You are on page 1of 260

ภาษาไทย

เอกสารประกอบคูมือครู
วิชา กลุมสาระการเร�ยนรู้ ภาษาไทย

หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.3
ลักษณะเดน คูมือครู ฉบับนี้ สําหร
ับค รู

สวนเสริมด้านหน้า
การใชวฏั จักรการเรียนรู 5Es : กระบวนการพัฒนาศักยภาพการคิด
และการสรางองคความรู
การใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5Es : กระบวนการพัฒนาศักยภาพการคิด
และการสร้างองค์ความรู้
รูปแบบการสอนที่สัมพันธ์กับกระบวนการคิดและการท�างานของสมองของผู้เรียนที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย
ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คือ วัฏจักรการเรียนรู้ 5Es ซึ่งผู้จัดท�าคู่มือครูได้น�ามาใช้เป็นแนวทางออกแบบ
กิจกรรมการเรียนการสอนในคู่มือครูฉบับนี้ตามล�าดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้

กระตุน้ ความสนใจ
Engage
• เป็นขั้นที่ผู้สอนน�ำเข้ำสู่
บทเรียน เพื่อกระตุ้น
ควำมสนใจของนักเรียน
ด้วยเรื่องรำว หรือ
ส�ารวจค้นหา
Explore
• เป็นขั้นที่ผู้สอนเปิด
โอกำสให้ผู้เรียนสังเกต
และร่วมมือกันส�ำรวจ
เพื่อให้เห็นปัญหำ
อธิบายความรู้
Explain
• เป็นขั้นที่ผู้สอนมี
ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
เช่น ให้กำรแนะน�ำ
ขยายความเข้าใจ
Expand
• เป็นขั้นที่ผู้สอนได้ใช้
เทคนิควิธีกำรสอน
ทีช่ ่วยพัฒนำผู้เรียน
ตั้งค�ำถำมกระตุ้นให้คิด ให้น�ำควำมรู้ที่เกิดขึ้น
ตรวจสอบผล
Evaluate
• เป็นขั้นที่ผู้สอนประเมิน
มโนทัศน์ของผู้เรียน
โดยตรวจสอบจำก
ควำมคิดที่เปลี่ยนไป
ประกอบด้วย
1. กระตุ้นความสนใจ : Engage
เหตุกำรณ์ที่น่ำสนใจ รวมถึงวิธีกำรศึกษำ เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นหำ ไปคิดค้นต่อๆ ไป และควำมคิดรวบยอด
ค้นคว้ำข้อมูลควำมรู้ ค�ำตอบ เพือ่ พัฒนำทักษะ ที่เกิดขึ้นใหม่ ตรวจสอบ
• ใช้เทคนิควิธีกำรสอน
และค�ำถำมทบทวนควำมรู ้ ที่จะน�ำไปสู่ควำมเข้ำใจ • น�ำข้อมูลควำมรู้จำก กำรเรียนรู้และ ทักษะ กระบวนกำร
หรือประสบกำรณ์เดิม ประเด็นปัญหำนั้นๆ กำรศึกษำค้นคว้ำ กำรท�ำงำนร่วมกัน ปฏิบัติ กำรแก้ปัญหำ
เป็นกลุ่ม ระดมสมอง กำรตอบค�ำถำมรวบยอด
ของผู้เรียน เพื่อเชื่อมโยง • ให้นักเรียนท�ำควำม ในขัน้ ที ่ 2 มำวิเครำะห์
ผู้เรียนเข้ำสู่บทเรียนใหม่ เข้ำใจในประเด็นหัวข้อ แปลผล สรุปผล เพื่อคิดสร้ำงสรรค์ และกำรเคำรพควำมคิด
ร่วมกัน หรือยอมรับเหตุผล
• ช่วยให้นักเรียนสำมำรถ ที่จะศึกษำค้นคว้ำ • น�ำเสนอผลที่ได้ศึกษำ ของคนอื่นเพื่อกำร
สรุปประเด็นส�ำคัญที่เป็น อย่ำงถ่องแท้ • นักเรียนสำมำรถน�ำ

2. ส�ารวจค้นหา : Explore
ค้นคว้ำมำในรูปแบบ สร้ำงสรรค์ควำมรู้
หัวข้อกำรเรียนรู้ของ แล้วลงมือปฏิบตั ิ สำรสนเทศต่ำงๆ เช่น ควำมรู้ที่สร้ำงขึ้นใหม่
เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ไปเชื่อมโยงกับ ร่วมกัน
บทเรียนได้ เขียนแผนภูมิ แผนผัง
ควำมรู้ แสดงมโนทัศน์ ประสบกำรณ์เดิม • นักเรียนสำมำรถ
• ส�ำรวจตรวจสอบ เขียนควำมเรียง โดยน�ำข้อสรุปที่ได้ไป ประเมินผลกำรเรียนรู้
อธิบำยในเหตุกำรณ์ ของตนเอง เพื่อสรุปผล
โดยวิธีกำรต่ำงๆ เช่น เขียนรำยงำน เป็นต้น
สัมภำษณ์ ทดลอง ต่ำงๆ หรือน�ำไปปฏิบัติ ว่ำนักเรียนมีควำมรู้
อ่ำนค้นคว้ำข้อมูล ในสถำนกำรณ์ใหม่ๆ อะไรเพิ่มขึ้นมำบ้ำง
ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต มำกน้อยเพียงใด และ
จำกเอกสำร แหล่ง

3. อธิบายความรู้ : Explain
ข้อมูลต่ำงๆ จนได้ ประจ�ำวันของตนเอง จะน�ำควำมรู้เหล่ำนั้น
ข้อมูลควำมรู้ตำมที่ เพื่อขยำยควำมรู้ ไปประยุกต์ใช้ในกำร
ควำมเข้ำใจให้ เรียนรู้เรื่องอื่นๆ
ตั้งประเด็นศึกษำไว้
กว้ำงขวำงยิ่งขึ้น ได้อย่ำงไร
• นักเรียนจะเกิดเจตคติ
และเห็นคุณค่ำของ
ตนเองจำกผลกำร
เรียนรู้ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็น

4. ขยายความเข้าใจ : Expand
กำรเรียนรู้ที่มีควำมสุข
อย่ำงแท้จริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักรการสร้างความรู้แบบ 5Es จึงเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน


เป็นส�าคัญ สอดคล้องกับบันได 5 ขั้น ของ สพฐ. โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
และฝึกฝนให้ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มอย่างช�านาญ ก่อให้เกิดทักษะที่จ�าเป็นในศตวรรษที่ 21 คือ
ทักษะการท�างาน ทักษะชีวิต และการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างมีคุณภาพ ตามเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2556 - 2558) ทุกประการ

เสริม 2 5. ตรวจสอบผล : Evaluate

เนื้อหาในเลม กระบวนการจัดการเรียนรูแบบ 5Es


กระตุนความสนใจ
Engage

สํารวจคนหา
สํารวจคนหา

1. แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม โดย


Explore อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
กระตุนความสนใจ
Engage
สํารวจคนหา
Explore
อธิบายความรู
Explain
ขยายความเขาใจ
Expand
ตรวจสอบผล
Evaluate
กระบวนการจัดการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์
ช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้
ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาจับ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) อธิบายความรู
สลากเพื่อคนหาความรูในประเด็น ๓.๒ การเขียนกรอบความคิด เรื่องฉันท์พาลีสอนน้อง
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ดังตอไปนี้ ๑) ข้อมูลเบือ้ งต้น ฉันท์พาลีสอนน้องเป็นวรรณกรรมค�าสอนทีอ่ าศัยเค้าเรือ่ ง เหตุการณ์ อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ
1. ประวัติวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ จากเรือ่ งรามเกียรติต์ อนทีพ่ าลีสงั่ เสียสุครีพและองคต โดยแทรกความเชือ่ เกีย่ วกับจริยธรรม หน้าที่ และ ขั้นตอนที่ ๒ บอกประเภทและจุดมุ่งหมายของเรื่อง รอบวง โดยครูใหนักเรียนมีโอกาส
2. เนื้อหาที่นําเสนอ ข้อควรปฏิบัติส�าหรับข้าราชการ กวีนิพนธ์บทนี้ ไม่ได้เคร่งครัดในเรื่องฉันทลักษณ์ของค�าประพันธ์ แต่เน้นที่การถ่ายทอด แสดงความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
3. ภูมิหลังของตัวละคร ไดแก ส�าหรับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับผู้แต่ง และสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ไม่มีการบันทึก อารมณ์ความรู้สึกที่ผู้แต่งมีต่อสังคมไปยังผู้อ่าน ผู้ฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนเกิดจิตส�านึก ลักษณะการนําเสนอของตัวอยาง
พระราม พาลี สุครีพ และองคต ไว้ว่าใครเป็นผู้แต่งและแต่งขึ้นเมื่อใด แต่เมื่อพิจารณาจากจารึกที่วัดพระเชตุพนฯ เมื่อคราวบูรณะวัด ร่วมกัน เห็นใจในความทุกข์ยากของผู้ยากไร้ในสังคมและพร้อมต่อสู้ไปพร้อมกันเพื่อเดินทางไปพบ การอานวิเคราะห วิจารณ
2. นักเรียนสํารวจตัวอยางการ ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๔ โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมสมเด็จ- (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
กับวันใหม่ สังคมใหม่ที่ดีกว่า ที่ปราศจากการกดขี่

เน�้อหาชวยครูเตรียมการสอน
แตกประเด็นความคิดหลักและ พระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพิจารณารวบรวมวรรณคดี และสรรพวิชาการต่างๆ เพื่อจารึกไว้ ณ
ขั้นตอนที่ ๓ กล่าวถึงบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ่าน อยางหลากหลายตามความคิดเห็น
ประเด็นความคิดรองของการเขียน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม อาจตัง้ ข้อสันนิษฐานได้วา่ วรรณกรรมเรือ่ งฉันท์พาลีสอนน้องน่าจะแต่ง
ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา เกิดเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ของตน)
กรอบความคิดเรื่อง ฉันทพาลี ขึ้นภายใน หรือก่อนหน้าปี พ.ศ. ๒๓๗๔ แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
สอนนอง ๒) เนือ้ เรือ่ งย่อโดยสังเขป กล่าวถึง พาลีเมือ่ ต้องศรพรหมาสตร์ของพระราม แม้ศรจะ เดิมชื่อ ประคิณ กรองทอง เข้าศึกษาที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย
จะท�าอันตรายพาลีไม่ได้ แต่ดว้ ยระลึกได้ถงึ การผิดค�าสัตย์จงึ ยอมเสียสละชีวติ ไว้เพือ่ คงความสัตย์ แต่กอ่ น สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นทีห่ นึง่ ของประเทศ จบปริญญาโทเกียรตินยิ ม ภาษาฝรัง่ เศส พ.ศ. ๒๔๘๘ ขยายความเขาใจ
ตายนัน้ พาลีได้เรียกสุครีพและองคต เข้ามาสัง่ สอนวัตรปฏิบตั ใิ นการเป็นข้าราชการใต้เบือ้ งพระยุคลบาท และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ปารีส ๑ ปี ระหว่างศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ได้อ่านหนังสือวรรณคดี
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
เช่น “ให้เฝ้าแหนพระมหากษัตริย์อย่างสม�่าเสมอ” “อย่าทะนงตนว่าคุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์” “ไม่ ชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสจ�านวนมาก ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดที่จะสร้างสรรค์งานที่มีค่าต่อสังคม เมื่อ
เกร็ดแนะครู องคความรูเกี่ยวกับแนวทางการ
ท�าเกินพระราชโองการ พึงเกรงกลัวพระราชอาชญา” “ให้พิจารณาคดีที่ทรงมอบหมายให้ ให้ถูกต้อง กลับมาเป็นอาจารย์มีโอกาสได้ติดตามนายแพทย์และบาทหลวงเข้าไปท�างานที่แหล่งเสื่อมโทรม
อานวิเคราะห วิจารณ และลักษณะ
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ เป็นธรรมตามระบอบ” ตอนท้ายเรือ่ งเป็นการย�า้ ให้ทงั้ สุครีพและองคต จดจ�าและประพฤติตามค�าสอน และมีจิตส�านึกแบบชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดว่าควรจะต้องท�าอะไรเพื่อคนจน ท�าให้เธอได้เขียน รูปแบบการนําเสนอของตัวอยาง
พุทธประวัติของพระพุทธเจาทั้ง 10 นี้เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล บทกวีทสี่ ะท้อนภาพสังคมในเชิงมนุษยธรรม และต่อมาเธอกลับมาเป็นอาจารย์ทคี่ ณะอักษรศาสตร์ การอานวิเคราะห วิจารณ จากนั้น

เกร็ดแนะครู แทรกความรู้เสริม ข้อเสนอแนะ ข้อควรระวัง


ชาติ ซึ่งชาติที่ 9 มีความเกี่ยวของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและได้สมรสกับหม่อมหลวงจิตรสาน ชุมสาย ครูนําตัวอยางกวีนิพนธ “เพียงความ
กับฉันทพาลีสอนนอง คือชาติที่ ประเด็นในการเขียนกรอบความคิด : “ฉันท์พาลีสอนน้อง” ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา เริม่ เขียนกลอนตัง้ แต่เข้าเรียนทีค่ ณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เคลื่อนไหว” ของ เนาวรัตน
พระพุทธเจาเสวยพระชาติเปน ๑) ลักษณะต้นฉบับ มหาวิทยาลัย ใช้นามปากกาว่า “อุชเชนี” พ.ศ. ๒๔๘๙ เริม่ เขียนกลอนสัน้ “มะลิแรกแย้ม” ลงพิมพ์ พงษไพบูลย มาใหนักเรียนอาน
พระวิธูร เพื่อบําเพ็ญสัจจะบารมี ■ ผนังด้านในศาลา หน้าพระมหาเจดีย์หลังใต้ ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในหนังสือ “บ้าน - กับโรงเรียน” ในนาม “มลิสด” พ.ศ. ๒๔๙๑ เปลี่ยนแนวการแต่งจากรักเป็น วิเคราะห วิจารณโดยใชแนวทางที่
๑๙ บท เรื่องของคนทุกข์ยากคือ “ใต้ - โค้งสะพาน” ลงในหนังสือ “การเมือง” พ.ศ. ๒๔๙๙ มีการรวม ไดศึกษา

ข้อสังเกต และแนวทางการจัดกิจกรรม
■ บทที่ ๒๐ – ๓๕ ช�าระตามฉบับพิมพ์ ปี ๒๔๗๒ พิมพ์เป็นเล่ม โดยใช้นามปากกา อุชเชนี ส�าหรับกวีนิพนธ์ และนิด นรารักษ์ ซึ่งเป็นนามปากกาที่
นักเรียนควรรู ๒) จุดมุ่งหมาย ใช้สา� หรับงานเขียนประเภทความเรียงร้อยแก้ว ชือ่ “ขอบฟ้าขลิบทอง” บอกเล่าเรือ่ งราวเพือ่ เสริม
ตรวจสอบผล
เพื่อสั่งสอนข้อปฏิบัติตนของข้าราชการ สร้างการมองโลกในแง่ดี โดยเฉพาะความรู้สึกของชนชั้นกลางที่เห็นคุณค่าของชนชั้นที่ต�่ากว่า ไม่มี
วรรณกรรมคําสอน หมายถึง

๓) ลักษณะวรรณกรรม การแบ่งชั้นวรรณะ ระหว่างความรวยและความจน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน อธิบายการ


วรรณกรรมซึ่งมุงแสดงแนวทาง อานวิเคราะห วิจารณบทกวีนิพนธ
เป็นวรรณกรรมค�าสอนส�าหรับสอนข้าราชการ จากที่อุชเชนีมีผลงานการประพันธ์ที่ทรงคุณค่า จึงได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ
ปฏิบัติตนในสังคม เชน สุภาษิต

เป็นการเสนอหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า “ราชวัสดีธรรม” คือ ธรรมส�าหรับ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) พร้อมกับ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ “เพียงความเคลื่อนไหว” ใหเพื่อนฟง
พระรวง กฤษณาสอนนองคําฉันท

ข้าราชการ หนาชัน้ เรียน ครูประเมินความถูกตอง


โคลงโลกนิติ อิศรญาณภาษิต โคลง ขั้นตอนที่ ๔ วิเคราะห์เนื้อเรื่องในด้านต่างๆ

นักเรียนควรรู ขยายความรู้เพิ�มเติมจากเน�้อหา เพื่อให้ครูน�าไปใช้


ค�าสอนบางส่วนเขียนขึ้นใหม่ตามสภาพความจ�าเป็นของสังคมในสมัยที่แต่ง กวีนพิ นธ์ “อยูเ่ พือ่ อะไร” ของอุชเชนี มีความโดดเด่นทีแ่ ก่นเรือ่ งหรือแนวคิดของผูป้ ระพันธ์
โสฬสไตรยางค โคลงนฤทุมนาการ

น�าเสนอโดยผ่านตัวละคร “พาลี”
เปนตน

ทีต่ อ้ งการสือ่ สารมายังผูอ้ า่ น ลักษณะการใช้ถอ้ ยค�าเพือ่ การสือ่ สารทัง้ แบบตรงไปตรงมาและแฝงนัย @
30 ส�าคัญบางประการไว้ ถ้อยค�าแต่ละค�าทีถ่ กู ร้อยเรียงเกีย่ วเนือ่ งกันจะแฝงไว้ซงึ่ อารมณ์ความรูส้ กึ ของ มุม IT
EB GUIDE http://www.aksorn.com/LC/Thai_Gra/M3/04
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและ
ผลงานของศิลปนแหงชาติ สาขา
นักเรียนควรรู 41
วรรณศิลปหรือสาขาอื่นไดจาก
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เปนวัดประจํารัชกาลที่ 1 และมหาวิทยาลัยแหงแรกของประเทศไทย
เนื่องจากเปนที่รวบรวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และยูเนสโกไดขึ้นทะเบียนเปนมรดกความทรงจําโลกของภูมิภาค
เอเชียแปซิฟก
เว็บไซตของสํานักงานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแหงชาติ http://artcul-
ture.go.th/
อธิบายเพิ�มเติมให้นักเรียน
30 คูมือครู

คูมือครู 41
@ มุม IT แนะน�าแหล่งค้นคว้าจากเว็บไซต์

สวนเสริมด้านท้าย
แบบทดสอบว�ชา
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3
ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ภาคเร�ยนที่
ชุดที่ 1
1 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
¤Ðá¹¹ÃÇÁ
50 แบบทดสอบอิงมาตรฐาน โครงการบูรณาการ
การเร�ยนรูสูบันได 5 ขั้น
โครงการบูรณาการ
เนนการคิด การเรียนรูสูบันได 5 ขั้น
ชื่อ …………………………………………………………………………………………………….. นามสกุล ……………………………………………………………………………………………..
เลขประจําตัวสอบ ……………………………………………………………………. โรงเรียน ……………………………………………………………………………………………. 1. ชื่อโครงการ สรางนิทานสานแนวคิด
สอบวันที่ …………………….. เดือน ………………………………………………… พ.ศ. ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด 2. หลักการและเหตุผล
การเลานิทานเกิดขึ้นมานานและในทุกสังคมทุกชาติพันธุ ทั้งที่มีและไมมีตัวอักษรใชแทนเสียงพูด แตปจจุบันมนุษยสามารถหาความ
ตอนที่ 1 1. แบบทดสอบฉบับน�้มีทั้งหมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ บันเทิงไดจากสื่ออื่น พฤติกรรมการเลานิทานสูกันฟงจึงเลือนหายไป ดังนั้น เพื่อไมใหการเลานิทาน เรื่องเลาเรื่องแรกๆ ในชีวิต เรื่องเลา

วิเคราะห์มาตรฐานตัวชี้วัด เป็นตัวอย่างการจัดท�า
ที่ชวยกระชับความสัมพันธครอบครัว เรื่องเลาที่ชวยสรางจินตนาการ สานแนวคิด ทัศนคติที่ดีตอการใชชีวิตเลือนหายไป นักเรียนจึงควร
¤Ðá¹¹àµçÁ
2. ใหนักเรียนเลือกคําตอบที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 40 เรียนรูเกี่ยวกับนิทาน สามารถสรางสรรคนิทานได เพื่อสืบทอดพฤติกรรมการเลานิทาน สงตอแนวคิดที่ดีในนิทานใหผูอื่นตอไป

พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 1. 2. บทรอยกรองนีเ้ หมาะสมทีจ่ ะนํามาใชฝก อานทํานองเสนาะ ● 3. วัตถุประสงคของโครงการ


C หรือไม เพราะเหตุใด 1. เพือ่ ศึกษาความหมายของนิทาน ประวัตคิ วามเปนมา ประเภท จุดประสงค คุณคาของนิทาน และรูปแบบการเลานิทานทีช่ ว ยกระชับ
เพื่อนในกลุมมีลักษณะโดดเดน ดังนี้ ความสัมพันธ เสริมสรางจินตนาการ และสานแนวคิดในนิทานใหแกผูฟง
แบบทดสอบ

1. เหมาะสม เพราะมีความไพเราะของสัมผัสใน
หนอย มีบุคลิกภาพดี 2. เพื่อใหมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับนิทาน และสามารถสรางสรรคนิทานเรื่องใหมที่ใหทั้งความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด

ที่สัมพันธ์กับแบบทดสอบ โครงการ เพื่อเป็นแนวทาง


2. เหมาะสม เพราะมีจํานวนคําพอดีกับการทอดเสียง
แบบทดสอบ

นิด ออกเสียงไดถูกตองตามอักขรวิธี 3. ไมเหมาะสม เพราะแบงจังหวะไดไมเทากันทุกวรรค 3. เพื่อเสริมสรางทักษะการอานออกเสียง การสรางสรรคงานเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห


ติ๋ว มีไหวพริบปฏิภาณ 4. ไมเหมาะสม เพราะควรฝกจากบทรอยกรอง
แตม มีแกวเสียงที่แจมใส ประเภทโคลง 4. เปาหมาย
ผูเ ขารวมโครงการตระหนักในคุณคา ความสําคัญของนิทาน และสามารถสรางสรรคนทิ านเรือ่ งใหมทสี่ รางความสัมพันธ ใหจนิ ตนาการ
โครงการบูรณาการ

อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 3.
โครงการบูรณาการ

1. ถาครูใหนักเรียนเสนอชื่อเพื่อนเพื่อเปนตัวแทนประกวด และแนวคิดเลาสูผูอื่นได
C อานออกเสียง ควรเสนอเพื่อนคนใด เพราะเหตุใด กรุงเทพมหานคร นามรบิล

วิเคราะห์ระดับพฤติกรรม ในการน�าความรู้ที่เรียน
1. หนอย เพราะมีเสนห ดึงดูดความสนใจ เอาเลือดทาแผนดิน ทาบสราง 5. ขั้นตอนการจัดกิจกรรม
2. นิด เพราะชวยใหบทอานมีความนาสนใจ แผนดินตอแผนดิน ผานอดีต คําชี้แจง ใหนักเรียนแบงกลุมเทาๆ กัน แตละกลุมปฏิบัติโครงการ “สรางนิทานสานแนวคิด” ตามขั้นตอน ดังนี้
3. แตม เพราะทําใหอานไดไพเราะ และนาฟง
4. ติ๋ว เพราะสามารถแกไขปญหาเฉพาะหนาได
เลือดทวมนองทองชาง ชุมเมือง
นาฏกรรมบนลานกวาง : คมทวน คันธนู ● ขั้นที่ 1 ตั้งประเด็นคําถาม
นักเรียนแตละกลุมรวมกันวิเคราะหวาจะมีแนวทางอยางไร ที่จะสรางสรรคนิทานเรื่องใหมโดยวิวัฒนจากนิทานเรื่อง
อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 2. 3. คําเสนอแนะในข
เสนอแนะในขอใดเปนจริง ที่สมาชิกของกลุมเคยไดฟง แตตองเปนนิทานที่ใหทั้งความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด
C 1. บาทที่ 4 แบงจังหวะใหถูก คือ “เลือดทวม/ ขั้นที่ 2 สืบคนความรู

การคิดที่สัมพันธ์กับ ไปประยุกต์ใช้
อันออยตาลหวานลิ้นแลวสิ้นซาก นองทองชาง ชุมเมือง” นักเรียนแตละกลุม ศึกษาขอมูลเกีย่ วกับนิทานในดานตางๆ โดยมุง เนนไปทีว่ ธิ กี ารสรางสรรค อาจใหเพือ่ นสมาชิกเลานิทาน
แตลมปากหวานหูไมรูหาย 2. คําวา “นคร” ใหออกเสียงวา “นะ-คะ-ระ” ลงนํ้าหนัก เรื่องที่ตนเองประทับใจ เพื่อคนหาแนวทางที่หลากหลาย
แมนเจ็บอื่นหมื่นแสนไมแคลนคลาย เสียงของคําเทากันทุกคํา ขั้นที่ 3 สรุปองคความรู
เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บใหเจ็บใจ 3. คําวา “นคร” ใหเนนเสียงที่คําวา “นะ” และ “ระ” นักเรียนแตละกลุมนําขอมูลเกี่ยวกับวิธีการสรางสรรคนิทาน รวมถึงนิทานเรื่องที่สมาชิกแตละคนประทับใจ วิเคราะห
พระอภัยมณี : สุนทรภู รวบเสียงเมื่ออานคําวา “คะ” สังเคราะห สรุปเปนแนวทางการสรางสรรคนิทานของกลุม
4. คําวา “นคร” ใหรวบเสียงที่คําวา “นะ-คะ” และลง ขั้นที่ 4 การสื่อสารและนําเสนอ

แบบทดสอบ
นํ้าหนักเสียงที่คําวา “ระ” นักเรียนแตละกลุม รวมกันสรางสรรคนทิ านเรือ่ งใหมที่ใหทงั้ ความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด ตรวจสอบความถูกตอง
นําเสนอเปนรูปเลม พรอมสรางสรรคภาพประกอบ
ขั้นที่ 5 บริการสังคมและสาธารณะ
ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา นักเรียนทุกกลุมประชุมรวมกัน กําหนดวันที่จะเผยแพรนิทานที่สรางสรรคขึ้นใหมนี้ผานรายการเสียงตามสายของโรงเรียน
A B C D E F โดยเผยแพรดวยวิธีการเลาสัปดาหละหนึ่งเรื่อง เพื่อใหเพื่อนๆ พี่ๆ นองๆ ในโรงเรียนไดฟงนิทานที่ใหทั้งจินตนาการ
และแนวคิด
(3)

มีเฉลยละเอียด
โครงการวัดและประเมินผล
โครงการวัดและประเมินผล (62)

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา


A B C D E F

เสริม 1
การใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 5Es : กระบวนการพัฒนาศักยภาพการคิด
และการสร้างองค์ความรู้
รูปแบบการสอนที่สัมพันธ์กับกระบวนการคิดและการท�ำงานของสมองของผู้เรียนที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย
ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ คือ วัฏจักรการเรียนรู้ 5Es ซึ่งผู้จัดท�ำคู่มือครูได้น�ำมาใช้เป็นแนวทางออกแบบ
กิจกรรมการเรียนการสอนในคู่มือครูฉบับนี้ตามล�ำดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้

กระตุน้ ความสนใจ ส�ำรวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล


Engage Explore Explain Expand Evaluate
• เป็นขั้นที่ผู้สอนน�ำเข้าสู่
• เป็นขั้นที่ผู้สอนเปิด • เป็นขั้นที่ผู้สอนมี • เป็นขั้นที่ผู้สอนได้ใช้ • เป็นขั้นที่ผู้สอนประเมิน
บทเรียน เพื่อกระตุ้น โอกาสให้ผู้เรียนสังเกต ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน เทคนิควิธีการสอน มโนทัศน์ของผู้เรียน
ความสนใจของนักเรียน และร่วมมือกันส�ำรวจ เช่น ให้การแนะน�ำ ที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน โดยตรวจสอบจาก
ด้วยเรื่องราว หรือ เพื่อให้เห็นปัญหา ตั้งค�ำถามกระตุ้นให้คิด ให้น�ำความรู้ที่เกิดขึ้น ความคิดที่เปลี่ยนไป
เหตุการณ์ที่น่าสนใจ รวมถึงวิธีการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นหา ไปคิดค้นต่อๆ ไป และความคิดรวบยอด
ค้นคว้าข้อมูลความรู้ ค�ำตอบ เพื่อพัฒนาทักษะ ที่เกิดขึ้นใหม่ ตรวจสอบ
• ใช้เทคนิควิธีการสอน
ที่จะน�ำไปสู่ความเข้าใจ การเรียนรู้และ ทักษะ กระบวนการ
และค�ำถามทบทวนความรู ้ • น�ำข้อมูลความรู้จาก
ประเด็นปัญหานั้นๆ การท�ำงานร่วมกัน ปฏิบัติ การแก้ปัญหา
หรือประสบการณ์เดิม การศึกษาค้นคว้า
ของผู้เรียน เพื่อเชื่อมโยง • ให้นักเรียนท�ำความ เป็นกลุ่ม ระดมสมอง การตอบค�ำถามรวบยอด
ในขัน้ ที่ 2 มาวิเคราะห์
เพื่อคิดสร้างสรรค์ และการเคารพความคิด
ผู้เรียนเข้าสู่บทเรียนใหม่ เข้าใจในประเด็นหัวข้อ แปลผล สรุปผล
ร่วมกัน หรือยอมรับเหตุผล
ที่จะศึกษาค้นคว้า
• ช่วยให้นักเรียนสามารถ • น�ำเสนอผลที่ได้ศึกษา ของคนอื่นเพื่อการ
สรุปประเด็นส�ำคัญที่เป็น อย่างถ่องแท้ • นักเรียนสามารถน�ำ
ค้นคว้ามาในรูปแบบ สร้างสรรค์ความรู้
แล้วลงมือปฏิบตั ิ ความรู้ที่สร้างขึ้นใหม่
หัวข้อการเรียนรู้ของ สารสนเทศต่างๆ เช่น ร่วมกัน
เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ไปเชื่อมโยงกับ
บทเรียนได้ เขียนแผนภูมิ แผนผัง
ความรู้ ประสบการณ์เดิม • นักเรียนสามารถ
แสดงมโนทัศน์
โดยน�ำข้อสรุปที่ได้ไป ประเมินผลการเรียนรู้
• ส�ำรวจตรวจสอบ เขียนความเรียง
อธิบายในเหตุการณ์ ของตนเอง เพื่อสรุปผล
โดยวิธีการต่างๆ เช่น เขียนรายงาน เป็นต้น
ต่างๆ หรือน�ำไปปฏิบัติ ว่านักเรียนมีความรู้
สัมภาษณ์ ทดลอง
ในสถานการณ์ใหม่ๆ อะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง
อ่านค้นคว้าข้อมูล
ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต มากน้อยเพียงใด และ
จากเอกสาร แหล่ง
ข้อมูลต่างๆ จนได้ ประจ�ำวันของตนเอง จะน�ำความรู้เหล่านั้น
เพื่อขยายความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในการ
ข้อมูลความรู้ตามที่
ความเข้าใจให้ เรียนรู้เรื่องอื่นๆ
ตั้งประเด็นศึกษาไว้
กว้างขวางยิ่งขึ้น ได้อย่างไร
• นักเรียนจะเกิดเจตคติ
และเห็นคุณค่าของ
ตนเองจากผลการ
เรียนรู้ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็น
การเรียนรู้ที่มีความสุข
อย่างแท้จริง

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวัฏจักรการสร้างความรู้แบบ 5Es จึงเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน


เป็นส�ำคัญ สอดคล้องกับบันได 5 ขั้น ของ สพฐ. โดยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
และฝึกฝนให้ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มอย่างช�ำนาญ ก่อให้เกิดทักษะที่จ�ำเป็นในศตวรรษที่ 21 คือ
ทักษะการท�ำงาน ทักษะชีวิต และการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างมีคุณภาพ ตามเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ของกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2556 - 2558) ทุกประการ

เสริม 2
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน

ภาษาไทย
หลักภาษาและการใชภาษา ม.๓
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๓
กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเรียบเรียง
นางฟองจันทร สุขยิ่ง
นางกัลยา สหชาติโกสีย
นายภาสกร เกิดออน
นางสาวระวีวรรณ อินทรประพันธ
นายศานติ ภักดีคํา
นายพอพล สุกใส
ผูตรวจ
นางจินตนา วีรเกียรติสุนทร
นางวรวรรณ คงมานุสรณ
นายศักดิ์ แวววิริยะ
บรรณาธิการ
นายเอกรินทร สี่มหาศาล
นางประนอม พงษเผือก

พิมพครั้งที่ ๑๙
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา ๒๓๑๑๐๐๓

คณะผูจัดทําคูมือครู
¾ÔÁ¾¤ÃÑ駷Õè 10 • ประนอม พงษเผือก • พิมพรรณ เพ็ญศิริ
ÃËÑÊÊÔ¹¤ŒÒ 2341012 • สมปอง ประทีปชวง
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹
หนังสือเรียน หลักภาษาและการใชภาษาเลมนี้ เปนสือ่ สําหรับใชประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาพืน้ ฐาน กลุม สาระ
การเรียนรูภ าษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปที่ ๓
เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียน
ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอน
และการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอืน่ ๆ ทีจ่ ะชวยทําใหผเู รียนไดรบั ความรูอ ยางมีประสิทธิภาพ
à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ
ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹
¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ ¹íÒàʹÍà¹×Íé ËÒã¹ÃٻẺµÒÃÒ§ à¡Ãç´ÀÒÉÒ໚¹àÃ×èͧ¹‹ÒÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ
Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ à¾×èÍãËŒ§‹Òµ‹Í¤ÇÒÁࢌÒã¨áÅÐ ¨Ò¡à¹×éÍËÒ ÁÕá·Ã¡à»š¹ÃÐÂÐæ
à¡Ô´¤ÇÒÁ¤Ô´ÃǺÂÍ´

่หัว
มเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู
่มเกิดขึ้นตั้งแต่รัชกำลพระบำทส
ค�ำศัพท์บัญญัติในภำษำไทยเริ ดต่อค้ำขำยกับชำวตะวนั ตก ท�
ำให้มคี ำ� ในภำษำ à¡Ãç´ÀÒÉÒ
งจำกในรัชกำลนัน้ ได้มกี ำรติ ำวหน้ำทำงวิทยำกำร
รัชกำลที ่ ๔ เป็นต้นมำ เนือ่ นวนมำ ก เพื ่อตอบสนองต่อควำมเจริญก้
ทักษะการฟง
ป็ น จ� ำ
อังกฤษปะปนเข้ำมำในภำษำไทยเ
ศเข้ำมำ
ที่รับจำกตะวันตก น ท�ำให้ค�ำภำษำต่ำงประเท
งประเทศเข้ำมำเป็นเวลำนำ
แต่เมื่อมีกำรรับค�ำภำษำต่ำ ทสมเด็จพระจุลจอมเกลำ้ เจ้
ำอยูห่ วั และ ทักษะทางดานการฟงเปนทัก
ก ด้วยเหตุนใี้ นรัชสมัยพระบำ งประเทศ มากที่สุดในชีวิตประจําวันคือ ษะในการสื่อสารที่ใช เขียน
ปะปนในภำษำไทยเป็นจ�ำนวนมำ ่หัว จึงมีกำรคิดค�ำศัพท์บัญญัติขึ้นใช้แทนค�ำภำษำต่ำ ทางดานการพูด การอานและกา ๔๕ % ขณะที่ทักษะ อาน ๙%
ำเจ้ำอยู
พระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ มนตรีเห็น ชอบให ้
ต ้
ง ั คณะกร รมกำร รเขียน คือ ๓๐ %, ๑๖ %
พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะรัฐ ๑๖ % และ ๙ % ตามลําดับ
๑) วิธกี ารบัญญัตศิ พั ท์ ในปี พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนรำธิปพงศ์ประพันธ์
ำรชุดนี้มี พลตรี ำต่ำงๆ ขึ้น บุคคลที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการ
บัญญัติศัพท์ภำษำไทยขึ้น กรรมก ยสถำนได้แต่งตั้งคณะกรรมกำรบัญญัติศัพท์สำขำวิช นอกจากจะตองเขาใจขั้นตอนในกา ฟงใหแกตนเอง พูด ฟง
ปั จ จุ บ ั น รำชบั ณ ฑิ ต รั ด ออกเสี ย งสะดวก รฟงและยังตอง ๓๐ %
ทรงเป็นประธำน ักภำษำ รูปค�ำกะทัด หมั่นฝกฝนใหเกิดทักษะทางด ๔๕ %
พท์บัญญัติมีควำมถูกต้องตำมหล ้ านการฟงดวย
ใช้ในภำษำไทย เพื่อให้ค�ำศั กำร ดังนี การเพิ่มประสิทธิภาพในกา
่ต้องกำร โดยมีหลัก ๓ ประ รฟง
และมีควำมหมำยตรงตำมที ปีแสง (light year) ๑. เตรียมความพรอมทั้งดานร
ค่ำผ่ำนทำง (toll) ๒. ตองตั้งใจฟงอยางแนวแน างกายและจิตใจ รวมถึงการตั้งจุดมุงหมายกอนฟงทุกครั
ป็นนค�ำค�-ำ น�้ำค้ำงแข็ง (frost) เครือข่ำย (network) พยายามจับและทบทวนใจควา ้ง
หำค�ำำไทยมำ ระกอบเบเป็
ไทยมำปประกอ ๓. สังเกตอวัจนภาษาหรือภาษาท มสําคัญที่ผูพูดไดสื่อสาร
คิคิดดหำค� ดินเปรี้ยว (acid soil) ๔. ฟงอยางมีขั้นตอน ตองปฏิ าทางของผูพูด เพราะจะทําใหเขาใจความหมายไดดีย
ควำมหมำยำย
ยตรงกับบควำมหม
วำมหมำยตรงกั
ศัศัพพท์ท์ททมี่ มี่ คี คี วำมหมำ ตัวแปร (variable)
จุดยืน (stand point) น�้ำแข็งแห้ง (dry ice) บัติตามใหไดตามขั้นตอนของก
๕. นําประโยชนที่ไดรับจากการฟ ารฟง
ิ่งขึ้น
ในภำษำ
เดิเดิมมของค� ไทย งกฤษ
ำภำษำอั ทะเลหลวง (open sea) ๖. ทุกครั้งที่ฟงควรมีการจดบั งมาใชในชีวิตประจําวัน
รำยกำรเลือก (menu)

ñ ตลำดมืด (black market) ๗. ตองไมมีอคติและรูจักยอมรันทึก


ลบเลือนได้ (volatile) บฟงความคิดเห็นของผูอื่น

หนวยที่ กิจกรรม (activity) สดมภ์ (column) ผลการวิจัย ผูฟงจํานวน ๑๐๐ คน พบวามี


เพียง
จิตรกรรม (painting) จากกลุมตัวอยาง ๑๐ คนเทานั้น ที่มีทักษะการฟ
การอานออกเส หำกหำคำำ� ไทยมำ ในภำษำไทยทีเ่ หมำะสม
บเป็ น ค� ำ
ทฤษฎี (theory)
ปรัชญำ (philosophy) สาเหตุที่ทําใหการฟงไมสัมฤทธิ
งที่ดี

ียง คิ ด หำค� ยำยำมสประกอ


ไม่ศัพไ ด้ท์ใทห้มี่ พคี วำมหมำ ร้ ำ งค� ำ ด้ ว ยภำษำำย
ยตรงกับลักควำมหม
ห เกณฑ์ว่ำ
มลพิษ (pollution)
วัฒนธรรม (culture) นิรโทษกรรม (amnesty) จับใจความสําคัญไมเปน จึงไมสามารถสรุ
ผล ไดแก

ไทย โดยมี
ตัวชี้วัด
นิทรรศกำร (exhibition)
- สันสกฤต ปความคิด
เดิม ในภำษำ
บำลี ไทย อปกติ (abnormal)
รวบยอดได
อานออกเสียงบทร ต้องเป็นค�ำที่มีใช้อยู่แล้วในภำษำ สัญญำณภำพ (video signa
l)
เสรีนิยม (liberalism)


มีมารยาทในการ ยแกวและบทรอยกรองไดถกู ตอง (ท
ก ย ไมยอมรับความคิดเห็นของผูอื่น
และสำมำรถออกเสียงได้ง่ำ ไมเปดกวาง

อาน (ท ๑.๑ ม.๓/๑ ๑.๑ ม.๓/๑)
๐) ารอานออกเสี
ควรใชนํ้าเสียงให ยงเปนวิธีการอานที่ ครีม (cream) ไมชอบฟงเนื้อหาสาระที่ยากเกิน
ที่ตนเอง
ถ เชิ้ต (shirt) จะทําความเขาใจ
มีความเหมาะสม ูกตอง สอดคลอง และ โซฟำ (sofa)
สาระการเรียนรูแกนกล กับเนื้อเรื่องแต น ค�ธำี
ท์โดยวิ
ญัติศัพบเป็ ฟิล์ม (film)
ำ ไทยมำัญประกอ
ไมมีสมาธิในการฟง เนื่องจากขณะท
าง รวมถงึ การรจู กั
ฝก
ละประเภท ไม่สำมำรถบ
คิถ้ดำหำค�
โบนัส (bonus) เนกไท (necktie) รบกวน ี่ฟงมีเสียง
การอานออกเสีย จะชวยทําใหมีพ ฝนการอานอยา งสมํา่ เสมอ ดังกล่ำวได้
ศัพท์ทมี่ ข้คี อวำมหมำ
กำรสอง ยตรงกั ช้ค�ำภำษำำย
ให้บใควำมหม ไดโนเสำร์ (dinosaur)
เมำส์ (mouse)

ื้น
ชํานาญในการอ ฐานการอานที่ดี เกิดความ
งบทรอยแกวที่เป
บทความปกิณกะ นบทความทั่วไปและ
มในภำษำ
ต่เดิำงประเท ้นทับศัพท์ไปก่อน
ศนัไทย แมงกำนีส (manganese) มีทัศนคติที่ไมดีตอเรื่องที่ฟง เชน
การออกเสียงบทร าน รวมถึงการร แฟชั่น (fashion) เห็นวานาเบื่อ
คอมพิวเตอร์ (computer)

การอานและปฏ ูจ
ิบัติไดอยางถูกต ักมารยาทใน
อยกรอง
กาพยยานี ๑๑ กาพย เชน กลอนบทละคร กลอนเ
■ มารยาทในการอ ฉบัง ๑๖ และโคลงสี่สุภาพ
สภา
จะไดรับการยอมร อง เหมาะสม จึ ซีเมนต์ (cement) มีทัศนคติที่ไมดีตอผูพูด เชน ไมช
อบกิริยาทาทาง
าน ับนับถือจากบุค ง
คลอื่น

162 ๑๓๒

µÑǪÕÇé ´Ñ áÅÐÊÒÃСÒÃàÃÕ¹ÃÙጠ¡¹¡ÅÒ§ µÒÁ·ÕËè ÅÑ¡ÊÙµÃ


¡íÒ˹´ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ

µÑÇÍ‹ҧẺ½ƒ¡à¾×èÍãËŒ¹Ñ¡àÃÕ¹½ƒ¡ Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ ¾ÔÁ¾ ô ÊÕ ¤íÒ¶ÒÁ»ÃШíÒ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅСԨ¡ÃÃÁ


·Ñ¡ÉÐ㹡Òþٴ Í‹Ò¹ áÅÐà¢Õ¹ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒã¨ä´Œ§‹Ò ÊÌҧÊÃ䏾Ѳ¹Ò¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒà¾×è;Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹
ËÇÁ¡Ñ¹¨¹à¡Ô´¤ÇÒÁªíÒ¹ÒÞã¹·Ñ¡ÉÐ ãËŒÁդسÀÒ¾µÒÁµÑǪÕéÇÑ´

ตอนที่ ò การพัฒนาทักษะการเขีย
การอ่านกาพย์ย
านี ๑๑
นกบินเฉียง/ ไปทั
้งหมู่ น คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
งเรียง งเอกา
เรื่อยเรื่อย/ มาเรีย เหมือนพี่อยู่/ เพีย
ข้า ๑. ทักษะการยอความมีประโยชนตอการเรียนของนักเรียนอยางไร จงอธิบาย
ตัวเดียว/ มาไร้คู่ อกสะท้อน/ ถอนใจ
งเมิน ๒. การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ มีหลักการเขียนอยางไร
ร�่าร�่า/ ใจรอนรอน โถแก ว
้ ตา/ ม าหมา
าธรรมธิเบศร)
ห น้ า (กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้ ๓. การเขียนจดหมายกิจธุระ สามารถนําไปประยุกตใชในชีวิตประจําวันไดอยางไร
ดวงใจ/ ไยหนี ๔. การเขียนสุนทรพจนที่ดี ควรมีแนวทางการเขียนอยางไร จงอธิบาย พรอมยกตัวอยางประกอบ
ใน
บ่งจังหวะการอ่านภาย ๕. ขอควรคํานึงที่นักเรียนตองปฏิบัติในการกรอกแบบสมัครงานมีอะไรบาง จงอธิบาย
ะใช้เครื่องหมาย / แ บ่ง
านกาพย์ยานี ๑๑ จ วรรคที่มี ๖ ค�า จะแ
การแบ่งจังหวะการอ่ ขึ้นอยู่กับเนื้อความ
๒ / ๓ หรือ ๓ / ๒
ี ๕ ค�า จะแบ่งเป็น
วรรค โดยวรรคที่ม มงาม ของธ รรมช าติ
จังหวะเป็น ๓ / ๓ ช้ ส � า หรั บ การพรรณนาควา
เป็นกาพย ์ ท ่ ี ใ วรรคที่ ๑ และ ๓
๖) กาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�า
แบ่งเป็น ๓ วรรค
รื อ การต อ
่ สู
้ ซึ่งกาพย์ฉบัง ๑๖
การเดินทางห
่ ๒ มี ๔ ค�า
มี ๖ ค�า ส่วนวรรคที
บัง ๑๖
การอ่านกาพย์ฉ
รเลง
ฟังเสียง/ เพียงเพล

กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
กลางไพร/ ไก่ขัน/ บร
งวัง ฆัง
ซอเจ้ง / จ� า เรี ย ง/ เว ย
ี เพียงฆ้อง/ กลองระ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเขียนบทสุนทรพจนสําหรับใชพูดภายในเวลา ๓ นาที ใหขอคิดเกี่ยวกับ
งโห่งดัง
ยูงทอง/ ร้องกะโต้ า : สุนทรภู่)
คติธรรมและคุณธรรม เชน ความกตัญู ความสามัคคี ความมีวินัย เปนตน
/ ขาน เสี ยง (กาพย์พระไชยสุริย จากนั้นใหนําเสนอหนาหองเรียน
แตรสังข์/ กังสดาล
ในวรรค กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนทั้งหองจัดกิจกรรมสัปดาหวิชาการ โดยเขียนจดหมายเชิญวิทยากรเพื่อมา
ง่ จังหวะการอ่านภาย
ะใช้เครือ่ งหมาย / แบ ื้อความเป็นหลัก
ซึ่ง บรรยายความรูแกนักเรียนในหัวขอที่กําหนด โดยมีครูผูสอนเปนผูดูแลโครงการ
านกาพย์ฉบัง ๑๖ จ
การแบ่งจังหวะการอ่ ่ โดยสังเกตจากเน กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนอัตชีวประวัติของตนเอง ความยาวไมเกิน ๑ หนากระดาษ A๔ นํามาอาน
/ ๒ เป็นส่วนใหญ ยงต่อเนื่องกันเพื่อ
ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๒ าง เพราะค�าบางค�าควรอ่านให้เสี ¤ÇÒÁÃÙŒ¼ÙŒ»ÃҪޏ¹ ใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียนและเลือกเขียนยอความอัตชีวประวัติของเพื่อนที่ตนเอง
โดยวรรคที่มี ๖ ั ว อย่ Ñé¹
งเป็น ๒ / ๔ ตามต ½¹·Ñè§à·‹Òà¢çÁà¾Õ ÃÑ¡àÃÕ¹ ประทับใจ แลวนําสงครูผูสอน
ในบางครั้งอาจแบ่ า ให้ แ บ่ ง จั ง หวะ ๒ / ๒ Ã
ูกต้อง วรรคที่มี ๔ ค� มรู้เพิ่มพูน ¤¹à¡Õ¨à¡ÅÕ´˹ ¼‹ÒÂ˹ŒÒ
สื่อความหมายให้ถ อการศึกษาหาควา พัฒนา ‹ÒÂàÇÕ¹
มีความจÓเป็นต่ ควรฝึกฝนเพื่อ
¡ÅÍØ·¡ã¹µÃСà ǹ¨Ôµ
กษะที่สÓคัญและ งโลก ดังนั้น จึง
ŒÒ
การอ่าน เป็นทั ได้ ໂ›ÂÁÅŒ¹ÄåÁÕ

งๆ ให้ทันต่อการเ
ปลี่ยนแปลงขอ งค์ความรู้ใหม่ๆ
ประสบการณ์ต่า เ ป็ น ผู ้ ส ามาร ถศึกษาเรียนรู้อ (โคลงโลกนิติ : สมเด็
จพระเจาบรมวงศเ
่อให้
่างสม่Óเสมอ เพื ธอ กรมพระยาเดชาด
ทักษะการอ่านอย
ิศร)
15
ตลอดเวล า
๙๒
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

สารบัญ
ตอนที่ ๑ การพัฒนาทักษะการอาน ๑
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การอานออกเสียง ๒
● ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการอาน ๓
● การอานออกเสียงบทรอยแกว ๖
● การอานออกเสียงบทรอยกรอง ๑๐
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การอานจับใจความ ๑๘
● การอานจับใจความ ๑๙
● การอานวิเคราะหความหมายของคํา ๒๓
● การอานเพื่อเขียนกรอบความคิด ๒๙
หนวยการเรียนรูที่ ๓ การอานวินิจสาร ๓๔
● การอานตีความ ๓๕
● การอานวิเคราะห วิจารณและแสดงความคิดเห็น ๓๖
● การอานประเมินคุณคา ๓๗

ตอนที่ ๒ การพัฒนาทักษะการเขียน ๔๙
หนวยการเรียนรูที่ ๑ การคัดลายมือ ๕๐
● ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการคัดลายมือ ๕๑
● รูปแบบตัวอักษร ๕๒
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๑ ๕๘
● ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการเขียนในโอกาสตางๆ ๕๙
● การเขียนตามสถานการณและโอกาสตางๆ ๖๑
● การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ ๗๑
● การเขียนยอความ ๗๖
● การเขียนจดหมาย ๘๓
● การกรอกแบบสมัครงาน ๘๘
หนวยการเรียนรูที่ ๓ การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๒ ๙๓
● การเขียนอธิบาย ชี้แจง โตแยง แสดงความคิดเห็นอยางมีเหตุผล ๙๔
● การเขียนวิเคราะห วิจารณ แสดงความรู ความคิดเห็น หรือโตแยงสื่อ ๙๙
● การเขียนรายงานและโครงงาน ๑๐๒
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ตอนที่ ๓ การพัฒนาทักษะการฟง การดูและการพูด ๑๑๗


หนวยการเรียนรูที่ ๑ การพูดเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู ๑๑๘
● ความรูเบื้องตนเกี่ยวกับการฟงและดูสื่อ ๑๑๙
● การพูดจากสื่อที่ฟงและดู ๑๒๐
● การพูดรายงานการศึกษาคนควาภูมิปญญาทองถิ�น ๑๒๖
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การพูดในโอกาสตางๆ ๑๓๔
● การพูดโตวาที ๑๓๕
● การพูดอภิปราย ๑๔๐
● การพูดโนมนาวใจ ๑๔๓

ตอนที่ ๔ หลักการใชภาษา ๑๔๗


หนวยการเรียนรูที่ ๑ การใชคําในภาษาไทย ๑๔๘
● คําภาษาตางประเทศในภาษาไทย ๑๔๙
● การใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติตางๆ ๑๖๐
หนวยการเรียนรูที่ ๒ การวิเคราะหภาษา ๑๖๗
● การวิเคราะหโครงสรางของประโยคซับซอน ๑๖๘
● ระดับภาษา ๑๗๕
● รูปแบบการใชภาษาระดับตางๆ ๑๗๘
● องคประกอบในการเลือกใชระดับภาษาเพื่อการสื่อสาร ๑๗๙
หนวยการเรียนรูที่ ๓ การแตงบทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ ๑๘๒
● ลักษณะของโคลง ๑๘๓
● ประเภทของโคลง ๑๘๓
● การแตงโคลงสี่สุภาพ ๑๘๔
บรรณานุกรม ๑๘๘
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ

ตอนที่ ñ การพัฒนาทักษะการอาน นักเรียนอานบทรอยกรองประเภท


กลอนสุภาพที่ปรากฏหนาตอน
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาบทรอยกรองที่ได
อานนั้นมีจุดมุงหมายอยางไร
(แนวตอบ มีจุดมุงหมายเพื่อ
สงเสริมการอานหนังสือ เพราะ
การอานหนังสือมีประโยชน ให
ทั้งความรูและความบันเทิง)
• กวีสามารถใชภาษาเพื่อสื่อสาร
ไดตรงกับวัตถุประสงคหรือไม
อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
พื้นฐานความรู ความคิดและ
ความเขาใจ)

˹ѧÊ×͹ÕéÁÕÁÒ¡ÁÒÂËÅÒª¹Ô´ ¹íҴǧ¨ÔµàÃÔ§Ã×蹪×è¹Ê´ãÊ
ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒÊíÒàÃÔ§ºÑ¹à·Ô§ã¨ ©Ñ¹¨Ö§ã½†ã¨ÊÁҹ͋ҹ·Ø¡Çѹ
ÁÕÇÔªÒËÅÒÂÍ‹ҧµ‹Ò§¨íҾǡ ŌǹÊдǡ¤Œ¹ä´ŒãËŒÊØ¢Êѹµ
ÇÔªÒ¡ÒÃÊÃÃÁÒÊÒþѹ ªÑèǪÕÇѹ©Ñ¹Í‹Ò¹ä´ŒäÁ‹àº×èÍàÅÂ
(สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจา กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี)

คูมือครู 1
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็กกวาฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. บอกความหมายและความสําคัญ
ของการอานได
2. บอกจุดประสงคของการอานได
3. อานออกเสียงบทรอยแกวและ
รอยกรองไดถูกตองตามอักขรวิธี
และความไพเราะเหมาะสม
4. มีมารยาทในการอาน

กระตุนความสนใจ
1. นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• กลุมบุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใดและนักเรียน
คิดวาสถานการณดังกลาวใช
ทักษะการสื่อสารประเภทใด
2. นักเรียนชมวีดิทัศนรายการ

ñ
ขาวประจําวัน จากนั้นครู
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ผูประกาศขาวใชทักษะการ
สื่อสารประเภทใด หนวยที่
(แนวตอบ ผูประกาศขาวใชทักษะ
การอาน)
การอานออกเสียง
• นักเรียนประทับใจ ตัวชี้วัด
ผูประกาศขาวคนใด และเพราะ ■ อานออกเสียงบทรอยแกวและบทรอยกรองไดถกู ตอง (ท ๑.๑ ม.๓/๑) การอ่านออกเสียงเป็นวิธีการอ่านที่
เหตุใด ■ มีมารยาทในการอาน (ท ๑.๑ ม.๓/๑๐) ควรใช้น�้าเสียงให้ถูกต้อง สอดคล้อง และ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ มีความเหมาะสมกับเนื้อเรื่องแต่ละประเภท
ตอบไดอยางหลากหลายตาม รวมถึงการรูจ้ กั ฝึกฝนการอ่านอย่างสม�า่ เสมอ
สาระการเรียนรูแกนกลาง จะช่วยท�าให้มีพื้นฐานการอ่านที่ดี เกิดความ
ประสบการณและคานิยม
ช�านาญในการอ่าน รวมถึงการรู้จักมารยาทใน
สวนตน) ■ การอานออกเสียงบทรอยแกวที่เปนบทความทั่วไปและ
การอ่านและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม จึง
บทความปกิณกะ
■ การออกเสียงบทรอยกรอง เชน กลอนบทละคร กลอนเสภา จะได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลอื่น
กาพยยานี 11 กาพยฉบัง 16 และโคลงสี่สุภาพ
■ มารยาทในการอาน

2 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อ
กระตุนความสนใจและกระบวนการ
๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน เรียนรู
ทักษะการสือ่ สารของมนุษย์ ประกอบไปด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน การฟัง • นักเรียนคิดวาทักษะการอาน
และการอ่านเป็นทักษะที่จ�าเป็นส�าหรับมนุษย์ในการสื่อสารเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การฟังเป็น มีความสําคัญตอชีวิตประจําวัน
ทักษะซึ่งอาจมีข้อจ�ากัดเรื่องเวลา สถานที่และความคงทนของสาร ส่วนการอ่านเป็นทักษะที่ส�าคัญใน อยางไร
การแสวงหาความรู้ ทั้งนี้ด้วยสื่อที่ใช้ส�าหรับการอ่านมีความคงทนมากกว่า ไม่มีข้อจ�ากัดเรื่องเวลาและ (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับ
สถานที่ ดุลยพินิจของครูผูสอน)
ดังนั้นจึงถือได้ว่า ทักษะการอ่านมีความจ�าเป็นและมีความส�าคัญส�าหรับผู้ที่ต้องการแสวงหา
ความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส�าหรับนักเรียน นักศึกษา เพราะความส�าเร็จ
ทางการศึกษาย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและพื้นฐานทางการอ่านที่ดี สํารวจคนหา
๑.๑ ความหมายและความส�าคัญ 1. ครูรวมสนทนากับนักเรียนใน
การอ่าน คือกระบวนการรับรู้และเข้าใจสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากนั้นจึงแปลสัญลักษณ์ ประเด็น “ความหมายและความ
อักษรเหล่านั้นเป็นความรู้ โดยอาศัยทักษะการอ่าน กระบวนการคิด ประสบการณ์และความรู้ของ สําคัญของการอาน” จากนั้นให
ผูอ้ า่ นรวมถึงเมือ่ อ่านจบแล้ว ผูอ้ า่ นสามารถแสดงความคิดเห็นทีม่ ตี อ่ เรือ่ งทีอ่ า่ น ทัง้ ในลักษณะเห็นด้วย นักเรียนสืบคนความหมายและ
คล้อยตามหรือโต้แย้ง ในการอ่านแต่ละครัง้ ไม่เพียงแต่ผอู้ า่ นจะได้รบั สาระหรือเรือ่ งราวทีผ่ เู้ ขียนต้องการ ความสําคัญของการอาน
น�าเสนอเท่านั้น แต่ผู้อ่านยังสามารถรับรู้ทรรศนะ เจตนา อารมณ์และความรู้สึกที่ผู้เขียนถ่ายทอดมา 2. นักเรียนแลกเปลี่ยนความรู
ในสาร ซึ่งสิ่งที่ได้รับจากการอ่านในแต่ละครั้งจึงมีทั้งส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระ คือ ข้อเท็จจริง และส่วนที่ ความคิดเห็นเพื่อคนหาความ
เป็นอารมณ์ความรูส้ กึ หรือทรรศนะของผูเ้ ขียน ซึง่ จ�าเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ แตกตางระหวางคําวา “อานได”
ในการตีความตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ดังนั้นจึงจ�าเป็นต้องฝึกทักษะการอ่านเพื่อให้เข้าใจได้ตรงตาม กับ “อานเปน”
วัตถุประสงค์ของผู้เขียน
๑.๒ ระดับของการอ่าน อธิบายความรู
ระดับของการอ่านแบ่งเป็น ๒ ระดับคือ อ่านได้และอ่านเป็น การรับรู้จากการอ่านโดยทั่วไป
เริ่มจากระดับที่เรียกว่า อ่านได้ คือสามารถแปลความหมาย รับรู้สารผ่านตัวอักษร ส่วนในระดับ 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
อ่านเป็น ผู้อ่านจะสามารถจับใจความส�าคัญ แนวคิดของเรื่อง รวมถึงความหมายแฝง หรือความหมาย ความรูเกี่ยวกับความหมายของ
ทีไ่ ด้จากการตีความ สามารถประเมินค่าของสารทีอ่ า่ นได้ ซึง่ จะต้องขึน้ อยูก่ บั ความรูแ้ ละประสบการณ์ของ การอาน
ผู้อ่านแต่ละคน (แนวตอบ การอาน คือ กระบวนการ
รับรูและเขาใจสารที่เขียนเปนลาย-
๑.๓ จุดประสงค์ของการอ่าน ลักษณอักษร และแปลสัญลักษณ
การอ่านหนังสือ มีจุดประสงค์ส�าคัญ ดังนี้ เปนความรูและความเขาใจ)
๑) อ่านเพื่อการเขียน คือการอ่านเพื่อน�าความรู้มาใช้ในการเขียน เช่น เรียงความ 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
บทความ สารคดี ฯลฯ ซึ่งผู้อ่านควรวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล คัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสม เกี่ยวกับความสําคัญของการอานที่
น�าไปใช้เขียนหรืออ้างอิง เช่น การอ่านหนังสือเรื่อง วัฏจักรชีวิตของกบ เพื่อน�าข้อมูลมาเขียนรายงาน มีตอกระบวนการเรียนการสอน
วิชาวิทยาศาสตร์ 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบาย
3 ความรูเกี่ยวกับความแตกตาง
ระหวางการ “อานได” และ
“อานเปน”
(แนวตอบ อานได คือ การรับรู
เนื้อหาสาระจากการอาน สามารถ
แปลความหมายได สวนอานเปน
ผูอานจะตองตีความแนวคิด
ประเมินคาเรื่องที่อานไดดวย
ตนเอง)

คูมือครู 3
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูรวมสนทนากับนักเรียนใน
ประเด็นเกี่ยวกับประเภทของหนังสือ
ที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน จากนั้น ๒) อ่านเพื่อหาค�าตอบ คือการอ่านเพื่อต้องการค�าตอบส�าหรับประเด็นค�าถามหนึ่งๆ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา จากแหล่งค้นคว้าและเอกสารประเภทต่างๆ เพิม่ พูนความรูใ้ ห้แก่ตนเอง เช่น การอ่านหนังสือวิชาฟิสกิ ส์
• นักเรียนคิดวาในชีวิตประจําวัน เพื่อหาค�าตอบเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ของมนุษยอานหนังสือเพื่อ ๓) อ่านเพือ่ ปฏิบตั ติ าม คือการอ่านเพือ่ ท�าตามค�าแนะน�าในข้อความหรือหนังสือทีอ่ า่ น
จุดประสงคใด เช่น การอ่านฉลากยา เพื่อดูค�าแนะน�าเกี่ยวกับการใช้ยา หรือการอ่านต�าราอาหาร ที่มีการอธิบาย
(แนวตอบ นักเรีียนสามารถ ขั้นตอน วิธีการท�า รวมถึงเครื่องปรุงส่วนผสมโดยละเอียด ซึ่งการอ่านด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม ผู้อ่านจะต้องท�าความเข้าใจรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อสามารถปฏิบัติตามได้
พื้นฐานความรู ความเขาใจ เชน ๔) อ่านเพือ่ หาความรูห้ รือสะสมความรู ้ คือการอ่านเพือ่ เพิม่ พูนประสบการณ์ ความรู้
อานเพื่อความรู อานเพื่อความ โดยท�าได้ทงั้ ผูอ้ า่ นทีเ่ ป็น นักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทัว่ ไป และไม่จา� เป็นต้องมีโอกาส หรือกาลเทศะ
เพลิดเพลิน เปนตน) มาก�าหนดให้ต้องอ่าน ซึ่งการอ่านในแต่ละครั้งควรเก็บและเรียบเรียงประเด็นส�าคัญของเรื่องที่อ่าน
ไว้เป็นคลังความรู้ส�าหรับน�ามาใช้อ้างอิงในภายหลัง เช่น การอ่านหนังสือทางวิชาการ
สํารวจคนหา ๕) อ่านเพื่อความบันเทิง คือการอ่านตามความพอใจของผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านจะได้รับ
ความเพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยกระดับจิตใจ ช่วยให้เกิดความสุข ผ่อนคลาย คลายความ
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน ทุกข์ใจ และบางครั้งผู้อ่านอาจได้ข้อคิดหรือแนวทางในการใช้ชีวิต เช่น การอ่านนวนิยาย นิตยสาร
คนหาหรือแลกเปลี่ยนความรูใน วารสาร เป็นต้น
ประเด็น “จุดประสงคของการ
๖) อ่านเพื่อรู้ข่าวสาร คือการอ่านเพื่อศึกษา รับรู้ความเป็นไปของโลก และพัฒนา
อาน” ตามพื้นฐานความรูที่มี
ความรู้ของตนเอง เช่น การอ่านข่าว นิตยสาร วารสาร เป็นต้น
อยูเดิมและคนหาเพิ่มเติมจาก
แหลงเรียนรูอื่น ๗) อ่านเพื่อแก้ปัญหา คือการอ่านเพื่อหาค�าตอบ หรือแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องใด
2. นักเรียนคนหาความรูในประเด็น เรื่องหนึ่ง เช่น การอ่านพจนานุกรม เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับค�าศัพท์ ความหมาย การสะกดการันต์ที่
“ประเภทของการอาน” จาก ถูกต้อง หรือการอ่านหนังสือแนะน�าการเดินทาง แผนที่ เป็นต้น
หนังสือเรียน ในหนา 4 ๑.๔ ประเภทของการอ่าน
โดยทั่วไปการอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ ดังนี้
อธิบายความรู ๑) การอ่านออกเสียง คือการอ่านหนังสือโดยที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ในขณะ
ที่อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เช่น เพื่อสร้างความบันเทิง เพื่อถ่ายทอดข่าวสาร เพื่อประกาศ เพื่อ
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย รายงานหรือเพื่อแถลงนโยบาย ดังนั้นการอ่านออกเสียง จึงเป็นการแปลรูปสัญลักษณ์หรืออักษร
ความรูเกี่ยวกับจุดประสงคของ ออกเป็นเสียง จากนั้นจึงแปลสัญญาณเสียงเป็นความหมาย ซึ่งผู้อ่านต้องระมัดระวังการออกเสียง
การอาน ทัง้ เสียง “ร” “ล” ค�าควบกล�า้ การสะกด จังหวะ ลีลา และการเว้นวรรคตอนให้ถกู ต้องไพเราะเหมาะสม
(แนวตอบ จุดประสงคของการอาน
ไดแก ๒) การอ่านในใจ คือการท�าความเข้าใจสัญลักษณ์ที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
1. อานเพื่อการเขียน รวมถึงรูปภาพและเครื่องหมายต่างๆ ออกเป็นความหมายโดยใช้สายตาทอดไปตามตัวอักษรหรือ
2. อานเพื่อหาคําตอบ สัญลักษณ์แล้วจึงใช้กระบวนการคิด แปลความหมาย ตีความ เพื่อรับสารของเรื่องนั้นๆ
3. อานเพื่อความบันเทิง 4
ฯลฯ)
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับประเภทของการอานใน
ชีวิตประจําวัน โดยเปรียบเทียบใหเห็นความแตกตาง
(แนวตอบ การอานแบงออกเปน 2 ประเภท คือ
1. การอานออกเสียง คือ การอานหนังสือโดยผูอานเปลงเสียงออกมาดังๆ ในขณะที่อาน
2. การอานในใจ คือ การทําความเขาใจสัญลักษณที่บันทึกไวเปนลายลักษณอักษร
ออกเปนความหมายโดยใชสายตาทอดไปตามตัวอักษร แลวจึงใชกระบวนการคิด แปลความ ตีความเพื่อรับสารนั้นๆ)

4 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูสนทนากับนักเรียนในประเด็น
มารยาทในการอานออกเสียง โดย
ตารางแสดงขั้นตอนการอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ ชี้ใหนักเรียนเห็นความสําคัญ จากนั้น
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ขั้นตอน ๑ ๒ ๓
วิธีการ • นักเรียนคิดวา การมีมารยาทใน
การอานออกเสียงมีความสําคัญ
การอ่านออกเสียง รับรู้ตัวหนังสือ แปลสัญลักษณ์ แปลเสียงเป็น ตอชีวิตประจําวันอยางไร
ตัวอักษรเป็นเสียง ความหมาย (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับ
=> การพูด => รับรู้ความหมาย ดุลยพินิจของครูผูสอน)

การอ่านในใจ รับรู้ตัวหนังสือ แปลสัญลักษณ์ สํารวจคนหา


ตัวอักษรเป็น
นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน
ความหมาย คนหาความรูเกี่ยวกับมารยาทใน
=> รับรู้ความหมาย การอานออกเสียง โดยวิธีการสนทนา
แลกเปลี่ยนความรูเดิมของตนเอง
๑.๕ มารยาทในการอ่านออกเสียง หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ เชน
การอ่าน คือ เครือ่ งมือส�าคัญในการศึกษาหาความรูแ้ ละเพิม่ พูนประสบการณ์ในด้านต่างๆ ให้แก่ หนังสือเรียน เว็บไซตทางการศึกษา
ผูอ้ า่ น จึงถือได้วา่ ทักษะการอ่านเป็นทักษะทีม่ คี วามจ�าเป็น ผูอ้ า่ นทีด่ ตี อ้ งมีมารยาทหรือข้อควรประพฤติ ฯลฯ บันทึกความรูที่ไดลงสมุด
ปฏิบัติในการอ่านออกเสียง ดังนี้
๑. การใช้น�้าเสียง คือควรพิจารณาใช้น�้าเสียงให้สอดคล้อง เหมาะสมกับเนื้อหา ไม่ควร อธิบายความรู
ดัดเสียงจนฟังไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจท�าให้ผู้ฟังท�าความเข้าใจเนื้อหาไม่ตรงกับเจตนาของผู้อ่าน นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
รวมถึงการดัดเสียงจนเกินงาม ก็อาจสร้างความร�าคาญแก่ผู้ฟังได้ เกี่ยวกับ “มารยาทในการอาน
๒. มีบุคลิกภาพที่ดี คือการจัดระเบียบท่ายืน หรือนั่งให้เหมาะสม ไม่หลุกหลิก และ ออกเสียง” จากนั้นใหนักเรียนรวมกัน
ไม่ควรยกร่างข้อความขึ้นมาให้ผู้ฟังเห็น หรือก้มหน้าก้มตาอ่านจนไม่สนใจผู้ฟัง จัดทําแผนปายนิเทศเพื่อเผยแพร
๓. ควรสังเกตปฏิกริ ยิ าของผูฟ้ งั คือการสังเกตดูวา่ ผูฟ้ งั สามารถท�าความเข้าใจเรือ่ งราวตาม
ผู้อ่านทันหรือไม่ รวมถึงสังเกตว่าผู้ฟังให้ความสนใจมากน้อยเพียงไร แล้วจึงปรับเพิ่ม - ลดความเร็ว
ในการอ่าน ลีลาน�้าเสียง เป็นต้น เพื่อดึงให้ผู้ฟังกลับมามีส่วนร่วมกับผู้อ่าน
ขยายความเขาใจ
๔. ไม่ควรแสดงอารมณ์โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือใช้ถ้อยค�าไม่สุภาพ ว่ากล่าวตักเตือน ครูทบทวนความรู ความเขาใจให
เมือ่ เห็นว่าผูฟ้ งั ไม่สนใจ หรือพูดคุยเสียงดัง หากแต่ควรรูจ้ กั ระงับอารมณ์ และอาจถามผูฟ้ งั เพือ่ ปรับปรุง แกนักเรียนเกี่ยวกับมารยาทในการ
ต่อไป อานออกเสียง จากนั้นครูตั้งคําถาม
กับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาวิธีการใดที่จะ
5 รณรงคใหบุคคลทั่วไปในสังคม
เห็นความสําคัญของมารยาทใน
การอานออกเสียง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง
ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย
คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ
ครูผูสอน เชน ประชาสัมพันธดวย
แผนพับ การปฏิบัติตนเองใหเปน
ตัวอยางที่ดี ฯลฯ)

คูมือครู 5
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูนําตัวอยางคลิปเสียงการเลา
นิทานหรือพากยบทภาพยนตรที่
สามารถสืบคนไดจากสื่ออินเทอรเน็ต ๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว
หรือครูเปนผูบันทึกเสียงเอง มาเปด ร้อยแก้ว หมายถึง ความเรียงที่สละสลวยในรูปแบบการบรรยาย พรรณนา เทศนา สาธกหรือ
ใหนักเรียนฟง โดยคลิปเสียงตองเปน อุปมาโวหาร รวมถึงบทพูด บทสนทนา บทสัมภาษณ์ ประกาศหรือข่าวสารต่างๆ ดังนั้น ร้อยแก้วจึง
ตัวอยางที่ดี ออกเสียงชัดเจน ถูกตอง เป็นความเรียงที่เรียบเรียงขึ้นโดยไม่มีการบังคับสัมผัสฉันทลักษณ์
ใชนํ้าเสียงไดไพเราะ และมีความ การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว หมายถึง การอ่านหนังสือโดยการที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ
เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง อารมณ ในขณะที่อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อถ่ายทอดความรู้ เพื่อสร้างความบันเทิง
ความรูสึกของตัวละคร จากนั้น และความพอใจ ซึ่งการอ่านออกเสียงในแต่ละครั้งอาจมีจุดมุ่งหมายหลายๆ ประการรวมกัน หรือมี
ครูตั้งคําถามกับนักเรียน โดยให จุดมุ่งหมายเฉพาะ เช่น การอ่านประกาศ รายงาน แถลงการณ์ ฯลฯ ผู้อ่านต้องค�านึงถึงการอ่านให้
แสดงความคิดเห็นอยางอิสระ
ถูกต้องตามอักขรวิธี การใช้นา�้ เสียงและลีลาในการอ่านให้สอดคล้องเหมาะสมกับเรือ่ งและควรฝึกปฏิบตั ิ
• นักเรียนคิดวาคลิปเสียงดังกลาว
อย่างสม�่าเสมอ
มีลักษณะการออกเสียงอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ๒.๑ แนวทางการอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วเบือ้ งต้น
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น ความเรียงที่เขียนในลักษณะร้อยแก้วมีอยู่หลายประเภท ซึ่งอาจจะท�าให้ลีลาในการอ่าน
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) แตกต่างกันออกไป แต่ก็อาศัยหลักเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างกัน ดังนี้
๑. ผู ้ อ ่ า นต้ อ งอ่ า นให้ ถู ก ต้ อ งตามอั ก ขรวิ ธี ใ นภาษา ทั้ ง ภาษาไทยและภาษาที่
สํารวจคนหา ยืมมาจากภาษาอื่นๆ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร ฯลฯ โดยอาศัยหลักการอ่านจากพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน รวมทั้งค�าที่อ่านตามความนิยม
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน ๒. ผู้อ่านต้องมีสมาธิและความมั่นใจ
คนหาความรูในประเด็น ในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตก อ่านเติม ขณะ
“ความหมายของรอยแกว”
อ่านต้องควบคุมสายตาให้ไล่ไปตามตัวอักษรทุกตัว
2. นักเรียนสืบคนคลิปเสียงจาก
ในแต่ละบรรทัดจากซ้ายไปขวาด้วยความรวดเร็ว
สื่ออินเทอรเน็ต โดยเลือกเรื่องที่
ตนเองประทับใจ สํารวจคนหา ว่องไวและรอบคอบ แล้วย้อนสายตากลับลงไปยัง
แนวทางการอานออกเสียงจาก บรรทัดถัดไปอย่างแม่นย�า
คลิปเสียงที่เลือก ๓. ผูอ้ า่ นควรอ่านให้เป็นเสียงพูด โดย
3. นักเรียนสืบคนแนวทางการอาน เน้นเสียงหนักเบา สูง ต�่า ตามลักษณะการพูด
ออกเสียงบทรอยแกวจากแหลง ทัง้ นีใ้ ห้ใช้เนือ้ หาสาระของบทอ่านเป็นหลัก รวมทัง้
เรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน ควรพิจารณาเนื้อความว่าเป็นไปในทางใด เช่น
ในหนา 6 - 7 หรือเว็บไซตทาง ตื่นเต้น โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ ควรใช้น�้าเสียงให้
การศึกษา เหมาะสมกับลักษณะอารมณ์ตามเนื้อหาในเรื่อง
การฝกการอ่านออกเสียงให้มีความถูกต้องและชัดเจน
สามารถนําไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคตได้

นักเรียนควรรู
ใชนํ้าเสียงใหเหมาะสมกับลักษณะอารมณตามเนื้อหาในเรื่อง ผูอานที่ดีควรศึกษาเนื้อเรื่อง
กอนการอานจริง เพื่อใหมีเวลาสําหรับการเตรียมตัว คําใดที่ไมแนใจก็ควรเปดหาคําอานจาก
พจนานุกรม โดยเฉพาะการเลานิทาน ผูเลาจะตองเขาใจเนื้อหาเปนอยางดีจึงจะใชนํ้าเสียงได
เหมาะสม
6 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู
1. นักเรียนที่จับคูกันออกมาอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับความหมายของ
๔. ผู้อ่านต้องอ่านให้เสียงดังพอสมควร ไม่ตะโกนหรือแผ่วเบาจนเกินไป ซึ่งจะท�าให้ รอยแกวและการอานออกเสียง
ผู้ฟังเกิดความร�าคาญและไม่สนใจ รอยแกว
๕. เมือ่ อ่านจบย่อหน้าหนึง่ ควรผ่อนลมหายใจ และเมือ่ ขึน้ ย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียง และ (แนวตอบ รอยแกว หมายถึง ความ
ทอดเสียงให้ช้าลงกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้ฟัง จากนั้นจึงใช้เสียงในระดับปกติ เรียงทุกประเภทที่เรียบเรียงขึ้น
๖. อ่านให้ถูกจังหวะวรรคตอน ต้องอ่านให้จบค�าและได้ใจความ ถ้าเป็นค�ายาวหรือ โดยไมมีการบังคับฉันทลักษณ
ค�าหลายพยางค์ ไม่ควรหยุดกลางค�าหรือตัดประโยคจนเสียความ การอานออกเสียงบทรอยแกว
๗. รู้จักเน้นค�าที่ส�าคัญและค�าที่ต้องการเพื่อให้เกิดจินตภาพตามที่ต้องการ การเน้น หมายถึง การอานออกเสียงงาน
ควรเน้นเฉพาะค�า ไม่ใช่ทั้งวรรคหรือทั้งประโยค เช่น “กลิ่นของดอกไม้นั้น หอมหวน ยิ่งกว่ากลิ่นใดๆ เขียนประเภทความเรียงเพื่อสาระ
ที่เคยได้สัมผัส” ควรเน้นที่ค�าว่า หอมหวน เพื่อให้ผู้ฟังจินตนาการถึงดอกไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอม ความรู รวมถึงทรรศนะ โดยผูอาน
และเป็นกลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกลิ่นหอมอื่นใดที่เคยสัมผัส จะตองอานใหถูกตองตามอักขรวิธี
๘. เมือ่ อ่านข้อความทีม่ เี ครือ่ งหมายวรรคตอนก�ากับ ควรอ่านให้ถกู ต้องตามหลักภาษา และความนิยม)
2. นักเรียนแตละคนอธิบายความรู
เช่น โปรดเกล้าฯ ต้องอ่านว่า โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม, ทุกวันๆ อ่านว่า ทุกวันทุกวัน ส่วนค�าที่ใช้
เกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียง
อักษรย่อต้องอ่านให้เต็มค�า เช่น พ.ศ. อ่านว่า พุด-ทะ-สัก-กะ-หราด, ผบ.ทบ. อ่านว่า ผู้บัญชาการ
ที่สํารวจไดจากคลิปเสียงตัวอยาง
ทหารบก (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
ในระดับชัน้ นีจ้ ะกล่าวถึงการอ่านออกเสียงบทความทัว่ ไปและบทความปกิณกะ โดยการฝึกอ่าน อยางหลากหลาย โดยขึ้นอยูกับ
ตามเครื่องหมายที่ก�าหนด ดังนี้ ธรรมชาติของคลิปเสียงที่นักเรียน
/ เว้นวรรคเล็กน้อยเพื่อหยุดหายใจ สืบคน)
// เว้นวรรคเมื่ออ่านจบข้อความหลัก 3. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
___ แสดงค�าที่เน้นเสียงหนัก เกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียง
... ทอดเสียง ที่ไดสํารวจจากคลิปของแตละคน
ข้อควรระวัง ใหตัวแทนออกมาเขียนแนวทางที่
๑. ไม่เว้นวรรคระหว่างประธาน กริยาและกรรม ทั้งไม่เว้นวรรคระหว่างค�าเชื่อม ไดบนกระดาน จากนั้นใหนักเรียน
๒. หากประธานเดิมมีค�ากริยาหลายตัว กริยาตัวต่อๆ ไปให้เว้นวรรคได้บ้าง รวมกันแลกเปลี่ยนความรูแนวทาง
การอานออกเสียงที่มีลักษณะ
๒.๒ การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วประเภทบทความ ตรงกัน
๑) การอ่านบทความทั่วไป บทความ คือ ความเรียงที่ผู้เขียนน�าเสนอข้อเท็จจริง (แนวตอบ การอานออกเสียง
เกี่ยวกับเรื่องราวหรือองค์ความรู้ต่างๆ สู่ผู้อ่าน ซึ่งอาจมีการแสดงทรรศนะ ข้อคิดเห็นของผู้เขียน บทรอยแกวเบื้องตนมีแนวทาง
บทความสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามเนือ้ หาทีน่ า� เสนอ เช่น บทความวิชาการ บทความท่องเทีย่ ว ปฏิบัติดังนี้
บทความแสดงความคิดเห็นในเรือ่ งราวต่างๆ ดังนัน้ ผูอ้ า่ นต้องจับประเด็นบทความทีอ่ า่ นให้ได้วา่ เนือ้ หา 1. อานใหถูกตองตามอักขรวิธีใน
ตอนใดเป็นข้อเท็จจริง ตอนใดเป็นข้อคิดเห็น ฯลฯ ภาษา เชน คําควบกลํ้า
2. มีสมาธิและความมั่นใจใน
7 การอาน
3. อานใหเปนเสียงพูด ให
เหมาะสมกับเนื้อหาสาระที่อาน
ฯลฯ)
ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนความรูเกี่ยวกับแนวทางการอานออกเสียงใหแกนักเรียน จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาจะนําแนวทางการอานออกเสียงบทรอยแกวเบื้องตนไปใชในชีวิตประจําวันทั้งในปจจุบันและ
อนาคตไดอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางอิสระ คําตอบขึ้นอยูกับดุุลยพินิจของครูผูสอน)
คูมือครู 7
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อกระตุน
ความสนใจโดยแจงใหทราบวา
การเรียนการสอนเรื่องการอานออก การอ่านบทความทั่วไป
เสียง จะเนนใหนักเรียนไดลงมือ
ปฏิบัติทักษะ ผลวิจัยชี้คุยมือถือแนบหู สมองท�างานหนักขึ้น ๗ % (ไทยโพสต์)
ผลวิจัยชี้ว่าเอามือถือแนบหู ๕๐ นาที มีผลต่อการท�างานของสมองส่วนใกล้เสาสัญญาณ
ดร.โนรา โวลโกว/ กล่าวว่า... การวิจัยนี้/เป็นไปเพื่อหาปฏิกิริยาการท�างานของสมอง/
สํารวจคนหา ต่อคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า จากเสาสัญญาณของมือถือ// ซึง่ ผลวิจยั ระบุวา่ / การคุยมือถือแนบกับใบหู/
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน จะท�าให้สมองใช้พลังงานมากขึ้นในส่วนที่ใกล้//
สืบคนความรูในประเด็น “อุปสรรค คณะผูว้ จิ ยั สแกนสมองของอาสาสมัครทัง้ หมด ๔๗ คน โดยแบ่งเป็นกลุม่ ทีใ่ ช้โทรศัพท์มอื ถือ
ในการอานออกเสียง”
นาน ๕๐ นาที/ และกลุ่มที่ปิดมือถือ// ผลที่ออกมาชี้ว่า/ แม้จะไม่มีปฏิกิริยารุนแรง/ต่อสัญญาณ
2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียง
มือถือ/ แต่พบว่ามีการเผาผลาญกลูโคสในสมองมากขึ้น ๗% ในจุดที่ใกล้เสาสัญญาณมากที่สุด//
บทความตัวอยางพรอมๆ กัน
โดยยังไมตองเครงครัดเรื่อง แพทริก แฮกการ์ด อาจารย์ประจ�ามหาวิทยาลัยลอนดอน/ตอบรับว่า/เป็นงานวิจัย ที่
การแบงวรรคตอนและการใชเสียง น่าสนใจ/ เพราะเสนอว่าสัญญาณมือถือมีผลต่อสมองโดยตรง// แต่เขามองว่า/ กระบวนการ
ทําการบันทึกเสียงไว และเปดฟง เผาผลาญพลังงานสูงในสมองมีตามธรรมชาติอยูแ่ ล้ว/ เช่น/ การคิดวิเคราะห์ตามปกติของมนุษย์//
หลังจากนั้นนักเรียนรวมกันคนหา ทางด้านโฆษกสมาคมผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ/ จอห์น วอลส์ ออกมาชี้แจงว่า/ หลักฐาน
ความรูในประเด็น “วิธีการเวน ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันชี้ว่า/ การใช้อุปกรณ์ไร้สายไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/ หรือผลเสียต่อ
วรรคตอนและการใชนํ้าเสียงใน สุขภาพแต่อย่างใด//
การอาน” โวลโกว ยอมรับเช่นกันว่า/ จ�าเป็นต้องท�าวิจัยเพิ่ม/จึงจะสามารถตัดสินได้ว่า/ การใช้
โทรศัพท์มอื ถือ/มีผลเสียจริงหรือไม่/ แต่ตวั เธอเอง/ใช้โทรศัพท์มอื ถือ/ผ่านหูฟงั แทน/ เพราะเชือ่ ว่า/
อธิบายความรู ป้องกันไว้ก่อน/ ย่อมดีกว่า...
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย (http: //health.kapook.com/view21911.html)
ความรูเ กีย่ วกับอุปสรรคในการอาน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได จากตัวอย่าง เป็นการอ่านบทความจากอินเทอร์เน็ต สือ่ อิเล็กทรอนิกส์ทมี่ อี ทิ ธิพลต่อการสือ่ สาร
อยางหลากหลาย ตามองคความรู ของมนุษย์มากขึ้น การอ่านบทความจากสื่อประเภทนี้จะท�าให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลที่หลากหลาย
ที่ไดจากการสืบคน) แต่อย่างไรก็ตาม ควรอ่านอย่างมีวิจารณญาณ การอ่านบทความนี้ถ้าแบ่งเว้นวรรคผิดหรืออ่านด้วย
2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียง โทนเสียงเดียว จะท�าให้ผู้ฟังไม่สนใจ แม้จะเป็นบทความที่เป็นประโยชน์ต่อการด�าเนินชีวิตประจ�าวัน
อีกครั้ง โดยใชแนวทางการอาน ดังนั้น การฝึกฝนการอ่านตามแนวทางข้างต้น จะช่วยท�าให้เป็นผู้ที่มีทักษะทางการอ่านออกเสียงที่ดี
ที่ไดศึกษารวมกัน บันทึกเสียงไว และยังสามารถน�าไปใช้อ่านบทความประเภทต่างๆ ในชีวิตประจ�าวันได้
และเปดฟง เปรียบเทียบความ
แตกตางการบันทึกเสียงทั้ง 2 ครั้ง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง
ความรู ความเขาใจ และความ 8
คิดเห็นไดอยางอิสระ คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)

นักเรียนควรรู
อินเทอรเน็ต ปจจุบันการสื่อสารของมนุษยมีความรวดเร็วมากขึ้น
เมื่อมีการสื่อสารผานระบบออนไลน อินเทอรเน็ต แตอยางไรก็ตาม
ระบบอินเทอรเน็ตจะเปนประโยชนสูงสุดหากใชไปในทิศทางที่ถูกตอง
8 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
นักเรียนนําความรูเกี่ยวกับ
แนวทางการอานออกเสียง
๒) การอ่านบทความปกิณกะ บทรอยแกวเบื้องตน ที่ไดฝกฝน
รวมกับเพื่อนในชั้นเรียนมาใชเปน
การอ่านบทความปกิณกะ
แนวทางอานออกเสียงบทความ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น/มีถนนกว้างขึ้น/แต่ความอดกลั้นน้อยลง// ปกิณกะดวยตนเอง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น/แต่ครอบครัวของเรา กลับเล็กลง//
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น/แต่สุขภาพกลับแย่ลง//
เรามีความรักน้อยลง/แต่มีความเกลียดมากขึ้น//
ตรวจสอบผล
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว/แต่เรากลับพบว่า... 1. นักเรียนออกมาอานตัวอยาง
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้าน/กลับยากเย็น… บทความปกิณกะที่แสดงไวใน
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว/แต่แค่ห้วงในหัวใจ/กลับไม่อาจสัมผัสถึง// หนา 9 ใหครูและเพื่อนๆ ฟง
เรามีรายได้สูงขึ้น/แต่ศีลธรรมกลับตกต�่าลง// หนาชั้นเรียน จากนั้นใหเพื่อนๆ
เรามีอาหารดีๆ มากขึ้น/แต่สุขภาพแย่ลง// รวมกันลงคะแนนหาผูที่มีความ
ทุกวันนี้/ทุกบ้านมีคนหารายได้/ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น// สามารถในการอานออกเสียง
ดังนั้น...จากนี้ไป… ขอให้พวกเราอย่าเก็บของดีๆ ไว้/โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ// บทรอยแกวไดดีที่สุด
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่/คือ …โอกาสที่พิเศษสุดแล้ว 2. นักเรียนที่ไดรับคัดเลือกออกมา
จงแสวงหา การหยั่งรู้ หนาชั้นเรียนบรรยายแนวทางที่
จงนั่งตรงระเบียงบ้าน/เพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่โดยไม่ใส่ใจกับความอยาก… ตนเองใชในการอานบทความให
จงใช้เวลากับครอบครัว/เพื่อนฝูง/คนที่รักให้มากขึ้น... เพื่อนๆ ฟง จากนั้นครูสุมเรียกชื่อ
กินอาหารให้อร่อย/ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป นักเรียนหรือขออาสาสมัครเพื่อ
ชีวิต คือ โซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุข/ไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด// ออกมาบรรยายหลักเกณฑการ
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
คัดเลือก
น�้าหอมดีๆ ที่ชอบจงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
3. ครูประเมินการอานออกเสียงของ
เอาค�าพูดที่ว่า...สักวันหนึ่ง/ออกไปเสียจากพจนานุกรม
นักเรียนแตละคน แนะนําแนวทาง
บอกคนที่เรารักทุกคน ว่า/เรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน...
อย่าผัดวันประกันพรุ่ง/ที่จะท�าอะไรก็ตาม/ที่ท�าให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น... ปฏิบัติที่ถูกตองใหแกนักเรียน
ทุกวัน... ทุกชั่วโมง.... ทุกนาที... มีความหมาย...
เราไม่รู้เลยว่า/เมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง//
และเวลานี้...
หลักฐาน
ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้/ไปให้คนที่คุณรักอ่าน... แล้วคิดว่า….
แสดงผลการเรียนรู
สักวันหนึ่ง...ค่อยส่ง... จงอย่าลืมคิดว่าสักวันหนึ่ง...วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้ นักเรียนสรุปแนวทางการอานออก
เพื่อท�าอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้... เสียงบทรอยแกวเบื้องตนสงครูผูสอน
(จอร์จ คอลลิน http: //happyhappiness.monkiezgrove.com/)

นักเรียนควรรู
บทความปกิณกะ หมายถึง บทความทั่วไป บทความเบ็ดเตล็ด ซึ่งบทความในลักษณะนี้อาจมีสาระประโยชน
แฝงอยู ซึ่งนักเรียนสามารถอานบทความปกิณกะไดจากเว็บไซตตางๆ หรือหนังสือรวบรวมบทความ

คูมือครู 9
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูอานบทรอยกรองประเภท
ใดก็ได โดยเลือกบทที่ไพเราะ
ใหนักเรียนฟง ซึ่งครูควรอานให ๓ การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง
นักเรียนฟง 2 ลักษณะ คือ การ ร้อยกรอง หมายถึง ค�าประพันธ์ที่แต่งโดยมีการบังคับจ�านวนค�า สัมผัส ฉันทลักษณ์ ตาม
อานแบบไมใสทํานองและการ แบบแผนของร้อยกรองแต่ละประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย เป็นต้น
อานแบบทํานองเสนาะ จากนั้น การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง หมายถึง การอ่านออกเสียงงานเขียนร้อยกรองประเภทต่างๆ
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา เพื่อสื่อเนื้อหาและอารมณ์ความรู้สึกที่ปรากฏไปสู่ผู้รับสารด้วยท่วงท�านองที่แตกต่างกัน
• การอานทั้ง 2 ลักษณะให การอ่านท�านองเสนาะ หมายถึง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองประเภทต่างๆ ตามท�านอง
อารมณความรูสึกที่แตกตางกัน ลีลาและจังหวะของบทประพันธ์ เพือ่ ให้ผอู้ า่ น ผูฟ้ งั เข้าถึงความงดงามของภาษา การอ่านท�านองเสนาะ
หรือไม อยางไร บทร้อยกรองจะมีความแตกต่างกันตามท�านอง ลีลา การทอดเสียงและความสามารถของผู้อ่าน
(แนวตอบ การอานทั้งสองแบบ
ใหอารมณความรูสึกที่แตกตาง ๓.๑ แนวทางการอ่านบทร้อยกรองเบือ้ งต้น
กัน เพราะการอานแบบทํานอง ๑) ต้องรู้จักฉันทลักษณ์ หรือลักษณะบังคัับของร้อยกรองประเภทต่างๆ ที่จะอ่าน
เสนาะจะใหความไพเราะดวย เช่น การบังคับเอก โท ครุ ลหุ เสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค และพยางค์หรือค�าที่บรรจุลงในวรรคหนึ่งๆ
การใชนํ้าเสียงของผูอานที่สื่อไป ๒) ต้องรูจ้ กั ท�านอง ลีลาและการเอือ้ นเสียงของบทร้อยกรองแต่ละประเภทให้ถกู ต้อง
ยังผูฟงตามทํานองและลีลาของ
รวมถึงต้องรู้จักวางจังหวะสัมผัสที่คล้องจองกันของบทกวีให้ถูกต้องตามต�าแหน่งให้ลงสัมผัส และ
บทรอยกรอง)
รู้จังหวะการเอื้อนเสียงเพื่อทอดจังหวะส�าหรับอ่านในบทถัดไป
๓) ต้องรู้จักเอื้อนเสียง ตามชนิดของค�าประพันธ์นั้นๆ โดยลากเสียงช้าๆ เพื่อให้เข้า
สํารวจคนหา จังหวะและไว้หางเสียงให้ไพเราะ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เอื้อนเสียงที่ค�าลหุเนื่องจากเป็นค�าที่มีเสียงสั้นและเบา
นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน ๔) ต้องรู้จักอ่านรวบค�า หรือพยางค์ที่เกินจากที่ก�าหนดไว้ในฉันทลักษณ์ โดยอ่านให้
คนหาความรูในประเด็น “แนวทาง เร็วขึ้นและเสียงให้เบาลงกว่าปกติจนกว่าจะถึงค�าหรือพยางค์ที่ต้องการจึงลงเสียงหนัก
การอานบทรอยกรองเบื้องตน” ดวย ๕) ต้องรู้จักอ่านค�า ให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ไม่ผิดสระ ผิดพยัญชนะ หรือวรรณยุกต์
วิธีการแลกเปลี่ยนความรูจากพื้นฐาน เช่น ไก่ เป็น ก่าย ครู เป็น คู ข่อน เป็น ค้อน นอกจากนี้ ควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /จ/ฉ/ช/ถ/
ความรูเดิม จากหนังสือเรียน ในหนา ท/ธ/ศ/ษ/ส/ เป็นต้น ให้ชัดเจนถูกต้องตามอักขรวิธีในภาษาไทย โดยไม่อ่านเป็นเสียงเสียดแทรกมาก
10 หรือเว็บไซตทางการศึกษา
เกินไปตามภาษาอังกฤษ และควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /ร/ล/ ค�าควบกล�้า ร/ล/ว ให้ชัดเจน เพราะ
อาจท�าให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายคลาดเคลื่อน และไม่ไพเราะ
อธิบายความรู ๖) รู้จักใส่อารมณ์ ความรู้สึกลงในค�าประพันธ์ที่อ่าน ซึ่งหมายความว่า ผู้อ่านต้อง
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ท�าความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของบทประพันธ์และสื่อไปยังผู้ฟังให้ตรงตามเจตนาที่แท้จริง
เกี่ยวกับแนวทางการอาน ๗) พยายามไม่อ่านฉีกค�า หรือฉีกความ โดยใส่ใจเฉพาะเป็นต�าแหน่งค�าสัมผัส
บทรอยกรองเบื้องตน ที่ไดจาก แต่ประการเดียว เพราะหากอ่านฉีกค�าหรือฉีกข้อความแล้วอาจท�าให้เนื้อความเสียไปหรือผู้ฟังเข้าใจ
การคนหารวมกับเพื่อน ความหมายคลาดเคลื่อนได้ เช่น
(แนวตอบ การอานบทรอยกรอง
เบื้องตน มีแนวทาง ดังนี้ 10
1. ผูอานตองรูจักฉันทลักษณ
ลักษณะบังคับของรอยกรอง
แตละประเภท
2. ตองรูจักทํานองลีลาการเอื้อนเสียง
3. ตองรูจักอานรวบคําหรือรวบพยางค นักเรียนควรรู
ที่เกินจากกําหนดในฉันทลักษณ
ฉันทลักษณ กวีจะเลือกใชฉันทลักษณ โดยใหมีลีลาที่เหมาะสมกับเนื้อหา
4. ตองรูจักใสอารมณในการอาน
และอารมณของเรื่อง เพื่อใหผูอานเกิดสุนทรียะอยางลึกซึ้ง
ฯลฯ)

10 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูเปดคลิปเสียงการอานออก
เสียงกลอนสุภาพที่สืบคนไดจาก
ตัวอย่าง สื่ออินเทอรเน็ต โดยเลือกตัวอยางที่
ม่านนี้/ ฝีมือ/ วันทองท�า จ�าได้/ ไม่ผิด/ นัยน์ตาพี่ ถูกตองและไพเราะ หรือครูเปนผูอาน
เส้นไหม/ แม้นเขียน/ แนบเนียนดี สิ้นฝีมือ/ แล้ว/ แต่นางเดียว ใหนักเรียนฟง จากนั้นใหนักเรียน
(ขุนช้างขุนแผน) สรุปเนื้อหาของกลอนสุภาพที่ไดฟง
พรอมทั้งสังเกตลักษณะการอาน
วรรคสุดท้ายของค�าประพันธ์ที่ยกข้างต้น ถ้าอ่านแบบยึดต�าแหน่งค�าสัมผัสเป็นส�าคัญ
จะอ่านเป็น “สิ้นฝี/มือแล้ว/แต่นางเดียว” โดยอาศัยค�าว่า “ฝี” รับสัมผัสจากค�าว่า “ดี” ซึ่งจะเห็น
สํารวจคนหา
ได้ว่าการอ่านลักษณะนี้ท�าให้ความหมายของค�าประพันธ์คลาดเคลื่อนไป จากความหมายว่า “ฝีมือ”
กลายเป็น “ฝี” ที่มือ นอกจากนี้ในวรรคสุดท้ายยังสามารถแบ่งจังหวะการอ่านได้เป็น “สิ้น/ฝีมือแล้ว/ 1. นักเรียนรวมกันยกตัวอยาง
แต่นางเดียว” จากตัวอย่างทีน่ า� มาแสดงจะไม่แบ่งจังหวะอ่านค�า “ฝีมอื ” แยกหรือออกจากกันแต่ให้อา่ น วรรณคดีที่รูจัก โดยสงตัวแทนออก
รวบค�า โดยอ่านออกเสียงเบาที่ค�า “ฝี” และลงน�้าหนักเสียงที่ค�า “มือ” ทั้งนี้เพื่อให้ได้ใจความส�าคัญ มาเขียนชื่อวรรณคดี (ในขั้นตอนนี้
ครบถ้วนไม่เสียรสความ นักเรียนอาจยกตัวอยางวรรณคดี
ที่ไมไดเขียนดวยกลอนสุภาพมา
๓.๒ การอ่านบทร้อยกรอง ปะปนได)
การฝึกอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง ๖ ประเภท คือ กลอนสุภาพ 2. นักเรียนจับคูก บั เพือ่ นรวมกันคนหา
กลอนบทละคร กลอนเสภา โคลงสี่สุภาพ กาพย์ยานี ๑๑ และกาพย์ฉบัง ๑๖ ดังนี้ ความรูในประเด็นฉันทลักษณและ
๑) กลอนสุภาพ คือกลอนทีพ่ ฒั นามาจากกลอนเพลงยาวทีพ่ บหลักฐานว่าเริม่ มีมาตัง้ แต่ การแบงวรรคตอนของบทรอยกรอง
ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา กลอนสุภาพ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคละ ๗ - ๙ ค�า จึงท�าให้มีการอ่านในแต่ละ ประเภทกลอนสุภาพ
วรรคสามารถแบ่งค�าได้เป็น ๒ / ๒ / ๓ หรือ ๒ / ๓ / ๓ หรือ ๓ / ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๓ / ๓ เป็นต้น ซึง่ กลอน
ในยุคแรกยังจัดระบบการส่งสัมผัสบังคับระหว่างวรรคไม่ค่อยลงตัว เช่น “จะกล่าวถึง/กรุงศรีอยุธยา
อธิบายความรู
อันเป็นกรุงรัตนราช/พระศาสนา มหาดิลก/อันเลิศล้น” รวมถึงยังไม่มีการก�าหนดเสียงวรรณยุกต์
ท้ายวรรคเหมือนกลอนในยุคหลัง 1. นักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
ฉันทลักษณของกลอนสุภาพและ
ภายหลังสุนทรภู่ปรับรูปแบบการประพันธ์กลอนให้ลงตัวมากขึ้น และนิยมให้กลอน
ลักษณะการแบงวรรคตอน
แต่ละวรรคมีเพียง ๘ ค�า และมีสัมผัสใน ๒ คู่ คือค�าที่ ๓ กับค�าที่ ๔ ค�าที่ ๕ กับค�าที่ ๖ หรือ ๗
(แนวตอบ กลอนสุภาพ 1 บท มี 4
จึงท�าให้การจัดจังหวะการอ่านลงตัวเป็น ๓ / ๒ / ๓ หากแต่มีข้อควรระมัดระวัง คือต้องไม่อ่านฉีกค�า วรรค วรรคละ 7 - 9 คํา ทําใหแบง
นอกจากนีก้ ลอนแบบสุนทรภู่ ยังจัดระเบียบการส่งสัมผัสระหว่างวรรคได้ลงตัว คือ ท�าให้คา� สุดท้ายของ วรรคไดเปน 2/2/3, 2/3/3, 3/2/3,
วรรคที่ ๑ และ ๓ ส่งสัมผัสไปยังค�าที่ ๓ ของวรรคที่ ๒ และ ๔ โดยอาจอนุโลมให้ส่งไปยังค�าที่ ๕ ได้ 3/3/3)
รวมถึงมีการวางระเบียบบังคับเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรค โดยท้ายวรรคที่ ๑ เป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ได้ 2. นักเรียนรวมกันคัดเลือกวรรณคดี
(ยกเว้นเสียงสามัญ) วรรคที่ ๒ เป็นเสียงวรรณยุกต์จตั วา (อนุโลมให้เป็นเสียงเอกได้) ส่วนวรรคที่ ๓ - ๔ บนกระดานใหเหลือเพียงเรื่อง
ให้ลงท้ายวรรคด้วยเสียงสามัญ ซึ่งเรียกกลอนที่มีการบังคับเสียงวรรณยุกต์แบบนี้ว่า “กลอนสุภาพ” เดียวที่ประพันธดวยกลอนสุภาพ
(ครูคอยชวยชี้แนะ) จากนั้น
11 สงตัวแทนออกมาเขียนคํากลอน
หนาชั้นเรียน โดยนักเรียนชวยกัน
ทองทีละวรรค บันทึกลงสมุด

ตรวจสอบผล
ขยายความเขาใจ
ครูสังเกตวิธีการอานและชวย
ชี้แนะแนวทางสําหรับการปรับปรุง นักเรียนออกมาอานบทรอยกรอง
แกไข ประเภทกลอนสุภาพหนาชั้นเรียน

คูมือครู 11
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูเปดวีดิทัศนการแสดงโขนเรื่อง
รามเกียรติ์ใหนักเรียนชม จากนั้น
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา ตัวอย่าง
• นักเรียนคิดวาบทละคร (สดับ) ประหลาดเหลือ/ เนื้อละมุน/ ยังอุ่นอ่อน สินสมุทร/ สุดสาคร/ ของพ่อเอ๋ย (รับ)
ดังกลาวเปนเรื่องอะไร และ (รอง) เคยกลับเป็น/ ก็ไม่เห็น/ เหมือนเช่นเคย กระไรเลย/ แน่นิ่ง/ ไม่ติงกาย (ส่ง)
คํากลอนที่ตัวละครกลาว แตง (พระอภัยมณี : สุนทรภู่)
ดวยคําประพันธประเภทใด
การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพให้มคี วามไพเราะ นอกจาก
ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกท�านองกลอนออกเสียงตัว ร, ล ค�าควบกล�้าและเสียงวรรณยุกต์ให้ถูกต้องแล้ว
สํารวจคนหา
การแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้องเป็นปัจจัยส�าคัญ จากตัวอย่างก�าหนดให้เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่ง
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน จ�านวนค�าภายในวรรค การจัดจังหวะหายใจก่อนจะอ่านต่อไป แต่เนื่องจากกลอนสุภาพวรรคหนึ่งมี
คนหาความรูในประเด็น จ�านวนค�าได้ตั้งแต่ ๗ - ๙ จึงอาจจัดจังหวะการอ่านได้เป็น ๓ / ๒ / ๓ (๘ ค�า) ๓ / ๓ / ๓ (๙ ค�า) ๒ / ๒ /
ฉันทลักษณและการแบงวรรคตอน ๓ (๗ ค�า) แต่สิ่งส�าคัญต้องพิจารณาที่เนื้อความเป็นหลัก ต้องไม่ฉีกค�าจะท�าให้เสียความ
ของกลอนบทละคร
2. นักเรียนสืบคนวรรณคดีที่แตงดวย ๒) กลอนบทละคร คือค�ากลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครร�า เช่น บทพระราชนิพนธ์
กลอนบทละคร บทละครเรื่องรามเกียรติ์ กลอนบทละครมีลักษณะบังคับเช่นเดียวกับกลอนสุภาพ บทหนึ่งมี ๒ บาท
หรือ ๔ วรรค วรรคละ ๖ - ๙ ค�า แต่นิยมใช้เพียง ๖ - ๗ ค�า เพื่อให้เข้าจังหวะร้องและร�า ท�าให้ไพเราะ
ยิง่ ขึน้ กลอนบทละครมักจะขึน้ ต้นด้วยค�าว่า “เมือ่ นัน้ ” ส�าหรับตัวละครทีเ่ ป็นกษัตริย ์ “บัดนัน้ ” ส�าหรับ
อธิบายความรู เสนาหรือคนทั่วไป “มาจะกล่าวไป” ใช้ส�าหรับน�าเรื่องเกริ่นเรื่อง
1. นักเรียนรวมกันยกตัวอยาง
วรรณคดีที่แตงดวยกลอน การอ่านกลอนบทละคร
บทละครและอภิปราย เมื่อนั้น โฉมยง/ องค์ระเด่น/ จินตะหรา
รวมกันเกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่อง ค้อนให้/ ไม่แลดู/ สารา กัลยา/ คั่งแค้น/ แน่นใจ
และขอคิดที่แฝงไวในวรรณคดี แล้วว่า/ อนิจจา/ ความรัก พึ่งประจักษ์/ ดั่งสาย/ น�้าไหล
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ตั้งแต่/ จะเชี่ยว/ เป็นเกลียวไป ที่ไหน/ จะไหล/ คืนมา
ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณและ
สตรีใด/ ในพิภพ/ จบแดน ไม่มีใคร/ ได้แค้น/ เหมือนอกข้า
การแบงวรรคตอนของกลอนบท
ด้วยใฝ่รัก/ ให้เกิน/ พักตรา จะมีแต่/ เวทนา/ เป็นเนืองนิตย์
ละคร
(อิเหนา : พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
(แนวตอบ กลอนบทละครแตง
น�้าใส/ ไหลเย็น/ เห็นตัวปลา ว่ายแหวก/ ปทุมา/ อยู่ไหวไหว
ขึ้นเพื่อแสดงละครรํา มีลักษณะ
บังคับเชนเดียวกับกลอนสุภาพ นิลุบล/ พ้นน�้า/ อยู่ร�าไร ตูมตั้ง/ บังใบ/ อรชร
แตจะขึ้นตนวรรคแรกดวยคํา ดอกขาว/ เหล่าแดง/ สลับสี คลายคลี่/ ขยายแย้ม/ เกสร
เฉพาะ เชน เมื่อนั้น บัดนั้น มา บัวเผื่อน/ เกลื่อนกลาด/ ในสาคร บังอร/ เก็บเล่น/ กับนารี
จะกลาวบทไป เปนตน การแบง (อิเหนา : พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย)
วรรคตอนสําหรับอานจะแบงเปน 12
3/2/3 หรือ 3/3/3)
3. นักเรียนรวมกันฝกปฏิบัติอาน
กลอนบทละครตามตัวอยาง โดย
ครูคอยชวยชี้แนะและประเมิน ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
การอานของนักเรียน นักเรียนออกมาอานออกเสียงกลอนบทละคร
นักเรียนคัดเลือกกลอนบทละคร
ที่ตนเองประทับใจมาเปนแบบฝก ใหครูและเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน ครูชี้แนะ
สําหรับฝกอานโดยใชแนวทาง แนวทางใหแกนักเรียนที่ยังมีจุดตองปรับปรุง
ที่ไดศึกษา จากนั้นเพื่อนๆ ในหองลงคะแนนคัดเลือกผูที่
ออกเสียงไดดีที่สุด ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อ
12 คูมือครู บรรยายหลักเกณฑการคัดเลือก
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูเปดวีดิทัศนการขับเสภาให
นักเรียนฟงและดู และสนทนากับ
การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนบทละครให้ยึดหลักปฏิบัติเช่นเดียว นักเรียนเกี่ยวกับการขับเสภาวา
กับกลอนสุภาพ คือ ใช้เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่งจ�านวนค�าภายในวรรค โดยการแบ่งจ�านวนค�าเป็น ครั้งหนึ่งเคยเปนมหรสพที่นิยมของ
๓ / ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๓ / ๓ ตามความเหมาะสมของเนื้อความ ซึ่งสิ่งที่ส�าคัญในการอ่านกลอนบทละคร คนไทย
คือ การใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไปในบทประพันธ์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครไปยังผู้ฟัง
๓) กลอนเสภา คือกลอนล�าน�าส�าหรับขับ ใช้ทา� นองขับได้หลายท�านอง เช่น เสภาไทย
สํารวจคนหา
เสภาลาว เสภามอญ มีกรับเป็นเครื่องประกอบส�าคัญ ผู้ขับจะต้องขยับกรับให้เข้ากับท�านอง แต่เดิม
นิยมขับเป็นเรื่องราว นิยมขับเรื่องขุนช้างขุนแผน กากี เป็นต้น กลอนเสภามีลักษณะบังคับเช่นเดียว แบงกลุมนักเรียนออกเปน 2 กลุม
กับกลอนสุภาพ กลุมที่หนึ่ง คนหาความรูในประเด็น
ฉันทลักษณและการแบงวรรคตอน
การอ่านกลอนเสภา ของกลอนเสภาและประวัติวรรณคดี
เรื่อง ขุนชางขุนแผน กลุมที่สอง
เจ้าพลายงาม/ ความแสน/ สงสารแม่ ช�าเลืองแล/ ดูหน้า/ น�้าตาไหล คนหาความรูในประเด็นฉันทลักษณ
แล้วกราบกราน/ มารดา/ ด้วยอาลัย พอเติบใหญ่/ คงจะมา/ หาแม่คุณ และการแบงวรรคตอนของโคลงสี่
แต่ครั้งนี้/ มีกรรม/ จะจ�าจาก ต้องพลัดพราก/ แม่ไป/ เพราะอ้ายขุน สุภาพและประวัติวรรณคดีเรื่อง
เที่ยวหาพ่อ/ ขอให้ปะ/ เดชะบุญ ไม่ลืมคุณ/ มารดา/ จะมาเยือน ลิลิตพระลอ
แม่รักลูก/ ลูกก็รู้/ อยู่ว่ารัก คนอื่นสัก/ หมื่นแสน/ ไม่แม้นเหมือน
จะกินนอน/ วอนว่า/ เมตตาเตือน จะห่างเรือน/ ร้างแม่/ ไปแต่ตัว อธิบายความรู
(เสภาขุนช้างขุนแผน)
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
การอ่านบทร้อยกรองประเภทกลอนเสภา ด้วยเหตุที่กลอนเสภาใช้ประกอบการขับ เกี่ยวกับฉันทลักษณและลักษณะ
จึงท�าให้มีจ�านวนค�าวรรคละ ๗ - ๙ ค�าขึ้นอยู่กับจังหวะการเอื้อนลากเสียงของผู้ขับหรือผู้แต่งแต่ละคน การแบงวรรคตอนของกลอนเสภา
จึงท�าให้การอ่านในแต่ละวรรคสามารถแบ่งค�าได้เป็น ๒ / ๒ / ๓ หรือ ๒ / ๓ / ๓ หรือ ๓ / ๒ / ๓ หรือ และโคลงสี่สุภาพ
๓ / ๓ / ๓ เป็นต้น 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับประวัติวรรณคดีเรื่อง
๔) โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงที่นิยมแต่งมากที่สุดในค�าประพันธ์ประเภทโคลงทั้งหมด
ขุนชางขุนแผน และลิลิตพระลอ
โคลงสี่สุภาพ ๑ บท มีจ�านวนค�าตั้งแต่ ๓๐ - ๓๔ ค�า บทหนึ่งมี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค ซึ่งบาทที่ บันทึกความรูที่ไดลงสมุด
๑ – ๓ มีบาทละ ๗ ค�า (วรรคหน้า ๕ ค�า วรรคหลัง ๒ ค�า และอาจเพิ่มค�าสร้อยในท้ายบาท ๑ กับ ๓ 3. นักเรียนรวมกันฝกปฏิบัติ อาน
ได้วรรคละ ๒ ค�า) ส่วนบาทสุดท้ายมี ๙ ค�า (วรรคหน้า ๕ ค�า วรรคหลัง ๔ ค�า) และยังมีการบังคับ กลอนเสภาและโคลงสี่สุภาพตาม
ต�าแหน่งค�าเอก - โท โดยบังคับค�าเอก ๗ ค�า ค�าโท ๔ ค�า ตัวอยาง โดยครูคอยชี้แนะ

ขยายความเขาใจ
13 นักเรียนคัดเลือกวรรณคดีที่แตง
ดวยกลอนเสภาหรือโคลงสี่สุภาพ
เพื่อนํามาฝกอานตามแนวทางที่ได
ศึกษา
ตรวจสอบผล
นักเรียนออกมาอานออกเสียงบทรอยกรองที่เลือก ครูและเพื่อนรวมกัน
ประเมินการอาน ครูคอยชี้แนะแนวทางใหแกนักเรียนที่ยังมีขอควรปรับปรุง
จากนั้นเพื่อนๆ ในหองลงคะแนนคัดเลือกผูที่ออกเสียงไดดี ครูสุมเรียกชื่อ
นักเรียนเพื่อบรรยายหลักเกณฑการคัดเลือก
คูมือครู 13
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันคนหาความรู
ในประเด็นฉันทลักษณของกาพยยานี
11 จากหนังสือเรียน ในหนา 14 - 15 การอ่านโคลงสี่สุภาพ
หรือเว็บไซตทางการศึกษา
เสียงลือ/ เสียงเล่าอ้าง อันใด/ พี่เอย
เสียงย่อม/ ยอยศใคร ทั่วหล้า
อธิบายความรู สองเขือ/ พี่หลับใหล ลืมตื่น/ ฤๅพี่
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ สองพี่/ คิดเองอ้า อย่าได้/ ถามเผือ
อธิบายความรูเ กีย่ วกับฉันทลักษณ (ลิลิตพระลอ)
และการแบงวรรคตอนของ
โฉมควร/ จักฝากฟ้า ฤๅดิน/ดีฤ ๅ
กาพยยานี 11 ในลักษณะโตตอบ
รอบวง โดยครูสุมเรียกชื่อ เกรง/เทพไท้ธรณินทร์ ลอบกล�้า
(แนวตอบ กาพยยานี 11 หนึ่งบทมี ฝากลม/ เลื่อนโฉมบิน บนเล่า/ นะแม่
2 บาท บาทละ 11 คํา คือ วรรค ลมจะ/ชายชักช�้า ชอกเนื้อ/ เรียมสงวน
หนา 5 คํา และวรรคหลัง 6 คํา (นิราศนรินทร์ : นายนรินทร์)
การแบงจังหวะเพื่ออานวรรคที่
มี 5 คํา แบงเปน 2/3 หรือ 3/2 การอ่านท�านองเสนาะบทร้อยกรองประเภทโคลง นอกจากผูอ้ า่ นจะต้องตระหนักในเรือ่ ง
ขึ้นอยูกับเนื้อความ วรรคที่มี 6 คํา เสียง ส�าเนียง อารมณ์และเทคนิคการทอดเสียงแล้ว ผู้อ่านจะต้องมีความมั่นใจในจังหวะและท�านอง
แบงเปน 3/3) โดยใช้เครือ่ งหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายในวรรคเพือ่ เพิม่ ความไพเราะและผ่อนลมหายใจ การแบ่ง
2. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ จังหวะในโคลง ถ้าวรรคใดมีคา� ๕ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๓ / ๒ หรือ ๒ / ๓ หรือ ๑/๔ โดยให้พจิ ารณาจาก
วรรณคดีเรื่อง กาพยเหเรือ ความหมายของค�าเป็นหลัก วรรคทีม่ ี ๔ ค�า จะแบ่งจังหวะเป็น ๒ / ๒ วรรคทีม่ ี ๒ ค�า ไม่ตอ้ งแบ่งจังหวะ
กระตุนใหนักเรียนไดอธิบาย
หากในวรรคมีจา� นวนพยางค์มากกว่าจ�านวนค�าต้องพิจารณารวบพยางค์ให้จงั หวะไปตกตรงพยางค์ทา้ ย
ความรูจากพื้นฐานความรูเดิม
ของค�าที่ต้องการ โดยอ่านรวบค�าให้เร็วและเบา
๕) กาพย์ยานี ๑๑ คือค�าประพันธ์ทมี่ กี ารบังคับสัมผัสต่างจากกลอน คือมีสมั ผัสบังคับ
ขยายความเขาใจ คู่เดียว ค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังค�าสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และไม่มีการบังคับเอก - โท
ครูนําเนื้อหาของวรรณคดีที่แตง ครุ - ลหุ แบบโคลงและฉันท์ โดยยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่ากาพย์เป็นค�าประพันธ์ดั้งเดิมของไทย
ดวยกาพยยานี 11 มาเปนแบบฝกให หรือรับมาจากชาติอื่น แต่มักนิยมเชื่อกันว่ากาพย์ คือ การแต่งฉันท์ที่ไม่มีการบังคับครุ - ลหุ
นักเรียนฝกอานตามแนวทางการอาน กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกาพย์ที่นิยมแต่งกันมากที่สุดแบบหนึ่ง มักใช้ส�าหรับการพรรณนา
บทรอยกรองที่ไดศึกษา ความทั่วไป เช่น ธรรมชาติหรือบรรยายเหตุการณ์ หนึ่งบทมี ๒ บาท บาทละ ๑๑ ค�า คือ วรรคหน้า
๕ ค�า วรรคหลัง ๖ ค�า

ตรวจสอบผล
นักเรียนออกมาอานทํานองเสนาะ 14
กาพยยานี 11 ใหเพื่อนๆ ฟง จากนั้น
เพื่อนๆ ลงคะแนนคัดเลือกผูที่อาน
ไดไพเราะเหมาะสม ครูสุมเรียกชื่อ
นักเรียนเพื่อบรรยายหลักเกณฑการ
คัดเลือก นักเรียนควรรู
ลิลิตพระลอ เปนวรรณคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมความรักที่ประพันธขึ้นดวยถอยคํา
ที่ไพเราะ พรรณนาเรื่องดวยอารมณที่หลากหลาย ใหแงคิดคติธรรมของชีวิต ลิลิตพระลอไดรับ
การยกยองจากวรรณคดีสโมสรใหเปนยอดแหงลิลิต เมื่อ พ.ศ. 2459
14 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา
นักเรียนรวมกันคนหาความรู
ในประเด็นกาพยฉบัง 16 จากหนังสือ
การอ่านกาพย์ยานี ๑๑ เรียน ในหนา 15 หรือจากแหลง
เรียนรูอื่น
เรื่อยเรื่อย/ มารอนรอน ทิพากร/ จะตกต�่า
สนธยา/ จะใกล้ค�่า ค�านึงหน้า/ เจ้าตาตรู
เรื่อยเรื่อย/ มาเรียงเรียง นกบินเฉียง/ ไปทั้งหมู่ อธิบายความรู
ตัวเดียว/ มาพลัดคู่ เหมือนพี่อยู่/ ผู้เดียวดาย ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
(กาพย์เห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร) ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณและการ
แบงวรรคตอนการอานกาพยฉบัง 16
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ยานี ๑๑ จะใช้เครื่องหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายใน (แนวตอบ กาพยฉบัง 16 1 บท มี 16
วรรค โดยวรรคที่มี ๕ ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๓ หรือ ๓ / ๒ ขึ้นอยู่กับเนื้อความ วรรคที่มี ๖ ค�า จะแบ่ง คํา แบงเปน 3 วรรค วรรคที่ 1 และ
จังหวะเป็น ๓ / ๓ 3 มี 6 คํา สวนวรรคที่ 2 มี 4 คํา โดย
๖) กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่ใช้ส�าหรับการพรรณนาความงามของธรรมชาติ วรรคที่มี 6 คํา แบงวรรคตอนเปน
การเดินทางหรือการต่อสู้ ซึ่งกาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ ค�า แบ่งเป็น ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๓ 2/2/2 หรืออาจเปน 2/4 วรรคที่มี 4
มี ๖ ค�า ส่วนวรรคที่ ๒ มี ๔ ค�า คํา แบงวรรคตอนเปน 2/2)

การอ่านกาพย์ฉบัง ๑๖
ขยายความเขาใจ
กลางไพร/ ไก่ขัน/ บรรเลง ฟังเสียง/ เพียงเพลง ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ
ซอเจ้ง/ จ�าเรียง/ เวียงวัง พระราชนิพนธในรัชกาลที่ 2 เรื่อง
ยูงทอง/ ร้องกะโต้งโห่งดัง เพียงฆ้อง/ กลองระฆัง “บทพากยเอราวัณ” ชี้แนะใหเขาใจ
แตรสังข์/ กังสดาล/ ขานเสียง วาพระราชนิพนธโดยใชกาพยฉบัง
(กาพย์พระไชยสุริยา : สุนทรภู่) 16 เนื่องดวยลีลาของกาพยฉบัง 16
เหมาะที่จะใชสําหรับการพรรณนา
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ฉบัง ๑๖ จะใช้เครือ่ งหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายในวรรค
ความงามของธรรมชาติ การเดินทาง
โดยวรรคที่มี ๖ ค�า จะแบ่งเป็น ๒ / ๒ / ๒ เป็นส่วนใหญ่ โดยสังเกตจากเนื้อความเป็นหลัก ซึ่ง หรือการตอสู ครูคัดเลือกเนื้อหา
ในบางครั้งอาจแบ่งเป็น ๒ / ๔ ตามตัวอย่าง เพราะค�าบางค�าควรอ่านให้เสียงต่อเนื่องกันเพื่อ ตั้งแต “อินทรชิตบิดเบือนกายิน”
สื่อความหมายให้ถูกต้อง วรรคที่มี ๔ ค�า ให้แบ่งจังหวะ ๒ / ๒ จนถึงวรรค “ดังเวไชยันตอมรินทร”
ใหนักเรียนนํามาฝกปฏิบัติตาม
การอ่าน เป็นทักษะที่สÓคัญและมีความจÓเป็นต่อการศึกษาหาความรู้เพิ่มพูน
แนวทางการอานบทรอยกรองที่ได
ประสบการณ์ต่างๆ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้น จึงควรฝึกฝนเพื่อพัฒนา
ศึกษา
ทักษะการอ่านอย่างสม่Óเสมอ เพื่อให้เป็นผู้สามารถศึกษาเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ ได้
ตลอดเวลา
15
ตรวจสอบผล
1. นักเรียนออกมาอานออกเสียง
บทพากยเอราวัณในชวงที่กําหนด
ครูตรวจสอบการอานของนักเรียน
ชี้แนะใหเห็นขอดีและขอควร
เกร็ดแนะครู ปรับปรุง พรอมทั้งแนวทางในการ
ครูควรแนะนําใหนักเรียนศึกษาคนควาเกี่ยวกับประวัติวรรณคดีเพิ่มเติม แกไขปรับปรุง
เชน กาพยเหเรือ กาพยพระไชยสุริยา บทพากษเอราวัณ ฯลฯ จากเว็บไซต 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
ทางการศึกษา เพื่อใหนักเรียนไดมีความรูเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทเรียน การเรียนรู

คูมือครู 15
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนคนหาความรูจากเกร็ด
ภาษา ในหนา 16
เกร็ดภาษา

