัง่ สอนให้ประพฤติด ี มีกริ ยิ ามารยาทดี และกล่าวถึงเรือ่ งทัว่ ไป สอนให้เห็นสัจจะธรรมแห่งชีวติ
เพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม (ดวงใจ ไทยอุบุญ ๒๕๕๒ : ๒๓๖)
• รายงานทางวิชาการมีความแตกตางจาก
รายงานทั่วไปประเด็นใดชัดเจนที่สุด จากตัวอย่าง ผู้เขียนรายงานอาจท�ารายงานในหัวข้อ การใช้สุภาษิตในภาษาไทย ซึ่งจ�าเป็น
(แนวตอบ รายงานทัว่ ไป คือ รายงานทีน่ าํ เสนอ ต้องให้ความหมายของสุภาษิต ดังนั้น เพื่อความน่าเชื่อจึงต้องกล่าวอ้างผลงานของนักวิชาการ
ขอเท็จจริงหรือขอคิดเห็นของบุคคล เพื่อให ท่านอื่นที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการนั้นๆ ซึ่งเป็นการคัดลอกข้อความมาโดยตรง ผู้เขียนรายงาน
ทราบผลการปฏิบัติงาน เหตุการณ ความ จึงต้องระบุชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์ และ/หรือ เลขหน้าไว้ในวงเล็บ
เคลื่อนไหว ทั้งที่ผานไปแลว กําลังดําเนินอยู
และจะเกิดในอนาคต สวนรายงานเชิงวิชาการ การระบุแหล่งที่มาของข้อความกรณีที่ผู้เขียนสรุปเนืéอหา หรือแนวคิดมา
คือ เอกสารที่เปนผลจากการศึกษาคนควา
รวบรวม วิเคราะหเรื่องทางวิชาการเรื่องใด ภาษาไทยถิ่น ถือเป็นส่วนหนึ่งของภาษาไทยมาตรฐานที่เกิดจากการแปรอันเนื่องมาจาก
เรื่องหนึ่งอยางมีระเบียบแบบแผน) การย้ายถิ่น รวมถึงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ ๒๕๔๙)
• โครงเรื่องของรายงานคืออะไรและมีความ
สําคัญอยางไรตอการเขียนรายงาน จากตัวอย่าง ผู้เขียนรายงานอาจท�ารายงานในหัวข้อ ภาษาไทยถิ่น อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
(แนวตอบ โครงเรื่อง คือ กรอบที่ผูเขียน ซึ่งจ�าเป็นต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาษาไทยถิ่น จึงได้สรุปลักษณะเฉพาะของ
รายงานวางไวเพื่อกําหนดสวนตางๆ ของการ ภาษาถิ่นจากหนังสือที่นักวิชาการท่านอื่นได้ศึกษาไว้ ผู้เขียนรายงานจึงต้องระบุชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์
เขียน ใชเปนแนวทางการเขียนรายงาน โดย ไว้ในวงเล็บ โดยไม่ระบุเลขหน้า
กําหนดเนือ้ หาทีเ่ ปนหัวขอใหญ หัวขอรอง และ การใช้ถ้อยค�า ส�านวนโวหาร และระดับภาษาในการเรียบเรียงรายงาน ควรเป็นระดับทางการ
หัวขอยอย ไวตามลําดับความสําคัญ หรือกึ่งทางการ ตรงไปตรงมา อ่านเข้าใจง่าย ถูกต้องตามหลักภาษาและความหมาย ใช้ค�าศัพท์ทาง
ชวยใหผูเขียนรายงานทราบวาจะตองเขียน วิชาการถูกต้อง เหมาะสม ประโยคกระชับ ชัดเจน ตรวจสอบความถูกต้องของตัวสะกด
เรื่องใดบาง มีสัดสวนเนื้อหาอยางไร เทาใด) ๑.๓) ส่วนท้าย ประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้
• การวางแผนชวยทําใหการเขียนรายงาน ๑. บรรณานุกรม หมายถึง บัญชีรายชื่อหนังสือที่ใช้ประกอบการเขียนรายงาน
ประสบความสําเร็จไดอยางไร โดยเขียนไว้ส่วนสุดท้ายของรายงาน
(แนวตอบ ชวยทําใหขอบเขตการทํารายงาน ๒. ภาคผนวก หมายถึง เรื่องหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในรายงาน แต่
มีความชัดเจนวาจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใด น�าไปเขียนเพิ่มเติมไว้ในส่วนท้ายของรายงานเพื่อให้ชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
อยางไร คนขอมูลอยางไร มีแนวทางใด ๓. อภิธานศัพท์ หมายถึง ค�าอธิบายศัพท์ส�าคัญๆ ที่ปรากฏในรายงาน
ในการรวบรวม จัดหมวดหมู และเรียบเรียง
ขอมูล)
58
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดไมใชวิธีการสืบคนขอมูลสําหรับการทํารายงานและโครงงานที่ถูกตอง
ในกระบวนการสํารวจคนหา (Explore) นักเรียนแตละคนจะไดเขากลุมใหญ
1. อานหนังสือ 2. การสํารวจ
เพื่อรวมกันศึกษาในประเด็นเดียวกัน ซึ่งกลุมใหญทั้งสองกลุมจะไดรับประเด็นที่
3. การสรางแบบสอบถาม 4. การตัดตอจากขอมูลของผูอื่น
แตกตางกัน เมื่อแตละกลุมออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
ครูควรใหนักเรียนทั้งชั้นรวมกันสรุปลักษณะสําคัญของรายงานและโครงงานเพื่อให วิเคราะหคําตอบ การทํารายงานและโครงงานหากจะใชขอมูลปฐมภูมิ
มองเห็นความแตกตางดานองคประกอบ รูปแบบ และวิธีปฏิบัติ สามารถทําไดหลายวิธี เชน การจัดทีมสํารวจสอบถามขอมูล หรือหากจะ
ใชขอมูลทุติยภูมิหรือขอมูลที่มีผูศึกษาไวแลวจะสังเคราะหขอมูลดวยวิธี
การอาน เมื่อไดขอมูลที่มีประสิทธิภาพ ผูทํารายงานจะตองรวบรวม
เรียบเรียงขอมูลเหลานั้นดวยสํานวนภาษาของตนเอง ไมนําขอมูลของผูอื่น
มาตัดตอเปนรายงานของตนเอง ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
58 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒) ขั้นตอนการเขียนรายงาน มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเขียน ดังนี้ ความรูในประเด็นที่กลุมไดรับมอบหมาย
๒.๑) วางแผนการท�ารายงาน ก่อนท�ารายงานทุกครั้ง ควรมีการวางแผนงานโดยเลือก 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
หัวข้อเรื่องที่จะท�ารายงานและก�าหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจะศึกษาค้นคว้าเรื่องใด จากนั้นจึงก�าหนด อธิบายความรูเกี่ยวกับการเขียนรายงานและ
เค้าโครงเรื่อง ตั้งหัวข้อเรื่องให้เป็นไปตามล�าดับความส�าคัญจากหัวข้1อใหญ่ไปหัวข้อย่อย โครงงานโดยใชความรูที่ไดรับจากการฟง
๒.๒) รวบรวมข้อมูล เป็ เป็นการค้นคว้าจากแหล่งวิชาการต่างๆงๆ โดยศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร บรรยายของเพื่อนๆ เปนขอมูลเบื้องตน
การสัมภาษณ์ การฟัง การดู จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เมื่อส�ารวจและรวบรวมข้อมูลแล้ว ผู้เขียน สําหรับตอบคําถาม
รายงานควรบันทึกข้อมูลทีไ่ ด้อย่างเป็นระบบ โดยอาจบันทึกลงในบัตรบันทึกข้อมูล หรือบันทึกเป็นไฟล์ • โครงงานมีความแตกตางจากรายงาน
ลงในคอมพิวเตอร์ โดยระบุหัวเรื่อง แหล่งที่มาของเรื่อง เนื้อเรื่อง และแหล่งค้นคว้าให้ครบถ้วน เชิงวิชาการอยางไร
เมือ่ น�ามาจัดเก็บควรเก็บโดยเรียงตามล�าดับตัวอักษรของหัวเรือ่ ง หรือชือ่ ผูแ้ ต่ง เพือ่ สะดวกต่อการค้นคว้า (แนวตอบ โครงงานเปนกิจกรรมที่เปดโอกาส
๒.๓) การจัดระเบียบข้อมูล การน�าเสนอข้อมูลในรายงานควรเรียบเรียงข้อมูลให้สมบูรณ์ ใหผูเรียนไดศึกษาคนควา ลงมือปฏิบัติ
มีความสัมพันธ์สอดคล้องกันตลอดด้วยส�านวนของผูท้ า� รายงาน ใช้ภาษาระดับทางการ กระชับเข้าใจง่าย ดวยตนเอง โดยอาศัยกระบวนการทาง
สุภาพ อาจใช้ภาษาต่างประเทศเท่าทีจ่ า� เป็น ตลอดจนมีหลักฐานและเหตุผลประกอบการน�าเสนอข้อมูล วิทยาศาสตร สวนรายงานเปนการรวบรวม
๒.๔) การน�าเสนอข้อมูล โดยน�าเสนอรายละเอียดต่างๆ เช่น วัตถุประสงค์ ขั้นตอน วิเคราะห สังเคราะห และเรียบเรียงขอมูล)
การท�างาน ข้อสรุป ข้อเสนอแนะ แล้วน�าเสนอเป็นรูปเล่มรายงาน
๖ การเขียนโครงงาน
โครงงาน หมายถึง กิจกรรมทีเ่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง
ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการ
อื่นใดในการศึกษาหาค�าตอบในเรื่องนั้นๆ โดยมีครูผู้สอนคอยแนะน�า
การท�าโครงงานสามารถท�าได้ทกุ ระดับการศึกษา ทัง้ รายบุคคลหรือเป็นงานกลุม่ ก็ได้ ขึน้ อยูก่ บั
ลักษณะของโครงงาน
๑) องค์ประกอบของโครงงาน โครงงานมีองค์ประกอบส�าคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑.๑) ส่ ว นต้ น คื อ ส่ ว นที่ บ อกชื่ อ ของโครงงาน หลั ก การและเหตุ ผ ล วั ต ถุ ป ระสงค์
ผู้รับผิดชอบ และที่ปรึกษาโครงงาน
๑.๒) ส่วนกลาง คือ ส่วนที่เป็นวิธีการด�าเนินงานต่างๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการท�า
โครงงาน
๑.๓) ส่วนท้าย คือ ส่วนที่เป็นผลการด�าเนินการ สรุปผลการด�าเนินงาน ผลที่คาดว่า
จะได้รับ และข้อเสนอแนะ
59
กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับประเภทของขอมูลและวิธีการเก็บรวบรวม 1 แหลงวิชาการ หรือแหลงขอมูลที่สําคัญในปจจุบัน ไดแก หองสมุด และ
ขอมูลเพื่อนํามาทํารายงานเชิงวิชาการและโครงงาน บันทึกขอมูลในรูปแบบ อินเทอรเน็ต ซึ่งหองสมุดในประเทศไทยแบงเปน 5 ประเภท ไดแก หอสมุด
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู แหงชาติ หองสมุดประชาชน หองสมุดโรงเรียน หองสมุดมหาวิทยาลัยหรือ
หองสมุดสถาบันอุดมศึกษา หองสมุดเฉพาะสาขาวิชา นอกจากนี้ยังมี
หอจดหมายเหตุอีกดวย โดยประเภทของขอมูลที่มีใหบริการภายในหองสมุด
กิจกรรมทาทาย แบงไดเปน 3 กลุม ดังนี้
• วัสดุตีพิมพ ไดแก หนังสือทั่วไป หนังสืออางอิง นิตยสาร วารสาร จุลสาร
หนังสือพิมพ วิทยานิพนธ รายงาน วัสดุตีพิมพอื่นๆ เชน หนังสือ ตัวเขียน
นักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับกลวิธีการเขียนเรียบเรียงและวิธีการ จดหมายเหตุ แผนที่
นําเสนอรายงานเชิงวิชาการและโครงงานใหมีความนาสนใจ บันทึกขอมูล • วัสดุไมตีพิมพ เชน สไลด ฟลมสตริป แผนโปรงใส วัสดุยอสวน
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู • สือ่ อิเล็กทรอนิกส ไดแก ซีดรี อมและฐานขอมูลออนไลน (Online database)
คูมือครู 59
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนทบทวนความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
องคประกอบของโครงงาน แลวทําแบบวัดฯ ภาษา ๒) ขั้นตอนการท�าโครงงาน มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเขียน ดังนี้
ไทย ม. 1 ตอนที่ 2 หนวยที่ 2 กิจกรรมตามตัวชี้วัด ๒.๑) การเลือกหัวเรื่อง หัวเรื่องของโครงงานมักจะได้จากปัญหา ค�าถาม หรือความสนใจ
กิจกรรมที่ 2.6 เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของผู้เขียน หรือได้จากแหล่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดและความสนใจ เช่น
จากการอ่านหนังสือ การเข้าชมนิทรรศการ การสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัว เป็นต้น
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ ๒.๒) การวางแผน การท�าโครงงานต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การด�าเนินงาน
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 2.6 เป็นไปอย่างรัดกุมและรอบคอบ
เรื่อง องคประกอบของโครงงาน การเขียนเค้าโครงของโครงงาน โดยทั่วไปเขียนเพื่อแสดงความคิด แผนงาน และ
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ขั้นตอนการท�าโครงงาน ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
กิจกรรมที่ ๒.๖ ใหนักเรียนพิจารณาขอความตอไปนี้วาเปนองคประกอบ ñð
สวนใดของโครงงานและเขียนลงในชองวางใหถูกตอง
เค้าโครงของโครงงาน
(ท ๒.๑ ม.๑/๘)
ขอบเขตการศึกษาคนควา
๑. ......................................................................... ศึกษาจากสํานวนไทยตามพยัญชนะ ก-ฮ ระยะ
เวลาในการศึกษาวันที่ ๔-๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔
ชื่อโครงงาน
๒. ......................................................................... นานาสัตวกับสํานวนไทย ๑. ชือ่ โครงงาน ผูร้ บั ผิดชอบ อาจารย์ทปี่ รึกษา ๖. เครื่องมือเครื่องใช้
ขอเสนอแนะ
๓. ......................................................................... การศึกษาสัตวชนิดตางๆ ในสํานวนไทย ควรศึกษา
เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาและสาเหตุที่เลือกใชสัตว
ดังกลาวในสํานวนดวย
๒. หลักการและเหตุผล ๗. วิธีด�าเนินการ
วิธีการดําเนินงาน
๔. ......................................................................... รวบรวมสํานวนไทยที่เกี่ยวของกับสัตว
ฉบับ
เฉลย
คณะผูจัดทําโครงงาน
๕. ......................................................................... เด็กชายธันวา วาจนกิจ
ผลที่คาดวาจะไดรับ
๓. วัตถุประสงค์ ๘. อภิปรายผล
๖. ......................................................................... ทราบชนิดของสัตวที่นํามาใชในสํานวนไทย
วัตถุประสงค
๗. ......................................................................... เพื่อศึกษาชนิดของสัตวที่ปรากฏในสํานวนไทย
หลักการและเหตุผล
๘. ......................................................................... ทัง้ นีส้ มาชิกในกลุม มีความสนใจทีจ่ ะศึกษาเกีย่ วกับ ๔. ขอบเขตการศึกษา ๙. สรุปผลการด�าเนินงาน
สัตวชนิดตางๆ ที่อยูในสํานวนไทยเพื่อรวบรวม
และจําแนกประเภท
เอกสารทีใ่ ชในการศึกษา
๙. ......................................................................... หนังสือสํานวนไทยและสุภาษิตคําพังเพย ๕. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ๑๐. ข้อเสนอแนะ
สรุปผลการดําเนินงาน
๑๐. ......................................................................... จากการศึกษาพบชนิดของสัตวทปี่ รากฏในสํานวน
ไทย ดังนี้
๓๒
๒.๓) การด�าเนินงาน การลงมือปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ระบุไว้ ผู้เรียนต้องพยายาม
ท�าตามแผนงาน เตรียมวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ให้พร้อม ปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ
ค�านึงถึงความประหยัดและปลอดภัยในการท�างาน ตลอดจนบันทึกข้อมูลต่างๆ ว่าได้ท�าอะไรบ้าง
ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและข้อคิดเห็นอย่างไร
๒.๔) การเขียนรายงาน การเขียนรายงานเกี่ยวกับโครงงานเป็นวิธีสื่อสารความหมาย
วิธีหนึ่งที่จะให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีการด�าเนินงาน ผลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ
ที่เกี่ยวกับโครงงานนั้น โดยเขียนด้วยภาษาที 1 ่เข้าใจง่าย ชัดเจน และครอบคลุมประเด็นส�าคัญ
๒.๕) การน�าเสนอผลงาน
เสนอผลงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการท�าโครงงาน การน�าเสนอผลงาน
สามารถท�าได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของประเภทโครงงาน เนื้อหา เวลา และระดับของ
ผู้เรียน อาจน�าเสนอผลงานด้วยการรายงานหน้าชั้นเรียน หรือน�าเสนอผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
60
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
การนําเสนอโครงงานมีวัตถุประสงคอยางไร
1 การนําเสนอผลงาน เปนขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่นักเรียนไดใช
1. เพื่อใหผูเรียนใชความสามารถอยางรอบดาน
ระยะเวลาปฏิบัติงานโครงงานตามแผนที่วางไวแลว โดยการนําเสนอผลงานจะ
2. เพื่อใหผูเรียนมีโอกาสไดอานหนังสืออยางหลากหลาย
ชวยทําใหนักเรียนมีความกลาแสดงออก เชื่อมั่นในผลงานของตนเอง ตอบขอ
3. เพื่อใหผูเรียนเรียนรูวิธีปฏิบัติงานตามคําสั่ง
ซักถามได การนําเสนอผลงานมีหลายลักษณะ ผูจัดทําตองเลือกใชใหเหมาะสม
4. เพื่อใหผูเรียนไดฝกกระบวนการคิด
กับรายงานหรือโครงงาน เชน การบรรยายประกอบแผนใส การใช PowerPoint
เปนตน วิเคราะหคําตอบจ การทําโครงงานเปนการเปดโอกาสใหผูเรียนไดเรียนรู
จากการปฏิบตั ิ ฝกกระบวนการคิด การคนควา ปฏิบตั ดิ ว ยตนเอง นําความรู
ความสามารถที่มีมาใชปฏิบัติงานได และเปนประโยชนในอนาคตผลที่ได
จึงเปนรูปธรรมชัดเจน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
60 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนแบงกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ
โครงงาน 5-6 คน ใชองคความรูเกี่ยวกับการทํารายงาน
เชิงวิชาการ รวมกันทํารายงานตามหัวขอที่กลุม
เรื่อง การศึกษาที่มาของภาษาในการตั้งชื่อจริง สนใจ มีเวลาในการปฏิบัติทั้งสิ้น 1 สัปดาห
โดยเริ่มจากการวางโครงเรื่องในหัวขอที่เลือก
คณะผู้จัดท�าโครงงาน
เด็กชายณวีร์ ก้องเกียรติงาม เด็กหญิงปานใจ ทวีเกียรติ ระบุประเภทของขอมูลที่จะใช วิธีการคนควา
เด็กชายสหภาพย์ หอมสกุลวงศ์ เด็กหญิงปานฤทัย สุขใจยิง่ รวบรวมขอมูล สงครู
เด็กหญิงแก้วตา สุขทิพย์ เด็กหญิงแอนนา ไทเลอร์ 2. ครูพิจารณาโครงเรื่องที่นักเรียนนําสง พรอม
อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน แสดงความคิดเห็นหรือขอชี้แนะตางๆ สง
อาจารย์ปุณยวีร์ โรจนหิรัญพงศ์ โครงเรื่องนั้นคืน ใหนักเรียนดําเนินการตอ
3. สมาชิกรวมกันลงมติเลือกรูปแบบการนําเสนอ
หลักการและเหตุผล
สังคมไทยเป็นสังคมที่รับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะวัฒนธรรม ขอมูล เพื่อเตรียมความพรอมสําหรับ
ทางด้านภาษา ซึ่งจะเห็นว่าการตั้งชื่อของคนไทยมีความหลากหลายอันเนื่องมาจากอิทธิพลของ การนําเสนอหนาชั้นเรียน
ภาษา สมาชิกในกลุ่มจึงมีความสนใจที่จะศึกษาที่มาของภาษาในการตั้งชื่อจริง และได้รวบรวม
รายชื่อเพื่อจ�าแนกประเภทตามที่มาของภาษา
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อให้รู้จักที่มาของภาษาที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง
๒. เพื่อให้มีข้อมูลและหลักการสังเกตค�าที่น�ามาตั้งชื่อ
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
“ภาษา” หมายถึง ภาษาเขียนที่มีที่มาจากภาษาต่างๆ ที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง โดยสมาชิก
ในกลุ่มต้องการศึกษาที่มาของภาษาในชื่อจริงว่าเป็นค�าที่มาจากภาษาใด โดยศึกษาจากรายชื่อ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จ�านวน ๓ ห้องเรียน ระยะเวลาในการศึกษา วันที่ ๑๒–๒๐
กรกฎาคม ๒๕๕๒
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
๑. รู้ที่มาของภาษาที่นิยมน�ามาตั้งชื่อจริง
๒. มีข้อมูลและหลักการสังเกตค�าที่น�ามาตั้งชื่อ
เอกสารและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา
๑. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
๒. ทะเบียนรายชื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
๓. หนังสือหลักภาษาไทย และอื่นๆ
๔. เครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต
61
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
จากภาพที่กําหนดใหนักเรียน
ครูอาจสรางสรรคกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนฝกทักษะการประเมิน
คิดวาเกี่ยวของกับการทํารายงาน
โดยใหนักเรียนรวมกันสรุปเกณฑเพื่อใชประเมินเกี่ยวกับลักษณะรูปเลมของรายงาน
อยางไร
เชิงวิชาการ และรายงานผลการปฏิบัติโครงงาน โดยคําตอบของนักเรียนควร
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ องคประกอบครบถวน รูปแบบการเขียนถูกตอง
ขอมูลมีความนาเชื่อถือ และมีการอางอิงขอมูลในรูปแบบที่ถูกตอง มีการคนควา
เก็บรวบรวมและเรียบเรียงขอมูลอยางเปนระบบ สํานวนภาษาที่ใชเหมาะสมกับ
แนวตอบ ภาพดังกลาว คือภาพการเก็บขอมูลภาคสนาม เปนหนึ่งในวิธีการ งานเขียนเชิงวิชาการ นอกจากนี้ควรใหรวมกันสรุปเกณฑสําหรับใชประเมินการ
เก็บขอมูลเพื่อนํามาทํารายงาน ซึ่งผูทํารายงานจะตองศึกษาและพิจารณาวา นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยคําตอบของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
จะเก็บขอมูลภาคสนามจากแหลงใด หากเลือกที่จะใชการแจกแบบสอบถาม การเตรียมพรอม ความแมนยําในขอมูล สือ่ ประกอบ บุคลิกภาพ ทาทาง การใชเสียง
ผูจัดทําจะตองออกแบบคําถามในแบบสอบถามเพื่อใหไดขอมูลที่เพียงพอ รูปแบบการนําเสนอทีเ่ ลือกใชมคี วามสอดคลองกับขอมูลและมีความเปน Team work
ตอความตองการ กําหนดกลุมเปาหมายที่จะตอบแบบสอบถามใหชัดเจน
วิธีการสงแบบสอบถาม วิธีการเรียกคืนแบบสอบถาม เปนตน
คูมือครู 61
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
หลังเสร็จสิ้นการนําเสนอรายงานเชิงวิชาการ
ของนักเรียนแตละกลุม ครูชวนนักเรียนสนทนา วิธีด�าเนินการ
เกี่ยวกับเหตุการณนํ้าทวมในป 2554 ซึ่งเปน ๑. รวบรวมข้อมูลรายชื่อ แล้วสมาชิกทุกคนร่วมกันแยกประเภทของรายชื่อตามภาษา
เหตุการณที่คนไทยไดรับความสูญเสียอยางรายแรง ๒. น�ารายชื่อที่แยกประเภทภาษามาวิเคราะห์และตรวจสอบที่มาจากพจนานุกรม
โดยครูกระตุน ใหนกั เรียนเกิดการตัง้ คําถามวา ๓. สอบถามจากเจ้าของชื่อ ผู้รู้ ผู้ปกครอง หรือครูเพื่อให้ทราบที่มาของภาษา
ชวงเวลาที่ผานมาในสถานการณนั้น คนไทยสูญเสีย ๔. บันทึกผล น�าข้อมูลมาเรียบเรียงและสรุปผลการศึกษา
สิ่งใดบาง อะไรคือความเดือดรอน อะไรคือสาเหตุ อภิปรายผลการศึกษา
แหงการสูญเสีย จากปญหาตางๆ ใหนกั เรียนรวมกัน ตารางแสดงที่มาของภาษาในการน�ามาใช้ตั้งชื่อจริงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
(ใชกลุมเดิมตอนที่ทํารายงานเชิงวิชาการ) จ�านวน ๗๒ รายชื่อ จ�าแนกประเภทตามที่มาของภาษา ๔ ภาษา ดังนี้
ใชองคความรูเกี่ยวกับการทําโครงงานสรางสรรค ภาษาบาลี–สันสกฤต บุปผา อัจฉราฉวี ทัศนียา กฤตธีรา กมล กรรณิการ์ ณวีร์ สุรเชษฐ์
โครงงานเพื่อเปนหนึ่งในทางเลือกสําหรับการ กุณฑีรา ศิรา ทวีศักดิ์ อนันต์ กมลชนก สัญญา ปรัชญา ปรานี
บุตรี เพชร นัยนา หฤทัย สันติ บุษบา กัลยากร ศรีวรรณ ชนินทร์
ปองกันปญหาที่อาจเกิดขึ้นไดอีกในอนาคต จุฑารัตน์ กชวรรณ วิริยาพร อัชฌาพร อรอนงค์ สุรีย์ พัชนิภา ราช
โดยใหเวลาในการปฏิบัติโครงงานเปนเวลา ธนิต อมราภรณ์ สุกัญญา กฤษณา อุทัยวรรณ วิจิตรา วราภรณ์
2 สัปดาห พรอมทั้งเขียนรายงานโครงงานสงครู สุจิตรา ประณต ภูมิศักดิ์ สมเกียรติ สหภาพย์ ดุลฤดี
ศึกษาจากตัวอยางในหนังสือเรียนภาษาไทย
ภาษาไทย สมใจ ใบตอง ปานใจ สมปอง สุดา ดอกไม้ มะลิ บัวแก้ว ทอฝัน แก้วตา
หนา 61- 62
ภาษาอังกฤษ คริสต์ แอนนา เมลซี เจนนี่ โจเซฟ ไมเคิล จอห์น อัลเบิร์ต
ตรวจสอบผล Evaluate
ภาษาเขมร เพ็ญแข ผกากรอง จ�าเริญ จ�ารัส ช�านาญ เชวง เผดิม อ�านวย
1. นักเรียนแตละกลุมรวมกันนําเสนอรายงาน
การศึกษาคนควาเชิงวิชาการในหัวขอที่เลือก สรุปผลการด�าเนินงาน
หนาชั้นเรียน ชื่อจริงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จ�านวน ๗๒ รายชื่อ มีที่มาจากภาษาบาลี-
2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันนําเสนอโครงงาน สันสกฤตมากที่สุด ส่วนภาษาอื่นๆ มีจ�านวนใกล้เคียงกัน
หนาชั้นเรียน ข้อเสนอแนะ
เมือ่ รูท้ มี่ าของรายชือ่ นักเรียนว่ามีทมี่ าจากภาษาใดแล้ว ควรฝึกแปลความหมายของชือ่ ต่างๆ
เหล่านั้นซึ่งจะช่วยให้มีความรู้เรื่องค�าศัพท์ในภาษาต่างๆ มากขึ้น
62
บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู การทําโครงงานสามารถบูรณาการไดทั้งนอกกลุมสาระการเรียนรูและ
ในกลุมสาระการเรียนรูเดียวกัน กลาวคือ กระบวนการที่นักเรียนใชปฏิบัติ
ครูควรยกตัวอยางขั้นตอนการปฏิบัติโครงงานเพื่อใหนักเรียนเขาใจยิ่งขึ้น ดังนี้
โครงงานคือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร ซึง่ โครงงานเหลานีเ้ ปนโครงงาน
สมมติวากลุมของนักเรียนตองการจะทําโครงงานเพื่อปองกันการสูญเสียชีวิตจาก
ที่เปนประโยชนตอบุคคลทั่วไป ดังนั้นจึงใหนักเรียนทั้งระดับชั้นรวมกัน
การถูกสัตวมีพิษทําราย นักเรียนอาจจะลงมติวาจะใชความรูทางวิทยาศาสตรจัดทํา
ลงมติวาจะมีรูปแบบการนําเสนอผลงานของโครงงานอยางไร หากมีมติ
โครงงานประเภทประดิษฐสรางสรรคไมเทาปองกันสัตวมีพิษ ในประเด็นเดียวกันนี้
วาจะนําเสนอในรูปแบบนิทรรศการเคลื่อนที่ก็ตองรวมกันกําหนดสถานที่
กลุมอื่นอาจลงมติวาจะทําโครงงานประเภทสํารวจ ทําการสํารวจเกี่ยวกับสัตวมีพิษ
สําหรับจัดแสดง โดยอาจเริ่มจากบริเวณชุมชนใกลเคียง ใชทักษะทางภาษา
ในประเทศไทย ระบุลกั ษณะสําคัญ วิธปี ฐมพยาบาลเบือ้ งตนเมือ่ ถูกทําราย หนวยงาน
เขียนประชาสัมพันธการจัดกิจกรรม เขียนจดหมายขอความรวมมือจากผูที่
ที่เกี่ยวของหรือที่สามารถขอความชวยเหลือได บางกลุมอาจจับประเด็นเรื่องการ
เกี่ยวของ เปนตน
ขาดแคลนอาหาร แลวจัดทําโครงงานประดิษฐโดยใชความรูเ กีย่ วกับการถนอมอาหาร
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะทําใหนักเรียน ไดแสดง
คิดคน ผลิตขาวที่สามารถเก็บรักษาไดเปนเวลานาน หรือคิดคนวิธีการถนอมอาหาร
ความสามารถของตนเอง กอใหเกิดความภาคภูมิใจ เรียนรูการทํางาน
รูปแบบใหมเพื่อใหพนจากภาวะขาดแคลนอาหาร เปนตน
รวมกับผูอื่น ซึ่งเปนทักษะที่จําเปนในการดํารงชีวิตประจําวัน
62 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูตรวจสอบผลงานเขียนสื่อสารในรูปแบบ
ตางๆ ที่นักเรียนนําสง ไดแก เรียงความ
การเขียนแนะนําตนเอง การเขียนแนะนํา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
สถานที่ การยอความ จดหมายสวนตัวหรือ
จดหมายกิจธุระ รูปเลมรายงาน โครงงาน
๑. การเขียนเรียงความมีลักษณะอย่างไร ซึ่งการพิจารณาของครู ควรยึดเกณฑ ดังนี้
๒. การย่อความไม่ใช่การตัดต่อข้อความ นักเรียนเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด
๓. การเขียนจดหมายลาครูและจดหมายถึงเพื่อนมีรูปแบบการเขียนแตกต่างกันอย่างไร
• ความถูกตองของรูปแบบ
๔. การเขียนรายงานมีความส�าคัญอย่างไรในการเรียน จงอธิบาย • จุดมุงหมาย แนวคิด ความคิดสรางสรรค
๕. การเขียนโครงงานมีประโยชน์อะไรบ้าง และสามารถน�ามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้อย่างไร • กลวิธีการเขียน
• สํานวนภาษา
• การเขียนสะกดคํา เวนวรรคตอน
• มารยาทในการเขียน ลายมือ ความสะอาด
• การอางอิงแหลงขอมูล ความนาเชื่อถือ
หรือความเปนไปไดของสถานการณ (ในกรณี
เขียนจดหมาย)
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอรายงานเชิงวิชาการ
และโครงงานของนักเรียนแตละกลุม
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ควรยึดเกณฑ ดังนี้
• รูปแบบการนําเสนอ และการใชสื่อประกอบ
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกหัวข้อที่น่าสนใจเพื่อเขียนเรียงความคนละ ๑ เรื่อง • ความแมนยําในขอมูล
แล้วน�าเสนอในชั้นเรียน เช่น • บุคลิกภาพโดยรวมของกลุม
■ สารเสพติดกับวัยรุ่นไทย
• มีสวนรวมในการนําเสนอ Team work
■ คุณธรรมจริยธรรมในสังคมไทย
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
■ ค่านิยมของเยาวชน
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เรียงความ คืองานเขียนรอยแกว ทีม่ งุ เสนอแงคดิ ความรู เปนประเด็นสําคัญ มีรปู แบบทีช่ ดั เจน ประกอบดวยคํานํา เนือ้ เรือ่ ง และสรุป นิยมใชภาษาแบบทางการ
หรือกึ่งทางการในการเขียน
2. เห็นดวย เพราะการยอความ คือการสรุปใจความสําคัญของเรื่องที่อานดวยสํานวนของผูยอเอง ดังนั้น การยอความจึงตองใชทักษะการอานจับใจความสําคัญ
ประกอบ การตัดตอขอความจะทําใหไมไดสาระสําคัญที่แทจริง
3. มีความแตกตางกันในประเด็นของรูปแบบการใชภาษา คือ การเขียนจดหมายถึงครูจะตองใชถอยคําใหเหมาะสมกับสถานภาพของบุคคล ดังนั้น ภาษาที่ใชจึงเปน
ภาษากึ่งทางการ หรือทางการ สวนจดหมายถึงเพื่อนเปนจดหมายที่ติดตอระหวางบุคคลที่คุนเคย ดังนั้น ภาษาที่ใชจึงเปนภาษากึ่งทางการ หรือภาษาปาก
หากมีความสนิทสนมคุนเคยกัน
4. ทําใหมีวิธีการสําหรับการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยางเปนระบบ และมีรูปแบบในการนําเสนอที่ถูกตอง
5. การเขียนโครงงานมีประโยชนในการตอยอดความรูเชิงทฤษฎีใหออกมาในรูปแบบของการลงมือปฏิบัติ ใหไดผลจริง ซึ่งมีประโยชนตอชีวิตประจําวัน คือ กอใหเกิด
กระบวนการคิดที่เปนระบบ เรียนรูวิธีการทํางานรวมกัน และการยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น
คูมือครู 63
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหา
สาระที่ไดรับจากสื่อผานชองทางตางๆ เชน การอาน
การฟง และการดูดวยสํานวนภาษาของตนเอง
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
ผานชองทางใดบาง
ได้ยิน ได้ฟง ได้อ่าน หรือได้ดู โดยใช้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ภาษาเป็นสื่อในการแสดงออก ทั้งนี้ย่อม
ไดอยางอิสระขึ้นอยูกับประสบการณสวนตน) สาระการเรียนรูแกนกลาง
ขึน
้ อยูก่ บ ั ผูเ้ ขียนว่ามีประสบการณ์ ความรู้
การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อตางๆ เชน
• การแสดงความคิดเห็น มีความจําเปนอยางไร และมีเหตุผลทีด ่ มี ารองรับมากน้อยเพียงใด
■
● บทความ
(แนวตอบ การแสดงความคิดเห็น คือ ● หนังสืออานนอกเวลา การเขี ย นเพื่ อ แสดงความคิ ด เห็ น เป็ น การ
● ขาวและเหตุการณประจําวัน
ถ่ายทอดความนึกคิดของตนให้เป็นที่แพร่-
การแลกเปลี่ยนความรู ความคิดซึ่งกันและกัน ● เหตุการณสําคัญตางๆ
หลาย ย่ อ มมี ทั้ ง ผู ้ เ ห็ น คล้ อ ยตามและเห็ น
ตอเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การแสดงความคิดเห็น ขั ด แย้ ง ท� า ให้ เ กิ ด การเพิ่ ม พู น ความรู ้ แ ละ
จะทําใหกลุมบุคคลมีมุมมองใหมๆ กอใหเกิด เกิดการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ภาษาเขียนจึงเป็น
การเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาไปในทิศทาง เครือ่ งมือส�าคัญอย่างหนึง่ ในการพัฒนาความคิด
ที่ดีขึ้น)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การเขียนแสดงความคิดเห็นจากสือ่ เปาหมาย
สําคัญคือ นักเรียนสามารถเขียนแสดงความคิดเห็นทีม่ ตี อ เนือ้ หาสาระทีไ่ ดรบั จากสือ่
โดยคํานึงถึงความถูกตอง เปนกลาง และมารยาทในการเขียน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับประเภทและ
เนือ้ หาสาระของสารทีไ่ ดรบั จากสือ่ โครงสรางของการแสดงความคิดเห็น แนวทาง
การเขียน และชองทางการเขียนแสดงความคิดเห็น จากนัน้ จึงใหลงมือปฏิบตั โิ ดยมี
ขัน้ ตอน ดังนี้ ศึกษาเนือ้ หาสาระจากสือ่ โดยการอาน ฟง และดู จดบันทึกสาระสําคัญ
ทีเ่ กิดจากการตัง้ ขอสังเกต การขยายความคิดเพือ่ แสดงความคิดเห็น ระบุเหตุผล
โดยอางอิงจากรองรอยความรูแ ละประสบการณเดิม นําเสนอเปนผลงานเขียนของ
ตนเอง
การเรียนการสอนในลักษณะนีจ้ ะชวยฝกทักษะการวิเคราะห และทักษะการให
เหตุผลแกนกั เรียนซึง่ มีความจําเปนตอชีวติ ประจําวัน
64 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
สํารวจคนหา Explore
แบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม ในจํานวน
๑ ËÅÑ¡¡ÒÃà¢Õ¹áÊ´§¤ÇÒÁ¤Ô´àËç¹ เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้น
การเขียนแสดงความคิดเห็น เปนทักษะการเขียนอยางหนึ่งที่ตองอาศัยการวิเคราะห วิจารณ ใหสงตัวแทนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับ
อยางมีเหตุผล ซึ่งผูเขียนตองมีความรูในเรื่องที่แสดงความคิดเห็น โดยมีหลักการเขียน ดังนี้ การสืบคนความรูรวมกัน ดังนี้
๑. ผูเขียนจะตองรูวาจะแสดงความคิดเห็นเรื่องอะไรจะตองมีความรูในเรื่องนั้นๆ อยางดีพอ หมายเลข 1 ประเภทและเนื้อหาสาระของสื่อ
๒. ผูเขียนตองหยิบยกทั้ง1ขอดี ขอดอย ของสิ่งที่แสดงความคิดเห็นอยางมีเหตุผล โดยไมใช ในชีวิตประจําวัน
อารมณวิจารณ ตองปราศจากอคติ หมายเลข 2 โครงสรางของความคิดเห็น
๓. ผูเขียนตองชี้แจงสาเหตุที่อาจเปนไปไดทั้งในทางดีและไมดีใหเห็นชัดเจน หมายเลข 3 หลักการเขียนแสดงความคิดเห็น
๔. ผูเขียนตองเสนอแนะวาควรแกไขในสิ่งที่ไมดีอยางไร ถาแกไขแลวจะเกิดผลอยางไร หมายเลข 4 ชองทางการแสดงความคิดเห็น
๕. ผูเขียนตองแสดงความคิดเห็นอยางละเอียดในแงที่เปนประโยชนตอสวนรวม
๒ ¡ÒÃà¢Õ¹áÊ´§¤ÇÒÁ¤Ô´àËç¹¼‹Ò¹Ê×è͵‹Ò§æ อธิบายความรู Explain
การแสดงความคิดเห็นผานสื่อในสังคมปจจุบันเปนเรื่องปกติที่มีอยูทุกวัน จากการที่พบเห็น นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ไดยิน ไดฟงสิ่งใด ถาเห็นดวย ไมเห็นดวย ชอบ ไมชอบ มักมีผูออกมาวิจารณโดยเฉพาะอยางยิ่ง ความรูใ นประเด็นทีก่ ลุม ของตนเองไดรบั มอบหมาย
ทางหนาหนังสือพิมพ โทรทัศน และผานทางสื่ออินเทอรเน็ต ถาสังคมมีความขัดแยง การแสดง ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
ความคิดเห็นยิ่งมีความหลากหลาย ซึ่งมักแสดงออกในรูปของบทความที่ผูเขียนมักจะหยิบยกปญหา
• การเขียนแสดงความคิดเห็น คืออะไร
ในสังคมขณะนัน้ มาเขียน มีทงั้ ปญหาสวนรวมและปญหาสวนบุคคล ปญหาสวนรวม เชน ปญหาเศรษฐกิจ
(แนวตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็น คือ
การศึกษา การเมือง การปกครอง ปญหาสวนบุคคล เชน การปองกันอาชญากรรม การรักษา
ความปลอดภัย เปนตน บางครั้งก็มีผูแสดงความคิดเห็นตอบโตบทความที่มีผูอื่นเขียนขึ้นเพื่อจะแสดง
การเขียนที่ประกอบดวยขอมูลที่เปนขอ
แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งของตนดวย เท็จจริงกับการแสดงความคิดเห็นตอเรื่องใด
เรื่องหนึ่ง ซึ่งลักษณะของการแสดงความ
คิดเห็นควรเปนไปในเชิงสรางสรรค เปนกลาง
ไมเลือกที่รักมักที่ชัง)
• นักเรียนคิดวาสือ่ สิง่ พิมพและสือ่ อิเล็กทรอนิกส
มีขอดีและขอเสียแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ซึ่งจะทําใหไดคําตอบที่
หลากหลายและกวางขวาง ครูควรชี้แนะ
ขอมูลที่ถูกตองใหแกนักเรียน)
• เนือ้ หาสาระทีน่ กั เรียนไดรบั รูผ า นกระบวนการ
รับสารมีอะไรบาง
(แนวตอบ ขาวประเภทตางๆ เชน ขาว
การแสดงความคิดเห็นรวมกันถือเปนการแลกเปลีย่ นทัศนคติ ความรูท ดี่ ี ซึง่ ทุกคนตองเคารพในความคิดเห็นของผูอ นื่ การเมือง ขาวกีฬา ขาวเศรษฐกิจ หนังสือ
บทความ บทเพลง ละคร รายการโทรทัศน
๖๕
ตางๆ เปนตน)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนคิดวาพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นของบุคคลที่กําหนดให
ตอไปนี้ ใครแสดงความคิดเห็นไดเหมาะสมที่สุด 1 อคติ คือ ความลําเอียง ความไมเที่ยงธรรม เกิดจากสาเหตุ 4 ประการ ดังนี้
1. พรแสดงความคิดเห็นในเรื่องสวนตัวของกุง ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรัก ไมใหความยุติธรรมเพราะความรักใคร โทสาคติ
2. หนอยแสดงความคิดเห็นตอความเชื่อของนอย ลําเอียงเพราะชัง ไมใหความยุติธรรมเพราะไมชอบ โมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา
3. นิดแสดงความคิดเห็นโดยยึดเหตุผลของตนเองเปนใหญ ไมใหความยุติธรรมเพราะความไมรู หลงผิด ไมสอบสวนความจริงใหรอบคอบ
4. แปงแสดงความคิดเห็นตอขาวอาชญากรรมที่อานจากหนังสือพิมพ และภยาคติ ลําเอียงเพราะความกลัว
คูมือครู 65
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ 1
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากข่าว
มอบหมาย
http://www.dailynews.co.th/content/economic/286384/ท่องเที่ยวพร้อมแยกกระทรวงท�างาน
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม
• บุคคลในสังคมจําเปนตองแสดงความคิดเห็น ทèองเทีèยวพรéอมแยกกระทรวงท�ำงำน
ของตนและขณะเดียวกันก็ตองยอมรับฟง
ททท. รับลูก คสช. แยกกระทรวงท่องเทีย่ วกับกีฬาออกจากกัน หลังทีผ่ า่ นมา ท�างานซ�า้ ซ้อนกัน
ความคิดเห็นของผูอื่นดวย กระบวนการนี้มี
แต่รับต้องหาบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวมาท�างาน
ความสําคัญอยางไร
วันอังคาร ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗:๓๒ น.
(แนวตอบ การแสดงความคิดเห็นทําใหมอง
นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงกรณี
สิง่ ตางๆ รอบดาน ซึง่ จําเปนตอสังคม
ที่ ค ณะรั ก ษาความสงบแห่ ง ชาติ (คสช.) มี แ นวคิ ด จะแยกกระทรวงการท่ อ งเที่ ย วและกี ฬ า
ประชาธิปไตยที่ตองฟงเสียงสวนใหญ)
ออกจากกันว่า ต้องการให้การแยกกระทรวงฯ ในครัง้ นี ้ เป็นการปรับบทบาทครัง้ ใหญ่ของกระทรวงฯ
• ความคิดเห็น ประกอบดวยอะไรบาง
โดยเฉพาะการปรับหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงฯ ที่ปัจจุบันซ�้าซ้อนเรื่องการท�างาน
(แนวตอบ ที่มา ขอสนับสนุน และขอสรุป
ท�าให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาสินค้าท่องเที่ยว และ
ซึ่งที่มา คือ สวนที่เปนเรื่องราวตางๆ ที่ทําให
ออกโรดโชว์สินค้าท่องเที่ยว
เกิดการแสดงความคิดเห็น ขอสนับสนุน คือ
นอกจากนี้ จะต้ อ งหั น มาพิ จ ารณาเรื่ อ งบทบาทของบุ ค ลากรในกระทรวงด้ ว ย ไม่ ใช่
เหตุผลที่อาจจะเปนหลักการ ขอเท็จจริง
เปลี่ยนแค่เพียงชื่อกระทรวงฯ โดยเฉพาะบุคลากรของกระทรวงการท่องเที่ยว และของกรม
รวมทั้งขอคิดเห็นของผูอื่น ที่นํามาสรุป
การท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากกีฬา ท�าให้ขาดความเชี่ยวชาญด้านการท�างานภาคการท่องเที่ยว
ความคิดเห็นของผูเขียน ขอสรุป เปนสวนที่
การปรับโครงสร้างการแยกกระทรวงนั้น ไม่จ�าเป็นว่าจะต้องกลับไปอยู่กับส�านักนายกรัฐมนตรี
สําคัญที่สุดของการแสดงความคิดเห็น
แต่ส�าคัญที่หน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้กระทรวงจะต้องมีวิสัยทัศน์เดียวกัน มีจุดประสงค์ที่จะ
เปนการสรุปประเด็นทั้งหมดของการเขียน
พัฒนาการท่องเทีย่ วให้ไปในทิศทางทีด่ ไี ด้ แต่ทงั้ นี ้ ก็ยงั มีปญ
ั หาว่าหากจะปรับจริงๆ จะน�าบุคลากร
แสดงความคิดเห็นตอเรื่องนั้นๆ)
มาจากไหน เพราะปัจจุบนั บุคลากรส่วนใหญ่มาจากฝ่ายกีฬา ซึง่ หากปรับก็อยากจะได้คนทีส่ ามารถ
• นักเรียนคิดวาความคิดเห็นของบุคคล
มาท�างานด้านการท่องเที่ยวได้จริงๆ ทั้งนี้ด้านส�านักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
มีความแตกตางกันหรือไม และอะไรคือ
(ทีเส็บ) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ซึ่งเป็น
สาเหตุของความแตกตาง
หน่วยงานภายใต้องค์กรมหาชนก็เป็นหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเหมือนกัน แต่หากจะ
(แนวตอบ ความคิดเห็นของบุคคลมีความ
มารวมจะต้องปรับการท�างานให้มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อให้บูรณาการการท�างานไปสู่เป้าหมาย
แตกตางกัน เนื่องมาจากสาเหตุตางๆ ดังนี้
การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตได้
คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย เชาวน
ด้านนายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
ปญญา อิทธิพลของสิ่งแวดลอม ความรู
กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดการปรับโครงสร้างของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะ
ประสบการณ ความเชื่อ และคานิยม)
จะส่งผลกับการท�างานในภาคเอกชนได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะการตัดสินใจเชิงนโยบายต่างๆ
• นักเรียนมีวิธีการบอกตนเองใหยอมรับฟง
ที่จะท�างานได้รวดเร็ว ไม่ต้องผ่านขั้นตอนมากเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งถ้าแยกออกมาจะท�าให้
ความคิดเห็นของผูอื่นอยางไร เพื่อลดปญหา
ความขัดแยง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น 66
ไดอยางอิสระและหลากหลาย)
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
พาดหัวขาวในขอใดใชภาษาเพื่อการแสดงความคิดเห็น
1 ขาว หากแบงประเภทของขาวโดยพิจารณาในแงระดับขาว จะแบงได 2 ประเภท
1. รอนนี่ ชาน พอพระ นักอสังหาฯ
ไดแก ขาวหนัก เปนขาวทีม่ เี นือ้ หาสาระในเชิงใหความรู ความคิด มากกวาความบันเทิง
2. เชียงราย...ตกหนัก คราชีวิตหญิงชรา 76
สวนขาวเบา เปนขาวที่มีเนื้อหาสาระใหความบันเทิงมากกวาความรู และความคิด
3. ดวยคะแนน 2 ตอ 1 เซต วอลเลยบอลสาวไทย
เปนเรื่องราวที่เขาใจงาย มีผลตออารมณความรูสึกของผูอาน แตถาแบงประเภท
4. ถึงไทยแลว...โรคมือ เทาปาก สธ.หาทางปองกัน
ของขาว โดยพิจารณาในแงระดับความรูสึกตอบสนอง จะแบงได 2 ประเภทเชนกัน
ไดแก ขาวที่ผูอานมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ไมวาจะเปนความรูสึกทางบวกหรือลบ วิเคราะหคําตอบ พาดหัวขาว คือ การนําประเด็นสําคัญของขาวมาเขียน
เชน ขาวบันเทิง ขาวกีฬา ขาวอาชญากรรม เปนตน และขาวที่ผูอานมีปฏิกิริยา เพื่อบอกใหผูอานทราบวา วันนี้มีเหตุการณอะไรเกิดขึ้นบาง พาดหัวขาว
ตอบสนองชา เพราะผูอานตองใชความคิด ความรู ประสบการณในการพิจารณา จึงมีจุดประสงคเพื่อเรียกรองความสนใจของผูอาน การพาดหัวขาวแสดง
ทําความเขาใจ เชน ขาวการเมือง ขาวเศรษฐกิจ ขาวการศึกษา เปนตน ความคิดเห็น คือ การที่ผูเขียนใชถอยคําเพื่อแสดงอารมณ ความรูสึกที่มีตอ
เนื้อขาว หรือผูที่เกี่ยวของกับขาว คําตอบในขอ 2., 3. และ 4. เปนประโยค
ที่ผูเขียนมุงแสดงขอเท็จจริง ประโยคในขอ 1. ปรากฏการใชถอยคําในเชิง
แสดงความคิดเห็นคือคําวา “พอพระ” ซึ่งคํานี้มักจะกลาวชมเชยแกบุคคล
ที่มีจิตใจดีหรือใจบุญมากเปนพิเศษ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
66 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนอานตัวอยางการเขียนแสดงความ
คิดเห็นจากขาวในหนังสือเรียนภาษาไทย
การบริหารงานต่าง ๆ รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปัจจุบัน หนา 67 แลววิเคราะหในประเด็นตอไปนี้
ยังท�างานซ�า้ ซ้อน อีกทัง้ กว่า ๘๐% ของบุคลากรในกระทรวงฯ ยังเป็นผูเ้ ชีย่ วชาญด้านกีฬามากกว่า • ที่มาของการแสดงความคิดเห็น
จึงอยากให้ปรับการท�างานให้สะดวก และเชื่อมโยงกับงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น วัฒนธรรม • จุดประสงคของการแสดงความคิดเห็น
และแรงงาน • ขอมูลที่ผูเขียนใชสนับสนุนความคิดเห็น
ของตน
นับว่าเช้านี้เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีของผม ข่าวแรกที่เปิดอ่านท�าให้อิ่มเอมหัวใจ เพราะมองเห็น • ความนาเชื่อถือ
แล้วว่าประเทศไทยของเราก�าลังจะเดิ ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายในแตละประเด็น
1 นไปสู่ทิศทางใด 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนในประเด็นตอไปนี้
ข่าวนี้ บางคนเห็นพาดหัวข่าวแล้ว อาจจะผ่านเลยไป เพราะประเมินว่า ไม่เกี่ยวกับฉัน แบบนี้
มีให้เห็นกันมากครับ ชีวิตนี้ขออ่านแต่ข่าวบันเทิงอย่างเดียว ผมอยากฝากถึงเพื่อนๆ ทุกคน • นักเรียนจะเลือกแสดงความคิดเห็น
ในบล็อกนีน้ ะครับ เราลองมาให้ความสนใจกับข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ หรือข่าวอืน่ ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง จากขาวประเภทใด เพราะเหตุใด
กับความเป็นไปของประเทศดูบ้าง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เราเป็นพลเมือง เป็นส่วนหนึ่งที่จะ • นักเรียนมีแนวทางอยางไรในการเขียนแสดง
ท�าให้ประเทศพัฒนา หากไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่านโยบายของประเทศเป็นอย่างไร ภาครัฐท�างาน ความคิดเห็นจากขาวที่เลือก
กันอย่างไร แล้วเราจะปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศได้อย่างไร ทายคําตอบของนักเรียน ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม
สละเวลาส่วนตัวสักนิด อ่านคร่าวๆ ก็ได้ครับ พอให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสมัยนี้สื่อมวลชน เพื่อสรางความรู ความเขาใจที่ถูกตอง
เขียนพาดหัวข่าวได้ทันกินทันใช้ดีเหมือนกับรู้ว่าผู้อ่านเวลาน้อย ข่าวนี้ก็เช่นเดียวกันเพียงอ่าน
พาดหัวข่าวก็รแู้ ล้วว่าเกิดอะไรขึน้ หรือใครท�าอะไร แต่หากคุณอ่านคร่าวๆ ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ ก็อย่า
น�าไปพูดต่อนะครับ ถ้าจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดก็ตาม ควรอ่านให้ครบความ เสียเวลา
ไม่มากหรอก
จากพาดหัวข่าว ไล่เรียงมาทีเ่ นือ้ ข่าวเป็นการเขียนขยายความหรือให้รายละเอียดได้ด ี เมือ่ อ่าน
จบแล้วท�าให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่า ท�าไมต้องแยกกระทรวง แล้วท�าได้จริงหรือไม่ เมื่อแยกแล้วมีผลดี
ผลเสียอย่างไร เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาพบว่าผู้เขียนสื่อสารข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ไม่สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัว แต่ขอ้ เสียของข่าวนีก้ ม็ นี ะครับ บางช่วงบางตอนก็ให้รายละเอียด
มากเกินไป ผู้อ่านบางคนอ่านมาถึงช่วงกลางๆ อาจเบื่อได้ พาลจะอ่านไม่จบเสียเปล่าๆ
ขึ้นชื่อว่า “ข่าว” บางคนก็ไม่อยากอ่านแล้ว โดยเฉพาะข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ เพราะ
ไม่อยากคิด ไม่อยากวิเคราะห์ ล�าพังเรื่องปากเรื่องท้องก็หนักพออยู่แล้ว อย่าคิดอย่างนั้นเลยครับ
อ่านไว้เป็นความรู้ น�าไปปรับใช้ ความรู้บางอย่างยังไม่เป็นประโยชน์ในวันนี้ แต่เป็นประโยชน์ใน
วันหน้าแน่นอน อย่างน้อยๆ ข่าวนี้ ก็ท�าให้ผมคิดถึงอนาคตของตนเอง ความรู้ความสามารถก็พอมี
ลองท�าธุรกิจโฮมสเตย์ดูก็ไม่เสียหลาย เพราะภาครัฐเขาโฟกัสเรื่องการท่องเที่ยวน่าดู
67
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
หัวขอการเขียนแสดงความคิดเห็นในขอใดตางจากขออื่น 1 พาดหัวขาว หนังสือพิมพนิยมพาดหัวขาวเปนกลุมประโยค โดยละหนวย
1. ศาสตรการบําบัดออฟฟศซินโดรม เชื่อมไว สวนการใชถอยคํานิยมใชคําทับศัพทและสํานวนภาษาตางประเทศ
2. ธาลัสซีเมียรุกฆาต เด็กแบเบาะปวยนับหมื่น
3. การปราบปรามยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทย
4. สื่อสังคมออนไลน...เสพติด “like” และ “comment”
วิเคราะหคําตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็นในขอ 1., 2. และ 3.