อธิบายความรู การเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย จุดมุ่งหมายและประโยชน์จากการอ่านมีหลายประการ ผู้อ่านมากย่อมมีความรอบรู้ ความ
ความรูที่ไดรับจากการอานในหัวขอ คิดเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ด้วยวิธีการ
ต่างๆ ดังนี้
“การเพิ่มประสิทธิภาพในการอาน”
๑ ใ นการทอดสายตาแต่ละครั้ง ผู้อ่านจะต้องฝึกขยายช่วงการทอดสายตาลงบนบรรทัด
ให้กว้างขึ้น กล่าวคือ เมื่อมองลงไปในหนังสือหนึ่งครั้งต้องทอดสายตามองจ�านวนค�าให้
มากขึ้น เมื่อฝึกในช่วงแรกๆ การก้มลงทอดสายตาอาจจะท�าหลายครั้งแต่ถ้าฝึกฝนจนเกิด
ขยายความเขาใจ ความช�านาญ จะท�าให้กวาดสายตาได้เร็วขึ้น
ครูสรุปทักษะการเพิ่ม ๒ ค วรฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เพราะโลกในยุคปัจจุบัน
ประสิทธิภาพในการอานใหแก เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การแสวงหาความรู้จึงต้องเปิดกว้างและไม่อ่านหนังสือเพียง
นักเรียน จากนั้นครูตั้งคําถามกับ ประเภทใดประเภทหนึ่ง
นักเรียนวา ๓ ค วรฝึกฝนทักษะการอ่านจับใจความส�าคัญ เพื่อสามารถเข้าใจแนวคิดของผู้เขียน เข้าใจ
• แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ ความหมายทีไ่ ม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์ อ่านแล้วได้แนวความคิดใหม่ สามารถประเมินค่าของ
ข้อความที่อ่านได้ถูกต้อง
ในการอานสามารถนําไปปรับใช
ในชีวิตประจําวันไดจริงหรือไม ๔ ค วรเรียนรู้วิธีการใช้ห้องสมุด โดยสังเกตและศึกษาจากป้ายประกาศต่างๆ หน้าห้องสมุด
ตู้บัตรชื่อผู้แต่ง ตู้บัตรชื่อหนังสือ มุมหนังสือใหม่และมุมวารสารต่างๆ การหมั่นศึกษาและ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง เอาใจใส่อยู่เสมอจะช่วยท�าให้ได้รับความรู้ที่แปลกใหม่ ค้นคว้าได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
ความคิดเห็นไดอยางหลากหลาย
และอิสระ คําตอบขึ้นอยูกับ ๕ ค วรอ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หลายๆ เล่ม ทั้งที่ยากและง่าย การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหา
คล้ายคลึงกัน แต่เขียนขึ้นส�าหรับคนที่มีพื้นฐานความรู้ต่างกัน ฯลฯ เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลใช้
ดุลยพินิจของครูผูสอน) ในโอกาสต่อไป
๖ เ มือ่ พบหนังสือทีต่ อ้ งการ ควรบันทึกลงบัตรข้อมูล โดยระบุชอื่ เรือ่ ง ผูแ้ ต่ง ส�านักพิมพ์ ปีทพ
ี่ มิ พ์
หลักฐาน จ�านวนหน้า แนวความคิดส�าคัญของเรื่อง ฯลฯ เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลใช้ในโอกาสต่อไป

แสดงผลการเรียนรู ๗ เ มือ่ พบค�าใหม่ทไี่ ม่เข้าใจไม่ควรละเลย แต่ควรจดบันทึกไว้เพือ่ ค้นหาความหมาย จะช่วยท�าให้


รู้จักค�าเพิ่มมากขึ้น ได้รับความรู้ใหม่ๆ
นักเรียนสรุปแนวทางการอาน
ออกเสียงบทรอยกรองเบื้องตนสง ๘ ค วรฝึกฝนทักษะการอ่านในใจ เพราะการฝึกอ่านในใจจะท�าให้อ่านเนื้อหาได้มากในเวลา
อันรวดเร็ว และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน
ครูผูสอน
๙ ขณะที่อ่านควรฝึกการใช้ความคิดและวิจารณญาณในการอ่านอย่างสม�่าเสมอ

๑๐ ก ารฝึกฝนทักษะการอ่านออกเสียงจากข่าว บทละคร เรื่องสั้น นวนิยาย ฝึกอ่านท�านอง-


B
B พื้นฐานอาชีพ เสนาะ โดยการใช้น�้าเสียงเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกที่ปรากฏในเนื้อเรื่องไปยังผู้ฟัง

ครูชี้แนะใหนักเรียนเห็นความ
สําคัญของการอานเพราะการอาน 16
เปนประตูสูการเรียนรูในดานตางๆ
ผูที่ฝกฝนการอานออกเสียงจนเกิด
ความชํานาญ นอกจากจะเสริมสราง
บุคลิกภาพที่ดีใหกับตนเอง แลวยังสามารถนําไปประยุกตใชในการประกอบอาชีพ
ในอนาคตได เชน ผูประกาศขาว นักจัดรายการวิทยุ นักพากย ครูอาจจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนเพื่อปูพื้นฐานทางอาชีพใหแกนักเรียน เชน ใหนักเรียนนําขาว
ประเภทตางๆ มาฝกอานรวมกัน

16 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. ประโยชนของการอานมี
มากมายหลายประการ เชน
๑. จงอธิบายประโยชนของการอานและควรใชทกั ษะการอานประเภทใดเพือ่ รับรูส าระสําคัญไดรวดเร็วทีส่ ดุ ทําใหไดรับความรูและความ
๒. มารยาทในการอานออกเสียงประกอบไปดวยอะไรบาง จงอธิบายพอสังเขป เพลิดเพลิน ไดขอคิด และ
๓. การอานออกเสียงรอยแกวมีความแตกตางจากการอานออกเสียงบทรอยกรองหรือไม อยางไร แนวทางตางๆ ที่สามารถนํา
จงอธิบาย ไปปรับใชในชีวิตประจําวันได
๔. จงอธิบายแนวทางการอานและขอควรระวังในการอานบทรอยกรองประเภทที่นักเรียนชื่นชอบมาพอ การอานเพื่อใหรับรูขาวสารได
สังเขป รวดเร็ว คือ ใชวิธีการอานในใจ
๕. จงอธิบายวิธีการอานออกเสียงรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ พรอมยกตัวอยาง คิดและวิเคราะหขอความที่ได
อาน
2. มารยาทในการอานออกเสียง
ประกอบดวย
- ใชนํ้าเสียงใหเหมาะสม
- มีบุคลิกภาพเหมาะสม
- สังเกตปฏิกิริยาผูฟง
- ควบคุมอารมณ
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
3. การอานออกเสียงบทรอยแกว
มีความแตกตางจากการอาน
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนฟงผูประกาศขาวอานขาวจากสื่อวิทยุ โทรทัศน จากนั้นใหเขียนความ ออกเสียงบทรอยกรอง เพราะ
ประทับใจที่มีตอผูประกาศขาววามีหลักในการอานออกเสียงอยางไร การอานออกเสียงบทรอยกรอง
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนรวบรวม ขอความ บทความ หรือบทรอยแกวที่มีความไพเราะมาฝกอาน
จะตองอานโดยใสทํานอง ลีลา
โดยจับคูกับเพื่อนในชั้นเรียน
และใชนํ้าเสียงใหเหมาะสม
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนฝกอานออกเสียงบทประพันธจากวรรณคดีที่ชื่นชอบมา ๓ - ๔ บท แลวนํา
มาอานใหครูและเพื่อนนักเรียนฟงหนาชั้นเรียน 4. การอานออกเสียงบทรอยกรอง
ประเภทกลอนสุภาพ จะตอง
อานดวยการแบงวรรคเปน
2/2/3 2/3/3 3/2/3 หรือ 3/3/3
ตามความเหมาะสมของเนื้อ
ความ ขอควรระวังในการอาน
นอกจากจะตองอานออกเสียง ร,
ล และคําควบกลํ้าใหชัดเจนแลว
ยังตองแบงวรรคตอนใหถูกตอง
17 โดยพิจารณาจากเนื้อความเปน
หลัก ตองไมอานแยกคําเพื่อมุง
การแบงวรรคเพียงประการเดียว
เพราะจะทําใหเสียความ
5. วิธีการอานโคลงสี่สุภาพสามารถแสดงไดจากวรรณคดีเรื่อง ลิลิตพระลอ
เสียงฦๅ/เสียงเลาอาง อันใด/พี่เอย
เสียงยอม/ยอยศใคร ทั่วหลา
สองเขือพี่/หลับใหล ลืมตื่น/ฤๅพี่
สองพี่/คิดเองอา อยาได/ถามเผือ
ในวรรคที่มี 5 คําใหแบงการอานเปน 3/2 ในวรรคที่มี 4 คํา แบงจังหวะการอานเปน 2/2
ยกเวนในวรรคที่ 4 วรรคหลังจะอานรวบ 4 คํา)
คูมือครู 17
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. ระบุความแตกตางของคําที่มี
ความหมายโดยตรงและโดยนัยได
2. ระบุตําแหนงใจความสําคัญของ
ขอมูลตางๆ ที่อานได
3. เขียนกรอบแนวคิดจากเรื่องที่อาน
ได

กระตุนความสนใจ
นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาบุคคลในภาพ
กําลังอยูในสถานการณใด และ
ใชทักษะประเภทใด
(แนวตอบ กําลังอานหนังสือ โดย
ใชทักษะการอานเพื่อรับขอมูล
ขาวสาร)

หนวยที่ ò
การอานจับใจความ
ตัวชี้วัด
■ ระบุความแตกตางของคําทีม่ คี วามหมายโดยตรงและความหมาย ก ารอ่านเป็นกระบวนการรับรู้สาร
โดยนัย (ท ๑.๑ ม.๓/๒) ขั้นพื้นฐาน ในชีวิตประจ�าวันของมนุษย์
ระบุใจความสําคัญและรายละเอียดของขอมูลที่สนับสนุนจากเรื่อง
จะต้องรับรูส้ ารจากการอ่านเป็นประจ�าและ

ทีอ่ า น (ท ๑.๑ ม.๓/๓)


■ อานเรือ่ งตางๆ แลวเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด บันทึก ยอความ ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือเรียน นวนิยาย
รายงาน (ท ๑.๑ ม.๓/๔) เรื่องสั้น บทความ สารคดี ฯลฯ การรับรู้สาร
ในช่วงเวลาเดียวกันและมีความเร่งด่วน การ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
อ่ า นจั บ ใจความส� า คั ญ นั บ เป็ น สิ่ ง ส� า คั ญ ที่ ช ่ ว ย
■ การอานจับใจความจากสือ่ ตางๆ ท�าให้ผู้อ่านเข้าใจสาระส�าคัญของเรื่องราวต่างๆ
ได้รวดเร็ว และท�าให้การรับสารในแต่ละครั้งเกิด
ประสิทธิภาพ

18 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูชวนนักเรียนสนทนา ทักษะการ
อานเปนทักษะที่จําเปนในการรับรู
๑ การอ่านจับใจความ สาระขอมูล จากนั้นครูตั้งคําถามกับ
งานเขียนหรือข้อความทีผ่ เู้ ขียนต้องการสือ่ มายังผูอ้ า่ น นอกจากจะมีสาระข้อเท็จจริงทีน่ า� เสนอ นักเรียนวา
แล้ว ยังมีส่วนที่เป็นส่วนขยาย ข้อความเปรียบเทียบหรือส่วนกล่าวซ�้าเพื่อเน้นความชัดเจน นอกจากนี้ • การอานประเภทใดที่ทําให
ยังแฝงทรรศนะ ความเชือ่ หรือความคิดเห็นส่วนตัวลงไปด้วย ดังนัน้ การอ่านจับใจความจึงถือเป็นวิธกี าร สามารถเก็บสาระขอมูลไดครบ
ที่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถจ�าแนกข้อเท็จจริงออกจากส่วนประกอบอื่นๆ หรือที่เรียกว่า “พลความ” ของ ถวนภายในระยะเวลาจํากัด
เรื่องได้ แนวทางการอ่านจับใจความแบ่งออกเป็น ๒ แนวทาง ดังนี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๑.๑ การอ่านจับใจความโดยรวม ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
การอ่านจับใจความโดยรวม หมายถึง การสังเกตส่วนประกอบต่างๆ ของหนังสือหรือบทความ
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
อย่างรวดเร็ว เพื่อสามารถก�าหนดและท�าความเข้าใจโครงเรื่องหรือเนื้อหาทั้งหมดของหนังสือได้ ดังนี้
๑) สังเกตส่วนประกอบของเรือ่ ง เช่น ชือ่ เรือ่ ง ค�าน�า สารบัญ วัตถุประสงค์ของผูเ้ ขียน สํารวจคนหา
เพื่อให้เห็นแนวทางและจุดประสงค์ของผู้เขียน 1. นักเรียนรวมกันคนหาวิธีการอาน
๒) สังเกตหัวข้อใหญ่และหัวข้อรอง ซึ่งเป็นใจความส�าคัญที่ผู้เขียนต้องการสื่อมายัง ที่สามารถเก็บสาระขอมูลได
ผูอ้ า่ น นอกจากนีย้ งั หมายถึง การสังเกตข้อความทีเ่ ป็นตัวหนา ตัวเอน ขีดเส้นใต้หรือทีอ่ ยูใ่ นเครือ่ งหมาย ครบถวน จากแหลงเรียนรูตางๆ
อัญประกาศ (“....”) รวมทัง้ ตาราง และแผนภูมิ จากนัน้ จึงเรียงล�าดับความคิด รวมถึงพิจารณาเรือ่ งราวที่ เชน หนังสือเรียนวิชาภาษาไทย
ผู้เขียนต้องการน�าเสนอ เว็บไซตทางการศึกษา
๑.๒ การอ่านจับใจความส�าคัญ 2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน
การอ่านจับใจความส�าคัญ เป็นการอ่านงานเขียนอย่างละเอียด เพื่อพิจารณาหาข้อเท็จจริง คนหาความรูในประเด็นทักษะ
การอานจับใจความโดยรวม และ
ที่น�าเสนอ รวมถึงทรรศนะ ข้อคิดเห็น อารมณ์
จับใจความสําคัญจากหนังสือเรียน
น�้ า เสี ย งของผู ้ เ ขี ย นที่ มี ต ่ อ เรื่ อ งที่ น� า เสนอและ
ในหนา 19
ในกรณีที่ข้อความที่อ่าน มีความยาวเป็นย่อหน้า
หรือหลายๆ ย่อหน้า ผู้อ่านสามารถพิจารณา
ข้อความส�าคัญได้ดังนี้ อธิบายความรู
๑) พิจารณาจากชื่อเรื่อง แล้ว 1. นักเรียนรวมกันแสดงความรู
อ่านย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งจะช่วยให้ ความเขาใจและความคิดเห็น
ทราบว่าบทความนีน้ า� เสนอเรือ่ งอะไรอย่างกว้างๆ เกี่ยวกับวิธีการอานที่ทําให
๒) พิจารณาหาใจความส�าคัญ สามารถเก็บสาระขอมูลขาวสาร
ไปที ล ะย่ อ หน้ า ซึ่ ง ส่ ว นใหญ่ ใ จความส� า คั ญ ไดอยางครบถวน
ของแต่ละย่อหน้าอาจปรากฏอยู่ในต�าแหน่งต้น (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
ต�าแหน่งกลางหรือต�าแหน่งท้ายของย่อหน้า การฝกฝนการอ่านเป็นประจําและอ่านสื่อหลากหลาย อยางหลากหลาย คําตอบขึ้นอยู
ประเภท จะช่วยทําให้การอ่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กับดุลยพินิจของครูผูสอน)
19 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อ
อธิบายความรูเกี่ยวกับการอาน
จับใจความโดยรวม
(แนวตอบ การอานจับใจความโดย
3. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูเกี่ยวกับการอานจับใจความสําคัญที่ไดจากการคนหารวมกับเพื่อน รวม คือ การสังเกตสวนประกอบ
(แนวตอบ การอานจับใจความสําคัญเปนทักษะการอานที่สามารถฝกฝนได โดยพิจารณาใจความสําคัญ ตางๆ ของเรื่องราวที่อานอยาง
ทีละยอหนา ตัดรายละเอียดปลีกยอย แลวจึงสรุปเรื่องราวทั้งหมด) รวดเร็ว หลังจากนั้นจึงสังเกต
หัวขอใหญและหัวขอรอง ซึ่ง
เปนใจความที่ผูเขียนตองการสื่อ
ไปยังผูอาน)
คูมือครู 19
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนรวมกันคนหาความรูใน
ประเด็นตําแหนงของใจความ
สําคัญที่อยูบริเวณตนขอความ ๓) พยายามพิจารณาตัดรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ค�ำอธิบำย ตัวอย่ำง กำรให้
2. นักเรียนอานขอความตัวอยาง เหตุผล เพรำะสิ่งเหล่ำนี้เป็นเพียงเครื่องสนับสนุนควำมคิดหลักของเรื่อง
“พระราชพงศาวดารกรุงเกา ๔) เมื่ออ่านจบ ควรทบทวนหรือตั้งค�ำถำม ถำมตนเองว่ำ เรื่องที่อ่ำนเป็นเรื่องอะไร
ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์” และพยำยำมตอบให้ได้ว่ำใคร ท�ำอะไร ที่ไหน อย่ำงไร ด้วยวิธีใด จำกนั้นจึงบันทึกใจควำมส�ำคัญไว้
สํารวจความรูที่ไดรับจากการอาน เพื่อศึกษำเพิ่มเติมต่อไป
และสังเกตตําแหนงของใจความ
สําคัญ
๑.๓ ต�ำแหน่งของใจควำมส�ำคัญ
แนวทำงกำรพิจำรณำหำใจควำมส�ำคัญอย่ำงง่ำยๆ นั้น ส่วนใหญ่จะพบว่ำใจควำมส�ำคัญจะ
ปรำกฏอยู่ในต�ำแหน่งต้น ต�ำแหน่งกลำงหรือต�ำแหน่งท้ำยของข้อควำม ดังนี้
อธิบายความรู ๑) ใจความส�าคัญอยู่ต้นข้อความ ในลักษณะที่ใจควำมส�ำคัญของข้อควำมปรำกฏ
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู อยู่ในต�ำแหน่งต้นข้อควำมหรือย่อหน้ำ มักจะท�ำหน้ำที่เป็นประโยคน�ำเพื่อบอกเล่ำเรื่องรำว แล้วจึงมี
เกี่ยวกับตําแหนงของใจความ ข้อควำมอธิบำยรำยละเอียดสนับสนุนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สําคัญตนขอความ
(แนวตอบ ใจความสําคัญที่ปรากฏ ใจความส�าคัญอยู่ต้นข้อความ
ตนขอความหรือยอหนา จะทํา
หนาที่เปนประโยคนําเพื่อบอกเลา ก�าแพงพระนครแต่เดิมนั้นเป็นเพียงเนินดินที่ถมไว้สูงเป็นก�าแพง ต่อมาในสมัยสมเด็จ
เรื่องราว) พระมหาจักรพรรดิจึงได้ก่อก�าแพงอิฐเสริมขึ้นบนก�าแพงดินเดิม ดังจะเห็นได้จำกร่องรอยรำก
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูที่ได ก�ำแพงอิฐที่เหลืออยู่บนเนินดินที่สูงกว่ำระดับปกติ ตั้งแต่ ๒ เมตร ถึง ๓ เมตร ตัวเชิงเทินดินที่เป็น
รับจากการอานขอความตัวอยาง ฐำนก�ำแพงตั้งกว้ำงอย่ำงน้อย ๑๖ เมตร ก�ำแพงหนำ ๔ เมตรเศษ โดยก่อเป็นผนัง ๒ ด้ำน แล้ว
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได ถมดินกับอิฐหักไว้ตรงกลำง มีควำมสูงจำกเชิงก�ำแพงถึงปลำยใบเสมำประมำณ ๖ เมตร เฉพำะ
อยางหลากหลาย) ใบเสมำกว้ำงศอกคืบ (ประมำณ ๗๕ เซนติเมตร) หนำ ๒ ศอก (๑ เมตร) สูง ๒ ศอกคืบ (๑.๒๕
เมตร) ส่วนสูงของก�ำแพงถ้ำวัดจำกระดับเดิมถึงปลำยใบเสมำ สูงประมำณ ๔ วำ (๘ เมตร) วัดแนว
ขยายความเขาใจ ก�ำแพงพระนครได้ ๓๑๐ เส้น หรือประมำณ ๑๒ กิโลเมตร (๑๒,๔๐๐ เมตร) ส�ำหรับวัสดุที่ใช้ก่อ
ก�ำแพงนั้นมีกล่ำวถึงในค�ำให้กำรขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมว่ำ มีทั้งอิฐ ศิลำแลง และศิลำแดง
นักเรียนทบทวนความรูเกี่ยวกับ
(พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
ตําแหนงของใจความสําคัญ ฉบับภาษาไทย - เขมร: สมาคมวัฒนธรรมไทย - กัมพูชา)
ตนขอความ จากนั้นจึงใชองค
ความรูที่มีสืบคนเรื่องราวหรือ
ขอความที่มีใจความสําคัญปรากฏ ก�ำแพงพระนคร คือกรุงศรีอยุธยำ ซึง่ พระรำชพงศำวดำรกรุงเก่ำ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
ในตําแหนงตนขอความ พรอมทั้ง ได้อธิบำยว่ำ “ก�าแพงพระนครแต่เดิมนั้นเป็นเพียงเนินดินที่ถมไว้สูงมาก และในสมัยต่อมาจึงได้มี
ขีดเสนใต การก่อก�าแพงอิฐเสริมขึ้นบนก�าแพงดินเดิม”

ตรวจสอบผล 20

ครูประเมินเรื่องราว ขอความที่
นักเรียนนํามาวานักเรียนขีดเสนใต
ตําแหนงของใจความสําคัญถูกตอง
หรือไม นักเรียนควรรู
เรื่องที่อาน การอานจับใจความสําคัญที่มีประสิทธิภาพ ผูอานตองบอก
ไดวาเรื่องที่อานเปนเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด ใจความสําคัญของเรื่องมีวาอยางไร
การหาใจความสําคัญไดเร็วจะทําใหเขาใจสารไดเร็วขึ้น
20 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา
1. นักเรียนรวมกันคนหาความรู
ในประเด็นตําแหนงของใจความ
๒) ใจความส�าคัญอยู่กลางข้อความ ลักษณะใจความส�าคัญที่ปรากฏอยู่ตอนกลาง สําคัญที่อยูกลางขอความ
ของข้อความหรือย่อหน้า คือการที่ผู้เขียนกล่าวเกริ่นน�าเพื่อเชื่อมโยงเข้าหาใจความส�าคัญ แล้วจึงมี 2. นักเรียนอานขอความตัวอยาง
การอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม “นิทานโบราณคดี” สํารวจความรู
ที่ไดรับจากการอานและสังเกต
ใจความสÓคัญอยู่กลางข้อความ ตําแหนงของใจความสําคัญ
การที่คนปิดทองท่านพระครูวัดฉลอง เป็นแรกที่จะเกิดประเพณีปิดทองคนเป็นๆ เหมือน
เช่ น พระพุ ท ธรู ป หรื อ เทวรู ป ศั ก ดิ์ สิ ท ธิ์ ก็ เ ป็ น ธรรมดาที่ กิ ต ติ ศั พ ท์ จ ะเลื่ อ งระบื อ เกี ย รติ คุ ณ ของ อธิบายความรู
ท่านพระครูวัดฉลองแพร่หลาย จนนับถือกันไปทุกหัวเมืองทางทะเลตะวันตก ใช่แต่เท่านั้น แม้
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
จนในเมืองปนังอันเป็นอาณาเขตของอังกฤษ คนก็พากันนับถือท่านพระครูวัดฉลอง เพราะที่
เกี่ยวกับตําแหนงของใจความ
เมืองปีนงั พลเมืองมีไทยและจีนเชือ้ สายไทย ผูช้ ายเรียกกันว่า “บาบ๋า” หญิงเรียกกันว่า “ยอหยา” สําคัญกลางขอความ
ล้วนถือพระพุทธศาสนาอยู่เป็นอันมากเขาช่วยกันสร้างวัดและนิมนต์พระสงฆ์ไทยไปอยู่ก็หลายวัด (แนวตอบ ใจความสําคัญที่ปรากฏ
แต่ในเมืองปีนงั ไม่มพี ระเถระ พวกชาวเมืองทัง้ พระและคฤหัสถ์จงึ สมมติทา่ นพระครูวดั ฉลองให้เป็น ตอนกลางของขอความ คือ
มหาเถระส�าหรับเมืองปีนัง การที่ผูเขียนกลาวเกริ่นนําเพื่อ
(นิทานโบราณคดี : เชื่อมโยงเขาหาใจความสําคัญ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ)
แลวจึงอธิบาย)
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูที่ได
จากตั ว อย่ า งข้ า งต้ น กล่ า วถึ ง ความศรั ท ธาที่ พุ ท ธศาสนิ ก ชนมี ต ่ อ ท่ า นพระครู วั ด ฉลอง
รับจากการอานขอความตัวอยาง
รวมถึงการปิดทองที่ท่านพระครูเหมือนกับการปิดทองพระพุทธรูป เทวรูป ว่ามิได้เป็นที่นับถือศรัทธา (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
แต่เฉพาะในบรรดาหัวเมืองทางฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทยเท่านั้น หากยังได้รับความศรัทธา อยางหลากหลาย)
จากพุทธศาสนิกชนไทยและจีนเชื้อสายไทย ที่อาศัยอยู่ที่เมืองปีนังอีกด้วย จากนั้นจึงอธิบายเพิ่มเติม
อีกว่าพุทธศาสนิกชนในปีนงั ยังช่วยกันสร้างวัดและ
นิมนต์พระสงฆ์ไทยไปจ�าพรรษาอยูท่ เี่ มืองปีนงั ทัง้ ขยายความเขาใจ
ยังยกย่องท่านพระครูวดั ฉลองเป็นพระเถระผูใ้ หญ่ นักเรียนทบทวนความรูเกี่ยวกับ
ของเมือง ตําแหนงของใจความสําคัญกลาง
๓) ใจความส�าคัญท้ายข้อความ ขอความ จากนั้นจึงใชองคความรู
การที่ใจความส�าคัญอยู่ท้ายข้อความหรือย่อหน้า ที่มีสืบคนเรื่องราวหรือขอความที่มี
คื อ วิ ธี ก ารน� า เสนอที่ ผู ้ เ ขี ย นมุ ่ ง ให้ ร ายละเอี ย ด ใจความสําคัญปรากฏในตําแหนง
เหตุผลของการน�าเสนอ แล้วจึงสรุปประเด็นส�าคัญ กลางขอความ พรอมทั้งขีดเสนใต
หรือความคิดรวบยอดไว้ตอนท้ายของข้อความ ปัจจุบันมีหนังสือนานาชนิดสําหรับประชาชนได้เลือก
อ่านตามความสนใจ ตรวจสอบผล
21 ครูประเมินเรื่องราว หรือขอความ
ที่นักเรียนนํามาวานักเรียนขีดเสน
ใตตําแหนงของใจความสําคัญ
ถูกตองหรือไม

คูมือครู 21
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนรวมกันคนหาความรู
ในประเด็นตําแหนงของใจความ
สําคัญที่อยูบริเวณทายขอความ ใจความสÓคัญอยู่ท้ายข้อความ
2. นักเรียนอานขอความตัวอยาง
“การแตงกายในสมัยรัตนโกสินทร” การคาดผ้าแถบและห่มสไบเฉียงทับ ส�าหรับชาวบ้านโดยทัว่ ไปแล้วไม่คอ่ ยได้ทา� อะไรหรูหรา
สํารวจความรูที่ไดรับจากการอาน พิสดาร ทีจ่ ะพบว่าปักดิน้ หรือใช้ผา้ ราคาแพงก็แทบจะไม่มี ดังนัน้ เมือ่ จะดูทปี่ ระดิดประดอยตกแต่ง
และสังเกตตําแหนงของใจความ หรูหรา จริงๆ ก็ต้องดูผ้าห่มสไบเฉียงของเจ้านายชั้นสูง (เรียกเป็นราชาศัพท์ว่า “ผ้าทรงสะพัก”)
สําคัญ ผ้าทรงสะพักมักเป็นผ้าทอง “ตาด” เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่า ทอ มีทั้งตาดเงิน ตาดทอง คือ
ทอด้วยทองแล่ง ทองแล่ง คือแผ่นเงินชุบทองตัดเป็นเส้นเล็กๆ น�ามาทอกับเส้นไหม ถ้าไม่ได้ชบุ ทอง
ก็เป็นตาดเงิน ผ้าตาดมีหลายชนิดตามลายทอหรือการปัก เช่น ทอเป็นลายหยักขึ้นลงก็เรียกว่า
อธิบายความรู “ตาดคดกริช” ถ้าเอาผ้าตาดมาปักด้วยปีกแมลงทับจริงๆ ก็เรียก “ตาดปีกแมลงทับ”
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู การนุง่ ผ้ายก ห่มตาด ถือเป็นเครือ่ งยกใหญ่ของฝ่ายใน เช่น ทีส่ มเด็จฯ กรมกระยาด�ารง-
เกี่ยวกับตําแหนงของใจความ ราชานุภาพเล่าถึงการแต่งกายในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในหนังสือความทรงจ�า
สําคัญอยูทายขอความ (การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์ : เอนก นาวิกมูล)
(แนวตอบ ใจความสําคัญที่อยูทาย
ขอความ คือ วิธีการนําเสนอที่ จากเนือ้ ความข้างต้น ใจความส�าคัญของเนือ้ ความนีจ้ ะอยูส่ ว่ นท้าย คือ “การนุง่ ผ้ายก ห่มตาด
ผูเขียนมุงใหรายละเอียด เหตุผล ถือเป็นเครือ่ งยกใหญ่ของฝ่ายใน” เป็นประโยคส�าคัญทีส่ รุปเนือ้ ความทัง้ หมด จากทีเ่ ริม่ อธิบายเรือ่ งการ
ของการนําเสนอแลวจึงสรุป แต่งกายของชนชัน้ สูงในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึง่ มีลกั ษณะพิเศษตรงทีเ่ ป็น “ตาด” และตาดนัน้ ก็มหี ลายชนิด
ประเด็นสําคัญหรือความคิด โดยรวมจึงกล่าวถึงการให้รายละเอียดตาดชนิดต่างๆ จึงเป็นการกล่าวขยายความก่อนจะเข้าถึงใจความ
รวบยอดไวในตอนทาย) ส�าคัญของเรื่อง
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูที่ได ทีก่ ล่าวมาแล้วเป็นเพียงการให้พนื้ ฐานวิธกี ารพิจารณาใจความส�าคัญของข้อความ หรือย่อหน้า
รับจากการอานขอความตัวอยาง การจะเป็นผูอ้ า่ นทีด่ แี ละสามารถพิจารณารายละเอียด ใจความส�าคัญหรือวัตถุประสงค์หลักของข้อความ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
ทีส่ อื่ มาถึงผูอ้ า่ นได้ ควรมีการฝึกฝนการอ่านอย่างสม�า่ เสมอ รวมถึงมีการตัง้ ข้อสังเกตและพยายามฝึกฝน
อยางหลากหลาย)
การพิจารณาใจความหลักหรือใจความส�าคัญ จนกลายเป็นนิสัยการอ่านหนังสือที่ดีต่อไป ซึ่งจะท�าให้
สามารถใช้เวลาในการอ่านน้อย แต่ได้ใจความครบถ้วน สมบูรณ์ มีเวลาว่างส�าหรับการท�ากิจกรรม
ขยายความเขาใจ ชนิดอื่นที่สนใจ
นักเรียนทบทวนความรูเกี่ยวกับ การอ่านจับใจความส�าคัญเป็นพื้นฐานทางการอ่านที่ส�าคัญที่สุด ในชีวิตประจ�าวันของมนุษย์
ตําแหนงของใจความสําคัญทาย จะต้องมีการรับสารด้วยการอ่านจากหนังสือประเภทต่างๆ เช่น หนังสือเรียน นวนิยาย เรื่องสั้น ฯลฯ
ขอความ จากนั้นจึงใชองคความรู ผู้ที่หมั่นฝึกฝนการอ่านจับใจความส�าคัญตามแนวทางที่น�าเสนอไว้ข้างต้น จะท�าให้สามารถรับสารได้
ที่มีสืบคนเรื่องราวหรือขอความที่มี รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใจความสําคัญปรากฏในตําแหนง
ทายขอความ พรอมทั้งขีดเสนใต

22
ตรวจสอบผล
ครูประเมินเรื่องราว หรือขอความ
ที่นักเรียนนํามาวานักเรียนขีดเสนใต
ตําแหนงของใจความสําคัญถูกตอง หลักฐาน
หรือไม แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนนําเรื่องราวหรือขอความที่
ขีดเสนใตสวนที่เปนใจความสําคัญใน
ตําแหนงตางๆ สงครูผูสอน
22 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูชวนนักเรียนสนทนาในประเด็น
“คําในภาษาไทย” ครูชี้แจงดวย
๒ การอ่านวิเคราะห์ความหมายของคา� การยกตัวอยางใหเห็นชัดเจนวา
ในชีวติ ประจ�าวัน มนุษย์รบั สารด้วยการอ่านสือ่ ทีห่ ลากหลาย แต่ธรรมชาติการสือ่ สารของคนไทย คําที่ปรากฏใชมีเปนจํานวนมากที่
นอกจากสื่ อ ความหมายตรงตามตั ว อั ก ษรแล้ ว ยั ง ใช้ ภ าษาสื่ อ สารที่ มี ค วามหมายแฝง เรี ย กว่ า มีความหมายหลายนัย เชน จาก
ความหมายโดยนัยด้วยเสมอ บางครั้งอาจไม่เข้าใจความหมายที่แฝงท�าให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิผล สํานวนที่วา “งายเหมือนปอกกลวย
ดังนั้น ผู้เรียนจึงต้องฝึกฝนทักษะการอ่านเพื่อวิเคราะห์ให้เข้าใจความหมายของค�า ข้อความ ประโยค เขาปาก” คําวา “กลวย” ในที่นี้มิได
เพื่อให้เข้าใจได้ถูกต้องตรงตามเจตนาผู้ส่งสาร ฝึกการแปลความหมายตามพจนานุกรม ตีความหมาย หมายความถึงผลไม แตแปลวา
งาย สะดวก
ว่าเป็นความหมายโดยตรงหรือความหมายโดยนัย จับใจความส�าคัญของเรื่องที่อ่านและสรุปความรู้
เพื่อถ่ายทอดข้อมูลจากเรื่องที่อ่านให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง
๒.๑ ความหมายของถ้อยค�าในการสือ่ สาร สํารวจคนหา
๑) ค� า ที่ มี ค วามหมายนั ย ตรง คื อ ค� า ที่ มี ค วามหมายตรงตามตั ว อั ก ษร ซึ่ ง เป็ น 1. นักเรียนรวมกันคนหาความรู โดย
ความหมายตามทีพ่ จนานุกรมก�าหนด เป็นความหมายหลักทีใ่ ช้ในการสือ่ สารทัว่ ไป เมือ่ มีขอ้ โต้แย้งเรือ่ ง ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ความหมายของค�า ต้องยึดถือพจนานุกรมเป็นหลักในการตัดสิน เช่น • เพราะเหตุใดเราจึงจําเปนตอง
■ สมอง หมายถึง ส่วนทีอ่ ยูภ่ ายในกะโหลกศีรษะ มีลกั ษณะนุม่ ๆ หยุน่ ๆ เป็นลูกคลืน่ เรียนรูเรื่องความหมายของคํา
เป็นที่รวมประสาทให้เกิดความรู้สึก 2. ครูแบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม ให
แตละกลุมแยกกันคนหาความรูใน
■ เก้าอี้ เป็นค�าที่ยืมมาจากภาษาจีน หมายถึง ที่ส�าหรับนั่ง มีขาและพนักพิง มัก
ประเด็นคําที่มีความหมายนัยตรง
ยกย้ายไปมาได้ ถ้ามีรูปยาวใช้นอนได้ เรียกว่า เก้าอี้นอน ถ้าโยกได้ก็เรียกว่า เก้าอี้โยก ใช้ลักษณนาม
และคําที่มีความหมายนัยประหวัด
ว่า ตัว โดยครูใหนักเรียนจับสลาก ใครจับ
๒) ค�าที่มีความหมายนัยประหวัด คือค�าที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร แต่เป็น ไดหมายเลข 1 ศึกษาคําที่มีความ
ความหมายแฝงหรือความหมายโดยนัยอ้อมเพือ่ เชือ่ มโยงไปถึงอีกสิง่ หนึง่ อันเป็นทีเ่ ข้าใจกันในกลุม่ เช่น หมายนัยตรง จับไดหมายเลข 2
เมื่อน�าค�าว่า “สมอง” “เก้าอี้” มาเรียบเรียงเป็นประโยคเพื่อสื่อความหมายเชื่อมโยงไปถึงอีกสิ่งหนึ่ง ศึกษาคําที่มีความหมายนัย
เช่น ประหวัด
■ เธอจะมาร้องไห้ฟูมฟายกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้วท�าไมต้องรู้จักท�าตัวให้มีสมอง
เสียบ้าง
อธิบายความรู
จากประโยคนี้ “สมอง” จะหมายถึง ท�าตนให้มีปัญญา ฉลาดหรือคิดไตร่ตรอง
ให้ได้ว่าอดีตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ใช่หมายถึง สมองที่อยู่ภายในกะโหลกศีรษะที่ท�าหน้าที่เป็น 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ค�านาม ความรูเกี่ยวกับความจําเปนในการ
■ นักการเมืองพยายามท�าทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เก้าอี้มา ศึกษาเรื่องความหมายของคํา
(แนวตอบ เพราะในชีวิตประจําวัน
จากประโยคนี้ “เก้าอี”้ จะหมายถึง ต�าแหน่งทางการเมือง ไม่ได้หมายถึงเก้าอีส้ า� หรับ
ของมนุษยรับสารจากสื่อที่หลาก
นั่งที่ท�าหน้าที่เป็นค�านาม
หลาย ในบางครั้งอาจไมเขาใจ
23 ความหมายที่แฝงอยูทําใหการรับ
สารไมสัมฤทธิผล ดังนั้นผูเรียน
จึงตองฝกฝนทักษะการอานเพื่อ
วิเคราะหความหมายของคํา)
2. นักเรียนในกลุมที่ 1 ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับคําที่มีความหมายนัยตรง
(แนวตอบ คือ คําที่มีความหมายตามตัวอักษรที่บอกไวในพจนานุกรม หรือความหมายที่รับรูไดดวยถอยคํา
ตรงๆ มีความหมายตามเนื้อความ)
3. นักเรียนในกลุมที่ 2 ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับคําที่มีความหมายนัยประหวัด
(แนวตอบ คือ คําที่มีความหมายไมตรงตามตัวอักษร ผูอานจะตองตีความวาหมายถึงอะไร รูปคําเปนอยางหนึ่ง
แตอาจใชในความหมายอีกอยางหนึ่ง)
คูมือครู 23
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันคนหาความรู
ในประเด็นหลักการอานวิเคราะห
ความหมายของคําจากหนังสือเรียน ๒.๒ หลักการอ่านวิเคราะห์ความหมายของค�า
ในหนา 24 การพิจารณาความหมายของค�า มีหลักการพิจารณาดังนี้
๑) พิจารณาความหมายจากพจนานุกรม ภาษาไทยเป็นภาษาที่ค�าเดียวมีหลาย
ความหมาย หลายนัยและใช้แตกต่างกัน ผู้อ่านจะเข้าใจความหมายโดยพิจารณาความหมายจาก
อธิบายความรู
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม ๒) พิจารณาความหมายจากบริบท ค�าบางค�าอาจมีทั้งความหมายนัยตรงและ
เพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับหลักการ
นัยประหวัด โดยผู้อ่านต้องสังเกตความหมายของค�าจากข้อความที่ใช้ประกอบด้วย เช่น ค�าว่า “ขัน”
อานวิเคราะหความหมายของคําใน
แม่ไปซื้อขันที่ตลาด
ลักษณะโตตอบรอบวง

(แนวตอบ การพิจารณาความหมาย การสังเกตความหมายของค�าจากข้อความแวดล้อม จะเข้าใจว่า “ขัน” ที่ปรากฏใน


ของคํา สามารถทําได ดังนี้ ประโยคเป็นค�านาม หมายถึง ภาชนะที่ใช้ตักน�้า
1. พิจารณาจากพจนานุกรม ไก่ขันแต่เช้าตรู่

2. พิจารณาจากบริบทหรือ การสังเกตความหมายของค�าจากข้อความแวดล้อม จะเข้าใจว่า “ขัน” ที่ปรากฏใน


ขอความแวดลอม ประโยคเป็นค�ากริยา หมายถึง ร้อง
3. พิจารณาจากสํานวนโวหาร ๓) พิจารณาความหมายจากส�านวนโวหาร มีคา� จ�านวนมากเมือ่ ใช้ประสมกับค�าอืน่
4. พิจารณาจากนํ้าเสียงและสีหนา ท�าให้ความหมายเปลี่ยนไปกลายเป็นส�านวนโวหาร สุภาษิตหรือค�าพังเพย ซึ่งมีความหมายไม่ตรงตาม
ประกอบ) ตัวอักษร แต่มีการก�าหนดความหมายไว้ในพจนานุกรม เช่น
ตักน�้ารดหัวตอ เป็นส�านวน หมายถึง แนะน�าพร�่าสอนอย่างไรก็ไม่ได้ผล

ขยายความเขาใจ ตักน�้าใส่กะโหลกชะโงกดูเงา เป็นส�านวน หมายถึง ให้รู้จักฐานะของตนเองและ


ให้เจียมตัว
นักเรียนจับคูกับเพื่อนชวยกัน ปากปลาร้า เป็นส�านวน หมายถึง ชอบพูดค�าหยาบ

ทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
หลักการอานวิเคราะหความหมาย ๔) พิจารณาความหมายจากน�้าเสียงและสีหน้าประกอบ เช่น
ของคํา จากนั้นใหนักเรียนแตละ วันนี้แต่งหน้าจัดเชียว จะไปเที่ยวที่ไหนหรือ

คนยกตัวอยางคําที่มีความหมายทั้ง (แต่งหน้าจัด หมายถึง แต่งหน้าเข้มจนเกินไป)


นัยตรงและนัยประหวัด โดยนําคํา การอ่านวิเคราะห์ความหมายของค�า ผู้อ่านจะมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องที่อ่านเป็นอย่างดี
ที่ยกตัวอยางไปประกอบในประโยค ซึ่งการอ่านหนังสือ บทความ นวนิยาย เรื่องสั้น บทร้อยกรอง ผู้อ่านจะเข้าใจในเนื้อหาสาระได้ทั้งหมด
อานใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน จะต้องสามารถวิเคราะห์ความหมายของค�าได้เป็นล�าดับแรก ซึง่ แนวทางการอ่านเพือ่ วิเคราะห์ความหมาย
ของค�าสามารถใช้หลักการดังกล่าวทีน่ า� เสนอข้างต้นเพือ่ เป็นแนวทางได้ ซึง่ ในบทเรียนนีจ้ ะขอยกตัวอย่าง
บทร้อยกรอง “เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา” เพือ่ ให้เห็นแนวทางการอ่านวิเคราะห์ความหมายของค�า
@
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพจนานุกรม 24
ออนไลนไดจากเว็บไซตของสํานักงาน
ราชบัณฑิตยสภา http://www.royin.
go.th/dictionary/

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา คําวาแดงในขอใดทําหนาที่ตางจากขออื่น
1. รั้วสีแดง 2. ครูชื่อแดง 3. กินนํ้าแดง 4. ใสเสื้อสีแดง
(วิเคราะหคาํ ตอบ คําวิสามานยนาม หรือ คํานามเฉพาะ ใชสาํ หรับเรียกชือ่ บุคคล สถานที่ ดังนัน้ จึง
24 คูมือครู ตอบ ขอ 2.)
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาใน
ลักษณะบูรณาการความรูกับวิชา
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ประวัติศาสตร จากนั้นครูตั้งคําถาม
กับนักเรียนวา
...จักเกิดอัศจรรย์ด้วยพิศดาร • ประวัติศาสตรของ
คือดาวเดือนดินฟ้าจักอาเพศ อุบัติเหตุจักมีทุกทิศาน กรุงศรีอยุธยาที่ตองลมสลายลง
มหาเมฆจักลุกเปนเพลิงกาล จะเกิดนิมิตพิศดารแก่บ้านเมือง ดวยเหตุผลใด
พระคงคาจะแดงเดือดเปนเลือดนก อกแผ่นดินจักบ้าฟ้าจักเหลือง (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ทั้งผีป่าจักวิ่งเข้ามาเมือง ผีเมืองจักวิ่งออกไพร ไดอยางหลากหลายตามพื้นฐาน
พระเสื้อเมืองจักเอาตัวหนี พระกาฬกุลีจักเข้ามาเป็นไส้ ความรู)
พระธรณีจักตีอกไห้ อกพระกาลจักไหม้อยู่เกรียมกรม
อันพุทธท�านายนี้ไม่ผิดผัน ด้วยนิมิตอัศจรรย์ก็เห็นสม
ใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม ใช่เทศกาลลมก็ลมพัด สํารวจคนหา
ใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น ใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ นักเรียนอานเพลงยาวพยากรณ
ฝูงคนจักตายพรายพลัด ทั้งสิงสาราสัตว์จักร้อนรน กรุงศรีอยุธยาที่นํามาแสดงไวใน
ทั้งเทวดาบ�ารุงพระศาสนา ก็จักรักษาแต่ฝ่ายอกุศล หนังสือเรียน หนา 25 - 26 ใหใช
ทั้งสัปรุษก็จักแพ้แก่ทรชน มิตรตนก็จักฆ่าซึ่งความรัก ปากกานํ้าเงินขีดเสนใตขอความที่
ภรรยาจักฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์ เปนความรู ปากกาแดงขีดเสนใต
อันลูกศิษย์จักสู้ครูพัก จักหาญหักใหญ่ให้เป็นน้อย ขอความที่เปนขอสงสัย และใชดินสอ
คนพาลจักมีอ�านาจ นักปราชญ์ก็จักตกต�่าต้อย ขีดเสนใตขอความที่เปนขอคิดหรือ
กระเบื้องก็จักเฟื่องฟูลอย น�้าเต้าอันลอยจักถอยจม แนวคิดที่ไดรับจากการอาน
ท่านผู้มีสกูลจะสูญเผ่า เหล่าจัณฑาลจักเข้ามาสู่สม
ผู้มีศีลก็จักเสียอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยพาลา
พระมหากษัตริย์จักเสื่อมสีหนาท ประเทศราษฎร์จักเสื่อมยศถา อธิบายความรู
คนอาสัจจักเลื่องลือชา พระธรรมาจักตกลึกลับ นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
คนกล้าจักเสื่อมใจหาญ จักเสื่อมสิ้นวิชาการทั้งปวงสรรพ เกี่ยวกับเพลงยาวพยากรณกรุงศรี-
ผู้มีศีลก็จักถอยจากทรัพย์ สัปรุษก็จักอับซึ่งน�้าใจ อยุธยา ครูชวยอธิบายเพิ่มเติมและ
จักถอยอายุทั้งเดือนปี ประเพณีจักแปรปรวนตามนิสัย ใชคําถามเพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตอง
ทั้งแผ่นดินก็จักผอมไข้ ผลหมากรากไม้อันมีรส รวมกัน
ทั้งว่านยาก็จักอาเพศ จักเสื่อมคุณวิเศษทั้งปวงหมด • เพลงยาวพยากรณ
ทั้งจวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส จัดถอยถดไปตามประเพณี กรุงศรีอยุธยามีเนื้อหาเกี่ยวกับ
ทั้งเข้าจักยากหมากจักแพง ทุกสิ่งจักแล้งถ้วนถี่ สิ่งใด
จักเกิดทรพิษมิคสัญญี ฝูงผีจักเข้ามาปลอมปน (แนวตอบ การพยากรณถึง
อนาคตของกรุงศรีอยุธยา)
25 • นักเรียนคิดวาเหตุการณที่กลาว
ไวในเพลงยาวพยากรณกรุงศรี-
อยุธยาสามารถเกิดขึ้นจริง
หรือไม
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
นักเรียนควรรู ตอบไดอยางหลากหลาย ครู
สนับสนุนใหนักเรียนไดแสดง
เพลงยาว เปนชื่อคําประพันธประเภทกลอนแตงโดยไมจํากัดความยาว
ความคิดเห็นอยางอิสระ)
และมีขอบังคับทางฉันทลักษณเชนเดียวกับกลอนแปด ที่แตกตางกัน คือ
กลอนเพลงยาวตองขึ้นตนบทแรกดวยวรรครับ ไมขึ้นดวยวรรคสดับ
คูมือครู 25
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนสํารวจตัวอยางการอาน
วิเคราะหความหมายของคําใน
เพลงยาวพยากรณกรุงศรีอยุธยา ทุกประเทศธานี จักเกิดกาลกลีทุกแห่งหน
จากหนังสือเรียน ในหนา 26 - 27 มี บ้านเมืองจักไร้ไพร่พล จักสาละวนทั่วโลกหญิงชาย
ลักษณะการนําเสนอเนื้อหาอยางไร จักร้อนอกสมณาประชาราษฎร์ จักเกิดเข็ญเปนอุบาทว์ทั้งหลาย
จักรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย ฝูงคนจักตายลงเป็นเบือ
ทางน�้าจักแห้งเปนทางบก บ้านเมืองจักรกเป็นพงเสือ
อธิบายความรู อันสิงสาราสัตว์และเนื้อเบื้อ จักเหลืออยู่ที่ในแผ่นดิน
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู อันผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย จักล้มตายอันตรธานไปทั้งสิ้น
เกี่ยวกับลักษณะการนําเสนอของ พระกาลจักแผ้วแผ่นดิน ให้สุดสิ้นสกูลด้วยสงคราม
ตัวอยางการอานวิเคราะหความ ทั้งในชมภูทวีปจักถอยแล้ว จักเสื่อมรัศมีแก้วทั้งสาม
หมายของคํา จักนับทั้งปีเดือนคืนยาม จนครบนามศักราชได้ห้าพัน
(แนวตอบ ลักษณะการนําเสนอของ
ตัวอยางมีการลําดับหัวขอเพื่อให
การอ่านวิเคราะห์ความหมายของค�า : เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
งายตอการทําความเขาใจแสดง
ใหเห็นความผิดปกติของสิ่งตางๆ พิจารณาความหมายจากพจนานุกรม
โดยเริ่มจากธรรมชาติ ความเสื่อม เนือ่ งจากเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา มีลกั ษณะการใช้ถอ้ ยค�าทีแ่ ตกต่างไปจากปัจจุบนั
ความเปนพระจักรพรรดิราช ทําให บางค�ายากต่อการท�าความเข้าใจ และต้องพิจารณาความหมายจากพจนานุกรม เช่น
สามารถอานตามและลําดับความ จวงจันทน์ น. เครื่องหอมที่เจือด้วยจวงและจันทน์, จวง (ถิ่น-ปักษ์ใต้) น. ต้นเทพ-
เขาใจไดงาย) ทาโร (จวงหอม), จันทน์ น. ชือ่ ต้นไม้บางชนิด มีไม้ ดอก หรือผล หอม ใช้ทา� ยา และปรุงเครือ่ งหอม
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู จัณฑาล ว. ต�่าช้า, ดุร้าย
เกี่ยวกับความผิดปกติของ เบื้อ น. สัตว์ป่าทั่วไป คู่กับสัตว์บ้าน (มักใช้คู่กันกับ “เนื้อ” เป็น เนื้อเบื้อ)
ธรรมชาติที่ปรากฏในเพลงยาว พิจารณาความหมายจากบริบท
พยากรณกรุงศรีอยุธยา เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นงานกวีนิพนธ์ที่น�าเสนอภาพของความสับสน วุ่นวาย
(แนวตอบ ความผิดปกติของ ในช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครัง้ ที่ ๒ มีการใช้ถอ้ ยค�าทีเ่ ป็นสัญลักษณ์แฝงให้ผฟู้ งั หรือผูอ้ า่ นตีความ
ธรรมชาติที่ปรากฏ ไดแก ฤดูกาล
ให้เห็นความเสื่อมถอยของกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นการท�าความเข้าใจเนื้อหาในเพลงยาวพยากรณ์
แปรปรวน สมุนไพรที่เคยใชเปนยา
กรุงศรีอยุธยา จึงจ�าเป็นต้องอาศัยการตีความจากค�าบริบทรอบข้างประกอบด้วย ดังนี้
ไดกลับใชไมได ผลไมที่เคยมีกลิ่น
ความผิดปกติของธรรมชาติ ในที่นี้หมายถึงการที่กวีใช้ถ้อยค�า หรือความ เพื่อแสดงให้
กลับไมมีกลิ่น ผลผลิตทางการ
เห็นความวิปริตแปรปรวนของกรุงศรีอยุธยา โดยใช้ธรรมชาติเป็นสัญลักษณ์ในการเปรียบ ทัง้ นีอ้ าจ
เกษตรไมไดผลเทาที่ควร)
สันนิษฐานได้ว่าการแสดงภาพความผิดปกติของธรรมชาติต่างๆ มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่สามารถ
3. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
จับต้องพบเห็นได้ ทั้งยังมีพลังในการกระทบอารมณ์ สร้างความสะเทือนใจได้อย่างชัดเจน เช่น
• เพลงยาวพยากรณกรุงศรีอยุธยา
ฤดูกาลแปรปรวน เช่น “...ใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม ใช่เทศกาลลมก็ลมพัด
มีลักษณะการใชถอยคําเพื่อ

ใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น ใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ...”
สื่อความหมายอยางไร
(แนวตอบ การใชถอยคําใน 26
ลักษณะที่ผูอานตองวิเคราะห
ความหมายของคําเพื่อใหเขาใจ
เนื้อหาสาระที่แทจริงที่ผูเขียน
ตองการสื่อมายังผูอาน ถอยคํา
ที่ปรากฏจะมีทั้งความหมาย นักเรียนควรรู
นัยตรงและนัยประหยัด)
สัญลักษณ ในงานประพันธปรากฏการใชในวัตถุประสงคที่แตกตางกัน วรรณคดีบางเรื่องใช
สัญลักษณเพื่อใหเกิดความหมายลึกซึ้ง เชน ขุนชาง ขุนแผน

26 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนรวมกันอานออกเสียง
นิทานเซน : บทเรียนแรกของ
จากตัวอย่าง แม้จะกล่าวถึงความแปรปรวนของธรรมชาติ การเสื่อมคุณสมบัติของ ชางแกะสลัก จากหนังสือเรียนหนา
สิ่งมีค่า (ว่านยา) หรือแม้แต่การสูญเสียคุณธรรม จริยธรรมของประชาชนในสังคม แต่นัยที่แฝงอยู่ 27 - 28 เพื่อคนหาแนวคิดที่แฝงอยู
นั้นย่อมสื่อไปถึงสาเหตุที่ท�าให้เกิดความแปรปรวน นั่นคือ ผู้น�าหรือผู้ปกครองไม่ประพฤติตนอยู่ใน ภายในเรื่อง
ศีล สัตย์
ความเสื่อมความเป็นพระจักรพรรดิราช ในที่นี้หมายถึงกวีใช้ถ้อยค�า หรือความ เพื่อ อธิบายความรู
แสดงให้เห็นถึงความเสือ่ มถอย หรือความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ 1. ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ
และชนชั้นปกครองประเทศ ดังนี้ เนื้อหาของนิทานเซน : บทเรียน
ความเสือ่ มพระราชอ�านาจ “...พระมหากษัตริยจ์ กั เสือ่ มสีหนาท ประเทศราษฎร์
■ แรกของชางแกะสลัก โดยให
จักเสื่อมยศถา ...” นักเรียนผลัดกันเลาเนื้อหาของ
พิจารณาความหมายจากน�้าเสียง เรื่อง ซึ่งครูจะทําหนาที่เริ่มตน
จากบทประพันธ์ดังกล่าว กวีใช้ถ้อยค�าแสดงน�้าเสียงที่มีความหมายแฝง มีลักษณะ คนแรก และใชวิธีการสุมเรียกชื่อ
เป็นสัญลักษณ์ และความเปรียบ เพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาในเวลานั้นเกิดความ นักเรียนเพื่อเลาตอๆ กัน
เปลี่ยนแปลงไปในทางร้าย ดังอาจอธิบายพอสังเขปได้ ดังนี้ 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
■ “...มหาเมฆจักลุกเปนเพลิงกาล...” หากแปลความหมายโดยตรงกวีแสดงภาพให้ • แนวคิดทีน ่ กั เรียนไดรบั จากการ
ผู้ฟังหรือผู้อ่านมองเห็นว่าเมฆลุกไหม้เป็นไฟ ยังความร้อนแก่บ้านเมือง แต่หากพิจารณาให้ลึกลง อานนิทานเซน : บทเรียนแรก
ไปถึงนัยที่แฝงอยู่ จะเห็นว่า กวีแสดงภาพผ่านการใช้โวหารว่า แม้แต่เมฆ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งน�้า ของชางแกะสลัก คืออะไร
ความฉ�่าเย็น ยังแปรเปลี่ยนเป็นความรุ่มร้อนได้ อันสามารถเปรียบได้กับสภาวการณ์บ้านเมือง ที่ (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
แปรเปลี่ยนจากความเป็นปกติสุข เป็นความรุ่มร้อนด้วยความวุ่นวาย ยังความล�าบากแก่ไพร่บ้าน แสดงความคิดเห็นไดอยาง
พลเมือง หลากหลาย คําตอบขึ้นอยูกับ
กวีเลือกใช้ถ้อยค�าที่มีลักษณะเป็นค�าตายในบทประพันธ์ เช่น “จัก” ซ�้าๆ กันหลายแห่ง ดุลยพินิจของครูผูสอน โดย
ส่วนใหญ่เป็นการขึ้นบรรทัดใหม่หรืออยู่ภายในวรรค จึงท�าให้น�้าเสียงในการอ่านมีความหนักแน่น ชี้แนะแกนักเรียนวา แนวคิดของ
ผู้อ่านและผู้ฟังจะเกิดความหวาดวิตกต่อค�าท�านาย ดังนั้น น�้าเสียงของกวีนิพนธ์ดังกล่าวจึงสะท้อน เรื่องคือ การมีสมาธิจดจออยูกับ
ให้เห็นเหตุการณ์และความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หรือเป็นสัญลักษณ์ของการสูญสิ้น สถานการณปจจุบัน)

นิทานเซน : บทเรียนแรกของช่างแกะสลัก

ยังมีพระเซนรูปหนึ่ง นามว่า ต้าเหนียน สนใจการแกะสลักพระพุทธรูปเป็นอย่างยิ่ง ทว่า


ติดขัดที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะ รูปสลักพระพุทธรูปที่ท�าออกมาจึงล้วนขาดตกบกพร่องไม่เป็นที่
พอใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจออกเดินทางไปกราบขอค�าชีแ้ นะจากอาจารย์เซนอูเ๋ ต๋อ เพือ่ หวังว่าอาจารย์
เซนอู๋เต๋อจะถ่ายทอดเคล็ดลับการแกะสลักพระพุทธรูปที่ถูกต้องให้

27

คูมือครู 27
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• เมื่อนักเรียนอานนิทานเซน :
บทเรียนแรกของชางแกะสลัก อาจารย์เซนอู๋เต๋อตอบตกลง หลังจากนั้นทุกๆ เช้า พระเซนรูปนี้ต้องไปกราบอาจารย์ที่
นักเรียนรูสึกอยางไร หอธรรม โดยอาจารย์เซนอูเ๋ ต๋อเพียงแต่ยนื่ หินอัญมณีใส่มอื ให้เขา และสัง่ ให้กา� เอาไว้ให้แน่น จากนัน้ จึง
(แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับ สนทนาถึงเรือ่ งทัว่ ๆ ไป เนือ้ หาการสนทนาครอบคลุมทุกเรือ่ งเพียงเว้นเรือ่ งการแกะสลักพระพุทธรูป
ดุลยพินิจของครูผูสอน) ไว้เท่านัน้ ยิง่ ไปกว่านัน้ อาจารย์เซนยังไม่เคยอธิบายว่าเหตุใดพระเซนต้าเหนียนจึงต้องก�าหินอัญมณี
• นักเรียนคิดวาแนวคิดเรื่อง เอาไว้ตลอดเวลา เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพระเซนต้าเหนียนเริ่มเกิดความเบื่อหน่ายทว่า
“สมาธิ”ที่ปรากฏในนิทาน ไม่กล้าเอ่ยปากกระทั่งวันหนึ่ง อาจารย์เซนอู๋เต๋อยื่นหินให้พระเซนต้าเหนียนเหมือนเช่นทุกๆ วัน
สามารถนํามาปรับใชกับ จากนัน้ ตระเตรียมสนทนา ทว่าเมือ่ ก�าหินไว้ในมือชัว่ ครู่ พระเซนก็รสู้ กึ ไม่ถกู ต้อง จึงเอ่ยกับอาจารย์วา่
ชีวิตประจําวันของนักเรียน “ช้าก่อน ท่านอาจารย์ หินทีท่ า่ นมอบให้ศษิ ย์วนั นีไ้ ม่ใช่อญ
ั มณี” อาจารย์เซนจึงเอ่ยถามว่า “หากไม่ใช่
ไดอยางไร แล้วคืออะไร?” ต้าเหนียนจึงตอบว่า “เป็นเพียงก้อนหินธรรมดาๆ ก้อนหนึง่ ” มิคาด ยามนีอ้ าจารย์
(แนวตอบ “สมาธิ” เปนสิ่งจําเปน เซนกลับกล่าวว่า “ถูกต้อง การแกะสลักต้องอาศัยมือกับจิตทีเ่ ป็นหนึง่ เดียวกัน เจ้ารูส้ กึ ถึงความต่าง
ตอการดํารงชีวิตประจําวัน ของหินที่อาจารย์ยื่นให้เนื่องเพราะมีจิตจดจ่ออยู่ ณ ที่นั่น บัดนี้เจ้าผ่านบทเรียนบทแรกของ
การทํากิจการงานทุกประเภท การแกะสลักพระพุทธรูปแล้ว”
จําเปนตองใชสมาธิ การเรียน ปัญญาเซน : จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ความส�าเร็จทุกสิ่ง เริ่มต้นขึ้นที่ใจ
ก็เชนเดียวกัน หากมีสมาธิอาน (http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000155480)
เพื่อทบทวนและหาความรูเพิ่ม
เติมจะทําใหประสบผลสําเร็จใน การอ่านวิเคราะห์ความหมายของค�า : นิทานเซน บทเรียนแรกของช่างแกะสลัก
การเรียนได)
พิจารณาความหมายจากพจนานุกรม
นิทานเซน เขียนด้วยร้อยแก้วที่ใช้ถ้อยค�าเพื่อสื่อความหมายกับผู้อ่านอย่างตรงไปตรงมา
ขยายความเขาใจ ดังนั้นถ้อยค�าส�านวนที่ปรากฏจึงไม่ยากต่อการท�าความเข้าใจ กล่าวคือ วงค�าศัพท์ที่ปรากฏภายใน
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน เรื่องเป็นวงค�าศัพท์ที่คนส่วนใหญ่ต้องเคยได้ยินในชีวิตประจ�าวัน
ความรูความเขาใจเกี่ยวกับหลัก พิจารณาความหมายจากส�านวนโวหาร
การอานวิเคราะหความหมายของ นิทานเซน เป็นนิทานที่น�าเสนอแนวคิดทางปรัชญา ดังนั้นส�านวนโวหารที่ปรากฏภายใน
คํา เพื่อนําองคความรูมาวิเคราะห เรื่องจึงมีความลุ่มลึก ลีลาของการเรียบเรียงถ้อยค�าเข้าประโยคเป็นไปในเชิงสั่งสอน แต่ถึงอย่างไร
ความหมายของคําจากบทประพันธที่ ก็ยังปรากฏส�านวนในลักษณะที่เรียกว่านิทาน เช่น “ช้าก่อน ท่านอาจารย์ หินที่ท่านมอบให้ศิษย์
กําหนด วันนี้ไม่ใช่อัญมณี”
“พรุงนี้แลวจะเขจะขึ้นโขง พิจารณาความหมายจากบริบท
มาโหมโรงในสยามทุกหยอมหญา นิทานเซนเรื่อง “บทเรียนแรกของช่างแกะสลัก” ผู้เขียน (ผู้แปล) เสนอแนวคิดเรื่อง
และพรุงนี้จะพึ่งใครในโลกา วิธีการท�างานหรือเรื่องราวต่างๆ ให้ประสบความส�าเร็จ ผ่านนัยที่อาจารย์เซนอู๋เต๋อ สอนแก่
เมื่อกีตารจะกลับทับของมัน” พระต้าเหนียน ที่ต้องการเป็นช่างแกะสลักที่มีฝีมือ ด้วยการให้ก�าก้อนอัญมณีไว้ในขณะสนทนา
ความคิดสีขาว : ไพบูลย วงษเทศ ธรรมทุกๆ เช้า จนกระทัง่ วันหนึง่ จึงเปลีย่ นเป็นให้กา� ก้อนหิน ซึง่ พระต้าเหนียนก็รสู้ กึ ถึงความผิดปกติ
(แนวตอบ รอยกรองบทนี้ปรากฏ
การใชคําที่มีความหมายนัยประหวัด 28
โดยใชเครื่องดนตรีแตละชนิดซึ่ง
เปนลักษณะเดนทางวัฒนธรรม
เปนสัญลักษณสื่อความหมายไปถึง
ประเทศผูเปนเจาของวัฒนธรรมทาง ตรวจสอบผล หลักฐาน
ดนตรีชิ้นนั้น เมื่อกีตารจะกลับทับ ครูตรวจสอบการอานวิเคราะห แสดงผลการเรียนรู
ของมัน จึงหมายถึงทหารอเมริกาจะ ความหมายของคําของนักเรียน
กลับบาน ซึ่งเราจะพึ่งพาใครไดอีก) สรุปหลักการอานวิเคราะหความหมาย
ของคําลงในสมุดสงครูผูสอน

28 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูนําตัวอยางกรอบความคิดที่
สามารถหาไดจากสื่ออินเทอรเน็ต
และสามารถจ�าแนกความแตกต่างได้ ทั้งนี้เพราะจิตที่เป็นสมาธิ ควบคุมประสาทสัมผัสทางกาย หรืออาจจะเปนผลงานของครูหรือ
นั่นย่อมหมายถึงการฝึกฝน หรือท�าสิ่งใดก็ตาม สมควรเริ่มด้วยจิตที่เป็นสมาธิจึงจะสามารถ ของนักเรียนที่ครูรวบรวมไวมาให
ประสบความส�าเร็จได้ ดังข้อความ ว่า “ถูกต้อง การแกะสลักต้องอาศัยมือกับจิตทีเ่ ป็นหนึง่ เดียวกัน นักเรียนไดชม จากนั้นตั้งคําถามกับ
เจ้ารูส้ กึ ถึงความต่างของหินทีอ่ าจารย์ยนื่ ให้เนือ่ งเพราะมีจติ จดจ่ออยู่ ณ ทีน่ นั่ บัดนีเ้ จ้าผ่านบทเรียน นักเรียนวา
บทแรกของการแกะสลักพระพุทธรูปแล้ว” • นักเรียนคิดวา การเขียนกรอบ
พิจารณาจากน�้าเสียง ความคิดมีประโยชนอยางไร
จากนิทานเรื่อง “บทเรียนแรกของช่างแกะสลัก” อาจพิจารณาได้ว่าต้องการเสนอนัยแฝง ตอกระบวนการการเรียนรูของ
เรื่องการฝึกสมาธิ ควบคุมจิตใจ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ทั้งทางธรรม และทางโลก หากจิตเป็น นักเรียน
สมาธิ ก็จะสามารถก�าหนดรู้เรื่องราว พิจารณาเหตุและผลต่างๆ ได้แตกฉานชัดเจน เช่น ในกรณี (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ทีเ่ ป็นนักเรียน นักศึกษา การใส่ใจฟังบรรยายในห้องเรียน เอาใจใส่ทบทวนต�าราอยูอ่ ย่างสม�า่ เสมอ ไดอยางหลากหลายตามความรู
ด้วยจิตใจทีต่ งั้ มัน่ มีสมาธิ มีสติในทุกขณะของการกระท�า ย่อมสามารถประสบความส�าเร็จได้ เป็นต้น และความเขาใจ)

๓ การอ่านเพื่อเขียนกรอบความคิด สํารวจคนหา
การเขียนกรอบความคิด (Mind Map) คือ การเรียบเรียงข้อมูล ความคิด องค์ความรู้ต่างๆ 1. นักเรียนรวมกันคนหาความรู
แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นกรอบความคิดด้วยภาพ สัญลักษณ์ เส้นโยงน�าความคิด ความสัมพันธ์ระหว่าง ในประเด็นเกี่ยวกับประวัติและ
ประเด็นหลัก ประเด็นรองและประเด็นย่อยอื่นๆ ด้วยการวางประเด็นหลักไว้กลางหน้ากระดาษ ความหมายของกรอบความคิด
แล้วลากเส้นเชื่อมประเด็นหลักไปสู่ประเด็นรองและประเด็นย่อยอีกทีหนึ่ง 2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนคนหา
ความรูในประเด็นแนวทางการ
๓.๑ แนวทางการเขียนกรอบความคิด เขียนกรอบความคิด
๑. ศึกษาเนื้อหาเรื่องที่ต้องการน�าเสนอ
๒. ศึกษาเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
๓. ศึกษาวิเคราะห์เนือ้ หา พร้อมทัง้ พิจารณาแตกประเด็นความคิดหรือข้อมูลทีค่ ดิ ว่าจะ อธิบายความรู
น�าเสนอ 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบาย
๔. เรียบเรียงและจัดหมวดหมู่ความคิด รวมถึงตัดทอนประเด็นที่ไม่จ�าเป็นออก ความรูเกี่ยวกับประเภทของ
๕. น�าเสนอในรูปกรอบความคิด ดังนี้ เรื่องราวที่สามารถนํามาสรุปเปน
■ วางประเด็นหลักหรือประเด็นส�าคัญไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ กรอบความคิดได
เขียนประเด็นรองไว้รอบประเด็นหลัก แล้วลากเส้นโยงน�าความคิด

(แนวตอบ เรื่องราวที่สามารถนํา
เขียนประเด็นย่อยของประเด็นรองแต่ละประเด็นไว้ตามหัวข้อ

มาเขียนกรอบความคิดไดมีหลาย
ประเภท เชน วรรณคดี วงจรชีวิต
พิจารณาน�าเสนอประเด็นต่างๆ ด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่

ของสัตว)
น�าเสนอ
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
29 เกี่ยวกับแนวทางการเขียนกรอบ
ความคิด
(แนวตอบ แนวทางการเขียนกรอบ
ความคิดสามารถทําได ดังนี้
1. ศึกษาเนื้อเรื่องอยางละเอียด
2. ศึกษาขอมูลที่เกี่ยวของ
3. แตกประเด็นความคิด
4. จัดหมวดหมูตัดที่ไมจําเปนออก
5. นําเสนอในรูปแบบกรอบ
ความคิด)
คูมือครู 29
สํารวจคนหา
กระตุนความสนใจ Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explain Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. แบงนักเรียนออกเปน 3 กลุม โดย
ใหแตละกลุมสงตัวแทนออกมาจับ
สลากเพื่อคนหาความรูในประเด็น ๓.๒ การเขียนกรอบความคิด เรื่องฉันท์พาลีสอนน้อง
ดังตอไปนี้ ๑) ข้อมูลเบือ้ งต้น ฉันท์พาลีสอนน้องเป็นวรรณกรรมค�าสอนทีอ่ าศัยเค้าเรือ่ ง เหตุการณ์
1. ประวัติวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ จากเรือ่ งรามเกียรติต์ อนทีพ่ าลีสงั่ เสียสุครีพและองคต โดยแทรกความเชือ่ เกีย่ วกับจริยธรรม หน้าที่ และ
2. เนื้อหาที่นําเสนอ ข้อควรปฏิบัติส�าหรับข้าราชการ
3. ภูมิหลังของตัวละคร ไดแก ส�าหรับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับผู้แต่ง และสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ไม่มีการบันทึก
พระราม พาลี สุครีพ และองคต ไว้ว่าใครเป็นผู้แต่งและแต่งขึ้นเมื่อใด แต่เมื่อพิจารณาจากจารึกที่วัดพระเชตุพนฯ เมื่อคราวบูรณะวัด
2. นักเรียนสํารวจตัวอยางการ ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๔ โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมสมเด็จ-
แตกประเด็นความคิดหลักและ พระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพิจารณารวบรวมวรรณคดี และสรรพวิชาการต่างๆ เพื่อจารึกไว้ ณ
ประเด็นความคิดรองของการเขียน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม อาจตัง้ ข้อสันนิษฐานได้วา่ วรรณกรรมเรือ่ งฉันท์พาลีสอนน้องน่าจะแต่ง
กรอบความคิดเรื่อง ฉันทพาลี ขึ้นภายใน หรือก่อนหน้าปี พ.ศ. ๒๓๗๔ แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
สอนนอง ๒) เนือ้ เรือ่ งย่อโดยสังเขป กล่าวถึง พาลีเมือ่ ต้องศรพรหมาสตร์ของพระราม แม้ศรจะ
จะท�าอันตรายพาลีไม่ได้ แต่ดว้ ยระลึกได้ถงึ การผิดค�าสัตย์จงึ ยอมเสียสละชีวติ ไว้เพือ่ คงความสัตย์ แต่กอ่ น
ตายนัน้ พาลีได้เรียกสุครีพและองคต เข้ามาสัง่ สอนวัตรปฏิบตั ใิ นการเป็นข้าราชการใต้เบือ้ งพระยุคลบาท
เช่น “ให้เฝ้าแหนพระมหากษัตริย์อย่างสม�่าเสมอ” “อย่าทะนงตนว่าคุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์” “ไม่
เกร็ดแนะครู ท�าเกินพระราชโองการ พึงเกรงกลัวพระราชอาชญา” “ให้พิจารณาคดีที่ทรงมอบหมายให้ ให้ถูกต้อง
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ เป็นธรรมตามระบอบ” ตอนท้ายเรือ่ งเป็นการย�า้ ให้ทงั้ สุครีพและองคต จดจ�าและประพฤติตามค�าสอน
พุทธประวัติของพระพุทธเจาทั้ง 10 นี้เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล
ชาติ ซึ่งชาติที่ 9 มีความเกี่ยวของ
กับฉันทพาลีสอนนอง คือชาติที่ ประเด็นในการเขียนกรอบความคิด : “ฉันท์พาลีสอนน้อง”
พระพุทธเจาเสวยพระชาติเปน ๑) ลักษณะต้นฉบับ
พระวิธูร เพื่อบําเพ็ญสัจจะบารมี ■ ผนังด้านในศาลา หน้าพระมหาเจดีย์หลังใต้ ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
๑๙ บท
■ บทที่ ๒๐ – ๓๕ ช�าระตามฉบับพิมพ์ ปี ๒๔๗๒
นักเรียนควรรู ๒) จุดมุ่งหมาย
เพื่อสั่งสอนข้อปฏิบัติตนของข้าราชการ
วรรณกรรมคําสอน หมายถึง

๓) ลักษณะวรรณกรรม
วรรณกรรมซึ่งมุงแสดงแนวทาง
เป็นวรรณกรรมค�าสอนส�าหรับสอนข้าราชการ
ปฏิบัติตนในสังคม เชน สุภาษิต

เป็นการเสนอหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า “ราชวัสดีธรรม” คือ ธรรมส� าหรับ


พระรวง กฤษณาสอนนองคําฉันท

ข้าราชการ
โคลงโลกนิติ อิศรญาณภาษิต โคลง
ค�าสอนบางส่วนเขียนขึ้นใหม่ตามสภาพความจ�าเป็นของสังคมในสมัยที่แต่ง
โสฬสไตรยางค โคลงนฤทุมนาการ

น�าเสนอโดยผ่านตัวละคร “พาลี”
เปนตน

30

นักเรียนควรรู
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เปนวัดประจํารัชกาลที่ 1 และมหาวิทยาลัยแหงแรกของประเทศไทย
เนื่องจากเปนที่รวบรวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง และยูเนสโกไดขึ้นทะเบียนเปนมรดกความทรงจําโลกของภูมิภาค
เอเชียแปซิฟก

30 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู
1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน
2 คน รวมกันอธิบายความรูใน
๔) ที่มาของวรรณกรรม หัวขอที่กลุมของตนเองไดรับ
■ แต่งแปลงจาก “โคลงพาลีสอนน้อง” ฉบับ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มอบหมาย
■ เรียบเรียงจากหลัก “ราชวัสดีธรรม” ใน “วิธุรชาดก” ชาติที่ ๙ ในทศชาติ (แนวตอบ ประวัติวรรณคดีเรื่อง
๕) ลักษณะค�าประพันธ์ รามเกียรติ์ รามเกียรติ์เปน
■ ด�าเนินเรื่องด้วยอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จ�านวน ๓๔ บท วรรณคดีที่สําคัญของชาติไทย
■ บทสุดท้าย ปิดเรื่องด้วยโคลงกระทู้ ๑ บท แตรามเกียรติ์มิใชวรรณคดีไทยแท
๖) การด�าเนินเรื่อง แตมีที่มาจากมหากาพยเรื่อง
■ เปิดเรื่อง รามายณะ ที่แตงโดยฤษีวาลมีกิ
- ไม่มีบทประณามพจน์ หรือไหว้ครู บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับ
- กล่าวถึงพาลีระลึกได้ว่าตนเสียสัตย์กับพระนารายณ์ พระราชนิพนธพระบาทสมเด็จ-
- ยอมสละชีวิตด้วยศรพรหมาสตร์ของพระราม พระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราช
นับเปนฉบับที่มีความสมบูรณมาก
- เรียกสุครีพ องคต มาสั่งสอนข้อปฏิบัติ
ที่สุด)
ด�าเนินเรื่อง
(แนวตอบ เนื้อหาที่นําเสนอ

- สอน “ราชวัสดีธรรม” ข้อควรปฏิบัติ วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ เปน


ของข้าราชการ เรื่องราวการทําสงครามระหวาง
■ ปิดเรื่อง เผาพันธุมนุษยและยักษ โดยมี
- ย�้าให้ทั้งสุครีพ และองคต จดจ�าและ สาเหตุมาจากกิเลสตัณหา ความ
ประพฤติตามค�าสอน ลุมหลงในอิสตรีของทศกัณฐที่มี
- โคลงกระทู้ “พา ลี สอน น้อง” ตอนางสีดามเหสีของพระราม จึง
- พาลีถึงแก่ความตาย เปนสาเหตุใหตองทําสงครามกอ
๗) สาระค�าสอน ใหเกิดความหายนะแกบานเมือง
■ ให้ซื่อสัตย์ในหน้าที่ของตนเอง ไพรพล และทศกัณฐ)
■ ปฏิบัติตนด้วยความเสมอต้นเสมอปลาย (แนวตอบ พระราม นารายณอวตาร
■ ไม่เกียจคร้านในหน้าที่ของตนเอง ลงมาเปนโอรสของทาวทศรถกับ
■ ไม่ถือตัวและไม่เห็นแก่ตัว นางเกาสุริยา พาลี เปนลูกของ
■ ให้มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ พระอินทรกับนางกาลอัจนา ซึ่ง
เปนภรรยาของฤษีโคดม ฤษีจึง
สาปใหเปนลิงปา พระอินทรจึง
สรางเมืองขีดขินใหอยู ไดชื่อวา
การอ่านมีความจÓเป็นอย่างยิง่ ต่อผูท้ ตี่ อ้ งการพัฒนาตนเอง ทัง้ ด้านความรู ้ อาชีพ พญากากาศ สุครีพ ลูกพระอาทิตย
และจิตใจผูท้ ปี่ ระสบความสÓเร็จมีจดุ เริม่ ต้นจากการอ่าน ดังนัน
้ ทุกคนจึงควรใช้เวลาว่าง กับนางกาลอัจนา เปนนองรวม
ในการอ่านหนังสือที่มีคุณค่าอย่างสม่Óเสมอ มารดาเดียวกับพาลี องคต เปนลูก
ของพาลีกับนางมณโฑ)
31 2. นักเรียนรวมกันอธิบายลักษณะ
การแตกประเด็นความคิดของ
การเขียนกรอบความคิดเรื่อง
ฉันทพาลีสอนนอง ที่ตัวอยางได
ขยายความเขาใจ นําเสนอ
ครูทบทวนองคความรูใหแกนักเรียน จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
• นักเรียนคิดวา จะนําองคความรูเรื่องการอานเพื่อเขียนกรอบความคิดไปใชในชีวิต อยางหลากหลายตามความคิดเห็น
ประจําวันไดอยางไร ของตนเอง คําตอบขึ้นอยูกับ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลายตามความคิดเห็นของตนเอง ดุลยพินิจของครูผูสอน)
คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
คูมือครู 31
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนศึกษาและสํารวจตัวอยาง
กรอบความคิดเรื่อง ฉันทพาลีสอน

ู้ ๑ บ ท
ราชการ

ู้ “พาลีสอนน้อง”

กี ารเขียนขึน้ ใหม่
รรมทางพระพทุ ธศาสน

อน
รบั ขา้

๑๑
นอง จากหนังสือเรียน ในหนา 32

องคตจดจา� แ ระพฤตติ ามคา� ส



า ห
อนส

ฉันท์

กร ะ ท
คา� ส

ียร

รรม
ลง
วิเช

รณก
ย โค

โคลงกระท

างสว่ นม

นท

ละป


อธิบายความรู อิ ื่องด

น ว
ด้วย ปิดเ

เป ็

หลกั ธ
ื่อง
เนินเร

อนบ
ด�า
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย

สนอ

คา� ส
ลักษณะคําประพันธ

นา� เ
ความรู โดยครูตั้งคําถามกับนักเรียน

รพี และ
วา าร

รม
าชก

จดุ มุ่งหมาย

ท้ งั้ สคุ

รรม
ณกร
• กรอบความคิดเรื่อง ฉันทพาลี
ข้าร

ยา�้ ให
งึ

แกก่
พาลถี
ของ

วร ร

อโดยผา่ นตัวละคร “พาล”ี


สอนนองจากตัวอยางมีลักษณะ
ัติตน

ณะ

ื่อง
ปิดเร
การนําเสนออยางไร
ิบ

ลกั ษ

การ
ข้อปฏ

ราช
(แนวตอบ กรอบความคิดเรื่อง

ขา้
เพื่อสั่งสอน


ั ขิ อ
ฉันทพาลีสอนนอง มีลักษณะ

ปฏบิ ต
นา� เสน

าชวัสดีธรรม” ขอ้ ควร


การวางประเด็นของเรื่องไวตรง
กลาง จากนั้นจึงแตกประเด็น

ฉันทพาลี
สอนนอง
ความคิดหลัก และแตกประเด็น ก าร
ดาํ เน
ินเรอื่ ง
ความคิดรองจากความคิดหลัก

สอน “ร
จาก “โคลงพาลีสอนน้อง”

ว้ ดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม
โดยวิธีการใชสีเพื่อแยกแตละ

หลงั ใต นในศลิ า หน้าพระมหาเจดยี ์

ดา� เนินเรอ่ ื ง
ประเด็นออกจากกัน ทําให

ชา� ระตามต้นฉบบั ปี ๒๔๗๒


” ในวิธุรชาดก

ทําความเขาใจไดโดยงาย)
รม
ณกร
ดีธรรม

ลง

เอง

เปดิ เรือ่ ง

เเต่งแป

ผนงั ดา้
ทีม่ าของวร

ยี จคร้านในหนา้ ทขี่ องตน

ขยายความเขาใจ
ชวัส

บบั

- ๓๕
ะตนฉ
“ร า

นักเรียนนําองคความรูที่มีไป
ี่ ๒๐
ัก
หล

ัล ษณ

จาก
บทท

ปฏิบัติ
าํ สอน

ใชเปนแนวทางเพื่อเขียนกรอบ รียง

เรียบเ
สอนข้อ
ย์กับพระนารายณ์

ความคิดเรื่องสั้นหรือวรรณคดี
ไมเ่ ก
ส าร ะ ค

มาสั่ง
ที่ตนเองสนใจนําเสนอบนแผน
าม


องค
อ งพ ร ะ ร

พลาสติกลูกฟูก ง ย นา้ ที่


ุครีพ

บิ ตั หิ
ตนเสียสัต
์หรือไหว้ครู
ลา
นเอ

กส
า ส ต ร์ ข


มอป

รป
่เห็นแก่ตัว

เรีย
องต


ในก
ปฏิบัติตนเสมอต้นเส


่า
้าที่ข

ลึกได้ว


ณ าม พจน


ยศร พ

์ในห น

ตรวจสอบผล

ะไ ม

ลีที่ระ
กลา้

ิตด้ว
ัวแล

ใหม้ คี วาม
ให้ซื่อสัตย

ประ


ช ี

1. ครูตรวจสอบการนําเสนอกรอบ
สละ

ไม่มีบท
ือต

ถ ึ
กล่าว
ไม่ถ

ยอม

ความคิดของนักเรียน โดยเลา
เรื่องยอ และวิธีการแตกประเด็น 32
ความคิด จากนั้นเพื่อนๆ ลง
คะแนนเลือกผูที่สามารถเขียน
กรอบความคิดไดครอบคลุม
ชัดเจน ตรงประเด็นและมีความ หลักฐาน
สวยงามมากที่สุด แสดงผลการเรียนรู
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย ผลงานกรอบความคิดของนักเรียน
การเรียนรู

32 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. พิจารณาไดดังตอไปนี้
• พิจารณาจากชื่อเรื่อง เนน
๑. การพิจารณาใจความสําคัญของขอความสามารถทําไดโดยวิธีใด ยอหนาแรกและยอหนา
๒. จงอธิบายแนวทางการอานวิเคราะหความหมายของคํามาพอสังเขป สุดทาย
๓. การอานเพื่อเขียนกรอบความคิดมีวิธีการอยางไร จงอธิบาย • พิจารณาใจความทีละยอหนา
๔. การอานจับใจความสําคัญ มีสวนชวยพัฒนาการอานหรือพัฒนาการเรียนของนักเรียนอยางไร • ตัดรายละเอียดปลีกยอย
จงอธิบาย • ตั้งคําถามเมื่ออานจบ
๕. เมื่อนักเรียนไดศึกษาการอานจับใจความ การอานวิเคราะหความหมายของคําและการอานเพื่อเขียน 2. การพิจารณาความหมายของ
กรอบความคิด นักเรียนคิดวาทักษะดังกลาวมีประโยชนตอการดําเนินชีวิตประจําวันของนักเรียน คํา พิจารณาไดจากพจนานุกรม
อยางไร ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พุทธศักราช 2554 เชนเดียวกับ
ที่ตองพิจารณาคําที่เปนสํานวน
โวหาร และตองสังเกตบริบท
รอบขางประกอบ นอกจากนี้
ตองพิจารณานํ้าเสียงและสีหนา
ผูพูดประกอบ
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
3. เริ่มจากศึกษาเนื้อหาเอกสาร
ที่เกี่ยวของ จากนั้นวิเคราะห
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเขียนกรอบความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ แลวนํามาแสดงไวบนปายนิเทศใน ขอมูลแลวเรียบเรียงประเด็น
หองเรียน สําคัญเพื่อนําเสนอความคิด
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนคนควาความหมายของคําวา “ทรรศนะ” “ความเชื่อ” “พลความ” จากสื่อ
โดยวางประเด็นหลักไวกลาง
อินเทอรเน็ต พรอมยกตัวอยางนํามาอานใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน
กระดาษ แลวลากเสนโยงความ
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเลือกผลงานรอยแกวหรือรอยกรองที่ตนเองสนใจแลวนํามาอาน เพื่อ
วิเคราะหความหมายของคําตามแนวทางที่ไดศึกษา เรียบเรียงลงสมุดสงครูผูสอน คิดไปสูประเด็นยอยตางๆ อาจ
ใชภาพหรือสัญลักษณประกอบ
4. การอานจับใจความสําคัญ
ชวยใหเปนนักอานที่เขาใจเรื่อง
ไดรวดเร็ว ซึ่งสงผลใหเขาใจ
บทเรียนไดรวดเร็วเชนกัน
5. ทําใหเขาใจสถานการณตางๆ
ไมถูกหลอก ชวยในเรื่องการ
ตัดสินใจไดอยางถูกตองและ
33 รวดเร็ว ที่สําคัญ คือ เปน
ประโยชนตอการเรียนรู เพราะ
ถาเขาใจสารไดเร็ว ก็จะรับสาร
ไดมาก เปนคนมีความรูทันโลก
ทันเหตุการณ)

คูมือครู 33
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. วิเคราะห วิจารณและประเมินเรื่อง
ที่อานโดยใชกลวิธีการเปรียบเทียบ
เพื่อใหผูอานเขาใจไดดีขึ้น
2. ประเมินความถูกตองของขอมูลที่
สนับสนุนเรื่องที่อาน
3. วิจารณความสมเหตุสมผลการ
ลําดับความและความเปนไปได
ของเรื่อง
4. วิเคราะหวิจารณแสดงความคิด
เห็นโตแยงเรื่องที่อาน
5. สามารถตีความและประเมิน
คุณคาแนวคิดที่ไดจากเรื่องที่อาน
และสามารถนําไปปรับใชในชีวิต
ประจําวัน

กระตุนความสนใจ

ó
นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาบุคคลในภาพ
กําลังอยูในสถานการณใดและ หนวยที่
ใชทักษะในการสื่อสารประเภท
ใด
การอานวินิจสาร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ตัวชี้วัด
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น ■ วิเคราะห วิจารณและประเมินเรื่องที่อานโดยใชกลวิธีการเปรียบเทียบ ก ารอ่านวินจิ สารเป็นการอ่านในระดับ
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) เพื่อใหผูอานเขาใจไดดีขึ้น (ท ๑.๑ ม.๓/๕) สู ง เพราะเป็ น การอ่ า นที่ ผู ้ อ ่ า นจะต้ อ ง
ประเมินความถูกตองของขอมูลทีใ่ ชสนับสนุนในเรือ่ งทีอ่ า น(ท ๑.๑ ม.๓/๖)
แยกแยะคุ ณค่าของสารที่อ่านว่าดีหรือไม่

■ วิจารณ ความสมเหตุสมผล การลําดับความและความเปนไปไดของเรื่อง


(ท ๑.๑ ม.๓/๗) อย่างไร การอ่านวินิจสารสามารถจ�าแนก
■ วิเคราะหเพื่อแสดงความคิดเห็นโตแยงเรื่องที่อาน (ท ๑.๑ ม.๓/๘) เป็นการอ่านตีความ การอ่านวิเคราะห์วจิ ารณ์
■ ตีความและประเมินคุณคาแนวคิดที่ไดจากงานเขียนอยาง
หลากหลาย เพื่อนําไปใชแกปญหาในชีวิต (ท ๑.๑ ม.๓/๙) แสดงความคิ ด เห็ น และประเมิ น คุ ณ ค่ า เพื่ อ
สามารถวินิจสารได้อย่างถูกต้องและสามารถ
สาระการเรียนรูแกนกลาง
น� า ข้ อ คิ ด หรื อ แนวคิ ด ต่ า งๆ ไปประยุ ก ต์ ใ ช้ ใ น
■ การอานจับใจความจากสื่อตางๆ ชีวิตประจ�าวัน

34 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนรวมกัน
คนหาความหมายของการอาน
๑ การอ่านตีความ ตีความและแนวทางการอาน
การอ่านเป็นทักษะทางภาษาทีม่ คี วามหมายส�าคัญอย่างยิง่ ในวิถชี วี ติ ปัจจุบนั ไม่วา่ สิง่ ทีอ่ า่ นนัน้ ตีความ
จะเป็นหนังสือหรือสือ่ อิเล็กทรอนิกส์ตา่ งๆ การอ่านไม่เพียงแต่เป็นการอ่านออกเสียงตามตัวอักษรเท่านัน้ 2. นักเรียนรวมกันคนหาความรู
หากแต่ต้องสามารถเข้าใจเนื้อหาของสิ่งที่อ่าน รวมทั้งควรพัฒนาการอ่านให้สามารถอ่านตีความสาร ในประเด็นประเภทของการอาน
ที่อ่านได้อย่างถูกต้อง ตีความ
การอ่านตีความเป็นการอ่านในใจอย่างละเอียด พยายามท�าความเข้าใจความหมายจากสิง่ ทีอ่ า่ น
เพื่อจะได้ทราบความหมาย จุดประสงค์และน�้าเสียงที่ผู้เขียนสื่อมายังผู้อ่านได้อย่างถูกต้องและชัดเจน อธิบายความรู
๑.๑ แนวทางการอ่านตีความ 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
แนวทางการอ่านตีความ สามารถจัดแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ ความรูเกี่ยวกับความหมายของ
๑) อ่านอย่างคร่าวๆ เพื่อส�ารวจงานเขียนนั้นๆ ว่าเกี่ยวกับเรื่องใด เป็นร้อยแก้วหรือ การอานตีความ ที่ไดจากการ
ร้อยกรองหรือเป็นงานเขียนประเภทใด เช่น สารคดี นวนิยาย เรื่องสั้น บทความหรือกวีนิพนธ์ สืบคน
๒) อ่านอย่างละเอียด เพือ่ พิจารณาว่าเนือ้ หาใจความส�าคัญกล่าวถึงเรือ่ งใด ข้อความ (แนวตอบ การอานตีความ เปน
ใดเป็นข้อเท็จจริง ข้อความใดเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนหรือเป็นข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึก ทักษะการอานขั้นสูง โดยผูอาน
ตองจับใจความสําคัญของเรื่อง
๓) วิเคราะห์ถ้อยค�าที่อาจมีความหมายเฉพาะ หรือมีการเปรียบเทียบด้วยการใช้ ไดทั้งหมด แปลความหรือเขาใจ
โวหารหรือภาพพจน์หรือเป็นค�าที่มีความหมายหลายนัย เพื่อให้ผู้อ่านน�าความหมายของถ้อยค�ามา ความหมายของเรื่อง หลังจากนั้น
พิจารณาประกอบให้เข้าใจความหมายของสารได้ชัดเจน จึงตีความเพื่อทําความเขาใจ
๔) พิจารณาน�า้ เสียงของผูเ้ ขียน ว่าเป็นน�า้ เสียงเชิงสัง่ สอน ประชดประชันหรือแสดง ความหมายบางประการที่ผูเขียน
ความรู้สึกยินดี เสียใจ เป็นต้น เนื่องจากน�้าเสียงจะสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายของผู้เขียนที่สื่อมายังผู้อ่าน แฝงอยู)
๕) สรุปสารที่ได้จากการอ่านตีความ เมื่อตีความข้อความทั้งหมดแล้วจะสามารถ 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม เพื่อ
เข้าใจความหมายของสารที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารมายังผู้อ่านได้ชัดเจน อธิบายความรูเกี่ยวกับแนวทาง
การอานตีความ ในลักษณะโตตอบ
๑.๒ ประเภทของการอ่านตีความ รอบวง
๑) การอ่านตีความบทร้อยแก้ว สามารถท�าได้โดยพิจารณาความหมายหรือข้อความ (แนวตอบ แนวทางการอานตีความ
ทีส่ อื่ ความหมายโดยนัย อาจท�าได้โดยการอ่านข้อความนัน้ หลายครัง้ และพิจารณาถ้อยค�าทีใ่ ช้ซงึ่ สัมพันธ์ สามารถปฏิบัติเปนขั้นตอนไดดังนี้
กับข้อความในบริบท • อานอยางคราวๆ
• อานอยางละเอียด
๒) การอ่านตีความบทร้อยกรอง มีข้อจ�ากัดเนื่องจากบทร้อยกรองเป็นค�าประพันธ์
• วิเคราะหถอยคําที่อาจมี
ที่ถูกก�าหนดด้วยรูปแบบค�าประพันธ์หรือฉันทลักษณ์ ดังนั้นในการอ่านผู้อ่านต้องสรุปสาระส�าคัญซึ่ง
ความหมายเฉพาะ
ได้จากการตีความหมายโดยนัยและต้องมีความเข้าใจเรื่องภาพพจน์ เช่น การเปรียบเทียบแบบอุปมา
• พิจารณานํ้าเสียงของผูเขียน
อุปลักษณ์ ฯลฯ เพื่อช่วยในการตีความของบทร้อยกรองได้ชัดเจนมากขึ้น ที่อาจสอดแทรกอยูในบท
35 สนทนาของตัวละคร
• สรุปสาระที่ไดจากการอาน
ตีความ)

3. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับประเภทของการอานตีความในลักษณะโตตอบรอบวง
(แนวตอบ การอานตีความ สามารถแบงประเภทไดตามรูปแบบของงานที่อาน คือ การอานตีความ
บทรอยแกวและการอานตีความบทรอยกรอง)

คูมือครู 35
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนรวมกันคนหาความรูใน
ประเด็นแนวทางการอานวิเคราะห
วิจารณและแสดงความคิดเห็น ๒ การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์และแสดงความคิดเห็น
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนคนหา การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นเป็นกระบวนการทีเ่ กิดขึน้ ภายหลังจากการอ่าน
ความรูเกี่ยวกับขั้นตอนในการ อย่างละเอียด การอ่านวิจารณ์ที่ดีควรมีแนวทางในการวิจารณ์ว่าดีหรือไม่ดี ไม่ควรวิจารณ์ด้วยอารมณ์
ฝกฝนการวิเคราะห วิจารณและ ความรู้สึกส่วนตัวแต่ควรใช้เหตุผลและการตรวจสอบไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
แสดงความคิดเห็น การอ่านวิจารณ์ไม่ใช่การอ่านเพื่อจับผิดหรือหาข้อบกพร่องของสิ่งที่อ่าน แต่เป็นการพิจารณา
ให้เห็นว่าสิ่งที่อ่านมีลักษณะอย่างไร แล้วจึงแสดงความคิดเห็น ซึ่งการแสดงความคิดเห็นสามารถ
อธิบายความรู กระท�าได้ทั้งในเชิงเห็นด้วยและการโต้แย้ง
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ๒.๑ แนวทางการอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์และแสดงความเห็น
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการอาน ๑) อ่านสารหรือเรื่องที่วิจารณ์อย่างละเอียด เพื่อให้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านและมี
วิเคราะห วิจารณและแสดงความ ความรู้ว่าโครงเรื่อง ความคิดของเรื่องเป็นอย่างไร รวมทั้งสามารถสรุปเรื่องที่อ่านได้
คิดเห็นตามขอมูลที่นักเรียนได ๒) วิเคราะห์สาร ด้วยการแยกแยะส่วนประกอบต่างๆ ของเรื่องที่อ่านตามประเภท
สืบคนมา ของงาน เช่น ร้อยแก้ว ร้อยกรอง ในการอ่านวิเคราะห์หากเป็นงานเขียนประเภทสารคดี ต้องแยกแยะ
(แนวตอบ แนวทางการอาน
ว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นความคิดเห็น หากเป็นงานเขียนประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย
วิเคราะห วิจารณและแสดง
เรื่องสั้น สามารถแบ่งออกเป็น แก่นเรื่อง โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก เป็นต้น
ความคิดเห็น ผูอานจะตองอาน
เรื่องราวอยางละเอียด จากนั้นจึง ๓) วิจารณ์ เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อเรือ่ งทีอ่ า่ นทัง้ ในด้านดีและด้านทีบ่ กพร่อง โดย
เริ่มวิเคราะหองคประกอบของเรื่อง ทั่วไปการวิจารณ์แบ่งออกเป็น ๒ ขั้นตอน คือ การอธิบายลักษณะของงานเขียน ขั้นต่อมาจึงเป็นการ
และวิจารณ) วินิจฉัยและประเมินคุณค่า
2. นักเรียนแลกเปลี่ยนขอมูล ความ ๒.๒ ขัน้ ตอนในการฝึกฝนการวิเคราะห์ วิจารณ์และแสดงความคิดเห็น
รู ความเขาใจระหวางกันเปนเวลา
10 นาที จากนั้นใหนักเรียนยืนใน ๑) เล่าเรื่อง ว่าเรื่องที่อ่านกล่าวถึงเรื่องใด เนื้อเรื่องเป็นอย่างไร
ลักษณะวงกลมเพื่ออธิบายความรู ๒) บอกประเภทและจุดมุง่ หมายของเรือ่ ง ว่าเป็นงานเขียนประเภทใด มีจดุ มุง่ หมาย
ในลักษณะโตตอบรอบวง โดยครู ในการเขียนอย่างไร
ตั้งถาม ๓) กล่าวถึงบริบททีเ่ กีย่ วข้องกับเรือ่ งราวทีอ่ า่ น เช่น ประวัตผิ แู้ ต่ง ประวัตใิ นการแต่ง
• นักเรียนมีขั้นตอนการฝกปฏิบัติ หากไม่รู้บริบทหรือภูมิหลังของผู้แต่งอาจท�าให้การพิจารณาเนื้อเรื่องมีความคลาดเคลื่อนได้
การอานเพื่อวิเคราะห วิจารณ ๔) วิเคราะห์เนื้อเรื่องในด้านต่างๆ คือโครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา
และแสดงความคิดเห็นอยางไร
ฉากและมุมมอง เป็นต้น
(แนวตอบ การอานเพื่อวิเคราะห
วิจารณและแสดงความคิดเห็น ๕) ประเมินคุณค่า หรือแสดงข้อคิดเห็นของผู้วิจารณ์ โดยอาจเป็นการเห็นด้วยหรือ
ผูอานจะตองเลาเรื่องได บอก โต้แย้ง ถ้าเป็นการโต้แย้งต้องมีการแสดงเหตุผลประกอบอย่างชัดเจน โดยไม่มีอคติและเป็นไปตาม
ประเภท จุดมุงหมาย รวมไปถึง หลักเกณฑ์ของการวิจารณ์
ทราบสิง่ ตางๆ ทีม่ คี วามเชือ่ ม- 36
โยงกับงานเขียน เชน ประวัติ
ผูแตง จากนั้นจึงวิเคราะหโดย
การแยกแยะองคประกอบของ
งาน และประเมินคาผลงาน ขยายความเขาใจ
ซึ่งคือ การแสดงความคิดเห็น
ครูทบทวนเรื่องการอานวิเคราะห วิจารณ ใหแกนักเรียน จากนั้นตั้งคําถาม
ความรูสึกที่ผูอานมีตอผลงาน)
• การวิเคราะห และการวิจารณแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ การวิเคราะห คือ การแยกแยะองคประกอบของงานเขียน สวนการ
วิจารณ คือ การแสดงความคิดเห็นที่ผูอานมีตอองคประกอบตางๆ)
36 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนํา
๓ การอ่านประเมินคุณค่า เขาสูหัวขอการเรียนการสอน
• นักเรียนเขาใจความหมายของ
การอ่านประเมินคุณค่า เป็นขัน้ ตอนการอ่านทีต่ อ่ เนือ่ งจากการอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์ เนือ่ งจาก
คําวา “การอานประเมินคุณคา”
เป็นการอ่านเพื่ออธิบายลักษณะของงานเขียนหรือสารที่อ่านว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร มีคุณค่าหรือมี วาอยางไร
ข้อบกพร่องอย่างไร (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะมีการประเมินคุณค่างานเขียน ผู้ประเมินค่าจะต้องวิจารณ์งานเขียนอย่าง ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
ละเอียด เพื่อท�าความเข้าใจ ตีความหมายที่แฝงเร้น วิเคราะห์เนื้อหาของงานและพิจารณาคุณค่าของ พื้นฐานความรู ความเขาใจ
งานเขียนทั้งในด้านของสังคมและความงามทางวรรณศิลป์ ดั้งเดิมของนักเรียน)
๓.๑ แนวทางการอ่านประเมินคุณค่า
๑) พิ จ ารณาเนื้ อ หาและองค์ ป ระกอบของเนื้ อ หา ว่ า เนื้ อ หาของสิ่ ง ที่ อ ่ า นมี สํารวจคนหา
องค์ประกอบใดบ้าง เพื่อแยกแยะว่าแต่ละส่วนมีลักษณะอย่างไร มีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร
นักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อสราง
๒) พิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เป็นการพิจารณาถึงการใช้ภาษาและความงาม องคความรูเกี่ยวกับการอานประเมิน
ทางภาษาในงานเขียน ว่างานเขียนนัน้ มีการใช้ภาษาทีเ่ หมาะสมกับเนือ้ หา มีความไพเราะงดงาม และ คุณคา โดยใชเวลาในการอภิปราย
มีการใช้เสียงและความหมายที่ช่วยให้เกิดจินตนาการในการอ่านได้มากเพียงใด รวมกันประมาณ 30 นาที ซึ่ง
๓) พิจารณาแนวคิด เป็นการพิจารณาว่าผูเ้ ขียนน�าเสนอเรือ่ งราวใด มีแง่คดิ ใดบ้างทีม่ ี นักเรียนอาจหาความรูไดจากแหลง
คุณค่า มีการเสนอแนวทางในการน�าข้อมูลแนวคิดทีด่ มี คี ณ ุ ค่าไปใช้ในชีวติ ประจ�าวันได้อย่างไร งานเขียน การเรียนรู เชน หนังสือเรียนวิชา
ชิ้นหนึ่งๆ อาจมีผลต่อผู้อ่านได้สองประการใหญ่ๆ คือ ผลทางด้านความเพลิดเพลินและผลทางด้าน ภาษาไทย เว็บไซตทางการศึกษา
สติปัญญา
การอ่านวินิจสารเป็นการอ่านที่มี อธิบายความรู
ความลึกซึง้ มากกว่าการอ่านเพือ่ จับใจความส�าคัญ
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม
เพราะการอ่ า นวิ นิ จ สารผู ้ อ ่ า นจะต้ อ งสามารถ
เพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับการอาน
ประเมินค่าเรื่องที่อ่านได้ว่ามีประโยชน์และจะน�า
ประเมินคุณคาในลักษณะโตตอบ
ไปปรับใช้ในชีวติ ประจ�าวันได้อย่างไร กระบวนการ รอบวง ใหนักเรียนไดมีโอกาสแสดง
ของการวินิจสารผู้อ่านจะต้องเริ่มจากการตีความ ความรูที่ไดสืบคนรวมกับเพื่อนๆ
เรื่ อ งที่ อ ่ า นว่ า ผู ้ เ ขี ย นต้ อ งการสื่ อ สารเรื่ อ งใด (แนวตอบ การอานประเมินคุณคา
โดยพิจารณาจากน�้าเสียงของผู้ประพันธ์ที่แฝงอยู่ เปนขั้นตอนการอานที่ตอเนื่องจาก
ในผลงาน รวมถึงการตีความจากความหมายของค�า การอานวิเคราะห วิจารณ เปนการ
เพราะงานเขียนทีไ่ ด้รบั การยอมรับว่ามีคณ ุ ค่าจะไม่ อานเพื่ออธิบายลักษณะของงาน
สือ่ สารกับผูอ้ า่ นอย่างตรงไปตรงมา แต่จะใช้ถอ้ ยค�าที่ ปัจจุบันมีหนังสือนานาชนิดสําหรับประชาชนได้เลือก เขียนวาดีหรือไม อยางไร มีแนวทาง
แฝงนัยส�าคัญ เพื่อให้ผู้อ่านตีความด้วยตนเอง อ่านตามความสนใจ ดังนี้
1. พิจารณาเนื้อหาและองค-
37 ประกอบของงานเขียน
2. พิจารณาความงดงามทาง
วรรณศิลป
3. พิจารณาแนวคิดที่ปรากฏใน
เรื่อง)
นักเรียนควรรู
แนวคิด ในงานประพันธทุกประเภทไมวาจะเปนรอยแกวหรือรอยกรอง
จะปรากฏแนวคิดที่ผูเขียนตองการสื่อมายังผูอาน โดยแนวคิดอาจแฝงอยู
ภายใตองคประกอบตางๆ ของงาน เชน บทสนทนาของตัวละคร
คูมือครู 37
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนใน
ลักษณะกระตุนใหเกิดการคิด
• นักเรียนคิดวาคุณคาของ เมือ่ ผูอ้ า่ นตีความเรือ่ งทีอ่ า่ นได้แล้วก็จะสามารถวิเคราะห์ วิจารณ์เรือ่ งทีอ่ า่ นได้วา่ องค์ประกอบต่างๆ ที่
บทรอยกรองประเภทตางๆ ร้อยเรียงกันเป็นผลงานมีความเหมาะสม สอดรับและส่งเสริมให้แนวคิดหลักของเรือ่ งมีความโดดเด่นหรือ
เกิดขึ้นไดจากดานใดไดบาง ไม่ อย่างไร สุดท้ายผู้อ่านจะสามารถประเมินได้ว่าเรื่องที่อ่านนั้นมีคุณค่ากับตนเองและสามารถน�าไป
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจ�าวันในด้านใดได้บา้ ง จึงขอยกตัวอย่างบทร้อยกรองประเภทกวีนพิ นธ์ “อยูเ่ พือ่
ไดอยางหลากหลาย เชน ตองมี อะไร” ของอุชเชนี มาใช้เป็นตัวอย่างเพือ่ น�าเสนอขัน้ ตอนการอ่านตีความ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความ
เนื้อหาที่ดี ถายทอดสภาพความ คิดเห็น และประเมินค่าเรื่องที่อ่าน ดังนี้
เปนจริงของมนุษยและสังคม มี
ความงดงามทางดานวรรณศิลป
บทร้อยกรอง “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี
ใหขอคิดที่เปนประโยชนตอผู
อาน)
ฉันอยู่เพื่อบุคคลที่ฉันรัก ซึ่งใจซื่อถือศักดิ์สุจริต
และรักฉันมั่นมานปานชีวิต ในความผิดความหลงปลงอภัย
สํารวจคนหา ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ที่พันผูก เพื่อฝังปลูกความหวังพลังไข
1. นักเรียนแบงกลุม 3 กลุม กลุมละ เป็นท่อธารรักท้นล้นพ้นไป หล่อดวงใจแล้งรื่นให้ชื่นบาน
เทาๆ กัน เพื่อคนหาความรูใน ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ กลางโมหะอาเกียรณ์เบียฬประหาร
ประเด็นบริบทแวดลอมของบทกวี เพื่อสื่อแสงแจ้งสว่างพร่างตระการ กลางวิญญาณมืดมิดอวิชชา
นิพนธ “อยูเพื่ออะไร” ของ อุชเชนี
ฉันอยู่เพื่อดวงใจที่ไร้ญาติ ที่แร้นแค้นแคลนขาดวาสนา
โดยสงตัวแทนออกมาจับสลาก
จากหัวขอตอไปนี้ เพื่อรอยยิ้มพริ้มยลปนน�้าตา บนดวงหน้าโศกซ�้าระก�ากรม
1. ประวัติผูแตง ฉันอยู่เพื่อเยื่อใยใจมนุษย์ บริสุทธิ์สอดผสานงานผสม
2. ลักษณะคําประพันธ เป็นเกลียวมั่นขันแกร่งแรงกลืนกลม พายุร้ายสายลมมิอาจรอน
3. ชวงเวลาและสภาพสังคมใน ฉันอยู่เพื่อความฝันอันเพริศแพร้ว เมื่อโลกแผ้วหลุดพ้นคนหลอกหลอน
สมัยที่แตง เมื่ออามิสฤทธิ์แรงแท่งทองปอนด์ มิอาจคลอนใจคนให้หม่นมัว
2. นักเรียนรวมกันฝกซอมการอาน
ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก ที่เขาถากทรกรรมซ�้าบั่นหัว
ออกเสียงบทกวีนิพนธเรื่อง “อยู
เพื่ออะไร” โดยใชองคความรูเรื่อง เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม
หลักการแบงวรรคตอนที่เคยศึกษา เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยข�า
เปนแนวทางในการอาน เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นล�า สว่างน�าน้องพี่มีชัยเอย
(ขอบฟ้าขลิบทอง : อุชเชนี)

อธิบายความรู
1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก
มาอธิบายความรูในหัวขอที่กลุมได 38
รับมอบหมาย
2. นักเรียนรวมกันอานออกเสียง
บทกวีนิพนธเรื่อง “อยูเพื่ออะไร”
ของอุชเชนี
นักเรียนควรรู
กวีนิพนธ หมายถึง คําประพันธที่แตงขึ้นอยางมีศิลปะและมีคุณสมบัติเปนสื่อกลางความเขาใจ
ระหวางผูแตงและผูอาน ใชภาษาที่งดงาม มีจังหวะ ถอยคําที่เปนสัญลักษณทําใหผูอานเกิด
ความรูสึกสะเทือนอารมณและคิดคลอยตาม
38 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา
1. นักเรียนรวมกันคนหาความหมาย
ของกวีนิพนธเรื่อง “อยูเพื่ออะไร”
การอ่านตีความ : บทร้อยกรองเรื่อง “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี ของอุชเชนี
2. นักเรียนศึกษาตัวอยางการอาน
ขั้นตอนที่ ๑ อ่านอย่างคร่าวๆ ตีความบทกวีนิพนธเรื่อง “อยูเพื่อ
ผลงานเขียนบทนี้ เป็นบทร้อยกรองประเภทกวีนิพนธ์ที่แต่งขึ้นโดย “อุชเชนี” อะไร” ของอุชเชนี จากหนังสือเรียน
ขั้นตอนที่ ๒ อ่านอย่างละเอียด ในหนา 39 - 40 เพื่อสืบคน
ฉัน (ผู้แต่ง) มีชีวิตอยู่เพื่อบุคคลที่รัก ผู้ซึ่งมีใจซื่อสัตย์สุจริต และมีความรักในตัวฉันเหมือน องคความรูเรื่องการอานตีความ
ชีวิตของเขา พร้อมที่จะให้อภัยในความผิดพลาดของฉัน
ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ในการเป็นความหวังหล่อเลี้ยงหัวใจคน (ผู้ล�าบากกว่า) อยู่เพื่อค้นหา อธิบายความรู
สัจธรรมท่ามกลางสังคมที่ลุ่มหลงเมามัว เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ทั้งยังอยู่เพื่อเป็นผู้น�าทางให้
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ประชาชนพ้นจากอวิชชา คือ ความหลงผิดที่ครอบง�าอยู่ และเพื่อเป็นก�าลังใจให้กับคนที่ไร้ญาติ อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ
ขาดมิตร ผู้แร้นแค้นอับโชควาสนา ให้พอที่จะยืนหยัดอยู่อย่างมีความสุขได้ รอบวง โดยครูใชคําถามเพื่อใหได
ฉันอยูเ่ พราะยังศรัทธาต่อความเป็นเพือ่ นมนุษย์ทรี่ ว่ มกันต่อสูเ้ พือ่ มีชวี ติ รอดในสังคม ดังนัน้ ขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน
ฉันจึงอยูเ่ พือ่ ท�าความฝันอันสวยงาม คือ สร้างสังคมทีด่ แี ละน่าอยูใ่ ห้แก่คนยากไร้ทลี่ า� บาก เพือ่ ช่วย • ความหมายของกวีนิพนธ “อยู
ให้คนเหล่านั้นพ้นจากการหลอกลวง การถูกมอมเมาด้วยสินจ้างรางวัล และการถูกกดขี่ข่มเหง เพื่ออะไร” ของอุชเชนีมีวา
เพื่อสู่ยุคใหม่ที่เป็นแสงสว่างน�าชีวิต อยางไร
(แนวตอบ กวีนิพนธอยูเพื่ออะไร
ขั้นตอนที่ ๓ พิจารณาน�้าเสียงของกวี
ของอุชเชนี มีความหมายถึง
น�า้ เสียงของอุชเชนีทแี่ ฝงอยูใ่ นกวีนพิ นธ์เรือ่ ง “อยูเ่ พือ่ อะไร” แฝงการเสียดสี ประชดประชัน บุคคลคนหนึ่งที่มีชีวิตอยูเพื่อ
ระบบการปกครองและผู้มีอ�านาจบริหารประเทศ ว่าไม่สนใจดูแลทุกข์สุข การกดขี่ข่มเหงราษฎร บุคคลที่รักและขยายไปสูการมี
จากเนือ้ ความนี้ กวีตงั้ ปณิธานว่าเมือ่ ผูม้ อี า� นาจไม่ปฏิบตั หิ น้าที่ ตนก็จะขอเป็นก�าลังใจและเป็นผูน้ า� ชีวิตอยูเพื่อคนยากไร เพื่อชวย
น�าคนเหล่านั้นให้ไปสู่ยุคใหม่ สมัยใหม่ที่เท่าเทียมและเป็นสุข ดังค�าประพันธ์ เหลือคนเหลานั้นใหพนทุกข)
...ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก ที่เขาถากทรกรรมซ�้าบั่นหัว • ลักษณะการนําเสนอของ
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม ตัวอยางการอานตีความเปน
เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยข�า อยางไร
(แนวตอบ ลักษณะการนําเสนอ
เพื่อแสงรักส่องรุ่งพุ่งเป็นล�า สว่างน�าน้องพี่มีชัยเอย...
ของตัวอยางการอานตีความ
ขั้นตอนที่ ๔ วิเคราะห์ถ้อยค�าที่อาจมีความหมายแฝง แบงลําดับหัวขอตามขั้นตอน
กวีนิพนธ์ “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี มีความโดดเด่นที่แนวคิดซึ่งผู้เขียนน�าเสนอผ่าน จึงทําใหสามารถอานเขาใจได
การเลือกสรรใช้ถ้อยค�า ซึ่งปรากฏทั้งถ้อยค�าที่สื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมาและถ้อยค�าที่ไม่ได้ โดยงาย)
สื่อความหมายตรงตามรูปค�าแต่แฝงนัยส�าคัญหรือเป็นสัญลักษณ์ของบางสิ่งบางอย่าง เช่น
ขยายความเขาใจ
39
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
องคความรูเกี่ยวกับแนวทางการอาน
ตีความและลักษณะรูปแบบการนํา
ตรวจสอบผล เสนอของตัวอยางการอานตีความ จากนั้นครูนําตัวอยางกวีนิพนธ
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน อธิบายการ “เพียงความเคลื่อนไหว” ของ เนาวรัตน พงษไพบูลย มาให
อานตีความบทกวีนิพนธ “เพียงความ นักเรียนฝกอานพรอมๆ กัน รวมกันอธิบายเนื้อหาของกวีนิพนธ
เคลื่อนไหว” ใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน จากนั้นใหนักเรียนนํามาอานตีความโดยใชแนวทางที่ไดศึกษา
ครูประเมินความถูกตอง
คูมือครู 39
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนํา
เขาสูหัวขอการเรียนการสอน
• นักเรียนคิดวา หลังจากขั้นตอน ...ฉันอยู่เพื่อดวงใจที่ไร้ญาติ ที่แร้นแค้นแคลนขาดวาสนา... จากวรรคนี้ ค�าว่า ดวงใจที่
การอานตีความแลว ขั้นตอนตอ ไร้ญาติ เป็นค�าที่มีความหมายแฝง โดยหมายถึง ผู้คนที่ยากไร้ ไม่มีที่พึ่งพิง
มาคือการอานในลักษณะใด ...เป็นเกลียวมัน่ ขันแกร่งแรงกลืนกลม พายุรา้ ยสายลมมิอาจรอน... จากวรรคนี้ ถ้าตีความ
(แนวตอบ ขั้นตอนตอมาหลังจาก ตามรูปค�าที่ปรากฏจะหมายถึง พายุและสายลมซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ถ้าตีความ
การอานตีความ คือ การอาน ตามนัยส�าคัญที่ผู้เขียนแฝงไว้ พายุ และสายลม จะหมายถึง ปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่พบ ไม่ว่า
วิเคราะห วิจารณ เพื่อแยกแยะ จะเป็น ความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง ความยากจน ก็ไม่สามารถท�าให้ท้อแท้หรือเสียใจได้
องคประกอบของเรื่อง และ ...เพื่อโลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ เมื่อคนเอื้อไมตรีอวยไม่ขวยข�า... จากวรรคนี้ ถ้า
แสดงความรูสึก ความคิดเห็นที่ ตีความหมายตามรูปค�าที่ปรากฏจะหมายถึง โลกใบใหม่ที่ไม่ใช่ใบเดิมที่ใสและสะอาด แต่ถ้า
มีตอเรื่องนั้นๆ) ตีความหมายโดยนัยที่ผู้เขียนสื่อสารมายังผู้อ่าน โลกใหม่ใสสะอาดจะหมายถึง โลกที่ไม่มีความ
อยุติธรรม โลกที่ไม่มีการกดขี่ข่มเหง โลกที่ไม่มีความแตกต่างกันทางชนชั้น เมื่อโลกใบเดิมไม่มี
สํารวจคนหา สิ่งดังกล่าว โลกใบเดิมที่มนุษย์อาศัยอยู่ก็จะเป็น โลกใบใหม่ที่ใสสะอาด
นักเรียนศึกษาตัวอยางการอาน ขั้นตอนที่ ๕ สรุปสารที่ได้จากการอ่านตีความ
วิเคราะห วิจารณ บทกวีนิพนธเรื่อง สารที่ได้รับจากกวีนิพนธ์บทนี้อาจสามารถจ�าแนกสารที่น�าเสนอได้ ๒ ระดับ คือ เพื่อ
“อยูเพื่ออะไร” ของ อุชเชนี จาก สร้างขวัญ ก�าลังใจแก่ประชาชนทีท่ กุ ข์ยากล�าบาก ด้วยการแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยยังมีคนกลุม่ หนึง่
หนังสือเรียน ในหนา 40 - 42 เพื่อ ทีเ่ ป็นห่วงและพร้อมจะต่อสูเ้ คียงข้างกันไป อีกประเด็นหนึง่ กวีตอ้ งการสือ่ สารให้ผปู้ กครองทีม่ อี า� นาจ
สืบคนในประเด็นการอานวิเคราะห หน้าที่ได้รับทราบถึงสภาวการณ์ที่แท้จริงที่เป็นไปในสังคมว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังคงยากล�าบาก
วิจารณ

การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์ : บทร้อยกรองเรื่อง “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี


NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา การวิจารณตางกับ ขั้นตอนที่ ๑ เล่าเรื่อง
การประเมินคาอยางไร การเล่าเรื่องในกวีนิพนธ์ “อยู่เพื่ออะไร” พิจารณาเบื้องต้นจากการตั้งชื่อบทประพันธ์ด้วย
1. การวิจารณเนนที่การติ การ การตั้งค�าถาม สร้างความฉงน กระทบใจผู้อ่านหรือผู้ฟัง ให้ติดตามเพื่อหาค�าตอบของชื่อเรื่อง และ
ประเมินคาเนนที่การชม นัยที่กวีสื่อถึงผู้อ่าน ผู้ฟัง
2. การวิจารณใชเหตุผล การ ส�าหรับเนือ้ ความ กวีคอ่ ยๆ ตอบค�าถามว่า “อยูเ่ พือ่ อะไร” ซึง่ กวีแสดงทัศนะการใช้ชวี ติ อยู่
ประเมินคาใชอารมณ จากความต้องการขั้นพื้นฐานคือ อยู่เพื่อบุคคลที่เป็นที่รัก เพื่อการท�าหน้าที่ เพื่อหาความจริง
3. การวิจารณเปนการแสดงความ สัจธรรมของชีวติ จากนัน้ จึงสรุปความคิดรวบยอดในตอนท้ายของกวีนพิ นธ์วา่ การมีชวี ติ อยูค่ วรตัง้
คิดเห็น การประเมินคาเปนการ ปณิธานว่า อยูเ่ พือ่ สร้างสรรค์สงั คม และมนุษยชาติให้มคี วามสุข มีความเป็นอยูเ่ ท่าเทียมกันมากกว่า
ตัดสิน การใช้ชีวิตอยู่เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
4. การวิจารณกลาวในรายละเอียด
การประเมินคากลาวในภาพรวม
(วิเคราะหคําตอบ การวิจารณคือ 40
การแสดงความคิดเห็นที่มีตอ
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้นจึง ตอบ
ขอ 3.)

40 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ
ขั้นตอนที่ ๒ บอกประเภทและจุดมุ่งหมายของเรื่อง รอบวง โดยครูใหนักเรียนมีโอกาส
กวีนิพนธ์บทนี้ ไม่ได้เคร่งครัดในเรื่องฉันทลักษณ์ของค�าประพันธ์ แต่เน้นที่การถ่ายทอด แสดงความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
อารมณ์ความรู้สึกที่ผู้แต่งมีต่อสังคมไปยังผู้อ่าน ผู้ฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนเกิดจิตส�านึก ลักษณะการนําเสนอของตัวอยาง
ร่วมกัน เห็นใจในความทุกข์ยากของผู้ยากไร้ในสังคมและพร้อมต่อสู้ไปพร้อมกันเพื่อเดินทางไปพบ การอานวิเคราะห วิจารณ
กับวันใหม่ สังคมใหม่ที่ดีกว่า ที่ปราศจากการกดขี่ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
ขั้นตอนที่ ๓ กล่าวถึงบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ่าน อยางหลากหลายตามความคิดเห็น
ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา เกิดเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ของตน)
เดิมชื่อ ประคิณ กรองทอง เข้าศึกษาที่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย
สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นทีห่ นึง่ ของประเทศ จบปริญญาโทเกียรตินยิ ม ภาษาฝรัง่ เศส พ.ศ. ๒๔๘๘ ขยายความเขาใจ
และได้ทุนไปศึกษาต่อที่ปารีส ๑ ปี ระหว่างศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ได้อ่านหนังสือวรรณคดี
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
ชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสจ�านวนมาก ซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดที่จะสร้างสรรค์งานที่มีค่าต่อสังคม เมื่อ
องคความรูเกี่ยวกับแนวทางการ
กลับมาเป็นอาจารย์มีโอกาสได้ติดตามนายแพทย์และบาทหลวงเข้าไปท�างานที่แหล่งเสื่อมโทรม
อานวิเคราะห วิจารณ และลักษณะ
และมีจิตส�านึกแบบชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดว่าควรจะต้องท�าอะไรเพื่อคนจน ท�าให้เธอได้เขียน รูปแบบการนําเสนอของตัวอยาง
บทกวีทสี่ ะท้อนภาพสังคมในเชิงมนุษยธรรม และต่อมาเธอกลับมาเป็นอาจารย์ทคี่ ณะอักษรศาสตร์ การอานวิเคราะห วิจารณ จากนั้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและได้สมรสกับหม่อมหลวงจิตรสาน ชุมสาย ครูนําตัวอยางกวีนิพนธ “เพียงความ
ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา เริม่ เขียนกลอนตัง้ แต่เข้าเรียนทีค่ ณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เคลื่อนไหว” ของ เนาวรัตน
มหาวิทยาลัย ใช้นามปากกาว่า “อุชเชนี” พ.ศ. ๒๔๘๙ เริม่ เขียนกลอนสัน้ “มะลิแรกแย้ม” ลงพิมพ์ พงษไพบูลย มาใหนักเรียนอาน
ในหนังสือ “บ้าน - กับโรงเรียน” ในนาม “มลิสด” พ.ศ. ๒๔๙๑ เปลี่ยนแนวการแต่งจากรักเป็น วิเคราะห วิจารณโดยใชแนวทางที่
เรื่องของคนทุกข์ยากคือ “ใต้ - โค้งสะพาน” ลงในหนังสือ “การเมือง” พ.ศ. ๒๔๙๙ มีการรวม ไดศึกษา
พิมพ์เป็นเล่ม โดยใช้นามปากกา อุชเชนี ส�าหรับกวีนิพนธ์ และนิด นรารักษ์ ซึ่งเป็นนามปากกาที่
ใช้สา� หรับงานเขียนประเภทความเรียงร้อยแก้ว ชือ่ “ขอบฟ้าขลิบทอง” บอกเล่าเรือ่ งราวเพือ่ เสริม
ตรวจสอบผล
สร้างการมองโลกในแง่ดี โดยเฉพาะความรู้สึกของชนชั้นกลางที่เห็นคุณค่าของชนชั้นที่ต�่ากว่า ไม่มี
การแบ่งชั้นวรรณะ ระหว่างความรวยและความจน ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน อธิบายการ
จากที่อุชเชนีมีผลงานการประพันธ์ที่ทรงคุณค่า จึงได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ อานวิเคราะห วิจารณบทกวีนิพนธ
สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) พร้อมกับ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ “เพียงความเคลื่อนไหว” ใหเพื่อนฟง
หนาชัน้ เรียน ครูประเมินความถูกตอง
ขั้นตอนที่ ๔ วิเคราะห์เนื้อเรื่องในด้านต่างๆ
กวีนพิ นธ์ “อยูเ่ พือ่ อะไร” ของอุชเชนี มีความโดดเด่นทีแ่ ก่นเรือ่ งหรือแนวคิดของผูป้ ระพันธ์
ทีต่ อ้ งการสือ่ สารมายังผูอ้ า่ น ลักษณะการใช้ถอ้ ยค�าเพือ่ การสือ่ สารทัง้ แบบตรงไปตรงมาและแฝงนัย @
ส�าคัญบางประการไว้ ถ้อยค�าแต่ละค�าทีถ่ กู ร้อยเรียงเกีย่ วเนือ่ งกันจะแฝงไว้ซงึ่ อารมณ์ความรูส้ กึ ของ มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและ
41 ผลงานของศิลปนแหงชาติ สาขา
วรรณศิลปหรือสาขาอื่นไดจาก
เว็บไซตของสํานักงานคณะกรรมการ
วัฒนธรรมแหงชาติ http://artcul-
ture.go.th/

คูมือครู 41
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวา หลังจากขั้นตอน
การอานวิเคราะห วิจารณ และ ผูเ้ ขียนทีม่ องสังคม ณ ช่วงเวลาทีป่ ระพันธ์ ซึง่ การใช้ถอ้ ยค�าในลักษณะดังกล่าวมีความเหมาะสมกับ
แสดงความคิดเห็นแลว ขั้นตอน เนื้อหาที่น�าเสนอ ช่วยส่งเสริมให้แนวคิดหรือสาระส�าคัญของเรื่องมีความโดดเด่นและชัดเจน
ตอมาคือการอานในลักษณะใด ขั้นตอนที่ ๕ การประเมินคุณค่า
(แนวตอบ ขั้นตอนตอมาหลังจาก “อยู่เพื่ออะไร” เป็นบทกวีที่มีคุณค่า เนื่องด้วยน�าเสนอแนวความคิดเพื่อกระตุ้นให้คนใน
การอานวิเคราะห วิจารณ คือ สังคมเกิดจิตส�านึกสาธารณะร่วมกัน เห็นคุณค่าของคนยากไร้และพร้อมที่จะช่วยเหลือ ต่อสู้ไป
การอานประเมินคา เพื่อบอกวา พร้อมกับพวกเขาเหล่านัน้ แนวความคิดมีความร่วมสมัยกับสังคมปัจจุบนั เพราะแม้ประเทศไทยจะ
เรื่องที่อานมีคุณคาอยางไร เชน เดินเข้าสูส่ งั คมประชาธิปไตย มีการพัฒนาไปในด้านต่างๆ มากมาย ซึง่ ความเจริญรุดหน้าทัง้ ปวงได้
ใหขอคิดตางๆ ที่สามารถนําไป สร้างช่องว่างให้เกิดขึ้นภายในสังคม คนในสังคมใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ เพียงเพื่อให้ตัวเองและ
ใชในชีวิตประจําวัน) ครอบครัวมีความสุขกาย สบายใจ จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว กวีนิพนธ์บทนี้ต้องการสื่อสารให้
คนในสังคมพลิกใจหันกลับมาพอเพียง มองเห็นคนอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล
ซึ่งกันและกัน ดังนั้นแล้วบทกวีนิพนธ์นี้จึงมีค่าอย่างยิ่งส�าหรับสังคมที่ก�าลังเกิดความสับสนและ
สํารวจคนหา ความแตกต่างระหว่างชนชั้น
นักเรียนศึกษาตัวอยางการอาน
ประเมินคุณคาบทกวีนิพนธเรื่อง
“อยูเพื่ออะไร” ของอุชเชนี จาก การอ่านประเมินค่า : บทร้อยกรองเรื่อง “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี
หนังสือเรียน ในหนา 42 - 43 เพื่อ
สืบคนองคความรูเกี่ยวกับการอาน ขั้นตอนที่ ๑ พิจารณาเนื้อหาและองค์ประกอบของเนื้อหา
ประเมินคา หากพิจารณาจากเนื้อหาในบทกวีเรื่อง “อยู่เพื่ออะไร” ของอุชเชนี จะพบว่าเนื้อความ
เป็นการหาค�าตอบเกีย่ วกับการมีชวี ติ อยู่ หรือการใช้ชวี ติ โดยกวีวางล�าดับความส�าคัญองค์ประกอบ
ของเนื้อหา จาก “ความรัก” ในระดับสามัญ คือ อยู่เพื่อคนที่รัก และเป็นคนที่รักฉัน ก้าวข้าม
ไปสู่ “ความรัก” ที่พร้อมเผื่อแผ่ไปสู่คนที่ยากล�าบากกว่า จนกระทั่งถึงความรักในเชิงอุดมคติ หรือ
เกร็ดแนะครู อุดมการณ์ ที่อุทิศตัวต่อสู้เพื่อความหวังในการมีชีวิตอยู่ของบุคคลอื่น
ครูควรอธิบายความรูเกี่ยวกับ ขั้นตอนที่ ๒ พิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์
โวหารภาพพจนในภาษาไทย เพื่อให คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ การพิจารณาการใช้ถ้อยค�าของกวี ว่ามีความไพเราะงดงาม
นักเรียนมีความรู ความเขาใจ และ อย่างไร ทั้งยังพิจารณารสค�าว่าส่งอารมณ์ หรือความสะเทือนใจแก่ผู้อ่าน ผู้ฟังอย่างไร ส�าหรับ
สามารถนําความรูไปใชศึกษางาน กวีนิพนธ์เรื่อง “อยู่เพื่ออะไร” สามารถพิจารณาคุณค่าวรรณศิลป์จากค�าน�าในการพิมพ์ครั้งแรก
เขียนประเภทตางๆ และรวมถึงผลิต ตอนหนึง่ ว่า “…กาพย์กลอนของอุชเชนีประจุถอ้ ยค�าธรรมดาๆ ก็จริง แต่กส็ ละสลวยอ่อนหวานและ
งานเขียนของตนเอง เต็มไปด้วยพลังแห่งความรู้สึกทุกตัวอักษร บางครั้งกลอนของเธอจะท�าให้ผู้อ่านตะลึงไปกับความ
สดสวยของธรรมชาติ บางครัง้ จะท�าให้เราเขม็งไปทัง้ ตัว ด้วยความรูส้ กึ บีบคัน้ จากความจริงของชีวติ
บางครั้งท�าให้เราน�้าตาซึม และบางครั้งท�าให้เราแข่งขันลุกขึ้นมาสู้กับอุปสรรคนานาประการของ
ชีวิต…” ถือเป็นสิ่งที่อธิบายลีลาการเขียนของอุชเชนีและบทกวีขอบฟ้าขลิบทองได้ชัดเจน

42

42 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ
การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เพื่อประเมินคุณค่าของบทกวีนิพนธ์“อยู่เพื่ออะไร” รอบวง โดยครูใหนักเรียนมีโอกาส
พบว่ากวีเลือกใช้ถอ้ ยค�าเพือ่ สือ่ ความคิด ความเข้าใจ ความต้องการ และอารมณ์ได้อย่างงดงาม ดังนี้ แสดงความรู ความเขาใจเกี่ยวกับ
๑. เลือกใช้ถ้อยค�าได้ถูกต้องตรงความหมาย เช่น ใช้ค�าไวพจน์ที่มีความหมายว่า ลักษณะการนําเสนอของตัวอยาง
“สวยงาม” ได้อย่างเหมาะสมแก่คา� ทีถ่ กู ขยาย เช่น “ฉันอยูเ่ พือ่ ความฝันอันเพริศแพร้ว” และ “เพือ่ การอานประเมินคุณคา
โลกใหม่ใสสะอาดพิลาศเหลือ” (ค�าที่ขีดเส้นใต้มีความหมายว่า สวยงาม) (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๒. เลือกค�าโดยค�านึงถึงเสียง กวีสามารถเล่นเสียงสัมผัสอักษร เช่น อยู่ - เยื่อ - ใย และ ไดอยางหลากหลายตามความรู
สัมผัสสระ เช่น เพือ่ - เยือ่ , ใย - ใจ นอกจากนีย้ งั ใช้คา� ซ�า้ เพือ่ เพิม่ ความไพเราะ เช่น ฉันอยูเ่ พือ่ บุคคล ความคิดเห็นของตน)
ที่ฉันรัก ฉันอยู่เพื่อหน้าที่ที่พันผูก ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ เป็นต้น
๓. การใช้ความเปรียบ เช่น กวีเปรียบเทียบความรักของบุคคลที่รักฉันเท่าชีวิตและ
พร้อมที่จะให้อภัยในความหลง และความผิดที่ฉันท�า ดังนี้ “และรักฉันมั่นมานปานชีวิต ในความ ขยายความเขาใจ
ผิดความหลงปลงอภัย” เป็นต้น 1. ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
๔. การใช้โวหารภาพพจน์ เช่น องคความรูเกี่ยวกับแนวทางการ
- อุปลักษณ์ เช่น “เป็นท่อธารรักท้นล้นพ้นไป หล่อดวงใจแล้งรื่นให้ชื่นบาน” อานประเมินคุณคา และลักษณะ
“เป็นเกลียวมั่นขันแกร่งแรงกลืนกลม พายุร้ายสายลมมิอาจรอน” ข้อความนี้ กวีเปรียบตัวเอง รูปแบบการนําเสนอของตัวอยาง
เป็นธารความรัก และเป็นเกลียวกระชับสัมพันธ์ การอานประเมินคุณคา จากนั้น
- การใช้ค�าปฏิภาค หรือ ค�าตรงกันข้าม เช่น “เพื่อสื่อแสงแจ้งสว่างพร่างตระการ ครูนําตัวอยางกวีนิพนธ “เพียง
กลางวิญญาณมืดมิดอวิชชา” ซึง่ กวีใช้คา� แสงสว่างท่ามกลางความมืด อันแสดงให้เห็นภาพทีต่ า่ งกัน ความเคลื่อนไหว” ของ เนาวรัตน
โดยสิน้ เชิง จึงท�าให้ผอู้ า่ น หรือผูฟ้ งั สร้างมโนภาพจินตนาการไปถึงแสงสว่าง หรือความหวังท่ามกลาง พงษไพบูลย มาใหนักเรียนอาน
ความสิ้นหวัง เป็นต้น ประเมินคาโดยใชแนวทางที่ได
หรือ “ฉันอยู่เพื่อค้นคว้าหาสัจจะ กลางโมหะอาเกียรณ์เบียฬประหาร” จากข้อความนี้ ใช้ ศึกษา
ค�าตรงข้าม สัจจะ – โมหะ เพือ่ แสดงน�า้ เสียงเสียดสีวา่ “หวังจะค้นหาความสัจจะในหมูผ่ ปู้ กครองที่ 2. นักเรียนเลือกบทรอยกรอง
ทรงอ�านาจ ผู้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในอ�านาจวาสนา ประเภทที่ตนเองประทับใจ
- อติพจน์ คือการกล่าวเกินจริง ซึ่งกวีสามารถเลือกใช้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกได้ นํามาอานโดยใชกระบวนการ
อย่างงดงาม เช่น “ฉันอยู่เพื่อยุคทองของคนยาก ที่เขาถากทรกรรมซ�้าบั่นหัว เพื่อความถูกที่ การอานตีความ วิเคราะหวิจารณ
เขาถมจมทั้งตัว เพื่อความกลัวกลับบ้าบั่นอาธรรม” และประเมินคุณคาที่ไดศึกษา
ขั้นตอนที่ ๓ พิจารณาแนวคิด
แนวคิดทีป่ รากฏในบทกวีเรือ่ งนีเ้ ป็นการพิจารณาถึงคุณค่าของชีวติ ว่าการมีชวี ติ อยูน่ นั้ เป็น
ไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อคนที่เรารัก การอยู่เพื่อหน้าที่ เพื่อค้นหาสัจธรรมของชีวิต การอยู่เพื่อ นักเรียนควรรู
คนยากไร้ เป็นต้น จนกระทั่งก้าวขึ้นไปสู่ความคิดเชิงอุดมคติ คือการมีชีวิตอยู่ในลักษณะที่มากกว่า อุปลักษณ คือ การเปรียบเทียบวา
อยู่เพื่อตัวเอง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ นั่นคือการอยู่เพื่อส่วนรวม และมนุษยชาติ สิ่งหนึ่งเปนอีกสิ่งหนึ่ง โดยใชคําที่
แสดงความเปรียบวา “เปน” “คือ”
43

นักเรียนควรรู
อติพจน คือ โวหารที่กลาวเกินจริงเพื่อสรางและเนนอารมณความรูสึก ทําใหผูฟงเกิดความ
รูสึกที่ลึกซึ้ง และแสดงความรูสึกของกวีไดอยางชัดเจน เชน คิดถึงใจจะขาด คอแหงเปนผง

คูมือครู 43
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนใน
ลักษณะกระตุนใหเกิดการคิด
• นักเรียนคิดวาลักษณะเฉพาะ นิทานสันสกฤต เรื่อง วาจาสิทธิ์
ของนิทานที่ทําใหมีความแตก
ตางจากรอยแกวประเภทอื่นๆ มีพระอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นที่เลื่องลือกันว่า มีวาจาสิทธิ์ ใครๆ ก็พากันมาฝากตัวเป็นศิษย์
คืออะไร ถ้าศิษย์ผู้ใดปฏิบัติตนได้เป็นที่ถูกใจ ท่านจะให้พรก่อนที่จะจากกันไป
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ ชายหนุ่มสองพี่น้องเข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ผู้นี้ คนพี่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่
ตอบไดอยางหลากหลายตาม นิสัยใจคอดี ไม่เป็นคนช่างประจบ ส่วนคนน้องหน้าตาคมสัน พูดจามีเสน่ห์ และยังเป็นคนมีนิสัย
พื้นฐานความรูความเขาใจและ ช่างประจบอีกด้วยพระอาจารย์มอบหน้าที่ให้คนพี่ท�าความสะอาดที่อยู่อาศัย ตักน�้าไว้ใช้และอาบ
ประสบการณสวนตน เชน กิน ดายหญ้า ตัดกิ่งไม้ เป็นต้น ส่วนคนน้องมีหน้าที่ปรนนิบัติพัดวี นวดเฟ้น จัดอาหารและที่นอน
มีตัวละคร มีฉากที่ตื่นเตน ให้แก่พระอาจารย์
มีการผูกเรื่องที่เขาใจงาย พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่คนทั้งสองเสมอกัน เมื่อเรียนจบแล้วพระอาจารย์
มีคําสอนที่ดี เปนตน) ได้เรียกทัง้ สองคนมาพร้อมหน้ากัน พร้อมกับสัง่ ว่า เจ้าทัง้ สองก็มวี ชิ าความรูพ้ ร้อมแล้ว แต่กอ่ นทีจ่ ะ
ลากลับบ้านเกิด ให้ออกไปผจญชีวิตเสียก่อน ๑ ปี แล้วกลับมาหาอาจารย์เพื่อเล่าให้ฟังว่า ได้ผจญ
สํารวจคนหา ชีวิตมาแล้วอย่างไร ผู้เป็นพี่นั้น ขอให้พรว่า เจ้าจงมีโคนม ๑ ตัวตลอดไป ส่วนคนน้องขอให้มีโคนม
๑ ฝูงตลอดไปเช่นกัน
ครูแบงกลุมนักเรียนในจํานวน
เทาๆ กัน หรือตามความเหมาะสม ชายหนุ่มทั้งสองรับค�าของท่านอาจารย์โดยดุษณีภาพ แล้วแยกย้ายกันไปเมื่อครบ ๑ ปี
ใหแตละกลุมรวมกันอานนิทานเรื่อง ชายผูเ้ ป็นน้องกลับมาถึงส�านักด้วยท่าทางอันอิดโรยแสดงความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ กราบเรียน
วาจาสิทธิ์ จากหนังสือเรียน ในหนา พระอาจารย์ว่า ตนไม่มีความรู้เรื่องการเลี้ยงโคนม โคจึงผ่ายผอมเป็นโรค ไม่เคยเห็นน�้านมวัวเลย
44 เพื่อคนหาแนวคิดที่ผูเขียน บอกขายก็ไม่มใี ครซือ้ สภาพจึงเป็นเช่นนี้ พระอาจารย์ยงั ไม่ทนั ซักไซ้ไล่เลียงว่าอย่างไรก็เหลือบไปเห็น
ตองการสื่อสารมายังผูอาน ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งคานหามมาอย่างสง่างาม ท่าทางภูมิฐาน หน้าตาอิ่มเอิบ แสดงความเป็นผู้มีบุญ
หนักศักดิ์ใหญ่ พระอาจารย์จ้องมองชั่วครู่ก็จ�าได้ว่าคือชายหนุ่มผู้เป็นพี่นั่นเอง เมื่อชายหนุ่มเข้ามา
กราบแทบเท้าของท่านอาจารย์ ซึ่งขณะนั้นพอจะหายงงงันบ้างแล้ว พระอาจารย์ก็ก้มลงกระซิบ
ถามว่าไปท�าอะไรมา จึงอัครฐานถึงปานนี้ ชายหนุ่มตอบช้าๆ ว่า ด้วยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของ
อาจารย์ กระผมจึงมีโคนม ๑ ตัว อยูต่ ลอดไป และเมือ่ สังเกตว่าพระอาจารย์ยงั มีทา่ ทีฉงนสนเท่หอ์ ยู่
ชายหนุ่มจึงกล่าวต่อไปว่า เย็นลงกระผมก็ขายวัวที่มีอยู่ ๑ ตัวนั้นไป รุ่งเช้าขึ้นมา ผมก็มีวัว ๑ ตัว
เป็นเช่นนี้ตลอด ๓๖๕ วัน เงินทองจึงไหลมาเทมาไม่ขาดสาย ด้วยประการฉะนี้แหละขอรับ
(แนวคิดจากนิทานสันสกฤต)

44

44 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนในกลุมเดิมรวมกันศึกษา
ตัวอยางการอานตีความ : นิทาน
การอ่านตีความ : นิทานสันสกฤต เรื่อง วาจาสิทธิ์ สันสกฤต เรื่อง วาจาสิทธิ์ จาก
หนังสือเรียนในหนา 45 บันทึก
ขั้นตอนที่ ๑ อ่านคร่าวๆ ความรูที่ไดจากการสืบคนรวมกัน
เรื่อง วาจาสิทธิ์ เป็นเรื่องของชายหนุ่มพี่น้องที่มาฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อร�่าเรียนวิชากับ ลงสมุด
พระอาจารย์และได้รับพรคนละ ๑ ข้อ จากนั้นจึงออกไปผจญภัยตามค�าสั่งของอาจารย์เป็นเวลา
๑ ปี สุดท้าย ๑ ปีผ่านไป ชายคนพี่ร�่ารวยขึ้นในขณะที่ชายคนน้องกลับยากจนลงเพราะพรของ
พระอาจารย์ อธิบายความรู
ขั้นตอนที่ ๒ อ่านละเอียด นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน
เรื่อง “วาจาสิทธิ์” กล่าวถึงชายหนุ่ม ๒ พี่น้องที่ฝากตัวร�่าเรียนกับพระอาจารย์ จนเมื่อ ออกมาหนาชั้นเรียนเพื่ออธิบาย
ร�่าเรียนส�าเร็จพระอาจารย์จึงให้พรชายคนพี่ให้มีโคนม ๑ ตัวตลอดไป และให้พรชายคนน้องให้ ความรูเกี่ยวกับแนวทางการอาน
มีโคนม ๑ ฝูงตลอดไป และเมื่อทั้ง ๒ คนไปผจญชีวิตครบ ๑ ปี ปรากฏว่าชายคนน้องยากจนลง ตีความนิทานสันกฤต เรือ่ ง วาจาสิทธิ์
เพราะไม่รวู้ ธิ เี ลีย้ งโคนม ส่วนชายคนพีร่ า�่ รวยจากการขายโคนมวันละ ๑ ตัว ตามพรทีพ่ ระอาจารย์ให้
ขั้นตอนที่ ๓ พิจารณาน�้าเสียงผู้แต่ง
น�้าเสียงของผู้แต่ง แฝงข้อคิดเรื่องการศึกษาว่าควรใส่ใจฝึกฝนทั้งทฤษฎี และการน�า ขยายความเขาใจ
ไปใช้จริง ให้แตกฉาน จึงจะสามารถประสบความส�าเร็จได้ ดังเช่นที่ชายคนพี่ต้องท�างานหนัก ครูทบทวนความรูความเขาใจ
ทั้งตักน�้า ต�าข้าว ดายหญ้า ไปพร้อมๆ กับร�่าเรียนวิชาการ จนประสบความส�าเร็จในที่สุด ทั้งผู้แต่ง เกี่ยวกับแนวทางการอานตีความ
ยังแฝงน�้าเสียงเสียดสีคนที่อาศัยคารมในการประจบประแจง ว่าอาจจะได้ดีก็เพียงชั่วครั้งคราว แต่ ใหแกนักเรียน จากนั้นใหนักเรียน
สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว โดยผ่านชายคนน้องที่ยากจนลงแม้จะได้พรที่ดูเหมือนจะดีกว่า เลือกนิทานธรรมะหรือนิทานเรื่อง
จากถ้อยค�าที่ปรากฏในนิทานสันสกฤตเรื่อง วาจาสิทธิ์ ปรากฏลักษณะของน�้าเสียงใน ที่ประทับใจ นํามาอานตีความตาม
เชิงการเล่าเรื่อง แต่แสดงให้เห็นความแตกต่างของชายทั้งสองคนอย่างชัดเจน ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะ แนวทางที่ไดศึกษา
ไม่ได้ยนิ น�า้ เสียงของผูแ้ ต่งทีแ่ ทรกไว้ภายในตัวบท แต่จะรับรูเ้ รือ่ งราวต่างๆ ผ่านกระบวนการตีความ
ด้วยตนเอง
ขั้นตอนที่ ๔ วิเคราะห์ถ้อยค�าที่อาจมีความแฝง @
มุม IT
บทร้อยแก้วที่น�ามายกเป็นตัวอย่างในบทเรียนนี้ เป็นร้อยแก้วที่เรียบเรียงขึ้นในลักษณะ
นิทาน ดังนัน้ ถ้อยค�าทีใ่ ช้จงึ ไม่ได้ปรากฏความหมายแฝงทีล่ กึ ซึง้ มากนัก หากแต่ความหมายของเรือ่ ง สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
โดยรวมทั้งหมด หรือจุดมุ่งหมายของเรื่องเป็นสิ่งที่ผู้อ่านจะต้องตีความ นิทานธรรมะไดจากเว็บไซตของ
ขั้นตอนที่ ๕ สรุปสารที่ได้จากการตีความ กัลยาณมิตร http://www.kalyana-
mitra.org/chadok/mixchadok.
สาระส�าคัญทีน่ า� เสนออยูใ่ นนิทานเรือ่ งนี้ ให้ความส�าคัญกับการศึกษาทีข่ นึ้ อยูก่ บั การฝึกฝน
html
ทักษะต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะแม้ว่าจะได้รับโอกาส (พร) อย่างไรก็ตาม ถ้าตนเองไม่แตกฉานใน
วิชาการก็ไม่สามารถคว้าโอกาสให้ประสบความส�าเร็จได้

45

คูมือครู 45
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูทบทวนความรู ความเขาใจ
เกี่ยวกับแนวทางการอานวิเคราะห
วิจารณใหแกนักเรียน จากนั้นให การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์ : นิทานสันสกฤต เรื่อง วาจาสิทธิ์
นักเรียนเลือกนิทานธรรมะหรือนิทาน
ขั้นตอนที่ ๑ เล่าเรื่อง
เรื่องที่ประทับใจ นํามาอานวิเคราะห
วิจารณตามแนวทางที่ไดศึกษา นิทานเรื่องวาจาสิทธิ์ กล่าวถึงการพลิกแพลงสถานการณ์จากโอกาสที่ได้รับ แม้เล็กน้อย
เพียงไร แต่หากการที่เป็นคนมีวิชาความรู้แตกฉานทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ จึงท�าให้สามารถประสบ
ความส�าเร็จได้
ขั้นตอนที่ ๒ บอกประเภทและจุดมุ่งหมายของเรื่อง
เกร็ดแนะครู จุดมุ่งหมายของนิทานเรื่องนี้ มุ่งให้ตระหนักถึงคุณค่าการศึกษา และให้รู้จักพลิกแพลง
ครูอาจยกตัวอยางนิทานธรรมะ สถานการณ์โอกาสต่างๆ ให้เป็นประโยชน์แก่ตน
จากหนังสือที่รวบรวมหรือเว็บไซต ขั้นตอนที่ ๓ กล่าวถึงบริบทที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อ่าน
ธรรมะตางๆ มาเลาใหนักเรียนฟง บทร้อยแก้วทีน่ า� มาเป็นตัวอย่างนัน้ เป็นร้อยแก้วทีเ่ รียบเรียงขึน้ ในลักษณะนิทาน ซึง่ นิทาน
เพื่อใหรวมกันคนหาแนวคิดที่แฝงอยู ไม่ว่าจะเป็นของชนชาติใด ก็จะมีความหมายไปในทิศทางเดียวกันคือเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา
ภายในเรื่อง
ปากต่อปาก เป็นมรดกทางวัฒนธรรม จุดประสงค์ของนิทานทุกชนชาติ จะเล่าเพือ่ ความสนุกสนาน
แทรกคติ แนวคิดสอนใจ ดังนั้นนิทานจึงเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ผูกขึ้นด้วยภูมิปัญญา เนื้อเรื่องมี
ความหลากหลาย ใช้เล่าเพือ่ จุดประสงค์ตา่ งๆ กัน ตามโอกาสและสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิน่
ซึ่งบทร้อยแก้วที่น�ามาเป็นตัวอย่างจึงมีลักษณะของนิทานอย่างแท้จริง
ขั้นตอนที่ ๔ วิเคราะห์เนื้อเรื่องในด้านต่างๆ
■ แก่นเรื่อง ความรู้ที่แตกฉานทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ จึงจะท�าให้ประสบความส�าเร็จ
■ ตัวละคร นิทานเรื่องนี้น�าเสนอแนวคิดผ่านตัวละคร ๓ ตัวดังนี้
- พระอาจารย์ เป็นผูป้ ระสิทธิป์ ระสาทวิชาความรู้ และให้โอกาสแก่ตวั ละครอีก ๒ ตัว
จึงถือว่าเป็นผู้มีผลต่อการกระท�าของตัวละครสองพี่น้อง และส่งผลต่อบทสรุปของเรื่อง
- ชายคนพี่ เป็นคนขีเ้ หร่ ไม่ประจบคน มีความขยันเล่าเรียน และมีนา�้ อดน�า้ ทนในการ
ท�างานหนัก สุดท้ายแม้โอกาสที่ได้รับจะไม่สูงนักแต่ก็สามารถสร้างตัวได้
- ชายคนน้อง รูปร่างหน้าตา คารมดี แม้มีความรู้เท่ากับชายคนพี่ แต่ด้วยความที่ไม่สู้
งานหนัก สุดท้ายแม้ได้รับโอกาสที่ดีกว่าพี่ แต่กลับไม่สามารถสร้างตัวได้
ขั้นตอนที่ ๕ ประเมินค่า
จากนิทานเรื่อง “วาจาสิทธิ์” ร้อยเรียงเสนอแนวความคิดผ่านกระบวนการสร้างตัวละคร
ที่เป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบคน ๒ ประเภท ได้อย่างเหมาะสม และถือได้ว่าเป็นการปลูกฝังทัศนะ
และการกระท�าที่เป็นตัวอย่างที่ดีต่อผู้อ่าน หรือผู้ฟังชวนให้ปฏิบัติตามได้เป็นอย่างดี

46

46 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนความรู ความเขาใจให
แกนักเรียนเกี่ยวกับแนวทางการอาน
การอ่านประเมินคุณค่า : นิทานสันสกฤต เรื่อง วาจาสิทธิ์ ประเมินคุณคา จากนั้นใหนักเรียน
คัดเลือกนิทานธรรมะหรือนิทานเรื่อง
ขั้นตอนที่ ๑ พิจารณาองค์ประกอบของเนื้อหา
ที่ประทับใจนํามาอานประเมินคุณคา
หากพิจารณาองค์ประกอบของเนื้อหาในด้านต่างๆ จากบทร้อยแก้วประเภทนิทาน ได้แก่
ตามแนวทางที่ไดศึกษา
โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร จะพบว่าทั้งสามส่วนนี้ท�าหน้าที่สอดรับกันเพื่อถ่ายทอดแนวคิดหลัก
ของเรื่อง แต่ก็ยังคงเสน่ห์ของความเป็นนิทานไว้คือ เป็นเรื่องเล่าที่สนุกสนาน ตื่นเต้น น่าติดตาม
และท�าให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง เกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับเนื้อหาของเรื่อง ตรวจสอบผล
ขั้นตอนที่ ๒ พิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์
หากพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของนิทานเรื่องนี้ อาจกล่าวได้ว่าผู้แต่งน�าเสนอแนวคิด 1. ครูตรวจสอบผลงานการอาน
ของตน โดยใช้ถ้อยค�าที่มีความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีความโดดเด่นในการสร้างตัวละครที่มีการใช้ ตีความ วิเคราะห วิจารณ และ
สัญลักษณ์ ดังนี้ ประเมินคุณคาบทรอยแกวและ
- พระอาจารย์ เป็นทั้งผู้ประศาสน์วิชาความรู้ และให้โอกาส (พร) แก่ชาย ๒ พี่น้อง บทรอยกรองของนักเรียน
เพียงแต่การปฏิบัติตนต่อลูกศิษย์ทั้ง ๒ ไม่เสมอกัน คนพี่ไม่ชอบประจบจึงให้ท�างานหนัก ส่วนคน 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
น้องคารมดีจึงได้ท�างานสบายกว่า แม้แต่พรที่ให้ ก็ให้คนน้องมากกว่าคนพี่ จึงท�าให้ตัวละครตัวนี้ การเรียนรู
เป็นสัญลักษณ์เชิงเสียดสีผใู้ หญ่ หรือผูม้ อี า� นาจว่านิยมคนทีป่ ระจบ มากกว่าคนจริงใจ และแตกฉาน
ในวิชาการความรู้ในทางที่ถูกที่ควร
- ชายคนพี่ เป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบคนดีมคี วามรูแ้ ต่ไม่รจู้ กั ประจบ แม้ไม่สจู้ ะได้รบั
หลักฐาน
โอกาสมากนัก แต่ด้วยมีความเพียรพยายามท้ายที่สุดก็จะประสบความส�าเร็จได้
แสดงผลการเรียนรู
- ชายคนน้อง เป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบคนมีความรู้ แต่ไม่สงู้ านหนัก ดีแต่รจู้ กั ประจบ ผลงานการอานตีความ วิเคราะห
ผู้ใหญ่ คนเหล่านี้แม้ได้รับโอกาสมาก แต่ด้วยความไม่สู้งานหนัก สุดท้ายจึงล้มเหลว วิจารณและประเมินคุณคา
ขั้นตอนที่ ๓ พิจารณาแนวคิด บทรอยแกวและบทรอยกรอง
แนวคิดของนิทานเรื่อง วาจาสิทธิ์ เป็นแนวคิดร่วมสมัยเป็นสัจธรรม กล่าวคือ โอกาสเป็น
สิง่ ส�าคัญในชีวติ ของมนุษย์ ควรใช้อย่างรูค้ ณ ุ ค่าทีส่ ดุ และถึงแม้วา่ โอกาสทีไ่ ด้รบั จะน้อยไม่เท่าเทียม
กับคนอื่น แต่ถ้าใช้อย่างรู้ค่า ก็จะสามารถประสบความส�าเร็จในชีวิตได้ แนวคิดของนิทานเรื่องนี้
จึงเป็นประโยชน์ต่อบุคคลในสังคมไม่ว่าจะด�ารงอยู่ในสถานภาพใด ส�าหรับในวัยเล่าเรียนนั้น หาก
มีความเพียรพยายามและใช้โอกาสทีม่ ศี กึ ษาเล่าเรียนเพือ่ หาความรูอ้ ย่างเต็มทีก่ จ็ ะเป็นประโยชน์ใน
อนาคต แต่ถ้าหากมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน แต่ไม่สนใจ ในอนาคตก็จะต้องประสบกับความล้มเหลว

การอ่านมีความจÓเป็นอย่างยิ่งต่อผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ทั้งทาง
ด้านสติปัญญาและจิตใจ ผู้ที่ประสบความสÓเร็จในชีวิตที่มีความมั่นคงทั้งด้านการงาน
และจิตใจ มีจุดเริ่มต้นมาจากการอ่าน ดังนั้นมนุษย์จึงควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วย
การฝึกฝนการอ่านอย่างสม่Óเสมอ

47

คูมือครู 47
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
1. การอานวิเคราะห หมายถึง การ คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
อานเพื่อแยกแยะองคประกอบ
ของเรื่องวามีสวนประกอบใด ๑. การอานวิเคราะหมีความหมายอยางไร จงอธิบาย
บาง และองคประกอบแตละ ๒. การวิเคราะหและการวิจารณ มีความแตกตางกันอยางไร จงอธิบาย
สวนมีลักษณะเปนอยางไร ๓. การอานเพื่อแสดงความคิดเห็นหรือประเมินคามีประโยชนอยางไรตอนักเรียน
เชน เรื่องสั้น มีองคประกอบ ๔. เพราะเหตุใดการแสดงความคิดเห็นจึงมีความสําคัญตอการสรางสรรคงานเขียน
ไดแก ชื่อเรื่อง โครงเรื่อง ฉาก ๕. การประเมินคางานเขียน มีความหมายอยางไร จงอธิบาย
ตัวละคร
2. การอานวิเคราะห คือ การอาน
เพื่อแยกแยะองคประกอบของ
เรื่องวามีสวนประกอบใดบาง
และแตละสวนมีลักษณะเปน
อยางไร สวนการอานวิจารณ
คือ การอานเพื่อแสดงความคิด
เห็นตอเรื่องที่อาน แสดงความ
คิดเห็นตอองคประกอบของเรื่อง
3. การอานเพื่อแสดงความคิดเห็น
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
หรือการอานเพื่อประเมินคุณคา
มีประโยชนตอกระบวนการ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกบทความที่ตนเองสนใจ มา ๑ เรื่อง นํามาเลาหนาชั้นเรียน พรอมทั้ง
เรียนเพราะจะทําใหสามารถ แสดงความคิดเห็นที่มีตอเรื่องนั้น
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนเขียนวิเคราะห วิจารณ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพยนตรโฆษณา
ประเมินคุณคาเรื่องที่ไดอาน
ทางโทรทัศน นําเสนอหนาชั้นเรียน
และสามารถเลือกอานหนังสือ
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเลือกบทกวีนิพนธที่ตนเองสนใจมาคนละ ๑ เรื่อง จากนั้นใหเขียนประเมิน
ที่ทําใหเกิดประโยชนสูงสุดตอ คา ความยาวไมตํ่ากวา ๑ หนากระดาษ A๔
ตนเอง
4. การแสดงความคิดเห็นมี
ประโยชนตอกระบวนการ
สรางสรรคงานเขียน เพราะการ
แสดงความคิดเห็นเปนเสมือน
เสียงสะทอนที่ทําใหผูเขียนนํา
มาพัฒนาปรับปรุงงานเขียนของ
ตนเองใหดีขึ้น
5. การอานประเมินคุณคา 48
หมายถึง การอานเพื่ออธิบาย
ลักษณะของงานเขียนหรือ
สารที่อานวาดีหรือไมดีอยางไร
มีคุณคาหรือมีขอบกพรอง
อยางไร)

48 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ

ò การพัฒนาทักษะการเขียน
นักเรียนรวมกันอานคําประพันธ
หนาตอน โดยใชปากกานํ้าเงินขีด
ตอนที่ เสนใตขอความที่เปนความรู ปากกา
แดงขีดเสนใตขอความที่เปนขอสงสัย
ดินสอขีดเสนใตขอความที่เปนขอคิด
คติธรรม จากนั้นครูตั้งคําถาม
• นักเรียนคิดวาคําประพันธ
ดังกลาวผูแตงมีจุดมุงหมาย
อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนแตละคนอาจ
ไดความรู ขอสงสัย และขอคิดที่
แตกตางกัน ครูควรชี้แจงใหมี
ความเขาใจตรงกัน จุดมุงหมาย
ของคําประพันธคือ สอนใหรูจัก
มีความเพียรพยายามในการ
ศึกษาเลาเรียน)

¤ÇÒÁÃÙŒ¼ÙŒ»ÃҪޏ¹Ñé¹ ÃÑ¡àÃÕ¹
½¹·Ñè§à·‹Òà¢çÁà¾ÕÂà ¼‹ÒÂ˹ŒÒ
¤¹à¡Õ¨à¡ÅÕ´˹‹ÒÂàÇÕ¹ ǹ¨Ôµ
¡ÅÍØ·¡ã¹µÃÐ¡ÃŒÒ à»‚›ÂÁÅŒ¹ÄåÁÕ
(โคลงโลกนิติ : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)

คูมือครู 49
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
สามารถคัดลายมือตัวบรรจง
ครึ่งบรรทัดตามรูปแบบการเขียน
อักษรไทยประเภทตางๆ

กระตุนความสนใจ
1. นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• บุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใด และสถานการณ
ดังกลาวเปนชองทางการสื่อสาร
ประเภทใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
2. ครูสํารวจวานักเรียนคนใดใน
หองเรียนที่จับดินสอ ปากกาได

ñ
ถูกวิธี ใหนักเรียนคนอื่นดูเปน
ตัวอยางและปรับปรุงแกไขให
ถูกตอง
3. นักเรียนเขียนตามคําบอกดวย หนวยที่
ตัวบรรจงครึ่งบรรทัดดวยวิธีการ
จับดินสอที่ถูกตองตามที่ไดฝกฝน
การคัดลายมือ
4. ครูและนักเรียนรวมกันพิจารณา ตัวชี้วัด
ตัดสินผูที่เขียนไดสวยงาม ■ คัดลายมือตัวบรรจงครึง่ บรรทัด (ท ๒.๑ ม.๓/๑) ล ายมือมีความสําคัญตอการเขียน
นําเสนอเทคนิคการเขียนหนา เพื่อการสื่อสาร ผูที่มีลายมือที่สวยงาม
ชั้นเรียน เขียนไดถูกตองตามรูปแบบอักษรไทยและ
อานงาย จะทําใหงานเขียนมีความนาสนใจ
สาระการเรียนรูแกนกลาง ผูรับสารสามารถเขาใจตามที่ผูเขียนตองการ
ไดถกู ตอง การฝกฝนทักษะการคัดลายมืออยาง
■ การคัดลายมือตัวบรรจงครึง่ บรรทัด ตามรูปแบบการเขียน
ตัวอักษรไทย สมํ่าเสมอจะชวยใหลายมือมีการพัฒนา เปน
ประโยชนตอผูฝกสงเสริมความละเอียดรอบคอบ
และการรูจักสังเกตที่สามารถนําไปประยุกตใชได

50 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับวิวัฒนาการการเขียนของ
๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการคัดลายมือ มนุษย จากนั้นครูตั้งคําถาม
ในอดีตมีการอบรมสั่งสอนและให้ความส�าคัญต่อการเขียนด้วยลายมือ ดังที่ปรากฏใน • นักเรียนคิดวาหากไมมี
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน วันทองสอนพลายงามว่า “ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ” แต่ในปัจจุบันการให้ ผูปกครอง ครู อาจารย เริ่มตน
ความส�าคัญกับลายมือลดลง มีการเขียนผิดรูปแบบอักษรไทย ตัวอักษรไม่มีหัว ไม่มีหาง ไม่มีความ ฝกทักษะการเขียนใหแก
แตกต่าง ท�าให้อา่ นยาก ถ้าลายมืออ่านยากเพราะผูเ้ ขียนเขียนไม่ถกู วิธ ี ผูอ้ า่ นก็อา่ นไม่ออกท�าให้ไม่เข้าใจ นักเรียน นักเรียนจะสามารถ
และไม่ทราบคุณค่าของข้อเขียนนั้นว่าดีอย่างไร ไม่สามารถสื่อสารท�าความเข้าใจระหว่างกันได้ ดังนั้น เขียนหนังสือไดหรือไม เพราะ
การคัดลายมือจึงเป็นกิจกรรมการเขียนที่มีความส�าคัญมาก เพราะการคัดลายมือให้ถูกต้องตาม เหตุใด
แบบอักษรไทยเป็นพื้นฐานที่จะน�าไปสู่การเขียนที่สวยงาม ท�างานเป็นระเบียบ สามารถปลูกฝังความ (แนวตอบ ไมสามารถเขียนได
มีระเบียบวินัยในตนเองและมีความภูมิใจในความเป็นชาติไทยที่มีตัวอักษรใช้เป็นของตนเอง เพราะทักษะการเขียนเปน
ทักษะที่ตองฝกฝน)
๑.๑ ความส�าคัญของการคัดลายมือ
ลายมือเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ ความคิด การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้อ่าน
เข้าใจเรือ่ งราวต่างๆ ทีผ่ เู้ ขียนต้องการถ่ายทอด ลายมือทีเ่ ขียนไม่ชดั เจนอาจท�าให้ผอู้ า่ นเข้าใจคลาดเคลือ่ น สํารวจคนหา
ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของผูเ้ ขียน หรือนักเรียนเขียนตอบข้อสอบแต่กรรมการอ่านไม่ออกทัง้ ๆ ทีน่ กั เรียน 1. นักเรียนที่มีลายมือสวยงามออกมา
มีความรู้และความคิดดีก็ไม่เกิดประโยชน์ เมื่ออ่านไม่ออกท�าให้สื่อความไม่เข้าใจก็ย่อมไม่ได้รับคะแนน คัดขอความที่กําหนดให
๑.๒ แนวทางปฏิบตั กิ ารคัดลายมือ “ลูกผูชายลายมือนั้นคือยศ
ทักษะการคัดลายมือสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ ถ้าผูค้ ดั ลายมือได้รบั การแก้ไขและฝึกฝนอย่าง เจาจงอตสาหทําสมํ่าเสมียน”
ถูกวิธีเป็นประจ�าสม�่าเสมอ การคัดลายมือที่ถูกวิธีนั้นมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ 2. นักเรียนรวมกันแสดง
๑. การนั่ง ผู้เขียนต้องนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะ วางกระดาษตรงหน้าผู้เขียน ความคิดเห็นวาขอความบน
๒. จับปากกาหรือดินสอให้ถูกวิธี ในขณะที่เขียนอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการเขียน คือ กระดานเขียนไดสวยงามหรือไม
แขน มือและนิว้ มือจะต้องเคลือ่ นไหวให้สมั พันธ์กนั เพราะเหตุใด
3. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน
๓. การเขียนตัวอักษรจะเริ่มต้น
รวมกันสนทนาแลกเปลี่ยนความ
ที่หัวตัวอักษร ซึ่งต้องไม่บอด มีขนาดเดียวกันให้
รูในประเด็นความสําคัญและ
สัมผัสเส้นบรรทัดบนและล่าง เส้นแนวตั้ง ควร
แนวทางปฏิบัติการคัดลายมือ
ขนานกันและหางมีความยาวพองาม ไม่เล่นหาง
๔. รูปแบบของตัวอักษรควรเป็น
รูปแบบเดียวกันในแต่ละครั้งที่เขียน คือแบบกลม อธิบายความรู
หรือแบบเหลี่ยม นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
๕. ระยะห่างของตัวอักษร (ช่องไฟ) อธิบายความรูเกี่ยวกับแนวทาง
เท่ากันต้องเว้นช่องไฟให้เท่ากันอย่างสม�่าเสมอ การฝกจับดินสอให้ถกู ต้องเป็นขัน้ ตอนแรกทีม่ คี วามส�าคัญ ปฏิบัติการคัดลายมือในลักษณะ
จะท�าให้ลายมือสวยงามและเป็นระเบียบ ในการฝกฝนการคัดลายมือ โตตอบรอบวง
51 (แนวตอบ
1. จับดินสอและปากกาใหถูกวิธี
2. นั่งตัวตรง
3. เขียนตัวอักษรไทย โดยเริ่มตนที่
ขยายความเขาใจ หัวกอน ฯลฯ)
ครูทบทวนความรูเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการคัดลายมือ จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• หากนักเรียนไดรับการคัดเลือกใหเปนตัวแทนของหองไปประกวดการคัดลายมือ นักเรียนจะนําแนวทาง
ปฏิบัติการคัดลายมือที่ไดศึกษาไปปฏิบัติหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นําไปใชปฏิบัติเพราะแนวทางดังกลาวเปนแนวทางมาตรฐานที่ทุกคนสามารถนําไปปฏิบัติได และ
ฝกฝนจนเกิดความชํานาญเฉพาะตน)
คูมือครู 51
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับ
แนวทางการคัดลายมือ จากนั้นตั้ง
คําถามวา ๖. การเว้นวรรคต้องได้ขนาดแน่นอน เช่น วรรคขนาด ๒ ช่องตัวอักษร หรือ ๔ ช่อง
• สามารถสรุปไดหรือไมวา การ ตัวอักษร ปฏิบัติเหมือนกันทุกตอน
คัดลายมือเปนทักษะที่สามารถ
ฝกฝนได เพราะเหตุใด ๒ รูปแบบตัวอักษร
(แนวตอบ เปนทักษะที่สามารถ ๑) ตัวอักษรประเภทหัวกลม คืออักษรที่มีลักษณะกลมมน เรียกตามโครงสร้างของ
ฝกฝนได เพราะถาปฏิบัติตาม ตัวอักษรว่าหัวกลมมน ได้แก่ รูปแบบตัวอักษรของกระทรวงศึกษาธิการ บางแบบตัวอักษรเป็นเหลี่ยม
แนวทางดังกลาว ก็จะเปนผูที่
แต่หวั กลม ได้แก่ รูปแบบตัวอักษรของภาควิชาประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีลายมือสวยงาม เปนระเบียบ
เรียบรอย)
ตัวอักษรแบบกระทรวงศึกษาธิการ

สํารวจคนหา
นักเรียนรวบรวมรูปแบบตัวอักษร
ไทย ทั้งที่ปรากฏใชในระบบการพิมพ
และระบบการเขียนมาสนทนา
แลกเปลี่ยนความรู

อธิบายความรู
นักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
ลักษณะรูปแบบตัวอักษรประเภท
หัวกลมแบบกระทรวงศึกษาธิการ

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนฝกปฏิบัติการคัดลายมือ
ตามแนวทางที่ไดศึกษา โดยใช
รูปแบบตัวอักษรแบบกระทรวง
ศึกษาธิการ
2. ครูยกยอง ชมเชย และให
กําลังใจในความพยายามของ
นักเรียนแตละคน
52
ตรวจสอบผล
1. นักเรียนในหองรวมกันลงคะแนน-
เสียงหาผูชนะเลิศ ลําดับที่ 1 - 3 หลักฐาน
ครูชวยประเมินความถูกตองของ แสดงผลการเรียนรู
รูปแบบตัวอักษร
เก็บผลงานการคัดลายมือของตนสงครูผูสอน พรอมทั้งบันทึก
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนบรรยาย
ขอควรปรับปรุงของตนสําหรับแกไขในการฝกปฏิบัติครั้งตอไป
หลักเกณฑการคัดเลือกผูชนะ

52 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
1. นักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
ลักษณะรูปแบบตัวอักษรประเภท
๒) ตัวอักษรประเภทหัวเหลี่ยม หัวของตัวอักษรจะมีลักษณะเหลี่ยม เรียกว่า อักษร หัวเหลี่ยมหรือแบบอาลักษณ
แบบหัวบัวหรือตัวอาลักษณ์ ส่วนตัวอักษรก็จะเป็นตัวเหลี่ยมเช่นกัน ตัวอาลักษณ์เป็นแบบอักษรของ 2. ครูยกยอง ชมเชย และให
แผนกอาลักษณ์ ส�านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนมากจะใช้ในเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับพระมหากษัตริย์ กําลังใจในความพยายามของ
เกี่ยวกับราชการหรือในเอกสารพิเศษอื่นๆ เช่น ใบประกาศเกียรติคุณ ใบปริญญา ใบประกาศนียบัตร นักเรียนแตละคน
เป็นต้น

ขยายความเขาใจ
ตัวอักษรแบบหัวเหลี่ยมหรือแบบอาลักษณ์
1. ครูนําตัวอยางใบประกาศ
เกียรติคุณ ใบประกาศนียบัตร
พยัญชนะ
ใบปริญญา มาใหนักเรียนดู เพื่อ
ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ขยายความเขาใจเกี่ยวกับการใช
ตัวอักษรแบบอาลักษณ นักเรียน
ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ฝกปฏิบัติการคัดลายมือตาม
แนวทางที่ไดศึกษา โดยใชรูปแบบ
ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป ตัวอักษรแบบอาลักษณ
ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ล 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• หากนักเรียนตองเปนคณะ
ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ กรรมการตัดสินการประกวด
คัดลายมือ นักเรียนจะมี
สระ
หลักเกณฑใดในการตัดสิน
ะ ั า ำ ิ ี ึ (แนวตอบ คําตอบไมมีถูกหรือ

ื ุ ู เ แ ็ โ ใ ผิด ครูสังเกตพฤติกรรมการ
ตอบของนักเรียนใหมีความ
ไ ฯ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ์ เชื่อมโยงกับแนวทางปฏิบัติที่ได
ศึกษาไป เชน ความสะอาด
รูปวรรณยุกต์ การเวนชองไฟ หัวตัวอักษรตอง
มีลักษณะเปนเหลี่ยม)
่ ้ ๊ ๋
รูปแบบเลขไทย
ตรวจสอบผล
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐
1. นักเรียนในหองรวมกันลงคะแนน
เสียงหาผูชนะเลิศ ลําดับที่ 1 - 3
53 ครูชวยประเมินความถูกตองของ
รูปแบบตัวอักษร
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนบรรยาย
หลักเกณฑการคัดเลือกผูชนะ
หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู
เก็บผลงานการคัดลายมือของตนสงครูผูสอน พรอมทั้งบันทึก
ขอควรปรับปรุงสําหรับแกไขในการฝกปฏิบัติครั้งตอไป

คูมือครู 53
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
ลักษณะรูปแบบตัวอักษรแบบคณะ
ครุศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตัวอักษรแบบคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนฝกปฏิบัติการคัดลายมือ
ตามแนวทางที่ไดศึกษา โดยใช
รูปแบบตัวอักษรแบบคณะ
ครุศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
2. ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับการ
คัดลายมือ จากนั้นตั้งคําถามกับ
นักเรียนวา
• ระบบการพิมพที่มีความเจริญ
กาวหนาในปจจุบันมีผลตอการ
ฝกปฏิบัติคัดลายมืออยางไร
(แนวตอบ ระบบการพิมพทําให
การเขียนเพื่อการสื่อสารมี
บทบาทนอยลง เนื่องดวย
ระบบการพิมพมีความรวดเร็ว
กวา และเปนมาตรฐานสากล
สามารถอานไดโดยงาย แตก
ตางจากการคัดลายมือ เพราะ
การคัดลายมือตองใชความ
พยายามในการฝกฝน หาก
ไมมีการฝกฝนลายมือก็จะไม
สวยงาม เปนอุปสรรคตอการ
อาน จึงทําใหระบบการพิมพเขา
มามีบทบาทแทนการคัดลายมือ
เนื่องจากมีความสะดวก รวดเร็ว
ไมตองเสียเวลาในการฝกและ
เปนมาตรฐานสากล)

54

54 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนหาตัวอยางขอความจาก
หนังสือพิมพ วารสาร ปายโฆษณา
การใช้ตัวอักษรแบบอาลักษณ์ สติกเกอร เปนตน ที่พบเห็นใน
ชีวิตประจําวันมาวิเคราะห วิจารณ
ตัวอักษรแบบอาลักษณ์ แสดงความคิดเห็นวา
• ขอความเหลานั้นเขียนได
นายชูวิทย์ ~ นางสมเจตน์ เปรุนาวิน เหมาะสมหรือไม
(แนวตอบ ตอบไดหลากหลาย มี
มีความยินดีขอเชิญท่านที่เคารพนับถือไปร่วมอนุโมทนากุศล ทั้งเหมาะสมและไมเหมาะสม)
เนื่องในพิธีอุปสมบท 2. นักเรียนคัดคําขวัญของโรงเรียน
นายคงเดช เปรุนาวิน (บุตร) ดวยลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด
มาสงครู โดยใชรูปแบบตัวอักษร
ณ พัทธสีมาวัดเทียนถวาย ต�าบลบ้านใหม่ อ�าเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
ทั้ง 3 แบบ
วันพุธที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๔ (แรม ๕ ค�่า เดือนสี่) 3. ครูตรวจ ติชม เพื่อใหกําลังใจใน
ระหว่างเวลา ๙.๐๐~๑๑.๐๐ น. การพัฒนาลายมือของนักเรียน
กรรมใดที่ผู้อุปสมบทได้เคยล่วงเกินท่านด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ขอได้โปรดอโหสิกรรมในครั้งนี้ด้วยเทอญ ตรวจสอบผล
(ขออภัยหากไม่ได้มากราบเรียนเชิญด้วยตนเอง) 1. นักเรียนในหองรวมกันลงคะแนน
เสียงหาผูชนะเลิศ ลําดับที่ 1 - 3
ครูชวยประเมินความถูกตองของ
รูปแบบตัวอักษร
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนบรรยาย
หลักเกณฑการคัดเลือกผูชนะ

นักเรียนควรรู
ตัวอักษรแบบอาลักษณ เปนตัว
อักษรที่มีความเกี่ยวของกับประเพณี
พิธีกรรม และวัฒนธรรมไทย มี
ลักษณะลีลาของเสนที่ออนชอย
งดงาม อานแลวสบายตา ใหความ
รูสึกแบบไทย
55

หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู
เก็บผลงานการคัดลายมือของตนสงครูผูสอน พรอมทั้ง
บันทึกขอควรปรับปรุงสําหรับแกไขในการฝกปฏิบัติครั้งตอไป

คูมือครู 55
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามใหนักเรียนแสดง
ความคิดเห็น
• ถาในอนาคตระบบการพิมพ การใช้ตัวอักษรแบบครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จะเขามามีบทบาทมากกวา
ตัวอักษรแบบคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเขียนสื่อสารดวยลายมือ
นักเรียนจะรูสึกอยางไร และจะ
มีวิธีการแกไขปญหาอยางไร สรวมพรพุทธโอบเอื้อ พุทธคุณ
(แนวตอบ เปนการตอบแบบแสดง ต่างกระแจะจันทน์จุณ ดิลกแต้ม
ความคิดเห็น คําตอบจึงไมมีถูก
หรือผิด ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ สิทธิ์ศักดิ์จักรพาฬหนุน เจิมสวัสดิ์
ครูผูสอน) เฉลิมยศภิญโญแย้ม พิธพร้อมจตุรพรฯ

ตรวจสอบผล
1. ครูประเมินการคัดลายมือของ ลายมือเป็นสิ่งที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งในการเขีียน เพราะลายมือที่สวยงามและ
นักเรียนในดานรูปแบบของตัว
เป็นระเบียบเรียบร้อยจะท�าให้งานเขียนน่าอ่าน สะอาดตา นอกจากนี้ลายมือยังเป็น
อักษรและความสะอาด
เครื่องมือบ่งชี้ให้เห็นถึงอุปนิสัยของผู้เขียน หากผู้เขียนมีลายมือที่เรียบร้อยงดงาม
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
การเรียนรู ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่มีระเบียบวินัยในตนเอง ใจเย็น อดทน สุขุมและมี
ความรอบคอบ หากผู้เขียนมีลายมือที่ไม่เรียบร้อยสวยงาม ย่อมบ่งชี้ให้เห็นถึงอุปนิสัย
ส่วนตัวที่ตรงข้ามกับผู้มีลายมือดี การฝึกฝนทักษะการคัดลายมือให้เรียบร้อยสวยงาม
จะท�าให้สามารถเขียนสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังจะได้รับความ
นักเรียนควรรู เชื่อถือจากบุคคลโดยทั่วไป
การฝกฝน ควรฝกฝนคัดลายมือ
เปนประจํา โดยในชวงแรกควร
ฝกเขียนบนกระดาษสีขาวที่มีเสน
หรือกระดาษสมุดและใชดินสอ
ดํา 2B ปากกาหมึกซึมหรือปากกา
หัวสักหลาดสีดําหรือสีนํ้าเงิน ขนาด
0.5 มิลลิเมตร

B
B พื้นฐานอาชีพ
ครูชี้แนะใหนักเรียนเห็นความ 56
สําคัญของการฝกฝนคัดลายมือ
แมวาในปจจุบันระบบการพิมพ
จะเขามามีบทบาทแทน แตการ
คัดลายมือก็ยังคงมีความสําคัญและสามารถนําไปประยุกตใชประกอบอาชีพ
ในอนาคตได เชน การเขียนปายผา การออกแบบตัวอักษร โดยครูอาจปูพื้นฐาน
ทางอาชีพใหแกนักเรียนดวยการใหฝกคัดลายมือดวยตัวอักษรรูปแบบตางๆ
จนชํานาญและทดลองสรางสรรครูปแบบตัวอักษรของตนเอง

56 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. เพราะในสังคมปจจุบันเปนยุค
แหงความเจริญกาวหนาทาง
๑. เพราะเหตุใดการคัดลายมือจึงลดบทบาทลงในสังคมปจจุบัน เทคโนโลยี ความรีบเรงในดาน
๒. การคัดลายมือมีความสําคัญหรือมีสวนในการพัฒนาศักยภาพดานตางๆ ของนักเรียนหรือไม อยางไร ตางๆ รวมถึงการสื่อสาร ระบบ
จงอธิบาย การพิมพจึงไดเขามามีบทบาท
๓. นักเรียนคิดวาการฝกคัดลายมือมีความจําเปนหรือไม อยางไร เพื่อตอบสนองความรีบเรง
๔. นักเรียนคิดวาการคัดลายมือเปนทักษะที่สามารถฝกฝนไดหรือไม เพราะเหตุใดจึงคิดเชนนั้น ดังกลาว จึงทําใหการคัดลายมือ
๕. หากนักเรียนไดรับการคัดเลือกใหเปนตัวแทนของหองไปประกวดคัดลายมือในระดับชั้น นักเรียนจะมี ถูกลดบทบาทลงเนื่องจาก
วิธีการเตรียมตัวอยางไร มีอุปสรรคหลายประการ เชน
ตองใชเวลาในการฝกฝน เปนตน
2. ลายมือมีความสําคัญ เพราะ
เปนเครื่องมือถายทอดความรู
ความคิด การทําขอสอบถาเขียน
แลวอานไมออกจะมีผลทําให
สื่อสารไมเขาใจก็จะไมได
คะแนน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
3. การคัดลายมือมีความจําเปน
เพราะถึงระบบการพิมพจะ
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกขอความที่เปนคติเตือนใจมาฝกคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตาม พัฒนา แตการเขียนก็ยังคงมี
รูปแบบการคัดลายมือที่นักเรียนประทับใจมาสงครู ความสําคัญ
กิจกรรมที่ ๒ ประกวดทําบัตรอวยพรในโอกาสตางๆ โดยนักเรียนเขียนคําอวยพรตัวบรรจง
4. การคัดลายมือเปนทักษะที่
ครึ่งบรรทัดดวยตัวอักษรแบบอาลักษณลงในบัตร
สามารถฝกฝนได เพราะการ
กิจกรรมที่ ๓ ครูจัดกิจกรรมการประกวดคัดลายมือในชั้นเรียน เพื่อคัดเลือกตัวแทนของหองไป
ประกวดคัดลายมือในระดับชั้นตอไป คัดลายมือใหถูกตองตามแบบ
อักษรไทย เปนพื้นฐานที่จะนํา
ไปสูการเขียนที่ดี ทํางานเปน
ระเบียบ
5. จะเตรียมตัว ดังนี้
• ศึกษารูปแบบของตัวอักษร
• ฝกคัดลายมือเปนประจํา
สมํ่าเสมอตามแนวทางปฏิบัติ
การคัดลายมือ
57 • เตรียมอุปกรณการเขียน
ตางๆ)

คูมือครู 57
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. เขียนขอความโดยใชถอยคําได
ถูกตองตามระดับภาษา
2. เขียนชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ
โดยเลาเหตุการณ ขอคิดเห็นและ
ทัศนคติในเรื่องตางๆ
3. เขียนยอความได
4. เขียนจดหมายกิจธุระได
5. กรอกแบบสมัครงาน พรอมเขียน
บรรยายเกี่ยวกับความรูและทักษะ
ของตนเองที่เหมาะสม
6. มีมารยาทในการเขียน

กระตุนความสนใจ
นักเรียนดูภาพผูปวยหนักที่ไม
สามารถพูดได แตสื่อสารกับญาติ
โดยการเขียนขอความ จากนั้นครู

ò
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนเขาใจความหมายของ
การเขียนวาอยางไร
(แนวตอบ การเขียน หมายถึง หนวยที่
การแสดงออกในการติดตอ
สื่อสารอยางหนึ่งของมนุษย โดย การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๑
อาศัยลายลักษณอักษรเปนสื่อ ตัวชี้วัด
เพือ่ ถายทอดความรูส กึ ความคิด ■ เขียนขอความโดยใชถอ ยคําไดถกู ตองตามระดับภาษา (ท ๒.๑ ม.๓/๒)
เขียนชีวประวัตหิ รืออัตชีวประวัตโิ ดยเลาเหตุการณขอ คิดเห็นและ
การเขียนเปนทักษะที่มีความสําคัญ
ความตองการของเราใหผูอื่น

ทัศนคติในเรือ่ งตางๆ (ท ๒.๑ ม.๓/๓) ตอความเจริญกาวหนาของมนุษย เปน


เขียนยอความ (ท ๒.๑ ม.๓/๔) เครื่ อ งมื อ สํ า คั ญ ในการสื่ อ สาร ดั ง นั้ น
ทราบ) ■

■ เขียนจดหมายกิจธุระ (ท ๒.๑ ม.๓/๕)


• การเขียนมีความสําคัญอยางไร ■ กรอกแบบสมัครงานพรอมเขียนบรรยายเกีย่ วกับความรูแ ละทักษะของ ผู  เ ขี ย นจึงจําเปนตองศึกษาวิธีการเขียนใน
ตนเองทีเ่ หมาะสม (ท ๒.๑ ม.๓/๘)
(แนวตอบ เปนสื่อกลางสําหรับ ■ มีมารยาทในการเขียน (ท ๒.๑ ม.๓/๑๐) รูปแบบตางๆ ใหเกิดความชํานาญ ใชภาษาให
การถายทอดความรู ความคิด สาระการเรียนรูแกนกลาง ถูกตองเหมาะสมโดยคํานึงถึงสถานภาพของ
บุคคลและโอกาส นอกจากนีย้ งั ตองศึกษารูปแบบ
และความเพลิดเพลินแกคน ■


การเขียนขอความตามสถานการณและโอกาสตางๆ
การเขียนอัตชีวประวัตหิ รือชีวประวัติ หลักการเขียนประเภทตางๆ เพื่อใหสามารถเขียน
ทุกเพศทุกวัย) ■ การเขียนยอความ
สื่อสารกับผูอื่นไดอยางมีประสิทธิภาพ
การเขียนจดหมายกิจธุระ
• ลักษณะของบุคคลที่จะเปน

■ การกรอกแบบสมัครงาน
มารยาทในการเขียน
ผูเขียนที่ดีควรมีลักษณะอยางไร ■

(แนวตอบ มีความคิดที่ดีและรู
หลักการใชภาษาในการเขียน)

58 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
โดยครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียนในโอกาสต่างๆ • นักเรียนคิดวาเหตุใดจึงมีการ
การเขียนเป็นทักษะส�าคัญทีใ่ ช้สา� หรับบันทึก รวบรวมและถ่ายทอดข้อมูลเพือ่ การติดต่อสือ่ สาร กําหนดใหการเขียนเปนชองทาง
ระหว่างกันของบุคคลในสังคม ดังนัน้ ผูเ้ ขียนจึงต้องระมัดระวังในการเลือกใช้คา� ให้เหมาะสมและถูกต้อง สําหรับการสื่อสาร
ทั้งนี้ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้การเขียนสื่อสารสามารถบรรลุผลตามที่ต้องการ (แนวตอบ เพราะการเขียน
ทักษะการเขียนสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ด้วยวิธีการอ่าน การฟัง การรู้จักสะสมค�า ฝึกฝน เปนการถายทอดเนื้อหาสาระ
การเขียนถ่ายทอดความรูส้ กึ นึกคิดออกมาเป็นลายลักษณ์อกั ษร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และโอกาส ตางๆ ใหผูอื่นรับทราบ)
ซึ่งสามารถสรุปลักษณะการใช้ถ้อยค�าในการเขียนได้ ดังนี้
๑.๑ หลักการใช้ภาษาในการเขียน สํารวจคนหา
๑) ระดับภาษา ภาษาที่ใช้ส�าหรับการเขียนเป็นภาษาที่แตกต่างไปจากภาษาพูดใน นักเรียนรวมกันศึกษาคนหาความรู
ชีวติ ประจ�าวัน โดยขึน้ อยูก่ บั รูปแบบและประเภทของงานเขียน เช่น งานเชิงวิชาการควรใช้ภาษาทีเ่ ป็น ในประเด็นหลักการใชภาษาในการ
แบบแผน หากเป็นบทความแสดงความคิดเห็นควรใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ ส่วนงานเขียนบันเทิงคดี เขียนจากหนังสือเรียน ในหนา
เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ผู้เขียนอาจเลือกใช้ภาษาทั้งสามระดับ คือ ระดับทางการ กึ่งทางการ และ 59 - 60 หรือจากแหลงเรียนรูอื่นๆ
ภาษาปากเพื่อสร้างความสมจริงและสีสันภายในเรื่อง
นอกจากนี้แล้วผู้เขียนควรค�านึงถึงระดับของค�า กล่าวคือ การเขียนประโยคหรือ อธิบายความรู
ข้อความเดียวกัน ในแต่ละครั้งควรใช้ภาษาในระดับเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสอดคล้อง สละสลวย
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
สื่อความหมายไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เกี่ยวกับหลักการใชภาษาในการ
■ พ่อแม่เป็นห่วงบุตร เขียนในลักษณะโตตอบรอบวง
ประโยคนี้มีการใช้ภาษาที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน “บุตร” เป็นค�าทางการ เมื่อน�า จากสถานการณตอไปนี้
มาใช้ในประโยคนี้จึงไม่เหมาะสม ควรเปลี่ยนเป็น “พ่อแม่เป็นห่วงลูก” เพื่อให้เป็นประโยคที่ใช้ภาษา • ปราณีจะศึกษาความรูเกี่ยวกับ
ระดับเดียวกัน ความหมายของคําที่ไมแนใจ
๒) การใช้คา� งานเขียนทีด่ ผี เู้ ขียนจะต้องรูจ้ กั ใช้คา� ได้อย่างสละสลวย เหมาะสม ถูกต้อง จากพจนานุกรมทุกครั้งกอน
ตามหลักไวยากรณ์ ค�าทีม่ คี วามหมายคล้ายกัน ผูเ้ ขียนต้องรูจ้ กั เลือกใช้ให้เหมาะสม ไพเราะ ซึง่ หลักเกณฑ์ ลงมือเขียนสื่อสาร
การใช้ค�าควรค�านึงในเรื่องต่อไปนี้ (แนวตอบ ปราณียึดหลักความ
ถูกตองในการเขียน)
๒.๑) การเขียนสะกดค�าและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน การเขียนสะกดค�ามี
• สมภพศึกษาหาความรูใหมๆ
ความส�าคัญต่อการเขียน เพราะหากเขียนสะกดผิดย่อมสื่อสารไม่ตรงกัน รวมถึงการเว้นวรรคตอนให้
อยูเสมอวาคําในภาษาอังกฤษ
ถูกต้องตามมาตรฐานในการเขียน ซึง่ ผูเ้ ขียนสามารถสร้างความช�านาญให้แก่ตนเองได้โดยการฝึกเขียน คําใดที่มีการบัญญัติศัพทเปน
อย่างสม�่าเสมอหรือค้นคว้าความรู้จากพจนานุกรม ภาษาไทยแลว สมภพจะเขียน
๒.๒) การใช้ค�าและส�านวนให้ถูกต้องเหมาะสม เป็นส่วนส�าคัญของการเขียน สื่อสารโดยใชคํานั้นแทน
เพื่อสื่อสาร เพราะถ้อยค�าและส�านวนเป็นสิ่งที่สื่อความหมาย งานเขียนที่มีประสิทธิภาพต้องใช้ค�า (แนวตอบ สมภพยึดหลักความ
59 ถูกตองและความชัดเจนใน
การเขียน)

ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับหลักการใชภาษาในการเขียน จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาการเขียนสื่อสารในวงการอาชีพใดที่เปนอุปสรรคในการสื่อสาร และนักเรียนในฐานะผูรับสาร
จะมีวิธีการแกไขปญหานั้นอยางไร
(แนวตอบ ภาษาในวงการสื่อสิ่งพิมพที่จะใชคําศัพทเฉพาะกลุมในการสื่อสาร ในฐานะผูรับสารอาจแกปญหา
ดวยการหาความรูรอบตัว จดจําและบันทึกไว)
คูมือครู 59
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียน โดย
ใหนักเรียนทุกคนไดมีสวนรวมใน
การตอบ ถูกต้องตรงตามหน้าทีแ่ ละความหมาย เรียงล�าดับค�าหรือพยางค์ได้ถกู ต้อง ไม่ใช้คา� ในภาษาต่างประเทศ
• นักเรียนคิดวาคําสองคํานี้ โดยไม่จ�าเป็น รวมถึงไม่ใช้ค�าฟุ่มเฟือย
ตางกันอยางไร “เขียนได” กับ ๓) การใช้ประโยค การเขียนสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากผู้เขียนจะใช้ถ้อยค�าให้
“เขียนเปน” ถูกต้องเหมาะสมแล้ว การผูกและเรียบเรียงประโยคให้ถกู ต้องตามหลักไวยากรณ์กน็ บั เป็นเรือ่ งส�าคัญ ซึง่
(แนวตอบ เขียนได หมายถึง การผูกประโยคส�าหรับการเขียนสือ่ สาร ควรผูกประโยคให้มคี วามกระชับ กะทัดรัด ในประโยคเดียวกัน
สามารถเขียนสื่อสารให ไม่ควรใช้กริยาหลายตัว หลีกเลี่ยงการใช้ส�านวนต่างประเทศ
ผูอื่นเขาใจเนื้อหาสาระได
ตามวัตถุประสงค เขียนเปน ๔) รูปแบบและเนื้อหาของงานเขียน ผู้เขียนจะต้องใช้ภาษาในการเขียนสื่อสาร
หมายถึง นอกจากจะสามารถ โดยค�านึงถึงรูปแบบและเนื้อหาของงานเขียน เช่น การเขียนจดหมายราชการควรใช้รูปแบบตามที่
เขียนสื่อสารใหผูอื่นเขาใจได ก�าหนดและใช้ภาษาทางการ การแบ่งวรรคตอนที่ถูกต้องเหมาะสม ถ้อยค�ากระชับ สื่อความชัดเจน
แลวยังมีความสามารถในการใช เป็นต้น
ถอยคําที่ไพเราะ กระทบความ ๑.๒ มารยาทในการเขียน
รูสึกของผูอาน) ๑. ควรเลือกใช้สีของกระดาษและสีของหมึกให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
• เมื่อพฤติกรรมการเขียนเปน ๒. ควรเขียนด้วยลายมือตัวบรรจง อ่านง่าย มีความเป็นระเบียบ เว้นช่องไฟและวรรค
หนึ่งในพฤติกรรมของมนุษยเชน อย่างเหมาะสม
เดียวกับการกิน การนอน เพราะ
๓. ควรเขียนให้เป็นระเบียบ คือเว้นส่วนหน้าและส่วนหลังของกระดาษให้เสมอ
เหตุใดจึงตองมีการกําหนด
เป็นแนวเดียวกัน เว้นบรรทัดให้เท่ากัน ย่อหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน
มารยาทในการเขียน
(แนวตอบ เพราะการเขียน คือ ๔. การเขียนที่มีรูปแบบที่เคร่งครัด ผู้เขียนต้องยึดรูปแบบตามที่ก�าหนด
พฤติกรรมที่มนุษยปฏิบัติตอกัน ๕. ควรเขียนโดยใช้ภาษาที่สุภาพ ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ใช้ภาษาเขียนไม่ใช้ภาษา
ซึ่งจะตองตั้งอยูบนพื้นฐานของ พูด ใช้ระดับภาษาให้เหมาะสมกับสถานะของบุคคล
การเคารพสิทธิสวนบุคคล เพื่อ ๖. เมื่อเขียนผิดควรใช้ยางลบหรือน�้ายาลบค�าผิดลบให้สะอาด
ปองกันไมใหเกิดการละเมิดสิทธิ์ ๗. ไม่ควรเขียนโดยปราศจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน หากจ�าเป็นต้องเขียนควร
จึงตองมีการกําหนดมารยาท ศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
เพื่อใชปฏิบัติรวมกัน) ๘. ไม่ควรเขียนเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ รวมทั้งไม่เขียนเพื่อ
มุ่งท�าลายผู้อื่น ท�าให้ได้รับความเสียหาย หรือเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง
๙. ไม่ควรใช้อารมณ์ส่วนตัวในการเขียน รวมทั้งไม่เขียนเพื่อมุ่งท�าลายผู้อื่น
สํารวจคนหา
๑๐. ไม่ควรคัดลอกบทความหรือเนื้อหาตอนใดตอนหนึ่งของผู้อื่นมาใส่ในงานเขียนของ
นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ตนเอง หากจ�าเป็นจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเสมอ เพื เสมอ ่อให้เกียรติผู้เขียน
รวมกันสํารวจคนหาในประเด็น มารยาทในการเขียนเป็นสิ่งที่ผู้เขียนทุกคนควรยึดถือและน�าไปปฏิบัติในชีวิตประจ�าวัน
มารยาทในการเขียน ดวยวิธี เพื่อให้สามารถเขียนสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่น
การสนทนาแลกเปลี่ยนความรู
ประสบการณระหวางกันหรือศึกษา 60
จากแหลงการเรียนรูอื่น

อธิบายความรู
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู นักเรียนควรรู
เกี่ยวกับมารยาทในการเขียนใน
อางอิงแหลงที่มาของขอมูลเดิม สามารถทําไดในรูปแบบ
ลักษณะโตตอบรอบวง
ของการเขียนบรรณานุกรม

60 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
1. ครูชวนนักเรียนสนทนาในประเด็น
การเขียนอวยพรในโอกาสตางๆ
๒ การเขียนตามสถานการณ์และโอกาสต่างๆ จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ในชีวติ ประจ�าวันของมนุษย์ตอ้ งมีการติดต่อสือ่ สารกับผูอ้ นื่ อยูเ่ สมอ ไม่ในโอกาสใดก็โอกาสหนึง่ • นักเรียนคิดวาการเขียนอวยพร
นอกจากจะเพื่อกิจธุระการงานแล้ว การสื่อสารเพื่อสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างกันยังมีความจ�าเป็น สามารถกระทําในโอกาสใดได
อย่างยิ่งในสถานการณ์และโอกาสต่างๆ บาง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๒.๑ การเขียนอวยพร ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
“อวยพร” หมายถึง การให้พิเศษตามค�าขอหรือการแสดงความปรารถนาดีเพื่อให้ได้ตาม อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
ประสงค์ คนไทยมีธรรมเนียมผู้ใหญ่ให้พรผู้น้อย ผู้ให้พรคือผู้อาวุโสกว่าผู้รับพร เช่น บิดามารดาให้ 2. ครูอานคําอวยพรประเภทตางๆ
พรแก่บุตร ในบางครั้งผู้อวยพรอาจเป็นผู้ที่มีวัยหรือสถานภาพเสมอกัน เช่น เพื่อนอวยพรให้แก่เพื่อน ใหนักเรียนฟง โดยเลือกคําอวยพร
แต่เดิมผู้น้อยไม่อวยพรผู้ใหญ่ แต่ผู้น้อยขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แด่ผู้ใหญ่ ค�าอวยพรเป็นผลดีต่อจิตใจ ที่เขียนทั้งในแบบรอยแกวและ
ของผูร้ บั เพราะเป็นการแสดงความปรารถนาดีตอ่ กัน การเขียนอวยพรจึงเป็นการเขียนทีใ่ ช้ภาษาในเชิง รอยกรอง จากนั้นครูตั้งคําถามกับ
สร้างสรรค์ นักเรียนวา
๑) แนวทางการเขียนอวยพร • คําอวยพรที่เขียนขึ้นระหวาง
๑.๑) เลือกใช้ถ้อยค�าให้เหมาะสมกับบุคคล โดยค�านึงว่าผู้รับอยูใ่ นสถานภาพหรือ รอยแกวและรอยกรองให
มีความเกีย่ วข้องกับผูเ้ ขียนอย่างไร ผูร้ บั อาจเป็นบิดา มารดา ญาติผใู้ หญ่ เพือ่ นร่วมงานหรือเพือ่ นทีส่ นิท ความรูสึกแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
คุ้นเคย การเขียนอวยพรให้ผู้ที่อยู่ในสถานภาพต่างๆ ย่อมใช้ค�าขึ้นต้นและลงท้ายที่แตกต่างกัน
ตอบไดอยางหลากหลายตาม
๑.๒) เลือกใช้ถอ้ ยค�าให้ถกู ต้องกับโอกาส การเขียนอวยพรทีม่ ปี ระสิทธิภาพจะต้อง
ความคิดเห็นของนักเรียน โดย
ค�านึงถึงโอกาสว่าจะเขียนในโอกาสใด เช่น อวยพรวันขึ้นปีใหม่ งานมงคลสมรส งานรับต�าแหน่งใหม่ ขึ้นอยูกับพื้นฐานความรูและ
งานวันเกิด แต่ละโอกาสจะมีลักษณะการใช้ถ้อยค�าที่แตกต่างกัน เช่น งานวันเกิดควรอวยพรให้มีอายุ ประสบการณสวนตน)
ยืนยาว มีความสุขและปราศจากโรคภัย เป็นต้น
๑.๓) เลือกใช้ถ้อยค�าให้ผู้รับเกิดความประทับใจ การเขียนอวยพรผู้เขียนควร
สร้างความประทับใจหรือความสุขให้แก่ผู้รับด้วยการเลือกใช้ถ้อยค�าที่สุภาพ นุ่มนวล น่าฟัง ไพเราะ สํารวจคนหา
เหมาะสมด้วยเสียงและความหมาย เช่น เลือกใช้ค�าที่ท�าให้เกิดเสียงคล้องจอง มีความหมายลึกซึ้ง นักเรียนแบงกลุม กลุมละ
ไปในทางที่ดีงาม เป็นต้น 5 คน รวมกันคนหาคําอวยพร
๒) ประเภทของค�าอวยพร เนื่องในโอกาสตางๆ เชน อวยพร
๒.๑) ค�าอวยพรในโอกาสทั่วๆ ไป เช่น ผู้ใหญ่ให้พรแก่เด็กที่มาช่วยเหลือ ดูแล วันปใหม อวยพรวันเกิด อวยพร
เยี่ยมเยียนหรือผู้ใหญ่ให้พรด้วยความเอ็นดู รักใคร่หรือหวังดี เป็นต้น เนื่องในวันสําเร็จการศึกษา อวยพร
■ขอให้เจริญสุข ■ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข วันขึ้นบานใหม ฯลฯ จากสื่อตางๆ
เชน หนังสือเรียน อินเทอรเน็ต
■ขอให้อยู่ดีกินดี ■ขอให้อายุมั่นขวัญยืน
การดอวยพรสําเร็จรูป ใหบันทึก
ขอให้โชคดีมีชัย ขอให้มีความสุขสวัสดี
ลักษณะเฉพาะของคําอวยพรแตละ
■ ■

61 โอกาสลงสมุด

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา “สําหรับเพื่อนขาราชการและครอบครัว... การดํารงตนโดยยึดแนวพระราชดํารัสในเรื่อง “ความ
พอเพียง” จะชวยใหเพือ่ นขาราชการทัง้ หลาย...” คําอวยพรดังกลาวเปนถอยคําทีส่ ภุ าพจัดเปนการเขียนประเภทใด
1. โนมนาว 2. แนะนํา 3. สั่งสอน 4. ตักเตือน
(วิเคราะหคําตอบ สังเกตจากคําวา “จะชวย” เปนการแนะนําใหปฏิบัติตาม ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
คูมือครู 61
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก
มาอธิบายความรูเกี่ยวกับลักษณะ
เฉพาะของคําอวยพรที่กลุมได ๒.๒) ค�าอวยพรเฉพาะโอกาส เช่น วันเกิด วันขึน้ ปีใหม่ วันขึน้ บ้านใหม่ วันแต่งงาน
สืบคน วันส�าเร็จการศึกษา วันรับต�าแหน่งใหม่ เช่น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ■ ขอให้อยู่ดีกินดี
ไดอยางหลากหลายตามความรู ■ ขอให้มั่งมีศรีสุข
ที่ไดจากการสํารวจคนหา เชน ■ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
คําอวยพรเนื่องในวันเกิดจะมี ■ ขอให้มีความสุขตลอดปี ๒๕๕๕
ลักษณะการใชถอยคําเพื่อทําให ■ ขอให้มีความเจริญในหน้าที่การงาน
ผูรับเกิดความสบายใจและเนื้อหา ■ ขอให้ครองรักกันยั่งยืนและมีความสุข
เปนการอวยพรใหเจาของวันเกิดมี ■ ขอให้ประสบความส�าเร็จในต�าแหน่งใหม่
ความสุข มีอายุยืนยาว เปนตน) ■ ขอให้ใช้ความรู้ที่ร�่าเรียนมาท�าประโยชน์แก่ตนเองและสังคม
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับการเขียนคําอวยพรใน การเขียนอวยพรเนื่องในวันเกิด
ลักษณะโตตอบรอบวงเพื่อใหได
แนวทางที่ถูกตองรวมกันจากการ ขอให้เธอโชคดีมีอนาคตที่งดงาม ส�าหรับวันเกิดปีนแ้ี ละตลอดไป
ตั้งคําถามของครู ขอให้ตะวันยังคงส่องแสง สู่วันและคืนของเธอ
• จากคําอวยพรที่สืบคนได สุขสันต์วันเกิดจ้ะน้อย
แสดงใหเห็นแนวทางการเขียน บุ๋ม
อยางไร
(แนวตอบ ควรเลือกใชถอยคําให
เหมาะสมกับโอกาส ใหมีความ การเขียนอวยพรเนื่องในวันรับตÓแหน่งใหม่
เหมาะสมกับสถานภาพของ ผู้มีเกียรติทุกท่าน
บุคคล และแสดงความปรารถนา
ผมในฐานะตัวแทนพนักงานฝ่ายผลิตของบริษทั แปซิฟคิ จ�ากัด ขอแสดงความยินดี
ดีตอกัน)
ด้วยความจริงใจแก่คุณพรเทพ สัจจาบุญ ที่ได้มีโอกาสขึ้นมารับต�าแหน่งเป็นผู้จัดการ
• นักเรียนมีแนวทางการเขียน
คําอวยพรที่จะทําใหผูรับ ฝ่ายผลิตของบริษัท ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าคุณพรเทพ เป็นผู้มี
ประทับใจไดอยางไร ความรู้ความสามารถ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ผู้ร่วมงาน จึงสมควรได้รับความไว้วางใจจากบริษัทให้ด�ารงต�าแหน่งส�าคัญนี้ นับจากช่วง
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น นาทีนไี้ ป ผมขอเป็นตัวแทนกล่าวอาราธนาอ�านาจคุณพระศรีรตั นตรัย อันประกอบไปด้วย
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดลบันดาลให้คุณพรเทพ สัจจาบุญ ประสบความส�าเร็จ
ในหน้าที่การงาน และสามารถน�าความรู้ ความสามารถมาพัฒนาศักยภาพของบริษัทให้
มีความเจริญก้าวหน้าและประสบผลส�าเร็จทางธุรกิจต่อไป
ขยายความเขาใจ
นักเรียนเลือกเขียนคําอวยพรใน 62
โอกาสตางๆ ตามที่ตนเองสนใจ
ลงในบัตรอวยพรที่ประดิษฐขึ้น
โดยใชแนวทางที่ไดศึกษา
ตรวจสอบผล หลักฐาน
ครูตรวจสอบคําอวยพรของนักเรียน จากนั้น แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนรวมกันคัดเลือกคําอวยพรที่เขียนดี ครูสุม บัตรอวยพรในโอกาสตางๆ ที่
เรียกชื่อนักเรียนเพื่อบรรยายหลักเกณฑการคัดเลือก นักเรียนเลือกเขียน

62 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
1. ครูรวบรวมคําขวัญวันเด็กมา
อานใหนักเรียนฟงประมาณ 3 - 4
๒.๒ การเขียนค�าขวัญ ตัวอยาง จากนั้นตั้งคําถามกับ
ค�าขวัญ คือถ้อยค�าที่เขียนขึ้นเพื่อจูงใจผู้รับสาร เพื่อท�าให้เกิดความประทับใจ ให้ข้อคิดหรือ นักเรียนวา
เป็นเครื่องเตือนใจให้ปฏิบัติตามในเรื่องต่างๆ • คําขวัญที่ครูอานใหฟงมี
๑) แนวทางการเขียนค�าขวัญ ค�าขวัญที่ดีต้องเป็นข้อความที่มีขนาดไม่ยาวมาก มี จุดมุงหมายอยางไร
ความไพเราะและมีพลังในการโน้มน้าวใจผู้ฟัง ครอบคลุมเป้าหมายที่ก�าหนดไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๑. ก�าหนดจุดมุง่ หมายให้ชดั เจนว่าจะสือ่ สารในเรือ่ งใด ต้องการให้ผรู้ บั ฟังคล้อยตาม ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
เห็นด้วยหรือปฏิบัติตามในเรื่องใด อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
2. ครูรวบรวมคําขวัญประจําจังหวัด
๒. ก�าหนดกลุ่มเป้าหมายหรือผู้รับสารให้ชัดเจน เพราะการก�าหนดกลุ่มเป้าหมาย
ตางๆ มาอานใหนักเรียนฟง
จะส่งผลถึงลักษณะภาษาที่ใช้ในการเขียน
ประมาณ 3 - 4 ตัวอยางจากนั้น
๓. เรียบเรียงข้อความที่จะเขียนในลักษณะร้อยแก้ว เพื่อให้มีเนื้อหาครอบคลุม ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
เป้าหมายที่ก�าหนดไว้ก่อน • คําขวัญที่ครูอานใหฟงมีลักษณะ
๔. เรียบเรียงข้อความร้อยแก้วที่ร่างไว้ ให้เป็นข้อความที่มีสัมผัสและใช้ถ้อยค�าที่มี การใชถอยคําที่โดดเดนอยางไร
พลังโน้มน้าวใจ โดยเขียนหลายๆ ข้อความเพือ่ พิจารณาตัดข้อความทีไ่ ม่เหมาะสมออก จนเหลือข้อความ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ที่เหมาะสมที่สุด ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
๕. ตรวจทาน น�าค�าขวัญที่ได้มาพิจารณาตรวจทานการใช้ค�า ต้องมีความถูกต้อง อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
ทั้งด้านความหมาย ระดับภาษาและการเขียนสะกด
๒) ลักษณะของค�าขวัญทีด่ ี ค�าขวัญทีด่ ี คือค�าขวัญทีก่ ระทบใจผูร้ บั สาร ท�าให้ผรู้ บั สาร สํารวจคนหา
สนใจและจดจ�าค�าขวัญได้ทันทีที่ได้ฟังซึ่งค�าขวัญที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้
๒.๑) เป็นถ้อยค�าที่สั้น กะทัดรัด มีความหมายลึกซึ้ง โดยใช้ค�าตั้งแต่ ๒ ค�าขึ้นไป 1. แบงกลุมนักเรียน กลุมละ 5 คน
แต่ไม่เกิน ๑๖ ค�า แบ่งเป็นวรรคได้ตั้งแต่ ๑ - ๔ วรรค เช่น ครูทําสลากเขียนชื่อจังหวัดตางๆ
ใหนักเรียนสงตัวแทนออกมาจับ
■ หนังสือคือมิตร สื่อความคิดให้ก้าวไกล
สลากแลวอานชื่อจังหวัดใหไดยิน
ยาเสพติด เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อสังคม
ทั่วกัน

■ รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ 2. นักเรียนรวมกันศึกษาแนวทางการ


■ สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม เขียนคําขวัญจากหนังสือเรียน ใน
๒.๒) เขียนให้ตรงจุดมุ่งหมาย คือแสดงความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเด่นชัด หนา 63
หรือมีใจความส�าคัญเพียงประการเดียว เพื่อให้จ�าง่าย เช่น 3. นักเรียนเขากลุมเพื่อสํารวจ
■ แสดงพลังประชาธิปไตย ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แลกเปลี่ยนความรูดวยวิธีการ
■ ครูคือพลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู สนทนาจากพื้นฐานความรูเดิม
■ ยาเสพติดคือมารร้าย บ่อนท�าลายสังคมไทย หรือจากหนังสือเรียนวาจังหวัดที่
กลุมจับไดนั้นมีคําขวัญวาอยางไร
63 และรวมกันพิจารณาลักษณะ
เฉพาะของคําขวัญดังกลาว โดย
เทียบกับลักษณะของคําขวัญที่ดี
จากหนังสือเรียน ในหนา 63 - 64

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา ขอใดไมใชคําขวัญที่ดี
1. กตัญูคือหัวใจ ลงทุนไวไมขาดทุน 2. ทุจริตคือศัตรูตัวราย ชาติวอดวายหากไมปองกัน
3. รูกฎ รูกติกา รูคุณคา รูซึ้งความเปนไทย 4. เยาวชนคนรุนใหม ตองรักดี มีนํ้าใจ ใฝสามัคคี
(วิเคราะหคําตอบ การแตงคําขวัญที่ดีตองมีสัมผัสคลองจองเพื่อใหสะดวกตอการจํา มีจุดมุงหมาย ซึ่งขออื่นๆ
ปรากฏการใชคําที่มีสัมผัสคลองจอง มีจุดมุงหมายชัดเจน ยกเวนขอ 3. ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 3.) คูมือครู 63
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก
มาอานคําขวัญประจําจังหวัดที่
กลุมของตนเองจับสลากไดพรอม ๒.๓) จัดแบ่งจังหวะค�าสม�่าเสมอ เช่น
ทั้งอธิบายลักษณะเฉพาะที่โดดเดน สามัคคี
■ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
ของคําขวัญ ■ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได ■ ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามอร่อย
อยางหลากหลายตามขอมูลที่ได ๒.๔) เล่นค�าทั้งด้านเสียง สัมผัสและการซ�้าค�า ช่วยให้จดจ�าง่าย เช่น
สืบคนรวมกัน) เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ
■ เด็กฉลาดชาติเจริญ
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม สะอาดกายเจริญวัย
■ สะอาดใจเจริญสุข
โดยครูอยูตรงกลางสุมเรียกชื่อ ■ นิยมไทย ใช้ประหยัด ใจซื่อสัตย์ ถือคุณธรรม
นักเรียนเพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับ ๒.๕) เป็นค�าตักเตือนให้ปฏิบัติในทางที่ดี เช่น
แนวทางการเขียนคําขวัญ เมืองไทยจะรุ่งเรือง
■ พลเมืองต้องมีวินัย
(แนวตอบ การเขียนคําขวัญควร จงขยันหมั่นอ่านเขียน
■ จงพากเพียรเถิดพวกเรา
มีขนาดไมยาวมาก ครอบคลุม
เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ
■ มานะบากบั่นและสมานสามัคคี
เนื้อหาที่ตองการสื่อสาร กําหนด
จุดมุงหมายชัดเจน กําหนดกลุม คÓขวัญเพื่อแสดงจุดมุ่งหมายหรืออุดมคติของบุคคล
เปาหมาย เรียบเรียงขอความ
ที่จะเขียนในลักษณะรอยแกว ■ ต�ารวจอยู่ไหน ประชาอุ่นใจ
เรียบเรียงขอความที่รางไวใหเปน ■ กาชาดบรรเทาทุกข์ เพื่อความสุขของปวงประชา
ขอความที่มีสัมผัสคลองจอง)
คÓขวัญเพื่อเตือนใจให้ตระหนักถึงภัยอันตราย
ขยายความเขาใจ ■ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ชีวิตจะมีภัย
1. นักเรียนคัดเลือกจุดมุงหมายที่จะ ■ รักชีวิตอย่าคิดลองเสพยาเสพติด
ใชเขียนคําขวัญจากหัวตอไปนี้ ■ รักต้นไม้ทุกต้นเหมือนคนที่เรารัก
เพื่อเขียนคําขวัญคนละ 1 คําขวัญ ■ ไม่มั่วเข็ม ไม่มั่วเพศ เอดส์ไม่กล�้ากราย
ตามแนวทางที่ไดศึกษา
• ประหยัดพลังงาน คÓขวัญเพื่อเรียกร้อง เชิญชวน จูงใจให้เชื่อมั่นหรือปฏิบัติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
• มีจิตสาธารณะ
• รับผิดชอบในหนาที่ ■ ภูมิใจไทยท�า ดีใจไทยใช้
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา ■ บริจาคดวงตา ได้มหากุศล
• เจนภพไดรับการคัดเลือกให ■ รักไทย นิยมไทย ร่วมกันใช้ของไทยท�า
เปนตัวแทนของหองไปประกวด ■ อ่านหนังสือวันละหน้า เพิ่มคุณค่าแก่ชีวิต
เขียนคําขวัญ แตเจนภพมีความ
กังวลกับการเขาประกวดครั้งนี้ 64
ถานักเรียนเปนเพื่อนของเจนภพ
จะมีวิธีการแนะนําเพื่อนอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลายตาม ตรวจสอบผล หลักฐาน
พื้นฐานความรูของนักเรียน นักเรียนนําคําขวัญที่เขียนขึ้น มาอานหนา แสดงผลการเรียนรู
ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน ชั้นเรียน จากนั้นนักเรียนรวมกันคัดเลือกคําขวัญ
เชน แนะนําใหเจนภพศึกษา คําขวัญตามจุดมุงหมายที่ไดเลือก
ที่เขียนดี ผูที่ไดรับการคัดเลือกออกมาบรรยาย ดวยตนเอง
หัวขอที่กําหนดอยางละเอียด) แนวทางในการเขียนของตนเอง ครูตรวจสอบ
จากการบรรยาย
64 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูรวบรวมตัวอยางคําคมจากสื่อ
ประเภทตางๆ เชน หนังสือ นิตยสาร
๒.๓ การเขียนค�าคม บทความ อินเทอรเน็ต ฯลฯ ประมาณ
ค�ำคม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง ถ้อยค�าที่ชวนให้คิด 3 - 4 ตัวอยาง จากนั้นตั้งคําถามกับ
แหลมคมและมีความจริง ค�าคมที่ดีต้องแสดงถึงการใช้ความคิดหรือแสดงให้เกิดความรู้สึกอย่างใด นักเรียนวา
อย่างหนึ่งอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจลึกซึ้ง • คําคมที่ครูนํามาอานนั้นมี
๑) แนวทำงกำรเขียนค�ำคม จุดมุงหมายอยางไร
๑. เลือกใช้ถ้อยค�าสัมผัสคล้องจองไพเราะสละสลวย (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๒. ใช้ถ้อยค�าที่มีความหมายคมคาย ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
๓. มุ่งให้เกิดความคิดที่ดีและชวนให้ปฏิบัติตาม
๔. มีความหมายลึกซึ้งกินใจ สะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของผู้อ่านหรือผู้ฟัง
๒) ประเภทของค�ำคม สํารวจคนหา
๒.๑) ค�ำคมที่เป็นค�ำพูดธรรมดำ ไม่มีสัมผัส ใช้ค�าง่ายๆ ไม่ต้องแปลความหมาย 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน
อ่านแล้วเข้าใจได้ทันที เช่น รวบรวมคําคมจากแหลงเรียนรู
■ จงเชื่อมั่นว่า “เรายังท�าดีกว่านี้ได้อีก” ตางๆ กลุมละ 20 ตัวอยาง
■ การศึกษา คือ การตื่นขึ้นมามองเห็นตัวเอง จากนั้นใหนักเรียนแบงประเภท
■ เด็กเกิดมาเพื่อให้โลกงดงามเหมือนดอกไม้บานในแผ่นดิน ของคําคมตัวอยางตามหลักเกณฑ
๒.๒) ค�ำคมที่มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนมากจะมี ๒ วรรคเพื่อให้จดจ�าได้ง่าย เช่น ในหนังสือเรียน หนา 65
■ ให้เกียรติคนที่อยู่ตรงหน้า มีค่าเท่ากับให้เกียรติตนเอง 2. นักเรียนแตละกลุมรวมกันสํารวจ
■ อยู่อย่างคนธรรมดา แต่จงใช้ปัญญาอย่างนักปราชญ์ วาคําคมตัวอยางมีแนวทางการ
เขียนอยางไร โดยศึกษาเปรียบ
จงเติบโตจากความผิดพลาด จงเฉลียวฉลาดจากความผิดหวัง
เทียบแนวทางจากหนังสือเรียน

๒.๓) ค�ำคมที่แต่งด้วยค�ำประพันธ์ เช่น ในหนา 65


■ ใครลืมลืมใครใจรู้ ใครอยู่ใครไปใจเห็น
ใครสุขใครเศร้าเช้าเย็น ใจเป็นที่แจ้งแห่งเรา
ใครชอบใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา อธิบายความรู
ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ 1. นักเรียนสงตัวแทนของกลุม เพื่อ
■ มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ อธิบายความรูเกี่ยวกับการแบง
มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ประเภทของคําคมและแนวทาง
การเขียนที่ไดจากการสํารวจ
คนหารวมกัน
(แนวตอบ การเขียนคําคมสามารถ
ทําไดโดยการเลือกใชถอยคําที่มี
65 ความหมายลึกซึ้ง มีความไพเราะ
สัมผัสคลองจอง ทําใหผูอานเกิด
ความคิดทีด่ แี ละชวนใหปฏิบตั ติ าม)

2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่ออธิบายความรูในลักษณะโตตอบรอบวง โดยครูเปนผูตั้งประเด็นคําถาม
• จากการศึกษาคนควาคําคมตัวอยาง นักเรียนคิดวาคําคม หมายถึงอะไร
(แนวตอบ คําคม หมายถึง ถอยคําที่ชวนใหคิด มีความหมายลึกซึ้งกินใจ)
• การแบงประเภทของคําคมใชหลักเกณฑใดในการแบง
(แนวตอบ ใชลักษณะการใชถอยคําเปนเกณฑในการแบง โดยแบงเปน
1. คําคมที่เปนคําพูดธรรมดา 2. คําคมที่มีสัมผัสคลองจอง 3. คําคมที่แตงดวยคําประพันธ)
คูมือครู 65
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันกําหนดเนื้อหา
สําหรับการเขียนคําคม จากนั้นให
นักเรียนเขียนคําคมตามจุดมุงหมาย คÓคมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคุณค่าของความเป็นมนุษย์
ที่กําหนด โดยใชแนวทางการเขียนที่
ไดศึกษา ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
ว่าเราก็ยังชนม์ เลิศได้
แลยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
ตรวจสอบผล รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย
นักเรียนนําคําคมที่เขียนขึ้น มา (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
อานหนาชั้นเรียน จากนั้นนักเรียน
รวมกันคัดเลือก คําคมที่เขียนดี คÓคมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
ผูที่ไดรับการคัดเลือกออกมาบรรยาย
แนวทางในการเขียนของตนเอง ครู ชีวติ ควรจะเป็นการเผชิญภัยทีย่ ง่ิ ใหญ่เสมอ ชีวติ ควรจะมีการเสีย่ งทุกขณะ มีสายตารอบคอบ
ตรวจสอบผลงานจากการบรรยาย มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความกล้าหาญ อีกทั้งมีความอดทนอย่างสม�่าเสมอ คุณสมบัติเหล่านี้
จ�าเป็นอย่างยิ่งในการมีชีิวิตที่ดีมีประโยชน์
(กรุณา กุศลาสัย : ผู้แปล)

นักเรียนควรรู ๒.๔ การเขียนโฆษณา


ใชวิธีการตางๆ ในการสงสาร โฆษณา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง การเผยแพร่หนังสือ
ในปจจุบันวงการโฆษณาไดพัฒนา สู่สาธารณชน การป่าวร้อง การป่าวประกาศ โฆษณาเป็นการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจประเภทหนึ่ง
วิธีการสื่อสารกับผูฟงและผูดู โดย มีลักษณะจูงใจเพื่อประโยชน์ในการขายสินค้าและบริการต่างๆ มีจุดมุ่งหมายสร้างความสนใจให้
การใชภาพและเสียงดนตรี เพื่อ ผู้รับสารสะดุดตา สะดุดใจ และจดจ�าสินค้าหรือบริการที่โฆษณานั้น ผู้สร้างโฆษณาอาจใช้วิธีการต่างๆ
เราอารมณความรูสึกของผูฟงและ
ในการส่งสาร เช่น
ดูใหคลอยตามไปกับเนื้อหาของ
โฆษณา ใช้ค�าคล้องจองเพื่อกระตุ้นความประทับใจ
■ สุขกาย สบายใจ เมื่อใช้อพอลโล
■ ประทับคุณค่า ประทับตราแสงตะวัน
หลักฐาน ใช้การบอกตรงๆ เช่น
แสดงผลการเรียนรู ■ พีเอ็กซ์ ดีที่สุด
คําคมที่มีเนื้อหาตามที่รวมกัน ๑) แนวทางการเขียนข้อความโฆษณา
กําหนด ๑. ต้องเขียนให้มคี วามชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ สามารถสร้างการรับรูไ้ ด้ทนั ที
๒. ต้องเขียนให้มีความเหมาะสม ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการ เช่น
เด็ก วัยรุ่น วัยท�างาน ฯลฯ

66

66 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูนําคลิปวีดิทัศนตัวอยางโฆษณา
ที่ดี ซึ่งมีองคประกอบของโฆษณา
๓. ต้องเขียนให้มีความกะทัดรัดได้ใจความไม่เยิ่นเย้อ ครบถวน ชัดเจนมาใหนักเรียนดู
๔. ต้องเขียนให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังบทโฆษณารู้สึกว่าผู้เขียนก�าลังสื่อสารกับเขา จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
๕. ต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิดความต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือใช้บริการ • โฆษณาดังกลาวแสดง
๒) ส่วนประกอบของโฆษณา จุดมุงหมายใด และผูสงสาร
๒.๑) เนือ้ หา เนือ้ หาของโฆษณาจะน�าเสนอให้เห็นความดีพเิ ศษของสินค้าและบริการ สามารถสื่อสารไดตรงกับ
หรือกิจกรรมที่โฆษณา เช่น วัตถุประสงคหรือไม
น�าเสนอความดีพิเศษของสินค้า
■ ยาหม่องทาดี ทั้งทาทั้งถูในตลับเดียวกัน
■ ผงซักฟอกคลีน ก�าจัดคราบเพียงแค่ป้ายครั้งเดียว สํารวจคนหา
น�าเสนอความดีพิเศษของการบริการ 1. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
■ โอลิมปิก...ทางสบายสู่ชัยชนะ โฆษณาทางโทรทัศนที่มีความ
■ ธนาคารไทยธ�ารง มั่นคงด้วยรากฐาน บริการดุจญาติมิตร โดดเดนทางดานตางๆ เชน
๒.๒) รูปแบบการน�าเสนอ โฆษณามีรูปแบบการน�าเสนอ ดังนี้ เนื้อหา ภาพประกอบ การลําดับ
๑. แบบเจาะจงกลุ่ม เช่น เรื่อง เพลงประกอบ ฯลฯ ประมาณ
■ บนข้อมือบุคคลชั้นน�าท่านจะพบแต่โซนาร์เท่านั้น 5 ตัวอยาง จากนั้นใหแบงกลุม
๒. เป็นการน�าเสนอสินค้าหรือประโยชน์ของสินค้าว่ามีข้อดีอย่างไร นักเรียนออกเปน 5 กลุม แตละ
■ ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิด ถ้าใช้ปูนตรานกพิราบแต่แรก กลุมสงตัวแทนออกมาจับสลาก
๓. ใช้ถ้อยค�าที่สั้นกระชับรัดกุมเพื่อสะดวกในการจ�า จากนั้นอานชื่อโฆษณาใหทุกคน
■ รายได้ไร้ขีดจ�ากัด ไดยิน
๔. ใช้รูปภาพหรือภาพที่เคลื่อนไหว 2. นักเรียนศึกษาคนควาความรู
๒.๓) ภาษา โฆษณามีลักษณะการใช้ภาษาที่ส�าคัญ คือการสรรค�ามาใช้ได้กระชับ ในประเด็นแนวทางการเขียน
ใช้ค�าน้อยกินความมาก สื่อความหมายกว้างขวางลึกซึ้ง จะใช้ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาในการ โฆษณาจากหนังสือเรียน ในหนา
66 - 67
สื่อสาร ภาษาเพื่อการโฆษณามักใช้ถ้อยค�าแปลกใหม่เพื่อดึงดูดความสนใจ ใช้ภาษาที่มีสัมผัสเพื่อให้
3. นักเรียนแตละกลุมนําโฆษณา
จ�าง่ายใช้ข้อความวลีประโยคสั้นๆ จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้รับสารรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอยางมาวิเคราะหองคประกอบ
๒.๔) การโน้มน้าวใจ การโน้มน้าวใจในโฆษณามีหลายวิธี เช่น การอ้างอิงบุคคล
และลักษณะการใชภาษาโดยใช
ที่สามารถอ้างอิงได้ทั้งบุคคลธรรมดาที่ใช้สินค้าหรือบริการ แต่ถ้าเป็นดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็น
ขอมูลจากหนังสือเรียน ในหนา
ที่ยอมรับและรู้จักกันดีในสังคมจะได้รับความสนใจและความเชื่อถือเป็นพิเศษ การอ้างถึงสถาบันหรือ
67 - 68
หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องรับรอง เช่น อย. (คณะกรรมการอาหารและยา) หรือเครือ่ งหมายรับรองของ มอก.
(ส�านักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) เช่น อธิบายความรู
■ ไทนี่ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากส�านักงานมาตรฐาน นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรายแรกของประเทศไทย มาอธิบายความรูที่ไดจากการศึกษา
67 คนควารวมกันในประเด็นแนวทาง
การเขียนโฆษณา องคประกอบของ
โฆษณา และลักษณะการใชภาษา
(แนวตอบ นักเรียนบรรยายความรู
ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ตามขอมูลที่ไดศึกษาคนควา)
นักเรียนนําโฆษณาที่เขียนขึ้น มาอานหนาชั้นเรียน ครูและนักเรียนรวมกันกําหนดประเภท
เพื่อนๆ รวมกันแสดงความคิดเห็นถานักเรียนเปนผูฟง ของสินคาหรือบริการที่จะนํามาเขียนบท
นักเรียนจะซื้อสินคาของเพื่อนคนใด เพราะเหตุใด โฆษณาจํานวน 5 ชนิด จากนั้นนักเรียน
ครูตรวจสอบความเขาใจจากการแสดงความคิดเห็น เขียนบทโฆษณาตามแนวทางที่ไดศึกษา
คูมือครู 67
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูนําสุนทรพจนของบุคคลที่มี
ชื่อเสียงมาอานใหนักเรียนฟง
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๒.๕) ดึ ง ดู ด ความสนใจ เป็นส่วนของการเขียนโฆษณาที่ท�าให้ผู้พบเห็นหรือ
• สุนทรพจนดังกลาวมี ผู้รับสารเกิดความสนใจที่จะติดตามโฆษณาต่อไป เช่น
จุดมุงหมายอยางไร และมี ■ ท�าไมยาสีฟันเหมือนกัน แต่ให้คุณค่าไม่เหมือนกัน
ลักษณะการใชภาษาสื่อสาร ■ หายห่วงเรื่องฝ้าบนใบหน้าได้แล้วคุณสาวๆ
ไดตรงกับจุดมุงหมายหรือไม ■ เพราะเหตุใดผงซักฟอกที่ดีต้องไม่มีสารฟอกขาว
อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ บทโฆษณาผงซักฟอก
ไดอยางหลากหลาย ครูควร
ชี้แนะขอมูลที่ถูกตอง) ใหม่ ถอดด้าม !
เพื่อสุขภาพอนามัย
บริษัท คลีน จ�ากัด แนะน�า “สดใส พลัส แอนตี้แบค” ผงซักฟอกเพื่อสุขภาพอนามัย
ของคนไทย ลดสาเหตุของกลิ่นเหม็นอับ โดยเพิ่ม “แอ๊กทีฟ ออกซิเจน” สารท�าความสะอาดที่ฆ่า
B
B พื้นฐานอาชีพ เชื้อโรคด้วยออกซิเจน ให้ความอ่อนโยนต่อผ้า ปลอดภัยต่อทุกคนในครอบครัว
ปจจุบนั สังคมไทยมีการแขงขันทาง
จากบทโฆษณาข้างต้น ผู้เขียนบทโฆษณาใช้กลวิธีการน�าเสนอเพื่อเร้าความสนใจของลูกค้า
การตลาดสูง สินคาชนิดเดียวกัน แต
โดยการเลือกใช้ถ้อยค�าเพื่อให้สะดุดหูผู้ฟังและดึงดูดให้ผู้ฟังหยุดฟังรายละเอียดของตัวสินค้า จากนั้น
มีผูผลิตหลายราย นอกจากคุณภาพ
จึงค่อยๆ อธิบายรายละเอียดของสินค้าโดยเน้นว่าตราสินค้านี้มีความแตกต่างจากตราสินค้าอื่น คือ
ของสินคาจะเปนปจจัยสําคัญใน
มีการเพิ่ม “แอ๊กทีฟ ออกซิเจน” เพื่อช่วยก�าจัดเชื้อโรคออกจากเสื้อผ้า และใช้ข้อความเพื่อเพิ่มความ
ยอดขายแลว การโฆษณาใหลูกคา
มั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่า “ปลอดภัยต่อทุกคนในครอบครัว”
รูจักสินคาก็เปนปจจัยสําคัญเชน
เดียวกัน การโฆษณาที่ดีจึงควรมีทั้ง ๒.๕ การเขียนสุนทรพจน์
ภาพและเสียง มีถอยคําหรือขอความ สุนทรพจน์ หมายถึง ค�ากล่าวที่ดีงาม ไพเราะ มีแนวคิดคมคาย ลึกซึ้ง ท�าให้ผู้ฟังประทับใจ
ที่จะทําใหลูกคาจดจําสินคาได ซึ่ง การเขียนสุนทรพจน์ ผูเ้ ขียนควรเรียบเรียงถ้อยค�า เลือกใช้ให้ถกู ต้องเหมาะสมกับโอกาส และใช้สา� นวน
ผูที่มีความสามารถในการเขียนเชิง โวหารที่ไพเราะ สละสลวยและประทับใจ
สรางสรรค เชน การเขียนโฆษณา ๑) แนวทางการเขียนสุนทรพจน์ การเขียนสุนทรพจน์ทมี่ ปี ระสิทธิภาพและจะประสบ
จะนําความรูไปประยุกตใชในการ ความส�าเร็จได้ควรมีการวางแผนเนือ้ หา สาระ ถ้อยค�าให้มคี วามชัดเจน เข้าใจง่าย ถูกต้องตามหลักการ
ประกอบอาชีพได ซึ่งครูอาจปูพื้นฐาน ใช้ค�า การเรียบเรียงประโยค และการใช้ส�านวนโวหารตามส่วนประกอบของการเขียนสุนทรพจน์ ดังนี้
ทางอาชีพใหแกนักเรียนดวยการจัด
๑.๑) ค�าน�า หรือการเริ่มต้นเพื่อน�าเข้าสู่เนื้อเรื่องของสุนทรพจน์ เป็นส่วนที่ส�าคัญ
กิจกรรมขึ้นภายในหอง ใหนักเรียน
เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านหรือผู้ฟังว่าจะเขียนเรื่องอะไร การเขียนค�าน�าส�าหรับสุนทรพจน์
สมมติบทบาทตนเองเปนผูคา และ
ผู้เขียนสามารถท�าได้หลายวิธี โดยเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อหาของสุนทรพจน์ เช่น น�าด้วยค�าถาม
เขียนบทโฆษณาสินคา เปนตน
กระตุ้นความสนใจ น�าด้วยข้อความที่ให้แง่คิด น�าด้วยค�าคมหรือบทร้อยกรอง โดยต้องเป็นไปอย่าง
แนบเนียน
68

68 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนรวมกันศึกษาหาความรู
เกี่ยวกับประเภทของสุนทรพจน
๑.๒) การด�าเนินเรื่อง หรือส่วนของเนื้อเรื่องต้องเป็นไปตามล�าดับเหตุการณ์ จากนั้นใหรวมกันสํารวจคนหา
ไม่วกวน เน้นจุดมุ่งหมายส�าคัญของเรื่อง เป็นส่วนที่เสนอทรรศนะหรือความรู้สึกของผู้เขียนให้มี ตัวอยางของสุนทรพจนประเภท
ความชัดเจน ผู้เขียนควรเขียนให้มีความสัมพันธ์กัน ครบประเด็น เช่น ถ้าจะเขียนสุนทรพจน์เกี่ยวกับ ละ 1 ตัวอยาง จากสื่อประเภท
คุณค่าของภาษาไทย ผูเ้ ขียนต้องตัง้ จุดมุง่ หมายเพือ่ ให้ผฟู้ งั ตระหนักในคุณค่าทุกประการของภาษาไทย ตางๆ เชน หนังสือ บทความ
ดังนั้นจึงตั้งประเด็นในการเขียนเกี่ยวกับคุณค่าของภาษาไทยแล้วจึงเขียนขยายความ เช่น ภาษาไทย อินเทอรเน็ต ฯลฯ เพื่อสําหรับใช
เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภาษาไทยเป็นสิ่งแสดงเอกลักษณ์ของชาติ ภาษาไทยเป็นเครื่องมือใน ศึกษารวมกัน
การสื่อสารและการเรียนรู้ศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ ภาษาไทยเป็นสิ่งเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนใน 2. นักเรียนนําตัวอยางสุนทรพจน
ชาติ นอกจากนี้ผู้เขียนควรพิถีพิถันในการเลือกใช้ถ้อยค�า ใช้ภาษาทางการ ถูกต้องตามหลักการเขียน แตละประเภทมาศึกษารวม
เรียบเรียงถ้อยค�ากะทัดรัด ชัดเจน สื่อสารเข้าใจง่าย ราบรื่นและสละสลวยด้วยส�านวนโวหารและลีลา กัน โดยครูถายเอกสารตัวอยาง
การเขียน สุนทรพจนทั้ง 2 ประเภทให
๑.๓) สรุป เป็นส่วนของการทบทวนและเน้นประเด็นส�าคัญของสุนทรพจน์อีกครั้ง นักเรียนอานตัวอยางละ 10 นาที
สังเกตและจดบันทึกแนวทางการ
เร้าใจให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเชื่อ เกิดอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตาม ซึ่งการสรุปควรเขียนให้สอดคล้องกับ
เขียนของสุนทรพจนตัวอยาง
ค�าน�า ประเด็นของเรื่อง ใช้ภาษาที่กระชับ สร้างความประทับให้แก่ผู้อ่าน ซึ่งการสรุปนั้นสามารถท�า
ได้หลายวิธี เช่น สรุปด้วยค�าคม สุภาษิต ร้อยกรอง หรือสรุปด้วยข้อความที่ให้แง่คิด เช่น การเขียน
สุนทรพจน์เกีย่ วกับคุณค่าภาษาไทย ในส่วนสรุปควรเขียนย�า้ ให้ผฟู้ งั ตระหนักในคุณค่าของภาษาไทยและ อธิบายความรู
ควรหวงแหนไว้เป็นมรดกของชาติต่อไป และสร้างอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตาม รวมถึงความประทับใจ 1. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
โดยการจบด้วยบทร้อยกรอง เป็นต้น • หลังจากที่นักเรียนอาน
๒) ประเภทของสุนทรพจน์ สุนทรพจน์แบ่งได้หลายประเภทตามความมุ่งหมายที่จะ สุนทรพจนจบ นักเรียนคิด
น�าไปใช้ ดังนี้ วา สุนทรพจนดังกลาวมี
๒.๑) สุนทรพจน์ที่มีเนื้อหาจรรโลงจิตใจ คือเนื้อหาของสุนทรพจน์จะมีลักษณะ จุดมุงหมายอยางไร นักเรียนได
จรรโลงใจให้ก�าลังใจหรือสดุดี เช่น อวยพร อ�าลา ขอบคุณ รับความรู ขอคิดและเกิดความ
๒.๒) สุนทรพจน์ที่มีเนื้อหากระตุ้นความรู้สึก ความคิด คือเนื้อหาสาระมีลักษณะ สงสัยใดบางขณะที่อาน
โน้มน้าวและกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดของผู้ฟังในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เช่น การเมือง (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
เศรษฐกิจและสังคม การกล่าวสุนทรพจน์แบบนีม้ กั กล่าวในพิธสี า� คัญ เช่น พิธตี อ้ นรับแขกเมืองคนส�าคัญ ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
พิธีเข้ารับต�าแหน่งส�าคัญทางการเมือง เช่น ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีหรือในวันส�าคัญของชาติ
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
2. จากตัวอยางสุนทรพจนที่นักเรียน
ในบทเรียนนี้น�าเสนอตัวอย่างสุนทรพจน์ที่มีเนื้อความกระตุ้นเตือนให้ผู้อ่าน ผู้ฟัง
ไดอาน ใหอธิบายความรูรวม
เกิดจิตส�านึกทีด่ ี และเห็นคุณค่าของภาษาไทยโดยสุนทรพจน์ทนี่ า� มามีการใช้ภาษาสือ่ ความอย่างตรงไป
กันเกี่ยวกับแนวทางการเขียน
ตรงมา ใช้ค�าน้อยแต่กินความมาก ถ้อยค�าที่น�ามาใช้ช่วยกระตุ้นเตือนให้ผู้อ่าน ผู้ฟังเกิดจิตส�านึก และ สุนทรพจน
เจตคติที่ดีต่อคุณค่าของภาษาไทย (แนวตอบ การเขียนสุนทรพจนที่ดี
ผูเขียนควรรางไวลวงหนา โดย
69 เขียนเนื้อหา สาระ ถอยคํา ใหมี
ความชัดเจน เขาใจงาย ถูกตอง
ตามหลักการใชคํา การเรียบเรียง
ประโยค เปนตน)

คูมือครู 69
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูทบทวนแนวทางการเขียน
สุนทรพจนใหแกนักเรียน จากนั้น
นักเรียนเขียนสุนทรพจนเนื่องใน สุนทรพจน์เรื่อง คุณค่าภาษาไทย
วันภาษาไทย ตามแนวทางที่ได
ศึกษา ภาษาไทยจัดได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ เอกราชคู่ชาติไทยของเรา ดังเช่นบทกลอนที่
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา กล่าวไว้ว่า
• หากนักเรียนไดรับมอบหมาย พ่อขุนรามค�าแหงพ่อแห่งราษฎร์ สร้างภาษาคู่ชาติเป็นศาสตร์ศิลป์
ใหเปนตัวแทนกลาวสุนทรพจน เจ็ดร้อยกว่าปีผ่านสามแผ่นดิน ไทยไม่สิ้นภาษาพ่อสืบต่อมา
ตอนรับนักเรียนแลกเปลี่ยน พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อกั ษรไทยขึน้ และทรงจารึกไว้ในหลักศิลา
นักเรียนจะนําเสนอเนื้อหา จากหลักศิลาสู่แป้นพิมพ์เกิดเป็นค�าศัพท์ที่เลอค่า สระ พยัญชนะ ถูกน�ามาแต่งเป็นต�ารา
อยางไร ใช้สอนผู้คนในชาติรุ่นแล้วรุ่นเล่า การด�ารงอยู่ของคนไทยขึ้นอยู่กับการใช้ภาษาไทย
(แนวตอบ คําตอบขึ้นอยู
เพราะภาษาไทยคือภาษาประจ�าชาติ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมไทย
กับดุลยพินิจของครูผูสอน
นักเรียนสามารถตอบไดอยาง นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือที่ส�าคัญของสังคมและประเทศชาติในการศึกษา รวบรวม
หลากหลาย เชน อาจเริ่มตน สั่งสม สร้างสรรค์และถ่ายทอดศิลปวิทยาการทุกแขนง เรียนภาษาต่างประเทศก็ใช้
จากความรูสึกยินดี กลาวถึง ภาษาไทยในการอธิบาย เรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จะบวก ลบ คูณ หาร ก็ต้อง
ความสัมพันธระหวางประเทศ อ่านภาษาไทยให้เข้าใจก่อนใช่หรือไม่
เปนตน) ภาษาไทยยังเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มคี วามเป็นไทย ท�าให้สามารถ
ประกอบกิจธุระการงานและการด�ารงชีวติ ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสขุ
ตรวจสอบผล ภาษาไทยของเราเป็นภาษาที่มีความงอกงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น
หยดน�้านมเพียงหนึ่งลูกซึ้งนัก ความอบอุ่นกรุ่นไอรักอันยิ่งใหญ่
นักเรียนนําสุนทรพจนที่เขียนขึ้น
อ้อมกอดแม่อบอุ่นกว่าสิ่งใด สองมือแม่เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่มา
มาอานใหเพื่อนฟง จากนั้นเพื่อนๆ
รวมกันลงคะแนนเสียงวาผูใดเขียน จากบทกลอนแสดงให้เห็นถึงความงอกงามของภาษาไทยอย่างแท้จริง แทนที่จะ
สุนทรพจนเนื่องในวันภาษาไทยได บรรยายความรักของแม่เป็นร้อยแก้ว แต่กลับน�ามาแต่งเป็นร้อยกรองที่ไพเราะยิ่งนัก
ดีที่สุด ผูที่ไดรับคัดเลือกออกมา ภาษาไทยเป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์
บรรยายแนวทางการเขียนของตน โลกทัศน์และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล�า้ ค่า ภาษาไทย
ครูประเมินสุนทรพจนจากการ จึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทย
บรรยาย ตลอดไป เราทุกคนควรรักษาภาษาไทยไว้ ร่วมกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
ไทยภาษาสมบัติชาติอาจเสื่อมสิ้น หากไทยหมิ่นไทยเองไม่เร่งสอน
มรดกตกทอดมาแสนอาวรณ์ แล้วใครรอนเอกลักษณ์ศักดิ์ศรีไทย
เกร็ดแนะครู
ใหนักเรียนอานสุนทรพจนเรื่อง
คุณคาภาษาไทย ภายในเวลา 10 70
นาที ใชปากกานํ้าเงินขีดเสนใต
ขอความที่เปนความรู ปากกาแดง
ขีดเสนใตขอความที่เปนความสงสัย
และใชดินสอขีดเสนใตขอความที่ หลักฐาน
เปนขอคิด คติสอนใจ จากนั้นครูและ แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนรวมกันสนทนาแลกเปลี่ยน
ความรู คลายความสงสัย สุนทรพจนเนื่องในวันภาษาไทย ความยาวไมเกิน 1 หนากระดาษ A4