เปนการเขียนแสดงความคิดเห็นที่เกิดจากขอเท็จจริง การเขียนแสดงความ
คิดเห็นในขอ 4. เปนการแสดงความคิดเห็นในเชิงคานิยม เปนสถานการณ
ทางวัฒนธรรม ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 67
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ
การเขียนแสดงความคิดเห็นหนังสืออ่านนอกเวลา
มอบหมาย
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถาม โดยใช เรื่อง แมงมุมเพื่อนรัก
ความรูที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ เพือ่ เป็นการฝึกเขียนแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับหนังสืออ่านนอกเวลา เมือ่ นักเรียนอ่านจบแล้ว
กลุม ที่ 3 เปนขอมูลเบือ้ งตนสําหรับตอบคําถาม ให้ลองตั้งค�าถามเป็นข้อๆ แล้วน�ามาเรียบเรียงใหม่ ดังนี้
• สิ่งที่ผูแสดงความคิดเห็นจะตองมีกอนการ ๑. ใครเขียนหนังสือเล่มนี้
แสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งคือ ๒. จัดพิมพ์ที่ไหน เมื่อไร มีกี่หน้า ขนาดรูปเล่ม
อะไร เพราะเหตุใด ๓. รูปประกอบเป็นอย่างไร
(แนวตอบ ผูเขียนแสดงความคิดเห็นจะตอง ๔. แบ่งเนื้อหาเป็นกี่บท ใช้เวลาอ่านมากน้อยแค่ไหน
มีความรู ความเขาใจในเรื่องที่ตนจะแสดง ๕. ความยากง่ายของเนื้อเรื่อง เหมาะสมกับวัยผู้อ่านหรือไม่
ความคิดเห็นเปนอยางดี เพื่อที่จะแสดง ๖. การใช้ภาษาเป็นอย่างไร
ความคิดเห็นไดอยางลึกซึ้ง ครบถวน และ ๗. ตัวละครเด่นๆ มีใครบ้าง
รอบดาน) ๘. เรื่องนี้มีสาระอะไรบ้าง
• นักเรียนมีวิธีการหรือแนวทางการเขียนแสดง เมื่อหาค�าตอบในแต่ละข้อได้แล้ว น�ามาเรียบเรียงใหม่ได้ดังนี้
ความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระที่ไดรับจากสื่อ แมงมุมเพื่อนรักเป็นหนังสืออ่านส�าหรับเยาวชน ชุดก่อนนิทรา อันดับที่ ๔/๒๑ เขียน
ที่ไดอาน ฟง หรือดูอยางไร โดย อี.บี.ไวท์ แปลโดย ผู้ใช้นามปากกาว่า มัลลิกา เล่มที่น�ามาอ่านจัดพิมพ์โดย บริษัทโรงพิมพ์
(แนวตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็น ไทยวัฒนาพานิช จ�ากัด เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ หนังสือเล่มนี้มีความยาว ๑๖๓ หน้า มีขนาดกะทัดรัด
เกี่ยวกับสาระที่ไดรับจากสื่อ ผูเขียนจะตอง สามารถพกพาไปในที่ต่างๆ ได้ง่าย แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒๒ บท สามารถอ่านให้จบได้ในเวลา
อาน ฟง หรือดูเรื่องนั้นๆ อยางละเอียด ไม่กี่ชั่วโมง น่าเสียดายที่ภาพประกอบมีน้อย แต่ก็มีครบทุกตอนและเป็นเพียงลายเส้นขาวด�า
ถี่ถวน ใหเกิดความเขาใจที่ถองแท จากนั้น ถ้าเป็นภาพสีจะช่วยให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านยิ่งขึ้น เนื้อเรื่องเหมาะส�าหรับเยาวชนที่เรียนอยู่ใน
จึงจับสาระสําคัญของเรื่องวา กลาวถึงอะไร ระดับชั้น ม.ต้น แสดงความรักและเมตตาของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีต่อเจ้าหมูแสนรู้ รวมทั้งแสดง
แลวตนเองมีความคิดเห็นอยางไรตอประเด็น ถึงความรักความผูกพันระหว่างสัตว์ที่เป็นเพื่อนกัน แสดงถึงความเอื้อเฟื้อ ไมตรีจิต และความ
นั้นๆ เห็นดวย หรือไมเห็นดวย พรอมกับ ห่วงใยอันบริสุทธิ์ ท�าให้เห็นว่าสังคมโลกทั้งมนุษย์และสัตว์ ถ้ามีความเอื้ออาทรต่อกันจะช่วย
แสดงเหตุผลประกอบใหชัดเจน ซึ่งเหตุผล จรรโลงสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น นอกจากความสนุกสนานน่าติดตามแล้วสิ่งที่ท�าให้ผู้อ่านสนใจ
เหลานั้นอาจไดมาจากความรูเดิม และศึกษาต่อคือธรรมชาติของสัตว์ชนิดอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฏในเรื่อง ทั้งหมดนี้ได้รับ
ประสบการณ หรืออื่นๆ แลวจึงเขียน การถ่ายทอดจากผู้แปลในลีลาส�านวนภาษาที่สั้น กระชับ ง่าย น่าติดตาม เรื่องแมงมุมเพื่อนรัก
เรียบเรียงดวยสํานวนภาษาของตนเอง) จึงเป็นหนังสือที่มีคุณค่าและเหมาะอย่างยิ่งส�าหรับเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียน
68
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ขอมูลในขอใดไมจําเปนตอง
ครูรวมสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการเขียนสื่อสารเพื่อแสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
บนสื่อสังคมออนไลน เพื่อใหนักเรียนรวมแบงปนประสบการณตรงหรือประสบการณ
1. เจาของผลงาน
รองที่ไดรับจากการเขียนแสดงความคิดเห็นผานสื่ออิเล็กทรอนิกส โดยปราศจาก
2. การใชสํานวน ภาษา
การไตรตรอง หรือการมีอคติกอใหเกิดผลเสียอยางไร จากนั้นนําขอมูลทั้งหมด
3. สํานักพิมพที่จัดพิมพ
มาจัดการความรูรวมกันในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียนในประเด็น
4. เนื้อหาสาระที่โดดเดน
“การเขียนแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน like or unlike ในสังคมยุคใหม”
วิเคราะหคําตอบ การเขียนแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับหนังสือทีอ่ า น ผูเ ขียน
วิจารณจะตองอานหนังสือเลมนั้นเพื่อใหเกิดความเขาใจที่แจมแจง โดย
รูปแบบแลวการเขียนแสดงความคิดเห็นที่มีตอหนังสือเลมหนึ่งๆ จะแสดง
ความคิดเห็นตอสวนตางๆ ดังนี้ ภูมิหลังของผูเขียน แรงบันดาลใจ เนื้อหา
สาระ แนวคิด ถอยคํา ความไพเราะเหมาะสม ตัวละคร ความยากงายหรือ
ความเหมาะสมกับวัยของผูอาน ซึ่งขอมูลที่ผูวิจารณไมจําเปนตองแสดง
ความคิดเห็น คือ สํานักพิมพที่จัดพิมพ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
68 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากรายการโทรทัศน์ ความรูในประเด็นที่กลุมของตนเองไดรับ
มอบหมาย
วันนี้ดิฉันในฐานะของผู้ชมที่เป็นแม่จะขอพูดถึงรายการน�้าดีรายการหนึ่ง ที่รับชมกี่ครั้งก็อด 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
จะชื่นชมความสามารถของทีมงาน และวิสัยทัศน์ของผู้ผลิตรายการไม่ได้ รายการกบนอกกะลา ความรูที่ไดรับจากการฟง ครูสุมเรียกชื่อ
เป็นรายการโทรทัศน์ ประเภทสารคดี ที่ผลิตโดยบริษัททีวีบูรพา จ�ากัด ออกอากาศทางสถานี นักเรียนตอบคําถาม โดยใชกระบวนการ
โทรทัศน์โมเดิรน์ ไนน์ทวี ี สัปดาห์ละครัง้ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. ของวันอาทิตย์ ความยาว สังเคราะหความรู และถามคําถามเดียวกันนี้
ประมาณ ๕๕ นาที ด�าเนินรายการโดยพิธีกรภาคสนามที่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาท�าหน้าที่ กับนักเรียนคนอื่นๆ เพื่อใหเกิดการแสดง
ซึ่งความโดดเด่นของรายการนี้มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ ความคิดเห็นที่ครอบคลุมคําตอบ
ข้อแรก พิธีกร หรือผู้ด�าเนินรายการ มีเอกลักษณ์เฉพาะตน พูดจาฉะฉาน แสดงออก • ในชีวิตประจําวันมนุษยแสดงความคิดเห็น
อย่างเป็นมิตร มีทศั นคติในแง่บวก มีใจเป็นกลางและเปิดกว้าง ซึง่ ถือเป็นคุณลักษณะทีส่ า� คัญของ ตอเรื่องใดไดบาง
พิธกี รภาคสนาม เพราะจะต้องมีสว่ นร่วมกับการค้นหาค�าตอบของประเด็นความรูใ้ นแต่ละสัปดาห์ (แนวตอบ แสดงความคิดเห็นไดทั้งในเรื่อง
ถ้ามีอคติหรือคิดเฉพาะในมุมของตน ก็ไม่เหมาะที่จะมาเป็นพิธีกรรายการสารคดี เศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา สังคม
ข้อสอง รูปแบบรายการมีความน่าสนใจ ซึง่ พิธกี รภาคสนามจะพาผูช้ มไป “ไขปริศนาความรู”้
ความบันเทิง เปนตน)
ตัง้ แต่ตน้ ทางจนสุดปลายทาง โดยทีพ่ ธิ กี รมีสว่ นร่วมกับการท�ากิจกรรม หรือเรียกได้วา่ “ลงไปคลุกคลี
• นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นผาน
ตีโมง” ด้วย ซึ่งลักษณะเช่นนี้ ดิฉันคิดว่าเราควรจะดูไว้เป็นแบบอย่าง แล้วสอนลูกสอนหลานว่า
ถ้าอยากจะรู้อะไร ต้องรู้ให้จริง ให้อ่าน ให้ค้น ให้ท�าด้วยตนเอง
ชองทางการสื่อสารใดไดบาง
ข้อสาม ความรู้ที่น�าเสนอในแต่ละสัปดาห์ เรียกว่า “ทันกินทันใช้” หรือเรียกว่า เหมาะสม (แนวตอบ การพูด และการเขียน
กับกาลเทศะ ใช้ได้จริง ซึ่งกว่าจะได้ประเด็นมาน�าเสนอ เชื่อแน่ว่าทีมงานทุกคนต้องร่วมกันคิด เชน บทความ หรือการเขียนผานสื่อ
ร่วมกันวางแผน ร่วมกันค้นคว้า จุดนี้ต้องชมเชย “ความช่างสงสัย” ของทีมงาน อิเล็กทรอนิกสในสื่อสังคมออนไลน)
ข้อสี่ ความใส่ใจของผู้ผลิตรายการ ในจุดนี้ต้องชมเชยว่า ผู้ผลิตรายการอาจไม่ได้มุ่งแสวงหา
ผลก�าไรมากนัก แต่มุ่งที่จะมอบความรู้ให้แก่ผู้บริโภคสื่อ รายการกบนอกกะลาเป็นรายการที่เป็น
มิตรกับผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คนหาเช้ากินค�่า ผู้ใหญ่ หรือเด็ก
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านหลายๆ ท่าน อาจคิดไปได้ว่า ดูแล้วดิฉันจะชื่นชมรายการนี้
อย่างออกหน้าออกตา จุดนี้ขอยอมรับโดยไม่ขอแก้ตัว เพราะดิฉันในฐานะผู้บริโภคสื่อรู้สึกดีใจ
ทีย่ งั มีรายการน�า้ ดีแบบนีอ้ ยูใ่ นผังรายการของช่อง อยากจะฝากถึงเพือ่ นๆ เราเองต้องรูจ้ กั เลือกค่ะ
เพราะรายการบางประเภท เนื้อหาสาระไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจ�าวัน เมื่ออ่าน เมื่อฟัง
เมื่อดูมากๆ เข้า ก็กลายเป็นขยะทางความคิด เป็นกับดักให้ยึดติดอยู่กับสิ่งฟุ้งเฟ้อ หรืออะไร
ที่ไม่ใช่แก่นแท้ของชีวิต ท้ายที่สุดจะเป็นผู้อ่อนแอทางความคิด ตัดสินไม่ได้ว่าอะไรจริง อะไร
ไม่จริง พูดให้เป็นทางการก็คือ ไม่มีวิจารณญาณ เพราะรอแต่ให้มีคนมาป้อนข้อมูล แล้วก็ไม่รู้ว่า
เขาป้อนอะไรให้แก่เรา รายการกบนอกกะลาท�าให้ดิฉันได้คิด และจะปลูกฝังลูกว่า รู้อะไรต้องรู้
ให้จริง และจะรู้จริงได้ ต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
69
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนสํารวจวาบนสื่อสังคมออนไลนบุคคลที่เขาไปมีสวนรวมในการ ครูควรสรางองคความรูเ กีย่ วกับการแสดงความคิดเห็น การวิจารณ ใหแกนกั เรียน
แสดงความคิดเห็นไดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดบาง พรอมยก ดวยชุดคําอธิบาย การแสดงความคิดเห็นเปนพืน้ ฐานของการวิจารณ การใหเหตุผล
ตัวอยางประกอบใหชัดเจน สรุปผลการสํารวจเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สําหรับการแสดงความคิดเห็นและการวิจารณมคี วามแตกตางกัน เหตุผลทีแ่ สดงไวใน
สงครู การวิจารณตอ งมีนาํ้ หนัก เปนหลักวิชา อางอิงได มีแหลงทีม่ า ยกตัวอยางใหชดั เจน
และเห็นจริงวาอะไรคือขอดี อะไรคือขอบกพรองของสิง่ นัน้ ๆ
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนศึกษาวาการแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลนมีขอควร
คํานึงใดบาง สรุปผลการศึกษาเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
คูมือครู 69
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเขาใจ Expand
1. นักเรียนคัดสรรบทความที่เขียนแสดงความ 1
คิดเห็นในเรื่องตางๆ ไว เชน ขาว หนังสือ Best จากตัวอย่าง ท�าให้เห็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการเขียนแสดงความคิดเห็นได้หลายประการ ดั
ลายประการ งนี้
seller หรือรายการโทรทัศนที่กําลังไดรับความ ๑. เรื่องที่จะน�ามาเขียน ต้องเป็นเรื่องทันสมัย ถูกกาลเทศะ ค�านึงถึงสภาพแวดล้อม ความ
นิยม นํามาวิเคราะหประเด็นทีบ่ ทความกลาวถึง คิด ความเชื่อ ค่านิยมของกลุ่มสังคม ไม่ควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องละเอียดอ่อน นอกจากนี้
การเรียบเรียง และรูปแบบการใชภาษาทีป่ รากฏ ผู้เขียนควรพิจารณาว่า ผู้รับสารเป็นใคร เพื่อให้เลือกเรื่อง และเลือกใช้ระดับภาษาสื่อสารได้เหมาะสม
ในบทความนั้นๆ สรุปผลการวิเคราะห ๒. ภาษาทีใ่ ช้ในการเขียนแสดงความคิดเห็น เป็นได้ตงั้ แต่ภาษาทางการ กึง่ ทางการ ภาษาสนทนา
เปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนสื่อสารเรื่องใด กับใคร ผ่านสื่อประเภทใด เช่น ในตัวอย่างการเขียนแสดง
2. นักเรียนคัดสรรขาว หนังสือ หรือรายการโทรทัศน ความคิดเห็นจากข่าว ผู้เขียนสื่อสารกับบุคคลในชุมชนออนไลน์ ผ่านบล็อกส่วนตัว จึงไม่เคร่งครัดใน
ที่ชื่นชอบ สนใจ หรือเรื่องราวอื่นๆ ที่กําลังเปน ไวยากรณ์ ถ้อยค�าที่ใช้จึงปรากฏทั้งภาษากึ่งทางการ ภาษาปาก
ประเด็นทางสังคม นํามาเขียนแสดงความ ๓. ผู้เขียนควรแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ตนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือมีประสบการณ์
คิดเห็นเกี่ยวกับสาระที่ไดรับ ความยาวไมเกิน อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง รวมถึงแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้อ่าน และสังคม
1 หนา กระดาษ A4 โดยใชองคความรูที่ไดจาก สร้างพฤติกรรม หรือปลูกฝังค่านิยมที่ดี
การสังเกตบทความในขอ 1. เปนกรอบสําหรับ
การพัฒนาทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นของบุคคลต่างๆ ขึนé อยูก่ บั ความรู ้ ความคิด และประสบการณ์
ของตนเอง ของบุคคลนัéน การเปิดใจให้กว้างใช้เหตุและผลมาสนับสนุนความคิดเห็นจะทÓให้
3. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ ข้อความนัéนน่าสนใจและน่าติดตาม ในฐานะของผู้อ่านเมื่ออ่านข้อความต่างๆ ผ่านสื่อ
ของการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระ ต้องใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรองก่อนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยไม่ใช้อารมณ์
จากสื่อที่ไดรับ ซึ่งคําตอบของนักเรียน ควร และมีอคติตอ่ สิง่ ทีไ่ ด้รบั แม้ในระดับนักเรียนจะยังไม่มโี อกาสแสดงความคิดเห็นผ่านสือ่
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ได้มากนัก การเริ่มต้นจากการแสดงความคิดเห็นในหนังสืออ่านนอกเวลาหรือข่าวที่พบ
(แนวตอบ ให้เกิดความชÓนาญก่อน เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะการเขียนให้ดีขึéน
• มีจุดมุงหมายในการเขียนที่ชัดเจน
• จับสาระสําคัญไดถูกตอง
• แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระสําคัญ
ไดครอบคลุม ยกเหตุผลเพื่อสนับสนุน
ความคิดเห็นของตนเองไดอยางนาเชื่อถือ
ตรงไปตรงมา ปราศจากอคติ
• การเขียนสะกดคํา เวนวรรคตอน
• ลายมือ ความสะอาด เรียบรอย และมารยาท
ที่ดีของผูเขียน)
70
บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู การเขี ย นแสดงความคิ ด เห็ น สามารถบู ร ณาการได กั บ เรื่ อ งหลั ก การ
ประเมินงานทัศนศิลป ในกลุมสาระการเรียนรูศิลปะ วิชาทัศนศิลป โดย
1 การเขียน ไมวาผูเขียนตองการจะสื่อสารเนื้อหาลักษณะอยางไรก็ตาม ผูเขียน
ในชัน้ ตนนักเรียนยังไมจาํ เปนตองมีความรูใ นวิธกี ารทางศิลปะมากนัก เพราะ
จะตองเลือกกลวิธีการเขียนและรูปแบบใหสอดคลองกับเรื่องราวนั้นๆ เพื่อใหผูอาน
การประเมิ น งานในขั้ น แรก เป น เพี ย งการประเมิ น เพื่ อ ชื่ น ชม เปนการ
ไดรับทั้งรสคําและรสความ และดวยรูปแบบของงานเขียนที่หลากหลายจะทําให
แสดงความรู สึ ก ส ว นตั ว ที่ มี ต อ ผลงาน แลกเปลี่ ย นทั ศ นะซึ่ ง กั น และกั น
ผูเขียนสรางสรรคผลงานไดหลายรูปแบบเชนกัน
แตถึงอยางไรก็ตองมีเหตุผลที่เพียงพอและนาเชื่อถือ ครูอาจฝกใหนักเรียน
เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระหรือแนวคิดที่ไดรับจากการชมผลงาน
“วัฏจักรแหงชีวิต” ของพิชัย นิรันต เพื่อฝกทักษะ นําเสนอเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู ความยาวไมเกิน 1 หนา กระดาษ A4
70 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมานําเสนอผลงานเขียนแสดง
ความคิดเห็นของตนเองใหครูและเพื่อนๆ ฟง
หนาชั้นเรียน
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. ครูตรวจสอบสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึง
ประสงคของผูเรียนจากการทํางานรวมกันและ
๑. “ติเพื่อก่อ” เปนหลักการแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด การตอบคําถามแบบโตตอบรอบวง
๒. การแสดงความคิดเห็น ควรเสนอแนะแนวทางแก้ไขด้วยหรือไม่ อย่างไร
๓. หากนักเรียนต้องเขียนแสดงความคิดเห็นบทความที่เปนผลงานของเพื่อน
3. ครูตรวจใบความรูเฉพาะบุคคลโดยพิจารณา
นักเรียนมีหลักการแสดงความคิดเห็นอย่างไร รูปแบบการวิเคราะหของนักเรียนเพื่อแยกแยะ
๔. การแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์มีลักษณะอย่างไร แนวทางที่เปนประโยชนตอการเขียนแสดง
๕. การแสดงความคิดเห็นจ�าเปนจะต้องมีข้อเสนอแนะประกอบด้วยหรือไม่ อย่างไร ความคิดเห็นของตนเอง
4. ครูตรวจสอบผลงานการเขียนแสดงความ
คิดเห็นของนักเรียน โดยพิจารณาจาก
การจับประเด็นหรือสาระสําคัญของเรื่องที่เลือก
การเรียบเรียง การใชภาษา การแสดงเหตุผล
ประกอบความคิดเห็นของตนเอง
5. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นจากข่าวหรือบทความที่ก�าหนด
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลแสดงผลการวิเคราะห
แล้วร่วมกันอภิปราย และสรุปข้อคิดเห็น
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนหาประเด็นข่าวเพื่อฝกแสดงความคิดเห็น แล้วน�าเสนอหน้าชั้นเรียน บทความแสดงความคิดเห็นเพื่อหาแนวทาง
เช่น การเขียนแสดงความคิดเห็นจากการสังเกต
■ ข่าวอาชญากรรม วิเคราะหผลงานของผูอื่น
■ ข่าวเศรษฐกิจ 2. ผลงานเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระ
■ ข่าวการศึกษา ของขาว หนังสือ รายการโทรทัศนที่เลือกตาม
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของเพลงที่นักเรียนชื่นชอบ ความสนใจ
๑ เพลง แล้วน�ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในชั้นเรียน
71
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เปนหลักการแสดงความคิดเห็นที่ถูกตอง เพราะการแสดงความคิดเห็นที่ดีจะตองเปนไปในเชิงสรางสรรค กอใหเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทําใหกลุมหรือสังคมดีขึ้น
2. การเขียนแสดงความคิดเห็นที่ดี ผูเขียนควรเขียนเสนอแนะแนวทางแกไขไวเพื่อใหผูเกี่ยวของหรือผูฟงนําไปพิจารณาเพื่อใหไดแนวทางที่ดีที่สุดสําหรับทางออก
ของปญหานั้นๆ
3. ตองอานบทความของเพื่อนใหเขาใจกอนวา เพื่อนกําลังแสดงความคิดเห็นในประเด็นใด อยางไร แลวจึงแสดงความคิดเห็นในประเด็นเดียวกันนั้น โดยปราศจาก
อคติ
4. การแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรคตองกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น การเดินตอไปขางหนา สวนการแสดงความคิดเห็นที่กอใหเกิดความขัดแยง
แบงฝกแบงฝาย เชนนี้ไมเรียกวาการแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค
5. การเขียนแสดงความคิดเห็นจําเปนตองมีขอเสนอแนะประกอบดวยเพื่อใหผูที่เกี่ยวของกับปญหามองเห็นแนวทางในการแกไขที่ชัดเจนขึ้น หรือนําขอเสนอแนะนั้นไป
ปรับปรุงตอยอดจนไดแนวทางแกไขที่ดีที่สุด
คูมือครู 71
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน ความสนใจ Engage
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนหรือใหนักเรียนที่มี
ความสามารถในการอานออกเสียงออกมาอาน
ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด
ภาพนํ้าจิตอาจเห็นไดเดนใส
ตอนที่ ó การพั ฒนาทักษะการฟง
การดู และการพูด
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป
ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง
งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด
เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• จากบทประพันธดงั กลาวแสดงความเชือ่ มโยง
ระหวางการฟง การดู และการพูดอยางไร
( แนวตอบ บทประพั น ธนี้ส ามารถสรุปไดวา
ถามีความรูหรือความคิดกวางไกล ก็ยอมมี
ความสามารถในการใชภาษามากขึ้นไปดวย
ซึง่ การจะทําใหเกิดความรูห รือความคิดทีก่ วาง
ไกลได บุคคลผูนั้นตองเปนผูมีวิจารณญาน
เลือกรับและสั่งสมความรูจากแหลงขอมูลที่มี
ประสิทธิภาพผานทักษะการฟงและการดู
จากนั้นจึงถายทอดเรื่องราวที่มีทั้งสารัตถะ
และวาทศิลปผานทักษะการพูด)
ภาษาเปรียบเทียบกลองสองความคิด ภาพนํ้าจิตอาจเห็นไดเดนใส
ถาเขียนพูดปูดเปอนเลอะเลือนไป ก็นํ้าใจฤๅจะแจมแอรมฤทธิ์
เงาพระปรางควัดอรุณอรุณสอง งามผุดผองกวาเงาแหงเตาอิฐ
ก็คําพูดนั้นเลาเงาความคิด เปรียบเหมือนพิศพักตรชะโงกกะโหลกทึก
(ศึกษิต : พระราชวรวงศเธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 3 การพัฒนาทักษะการฟง การดู และการพูด
ทักษะทางภาษาที่จะตองไดรับการฝกฝน ไดแก ทักษะการฟง ดู ซึ่งเปนทักษะ
การรับสาร สวนทักษะการพูด นั้นเปนทักษะการสงสาร เปาหมายสําคัญของ
ตอนที่ 3 จึงมี 2 เปาหมาย ประการแรก คือ นักเรียนมีความรูเทาทันสื่อ เลือกรับสื่อ
อยางมีประสิทธิภาพ มีวจิ ารณญาณ ประการทีส่ อง มีทกั ษะความสามารถดานการพูด
ถายทอดเนื้อหาสาระตรงวัตถุประสงค มีวาทศิลป และมารยาทการพูด
การจะบรรลุเปาหมายทัง้ 2 ประการ ครูควรออกแบบการเรียนการสอน สรางสรรค
กิจกรรมเพื่อใหนักเรียนไดฝกทักษะหลายๆ ดาน ไปพรอมๆ กัน เชน ฝกฟงและดู
ขาวสารในชีวติ ประจําวัน โดยใชวจิ ารณญาณในการไตรตรองเนือ้ หาสาระ พรอมๆ กับ
การนําเนื้อหาสาระเหลานั้นมาถายทอดใหเพื่อนๆ รวมชั้นเรียนฟง
72 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
กระตุEngage
นความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
ฟงและดูเรื่องตางๆ อยางมีมารยาท
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
หน่วยที่ ñ ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ในความคิดเห็นของนักเรียนกระบวนการ
รับสารดวยการฟงและการดู มีลักษณะการ
การฟงและการดูสื่อ ทํางานอยางไร
ตัวชี้วัด (แนวตอบ เปนกระบวนการทํางานที่สัมพันธ
ท ๓.๑ ม.๑/๖ ก ารฟง การดูสอื่ ต่างๆ เป็นทักษะ กันของระบบประสาทหูและตา)
■ มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด ที่ส�าคัญในชีวิตประจ�าวัน เพราะต้อง • นักเรียนคิดวา “ฟงได” กับ “ฟงเปน”
อาศัยการฟง การดู เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ แตกตางกันอยางไร
รอบตัว โดยใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรอง
ให้รอบคอบ จึงจะช่วยให้การฟงหรือดูนน ั้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
สาระการเรียนรูแกนกลาง
มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและก่ อ ให้ เ กิ ด ประโยชน์ ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะวา การฟงได
■ มารยาทในการฟง การดู และการพูด
สูงสุดในการด�ารงชีวิต นอกจากนี้มารยาท เปนเพียงการทํางานของอวัยวะรับเสียง
ในการฟง การดูสอื่ ต่างๆ ก็นบ ั เป็นวัฒนธรรม แลวแปลความหมาย แตการฟงเปน ผูฟงจะ
อย่างหนึ่งที่ผู้ฟง ผู้ดู ควรยึดถือและปฏิบัติให้ สามารถตีความสารที่ไดรับวาสวนใดเปน
ถูกต้องเหมาะสม ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น ซึ่งนักเรียนจะได
ประโยชนจากการฟงอยางแทจริง ก็ตอเมื่อ
นักเรียนมีทักษะการฟงที่เรียกวา “ฟงเปน”)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การฟงและการดูสื่อ เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะสําคัญของการรับสารดวยการ
ฟงและดู วัตถุประสงค อุปสรรคในการรับสาร แนวทางแกไข รวมถึงแนวทางเพื่อ
พัฒนาตนเองใหมที กั ษะการรับสารทีม่ ปี ระสิทธิภาพ โดยคํานึงถึงมารยาททีเ่ หมาะสม
สําหรับการฟงและดูในสถานการณที่แตกตางกัน
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยใหนกั เรียน
เปนผูสืบคนความรูดวยตนเอง นําความรูมารวมแบงปนภายในชั้นเรียน เมื่อมี
ความรูในเชิงทฤษฎีแลว ครูควรพานักเรียนออกไปฟงการอภิปราย การแสดง
นิทรรศการ หรือชมการแสดงละครนาฏศิลป เพือ่ ฝกปฏิบตั ทิ กั ษะการฟงและดู
ในสถานการณจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยพัฒนาใหนักเรียนเปนผูมีวิจารณญาณ
ในการฟง อีกทั้งยังไดนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับมารยาทในการฟงและดูไป
ใชจริงในแตละสถานการณที่เผชิญ โดยครูอาจทําแบบบันทึกพฤติกรรมขณะพาไป
ทัศนศึกษานอกสถานที่
คูมือครู 73
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจค
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
สํารวจคนหา Explore
แบงนักเรียนออกเปน 6 กลุม ในจํานวนเทาๆ กัน
1
หรือตามความเหมาะสม จากนัน้ ใหแตละกลุม ลงมติ
เลือกหัวหนากลุม และสงตัวแทนออกมาจับสลาก
๑ การสื่อสารจากการฟังและการดู
ประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน ดังตอไปนี้ การฟังและการดู เป็นทักษะการรับสารของมนุษย์ทมี่ กั เกิดร่วมกันเสมอ เช่น การชมภาพยนตร์
หมายเลข 1 การรับสารโดยการฟงและดู ต้องใช้ทักษะทั้งการฟังและดูประกอบกันจึงจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งการใช้ทักษะ
ประกอบกัน ทั้งสองนี้ก็อาจเกิดแยกกัน เช่น การฟังวิทยุ ก็ไม่จ�าเป็นต้องอาศัยทักษะการดู หรือการดูป้ายสัญญาณ
หมายเลข 2 การรับสารโดยการฟงและดู จราจร ก็ไม่ต้องอาศัยทักษะการฟัง เป็นต้น
อยางใดอยางหนึ่ง การรับสารสามารถแบ่งโดยใช้ทักษะการฟังและการดูออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้
หมายเลข 3 วัตถุประสงคในการรับสาร ๑.๑ การรับสารโดยการฟังและการดูประกอบกัน
หมายเลข 4 ลักษณะของผูฟงและดูที่ดี การรับสารโดยการฟังและการดูประกอบกันนี้ เป็นลักษณะการรับสารจากสื่อภาพและเสียง
หมายเลข 5 การพัฒนาทักษะการฟงและดูให
พร้อมกัน ซึ่งสามารถแบ่งการรับสารลักษณะนี้ออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่
มีประสิทธิภาพ
๑) การรับสารที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสาร
หมายเลข 6 มารยาทในการฟงและการดู
และผูร้ บั สารสามารถส่งสารโต้ตอบกันได้ เช่น การพูดจาสนทนา การประชุมอภิปราย การสือ่ สารลักษณะนี้
โดยนักเรียนสามารถสืบคนไดจากแหลงขอมูล
ที่มีความนาเชื่อถือ ซึ่งครูควรสังเกตวิธีการเลือก ต้องตัง้ ใจฟังสารทีผ่ สู้ ง่ สารส่งมา ประกอบกับดูลกั ษณะท่าทางหรือการแสดงออกทางสีหน้าทีผ่ สู้ ง่ สารใช้
แหลงขอมูลและวิธีการคนควาของนักเรียน ผู้รับสารจึงสามารถวิเคราะห์ ใคร่ครวญอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสารได้
ดังนัน้ ผูร้ บั สารต้องใช้วจิ ารณญาณในการตีความ ประเมินค่าสาร และตอบกลับด้วยถ้อยค�า
อธิบายความรู Explain ที่เหมาะสม สุภาพ มีมารยาท และมีกิริยาที่งดงาม โดยค�านึงถึงความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพื่อให้
เกิดความเข้าใจกันท�าให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทนหรือหัวหนา ๒) การรับสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารทางเดียว
กลุม ออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่กลุม เช่น การดูข่าว การฟังเทศน์ การดูภาพยนตร์ การสื่อสารลักษณะนี้ผู้รับสารไม่มีโอกาสโต้ตอบกับ
จับสลากได ตามลําดับ พรอมทั้งระบุแหลงที่มา ผู้ส่งสาร ดังนั้น ผู้รับสารต้องตั้งใจฟังและดูเพื่อติดตามเรื่องราวให้ครบถ้วน และน�ามาพิจารณา
ของขอมูล ประกอบกัน เช่น การดูละครเวที ต้องตั้งใจฟังบทสนทนาและพิจารณากิริยาท่าทางการแสดงของ
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ตัวละคร แสง สี เสียง เพลงที่น�ามาประกอบ เพื่อวิเคราะห์ ตีความ และประเมินค่าสาร จึงจะท�าให้
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2
ได้รับข้อคิด ความรู้ ข้อเท็จจริง หรือความบันเทิงจากสารนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ๑.๒ การรับสารโดยการฟังหรือการดูอย่างใดอย่างหนึง่
ไดอยางอิสระ โดยครูคอยชี้แนะเพิ่มเติม) การรับสารโดยใช้การฟัง หรือการดูอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ เป็นลักษณะของการรับสารจาก
สือ่ ภาพ หรือสือ่ เสียงเพียงอย่างใดอย่างหนึง่ ไม่ได้นา� ทักษะทัง้ สองมาใช้รว่ มกัน สามารถแบ่งการรับสาร
ลักษณะนี้ออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
74
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
กอนการฟงทุกครั้ง นักเรียนจะตองตั้งจุดประสงคในการฟงและดู ขอใด
1 การฟง เปนกระบวนการอยางหนึ่งในการรับสารของมนุษย ซึ่งการรับสาร ตอไปนี้ มีจุดประสงคในการฟงและดูแตกตางจากขออื่น
ปรากฏในหลายลักษณะ เชน ผานการมองดวยสายตา การไดยินเสียง การสูดดม 1. ละคร 2. ภาพยนตร
การสัมผัส เปนตน การฟงเปนทักษะที่สําคัญสําหรับการพัฒนาความรูของมนุษย 3. รําวงพื้นบาน 4. สาธิตการทําขนม
หลักคําสอนในพระพุทธศาสนาไดกลาวถึง “หัวใจนักปราชญ” (สุ จิ ปุ ลิ) ไวดังนี้
สุ คือ สุตะ การฟง จิ คือ จิตตะ การคิด ปุ คือ ปุจฉา การถาม ลิ คือ ลิขิต วิเคราะหคําตอบ การรับสารไมใชเพียงเพือ่ เขาใจสารจากผูส ง สารเทานัน้
การเขียน ดังนั้น สุตะหรือการฟงจึงเปนแนวทางแรกในการเปนผูร ู ไมใชเพียงทักษะ การรับสารบางประเภท บางโอกาสก็มจี ดุ ประสงคเพือ่ ความบันเทิง ความสุข
การรับสาร แตเปนกุญแจสําคัญในการแสวงหาความรู การฟงจึงเปนทักษะที่สําคัญ และความเพลิดเพลิน เกิดอารมณคลอยตามไปกับเนื้อหาสาระตางๆ
ดังนี้ เหลานั้น ซึ่งการรับสารเพื่อความบันเทิงมีประโยชนดานจิตใจเปนสําคัญ
1. การฟงเปนสวนสําคัญของการคิดและการพูด คือความเพลิดเพลิน ชวยคลายความตึงเครียดในชีวิตจากเรื่องตางๆ
2. การฟงชวยเพิ่มพูนความรูและใหความบันเทิง ในขณะเดียวกันยังไดรับขอคิดในการดําเนินชีวิต ชวยยกระดับจิตใจ
3. การฟงเปนกระบวนการเรียนรูอยางหนึ่งของมนุษย ใหพนจากความเศราหมอง การรับสารในลักษณะนี้ ไดแก การฟงเพลง
4. การฟงเปนพฤติกรรมของผูมีมารยาทในการสมาคม การชมภาพยนตร การตูน หรือการแสดงที่มีจุดมุงหมายเพื่อสราง
ความบันเทิง ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
74 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑) การรับสารที่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เป็นการสื่อสารที่ผู้ส่งสาร อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงโดยใชความรู
และผู้รับสารสามารถโต้ตอบกันได้ เช่น การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ผู้รับสารสามารถใช้ทักษะการฟัง ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
เพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงต้องตั้งใจฟังสารประกอบกับการพิจารณาน�้าเสียงของผู้ส่งสาร จึงจะช่วย เพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบื้องตน
ให้การรับสารนั้นมีประสิทธิภาพ หรือการสนทนาทางอินเทอร์เน็ต เราไม่ได้ใช้ทักษะการฟัง ใช้แต่ สําหรับตอบคําถาม
ทักษะการดูเพื่ออ่านข้อความ หรือสัญลักษณ์ที่ผู้ส่งสารส่งมาแล้วพิจารณาตีความก็สามารถเกิด • การรับสารที่มีการโตตอบระหวางผูสงสาร
ความเข้าใจสารได้ อย่างไรก็ตาม การสื่อสารทั้งสองลักษณะนี้ผู้รับสารต้องพิจารณาวิเคราะห์สาร กับผูรับสาร หากใชชองทางการสื่อสารเปน
ที่ได้รับให้ดี และสามารถโต้ตอบกลับไปให้เหมาะสมถูกต้องกับสถานการณ์การสื่อสารนั้นๆ เกณฑ จะเรียกการรับสารในลักษณะ
๒) การรับสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร เช่น การฟังรายการวิทยุ ดังกลาววาอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ
การดูป้ายสัญญาณจราจร การดูสื่อโฆษณาตามถนน การฟังเพลง หรือดูภาพยนตร์แบบออนไลน์จาก (แนวตอบ การสือ่ สารสองทาง เชน การสนทนา
เว็บไซต์ต่างๆ การรับสารเหล่านี้ ผู้รับสารไม่ต้องส่งสารโต้ตอบกลับไป อาศัยเพียงทักษะด้านการฟัง ทั่วไป การสนทนาทางโทรศัพท การประชุม
หรือการดูอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สาร เพื่อท�าความเข้าใจและประเมินค่า เปนตน)
หรือบางครั้งก็เพื่อปฏิบัติตาม เช่น การดูสัญญาณมือของต�ารวจจราจร เป็นต้น • การรับสารที่ไมมีการโตตอบระหวางผูสงสาร
กับผูรับสาร หากใชชองทางการสื่อสารเปน
ด
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... เกณฑจะเรียกการรับสารในลักษณะดังกลาว
ก
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... รำยกำรทีผ ่ ู้ ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ
แก่ผู้ชมที่มีอำยุน้อยกว่ำ ๑๓ ปี เปนตน)
• นักเรียนคิดวาการสื่อสารสองทางกับ
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
รำยกำรส�ำหรับเด็กก่อนวัยเรียน
(๒-๖ ปี) น
๑๘
การสื่อสารทางเดียว มีขอดี ขอเสีย อยางไร
(แนวตอบ ขอดีของการสื่อสารสองทาง
ท คือ เมื่อผูฟงเกิดความสงสัยในประเด็นใด
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม...
รำยกำรทีผ่ ู้ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ
แก่ผู้ชมที่มีอำยุน้อยกว่ำ ๑๘ ปี ประเด็นหนึ่ง ก็สามารถที่จะสอบถามหรือ
โตแยงเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ถูกตอง
ฉ
รำยกำรทั่วไปเหมำะส�ำหรับผู้ชมทุกวัย ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... ตรงกันไดในทันที ในขณะที่การสื่อสาร
น
ค�ำแนะน�ำส�ำหรับผู้ชม... ทางเดียวไมสามารถกระทําเชนนั้นได)
• การจะเลือกใชวิธีการสื่อสารแบบใดนักเรียน
รำยกำรเฉพำะ
ไม่เหมำะแก่เด็กและเยำวชน
คิดวาขึ้นอยูกับสิ่งใดเปนสําคัญ
รำยกำรทีผ่ ู้ใหญ่ควรให้คำ� แนะน�ำ (แนวตอบ จุดมุงหมายในการสื่อสาร)
โทรทัศน์เป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อผู้ชมอย่างมาก ควรใช้วิจารณญาณในการเลือกชมรายการต่างๆ ให้เหมาะกับวัย
75
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
การรับสารดวยการฟงและดูขอใดแตกตางจากขออื่น
ครูควรสรางองคความรูใหแกนักเรียนเกี่ยวกับกระบวนการสื่อสารของมนุษย
1. การฟงอภิปราย 2. การฟงเทศน
ที่ใชติดตอสื่อสารโดยทั่วไปในชีวิตประจําวัน ซึ่งแบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก
3. การชมภาพยนตร 4. การฟงรายการวิทยุ
การสื่อสารทางเดียว (One-way communication process) เปนการสื่อสารที่
วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกทัง้ 4 ขอ ปรากฏรูปแบบการรับสาร ผูสงสารถายทอดเนื้อหาสาระผานสัญลักษณซึ่งในที่นี้คือ ภาษา ทั้งวัจนภาษาและ
2 ประเภท คือ การรับสารทีผ่ รู บั สารจะตองใชทกั ษะการฟงและดูประกอบกัน อวัจนภาษา ผานชองทางการสื่อสารไปยังผูรับสารในสถานการณตางๆ โดยที่
ซึง่ ในตัวเลือก ไดแก การฟงอภิปราย การฟงเทศน และการชมภาพยนตร ผูรับสารไมมีการตอบกลับ (Feed back) เชน การบรรยาย การกลาวสุนทรพจน
สวนอีกรูปแบบหนึ่งคือ การรับสารที่ผูรับสารจะตองใชทักษะการฟง สวนการสื่อสารสองทาง (Two-way communication process) คลายกับ
หรือการดูอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งในตัวเลือก ไดแก การฟงรายการวิทยุ กระบวนการสื่อสารทางเดียว แตแตกตางกันตรงที่ผูรับสารมีการโตตอบกลับมา
เนื่องจากเปนการรับสารผานสื่อที่เปนเสียง จึงใชทักษะการฟงเพียง ซึ่งทั้งสองฝายตางทําหนาที่เปนทั้งผูสงสารและผูรับสาร เชน การสนทนากับเพื่อน
ประการเดียว และการฟงรายการวิทยุยงั จัดเปนการรับสารทีไ่ มมกี ารโตตอบ การโทรศัพทไปขอเพลงจากนักจัดรายการวิทยุ เปนตน
ระหวางผูสงสารกับผูรับสาร ยกเวนในบางกรณี แตโดยสวนใหญจะไมมี
การโตตอบ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คูมือครู 75
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง ๒ จุดมุ่งหมายของการรับสารด้วยทักษะการฟัง การดู
ระบุแหลงทีม่ าของขอมูล
โดยทั่ ว ไปการรั บ สารด้ ว ยทั ก ษะการฟั ง การดู นั้ น ผู ้ รั บ สารควรจะต้ อ งตั้ ง จุ ด ประสงค์ ไว้
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ซึ่งจุดประสงค์เหล่านี้มีอยู่ ๓ ลักษณะ ดังนี้
ความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใชความรู
๑) ฟังหรือดูเพื่อแสวงหาความรู้และความรอบรู้ การรับสารลักษณะนี้มุ่งหมายเพื่อให้
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
เกิดความงอกงามทางสติปัญญา เช่น การฟังค�าอธิบาย การฟังบรรยาย การอ่านบทความทางวิชาการ
เพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ
ผู้รับสารต้องรู้จักจับใจความและประเด็นส�าคัญ โดยอาศัยหลักการไตร่ตรองใคร่ครวญ ตีความ และ
ตอบคําถาม
การพิจารณาหาเหตุผล
• พฤติกรรมใดที่สะทอนใหเห็นวาการรับสาร
๒) ฟังหรือดูเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินและความซาบซึ้ง การรับสารลักษณะนี้มุ่งเน้น
นั้นๆ เกิดความผิดพลาด
ความสนุกสนาน บันเทิง หรือเพื่อสนองความต้องการทางด้านอารมณ์ เป็นการพัฒนาจินตนาการและ
(แนวตอบ ผูรับสารจะไมสามารถเขาใจหรือ
ความคิดสร้างสรรค์ของบุคคล เช่น การชมภาพยนตร์ การชมนิทรรศการ การดูการแสดงละครเวที
จับสาระสําคัญของสารที่ผูสงสารถายทอดได
หรือการละเล่นต่างๆ เป็นต้น
หรือเกิดความเขาใจคลาดเคลื่อน)
๓) ฟั ง หรื อ ดู เ พื่ อ ให้ ไ ด้ ข ้ อ คิ ด การรับสารลักษณะนี้มุ่งหมายเพื่อหาข้อคิดเป็นคติชีวิต
• การรับสารนอกเหนือจากจะตองเขาใจสารแลว
ของบุคคล จึงต้องอาศัยการพิจารณาด้วยเหตุผล ตัดสินว่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด และมีข้อคิดใด
นักเรียนคิดวาผูรับสารยังจะตองมีคุณสมบัติ
ที่มีประโยชน์สามารถน�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิตของตนได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมบ้าง เช่น การฟัง
ใดอีกบาง
บรรยายเรื่อง “ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข” เป็นต้น
(แนวตอบ ตองแยกแยะใจความสําคัญของ
สิ่งที่ฟง และดูกับขอมูลที่เปนรายละเอียด
ปลีกยอยออกจากกันได)
๓ ลักษณะของผู้ฟัง ผู้ดูที่ดี
• การตั้งจุดประสงคสําหรับการฟงและดู ผู้รับสารด้วยการฟัง การดูที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
เปนประโยชนตอกระบวนการรับสารอยางไร ๑) มีจุดมุ่งหมายในการฟัง การดู ผู้รับสารต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการฟัง การดู จึงจะ
(แนวตอบ จุดประสงคสําหรับการฟงและดูเปน ท�า ให้การรับสารนั้นมีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อผู้รับสารมีจุดมุ่งหมายในการรั บ สารแล้ ว ย่ อ มมี
เสมือนกรอบที่ชวยกําหนดขอบเขตในการ ความสามารถจับใจความส�าคัญที่ต้องการได้ดีกว่าการรับสารโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย เพราะสุดท้าย
เลือกเรื่องที่ฟงและดู เลือกรับสารไดตรงกับ อาจได้สารที่ไม่สมบูรณ์
วัตถุประสงคที่ตั้งไว ไมเสียเวลากับการรับสาร ๒) มีความพร้อมในการฟัง การดู การรับสารด้วยการฟัง การดูจะมีประสิทธิภาพได้หรือไม่นนั้
ที่ไมกอใหเกิดประโยชน) ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้รับสารทั้งความพร้อมทางกาย เช่น มีการรับรู้ทางภาพและเสียงดี สุขภาพ
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา ร่างกายดี ไม่ปวดศีรษะ เป็นไข้ และความพร้อมทางจิตใจ คือ มีความตั้งใจ อารมณ์ไม่เครียด ไม่มี
แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 ความหวาดกลั ว หรื อ วิ ต กกั ง วล นอกจากนั้ น ความพร้ อ มของบรรยากาศหรื อ สภาพแวดล้ อ มที่ ดี
มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด ก็มีส่วนส�าคัญ เพราะสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีเสียงหรือกลิ่นรบกวน อากาศถ่ายเทได้ดี ย่อมส่งเสริม
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ให้การรับสารมีประสิทธิภาพ
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
76
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
การฟงและดูรายการใดตองใชวิจารณญาณในการวิเคราะหขอเท็จจริง
ครูควรอธิบายใหนกั เรียนเขาใจวา ทักษะหรือความสามารถในการฟงเปนทักษะ
ขอคิดเห็นมากที่สุด
เฉพาะบุคคล แตถงึ อยางไรก็ตามยังมีแนวทางสําหรับการพัฒนาประสิทธิภาพในการ
1. เพลงยอดนิยม
ฟงของบุคคลใหไดยดึ ถือ ฝกฝนปฏิบตั ิ โดยเริม่ จากการกําหนดจุดประสงคในการฟง
2. หนูนอยแสนเกง
ใหชดั เจน เพือ่ เตรียมความพรอม มีสมาธิขณะฟงเพือ่ ใหการรับสารเกิดประสิทธิภาพ
3. รายการเที่ยวทั่วไทย
วิเคราะหผสู ง สาร จับใจความสําคัญของเรือ่ งทีฟ่ ง และรวมถึงมีมารยาทในการฟง
4. จับประเด็นประเทศไทย
เพือ่ ใหการฟงในแตละครัง้ ราบรืน่ และประสบผลสําเร็จ นอกจากนีค้ รูควรชีแ้ จงวา
ในการรับสารนอกเหนือจากการทําความเขาใจเนือ้ หาสาระทีไ่ ดฟง และดูแลว ผูร บั สาร วิเคราะหคําตอบ คําตอบในขอ 1., 2. และ 3. เปนรายการทีใ่ หความบันเทิง
ยังจะตองวิเคราะหสารทีไ่ ดรบั มาในดานตางๆ ดังนี้ ความถูกตองนาเชือ่ ถือ ความเปน และความเพลิดเพลิน แตรายการจับประเด็นประเทศไทย เปนรายการที่จะ
เหตุเปนผล ขอเท็จจริง ขอคิดเห็น วัตถุประสงคของผูส ง สาร หากสามารถวิเคราะห ตองมีการแสดงความรู ความคิดเห็นของบุคคลผูร ว มรายการและรวมถึง
สารทีไ่ ดรบั มาครบทุกประเด็น ก็จะทําใหการรับสารในแตละครัง้ เกิดประสิทธิภาพ ผูด าํ เนินรายการในการตัง้ คําถามชี้นําประเด็นในสถานการณใดสถานการณ
สูงสุด ผูร บั สารสามารถนําความรู ความคิดทีไ่ ดรบั จากการฟงและดูไปใชแกปญ หา หนึ่งที่กําลังเกิดขึ้นในสังคมไทย ดังนัน้ การฟงและดูรายการทีม่ เี นือ้ หาสาระ
ในชีวติ ประจําวันไดอยางเหมาะสม เชนนี้ ผูฟงและดูตองใชวิจารณญาณแยกแยะขอเท็จจริง ขอคิดเห็น
กอนตัดสินใจเชือ่ ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
76 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๓) มีสมาธิ การมีสมาธิในการรับสารทัง้ การฟังและการดูเป็นสิง่ จ�าเป็น เพราะจะท�าให้การสือ่ สาร ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง
มีประสิทธิภาพ ในขณะที่ฟังหรือดูไม่ควรคิดเรื่องอื่น เนื่องจากจะท�าให้ผู้รับสารเสียสมาธิ นอกจากนี ้ ระบุแหลงที่มาของขอมูล
ผู้รับสารต้องฝึกฝนสมาธิให้กับตนเองอย่างสม�่าเสมอ และพยายามให้ความสนใจในสิ่งที่ฟังหรือดู 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๔) มีความสนใจในสาร ขณะรับสารจะต้องให้ความสนใจในสาร ความสนใจจะเกิดขึ้นได้ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใช
เมื่อเรื่องที่ฟังหรือดูนั้นสอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้รับสาร ฉะนั้นผู้รับสารจะต้องอ่านมาก ฟังมาก ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
เห็นมาก เพือ่ ให้มปี ระสบการณ์กว้างขวาง ซึง่ จะช่วยให้มคี วามสนใจในสารต่างๆ ได้ดยี งิ่ ขึน้ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล
๕) มีความตั้งใจฟัง ตั้งใจดู การฟังหรือดูที่เรียกว่า “ตั้งใจ” ผู้รับสารต้องมีความเอาใจใส่ เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
จดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟัง มีความอดทนฟังและดูตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะการรับสารเพียงบางส่วนจะท�าให้ • ลักษณะของผูฟงและดูที่ดีในความคิดเห็น
ได้สารไม่สมบูรณ์และการสื่อสารจะไม่มีประสิทธิภาพ ของนักเรียนตองมีคุณสมบัติอยางไร
๖) มีอาการส�ารวมและมีมารยาทอันดี ให้เกียรติผู้ส่งสาร ในบางสถานการณ์ผู้รับสาร (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ต้องพิจารณาถึงมารยาทในการฟัง การดู และให้เกียรติผู้ส่งสาร เช่น ในการฟังบรรยาย ไม่ควรเข้า ไดอยางหลากหลายและอิสระ โดยคําตอบ
ห้องบรรยายสายกว่าก�าหนด ขณะทีผ่ บู้ รรยายก�าลังพูด ก็ไม่ควรพูดจาหยอกล้อกัน หรือลุกเดินเข้าออก ควรจะครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
โดยไม่จ�าเป็น เป็นต้น มีจดุ ประสงคในการฟง มีสมาธิ มีความพรอม
1
๗) มีความสามารถในการจับใจความ การรับสารด้วยการฟัง การดูให้มีประสิทธิภาพ ทั้งกายและจิตใจ มีมารยาท ไมมีอคติตอ
ผูร้ บั สารต้องสามารถจับใจความและจับประเด็นส�าคัญของเรื่อง แล้วสรุปเป็นความคิดของตนเองได้ เรื่องที่ฟงและดู รวมถึงผูสงสาร จดบันทึก
ผู ้ รั บ สารต้ อ งสามารถวิ เ คราะห์ เจตนาของผู ้ ส ่ ง สารว่ า มี จุ ด ประสงค์ แ ละแนวคิ ด ใดในการส่ ง สาร ขณะฟงเพื่อนํากลับไปทบทวนในภายหลัง
การจับใจความต้องได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกับการมีสมาธิ บุคคลที่มีทักษะการจับใจความได้ดี มีปญญาและวิจารณญาณไตรตรองสารที่ได
จับประเด็นส�าคัญได้ร2วดเร็ว ย่อมมีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็ว
ฟงและดูกอนยอมรับและนําไปปรับใชใน
๘) ไม่มีอคติต่อสารหรือผู้ส่งสาร การรับสารด้วยการฟัง การดู ผู้รับสารต้องมีจิตใจ
ชีวิตประจําวันของตนเอง)
• นักเรียนคิดวาการมีอคติสงผลอยางไร
เป็นกลาง ไม่มีอคติล�าเอียงต่อสารหรือผู้ส่งสาร เพราะอคติความล�าเอียงเหล่านี้จะท�าให้รับสาร
ตอการฟงและดู
โดยปราศจากเหตุผล การสรุปผลอาจเข้าข้างผู้ส่งสารหรือปฏิเสธการรับรู้สารได้ การรับข้อมูล
(แนวตอบ หากผูรับสารมีอคติตอการฟงและดู
อาจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ดังนั้น ผู้รับสารต้องรับสารด้วยความเป็นธรรม จึงจะท�าให้
จะทําใหผูรับสารไมสามารถฟงและดูดวยใจ
การพิจารณาความคิดเห็นเป็นไปอย่างเที่ยงตรงและเป็นประโยชน์แก่ผู้รับสาร
ที่เปนกลางได รับรูสาระสําคัญของการฟง
๙) ตริตรองด้วยปัญญา การฟัง การดูสื่อต่างๆ สั่งสมให้เกิดความรอบรู้ จึงต้องรู้จักเลือก
และดูครั้งนั้นๆ ไดไมเต็มที่ ซึ่งเปนการ
สารทีเ่ ป็นประโยชน์ เมือ่ รับสารแล้วต้องคิดพิจารณาด้วยตนเอง แยกแยะให้เห็นเหตุและผล คุณและโทษ
เสียเวลาโดยเปลาประโยชน)
ข้อดีและข้อเสีย ต้องตริตรองให้เห็นชัด จึงจะตกลงปลงใจที่จะเชื่อถือสารนั้นด้วยเหตุผลและปัญญา 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๑๐) จดบันทึกสิ่งที่ฟังที่ดูมาแล้วน�าไปใช้ประโยชน์ การจดบันทึกเป็นหัวใจส�าคัญข้อหนึ่ง แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 4
ใน “หัวใจนักปราชญ์” ผู้ที่ฝึกนิสัยจดบันทึกการฟัง การดูอยู่เสมอย่อมจะจดจ�าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
พบเห็นมาและน�าไปใช้ประโยชน์ในการด�าเนินชีวิตประจ�าวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
77
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
บุคคลใดตอไปนี้มีลักษณะของผูฟงและดูที่ดี
1 มีความสามารถ นอกจากความสามารถในการจับใจความสําคัญแลว ผูที่จะ
1. มาลีจะตั้งจุดมุงหมายกอนการฟงและดูทุกครั้ง
ประสบความสําเร็จในการฟงและดูสื่อ จะตองเปนผูมีความสามารถทางไวยากรณ
2. สมพิศไมชอบผูดําเนินรายการทานนี้จึงไมรับชมรายการ
ของภาษาเพื่อใหสามารถรับรูความหมายไดตรงตามเจตนาของผูสงสาร มีความ
3. สมปองฟงสมชายซึ่งเปนเพื่อนสนิทกลาวหาสมศรี แลวเชื่อทันที
สามารถทางภาษาสังคมที่ปรากฏใช เชน ภาษาถิ่น ภาษาสแลง ภาษาเฉพาะกลุม
4. สมพงศไมไดจดบันทึกการฟงบรรยายของวิทยากรเพราะคิดวาตนเอง
มีความสามารถในการตีความเนื้อหาสาระ และประการสุดทายคือ มีความสามารถ
มีความจําที่ดี
ในการเชื่อมโยงสิ่งที่ไดฟงและดูกับความรูพื้นฐานหรือประสบการณของตนเอง
วิเคราะหคําตอบ การฟงและดูสื่อในชีวิตประจําวันใหเกิดประสิทธิภาพ 2 อคติ อคติของผูฟงที่เปนอุปสรรคในการฟง สามารถพิจารณาได 4 กรณี ดังนี้
สูงสุด ปจจัยหนึ่งขึ้นอยูกับผูฟงและดู ซึ่งการฟงและดูที่ดี ผูฟงและดู กรณีที่ 1 ผูฟงมีอคติตอผูพูด ยอมสงผลใหผูฟงไมตั้งใจฟง มีความคิดเห็นขัดแยง
ควรตัง้ จุดมุง หมายทุกครัง้ เพราะเมือ่ มีจดุ มุง หมายยอมสามารถจับใจความ กรณีที่ 2 ผูฟ ง มีอคติตอ สารหรือเนือ้ หาสาระ ยอมสงผลใหผฟู ง ไมสนใจและไมใสใจฟง
สําคัญได การมีอคติตอผูสงสาร การเชื่อโดยปราศจากการใชวิจารณญาณ กรณีที่ 3 ผูฟ ง มีอคติตอ สือ่ เชน ผูฟ ง ไมชอบฟงรายการวิทยุ จึงทําใหเกิดการเลือกรับ
ไตรตรอง และการฟงโดยไมมีการจดบันทึกสาระสําคัญของสิ่งที่ไดฟงไดดู สือ่ ในการฟง
เหลานี้ลวนไมใชลักษณะของผูฟงและดูที่ดี ดังนั้นจึงตอบขอ 1. กรณีที่ 4 ผูฟ ง มีอคติตอ ตนเอง เชน ไมเชือ่ มัน่ ในตนเอง ไมมคี วามภาคภูมใิ จในตนเอง
ดูถูกตนเองวาไมสามารถรับฟงสารเรื่องนั้นๆ ได
คูมือครู 77
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้ง ๔ มารยาทในการฟัง การดูสื่อต่างๆ
ระบุแหลงที่มาของขอมูล
มารยาท เป็นสิ่งส�าคัญในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพราะปกติมนุษย์ไม่ได้อยู่ตามล�าพังคนเดียว
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวง โดยใชความรู ในโลก การอยู่ร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่บุคคลในครอบครัว ในหมู่บ้าน ในโรงเรียน ในสังคม ต้องมีการติดต่อ
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ สื่อสารสัมพันธ์กับผู้อื่นอยู่เสมอ มารยาทการฟัง การดูจึงจัดเป็นมารยาททางสังคม ถ้าขาดมารยาท
เพื่อนๆ กลุมที่ 5 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ เหล่านี้ไปจะท�าให้กลายเป็นบุคคลเห็นแก่ตัว ไม่มีความสุภาพ เช่น การเปิดวิทยุเสียงดัง ท�าให้เกิด
ตอบคําถาม ความร�าคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง เป็นต้น
• ความรูเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการฟง บุคคลผู้มีมารยาทในการฟัง การดู ถือเป็นผู้มีวัฒนธรรมดีงาม ย่อมได้รับการยกย่องและ
และดูมีประโยชนอยางไร ยอมรับจากบุคคลอื่น และยังเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ท�าให้การติดต่อสื่อสารบรรลุผลได้โดยง่าย
(แนวตอบ จะทําใหมีแนวทางสําหรับการฟง มารยาทการฟัง การดูจึงนับเป็นคุณธรรมประการหนึ่ง ทั้งยังเป็นวัฒนธรรมที่จะต้องปลูกฝัง มารยาท
และดูในชีวติ ประจําวัน ทําใหการฟงและดู การฟัง การดูที่ดี มีดังนี้
ในแตละครั้งเกิดประโยชนสูงสุด) ๑) แสดงความตั้งใจและมีความกระตือรือร้นในการฟัง การดู ผู้รับสารควรแสดงความ
• นักเรียนมีแนวทางสําหรับการพัฒนาทักษะ ตั้งใจในการฟัง การดู ด้วยการมองผู้ส่งสารด้วยความสนใจตั้งใจอย่างจริงจัง การมองดูควรดูอย่าง
การฟงและดูอยางไร สงบไม่ใช่ดูอย่างยิ้มเยาะหรือดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น อาการของการมองดู
1 ผู้พูดจึงต้องแสดงความสนใจ
(แนวตอบ มีแนวทางปฏิบัติ 3 ประการ อย่างแท้จริง และคิดตามขณะที่ฟังหรือดู รวมทั้งจดบันทึกไว้ เมื่อเห็นว่าสารนั้นมีประโยชน์ควรแก่
ประการทีห่ นึง่ ตัง้ ใจฟง และดูดว ยความอดทน การจดจ�า ไม่ควรวาดภาพล้อเลียน วาดรูปเล่น หรือจดบันทึกสิ่งอื่นๆ
เอาใจใส ในการฟงเรื่องราวตางๆ เปนเวลา ๒) มีความส�ารวม คือ แสดงอาการสงบในขณะที่ฟัง หรือดู ผู้รับสารควรมีความสงบจดจ่อ
นาน อาจทําใหเกิดความอึดอัด เหนื่อยลา กับการฟัง การดู ไม่ทา� กิรยิ าลุกลนหันไปหันมาไม่อยูน่ งิ่ โดยเฉพาะในการเข้าร่วมประชุม เพราะจะท�าให้
ทําใหเสียสมาธิ ผูฟงที่ดีจะตองอดทนตอ ผู้อื่นร�าคาญ ต้องแสดงความสนใจขณะที่ผู้พูดก�าลังพูดอยู่ ถ้ามีข้อสงสัยควรรอให้ผู้พูดเปิดโอกาส
ความรูสึกเหลานั้น ประการที่สอง พิจารณา ให้ถามได้
ประโยชนจากการฟงและดูใหมากที่สุด และ
๓) มีมารยาทในการฟัง การดูในที่ชุมนุมชน ผู้รับสารควรมีมารยาทในการปฏิบัติตน ดังนี้
ประการที่สาม พยายามจับใจความสําคัญ
๑. ถ้าเป็นการประชุม ควรไปให้ตรงเวลา หรือก่อนประชุมเล็กน้อย ถ้ามีเอกสารประกอบ
ของเรื่องที่ฟงและดูใหได แลวนํามาสรุป
การประชุมจะต้องอ่านมาล่วงหน้า
จัดระเบียบความคิดวาผูสงสารมีจุดประสงค
อยางไร และมีเหตุผลอะไรมาสนับสนุน ๒. อยู่ในอาการสงบไม่พูดคุยกัน หรือท�ากิจธุระส่วนตัว เพราะอาจก่อให้เกิดความร�าคาญ
แนวคิดนั้น) แก่ผู้อื่น
3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลงขอมูล ๓. ไม่ควรน�าเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงเข้าไปด้วย เพราะอาจท�าเสียงดัง หรือลุกขึ้นเดินวิ่งเล่น
ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 5 มีความนาเชือ่ ถือหรือไม ท�ากิริยาอาการรบกวนผู้อื่น
เพราะเหตุใด ๔. ไม่ลุกเดินเข้าออกโดยไม่จ�าเป็น ถ้าจะต้องลุกขึ้นเพื่อออกก่อนเวลา ควรเลือกนั่งใกล้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น ประตูทางออก
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
78
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
การปฏิบตั กิ จิ กรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายกอนเก็บใบความรูเ ฉพาะบุคคล นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับอุปสรรคที่ทําใหการฟงในแตละครั้งไมประสบ
ของนักเรียน ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน นําเสนอผลการศึกษาเพื่อ ผลสําเร็จ หรือไมไดประสิทธิภาพมากเทาที่ควร พรอมทั้งเสนอแนะ
แบงปนขอมูล จากนั้นใหนักเรียนบริหารจัดการความรูรวมกันในลักษณะของปาย แนวทางการกําจัดอุปสรรค นําเสนอเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
นิเทศประจําชั้นเรียนในหัวขอ “ฟงและดู อยางไรใหเกิดประโยชนในชีวิตประจําวัน”
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
1 จดบันทึกไว มนุษยใชทักษะการฟงประมาณรอยละ 40 แตมักจะจดจําเนื้อหา นักเรียนศึกษาแนวทางการฟงและดูสารแตละประเภท ไดแก การฟง
สาระของเรื่องที่ตนเองฟงไดเพียงครึ่งหนึ่งเทานั้น เปนเพราะกระบวนการทํางานของ และดูสารประเภทใหความรู การฟงและดูสารประเภทใหความบันเทิง
สมองของมนุษยมีกระบวนการในการคัดเลือกขอมูลขาวสารตางๆ โดยจะเลือก นําเสนอเปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ตีความตามทัศนคติ หรือจดจําเฉพาะเนือ้ หาทีส่ นใจ ซึง่ เรือ่ งราวทีไ่ มไดใหความสําคัญ
อาจเปนประโยชนในอนาคต ดังนั้น ผูฟงและดูจึงควรรูจักจดบันทึกสาระสําคัญ
ของเรื่องไว โดยใชหลักการยอความเปนเครื่องมือในการบันทึก
78 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบExplain
ายความรู ขยายความเข
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู Explain
นักเรียนกลุมที่ 6 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๕. ไม่น�าอาหาร เครื่องดื่ม หรือของขบเคี้ยวเข้าไปรับประทาน เพราะจะไปรบกวนผู้อื่น ความรูในประเด็นที่กลุมจับสลากได พรอมทั้งระบุ
และอาจท�าให้สถานที่สกปรก แหลงที่มาของขอมูล
๖. ไม่แสดงอาการไม่เหมาะสมต่อเพื่อนต่างเพศในสถานที่ประชุม หรือในการชมมหรสพ
เพราะผิดกาลเทศะและแสดงถึงการขาดวัฒนธรรมอันดีงาม ขยายความเขาใจ Expand
๗. ควรปรบมื อ เป็ น การให้ เ กี ย รติ แ ก่ ผู ้ พู ด เมื่ อ มี ก ารแนะน� า ผู ้ พู ด และเมื่ อ จบการพู ด
1. ในชีวิตประจําวันนักเรียนจะตองอยูใน
รวมทั้งปรบมือให้แก่สถานที่เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง อันเป็นมารยาทที่ดีงาม
สถานการณการฟงและดูทแี่ ตกตางกัน เชน
๘. การดูมหรสพไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ หรือการฟังดนตรี เมื่อมีเพลงสรรเสริญ
การฟงบรรยายของครู การอภิปราย การสัมมนา
พระบารมี ควรยืนตรงเพื่อแสดงความเคารพจนกว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีจะจบลง ไม่ควรลุกเดิน
การฟงและดูคอนเสิรต มหรสพตางๆ จาก
ขณะเพลงสรรเสริญพระบารมียังบรรเลงอยู่ หรือพูดคุยกันระหว่างที่เพลงสรรเสริญพระบารมียังไม่จบ ความหลากหลายของสถานการณการฟง
และดูใหนักเรียนอภิปรายรวมกันในประเด็น
การฟัง การดูเป็นทักษะการรับสารที่ใช้สมÓ่ เสมอในชีวิตประจÓวัน ผู้รับสารควร “มารยาทในการฟงและดูสาํ หรับสถานการณ
มีลักษณะของผู้ฟังผู้ดูที่ดี รู้จุดมุ่งหมายของการรับสารด้วยทักษะการฟัง การดู ตลอดจน ที่แตกตางกัน” ใหเวลา 20 นาที
มีมารยาทในการฟัง การดูสื่อ เพราะจะทÓให้ผู้รับสารสามารถสรุปความ ซึ่งรวมไปถึง 2. นักเรียนสรุปผลการอภิปรายเปนใบความรู
จับประเด็นสÓคัญจากสือ่ ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ทังé ยังส่งเสริมให้การฟัง การดู เฉพาะบุคคล สงครู โดยยกตัวอยางสถานการณ
มีประสิทธิภาพและเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีทักษะการฟัง การดูที่ดี ประกอบและเขียนแสดงมารยาทที่ควรปฏิบัติ
ในสถานการณนั้นๆ ใหชัดเจน
79
บูรณาการเชื่อมสาระ
การฟงและดูบูรณาการไดกับเรื่องหลักการขับรองและบรรเลงเพลงสากล เกร็ดแนะครู
ในตัวชี้วัดเกี่ยวกับการนําเสนอตัวอยางเพลงที่ตนเองชื่นชอบ อภิปราย
ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับแนวทางการฟงและดูสารประเภทใหความรู
ลักษณะเดนทีท่ าํ ใหบทเพลงนาชืน่ ชม ในกลุม สาระการเรียนรูศ ลิ ปะ วิชาดนตรี-
และสารประเภทใหความบันเทิงแกนักเรียน ในรูปแบบของตารางเปรียบเทียบ ดังนี้
นาฏศิลป กลาวคือ เมื่อนักเรียนมีความรูเ กีย่ วกับแนวทางการฟงและดูสาร
ทีใ่ หความรู และสารทีใ่ หความบันเทิง นักเรียนยอมสามารถอภิปรายเบือ้ งตน สารประเภทใหความรู สารประเภทใหความบันเทิง
ไดวา บทเพลงนัน้ ๆ มีลกั ษณะเนื้อหาอยางไร เปนเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
วิเคราะหองคประกอบของบทเพลง ไมวา จะเปน เนือ้ รอง ทํานอง ดนตรี • พิจารณาแหลงขอมูล • พิจารณาสาระสําคัญ
นํา้ เสียงของนักรอง สามารถตีความนัยสําคัญทีซ่ อ นไวในบทเพลงและรวมถึง • จับใจความสําคัญของเรื่อง • วิเคราะหองคประกอบของสาร เชน
ตัดสินประเมินคาโดยแสดงเหตุผลที่ชัดเจนประกอบ การปฏิบัติกิจกรรม • พิจารณารายละเอียดที่อาจเปน เพลง ควรวิเคราะห ชื่อเพลง ทํานอง
ครูควรใหนักเรียนคัดสรรบทเพลงที่ตนเองชื่นชอบ พรอมอธิบายลักษณะเดน ประโยชน เนื้อรอง ดนตรี นํ้าเสียงนักรอง
ที่ทําใหบทเพลงนั้นนาชื่นชม โดยใชแนวทางการฟงและดูสารประเภทให • วิเคราะหขอเท็จจริงและขอคิดเห็น เปนตน
ความบันเทิงเปนกรอบสําหรับการวิเคราะห นําเสนอบทวิเคราะหในรูปแบบ • พิจารณาความนาเชื่อถือ • ตีความนัยสําคัญ
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู • วิเคราะหกลวิธีการนําเสนอ • ตัดสินประเมินคา
• วิเคราะหการใชภาษา
คูมือครู 79
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูพิจารณาใบความรูเฉพาะบุคคลของนักเรียน
สรุปผลการอภิปรายในประเด็น “มารยาทใน
การฟงและดูสาํ หรับสถานการณทแี่ ตกตางกัน”
โดยพิจารณาความสมเหตุสมผลของสถานการณ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ทีน่ กั เรียนยกตัวอยาง ความถูกตองของพฤติกรรม
๑. การสื่อสารที่ไม่มีการโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารในชีวิตประจ�าวันมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
ที่ควรปฏิบัติในสถานการณการฟงและดูนั้นๆ
๒. หากนักเรียนต้องการฟังหรือดูเพื่อแสวงหาความรู้ ควรเลือกสื่อประเภทใด
และรวมถึงการเขียนสะกดคํา การเวนวรรคตอน ๓. หากนักเรียนฟังการบรรยายในหัวข้อ “เรียนอย่างไร ให้มีความสุข”
ลายมือ ความสะอาดเรียบรอย มารยาท นักเรียนมีจุดมุ่งหมายในการฟังอย่างไร
ในการเขียน ๔. เหตุใดก่อนการชมภาพยนตร์ทุกครั้ง จึงมีการเปดเพลงสรรเสริญพระบารมี
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู ๕. นักเรียนมีหลักในการเลือกดูสื่อโทรทัศน์อย่างไร จงอธิบายพอสังเขป
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลสรุปผลการอภิปราย
2. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
■ สื่อที่ให้ข้อคิด
■ ไม่ดูตาม้า ตาเรือ
■ พูดมากยากนาน พูดน้อยพลอยร�าคาญ
80
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การสื่อสารที่ไมมีการโตตอบระหวางผูสงสารและผูรับสาร หรือการสื่อสารทางเดียว เชน การฟงเทศน หรือบทบรรยายธรรมะ หากผูฟงฟงอยางตั้งใจ มีสมาธิกับสิ่งที่ฟง
คิดทบทวนดวยตนเองก็จะทําใหเกิดภาวะจิตใจที่สงบ แจมใส
2. การฟงและดูเพื่อแสวงหาความรูควรเลือกฟงและดูการบรรยายทางวิชาการ สัมมนาทางวิชาการ เปนตน
3. จุดมุงหมายของการฟงในหัวขอ “เรียนอยางไร ใหมีความสุข” คือ การฟงเพื่อจับสาระสําคัญ นําแนวคิดที่เปนประโยชนมาปรับใชใหเขากับชีวิตประจําวันของตนเอง
4. การเปดบทเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร เพื่อใหบุคคลที่เขาไปรับชมไดมีโอกาสรวมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองคอยางพรอมเพรียงกัน ไดรับรูถึง
พระราชกรณียกิจผานภาพและเสียง เปนการถวายความเคารพแดพระองคประการหนึ่ง
5. หลักในการเลือกดูสื่อโทรทัศน โดยสวนใหญแลวจะเปนไปเพื่อความบันเทิง ดังนั้นการเลือกดูจึงเลือกดูรายการที่ใหความเพลิดเพลิน และไดรับสาระความรู
ในขณะเดียวกัน
80 คูมือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
1. พูดจับใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟงและดู
2. พูดเลาเรื่อง และแสดงความคิดเห็น
เชิงสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู
3. สามารถพูดรายงานในเรื่องหรือประเด็นที่เลือก
โดยมีแหลงคนควาที่ตองใชทักษะการฟง
การดู และการสนทนา
4. มีมารยาทในการฟง การดู และการสนทนา
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย รับผิดชอบ
ò
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมัน่ ในการทํางาน
หน่วยที่
การฟง การดู และการพูดในชีวิตประจําวัน กระตุน้ ความสนใจ Engage
ตัวชี้วัด
ท ๓.๑ ม.๑/๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖
ก ารฟัง การดู และการพูด เป็น
ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
■ พูดสรุปใจความสําคัญของเรื่องที่ฟงและดู
ทักษะที่ใช้ควบคู่กันในชีวิตประจ�าวัน
■ เลาเรื่องยอจากเรื่องที่ฟงและดู เพื่ อ ให้ ผู ้ พู ด และผู ้ ฟ ั ง เกิ ด ความเข้ า ใจ จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
■ พูดแสดงความคิดเห็นอยางสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู ตรงกั น จ� า เป็ น ต้ อ งมี ห ลั ก การและ • บุคคลในภาพใชทักษะการสื่อสารใดบาง
■ ประเมินความนาเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหาโนมนาวใจ
ตัวอย่างให้ศึกษาและฝกปฏิบัติ การฟัง
■ พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาคนควาจากการฟง การดู
การดู และการพูดอย่างสร้างสรรค์ต้อง และทักษะนั้นมีความสัมพันธกันอยางไร
และการสนทนา
■ มีมารยาทในการฟง การดู และการพูด หมัน ่ ฝกปฏิบตั อิ ยูเ่ สมอ โดยเฉพาะอย่างยิง่ (แนวตอบ ใชทักษะการฟง การดู และการพูด
สาระการเรียนรู้แกนกลาง ในยุคของข้อมูลข่าวสารปัจจุบัน นักเรียน ความสัมพันธคือ ในขณะที่รับสารตองใช
ควรรู ้ จั ก สั ง เกตพิ จ ารณาเลื อ กฟั ง และดู
■ การพู ด สรุ ป ความ การพู ด แสดงความรู ความคิ ด อย า ง
ในสิง่ ทีเ่ ป็นประโยชน์ รวบรวมเป็นข้อมูลความรู้ การฟงและดู หลังจากประมวลผลหรือ
สรางสรรคจากเรื่องที่ฟงและดู
■ การพูดประเมินความนาเชื่อถือของสื่อ สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นค�าพูดทีเ่ หมาะสม ตีความสารแลว ยอมเกิดขอสงสัยจึงใช
■ การพูดรายงานการศึกษาคนควาจากแหลงเรียนรูตางๆ กับเจตนาได้ การพูด เพื่อซักถามในสิ่งที่สงสัย หรือนําไป
ในชุมชน และทองถิ่นของตน
■ มารยาทในการฟง การดู และการพูด ถายทอดใหผูอื่นฟง พรอมๆ กับการแสดง
ความคิดเห็นของตนเองที่มีตอเรื่องที่เลา)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การฟง การดู และการพูดในชีวติ ประจําวัน
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจในหลักปฏิบัติและสามารถฝก
ปฏิบัติการพูดประเภทตางๆ ได เชน การพูดสรุปใจความสําคัญ การพูดเลาเรื่อง
การพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค การประเมินความนาเชื่อถือของสาร
การพูดรายงานเชิงวิชาการ ซึ่งทักษะการพูดทั้งหมด มีลักษณะรวมกัน คือ เกิดขึ้น
หลังจากที่ผูพูดไดใชทักษะการฟงและดูสารตางๆ จนสิ้นกระบวนความแลว
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรชี้แนะและเชื่อมโยงใหนักเรียนเห็นความ
สัมพันธของทักษะการฟง ดูและพูด นําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับแนวทางการฟง
และดูสื่อจากหนวยการเรียนรูที่ 1 มาประยุกตใชกับการฟงเพื่อวัตถุประสงคเฉพาะ
โดยครูเปนผูกําหนดกรอบเพื่อใหนักเรียนไดนําหลักปฏิบัติมาใชฝกปฏิบัติจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการสรุปยอ การเรียงลําดับ
การสรุปความเห็น กระบวนการคิดสรางสรรค การประเมิน กระบวนการคิดอยางมี
วิจารณญาณ การรวบรวมขอมูล การตั้งเกณฑ ใหแกนักเรียน
คู่มือครู 81
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจและนํา
นักเรียนเขาสูหัวขอการเรียนการสอน โดยถาม ๑ การพูดจับใจความสÓคัญจากการฟังและดูสื่อ
คําถามเดียวกันนี้กับนักเรียนหลายๆ คน เพื่อให
ในชีวิตประจ�ำวันมนุษย์รับสำรด้วยกำรฟังและดูจำกสื่อต่ำงๆ มำกมำย เช่น จำกกำรดู
คําตอบที่ไดเพียงพอสําหรับการสรุปแนวทาง
ภำพยนตร์ โทรทัศน์ กำร์ตูน อินเทอร์เน็ต หรือจำกแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เช่น สถำนประกอบกำร หรือ
ที่ถูกตองรวมกัน
• นักเรียนมีแนวทางอยางไรในการเลือกเรื่อง ได้พบเห็นจำกสถำนกำรณ์ในสังคมทั่วไป เป็นต้น ผู้ฟังที่ฉลำดจะเลือกฟังและดูแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์
ที่ฟงและดูมาถายทอดใหผูอื่นฟง ฟังอย่ำงตั้งใจและจับใจควำมส�ำคัญของเรื่องที่ฟังและดูให้ได้ แล้วพิจำรณำว่ำได้ประโยชน์อะไรบ้ำง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น จำกสิ่งที่ฟังและดู บำงครั้งอำจเก็บควำมรู้ที่ได้จำกกำรฟังและดูมำพูดต่อ หรือมำเล่ำต่ออีกก็ได้
ไดอยางอิสระขึน้ อยูก บั คานิยมและวิจารณญาณ เพื่อกำรเป็นผู้ฟังและผู้พูดที่ดี จ�ำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ ทักษะที่ส�ำคัญ คือ กำรพูด
สวนตน ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับ จับใจควำมส�ำคัญจำกกำรฟังและดูสื่อต่ำงๆ ซึ่งมีหลักกำรพิจำรณำ ดังนี้
แนวทางในการเลือกเรื่องที่ฟงและดูมา ๑. ฟังและดูสื่อให้ตลอด พยำยำมท�ำควำมเข้ำใจและจับใจควำมส�ำคัญของเรื่องเป็นตอนๆ ว่ำ
ถายทอด ควรเลือกเรื่องที่ผูพูดมีความรู เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้ำง ใครท�ำอะไรกับใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่ำงไร
ความเขาใจเปนอยางดี เปนเรื่องที่อยูใน ๒. เรียบเรียงใจควำมส�ำคัญออกมำเป็นภำษำพูดที่เข้ำใจง่ำย จัดล�ำดับเหตุกำรณ์ตำมเวลำ
กระแสสังคม หรือในความสนใจของผูฟง) หรือควำมน่ำสนใจของเรื่อง
๓. บอกที่มำของเรื่องให้ชัดเจนว่ำมำจำกสื่อใดหรือเป็นผลงำนของใคร ไม่อ้ำงตนว่ำเป็น
ส�ารวจค้นหา Explore เจ้ำของเรื่องเสียเอง
๔. ใช้ภำษำพูดให้เหมำะสมกับกำลเทศะและวัยของผู้ฟัง ควรค�ำนึงถึงควำมสนใจ ควำมพร้อม
แบงนักเรียนเปน 5 กลุม แตละกลุมสงตัวแทน
ของผู้ฟัง
ออกมาจับสลากประเด็นเกี่ยวกับการพูดในรูปแบบ
ตางๆ จากเรื่องที่ฟงและดู เพื่อนําไปสืบคนความรู ๕. คุมน�้ำเสียงและจังหวะกำรพูดให้สอดคล้องกลมกลืน และมีท่ำทำงประกอบเรื่องที่พูดบ้ำง
รวมกันจากแหลงการเรียนรู แหลงขอมูลที่สามารถ ตำมสมควร
เขาถึงได ดังตอไปนี้ ๖. เปิดโอกำสให้ผู้ฟังได้ซักถำมข้อสงสัยเมื่อผู้พูดพูดจบ
หมายเลข 1 การพูดสรุปใจความสําคัญ ๗. สังเกตผูฟ้ งั เพือ่ ประเมิ1นควำมสนใจและปรับกำรพูดให้มคี วำมเหมำะสม
หมายเลข 2 การพูดเลาเรื่อง ๘. สร้ำงศรัทธำในกำรพูดให้เกิดขึน้ เพรำะผูฟ้ งั จะเกิดควำมสนใจ สำมำรถฟัง
หมายเลข 3 การพูดแสดงความคิดเห็น อย่ำงมีใจจดจ่อ และมีควำมเชื่อมั่นว่ำกำรฟังนั้น จะก่อให้เกิดควำมรอบรู้และ
เชิงสรางสรรค เป็นประโยชน์ได้
หมายเลข 4 การพูดรายงานการศึกษาคนควา ๙. สร้ำงทักษะในกำรสื่อสำรให้มีควำมน่ำสนใจ
เรื่องหรือประเด็นที่คนควาจาก
การฟง การดู และการสนทนา
โดยสมาชิกทุกคนภายในกลุมตองมีสวนรวม
ในการสืบคนขอมูล ทั้งนี้แตละกลุมควรคํานึงถึง
ความนาเชื่อถือของแหลงขอมูลดวย
82
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงลักษณะของการพูดที่ดีไดถูกตองสมบูรณที่สุด
ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวา การพูดสรุปใจความสําคัญของเรื่อง สามารถ
1. พูดแลวขัดแยง
ทําไดหลายกรณี ขึน้ อยูก บั ชองทางการรับสารของผูพ ดู เชน การพูดสรุปใจความสําคัญ
2. พูดโดยใชอารมณ
ของเรื่องจากการอาน หรือการพูดสรุปใจความสําคัญของเรื่องจากการฟงและดู
3. พูดแลวผูฟงมีความสุข
4. พูดแลวบรรลุวัตถุประสงค
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ การพูด คือ การถายทอดความรู ความคิดหรือความ
ตองการของผูพูดสื่อความหมายไปยังผูฟงเพื่อใหเกิดการรับรูและอาการ
1 สรางศรัทธาในการพูด เปนสิ่งที่ผูพูดจะตองสรางขึ้นดวยตนเอง เชน ตอบสนอง โดยใชถอยคํา นํ้าเสียง รวมทั้งอากัปกิริยาตางๆ ประกอบกัน
การแตงกาย บุคลิกภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง หากผูพูดมีความมั่นใจในตนเอง ดังนั้น ลักษณะของการพูดที่ดีคือ พูดแลวบรรลุวัตถุประสงคที่ตั้งไว
เชื่อมั่นในขอมูล ความเชื่อมั่นเหลานั้นจะสะทอนไปยังผูฟง สงผลใหผูฟงเกิด แตการพูดที่ไมควรใหเกิดขึ้น ไดแก การพูดโดยใชอารมณ พูดแลวกอให
ศรัทธาในผูพูด และมีแนวโนมที่จะคิดเห็นคลอยตามหรือเชื่อในสิ่งที่ผูพูดสงสาร เกิดความขัดแยง สวนการพูดที่พูดแลวผูฟงมีความสุข แตถาไมบรรลุ
วัตถุประสงค ก็ยงั ถือเปนการพูดทีด่ หี รือสมบูรณไมได ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.