70 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูเลาประวัติของศิลาจารึก
พอขุนรามคําแหงมหาราช จากนั้น
๓ การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติจัดเป็นงานเขียนสารคดีประเภทหนึ่ง คือสารคดีทั่วไป • ศิลาจารึกพอขุนรามคําแหง-
ซึ่งมีเนื้อหาเพื่อให้สาระความบันเทิง เพลิดเพลินควบคู่กันไป มหาราช มีลักษณะการเขียน
สารคดีชีวประวัติเป็นงานเขียนร้อยแก้วที่กล่าวถึงเรื่องราวและพฤติกรรมของบุคคลที่น่าสนใจ แบบอัตชีวประวัติหรือไม
โดยใช้ศิลปะการเรียบเรียงเพื่อให้เป็นบทเรียนส�าหรับการด�าเนินชีวิตแก่ผู้อ่าน ลักษณะของสารคดี เพราะเหตุใด
ชีวประวัติและอัตชีวประวัติจะต้องเป็นเรื่องราวของบุคคลจริงๆ ที่น่าสนใจ น่าศึกษา แสดงเรื่องราว (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ความเป็นมา ความส�าเร็จและความล้มเหลวในชีวิต ผู้เขียนต้องมีความเป็นกลาง มีคุณธรรมและต้อง แสดงความคิดเห็นไดอยาง
ใช้ศิลปะในการเขียนที่ดี น่าอ่าน เข้าใจง่ายและเร้าความสนใจของผู้อ่าน หลากหลาย โดยครูเปนผูชี้แนะ
แนวทางที่ถูกตองเพื่อนําเขาสู
๓.๑ ประเภทของสารคดีชวี ประวัติ หัวขอการเรียนการสอน)
๑) ชีวประวัติแบบจ�าลองลักษณ์ คือการเขียนสารคดีที่เน้นการอธิบายรูปร่าง
ความคิด รสนิยม อุปนิสัยอย่างตรงไปตรงมาของเจ้าของประวัติ โดยใช้ภาษาที่สละสลวย
๒) ชีวประวัติแบบสดุดี คือการเขียนชีวประวัติที่มุ่งสรรเสริญบุคคลเจ้าของประวัต ิ สํารวจคนหา
กล่าวถึงเฉพาะด้านดีที่ควรยกย่องเพียงด้านเดียว มีความคล้ายคลึงกับวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ 1. นักเรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม
สมัยโบราณ จํานวนกลุม ละเทาๆ กัน หรือตาม
๓) ชีวประวัตแิ บบรอบวง คือการเขียนชีวประวัตทิ มี่ งุ่ ให้ผอู้ า่ นเห็นความส�าคัญเฉพาะ ความเหมาะสม สงตัวแทนมาจับ
ด้านใดด้านหนึ่ง แต่เสนอข้อเท็จจริงมากกว่าการสรรเสริญเยินยอ สลากจากหัวขอตอไปนี้
• ชีวประวัติแบบจําลองลักษณ
๔) ชีวประวัติแบบประเมินค่า คือการเขียนถึงบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเน้นที่ผลงาน • ชีวประวัติแบบสดุดี
ของบุคคล ว่าเขาท�าอะไรประสบความส�าเร็จอย่างไรและมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต • ชีวประวัติแบบรอบวง
๕) อัตชีวประวัติ คือการที่ผู้เขียนเล่าประวัติของตนเอง อาจเล่าโดยตรงหรือเล่า • ชีวประวัติแบบประเมินคา
ในเชิงบันทึกและแสดงประวัติของตนลงไป • อัตชีวประวัติ
๓.๒ แนวทางการเขียนชีวประวัตแิ ละอัตชีวประวัติ จากนั้นใหรวมกันคนหาตัวอยาง
๑. เลือกเขียนประวัติของบุคคลที่น่าสนใจ มีตัวตนอยู่จริง หรือบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว ของชีวประวัติประเภทตางๆ
โดยน�าเสนอรูปแบบการด�าเนินชีวิตทั้งด้านที่ประสบความส�าเร็จและความล้มเหลวเพื่อให้เป็นข้อคิด ประเภทละ 1 ตัวอยาง
เตือนใจแก่ผู้อ่าน 2. นักเรียนแตละกลุม รวมกันนํา
๒. เขียนด้วยความบริสทุ ธิใ์ จ ปราศจากอคติและไม่ควรเขียนด้วยส�านวนโวหารทีย่ กย่อง ตัวอยางชีวประวัติมาวิเคราะห
เพื่อคนหาวามีแนวทางการเขียน
จนเกินควรหรือมุง่ เพียงแต่แสดงว่าเป็นบุคคลใด แต่ควรชีใ้ ห้เห็นว่าเป็นบุคคลอย่างไร และท�าไมจึงเป็น
อยางไร
เช่นนั้น
3. นักเรียนแตละกลุมรวมกันศึกษา
๓. ผู้เขียนจะต้องศึกษาค้นคว้า ข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติของบุคคลนั้นอย่าง
แนวทางการเขียนชีวประวัติและ
ถ่องแท้ในด้านต่างๆ น�าเสนอข้อมูลโดยใช้ภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสม อัตชีวประวัติจากหนังสือเรียน
71 ในหนา 71

คูมือครู 71
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนในแตละกลุมสงตัวแทน
ออกมาอานชีวประวัติตัวอยางให
เพื่อนในหองฟง จากนั้นใหอธิบาย สารคดีชีวประวัติ
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียน
ของชีวประวัติตัวอยาง พลเอก กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาท
อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ องค์ที่ ๖๒ พระนามเดิม พระองค์เจ้าจิตรเจริญ
รอบวง โดยครูเปนผูสุมเรียกชื่อ ประสูติเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๖ มีพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณรายเป็น
นักเรียนเพื่อตอบคําถาม พระมารดา ต้นราชสกุลจิตรพงศ์ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ ทรงผนวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๒
• การเขียนชีวประวัติและ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๙ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗
อัตชีวประวัติมีแนวทาง ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
การเขียนอยางไร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระต�าหนักและตกแต่ง
(แนวตอบ การเขียนชีวประวัติ ซ่อมแซมวังท่าพระอันเป็นวังเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่ประทับ และ
และอัตชีวประวัติตองเขียนดวย เนือ่ งด้วยทรงพระสติปญ ั ญารอบรูใ้ นราชกิจน้อยใหญ่สามารถทีจ่ ะรับราชการสนองพระเดชพระคุณ
ความบริสุทธิ์ใจ ไมมีอคติ เปน ต่างพระเนตรพระกรรณในราชการทั้งปวงได้ มีพระอัธยาศัยซื่อตรง เที่ยงธรรม และรักษาพระองค์
เรื่องราวของบุคคลที่มีตัวตน ตามแบบอย่าง มิได้มีระแวงบิดพริ้วแม้แต่ครั้งเดียว เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอันสนิิท ทั้งทรง
อยูจริง ซึ่งมีประวัตินาสนใจ ประกอบด้วยพระปัญญาและพากเพียรในศิลปศาสตร์การช่างอย่างเชี่ยวชาญ ท�าได้ด้วยพระหัตถ์
สามารถใชเปนแรงบันดาลใจ เช่น ได้ทรงท�าการปรับปรุงตกแต่งวัดพระศรีรตั นศาสดารามและการอืน่ ๆ เป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ
หรือยึดถือเปนแบบอยางในการ ให้สถาปนาเลื่อนต�าแหน่งพระยศเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ดังนี้
ดํารงชีวิต) พ.ศ. ๒๔๒๘ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์
พ.ศ. ๒๔๓๐ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวดั ติวงศ์
พ.ศ. ๒๔๔๘ ทรงสถาปนาเป็น เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์
พ.ศ. ๒๔๕๖ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๖ ทรงสถาปนาเป็น
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ และในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล*
รัชกาลที่ ๘ ทรงสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
มาเป็นล�าดับ
เมือ่ ครัง้ ยังไม่ได้ทรงกรม ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนคะเด็ตทหารมหาดเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕
ทรงเป็นราชองครักษ์ มียศเสมอด้วยนายร้อยเอก ในปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ทรงด�ารงต�าแหน่งเป็น
ผู้บังคับการกรมทหารรักษาพระองค์ มีพระยศเป็นนายพันเอก และเป็นเจ้าพนักงานใหญ่ใช้จ่าย
ในกรมยุทธนาธิการทหารบก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้รับพระราชทานยศเป็นนายพลตรี ในปี
พ.ศ. ๒๔๓๗ ทรงด�ารงต�าแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ เป็นผู้บัญชาการ
กรมยุทธนาธิการ ซึ่งรวมกิจการทหารบก ทหารเรือไว้ด้วยกันและในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้ทรงเลื่อน
ยศเป็นนายพลโท และในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ทรงเลื่อนยศเป็นนายพลเอก
*พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล หรือพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
72

72 คูมือครู
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขาใจ
1. ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
แนวทางที่ถูกตองในการเขียน
ในระหว่างทีท่ รงด�ารงต�าแหน่งนายทหาร ทรงวางระเบียบงานในกองทัพไทยให้เป็นระเบียบ ชีวประวัติและอัตชีวประวัติ
เรียบร้อย และเป็นแบบแผนสืบต่อกันมาหลายประการ มีการเร่งรัดให้นายสิบ พลทหาร เรียนรู้ 2. นักเรียนเขียนชีวประวัติของบุคคล
หนังสือไทย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ที่นักเรียนคิดวาเปนตัวอยางที่ดีใน
นอกจากนี้ยังทรงสร้างความเจริญให้แก่วงการดุริยางค์กองทัพบกด้วย และทรงพระนิพนธ์ การดํารงชีวิต โดยใชแนวทางที่ได
บทเพลง และบทขับร้องไว้ให้ทหารขับร้องไว้เป็นอันมาก เพลงส�าคัญๆ ที่ยังนิยมขับร้องกันอยู่ ศึกษา ความยาวหนึ่งหนากระดาษ
ในทุกวันนี้ เช่น เพลงลาวเล็ก เพลงเขมรไทรโยค เพลงอกทะเล เป็นต้น ทรงพระนิพนธ์ขึ้น เพื่อ A4
ขับร้องถวายหน้าพระที่นั่ง เมื่อครั้งทรงด�ารงต�าแหน่งผู้บัญชาการทหารยุทธนาธิการ คือระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๓๙ ถึง พ.ศ. ๒๔๔๒ และทีส่ า� คัญทีส่ ดุ คือ ทรงพระนิพนธ์บทร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ นักเรียนควรรู
ต�าแหน่งเสนาบดีที่ทรงด�ารงอยู่นั้น นอกจากเสนาบดีกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังทรงด�ารง เพลงเขมรไทรโยค สมเด็จพระเจา-
ต�าแหน่งเป็นผู้แทนเสนาบดีกระทรวงพระคลัง เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ และเสนาบดี บรมวงศเธอ เจาฟากรมพระยา-
กระทรวงวังอีกด้วย ทัง้ ยังทรงเป็นผูร้ งั้ ต�าแหน่งผูบ้ ญ ั ชาการทหารเรือและต�าแหน่งอืน่ ๆ อีก เป็นต้น นริศรานุวัดติวงศ ทรงนิพนธขึ้นเมื่อ
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ โปรดให้เลือ่ นกรมเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหลวง แต่เนือ่ งจากทรงสุขภาพไม่คอ่ ย พ.ศ. 2431 โดยนําเพลงเขมรกลอม
จะสมบูรณ์ จึงทรงลาออกจากราชการเพื่อพักผ่อนครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ เมื่อพระชนมายุได้ ลูกสองชั้นทํานองเกามาทรงนิพนธ
๔๖ พรรษา ขยาย แทรกสําเนียง และเพิ่มลีลาให
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ บรรยายความตามทัศนียภาพที่ไดพบ
ทรงเลื่อนต�าแหน่งเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ขณะทรงตามเสด็จไปอําเภอไทรโยค
และในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ ในรัชกาลที่ ๗ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกลับเข้า เปนบทเพลงที่ใหอารมณความรูสึก
รับราชการเป็นอภิรัฐมนตรีและอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกศิลปากร ทรงพ้นจากต�าแหน่ง เบิกบานใจ สุขใจ สบายอารมณ
ทัง้ สองนีเ้ มือ่ เดือนมิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ครัน้ เมือ่ ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ทรงได้ดา� รงต�าแหน่ง
ผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
เสด็จพระราชด�าเนินไปรักษาพระองค์ ณ ต่างประเทศ และทรงพ้นต�าแหน่งเมื่อพระบาทสมเด็จ นักเรียนควรรู
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ ในวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
เพลงสรรเสริญพระบารมี เปน
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั อานันทมหิดล* รัชกาลที่ ๘ ได้โปรดเกล้าฯ
บทเพลงที่เกิดขึ้นจากปจจัยทาง
ให้เลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ดังกล่าวแล้วเพราะทรงเป็นทีี่ไว้วาง
ดานสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจาก
พระราชหฤทัยของพระมหากษัตริย์ ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่างๆ ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุม ประเทศไทยเปนประเทศที่ปกครอง
เป็นที่นับถือของคนทั่วไป และแม้ว่าจะทรงชราแล้ว ก็ทรงช่วยราชการนานัปการโดยเฉพาะได้ ดวยระบอบประชาธิปไตย โดยมี
ประทานความรู้ในด้านศิลปวิทยาการ ตลอดจนภาษาและราชประเพณี ซึ่งไม่มีผู้ใดจะให้ความรู้ได้ พระมหากษัตริยทรงเปนประมุข
ดีเท่าพระองค์ท่าน จึงกอใหเกิดเพลงที่แสดงออกถึง
ความจงรักภักดีของประชาชน
*พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล หรือพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ที่มีตอพระมหากษัตริย
73

คูมือครู 73
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate
Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนนําชีวประวัติของบุคคล
ที่นักเรียนเขียนขึ้นดวยตนเองมา
อานใหเพื่อนฟง จากนั้นเพื่อนๆ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงพระประชวรด้วย
รวมกันลงคะแนนเสียงหาผูที่เขียน โรคพระหฤทัยพิการและหลอดลมอักเสบเรื้อรังมานาน ภายหลังทรงประชวรกระเสาะกระแสะด้วย
ไดดีที่สุด โรคชรา พระวรกายค่อยๆ ทรุดโทรมอ่อนเพลียลงทีละน้อยๆ ตามล�าดับ จนถึงสิน้ พระชนม์ ณ ต�าหนัก
2. ครูประเมินผลการเขียนจากการ ปลายเนินคลองเตย เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๐
สุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อบรรยาย งานส�าคัญๆ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ที่ทรงปฏิบัติ
แนวทางในการเขียน มา เพียงแต่ในด้านศิลปะของชาตินั้นก็นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ สมควรได้รับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
พระเมรุมาศที่ทรงออกแบบสร้างขึ้น ณ ท้องสนามหลวง เป็นครั้งคราว เพื่อถวายพระเพลิง
พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์อันสูงศักดิ์ในอดีต ก็ได้ทรงคิดประดิษฐ์เขียนอย่างงดงามวิจิตร
พระพุทธรูปปางพระนิพพานที่วัดราชาธิวาสก็เป็นฝีพระหัตถ์ยอดเยี่ยม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
นักเรียนควรรู ใบเสมาจตุโลก ที่พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ นครปฐม แบบพัดงานพระบรมศพ และงานอื่นๆ ที่
ละครดึกดําบรรพ เปนละครที่ ทรงออกแบบก็ด ี ตลอดจนถึงรูปภาพทศชาดกทีท่ รงวาดก็ดแี ละตลอดถึงงานทางด้านศิลปะ การดนตรี
ปรับปรุงขึ้นจากแบบแผนละครใน ไทยก็ทรงเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ทรงพระด�าริจัดบทคอนเสิร์ตเล่นอย่างโอเปราของฝรั่งเศสที่เรียกว่า
และผสมผสานกับอิทธิพลทาง ละครดึกด�าบรรพ์เป็นแบบอย่างมาจนทุกวันนี้ ส่วนเพลงไทยที่ส�าคัญๆ ก็ทรงนิพนธ์ไว้อย่างไพเราะ
ตะวันตก เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาท- จับใจ เพียงเพลงเขมรไทรโยคเพลงเดียวก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์ใจบรรดานักฟังดนตรีไทยทั้งหลาย
สมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว อยู่แล้วว่าไพเราะจับใจล�้าค่าเพียงใด
โดยเจาพระยาเทเวศรวงศวิวัฒน ตัดมาจาก เกียรติประวัติปูชน�ยบุคคล : ศรณรงค์ ปยกาญจน์
เปนผูทูลขอใหสมเด็จฯ เจาฟากรม-
พระยานริศรานุวัดติวงศทรงปรับปรุง จากตัวอย่างสารคดีชีวประวัติข้างต้น ผู้เขียนได้ใช้ภาษาแบบแผนเหมาะสมกับสถานภาพ
ละครรําใหเปนแบบละครโอเปราของ ทางสังคมของบุคคลที่เขียนถึง แต่สามารถสื่อความให้ผู้อ่านเข้าใจได้ ผู้เขียนเขียนชีวประวัติด้วยความ
ตะวันตก โดยการปรับปรุงการแสดง บริสุทธิ์ใจ ปราศจากอคติ เนื้อหาเป็นการเทิดทูน
ใหสมจริงมากที่สุด มีการตกแตงฉาก และยกย่อง โดยใช้ถ้อยค�าเรียงร้อยต่อกันเพื่อให้
แสง สี เสียง และอุปกรณประกอบ ผู้อ่านซาบซึ้งในคุณความดีที่เจ้าของชีวประวัติ
ฉากและการแสดง ละครดึกดําบรรพ
ได้ประกอบไว้ สารคดีชีวประวัติข้างต้นแม้จะ
แสดงครั้งแรก ณ โรงละครของ
เขียนด้วยภาษาในอีกยุคสมัยหนึ่งแต่สามารถสื่อ
เจาพระยาเทเวศรวงศวิวัฒน ชื่อวา
“โรงละครดึกดําบรรพ” ผูชมจึงเรียก ความได้ชัดเจน โดยเรียงล�าดับเหตุการณ์ที่เกิด
ชื่อละครที่แสดงในลักษณะนี้วา ขึ้นก่อน - หลัง ท�าให้มีความน่าสนใจ สะท้อนให้
“ละครดึกดําบรรพ” เห็นข้อคิดทีส่ ามารถน�ามายึดถือเป็นเป้าหมายของ
การมีชีวิตอยู่คือ “ท�าความดีเพื่อตอบแทนคุณ
แผ่นดินและความดีนั้นจะคงอยู่ตลอดไป”
การเขียนชีวประวัตขิ องบุคคลต่างๆ ควรเขียนโดยปราศจาก
อคติ และศึกษาหาข้อมูลของบุคคลนั้นในทุกๆ ด้าน

74

74 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
นักเรียนเขียนอัตชีวประวัติของ
ตนเอง โดยใชแนวทางที่ไดศึกษา
สารคดีอัตชีวประวัติ ความยาวไมเกินหนึ่งหนากระดาษ
A4
อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า (วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์)
ข้าพเจ้าถือก�าเนิดในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ (พ.ศ. ๒๔๙๙) ในครอบครัวของชาวจีนที่อพยพ
มาจากประเทศจีนตอนใต้เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ตาและยายพาแม่ของข้าพเจ้าซึ่งยังแบเบาะ ตรวจสอบผล
เดินทางด้วยเรือ ในสมัยนั้นผู้อพยพส่วนใหญ่ต้องเดินทางด้วยเรือ คาดว่าคงเป็นการอพยพ 1. นักเรียนนําอัตชีวประวัติของ
หนีความอดอยากมาสู่ดินแดนแหลมทองซึ่งร�่าลือกันว่าอุดมสมบูรณ์ ส�าหรับพ่อของข้าพเจ้า ตนเองมาอานใหเพื่อนฟง จากนั้น
เดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนก่อนประเทศจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อนๆ รวมกันลงคะแนนเสียงหา
เพียงไม่กี่ปี คงด้วยความไม่ศรัทธาหรือกลัวภัยจากการเปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มอายุ ๒๐ ปีเศษ ผูที่เขียนไดดีที่สุด
แอบหนีลงเรือฝรัง่ ขนาดใหญ่ ลักลอบเข้ามาเมืองไทย เพือ่ แสวงหาชีวติ ใหม่ทยี่ งั มีเสรีภาพพอสมควร 2. ครูประเมินผลการเขียนจากการ
ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนทีส่ องในจ�านวนพีน่ อ้ งทัง้ หมด ๗ คน ทีถ่ อื ก�าเนิดไล่เลีย่ กัน หัวปีทา้ ยปี ตอนนัน้ สุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อบรรยาย
แนวทางในการเขียน
ครอบครัวเริ่มท�าการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อยังชีพ แม่เป็นคนออกหัวคิดให้ลูกศึกษาแบบฝรั่ง
คิดว่าการเรียนในโรงเรียนฝรั่งน่าจะก้าวหน้ากว่าเรียนในโรงเรียนจีนที่ชาวจีนสมัยนั้นนิยมส่งลูก
ไปเรียนเพือ่ มิให้ลมื ภาษาและวัฒนธรรมของจีน แม่จงึ ดิน้ รนไปฝากฝังกับบาทหลวงโรงเรียนอัสสัมชัญ
ทั้งลูกชายและลูกหญิง ทั้งๆ ที่ไม่มีเส้นสาย แต่ด้วยความบังเอิญหรือดวงดีก็เป็นได้ ถึงแม้ไม่ต้อง เกร็ดแนะครู
เปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิกก็สามารถเข้าเรียนได้ เป็นอันว่าลูกทุกคนได้เข้าโรงเรียนฝรั่งหมด ใหนักเรียนอานตัวอยาง
ด้วยความพยายามของแม่ ส่วนพ่อก็ทา� หน้าทีห่ าเงินเข้าครอบครัว ความเป็นอยูใ่ นสมัยเด็กไม่ถอื ว่า อัตชีวประวัติจากหนังสือเรียน
สุขสบายมากนัก แต่ลกู ๆ เจ็ดคนก็ไม่เคยอดข้าว แม้วา่ ค่าเทอมจะติดค้างครูเป็นประจ�า จนถูกเรียก ในหนา 75 ใหใชปากกานํ้าเงิน
ไปตักเตือนให้จ่ายเงินก่อนสอบอยู่เสมอ การต่อรองผัดผ่อนค่าเล่าเรียนเป็นกิจวัตรประจ�าที่ลูกๆ ขีดเสนใตขอความที่เปนความรู
ทุกคนจะไปท�าหน้าที่นี้แทนพ่อแม่ แต่ลูกทุกคนก็กลับเรียนดีและไม่เคยสอบตก ไม่เกเรียน แต่แม้ ปากกาแดงขีดเสนใตขอความที่เปน
จะไม่ได้อยู่ในฐานะสุขสบายนัก พ่อแม่ของข้าพเจ้าก็ยังหาโอกาสพาลูกๆ ไปเที่ยวเตร่บ้าง หนังดี ความสงสัยและใชดินสอขีดเสนใต
สมัยก่อนก็ได้ดูเกือบทุกเรื่อง นับว่าพ่อแม่ของข้าพเจ้าได้ท�าหน้าที่เลี้ยงดูบุตรธิดาอย่างดีเลิศ แม้ว่า ขอความที่เปนขอคิด คติสอนใจ
จะไม่มีอะไรติดตัวมาเลยจากบ้านเกิดเมืองนอน…ฯ จากนั้นครูและนักเรียนรวมกัน
สนทนาแลกเปลี่ยนความรู
คลายความสงสัย
จากตัวอย่างสารคดีอัตชีวประวัติข้างต้น ผู้เขียนได้ใช้ภาษากึ่งแบบแผน สื่อความอย่าง
ตรงไปตรงมา เขียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ปราศจากอคติ โดยเขียนขึ้นจากบางส่วนของช่วงชีวิต
โดยเริ่มต้นจากจุดก�าเนิดของครอบครัวที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวตนขึ้นมาจากความยากล�าบาก สารคดี หลักฐาน
อัตชีวประวัตขิ า้ งต้นจึงมีความน่าสนใจ เพราะผูเ้ ขียนได้สะท้อนให้เห็นแง่มมุ ของชีวติ ทีผ่ อู้ า่ นสามารถน�า แสดงผลการเรียนรู
มาเป็นข้อคิดได้คือ “คุณค่าของชีวิตอยู่ที่การได้เผชิญกับความยากล�าบากและสามารถก้าวผ่านมาได้” ผลงานการเขียนอัตชีวประวัติ และ
ชีวประวัติ ความยาวประเภทละ
75 ไมเกินหนึ่งหนากระดาษ A4

คูมือครู 75
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูเลาสถานการณปจจุบันให
นักเรียนฟงวา ณ ขณะนี้ขาวสาร
ตางๆ มีมากมายหลากหลายชนิดให ๔ การเขียนย่อความ
เลือกรับไดตามความสนใจ จากนั้น การย่อความ คือการสรุปใจความส�าคัญของเรื่องที่ได้อ่านหรือฟัง จากนั้นจึงน�าสาระส�าคัญ
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา มาเรียบเรียงใหม่ด้วยส�านวนของผู้ย่อ ใช้ภาษาที่กระชับเข้าใจง่ายได้ใจความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์
• หากนักเรียนจําเปนตองรับ โดยมีเนื้อความเช่นเดียวกับเรื่องที่อ่านหรือฟัง
ขาวสารจํานวนมาก ภายใน
ระยะเวลาที่จํากัด นักเรียน ๔.๑ ความส�าคัญของการย่อความ
จะมีชองทางใดที่ทําใหตนเอง การย่อความมีความส�าคัญ เพราะการย่อความช่วยให้สามารถจดจ�าสาระส�าคัญเรือ่ งได้แม่นย�า
สามารถรับสารไดอยางมี รวดเร็วและน�ามาใช้ทบทวนหรืออ้างอิงใช้ประโยชน์ได้ภายหลัง
ประสิทธิภาพมากที่สุด ๑) ย่อความจากความเรียงร้อยแก้ว คือการย่อความเรียง เช่น นิทาน ต�านาน ประวัต ิ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ปาฐกถา แถลงการณ์ ประกาศ โอวาท พระบรมราโชวาท เป็นต้น
ตอบไดอยางหลากหลายขึ้น
อยูกับพื้นฐานความรูและ ๒) การย่อความจากบทร้อยกรอง คือการย่อความจากบทประพันธ์ประเภทโคลง
ประสบการณสวนตนของ ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย เมื่อย่อแล้วไม่คงรูปค�าประพันธ์เดิม จะมีเนื้อความเป็นความเรียงร้อยแก้ว
นักเรียน) การย่อความมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ทางตรงคือเป็นการฝึกทักษะ
การใช้ภาษา ส่วนประโยชน์ทางอ้อม คือ การย่อความเป็นกระบวนการฝึกฝนให้ผู้เรียนรู้จักการสังเกต
สํารวจคนหา การวิเคราะห์ความรู้ ความคิด และการใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ครูแบงนักเรียนออกเปนกลุม ๔.๒ แนวทางการย่อความ


กลุมละ 5 คน รวมกันสํารวจคนหา ๑. อ่านเรือ่ งทีย่ อ่ ให้จบอย่างน้อย ๒ ครัง้ ครัง้ แรกอ่านเพือ่ รูเ้ รือ่ งทีจ่ ะย่อนัน้ อย่างกว้างๆ
ในประเด็นความสําคัญของการเขียน ครั้งต่อไปอ่านเพื่อตอบค�าถามให้ได้ว่าใคร ท�าอะไร ที่ไหน เมื่อไร ท�าอย่างไร และเหตุผลใดจึงท�า
ยอความและแนวทางการเขียน ควรจัดล�าดับเหตุการณ์ของเรื่องหรือเวลาให้ชัดเจน
ยอความ ๒. จับใจความส�าคัญแต่ละย่อหน้า โดยแยกใจความส�าคัญออกจากพลความ
๓. น�าใจความส�าคัญมาเรียบเรียงใหม่ด้วยส�านวนภาษาของผู้ย่อโดย
อธิบายความรู ■ใช้ถ้อยค�าที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด ได้ใจความ
ใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ หรือใช้ชื่อในเรื่องนั้นโดยตรง ไม่ใช้ค�าสรรพนามบุรุษที่ ๑
1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม โดย

ครูยืนอยูตรงกลางวง สุมเรียกชื่อ สรรพนามบุรุษที่ ๒


นักเรียนเพื่ออธิบายความรูเกี่ยวกับ ■ข้อความในเครื่องหมายอัญประกาศให้เรียบเรียงเป็นเรื่องเล่าไม่ใช้เครื่องหมาย
ความสําคัญของการยอความ อัญประกาศในข้อความที่ย่อแล้ว และไม่ใช้อักษรย่อในการย่อความ
(แนวตอบ การยอความมีความ ■ถ้าเรื่องที่ย่อใช้ค�าราชาศัพท์ให้คงค�าราชาศัพท์ไว้
สําคัญ เพราะการยอความชวย ๔. ถ้าเรื่องที่ย่อเป็นบทร้อยกรอง ต้องถอดค�าประพันธ์ แล้วเขียนย่อเป็นร้อยแก้ว
ทําใหมนุษยสามารถจดจําสาระ
สําคัญของเรื่องราวไดอยางสะดวก 76
รวดเร็วและนํากลับมาคนควาเพิ่ม
เติมไดในภายหลัง)
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับแนวทางการเขียนยอความ
(แนวตอบ 1. อานเรื่องที่ยอใหจบอยางนอย 2 ครั้ง
2. จับใจความสําคัญของแตละยอหนา
3. นําใจความสําคัญมาเรียบเรียงใหมดวยสํานวนภาษาของผูยอ
4. ถาเรื่องที่ยอเปนบทประพันธตองถอดคําประพันธเปนรอยแกว
5. หากเรื่องที่ยอไมมีชื่อเรื่อง ผูยอตองตั้งชื่อเรื่องเอง)
76 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนรวมกันศึกษาคนหา
ความรูในประเด็นโครงสรางของ
๕. ใจความที่ย่อต้องมีชื่อเรื่อง ถ้าไม่มีชื่อเรื่องผู้ย่อความต้องตั้งชื่อเรื่องเอง
ยอความจากหนังสือเรียน ในหนา
๖. การเขียนย่อความประกอบด้วยส่วนส�าคัญ ๒ ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง เป็นส่วนค�าน�า
77 - 79 หรือจากแหลงเรียนรูอื่น
หรือการขึ้นต้นของย่อความ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทราบแหล่งที่มาของเรื่องนั้นๆ และส่วนที่สอง คือ
ส่วนที่เป็นเนื้อหาของย่อความซึ่งจะต้องขึ้นย่อหน้าใหม่และมีเพียงย่อหน้าเดียว
๔.๓ โครงสร้างของย่อความ อธิบายความรู
โครงสร้างของย่อความขึ้นอยู่กับประเภทของเรื่องที่น�ามาย่อ โดยทั่วไปจะเริ่มต้นด้วยส่วนที่ ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อใหได
เป็นการขึน้ ต้นเพือ่ บอกแหล่งทีม่ าของเรือ่ ง เพือ่ ความสะดวกในการอ่านรายละเอียดเพิม่ เติมจากต้นฉบับ ขอมูลที่ถูกตองรวมกัน
และย่อหน้าต่อไปเป็นสาระของเรื่องที่น�ามาย่อความ • ที่กลาววาการเขียนยอความ
ส�าหรับย่อหน้าแรกซึ่งบอกแหล่งที่มาของเรื่องที่น�ามาย่อมีรายละเอียด ดังนี้ ตองประกอบดวย 2 ยอหนา
๑) เรื่องที่ย่อเป็นความเรียงร้อยแก้ว เช่น นิยาย นิทาน ต�านาน ประวัติ ฯลฯ ต้อง นักเรียนเขาใจวาอยางไร
บอกประเภท ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ที่มา หน้าใด ดังนี้ (แนวตอบ ยอหนาแรกคือ นํายอ
ความซึ่งเปนที่มาของเรื่องที่นํา
นิทานเรื่อง .................................................... ของ ...................................................................... จาก ..................................... มายอความ ยอหนาที่สอง คือ
หน้า ............................................................................. ความว่า ขอความที่ยอแลว ซึ่งจะเขียน
............................................................................................................................................................................................................................. เพียงยอหนาเดียวไมวาขอความ
................................................................................................................................................................................................................................................... เดิมจะมีกี่ยอหนาก็ตาม)
• ยอหนาแรกของการยอความ
๒) เรื่องที่ย่อเป็นประกาศ แจ้งความ แถลงการณ์ ระเบียบค�าสั่ง ก�าหนดการ มีความสําคัญอยางไร
ฯลฯ ต้องบอกประเภท ชื่อเรื่อง ผู้ออกหนังสือ ผู้รับ วันเดือนปีที่ออกหนังสือ ดังนี้ (แนวตอบ ยอหนาแรกของการ
เขียนยอความมีความสําคัญ
ค�าสั่งเรื่อง .................................................. ของ ......................................... ถึง ....................... ลงวันที่ ......................... คือ ผูยอสามารถกลับไปสืบคน
ความว่า เพิ่มเติมไดในภายหลัง ชวย
............................................................................................................................................................................................................................ เพิ่มความสะดวกในการคนหา
................................................................................................................................................................................................................................................... ขอมูล)
๓) เรื่องที่ย่อเป็นจดหมาย ให้บอกว่าเป็นจดหมายของใคร ถึงใคร เรื่องอะไร
ลงวันที่เท่าไร ดังนี้
จดหมายของ .................................................... ถึง ........................................................ เรื่อง ................................................
ลงวันที่ ............................................................................. ความว่า
.............................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................

77

คูมือครู 77
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
เกี่ยวกับโครงสรางของยอความ
แตละประเภท โดยครูตั้งคําถามกับ ๔) เรื่องที่ย่อเป็นหนังสือราชการ ต้องบอกว่าเป็นหนังสือราชการของหน่วยงานใด
นักเรียนวา ถึงใคร เรื่องอะไร เลขที่เท่าไร ลงวันที่เท่าไร ดังนี้
• โครงสรางยอความแตละ
หนังสือราชการของ ................................................................ ถึง .................................... เรื่อง ....................................
ประเภทมีความคลายคลึงกัน เลขที่ ................................................................................................... ลงวันที่ .....................................................................................................
อยางไร ความว่า
(แนวตอบ ยอความแตละประเภท ..........................................................................................................................................................................................................................
มีโครงสรางที่เหมือนกัน คือ
.................................................................................................................................................................................................................................................
ประกอบไปดวยสวนนํายอความ
และสวนเนื้อหาที่ยอ) หมายเหตุ ในการย่อจดหมายหลายฉบับติดต่อกันให้ใช้แบบขึ้นต้นจดหมายเฉพาะฉบับแรก
ส่วนฉบับต่อๆ ไปให้ย่อต่อจากฉบับแรกโดยใช้ค�าพูดเชื่อมต่อกัน เช่น บอกว่าใครตอบ เมื่อไร ความว่า
อย่างไร
๕) เรือ่ งทีย่ อ่ เป็นพระราชด�ารัส พระบรมราโชวาท โอวาท สุนทรพจน์ ปาฐกถา
ค�าปราศรัย ต้องบอกประเภท ผู้กล่าว แสดงแก่ใคร เรื่องอะไร เนื่องในโอกาสใด สถานที่ วันที่ ดังนี้
ค�าปราศรัยของ ............................................................................. แก่ ........................................................................................
เรื่อง ........................................................................................................................... เนื่องใน .............................................................................
ณ .................................................................................................................................. วันที่ .....................................................................................
ความว่า
..........................................................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................................................................................

ถ้าเป็นการย่อรายงานที่มีค�าปราศรัยของผู้ตอบรับรายงานด้วย อาจย่อเป็นรูปแบบดังนี้
รายงานของ ............................................................................. ใน ...............................................................................................
เรือ่ ง ................................................................. และค�าปราศรัยของ .................................................................................. ความว่า
.................................................................................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................................................................................
(ผู้ตอบ) กล่าวตอบว่า ........................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................................................................................

๖) เรือ่ งทีย่ อ่ เป็นบทร้อยกรอง ต้องบอกประเภทของค�าประพันธ์ ชือ่ เรือ่ ง ผูแ้ ต่ง ทีม่ า


หน้าใด ดังนี้

78

78 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนสํารวจสืบคนสารคดีทาง
วิชาการที่ตนเองสนใจมาอานคนละ
โคลงสี่สุภาพเรื่อง .................................................................................. ของ .......................................................................... 1 เรื่อง
ตอน ............................................................................ จาก .................................................................................. หน้า ...................................
ความว่า
อธิบายความรู
...........................................................................................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................................................................................................. 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ความรูเกี่ยวกับสารคดีที่ตนเอง
เลือกมาวาใหความรูเกี่ยวกับอะไร
บาง
สารคดีทางวิชาการที่นÓมาย่อความ
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเมืองเล็ก เกี่ยวกับโครงสรางของยอความ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ว่านั้นปลอดทั้งคาร์บอน ราคาค่อนข้างถูก แถมผู้สันทัดกรณี ประเภทความเรียงรอยแกว บันทึก
รูปแบบลงสมุด
ในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังบอกว่าปลอดภัย เตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กใต้ดิน
เพียงหนึ่งเครื่องก็สามารถผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงทั้งหมู่บ้านได้สบาย
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์สว่ นใหญ่มกั มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เพือ่ ให้สามารถผลิตไฟฟ้า
ได้เพียงพอกับความต้องการของเมืองขนาดกลางทั้งเมือง แน่นอนว่าการลงทุนย่อม เกร็ดแนะครู
ใหญ่โตตามไปด้วย โรงไฟฟ้าแต่ละโรงใช้เงินในการก่อสร้างหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครูใหนักเรียนอานสารคดีทาง
ด้วยเหตุนี้ นวัตกรรมอย่างต้นแบบเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กหลายสิบเครื่องจึงเป็นที่ วิชาการ เรื่อง โรงไฟฟานิวเคลียร
กล่าวขวัญถึงในฐานะจุดขายใหม่ของอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ชูประเด็นการ ของเมืองเล็ก ใหใชปากกานํ้าเงิน
ปล่อยคาร์บอนต�่าเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ขีดเสนใตขอความที่เปนความรู
ริชาร์ด เลสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และวิศวกรรมประจ�า ปากกาแดงขีดเสนใตขอความที่เปน
สถาบันเอ็มไอทียอมรับว่า “แม้เครือ่ งปฏิกรณ์ขนาดเล็กจะไม่สามารถแก้ปญ ั หาทุกอย่าง ความสงสัย จากนั้นครูและนักเรียน
ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนด้านโรงไฟฟ้านิวคลียร์ แต่ก็สามารถขจัดอุปสรรคข้อใหญ่ รวมกันสนทนาแลกเปลี่ยนความรู
และคลายความสงสัย
ที่สุด นั่นคือ ประเด็นทางเศรษฐกิจครับ” เขาเสริมว่า การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ขนาดใหญ่ไม่ใช่ทางเดียวในการลดต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่อีกทางหนึ่ง คือ
การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กและราคาไม่แพงจ�านวนมาก หากโรงไฟฟ้า
เหล่านัน้ ได้รบั การออกแบบในลักษณะยูนติ ย่อยๆ เพียงยูนติ เดียวก็อาจผลิตกระแสไฟฟ้า
หล่อเลี้ยงเมืองขนาดเล็กได้ทั้งเมือง ขณะที่การติดตั้งเครื่องร่วมกันสักสิบเครื่องก็อาจมี
ก�าลังผลิตเทียบเท่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีขนาดเล็ก
และสามารถต่อยูนิตเพิ่มได้เรื่อยๆ ก็อาจดึงดูดบริษัทผลิตไฟฟ้าที่มีเงินทุนน้อยทั่วโลก

79

คูมือครู 79
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนยอความสารคดีเชิง
วิชาการที่ตนเองเลือกมา โดยใช
รูปแบบที่ถูกตอง และแนวทางที่ ที่ผ่านมายังไม่มีใครน�าเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กรุ่นใหม่นี้ไปใช้งานจริงเลย บาง
ศึกษา เครือ่ งอย่างเครือ่ งทีบ่ ริษทั นูสเกลพาวเวอร์ออกแบบ เป็นเครือ่ งปฏิกรณ์แบบน�้ามวลเบา
(light-water reactor) ขณะที่เครื่องแบบอื่นยิ่งแปลกใหม่กว่า เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก
เหล่านี้จะถูกขนมาเป็นส่วนๆ ก่อนประกอบเป็นยูนิตและติดตั้งไว้ใต้ดิน
ตรวจสอบผล นอกจากต้นทุนในการก่อสร้างที่ถูกกว่าแล้ว เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กบางรุ่นยัง
ครูตรวจสอบการยอความของ อาจปลอดภัยกว่าด้วย เช่น เครื่องของบริษัทนูสเกลไม่ต้องใช้ปั๊มหล่อเย็น ขณะที่ปั๊มที่
นักเรียน โดยตรวจสอบทั้งดาน ออกแบบโดยบริษัทโตชิบาเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า ทั้งสองแบบมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงที่จะ
รูปแบบและเนื้อหาที่เรียบเรียง เกิดความผิดพลาดอันใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่ๆ ยังคง
มีกากนิวเคลียร์ทตี่ อ้ งหาทางจัดการต่อไป ปัจจุบนั มีเครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์ทอี่ ยูร่ ะหว่าง
การก่อสร้าง ๕๖ เครื่องทั่วโลก ในจ�านวนนี้ ๑๙ เครื่องอยู่ในจีนประเทศเดียว แต่เมื่อดู
@
มุม IT จากความต้องการพลังงานทีเ่ พิม่ สูงขึน้ และการเปลีย่ นแปลงสภาพอากาศทีส่ อ่ เค้าให้เห็น
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารคดีทาง แล้ว โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ๆ เหล่านัน้ อาจไม่สามารถเพิม่ ส่วนแบ่งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
วิชาการไดจากเว็บไซตของเนชั่นแนล ในการตอบสนองความต้องการไฟฟ้าของโลกได้มากนัก กระนั้น เครื่องปฏิกรณ์
จีโอกราฟฟก ประเทศไทย http:// ขนาดเล็กอาจเป็นพระเอกขี่ม้าขาวก็เป็นได้ เลสเตอร์ทิ้งท้ายว่า“ประเด็นส�าคัญอยู่ที่
www.ngthai.com/ngm/1109/ เพิ่มแหล่งพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนในปริมาณต�่าให้ได้อย่างรวดเร็วครับและโรงไฟฟ้า
default.asp นิวเคลียร์ก็มีศักยภาพที่จะท�าได้”
คริส แคร์รอลล์

การย่อความสารคดีทางวิชาการ

สารคดีเรื่อง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเมืองเล็ก ของคริส แคร์รอลล์ จาก เนชั่นแนล


จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ หน้า ๒๖ - ๒๘ ความว่า
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์มขี นาดใหญ่ ตน้ ทุนในการสร้างสูง ส่วนเครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์
ขนาดเล็กจะมีราคาถูกและปลอดภัยกว่า แต่ยงั มีปญ ั หาทีเ่ หมือนกันคือเรือ่ งกากนิวเคลียร์
ที่ต้องจัดการต่อไป ปัจจุบันมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจ�านวน
๕๖ เครื่อง แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของโลก เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ขนาดเล็กจึงเป็นทางเลือกใหม่

80

80 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
นักเรียนรวมกันทบทวนและ
อธิบายความรูเกี่ยวกับโครงสรางของ
จดหมายราชการที่นÓมาย่อความ ยอความประเภทหนังสือราชการ
บันทึกรูปแบบลงสมุด

ที่ ศธ ๐๕๓๐.๓/๑๔๕ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


ต�าบลขามเรียง อ�าเภอกันทรวิชัย ขยายความเขาใจ
จังหวัดมหาสารคาม ๔๔๑๕๐ นักเรียนศึกษาจดหมายราชการ
๘ มีนาคม ๒๕๕๔ จากหนังสือเรียน ในหนา 81 จาก
เรื่อง ขอเรียนเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ นั้นใหสมมติขอความขึ้นใหมเขียน
เรียน นางสาวอชิรญาณ์ ตระกูลสัจจะ จดหมายราชการขึ้นมา 1 ฉบับ เพื่อ
ใชยอความตามรูปแบบและแนวทาง
สิ่งที่ส่งมาด้วย ตารางสอนประจ�าภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๔ จ�านวน ๑ ชุด
ที่ไดศึกษา
ด้วยภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดสอนรายวิชา ๐๐๐๑๐๔๒ Japanese for Communication
ประจ�าภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๔ ให้แก่นิสิตระดับปริญญาตรีระบบปกติ เพื่อให้การเรียนการสอน ตรวจสอบผล
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในการนี้มหาวิทยาลัยฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ ครูตรวจสอบการยอความของ
ความสามารถ และมีประสบการณ์ในด้านนีเ้ ป็นอย่างดี ดังนัน้ มหาวิทยาลัยฯ จึงขอเรียนเชิญท่านเป็น นักเรียน โดยตรวจสอบทั้งดาน
อาจารย์พิเศษ สอนระหว่างวันที่ ๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๔ รูปแบบและเนื้อหาที่เรียบเรียงใหมี
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ความสอดคลองกับจดหมายที่เขียน
ขึ้น
ขอแสดงความนับถือ

(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พร้อมพร ธ�ารงนาวี)


คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นักเรียนควรรู
ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จดหมายราชการ หลักการเขียน
จดหมายติดตอกับหนวยงานราชการ
ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก ควรเขียนดวยความชัดเจน ใชภาษา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สุภาพในการสื่อสารอยางตรงไป
โทร. ๐-๔๓๗๕-๔๓๒๑-๔๐ ต่อ ๒๐๙๙ ตรงมา และพึงรักษาความสะอาด
โทรสาร ๐-๔๓๗๕-๔๓๖๑ เรียบรอย เพราะความสะอาด
เรียบรอยของจดหมายนับเปนการ
ใหเกียรติผูรับไดอีกประการหนึ่ง

81

คูมือครู 81
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนสํารวจคนหาพระบรม-
ราโชวาทของพระมหากษัตริยไทย
จากสื่อตางๆ เลือกที่ตนเองสนใจ การย่อความจดหมายราชการ
และเขาใจความหมายมานําเสนอ
1 ตัวอยาง หนังสือราชการของภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ถึง นางสาวอชิรญาณ์ ตระกูลสัจจะ เรื่อง
ขอเรียนเชิญเป็นอาจารย์พิเศษ เลขที่ ศธ ๐๕๓๐.๓/๑๔๕ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔
อธิบายความรู ความว่า
1. นักเรียนนําพระบรมราโชวาท ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ที่ปรากฏในหนา 82 มาอาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอเรียนเชิญนางสาวอชิรญาณ์ ตระกูลสัจจะ มาเป็นอาจารย์
ใหเพื่อนๆ ฟง พรอมทั้งสรุป พิเศษ สอนรายวิชา ๐๐๐๑๐๔๒ Japanese for Communication ในระหว่างวันที่ ๑
สาระสําคัญ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนที่ ๑/๒๕๕๔ ตามตารางสอนที่แนบมา
2. นักเรียนรวมกันทบทวนและ
อธิบายความรูเกี่ยวกับโครงสราง
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดช
ของยอความประเภทพระราช- มหาราช บรมนาถบพิตร
ดํารัส พระบรมราโชวาท บันทึก
รูปแบบลงสมุด ในพิธีพระราชทานกระบี่แก่ผู้ส�าเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ
ณ ศาลาดุสิดาลัย
ขยายความเขาใจ วันจันทร์ ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๐

นักเรียนนําพระบรมราโชวาท ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มอบกระบี่แก่ผู้ส�าเร็จการศึกษา จากโรงเรียนนายร้อย


ที่ปรากฏในหนา 82 มายอความ พระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ อีกรุ่นหนึ่ง ขอแสดงความ
ตามรูปแบบที่ถูกตองและแนวทาง ชื่นชมด้วยกับทุกๆ คน ที่ได้รับความส�าเร็จ และได้รับเกียรติเป็นนายทหารของกองทัพไทย
ที่ไดศึกษา ท่านทั้งหลายได้ผ่านการศึกษาจากสถาบันทางทหารของไทย และก�าลังออกไป
ปฏิบัติการในต�าแหน่งหน้าที่ส�าคัญ คือการสร้างเสริมและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของ
ประเทศในโอกาสนี้ จึงขอให้ทุกคนท�าความเข้าใจให้กระจ่างว่า การจรรโลงรักษาประเทศนั้น
ตรวจสอบผล เป็นงานส่วนรวม ไม่อยู่ในวิสัยที่บุคคลจะกระท�าให้ส�าเร็จได้โดยล�าพังตนเอง บุคคลจะ
ท�าการนี้ได้ก็โดยปลูกฝังและเสริมสร้างความร่วมมือในชาติให้เกิดทวีขึ้น ทุกคนทุกฝ่าย ทั้ง
ครูตรวจสอบการยอความของ
ทหารและพลเรือนจึงต้องรักษาความสามัคคีในชาติ รักษาความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ
นักเรียน โดยตรวจสอบทั้งดาน
ไว้ทุกเมื่อ อย่ายอมให้ผู้ใด สิ่งใด มาแบ่งพวกแบ่งฝ่ายคนชาติไทยเป็นอันขาด ชาติของเรา
รูปแบบและเนื้อหาที่เรียบเรียง
จึงตั้งมั่นอยู่โดยอิสระเสรี มีความผาสุกสงบและเจริญมั่นคงได้ตลอดไป
ขออวยพรให้นายทหารใหม่ทุกนายและทุกท่านที่มาร่วมประชุมในพิธีนี้ มีความสุข
หลักฐาน ความเจริญ จงทุกเมื่อทั่วกัน
แสดงผลการเรียนรู
ยอความประเภทสารคดีวิชาการ 82
จดหมายราชการและพระบรม-
ราโชวาทโดยใชรูปแบบที่ถูกตองและ
เก็บใจความสําคัญครบถวน

82 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนํา
เขาสูหัวขอการเรียนการสอน
¡ÒËͤÇÒÁ¾ÃкÃÁÃÒâªÇÒ· • นักเรียนคิดวากอนที่สังคม
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช
มนุษยจะมีความเจริญกาวหนา
บรมนาถบพิตร พระราชทานแกผูสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา ทางเทคโนโลยีจนทําใหขาวสาร
โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ เนือ่ งในพิธพี ระราชทานกระบีแ่ กผสู าํ เร็จการศึกษา ตางๆ สงถึงกันไดอยางรวดเร็ว
ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ ความวา มนุษยสื่อสารกันอยางไรใน
ขอแสดงความยินดีกับผูสําเร็จการศึกษาที่จะออกไปเปนนายทหารของกองทัพไทย ระยะทางไกล
หนาที่ของทหาร คือการสรางเสริมและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ซึ่งเปนงาน (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
สวนรวม จะทําไดโดยการปลูกฝง การรวมมือ สรางความสามัคคีระหวางคนในชาติ ไมแบง ไดอยางหลากหลาย ขึ้นอยูกับ
พวกแบงฝาย ชาติจึงจะมีความเจริญมั่นคงได พื้นความรู และประสบการณ
สวนตน)
การยอความมีความสําคัญในชีิวิตประจําวันเพราะบุคคลทั่วไปมีโอกาสและความจําเปนที่จะ
ตองพูดหรือเขียนอยางยอๆ เสมอ จึงควรใชสํานวนภาษาใหสั้น กะทัดรัด ไดใจความตอเนื่องกัน และ
สาระของเรื่องครบถวนถูกตอง สํารวจคนหา
1. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาใน
๕ ¡ÒÃà¢Õ¹¨´ËÁÒ ประเด็นความสําคัญของจดหมาย
ปจจุบนั โลกมีการพัฒนาทางการสือ่ สารโทรคมนาคมไดสะดวกและรวดเร็ว สามารถพูดคุยหรือ และบทบาทของจดหมายในยุค
สงขอมูลตอบโตกันไดในทันที แตการสื่อสารผานจดหมายก็ยังคงมีความสําคัญตอการสื่อสารในชีวิต ดิจิทัล
ประจําวัน โดยเฉพาะจดหมายกิจธุระที่ใชในการ 2. นักเรียนศึกษาคนควาแนวทางการ
ติดตอประสานงานเรื่องตางๆ ซึ่งจําเปนตองมี เขียนจดหมายกิจธุระจากหนังสือ
เรียน ในหนา 84
หลักฐานที่เปนลายลักษณอักษร
๕.๑ การเขียนจดหมายกิจธุระ
จดหมายกิจธุระเปนจดหมายทีเ่ ขียนติดตอ
ระหวางบุคคลหรือองคกรตางๆ เชน หางราน
เกร็ดแนะครู
บริษัท สมาคม ฯลฯ เพื่อติดตอกิจธุระสั่งซื้อของ ครูอาจเชื่อมโยงการสื่อสาร
สมัครงาน เชิญวิทยากร เชิญไปทัศนศึกษา เปนตน ผานจดหมายกับการสื่อสารผาน
การเลือกใชภาษาจึงเปนสิ่งสําคัญในการเขียน เครือขายอินเทอรเน็ตที่เรียกวา
จดหมายอิเล็กทรอนิกส (E-mail)
จดหมาย ภาษาที่ใชควรเปนภาษาแบบแผน ใช
จดหมายอิเล็กทรอนิกส หมายถึง
ขอความสั้นกะทัดรัด ครอบคลุม ชัดเจน สื่อสาร การเลือกใชกระดาษเขียนจดหมาย ผูเขียนควรเลือกใช
กระดาษทีม่ ีสีสุภาพและใชหมึกที่มีสีเหมาะสม เชน ดํา จดหมายหรือขอความที่สงผานระบบ
ตรงไปตรงมาและอานเขาใจงาย หรือนํ้าเงิน เครือขาย เราสามารถสงจดหมาย
ไปใหผูรับซึ่งเปนสมาชิกของระบบ
๘๓ อินเทอรเน็ตไดโดยไมจํากัดสถานที่
และเวลา จดหมายจะสงถึงปลายทาง
อยางรวดเร็วภายในเวลาไมกี่นาที
หรืออาจจะสงจดหมายฉบับเดียว
ไปยังผูรับหลายคนในเวลาเดียวกัน
ก็ได ทั้งนี้ผูรับและผูสงจดหมาย
อิเล็กทรอนิกสจะตองมีที่อยูเพื่อ
อางอิงการสงและรับจดหมาย

คูมือครู 83
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูสนทนาเกี่ยวกับการเขียน
จดหมาย แมวาโลกจะพัฒนาทาง
ดานการสื่อสารโทรคมนาคม แต ๕.๒ ขัน้ ตอนการเขียนจดหมายกิจธุระ
การเรียนรูเกี่ยวกับรูปแบบและการ การเขียนจดหมายกิจธุระมีขั้นตอน ดังนี้
เขียนจดหมายประเภทตางๆ ยัง ๑. หัวจดหมาย คือชื่อของหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นต้นสังกัดของผู้ออกจดหมายและ
คงมีความสําคัญโดยเฉพาะอยาง ที่อยู่ โดยเขียนไว้ตรงมุมบนสุดขวามือและอยู่ในบรรทัดเดียวกับล�าดับที่ของจดหมาย
ยิ่งการติดตอกับหนวยงานราชการ ๒. ล�าดับที่ของจดหมาย ใช้ค�าว่า “ที่” ตามด้วยเลขบอกล�าดับที่ของจดหมายและ ปี พ.ศ.
หนวยงานเอกชนและที่ตองการ มีเครื่องหมาย / (อ่านว่า ทับ) คั่นกลาง ล�าดับที่นี้จะอยู่ทางด้านซ้ายของจดหมาย เช่น
เอกสารหลักฐานอางอิงหรืออาง ■ ที่ ๑๘ / ๒๕๕๕ จะอยู่ทางด้านซ้ายของจดหมาย
ถึงที่เปนทางการ บางหน่วยงานจะมีตัวย่อของหน่วยงานตามหลังค�าว่าที่ เช่น
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อให ■ ที่ ศธ ๒๐/๒๕๕๕ (ศธ ย่อมาจาก กระทรวงศึกษาธิการ)
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ๓. วัน เดือน ปี ที่ออกหนังสือ ให้ลงวันที่ ชื่อเต็มของเดือน และตัวเลขปีพุทธศักราช
• นักเรียนคิดวาจดหมายมีความ เริ่มเขียนจากกลางกระดาษไปทางขวา เช่น
จําเปนอยางไร ■ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
(แนวตอบ จดหมายยังคงมีความ ๔. เรื่อง บอกวัตถุประสงค์ที่ออกจดหมายฉบับนั้นโดยใช้ประโยคที่สั้น กะทัดรัด เช่น
สําคัญตอระบบการสื่อสาร ขอความอนุเคราะห์
เพราะการติดตอในบางเรื่อง ๕. ค�าขึ้นต้น จดหมายกิจธุระใช้ค�าว่า “เรียน” ตามด้วยชื่อ นามสกุลหรือต�าแหน่งของผู้รับ
ตองการเอกสารหลักฐานเพื่อ เช่น เรียน ผู้อ�านวยการโรงเรียนอรรถศักดิ์
ยืนยันและดําเนินการตอ) ๖. สิ่งที่ส่งมาด้วย ให้ระบุว่าเป็นเอกสารใดที่ส่งมายังผู้รับ เช่น รายงานการประชุม หนังสือ
• จดหมายกิจธุระ หมายถึง ฯลฯ
จดหมายประเภทใด ๗. ข้อความเนื้อหาสาระมี ๒ ย่อหน้าเป็นอย่างน้อย ย่อหน้าแรกบอกสาเหตุที่ต้องเขียน
(แนวตอบ เปนจดหมายที่เขียน จดหมาย ย่อหน้าที่ ๒ บอกวัตถุประสงค์ของจดหมาย
ติดตอกับบุคคลหรือองคกร ๘. ค�าลงท้ายใช้ค�าว่า ขอแสดงความนับถือ อยู่ต�าแหน่งตรงกับวันที่
ตางๆ เชน บริษัท หางราน ๙. ลายมือชื่อ ต้องเป็นลายมือชื่อจริงของผู้ลงชื่อ
สมาคม เพื่อติดตอกิจธุระสั่งซื้อ ๑๐. ชื่อเต็มของผู้เขียนจดหมายพิมพ์อยู่ในวงเล็บ เช่น (นายอมรยศ ขจรพงศ์)
สินคา สมัครงาน หรือขอความ
๑๑. ต�าแหน่งของผู้เขียนจดหมาย ถ้าผู้เขียนจดหมายเป็นผู้ที่มีต�าแหน่งรับผิดชอบ ถ้าเป็น
อนุเคราะหในเรื่องตางๆ)
จดหมายทีอ่ อกในนามของชมรมหรือชุมนุมในสถานศึกษา ต้องลงลายมือชือ่ ของอาจารย์ทปี่ รึกษาชมรม
• การลงทายในจดหมายกิจธุระ
ก�ากับท้ายจดหมายด้วย
ควรใชคําลงทายอยางไร
๑๒. หมายเลขโทรศัพท์ของผูเ้ ขียนจดหมายหรือหน่วยงานทีอ่ อกจดหมาย พิมพ์ไว้ลา� ดับสุดท้าย
(แนวตอบ ลงทาย “ขอแสดง
ความนับถือ”) ชิดขอบจดหมายด้านซ้าย หากมีหมายเลขโทรสาร ที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ควรระบุให้ครบถ้วน
3. ครูสนทนากับนักเรียนถึงขั้นตอน เพื่อความสะดวกในการติดต่อกลับ
การเขียนจดหมายกิจธุระวามีสวน นอกจากนี้ผู้เขียนจดหมายต้องค�านึงถึงหลักการเว้นบรรทัด และวรรคตอนให้ถูกต้องตามที่ได้
ประกอบใดบาง โดยใหนักเรียน ก�าหนดไว้ รวมถึงการใช้ซองจดหมายควรเป็นซองที่มีขนาดมาตรฐานหรือซองจดหมายราชการ
ชวยกันตอบ 84
(แนวตอบ หัวจดหมาย ลําดับที่ของ
จดหมาย เรื่อง คําขึ้นตน ฯลฯ)

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา ขอใดคือคําขึ้นตนและลงทายในการเขียนจดหมายกิจธุระ
1. เรียน ดวยความเคารพอยางสูง 2. เรียน ขอแสดงความนับถือ
3. กราบเรียน ขอแสดงความนับถือ 4. กราบเรียน ดวยความเคารพ
(วิเคราะหคําตอบ ตามรูปแบบการเขียนจดหมายกิจธุระจะใชคําขึ้นตนวา เรียน ลงทาย
84 คูมือครู ขอแสดงความนับถือ ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
นักเรียนทบทวนองคความรู
เกี่ยวกับขั้นตอนการเขียนจดหมาย
จดหมายกิจธุระ : เชิญวิทยากร กิจธุระ จากนั้นใหนําความรูมาเขียน
จดหมายกิจธุระเพื่อเชิญวิทยากร
ที่ ๑๕/๒๕๕๔ ๒ ชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
โรงเรียนอุดมวิทย์ มาบรรยายใหความรูเนื่องในงาน
๑๙ ถนนรามอินทรา ๑ สัปดาหวิชาการของโรงเรียน โดย
เขตบางเขน นักเรียนเปนผูสมมติวัน เวลา
กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐ สถานที่ในการจัดงาน ชื่อบุคคลและ
๑ ๑๒ บรรทัด
๘ เมษายน ๒๕๕๔ ๓ หัวขอในการบรรยายดวยตนเอง
๑ ๑๒
เรื่อง ขอความอนุเคราะห์เชิญเป็นวิทยากร ๔
๑ ๑๒
เรียน คุณไตรรัฐ ผาสุก ๕ ตรวจสอบผล
๑ ๑๒
สิ่งที่ส่งมาด้วย ก�าหนดการจัดงาน “วันลดภาวะโลกร้อน” ๖ 1. นักเรียนจับคูผลัดกันอานจดหมาย
๑ ๑๒ ของตนเองใหเพื่อนฟง และให
เนื่องด้วยชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะจัดงาน “วันลดภาวะโลกร้อน” ขึ้นในวันจันทร์ที่ ๒๙ เพื่อนตรวจสอบรูปแบบ โดยเทียบ
เมษายน ๒๕๕๔ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนตระหนักในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและรณรงค์ให้ช่วยกัน
ลดการใช้พลังงาน ทางโรงเรียนพิจารณาเห็นว่าท่านเป็นผูท้ รงคุณวุฒมิ คี วามรอบรูใ้ นเรือ่ งสิง่ แวดล้อมและการ เคียงกับตัวอยาง ในหนา 85 และ
ใช้พลังงานต่างๆ อย่างรู้คุณค่า จึงขอเรียนเชิญเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “เราจะมีส่วนช่วยลดภาวะโลกร้อน ๗ ความสมบูรณของเนื้อหาจาก
ได้อย่างไร” ให้นักเรียนจ�านวน ๔๕๐ คน ฟังในวันจันทร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ ณ ความเขาใจของผูประเมิน
หอประชุมโรงเรี๑ ยนอุดมวิทย์ 2. ครูสังเกตและตรวจสอบการ
๑๒
จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์เป็นวิทยากรบรรยายเรื่องดังกล่าวตามวันเวลาและสถานที่ ประเมินของนักเรียน โดยให
ข้างต้น และขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ๑ นักเรียนทุกคนไดมีสวนรวมในการ
๑๒
ขอแสดงความนับถือ ๘ ประเมิน
3. ครูเปนผูตรวจสอบความถูกตอง
๓ ๙ ของรูปแบบและความเปนไปได
(นายอมรทัศน์ รุ่งเรืองชัย) ๑๐
ของเนื้อหาจดหมายที่นักเรียน
ประธานชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ๑๑ เขียนขึ้น

๗ หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู
นายธรณินทร์ ก้องทวี นักเรียนนําจดหมายกิจธุระเชิญ
อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมฯ ๑๒ วิทยากรสงครูผูสอน
โทร. ๐๒-๒๘๘-๙๑๗๓ โทรสาร ๐๒-๒๘๙-๑๑๒๔
e-mail : conserve_en@hotmail.com

85

นักเรียนควรรู
วิทยากร หมายถึง ผูที่มีความรู ความสามารถในศิลปวิทยาแขนงตางๆ เชน
วิทยากรแนะนําการลงทุนทางดานเศรษฐกิจ

คูมือครู 85
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนทบทวนองคความรู
เกี่ยวกับขั้นตอนการเขียนจดหมาย
กิจธุระ จากนั้นใหนําความรูมาเขียน จดหมายกิจธุระ : ขอความอนุเคราะห์
จดหมายกิจธุระติดตอกับหนวยงาน
ที่ ๑๖ / ๒๕๕๔ ๒ ชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญ-
ราชการเพื่อขอความอนุเคราะห ซึ่ง ประโยชน์ โรงเรียนอรรถศักดิ์
นักเรียนกําหนดสถานการณ เพื่อ ๑
๑๙/๒ ถนนเทพพนม เขตดุสิต
ขอความอนุเคราะหดวยตนเอง กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
๑ ๑๒ บรรทัด
๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๓
๑ ๑๒
ตรวจสอบผล เรื่อง ขอความอนุเคราะห์จัดเจ้าหน้าที่ ต�ารวจจราจรดูแลความปลอดภัย ๔
๑ ๑๒
1. นักเรียนจับคูผลัดกันอานจดหมาย เรียน ผู้บังคับการสถานีต�ารวจนครบาล เขตดุสิต ๕
๑ ๑๒
ของตนเองใหเพื่อนฟงและให
สิ่งที่ส่งมาด้วย ก�าหนดเส้นทางเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ๖
เพื่อนตรวจสอบรูปแบบ โดยเทียบ ๑ ๑๒
เคียงกับตัวอยาง ในหนา 86 และ เนื่องด้วยชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์โรงเรียนอรรถศักดิ์จะจัดกิจกรรม “พาน้อง
ท่องเที่ยว” ขึ้นในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโลกทัศน์ของ
ความสมบูรณของเนื้อหาจาก น้องพิการจ�านวน ๒๕ คน กับพี่เลี้ยงอาสาจ�านวน ๒๕ คน ท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อให้เยาวชน
ความเขาใจของผูประเมิน รู้จักการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ทางชมรมพัฒนาท้องถิ่นฯ ใคร่ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่
2. ครูสังเกตและตรวจสอบการ ต�ารวจจราจรช่วยดูแลความปลอดภัยและอ�านวยความสะดวกให้แก่นกั เรียนคณะนีจ้ า� นวน ๒ ท่าน ทางชมรม

ประเมินของนักเรียน โดยให พัฒนาท้องถิ่นฯ จะส่งผู้แทนมารับที่สถานีต�ารวจก่อนออกเดินทางในเวลา ๗.๐๐ น.
๑ ๑๒
นักเรียนทุกคนมีสวนรวมในการ จึงเรียนมาเพื่อขอความอนุเคราะห์ และขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
ประเมิน ๑ ๑๒
ขอแสดงความนับถือ ๘
3. ครูเปนผูตรวจสอบความถูกตอง
ของรูปแบบและความเปนไปได ๓ ๙
ของเนื้อหาจดหมายที่นักเรียน
เขียนขึ้น (นายศุภกร เรืองฉวี) ๑๐
ประธานชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์ ๑๑

หลักฐาน ๗
แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนนําจดหมายกิจธุระ นายอัคร ก้องขจร
ขอความอนุเคราะหสงครูผูสอน อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมฯ
ชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์ ๑๒
โทร. ๐๒ - ๒๑๙-๔๖๗๖ โทรสาร ๐๒-๒๑๙-๔๖๗๗
e-mail : develop_soci@hotmail.com

86

86 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
นักเรียนทบทวนองคความรู
เกี่ยวกับขั้นตอนการเขียนจดหมาย
จดหมายกิจธุระ : ขอบคุณในความอนุเคราะห์ กิจธุระ จากนั้นใหนําความรูมาเขียน
จดหมายกิจธุระเพื่อขอบคุณในความ
ที่ ๓๖/๒๕๕๔ ๒ ชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญ-
ประโยชน์ โรงเรียนอรรถศักดิ์ อนุเคราะหของหนวยงานที่นักเรียน
๑ ไดเขียนขอความอนุเคราะหในฉบับ
๑๙/๒ ถนนเทพพนม เขตดุสิต
กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ ที่แลว
๑ ๑๒ บรรทัด
๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๓
๑ ๑๒
เรื่อง ขอขอบคุณ ๔ ตรวจสอบผล
๑ ๑๒
เรียน ผู้บังคับการสถานีต�ารวจนครบาล เขตดุสิต ๕ 1. นักเรียนจับคูกับเพื่อน ผลัดกันอาน
๑ ๑๒ จดหมายที่ตนเองเขียนขึ้นใหเพื่อน
ตามที่ชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์ โรงเรียนอรรถศักดิ์ ได้จัดกิจกรรม “พาน้อง
ท่องเที่ยว” เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ และได้ขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานของท่านให้จัดเจ้าหน้าที่ ฟง และใหเพื่อนตรวจสอบความ
ต�ารวจจราจรมาดูแลความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง ท�าให้น้องผู้พิการได้รับการดูแลความปลอดภัยเป็น ถูกตองของรูปแบบ โดยเทียบเคียง
อย่างดี ๗ กับตัวอยางในหนา 87 และความ
๑ ๑๒
ชมรมพัฒนาท้องถิ่นฯ ขอขอบคุณหน่วยงานของท่านเป็นอย่างยิ่งและหวังว่าคงจะได้รับความ สมบูรณของเนื้อหาจากความ
อนุเคราะห์จากท่านในโอกาสต่อไป เขาใจของผูประเมิน
๑ ๑๒
ขอแสดงความนับถือ ๘
2. ครูสังเกตและตรวจสอบการ
ประเมินของนักเรียน โดยให
๓ ๙ นักเรียนทุกคนไดมีสวนรวมใน
การประเมิน
(นายศุภกร เรืองฉวี) ๑๐
ประธานชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์ ๑๑
3. ครูเปนผูตรวจสอบความถูกตอง
ของรูปแบบและความเปนไปได
ของเนื้อหาจดหมายที่นักเรียน
๗ เขียนขึ้น

นายอัคร ก้องขจร
อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมฯ หลักฐาน
ชมรมพัฒนาท้องถิ่นและบ�าเพ็ญประโยชน์ ๑๒ แสดงผลการเรียนรู
โทร. ๐๒ - ๒๑๙-๔๖๗๖ โทรสาร ๐๒-๒๑๙-๔๖๗๗
e-mail : develop_soci@hotmail.com นักเรียนนําจดหมายกิจธุระ
ขอบคุณในความอนุเคราะห
จดหมายกิจธุระทั้ง ๓ ประเภท เป็นจดหมายกิจธุระที่โรงเรียนติดต่อกับบุคคลและหน่วยงาน สงครูผูสอน
ราชการเพือ่ ขอความอนุเคราะห์และขอบคุณ ดังนัน้ จึงต้องใช้ภาษาแบบแผนในการติดต่อสือ่ สาร สร้าง
ความประทัับใจเพื่อให้ผู้รับจดหมายยินดีท�าตามค�าร้องขอรวมถึงรู้สึกยินดีที่ได้ให้ความอนุเคราะห์
87

คูมือครู 87
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูรวมสนทนากับนักเรียน โดยเลา
สถานการณปจจุบันวาความเจริญ
กาวหนาทางเทคโนโลยีไดเพิ่มชอง ๖ การกรอกแบบสมัครงาน
ทางการสื่อสาร ทําใหสามารถติดตอ การเขียนมีความส�าคัญและจ�าเป็นต่อการสือ่ สารในชีวติ ประจ�าวัน โดยเฉพาะเกีย่ วกับอาชีพการ
สื่อสารในเรื่องกิจธุระการงานตางๆ ติดต่อทางกิจธุระต่างๆ จะมีการกรอกแบบรายการทั่วไปเสมอ
ไดรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมไปถึงการกรอก แบบรายการ หมายถึง แบบส�าหรับใช้กรอกข้อความที่หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานภาค
แบบสมัครงาน ในปจจุบันผูที่จะ เอกชนจัดท�าขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน
สมัครงานสามารถเขาไปกรอกแบบ
สมัครงานผานทางเว็บไซตของบริษัท
๖.๑ ประเภทของแบบกรอกรายการ แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ
โดยตรง หรือกรอกขอมูลเพื่อฝาก ๑) แบบกรอกรายการที่ใช้เป็นหลักฐาน เช่น ใบสมัครงาน ใบตอบรับสินค้า
ประวัติไวกับเว็บไซตจัดหางาน จาก แบบกรอกรายการยืมคืนระหว่างห้องสมุด แบบสัญญาซื้อขาย แบบสัญญากู้เงิน แบบกรอกรายการ
สถานการณนี้ ดังกล่าวส่วนใหญ่มีรูปแบบเฉพาะเป็นมาตรฐาน อาจมีรายการแตกต่างกันบ้างแต่มีใจความส�าคัญ
• นักเรียนคิดวาการเรียนรูเรื่อง เช่นเดียวกัน
การกรอกแบบสมัครงานยังคง ๒) แบบกรอกรายการที่เป็นแบบประเมินผล เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
มีความสําคัญอยูหรือไม เพราะ แบบสอบถามความคิดเห็น ความพึงพอใจในการใช้ผลิตภัณฑ์ สินค้าหรือบริการต่างๆ แบบกรอกรายการ
เหตุใด
จะมีรูปแบบเนื้อหา แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของการประเมินผล ในที่นี้จะกล่าวถึงการกรอก
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดง
แบบรายการที่ใช้เป็นหลักฐานประเภทแบบสมัครงาน ดังนี้
ความคิดเห็นไดอยางอิสระ โดย
ครูคอยชี้แนะ) ๖.๒ แนวทางการกรอกแบบสมัครงาน
๑. ศึกษาและท�าความเข้าใจว่าเอกสารที่ต้องกรอกมีรายละเอียดใดบ้าง
๒. อ่านแบบกรอกรายการนั้นให้ถูกต้องครบถ้วนว่าผู้รับสมัครงานต้องการทราบ
สํารวจคนหา เกี่ยวกับอะไร หากมีข้อสงสัยให้สอบถาม
1. ครูนําตัวอยางแบบสมัครงานของ ๓. เขียนข้อความด้วยตนเองโดยเขียนให้อา่ นง่ายและเขียนรายละเอียดทีจ่ า� เป็นให้ชดั เจน
บริษัท หางราน เอกชนตางๆ ที่ เช่น ชื่อ เพศ อายุ การศึกษา ประสบการณ์การท�างาน ความสามารถพิเศษโดยเฉพาะคุณสมบัติที่ทาง
สามารถหาไดหรือ Download บริษัทต้องการ
ผานทางเว็บไซตมาแสดงให ๔. แจ้งสถานที่และวิธีที่จะติดต่อได้สะดวกโดยให้ข้อมูลไว้หลายช่องทาง เช่น ที่อยู่
นักเรียนดู 5 ตัวอยาง
ปัจจุบัน ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
2. ครูแบงกลุมนักเรียนออกเปน 5
๕. รักษาความสะอาดไม่ให้มีรอยขูดลบขีดฆ่า เพราะความสะอาดนับเป็นสิ่งแรกที่
กลุม สํารวจแบบสมัครงานกลุมละ
1 ตัวอยาง เพือ่ คนหาวาถานักเรียน สะท้อนลักษณะนิสัยของผู้กรอกแบบสมัครงาน
จะตองเปนผูกรอกแบบสมัครงาน ยความรอบคอบ โดยเฉพาะรายละเอียดที่ส�าคัญ เช่น
๖. ตรวจทานข้อความที่กรอกด้วยความรอบคอบ
นี้จะตองกรอกขอมูลใดบาง บันทึก การท�าสัญญา การวางมัดจ�า การช�าระเงิน เงื่อนไขต่างๆ ชื่อ - นามสกุล ในเอกสารที่เกี่ยวข้องทาง
ลงสมุด กฎหมาย เขียนตัวสะกดการันต์ให้ถูกต้อง

88
นักเรียนควรรู
ตรวจทานขอความ การตรวจทาน
เอกสารหลักฐานหลังจากกรอกเสร็จเรียบรอยแลว เปนสิ่งที่ควรกระทําและมีความสําคัญมาก
เพราะในบางครั้งผูสมัครงานอาจพลาดโอกาสสําคัญ เพียงเพราะไมตรวจทานขอความหลังจาก
การกรอกเสร็จ พึงระลึกไวเสมอวาหลังจากเสร็จสิ้นการเขียนทุกครั้งควรตรวจทานความเรียบรอย
ในงานเขียนของตนเองทุกประเภทไมเฉพาะเพียงแคแบบสมัครงานเทานั้น

88 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู
นักเรียนในหองรวมกันอธิบาย
ความรู โดยครูตั้งคําถามกับนักเรียน
การเขียนบรรยายความรู้และทักษะของตนเองที่เหมาะสม วา
• จากแบบสมัครงานที่นักเรียน
ไดสํารวจคนหานั้น นักเรียนจะ
ตองกรอกขอมูลใดลงไปบาง
(แนวตอบ
• ขอมูลสวนตัว อันไดแก
ชื่อ-นามสกุล ชื่อเลน
วันเดือนปเกิด ภูมิลําเนา
• ขอมูลดานการศึกษา จะตอง
กลาวถึงประวัติการศึกษา
และผลงาน
• ประสบการณพิเศษ (ถามี)
เชน เคยปฏิบัติงานที่อื่นมา
กอน ก็ตองกรอกใหครบถวน
จนถึงปจจุบัน
• ความรู ความสามารถพิเศษ
• เอกสารที่นํามาประกอบ
การสมัครงาน เปนตน)
• นักเรียนมีแนวทางใน
การกรอกแบบสมัครงานอยางไร
(แนวตอบ
1. อานและศึกษาทําความเขาใจ
แบบสมัครงาน ถามีขอสงสัย
ควรซักถาม
2. เขียนขอความดวยลายมือ
ของตนเองที่อานงาย สะอาด
เรียบรอย
3. ระบุขอมูลใหชัดเจนตาม
ที่ทางบริษัทตองการทราบ
4. แจงชองทางการติดตอกลับไว
หลายชองทาง เชน โทรศัพท
บาน โทรศัพทมือถือ E-mail
89 5. ตรวจทานขอความใหครบถวน
และถูกตอง)

คูมือครู 89
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูกระตุนใหนักเรียนทบทวน
ความเขาใจในแนวทางการกรอก
แบบสมัครงาน จากนั้นครูแจก
แบบสมัครงานที่ครูกําหนดขึ้นเอง
ใหนักเรียนเปนผูกรอก โดยสมมติ
ตนเองเปนผูสมัครงานในตําแหนง
ตางๆ โดยใชแนวทางที่ไดศึกษา

90

90 คูมือครู
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate
Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล
1. นักเรียนจับคูกับเพื่อน แลกเปลี่ยน
กันอานแบบสมัครงาน และชวยกัน
การกรอกแบบสมัครงาน ต้องกรอกด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะการกรอกแบบรายการที่ ตรวจสอบวาเพื่อนไดกรอกขอมูล
ใช้เป็นหลักฐานต่างๆ เช่น การช�าระเงินหรือใบสมัครงาน ส�าหรับการกรอกแบบรายการที่เป็นแบบ ทีท่ างบริษทั ตองการทราบครบถวน
ประเมินผลควรให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับสภาพหรือบริการที่ได้รับ เพื่อให้ข้อมูลที่กรอกนั้นสามารถน�าไป หรือไม จากนัน้ ทุกคนนําสงครู โดย
ใช้ประโยชน์ได้ ครูเปนผูตรวจสอบความถูกตอง
ขั้นสุดทาย
การเขียนสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ผู้เขียนควรคÓนึงถึงการใช้ภาษาให้สามารถ 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
สื่อสารได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ มีความเหมาะสมกับเนื้อหา นอกจากนี้ยังต้องศึกษา การเรียนรู
รูปแบบและองค์ประกอบของการเขียนแต่ละประเภท เพือ่ ให้การเขียนสือ่ สารในแต่ละครัง้
มีความสมบูรณ ์ น่าอ่าน และสามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้สัมฤทธิผล
หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนนําแบบสมัครงานที่กรอก
ดวยลายมือที่สวยงามของตนเองสง
ครูผูสอน

91

คูมือครู 91
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
1. การยอความมีประโยชนตอ คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
การเรียน เพราะชวยทําใหรับรู
เนื้อหาสาระของเรื่องราวตางๆ ๑. ทักษะการยอความมีประโยชนตอการเรียนของนักเรียนอยางไร จงอธิบาย
ไดมากขึ้น ภายในระยะเวลาที่ ๒. การเขียนชีวประวัติและอัตชีวประวัติ มีหลักการเขียนอยางไร
จํากัด และสามารถนํากลับไป ๓. การเขียนจดหมายกิจธุระ สามารถนําไปประยุกตใชในชีวิตประจําวันไดอยางไร
คนควาเพิ่มเติมไดภายหลัง ๔. การเขียนสุนทรพจนที่ดี ควรมีแนวทางการเขียนอยางไร จงอธิบาย พรอมยกตัวอยางประกอบ
2. การเขียนชีวประวัติและ ๕. ขอควรคํานึงที่นักเรียนตองปฏิบัติในการกรอกแบบสมัครงานมีอะไรบาง จงอธิบาย
อัตชีวประวัติ มีแนวทาง ดังนี้
• เขียนดวยความบริสุทธิ์ใจ
• เขียนจากบุคคลที่มีตัวตนอยู
จริง อาจมีชีวิตอยูหรือเสีย
ชีวิตไปแลวก็ได
• ควรเลือกเขียนประวัติของ
บุคคลที่มีความนาสนใจเปน
แบบอยางในการดําเนินชีวิต
ใหแกผูอาน
• เขียนดวยสํานวนกลางๆ
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
นําเสนอเรื่องราวไปตามที่
ปรากฏไมยกยองจนเกินเหตุ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเขียนบทสุนทรพจนสําหรับใชพูดภายในเวลา ๓ นาที ใหขอคิดเกี่ยวกับ
3. การเขียนจดหมายกิจธุระ คติธรรมและคุณธรรม เชน ความกตัญู ความสามัคคี ความมีวินัย เปนตน
จากนั้นใหนําเสนอหนาหองเรียน
สามารถนําไปประยุกตใช
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนทั้งหองจัดกิจกรรมสัปดาหวิชาการ โดยเขียนจดหมายเชิญวิทยากรเพื่อมา
ในชีวิตประจําวันไดทั้งใน
บรรยายความรูแกนักเรียนในหัวขอที่กําหนด โดยมีครูผูสอนเปนผูดูแลโครงการ
ปจจุบันและอนาคต เชน ใน กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเขียนอัตชีวประวัติของตนเอง ความยาวไมเกิน ๑ หนากระดาษ A๔ นํามา
ปจจุบันนักเรียนอาจจะตองมี อานใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียนและเลือกเขียนยอความชีวประวัติของเพื่อนที่ตนเอง
การจัดกิจกรรมของโรงเรียน ประทับใจ แลวนําสงครูผูสอน
นักเรียนก็จะตองเขียนจดหมาย
กิจธุระเพื่อเชิญวิทยากร ใน
อนาคตนักเรียนอาจนําความรู
เรื่องการเขียนจดหมายกิจธุระ
เพื่อไปใชเขียนสมัครงานแนบไป
กับแบบสมัครงาน
4. การเขียนสุนทรพจนที่ดี ผูเขียน 92
ควรมีการเตรียมเนื้อหาซึ่งเปน
แนวความคิดของผูเขียนไมควร
ลอกเลียนแบบผูอื่น มีเนื้อหา
กระตุนเตือนใหเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และเตรียมถอยคําใหมีความไพเราะ ชัดเจน สื่อความหมายลึกซึ้งกินใจ
5. การกรอกแบบสมัครงานที่ดี ผูกรอกควรอานแบบสมัครงานใหเขาใจเสียกอนวาบริษัทตองการทราบขอมูลใดบาง และจะตองกรอกขอมูลใหครบ
ถวนตามความเปนจริงใหแกบริษัท ระบุชองทางการติดตอกลับที่สะดวกรวดเร็ว ตรวจทานความถูกตอง ครบถวน และชัดเจนของขอมูล ที่สําคัญ
พึงรักษาความสะอาดเรียบรอย เพราะความสะอาดเปนสิ่งแรกที่จะทําใหเจาของบริษัทนัดหมายมาสัมภาษณ)

92 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

เปาหมายการเรียนรู
1. เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความ
คิดเห็นและโตแยงอยางมีเหตุผล
2. เขียนวิเคราะห วิจารณและแสดง
ความรูความคิดเห็นหรือโตแยงใน
เรื่องตางๆ
3. เขียนรายงานการศึกษาคนควา
และโครงงาน

กระตุนความสนใจ
1. ครูใหนักเรียนดูภาพประกอบหนา
หนวย จากนั้นครูตั้งคําถามกับ
นักเรียนวา
• บุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใดและสถานการณ
ดังกลาวตองใชทักษะการ
สื่อสารใดบาง

ó
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
หนวยที่ 2. ครูนําวีดิทัศนเกี่ยวกับการแสดง
การเขียนเพื่อการสื่อสาร ๒ ความคิดเห็นที่แตกตางกันของ
บุคคลในสังคมประชาธิปไตยมา
ตัวชี้วัด ใหนักเรียนฟงและดู
■ เขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็นและโตแยงอยาง การเขียนเปนกลวิธีอยางหนึ่งที่ใช 3. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการ

มีเหตุผล (ท ๒.๑ ม.๓/๖)
เขียนวิเคราะห วิจารณและแสดงความรู ความคิดเห็นหรือโตแยง
สําหรับการสือ่ สาร ผูเ ขียนทีด่ ยี อ มติดตอ แสดงความคิดเห็นดังกลาว ยอม
ในเรื่องตางๆ (ท ๒.๑ ม.๓/๗) สื่อสารกับผูอื่นไดอยางมีประสิทธิภาพ กระทําไดในทุกระดับดวยการพูด
เขียนรายงานการศึกษาคนควาและโครงงาน (ท ๒.๑ ม.๓/๙)

การฝ ก ฝนการใช ภ าษาเพื่ อ การเขี ย นใน หรือเขียน โดยแตละฝายจะตองใช


สาระการเรียนรูแกนกลาง ประเภทตางๆ การเรียนรูและฝกฝนการ ขอมูลซึ่งเปนขอเท็จจริงที่สามารถ
■ การเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และ เขียนใหถูกตองและมีความเหมาะสมในแตละ พิสูจนไดไมใชการโตแยงหรือ

โตแยงในเรื่องตางๆ
การเขียนวิเคราะห วิจารณและแสดงความรู ความคิดเห็น รูปแบบ จะทําใหสามารถสื่อสารไดสัมฤทธิผล ทะเลาะกัน
หรือโตแยงจากสื่อตางๆ เชน บทโฆษณา บทความทาง
วิชาการ ตามที่ตองการ
■ การเขียนรายงานจากการศึกษาคนควาและรายงาน
โครงงาน

คูมือครู 93
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกระตุนกับนักเรียน
เพื่อนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน
• หากนักเรียนไดรับมอบหมาย ๑ การเขียนอธิบาย ชี้แจง โต้แย้ง แสดงความคิดเห็น
ใหทําหนาที่บอกขั้นตอนการ อย่างมีเหตุผล
ประดิษฐที่ใสดินสอซึ่งผลิตจาก การเขียน หมายถึง ทักษะการสือ่ สารด้วยการใช้สญ ั ลักษณ์ หรือตัวอักษรในการถ่ายทอดความรู ้
กระดาษชานออย นักเรียนจะใช ความคิด ความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้เขียนไปยังผู้อ่าน
วิธีการเขียนแบบใด
ทักษะการเขียนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะกระบวนการเขียนย่อมประกอบด้วยหลักเกณฑ์
(แนวตอบ การเขียนอธิบายเพราะ
การเขียนอธิบาย คือ การเขียน วิธีการในการถ่ายทอด ซึ่งเปรียบได้กับศาสตร์แขนงหนึ่ง ทั้งยังมีศิลปะด้วยการเลือกใช้ภาษาให้งดงาม
เพื่อชี้แจง อธิบายวิธีใช วิธีทํา ถูกต้องเหมาะสมและสามารถสือ่ อารมณ์ ความรูส้ กึ ของผูเ้ ขียน สามารถจ�าแนกการเขียนออกได้เป็น ๒
ขั้นตอนการทําสิ่งของตางๆ) ประเภท คือการเขียนร้อยแก้วและการเขียนร้อยกรอง โดยในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะการเขียนร้อยแก้ว
๑.๑ การเขียนอธิบาย
สํารวจคนหา การเขียนอธิบาย คือการเขียนเพือ่ ชีแ้ จง อธิบายวิธใี ช้ วิธที า� ขัน้ ตอนการท�า เพือ่ ให้ผอู้ า่ นเข้าใจ
และสามารถปฏิบัติตามได้ เช่น อธิบายการใช้ยา ขั้นตอนการปรุงอาหาร ตลอดจนทฤษฎีหรือ
1. นักเรียนรวมกันคนหาตัวอยางการ
เขียนอธิบาย 5 ประเภท จากหัวขอ ต�าราวิชาการต่างๆ โดยงานเขียนประเภทนี้ ผู้เขียนควรระมัดระวังการใช้ภาษาให้กระชับ เข้าใจง่าย
ตอไปนี้ เป็นล�าดับขั้นตอน
• อธิบายขั้นตอนการทํางาน ๑) แนวทางการเขียนอธิบาย การเขียนประเภทนี้ผู้เขียนจะต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิด
• อธิบายขั้นตอนการประดิษฐ ความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้ โดยมีแนวทางการเขียน ดังนี้
สิ่งของ ๑. ควรเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่ารู้
• อธิบายขั้นตอนการใชยา
๒. ควรเป็นเรื่องที่ต้องการค�าอธิบาย โดยเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจที่ต้องการ
• อธิบายวิธีการปลูกตนไม
การอธิบายเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม
• อธิบายวิธีการอานอยางมี
ประสิทธิภาพ ๓. ควรใช้ถ้อยค�า ภาษา ให้มีความกระชับรัดกุม ไม่ใช้ภาษาเพื่อการพรรณนา
โดยแบงกลุมนักเรียนออกเปน 5 ๔. ควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ใช้ค�าศัพท์ที่ยาก ศัพท์ทางวิชาการหรือค�าที่ตีความ
กลุม และสงตัวแทนออกมาจับ ได้หลายความหมาย
สลาก สํารวจวาการเขียนอธิบาย ๕. ควรล�าดับขัน้ ตอนการปฏิบัตติ ั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยการกล่าวเป็นข้อๆ เพื่อช่วยให้
ที่กลุมของตนเองศึกษานั้น มี เข้าใจง่ายขึ้นและผู้อ่านสามารถปฏิบัติตามได้
แนวทางการเขียนอยางไร บันทึก ๖. ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ เพื่อเป็นการต่อยอดองค์ความรู้
ลงสมุด ทางด้านสหวิทยาการต่างๆ ของผู้อ่านให้พัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง
2. นักเรียนในแตละกลุมสํารวจคนหา
ในบทเรียนนี้จะแสดงตัวอย่างการเขียนอธิบายขั้นตอนการท�าเครื่องดื่ม ซึ่งในปัจจุบันนี้
แนวทางการเขียนอธิบายจาก
มีงานเขียนประเภทนี้เป็นจ�านวนมากที่มีลักษณะการเขียนอธิบายขั้นตอนการท�า เช่น อาหาร เบเกอรี
หนังสือเรียน ในหนา 94 หรือจาก
เว็บไซตทางการศึกษา เชน งานประดิษฐ์ต่างๆ
www.trueplookpanya.com 94

อธิบายความรู
นักเรียนรวมกันอธิบายความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียนอธิบายเพื่อใหไดแนวทางที่ถูกตองรวมกัน
(แนวตอบ 1. เลือกเรื่องที่เปนที่นาสนใจ 2. ควรใชถอยคําภาษาใหมีความกระชับรัดกุม
3. ลําดับขั้นตอนตั้งแตตนจนจบ 4. ใหขอมูลที่ถูกตองและเปนประโยชน)

94 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
การเขียนอธิบายใหแกนักเรียน
การเขียนอธิบาย จากนั้นนักเรียนในแตละกลุม
รวมกันเขียนอธิบายในหัวขอทีก่ ลุม
น�้าบีทรูท ตนเองจับสลากไดโดยใชแนวทาง
บีทรูท เป็นผักเมืองหนาว จัดเป็นหัวผักกาดที่มีทรงกลมป้อม เปลือกด�า เนื้อมีสีแดง การเขียนที่ไดศึกษา
เลือดหมูหรือสีม่วงแดง เมื่อปอกสีจะติดมือ มีถิ่นก�าเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ถ้าจะน�ามา 2. นักเรียนแตละคนเขียนอธิบาย
ประกอบอาหารควรเลือกบีทรูทสด ผิวไม่เหี่ยว จับดูเนื้อไม่นิ่ม ล้างบีทรูททั้งเปลือกให้สะอาดก่อน ขั้นตอนการผลิตนํ้าผลไม โดย
ปอกเปลือก และผ่าครึ่งลูกล้างด้วยน�้าเกลือเจือจางหรือแช่น�้า เลือกใชผลไมที่นักเรียนชื่นชอบ
ด่างทับทิม เนื้อของบีทรูทเต็มไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม และสามารถนํามาปรุงไดจริง โดย
ตลอดจนมีสารสีแดง คือ เบทานิน ใชแนวทางที่ไดศึกษา
ส่วนผสม
บีทรูทสด ๒ หัว
น�้าสะอาด ๑ ถ้วย ตรวจสอบผล
น�้าตาลทราย ๑/๒ ถ้วย นักเรียนนําผลงานการเขียน
เกลือป่น ๑/๓ ช้อนชา อธิบายของตนเองมาอานใหครูและ
วิธีท�า เพื่อนๆ ฟงหนาชั้นเรียน โดยครู
๑. น�าบีทรูทมาปอกเปลือก แล้วล้างน�้าให้สะอาด หั่นเป็นฝอยเล็กๆ และเพื่อนชวยกันประเมินการเขียน
๒. ใส่เครื่องปัน เติมน�้า และกรองเอากากออก อธิบายโดยตรวจสอบจากความ
๓. ใส่หม้อเคลือบตั้งไฟ แล้วเติมน�้าตาลทรายและเกลือให้ได้รสชาติ เขาใจของผูฟงวาเขาใจขั้นตอนที่ระบุ
ตามที่ต้องการ ไวหรือไม โดยครูเปนผูชี้แนะแนวทาง
ที่ถูกตองใหแกนักเรียน
๔. ถา้ ต้องการเพิม่ รสชาติ ให้ผสมน�า้ สับปะรด น�า้ ส้ม น�า้ มะนาว และ
น�้าเสาวรสเข้าไป เพราะจะท�าให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานขึ้น
สรรพคุณทางยา หลักฐาน
ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง ช่วยท�าให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของ แสดงผลการเรียนรู
โลหิตดีขึ้น เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้บวม แก้บิด และ นักเรียนเขียนอธิบายขั้นตอนการ
ช่วยให้เจริญอาหาร ผลิตนํ้าผลไมสงครูผูสอน

จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการเขียนอธิบายที่ผู้อธิบายเริ่มต้นด้วยการเกริ่นน�ารูปลักษณะเฉพาะ
ของบีทรูท วิธีในการน�ามาเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร จากนั้นจึงได้อธิบายวิธีการท�าน�้าบีทรูท โดย B
เริม่ ต้นจากการเตรียมส่วนผสม วิธที า� เป็นขัน้ ตอนโดยจัดล�าดับความส�าคัญเป็นข้อๆ ท�าให้สามารถปฏิบตั ิ B พื้นฐานอาชีพ
ตามได้โดยง่าย ทักษะทางดานการเขียนมีความ
สําคัญตอการประกอบอาชีพใน
95 อนาคต การเขียนอธิบายสามารถนํา
ไปประยุกตใชกับสาขาวิชาชีพอื่นได
เชน ถานักเรียนประกอบอาชีพเปน
ผูผลิตสินคารายยอยแลวตองการ
เผยแพรกรรมวิธีในการผลิตของตน
NET ขอสอบป 52 นักเรียนก็จะตองมีทักษะในการเขียน
ขอสอบถามวา ขอใดเปนการเขียนเชิงอธิบาย อธิบาย เปนตน
1. ดึกดื่นคืนนี้ ลมหนาวพัดโชยมา 2. ปรุงรสใหแซบหนอ ใสมะละกอลงไป
3. ใหแสงสุกใส ไดเปนเสมือนดวงตา 4. ไมตองหวงวาฉันเปลี่ยนหัวใจ
(วิเคราะหคําตอบ การเขียนอธิบาย คือ การอธิบายขั้นตอนการทําสิ่งตางๆ ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
คูมือครู 95
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูนําตัวอยางประกาศของกรม
อุตุนิยมวิทยามาอานใหนักเรียนฟง
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๑.๒ การเขียนชีแ้ จง
• นักเรียนคิดวา ประกาศของกรม การเขียนชี้แจงมีลักษณะคล้ายกับการเขียนอธิบาย คือเป็นการเขียนเพื่อชี้แจงเรื่องราว หรือ
อุตุนิยมวิทยา มีลักษณะเปนการ เหตุการณ์ ขั้นตอน อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการเขียนเช่นเดียวกับการเขียนอธิบาย
เขียนชี้แจงหรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ การเขียนชี้แจง
ตอบไดอยางหลากหลายตาม
ความรูและความเขาใจสวนตน ยูเนสโกประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจ�าแห่งโลก
ซึ่งครูควรชี้แนะวาประกาศของ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารหรือวัดโพธิ ์
กรมอุตุนิยมวิทยามีลักษณะการ คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจ�าแห่งโลกขององค์การศึกษา วิทยาศาสตร์
ชี้แจงในเรื่องหนึ่งเรื่องใด ในที่นี้ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก แถลงข่าวการประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็น
คือ สภาพอากาศเปนการชี้แจง มรดกความทรงจ�าแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติแล้ว เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ
ใหประชาชนเตรียมตัวรับมือ เมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร
กับสภาพอากาศตางๆ โดย คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจ�า
หนวยงานมีการชี้แจงถึงสาเหตุ แห่งโลกฯ ประเทศไทย กล่าวว่า จารึกวัดโพธิ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนมรดกความทรงจ�าแห่งโลกมีจ�านวน
และผลอยางชัดเจน) ๑,๔๔๐ ชิน้ แบ่งเป็นความเรียงและบทกลอน มีเนือ้ หาสาระแยกออกเป็นหมวดหมูท่ รี่ วบรวมสรรพ-
วิชาต่างๆ เพือ่ ให้ผคู้ นทุกชนชัน้ ได้ศกึ ษา เช่น ภูมปิ ญ
ั ญาการรักษาโรคด้วยการนวด ซึง่ เป็นความรูท้ ี่
สํารวจคนหา มีประโยชน์ตกทอดมาถึงคนรุน่ หลัง พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวม
1. นักเรียนอานตัวอยางการเขียน ความรู้ที่มีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาน�ามาจารึกไว้ เพราะเกรงว่าจะสูญหาย
ชี้แจงเรื่อง “ยูเนสโกประกาศ “จารึกวัดโพธิ์มีคุณค่าในด้านความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่อาจทดแทนได้ หากสูญหายหรือ
รับรองจารึกวัดโพธิ์เปนมรดก เสื่อมสภาพนับเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ หาเอกสารอื่นใดมาเปรียบเทียบไม่ได้ ด้าน
ความทรงจําแหงโลก” เพื่อสํารวจ ความเป็นของแท้ ไม่ใช่ลอกเลียนหรือของปลอม และด้านความเป็นสากล คือเป็นเอกสารทีผ่ ลิตขึน้
คนหาแนวทางการเขียนชี้แจงจาก ในช่วงเวลาส�าคัญในอดีต และมีความส�าคัญต่อเนื่องยั่งยืนตลอดไป ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทาง
ตัวอยางและบันทึกลงสมุด สังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องฤๅษีดัดตนเป็นความรู้ที่สากลมาก” คุณหญิงแม้นมาสกล่าว
2. นักเรียนคนหาแนวทางการเขียน เนือ้ หาจารึกวัดโพธิแ์ บ่งเป็นหมวดประวัตศิ าสตร์ มีจารึกรัชกาลที ่ ๑ เรือ่ งสร้างวัดพระเชตุพนฯ
ชี้แจงจากแหลงเรียนรูอื่นๆ เชน จารึกรัชกาลที ่ ๑ เรือ่ งพระธาตุนครน่าน รายการปฏิสงั ขรณ์วดั พระเชตุพนฯ ถอดจากโคลงดัน้ และ
หนังสือเสริมความรูเรื่องการเขียน รายการแบ่งด้านปฏิสังขรณ์ถอดจากโคลง หมวดพระพุทธศาสนา มีจารึกเรื่องพระสาวกเอตทัคคะ
ประเภทตางๆ หรือจากเว็บไซต
จารึกเรื่องอุบาสกเอตทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสิกาเอตทััคคะ จารึกเรื่องอศุภ ๑๐ และญาณ ๑๐
ทางการศึกษา
จารึกเรือ่ งฎีกาพาหุง จารึกเรือ่ งพระพุทธบาท จารึกเรือ่ งธุดงค์ ๑๓ จารึกเรือ่ งชาดก ตอนนิทานกถา
จารึกเรื่องมหาวงศ์ จารึกเรื่องนิรกถา และจารึกเรื่องเปรตกถา
@
มุม IT
96
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของ
ยูเนสโกไดจาก เว็บไซตของมูลนิธิวิกิ
มีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/
องคการการศึกษา_วิทยาศาสตร
_และวัฒนธรรมแหงสหประชาชาติ

96 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
1. นักเรียนรวมกันแลกเปลี่ยน
ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควา
หมวดวรรณคดี จารึกเรื่องนารายณ์ ๑๐ ปาง และเรื่องเบื้องต้นรามเกียรติ์ จารึกเรื่อง ดวยตนเอง ครูใหเวลาในการ
สิบสองเหลี่ยม หมวดท�าเนียบ เรื่องสมณศักดิ์ และหัวเมืองขึ้นกรุงสยาม หมวดประเพณี เรื่อง แลกเปลี่ยนถายทอดความรูเปน
เมืองมอญกวนข้าวทิพย์ เรื่องมหาสงกรานต์และริ้วกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราสถลมารค จ�าพวก เวลา 10 นาที
บทกลอน อาทิ โคลงดัน้ เรือ่ งการปฏิสงั ขรณ์วดั พระเชตุพนฯ และโคลงบอกด้านการปฏิสงั ขรณ์ จารึก 2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ต�าราฉันท์วรรณพฤติ จารึกต�าราฉันท์มาตราพฤติ จากต�าราเพลงยาวกลบท จารึกต�าราโคลงกลบท อธิบายความรูเกี่ยวกับแนวทาง
และจารึกโคลงภาพเรื่องรามเกีียรติ์ จารึกฉันท์กฤษณาสอนน้องและจารึกฉันท์พาลีสอนน้อง... การเขียนชี้แจงที่ดี
3. นักเรียนรวมกันสรุปแนวทางการ
ส่วนแผนการอนุรักษ์จารึกวัดโพธิ์ คณะกรรมการแห่งชาติฯ ได้ร่วมมือกับกรมศิลปากร
เขียนอธิบายและการเขียนชี้แจงซึ่ง
ด�าเนินการดูแลและปกป้องสมบัตอิ นั ล�า้ ค่าของชาติให้คงทน ปลอดภัยและไม่ถกู ภัยธรรมชาติ น�า้ ท่วม
มีลักษณะคลายกันลงในสมุด
แผ่นดินไหว และฝีมอื มนุษย์ทา� ลายจนเสียหายได้ จากนีไ้ ปจะเผยแพร่จารึกวัดโพธิใ์ ห้เข้าถึงประชาชน
มากที่สุด...
ขณะนีไ้ ด้รบั รายงานจาก ม.ร.ว.รุจยา อาภากร กรรมการในคณะกรรมการว่าด้วยแผนงาน ขยายความเขาใจ
มรดกความทรงจ�าของไทยว่า ยูเนสโกได้ประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจ�า ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
แห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ (International Register) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการทีป่ รึกษา การเขียนชี้แจง จากนั้นใหนักเรียน
นานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจ�าแห่งโลกของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๐ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม เขียนชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ ซึ่ง
ที่ผ่านมา ณ เมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร นักเรียนเปนผูกําหนดเอง โดยใช
คุณหญิงแม้นมาสกล่าวว่า วัดโพธิ์เคยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจ�าของโลก
แนวทางที่ไดศึกษา
ของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (Regional Register) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ หลังจากนั้นคณะกรรมการ
แห่งชาติฯ ได้ด�าเนินการส�ารวจจัดท�าทะเบียนและถ่ายภาพแผ่นจารึกวัดโพธิ์จ�านวน ๑,๔๔๐ ชิ้น ตรวจสอบผล
และจัดท�าแผนอนุรักษ์ตามแนวทางของยูเนสโก ซึ่งคณะกรรมการแห่งชาติฯ เห็นว่าควรเสนอ นักเรียนนําการเขียนชี้แจงมาอาน
จารึกวัดโพธิ์ให้ขึ้นบัญชีนานาชาติด้วย ตนและคณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้ยูเนสโกพิจารณา หนาชั้นเรียน ครูประเมินดวยวิธีการ
เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๔ และได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ของยูเนสโก ตรวจสอบจากความเขาใจของผูฟง
จนถึงขั้นตอนสุดท้าย เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงาน โดยสุมเรียกชื่อเพื่อตอบคําถามวา
ความทรงจ�าแห่งโลกของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๐ ที่เมืองแมนเชสเตอร์ มีมติเอกฉันท์ให้จารึกวัดโพธิ์ เพื่อนชี้แจงในเรื่องใด ถานักเรียนที่
เป็นมรดกแห่งความทรงจ�าแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ ทั้งนี้จารึกวัดโพธิ์มีเรื่องวิชาความรู้ที่มี ถูกเรียกชื่อตอบได นับวาการเขียน
ชี้แจงนั้นผานการตรวจสอบ
ลักษณะที่เป็นสากลไม่ใช่ความรู้เฉพาะในประเทศไทย เช่น เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องวรรณกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกเรื่องฤๅษีดัดตนเป็นสากลมาก...
หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนเขียนชี้แจงในเรื่องที่
97 กําหนดขึ้นเองสงครูผูสอน

@
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนชี้แจงไดที่ www.trueplookpanya.com
(คลังความรูดิจิทัล)

คูมือครู 97
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อนํา
เขาสูหัวขอการเรียนการสอน
• การแสดงความคิดเห็นในเรื่อง ๑.๓ การเขียนแสดงความคิดเห็น
ตางๆ มีผลตอการพัฒนาของ การเขียนแสดงความคิดเห็น คืองานเขียนเพื่อแนะน�าหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใด
สังคมอยางไร เรื่องหนึ่งหรือการเขียนเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์ เช่น บทความทางวิชาการ บทบรรณาธิการ เป็นต้น โดย
(แนวตอบ คําตอบไมมีถูกหรือ ผู้เขียนจ�าเป็นต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของหลักฐานข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ และหลักเหตุผลอีกด้วย
ผิด ครูควรสนับสนุนใหนักเรียน ๑) แนวทางการเขียนแสดงความคิดเห็น การเขียนประเภทนีค้ วรใช้ความระมัดระวัง
ทุกคนไดมีสวนรวมในการแสดง ในการใช้ภาษาเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ดังนี้
ความคิดเห็นไดอยางอิสระ)
๑. ผู้เขียนต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะเขียนเป็นอย่างดี
๒. ข้อมูลที่น�าเสนอถูกต้อง
สํารวจคนหา ๓. ผู้เขียนต้องไม่มีอคติ
1. นักเรียนสืบคนตัวอยางบทความ ๔. เขียนเพื่อให้เกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขหรือพัฒนาไปในทางที่ดี
ที่เขียนแสดงความคิดเห็นใน ๕. ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
เรื่องตางๆ ที่นักเรียนสนใจ เชน ๖. ชี้แจงเหตุผลถึงข้อดี ข้อบกพร่องอย่างชัดเจน
หนังสือ บทเพลง ภาพยนตร ละคร ๗. แนวความคิดของผู้เขียนต้องไม่ใช่เพื่อชักจูง เกลี้ยกล่อมหรือสรุปว่าดีไม่ดี
ฯลฯ จากสื่อประเภทตางๆ เชน แต่ควรเป็นเพียงการเสนอแนะเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาเท่านั้น
นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ ๘. ควรใช้ถ้อยค�าภาษาที่เข้าใจได้ง่าย
หรืออินเทอรเน็ต ฯลฯ สรุป ๙. ควรใช้ภาษาที่เร้าใจผู้อ่าน เพื่อท�าให้อยากติดตามเรื่องโดยตลอด
ใจความสําคัญของบทความ ๑๐. ควรใช้ถ้อยค�าส�านวนที่เป็นแรงจูงใจหรือกระตุ้นผู้อ่านให้เกิดความคิดหรือ
วาเปนการแสดงความคิดเห็น
แนวคิดใหม่ๆ
เกี่ยวกับเรื่องใดและมีลักษณะ
การใชภาษาอยางไร
การเขียนแสดงความคิดเห็น
2. นักเรียนคนหาแนวทางการเขียน
แสดงความคิดเห็นจากแหลง “งานบวชนาคเป็นงานบุญงานกุศลอย่างหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยได้ปฏิบัติ
เรียนรูตางๆ เชน จากหนังสือเรียน ต่อกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว เจ้าภาพมักให้มงี านรืน่ เริงเลีย้ งดูกนั เป็นการเอิกเกริก ในการกินเลีย้ ง
ในหนา 98 หรือเว็บไซตทางการ
เพือ่ แสดงความยินดีตอ่ ผูต้ ดั สินใจบรรพชาอุปสมบทนัน้ มักจะหนีไม่พน้ ทีจ่ ะมีการเสพสุรายาเมากัน
ศึกษา
มากเป็นพิเศษ บางรายถึงกับมีการล้มสัตว์เลี้ยงเพื่อน�าเนื้อมาประกอบเป็นอาหารเลี้ยงดูกันอย่าง
ขนานใหญ่ เจ้าภาพและเจ้านาคเองที่มีญาติมิตรมากมายก็มักจะบอกกล่าวไปยังบุคคลเหล่านั้น
อธิบายความรู ให้มาร่วมพิธีฉลองการบวชนาคให้พร้อมเพรียงกัน
1. นักเรียนนําบทความแสดง เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหมดเปลืองเงินทองในการบวชนาคแต่ละครั้งจึงมีจ�านวนมิใช่น้อย
ความคิดเห็นที่ไดจากการสืบคน ที่ร้ายกว่านั้นบางรายถึงกับไปกู้หนี้ยืมสิน บางรายแม้ว่าจะสึกหาลาเพศออกมาแล้ว ก็ยังใช้หนี้
มาอานออกเสียงใหเพื่อนฟง
หนาชั้นเรียน สรุปใจความสําคัญ 98
พรอมทั้งอธิบายแนวทางการเขียน
แสดงความคิดเห็นของบทความ
ดังกลาว
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียนแสดงความคิดเห็น เพื่อใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน
(แนวตอบ 1. ตองรูและเขาใจในเรื่องที่เขียนเปนอยางดี 2. นําเสนอขอมูลที่ถูกตอง เปนจริงและปราศจากอคติ ฯลฯ)
3. ครูตั้งคําถามกับนักเรียน โดยสุมเรียกชื่อเพื่อตอบ
• จากการศึกษาแนวทางการเขียนแสดงความคิดเห็นในหนังสือเรียนแลวนักเรียนคิดวาบทความที่นํามานั้นมีแนวทางที่เหมือนหรือแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลายตามเนื้อหาบทความของตน ครูควรชี้แนะแนวทางที่ถูกตอง)

98 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนอานตัวอยางบทความ
ในหนา 98 จากนั้นครูและนักเรียน
ไม่หมด สิ่งเหล่านี้แสดงถึงค่านิยมที่ไม่น่านิยมเลย น่าจะได้ทบทวนแก้ไขเสียใหม่ หันมาพิจารณา รวมกันสรุปแนวทางการเขียน
ดูว่าจุดประสงค์ของการบวชนาคที่แท้จริงคืออะไร พระพุทธศาสนาเน้นให้บุคคลมีชีวิตอยู่อย่าง แสดงความคิดเห็นจากตัวอยาง
ประหยัด มัธยัสถ์ รู้จักประมาณในกิจการน้อยใหญ่ทั้งปวง และยิ่งการเป็นหนี้เขานั้นก็มีพุทธภาษิต เพื่อทบทวนความเขาใจ
กล่าวไว้ว่า “อิณาทานัง ทุกขัง โลเก” แปลว่า การกู้หนี้เป็นทุกข์ในโลก 2. นักเรียนนําความรูเรื่องแนวทาง
จึงเห็นเป็นการสมควรโดยแท้ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปจะได้เล็งเห็นถึงความไร้สาระอัน การเขียนแสดงความคิดเห็นที่ได
ผิดเพีย้ นไปจากจุดประสงค์ทแี่ ท้จริงของพระพุทธศาสนา ระงับความฟุม่ เฟือยเช่นทีก่ ล่าวมานัน้ เสีย จากการศึกษามาใชเปนแนวทาง
หันมาประหยัด รู้จักประมาณ น้อมน�าใจเข้าสู่พิธีบวชนาคด้วยสติและปัญญาตามค�าสอนของ ในการเขียนแสดงความคิดเห็น
พระพุทธศาสนาที่แท้จริง” ของตนเองในหัวขอที่สนใจ
ตัดตอนจาก ศิลปะการแสดงออกทางภาษา : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ตรวจสอบผล
จากตัวอย่าง ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ใช้ภาษาที่กะทัดรัด สื่อความหมาย นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็น
ชัดเจน และวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับค่านิยมของสังคมไทยอย่างตรงประเด็น ใช้ภาษาเพื่อประเมินว่า แลวนํามาอานใหเพือ่ นฟงหนาชัน้ เรียน
สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม โดยในย่อหน้าที่สาม จากนั้นนักเรียนรวมกันตรวจสอบ
ได้สรุปความคิดเห็นว่าการลดความฟุ่มเฟือย ยึดถือความพอเพียงและประมาณตนนั้นเป็นการปฏิบัติ ผลงานของเพื่อน ดวยการแสดง
ตามค�าสอนของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ความคิดเห็น วิเคราะห วิจารณ
โดยครูเปนผูชี้แนะและสนับสนุน
การมีสวนรวมของนักเรียน
๒ การเขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความรู้ ความคิดเห็น
หรือโต้แย้งสือ่
ในปัจจุบนั มนุษย์มกี ารรับรูข้ อ้ มูลข่าวสารเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ จากสือ่ หลายชนิดทัง้ ทีเ่ ป็นสือ่ สิง่ พิมพ์ เกร็ดแนะครู
เช่น นิตยสาร บทความ หนังสือพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ไอโฟน ไอแพด ฯลฯ
ผูร้ บั สารย่อมต้องเกิดความคิดเห็นทีม่ ตี อ่ เรือ่ งนัน้ ทัง้ ทีเ่ ห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึง่ ในสังคมประชาธิปไตย
การใชภาษาเพื่อแสดงทรรศนะ
หรือความคิดเห็นจะปรากฏคําวา
สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือการมีสิทธิแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่
“นา” “นาจะ” “คง” “คงจะ” “ควร”
ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ผู้อื่น ซึ่งในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้น
“ควรจะ”
ผู้รับสารก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงความรู้ ความคิดเห็นหรือโต้แย้งกับสื่อที่ได้ฟังหรือดูได้ โดยไม่จ�าเป็นต้องมี
ความคิดเหมือนกัน เป็นการมองต่างมุมและเป็นความคิดเห็นเฉพาะบุคคล
๒.๑ แนวทางการเขียนแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้งสือ่
การเขียนแสดงความคิดเห็นหรือการโต้แย้งจะเป็นที่เชื่อถือหรือเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ควรยึด
แนวทางการปฏิบัติ ดังนี้

99

NET ขอสอบป 52
ขอสอบถามวา ขอใดไมใชลักษณะของความคิดสรางสรรค
1. คิดนอกกรอบ 2. คิดเล็กคิดนอย 3. คิดพลิกแพลง 4. คิดหลากหลาย
(วิเคราะหคําตอบ คิดเล็กคิดนอย เปนการคิดในเรื่องที่ไมควรคิด ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
คูมือครู 99
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งถามกับนักเรียนวา
• การเขียนแสดงความคิดเห็นโตแยง
ตามความคิดเห็นของนักเรียน ๑. ศึกษาเรื่องที่จะโต้แย้งอย่างละเอียด จับใจความส�าคัญว่า กล่าวถึงใคร ท�าอะไร
หมายถึงอะไร ที่ไหน อย่างไร
(แนวตอบ หมายถึง การแสดง ๒. ก�าหนดขอบเขต ประเด็นในการโต้แย้ง ว่าจะโต้แย้งในจุดใด มีประเด็นใดบ้างทีต่ อ้ ง
ความคิดเห็นที่แตกตางกันระหวาง น�ามาพิจารณา
สองฝาย โดยแตละฝายพยายาม ๓. ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด กระชับ ชัดเจน เข้าใจง่ายและเขียนโดยปราศจากอคติ
ใหขอมูลหลักฐาน เหตุผลเพื่อ ๔. ผู้โต้แย้งต้องชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของทรรศนะของฝ่ายตรงข้าม และเสนอทรรศนะ
สนับสนุนทรรศนะหรือความ ของตน โดยใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้สนับสนุนความคิดเห็นของตนโดยอาจเป็นข้อเท็จจริง สถิติ ซึ่งได้มา
คิดเห็นของตนเอง) จากการค้นคว้าด้วยวิธีการอ่าน การฟัง การสืบค้นด้วยตนเอง

บทความที่นÓมาแสดงความคิดเห็น
สํารวจคนหา
1. นักเรียนสืบคนบทความการเขียน สึนามิที่ฮอนชู โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดสะเทือนประเทศไทย
แสดงความคิดเห็นเพื่อโตแยงจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้แต่งตั้งให้บริษัท Burns and Roe Group
สื่อตางๆ เชน นิตยสาร วารสาร แห่งออราเดล รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
หรืออินเทอรเน็ต สรุปใจความ พลังงานนิวเคลียร์ขนาด ๑,๐๐๐ MW รายงานผลการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์น�าเสนอในปี ๒๕๕๓
สําคัญของบทความดังกลาววา คาดว่าจะลงทุนประมาณ ๓๘.๓ ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกองทุนอนุรกั ษ์พลังงานแห่งประเทศไทยจะ
เปนการแสดงความคิดเห็นเพื่อ ลงทุน ๒๑.๔ ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนทีเ่ หลือจะเป็นการลงทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
โตแยงในเรื่องใด และมีลักษณะ (กฟผ.)
การใชภาษาอยางไร การศึกษานอกเหนือจากเสนอสถานทีท่ ตี่ งั้ ทีเ่ หมาะสมส�าหรับการก่อสร้าง พิจารณาและให้
2. นักเรียนคนหาแนวทางการเขียน
ข้อเสนอแนะทางด้านเทคโนโลยีมาตรฐานความปลอดภัยด้านสิง่ แวดล้อม การจัดการด้านบุคลากร
แสดงความคิดเห็นเชิงโตแยงจาก
และการฝึกอบรม กระบวนการด้านกฎหมายและกระบวนการด้านการเงินของโครงการแล้ว
บทความที่นักเรียนสืบคนมา และ
วิเคราะหโครงสรางของการโตแยง ยังจะรวมถึงการเลือกเครือ่ งปฏิกรณ์นวิ เคลียร์ทจี่ ะน�ามาใช้ในระหว่างเครือ่ งปฏิกรณ์ ๓ ชนิด
วามีโครงสรางอยางไร ที่มีการใช้ทั่วโลก
3. นักเรียนคนหาแนวทางการเขียน ■ เครื่องปฏิกรณ์แบบใช้น�้าความดันสูง (pressurized water reactors)
แสดงความคิดเห็นเชิงโตแยงจาก ■ เครื่องปฏิกรณ์แบบ CANDU (Canada deuterium uranium)
หนังสือเรียน ในหนา 100 ■ เครื่องปฏิกรณ์แบบน�้าเดือด (boiling water reactors)
ปัจจุบันเครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้กันมากที่สุดคือเครื่องปฏิกรณ์แบบใช้น�้าความดันสูง โดย
ในจ�านวนเครื่องปฏิกรณ์ ๔๔๒ เครื่อง ที่เดินเครื่องอยู่ในปัจจุบันเป็นเครื่องปฏิกรณ์แบบใช้น�้า
อธิบายความรู ความดันสูงร้อยละ ๖๑ ที่น่าสนใจ คือแนวโน้มและความเป็นไปได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใน
1. นักเรียนนําบทความที่ไดสืบคน ประเทศไทย
มาอานใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน
สรุปใจความสําคัญของบทความ 100
พรอมทั้งอธิบายแนวทางการเขียน
ของบทความ
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนอธิบาย
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการเขียนแสดงความคิดเห็นเชิงโตแยง
(แนวตอบ 1. ศึกษาเรื่องที่จะเขียนอยางละเอียด จับใจความสําคัญใหไดวา ใคร ทําอะไร ที่ไหน อยางไร
2. พิจารณาขอเดน ขอดอย พรอมยกเหตุผลประกอบ 3. ใชภาษาในการเขียนอยางสรางสรรค)
3. นักเรียนเปรียบเทียบแนวทางการเขียนของบทความที่สืบคนมากับแนวทางการเขียนในหนังสือเรียน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลายตามเนื้อหาบทความของตน ครูควรชี้แนะแนวทางที่ถูกตอง)

100 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนอานบทความตัวอยางการ
เขียนแสดงความคิดเห็นโตแยง
การศึกษาของบริษัทกลุ่มเบิร์นส์ฯ ที่เสนอต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากหนังสือเรียน ในหนา 101
น่าสนใจอย่างยิ่ง น่าสนใจตรงที่ได้ก�าหนดที่ตั้งที่เหมาะสมว่าจะอยู่ทางภาคใต้ ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาเพื่อ
เนื่องจากท�าเลที่ตั้งและการมีแหล่งน�้าส�าหรับระบายความร้อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ทบทวนแนวทางการเขียนที่ถูกตอง
ประเทศไทย (กฟผ.) ได้พิจารณาสถานที่ที่มีศักยภาพจ�านวน ๕๐ แห่ง และได้จ�ากัดลงเหลือ 2. นักเรียนนําความรูเรื่องแนวทาง
๑๐ แห่ง การเขียนแสดงความคิดเห็น
ประเทศไทยได้ใช้แผนพัฒนาพลังงานระยะ ๑๕ ปี (๒๕๕๐ - ๒๕๖๔) โดยได้รวมพลังงาน เชิงโตแยง ที่ไดศึกษามาใชเปน
นิ ว เคลี ย ร์ เ ข้ า ไว้ ใ นแผนนี้ ด ้ ว ย โดยอาศั ย แก๊ ส ธรรมชาติ ใ นการผลิ ต ไฟฟ้ า สู ง ถึ ง ร้ อ ยละ ๗๐ แนวทางในการเขียนแสดงความ
แหล่งพลังงานชนิดอืน่ ได้แก่ พลังน�า้ น�า้ มัน และถ่านหิน โดยพลังงานน�า้ ส่วนใหญ่จะน�าเข้ามาจาก คิดเห็นเชิงโตแยงในหัวขอที่
ต่างประเทศ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เห็นว่าแก๊สธรรมชาติจะขาดแคลนใน ๒๐ ปีข้างหน้า โดยที่ นักเรียนเปนผูกําหนดขึ้นเอง
แหล่งพลังงานหมุนเวียนของไทยยังมีการพัฒนาไม่เต็มที่และมีศักยภาพที่ไม่สูงนัก
โดยไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิม่ ขึน้ ร้อยละ ๕ - ๖ ต่อปี จึงได้ให้ความสนใจในการพัฒนา ตรวจสอบผล
แหล่งพลังงานอื่น โดยเฉพาะพลัโดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์ กระนั้น หลังสึนามิที่ฮอนชูกระทั่งส่งผลกระทบให้
นักเรียนนํางานเขียนแสดง
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ตา�่ กว่า ๓ แห่งระเบิด แรงสะเทือนกว้างไกลมาถึงประเทศไทย ท�าให้โครงการ
ความคิดเห็นเชิงโตแยงสงครูผูสอน
ที่ง้างเอาไว้ต้องทอดระยะยาวนานออกไปอีก
ประเมินจากเนื้อหาที่นักเรียน
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๕๙๗ วันที่ ๒๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เรียบเรียง

๒.๒ การเขียนแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้งสือ่
นักเรียนควรรู
การเขียนแสดงความคิดเห็นจากบทความ พลังงานนิวเคลียร เปนพลังงาน
เมื่อได้อ่านบทความ “สึนามิที่ฮอนชู โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดสะเทือนประเทศไทย” ที่ รูปแบบหนึ่งที่ไดจากปฏิกิริยา
ผูเ้ ขียนแสดงความคิดเห็นโดยสรุปสาเหตุของการระงับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยว่า นิวเคลียร นิวเคลียรเปนคําคุณศัพท
ของคําวานิวเคลียสซึ่งเปนแกนกลาง
เกิดจากการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเกิดคลื่นยักษ์
ของอะตอมธาตุ ซึ่งประกอบดวย
สึนามิ การเกิดอุบัติภัยทางธรรมชาติดังกล่าวไม่น่าจะเป็นสาเหตุส� าคัญของการระงับโครงการ
อนุภาคโปรตอนและนิวตรอน ซึ่งยึด
เพราะประเทศไทยไม่ได้ตงั้ อยูบ่ ริเวณพืน้ ทีเ่ สีย่ งทีจ่ ะเกิดแผ่นดินไหวหรือทีเ่ รียกว่า “แนววงแหวนไฟ กันไดดวยแรงอนุภาคไพออน
แปซิฟิก” (The Pacific Ring Fire) ซึ่งครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เทือกเขาแอนดีส ในทวีปอเมริกาใต้
ผ่านอเมริกากลาง เทือกเขาร็อกกีและที่ราบสูงโคลัมเบีย อะแลสกา คาบสมุทรคัมชัตคา หมู่เกาะ
ญี่ปุ่น หมู่เกาะฟิลิปปินส์ หมู่เกาะอินโดนีเซีย ผ่านลงไปถึงหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ถึงประเทศนิวซีแลนด์ B
รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๓,๒๐๐ กิโลเมตร B พื้นฐานอาชีพ
การแสดงความคิดเห็นที่ดี ควร
101 เปนไปในเชิงสรางสรรค ผูวิจารณ
ควรมีความคิดเห็นที่ปราศจากอคติ
ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนเพือ่ ปูทางไปสูอ าชีพเฉพาะที่
เกี่ยวกับการเขียนวิเคราะห วิจารณ
NET ขอสอบป 52 เชน นักวิจารณ โดยใหนักเรียนได
ขอสอบถามวา สํานวนในขอใด เปนวิธีการแสดงความคิดเห็นที่เหมาะสมที่สุด ฝกฝนการเขียนวิจารณผลงานอยาง
1. ไดทีขี่แพะไล 2. เด็ดบัวไมไวใย 3. ไมเออออหอหมก 4. เห็นดําเห็นแดง หลากหลาย เชน วิจารณหนังสือ
(วิเคราะหคําตอบ สํานวน “เห็นดําเห็นแดง” เปนการพยายามยกขอเท็จจริงมารองรับเหตุผล บทเพลง ภาพยนตร ผลงานศิลปะ
เพื่อใหเกิดขอยุติและเปนที่ยอมรับ ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 4.) เปนตน
คูมือครู 101
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• การเขียนรายงานการศึกษา
คนควา มีประโยชนตอนักเรียน การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่นเป็นอุบัติภัยทางธรรมชาติที่อาจขึ้นได้
อยางไร และถึงแม้ว่าสารกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะมีผลกระทบต่อมนุษย์ แต่ข้อมูลจาก
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ส�านักก�ากับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ส�านักงานปรมาณูเพือ่ สันติ ยืนยันว่าหากมีการควบคุม
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น ระบบป้องกันที่ดีตามโครงสร้างของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มี
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) ลักษณะเป็นอาคารทรงโดมขนาดใหญ่ มีโครงสร้างทีแ่ ข็งแรง ทนทานต่อการเกิดอุบตั เิ หตุทงั้ ภายใน
และภายนอก ก็จะสามารถเก็บกักสารกัมมันตรังสีไว้ภายใน โดยจะไม่ปล่อยให้ฟุ้งกระจายออกสู่
สิ่งแวดล้อมภายนอกได้ นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ที่มีการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีระบบป้องกันที่ดี
สํารวจคนหา
และไม่เคยเกิดปัญหาก็ยังมีอีกหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา จีน ฯลฯ ดังนั้นการ
1. นักเรียนสืบคนความหมายของการ สรุปด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงอาจเป็นการมองที่ยังไม่รอบด้าน ซึ่งสาเหตุของการระงับโครงการใน
เขียนรายงานการศึกษาคนควา ประเทศไทยจึงควรมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาขั้นตอนแรกหรือ
ขั้นตอนเริ่มตนของการศึกษา ๓ การเขียนรายงานและโครงงาน
คนควาคือขั้นตอนใด เพราะเหตุ การเขียนรายงาน คือการน�าเสนอผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการประเด็นใดประเด็นหนึ่ง
ใด โดยมีการน�าเสนอตามล�าดับขั้นตอนก่อนหลัง โดยผู้เขียนต้องเรียบเรียงการน�าเสนอให้สอดคล้อง
(แนวตอบ ขั้นตอนการเลือกเรื่อง
ร้อยเรียงกันทั้งเรื่องและตรงกับจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ตั้งไว้
ที่จะศึกษา เพราะถาไมมีการ
เลือกเรื่องก็ไมสามารถที่จะเริ่ม ๓.๑ การเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า
ศึกษาหรือคนควาได) การเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า คือ การเรียบเรียงผลการศึกษาค้นคว้าประเด็นทางวิชาการ
3. นักเรียนสืบคนในประเด็นแนวทาง ตามล�าดับขั้นตอนและถูกต้องตามองค์ประกอบที่ก�าหนด ดังนี้
การเลือกเรื่องเพื่อเขียนรายงาน ๑) ขั้นตอนการเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า
การศึกษาคนควา จากหนังสือ- ๑.๑) การเลือกเรือ่ ง เป็นขัน้ ตอนทีม่ คี วามส�าคัญมากเพราะเป็นเครือ่ งก�าหนดทิศทาง
เรียน ในหนา 102 - 103 หรือจาก
ของการเขียนรายงานได้ว่าจะออกมาในทิศทางใด มีความสั้นยาวเท่าใด จะต้องกล่าวถึงประเด็นใดบ้าง
แหลงเรียนรูอื่น
โดยการเลือกเรื่องที่จะเขียนสามารถก�าหนดขอบเขตได้ด้วยหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
๑. เลือกเรื่องที่ตนมีความสนใจ เป็นไปตามความถนัดและความสนใจของ
อธิบายความรู ผู้เขียนแต่ละคน ซึ่งเมื่อเลือกเรื่องที่ตนสนใจย่อมท�าให้ผู้เขียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าหา
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ข้อมูลมาเขียนได้
เกี่ยวกับแนวทางการเลือกเรื่องเพื่อ ๒. เลื อ กเรื่ อ งที่ ต นมี ป ระสบการณ์ ถื อ เป็ น การเลื อ กที่ ง ่ า ยเช่ น เดี ย วกั น
เขียนรายงานการศึกษาคนควา กับประการแรก เพราะนอกจากผู้เขียนจะมีความกระตือรือร้นในการเขียนแล้ว ผู้เขียนยังสามารถ
(แนวตอบ แนวทางหรือหลักเกณฑ ตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องได้อีกด้วย
ในการเลือกเรื่องเพื่อเขียนรายงาน มี
ดังนี้ 102
1. เลือกเรื่องที่ตนสนใจ
2. เลือกเรื่องที่ตนมีประสบการณ
3. เลือกเรื่องที่เปนที่สนใจและเกิด
ประโยชน
4. เลือกเรื่องที่มีแหลงการเรียนรูที่
สามารถคนควาได)

102 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนสืบคนในประเด็นการ
เขียนโครงเรื่องจากหนังสือเรียน
๓. เลือกเรือ่ งทีผ่ อู้ า่ นสนใจหรือเหมาะสมกับผูอ้ า่ น เป็นการเลือกโดยใช้ผอู้ า่ น ในหนา 103 - 105
เป็นเกณฑ์ก�าหนดทิศทางของงานเขียน โดยผู้เขียนจ�าเป็นต้องพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายมีความสนใจ 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ในเรื่องใดหรือมีประเด็นสถานการณ์ในสังคมประเด็นใดที่น่าสนใจ ซึ่งจะท�าให้ทราบกลุ่มเป้าหมาย • ขั้นตอนการเขียนโครงเรื่องมี
ได้ชัดเจน ความสําคัญอยางไรตอการ
๔. เลือกเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้อ่านและผู้เขียน โดยผู้เขียนจ�าเป็นต้อง ทํารายงานการศึกษาคนควา
พิจารณาว่าเรื่องราวใดบ้างที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านหรือประเด็นใดบ้างที่ผู้อ่านควรรู้ จงอธิบาย
๕. เลือกเรื่องที่มีแหล่งค้นคว้า เช่น เอกสาร ต�ารา ผู้ช�านาญ ส�าหรับใช้เป็น (แนวตอบ การเขียนโครงเรื่อง
แหล่งข้อมูลในการพิจารณา มีความสําคัญตอการเขียน
รายงานการศึกษาคนควา
๑.๒) การเขียนโครงเรื่อง เป็นส่วนส�าคัญของการเขียนรายงาน เพราะเป็น
เพราะเปนเสมือนเครื่องมือ
เครื่องมือช่วยก�าหนดกรอบให้ผู้เขียน ท�าให้สามารถเรียงล�าดับความส�าคัญหรือความคิดก่อนหลัง ให้มี
ชวยกําหนดกรอบการทํา
ลักษณะสัมพันธภาพที่ดี มีเอกภาพและสะดวกต่อการค้นคว้า เรียบเรียง โดยสามารถวางแนวทางการ รายงาน ทําใหสามารถเรียง
เขียนโครงเรื่องได้ ดังนี้ ลําดับความสําคัญของขอมูล
๑. การรวบรวมและเรียบเรียงหมวดหมู่ความคิด ขั้นตอนนี้ผู้เขียนจะต้อง ได ทําใหรายงานมีสารัตถภาพ
พิจารณาว่าจะน�าเสนอเนื้อหาใดบ้าง โดยเลือกเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรงเท่านั้น สัมพันธภาพ และเอกภาพ)
และตัดทอนรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้องออก
จากนัน้ ผูเ้ ขียนจึงค่อยแตกประเด็นความคิดจากประเด็นหลักทีก่ า� หนดไว้แล้ว
ในขั้นตอนนี้ผู้เขียนอาจยังไม่ต้องค�านึงถึงความเชื่อมโยงเนื้อหาหรือการล�าดับเรื่องราวให้ต่อเนื่อง อธิบายความรู
นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
การรวบรวมและเรียบเรียงหมวดหมู่ความคิด เกี่ยวกับแนวทางการเขียนโครงเรื่อง
เพื่อเขียนรายงานการศึกษาคนควา
ประวัติศิลาจารึกหลักที่ ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหง) (แนวตอบ แนวทางการเขียน
๑. ประวัติ โครงเรื่อง มีดังนี้
๒. ลักษณะเฉพาะ 1. รวบรวมและเรียบเรียงหมวดหมู
๓. ผู้พบ ความคิด ผูทํารายงานจะตอง
๔. สถานที่พบ พิจารณาวาจะนําเสนอเนื้อหา
๕. การจัดเก็บรักษา ใด เลือกประเด็นที่เกี่ยวของกับ
๖. การพิมพ์เผยแพร่ เนื้อหา
๗. เนื้อหาโดยสังเขป 2. การจัดลําดับความคิดหรือจัด
๘. คุณค่า กลุมความคิด แยกประเด็นหลัก
ประเด็นรองและนําจัดเขากลุม
3. การขยายแนวคิดและเรียบเรียง
103 เปนถอยคํา คือ ผูเขียนเขียน
รายละเอียดเพิ่มเติมในแตละ
ประเด็นเพื่อขยายแนวคิดให
สามารถเขียนไดชัดเจน)
@
มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับศิลาจารึกพอขุนรามคําแหงมหาราช ไดจากเว็บไซตของมหาวิทยาลัย
รามคําแหง จังหวัดสุโขทัย http://www.info.ru.ac.th/province/sukhothai/msrj.htm

คูมือครู 103
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนศึกษาตัวอยางขั้นตอนการ
รวบรวมเรียบเรียงหมวดหมูความ
คิด และการจัดลําดับความคิดของ จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการรวบรวมเรียบเรียงหมวดหมู่ความคิดที่มีความเกี่ยวข้องกับ
ตัวอยางการเขียนรายงานการศึกษา เรือ่ งทีต่ อ้ งการเขียน คือ “ประวัตศิ ลิ าจารึกหลักที ่ ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช)” ผูเ้ ขียนรายงาน
คนควา เรื่อง “ประวัติศิลาจารึกหลัก จึงต้องพยายามหาค�าหรือข้อความส�าคัญที่มีความสัมพันธ์กับเรื่อง ซึ่งจากตัวอย่างเป็นการรวบรวม
ที่ 1 (ศิลาจารึกพอขุนรามคําแหง- ความคิดตามล�าดับขัน้ ซึง่ จะท�าให้เนือ้ หาของรายงานมีความกลมกลืนและสือ่ ความได้เข้าใจตลอดเรือ่ ง
มหาราช)” บันทึกขอมูลที่เปนความรู ๒. การจั ด ล� า ดั บ ความคิ ด หรื อ การจั ด กลุ ่ ม ความคิ ด เป็ น ขั้ น ตอนต่ อ มา
และขอสงสัยลงสมุด หลังจากผู้เขียนรวบรวมความคิด และแตกประเด็นหลัก ประเด็นรองแล้ว ซึ่งในขั้นตอนนี้ ผู้เขียนจะ
ต้องน�ากลุม่ ความคิดทีร่ วบรวมไว้ในขัน้ ตอนแรกมาพิจารณา และจัดกลุม่ ความคิดในแต่ละส่วนให้ชดั เจน
และมีเนื้อหาเชื่อมโยงร้อยเรียงเป็นเรื่องเดียวกันและได้เนื้อหาสาระครบถ้วนโดยสมบูรณ์
อธิบายความรู
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู การจัดลÓดับความคิด
เกี่ยวกับแนวทางการรวบรวม
เรียบเรียงหมวดหมูความคิด และ ประวัติศิลาจารึกหลักที่ ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหง)
การจัดลําดับความคิด ๑. ประวัติ
(แนวตอบ การรวบรวมและ ๑.๑ ผู้แต่ง
เรียบเรียงความคิดเปนขั้นตอน ๑.๒ อายุ
ที่ผูเขียนจะตองพิจารณาวาจะ ๑.๓ ผู้พบ
นําเสนอเนื้อหาสาระใดที่มีความ ๑.๔ สถานที่พบ
เกี่ยวของกับหัวขอที่เลือก
๒. ลักษณะเฉพาะ
จากนั้นจึงจัดลําดับความคิด โดย
๒.๑ อักษรไทยสุโขทัย
แยกประเด็นรองออกจากประเด็น
หลัก นํามาจัดกลุมความคิดให ๒.๒ เขียนบนหินทรายแป้ง สี่เหลี่ยม
เนื้อหามีความเชื่อมโยงรอยเรียง ทรงกระโจม
เปนเรื่องเดียวกัน) ๒.๓ เนื้อหาจ�านวน ๔ ด้าน
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูและ ๓. การจัดเก็บรักษา
แสดงความคิดเห็นรวมกันวา ๔. การพิมพ์เผยแพร่
• การรวบรวม เรียบเรียงหมวด ๕. เนื้อหาโดยสังเขป
หมูความคิด และการจัดลําดับ ๖. คุณค่า
ความคิดของตัวอยาง ในหนา ๖.๑ คุณค่าในเชิงวรรณกรรม
103 - 104 มีลักษณะเปนอยางไร ๖.๒ คุณค่าในด้านการศึกษาจารึกและอักขรวิธี
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ ๖.๓ คุณค่าด้านสังคม
ตอบไดอยางหลากหลาย โดย
ใชพื้นฐานความรูที่ไดคนหา
รวมกัน โดยครูเปนผูชี้แนะ) 104

104 คูมือครู
สํารวจคนหา
กระตุนความสนใจ Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explain Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนอานตัวอยางการเขียน
ขยายแนวคิดจากหนังสือเรียน ใน
จากตัวอย่างข้างต้น เป็นการจัดกลุม่ ความคิดซึง่ เป็นล�าดับขัน้ ต่อเนือ่ งจากการรวบรวม หนา 105 - 107 จากนั้นใหสืบคนวา
ความคิด โดยในขั้นตอนนี้ผู้เขียนรายงานจะต้องแตกประเด็นความคิด โดยยึดหัวข้อใหญ่เป็นหลัก ตัวอยางดังกลาวมีแนวทางการ
ข้อใดที่สามารถรวมไว้ด้วยกันได้ควรจะรวมไว้ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าข้อมูลและการน�าเสนอ เขียนขยายแนวคิดอยางไร
๓. ขยายแนวคิด และเรียบเรียงเป็นถ้อยค�า หลังจากจัดล�าดับหรือจัดกลุ่ม
ความคิดแล้ว ผู้เขียนควรเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมในโครงเรื่องแต่ละประเด็น เพื่อขยายแนวคิดให้
สามารถเขียนได้ชัดเจน ซึ่งผู้เขียนอาจเขียนเป็นวลีหรือประโยคสั้นๆ
เกร็ดแนะครู
ขยายแนวคิด ครูควรนําเนื้อหาในแตละดาน
ของศิลาจารึกพอขุนรามคําแหง-
ประวัติศิลาจารึกหลักที่ ๑ (ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหง) มหาราช มาใหนักเรียนรวมกันอาน
๑. ประวัติ เพื่อเปนการขยายองคความรูเกี่ยวกับ
๑.๑ ผู้แต่ง หลักศิลาจารึกใหกวางขวางออกไป
สันนิษฐานว่าข้อความส่วนต้น ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ ถึงต้นบรรทัดที่ ๑๘ ของด้านที่ ๑ เป็น
พระราชนิพนธ์ในพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกัน
เรียบเรียงขึ้น
NET ขอสอบป 52
๑.๒ อายุ ในที่นี้หมายถึง ปีที่เขียนจารึก คือ พุทธศักราช ๑๘๓๕
๑.๓ ผู้พบ ขอสอบถามวา ผูใดไมไดใช
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงผนวช เสด็จไปเมืองเหนือและพบจารึก กระบวนการระดมความคิดในการ
หลักนี้เมื่อพุทธศักราช ๒๓๗๖ ที่เนินปราสาท แสวงหาความรู
1. สุวิทยคนหาขอมูลเพื่อการทํา
๒. ลักษณะเฉพาะ
รายงานเรื่อง “ความสุขที่แท
๒.๑ อักษรไทยสุโขทัยหรือที่เรียกเฉพาะหลักนี้ว่า “ลายสือไทย”
จริง” จากหนังสือหลายเลม
๒.๒ เขียนบนหินทรายแป้ง สีเ่ หลีย่ มทรงกระโจม กว้าง ๓๕ เซนติเมตร สูง ๑๑๑ เซนติเมตร 2. สุชัยสัมภาษณเพื่อนรวมงาน
๒.๓ เนื้อหาจ�านวน ๔ ด้าน โดยด้านที่ ๑ - ๒ มีจ�านวน ๓๕ บรรทัด ส่วนด้านที่ ๓ - ๔ มี ทุกคนเพื่อสรุปความเห็นเรื่อง
๒๗ บรรทัด การตกแตงหองทํางาน
๓. การจัดเก็บรักษา 3. สุจิตตสรุปเนื้อหาจาก
๓.๑ ปีพุทธศักราช ๒๓๗๖ วัดราชาธิวาส สารานุกรมไทยฉบับเยาวชน
๓.๒ ปีพทุ ธศักราช ๒๓๙๔ เมือ่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั เสด็จขึน้ ครองราชย์ สงครูผูสอนวิชาภาษาไทย
โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปไว้ที่ศาลาราย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 4. สุวรรณเรียกประชุมเพื่อนๆ
๓.๓ ปีพทุ ธศักราช ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ ให้เก็บไว้ เพื่อรวมกันหาแนวทางแกไข
ทีต่ กึ ถาวรวัตถุ หน้าวัดมหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฏิร์ าชวรมหาวิหาร ซึง่ เป็นทีท่ า� การหอพระสมุดวชิรญาณ ปญหาในโรงเรียน
(วิเคราะหคําตอบ การระดม
105 ความคิดในการแสวงหา
ความรูไมใชการหาขอมูลจาก
แหลงขอมูลเพียงแหลงเดียว
แตตองเปนการรวบรวมจาก
แหลงขอมูลที่หลากหลายและ
มากพอ ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 3.)

คูมือครู 105
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


แบงกลุมนักเรียนเพื่อแลกเปลี่ยน
ความรูระหวางกันในประเด็น
แนวทางการเขียนขยายแนวคิด ๓.๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายหนังสือตัวเขียนและ
ตัวอยาง จากนั้นครูสุมเรียกชื่อ ศิลาจารึกมาเก็บไว้ที่พระที่นั่งศิวโมกขพิมานในพระราชวังบวรสถานมงคล ที่ท�าการหอพระสมุด
นักเรียนเพื่ออธิบายความรู โดยครู วชิรญาณในขณะนั้น
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๓.๕ ปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ กรมศิลปากรได้ย้ายจารึกทั้งหมดไปไว้ยังหอพระสมุดวชิราวุธ
• แนวทางการเขียนขยายแนวคิด (ตึกถาวรวัตถุเดิม)
ของ “ประวัติศิลาจารึกหลักที่ 1 ๓.๖ พุทธศักราช ๒๕๑๑ จึงย้ายไปไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และน�าออกแสดง ณ
ศิลาจารึกพอขุนรามคําแหง- ห้องแสดงพิพิธภัณฑ์สมัยสุโขทัย
มหาราช” มีลักษณะอยางไร
๓.๗ พุทธศักราช ๒๕๑๒ - ๒๕๒๔ จึงได้ย้ายไปตั้งแสดง ณ ห้องแสดงประวัติศาสตร์
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ชาติไทยในพระที่นั่งศิวโมกขพิมานจนถึงปัจจุบัน
ไดอยางหลากหลาย โดยใช
พื้นฐานความรูที่ไดคนหา ๔. การพิมพ์เผยแพร่
รวมกัน โดยครูเปนผูชี้แนะ) ๔.๑ ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๑ จารึกกรุงสุโขทัย พ.ศ. ๒๔๖๗
๔.๒ จารึกพ่อขุนรามค�าแหงกับค�าอธิบายของหลวงวิจิตรวาทการ พ.ศ. ๒๔๗๗
๔.๓ ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๑๑ พ.ศ. ๒๕๑๕ และ พ.ศ. ๒๕๒๑
@ ๔.๔ ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ อ่านและจัดท�าค�าอธิบายโดยที่ประชุมสัมมนาเรื่อง
มุม IT ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหง พ.ศ. ๒๕๒๐
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระบาท- ๔.๕ จารึกสมัยสุโขทัย พ.ศ. ๒๕๓๗
สมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัวไดจาก ๔.๖ ศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ ศิลาจารึกพ่อขุนรามค�าแหง พ.ศ. ๒๕๓๓
เว็บไซต http://th.wikipedia.org/ ๔.๗ ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๓ พ.ศ. ๒๕๓๙
wiki/พิพิธภัณฑพระบาทสมเด็จ ๔.๘ ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับจารึกพ่อขุนรามค�าแหง พ.ศ. ๒๕๔๗
พระปกเกลาเจาอยูหัว หรือ http:// ๔.๙ พงศาวดารสุโขทัย ฉบับไทย - เขมร จัดท�าโดยอนุกรรมการด้านประวัตศิ าสตร์ สมาคม
kingprajadhipokmuseum.org วัฒนธรรมไทย - กัมพูชา (ปัจจุบันเป็นสมาคมมิตรภาพ ไทย - กัมพูชา) พ.ศ. ๒๕๕๒
๕. เนื้อหาโดยสังเขป
๕.๑ ด้านที่ ๑
- พระราชประวัติของพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช
- สภาพเมืองสุโขทัย
๕.๒ ด้านที่ ๒
- การปลูกพืชผลไว้บริโภค
- การศาสนา กล่าวถึงการท�าบุญทอดกฐิน
- การมหรสพ กล่าวถึงเครื่องดนตรีพิณพาทย์ การร้อง การขับ

106

106 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนรวมกันสืบคนวาขอมูล
ตางๆ ที่สามารถนํามาประกอบ
๕.๓ ด้านที่ ๓ หรือใชอางอิงในการทํารายงาน
- การสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตร ข้อสันนิษฐานปีเสวยราชย์ (พ.ศ. ๑๘๒๑) ประกอบไปดวยขอมูลประเภทใด
- การอาราธนาพระเถระมาแสดงธรรมในวันธรรมสวนะ 2. แบงนักเรียนออกเปน 2 กลุม
๕.๔ ด้านที่ ๔ กลุมที่ 1 สืบคนในประเด็นขอมูล
- อาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัย จากเอกสารหลักฐาน
- การประดิษฐ์ลายสือไทย กลุมที่ 2 สืบคนในประเด็นขอมูล
๖. คุณค่า ภาคสนาม
๖.๑ คุณค่าในเชิงวรรณกรรม
- กล่ า วได้ ว ่ า เป็ น วรรณคดี ที่ เ ก่ า ที่ สุ ด ที่ เ ขี ย นด้ ว ยอั ก ษรไทยและกล่ า วถึ ง สภาพ
สังคมไทย อธิบายความรู
- คุณค่าด้านวรรณศิลป์ นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
๖.๒ คุณค่าในด้านการศึกษาจารึกและอักขรวิธี เกี่ยวกับการคนควาขอมูลในการ
- เป็นศิลาจารึกอักษรไทย ภาษาไทยที่เก่าที่สุดเท่าที่พบในปัจจุบัน เขียนรายงานการศึกษาคนควา
- เป็นพื้นฐานในการศึกษาพัฒนาการของอักษรและอักขรวิธีของอักษรไทยรุ่นหลัง จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
รวมถึงอิทธิพลที่ส่งไปยังดินแดนอื่น เช่น ล้านนา อยุธยา ล้านช้าง เป็นต้น • ขอมูลที่ใชในการทํารายงาน
๖.๓ คุณค่าด้านสังคม ประกอบไปดวยขอมูลอะไรบาง
- การเมืองการปกครอง (แนวตอบ ขอมูลในการใชอางอิง
- เศรษฐกิจ หรือใชประกอบการทํารายงาน
- ความสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นๆ เช่น นครศรีธรรมราช มี 2 ประเภท คือ ขอมูลจาก
- อาณาเขต เอกสารหลักฐานตางๆ และ
ฯลฯ ขอมูลภาคสนาม)
• นักเรียนคิดวาขอมูลทั้งสอง
๑.๓) การค้นคว้าหาข้อมูล โดยปกติแล้วข้อมูลแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือข้อมูลจาก
ชนิดมีลักษณะการคนควา
เอกสารหลักฐานต่างๆ และข้อมูลภาคสนาม แตกตางกันอยางไร
ข้อมูลจากเอกสารหลักฐาน เป็นข้อมูลทีบ่ นั ทึกไว้เป็นลายลักษณ์อกั ษร มีทงั้ ข้อมูล (แนวตอบ ขอมูลทั้ง 2 ประเภท
ที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น จดหมายเหตุ จดหมายโต้ตอบ วรรณกรรมเรื่องต่างๆ ข้อเขียนประเภทข่าว มีวิธีการคนควาที่ตางกัน
สือ่ อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และรวมถึงข้อมูลทีเ่ ป็นข้อมูลสรุปหรือข้อวิเคราะห์วจิ ารณ์ เช่น บทสรุปข่าว กลาวคือ ขอมูลจากเอกสาร
บทความ บทวิจารณ์ต่างๆ เป็นต้น หลักฐานเปนขอมูลทุติยภูมิที่
ข้อมูลภาคสนาม เป็นข้อมูลที่ผู้ท�ารายงานจะต้องรวบรวมขึ้นเองจากการส�ารวจ มีผูศึกษามาแลว เราทําหนาที่
สัมภาษณ์ สังเกต การกรอกแบบสอบถามหรื
การกรอกแบบสอบถามหรือการทดลอง สังเคราะหขอมูลเหลานั้น โดย
ผู้ท�ารายงานจะต้องพิจารณาว่าข้อมูลที่จะน�ามาท�ารายงานนั้นควรเป็นข้อมูล อาจไดมาจากหนังสือ บทความ
ชนิดใด บางเรือ่ งอาจจ�าเป็นต้องใช้ขอ้ มูลทัง้ สองประเภท จากนัน้ จึงมีการส�ารวจแหล่งข้อมูล เก็บรวบรวม ขอมูลที่เปนลายลักษณอักษร
107 แตขอมูลจากภาคสนาม คือ
ขอมูลปฐมภูมิ ที่ผูเขียนรายงาน
จะตองเริ่มสืบคนดวยตนเอง)

นักเรียนควรรู
การกรอกแบบสอบถาม ผูทํารายงานที่จะใชขอมูลภาคสนามจากแบบสอบถาม
จะตองตั้งคําถามใหมีความครอบคลุมขอมูลที่ตองการทราบ

คูมือครู 107
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนรวมกันสืบคนในประเด็น
การเรียบเรียงเนื้อหาและการตรวจ
ทานแกไขรายงาน และบันทึกข้อมูลเหล่านัน้ ไว้ ซึง่ ข้อมูลทีบ่ นั ทึกอาจได้มาจากการสรุปความจากการอ่าน หรือการท�าสถิติ
2. ครูแบงกลุมนักเรียนออกเปน 3 จากแบบสอบถามของผูท้ ใี่ ห้ขอ้ มูล เมือ่ เก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้วควรจัดระเบียบ จ�าแนกประเภทข้อมูล
กลุม เพื่อใหสืบคนในประเด็นสวน ออกเป็นกลุ่มๆ ตามโครงเรื่องที่ได้วางไว้ พิจารณาหาความสัมพันธ์ ตีความ ค้นหาความหมายและ
ประกอบของรายงานการศึกษา หาข้อสรุป
คนควา ดังตอไปนี้ ๑.๔) เรี ย บเรี ย งเนื้ อ หา คื อ การน� า ความรู ้ ที่ ร วบรวมจากการค้ น คว้ า มาเขี ย น
• สวนประกอบสวนตน เรียบเรียงเนื้อหาขึ้นตามโครงที่วางเอาไว้ โดยผู้เขียนต้องค�านึงถึงหลักเกณฑ์การใช้ภาษา ระดับค�า
• สวนเนื้อหา การใช้โวหารให้เหมาะสมกับเนื้อหาแต่ละตอน อาจพิจารณาแทรกส�านวน สุภาษิต ตัวอย่าง อุทาหรณ์
• สวนประกอบตอนทาย ที่เกี่ยวข้องลงไว้ในเรื่องเพื่อผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้นและผู้เขียนต้องเรียบเรียงเนื้อหาด้วยส�านวน
โดยวิธีการคนหาความรูของ ของผู้เขียนเอง
นักเรียนอาจทําไดหลายชองทาง ๑.๕) ตรวจทาน แก้ไข เป็นขัน้ ตอนสุดท้ายหลังจากผูเ้ ขียนเรียบเรียงเนือ้ หาเสร็จแล้ว
เชน จากหนังสือเรียน หรือเว็บไซต ควรมีการตรวจทานแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงพิจารณาว่าน�าเสนอเนื้อหาครบถ้วน
ทางการศึกษา ตามที่ก�าหนดไว้หรือไม่ และเนื้อหาแต่ละส่วนมีความเชื่อมโยงร้อยเรียงสอดคล้องกันหรือไม่
๒) ส่วนประกอบของรายงานการศึกษาค้นคว้า
๒.๑) ส่วนประกอบส่วนต้น เป็นส่วนที่แสดงหัวข้อการค้นคว้าและอธิบายเนื้อหา
อธิบายความรู
โดยสังเขป ประกอบด้วย
1. นักเรียนอธิบายความรูจากการ ๑. ปกนอก ระบุชอื่ เรือ่ ง ชือ่ ผูศ้ กึ ษา ชือ่ รายวิชา หลักสูตร สังกัดสถานศึกษา
ซักถามของครู โดยครูสุมเรียก ภาคเรียน และปีการศึกษา
ชื่อนักเรียนเพื่อใหอธิบายความรู ๒. ใบรองปก คือกระดาษเปล่าที่คั่นระหว่างปกนอกและปกใน
เกี่ยวกับการเรียบเรียงเนื้อหาและ ๓. ปกใน ให้รายละเอียดเช่นเดียวกับปกนอก
การตรวจทานการเขียนรายงาน ๔. ค�าน�า เป็นส่วนทีก่ ล่าวเกริน่ หรือแนะน�าประเด็น เนือ้ หาทีศ่ กึ ษาในรายงาน
การศึกษาคนควา ๕. สารบัญ กล่าวถึงรายละเอียด ประเด็นหัวข้อในการศึกษาในแต่ละบท และ
2. นักเรียนสงตัวแทนของกลุมออก ระบุหมายเลขหน้าของหัวข้อนั้นๆ
มาอธิบายความรูเกี่ยวกับหัวขอที่
๖. บัญชีตารางหรือบัญชีภาพประกอบ รายงานบางเรื่องมีตารางหรือภาพ
กลุมของตนเองไดรับมอบหมาย
ประกอบที่ท�าให้เนื้อหาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งอาจมีหลายตารางหรือหลายภาพ ซึ่งควรจัดท�าสารบัญหรือ
เพื่อนๆ ที่ฟงอยูใหบันทึกความรู
บัญชีตารางและภาพประกอบในหน้าที่อยู่ถัดจากสารบัญ
ลงสมุด
๒.๒) ส่วนเนื้อหา เป็นส่วนส�าคัญที่สุดของรายงาน เพราะเป็นส่วนน�าเสนอวิธีการ
3. ครูชี้แนะและอธิบายสรุปความรูให
และผลของการศึกษาทั้งหมด ประกอบด้วย
แกนักเรียน
๑. บทน�า เป็นส่วนที่กล่าวความส�าคัญหรือสาเหตุในการศึกษา ตลอดจน
วัตถุประสงค์ ขอบเขต ขั้นตอน วิธีการและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากรายงาน
๒. เนื้อหา เป็นส่วนการน�าเสนอ โดยส่วนใหญ่มักจะแบ่งออกเป็นบทๆ ตาม
ความยาวของเนื้อหา โดยแบ่งเป็นประเด็นใหญ่ ประเด็นย่อยของเรื่องให้ชัดเจน
108

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา สวนประกอบใดของรายงานที่สําคัญนอยที่สุด
1. คํานํา 2. สารบัญ 3. บรรณานุกรม 4. ภาคผนวก
(วิเคราะหคําตอบ ภาคผนวกเปนสวนที่เพิ่มเติมเขามาในรายงาน จะมีหรือไมก็ได ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 4.)
108 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนรวมกันสืบคนความหมาย
ความสําคัญของบรรณานุกรมและ
๓. สรุป คือส่วนที่สรุปผลการศึกษา อาจมีการอภิปรายหรือข้อเสนอแนะ หลักการเขียนบรรณานุกรมจาก
ในประเด็นการศึกษาเรื่องที่สามารถศึกษาต่อยอดจากการศึกษาครั้งที่น�าเสนอนี้ หนังสือเรียนในหนา 109 - 112
๔. เชิงอรรถ คือข้อความทีอ่ ยูท่ า้ ยหน้า ท้ายบทหรืออ้างแทรกในเนือ้ หา เพือ่
บอกแหล่งทีม่ าของข้อความทีย่ กมากล่าวถึง หรืออธิบายขยายความเนือ้ หาทีเ่ รียบเรียงไว้ในหน้าเดียวกัน
๒.๓) ส่วนประกอบตอนท้าย เป็นส่วนที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการอ้างอิง ดังนี้ อธิบายความรู
(๑) บรรณานุ ก รม หมายถึ ง รายชื่ อ หนั ง สื อ เอกสาร โสตทั ศ นู ป กรณ์ 1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
ผู ้ ใ ห้ สั ม ภาษณ์ ที่ ใ ช้ อ ้ า งอิ ง ในการท� า รายงาน ส� า หรั บ หลั ก การเขี ย นรายละเอี ย ดการอ้ า งอิ ง แบบ เกี่ยวกับความหมายของ
บรรณานุกรมโดยทั่วไปแล้ว มีรายละเอียดดังนี้ บรรณานุกรม
๑. หนังสือ ข้อมูลทีใ่ ช้ประกอบด้วยชือ่ ผูแ้ ต่ง ปีทพี่ มิ พ์ ชือ่ เรือ่ ง ครัง้ ทีพ่ มิ พ์ (แนวตอบ บรรณานุกรม หมายถึง
สถานที่พิมพ์ ส�านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ รายละเอียดในการบันทึก มีดังนี้ รายชื่อหนังสือ เอกสาร
ก. ชื่อผู้แต่ง ให้ใช้ตามชื่อที่ปรากฏในหนังสือ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับ โสตทัศนูปกรณ ผูใหสัมภาษณ
ผูแ้ ต่งจะมีรายละเอียดทีแ่ ตกต่างกันออกไป ซึง่ จะน�าเสนอในส่วนทีเ่ ป็นตัวอย่างของการเขียนบรรณานุกรม ที่ใชอางอิงในการทํารายงาน)
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
ข. ปีที่พิมพ์ หนังสือภาษาไทยให้ใส่ปี พ.ศ. ที่พิมพ์ในวงเล็บ ส่วน
เกี่ยวกับองคประกอบของการ
หนังสือภาษาอังกฤษให้ใส่ปี ค.ศ. ที่พิมพ์ในวงเล็บ โดยระบุเฉพาะตัวเลข ถ้าไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ให้ใส่
เขียนบรรณานุกรม
(ม.ป.ป.) หรือ (n.d.) (แนวตอบ การเขียนบรรณานุกรม
ค. ชื่อเรื่อง ให้ใช้ที่ปรากฏในหนังสือ ถ้ามีชื่อเรื่องรองเป็นค�าอธิบาย จะตองประกอบไปดวย
ชื่อเรื่อง ให้ใส่ด้วย ถ้าเป็นภาษาต่างประเทศให้ใช้ตัวอักษรตัวใหญ่ขึ้นต้นทุกค�าหรือจะใช้อักษรตัวใหญ่ • ผูแตง
ขึ้นต้นเฉพาะค�าแรกก็ได้ ชื่อเรื่องให้ขีดเส้นใต้ ท�าตัวเอน หรือท�าตัวหนาเป็นระบบเดียวกัน • ปที่พิมพ
ง. ครั้งที่พิมพ์ จะเขียนค�าว่า พิมพ์ครั้งที่... ในวงเล็บ ส�าหรับกรณีที่ • ชื่อหนังสือ
พิมพ์ครั้งแรกไม่ต้องระบุ • ครั้งที่พิมพ
จ. สถานที่พิมพ์ ให้ระบุชื่อจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของโรงพิมพ์หรือส�านัก- • สถานที่พิมพ
พิมพ์ ถ้าไม่ปรากฏให้ใส่ค�าว่า (ม.ป.ท.) หรือ (n.p.) • หนวยงานที่รับผิดชอบในการ
ฉ. ส�านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ ให้ใส่ตามทีป่ รากฏบนหน้าปกในของหนังสือ พิมพ)
ในกรณีที่มีทั้งส�านักพิมพ์และโรงพิมพ์ ให้ใช้ชื่อส�านักพิมพ์ โดยตัดค�าว่าส�านักพิมพ์ออกคงไว้แต่ชื่อ 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
หากเป็นโรงพิมพ์ให้ระบุคา� ว่าโรงพิมพ์แล้วจึงตามด้วยชือ่ ในกรณีทไี่ ม่ปรากฏชือ่ ส�านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ ความรูเกี่ยวกับภาคผนวก โดยครู
ให้ใช้ค�าว่า (ม.ป.ท.) หรือ (n.p.) เช่นเดียวกับไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์ ตั้งคําถาม
• ภาคผนวกมีความสําคัญตอการ
ถ้าไม่ปรากฏทัง้ สถานทีพ่ มิ พ์ ส�านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์ ให้ใช้ (ม.ป.ท.) หรือ
เขียนรายงานการศึกษาคนควา
(n.p.) แทนเพียงครัง้ เดียว ทัง้ นีก้ ารเขียนบรรณานุกรม จะมีรปู แบบรวมถึงการใช้เครือ่ งหมายวรรคตอนที่
อยางไร
แตกต่างกันตามแต่ละสถาบันการศึกษา แต่ไม่วา่ จะเป็นการใช้บรรณานุกรมในรูปแบบใดก็ควรใช้ให้เป็น
(แนวตอบ เปนสวนสําหรับใส
ระบบเดียวกันทั้งหมดเพื่อความเป็นเอกภาพ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ขอมูลบางประการที่ผูอาน
109 รายงานควรทราบ)

คูมือครู 109
ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูนําตัวอยางการเขียน
บรรณานุกรมที่ถูกตองมาใหนักเรียน
ทุกคนไดศึกษา จากนั้นใหพา การเขียนบรรณานุกรมจากหนังสือ
นักเรียนไปหองสมุดของโรงเรียน
เลือกหนังสือคนละ 10 เลม นํามา รูปแบบการใช้เครื่องหมายวรรคตอน
เขียนบรรณานุกรม ผู้แต่ง ๑ คน
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ์). เมืองที่พิมพ์ : สถานที่พิมพ์.
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (๒๕๕๑). พระราชกรัณยานุสร (พิมพ์ครั้งที่ ๓).
กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.
ผู้แต่ง ๒ คน
ศรีสรุ างค์ พูลทรัพย์, และสุมาลย์ บ้านกล้วย. (๒๕๒๙). ตัวละครในรามเกียรติ.์ กรุงเทพฯ : ธเนศวร
การพิมพ์.
ผู้แต่ง ๓ - ๕ คน
ฉัตรา บุนนาค, สุวรรณี อุดมผล, และวรรณี พุทธเจริญทอง. (๒๕๒๕). ศิลปะการใช้ภาษาไทย
ในชีวิตประจ�าวันและทางธุรกิจ. กรุงเทพฯ : ประกายพรึก.
ผู้แต่ง ๖ คนขึ้นไป
ชลธิรา กลัดอยู่ และคณะ. (๒๕๑๗). การใช้ภาษา (พิมพ์ครั้งที่ ๒). พระนคร : เคล็ดไทย.
ผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติ
Berkman, R.I. (1994). Find it fast: How to uncover expert information. New York :
Harper Perennial.
ผู้แต่งใช้นามแฝง
พลูหลวง (นามแฝง). (๒๕๓๔). หยิน - หยาง ภูมิพยากรณ์และฮวงจุ้ย. กรุงเทพฯ : ข้าวฟ่าง.
ผู้แต่งเป็นสถาบัน
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (๒๕๔๓). ส�านวนไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
บรรณาธิการ
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ ์ (บรรณาธิการ). (๒๕๒๙). สังคมกับเศรษฐกิจ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์.
หนังสือแปล
เอ็ม. เอช. อะบราห์ม. (๒๕๓๘). อธิบายศัพท์วรรณคดี. (ทองสุก เกตุโรจน์, ผู้แปล). กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์การศาสนา.
ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง
กฎหมายตราสามดวง. (๒๕๓๗). (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.

110

110 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
ขั้นตอนการเขียนรายงานการศึกษา
๒. บทความ ข้อมูลที่ใช้ประกอบด้วยชื่อผู้เขียน ปีที่พิมพ์ ชื่อบทความ คนควาและสวนประกอบของรายงาน
ชื่อวารสาร ปีที่ (ฉบับที่)/วัน เดือน ปี หน้า ส่วนประกอบของการเขียนบทความอาจมีรายละเอียดบาง ใหแกนักเรียน จากนั้นนักเรียนนํา
ประการที่เป็นลักษณะเฉพาะแต่ในเบื้องต้นอาศัยหลักการเขียนและการใช้เครื่องหมายวรรคตอน ดังนี้ ความรูมาใชเปนแนวทางในการเขียน
รายงานการศึกษาคนควาของตนเอง
การเขียนบรรณานุกรมบทความ
ตามความสนใจ
บทความในวารสาร
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. ชื่อวารสาร, ปีที่พิมพ์ (ฉบับที่), หมายเลขหน้า.
พิพัฒน์ ชูวรเวช. (๒๕๕๐). เล่าเรื่องยูพียู. วารสารตราไปรษณียากร, ๓๗(๘), ๔๘ - ๕๐.
ตรวจสอบผล
บทความในนิตยสาร นักเรียนนําเสนอรายงานการ
บุญอุดม มุ่งเกษม. (เมษายน ๒๕๕๑). รวมกันเราอยู่. Future Gamer, ๔ (๑๓๘), ๒๒. ศึกษาคนควา ดวยวิธีการพูดหนา
บทความในหนังสือพิมพ์ ชั้นเรียน และนําเสนอในลักษณะ
พงษ์พรรณ บุญเลิศ. (๒ เมษายน ๒๕๕๐). อนุรักษ์มรดกไทยเครื่องแต่งกายโขนงามประณีต. รูปเลมสงครูผูสอน นักเรียนบอก
เดลินิวส์, ๔. เหตุผลในการเลือกเรื่อง วิธีการเขียน
โครงเรื่อง เรียบเรียง จัดลําดับและ
๓. สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลที่ใช้ประกอบด้วยชื่อผู้เขียน/ชื่อ ขยายแนวคิด วิธีการสืบคนขอมูล
เจ้าของ (ถ้ามี) ปีที่จัดท�า ชื่อบทความ วัน เดือน ปี ที่สืบค้น แหล่งที่สืบค้น ซึ่งควรระบุที่อยู่ที่สามารถ ของตนเอง ครูผูสอนตรวจสอบความ
เข้าถึงข้อมูลนั้นได้ ไม่ใช่ระบุเฉพาะที่อยู่หน้าตั้งต้นในการค้นหาข้อมูล ถูกตองของขอมูลและสวนประกอบ
ตางๆ ของรายงาน
การเขียนบรรณานุกรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่จัดท�า). ชื่อบทความ. วัน เดือน ปี ที่สืบค้น, แหล่งที่สืบค้น.
อมรรัตน์ เทพกัมปนาท. (๒๕๔๙). ท�าไมพระต้องถือตาลปัตร?. สืบค้นเมื่อ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๙, หลักฐาน
จาก http://www.culture.go.th/study.php. แสดงผลการเรียนรู
รายการศึกษาคนควาในหัวขอ
๔. แหล่งข้อมูลประเภทอื่นๆ เช่น วิทยานิพนธ์ บทสัมภาษณ์ โสตทัศน- ตามความสนใจ จํานวนไมตํ่ากวา
วัสดุ 20 หนา
การเขียนบรรณานุกรมวิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. วิทยานิพนธ์ ระดับปริญญา, สาขาวิชา คณะ มหาวิทยาลัย.
วชิราภรณ์ พฤกษ์สกุ าญจน์. (๒๕๔๓). ลักษณะเด่นทางวรรณศิลป์ในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก.
วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาไทย บันฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.

111

คูมือครู 111
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามเพื่อนํานักเรียนเขาสู
หัวขอกระบวนการเรียนการสอน
• การจัดทําโครงงานประเภท การเขียนบรรณานุกรมสัมภาษณ์
ตางๆ มีผลตอการพัฒนาของ
สังคมอยางไร ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์, สัมภาษณ์, วัน เดือน ปี.
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ศศพินทุ์ ภูมิรัตน, สัมภาษณ์, ๙ เมษายน ๒๕๕๐.
ไดอยางหลากหลาย ตาม
พื้นฐานความรูและ การเขียนบรรณานุกรมโสตทัศนวัสดุ
ประสบการณสวนตน)
ชื่อผู้จัดท�า (หน้าที่ที่รับผิดชอบ). (ปีที่เผยแพร่). ชื่อเรื่อง [ประเภทของโสตทัศนวัสดุ]. สถานที่ผลิต
: หน่วยงานที่เผยแพร่.
สํารวจคนหา พจน์ สารสิน (ผู้พูด). (๑ เมษายน ๒๕๒๐). ความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทย [บทวิทยุออกอากาศ
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย]. กรุงเทพฯ: ฝ่ายโสตทัศนศึกษา หอสมุดสาขา
1. นักเรียนสืบคนความหมายของคํา วังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วา “โครงงาน”
2. แบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม ให (๒) ภาคผนวก คือเนื้อหาส่วนประกอบที่แม้มิใช่เนื้อเรื่องโดยตรง แต่มีความ
แตละกลุมสืบคนลักษณะเฉพาะ เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมหรืออาจเป็นส่วนที่ผู้ศึกษาเรียบเรียงข้อมูลบางอย่างที่ผู้อ่านควร
ของโครงงานตอไปนี้ดวยวิธีการ ทราบ แต่ไม่สามารถใส่ไว้ในเนื้อเรื่องได้เพราะเนื้อหาไม่สอดคล้องกัน
สงตัวแทนของแตละกลุมออกมา ๓.๒ การเขี
๒ การเขียนโครงงาน
จับสลาก
โครงงาน หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสนใจ ต้องการหาค�าตอบหรือศึกษา
• โครงงานสํารวจ
หาความรูอ้ ย่างลึกซึง้ โดยใช้กระบวนการ วิธกี ารศึกษาทีม่ รี ะบบเป็นขัน้ ตอน มีการวางแผนในการศึกษา
• โครงงานคนควา ทดลอง
• โครงงานการศึกษาทฤษฎี
อย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นค�าตอบในเรื่องนั้นๆ
• โครงงานประดิษฐ คิดคน ๑) ประเภทของโครงงาน
ประเภทของโครงงานสามารถแบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้
๑.๑) โครงงานทีเ่ ป็นการส�ารวจ เป็นการศึกษาหาค�าตอบโดยรวบรวมข้อมูลจากที่
อธิบายความรู มีอยู่แล้ว มีวัตถุประสงค์ในการน�าข้อมูลนั้นมาจ�าแนกเป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การ
1. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ส�ารวจศัพท์ยากจากเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นต้น
เกี่ยวกับความหมายของโครงงาน ๑.๒) โครงงานทีเ่ ป็นการค้นคว้า ทดลอง เป็นโครงงานทีม่ วี ตั ถุประสงค์ในการศึกษา
(แนวตอบ โครงงาน หมายถึง การ เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยออกแบบในรูปผลการทดลอง
ศึกษาคนควาเกี่ยวกับสิ่งที่ตน ๑.๓) โครงงานที่เป็นการศึกษาทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ๆ เป็นโครงงาน
สนใจ โดยใชกระบวนการ วิธีการ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้หรือหลักการใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีใครเคยคิดหรือ
ศึกษาที่มีระบบ) ขัดแย้ง หรือขยายจากของเดิมที่มีอยู่ ซึ่งต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีหลักการก่อน
2. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก ๑.๔) โครงงานที่เป็นการประดิษฐ์ คิดค้น เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ในการน�า
มาอธิบายความรูเกี่ยวกับหัวขอที่ ความรู้ ทฤษฎี หลักการมาประยุกต์ใช้ โดยประดิษฐ์เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ เพื่อประโยชน์ต่างๆ
กลุมของตนเองไดรับมอบหมาย 112

นักเรียนควรรู
โครงงาน การเขียนโครงงานที่ดีสําคัญที่การตั้งสมมติฐาน เพราะเปนเสมือน
เข็มทิศในกระบวนการศึกษาคนควาวิจัย โครงงานที่ไมมีการตั้งสมมติฐานจะ
ไรขอสรุป ซึ่งถือวาเปนโครงงานที่ไมกอใหเกิดประโยชน
112 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนคนหาความรูในประเด็น
สวนประกอบของโครงงานจาก
๒) ส่วนประกอบของโครงงาน แหลงเรียนรูตางๆ เชน หนังสือเรียน
การเขียนส่วนประกอบของโครงงาน ผู้ท�าโครงงานต้องช่วยกันคิดและปรึกษากันให้ ในหนา 113 - 114 หรือเว็บไซตทาง
รอบคอบ พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และควรประกอบด้วยส่วนที่ส�าคัญ ดังนี้ การศึกษา
๒.๑) ชื่อโครงงาน คือส่วนที่บอกให้ทราบว่าโครงงานนี้ ท�าอะไร กับใคร เพื่ออะไร
ชือ่ โครงงานควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน ใช้ภาษาตรงไปตรงมาสือ่ ความได้อย่างชัดเจนท�าให้ผอู้ า่ นทราบ อธิบายความรู
ได้ทันทีว่าโครงงานนี้เป็นโครงงานเกี่ยวกับอะไร เช่น ครูใหนักเรียนยืนในลักษณะ
■ ภาษาสมสมัย : การรวบรวมค�าศัพท์ใหม่ในภาษาไทยทีไ่ ม่มใี นพจนานุกรม วงกลมเพื่ออธิบายความรูในลักษณะ
■ ภาษาพาสงสัย : ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาทางภาษา โตตอบรอบวง จากคําถามตอไปนี้
๒.๒) ผู ้ รั บ ผิ ด ชอบโครงงาน คื อ ส่ ว นที่ บ อกให้ ท ราบว่ า ใครคื อ ผู ้ ที่ รั บ ผิ ด ชอบ • จงบอกสวนประกอบของ
โครงงานนี้ อาจเป็นคนเดียวหรือกลุ่ม ซึ่งควรระบุหัวหน้าโครงงานไว้เป็นชื่อแรก คนอื่นๆ เขียนชื่อ โครงงาน
ล�าดับตามตัวอักษร (แนวตอบ
๒.๓) ที่มาของโครงงาน คือส่วนที่บอกสาเหตุที่จัดท�าโครงงาน มีเหตุจูงใจอะไรจึง • ชื่อโครงงาน
จัดท�าโครงงานนี้ หากได้รับความสนับสนุนจากใครหรือแหล่งใดก็บอกไว้ด้วย • ผูรับผิดชอบโครงงาน
• ที่มาของโครงงาน
๒.๔) จุดประสงค์ของโครงงาน คือ ส่วนทีบ่ อกให้ทราบถึงจุดมุง่ หมายของโครงงาน
• จุดประสงคของโครงงาน
ว่าจะจัดขึ้นมาเพื่อสิ่งใด สิ้นสุดโครงงาน ควรเขียนให้กระชับรัดกุมและเขียนเป็นข้อๆ เพื่อให้อ่านง่าย
• สมมติฐานของโครงงาน
และชัดเจนยิ่งขึ้น
• ขอบเขตเนื้อหาและระยะ
๒.๕) สมมติฐานของโครงงาน เป็นข้อคิดเห็นจากการคาดคะเนที่ใช้เป็นมูลฐานใน เวลาการทําโครงงาน
การหาเหตุผลหรือค�าตอบของโครงงาน ควรเขียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของโครงงาน • หลักวิชาที่นํามาใชในการทํา
๒.๖) ขอบเขตเนือ้ หาและระยะเวลาการท�าโครงงาน คือการวางขอบเขตไว้เป็นการ โครงงาน
ครอบคลุมเนื้อหาของโครงงาน รวมทั้งเป็นการก�าหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการปฏิบัติโครงงานด้วย • วิธีปฏิบัติในการทําโครงงาน
๒.๗) หลักวิชาที่น�ามาใช้ในการท�าโครงงาน คือส่วนที่บอกให้ทราบถึงความรู้ • ผลการศึกษา
ทางวิชาการที่น�ามาเป็นส่วนประกอบในการด�าเนินโครงงาน เพื่อให้โครงงานมีความน่าเชื่อถือ มีหลัก • สรุปและอภิปรายผล
เกณฑ์ในการด�าเนินโครงงาน เพื่อที่จะได้บรรลุจุดประสงค์ตามที่ตั้งไว้ ผู้ท�าโครงงานอาจใช้หลักความรู้ • ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ
เดิมที่มีอยู่แล้ว ศึกษาเพิ่มเติมจากต�าราต่างๆ หรือปรึกษาจากผู้รู้ก็ได้ ควรรวบรวมหลักวิชาไว้เป็นข้อๆ • ขอเสนอแนะ
โดยสรุปเนือ้ หาสาระของความรูน้ นั้ ๆ และเขียนไว้ในเค้าโครงของโครงงานด้วย ในรายงานผลขัน้ สุดท้าย • หนังสืออางอิง)
ควรน�าเสนออย่างละเอียด • เพราะเหตุใดจึงตองมีการ
๒.๘) วิธีปฏิบัติในการท�าโครงงาน คือส่วนที่บอกให้ทราบถึงขั้นตอนการด�าเนิน กําหนดจุดประสงคในการทํา
โครงงาน ควรเขียนเป็นขั้นตอนให้ชัดเจนเป็นขั้นๆ ไป แต่ละขั้นใช้เวลาเท่าใด โครงงาน
(แนวตอบ การกําหนดจุดประสงค
๒.๙) ผลการศึกษา คือผลของการปฏิบัติงาน อาจพิจารณาในรูปแบบความเรียง
ในการทําโครงงานจะทําใหผูทํา
ตาราง
ทราบวาทําโครงงานเพื่ออะไร)
113

เกร็ดแนะครู
ครูควรอธิบายใหนักเรียนทราบหลังจากจบการทําโครงงานรวมกันของนักเรียนแลว ผลที่ไดรับ
จากการทําโครงงาน มีทั้งผลโดยตรงและโดยออม โดยตรงคือ นักเรียนมีความรู ความเขาใจ
จากขอมูลที่ไดศึกษา ผลโดยออมคือ นักเรียนจะรูจักการทํางานเปนกลุมยอมรับฟงความคิดเห็น
ของผูอื่น เพื่อชวยใหงานสําเร็จลุลวงดวยดี
คูมือครู 113
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนศึกษาตัวอยางการเขียน
เคาโครงของโครงงานที่นํามาแสดง
ไวในหนังสือเรียนหนา 114 - 115 ๒.๑๐) สรุปและอภิปรายผล เป็นขั้นตอนที่น�าผลของการศึกษามาสรุป ควรเขียน
บันทึกแนวทางการเขียนที่สังเกตได ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของโครงงาน โดยแสดงให้เห็นว่าผลการศึกษาที่ออกมานั้นเป็นไปตาม
ลงสมุด จุดประสงค์และสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่
๒.๑๑) ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั ต้องระบุวา่ ผูท้ า� โครงงานและผูอ้ นื่ ได้รบั ประโยชน์
อะไรบ้างจากการท�าโครงงานนี้
อธิบายความรู ๒.๑๒) ข้อเสนอแนะ เป็นการแนะน�าเพิม่ เติมเกีย่ วกับการน�าผลของโครงงานไปใช้ให้
1. นักเรียนรวมกันสนทนาแลก เกิดประโยชน์สูงสุด
เปลี่ยนความรูระหวางกันภายใน ๒.๑๓) หนังสืออ้างอิง ใช้หลักการเดียวกับการเขียนบรรณานุกรมของการเขียน
ระยะเวลา 10 นาที จากนั้นครูสุม รายงานทางวิชาการ
เรียกชื่อนักเรียนอธิบายความรู
เกี่ยวกับแนวทางการเขียนเคาโครง การเขียนเค้าโครงของโครงงาน
ของโครงงานตัวอยาง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได โครงงาน : วรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลาง
อยางหลากหลาย คําตอบขึ้นอยู ๑. ชื่อโครงงาน วรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลาง
กับดุลยพินิจของครูผูสอน) ๒. ผู้รับผิดชอบโครงงาน นางสาวปลายฉัตร ยิ่งสุขใจ เลขที่ ๑๒ ม.๓/๑
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อให นายไตรภูมิ วราภักดิ์ เลขที่ ๒๕ ม.๓/๑
นักเรียนไดอธิบายความรู ๓. ที่มาของโครงงาน
• นักเรียนคิดวาตัวอยางการเขียน ในปัจจุบันสังคมไทยก�าลังเผชิญกับปัญหาในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านสังคมและวัฒนธรรม
เคาโครงของโครงงานตัวอยางมี ผู้คนในสังคมหลงไปกับวัตถุนิยมหรือค่านิยมแบบตะวันตก ส่งผลให้พฤติกรรมเสื่อมถอยลง กลุ่มผู้ด�าเนิน
ลักษณะการเขียนขอบเขตของ โครงงานจึงมีความต้องการที่จะน�าเสนอศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมที่คนในอดีตใช้ยึดถือ ควบคุม
เนื้อหาที่ครอบคลุมหรือไม ตนเองซึ่งอนุชนรุ่นหลังสมควรที่จะน�ามาศึกษา ทบทวน ใช้เป็นแบบอย่างในการด�าเนินชีวิตประจ�าวัน
๔. จุดประสงค์ของโครงงาน
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๑. เพื่อรวบรวมวรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลาง
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
๒. เพื่อศึกษาสาระ ค�าสอน ข้อคิด คติเตือนใจที่ปรากฏในวรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลาง
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) ๓. เพื่อเผยแพร่ค�าสอน ข้อคิด คติเตือนใจให้ผู้ที่สนใจเลือกน�าไปใช้ให้เหมาะสม
๕. สมมติฐานของโครงงาน
วรรณกรรมภาษิตและค�าสอนที่ปรากฏในภาคกลางมีเป็นจ�านวนมากที่ปรากฏค�าสอน ข้อคิด คติ
เตือนใจที่สามารถน�ามาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยและส่งผลให้สังคมไทยยังธ�ารงอยู่ได้
๖. ขอบเขตเนื้อหาและระยะเวลาในการจัดท�าโครงงาน
๑. ส�ารวจวรรณกรรมภาษิตและค�าสอนของภาคกลางโดยเลือกศึกษาเรื่อง สุภาษิตสอนเด็ก
๒. ใช้ระยะเวลาในการท�าโครงงาน ๗ สัปดาห์ เริ่มจากวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ ถึง ๑๙ กรกฎาคม
๒๕๕๔

114

114 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. นักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับ
หัวขอที่จะนํามาทําโครงงาน
๗. หลักวิชาที่น�ามาใช้ในการท�าโครงงาน 2. นักเรียนรวมกันทําโครงงาน โดย
๑. หลักการอ่านตีความ แปลความและขยายความ ผู้อ่านจะต้องตีความ แปลความ ของถ้อยค�า ครูเปนที่ปรึกษา คอยแนะนํา
รวมถึงน�้าเสียงที่ปรากฏในเรื่อง และขยายความเนื้อหาสาระที่ได้อ่านเพื่อน�ามาสรุปเป็นผลการศึกษา ชี้แนะใหนักเรียนทําตามขั้นตอน
๒. หลักการวิเคราะห์ และประเมินคุณค่าวรรณกรรมประเภทค�าสอน จนเขียนโครงงานเสร็จ
๘. วิธีปฏิบัติในการท�าโครงงาน
3. นักเรียนนําโครงงานไปปฏิบัติตาม
๑. ศึกษาค้นคว้าความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลางที่เลือก
๒. ศึกษาเนื้อหา สาระ โดยใช้หลักการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณกรรมประเภทค�าสอน วิธีการที่ไดกําหนดไว
๓. รวบรวมค�าสอนที่ปรากฏในวรรณกรรมแต่ละเรื่องที่เลือกศึกษา และบันทึกผล 4. เขียนรายงานโครงงาน และ
๙. ผลการศึกษา รายงานความสําเร็จของโครงงาน
สุภาษิตสอนเด็ก ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เนื้อหาของเรื่องเป็นการน�าเนื้อความจากสุภาษิตโบราณ เช่น นําเสนอหนาชั้นเรียน
โคลงโลกนิติมาแต่งและขยายความด้วยนิทานชาดก สาระส�าคัญของค�าสอน คือให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตน
ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การยอมรับในสัจธรรมของชีวิต การคบคน การครองตน การ
ครองเรือน การศึกษาหาความรู้ เป็นต้น ตรวจสอบผล
๑๐. สรุปผลและอภิปรายผล 1. ครูเปนผูประเมินและตรวจสอบ
ผลการศึกษาเกีย่ วกับวรรณกรรมภาษิตและค�าสอนของภาคกลาง จากเรือ่ ง สุภาษิตสอนเด็ก ปรากฏ
โครงงานของนักเรียนทั้งชั้นเรียน
ค�าสอน ข้อคิด คติเตือนใจ หรือหลักการด�าเนินชีวิตประจ�าวันในด้านต่างๆ ที่สามารถน�ามาประยุกต์ใช้ได้
จริง หากบุคคลในสังคมไทยน�าไปยึดถือและปฏิบัติอย่างจริงจังจะส่งผลให้สังคมไทยมีความมั่นคงด้วย 2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
รากฐานของศีลธรรมจรรยาอันดีงาม การเรียนรู
๑๑. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑. ได้ทราบเนื้อหาสาระค�าสอนซึ่งปรากฏข้อคิด คติเตือนใจของวรรณกรรมที่เลือก
๒. สามารถน�าไปพูด เขียน หรือปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจ�าวัน เห็นคุณค่าของวรรณกรรมภาษิตและค�าสอน หลักฐาน
๑๒. ข้อเสนอแนะ แสดงผลการเรียนรู
ควรมีการศึกษาวรรณกรรมหรือภาษิตค�าสอนในภาคอื่นๆ และควรมีการศึกษาเพิ่มเติม โครงงานในหัวขอที่นักเรียนทั้งชั้น
๑๓. หนังสืออ้างอิง
รวมกันคัดเลือก
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (๒๕๒๔). วรรณกรรมภาษิตและค�าสอนภาคกลาง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
คุรุสภา.
ศิลปากร, กรม. (๒๕๑๔). สวัสดิรกั ษา สุภาษิตสอนเด็กและสุภาษิตสอนหญิง. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณ
พิพรรฒธนากร. B
ศิลปากร, กรม. (๒๕๑๒). สุภาษิตสอนสตรี สวัสดิรกั ษาค�ากลอน และเพลงยาวถวายโอวาท. พระนคร : B พื้นฐานอาชีพ
โรงพิมพ์อักษรเพชรเกษม. การเรียนวิชาภาษาไทยนอกจากใช
เพือ่ การสือ่ สารแลวยังใชเปนเครือ่ งมือ
ผู้เขียนจะสามารถสร้างสรรค์งานเขียนได้สมบูรณ์นั้นสามารถใช้แนวทางข้างต้น
เป็นแนวทางเพื่อประกอบการเขียนได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้เขียนที่จะต้องฝึกฝนและ
ในการแสวงหาความรู การทํารายงาน
หมั่นศึกษา แสวงหาความรู้ สะสมไว้เพื่อนÓมาใช้เป็นข้อมูลในการเขียนเรียบเรียง การศึกษาคนควาและการเขียน
งานเขียนของตนเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โครงงานเปนเสมือนประตูทที่ าํ ให
นักเรียนไดเรียนรูส งิ่ ใหมๆ ดวยตนเอง
115 ซึ่งสิ่งตางๆ ที่ไดเรียนรูอาจเปน
ประโยชนตอตนเองในการประกอบ
อาชีพ เชน ถานักเรียนตองการ
ประกอบอาชีพเปนเกษตรกรทีป่ ลูก
ผักโดยไมใชดนิ นักเรียนอาจตั้งสมมติฐานสําหรับการศึกษาคนควา ซึ่งจะ
ทําใหนักเรียนไดทราบวามีผกั จํานวนมากทีป่ ลูกไดโดยไมใชดนิ สามารถ
ปลูกจําหนายมีรายได เปนตน

คูมือครู 115
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
1. จะเขียนโดยใชถอยคําภาษาที่ คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
เขาใจงาย กระชับ รัดกุม ลําดับ
ขั้นตอนการปฏิบัติตั้งแตตนจน ๑. สมมติบทบาทนักเรียนตองเขียนอธิบายในหัวขอ “การอานเพื่อพัฒนาตนเอง” นักเรียนจะมีวิธีการ
จบ ดวยการกลาวเปนหัวขอ เขียนอธิบายอยางไร
เพื่อชวยใหผูอานเขาใจงายขึ้น ๒. ผูเขียนสามารถเขียนวิเคราะห วิจารณ ขอเขียนตางๆ ได ควรมีคุณสมบัติอยางไร จงอธิบาย
และสามารถปฏิบัติตามได ๓. ขั้นตอนของการทํารายงานการศึกษาคนควา ขั้นตอนใดที่มีความสําคัญที่สุด
2. ผูที่จะเขียนวิเคราะหวิจารณได ๔. การเขียนโครงงานหรือโครงการมีความแตกตางอยางไรกับการเขียนรายงานเชิงวิชาการ
ดีจะตองมีคุณสมบัติที่ครบถวน ๕. ขั้นตอนการเขียนรายงานเชิงวิชาการมีขั้นตอนอยางไร พรอมยกตัวอยางประกอบการอธิบาย
คือ มีความรูในเรื่องที่จะเขียน
วิจารณเปนอยางดี ใชภาษาใน
การสื่อความ เขาใจงาย และมี
ใจเปนกลาง ยอมรับฟงความ
คิดเห็นของผูอื่นที่อาจแตกตาง
ไปจากตน
3. การเขียนรายงานการศึกษา
คนความีความสําคัญทุกขั้นตอน
เพราะแตละขั้นตอนทําใหเกิด
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
รายงานการศึกษาคนควาที่มี
สารัตถภาพ สัมพันธภาพ และ กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนใชภาษาใหเหมาะสมในการเขียนอธิบายวิธีการทําปกหนังสือ จากนั้นใหนํา
เอกภาพ มาเสนอหนาชั้นเรียน
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนเลือกหัวขอที่ตนเองสนใจ แลวเขียนโครงเรื่องแบบขยายความคิดจากนั้น
4. การเขียนรายงานการศึกษา
เรียบเรียงเปนรายงานการศึกษาคนควาที่มีการอางอิงถูกตอง โดยมีความยาวไมตํ่า
คนควา คือ การเรียบเรียง
กวา ๑๕ หนา จากนั้นใหนําเสนอหนาชั้นเรียน และนํารูปเลมสงครูผูสอน
ผลการศึกษาคนควาประเด็น กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนรวมกลุมกัน จัดทําโครงงานที่กลุมมีความสนใจ จากนั้นใหเขียนรายงาน
ทางวิชาการ ถูกตองตามองค โครงงาน รายงานความสําเร็จของโครงการนําเสนอหนาชั้นเรียน
ประกอบที่กําหนด สวนการ
เขียนโครงงานหรือโครงการ คือ
การศึกษาคนควาเกี่ยวกับสิ่งที่
ตนสนใจ ตองการหาคําตอบ
หรือศึกษาหาความรูอยางลึกซึ้ง
โดยใชกระบวนการวิธีการศึกษา
ที่มีระบบ เปนขั้นตอน
5. การเขียนรายงานเชิงวิชาการ 116
ประกอบดวยขั้นตอน ดังนี้
1. การเลือกเรื่อง ตองเลือกเรื่อง
ที่ตนสนใจ มีความรู และมีแหลงขอมูล
2. การเขียนโครงเรื่อง กําหนดกรอบเนื้อหาที่จะนําเสนอในรายงาน
3. การคนควาหาขอมูล ทั้งที่เปนเอกสารหลักฐานและขอมูลภาคสนามจากแหลงเรียนรูตางๆ
4. เรียบเรียงเนื้อหา คือ การนําความรูที่รวบรวมไดมาเรียบเรียงตามโครงเรื่องที่วางไว
5. การตรวจทานและแกไข เปนขั้นตอนสุดทายของการเขียนรายงาน เมื่อมีการเขียนเนื้อหาเสร็จ
ควรมีการตรวจทานความถูกตอง เรียบรอย)

116 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ

ตอนที่ ó การพัฒนาทักษะการฟง การดู


และการพูด
ครูและนักเรียนรวมกันอาน
บทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
ที่ปรากฏหนาตอน จากนั้นครู
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• บทรอยกรองดังกลาวมี
จุดมุงหมายอยางไร
(แนวตอบ มีจุดมุงหมายให
มีความใฝรูดวยวิธีการฟง
การถามและการเขียน หากผูใด
ปราศจากสิ่งเหลานี้ก็ไมสามารถ
เปนนักปราชญหรือผูรอบรูได)
• นักเรียนคิดวากวีสื่อสาร
ตรงกับจุดมุงหมายที่ตั้งไว
หรือไม อยางไร
(แนวตอบ กวีสามารถสื่อสารได
ตรงตามจุดมุงหมาย ใชถอยคํา
เพื่อสื่อความไดชัดเจน)

àÇŒ¹ÇÔ¨ÒóÇ‹Ò§àÇŒ¹ ʴѺ¿˜§
àÇŒ¹·Õè¶ÒÁÍѹÂѧ 仆ÃÙŒ
àÇŒ¹àÅ‹ÒÅÔ¢ÔµÊѧ- ࡵNjҧ àÇŒ¹¹Ò
àÇŒ¹´Ñ觡ŋÒÇÇ‹Ò¼ÙŒ »ÃҪޏ䴌ÄåÁÕ
(โคลงโลกนิติ : สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาเดชาดิศร)

คูมือครู 117
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. พูดแสดงความคิดเห็นและประเมิน
เรื่องจากการฟงและดู
2. วิเคราะหและวิจารณเรื่องที่ฟงและ
ดูเพื่อนําขอคิดมาประยุกตใชใน
การดําเนินชีวิต
3. พูดรายงานการศึกษาเกี่ยวกับ
ภูมิปญญาทองถิ่น
4. มีมารยาทในการฟง การดูและ
การพูด

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันดูภาพ
ประกอบหนาหนวย จากนั้นครู
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• บุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใด

ñ
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลายตาม
ความคิดเห็นและการคาดคะเน
สถานการณ)
หนวยที่
• ใชทักษะใดบางขณะกําลัง
สื่อสาร
การพูดเรื่องจากสื่อที่ฟงและดู
(แนวตอบ บุคคลในภาพใชทั้ง ตัวชี้วัด
ทักษะการอาน การฟง การดู ■ แสดงความคิดเห็นและประเมินเรือ่ งจากการฟงและดู (ท ๓.๑ ม.๓/๑) ในยุคปัจจุบันข่าวสารต่างๆ สามารถ
และการพูด เพื่อประกอบการ ■ วิเคราะหและวิจารณเรือ่ งทีฟ่ ง และดูเพือ่ นําขอคิดมาประยุกตใชในการ ส่ ง ถึ ง กั น ได้ ภ ายในระยะเวลาอั น รวดเร็ ว
ดําเนินชีวติ (ท ๓.๑ ม.๓/๒)
สนทนาหรือการพูดเรื่องจากสื่อ ■ พูดรายงานเรือ่ งหรือประเด็นทีศ่ กึ ษาจากการฟง การดูและการสนทนา การฟังและการดูเป็นทักษะในการรับสาร
ที่ฟงและดู) (ท ๓.๑ ม.๓/๓) และในขณะเดียวกันย่อมจะต้องมีการสื่อสาร
■ มีมารยาทในการฟง การดูและการพูด (ท ๓.๑ ม.๓/๖) แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นจากเรื่องที่ได้
สาระการเรียนรูแกนกลาง ฟังและดู ดังนั้นจึงควรฝกทักษะการฟังและดู
■ การพูดแสดงความคิดเห็นและประเมินเรื่องจากการฟง ให้เกิดความช�านาญ และควรเป็นผู้ที่มีมารยาท
ในการฟัง ดูและพูดเพื่อน�าไปประยุกต์ใช้ในชีวิต
เกร็ดแนะครู ■
และการดู
การวิเคราะห วิจารณจากเรื่องที่ฟงและดู
ประจ�าวัน
■ การพูดรายงานการศึกษาเกี่ยวกับภูมิปญญาทองถิ่น
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ■ มารยาทในการฟง การดูและการพูด
ในหนวยนี้ ครูผูสอนควรใหนักเรียน
ไดเรียนรูทฤษฎีกอนการปฏิบัติจริง
โดยเนนใหนักเรียนไดลงมือปฏิบัติ
และนําความรูที่ไดรับไปเชื่อมโยงใช
ในชีิวิตประจําวัน

118 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับการฟงและดูสิ่งที่ทําใหเกิด
๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการฟังและดูสื่อ ความรู และความบันเทิง จากนั้นครู
การฟังและการดูสื่อ คือการรับรู้ความหมายของเสียงและภาพผ่านทางประสาทหูและ ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ประสาทตา ในยุคที่ความเจริญทางเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนเข้ามามีบทบาทในสังคม ข่าวสารต่างๆ • นักเรียนคิดวาสื่อประเภทใด
สามารถส่งถึงกันได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว การฟังและการดูจึงเป็นเรื่องส�าคัญส�าหรับผู้บริโภคสื่อ บางที่ใหไดทั้งสาระและความ
การฟังและดูสื่อท�าให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ความคิด เกิดสติปัญญารวมถึงความสนุกสนาน บันเทิง
เพลิดเพลิน ผู้ฟังและดูเป็นผู้รับสาร ได้รับประโยชน์หลังจากที่ฟังและดูสื่อแล้ว ผู้ฟังและดูอาจจะมีการ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกมาเป็นภาษาพูดโดยใช้ถ้อยค�าและน�้าเสียง ผู้ฟังและดูจึงสามารถ ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
เป็นผู้พูดได้อีกด้วย การพูดที่ประสบความส�าเร็จคือการพูดให้ผู้ฟังเข้าใจ ดังนั้น ในการพูดทุกครั้งผู้พูด
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
ต้องเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าถ่ายทอดแก่ผู้ฟัง
๑.๑ แนวทางในการฟังและดูสอื่ สํารวจคนหา
การฟังและดูสอื่ โดยส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมเฉพาะบุคคลหรือเป็นกิจกรรมร่วมกับครอบครัวหรือ นักเรียนรวมกันศึกษาคนควาใน
เพือ่ นสนิท ดังนัน้ ผูฟ้ งั และดูอาจจะไม่เคร่งครัดในเรือ่ งมารยาทแต่ตอ้ งตัง้ ใจฟังและดูให้เกิดความเข้าใจ ประเด็นแนวทางในการฟงและดูสื่อ
ในการฟังและดูเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพควรปฏิบัติ ดังนี้ จากหนังสือเรียน ในหนา 119 หรือ
๑) ตัง้ ใจฟังและดู คือมีสมาธิในการฟังและการดู จดจ่ออยูก่ บั เรือ่ งทีฟ่ งั และดูตงั้ แต่ตน้ จากแหลงเรียนรูอื่น เชน เว็บไซต
จนจบ เพื่อให้รับสารได้ต่อเนื่องและสมบูรณ์
ทางการศึกษา
๒) มีจุดมุ่งหมายในการฟังและดู คือตั้งจุดมุ่งหมายในการฟังและดูว่าดูไปท�าไม
เพื่ออะไร เพราะการกระท�าที่ไม่มีจุดมุ่งหมายย่อมไร้ประโยชน์ อธิบายความรู
๓) ฟังและดูอย่างมีวจิ ารณญาณ นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
คือวิเคราะห์จดุ มุง่ หมายของสารทีฟ่ งั และดู วินจิ ฉัย รวมกันอธิบายความรูเกี่ยวกับ
ว่าสารนัน้ น่าเชือ่ ถือเพียงใด ประเมินค่าของสารว่า แนวทางในการฟงและดูสื่อใน
ให้ประโยชน์ ให้ข้อคิดหรือไม่ อย่างไร วิเคราะห์ ลักษณะโตตอบรอบวง โดยครูตั้ง
ความจริงใจของผู้ส่งสารและกลวิธีในการส่งสาร คําถามกับนักเรียนเพื่อใหไดแนวทาง
๔) วางใจเปนกลาง คือไม่มอี คติ ที่ถูกตองรวมกัน
• หากนักเรียนตองการฟงหรือ
ต่อเรื่องที่ฟังและดูหรือผู้จัดรายการ การฟังและ
ดูเรื่องราวจากสื่อตางๆ จะมี
ดูด้วยอคติจะท�าให้ผู้ฟังและดูเข้าใจสารผิดพลาด
แนวทางใดที่ชวยใหการฟงมี
เรื่องดีๆ อาจเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจ
ประสิทธิภาพ
๕) จดบันทึกสิ่งที่ฟังหรือดู คือ (แนวตอบ
จับใจความส�าคัญของสิ่งที่ฟังและดูให้ได้ แล้วน�า การรับฟังอย่างตั้งใจและปราศจากอคติต่อกันจะท�าให้ • ฟงและดูอยางตั้งใจ
มาเรียบเรียงใหม่ โดยไม่จ�าเป็นต้องจดทุกค�าพูด ได้รับประโยชน์จากการฟังอย่างแท้จริง • ฟงและดูอยางไมมีอคติ)
119

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา บุคคลในขอใดไมปฏิบัติตามหลักการจดบันทึกขอมูลที่ดี
1. สารินพยายามจดขอมูลใหถูกตองที่ไดฟงจากการประชุม 2. วีรพงษมักจะเขียนวัน เดือน ป ที่ไดบันทึกขอมูลไวเสมอ
3. ธนภณจดบันทึกอยางมีระบบ มักมีตัวอักษรยอที่เปนระบบเดียวกัน 4. กานตจดบันทึกโดยเนนการสรุปขอมูลไมระบุที่มาของหนังสือ
(วิเคราะหคําตอบ การจดบันทึกขอมูลที่ดีตองระบุที่มาของหนังสือทุกครั้งเพื่อนําไปใชคนควาในครั้งตอไป ดังนั้นจึง
ตอบ ขอ 4.) คูมือครู 119
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับมารยาทในการฟงและดูสื่อ
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา ๑.๒ มารยาทในการฟังและดูสอื่
• เพราะเหตุใด จึงตองมีการ การฟังและดูสื่อร่วมกับผู้อื่นในที่สาธารณะ มีข้อควรปฏิบัติที่ผู้ร่วมกิจกรรมการฟังและดูควร
รณรงคหรือขอความกรุณา กระท�า ดังนี้
ใหปดโทรศัพทมือถือกอนชม ๑) ไม่รบกวนสมาธิของผูอ้ นื่ ในระหว่างทีฟ่ งั และดูตอ้ งระมัดระวังไม่พดู คุยหรือแสดง
ภาพยนตร กิริยารบกวนผู้อื่น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๒) ไม่น�าอาหารหรือเครื่องดื่ม
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
เข้าไปรับประทานในขณะที่ฟังและดู
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
๓) ต้องส�ารวมกิรยิ า เมือ่ มีความ
จ�าเป็นต้องออกจากสถานที่ฟังและดูก่อนเวลา
สํารวจคนหา ๔) แต่ ง กายให้ ถู ก กาลเทศะ
1. ครูขออาสาสมัครเพื่อบอกเลา เหมาะสมกับสถานที่เพื่อให้เกียรติแก่ผู้มาร่วมงาน
ประสบการณการชมภาพยนตร ๕) ฟังและดูอย่างตั้งใจ ในขณะ
ในโรงภาพยนตรของนักเรียน ซึ่ง ที่ฟังและดู ควรฟังและดูอย่างตั้งใจเพื่อให้เกิด
อาจเคยพบผูเสียมารยาทขณะชม ประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง นอกจากนี้ควรมีสมุด
ภาพยนตรรวมกัน
บั น ทึ ก ไว้ ส� า หรั บ บั น ทึ ก ความคิ ด รวบยอดหรื อ
2. นักเรียนศึกษาคนควาความรูใน
ใจความส�าคัญทีไ่ ด้รบั จากการฟังและดู การฟังและ
ประเด็นมารยาทในการฟงและ
ดูสื่อจากหนังสือเรียน ในหนา 120 โรงภาพยนตร์เป็นสถานที่ที่ผู้เข้าไปใช้บริการจะต้องมี ดูอย่างตัง้ ใจยังถือเป็นการให้เกียรติแก่ผพ ู้ ดู อีกด้วย
มารยาททั้งการฟังและการดูสื่อ

อธิบายความรู ๒ การพูดจากสื่อที่ฟังและดู
การพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดูจากสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ คือการใช้ทักษะการฟัง การดู
นักเรียนรวมกันสรุปผลดีของการ
มีมารยาทและผลเสียของการไมมี การคิดและการพูดให้สมั พันธ์กนั โดยผูพ้ ดู ต้องฝึกฝนทักษะดังกล่าวให้เกิดความช�านาญ เพือ่ ให้สามารถ
มารยาทในการฟงและดูสื่อ น�าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�าวันได้
(แนวตอบ ผลดีของการมีมารยาท ๒.๑ การพูดแสดงความคิดเห็นจากเรือ่ งทีฟ่ งั และดู
1. ทําใหการฟงมีประสิทธิภาพ การพูดแสดงความคิดเห็นต้องใช้สรรพนามบุรุษที่ ๑ ประกอบค�ากริยาที่ระบุชัดเจนว่าเป็น
2. ไมหลงเชื่อคํายุยง การพูดแสดงความคิดเห็น เช่น ดิฉันคิดว่า ผมเห็นว่า ดิฉันใคร่ขอสรุปว่า พวกเรามีความเห็นร่วมกันว่า
3. สรางสัมพันธภาพที่ดีระหวาง นอกจากนี้ ผู้พูดควรใช้ค�าหรือกลุ่มค�าเพื่อบ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการแสดงความคิดเห็น ได้แก่ ค�าว่า
บุคคล อาจจะ คงจะ น่าจะ คาดว่า หากผู้พูดสามารถใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะแสดงความคิดเห็น
ผลเสียของการไมมีมารยาท
ให้ผู้ฟังเข้าใจได้กระจ่างและเป็นที่น่าเชื่อถือของผู้ฟัง
1. ไมไดประโยชนขณะฟง
2. เกิดผลเสียหายตอตนเองและ 120
สวนรวม)

ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนความรู จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา นักเรียนควรรู
• จะมีวิธีการแกปญหาอยางไร เมื่อมีผูเสียมารยาทขณะฟงและดู สรรพนาม หมายถึง คําที่ใชแทนคํานามเพื่อจะไดไมตอง
(แนวตอบ ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน โดยอาจชี้แนะเพิ่มเติมให กลาวคํานามนั้นซํ้าๆ แบงเปน
นักเรียนเปนผูมีระเบียบวินัยในตนเองและรูจักเกรงใจผูอื่น) • สรรพนามบุรุษที่ 1 ใชแทนผูพูด : ฉัน ดิฉัน ขาพเจา
• สรรพนามบุรุษที่ 2 ใชแทนผูฟง : ทาน คุณ เธอ
120 คูมือครู
• สรรพนามบุรุษที่ 3 ใชแทนผูถูกกลาวถึง : หลอน เขา ทาน
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับเรื่องราวตางๆ ที่นักเรียน
บทสนทนาธรรมระหว่าง พระไพศาล วิสาโล กับขวัญชาย ด�ารงค์ขวัญ ไดฟงหรือดูแลวเกิดความประทับใจ
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ถาม : ในมุมมองของพระอาจารย์ ธรรมะกับธรรมชาติเกี่ยวข้องกันอย่างไร • นักเรียนเคยฟงเรื่องราวประเภท
ตอบ : มันเกีย่ วข้องกันมากเลย ในปัจจุบนั ธรรมชาติถกู ท�าลายไปเพราะคนและก็ไม่ใช่เพราะ ใดบางจากสื่อวิทยุ โทรทัศน
คนมีจ�านวนมากอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย หรืออินเทอรเน็ต
ประการแรก คนบริโภคสิ่งต่างๆ กันมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีค่านิยมเรื่องบริโภคนิยม มันก็ (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ท�าให้คนมุ่งที่จะเสพ เพราะเขาเชื่อว่าการเสพ การมีและการครอบครองมากๆ จะท�าให้มีความสุข ตอบไดอยางหลากหลายตาม
พอคนติดกับบริโภคนิยม คนก็จะติดกับความสะดวกสบายและเมื่อติดกับความสะดวกสบายก็จะ ประสบการณในการฟงและดู
ท�าให้คนไม่ได้สนใจความเดือดร้อนของธรรมชาติ การบริโภคทีเ่ พิม่ มากขึน้ ก็สง่ ผลให้มกี ารผลิตมาก ของตนเอง)
ขึน้ เพือ่ ตอบสนองการบริโภคของคน ส่งผลให้มขี ยะตามมามากมาย ขยะจากการบริโภคจะมีจา� นวน
น้อยกว่าขยะทีเ่ กิดขึน้ จากการผลิต โดยขยะทีเ่ กิดจากการบริโภค ๑ ส่วน จะเกิดขยะในกระบวนการ
สํารวจคนหา
ผลิตถึง ๗๐ ส่วน แต่คนบริโภคเองจะไม่เห็น เพราะมันจะไปอยู่ที่โรงงาน ไปอยู่ที่กระบวนการผลิต
ต่างๆ และในปัจจุบัน การกระตุ้นการบริโภคกับคนทั่วไปก็ส่งผลให้มีการกระตุ้นการผลิตตามมา 1. นักเรียนไปฟงเรื่องที่ตนเองสนใจ
ประการที่สอง ทุกวันนี้ ทัศนคติของคนต่อธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์มองธรรมชาติ จากสื่อวิทยุ โทรทัศน หรือ
อินเทอรเน็ต บันทึกใจความสําคัญ
เป็นสินค้า เป็นวัตถุที่เขาจะท�าอะไรก็ได้ ซึ่งในสมัยก่อนไม่มีความคิดแบบนี้ แต่เมื่อความคิดแบบ
ลงสมุด
วิทยาศาสตร์เริม่ เข้ามา คนก็มองธรรมชาติเป็นแค่กอ้ นวัตถุ จึงเห็นธรรมชาติไม่มคี า่ ไม่มคี วามหมาย
2. นักเรียนศึกษาความรูเรื่องการพูด
น�้าไม่มีพระแม่คงคา พื้นดินไม่มีพระแม่ธรณี ข้าวไม่มีพระแม่โพสพ ท�าให้คนคิดว่าพวกเขาจะใช้ แสดงความคิดเห็นจากหนังสือ-
จะทิ้งอะไรลงไปก็ได้ เรียน ในหนา 120
ประการที่สาม ธรรมะระหว่างคนกับคน การเอาเปรียบระหว่างคนกับคน ช่องว่างระหว่าง
คนกับคนนั้นมีมาก มันก็มีส่วนท�าให้เกิดการท�าลายธรรมชาติ เพราะว่าคนที่ถูกเบียดบัง เขาได้รับ
ความสูญเสีย เขาเป็นลูกไล่ ท�าให้เขาต้องมาถางป่า มาเอาเปรียบธรรมชาติ คนรวยเอาเปรียบคนจน อธิบายความรู
และคนจนก็ไปเอาเปรียบธรรมชาติ ส�าหรับประเทศที่มีช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมากๆ จะ ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
พบตัวเลขที่แสดงถึงการท�าลายธรรมชาติเป็นจ�านวนมาก ความรูเกี่ยวกับแนวทางการพูดแสดง
เราจะสังเกตได้ว่า ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน ดังนั้นธรรมะระหว่างคนกับคนก็เป็น ความคิดเห็น
เรื่องที่มีผลต่อธรรมชาติได้ เฉพาะแค่ ๓ ประเด็นนี้ ก็ล้วนเป็นประเด็นใหญ่ๆ ที่น�าไปสู่การท�าลาย (แนวตอบ ใชสรรพนามบุรุษที่ 1
ธรรมชาติได้ทั้งสิ้น อย่างทุกวันนี้ เราก�าลังรณรงค์เรื่องลดโลกร้อน ทุกๆ ประเทศเขาก็รู้ถึงปัญหา ประกอบคํากริยาที่ระบุไดชัดวาเปน
แต่กย็ งั ไม่มปี ระเทศไหนทีจ่ ะพยายามแก้ไขอย่างจริงจังและไม่มปี ระเทศไหนทีจ่ ะยอมลดการปล่อย การพูดแสดงความคิดเห็น)
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เพราะการลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะหมายถึงเขาต้องลด
การผลิต ซึ่งมันจะไปลดการบริโภคด้วย ส่งผลให้ต้องลดความสะดวกสบายลงไป หลายๆ ประเทศ ขยายความเขาใจ
ก็ไม่ยอม เช่น อเมริกา บุช (จอร์จ ดับเบิลยู. บุช) ก็บอกว่าวิถชี วี ติ ของชาวอเมริกาจะประนีประนอม
1. นักเรียนแตละคนออกมาพูดสรุป
121 ใจความสําคัญและแสดงความ
คิดเห็นในเรื่องที่ไดฟงและดู
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• เมื่อมีผูกําลังถกเถียงกันขณะ
แสดงความคิดเห็น นักเรียนคิด
นักเรียนควรรู วามีสาเหตุมาจากอะไร
พระไพศาล วิสาโล เปนพระนักคิด นักเขียน ที่มีงานเขียน (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ออกมาอยางสมํ่าเสมอ ทานเปนพระที่มีกระบวนการการใชภาษา ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
ในการสื่อความ แสดงความคิดเห็น วิพากษ วิจารณ ที่มีเหตุผล อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
ประกอบอยางชัดเจน
คูมือครู 121
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate
Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูประเมินการพูดแสดงความ
คิดเห็นของนักเรียน ชมเชยและ
แนะนําขอควรปรับปรุงใหแกนักเรียน ไม่ได้ เขาจะลดการบริโภคไม่ได้ วิถีชีวิตแบบคนอเมริกันก็คือมีรถคนละคัน สองคัน เขาคิดว่า
ถ้าจะให้เขาปรับปรุงเทคโนโลยีให้ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ใช้น�้ามันน้อยลงก็พอจะ
เป็นไปได้ แต่ถ้าจะให้เราลดมาตรฐานการครองชีพอย่างอเมริกัน เราไม่ยอม ทุกๆ ประเทศก็คิด
แบบนี ้ จีนก็คดิ แบบนี ้ จีนต้องพัฒนา เขาลดการผลิตไม่ได้ รวมไปถึงนักการเมืองก็คดิ ถึงแต่ทนี่ งั่ ของ
เกร็ดแนะครู ตัวเอง เพราะถ้าคุณเปลีย่ นนโยบาย คุณก็จะไปไม่รอด คุณก็ตกกระป๋องเหมือนกัน แต่ละประเทศก็
ครูควรอธิบายใหนักเรียนเขาใจ คิดถึงแต่ตัวเอง นักการเมืองก็คิดถึงต�าแหน่งของตัวเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัวที่ท�าให้
เกี่ยวกับลักษณะการใชภาษาใน ธรรมชาติเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
แบบตางๆ เชน การใชภาษาแบบ ที่มา http: //www.greenworld.or.th/greenworld/inter view/898
ตรงไปตรงมา การใชภาษาเพื่อ
โนมนาวชักจูง การใชภาษาเพื่อ
เรียกรองความสนใจ เพื่อเปนการ
สรางองคความรูเรื่องการใชภาษา การพูดแสดงความคิดเห็นและประเมินค่าบทสนทนาธรรม
ใหแกนักเรียน
เรียนท่านผู้ฟังที่เคารพ
จากการที่ดิฉันได้ดูรายการการสนทนาธรรมระหว่างพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล กับ
ผู้ด�าเนินรายการ ดิฉันประทับใจมาก เรื่องที่น�ามาสนทนาเป็นเรื่องธรรมะกับธรรมชาติ น�าเสนอ
นักเรียนควรรู โดยการซักถาม ผู้ถามตั้งค�าถามสั้นๆ ธรรมะกับธรรมชาติเกี่ยวข้องกันอย่างไรเป็นประเด็นให้ตอบ
เกรงกลัวตอบาป ศาสนาทุก เรื่องนี้มีประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการท�าลายธรรมชาติของ
ศาสนาสอนใหมนุษยเกรงกลัวตอ คนที่ไม่มีธรรมะ คนที่เห็นแก่ตัวไม่มีความจริงใจท�าให้ธรรมชาติเลวลง ซึ่งเราจะพบเห็นได้ทั่วไป
บาป โดยอาจมีวัตถุประสงค ในสังคมโลก ไม่มีประเทศใดที่มีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาโลกร้อน บทสนทนาธรรมนี้มีความ
ปลายทางที่แตกตางกัน แตโดย น่าเชือ่ ถือเพราะผูส้ นทนาคือพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ซึง่ เป็นทีร่ จู้ กั กันดี ท่านเป็นพระนักอนุรกั ษ์
ภาพรวมการสอนใหมนุษยเกรงกลัว นักคิด นักเขียนที่มีชื่อเสียง ท่านตอบค�าถามโดยใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสภาพจริงมาตอบ น�า
ตอบาปจะชวยทําใหมนุษยทํา ความจริงที่พบเห็นกันทั่วไปมาอธิบาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ ซึ่งดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่า
ความผิดนอยลง เมื่อมนุษยทํา คนทีไ่ ม่มธี รรมะจะท�าทุกอย่างได้โดยไม่มคี วามละอายหรือเกรงกลัวต่อบาป ดิ บาป ฉนั คิดว่าถ้าทุกคนน�า
ความผิดนอยลงจนกระทั่งถึงขั้น เรือ่ งนีไ้ ปใช้ในชีวติ ประจ�าวัน คือ ลด ละความเห็นแก่ตวั คิดถึงประโยชน์สว่ นตัวให้นอ้ ยลง คิดถึงผลเสีย
ไมมีผูกระทําผิด สังคมจะสงบสุข ทีจ่ ะเกิดกับส่วนรวม ในอนาคตโลกสีเขียวจะยังเป็นของพวกเราทุกคน พลโลกคงจะอยูร่ ว่ มกันอย่าง
การทําบาปสามารถเกิดขึ้นไดจาก มีความสุข สวัสดีค่ะ
การกระทํา การคิดและคําพูด
การพูดในสิ่งที่ไมเปนจริง การพูด จากบทพูดแสดงความคิดเห็นข้างต้น เป็นการแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมา ใช้ภาษา
สอเสียด เหน็บแนม ยั่วยุ พูดโดย
ไม่ซบั ซ้อน วิธกี ารพูดน่าสนใจ โดยเกริน่ ถึงเนือ้ หาก่อน จากนัน้ จึงเริม่ แสดงความคิดเห็นของตนเองลงไป
ปราศจากการคิดไตรตรองถึงผลเสีย
ซึ่งจะท�าให้ผู้ฟังรู้สึกว่าไม่ได้ถูกโน้มน้าวให้เห็นด้วย แต่ก�าลังเป็นการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
ที่อาจเกิดขึ้น ก็นับเปนการกระทํา
บาปประการหนึ่ง ดังนั้น ในการ 122
พูดทุกๆ ครั้งนักเรียนจะตองคิด
ไตรตรองกอนพูด มีเหตุผลทุกครั้ง
ในการพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น
ในเรื่องตางๆ
@
หลักฐาน
มุม IT แสดงผลการเรียนรู
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทสนทนาธรรมไดจาก รางบทพูดแสดงความคิดเห็น
เว็บไซตธรรมะ เชน www.watpanonvivek.com, ความยาวไมเกิน 5 นาที
www.kalyanamitra.org
122 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับการพูดวิจารณเรื่องที่ฟงและ
๒.๒ การพูดวิเคราะหวจิ ารณเรือ่ งทีฟ่ ง และดู ดู จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
การฟงและดูเปนทักษะที่จําเปนในชีวิตประจําวัน ปจจุบันมีสื่อหลากหลายที่แขงขันกัน • การพูดวิจารณโดยปราศจาก
เพื่อนําเสนอใหผูชมเลือกฟงและดูไดตลอดเวลา ดังนั้นจึงจําเปนตองเลือกฟงและดูสิ่งที่ดีมีสาระ เหตุผลกอใหเกิดผลเสียอยางไร
เพื่อนําไปเพิ่มพูนสติปญญาของตน การฟงเพื่อการวิเคราะหเปนการฟงเพื่อแยกแยะเรื่องราวออกมา (แนวตอบ การวิจารณโดย
ในดานรูปแบบ เนื้อหา วิธีการนําเสนอ สํานวนภาษา ผูฟงตองใชความสามารถในการฟงและการคิด ปราศจากเหตุผลอาจทําใหผูอื่น
พิจารณาจับประเด็นใหไดแลวจึงนํามาแยกแยะออกเปนสวนๆ ดังนี้ เดือดรอนและผูพูดขาดความ
๑. ขอเท็จจริง นาเชื่อถือ)
๒. ขอคิดเห็น
๓. ขอความที่ฟงและดูเปนเรื่องประเภทใด
สํารวจคนหา
๔. เนื้อหาของเรื่องเกี่ยวกับสิ่งใด
๕. เรื่องนี้นําเสนอโดยวิธีใด 1. นักเรียนสืบคนความแตกตางของ
๖. เรื่องนี้เสนอภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งใด คําวา วิเคราะหและวิจารณ และ
๗. เหตุผลสําคัญที่ทําใหเกิดเรื่องนี้ สํารวจอาชีพของคนในสังคมไทย
๘. คําสําคัญในเรื่อง ที่มีความเกี่ยวของกับการพูด
๙. การนําความรูไปใชในชีวิตประจําวัน วิเคราะหวิจารณ
2. นักเรียนศึกษาคนควาในประเด็น
หลังจากที่วิเคราะหเรื่องไดแลว สามารถนําเรื่องนี้ไปพูดวิเคราะหวิจารณเสนอความรูความคิด
การพูดวิเคราะหวิจารณเรื่อง
ของตนที่มีตอเรื่องที่ฟงและดู
ที่ฟงและดู จากหนังสือเรียน
การพูดวิเคราะหวิจารณเรื่องที่ฟงและดูมีลักษณะเชนเดียวกับการพูดแสดงความคิดเห็น คือ
ในหนา 123
การใชทักษะการฟงการดู การคิดและการพูดใหสัมพันธกัน ผูพูดตองฝกฝนใหเกิดความชํานาญ
การพู ด วิ เ คราะห วิ จ ารณ เ ป น การพู ด
อธิบาย ชี้แจงแสดงเหตุผลและความคิดเห็น โดย อธิบายความรู
มีจุดมุงหมายเพื่อใหผูฟงมีความรูความเขาใจใน 1. นักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับ
สิง่ ทีพ่ ดู ผูพ ดู ตองคิดพิจารณาแลวนํามาเรียบเรียง ความแตกตางของคําวา วิเคราะห
ลําดับเรื่องราว ใชภาษาที่ฟงแลวเขาใจงายและ วิจารณ
ไมซับซอน ผูวิจารณควรคํานึงวาการพูดวิเคราะห 2. นักเรียนอธิบายความรูเกี่ยวกับการ
วิจารณไมใชการพูดเพื่อวิจารณขอบกพรองของ พูดวิเคราะห วิจารณ นําเสนอเปน
เรื่องที่ไดฟงหรือดู แตเปนการพูดวิจารณในเชิง แผนผังสงครูผูสอน
โครงสราง เนือ้ หาสาระทีผ่ สู ง สารตองการนําเสนอ
พูดโดยปราศจากอคติ เพราะการพูดโดยมีอคติจะ
ไมเกิดประโยชนทั้งตอตัวผูพูดและผูฟง ขยายความเขาใจ
ผูพูดควรแตงกายใหมีความเหมาะสมกับกาลเทศะ
นักเรียนนําองคความรูมาใชเปน
๑๒๓ แนวทางในการพูดวิเคราะหวิจารณ
เรื่องที่นักเรียนฟงและดูจากสื่อตางๆ
โดยเลือกเรื่องที่สนใจ

หลักฐาน ตรวจสอบผล
แสดงผลการเรียนรู
ครูประเมินการพูดวิเคราะห
รางบทพูดวิเคราะห วิจารณเรื่องที่ฟงและดู
วิจารณของนักเรียน ติชมและแนะนํา
สงครูผูสอนความยาวไมเกิน 5 นาที
วิธีการแกไขขอบกพรอง

คูมือครู 123
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวานอกจากบทเพลง
แลวยังมีสิ่งใดอีกบางที่สามารถ บทเพลงประกอบการโฆษณาของ สสส.
นํามาพูดวิเคราะหวิจารณได
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ เพลงขยับบ่อยๆ
ไดอยางหลากหลายตามความรู ขับร้องโดย ติ๊ก ชิโร่
และประสบการณ) พ่อแม่พี่น้อง ขยับตัวกันหน่อยล่ะ ปู่ ป้า น้า อา
ขยับตัวกันหน่อยละพ่อ แม่ พี่ น้อง ขยับตัวกันหน่อยล่ะ ปู่ ป้า น้า อา
คนไทยเป็นอะไรกันหนา นั่งแช่โซฟาไม่ลุกไปไหน
สํารวจคนหา จะเอาอะไรใช้แต่นิ้วชี้ ท�าเป็นปีๆ ไม่ดีรู้ไหม
1. นักเรียนจับกลุม กลุมละ 4 คน ข้าวของเครื่องใช้คิดแค่แต่สบาย
สํารวจคนหาเรื่องตางๆ จากสื่อ นั่งแช่แผ่หงาย ร่างกายจะอ่อนแอ
วิทยุ โทรทัศน ที่กลุมสนใจและ ขยับบ่อยๆ จะดีที่สุด อย่าๆ หยุดเหยียดแข้งขา
มีมติเห็นชอบรวมกัน คัดเลือก ขี้เกียจบ่อยๆ อาจท�าให้เราเฉื่อยชา งัั้นมา มามามาขยับ (ขยับๆๆ)
มา 1 เรื่อง เพื่อนํามาพูดวิเคราะห บันไดขึ้นไปอย่าท้อ ไม่ใช่รอใช้ลิฟต์อย่างเดียว
วิจารณรวมกัน มาออกก�าลัง ลุกนั่งสักเดี๋ยว ให้จากซีดเซียวเปลี่ยนเป็นปราดเปรียว
2. นักเรียนในกลุมรวมกันทบทวน
นั่งอยู่เฉยๆ ยกมือยกไม้ก็ยังดี
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการพูด
ออกแรงหน่อยซิ เชิญมาขยับกัน
วิเคราะห วิจารณที่ไดศึกษา
ลงสมุด
จากตัวอย่างบทเพลงรณรงค์เพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้ประชาชนเกิดแรงบันดาลใจในการ
ออกก�าลังกาย สามารถน�ามาพูดวิเคราะห์วิจารณ์ได้ ดังตัวอย่าง
อธิบายความรู
นักเรียนในกลุมอธิบายความรู การพูดวิเคราะห์วิจารณ์จากสื่อที่ฟังและดู
เกี่ยวกับเรื่องที่กลุมคัดเลือกมา และ
รวมกันพูดวิเคราะห วิจารณเรื่องจาก เรียนท่านผู้ฟังที่เคารพ
สื่อที่ฟงและดู ท่านเคยฟังเพลงประกอบการโฆษณาของส�านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สสส. ซึ่งมีชื่อว่าเพลงขยับบ่อยๆ ไหมคะ ดิฉันได้ฟังเพลงนี้จากการโฆษณา
ทางโทรทัศน์แล้วรูส้ กึ ประทับใจ เพราะมีสาระทีต่ รงกับสภาพของคนไทยทีไ่ ม่ชอบการออกก�าลังกาย
เนื้อร้องบอกข้อเท็จจริงโดยชี้ให้เห็นว่า การออกก�าลังกายท�าให้ร่างกายแข็งแรงและแสดงความ
นักเรียนควรรู คิดเห็นว่าคนไทยรักความสบาย ชอบนั่งเฉยๆ ไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกายจึงอ่อนแอ สสส. ต้องการ
สสส. มีชื่อเต็มวา สํานักงาน ประชาสัมพันธ์ให้คนไทยเห็นความส�าคัญของการออกก�าลังกายจึงแนะน�าการออกก�าลังกาย โดย
กองทุนสนับสนุนการสรางเสริม ร้องเป็นเพลงประกอบการโฆษณา ใช้ค�าว่าขยับบ่อยๆ หมายถึง การเคลื่อนไหวออกก�าลังกาย
สุขภาพ เปนหนวยงานของรัฐบาลที่
จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุน 124
สนับสนุนการเสริมสรางสุขภาพ พ.ศ.
2544 มีหนาที่จุดประกาย กระตุน
สนับสนุน ประสานความรวมมือเพื่อ
ใหคนไทยริเริ่มกิจกรรมหรือโครงการ
@
สงเสริมสุขภาพโดยไมจํากัดวิธีการ มุม IT
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทเพลงประกอบการโฆษณาของ สสส. ไดจาก
เว็บไซตของ สสส. http://thaiheath.or.th/ลิงคไปที่ “สื่อสรางสุข”

124 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
เกี่ยวกับมารยาทในการพูด จากนั้น
ดิฉันคิดว่าควรจะมีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงความส�าคัญและ ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ความจ� า เป็ น ของการออกก� า ลั ง กายและน� า ไปปฏิ บั ติ ใ นชี วิ ต ประจ� า วั น ของตน เพราะการ • เพราะเหตุใดบุคคลที่ไมมี
ไม่ออกก�าลังกายจะเป็นคนอ่อนแอ คนเฉือ่ ยชา คงไม่มใี ครอยากเป็นคนอ่อนแอ คนเฉือ่ ยชากันนะคะ มารยาทในการพูดจึงมักจะได
สวัสดีค่ะ รับการตําหนิจากผูอื่น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
จากตัวอย่างการพูดวิเคราะห์วิจารณ์ข้างต้น แสดงให้เห็นลักษณะการวิเคราะห์แล้วจึงวิจารณ์ ไดอยางหลากหลาย ตามความรู
โดยผู้พูดได้แยกส่วนประกอบของบทเพลงออกเป็นชื่อเพลง เนื้อหาสาระของเพลง แล้ววิจารณ์ว่าเป็น ความคิดเห็น)
บทเพลงที่มีเนื้อหาที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังที่ไม่ชอบการออกก�าลังกาย โดยควรประชาสัมพันธ์
อย่างทั่วถึง
สํารวจคนหา
๒.๓ มารยาทในการพูด 1. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนาวา
มารยาทในการพูดมีความส�าคัญส�าหรับผู้พูด เพราะไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร ที่ไหน เวลาใด พูด นักเรียนคนใดที่มีประสบการณพบ
ให้ใครฟัง มารยาทเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างเสริมคุณลักษณะของผู้พูด สร้างความศรัทธาให้แก่ผู้ฟัง มารยาท กับบุคคลที่เสียมารยาทในการพูด
ในการพูด มีดังนี้ 2. นักเรียนรวมกันคนหาพฤติกรรมที่
๑) เตรียมตัวให้พร้อม ก�าหนดหัวข้อเรื่อง หาข้อมูลมาประกอบการพูด หากไม่มี ไมเหมาะสมที่บงชัดวาเปนผูที่ไมมี
การเตรียมตัวให้พร้อมจะท�าให้พูดซ�้าซาก วกวน ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจเรื่องที่ฟัง มารยาทในการพูด
๒) มีกิริยาท่าทางดี เช่น การเดิน การนั่ง การยืน เป็นต้น ควรอยู่ในอาการส�ารวม
ไม่เกร็งหรือปล่อยตัวตามสบายจนเกินไป ในขณะที่พูดควรสบตากับผู้ฟังเป็นระยะๆ อย่างทั่วถึง
อธิบายความรู
นอกจากนี้ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ถูกกาลเทศะ เหมาะสมกับวัย รูปร่าง โอกาสและฐานะที่ไปพูด
ในสถานการณ์นั้นๆ 1. ครูยกตัวอยางเหตุการณสมมติ
แลวตั้งคําถามกับนักเรียนวา
๓) ใช้ค�าพูดสุภาพเหมาะสมกับเรื่องที่พูด ไม่พูดปด โอ้อวด ก้าวร้าวหรือน�าเรื่อง
• เมื่อมีผูกลาวหาวาสมภพพูด
ส่วนตัวของผู้อื่นมาเปิดเผย ไม่พูดเสียดสีผู้อื่น เพราะนอกจากจะไม่สุภาพแล้วยังเป็นการไม่ให้เกียรติ
ไมถูกตองและสงเสียงตําหนิมา
ผู้ฟังอีกด้วย
จากดานลางเวที แตสมภพยัง
๔) ควบคุมอารมณ์ในขณะที่พูด ไม่แสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสม ต้องรู้จักระงับ สามารถพูดตอไปไดจนกระทั่ง
ความโกรธหรือความไม่พอใจเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในขณะที่พูด ถ้าผู้พูดไม่ควบคุมอารมณ์อาจจะมีการ การพูดสิ้นสุดลงแสดงวาสมภพ
โต้แย้งท�าให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มีมารยาทในการพูดอยางไร
๕) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็น (แนวตอบ สมภพรูจักควบคุม
ในประเด็นที่มีความสงสัย อารมณในขณะที่พูด รูจักที่จะ
๖) ควรพูดให้เหมาะสมกับเวลา ไม่ควรพูดเกินเวลาทีก่ า� หนดเพราะจะท�าให้ผฟู้ งั เกิด ระงับอารมณโกรธหรือความ
ความเบื่อหน่ายและไม่เป็นไปตามก�าหนดการที่วางไว้ ไมพอใจเมื่อมีปญหาเกิดขึ้นใน
ขณะที่พูด)
125 2. นักเรียนสรุปผลดีของการมี
มารยาทในการพูดและผลเสียของ
การไมมีมารยาทในการพูด
(แนวตอบ ผลดีของการเปนผูมี
มารยาทในการพูด เชน ไดรับการ
NET ขอสอบป 52 ยอมรับนับถือ สวนผลเสียของการ
ไมมีมารยาทในการพูด เชน สราง
ขอสอบถามวา ขอใดใชภาษาในการพูดไดอยางเหมาะสมและแสดงมารยาทที่ดี
ศัตรู)
1. ไมวาใครก็เคยผิดหวัง แตทายที่สุดอยาทอแท 2. คนอยางเรา ผิดหวังซะบางก็ดี
3. โตแลว ผิดหวังแคนี้ทนไมได 4. พยายามเขา สักวันฟาคงมีตา
(วิเคราะหคําตอบ นํ้าเสียงในทุกขอแสดงความประชดประชัน มีเพียงขอเดียวที่ใหกําลังใจ ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 1.)
คูมือครู 125
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
โดยครูสอบถามเกีย่ วกับประสบการณ
การพูดรายงานครั้งแรกของนักเรียน ๓ การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าภูมิปัญญาท้องถิ่น
การพูดรายงานเป็นการพูดจากเรื่องราวที่ได้ไปศึกษามาให้ผู้ฟังทราบ ดังนั้นผู้พูดรายงานควร
รูจ้ กั การสังเกตและฝึกฝนให้ตนเองมีความสามารถในการเก็บใจความส�าคัญของเรือ่ งต่างๆ อย่างมีเหตุผล
สํารวจคนหา และมีข้ออ้างอิงจากการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจนถึงขั้นน�าเสนอข้อมูลได้ โดยที่ผู้ฟังรายงาน
1. นักเรียนจัดกลุม กลุมละ 5 คน สามารถเข้าใจเรื่องราวที่น�ามารายงานได้เป็นอย่างดี
สํารวจคนหาแนวทางการลดความ ๓.๑ แนวทางการพู
๑ แนวทางการพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า
ประหมาจากการพูดรายงานและ การพูดรายงานมีวิธีการพูด ดังนี้
แนวทางการพูดรายงานที่ดีและ ๑. น�าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาเรียบเรียงเนื้อหาเพื่อน�าไปพูดรายงาน โดยให้มีความ
สรุปผลเพื่อใชกับกลุมของตนเอง ชัดเจน สั้น กระชับและได้ใจความของเรื่องราวทั้งหมด
2. นักเรียนในกลุมรวมกันศึกษา ๒. พูดด�าเนินเรื่องไปตามล�าดับเหตุการณ์ ไม่สับสน วกวน
คนควาในประเด็นภูมิปญญา ๓. มีตัวอย่างหรือสถิติประกอบการพูดรายงานตามความเหมาะสม
ทองถิ่นและเลือกหัวขอที่กลุม ๔. เลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับระดับของผู้ฟัง ไม่ควรใช้ภาษาที่ยากหรือง่ายเกินไป
สนใจ ๕. ไม่พูดเกินเวลา ใช้เวลาพูดให้พอดีกับเวลาที่ก�าหนดไว้

อธิบายความรู การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าภูมิปัญญาท้องถิ่น
1. นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออก เรียน ท่านผู้ฟังที่เคารพ
มาพูดรายงานการศึกษาคนควา จากการทีก่ ลุม่ ของข้าพเจ้าได้ไปศึกษาค้นคว้าเกีย่ วกับภูมปิ ญ
ั ญาท้องถิน่ ซึง่ ตามขอบข่ายของ
เรื่องภูมิปญญาทองถิ่นในหัวขอที่ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้กา� หนดไว้เป็นเบือ้ งต้นทัง้ ๙ ด้าน ตามทีไ่ ด้แจกเอกสารประกอบ
เลือกตามแนวทางที่กลุมไดวางไว ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อใช้ส�าหรับเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าต่อไป
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย กลุ่มของข้าพเจ้าได้เลือกศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านภาษาและวรรณกรรมประเภท
ความรูเกี่ยวกับแนวทางการพูด ผู้สร้างสรรค์ผลงานทางภาษาในท้องถิ่น ท�าให้กลุ่มของข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับผู้สร้างสรรค์
รายงานการศึกษาคนควา ผลงานทางภาษา ท่านเป็นนักแสดงล�าตัดที่มีชื่อเสียงในระดับแนวหน้าของประเทศ คือ แม่ศรีนวล
(แนวตอบ การพูดรายงานการศึกษา ข�าอาจ ท่านได้ให้ความกรุณาตอบข้อซักถาม เล่าประวัตขิ องท่านให้ฟงั ด้วยความเป็นกันเอง พร้อมทัง้
คนควา ผูพูดตองนําขอมูลที่ได ให้ข้อคิดต่างๆ ที่เป็นประโยชน์
ศึกษาคนความาเรียบเรียงเนื้อหา แม่ศรีนวลเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๙๐ ที่บ้านเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็น
เพื่อนําไปพูด ดําเนินเรื่องไมสับสน บุตรของนายผ่องและนางทองใบ ข�าอาจ อาชีพท�านา ได้สมรสกับนายหวังดี นิมา มีบุตร ๑ คน
วกวน มีตัวอยางประกอบที่ชัดเจน มีอาชีพทางด้านการแสดงล�าตัด
เลือกใชภาษาที่เหมาะสมกับระดับ หลังจากจบการศึกษาในระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท ี่ ๔ แม่ศรีนวล ข�าอาจ ก็เริม่ ฝึกเพลงพืน้ บ้าน
ของผูฟง และพูดใหพอดีกับเวลา) จากพ่อเพลงแม่เพลงหลายท่าน เช่น แม่ต่วน แม่ผัน มาตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี แม่ศรีนวลได้ฝึก
เพลงพื้นบ้านด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความเชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นครูได้ แม่ศรีนวล

126

นักเรียนควรรู
การพูดรายงานการศึกษาคนควา เมื่อนักเรียนตองออกมารายงานหนาชั้นเรียน ควรเตรียม
ทําความเขาใจเนื้อหาที่ตองรายงานมาลวงหนา ไมควรออกมาอานรายงานหนาชั้นเรียน เพราะ
แสดงใหเห็นถึงการไมเตรียมตัวและทําใหการพูดรายงานไมนาสนใจ
126 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
โดยครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
จึงเป็นศิษย์ทแี่ สวงหาครูไปทุกที ่ แม้แต่คนขอทานตาบอดทีม่ าขอทานหน้าบ้านก็ได้ไปฝึกตีกรับและ • เพราะเหตุใดนักเรียนจึงควร
ร้องเพลงขอทานได้อย่างคล่องแคล่ว แม่ศรีนวลเริม่ ยึดการแสดงล�าตัดเป็นอาชีพขณะทีอ่ ายุได้ ๑๕ ปี รักษาและหวงแหนภูมิปญญา
การแต่งบทกลอนล�าตัดของแม่ศรีนวลก็แต่งได้อย่างเฉียบคม ส�านวนกลอนล�าตัดของแม่ศรีนวลเป็นที่ ทองถิ่นของไทย
ยอมรับของพ่อเพลงแม่เพลงทัว่ ไป นอกจากจะใช้คา� คมมีมกุ ตลกชวนให้คดิ ติดตามแล้ว การใช้สมั ผัส (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ก็มคี วามไพเราะน่าฟัง แม่ศรีนวล ข�าอาจ จึงนับได้วา่ เป็นครูกวีทางกลอนล�าตัด (กลอนสิบ) ทีม่ ผี ลงาน ไดอยางหลากหลายตามความ
มากมายยากที่จะหาพ่อเพลงแม่เพลงพื้นบ้านอื่นๆ มาเทียบ ผลงานของแม่ศรีนวล ข�าอาจ มีดังนี้ คิดเห็นของตน)
ด้านการสอน นอกจากจะเป็นนักแสดงอาชีพแล้ว ยังเป็นครูสอนวิชาการแสดงเพลง
พืน้ บ้านให้ความรูแ้ ก่กลุม่ ผูส้ นใจและสอนในสถานศึกษาต่างๆ แม่ศรีนวลเดินทางไปเป็นวิทยากรเพือ่
ให้ความรูแ้ ก่นกั ศึกษาทัง้ ในระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและผูส้ นใจเพลงล�าตัด รวมถึงส่วนราชการ สํารวจคนหา
ต่างๆ มีโอกาสได้ร่วมแสดงเพื่อการกุศล ปีละประมาณ ๑๐ ครั้ง ท�าให้ผู้เข้ารับฟังการบรรยาย 1. ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนสํารวจ
เกิดความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่าของเพลงพื้นบ้าน คนหา
ด้านคุณธรรม แม่ศรีนวล ข�าอาจ เป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง
• การเรียนวิชาภาษาไทย มีความ
ในการเสียสละ อุทศิ ตนเพือ่ ส่งเสริมการศึกษาทางด้านเพลงพืน้ บ้านแก่เยาวชนและบุคคลทัว่ ไป เป็น
เกี่ยวของอยางไรกับภูมิปญญา
ผู้มีความประพฤติดี มีเมตตากรุณา เป็นที่รักเคารพของผู้คนทั่วไป อีกทั้งเป็นผู้ที่เห็นความส�าคัญ
ทองถิ่น
ของเพลงพื้นบ้าน จึงได้ปลูกฝังให้เยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเห็นความส�าคัญของเพลงพื้นบ้าน
2. นักเรียนสํารวจคนหาในประเด็น
และหวงแหนไว้เป็นมรดกของชาติสืบไป ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณแม่ศรีนวล ข�าอาจ ไว้ ณ
แนวทางสําหรับการอนุรักษ
โอกาสนี้ด้วย สวัสดีค่ะ
ภูมิปญญาทองถิ่น

๓.๒ ความรูเ้ บือ้ งต้นเกีย่ วกับภูมปิ ญ


ั ญาท้องถิน่
“ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ความสามารถ และทักษะของคนไทยอันเกิดจาก อธิบายความรู
การสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนาและถ่ายทอดสืบต่อ ครูชวยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
กันมาเพือ่ ใช้แก้ปญ
ั หาและพัฒนาชีวติ ของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย” ความเชื่อมโยงของภาษาไทยกับ
๑) ขอบข่ายของภูมปิ ญ ั ญาท้องถิน่ ทีค่ ณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้กา� หนด ภูมิปญญาทองถิ่นและใชคําถามเพื่อ
ไว้มี ๙ ด้าน ดังนี้ ใหไดขอสรุปที่ถูกตองรวมกัน
๑.๑) ด้านเกษตรกรรม ได้แก่ ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ • ภาษาไทยมีความเกี่ยวของ
และเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่าดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพา อยางไรกับภูมิปญญาทองถิ่น
ตนเองในสภาวการณ์ตา่ งๆ ได้ เช่น การท�าการเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปญ ั หาการเกษตรด้านการ (แนวตอบ ภาษาไทยเปนสวนหนึ่ง
ตลาด การแก้ปัญหาด้านการผลิตและรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น ของภูมิปญญาทองถิ่นดาน
๑.๒) ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ได้แก่ การรูจ้ กั ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาษาและวรรณกรรม)
ในการแปรรูปผลผลิตเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัดและเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการให้ • นักเรียนจะมีแนวทางในการ
ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้งการผลิตและการจ�าหน่ายผลผลิตทาง อนุรักษภูมิปญญาทองถิ่น
หัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น อยางไร
127 (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)

ขยายความเขาใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นอกจากการทํารายงานการศึกษาคนควาภูมิปญญาทองถิ่นแลว ยังมีวิธีการใดอีกบางที่
สามารถเผยแพรเรื่องราวของภูมิปญญาทองถิ่นได
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
คูมือครู 127
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันสํารวจคนหาวา
มีสถานที่ราชการ หนวยงานของ
เอกชน หรือแหลงเรียนรูใดบางที่ ๑.๓) ด้านการแพทย์แผนไทย ได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษา
สามารถไปศึกษาหาความรูเพิ่มเติม สุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น ยา
เกี่ยวกับภูมิปญญาทองถิ่นไ้ด จากสมุนไพรอันมีอยู่หลากหลาย การนวดแผนโบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน
๑.๔) ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความสามารถ
อธิบายความรู เกีย่ วกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมทัง้ การอนุรกั ษ์ การพัฒนาและการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน เช่น การบวชป่า การสืบชะตาแม่น�้า
จากการสํารวจคนหา ใหนักเรียน
การท�าแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ป่าชายเลน การจัดการป่าต้นน�้าและป่าชุมชน
นําความรูที่ไดรับมาจัดปายนิเทศ
๑.๕) ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ได้แก่ ความสามารถด้านการสะสมและบริหาร
รวมกันเพื่อเผยแพรความรูเกี่ยวกับ
แหลงเรียนรูภูมิปญญาทองถิ่นที่ กองทุนและสวัสดิการชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต
นักเรียนลงมติเลือกรวมกัน ความเป็นอยูข่ องสมาชิกในกลุม่ เช่น การจัดการกองทุนของชุมชนในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึง
ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรมโดยการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ การรักษาพยาบาลของชุมชนและการจัดระบบ
สวัสดิการบริการชุมชน
นักเรียนควรรู ๑.๖) ด้านศิลปกรรม ได้แก่ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้านศิลปะ
นาฏศิลป หมายถึง ศิลปะ สาขาต่างๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม นาฏศิลป์ ดนตรี ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ การละเล่นพื้นบ้าน
การแสดงประกอบดนตรี เชน
และนันทนาการ
ฟอนรํา ระบํา โขน ละคร โดยใน
๑.๗) ด้านภาษาและวรรณกรรม ได้แก่ ความสามารถในการอนุรกั ษ์และสร้างสรรค์
แตละทองถิ่นจะมีชื่อเรียกและลีลา
การแสดงที่แตกตางกันออกไปตาม ผลงานทางด้านภาษา คือ ภาษาถิน่ ภาษาไทยในภู
ภาษาไทยในภูมภิ าคต่างๆ รวมถึ
งๆ งด้านวรรณกรรมท้องถิน่ การจัดท�า
ปจจัยทางภูมิศาสตร สารานุกรมภาษาถิน่ การปริ
การปริวรรตหนังสือโบราณ การฟื
โบราณ น้ ฟูการเรียนการสอนภาษาถิน่ ของท้องถิน่ ต่างๆ
๑.๘) ด้านปรัชญา ศาสนาและประเพณี ได้แก่ ความสามารถประยุกต์และปรับใช้
หลักธรรมค�าสอนทางศาสนา ปรัชญา ความเชือ่ ประเพณีทมี่ คี ณ ุ ค่าให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจ
และสังคม เช่น การถ่ายทอดวรรณกรรมค�าสอน การบวชป่า การประยุกต์การท�าบุญประทายข้าว
นักเรียนควรรู
โดยการน�าข้าวเปลือกมารวมกันทีว่ ดั เพือ่ เป็นสิรมิ งคล แล้วแจกจ่ายส่วนหนึง่ ให้ประชาชนน�ากลับไปเป็น
การปริวรรตหนังสือโบราณ เปน สิริมงคลที่บ้าน ส่วนที่เหลือชาวบ้านจะร่วมกันจ�าหน่ายเพื่อน�าเงินไปบูรณะวัดในหมู่บ้านของตน
ขั้นตอนหนึ่งในการตรวจสอบชําระ
๑.๙) ด้านโภชนาการ ได้แก่ ความสามารถในการเลือกสรร ประดิษฐ์และปรุงแต่ง
วรรณคดีหรือเอกสารโบราณ เปนการ
ถายทอดตัวอักษรออกมาจาก อาหารและยาได้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในสภาวการณ์ต่างๆ ตลอดจนผลิตเป็นสินค้า
ตนฉบับ โดยเก็บบรรจุทุกตัวอักษร และบริการส่งออกที่ได้รับความนิยมแพร่หลาย รวมถึงการขยายคุณค่าเพิ่มของทรัพยากรด้วย
และวางตําแหนงตามตนฉบับ

128

128 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
ปริศนาคําทายที่ใชทายเลนกัน
๒) ลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมท้องถิ่น เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาวิชา ภายในทองถิ่นของตนหรือจาก
ภาษาไทย ในที่นี้จะศึกษาภูมิปัญญาทางด้านภาษาและวรรณกรรม ได้แก่ ความสามารถในการอนุรักษ์ หนังสือตางๆ วามีเนื้อหาเกี่ยวกับ
และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านภาษา คือการน�าภาษามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเจ้าของภาษา เรื่องใด
ในลักษณะของวรรณกรรมท้องถิ่น 2. นักเรียนในหองรวมกันสํารวจ
วรรณกรรมท้องถิน่ เป็นวรรณกรรมทีแ่ ต่ละท้องถิน่ สร้างสรรค์ขนึ้ เพือ่ จ�าลองสภาพชีวติ คนหาสาเหตุที่ทําใหการเลน
ความเป็นอยู่ของสังคมในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง อาจเป็นเรื่องที่เล่ากันจากปากสู่ปากหรือเรื่องที่บันทึก ปริศนาคําทายลดบทบาทลงใน
ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร วรรณกรรมในท้องถิ่นเกิดขึ้นด้วยภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นและมีคนใน สังคมไทย
ท้องถิ่นเป็นผู้อนุรักษ์ รูปแบบของวรรณกรรมท้องถิ่นมักจะเป็นไปตามความนิยมของคนในท้องถิ่นนั้น
เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น มีลักษณะเฉพาะสรุปได้ ดังนี้
๑. เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาด้วยการเล่าจากปากสู่ปากมีลักษณะที่ อธิบายความรู
ไม่เป็นทางการ ถ่ายทอดกันอยู่ในกลุ่มชนท้องถิ่น จะมีเค้าโครงเดิมแต่รายละเอียดจะมีข้อแตกต่างกัน 1. นักเรียนนําขอมูลที่ไดจากการ
ไปบ้างอาจมีการเสริมเติมแต่งขึ้นใหม่ในขณะที่ถ่ายทอด สํารวจคนหามาสรุปผล จากนั้นให
๒. เป็นแหล่งรวมข้อมูลเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชน จัดปายนิเทศเกี่ยวกับประเภทของ
ท้องถิ่น อันเป็นแบบฉบับให้คนยุคต่อมาเชื่อถือและปฏิบัติตาม เช่น การเคารพบรรพบุรุษ การนับถือ ปริศนาคําทายภายในหองเรียน
ผีสางเทวดา ในงานพิธีต่างๆ จึงนิยมตั้งพิธีบวงสรวง อัญเชิญเทวดาและผีต่างๆ มาร่วมพิธี 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อบอกสิ่ง
๓. เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาจากคนยุคหนึ่งสู่คนอีกยุคหนึ่ง มักจะไม่ปรากฏนาม ที่นักเรียนคิดวาเปนสาเหตุที่ทําให
ผู้แต่ง จะเล่าเป็นท�านองว่าเขาเล่าว่า... นานมาแล้ว.. หรือถ้าจะมีนามปรากฏก็จะเป็นผู้คัดลอกหรือ การเลนปริศนาคําทายลดบทบาท
เรียบเรียงขึ้นใหม่จากเรื่องเก่าที่เล่ากันอยู่ในท้องถิ่น ลงในสังคมไทย
๔. จะใช้ภาษาถิ่น เป็นค�าง่ายๆ สื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๕. มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในท้องถิ่นทั้งในด้านความรู้ ไดอยางหลากหลาย ตามความ
คิดเห็นของตนเอง)
ความบันเทิง ตลอดจนสั่งสอนจริยธรรม
๓) ประเภทของภู มิ ป ั ญ ญาท้ อ งถิ่ น ด้ า นภาษาและวรรณกรรม ลั ก ษณะทั้ ง
๕ ประการ ท�าให้วรรณกรรมท้องถิ่นเป็นสิ่งที่น่าศึกษา เพราะวรรณกรรมท้องถิ่นได้บันทึกเรื่องราว
@
พฤติกรรม ทัศนคติและสภาพสังคมของกลุ่มชน ตลอดจนสามารถเข้าใจความเป็นมาของวัฒนธรรม มุม IT
ได้ดีขึ้นด้วย ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านภาษาและวรรณกรรมแบ่งได้ ๖ ประเภท ดังนี้ ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริศนา
๓.๑) ปริศนาค�าทาย คือสิ่งหรือถ้อยค�าที่ผูกเป็นปัญหาหรือค�าถามส�าหรับให้ทาย คําทายประเภทตางๆ ไดจากเว็บไซต
ซึ่งผู้ถามอาจถามตรงๆ หรือถามโดยอ้อม ค�าถามอาจใช้ภาษาสั้น ง่าย กระชับ อาจใช้ถ้อยค�าธรรมดา http://www.thaifolk.com/doc/
เป็ น ภาษาร้ อ ยแก้ ว หรื อ มี สั ม ผั ส เป็ น ร้ อ ยกรองก็ ไ ด้ ในสมั ย โบราณเมื่ อ ต้ อ งการทดสอบว่ า ผู ้ ใ ดมี riddle.htm
ความเฉลียวฉลาดหรือไม่ ก็จะใช้การถามปัญหาอาจเป็นปริศนาที่ถามตรงๆ บ้างหรือผูกให้แยบยลบ้าง
มีทั้งปัญหาทางโลกและทางธรรม