82 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
การพูดจับใจความสÓคัญจากการอ่าน ความรูใ นประเด็น “การพูดสรุปใจความสําคัญ”
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
ความเชื่อของไทย ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการพูดสรุป
ใจความสําคัญ โดยใชความรู ความเขาใจ
พอเด็กคลอด หมอต�ำแยหรือแพทย์ผดุงครรภ์จะต้องส่งเด็กให้กับผู้ที่บิดำมำรดำของเด็ก
ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1
จัดเตรียมไว้ คือ ผู้ที่มีนิสัยและควำมประพฤติเป็นที่ถูกใจของบิดำมำรดำ ซึ่งถือกันว่ำเด็กนั้นจะ
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
มีนิสัยเหมือนกับผู้ที่มำรับอุ้มครั้งแรก ต่อมำก็อำบน�้ำ เมื่อน�ำเด็กลงอ่ำงน�้ำต้องเอำเงินหรือทอง • นักเรียนคิดวาปญหาในการรับสารของ
หรือแหวน สำยสร้อย อย่ำงหนึง่ อย่ำงใดแล้วแต่สะดวกใส่ลงไปในอ่ำงน�ำ้ แล้วจึงอุม้ เด็กลงอำบน�ำ้ นักเรียนและหมายรวมถึงบุคคลทัว่ ไป คืออะไร
เป็นเคล็ดที่ดีเพรำะเข้ำใจกันว่ำ เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง อำบน�้ำ (แนวตอบ ปญหาประการสําคัญของการ
แต่งตัวแล้วก็วำงบนเบำะซึ่งอยู่ในกระด้ง ถ้ำเป็นเด็กหญิงก็ให้ใส่ด้ำยเข็มลงไปด้วย จะได้เก่ง รับสาร คือ ผูรับสารหรือผูฟงไมสามารถ
ในกำรเย็บปักถักร้อย ถ้ำชำยก็ใส่กระดำษ ดินสอ จะได้เป็นปรำชญ์ จับประเด็นสําคัญของเรื่องที่อานหรือเรื่อง
คนไทยสมัยโบรำณเชื่อว่ำ เมื่อทำรกเกิดใหม่ๆ จะต้องมีแม่ซื้อมำซื้อทำรกนั้นไป เป็นกำร ที่ฟงได)
ซื้อกันท่ำผี คือ ถ้ำไม่มีแม่ซื้อก็กลัวผีจะแย่งเอำไปเลี้ยง นั่นหมำยถึงเด็กทำรกจะตำยเมื่อคลอด • การจับใจความสําคัญมีความจําเปนตอ
ใหม่ๆ ประเพณีเมื่อทำรกเกิด เขำมักเอำใส่กระด้งร่อนแล้วร้องว่ำ สำมวันลูกผี สี่วันลูกคน ชีวิตประจําวันของมนุษยอยางไร
(แนวตอบ การจับใจความสําคัญเปนทักษะ
ลูกของใครมำรับเอำไปเน้อ แล้วก็มีผู้หนึ่งตอบว่ำ ลูกข้ำเอง แล้วก็เอำเบี้ย ๓๒ เบี้ย ออกมำซื้อ
เบื้องตนของการรับสาร ผูรับสารจําเปน
เป็ น กำรลวงผี ว ่ ำ เด็ ก นี้ ไ ม่ ดี แม่ ข องตั ว ที่ ค ลอดออกมำไม่ รั ก จนต้ อ งมี คนอื่ น มำซื้ อ ไปเลี้ ย ง
จะตองฝกฝนเพื่อใหสามารถรับสารที่ผู
เมื่อเป็นดังนี้ผีก็ไม่อยำกได้ คือ ไม่เอำไปเลี้ยงที่เมืองผี เด็กนั้นจึงรอดอยู่ในโลกมนุษย์ได้ สงสารถายทอดไดอยางครบถวนและรวดเร็ว)
(ตำ�รับวรรณคดีไทย : เจือ สตะเวทิน)
• การพูดสรุปใจความสําคัญหรือการพูดจับใจ
สวัสดีค่ะ ท่ำนผู้ฟังที่เคำรพ ความสําคัญมีแนวทางที่สําคัญอยางไร
หนังสือต�ำรับวรรณคดีไทยของศำสตรำจำรย์เจือ สตะเวทิน ได้กล่ำวถึงควำมเชื่อของไทย (แนวตอบ ผูพูดตองฟงและดูสื่อใหจบตลอด
ที่น่ำสนใจตั้งแต่แรกคลอดเลยนะคะว่ำ ให้คนที่มีควำมประพฤติดีมำคอยอุ้มเด็กเป็นครั้งแรก ทัง้ เรือ่ ง พยายามทําความเขาใจเนือ้ หาสาระ
เด็กจะได้มนี สิ ยั ดีตำมคนนัน้ ถ้ำจะอำบน�ำ้ ก็ให้เอำเงินทองของมีคำ่ ใส่ลงไปเป็นเคล็ดว่ำโตขึน้ จะได้ และจับใจความสําคัญของเรือ่ งเปนตอนๆ วา
ร�่ำรวยเงินทอง พออำบน�้ำเสร็จถ้ำเป็นเด็กผู้หญิงจะมีด้ำย เข็ม วำงไว้บนเบำะนอน เชื่อว่ำโตขึ้น เรือ่ งทีไ่ ดฟง และดูเปนเรือ่ งเกีย่ วกับอะไร ใคร
จะได้เก่งเย็บปักถักร้อย ส่วนเด็กผูช้ ำยก็จะจัดดินสอและกระดำษแทน เพือ่ เป็นเคล็ดว่ำโตขึน้ จะได้ ทําอะไร กับใคร ทีไ่ หน อยางไร โดยมีแนวทาง
เหมือนกับการอานจับใจความสําคัญ)
เป็นปรำชญ์ นอกจำกนี้ ยังมีพิธีที่ให้มีแม่ซื้อมำท�ำพิธีซื้อเด็กจำกแม่ตัวจริงอีกด้วยค่ะ เพื่อเป็น
กำรลวงผีว่ำเด็กคนนี้ไม่ดี ขนำดแม่ยังไม่รัก ท�ำให้ผีไม่อยำกได้ เด็กจะได้มีชีวิตรอดปลอดภัย
83
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET บูรณาการอาเซียน
บุคคลใดตอไปนี้ฟงและดูสารประเภทใหความบันเทิง จรรโลงจิตใจ
ความเชื่อ คานิยมของคนแตละชาติมีความแตกตางกัน กลุมชาติพันธุ หรือกลุม
1. สุดาฟงและดูรายการวิทยสัประยุทธ
ประเทศที่ตั้งอยูในภูมิภาคเดียวกัน ยอมมีความเชื่อหรือคานิยมที่มาจากจุดกําเนิด
2. ปฐมฟงและดูละครเวทีเรื่องขางหลังภาพที่โรงละครแหงหนึ่ง
เดียวกัน เพื่อความรู ความเขาใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับกลุมประเทศสมาชิกอาเซียน
3. ธานีฟงและดูรายการสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับกลุมประเทศอาเซียน
เพื่อสรางความเขาใจอันดีใหเกิดมีตอประเทศเพื่อนบาน เพื่อตอบสนองความรวมมือ
4. กานดาฟงและดูรายการจับประเด็นทิศทางประเทศไทยกับเศรษฐกิจ
ของประชาคมอาเซียนในดาน “ประชาคม สังคม และวัฒนธรรม” ครูอาจมอบหมาย
อาเซียน
ชิ้นงานยอยใหแกนักเรียน โดยแบงกลุม กลุมละ 3-5 คน จํานวน 10 กลุม ใหแตละ
วิเคราะหคําตอบ การประเมินสารที่ไดรับวาเปนสารประเภทใด มีวิธีการ กลุม สงตัวแทนออกมาจับสลากเลือกประเทศ จากนัน้ สมาชิกของแตละกลุม จึงรวมกัน
ทีไ่ มซบั ซอน กลาวคือ ภายหลังจากทีผ่ รู บั สารไดอา น หรือฟงและดูสารนัน้ ๆ ศึกษาเกี่ยวกับประเพณีที่เกิดจากความเชื่อและคานิยมของคนในประเทศนั้นๆ นํา
จบลง ผูรับสารตองตั้งคําถามกับตนเองวา สารเหลานั้นไดใหสิ่งใดแก ขอมูลมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อหาจุดรวมหรือรากเหงาทางวัฒนธรรม
ตนเอง ซึ่งสารที่ใหความรูจะทําใหผูรับสารไดรูในสิ่งที่ไมเคยรู หรือเพิ่มพูน ของกลุมประเทศสมาชิกอาเซียน จากนั้นจึงนําขอมูลทั้งหมดมาจัดการความรู
ความรู สวนสารที่ใหความบันเทิงจะทําใหผูรับสารเกิดความสุขใจ รวมกันในลักษณะของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
ความเพลิดเพลินใจ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
คู่มือครู 83
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ การพูดจับใจความส�าคัญจากการอ่าน
การพูดสรุปใจความสําคัญโดยใชความรู
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ เชิดต่อตัวระหว่
1 างจางวางศรกับนายแช่ม
เพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ กำรประชั
รประชันเริ่มขึ้นด้วยวงปี่พำทย์เครื่องห้ำวงวังบูรพำที่มีจำงวำงศรเป็นคนระนำดเอก
ตอบคําถาม ส่วนวงหลวงของกรมมหรสพมีนำยแช่มเป็นระนำดเอก เริ่มกำรบรรเลงด้วยเพลงโหมโรงแล้ว
• ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการพูดสรุป 2
ตีเดี่ยวกันเพลงต่อเพลง จำกเพลงพญำโศก โศก เชิดนอก (สี่จับ) และเพลงเดี่ยวอื่นๆ เรื่อยไป จนถึง
ใจความสําคัญของเรือ่ งทีฟ่ ง และดูมปี ระโยชน
เพลงกรำวใน ผลปรำกฏว่ำทั้งสองวำงฝีมือก�้ำกึ่งคู่คี่กันมำตลอด ก็ยังไม่ปรำกฏผลแพ้ชนะกัน
ตอนักเรียนอยางไร
อย่ำงเด็ดขำด เนื่องด้วยคนระนำดเอกทั้งสองวงมีฝีมือเด่นกันไปคนละอย่ำง จำงวำงศรนั้น
(แนวตอบ หากมีความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับ
การพูดสรุปใจความสําคัญ จะทําใหมีแนวทาง ตีไหวร่อนวิจิตรโลดโผน ส่วนนำยแช่มนั้นก็ตีได้ทั้งไหวทั้งจ้ำน่ำเกรงขำมนั่นเอง
ในการฟงและดูเพื่อใหไดสาระที่เปนประโยชน ในที่สุดกำรประชันก็ต้องตัดสินกันที่เพลงเชิด เพรำะเพลงเชิดนั้นเป็นกำรตีวัดควำมไหว
จากสื่อตางๆ) (ควำมเร็ว) วัดน�้ำเสียงของระนำดที่ออกมำ รวมทั้งเป็นกำรวัดเรี่ยวแรงของคนตีระนำดเป็น
• นักเรียนฟงและดูเรื่องตางๆ ที่มีความ ประกำรส�ำคัญ กำรเชิดต่อตัวหมำยถึงว่ำ เมื่อคนแรกตีระนำดจนจบท�ำนองวรรคสุดท้ำยของ
หลากหลาย มีวิธีการใดที่จะทําใหจดจํา ตัวเชิดแล้ว คนที่สองจะต้องฉวยรับเข้ำให้ทันตำมจังหวะ และยังต้องเร่งควำมเร็วให้มำกขึ้น
สาระสําคัญของเรื่องที่ฟงและดูไดดียิ่งขึ้น จนถึงวรรคสุดท้ำยของตัวเชิด คนแรกต้องเข้ำไปฉวยรับให้ทัน แล้วก็เพิ่มควำมเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
(แนวตอบ การฟง และดูสารจากสื่อตางๆ ใน กำรตีเชิดต่อตัวดังนี้ ถือเป็นกำรพิสูจน์ควำมเร็ว ควำมแข็งแรงของร่ำงกำย พร้อมกับ
ชวงเวลาเดียวกัน อาจทําใหประสิทธิภาพใน พิสูจน์สติสัมปชัญญะและสมำธิของผู้ตีไปด้วยในเวลำเดียวกัน กำรตีเชิดจะต้องตีลักษณะนี้
การจดจําสิ่งตางๆ ทํางานไดไมดีเทาที่ควร
ไปทีละตัว ทีละตัว ทีละตัว หำกเสียงระนำดของใครอ่อนแรงหรือช้ำลง หรือสะดุดหยุดลง
ดังนั้น สิ่งที่จะชวยจดจําสาระสําคัญของสาร
ก็หมำยถึงควำมพ่ำยแพ้ที่เจ็บปวดที่สุด
คือ การจดบันทึก หรือเรียกวา กรอบบันทึก
รายละเอียดการฟง) ผลของกำรแพ้ชนะในกำรประชันต่อตัวเชิดนั้น ต้องดูที่อำกำรหลุด หรือ ตำย อำกำรหลุด
• นักเรียนคิดวาการพูดสรุปใจความสําคัญมี ก็คือ กำรรับเชิดตัวต่อไปไม่ทัน เพรำะไม่สำมำรถตีไหวหรือเร็วเท่ำคู่ต่อสู้ที่ส่งมำให้ได้
สวนชวยใหเกิดการตอยอดความรูไดอยางไร ส่วนอำกำรตำยนั้นก็คือ กำรฉวยรับทัน แต่เมื่อตีด้วยควำมเร็วเท่ำที่รับมำก็ไม่สำมำรถรักษำ
(แนวตอบ การพูดสรุปใจความสําคัญ เปนการ ควำมเร็วระดับนี้ต่อไปได้ ต้องหยุดตี หรือไม่ก็เกิดอำกำรกล้ำมเนื้อเกร็งจนมือตำย ไม่สำมำรถ
ถายทอดสารประเภทหนึ่ง หากเรื่องที่นํามา เคลื่อนไหวต่อไปอีกได้
ถายทอดมีความนาสนใจ หรือเปนเรื่องทีก่ าํ ลัง ผลของกำรประชันครำวนั้น นำยแช่มนักระนำดวงหลวงเกิดอำกำรมือตำย จริงๆ คือ
อยูใ นกระแสสังคม เกิดการแลกเปลีย่ นความ ยิ่งตี ยิ่งเกร็ง และเกิดอำกำรปวดจนชำต้องถอนจังหวะลงมำจนบรรเลงตัวเชิดเข้ำสู่วรรคท้ำย
คิดเห็นซึ่งกันและกัน ทําใหเกิดมุมมองใหมๆ จนจบเพลงก่อน ขณะที่ใบหน้ำของท่ำนชุ่มไปด้วยเหงื่อและสองมือยังก�ำไม้ระนำดแน่นอยู่
ทําใหเกิดการตอยอดความรู)
ในที่สุดลูกวงต้องเข้ำมำช่วยกันแกะไม้ระนำดออกจำกมือ
2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลง
ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 มีความนาเชื่อถือ
หรือไม เพราะเหตุใด 84
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
สถานการณใดแสดงวาบุคคลผูนั้นปราศจากแนวทางการฟงเพื่อ
1 วงปพ าทย เปนรูปแบบการประสมวงดนตรีของเครือ่ งดนตรีในกลุม เครือ่ งเปา
จับใจความสําคัญ
ไดแก ป และเครื่องดนตรีในกลุมเครื่องตี ไดแก ระนาด และฆอง เปนตน ในการ
1. นารีหาขอมูลเตรียมพรอมเพื่อฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียน
บรรเลงปจะทําหนาที่เปนประธานของวง สวนฆองวงใหญจะทําหนาที่บรรเลง
2. สมยศจดบันทึกสาระสําคัญทีไ่ ดจากการฟงสัมมนาเรือ่ งประชาคมอาเซียน
ทํานองเพลงหลักของเพลง ในขณะที่เครื่องทําทํานองอื่นๆ จะทําหนาที่แปรทํานอง
3. ขณะที่ฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียน มนตรีหันไปสนทนากับ
ลูกฆองใหเปนทางเฉพาะตามความเหมาะสมกับเครื่องดนตรีนั้นๆ โดยมีเครื่องทํา
สนธยาเกี่ยวกับประเด็นที่พึี่งผานไป
จังหวะ เชน กลอง ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหมง รวมบรรเลงประกอบ วงปพาทยนับเปน
4. ขณะที่ฟงการสัมมนาประชาคมอาเซียนอรทัยคิดตั้งคําถามกับตนเอง
วงดนตรีที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเกือบทุกชวงของชีวิต ตั้งแตเกิด
เกี่ยวกับเรื่องที่ฟง
จนกระทั่งเสียชีวิต นอกจากนี้ยังใชบรรเลงประกอบการแสดงตางๆ เชน โขน
ละคร และลิเก เปนตน วิเคราะหคําตอบ แนวทางสําหรับการฟงเพื่อจับใจความสําคัญ ผูฟง
2 เชิดนอก หรือเพลงเชิดนอก คือเพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาการตอสูหรือการ ตองเตรียมความพรอมกอนเขาฟง ดวยการหาขอมูลเบื้องตนเพื่อจะได
ไลติดตามของตัวละครที่ไมใชมนุษย เชน ตอนที่หนุมานไลจับนางสุพรรณมัจฉา เขาใจเนื้อหาสาระของเรื่องไดงายขึ้น พยายามตั้งคําถามในขณะที่ฟง
เพื่อขยายความคิดของตนเอง บันทึกสาระสําคัญที่ไดจากการฟง ไมควร
หันไปสนทนากับเพื่อนเพราะอาจทําใหพลาดสาระสําคัญของเรื่องได
ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
84 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนจํานวนไมตาํ่ กวาครึง่ หนึง่
ของจํานวนนักเรียนทั้งหมด แลวใชคําถามตอไปนี้
ภำพทีท่ กุ คนเห็นและเป็นภำพทีป่ ระทับใจทีส่ ดุ นัน้ ก็คอื จำงวำงศรได้คลำนเข้ำไปกรำบขอขมำ
นำยแช่มนักระนำดรุน่ พีจ่ ำกวงหลวงทีไ่ ด้ลว่ งล�ำ้ ก�ำ้ เกินในเชิงดนตรี เพรำะเป็นหน้ำทีท่ ตี่ อ้ งท�ำถวำย ถามนักเรียนที่ถูกสุมเรียกชื่อทุกคน เพื่อใหได
ตำมพระประสงค์ของเจ้ำนำย คําตอบที่มีความถูกตองและครอบคลุม
มีเรื่องเล่ำกันต่อมำว่ำ “นำยแช่มนั้นเป็นฝ่ำยแพ้ในเรื่องของควำมไหว (เร็ว) แก่จำงวำงศร • จากความรู ความเขาใจทั้งหมด นักเรียนมี
แต่แม้จะตีระนำดจนมือตำยแล้ว เสียงระนำดของท่ำนก็ยังเจิดจ้ำสม�่ำเสมอไม่มีเสียงเสียเลย” แนวทางสําหรับการฟงเพื่อนําไปพูด
จึงเป็นอันกล่ำวได้ว่ำ สรุปใจความสําคัญอยางไร
“นำยศรชนะไหว แต่นำยแช่มชนะจ้ำ” (แนวตอบ มีแนวทาง 6 ประการ สําหรับ
ก็เป็นอันกล่ำวได้ว่ำทั้งสองท่ำนนั้นต่ำงก็มีควำมสำมำรถสุดยอดไปคนละอย่ำง และผลจำก การฟงเพือ่ นําไปพูดสรุปใจความสําคัญ ดังนี้
กำรประชันกันในครำวนัน้ ท�ำให้เกิดจุดเปลีย่ นครัง้ ส�ำคัญทีใ่ ห้นำยแช่มมุง่ เอำดีในทำงปี่ จนมีควำม • เตรียมความพรอมกอนฟง เพือ่ ใหสามารถ
สำมำรถเป็นเลิศอีกด้ำนหนึ่ง เขาใจเนื้อหาสาระไดครบถวน
ครูประสิทธิ์ ถำวร กล่ำวไว้ว่ำ • มีสมาธิในการฟง ดวยตระหนักวาการฟง
“ท่ำนเหล่ำนีเ้ ทวดำส่งมำเพือ่ พัฒนำดนตรีไทย เรำควรยกย่องเทิดทูนท่ำนมำกกว่ำทีจ่ ะเอำ แตกตางจากการอาน เมื่ออานหนังสือ
ควำมสำมำรถของท่ำนมำเปรียบเทียบกัน” แลวขาดสมาธิยังสามารถกลับมาอาน
(ต�มรอยโหมโรง : ไพศ�ล อินทวงศ์) ทบทวนได แตการฟงนั้นหากขาดสมาธิ
สวัสดีค่ะ ท่ำนผู้ฟังที่เคำรพ อาจทําใหพลาดสาระสําคัญของเรื่องได
เชิดต่อตัวระหว่ำงจำงวำงศรกับนำยแช่มนี้ ผู้เขียนได้เล่ำถึงกำรประชันระนำดกันระหว่ำง • รูจ กั ตัง้ คําถามขณะทีฟ่ ง เพือ่ ใหมคี วามคิด
จำงวำงศรกับนำยแช่ม ซึ่งขณะที่แข่งทั้งสองคนฝีมือสูสีคู่คี่กันตลอด ไม่รู้ผลแพ้ชนะ เนื่องจำกมี ที่กวางไกล ขยายความคิดของตนเอง
ควำมสำมำรถที่เด่นไปคนละทำง คือ จำงวำงศรตีระนำดได้ไหวและมีลีลำโลดโผน ส่วนนำยแช่ม • จับประเด็นสําคัญของเรื่องใหได
ตีได้หนักแน่นชัดเจนแม่นย�ำ จนในที่สุดก็มำตัดสินกันที่กำรประชันเพลงเชิดต่อตัวเพื่อวัด • จดบันทึก เพราะการจดบันทึกเปนวิธีการ
ควำมเร็ว ผลปรำกฏว่ำนำยแช่มเกิดอำกำรมือตำย คือ กล้ำมเนื้อเกร็งไม่สำมำรถแข่งต่อไปได้ ที่จะชวยจับใจความสําคัญจากการฟง
ต้องรีบถอนจบเพลงก่อน จึงเป็นฝ่ำยพ่ำยแพ้ไป แต่ฝมี อื กำรตีระนำดของทัง้ สองก็เป็นทีป่ ระทับใจ ไดเปนอยางดี และยังชวยใหมีสมาธิจดจอ
ของผู้ชมอย่ำงยิ่ง อยูกับเรื่องที่ฟง
บอกเล่าเก้าสิบ • เมื่อจะนํามาพูดถายทอดใหผูอื่นฟงควร
เรียบเรียงสาระสําคัญของเรื่องดวยสํานวน
ระนาด ภาษาของตนเองพรอมทั้งระบุแหลงที่มา
ของเรื่องให ชัดเจน)
ระนาด เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่มีวิวัฒนาการมาจากกรับ โดยใช้ไม้กรับขนาด
ลดหลั่นกันลงไปเรียกว่า ลูกระนาด ใช้เชือกร้อยให้ติดกันเรียกว่าผืนระนาด แล้วใช้ขี้ผึ้งกับตะกั่ว
มาผสมกันติดตรงหัวท้ายของลูกระนาดเพื่อถ่วงเสียงให้มีระดับเสียงต่างๆ กัน เวลาบรรเลง
เอาผืนระนาดมาขึงแขวนไว้บนรางลูกระนาดท�าด้วยไม้ไผ่บง หรือไม้ไผ่ตง ต่อมาอาจท�าด้วยไม้แก่น
เช่น ไม้ชิงชัน ไม้มะหาด หรือไม้พะยูง ระนาดมี ๒ ชนิด คือ ระนาดเอกและระนาดทุ้ม
85
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
จากสถานการณตอไปนี้ขอใดแสดงวาผูพูด “พูดเปน”
ครูควรเสริมสรางองคความรูทางดนตรีไทยใหแกนักเรียน ซึ่งเปนเอกลักษณ
1. ฉันไมชอบผูชายที่สูงกวาปกติ
ทางวัฒนธรรมไทยที่โดดเดน โดยนําภาพเกี่ยวกับระนาดเอกและระนาดทุมมาให
2. เธอแตงตัวโบราณชะมัดยาดเลย
นักเรียนชม แลวอธิบาย
3. เด็กคนนี้หนาตาสวย แตมารยาทแยมาก
รางของระนาดเอกและระนาดทุมจะมีความแตกตางกัน กลาวคือ ขอบราง
4. เธอใสชุดนี้แลว มองดูเหมือนกาคาบพริกจริงๆ
ของระนาดเอกจะขนานกันทั้งดานลางและดานบน แตระนาดทุมขอบดานลาง
วิเคราะหคําตอบ การพูดที่ดีจะตองไมกอใหเกิดความขัดแยงขึ้นกับ จะตรง สวนขอบดานบนจะเวา และประการสําคัญ คือ ระนาดเอกมีเทาเดียว
ตัวผูพูดและผูฟง ซึ่งผูพูดที่พูดเปนควรหลีกเลี่ยงคําพูดที่จะกอใหเกิด สวนระนาดทุมมี 4 เทา
ความไมพอใจ คําตอบในขอ 2., 3. และ 4. เปนการพูดเชิงตําหนิ ซึ่งอาจ
สรางความรูสึกไมพอใจใหแกผูฟงได ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
ระนาดทุม ระนาดเอก
คู่มือครู 85
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการพูด
สรุปใจความสําคัญของเรื่องที่ฟงและดู มาใช การพูดจับใจความสÓคัญจากการฟัง
ทําความเขาใจตัวอยางการพูดสรุปใจความสําคัญ
จากการฟงบทเพลงพระราชนิพนธสมตํา เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มต�า
จากหนังสือเรียนภาษาไทย หนา 86 ต่อไปนี้จะเล่า ถึงอาหารอร่อย
2. นักเรียนนําความรู ความเขาใจ ที่เกิดจากการ คือส้มต�ากินบ่อย รสชาติแซบดี
สังเกตและประมวลผลจากตัวอยางขางตน วิธีการก็ง่าย จะกล่าวได้ดังนี้
คัดเลือกเรื่องราวของบุคคลที่นําเสนอผาน มันเป็นวิธี วิเศษเหลือหลาย
รายการตางๆ ทางโทรทัศนที่สนใจ รางบทพูด ไปซื้อมะละกอ ขนาดพอเหมาะเหมาะ
เพื่อนํามาพูดสรุปใจความสําคัญของตอนนั้นๆ สับสับเฉาะเฉาะ ไม่ต้องมากมาย
ต�าพริกกับกระเทียม ให้ยอดเยี่ยมกลิ่นอาย
ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
มะนาวน�้าปลาน�้าตาลทราย น�้าตาลปี๊บถ้ามี
3. นักเรียนรวมกันตัง้ เกณฑเพือ่ กําหนดลักษณะทีด่ ี ปรุงรสให้เยี่ยมหนอ ใส่มะละกอลงไป
ของการพูดสรุปใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟง อ้อ อย่าลืมใส่ กุ้งแห้งป่นของดี
และดู เพื่อใชประเมินการพูดของตนเอง มะเขือเทศเร็วเข้า ถั่วฝักยาวเร็วรี่
รวมถึงเพื่อนๆ ในชั้นเรียน และใชเปนแนวทาง เสร็จสรรพแล้วซี ยกออกจากครัว
ปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของ กินกับข้าวเหนียว เที่ยวแจกให้ทั่ว
นักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ กลิ่นหอมยวนยั่ว น่าน�้าลายไหล
(แนวตอบ จดต�าราจ�า ส้มต�าลาวเอาต�ารามา
• เรื่องที่นํามาพูดสรุปใจความสําคัญมี ใครหม�่าเกินอัตรา ระวังท้องจะพัง
ความนาสนใจ ขอแถมอีกนิด แล้วจะติดใจใหญ่
• ผูพูดมีการเกริ่นนําเกี่ยวกับสาเหตุของ ไก่ย่างด้วยเป็นไร อร่อยแน่จริงเอย
การเลือกเรื่อง ที่มาของเรื่อง ใหรายละเอียด (เพลงพระราชนิพนธ์ ส้มต�า : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)
ของเรื่องไดนาสนใจ สวัสดีค่ะ ท่านผู้ฟังที่เคารพ
• ผูพูดสามารถจับใจความสําคัญของเรื่อง เพลงส้มต�านี้เป็นพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตน
ไดครบถวน ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีซึ่งเนื้อเพลงได้บอกเครื่องปรุงและวิธีท�าส้มต�าอย่างง่ายๆ ไว้ คือ
• ผูพูดสามารถใชภาษาสื่อสารไดเหมาะสม ใช้มะละกอต�าคลุกเคล้ากับเครือ่ งประกอบต่างๆ ได้แก่ มะนาว น�า้ ปลา น�า้ ตาลทราย หรือน�า้ ตาลปีบ๊
พร้อมทั้งใส่กุ้งแห้งป่น มะเขือเทศ และถั่วฝักยาว เมื่อเสร็จแล้วยกมารับประทานกับข้าวเหนียว
ชัดเจน ไมเยิ่นเยอ และเปนสํานวนของตนเอง และหากแถมด้วยไก่ย่างจะท�าให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น
• ผูพูดสามารถแสดงทาทางขณะพูดหรือ
ใชสื่อประกอบการพูดไดเหมาะสม การฟังและดูสอื่ ต่างๆ เพือ่ น�ามาถ่ายทอดหรือเล่าต่อ เราควรตัง้ ใจฟัง พยายามจับใจความส�าคัญ
• ผูพูดควรมีมารยาทในการพูด เชน ให้ได้ สังเกตว่าผู้ส่งสารมีแนวคิดอย่างไร จุดเด่นที่น่าประทับใจได้แก่อะไรบ้าง แล้วจึงน�ามาเรียบเรียง
กลาว ทักทายผูฟง แตงกายเรียบรอย) เป็นภาษาของตนเองถ่ายทอดให้ผู้ฟังต่อไปโดยใช้ภาษาที่กระชับสละสลวย
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา
ที่ยกตัวอยาง ใหอยูในดุลยพินิจของครู 86
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
บุคคลใดมีพฤติกรรมไมเหมาะสมตอการพูดในที่สาธารณะ
หลังจากที่นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะที่ดีของการพูดสรุป
1. เอมอรพูดชัดถอยชัดคํา
ใจความสําคัญแลว ครูควรใหเวลานักเรียนสําหรับการเตรียมตัวเพื่อเลือกเรื่อง
2. แกวใจใชภาษาที่เขาใจงายชัดเจน
สําหรับนํามาพูด รางบทพูด และออกแบบการพูดใหไดตามเกณฑที่รวมกัน
3. สมปรารถนาเปนกันเองเต็มที่กับผูฟง
จัดตั้งขึ้น โดยอาจนัดหมายใหนํามาพูดในคาบหนา ซึ่งการตรวจสอบผล
4. ปานธาราสบสายตาผูฟงอยางสมํ่าเสมอ
จะนําไปรวมไวที่ทายหนวยการเรียนรู พรอมกับการพูดประเภทอื่นๆ เพื่อใหครู
มองเห็นภาพรวมของการตรวจสอบผลทั้งหมดวา ในหนวยการเรียนรูนี้ตอง วิเคราะหคําตอบ การสบสายตาผูฟงในขณะที่พูด จะสรางความรูสึกที่ดี
ตรวจสอบการพูดประเภทใดบาง ครูอาจจะบริหารจัดการเวลาเรียนโดยจัดให ใหแกผูฟง การใชภาษาที่เขาใจงายชวยทําใหสามารถสื่อสารกับผูฟงได
หนึ่งคาบเปนคาบของการนําเสนอ และตรวจสอบการพูดทุกๆ ประเภทในคาบนี้ ตรงตามจุดประสงคที่ตั้งไว การออกเสียงใหชัดเจน คําควบกลํ้า ตัว ร ล
จํากัดความยาวไมวาจะเปนการพูดประเภทใดก็ตาม คนละไมเกิน 1 นาที หรือ จะทําใหการพูดในแตละครั้งมีเสนห ไพเราะ ชวนฟง และสื่อความได
ครูอาจจะจัดสรรเวลาใหแตละคาบสอนมีการตรวจสอบประเภทการพูดที่ไดสอนไป ชัดเจน แตการแสดงทาทางเปนกันเองแบบเต็มที่กับผูฟงเปนมารยาทที่ไม
ในคาบกอนหนา เชน ถาในสัปดาหนี้เรียนเรื่องการพูดสรุปใจความสําคัญ คาบหนา เหมาะสมเพราะในสถานการณนั้นๆ อาจมีบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคม
ที่นักเรียนเรียนเรื่องการพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู ทายคาบชวงเวลา 20 นาที คุณวุฒิ วัยวุฒิ ที่แตกตางกันรวมอยูดวย จึงควรแสดงมารยาทที่เปนกลาง
ครูอาจสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมาพูดสรุปใจความสําคัญหนาชั้นเรียน หรือเปนทางการ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
86 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๒ การเล่าเรื่องจากการฟังและการดูสื่อ ความรูในประเด็น “การพูดเลาเรื่องจากสื่อ
การเล่าเรือ่ ง คือ กำรถ่ำยทอดประสบกำรณ์ ทัง้ ควำมคิด จินตนำกำร ควำมรูส้ กึ ควำมต้องกำร
ที่ฟงและดู” พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
และเจตนำรมณ์ของผู้เล่ำ เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดกำรตอบสนอง มีสัมฤทธิผลตำมจุดมุ่งหมำยของ
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
ผู้เล่ำ กำรเล่ำเรื่องอำจใช้วิธีกำรพูดหรือวิธีกำรเขียนก็ได้
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
การพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู โดยใช
๒.๑ จุดมุง่ หมายของการเล่าเรือ่ ง ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
กำรเล่ำเรื่องมีจุดมุ่งหมำยส�ำคัญ ดังนี้ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล
๑. เพื่อควำมเพลิดเพลิน เช่น กำรเล่ำนิทำน เล่ำเรื่องข�ำขัน เป็นต้น เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๒. เพื่อให้ควำมรู้และอธิบำยหลักเกณฑ์หรือข้อเสนอแนะต่ำงๆ • การพูดเลาเรือ่ งจากสือ่ ทีฟ่ ง และดู มีประโยชน
๓. เพื่อกำรสั่งสอน อบรม ขอร้อง ขอควำมเห็นใจ ตอนักเรียนอยางไร
๔. เพื่อกำรเชิญชวนหรือชักชวนในเชิงกำรประชำสัมพันธ์ (แนวตอบ เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง)
๕. เพื่อปลุกใจ ชักจูงใจ • การพูดเลาเรื่องและการพูดสรุปใจความ-
๖. เพื่อให้ผู้ฟังหรือผู้อ่ำนเกิดจินตนำกำร สําคัญ แตกตางกันอยางไร
๗. เพื่อแสดงควำมคิดเห็นและเสียดสีสังคม (แนวตอบ การพูดเลาเรื่องเปนการพูดเพื่อ
ถายทอดประสบการณของผูพูดที่ไดจาก
๒.๒ วิธกี ารพูดเล่าเรือ่ ง การอาน ฟง และดู หรือทองเที่ยว มุงให
กำรเล่ำเรื่องเป็นกำรสื่อควำมคิดระหว่ำงผู้เล่ำและผู้ฟัง ผู้เล่ำที่ดีจึงควรเป็นผู้ที่มีควำมสำมำรถ ความเพลิดเพลิน อาจมีความคิดเห็นสวนตัว
ในกำรถ่ำยทอดควำมคิดให้แก่ผู้ฟังได้ดี โดยใช้วิธีกำรที่เหมำะสม สอดแทรกอยูบาง แตการพูดสรุปใจความ-
๑) คุณสมบัติของผู้เล่าเรื่องที่ดี ผู้เล่ำเรื่องที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ สําคัญ เปนการพูดเพื่อใหผูฟงทราบวา
๑. มีบุคลิกภำพดี เรื่องนี้เปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใคร ทําอะไร
๒. มีควำมจ�ำดี รอบรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เล่ำ กับใคร ที่ไหน อยางไร ไมมีถอยคําที่เปน
๓. น�้ำเสียงชัดเจน ออกเสียงได้ถูกต้องตำมอัก1ขรวิธี การแสดงความคิดเห็น)
๔. มีอำรมณ์
รมณ์ดีและรักษำอำรมณ์ให้ปกติมั่นคงได้ • บุคคลที่จะสามารถเปนผูเลาเรื่องไดดี ควรมี
๕. มีมำรยำทดี รู้จักกำลเทศะ คุณสมบัติอยางไร
๖. มีไหวพริบ ปฏิภำณ สำมำรถแก้ปัญหำเฉพำะหน้ำได้ (แนวตอบ เปนผูที่สามารถจดจํารายละเอียด
๗. มีควำมเชือ่ มัน่ ในตนเอง สำมำรถแสดงท่ำทำง อำกัปกิรยิ ำประกอบกำรเล่ำได้อย่ำงเหมำะสม ไดดี มีทักษะในการจับสาระสําคัญ และมี
๘. ใช้จิตวิทยำในกำรเข้ำถึงผู้ฟังกลุ่มต่ำงๆ ตลอดทั้งสำมำรถประเมินผู้ฟังได้ ทักษะดานภาษา)
๒) ขั้นตอนการพูดเล่าเรื่อง มีดังนี้ 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
๒.๑) การเลือกเรื่อง จะต้องเลือกเนื้อหำให้เหมำะสมกับกลุ่มของผู้ฟัง เพรำะควำมสนใจ แหลงขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
ของผู้ฟังย่อมแตกต่ำงกันด้วยเพศ อำยุ ประสบกำรณ์ อำชีพ รสนิยม และอื่นๆ มีความนาเชื่อถือหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
87 ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
บุคคลใดเตรียมตัวสําหรับการพูดไดพรอมมากที่สุด
1. เอออกกําลังกายและพักผอนอยางเพียงพอ ครูควรชีแ้ นะใหนกั เรียนไดเขาใจวา การพูดเลาเรือ่ งเปนศิลปะการพูดทีม่ คี วาม
2. อรกินอาหารครบ 5 หมู เพื่อใหรางกายแข็งแรง แตกตางไปจากการพูดรายงานหรือการพูดอภิปราย การพูดบรรยาย เพราะไมได
3. อิ่มพักผอนอยางเพียงพอและเตรียมเนื้อหาสาระ มุง ทีจ่ ะนําเสนอเนือ้ หาทางวิชาการ แตมงุ เพือ่ ใหผฟู ง เกิดความเพลิดเพลินเปนสําคัญ
4. โอเตรียมเนื้อหาสาระที่จะพูดและฝกฝนอยางสมํ่าเสมอ
วิเคราะหคําตอบ การเตรียมความพรอมสําหรับการพูด ดวยการกิน นักเรียนควรรู
อาหารใหครบ 5 หมู พักผอนใหเพียงพอหรือการออกกําลังกาย เปนเพียง
ปจจัยหนึ่งที่จะทําใหการพูดในแตละครั้งประสบผลสําเร็จ สิ่งสําคัญที่สุด 1 รักษาอารมณใหปกติมั่นคง การพูดเลาเรื่อง เปนการพูดเพื่อถายทอด
สําหรับการเตรียมความพรอมเพื่อการพูดคือ ผูพูดจะตองเตรียมเนื้อหา ประสบการณ ซึ่งยอมจะตองแฝงอคติ ความชอบหรือไมชอบสวนตนไว การพูด
สาระที่จะพูดใหครบถวนตามจุดประสงคที่ตั้งไวและฝกฝนอยางสมํ่าเสมอ เลาเรื่องที่ดีผูพูดควรรักษาอารมณของตนเองใหมั่นคงในขณะที่เลา เพราะการ
จนเกิดทักษะความชํานาญ เมื่อถึงสถานการณจริงจะไดไมประหมาหรือ เลาเรื่องในบางครั้งอาจมีผูฟงแสดงความคิดเห็นที่ไมสอดคลองกับความคิดเห็น
ตื่นเตน ดังนั้นจึงตอบขอ 4. ของผูเลาเรื่อง หากไมรักษาอารมณใหมั่นคง ไมยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น
ก็อาจกอใหเกิดความขัดแยงไดในภายหลัง
คู่มือครู 87
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนคัดเลือกเรื่องที่มีโอกาสไดฟงและดูจาก 1
สื่อตางๆ ใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการ ๒.๒) การใช้น�้าเสียง ต้องเล่ำให้ดังพอได้ยินกันทั่วถึง ใช้น�้ำเสียงให้สอดคล้องกับอำรมณ์
พูดเลาเรื่อง รางบทพูดเพื่อนํามาถายทอดให ของตัวละครและมีจังหวะในกำรเล่ำ เมื่อใดควรเน้นเสียง เมื่อใดควรจะใช้เสียงธรรมดำ หรือเมื่อใด
เพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน โดยเรื่องที่เลือก ควรหยุดเพื่อพักหำยใจและเรียกร้องควำมสนใจ
อาจมีเนื้อหาในเชิงสารคดีหรือบันเทิงคดีก็ได ๒.๓) การใช้สีหน้าท่าทาง ผู้เล่ำควรปรับเปลี่ยนสีหน้ำท่ำทำงให้สอดคล้องกับอำรมณ์
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ ของตัวละครและบรรยำกำศในเรื่อง กวำดสำยตำให้ทั่วถึง ไม่ควรจับอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งนำนเกินไป
ที่ดีของการพูดเลาเรื่องจากสื่อที่ไดฟง และดู ใช้สำยตำประกอบกำรเล่ำเรื่องให้สอดคล้องกับอำกัปกิริยำของตัวละคร
เพือ่ ใชประเมินการพูดของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ๒.๔) การสร้างอารมณ์ ผู้เล่ำควรสร้ำงอำรมณ์ให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง แต่พึงระวังอย่ำใช้
ในชัน้ เรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไข อำรมณ์มำกเกินไปจนเป็นกำรแสดงละคร ถ้ำเล่ำเรื่องตลกอย่ำหัวเรำะแสดงควำมขบขันเสียเอง
ในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของนักเรียนควร ๒.๕) การใช้อุปกรณ์ เรื่องบำงเรื่องจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบกำรเล่ำ เช่น เสียงประกอบ
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ภำพประกอบ หุ่นจ�ำลอง เป็นต้น ผู้เล่ำควรจะเตรียมไว้ให้พร้อมและใช้ให้ถูกตำมขั้นตอนของเรื่อง
(แนวตอบ ๒.๖) การวิเคราะห์ผู้ฟัง หลักทั่วไปในกำรวิเครำะห์ผู้ฟัง คือ ค�ำนึงถึงเพศ วัย ระดับ
• เรื่องที่คัดเลือกมาเลาเปนเรื่องที่นาสนใจ กำรศึกษำ อำชีพ และรสนิยม กำรวิเครำะห์ผู้ฟังจะท�ำให้ผู้พูดเลือกเรื่องได้สอดคล้องกับควำมต้องกำร
และเกิดขึ้นจริง ของผู้ฟัง
• ผูพูดมีกลวิธีการเลาเปนลําดับขั้น โดย
เริ่มจากกลาวทักทายผูฟงทั้งกอนและหลัง
๒.๓ ประโยชน์ของการเล่าเรือ่ ง
การพูด เกริ่นนําใหเห็นความสําคัญของเรื่อง กำรเล่ำเรื่องมีประโยชน์ ดังนี้
ระบุแหลงที่มา เลาเรื่องไดนาสนใจ ในขณะที่ ๑. ช่วยให้ผฟู้ งั มีควำมรู้ ประสบกำรณ์ทไี่ ด้ทรำบรำยละเอียดเกีย่ วกับเรือ่ งทีน่ ำ่ รูเ้ ป็นกำรเปิดทำง
เลาใชนํ้าเสียง สีหนา ทาทาง หรือสื่อประกอบ ไปสู่ควำมก้ำวหน้ำในอนำคต
ไดสอดคลองกับเรื่อง ลําดับเหตุการณในเรื่อง ๒. สร้ำงควำมบันเทิง ผ่อนคลำยควำมเครียดแก่ผู้ฟัง
ไมสับสน สรุปลงทายเกี่ยวกับเรื่องที่เลา ๓. สร้ำงจินตนำกำรให้กับผู้ฟัง
ไดนาประทับใจและเปนประโยชนตอผูฟง ๔. สร้ำงแนวควำมคิดใหม่ ช่วยให้ผู้ฟังสำมำรถน�ำควำมคิดมำผสมผสำนกันเกิดเป็นกำรสร้ำง
• ผูพูดสามารถใชภาษาสื่อสารไดเหมาะสม พฤติกรรมที่ดี โดยเฉพำะกำรฟังนิทำนหรือเรื่องที่เล่ำเป็นบทควำมต่ำงๆ
และเปนสํานวนของตนเอง ๕. ช่วยสร้ำงสรรค์บุคคลและสังคม สะท้อนควำมส�ำคัญ ควำมรุ่งเรือง และควำมเสื่อมโทรม
• ผูพูดมีมารยาทในการพูด เชน แตงกาย ของบุคคลหรือสังคมมนุษย์ เพื่อเป็นแนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิต กำรแก้ไขปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
สะอาดเรียบรอย รักษาเวลาในการพูด) เพื่อเป็นแนวทำงกำรป้องกันภัยอันตรำย ภัยจำกสงครำม และภัยจำกโรคร้ำยต่ำงๆ
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา ๖. กำรเล่ำเรื่องช่วยพัฒนำตัวผู้เล่ำให้มีบุคลิกดี มีควำมมั่นใจในตนเอง รู้จักกำรใช้ภำษำได้ดี
ที่ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู และถูกต้อง รักกำรค้นคว้ำ ช่วยให้เป็นผู้ที่สำมำรถล�ำดับควำมคิดต่ำงๆ ของตนเองได้ดีอีกด้วย
กำรจับใจควำมเป็นพืน้ ฐำนทีส่ ำ� คัญในกำรศึกษำวิชำกำรด้ำนต่ำงๆ เพรำะจะช่วยให้รจู้ กั คิด รู้จัก
วิเครำะห์ใจควำมส�ำคัญของสำร สำมำรถประมวลควำมคิดนัน้ ๆ อย่ำงเป็นระบบเพือ่ บันทึกหรือถ่ำยทอด
ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้ำใจได้
88
กิจกรรมสรางเสริม
นักเรียนควรรู
1 การใชนํ้าเสียง เปนสิ่งที่สามารถเราอารมณความรูสึกของผูฟงใหมีตอเรื่อง นักเรียนศึกษาวาการฟงและดูเรื่องประเภทสารคดี เมื่อจะนํามาพูด
หรือเนื้อหาสาระที่ผูพูดกําลังพูดได ดังนั้น ผูพูดที่ดีจึงตองมีคุณภาพเสียงที่ดี ใชเสียง ถายทอดใหผูอื่นรับทราบจะมีแนวทางอยางไร โดยนําเสนอผลการศึกษา
ทีด่ งั พอเหมาะ คือดังพอทีผ่ ฟู ง ซึง่ นัง่ อยูแ ถวสุดทายจะไดยนิ การพูดทีช่ ดั เจนจะทําให ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ผูพูดมีความนาเชื่อถือ ผูพูดไมควรพูดชาจนเกินไป เพราะอาจทําใหผูฟงเกิดความ
รําคาญ แตก็ไมควรพูดเร็วเกินไปจนทําใหเกิดขอผิดพลาด
กิจกรรมทาทาย
บูรณาการ
เศรษฐกิจพอเพียง นักเรียนศึกษาวาการฟงและดูเรื่องประเภทบันเทิงคดี เมื่อจะนํามาพูด
ใหนักเรียนสํารวจ คนควา หรือตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับเหตุการณในชีวิตประจําวัน ถายทอดใหผูอื่นรับทราบจะมีแนวทางอยางไร โดยนําเสนอผลการศึกษา
ที่สะทอนใหเห็นความพอเพียงในดานตางๆ แลวนําเรื่องราวที่ประทับใจเหลานั้นมา ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
เลาสูเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อเปนสวนหนึ่งของการสรางความพอเพียงใหเกิดมีขึ้นแก
คนรอบขาง คนใกลตัว
88 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๓ การพูดเชิงวิชาการ ความรูในประเด็น “การพูดรายงานเรื่องหรือ
การพูดเชิงวิชาการ ในระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนต้น คือ กำรน�ำเสนอผลกำรศึกษำค้นคว้ำ ประเด็นที่เลือกศึกษาคนควาจากการฟง
ตำมที่ครูมอบหมำย โดยนักเรียนจะเขียนรำยงำนทำงวิชำกำรตำมรูปแบบที่ก�ำหนด แล้วพูดน�ำเสนอ การดูและสนทนา”
สิ่งที่ได้ศึกษำค้นคว้ำหน้ำชั้นเรียน เป็นกำรพูดรำยงำนเนื้อหำวิชำกำร โดยกำรอธิบำย เล่ำเรื่อง 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
วิเครำะห์เพื่อพัฒนำทักษะกำรเรียนรู้ครบทั้ง ๔ ด้ำน ได้แก่ ฟัง พูด อ่ำน และเขียน ซึ่งตรงกับ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
หัวใจนักปรำชญ์ คือ สุ. จิ. ปุ. ลิ. กำรพูดเชิงวิชำกำร มีหลำยแบบด้วยกัน ดังนี้ การพูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่เลือกศึกษา
๑) การประชุม คือ กำรที่บุคคลหลำยฝ่ำยได้พบปะกันด้วยวัตถุประสงค์อย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง คนควาจากการฟง การดู และสนทนา โดยใช
หรือหลำยอย่ำง เพื่อพิจำรณำ ปรึกษำ ขอค�ำแนะน�ำ ขอควำมคิดเห็น เพื่อด�ำเนิินงำน หรือประสำนงำน ความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
โดยมีระเบียบวำระกำรประชุม และมีบันทึกรำยงำนกำรประชุม ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตน
๒) การสัมมนา คือ กำรประชุมปรึกษำหำรือกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียวในวงกว้ำง สําหรับตอบคําถาม
กำรสัมมนำประกอบด้วย วิทยำกร ผูเ้ ข้ำร่วมกำรสัมมนำ ผูส้ มั มนำทีไ่ ด้รบั มอบหมำยให้เป็นผูน้ ำ� อภิปรำย • กระบวนการคนหาขอมูลเพื่อนํามาทํา
เฉพำะเรื่อง ซึ่งมักเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้ำนวิชำกำรหรือบริหำรเพียงด้ำนเดียว รายงานเชิงวิชาการ ในความคิดเห็นของ
๓) การอภิปราย มักใช้ในเรื่องกำรแสดงควำมคิดเห็น เช่น เพื่อแลกเปลี่ยนควำมรู้ เพื่อแก้ไข นักเรียนมีวิธีการใดบาง
ปัญหำสังคม เพื่อลงมติว่ำสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดอย่ำงไร เพื่อสร้ำงทัศนคติแบบประชำธิปไตย (แนวตอบ สามารถคนควาไดจากขอมูล
๔) การพูดรายงาน นิยมใช้ในห้องเรียน โดยผู้รำยงำนมีเอกสำรรวมเล่มส่งครูผู้สอน และ ปฐมภูมิ เชน การสอบถาม การสัมภาษณ
อำจมีเอกสำรย่อยแจกผู้ฟังด้วย กำรพูดรำยงำนมักจะพูดตอนที่ส�ำคัญๆ และเรื่องที่นอกเหนือจำก การสนทนา การฟง การดู การเก็บขอมูล
เอกสำรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่รำยงำน กำรพูดรำยงำนหน้ำชั้นเรียนส่วนใหญ่เป็นหน้ำที่ของหัวหน้ำกลุ่ม ภาคสนาม หรือขอมูลทุติยภูมิ เชน การอาน
หรือเลขำนุกำรกลุ่มที่เป็นผู้กล่ำวรำยงำนสรุปสำระส�ำคัญ งานหรือขอมูลที่เกี่ยวของกับประเด็นของ
กำรพูดเพื่อเสนอรำยงำน ควรยึดหลัก ดังนี้ รายงานซึ่งมีผูศึกษาไวบางแลว)
๑. พูดข้อมูลที่ค้นคว้ำมำจำกกำรท�ำรำยงำนไปตำมล�ำดับให้ต่อเนื่องกัน ถ้ำเป็นเรื่องยำว • การฟง การดู และสนทนามีความเกี่ยวของ
ต้องแบ่งเป็นหัวข้อ พูดแต่ละข้อให้สัมพันธ์กัน อยางไรกับการพูดรายงานเชิงวิชาการ
๒. ใช้ภำษำพูดทีก่ ระชับ เข้ำใจง่ำย สุภำพ พูดด้วยเสียงทีด่ งั พอสมควร หนักแน่น แสดงควำม (แนวตอบ รายงานเชิงวิชาการในบางประเด็น
มั่นใจ อำจอ่ำนข้อควำมส�ำคัญบำงตอน ถ้ำมีเอกสำรแจกควรแนะน�ำให้ดูโดยบอกเลขหน้ำและบรรทัด ตองอาศัยขอมูลที่เกิดจากการใชทักษะ
ให้ผู้ฟังได้พบข้อควำมนั้นๆ ก่อนจึงพูดต่อ การฟง การดู และสนทนาในการคนควา
๓. เสนอข้อมูลตรงประเด็นและยกหลักฐำน เหตุผลมำประกอบกำรพูดอย่ำงเพียงพอ หาขอมูล)
ไม่มำกหรือน้อยเกินไป • นักเรียนมีแนวทางในการฟง การดู และ
๔. ไม่ใช้ภำษำต่ำงประเทศถ้ำมีค�ำภำษำไทยใช้อยู่แล้วและเป็นที่รู้จัก นอกจำกเป็นค�ำใหม่ สนทนาเพื่อนําขอมูลที่ไดมาใชทํารายงาน
หรือเป็นศัพท์เฉพำะวงกำรนั้นๆ เชิงวิชาการอยางไร
๕. พูดค�ำควบกล�้ำและเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องชัดเจน มิฉะนั้นจะผิดควำมหมำย รวมทั้ง (แนวตอบ นําขอมูลที่บันทึกไวมาจัดหมวดหมู
ออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องตำมหลักภำษำไทย คัดกรอง รวบรวม และเรียบเรียง เลือกใช
ขอมูลที่เปนประโยชนและเกี่ยวของกับ
89 หัวขอของรายงาน)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดคือการแสดงออกทางภาษาที่ถูกตองเมื่อพูดรายงานเชิงวิชาการ
ครูควรชีแ้ นะใหแกนกั เรียนเกีย่ วกับการสืบคนขอมูลเพือ่ นํามาทํารายงานเชิงวิชาการ
1. ประมวลใชถอยคําที่แฝงมุกตลกขบขัน
นอกจากวิธกี ารอานแลว ยังสามารถสืบคนขอมูลไดจากการฟง การดู และสนทนา
2. ประณมใชถอยคําแสดงความเปนกันเองกับผูฟง
ซึ่งการสนทนา หมายถึง ปรึกษาหารือ พูดจาโตตอบกัน เปนพฤติกรรมการสื่อสาร
3. ประไพใชถอยคําเพื่อเราอารมณความรูสึกของผูฟง
ซึ่งประกอบดวยบุคคลตั้งแตสองคนขึ้นไป พูดคุยกันดวยจุดประสงคตางๆ
4. ประพิศใชถอยคําที่เปนทางการ กระชับ เขาใจงาย
วิเคราะหคําตอบ การพูดรายงานเชิงวิชาการเปนการพูดเพื่อแสดงขอมูล
ความรูที่ผานการวิเคราะหตามหลักวิชา ภาษาที่ใชจึงควรเปนภาษา นักเรียนควรรู
ในระดับทางการ สั้น กระชับ ชัดเจน ถูกหลักไวยากรณ และเขาใจงาย
ดังนั้นจึงตอบขอ 4. 1 การพูดเชิงวิชาการ เปนการพูดเพื่อใหความรู ความเขาใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตอผูฟง โดยมีหลักฐานอางอิงทางวิชาการที่สามารถพิสูจนได ขอมูลที่นํามาพูดได
ผานการวิเคราะห วิจัยตามหลักวิชาการ ผูพูดควรใชภาษาที่เขาใจงายเพื่อถายทอด
ความรู มีความสามารถในการลําดับความคิด และฝกฝนการพูดอยางถูกวิธี
เปนประจําจนเกิดความชํานาญ
คู่มือครู 89
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนจับกลุมตามความสมัครใจ กลุมละ
ไมเกิน 6 คน รวมกันปรึกษาเพื่อลงมติในการ การพูดรายงาน ควรปฏิบัติ ดังนี้
เลือกหัวขอหรือประเด็นสําหรับการทํารายงาน ล�าดับการพูดรายงาน
เชิงวิชาการ โดยนักเรียนจะตองมีวิธีการสืบคน ● แนะน�ำตนเอง
ขอมูลจากการฟง การดู และสนทนา โดยที่ “กระผมนำยยอดดี มีสุข เป็นหัวหน้ำกลุ่ม ๕
● บอกหัวข้อเรื่องที่รำยงำน
นักเรียนอาจเลือกศึกษาในประเด็น ดังนี้ ท�ำหน้ำที่เป็นตัวแทนกลุ่มมำรำยงำน...
● บอกชื่อสมำชิกในกลุ่ม
ปราชญชุมชน ศิลปะพื้นบานในชุมชน การผลิต ในกลุ่ม ๕ มีสมำชิก ๗ คน ได้แก่...
● บอกคุณและโทษของขยะ
สินคาขึน้ ชือ่ ภายในชุมชน รวมกันสืบคน คนควา ● บอกวิธีท�ำขยะแปรรูป ขอสรุปรำยงำนเรื่องขยะแปรรูป
กล่ำวชักชวนให้ผู้ฟังปฏิบัติตำม ในกลุ่มกระผมได้คิดแปรรูปขยะ...
ขอมูล เรียบเรียงเปนรูปเลมรายงานใหถูกตอง ●
2. นักเรียนรวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะ
ที่ดีของการพูดรายงานเชิงวิชาการเพือ่ ใช บอกเล่าเก้าสิบ
ประเมินการนําเสนอหนาชัน้ เรียนของเพือ่ นๆ
ซึง่ คําตอบของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น พลังแห่งการพูด
ดังตอไปนี้ การพูดเป็นการสื่อสารที่มีความส�าคัญ อาจก่อให้เกิดประโยชน์ หรือโทษได้ทั้งกับตัวผู้พูดเอง
(แนวตอบ หรือกับผู้ฟัง ดังที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีต่างๆ เช่น
• ประเด็นที่เลือกศึกษามีความนาสนใจและ
เปนประโยชนตอกลุมผูฟง ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
ความส�าคัญ
แม้นพูดชั่วตัวตายท�าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
• ระบุวิธีการสืบคน ขอมูลมีความนาเชื่อถือ ของการพูด
(นิราศภูเขาทอง : สุนทรภู่)
• นําเสนอเปนลําดับขั้นตอน โดยเริ่มจาก
การกลาวทักทายผูฟง แจงประเด็น พรอมทั้ง เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
เกริ่นนํา ใหเห็นความสําคัญและสาเหตุที่เลือก คิดก่อนพูด แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
หัวขอรายงาน นําเสนอเนื้อหาไดครอบคลุม (สุภาษิตสอนหญิง : สุนทรภู)่
ใชนํ้าเสียง ทาทาง สีหนา และสื่อประกอบได จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่าค�าพูดมีความส�าคัญและมีอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อ
สอดคลอง และความรู้สึกของผู้ฟัง ดังนั้น ผู้พูดต้องคิดพิจารณาไตร่ตรองความคิดก่อนพูด เพื่อให้การสื่อสาร
• ใชภาษาไดถูกตองตามหลักภาษา เขาใจงาย เกิดประสิทธิภาพและผู้รับสารมีความประทับใจ
และเปนสํานวนของตนเอง
• Team work และมีมารยาทในการพูด)
คําตอบของนักเรียนอาจนอกเหนือจากที่ 90
ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู
บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู นักเรียนรวมกันศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ “Stop Teen Mom
หยุดการตัง้ ครรภไมพรอมในวัยรุน ” บันทึกขอมูลหรือประเด็นตางๆ จากสิง่
ครูควรสรางองคความรูเกี่ยวกับขั้นตอนการสนทนาเพื่อนําขอมูลมาใชประกอบ
ที่ไดฟงและดูไวรวมกัน จากนั้นใหรวมกันคิดวานักเรียนจะมีสวนรวมแกไข
การทํารายงาน โดยชี้แนะวาในเบื้องตนจะเกิดขึ้นจากภายในกลุมกอน กลาวคือ
ปญหาอยางไร โดยใหนําความรูดานทักษะการพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู
เมื่อไดขอมูลบางประการมา แลวมีความคิดเห็นที่ตางออกไป นักเรียนก็จะตอง
ไมวาจะเปนการพูดสรุปความ การเลาเรื่อง การแสดงความคิดเห็น
สนทนาภายในกลุมเกี่ยวกับแนวทางการนําขอมูลไปใช แตถามีการสนทนานอกกลุม
การประเมินความนาเชื่อถือ มาบูรณาการเขากับกลุมสาระการเรียนรู
สนทนากับผูอื่น ผูเปนเจาของขอมูลที่จะนํามาใชประกอบเนื้อหาของรายงาน เรียก
สุขศึกษาและพลศึกษา โดยอาจรวมกันจัดเสวนาเพื่อเผยแพรแนวทาง
วิธีการนั้นวา “การสัมภาษณ” หรือ “การสอบถาม” คณะผูจัดทําจะตองรวมกัน
ปองกันตนเอง จัดโครงการหรือจัดรายการเสียงตามสาย นําเสนอเนื้อหา
ติดตอแหลงขอมูล นัดเวลา เตรียมประเด็นคําถาม อุปกรณบันทึกเสียง เมื่อเริ่มตน
สาระเพื่อปลูกฝงคานิยมเกี่ยวกับการรักนวลสงวนตัว การเห็นคุณคาใน
สนทนาควรกลาวทักทายแนะนําตนเอง ระหวางสนทนาควรเปนทั้งผูพูดและผูฟง
ตนเอง การบูรณาการในลักษณะดังกลาว เปนการบูรณาการเชิงสรางสรรค
ที่ดี ใชถอยคําที่สุภาพในการตั้งคําถาม ใชนํ้าเสียง สีหนา ทาทาง แววตาประกอบ
ที่มีประโยชนตอการดํารงชีวิตประจําวันของนักเรียน เปนการนําสิ่งที่ไดฟง
การสนทนาอยางสุภาพ ในกลุม ควรมีผทู เี่ ปนคนตัง้ คําถาม ผูจ ดบันทึก ผูด แู ลอุปกรณ
และดูมาเผยแพรแกผูอื่นขยายผลตอภายในโรงเรียนของตนเอง
บันทึกเสียง เมื่อจบการสัมภาษณควรกลาวขอบคุณในความรวมมือและกลาวอําลา
อยางสุภาพ หากปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้ ก็จะทําใหไดขอมูลที่มีประสิทธิภาพ
เอื้อประโยชนตอการทํารายงาน
90 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
๔ การพูดเชิงสร้างสรรค์ ความรูในประเด็น “การพูดเชิงสรางสรรค”
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
การพูดแสดงความคิดเห็น ติ ชม วิจำรณ์ เสนอแนะในทำงที่สำมำรถจะน�ำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อำจเป็นกำรพูดให้ก�ำลังใจ ให้ข้อคิดพิจำรณำข้อเท็จจริง ถ้ำสิ่งใดดีแล้วให้ท�ำได้เลย สิ่งใดควรปรับปรุง
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
ก็เสนอแนะให้ปรับปรุง และสิ่งใดไม่ดีควรแนะน�ำให้ตัดทิ้งไป ซึ่งกำรพูดในลักษณะนี้ต้องมีวิธีกำรพูด
จูงใจให้คล้อยตำม อำจยกตัวอย่ำงให้เห็นจริงชัดเจนจนยอมรับและเชื่อถือในควำมคิดเห็นนั้น กำรพูด
การพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค
แสดงควำมคิดเห็นเชิงสร้ำงสรรค์ต้องมีจุดประสงค์เพื่อให้มีกำรแก้ไขปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องที่ฟงและดู โดยใชความรู ความเขาใจ
ในทำงที่ดีงำมเป็นหลัก ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 4
๑) การพูดแสดงความคิดเห็น เป็นกำรพูดที่แสดงควำมเชื่อ ควำมคิด หรือควำมรู้สึก เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีลักษณะต่ำงๆ ดังนี้ • นักเรียนคิดวาพฤติกรรมใดบางที่สะทอน
๑. ควำมคิดเห็นเฉพำะตัว เช่น ฉันชอบหน้ำหนำวมำกกว่ำหน้ำร้อน ใหเห็นวา ผูพูดเปนผูมีมารยาทในการพูด
๒. กำรแสดงควำมรู้สึก เช่น ฉันเกิดเป็นคนไทยก็ขอตำยในเมืองไทย (แนวตอบ นักเรียนระบุพฤติกรรมได
๓. กำรคำดคะเนไม่แน่นอน เช่น เด็กคนนี้ฉลำดพูดน่ำจะเรียนเก่งนะ หลากหลาย ครูชี้แนะเพิ่มเติม)
๔. แสดงกำรเปรียบเทียบ เช่น คนไม่รู้ค่ำของที่มีอยู่เหมือนวำนรได้แก้ว • การพูดแสดงความคิดเห็นและการวิเคราะห
๕. แสดงกำรแนะน�ำหรือเสนอแนะ เช่น อำหำรเช้ำจะช่วยบ�ำรุงร่ำงกำยให้มีพลังสมอง ความนาเชื่อถือของเรื่องที่ไดฟงและดู
และพลังกำยในกำรเรียน หรือกำรท�ำงำนได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ มีความสัมพันธกันอยางไร
๒) การพูดให้ก�าลังใจ เป็นกำรพูดที่มีพลัง ให้คติเตือนใจ สอนใจที่ควรน�ำมำเป็นแง่คิดในกำร (แนวตอบ การพูดแสดงความคิดเห็น คือ
สร้ำงสรรค์ให้ชีวิตดีขึ้น ให้อดทนต่อสู้ ท�ำในสิ่งที่ถูกที่ควร ล้วนเป็นกำรพูดเชิงสร้ำงสรรค์ทั้งสิ้น เช่น การพูดเพื่อถายทอดความรูสึก ความคิดของ
ผูพูดที่มีตอเรื่องนั้นๆ ดวยการยกเหตุผล
ชีวิตคือกำรต่อสู้ ศัตรูคือยำก�ำลัง ควำมหวังคือเข็มทิศ
ใจเป็นนำย กำยเป็นบ่ำว
ที่ชัดเจนประกอบ ซึ่งการพูดแสดงความ
คิดดี ท�ำดี พูดดี ชีวีเป็นสุข คิดเห็นเปนพื้นฐานของการวิเคราะหความ
ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ กตัญญู คือผู้เจริญ นาเชื่อถือของเรื่อง กลาวคือ เมื่อมีการให
คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว คนชั่วชอบท�ำลำย เหตุผลที่เพียงพอก็จะทําใหผูพูดสามารถ
1 วิเคราะหไดวาเรื่องนั้นๆ มีความนาเชื่อถือ
๓) การพูดติชม หมำยถึง กำรพูดติเพื่อก่อและชมให้ก�ำลังใจ ซึ่งควำมจริงควรพูดชมก่อนติ หรือไม อยางไร)
โดยให้เหตุผลประกอบและเสนอแนะด้วย เช่น 3. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวา
แหลงขอมูลของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 4
“พี่ว่ำ...น้องใส่ชุดนี้สีสันสดใส สมกับวัย เข้ำกับผิว มีความนาเชือ่ ถือหรือไม เพราะเหตุใด
แต่นำ่ เสียดำยที่แบบมันสั้นไปหน่อย น่ำจะลุกนั่งไม่ถนัด (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
เวลำนั่งลงกรำบจะตึงร่นท�ำให้อึดอัดไม่สะดวก ไดอยางอิสระ ซึ่งครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
ถ้ำเปลี่ยนชุดก็ให้ยำวกว่ำนี้เพื่อลุกนั่งสบำยๆ ก็จะดีนะ”
91
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
นักเรียนคิดวาปจจัยใดบางที่ทําใหความคิดเห็นของบุคคลมีความ
แตกตางกัน 1 ติชม เปนการพูดเพื่อแสดงความคิดเห็นประการหนึ่ง เปนลักษณะการพูด
ที่เรียกวา “ติเพื่อกอ” การพูดในลักษณะนี้ผูพูดจะกลาวถึงขอบกพรองตางๆ
แนวตอบ ความคิดเห็น คือความรูสึกที่บุคคลมีตอเรื่องหนึ่งๆ ซึ่งความ แตในขณะเดียวกันก็ไดแนะนําหรือเสนอแนะแนวทางแกไขไวใหดวย เปนการพูด
รูสึกที่จะเกิดขึ้นโดยสวนใหญมี 2 ประการ คือ ชอบและไมชอบ แตการ ดวยความหวังดี มีเจตนาหวังจะใหเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แสดงความคิดเห็นที่ดีและมีลักษณะสรางสรรค ผูแสดงความคิดเห็นควร นับเปนการพูดในเชิงสรางสรรค
มีเหตุผล ขอมูลประกอบ กลาวคือ ตองอธิบายไดวา ตนเองชอบ หรือ
ไมชอบ เพราะอะไร และเหตุผลนั้นตองมีนํ้าหนักนาเชื่อถือ ไมใชตั้งอยู
บนพืน้ ฐานของอารมณเพียงอยางเดียว ซึง่ สิง่ ทีท่ าํ ใหแตละคนมีความคิดเห็น
แตกตางกัน มีสาเหตุหลายประการ เชน ระดับความสามารถ สติปญญา
การคิด การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว ประสบการณสวนตน ศาสนา
ความเชื่อ วัฒนธรรม คานิยม ประเพณี เปนตน
คู่มือครู 91
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนคัดเลือกรายการเชิงสารคดีที่มีโอกาส
ไดรับชม ใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ ๔) มารยาทการพูด มนุษย์ไม่สำมำรถด�ำรงชีวติ อยูไ่ ด้ตำมล�ำพัง ย่อมต้องมีเครือ่ งมือทีใ่ ช้ตดิ ต่อ
การพูดเลาเรื่องและการพูดแสดงความคิดเห็น สื่อสำรเพื่อถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด หรือบอกควำมต้องกำรของตนแก่ผู้อื่น ซึ่งกำรพูดถือเป็นหนึ่ง
เชิงสรางสรรค บูรณาการรวมกัน รางบทพูด ในเครื่องมือที่มนุษย์เลือกใช้ กำรพูดที่ประสบผลส�ำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหำสำระเพียงประกำรเดียว
เพื่อนํามาถายทอดใหครูและเพื่อนๆ ฟง โดย แต่ยงั รวมถึงมำรยำทของผูพ้ ดู อีกด้วย โดยแบ่งมำรยำททีจ่ ะต้องปฏิบตั ใิ นกำรพูดออกเป็น ๒ รูปแบบ ดังนี้
เลาเรื่องและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ๔.๑) การพูดระหว่างบุคคล เมื่อพบบุคคลที่รู้จักย่อมต้องทักทำยกันเพื่อแสดงไมตรีที่ดี
ในประเด็นตางๆ ทีไ่ ดจากการสังเกต ผาน ต่อกัน สื่อสำรด้วยถ้อยค�ำสุภำพ ไม่หยำบคำย ไม่โอ้อวด ยกตนข่มท่ำน หลีกเลี่ยงกำรถำมเรื่องส่วนตัว
มุมมองความคิดของตนเอง เชน สาระ หรือถำมในเรื่องที่คู่สนทนำไม่สบำยใจที่จะตอบ ไม่พูดเฉพำะเรื่องของตน แต่ควรฟังในขณะที่ผู้อื่น
การดําเนินรายการ เปนตน พรอมทั้งวิเคราะห พูด ไม่พูดแทรกในขณะที่ผู้อื่นก�ำลังแสดงควำมคิดเห็น รู้จักกล่ำวค�ำขอบคุณ ขอโทษให้เหมำะสมกับ
ความนาเชื่อถือของเนื้อหาสาระตอนที่รับชม สถำนกำรณ์ เมื่อสนทนำกับผู้ใหญ่ ควรให้เกียรติ ให้ควำมเคำรพ ส�ำรวมกิริยำอำกำรให้สุภำพเรียบร้อย
2. นักเรียนรวมกันตัง้ เกณฑเพือ่ กําหนดลักษณะทีด่ ี พูดด้วยน�้ำเสียงที่นุ่มนวล ไม่โต้เถียง หรือไม่พูดแทรกในขณะที่ผู้ใหญ่ก�ำลังพูด
ของการพูดแสดงความคิดเห็นเชิงสรางสรรค ๔.๒) การพูดในที่สาธารณะ ผู้พูดต้องรักษำมำรยำทให้มำกกว่ำกำรพูดระหว่ำงบุคคล
เกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู เพื่อใชประเมินการพูด เพรำะกำรพูดในที่สำธำรณะย่อมมีผู้ฟังมำกกว่ำ และมีควำมแตกต่ำงทั้งด้ำนอำยุ กำรศึกษำ ค่ำนิยม
ของตนเอง รวมถึงเพือ่ นๆ ในชัน้ เรียน และใชเปน ผู้พูดสำมำรถน�ำมำรยำทในกำรพูดระหว่ำงบุคคลมำปรับใช้ได้ แต่ควรปฏิบัติเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้อง
แนวทางปรับปรุงแกไขในครั้งตอไป ซึ่งคําตอบ กับกำรแต่งกำยให้สุภำพเรียบร้อย ไปถึงสถำนที่พูดก่อนเวลำเล็กน้อยเพื่อเตรียมควำมพร้อม ในขณะที่
ของนักเรียนควรครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ พู ด ต้ อ งไม่ พ ำดพิ ง เรื่ อ งส่ ว นตั ว ของผู ้ อื่ น ในที่ ป ระชุ ม พู ด ด้ ว ยเสี ย งดั ง ชั ด เจน ให้ ไ ด้ ยิ น ทั่ ว ถึ ง กั น
(แนวตอบ ใช้นำ�้ เสียงทีส่ ภุ ำพ ไม่พดู เกินเวลำทีก่ ำ� หนด นอกจำกนีค้ วรให้ควำมส�ำคัญกับผูฟ้ งั ด้วยกำรกวำดสำยตำมอง
• เปนเรื่องที่นาสนใจ เกิดขึ้นจริงและเปน อย่ำงทั่วถึง ไม่จับจ้องไปที่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือจ้องมองอย่ำงไร้จุดหมำย รวมถึงไม่น�ำปมด้อย พฤติกรรมของ
ประโยชนตอผูฟง ผู้อื่นมำพูดล้อเลียนในที่ประชุม
• ผูพูดมีกลวิธีการพูดแสดงความคิดเห็น
เปนลําดับขั้น โดยเริ่มจากการกลาวทักทาย การฟัง การดู และการพูดในชีวิตประจÓวัน ต้องอาศัยการฝึ ก ฝนและสั่ ง สม
ผูฟง เกริ่นนําใหเห็นความสําคัญของเรื่อง ประสบการณ์อย่างต่อเนือ่ ง ถือเป็นกระบวนการสะสมความรูอ้ ย่างหนึง่ โดยเฉพาะอย่างยิง่
ระบุแหลงที่มา แสดงความคิดเห็น วิเคราะห เมื่อได้ฟังและดูแล้วควรจะสามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย
ความนาเชื่อถือของเรื่องไดโดยมีเหตุผล ดังนัน้ ก่อนการพูดควรพิจารณาเนือ้ หา ตลอดจนการใช้ภาษาอย่างประณีตและพิจารณา
สรุปจบทายประทับใจใหแงคิดแกผูฟง ว่าจะก่อให้เกิดผลแก่ผู้ฟังอย่างไร
ใชนํ้าเสียง ทาทางหรือสื่อไดสอดคลอง
กับเรื่อง
• ใชภาษาในเชิงสรางสรรคเพื่อแสดงความ
คิดเห็นและมีมารยาทในการพูด)
คําตอบของนักเรียนอาจมีประเด็นมากกวา
ที่ยกตัวอยางใหอยูในดุลยพินิจของครู
92
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
สถานการณที่กําหนดตอไปนี้ สําหรับครูอานใหนักเรียนฟง เพื่อใหนักเรียน นักเรียนวิเคราะหสถานการณวา “ขวัญใจ ประเมินความนาเชื่อถือ
ปฏิบัติกิจกรรมที่ปรากฏทางดานขวามือ ของโฆษณานั้นอยางไร จึงเกิดปญหาในลักษณะดังกลาว” แสดงผลการ
“ขวัญใจ ชมโฆษณาครีมทาผิวยี่หอ lady beauty คําโฆษณาระบุไววา ‘ทําให วิเคราะหของตนเองในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ผิวขาวกระจางใส สดชื่น กระชับ นุมนวลเหมือนเด็กแรกเกิด เห็นผลทันใจภายใน
1 สัปดาห ผานการวิจัยจากสถาบันที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา จากการทดสอบ
พบวาผูใช 100 เปอรเซ็นตพึงพอใจ lady beauty สิ่งดีๆ ที่คุณคูควร’ ขวัญใจ กิจกรรมทาทาย
จึงไปซื้อครีมมาใชทันที ผานไป 1 สัปดาห ผิวของขวัญใจเริ่มบาง เปนผื่นแดง และ
ไมสามารถถูกแสงแดดได มีผลกระทบตอการดําเนินชีวิตประจําวัน ขวัญใจจึงไป
พบแพทยเฉพาะทาง เพื่อรักษาอาการดังกลาว เสียเงินคารักษาพยาบาลไปเปน นักเรียนศึกษาวาจะมีวิธีหรือแนวทางการประเมินความนาเชื่อถือ
จํานวนมาก จนปจจุบันนี้อาการยังไมหายขาด” กอนเก็บใบความรู ครูสุมเรียกชื่อ ของสารที่มีเนื้อหาโนมนาวใจอยางไรเพื่อไมใหเกิดปญหาดังเชนขวัญใจ
นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน ออกมานําเสนอผลการวิเคราะหและผลการศึกษา แสดงผลการศึกษาของตนเองในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ของตน ซึ่งผลจากการปฏิบัติกิจกรรมจะทําใหนักเรียนมองเห็นแนวทางการประเมิน
ความนาเชื่อถือของสารที่มีเนื้อหาโนมนาวใจ โดยเฉพาะอยางยิ่ง “โฆษณา”
92 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนออกมาพูดสรุปใจความสําคัญเกี่ยวกับ
เนื้อหาสาระตอนที่เลือกจากรายการตางๆ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. นักเรียนออกมาพูดเลาเรื่องที่ไดมีโอกาสฟงและ
ดูจากสื่อตางๆ
3. นักเรียนออกมาพูดเลาเรื่องและแสดงความ
๑. สื่อใดที่จัดว่�มีอิทธิพลต่อก�รใช้ชีวิตประจำ�วันของนักเรียนม�กที่สุด จงอธิบ�ย
พร้อมยกตัวอย่�งประกอบ
คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดูจากรายการ
๒. ก�รพูดจับใจคว�มสำ�คัญจ�กก�รฟังและดูสื่อต่�งๆ ควรมีหลักก�รอย่�งไรบ้�ง ที่เลือกตามความสนใจ พรอมทั้งวิเคราะห
๓. ก�รพูดเล่�เรื่องที่ดีควรคำ�นึงถึงสิ่งใดบ้�ง ความนาเชื่อถือของเรื่อง
๔. ลักษณะเด่นของภ�ษ�ที่ใช้ในก�รพูดเชิงวิช�ก�รคืออะไร 4. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอรายงาน
๕. ก�รพูดในโอก�สใดที่มักใช้ภ�ษ�อย่�งเป็นท�งก�ร เชิงวิชาการในประเด็นที่เลือกศึกษาจากการฟง
การดู และสนทนา
5. ครูตรวจสอบการพูดหรือรางบทพูดของนักเรียน
โดยพิจารณาใหสอดคลองกับเกณฑที่นักเรียน
รวมกันกําหนดขึ้นภายใตคําแนะนําของครู
6. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนแบ่งกลุ่มฟังและดูสื่อจ�กร�ยก�รต่�งๆ ท�งโทรทัศน์หรือวิทยุ
แล้วจับใจคว�มสำ�คัญเพื่อเล่�ให้เพื่อนฟังหน้�ชั้นเรียน 1. รางบทพูดสรุปใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟง
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนพูดเล่�เรื่องจ�กประสบก�รณ์คนละ ๑ เรื่อง หน้�ชั้นเรียน เช่น และดู ความยาวไมเกิน 1 นาที
■ ก�รผจญภัยในค่�ยลูกเสือ 2. รางบทพูดเลาเรื่องที่ไดมีโอกาสฟงและดูจาก
■ ร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน สื่อตางๆ ความยาวไมเกิน 1 นาที
■ บริจ�คสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 3. รางบทพูดเลาเรื่องและแสดงความคิดเห็น
กิจกรรมที่ ๓ สมมติว่�นักเรียนเป็นเจ้�ของผลิตภัณฑ์สินค้� OTOP ชนิดหนึ่ง ให้นักเรียน เชิงสรางสรรคเกี่ยวกับเรื่องที่ฟงและดู ความยาว
พูดนำ�เสนอคว�มเป็นม�และก�รดำ�เนินง�นของผลิตภัณฑ์ต่อที่ประชุม ไมเกิน 1 นาที
กิจกรรมที่ ๔ ก�รพูดเป็นก�รสื่อส�รที่มีคว�มสำ�คัญอ�จก่อให้เกิดประโยชน์ หรือโทษได้
4. รูปเลมรายงานการศึกษาคนควาในประเด็นที่
ทั้งกับผู้พูดและผู้ฟัง ให้นักเรียนรวมกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน ๓ คน ค้นห�
บทร้อยกรองในวรรณคดีเรื่องต่�งๆ ที่นำ�เสนอแนวคิดเกี่ยวกับก�รพูด เลือกศึกษาจากการฟง การดู และสนทนา
ม�อภิปร�ยร่วมกันในชั้นเรียน จ�กนั้นให้นำ�ข้อมูลม�จัดป้�ยนิเทศ
ประจำ�ชั้นเรียนในหัวข้อ “พลังแห่งก�รพูด”
93
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. สื่อที่มีอิทธิพลตอชีวิตประจําวันของมนุษยมากที่สุด คือ สื่ออิเล็กทรอนิกสประเภทตางๆ เชน วิทยุ โทรทัศน เพราะสื่อเหลานี้สามารถเขาถึงกลุมบุคคลไดงาย มีความ
เกี่ยวของใกลชิดกับชีวิตประจําวันของมนุษยมากที่สุด
2. การพูดจับใจความสําคัญจากเรื่องที่ฟงและดูจากสื่อตางๆ ผูพูดควรฟงและดูเรื่องนั้นๆ จนจบตลอดทั้งเรื่อง สรุปความใหไดวาเปนเรื่องเกี่ยวกับอะไร ใคร ทําอะไร
กับใคร ที่ไหน อยางไร เมื่อไร ทําไม โดยใชสํานวนภาษาเปนของผูพูดเอง
3. การพูดเลาเรื่อง คือการถายทอดประสบการณที่เกิดจากการไดอาน ไดฟง หรือไดดู ใหผูอื่นไดรวมรับรู ดังนั้น การพูดเลาเรื่อง ผูพูดที่ดีควรคํานึงถึงเนื้อหาที่นํามาเลา
ควรเปนเรื่องที่เปนประโยชน ชวยเพิ่มพูนสติปญญาและจรรโลงใจใหแกผูฟง
4. การพูดเชิงวิชาการ เปนการพูดเพื่อถายทอดขอเท็จจริงอยางตรงไปตรงมา ดังนั้น ภาษาที่ใชในการพูดเชิงวิชาการจึงไมปรากฏคําที่แสดงความคิดเห็นหรือแสดง
ความลังเลใจ เชน ฉันคิดวา... ขอมูลนี้นาจะ...
5. การพูดที่ใชภาษาทางการ จะขึ้นอยูกับโอกาส กาลเทศะ และเนื้อหาสาระ การใชภาษาที่เปนทางการจะใชสนทนากับบุคคลที่มีอาวุโสสูงกวา บุคคลที่ไมสนิทคุนเคย
และใชสําหรับการพูดในที่สาธารณชน เชน การพูดอภิปราย การพูดบรรยาย
คู่มือครู 93
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูชวนสนทนาเกี่ยวกับสาเหตุที่นกั เรียนตองมี
ความรู ความเขาใจ ทีถ่ กู ตองเกีย่ วกับหลักการใช
ภาษาไทย เพราะหลักภาษาไทยเปนหลักเกณฑที่
ชวยควบคุมใหคนไทยใชภาษาไทยใหเปนแบบแผน
ตอนที่ ô หลักการใชภาษา
ที่ถูกตองตรงกัน และยังชวยอนุรักษเอกลักษณ
ทางภาษาใหคงอยูตอไป จากนั้นตั้งคําถามกับ
นักเรียนวา
• นอกจากภาษาไทยแลว นักเรียนคิดวายังมี
สิ่งใดอีกบาง ซึ่งถือเปนมรดกทางวัฒนธรรม
ของชาติที่ควรรักษาสืบไป และเพราะเหตุใด
(แนวตอบ โบราณสถาน โบราณวัตถุ เพราะ
สิ่งเหลานี้ ทําใหรับรูเรื่องราวความเปนมา
ของประเทศชาติ)
อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซอนใสเสียในฝก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงคอยชักเชือดฟนใหบรรลัย
จับใหมั่นคั้นหมายใหวายวอด ชวยใหรอดรักใหชิดพิสมัย
ตัดใหขาดปรารถนาหาสิ่งใด เพียรจงไดดังประสงคที่ตรงดี
(เพลงย�วถว�ยโอว�ท : สุนทรภู่)
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในตอนที่ 4 หลักการใชภาษา เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมี
ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับหลักภาษาไทย โดยในระดับชั้นนี้ นักเรียนควรเรียนรู
ในเรื่องเสียงในภาษาไทย การสรางคําในภาษาไทย ชนิดและหนาที่ของคํา สํานวน
คําพังเพย สุภาษิต และการแตงบทรอยกรอง สามารถอธิบายลักษณะสําคัญ และนํา
ไปใชไดอยางถูกตอง
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอน โดยใหนกั เรียน
รวมกันสรางองคความรูดวยตนเอง จากการรวมกลุมกันสืบคน ตั้งคําถามเพื่อให
นักเรียนอธิบายความรู ความเขาใจของตนเอง
94 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถอธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย
ซึ่งประกอบดวยเสียงสระ เสียงพยัญชนะ และ
เสียงวรรณยุกต รวมถึงวิธกี ารสรางคําในภาษาไทยได
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มุงมั่นในการทํางาน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู เสียงในภาษาไทยและการสรางคํา
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย ไดแก
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกตไดถูกตอง อธิบายเกี่ยวกับพลังของ
ภาษาในดานตางๆ และรวมถึงอธิบายวิธีการสรางคําในภาษาไทย
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยให
นักเรียนรวมกลุมกันสืบคนองคความรูที่จําเปนตอการอธิบายความรูดวยตนเอง
รวมถึงการตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดทบทวนและแสดงความรู ความเขาใจของตน
ผานคําถามที่ครูเปนผูกําหนดขึ้น
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการจําแนกประเภทและทักษะ
การนําความรูไปใชใหแกนักเรียน
คู่มือครู 95
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนําเขาสูหัวขอ
การเรียนการสอน ๑ เสียงในภาษาไทย
• อวัยวะที่ใชสําหรับการออกเสียงของมนุษย
เสียงในภาษา หมำยถึง เสียงของมนุษย์ที่เปล่งออกมำเพื่อใช้ในกำรสื่อสำร เสียงในภำษำไทย
หากนํามาจัดระบบ จะไดแกระบบใดบาง
ประกอบด้วยเสียงสระ เสี1ยงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ อวัยวะที่ใช้ออกเสียง ได้แก่ ปอด
(แนวตอบ ระบบหายใจ ระบบการเกิดเสียง
หลอดลม และกล่องเสียงที่ล�ำคอ เมื่อลมผ่ ำนเส้นเสียงจะท�ำให้เส้นเสียงสะบัดเกิดเป็นเสียงก้อง
และระบบการเปลงเสียง)
ถ้ำไม่สะบัดมำกเสียงก็จะไม่ก้อง จำกนั้นลมก็จะถูกปล่อยผ่ำนไปทำงช่องปำก แล้วไปกระทบกับ
• อวัยวะตางๆ ในรางกายที่ใชออกเสียง
ส่วนต่ำงๆ ของปำก เช่น ลิ้นไก่ ลิ้น ริมฝีปำก ฟัน ปุ่มเหงือก เพดำนแข็ง เพดำนอ่อน ท�ำให้เสียง
หากมีความผิดปกติ นักเรียนคิดวาตนเอง
ถูกกัก กั้นลมด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปำก หรือถูกกักลมในช่องปำก แล้วปล่อยบำงส่วน
จะสามารถออกเสียงไดหรือไม เพราะเหตุใด
ออกไปทำงข้ำงลิ้น หรือดันลมให้เสียดแทรกอวัยวะต่ำงๆ ออกมำ หรือดันลมให้ขึ้นจมูก ท�ำให้เกิดเป็น
(แนวตอบ อวัยวะในการออกเสียงของมนุษย
เสียงต่ำงๆ
หากมีความผิดปกติหรือบกพรองบริเวณ
สวนใดสวนหนึ่งแลว จะทําใหไมสามารถ
ออกเสียงไดหรือออกเสียงไดไมชัดเจน
เพราะอวัยวะเหลานี้ทํางานสัมพันธกัน)
• นักเรียนคิดวามีสาเหตุใดหรือไม ที่ทําให โพรงจมูก
เสียงพูดของมนุษยมีความแตกตางกัน ริมฝีปาก ฟัน ลิ้น
และความแตกตางกันของเสียงกอใหเกิดผล กล่องเสียง เส้นเสียง
อยางไรตอชีวิตประจําวัน หลอดลม
(แนวตอบ การที่มนุษยมีเสียงแตกตางกันนั้น
มีสาเหตุมาจากอวัยวะที่ใชในการออกเสียง
มีขนาดไมเทากัน เชน เสียงเด็กกับเสียง ปอด
ผูใหญ เสียงของผูหญิงกับเสียงของผูชาย
ซึ่งความแตกตางกันของเสียงจะทําใหมนุษย
แตละคนสามารถจดจําเสียงพูดและวิธีการ
พูดของบุคคลที่เราคุนเคยได)
ภาพแสดงอวัยวะต่างๆ ที่ใช้ในการออกเสียง
96
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดกลาวถึงเสียงในภาษาไดถูกตอง
1 กลองเสียง หรือเสนเสียง เปนอวัยวะสําคัญทีท่ าํ ใหเกิดเสียง เสนเสียงประกอบดวย 1. เสียงในภาษามีเฉพาะในภาษาไทย
เสนเอ็นและกลามเนื้อ 2 แผน เสนเสียงทั้งสองวางขวางอยูตรงกลางกลองเสียง โดย 2. เสียงในภาษาคือเสียงที่ไมมีความหมาย
กลองเสียง คือ สวนที่อยูเหนือหลอดลมขึ้นมา ประกอบดวยกระดูกออนหลายสวน 3. เสียงในภาษาเกิดจากการเลียนแบบจากธรรมชาติ
สวนที่อยูดานหนาคือ กระดูกออนไทรอยด ปลายดานหนึ่งของเสนเสียงทั้งสอง 4. เสียงในภาษาคือเสียงที่เปลงออกมาแลวมีความหมายเพื่อใชสื่อสารกัน
จะเชื่อมอยูกับกระดูกชิ้นนี้ และอยูชิดกัน สวนปลายอีกดานหนึ่งจะเชื่อมอยูกับ ในชีวิตประจําวัน
กระดูกออนอาริตินอยด ซึ่งเปนกระดูกออนอีก 2 ชิ้น กระดูกออนอาริตินอยดกับ
ปลายเสนเสียงดานที่แยกหางจากกันไดจะอยูทางดานหลัง กระดูกออนอาริตินอยด วิเคราะหคําตอบ เสียงในภาษา คือเสียงที่มนุษยเปลงออกมาแลวมี
และกลามเนื้อในกลองเสียง จะทําใหเสนเสียงทั้งสองอยูชิดหรือหางจากกันได ความหมาย ใชสําหรับการติดตอสื่อสารในชีวิตประจําวัน เสียงใน
เมื่อเสนเสียงอยูหางกัน ดานหนาจะชิดกัน สวนดานหลังจะหางกัน ทําใหเกิดเปน ภาษาเปนระบบการทํางานของอวัยวะในรางกายไมใชการเลียนแบบจาก
ชองสามเหลี่ยม ทําใหลมผานเขาไปถึงปอดหรือผานออกมาจากปอดไดสะดวก ธรรมชาติ และภาษาของทุกชนชาติลวนมีเสียงในภาษาเปนของตนเอง
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
96 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทาํ สลากเทากับจํานวนนักเรียนภายในชัน้ เรียน
๑.๑ ลักษณะของเสียงในภาษาไทย โดยเขียนหมายเลข 1- 4 ลงบนกระดาษในจํานวน
เสียงในภาษาไทย มี ๓ ชนิด คือ เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ โดยมีลักษณะ เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ใหแตละคน
ดังต่อไปนี้ ออกมาจับสลาก ใครที่จับสลากไดหมายเลข
๑. เสียงสระ เป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาจากปอด หลอดลม กล่องเสียง ผ่านล�าคอสูช่ อ่ งปาก ช่องจมูก
เหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน เมื่อจับสลากจน
โดยสะดวก ลมทีเ่ ปล่งออกมาจะไม่ถกู สกัดกัน้ จากอวัยวะใดๆ ในปาก แต่จะมีการเปลีย่ นแปลงระดับของลิน้ และ ครบแลว ครูแจงประเด็นสําหรับการสืบคนความรู
รูปริมฝีปาก โดยการยกลิ้นขึ้นในระดับต่างกันและริมฝีปากห่อมากน้อยต่างกัน ท�าให้เกิดเสียงก้อง เส้นเสียง รวมกัน ดังนี้
สั่นสะเทือน และสามารถออกเสียงได้ยาวนาน หมายเลข 1 เสียงและรูปสระ
เสียงสระเป็นเสียงที่ช่วยให้พยัญชนะออกเสียงได้ เพราะเสียงพยัญชนะจะต้องอาศัยเสียงสระควบคู่เสมอ
เสียงสระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสียง และมีอักษรที่ใช้แทนเสียงได้ เรียกว่า รูปสระ มี ๒๑ รูป แต่เดิม
หมายเลข 2 เสียงและรูปพยัญชนะ
มั ก จะคุ ้ น เคยกั บ การท่ อ งเสี ย งสระคู ่ สั้ น -ยาว ทั้ ง สระเดี่ ย วและประสม จึ ง มี ค วามเข้ า ใจว่ า สระประสม หมายเลข 3 เสียงและรูปวรรณยุกต
มี ๖ หน่วยเสียง นับรวมกับสระเดีย่ ว ๑๘ หน่วยเสียง เป็น ๒๔ หน่วยเสียง ปัจจุบนั ราชบัณฑิตยสถานได้พจิ ารณาว่า หมายเลข 4 การออกเสียงภาษาไทย
สระในภาษาไทยมี ๒๑ หน่วยเสี1ยง คือ สระเดี่ยว ๑๘ หน่วยเสียง สระประสม ๓ หน่วยเสียง ตามหลัก โดยนักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนความรู
ภาษาศาสตร์ ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้พิจารณาว่าเสียงสระประสมในภาษาไทยมีเพียง ๓ หน่วยเสียง ได้แก่ เอีย
เอือ และอัว ซึ่งเป็นสระเสียงยาว
จากแหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
เชน บทเรียนอิเล็กทรอนิกส หนังสือบรรทัดฐาน
สระเดี่ยว - อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอะ เอ แอะ แอ โอะ โอ เอาะ ออ เออะ เออ
เสียงสระ ภาษาไทย เลม 1 เปนตน นําขอมูลมาสรุปความรู
สระประสม - เอีย เอือ อัว ความเขาใจรวมกันเพื่อสงตัวแทนออกไปนําเสนอ
หนาชั้นเรียน
๒. เสียงพยัญชนะ เป็ น เสี ย งที่ เ ปล่ ง ออกมาจากปอด หลอดลม กล่ อ งเสี ย ง ผ่ า นล� า คอสู ่ ช ่ อ งปาก
ช่องจมูก โดยให้ลิ้นกล่อมเกลาเสียงให้กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือให้ริมฝีปากกระทบกัน
ลมที่เกิดขึ้นจะถูกสกัดกั้นในล�าคอ ช่องปากหรือช่องจมูก เสียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเสียงแปร คือ มีลักษณะ
แตกต่างกันไป โดยเสียงทีแ่ ปรเกิดเป็นเสียงพยัญชนะ มีจา� นวน ๒๑ หน่วยเสียง และมีอกั ษรแทนเสียงพยัญชนะ
จ�านวน ๔๔ รูป
พยัญชนะต้น - เดี่ยว ควบกล�้า อักษรน�า
เสียงพยัญชนะ
พยัญชนะท้าย - กง กน กม เกย เกอว กก กด กบ
97
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดกลาวถูกตอง
1. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระ และเสียงตัวสะกด 1 นักภาษาศาสตร คือ ผูที่ใชวิธีการทางวิทยาศาสตรในการวิจัยดานตางๆ
2. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระเกิน และวรรณยุกต ของภาษา เชน การศึกษาคนควาเกี่ยวกับรากศัพท ลักษณะโครงสรางของภาษา
3. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสั้น เสียงยาว และเสียงสระเกิน จัดระบบประเภทของภาษา เปนตน ซึง่ นักภาษาศาสตรอาจเปนผูเ ชีย่ วชาญภาษาใด
4. เสียงในภาษาไทย ไดแก เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ เชน ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน
ภาษาเยอรมัน ภาษาญีป่ นุ ภาษาบาลี-สันสกฤต ภาษาลาว หรืออาจเปนภาษาถิน่
วิเคราะหคําตอบ เสียงในภาษาไทยประกอบดวยเสียง 3 ชนิด ไดแก ภาษามลายู ภาษาของชนกลุมนอย ซึ่งนักภาษาศาสตรที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ซึ่งเสียงเหลานี้จะประกอบกัน • มีความชํานาญทั้งในดานการพูด การอาน การฟง การเขียน
เขาเปนคําทีม่ คี วามหมายเพือ่ ใชสอื่ สารในชีวติ ประจําวัน ดังนัน้ จึงตอบขอ 4. • มีความคิดสรางสรรค สนใจสิ่งแวดลอม ศิลปะ ประเพณี วัฒนธรรม
ของเจาของภาษา
• มีความเพียรพยายามที่จะฝกฝนตนเองใหเกิดทักษะ
• ชอบและสนใจในเรื่องตางๆ เกี่ยวกับภาษา
คู่มือครู 97
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 3 คน ออกมา
อธิบายความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมาย ๑.๒ เสียงในภาษาไทยและรูปตัวอักษรแทนเสียง
ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียน จะตอง ๑) เสียงและรูปสระ
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ ๑.๑) ต�าแหน่งที่เกิดเสียงสระในภาษาไทย เสียงสระเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด
• ลักษณะของเสียงสระ และถูกบังคับให้ผ่ำนหลอดลม กระทบเส้นเสียงในหลอดลม แล้ว1ผ่ำนออกมำจำกล� 2 ำคอโดยตรง
• การออกเสียงสระ โดยไม่มีกำรปิดกั้นทำงลม อวัยวะที่ช่วยในกำรออกเสี
รออกเสียงสระ คือ ลิ้นกับริมฝีปำก เสียงสระบำงเสี
งสระบ ยง
• รูปที่ใชแทนเสียงสระ เกิดจำกลิ้นส่ว นหน้ำ บำงเสีย งเกิดจำกลิ้นส่ว นกลำง และบำงเสีย งเกิดจำกลิ้ นส่ ว นหลั ง ซึ่ ง ลิ้ น
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล จะกระดกในระดับสูงต�่ำต่ำงกัน ส่วนริมฝีปำก บำงเสียงเกิดจำกรูปริมฝีปำกห่อกลม บำงเสียงเกิดจำก
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู รูปริมฝีปำกปกติ บำงเสีย งเกิดจำกรูปปำกกว้ำงหรือรี ถ้ำ ลิ้นยกอยู่ในระดั บ ใดเพี ยงระดั บ เดี ยว
เกี่ยวกับลักษณะของเสียงสระ โดยใชความรู เสียงสระที่เกิดขึ้นเรียกว่ำ สระแท้ ถ้ำลิ้นเลื่อนจำกระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งอย่ำงรวดเร็ว จะเกิด
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ เสียงสระสองหรือสำมเสียงพร้อมๆ กัน เรียกว่ำ สระประสม หรือสระเลื่อน
เพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ ๑.๒) ลักษณะการออกเสียงสระ
ตอบคําถาม ๑. กำรออกเสียงสระแท้ มีลักษณะของลิ้นและริมฝีปำกที่ใช้ในกำรออกเสียง ดังนี้
• เสียงสระมีลักษณะสําคัญที่แตกตางจากเสียง
ชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก
(แนวตอบ เสียงสระ เปนเสียงทีเ่ ปลงออกมาจาก อะ อ� ว�งในท่�ปกติ อ้�ป�กปกติ
ปอด ผานมายังหลอดลม กลองเสียง เสนเสียง
อิ อี ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง เหยียดป�กออกเล็กน้อย
และผานลําคอสูชองปาก ชองจมูกโดยเร็ว
โดยลมที่ผานออกมานั้นจะไมถูกอวัยวะใดๆ อึ อือ ส่วนหลังยกขึ้นสูง เผยอขึ้นเล็กน้อย ไม่กลม
ภายในชองปาก เชน ริมฝปาก ฟน หรือลิ้น อุ อู ส่วนหลังยกขึ้นสูง ห่อกลมเล็ก
สกัดกั้นลมนั้นๆ ไว แตจะเปลี่ยนแปลงระดับ เอะ เอ ส่วนหน้�กระดกขึ้นสูง เหยียดออกเหมือน อิ
การยกลิน้ และการหอริมฝปากมากนอยตางกัน แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อิ แต่ข�กรรไกรล่�งลดตำ่�ลงกว่�
ทําใหเสียงที่เกิดขึ้นเปนเสียงกอง ซึ่งก็คือ ขณะออกเสียง อิ
เสียงสระ) แอะ แอ ส่วนหน้�ลดตำ่�ลงกว่� เหยียดออก ข�กรรไกรล่�ง
• เสียงสระแตละเสียงมีความแตกตางกันดวย ขณะออกเสียง เอะ ลดตำ่�ลงกว่�เมื่อออกเสียง เอะ
สาเหตุใด โอะ โอ ส่วนหลังกระดกขึ้นสูง ห่อกลม
(แนวตอบ เสียงสระมีความแตกตางกัน แต่ตำ่�กว่�ขณะออกเสียง อุ
อันเนื่องมาจากลักษณะของการยกลิ้น
และการจัดรูปริมฝปากขณะที่ออกเสียง)
98
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
หลังจากใหนักเรียน ปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย ครูสุมเรียก นักเรียนศึกษาวาเสียงสระทีป่ รากฏใชในภาษาไทยมีทงั้ สิน้ กีเ่ สียง แตเดิม
ชือ่ นักเรียน ออกมาแสดงผลการศึกษาหนาชัน้ เรียน เพือ่ ความเขาใจทีถ่ กู ตองรวมกัน ที่กําหนดไววาเสียงสระในภาษาไทยมี 32 หนวยเสียง เปนเพราะเหตุใด
ในปจจุบันจึงเหลือเพียง 21 หนวยเสียง สรุปผลการศึกษาลงสมุด สงครู
นักเรียนควรรู กิจกรรมทาทาย
1 ลิ้น เปนสวนที่เคลื่อนไหวไดมากที่สุดในการออกเสียงพูด สวนที่เคลื่อนไหว
ของลิ้นแตละสวนจะมีผลตอการออกเสียง ลิ้น สามารถแบงออกเปนสวนๆ ได
3 สวน ไดแก ปลายลิ้น หรือสวนปลายสุดของลิ้น หนาลิ้น หรือลิ้นสวนหนา อยู นักเรียนศึกษาวาเสียงสระทั้ง 21 หนวยเสียง มีการเปลี่ยนแปลงระดับ
ตรงขามกับเพดานแข็ง และหลังลิ้น หรือลิ้นสวนหลัง อยูตรงขามกับเพดานออน การยกตัวของลิน้ และจัดรูปริมฝปากอยางไร สรุปผลการศึกษาลงสมุด สงครู
2 ริมฝปาก เปนอวัยวะสวนที่สามารถเคลื่อนไหวไดมากและทําใหเสียงมีความ
แตกตางกัน ผูพูดอาจจะบังคับริมฝปากใหปดสนิท ใหเปดเล็กนอย ใหเปดกวางขึ้น
ใหยื่นออกมา ใหหอกลมหรือทําเปนรูปรีได
98 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก ความรูแ บบโตตอบรอบวงเกีย่ วกับการออกเสียงสระ
เอ�ะ ออ ส่วนหลังลดตำ่�กว่� ห่อกลม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
ขณะที่ออกเสียง โอ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตน
เออะ เออ ส่วนกล�งกระดกขึ้นสูง อ้�ป�กปกติ สําหรับตอบคําถาม
แต่ไม่เท่�กับขณะที่ออกเสียง เอือ • สระหนา สระกลาง และสระหลัง เปนคํา
ที่ใชอธิบายเสียงสระโดยใชตําแหนงของ
จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ สระทั้งหมด ๙ คู่ จะออกเสียงแถวหน้ำเป็นเสียงสั้น ๙ เสียง อวัยวะใดเปนเกณฑ และแตละตําแหนง
แถวหลังออกเสียงเป็นเสียงยำว ๙ เสียง รวม ๑๘ เสียง ลักษณะลิ้นและปำกจะอยู่ในท่ำเดิมตลอด มีความแตกตางกันอยางไร
มีเพียงลิ้นส่วนใดส่วนหนึ่งเท่ำนั้นที่เคลื่อนที่ ลิ้นเพียงส่วนเดียวที่ท�ำให้เกิดเสียง จึงเรียกสระทั้ง (แนวตอบ ใชตําแหนงการยกตัวของลิ้น
๑๘ เสียงนี้ว่ำ สระแท้ หรือสระเดี่ยว 1 เปนเกณฑ โดยทีส่ ระหนา คือสระทีอ่ อกเสียง
๒. กำรออกเสี
รออกเสียงสระประสม มีลักษณะกำรใช้
ษณะก ลิ้นและริมฝีปำกในกำรออกเสียง ดังนี้ เมื่อลิ้นสวนหนายกขึ้นสูงกวาสวนอื่น ไดแก
เสียงสระ ลิ้น ริมฝีปาก สระอิ สระอี สระเอะ สระเอ สระแอะ และ
สระแอ สระกลาง คือสระที่ออกเสียงเมื่อลิ้น
เอีย ลิ้นส่วนหน้�กระดกสูงขึ้น ป�กอ้�กว้�ง ข�กรรไกรล่�งเคลื่อนตำ่�ลงม�
แล้วลดตำ่�ลงม� สวนกลางยกขึ้นสูงกวาสวนอื่น ไดแก สระอึ
เอือ ลิ้นส่วนกล�งยกสูงขึ้น ป�กอ้�เพร�ะขยับข�กรรไกรล่�งลง สระอือ สระเออะ และสระเออ สระหลัง คือ
แล้วลดตำ่�ลงม� สระที่ออกเสียงเมื่อลิ้นสวนหลังยกขึ้นสูงกวา
อัว ลิ้นส่วนหลังยกสูงขึ้น ริมฝีป�กที่จีบกลมจะอ้�ออกเล็กน้อย สวนอื่น ไดแก สระอุ สระอู สระโอะ สระโอ
แล้วลดตำ่�ลงม� สระเอาะ และสระออ)
จำกกำรออกเสียงจะเห็นว่ำ ลิ้นส่วนหน้ำ ลิ้นส่วนกลำง และลิ้นส่วนหลังจะขยับเคลื่อนที่
ท�ำหน้ำที่ออกเสียงร่วมด้วย จึงเรียกว่ำเสียง สระประสม ซึ่งลักษณะเสียงที่ประสมกัน มีดังนี้
อี + อ� = เอีย
อือ + อ� = เอือ
อู + อ� = อัว
99
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้มีความแตกตางจากขออื่น
เพื่อความรู ความเขาใจ ที่มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสระประสมในภาษาไทย ครูควรให
1. ใหหาสินเมื่อใหญ
นักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ประกอบขึ้นจากสระประสมทั้ง 3 เสียง ในภาษาไทย
2. วิมานนอยลอยริมฝง
ดวยปากเปลา และตรวจสอบความถูกตองของคํานั้นๆ รวมกัน
3. เมื่อนอยใหเรียนวิชา
4. แลวลงในเรือที่นั่งบัลลังกทอง
วิเคราะหคําตอบ จุดประสงคของขอสอบนี้ ตองการใหหาวาประโยคใน นักเรียนควรรู
ขอใดไมปรากฏคําที่ประกอบขึ้นจากสระประสม ซึ่งสระประสม คือสระที่
ออกเสียงโดยอวัยวะที่ใชออกเสียงอยูในตําแหนงมากกวา 1 ตําแหนง 1 สระประสม คือสระที่ออกเสียงโดยอวัยวะที่ใชออกเสียงอยูในตําแหนง
ซึ่งหนวยเสียงสระประสมในภาษาไทยมี 3 หนวยเสียง ไดแก สระเอีย มากกวา 1 ตําแหนง ถาอวัยวะอยูในตําแหนงหนึ่งแลวเปลี่ยนไปอยูในอีกตําแหนง
สระเอือ และสระอัว จากคํานิยามนี้จึงสามารถวิเคราะหไดวาตัวเลือกใน หนึ่ง สระนั้นจะเปนสระประสม 2 เสียง แตถาออกเสียงสระใดแลวอวัยวะเปลี่ยน
ขอ 1. คําที่ประสมดวยสระประสมไดแกคําวา “เมื่อ” ขอ 3. คําที่ประสม จากตําแหนงหนึ่งไปสูตําแหนงอีก 2 ตําแหนง เรียกวา สระประสม 3 เสียง
ดวยสระประสมไดแกคําวา “เมื่อ” ขอ 4. คําที่ประสมดวยสระประสม ซึ่งเสียงสระประสมในภาษาไทยเปนสระประสม 2 เสียง
ไดแกคําวา “เรือ” ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
คู่มือครู 99
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการออกเสียงสระ ดังนั้น รูป อ�ำ ไอ ใอ เอำ ฤ ฤ ๅ ฦ ฦ ๅ ไม่นับว่ำเป็นเสียงสระเพรำะมีเสียงสระที่เป็นสระแท้
ในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จาก ประสมอยู่แล้ว จึงนับว่ำเป็นลักษณะของพยำงค์
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปนขอมูล ๑.๓) การใช้รูปสระแทนเสียงสระ ตัวอักษรที่ใช้แทนเสียงสระมี ๒๑ รูป (ตำมต�ำรำของ
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พระยำอุปกิตศิลปสำร) มีชื่อเรียกและวิธีใช้ ดังนี้
• เสียงสระมีความเกี่ยวของกับเสียงพยัญชนะ รูปสระ ชื่อสระ การใช้รูปสระโดยตรง ประสมกับรูปอื่น
ในภาษาไทยอยางไร
(แนวตอบ เสียงสระในภาษาไทยเปนเสียง -ะ วิสรรชนีย์ ประวิสรรชนีย์หลังพยัญชนะ ประสมกับรูปอืน่ เป็นสระ เอะ แอะ โอะ
เป็นสระ อะ เช่น มะระ เอ�ะ เออะ เช่น เละ แทะ โต๊ะ เก�ะ เถอะ
ที่ชวยใหเสียงพยัญชนะในภาษาไทยสามารถ
ออกเสียงได)
• นักเรียนคิดวาขอสังเกตที่โดดเดนของเสียง -ั ไม้หันอ�ก�ศ เขียนข้�งบนพยัญชนะ เป็นเสียง ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อัว เช่น กลัว
หรือไม้ผัด สระอะ เมื่อมีตัวสะกด เช่น
สระในภาษาไทยคืออะไร ม + อะ + น = มัน
(แนวตอบ รูปสระตางๆ ที่เขียนในภาษาไทยจะ
ใชเขียนตามลําพังไมได ตองใชคูกับพยัญชนะ -็ ไม้ไต่คู้ เขียนข้�งบนแทนวิสรรชนีย์ในสระ ประสมกับตัว ก เป็นสระ เอ�ะ มีเสียง
บ�งตัวที่มีตัวสะกด เช่น วรรณยุกต์โท คือ ก็
เสมอ แมกระทั่งสระลอย เชน สระอะ ก็จะ ข + เอะ + น = เข็น
ตองมีพยัญชนะตัว อ กํากับอยูดวย)
-� ล�กข้�ง เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ อ� ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อำ� เอ� เอ�ะ
เช่น ก� ม� น� เช่น นำ� เม� เค�ะ
-ิ พินทุ์อิ เขียนข้�งบนพยัญชนะ เป็นสระ อิ ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ อี อึ อือ เอีย
เอือ และใช้แทนตัว อ ของสระเออ เมือ่ มี
ตัวสะกด เช่น ด + เออ + น = เดิน
100
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ประโยคในขอใดตอไปนี้ปรากฏสระลดรูปมากที่สุด
ครูควรสรางความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับการเรียกชื่อรูปสระ
1. ดําเปนคนสะอาดและทํางานเรียบรอย
ในภาษาไทย ที่ปรากฏในแบบเรียนภาษาไทยในอดีต เชน หนังสือจินดามณี
2. แดงเปนคนขยันเขาทําขนมขายทุกวัน
ของพระโหราธิบดี หนังสือมูลบทบรรพกิจ ซึง่ เปนแบบเรียนหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6
3. สมเปนคนรวยและมักจะสวมเสื้อผาสวยๆ
ผูแ ตงคือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (นอย อาจารยางกูร) เพื่อความรูความเขาใจ
4. เขียวเปนคนนิ่งเฉยและปลอยใหเวลาผานเลย
ที่อาจเปนประโยชนในอนาคต ครูควรใหนักเรียนบันทึกชุดคําอธิบาย ลงสมุด
วิเคราะหคําตอบ สระลดรูป คือสระที่เมื่อนํามาประสมกับพยัญชนะเปน
คําแลวจะไมปรากฏรูปสระใหเห็นหรือลดรูปบางสวนไป เชน สระโอะ เมื่อ
มุม IT นํามาใชประสมเปนคําและมีตัวสะกดจะไมปรากฏรูปสระโอะ ขอ 1. คําที่
ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา คน ขอ 2. คําที่ประสมดวยสระลดรูป
นักเรียนสามารถฝกออกเสียงสระในภาษาไทย ศึกษารูปแบบการยกลิ้น ไดแก คําวา คน (ข) นม ขอ 3. คําที่ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา
และหอริมฝปากเพื่อการออกเสียงสระไดชัดเจนจาก www.youtube.com/ สม คน รวย สวม สวย ขอ 4. คําที่ประสมดวยสระลดรูปไดแกคําวา
Watch?v=UptiQ5f89pM คน เฉย เลย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
100 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
1 อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการใช
รูปสระ ชื่อสระ การใช้รูปสระโดยตรง ประสมกับสระอื่น
รูปสระแทนเสียงสระในภาษาไทย โดยใชความรู
-ู ตีนคู้ เขียนข้�งล่�งพยัญชนะ เป็นสระ อู
ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ
เช่น สูง ศูนย์
กลุมที่ 1 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เ- ไม้หน้� เขียนข้�งหน้�พยัญชนะ เป็นสระ เอ ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอะ แอะ เออะ
• การใชรูปแทนเสียงสระในภาษาไทยมีวิธีการ
เช่น เสเพล เออ เอ�ะ เอีย เอือ เอ� เช่น เตะ และ
เขียนไม้หน้�สองรูป เป็นสระ แอ เถอะ เธอ เก�ะ เสีย เรือ เข� ใชอยางไร อธิบายพรอมยกตัวอยางประกอบ
เช่น แรง (แนวตอบ การใชรูปสระแทนเสียงสระ
โ- ไม้โอ เขียนข้�งหน้�พยัญชนะ เป็นสระ ประสมกับสระอื่น เป็นสระ โอะ เช่น โต๊ะ ในภาษาไทย ปรากฏรูปแบบการใช
โอ เช่น โมโห โปะ ดังตอไปนี้
ใ- ไม้ม้วน เขียนข้�งหน้�พยัญชนะแทนเสียง • คงรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคําจะ
อะ เมื่อมี ย เป็นตัวสะกด เช่น เขียนรูปสระปรากฏครบถวน ไดแก สระ
ห + อะ + ย + เสียงโท = ให้ อะ สระอา สระอิ สระอี สระอึ สระอุ สระ
ไ- ไม้มล�ย เขียนข้�งหน้�พยัญชนะแทน ใช้ประสมกับตัว ย ในคำ�ที่ม�จ�ก อู สระเอ สระแอ สระโอ สระออ สระเอีย
เสียงอะ เมือ่ มี ย เป็นตัวสะกด เช่น ภ�ษ�สันสกฤต เช่น ไสย ไวย�กรณ์ และสระเออ
ม + อะ + ย + เสียงตรี = ไม้
• แปลงรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปน
-อ ตัวออ เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ
คําจะแปลงสระเดิมใหเปนอีกรูปแบบหนึ่ง
ออ เช่น ขอ มอง
ไดแก สระอะ สระเอะ สระแอะ และสระเออ
-ว ตัววอ เขียนข้�งหลังพยัญชนะ เป็นสระ อัว
• ลดรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคํา
เมื่ อ มี ตั ว สะกด เช่ น ช + อั ว + น
= ชวน จะไมปรากฏรูปสระหรือปรากฏบางสวน
-ย ตัวยอ เขียนข้�งหลังพยัญชนะแทนเสียง ประสมกับรูปอื่น เป็นสระ เอีย เช่น เปีย ไดแก สระโอะ สระออ สระเออ และสระอัว
อะ เมื่อมี ย เป็นตัวสะกด ในคำ� เสีย • เติมรูป คือ เมื่อนํามาใชประกอบเปนคํา
ที่ม�จ�กภ�ษ�สันสกฤต เช่น ไสย จะเติมรูป นอกเหนือจากทีม่ อี ยูแ ลว ไดแก
ไวย�กรณ์ สระอือ)
ฤ รึ แทนเสียงริ เช่น ฤทธิ์ • เพราะเหตุใดจึงตองมีการกําหนดรูปสระ
แทนเสียงรึ เช่น มฤตยู หฤทัย เพื่อแทนเสียงสระในภาษาไทย
แทนเสียงเรอ เช่น ฤกษ์ (แนวตอบ การกําหนดรูปสระเพื่อแทนเสียง
ฤๅ รือ แทนเสียงรือ เช่น ฤๅษี สระในภาษาไทยเพื่อใชเปนสัญลักษณแทน
ฦ ลึ แทนเสียงลึ เสียงใหมีความถูกตองตรงกัน เขียนแบบนี้
ออกเสียงอยางนี้ นอกจากเปนสัญลักษณ
ฦๅ ลือ แทนเสียงลือ เช่น ฦๅช� ฦๅส�ย
ใหเห็นเปนรูปธรรมแลว ยังใชเปนเครือ่ งหมาย
นําในการออกเสียงใหถูกตองชัดเจน)
101
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
รูปสระในขอใดมีเสียงเดียวกัน ครูผูสอนอาจใหนักเรียนรวมกันจัดทําปายนิเทศประจําชั้นเรียนเกี่ยวกับรูปสระ
1. -ะ กับ ใ- ในภาษาไทย เพื่อใชสําหรับเตือนความจําและนําไปใชไดถูกตอง นอกจากนี้ควรให
2. - กับ - นักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ใชรูปสระแตกตางกัน ไดแก คงรูป แปลงรูป ลดรูป
3. เ- กับ โ- และเติมรูป พรอมตรวจสอบความถูกตองของคํานั้นๆ รวมกัน
4. โ- กับ ใ-
วิเคราะหคําตอบ รูปสระ -ะ กับ ใ- ถึงแมจะมีรูปเขียนตางกัน แตมีเสียง
สระเดียวกันคือ เสียงสระ อะ ดังนั้นจึงตอบขอ 1. นักเรียนควรรู
1 รูปสระ ลักษณะสําคัญของรูปสระในภาษาไทยนั้นเปนสระจม กลาวคือ
เปนสระที่ไมสามารถปรากฏไดโดยลําพัง แตจะตองประกอบกับพยัญชนะเสมอ
คู่มือครู 101
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทน 3 คนออกมา
อธิบายความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมาย จำกตำรำงข้ำงต้นจะเห็นว่ำ รูปสระทั้งหมด ๒๑ รูป จะประสมกันเกิดเป็นเสียงสระ รูปสระ
ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียน จะตอง เหล่ำนี้ใช้แทนเสียงสระโดยตรง และประสมกับรูปสระต่ำงๆ เพื่อแทนเสียงสระข้ำงต้น เช่น ะ ใช้แทน
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้ เสียงสระอะ และประสมกับรูปอื่นเป็นเสียงสระเอะ แอะ โอะ เอำะ เออะ เป็นต้น นอกจำกนี้
• ลักษณะของเสียงพยัญชนะ รูปสระต่ำงๆ ยังมีวิธีใช้เขียนเมื่อประสมกับพยัญชนะ และประสมกับสระอื่นๆ ที่ต่ำงกัน ดังนี้
• การใชอักษรแทนเสียงพยัญชนะ ๑. เขียนหน้ำพยัญชนะต้น เช่น เฉไฉ ใบไม้ โมเม เป็นต้น
• รูปแบบการใชพยัญชนะในภาษาไทย ๒. เขียนหลังพยัญชนะต้น เช่น สำระ มฤตยู รอก่อน ชวน เป็นต้น
พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล ๓. เขียนบนพยัญชนะต้น เช่น มัว กิน ถึง ฝีมือ ก็ดี เป็นต้น
2. ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนเพือ่ อธิบายความรูเ กีย่ วกับ ๔. เขียนใต้พยัญชนะต้น เช่น มุ่ง กู งู ดุ เป็นต้น
ลักษณะของเสียงพยัญชนะ โดยใชความรู ๕. เขียนโดดๆ โดยไม่ต้องประสมกับพยัญชนะ เช่น ฤทัย ฤๅษี ฦๅชำ เป็นต้น
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ ๖. เขียนประสมสระอื่น อำจเขียนบนพยัญชนะ หลังพยัญชนะ หรือล้อมรอบพยัญชนะก็ได้
เพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ เช่น เมีย มือ ถึง เสีย มัว เธอ เลอะ ขนมเปี๊ยะ เป็นต้น
ตอบคําถาม ๗. ไม่มีรูปสระ มีแต่เสียงสระเท่ำนั้น เช่น บ่ ณ ธ ลม เป็นต้น
• เสียงพยัญชนะมีลักษณะสําคัญที่แตกตาง ๒) เสียงและรูปพยัญชนะ
จากเสียงชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร ๒.๑) ต�าแหน่งที่เกิดของเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะเกิดจำกลมที่ถูกขับออกจำกปอด
(แนวตอบ เสียงพยัญชนะ เปนเสียงที่เปลง ผ่ำนมำตำมหลอดลม กระทบเส้นเสียงในหลอดลม แล้วผ่ำนมำถึงล�ำคอ ลมที่ออกมำนี้จะถูกกักกั้นไว้
ออกมาจากปอด เดินทางผานหลอดลม ในส่วนต่ำงๆ ของช่องปำกบำงส่วน หรือถูกกักทั้งหมดแล้วจึงปล่อยลมออกมำทำงปำกหรือขึ้นจมูกก็ได้
กลองเสียง เสนเสียง ผานลําคอสูชองปาก ท�ำให้เรำรู้สึกว่ำกำรออกเสียงพยัญชนะไม่สะดวกเท่ำกับกำรออกเสียงสระ จุดที่ลมถูกกักกั้นแล้วปล่อย
โดยใหลิ้นกลอมเกลาเสียงใหกระทบกับ ให้ลมออกมำนั้นเป็นที่เกิดของเสียงพยัญชนะ เรียกว่ำ ที่เกิด ที่ตั้ง หรือฐำนกรณ์ พยัญชนะมีที่เกิด
อวัยวะสวนตางๆ ภายในชองปาก เชน ฟน หลำยแห่ง ดังนี้
ริมฝปาก ปุมเหงือก เพดานออน เพดานแข็ง
๑. เกิดจากการกักลม แล้วปล่อยออกมาจากล�าคอ เช่น เสียง /ก/ /ค/ /ง/
ยกตัวอยาง เสียง /ป/ เปนเสียงพยัญชนะที่
ลมเดินทางผานปอด หลอดลม กลองเสียง 1
๒. เกิดจากการที่เอาลิ้นไปแตะที่เพดานปาก
พดานปาก แล้วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /จ/ /ฉ/ /ย/
เสนเสียง จนกระทั่งลมเดินทางมาถึงบริเวณ 2
ชองปาก กอนที่ลมจะถูกปลอยออกมานั้น ๓. เกิดจากการทีเ่ อาลิน้ ไปแตะทีป่ มุ่ เหงือก แล้
ก วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /ฏ/ /ฑ/ /ฒ/ /ณ/
ริมฝปากไดกักลมไวชั่วระยะหนึ่งกอนที่จะ 3
ปลอยออกมา) ๔. เกิดจากการที่เอาลิ้นไปแตะที่ฟัน แล้วปล่อยลมออกมา เช่น เสียง /ต/ /ถ/ /ท/ /น/
• จากความรู ความเขาใจทั้งหมดของนักเรียน ๕. เกิดจากการกักลมที่ริมฝีปาก แล้วปล่อยเสียงออกมา เช่น เสียง /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/
ขอสังเกตประการสําคัญของเสียงพยัญชนะ
คืออะไร ๖. เกิดในที่ต่างๆ เช่น เสียง /ร/ /ล/ เกิดที่ลิ้น เสียง /ว/ เกิดจากการห่อริมฝีปาก
(แนวตอบ เสียงพยัญชนะจะออกเสียงตาม
ลําพังไมได จะตองมีเสียงสระมากํากับหรือ
ประสมอยูดวยจึงจะสามารถออกเสียง 102
และมีความหมาย)
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
ขอใดตอไปนี้กลาวไมถูกตองเกี่ยวกับเสียงพยัญชนะ
1 เพดานปาก หรือเพดานแข็ง หมายถึง เพดานสวนที่โคงเปนกระดูกแข็ง 1. พยัญชนะตนเดี่ยวในภาษาไทยมี 44 หนวยเสียง
ซึ่งอวัยวะที่อยูเขาไปจากเพดานแข็งคือ เพดานออน มีลักษณะเปนกระดูกออน 2. หนวยเสียงพยัญชนะในภาษาไทยมี 21 หนวยเสียง
ที่ขยับขึ้นลงไดเล็กนอย 3. เสียงพยัญชนะมีทั้งที่เปนเสียงกองและเสียงไมกอง
2 ปุมเหงือก เปนสวนที่นูนออกมาตรงบริเวณหลังฟนดานบน เมื่อยกลิ้นแตะดู 4. หนวยเสียงพยัญชนะนาสิก ไดแก ม /m/ น /n/ และ ง /ŋ/
จะรูสึกวามีลักษณะเปนคลื่น
วิเคราะหคําตอบ เสียงพยัญชนะในภาษาไทยมีทั้งสิ้น 21 หนวยเสียง
3 ฟน เปนอวัยวะซึ่งเปนฐานหรือตําแหนงที่เกิดของเสียงหลายชนิด เชน เสียง มีทั้งที่เปนเสียงกองและไมกอง เสียงที่ลมออกทางปาก ทางจมูก
เสียดแทรกที่เกิดระหวางฟนกับริมฝปาก เสียงเสียดแทรกที่เกิดที่ฟน เสียงเกิดที่ฟน หรือเรียกวาเสียงนาสิก ไดแก ม /m/ น /n/ และ ง / ŋ/ เสียงที่ลมถูกกัก
เสียงเสียดแทรก เสียงขางลิ้น เสียงลิ้นรัว ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
102 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๒.๒) ลักษณะและประเภทของเสียงพยัญชนะ ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการใชอักษรแทน
เสียงพยัญชนะในภาษาไทยแบ่งได้หลายประเภท โดยยึดจากลักษณะของลมที่ผ่าน เสียงพยัญชนะ โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
ช่องปากหรือช่องจมูกออกมา ดังตารางต่อไปนี้ จากการฟงบรรยายของเพือ่ นๆ กลมุ ที่ 2 เปนขอมูล
ประเภทของเสียงพยัญชนะ ลักษณะของเสียง เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
เสียงระเบิด เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมถูกกักหรือกั้นด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งภายใน • เสียงพยัญชนะในภาษาไทยมีหลายประเภท
ช่องปาก ได้แก่ เสียง /ป/ /ต/ /จ/ /ก/ /อ/ /พ/ /ท/ /ช/ /ค/ /บ/ /ด/ ไดแก เสียงระเบิด เสียงกักหรือเสียงหยุด
เสียงนาสิก เป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมถูกกักไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งภายในช่องปาก แล้วลด เสียงนาสิก เสียงขางลิน้ เสียงรัว เสียงกระทบ
ลิ้นไก่ลงท�าให้ลมออกไปทางจมูก ได้แก่ เสียง /ม/ /ง/ /น/
เสียงข้างลิ้น เป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาแล้วลมถูกกักไว้ภายในช่องปาก แล้วปล่อยให้ลมบางส่วน
เสียงเสียดแทรก เสียงกึ่งสระ นักเรียนคิดวา
ออกไปทางข้างลิ้น ได้แก่ เสียง /ล/ ความแตกตางดังกลาวมีสาเหตุจากอะไร
เสียงกระทบ เ ป็นเสียงทีเ่ ปล่งออกมาขณะทีป่ ลายลิน้ สัน่ สะบัด ถ้าปลายลิน้ สัน่ หลายครัง้ จะเกิด (แนวตอบ สาเหตุที่ทําใหพยัญชนะแตละ
เป็นเสียงรัว ถ้าปลายลิ้นสะบัดเพียงครั้งเดียวเรียกเสียงกระทบ ได้แก่ เสียง /ร/ หนวยเสียงมีความแตกตางกัน เพราะลมที่
เสียงเสียดแทรก เ ป็นเสียงที่เปล่งออกมาแล้วลมต้องบีบตัวผ่านช่องแคบๆ ท�าให้เกิดเสียงซู่ซ่า
ได้แก่ เสียง /ฟ/ /ซ/ /ฮ/ ผานออกมาจากแหลงกําเนิด กอนถูกปลอย
เสียงกึ่งสระ เป็นเสียงเลื่อนระหว่างเสียงสระ ๒ เสียง ได้แก่ เสียง /ย/ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดเมื่อ ออกมา ไดถูกอวัยวะในชองปากกลอมเกลา
อวัยวะออกเสียงเลื่อนจากต�าแหน่งสระอิ หรือ อี ไปยังสระที่ตามมา ส่วนเสียง จนกระทั่งมีเสียงที่แตกตางกัน และมี
/ว/ เป็นเสียงกึ่งสระที่เกิดเมื่ออวัยวะออกเสียงเลื่อนจากต�าแหน่งสระอุ หรือ อู
ไปยังสระที่ตามมา บางเสียงที่ลมผานออกมาทางชองจมูก)
• เสียงนาสิก มีลักษณะสําคัญอยางไร
๒.๓) การใช้อักษรแทนเสียงพยัญชนะ เสียงพยัญชนะในภาษาไทย มี ๒๑ หน่วยเสียง คือ
(แนวตอบ เสียงนาสิก หมายถึง พยัญชนะกอง
เสียง /ก/ /ค/ /ง/ /จ/ /ช/ /ซ/ /ด/ /ต/ /ท/ /น/ /บ/ /ป/ /พ/ /ฟ/ /ม/ /ย/ /ร/ /ล/ /ว/ /อ/ /ฮ/
ที่ออกเสียงโดยลมถูกกักไว ณ ที่ใดที่หนึ่งใน
มีตัวอักษรแทนเสียงพยัญชนะ ๔๔ รูป พยัญชนะบางเสียงมีรูปมากกว่าเสียง ดังนี้
ชองปาก แลวลดลิน้ ไกลงทําใหลมผานออกไป
เสียงพยัญชนะ รูปพยัญชนะ เสียงพยัญชนะ รูปพยัญชนะ ทางชองจมูก ไดแก เสียง น /n/ ม /m/ และ
๑. /ก/ ก ๑๒. /ป/ ป ง /ŋ/)
๒. /ค/ ข ฃ ค ฅ ฆ ๑๓. /พ/ ผ พ ภ • หนวยเสียงพยัญชนะตนในภาษาไทย
๓. /ง/ ง ๑๔. /ฟ/ ฝ ฟ มีทั้งสิ้นกี่หนวยเสียง
๔. /จ/ จ ๑๕. /ม/ ม (แนวตอบ 21 หนวยเสียง)
๕. /ช/ ฉ ช ฌ ๑๖. /ย/ ย ญ
๖. /ซ/ ซ ศ ษ ส ๑๗. /ร/ ร
๗. /ด/ ด ฎ ฑ ๑๘. /ล/ ล ฬ
๘. /ต/ ต ฏ ๑๙. /ว/ ว
๙. /ท/ ท ธ ฑ ฒ ถ ฐ ๒๐. /อ/ อ
๑๐. /น/ น ณ ๒๑. /ฮ/ ห ฮ
๑๑. /บ/ บ
103
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการใชพยัญชนะในภาษาไทย โดยใชเปน ครูควรยกตัวอยางการอธิบายเสนทางการเดินทางของเสียงพยัญชนะใหนกั เรียน
พยัญชนะตนเดี่ยว พยัญชนะควบกลํ้า และพยัญชนะทายหรือตัวสะกด ฟง เพือ่ ใหมองเห็นทิศทางการปฏิบตั งิ านของตนเอง เชน เสียง ง /ŋ/ เปนเสียงนาสิก
อธิบายคํานิยามและยกตัวอยางคําประกอบใหชดั เจน นําเสนอผลการศึกษา เกิดที่ฐานเพดานออน เมื่อเริ่มตนจะเปลงเสียง ลิ้นสวนหลังจะขึ้นไปแตะเพดานออน
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ลมจะถูกกักในบริเวณดังกลาว ในขณะเดียวกันเพดานออนและลิ้นไกจะลดระดับ
ลงมาทําใหลมผานออกไปทางชองจมูกได เมือ่ เปดเพดานออน ลมจะออกทางปากดวย
ขณะทีเ่ ปลงเสียงนัน้ เสนเสียงอยูช ดิ กันแตไมสนิท ลมจากปอดจะผานเสนเสียงขึน้ มา
กิจกรรมทาทาย ทําใหเสนเสียงเกิดการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ครูควรใหนักเรียนออกมานําเสนอ
ผลการศึกษาจากการปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย เพื่อเปนการ
แลกเปลี่ยนขอมูลซึ่งกันและกัน เกิดความรู ความเขาใจที่ถูกตองตรงกัน
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการออกเสียงพยัญชนะทั้ง 21 หนวยเสียง วามี
วิธีการเดินทางของเสียงตั้งแตตนกําเนิดของเสียงจนกระทั่งลมถูกปลอย
ออกมาอยางไร นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเ ฉพาะบุคคล สงครู
คู่มือครู 103
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับรูปแบบการใช ๒.๔) การใช้พยัญชนะ สำมำรถแบ่
1 งได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้
พยัญชนะในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ๑. พยัญชนะต้นเสียง คือ พยัญชนะทีอ่ ยูต่ น้ ค�ำหรือต้นพยำงค์
พย ซงึ่ ใช้ได้ ๓ ลักษณะ ดังนี้
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2
เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม พยัญชนะต้นเสียง ลักษณะพยัญชนะต้น ตัวอย่าง
• เสียงพยัญชนะในภาษาไทย หากแบงโดยใช พยัญชนะต้นเดี่ยว พยัญชนะหนึ่งตัวอยู่ต้นคำ� หรือต้นพย�งค์ ซึ่ง กิน นั่ง พูด ยืน เดิน
เกณฑการนําไปใชหรือการประกอบรูปคํา หน่ ว ยเสี ย งพยั ญ ชนะทั้ ง ๒๑ หน่ ว ยเสี ย ง ใน
จะแบงไดกี่ประเภท อะไรบาง ภ�ษ�ไทยส�ม�รถปร�กฏเป็นพยัญชนะต้นของ
(แนวตอบ 3 ประเภท ไดแก พยัญชนะตน พย�งค์ ได้ทุกหน่วยเสียง
พยัญชนะควบกลํ้า และพยัญชนะทาย) /ปร/ แปร ปรับ
• พยัญชนะควบกลํ้าในภาษาไทยปรากฏ /ปล/ ปล� ปลอบ
เปนพยัญชนะตน ไดจํานวนกี่เสียง
/ตร/ ตรง แตร
และอะไรบาง
(แนวตอบ 11 คู ไดแก /ปร/ /ปล/ /ตร/ /กล/ /กล/ กล้� กลอง
พยัญชนะควบแท้ในภ�ษ�ไทยมีหน่วย
/กร/ /กว/ /พล/ /พร/ /คล/ /คร/ และ /คว/) เสียงพยัญชนะที่ส�ม�รถออกเสียง /กร/ กรุง เกรียว
• นักเรียนตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับเสียงพยัญชนะ ควบกลำ้� คือ ออกเสียงพยัญชนะ /กว/ กว�ง กว�ด
ควบกลํา้ ตอไปนี้ /บร/ /บล/ /ดร/ /ทร/ /ฟร/ ๒ เสียง ติดต่อกัน โดยไม่มีเสียงสระ /พล/ เพลง พลู ผลิ
พยัญชนะควบกลำ้� คั่นกล�ง ปร�กฏทั้งสิ้น ๑๑ คู่
/ฟล/ /ซตร/ แตกตางจากพยัญชนะควบกลํ้า
/พร/ พร�น พริก พฤกษ์
ทั้ง 11 คูอยางไร
(แนวตอบ พยัญชนะควบกลํ้า /บร/ /บล/ /ดร/ /คล/ คล�น คล้อย เขล�
/ทร/ /ฟร/ /ฟล/ /ซตร/ เปนพยัญชนะ /คร/ ครอง เคร� ขรัว
ควบกลํ้าที่เกิดขึ้นจากการยืมคําในภาษา /คว/ คว�ม คว้�ง ขว�ง
อังกฤษมาใช) พยัญชนะควบไม่แท้ คือ คำ�ที่ประสมกับพยัญชนะ จริง เศร้� ไซร้ สระ สร้�ง สร้อย (หรือ
• พยัญชนะทายทั้ง 9 หนวยเสียงปรากฏ ตัวอืน่ แล้วออกเสียงเพียงเสียงเดียว ตัวทีม่ �ควบกลำ�้ อ�จออกเสียงเป็นเสียงอืน่ ไป เช่น ทร�บ
ในตําแหนงใดของการประสมหนวยคํา ด้วยไม่ออกเสียง พุทร� ต้นไทร ฉะเชิงเทร� ทรัพย์)
(แนวตอบ ปรากฏตามหลังสระ) อักษรนำ� พยั ญ ชนะต้ น สองเสี ย งที่ อ อกเสี ย งร่ ว มกั น สนิ ท หม� หมอ หมู หนู แหน หน� หนี หง�ย
และทำ�ให้เสียงพยัญชนะตัวทีส่ องเสียงสูงขึน้ กว่�เดิม หรูหร� หลวม อย่� อยู่ อย่�ง อย�ก
เสียงพยัญชนะทัง้ สองเสียงประสมกันแต่ไม่กลมกลืน กนก ขนม ขนุน เฉลิม ฉล�ด ตล�ด
กันสนิท จึงมีเสียง อะ กล�งคำ�กึ่งเสียง ตลก ตลอด ฝรั่ง สน�ม สนุกสน�น
104
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีเสียงพยัญชนะควบกลํ้ามากที่สุด
ครูควรใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําที่ขึ้นตนดวยพยัญชนะควบกลํ้าใน
1. อยาเลนสนุกสนานครื้นเครงบนซากปรักหักพัง
ภาษาไทย ทั้งควบแทและควบไมแท รวมถึงคําที่ขึ้นตนดวยพยัญชนะควบกลํ้าที่เกิด
2. ครอบครัวนี้รวมพลังสูผีพรายในนิทานปรัมปรา
จากการยืมคําในภาษาอังกฤษมาใช ตรวจสอบความถูกตอง และวิธีการออกเสียงที่
ถูกตองรวมกัน จากนั้นจึงใหนักเรียนบันทึกคําลงในสมุด สงครู 3. เหลาวัวควายเดินกินนํ้าบริเวณหนองนํ้าใกลทุงนา
4. นกปรอดสีขาวบินปรอบนทองฟาเวลายามเย็น
วิเคราะหคําตอบ ขอสอบลักษณะนี้ถาหากโจทยใหหาเสียงพยัญชนะ
นักเรียนควรรู ควบ ตองหาทั้งคําควบแทและคําควบไมแท แตถาโจทยใหหาพยัญชนะ
1 พยัญชนะตนเสียง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่ปรากฏหนาสระในพยางคหนึ่งๆ ควบกลํ้า ตองหาเฉพาะคําควบแท จากคํานิยามนี้ ขอ 1. ไดแกคําวา
ในภาษาไทยทุกพยางคจะขึ้นตนดวยเสียงพยัญชนะ โดยอาจเปนเสียงพยัญชนะ ครื้น เครง ขอ 2. ไดแกคําวา ครอบ ครัว พราย ขอ 3. ไดแกคําวา
เดี่ยวหรือควบกลํ้าก็ได แตจะไมมีพยางคที่ขึ้นตนดวยสระ ควาย ใกล และขอ 4. ไดแกคําวา ปรอ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
104 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 3 คน ออกมา
๒. พยั พยัญชนะท้ายเสียงง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่อยู่ท้ายค�าหรือพยางค์ เรียกว่า อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
มาตราตัวสะกด มีทั้งหมด จ�านวน ๘ เสียง ดังนี้ ซึ่งการอธิบายความรูของนักเรียนจะตอง
ครอบคลุมประเด็น ดังตอไปนี้
มาตราตัวสะกด เสียง รูปพยัญชนะท้าย ตัวอย่าง
• ลักษณะของเสียงวรรณยุกต
๑. แม่กก /ก/ ก ข ค ฆ ปัก สุข ยุค เมฆ • รูปและเสียงของวรรณยุกต
๒. แม่กด /ต/ ด ฎ ต ฏ จ ช ท ธ โปรด กฎ ชาติ ปรากฏ นิจ คช บาท • หลักการผันเสียงวรรณยุกต
ศ ษ ส ซ ฐ ฑ ฒ ถ พุธ อากาศ โทษ รส ก๊าซ อิฐ ครุฑ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
วัฒนา รถ 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู
๓. แม่กบ /ป/ บ ป พ ฟ ภ ลบ บาป เทพ กราฟ โลภ เกี่ยวกับลักษณะของเสียงวรรณยุกต โดย
๔. แม่กง /ง/ ง ลิง แสง แห่ง ใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
๕. แม่กน /น/ น ณ ญ ร ล ฬ ซน คุณ กาญจน์ พร นิล กาฬ บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูล
๖. แม่กม /ม/ ม ชม คาม เข็ม เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
• เสียงวรรณยุกตมีลักษณะสําคัญที่แตกตาง
๗. แม่เกย /ย/ ย ขาย ควาย เชย
จากเสียงชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร
๘. แม่เกอว /ว/ ว หิว แว่ว ขาว แก้ว เลี้ยว เปรี้ยว
(แนวตอบ เสียงวรรณยุกตเปนเสียงที่มี
ทํานองสูง ตํ่า ดังนั้น ขอสังเกตเกี่ยวกับ
เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์นี้ ถ้าตัวใดมีเครื่องหมายทัณฑฆาต (-์) ก�ากับอยู่แสดงว่าพยัญชนะ
เสียงวรรณยุกต คือ เสียงวรรณยุกตเปน
ตัวนั้นไม่ต้องออกเสียง จะออกเสียงเฉพาะเสียงพยัญชนะท้ายตัวที่เหลือ เช่น พิมพ์ (พิม) ศุกร์ (สุก)
เสียงดนตรี หากเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต
พจน์ (พด) ทิพย์ (ทิบ) วงศ์ (วง) พิพัฒน์ (พิพัด) จะทําใหความหมายของคําเปลี่ยนแปลงไป)
๓) เสียงและรูปวรรณยุกต์ • วรรณยุกตระดับและวรรณยุกตเปลี่ยนระดับ
๓.๑) ลักษณะและประเภทของเสียงวรรณยุกต์ วรรณยุกต์เป็นเครื่องหมายแสดงระดับ มีความแตกตางกันอยางไร
เสียงสูงต�่าในภาษา ค�าที่มีรูปพยัญชนะและสระเหมือนกัน ถ้าเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน จะท�าให้ค�า (แนวตอบ วรรณยุกตระดับ คือ วรรณยุกต
มีความหมายต่างกัน เช่น ที่มีเสียงสูงหรือตํ่าคงที่ ไดแก เสียงสามัญ
เอก และตรี สวนวรรณยุกตเปลี่ยนระดับ คือ
นา น่า น้า ปา ป่า ป้า ป๊า ป๋า ไข ไข่ ไข้ เรือ เรื่อ เรื้อ วรรณยุกตที่มีการเปลี่ยนระดับเสียงจากสูง
ไปตํ่า หรือตํ่าไปสูงในพยางคเดียวกัน ไดแก
เสียงวรรณยุกต์จะปรากฏทุกครั้งเมื่อมีการออกเสียง ค�าไทยทุกค�าจะปรากฏเสียง
เสียงวรรณยุกตโท โดยเปลี่ยนจากระดับสูง
วรรณยุกต์ก�ากับอยู่ด้วยเสมอ ค�าบางค�ามีรูปวรรณยุกต์ก�ากับหรืออาจจะไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับอยู่
ลงมาตํ่า และเสียงวรรณยุกตจัตวา โดย
ก็ได้ วรรณยุกต์มี ๔ รูป ๕ เสียง ดังนี้ เปลี่ยนจากระดับตํ่าขึ้นสูง)
105
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับพยัญชนะทายเสียงหรือพยัญชนะสะกด เกร็ดแนะครู
ขอใดมีเสียงพยัญชนะสะกดตางจากขออื่น
เพื่อเพิ่มความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับพยัญชนะสะกดหลายเสียง
1. ขาว 2. ตัว
ในภาษาอังกฤษ เมื่อภาษาไทยยืมคํานั้นๆ มาใชไดมีการตัดเสียงพยัญชนะทายให
3. ผิว 4. เกี่ยว
เหลือเพียงเสียงเดียว เชน “world” เมื่อยืมมาใชในภาษาไทยไดตัดพยัญชนะที่อยู
วิเคราะหคําตอบ พยัญชนะสะกด หรือพยัญชนะทายเสียง เมื่อนําไป
หนาตัวสะกดออก แลวใสเครื่องหมายทัณฑฆาตไวบนพยัญชนะตัวสะกดตัวสุดทาย
ประกอบรูปคําจะปรากฏในตําแหนงทายคําหรือทายพยางค ซึง่ ในภาษาไทย
เปน “เวิลด”
มี 9 มาตรา ไดแก แม ก.กา แมกก แมกด แมกบ แมกง แมกน แมกม
แมเกย และแมเกอว จากตัวเลือกในขอ 1. พยัญชนะสะกด คือ /ว/ ขอ 2.
ไมมีเสียงพยัญชนะสะกด เปนคําในมาตรา แม ก. กา ประสมดวย สระ -ัว นักเรียนควรรู
ขอ 3. พยัญชนะสะกด คือ /ว/ และขอ 4. พยัญชนะสะกด คือ /ว/
ดังนั้นจึงตอบขอ 2. 1 พยัญชนะทายเสียง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่ปรากฏหลังสระ เปนเสียง
สะกดของพยางค ซึ่งพยัญชนะทายในภาษาไทยจะปรากฏไดเพียงครั้งละเสียง
แตกตางจากภาษาอื่นๆ เชน ภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะมีเสียงพยัญชนะสะกด
ไดครั้งละหลายเสียง
คู่มือครู 105
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับเสียงวรรณยุกต เสียง รูป ระดับเสียง ตัวอย่าง หมายเหตุ
ในภาษาไทย โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ วรรณยุกต์ วรรณยุกต์
จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูล สามัญ - ปานกลาง มีระดับ กิน ทอง ลืม ย�า ไม่มีรูปวรรณยุกต์แทนเสียง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม เสียงคงที่
• เสียงวรรณยุกตในภาษาไทยแบงออกเปน เอก ต�่าสุด มีเสียงคงที่ เก่ง ผ่า หนัก สุข บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์
กี่ประเภท และมีความแตกตางกันอยางไร ่
สม�่าเสมอ ก�ากับ
(แนวตอบ วรรณยุกตในภาษาไทยแบงเปน
2 ประเภท คือ วรรณยุกตมีรูปและวรรณยุกต โท ้ ตอนต้นเป็นเสียงสูง ใกล้ ข้า ค่า ช่าง บางค�ามีรูปวรรณยุกต์ ่ ก�ากับ
ปลายเสียงเปลี่ยน มาก นาบ แต่มีเสียงวรรณยุกต์โท
ไมมรี ปู ซึง่ วรรณยุกตมรี ปู หมายถึง วรรณยุกต ระดับเป็นเสียงต�่า บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
ที่มีเครื่องหมายบอกระดับเสียงใหเห็นชัดเจน
อยูบนพยัญชนะ มี 4 รูป ไดแก เอก โท ตรี ตรี ๊ สูง โต๊ะ จ๊ะ กั๊ก รัก บางค�ามีรูปวรรณยุกต์ ้ ก�ากับ
คิด น้อง ไว้ ใช้ แต่มีเสียงวรรณยุกต์ตรี
และจัตวา สวนวรรณยุกตไมมีรูป ไดแก บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
เสียงที่มีทํานอง สูง ตํ่าของอักษร ไมมีรูป
วรรณยุกตกํากับก็สามารถอานออกเสียงได จัตวา ตอนต้นเสียงต�่า แจ๋ว ก๋วยเตี๋ยว บางค�าไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ
๋ ตอนปลายเสียงเป็น เหลือง เขียว
เหมือนมีรูปวรรณยุกตกํากับ เชน ฝาย เปน ระดับเสียงที่สูงขึ้น
คําพื้นเสียงของอักษรสูง ซึ่งคําพื้นเสียงของ
อักษรสูง คือ เสียงจัตวา แมไมปรากฏ จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า ค�าไทยทุกค�าต้องมีเสียงวรรณยุกต์ก�ากับเสมอ เสียงบางเสียง
รูปวรรณยุกตจัตวาแตก็สามารถออกเสียง อาจมีรูปหรือไม่มีรูปก็ได้
จัตวาได) วรรณยุกต์ที่มีแต่เสียงไม่มีรูป เช่น
• นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไร เกี่ยวกับ
คําในภาษาไทยที่เมื่อเปลี่ยนรูปและเสียง กา มา เดือน เสียงสามัญ
วรรณยุกตแลว จะทําใหความหมายของคํา ขาด จาก หลบ เสียงเอก
เปลี่ยนแปลงไป ฆาต แรด พูด เสียงโท
(แนวตอบ ชวยใหภาษาไทยมีคําสําหรับ รัก น้อง วัด เสียงตรี
ใชสื่อสารมากขึ้นในชีวิตประจําวัน) สาว ขา สวย เสียงจัตวา
ส�าหรับวรรณยุกต์ที่มีรูป รูปกับเสียงอาจไม่ตรงกันก็ได้
106
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ประโยคในขอใดปรากฏคําที่มีเสียงวรรณยุกตไมตรงกับรูปมากที่สุด
การเรียนการสอนในหัวขอหลักการผันเสียงวรรณยุกต ครูควรใหคํานิยาม 1. พี่ของฉันเปนคนนารัก 2. ในปามีแตตนไม
เกี่ยวกับการผันเสียงวรรณยุกต ดังนี้ การผันเสียงวรรณยุกต หมายถึง การเปลี่ยน 3. กระตายตื่นตูม 4. เขาไมมีที่ไป
เสียงวรรณยุกตของพยางคที่ประกอบขึ้นจากพยัญชนะตนกับสระ หรือพยัญชนะตน
กับสระและตัวสะกดเดียวกัน โดยใสรูปวรรณยุกตที่ตางกันก็จะทําใหความหมาย วิเคราะหคําตอบ หากนักเรียนมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับไตรยางศ
ของคําแตกตางกันดวย นอกจากนี้ยังทําใหเกิดคําเปน คําตาย ขึ้นในภาษาไทย จะทําใหสามารถทําขอสอบขอนี้ไดงายและรวดเร็วขึ้น เมื่อสังเกตจาก
ซึ่งเอื้อประโยชนตอการนําไปประกอบการแตงบทรอยกรองเพื่อใหตรงฉันทลักษณ ตัวเลือกจะเห็นวา ขอ 3. เปนคําที่ประสมดวยพยัญชนะที่เปนอักษรกลาง
มากที่สุด ซึ่งโดยสวนใหญจะออกเสียงตรงกับรูปวรรณยุกตมีเพียงคําวา
กระ คําเดียวทีไ่ มมรี ปู วรรณยุกตกาํ กับแตออกเสียงเปนเสียงเอก ซึง่ ตัวเลือก
มุม IT ในขอ 3. จึงตัดทิ้งไดทันที พิจารณาวรรณยุกตที่มีเสียงไมตรงกับรูป
หมายถึง มีรูปวรรณยุกตกํากับแตเวลาอาน อานออกเสียงไมตรงกับรูป
นักเรียนสามารถคนควาความรู ความเขาใจเกี่ยวกับพยัญชนะไทย วรรณยุกตที่กํากับอยูขางบน ขอ 1. ไดแกคําวา พี่ ของ ฉัน นา รัก ขอ 2.