129

คูมือครู 129
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
ในประเด็นเพลงพื้นบานประเภท
ตางๆ จากนั้นนักเรียนรวมกัน ปริศนาค�าทายแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ๙ ประเภท คือ ค�าทายเกี่ยวกับพืช
สํารวจคนหาเพลงพื้นบานที่ตน ค�าทายเกี่ยวกับสัตว์ ค�าทายเกี่ยวกับธรรมชาติ ค�าทายเกี่ยวกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ค�าทายเกี่ยวกับ
รูจัก รวบรวมใหได 5 ประเภท กิริยาและการกระท�า ค�าทายเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ ค�าทายเกี่ยวกับอาหารการกิน ค�าทายเกี่ยวกับ
2. แบงกลุมนักเรียน เปน 5 กลุม การละเล่น ศาสนาและขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ วิธีการเล่นปริศนาค�าทายทุกๆ ท้องถิ่นจะ
ใหแตละกลุมจับสลากเลือกเพลง คล้ายคลึงกัน คือ แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่าย ผลัดกันเป็นฝ่ายถามและฝ่ายตอบ ถ้าถามแล้วตอบไม่ได้ก็จะ
พื้นบานที่คัดเลือกไดจากการ มีการบอกใบ้ ถ้าบอกใบ้แล้วยังตอบไม่ได้ฝ่ายที่ต้องการรู้ค�าตอบก็ต้องยอมแพ้ ฝ่ายถามก็จะยอม
สํารวจในขอ 1 เพื่อเปนหัวขอของ เฉลยโดยที่ฝ่ายยอมแพ้ต้องท�าตามข้อแม้ ซึ่งถือว่าเสียศักดิ์ศรีมาก เพื่อเน้นให้รู้จักการใช้ความคิด
กลุมสําหรับนําไปสํารวจคนหา รู้จักการสังเกต ฝึกการใช้สติปัญญา ไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ
ลักษณะเฉพาะ เนื้อหาและ
วิธีการรอง ๓.๒) ภาษิต ส�านวน ค�าพังเพย คือค�าพูดหรือค�ากล่าวที่ติดปากของคนไทย มีคติ
ชวนฟังเป็นข้อความสั้นๆ แต่มีใจความลึกซึ้ง เป็นค�าสอนไปในตัวหรือตรงตามหลักเกณฑ์อย่างใด
อย่างหนึ่ง แสดงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจธรรมของชีวิต ที่มาของภาษิต ส�านวน ค�าพังเพย
อธิบายความรู ไม่ปรากฏที่มาแน่ชัด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากค�าพูดและข้อเขียนของผู้ทรงประสบการณ์ชีวิต
นักเรียนแตละกลุมสงตัวแทน บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ภาษิต ส�านวน ค�าพังเพยมีเนื้อหาแบ่งออกเป็น ๑๕ ประเภท คือ เนื้อหาเกี่ยวกับ
ออกมาอธิบายความรูเกี่ยวกับ ครอบครัว เนือ้ หาเกีย่ วกับการศึกษาอบรม เนือ้ หาเกีย่ วกับความรักและการครองเรือน เนือ้ หาเกีย่ วกับ
เพลงพื้นบานที่กลุมไดศึกษา การท�ามาหากิน เนือ้ หาเกีย่ วกับเศรษฐกิจและการครองชีพ เนือ้ หาเกีย่ วกับตนเอง เนือ้ หาเกีย่ วกับสังคม
สมาคม เนื้อหาเกี่ยวกับวาจา เนื้อหาเกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียง เนื้อหาเกี่ยวกับการปกครอง เนื้อหา
เกี่ยวกับศีลธรรม วัฒนธรรม เนื้อหาเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอน เนื้อหาเกี่ยวกับกรรม เนื้อหาเกี่ยวกับ
นักเรียนควรรู ความไม่ประมาท เนื้อหาเกี่ยวกับส่วนรวม
เพลงพื้นบาน เปนงานของ ๓.๓) เพลงพื้นบ้าน คือเพลงที่มีอยู่ในท้องถิ่น มีเนื้อร้อง ท�านองและรูปแบบเป็น
ชาวบานซึ่งถายทอดมาจากปากตอ เอกลักษณ์ ใช้รอ้ งเล่นในงานรืน่ เริงหรือร้องเวลาประกอบอาชีพ มีความสัมพันธ์กบั วิถชี วี ติ ของชาวบ้าน
ปาก อาศัยการฟงและจดจํา ไมมี ถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยใช้ความจ�า ไม่ได้บนั ทึกไว้เป็นลายลักษณ์อกั ษร เรียกว่า วรรณกรรมปากเปล่า
การบันทึกเปนลายลักษณอักษร ทั้งนี้ หรือวรรณกรรมมุขปาฐะ เพลงพื้นบ้านมีความส�าคัญ คือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่แสดง
มิไดหมายความวาเพลงทุกเพลงจะมี วิถีชีวิตชาวบ้านได้ เป็นมหรสพชิ้นเอกของชาวบ้าน เป็นเครื่องสร้างความสามัคคีให้เป็นอันหนึ่ง
ตนกําเนิดโดยชาวบานหรือการรอง อันเดียวกันของกลุม่ ชน เป็นเพลงทีไ่ ม่มกี า� เนิดแน่นอน เนือ่ งจากสืบทอดกันมาจนไม่ทราบต้นตอทีแ่ น่ชดั
ปากเปลา ชาวบานอาจไดรับเพลง เป็นเพลงของกลุม่ ชน คนในสังคมมีสว่ นร่วมในการเป็นเจ้าของบทเพลง เป็นเพลงทีม่ เี นือ้ ร้องและท�านอง
บางเพลงมาจากชาวเมือง แตเมื่อ ไม่ตายตัว ขยายออกไปหรือตัดทอนให้สนั้ มีความเรียบง่าย ทัง้ การใช้ถอ้ ยค�า การร้องและการแสดงออก
ผานการถายทอดโดยการรอง มีรปู แบบคล้ายคลึงกันหรือเป็นกลอนเดียวกัน แต่รอ้ งได้หลายท�านอง เพลงพืน้ บ้านแบ่งตามจุดประสงค์
ปากเปลาและการทองจําจึงกลาย
ของเพลง ได้แก่ เพลงปฏิพากย์หรือเพลงโต้ตอบชายหญิง เพลงประกอบพิธีกรรม
เปนเพลงชาวบานไป เชน รําโทน
มีรายงานการศึกษาวามีทวงทํานอง
ที่เปนการผสมผสานระหวางทองถิ่น 130
กับเมือง

130 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Evaluate

สํารวจคนหา
แบงกลุมนักเรียนออกเปน 3 กลุม
สงตัวแทนออกมาจับสลากใหภายใน
๓.๔) นิทานพื้นบ้าน คือเรื่องที่เล่าสืบต่อมา ลักษณะส�าคัญที่สุดของนิทาน คือ กลุมรวมกันสํารวจ คนหา รวบรวม
เล่าสืบทอดกันมาด้วยปาก ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง เป็นการเล่าจากความจ�าที่ได้ฟังต่อๆ กันมา ขอมูลความรู ดังนี้
ไม่สามารถสืบสาวได้ว่าผู้เล่าคนแรกคือใคร เป็นมรดกทางวัฒนธรรม มักเล่าเป็นภาษาร้อยแก้ว กลุมที่ 1 สํารวจคนหาเรื่องนิทาน
เกิดขึ้นพร้อมกับที่มนุษย์รู้จักใช้ภาษาในการสื่อสาร เมื่อมีการสื่อสารก็ต้องมีการเล่าเรื่องราวต่างๆ พื้นบาน
รวมกับการใช้จนิ ตนาการประกอบการเล่าจึงกลายเป็นนิทาน นิทานพืน้ บ้านแบ่งออกเป็น ๑๒ ประเภท กลุมที่ 2 สํารวจคนหาเรื่อง
ดังนี ้ ต�านานปรัมปราหรือนิทานเทวปกรณ์หรือเทพปกรณัม นิทานมหัศจรรย์หรือเทพนิยาย นิทานชีวติ ภาษาถิ่น
นิทานวีรบุรุษ นิทานประจ�าถิ่น นิทานอธิบายเหตุ นิทานเรื่องสัตว์ นิทานคติ นิทานตลก นิทานศาสนา กลุมที่ 3 สํารวจคนหาผูสรางสรรค
นิทานเรื่องผี นิทานเข้าแบบ นิทานบางเรื่องเป็นต้นก�าเนิดของวรรณคดีของชาติ นิทานแสดงให้เห็น ผลงานทางภาษาใน
สภาพชีวิตของบุคคลในท้องถิ่น นิทานเป็นเครื่องสอนศีลธรรม นิทานเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ ทองถิ่น
ความคิดจากรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่งและเป็นเครื่องบันเทิงใจกลุ่มชน
๓.๕) ภาษาถิ่น คือภาษาที่ใช้พูดติดต่อสื่อสารในท้องถิ่นต่างๆ สื่อความหมาย อธิบายความรู
เข้าใจกันในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งแต่ละถิ่นอาจพูดแตกต่างกันไปจากภาษาไทยมาตรฐาน ทั้งในด้านเสียง ค�า
นักเรียนสรุปความรูที่ไดจากการ
และการเรียงค�าบ้างแต่ความหมายคงเดิม ภาษาถิ่นแบ่งเป็น ๔ กลุ่มใหญ่ คือ ภาษาถิ่นกลาง ได้แก่ สํารวจคนหา นําเสนอเปนใบความรู
ภาษาที่ใช้พูดกันในเมืองหลวงของประเทศไทยและในจังหวัดที่อยู่ในภาคกลางของประเทศไทย มีภาพประกอบสงครูผูสอน
ภาษาถิ่นใต้ ได้แก่ ภาษาที่ใช้พูดกันในจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ภาษาถิ่นอีสาน ได้แก่ ภาษาที่ใช้
พูดกันในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ภาษาถิ่นเหนือ ได้แก่ ภาษาที่ใช้พูดกัน
ในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย สาเหตุการเกิดภาษาถิ่น คือการที่ผู้คนอยู่คนละท้องถิ่น ขาด ขยายความเขาใจ
การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันเป็นเวลานาน ท�าให้กลุ่มชนชาติไทย รวมทั้งภาษาของกลุ่มไม่เหมือนกับ 1. ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
ภาษาดั้งเดิม ภาษาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา การยืมค�าศัพท์จากภาษาที่อยู่ใกล้กันเกิดการประสม แนวทางการพูดรายงานใหแก
ประสานระหว่างสองภาษาที่อยู่ใกล้กัน ท�าให้เกิดส�าเนียงของภาษาใหม่กลายเป็นภาษาถิ่น นักเรียน
๓.๖) ผู้สร้างสรรค์ผลงานทางภาษาในท้องถิ่น คือบุคคลที่รอบรู้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ 2. นักเรียนเลือกศึกษาภูมิปญญา
เกีย่ วกับภูมปิ ญ
ั ญาทางภาษา เป็นผูส้ ร้างสรรค์ผลงานทางภาษาทีม่ คี ณ
ุ ค่าให้แก่ทอ้ งถิน่ เป็นบุคคลทีค่ วร ทองถิ่นในประเภทที่ตนเองสนใจ
แก่การยกย่อง คนรุ่นหลังควรจะได้ศึกษาชีวิตและผลงานของท่าน ซึ่งบางท่านยังมีชีวิตอยู่ บางท่าน จัดทําเปนรูปเลมรายงาน สงครู
ก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่ผลงานของทุกท่านก็ยังปรากฏอยู่ ผูสอน

การพูดเรือ่ งจากสือ่ ทีฟ


่ งั และดูเป็นกระบวนการทีต่ อ้ งฝึกฝนอย่างต่อเนือ่ ง ต้องฟัง
และดูสื่ออย่างมีวิจารณญาณ คือ วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินเรื่องที่ฟังและดู แล้วนÓมา
พูดถ่ายทอดความรูค้ วามคิดเห็นให้ผอู้ น ื่ ทราบ ก่อนทีจ่ ะพูดผูพ
้ ดู จึงต้องคิดไตร่ตรอง เพือ่
เกร็ดแนะครู
ประโยชน์ของผูฟ ้ งั ในขณะเดียวกันผูพ ้ ดู ควรคÓนึงถึงมารยาทในการพูดจึงจะได้ชอื่ ว่าเป็น ครูควรจัดกิจกรรมการเรียน
นักพูดที่ดีอย่างแท้จริง การสอนในหอง โดยครูและนักเรียน
รวมกันสนทนาเพื่อหาเกณฑสําหรับ
131 การพิจารณาผูที่จะเปนนักพูดที่ดี
จากนั้นใหรวมกันคัดเลือกบุคคลจาก
สื่อวิทยุ โทรทััศน ที่มีคุณลักษณะของ
การเปนนักพูดที่ดี สรุปความรูที่ได
รวมกัน

คูมือครู 131
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนศึกษาในประเด็นการ
เพิ่มประสิทธิภาพในการฟงจาก
à¡Ãç´ÀÒÉÒ
แผนภาพดังกลาว จากนั้นให
นักเรียนสํารวจคนหาวายังมี
แนวทางปฏิบตั ใิ ดอีกบางทีส่ ามารถ
เพิ่มประสิทธิภาพในการฟงได
ทักษะการฟง เขียน
ทักษะทางดานการฟงเปนทักษะในการสื่อสารที่ใช ๙%
2. นักเรียนศึกษาในหัวขอ สาเหตุ มากที่สุดในชีวิตประจําวันคือ ๔๕ % ขณะที่ทักษะ อาน
๑๖ %
ที่ทําใหการฟงไมสัมฤทธิผล ทางดานการพูด การอานและการเขียน คือ ๓๐ %,
จากแผนภาพดังกลาว จากนั้น ๑๖ % และ ๙ % ตามลําดับ
ใหนักเรียนสํารวจคนหาวายังมี บุคคลที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการฟงใหแกตนเอง พูด ฟง
๓๐ % ๔๕ %
สาเหตุใดอีกบางที่ทําใหการฟงไม นอกจากจะตองเขาใจขั้นตอนในการฟงและยังตอง
สัมฤทธิผล หมั่นฝกฝนใหเกิดทักษะทางดานการฟงดวย
การเพิ่มประสิทธิภาพในการฟง
๑. เตรียมความพรอมทั้งดานรางกายและจิตใจ รวมถึงการตั้งจุดมุงหมายกอนฟงทุกครั้ง
อธิบายความรู ๒. ตองตั้งใจฟงอยางแนวแน พยายามจับและทบทวนใจความสําคัญที่ผูพูดไดสื่อสาร
๓. สังเกตอวัจนภาษาหรือภาษาทาทางของผูพูด เพราะจะทําใหเขาใจความหมายไดดียิ่งขึ้น
นักเรียนนําความรูที่ไดจากการ ๔. ฟงอยางมีขั้นตอน ตองปฏิบัติตามใหไดตามขั้นตอนของการฟง
สํารวจคนหา สรุปเปนใบความรูสง ๕. นําประโยชนที่ไดรับจากการฟงมาใชในชีวิตประจําวัน
ครูผูสอน ๖. ทุกครั้งที่ฟงควรมีการจดบันทึก
๗. ตองไมมีอคติและรูจักยอมรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น

ขยายความเขาใจ ผลการวิจัย ผูฟงจํานวน ๑๐๐ คน พบวามีเพียง


๑๐ คนเทานั้น ที่มีทักษะการฟงที่ดี
จากกลุมตัวอยาง
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา สาเหตุที่ทําใหการฟงไมสัมฤทธิผล ไดแก
• นักเรียนคิดวาการฟงที่ไม
จับใจความสําคัญไมเปน จึงไมสามารถสรุปความคิด
สัมฤทธิผล จะสงผลเสียอยางไร รวบยอดได
ทั้งตอตนเองและสังคม
ไมยอมรับความคิดเห็นของผูอื่น ไมเปดกวาง
(แนวตอบ คําตอบไมมีถูกหรือผิด
ขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน ไมชอบฟงเนื้อหาสาระที่ยากเกินที่ตนเอง
จะทําความเขาใจ
ใหพิจารณาจากความคิดเห็น
ไมมีสมาธิในการฟง เนื่องจากขณะที่ฟงมีเสียง
ของนักเรียนเปนสําคัญ) รบกวน

มีทัศนคติที่ไมดีตอเรื่องที่ฟง เชน เห็นวานาเบื่อ


ตรวจสอบผล
มีทัศนคติที่ไมดีตอผูพูด เชน ไมชอบกิริยาทาทาง
1. นักเรียนออกมาพูดรายงานเกีย่ วกับ
ภูมิปญญาทองถิ่นประเภทที่เลือก
ตามแนวทางการพูดรายงานที่ได ๑๓๒
ศึกษา ครูสังเกตและตรวจสอบ
พฤติกรรมการพูดรายงานของ
นักเรียน
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย หลักฐาน
การเรียนรู แสดงผลการเรียนรู
รายงานผลการศึกษาคนควาภูมิปญญาทองถิ่น

132 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. การฟงและการดูเปนการรับ
สารโดยผานประสาทหูและตา
๑. จงอธิบายความสัมพันธของทักษะการฟง การดูและการพูดวามีบทบาทตอการดําเนินชีวิตประจําวัน เปนการรับรูขาวสารดวยความ
อยางไร รวดเร็ว ขณะฟงและดูอาจมีการ
๒. จากคํากลาวที่วา “ฟงมาก อานมาก รูมาก” นักเรียนมีความเห็นอยางไร จงอธิบาย ซักถามหรือแลกเปลี่ยนความคิด
๓. การพูดเพื่อประเมินเรื่องที่ฟงและดู มีแนวทางในการประเมินเรื่องอยางไร เห็นระหวางกัน ดังนั้นในชีวิต
๔. การพูดวิเคราะหวิจารณเรื่องที่ฟงและดู มีแนวทางปฏิบัติอยางไร จงอธิบาย ประจําวันของเราจะตองมีทั้ง
๕. การพูดรายงานจากสื่อที่ฟงและดูมีหลักการพูดอยางไร จงอธิบาย การรับสารและสงสาร จึงจําเปน
จะตองฝกฝนทักษะดังกลาวไว
เพื่อสามารถใชสื่อสารกับผูอื่นได
2. เห็นดวย เพราะผูที่เปนพหูสูต
เกิดจากการฟงมาก อานมาก
จึงมีความรูมาก ผูที่ฟงมาก คือ
ผูที่ไดรับความรูจากการฟง ผูที่
ฟงเปนก็จะตองจับใจความได
แปลความ วิเคราะหเรื่องที่ฟงได
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ผูที่อานมากก็ยอมไดเปรียบผูอื่น
3. การประเมินคาเรื่องที่ฟงและ
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนเลือกฟงและดูรายการทางโทรทัศนที่เห็นวามีประโยชน วิเคราะหวิจารณ ดู มีแนวทางโดยกลาวถึง
ตามหลักการวิเคราะหวิจารณเรื่องที่ฟงและดู แลวออกมาพูดนําเสนอหนาชั้นเรียน ความสําคัญของเรื่องนั้นวาให
เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูกับเพื่อนๆ
ประโยชนตอผูดู ผูฟงเพียงใด
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนสืบคนภูมปิ ญ ญาทองถิน่ โดยการสนทนาพูดคุยซักถามจากผูท รงภูมปิ ญ ญา
มีแงคิด ใหคุณคาสามารถนําไป
ในทองถิ่นแลวนํามาพูดรายงานผลการศึกษาใหเพื่อนฟงหนาชั้นเรียน
ประยุกตใชในชีวิตประจําวันได
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนเลือกฟงเพลงทีน่ กั เรียนชอบ ๑ เพลง แลวประเมินคาตามหลักการประเมิน
คาเรื่องที่ฟงและดู แลวออกมาพูดหนาชั้นเรียน หรือไม และในการประเมินตอง
ใชวิจารณญาณ
4. การพูดวิเคราะหวิจารณ ผูพูด
จะตองฟงและดูเรื่องที่จะพูดให
เขาใจชัดเจน จับประเด็นของ
เรื่องใหไดแลวนํามาวิเคราะห
สวนตางๆ ของเรื่อง เมื่อ
วิเคราะหเรื่องไดแลวจึงพูด
133 วิจารณเสนอความรู ความคิด
ของตนที่มีตอเรื่องนั้นๆ แตจะ
ตองวิจารณโดยปราศจากอคติ
5. การนําขอมูลหรือขอสรุปที่ได
จากการศึกษาคนควาในหัวขอ
ที่กําหนดมาพูดใหผูอื่นฟงดวย
ภาษาที่กระชับ ดําเนินเรื่องไป
ตามลําดับเหตุการณมีตัวอยาง
ประกอบ รวมถึงพูดใหพอดีกับ
เวลาที่กําหนด)
คูมือครู 133
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. บอกความหมายของการโตวาที
ยอวาทีได
2. บอกองคประกอบและพูดโตวาทีได
3. บอกความหมายของการพูด
อภิปรายได
4. บอกองคประกอบและพูดอภิปราย
ได
5. พูดโนมนาวใจโดยใชเหตุผล
ประกอบการพูด
6. มีมารยาทในการพูด

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันดูภาพ
ประกอบหนาหนวย จากนั้น
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• บุคคลในภาพกําลังอยูใน

ò
สถานการณใดและบุคคลใด
กําลังเปนผูสงสาร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลายตาม หนวยที่
ความคิดเห็นและการคาดคะเน
สถานการณ) การพูดในโอกาสตางๆ
ตัวชี้วัด
■ พูดในโอกาสตางๆ ไดตรงตามวัตถุประสงค (ท ๓.๑ ม.๓/๔) การพูดในโอกาสต่างๆ เป็นการใช้ภาษา
■ พูดโนมนาวใจโดยนําเสนอหลักฐานตามลําดับเนือ้ หาอยางมีเหตุผล เพื่อการสื่อสารที่มีรูปแบบและวิธีการพูด
และนาเชือ่ ถือ (ท ๓.๑ ม.๓/๕)
■ มีมารยาทในการพูด (ท ๓.๑ ม.๓/๖) แตกต่างกัน ผู้พูดควรศึกษาให้ถูกต้อง เพื่อ
ให้สามารถพูดได้อย่างเหมาะสม อีกทัง้ ยังต้อง
มีความสามารถในการถ่ายทอด โดยเลือกใช้
สาระการเรียนรูแกนกลาง ภาษา น�้าเสียง กิริยาท่าทางให้เหมาะสม ค�านึง
■ การพูดในโอกาสตางๆ เชน การพูดโตวาที การพูด ถึงมารยาท จึงจะได้รับการยอมรับและยกย่อง
อภิปราย การพูดยอวาที จากผู้อื่น
■ การพูดโนมนาว
■ มารยาทในการพูด

134 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูเปดวีดิทัศนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
การโตวาที ความยาว 15 นาที
๑ การพูดโต้วาที นักเรียนควรมีโอกาสไดรับชมการพูด
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต ทั้งของฝายเสนอและฝายคาน
แม้นพูดชั่วตัวตายท�าลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
บทประพันธ์นี้ สุนทรภู่เขียนไว้ในนิราศภูเขาทองเพื่อบอกถึงความส�าคัญของการพูด ซึ่งเป็น • นักเรียนคิดวาการโตวาทีที่ได
ทักษะทางภาษาทีใ่ ช้ในชีวติ ประจ�าวัน หลายคนประสบความส�าเร็จในชีวติ ด้วยการพูด และผูท้ จี่ ะตัดสิน ชมไปนั้นกําลังโตกันในญัตติ
การพูดได้ดีที่สุดคือผู้ฟัง การพูดเป็นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก อะไร
ความต้องการของผูส้ ง่ สารไปยังผูร้ บั สาร ดังนัน้ ผูพ้ ดู จึงต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู ้ ความ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
คิด โดยเลือกใช้ภาษา น�า้ เสียง กิรยิ าท่าทางให้เหมาะสม เตรียมเนือ้ เรือ่ งให้ถกู ต้องชัดเจน เป็นไปในทาง ไดอยางหลากหลาย ครูชวย
ชี้แนะคําตอบที่ถูกตองหลังการ
สร้างสรรค์รวมถึงมีกิริยาวาจาที่สุภาพ ถูกต้องตามแบบแผนของสังคม ท�าให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ
แสดงความคิดเห็นของนักเรียน)
การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม มักจะมีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นซึ่งมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ในสังคมมักจะโต้แย้งกันด้วยค�าพูดที่ประกอบด้วยเหตุผลเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นด้วยกับเหตุผลของตน
การโต้แย้งด้วยค�าพูดเป็นลักษณะหนึ่งของการพูดชักจูง ซึ่งใช้ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สํารวจคนหา
ในชีวิตประจ�าวัน แต่ถ้าเป็นการโต้แย้งอย่างเป็นพิธีการ มีกฎเกณฑ์ มีผู้ตัดสินให้แพ้หรือชนะ เรียก นักเรียนแบงกลุม 5 กลุม
ลักษณะการโต้แย้งนั้นว่า การโต้วาที สงตัวแทนออกมาจับสลากเลือก
การโต้วาที คือการพูดทีม่ ฝี า่ ยเสนอความคิดเห็นฝ่ายหนึง่ กับอีกฝ่ายหนึง่ กล่าวค้านความคิดเห็น หัวขอสําหรับศึกษาคนควา จาก
ทัง้ สองฝ่ายจะใช้วาทศิลป์กล่าวค้านความคิดเห็นของกันและกันอย่างมีระเบียบ โดยใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง หัวขอตอไปนี้
และหลักวิชา เพื่อให้เห็นว่าความคิดเห็นของฝ่ายตนนั้นถูกต้อง ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวค้านเหตุผลของ • ญัตติ
อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ค�าพูดของตนเป็นที่น่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเกิดความคิดคล้อยตาม • คณะผูโตวาที
• การกําหนดเวลา
๑.๑ องค์ประกอบของการโต้วาที
• การเรียกชื่อและการเชิญ
๑) ญัตติ คือการเสนอความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องเดียวกัน ญัตติในการโต้วาที ผูโตวาที
มีความส�าคัญมาก หัวข้อหรือเรื่องที่น�ามาตั้งเพื่อใช้ในการโต้วาทีจะต้องมีลักษณะที่ขัดแย้งกันในตัว • การจัดที่นั่งสําหรับโตวาที
ยั่วยุให้คิดไปได้หลายแง่มุม ญัตติที่ดีต้องท�าให้ผู้ค้านสามารถค้านได้หรือน�ามาโต้แย้งได้ น�าเหตุผลของ
อีกฝ่ายหนึ่งมาหักล้างเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นการโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้มีความเห็นคล้อยตาม
ผู้พูด ญัตติที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ อธิบายความรู
๑. เป็นข้อความสัน้ กะทัดรัด เข้าใจง่าย มีความหมายชัดเจนสมบูรณ์ในตัว มีสมั ผัส นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ
คล้องจอง เช่น “การเมืองไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง” “มีปัญญาดีกว่ามีทรัพย์” “ประกอบอาชีพส่วนตัวดี “ญัตติ” สงตัวแทน 2 คน เพื่อออก
กว่ามัวรับราชการ” มาอธิบายความรูที่ไดจากการศึกษา
๒. เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป ไม่ควรเป็นเรื่องที่ล้าสมัย คนควารวมกับเพื่อนในกลุม
๓. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญาให้ผู้ฟัง
ขยายความเขาใจ
135
ครูทบทวนองคความรู จากนั้นครู
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• การโตวาทีกอใหเกิดประโยชน
อยางไร
@
มุม IT (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโตวาทีไดจากเว็บไซตของ ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
มูลนิธิวิกิมีเดีย http://th.wikipedia.org/wiki/การโตวาที อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)

คูมือครู 135
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา โดย
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• เพราะเหตุใดจึงตองเรียกคณะผู ๔. เป็นเรื่องที่ค้านได้ เช่น “อยู่บ้านนอกสดใสสบายใจกว่าเมืองหลวง” จะท�าให้
โตวาทีวาฝายเสนอและฝายคาน ฝ่ายตรงข้ามค้านได้ เรื่องที่ค้านไม่ได้ไม่ควรน�ามาเป็นญัตติ เช่น “ผู้หญิงผู้ชายก็ตายเหมือนกัน” เป็น
(แนวตอบ ฝายเสนอเปนผูเสนอ เรื่องที่ค้านไม่ได้ เพราะทุกคนที่เกิดมาต้องตายทุกคน
เหตุผลเพื่อสนับสนุนญัตติ สวน ๕. เป็นเรื่องที่ไม่สร้างความแตกแยกหรือมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาหรือการปกครอง
ฝายคานเปนผูหาเหตุผลมา เช่น “ไทยเหนือดีกว่าไทยใต้” ลักษณะเช่นนี้ไม่ควรน�ามาเป็นญัตติ
คัดคานฝายเสนอ) ๖. ไม่เป็นค�าหยาบคายหรือเป็นค�าไม่สุภาพ ค�าผวน ไม่ควรน�ามาใช้เป็นญัตติ
๗. ไม่เป็นปัญหาที่หาข้อยุติไม่ได้ เช่น “ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่” หรือ
อธิบายความรู “ท�าไมโลกจึงกลม”
๘. ไม่เป็นเรือ่ งทีไ่ ด้พสิ จู น์แล้วว่าเป็นจริง ไม่มที างทีจ่ ะค้านได้อกี แล้ว เช่น “แสงเร็ว
1. นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ
กว่าเสียง”
“คณะผูโตวาที” สงตัวแทน 2 คน
เพื่อออกมาอธิบายความรูที่ไดจาก ๙. เป็นญัตติที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันมากเกินไป
การศึกษาคนควารวมกับเพื่อนใน ๒) คณะผู้โต้วาที ประกอบด้วย
กลุม ๑. ผู้ด�าเนินการโต้วาที จ�านวน ๑ คน
2. นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ ๒. ผู้พูดฝ่ายเสนอ ๑ ฝ่าย จ�านวน ๓ - ๕ คน (แต่ไม่ควรเกิน ๕ คน)
“การเรียกชื่อผูโตวาทีีและการเชิญ ๓. ผู้พูดฝ่ายค้าน ๑ ฝ่าย จ�านวน ๓ - ๕ คน เท่ากับฝ่ายเสนอ
ผูโตวาที” สงตัวแทน 2 คน เพื่อ ๔. กรรมการจับเวลา จ�านวน ๒ คน
ออกมาอธิบายความรูที่ไดจากการ ๕. กรรมการให้คะแนน จ�านวน ๓ คน
ศึกษาคนควารวมกับเพื่อนในกลุม
3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ๓) การเรียกชื่อผู้โต้วาทีและการเชิญผู้โต้วาที การเรียกชื่อผู้โต้วาที ควรเรียก
ความรูเกี่ยวกับการเชิญผูโตวาที ต�าแหน่งของผู้โต้วาที เช่น หัวหน้าฝ่ายเสนอ ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑ เป็นต้น ไม่ควรเรียกชื่อจริง
(แนวตอบ การจัดลําดับการเชิญ ยกเว้นผู้ด�าเนินรายการแนะน�าผู้โต้วาทีครั้งแรกเรียกชื่อและนามสกุลจริงได้ หากสมมติว่าการโต้วาที
ผูโตวาทีไวในลักษณะที่กําหนด ครั้งนี้ มีผู้โต้วาทีฝ่ายละ ๓ คน จะเรียกชื่อได้ ดังนี้
เพื่อใหการโตวาทีมีความ ๑. ผู้ด�าเนินการโต้วาที
สนุกสนาน แตละฝายจะชี้แจงกัน ๒. หัวหน้าฝ่ายเสนอ
ดวยเหตุผล เสนอและคาน เพื่อให ๓. หัวหน้าฝ่ายค้าน
ผูช มสามารถลําดับและคิดไตรตรอง ๔. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑
ไปกับคําพูดของผูโตวาที) ๕. ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๑
๖. ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๒
๗. ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๒
เกร็ดแนะครู
ครูควรขยายความเขาใจเกี่ยวกับ 136
ญัตติในการโตวาทีใหแกนักเรียนดวย
การยกตัวอยางญัตติที่สามารถนํามา
ใชโตวาทีได เชน เพลงลูกทุงจริงใจ
กวาเพลงสตริง เปนตน

136 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู
1. นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ
“การกําหนดเวลา” สงตัวแทน 2 คน
๔) การก�าหนดเวลา ในการโต้วาทีครั้งหนึ่ง อาจจัดเป็น ๓ รอบ หรือ ๒ รอบก็ได้ เพื่อออกมาอธิบายความรูที่ไดจาก
แล้วแต่เวลาจะอ�านวยให้ ถ้ามีเวลา ๖๐ นาที จัดโต้วาทีเพียงรอบเดียว หากมีผู้โต้วาทีฝ่ายละ ๓ คน การศึกษาคนควารวมกับเพื่อน
ก็จะก�าหนดเวลาได้ ดังนี้ ในกลุม
๑. หัวหน้าของแต่ละฝ่าย คนละ ๗ นาที รวม ๑๔ นาที 2. นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ
๒. ผู้สนับสนุนทั้ง ๒ ฝ่าย คนละ ๕ นาที รวม ๒๐ นาที “การจัดที่นั่งสําหรับโตวาที”
๓. หัวหน้าแต่ละฝ่ายสรุป คนละ ๕ นาที รวม ๑๐ นาที สงตัวแทน 2 คน เพื่อออกมา
๔. ผู้ด�าเนินการโต้วาที เชิญผู้โต้พูด พูดสรุปหลังผู้โต้พูดแล้ว ประกาศผลการตัดสิน อธิบายความรูที่ไดจากการศึกษา
กล่าวขอบคุณ รวม ๑๖ นาที ถ้าจัดเป็น ๒ รอบ จัดเหมือนรอบแรก แต่เมื่อพูดจบทุกคนแล้ว ยังไม่ คนควารวมกับเพื่อนในกลุม
ต้องเชิญหัวหน้าสรุป ให้เริ่มรอบใหม่ เมื่อจบรอบสองแล้ว จึงให้หัวหน้าแต่ละคนสรุป 3. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ความรู โดยครูตั้งคําถามกับ
๕) การจัดที่นั่งส�าหรับโต้วาที ไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ถ้าตามหลักการแล้ว นักเรียนวา
ควรด�าเนินการจัดที่นั่ง ดังนี้ • นักเรียนคิดวาเวลามีความ
๑. จัดให้ผู้พูดฝ่ายเสนอ นั่งทางขวามือของผู้ด�าเนินการ สําคัญตอการพูดอยางไร
๒. จัดให้ผู้พูดฝ่ายค้าน นั่งทางซ้ายมือของผู้ด�าเนินการ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๓. จัดให้ผู้ด�าเนินการนั่งตรงกลางระหว่างฝ่ายเสนอกับฝ่ายค้านหรือจะนั่งไปข้าง ไดอยางหลากหลายตามความ
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ คิดเห็นของตนเอง คําตอบขึ้น
๔. กรรมการจับเวลาควรนั่งข้างล่างระดับเดียวกับผู้ฟัง แต่ควรนั่งด้านหน้าเวที อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
กรรมการให้คะแนนก็นั่งเช่นเดียวกับกรรมการจับเวลา
๑.๒ หน้าทีข่ องผูร้ ว่ มโต้วาที
๑) ผู้ด�าเนินการโต้วาที นักเรียนควรรู
๑. กล่าวทักทายผู้ฟัง พูดถึงญัตติที่จะใช้ โดยอาจพูดถึงความส�าคัญและประโยชน์ ผูดําเนินการโตวาที จะตองเปน
ที่จะได้รับ ผูที่มีความรู ความเขาใจในญัตติที่
๒. แนะน�าผู้โต้วาทีแต่ละฝ่าย โดยแนะน�าฝ่ายเสนอก่อนแล้วจึงแนะน�าฝ่ายค้าน จะใชในการโตวาที นอกจากนี้ยังตอง
บอกชื่อนามสกุลจริงของผู้โต้วาทีแต่ละคน บอกต�าแหน่งหน้าที่การงานหรือความสามารถพิเศษของ มีความสามารถในการพูดเชิงยั่วยุ
แต่ละคน โดยแนะน�าดังนี้ ผูโตวาทีแตละฝาย เพื่อใหการโตวาที
■ ฝ่ายเสนอตั้งแต่หัวหน้าจนถึงผู้สนับสนุนคนสุดท้าย
มีความสนุกสนานมากขึ้น
■ ฝ่ายค้านตั้งแต่หัวหน้าจนถึงผู้สนับสนุนคนสุดท้าย

■ กรรมการให้คะแนนตั้งแต่คนที่ ๑ ถึงคนที่ ๓

■ กรรมการจับเวลาคนที่ ๑ และคนที่ ๒

■ ผู้ด�าเนินการแนะน�าตัวเป็นล�าดับสุดท้าย

137

คูมือครู 137
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
หลักเกณฑเพื่อใชคัดเลือกบุคคล
เพื่อมาปฏิบัติหนาที่ตอไปนี้ ๓. การเชิญผู้โต้วาทีพูด ตามล�าดับดังนี้
• ผูโตวาทีฝายเสนอ 3 คน หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน
• ผูโตวาทีฝายคาน 3 คน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๑ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๑
• ผูดําเนินการโตวาที 1 คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ ๒ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ ๒
• กรรมการจับเวลา 2 คน
ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนสุดท้าย ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนสุดท้าย
• กรรมการใหคะแนน 2 คน รวม
หัวหน้าฝ่ายค้านสรุป หัวหน้าฝ่ายเสนอสรุป
ครูเปน 3 คน
2. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหาดวย ๔. เมื่อผู้โต้วาทีแต่ละคนพูดจบแต่ละครั้ง ผู้ด�าเนินการต้องกล่าวสรุปสั้นๆ และพูด
วิธีแลกเปลี่ยนประสบการณ ยัว่ ยุฝา่ ยตรงกันข้าม แล้วจึงเชิญฝ่ายตรงข้ามพูด กระท�าอย่างนีเ้ รือ่ ยไปจนจบรอบ ถ้ามีรอบสองก็ปฏิบตั ิ
เรื่องราวตางๆ ที่อยูในความสนใจ
เหมือนรอบแรก
ของสังคมในขณะนั้นเพื่อนํามา
๕. เมือ่ ทุกคนพูดจบ หัวหน้าแต่ละฝ่ายพูดสรุป แล้วผูด้ า� เนินการต้องน�าผลการตัดสิน
เปนญัตติสําหรับการโตวาที
มาประกาศให้ผู้ฟังได้ทราบ
๖. ก่อนปิดรายการ ผู้ด�าเนินการต้องกล่าวขอบคุณผู้ฟัง ผู้โต้วาที และกรรมการ
อธิบายความรู ทุกฝ่าย
1. นักเรียนผูไดรับคัดเลือกใหปฏิบัติ ๒) ผู้โต้วาที
หนาที่ตางๆ ออกมายืนหนาชั้น ๒.๑) หัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ในกระบวนการโต้วาที ดังนี้
เรียน ๑. ชี้ให้ผู้ฟังเห็นข้อเท็จจริงของเนื้อหาตามที่ปรากฏในญัตติ โดยมีการให้
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู เหตุผลประกอบ
เกี่ยวกับหลักเกณฑที่ใชสําหรับการ ๒. เสนอประเด็นส�าคัญที่ช่วยให้ญัตติที่เสนอมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
คัดเลือกบุคคลเพื่อมาปฏิบัติหนาที่ ๓. สรุปประเด็นของฝ่ายตนและหักล้างแนวคิดของฝ่ายตรงข้ามในตอนท้าย
เปนคณะผูโตวาที และญัตติที่ใช ๒.๒) หัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ในกระบวนการโต้วาที ดังนี้
สําหรับการโตวาทีครั้งนี้ โดยครู ๑. กล่าวคัดค้านประเด็นส�าคัญที่หัวหน้าฝ่ายเสนอพูด โดยยกเหตุผลมา
อาจใชวิธีการสุมเรียกชื่อนักเรียน ประกอบ
เพื่ออธิบาย ๒. สังเกตข้อบกพร่องต่างๆ ของฝ่ายเสนอ เพื่อหาเหตุผลหรือถ้อยค�ามา
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได หักล้างเหตุผลของฝ่ายเสนอ
อยางหลากหลาย คําตอบขึ้นอยู ๓. สรุปประเด็นของฝ่ายตนและหักล้างแนวคิดของฝ่ายตรงข้ามในตอนท้าย
กับดุลยพินิจของครูผูสอน) ๒.๓) ผู้สนับสนุน มีจ�านวนฝ่ายละเท่าๆ กัน ท�าหน้าที่ในกระบวนการโต้วาที ดังนี้
๑. เสนอประเด็นความคิดเพื่อสนับสนุนฝ่ายของตนตามล�าดับ ด้วยเหตุผล
ข้อเท็จจริงและวาทศิลป์
๒. โต้แย้ง หักล้างผู้โต้ฝ่ายตรงข้ามเป็นประเด็นๆ

138

138 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา
1. นักเรียนที่ไดรับมอบหมายให
ปฏิบัติหนาที่ตางๆ ในคณะ
๒.๔) กรรมการจับเวลา เวลาในการพูดของผูโ้ ต้วาทีเป็นเงือ่ นไขส�าคัญประการหนึง่ โตวาทีรวมกันสืบคนแนวทาง
ซึง่ ต้องมีผทู้ า� หน้าทีค่ วบคุมเวลาอย่างเคร่งครัด จะใช้เวลาเท่าใดไม่มกี ารก�าหนดตายตัว แล้วแต่จะสร้าง ในการปฏิบัติหนาที่ของตน
ข้อตกลงกัน 2. นักเรียนที่ไมไดรับมอบหมายให
๒.๕) กรรมการให้คะแนน มีหน้าที่ในกระบวนการโต้วาที ดังนี้ ปฏิบัติหนาที่ในคณะโตวาที ทํา
๑. ควบคุมรักษาระเบียบของการโต้วาทีและมารยาทของผู้โต้วาที หนาที่เปนผูชมและรวมกันสืบคน
๒. ให้คะแนนผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายตามหลักเกณฑ์ที่ได้ตกลงกันไว้ เรื่องมารยาทในการโตวาที จาก
๓. วิจารณ์การโต้วาที หนังสือเรียน ในหนา 139 หรือ
อย่างไรก็ตาม กรรมการให้คะแนนจะปฏิบตั หิ น้าทีไ่ ด้ดจี ะต้องเป็นผูท้ ที่ ราบหลักเกณฑ์ จากแหลงเรียนรูอื่นๆ
ของการโต้วาทีและการใช้เหตุผลเป็นอย่างดี มีความรูใ้ นญัตตินนั้ ๆ เป็นอย่างดี มีความสุจริต เทีย่ งธรรม
ปราศจากอคติ นอกจากนี้ควรมีทักษะ ประสบการณ์ในการพูดและการโต้วาที อธิบายความรู
การยอวาที คือการใช้ศลิ ปะการพูดแบบประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย เหน็บแนม
จุดเด่นของการยอวาทีอยูท่ อี่ ารมณ์ขนั ในการพูด หากผูพ้ ดู ปราศจากอารมณ์ขนั จะท�าให้ผฟู้ งั เคร่งเครียด นักเรียนแตละกลุมทําหนาที่
สงตัวแทนเพื่อออกมาอธิบายความรู
จนเกินไป ดังนั้นผู้พูดจึงพูดในลักษณะที่เรียกว่า “พูดทีเล่นทีจริง” หรือ “ตบหัวแล้วลูบหลัง” เป็น
หนาชั้นเรียนในหัวขอตอไปนี้
การพูดที่ท�าให้ผู้ฟังต้องคิดตามและมีอารมณ์ความรู้สึกสนุกร่วมไปกับผู้พูด
• แนวทางการโตวาที
๑.๓ มารยาทในการโต้วาที • แนวทางการดําเนินรายการ
๑. เมื่อประธานแนะน�าถึงผู้ใดให้ผู้นั้นท�าความเคารพผู้ฟัง เช่น อาจลุกขึ้นไหว้หรือโค้ง • แนวทางการใหคะแนนและ
ค�านับ เป็นต้น จับเวลา
๒. เมื่อประธานเชิญให้ออกไปพูดจึงออกไป ไม่ควรออกไปพูดโดยไม่ได้รับเชิญเป็น • มารยาทในการโตวาที
อันขาด ไม่เรียกชื่อจริงของฝ่ายตรงข้าม แต่เรียกต�าแหน่งของผู้โต้วาที เช่น ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ
คนที่หนึ่ง ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่สอง รวมทั้งไม่จ้องหน้าหรือชี้หน้า แต่ขณะพูดควรสบตากับผู้ฟัง ขยายความเขาใจ
เป็นระยะๆ
๓. รักษามารยาทในการพูด ไม่ใช้ค�าหยาบ ค�าด่า ค�าสบถ สาบานและไม่ควรน�าเรื่อง นักเรียนรวมกันจัดการโตวาทีขึ้น
ส่วนตัวของฝ่ายตรงข้ามมาพูด ภายในชั้นเรียน โดยแตละคนปฏิบัติ
หนาที่ตามที่ไดรับมอบหมาย
๔. ระมัดระวังเรื่องบุคลิกภาพ เช่น การแต่งกายให้เหมาะสม การแสดงความรู้สึกและ
ท่าทางประกอบในการพูดแต่ละครั้ง ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่แสดงความโกรธ ไม่ถือเป็นเรื่องบาดหมางกัน
เมื่อการโต้วาทีจบลง ตรวจสอบผล
๕. ไม่มุ่งแต่จะเอาชนะจนละเลยและท�าลายความจริงอันเป็นธรรม ผู้ที่มีศิลปะใน 1. นักเรียนดําเนินการโตวาทีตาม
การพูด อาจพูดให้ผู้ฟังเห็นผิดเป็นชอบได้โดยใช้โวหารที่เหนือกว่า การโต้วาทีที่ดีควรยึดหลักความจริง ญัตติที่กําหนดไว
และยกเหตุผลที่ถูกต้องมาหักล้างกัน โดยใช้วาทศิลป์อันคมคายมีข้อคิดที่ลึกซึ้งโน้มน้าวใจผู้ฟัง 2. นักเรียนที่ทําหนาที่เปนผูชม
รวมลงคะแนนวาฝายใดเปนฝายที่
139 มีมารยาทในการโตวาทีมากที่สุด
โดยเขียนคําตอบพรอมเหตุผล
ลงในกระดาษที่เตรียมไวใสลงใน
กลอง หลังจบการโตวาทีทําการ
หลักฐาน นับคะแนนและไปรวมกับคะแนน
แสดงผลการเรียนรู ของคณะกรรมการที่ตัดสินจาก
หลักเกณฑการโตวาทีเพื่อตัดสิน
นักเรียนสามารถฝกปฏิบัติการโตวาทีไดถูกตอง
ผลแพชนะ
ตามหลักเกณฑการประเมินของครููผูสอน

คูมือครู 139
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูใหนักเรียนพิจารณาการพูดในที่
ประชุมของกลุมบุคคลตอไปนี้
มานี : ดิฉันใหที่ประชุมเสนอ ๒ การพูดอภิปราย
วิธีใหมในการทํางาน การอภิปรายเป็นวิธีการพูดแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงานและ
ของนักเรียน เป็นการยุติปัญหา ท�าให้เกิดการยอมรับความคิดเห็น รู้จักปรับตัวเข้าหากัน มีความส�าคัญทั้งในด้าน
สมชาย : วิธีเดิมก็ดีอยูแลว จะ การศึกษา สังคมและการเมืองเพราะช่วยให้บุคคลที่อยู่ในสังคมได้แลกเปลี่ยนทัศนคติและขอความ
ตองเสียเวลาเสนอวิธี คิดเห็นซึ่งกันและกัน เผยแพร่แนวความคิด วางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกัน การพูดอภิปรายให้มี
ใหมทําไมอีกละ
ประสิทธิภาพควรศึกษาหลักการอภิปราย เพื่อน�าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา การท�างานและการ
นิภา : .............................................
ประกอบอาชีพในอนาคต
.............................................
2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา ดังนั้น การอภิปรายจึงหมายถึงกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นของกลุ่มบุคคลที่
• การพูดในลักษณะดังกลาว มีจดุ มุง่ หมายหรือความสนใจร่วมกัน เพือ่ แก้ไขปัญหาในเรือ่ งใดเรือ่ งหนึง่ หรือแลกเปลีย่ นทัศนคติตอ่ กัน
คือ การพูดประเภทใดและ ในเรื่องที่มีความสนใจ
ถานักเรียนเปนนิภาจะแสดง ๒.๑ องค์ประกอบของการอภิปราย
ความคิดเห็นอยางไรตอที่ การอภิปรายต้องมีแบบแผน มีขอบเขตและหลักเกณฑ์เพื่อให้กิจกรรมการอภิปรายด�าเนินไป
ประชุม จากตัวเลือกตอไปนี้
ด้วยดี เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย จึงต้องมีองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
• แมจะเสียเวลาบาง แตก็นาจะ
ลองดู ๑) หัวข้อปัญหา หรือเรื่องที่จะน�ามาอภิปราย ปัญหาหรือเรื่องที่จะน�ามาอภิปราย
• คุณสมชายไมคิดจะ ควรเป็นปัญหาที่ก�าลังอยู่ในความสนใจของผู้ฟังและเป็นปัญหาที่ทุกคนทุกฝ่ายก�าลังประสบ เช่น เรา
เปลี่ยนแปลงการทํางานบาง จะแก้ปัญหาการว่างงานได้อย่างไร เราจะแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้อย่างไร หรือ เราจะใช้เวลาว่างให้
หรือ เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
• เราชวยกันคิดดูกอน เผื่อจะมี ๒) คณะผู้อภิปราย ผู้อภิปรายควรมีจ�านวนไม่ต�่ากว่า ๓ คน และไม่ควรเกิน ๗ คน
ทางออกที่ดี เพราะถ้าน้อยเกินไป อาจท�าให้ได้ขอ้ สรุปทีไ่ ม่ครอบคลุมกับปัญหา แต่ถา้ มากเกินไปจะท�าให้หาข้อสรุป
3. ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา
ไม่ได้ ผู้อภิปรายควรเป็นผู้ที่สนใจและเข้าใจในปัญหา มีแนวคิดเห็นเป็นของตนเอง คณะผู้อภิปราย
นิภาควรแสดงความคิดเห็น
จ�าเป็นต้องรู้คุณสมบัติ บทบาท หน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้อง
อยางไร
๓) ผู้ด�าเนินการอภิปราย เป็นผู้ควบคุมการอภิปรายให้มีระเบียบตามขั้นตอนและ
ท�าหน้าที่ด�าเนินการอภิปรายไม่ให้ออกนอกประเด็น รวมทั้งสรุปผลการอภิปราย
สํารวจคนหา ๔) ผู้ฟัง เป็นผู้ที่มีความสนใจหรือมีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อการอภิปราย เช่น เป็นผู้ที่
แบงกลุมนักเรียนออกเปน 3 กลุม ได้รับความเดือนร้อนจากปัญหาที่น�ามาอภิปรายเพื่อหาค�าตอบหรือทางแก้ไขที่ดีและเหมาะสมที่สุด
จํานวนกลุมละเทาๆ กัน หรือตาม
ความเหมาะสม ใหแตละกลุม สํารวจ
คนหาในประเด็นตอไปนี้ โดยสง
ตัวแทนของกลุมออกมาทําหนาที่
เปนผูจับสลาก 140
• องคประกอบของการพูด
อภิปราย
• หนาที่ของผูรวมอภิปราย
• มารยาทในการพูดอภิปราย อธิบายความรู
นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ “องคประกอบของการพูดอภิปราย”
สงตัวแทนเพื่อออกมาอธิบายความรูที่ไดจากการศึกษารวมกับเพื่อนในกลุม

140 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู
1. นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ
“หนาที่ของผูรวมอภิปราย”
๒.๒ หน้าทีข่ องผูร้ ว่ มอภิปราย สงตัวแทนเพื่อออกมาอธิบาย
การอภิปรายโดยทั่วไปจะประกอบด้วย ความรูที่ไดจากการศึกษาคนควา
ผู้ด�าเนินการอภิปราย ซึ่งท�าหน้าที่เป็นประธาน รวมกับเพื่อนในกลุม
ในบางครั้งและผู้ร่วมอภิปราย ทั้งผู้ด�าเนินการ 2. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
อภิปรายและผู้ร่วมอภิปรายมีหน้าที่ ดังนี้ • หากนักเรียนไดรับเชิญใหไป
๑) ผู้ด�าเนินการอภิปราย ทําหนาที่ผูดําเนินการอภิปราย
๑. ควรศึกษาเรือ่ งทีจ่ ะอภิปราย นักเรียนจะมีวิธีการเตรียมตัว
ให้เข้าใจ เพือ่ วางแนวทางและสามารถก�าหนดแบ่ง
อยางไร
(แนวตอบ
เนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ร่วมอภิปราย
• ศึกษาเรื่องที่กําหนดเปน
๒. ควรศึกษาผูร้ ว่ มอภิปรายใน
หัวขอการอภิปราย
ด้านต่างๆ เช่น หน้าที่การงาน อุปนิสัยใจคอ ผู้ด�าเนินการอภิปรายควรท�าให้ผู้ร่วมอภิปรายทุกคนมี • ศึกษาผูรวมอภิปราย เชน
ความรูค้ วามสามารถ เพือ่ ช่วยให้การอภิปรายเป็น ส่วนร่วมในการอภิปราย ความรูความสามารถ
ไปได้อย่างราบรื่น ตลอดจนศึกษาชีวประวัติของผู้ร่วมอภิปรายแต่ละคนเท่าที่จ�าเป็นเพื่อกล่าวแนะน�า ทัศนคติตอการใชชีวิต
ต่อผู้ฟังให้ถูกต้อง • ศึกษาผูฟง พื้นฐานความรู
๓. ควรนัดหมายผู้ร่วมอภิปรายมาพบก่อนการอภิปรายเพื่อวางแผนร่วมกัน แต่ถ้า เพื่อเปนองคประกอบในการ
ไม่มีเวลาอาจใช้วิธีบันทึกหัวข้อในการอภิปรายแจ้งให้ทราบจะได้มีเวลาในการเตรียมตัว เลือกใชภาษาใหเหมาะสม)
๔. ส�าหรับการอภิปรายกลุ่ม ผู้ด�าเนินการอภิปรายซึ่งท�าหน้าที่เป็นประธานจะมี
การเตรียมตัวต่างจากผู้ด�าเนินการอภิปรายทั่วไป คือต้องจัดเตรียมสถานที่และที่นั่งของสมาชิก
๕. ศึกษาผูฟ้ งั เกีย่ วกับระดับความรู ้ ความสนใจ เพือ่ ประกอบการพิจารณาใช้ถอ้ ยค�า
ขยายความเขาใจ
๖. เมื่อเริ่มด�าเนินการอภิปราย ผู้ด�าเนินการอภิปรายกล่าวถึงสาเหตุของการจัด
อภิปราย โดยการชี้แจงหัวข้อ ขอบเขตและวัตถุประสงค์ ครูยกตัวอยางสถานการณ และ
๗. แนะน�าผู้ร่วมอภิปรายอย่างสั้นๆ โดยเน้นกล่าวถึงความสนใจ ความสามารถใน ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ด้านที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะอภิปราย • สมชายไดรับเชิญใหทําหนาที่
๘. กล่าวน�าประเด็นที่จะอภิปราย เชิญผู้อภิปรายพูดและแสดงความคิดเห็น เปนผูดําเนินรายการในหัวขอ
“เราจะแกไขปญหาเด็กไทย
๙. ผู้ด�าเนินการอภิปรายต้องท�าหน้าที่รักษาเวลาในการอภิปรายอย่างเคร่งครัด ใน
อานหนังสือนอยลงไดอยางไร”
กรณีทผี่ อู้ ภิปรายออกนอกประเด็น ผูด้ า� เนินการอภิปรายต้องมีวธิ ยี บั ยัง้ และท�าให้ผอู้ ภิปรายเข้าประเด็น
ถาสมชายจะศึกษาหัวขอการ
เพื่อไม่ให้การอภิปรายเกิดความยืดเยื้อหรือไม่ได้ข้อสรุป อภิปราย สมชายควรศึกษาใน
๑๐. ท�าหน้าทีส่ รุปข้อความของผูอ้ ภิปรายอย่างรัดกุมหรือทีเ่ ป็นประเด็นส�าคัญ โดยใช้ ประเด็นใดบาง
ค�าพูดที่เรียบเรียงขึ้นใหม่ พยายามไม่ให้ซ�้ากับค�าพูดของผู้อภิปราย ผู้ด�าเนินการอภิปรายสามารถ (แนวตอบ สมชายควรเลือก
เพิ่มเติมหรือเสริมข้อความของผู้อภิปรายได้ ศึกษาขอมูลเบื้องตนเกี่ยวกับ
141 สถานการณการอานหนังสือ
ของเด็กไทยในปจจุบันวาเปน
อยางไรเมื่อเปรียบเทียบกับ
ประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน
มีหนวยงานใดบางที่เขามามี
นักเรียนควรรู สวนรวมในการแกไขปญหา
เปนตน)
จัดเตรียมสถานที่ การเลือกสถานที่ใหเหมาะสมกับเรื่องที่พูด
และบุคคลที่ฟงมีความสําคัญตอการพูดอภิปราย จึงควรเตรียม
สถานที่ใหเหมาะสม อากาศถายเทสะดวก เปนตน
คูมือครู 141
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนศึกษาบทบาทหนาที่ของ
ผูรวมอภิปราย จากนั้นครูตั้งคําถาม
กับนักเรียนวา ๑๑. เมื่อจบการอภิปรายแล้วต้องเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีโอกาสซักถาม และแสดงความ
• ในชีวิตประจําวันของนักเรียน คิดเห็น โดยแจกค�าถามให้เหมาะกับผู้อภิปรายแต่ละคน ในกรณีที่ค�าถามเป็นข้อความ ผู้ด�าเนินการ
สามารถแสดงบทบาทเปนผูรวม อภิปรายจะต้องเป็นผู้อ่านค�าถามให้ทุกคนได้ยินก่อนแล้วจึงเชิญผู้อภิปรายตอบ
อภิปรายไดหรือไม เพราะเหตุใด ๑๒. กล่าวสรุปการอภิปรายด้วยถ้อยค�าทีส่ นั้ แต่นา่ ฟังและชวนคิด หลังจากนัน้ จึงกล่าว
(แนวตอบ สามารถเปนได เพราะ ขอบคุณผู้อภิปราย ผู้ฟัง เจ้าของสถานที่และกล่าวปิดการอภิปราย
ในชีวิตประจําวันของเรา ตองมี ๒) ผู้ร่วมอภิปราย
โอกาสแสดงความคิดเห็นกับ ๑. ศึกษาหาความรู้และเตรียมตัวในเรื่องที่จะต้องพูดเป็นอย่างดี พูดให้มีสาระ
ผูอื่น เพื่อรวมกันแกไขปญหา ตรงประเด็น ไม่ออกนอกเรื่อง
ตางๆ) ๒. ศึกษาด้านอุปนิสัยของผู้ร่วมอภิปรายคนอื่นๆ เพื่อจะได้ปรับตัวได้เหมาะสม
๓. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับผู้ฟัง เพื่อจะได้ทราบถึงระดับความรู้ ความสนใจของ
อธิบายความรู ผู้ฟังพิจารณาเพื่อประกอบการพิจารณาใช้ถ้อยค�าภาษาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง
๔. พูดอภิปรายต่อเมื่อได้รับเชิญ ไม่แย่งคนอื่นพูดหรือพูดขึ้นกลางคัน
นักเรียนกลุมที่ศึกษาในหัวขอ ๕. ไม่น�าเรื่องส่วนตัวของตนเองและผู้อื่นมาพูด
“มารยาทในการพูดอภิปราย” ๖. เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ถ้าจะพูดขัดแย้งควรพูดอย่างมีมารยาท ใช้วาจาที่
สงตัวแทนออกมาอธิบายความรู
สุภาพ มีเหตุผล ไม่พูดด้วยอารมณ์
ที่ไดจากการศึกษาคนควารวมกับ
เพื่อนในกลุม ๓) ผู้ฟัง
๑. ควรฟังด้วยความสนใจตลอดเวลา ท�าความเข้าใจในเนือ้ หาสาระทีผ่ อู้ ภิปรายพูด
ให้ดีก่อนตั้งค�าถาม
ขยายความเขาใจ ๒. มีมารยาทในการซักถาม ไม่มอี คติตอ่ ผูพ้ ดู หรือเนือ้ เรือ่ ง ควรซักถามในเรือ่ งทีเ่ ป็น
1. ครูทบทวนองคความรูใหแก ประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม ซึง่ การซักถามอาจท�าได้โดยเขียนลงในกระดาษหรือเดินไปถามยังไมโครโฟนทีจ่ ดั
นักเรียน หลังจากนั้นใหรวมกัน เตรียมไว้ และก่อนถามควรแนะน�าตนเองและพูดให้ได้ยินชัดเจนทั่วถึงด้วยภาษาและท่าทางที่สุภาพ
อภิปรายในหัวขอ “เราจะชวยกัน ๒.๓ มารยาทในการพูดอภิปราย
รักษาความสะอาดของโรงเรียนได ๑. ควรใช้ค�าพูดที่น่าฟัง สุภาพ ไพเราะ น�้าเสียงแสดงความเป็นกันเอง
อยางไร” เปนเวลา 30 นาที และ ๒. ไม่พูดทับถมผู้อภิปรายคนอื่นๆ
สรุปผลการอภิปราย ๓. ควรยกย่องความคิดเห็นของสมาชิกผู้ร่วมอภิปรายคนอื่นๆ
รวมกัน ๔. ไม่ผูกขาดการพูดเพียงคนเดียว ควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้พูดบ้าง
2. ครูยกตัวอยางสถานการณ แลว
๕. ผู้ด�าเนินการอภิปราย จะต้องไม่ใช้อ�านาจในการพูดเพียงคนเดียวและจะต้อง
ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ไม่พูดมากจนเกินไป พูดแต่พอควร เพราะผู้ด�าเนินการอภิปรายท�าหน้าที่พูดชักน�าให้ผู้อภิปรายพูด
• ในขณะที่อภิปรายปราณี
๖. ถ้าหากข้อคิดเห็นของคนอื่นมีเหตุผลมากกว่า จะต้องแสดงความยินดีต่อ
พยายามที่จะแสดงเหตุผลเพื่อ
หักลางความคิดเห็นของผูรวม ข้อคิดเห็นนั้นๆ ไม่แสดงความไม่พอใจ วู่วามทั้งการพูด น�้าเสียงและกิริยาอาการ
อภิปรายตลอดเวลา นักเรียน 142
คิดวาปราณีปฏิบัติถูกตอง
หรือไม เพราะเหตุใด
(แนวตอบ ไมถูกตอง เพราะใน
การพูดอภิปรายตองรูจักยอมรับ ตรวจสอบผล หลักฐาน
ฟงความคิดเห็นของผูอื่นและ ครูตรวจสอบการพูดอภิปรายของ แสดงผลการเรียนรู
ยินดีในเหตุผลที่เปนขอสรุปของ นักเรียน สังเกตพฤติกรรมในการ นักเรียนสามารถฝกปฏิบัติการพูด
การอภิปราย) แสดงความคิดเห็น อภิปรายไดถูกตองตามหลักเกณฑ
การประเมินของครูผูสอน
142 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูเปดคลิปเสียงหรือวิดีโอคลิป
โฆษณาประเภทใดก็ไดที่สามารถ
๗. ไมพูดเนื้อความกระทบกระเทียบบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไมพูดดวยถอยคําที่อาจ หาไดจากสื่อวิทยุ โทรทัศน หรือ
ทําใหผูอื่นเดือดรอน สื่ออินเทอรเน็ต เชน ผงซักฟอก
๘. ไมควรพูดซํ้าๆ หรือพูดเยิ่นเยอ เพราะอาจทําใหคณะอภิปรายและผูฟงอึดอัดหรือ สเปรยระงับกลิ่นกาย ฯลฯ และ
เกิดความรําคาญได ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
๙. จะตองคอยใหผูดําเนินการอภิปราย (หรือประธานหรือผูดําเนินการอภิปราย) เรียก • นักเรียนคิดวาบทโฆษณาที่ไดฟงมี
ชื่อตนเสียกอนจึงจะเริ่มการพูดได ลักษณะการพูดอยางไร
๑๐. พยายามปฏิบัติตนใหเปนกันเองกับเพื่อนสมาชิกในการอภิปราย (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลายตามพื้นฐาน
๓ ¡Òþٴ⹌Á¹ŒÒÇ㨠ความรู ความเขาใจ)
การพูดโนมนาวใจเปนการใชภาษาเพื่อการสื่อสารประเภทหนึ่ง คือการใชคําพูดเพื่อเปลี่ยน
ความเชื่อ ทัศนคติ คานิยมและการกระทําของบุคคลอื่น ใหเกิดความสนใจและคิดเห็นคลอยตาม สํารวจคนหา
ยอมเปลี่ยนความคิด ความเชื่อที่มีตอเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่ผูโนมนาวใจประสงค หลักการสําคัญของ นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน
การพูดโนมนาวใจ คือการทําใหผูฟงเชื่อวาถาเชื่อและเห็นคุณคาหรือทําตามที่ผูโนมนาวใจชี้แจง รวมกันสํารวจคนหาในประเด็น
หรือชักนําแลว จะไดรับผลที่ตอบสนองความตองการขั้นพื้นฐานของตน โดยผูโนมนาวใจควรตระหนัก ลักษณะเฉพาะและแนวทางการพูด
ถึงประเด็นของการนําเสนอเหตุผลเพื่อใหผูรับสารเขาใจ เห็นความสําคัญและยอมรับการโนมนาวนั้น โนมนาวใจดวยวิธีการตางๆ เชน
๓.๑๑ แนวทางการพูดโนมนาวใจ สนทนาแลกเปลี่ยน จากหนังสือเรียน
ในหนา 143 - 144 หรือแหลงเรียนรู
การพูดโนมนาวใจควรใชภาษาในเชิงเสนอแนะ ขอรอง วิงวอนหรือเราใจ ควรเลือกใชภาษาที่
อื่นๆ
เหมาะสม สือ่ ความหมายตามทีต่ อ งการ โดยคํานึง
ถึงจังหวะและความนุมนวลในนํ้าเสียง
๑) แสดงใหเห็นความนาเชือ่ ถือ อธิบายความรู
ของผู  พู ด โดยธรรมดาบุ ค คลที่ มี คุ ณ ลั ก ษณะ 1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน เพื่ออธิบาย
๓ ประการ คือ มีความรู มีคุณธรรมและมีความ ความรูเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของ
ปรารถนาดีตอผูอื่น ยอมไดรับความเชื่อถือจาก การพูดโนมนาวใจ
บุคคลทั่วไป (แนวตอบ การพูดโนมนาวใจ
เปนการใชภาษาเพื่อการสื่อสาร
๒) แสดงใหเห็นความจริง ตาม ใหผูฟงเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความ
กระบวนการของเหตุผลผูพูดตองแสดงใหเห็นวา คิด ความเชื่อ ที่มีอยูเดิม ใหเกิด
เรื่องที่ตนกําลังโนมนาวใจมีเหตุผลหนักแนนและ ความสนใจ คลอยตามและยอม
มีคุณคาควรแกการยอมรับอยางแทจริง การพู ด โน ม น า วใจผู พู ด ควรใช อ วั จ นภาษาหรื อ ภาษา ปฏิบัติตามเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่ผูพูด
ทาทางใหเหมาะสมกับเรื่องที่กําลังพูด ประสงค)
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
๑๔๓ เกีย่ วกับแนวทางการพูดโนมนาวใจ
ในลักษณะโตตอบรอบวง
(แนวตอบ การพูดโนมนาวใจ
สามารถทําไดโดย
• แสดงใหเห็นความนาเชื่อถือของ
นักเรียนควรรู ผูพูด
การพูดโนมนาวใจ ตองใชศิลปะในการพูดเพื่อใหผูฟงเกิดความคลอยตาม และ • แสดงใหเห็นความจริง
ยอมปฏิบัติตามคําขอรองหรือเชิญชวน การพูดโนมนาวใจที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน • แสดงใหเห็นความรูสึกและ
คือการโฆษณาขายสินคาที่โนมนาวใจใหผูฟงเห็นขอดีและตัดสินใจซื้อสินคาหรือบริการ อารมณรวม
ฯลฯ)
คูมือครู 143
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันคนหาความรูใน
ประเด็นมารยาทในการพูดโนมนาวใจ
จากหนังสือเรียน ในหนา 144 หรือ ๓) แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกและอารมณ์ร่วม บุคคลที่มีอารมณ์ร่วมกันย่อมคล้อย
จากแหลงเรียนรูอื่น ตามกันได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความรู้สึกอคติต่อกัน เมื่อใดที่ผู้โน้มน้าวใจค้นพบและแสดงอารมณ์ร่วม
ออกมา การโน้มน้าวใจย่อมจะประสบความส�าเร็จ
๔) แสดงให้เห็นทางเลือกทั้งด้านดีและด้านเสีย ผู้พูดต้องโน้มน้าวผู้รับสารให้
อธิบายความรู เชื่อถือหรือปฏิบัติเฉพาะทางที่ตนต้องการ โดยชี้ให้เห็นว่าสิ่งนั้นมีด้านที่เป็นโทษอย่างไร ด้านที่เป็น
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน เพื่ออธิบาย ประโยชน์อย่างไร
ความรูเกี่ยวกับมารยาทในการพูด ๕) สร้างความสุขให้แก่ผรู้ บั สาร การเปลีย่ นบรรยากาศให้ผอ่ นคลายด้วยอารมณ์ขนั
โนมนาวใจ จะท�าให้ผรู้ บั สารเปลีย่ นความรูส้ กึ จากการต่อต้านมาเป็นความรูส้ กึ กลางๆ และพร้อมทีจ่ ะคล้อยตามได้
๖) เร้าให้เกิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เมื่อผู้ฟังเกิดอารมณ์ขึ้นอย่างแรงกล้าไม่ว่าดีใจ
ขยายความเขาใจ เสียใจ โกรธแค้น อารมณ์เหล่านี้มักจะท�าให้ผู้ฟังไม่ใช้เหตุผลอย่างถี่ถ้วน พิจารณาถึงความถูกต้อง
1. ครูแบงกลุมนักเรียนออกเปน เหมาะสม เมื่อมีการตัดสินใจก็อาจจะคล้อยตามที่ผู้โน้มน้าวใจเสนอแนะได้ง่าย
6 กลุม ใหแตละกลุมสงตัวแทน ๓.๒ มารยาทในการพูดโน้มน้าวใจ
มาจับสลากแนวทางการพูด ๑. ให้ความสนใจแก่ผฟู้ งั และเรือ่ งทีเ่ กีย่ วกับผูฟ้ งั อย่างจริงใจ โดยแสดงออกทัง้ ทางกิรยิ า
โนมนาวใจ จากหัวขอตอไปนี้ วาจาและใจ
• แสดงใหเห็นความนาเชื่อถือของ ๒. สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความเป็นมิตร
ผูพูด เป็นการสร้างความประทับใจให้แก่ทุกคนเมื่อแรกพบ
• แสดงใหเห็นความจริง
๓. มีความแม่นย�าจ�าชื่อผู้ที่มาติดต่อให้ได้และใช้เรียกได้อย่างถูกต้อง เพราะทุกคนจะ
• แสดงใหเห็นถึงความรูสึกและ
รู้สึกว่าค�าพูดที่ไพเราะและมีความหมายที่สุดก็คือชื่อของเขานั่นเอง
อารมณรวม
• แสดงใหเห็นทางเลือกทั้งดานดี
๔. เป็นนักฟังที่ดี ก่อนพูดต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฟังให้มากที่สุด น�าข้อมูลที่ได้จาก
และดานเสีย การฟัง เช่น เรื่องที่เขาก�าลังสนใจ เรื่องที่คับแค้นใจ เรื่องที่ก�าลังภาคภูมิใจหรือเรื่องที่ได้รับความ
• สรางความสุขใหแกผูรับสาร ตื่นเต้นมาใหม่ๆ ของผู้ฟังมาประกอบการพูด
• เราใหเกิดอารมณอยางแรงกลา ๕. ท�าให้ผฟู้ งั รูส้ กึ ว่าเป็นคนส�าคัญหรือชีใ้ ห้เห็นจุดเด่นในตัวผูฟ้ งั ยกย่องด้วยความจริงใจ
จากนั้นใหสมาชิกในกลุมลงมติ
การพูดในโอกาสต่างๆ เป็นการสื่อสารที่มีรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างกัน ผู้ที่จะ
เพื่อเลือกเรื่องสําหรับพูดโนมนาวใจ
โดยใชแนวทางที่กลุมของตนเองจับ ประสบความสÓเร็จในการพูด นอกจากจะมีความรูใ้ นเรือ่ งทีจ่ ะพูดเป็นอย่างดีแล้ว ยังต้อง
สลากได สงตัวแทนออกมาพูดหนา มีความเข้าใจ จดจ�าวิธีการพูดในแต่ละรูปแบบ อีกทั้งต้องรู้จักเลือกใช้ภาษาให้ถูกต้อง
ชั้นเรียน เหมาะสม ฉะนัน ้ ผูเ้ รียนควรศึกษาทÓความเข้าใจวิธกี ารพูดและฝึกฝนให้เกิดความชÓนาญ
2. นักเรียนชวยกันประเมินวาการพูด เพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ของกลุมใดประสบความสําเร็จ
มากที่สุด เพราะเหตุใด
3. ใหผูแทนกลุมที่ประสบความสําเร็จ 144
มาบรรยายถึงเคล็ดลับการเปน
นักพูดที่ดี

ตรวจสอบผล
NET ขอสอบป 52
ครูประเมินการพูดของตัวแทน
ขอสอบถามวา ขอใดไมใชหลักปฏิบัติในการพูดที่เหมาะสม
นักเรียนวาใชแนวทางที่จับสลากได
1. ผูพูดควรเลือกเรื่องที่ตนเองมีความรู 2. การวิเคราะหผูฟง
หรือไม
3. ผูพูดไมตองเตรียมเนื้อหา 4. การแตงกายเสริมบุคลิกภาพ
(วิเคราะหคําตอบ การพูดที่ดี ผูพูดจะตองเตรียมเนื้อหากอนพูด ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 3.)
144 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมกันอานหัวขอ
ที่เปนตัวหนา และสนทนารวมกันวา
บอกเล่าเก้าสิบ
อานแลวรูสึกอยางไร
เคล็ดไม่ลับ ๑๒ ประการของการเป็นนักพูดที่ดี
สํารวจคนหา
๑ เชือ่ มัน
่ ในตัวเรา ความเชื
เรา อ่ มัน่ ในตนเองนัน้ มีความส�าคัญมาก เพราะจะช่วยให้ผพ
ู้ ดู ไม่ประหม่า
มพรอมและซักซ้อมเป็นอย่างดี
ซึ่งความเชื่อมั่นในตนเองนั้นจะเกิดขึ้นได้ถ้าผู้พูดมีการเตรียมพร้ ครูและนักเรียนรวมกันสํารวจ
คนหา แนวทางการเปนนักพูดที่ดี
๒ อ ย่าดูเบาเรื่องแต่งกาย ผู้พูดจะต้องแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย ค�านึงถึงกาลเทศะ การ
แต่งกายสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้ แลวนํามาเปรียบเทียบกับเคล็ดไมลับ
12 ประการ ดังกลาว วามีความ
๓ ท า่ ทางต้องผึง่ ผาย ควรมีการใช้ทา่ ทางประกอบการพูดทีส่ ภุ าพ ไม่ซา�้ ซาก ดูมชี วี ติ ชีวา ซึง่ จะ เหมือนหรือแตกตางกันอยางไร
ท�าให้การพูดมีประสิทธิภาพมากขึ้น

๔ ก ้าวเดินไปอย่างมั่นใจ การก้าวเดินบนเวทีหรือการเดินขึ้นลงบนเวทีผู้พูดควรก้าวเดินด้วย
ท่าทางที่สง่างาม ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความน่าเชื่อถือ อธิบายความรู
นักเรียนรวมกันสรุปแนวทาง
๕ ท ักทายให้เข้าท่า การทักทายเป็นธรรมเนียมที่ผู้พูดควรปฏิบัติก่อนที่จะเริ่มเข้าเนื้อหา ซึ่ง
ผู้พูดควรใช้ค�าทักทายให้เหมาะสมกับระดับของผู้ฟังและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พูด การเปนนักพูดที่ดี จากนั้นรวมกัน
จัดทําปายนิเทศของหองเรียน
๖ อีกใบหน้าต้องแจ่มใส ผู้พูดต้องใส่ความรู้สึกลงไปในใบหน้าด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่อง
ทีพ
่ ดู แต่หากพูดเรือ่ งปกติทวั่ ไป ควรจะท�าสีหน้าให้ยมิ้ แย้มแจ่มใส เพือ่ ให้บรรยากาศไม่ตงึ เครียด

๗ ร ู้หลักการใช้ไมค์ (โครโฟน) ผู้พูดควรค�านวณระยะห่างระหว่างปากกับไมโครโฟนให้พอดี


ขยายความเขาใจ
ไม่ไกลหรือใกล้เกินไป รวมถึงไม่ควรเคาะหรือกระแอมใส่ไมโครโฟน ถานักเรียนไดรับมอบหมายให
๘ ภ าษาไทยต้องชัดเจน ภาษาสามารถสื่อให้เห็นถึงรสนิยม ระดับภูมิความรู้ของผู้พูดได้
เปนตัวแทนของหองไปพูดตอหนา
ดังนั้นผู้พูดควรใช้ภาษาในการพูดให้เหมาะสม ออกเสียงให้ชัดเจนและถูกต้อง สาธารณชน นักเรียนจะนําเคล็ด
ไมลับ 12 ประการ เกี่ยวกับการ
๙ น�้าเสียงดังพอเหมาะ การพูดที่ดีนั้นน�้าเสียงต้องดังพอสมควรให้ได้ยินทั่วกัน ความเร็ว เปนนักพูดที่ดีไปปรับใชหรือไม
ก�าลังเสียงและหางเสียงต้องมีความสมดุล ไม่เร็ว รัวหรือช้าเกินไป และไม่ดงั หรือเบาจนเกินไป
เพราะเหตุใด
๑๐ สายตาเกาะกวาดทัว่ เห็น สายตานัน้ สามารถถ่ายทอดความรูส้ กึ ของผูพ ้ ดู ไปสูผ่ ฟ
ู้ งั ได้ ดังนัน้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
ในขณะพูดผูพ
้ ดู ควรกวาดสายตามองผูฟ้ งั อย่างทัว่ ถึง ต้องระลึกเสมอว่า “ปากพูดตาต้องมอง” อยางหลากหลายตามความคิดเห็น
๑๑ เวลาครบจบตามเกณฑ์ ผู้พูดควรใช้เวลาให้ครบตามที่ก�าหนดไว้ ไม่ด่วนจบก่อนเวลาหรือ ของตนเอง)
ยืดเยื้อจนเกินเวลา

๑๒ สรุปเน้นให้จับใจ ผู้พูดควรมีค�าพูดที่เป็นบทสรุปที่สร้างสรรค์ที่สามารถท�าให้ผู้ฟังซาบซึ้ง ตรวจสอบผล


และตราตรึงในความทรงจ�าของผู้ฟังเป็นอย่างดี
นักเรียนประเมินตนเองจากการฝก
ปฏิบัติการพูดในครั้งที่ผานมาวายังมี
145 ขอควรปรับปรุงใดบางลงสมุด
ครูผูสอนตรวจสอบและแนะนําวิธี
การปรับปรุงใหแกนักเรียน

นักเรียนควรรู
เชื่อมั่นในตัวเรา หรือความศรัทธาในตนเองเปนสิ่งสําคัญสําหรับการพูด หากผูพูดมีความเชื่อมั่น
ในตนเอง ความเชื่อมั่นจะสะทอนไปยังผูฟงทําใหผูฟงเชื่อมั่นในตัวผูพูด ทําใหการพูดในแตละครั้ง
ประสบความสําเร็จตามจุดมุงหมาย
คูมือครู 145
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
1. การโตวาที ผูรวมโตวาทีไมวา คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
จะอยูในฝายเสนอหรือฝายคาน
จะตองมีการเตรียมตัวเปนอยาง ๑. หากนักเรียนตองเขารวมการโตวาที จะตองมีวิธีการเตรียมตัวอยางไร จงอธิบาย
ดี ศึกษาหาความรูจากหนังสือ ๒. การโตวาทีมีองคประกอบอะไรบาง จงอธิบาย
หรือแหลงการเรียนรูตางๆ ซึ่ง ๓. การพูดอภิปรายหมายความวาอยางไร จงอธิบาย
สามารถนําขอมูลตางๆ มาปรับ ๔. ผูดําเนินการอภิปรายมีหนาที่อยางไร จงอธิบาย
ใชกับการพูดโตวาทีของตนเอง ๕. จากการที่นักเรียนศึกษาบทละครพูดเรื่องเห็นแกลูก จงอธิบายวาพระยาภักดีนฤนาถมีกลวิธีการพูด
ได โนมนาวอยางไร
2. การโตวาทีมีองคประกอบ ดังนี้
1. ญัตติ คือ การเสนอความ
คิดเห็นที่ขัดแยงกันในเรื่อง
เดียวกัน
2. คณะผูโตวาที ประกอบดวย
ประธาน ฝายเสนอ 3 คน
ฝายคาน 3 คน กรรมการจับ
เวลา 2 คน และกรรมการให
คะแนน 3 คน
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
3. การพูดอภิปราย หมายถึง การ
พูดแลกเปลี่ยนความรู ความคิด กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนศึกษากลวิธีการพูดโนมนาวใจและนํามาพูดหนาชั้นเรียนในหัวขอ “มารวม
เพื่อประโยชนในการปฏิบัติงาน ลดปญหาโลกรอนกันเถอะ”
กิจกรรมที่ ๒ ปจจุบนั คนไทยไมไดใหความสําคัญตอการใชภาษาไทย เพือ่ เปนการอนุรกั ษภาษาไทย
และเปนการยุติปญหา
ใหนักเรียนจัดอภิปรายวางแผนแกปญหาดังกลาวใหถูกตองตามรูปแบบของการ
4. ผูดําเนินการอภิปราย เปน
อภิปราย
ผูควบคุมการอภิปรายใหมี กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนจัดโตวาทีหรือยอวาทีในญัตติทรี่ ว มกันตัง้ ขึน้ มา ตามรูปแบบการโตวาทีหรือ
ระเบียบตามขั้นตอนและทํา ยอวาที
หนาที่ดําเนินการอภิปรายไมให
ออกนอกประเด็น รวมทั้งสรุป
ผลการอภิปราย
5. พระยาภักดีนฤนาถ มีกลวิธีการ
พูดโนมนาวใหนายลํ้ามองเห็น
ถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับแมลออ
หากนายลํ้าแสดงตนเปนพอ
ที่แทจริง แมลออก็จะไดรับการ 146
รังเกียจจากบุคคลอื่นในสังคม)

146 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ

ตอนที่ ô หลักการใชภาษา นักเรียนรวมกันอานออกเสียง


บทรอยกรองที่ปรากฏหนาตอนดวย
ทํานองเสนาะ จากนั้นครูตั้งคําถาม
กับนักเรียนวา
• บทรอยกรองดังกลาวแสดง
จุดมุงหมายใด
(แนวตอบ แสดงใหเห็นลักษณะ
เฉพาะที่สําคัญของภาษาไทย
ซึ่งเปนภาษาที่มีเอกลักษณ
แตกตางจากภาษาของชาติ
อื่นๆ และดวยเหตุผลดังนี้
เราในฐานะคนไทยจึงควรเห็น
คุณคาและความสําคัญของ
ภาษาไทย)
• ผูประพันธสามารถใชถอยคํา
เพื่อสื่อสารไดตรงจุดมุงหมาย
หรือไม อยางไร
(แนวตอบ ผูประพันธสามารถใช
ถอยคําสื่อสารไดตรงตาม
จุดมุงหมาย และอยางตรงไป
ตรงมาเพื่อบอกลักษณะเฉพาะ
ของภาษา และทําใหผูอานเห็น
คุณคาของภาษาไทย)

ºŒÒ§ªÍºÍ‹Ò¹¶ŒÍ¤íÒ·íҹͧàʹÒÐ ÀÒÉÒä·Âä¾àÃÒÐäÁ‹á»Ã¼Ñ¹
ÁÕàÊÕ§ÇÃóÂØ¡µ·Ø¡·Ø¡ªÑé¹ ¢ÑºÃŒÍ§¡Ñ¹ä´Œ§‹Ò¤ŌÒ´¹µÃÕ
©Ð¹Ñé¹ËÃ×ͨÐäÁ‹ãËŒÃÑ¡à¨ŒÒ ÀÒÉÒä·Â¢Í§àÃÒÁÕÈÑ¡´ÔìÈÃÕ
à¡Ô´à»š¹ä·Â¤¹Ë¹Öè§àÃÒ¨Ö§ÁÕ ¢Í§´Õ´Õª×èÍÇ‹Ò “ÀÒÉÒä·Â”
(หม่อมหลวง ปน มาลากุล)

คูมือครู 147
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. จําแนกคํายืมภาษาตางประเทศใน
ภาษาไทยได
2. สรุปหลักการสังเกตคําที่ยืมมาจาก
ภาษาตางประเทศได
3. ใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติใน
ชีวิตประจําวัน
4. อธิบายความหมายของศัพททาง
วิชาการและวิชาชีพได

กระตุนความสนใจ
นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• กลุมบุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใด และใชทักษะใด
ในการสื่อสาร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ

ñ
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
พื้นฐานความรู ความคิดและ
ประสบการณ)
• ในชีวิตประจําวันของนักเรียน หนวยที่
จะตองมีการใชทักษะดังกลาว
หรือไม อยางไร การใชคําในภาษาไทย
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ ตัวชี้วัด
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
พื้นฐานความรู ความคิดและ
■ จําแนกคําในภาษาตางประเทศในภาษาไทย (ท ๔.๑ ม.๓/๑) คํ าที่ ใ ช ใ นภาษาไทย มี ทั้ ง คํ า ไทย
■ ใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติ (ท ๔.๑ ม.๓/๔) ที่ ส ร า งขึ้ น เองและคํ า ยื ม ที่ ม าจากภาษา
ประสบการณ ครูควรชี้แนะ ■ อธิบายความหมายของคําศัพททางวิชาการและวิชาชีพ (ท ๔.๑ ม.๓/๕)
ต า งประเทศ นอกจากนี้ ยั ง มี คํ า ทั บ ศั พ ท
ขอมูลที่ถูกตอง) ศัพทบญ ั ญัตทิ จี่ าํ เปนตองศึกษาเพือ่ ประโยชน
ในการสื่อสารไดตรงวัตถุประสงค นอกจากนี้
สาระการเรียนรูแกนกลาง การจําแนกคําไทยตลอดจนคําทีย่ มื มาจากภาษา
■ คําทีม่ าจากภาษาตางประเทศ ตางประเทศได จะกอใหเกิดความเขาใจในอิทธิพล
■ คําทับศัพท ของภาษาตางประเทศที่มีตอภาษาไทยมากยิ่งขึ้น
■ คําศัพทบญ ั ญัติ
■ คําศัพททางวิชาการและวิชาชีพ

148 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูและนักเรียนรวมสนทนากันใน
ประเด็น ลักษณะปจจุบันของสังคม
๑ คÓภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ไทยที่มีความเจริญกาวหนาทาง
ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เมื่อมนุษย์มีการติดต่อสื่อสารกันย่อมเกิดการแลกเปลี่ยน เทคโนโลยี มีการเปดประเทศเพื่อ
ทางวัฒนธรรมขึ้น เมื่อมีการรับวัฒนธรรมอื่นมาโดยไม่มีค�าในภาษาเดิมรองรับจึงเกิดความจ�าเป็นต้อง การคามากขึ้น จากนั้นครูตั้งคําถาม
ยืมภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ การยืมค�าจากภาษาต่างประเทศถือเป็นการรับวัฒนธรรมอืน่ เข้ามาใช้ใน กับนักเรียนวา
ภาษาของตนด้วย ไม่วา่ การรับนัน้ จะเกิดขึน้ ด้วยความจงใจหรือไม่กต็ าม นอกจากนีย้ งั มีความเกีย่ วข้อง • จากปจจัยดังกลาวกอใหเกิด
ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ท�าให้ภาษามีความเจริญงอกงามและมีค�าส�าหรับติดต่อ สิ่งใดขึ้นกับรูปแบบการใชคําใน
ภาษาไทย
สื่อสารมากขึ้น
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
และการติดต่อสื่อสารในด้านอื่นๆ เช่น ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤต มักเป็นค�าที่เกี่ยวข้องกับ อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
พระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนมักเกี่ยวข้องกับเรื่องธุรกิจการค้า
อาหารการกิน ค�าที่ยืมมาจากภาษาชวา - มลายู มีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดี ส่วนค�าที่ยืมมาจาก
ภาษาอังกฤษมีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีของตะวันตก เป็นต้น สํารวจคนหา
การศึกษาค�าทีย่ มื มาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยประกอบด้วย ๒ ประเด็น คือ หลักการ 1. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
สังเกตค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศและหลักการยืมค�าจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ความรูเกี่ยวกับแหลงที่มาของ
๑.๑ หลักกำรสังเกตค�ำทีม่ ำจำกภำษำต่ำงประเทศ คําภาษาตางประเทศในภาษาไทย
ค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยส่วนใหญ่มีลักษณะแตกต่างจากค�าไทยแท้ ดวยวิธีการอภิปรายเพื่อหาคําตอบ
การสังเกตว่าค�าใดเป็นค�ายืม ค�าใดเป็นค�าไทยแท้ สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก โดยเฉพาะหากเข้าใจ (แนวตอบ แหลงที่มาของคําภาษา
ลักษณะของค�าไทยแท้ว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น ค�าไทยแท้มักเป็นค�าโดด ค�าไทยแท้มักมีตัวสะกดตรง ตางประเทศในภาษาไทย เกิดขึ้น
อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลง
ตามมาตรา ค�าไทยแท้ไม่มกี ารเปลีย่ นรูปค�าเพือ่ แสดงลักษณะทางไวยากรณ์ ค�าไทยแท้มเี สียงวรรณยุกต์
ทางดานวัฒนธรรม เมื่อมีการรับ
และค�าไทยแท้ไม่นิยมใช้การันต์ เป็นต้น วัฒนธรรมของตางประเทศเขามา
ค�าทีย่ มื มาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยมีหลากหลายทีม่ า แต่ละภาษาทีน่ า� มาใช้มลี กั ษณะ ใชโดยไมมีคําในภาษาไทยรองรับ
ทางภาษาที่แตกต่างกัน หลักในการสังเกตค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทยแต่ละภาษา จึงตองยืมคําในภาษาตางประเทศ
จึงมีหลักที่แตกต่างกัน ดังนี้ เขามาใชดวย)
๑) ค�าทีย่ มื มาจากภาษาบาลี - สันสกฤต
กฤต ดินแดนทีเ่ ป็นประเทศไทยในปัจบุ นั มีความ 2. นักเรียนรวมกันสํารวจคนหาวา
สัมพันธ์กับอินเดียมาช้านาน จากหลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า ดินแดนที่เป็นประเทศไทย ปจจุบันนี้ คําภาษาตางประเทศที่
มีชาวอินเดียเดินทางเข้ามาค้าขายและมีการน�าวัฒนธรรมเข้ามาพร้อมกับศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เขามาปะปนในภาษาไทย นํามาใช
และพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ภาษาบาลี - สันสกฤต เป็นภาษาอันเนื่องด้วยศาสนาจึงได้ส่งอิทธิพล ในดานใด โดยนักเรียนอาจคนหา
ต่อภาษาไทย โดยเฉพาะค�าที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เช่น ศีล สมาธิ จากหนังสือเรียนวิชาภาษาไทย
จากพื้นฐานความรูเดิม หรือจาก
ปัญญา นิพพาน โมกษะ วรรณะ อาตมัน ทุกข์ สุข อนัตตา
เว็บไซตทางการศึกษา
149 (แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา
ตางประเทศทีน่ าํ มาใชในภาษาไทย
สวนใหญจะนํามาใชในดานตางๆ
ที่มีความเกี่ยวของกับวัฒนธรรม
วรรณคดี ศาสนา การศึกษา
นักเรียนควรรู เทคโนโลยี และการคา)
คําที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤต ไทยรับเขามาใชเนื่องจากอิทธิพลทางศาสนา ความเชื่อและ
ความศรัทธา ซึ่งไดแทรกซึมอยูในหลักการดําเนินชีวิต ความคิด ความเชื่อ ดังนั้นในภาษาไทยจึงพบ
คําที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤต เปนจํานวนมาก
คูมือครู 149
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูทําสลากหมายเลข 1 และ
หมายเลข 2 หมายเลขละครึ่งหนึ่ง
ของจํานวนนักเรียน จากนั้นให ๑.๑) การสังเกตค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี ที่ใช้ในภาษาไทยพิจารณาได้ ดังนี้
นักเรียนแตละคนออกมาจับสลาก ๑. สังเกตจากสระบาลีมี ๘ ตัว อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ แต่สระในภาษา
นักเรียนที่จับไดหมายเลข 1 ใหคนหา สันสกฤตจะมี ๑๔ ตัว อะ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เอ ไอ โอ เอา
ความรูรวมกันในหัวขอ “หลักการ ๒. สังเกตจากพยัญชนะในภาษาบาลี มี ๓๓ ตัว แบ่งเป็นวรรค ดังนี้
สังเกตและการนําคําที่ยืมมาจาก แถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕
ภาษาบาลีเขามาใช” นักเรียนที่จับ
ไดหมายเลข 2 ใหคนหาความรู วรรคกะ ก ข ค ฆ ง
รวมกันในหัวขอ “หลักการสังเกต วรรคจะ จ ฉ ช ฌ ญ
และการนําคําที่ยืมมาจากภาษา วรรคฏะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
สันสกฤตเขามาใช” วรรคตะ ต ถ ท ธ น
วรรคปะ ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อ �
ในขณะที่พยัญชนะในภาษาสันสกฤตมี ๓๕ ตัว คือ เพิ่มตัว ศ และ ษ
อธิบายความรู ๓. สังเกตจากตัวสะกดและตัวตาม มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
นักเรียนในกลุมที่ 1 สงตัวแทน พยัญชนะแถวที่ ๑ สะกด แถวที่ ๑ หรือ ๒ ตาม เช่น สักกะ จักขุ

ออกมา 2 คน เพื่ออธิบายความรู อิจฉา บุปผา สิกขา


ในหัวขอที่กลุมของตนเองไดรับ พยัญชนะแถวที่ ๓ สะกด แถวที่ ๓ หรือ ๔ ตาม เช่น อัคคี มัชฌิมา

มอบหมาย วิชชา
(แนวตอบ หลักการสังเกตคําที่ยืม พยัญชนะแถวที่ ๕ สะกด แถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ตาม เช่น องค์ สงฆ์

มาจากภาษาบาลี มีหลักการสังเกต กังขา


ดังนี้ เศษวรรคสะกด เศษวรรคตัวเดิมตาม เช่น ปัสสาวะ นิสสัย วัลลภ ฯลฯ

1. ภาษาบาลีมีสระ 8 ตัว คือ อะ ๔. ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี จะเขียนด้วยพยัญชนะ /ฬ/ เช่น วิรุฬห์ กาฬ


อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๕. ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลีจะขึ้นต้นด้วยหน่วยความเติมหน้า ปฏิ- เช่น
2. ภาษาบาลีมีพยัญชนะ 33 ตัว ปฏิบัติ ปฏิวัติ ปฏิรูป ปฏิญาณ ปฏิสนธิ
3. ภาษาบาลีใชตัวสะกดและ ๑.๒) การสังเกตค�าทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤต หลักการสังเกตว่าค�าใดเป็นค�าทีย่ มื
ตัวตาม มาจากภาษาสันสกฤต ในภาษาไทยสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
4. สวนใหญเปนคําที่จะเขียน ๑. ค�าทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤตทีป่ รากฏใช้ในภาษาไทย ค�าส่วนใหญ่จะนิยม
ดวยพยัญชนะ /ฬ/ ใช้รูป <รร> (ร หัน) เช่น ครรภ์ ดรรชนี บรรพต หรรษา ภรรยา พรรณนา แต่ถึงอย่างไรก็ตามค�าใน
5. มีหนวยความเติมหนา ปฏิ-) ภาษาไทยบางค�าที่ใช้รูป <รร> (ร หัน) ก็อาจเป็นค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมร เช่น บรรทัด สรรเสริญ
๒. ค�าทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤตทีป่ รากฏใช้ในภาษาไทยเป็นค�าทีใ่ ช้รปู <-ร>
ประสมกับพยัญชนะอื่น ดังนี้

150

NET ขอสอบป 52
ขอสอบถามวา ขอใดเปนคําที่มีที่มาจากภาษาบาลีทุกคํา
1. ศีรษะ ปญญา 2. ขันติ อิจฉา
3. วงกต พรรษา 4. พุทธิ ศรัทธา
(วิเคราะหคําตอบ คําในภาษาบาลีสามารถใชหลักการสังเกตจากตัวสะกดตัวตาม
150 คูมือครู
ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
นักเรียนในกลุมที่ 2 สงตัวแทน
ออกมา 2 คน เพื่ออธิบายความรู
■ ใช้ <-ร> กล�้ากับ <ก->, <ค->, <ท->, <ป->, <ต-> และออกเสียง ในหัวขอที่กลุมของตนเองไดรับ
ร่วมกันเป็นเสียงพยัญชนะประสม เช่น โกรธ เคราะห์ นิทรา ปราสาท ไมตรี มอบหมาย
■ ใช้ <-ร> ตามหลัง <ก->, <ค->, <ช->, <ต->, <ท-> เพื่อใช้เป็น (แนวตอบ หลักการสังเกตคําที่ยืม
ตัวสะกดร่วมกัน เช่น จักร สมัคร เพชร บัตร สมุทร มาจากภาษาสันสกฤต มีหลักการ
■ ใช้ <-ร> ตามหลัง <ต-> <ท-> และใช้เครื่องหมายทัณฑฆาตก�ากับ สังเกต ดังนี้
บนตัว <-ร> เพื่อใช้เป็นตัวการันต์ร่วมกัน เช่น มนตร์ ศาสตร์ อินทร์ จันทร์ 1. คําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
■ ใช้ <-ร> ตามหลัง <ท-> เป็น <ทร-> แล้วออกเสียงเป็น /ซ-/ เช่น จะใชรูป ร หัน
พุทรา ทรัพย์ มัทรี อินทรีย์ แต่ถงึ อย่างไรในภาษาไทยมีคา� อีกกลุม่ หนึง่ ซึง่ ใช้รปู พยัญชนะประสม <ทร-> 2. คําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
แล้วออกเสียง /ซ-/ แต่ไม่ได้ยืมมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ทรวง ทรง ทราบ ทราย ไทร โทรม จะใชพยัญชนะ /ร/ ประสมกับ
๓. ค�าที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤตที่ปรากฏใช้ในภาษาไทยเป็นค�าที่ใช้รูป ฤ พยัญชนะอื่น
เช่น ฤกษ์ ฤทธิ์ ฤษี กฤษณะ มฤค ทฤษฎี หฤทัย พฤกษา 3. คําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
จะใชรูป ฤ
๔. ค�าทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤตทีป่ รากฏใช้ในภาษาไทยจะเขียนด้วย ศ และ
4. คําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
ษ เช่น พิศวาส ศิษย์ ดุษฎี บุษบา ศีรษะ
จะใชพยัญชนะ /ศ/ /ษ/
๕. ค�าทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤตมักใช้รปู พยัญชนะประสมซึง่ มีรปู แบบเฉพาะ 5. คําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
รูปพยัญชนะประสม ค�าที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต จะใชรูปพยัญชนะประสม
<ชญ> ปราชญ์ ปรัชญา <ชญ> <กย> <ชย> <ณย>
<ตย ><ทย> <ถย> <ธย>
<กย> ศักย์ พากย์ <นย> <มย> คําที่ยืมมาจาก
<ชย> พาณิชย์ ภาษาสันสฤตจะถูกนํามาใชใน
<ณย> บุณย์ การุณย์ ดานตางๆ เชน คําเรียกชื่อพืช
<ตย> อาทิตย์ มฤตยู สัตย์ อัญมณี คําเกี่ยวกับความเชื่อ)
<ทย> วิทย์
<ถย> รัถยา ขยายความเขาใจ
<ธย> มัธยม มัธยัสถ์ อัธยาศัย
1. ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
<นย> ศูนย์ สามานย์ องคความรูเกี่ยวกับ “คําที่ยืมมา
<มย> รมย์ จากภาษาบาลี - สันสกฤต” ลงสมุด
๑.๓) การใช้ค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤตในภาษาไทย ค�าที่ยืมมาจาก จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาจะนําองคความรู
ภาษาบาลี - สันสกฤตที่ปรากฏใช้ภาษาไทยที่ใช้เป็นค�าทั่วไปเป็นค�าศัพท์ที่อยู่ในวงค�าศัพท์ต่างๆ
เรื่องคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี -
แทบทุกสาขา ยกเว้นค�าศัพท์ด้านอาหาร ดังนี้
สันสกฤต ไปใชประโยชนได
151 อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลาย คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
หลักฐาน ตรวจสอบผล 2. นักเรียนยกตัวอยางคําที่ยืมมาจาก
แสดงผลการเรียนรู ครูตรวจสอบความถูกตองของคํา
ภาษาบาลี - สันสกฤต อยางละ
10 คํา โดยอธิบายวิธีสังเกตและ
ตัวอยางคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี - ที่นักเรียนยกตัวอยาง
การนําเขามาใช
สันสกฤต ภาษาละ 10 คํา

คูมือครู 151
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนจับคูกับเพื่อนเพื่อสํารวจ
คนหาชวงเวลาที่มีการยืมคําจาก
ภาษาเขมรเขามาใชในภาษาไทย ตัวอย่างค�าที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤตในภาษาไทย
2. นักเรียนแบงเปน 2 กลุม จํานวน ค�าเรียก ชมพู่ (บ ส ชมฺพุ) กรรณิการ์ (ส กรฺณิการ) ตาล (บ ส ตาล)
กลุมละเทาๆ กัน เพื่อรวมกัน ชื่อพืช
สํารวจคนหาความรูจากหัวขอ ค�าเรียกดาว พฤหัสบดี (ส วฤหสฺปติ) อาทิตย์ (ส อาทิตฺย) กุมภ์ (บ ส กุมฺภ)
นพเคราะห์
ตอไปนี้
1. หลักการสังเกตคําที่ยืมมาจาก ค�าเรียก นิล (บ ส นีล) เพชร (ส วชฺร) มรกต (ส มรกต)
อัญมณี
ภาษาเขมรในภาษาไทย
ค�าเรียก กรรม (ส กรฺมนฺ) บาป (บ ส ปาป) วิญญาณ (บ วิฺญาณ)
2. การใชคําที่ยืมมาจากภาษา เกี่ยวกับ
เขมรในภาษาไทย ความเชื่อ
ค�าสุภาพ สุนัข (บ สุนข) อุจจาระ (บ อุจฺจาร) ศพ (ส ศว)
อธิบายความรู ค�าทางการ มนุษย์ (ส มนุษฺย) ฌาปนกิจ (บ ฌาปนกิจฺจ) โค (บ ส โค)
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย ใช้สร้าง ราชรัฐ อสมการ อายุขัย
ความรูเกี่ยวกับชวงเวลาที่มี ศัพท์
บัญญัติ
การยืมคําจากภาษาเขมรมาใช
(แนวตอบ เริ่มมีการยืมคําในภาษา ใช้เป็นชื่อ วิศรุต (ส วิศฺรุต) สริตา (บ สริตา) ดิษณุ (ส ทิษฺณุ)
เฉพาะ
เขมรมาใชในภาษาไทยเมื่อ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15) ๒) ค�าทีย่ มื มาจากภาษาเขมร ค�าทีย่ มื มาจากภาษาเขมรในภาษาไทยมีลกั ษณะเฉพาะ
2. ครูใหนักเรียนในกลุมที่ 1 แตกต่างจากค�าที่ยืมมาจากภาษาอื่นๆ ในภาษาไทย เพราะส่วนใหญ่เป็นค�าภาษาเขมรโบราณ ซึ่งมีใช้
สงตัวแทนออกมา 2 คน เพื่อ อยู่ในลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ หรือก่อนหน้านั้นและอาจมีภาษาเขมรที่ยืม
อธิบายความรูในหัวขอที่กลุมของ มาใช้ในภาษาไทยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๔ บ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะอักขรวิธีของค�าที่ยืมมาจาก
ตนเองไดรับมอบหมาย ภาษาเขมรในภาษาไทยส่วนมากสอดคล้องกับอักขรวิธภี าษาเขมรโบราณในศิลาจารึกเขมรโบราณสมัย
(แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา พระนครและสมัยหลังพระนครมากกว่าอักขรวิธีของภาษาเขมรปัจจุบัน
เขมรมักเปนคําโดด มีตัวสะกด จารึกสมัยสุโขทัยและอยุธยาปรากฏค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรโบราณเป็นจ�านวนมาก
ไมตรงกับภาษาไทย ไมปรากฏ
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของภาษาเขมรในสมัยสุโขทัย ทั้งยังพบแผ่นลานเงิน ลานทอง ใน
รูปวรรณยุกต เปนคําแผลง และ
มักนํามาใชเปนคําราชาศัพท) กรุพระปรางค์วัดมหาธาตุ กรุงศรีอยุธยา ที่จารด้วยอักษรขอม ภาษาเขมรโบราณ รวมทั้งวรรณคดี
3. ครูใหนักเรียนในกลุมที่ 2 สมัยอยุธยาตอนต้น เช่น มหาชาติค�าหลวง สมุทรโฆษค�าฉันท์และอนิรุทธค�าฉันท์ เป็นต้น มีค�าที่ยืม
สงตัวแทนออกมา 2 คน เพื่อ มาจากภาษาเขมรปะปนอยู่มาก แสดงว่าค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรน่าจะมีอิทธิพลต่อภาษาไทยสมัย
อธิบายความรูในหัวขอที่กลุมของ กรุงศรีอยุธยาตอนต้นและมีการใช้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ตนเองไดรับมอบหมาย ๒.๑) การสังเกตค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมร ในการพิจารณาว่าค�าใดเป็นค�าที่ยืม
(แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา มาจากภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทยสามารถสังเกตได้ ดังนี้
เขมรปรากฏใชในดานตางๆ เชน
ใชเปนคําในวรรณคดี) 152

ขยายความเขาใจ
ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับคํา ตรวจสอบผล หลักฐาน
ที่ยืมมาจากภาษาเขมร จากนั้นให ครูตรวจสอบความถูกตองของคํา แสดงผลการเรียนรู
นักเรียนยกตัวอยางคําที่ยืมมาจาก ที่นักเรียนยกตัวอยาง ตัวอยางคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร
ภาษาเขมร บอกวิธีการสังเกตและ
จํานวน 10 คํา
การนําเขามาใช

152 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ
คําที่ยืมมาจากภาษาจีน ดวยสาเหตุ
๑. มักเป็นค�าโดด ภาษาเขมรเป็นค�าโดด ค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรในภาษา ที่ชาวจีนอพยพเขามาในประเทศไทย
ไทยจึงมีลักษณะเป็นค�าโดด เช่น ขลาด เดิน เกิด เรียบ เพลิง เปนจํานวนมากและความสัมพันธ
๒. มีลกั ษณะการสะกดไม่ตรงกับภาษาไทย ภาษาเขมรมีหน่วยเสียงตัวสะกด ทางดานการคา ทําใหคําศัพทใน
มากกว่าภาษาไทย จึงพบว่าเมือ่ น�ามาใช้ในภาษาไทยแม้จะมีการปรับเสียงให้ตรงกับหน่วยเสียงตัวสะกด ภาษาจีนจึงปรากฏใชอยางแพรหลาย
ของภาษาไทย แต่ก็มีการรักษาอักขรวิธีการเขียนเดิมไว้ จึงสามารถสังเกตเห็นถึงความแตกต่างจาก ในภาษาไทย
ภาษาไทยได้ง่าย เช่น เมิล ผลาญ ลาญ บวช เสร็จ สมเด็จ
๓. เป็นค�าทีไ่ ม่มรี ปู วรรณยุกต์ ภาษาเขมรเป็นภาษาทีไ่ ม่หน่วยเสียงวรรณยุกต์
สํารวจคนหา
ค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรจึงไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ เช่น ราบ กาจ ดุจ ควร จาร
๔. เป็นค�าแผลง ภาษาเขมรมีวธิ กี ารสร้างค�าใหม่ดว้ ยการเติมหน่วยค�าเติมหน้า 1. นักเรียนรวมกันคนหาความรูใน
และหน่วยค�าเติมกลาง ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า ค�าแผลง ค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรที่ใช้ในภาษาไทยจึง ประเด็น
มีค�าที่ยืมมาจากค�าแผลงด้วย เช่น บําราบ สมเด็จ บําเพ็ญ สําเร็จ บังอร บันดาล กังวล • คําที่ยืมมาจากภาษาจีนที่
๕. มักจะน�ามาใช้เป็นค�าราชาศัพท์ ค�าทีย่ มื มาจากภาษาเขมรในภาษาไทยมัก ปรากฏใชในภาษาไทยมีหลาย
สําเนียงหรือไม และเพราะเหตุ
น�ามาใช้เป็นค�าราชาศัพท์ในภาษาไทยด้วย เช่น สมเด็จ ถวาย มาน ใน (ของ) เขนย กราน ตรัส ทูล
ใด
สรง บรรทม
2. นักเรียนจับสลากเพื่อกําหนด
๒.๒) การใช้ค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรในภาษาไทย ค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมร หัวขอการคนหาความรู บุคคลที่
ที่ปรากฏใช้ในภาษาไทยจะปรากฏใช้ในด้านต่างๆ ของชีวิตประจ�าวัน ดังนี้ จับสลากไดหมายเลข 1 คนหา
ตัวอย่างค�าที่ยืมมาจากภาษาเขมรในภาษาไทย ความรูในประเด็น “หลักการ
สังเกตคําที่ยืมมาจากภาษาจีน”
ค�าสามัญ ขนุน (ขฺนุร / คฺนุล /) เชลย (เฌฺลีย / เชฺลย /) สงัด (สฺงาต่ / ซฺงัด /) สวนผูที่จับไดหมายเลข 2 สํารวจ
ทั่วไป ฉงน (ฉฺงล่ / ชฺง็อล /) แผนก (แผนฺก / แพฺนก /) คนหาความรูในประเด็น “การใช
ค�าใน กรรเจียก (ตฺารเจียก / ตร็อ-เจียก /) ขจร (ขฺจร / คฺจอ /) ขจี (ขจี / เคฺจ็ย /) คําที่ยืมมาจากภาษาจีนใน
วรรณคดี ผกา (ผฺกา / พฺกา /) แข (แข / แค /) พนม (ภฺน� / พฺนุม /) ภาษาไทย” ซึ่งนักเรียนสามารถ
ค�า ตรัส (ตฺราส่ / ตฺระฮ์ /) บรรทม (ผฺท� / พฺตุม /) เสด็จ (เสฺฎจ / ซฺดัจ /) คนหาความรูไดจากหนังสือเรียน
ราชาศัพท์ เสวย (โสฺวย / โซฺวย /) ด�าเนิน (ฎ�เณีร /ด็อม-เนอ /) ด�าริ (ต�ระิ / ต็อม-เระฮ์ /) วิชาภาษาไทย หนา 153 - 155 หรือ
เว็บไซตทางการศึกษา
๓) ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีน ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนในภาษาไทยเป็นค�าที่เกี่ยวข้อง
กับชีวิตประจ�าวันของคนไทยมาเป็นเวลานาน นับแต่มีการติดต่อค้าขายกันในสมัยโบราณค�าที่ยืมมา
จากภาษาจีนสันนิษฐานว่าแพร่หลายเข้ามาในภาษาไทย โดยเริ่มมีมากขึ้นในช่วงกรุงศรีอยุธยาจนถึง
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์และน่าจะมีผลต่อการเพิ่มเสียงวรรณยุกต์ตรีส�าหรับค�าที่ยืมมาจากภาษาจีน
ในภาษาไทยด้วย

153

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา ขอใดไมใชวิธีสังเกตคํายืมภาษาเขมรในภาษาไทย
1. ใชคําควบกลํ้า 2. ใชอักษรนํา
3. ใชตัว จ เปนตัวสะกด 4. ใชตัวสะกดตัวตาม
(วิเคราะหคําตอบ การสังเกตคําโดยใชตัวสะกดตัวตามเปนวิธีการในการสังเกตคําที่ยืมมาจาก
ภาษาบาลี ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 4.) คูมือครู 153
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ความรูโดยครูตั้งคําถามกับ
นักเรียนวา ความยาวนานของความสัมพันธ์ระหว่างไทย - จีน ส่งอิทธิพลต่อการรับค�าที่ยืมมาจาก
• คําที่ยืมมาจากภาษาจีนปรากฏ ภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทยด้วย ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนในภาษาไทยจึงมีส�าเนียงที่แตกต่างกันออกไป
สําเนียงใดบาง คือบางค�าเป็นส�าเนียงฮกเกี้ยน บางค�าเป็นส�าเนียงแต้จิ๋ว บางค�าเป็นส�าเนียงกวางตุ้ง หรือจีนแคะ
(แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา เป็นต้น เนื่องจากชาวจีนที่เข้ามาติดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์กับสังคมไทยในระยะเวลาที่แตกต่าง
จีนปรากฏสําเนียงฮกเกี้ยน กัน มีความแตกต่างหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชาวจีนกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว แคะ หรือจีนถิ่นอื่นๆ
แตจิ๋ว กวางตุง จีนแคะ) เป็นต้น
2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรูใน ความแตกต่างของส�าเนียงจีนในประเทศไทยจึงมีผลต่อการรับค�าภาษาจีนเหล่านัน้ มาใช้
ลักษณะโตตอบรอบวง โดยครูตั้ง ในภาษาไทย เพราะจีนแต่ละกลุ่มออกเสียงไม่ตรงกัน ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนในภาษาไทยจึงไม่ใช่
คําถามกับนักเรียนวา ส�าเนียงภาษาจีนเพียงถิ่นใดถิ่นหนึ่ง หากแต่ผสมผสานกันไปตามแหล่งที่มาของค�านั้น รวมทั้งการปรับ
• หลักการสังเกตคําที่ยืมมาจาก เปลี่ยนเสียงเพื่อให้สอดคล้องกับระบบเสียงภาษาไทยด้วย
ภาษาจีน มีลักษณะอยางไร ๓.๑) การสังเกตค�าที่ยืมมาจากภาษาจีน ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนที่ปรากฏใช้ใน
(แนวตอบ ภาษาไทยมีลักษณะที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
• เปนคําที่มีเสียงวรรณยุกตตรี ๑. เป็นค�าที่มีเสียงวรรณยุกต์ตรีหรือจัตวาซึ่งมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง
หรือจัตวา เช่น เจ๊ ตุ๊ย บ๊วย กง ตี๋ อู เป็นต้น
• เปนคําที่ประสมดวยสระเสียง ๒. เป็นค�าทีป่ ระสมด้วยสระเสียงสัน้ /เอียะ/ และ /อัวะ/ โดยเฉพาะค�าเลียน-
สั้น เอียะ อัวะ เสียง เช่น เพียะ เผียะ ผัวะ หรือค�าขยาย เช่น (ไต่) เดียะ (เหมือน) เดี๊ยะ (ขาว) จั๊วะ นอกจากนี้แล้ว
• เปนคําที่มีพยัญชนะขึ้นตน ส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน เช่น เกี๊ยะ เจี๊ยะ เคียะ เลียะ เปี๊ยะ ยัวะ กวน ม่วย เป็นต้น
เปนอักษรกลาง) ๓. เป็นค�าที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรกลาง คือ ก จ ต บ ป อ มากกว่า
• การใชคําที่ยืมมาจากภาษา
พยัญชนะต้นอื่นๆ เช่น ก๊ก เกง เจ๊ง ตั๋ว ปุย อั๊ว เป็นต้น
จีนในภาษาไทยปรากฏใชใน
๓.๒) การใช้คา� ทีย่ มื มาจากภาษาจีนในภาษาไทย ค�าทีย่ มื มาจากภาษาจีนในภาษา
ดานใดบาง
ไทยส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับการผสานวัฒนธรรมจีนเข้าสู่สังคมไทย ค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนใน
(แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา
ภาษาไทยจึงสามารถพบได้มากในค�าประเภทต่างๆ ดังนี้
จีนปรากฏใชในภาษาไทยโดย
สวนใหญจะมีความเกี่ยวของ ตัวอย่างค�าที่ยืมมาจากภาษาจีนในภาษาไทย
กับการผสานวัฒนธรรมจีน
ค�าเรียกชื่อ กวยจี๊ (กวยจี้) ก๋วยเตี๋ยว (กวยเตี๊ยว) เต้าหู้ (เต่าหู่) เฉากวย (เฉ่าก้วย)
เขาสูวัฒนธรรมไทย เชน ใช อาหาร
เปนคําเรียกชื่ออาหาร ผัก ค�าเรียกชื่อ กุยช่าย (กู๋ฉ่าย) เกกฮวย (เกกฮวย) ตั้งโอ๋ (ตั้งออ) แปะกวย (แปะก้วย)
ผลไม เปนตน) ผักผลไม้
ค�าเรียก กอเอี๊ยะ (กอเอี๊ยะ) เกะ (เกะ) เข่ง (เค็ง) ตั๋ว (ตัว)
เครื่องใช้
ขยายความเขาใจ ค�าเรียก ก๋ง (กง) เจ (เจ้) เตี่ย (เตี่ย) ซ้อ (ซ้อ)
ครูใหนักเรียนแตงประโยคที่ เครือญาติ
ประกอบขึ้นจากคําศัพทที่ยืมมาจาก 154
ภาษาจีน
(แนวตอบ ฉันกินกวยเตี๋ยวเดี๋ยว
จะกินเม็ดกวยจี๊ เสร็จแลวจะแวะ
ไปตลาดซื้อปลาทูสัก 2 เขง ตั้งโอ ตรวจสอบผล หลักฐาน
แปะกวย กอนกลับบานจะแวะที่
นักเรียนนําประโยคที่แตงมาอานหนาชั้นเรียน แสดงผลการเรียนรู
ศาลเจาไปเสี่ยงเซียมซี เปนตน)
จากนั้นใหครูและนักเรียน รวมตรวจสอบวาประโยค ประโยคที่ประกอบขึ้นจากคําศัพท
ของผูใดปรากฏคําที่ยืมมาจากภาษาจีนมากที่สุด ที่ยืมมาจากภาษาจีน

154 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูนําวรรณคดีเรื่อง “อิเหนา”
บทพระราชนิพนธในรัชกาลที่ 2
ตัวอยางคําที่ยืมมาจากภาษาจีนในภาษาไทย มาอานใหนักเรียนฟงโดยคัดเลือก
คําเรียก เกง (เก็ง) หาง (ฮั้ง) สวนที่ปรากฏคําที่ยืมมาจากภาษา
สถานที่ ชวา - มลายู จากนั้นครูตั้งคําถาม
คําเกี่ยวกับ กงเตก (กงเต็ก) เตา (เตา) เซียมซี (เซียมซี) งิ้ว (อิว) กับนักเรียนวา
ประเพณี-
วัฒนธรรม • วรรณคดีเรื่องดังกลาวเปน
คํากริยา กุน (กุง ) จอ (จอ) เจี๊ยะ (เจียะ) โละ (เลาะ) วรรณคดีที่ไดรับอิทธิพลจาก
ชนชาติใดและนักเรียนสังเกตจาก
๔) คําทีย่ มื มาจากภาษาชวา - มลายู พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อะไร
กําหนดใหภาษาชวาและภาษามลายูเปนคนละภาษา แตตามการศึกษาของนักมานุษยวิทยาเชื่อวา (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได
อยางหลากหลาย ตามพื้นฐาน
เดิมภาษาชวาและภาษามลายูเปนภาษาเดียวกัน ตอมาจึงมีสําเนียงการใชที่แตกตางกันไปบาง ดังนั้น
ความรูและความเขาใจของ
จึงมักเรียกรวมภาษาทั้งสองนี้วาภาษาชวา - มลายู
นักเรียน)
การยืมคําภาษาชวา - มลายูมาใชในภาษาไทยมีลกั ษณะการยืมทีแ่ ตกตางกันไป กลาวคือ
คําที่ยืมมาจากภาษาชวาที่มีใชในภาษาไทยสวนใหญมาจากอิทธิพลของวรรณคดีเรื่องดาหลังและ
เรื่องอิเหนา พระนิพนธเจาฟากุณฑลและเจาฟามงกุฎตั้งแตสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในสมัย สํารวจคนหา
กรุงรัตนโกสินทรตอนตน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกมหาราชและพระบาทสมเด็จ
นักเรียนรวมกันคนหาความรูดวย
พระพุทธเลิศหลานภาลัยทรงพระราชนิพนธเรื่องดาหลังและอิเหนาขึ้นใหม เพื่อทดแทนของเดิมที่
วิธีการอภิปราย โดยกําหนดประเด็น
สูญหายไป วรรณคดีเรื่องอิเหนาไดรับความนิยมมากจึงมีการนําคําชวาในวรรณคดีเรื่องอิเหนามาใชใน การอภิปราย “คําที่ยืมมาจากภาษา
ภาษาไทยทั่วไปดวย เชน มะงุมมะงาหรา บุหลัน สตามัน วงศอสัญแดหวา เปนตน ชวา - มลายู”
สวนคําที่ยืมมาจากภาษามลายู เนื่องจากประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีอาณาเขต
ติดตอกัน อีกทัง้ ประเทศไทยกับหัวเมืองมลายูมคี วามสัมพันธกนั มาเปนเวลาชานานทัง้ ในดานการคาและ
การสงคราม อันนําไปสูการอพยพผูคนจากหัวเมืองมลายูเขามาอาศัยอยูในภาคกลางของประเทศไทย อธิบายความรู
โดยเฉพาะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร ทําใหมกี ลุม คนทีพ่ ดู ภาษามลายูปะปนกับกลุม คนทีพ่ ดู ภาษาไทยและ ครูใหเวลานักเรียน 10 นาที เพื่อ
มีคําที่ยืมมาจากภาษามลายูในภาษาไทย สรุปความรูที่ได จากนั้นครูให
๔.๑) การสังเกตคําทีย่ มื มาจากภาษาชวา - มลายู หลักในการสังเกตคําทีย่ มื มาจาก นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ภาษาชวา - มลายูในภาษาไทยสามารถพิจารณาไดจากลักษณะตางๆ ดังนี้ อธิบายความรูเกี่ยวกับคําที่ยืมมาจาก
๑. เปนคําสองพยางค ภาษาชวา - มลายูสวนใหญเปนคําสองพยางค มี ภาษาชวา - มลายู
คําพยางคเดียวนอย แตภาษาไทยเปนภาษาคําโดด จึงสามารถสังเกตเห็นไดงายวาคําใดเปนคําที่ยืมมา (แนวตอบ การสังเกตคําที่ยืมมาจาก
จากภาษาชวา – มลายู เชน กะพง กะปะ โลมา เปนตน ภาษาชวา - มลายู จะเปนคําสอง
๒. ไมมเี สียงพยัญชนะควบกลํา้ ภาษาชวา - มลายูไมมเี สียงพยัญชนะควบกลํา้ พยางค ไมมีเสียงพยัญชนะควบกลํ้า
แตภาษาไทยมีพยัญชนะหลายเสียงที่สามารถเปนพยัญชนะควบกลํ้าได จึงมีความแตกตางกันอยาง ไมมีรูปวรรณยุกต โดยปรากฏใช
ชัดเจน เชน กํายาน กุดัง เปนตน ในดานตางๆ เชน ศิลปวัฒนธรรม
๑๕๕ วรรณคดี สถานที่ ฯลฯ)

ขยายความเขาใจ
หลักฐาน ตรวจสอบผล ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับคําที่
แสดงผลการเรียนรู ครูตรวจสอบความถูกตองของคํา ยืมมาจากภาษาชวา - มลายู จากนั้น
ที่นักเรียนสืบคนมา นักเรียนยกตัวอยางคําที่ยืมมาจาก
คําที่ยืมมาจากภาษาชวา - มลายู
ภาษาชวา - มลายู จํานวน 10 คํา
จํานวน 10 คํา ลงสมุด

คูมือครู 155
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูชวนนักเรียนสนทนา โดยตั้ง
ประเด็นการสนทนาเพื่อใหนักเรียน
ไดมีสวนรวมในการแสดงความคิด ๓. ไม่มรี ปู วรรณยุกต์ ภาษาชวา - มลายูไม่มหี น่วยเสียงวรรณยุกต์ ดังนัน้ ค�าที่
เห็นไดอยางอิสระ โดยครูตั้งคําถาม ยืมมาจากภาษาชวา - มลายูในภาษาไทยส่วนใหญ่จึงไม่มีรูปวรรณยุกต์ก�ากับ เช่น ตุนาหงัน บุหงาร�าไป
กับนักเรียนวา บูดู กระยาหงัน อย่างไรก็ตามค�าทีย่ มื มาบางค�าก็นา� มาใช้โดยมีรปู วรรณยุกต์กา� กับด้วย เพือ่ ให้สอดคล้อง
• ในปจจุบันมีคนเปนจํานวนมาก กับระบบเสียงในภาษาไทย เช่น บ้าบา ยี่เก เบ้าหลุด เป็นต้น
พูดสื่อสารโดยการใชคําใน ๔.๒) การใช้ค�าที่ยืมมาจากภาษาชวา - มลายูในภาษาไทย ค�าที่ยืมมาจากภาษา
ภาษาอังกฤษปะปนกับคําใน ชวา - มลายู ที่ปรากฏใช้ในภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นค�าเรียกชื่อพืช สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ศิลปวัฒนธรรม
ภาษาไทย นักเรียนคิดวานาจะ และค�ากริยาบางค�า
มีสาเหตุมาจากอะไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ ตัวอย่างค�าที่ยืมมาจากภาษาชวา - มลายูในภาษาไทย
ไดอยางหลากหลาย ตามพื้น ค�าเรียก กระดังงา (kenanga) ทุเรียน (durian) น้อยหน่า (nona)
ความรู ความเขาใจ คําตอบขึ้น ชื่อพืช สาคู (sagu) มังคุด (manggis, manggustan)
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน) กะปะ (ular kapak) กะพง (kabong) กุเรา, กุเลา (kurau)
ค�าเรียก
ชื่อสัตว์ โลมา (lomba) อุรังอุตัง (orangutang)
สํารวจคนหา ค�าเรียก กริช (keris) ก�ายาน (kemenyan) ปาเตะ (batek)
เครื่องใช้ กอและ (kolek) สลัก (selak)
1. นักเรียนจับคูก บั เพือ่ นเพือ่ สืบคนหา
สาเหตุที่ทําใหคําในภาษาอังกฤษ ค�าเรียก กุดัง (gudang) มัสยิด (masjid) เบตง (betong)
สถานที่ ภูเก็ต (Phuget)
เขามาปะปนอยูในภาษาไทยเปน
จํานวนมาก ค�าเรียก ตุนาหงัน (tunang) บ้าบ๋า (baba)
2. นักเรียนเลือกหัวขอสําหรับศึกษา เฉพาะ
คนควา หาความรูดวยตนเองตาม ค�าเกี่ยว บูดู (budu) รองเง็ง (ronggeng) อังกะลุง (angkelong)
พื้นฐานความรูที่มีหรือตามความ กับศิลป-
สนใจจากหัวขอตอไปนี้ วัฒนธรรม
• หลักการสังเกตคําที่ยืมมาจาก ค�ากริยา ตะเบะ (tabek)
ภาษาอังกฤษ
• การใชคําที่ยืมมาจากภาษา ค�าใน กระยาหงัน (keyangan) มะงุมมะงาหรา (mengembara) อสัญแดหวา (asaldewa)
วรรณคดี บุหรง (burong) บุหลัน (bulan) ปะหนัน ปาหนัน (pandan)
อังกฤษในภาษาไทย
๕) ค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ เกิดขึ้นเนื่องจากการเข้ามาของชาติตะวันตก
โดยเฉพาะอังกฤษที่เริ่มเข้ามาแสวงหาอาณานิคมในทวีปเอเชีย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อังกฤษ
อธิบายความรู
สามารถรบชนะพม่าจนท�าให้พม่าตกเป็นอาณานิคม รวมทัง้ การเข้ามาครอบครองแหลมมลายู มะละกา
ครูตั้งคําถามเพื่อใหนักเรียนไดมี และสิงคโปร์
โอกาสอธิบายความรูตามความ
สมัครใจ ดังนี้ 156
• เพราะเหตุใดจึงตองมีการยืมคํา
จากภาษาอังกฤษเขามาใชใน
ภาษาไทย
(แนวตอบ สาเหตุที่ตองมีการยืมคําจากภาษาอังกฤษเขามาใชภาษาไทยเนื่องจากความเจริญกาวหนา
ทางเทคโนโลยี เมื่อประเทศไทยรับวัฒนธรรมหรือความเจริญกาวหนาทางวิทยาการตางๆ เขามาใช
แตยังไมมีคําในภาษาไทยรองรับเพื่อใชเรียกจึงจําเปนตองใชคําศัพทเดิมในภาษาอังกฤษและรวมถึง
ความสะดวกในการพูด)

156 คูมือครู
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand Evaluate
Engage Explore

อธิบายความรู
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ความรูเกี่ยวกับหลักการสังเกตคําที่
ในช่วงเวลาเดียวกันอังกฤษได้พยายามเข้ามาเจรจาทางการค้ากับไทยในรัชกาลที่ ๒ ยืมมาจากภาษาอังกฤษและการนํา
แต่ไม่ประสบผลส�าเร็จและเกิดสนธิสัญญาทางการค้าฉบับแรกขึ้นในรัชกาลที่ ๓ เวลานั้นกลุ่มชนชั้น เขามาใช
ผู้น�าของไทย ทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางต่างเห็นความส�าคัญของภาษาอังกฤษ จึงเริ่มมีการ (แนวตอบ คําที่ยืมมาจากภาษา
เรียนภาษาอังกฤษและมีการน�าค�าภาษาอังกฤษมาใช้ทับศัพท์ในค�าที่ภาษาไทยไม่มีใช้ ท�าให้เกิดการ อังกฤษ มีหลักการสังเกตดังนี้
ยืมค�าภาษาอังกฤษเป็นครัง้ แรก แต่มกี ารเปลีย่ นแปลงเสียงให้เหมาะกับการออกเสียงในภาษาไทย เช่น 1. เปนคําหลายพยางค
กัดฟันมันสยาม มาจาก Government Siam ชื่อบุคคลในสมัยนั้นก็มีการเรียกตามส�าเนียงไทย เช่น 2. ไมมีการเปลี่ยนรูปไวยากรณ
หันตรา บารนี มาจาก Henry Burney 3. มีเสียงพยัญชนะที่ไมมีในระบบ
สมัยรัชกาลที่ ๔ - ๖ ประเทศไทยเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเพื่อพัฒนาประเทศ เสียงภาษาไทย เชน <บล>
ให้มีความเท่าเทียมกับอารยประเทศ มีการส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ค� าที่ยืมมาจากภาษา <บร> <ดร> <ฟล> <ฟร><ทร>
อังกฤษจึงหลั่งไหลเข้ามาในภาษาไทยเป็นจ�านวนมาก รวมทั้งในปัจจุบันมีการติดต่อสื่อสารระหว่าง โดยคําที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ
ประเทศได้สะดวกขึ้น จึงมีค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ในภาษาไทยมากขึ้นโดยเฉพาะในด้าน จะนําเขามาใชในดานตางๆ
เชน ใชเรียกชื่ออาหาร ใชเปน
ของเทคโนโลยีและการสื่อสาร
คําศัพททางวิชาการ เปนตน)
๕.๑) การสังเกตค�าทีย่ มื มาจากภาษาอังกฤษ หลักการในการพิจารณาว่าค�าใดเป็น
ค�ายืมภาษาอังกฤษในภาษาไทยสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
๑. เป็นค�าหลายพยางค์ ค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษในภาษาไทยส่วนใหญ่ ขยายความเขาใจ
เป็นค�าหลายพยางค์ เมื่อน�ามาใช้ท�าให้ภาษาไทยมีค�าหลายพยางค์เพิ่มมากขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ 1. ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับคําที่
ไวโอลิน เปียโน เทคโนโลยี เป็นต้น ยืมมาจากภาษาอังกฤษ จากนั้นครู
๒. ไม่มกี ารเปลีย่ นรูปไวยากรณ์ แม้ภาษาอังกฤษจะมีการเปลีย่ นแปลงรูปค�า ตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ตามลักษณะทางไวยากรณ์ แต่เมื่อเป็นค�าที่ยืมมาจะไม่เปลี่ยนแปลงรูปค�าตามลักษณะของภาษาไทย • การยืมคําจากภาษาอังกฤษเขา
และค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษมักเกิดขึ้นโดยไม่ค�านึงถึงชนิดและหน้าที่ของค�าในภาษาอังกฤษ เช่น มาใชในภาษาไทยจะเกิดผลดี
ค�าเดิมเป็นค�านาม แต่เมื่อรับมาใช้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นค�ากริยาหรือเดิมเป็นค�าคุณศัพท์แต่น�ามาใช้เป็น หรือผลเสียอยางไร
ค�ากริยา เช่น ซอรี่ คอร์รัปชั่น เป็นต้น (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
๓. มีเสียงพยัญชนะทีไ่ ม่มใี นระบบเสียงภาษาไทย ค�าทีย่ มื มาจากภาษาอังกฤษ ไดอยางหลากหลายตามความรู
ในภาษาไทย อาจมีบางค�าทีม่ พี ยัญชนะควบกล�า้ ทีไ่ ม่มใี นระบบเสียงภาษาไทย เช่น <บล> <บร> <ดร> ความคิดเห็น คําตอบขึ้นอยูกับ
<ฟล> <ฟร> <ทร> ท�าให้ภาษาไทยมีหน่วยเสียงพยัญชนะควบกล�้ามากขึ้น เช่น เทรน บล็อก เบรก ดุลยพินิจของครูผูสอน มีผลดี
ฟรี ดรัมเมเยอร์ บางค�าอาจมีเสียงพยัญชนะท้ายที่ไม่มีในระบบเสียงภาษาไทย เช่น /ฟ/ ได้แก่ กอล์ฟ คือ ทําใหมีคําใชเพิ่มมากขึ้น ผล
อ๊อฟ ปรู๊ฟ /ล/ เช่น แอปเปิล บอล แคปซูล /ส/ เช่น โฟกัส แก๊ส เทนนิส เป็นต้น เสียคือ ถาไมมีการบัญญัติศัพท
๕.๒) การใช้คา� ทีย่ มื มาจากภาษาอังกฤษในภาษาไทย ค�าทีย่ มื มาจากภาษาอังกฤษ
ขึ้นใชแทน คําในภาษาไทยก็จะ
ลดนอยลง และถูกทดแทนดวย
ที่ปรากฏใช้ในภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นค�าศัพท์วิชาการ ค�าเรียกชื่ออาหาร ผลไม้และเครื่องดื่ม กีฬา
คําในภาษาอังกฤษ)
เครื่องดนตรี เครื่องใช้ และกิริยาอาการต่างๆ ดังนี้
2. นักเรียนยกตัวอยางคําที่ยืมมา
157 จากภาษาอังกฤษจํานวน 10 คํา
และบอกวิธีการสังเกต

หลักฐาน ตรวจสอบผล
แสดงผลการเรียนรู ครูตรวจสอบความถูกตองของคําที่
คําที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ นักเรียนสืบคน
จํานวน 10 คํา ลงสมุด

คูมือครู 157
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
องคความรูเกี่ยวกับคําที่ยืมมาจาก
ภาษาตางประเทศในภาษาไทย ตัวอย่างค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษในภาษาไทย
2. จากองคความรูเรื่องคํายืม ค�าศัพท์ กลูโคส (glucose) เลนส์ (lense) เฮโมโกลบิล (hemoglobin)
นักเรียนนําเสนอขอแตกตาง วิชาการ ไนโตรเจน (nitrogen) ไมครอน (micron) ออกไซด์ (oxide)
ระหวางคําไทยแทและคําที่ยืมมา แกรนิต (granite) ไซโคลน (cyclone) ออกซิเจน (oxigen)
จากภาษาตางประเทศ ไทเทเนียม (titanium) สังคมนิยม (socialism) มลพิษ (pollution)
ค�าเรียก สตู (stew) พุดดิ้ง (pudding) สลัด (salad)
อาหาร ไอศกรีม (ice cream) โซดา (soda) พลัม (plum)
ตรวจสอบผล ผลไม้ ท็อฟฟี (toffee) สตรอว์เบอร์รี (strawberry) ช็อกโกแลต (chocolate)
ครูประเมินความถูกตองของการ เครื่องดื่ม ครีม (cream) คุกกี้ (cookie) ชีส (cheese)
เปรียบเทียบจากตารางที่นําเสนอ ค�าเรียก เทนนิส (tennis) ฟุตบอล (football) กีตาร์ (guitar)
กีฬาและ ฟลูต (flute) สเกต (skate) แซ็กโซโฟน (saxophone)
เครื่อง แบดมินตัน (badminton) ไวโอลิน (violin) สกี (ski)
ดนตรี กอล์ฟ (golf) บริดจ์ (bridge) โปกเกอร์ (poker)
เกร็ดแนะครู ค�าเรียก คัตเตอร์ (cutter) โซฟา (sofa) สเตอริโอ (stereo)
ครูอาจแสดงตัวอยางใหนักเรียน เครื่องใช้ สกรู (screw) ฟิวส์ (fuse) โน้ตบุก (notebook)
เห็นดังนี้ คอมพิวเตอร์ (computer) วิดีโอ (video) ไมโครโฟน (microphone)
1. คําไทยแท คลิป (clip) ชอล์ก (chalk) เนกไท (necktie)
• คําไทยแทสวนมากเปน ค�ากริยา เซอร์เวย์ (survey) แคนเซิล (cancel) สตาร์ต (start)
คําโดด แฟร์ (fair) เทกแคร์ (take care) ซีเรียส (serious)
• ไมมีตัวการันต มูฟ (move) เคลียร์ (clear) ช็อป (shop)
• มีตัวสะกดตรงตามมาตรา เซ็น (sign) ปั๊ม (pump) ฟอร์ม (form)
• คําไทยแทมีการใชเสียง
วรรณยุกตที่มีรูปและไมมีรูป ๑.๒ หลักกำรยืมค�ำจำกภำษำต่ำงประเทศ
เพื่อแสดงความหมายของคํา
การยืมภาษาส่วนใหญ่มักเกิดจากการยืมจากภาษาต่างประเทศ คือการยืมค�าจากภาษาซึ่งไม่มี
• คําไทยแทไมคอยพบ
พยัญชนะตอไปนี้ ฆ ญ ฎ ฏ ความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกัน เข้ามาใช้ในวัฒนธรรมทางภาษาของตน ซึ่งภาษาไทยได้ยืมค�าจากภาษา
ฐ ฑ ฒ ณ ธ ศ ษ ส ยกเวนคํา ต่างประเทศ เช่น ภาษาบาลี - สันสกฤต ภาษาจีน ภาษาชวา - มลายู ภาษาเขมร เข้ามาใช้ ค�าที่ยืมมา
บางคํา เชน เฒา ศอก ธ ณ ใช้ในแต่ละภาษามีหลักการยืมที่แตกต่างกัน ดังนี้
ใหญ ๑) การยืมค�า คือการยืมทัง้ รูปและความหมายของค�า เช่น การทีภ่ าษาเขมรยืมไปจาก
• คําไทยแทที่ออกเสียง ไอ ใช ภาษาไทยว่า ทองแดง แปลก ฯลฯ
สระ “ใ” มี 20 คํา นอกจาก
นั้นใช “ไ” แตไมใช “อัย”
2. คํายืมภาษาตางประเทศ 158
• คํายืมภาษาตางประเทศ มี
หลายพยางค ยกเวนภาษาจีน
ที่เปนคําโดดเหมือนคําไทย
• มักมีตัวการันต
• ตัวสะกดไมตรงกับภาษาไทย เชน เมิล และตัวสะกดมีอักษรควบ เชน จักร
• คําบาลี สันสกฤต มักมีตัวอักษร ฆ ญ ฎ ฏ ฐ ฒ ธ ศ ษ ส
• คําบาลี สันสกฤต ใช “อัย” เปนตน

158 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand Evaluate
Engage

สํารวจคนหา
ครูแบงกลุมนักเรียน กลุมละ 3 คน
เพื่อสืบคนความรูรวมกันในประเด็น
๒) การยืมความหมาย การยืมเฉพาะความคิดของค�าโดยไม่ยืมทั้งรูปและเสียง หรือ หลักการยืมคําจากภาษาตางประเทศ
อาจกล่าวได้ว่าผู้ยืมสร้างค�าลอกเลียนค�าในภาษาของผู้ให้ โดยน�าค�าที่มีความหมายเดียวกับภาษา จากหนังสือเรียนในหนา 158 - 159
ผู้ให้มาประกอบกันตามตัวอย่างของค�า ซึ่งการยืมในลักษณะเช่นนี้เรียกว่าการยืมแบบแปล เช่น
เส้นตาย ประกอบขึ้นเพื่อให้ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษ dead line
น�้าผึ้งพระจันทร์ ประกอบขึ้นเพื่อให้ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษ honey moon อธิบายความรู
ฝันกลางวัน ประกอบขึ้นเพื่อให้ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษ day dream ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อให
ตลาดมืด ประกอบขึ้นเพื่อให้ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษ black market อธิบายความรูเกี่ยวกับหลักการยืมคํา
ระเบิดพลีชีพ ประกอบขึ้นเพื่อให้ตรงกับค�าในภาษาอังกฤษ suicide bomb จากภาษาตางประเทศ
๓) การยืมเสียง คือการรับเสียงบางเสียงซึ่งไม่มีในภาษาของผู้ยืมแต่มีในภาษาของ
ผู้ให้มาใช้ เช่น ภาษาไทยยืมเสียงพยัญชนะควบกล�้า /ทร-/ /บร-/ /ฟร-/ /ฟล-/ /ดร-/ มาจากภาษา
ขยายความเขาใจ
อังกฤษ เช่น ทรีตเมนท์ เบรก บล็อก ฟรี ดริ๊งก์ ฯลฯ
๔) การยืมส�านวน คือการที่ภาษาของผู้รับยืมส�านวนมาจากส�านวนซึ่งไม่มีในภาษา ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
ของตนมาจากภาษาของผู้ให้ เช่น ภาษาไทยยืมส�านวน “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” มา หลักการยืมคําจากภาษาตางประเทศ
ใหแกนักเรียน จากนั้นใหนักเรียน
จากภาษาจีน หรือ “ฟางเส้นสุดท้าย” มาจากภาษาอังกฤษ เป็นต้น
สรุปความรู ความเขาใจ ในลักษณะ
๕) การยืมไวยากรณ์ คือการทีผ่ รู้ บั ภาษาน�ากลวิธใี นการสร้างค�าใหม่ วิธกี ารเรียงค�าใน ใบความรูสงครูผูสอน
ประโยคของภาษาผู้ให้มาใช้ เช่น ภาษาไทยยืมวิธีการประสมค�าของภาษาบาลีและสันสกฤตที่เรียกว่า
“สมาส” มาใช้ โดยสร้างค�าเลียนแบบค�าสมาสของภาษาบาลีและสันสกฤต ท�าให้ได้ค�าสมาสซึ่งไม่มีใช้
ในภาษาบาลีและสันสกฤต ตรวจสอบผล
๖) การยืมฉันทลักษณ์ คือการน�ารูปแบบและข้อก�าหนดในการแต่งบทร้อยกรองจาก ครูตรวจสอบความรู ความเขาใจ
ภาษาผูใ้ ห้มาใช้ในภาษาผูร้ บั เช่น ภาษาไทยยืมรูปแบบและข้อก�าหนดในการแต่งบทร้อยกรองประเภท ของนักเรียนจากใบความรูที่นําสง
ฉันท์มาจากภาษาบาลี
ค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศเมื่อรับเข้ามาใช้ในภาษาไทย จะมีการปรับระบบเสียง
ให้สอดคล้องกับค�าอื่นๆ ในภาษา เช่น ค�าที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษที่เป็น ๒ พยางค์ที่ลงน�้าเสียงเฉพาะ
ในพยางค์แรก เมื่อไทยรับเข้ามาใช้จึงปรับการออกเสียงโดยลงน�้าหนักเสียงทั้งสองพยางค์
technique เทคนิค
programme โปรแกรม
doughnut โดนัท
ค�าที่ยืมมาจากภาษาต่างประเทศเมื่อน�ามาใช้ในภาษาไทยจึงเป็นส่วนหนึ่งของคลังค�า
ในภาษาไทยควรออกเสียงตามแบบที่คนไทยออก ไม่อ่านเลียนเสียงค�าในภาษาเดิม เช่น ค�าในภาษา
อังกฤษควรออกเสียงให้กลมกลืนกับระบบเสียงของภาษาไทย

159

คูมือครู 159
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูยกตัวอยางบทสนทนาของ
บุคคลที่กําลังสนทนากันใน
ชีวิตประจําวัน โดยครูคิดบทสนทนา ๒ การใช้คำาทับศัพท์และศัพท์บัญญัติต่างๆ
ที่ปรากฏการใชคําทับศัพทใน ๒.๑ ค�ำทับศัพท์
ชีวิตประจําวัน เชน “ปลุกผูวาซีอีโอ
ค�าทับศัพท์ คือค�าศัพท์ที่มาจากการถ่ายทอดเสียงจากภาษาเดิมมาเป็นภาษาไทย โดยให้มี
หาเงิน 155 ลานลาน วาดฝนสราง
เสียงใกล้เคียงกับภาษาเดิมมากที่สุด ซึ่งภาษาไทยมีการทับศัพท์ทุกภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส
เมกะโปรเจ็กต” จากนั้นครูตั้งคําถาม
เยอรมัน อิตาลี ชวา - มลายู ซึ่งในชั้นนี้จะกล่าวในส่วนของการทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งหลักเกณฑ์
กับนักเรียนวา
• ประโยคดังกลาวมีลักษณะการใช
การทับศัพท์ มีดังนี้
ภาษาอยางไร ๑) สระ ให้ถอดเสียงตามพจนานุกรมภาษาอังกฤษ และเทียบเสียงสระในภาษาไทย
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบได ๒) พยัญชนะ ให้ถอดเป็นพยัญชนะในภาษาไทยตามหลักเกณฑ์ในตารางเทียบพยัญชนะ
อยางหลากหลาย ตามความรูและ ภาษาอังกฤษ
ความเขาใจของนักเรียน) ๓) การใช้เครือ่ งหมายทัณฑฆาต หรือการันต์ จะใช้ใส่กา� กับพยัญชนะทีไ่ ม่ออกเสียง
ในภาษาไทย หรือค�า พยางค์ที่มีตัวสะกดเป็นพยัญชนะหลายตัว ให้ใส่บนพยัญชนะที่ไม่ออกเสียง
สํารวจคนหา ตัวสุดท้าย เช่น Windsor วินด์เซอร์ ในกรณีที่ค�าหรือพยางค์ทมี่ ีพยัญชนะไม่ออกเสียงอยูห่ น้าตัวสะกด
และมีพยัญชนะข้างหลังอีก ให้ตดั พยัญชนะตัวหน้าออกและใส่เครือ่ งหมายทัณฑฆาตก�ากับบนพยัญชนะ
1. นักเรียนคนหาความหมายของ ตัวสุดท้าย เช่น World (เวิลด์), Quartz (ควอตซ์), Johns (จอนส์)
คําทับศัพทและหลักเกณฑการ
ทับศัพท
๔) การใช้ไม้ไต่ค ู้ จะใช้ในกรณีทแี่ สดงให้เห็นว่าค�านัน้ มีความแตกต่างจากค�าไทย และ
2. นักเรียนจับคูกับเพื่อนเพื่อคนหา เพื่อให้ผู้อ่านแยกพยางค์ได้ถูกต้อง เช่น Log (ล็อก)
ขอความ พาดหัวขาว บทโฆษณา ๕) การใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ ค�าทับศัพท์จะไม่นิยมใส่เครื่องหมายวรรณยุกต์
บทสนทนาในชีวิตประจําวัน หรือ ยกเว้นในกรณีทกี่ ารออกเสียงซ�า้ กับค�าในภาษาไทยทีอ่ าจสร้างความสับสน ให้เกิดขึน้ จึงต้องใส่วรรณยุกต์
บทสนทนาของตัวละครที่ปรากฏ เช่น Cake (เค้ก), Shirt (เชิ้ต), Coma (โคม่า)
การใชคําทับศัพท คูละ 5 ขอความ ๖) ค�าที่มีพยัญชนะซ้อนเป็นตัวสะกด ถ้าเป็นค�าศัพท์ทั่วไปให้ตัดพยัญชนะสะกด
มาศึกษาลักษณะการใชคาํ ทับศัพท ออกตัวหนึง่ แต่ถา้ เป็นศัพท์วชิ าการหรือวิสามานยนามหรือค�านามเฉพาะให้ใส่เครือ่ งหมายทัณฑฆาตที่
ตัวสุดท้าย Football (ฟุตบอล), Cell (เซลล์) ถ้าพยัญชนะซ้อนอยูก่ ลางศัพท์ให้นบั ว่าพยัญชนะตัวแรก
เป็นตัวสะกดของพยางค์หน้า และพยัญชนะตัวหลังเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์ต่อไป เช่น Broccoli
บูรณาการสูอ าเซียน (บรอกโคลี), Missouri (มิสซูรี)
๗) ถ้าสระพยางค์หน้าเป็นเสียงสระอะ เมือ่ ทับศัพท์ให้เปลีย่ นเป็นไม้หนั อากาศ และ
ทุกชนชาติตางมีภาษาใชสื่อสาร
ซ้อนตัวสะกดของพยางค์หน้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง เช่น Double (ดับเบิล)
กันในชีวิตประจําวัน การจะเขาใจ
สังคมอื่น เขาใจผูคนและวัฒนธรรม แต่ถ้าเป็นสระอื่นไม่ต้องซ้อนพยัญชนะ ถ้าเป็นค�าที่เติมปัจจัย เช่น -er, -ing, -ic, -y
กุญแจสําคัญคือ ภาษา ลองตั้ง การทับศัพท์อาจท�าให้เสียงผิดไปจากเดิม ให้เติมพยัญชนะตัวสะกดของพยางค์อกี หนึง่ ตัว เพือ่ ให้คงเค้า
ขอสังเกตวา หากนักเรียนพบชาว ค�าเดิม เช่น sweater (สเวตเตอร์)
ตางชาติซึ่งพูดภาษาไทยได แมจะ 160
เปนเพียงการพูดไดเพียงเล็กนอย
นักเรียนก็จะมีความรูสึกที่ดีตอเขา
มีทัศนคติในแงบวก เชนเดียวกันกับ
การที่นักเรียนมีความรู ความเขาใจในภาษาของชนชาติอื่น โดยเฉพาะอยางยิ่งภาษาของกลุมประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งเปนประเทศเพื่อนบานที่ตั้งอยู
บนภูมิภาคเดียวกัน เพื่อตอบสนองนโยบายดานประชาคม สังคมและวัฒนธรรม ครูอาจจัดการเรียนการสอนภายในชั้นเรียน เพื่อใหนักเรียนมีความ
ตื่นตัว หรือรวมรับรูเกี่ยวกับบรรยากาศของประชาคมอาเซียน แบงนักเรียนเปนกลุมยอย จํานวน 10 กลุม ใหแตละกลุมลงมติเลือกวากลุมของตนเองจะ
ศึกษาเกี่ยวกับภาษาของประเทศใด แตละกลุมหามซํ้ากัน จากนั้นใหรวมกันศึกษารูปประโยคที่ใชสําหรับการสนทนาในชีวิตประจําวัน คําศัพทพื้นฐาน
รวบรวมเรียบเรียง และรวมกันนําเสนอหนาชั้นเรียน

160 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
ความรูเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของ
๘) ค�าผสมทีม่ เี ครือ่ งหมายยัตภิ งั ค์ ให้เขียนติดกัน เช่น Cross - stitch (ครอสสติตช์) คําทับศัพท
ยกเว้นค�าศัพท์ทางวิชาการ เช่น Cobalt - ๖๐ (โคบอลต์ - ๖๐) ในส่วนของค�าประสมที่เขียนแยกกัน (แนวตอบ คําทับศัพทเปนวิธีการยืม
เมื่อเขียนเป็นค�าไทยให้เขียนติดกัน New Guinea (นิวกินี) คํามาจากภาษาตางประเทศมาใช
๙) ค�าคุณศัพท์ที่มาจากค�านาม ถ้ามีความหมายเหมือนค�านาม หรือหมายความว่า ในภาษาไทย เนื่องจากไมมีคําที่มี
“เป็นของ” หรือ “เป็นเรื่องของ” หรือ “เกี่ยวข้องกับ” หรือ “เกี่ยวเนื่องจาก” ให้ทับศัพท์ใน ความหมายตรงกับคําที่ตองการ
รูปค�านาม เช่น focal length (ความยาวโฟกัส) atomic absorption (การดูดกลืนโดยอะตอม) ใน สื่อสารจึงตองมีการยืมคําศัพท
กรณีที่ทับศัพท์ในรูปค�านามแล้วเกิดความหมายก�ากวมหรือคลาดเคลื่อน ให้ทับศัพท์ในรูปค�าคุณศัพท์ มาจากภาษาตางประเทศคํานั้น
เช่น metric system (ระบบเมตริก) มาใช)
๑๐) ค�าย่อ ให้เขียนชื่อตัวอักษรนั้นๆ ลงเป็นภาษาไทยโดยไม่ต้องใส่จุดและเว้นช่องไฟ
เช่น BBC (บีบีซี) กรณีที่เป็นตัวย่อที่อ่านออกเสียงเหมือนค�า ค�าหนึ่งให้เขียนตามเสียงที่ออกและไม่ใส่
จุด เช่น UNESCO (ยูเนสโก) และถ้าเป็นชื่อของบุคคลให้ใส่จุดและเว้นช่องไฟระหว่างชื่อกับนามสกุล
เช่น G.H.D. Cold (จี.เอช.ดี. โคลด์)
ในปัจจุบันภาษาไทยมีค�าทับศัพท์ภาษาต่างประเทศใช้เป็นจ�านวนมาก ซึ่งตัวอย่างของ
ค�าทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ภาษาไทยน�ามาใช้ในด้านต่างๆ มีดังนี้

ประเภทของค�าทับศัพท์
อาหาร ชีส (cheese) เค้ก (cake) ทูน่า (tuna)
ช็อกโกแลต (chocolate) โดนัท (doughnut) สลัด (salad)
กีฬา-ดนตรี สกี (ski) สเกต (skate) กีตาร์ (guitar)
เปียโน (piano) กอล์ฟ (golf) เทนนิส (tennis)
เครื่องใช้ เชิ้ต (shirt) เนกไท (necktie) คัตเตอร์ (cutter)
ชอล์ก (chalk) โซฟา (safa) เลนส์ (lens)
กิริยา เคลียร์ (clear) แคนเซิล (cancel) ช็อป (shop)
อาการ ซีเรียส (serious) เทกแคร์ (take care) ปั๊ม (pump)

๒.๒ ค�ำศัพท์บญ
ั ญัติ
ค�าศัพท์บัญญัติ หมายถึง ค�าศัพท์ภาษาไทยที่คิดขึ้นใช้แทนศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยการผูกหรือ
ประกอบขึ้นจากค�าศัพท์ในภาษาบาลีและสันสกฤต แล้วผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญทางภาษา
จากนั้นจึงประกาศใช้ หากศัพท์ใดมีผู้ยอมรับก็มีการใช้ศัพท์เหล่านั้นต่อมา

161

NET ขอสอบป 52
ขอสอบถามวา การนําคําทับศัพทภาษาอังกฤษมาใชในขอใด ที่ทําใหภาษาไทยมีวงศัพทเพิ่มขึ้น
1. มาเรียนอยูในกรุงเทพฯ ยูนิเวอรซิตี้ที่ทันสมัย 2. ซัมเมอรแมเรียกตัวกลับมาชวยทําไรทํานาอยูที่บานหนองใหญ
3. ชาวบานก็ดอยการศึกษากินแตปลาราที่ไมพาสเจอรไรซ 4. ใหมาเปนฟารเมอร ดาววามันไมใชตัวตนที่แทจริงของดาว
(วิเคราะหคําตอบ วงศัพทเพิ่มมากขึ้น คือ มีคําใชมากขึ้น คําในขออื่นๆ มีใชในภาษาไทยอยูแลว คําวา “พาสเจอรไรซ”
เปนคําใหมที่ไทยยืมมาใชโดยวิธีทับศัพท ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 3.) คูมือครู 161
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูยกตัวอยางศัพทบัญญัติให
นักเรียนฟง แลวใหนักเรียนได
ทดสอบความรูของตนเองวา คําศัพท ค�าศัพท์บัญญัติในภาษาไทยเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ครูกลาวถึงนั้น เปนคําใดในภาษา รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา เนือ่ งจากในรัชกาลนัน้ ได้มกี ารติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตก ท�าให้มคี า� ในภาษา
อังกฤษกอนมีการบัญญัติศัพทขึ้นใช อังกฤษปะปนเข้ามาในภาษาไทยเป็นจ�านวนมาก เพื่อตอบสนองต่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ
เชน กิจกรรม (activity) รหัสแทง ที่รับจากตะวันตก
(bar code) ไปรษณียเสียง (voice แต่เมื่อมีการรับค�าภาษาต่างประเทศเข้ามาเป็นเวลานาน ท�าให้ค�าภาษาต่างประเทศเข้ามา
mail) เปนตน ปะปนในภาษาไทยเป็นจ�านวนมาก ด้วยเหตุนใี้ นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั และ
(แนวตอบ นักเรียนตอบตามความรู พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีการคิดค�าศัพท์บัญญัติขึ้นใช้แทนค�าภาษาต่างประเทศ
และประสบการณของนักเรียน หลัง ๑) วิธกี ารบัญญัตศิ พั ท์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ตงั้ คณะกรรมการ
คําตอบของนักเรียนครูควรใหขอมูล บัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้น กรรมการชุดนี้มี พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
ที่ถูกตอง) ทรงเป็นประธาน ปัจจุบันราชบัณฑิตยสถานได้แต่งตั้งคณะกรรมการบัญญัติศัพท์สาขาวิชาต่างๆ ขึ้น
ใช้ในภาษาไทย เพื่อให้ค�าศัพท์บัญญัติมีความถูกต้องตามหลักภาษา รูปค�ากะทัดรัด ออกเสียงสะดวก
และมีความหมายตรงตามที่ต้องการ โดยมีหลัก ๓ ประการ ดังนี้
สํารวจคนหา
ค่าผ่านทาง (toll) ปีแสง (light year)
นักเรียนจับกลุม กลุมละ 3 คน คิคิดดหาค�
หาค�าาไทยมาประกอบเป็
ไทยมาประกอบเป็นนค�ค�า-า น�้าค้างแข็ง (frost) เครือข่าย (network)
เพื่อคนหาความรูรวมกันในประเด็น ศัศัพพท์ท์ททมี่ มี่ คี คี วามหมายตรงกั
วามหมายตรงกับบความหมาย
ความหมาย ตัวแปร (variable) ดินเปรี้ยว (acid soil)
วิธีการบัญญัติศัพท เดิเดิมมของค�
ในภาษาไทย าภาษาอังกฤษ จุดยืน (stand point) น�้าแข็งแห้ง (dry ice)
รายการเลือก (menu) ทะเลหลวง (open sea)
ลบเลือนได้ (volatile) ตลาดมืด (black market)
อธิบายความรู
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ กิจกรรม (activity) สดมภ์ (column)
หากหาค�าในภาษาไทยทีเ่ หมาะสม ทฤษฎี (theory) จิตรกรรม (painting)
อธิบายความรูรวมกันในลักษณะ
ไม่ ไ ด้ด หาค�
คิ ใ ห้ พายายามสร้
ไทยมาประกอบเป็ น ค� า
า งค� า ด้ ว ยภาษา มลพิษ (pollution) ปรัชญา (philosophy)
โตตอบรอบวง โดยครูตั้งคําถามวา ศัพท์ทมี่ คี วามหมายตรงกับความหมาย
บาลี - สันสกฤต โดยมีหลักเกณฑ์ว่า
เดิมในภาษาไทย วัฒนธรรม (culture) นิรโทษกรรม (amnesty)
• นักเรียนไดรับความรูใดบางจาก ต้องเป็นค�าที่มีใช้อยู่แล้วในภาษาไทย อปกติ (abnormal) นิทรรศการ (exhibition)
การเขากลุมเพื่อคนหาความรู และสามารถออกเสียงได้ง่าย เสรีนิยม (liberalism) สัญญาณภาพ (video signal)
รวมกัน
(แนวตอบ นักเรียนตอบตาม
เชิ้ต (shirt) ครีม (cream)
ความรู ความเขาใจและความ คิถ้ดาหาค�
ไม่สามารถบั ญญัติศัพท์โดยวิ
า ไทยมาประกอบเป็ น ค�ธาี ฟิล์ม (film) โซฟา (sofa)
สามารถในการวิเคราะห การสองข้
ศัพท์ทมี่ คี อวามหมายตรงกั
ดังกล่าวได้ ให้บใความหมาย
ช้ค�าภาษา โบนัส (bonus) เนกไท (necktie)
สังเคราะหขอมูลที่ไดจากการ ต่เดิางประเทศนั
มในภาษาไทย ้นทับศัพท์ไปก่อน เมาส์ (mouse) ไดโนเสาร์ (dinosaur)
คนควาดวยตนเอง โดยนักเรียน แฟชั่น (fashion) แมงกานีส (manganese)
จะตองอธิบายความรูเกี่ยวกับ ซีเมนต์ (cement) คอมพิวเตอร์ (computer)
วิธีการบัญญัติศัพท เชน การ
บัญญัติศัพททําไดโดยหาคําไทย 162
มาประกอบ ถาหาไมไดใหใชคํา
ในภาษาบาลี - สันสกฤต แตถา
ไมสามารถหาไดทั้งคําไทยและ
คําบาลี - สันสกฤตใหใชคําเดิม
ไปจนกวาจะมีการบัญญัติศัพท เกร็ดแนะครู
ขึ้น)
ครูควรยกตัวอยางคําที่ใชวิธีการบัญญัติศัพทเพิ่มเติมใหแกนักเรียน

162 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูสนทนากับนักเรียนวา
สังคมไทย ณ ปจจุบันมีความเจริญ
๒) ประเภทของศัพทบัญญัติ ปจจุบันราชบัณฑิตยสภาไดมีการบัญญัติศัพทขึ้นใชใน กาวหนาในหลายๆ ดาน จากนั้น
วงวิชาการและสาขาวิชาชีพตางๆ เชน ศัพทคณิตศาสตร ศัพทเทคโนโลยีสารสนเทศ ศัพทนิติศาสตร ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ศัพทรัฐศาสตร ศัพทสัทศาสตร ศัพทวรรณคดี ฯลฯ การเรียนรูศัพทบัญญัติจะเอื้อประโยชนตอผูสนใจ • ศัพทบัญญัติที่ไดมีการบัญญัติ
นักเรียน นักศึกษา โดยเฉพาะเมือ่ ตองเขียนงานทางวิชาการควรใชศพั ทบญ
ั ญัตใิ หถกู ตองและเหมาะสม ขึ้นดวยวิธีการตางๆ นั้น จะมี
การนําไปใชในสาขาวิชาใดได
ตัวอยางของคําศัพทบัญญัติ บาง
ศัพทบญ
ั ญัติ การบวก (addition) ระนาบแกน (axial plane) คาเฉลี่ย (mean) (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
คณิตศาสตร การแปลงผัน (conversion) ตัวคูณ (multiplier) อนุกรม (series) ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
ศัพทบญ ั ญัติ รหัสแทง (bar code) หุนยนต (robot) ทวิเสถียร (bistable) พื้นฐานความรูและความเขาใจ
เทคโนโลยี รูดบัตร (swipe) ไปรษณียอืดอาด (snail mail) ดึงภาพ (zoom) เดิมของนักเรียน)
และ ตัวจอภาพ (monitor) โทรศัพทเคลื่อนที่ (mobile phone)
สารสนเทศ
ศัพทบญ ั ญัติ นายหนา (broker) การประกอบอาชีพ (calling) งบประมาณ (budget) สํารวจคนหา
นิตศิ าสตร การออกหาเสียง (canvass) รัฐสมัยใหม (modern state) รัฐกันชน (buffer state)
ทฤษฎีอํานาจอธิปไตย (sovereignty) ทําใหพนจากความรับผิด (absolve) นักเรียนจับกลุม กลุม ละ 3 คน
โดยใหแตละกลุมรวมกันคนหา
ศัพทบญ
ั ญัติ ตลาดมืด (black market) สัมปทาน (concession) โลกเสรี (free world)
ความรูเกี่ยวกับประเภทของศัพท
รัฐศาสตร พรรคการเมือง (political party) คาผานทาง (toll) เขตเมือง (urban zone)
การผูกขาด (monopoly) เสรีนิยม (liberalism) องคประชุม (quorum) บัญญัติวาปรากฏใชในวงวิชาการ
ใดบาง
ศัพท เสียงเลื่อน (glide) ทํานองเสียง (intonation)
สัทศาสตร ความสูงคลื่นเสียง (amplitude) การกลมกลืนเสียง (assimilation)
เสียงเสียดแทรก (fricative sound) ลักษณะการออกเสียงขึ้นจมูก (nasalization) อธิบายความรู
ศัพท สารขัด (abrasive) ฟนปลอมติดแนน (fixed partial denture)
ทันตแพทย เคลือบฟน (enamel) โรคปริทันต (periodental disease) นักเรียนแตละกลุมออกมาอธิบาย
ความรูที่ไดจากการคนหารวมกัน
ศัพท จินตภาพ (image) ภาพพจน (figure of speech) โดยแตละกลุมตองบอกประเภทของ
วรรณคดี การเสียดสี (satire) อติพจน (hyperbole)
แกนเรื่อง (theme) อุปลักษณ (metaphor) ศัพทบัญญัติที่ใชในวงวิชาการตางๆ
การบรรยาย (narration) ฉากทองเรื่อง (setting) และยกตัวอยางประกอบใหชัดเจน
การแฝงนัย (irony) การกลาวซํ้า (repetition)
ความขัดแยง (conflict) การอางถึง (allusion)
โศกนาฏกรรม (tragedy) ปฏิทรรศน (paradox) ขยายความเขาใจ
เรื่องเหลือเชื่อ (yarn) อุปมานิทัศน (allegory)
การเลียนเสียงธรรมชาติ (onomatopoeia) ความหมายโดยตรง (denotation) นักเรียนคนหาศัพทบัญญัติที่ใชใน
ตัวละครหลายมิติ (round character) บุคคลวัต บุคลาธิษฐาน (personification) วงวิชาการ ไมตา่ํ กวา 10 คํา จากนั้น
ใหนําองคความรูเรื่องการบัญญัติ
๑๖๓ ศัพทมาใชอธิบายคําที่ยกตัวอยางวา
บัญญัติขึ้นดวยวิธีการใด

หลักฐาน ตรวจสอบผล
@
มุม IT แสดงผลการเรียนรู ครูประเมินความถูกตองของ
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของศัพทบัญญัติ คําตอบ
ตัวอยางคําศัพทบัญญัติในดานตางๆ
ไดจากเว็บไซตของสํานักงานราชบัณฑิตยสภา จํานวน 10 คํา ลงสมุด
http://coined-word.orst.go.th
คูมือครู 163
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู
Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนเพื่อ
กระตุนความสนใจและนําเขาสูหัวขอ
การเรียนการสอน ๒.๓ ค�ำศัพท์ทำงวิชำกำร
• นักเรียนคิดวาหากไมมีความรู ในปัจุบันสังคมมีการพัฒนาทางด้านต่างๆ อย่างรวดเร็วทั้งทางด้านการแพทย์ เทคโนโลยี
เกี่ยวกับคําศัพททางวิชาการ วิทยาการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ในแต่ละวงวิชาการ แต่ละสาขาวิชาชีพล้วนต้องการผู้ที่มีความรู้
นักเรียนจะเขาใจเนื้อหาสาระ ความสามารถเฉพาะ ในบางครั้งท�าให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในวงวิชาการหรือสาขาวิชาชีพนั้นไม่สามารถเข้าใจ
ของขอมูลตางๆ หรือไม ข้อความต่างๆ ได้ ดังต่อไปนี้
เพราะเหตุใด ๑) ศัพท์วิชาการหมวดศิลปะสากล
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม ศิ ล ปะรู ป แบบหนึ่ ง ซึ่ ง มุ ่ ง ใช้ ค วามงามอั น เกิ ด จากความ ■ ศิลปะนามธรรม ทัศนศิลป์ทเี่ กีย่ วข้อง
พื้นฐานความรูและความเขาใจ เคลื่อนไหวเป็นหลัก เกิดขึ้นในระยะต้นๆ ของศิลปะนามธรรม กับจิตใจ
ของนักเรียน) โดยเฉพาะกลุ่มศิลปะลัทธิเค้าโครงนิยม ใช้วัสดุสะท้อนแสงและ ■ เค้าโครงนิยม ศิลปะที่มีวัตถุประสงค์
วัสดุโปร่งแสงในงานประติมากรรม ภายหลังพัฒนาเป็นการใช้ ในเชิงสังคม เริ่มขึ้นในรัสเซียตั้งแต่ปี
แสงในงานจิตรกรรมและประติมากรรมตลอดจนการสร้างสรรค์ ค.ศ. ๑๙๑๙
ประติมากรรม นาฏกรรม ศิลปะลวงตา และส่งผลให้เกิด ศิลปะลวงตา เป็นวิธีการเขียนภาพที่
สํารวจคนหา ประติมากรรมจลดุล

ค�านึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความ
นักเรียนรวมกันคนหาความรู (พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ - ไทย ลวงตาและพื้นผิวของภาพ ใช้สีขาว
ดวยวิธีการอภิปรายจากคําถาม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) กับด�าในการสร้างผลงาน
ประติมากรรมจลดุล ศิลปะทีส่ ร้างขึน้
ของครู

เพื่อแสดงความมีดุลยภาพ
• ศัพททางวิชาการมีปรากฏใชใน
ดานใดบาง ๒) ศัพท์วิชาการหมวดดุริยางคศิลป์
(แนวตอบ ศัพทหมวดศิลปะ
หมวดดุริยางค หมวดแพทย เพลงแขกบรเทศ อั ต รา ๒ ชั้ น และชั้ น เดี ย ว ประเภท ■ เพลงแขกบรเทศ เพลงไทยเดิมทีน่ ยิ ม
เปนตน) หน้าทับสองไม้ มี ๒ ท่อน ต่อมาพระประดิษฐ์ไพเราะ (มี บรรเลงประกอบการแสดงโขนหรือร�า
ดุรยิ างกูร) ได้แต่งขยายขึน้ เป็นอัตรา ๓ ชัน้ ครบเป็นเพลงเถา ใช้ อวยพร
บรรเลงต่อท้ายเพลงเชิดจีนซึ่งท่านเป็นผู้แต่ง ■ อัตราชั้นเดียว อัตราจังหวะที่ด�าเนิน
ลีลาด้วยประโยคสั้นๆ และรวดเร็ว
อธิบายความรู (สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทย ภาคประวัติและ
อัตรา ๒ ชั้น อัตราจังหวะที่ด�าเนิน
บทเพลงเถา ฉบับราชบัณฑิตยสถาน) ■

นักเรียนรวมกันอธิบายความรู ลีลากลางๆ ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป


ในลักษณะโตตอบรอบวง โดยการ ■ อัตรา ๓ ชั้น อัตราจังหวะที่ด�าเนิน
ตั้งคําถามของครู ลีลาอย่างเชื่องช้า
■ เพลงเถา ระเบียบวิธีการบรรเลงและ
• นักเรียนคิดวาเราจะทราบ การขับร้องเพลงไทยเดิมเป็นเพลง
ความหมายของคําศัพททาง ขนาดยาวทีม่ เี พลง ๓ ชนิด ติดต่อกัน
วิชาการตางๆ ไดอยางไร อยู่ในเพลงเดียว
(แนวตอบ ปจจุบนั สํานักงาน
ราชบัณฑิตยสภาไดพิมพ
เผยแพรศัพททางวิชาการใน 164
สาขาวิชาตางๆ เปนจํานวนมาก
ดังนั้นจึงสามารถคนหา
ความหมายของคําไดจาก
หนังสือดังกลาว)
เกร็ดแนะครู
ครูควรแนะนําใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคําศัพททางวิชาการหรือวิชาชีพ
ตางๆ จากพจนานุกรมที่สํานักงานราชบัณฑิตยสภาไดรวบรวมไว

164 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
1. ครูทบทวนองคความรูเกี่ยวกับ
คําศัพทวิชาการ จากนั้น
๓) ค�าศัพท์ในวงการอาชีพธุรกิจการขาย ครูตั้งคําถาม
“ก่อนมีมีทติ้งเพื่อท�าเยียร์ลี่รีวิวในวันศุกร์นี้ ผมอยากให้คุณ ■ เยียร์ลี่รีวิว การตรวจสอบรายปี • การใชคําทับศัพทและศัพท
ทุกคนเตรียมการพรีเซนต์เซลที่ได้ในแต่ละควอเตอร์ เซมิแอน- ■ พรีเซนต์เซล การน�าเสนอแผนการ บัญญัติตางๆ สงผลดีและ
นวล และเยียร์ลี่ โดยการเปรียบเทียบโปรเจ็กเซล และแอนนวล ขาย ผลเสียอยางไรตออนาคตของ
เซลเพื่อดูยอดบัดเจ็ตว่าเป็นไปตามทาร์เก็ตที่ตั้งไว้หรือไม่ จาก ■ ควอเตอร์ ไตรมาส ภาษาไทย
นั้นขอให้ทุกคนท�าเซลอะนาลิซิสและจัดท�าเซลแพลนของปีหน้า ■ เซมิแอนนวล ครึ่งปี (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
โดยประมาณยอดออร์เดอร์มาด้วย ส�าหรับอะเจนด้าอื่นๆ ได้แก่ เยียร์ลี่ ประจ�าปี

ไดอยางหลากหลาย ขึ้นอยูกับ
คอสคอนโทรล การคัดเลือกซัพพลายเออร์ มาร์เก็ตติ้งสตราเตจี้ ■ โปรเจ็กเซล โครงการขาย
แวทรีฟันโพลิซี่ และเบรกอีเว่นของปีหน้า อ้อ! คุณสมใจ ช่วยจด ■ แอนนวลเซล ยอดขายรายปี พื้นฐานความรูและความคิด)
มินิตการประชุมในครั้งนี้ด้วยครับ” ■ บัดเจ็ต งบประมาณ 2. นักเรียนจัดทําโครงงานเกี่ยวกับ
(สุวัฒน์ จิรเบญจวนิช) ■ ทาร์เก็ต เป้าหมาย การใชคําทับศัพทและศัพทบัญญัติ
■ เซลอะนาลิซิส การวิเคราะห์การขาย ในชีวิตประจําวัน
■ เซลแพลน แผนการขาย
■ ออร์เดอร์ สั่งซื้อ
■ อะเจนด้า วาระการประชุม ตรวจสอบผล
■ คอสคอนโทรล การควบคุ ม ราคา
ต้นทุน 1. นักเรียนนําโครงงานของตนเองมา
■ ซั พ พลายเออร์ ผู ้ ผ ลิ ต สิ น ค้ า และ นําเสนอหนาชั้นเรียน
วัตถุดิบ 2. ครูตรวจสอบโครงงานของนักเรียน
■ ม าร์ เ ก็ ต ติ้ ง สตราเตจี้ กลยุ ท ธ์ ก าร 3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย
ตลาด
■ แวทรีฟันโพลิซี่ นโยบายคืนภาษี การเรียนรู
■ เบรกอีเว่น จุดคุ้มทุน
■ มินิต รายงานการประชุม
เกร็ดแนะครู
คÓทีย่ มื มาจากภาษาต่างประเทศทีม่ ใี ช้ในภาษาไทยเป็นการยืมคÓมาใช้ เนือ่ งจาก
ผลดี ผลเสีย ของการใชคาํ ทับศัพท
มีการรับวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทมี่ ตี อ่ กันจึงปรากฏคÓทีย่ มื มาจากภาษาต่างประเทศ
และศัพทบัญญัติ
มาใช้ในภาษาไทยเป็นจÓนวนมาก ได้แก่ ภาษาบาลี - สันสกฤต ภาษาจีน ภาษาชวา - 1. ผลดี
มลายู ภาษาอังกฤษ ภาษาเขมร นอกจากนี้ยังมีคÓทับศัพท์และศัพท์บัญญัติต่างๆ ที่มี • การใชคําทับศัพทเปนวิธีที่
ใช้ในภาษาไทย เนือ่ งจากคÓในภาษาไทยมีไม่เพียงพอและไม่สามารถบัญญัตคิ Óขึน ้ มาใช้ งาย สะดวก รวดเร็ว เมื่อ
ได้ทน
ั ต่อความเจริญทางเทคโนโลยีและการสือ่ สาร ผูใ้ ช้จงึ ต้องใช้คÓเหล่านีใ้ นภาษาไทย ไมสามารถหาคําไทย หรือ
ให้ถูกต้อง เพื่อสามารถสื่อสารได้สัมฤทธิผลในชีวิตประจำาวัน คําบาลี - สันสกฤตมาใช
บัญญัติได
• ทําใหมีคําศัพทตางๆ ใชเพิ่ม
165 มากขึ้น
2. ผลเสีย
• อาจทําใหภาษาไทยสูญเสีย
เอกลักษณทางภาษาไดใน
อนาคต
NET ขอสอบป 52
ขอสอบถามวา ขอใดไมมีคําที่มาจากภาษาตางประเทศ
1. มีตายายสามีภรรยาคูหนึ่ง 2. ตายายลอยเรือไปตามริมแมนํ้าที่มีอาณาบริเวณ
3. ยายคัดทายเรือเขาหาฝง เห็นไขจระเข 4. ตั้งใจจะเอาไปฟกใหเปนตัว
(วิเคราะหคําตอบ คําไทยแทเปนคําโดดและมีตัวสะกดตรงตามมาตรา ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 4.)
คูมือครู 165
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
1.เนื่องจากมีการติดตอสื่อสารกัน คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู
และรับวัฒนธรรมตางๆ เขามา
ใช ผนวกกับความเจริญกาวหนา ๑. ปจจัยใดที่สงผลตอการยืมคําภาษาตางประเทศมาใชในภาษาไทย จงอธิบาย
ทางเทคโนโลยี ทําใหคาํ ในภาษา- ๒. การใชคําที่ยืมมาจากภาษาตางประเทศในภาษาไทยมีวิธีการใชอยางไร จงอธิบาย
ไทยมีไมพอเพียงจึงตองยืมคํา ๓. คําที่ยืมมาจากภาษาบาลี - สันสกฤตมีหลักการสังเกตอยางไร จงอธิบาย
จากภาษาตางประเทศเขามาใช ๔. คําที่ยืมมาจากภาษาชวา - มลายู นํามาใชในสาขาใดบาง จงอธิบาย
2. การใชคําภาษาตางประเทศใน ๕. คําทับศัพทและศัพทบัญญัติแตกตางกันอยางไร จงอธิบาย
ภาษาไทย มีวิธีการใช ดังนี้
• วิธีการยืมคําโดยนํามา
ดัดแปลงทางดานเสียง
วรรณยุกต ตัวสะกด
• วิธีการยืมมาโดยไม
เปลี่ยนแปลงเสียงหรือรูป
3. คําที่ยืมมาจากภาษาบาลี
• ภาษาบาลีมีสระ 8 ตัว คือ
อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
• ภาษาบาลีมีพยัญชนะ 32 ตัว
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
• ภาษาบาลีใชตัวสะกดและ
ตัวตาม กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนแบงกลุมศึกษาคําที่ยืมมาจากภาษาตางประเทศในภาษาไทย ไดแก ภาษา
• คําที่ยืมมาจากภาษาบาลีมัก
บาลี - สันสกฤต ภาษาจีน ภาษาชวา - มลายู ภาษาอังกฤษ ภาษาเขมร แลวนําเสนอ
เปนรูปเลมรายงาน
จะมีพยัญชนะ /ฬ/
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนรวมกันอภิปรายขอดี ขอเสีย และขอควรระวังในการนําคําทีย่ มื มาจากภาษา
• คําที่ยืมมาจากภาษาบาลีจะมี
ตางประเทศมาใชในภาษาไทย
หนวยความเติมหนา ปฏิ- กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนรวบรวมคําทับศัพทภาษาอังกฤษพรอมคําแปลมาจัดปายนิเทศ
• คําที่ยืมมาจากภาษา
สันสกฤตจะใชรูป ร หัน
• คําที่ยืมมาจากภาษา
สันสกฤตจะใชพยัญชนะ /ร/
ประสมกับพยัญชนะอื่น
• คําที่ยืมมาจากภาษา
สันสกฤตจะใชรูป ฤ
• คําที่ยืมมาจากภาษา
สันสกฤตจะใชพยัญชนะ /ศ/ 166
/ษ/
• คําทีย่ มื มาจากภาษาสันสกฤต
จะใชรูปพยัญชนะประสม
<ชญ> <กย> <ชย> <ณย> <ตย> <ทย> <ถย> <ธย> <นย> <มย>
4. มักพบในวรรณคดีเรื่องอิเหนา หรือใชเปนเนื้อรองในเพลงไทยเดิม ชื่อ เพลงสี่บท
5. คําทับศัพท คือ คําศัพทที่มาจากการถายทอดเสียงจากภาษาเดิมมาเขียนเปนภาษาไทย โดยใหมีเสียงใกลเคียงกับภาษาเดิมมากที่สุด เชน คําทับศัพท
ภาษาอังกฤษ สวนศัพทบัญญัติ เปนการคิดคําขึ้นมาใชแทนคําศัพทภาษาตางประเทศที่ยืมเขามา)

166 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

เปาหมายการเรียนรู
1. วิเคราะหโครงสรางของประโยค
ซับซอน
2. ใชภาษาสื่อสารในชีวิตประจําวัน
ตามระดับภาษาไดถูกตอง
เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ

กระตุนความสนใจ
นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• กลุมบุคคลดังกลาวกําลังอยูใน
สถานการณใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ไดอยางหลากหลายตามความ
คิดเห็นของนักเรียน คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
• นักเรียนคิดวาภาพประกอบมี

ò
ความเชื่อมโยงกับการวิเคราะห
ภาษาอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
หนวยที่ ไดอยางหลากหลายตามความ
การวิเคราะหภาษา คิดเห็นของนักเรียน คําตอบขึ้น
อยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน)
ตัวชี้วัด
■ วิเคราะหโครงสรางประโยคซับซอน (ท ๔.๑ ม.๓/๒) การวิเคราะหโครงสรางของประโยค
■ วิเคราะหระดับภาษา (ท ๔.๑ ม.๓/๓) มี ค วามสํ า คั ญ ตอการสื
่ ่ อ สารในชี วิ ต
ประจํ า วั น เพราะหากการใช คํ า พู ด เพี ย ง เกร็ดแนะครู
คําเดียวหรือเพียงกลุมคํายอมไมไดใจความ ครูควรสนทนากับนักเรียน โดยชี้
สมบูรณ จึงจําเปนตองสื่อสารดวยประโยค ใหเห็นวา ในชีวติ ประจําวันของมนุษย
สาระการเรียนรูแกนกลาง
นอกจากนี้ยังจําเปนตองทําความเขาใจขอความ
ประโยคซับซอน ลวนมีความเกีย่ วของและเชือ่ มโยงกับ

ทีผ่ กู เปนประโยค จึงจะเกิดประโยชนสงู สุดในการ
■ ระดับภาษา
ใชภาษาเพื่อการสื่อสาร การวิเคราะหภาษา เนื่องดวยมนุษย
ตองใชทักษะการอาน การฟง การดู
การพูด และในระหวางการใชทักษะ
จะตองมีกระบวนการคิด วิเคราะห
ในความซับซอนของเนื้อหาสาระ

คูมือครู 167
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูชวนนักเรียนสนทนาในประเด็น
ที่เกี่ยวของกับประโยค จากนั้นครูตั้ง
คําถามกับนักเรียนดังตอไปนี้ ๑ การวิเคราะห์โครงสร้างของประโยคซับซ้อน
• นักเรียนคิดวา การสื่อสารดวย ประโยคที่ผู้พูดเจตนาสื่อสารให้ผู้ฟังทราบ อาจเป็นความคิด ข้อเท็จจริง ความเข้าใจ การ
คําเพียงคําเดียวสามารถสื่อ คาดคะเนและความรู้สึกต่างๆ ซึ่งอาจเป็นประโยคสามัญ ประโยคซ้อนหรือประโยครวม แต่การใช้
ความไดครบถวนหรือไมเพราะ ภาษาเพื่อการสื่อสารต้องใช้ประโยคที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งความซับซ้อนของประโยคเกิดจาก
เหตุใด รายละเอียดที่ผู้พูดเพิ่มเข้าไปในประโยค เพื่อบอกเกี่ยวกับลักษณะ เวลา สถานที่ ท�าให้ประโยคมี
(แนวตอบ การสื่อสารดวยคํา ความชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นจึงควรมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประโยคที่ซับซ้อนเพื่อน�าความรู้ไปใช้ใน
เพียงคําเดียวอาจสื่อความหมาย การสื่อสารได้ถูกต้อง
ไดครบถวนในบางกรณี แตถา
จะตองมีการสื่อสารขอความที่
๑.๑ ชนิดของประโยคแบ่งตำมโครงสร้ำง
มีความซับซอนจําเปนจะตองมี ประโยคในภาษาไทยแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด คือ ประโยคสามัญ ประโยคซ้อนและประโยครวม
การสื่อสารกันดวยประโยค) ๑) ประโยคสามัญ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประโยคพื้นฐาน หมายถึง ประโยคที่
• นักเรียนคิดวาสวนประกอบของ ประกอบด้วยนามวลีทา� หน้าทีเ่ ป็นประธานกับกริยาวลีทา� หน้าทีภ่ าคแสดง ไม่มอี นุประโยคเป็นส่วนขยาย
ประโยคที่สามารถสื่อความให และไม่มีค�าเชื่อมกริยาวลี ประโยคสามัญแบ่งได้เป็น ๒ ชนิด ดังนี้
เขาใจไดในเบื้องตน ประกอบ ๑.๑) ประโยคสามัญที่มีกริยาวลีเดียว ซึ่งในประโยคจะมีค�ากริยาเพียงค�าเดียว
ดวยสวนใดบาง ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
(แนวตอบ สวนประกอบของ ■ ฝนตก
ประโยค คือ ภาคประธาน และ ■ เขาเตะเก้าอี้
ภาคแสดง โดยที่ภาคประธาน ■ พวกเราเดินทางไปยุโรป
เปนสวนของคํานาม และ ■ น้องหกล้มเมื่อกี้นี้
สรรพนาม ภาคแสดงเปนสวน ๑.๒) ประโยคสามัญหลายกริยาวลี เป็นประโยคสามัญทีม่ หี ลายกริยาวลีทา� หน้าที่
ของคํากริยา) เป็นภาคแสดงของประธานเดียวกันหรือต่างประธาน ประโยคชนิดนีต้ อ้ งไม่มคี า� เชือ่ มกริยาวลี ในประโยค
อาจแสดงเหตุการณ์พร้อมกัน เกิดต่อเนื่อง เกิดก่อนหลังหรือเหตุการณ์หลังเป็นผลจากเหตุการณ์ก่อน
ดังตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
สํารวจคนหา
๑. เหตุการณ์เกิดพร้อมกัน
ครูนําเขาสูหัวขอการเรียนการสอน ■ นภานั่ง - อ่านหนังสือพิมพ์ในห้องสมุด
ดวยการเกริ่นนําถึงชนิดของประโยค ■ นิพัธนอน - ร้องเพลงในห้องนอน
ที่แบงตามโครงสรางออกเปน 3 ชนิด ■ ไตรภูมิยืน - ร้องเพลงบนเวทีในงานวันเกิดของเพื่อน
คือ ประโยคสามัญ ประโยคซอน ๒. เหตุการณ์เกิดต่อเนื่องกัน
และประโยครวม หลังจากนั้นแบง ■ สายใจวิ่ง - ไป - เปิดประตูบ้าน
นักเรียนออกเปนกลุม กลุมละ 3 คน
■ ลดาพับเสื้อ - เก็บ - เข้าตู้
ใหรวมกันคนหาความรูจากหนังสือ
สมพงษ์พับ - เสื้อผ้า - ใส่กระเป๋าเดินทาง
เรียน ในหนา 168 หรือจากเว็บไซต

ทางการศึกษาที่ใหความรูเรื่อง 168
ประโยค โดยใหนักเรียนคนหา
ความรูในประเด็น “ประโยคสามัญ”

อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย นักเรียนแตงประโยคสามัญ
ความรูที่ไดจากการคนหารวมกัน ประเภทละ 5 ประโยค

168 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนคนหาความรูเกี่ยวกับ
ประโยคซอน และประโยครวม จาก
๓. เหตุการณ์หลังเป็นผลของเหตุการณ์แรก หนังสือเรียน ในหนา 169 - 170 หรือ
ลมพัด - บ้าน - พัง

จากเว็บไซตทางการศึกษา
เขาหัวเราะ - ท้อง - แข็ง

  ๒) ประโยคซ้อน คือประโยคทีป่ ระกอบด้วยประโยค ๒ ประโยคขึน้ ไป มีประโยคหลัก


อธิบายความรู
หรือมุขยประโยค คือประโยคที่มีอีกประโยคหนึ่งหรืออนุประโยคมาซ้อนอาจจะเป็นประธาน บทกรรม
ส่วนขยาย หรือส่วนเติมเต็ม 1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
อนุประโยค คือประโยคที่ขึ้นต้นด้วยค�าเชื่อมอนุประโยค ท�าหน้าที่ได้อย่างนามวลี อธิบายความรู โดยการตั้งประเด็น
คําถามจากครู
คือเป็นประธาน กรรม ส่วนเติมเต็มหรือขยายส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคหรือท�าหน้าที่เหมือน
• ลักษณะเฉพาะของประโยคซอน
วิเศษณ์วลี เปนอยางไร
๑. ประโยคซ้อนที่มีอนุประโยคท�าหน้าที่เป็นประธาน (แนวตอบ ประโยคซอน คือ
ที่คุณน้าพูดไม่เป็นความจริง

ประโยคที่ประกอบดวย 2
สิ่งที่สมใจท�าเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
■ ประโยค ขึ้นไป มีประโยคหลัก
๒. ท�าหน้าที่เป็นกรรม เช่น มุขยประโยค และมีอีกประโยค
เขาบอกสุนทรีย์ว่าปวีณาจะไปงานพรุ่งนี้ด้วย
■ หนึ่งมาซอน หรืออนุประโยค)
คุณแม่ต้องบอกคุณพ่อว่าลูกๆ อยากไปพักผ่อนที่ชายทะเล
■ 2. นักเรียนบอกประเภทยอยของ
๓. ท�าหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม เช่น ประโยคซอนและแยกโครงสราง
นาวาดีใจที่สอบชิงทุนรัฐบาลได้

ของประโยคที่ครูเปนผูกําหนด
“พรลักษมีไมชอบใหใครมาวา
คุณพ่อเสียใจที่ลูกชายคนโตไม่ไปโรงเรียน

ครูของเธอ”
๔. ท�าหน้าที่ขยายนาม เช่น
(แนวตอบ ใหใครมาวาครูของเธอ
คนที่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนเป็นคนที่มีความรอบรู้

เปนนามานุประโยค ทําหนาที่เปน
คนที่ไม่มั่นใจในตนเอง มักไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

กรรมของกริยาวลี ไมชอบ)
๕. ท�าหน้าที่ขยายกริยา เช่น
คุณแม่ท�างานหนักจนล้มป่วย

พี่ชายอ่านหนังสือหนักจนสายตาสั้น

๒.๑) ประโยคซ้อนที่มีนามานุประโยค คืออนุประโยคที่ท�าหน้าที่เหมือนนามวลี
คือเป็นประธาน กรรมและส่วนเติมเต็มหรือส่วนเสริมจะมีค�าเชื่อม ได้แก่ ที่ ที่ว่า ว่า ให้ น�าหน้า
อนงค์ไม่ชอบให้ใครมาว่าคุณพ่อของเธอ

ชาวนาได้ยินมาว่าปีนี้น�้าจะมาก

        คุณแม่ไม่ชอบให้ใครมากล่าวหาลูกโดยไม่มีความผิด

169

NET ขอสอบป 51
ขอสอบถามวา คําวา “ที่” ในขอใดทําหนาที่เชื่อมประโยค
1. สมบัติขายที่ไดราคาดี 2. สมบูรณไมชอบขนมที่ใสเนย
3. สมชายไปดูหนังที่สยามสแควร 4. สมหมายปลูกตนไมที่สวนหลังบาน
(วิเคราะหคําตอบ สมบูรณไมชอบขนม/ขนมใสเนย “ที่” ทําหนาที่เชื่อมประโยคทั้ง 2 ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 2.)
คูมือครู 169
อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain Expand ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนบอกประเภทยอยของ
ประโยคซอนและแยกโครงสราง
ของประโยคที่ครูเปนผูกําหนด ๒.๒) ประโยคซ้อนที่มีคุณานุประโยค คืออนุประโยคท�ำหน้ำที่ขยำยนำมที่น�ำมำ
• เสื้อที่ณรงคสวมอยูสวยมาก ข้ำงหน้ำ มีค�ำเชื่อม ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ดังตัวอย่ำงประโยค
(แนวตอบ เสื้อที่ณรงคสวมอยู ■ นงลักษณ์ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทได้รับรำงวัลสตรีดีเด่น
สวยมากเปนประโยคซอนที่มี ■ เสื้อที่ณรงค์สวมอยู่สวยมำก
คุณานุประโยค สามารถแยก ■ ผลของกำรคอร์รัปชันอันชัว่ ร้ายของนักการเมืองย่อมท�ำให้เขำหมดควำม
โครงสรางเปนประโยคหลัก คือ น่ำเชื่อถือจำกประชำชน
เสื้อสวยมาก และประโยครอง ๒.๓) ประโยคซ้อนทีม่ วี เิ ศษณานุประโยค คืออนุประโยคทีท่ ำ� หน้ำทีอ่ ย่ำงวิเศษณ์วลี
คือ ที่ณรงคสวมอยู ทําหนาที่ คือขยำยกริยำวลี ดังตัวอย่ำงประโยค
ขยายคํานาม “เสื้อ” ในประโยค ■ คุณพ่อท�ำงำนหำมรุ่งหำมค�่ำเพื่ออนาคตของครอบครัว
หลัก) ■ ดินโคลนเกิดกำรเลื่อนถล่มลงมำปิดเส้นทำงสัญจรหลักของหมู่บ้ำนเพราะ
• คุณพอทํางานหามรุงหามคํ่า ฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
เพื่ออนาคตของครอบครัว ■ พจนีย์นอนตัวสั่นเพราะกลัวเสียงลมพายุพัดกระหน�่า
(แนวตอบ คุณพอทํางานหาม ๓) ประโยครวม คือประโยคย่อยตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปมำรวมเป็นประโยคเดียวกัน
รุงหามคํ่าเพื่อครอบครัวเปน โดยมีสันธำนเป็นตัวเชื่อม เมื่อน�ำประโยคมำแยกจะได้ประโยคสำมัญที่มีใจควำมสมบูรณ์ ๒ ประโยค
ประโยคซอนที่มีวิเศษณานุ ขึ้นไป ใช้สื่อควำมได้อย่ำงอิสระ ดังตัวอย่ำงประโยค
ประโยค สามารถแยกโครงสราง ■ ดรุณจะไปเที่ยวอเมริกำหรือยุโรป
เปนประโยคหลัก คือ คุณพอ ดรุณจะไปเที่ยวอเมริกำ
ทํางานหามรุงหามคํ่า ประโยค สำมำรถแยกประโยคได้ดังนี้
รอง คือ เพื่ออนาคตของ ดรุณจะไปเที่ยวยุโรป
ครอบครัว ทําหนาที่ขยายกริยา ■ ดำรำพรออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้ำเอง
ทํางานหามรุงหามคํ่า) ดำรำพรออกแบบเสื้อผ้ำเอง
2. นักเรียนอธิบายความรู ความ สำมำรถแยกประโยคได้ดังนี้
เขาใจ เกี่ยวกับประโยครวม ใน ดำรำพรตัดเย็บเสื้อผ้ำเอง
ลักษณะโตตอบรอบวง ■ เกษตรกรในเขตภำคกลำงนิยมท�ำนำและเลี้ยงปลำที่ช่วยกินวัชพืชในนำ
(แนวตอบ ประโยครวม คือ ประโยค เกษตรกรในเขตภำคกลำงนิยมท�ำนำ
ยอยตั้งแต 2 ประโยคขึ้นไปมารวม สำมำรถแยกประโยคได้ดังนี้
เปนประโยคเดียวกัน โดยมีสันธาน เกษตรกรในเขตภำคกลำงนิยมเลีย้ งปลำ
เปนตัวเชื่อม) ที่ช่วยกินวัชพืชในนำ
■ สมพรชอบกินอำหำรไทย แต่อรทัยชอบกินอำหำรจีน
สมพรชอบกินอำหำรไทย
ขยายความเขาใจ สำมำรถแยกประโยคได้ดังนี้
นักเรียนแยกประโยคที่ครูกําหนด อรทัยชอบกินอำหำรจีน
ใหตอไปนี้ พรอมทั้งบอกวาสันธาน 170
ของประโยค คือคําใด
• ดรุณีจะไปเชียงใหมหรือ
กาญจนบุรี
(แนวตอบ สามารถแยกประโยคเปน ดรุณีจะไปเชียงใหม ดรุณีจะไปกาญจนบุรี โดยมีสันธาน “หรือ” เชื่อมประโยค)
• สมพรชอบกินผัดไทยแตสมชายชอบกินตมยํา
(แนวตอบ สามารถแยกประโยคเปน สมพรชอบกินผัดไทย สมชายชอบกินตมยํา โดยมีสันธาน “แต” เชื่อมประโยค)
• สุปราณีออกแบบและตัดเย็บเสื้อผาเอง
(แนวตอบ สุปราณีออกแบบเสื้อผาเอง สุปราณีตัดเย็บเสื้อผาเอง โดยมีสันธาน “และ” เปนตัวเชื่อมประโยค)

170 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• ความซับซอนของประโยค
การสื่อสารกันในชีวิตประจ�าวันมีการใช้ภาษาที่ซับซ้อน ประโยคสามัญอาจมีกลุ่มค�ายาวๆ สามัญเกิดขึ้นไดในสวนใดของ
มาประกอบบทประธาน บทกริยาและบทกรรมเพียงบทใดบทหนึ่งหรืออาจมาประกอบทั้ง ๓ บท ประโยค
ถ้าเป็นประโยคซ้อน ส่วนประกอบของประโยคซ้อนอาจจะประกอบด้วยประโยคย่อยมากกว่า (แนวตอบ นักเรียนตอบตาม
สองประโยค ประโยครวมก็อาจมีประโยคสามัญมากกว่า ๒ ประโยคมาประกอบกัน ซึ่งเรียก พื้นฐานความรูความเขาใจ)
ความซับซ้อนเหล่านี้ว่าประโยคซับซ้อน
๑.๒ ประโยคซับซ้อน สํารวจคนหา
๑) ประโยคสามัญทีซ่ บั ซ้อน คือประโยคสามัญทีม่ สี ว่ นขยายทัง้ บทประธาน บทกริยา นักเรียนจับคูกับเพื่อนคนหา
หรือบทกรรม เพียงบทใดบทหนึ่งหรือหลายบทก็ได้ เพื่อให้ข้อความมีความหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้น ความรูเกี่ยวกับประโยคสามัญที่
๑.๑) ประโยคสามัญที่ซับซ้อนในภาคประธาน ซับซอนจากหนังสือเรียน ในหนา 171
๑. ส่วนขยายเป็นกลุ่มค�าที่มีค�าบุพบทน�าหน้า
ตัวแทนเยาวชนไทยจากภาคต่างๆ ของประเทศไทยประมาณ ๖๐ คน

เข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ท�าเนียบรัฐบาล อธิบายความรู
๒. ประธานเป็นกลุ่มค�าที่มีค�าว่า “การ” หรือ “ความ” น�าหน้า นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติเป็นบ่อเกิดแห่งความสงบสุข
■ อธิบายความรู ในลักษณะโตตอบ
๓. ประธานมีส่วนขยายเป็นค�าหรือกลุ่มค�าปะปนกัน รอบวง จากนั้นครูสุมเรียกชื่อนักเรียน
สินค้านานาชนิดหลากหลายรูปแบบจากร้านค้าในหมู่บ้านชนบท
■ โดยตั้งคําถาม
แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน • ประโยคสามัญที่ซับซอนเกิด
ความซับซอนขึ้นที่สวนใดของ
๑.๒) ประโยคสามัญที่ซับซ้อนในภาคแสดง ประโยค
๑. ตัวแสดงเป็นกลุ่มค�ากริยาหลายๆ ค�า (แนวตอบ ประโยคสามัญทีซ่ บั ซอน
คุณพ่อพยายามจ้องมองดูการกระท�าของลูกอยู่

คือ ประโยคสามัญที่มีสวนขยาย
ตัวแสดงในประโยคคือ พยายามจ้องมองดู ซึง่ เป็นตัวแสดงทีม่ คี า� กริยา ทั้งบทประธาน บทกริยา หรือ
หลายค�าเรียงกันเป็นกลุ่ม บทกรรม)
๒. ตัวแสดงมีส่วนขยายหลายแห่งในประโยค
ภายในสัปดาห์นี้เราจะต้องอ่านหนังสือให้ส�าเร็จตามที่ได้วางแผนไว้

ตัวแสดงในประโยคคือ อ่าน มีส่วนขยาย ได้แก่ ขยายความเขาใจ


“ภายในสัปดาห์นี้” อยู่หน้าประธานในประโยค ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
“ให้ส�าเร็จตามที่ได้วางแผนไว้” อยู่หลังตัวแสดงในประโยค องคความรูเรื่องประโยคสามัญที่
๓. ตัวแสดงมีค�าหรือกลุ่มที่แสดงอาการต่อเนื่องกัน ซับซอน จากนั้นใหนักเรียนสืบคน
คุณครูกา� ลังเอือ้ มหยิบหนังสือออกจากชัน้ วางในห้องสมุดของโรงเรียน

ประโยคจากหนังสือพิมพ นิตยสาร
ตัวแสดงในประโยคคือ หยิบ มีค�าแสดงอาการต่อเนื่องกัน ได้แก่ ขอความที่ปรากฏในนวนิยายหรือ
171 เรื่องสั้นมาวิเคราะหถึงความซับซอน
ของประโยควาประโยคดังกลาวเปน
ประโยคสามัญที่มีความซับซอนใน
สวนใด

เกร็ดแนะครู
ครูควรสอนโดยการยกตัวอยางประโยคที่มีความซับซอน
โดยคนหาจากสื่อตางๆ ยกตััวอยางใหนักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น

คูมือครู 171
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาความซับซอนของ “ก�าลัง” เป็นค�าช่วยกริยา “เอือ้ ม” เป็นค�ากริยา “ออก” เป็นค�ากริยา
ประโยครวม เกิดขึ้นไดในสวน และ “จากชั้นวางในห้องสมุดของโรงเรียน” เป็นกลุ่มค�าที่น�าหน้าด้วยบุพบท ทั้งหมดท�าหน้าที่แสดง
ใดของประโยค
อาการต่อเนื่องกันในประโยค
(แนวตอบ นักเรียนตอบตาม
พื้นฐานความรูความเขาใจ) ๒) ประโยครวมที่ซับซ้อน คือประโยครวมซึ่งประกอบด้วยประโยคสามัญมากกว่า
สองประโยคขึ้นไปโดยมีสันธานเป็นตัวเชื่อม ซึ่งเนื้อความของประโยคสามัญทั้งสองประโยคอาจเป็น
เนื้อความหรือใจความอย่างเดียวกันหรือต่างกันก็ได้
สํารวจคนหา ๑. ประโยครวมที่ซับซ้อนมีส่วนประกอบเป็นประโยคสามัญที่ซับซ้อน
นักเรียนจับคูกับเพื่อนคนหา การอ่านมิได้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้เท่านั้นแต่ยังเป็นเครื่องมือ

ความรูเกี่ยวกับประโยครวมที่ซับซอน สืบทอดทางวัฒนธรรมของคนรุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย ประโยคนี้มีประโยคสามัญ ๒ ประโยค มีสันธาน แต่


จากหนังสือเรียน ในหนา 172 - 173 เป็นตัวเชื่อม
ประโยคสามัญ ค�าเชื่อม ประโยคสามัญ
อธิบายความรู การอ่านมิได้เป็นเครื่องมือในการแสวงหา แต่ (การอ่าน) ยังเป็นเครื่องมือสืบทอดทาง
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ ความรู้เท่านั้น วัฒนธรรมของคนรุ่นต่อๆ ไปอีกด้วย
อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ ภาคประธาน ภาคแสดง ค�าเชื่อม ภาคประธาน ภาคแสดง
รอบวง โดยครูสุมเรียกชื่อนักเรียน
การอ่าน มิได้เป็นเครื่องมือในการ แต่ การอ่าน ยังเป็นเครื่องมือสืบทอด
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
แสวงหาความรู้เท่านั้น ทางวัฒนธรรมของคนรุน่
• ประโยครวมที่ซับซอน หมายถึง
(แนวตอบ ประโยครวมที่ซับซอน ต่อๆ ไปอีกด้วย
คือ ประโยครวมซึ่งประกอบ ๒. ประโยครวมที่ซับซ้อน มีส่วนประกอบเป็นประโยครวม ๒ ประโยค
ดวยประโยคสามัญมากกวา สุนีย์รับประทานอาหารรสจัดแต่ฉันชอบรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ดังนั้น

สองประโยคขึ้นไปโดยมีสันธาน สุนีย์จึงปวดท้องบ่อยๆ แต่ฉันท้องเสียเป็นประจ�า


เปนตัวเชื่อม ซึ่งเนื้อความของ
ประโยคสามัญทั้งสองประโยค ประโยครวม ค�าเชื่อม ประโยครวม
อาจเปนเนื้อความหรือใจความ สุนีย์รับประทานอาหารรสจัด แต่ฉันชอบ ดังนั้น สุุนีย์ปวดท้องบ่อยๆ แต่ฉันท้องเสียเป็น
อยางเดียวกันหรือตางกันก็ได) รับประทานผลไม้รสเปรี้ยว จึง ประจ�า
• ประโยครวมที่ซับซอนมีสวน ประโยคสามัญ สันธาน ประโยคสามัญ ค�าเชื่อม ประโยคสามัญ สันธาน ประโยคสามัญ
ประกอบเปนประโยคใดไดบาง
สุนีย์ แต่ ฉันชอบ ดังนั้น สุุนีย์ปวดท้อง แต่ ฉันท้องเสีย
(แนวตอบ ประโยคสามัญที่ รับประทาน รับประทาน จึง บ่อยๆ เป็นประจ�า
ซับซอน ประโยครวม 2 ประโยค อาหารรสจัด ผลไม้
และประโยคซอน) รสเปรี้ยว

172
ขยายความเขาใจ
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
องคความรูเรื่องประโยครวมที่
ซับซอน จากนั้นใหนักเรียนสืบคนประโยคจากหนังสือพิมพ
นิตยสาร ขอความที่ปรากฏในนวนิยายหรือเรื่องสั้นมาวิเคราะห
ถึงความซับซอนของประโยควาประโยคดังกลาวเปนประโยครวม
ที่มีความซับซอนในสวนใด

172 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ
Engage Explore Explain Expand ตรวจสอบผล
Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาความซับซอนของ
๓. ประโยครวมที่ซับซ้อนมีส่วนประกอบเป็นประโยคซ้อน ประโยคซอนเกิดขึ้นไดในสวน
สมชายจะเลื อ กประชาธิ ป ไตยที่ นั ก การเมื อ งทุ จ ริ ต คอร์ รั ป ชั่ น หรื อ เลื อ ก

ใดของประโยค
เผด็จการที่ผู้น�ามีคุณธรรมประจ�าใจ (แนวตอบ นักเรียนตอบตาม
ประโยคความซ้อน ค�าเชื่อม ประโยคความซ้อน พื้นฐานความรูความเขาใจ)
สมชายจะเลือกประชาธิปไตยทีน่ กั การเมือง หรือ สมชายเลื อ กเผด็ จ การที่ ผู ้ น� า มี คุ ณ ธรรม
ทุจริตคอร์รัปชัน ประจ�าใจ สํารวจคนหา
ประโยคหลัก ค�าเชื่อม ประโยคย่อย ค�าเชื่อม ประโยคหลัก ค�าเชื่อม ประโยคย่อย นักเรียนจับคูกับเพื่อนคนหา
สมชายจะเลือก ที่ (ประชาธิปไตย) หรือ สมชายเลือก ที่ (เผด็จการ) ความรูเกี่ยวกับประโยคซอนที่
ประชาธิปไตย นักการเมือง เผด็จการ ผู้น�ามีคุณธรรม ซับซอนจากหนังสือเรียน ในหนา
ทุจริตคอร์รัปชัน ประจ�าใจ 173 - 174

๓) ประโยคซ้ อ นที่ ซั บ ซ้ อ น คื อ ประโยคซ้ อ นที่ ป ระกอบด้ ว ยประโยคย่ อ ยหรื อ อธิบายความรู


อนุประโยคมากกว่าหนึง่ ประโยค ประโยคย่อยทีเ่ พิม่ ขึน้ นีอ้ าจเป็นประโยคสามัญทีซ่ บั ซ้อน ประโยคซ้อน
หรือประโยครวมก็ได้ นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
๑. ประโยคซ้อนทีซ่ บั ซ้อนมีสว่ นประกอบประโยคหลักหรือประโยคย่อยเป็นประโยค
อธิบายความรูในลักษณะโตตอบ
รอบวง โดยครูสุมเรียกชื่อนักเรียน
สามัญที่ซับซ้อน
จากนั้นตั้งคําถามกับนักเรียนวา
นักเรียนก�าลังเข้าแถวอยู่กลางสนามที่เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อสัปดาห์
• ประโยคซอนที่ซับซอนหมายถึง

ที่แล้ว (แนวตอบ ประโยคซอนที่ซับซอน


ประโยคหลัก ค�าเชื่อม ประโยคย่อย คือ ประโยคซอนที่ประกอบดวย
นักเรียนก�าลังเข้าแถวอยู่กลางสนาม ที่ เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประโยคยอยหรืออนุประโยค
มากกวาหนึ่งประโยค ประโยค
ภาคประธาน ภาคแสดง ค�าเชื่อม ภาคประธาน ภาคแสดง ยอยที่เพิ่มขึ้นนี้อาจเปนประโยค
นักเรียน ก�าลังเข้าแถวอยู่กลาง ที่ (สนาม) เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อย สามัญที่ซับซอน ประโยคซอน
สนาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรือประโยครวม)
• ประโยคซอนที่ซับซอนมีสวน
ประกอบเปนประโยคใดไดบาง
(แนวตอบ ประโยคสามัญที่
ซับซอน ประโยครวม และ
ประโยคซอน)

173

ขยายความเขาใจ
ครูและนักเรียนรวมกันทบทวนองคความรูเรื่องประโยคซอนที่ซับซอน จากนั้นใหนักเรียนสืบคนประโยค
จากหนังสือพิมพ นิตยสาร ขอความที่ปรากฏในนวนิยายหรือเรื่องสั้นมาวิเคราะหถึงความซับซอนของ
ประโยควาประโยคดังกลาวเปนประโยคซอนที่มีความซับซอนในสวนใด

คูมือครู 173
ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate
Engage Explore Explain Expand

ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูทบทวนองคความรูเรื่อง
ประโยคซับซอนจากหนังสือเรียน
ในหนา 171 - 174 ๒. ประโยคซ้อนที่ซับซ้อนมีส่วนประกอบเป็นประโยครวม
2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียน ใหอาน บทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูกที่ครูและนักเรียนแสดงได้รับความสนใจเป็น

ประโยคซับซอนแตละประเภทที่ อย่างมาก
สืบคนมาไดจากสื่อตางๆ พรอม ประโยคย่อย (เป็นประโยครวม)
บทวิเคราะหโครงสรางใหฟง ประโยคหลัก ค�าเชื่อม
ประโยคสามัญ ค�าเชื่อม ประโยคสามัญ
ครูตรวจสอบความถูกตองจาก
การบรรยายของนักเรียน บทละครพู ด เรื่ อ งเห็ น แก่ ลู ก ที่ ครูแสดง และ นักเรียนแสดง
ได้รบั ความสนใจเป็นอย่างมาก

หลักฐาน ๓. ประโยคซ้อนที่ซับซ้อน มีส่วนประกอบเป็นประโยคซ้อน


แสดงผลการเรียนรู ครูบอกแก่นักเรียนทั้งหลายว่าเราควรมีิจิตใจเข้มแข็งอดทนจึงจะต่อสู้ฝ่าฟัน

กับอุปสรรคนานัปการที่เข้ามารุมล้อมรอบตัวเราได้
วิเคราะหโครงสรางประโยคสามัญ
ที่ซับซอน ประโยครวมที่ซับซอนและ ประโยคหลัก ค�าเชื่อม ประโยคย่อย (เป็นประโยคซ้อน)
ประโยคซอนที่ซับซอน ครูบอกแก่นักเรียน ว่า เราควรมีจิตใจเข็มแข็งอดทนจึงจะต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรค
ทั้งหลาย นานัปการทีเ่ ข้ามารุมล้อมรอบตัวเราได้
ประโยคหลัก ค�าเชื่อม ประโยคย่อย
NET ขอสอบป 53 เราควรมีจิตใจเข็มแข็ง อดทน ที่ (อุปสรรค) เข้ามา
ขอสอบถามวา ประโยค “มนุษย จึงจะต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรค รุมล้อมรอบตัว
ทุกคนลวนมีศักยภาพแฝงเรนเกินที่ นานัปการ เราได้
จะบรรลุภารกิจของตนเองไดอยาง
ประโยคหลัก ค�า ประโยค
งดงามทั้งสิ้น” เปนประโยคชนิดใด เชื่อม ย่อย
1. ประโยคความเดียว
เราควรมี จึง จะต่อสู้
2. ประโยคความเดียว 2 ประโยค
จิตใจ ฝ่าฟันกับ
3. ประโยคความซอน
4. ประโยคความรวม เข้มแข็ง อุปสรรค
(วิเคราะหคําตอบ เปนประโยค อดทน นานัปการ
ความซอน โดยใชคําสันธาน
“ที”่ เชือ่ มระหวางประโยคหลัก การรู้จักวิเคราะห์ความซับซ้อนของประโยค จะท�าให้นักเรียนสามารถเข้าใจข้อความที่มีความ
คือ “มนุษยทุกคนลวนมี ซับซ้อนมากขึ้นและยังสามารถน�าไปพัฒนางานเขียนของตนเอง ส�าหรับการสร้างรูปประโยคที่ซับซ้อน
ศักยภาพแฝงเรน” กับประโยค และได้ใจความสมบูรณ์เพื่อใช้สื่อสารในชีวิตประจ�าวัน
ยอย คือ “เกินจะบรรลุภารกิจ
ของตนเองไดอยางงดงาม” 174
ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 3.)

174 คูมือครู
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ
ครูชวนนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับ
ระดับภาษา โดยครูอาจเปดคลิป
๒ ระดับภาษา เสียงการอานขาวในพระราชสํานักให
ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวและสังคม นักเรียนฟง จากนั้นชี้ใหเห็นวาระดับ
ซึ่งลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะท�าให้การใช้ภาษามีความแตกต่างกัน ดังนั้นผู้ส่งสารควร ภาษาเปนสิ่งที่มีความเกี่ยวของกับ
ค�านึงถึงสถานภาพทางสังคม ประสบการณ์ และความรู้ของผู้รับสาร ภาษาไทยแบ่งระดับการใช้ภาษา ชีวิตประจําวันของมนุษยในดานการ
ออกเป็นหลายระดับ ผู้ใช้ภาษาจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมตามสัมพันธภาพของบุคคล เพราะหากใช้ สื่อสารและระดับภาษาเปนลักษณะ
ภาษาผิดระดับหรือไม่เหมาะสมจะท�าให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิผล เฉพาะทางวัฒนธรรมของภาษาไทย
ที่แตกตางจากภาษาอังกฤษ จากนั้น
๒.๑ กำรแบ่งระดับภำษำ ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
ระดับภาษา สามารถแบ่งตามสถานการณ์การใช้ภาษาได้ ดังนี้ • ภาษาไทยแบงภาษาออกเปน
๑) ภาษาระดับทางการ หรืออาจเรียกว่า ภาษาแบบแผน เป็นภาษาทีใ่ ช้ในสถานการณ์ หลายระดับแสดงใหเห็นถึง
ที่เป็นทางการหรือเป็นพิธีการ ผู้ส่งสารมักเป็นบุคคลส�าคัญ บุคคลระดับสูงในวงวิชาการหรือสังคม ลักษณะเฉพาะของคนไทย
ผู้รับสารอาจเป็นบุคคลในวงการเดียวกันหรือประชาชนโดยทั่วไปก็ได้ ซึ่งผู้รับสารจะเป็นเพียงผู้รับรู้ อยางไร
ไม่จา� เป็นต้องมีการโต้ตอบ ภาษาระดับนีจ้ ะใช้ในการติดต่อธุรกิจ การงาน การเสนอข่าว หนังสือราชการ (แนวตอบ นักเรียนสามารถ
เอกสารราชการ งานเขียนทางวิชาการ การแสดงปาฐกถา เช่น ตอบไดอยางหลากหลายตาม
พื้นฐานความรู ความเขาใจ
ถ้าท่านทั้งหลายเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ท่านต้องเตรียมตัวที่จะเสียสละ คือ สละความมักใหญ่ ครูควรชี้แนะขอมูลที่ถูกตองวา
ใฝ่สูงส่วนตัว ความริษยาโกรธแค้นส่วนตัวเสียให้สิ้น แล้วรวมกันตัดแต่งดวงจิตซึ่งเป็นอันหนึ่ง การแบงภาษาออกเปนหลาย
อันเดียวกันขึ้นเป็นของพลีที่บูชาแห่งความรักชาติ ให้สมควรที่เราทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นคนไทย ระดับแสดงใหเห็นวา คนไทย
อันเป็นนามซึ่งให้ความภูมิใจแก่เราทั้งหลาย เปนคนออนนอมถอมตน ให
ลัทธิเอาอย่าง : อัศวพาหุ เกียรติผูที่มีชาติวุฒิ คุณวุฒิ
วัยวุฒิที่สูงกวา)
นอกจากนีภ้ าษาระดับทางการยังน�าไปใช้ในสถานการณ์ทเี่ ป็นพิธกี ารต่างๆ เช่น ค�ากล่าว
บวงสรวง ค�ากล่าวในงานพิธีส�าคัญ เช่น
สํารวจคนหา
ขอพระบรมเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าจงคุ้มครอง ครูทําสลากเทาจํานวนนักเรียน
ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยให้ผ่านพ้นอุปัทว์พิบัติภัยทั้งปวง อริราชศัตรูภายนอกอย่าล่วง เขียนหมาย 1 หมายเลข 2 และ
เข้าท�าอันตรายได้ ศัตรูหมู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพ้ภัยตัว บันดาลความสุขมั่นคงให้บังเกิดทั่ว หมายเลข 3 ในจํานวนที่เทาๆ กัน
ภูมิมณฑล บันดาลความร่มเย็นแก่อเนกนิกรชนครบคามเขตขอบ จากนั้นใหนักเรียนออกมาจับสลาก
ราชาภิสดี : ภาวาส บุนนาค ใครที่จับไดหมายเลขเดียวกันใหอยู
กลุมเดียวกัน สมาชิกในแตละกลุม
จากตัวอย่าง ภาษาระดับทางการเป็นภาษาที่ใช้ถ้อยค�าตามแบบแผนของภาษาเขียน รวมกันคนหาความรูในหัวขอตอไปนี้
มีความเคร่งครัดเรื่องไวยากรณ์และความสมบูรณ์ของประโยค • กลุมหมายเลข 1 คนหาความรู
175 ในหัวขอภาษาระดับทางการ
• กลุมหมายเลข 2 คนหาความรู
ในหัวขอภาษาระดับกึ่งทางการ
• กลุมหมายเลข 3 คนหาความรู
ในหัวขอภาษาระดับไมเปน
ทางการ

คูมือครู 175
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. นักเรียนสงตัวแทนของกลุมออก
มาอธิบายความรูที่ไดรับจากการ
ศึกษาและคนควารวมกัน นักเรียน ๒) ภาษาระดับกึง่ ทางการ หรืออาจเรียกว่า ภาษากึง่ แบบแผน เป็นภาษาทีใ่ ช้สา� หรับ
แตละกลุมบันทึกความรูที่ไดรับ การสนทนาพูดคุยกันในชีวติ ประจ�าวันหรือในโอกาสทีไ่ ม่เป็นทางการกับบุคคลทีไ่ ม่คนุ้ เคย เช่น เพือ่ นที่
จากการฟงลงสมุด รู้จัก เพื่อนที่ท�างานหรือกับบุคคลที่สนิทสนมกันพอควร แต่มีผู้อื่นที่อาวุโสกว่าร่วมสนทนาอยู่ด้วย
2. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลม เพื่อ ดังนั้นการสนทนาจึงต้องค�านึงถึงความสุภาพ ระมัดระวังการใช้ถ้อยค�า ส�านวน ควรให้เกียรติผู้ที่
อธิบายความรู โดยครูตั้งคําถาม ร่วมสนทนา ส�าหรับเนื้อหาสาระที่น�ามาสนทนา เช่น การปรึกษาเรื่องงาน การเขียนจดหมายถึงเพื่อน
และสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบ การรายงานข่าว การเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ เช่น
• ภาษาไทยแบงภาษาออกเปน
กี่ระดับ ไดแกอะไรบาง เด็กรุน่ ผมถ้าไปโรงเรียนถูกครูเฆีย่ น รูถ้ งึ หูพอ่ แม่ตอ้ งเจอไม้เรียวอีกรอบ โทษฐานไปท�าเกเร
(แนวตอบ 3 ระดับ ภาษาทางการ ขายหน้าพ่อแม่ ภาษาขาไพ่เรียกว่าโดนสองเด้ง แต่เด็กรุ่นนี้ถูกครูเฆี่ยน พ่อแม่เอาเรื่องกับครูให้
ภาษากึ่งทางการ และภาษา เห็นด�าเห็นแดงไปข้างเลย
ระหว่างคนสองรุ่น ตามประสาการ์ตูนนิสต์ : ชัย ราชวัตร
ไมเปนทางการ)
• ภาษาไมเปนทางการ มีลักษณะ นอกจากนีภ้ าษาระดับกึง่ ทางการยังน�าไปใช้ในสถานการณ์ เช่น การอภิปราย การประชุม
อยางไร การบรรยายในชั้นเรียน เช่น
(แนวตอบ ภาษาไมเปนทางการ
คือ ภาษาที่ผูใชไมเครงครัด อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ประหลาดอะไรนะครับ วัฒนธรรมมีชีวิตของตนเอง เมื่อถอนเอามาปลูก
ในเรื่องไวยากรณ ใชกับบุคคล ในอีกสังคมหนึง่ ก็เป็นธรรมดาทีว่ ฒ ั นธรรมจะปรับเปลีย่ นตัวเองให้สอดคล้องกับวิถชี วี ติ ใหม่ในสังคม
ที่มีความสัมพันธกันในระดับ ใหม่ ด้วยเหตุดงั นัน้ อะไรทีถ่ กู ตัง้ ยีห่ อ้ ว่าเป็นจีน เป็นแขก เป็นฝรัง่ ในเมืองไทยนัน้ เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่
ครอบครัว เพื่อนสนิท) จีน ไม่ใช่แขก และไม่ใช่ฝรั่ง เพราะถูกท�าให้มีลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นในเมืองไทยไปแล้วทั้งนั้น
• ภาษากึ่งทางการ มีลักษณะ ความเป็นอินเดียของวัฒนธรรมไทย ในวัฒนธรรมคนจน : นิธิ เอียวศรีวงศ์
อยางไร จากตัวอย่าง ภาษาระดับกึง่ ทางการมีลกั ษณะการใช้ถอ้ ยค�าทีป่ ะปนกันระหว่างภาษาพูด
(แนวตอบ ภาษากึ่งทางการ คือ
และภาษาเขียน เพือ่ ให้เกิดความรูส้ กึ เป็นกันเองกว่าภาษาระดับทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างผูส้ ง่ สาร
ภาษาที่ใชพูดและเขียนกัน
และรับสารมีความใกล้ชดิ กันมากขึน้ ความถูกต้องทางไวยากรณ์และการเรียบเรียงประโยคลดระดับลง
ในชีวิตประจําวัน มีลักษณะ
จากภาษาระดับทางการ
ทางไวยากรณเพิ่มมากขึ้น มี
การกลั่นกรองการใชถอยคํา ๓) ภาษาระดับไม่เป็นทางการ เป็นภาษาทีใ่ ช้พดู สนทนากันในชีวติ ประจ�าวันระหว่าง
เพิ่มขึ้น) บุคคลที่มีความสนิทสนม คุ้นเคยกันเป็นพิเศษ เช่น ในกลุ่มเพื่อน บุคคลในครอบครัว ซึ่งสถานที่ที่
• ภาษาทางการมีลักษณะอยางไร เหมาะสมส�าหรับการสนทนาด้วยภาษาระดับไม่เป็นทางการหรืออาจเรียกว่าภาษาระดับกันเอง เป็น
(แนวตอบ ภาษาที่มีความ สถานที่ส่วนตัว ภาษาระดับไม่เป็นทางการอาจฟังดูแล้วไม่สุภาพ ปะปนไปด้วยค�าคะนอง ค�าหยาบ
เครงครัดในเรื่องไวยากรณ ค�าภาษาถิน่ ค�าภาษาต่างประเทศ ภาษาในระดับนีเ้ หมาะสมทีจ่ ะใช้สา� หรับการพูดในชีวติ ประจ�าวันกับ
จะตองมีความถูกตองตาม บุคคลทีค่ นุ้ เคยกันและอาจใช้ในภาษาเขียนในรูปแบบของนิทาน เรือ่ งสัน้ นวนิยาย เพือ่ สร้างบรรยากาศ
หลักวิชา) และความสมจริงให้แก่ตัวละครภายในเรื่อง เช่น

176

176 คูมือครู
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ
นักเรียนนําองคความรูเกี่ยวกับ
ระดับภาษามาใชแตงประโยคที่ใชคํา
“แกเอาวัวออกไป...เอาออกไปไอ้พวกฉิบหาย...ลูกกูก�าลังจะตายให้กูไปซื้อยาก่อน” เดียวกัน โดยจะตองแสดงประโยค
นางร้องเสียงหลงรีบเอามือยึดราวสะพานไว้อย่างหมิ่นเหม่ ทั้ง 3 ระดับ คือ ภาษาไมเปนทางการ
“นี่จะแกล้งกูไปท�าไม...อย่าแกว่งสะพาน...ว้ายๆ บอกว่าอย่าแกว่งๆ” นางโวยวายไม่ได้ ภาษากึ่งทางการและภาษาทางการ
ศัพท์
“นี.่ ..นาง นางอย่าดิน้ ให้มนั มากนักซี น�า้ ยางหกหมดแล้วเห็นมัย้ ...โอย กูจะบ้าตาย...มาเจอ
ดีๆ ทัง้ นัน้ ” คนขายน�า้ ยางตะโกนข้ามมาอีกฟากหนึง่ ดูเหมือนเขาจะทนไม่ได้อกี ต่อไปแล้ว ตรวจสอบผล
ไพฑูรย์ ธัญญา ครูตรวจสอบความถูกตองของ
จากตัวอย่าง ภาษาระดับไม่เป็นแบบแผน จะไม่เคร่งครัดไวยากรณ์หรือความสมบูรณ์ ประโยคที่นักเรียนแตงขึ้น
ของประโยค ใช้ส�าหรับสื่อสารในชีวิตประจ�าวันกับบุคคลใกล้ชิด มักปรากฏค�าในสมัยนิยม ค�าตัด
ค�าที่สะดวกในการออกเสียงพูด ค�าภาษาต่างประเทศ ค�าต�่า ค�าสแลง
@
๒.๒ ตัวอย่ำงกำรใช้ภำษำระดับต่ำงๆ มุม IT
ภาษาทั้ง ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับทางการ กึ่งทางการ และไม่เป็นทางการ เป็นการแบ่งระดับ ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระดับภาษา
ภาษาตามสถานการณ์ที่ใช้ในชีวิตประจ�าวัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวมีผลต่อการก�าหนดรูปแบบของ ตางๆ ไดจากเว็บไซตของ Thai
ถ้อยค�า ส�านวนโวหาร การเรียงเรียบประโยค และความเคร่งครัดไวยากรณ์ของภาษาระดับต่างๆ ซึ่ง Educational Portal http://blog.
ตารางเปรียบเทียบนี้ จะแสดงให้เห็นความแตกต่างทางไวยากรณ์ โดยใช้ประโยคทีม่ คี วามหมายเดียวกัน eduzones.com/yimyim/3359
มาเรียบเรียงด้วยถ้อยค�าที่แตกต่างกันในแต่ละระดับ ดังนี้
ภาษาไม่เป็นทางการ ภาษากึ่งทางการ ภาษาทางการ หลักฐาน
ตุ๋นเมียพ่อค้าขายเสื้อผ้า แฟนพ่อค้าขายเสื้อผ้าถูกหลอก ภรรยาพ่อค้าขายเสื้อผ้า แสดงผลการเรียนรู
ถูกคนร้ายหลอก แตงประโยคโดยใชคําเดียวกัน ใน
อย่ายื่นแขนออกไปนอกรถ อย่ายื่นแขนออกไปนอกรถนะ กรุณาอย่ายื่นแขนออกไปจาก ระดับภาษาที่แตกตางกัน 3 ประโยค
รถครับ ลงสมุด
แม่ค้าขายผลไม้โดนยี่ปั๊วตุ๋น แม่ค้าขายผลไม้ถูกยี่ปั๊วหลอก แม่ค้าขายผลไม้ถูกพ่อค้า
คนกลางหลอก
ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่นี้ ขอให้ ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ ผมขอให้ ในศุภวารดิถีขึ้นปีใหม่ ขอ
เธอและครอบครัว มีแต่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้ อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย
ความสุขเยอะๆ นะ เธอและครอบครัวมีความสุข ดลบันดาลให้คุณพรศิริ และ
ตลอดไปนะ ครอบครัวประสบแต่ความสุข
ความเจริญตลอดกาลนาน
เทอญ

177

คูมือครู 177
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
รูปแบบการใชภาษาระดับตางๆ
จากหนังสือเรียนในหนา 178 - 179 ๓ รูปแบบการใช้ภาษาระดับต่างๆ
๓.๑ การเขียนเรียบเรียงประโยค
อธิบายความรู การเรียบเรียงประโยคในภาษาแบบแผนหรือภาษาทางการ จะต้องระมัดระวังการใช้ภาษา
ให้สละสลวย เนื้อหาให้มีความต่อเนื่องกลมกลืนกัน เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การกล่าวค�าปราศรัย
นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ หรือการกล่าวต้อนรับแขกผู้มาเยือนระดับประเทศมักเตรียมวาทนิพนธ์ไว้ล่วงหน้า
อธิบายความรู โดยครูตั้งคําถามวา
• ความแตกตางกันของภาษาทั้ง บทสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี
3 ระดับปรากฏในลักษณะใด
บาง ความสัมพันธ์ไทย - ลาวที่ด�าเนินมายาวนานและมีรากฐานหยั่งลึกบนขนบธรรมเนียม
(แนวตอบ ภาษาทั้งสามระดับ ประเพณี ศาสนาและภาษา ถือเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้ความร่วมมือไทย - ลาว ด�าเนิน
มีความแตกตางกันในดาน ไปด้วยความเข้าใจและเกือ้ กูลซึง่ กันและกัน ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความเจริญ
ตางๆ ดังนี้ ให้กับไทยและลาวเพียงสองฝ่ายเท่านั้น หากยังสามารถขยายเป็นความร่วมมือที่กว้างขวางขึ้นเพื่อ
1. การเขียนเรียบเรียงคํา อ�านวยประโยชน์ให้กับฝ่ายนั้นๆ รวมทั้งสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้กับอนุภูมิภาคหรือภูมิภาค
เขาประโยค โดยภาษา โดยรวมได้ด้วย ดังที่โครงการน�้าเทิน ๒ ได้แสดงให้เห็นแล้วอย่างเป็นรูปธรรม
กึ่งทางการและทางการจะ
ตองระมัดระวังการใชภาษา ๓.๒ กลวิธกี ารน�าเสนอ
สื่อความใหชัดเจนถูกตอง ภาษาทางการและพิธีการจะน�าเสนอตามรูปแบบที่ก�าหนดไว้แล้ว เช่น ค�ากราบบังคมทูล
ตามหลักไวยากรณ วางสวน หรือค�ากล่าวรายงานจะต้องใช้ค�าขึ้นต้นและค�าลงท้ายตามแบบแผนที่ก�าหนด ถ้าเป็นการน�าเสนอทาง
ขยายใหถูกที่ เวนวรรคตอน วิทยุโทรทัศน์ เช่น ประกาศหรือแถลงการณ์ กลวิธีการน�าเสนอจะใช้ระดับภาษาไม่เจาะจงสื่อสารไปที่
ใหถูกตอง เปนตน ผู้ใด แต่จะมุ่งไปที่สาธารณชนเป็นหลัก
2. กลวิธีการนําเสนอ ภาษา
กึ่งทางการและภาษาทางการ ประกาศกรมควบคุมโรค
จะมีการนําเสนอตามรูปแบบ
การป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่เกิดในฤดูหนาวของประเทศไทย
ที่ไดกําหนดไว เปนมาตรฐาน
เดียวกัน -----------------------------------------
3. ถอยคํา ลักษณะของถอยคําที่ เนื่องจากขณะนี้เข้าสู่หน้าหนาว สภาพอากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง ท�าให้มีอากาศหนาวเย็น
ใชจะมีลักษณะที่แตกตางกัน ปกคลุมเกือบทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ในพื้นที่
ภาษากึ่งทางการและทางการ ทีเ่ ป็นภูเขาสูง ป่าไม้ มีอากาศหนาวเย็นมาก การเปลีย่ นแปลงของสภาพอากาศอาจเป็นสาเหตุของ
จะใชถอยคําที่แสดงความ โรคหลายชนิด เนื่องจากเชื้อโรคจะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น สามารถแพร่กระจายได้ง่าย
สุภาพและเปนทางการใน และรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนทีอ่ าศัยและนักท่องเทีย่ วทีเ่ ดินทางไปเทีย่ วในบริเวณ
ขณะที่ภาษาไมเปนทางการ ดังกล่าว
จะไมเครงครัดเรื่องไวยากรณ
แตสามารถสือ่ สารใหเขาใจได) 178

178 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
1. นักเรียนสังเกตวิธีการสนทนาของ
ตนเอง โดยจับคูกับเพื่อนสมมติ
๓.๓ ถ้อยค�า บทบาทใหเพื่อนเปนครูหรือเปน
ภาษาทีใ่ ช้ในระดับทางการ สรรพนามบุรษุ ที ่ ๑ ได้แก่ กระผม ผม ดิฉนั และข้าพเจ้า สรรพนาม ผูใหญที่ตองสนทนาดวย และ
ฝ่ายผู้รับสารจะใช้ ท่าน ท่านทั้งหลาย ส่วนภาษาระดับกึ่งทางการ สรรพนามบุรุษที่ ๑ จะใช้ ฉัน ผม สมมติบทบาทใหเพื่อนเปนพี่นอง
ดิฉัน กัน เรา หนู สรรพนามแทนผู้รับสารจะใช้ เธอ คุณ ท่าน ตัว แก ฯลฯ หรือคนในครอบครัวเดียวกัน
ถ้อยค�าที่ใช้ไม่ตรงกันในภาษาทางการและภาษากึ่งทางการหรือภาษาสนทนา เช่น สังเกตและจดบันทึกความ
แตกตางลงในสมุด
ระดับภาษาทางการ ระดับภาษากึ่งทางการและภาษาสนทนา 2. นักเรียนคนหาความรูในประเด็น
โรงภาพยนตร์ โรงหนัง องคประกอบในการเลือกใชระดับ
ภาษาเพื่อการสื่อสาร จากหนังสือ
ใบอนุญาตขับรถ ใบขับขี่
เรียน หรือจากเว็บไซตทางการ
หนังสือรับรอง ใบรับรอง ศึกษา
อัคคีภัย เพลิงไหม้ ไฟไหม้
ดวงตราไปรษณียากร แสตมป์ อธิบายความรู
เครื่องบิน เรือบิน นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
อุทกภัย น�้าท่วม อธิบายความรูที่ไดจากการสังเกต
แจ้งให้ทราบ บอกให้รู้
บทสนทนาของตนเองจากนั้นครูตั้ง
คําถามกับนักเรียนวา
• นักเรียนคิดวาบทสนทนาที่
๔ องค์ประกอบในการเลือกใช้ระดับภาษาเพือ่ การสือ่ สาร นักเรียนสนทนากับเพื่อนทั้งใน
ในการเลือกใช้ระดับภาษาเพื่อการสื่อสารมีปัจจัยที่ก�าหนดการเลือกใช้ระดับภาษา ดังนี้ สถานการณที่เพื่อนเปนครู และ
๔.๑ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล เพื่อนเปนคนในครอบครัวมี
สัมพันธภาพหรือความสัมพันธ์ระหว่างผูส้ ง่ สารกับผูร้ บั สาร หมายถึง บทบาททางสังคมระหว่าง ความแตกตางกันอยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบ
ผู้ส่งสารกับผู้รับสารซึ่งจะมีส่วนก�าหนดให้ระดับภาษาที่ใช้มีความแตกต่างกันออกไปทุกครั้งที่มีการ
ไดอยางหลากหลาย ตามขอมูล
สื่อสาร ดังนั้นผู้ส่งสารจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า เราเป็นใคร ผู้ที่เราจะสื่อสารด้วยเป็นใคร ซึ่งการค�านึง
ที่นักเรียนสังเกตและบันทึกไว
ถึงเหตุดงั กล่าวจะส่งผลให้การเลือกใช้ระดับภาษามีความแตกต่างกันแม้วา่ จะสือ่ สารเรือ่ งเดียวกันก็ตาม
ครูควรสงเสริมใหนักเรียนทุกคน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ถูกก�าหนดด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ
ไดมีโอกาสอธิบายความรู หลัง
ชนชั้นทางสังคม ความเกี่ยวข้อง สถานภาพและบทบาททางสังคม เช่น เจ้านายกับลูกจ้าง อาจารย์
จากนั้นใหครูและนักเรียนสรุป
กับลูกศิษย์ ความสัมพันธของบทสนทนากับ
สัมพันธภาพระหวางบุคคล)
179

NET ขอสอบป 52
ขอสอบถามวา สํานวนใดกลาวถึงการใชภาษาใหเหมาะสมกับฐานะบุคคล
1. คนยากวาผี คนมีวาศพ 2. ผูดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน
3. เขาเมืองตาหลิ่ว ตองหลิ่วตาตาม 4. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง
(วิเคราะหคําตอบ สังเกตจากคําวาผีและศพ มีความหมายเดียวกันแตใชตางกันตามสถานภาพของบุคคล
ดังนั้นจึง ตอบ ขอ 1.) คูมือครู 179
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูทบทวนองคความรูที่เกี่ยวของ
กับระดับภาษาใหแกนักเรียน
หลังจากนั้นใหนักเรียนใช ๔.๒ กำลเทศะ
องคความรูทั้งหมดพิจารณา กาลเทศะ หมายถึง เวลาและสถานที่ในการใช้ภาษา ซึ่งการใช้ภาษาในแต่ละครั้งนอกจาก
ขอความตอไปนี้ ผู้ส่งสารจะค�านึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารแล้ว ผู้ส่งสารต้องส�ารวจตนเองว่าก�าลัง
“ขอพระราชทานกราบบังคม ใช้ภาษาอยู่ในสถานที่ใด เมื่อไร แล้วจึงเลือกใช้ระดับภาษาให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ เช่น ถ้า
ทูลทราบฝาละอองธุลีพระบาท นักเรียนพูดกับเพื่อนที่สนิทสนมในห้องประชุมกับที่ร้านอาหารตอนพักกลางวัน ระดับภาษาที่ใช้พูดก็
สภามหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะมีความแตกต่างกัน เช่น สถานการณ์ ที่รัชนีพูดกับวิลาวรรณเรื่องงาน
จึงมีมติเปนเอกฉันท ขอ ที่ร้านอาหาร : ฉันว่างานนี้เหมาะสมกับเธอนะ ท้าทายความสามารถของเธอ เธอไม่คิดจะ
พระราชทาน ทูลเกลาทูล ลองท�าดูเหรอ
กระหมอมถวายปริญญา ที่ห้องประชุม : ดิฉนั คิดว่างานนีเ้ หมาะสมกับคุณวิลาวรรณ คุณวิลาวรรณลองพิจารณารับไป
ศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต ท�าไหมคะ
กิตติมศักดิ์ สาขาวิชาทัศนศิลป
แดพระบาทสมเด็จพระบรมชนกา ๔.๓ เนือ้ หำสำระ
ธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดช เนื้อหาสาระ หมายถึง เรื่องที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อสารกับผู้รับสาร เช่น สื่อสารเรื่องเกี่ยวกับ
มหาราช บรมนาถบพิตร” คอมพิวเตอร์ การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ เนื้อหาสาระของเรื่องที่จะสื่อสารจะส่งผลต่อการ
จากขอความดังกลาวใหนักเรียน เลือกใช้ระดับภาษา
วิเคราะหระดับภาษาวา ๔.๔ วิธใี นกำรสือ่ สำร
• ขอความดังกลาวมีลักษณะ
วิธีในการสื่อสาร เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการเลือกใช้ระดับภาษา กล่าวคือ การใช้ภาษาที่
การเรียบเรียงประโยค กลวิธี
การนําเสนอ ถอยคําที่ใชอยู มีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารเหมือนกัน แต่ถ้าวิธีในการสื่อสารต่างกันจะส่งผลให้ลักษณะการใช้ภาษามี
ในสถานการณใด สัมพันธภาพ ความแตกต่างกัน เช่น ภาษาโฆษณาทางวิทยุ ต้องเน้นเรื่องเสียงให้มีความชัดเจน ได้ใจความครบถ้วน
ระหวางบุคคลเปนอยางไร เพราะไม่มีภาพประกอบ ส่วนภาษาโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์จะใช้ภาพในการสื่อสารเป็นหลัก ค�าพูด
(แนวตอบ จากขอความดังกลาว เป็นเพียงส่วนประกอบและจะสั้นกว่าการโฆษณาด้วยวิธีการอื่น วิธีการสื่อสารที่มีลักษณะเปิดเผย
มีลักษณะการเรียบเรียงประโยค แม้จะส่งสารถึงเพือ่ นใกล้ชดิ สนิทสนม ก็ไม่ควรใช้ภาษาระดับกันเอง เพราะถ้ามีผอู้ นื่ มาเห็นเข้าก็จะเกิด
ที่มีความเหมาะสม ถูกตอง ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้ส่งสารได้ ถ้าเป็นการสื่อสารผ่านมวลชนก็ยิ่งจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
ตามหลักไวยากรณ วางสวน
ประกอบของประโยคถูกตอง มี การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสถานภาพทางสังคมของแต่ละบุคคลแสดง
กลวิธีการนําเสนอตามที่กําหนด ให้ เ ห็ น วั ฒ นธรรมทางภาษาที่ ดี ง ามอั น เป็ น เอกลั ก ษณ์ ข องชาติ ไ ทย ทั้ ง ยั ง สะท้ อ น
ถอยคํามีลักษณะเปนภาษา ถึ ง ลั ก ษณะของคนไทยที่ มี ค วามสุ ภ าพ อ่ อ นน้ อ ม ให้ เ กี ย รติ กั น และมี ค วามเคารพ
ระดับทางการ อยูในโอกาสที่ ยกย่องบุคคล ผู้ที่ใช้ภาษาได้เหมาะสมจะสามารถสื่อสารทั้งการพูด การเขียนได้อย่าง
เปนทางการ เปนงานพระราช- มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและได้ รั บ การยกย่ อ งว่ า เป็ น ผู ้ มี ม ารยาท รู ้ จั ก การใช้ ภ าษาได้ ดี แ ละ
พิธี สะทอนใหเห็นสัมพันธภาพ มีวัฒนธรรมทางภาษาที่ดีงาม
ระหวางบุคคล คือ ผูกลาวเปน
สามัญชนกําลังกราบบังคับทูล 180
พระมหากษัตริย)
2. นักเรียนนําองคความรูเกี่ยวกับ
ระดับภาษามาใชแตงประโยค
หรือขอความใหถูกตองตามระดับ ตรวจสอบผล หลักฐาน
ภาษา บุคคล และกาลเทศะ คนละ
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออานตัวอยางประโยค แสดงผลการเรียนรู
5 ประโยค ที่แตง ครูเปนผูประเมินความถูกตองของ ตัวอยางประโยคที่นักเรียนแตงขึ้น
ประโยค โดยยึดหลักของไวยากรณ ระดับภาษา จํานวน 5 ประโยค
บุคคล กาลเทศะ และไดใจความสมบูรณ
2. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวยการเรียนรู
180 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. ประโยคแบงตามโครงสรางได
3 ชนิด คือ ประโยคความเดียว
๑. ประโยคแบงตามโครงสรางไดกี่ชนิด อะไรบาง จงอธิบาย หรือประโยคสามัญ ประโยครวม
๒. ประโยคซอนและประโยครวมเหมือนหรือแตกตางกันอยางไร จงอธิบายพรอมยกตัวอยาง และประโยคซอน
๓. ภาษาสแลงมีลักษณะอยางไรและถามีการใชภาษาสแลงอยางตอเนื่อง จะสงผลอยางไรตอการใช 2. ประโยครวม คือ ประโยคที่
ภาษาไทย จงอธิบาย มี 2 ประโยคมารวมกันโดยมี
๔. การเลือกใชระดับภาษาเพื่อการสื่อสารขึ้นอยูกับองคประกอบใดบาง คําสันธานเปนตัวเชื่อม สวน
๕. การเรียนรูเรื่องระดับภาษา ใหประโยชนตอการสื่อสารในชีวิตประจําวันของนักเรียนอยางไร ประโยคซอน คือ ประโยคที่มี
ประโยคหลักและประโยคยอย
ที่เปนสวนขยายเรียกวา
อนุประโยค
3. ภาษาสแลง หมายถึง คําศัพท
ที่วัยรุนใชสื่อสารกัน เขาใจ
ความหมายซึ่งกันและกัน เชน
เด็กแวน หมายถึง กลุมเด็กที่
ชอบซิ่งจักรยานยนต แอบแบว
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู
ทําตัวเปนเด็กวัยรุนไรเดียงสา
4. การใชระดับภาษาเพื่อการ
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนรวบรวมประโยคสามัญ ประโยคซอน ประโยครวม แลวนํามาวิเคราะห สื่อสาร ผูใชจะตองคํานึงถึง
สวนประกอบของประโยคอยางนอยประเภทละ ๑๐ ประโยค สัมพันธภาพระหวางบุคคล
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนรวบรวมคําราชาศัพทจากแหลงคนควาในหนังสือพิมพ นิตยสาร บทความ
กาลเทศะ เนื้อหาและสื่อที่ใช
เรื่องสั้น นวนิยาย ลงสมุดสงครูผูสอน
5. การเรียนรูเรื่องระดับภาษา
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนรวมกลุมกันอภิปรายถึงประโยชนของการใชภาษาใหเหมาะสมกับบุคคล
จากนั้นสงตัวแทนของกลุมออกมาสรุปผลการอภิปรายที่หนาชั้นเรียน
ทําใหสามารถสื่อสารใน
ชีวิตประจําวันไดอยางถูกตอง
เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
บรรลุจุดประสงคที่ตั้งไว)

181

คูมือครู 181
กระตุน ความสนใจ
Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)
เปาหมายการเรียนรู
1. อธิบายลักษณะของโคลงสี่สุภาพ
ไดทั้งลักษณะบังคับคณะ ลักษณะ
บังคับเอก-โท ลักษณะบังคับสัมผัส
2. แตงโคลงสี่สุภาพถูกตองตาม
ฉันทลักษณและมีความไพเราะ

กระตุนความสนใจ
นักเรียนดูภาพประกอบหนาหนวย
จากนั้นครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา
• บุคคลในภาพกําลังอยูใน
สถานการณใดและใชทักษะ
ในการสื่อสารประเภทใด
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
พื้นฐานความรูและความเขาใจ
คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ

ó
ครูผูสอน)
• การแตงบทรอยกรองประเภท
ใดที่สามารถแตงไดงายที่สุด
เพราะเหตุใด หนวยที่
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ
ตอบไดอยางหลากหลาย ตาม
การแตงบทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
พื้นฐานความรูและความเขาใจ) ตัวชี้วัด
■ แตงบทรอยกรอง (ท ๔.๑ ม.๓/๖) การแตงบทรอยกรองประเภทโคลงสี่
สุภาพ จําเปนตองมีความรูเบื้องตนในการ
แตงทัง้ ดานฉันทลักษณทเี่ ปนขอบังคับทัว่ ไป
เกร็ดแนะครู และลักษณะนิยม รวมไปถึงความไพเราะและ
ครูสามารถคนควารายละเอียด แนวคิดของบทรอยกรองซึง่ ผูแ ตงตองคํานึงถึง
สาระการเรียนรูแกนกลาง คุณคาที่จะฝากไวใหผูอานไดรับประโยชนและ
เพิ่มเติมเกี่ยวกับฉันทลักษณของคํา ความประทับใจในการอานบทรอยกรอง
แตงบทรอยกรองประเภทโคลงสีส่ ภุ าพ
ประพันธไดจากหนังสือพจนานุกรม ■

วรรณกรรมไทย ภาคฉันทลักษณ
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

182 คูมือครู
สํารวจคนหา อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Expand Evaluate