และการผันวรรณยุกตไดจากเว็บไซต www.st.ac.th/bhatips/gramma3.htm ไดแกคําวา ไม ขอ 4. ไดแกคําวา เขา ไม ที่ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
106 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการ
วรรณยุกต์ที่มีเสียงตรงกับรูป เช่น ผันเสียงวรรณยุกตที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับ
ข่ำ สง่ำ หมี่ วรรณยุกต์รูปเอก เสียงเอก
ตอบคําถาม
ก้อง จ้ำ ป้ำ วรรณยุกต์รูปโท เสียงโท
• จากที่นักเรียนเคยทราบวา มีการแบง
โต๊ะ แก๊ส กัก๊ วรรณยุกต์รูปตรี เสียงตรี
พยัญชนะออกเปน อักษรสูง อักษรกลาง
แต๋ว จ๋ำ ปิ๋ม วรรณยุกต์รูปจัตวำ เสียงจัตวำ
และอักษรตํ่า การแบงพยัญชนะในลักษณะ
ดังกลาวมีประโยชนอยางไร
วรรณยุกต์ที่มีเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น
(แนวตอบ การจําแนกพยัญชนะเปนอักษรสูง
ว่ำ ค่ำ ง่ำย โล่ง วรรณยุกต์รูปเอก เสียงโท อักษรกลาง และอักษรตํ่า ทําใหสามารถ
ร้อน น้อง ฟ้ำ ค�้ำ วรรณยุกต์รูปโท เสียงตรี ผันคําใหมีเสียงและรูปตางๆ กันได เมื่อ
คําเหลานั้นมีเสียงและรูปตางกันจะทําให
๓.๒) หลักการผันเสียงวรรณยุกต์ เนื่องจำกเสียงวรรณยุกต์จะใช้ควบคู่กับรูปพยัญชนะ ความหมายของคําตางกันดวย เชน ปา ปา
ดังนั้น ในกำรผันเสียงวรรณยุกต์เพื่อแยกควำมหมำยของค�ำ ผู้เรียนจ�ำเป็นต้องมีควำมรู้เกี่ยวกับ ปา ปา ปา คําทั้ง 5 คํา ลวนมีเสียง รูป และ
ไตรยำงศ์ หรืออักษรสำมหมู่ และเรื่องค�ำเป็น ค�ำตำย พอสังเขป ดังนี้ ความหมายที่ตางกันในบริบทที่แตกตางกัน
๑. ไตรยำงศ์ คือ กำรจัดพยัญชนะไทยทั้ง ๔๔ รูป แบ่งเป็นสำมหมู่เพื่อให้สะดวก ทําใหภาษาไทยมีคําใชเพิ่มมากขึ้น)
ในกำรผันอักษร ดังนี้ • การผันเสียงวรรณยุกตชวยทําใหภาษาไทย
มีคําใชเพิ่มขึ้นไดอยางไร
ไตรยางศ์ (แนวตอบ การผันเสียงวรรณยุกตเมื่อรูป
1 วรรณยุกตที่ใชกํากับขางบนคํานั้นๆ
อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต�่า เปลี่ยนไป เสียงที่ไดก็จะเปลี่ยนไป สงผลให
ความหมายของคําเปลี่ยนแปลงไปดวย
ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ภ
ฟ ฮ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ
เชนกัน จึงทําใหมีคําใชในความหมายที่
แตกตางกัน เชน ฉันปาลูกดอก พอไป
เดินปา ปาของฉันเปนคนใจดี เปนตน)
• วรรณยุกตสามารถออกเสียงไมตรงกับรูปได
๒. ค�ำเป็น คือ ค�ำที่ประสมกับสระเสียงยำวในแม่ ก กำ เช่น พี่ ป้ำ ไป เรือ และ
นักเรียนยกตัวอยางคําที่ตรงกับขอสังเกต
ค�ำที่สะกดในแม่กง กน กม เกย เกอว เช่น ลุง กิน นม เลย หิว รวมทั้งค�ำที่ประสมด้วยเสียงอ�ำ ไอ ใอ
(แนวตอบ คําที่ออกเสียงไมตรงกับรูป
เอำ เช่น น�้ำ ไม่ ใจ เมำ
วรรณยุกต เชน อักษรตํ่า ถามีรูปวรรณยุกต
๓. ค�ำตำย คือ ค�ำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กำ เช่น มะระ เกะกะ เอะอะ
เอกจะอานออกเสียงเปนเสียงโท เชน คา
เลอะเทอะ และค�ำที่สะกดในแม่กก กด กบ เช่น นก มด จับ
และถามีรูปวรรณยุกตโท จะอานออกเสียง
เปนเสียงตรี เชน นํา้ หรืออักษรสูงในคําวา ขา
107 ไมปรากฏรูปวรรณยุกตแตเวลาอานออกเสียง
จะออกเสียงเปนเสียงจัตวา)
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 53 ออกเกี่ยวกับไตรยางศ เกร็ดแนะครู
ขอใดใชพยัญชนะตนของคําเปนอักษรตํ่าคูทั้งหมด
ครูควรจัดกิจกรรมยอยภายในชั้นเรียน โดยใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยาง
1. งูใหญในรั้ววัดโมลี
พยัญชนะในหมวดอักษรสูงที่มีเสียงคูกับพยัญชนะในหมวดอักษรตํ่าคู
2. ฉันฝากถุงขาวสวยใหผอง
3. การจัดเด็กตองบอกปาอบ
4. คนแซเฮงชอบแฟนพันธุแท
วิเคราะหคําตอบ อักษรตํ่าคู หรืออักษรตํ่าที่มีเสียงคูกับอักษรสูง นักเรียนควรรู
มี 14 ตัว ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ ซึ่งตัวเลือกในขอ 1. 1 อักษรตํ่า คือ พยัญชนะที่มีพื้นเสียงเปนเสียงสามัญ มี 24 ตัว แบงเปน
เปนอักษรตํ่าเดี่ยวทุกตัว ขอ 2. เปนอักษรสูงทุกตัว ขอ 3. เปนอักษรกลาง อักษรตํ่าคู และอักษรตํ่าเดี่ยว ซึ่งอักษรตํ่าคู คืออักษรตํ่าที่มีเสียงคูกับอักษรสูง
ทุกตัว ดังนั้นจึงตอบขอ 4. มี 14 ตัว ไดแก ค ฅ ฆ ช ฌ ซ ฑ ฒ ท ธ พ ภ ฟ ฮ และอักษรตํ่าเดี่ยว คือ
อักษรตํ่าที่ไมมีเสียงคูกับอักษรสูงมี 10 ตัว ไดแก ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ
คู่มือครู 107
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม ตามความสมัครใจ
โดยใหมีจํานวนสมาชิกเทาๆ กัน ดังนี้ การผันวรรณยุกต์ของอักษรต�่าค�าเป็นและอักษรต�่าค�าตายมีข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งว่า
กลุมที่ 1 อักษรสูง อักษรต�่าค�าตาย และอักษรต�่าค�าเป็นนั้นจะมีพื้นเสียงที่แตกต่างกัน ดังจะได้แสดงไว้ในวิธีผันเสียง
กลุมที่ 2 อักษรกลาง วรรณยุกต์ต่อไปนี้
กลุมที่ 3 อักษรตํ่า
ใหแตละกลุม ออกมาเลนเกม “ผันคําตามเงือ่ นไข” ลักษณะพยางค์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
เริ่มจากกลุมที่ 1 อักษรสูง ออกมาหนาชั้นเรียน ข่� ข้� ข�
จากนัน้ ใหสมาชิกภายในกลุม เลือกทีจ่ ะเปนพยัญชนะ คำ�เป็น ฝ่�ย ฝ้�ย ฝ�ย
สระ หรือวรรณยุกตตามใจชอบไดคนละ 2 ตัว อักษรสูง เสื่อ เสื้อ เสือ
ไมซํ้ากันและเขียนลงบนฝามือทั้งสองขางของตนเอง ขะ ข้ะ
จากนั้นครูกําหนดเงื่อนไขใหสรางคําที่ประสมดวย คำ�ต�ย
ขัด ขั้ด
อักษรสูง คําเปน เสียงโท นักเรียนในกลุมจะตอง ข�ด ข้�ด
ชวยกันประสมคําใหไดตามเงื่อนไขดังกลาว
สมาชิกคนอื่นๆ ภายในกลุมที่ไมไดเปนหนึ่งในคํา ก� ก่� ก้� ก๊� ก๋�
คำ�เป็น กัน กั่น กั้น กั๊น กั๋น
ที่ประสมนั้นใหนั่งลง ลอมรอบเพื่อนที่เปนตัวแทน
ก�ง ก่�ง ก้�ง ก๊�ง ก๋�ง
ของคําที่ประสมขึ้น ตัวแทนของคําใหชูฝามือของ อักษรกลาง
ตนเองขางใดขางหนึ่งที่เปนสวนประกอบของคําให คำ�ต�ย
จะ จ้ะ จ๊ะ จ๋ะ
เพื่อนๆ รวมชั้นเรียนไดเห็น จากนั้นครูสุมเรียกชื่อ จับ จั้บ จั๊บ จั๋บ
นักเรียนในกลุมที่ 2 หรือ 3 อธิบายความรูวาการผัน จ�บ จ้�บ จ๊�บ จ๋�บ
วรรณยุกตของเพื่อนถูกตองหรือไม เพราะเหตุใด ค� ค่� ค้�
ซึ่งนักเรียนในกลุมที่ 1 อาจประสมไดคําวา “ฝาย” คำ�เป็น คัน คั่น คั้น
แสดงวาการประสมคํานั้นถูกตอง แตถานักเรียน ว�ว ว่�ว ว้�ว
ประสมไดคําวา “ฝาย” คํานี้ไมถือวาถูกตองตาม อักษรต�่า คำ�ต�ย ค่ะ คะ
เงื่อนไข เพราะ “ฝาย” ประสมดวยอักษรสูง คําเปน สระเสียงสั้น คึ่ก คึก
แตเปนเสียงจัตวา จากนั้นจึงใหแตละกลุมสลับกัน คำ�ต�ย ว�ก ว้�ก
สระเสียงย�ว เชิด เชิ้ด
ออกมาเลนเกมจนครบทุกกลุม โดยกลุมที่ไมไดเลน
จะเปนกลุมที่อธิบายความรูเกี่ยวกับคําที่เพื่อนผัน อักษรกลางผันได้ครบทั้ง ๕ เสียง ขณะที่อักษรสูงและอักษรต�่าไม่สามารถผันครบ ๕ เสียงได้
จากนั้นใหสรุปความรูรวมกันเกี่ยวกับการผันเสียง ทั้งยังมีรูปและเสียงไม่ตรงกัน แต่มีวิธีผันอักษรสูง อักษรต�่าให้ครบ ๕ เสียงได้ ดังนี้
วรรณยุกตลงสมุด
108
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีเสียงวรรณยุกตครบทั้งหาเสียง
เกมที่ใหนักเรียนปฏิบัติในกระบวนการอธิบายความรู (Explain) เปนเกมที่ 1. เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง
สรางสรรคขึ้นมาเพื่อใหนักเรียนไดประมวลความรูทั้งหมด ซึ่งความรูที่จะทําให 2. ฉันรักภาษาไทยมากที่สุด
สามารถเลนเกมนี้ไดถูกตอง คือ ความรูเกี่ยวกับการประสมคําจากเสียงสระ 3. หมูหมากาไก หมูไปไกมา
เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต อักษรสามหมู (ไตรยางศ) คําเปน คําตาย การผัน 4. ฉันภาคภูมิใจในภาษาไทยของเรา
วรรณยุกต ถาสมมติวา นักเรียนกลุม ที่ 1 ไมมใี ครเลือกเปนพยัญชนะในหมูอ กั ษรสูงเลย
นักเรียนก็จะไมสามารถประสมคําได ในขณะเดียวกัน นักเรียนที่เปนกลุมอักษรตํ่า วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. “เรื่อย” เสียงโท “มา” เสียงสามัญ และ “เรียง”
หากไดรับเงื่อนไขใหผสมคําจากอักษรตํ่า คําตาย เสียงตรี แตนักเรียนประสมคํา เสียงสามัญ ขอ 2. “ฉัน” เสียงจัตวา “รัก” เสียงตรี “ภา” เสียงสามัญ
ไดเปนคําวา “นํ้า” นั่นแสดงวา นักเรียนยังไมมีความรูเกี่ยวกับคําเปนและคําตาย “ษา” เสียงจัตวา “ไทย” เสียงสามัญ “มาก” เสียงโท “ที่” เสียงโท “สุด”
เพราะคําที่นักเรียนประสมได เปนอักษรตํ่า คําเปน รูปโท เสียงตรี เสียงเอก ขอ 3. “หมู” เสียงจัตวา “หมา” เสียงจัตวา “กา” เสียงสามัญ
“ไก” เสียงเอก “ไป” เสียงสามัญ “มา” เสียงสามัญ และขอ 4. “ฉัน”
เสียงจัตวา “ภาค” เสียงโท “ภูมิ” เสียงสามัญ “ใจ” เสียงสามัญ “ใน”
เสียงสามัญ “ภา” เสียงสามัญ “ษา” เสียงจัตวา “ไทย” เสียงสามัญ “ของ”
เสียงจัตวา “เรา” เสียงสามัญ ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
108 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 1 คน ออกมา
๑. อักษรต�่ำที่มีเสียงคู่กับอักษรสูง สำมำรถผันคู่กันได้ ดังนี้ อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย
เสียงวรรณยุกต์ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
อักษร 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
สูง - ข่� ข้� - ข� การออกเสียงภาษาไทย โดยใชความรู
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ตำ่� ค� - ค่� ค้� -
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูลเบื้องตน
๒. อักษรต�่ำที่ไม่มีเสียงคู่กับอักษรสูง สำมำรถผันให้ครบ ๕ เสียงได้โดยใช้ ห น�ำ หรือ อ น�ำ (แนวตอบ การออกเสียงคําในภาษาไทย ผูอาน
ดังนี้ จะตองคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้
เสียงวรรณยุกต์ • ออกเสียงพยัญชนะใหถูกตองชัดเจน
อักษร
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
• ออกเสียงคําควบกลํ้าใหชัดเจนและ
เปนไปตามธรรมชาติ
ห นำ� ง� หง่� ง่� ง้� หง�
• ไมอานรวบคํา ยอคํา หรือตัดความ
อ นำ� ย� อย่� ย่� ย้� หย� • ระมัดระวังการออกเสียงวรรณยุกต
กำรใช้รูปวรรณยุกต์ มีหลักในกำรใช้ ดังนี้ เพราะหากออกเสียงผิดจะทําใหความหมาย
๑. วำงเหนือพยัญชนะต้นที่เป็นพยัญชนะเดี่ยว เช่น พ่อ แม่ น้อง เป็นต้น ของคําเปลี่ยนแปลงไปและสื่อความหมาย
๒. พยัญชนะต้นทีเ่ ป็นพยัญชนะเดีย่ วทีม่ รี ปู สระเหนือพยัญชนะนัน้ ให้วำงรูปวรรณยุกต์ คลาดเคลื่อนไปจากเจตนาของผูสงสาร)
เหนือสระ เช่น พี่ เสื่อ มื้อ เป็นต้น
๓. ถ้ ำ พยั ญ ชนะต้ น เป็ น พยั ญ ชนะควบกล�้ ำ อั ก ษรน� ำ ให้ ว ำงรู ป วรรณยุ ก ต์ เ หนื อ
พยัญชนะต้นตัวที่สอง เช่น กว้ำง กล้ำ หน้ำ เป็นต้น 1
๔. ถ้ำพยัญชนะต้นเป็นอักษรควบ อักษรน�ำ มีสระเหนือพยัญชนะต้น ให้วำงรูปวรรณยุกต์
เหนือสระที่พยัญชนะต้นตัวที่สอง เช่น หนี้ หนึ่ง ปล�้ำ เป็นต้น
๑.๓ การออกเสียงภาษาไทย
เสียงในภำษำไทยเป็นเสียงทีม่ เี อกลักษณ์เฉพำะ ผูเ้ รียนจ�ำเป็นต้องศึกษำและฝึกฝนกำรออกเสียง
ให้ถูกต้อง เพรำะถ้ำออกเสียงผิด กำรเขียนก็จะผิดด้วย เป็นอุปสรรคในกำรสื่อสำร
กำรออกเสียงภำษำไทยให้ถูกต้อง มีลักษณะดังนี้
๑. ออกเสียงพยัญชนะ และถ้อยค�ำให้คล่องถูกต้อง ชัดเจน ตำมหลักกำรออกเสียงภำษำไทย
ไม่ออกเสียงช้ำหรือเร็วเกินไป เช่น
มกรำคม ออกเสียงว่ำ มะ-กะ-รำ-คม
สัปดำห์ ออกเสียงว่ำ สับ-ดำ หรือ สับ-ปะ-ดำ
อำชญำกร ออกเสียงว่ำ อำด-ยำ-กอน หรือ อำด-ชะ-ยำ-กอน
109
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
คําในขอใดตอไปนี้มีเสียงวรรณยุกตตรงกับคําวา “นํ้าแข็ง” ทุกคํา
ครูควรสรางองคความรูเพิ่มเติมใหแกนักเรียน ดวยชุดคําอธิบายวา การอานคํา
1. ปลาเค็ม นํ้าใจ
ในภาษาไทยที่ใชพยัญชนะ สระและวรรณยุกตประสมกัน มีหลักการผันวรรณยุกต
2. นํ้าปลา มานํ้า
ซึ่งประกอบดวยการใชอักษรสามหมูหรือไตรยางศ ลักษณะของพยางคหรือคําเปน
3. นาสาว ลางขา
คําตาย กับรูปวรรณยุกต สามสิ่งนี้ประกอบกัน โดยผูที่มีความรู ความเขาใจ
4. ปลาทู ไหมฝน
เกี่ยวกับหลักการผันวรรณยุกตจะทําใหอานออกเสียงคําในภาษาไทยไดถูกตอง
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ปลาเค็ม มีเสียงสามัญ, สามัญ นํ้าใจ มีเสียง
ตรี, สามัญ ขอ 2. นํ้าปลา มีเสียงตรี, สามัญ มานํ้า มีเสียงตรี, ตรี ขอ 4.
ปลาทู มีเสียงสามัญ, สามัญ ไหมฝน มีเสียงจัตวา, จัตวา จากโจทยคาํ วา นักเรียนควรรู
“นํา้ แข็ง” มีเสียงวรรณยุกตเปนเสียงตรี กับ เสียงจัตวา ขอ 3. คําวา
“นาสาว” มีเสียงตรีและเสียงจัตวา คําวา “ลางขา” มีเสียงตรี และเสียง 1 อักษรนํา คือ พยัญชนะสองตัวเรียงกันและพยัญชนะตัวหนามีอทิ ธิพลนําเสียง
จัตวา ดังนั้นจึงตอบขอ 3. วรรณยุกตของตัวทีต่ ามมา โดยทีต่ วั หนาจะเปนอักษรสูงหรืออักษรกลาง ซึ่งตัวที่
ตามมาจะเปนอักษรตํ่าเดี่ยวเทานั้น
คู่มือครู 109
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนจับกลุม กลุมละ 3 คน ตามความ
สมัครใจ จากนั้นใหใชความรู ความเขาใจ ๒. ออกเสียงควบกล�้ำให้ชัดเจน เป็นธรรมชำติ ไม่ดัดเสียงหรือเน้นเสียงเกินไป เช่น ปรับปรุง
เกี่ยวกับเสียงในภาษาไทย จัดปายนิเทศ กรุยกรำย กล้อง แกล้ง กล้วย ควำย ขวนขวำย ขวักไขว่ เป็นต้น
ขนาดเล็กลงบนแผนพลาสติกลูกฟูก สงครู ๓. ระมัดระวังไม่ออกเสียงเลียนแบบภำษำต่ำงประเทศ เช่น เสียง /จ/ /ช/ /ร/ /ล/ /ว/
โดยอธิบายลักษณะเฉพาะของเสียงและ /ฟ/ /ท/ /ด/ ไม่พูด ฉัน เป็น Chan ประเทศไทย ไม่ออกเสียงเป็น ประเทศไช หรือออกเสียง /ร/
การทําหนาที่ในหนวยคํา โดยใหนักเรียน โดยรัวลิ้นมำกเกินไป
เลือกวากลุมของตนเองจะศึกษาเสียง ๔. ไม่ออกเสียงตัดค�ำ ย่อค�ำ หรือรวบค�ำ เช่น
ประเภทใด ระหวางเสียงสระ เสียงพยัญชนะ อย่ำงนี้ ไม่ออกเสียงเป็น หยั่งเนี้ยะ หยั่งงี้
และเสียงวรรณยุกต มหำวิทยำลัย ไม่ออกเสียงเป็น หมำลัย
2. นักเรียนรวบรวมคําศัพท ซึ่งราชบัณฑิตยสถาน ดิฉัน ไม่ออกเสียงเป็น เดี๊ยน ดั๊น
ไดกําหนดไววาอานได 2 แบบ จากหนังสือ ๕. เมื่อพูดอย่ำงเป็นทำงกำรต้องใช้ภำษำไทยกลำงและต้องออกเสียงให้ชัดเจน ระมัดระวัง
“อานอยางไรเขียนอยางไร” ทําเปนสมุดคําศัพท ไม่ออกเสียงส�ำเนียงท้องถิ่น เช่น โกหก ไม่ออกเสียงเป็น กอหก ฉัน ไม่ออกเสียงเป็น ฉั่น เมื่อสนทนำ
โดยรวบรวมใหไดจํานวน 30 คํา รวมถึง อย่ำงไม่เป็นทำงกำรกับคนในท้องถิ่นเดียวกัน หรือผู้ที่คุ้นเคยควรรักษำเอกลักษณ์ภำษำถิ่นของตน
ตั้งขอสังเกตดวยวาคํานั้นๆ คนสวนใหญนิยม และใช้ภำษำถิ่นด้วยควำมภำคภูมิใจ
อานแบบใด และเพราะเหตุใด เชน ๖. ไม่พูดภำษำไทยปนกับภำษำต่ำงประเทศ เพรำะผู้ฟังอำจไม่เข้ำใจ
๗. ระมัดระวังกำรออกเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องไม่ออกเสียงเพี้ยน เช่น พ่อแม่ ไม่ออกเสียง
คําวา เพชรบุรี อานวา เพ็ด-บุ-รี หรือ เพ็ด-ชะ-
เป็น พ้อ แม้
บุ-รี แตคนสวนใหญนิยมออกเสียงวา เพ็ด-บุ-รี
๘. อ่ำนเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
เพราะงายตอการออกเสียงและเปนที่เขาใจ
ข้อสังเกต
ตรงกัน
๑. กำรเขียนอักษรในภำษำไทยไม่มีสัญลักษณ์บอกว่ำจบประโยคหรือจบข้อควำม ผู้สื่อสำร
คําวา โจรกรรม อานวา โจ-ระ-กํา หรือ ต้องรู้จักเว้นวรรคเมื่อจบข้อควำม หำกมีค�ำเชื่อม เช่น และ แต่ กับ ต้องเขียนประโยคติดกัน
โจน-ระ-กํา แตคนสวนใหญนิยมออกเสียงวา ๒. กำรเขียนตัวอักษรแทนเสียง ตัว /อ/ /ว/ /ย/ แทนได้ทั้งพยัญชนะและสระ อีกทั้งค�ำบำงค�ำ
โจน-ระ-กํา เพราะงายตอการออกเสียงและ ไม่มีรูปสระเพรำะเป็นสระลดรูป เมื่อจะออกเสียงผู้อ่ำนต้องพิจำรณำควำมหมำยด้วยว่ำควรอ่ำน
สอดคลองกับคําวาโจร อย่ำงไร เช่น กรกนกสวย ขนมครกอร่อย เป็นต้น
๓. ค�ำบำงค�ำมีตัวสะกดท้ำยวรรค ผู้อ่ำนต้องระมัดระวังอย่ำเผลออ่ำนเป็นพยัญชนะต้น เช่น
อำจอง ต้องออกเสียงเป็น อำด-อง ไม่ใช่ออกเสียงเป็น อำ-จอง
๔. กำรออกเสียงในภำษำกับกำรเขียนตัวอักษร บำงค�ำออกเสียงไม่ตรงกับรูป เช่น น�้ำ เท้ำ
เป็นต้น เขียน น -ำ น�้ำ วรรณยุกต์รูปโท ถ้ำวิเครำะห์เสียงตำมรูปที่ปรำกฏ อ�ำ คือ สระอะ มี /ม/
เป็นตัวสะกด แต่ออกเสียงเป็น /น/ สระอำ /ม/ เป็นตัวสะกด วรรณยุกต์รูปโท ออกเสียงเป็น
วรรณยุกต์ตรี กำรออกเสียงที่ผิดไปจำกรูปนี้มีไม่มำกนัก เมื่อผู้ฟังรับสำรได้เข้ำใจ ก็เป็นที่ยอมรับ แต่ก็
มีบำงค�ำที่ออกเสียงตรงกับรูป เช่น กำด�ำ เก้ำอี้ เข้ำถ�้ำ ผู้เรียนต้องรู้จักสังเกตและจดจ�ำ
110
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําในขอใดตอไปนี้มีความสัมพันธกับคําวา “สักวา” ทั้งสองคํา
การเรียนการสอนในหัวขอ การอานออกเสียงภาษาไทย ครูควรคัดสรรบทอาน 1. กรี เพลา
ที่มีความหลากหลาย ระดับความยาก งายของคําอาน มาใหนักเรียนไดฝกปฏิบัติจริง 2. มัจฉา ตุกตา
เพือ่ ฝกฝนใหสามารถอานไดถกู ตองตามหลักเกณฑการออกเสียง และการแบงวรรคตอน 3. สัตวา เพลา
นอกจากนี้ยังควรใหความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการออกเสียงคําตอไปนี้ 4. สัพยอก ชุกชี
• คําควบกลํ้าแท และคําควบกลํ้าไมแท
• การอานอักษรนํา การอานพยางคที่มี รร (ร หัน) วิเคราะหคําตอบ คําที่กําหนดใหจากโจทย เปนคําที่มีลักษณะการอาน
• การอานพยางคที่มีพยัญชนะหรือสระที่ไมตองออกเสียง แบบแทรกเสียงสระระหวางพยางค จึงอานวา สัก-กะ-วา จากตัวเลือกใน
• การอานคําสมาส ขอ 1. อานวา กฺรี, กะ-รี และ เพฺลา, เพ-ลา ขอ 2. อานวา มัด-ฉา และ
• การอานคําที่ตองแทรกเสียงสระระหวางพยางค ตุก-กะ-ตา ขอ 3. อานวา สัด-ตะ-วา และ เพฺลา, เพ-ลา ขอ 4. อานวา
• การอานคําพองรูป การอานคําบาลี สันสกฤต เปนตน สับ-พะ-ยอก และ ชุก-กะ-ชี ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
110 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อกระตุนความ
๒ ¾Åѧ¢Í§ÀÒÉÒ สนใจและนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน
พลั ง ของภาษา หมายถึ ง อํ า นาจของภาษา ส ว นภาษา หมายถึ ง เสี ย งพู ด ของมนุ ษ ย • ในความคิดเห็นของนักเรียนภาษามีพลัง
(วัจนภาษา) และกิริยาทาทาง (อวัจนภาษา) รวมทั้งสัญลักษณ เชน ตัวอักษรที่ใชแทนเสียง ภาษา อยางไร
มีหนาที่ในการสื่อสารทําความเขาใจของบุคคลใหเขาใจตรงกัน มีอํานาจในการสรางสรรคและทําลาย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๑) พลังของภาษาเชิงบวก เปนพลังทางสรางสรรค ภาษามีพลังสรางสรรค ดังนี้ ไดอยางอิสระ ขึน้ อยูก บั ทัศนคติและวิสยั ทัศน
๑. ภาษาสรางขวัญกําลังใจ เชน ขอใหเดินทางโดยปลอดภัย สวนตน เชน ภาษาทําใหมนุษยสามารถ
๒. ภาษาชวยปลอบประโลมใจ เมื่อยามเจ็บปวด สิ้นหวัง ทอถอย เชน คุณโชคดีจังที่ได สื่อสารกันไดเขาใจ ภาษาทําใหสังคมเจริญ
คุณหมอนพพรมารักษา คุณรูไ หมหมอคนนีเ้ กงทีส่ ดุ ในประเทศไทยเรือ่ งรักษาโรคหัวใจ ชาวตางชาติยงั มา กาวหนา ภาษาทําใหคนมีสิ่งยึดเหนี่ยว
ใหหมอรักษาเลย รวมกัน ภาษาทําใหเกิดความเปนชาตินิยม
๓. ภาษาชวยสรางสัมพันธไมตรี เชน คนไทยมักใชคําพูดวา ยินดีตอนรับ เปนตน)
๔. ภาษาชวยสรางความฮึกเหิม เชน ในการแขงขันกีฬาหรือในการเชียรกีฬาสีของโรงเรียน • นักเรียนมีความคิดเห็นอยางไรกับคํากลาว
เพลงเชียรทําใหนักกีฬาคึกคัก เขมแข็ง เชน สีฟา สู สู สีฟาสูตาย สีฟาไวลาย สีฟา สู สู ที่วา “ภาษาเปนเครื่องมือสื่อความคิด
๕. ภาษาเพื่อโนมนาวใจ ใหเชื่อถือ เห็นจริง คลอยตาม ใหความสนใจ หรือเปลี่ยนใจ ความรูสึก จินตนาการของมนุษย ภาษาไทย
เปลี่ยนพฤติกรรม ไดแก เชิญชวนเกี่ยวกับอาหาร เชน ขาวแชชาววัง ขาวตังเสวย กวยเตี๋ยวหลาน ชวยใหคนไทยรักและเขาใจกันเปนอยางดี”
โกฮับ กาแฟสูตรโบราณ ผูรับสารจะรูสึกวานาจะอรอยเปนพิเศษ (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๖. ภาษาใหคติสอนใจ ให1ความรื่นรมย จรรโลงใจใหเปนสุข เชน บทธรรมะ สุภาษิตสอนใจ
ไดอยางอิสระ แตคําตอบของคําถามนี้ควร
คําขวัญ คําคม บทเพลง บทกลอมเด็ก เปนตน
เปนไปในทิศทางที่เห็นดวยหรือสนับสนุน
คํากลาว เพราะการมีภาษาเปนสื่อกลางเพื่อ
ใชสาํ หรับการสือ่ สารระหวางกัน ทําใหมนุษย
สามารถสื่อความคิด ความรูสึก จินตนาการ
ใหผูอื่นรับรูได ภาษาจึงมีพลังทําใหคนเขาใจ
กัน รับรูความตองการของกันและกัน ทําให
ไมแตกแยกกันเพราะความไมเขาใจหรือ
เขาใจผิด)
ส�ารวจค้นหา Explore
แบงนักเรียนเปน 5 กลุม ตามความสมัครใจ
โดยกําหนดจํานวนสมาชิกตามความเหมาะสม
คนไทยนิยมตั้งชื่อแกบุตรหลานของตนดวยถอยคําที่ไพเราะ มีความหมายไปในทิศทางที่ดีงาม เพืื่อความเปนสิริมงคล จากนัน้ ใหแตละกลุม รวมกันสืบคนความรูใ นประเด็น
โดยจะใหผูใหญที่นับถือ และมีความแตกฉานทางดานภาษาหรือพระสงฆเปนผูตั้งชื่อให นับเปนพลังเชิงสรางสรรค
“พลังของภาษาที่มีตอชีวิตประจําวัน” โดยนักเรียน
ของภาษาประการหนึ่ง
อาจสืบคนไดจากแหลงการเรียนรูตางๆ ที่สามารถ
๑๑๑ เขาถึงได เชน ตําราวิชาการ อินเทอรเน็ต หรือ
การสังเกตพฤติกรรมของคนในสังคม
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดไมมีความเกี่ยวของกับพลังของภาษา
1. ภาษาทําใหคนเปนสวนหนึ่งของสังคม ครูควรมอบหมายใหนกั เรียนสืบคนความรูเ กีย่ วกับเพลงกลอมลูกหรือเพลง
2. ภาษาทําใหมนุษยมีความเขาใจที่ดีตอกัน กลอมเด็กของแตละภาค โดยเลือกภาคที่นักเรียนสนใจ คัดลอกเนื้อเพลง แลวนํามา
3. ภาษาชวยสะทอนความคิด ความเปนตัวตน วิเคราะหวามีรูปแบบการใชภาษาอยางไร ภาษาที่ใชในบทเพลงมีพลังอยางไร
4. ภาษาทําใหสถานภาพทางสังคมของคนเปลี่ยนไป และเปนพลังที่กอใหเกิดสิ่งใด เชน ใชภาษาเพื่อถายทอดความรักของแมที่มีตอลูก
ใชภาษาเพื่อสรางความอบอุน เปนตน
วิเคราะหคําตอบ พลังของภาษา หมายถึง อํานาจของภาษาที่มีตอชีวิต
ประจําวันของมนุษย เชน ทําใหมนุษยสามารถสื่อสารเขาใจซึ่งกันและ
กันได สรางความเขาใจอันดีตอกัน ทําใหมนุษยเปนสวนหนึ่งของสังคม นักเรียนควรรู
ชวยสะทอนตัวตนของบุคคล แตภาษาไมสามารถทําใหสถานภาพทาง
สังคมของบุคคลนั้นๆ เปลี่ยนแปลงได ดังนั้นจึงตอบขอ 4. 1 บทกลอมเด็ก ประเทศไทยมีบทกลอมเด็กหรือเพลงกลอมเด็กทั่วทุกภาค
โดยมีชื่อเรียกแตกตางกัน เชน ภาคเหนือเรียกวา เพลงนอนสาหลา หรือ
นอนสาเดอ ภาคกลางเรียกวา เพลงกลอมลูก ภาคใตเรียกวา เพลงชานองหรือ
เพลงเปล ซึ่งแตละภูมิภาคจะมีเนื้อรอง ทํานองที่แตกตางกัน โดยเนื้อรองจะ
สะทอนใหเห็นวิถีชีวิตของคนในภูมิภาคนั้นๆ
คู่มือครู 111
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนแตละกลุมนําความรูมาแบงปน ซักถาม
ซึ่งกันและกัน เปนเวลา 10 นาที จากนั้นใหยืน
ในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบายความรูแบบ ๒) พลังของภาษาเชิงลบ เปนพลังในดานการทําลาย จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ตอน
โตตอบรอบวงเกีย่ วกับพลังของภาษา โดยใชความรู อุศเรนตีเมืองผลึก นางวาลีไดอาสาพระอภัยมณีตอสูกับอุศเรนนางกลาววา
๑
ความเขาใจ ที่ไดรับจากการสืบคนดวยตนเองและ “ประเวณี ตีงูใหหลังหัก มันก็มักทํารายเมื่อภายหลัง
การแลกเปลี่ยนกับเพื่อนเปนขอมูลเบื้องตน จระเขใหญไปถึงนํ้ามีกําลัง เหมือนเสือขังเขาถึงดงก็คงราย
• การตั้งชื่อบุคคลใหมีความหมายไปในทิศทาง อันแมทัพจับไดแลวไมฆา ไปขางหนาศึกจะใหญขึ้นใจหาย
ที่ดีงามและรวมถึงใชภาษาบาลี สันสกฤต ตองตํารับจับใหมั่นคั้นใหตาย จะทําภายหลังยากลําบากครัน
ประกอบในชื่อเปนความเชื่อที่สะทอนใหเห็น จะพลิกพลิ้วชิวหาเปนอาวุธ ประหารบุตรเจาลังกาใหอาสัญ
พลังของภาษาทีม่ ตี อ ชีวติ ประจําวันของมนุษย ตองตัดศึกลึกลํ้าที่สําคัญ นางหมายมั่นมุงเห็นจะเปนการ…”1
อยางไร (พระอภัยมณ� : สุนทรภู)
(แนวตอบ ภาษามีผลตอจิตใจ ความรูสึก นางวาลีจึงเยาะเยยถากถางอุศเรนวา จะปลอยใหไปชวยเหลือพอที่ไดรับบาดเจ็บจากการ-
ความเชื่อและคานิยมของคนในสังคม สูรบ อุศเรนเจ็บใจที่รบแพ และพอที่ชราตองอาวุธอาการสาหัสอาจเสียชีวิตได ความเจ็บแคนที่แพ
หรืออาจกลาววา ภาษามีพลังทําใหเกิดคลื่น ผูหญิงทําใหปวดใจจนกระอักเปนเลือดและตายในที่สุด
ความรูสึก คลื่นความเชื่อของคน เชน ภาษามีพลังมหาศาล สามารถใชไดทั้งทางสรางสรรคและทางทําลาย ในการสื่อสารระหวาง
การตั้งชื่อ จะเลือกใชถอยคําที่มีความหมาย บุคคลหากใชคําพูดดีมีนํ้าเสียงสุภาพ กิริยาทาทางนุมนวล ไมถากถางดูหมิ่นผูอื่น และมีความจริงใจ
ไปในทิศทางที่ดี เพื่อใหเปนสิริมงคลตอ ยอมสงผลใหผูพูดและผูฟงมีสัมพันธภาพที่ดีตอกัน ทําการสิ่งใดก็สัมฤทธิผล
คนๆ นั้น รวมถึงคําที่นํามาใชประกอบการ
ตั้งชื่อ จะประกอบขึ้นจากคําในภาษาบาลี
สันสกฤต เปนสวนใหญ เพื่อใหเกิดความรูสึก
ที่ศักดิ์สิทธิ์ เขมขลัง เพราะคนไทยมีความ
เชื่อวาภาษาบาลี สันสกฤตเปนภาษามงคล)
ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนแตละกลุมจัดการความรูรวมกันใน
ลักษณะของปายนิเทศขนาดเล็กบนแผนพลาสติก
ลูกฟูก โดยนําเสนอในประเด็นเกี่ยวกับ “พลังของ
ภาษาในชีวิตประจําวัน” บางกลุมอาจนําเสนอ
พลังของภาษาในดานความรูสึก พลังของภาษา
ภาษาไทยเปนเอกลักษณของชาติ ควรใชใหถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของบุคคลและกาลเทศะ
ในดานการกําหนดพฤติกรรมของคนในสังคม
พลังของภาษาในดานพิธีกรรม เปนตน รวมกัน ๑
ประเวณี ในทีน่ มี้ คี วามหมายเหมือนประเพณี หมายถึง สิง่ ทีน่ ยิ มประพฤติปฏิบตั สิ บื ๆ กันมาจนเปนแบบแผน
เตรียมความพรอมเพื่อออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน
๑๑๒
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
บุคคลใดตอไปนี้ใชพลังของภาษาไปในเชิงสรางสรรค
1 พระอภัยมณี เปนนิทานคํากลอนเรื่องยิ่งใหญที่ทําใหสุนทรภูมีชื่อเสียง 1. วิชิตพูดโนมนาวใหอมรชัยทําการบานใหแกตนเอง
เพราะเปนผลงานชิน้ เอกของสุนทรภู ซึง่ ไดรบั การยกยองวาเปนยอดของกลอนนิทาน 2. ภาณุพูดโนมนาวใจเพื่อใหผูฟงเกิดความรูสึกแบงฝกแบงฝาย
มีความยาว 96 เลมสมุดไทย ลักษณะพิเศษของนิทานคํากลอนเรือ่ งพระอภัยมณี คือ 3. จันทรพูดโนมนาวใหสมใจเขาใจผิดกับกัลยา เพราะจันทรไมชอบกัลยา
การผูกเรือ่ งที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ มีความแตกตางจากวรรณคดีเรื่องอื่นๆ 4. สมภพพูดใหคนในชุมชนรวมมือกันทําแนวกระสอบทรายปองกันนํ้าทวม
ในชวงเวลาเดียวกันที่ผแู ตงแตงโดยอาศัยเคาเรือ่ งจากนิทานชาดก นิทานพืน้ บาน
หรือจากประวัตศิ าสตร วิเคราะหคําตอบ พลังของภาษา คือ อํานาจของภาษาที่กอใหเกิดผลตอ
พฤติกรรมของมนุษยในแตละสังคม ดังนั้นพลังของภาษาในเชิงสรางสรรค
จึงกอใหเกิดพฤติกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีงาม ไมใชการใช
พลังของภาษาเพื่อสรางผลประโยชนใหแกตนเอง โนมนาวใหผูอื่นขัดแยง
หรือแบงฝกแบงฝาย ขาดความสามัคคีกัน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
112 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อชักนําความรูสึก ความคิด
๓ การสร้างคÓ ของนักเรียนใหมีตอหัวขอการเรียนการสอน
• คําที่ปรากฏใชในภาษาไทย มีแหลงที่มา
มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีกำรติดต่อสื่อสำรกันมำกขึ้น ค�ำศัพท์ต่ำงๆ ก็ต้องมีควำมหลำกหลำย
หรือมีวิธีการสรางคําอยางไร
เพื่อแสดงอำรมณ์ และควำมรู้สึกนึกคิดออกมำให้ตรงตำมวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสำรมำกที่สุด ค�ำมูล
(แนวตอบ นักเรียนตอบตามรองรอย
ซึ่งเป็นค�ำดั้งเดิมที่มีใช้ในภำษำไทยมีไม่เพียงพอที่จะน�ำไปใช้ จึงจ�ำเป็นต้องมีกำรสร้ำงค�ำขึ้นใหม่ ความรูเดิมของตนเอง เชน การประสมคํา
ด้วยกำรประสมค�ำ ซ้อนค�ำ และซ�้ำค�ำ การซอนคํา การซํ้าคํา การยืมคําจากภาษา
1 ตางประเทศ การบัญญัติศัพท เปนตน)
๓.๑ ค�ามูล
ค�ามูล เป็นค�ำดั้งเดิมที่มีใช้ในภำษำไทย มีควำมหมำยสมบูรณ์ชัดเจนในตัวเอง อำจเป็น ส�ารวจค้นหา Explore
ค�ำไทยแท้ หรือเป็นค�ำยืมจำกภำษำต่ำงประเทศก็ได้ ค�ำมูลแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ดังนี้
๑) ค�ามูลพยางค์เดียว เป็นค�ำพยำงค์เดียวที่มีควำมหมำย จัดเป็นค�ำไทยแท้และค�ำยืม ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
จำกภำษำต่ำงประเทศ โดยเขียนหมายเลข 1-5 ลงบนกระดาษในจํานวน
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ใหแตละ
ค�ามูลพยางค์เดียว คนออกมาจับสลาก ใครที่จับสลากไดหมายเลข
ค�าไทยแท้ กิน นอน ร้อน เย็น พ่อ แม่ อ� ปู่ ย่� เหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน เมื่อนักเรียนจับสลาก
จนครบแลว ครูแจงประเด็นสําหรับการสืบคน
ค�ายืมจากภาษาจีน เก๋ง ก๊ก โต๊ะ ห้�ง เกี๊ยะ เกี๊ยว ก๋ง เฮีย ความรูรวมกัน ดังนี้
ค�ายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต บ�ป กรรม บ�ตร เวร ผล อ�สน์ หมายเลข 1 คํามูล
ค�ายืมจากภาษาอังกฤษ แชร์ เมตร ลิตร เกม เทป ชอล์ก ออนซ์ หมายเลข 2 คําประสม
หมายเลข 3 คําซอน
๒) ค�ามูลหลายพยางค์ ค�ำที่มีสองพยำงค์ขึ้นไป มีควำมหมำยในตัวไม่สำมำรถแยกพยำงค์ หมายเลข 4 คําซํ้า
ในค�ำออกได้เพรำะจะท�ำให้ไม่ได้ควำมหมำย ค�ำมูลหลำยพยำงค์อำจเป็นค�ำไทยแท้ หรือเป็นค�ำยืม หมายเลข 5 คําพอง
จำกภำษำต่ำงประเทศก็ได้ โดยนักเรียนแตละกลุมรวมกันสืบคนความรู
ค�ามูลหลายพยางค์ ในประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมายทุกๆ แงมมุ จากแหลง
การเรียนรูตางๆ ที่สามารถเขาถึงได
ค�าไทยแท้ ดอกไม้ โหระพ� มะลิ มะม่วง มะระ มะละกอ เกเร
ค�ายืมจากภาษาจีน ซ�ล�เป� บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เฉ�ก๊วย อั่งเป� เก้�อี้ อธิบายความรู้ Explain
ค�ายืมจากภาษาบาลี สันสกฤต น�ฬิก� ร�ชินี ม�รด� นมัสก�ร วิจ�รณ์
นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ค�ายืมจากภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟต์ สติกเกอร์
ความรูในประเด็น “คํามูล” ซึ่งขอมูลที่นําเสนอควร
เปนขอมูลทีไ่ ดสบื คนจากแหลงการเรียนรูท นี่ า เชือ่ ถือ
ดังนั้น นักเรียนจึงควรระบุดวยวา กลุมของตนเอง
113 สืบคนขอมูลมาจากแหลงการเรียนรูใด
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับคํามูล เกร็ดแนะครู
ขอใดไมเปนคํามูล
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา การประสมคํา ซํ้าคํา ซอนคํา และการใชคําพอง
1. เผอเรอ 2. มาลา
เปนวิธกี ารสรางคําเพือ่ ใหมคี าํ ใชเพิม่ มากขึน้ ในภาษาไทย และสามารถสือ่ ความหมาย
3. แจกัน 4. คาตัว
ไดกวางขวางยิง่ ขึน้ สอดคลองกับการเปลีย่ นแปลง ความเจริญกาวหนาของสังคมไทย
วิเคราะหคําตอบ คํามูลเปนคําดั้งเดิมที่มีใชในภาษาไทย มีความหมาย
ชัดเจนในตัว แบงออกเปน 2 ประเภท คือ คํามูลพยางคเดียว และคํามูล
หลายพยางค ซึ่งคํามูลตั้งแตสองพยางคขึ้นไปจะมีความหมายสมบูรณในตัว
ไมสามารถแยกพยางคในคําออกได หากแยกพยางคออกแลว จะทําให นักเรียนควรรู
ไมมีความหมาย จากคํานิยามดังกลาว ทําใหไดขอสรุปวา เผอเรอ มาลา 1 คํามูล คือ คําที่มีความหมายชัดเจนในตัว ไมสามารถแยกพยางคออกจาก
และแจกัน เปนคํามูล สวนคําวา “คาตัว” เปนคําประสม ดังนัน้ จึงตอบขอ 4. กันได แบงออกเปน 2 ประเภท คือ คํามูลพยางคเดียว และคํามูลหลายพยางค
ซึ่งคํามูลอาจเปนคําทั้ง 7 ชนิดในภาษาไทย ไดแก คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา
คําวิเศษณ คําบุพบท คําสันธาน คําอุทาน หรืออาจเปนคําที่มาจากภาษาอื่น
คู่มือครู 113
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 สงตัวแทนออกมาอธิบาย 1
ความรูในประเด็น “คําประสม” พรอมทั้งระบุ ๓.๒ ค�าประสม
แหลงที่มาของขอมูล ค�าประสม เป็นค�ำที่สร้ำงขึ้นใหม่โดยกำรน�ำค�ำมูลตั้งแต่สองค�ำขึ้นไปมำรวมกันเกิดเป็นค�ำใหม่
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ควำมหมำยใหม่ขึ้น ค�ำประสมอำจมำจำกกำรประสมค�ำไทยกับค�ำไทย ค�ำไทยกับค�ำภำษำต่ำงประเทศ
ความรูเกี่ยวกับคํามูลและคําประสม โดยใช หรือค�ำภำษำต่ำงประเทศประสมกัน เช่น
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 และ 2 เปนขอมูลเบือ้ งตน การประสมค�า ค�ามูล ค�าประสม
สําหรับตอบคําถาม คำ�ประสมที่เป็นคำ�ไทยกับคำ�ไทย ห�ง เสือ ห�งเสือ
• คํามูลในภาษาไทยมีกปี่ ระเภท ไดแกอะไรบาง คำ�ประสมที่เป็นคำ�ไทยกับคำ�ต่�งประเทศ ยก เมฆ ยกเมฆ
(แนวตอบ คํามูลในภาษาไทยมี 2 ประเภท (คำ�ไทย) (คำ�บ�ลี สันสกฤต)
ไดแก คำ�ประสมที่เป็นคำ�ต่�งประเทศกับ บัตร เชิญ บัตรเชิญ
• คํามูลพยางคเดียว คำ�ต่�งประเทศ (คำ�บ�ลี สันสกฤต) (คำ�เขมร)
• คํามูลหลายพยางค)
• คํามูลพยางคเดียวมีประโยชนอยางไรตอวิธกี าร ๑) ค�าประสมที่เกิดความหมายใหม่แต่ยังมีเค้าความหมายเดิม เช่น
สรางคําในภาษาไทย เตำ + ถ่ำน = เตำถ่ำน หมำยถึง เตำที่ใช้ถ่ำนเป็นเชื้อเพลิง
(แนวตอบ วิธีการสรางคําในภาษาไทย ซึ่งไดแก เตำ + รีด = เตำรีด หมำยถึง เตำที่ใช้รีดเสื้อผ้ำ
คําประสม คําซํา้ คําซอน โดยคําแตละประเภท ผ้ำ + ขี้ริ้ว = ผ้ำขี้ริ้ว หมำยถึง ผ้ำเก่ำขำดที่ใช้เช็ดถูพื้น
มีวิธีการสรางคําแตกตางกัน เชน คําประสม ๒) ค�าประสมที่เกิดความหมายใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น
เกิดจากการนําคํามูลตั้งแตสองคําขึ้นไปมา ขำย + หน้ำ = ขำยหน้ำ หมำยถึง รู้สึกอับอำย
รวมกันเปนคําใหม ที่มีความหมายใหม แตยัง รำด + หน้ำ = รำดหน้ำ หมำยถึง อำหำรประเภทก๋วยเตีย๋ วมีนำ�้ ปรุงข้น
คงเคาความหมายเดิม) หัก + ใจ = หักใจ หมำยถึง ตัดใจไม่ให้คิดถึงเหตุต่ำงๆ
• คําประสมที่ปรากฏใชอยูในปจจุบันประกอบ ๓) ค�าประสมที่เกิดจากการย่อค�าให้กะทัดรัด มักขึ้นต้นด้วยค�ำว่ำ การ ความ ของ
ขึ้นจากคําประเภทใดบาง เครื่อง ชาว นัก ผู้ ช่าง เช่น กำรค้ำ ควำมคิด ของหวำน เครื่องเรือน ชำวนำ นักเรียน ผู้ขำย ช่ำงภำพ
(แนวตอบ ประกอบขึ้นจากคําไทยกับคําไทย เป็นต้น
คําไทยกับคํายืม และจากคํายืมภาษา ข้อสังเกต
ตางประเทศทั้งสองคํา) ๑. ถ้ำน�ำค�ำมูลสองค�ำมำรวมกันแล้วไม่เกิดควำมหมำยใหม่ ไม่จัดเป็นค�ำประสม เช่น
ลูก + ไก่ = ลูกไก่ หมำยถึง ลูกของไก่ (เป็นกลุ่มค�ำ)
ดำว + ลูก + ไก่ = ดำวลูกไก่ หมำยถึง ชื่อดำว (เป็นค�ำประสม)
๒. ค�ำภำษำบำลีประสมกับค�ำสันสกฤตไม่ถือเป็นค�ำประสม แต่เป็นค�ำสมำส เช่น
คุณ + ธรรม = คุณธรรม อ่ำนว่ำ คุน-นะ-ท�ำ
มัธยม + ศึกษำ = มัธยมศึกษำ อ่ำนว่ำ มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สำ
114
ขอสอบ O-NET
นักเรียนควรรู ขอสอบป ’ 51 ออกเกี่ยวกับการสรางคําในภาษาไทย
คําในขอใดมีวิธีการสรางคําแตกตางจากขออื่น
1 คําประสม มีองคประกอบสําคัญ 2 สวน ไดแก คําหลักและคําขยาย ซึ่งคําหลัก
1. ปวดราว ปวดเมื่อย
คือ คําที่ใชเปนคําตั้งตน สวนคําขยาย คือ คําที่มีตําแหนงอยูหลังคําหลัก เชน
2. บอกบท บอกใบ
คําหลัก คําขยาย ความหมาย 3. เศราโศก เศราหมอง
4. คลาดเคลื่อน คลาดแคลว
ปด ปาก ไมใหมีโอกาสพูด วิเคราะหคําตอบ ภาษาไทยมีวิธีการสรางคํา ไดแก การประสมคํา
การซอนคํา และการซํ้าคํา ซึ่งตัวเลือกในขอ 1., 3. และ 4. มีวิธีการสรางคํา
ลูก ชาง สรรพนามแทนตัวผูพูดเมื่อพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่เรียกวา การซอนคํา คือ การนําคําที่มีความหมายใกลเคียงกันหรือ
ใจ เสีย ใจไมดีเพราะกลัวหรือวิตก กังวล หมดกําลังใจ ตรงขามกันมาซอนกัน เพื่อใหเกิดคําใหมที่มีความหมายชัดเจนขึ้น
สวนขอ 2. มีวิธีการสรางคําที่แตกตางไปจากขออื่น เรียกวา การประสมคํา
นํ้า แข็ง นํ้าที่แข็งเปนกอนเพราะถูกความเย็นจัด
โดยนําคํามูลตัง้ แต 2 คํา ขึน้ ไปมาประกอบกันเกิดเปนคําใหมทยี่ งั คงมี
หนังสือ พิมพ สิ่งพิมพที่เสนอขาวสาร และความเห็นแกประชาชน เคาความหมายเดิม ดังนั้นจึงตอบขอ 2.
114 คู่มือครู
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนกลุมที่ 3 และ 4 สงตัวแทนออกมา
๓.๓ ค�าซ้อน อธิบายความรูในประเด็น “คําซอน” และ “คําซํ้า”
ค�าซ้อน เป็นกำรสร้ำงค�ำโดยน�ำค�ำมูลทีม่ คี วำมหมำยเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงข้ำมกัน ตามลําดับ พรอมทั้งระบุแหลงที่มาของขอมูล
มำวำงซ้อนกัน เกิดค�ำใหม่ มีควำมหมำยใหม่ โดยควำมหมำยใหม่อำจกว้ำงขึ้น หนักแน่นขึ้น หรือ
เบำลงก็ได้ ขยายความเข้าใจ Expand
๑) ค�าซ้อนเพื่อความหมาย คือ ค�ำซ้อนที่เกิดจำกค�ำมูลที่มีควำมหมำยเหมือนกัน ใกล้เคียง
กัน หรือตรงกันข้ำมมำวำงชิดกัน มีลักษณะดังนี้ นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับคําซอน
ควำมหมำยเหมือนกัน เช่น เสื่อสำด เหำะเหิน พูดจำ และคําซํ้าทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4
ควำมหมำยใกล้เคียงกัน เช่น คัดเลือก แนะน�ำ เกรงกลัว หนวยที่ 1 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.6
ควำมหมำยตรงกันข้ำมกัน เช่น ผิดชอบ ชั่วดี ได้เสีย
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ
๒) ค�าซ้อนเพื่อเสียง คือ ค�ำซ้อนที่เกิดจำกกำรน�ำค�ำที่มีเสียงคล้องจองและมีควำมหมำย
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.6
สัมพันธ์กันมำซ้อนกัน เพื่อให้ออกเสียงได้ง่ำยและไพเรำะ มีลักษณะดังนี้
เรื่อง การระบุประเภทของค�า
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้น เช่น เร่อร่ำ ท้อแท้ จริงจัง ตูมตำม ซุบซิบ
ซ้อนเสียงสระ เช่น รำบคำบ จิ้มลิ้ม แร้นแค้น เบ้อเร่อ อ้ำงว้ำง กิจกรรมที่ ๑.๖ ใหนกั เรียนอานขอความตอไปนี้ แลวตอบคําถามทายเนือ้ ความ
(ท ๔.๑ ม.๑/๒)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ñð
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้นและสระ เช่น ออดอ้อน อัดอั้น รวบรวม ๑. เมื่อนอยใหเรียนวิชา ใหหาสินเมื่อใหญ
ซ้ อ นด้ ว ยพยำงค์ ที่ ไ ม่ มี ค วำมหมำย แต่ มี เ สี ย งสั ม พั น ธ์ กั บ ค� ำ ที่ มี ค วำมหมำย เช่ น อยาใฝเอาทรัพยทาน
คํามูลมี…………………………….. ๑๗ คํา
อยาริรานแกความ
พยำยงพยำยำม กระดูกกระเดี้ยว เมื่อ นอย ให เรียน วิชา หา สิน ใหญ อยา ใฝ เอา ทรัพย ทาน ริ
ไดแก ................................................................................................................................................................................................................................
ร...............................................................................................................................................................................................................................................
าน แก ความ
115
ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’ 52 ออกเกี่ยวกับการสรางคําดวยวิธีการซํ้าคํา เกร็ดแนะครู
คําซํ้าในขอใดมีจํานวนพยางคที่ออกเสียงซํ้านอยที่สุด
ครูควรอธิบายเพื่อสรางความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการสรางคําในภาษาไทย
1. รมชมพูๆ ที่เธอซื้อมาฝากจากญี่ปุนพังเสียแลวเมื่อวันกอน
ดวยวิธีการซอนคํา จากนั้นมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนรวบรวมคําซอนใน
2. คุณครูเรียกนักเรียนใหออกมาอานหนังสือหนาชั้นทีละคนๆ
ชีวิตประจําวันจํานวน 20 คํา นํามาวิเคราะห ดังตารางตอไปนี้
3. แลวในวันหนึ่งๆ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑแหงนี้ประมาณกี่คน
4. เขาไมไดใสเสื้อผาสีๆ มาหลายเดือนแลวเพราะกําลังไวทุกขใหญาติ
ผูใหญ ลักษณะ
คํา ที่มา จุดประสงค จํานวนคํา
วิเคราะหคําตอบ คําซํ้า เกิดจากการนําหนวยคําเดียวกันมาออกเสียงซํ้า การซอน
กัน 2 ครั้ง โดยใชเครื่องหมายไมยมกกํากับ ขอ 1. อานวา ชม-พู-ชม-พู มี เสื่อสาด คําไทย อธิบายความหมาย คําที่มีความหมาย 2
4 พยางค ขอ 2. อานวา ที-ละ-คน-ที-ละ-คน มี 6 พยางค ขอ 3. อานวา ซอนกับ ของคําในภาษาถิ่น เหมือนกันซอนกัน
วัน-หฺนึ่ง-วัน-หฺนึ่ง มี 4 พยางค สวนขอ 4. อานวา สี-สี มี 2 พยางค ภาษาถิ่น ความหมายของคํา
ดังนั้นจึงตอบขอ 4. จะปรากฏทีค่ าํ หลัก
คือคําวา “เสื่อ”
คู่มือครู 115
อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “คําพอง” พรอมทั้งระบุ กำรสร้ำงค�ำมีควำมจ�ำเป็นในภำษำเพรำะช่วยให้มคี ำ� ทีม่ คี วำมหมำยใหม่ใช้ในภำษำมำกขึน้ ค�ำที่
แหลงที่มาของขอมูล สร้ำงใหม่เหล่ำนี้ คือ ค�ำประสม ค�ำซ้อน ค�ำซ�ำ้ ค�ำทัง้ ๓ ชนิดนี้ มีวธิ กี ำรสร้ำงค�ำทีแ่ ตกต่ำงกัน แต่ลว้ นมี
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการ พื้นฐำนของค�ำมำจำกค�ำมูล กำรศึกษำกำรสร้ำงค�ำนอกจำกจะช่วยให้รู้จักกำรสร้ำงค�ำใหม่ๆ มำใช้
ฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม รวมกันสรุป ในภำษำแล้ว ยังช่วยให้สำมำรถน�ำค�ำแต่ละชนิดไปใช้ประโยชน์เพือ่ กำรสือ่ สำรได้อย่ำงถูกต้องเหมำะสม
หลักเกณฑการสรางคําประสม คําซอน คําซํ้า
และคําพอง โดยมีครูคอยชี้แนะเพิ่มเติม ๔ คÓพ้อง
หากพบการอธิบายความรูออกนอกประเด็น ๑) ค�าพ้องเสียง หมำยถึง ค�ำที่อ่ำนออกเสียงเหมือนกันแต่สะกดต่ำงกัน มีควำมหมำยต่ำงกัน
เช่น
ขยายความเข้าใจ Expand พี่ชอบนั่งดูพระจันทร์ใต้ต้นจันทน์ทุกคืน
(จันทร์ หมำยถึง พระจันทร์หรือดวงจันทร์)
นักเรียนใชความรูความเขาใจเกี่ยวกับคําพอง
(จันทน์ หมำยถึง ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 1
๒) ค�าพ้องรูป หมำยถึง ค�ำที่เขียนเหมือนกันแต่อ่ำนต่ำงกันและควำมหมำยต่ำงกัน เช่น
กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 1.4 และ 1.5
เรำขับรถไปต่อไม่ได้แล้วพี่เพรำะเพลำหัก
(เพลำ อ่ำนว่ำ เพฺลำ หมำยถึง แกนส�ำหรับสอดดุมรถหรือดุมเกวียน)
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ รีบๆ หน่อย เพลำนี้ข้ำศึกมำประชิดเรำแล้ว
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 1.4 และ 1.5
เรื่อง ค�าพ้อง (เพลำ อ่ำนว่ำ เพ-ลำ หมำยถึง เวลำ)
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
นักเรียนต้องอ่ำนบริบทให้เข้ำใจก่อนจึงจะสำมำรถอ่ำนออกเสียงได้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๑.๔ ใหนักเรียนทําเครื่องหมายกากบาท ( ✗ ) ทับคําที่ตรงกับ
ความหมายที่กําหนดให (ท ๔.๑ ม.๑/๒) õ ๓) ค�าพ้องความหมาย (ค�ำไวพจน์) หมำยถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งอำจเรียกได้หลำยค�ำ ทั้งนี้ก็เพรำะ
๑.
๒.
คําถามในวิชาคณิตศาสตร
ทําสิ่งที่ชํารุดใหคืนดี
โจทย
✗
สอม
โจทก
ซ✗อม
ในภำษำไทย มีค�ำให้เรียกใช้ได้มำกมำยตำมควำมเหมำะสม เรำมักเลือกใช้ค�ำลักษณะนี้ในกำรแต่ง
๓.
๔.
ฝงนํ้าสําหรับจอดเรือ
นกชนิดหนึ่ง
ถา
อินทรีย
ท✗า
อิ✗นทรี ค�ำประพันธ์ เช่น
๕. ระบบวิชาความรู ศาสตร
✗ สาสน
๖.
๗.
บอกเรื่องราวใหผูอื่นฟง
สาดหรือเทใหกระจายไป
เหลา
ราด
เล✗า
ลาด
ค�ำที่หมำยถึง น�้ำ ได้แก่ ชล วำรี นที สำยธำรำ กระแสสินธุ์
✗
๘.
๙.
ชื่อแมลงชนิดหนึ่ง
พืชที่เกิดตามพื้นดินพวกหนึ่ง
พึ่ง
หญ
✗า
ผึ✗้ง
ยา
ค�ำที่หมำยถึง ดวงจันทร์ ได้แก่ ศศิธร รัชนีกร แข จันทร์ จันทรำ แถง
๑๐. ชั้นที่ทําลดหลั่นกันเปนลําดับ คั่น ขั✗้น
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
๔) ค�าพ้องรูปพ้องเสียง เป็นค�ำที่เขียนเหมือนกัน อ่ำนเหมือนกัน แต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน
กิจกรรมที่ ๑.๕ ใหนกั เรียนเลือกคําทีอ่ ยูใ นวงเล็บเติมลงในประโยคใหถกู ตอง
ฉบับ
เฉลย
(ท ๔.๑ ม.๑/๒)
ñð
เป็นค�ำต่ำงชนิดและต่ำงหน้ำที่กัน เช่น
เยา จนคนรุน…………………
๑. เสื้อผาราคายอม………………… เยาว สามารถซื้อได (เยาว, เยา)
ศิลป เจาของรานเชิญพระสงฆมาโยงดายสาย……………..
๒. โอไปรวมงานเปดราน…………….. สิญจน (ศิลป, สิญจน)
เขำขึ้นเขำไปหำเขำกวำงมำท�ำยำ
ไสย คิวอารมณ ไมแจม…………………
๓. ดวยอํานาจคุณ…………………
(ไส, ใส, ไสย)
ใส จนผลัก…………………
ไส พยาบาลที่คอยดูแล
(เขำ ค�ำแรกเป็นค�ำสรรพนำม บุรุษที่ ๓ ท�ำหน้ำที่เป็นประธำนของประโยค)
๔. หนึ่งขายอาหาร…………………สัตว ดวยความซื่อ…………………
สัตย ไมโกงตาชั่ง (สัตย, สัตว)
จัน ที่สีเหลืองแบบพระ…………………
๕. นุยชอบลูก…………………
จัน, จันทน)
จันทร จึงเอาไปปลูกใกลตน………………….
จันทน (จันทร, (เขำ ค�ำที่สอง หมำยถึง ภูเขำ)
การ งาน โดยไมสนใจ…………………
๖. สมทํา…………………
การ, การณ)
กาล เวลาและเหตุ…………………
การณ บานเมืองทีผ่ า นไป (กาล,
(เขำ ค�ำที่สำม หมำยถึง อวัยวะส่วนที่แข็งมำกอยู่บนหัวสัตว์ ซึ่งใช้เป็นอำวุธในกำรต่อสู้
วาณิช ลองเรือสําเภาไปทําการ…………………
๗. …………………
เทียน …………………
๘. พิธีเวียน………………….
วาณิชย ที่ประเทศใกลเคียง (วาณิช, วาณิชย)
เทียร ยอมไปดวยเหลา…………………เธียร ที่มาพบปะแลกเปลี่ยนความรูกัน ป้องกันตัว)
(เทียร, เธียร, เทียน)
กบินทร ควบคุมเหลาสมุน…………………
๙. พญา………………… กบิล ใหอยูในโอวาท (กบิล, กบินทร)
ทะลาย มะพราวรวงลงมาทับกระทอมจนพัง…………………
๑๐. พายุพัดแรงจน………………… ทลาย (ทะลาย, ทลาย)
๕๖
116
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําซอนในขอใดมีวิธีการประกอบรูปคําเหมือนกัน
ครูควรสรางชุดคําอธิบายเพื่อใหสามารถสรุปหลักเกณฑการสรางคําซํ้าได ดังนี้ 1. อวนพี ดูแล รุงริ่ง
“คําซํ้า คือ คําที่ประกอบขึ้นจากหนวยคํา 2 หนวย ซึ่งเปนหนวยคําที่เหมือนกัน 2. ยากงาย เสื่อสาด จิตใจ
ทุกประการ โดยใชไมยมกกํากับเพือ่ ใหออกเสียงซํา้ หนวยคําทีน่ าํ มาสรางเปนคําซํา้ 3. จิตใจ บานเรือน เสื่อสาด
คือคําทัง้ 7 ชนิด ในภาษาไทยเมื่อนําคําซํ้ามาประกอบในรูปประโยค จะอานได 4. บานเรือน ถวยชาม ถากถาง
2 กรณี คือ ออกเสียงธรรมดา กับออกเสียงโดยเนนเสียงวรรณยุกตที่พยางคหนา
คําที่ซํ้าแลวจะมีความหมายตางไปจากเดิม เชน เปนพหูพจน เนนความสําคัญ วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อวนพี นําคําทีม่ คี วามหมายเหมือนกันมา
เปนตน” โดยครูมอบหมายชิ้นงานยอยใหนักเรียนประกอบรูปประโยคจํานวน ซอนกัน ดูแล นําคําทีม่ คี วามหมายเหมือนกันมาซอนกัน รุง ริง่ เปนคําซอน
10 ประโยค พรอมอธิบาย ดังนี้ เพื่อเสียง ขอ 2. ยากงาย นําคําที่มีความหมายตรงขามกันมาซอนกัน
1. พี่ๆ ของฉันทํางานอยูที่ตางจังหวัด คําซํ้าคือ “พี่ๆ” เมื่อซํ้าคําแลวทําใหมี เสื่อสาด นําคําที่มีความหมายเหมือนกันมาซอนกัน จิตใจ นําคําที่มี
ความหมายเปนพหูพจน (มีจํานวนมากกวาหนึ่ง) ความหมายเหมือนกันมาซอนกัน ขอ 4. บานเรือน นําคําทีม่ คี วามหมาย
2. แมครัวเลือกหมูเนื้อๆ มาทําแกงพะแนงเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก คําซํ้าคือ เหมือนกันมาซอนกัน ถวยชาม นําคําที่มีความหมายคลายกันมาซอนกัน
“เนื้อๆ” เมื่อซํ้าคําแลวทําใหความหมายของคํามีความสําคัญมากขึ้น ถากถาง เปนคําซอนเพื่อเสียง ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
116 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนนําองคความรูเกี่ยวกับการสรางคํา
ค�ำไทยเป็นภำษำค�ำโดดที่ค�ำเดียวมีหลำยควำมหมำย เช่น ขัน อำจหมำยถึง ภำชนะตักน�้ำ ในภาษาไทย รวมกันอภิปรายวา การสรางคํา
หรือกิริยำอำกำรท�ำให้แน่นขึ้น หรืออำกำรส่งเสียงร้องของไก่ตัวผู้ในยำมเช้ำก็ได้ และอำจมีค�ำที่อ่ำน ดวยวิธีการประสมคํา ซอนคํา และซํ้าคํา มี
ออกเสียงเหมือนกันแต่ควำมหมำยแตกต่ำงกัน เช่น พระขรรค์ เขตขัณฑ์ ดังนั้น กำรจะอ่ำนค�ำพ้อง ลักษณะสําคัญที่แตกตางกันอยางไร ทําใหมี
ผู้อ่ำนต้องอ่ำนบริบทคร่ำวๆ ก่อน เพื่อพิจำรณำว่ำควรจะอ่ำนอย่ำงไรจึงจะถูกต้อง อย่ำรีบร้อนอ่ำน คําใชเพิ่มขึ้นไดอยางไร และตั้งขอสังเกตวา
โดยไม่เข้ำใจควำมหมำยของค�ำ ในภาษาไทยยังมีการสรางคําดวยวิธีการอื่นอีก
หรือไม นําคําตอบที่ไดจากการอภิปราย บันทึก
คนไทยโชคดีที่มีภาษาเป็นของตนเองมานานนับพันปี และมีตัวอักษรเป็นของ เปนใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
ตนเองมาเป็นเวลากว่าเจ็ดร้อยปี ภาษาไทยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด 2. นักเรียนแตละกลุมที่ศึกษาในประเด็นตางๆ
แต่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เราจึงสามารถอ่านศิลาจารึก คัมภีร ์ พระไตรปิฎก รวมกันทบทวนความรูเกี่ยวกับวิธีการสรางคํา
ตÓราต่างๆ ทีจ่ ารึกเรือ่ งราว ความรู้ของบรรพบุรุษได้เข้าใจ เป็นหน้าที่ของลูกหลานไทย ในรูปแบบที่กลุมของตนเองจับสลากได
ที่จะต้องศึกษาภาษาไทยให้เข้าใจ ออกเสียงภาษาไทยให้ถูกต้องชัดเจน สามารถสร้าง จากนั้นใหรวมกันคนหาคําศัพทในภาษาไทย
คÓไทยและใช้คÓไทยทั้งการพูด อ่าน และเขียนได้ถูกต้องตามหลักภาษา ทีม่ ลี กั ษณะการสรางคําตรงกับทีก่ ลุม ศึกษา
ใหไดจํานวนมากที่สุด ทําเปนสมุดคําศัพท
ซึ่งคําที่สามารถหาภาพประกอบได ก็ควรหา
ภาพประกอบและแตงประโยค เพื่อแสดง
ความหมายเมื่อนําไปใชเพื่อการสื่อสารใน
สถานการณจริง
117
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงคําซํ้าในภาษาไทย พรอม ครูควรสรางความรู ความเขาใจใหแกนักเรียนเกี่ยวกับคําพองในภาษาไทย
ยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรู โดยอธิบายใหเห็นวา คําพองที่ปรากฏใชในภาษาไทยมี 3 ประเภท โดยมีหลัก
เฉพาะบุคคล สงครู จํางายๆ ดังนี้
1. พองรูป รูปเหมือนกัน แตออกเสียงตางกัน เชน เพลา กรี เปนตน
2. พองเสียง เสียงเหมือนกัน แตเขียนตางกัน เชน กานท กานต กาญจน เปนตน
กิจกรรมทาทาย 3. พองทั้งรูปพองทั้งเสียง คือ เหมือนทั้งรูปทั้งเสียง แตความหมายไมเหมือนกัน
เชน
“เขาลําคลองหัวรอตอระดะ ดูเกะกะรอรางทางพมา
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับชนิดของคําที่สามารถนํามาสรางเปนคําซอน เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แตรอทารั้งทุกขมาตามทาง”
ในภาษาไทย พรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษา เมือ่ ใหนกั เรียนปฏิบตั กิ จิ กรรมสรางเสริม และกิจกรรมทาทาย กอนเก็บใบความรู
ในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ของนักเรียน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 5-10 คน ออกมานําเสนอผลการ
ศึกษาเพือ่ แลกเปลีย่ นขอมูล ซักถามซึง่ กันและกันจนเกิดความเขาใจทีถ่ กู ตองรวมกัน
คู่มือครู 117
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอขอมูล
เกี่ยวกับเสียงในภาษาไทยที่กลุมของตนเอง
เลือกศึกษา
2. ครูสุมเรียกนักเรียนบางกลุมออกมานําเสนอ
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ขอมูลเกี่ยวกับพลังของภาษา
๑. เพลงปลุกใจ จัดเป็นพลังของภ�ษ�ในเชิงสร้�งสรรค์หรือไม่ อย่�งไร
3. ครูตรวจสอบขอมูลการนําเสนอของนักเรียนวา ๒. ก�รใช้คำ�พ้องในก�รสื่อส�ร ควรคำ�นึงถึงสิ่งใดเป็นสำ�คัญ
มีความถูกตอง ครอบคลุมหรือไม รวมถึงแหลง ๓. อักษรส�มหมู่ มีคว�มสำ�คัญต่อก�รผันเสียงวรรณยุกต์อย่�งไร
การเรียนรูที่เลือกคนควา ๔. ก�รสร้�งคำ�ในภ�ษ�ไทยเกิดขึ้นเพร�ะเหตุใด จงอธิบ�ย
4. ครูตรวจสอบปายนิเทศที่นักเรียนรวมกันจัดทํา ๕. เหตุใดจึงต้องระมัดระวังเมื่อใช้คำ�ซ้อนเพื่อเสียงในก�รสื่อส�ร จงอธิบ�ยพอสังเขป
โดยพิจารณาจากความถูกตอง ครอบคลุม
รูปแบบการนําเสนอและความสวยงาม
5. ครูตรวจสอบใบความรูเฉพาะบุคคลที่บันทึก
ผลการอภิปรายเกี่ยวกับการสรางคํา
ในภาษาไทย
6. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
118
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. เพลงปลุกใจจัดเปนพลังของภาษา เพราะเนื้อหาของบทเพลงเราใหเกิดอารมณความรูสึกฮึกเหิม สรางความรูสึกเปนอันหนึ่งอันเดียวกันใหเกิดขึ้นแกผูฟงบทเพลง
2. การใชคําพองผูใชจะตองทราบเกี่ยวกับความแตกตางระหวางคําพองรูป คําพองเสียง คําที่พองทั้งรูปและเสียง เมื่อเวลาที่จะตองอานคําพองแตละประเภทควรสังเกต
ความหมายโดยรวมของประโยคกอนเพื่อที่จะไดอานออกเสียงถูกตอง และเมื่อจะใชคําพองเพื่อเขียนสื่อสารก็ควรจดจํารูปและความหมายของคําแตละคํา
3. การจําแนกพยัญชนะเปนอักษรสูง อักษรกลาง อักษรตํ่า ทําใหสามารถผันคําใหมีเสียงและรูปตางๆ ได เมื่อคําเหลานั้นมีเสียงและรูปตางกัน ความหมายของคําก็จะ
ตางกันดวย เชน ปา ปา ปา ปา ปา
4. การสรางคําในภาษาไทยเกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางดานสังคม เทคโนโลยี การแลกรับวัฒนธรรมตางประเทศเขามาใช ทําใหคําที่มีอยูมีจํานวนไมพอสําหรับใชสื่อ
ความหมายได จึงมีการสรางคําใหมเกิดขึ้น
5. การใชคําซอนเพื่อเสียงในการสื่อสารตองระมัดระวังเรื่องการเลือกใชใหเหมาะสมกับสถานการณ เพราะหากใชไมถูกตองหรือไมเหมาะสมอาจกอใหเกิดความเขาใจ
ที่คลาดเคลื่อนได
118 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถวิเคราะหชนิดและหนาที่ของคํา
ในประโยคได
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มีความรับผิดชอบ
3. มุงมั่นในการทํางาน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู ชนิดและหนาที่ของคําในประโยค
เปาหมายสําคัญคือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจเกีย่ วกับคําทัง้ 7 ชนิดในภาษาไทย
จนกระทั่งสามารถวิเคราะหหนาที่และจําแนกชนิดของคําในประโยคที่พบได
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนโดยให
นักเรียนเปนผูคนหา แลกเปลี่ยนองคความรูเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคํา
ในภาษาไทยดวยตนเอง โดยใชวธิ กี ารแบงกลุม สืบคน แลวจึงนําขอมูลมาแลกเปลีย่ น
แบงปนซึ่งกันและกัน จากนั้นครูจึงทําหนาที่เปนผูตั้งคําถามโดยโจทย ควรทําหนาที่
ทบทวนความรู ความเขาใจของนักเรียน เมื่อมีความรู ความเขาใจที่เพียงพอจึง
มอบหมายชิ้นงานใหวิเคราะหหนาที่และจําแนกชนิดของคําจากรูปประโยคที่พบเห็น
ในชีวิตประจําวัน
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการจําแนกและการวิเคราะห
ใหแกนักเรียน สามารถนําความรู ความเขาใจเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําไปใช
เขียนหรือพูดสื่อสารในชีวิตประจําวันไดถูกตองและมีประสิทธิภาพ
คู่มือครู 119
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตั้งคําถามเพื่อกระตุนความสนใจและ
1
ความสงสัยใครรู โดยพยายามใหนักเรียนทุกคน
มีสวนรวมกับการตอบคําถาม
๑ ลักษณะของพยางค์ คÓ
คÓ กลุ่มคÓ และประโยค
• นักเรียนคิดวาเสียงในภาษาไทย คํา และ ค�ำเกิดจำกกำรน�ำเสียงในภำษำ คือ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ประสมกัน
ประโยคมีความสัมพันธกันอยางไร ค�ำทีป่ ระสมแล้วไม่มคี วำมหมำยเรียกว่ำ “พยำงค์” ถ้ำพยำงค์หนึง่ พยำงค์ หรือสองพยำงค์ขนึ้ ไปรวมกัน
(แนวตอบ เสียงในภาษาไทย ประกอบดวย จะเกิดเป็นค�ำทีม่ คี วำมหมำยขึน้ เรียกว่ำ “ค�ำ” ดังนัน้ ค�ำหนึง่ ค�ำอำจมีพยำงค์เดียว หรือหลำยพยำงค์กไ็ ด้
เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต ค�า จ�านวนพยางค์ ความหมาย
จะรวมกันเปนคําที่มีความหมาย แตการ กิ ๑ ไม่มี
สื่อสารดวยถอยคําไมสามารถสื่อสารได กิน ๑ เคี้ยว เคี้ยวกลืน ทำ�ให้ล่วงลำ�คอลงสู่กระเพ�ะอ�ห�ร
ครอบคลุมจุดประสงคของผูสงสาร มะระ ๒ ชื่อไม้เถ�ชนิดหนึ่ง ผลขรุขระ รสขม กินได้
ดังนั้นคําจึงรวมกันเปนกลุมคําหรือวลี ขัน ๑ - ภ�ชนะตักนำ้�หรือใส่นำ้�
และวลีจึงรวมกันเปนประโยคเพื่อใชสื่อสาร - หมุนให้แน่น
ในชีวิตประจําวัน) - หัวเร�ะ น่�หัวเร�ะ ชวนหัวเร�ะ
120
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดมีจํานวนพยางคนอยที่สุด
ครูอาจมอบหมายชิ้นงานยอยใหแกนักเรียน ดวยการใหแตละคนรวบรวม 1. สรรพางค
คําศัพทที่ปรากฏใชในภาษาไทยที่เคยไดฟงหรือเคยอาน จํานวน 20 คํา 2. สมานไมตรี
เขียนคําอาน พรอมทั้งระบุจํานวนพยางคของคําใหถูกตอง บันทึกลงสมุด สงครู 3. สรรพสินคา
4. สังกรประโยค
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. อานวา สัน-ระ-พาง มีจํานวนพยางค 3 พยางค
ขอ 2. อานวา สะ-หฺมาน-ไม-ตฺรี มีจํานวนพยางค 4 พยางค ขอ 3. อานวา
1 คํา คือ หนวยยอยที่สุดในภาษาที่มีความหมายและสามารถปรากฏได สับ-พะ-สิน-คา มีจํานวนพยางค 4 พยางค สวนขอ 4. อานวา สัง-กะ-ระ-
ตามลําพัง โดยคําเกิดจากการนําเสียงในภาษามารวมกันเปนพยางค อาจจะมี ปฺระ-โหฺยก หรือ สัง-กอ-ระ-ปฺระ-โหฺยก มีจํานวนพยางค 5 พยางค
พยางคเดียวหรือหลายพยางคก็ได พยางคใดๆ จะมีฐานะเปนคําก็ตอเมื่อ ดังนั้นจึงตอบขอ 1.
พยางคนั้นๆ มีความหมายและสามารถปรากฏไดตามลําพัง ดังนั้น คุณสมบัติ
ของคําจึงตองประกอบดวยรูปภาษา ความหมาย และสามารถปรากฏไดอยางอิสระ
120 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ความเขาใจของ
๒ ส่วนประกอบของประโยคในการสื่อสาร ตนเองเกี่ยวกับคําในภาษาไทยและสวนประกอบ
ของประโยค ซึ่งไดจากการสืบคนรวมกันกับเพื่อน
สำรที่ ใช้ ส1ื่ อ สำรกั น ส่ ว นมำกจะพู ด และเขี ย นเป็ น ประโยคหรื อ วลี ประโยคประกอบด้ ว ย
ในกลุม ครูผูสอนอาจใชวิธีการสุมเรียกชื่อเพื่อตอบ
ส่วนส�ำคัญ ๒ ส่วน คือ ภภำคประธำนและภำคแสดง
คําถาม
๑) ภาคประธาน ได้แก่ ส่วนที่เป็นผู้กระท�ำ อำจจะมีส่วนขยำยหรือไม่มีก็ได้ เช่น
• คําในภาษาไทยเกิดขึ้นไดอยางไร
กองลูกเสือสำมัญโรงเรียนนพเก้ำวิทยำไปอยู่ค่ำยพักแรมที่ค่ำยลูกเสือวชิรำวุธำนุสรณ์
นักเรียนโรงเรียนสำยอนุสรณ์สละที่นั่งให้คนชรำ
(แนวตอบ คําเกิดจากการนําเสียงในภาษาไทย
๒) ภาคแสดง ได้แก่ ส่วนที่บอกอำกำรหรือบอกสภำพของประธำน อำจมีส่วนขยำยหรือ ซึ่งไดแก เสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียง
ไม่มีก็ได้ ส่วนขยำยอำจเป็นค�ำ วลี หรือประโยคก็ได้ เช่น วรรณยุกตมาประกอบขึ้นเปนคํา)
นกร้องเสียงไพเรำะ • ประโยคมีลักษณะสําคัญที่โดดเดนอยางไร
นภำและครอบครัวย้ำยไปอยู่บ้ำนใหม่ซึ่งสร้ำงเสร็จเรียบร้อยแล้ว (แนวตอบ ประโยค คือหนวยทางภาษาที่
ประกอบดวยคําหลายคํามาเรียงตอกัน
ตัวอย่างการวิเคราะห์ประโยค ซึ่งคําที่นํามาเรียงตอกันนั้น ตองมีความ
ภาคประธาน ภาคแสดง สัมพันธทางไวยากรณตอ กันอยางใดอยางหนึง่
ประโยค บทประธาน ส่วนขยาย
บทกริยา บทกรรม ซึ่งประโยคเปนหนวยทางภาษาที่สามารถ
กริยา ส่วนขยาย กรรม ส่วนขยาย สื่อความไดวาเกิดอะไรขึ้น หรืออะไรมีสภาพ
กริยา กรรม
กองลูกเสือส�มัญ กองลูกเสือ โรงเรียน ไป อยู่ค่�ย ค่�ยลูกเสือ วชิร� เปนอยางไร ทําใหมนุษยสามารถสื่อสารกัน
โรงเรียนนพเก้�วิทย� ส�มัญ นพเก้�วิทย� พักแรม วุธ�นุสรณ์ ไดเขาใจ)
ไปอยู่ค่�ยพักแรมที่ค่�ย • นักเรียนลองตั้งขอสังเกตเบื้องตนเกี่ยวกับ
ลูกเสือวชิร�วุธ�นุสรณ์ * คำ�เชือ่ ม คือ ที่
ประโยคที่ใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน
นักเรียนโรงเรียน นักเรียน โรงเรียน สละ ให้คนชร� ทีน่ ง่ั - มีลักษณะการเรียงรูปประโยค อยางไร
ส�ยอนุสรณ์สละที่นั่ง ส�ยอนุสรณ์
ให้คนชร� (แนวตอบ การเรียงคําเขาประโยคในภาษาไทย
นกร้องเสียงไพเร�ะ นก - ร้อง เสียงไพเร�ะ - -
ในเบื้องตนประกอบดวยผูกระทํา และคํา
นภ�และครอบครัว นภ�และ - ย้�ยไปอยู่ - บ้�นใหม่ - แสดงสภาพหรืออาการ เปนการสื่อสารเพื่อ
ย้�ยไปอยู่บ้�นใหม่ ครอบครัว บอกสภาพ เชน ฉันเดิน ฉันหิว ฉันนอน
(ประโยคหลัก) เมื่อตองการความชัดเจนยิ่งขึ้น ประโยคจะ
บ้�นใหม่สร้�งเสร็จ บ้�น ใหม่ สร้�งเสร็จ เรียบร้อยแล้ว - - ประกอบดวยผูกระทํา คําแสดงสภาพอาการ
เรียบร้อยแล้ว และผูถูกกระทํา เปนการสื่อสารเพื่อบอกวา
(ประโยคย่อย) ใครทําอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น เชน ฉันเดิน
ไปโรงเรียน ฉันดื่มนํ้า ฉันกินขาว เปนตน)
121
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับนามวลีและกริยาวลี โดยรวบรวมขอมูลให ครูควรใหคําอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวลีในภาษาไทย เมื่อครูใหนักเรียนปฏิบัติ
ครอบคลุมประเด็นเกีย่ วกับความหมาย สวนประกอบและหนาทีใ่ นประโยค กิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทาย กอนเก็บใบความรูควรสุมเรียกชื่อนักเรียน
นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู กิจกรรมละ 3-5 คน เพือ่ แลกเปลีย่ นขอมูล ความรูท เี่ ปนประโยชนระหวางกัน จากนัน้
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา วลีในภาษาไทยมีทั้งหมด 5 ประเภท แตเพราะเหตุใดใน
ประโยคจึงประกอบดวยสวนสําคัญเบื้องตนเพียง 2 สวน ไดแก นามวลีและกริยาวลี
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาเกีย่ วกับปริมาณวลี บุพบทวลี และวิเศษณวลี โดยรวบรวม
ขอมูลใหครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับความหมาย สวนประกอบ และหนาที่ 1 สวนสําคัญ 2 สวน โดยทั่วไปประโยคประกอบดวยสวนสําคัญ 2 สวน
ในประโยค นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู ไดแก นามวลีและกริยาวลี โดยนามวลีทําหนาที่เปนภาคประธานของประโยค
สวนกริยาวลีทําหนาที่เปนภาคแสดงของประโยค โดยนักเรียนอาจศึกษาเพิ่มเติม
เกี่ยวกับสวนประกอบของประโยค ไดจากหนังสือบรรทัดฐานภาษาไทย เลม 3
ซึ่งจัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือครู 121
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากจํานวน 7 ใบ โดยเขียนหมายเลข
1-7 ลงบนกระดาษ คัดเลือกตัวแทนนักเรียนที่มี
คุณลักษณะเปนผูนําและมีความสามารถในการ
๓ ชนิดและหน้าที่ของคÓในประโยค
สรุปประเด็น ออกมาจับสลากจํานวน 7 คน ดังนี้ ค�ำในภำษำจ�ำแนกได้เป็น ๗ ชนิด คือ ค�ำนำม ค�ำสรรพนำม ค�ำกริยำ ค�ำวิเศษณ์ ค�ำบุพบท
หมายเลข 1 คํานาม ค�ำสันธำน และค�ำอุทำน กำรที่ค�ำไทยค�ำเดียวมีหลำยควำมหมำยและหลำยหน้ำที่ ทั้งกำรจัดล�ำดับค�ำ
หมายเลข 2 คําสรรพนาม ในประโยค ถ้ำเรียงผิดต�ำแหน่งจะท�ำให้หน้ำที่และควำมหมำยผิดไป นักเรียนจึงต้องเรียนรู้ชนิด
หมายเลข 3 คํากริยา และหน้ำที่ของค�ำในประโยค เพื่อให้ผู้รับสำรและผู้ส่งสำรเข้ำใจได้ตรงกัน และประสบผลส�ำเร็จใน
หมายเลข 4 คําวิเศษณ กำรสื่อสำร รวมถึงหน้ำที่กำรงำนตำมจุดประสงค์
หมายเลข 5 คําบุพบท ๓.๑ หมวดค�านาม
หมายเลข 6 คําสันธาน ค�านาม คือ ค�ำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สภำพ ลักษณะ และอำกำรของสิ่งมีชีวิต
หมายเลข 7 คําอุทาน และสิ่งที่ไม่มีชีวิต ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนำมธรรม
ใหนักเรียนทั้ง 7 คน เปดรับสมาชิกกลุม ใน ๑) ประเภทของค�านาม แบ่งได้ ๕ ประเภท ต่อไปนี้
จํานวนเทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม เมื่อได ๑.๑) ค�านามที่เรียกชื่อทั่วไป ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ ชื่อสถำนที่ เช่น พ่อ ช้ำง
จํานวนสมาชิกแลว ใหสมาชิกของแตละกลุมรวมกัน สมุด โรงเรียน ธนำคำร เป็นต้น
ศึกษาวาหมวดคํานั้นๆ มีนิยามอยางไร ทําหนาที่ ๑.๒) ค�านามที่เป็นชื่อเฉพาะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ และชื่อสถำนที่
ใดในประโยค รวบรวมและบันทึกขอมูลที่เปน เช่น พระอภัยมณี ช้ำงก้ำนกล้วย หนังสือเรียนภำษำไทย สถำนีรถไฟหัวล�ำโพง เป็นต้น
ประโยชนเหลานั้นไว โดยนักเรียนสามารถสืบคน ๑.๓) ค�านามที่บอกความเป็นหมู่พวก กลุ่ม หรือคณะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ
ความรูเพื่อตอบประเด็นขางตนไดจากตําราทาง และชือ่ สถำนที่ เช่น คณะนักเรียนโรงเรียนบ้ำนหนองน�ำ้ ใส โขลงช้ำงพัง กองหนังสือ หมูบ่ ำ้ นท่ำข้ำม เป็นต้น
วิชาการเกี่ยวกับภาษาไทย เชน หนังสือบรรทัดฐาน ๑.๔) ค�านามที่เป็นนามธรรม ไม่มีขนำดและรูปร่ำง แต่สำมำรถสื่อควำมหมำยได้เข้ำใจ
ภาษาไทย เลม 3 ซึง่ จัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
หรืออินเทอรเน็ต โดยควรคํานึงถึงความนาเชื่อถือ 1
“กำร” หรือ “ควำม” น�ำหน้ำค�ำกริยำเรียกว่ำ อำกำรนำม เช่น กำรกิ ก น กำรนอน กำรเดิน
ของแหลงขอมูล กำรนั่ง ซึ่งค�ำที่มี “ควำม” น�ำหน้ำ มักเป็นค�ำวิเศษณ์หรือค�ำที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น ควำมรัก ควำมซื่อสัตย์
ควำมจงรักภักดี ควำมคิด ควำมโกรธ ควำมผูกพัน เป็นต้น
“กำร” น�ำหน้ำค�ำนำม จัดเป็นนำมทั่วไป เช่น กำรบ้ำน กำรเมือง กำรครัว กำรคลัง
๑.๕) ค�านามที่ใช้บอกลักษณะของนาม บำงทีเรียก ลักษณนำม ค�ำนำมประเภทนี้
บอกให้ทรำบถึงลักษณะของสิ่งที่กล่ำวถึงว่ำมีรูปพรรณสัณฐำนเป็นอย่ำงไร เช่น
122
ขอสอบเนน การคิด
นักเรียนควรรู แนว O-NET
คํานามในขอใดตอไปนี้ทําหนาที่ตางจากขออื่น
1 อาการนาม คําอาการนามที่ขึ้นตนดวยหนวยคําเติมหนา “การ” เชน การกิน 1. หนังสือเลมนี้มีแตคนสนใจ
หากตั้งขอสังเกตจะเห็นวาเปนคําที่แสดงใหเห็นกระบวนการในการทํากริยา สวนคํา 2. เขาชอบอานหนังสือเลมนี้มากที่สุด
อาการนามที่ขึ้นตนดวยหนวยคําเติมหนา “ความ” เชน ความเปนอยู จะแสดงสภาพ 3. หนังสือชุดนี้พวกเขาเหลานั้นชอบมาก
หรือลักษณะรวมๆ ของกริยา ซึ่งคํากริยาบางคําสามารถเติม “การ” เพื่อสรางคํา 4. หนังสือเลมนี้นาสนใจเพราะเปนเรื่องที่ดีมาก
อาการนามได แตไมสามารถเติม “ความ” ได เชนเดียวกับคํากริยาบางคําก็เติมได
เฉพาะ “ความ” และคํากริยาบางคําก็ไมสามารถเติมไดทั้ง “การ” และ “ความ” เชน วิเคราะหคําตอบ ตัวเลือกทั้ง 4 ขอ มีคํานามเปนคําเดียวกัน คือคําวา
คําวา “คือ” “หนังสือ” แตหนังสือคําเดียวกันนี้ทําหนาที่ในประโยคแตกตางกัน ขอ 1.
“หนังสือ” ทําหนาที่เปนกรรมในประโยค ขอ 2. “หนังสือ” ทําหนาที่เปน
กรรมในประโยค ขอ 3. “หนังสือ” ทําหนาที่เปนกรรมในประโยค สวนขอ
4. “หนังสือ” ทําหนาทีเ่ ปนประธานในประโยค ดังนัน้ จึงตอบขอ 4.
122 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
นอกจำกนี้ ค�ำลักษณนำมใช้เป็นค�ำบอกจ�ำนวนนับโดยมีจ�ำนวนนับอยู่หน้ำลักษณนำมนั้น อธิบายความรูในประเด็น “คํานาม” โดยนํา
เช่น มีคนเดินมำในห้อง ๑๐ คน แม่ซื้อดินสอให้ฉัน ๕ แท่ง หรือใช้ประกอบหลังค�ำนำม เช่น เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
บ้ำนหลังที่ทำสีขำวเป็นบ้ำนของพี่ชำย สมุดเล่มนี้ฉันยืมน้องมำ เป็นต้น และการทําหนาที่ในประโยค
๒) หน้าที่ของค�านามในประโยค ค�ำนำมมีหน้ำที่ในประโยค ดังนี้ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๒.๑) ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
คณะรัฐมนตรีก�ำลังประชุมที่รัฐสภำ คํานาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
ปลำฉลำมกัดนักท่องเที่ยวที่ก�ำลังเล่นน�้ำทะเล จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 เปน
๒.๒) ท�าหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น ขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
ลูกๆ ก�ำลังอ่ำนหนังสือเรียน • คํานาม แบงเปนกี่ประเภท และไดแก
เด็กๆ ชอบเล่นตุ๊กตำ อะไรบาง
๒.๓) ท�าหน้าที่เป็นกรรมตรงและกรรมรอง โดยค�ำที่อยู่หลังกริยำเป็นกรรมตรง ถ้ำมี (แนวตอบ 5 ประเภท ไดแก คํานามเรียกชื่อ
ค�ำว่ำ แก่ หรือ ให้ อยู่ข้ำงหน้ำค�ำนำมนั้นเรียกว่ำ กรรมรอง เช่น ทั่วไป คํานามที่เปนชื่อเฉพาะ คํานามที่บอก
แม่ให้เงินแก่น้องทุกวัน (เงิน เป็นกรรมตรง ส่วนน้อง เป็นกรรมรอง) ความเปนหมู เปนพวก คํานามทีเ่ ปนนามธรรม
เรำส่งสิ่งของต่ำงๆ ให้ผู้ประสบภัยน�้ำท่วม และคํานามที่ใชบอกลักษณะ)
(สิ่งของต่ำงๆ เป็นกรรมตรง ส่วนผู้ประสบภัยน�้ำท่วม เป็นกรรมรอง) • ลักษณนามมีความสัมพันธอยางไรกับ
๒.๔) ท�าหน้าที่ขยายค�าอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ ขยำยค�ำนำม ค�ำกริยำ เช่น คํานามที่อยูขางหนา
นำยณรงค์ รักดี คณะกรรมกำรหมู่บ้ำนกล่ำวเปิดงำนวันสิ่งแวดล้อมไทย (แนวตอบ คําลักษณนามทําหนาที่บอกให
(นำยณรงค์ รักดี เป็นค�ำนำมที่เป็นชื่อเฉพำะ คณะกรรมกำรหมู่บ้ำน เป็นค�ำนำม ทราบวาคํานามที่อยูขางหนามีรูปพรรณ
ทั่วไปที่ขยำยนำมชื่อเฉพำะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น) สัณฐานอยางไร เชน บานมีลักษณนามเปน
พ่อนอนเล่นที่เก้ำอี้ (เก้ำอี้ เป็นค�ำนำมขยำยค�ำกริยำเพื่อบอกสถำนที่) หลัง นักเรียน มีลักษณนามเปนคน)
เรำก�ำลังรับประทำนอำหำรว่ำงตอนบ่ำย (อำหำรว่ำงตอนบ่ำย เป็นค�ำนำมขยำยกริยำ • คํานามสามารถทําหนาทีใ่ ดไดบา งในประโยค
และบอกเวลำตอนบ่ำย) (แนวตอบ คํานามสามารถทําหนาทีใ่ นประโยค
๒.๕) ท�าหน้าที่เป็นค�าเรียกขาน เช่น ไดโดยเปนประธาน เปนกรรมตรง กรรมรอง
คุณยำยขำท�ำอะไรอยู่คะ (คุณยำย เป็นค�ำนำม ส่วนคุณยำยขำ เป็นค�ำเรียกขำน) ทําหนาที่ขยายคําอื่นในประโยคใหชัดเจน
คุณต�ำรวจคะถนนตกไปทำงไหนคะ (ต�ำรวจ เป็นค�ำนำม ส่วนคุณต�ำรวจคะ ท�ำหน้ำที่ ยิ่งขึ้น ทําหนาที่เปนคําเรียกขาน และสวน
เป็นค�ำเรียกขำน) เติมเต็มใหคํากริยาในประโยค)
๒.๖) ท�าหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มให้ค�ากริยา เป็น เหมือน คล้ำย เท่ำ คือ แปลว่ำ เช่น
พุ่มพวงเป็นรำชินีเพลงลูกทุ่ง
น้องนกหน้ำตำคล้ำยพ่อมำก
123
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ประโยคในขอใดไมปรากฏคําสมุหนามหรือคํานามทีบ่ อกความเปนหมูเ ปนพวก
ครูควรแนะนําเพิ่มเติมใหแกนักเรียนวา เกณฑการจําแนกชนิดของคํามี
1. คณะนักเรียนโรงเรียนบานรีวิทยาไปทัศนศึกษา
หลายเกณฑ ดังนั้น จึงทําใหจํานวนชนิดของคําแตกตางกันออกไปดวย เชน
2. ฝูงโลมาวายมาเกยตื้นบริเวณปากอาวไทย
พระยาอุปกิตศิลปสาร จําแนกชนิดของคําออกเปน 7 ชนิด อาจารยวจิ นิ ตน
3. กองหนังสือวางอยูบนโตะในหองสมุด
ภาณุพงศ จําแนกชนิดของคําออกเปน 26 ชนิด อาจารยนววรรณ พันธุเมธา จําแนก
4. ชาวนาตองการสวิงหาปลาหลายปาก
ชนิดของคําออกเปน 6 ชนิด สวนหนังสืออุเทศภาษาไทย ชุดบรรทัดฐานภาษาไทย
วิเคราะหคําตอบ คําสมุหนาม คือ คํานามที่บอกความเปนหมู เปนพวก เลม 3 ซึ่งจัดพิมพโดยกระทรวงศึกษาธิการ ไดจําแนกชนิดของคําออกเปน 12 ชนิด
กลุมหรือคณะ ไดแก ชื่อบุคคล ชื่อสัตว ชื่อสิ่งของ และชื่อสถานที่ จากคํา โดยใชเกณฑหนาที่ ตําแหนงที่ปรากฏ ความสัมพันธกับคําอื่น และความหมาย
นิยามนี้ทําใหพิจารณาไดวา คําสมุหนามในขอ 1. คือคําวา “คณะ” เปนเกณฑสําหรับการจําแนก ดังนี้ คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําชวยกริยา
คําสมุหนามในขอ 2. คือคําวา “ฝูง” คําสมุหนามในขอ 3. คือคําวา “กอง” คําวิเศษณ คําที่เกี่ยวกับจํานวน คําบอกจํานวน คําบุพบท คําเชื่อม คําลงทาย
สวนคําวา “ปาก” ในขอ 4. ไมใชคําสมุหนาม แตเปนคําลักษณนาม คําอุทานและคําปฏิเสธ
ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คู่มือครู 123
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุม ที่ 2 สงตัวแทน 2 คน ออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็น “คําสรรพนาม” โดยนําเสนอ ๓.๒ หมวดค�าสรรพนาม
ขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยามและ ค�าสรรพนาม คือ ค�ำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ มักใช้ในกำรพูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน คุณ ท่ำน
การทําหนาที่ในประโยค เขำ เรำ เป็นต้น
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๑) ประเภทของค�าสรรพนาม แบ่งได้ ๗ ประเภท ดังนี้
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําสรรพนาม ๑.๑) ค�าสรรพนามที่ใช้ในการพูด (บุรุษสรรพนาม) ได้แก่
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง สรรพนามบุรุษที่ การใช้ ตัวอย่างค�าสรรพนาม
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล ๑ ใช้แทนตัวผู้พูด ข้� ฉัน ดิฉัน หนู ผม กระผม เกล้�กระผม ข้�พเจ้�
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม ข้�พระพุทธเจ้�
• คําสรรพนามมีลักษณะสําคัญที่โดดเดน ๒ ใช้แทนผู้ที่พูดด้วย แก เจ้� เธอ คุณ ท่�น พระคุณเจ้� ฝ่�พระบ�ท
จากคําชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร ใต้ฝ่�พระบ�ท ใต้ฝ่�ละอองธุลีพระบ�ท
(แนวตอบ คําสรรพนาม คือคําที่ใชแทนชื่อคน ๓ ใช้แทนผู้ที่ถูกกล่�วถึง เข� มัน แก เธอ ท่�น ท่�นช�ย ท่�นหญิง
สัตว สิ่งของ หรืออาจกลาววาเปนคําที่ใชแทน พระองค์หญิง เสด็จพระองค์หญิง ทูลกระหม่อม
คํานาม สามารถแบงได 7 ประเภท ไดแก
• คําสรรพนามที่ใชในการพูด กำรใช้ค�ำสรรพนำมบำงครั้งสำมำรถใช้ต�ำแหน่งหรือหน้ำที่แทนได้ เช่น
• คําสรรพนามชี้ระยะ มะลิช่วยครูยกสมุดหน่อยสิ (ครู เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑)
• คําสรรพนามที่ใชเปนคําถาม หมอจะให้หนูไปตรวจที่ห้องไหนคะ (หมอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
• คําสรรพนามบอกความไมเฉพาะเจาะจง คุณสุดำ ท่ำนผู้อ�ำนวยกำรอยู่ไหมคะ (ท่ำนผู้อ�ำนวยกำร เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๓)
ค�ำที่ใช้แสดงควำมสัมพันธ์ทำงเครือญำติอำจใช้เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑ หรือบุรุษที่ ๒ ก็ได้
• คําสรรพนามบอกความชี้ซํ้า แบงพวก
ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังต้องพิจำรณำบริบทว่ำเป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๑ หรือ ๒ เช่น
• คําสรรพนามเชื่อมประโยค
พ่อคะ นำยกสมำคมฝำกจดหมำยเชิญมำให้ค่ะ (พ่อ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
• คําสรรพนามทีช่ ว ยเนนคํานามทีอ่ ยูข า งหนา)
ค�ำบุรุษสรรพนำมบำงค�ำอำจเป็นได้ทั้งสรรพนำมบุรุษที่ ๒ หรือบุรุษที่ ๓ เช่น
เธอไม่รับประทำนอำหำรประเภทเนื้อใช่ไหม (เธอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๒)
เธอเป็นผู้หญิงที่สุภำพ อ่อนโยน น่ำรักมำก (เธอ เป็นสรรพนำมบุรุษที่ ๓)
ดังนั้น กำรที่จะบอกว่ำค�ำนั้นๆ เป็นค�ำชนิดใด ท�ำหน้ำที่อะไรในประโยค ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังต้อง
พิจำรณำว่ำค�ำสรรพนำมนั้นวำงอยู่ในต�ำแหน่งใดของประโยค และพิจำรณำบริบทว่ำข้อควำมแวดล้อม
เป็นอย่ำงไร จึงจะพิจำรณำควำมหมำยได้ 1 ถูกต้อง
๑.๒) ค�าสรรพนามชี้ระยะ คือ ค�ำสรรพนำมที่ใช้แทนค�ำนำมที่อยู่ใกล้ หรือห่ำงและไกล
จำกผู้พูด ได้แก่ ค�ำ นี่ นั่น โน่น เช่น
นี่เสื้อของใคร (นี่ เป็นสรรพนำมแทนนำมที่อยู่ใกล้ผู้พูด)
นั่นเป็นกระเป๋ำของเธอหรือ (นั่น เป็นสรรพนำมแทนนำมที่อยู่ห่ำงจำกผู้พูด)
โน่นเพื่อนเธอหรือ (โน่น เป็นสรรพนำมแทนเพื่อนซึ่งอยู่ไกลจำกผู้พูดมำก)
124
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดปรากฏคําบุรุษสรรพนามที่ทําหนาที่ตางจากขออื่น
ครูอาจสรางสรรคกจิ กรรมภายในชัน้ เรียน ดวยการใหนกั เรียนประกอบรูปประโยค
1. เราพาพอกับแมไปซื้อของที่ตลาด
โดยใชคําสรรพนามชี้ระยะ ปากเปลาเปนรายบุคคล
2. ฉันไมไดไปโรงเรียนเพราะไมสบาย
3. วันนี้เคามีเรื่องมาเลาใหฟงดวยแหละ
4. ผมเตือนแกหลายครั้งแลววาเวลาขับรถตองระวัง
นักเรียนควรรู
วิเคราะหคําตอบ คําสรรพนาม คือ คําที่ใชแทนชื่อ คน สัตว สิ่งของ
1 คําสรรพนามชี้ระยะ ในหนังสืออุเทศภาษาไทย เลม 3 ไดระบุวา คําสรรพนาม โดยคําสรรพนามสามารถทําหนาที่ไดเชนเดียวกับคํานาม จากรูปประโยค
ชี้ระยะมี 8 คํา ไดแก นี่ นั่น โนน นูน นี้ นั้น โนน นูน โดยจะใชบอกระยะใกลที่สุด ทีป่ รากฏ ขอ 1. “เรา” เปนคําสรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแทนตัวผูพ ดู ทําหนาที่
ไปจนถึงระยะไกลที่สุด 4 ระยะ ไดแก นี่ กับ นี้ บอกระยะใกลที่สุด นั่น กับ นั้น เปนประธานในประโยค ขอ 2. “ฉัน” เปนคําสรรพนามบุรษุ ที่ 1 ใชแทนตัว
บอกระยะที่ไกลออกไป โนน กับ โนน บอกระยะที่ไกลออกไปอีก นูน กับ นูน บอก ผูพ ดู ทําหนาทีเ่ ปนประธานในประโยค ขอ 3. “เคา” เปนคําสรรพนามบุรุษ
ระยะไกลที่สุด คําสรรพนามชี้ระยะ นี่ นั่น โนน นูน สามารถใชตามหลังคํากริยา ที่ 1 ใชแทนตัวผูพูดทําหนาที่เปนประธานในประโยค สวนขอ 4. “แก”
เชน นั่งนี่ไหม หรือใชขึ้นตนประโยคได เมื่อใชขึ้นตนประโยคอาจตามดวยคํานาม เปนคําสรรพนามบุรุษที่ 3 ใชแทนผูที่ถูกกลาวถึงทําหนาที่เปนกรรมใน
หรือคํากริยาก็ได เชน นี่กระเปาใคร นั่นวิ่งไปแลว เปนตน ประโยค ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
124 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑.๓) ค�ำสรรพนำมที่ใช้เป็นค�ำถำม ได้แก่ ค�ำว่ำ ใคร อะไร ไหน เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคํา
ใครมำเปิดตู้ของฉัน สรรพนาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
เธอต้องกำรอะไร การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล
ไหนกระเป๋ำของฉัน เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
๑.๔) ค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ไม่ก�ำหนดว่ำเป็นใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใด หรือผู้ใด • เธอ คุณ ทาน ตัวอยางคําเหลานี้ จัดเปน
ไม่ต้องกำรค�ำตอบ มักใช้พูดลอยๆ เชิงปรำรภ เช่น คําสรรพนามประเภทใด
ไหนๆ ก็เป็นไปแล้ว ท�ำใจเสียเถิด (แนวตอบ จัดเปนคําสรรพนามที่ใชในการพูด
(ไหนๆ เป็นค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ท�ำหน้ำที่ประธำนของประโยค) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวาบุรุษสรรพนาม)
ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง • คําสรรพนามชี้ระยะ เปนคําสรรพนามที่
(ใดๆ เป็นค�ำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง ท�ำหน้ำที่เป็นประธำนของประโยค) ทําหนาที่ใดในประโยค พรอมยกตัวอยาง
๑.๕) ค�ำสรรพนำมบอกควำมชี้ซ�้ำ แบ่งพวก หรือรวมพวก ได้แก่ ต่ำง บ้ำง กัน ประโยคประกอบคําอธิบาย
ค�ำสรรพนำมประเภทนี้มักใช้ชี้ซ�้ำกับค�ำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ เช่น (แนวตอบ คําสรรพนามชีร้ ะยะ คือ คําสรรพนาม
ผู้คนต่ำงช่วยกันตักน�้ำดับไฟ ที่ชี้หรือแสดงใหเห็นวาคํานามของประโยค
(ต่ำง เป็นค�ำสรรพนำมแทนผู้คน แสดงควำมรวมพวก) นั้นๆ อยูหางจากตัวผูพูดมากเทาไร ไดแก
นักเรียนบ้ำงก็เล่นบ้ำงก็นั่งท�ำงำน
คําวา นี่ นั่น นูน โนน เชน นี่บานใหมของ
(บ้ำง เป็นค�ำสรรพนำมแทนนักเรียน บอกควำมแยกพวก)
ฉัน นั่นโรงเรียนของฉัน นูนแมวของฉัน
เด็กๆ นัดท�ำรำยงำนกันที่ห้องสมุด
โนนตนไมที่พอของฉันปลูกไว)
(กัน เป็นค�ำสรรพนำมแทนเด็กๆ บอกควำมชี้ซ�้ำ)
• นักเรียนคิดวาคําสรรพนามมีประโยชนอยางไร
๑.๖) ค�ำสรรพนำมเชือ่ มประโยค ใช้แทนนำมทีอ่ ยูข่ ำ้ งหน้ำและท�ำหน้ำทีเ่ ชือ่ มประโยคหลัก
ตอการเขียนสื่อสาร
และประโยคย่อยให้เป็นประโยคเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะเป็นประโยคควำมซ้อน โดยค�ำที่ใช้แทนนำมและ
ใช้เชื่อมประโยคนี้ ได้แก่ ค�ำว่ำ ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เช่น
(แนวตอบ คําสรรพนาม คือ คําทีใ่ ชแทนชือ่ คน
คุณย่ำชอบหลำนที่อดทน ขยัน ซื่อสัตย์ กตัญญู (ที่ เป็นค�ำสรรพนำมแทนหลำน)
สัตว สิ่งของ ซึ่งคําสรรพนามมีประโยชน
ประโยคหลัก คือ ย่ำชอบหลำน ตอการเขียนสื่อสาร คือทําใหผูเขียนไมตอง
ประโยคย่อย คือ หลำนเป็นคนอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ กตัญญู เขียนคํานามนั้นๆ ซํ้ากันหลายๆ ครั้ง ซึ่ง
เด็กน้อยผู้ร่ำเริงคนนั้นเป็นหลำนภำรโรง (ผู้ เป็นค�ำสรรพนำมแทนเด็กน้อย) อาจกอใหเกิดความไมราบรื่นในการสื่อสาร
ประโยคหลัก คือ เด็กน้อยเป็นหลำนภำรโรง เชน ประโยคที่เขียนวา “สมชายไมสบาย
ประโยคย่อย คือ เด็กน้อยคนนั้นร่ำเริง สมชายจึงไมไปโรงเรียน” กับประโยคที่เขียน
๑.๗) ค�ำสรรพนำมที่เน้นค�ำนำมที่อยู่ข้ำงหน้ำ เพื่อบอกควำมรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อผู้ที่ วา “สมชายไมสบายเขาจึงไมไปโรงเรียน”
กล่ำวถึงข้ำงหน้ำ ค�ำสรรพนำมประเภทนี้มักเป็นค�ำสรรพนำมบุรุษที่ ๓ เช่น สองประโยคนีแ้ สดงประโยชนของคําสรรพนาม
ฉันรู้ดีว่ำคุณแม่คุณพ่อท่ำนรักลูกทุกคนอย่ำงเท่ำเทียมกัน ตอการเขียนสื่อสารไดอยางชัดเจน)
(ค�ำว่ำ ท่ำน แทนคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งผู้พูดกล่ำวถึงด้วยควำมรักเคำรพ)
125
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ประโยคในขอใดไมปรากฏคําสรรพนามบอกความไมเจาะจง
1. ใดๆ ในโลกลวนอนิจจัง ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมใหแกนักเรียนวา ชนิดของคําในภาษาไทย นอกจากจะทํา
2. ไมวาอยูที่ไหนก็ไมสุขใจเทาบานเรา หนาที่ตางๆ ในประโยคแลว ยังสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมอีกดวย กลาวคือ คําบุรุษ-
3. อมรชัยถามสมศรีวาเธอกําลังทําอะไร สรรพนามในแตละภาษา จะสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมและการมองโลกที่แตกตางกัน
4. อะไรๆ เขาก็สามารถกินไดทุกสิ่งทุกอยาง คําบุรุษสรรพนามในภาษาไทยสะทอนใหเห็นวัฒนธรรมไทย การมองโลก และแสดง
วัฒนธรรมการใชภาษาไทยหลายประการ เชน แสดงสถานภาพ แสดงความอาวุโส
วิเคราะหคําตอบ คําสรรพนามบอกความไมเจาะจง คือ คําสรรพนาม แสดงเพศ แสดงความสุภาพ แสดงความสนิทสนมระหวางผูพูดกับผูฟงและผูที่
ที่จะไมกําหนดวาเปนใคร อะไร ที่ไหน สิ่งใดหรือผูใด ไมตองการคําตอบ กลาวถึง จากนั้นจึงใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคําสรรพนามที่สะทอนใหเห็น
มักกลาวขึ้นลอยๆ จากรูปประโยคสามารถวิเคราะหไดวาคําสรรพนาม วัฒนธรรมไทยในดานตางๆ
บอกความไมเฉพาะเจาะจงในขอ 1. คือคําวา “ใดๆ” ขอ 2. คือคําวา “ไหน”
ขอ 4. คือคําวา “อะไรๆ” สวนคําวา “อะไร” ในขอ 3. เปนคําสรรพนาม
ที่ใชเปนคําถามเพื่อตองการใหผูฟงตอบ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
คู่มือครู 125
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับหนาที่ของคํา คุณพัชรเธอมีธุรกิจส�ำคัญต้องไปต่ำงจังหวัดค่ะ
สรรพนาม โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก (ค�ำว่ำ เธอ แทนคุณ1พัชร ซึ่งกล่ำวถึงด้วยควำมยกย่องและคุ้นเคย)
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูล ๒) หน้าทีข่ องค�าสรรพนาม เนือ่ งจำกค�ำสรรพนำม คือ ค�ำทีแ่ ทนค�ำนำม ฉะนัน้ ค�ำสรรพนำม
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม จึงมีหน้ำที่เหมือนค�ำนำม ดังนี้
• นอกจากการทําหนาที่เปนประธานและกรรม ๒.๑) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
ในประโยคแลว คําสรรพนามยังทําหนาที่ใด ผมซื้อของมำฝำกคุณยำยครับ
ในประโยคไดอีกบาง ใครๆ ก็รุมซื้อจนท�ำไม่ทัน
๒.๒) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
(แนวตอบ ทําหนาที่เปนสวนเติมเต็ม และทํา
คุณแม่ให้ฉันไปตลำด
หนาที่เปนคําขยายคํานามในประโยค)
เรำถูกนำยจ้ำงให้ออกจำกงำน
• คําสรรพนามเปนคําที่ใชแทนคํานาม ๒.๓) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มในประโยค มักตำมหลังค�ำว่ำ เป็น เหมือน
จากขอสังเกตนี้ นักเรียนสามารถสรุปหนาที่ คล้ำย เท่ำ เช่น
ของคําสรรพนามไดหรือไม อยางไร น้องนิดหน้ำตำเหมือนเธอมำก
(แนวตอบ เนื่องจากคําสรรพนามเปนคําที่ใช ถ้ำฉันเป็นเขำนะฉันจะขยันมำกกว่ำนี้
แทนคํานาม ดังนั้นจึงสามารถสรุปไดวา ๒.๔) ค�าสรรพนามท�าหน้าที่เป็นค�าขยาย เช่น
คําสรรพนามสามารถทําหนาที่ในประโยคได สุดำหยิบกระเป๋ำใบนัน้ ให้ฉนั หน่อย (นัน้ เป็นค�ำสรรพนำมชีเ้ ฉพำะขยำยค�ำว่ำกระเป๋ำ)
เชนเดียวกับคํานาม เชน ของที่ถืออยู่นั่นเป็นอะไร (นั่น เป็นค�ำสรรพนำมไม่เจำะจงขยำยค�ำว่ำของในมือ)
• เปนประธานในประโยค เชน ฉันไปซื้อของ
ที่ตลาด เขาไมสบาย
• เปนกรรมในประโยค เชน คุณแมใหฉัน
ไปซื้อของที่ตลาด สุนัขกัดเขาจนไดรับ
บาดเจ็บ)
• การจะระบุวาคําสรรพนามนั้นๆ ทําหนาที่ใด
ในประโยค นักเรียนมีวิธีการสังเกตอยางไร
(แนวตอบ ผูอานหรือผูฟงประโยคนั้นๆ
จะตองพิจารณาวาคําสรรพนามนั้นวางอยู
ในตําแหนงใดของประโยค รวมถึงบริบท
แวดลอมดวยวาเปนอยางไร จึงจะสามารถ
บอกหนาที่ของคําสรรพนามนั้นๆ และทําให
เขาใจความหมายของประโยคไดถูกตอง) การเขียนสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผู้เขียนควรศึกษาความหมายและชนิดของค�าได้จากพจนานุกรมภาษาไทย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
126
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําสรรพนาม “ทาน” ในขอใดแตกตางจากขออื่น
ครูสรางสรรคกิจกรรมยอยภายในชั้นเรียนเพื่อสรางความรู ความเขาใจที่ถูกตอง 1. ทานเดินทางไปตางจังหวัดเมื่อสัปดาหที่แลว
เกี่ยวกับหนาที่ของคําสรรพนาม โดยใหนักเรียนยกตัวอยางประโยคที่ใชคําสรรพนาม 2. ผมเห็นทานเดินไปที่ดานหลังของสํานักงานเมื่อสักครู
ทําหนาที่เชนเดียวกับคํานาม 3. ขอเชิญทานถายรูปเพื่อเปนเกียรติแกเจาภาพงานในวันนี้
4. ดิฉันเรียนทานไปแลววาคุณจะมาพบพรอมกับครอบครัว
นักเรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ จากรูปประโยคในขอ 1. คําวา “ทาน” เปนคํา
สรรพนามบุรุษที่ 3 ใชแทนผูที่ถูกกลาวถึง เชนเดียวกับคําวา “ทาน”
1 หนาที่ของคําสรรพนาม ในภาษาระดับที่ไมเปนทางการ คําบุรุษสรรพนาม ในรูปประโยคขอ 2. และ ขอ 4. สวนขอ 3. “ทาน” เปนคําสรรพนาม
บางคําอาจทําหนาที่ไดหลายหนาที่ เชน คําวา “เรา” อาจทําหนาที่เปนไดทั้ง บุรุษที่ 2 แทนผูที่ผูพูดสื่อสารดวย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
คําสรรพนามบุรุษที่ 1 และคําสรรพนามบุรุษที่ 2 จากรูปประโยค เราพาพอกับแม
ไปดูหนัง “เรา” ในประโยคแรกเปนคําสรรพนามบุรุษที่ 1 ทําหนาที่เปนประธาน
ของประโยค กับรูปประโยค เราตองกินขาวเยอะๆ จะไดโตเร็วๆ “เรา” ในประโยค
ที่สองเปนคําสรรพนามบุรุษที่ 2
126 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 3 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
๓.๓ หมวดค�ากริยา อธิบายความรูในประเด็น “คํากริยา” โดยนํา
ค�ากริยา คือ ค�ำที่แสดงอำกำร บอกสภำพ หรือแสดงกำรกระท�ำของประธำนในประโยค เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
หำกขำดค�ำกริยำจะสื่อสำรกันไม่เข้ำใจ ค�ำกริยำจึงเป็นค�ำส�ำคัญในประโยคซึ่งอำจจะเป็นค�ำแสดง และการทําหนาที่ในประโยค
อำกำรค�ำเดียวหรือเป็นกลุ่มค�ำก็ได้ เช่น นั่ง นั่งเล่น ดู ดูแล ร้อง ร้องเรียก เรียกร้อง ร้องเพลง 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
นั่งร้องเพลง เป็นต้น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับ
๑) ประเภทของค�ากริยา แบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้ คํากริยา โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับ
๑.๑) ค�ากริยาทีม่ คี วามหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ตอ้ งมีกรรมมำรับข้ำงท้ำย เป็นค�ำทีบ่ อก จากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 3
อำกำรแล้วผู้ฟังสำมำรถเข้ำใจได้ทันที อำจมีค�ำขยำยกริยำ หรือค�ำบุพบทประกอบประโยคก็ได้ เช่น เปนขอมูลเบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
นกร้องเพลงในสวน (มีส่วนขยำย คือ ค�ำว่ำ ในสวน) • คํากริยามีความสัมพันธทางไวยากรณกับ
แม่นั่งเล่นที่ใต้ถุนบ้ำน (มีส่วนขยำย คือ ค�ำว่ำ ที่ใต้ถุนบ้ำน) คํานามในประโยคอยางไร
๑.๒) ค�ากริยาที่ต้องมีกรรมมารับ ค�ำกริยำชนิดนี้ถ้ำไม่มีกรรมมำรับข้ำงท้ำยจะท�ำให้ผู้ฟัง (แนวตอบ คํากริยาเปนคําที่แสดงอาการ
ไม่เข้ำใจเพรำะควำมหมำยยังไม่สมบูรณ์ เช่น บอกสภาพ หรือแสดงการกระทําของประธาน
ฉันไป (โรงเรียน) (จำกประโยคข้ำงต้น ไม่สำมำรถบอกได้ว่ำ ไปไหน) ในประโยค ซึ่งคํานามและคําสรรพนามเปน
สมสุขซื้อ (ชุดเนตรนำรี) (จำกประโยคข้ำงต้น ไม่สำมำรถบอกได้ว่ำ ซื้ออะไร) คําที่ทําหนาที่เปนประธานในประโยคได
๑.๓) ค�ากริยาที่ต้องมีส่วนเติมเต็ม เพรำะใจควำมของประโยคยังไม่สมบูรณ์ ต้องมี ดังนั้น คํากริยาจึงมีความสัมพันธทาง
ค�ำนำมหรือสรรพนำมมำรับข้ำงท้ำยจึงจะได้ใจควำมสมบูรณ์ ค�ำกริยำประเภทนี้ได้แก่ค�ำว่ำ เป็น ไวยากรณกับคํานามและคําสรรพนามใน
เหมือน คล้ำย เท่ำ แปลว่ำ หมำยควำมว่ำ เท่ำกับ รำวกับ คือ เช่น ประโยค คือ ทําหนาทีบ่ อกสภาพ บอกอาการ
น้องชำยของฉันเป็นนักดนตรี ของคํานามหรือคําสรรพนามนั้นๆ)
เธอวำงท่ำรำวกับนำงพญำ • คํากริยาที่ตองมีกรรมมารับกับคํากริยา
๑.๔) ค�าช่วยกริยา เป็นค�ำที่ไม่มีควำมหมำยในตัวเองต้องอำศัยกริยำส�ำคัญในประโยค ที่ไมตองมีกรรมมารับ มีลักษณะสําคัญ
ช่วยสื่อควำมหมำยในประโยคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ค�ำช่วยกริยำเป็นค�ำที่บอกควำมรู้สึก กำรคำดคะเน ที่แตกตางกันอยางไร
กำรขอร้อง บังคับ โดยกริยำช่วยบำงค�ำจะอยู่ท้ำยประโยค ถ้ำเอำค�ำช่วยกริยำออกก็ไม่ท�ำให้ขำด (แนวตอบ คํากริยาที่ตองมีกรรมมารับ เมื่อนํา
ใจควำมส�ำคัญ เช่น มาใชในประโยค โดยไมมีกรรมมารองรับ
วันนี้ฝนตกหนักรถคงติดมำก (เป็นกำรคำดคะเน) จะทําใหประโยคไมสมบูรณหรือไมสามารถ
ลูกควรนอนได้แล้ว มิฉะนั้นพรุ่งนี้จะตื่นสำย (เป็นกำรขอร้องโดยให้เหตุผล) สื่อความได เชน ฉันกิน “กิน” เปนคํากริยา
๒) หน้าที่ของค�ากริยา มีดังนี้ ที่ตองมีกรรมมารับ เมื่อนํามาใชในประโยค
๒.๑) เป็นค�าแสดงอาการหรือบอกสภาพของประธาน เช่น จะทําใหสื่อความไดไมสมบูรณ ไมทราบวา
ไก่จิกข้ำวที่ตำกบนลำน ฉันกินอะไร สวนประโยค นักเรียนหัวเราะ
นกอินทรีบินร่อนบนท้องฟ้ำ ถึงแมจะไมมีหนวยกรรมมาเติมเต็ม
ก็สามารถเขาใจความหมายไดเพราะ
“หัวเราะ” เปนคํากริยาที่ไมตองมีกรรม
127 มารับก็สามารถสื่อความได)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
“เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก เพื่อใหมันบังแดดตอนบาย” คําที่
ครูควรอธิบายความรูเพิ่มเติมเกี่ยวกับคํากริยาที่มีความหมายสมบูรณในตัวเอง
ขีดเสนใตเปนคําชนิดใด และทําหนาที่ใดในประโยค
ในตําราของพระยาอุปกิตศิลปสาร เรียกวา อกรรมกริยา สวนในหนังสืออุเทศ
1. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่เชื่อมประโยค
ภาษาไทย ชุดบรรทัดฐานภาษาไทย เลม 3 กระทรวงศึกษาธิการ เรียกวา คํากริยา
2. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่บอกความชี้เฉพาะ
อกรรม แตมีความหมายเชนเดียวกัน คือ คํากริยาที่ไมตองมีกรรมมารับหรือมาเปน
3. เปนคําลักษณนาม ทําหนาที่บอกลักษณะของคํานามที่อยูขางหนา
หนวยเติมเต็ม จากนั้นครูใหนักเรียนรวมกันยกตัวอยางคํากริยาอกรรม เชน หัวเราะ
4. เปนคําสรรพนาม ทําหนาที่แทนกรรมของประโยคเมื่อมีการกลาวซํา้
ปวดทอง พรอมทั้งแตงประโยคประกอบใหชัดเจน นอกจากนี้ควรอธิบายคํากริยา
วิเคราะหคําตอบ จากประโยค “เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก อีกประเภทหนึง่ ซึง่ มีลกั ษณะตรงขามกับอกรรมกริยา คือ “สกรรมกริยา” พรอมกับให
เพื่อใหมันบังแดดตอนบาย” ประโยคนี้มีการกลาวซํ้าถึงคําที่เปนกรรมตรง นักเรียนยกตัวอยางประโยคประกอบใหชัดเจน ดวยปากเปลาภายในชั้นเรียน
ของประโยค ซึ่งประโยคเต็มคือ “เขาปลูกตนกามปูไวทางทิศตะวันตก
เพื่อใหตนกามปูบังแดดตอนบาย” “มัน” จึงเปนคําสรรพนามที่ถูกใช
แทนตนกามปูเมื่อถูกกลาวซํ้าอีกครั้งในประโยค ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
คู่มือครู 127
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 4 สงตัวแทน 2 คนออกมา
อธิบายความรูในประเด็น “คําวิเศษณ” ๒.๒) ค�ำกริยำท�ำหน้ำที่ขยำยนำม เช่น
โดยนําเสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของ คุณยายท�าอาหารถวายพระทุกวัน
คํานิยามและการทําหนาที่ในประโยค (ท�าอาหาร เป็นกริยาส�าคัญ ถวาย เป็นค�ากริยาขยายนาม พระ)
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย พี่ชวนฉันไปทะเล
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําวิเศษณ (ชวน เป็นกริยาส�าคัญ ไป เป็นค�ากริยาขยาย ทะเล)
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง ๒.๓) ค�ำกริยำที่ท�ำหน้ำที่เหมือนค�ำนำม เช่น
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล สูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิตเป็นพิษต่อคนใกล้เคียง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม (สูบบุหรี่ เป็นค�ากริยา ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนค�านาม)
• คําวิเศษณมีลักษณะสําคัญที่โดดเดนจาก พูดดีเป็นศรีแก่ตัว
คําชนิดอื่นๆ ในภาษาไทยอยางไร (พูดดี เป็นค�ากริยา ท�าหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนค�านาม)
(แนวตอบ คําวิเศษณ คือคําที่ใชสําหรับ
ประกอบคําอื่นๆ และชวยขยายคําอื่นๆ ใหมี
๓.๔ หมวดค�ำวิเศษณ์
เนื้อความที่แปลกออกไป ทําใหใจความของ ค�ำวิเศษณ์ คือ ค�าที่ประกอบค�าอื่นและช่วยขยายค�าอื่นให้มีเนื้อความแปลกออกไป ท�าให้
ประโยคนั้นๆ มีความสมบูรณดวยอารมณ ใจความในประโยคสมบูรณ์ด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และจินตนาการ
ความรูสึกและจินตนาการ) ๑) ประเภทของค�ำวิเศษณ์ จ�าแนกย่อยได้ ๙ ประเภท ดังนี้
• คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาโดยทั่วไป ๑.๑) ค�ำวิเศษณ์บอกลักษณะ เช่น
หมายความวาอยางไร ยกตัวอยางประโยค นางสาวไทยผิวขาวสวยจริงๆ
ประกอบใหชัดเจน ขนมไทยหอมหวานน่1ารับประทาน
(แนวตอบ คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาทั่วไป ๑.๒) ค�ำวิเศษณ์บอกเวลำ เช่น
คือ คําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาใดๆ ก็ได ลูกนอนดึกมากจึงตื่นสาย
ไมไดกําหนดวาจะตองใชขยายเฉพาะคํากริยา วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง
คํานี้ เชนคําวา “ที่สุด” สามารถใชขยาย ๑.๓) ค�ำวิเศษณ์บอกสถำนที่ เช่น
คํากริยาใดก็ได เชน “เขาเกงที่สุด” “เขาขยัน บ้านน้องอยู่ฝั่งซ้าย บ้านพี่อยู่ฝั่งขวา
ที่สุด” หรือคําวา “จริงๆ” ใชขยายคํากริยา บ้านของเขาอยู่ไกลจากบ้านของเธอ
ใดก็ได เชน “แมเสียใจจริงๆ” “เขาไปจริงๆ” ๑.๔) ค�ำวิเศษณ์บอกปริมำณหรือจ�ำนวน เช่น
เปนตน) เปิดเทอมนี้แม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจ�านวนมาก
ลูกทุกคนต่างมากราบขอพรแม่
๑.๕) ค�ำวิเศษณ์บอกควำมไม่ชี้เฉพำะ เช่น
หนูท�างานอะไรก็ได้
ไม่มีใครรักเธอเท่าแม่
128
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
ครูยกตัวอยางวลีตอไปนี้ใหนักเรียนฟง แดงแจ, ขาวจั๊วะ, ดําป, คมกริบ, นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาทั่วไปที่ปรากฏใช
เหลืองออย หรือวลีอนื่ ๆ เพิม่ เติม เมื่อนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและ ในภาษาไทย โดยรวบรวมและนํามาเรียบเรียงเขาประโยคประกอบ
กิจกรรมทาทาย ครูควรสุม เรียกชือ่ นักเรียนออกมาแสดงผลการศึกษาเพือ่ แลกเปลีย่ น คําอธิบายใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะ
ขอมูลความรู จากนัน้ ใหทกุ คนรวมกันสรุปเกีย่ วกับหนาทีแ่ ละรูปแบบการใชคาํ วิเศษณ บุคคล สงครู
นักเรียนควรรู กิจกรรมทาทาย
1 คําวิเศษณบอกเวลา ใชเพื่อบงบอกเวลาที่เกิดเหตุการณหรือการกระทํา
อยางใดอยางหนึง่ เชน กลางคืน กลางวัน เมือ่ กี้ เปนตน ซึง่ อาจปรากฏในประโยค นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับคําวิเศษณที่ใชขยายคํากริยาคําใดคําหนึ่ง
โดยอยูใ นตําแหนงตนหรือทายประโยคก็ได โดยไมทําใหความหมายโดยรวมของ โดยเฉพาะที่ปรากฏใชในภาษาไทย โดยรวบรวมและนํามาเรียบเรียง
ประโยคเปลี่ยนไป เชน “เชาๆ นักกีฬาจะซอมวิง่ กัน” กับ “นักกีฬาจะซอมวิง่ กัน เขาประโยคประกอบคําอธิบายใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ
ตอนเชาๆ” ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
128 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
๑.๖) ค�าวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ เช่น อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคํา
บ้ำนโน้นเขำมีงำนแต่งงำน วิเศษณ โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
เด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน 1 การฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 4 เปนขอมูล
๑.๗) ค�าวิเศษณ์แสดงค�าถาม เช่น เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม
วิชำใดที่เธอชอบเรียนมำกที่สุด • คําวิเศษณมีความสัมพันธทางไวยากรณ
มีอะไรหำยไปบ้ำง กับคําที่อยูขางหนา และสงผลตอ
๑.๘) ค�าวิเศษณ์แสดงการร้องเรียก ขานรับ หรือแสดงความสุภาพ เช่น ประโยคนั้นๆ อยางไร
แสงเอ๊ย เปิดประตูให้ยำยหน่อย (แนวตอบ คําวิเศษณ คือคําที่ใชขยายคํา
คุณตำครับ ผมขออนุญำตไปเล่นดนตรีกับเพื่อนนะครับ ที่อยูขางหนา เพื่อทําใหประโยคนั้นๆ
๑.๙) ค�าวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ เช่น มีความสมบูรณ กอใหเกิดความเขาใจ
อย่ำเปิดประตูรับคนแปลกหน้ำ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น)
ไม่ใช่เธอคนเดียวที2่ล�ำบำก คนอื่นๆ ก็ล�ำบำกเหมือนกัน • จากประโยค “ลมพัดแรง” กับ “นนทตอก
๒) หน้าที่ของค�าวิเศษณ์ ค�ำวิเศษณ์เป็นค�ำที่ขยำยค�ำอื่น ท�ำให้ควำมหมำยของค�ำต่ำงๆ ตะปูแรงๆ หนอย” แสดงใหเห็นตําแหนง
กระจ่ำงชัดเจนยิ่งขึ้น ค�ำวิเศษณ์จึงมีหน้ำที่ ดังนี้ ของคําวิเศษณอยางไร
๒.๑) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�านาม เช่น (แนวตอบ หากประโยคประกอบดวยประธาน
คนดีธรรมะย่อมคุ้มครอง และคํากริยาที่ไมตองมีกรรมมารับ ตําแหนง
เด็กเล็กๆ ก�ำลังว่ำยน�้ำในสระ ของคําวิเศษณจะปรากฏหลังคํากริยานั้นๆ
๒.๒) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�าสรรพนาม เช่น โดยตรง ดังนัน้ คําวา “แรง” ซึง่ เปนคําวิเศษณ
เขำเองเป็นตัวกำรในเรื่องนี้ จึงปรากฏอยูหลังคําวา “พัด” แตถาประโยค
ใครโง่ที่หลงไปเป็นเหยื่อเขำ ประกอบดวยประธาน กริยา และกรรม
๒.๓) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�ากริยา เช่น คําวิเศษณจะปรากฏในตําแหนงหลังคํานาม
ยำยเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปเปิดประตู ซึ่งทําหนาที่เปนกรรมตรงในประโยค ในที่นี้
นลินีพูดจำไพเรำะ คําวา “แรง” จึงปรากฏหลังคําวา “ตะปู”)
๒.๔) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่ขยายค�าวิเศษณ์ เช่น
เด็กๆ ไม่ควรนอนดึกเกินไป
เด็กชำยพชรเป็นเด็กฉลำดเฉียบแหลม เก่ง และดี
๒.๕) ค�าวิเศษณ์ท�าหน้าที่เป็นค�าบอกสภาพและเป็นตัวแสดงกริยาอาการ เช่น
กล้วยเครือนี้แก่จัดแล้ว (แก่จัดแล้ว เป็นค�ำวิเศษณ์แสดงสภำพ)
น�้ำในขวดนี้เย็นจัด (เย็นจัด เป็นค�ำแสดงสภำพของน�้ำ)
129
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ประโยคในขอใดตอไปนี้ใชคําวิเศษณไดถูกตอง
1. ผูหญิงคนนั้นไวผมยาวป 1 คําวิเศษณแสดงคําถาม หมายถึง คําวิเศษณที่ใชแสดงคําถามเกี่ยวกับการ
2. เด็กคนนั้นตัวอวนกลมมอตอ กระทําวากระทําไปเพราะเหตุใด หรือเพื่อวัตถุประสงคอะไร กระทําลงไปเวลาใด
3. เขาเหลาดินสอจนแหลมเปยบ กระทําในลักษณะใด เชน เหตุใดจึงไมแจงกําหนดการลวงหนา ทําไมสัตวปา
4. เขาเคี้ยวหนังไกทอดกรอบดังกรอดๆ หลายชนิดจึงสูญพันธุ เครื่องบินจะลงเมื่อไร ซึ่งคําวิเศษณแสดงคําถามบางคําจะ
ปรากฏในรูปประโยคตําแหนงตนหรือตําแหนงทายประโยคเทานั้น ไมสามารถสลับ
วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. คําวิเศษณ คือ “ป” ใชขยายคําวา “ดํา” เปน ตําแหนงได เชน “เหตุใดจึงมาชา” ไมสามารถสลับตําแหนงเปน “มาชาเหตุใด” ได
“ดําป” ที่ถูกตองควรใชคําวา “ยาวเฟอย” ขอ 2. คําวิเศษณ คือ “มอตอ” 2 หนาที่ของคําวิเศษณ สํานวนบางสํานวนที่ปรากฏใชในภาษาไทยสามารถทํา
ใชขยายคําวา “เตี้ย” เปน “เตี้ยมอตอ” ที่ถูกตองควรใชคําวา “กลมดิ๊ก” หนาที่เชนเดียวกับคําวิเศษณได คือ ใชขยายคํากริยาที่อยูขางหนา เชน พูดนํ้าไหล
สวนขอ 4. คําวิเศษณ คือ “กรอด” ใชในรูปประโยควา “กัดฟนดังกรอดๆ” ไฟดับ ทํางานหามรุงหามคํ่า สั่นเปนเจาเขา โกรธเปนฟนเปนไฟ นอนกินบาน
ที่ถูกตองควรใชคําวา “ดังกรวมๆ” ดังนั้นจึงตอบขอ 3. กินเมือง เปนตน
คู่มือครู 129
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 5 สงตัวแทน 2 คน ออกมา
อธิบายความรูในประเด็น “คําบุพบท” โดยนํา ๓.๕ หมวดค�าบุพบท
เสนอขอมูลใหครอบคลุมประเด็นของคํานิยาม
1
ค�าบุพบท คือ ค�ำที่ใช้เชื่อมค�ำต่อค�ำ มักอยู่หน้ำค�ำนำม ค�ำสรรพนำม หรือค�ำกริยำ มีค�ำว่ำ
และการทําหนาที่ในประโยค ด้ ว ย โดย ใน ของ แห่ ง กั บ แก่ แด่ ต่ อ เป็ น ต้ น ค� ำ บุ พ บทมั ก จะน� ำ หน้ ำ ค� ำ หรื อ กลุ ่ ม ค� ำ
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย เพื่อบอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงข้อควำมข้ำงหน้ำกับค�ำ หรือกลุ่มค�ำข้ำงหลัง
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับคําบุพบท การใช้และหน้าที่ของค�าบุพบท
โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟง
บรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 5 เปนขอมูล ค�าบุพบท การใช้ ตัวอย่าง
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม ของ แห่ง ใน ใช้เพื่อแสดงคว�มเป็นเจ้�ของ โรงเรียนส�ธิตแห่งมห�วิทย�ลัยเกษตรศ�สตร์
บ�งเขนเปิดรับสมัครนักเรียน
• จากรูปประโยค “เขาวางแผนไปเที่ยวทะเล กับ ใช้กับข้อคว�มที่เป็นไปในทิศท�ง น้�กับหล�นม�เยี่ยมป้�ที่โรงพย�บ�ล
กับเพื่อนๆ” คําบุพบทในประโยคนี้คือคําวา เดียวกัน
อะไรและบอกความหมายอยางไร แก่ แด่ ใช้ในคว�มหม�ยว่� ให้
(แนวตอบ คําบุพบทในประโยคนี้คือคําวา “กับ” - แด่ ใช้เมื่อผู้น้อยให้ผู้ใหญ่ - คุณย่�ถว�ยภัตต�ห�รเพลแด่พระสงฆ์
- แก่ ใช้เมื่อผู้ใหญ่ให้ผู้น้อยและ - พ่อยกมรดกให้แก่ลูก
ซึ่งบอกความหมายของการกระทํากริยา ใช้กับคนทั่วไป
รวมกันระหวาง “เขา” “เพื่อน” โดยคํากริยา ต่อ เมื่อประจันหน้� หรือใช้บอกคว�ม - น�ยแดงทำ�ดีต่อหน้�เจ้�น�ยเท่�นั้น
ที่กระทํารวมกันคือ “วางแผนไปเที่ยว”) เฉพ�ะ - เลข�นุก�รแสดงคว�มคิดเห็นต่อที่ประชุม
• คําบุพบทมักมีความหมายในทิศทางใดบาง แต่ จ�ก ใช้นำ�หน้�คำ�เพื่อบอกเวล�หรือบอก - แหวนนี้ท่�นได้แต่ใดม�
(แนวตอบ คําบุพบทมักมีความหมาย สถ�นที่ และอ�จใช้แทนกันได้ - เข�ม�จ�กไหน
เพื่อบอกตําแหนง หนาที่ ความเกี่ยวของ ละบุพบท อ�จละบุพบทในฐ�นที่เข้�ใจได้ แม่อยู่ที่บ้�น (อ�จละบุพบท ที่)
ความมุงหมาย ความเปนเจาของ) ข้อสังเกต
• จากรูปประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” ค�ำบุพบทจะใช้บอกควำมสัมพันธ์ระหว่ำงข้อควำมข้ำงหน้ำและข้ำงหลัง ดังนั้น ค�ำบุพบท
กับ “สุนัขของอิงฟาหายไป” ใชคําบุพบทใน จึงต้องอยู่หน้ำค�ำนำม ค�ำสรรพนำม ค�ำกริยำ และค�ำวิเศษณ์ เช่น
ความหมายที่แตกตางกันอยางไร ๑. น�ำหน้ำค�ำนำม เช่น อย่ำหักพร้ำด้วยเข่ำ ของขวัญนี้เพือ่ น้องนะจ๊ะ
(แนวตอบ ประโยค “ผมขอลงตรงสะพานลอย” ๒. น�ำหน้ำค�ำสรรพนำม เช่น พี่ดีตอ่ ฉันมำก พระท่ำนให้พรแก่พวกเรำ
ใชคาํ บุพบทเพือ่ บอกตําแหนงทีต่ งั้ สวนประโยค ๓. น�ำหน้ำค�ำกริยำ เช่น เขำเป็นคนเห็นแก่ได้ หนังสือนี้เขำใช้สำ� หรับค้นคว้ำเท่ำนั้น
“สุนัขของอิงฟาหายไป” ใชคําบุพบทเพื่อบอก
หรือแสดงความเปนเจาของ) ๓.๖ หมวดค�าสันธาน
ค�าสันธาน คือ ค�ำทีเ่ ชือ่ มประโยคกับค�ำ เชือ่ มประโยคกับกลุม่ ค�ำ หรือเชือ่ มประโยคกับประโยค
รวมให้เป็นประโยคเดียวกัน ท�ำให้ประโยคชัดเจน กะทัดรัด สละสลวยยิ่งขึ้น ดังนั้น ประโยค
ที่เกิดใหม่จึงสำมำรถแยกเป็นประโยคควำมเดียวได้ตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป จะพบค�ำสันธำนในประโยค
ควำมรวมและประโยคควำมซ้อน ดังเช่นตำรำงต่อไปนี้
130
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดใชคําบุพบทถูกตอง
ครูควรยกตัวอยางประโยคแลวใหนกั เรียนรวมกันวิเคราะหวา คําบุพบทในประโยค
1. เราทุกคนมั่นใจตอมติที่ประชุม
นั้นๆ คือคําวาอะไร และบอกความหมายอยางไร เชน “พอตัดแตงตนไมหลายตน
2. นองตั้งใจเรียนเพราะอนาคตของตนเอง
ในสวน” คําบุพบทคือ “ใน” ปรากฏหนานามวลี “สวน” รวมกันเปนบุพบทวลี
3. เรากลาวคําสรรเสริญแกพระผูมีพระภาคเจา
“ในสวน” ใชขยายนามวลี “ตนไมหลายตน” โดยใชคําบุพบทเพื่อบอกตําแหนง ที่ตั้ง
4. นิสิตตองยื่นคํารองตอมหาวิทยาลัยเมื่อตองการเปลี่ยนวิชา
วิเคราะหคําตอบ คําบุพบทมักมีความหมายเพื่อบอกตําแหนง หนาที่
นักเรียนควรรู ความเกี่ยวของ ความมุงหมาย ความเปนเจาของของนามวลีที่มีความ
สัมพันธกับคํากริยา หรือบอกความสัมพันธระหวางนามวลีกับนามวลี
1 คําบุพบท หรือคําบุรพบท เมื่ออยูในประโยคจะปรากฏในตําแหนงหนานาม ในประโยคเดียวกัน จากคํานิยามขางตนจะทําใหวิเคราะหไดวา ขอ 1.
วลี และประกอบกันเปนบุพบทวลี ทําหนาที่เปนสวนขยายนามวลีหรือกริยาวลีที่ ที่ถูกตองควรใชคําวา “ในมติ” ขอ 2. ที่ถูกตองควรใชคําวา “เพื่ออนาคต
อยูขางหนา เชน ปากกาของฉันหายบอย คําบุพบทคือ “ของ” ปรากฏหนานามวลี ของตนเอง” ขอ 3. ที่ถูกตองควรใชคําวา “แดพระผูมีพระภาคเจา”
“ฉัน” รวมเปนบุพบทวลีขยายคํานาม “ปากกา” บุพบทวลี “ของฉัน” รวมกับนามวลี ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
“ปากกา” กลายเปนนามวลีเดียวกัน “ปากกาของฉัน”
130 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 6 และกลุมที่ 7 สงตัวแทน
กลุมละ 2 คน ออกมาอธิบายความรูใน
ประโยคความเดียว ประโยคความเดียว เชื่อมด้วยสันธาน กลายเป็น
ประเด็น “คําสันธาน” และ “คําอุทาน”
พ่อของฉันเป็น แม่ของฉันเป็น และ พ่อและแม่ของฉันเป็น ตามลําดับ โดยนําเสนอขอมูลใหครอบคลุม
คนขอนแก่น คนขอนแก่น คนขอนแก่น
ประเด็นของคํานิยามและการทําหนาที่ใน
(ประโยคคว�มรวม)
ถั่วสุก ง�ไหม้ กว่�...ก็ กว่�ถั่วจะสุกง�ก็ไหม้ ประโยค
(ประโยคคว�มรวม) 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบคําถามเกี่ยวกับ
เด็กยืนร้องไห้ เด็กเป็นน้องของฉัน ที่ เด็กที่ยืนร้องไห้เป็นน้อง คําสันธาน และคําอุทาน โดยใชความรู
ของฉัน ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของ
(ประโยคคว�มซ้อน) เพื่อนๆ กลุมที่ 6 และ 7 เปนขอมูลเบื้องตน
สําหรับตอบคําถาม หรือครูอาจใหนักเรียน
หน้าที่ของค�าสันธาน ค�ำสันธำนมีหน้ำที่ ดังนี้ ตั้งคําถามเพื่อถาม-ตอบกันเอง โดยครูเปน
๑.๑) เชื่อมค�ากับค�า เช่น ผูชวยในการตั้งขอสังเกตเพื่อชี้นําใหนักเรียน
ฉันกับเธอเป็นศิษย์เก่ำโรงเรียนวัฒนำวิทยำลัยเหมือนกัน (เชื่อม ฉัน กับ เธอ) ตั้งคําถาม
๑.๒) เชื่อมค�ากับกลุ่มค�า เช่น • นักเรียนคิดวาคําสันธานและคําบุพบท
คุณพ่อและญำติๆ ของฉันต่ำงเลีย้ งฉลองแสดงควำมยินดีทฉี่ นั ได้รำงวัล (เชือ่ มคุณพ่อ มีรูปแบบการใชในประโยคแตกตางกัน
และ ญำติๆ ของฉัน) อยางไร
๑.๓) เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น (แนวตอบ คําบุพบทมักจะใชนําหนาคําหรือ
เธอจะเอำสำยสร้อยหรือเอำนำฬิกำ (เชื่อมประโยคเธอจะเอำสำยสร้อย กับ เธอ กลุมคําเพื่อแสดงหรือบอกความสัมพันธ
จะเอำนำฬิกำ ด้วยค�ำว่ำ หรือ เพื่อให้เลือกอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง) ระหวางนามวลีทั้งสองในประโยค สวนคํา
ข้อสังเกต สันธานจะใชเชื่อมประโยคกับประโยค
๑. กำรใช้ค�ำสันธำนเชื่อมประโยคบำงครั้งอำจละค�ำสันธำนไว้ในฐำนที่เข้ำใจ เช่น รวมใหเปนประโยคเดียวกัน จากตัวอยาง
(เมื่อ) น�้ำมำ ปลำ (ก็) กินมด (แต่พอ) น�้ำลด มด (ก็) กินปลำ รูปประโยค “แมวของอรทัยหายไป” กับ
๒. ค�ำว่ำ ให้ เป็นค�ำกริยำ แต่เมื่อน�ำมำเชื่อมประโยค ก็ท�ำหน้ำที่เป็นค�ำสันธำน เช่น ประโยค “พอและแมเปนผูใหกําเนิดลูก”
กรรมกรชุมนุม จะเห็นวาประโยคแรกไมสามารถแยกประโยค
กรรมกรเรียกร้องรัฐบำล ไดเพราะใชคําบุพบท “ของ” เพื่อแสดงความ
รัฐบำลขึ้นค่ำแรง เปนเจาของ แตประโยคหลังสามารถแยก
รวมเป็ น ประโยคควำมซ้ อ น กรรมกรชุ ม นุ ม และเรี ย กร้ อ งรั ฐ บำลให้ขึ้ น ค่ ำ แรง โดยมี ไดคือ “พอเปนผูใหกําเนิดลูก” “แมเปนผูให
ค�ำสันธำน และ กับ ให้ เชื่อมประโยค กําเนิดลูก” ดังนั้นการใชคําสันธานหรือ
๓. ค�ำสรรพนำมเชื่อมควำม ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เมื่อเชื่อมประโยคจะท�ำหน้ำที่เป็นค�ำสันธำน เช่น คําเชื่อมจึงเปนการเชื่อมหนวยทางภาษา
เขำท�ำงำน เขำต้องอดทนมำก เชื่อมประโยคเป็น เขำท�ำงำนทีต่ ้องใช้ควำมอดทนมำก ตั้งแต 2 หนวยขึ้นไปเขาเปนหนวยภาษา
เดียวกัน)
131
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคนหาประโยคจากงานเขียนประเภทตางๆ ที่พบเห็นใน จากกิจกรรมสรางเสริมคําตอบของนักเรียนจะมีลักษณะ ดังนี้
ชีวิตประจําวัน จํานวน 20 ประโยค นํามาวิเคราะหวาแตละคํามีความ “ฉันกินขาวที่โรงอาหาร” “ฉัน” เปนคําสรรพนาม ทําหนาทีเ่ ปนประธานใน
สัมพันธทางไวยากรณตอกันอยางไร สรุปผลการศึกษาเปนใบความรู ประโยค “กิน” เปนคํากริยามีความสัมพันธทางไวยากรณกับคําวาฉัน โดยแสดง
เฉพาะบุคคล สงครู สภาพ หรืออาการ “ขาว” เปนคํานาม ทําหนาที่เปนกรรมตรงของประโยค มี
ความสัมพันธทางไวยากรณกับคําวา ฉัน โดยถูกกระทํา “ที่” เปนคําบุพบทปรากฏ
หนานามวลี โรงอาหาร รวมเปนบุพบทวลี “ที่โรงอาหาร” ขยายกริยาวลี “กิน”
กิจกรรมทาทาย สวนกิจกรรมทาทาย คําตอบจะมีลักษณะ ดังนี้
“บนทองฟานกบินไปมาอยางอิสระ” ปรากฏการยายสวนใดสวนหนึ่งของ
นักเรียนคนหาประโยคจากงานเขียนประเภทตางๆ ที่พบเห็นในชีวิต ประโยคในที่นี้คือ ยายบุพบทวลี “บนทองฟา” มาไวหนาประธานเพื่อเนนยํ้า
ประจําวัน นํามาวิเคราะหวาประโยคมีการยายตําแหนงคําเพื่อตองการ สถานที่
เนนสวนใดสวนหนึ่งหรือไม สรุปผลการวิเคราะหเปนใบความรู
เฉพาะบุคคล สงครู
คู่มือครู 131
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. จากความรู ความเขาใจ เกี่ยวกับชนิดและ
หนาที่ของคําในประโยค ใหนักเรียนเลือกศึกษา ๔. ค�ำสันธำนอำจเป็นค�ำชนิดอื่น เช่นเดียวกับค�ำสรรพนำมในข้อ ๓ แต่เมื่อท�ำหน้ำที่เชื่อมค�ำ
ภาษาในงานเขียนตอไปนี้ กลุ่มค�ำ หรือประโยค ค�ำนั้นก็เป็นค�ำสันธำน เช่น
- ภาษาในงานหนังสือพิมพ เขำท�ำงำนระหว่ำงเรียน (ระหว่ำง เป็นค�ำบุพบทเพรำะอยู่หน้ำค�ำกริยำ)
- ภาษาในงานโฆษณา เขำท�ำงำนระหว่ำงน้องชำยนอนหลับ (ระหว่ำง เป็นค�ำสันธำนเพรำะเชื่อมประโยค)
- ภาษาในงานบันเทิงคดี
โดยศึกษาวามีรูปแบบการเรียงคําเขาประโยค ๓.๗ หมวดค�าอุทาน
อยางไร การเรียงคําเขาประโยคไดคํานึงถึงชนิด ค�าอุทาน คือ ค�ำหรือเสียงที่เปล่งออกมำเพื่อแสดงอำรมณ์ ควำมรู้สึกต่ำงๆ เช่น ดีใจ เสียใจ
หนาที่ และความสัมพันธทางไวยากรณหรือไม พอใจ ตกใจ แปลกใจ เป็นต้น ค�ำอุทำนไม่มีควำมหมำยส�ำคัญในประโยค แต่ท�ำให้ผู้รับสำรเข้ำใจเจตนำ
อยางไร เขียนผลการวิเคราะหแลวนํามาเสนอ และควำมรู้สึกของผู้ส่งสำรชัดเจนยิ่งขึ้น
ใหครูและเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน ประเภทของค�าอุทาน แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้
2. นักเรียนเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ ๑.๑) ค�าอุทานบอกอารมณ์ ความรู้สึก เช่น
ตนเองเกีย่ วกับชนิดและหนาทีข่ องคําทัง้ 7 ชนิด ตำยจริง ! ฉันลืมปิดเตำแก๊ส (ตำยจริง อุทำนด้วยควำมตกใจ)
ในภาษาไทย พรอมยกตัวอยางประโยคจาก ไชโย ! สวนกุหลำบชนะแล้ว (ไชโย อุทำนด้วยควำมดีใจ)
สือ่ ทีพ่ บเห็นในชีวติ ประจําวันจํานวน 10 ประโยค ๑.๒) ค�าอุทานเสริมบท เป็นค�ำที่ไม่ได้บอกอำรมณ์ควำมรู้สึกของผู้พูด แต่ใช้ในกำร
เพื่อแสดงผลการวิเคราะหหนาที่และจําแนก สนทนำเพื่อแสดงควำมรู้สึกคุ้นเคยและท�ำให้กำรสนทนำมีรสชำติขึ้น เช่น
ชนิดของคําในประโยคโดยศึกษาและคนหา ควำมประพฤติของหลำนๆ ท�ำให้ย่ำหนักอกหนักใจมำกนะ
ตัวอยางใหครบทั้ง 7 ชนิด เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่ำงไร
กำรใช้ค�ำอุทำนท�ำให้ผู้รับสำรเกิดอำรมณ์คล้อยตำม สนุกสนำนตำมเนื้อเรื่อง และเห็น
ภำพพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น
132
บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู ชนิดและหนาที่ของคําในประโยคมีความจําเปนอยางยิ่งตอการนําไป
ใชในชีวิตประจําวันเพื่อการสื่อสารในรูปแบบตางๆ ซึ่งนักเรียนสามารถนํา
กิจกรรมในกระบวนการขยายความเขาใจที่ใหนักเรียนปฏิบัตินั้น จะทําให
องคความรูเรื่องชนิดและหนาที่ของคําบูรณาการไดกับเรื่องการเขียน
นักเรียนมองเห็นรูปแบบการใชคําเพื่อเรียบเรียงเขาประโยคโดยใชทักษะการสังเกต
ในกลุมสาระการเรียนรูวิชาภาษาไทย โดยครูมอบหมายใหนักเรียน
ในการปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งการเรียงคําเขาประโยคสําหรับภาษาหนังสือพิมพ จะไม
เขียนเรียบเรียงเกี่ยวกับชีวิตของตนเองในชวงระยะเวลาที่ผานมาความ
คํานึงถึงความถูกตองทางไวยากรณ แตจะมุงเนนเพื่อการสื่อสาร และเราความสนใจ
เปลี่ยนแปลงตางๆ ของชีวิตที่สามารถนํามาใชเปนบทเรียนหรือแงคิด
เปนสําคัญ เชน ครม.ดันพระธาตุเมืองคอนมรดกโลก หรือการใชภาษาเพื่อการ
ใหแกผูอื่นได โดยใชความรูเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําเรียงรอย
โฆษณาของรานขายอุปกรณทางการเกษตรที่เขียนไววา “ดิน ขุย ปุย กาบ” เปนการ
ประโยคเปนเรื่องราวความยาวไมเกิน 1 หนา กระดาษ A4 สงครู
เรียบเรียงคําเขาประโยคที่ไมมีประธาน กริยา กรรม มุงเพียงสื่อสารใหเขาใจวา
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการ จะทําใหนักเรียนนํา
รานนี้ขายดิน ขุยมะพราว ปุย และกาบมะพราว เมื่อนักเรียนไดทํากิจกรรมจะทําให
ความรู ความเขาใจในเชิงทฤษฎีไปใชปฏิบัติจริงในสถานการณการสื่อสาร
เกิดความเขาใจวา การเรียบเรียงคําเขาประโยคของงานเขียนแตละประเภทมีความ
ที่แตกตางกัน
แตกตางกันดวยจุดประสงค การวิเคราะหชนิดและหนาทีข่ องคําจึงตองพิจารณาจาก
ความสัมพันธทางไวยากรณกับคําอื่นๆ ในประโยคเปนสําคัญ
132 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. นักเรียนนําเสนอขอมูลเกีย่ วกับการเรียบเรียงคํา
เขาประโยคของภาษาในงานเขียนทีเ่ ลือกศึกษา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
2. ครูตรวจสอบการนําเสนอขอมูลของนักเรียน
โดยพิจารณาวาสามารถบอกไดวา การเรียบเรียง
คําเขาประโยคมีลักษณะอยางไร ซึ่งขอมูลที่นํา
๑. เหตุใดจึงต้องศึกษ�เรื่องชนิดและหน้�ที่ของคำ�ในประโยค
๒. คำ�ในภ�ษ�ไทยมีกี่ประเภท อะไรบ้�ง
เสนอยอมสะทอนใหเห็นวา นักเรียนมีความรู
๓. ถ้�ผู้สื่อส�รเรียงคำ�สลับตำ�แหน่งในประโยค จะทำ�ให้ก�รสื่อส�รประสบผลสำ�เร็จหรือไม่ ความเขาใจเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคํา
๔. คำ�สันธ�นมีวิธีใช้ประกอบประโยคอย่�งไร ยกตัวอย่�งประกอบ จนกระทั่งสามารถบอกไดวาการใชภาษา
๕. จงระบุพร้อมให้เหตุผลประกอบว่�คำ�ต่อไปนี้คำ�ใดเป็นอ�ก�รน�มและคำ�ใดเป็นคำ�น�ม ก�รบ้�น ของงานเขียนประเภทที่เลือกมีรูปแบบอยางไร
ก�รเมือง ก�รรักษ�พย�บ�ล ก�รทูต ก�รคลัง ก�รกิน ก�รนอน ก�รเลี้ยงดู ก�รอบรม ก�รกุศล หรือบกพรองทางไวยากรณอยางไร
ก�รทำ�บุญ คว�มดี คว�มง�ม คว�มสงบสุข คว�มส�มัคคี คว�มรัก คว�มรับผิดชอบ คว�มมัธยัสถ์ 3. ใบความรูเ ฉพาะบุคคลแสดงความรู ความเขาใจ
คว�มละเอียดถี่ถ้วน คว�มอุดมสมบูรณ์ คว�มอ้วน เกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําในภาษาไทย
พรอมบทวิเคราะหหนาที่ จําแนกชนิดของคํา
จากประโยคที่นําเสนอ
4. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
133
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การศึกษาเกี่ยวกับชนิดและหนาที่ของคําในประโยค จะทําใหสามารถอาน เขียน หรือพูดสื่อสารทําความเขาใจกับผูอื่นในรูปแบบที่ซับซอนขึ้นได
2. คําในภาษาไทยมี 7 ประเภท ไดแก คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําวิเศษณ คําบุพบท คําสันธาน และคําอุทาน
3. ถาเรียงคําสลับตําแหนงในประโยคจะทําใหการสื่อสารไมประสบผลสําเร็จตามจุดประสงคที่ตั้งไว เพราะคําคําเดียวมีหลายความหมายและสามารถทําไดหลายหนาที่
ในประโยค ถาเรียงผิดตําแหนงจะทําใหหนาที่และความหมายเปลี่ยนไป
4. คําสันธาน คือ คําทีใ่ ชเชือ่ มประโยคกับคํา เชือ่ มประโยคกับกลุม คํา หรือเชือ่ มประโยคกับประโยคใหเปนประโยคเดียวกัน ทําใหประโยคทีเ่ กิดขึน้ ใหมนนั้ มีความชัดเจน
มากขึ้น เชน แมและฉันไปซื้อของที่ตลาด ประโยคนี้ใชคําสันธาน “และ” เชื่อมระหวางประโยค “แมไปซื้อของที่ตลาด” “ฉันไปซื้อของที่ตลาด” ประโยคที่เกิดขึ้นใหมนี้
จึงมีความชัดเจนมากขึ้น คือ หมายรวมถึงทั้งแมและฉันที่ไปซื้อของที่ตลาด
5. คํานาม ไดแก การบาน การเมือง การทูต การคลัง และการกุศล สวนคําอาการนาม ไดแก การรักษาพยาบาล การกิน การนอน การเลี้ยงดู การอบรม การทําบุญ
ความดี ความงาม ความสงบสุข ความสามัคคี ความรัก ความรับผิดชอบ ความมัธยัสถ ความละเอียดถี่ถวน ความอุดมสมบูรณ ความอวน เพราะมีหนวยคําเติมหนา
“การ” หรือ “ความ” นําหนาคํากริยาหรือคําวิเศษณ
คู่มือครู 133
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
วิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและ
ภาษาเขียนที่ปรากฏใชในชีวิตประจําวันไดโดยใช
การเปรียบเทียบ
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. ใฝเรียนรู
2. มีความรับผิดชอบ
ó
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูตงั้ คําถามกับนักเรียนเพือ่ กระตุน ความสนใจ
และสรางการมีสวนรวมตอการเรียนการสอน หน่วยที่
ในชั้นเรียน
• นักเรียนคิดวาความแตกตางของภาษา ความแตกตางของภาษา
มีความหมายอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๔
ใ นชีวิตประจ�าวันมนุษย์รับสาร
ด้วยการฟัง การอ่าน ส่งสารด้วยการพูด
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับพื้นฐานและรองรอย ■ วิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและภาษาเขียนตามความสนใจ
และการเขี ย น ดั ง นั้ น ทั ก ษะการฟั ง
ความรูเดิม ซึ่งนักเรียนอาจตอบวาภาษา การพูด การอ่าน และการเขียนจึงเป็น
มีความแตกตางในประเด็นของการเลือก ทักษะส�าคัญที่จ�าเป็นต้องฝกฝน
การสื่อสารที่ดีผู้ใช้ภาษาจะต้องมี
ใชถอยคํา ภาษามีความแตกตางเมื่ออยูใน สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ความรู้เรื่องการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
สถานการณหรือโอกาสการสื่อสารที่ ■
■
ภาษาพูด
ภาษาเขียน เข้าใจความหมาย ลักษณะภาษาพูด ภาษาเขียน
แตกตางกัน ภาษามีความแตกตางเมื่อ สามารถใช้ภาษาได้ถกู ต้องตามหลักภาษา และ
เนื้อหาสาระที่จะสื่อสารมีความแตกตางกัน ระดับภาษา เหมาะสมแก่กาลเทศะและบุคคล
ผู้ที่มีทักษะในการใช้ภาษาสื่อสารจะท�าให้เข้าใจ
เปนตน) ตรงกัน ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจใดย่อมประสบผล
ส�าเร็จ
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู ความแตกตางของภาษา เปาหมายสําคัญ
คือ นักเรียนสามารถวิเคราะหความแตกตางของภาษาพูดและภาษาเขียนทีใ่ ชสอื่ สาร
ในชีวิตประจําวันได โดยใชวิธีการเปรียบเทียบ
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรใหนักเรียนคนควาเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะ
ของภาษาพูดและภาษาเขียนดวยตนเอง ในลักษณะการแบงกลมุ สืบคน จากนั้นจึงนํา
ขอมูลมาเปรียบเทียบเพื่อใหเห็นความแตกตางของภาษาทั้งสองประเภท
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการเปรียบเทียบใหแกนักเรียน
และเพื่อความรู ความเขาใจที่มากยิ่งขึ้น ครูควรใหนักเรียนสังเกตวิธีการใชภาษาพูด
และภาษาเขียนในชีวิตประจําวันของตนเองเพื่อฝกทักษะการเปรียบเทียบจาก
สถานการณจริง
134 คู่มือครู
กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
กระตุน้ ความสนใจ Engage
ครูกระตุนความสนใจดวยวิธีการตั้งคําถาม
๑ ภาษาพูด เพื่อใหนักเรียนมีสวนรวมในการเรียนการสอน
และเริ่มฝกทักษะการสังเกต
กำรพูดเป็นกำรสื่อสำรโดยใช้ถ้อยค�ำ น�้ำเสียง รวมทั้งกิริยำอำกำร ถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมคิด
• นักเรียนสังเกตพฤติกรรมการใชภาษาพูด
ควำมรู้สึก จินตนำกำร และควำมต้องกำรของผู้พูดให้ผู้ฟังรับรู้และตอบสนอง ดังนั้น กำรพูดจึงมี
ของตนเองวามีลักษณะอยางไร
ควำมส�ำคัญมำก เพรำะค�ำพูดเป็นสือ่ ท�1ำให้กำรสือ่ สำรสัมฤทธิผล อีกทัง้ สำมำรถท�ำให้คนรักและคนชังได้
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ดังที่สุนทรภู่กล่ำวไว้ในนิรำศภูเขำทองและเพลงยำวถวำยโอวำทว่ำ
ไดอยางอิสระ เชน หากพูดกับคนที่มีความ
“ถึงบำงพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต สนิทสนม คุนเคย จะมีการลดระดับความ
แม้นพูดชั่วตัวตำยท�ำลำยมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพรำะพูดจำ” เปนทางการลงมา โดยเลือกใชถอยคําภาษา
“อันอ้อยตำลหวำนลิ้นแล้วสิ้นซำก แต่ลมปำกหวำนหูไม่รู้หำย ในระดับปาก แตถาสื่อสารกับบุคคลที่ไม
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลำย เจ็บจนตำยนั้นเพรำะเหน็บให้เจ็บใจ” สนิทสนมจะเลือกใชถอยคําภาษาในระดับ
ดังนั้น ผู้พูดต้องพูดอย่ำงระมัดระวัง กล่ำวคือ พูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ เป็นมงคล พูดในเชิง ที่เปนทางการ)
สร้ำงสรรค์ พูดด้วยถ้อยค�ำที่ไพเรำะ มีส�ำเนียงอ่อนหวำน และมีท่ำทีอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อกล่ำวถึง
ผู้อื่นให้กล่ำวด้วยเจตนำดี ไม่ใช้วจีทุจริต เช่น ค�ำหยำบ ค�ำเท็จ ค�ำส่อเสียด ค�ำเพ้อเจ้อ เป็นต้น ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
โดยเขียนหมายเลข 1 และ 2 ลงบนสลากในจํานวน
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ความรูรวมกัน ผูที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยู
กลุมเดียวกัน
หมายเลข 1 ภาษาพูด
หมายเลข 2 ภาษาเขียน
โดยแตละกลุมรวมกันสืบคนวาภาษาที่กลุม
ของตนเองไดรับมอบหมาย มีความสําคัญอยางไร
ตอกระบวนการสื่อสารของมนุษย ลักษณะเฉพาะ
ของแตละภาษา โอกาสหรือสถานการณในการใช
ซึ่งนักเรียนสามารถสืบคนไดจากแหลงการเรียนรู
ตางๆ ที่สามารถเขาถึงได เชน ตําราทางวิชาการ
การแสดงพื้นบ้าน จะใช้ภาษาพูดเพื่อการถ่ายทอด จึงท�าให้ผู้รับชมและฟังสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระได้โดยทันที อินเทอรเน็ต หรือการรวบรวมจากรองรอยความรู
ท�าให้เกิดอรรถรสในการชม เดิมของสมาชิกแตละคนภายในกลุม เปนตน
135
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพและความสัมพันธระหวางบุคคลวา หลังจากใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายครูควรให
สงผลตอการเลือกใชถอยคําภาษาเพื่อการสื่อสารอยางไร สรุปความรูที่ได นักเรียนเขากลุมใหญ เพื่อแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกันและกันเกี่ยวกับขอมูลที่ได
จากการศึกษาคนควาลงสมุด จากการสืบคน เปนเวลา 10 นาที จากนั้นจึงใหจัดการความรูรวมกันโดยสมมติ
สถานการณ 2-3 สถานการณ แลวนํามาแสดงบทบาทสมมติหนาชั้นเรียน
กิจกรรมทาทาย
นักเรียนควรรู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับสภาวะทางอารมณของบุคคลและสถานการณ 1 นิราศภูเขาทอง เปนนิราศเรื่องเอกของสุนทรภูที่ไดรับยกยองใหเปนยอดของ
ทางการสื่อสารวาสงผลตอการเลือกใชถอยคําภาษาเพื่อการสื่อสารอยางไร กลอนนิราศ ซึ่งนิราศภูเขาทองเปนนิราศที่สมบูรณดวยลักษณะของกระบวนนิราศ
สรุปความรูที่ไดจากการศึกษาคนควาลงสมุด ทุกประการ ใชถอยคําที่ประณีต บรรจงเรียงรอยมากกวานิราศเรื่องอื่นๆ อีกทั้ง
สุนทรภูยังไดสอดแทรกโลกทัศน ความรูสึกนึกคิดสวนตนลงไปไดอยางไพเราะ
คู่มือครู 135
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 และ 2 สงตัวแทน 2 คน
ออกมาอธิบายความรูในประเด็นที่กลุมไดรับ ๑.๑ ลักษณะของภาษาพูด
มอบหมายตามลําดับ โดยนําเสนอขอมูลใหมี ภาษาพูด หมำยถึง ภำษำทีใ่ ช้พดู ในชีวติ ประจ�ำวันผูพ้ ดู ไม่เคร่งครัดในระเบียบของภำษำ มุง่ เน้น
ความครอบคลุมประเด็นๆ ตาง ที่ไดกําหนดไว ให้สำมำรถสือ่ สำรเข้ำใจได้ตรงกันและบรรลุผลตำมทีต่ อ้ งกำรเท่ำนัน้ โดยมีลกั ษณะทีค่ วรสังเกต ดังนี้
2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการ ๑. ระดับภำษำที่ใช้ส่วนมำกเป็นภำษำระดับกันเอง ระดับสนทนำ ระดับกึ่งทำงกำร มักใช้
ฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 และ 2 ภำษำระดับกันเองส�ำหรับคนสนิท คุ้นเคย เช่น ใช้สรรพนำมว่ำ ฉัน เรำ เธอ เป็1 นต้น ใช้ภำษำระดับ
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 3 สนทนำกับคนที่ไม่คุ้นเคย แตกต่ำงกันด้วยคุณวุฒิต่ำงๆ เพื่อแสดงควำมสุภำพ เช่น ใช้สรรพนำมว่ รรพน ำ
กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 3.1 ผม กระผม ดิฉัน คุณ ท่ำน
๒. ประโยคทีใ่ ช้สว่ นมำกเป็นประโยคควำมเดียวและประโยคควำมรวม ส่วนประโยคควำมซ้อน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ มีไม่มำกนัก
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 3.1 ๓. มักมีกำรตัดค�ำ ย่อค�ำ รวบค�ำ เพื่อควำมรวดเร็ว เช่น
เรื่อง ระดับภาษา
ใหญ่เปื่อยไม่งอกสอง หมำยถึง ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เนื้อเปื่อย ไม่ใส่ถั่วงอกสองชำม
กิจกรรมตามตัวชี้วัด
คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
ผอ. สบำยดีหรือ หมำยถึง ท่ำนผู้อ�ำนวยกำรสบำยดีหรือ
กิจกรรมที่ ๓.๑ ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปนี้ ñð
๔. มี ค� ำ ลงท้ ำ ยเรี ย กขำนหรื อ ค� ำ ขำนรั บ เพื่ อ แสดงควำมสุ ภ ำพหรื อ ยกย่ อ ง เช่ น แม่ จ ๋ ำ
(ท ๔.๑ ม.๑/๔)
..........................................................................................................................................................................
คุณหนูขำ คุณคงเข้ำใจนะคะ เป็นต้น
๒. ภาษาพูดระดับ
กันเอง
ไมเครงครัดในระเบียบทางภาษา ใชสนทนาในชีวิตประจําวัน
..........................................................................................................................................................................
ระหวางคนใกลชิด สนิทสนมกัน
..........................................................................................................................................................................
๕. มีกำรใช้ภำษำท้องถิ่นปะปน เช่น ปลำแดก บักหุ่ง ต�ำมั่ว บักหนำน บักเสี่ยว เป็นต้น
๓. ภาษาพูดระดับ ใชสนทนากับผูที่ไมคุนเคย ตองติดตอกันตามมารยาททางสังคม
.......................................................................................................................................................................... ๖. มีกำรพูดโดยใช้ถ้อยค�ำ ส�ำนวนโวหำร สุภำษิต ค�ำพังเพย ค�ำซ�้ำ ค�ำซ้อน ค�ำคล้องจอง
สนทนา ..........................................................................................................................................................................
๔. ภาษาพูดระดับ ใชสื่อสารกับมวลชนหรือสนทนากับคนกลุมใหญ
.......................................................................................................................................................................... ประกอบกำรพูด หรือใช้ค�ำพูดที่มีควำมหมำยโดยนัยต้องตีควำม เช่น จับปลำสองมือ ย้อมแมวขำย
ทางการ
วัวหำยล้อมคอก เป็นต้น
..........................................................................................................................................................................
ใชถายทอดอารมณของผูสื่อสารเหมือนเสียงพูดของมนุษย
ที่เข้ำใจซึ่งสำมำรถสื่อสำรกันได้เพรำะเป็นกำรพูดเฉพำะตัวบุคคล ผู้พูดอยู่ในสถำนกำรณ์นั้นอยู่แล้ว
๗. ภาษาเขียนอยาง ..........................................................................................................................................................................
ไมเปนทางการ ที่พูดสื่อสารในชีวิตจริง
.......................................................................................................................................................................... หำกถ่ำยทอดเป็นภำษำเขียนก็ต้องดูข้อควำมที่แวดล้อม (บริบท) จึงจะเข้ำใจ เช่น
๘. ภาษาเขียนอยาง เปนการเขียนอยางมีแบบแผน มีหลักในการเขียน ใชภาษาสละสลวย
กรกนก : “(พี่) ซื้ออะไรมำบ้ำงคะ พี่ซื้อ (ของ) ได้ครบหรือยัง” ละสรรพนำมและกรรม
..........................................................................................................................................................................
เปนทางการ ..........................................................................................................................................................................
๙. ลักษณะประโยค
ที่ใชในภาษาพูด
ใชประโยคความเดียวหรือประโยคความรวม ประโยคมักไมสมบูรณ
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
วนิดำ : “(พี)่ ก็ไม่ได้ซอื้ อะไรมำกหรอก (พีซ่ อื้ ของ) ได้ครบแล้วล่ะ” ละสรรพนำมและประโยค
๑๐. ลักษณะของ เขียนตามภาษาพูดที่พูดในชีวิตประจําวัน และเขียนโดยใชภาษา
..........................................................................................................................................................................
ภาษาเขียน ที่กลั่นกรองอยางละเมียดละไม
..........................................................................................................................................................................
๑.๒ ระดับภาษาทีใ่ ช้ในการพูดสือ่ สาร
๖๖ กำรพูดในชีวิตประจ�ำวันมีลักษณะกำรใช้ภำษำแต่ละระดับแตกต่ำงกัน ดังนี้
๑) ภาษาพิธีการ มีลักษณะเป็นแบบแผน ใช้ถ้อยค�ำประณีตบรรจง มุ่งให้ผู้รับสำรฟังด้วย
ควำมส�ำรวม มักพบในกำรพูดสดุดี ค�ำกล่ำวบวงสรวง ค�ำกล่ำวในพิธีต่ำงๆ
๒) ภาษาทางการ มีลักษณะเป็นแบบแผน แต่ใช้ถ้อยค�ำกะทัดรัดกว่ำระดับพิธีกำร ถ้อยค�ำ
มีควำมสละสลวย แต่ชัดเจน เคร่งครัดไวยำกรณ์ ใช้สื่อสำรอย่ำงเป็นทำงกำรไปสู่สำธำรณชน มักพบ
ในกำรแสดงปำฐกถำ
136
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดเปนลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูด
สําหรับหนวยการเรียนรูนี้ ครูมีความจําเปนอยางยิ่งที่จะตองใหความรู ความ 1. มีความเครงครัดในเรื่องไวยากรณ
เขาใจทีถ่ กู ตองเกีย่ วกับระดับภาษา เพราะนักเรียนจะตองมีความรู ความเขาใจเรือ่ ง 2. ใชประโยคที่ซับซอนในการสื่อสาร
ระดับภาษาเปนพืน้ ฐานเพือ่ ใหมขี อ มูลเพียงพอทีจ่ ะแยกแยะไดวาถอยคําในระดับ 3. ใชประโยคที่ละประธานในการสื่อสาร
ภาษานี้มักจะใชในการพูด ถอยคําในระดับภาษานี้มักจะใชในการเขียน 4. มักขึ้นตนประโยคโดยการใชคํานามธรรม
วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดเปนภาษาที่ใชสําหรับการสื่อสารในชีวิต
นักเรียนควรรู ประจําวันในสถานการณที่ไมเปนทางการกับบุคคลที่มีความสนิทสนม
คุนเคย ไมมีความเครงครัดทางไวยากรณ ไมมีการใชรูปประโยคที่ซับซอน
1 ความสุภาพ หมายถึง ความเรียบรอย ออนโยน สามารถแสดงออกโดยผาน ในการสื่อสาร จุดประสงคเพียงเพื่อใหเขาใจความหมาย และปรากฏการ
การใชภาษาและการกระทํา ในดานการใชภาษาสามารถแสดงความสุภาพได 2 วิธี ใชรูปประโยคที่ละสวนประกอบของประโยค เชน ละประธาน ละกรรม
คือ การใชนาํ้ เสียงและการเลือกใชคาํ การใชนาํ้ เสียงทีถ่ อื กันวาสุภาพ คือ การพูดเบาๆ ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
และทอดเสียงใหยาว หรือเรียกวาพูดใหมหี างเสียง สวนการเลือกใชถอ ยคําเพือ่ แสดง
ความสุภาพนัน้ จะสังเกตไดจากการใชคาํ สรรพนาม และคําลงทายในการสือ่ สาร
136 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1 นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๓) ภาษากึ่งทางการ มีลักษณะก
ษณะกำรใช้ถ้อยค�ำคล้ำยคลึงกับภำษำทำงกำร แต่ลดระดับควำม ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับกระบวนการ
เป็นทำงกำร ลดควำมเคร่งครัดในไวยำกรณ์ ผู้ส่งสำรและผู้รับสำรมีปฏิสัมพันธ์ระหว่ำงกัน มีส่วนร่วม สื่อสารของมนุษย โดยใชความรู ความเขาใจจาก
ในกำรสื่อสำร มักพบในกำรอภิปรำย กำรประชุม กำรบรรยำยในชั้นเรียน รองรอยความรูเดิมหรือประสบการณสวนตนเปน
๔) ภาษาสนทนา มีกำรใช้ถอ้ ยค�ำทีเ่ ป็นกันเองมำกขึน้ ระยะห่ำงระหว่ำงผูส้ ง่ สำรและผูร้ บั สำร ขอมูลเบื้องตน สําหรับตอบคําถาม
มีน้อยลง เป็นภำษำที่ใช้เพื่อกำรสนทนำอย่ำงมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ใช้ในกำรพูดคุย สนทนำกับบุคคล • ภาษาพูดมีลักษณะสําคัญอยางไร
ทั่วไปที่รู้จักกันในวงสนทนำ หรือคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง (แนวตอบ ภาษาพูดเปนภาษาที่ใชสื่อสาร
๕) ภาษากันเอง มีกำรใช้ถ้อยค�ำที่เป็นกันเองมำกขึ้น ไม่ให้ควำมส�ำคัญกับควำมถูกต้องทำง ในชีวิตประจําวัน ซึ่งผูพูดจะไมเครงครัด
ไวยำกรณ์ ผูส้ ง่ สำรและผูร้ บั สำรมีควำมสนิทสนมกัน ใช้ถอ้ ยค�ำทีเ่ ข้ำใจกันเป็นกำรส่วนตัว ค�ำเฉพำะกลุม่ ในระเบียบของภาษาหรือไวยากรณของ
รูปประโยคมากนัก)
๒ ภาษาเขียน • ในกระบวนการสื่อสารของมนุษยประกอบ
ภาษาเขียน หมำยถึง กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ควำมรู้สึกนึกคิด ควำมคิด ควำมเข้ำใจของมนุษย์ ดวยผูสงสาร สาร ผูรับสาร และสื่อ
โดยใช้อักษรหรือใช้สัญลักษณ์อื่นๆ แทนค�ำพูด เช่น แผนภำพ แผนภูมิ แผนที่ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ นักเรียนคิดวาผูสื่อสารมีโอกาสติดตอกับ
เข้ำใจ และตอบสนองตำมที่ผู้เขียนต้องกำร กำรเขียนเป็นกำรสื่อสำรที่เป็นลำยลักษณ์อักษร และเป็น
ผูรับสารที่มีลักษณะอยางไรไดบาง
หลักฐำนที่ใช้อ้ำงอิงได้ ผู้เขียนสำมำรถตรวจทำน ทบทวน แก้ไขให้ถูกต้องเหมำะสมได้ ซึ่งแตกต่ำง
(แนวตอบ ผูสื่อสารมีโอกาสติดตอสื่อสารกับ
จำกภำษำพูดเพรำะกำรพูดเป็นกำรสื่อสำรเฉพำะหน้ำที่มีโอกำสแก้ไขค�ำพูดของตนน้อยมำก ภำษำพูด
จึงอำจผิดพลำดไม่เหมำะสมได้เท่ำกับภำษำเขียน
บุคคลที่อาจมีสถานภาพทางสังคมที่สูงกวา
อาจติดตอกับคนที่สนิท คนแปลกหนา หรือ
๒.๑ ความส�าคัญของภาษาเขียน บางครั้งอาจตองติดตอสื่อสารกับบุคคลที่มี
ในสมัยโบรำณกำรเขียนมีควำมส�ำคัญในฐำนะที่เป็นหลักฐำนในกำรบันทึกควำมรู้ ควำมคิด สภาวะทางอารมณตา งๆ เชน ดีใจ หงุดหงิด
ควำมเชื่อ สภำพสังคมในสมัยนั้นถ่ำยทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และเข้ำใจวิถีชีวิตของบรรพชน หรือเสียใจ ทอแท เปนตน)
เป็นกำรเขียนเพื่อระบำยอำรมณ์ ควำมรู้สึก หรือเพื่อแสดงภูมิปัญญำของผู้เขียน แต่ปัจจุบันกำรเขียน • นักเรียนคิดวาสภาวะทางอารมณของบุคคล
มีควำมส�ำคัญมำกขึ้น นอกจำกเป็นกำรสื่อสำรควำมรู้ควำมเข้ำใจจำกคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแล้ว สงผลตอการเลือกใชถอยคําในการพูด
กำรเขียนยังท�ำให้เกิดอำชีพ เช่น อำชีพนักเขียนสำรคดี นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ นักโฆษณำ สื่อสารอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบ
เป็นต้น กำรเขียนบันทึกเหตุกำรณ์ที่เกิดขึ้นท�ำให้ทรำบสภำพวิถีชีวิต ควำมคิด ควำมเชื่อ ควำมต้องกำร (แนวตอบ ความรูสึกโกรธ โมโห ฉุนเฉียว ดีใจ
ของคนในสังคม กำรเขียนกฎหมำย เป็นกฎระเบียบแนวทำงที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติเพื่อให้สังคมสงบสุข หรือเศราใจยอมสงผลใหภาษาที่จะใชสื่อสาร
กำรเขียนข่ำว เป็นกำรแจ้งข่ำวครำว เหตุกำรณ์บ้ำนเมืองให้คนในสังคมทรำบ ดังนั้น ภำษำเขียนจึงเป็น แตกตางไปจากการสื่อสารที่คูสื่อสารมี
เครื่องมือแสดงควำมคิด ควำมรู้ อำรมณ์ ควำมรู้สึก และแสดงภูมิปัญญำของมนุษย์ สภาวะทางอารมณปกติ เชน นิดกับหนอย
๒.๒ ลักษณะของภาษาเขียน เปนเพื่อนสนิทกัน ในการพูดคุยจะเรียกชื่อ
กำรเขียนเป็นกำรบันทึกควำมรู้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจต่ำงๆ เป็นลำยลักษณ์อักษร ซึ่งแตกต่ำง เลนของกันและกันเสมอ แตเมื่อหนอยทําให
จำกภำษำพูด ผู้เขียนสำมำรถขัดเกลำภำษำให้สละสลวย ท�ำให้ภำษำเขียนมีลักษณะสุภำพ ถูกต้อง นิดโกรธ นิดจะใชสรรพนามเรียกหนอย
ตำมระดับภำษำ ตรงควำมหมำย และสะกดถูกต้อง ภำษำเขียนโดยทั่วไปมี ๒ ลักษณะ คือ วา “คุณ” ซึ่งเปนคําที่แสดงความหางเหิน
ไมสนิทสนมกันเหมือนเชนที่ผานมา จาก
137 สถานการณที่ยกตัวอยางนี้จะเห็นวาสภาวะ
ทางอารมณของผูสงสารมีผลตอการเลือกใช
ถอยคําเพื่อการสื่อสาร)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
บุคคลใดตอไปนี้ขาดความสุภาพในการสื่อสาร
1. มงคลพูดกับคุณแมโดยใชคําลงทายวา “ครับ” 1 ภาษากึ่งทางการ ในหนังสือเกี่ยวกับวิชาภาษาไทย ไดกําหนดระดับภาษาไว
2. วิศรุตสนทนากับอาจารยที่ปรึกษาดวยนํ้าเสียงที่นุมนวล แตกตางกัน ดังนี้
3. ทิวากรใชสรรพนามแทนตนเองวา “ผม” เมื่อสนทนากับญาติผูใหญ 3 ระดับ 5 ระดับ
4. สุพจนสนทนากับคุณพอโดยใชนํ้าเสียงที่สั้นและหวนเพื่อความรวดเร็ว
ภาษาปาก ภาษาปาก
วิเคราะหคําตอบ ความสุภาพ หมายถึง ความเรียบรอยออนโยน ซึ่ง ภาษากึ่งทางการ ภาษากึ่งราชการ
สามารถแสดงออกได 2 ทาง คือการเลือกใชถอยคําและการวางตัว โดยใน ภาษาสนทนา
ประเด็นของการเลือกใชถอยคํา ไดแก การใชคําลงทายและคําสรรพนาม ภาษาทางการ ภาษาระดับพิธีการ
ที่เหมาะสมหรือแสดงความเคารพเมื่อตองสื่อสารกับบุคคลที่มีอาวุโสสูง ภาษาราชการ
กวา เชน พอ แม ครู อาจารย ญาติผูใหญ เปนตน ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
ซึ่งภาษากึ่งทางการจะใชในการพูดและการเขียนที่มีความเปนทางการขึ้นมา
จากการสนทนาในชีวิตประจําวัน สวนภาษาทางการจะใชในการเขียนมากกวา
การพูด หรืออาจใชสําหรับการพูดที่เปนทางการ เชน คํากลาวปฏิญาณตนของ
นายกรัฐมนตรี เปนตน
คู่มือครู 137
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของภาษาพูดและ ๑) เขียนตามภาษาพูดที่พูดในชีวิตประจ�าวัน เหมำะสมกับลักษณะวิถีชีวิต ควำมเป็นอยู่
ภาษาเขียนที่จะทําใหนักเรียนสามารถวิเคราะห ของบุคคล เช่น กำรเขียนบันทึกส่วนตัว บันทึกควำมรู้จำกกำรอ่ำน กำรเขียนเรื่องสั้น นวนิยำย นิทำน
เปรียบเทียบความแตกตางได อัตชีวประวัติ เป็นต้น
• เมื่อนักเรียนไดอานขอความ “...มึงมาดูอะไร ๒) เขียนโดยใช้ภาษาทีก่ ลัน่ กรองถ้อยค�าอย่างละเมียดละไม มีควำมประณีตในกำรใช้ภำษำ
นี่สิ เขาเรียกใหพรดูอะไรบางอยาง...” กับ ใช้ภำษำที่ถูกต้องตำมพจนำนุกรม ตำมรูปแบบ ตำมระเบียบ และตำมขนบธรรมเนียมของภำษำ เช่น
ประโยค “...งานวิจัยเรื่องนี้ศึกษาความสําคัญ กำรเขียนเรียงควำม ย่อควำม บทควำม สำรคดี รำยงำน โครงงำน และร้อยกรอง เป็นต้น
และผลกระทบของแนวคิดเรื่องศักดิ์ศรี...”
นักเรียนคิดวาตนเองจะตองมีความรูใน
๒.๓ การใช้ภาษาเขียน
เรือ่ งใดจึงจะสามารถวิเคราะหไดวา ขอความใด กำรสื่อสำรด้วยภำษำเขียนนั้น ผู้ส่งสำรต้องมีควำมรู้ควำมเข้ำใจเรื่องหลักภำษำและสำมำรถ
ใชภาษาพูดและขอความใดใชภาษาเขียนใน ใช้ภำษำเขียนถ่ำยทอดอำรมณ์ ควำมรู้ ควำมคิด จินตนำกำร และประสบกำรณ์ เป็นตัวอักษรสื่อสำร
การสื่อสาร ให้ผู้รับสำรเข้ำใจได้ อย่ำงไรก็ตำม กำรใช้ภำษำเขียนขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมำยของผู้ส่งสำรและรูปแบบ
(แนวตอบ ตองมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ กำรเขียน ซึ่งสำมำรถแบ่งได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้
ระดับภาษา เพราะภาษาในแตละระดับมี ๑) การเขียนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นกำรเขียนถ่ำยทอดเหตุกำรณ์ อำรมณ์ ควำมรู้สึกของ
ผู้เขียน เช่น กำรเขียนบันทึกประจ�ำวัน กำรเขียนจดหมำย กำรเขียนเล่ำเรื่อง กำรแต่งเพลง กำรเขียน
รูปแบบการใชถอยคําตางกัน หากมีความรู
เรื่องสั้น นวนิยำย เป็นต้น ให้ผู้อื่นได้รับรู้ หรือเก็บไว้อ่ำนเอง ภำษำเขียนอย่ำงไม่เป็นทำงกำร
ความเขาใจเกี่ยวกับระดับภาษา จะสามารถ
เป็นกำรถ่ำยทอดอำรมณ์ของผู้สื่อสำรเหมือนเสียงพูดของมนุษย์ที่ใช้สื่อสำรในชีวิตประจ�ำวัน
ตอบไดวา ขอความแรกเขียนดวยภาษาพูด
เพราะปรากฏการใชถอ ยคําในระดับภาษาปาก ๒) การเขียนอย่างเป็นทางการ เป็นกำรเขียนอย่ำงมีแบบแผน มีหลักในกำรเขียน เช่น
สวนขอความที่สองเปนประโยคที่เขียนดวย กำรเขียนเรียงควำม ย่อควำม กำรแต่งค�ำประพันธ์ กำรเขียนรำยงำนกำรศึกษำค้นคว้ำ กำรเขียนรำยงำน
ภาษาเขียน เพราะปรากฏการใชถอยคําใน โครงงำน รำยงำนกำรวิจัย กำรเขียนบันทึกข้อควำม จดหมำยรำชกำร เป็นต้น กำรใช้ภำษำเขียนต้อง
ระดับทางการ) มีกำรขัดเกลำภำษำให้ละเมียดละไม ไพเรำะสละสลวย เหมำะสมกับระดับภำษำ สถำนภำพบุคคล
• นอกจากระดับภาษาแลว นักเรียนยังจะตอง โอกำส และสถำนกำรณ์ ถูกต้องตำมข้อบังคับ
มีความรูเกี่ยวกับอะไรอีกบาง ที่จะทําให องค์ประกอบ และรูปแบบที่ก�ำหนด
สามารถวิเคราะหความแตกตางของภาษาพูด ระดั บ ภำษำเป็ น สิ่ ง ส� ำ คั ญ ที่ จ� ำ เป็ น ต้ อ ง
และภาษาเขียนได ค�ำนึงถึงทุกครัง้ ทีใ่ ช้ภำษำ ไม่วำ่ จะเป็นกำรพูดหรือ
(แนวตอบ ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะ กำรเขียน เพรำะกำรสือ่ สำรจะไม่ประสบผลส�ำเร็จ
สําคัญของแตละภาษาจะทําใหสามารถ หำกใช้ระดับภำษำไม่ถกู ต้อง อย่ำงไรก็ตำมในชีวติ -
วิเคราะหความแตกตางภาษาพูดและ ประจ�ำวัน ผูส้ อื่ สำรอำจใช้ระดับภำษำปะปนกันได้
ภาษาเขียนได เชน ภาษาพูดมักใชคําซํ้า เช่น ภำษำระดับพิธกี ำร อำจมีภำษำระดับทำงกำร
คําที่ไมชัดเจน ใชรูปประโยคที่ละประธาน
วัยรุ่นมักมีภาษาที่ใช้เฉพาะกลุ่ม และเปลี่ยนแปลงไป ปะปนอยู่ด้วย
สวนภาษาเขียนมักปรากฏการใชคํานามธรรม ตามสมัยนิยม
ที่ขึ้นตนดวยคําวา “การ” ใชประโยคที่ขึ้นตน
ดวยคําวา “เปนที่” ใชประโยคที่ขึ้นตนดวย 138
คําบุพบท ใชประโยคที่ซับซอน เปนตน)
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถูกตองที่สุด
หลังจากนักเรียนตอบคําถามในขอแรกเกี่ยวกับหลักเกณฑการวิเคราะหภาษา
1. ภาษาพูดมีความเครงครัดทางไวยากรณ
พูดและภาษาเขียนจากรูปประโยคที่กําหนด ครูอาจตั้งคําถามเพิ่มเติม เพื่อให
2. ภาษาพูดและภาษาเขียนสามารถแยกออกจากกันได
นักเรียนตั้งขอสังเกตเกี่ยวกับการใชภาษาพูดและภาษาเขียนในชีวิตประจําวัน ซึ่งครู
3. ภาษาพูดและภาษาเขียนสามารถนําไปใชขามสถานการณกันได
ควรชี้แนะใหเขาใจวา ภาษาพูดไมไดหมายถึงภาษาที่ใชสื่อเปนเสียงพูดเทานั้น
4. การพิจารณาภาษาพูดและภาษาเขียนใหพิจารณาจากผูที่สงสาร
เพราะในชีวิตประจําวันผูสื่อสารสามารถนําถอยคําที่ปกติใชในภาษาพูดไปเขียน
สื่ อ สารได เช น การเขี ย นบทสนทนาของตั ว ละครในเรื่ อ งสั้ น เพื่ อ ความสมจริ ง วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดและภาษาเขียน ไมสามารถแยกออกจากกันได
“ใหตายเถอะ สุดจะวางฟอรมโต แตงตัวก็เชยเชย หมอคงคิดวาโกเต็มที่ เราทักทาย อยางชัดเจน เพราะในบางสถานการณผูสื่อสารอาจใชภาษาพูดในการเขียน
ดีๆ วาจะมีโอกาสพูดจาภาษาดอกไมกนั บางไหม มันกลับถามกระชากๆ วามีธรุ ะอะไร และใชภาษาเขียนในการพูด ภาษาพูดไมมีความเครงครัดเรื่องไวยากรณ
โธ...ไอหอย แถมยังบอกใหไปนัดกับเลขาฯ แลวทําเปนหันไปคุยกับแขกใหญโต การพิจารณาวาขอความนั้นๆ เปนภาษาพูดหรือภาษาเขียน ตองพิจารณา
พูดธุรกิจพันลาน...” (บนเสนลวด : วัฒน วรรลยางกูร) และการพูดในบางโอกาส จากสถานการณประกอบกับรูปแบบการใชถอยคําระดับภาษา ดังนั้น
ก็นาํ ภาษาเขียนไปใชในสถานการณทเี่ ปนทางการ เชน แถลงการณของนายกรัฐมนตรี จึงตอบขอ 3.
แถลงการณของสํานักพระราชวัง เปนตน
138 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
1
๓ เปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน การวิเคราะหภาษาพูดและภาษาเขียน ทําแบบวัดฯ
ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 หนวยที่ 3 กิจกรรมตาม
ภำษำพูดที่ใช้ในกำรสื่อสำรมีอยู่หลำยระดับ และแตกต่ำงจำกภำษำเขียน เพรำะภำษำเขียน
ตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 3.3
มีระดับและระเบียบที่เคร่งครัดมำกกว่ำภำษำพูด
๖. เราขอเชิญชวนคนหนุมคนสาวที่มีบุคลิกดี และรักความกาวหนามารวมงานกับเรา
๔. ก�รพูดไม่ส�ม�รถใช้เป็นหลักฐ�นอ้�งอิง ๔. ก�รเขียนเป็นล�ยลักษณ์อักษรส�ม�รถใช้เป็น ภาษาเขียน ระดับไมเปนทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................
๘. คุณนิดเปนผูจัดการไรคนใหมใชไหมคะ
ภาษาพูด ระดับกึง่ ทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................
คิดตอบคำ�ถ�มน้อย อ�จพูดผิดพล�ดได้ และ หลักฐ�นอ้�งอิงทำ�ให้ก�รเขียนมีคว�มน่�เชื่อถือ ๑๐. คุณมาลินคี รับ รูจ กั กับคุณสุพรรษาหนอย คุณสุพรรษากําลังจะยายจากบริษทั โนเคมาอยูก บั
เราเร็วๆ นี้
ไม่ส�ม�รถเรียกคำ�พูดกลับม�แก้ไขได้ ภาษาพูด ระดับกึง่ ทางการ
...........................................................................................................................................................................................................................................
139
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET นักเรียนควรรู
ขอใดตอไปนี้ไมใชประเด็นที่แสดงถึงความแตกตางระหวางภาษาพูด
กับภาษาเขียน 1 เปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน การพิจารณาวาการใชถอยคําหนึ่งๆ
1. ไวยากรณ เปนภาษาพูดหรือภาษาเขียนตองพิจารณาภาพรวมทัง้ หมดของขอความหรือขอเขียน
2. ระดับภาษา เพราะในขอความหรือขอเขียนหนึ่งๆ อาจมีการใชถอยคําที่มีระดับภาษามากกวา
3. ผูสงสารและผูรับสาร 1 ระดับ และในบางกรณีคําบางคําอาจใชไดทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน เชน
4. โอกาสและสถานการณในการสื่อสาร คําวา บาน หากทราบวารูปประโยคนั้นๆ ใชสื่อสารในสถานการณใด ก็จะสามารถ
ทราบไดวาเปนภาษาพูดหรือภาษาเขียน รวมทั้งทําใหตัดสินใจไดวา เมื่ออยูใน
วิเคราะหคําตอบ ภาษาพูดและภาษาเขียนเมื่อนํามาเปรียบเทียบแลว จะ สถานการณหนึ่งๆ จะมีวิธีการเรียบเรียงภาษาเพื่อใหเหมาะสมกับสถานการณ
ทําใหมองเห็นความแตกตางกันในประเด็น ความเครงครัดเรื่องไวยากรณ และบรรลุวัตถุประสงคของการสื่อสารอยางไร
ระดับภาษาที่ใชในกระบวนการสื่อสาร รวมถึงโอกาสและสถานการณใน
การสื่อสาร ซึ่งในกระบวนการสื่อสารของมนุษยไมวาจะใชภาษาพูด หรือ
ภาษาเขียนในการสื่อสารจะไมมีความแตกตางในประเด็นของผูสงสาร
หรือผูรับสาร ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
คู่มือครู 139
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. จากคําถามและกิจกรรมตางๆ ที่นักเรียน 1
ไดปฏิบัติ ใหเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ ตัวอย่างการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
ตนเองเกี่ยวกับสิ่งที่จะตองคํานึงถึงสําหรับการ
เลือกใชถอยคําเพื่อการสื่อสารทั้งในรูปแบบ อำจำรย์คะ หนูรู้สึกไม่สบำยและปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ สงสัยจะเป็นไข้หวัดใหญ่
ภาษาพูด
ของการพูดและการเขียน บันทึกเปนใบความรู หนูขออนุญำตหยุดเรียน ๒ วัน นะคะ
เฉพาะบุคคล สงครู
2. นักเรียนจัดทําตารางวิเคราะหลักษณะเดน
เฉพาะที่ทําใหภาษาพูดและภาษาเขียนมี กรำบเรียนอำจำรย์ที่เคำรพ ดิฉันรู้สึกไม่ใคร่สบำยมำก มีอำกำรปวดศีรษะ
ความแตกตางกันที่ปรากฏใชในชีวิตประจําวัน ตัวร้อน มีไข้ แพทย์บอกว่ำเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงขออนุญำตลำป่วยเป็นเวลำ
ภาษาเขียน
โดยการยกตัวอยางประกอบใหเห็นชัดเจน เชน ๒ วัน
ถานักเรียนวิเคราะหวา ลักษณะเดนเฉพาะของ
ภาษาพูด คือ ใชประโยคที่ไมมีกริยา นักเรียน
ก็ตองยกตัวอยางประโยคประกอบดวย เชน เพื่อนผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วพูดว่ำ “เอ็งลองดูซิ ถ้ำเขียนแบบนี้ได้
“วันนี้ วันเสาร” โดยประโยคที่นํามาประกอบคํา ภาษาพูด เอำมำให้กู แล้วเอำไปเล่มละสี่พัน” แค่ดูชื่อก็รู้ว่ำเน่ำสนิททั้งนั้น เช่น รักสุดหัวใจ
อธิบายนี้ละคํากริยา “เปน” เมื่อเปนภาษาเขียน คุณนำยตัณหำ วำสนำคนยำก มันคำบลูกคำบดอกไปทำงโป๊ ทั้งนั้น ผมท�ำไม่ได้
ตองใชวา “วันนี้เปนวันเสาร” หรือ “คนนั้น
เพื่อนฉัน” เมื่อเปนภาษาเขียนตองใชวา “คนนั้น
เปนเพื่อนของฉัน” สรุปผลการวิเคราะหเปน เพื่อนของผมหยิบหนังสือมำกองให้ดู แล้วบอกว่ำ ถ้ำผมเขียนตำมแนวที่ตลำด
ตาราง นําสงครู ภาษาเขียน ต้องกำร คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัณหำ กำมำรมณ์ ค่อนไปทำงลำมก จะให้รำคำ
เล่มละสี่พัน แต่ผมไม่สำมำรถท�ำเช่นนั้นได้
ภาษาพูดและภาษาเขียนมีความสÓคัญในการสื่อสาร มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน
เพราะภาษาเขียนบันทึกภาษาพูดตามที่เป็นจริง สะท้อนภาพวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ
ของคนในสมัยนัน ้ ๆ อีกทัง้ ถ่ายทอดอารมณ์ ความรูส้ กึ จินตนาการ ความคิดของผูส้ ง่ สาร
ให้ผู้รับสารทราบ อย่างไรก็ตาม ภาษาพูดและภาษาเขียนย่อมมีความแตกต่างกัน
ทั้งในเรื่องลักษณะภาษาและการใช้ภาษา ผู้เรียนจึงควรเรียนรู้และสังเกตการใช้ภาษา
ว่าใช้อย่างไรจึงจะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ตรงความหมาย เหมาะสมกั 2 บระดับบุคคล
เพื่อให้การสื่อสารบรรลุผลตามเป้าหมายไม่สูญเสียเอกลักษณ์ทางภาษา
140
บูรณาการเชื่อมสาระ
นักเรียนควรรู ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูดและ
ภาษาเขียนสามารถบูรณาการไดกับเรื่องทักษะการพูดและการเขียน
1 ภาษาพูดและภาษาเขียน ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการวิเคราะหความ
ในกลุมสาระการเรียนรูวิชาภาษาไทย โดยครูใหนักเรียนเลือกเขียนแนวทาง
แตกตางของภาษา สามารถนําไปใชได 2 กรณี คือ ใชในสถานภาพที่เปนผูรับสาร
การนําภาษาพูดและภาษาเขียนไปใชเพือ่ การสือ่ สารในชีวติ ประจําวัน เชน
เชน ถานักเรียนอานเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งเปนเรื่องราวเกี่ยวกับความเปนจริงใน
นักเรียนบางคนอาจเลือกนําไปใชในทักษะการเขียนของตนเอง โดยมี
สังคม นักเรียนยอมคาดหวังวาภาษาจะตองมีความสมจริง ปรากฏการใชภาษาพูด
แนวทางวาจะนําความรู ความเขาใจไปปรับใชในการเขียนบทสนทนาของ
ในบทสนทนาของตัวละคร แตถาในหนังสือเลมนั้นใชภาษาเขียน คือใชถอยคําที่เปน
ตัวละครใหมีความสมจริง นักเรียนที่เลือกทักษะการพูด อาจมีแนวทาง
ทางการมากเกินไปในบทสนทนา นักเรียนก็จะสามารถวิเคราะหไดวารูปแบบการใช
วาจะนําไปปรับใชในสวนของการเลือกใชถอยคําสื่อสารใหเหมาะสมกับ
ภาษาในเรื่องสั้นเรื่องนี้ไมมีความสมจริง ในกรณีที่นักเรียนเปนผูสงสาร ก็จะทําให
สถานการณ ซึ่งนักเรียนควรแสดงตัวอยางที่ชัดเจนประกอบคําอธิบาย
เลือกใชภาษาเพื่อสื่อสารไดตรงกับวัตถุประสงคและมีความถูกตอง
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะชวยฝกทักษะการนํา
2 เอกลักษณทางภาษา ภาษาไทยเปนภาษาที่มีเอกลักษณหลายประการ เชน ความรูไปประยุกตใช ทําใหมองเห็นประโยชนของการเรียนรูในเชิงทฤษฎี
คําคําเดียวมีหลายความหมาย ภาษาไทยเปนภาษาดนตรีมรี ะดับเสียงสูง ตํา่ ภาษาไทย ใหเขาใจกอนนําไปใชในชีวิตประจําวันของตนเอง
มีระดับ นิยมใชคําใหเหมาะสมแกบุคคล โดยเฉพาะเรื่องการเคารพผูอาวุโสตองใช
ภาษาใหเหมาะกับวัยวุฒิ ลําดับญาติ เปนตน
140 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนออกมานําเสนอความรู
ความเขาใจของตนเองเกี่ยวกับปจจัยที่ตอง
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
คํานึงถึงสําหรับการเลือกใชถอยคําเพื่อการ
สื่อสารในรูปแบบของการพูดและการเขียน
2. ครูตรวจสอบตารางวิเคราะหลักษณะเดน
๑. ภ�ษ�พูดและภ�ษ�เขียนมีคว�มแตกต่�งกันอย่�งไร จงอธิบ�ย
๒. ก�รใช้ภ�ษ�เขียนในก�รสื่อส�รควรระมัดระวังในเรื่องใดบ้�ง จงอธิบ�ย
เฉพาะที่ทําใหภาษาพูดและภาษาเขียนมีความ
๓. ภ�ษ�สแลงที่ใช้กันในชีวิตประจำ�วันควรนำ�ไปใช้เป็นภ�ษ�เขียนหรือไม่ เพร�ะเหตุใด แตกตางกัน โดยพิจารณาวานักเรียนนําเสนอ
๔. ภ�ษ�พูดมีอิทธิพลต่อภ�ษ�เขียนหรือไม่ เพร�ะเหตุใด ลักษณะเฉพาะของแตละภาษาไดครอบคลุม
๕. ก�รใช้ภ�ษ�พูดและภ�ษ�เขียนอย่�งสร้�งสรรค์มีหลักก�รใช้อย่�งไร ทุกประเด็นหรือไม รวมถึงความถูกตองของ
ตัวอยางประโยค
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
1. ใบความรูเฉพาะบุคคลเกี่ยวกับปจจัยที่ตองคํานึง
ถึงในการเลือกใชถอยคําเพื่อการสื่อสารใน
รูปแบบของการพูดและการเขียน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
2. ตารางวิเคราะหลักษณะเดนเฉพาะของภาษาพูด
และภาษาเขียน
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนช่วยกันรวบรวมภ�ษ�พูดที่ใช้ในชีวิตประจำ�วัน ๕-๑๐ คำ� ร่วมกัน
อภิปร�ยถึงคว�มถูกต้องเหม�ะสมในก�รนำ�ม�ใช้ และเสนอแนะวิธีก�ร 3. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
นำ�ม�ใช้ให้ถูกต้อง
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนยกตัวอย่�งคำ�สแลงที่ใช้กันในปัจจุบัน นำ�ม�วิเคร�ะห์และแสดง
คว�มคิดเห็นเกี่ยวกับคว�มหม�ยและระดับของภ�ษ�
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนฝกแต่งประโยคจ�กภ�ษ�พูดให้เป็นภ�ษ�เขียนอย่�งถูกต้อง เช่น
■ ภ�ษ�พูด แม่ชอบดูละครทีวี
■ ภ�ษ�เขียน แม่ชอบดูละครโทรทัศน์
กิจกรรมที่ ๔ นักเรียนจัดกิจกรรมรณรงค์ก�รใช้ภ�ษ�ไทยให้ถูกต้องและมีระเบียบแบบแผน
เช่น
■ กิจกรรมรักษ์ภ�ษ�ไทย
■ กิจกรรมวัยรุ่นวัยใส ใส่ใจก�รใช้ภ�ษ�ไทย
141
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. ภาษาพูด เปนภาษาที่ใชสื่อสารในชีวิตประจําวัน จึงไมเครงครัดในเรื่องความถูกตองตามหลักภาษาหรือไวยากรณ เนนที่การสื่อสารเพื่อใหเกิดความเขาใจที่ตรงกัน
บรรลุวัตถุประสงคความตองการของผูสงสาร สวนภาษาเขียนเปนภาษาที่เครงครัดในเรื่องความถูกตองของไวยากรณ
2. การใชภาษาเขียนในการสื่อสารควรระมัดระวังเกี่ยวกับสถานการณในการสื่อสาร บางครั้งที่ผูสื่อสารนําภาษาเขียนมาใชสื่อสารในการพูด ในเนื้อหาสาระที่ไมจําเปน
ตองใชภาษาเขียนหรือภาษาที่เปนทางการอาจกอใหเกิดความรําคาญตอคูสื่อสารได
3. ภาษาสแลงที่ใชกันอยูในชีวิตประจําวันเมื่อจะนํามาใชในภาษาเขียนก็ตองพิจารณากอนวา จะนํามาเขียนในบริบทใด ถาเขียนในบริบทของงานบันเทิงคดีที่ตองการ
ความสมจริงของตัวละคร ก็อาจใชคําศัพทสแลงเหลานี้ในบทสนทนาของตัวละครได
4. ในชีวิตประจําวันมนุษยใชภาษาพูดและภาษาเขียนปะปนกัน ในบางสถานการณที่เปนทางการอาจใชถอยคําที่เปนภาษาเขียนมาใชสื่อสาร แตในบางสถานการณ
ก็ใชถอยคําในภาษาพูดมาใชเขียนสื่อสาร เชน ในงานบันเทิงคดี หรืองานเขียนสื่อสารที่ไมเปนทางการ เชน นิตยสาร บทความ เปนตน
5. การใชภาษาพูดและภาษาเขียนอยางสรางสรรค ผูส ง สารจะตองคํานึงอยูเ สมอวาสิง่ ทีไ่ ดสอื่ สารออกไปนัน้ จะไมสรางความเดือดรอนใหแกใคร แตจะกอใหเกิดการ
เปลีย่ นแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเพียงเทานี้ก็ถือวาเปนการใชภาษาเชิงสรางสรรค
คู่มือครู 141
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถจําแนกประเภท ใชสํานวน สุภาษิต
คําพังเพยไดถูกตองตรงความหมายและเหมาะสม
กับสถานการณ
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. มุงมั่นในการทํางาน
4. รักความเปนไทย
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต เปาหมาย
สําคัญคือ นักเรียนสามารถจําแนกและใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไดถูกตอง
ตรงความหมายที่แทจริงและเขากับสถานการณการสื่อสาร
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอน โดยใหนกั เรียน
เปนผูค น หาองคความรูท จี่ าํ เปนสําหรับการบรรลุเปาหมายดวยตนเอง ไดแก คํานิยาม
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตแตละประโยคเทาที่คนควาได
แนวทางการนําไปใชและรวมถึงขอควรระวังในการใช โดยแบงกลุม สําหรับการสืบคน
หรือสรางกิจกรรมฝกปฏิบัติเพื่อใหเกิดกระบวนการสังเคราะหความรู
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยเสริมสรางทักษะที่จําเปนใหแกนักเรียน เชน
ทักษะการสังเกต ทักษะการจําแนก และทักษะการนําความรูไปใช
142 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
สÓนวน คÓพังเพย และสุภาษิต เขียนหมายเลข 1-4 ลงบนสลากในจํานวนเทาๆ กัน
ในกำรอ่ำนและกำรฟังสำรต่ำงๆ บ่อยครั้งที่มักพบเห็นกำรใช้ส�ำนวน ค�ำพังเพย สุภำษิต หรือตามความเหมาะสม จากนัน้ ใหแตละคนออกมา
เพื่อสื่อสำรให้ผู้อ่ำนหรือผู้ฟังได้เข้ำใจมำกยิ่งขึ้น เช่น ฝ่ำยค้ำนติงรัฐบำลเรื่องกำรใช้งบจะเป็นแบบ จับสลากประเด็นสําหรับการสืบคนความรูรวมกัน
ต�ำน�้ำพริกละลำยแม่1น�้ำ ซึ่งส�ำนวน ค�ำพังเพย และสุภำษิต จะมีลักษณะแตกต่ำงกัน ดังนี้
ผูที่จับไดหมายเลขเหมือนกันใหอยูกลุมเดียวกัน
ดังนี้
๑) ส�านวน พจนำนุกรมฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ควำมหมำยว่ำ น. ถ้อยค�ำ
หมายเลข 1 สํานวน
ที่เรียบเรียง โวหำร บำงทีใช้ว่ำ ส�ำนวนโวหำร ถ้อยค�ำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำช้ำนำนแล้ว
หมายเลข 2 คําพังเพย
มีควำมหมำยไม่ตรงตำมตัวอักษรหรือมีควำมหมำยอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ำยน�้ำ สอนหนังสือ
หมายเลข 3 สุภาษิต
สังฆรำช กินบนเรือนขี้รดบนหลังคำ น�้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ำ หมายเลข 4 แนวทางการใชสํานวน
๒) ค�าพังเพย หมำยถึง ถ้อยค�ำหรือข้อควำมที่กล่ำวสืบต่อกันมำ โดยกล่ำวเป็นกลำงๆ เพื่อ คําพังเพย และสุภาษิต
ให้ตีควำมให้เข้ำกับเรื่อง ไม่ใช่ค�ำสอน แต่เป็นค�ำติชมอยู่ในตัว เช่น กระต่ำยตื่นตูม กบเลือกนำย
หน้ำไหว้หลังหลอก ขี่ช้ำงจับตั๊กแตน อธิบายความรู้ Explain
๓) สุภาษิต ภำษิตหรือสุภำษิต หมำยถึง ค�ำที่กล่ำวดี ค�ำพูดมีคติควรฟัง เป็นถ้อยค�ำที่แสดง
หลักควำมจริง มุ่งแนะน�ำ สั่งสอน เตือนสติ เช่น น�้ำเชี่ยวอย่ำขวำงเรือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะย่อม 1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธิบาย
รักษำผู้ประพฤติธรรม ช้ำๆ ได้พร้ำสองเล่มงำม น�้ำขึ้นให้รีบตัก ความรูใ นประเด็นทีไ่ ดรบั มอบหมายหนาชัน้ เรียน
นอกจำกนี้ในภำษำไทยยังมีกำรใช้ค�ำขวัญและค�ำคมด้วย เพื่อให้ถ้อยค�ำในภำษำมีควำมลึกซึ้ง ตามลําดับของกลุม
กินใจยิ่งขึ้น 2. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับคํานิยาม
๔) ค�าขวัญ ค�าคม หมำยถึง ข้อควำมที่กล่ำวด้วยโวหำรอันคมคำย แสดงแง่คิด ปรัชญำ ของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต สังเกต
มีควำมหมำยลึกซึ้งกินใจ เช่น งำนคือเงิน เงินคืองำนบันดำลสุข สะอำดกำยเจริญวัย สะอำดใจ
ลักษณะสําคัญที่เหมือนหรือแตกตางกันของ
สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
เจริญสุข อย่ำหมิ่นเงินน้อย อย่ำคอยวำสนำ ไม่มีใครแก่เกินเรียน
(แนวตอบ ลักษณะสําคัญทีเ่ หมือนกันของสํานวน
ในควำมหมำยโดยทั่วไป เมื่อพูดถึงส�ำนวนไทย จะมีควำมหมำยกว้ำงๆ คือ รวมทั้งส�ำนวน
คําพังเพย และสุภาษิต เชน
โวหำร ค�ำพังเพย สุภำษิต ค�ำขวัญ และค�ำคมทั้งหมดว่ำเป็นส�ำนวนไทย กำรใช้ภำษำพูดและภำษำ
• มีลักษณะของการสืบทอดตอๆ กันมา
เขียนในชีวิตประจ�ำวันมักจะใช้ส�ำนวนโวหำรประกอบอยู่เสมอ เพรำะคนไทยมีนิสัยประนีประนอม • สะทอนใหเห็นรองรอยทางประวัติศาสตร
ไม่ต�ำหนิใครตรงๆ แต่จะพูดเป็นนัยให้ผู้ฟังคิดเอง ช่ำงสังเกต สนใจสิ่งแวดล้อม และคนรอบข้ำง นิยม ประเพณี วัฒนธรรม และสภาพวิถีชีวิตของ
ควำมสุภำพ เป็นนักคิด นักปรัชญำ มีควำมรู้ในวรรณกรรม วรรณคดี เข้ำใจวิถีชีวิตของคนในสังคม คนในอดีต
มีไหวพริบช่ำงกระทบกระเทียบเปรียบเปรย จึงมักใช้สำ� นวน โวหำร ค�ำพังเพย สุภำษิต ประกอบกำรพูด ลักษณะสําคัญที่แตกตางกันของสํานวน
หรือกำรเขียน ผู้รับสำรต้องคิดและตีควำมจึงจะเข้ำใจ ถ้ำคิดให้ลึกซึ้งก็จะเกิดสติปัญญำ เข้ำใจคน คําพังเพย และสุภาษิต เชน
เข้ำใจโลกยิ่งขึ้น เพรำะค�ำส�ำนวนโวหำรเหล่ำนี้ให้คติเตือนใจ ให้แนวทำงในกำรด�ำเนินชีวิต แสดง • สํานวน คือ ถอยคําที่เรียบเรียงขึ้น
ให้เห็นลักษณะของคนไทยเด่นชัด มีความหมายไมตรงตามตัวอักษร
• คําพังเพย คือ ถอยคําหรือขอความที่กลาว
กลางๆ เพื่อใหตีความเขากับเรื่อง
143
• สุภาษิต คือ ถอยคําที่กลาวดี มีลักษณะ
เปนคําสอนเพื่อเตือนสติ)
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดตอไปนี้มีความเกี่ยวของกับประโยชนของการศึกษาสํานวน
คําพังเพยและสุภาษิตนอยที่สุด ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเห็นวาการใชภาษาใหถูกตองตามหลักไวยากรณ
1. ประเพณีและวัฒนธรรม แตเพียงประการเดียว แมจะใชสื่อความไดแตอาจไมมีพลังพอที่จะกระทบอารมณ
2. พัฒนาสังคมและประเทศชาติ ความรูส กึ ของผูร บั สารได ผูส ง สารจึงตองมีความรูค วามเขาใจเกีย่ วกับสํานวน
3. ความคิด ความเชื่อ และคานิยม คําพังเพย และสุภาษิต ทัง้ ในดานความแตกตางและความหมายทีแ่ ทจริง ซึง่ เปนศิลปะ
4. ประวัติศาสตรความเปนมาของชาติ ในการใชภาษารูปแบบหนึง่ และนําไปใชใหถกู ตองเหมาะสมกับสถานการณการสือ่ สาร
คู่มือครู 143
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิต โดยใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม เปนขอมูล
เบื้องตนสําหรับตอบคําถาม โดยครูใหเวลาในการ
ประมวลผลความรู ความเขาใจรวมกันในชั้นเรียน
อีกครั้งหนึ่งเปนเวลา 10 นาที
• เพราะเหตุใดในภาษาไทยจึงปรากฏการใช
สํานวน คําพังเพย และสุภาษิตเพือ่ การสือ่ สาร
ในชีวิตประจําวัน
(แนวตอบ เพราะคนไทยเปนคนเจาบท
เจากลอนและเปนคนชางสังเกต นําพฤติกรรม
ของคนไปเปรียบเทียบกับสิ่งตางๆ รอบตัว
เพือ่ อธิบายพฤติกรรมของคนเหลานัน้ ใหชดั เจน
ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ดวยความที่คนไทยมีลักษณะ
นิสัยประนีประนอม ไมชอบความขัดแยง และ น�้าพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เป็นส�านวนที่แสดงให้เห็นความเอื้ออาทรต่อกันของคนในสังคมไทย
มีความเกรงใจผูอ นื่ ดังนัน้ เมือ่ เกิดสถานการณ
ที่ตองการจะตักเตือนหรือติติงใคร จึงมัก
ไมวากลาวโดยตรง แตจะหยิบยกสํานวน
คําพังเพยหรือสุภาษิตขึ้นมากลาวอางทําให
ผูฟงตองใครครวญและตีความดวยตนเอง)
• การใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
สามารถนําไปใชเพื่อการสื่อสารในรูปแบบใด
ไดบาง
(แนวตอบ นําไปใชประกอบการพูดหรือ
การเขียนสื่อสารในชีวิตประจําวันเพื่อให
ขอความเหลานั้นกระทบอารมณความรูสึก
ของผูรับสารหรือมีความคมคาย ลึกซึ้ง)
• นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใดการใชสํานวน
คําพังเพยและสุภาษิตในปจจุบันจึงคอยๆ
เลือนหายไป ขี่ช้างจับตั๊กแตน คนไทยมักใช้เปรียบเปรยกับการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม) 144
ขอสอบเนน การคิด
บูรณาการอาเซียน แนว O-NET
คน “..........................” จะใชจายตองระมัดระวัง ควรเติมสํานวนใน
ทุกสังคมกอนจะมีการกําหนดกฎหมายใหบุคคลยึดถือปฏิบัติเพื่อใหอยูรวมกัน ขอใดลงในชองวางจึงจะเหมาะสมที่สุด
ไดอยางสงบสุข จะมีครอบครัวซึ่งเปนหนวยพื้นฐานที่เล็กที่สุดในสังคมทําหนาที่ใน 1. เบี้ยหวัดนอย
การอบรมสั่งสอนบุคคลในครอบครัวใหมีความประพฤติที่ถูกทํานองคลองธรรม 2. ยากจนขนแคน
โดยคําสอนเหลานี้อาจมีลักษณะเปนถอยคําธรรมดา หรือถูกเรียบเรียงขึ้นใหมีความ 3. เบี้ยนอยหอยนอย
ลึกซึ้ง การสั่งสอนดวยวิธีการนี้นับเปนหนึ่งในกระบวนการขัดเกลาทางสังคมในอดีต 4. ชักหนาไมถึงหลัง
เพื่อตอบสนองนโยบายดานประชาคมสังคมวัฒนธรรม ครูอาจแบงกลุมนักเรียน
กลุมละ 3-5 คน ใหไดจํานวน 10 กลุม มอบหมายใหรวมกันสืบคนเกี่ยวกับถอยคํา วิเคราะหคําตอบ คําตอบในขอ 1. เบี้ยหวัด เปนคํานาม หมายถึง
ที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อใชขัดเกลาคนในสังคม นําขอมูลมาแลกเปลี่ยนกัน พรอมทั้ง เงินไดจากราชการ คําตอบในขอ 2. ไมใชสํานวนแตเปนลักษณะของ
อภิปรายวา ถอยคํา คําสอนเหลานั้นสะทอนใหเห็นความคิด ความเชื่อของคนใน คําซอนในภาษาไทย คําตอบในขอ 4. ชักหนาไมถึงหลัง เปนคํากลาวที่มี
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตอยางไร จัดการผลการอภิปรายรวมกันในลักษณะ ความหมายถึงคนที่มีรายไดไมพอกับรายจายในแตละเดือน สวนคําตอบ
ของปายนิเทศประจําชั้นเรียน ในขอ 3. เปนสํานวนที่กลาวถึงคนที่มีเงินนอยจะใชจายตองระมัดระวัง
ไมสุรุยสุราย ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
144 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับแนวทาง
บทสนทนาในชีวิตประจ�าวันที่สอดแทรกส�านวน คÓพังเพย และสุภาษิต
การนําสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไปใชเพือ่ การ
แม่ศรีร้องเรียกแม่พร้อม สื่อสารในชีวิตประจําวัน
“แม่พร้อม เร็วๆ หน่อยซี มัวแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั่นแหละเดี๋ยวก็ไม่ทันงำนเขำหรอก” • จากสถานการณ “เพื่อนสองคนของสมสมร
“เสร็จแล้วจ้ะ แหม จะไปงำนแต่งงำนของเศรษฐีทั้งที ต้องสวยหน่อยล่ะ จะรีบร้อนไปท�ำไม กําลังขัดแยงกันและอยูในอารมณหงุดหงิด
บ้ำนก็ใกล้ๆ แค่นี้เอง” แม่พร้อมตอบ สมสมรซึ่งรับรูเหตุการณมาโดยตลอดพูดขึ้น
“นี่เธอ รู้เรื่องเจ้ำสำวไหม เขำว่ำเจ้ำสำวสวย เจ้ำบ่ำวรวย สมกันรำวกับกิ่งทองใบหยก” วา “เธอสองคนไมตอ งเถียงกันหรอก ฉันเคย
แม่ศรีพูด บอกแลวใชไหมวา คบคนใหดูหนา ซื้อผาให
“รู้ เขำเป็นลูกสำวคุณนำยทรัพย์ไงล่ะ เห็นเขำเล่ำว่ำเธอไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แต่เรียน ดูเนื้อ” จากสถานการณดังกลาว นักเรียน
ไม่จบ มีคนเห็นว่ำคบเพื่อนชำยหลำยคนจึงเรียนไม่จบ แม่เขำเลยให้กลับมำช่วยขำยของที่บ้ำน คิดวาสมสมรควรใชสํานวนนี้ หรือไม
พอดีไปถูกตำต้องใจเถ้ำแก่เฮงเจ้ำของร้ำนทองในตลำด เจ้ำสำวสวยเจ้ำบ่ำวมีเค้ำหล่อแต่แก่ อยางไร
ไปหน่อย จะว่ำสมเป็นกิ่งทองใบหยกก็พอได้ คุณนำยทรัพย์สดุ แสนจะดีใจเลยจับใส่ตะกร้าล้างน�า้ (แนวตอบ สมสมรไมควรใชสํานวนนี้ เพราะ
หมดห่วงไป” แม่พร้อมเล่ำ เมื่อพิจารณาแลวเทากับเปนการซํ้าเติมเพื่อน
“อย่ำงนี้ก็ย้อมแมวขายน่ะซี พอดีกันเลย เถ้ำแก่เฮงก็ไม่เบำ กี่เมียแล้วล่ะ เห็นสำวๆ ไม่ได้ ทั้งสองคนใหรูสึกวาเปนความผิดของตนเอง
ท�ำกะลิ้มกะเหลี่ย เป็นเฒ่าหัวงูเชียว” แม่ศรีเสริม ที่เลือกคบเพื่อนเชนนี้ จึงตองมาทะเลาะกัน
“พอล่ะ อย่ำพูดต่ออีกเลย ถึงบ้ำนงำนแล้วละ” แม่พร้อมกระซิบให้แม่ศรีหยุดพูด กอใหเกิดความบาดหมางขึ้นอีก สํานวนที่
สองนำงต่ำงปั้นหน้า แล้วเข้ำแถวไปรดน�้ำอวยพรเจ้ำบ่ำวเจ้ำสำว แม่พร้อมกล่ำวว่ำ สมสมรจะใชควรมีความหมายไปในทิศทาง
“ขอให้รกั ใคร่ ให้อภัยกัน ใจเดียวรักเดียว มีลกู เต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะจ๊ะ” แกไขสถานการณ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
แม่ศรี “ขอให้อยูด่ ว้ ยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรนะ” ของเพื่อนทั้งสองไมใหทะเลาะกัน ปรับความ
เมื่อมำถึงที่โต๊ะอำหำร เจ้ำภำพจัดเลี้ยงโต๊ะจีน มีแขกมำร่วมงำนจ�ำนวนมำก สองนำง เขาใจซึ่งกันและกัน เชน “เธอสองคนอยา
กระซิบกันเบำๆ “เจ้ำภำพจัดงำนใหญ่โตสมฐำนะเศรษฐีนะ” แม่พร้อมว่ำ ทะเลาะกันเลย ยิง่ พูดไปก็เหมือนสาวไสใหกา
แม่ศรี “ฉันว่ำต�าน�้าพริกละลายแม่น�้ามำกกว่ำ” กินเปลาๆ เรื่องใดใหอภัยกันไดก็ใหอภัยกัน
แม่พร้อม “เอ้ำ! ก็เขำรวยซะอย่ำง ใครจะท�ำไม แค่นขี้ นหน้าแข้งไม่รว่ งหรอก” ไป สามัคคีคือพลังนะ” เปนตน)
แม่ศรี “ปกติเถ้ำแก่เฮงเขำเค็มนะ น่ำกลัวว่ำคุณนำยทรัพย์จะขว้างงูไม่พน้ คอ” • นักเรียนมีแนวทางหรือวิธีการอยางไรในการ
แม่พร้อม “ช่ำงเขำเถอะ ฉันว่ำยังไงก็ขอให้เขำอยูก่ นั ยืดๆ อย่ำให้กน้ หม้อไม่ทนั ด�าก็แล้วกัน เลือกใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
คนรู้จักกัน ยังไงๆ ฉันก็สงสำรฝ่ำยหญิง คนเรำมันก็พลำดกันได้ สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
ยังรูพ้ ลัง้ ได้แต่งงำนเป็นตัวเป็นตนก็ดแี ล้ว และฉันก็สงสำรแม่เขำด้วย หัวอกแม่นะ แม่ศรี เขำเลีย้ งดู (แนวตอบ เลือกใชใหตรงกับความหมาย
ฟูมฟัก ทะนุถนอมมำตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ก็หวังจะให้ได้ดี พอได้แต่งก็พลอยยินดีกับเขำด้วย” เขากับเนื้อเรื่องและสถานการณการสื่อสาร
และอยาใชมากเกินไปโดยเฉพาะในการเขียน
(เรียบเรียงโดยคณะผู้เขียน)
เพราะอาจทําใหผูอานเกิดความรําคาญได)
145
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับแหลงที่มาของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต ครูควรชี้แนะใหนักเรียนเขาใจวาการนําสํานวนไปใชในการสื่อสาร นอกจาก
ไทย พรอมยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบ ผูสงสารจะตองมีความรู ความเขาใจ เปนอยางดีเกี่ยวกับความหมายและที่มาของ
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู สํานวนแลว ยังตองคํานึงถึงความเหมาะสมกับกาลเทศะและความจําเปนอีกดวย
เนื่องจากการพูดและการเขียนที่มีการใชสํานวนหากใชไดถูกตอง เหมาะสมและ
พอดีจะเปนการเพิ่มความสละสลวยใหแกขอความ แตหากใชเกินความจําเปนอาจ
กิจกรรมทาทาย เปนอุปสรรคในการสื่อสารได เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรม
ทาทายกอนเก็บใบความรูของนักเรียน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน
นําเสนอผลการศึกษาของตนเองหนาชั้นเรียน เพื่อเปนการแลกเปลี่ยนความรูซึ่งกัน
นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับแนวทางและขอควรระวังในการนําสํานวน และกัน
คําพังเพยและสุภาษิตไปใชในสถานการณการสื่อสารในชีวิตประจําวัน
นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
คู่มือครู 145
ขยายความเข้าใจ
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
1. นักเรียนใชความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต จากบทสนทนาหน้า ๑๔๕ มีผู้พูดเพียงสองคน แต่ใช้ถ้อยค�าส�านวนโวหารหลากหลาย ดังนี้
ทําแบบวัดฯ ภาษาไทย ม.1 ตอนที่ 4 ๑. ส�ำนวน เป็นค�าที่มีความหมายโดยนัย ไม่ตรงตามตัวอักษร ได้แก่
หนวยที่ 4 กิจกรรมตามตัวชี้วัด กิจกรรมที่ 4.1 แต่งองค์ทรงเครื่อง หมายความว่า แต่งตัว มีความหมายเชิงประชดว่า แต่งตัวนานมาก
เหมือนลิเก หรือละครที่ตัวเอกมีเครื่องแต่งตัวมาก ต้องแต่งตัวนาน
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝกฯ กิ่งทองใบหยก หมายความว่า คู่แต่งงานที่เหมาะสมกันทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ความรู้
ภาษาไทย ม.1 กิจกรรมที่ 4.1 ใส่ตะกร้าล้างน�้า หมายความว่า ท�าให้หมดมลทิน เหมือนผักเหมือนปลาที่สกปรก หรือมี
เรื่อง การใช้ส�านวน ค�าพังเพยและสุภาษิต กลิ่นเหม็น ใส่ตะกร้าล้างน�้าแล้วก็จะสะอาดขึ้น หายเหม็นคาว
ย้อมแมวขาย หมายความว่า ตกแต่งคนหรือสิ่งของที่ไม่ดี หรือมีค่าน้อย โดยมีเจตนา
กิจกรรมตามตัวชี้วัด
บูรณาการเชื่อมสาระ
เกร็ดแนะครู ความรู ความเขาใจเกี่ยวกับการจําแนกความหมายที่ถูกตองของสํานวน
คําพังเพย และสุภาษิต สามารถนําไปบูรณาการไดกับกลุมสาระการเรียนรู
ครูอาจขออาสาสมัครนักเรียนอานขอความนี้ใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน
ศิลปะ วิชาทัศนศิลป กลาวคือ เมือ่ นักเรียนเขาใจความหมายของสํานวนนัน้ ๆ
“ปญหาความวุนวายที่เกิดขึ้นในปจจุบัน เพราะจํานวนคนที่เสนอตัวทํางานเพื่อ
อย า งลึ ก ซึ้ ง ก็ จ ะสามารถถ า ยทอดออกมาเป น ภาพที่ ส ามารถอธิ บ าย
สวนรวมจําพวกวัวเห็นแกหญา ขี้ขาเห็นแกกิน มีมากขึ้นเรื่อยๆ คนจําพวกนี้มี
ความหมายของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตไดครอบคลุมโดยใชความรู
อุดมการณเหมือนไมหลักปกเลน มีกิจวัตรประจําวันในการละเลงขนมเบื้องดวยปาก
เกีย่ วกับองคประกอบศิลป เชน เสน สี แสง เงา เปนเครือ่ งมือในการถายทอด
เดินลอยชายไปมาและสวมหนากากเขาหากันไปวันๆ ประกอบกับคอยหาชองทาง
ผลงาน โดยนักเรียนอาจรวมกันคัดเลือกสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
สรางวิมานในอากาศ ขายฝนใหกบั คนทัว่ ไปเพือ่ ประโยชนสว นตน” จากนัน้ ตัง้ คําถาม
ที่นักเรียนควรรูชวยกันวาดภาพประกอบ จัดการความรูรวมกันในลักษณะ
กับนักเรียนวา ขอความดังกลาวมีลักษณะการใชสํานวนอยางไร ซึ่งนักเรียนสามารถ
ของปายนิเทศประจําชั้นเรียน
แสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ ขึน้ อยูก บั ทักษะการวิเคราะหและสังเคราะหสว นตน
ผลที่ไดรับจากการปฏิบัติกิจกรรมบูรณาการจะทําใหนักเรียนมองเห็น
ครูควรชี้แนะเพิ่มเติมวา ขอความดังกลาวมีลักษณะการใชสํานวน คําพังเพยและ
ความสัมพันธระหวางกระบวนการคิดและกระบวนการถายทอดความคิด
สุภาษิตมากเกินความจําเปน ในการเขียนเพื่อการสื่อสารเมื่อจะใชสาํ นวน คําพังเพย
ของมนุษยโดยใชภาษา ทาทาง นอกจากนี้ยังสามารถถายทอดผานภาพ
และสุภาษิตประกอบการเขียน ควรคํานึงถึงความเหมาะสม กาลเทศะและความจําเปน
ซึ่งประกอบดวยจุด เสน สี แสง และเงา เปนตน
หากใชเกินความจําเปน อาจทําใหผรู บั สารเกิดความสับสนและเบือ่ หนาย เปนอุปสรรค
ในการสื่อสาร
146 คู่มือครู
ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ตรวจสอบผล Evaluate
1. ครูตรวจสอบสมุดรวบรวมสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิตของนักเรียน โดยมีขอ ควรพิจารณา
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
ดังตอไปนี้
• จําแนกประเภทของสํานวน คําพังเพย
และสุภาษิตไดถูกตอง
๑. ก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิตในชีวิตประจำ�วัน มีคว�มจำ�เป็นหรือไม่ เพร�ะเหตุใด
๒. สำ�นวนไทยส่งผลต่อก�รสื่อส�รได้อย่�งไร จงอธิบ�ยและยกตัวอย่�งประกอบ
• ใหความหมายของสํานวน คําพังเพย
๓. ห�กนักเรียนต้องก�รเตือนสติเพื่อนเรื่องก�รคบมิตร ควรจะเลือกใช้สุภ�ษิตใด และสุภาษิตที่คัดเลือกมานําเสนอไดถูกตอง
๔. สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิต มีคว�มแตกต่�งกันอย่�งไร • บอกที่มาของสํานวน คําพังเพย และ
๕. ก�รใช้สำ�นวน คำ�พังเพย หรือสุภ�ษิตในก�รสื่อส�รช่วยอนุรักษ์ภ�ษ�ไทยได้หรือไม่ อย่�งไร สุภาษิตที่คัดเลือกมานําเสนอไดถูกตอง
• ยกตัวอยางสถานการณการใชในรูป
ประโยคหรือนําสํานวน คําพังเพย และ
สุภาษิตมาประกอบประโยคไดถูกตองตรง
ความหมายที่แทจริง
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
1. สมุดรวบรวมสํานวน คําพังเพยและสุภาษิต
2. แบบวัดและบันทึกผลการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๑ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ ๔-๕ คน รวบรวมสำ�นวนไทย
และห�คว�มหม�ยของสำ�นวนต่อไปนี้
■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับสัตว์
■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับป�ก
■ สำ�นวนไทยที่เกี่ยวกับใจ
■ สำ�นวนไทยที่ม�จ�กนิท�น ตำ�น�นต่�งๆ
147
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การใชสํานวน คําพังเพย และสุภาษิตมีความสําคัญตอการสื่อสารในชีวิตประจําวัน เพราะถึงแมวาการสื่อสารใหถูกตองตามหลักภาษาจะสามารถทําใหเขาใจกัน
ไดแลว แตก็อาจมีพลังไมมากพอที่จะกระทบอารมณความรูสึกของผูรับสารได
2. สํานวนไทยมีสวนชวยในการสื่อสาร โดยชวยเพิ่มใหเกิดความชัดเจนในการสื่อสาร การสื่อสารในบางเรื่องหากใชสํานวนชวยสื่อสารอาจทําใหเขาใจงายกวาโดยที่
ไมตองอธิบายความ
3. สุภาษิตเกี่ยวกับการคบมิตรมีปรากฏใชเปนจํานวนมากในภาษาไทย เชน คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ทานคบคนเชนไรก็เปนคน
เชนนั้นแล เปนตน
4. สํานวนเปนคําที่มีความหมายไมตรงตามตัวอักษร มีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ เชน เฒาหัวงู คําพังเพย เปนคําที่กลาวกลางๆ เพื่อใหตีความเขากับเรื่อง
มีความหมายลึกซึ้งกวาสํานวน มีลักษณะติชมหรือแสดงความเห็นอยูในตัว เชน ทํานาบนหลังคน นํ้าถึงไหน ปลาถึงนั่น สวนสุภาษิต คือ ขอความสั้นๆ แตกิน
ความลึกซึ้งและเปนคําสอนหรือวางหลักความจริง เชน ตนแลเปนที่พึ่งแหงตน เปนตน
5. การใชสํานวน สุภาษิต และคําพังเพยใหถูกตองตรงความหมายและเหมาะสมกับสถานการณการสื่อสารนับเปนการชวยอนุรักษภาษาไทยประการหนึ่ง เพราะถอยคํา
เหลานี้เปนถอยคําที่กลาวสืบตอกันมาเปนระยะเวลานาน ถายทอดกันมาปากตอปาก แสดงใหเห็นความรุมรวยทางภาษาของคนไทย หากใชใหถูกตองจึงเปนการชวย
อนุรักษเอกลักษณทางภาษาใหคงอยูตอไป
คู่มือครู 147
กระตุน้ ความสนใจ
กระตุEngage
้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
สามารถแตงบทรอยกรองประเภทกาพยได
สมรรถนะของผูเรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิด
คุณลักษณะอันพึงประสงค
1. มีวินัย
2. ใฝเรียนรู
3. รักความเปนไทย
õ
ครูนําเขาสูหนวยการเรียนรู ดวยการชักชวน
นักเรียนสนทนาเกี่ยวกับบทรอยกรองประเภทตางๆ
ที่รูจัก สุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อทองบทรอยกรองนั้น
ใหเพือ่ นๆ ฟง จากนัน้ ครูกระตุน ใหนกั เรียนตัง้ ขอสังเกต หน่วยที่
เกี่ยวกับบทรอยกรอง ดวยวิธีการตั้งคําถาม
• การไดอานหรือฟงบทรอยกรองบทหนึ่งๆ การแตงบทรอยกรอง
แลวรูสึกวามีความไพเราะ นักเรียนคิดวา
มีสาเหตุมาจากสิ่งใด
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๕
ค นไทยเป็นชนชาติที่ได้ชื่อว่า
■ แตงบทรอยกรอง
เจ้าบทเจ้ากลอน จากประวัติศาสตร์
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น การประพันธ์วรรณคดีตา่ งๆ ทีม่ ลี กั ษณะ
ไดอยางอิสระ ขึ้นอยูกับหลักฐานและรองรอย เป็นค�าประพันธ์ร้อยกรองอยู่มากมาย
ความรูเดิม ซึ่งสิ่งที่ทําใหบทรอยกรองมีความ ค�าประพันธ์ประเภทกาพย์ เป็นค�าประพันธ์
ที่ ไ พเราะและแต่ ง ง่ า ย เหมาะส� า หรั บ
ไพเราะมีสาเหตุมาจากความสามารถของกวี
สาระการเรียนรู้แกนกลาง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ดังนั้น ผู้เรียน
ในการเลือกใชถอ ยคําทีม่ ไี พเราะทางดานเสียง ■ แตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี ๑๑ จึงควรศึกษารูปแบบฉันทลักษณ์และฝกแต่ง
และความหมายที่ลึกซึ้ง) เพราะนอกจากจะเป็ น การฝ ก ทั ก ษะการใช้
ภาษาไทยแล้ว ยังเป็นการสืบสานและอนุรักษ์
มรดกทางภาษาอีกด้วย
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอนในหนวยการเรียนรู การแตงบทรอยกรอง ครูควรชี้แนะวา
แมการแตงบทรอยกรองจะเปนเรื่องของพรสวรรค แตก็ไมไดหมายความวาจะไม
สามารถฝกฝนได หากคนๆ นั้น มีพรสวรรคแตไมมีพรแสวงในการที่จะฝกฝน
เรียนรู ก็อาจทําใหพรสวรรคนั้นหดหายไป ดังนั้น การแตงบทรอยกรองจึงสําคัญ
ที่การฝกฝน หากมีความรู ความเขาใจเปนอยางดีเกี่ยวกับฉันทลักษณ คํา และมี
จินตนาการที่กวางไกล ก็จะสามารถเปนผูที่แตงบทรอยกรองไดดี เปาหมายสําคัญ
ของหนวยการเรียนรูนี้ จึงอยูที่นักเรียนสามารถแตงบทรอยกรองประเภทกาพยได
การจะบรรลุเปาหมายดังกลาว ครูควรออกแบบการเรียนการสอนใหนักเรียน
คนควาความรูเ กีย่ วกับฉันทลักษณของกาพยแตละประเภท และศิลปะแหงการประพันธ
จากนั้นจึงนําทฤษฎีมาใชฝกปฏิบัติจริง
การเรียนการสอนในลักษณะนี้จะชวยฝกทักษะการนําความรูไปใชและทักษะ
การประเมินใหแกนักเรียน
148 คู่มือครู
ส�ารวจค้นหา
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้
Exploreนหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ส�ารวจค้นหา Explore
ครูทําสลากเทากับจํานวนนักเรียนในชั้นเรียน
๑ การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ โดยเขียนหมายเลข 1-3 ลงบนกระดาษในจํานวน
การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ เป็นกำรแต่งค�ำประพันธ์ของไทยทีง่ ำ่ ยทีส่ ดุ เพรำะมีเพียง เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม จากนั้นให
กำรบังคับจ�ำนวนค�ำ เสียง และสัมผัส เท่ำนั้น ไม่มีบังคับครุ ลหุ เหมือนค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ แตละคนออกมาจับสลากประเด็นสําหรับการสืบคน
ค�ำประพันธ์ประเภทกำพย์จึงเป็นที่นิยมแต่งกันมำตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยำ และนิยมแต่งร่วมกับ ความรูรวมกัน ดังนี้
ค�ำประพันธ์ประเภทฉันท์ เพรำะมีเสียงไพเรำะ หมายเลข 1 กาพยยานี 11
วรรณคดี หมายเลข 2 กาพยฉบัง 16
1 ประเภทกำพย์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ กำพย์เห่เรือและกำพย์ห่อโคลงเสด็จประพำส หมายเลข 3 กาพยสุรางคนางค 28
ธำรทองแดงพระนิพนธ์ในเจ้ำฟ้ำธรรมธิเบศร (เจ้ำฟ้ำกุ้ง) กำพย์เห่ชมเครื่องคำวหวำนพระรำชนิพนธ์
ในพระบำทสมเด็ จ พระพุ ท ธเลิ ศ หล้ ำ นภำลั ย (ร.๒) และกำพย์ เรื่ อ งพระไชยสุ ริ ย ำของสุ น ทรภู ่ โดยนักเรียนที่จับสลากไดหมายเลขเหมือนกัน
ซึ่งสมัยต้นรัตนโกสินทร์ใช้เป็นแบบฝึกอ่ำนกำรสะกดค�ำในมำตรำตัวสะกดต่ำงๆ และก�ำหนดให้ ใหอยูกลุมเดียวกัน สืบคนใหมีความครอบคลุมใน
ผู้เรียนระดับมัธยมศึกษำตอนต้นเรียนในปัจจุบัน เรื่องคณะหรือจํานวนคําภายในบท เสียงและสัมผัส
ลักษณะข้อบังคับของร้อยกรองประเภทกำพย์ มีดังนี้ ของกาพยแตละประเภท ซึ่งการนําเสนอของ
๑) คณะ หมำยถึง จ�ำนวนที่ก�ำหนดใน ๑ บทว่ำมีกี่วรรค วรรคละกี่ค�ำ ตัวเลขท้ำยชื่อกำพย์ นักเรียนควรแสดงแผนผังประกอบใหชัดเจน
บอกว่ำในหนึ่งบทนั้นมีจ�ำนวนค�ำกี่ค�ำ เช่น ยำนี ๑๑ หนึ่งบท มี ๑๑ ค�ำ ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�ำ โดยสามารถสืบคนไดจากแหลงการเรียนรูตางๆ
สุรำงคนำงค์ ๒๘ หนึ่งบท มี ๒๘ ค�ำ ที่สามารถเขาถึงได เชน หองสมุด อินเทอรเน็ต
๒) เสียง หมำยถึง ข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ กำพย์แต่ละชนิดจะมีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ เปนตน
แตกต่ำงกันซึ่งวรรณยุกต์บำงเสียงท�ำให้กำพย์บำงชนิดมีควำมไพเรำะ หรือค�ำสุดท้ำยของวรรค
ในกำพย์บำงชนิดควรหลีกเลี่ยงกำรใช้วรรณยุกต์บำงเสียง
๓) สัมผัส หมำยถึง ข้อบังคับที่ใช้ในฉันทลักษณ์เพื่อให้เสียงรับกัน ประกอบด้วยสัมผัสใน
และสัมผัสนอก ดังนี้
สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่อยู่ภำยในวรรค ช่วยให้บทร้อยกรองมีควำมไพเรำะ ซึ่งค�ำประพันธ์
ประเภทกำพย์จะไม่บังคับใช้สัมผัสใน
สัมผัสนอก เป็นสัมผัสนอกวรรคหรือสัมผัสระหว่ำงวรรค ตลอดจนสัมผัสระหว่ำงบท
โดยกำพย์แต่ละชนิดมีกำรบังคับสัมผัสทีแ่ ตกต่ำงกัน กล่ำวคือ ในบทหนึง่ ค�ำท้ำยวรรคจะส่งสัมผัสรับกับ
ค�ำใดค�ำหนึ่งในวรรคต่อไป โดยบังคับให้ต้องใช้วรรณยุกต์รูปใด เสียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกำพย์แต่ละชนิด
๒ กาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกำพย์ที่แต่งง่ำย มีลีลำกำรอ่ำนช้ำๆ อ่อนหวำน มักใช้แต่งพรรณนำชม
ควำมงดงำมของสิ่งของ ธรรมชำติ สิ่งแวดล้อม มักนิยมแต่งคู่กับโคลง โดยขึ้นต้นด้วยโคลง แล้วต่อด้วย
กำพย์ยำนี ๑๑ อีกหลำยบทที่มีเนื้อหำตรงกันกับโคลง เรียกว่ำ กำพย์ห่อโคลง
149
ขอสอบเนน การคิด
แนว O-NET เกร็ดแนะครู
ขอใดมีความเกี่ยวของกับการแตงบทรอยกรองนอยที่สุด
1. ฉันทลักษณ ครูอาจสรางองคความรูที่มีความจําเปนตอการแตงบทรอยกรองประเภทตางๆ
2. สิ่งแวดลอมและบรรยากาศ ใหแกนักเรียน เชน คําคลองจอง โดยใหคํานิยามเกี่ยวกับคําคลองจอง จากนั้นจึง
3. ความสามารถในการใชถอยคํา ใหนักเรียนคนหนึ่งขึ้นตนคําแลวใหคนตอๆ ไป หาคําที่ลงทายดวยเสียงที่คลองจอง
4. จินตนาการและความคิดสรางสรรค กับคําขางหนา เชน นารี ลีลา พาไป ใครทํา คํานวณ.......ชวนชม ลมลวง เปนตน
วิเคราะหคําตอบ การแตงบทรอยกรองผูแตงจะตองมีคุณสมบัติหรือ
มีความรูในเรื่องฉันทลักษณ เพื่อใหสามารถแตงไดถูกตองทั้งจํานวนคํา นักเรียนควรรู
จํานวนวรรคและตําแหนงสัมผัส มีจินตนาการ ความคิดสรางสรรคในการ
ถายทอดเนือ้ หาสาระทีเ่ ปนประโยชนแกผอู า น และมีความสามารถในการ 1 กาพยหอโคลงเสด็จประพาสธารทองแดง เปนวรรณคดีที่ประพันธดวย
เลือกใชถอยคํา เลือกสรรถอยคําที่มีความไพเราะทั้งดานเสียงและ บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 และอธิบายความดวยโคลงสี่สุภาพควบคู
ความหมายเพื่อถายทอดแนวคิดของตนเองไดอยางครบถวน สิ่งที่มีความ สลับกันไป เนื้อหากลาวถึงความงาม ความสมบูรณของธรรมชาติ โดยเฉพาะ
เกี่ยวของนอยที่สุด คือสิ่งแวดลอมและบรรยากาศ ดังนั้นจึงตอบขอ 2. สัตวปาและพืชพรรณธรรมชาติหลากหลายชนิด
คู่มือครู 149
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 1 สงตัวแทนออกมาอธิบาย
ความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย โดย กำพย์ยำนี ๑๑ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้
นําเสนอใหมีความครอบคลุมตามประเด็น ๑) คณะ กำพย์ยำนี ๑ บท มี ๒ บำท ๑ บำท มี ๒ วรรค วรรคหน้ำมี ๕ ค�ำ วรรคหลัง
ที่กําหนดไว มี ๖ ค�ำ รวม ๑ บำท มี ๑๑ ค�ำ บำทแรกเรียกว่ำ บำทเอก บำทสองเรียกว่ำ บำทโท
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย ๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า ในวรรคแรกมี ๕ ค�ำ วรรคหลังมี ๖ ค�ำ เหมือนกันทั้งบำทเอก
ความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับฉันทลักษณ และบำทโท รวม ๑ บำท มี ๑๑ ค�ำ จ�ำนวนตัวเลขที่บอกไว้ท้ำยกำพย์ หมำยถึง ก�ำหนดจ�ำนวนค�ำ
ของกาพยยานี 11 โดยใชความรู ความเขาใจ ใน ๑ บำท เช่น ยำนี ๑๑ หนึง่ บำท มี ๑๑ ค�ำ
ที่ไดรับจากการฟงบรรยายของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 ๓) เสียง ค�ำสุดท้ำยของบำทโทใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำเป็นส่วนใหญ่เพรำะจะท�ำให้
เปนขอมูลเบื้องตน อ่ำนได้ไพเรำะ ส่วนค�ำสุดท้ำยของบทผูแ้ ต่งมักหลีกเลีย่ งไม่ใช้คำ� ตำยและค�ำทีม่ รี ปู วรรณยุกต์ อำจมีทใี่ ช้
(แนวตอบ กาพยยานี 11 บทหนึ่งมี 2 บาท ค�ำตำยเสียงตรีหรือเสียงเอกบ้ำงแต่นอ้ ยมำก
บาทแรกเรียกวา บาทเอก บาทที่สองเรียกวา ๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๒ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้
บาทโท บาทหนึ่งมีจํานวนคําทั้งสิ้น 11 คํา สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยของวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำที่ ๑, ๒ หรือ ๓ ของวรรคหลัง
แบงเปน 2 วรรค วรรคหนามีจํานวนคํา 5 คํา ในบำทเอก
วรรคหลังมีจํานวนคํา 6 คํา ดังนั้นกาพยยานี 11 ค�ำท้ำยของบำทเอกสัมผัสกับค�ำท้ำยของวรรคหน้ำของบำทโท
บทหนึ่ง จึงมี 4 วรรค สัมผัสบังคับในกาพยยานี สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยของบำทเอกบทต่อไป
11 ประกอบดวยสัมผัสระหวางวรรค คือ คําทาย
ของวรรคหนาจะสงสัมผัสมายังคําที่ 1, 2 หรือ 3 แผนผังและตัวอย่างกาพย์ยานี ๑๑
ของวรรคหลังในบาทเอก คําทายของวรรคหลัง
ในบาทเอกจะสงสัมผัสมายังคําทายของวรรค
หนาในบาทโท สวนสัมผัสระหวางบท จะเกิดขึ้น
เมื่อมีการแตงกาพยยานี 11 มากกวา 1 บท
ซึ่งคําทายของบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําทาย
ของวรรคหลังในบาทเอกของบทตอไป)
150
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
คําในตัวเลือกใดตอไปนี้เหมาะสมที่จะนํามาเติมในชองวางทั้ง 2 คํา
ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรมเพิม่ เติมโดยใชความรู ความเขาใจเกีย่ วกับกาพยยานี 11
เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบิน.........ไปทั้งหมู
โดยใหจัดลําดับกาพยยานี 11 ที่กําหนดตอไปนี้ใหถูกตองตามฉันทลักษณและ
ตัวเดียวมาพลัด........ เหมือนพี่อยูผูเดียวดาย
เนื้อความ
1. เอียง, เฉียง
ลูกศิษยคิดลางครู
2. พลัน, ครัน
ลอยฆาฟนดวยตัณหา
3. เฉียง, คู
สอเสียดเบียดเบียนกัน
4. เรียง, บาน
ลูกไมรูคุณพอมัน
(ลูกศิษยคิดลางครู ลูกไมรูคุณพอมัน วิเคราะหคําตอบ บทรอยกรองขางตนอยูในวรรณคดีเรื่อง กาพยเหเรือ
สอเสียดเบียดเบียนกัน ลอยฆาฟนดวยตัณหา) พระนิพนธในเจาฟาธรรมธิเบศรหรือเจาฟากุง ซึง่ ประพันธดว ยกาพยยานี 11
จากตัวเลือกถายึดจากสัมผัสบังคับของกาพยยานี 11 จะพบวาคําทาย
ซึ่งครูอาจหาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยกาพยยานี 11 มาเขียนสลับวรรคกัน ของวรรคหนาจะสงสัมผัสมายังคําที่ 1, 2 หรือ 3 ของวรรคหลังในบาทเอก
สรางสรรคเปนใบงาน ใหนักเรียนไดใชความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยยานี 11 คําทายของวรรคหลังในบาทเอกจะสงสัมผัสมายังคําทายของวรรคหนา
ปฏิบัติกิจกรรม ในบาทโท ดังนั้นจึงตอบขอ 3.
150 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกัน
หลักการแต่งกาพย์ยานี ๑๑ มีดงั นี้ อธิบายความรูแบบโตตอบรอบวงเกี่ยวกับการ
๑. ค�ำทีร่ บั สัมผัสไม่ใช้คำ� ทีม่ เี สียงเดียวกับค�ำทีส่ ง่ สัมผัส แม้จะเขียนต่ำงกัน เช่น สำน-ศำล-สำร แตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 โดยใช
๒. ในกำรแต่งกำพย์ยำนี ๑๑ ไม่มีข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ หรือรูปวรรณยุกต์ แต่ส่วนใหญ่ ความรู ความเขาใจ ทีไ่ ดรบั จากการฟงบรรยาย
จะนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำในค�ำสุดท้ำยของบำทโท เสียงตรี เสียงเอก ก็มบี ำ้ งแต่ไม่คอ่ ยนิยม ของเพือ่ นๆ กลุม ที่ 1 เปนขอมูลเบือ้ งตนสําหรับ
ค�ำสุดท้ำยของบท ไม่นยิ มใช้คำ� ตำยหรือค�ำทีม่ รี ปู วรรณยุกต์ ตอบคําถาม
๓. กำพย์ยำนี ๑๑ เหมำะกับเนือ้ หำทีเ่ ป็นพรรณนำโวหำร เช่น พรรณนำควำมรูส้ กึ ควำมรัก • นักเรียนตั้งขอสังเกตวาบทรอยกรอง
และควำมงำม ประเภทกาพยมีความแตกตางจากบท
๔. สัมผัสใน คือ สัมผัสภำยในวรรคเป็นสัมผัสไม่บังคับจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ถือเป็นข้อบังคับ
รอยกรองประเภทอื่นๆ อยางไร
และไม่เคร่งครัดมำกนัก แต่ถำ้ มีจะท�ำให้ทำ� นองของกำพย์ยำนี ๑๑ ไพเรำะสละสลวยยิง่ ขึน้ เช่น
(แนวตอบ บทรอยกรองประเภทกาพยมีความ
แตกตางจากบทรอยกรองประเภทอื่น ดังนี้
รอนรอนอ่อนอัสดง พระสุรยิ งเย็นยอแสง
• แตกตางจากกลอนในเรื่องการแบงวรรค
ช่วงดังน�ำ้ ครัง่ แดง แฝงเมฆเขำเงำเมรุธร การอาน
• แตกตางจากโคลงและรายในเรื่อง
ลิงค่ำงครำงโครกครอก ฝูงจิง้ จอกออกเห่ำหอน
ไมบังคับคําเอก และคําโท
ชะนีวเิ วกวอน นกหกร่อนนอนรังเรียง • แตกตางจากฉันทในเรื่องไมบังคับคําครุ
1 คําลหุ)
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
• กาพยยานี 11 เปนบทรอยกรองที่มีความ
หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่ำงแสดงสัมผัสสระ
เหมาะสมที่จะนํามาใชถายทอดเนื้อความ
๓ กาพย์ฉบัง ๑๖ ที่มีลักษณะอยางไร
(แนวตอบ กาพยยานี 11 เปนบทรอยกรอง
กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นร้อยกรองที่ใช้บรรยำยควำมที่รวดเร็ว มีลีลำคึกคัก มีควำมไพเรำะ ที่มีความเหมาะสมจะนํามาใชถายทอด
น�้ำเสียงก้องกังวำน แสดงควำมสง่ำงำมจึงนิยมใช้แต่งร่วมกับค�ำฉันท์ บรรยำยควำมยิ่งใหญ่อลังกำร
เนือ้ ความทีเ่ ปนพรรณนาโวหาร เชน พรรณนา
หรือพรรณนำควำมโอ่อ่ำงดงำมของบ้ำนเมือง ปรำสำทรำชวัง เช่น ฉันท์ยอเกียรติชำวนครรำชสีมำ
ความรูสึก ความรัก ความงาม)
ของพระยำอุปกิตศิลปสำร (นิ่ม กำญจนำชีวะ) สำมัคคีเภทค�ำฉันท์ ของ นำยชิต บุรทัต ฉันท์ดุษฎีสังเวย
กล่อมช้ำง เป็นต้น โบรำณนิยมแต่งกำพย์ฉบัง ๑๖ เพื่อพำกย์โขนและบทสวดมนต์ ปัจจุบันนิยมแต่ง 2. นักเรียนรวมกันสรุปลงความคิดเห็นวาแหลง
ร่วมกับฉันท์ถวำยพระพรในโอกำสต่ำงๆ ขอมูลของเพื่อนๆ กลุมที่ 1 มีความนาเชื่อถือ
กำพย์ฉบัง ๑๖ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้ หรือไม เพราะเหตุใด
๑) คณะ กำพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค คือ วรรคต้น วรรคกลำง และวรรคท้ำย (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็น
๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า กำพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๓ วรรค วรรคต้นมี ๖ ค�ำ วรรคกลำง ไดอยางอิสระ ครูควรชี้แนะเพิ่มเติม)
มี ๔ ค�ำ และวรรคท้ำยมี ๖ ค�ำ รวม ๓ วรรค มี ๑๖ ค�ำ เท่ำกับตัวเลขท้ำยชื่อว่ำกำพย์ฉบัง ๑๖
๓) เสียง นิยมใช้เสียงสำมัญและเสียงจัตวำเป็นค�ำส่งสัมผัสและค�ำท้ำยวรรค
151
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนคัดสรรวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภท เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมสรางเสริมและกิจกรรมทาทายกอนเก็บผลงานให
กาพยยานี 11 จํานวน 1 บท นํามาโยงเสนสัมผัสใหถูกตอง พรอมกับ ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศึกษา วิเคราะห หนาชัน้ เรียน
ถอดความเปนรอยแกวใหไดใจความสมบูรณ แสดงผลการปฏิบัติกิจกรรม เพื่อเปนการแบงปนขอมูลซึ่งกันและกัน
ลงสมุด สงครู
นักเรียนควรรู
กิจกรรมทาทาย
1 กาพยพระไชยสุริยา เปนผลงานของสุนทรภู ประพันธดวยกาพยยานี 11
กาพยฉบัง 16 และกาพยสุรางคนางค 28 โดยมีจุดมุงหมายเพื่อใชเปนแบบเรียน
นักเรียนศึกษาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภท สอนอานและเขียน เมือ่ สุนทรภูไ ดทาํ หนาทีถ่ วายพระอักษรเจาฟาอาภรณ เจาฟากลาง
กาพยยานี 11 ในจํานวนเพียงพอที่จะแสดงใหเห็นรูปแบบการใชเสียง และเจาฟาปว พระราชโอรสในสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟากุณฑลทิพยวดี
วรรณยุกตในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลการศึกษาวิเคราะห พระอัครชายาในรัชกาลที่ 2 กาพยพระไชยสุริยา ยังมีคุณคาดานวรรณศิลปที่โดดเดน
ลงสมุด สงครู มีสัมผัสในทุกวรรค ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสอักษร แสดงอารมณที่หลากหลาย
รวมถึงใหขอคิดคติเตือนใจในเรื่องความซื่อสัตยสุจริต
คู่มือครู 151
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนกลุมที่ 2 และ 3 สงตัวแทนออกมา
อธิบายความรูในประเด็นที่ไดรับมอบหมาย ๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๑ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้
โดยนําเสนอใหมีความครอบคลุมตามประเด็น สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคกลำง
ที่กําหนดไวตามลําดับ สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยวรรคสำมของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคหน้ำของบทต่อไป
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบายความรู แผนผังและตัวอย่างกาพย์ฉบัง ๑๖
เกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยฉบัง 16 โดยใช
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 2 เปนขอมูลเบื้องตน
(แนวตอบ กาพยฉบัง 16 บทหนึ่งมี 3 วรรค
วรรคแรกมีจํานวนคํา 6 คํา วรรคที่สองมี
จํานวนคํา 4 คํา และวรรคที่สามมีจํานวนคํา
6 คํา รวมแลวทั้งสามวรรคจะมีจํานวนคําทั้งสิ้น ชำยใดไม่เทีย่ วเทียวไป ทุกแคว้นแดนไพร
16 คํา สัมผัสบังคับในกาพยฉบัง 16 ไดแก มิอำจประสบพบสุข
สัมผัสระหวางวรรค โดยคําสุดทายของวรรคแรก ชำยใดอยูเ่ หย้ำเนำทุกข์ ไม่ดน้ ซนซุก
จะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสอง ก็ชอื่ ว่ำชัว่ มัวเมำ
สวนสัมผัสระหวางบทคําสุดทายของวรรคสาม (นิท�นเวต�ล : น.ม.ส.)
ในบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรค หลักการแต่งกาพย์ฉบัง ๑๖ มีดังนี้
แรกในบทตอไป) ๑. กำพย์ฉบังมีลีลำคึกคัก โลดโผนและสง่ำกว่ำกำพย์ยำนี โบรำณนิยมใช้แต่งบทพำกย์โขน
3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ บทสวดมนต์ ถ้ำเป็นนิยำย นิทำนก็ใช้เป็นบทพรรณนำโวหำรทีต่ อ้ งกำรให้มลี ลี ำดังกล่ำว ปัจจุบนั นิยมใช้
ฉันทลักษณของกาพยสุรางคนางค 28 โดยใช เขียนบทสดุดี และบทปลุกใจ
ความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจากการฟงบรรยาย ๒. ค�ำสุดท้ำยของบทมักนิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สำมัญและจัตวำกันมำก ส่วนวรรณยุกต์อื่น
ของเพื่อนๆ กลุมที่ 3 เปนขอมูลเบื้องตน ไม่นิยมใช้และพบไม่บ่อยนัก ไม่บังคับสัมผัสระหว่ำงวรรคที่ ๒ กับวรรคที่ ๓ จะมีหรือไม่มีก็ได้
(แนวตอบ กาพยสุรางคนางค 28 บทหนึ่งมี ๓. ควำมไพเรำะของกำพย์ฉบังขึ้นอยู่กับเสียงสัมผัสใน นิยมเพิ่มในวรรคเป็นคู่ๆ ทุกวรรค
7 วรรค วรรคละ 4 จึงทําใหมีจํานวนคําทั้งสิ้น ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร เช่น
28 คํา ซึ่งสัมผัสในกาพยสุรางคนางค 28 ไดแก เขำสูงฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องก้องเสียง
สัมผัสระหวางวรรคมีจํานวน 4 แหง คือ คําทาย
ของวรรคแรกสงสัมผัสมายังคําสุดทายของ ส�ำเนียงน่ำฟังวังเวง
วรรคสอง คําสุดทายของวรรคสามสงสัมผัส กลำงไพรไก่ขนั บรรเลง ฟังเสียงเพียงเพลง
มายังคําสุดทายของวรรคหาและวรรคหก
ซอเจ้งจ�ำเรียงเวียงวัง
คําสุดทายของวรรคสี่สงสัมผัสมายังคําแรกหรือ
(ก�พย์พระไชยสุริย� : สุนทรภู่)
คําที่สองของวรรคหา ‘บางตํารากลาววาเปน
หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่ำงแสดงสัมผัสสระ
คําที่สามของวรรคหา’ สวนสัมผัสระหวางบท
คําสุดทายของวรรคเจ็ดในบทแรกจะสงสัมผัส 152
มายังคําสุดทายของวรรคสามในบทตอไป)
ขอสอบเนน การคิด
เกร็ดแนะครู แนว O-NET
ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับกาพยฉบัง 16
ครูควรใหนักเรียนทํากิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อทบทวนความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
1. มีจํานวนคําทั้งสิ้น 28 คํา
กาพยฉบัง 16 โดยครูอาจคนหาวรรณคดีทปี่ ระพันธดว ยกาพยฉบัง 16 นํามาเขียนเปน
2. มีการบังคับเสียงวรรณยุกตใหเปนไปตามแบบแผน
ขอความทีไ่ มมกี ารเวนวรรคบนกระดาน จากนัน้ สุม เรียกชือ่ นักเรียน หรือขออาสาสมัคร
3. เหมาะสมที่จะใชในกระบวนความที่เปนการพรรณนา
ออกมาจัดวรรคขอความดังกลาวใหถูกตองตรงตามฉันทลักษณของกาพยฉบัง 16
4. บทหนึ่ง มี 3 วรรค วรรคแรก 6 คํา วรรคสอง 4 คํา และวรรคหลัง 6 คํา
วิเคราะหคําตอบ กาพยฉบัง 16 บทหนึ่งมี 3 วรรค วรรคแรกมี 6 คํา
วรรคสองมี 4 คํา และวรรคทายมี 6 คํา ดังนั้น บทหนึ่งจึงมีจํานวนคํา
ทั้งสิ้น 16 คํา ซึ่งลักษณะคําประพันธเหมาะสมที่จะใชในการแตงบทสดุดี
บทไหวครู และไมมีการบังคับเสียงวรรณยุกต ดังนั้นจึงตอบขอ 4.
152 คู่มือครู
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพือ่ รวมกันอธิบาย
๔ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ความรูเกี่ยวกับการแตงบทรอยกรองประเภท
กาพยฉบัง 16 และกาพยสุรางคนางค 28
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีลักษณะฉันทลักษณ์ ดังนี้
• กาพยฉบัง 16 เปนบทรอยกรองที่มีความ
๑) คณะ กำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ หนึ่งบท มี ๗ วรรค วรรคละ ๔ ค�ำ รวม ๒๘ ค�ำ
เหมาะสมจะนํามาใชกับเนื้อความที่มี
๒) พยางค์หรือจ�านวนค�า ในแต่ละวรรค มี ๔ ค�ำ ๗ วรรค รวมเป็น ๒๘ ค�ำ จึงเขียนจ�ำนวน
ลักษณะอยางไร
ค�ำท้ำยชื่อกำพย์ว่ำสุรำงคนำงค์ ๒๘ หมำยถึง มีจ�ำนวนค�ำ ๑ บท ๒๘ ค�ำ (แนวตอบ กาพยฉบัง 16 เปนบทรอยกรองที่
๓) เสียง ไม่บังคับเสียงวรรณยุกต์ แต่ส่วนมำกนิยมเสียงสำมัญและเสียงจัตวำ มีจังหวะลีลาโลดโผน ในสมัยโบราณนิยมใช
๔) สัมผัส ก�ำหนดสัมผัสระหว่ำงวรรค ๔ แห่ง และสัมผัสระหว่ำงบท ๑ แห่ง ดังนี้ แตงเปนบทพากยโขน บทสวดมนต ปจจุบัน
สัมผัสระหว่างวรรค ค�ำท้ำยวรรคหน้ำสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคสอง นิยมใชแตงเปนบทไหวครู บทสดุดีหรือเรื่อง
ค�ำท้ำยวรรคสำมสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคห้ำและวรรคหก ทั่วไปในการบรรยายความ)
ค�ำท้ำยวรรคสี่สัมผัสกับค�ำที่หนึ่งหรือสองของวรรคห้ำ • การแตงบทรอยกรองประเภทกาพยฉบัง 16
สัมผัสระหว่างบท ค�ำท้ำยวรรคเจ็ดของบทแรกสัมผัสกับค�ำท้ำยวรรคที่สำมของบท ไมมีการบังคับเรื่องเสียงวรรณยุกตแตเพราะ
ต่อไป เหตุใด นักเรียนจึงควรเรียนรูเ กีย่ วกับความ
นิยมในการใชเสียงวรรณยุกตคําทายวรรค
แผนผังและตัวอย่างกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
(แนวตอบ การเรียนรูเกี่ยวกับความนิยมใน
เสียงวรรณยุกตคําทายวรรค นับเปนศิลปะ
การประพันธประการหนึ่ง เพราะความรู
เหลานี้จะชวยทําใหกาพยฉบัง 16 ที่แตงมี
ความไพเราะ อานแลวใหความรูสึกราบรื่น
ตอเนื่อง)
• นักเรียนคิดวาความไพเราะของการแตง
สุรำงคนำงค์ เจ็ดวรรคจัดวำง ให้ถกู วิธี กาพยสุรางคนางค 28 คืออะไร
สัมผัสมีหลัก ค�ำวรรคละสี่ ยีส่ บิ แปดมี ครบบทจดจ�ำ (แนวตอบ ภายในวรรคเดียวกัน ผูแตง
สุรำงคนำงค์ แต่งเป็นตัวอย่ำง เหมำะสมคมข�ำ สามารถใชการเลนคํา ซํ้าคําหรือซํ้าความ
คิดนึกตรึกตรำ เลือกหำถ้อยค�ำ สอดเสียงสูงต�ำ่ ฟังเพรำะเสนำะแล ไดเหมาะสม)
(ท ๐๔๑ ก�รประพันธ์ : ฐะปะนีย์ น�ครทรรพ) 2. นักเรียนเขียนสรุปความรู ความเขาใจของ
ตนเองเกี่ยวกับฉันทลักษณของกาพยแตละ
หลักการแต่งกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มีดังนี้
ประเภท ไดแก กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16
๑. ค�ำสุดท้ำยของวรรคที่ ๓ หำกลงด้วยเสียงจัตวำจะเพิ่มควำมไพเรำะยิ่งขึ้น
และกาพยสุรางคนางค 28 โดยเขียนแผนผัง
๒. ควำมไพเรำะของกำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ บำงวรรคอำจจะเล่นค�ำ ซ�้ำค�ำ ซ�้ำควำม
ด้วยเสียงสระหรือเสียงพยัญชนะก็จะเพิ่มควำมไพเรำะขึ้น แสดงฉันทลักษณ โยงสัมผัสระหวางวรรค
ระหวางบทใหถูกตอง รวมถึงตั้งขอสังเกต
153 เกี่ยวกับการใชเสียงวรรณยุกตในคําทายวรรค
เพื่อเพิ่มความไพเราะใหแกกาพย สรุปเปน
ใบความรูเฉพาะบุคคล สงครู
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
นักเรียนศึกษาบทรอยกรองประเภทกาพยฉบัง 16 แลวตั้งขอสังเกตวา ครูควรยกตัวอยางบทสดุดีที่ประพันธดวยกาพยฉบัง 16 เชน บารมีพระรมเกลา
สามารถนําไปประพันธรวมกับบทรอยกรองประเภทใดไดบาง โดยยก (วรรณคดี สรรพจิต) โดยขออาสาสมัครนักเรียนที่มีทักษะการอานออกเสียงที่ดี
ตัวอยางประกอบ นําเสนอผลการศึกษาในรูปแบบใบความรูเฉพาะบุคคล ออกมาอานออกเสียงทํานองเสนาะใหเพื่อนๆ ฟง หนาชั้นเรียน จากนั้นใหรวมกัน
ลงสมุด สงครู ถอดความ เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมทางซายมือ กอนเก็บใบความรู ครูอาจสุม
เรียกชื่อนักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน เพื่อแสดงผลการศึกษาและผลการวิเคราะห
หนาชั้นเรียน แลกเปลี่ยนขอมูล เพื่อนําไปประยุกตใชในกิจกรรมตอๆ ไป หรือการ
กิจกรรมทาทาย แตงบทรอยกรองของตนเอง
คู่มือครู 153
อธิบายความรู้
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบExplain
ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
อธิบายความรู้ Explain
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อรวมกันอธิบาย
ความรูแ บบโตตอบรอบวงเกีย่ วกับการแตงบทรอยกรอง ๓. สัมผัสใน เป็นสัมผัสไม่บงั คับจะมีหรือไม่มกี ไ็ ด้ ส่วนใหญ่นยิ มแต่งให้มสี มั ผัสในเป็นคูๆ่ เช่น
ดวยวิธีการตั้งคําถามของครู
• ผูที่จะแตงบทรอยกรองไดดี ควรมีคุณสมบัติ จันทราคลาเคลือ่ น กระเวนไพรไก่เถือ่ น เตือนเพือ่ นขานขัน
อยางไร
(แนวตอบ ปูเ่ จ้าเขาเขิน ก่เู กริน่ หากัน สินธุพลุ นั่ ครืน้ ครัน่ หวัน่ ไหว
• มีความรู ความเขาใจในเรื่องฉันทลักษณ พระฟืน้ ตืน่ นอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนทัย
• มีความรูใ นขนบและศิลปะแหงการประพันธ
• มีทักษะในการอานออกเสียง เช้าตรูส่ รุ ยิ น ขึน้ พ้นเมรุไกร มกี รรมจ�าไป ในป่าอารัญ
• เปนผูรอบรู ซึ่งไดมาจากการอานมาก (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
ฟงมาก)
• ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณของบทรอยกรอง หมายเหตุ เส้นแสดงสัมผัสบนแสดงสัมผัสอักษร ส่วนเส้นแสดงสัมผัสล่างแสดงสัมผัสสระ
เพียงพอหรือไมกับการแตงบทรอยกรองให
เกร็ดภาษา
ไพเราะ ลุมลึก
(แนวตอบ ความรู ความเขาใจในเรื่อง
ศิลปะในการประพันธ์
ฉันทลักษณจะทําใหนักเรียนเปนผูที่แตง
บทรอยกรองได แตไมพอสําหรับการแตง การแต่งค�าประพันธ์ให้ไพเราะ แสดงให้เห็นความสามารถของกวีและความงามเชิงวรรณศิลป์
บทรอยกรองใหไพเราะ นักเรียนตองมีความรู สามารถท�าได้หลายวิธี เช่น การใช้โวหาร ภาพพจน์ การเล่นค�า เล่นเสียง ดังตัวอย่างการสรรค�า
ในเชิงศิลปะแหงการประพันธ รูวาจะตองเลือก โดยการใช้ภาพพจน์แบบสัทพจน์ เพื่อให้เกิดจินตนาการ เห็นภาพและเกิดเสียงที่ได้ยินจากรส
ใชคําอยางไร ใหมีความไพเราะทั้งดานเสียง ของบทประพันธ์ เช่น
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคลอเคียง
ความหมาย ถายทอดแนวคิดไดครบถวน แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
สวนบทรอยกรองจะมีความลุมลึกหรือไมนั้น ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เพลินฟังวังเวง
ยอมขึ้นอยูกับแนวคิดและจินตนาการของ อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ผูแตงเปนสําคัญ) (กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่)
• ทักษะดานการออกเสียง มีความเกี่ยวของ
กับการแตงบทรอยกรองอยางไร บทร้อยกรองเป็นเอกลักษณ์และสมบัติทางภาษาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คง
(แนวตอบ เพราะในขณะที่แตงบทรอยกรอง อยู่ด้วยการแต่งบทร้อยกรองและพัฒนาให้มีศิลปะ เพิ่มความงามทางภาษา เนื่องด้วย
ผูแตงจะตองอานออกเสียงคําที่บรรจุลงไป บทร้อยกรองมีฉันทลักษณ์ที่บังคับเป็นกฎเกณฑ์ ส่งผลให้เป็นงานประพันธ์ที่มีสÓนวน
ในแตละวรรคดวย เพื่อตรวจสอบวาคําที่บรรจุ ภาษาดี มีความสละสลวย มีคณ ุ ค่าทัง้ ด้านภาษาและเนือ้ หา ซึง่ ให้ความรู ้ ความสนุกสนาน
ลงไปนั้นเมื่อออกเสียงแลว ทําใหทวงทํานอง ข้อคิด คติเตือนใจ ผูอ้ า่ นสามารถนÓไปปรับใช้กบั การดÓเนินชีวติ ประจÓวัน อีกทัง้ ยังเป็น
ของบทรอยกรองที่แตงมีความสะดุดหรือไม การช่วยดÓรงสมบัติทางภาษาของชาติได้เป็นอย่างดี
และหากพบวาไมเหมาะสม จะไดแกไขให
ถูกตอง เหมาะสม) 154
กิจกรรมสรางเสริม
เกร็ดแนะครู
ครูควรชี้แนะแกนักเรียนวา ผูที่แตงบทรอยกรองได คือผูที่แตงบทรอยกรองได นักเรียนอานวรรณคดีเรื่อง กาพยพระไชยสุริยา ตั้งแตวรรค “วันนั้น
ถูกตองตามฉันทลักษณทั้งจํานวนคํา วรรค และสัมผัส สวนผูที่แตงเปน คือผูที่มี จันทร...วาวอนเวียงวัง” โดยแสดงแผนผังโยงสัมผัสใหถูกตอง พรอมทั้ง
ความรูในเชิงศิลปะแหงการประพันธ สามารถสรรคําหรือเลือกคําที่มีความถึงพรอม ถอดความเปนรอยแกว ลงสมุด สงครู
ในดานเสียง ทั้งเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต เลือกใชคําที่มีความถึงพรอม
ในดานความหมาย มีพลังทําใหผูอาน ผูฟง ไดเห็น ไดยิน ไดสัมผัส นอกจากนี้
ยังตองรูขนบการประพันธ รูวาคําประพันธประเภทนี้เหมาะที่จะใชกับเนื้อความใด กิจกรรมทาทาย
การจัดวางคําใหไดเสียงเสนาะ เมื่อมีความรูในดานฉันทลักษณและศิลปะแหงการ
ประพันธ ก็เทากับวานักเรียนมีเครื่องมือสําหรับการถายทอดจินตนาการหรือแนวคิด
ของตนเอง ซึ่งความลุมลึกของบทรอยกรองแตละบทลวนเกิดจากจินตนาการหรือ นักเรียนศึกษาวรรณคดีเรื่องที่ประพันธดวยบทรอยกรองประเภทกาพย
ความคิดของผูแตง เมื่อใหนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมดานขวามือ กอนเก็บใบความรู สุรางคนางค 28 ในจํานวนเพียงพอที่จะแสดงใหเห็นรูปแบบการใชเสียง
ครูสมุ เรียกชือ่ นักเรียนกิจกรรมละ 3-5 คน แสดงผลการศึกษาและวิเคราะหแลกเปลีย่ น วรรณยุกตในคําทายวรรคแตละวรรค สรุปผลการศึกษาวิเคราะหลงสมุด
ความรู เพือ่ นําไปประยุกตใชในกิจกรรมตอๆ ไป หรือการแตงบทรอยกรองของตนเอง สงครู
154 คู่มือครู
ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้
Expand าใจ ตรวจสอบผล
Evaluate
Engage Explore Explain Expand Evaluate
ขยายความเข้าใจ Expand
นักเรียนใชความรู ความเขาใจ ที่ไดรับจาก
การฟงบรรยายของเพื่อนๆ แตละกลุม และรวมถึง
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู รองรอยความรูเดิม หรือประสบการณสวนตนของ
นักเรียน รวมกันตั้งเกณฑเพื่อกําหนดลักษณะของ
๑. ก�รศึกษ�ฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองมีประโยชน์ต่อก�รแต่งคำ�ประพันธ์อย่�งไร บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 ที่ดี สําหรับ
๒. วรรณคดีที่แต่งด้วยก�พย์ย�นี ๑๑ ที่นักเรียนรู้จักมีเรื่องใดบ้�ง ใชประเมินผลงานการแตงบทรอยกรองประเภท
๓. สัมผัสในมีคว�มสำ�คัญต่อก�รแต่งคำ�ประพันธ์หรือไม่ อย่�งไร กาพยยานี 11 ของตนเอง รวมถึงเพื่อนๆ ใน
๔. ก�พย์ฉบัง ๑๖ นิยมแต่งคำ�ประพันธ์ที่มีลักษณะเนื้อห�อย่�งไร ชั้นเรียน และใชเปนแนวทางปรับปรุงแกไขใน
๕. ก�พย์สุร�งคน�งค์มีลักษณะคำ�ประพันธ์อย่�งไร ครั้งตอไป ซึ่งคําตอบของนักเรียนควรครอบคลุม
ประเด็น ดังตอไปนี้
(แนวตอบ เชน
• มีฉันทลักษณที่ถูกตอง
• นําศิลปะแหงการประพันธมาใชไดสอดคลอง
เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
• สะทอนจินตนาการ หรือมีความลุมลึกใน
แนวคิดที่ถายทอด
• ลําดับความและสื่อความไดครบถวน)
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู จากนัน้ ใหแตงบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11
คนละไมตํ่ากวา 2 บท
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกแต่งคำ�ประพันธ์ประเภทก�พย์ คนละ ๑ ชนิด ในหัวข้อ
ที่กำ�หนด หรือให้นักเรียนกำ�หนดเอง เช่น
■ โลกร้อนจริงหนอ
ตรวจสอบผล Evaluate
■ มลพิษในชีวิต
1. ครูตรวจสอบบทรอยกรองประเภทกาพยยานี
■ คนไทยไม่แล้งนำ้�ใจ
11 โดยยึดหลักเกณฑที่นักเรียนรวมกันกําหนด
■ ขยะดีมีค่�
ขึ้นภายใตคําแนะนําของครู
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนแบ่งกลุ่ม แต่งคำ�ประพันธ์ประเภทก�พย์ต�มที่ร่วมกันกำ�หนดหัวข้อ
แล้วนำ�เสนอผลง�นหน้�ชั้นเรียน 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนแต่งคำ�ประพันธ์เกี่ยวกับก�รใช้ภ�ษ�ไทยให้ถูกต้อง เพื่อรณรงค์
ก�รใช้ภ�ษ�ไทยในโรงเรียน แล้วนำ�ม�จัดป้�ยนิเทศ
หลักฐานแสดงผลการเรียนรู
บทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 จํานวน
ไมตํ่ากวา 2 บท
155
แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. การแตงบทรอยกรองแตละประเภทสิ่งสําคัญประการแรก คือ ผูแตงจะตองมีความรู ความเขาใจ ที่ถูกตองเกี่ยวกับฉันทลักษณของบทรอยกรอง เพื่อใหสามารถแตงได
ถูกตองตามแบบแผน ทั้งเรื่องจํานวนคํา จํานวนวรรค สัมผัส และเสียงวรรณยุกต
2. วรรณคดีที่แตงดวยบทรอยกรองประเภทกาพยยานี 11 ไดแก กาพยเหชมเครื่องคาวหวาน กาพยเหเรือ กาพยพระไชยสุริยา
3. สัมผัสในแมวาจะไมใชสัมผัสบังคับที่จะตองปรากฏในบทรอยกรอง แตถือกันโดยทั่วไปวา หากผูแตงแตละคนสามารถเลือกสรรถอยคําใหมีสัมผัส เกิดความคลองจอง
ของเสียงสระ เสียงพยัญชนะภายในวรรคเดียวกันได จะยิ่งทําใหบทรอยกรองนั้นๆ มีความไพเราะมากยิ่งขึ้น เปนศิลปะแหงการประพันธ
4. กาพยฉบัง 16 ในสมัยโบราณนิยมแตงเพื่อใชเปนบทพากยโขน แตในปจจุบันนิยมแตงเปนบทสวด บทไหวครู บทสดุดีหรือเรื่องทั่วไปในการบรรยายความ
5. กาพยสุรางคนางค 28 บทหนึ่งมี 7 วรรค วรรคละ 4 คํา ซึ่งสัมผัสของกาพยสุรางคนางค 28 ไดแก สัมผัสระหวางวรรคมีจํานวน 4 แหง คือ คําทายของวรรคแรก
สงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสอง คําสุดทายของวรรคสามสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคหาและวรรคหก คําสุดทายของวรรคสี่สงสัมผัสมายังคําแรก
หรือคําที่สองของวรรคหา สวนสัมผัสระหวางบทคําสุดทายของวรรคเจ็ดในบทแรกจะสงสัมผัสมายังคําสุดทายของวรรคสามในบทตอไป
คู่มือครู 155
กระตุ้นความสนใจ ส�ำรวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
บรรณานุกรม
กองเทพ เคลือบพณิชกุล. ๒๕๔๒. การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
กุหลำบ มัลลิกะมำศ และวิพุธ โสภวงศ์. ๒๕๔๒. การเขียน ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
กุสุมำ รักษมณี. ๒๕๓๔. สีสันวรรณกรรม. กรุงเทพมหำนคร : ศยำม.
. ๒๕๓๑. ทักษะสื่อสาร ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๓๑. ทักษะสื่อสาร ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
กุสุมำ รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สังกัปภาษา ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
เจือ สตะเวทิน. ๒๕๒๒. ต�ารับวรรณคดี. กรุงเทพมหำนคร : อนงค์ศิลป์กำรพิมพ์.
ฐะปะนีย์ นำครทรรพ. ๒๕๔๓. การเขียน ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๑๙. ท ๐๔๑ การประพันธ์. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๒๖. ท ๐๔๒ การเขียน ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๒๘. บันไดหลักภาษา ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๔๒. บันไดหลักภาษา ๒. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
. ๒๕๔๒. บันไดหลักภาษา ๓. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
ฐะปะนีย์ นำครทรรพ และคณะ. ๒๕๔๒. ภาษาสุนทร ๑. กรุงเทพมหำนคร : อักษรเจริญทัศน์.
ณรงค์ มั่นเศรษฐวิทย์. ๒๕๔๐. ภาษากับความคิด. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
นววรรณ นำครสรรพ. ๒๕๒๗. ไวยากรณ์ไทย. กรุงเทพมหำนคร : รุ่งเรืองสำส์นกำรพิมพ์.
บรรจบ พันธุเมธำ. ๒๕๓๔. ลักษณะภาษาไทย. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์คุรุสภำ.
ผจงวำด พูลแก้ว. ๒๕๔๗. แบบฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน. กรุงเทพมหำนคร : สุวีริยำสำส์น.
ไพศำล อินทวงศ์. ๒๕๔๗. ตามรอยโหมโรง. กรุงเทพมหำนคร : สุวีริยำสำส์น.
. ๒๕๓๘. เอกสารการสอนชุดการใช้ภาษาไทย (ฉบับปรับปรุง) หน่วยที่ ๙-๑๕. นนทบุรี : โรงพิมพ์
มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ ๑-๗. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย
สุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๓๔. เอกสารการสอนชุดการอ่านภาษาไทย หน่วยที่ ๘-๑๕. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์มหำวิทยำลัย
สุโขทัยธรรมำธิรำช.
. ๒๕๔๔. เอกสารการสอนชุดการเขียนเพื่อการสื่อสารธุรกิจ หน่วยที่ ๑-๘. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์
มหำวิทยำลัยสุโขทัยธรรมำธิรำช.
รำชบัณฑิตยสถำน. ๒๕๕๐. พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย ภาคฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหำนคร : รำชบัณฑิตยสถำน.
รำชบัณฑิตยสถำน. ๒๕๕๖. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหำนคร : ศิริวัฒนำ
อินเตอร์พริ้นท์ จ�ำกัด (มหำชน).
วนิดำ จันทรุจิรำกร. ๒๕๔๓. อินเทอร์เน็ต มิติใหม่ของการสื่อสาร. กรุงเทพมหำนคร : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น.
วำสนำ บุญสม. ๒๕๓๙. กลอนสัมผัสใจได้อย่างไร. กรุงเทพมหำนคร : ลินคอร์น โปรโมชั่น.
วิจิตร อำวะกุล. ๒๕๔๐. เพื่อการพูดการฟังและการประชุมที่ดี. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
สนิท ตั้งทวี. ๒๕๓๖. อ่านไทย. กรุงเทพมหำนคร : โอเดียนสโตร์.
สุวิทย์ มูลค�ำ. ๒๕๔๕. ชวนครูฮาพานักเรียนเฮ. กรุงเทพมหำนคร : หจก.ภำพพิมพ์.
อัจฉรำ ชีวพันธ์. ๒๕๔๔. อ่านสนุก-ปลุกส�านึก. กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
อัศศิริ ธรรมโชติ. ๒๕๓๐. ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง. กรุงเทพมหำนคร : ก.ไก่.
อุปกิตศิลปสำร, พระยำ. ๒๕๓๕. หลักภาษาไทย : อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหำนคร :
ไทยวัฒนำพำนิช.
156
156 คู่มือครู