สํารวจคนหา
นักเรียนรวมกันสํารวจคนหา
เกี่ยวกับความหมายของโคลงและ
๑ ÅѡɳÐâ¤Å§ ฉันทลักษณของโคลงสี่สุภาพ
โคลงเปนรูปแบบของบทรอยกรองประเภทหนึ่งที่บังคับคณะ สัมผัส คําเอก คําโท เปน
บทรอยกรองเกาแกของไทย ปรากฏครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจาอูทอง) ใน
ลิลิตโองการแชงนํ้า วรรณคดีเลมแรกของไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา อธิบายความรู
โคลง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายถึง คําประพันธประเภทหนึง่ 1. นักเรียนยืนในลักษณะวงกลมเพื่อ
ที่มีจํานวนคําในวรรค สัมผัสและบังคับเอก โท ตามตําราฉันทลักษณ อธิบายความรูที่ไดจากการศึกษา
คนควารวมกับเพื่อน โดยครูตั้ง
๒ »ÃÐàÀ·¢Í§â¤Å§ ประเด็นใหนักเรียนอธิบายความรู
โคลงจําแนกตามลักษณะทางรูปแบบมี ๒ ประเภท คือ โคลงสุภาพและโคลงดั้น เปนโคลงที่ เกี่ยวกับความหมายของโคลง
แตงกันมาแตเดิม ตอมาไดมีการแตงเพิ่มลักษณะบังคับพิเศษเปลี่ยนแปลงลักษณะบางอยาง ทําใหมี (แนวตอบ โคลง คือ บทรอยกรอง
โคลงตามลักษณะพิเศษ ๒ ประเภท คือ โคลงกระทูและโคลงกลบท ประเภทหนึ่งของไทยที่มีการบังคับ
โคลงสุภาพ แบงออกเปน คณะ สัมผัส เอก-โท โดยเปนบท
๑. โคลงสองสุภาพ รอยกรองที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา
๒. โคลงสามสุภาพ โคลง ตามความหมายในพจนานุกรม
๓. โคลงสี่สุภาพ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554
๔. โคลงจัตวาทัณฑี หมายถึง คําประพันธประเภทหนึ่ง
๕. โคลงตรีพิธพรรณ ที่มีจํานวนคําในวรรค สัมผัสบังคับ
โคลงดั้น แบงออกเปน เอก โท ตามตําราฉันทลักษณ)
๑. โคลงสองดั้น 2. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่ออธิบาย
๒. โคลงสามดั้น ความรูเกี่ยวกับฉันทลักษณของ
๓. โคลงสี่ดั้น แบงออกเปน ๓ ชนิด โคลงสี่สุภาพ
■ โคลงดั้นบาทกุญชร

■ โคลงดั้นวิวิธมาลี

■ โคลงดั้นสินธุมาลี

โคลงกระทู คือโคลงสี่สุภาพที่แตงใหมีเนื้อความตามหัวขอหรือกระทูที่ตั้งไว โดยใชกระทูนั้น


เปนสวนนําเนื้อความแตละบาท โคลงกระทูแบงตามเนื้อความของกระทูไดเปน ๒ ประเภท คือ
โคลงกระทูความและโคลงกระทูแผลง แบงตามการวางกระทูไดเปน ๒ ประเภท คือโคลงกระทู
ความเนื่องและโคลงกระทูยืน ถาแบงตามจํานวนคําหรือพยางคของกระทูไดเปน ๔ ประเภท คือ
โคลงกระทู ๑ คํา โคลงกระทู ๒ คํา โคลงกระทู ๓ คํา และโคลงกระทู ๔ คํา
โคลงกลหรือโคลงกลบท คือโคลงที่เพิ่มบังคับคําพิเศษตางๆ ลงในแบบรูป แบงออกเปน ๒
ชนิด ไดแก โคลงกลบทและโคลงกลอักษร

๑๘๓

คูมือครู 183
กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา
Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate

กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


ใหนักเรียนฟงเพลงปลุกใจที่ครูนํา
มา
“ใครรานใครรุกดาว แดนไทย ๓ การแต่งโคลงสี่สุภาพ
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น ลักษณะบังคับของโคลงสี่สุภาพ
เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล ยอมสละ สิ้นแล ๑) คณะ คือกลุ่มค�าที่จัดให้มีลักษณะตรงตามรูปแบบฉันทลักษณ์ของร้อยกรองแต่ละ
เสียชีพไปเสียสิ้น ชื่อกองเกียรติงาม” ประเภท โคลงสี่สุภาพหนึ่งบทมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ ค�า วรรคหลังมี ๒ ค�า
จากนั้นครูสนทนาซักถามนักเรียน ยกเว้นบาทที่ ๔ วรรคหลังมี ๔ ค�า ซึ่งวรรคหลังของบาทที่ ๑ และ ๓ อาจเพิ่มค�าสร้อยได้อีกบาทละ
เกี่ยวกับบทเพลงนี้
๒ ค�า
• ลักษณะของเพลงนี้แตกตาง
อยางไรกับเพลงในสมัยปจจุบัน ๒) สัมผัส คื อ ค� า คล้ อ งจอง ซึ่ ง ช่ ว ยท� า ให้ ร ้ อ ยกรองมี ท ่ ว งท� า นองเสี ย งที่ ร ้ อ ยเรี ย ง
(แนวตอบ นักเรียนสามารถ เกี่ยวเนื่องกัน โดยแบ่งออกเป็น
ตอบไดอยางหลากหลายตาม สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่อยู่ภายในวรรคท�าให้ร้อยกรองมีความไพเราะ แต่ไม่ถือเป็น
ความคิดเห็น คําตอบขึ้นอยูกับ ข้อบังคับและเป็นได้ทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร
ดุลยพินิจของครูผูสอน) สัมผัสนอก เป็นสัมผัสระหว่างวรรคและระหว่างบท บังคับให้เป็นสัมผัสสระ
สัมผัสบังคับของโคลงสี่สุภาพเป็นสัมผัสสระ ก�าหนดไว้ดังนี้
ค�าที่ ๗ ของบาทที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังค�าที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และบาทที่ ๓
สํารวจคนหา
ค�าที่ ๗ ของบาทที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังค�าที่ ๕ ของบาทที่ ๔
1. นักเรียนสํารวจคนหาวาบทเพลงนี้ ๓) ค�าเอก ค�าโท ในค�าประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพจะมีการบังคับค�าเอกและค�าโท
ประพันธดวยบทรอยกรองประเภท ดังนี้
ใด ค�าเอก คือค�าที่มีเครื่องหมาย
2. นักเรียนสํารวจคนหาวาถา
วรรณยุกต์เอกก�ากับอยู่ ไม่ก�าหนดบังคับว่าค�านั้น
นักเรียนจะแตงบทรอยกรอง
จะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใด เช่น ก่า ก่อน ค่า นึ่ง
ตามประเภทที่นักเรียนสืบคนได
นักเรียนจะตองมีความรูใดบาง อื่น ฯลฯ
3. นักเรียนคนหาความรูเกี่ยวกับ ค�าโท คือ ค�าที่มีเครื่องหมาย
คําเปน คําตาย คําเอกโทษ วรรณยุกต์โทก�ากับอยู่ ไม่ก�าหนดบังคับว่าค�านั้น
คําโทโทษ จะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใด เช่น กล้า ข้าว ค้า นั้น
หั่น ฟ้า ฯลฯ
ค� า ประพั น ธ์ ป ระเภทโคลง
สี่สุภาพก�าหนดบังคับค�าที่ต้องเป็นค�าเอก ๗ แห่ง
ค�าโท ๔ แห่ง ดังนี้

วรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ เปนวรรณคดีที่เปนแบบอย่าง
ฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ

184

184 คูมือครู
อธิบายความรู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate

อธิบายความรู
1. ครูสุมเรียกชื่อนักเรียนเพื่อตอบ
คําถาม
แผนผัง โคลงสี่สุภาพ • บทเพลงดังกลาวแตงดวยคํา
  ่
 ้  (  )
 ประพันธประเภทใด เพราะเหตุใด
(แนวตอบ โคลงสี่สุภาพ โดย
่
 

 ่ ้
 สังเกตจากฉันทลักษณของ

 ่

  ่ (
 )
 คําประพันธ ลักษณะบังคับ
เอก-โท และสัมผัส)
่
  ้
 ่ ้
 
 2. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู
ตัวอย่าง เกี่ยวกับความรูเบื้องตนในการแตง
เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย บทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพ
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า (แนวตอบ การแตงบทรอยกรอง
ประเภทโคลงสี่สุภาพ ผูแตงจะ
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤๅพี่
ตองมีความรู
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ 1. คณะ ไดแก จํานวน บท บาท
(ลิลิตพระลอ)
วรรค และคํา
2. สัมผัส
ซึ่งต�าแหน่งค�าเอกที่บังคับใช้ในโคลงอาจใช้ค�าชนิดอื่นแทนได้ ดังนี้ 3. คําเอก โท
■ ค�าตาย มี ๒ ชนิด ลักษณะแรก คือค�าที่ประสมด้วยสระเสียงสั้น ไม่มีตัวสะกด เช่น นะ คะ
4. คําเปน คําตาย
นิ รึ สุ เกาะ ฯลฯ และอีกลักษณะหนึ่ง คือค�าที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นหรือยาว สะกดด้วยพยัญชนะ 5. คําเอกโทษ โทโทษ
ในมาตรา |ก| |ด| | บ| 6. คําสรอย)
3. นักเรียนรวมกันอธิบายความรู โดย
ตัวอย่าง โคลงสี่สุภาพที่ใช้ค�าตายแทนค�าเอก ครูเปนผูสุมเรียกชื่อ โดยใชคําถาม
เมืองเพชรเขาเพชรแพร้ว พรายฉาย ตอไปนี้
เฉกนุชนาฏกรกราย นพเก้า • คําเปนและคําตายหมายถึง
แสงเพริศพิศอับอาย แหวนนุช พี่เอย (แนวตอบ คําเปน หมายถึง คําที่
ยอดและยอดรุ่งเร้า รอบก้อยกลางสมร ประสมดวยสระเสียงยาว สวน
(โคลงนิราศนรินทร์) คําตาย หมายถึง คําที่ประสม
ดวยสระเสียงสั้น ไมมีตัวสะกด
■ ค�าทีป่ ระสมด้วยสระเสียงสัน้ และไม่มตี วั สะกด และค�าทีป่ ระสมด้วยสระอ�า อนุโลมให้ใช้แทน หรือคําที่ประสมดวยสระ
ต�าแหน่งค�าเอกได้ ในกรณีมีค�าที่ประสมด้วยสระอ�าเป็นได้ทั้งค�าเป็นและค�าตาย ส่วนจะเป็นค�าชนิดใด เสียงสั้นหรือยาว สะกดดวย
นั้นให้พิจารณาจากต�าแหน่งบังคับเอก - โท (ถ้าอยู่ในต�าแหน่งบังคับค�าเอกนับเป็นค�าตาย) พยัญชนะในมาตรา /ก/ /ด/ /บ/)
• คําเอกโทษ โทโทษ หมายถึง
(แนวตอบ คําเอกโทษ คือ คําที่
เปลี่ยนรูปวรรณยุกตโท เปน
185 วรรณยุกตเอก ใหตรงตําแหนง
คําเอกตามที่บังคับในคํา
ประพันธ เชน คําวา “ซู” เปน
เอกโทษ เดิมคือ “สู” สวนคํา
โทโทษ คือ คําที่เปลี่ยนรูป
วรรณยุกตเอกเปนวรรณยุกตโท
เพื่อใหตรงตําแหนงคําโทตามที่
บังคับในคําประพันธ เชน คําวา
“เหลา” เดิมคือ “เลา”)
คูมือครู 185
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate
Engage Explore Explain

ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%)


1. ครูและนักเรียนรวมกันทบทวน
องคความรูเกี่ยวกับการแตงโคลง
สี่สุภาพ ตัวอย่าง การใช้ค�าที่ประสมด้วยสระ “อ�า” แทนค�าเอกในโคลง
2. นักเรียนศึกษาพิจารณาโคลงบทนี้ พระมาแมนสาธุสร้อง ถวายพร เพิ่มแฮ
แลวปฏิบัติตามคําสั่ง มาส�าแดงไชยชาญ เชี่ยวแกล้ว
“เห็นฝายแดงดอกเตน โกงกาง
พระมารบาลบร ทุกทวีป ไส้แฮ
คนึงพาสีแดงเอง อีกเหลา มาส�าแดงฤทธิแผ้ว แผ่นดิน
นองหมอาโถงเถง นวยนาด (ยวนพ่ายโคลงดั้น)
ติดขลิบใหญไหมเขา คั่นผุงแกมทอง”
นอกจากนี้ ต�าแหน่งค�าเอกในโคลง หากค�าที่ใช้นั้นเป็นค�าโท อาจเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์โทเป็น
1. ใหขีดเสนโยงสัมผัสใหถูกตอง วรรณยุกต์เอก โดยให้มีระดับเสียงเท่าเดิม เรียกค�านั้นว่า เอกโทษ หากค�าที่อยู่ในต�าแหน่งค�าโทเป็น
2. ใหหาคําเอกโทษ โทโทษ ค�าเอก ก็เปลี่ยนรูปวรรณยุกต์เอกเป็นรูปวรรณยุกต์โท โดยให้มีระดับเสียงเท่าเดิม และเรียกค�านั้นว่า
3. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน โทโทษ
นําองคความรูเกี่ยวกับการแตง
คําประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง
มาใชเปนแนวทางในการแตงคํา เห็นฝ้ายแดงดอกเต้น โกงเกง
ประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพ คนึงพ่าสีแดงเอง อีกเหล้า (ผ้า ; เล่า)
น้องห่มอ่าโถงเถง นวยนาด
ในหัวขอที่ครูและนักเรียนเปน
ติดขลิบใหญ่ไหม้เข้า คั่นผุ้งแกมทอง (พุ่ง)
ผูกําหนดขึ้น
(กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง)
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (น.ม.ส.) ทรงนิพนธ์ไว้บทหนึ่ง โดยใช้เอกโทษ
ตรวจสอบผล โทโทษ ทุกแห่งที่บังคับค�าเอก ค�าโท ดังนี้
1. นักเรียนนําคําประพันธประเภท ตัวอย่าง
โคลงสี่สุภาพที่กลุมรวมกันแตง เชิญดูตูค่าเหล้น โคลงโลด โผนเทอญ (ข้า ; เล่น)
มาอานออกเสียงในทํานองเสนาะ ยกค่อยอประโยชน์ เค่าเหยี้ยง (ข้อ ; เข้า ; เยี่ยง)
ครูลงคะแนนคัดเลือกกลุมที่ เอกโทษท่อยโทโทษ เทียบใฮ่ เห็นฮา (ถ้อย ; ให้)
ประพันธไดถูกตองตาม แปรแซร่งแปลงถูกเถี้ยง ท่วน ถี้ดีแสดง (แสร้ง ; เที่ยง ; ถ้วน ; ที่)
ฉันทลักษณและมีความไพเราะ
2. ครูสุมเรียกตัวแทนนักเรียนออก ค�าเอกโทษ ค�าโทโทษ ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะถือว่าไม่เหมาะสม นอกจากจะหาค�าที่ตรง
มาบรรยายแนวทางการประพันธ รูปวรรณยุกต์ไม่ได้เท่านั้น
ของกลุม บทร้อยกรองถือเป็นวัฒนธรรมทางภาษาทีเ่ ป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยอย่างหนึง่
3. นักเรียนตอบคําถามประจําหนวย เพราะแสดงให้เห็นถึงสุนทรียะด้านการใช้ภาษาให้คล้องจองเป็นท่วงทำานองเดียวกัน โดย
การเรียนรู ผูแ้ ต่งบทร้อยกรองต้องเรียนรูฉ้ น
ั ทลักษณ์และลักษณะนิยมในการประพันธ์ จึงจะสามารถ
แต่งบทร้อยกรองที่มีองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ มีภาษาที่สละสลวย ผู้อ่าน ผู้ฟัง ได้
รับประโยชน์และความประทับใจจากการอ่านบทร้อยกรอง
หลักฐาน
แสดงผลการเรียนรู 186
นักเรียนแตละกลุมนําคําประพันธ
ประเภทโคลงสี่สุภาพนําเสนอผลงาน
เปนปายนิเทศบนแผนพลาสติกลูกฟูก
ตกแตงใหสวยงาม B
B พื้นฐานอาชีพ
ครูสามารถจัดการเรียนการสอนเพื่อปูทางไปสูอาชีพเฉพาะเกี่ยวกับการประพันธบทรอยกรอง
ได เชน นักประพันธ โดยจัดกิจกรรมขึ้นภายในหองเรียนหรือโรงเรียนเพื่อใหนักเรียนไดมีพื้นที่
แสดงความสามารถสงประกวดบทรอยกรองที่ประพันธขึ้นดวยตนเอง
186 คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

เกร็ดแนะครู
(แนวตอบ คําถามประจําหนวยการ
เรียนรู
คําถาม ประจําหนวยการเรียนรู 1. ๐๐๐๐๐ ่ ้ ๐๐ (๐๐)
๐๐๐๐๐่ ๐๐
่ ้
๑. จงเขียนแผนผังโคลงสี่สุภาพใหถูกตองตามฉันทลักษณ ๐๐๐๐๐ ่ ๐๐ ่ (๐๐)
๒. ยกตัวอยางคําประพันธประเภทโคลงสีส่ ภุ าพตามทีเ่ คยเห็นแลวอธิบายวามีลกั ษณะตรงตามฉันทลักษณ ๐๐๐๐๐
่ ้ ๐๐๐๐
่ ้
หรือไม อยางไร 2. จากมามาลิ่วลํ้า ลําบาง
๓. คําเอกโทษ คําโทโทษมีลักษณะอยางไร จงอธิบายและยกตัวอยาง บางยี่เรือราพลาง พี่พรอง
เรือแผงชวยพานาง เมียงมาน มานา
๔. จากคําประพันธใหนักเรียนระบุคําเอก คําโทและสัมผัสบังคับ
บางบรับคําคลอง คลาวนํ้าตาคลอ
จิบจับเจาเจาเจา รังมา
จอกจาบจั่นจรรจา จาจา
โคลงที่ยกมานี้อยูในวรรณคดี
เคาคอยคอยคอยหา เห็นโทษ เรื่องนิราศนรินทร เปนโคลง
ซอนซอนซอนสริ้วหนา นิ่งเราเอาขวัญ ที่ถือวาเปนตัวอยางของโคลง
(โคลงอักษรสามหมู่ : พระศรีมโหสถ) สี่สุภาพ มีจํานวนคําเอก คํา
๕. ปจจัยใดที่สนับสนุนใหนักเรียนอานโคลงสี่สุภาพเขาใจ เกิดความซาบซึ้งคลอยตามไปกับบทประพันธ โท ครบถวน สัมผัสตรงตาม
จงอธิบาย ฉันทลักษณ
3. คําเอกโทษ คือ คําที่เปลี่ยนรูป
วรรณยุกตโท เปนวรรณยุกตเอก
กิจกรรม สรางสรรคพัฒนาการเรียนรู ใหตรงตําแหนงคําเอกตามที่
บังคับในคําประพันธ เชน คําวา
กิจกรรมที่ ๑ นักเรียนสืบคนความหมายของคําเอกและคําโท พรอมยกตัวอยางนํามาจัดแสดงบน “ซู” เปนเอกโทษ เดิมคือ “สู”
ปายนิเทศในหองเรียน สวนคําโทโทษ คือ คําที่เปลี่ยน
กิจกรรมที่ ๒ นักเรียนแบงกลุมเลือกศึกษาบทประพันธประเภทโคลงสี่สุภาพ ถอดความและ รูปวรรณยุกตเอกเปนวรรณยุกต
วิเคราะหคณะ บังคับ สัมผัสและคําเอก คําโทของบทประพันธนาํ เสนอหนาชัน้ เรียน โท เพื่อใหตรงตําแหนงคําโท
กิจกรรมที่ ๓ นักเรียนแบงกลุม กลุมละ ๔ คน ชวยกันแตงโคลงสี่สุภาพอยางนอยกลุมละ ๑ บท ตามที่บังคับในคําประพันธ เชน
โดยเลือกประพันธจากหัวขอที่สนใจ คําวา “เหลา” เดิมคือ “เลา”
4. คําเอก ไดแก เจา จา คอย
คําตายที่ใชแทนคําเอก ไดแก
จาบ โทษ ซอน นิ่ง
คําโท ไดแก เจา จา หนา เรา
สัมผัส ไดแก มา จา หา จา หนา
5. สาเหตุที่ทําใหสามารถอานโคลง
สี่สุภาพไดเขาใจ เปนเพราะ
มีความเขาใจในฉันทลักษณ
187 ของบทประพันธ ศึกษาเรื่อง
ความหมายของคํา ฝกการอาน
ตีความ)

คูมือครู 187
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

(ยอจากฉบับนักเรียน 20%)

บรรณานุกรม
กองเทพ เคลือบพณิชกุล. (๒๕๔๒). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
กาญจนา นาคสกุล และคณะ. (๒๕๒๔). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย.
กุสุมา รักษมณี. (๒๕๓๔). สีสันวรรณกรรม. กรุงเทพฯ : ศยาม.
กุสุมา รักษมณี และคณะ. (๒๕๓๑). สังกัปภาษา ๑. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
. (๒๕๓๑). ทักษะสื่อสาร ๑. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
. (๒๕๓๑). ทักษะสื่อสาร ๒. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
กุหลาบ มัลลิกะมาส และวิพุธ โสภวงศ์. (๒๕๔๒). การเขียน ๑. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
เจือ สตะเวทิน. (๒๕๒๒). ต�ารับวรรณคดี. กรุงเทพฯ : อนงค์ศิลป์การพิมพ์.
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (๒๕๔๓). การเขียน ๒. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
. (๒๕๔๕). การสอนภาษาไทยขั้นพื้นฐาน ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ.
. (๒๕๒๘). บันไดหลักภาษา ๑. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
. (๒๕๔๒). บันไดหลักภาษา ๒. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
. (๒๕๔๒). บันไดหลักภาษา ๓. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ. (๒๕๔๒). ภาษาสุนทร ๑. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
ณรงค์ มั่นเศรษฐวิทย์. (๒๕๔๐). ภาษากับการพัฒนาความคิด. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
ดวงใจ ไทยอุบุญ. (๒๕๕๒). ทักษะการเขียนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทวีศักดิ์ ญาณประทีบ. (๒๕๒๕). การเขียนสารคดี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามค�าแหง.
นววรรณ พันธุเมธา. (๒๕๒๗). ไวยากรณ์ไทย. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์.
บรรจบ พันธุเมธา. (๒๕๓๔). ลักษณะภาษาไทย. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.
ผจงวาด พูลแก้ว. (๒๕๔๗). แบบฝึกทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๒). พจนานุกรมศัพท์วรรณกรรมไทย. กรุงเทพฯ : ยูเนียน อุลตร้าไวโอเล็ต.
วนิดา จันทรุจิรากร. (๒๕๔๓). อินเทอร์เน็ต มิติใหม่ของการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น.
วาสนา บุญสม. (๒๕๓๙). กลอนสัมผัสใจได้อย่างไร. กรุงเทพฯ : ลินคอร์น โปรโมชั่น.
วิจิตร อาวะกุล. (๒๕๔๐). เพื่อการพูดการฟังและการประชุมที่ดี. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
วิเชียร เกษประทุม. (๒๕๔๑). โวหารในวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
สถาบันภาษาไทย. (๒๕๔๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
. (๒๕๕๒). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๓. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
สนิท ตั้งทวี. (๒๕๓๖). อ่านไทย. กรุงเทพฯ : บารมีการพิมพ์.
สมพร มันตสูตร. (๒๕๓๕). การเขียนสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
สุวิทย์ มูลค�า. (๒๕๔๕). ชวนครูฮาพานักเรียนเฮ. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
ส�านักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ. (๒๕๕๓). ราชาศัพท์. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์.
อวยพร พานิช และคณะ. (๒๕๕๓). ภาษาและหลักการเขียนเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อัจฉรา ชีวพันธ์. (๒๕๔๔). อ่านสนุก - ปลุกส�านึก. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อุปกิตศิลปสาร, พระยา. (๒๕๑๔). หลักภาษา. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช.
188

188 คูมือครู
แบบทดสอบอิงมาตรฐาน
เนนการคิด
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจุดมุงหมายเพื่อใหผูเรียนอานออก เขียนได คิดคํานวณเปน มุงใหเกิดทักษะการเรียนรูตลอดชีวิต
เตรียมตัวเปนพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแขงขันไดในอนาคต การจัดการเรียนรูที่สอดคลองกับจุดมุงหมายดังกลาว
จึงควรใหผูเรียนฝกฝนการนําความรูไปประยุกตใชในชีวิตจริง สามารถคิดวิเคราะหและแกปญหาได ดังนั้นเพื่อเปนการเตรียมความพรอม
ของผูเรียน ทางโครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด จึงไดจัดทําแบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด
โดยดําเนินการวิเคราะหสาระการเรียนรูที่สําคัญตามที่ระบุไวในมาตรฐานและตัวชี้วัดชั้นป แลวนํามากําหนดเปนระดับพฤติกรรมการคิด
เพื่อสรางแบบทดสอบที่มีคุณสมบัติ ดังน�้
1 วัดผลการเรียนรู 2 เนนใหผูเรียนเกิดการคิด ผูสอนสามารถนําแบบทดสอบน�้ไปใชเปนเครื่องมือวัด
และประเมินผล รวมทั้งเปนเครื่องบงชี้ความสําเร็จและรายงาน
คุณภาพของผูเรียนแตละคน เพื่อเปนการเตรียมความพรอม
ของนักเรียนใหมีความสามารถในดานการใชภาษา ดานการ
คิดคํานวณ และดานเหตุผล สําหรับรองรับการประเมินผลผูเ รียน
ที่สอดคลองกับมาตรฐาน ตามระดับพฤติกรรมการคิด ในระดับประเทศ (NT) และระดับนานาชาติ (PISA) ตอไป
ตัวชี้วัดชั้นปทุกขอ ที่ระบุไวในตัวชี้วัด

แบบทดสอบ
แบบทดสอบอิงมาตรฐาน เนนการคิด ที่จัดทําโดย โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด ประกอบดวย
แบบทดสอบประจําภาคเรียนที่ 1 และแบบทดสอบประจําภาคเรียนที่ 2 ซึ�งแตละภาคเรียนจะมีแบบทดสอบ 2 ชุด แตละชุดมีทั้ง
แบบทดสอบปรนัย และแบบทดสอบอัตนัย โดยวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด และระดับพฤติกรรมการคิดที่สัมพันธกับแบบทดสอบไวอยาง
ชัดเจน เพื่อใหผูสอนนําไปใชเปนเครื่องมือวัดและประเมินผลผูเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ

โครงการบูรณาการ
ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ภาคเรียนที่ 1
ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด
ระดับ ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับ
ชุดที่ มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัด พฤติกรรม ระดับพฤติกรรมการคิด รวม
การคิด
1 1-3 A ความรู ความจํา 24 1
2 5-6 B ความเขาใจ 7 - 10, 12, 26, 28 - 29, 35 - 36 10
3 7 - 10 C การนําไปใช 1 - 3, 18, 23, 31 6
4 11 - 12 D การวิเคราะห 4 - 6, 11, 13 - 14, 16, 21, 25, 27, 32, 34 16
ท 1.1 5 13 37 - 40
6 15 E การสังเคราะห 15, 22 2
7 14 F การประเมินคา 17, 19, 20, 30, 33 5

1 8
10
1
17
4, 16
18
2 19
3 20
4 22
ท 2.1 5 23 - 24
6 25
7* -
10 21

หมายเหตุ : มีเฉลยและคําอธิบายเชิงวิเคราะห อยูทายแบบทดสอบภาคเรียนที่ 1 และภาคเรียนที่ 2


(1) โครงการวัดและประเมินผล
ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ภาคเรียนที่ 1
ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด
ระดับ ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับ
ชุดที่ มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัด พฤติกรรม ระดับพฤติกรรมการคิด รวม
การคิด
1 26 - 27
ท 3.1 4 29 - 30
1 6 28, 31
(ตอ) ท 4.1
1
3
34 - 38
32 - 33, 39
6 40
1 1, 3, 5 A ความรู ความจํา 19, 22, 35 3
2 2, 4, 6 B ความเขาใจ 20, 26 2
3 7-9 C การนําไปใช 1, 3, 5, 24 4
ท 1.1 4 12 - 13 D การวิเคราะห 2, 4, 6 - 9, 12 - 18, 21, 23, 25, 27 - 34 29
5 10 36 - 40
6 11 E การสังเคราะห 10 1
7*, 8* - F การประเมินคา 11 1
10 14
แบบทดสอบ

1 16
2 15, 17
2 ท 2.1
3
4
18
20 - 21
5 19, 22
6*, 7* -
10 23
โครงการบูรณาการ

1 24 - 25
ท 3.1 4 26 - 27, 29
6 28
1 30 - 36
ท 4.1 3 37, 40
6 38 - 39
*หมายเหตุ ตัวชี้วัดบางตัวปรากฏอยูในขอสอบที่เปนอัตนัย

โครงการวัดและประเมินผล (2)
แบบทดสอบว�ชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ภาคเร�ยนที่ 1 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

ชุดที่ 1
¤Ðá¹¹ÃÇÁ
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 50

ชื่อ …………………………………………………………………………………………………….. นามสกุล ……………………………………………………………………………………………..


เลขประจําตัวสอบ ……………………………………………………………………. โรงเรียน …………………………………………………………………………………………….
สอบวันที่ …………………….. เดือน ………………………………………………… พ.ศ. ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

ตอนที่ 1 1. แบบทดสอบฉบับน�้มีทั้งหมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ


¤Ðá¹¹àµçÁ
2. ใหนักเรียนเลือกคําตอบที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 40

พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 1. 2. บทรอยกรองนีเ้ หมาะสมทีจ่ ะนํามาใชฝก อานทํานองเสนาะ


C หรือไม เพราะเหตุใด
เพื่อนในกลุมมีลักษณะโดดเดน ดังนี้

แบบทดสอบ
1. เหมาะสม เพราะมีความไพเราะของสัมผัสใน
หนอย มีบุคลิกภาพดี 2. เหมาะสม เพราะมีจํานวนคําพอดีกับการทอดเสียง
นิด ออกเสียงไดถูกตองตามอักขรวิธี 3. ไมเหมาะสม เพราะแบงจังหวะไดไมเทากันทุกวรรค
ติ๋ว มีไหวพริบปฏิภาณ 4. ไมเหมาะสม เพราะควรฝกจากบทรอยกรอง
แตม มีแกวเสียงที่แจมใส ประเภทโคลง

โครงการบูรณาการ
อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 3.
1. ถาครูใหนักเรียนเสนอชื่อเพื่อนเพื่อเปนตัวแทนประกวด
C อานออกเสียง ควรเสนอเพื่อนคนใด เพราะเหตุใด กรุงเทพมหานคร นามรบิล
1. หนอย เพราะมีเสนห ดึงดูดความสนใจ เอาเลือดทาแผนดิน ทาบสราง
2. นิด เพราะชวยใหบทอานมีความนาสนใจ แผนดินตอแผนดิน ผานอดีต
3. แตม เพราะทําใหอานไดไพเราะ และนาฟง เลือดทวมนองทองชาง ชุมเมือง
4. ติ๋ว เพราะสามารถแกไขปญหาเฉพาะหนาได นาฏกรรมบนลานกวาง : คมทวน คันธนู

อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 2. 3. คําเสนอแนะในข


เสนอแนะในขอใดเปนจริง
C 1. บาทที่ 4 แบงจังหวะใหถูก คือ “เลือดทวม/
อันออยตาลหวานลิ้นแลวสิ้นซาก นองทองชาง ชุมเมือง”
แตลมปากหวานหูไมรูหาย 2. คําวา “นคร” ใหออกเสียงวา “นะ-คะ-ระ” ลงนํ้าหนัก
แมนเจ็บอื่นหมื่นแสนไมแคลนคลาย เสียงของคําเทากันทุกคํา
เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บใหเจ็บใจ 3. คําวา “นคร” ใหเนนเสียงที่คําวา “นะ” และ “ระ”
พระอภัยมณี : สุนทรภู รวบเสียงเมื่ออานคําวา “คะ”
4. คําวา “นคร” ใหรวบเสียงที่คําวา “นะ-คะ” และลง
นํ้าหนักเสียงที่คําวา “ระ”

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา


A B C D E F

(3) โครงการวัดและประเมินผล
4. บุคคลใดมีพฤติกรรมการอานที่เกิดประโยชนมากที่สุด อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 6.
D 1. อัมพรอานหนังสือเฉพาะชวงใกลสอบ ครูกําหนดคําบนกระดานดํา จากนั้นใหมะลิจัดกลุมคํา
2. อัมพิกาเลือกอานหนังสือที่มีรูปเลมสวยงาม เปน 2 กลุม มะลิจัดกลุมคําได ดังนี้
3. อําพลจดบันทึกสาระที่ไดจากการอานลงในสมุดบันทึก
4. อําพันเลือกอานหนังสือเฉพาะประเภทที่ตนเองชอบ กลุมที่ 1 มือขวา มือสะอาด มือรอน
อยางสมํ่าเสมอ กลุมที่ 2 มือจับ มือตําลึง มือสกปรก
5. ขอใดจับกลุมถูกตองเมื่อใชเงื่อนไข “คําที่มีความหมาย
D นัยตรงเพียงอยางเดียว” 6. มะลิจัดกลุมคําแบบนี้ โดยใชหลักเกณฑใด
1. มือจับ มือตําลึง มือมืด D 1. กลุม ที่ 1 เปนคําซอน กลุมที่ 2 เปนคําซํ้า
2. มือตําลึง มือมืด มือขวา 2. กลุมที่ 1 เปนคําซอน กลุมที่ 2 เปนคําประสม
3. มือมืด มือรอน มือสกปรก 3. กลุมที่ 1 เปนคําที่มีความหมาย 2 นัย กลุมที่ 2
4. มือจับ มือตําลึง มือสกปรก เปนคําที่มีความหมายนัยประวัติ
4. กลุมที่ 1 เปนคําที่มีความหมาย 2 นัย กลุมที่ 2
เปนคําที่มีความหมายนัยตรง
แบบทดสอบ

อานนิทานที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 7. - 10.


นิทานเรื่อง แรงไมเรียว
ในสมัยราชวงศฮั่นมีเด็กชายชื่อ แปะยู แซฮั้ง เปนคนแข็งแรง อดทน ประกอบดวยความกตัญูกตเวทีแรงกลา
วันหนึ่งทําความผิด ถูกมารดาตีสั่งสอน เขารองไหสะอึกสะอื้น มารดาเห็นเชนนั้นก็ประหลาดใจจึงถามวา “แตไหน
โครงการบูรณาการ

แตไร แมตีไมเคยเห็นเจารองไห ไฉนวันนี้จึงรองไหสะอึกสะอื้นถึงปานนี้” แปะยูตอบวา “ก็ครั้งกอนๆ แมตีลูกเจ็บมาก


เพราะแมแข็งแรง มีสุขภาพสมบูรณ มาวันนี้แรงไมเรียวที่แมหวดไมรูสึกเจ็บเหมือนแตกอน ความชราทําใหกําลังวังชา
ของแมลดนอยถอยลงเปนทีน่ า วิตก ลูกรองไหเพราะเหตุน”ี้ หลังจากนัน้ เด็กนอยก็เปลีย่ นพฤติกรรม แลวก็เลิกดือ้ กับแม
นิทานธรรมะกลับตาลปตร : พระอาจารยประสงค ปริปณุ โฺ ณ

7. ใจความสําคัญของนิทานเรื่องนี้ตรงกับขอใด
B 1. มารดาทําโทษเด็กชายแปะยู 2. เด็กชายแปะยูเปนคนแข็งแรงและอดทน
3. มารดาของเด็กชายแปะยูแกชรา 4. เด็กชายแปะยูเปนผูมีความกตัญู
8. เด็กชายแปะยูรองไหดวยสาเหตุใด
B 1. เพราะถูกมารดาทําโทษ 2. เพราะความชราของมารดา
3. เพราะมารดาจะอยูดวยอีกไมนาน 4. เพราะสํานึกในความผิดของตน
9. สาเหตุใดทําใหเด็กชายแปะยูเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
B 1. เพราะความเจ็บปวดที่ถูกมารดาลงโทษ 2. เพราะความรักที่มีตอมารดา
3. เพราะความสงสารที่มีตอมารดา 4. เพราะคําถามของมารดา
10. “แรงไมเรียว” บอกอะไรกับเด็กชายแปะยู
B 1. ความโมโหของมารดา 2. กําลังของมารดา
3. เวลาของมารดา 4. ความผิดของแปะยู

โครงการวัดและประเมินผล (4)
พิจารณาแผนผังความคิดทีก่ าํ หนด แลวตอบคําถามขอ 11. 14. เหตุผลใน
ลในขอใดเปนไปได ถามนุษยจําเปนตองกาว
D ใหทนั โลก
สายพันธุ ลักษณะของ
1. เพราะโลกถูกยอใหเล็กลง
ของกลวย ตนกลวย
กลวย 2. เพราะโลกเต็มไปดวยขอมูล
ประโยชน 3. เพราะโลกหมุนเร็วมากกวาในอดีต
……………….. ของกลวย 4. เพราะการไมกาวเทากับการกาวถอยหลัง
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 15.
11. ประเด็นใดเหมาะสมจะเปนสวนหนึ่งของแผนผังความคิด
D เรื่อง “กลวย” มากที่สุด ลดนํ้าหนัก
1. ตนกําเนิดของกลวย ถาคุณตองการลดนํา้ หนักครึง่ กิโลกรัมตอสัปดาห
2. ความเชื่อเกี่ยวกับกลวย คุณจะตองลดอาหารใหได 500 แคลอรีตอวัน โดย
3. การจําแนกประเภทกลวย ลดปริ ม าณอาหารมื้ อ หนั ก ลง และเปลี่ ย นจาก
4. ความผูกพันระหวางกลวยกับคนไทย ของหวานมาเป น ผลไม หากต อ งการเผาผลาญ
12. การเขียนแผนผังความคิดมีความสําคัญตรงกับขอใด
B 1. จัดหมวดหมูเนื้อหาไดชัดเจน แคลอรีโดยการออกกําลัง คุณจะตองวิ่งใหไดวันละ

แบบทดสอบ
2. ขยายความงานเขียนไดชัดเจน หนึ่งชั่วโมง แตถาคุณกังวลเกี่ยวกับรูปรางมากกวา
3. เขียนสื่อสารดวยภาษาที่สละสลวย ตัวเลขบนเครื่องชั่งนํ้าหนัก การออกกําลังนาจะ
4. เขียนสื่อสารไดตรงกับความตองการของผูฟง เหมาะกวา เพราะนอกจากจะชวยเผาผลาญไขมันแลว
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 13. - 14. ยังเสริมสรางกลามเนื้ออีกดวย ผูที่ควบคุมอาหาร
อยางเดียวจะสูญเสียทั้งไขมันและกลามเนื้อ

โครงการบูรณาการ
โลกหมุนเร็ว
โลกของเราหมุนเร็วขึ้นทุกวัน การกาวใหทันโลก 15. ถาใหแสดงความคิดเห็นสนับสนุนเรื่อง “ลดนํ้าหนัก”
ดวยการรับรูขอมูล ขาวสาร เรื่องราวจากสื่อตางๆ E ขอใดเหมาะสมจะใชเปนขอสนับสนุนหลักที่นาเชื่อถือ
กลายเปนสิง่ จําเปน การจะกาวใหทนั โลก จึงตองรับรู และเปนจริง
ขอมูลขาวสารใหไดมากที่สุด โลกถูกยอใหเล็กลง 1. พฤติกรรมการบริโภคเปนปจจัยที่สงผลตอสุขภาพ
ดวยโครงขายอินเทอรเน็ต มนุษยเขาถึงขอมูลไดงา ย 2. มนุษยเผาผลาญแคลอรีไดดวยการลดปริมาณอาหาร
และรวดเร็ว การจะหามไมใหกลุม วัยรุน เขาถึงขอมูล 3. การบริโภคอยางฉลาดคือการลดปริมาณอาหาร
จึงเปนเรื่องที่กระทําไดยาก และเทากับเปนการ ที่รับประทานในแตละมื้อ
หยุดโลกของพวกเขา หยุดกาวที่พวกเขาจะทันโลก 4. การลดปริมาณแคลอรีในแตละวันเปนวิธีการดูแล
ดวยศักยภาพของเด็กไทย พวกเขายอมมีวจิ ารณญาณ รูปรางที่ดีที่สุด
ในการรับสาร อีกประการหนึ่งนั้นเปนหนาที่ของ 16. ในหองสมุดขณะรวมโตะอานหนังสือ ปรานีเห็นพินจิ กมหนา
ผูป กครองทีจ่ ะตองใหเวลาแกพวกเขา ไตถามพูดคุย D อานหนังสืออยางตัง้ ใจ จึงเรียกวา “พินจิ เธออานหนังสืออะไร
แนะนํา กาวใหทันโลกของพวกเขา และกาวใหทัน สนุกหรือ ถึงตัง้ ใจอาน” พฤติกรรมของปรานีเปนพฤติกรรม
โลกยุคปจจุบัน ที่เหมาะสมหรือไม เพราะเหตุใด
13. เรื่อง “โลกหมุนเร็ว” มีลักษณะตรงกับขอใดมากที่สุด 1. เหมาะสม เพราะทําใหพินิจไมเครงเครียด
D 1. เสนอสถานการณที่เขาขั้นวิกฤต 2. ไมเหมาะสม เพราะอาจทําใหพินิจเกิดความไมพอใจ
2. เปนสถานการณที่ตองแกไขเรงดวน 3. ไมเหมาะสม เพราะเสียมารยาทขณะที่ผูอื่นใชสมาธิ
3. ใชภาษาสื่อสารเรื่องที่มีความซับซอน 4. เหมาะสม เพราะทําใหพินิจมีโอกาสไดคุยกับเพื่อน
4. ปรากฏขอมูลทั้งที่เปนขอเท็จจริงและทรรศนะ คนอื่นๆ

(5) โครงการวัดและประเมินผล
พิจารณาขอมูลที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 17.
สถิติภัยคุกคาม ประจําป พ.ศ. 2556
ประเภทภัยคุกคาม / เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. รวม
Abusive content 1 2 3 1 1 2 10
Availability 1 0 0 0 0 0 1
Fraud 36 48 49 56 78 56 323
Information gathering 3 0 0 0 0 2 5
Information security 0 0 0 0 0 0 0
Intrusion Attempts 56 23 17 23 16 11 146
Intrusion 6 3 50 61 115 94 329
Malicious code 1 4 6 4 3 11 29
แบบทดสอบ

Other 0 0 0 0 0 0 0
รวม 104 80 125 145 213 176 843
ขอมูลจาก : https://www.thaicert.or.th/statistics/statistics.html
17. จากเรื่อง “โลกหมุนเร็ว” ขอมูลขางตนเหมาะสมที่จะใชสนับสนุนประเด็นโตแยงใด
โครงการบูรณาการ

F 1. โลกหมุนเร็วจริงหรือ 2. วัยรุนไทยมีศักยภาพในการรับสารจริงหรือ
3. อินเทอรเน็ตชวยยอโลกจริงหรือ 4. ภัยจากอินเทอรเน็ตมีจริงหรือ

พิจารณาลายมือที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 18. อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 19.


เบื่ออาหาร
ไอเดียสําหรับคนเบื่อหนาตาอาหารแบบเดิมๆ
ลองตกแตงหนาตาของอาหารเสียใหม ใหเพลิดเพลิน
โดยจินตนาการวา เจาผักผลไมสีเขียว สีสม หรือจะ
เปนเนื้อสัตว อาหารประเภทเสนหรือขาว พวกมัน
สามารถแปลงรางเปนรูปอะไรไดบา ง กอนลงมือปรุง
หรือปรุงเสร็จแลว ก็เปนไอเดียในการจัดธีมรับประทาน
อาหารสําหรับเติมความอบอุนใหแกครอบครัว
18. ผลงานของนารีควรไดรับรางวัลหรือไม เพราะเหตุใด 19. ขอความที่กําหนดใหอานใชภาษาบกพรองตรงกับขอใด
C 1. ควร เพราะลายมือของเธอสะอาดเรียบรอย F 1. ใชคําไมตรงกับความหมายที่แทจริง
2. ไมควร เพราะขอความที่คัดมีขนาดสั้นเกินไป 2. ใชคําสรรพนามไมเหมาะสม
3. ไมควร เพราะเธอสรางสรรคตัวอักษรรูปแบบใหม 3. ใชภาษาตางระดับ
4. ควร เพราะชองไฟของตัวอักษรที่คัดมีขนาดเทากัน 4. ใชภาษากํากวม

โครงการวัดและประเมินผล (6)
พิจารณาขอมูลที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 20. 21. สาเหตุใดที่ทําใหดนัยพบกับเหตุการณขางตน
D 1. เขามีความรูสึกรวมตอขาว
สมนึก ชายหนุมผูสูชีวิต ขับมอเตอร ไซครับจาง 2. เขาแสดงความคิดเห็นรุนแรง
เลี้ยงดูภรรยา และบุตรจํานวน 5 คน 3. เขาสื่อสารโดยใชภาษากํากวม
สมหมาย ชายหนุมผูมีฐานะปานกลาง 4. เขาสื่อสารโดยขาดวิจารณญาณ
เปนความหวังของครอบครัว และเขา อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 22.
ก็ไมเคยทําใหผิดหวัง
สมสุข ขาราชการบํานาญ เปดบานเปนพิพธิ ภัณฑ ในสังคมยุคปจจุบันที่เรงรีบ คนเมืองมักเลือก
ทองถิ่น สรางเครือขายชุมชนคุณภาพ รั บ ประทานอาหารโดยเน น ความสะดวกรวดเร็ ว
สมภพ นักธุรกิจหมื่นลาน ลมละลายในพริบตา เป น หลั ก ผลคื อ อาหารที่ บ ริ โ ภคมั ก มี คุ ณ ค า ตํ่ า
เพราะพิษเศรษฐกิจ แตยังยืนอยูได สารอาหารไมครบถวน นําไปสูส ภาพรางกายทีอ่ อ นแอ
ดวยความรักและกําลังใจจากครอบครัว เจ็บปวยงาย ทางออกของปญหานี้คือ การหันมา
ลงมือปลูกผักกินเองในครัวเรือน เพราะเสนทางนี้
20. ประวัติของบุคคลใด เหมาะสมที่จะนํามาเผยแพรใน จะชวยใหเราไดกินอาหารสดใหม ปลอดภัย ทั้งยัง

แบบทดสอบ
F หัวขอ “ตอยอดความดี” มากที่สุด เพราะเหตุใด ไดผลตอบแทนที่มากไปกวาอาหารอีกหลายเทา
1. สมนึก เพราะเปนแรงบันดาลใจใหคนสูชีวิต
2. สมหมาย เพราะเปนแรงบันดาลใจใหเห็นความสําคัญ 22. ขอใดคือสาระสําคัญเมื่อยอความขอความขางตน
E 1. โลกหมุนเร็วขึ้นทําใหคนไมมีเวลาที่จะปลูกผัก
ของครอบครัว
รับประทานเอง
3. สมสุข เพราะเปนแรงบันดาลใจใหคนเสียสละในบริบท
2. อาหารที่มีคุณคาตํ่าคืออาหารที่มีสารอาหาร

โครงการบูรณาการ
ที่ตนเองทําได
ไมครบถวน
4. สมภพ เพราะสะทอนใหเห็นวาชีวิตของมนุษย ไมมี
3. การปลูกผักกินเองเปนแนวทางหนึ่งที่ทําใหไดบริโภค
สิ่งใดยั่งยืน อาหารที่มคี ุณภาพ
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 21. 4. การบริโภคผักทีม่ คี ณ
ุ คาทางสารอาหารจะทําใหรา งกาย
ไมเจ็บปวย
ดนัย ไดรับการยอมรับวาเปนแหลงขาวชั้นดี
23. ขอความวา “…ทางโรงเรียนพิจารณาแลวเห็นวา
ของเพือ่ น เพราะทุกขาว ทุกเรือ่ ง ทุกเหตุการณทดี่ นัย C ทานเปนผูมีความรู…” ควรอยูในจดหมายประเภทใด
เผยแพรผานโซเชียลมีเดียมักเปนเรื่องที่นาสนใจ 1. จดหมายธุรกิจ
เปนความจริงเสมอ ครั้งนี้ดนัยเผยแพรขาวสูเพื่อนๆ 2. จดหมายแตงตั้ง
ผานโซเชียลมีเดียตามปกติ ขาวนี้เปนเหตุการณที่ 3. จดหมายขอบคุณ
เกี่ยวของกับบุคคลหลายฝาย ดนัยมีความรูสึกรวม 4. จดหมายขอความอนุเคราะหเปนวิทยากร
กับขาวนี้เปนอยางยิ่ง เพราะเขาเปนหนึ่งในผูไดรับ 24. คําขึ้นตนและลงทายจดหมายในขอใดถูกตอง
ผลกระทบ เขาจึงแสดงความคิดเห็นและโนมนาว A เมื่อเขียนจดหมายเรียนเชิญวิทยากร
ใหผูอื่นคลอยตาม สุดทายมีการพิสูจนความจริง 1. เรียน-ขอแสดงความนับถือ
พบวาขาวนั้นเปนเพียง “เรื่องโคมลอย” หลังจากนั้น 2. กราบเรียน-ดวยความเคารพ
ขอมูลใดทีด่ นัยเผยแพร เขามักจะไดรบั คําถามกลับมา 3. เรียน-ดวยความเคารพอยางสูง
ทุกครั้งวา “จริงหรือ…ดนัย” 4. กราบเรียน-รักและเคารพอยางสูง

(7) โครงการวัดและประเมินผล
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 25.

การเปลี่ยนแปลง
ฉันกําลังจะเดินทางไปทํางานตางจังหวัด
ฉันวางแผนตอวาจะพักผอนอยูที่นั่นตออีกสองวันในสุดสัปดาห
ฉันจองที่พักเพิ่ม และเชารถเตรียมไว
ฉันวางแผนและเตรียมการทุกอยางจนพรอม ฉันคิดถึงวันสุดสัปดาหที่จะมาถึง
กอนวันเดินทางไมนาน
มีงานดวนติดตอเขามา เปนงานที่ตองเดินทางไปตางประเทศ เปนงานที่ฉันอยากจะทํา
ฉันจึงตองเดินทางกลับเร็วขึ้น และเปลี่ยนแปลงแผนทุกอยางที่เตรียมการมา
ฉันจึงตองโทรแจงเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินวันเดินทางใหเร็วขึ้น
ฉันตองโทรแจงเปลี่ยนวันเขาพัก ฉันตองโทรเปลี่ยนวันเชารถ
โชคดีที่ตั๋วเครื่องบินเปนแบบสามารถเปลี่ยนแปลงวันเวลาเดินทางได
แบบทดสอบ

โชคดีที่ที่พักนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงวันเขาพักได
โชคดีที่บริษัทเชารถนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงวันเชารถได
ฉันขอบคุณตัวเอง
ฉันจองตั๋วเครื่องบินแบบเปลี่ยนแปลงได
ฉันจองรถเชากับบริษัทที่เปลี่ยนแปลงได
โครงการบูรณาการ

จริงๆ แลวมันคงไมใชเรื่องโชค
มันเปนเรื่องของการเตรียมพรอมสําหรับการเปลี่ยนแปลงมากกวา
นักคิดจิปาถะ : ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ

25. ผูเขียนแสดงทรรศ
นแสดงทรรศนะตรงกับขอใด 27. พฤติกรรมก
รรมการรับสารในขอใด ตองอาศัยหลักการฟง
D 1. ชีวิตของมนุษยไมไดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา D อยางมีวิจารณญาณมากที่สุด
2. ความเปนจริงของชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง 1. การฟงเพลงจากคลื่นวิทยุกระจายเสียง
3. ชีวิตที่ดีตองเปนชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ 2. การฟงแถลงขาวเศรษฐกิจจากกระทรวงพาณิชย
4. มนุษย ไมสามารถปรับตัวใหเขากับการเปลี่ยนแปลง 3. การฟงขาวแรงงานไทยในอียิปตจากสถานีโทรทัศน
26. การตัดสินประเมินคาภาพยนตรกับหนังสือสามารถใช 4. การฟงอภิปรายหาเสียงจากนักการเมืองที่มีชื่อเสียง
B เกณฑเดียวกันไดหรือไม เพราะเหตุใด 28. มนัสมักมีพฤติกรรมที่วา เมื่อไดยินใครพูดอะไร ที่มนัส
B พอจะทราบเรื่องมาบาง มนัสจะไมใสใจฟงเรื่องนั้นจนจบ
1. ได เพราะภาพยนตรและหนังสือเปนสารที่สงจาก
แตจะนําไปพูดตอตามความคิด ความเขาใจของตนเอง
ผูสงสารไปยังผูรับสาร มนัสมีพฤติกรรมการฟงสอดคลองกับขอใด
2. ไมได เพราะภาพยนตรและหนังสือมีองคประกอบ 1. จับดําถลําแดง
แตกตางกัน 2. ติเรือทั้งโกลน
3. ได เพราะภาพยนตรและหนังสือมีจดุ มุง หมายเดียวกัน 3. ปากวาตาขยิบ
4. ไมได เพราะทําใหผูประเมินเกิดความสับสน 4. ฟงไมไดศัพท จับไปกระเดียด

โครงการวัดและประเมินผล (8)
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 29. 30. บุคคลใด
คลใดแสดงบทบาทไดเหมาะสมกับสถานภาพที่ไดรับ
F 1. สมภพ เพราะพูดยุติการโตแยงที่กําลังจะเกิดขึ้น
นายแพทยอรรณพพูดบรรยายเรือ่ งมะเร็งปอดวา 2. สมศักดิ์ เพราะไมสรางความวุนวายใหแกที่ประชุม
“สาเหตุสวนใหญของมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ 3. สมพงษ เพราะกระตุนใหสมาชิกที่ประชุมรวมกัน
ดังนัน้ จึงควรเลิกสูบบุหรี่ เพราะมีผลในการลดอัตรา- แสดงความคิดเห็น
เสี่ยงตอการเกิดมะเร็งปอดไดอยางมาก นอกจากนี้ 4. สมชาย เพราะแสดงความคิดเห็นตอที่ประชุมอยาง
ยังไมเปนอันตรายตอคนใกลชิด เปนประโยชนตอ ตรงไปตรงมา
เศรษฐกิจครัวเรือนและเศรษฐกิจของประเทศชาติ” 31. นักเรียนสามารถปฏิบัติตนตามสํานวนในขอใดจึงจะได
29. จุดประสงคการพูดของนายแพทยอรรณพตรงกับขอใด
C ชื่อวาเปนผูมีมารยาทในการพูด
B 1. อธิบายสาเหตุของโรคมะเร็งปอด 1. ติเรือทั้งโกลน
2. โนมนาวใหลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ 2. ปากวาตาขยิบ
3. ชี้แจงใหเขาใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งปอด 3. กําแพงมีหู ประตูมีชอง
4. ชี้แจงใหเห็นประโยชนของการเลิกสูบบุหรี่ 4. ปากปราศรัย นํ้าใจเชือดคอ

แบบทดสอบ
พิจารณาสถานการณที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 30. อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 32.

การประชุมเกี่ยวกับโครงการเศรษฐกิจชุมชน ผูหญิงไทยในปจจุบัน โดยทั่วไปใหความหมาย


คุณสมพงษ (ประธาน) : ในวาระนี้ เปนวาระที่ ของคําวา “รูปรางดี” เทากับคําวา “ผอม” เมื่อ
เปาหมายคือ คําวา “ผอม” ผูหญิงไทยจึงพยายาม

โครงการบูรณาการ
ทุกคนควรมีสวนรวมในการแสดงความคิดเห็น เพื่อ
ใหไดมติที่เปนเอกฉันทของที่ประชุม ลดปริมาณอาหารที่ตนเองบริโภคในแตละวัน โดย
คุณสมชาย (หัวหนาโครงการเศรษฐกิจชุมชน) : ไมใหความสําคัญกับการออกกําลังกาย ซึง่ เปนวิธกี าร
ผมขอเรียนใหที่ประชุมทราบวา ในวาระนี้ ไมจําเปน ที่เหมาะสมสําหรับการดูแลรูปรางใหไดสัดสวน
ตองมีการแสดงความคิดเห็นเพื่อใหไดมติที่ประชุม
ขอมูลที่ผมนําเสนอไปนั้นเปนทางออกที่ดีที่สุดของ หญิงไทยทุกวันนี้ แปลความหมายของคําวา
ปญหาทั้งหมดครับ รูปรางดี ผิดไปมาก คือคิดวา รูปรางดีนั้น ตองผอม
คุณสมภพ (สมาชิกที่ประชุม) : ผมวาเราอยา จนวิตกกังวล กินนั่นไมได กินนี่ไมได ทําใหตัวเอง
มาเสียเวลาฟงความขางเดียวกันดีกวาครับ มารวมกัน ผอมทุกทาง ไมวาจะเปนดูดไขมัน ฝงเข็ม กินยาลด
ออกความคิดเห็นเพื่อใหไดมติที่ประชุมที่บริสุทธิ์ ความอวน โดยมองขามการออกกําลังกายซึ่งเปนวิธี
ดีกวาครับ ดูแลรูปรางที่ดีของจริง
คุณสมพงษ (ทานประธาน) : คุณสมศักดิ์ในฐานะ 32. ขอความทั้งสองแตกตางกันในดานใดชัดเจนมากที่สุด
ที่คุณเปนสวนหนึ่งของคณะทํางานนี้ตั้งแตเริ่มตน D 1. ระดับภาษา
โครงการ คุณมีความคิดเห็นอยางไรบางครับ 2. การลําดับความ
คุณสมศักดิ์ : ไมมคี รับทานประธาน ผมขอไมพดู 3. โวหารที่ใชเรียบเรียง
ดีกวา 4. วัตถุประสงคการเขียน

(9) โครงการวัดและประเมินผล
33. โอกาส สถานที่ และผูที่ตองสื่อสารดวย มีความเกี่ยวของ 37. คําในขอใดมีเงื่อนไขตรงกับคําวา “กระดังงา” ทั้งสองคํา
F กับระดับภาษาหรือไม อยางไร D 1. ผกากรอง ยี่สุน 2. กํายาน บุหงารําไป
1. เกี่ยวของ เพราะทําใหผูพูดสื่อสารไดตรงกับ 3. มะลิ กุแหละ 4. นอยหนา สาคู
ความมุงหมาย พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 38.
2. ไมเกี่ยวของ เพราะการพูดที่ประสบผลสําเร็จ กลุมที่ 1 ลางผลาญ กลาหาญ เขียวขจี
สําคัญที่วัตถุประสงคของผูจัดงาน
3. ไมเกี่ยวของ เพราะการพูดที่ประสบผลสําเร็จ กลุมที่ 2 แลกเปลี่ยน คุมกัน หอยโหน
สําคัญที่ความนาเชื่อของผูพูด 38. ขอใดสรุปความแตกตางของกลุมคําทั้งสองไดถูกตอง
4. เกี่ยวของ เพราะเปนปจจัยที่สงผลตอการเลือกใช D 1. พยัญชนะสะกด 2. หนาที่ของคํา
ระดับภาษาเพื่อการสื่อสาร 3. ที่มาของคํา 4. วิธีการสรางคํา
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 34. - 35. อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 39.
กลุมที่ 1 นิพพาน เมตตา บุคคล ครูสุภาตรวจรายงานทางวิชาการเรื่อง “หัวใจของ
กลุมที่ 2 ครรภ หรรษา ภรรยา มนุษย” พบขอความ ดังนี้
แบบทดสอบ

คนที่ 1 “หัวใจมีหนาทีส่ บู ฉีดโลหิตไปทัว่ สรรพางคกาย”


กลุมที่ 3 บรรทัด กรรไกร กรรแสง คนที่ 2 “ทุกคนอยากใหหัวใจแข็งแรง”
34. คําในกลุมที่ 1 มีลักษณะรวมกันตรงกับขอใด คนที่ 3 “ปจจุบันพบวาผูสูงอายุที่มีปญหาเกี่ยวกับ
D 1. เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลีทุกคํา โรคหัวใจมีจํานวนมากขึ้น”
คนที่ 4 “หัวใจเปนอวัยวะที่ทํางานหนักที่สุด หัวใจ
2. เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤตทุกคํา หยุดเมื่อใด ชีวิตก็หยุดเมื่อนั้น”
โครงการบูรณาการ

3. เปนคําที่ใชเนื่องในพระพุทธศาสนาทุกคํา
4. ใชพยัญชนะแถวที่ 1 เปนตัวสะกด โดยมีพยัญชนะ 39. เพื่อนคนใดใชระดับภาษาเหมาะสมมากที่สุด เพราะเหตุใด
แถวที่ 1 หรือ 2 เปนตัวตามทุกคํา D 1. คนที่ 1 เพราะเปนภาษาระดับทางการ สื่อความลึกซึ้ง
35. คําในกลุมที่ 2 และ 3 มีความแตกตางกันอยางไร 2. คนที่ 2 เพราะเปนภาษาระดับทางการ สื่อความตรงไป
B 1. กลุมที่ 2 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต ตรงมา
กลุมที่ 3 เปนคําที่ใชในวรรณคดี 3. คนที่ 3 เพราะเปนภาษาระดับทางการ สือ่ ความชัดเจน
4. คนที่ 4 เพราะเปนภาษาระดับไมเปนทางการ
2. กลุมที่ 2 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี
กลุมที่ 3 เปนคําไทยแท อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 40.
3. กลุมที่ 2 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี ผิววงวายวัฎเวิ้ง วารี โอฆฤๅ
กลุมที่ 3 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร บลุโลกกุตรโมลี เลิศลน
4. กลุมที่ 2 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต จงเจนจิตกวี วรวากย เฉลียวเอย
กลุมที่ 3 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร ตราบลวงบวงภพพน เผด็จเสี้ยน เบียนสมร
36. คําที่กําหนดใหตอไปนี้ “เสด็จ เผด็จ ควร ทูล ผจญ” ลิลิตตะเลงพาย : กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
B มีลักษณะรวมกันตรงกับขอใด 40. ลักษณะเดนของโคลงสีส่ ภุ าพขางตนตรงกับขอใดมากทีส่ ดุ
1. คําที่ยืมมาจากภาษาบาลี สันสกฤต D 1. คําซอนเพื่อเสียง
2. คําที่ยืมมาจากภาษาเขมรมีความหมายคลายกัน 2. จินตนาการของกวี
3. คําทีย่ มื มาจากภาษาเขมรมีตวั สะกดไมตรงตามมาตรา 3. ใชคําตายแทนตําแหนงคําเอก
4. คําทีย่ มื มาจากภาษาเขมรโดยใชเปนคําราชาศัพททกุ คํา 4. การสลับคําในตําแหนงคําเอกและคําโท

โครงการวัดและประเมินผล (10)
ตอนที่ 2 ตอบคําถามใหถูกตอง จํานวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
¤Ðá¹¹àµçÁ
10

1. ใหนักเรียนเขียนวิเคราะห วิจารณเรื่อง “การเปลี่ยนแปลง” ตามแนวทางที่ถูกตอง (3 คะแนน)


การเปลี่ยนแปลง
ฉันกําลังจะเดินทางไปทํางานตางจังหวัด
ฉันวางแผนตอวาจะพักผอนอยูที่นั่นตออีกสองวันในสุดสัปดาห
ฉันจองที่พักเพิ่ม และเชารถเตรียมไว
ฉันวางแผนและเตรียมการทุกอยางจนพรอม ฉันคิดถึงวันสุดสัปดาหที่จะมาถึง
กอนวันเดินทางไมนาน
มีงานดวนติดตอเขามา เปนงานที่ตองเดินทางไปตางประเทศ เปนงานที่ฉันอยากจะทํา
ฉันจึงตองเดินทางกลับเร็วขึ้น และเปลี่ยนแปลงแผนทุกอยางที่เตรียมการมา
ฉันจึงตองโทรแจงเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินวันเดินทางใหเร็วขึ้น
ฉันตองโทรแจงเปลี่ยนวันเขาพัก ฉันตองโทรเปลี่ยนวันเชารถ

แบบทดสอบ
โชคดีที่ตั๋วเครื่องบินเปนแบบสามารถเปลี่ยนแปลงวันเวลาเดินทางได
โชคดีที่ที่พักนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงวันเขาพักได
โชคดีที่บริษัทเชารถนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงวันเชารถได
ฉันขอบคุณตัวเอง
ฉันจองตั๋วเครื่องบินแบบเปลี่ยนแปลงได

โครงการบูรณาการ
ฉันจองรถเชากับบริษัทที่เปลี่ยนแปลงได
จริงๆ แลวมันคงไมใชเรื่องโชค
มันเปนเรื่องของการเตรียมพรอมสําหรับการเปลี่ยนแปลงมากกวา
นักคิดจิปาถะ : ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ใหนักเรียนเขียนวิเคราะหวาโคลงสี่สุภาพวรรคที่กําหนด “คนตองดีจริงดวย ใจตน” ผิดฉันทลักษณของโคลงสี่สุภาพบาทที่ 1
อยางไร (2 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ใหนกั เรียนสมมติบทบาทตนเอง เปนประธานคณะกรรมการนักเรียนเขียนจดหมายกิจธุระเรียนเชิญนายแพทยวนิ ติ ชืน่ ทองสุข
แพทยผูเชี่ยวชาญการปองกันโรคติดตอ เปนวิทยากรบรรยายในหัวขอ “สุขภาวะดี ชีวีปลอดภัย” ใหนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที่ 3 จํานวน 120 คน ฟงในวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ระหวางเวลา 10.00-12.00 น. ในงานสัปดาหสุขภาพดี ซึ่งทางโรงเรียน
จะจัดขึ้นในระหวางวันที่ 20-25 สิงหาคม 2556 ณ หอประชุมของโรงเรียน โดยจดหมายฉบับนี้ออกในนามฝายกิจกรรม
นักเรียน มีอาจารยองอาจ หอมสุนทร เปนที่ปรึกษา ใชกระดาษขนาด A4 เขียนจดหมายฉบับนี้ดวยรูปแบบและสํานวนภาษา
ที่ถูกตอง เหมาะสม (5 คะแนน)

(11) โครงการวัดและประเมินผล
แบบทดสอบว�ชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ภาคเร�ยนที่ 1 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

ชุดที่ 2
¤Ðá¹¹ÃÇÁ
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 50

ชื่อ …………………………………………………………………………………………………….. นามสกุล ……………………………………………………………………………………………..


เลขประจําตัวสอบ ……………………………………………………………………. โรงเรียน …………………………………………………………………………………………….
สอบวันที่ …………………….. เดือน ………………………………………………… พ.ศ. ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

ตอนที่ 1 1. แบบทดสอบฉบับน�้มีทั้งหมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ


¤Ðá¹¹àµçÁ
2. ใหนักเรียนเลือกคําตอบที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 40

พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 1. อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 3.


เพื่อนในกลุมมีลักษณะโดดเดน ดังนี้ แซเสียงเวียงราชกอง กังสดาล
แบบทดสอบ

ปอม มีบุคลิกภาพและความมั่นใจในตนเอง เหงงหงั่งระฆังขาน แขงฆอง


แปง ออกเสียงไดถูกตองตามอักขรวิธี สังขแตรแซเสียงประสาน สังคีต ดีดเอย
แปง มีความเพียรพยายามและความอดทน ยามดึกครึกครื้นกอง ปแกวแจวเสียง
ปน มีแกวเสียงที่ไพเราะและแจมใส โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู
โครงการบูรณาการ

1. นักเรียนเห็นดวยหรือไม ที่เสียงสวนใหญของหองเรียน 3. โคลงสี่สุภาพบ


าพบทนี้ผูอานควรมีแนวทางการอานออกเสียง
C คัดเลือกใหปนเปนตัวแทนไปฝกซอม เตรียมตัวแขงขัน C อยางไรเพือ่ กอใหเกิดความไพเราะ
อานออกเสียง เพราะเหตุใด 1. อานเนนเสียงคําที่สรางอารมณและความรูสึก
1. เห็นดวย เพราะมีความสามารถมากกวาเพื่อนคนอื่นๆ 2. อานออกเสียงคําตายที่ใชแทนคําเอกใหชัดเจน
2. เห็นดวย เพราะแกวเสียงที่แจมใสเปนปจจัยพื้นฐาน 3. อานออกเสียงคําเลียนเสียงธรรมชาติใหใกลเคียง
4. แบงจังหวะใหถูกตอง 3/2/3 , 3/3/3 ตามความ
สําหรับการอานออกเสียง
เหมาะสม
3. ไมเห็นดวย เพราะความเพียรพยายามและความอดทน 4. เมื่อมานพจัดกลุมคําโดยใชความหมายเปนเกณฑ
ฝกฝนจะทําใหประสบผลสําเร็จ D ขอใดถูกตอง
4. ไมเห็นดวย เพราะการออกเสียงใหถกู ตองตามอักขรวิธี 1. กลุมที่ 1 ผูหลักผูใหญ ดื้อดึง เชื่อถือ
สําคัญมากกวาแกวเสียงที่แจมใส กลุมที่ 2 มือขวา มือแข็ง มือสะอาด
2. คําในขอใดมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไขที่กําหนดให 2. กลุมที่ 1 ดื้อดึง ผูหลักผูใหญ มือขวา
D “รอนอกรอนใจ” ทั้งสองคํา กลุมที่ 2 เชื่อถือ มือแข็ง มือสะอาด
1. เชื่อถือ ดื้อดึง 3. กลุมที่ 1 เชื่อถือ ผูหลักผูใหญ มือสะอาด
2. มือขวา มือออน กลุมที่ 2 มือขวา ดื้อดึง มือแข็ง
3. คงเสนคงวา ผูหลักผูใหญ 4. กลุมที่ 1 มือขวา ดื้อดึง เชื่อถือ
4. ลืมหูลืมตา ปากหอยปากปู กลุมที่ 2 ผูหลักผูใหญ มือแข็ง มือสะอาด
ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา
A B C D E F

โครงการวัดและประเมินผล (12)
5. ขอความใดผูอานนควรเนนคําเพื่อใหผูฟงเกิดจินตภาพ 8. จุดมุงหม
หมายสําคัญของผูเขียนตรงกับขอใด
C มากที่สุด D 1. ชี้แจง
1. การปฏิรูปการศึกษานับเปนเรื่องสําคัญ 2. โนมนาว
2. ในวันที่แสงอาทิตยสองลงมาบนผืนโลก 3. แจงใหทราบ
3. หนวยงานทั้งภาครัฐและเอกชนควรรวมมือกัน 4. อธิบายเพื่อสรางความเขาใจ
4. หมูมวลพฤกษชาติทั้งหลากสีและหลายพันธุ 9. ขอใดคือขอสนับสนุนจุดมุงหมายของผูเขียน
ตางสงกลิ่นหอมหวนยิ่งกวากลิ่นใดๆ D 1. การกาวเขาสูประชาคมอาเซียน
2. ถาสังคมเสื่อมมนุษยก็ดํารงชีวิตอยูไมได
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 6. 3. แคไมเปนภาระของสังคมก็นับเปนสิ่งที่ดีแลว
กลุมที่ 1 ผูหลักผูใหญ ดื้อดึง เชื่อถือ 4. การพัฒนาดานเศรษฐกิจ การศึกษา และการคมนาคม
10. ขอใดกลาวถูกตองเกี่ยวกับขอความที่กําหนดใหอาน
กลุมที่ 2 มือขวา มือแข็ง มือสะอาด E 1. เจตนาของผูเขียนมีความชัดเจน
6. ขอแตกตางประการสําคัญของกลุมคําทั้งสอง นอกจาก 2. ใชภาษาระดับทางการสื่อสารกับผูอาน
D ความหมาย ยังมีลักษณะตรงกับขอใด 3. การลําดับความยากตอการทําความเขาใจของผูรบั สาร
4. สถานการณทยี่ กมาสนับสนุนทรรศนะขาดความชัดเจน
1. ที่มาของคํา

แบบทดสอบ
11. ถาใหแสดงความคิดเห็นสนับสนุนจุดมุงหมายของผูเขียน
2. หนาที่ของคํา F ควรเลือกใชชุดขอมูลใดจึงจะเหมาะสมมากที่สุด
3. จํานวนพยางค 1. ความสําเร็จของชุมชนตนแบบ
4. วิธีการสรางคํา 2. ผลิตภัณฑมวลรวมของประเทศ
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 7. - 11. 3. ผลเสียอันเกิดจากการขยายตัวของเขตเมือง
4. ความเจริญทางวัตถุที่สงผลกระทบตอสังคมไทย

โครงการบูรณาการ
เริ่มที่…เรา 12. ขอความใดสอดคลองกับการเขียนแผนผังความคิด
ขณะที่ความเจริญทางวัตถุกําลังรุดไปขางหนา D 1. ทําใหเขียนสื่อสารไดอารมณลึกซึ้ง
แตความเจริญทางจิตใจถอยหลังลงคลอง เราเพิกเฉย 2. ใชพรรณนาโวหารเพื่อสื่อสารกับผูอาน
ตอการโกงกิน ตราบใดทีย่ งั ไมสง ผลกระทบตอตัวเรา 3. มีรูปแบบการเขียนเชนเดียวกับการเขียนยอความ
เราใหความสําคัญกับคําวา “เสียสละ” “ประโยชน 4. วิธีจดจําสาระสําคัญดวยภาพ สี เสน และขอความ
สวนรวม” นอยลง โดยมีเหตุผลสนับสนุนวา “แคไม พิจารณาแผนผังความคิดทีก่ าํ หนด แลวตอบคําถามขอ 13.
เปนภาระของสังคมก็ดีแลว” เมื่อเราไมสราง สังคม
จึงเสื่อม ถาเราคิดวาตนเองเปนสวนหนึ่งของสังคม …………………… ลักษณะของ
ถาสังคมเสื่อมเราเองนั้นก็อยูไมได ความคิดของเรา บานเรือนไทย
ที่มีตอ “สังคม” จะเปลี่ยนไป บานเรือนไทย
ความเจริ ญ ทางวั ต ถุ ต  อ งพั ฒ นาไปพร อ มกั บ สวนประกอบ ประโยชนบริเวณ
ความเจริญทางจิตใจ เริ่มตนที่เรา ก็เทากับคนอื่น ใตถุน
ไดเริ่มตน ถาไมเริ่มที่เรา แลวจะเริ่มที่ใคร
13. ประเด็นใดเหมาะสมทีจ่ ะเปนสวนหนึง่ ของแผนผังความคิด
7. สาระสําคัญของขอความนี้ตรงกับขอใด D เรื่อง “บานเรือนไทย”
D 1. ความเจริญทางวัตถุพัฒนาเร็วเกินไป 1. ความเหมาะสมกับสภาพอากาศ
2. เราทุกคนตางมุงมั่นทําหนาที่ของตนเอง 2. บานเรือนไทยกับความเปนไปในปจจุบัน
3. ประเทศไทยพรอมเขาสูประชาคมอาเซียน 3. ภูมิภาคที่ปลูกสรางบานเรือนไทยมากที่สุด
4. ปจจุบันความตระหนักตอสวนรวมลดนอยลง 4. ความสวยงามของบานเรือนไทยกับบานทรงยุโรป

(13) โครงการวัดและประเมินผล
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 14. พิจารณาขอมูลที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 18.
เพื่อนแตละคนมีพฤติกรรม ดังนี้ นารี หญิงสาวผูเปนกําลังสําคัญของครอบครัว
โอง พับหนาหนังสือที่ตองการแลวนําไปถายสําเนา เปดรานขายหมูปงนมสดที่หนาบาน
ออม อานหนังสือพิมพ โดยนําหนังสือพิมพทั้งหมด กนก นักธุรกิจ SME ซาลาเปา “ขาวละมุน”
มาวางไวบนโตะ คิดคนไสซาลาเปากวา 20 ไส ดวยตนเอง
อิ๋ว ฝกทําขอสอบในหนังสือเตรียมสอบเพื่อให สุพจน นักออกแบบผลิตภัณฑ นําเถาวัลยแดง
เพื่อนๆ ไดอานเปนแนวทาง มาออกแบบเปนโคมไฟ
ออด ตัง้ คาเสียงเรียกเขาโทรศัพทมอื ถือเปนระบบสัน่ ปรานี เปดรานขายเสื้อผามือสองที่ตลาดนัด
ทุกวันเสาร-อาทิตย
14. เมือ่ ทัง้ หมดเขาใชหอ งสมุดรวมกันเพือ่ นคนใดมีพฤติกรรม
D เหมาะสม เพราะเหตุใด 18. ประวัติของบุคคลใดเหมาะสมที่จะนํามาสรางสรรค
1. โอง เพราะทําใหเจาหนาที่ปฏิบัติงานไดสะดวกขึ้น D งานเขียนในหัวขอ “มองโลกใหตาง เห็นชองวางธุรกิจ”
2. ออม เพราะไมตองเสียเวลาเดินไปหยิบหลายครั้ง 1. นารี เพราะประหยัดรายจายเชาพื้นที่
3. อิ๋ว เพราะไดถายทอดแนวทางใหแกเพื่อนๆ 2. กนก เพราะความหลากหลายของไสซาลาเปา
แบบทดสอบ

4. ออด เพราะไมกอเสียงสรางความรําคาญ ชวยเพิ่มชองทางการขาย


15. ขอใดไม
ใด เหมาะสม ที่จะใชเปนคําขวัญ 3. สุพจน เพราะสรางโอกาสทางธุรกิจดวยความคิด
D 1. รักเมืองไทย ตองไปใชสิทธิ์ สรางสรรค
2. เติบโตอยางสดใส หางไกลจากภัยบุหรี่ 4. ปราณี เพราะสินคามือสองกําลังเปนที่นิยมของ
ผูบริโภค
โครงการบูรณาการ

3. สุขภาพดีไมมีขาย ถาอยากไดตองทําเอง
4. สถานที่ทองเที่ยวไทย ลือไกลไปตางแดน 19. คําขึ้นตนจดหมายและคําขึ้นตนเนือ้ ความขอใดถูกตอง
A เมื่อเขียนจดหมายกิจธุระขอความอนุเคราะหบุคคลเปน
พิจารณาลายมือที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 16.
วิทยากร
1. เรียน, เนื่องจาก
2. เรียนเชิญ, ตามที่
3. กราบเทา, เนื่องเพราะ
4. กราบนมัสการ, เนื่องจาก
16. ลายมือนี้มีลักษณะบกพรองตรงกับขอใดชัดเจนที่สุด ใด ควร ใชหลักการยอความ
20. การอานในขอใดไม
D 1. เขียนตัวอักษรนั่งเสน B 1. การอานเรื่องสั้นรางวัลซีไรต
2. หัวของตัวอักษรบอด 2. การอานบทความเชิงอนุรักษจากเว็บไซต
3. เสนหลังของตัวอักษรไมตั้งตรง 3. การอานสารคดีชีวิตสัตวโลกจากจุลสารวิชาการ
4. ชองไฟของตัวอักษรมีขนาดเทากัน 4. การอานขั้นตอนประดิษฐโคมไฟจากกระดาษเหลือใช
17. ขอใดใชระดับภาษาเหมาะสมกับรูปแบบงานเขียน 21. บุคคลใดมีหลักการอานที่สอดคลองกับการยอความ
D 1. รองเทากีฬายูเซน เสนชัยที่ปลายเทา D 1. ตอม อานไปจดไป
2. รองเทากีฬายูเซน สมรรถนะและความปลอดภัย 2. ตอม อานตั้งแตตนจนจบ
3. รองเทาสําหรับเลนกีฬายูเซน ชัยชนะที่สัมผัสได 3. ตอง อานเฉพาะหัวขอสําคัญ
4. รองเทายูเซน ความสําเร็จของวิทยาศาสตรการกีฬา 4. แตว อานเฉพาะยอหนาสุดทาย

โครงการวัดและประเมินผล (14)
22. ถาทางโรงเรียนสงจดหมายถึงผูปกครอง เรื่องขออนุญาต อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 25.
A พานักเรียนไปทัศนศึกษา ควรใชคําขึ้นตนและลงทาย
ในจดหมายอยางไร คําโฆษณาชิ้นหนึ่งแนะนําผลิตภัณฑวา “ครีม
1. เรียน-ขอแสดงความนับถือ ทาผิวยี่หอ lady beauty ทําใหผิวขาวกระจางใส
2. กราบเรียน-ดวยความเคารพ ยกกระชับความหยอนคลอยบนใบหนา ผิวหนานุม นวล
3. เรียน-ขอแสดงความนับถืออยางสูง เหมือนเด็กแรกเกิด เห็นผลในครั้งแรกที่ใช ผานการ
4. กราบเรียน-ดวยความเคารพอยางสูง วิจยั จากสถาบันทีม่ ชี อื่ เสียงในสหรัฐอเมริกา จากการ
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 23. ทดสอบพบวาผูใ ช 100 เปอรเซ็นตพงึ พอใจ”
“โลกออนไลน”
สุธีเปนบุคคลที่เพื่อนๆ นอกโลกออนไลนมักจะ 25. นักเรียนสามารถระบุความนาเชื่อถือของโฆษณาชิ้นนี้
พูดถึงวิธกี ารแสดงความคิดเห็นของเขาเสมอ วิธกี าร D ไดหรือไม เพราะเหตุใด
แสดงความคิดเห็นของเขาคือ เมือ่ รูส กึ วาความคิดเห็น 1. ไมได เพราะไมมีขอมูลเกี่ยวกับผลขางเคียง
ของตนเองมี แ นวโน ม ที่ จ ะเพลี่ ย งพลํ้ า ใหกับฝาย 2. ได เพราะพบวาผูบริโภคพึงพอใจในผลิตภัณฑ
ตรงขาม เขาจะพยายามหาขอมูลมาเขียนสนับสนุน 3. ไมได เพราะขอมูลสนับสนุนไมสามารถยืนยันได
ความคิ ด เห็ น ของตน แรกที เ ดี ย วข อ มู ล นั้ น เป น

แบบทดสอบ
4. ได เพราะมีผลการทดสอบจากสถาบันที่มีชื่อเสียง
เรื่องจริง แตตอ มาเขาไดบดิ เบือนขอเท็จจริง สราง 26. การโตวาทีมีความแตกตางจากการอภิปรายตรงกับขอใด
ภาพลักษณ นําเรื่องสวนตัวของฝายตรงขามมา B 1. การโตวาทีผูพูดมุงแสดงขอเท็จจริง
เปดเผย เพื่อทําลายความเชื่อมั่น เปนเชนนี้ทุกครั้ง
2. การโตวาทีมุงแสวงหาทางออกที่เรียกวา “ญัตติ”
กระทัง่ เพือ่ นรวมกลุม กันตักเตือน จากนัน้ สุธกี ็ไมเคย
ร ว มแสดงความคิ ด เห็ น ต อ เหตุ ก ารณ ใ ดอี ก เลย 3. การโตวาทีผูพูดมุงแสดงขอมูลทั้งที่เปนขอเท็จจริง

โครงการบูรณาการ
กระทั่งเมื่อวานนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเห็นสุธีแสดงความ และขอคิดเห็น
คิดเห็นอีกครั้งดวยวิธีการเชนเดิม 4. การโตวาทีผูพูดมุงแสดงขอมูล คารม เพื่อหักลาง
ประเด็น และมีชัยชนะเหนือฝายตรงขาม
23. จากเรื่อง “โลกออนไลน” สุธีเปนบุคคลที่ไมควรยึดถือ 27. เพื่อนคนใดเหมาะสมที่จะเปนตัวแทนแขงขันโตวาที
D เปนแบบอยางเพราะเหตุใด ชัดเจนที่สุด D มากที่สุด
1. เพราะใชภาษากํากวมสื่อสารกับผูอาน
2. เพราะแสดงความคิดเห็นมุงทําลายผูอื่น 1. ออม มีความรูกวางขวาง
3. เพราะแสดงความคิดเห็นที่ขัดแยงกับผูอื่น 2. ออม มีปฏิภาณไหวพริบ
4. เพราะมีวิธีการแสดงความคิดเห็นแตกตางจากผูอื่น 3. อั๋น มีอารมณขันเปนเสนห
24. เพื่อนคนใดพูดแสดงความคิดเห็นที่มีตอภาพยนตรที่ชม 4. ออง มีบุคลิกภาพนาเกรงขาม
C ไดเหมาะสมตามหลักเกณฑการประเมิน 28. บุคคลใดเปนผูมีมารยาทในการฟง ดู และพูดมากที่สุด
1. ชบากลาววาชอบภาพยนตรเรื่องตํานาน D 1. สมภพอดทนฟงสมชายชี้แจงในระหวางการประชุม
สมเด็จพระนเรศวรเพราะทํารายไดสูง ทั้งที่ไมเห็นดวยกับความคิดเห็นของสมชายตั้งแตแรก
2. บานชื่นกลาววาชอบภาพยนตรเรื่องตํานานสมเด็จ- 2. มาโนชยกมือขึ้นแลวตั้งคําถามกับคณะผูรวมอภิปราย
พระนเรศวรเพราะแสดงโดยนักแสดงที่หนาตาดี
ทันทีที่สงสัยเพื่อใหตนเองลําดับความเขาใจไดทัน
3. พิกุลกลาววาชอบภาพยนตรเรื่องตํานานสมเด็จ-
พระนเรศวรเพราะไดไปชมกับพอและแม 3. ชานนทกลาวกับสมาชิกในทีป่ ระชุมวา “ผมวาพวกคุณ
4. มะลิกลาววาชอบภาพยนตรเรื่องตํานานสมเด็จ- นาจะชวยกันพูดบาง ไมเชนนัน้ จะมาประชุมเพือ่ อะไร”
พระนเรศวรเพราะมีวิธีการดําเนินเรื่องสอดคลองกับ 4. อมรชัยแสดงทาทางและสีหนาไมพอใจเมื่อมีผูยกมือ
เนื้อหา ตั้งคําถามในระหวางที่เขากําลังทําหนาที่อภิปราย

(15) โครงการวัดและประเมินผล
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 29. พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 33.
กิตพิ งศ (ผูด าํ เนินการอภิปราย) รวบรวมประวัติ กลุมที่ 1 ทรัพย มัทรี อินทรีย
ของคณะผูรวมอภิปรายจากผูจัดงาน กลุมที่ 2 ทราย ทราบ ทรุด
สมบัติ (ผูร ว มอภิปราย ลําดับที่ 5) เตรียมเนือ้ หา
ของประเด็นการอภิปรายทั้งหมด 33. ขอใดอธิบายความแตกตางของกลุมคําทั้งสองไดถูกตอง
สายสมร (ผูดําเนินรายการ) ประสานงานกับ D 1. กลุมที่ 1 เปนคํายืมภาษาบาลี กลุม ที่ 2 เปนคําไทยแท
ผูจ ดั งานเกีย่ วกับชวงเวลาของกิจกรรมยอย 2. กลุมที่ 1 เปนคํายืมภาษาบาลี กลุมที่ 2 เปนคํายืม
สมถวิล (ผูฟง) ศึกษาขอมูลเกี่ยวกับหัวขอการ ภาษาเขมร
อภิปราย เพื่อเตรียมคําถาม 3. กลุมที่ 1 เปนคํายืมภาษาสันสกฤต กลุมที่ 2
เปนคําไทยแท
29. บุคคลใดเตรียมการกอนอภิปราย รายไมสอดคลอง กับ
D สถานภาพของตน เพราะเหตุใด 4. กลุมที่ 1 เปนคํายืมภาษาสันสกฤต กลุมที่ 2
1. กิติพงศ เพราะผูดําเนินการอภิปรายควรเตรียมขอมูล เปนคํายืมภาษาเขมร
เฉพาะที่เกี่ยวของกับประเด็นการอภิปราย 34. ขอใดปรากฏคําที่มีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข “บรรทม”
2. สมบัติ เพราะควรเตรียมเนื้อหาเฉพาะในสวนที่ตนเอง D 1. ตรัส เสด็จ เสวย
แบบทดสอบ

ไดรับมอบหมาย 2. บรรทัด ตรัส กรรเจียก


3. สายสมร เพราะควรเตรียมเฉพาะบทพูดสําหรับ 3. หรรษา ภรรยา บรรพต
กลาวเชิญและกลาวขอบคุณประธานในพิธี 4. บรรทัด กรรเจียก บรรจถรณ
4. สมถวิล เพราะผูฟงไมควรมีอคติตอประเด็น 35. เพราะเหตุใดคําวา “บาบา ยี่เก” ซึ่งเปนคํายืมภาษาชวา
การอภิปรายกอนเขาฟง A มลายู จึงปรากฏรูปวรรณยุกต
โครงการบูรณาการ

30. ขอใดปรากฏคําที่มีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข “สิกขา” 1. เพราะเปนคําสองพยางค


D 1. สามัคคี วิญู สักกะ 2. เพราะพยางคแรกของคําไมมีตัวสะกด
2. สักกะ จักขุ อุเบกขา 3. เพื่อใหสอดคลองกับระบบเสียงในภาษาไทย
3. จักขุ อุเบกขา มิจฉาชีพ 4. เพราะพยางคแรกของคําประสมดวยสระเสียงยาว
4. ภัตตาหาร สักกะ เมตตา 36. ขอใดปรากฏคําที่มีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข “แชมป”
31. “วิปสสนา ปสสาวะ วัลลภ วิสสุกรรม” เปนคําที่ยืม D 1. เบอร กิโล ติว
D มาจากภาษาบาลี เพราะเหตุใด 2. สงฆ องค วิรุฬห
1. เพราะมีพยัญชนะแถวที่ 1 สะกดและพยัญชนะ 3. เบอร เบียร เชียร
แถวที่ 1 หรือ 2 เปนตัวตาม 4. เบอร เชียร โบนัส
2. เพราะมีเศษวรรคสะกดและเศษวรรคตัวเดิมตาม พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 37.
3. เพราะมีพยัญชนะแถวที่ 5 สะกดและพยัญชนะ
แถวที่ 1, 2, 3, 4 หรือ 5 เปนตัวตาม ประโยคที่ 1 เครื่องปรับอากาศเครื่องนี้เกา
4. เพราะมีพยัญชนะแถวที่ 3 สะกดและพยัญชนะ และอยูในสภาพใชการไมได
แถวที่ 3 หรือ 4 เปนตัวตาม ประโยคที่ 2 แอรตัวนี้เกา แถมยังเจงอีกตางหาก
32. ขอใดปรากฏคําที่มีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข “หรรษา”
D 1. บรรพต ครรภ ภรรยา 37. ขอบงชี้ประการใดที่แสดงใหเห็นวาประโยคทั้งสอง
2. ครรภ ภรรยา บรรทัด D มีระดับภาษาแตกตางกัน
3. พรรณนา บรรทัด บรรพต 1. การสื่อความ 2. ไวยากรณ
4. บรรทัด กรรไกร สรรเสริญ 3. คําเรียกขาน 4. เจตนา

โครงการวัดและประเมินผล (16)
อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 38. - 39. 40. ขอความใดใชภาษาแตกตางจากขออื่น
D 1. เมื่อจบปริญญาตรีมานพตัดสินใจไปเสี่ยงโชค
แจวแจวจักจั่นจา จับใจ ที่ตางประเทศ
หริ่งหริ่งเรื่อยเรไร รํ่ารอง 2. สาธินีออกกําลังกายทุกวันจนอาการปวยคอยยังชั่ว
แซงแซวสงเสียงใส ทราบโสต ขึ้นมาก
แหนงนิ่งนึกนุชนอง นิ่มเนื้อนวลนาง 3. ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มีรูปแบบ
โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู
การเมืองการปกครองที่แตกตางกัน
38. โคลงสี่สุภาพบทนี้บาทใดใชคําตายแทนตําแหนงคําเอก 4. อนุชาเปนนักศึกษาเอกภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร
D 1. บาทที่ 1 2. บาทที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแกน
3. บาทที่ 3 4. บาทที่ 4
39. โคลงสี่สุภาพบทนี้ปรากฏคุณคาดานวรรณศิลปตรงกับ
D ขอใดเดนชัดที่สุด
1. เลนเสียงสัมผัส
2. เลนคําพองเสียง
3. เลนเสียงพยัญชนะ

แบบทดสอบ
4. เลนเสียงวรรณยุกต

โครงการบูรณาการ

(17) โครงการวัดและประเมินผล
ตอนที่ 2 ตอบคําถามใหถูกตอง จํานวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ
¤Ðá¹¹àµçÁ
10

1. ใหนักเรียนเขียนวิเคราะห วิจารณความสมเหตุสมผล ความเปนไปได และการลําดับความของเรื่อง “เริ่มที่…เรา” หนา (13)


พรอมแสดงความคิดเห็นของตนที่มีตอเรื่อง (3 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ใหนักเรียนเขียนคําโฆษณาแนะนําผลิตภัณฑ ใหมของผูผลิตรองเทากีฬา USEN จากขอมูลของผลิตภัณฑที่กําหนดให
โดยใชระดับภาษาที่ถูกตอง และเหมาะสมกับประเภทของงานเขียน พรอมระบุเหตุผลประกอบ (2 คะแนน)
รองเทากีฬา USEN
USEN กอตั้งขึ้นในป ค.ศ. 2010 เริ่มตนผลิตรองเทากีฬา รองเทาแฟชั่นกีฬา และเครื่องแตงกายกีฬาภายใต
แบบทดสอบ

แบรนด USEN หลังจากเปดตัวไมนาน เราก็เปนผูนําในตลาดรองเทากีฬาภายในประเทศ เราไมเพียงแตผลิตสินคา


เพื่อตอบสนองความตองการของลูกคา แตเรายังสรางความสะดวก สบาย และสไตล ใหแกผูใช
อีกครั้งกับการเปดตัวรองเทากีฬา USEN รุน USEN SYNERGY SYSTEM : NEW TECNOLOGY ทุกครั้งเมื่อ
ออกกําลังกาย ไมวาจะเดิน วิ่ง หรือกระโดด จะเกิดแรงกระแทกขึ้นในขณะที่เทาสัมผัสพื้น เปนสาเหตุใหเกิดอาการ
บาดเจ็บบริเวณขอเขาและขอเทา USEN SYNERGY SYSTEM เปนนวัตกรรมใหมของ USEN ที่นําวัสดุพิเศษมาเปน
โครงการบูรณาการ

สวนประกอบของพื้นรองเทา วัสดุนี้มีคุณสมบัติดูดซับแรงกระแทกที่สะทอนจากพื้นขึ้นมาสูเทา แลวจึงสะทอนแรง


กระแทกนั้นเปนพลังงานสงคืน ทําใหคุณสามารถเคลื่อนไหวในจังหวะตอไปไดโดยสมบูรณ
รองเทากีฬา USEN รุน USEN SYNERGY SYSTEM : NEW TECNOLOGY มีจําหนายแลวที่ Shop USEN
ในหางสรรพสินคาชั้นนําทั่วประเทศ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ใหนกั เรียนสมมติบทบาทตนเองเปนประธานคณะกรรมการนักเรียนเขียนจดหมายกิจธุระขอบคุณวิทยากร จากขอมูลทีก่ าํ หนดให
ซึ่งจดหมายฉบับนี้ออกในนามฝายกิจกรรมนักเรียน มีอาจารยองอาจ หอมสุนทร เปนที่ปรึกษา ใชกระดาษขนาด A4 เขียน
จดหมายฉบับนี้ดวยรูปแบบและสํานวนภาษาที่ถูกตอง เหมาะสม (5 คะแนน)
นายแพทยวินิต ชื่นทองสุข ไดสละเวลามาเปนวิทยากรบรรยายในหัวขอ “สุขภาวะดี ชีวีเปนสุข” ใหนักเรียนจํานวน
120 คนฟง ณ หอประชุมของโรงเรียน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ระหวางเวลา 10.00-12.00 น. ในงานสัปดาห
สุขภาพดี ซึ่งทางโรงเรียนจัดขึ้นระหวางวันที่ 20-25 สิงหาคม 2556 การจัดงานในครั้งนี้นักเรียนไดรับความรู
ความเขาใจเกี่ยวกับการสรางสุขภาวะที่ดีใหแกตนเองและครอบครัว สามารถนําไปปรับใชในชีวิตประจําวันไดอยาง
เหมาะสม

โครงการวัดและประเมินผล (18)
เฉลยแบบทดสอบ ภาคเร�ยนที่ 1
ชุดที่ 1
ตอนที่ 1
1. ตอบ ขอ 3. การอานออกเสียงใหมีความไพเราะ เริ่มตนที่ตองมีแกวเสียงดี หรือแกวเสียงแจมใส เสียงที่เปลงออกมา
จึงจะเปนเสียงเสนาะ ไพเราะ กังวาน แกวเสียงที่แจมใสจึงเปนตนทุนที่ดี หากไดรับการฝกฝนอยางถูกวิธี
2. ตอบ ขอ 2. การเริ่มตนฝกอานออกเสียงทํานองเสนาะบทรอยกรอง ควรเริ่มฝกจากบทรอยกรองประเภทกลอนสุภาพ
หรือกลอนแปด เพราะมีจํานวนคําพอดีกับการทอดเสียง
3. ตอบ ขอ 4. โคลงสี่สุภาพ จังหวะของโคลงในวรรคที่มี 5 คํา ใหแบงจังหวะภายในวรรคเปน 3/2 หรือ 2/3 ทั้งนี้ใหพิจารณา
ที่เนื้อความเปนหลัก วรรคที่มี 4 คํา ใหแบงจังหวะ 2/2 วรรคที่มี 2 คํา ไมตองแบงจังหวะ ดังนั้น บาทที่ 4
วรรคแรก จึงแบงวา “เลือดทวมนอง/ทองชาง ชุมเมือง” คําวา “นคร” มีจํานวนพยางคเกินจากฉันทลักษณ
ผูอานจึงตองอานรวบเสียงที่คําวา “นะ-คะ” และเนนเสียงลงจังหวะที่คําวา “ระ”
4. ตอบ ขอ 3. การอานจะเกิดประโยชน เมื่อผูอานรูจักจดบันทึกสาระสําคัญ หรือขอสังเกตที่ไดรับในแตละครั้ง

แบบทดสอบ
5. ตอบ ขอ 4. มือจับ มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง ที่ใชจับ
มือตําลึง มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง หนวดของตําลึง
มือสกปรก มีความนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง มือที่สกปรก
มือมืด มีความนัยประวัติเพียงประการเดียว หมายถึง ผูที่ลอบทําความผิด

โครงการบูรณาการ
มือรอน มีความหมายนัยตรง หมายถึง มือที่รอน และความหมายนัยประวัติ หมายถึง คนที่มักปลูกตนไม
ไมขึ้นหรือไมงอก
มือขวา มีความหมายนัยตรง หมายถึง มือขางขวา และความหมายนัยประวัติ หมายถึง ใกลชิด, เกงกลา,
ไววางใจได
ดังนั้น มือจับ มือตําลึง และมือสกปรก จึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
6. ตอบ ขอ 4. จากคําอธิบายในขอ 5. มือขวา มือรอน เปนคําที่มีทั้งความหมายนัยตรง นัยประวัติ คําวา มือจับ มือตําลึง
มือสกปรก มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว สวนคําวา มือสะอาด มีความหมายนัยตรง หมายถึง
มือที่มีความสะอาด และความหมายนัยประวัติ หมายถึง คนที่มีความประพฤติดี มีความซื่อสัตยสุจริต
ดังนั้น คําในกลุมที่ 1 จึงเปนคําที่มีความหมาย 2 นัย คือปรากฏทั้งความหมายนัยตรงและนัยประวัติ
สวนคําในกลุมที่ 2 เปนคําที่มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว
7. ตอบ ขอ 4. การอานจับใจความ คือ การอานเพื่อมุงคนหาสาระของบทอาน ซึ่งนิทานเรื่องนี้มีใจความสําคัญอยูชวงตน
ของเรื่อง คือ เด็กชายแปะยูเปนผูมีความกตัญู
8. ตอบ ขอ 3. แรงของไมเรียวที่ลดลงจากเดิม ทําใหแปะยูรูวามารดาอาจมีชีวิตอยูดวยอีกไมนาน ดวยเหตุนี้เขาจึงรองไห
9. ตอบ ขอ 2. เมื่อเด็กชายแปะยูรูวามารดาอาจมีชีวิตอยูกับเขาอีกไมนาน ดวยความรัก ความกตัญูที่มีตอมารดา จึงเปน
สาเหตุสําคัญที่ทําใหเขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน
10. ตอบ ขอ 3. แมวาความโมโหของมารดาที่มีตอแปะยูอาจมีอยูมากก็ตาม แตดวยความแกชรา ทําใหแรงไมเรียวที่ลงโทษ
แปะยูนั้นเบาลง แรงไมเรียวจึงเปนขอความสื่อสารกับแปะยูวา เวลาที่มารดาจะอยูกับเขานั้นลดนอยลง

(19) โครงการวัดและประเมินผล
11. ตอบ ขอ 3. การเขียนกรอบความคิด แผนผังความคิด คือ การเรียบเรียงขอมูล ความคิด หรือองคความรูตางๆ
แลวถายทอดดวยภาพ สัญลักษณ เสนโยงนําความคิด ซึ่งประเด็นความคิดที่แตกรายละเอียดไดนั้น ควรมี
ความสอดคลอง เกี่ยวของ และเลาเรื่องในทิศทางเดียวกัน
12. ตอบ ขอ 1. ความสําคัญของการเขียนแผนผังความคิดมี 2 ประการ คือ ทําใหผูอานจดจําสาระจากการอานไดงายขึ้น
ประการตอมา คือ ทําใหเรียบเรียงความคิดไดเปนหมวดหมู ชัดเจน
13. ตอบ ขอ 4. การพิจารณาขอเขียนหนึ่งๆ ใหใชหลักการวิเคราะห เพื่อพิจารณาวาขอมูลใดเปนขอเท็จจริง สวนใดเปน
ทรรศนะหรือขอคิดเห็นของผูเขียน พิจารณาความสมเหตุสมผล ความเปนไปไดของขอมูล กอนที่จะ
ตัดสินใจเชื่อ หรือนําไปใชอางอิง เมื่อวิเคราะหขอเขียนนี้ พบวาขอมูลที่นําเสนอประกอบดวยขอมูลที่เปน
ขอเท็จจริงและทรรศนะของผูเขียน ใชภาษาสื่อความชัดเจน เรื่องราวที่นําเสนอไมมีความซับซอน
14. ตอบ ขอ 4. ผูเขียนแสดงทรรศนะวา มนุษยจําเปนตองกาวใหทันโลก ดวยการรับรูขอมูล ขาวสาร โนมนาวดวยวิธีการ
ยกตัวอยาง โดยผูเขียนเชื่อวา การหามไมใหกลุมวัยรุนเขาถึงขอมูล เทากับเปนการหยุดโลกของพวกเขา
เหตุผลที่มีความเปนไปได ถามนุษยจําเปนตองกาวใหทันโลก คือ การไมกาวเทากับการกาวถอยหลัง
15. ตอบ ขอ 1. ขอความอธิบายเกี่ยวกับวิธีการดูแลรูปรางใหไดสัดสวนดวยวิธีที่เหมาะสม คือ การออกกําลังกาย ไมได
อธิบายใหเห็นวามนุษยจะเผาผลาญแคลอรีไดโดยการลดปริมาณอาหารเพียงอยางเดียว และการลดปริมาณ
แบบทดสอบ

แคลอรีในแตละวันก็ไมใชวิธีการดูแลรูปรางที่ดีที่สุด พฤติกรรมการบริโภค เปนปจจัยเริ่มตนของการดูแล


รูปราง จึงเปนขอมูลที่สอดคลองและสนับสนุน
16. ตอบ ขอ 3. มารยาทการใชหองสมุด เปนสิ่งสําคัญที่ตองเรียนรู ตระหนัก และปฏิบัติ พฤติกรรมของปรานีจึงเปน
พฤติกรรมที่ไมเหมาะสม เพราะรบกวนสมาธิของผูอื่น
17. ตอบ ขอ 2. ขอมูลที่กําหนดใหนี้ อาจใชเปนขอมูลสนับสนุนเพื่อโตแยงทรรศนะของผูเขียนที่กลาววา “วัยรุนไทยมี
โครงการบูรณาการ

ศักยภาพในการรับสาร” เพราะเปนสถิติเกี่ยวกับภัยคุกคามทางคอมพิวเตอร ขอมูลนี้จึงเหมาะสมที่จะใช


สนับสนุนขอโตแยงวา “วัยรุนไทยมีศักยภาพในการรับสารจริงหรือ”
18. ตอบ ขอ 4. เกณฑที่ใชสําหรับตัดสินการประกวดคัดลายมือ เชน รูปแบบของตัวอักษรมีลักษณะเดียวกัน ระยะหาง
ระหวางตัวอักษร หรือชองไฟเทากันสมํ่าเสมอ เปนตน ผลงานของนารี สมควรไดรับรางวัลดวยเหตุผลหลัก
คือ ชองไฟของตัวอักษรมีขนาดเทากัน
19. ตอบ ขอ 3. ขอความที่กําหนดใหอาน ใชภาษาเพื่อสื่อสารหลายระดับ ตั้งแตระดับทางการ กึ่งทางการ ภาษาปาก
คําทับศัพทภาษาตางประเทศ ดังนั้น ขอความนี้จึงมีความบกพรองที่การใชภาษาตางระดับ
20. ตอบ ขอ 3. การเขียนชีวประวัติ คือ การเขียนสื่อสารเพื่อบอกเลาเรื่องราวชีวิตของบุคคลที่มีประวัติชีวิตนาสนใจ เพื่อให
เปนแรงบันดาลใจแกผูรับสาร จากหัวขอ “ตอยอดความดี” ประวัติของสมสุขจึงมีความสอดคลองมากที่สุด
เพราะจะชวยสรางแรงบันดาลใจในการทําความดีใหแกบุคคลอื่นๆ ในบริบทที่แตละคนทําได
21. ตอบ ขอ 4. การแสดงความคิดเห็นโดยไมไตรตรองยอมเกิดผลเสียหายตอผูเกี่ยวของและตนเอง เหตุการณที่เกิดขึ้น
กับดนัยมีสาเหตุหลักจากการที่เขาสื่อสารแสดงความคิดเห็นโดยขาดวิจารณญาณ ไมตรวจสอบขอมูล
และแหลงขาว
22. ตอบ ขอ 3. วิธีการยอความ ผูยอจะตองอานขอความที่จะยอใหจบอยางนอย 2 รอบ โดยการอานครั้งแรก เพื่อใหรูเรื่อง
โดยภาพรวม การอานในรอบที่ 2 อานเพื่อตอบคําถามวา ใคร ทําอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทําอยางไร และ
เหตุผลใด จัดลําดับเหตุการณสําคัญของเรื่อง แยกใจความสําคัญออกจากพลความ เขียนสวนหัวของ
ยอความใหสอดคลองกับประเภทของเรื่องที่อาน แลวเรียบเรียงใจความสําคัญดวยสํานวนภาษาของตนเอง
ขอความนีเ้ มือ่ ยอความแลวจะไดวา “การปลูกผักกินเองเปนแนวทางหนึง่ ทีท่ าํ ใหไดบริโภคอาหารทีม่ คี ณ
ุ ภาพ”

โครงการวัดและประเมินผล (20)
23. ตอบ ขอ 4. ขอความวา “…ทางโรงเรียนพิจารณาแลวเห็นวาทานเปนผูมีความรู…” เหมาะสมที่จะเปนสวนหนึ่งของ
เนือ้ ความในจดหมายกิจธุระเพือ่ ขอความอนุเคราะหเปนวิทยากร เพราะเปนการยกยอง ชมเชยผูร บั จดหมาย
ดวยความจริงใจ เพื่อใหเกิดความยินดีที่จะสนองตอบวัตถุประสงคของผูเขียนจดหมาย
24. ตอบ ขอ 1. การเขียนจดหมายกิจธุระถึงบุคคลธรรมดาที่มิไดดํารงตําแหนงเปนประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผูแทนราษฎร ประธานศาลฎีกา และรัฐบุรุษ ใหใชคําขึ้นตน
จดหมายวา “เรียน…ตามดวยนามหรือตําแหนง…” และคําลงทายวา “ขอแสดงความนับถือ”
25. ตอบ ขอ 2. ชุดเหตุการณที่ผูเขียนนํามาถายทอดทําหนาที่สนับสนุนทรรศนะที่วา ความเปนจริงของชีวิต คือ ความ
เปลี่ยนแปลง เพราะชุดเหตุการณเหลานั้นแสดงใหเห็นวา ทุกๆ เรื่องในชีวิตของมนุษยเปลี่ยนแปลงได
ไมวาเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ
26. ตอบ ขอ 2. การตัดสินประเมินคา คือ การตัดสินเพื่อใหคุณคาแกผลงานการสรางสรรคนั้นๆ โดยมีหลักวิชารองรับ
การตัดสินประเมินคาภาพยนตรและหนังสือ ไมสามารถใชเกณฑเดียวกันได เพราะมีองคประกอบของงาน
แตกตางกัน
27. ตอบ ขอ 4. การรับสารสิ่งที่ตองพิจารณารองลงมาจากเนื้อหาสาระ คือ การพิจารณาแหลงขอมูลวามีความนาเชื่อถือ
มากนอยเพียงใด ซึ่งการฟงสารจากผูถายทอดที่เปนบุคคล และเนื้อหามีลักษณะโนมนาวใหเชื่อ หวังผล

แบบทดสอบ
ใหปฏิบัติตาม ตองใชวิจารณญาณในการฟงมากที่สุด
28. ตอบ ขอ 4. พฤติกรรมของมนัสสอดคลองกับสํานวน “ฟงไมไดศัพทจับไปกระเดียด” เพราะหมายถึง ฟงไมไดความ
รูเรื่องไมจริง แลวนําไปพูดตอหรือทําผิดๆ พลาดๆ สวน “จับดําถลําแดง” หมายถึง หวังอยางหนึ่ง แตไปได
อีกอยางหนึ่ง “ติเรือทั้งโกลน” หมายถึง พูดตําหนิสิ่งที่ยังทําไมเสร็จ หรือติพลอยๆ กอนจะรูวาอะไรเปน
อะไร “ปากวาตาขยิบ” หมายถึง พูดอยางหนึ่ง แตทําอีกอยางหนึ่ง

โครงการบูรณาการ
29. ตอบ ขอ 2. จุดประสงคการพูดของนายแพทยอรรณพ คือ การโนมนาวชักจูงใหผูฟงลด ละ เลิก การสูบบุหรี่ โดยอาง
ถึงประโยชนที่จะไดรับเปนขอมูลสนับสนุน
30. ตอบ ขอ 3. การประชุมครั้งหนึ่งๆ ผูเขารวมประชุมมีสถานภาพและบทบาทตางกัน ประธานมีหนาที่ดําเนินการประชุม
ใหเปนไปตามวาระ กระตุนใหสมาชิกมีสวนรวมแสดงความคิดเห็น สมาชิกในที่ประชุมมีหนาที่แสดงความ
คิดเห็น อธิบาย ชี้แจง โตแยง ดวยเหตุและผลตามวาระ เพื่อใหไดมติหรือขอสรุปของที่ประชุม ไมควร
ยึดมั่นในความคิดตนเอง รวมถึงไมกลาววาจาที่จะสรางความบาดหมางใจ จากสถานการณขางตนผูที่แสดง
บทบาทของตนไดสมบูรณที่สุด คือ คุณสมพงษ
31. ตอบ ขอ 3. “กําแพงมีหู ประตูมีชอง” หมายถึง จะพูดหรือทําอะไรใหระมัดระวัง สวน “ปากวาตาขยิบ” หมายถึง
พูดอยางหนึ่ง แตทําอีกอยางหนึ่ง “ติเรือทั้งโกลน” หมายถึง พูดตําหนิสิ่งที่ยังทําไมเสร็จ หรือติพลอยๆ
กอนจะรูวาอะไรเปนอะไร “ปากปราศรัยนํ้าใจเชือดคอ” หมายถึง พูดดีดวยเมื่ออยูตอหนาแตคิดรายอยู
ภายในจิตใจ ความหมายของสํานวนในขอ 1., 2. และ 4. มีความหมายในเชิงลบ ไมควรปฏิบัติ สํานวน
ในขอ 3. จึงถูกตอง เพราะการระวังคําพูด รูอ ะไรควร ไมควร นับเปนมารยาทการพูดทีค่ วรตระหนักและปฏิบตั ิ
32. ตอบ ขอ 1. ขอความทัง้ สองมีวตั ถุประสงคการเขียนเดียวกัน คือ ชีแ้ จง สรางความรู ความเขาใจทีถ่ กู ตองเกีย่ วกับวิธกี าร
ดูแลรูปราง ลักษณะการลําดับความ ขอมูลที่นําเสนอ มีสวนคลายคลึงกัน โดยเริ่มตนจากสาเหตุที่ทําให
ผูหญิงทําทุกวิธีเพื่อที่จะผอม ดังนั้น ความแตกตางที่ชัดเจนของขอความทั้งสอง คือ ระดับภาษาที่ใชเขียน
สื่อสาร
33. ตอบ ขอ 4. สิ่งที่จะทําใหผูพูดเลือกใชระดับภาษาไดเหมาะสม คือ โอกาส สถานที่ และผูฟง โดยพิจารณาวาโอกาส
และสถานทีท่ ตี่ อ งพูดสือ่ สารเปนทางการมากนอยเพียงใด สวนผูฟ ง ผูพ ดู จะตองพิจารณาจากความแตกตาง
ในแตละดาน เชน อายุ เพศ วัย เปนตน

(21) โครงการวัดและประเมินผล
34. ตอบ ขอ 1. คําในกลุมที่ 1 ทุกคําเปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี โดยสังเกตจากหลักการใชตัวสะกดตัวตาม
นิพพาน บุคคล มีพยัญชนะแถวที่ 3 เปนตัวสะกด และพยัญชนะตัวเดิมตาม
เมตตา มีพยัญชนะแถวที่ 1 เปนตัวสะกด และพยัญชนะตัวเดิมตาม
35. ตอบ ขอ 4. คําในกลุมที่ 2 ทุกคําเปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต โดยสังเกตจากรูป รร (ร หัน) สวนคําในกลุมที่ 3
ปรากฏรูป รร (ร หัน) เชนกัน แตทุกคําเปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร
36. ตอบ ขอ 3. ทุกคําเปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร มีลักษณะรวมกัน คือ มีตัวสะกดไมตรงตามมาตรา ซึ่งแตกตางจาก
คําไทยแทที่มีตัวสะกดตรงตามมาตรา
37. ตอบ ขอ 4. คําวา กระดังงา เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา นํามาใชเปนคําเรียกพืช
ผกากรอง เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร ยี่สุน เปนคําไทยแท
กํายาน เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา นํามาใชเปนคําเรียกสิ่งของ บุหงารําไป เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา
นํามาใชเปนคําเรียกสิ่งของ ลักษณะการนํามาใชไมตรงกับคําเงื่อนไข
มะลิ เปนคําไทยแท กุแหละ เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา
นอยหนา เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา นํามาใชเปนคําเรียกพืช สาคู เปนคําที่ยืมมาจากภาษาชวา นํามา
ใชเปนคําเรียกพืช ทั้งสองคําจึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
แบบทดสอบ

38. ตอบ ขอ 3. ทุกคําในกลุมที่ 1 และ 2 สรางคําดวยวิธีการเดียวกัน คือ การซอนคํา แตมีขอแตกตางเกี่ยวกับที่มาของคํา


ที่นํามาซอนกัน (คําหลัง) ในกลุมที่ 1 เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมรทุกคํา สวนในกลุมที่ 2 เปนคําไทยแท
ทุกคํา
39. ตอบ ขอ 3. การเขียนรายงานเชิงวิชาการควรใชระดับภาษาที่เปนทางการสื่อความชัดเจน คนที่ 1 ใชคําผิดวัตถุประสงค
คําวา สรรพางคกาย เหมาะสมที่จะใชในงานเขียนประเภทบันเทิงคดี คนที่ 2 และ 4 ใชภาษาปาก (ไมเปน
โครงการบูรณาการ

ทางการ) ไมเหมาะสมที่จะใชเขียนรายงานเชิงวิชาการ
40. ตอบ ขอ 3. การแตงโคลงสี่สุภาพตําแหนงที่ระบุใหใชคําเอก หากไมสามารถหาคําได ผูแตงสามารถใชคําตายแทน
ในตําแหนงเดียวกันได ซึ่งในโคลงบทนี้ ไดแก วัฎ โลก เลิศ จิต วากย และเผด็จ

โครงการวัดและประเมินผล (22)
ตอนที่ 2
1. ตอบ นักเรียนจะตองเขียน โดยใชความสามารถดานการวิเคราะห พิจารณาแยกแยะวา ขอเขียนดังกลาวมีองคประกอบ
ใดบาง และผูเขียนมีกลวิธีการสรางสรรคองคประกอบแตละสวนอยางไร จากนั้นจึงแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ที่มีตอองคประกอบแตละสวนของงาน หรือเรียกวาการวิจารณ
คําตอบที่จะไดคะแนน เชน “ขอเขียนดังกลาวประกอบดวยขอเท็จจริง ขอคิดเห็น ใชภาษาระดับกึ่งทางการสื่อสาร
กับผูอาน แนวคิดที่ปรากฏเปนประโยชน สามารถนําไปปรับใชในชีวิตประจําวันได เพราะถาเขาใจวา ชีวิตคือความ
เปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถตั้งรับใชชีวิตไดอยางมีความสุข ไมทุกขรอน กระวนกระวาย”
คําตอบที่ไมไดคะแนน คือ ไมปรากฏขอความที่แสดงวาไดใชหลักการวิเคราะห พิจารณาองคประกอบของงาน
รูปประโยคแสดงความคิดเห็นตอองคประกอบของงานคลุมเครือ ปราศจากเหตุผล เชน “แนวคิดดี นําไปใชไดจริง”
“เปนเรื่องที่ดี” “เราตองยอมรับการเปลี่ยนแปลง” “ฉันเห็นดวยเปนอยางยิ่ง”
2. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายฉันทลักษณของโคลงสี่สุภาพบาทที่ 1 ไดถูกตอง
2. ระบุตําแหนงคําเอก คําโทของโคลงสี่สุภาพบาทที่ 1 ไดถูกตอง
3. อธิบาย ชี้แจงไดวาโคลงสี่สุภาพบาทที่กําหนดผิดฉันทลักษณอยางไร

แบบทดสอบ
ตัวอยาง : โคลงสี่สุภาพบาทที่ 1 มีฉันทลักษณ ดังนี้ o o o o่ o้ o o (o o) โดยคําเอกและคําโทในบาทที่ 1 สามารถ
สลับตําแหนงกันได และคําเอกนั้นสามารถใชคําตายแทนได ซึ่งคําวา “จริง” ไมใชคําตาย โคลงสี่สุภาพบาทนี้จึงผิด
ฉันทลักษณของโคลงสี่สุภาพบาทที่ 1
3. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย

โครงการบูรณาการ
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• ระบุสาเหตุของการเขียนจดหมายไดสมเหตุสมผล
• ระบุขอความที่เปนการยกยอง ใหความสําคัญ ใหเกียรติผูรับจดหมายสื่อแสดงถึงมิตรภาพและความจริงใจ
• ระบุวัตถุประสงคของจดหมาย หรือสิ่งที่ตองการใหผูรับจดหมายสนองตอบ ดวยภาษาที่สุภาพ เหมาะสม
พรอมรายละเอียดที่จําเปนสําหรับการเตรียมความพรอมของผูรับจดหมาย
• สรุปวัตถุประสงคใหผูรับทราบอีกครั้ง พรอมรูปประโยคที่แสดงความขอบคุณลวงหนา
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย มีความสมเหตุสมผล เปนไปได ผูรับจดหมายทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงคของจดหมาย ระบุ
ขอมูลที่เอื้อตอการเตรียมความพรอมของผูรับจดหมาย
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใชรูปแบบและภาษาไมเหมาะสมกับสถานภาพของผูรับจดหมาย ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตน
เนื้อความ คําลงทายจดหมายไมถูกตอง และเนื้อความในจดหมายไมไดสื่อแสดงถึงวัตถุประสงค รวมถึงขอมูลที่ให
ไมเอื้อตอการเตรียมความพรอมของผูรับ

(23) โครงการวัดและประเมินผล
เฉลยแบบทดสอบ ภาคเร�ยนที่ 1
ชุดที่ 2
ตอนที่ 1
1. ตอบ ขอ 2. ปจจัยพื้นฐานของการอานออกเสียงประกอบดวยสายตา เสียง และอารมณ ปนจึงมีความเหมาะสมที่จะเปน
ตัวแทน เพราะการอานออกเสียงเริ่มตนที่เสียง ผูอานตองมีเสียงที่ชัดเจน แจมใส ไมแตกพรา เมื่อไดรับ
การฝกฝนอยางถูกวิธีในดานตางๆ ยอมสามารถอานไดไพเราะ
2. ตอบ ขอ 4. รอนอกรอนใจ เปนคําซอน 4 พยางค โดยมีพยางคที่ 1 และ 3 ซํ้ากัน มีความหมายนัยประวัติ
มือขวา มือออน เปนคําประสม วิธีการสรางคําไมตรงกับคําเงื่อนไข สวนคําวา เชื่อถือ ดื้อดึง เปนคําซอน
แตมี 2 พยางค ไมตรงกับคําเงื่อนไข
ลืมหูลืมตา เปนคําซอน 4 พยางค โดยมีพยางคที่ 1 และ 3 ซํ้ากัน มีความหมายนัยประวัติเพียงประการเดียว
หมายถึง เปดหูเปดตารับรูความเปนไปของสิ่งตางๆ หรืออาจใชแกฝนในเนื้อความปฏิเสธ หมายความวา
หนักมาก เชน ฝนตกอยางไมลืมหูลืมตา
ปากหอยปากปู เปนคําซอน 4 พยางค โดยมีพยางคที่ 1 และ 3 ซํ้ากัน มีความหมายนัยประวัติ
แบบทดสอบ

เพียงประการเดียว หมายถึง ชอบนินทาเล็กนินทานอย, ไมกลาพูด, พูดไมขึ้น หรือพูดไมมีใครฟง


คงเสนคงวา เปนคําซอน 4 พยางค โดยมีพยางคที่ 1 และ 3 ซํ้ากัน มีความหมายนัยประวัติเพียง
ประการเดียว หมายถึง เสมอตนเสมอปลาย
ผูหลักผูใหญ เปนคําซอน 4 พยางค โดยมีพยางคที่ 1 และ 3 ซํ้ากัน มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว
หมายถึง ผูมีอายุมาก
ดังนั้น ลืมหูลืมตา และปากหอยปากปู จึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
โครงการบูรณาการ

3. ตอบ ขอ 3. การอานออกเสียงบทรอยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพใหเกิดความไพเราะ ประการแรก คือ จังหวะหลัก


จังหวะเสริม ประการที่สอง ผูอานจะตองอานใหถูกตองตามฉันทลักษณหรืออานใหถูกตองตามขอบังคับ
ประการที่สาม ผูอานจะตองออกเสียงคําใหไดรสซึ่งจะสงผลไปถึงรสความ เชน เสียงของคําสง-รับสัมผัส
เสียงเลียนแบบธรรมชาติ เปนตน ประการที่สี่ ผูอานจะตองปรับเสียงและอารมณของตนใหเขากับ
บทอานโคลงสี่สุภาพที่กําหนดมีลักษณะวรรณศิลปที่โดดเดน คือ การใชคําเลียนเสียงธรรมชาติ คือ คําวา
“เหงงหงั่ง” หากตองการใหบทประพันธเกิดความไพเราะ ผูอานควรออกเสียงคําใหใกลเคียงกับเสียงจริง
มากที่สุด
4. ตอบ ขอ 1. มือขวา มีความหมายนัยตรง หมายถึง มือขางขวา ความหมายนัยประวัติ หมายถึง ใกลชิด ไววางใจได
มือแข็ง มีความหมายนัยตรง หมายถึง มือที่แข็งแรง ความหมายนัยประวัติ หมายถึง ไมมีสัมมาคารวะ
มือสะอาด มีความหมายนัยตรง หมายถึง มือที่สะอาด ความหมายนัยประวัติ หมายถึง มีความประพฤติดี
ซื่อสัตยสุจริต
ดื้อดึง มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง ดื้อไมยอมฟงเหตุผล
เชื่อถือ มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง นับถือ
ผูหลักผูใหญ มีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว หมายถึง ผูมีอายุมาก
ดังนั้น ดื้อดึง เชื่อถือ ผูหลักผูใหญ จึงอยูในกลุมเดียวกัน เพราะมีความหมายนัยตรงเพียงประการเดียว
สวน มือขวา มือแข็ง มือสะอาด อยูในกลุมเดียวกัน เพราะมีความหมายทั้งนัยตรงและนัยประวัติ
5. ตอบ ขอ 4. การอานออกเสียงอารมณของผูอานตองสอดคลองกับบทอาน จากตัวเลือกที่กําหนดให ขอ 1., 2. และ 3.
เปนขอความที่ใชบรรยายโวหารสื่อความ แตกตางจากขอ 4. ที่สื่อสารดวยพรรณนาโวหาร ผูอานจึงตอง
ออกเสียงคําวา “หอมหวน” ใหผูฟงรูสึกเชนคํากริยานั้น

โครงการวัดและประเมินผล (24)
6. ตอบ ขอ 4. คําในกลุมที่ 1 มีวิธีการสรางเดียวกันคือ การซอนคํา หรือการนําคําตั้งแต 2 คําขึ้นไป มาเรียงตอกัน
โดยแตละคํามีความสัมพันธกันในดานความหมาย อาจเปนคําที่มีความหมายเหมือนกัน คลายกัน ทํานอง
เดียวกัน หรือตรงขามกัน สวนคําในกลุม ที่ 2 มีวธิ กี ารสรางเดียวกัน คือ การประสมคํา หรือการนําหนวยคําอิสระ
ที่มีความหมายตางกันอยางนอย 2 หนวย มารวมกันเกิดเปนคําใหมที่มีความหมายใหม แตยังคงเคา
ความหมายเดิม ดังนั้น ขอแตกตางประการสําคัญของกลุมทั้งสองนอกจากความหมาย คือ วิธีการสรางคํา
7. ตอบ ขอ 4. สาระสําคัญปรากฏทีช่ ว งกลางของขอความ คือ “ปจจุบนั ความตระหนักตอสวนรวมลดนอยลง”
8. ตอบ ขอ 2. จุดมุงหมายของผูเขียนอาจสรุปไดภายหลังการอาน หรืออาจสังเกตจากคําสําคัญ (Key word) จากขอความ
ที่กําหนดคําสําคัญที่ปรากฏและสื่อแสดงใหเห็นจุดมุงหมาย คือ คําวา “เริ่มที่…เรา” นอกจากนี้ขอความ
สุดทายยังชวยเนนเจตนาของผูเขียนใหชัดเจน “เริ่มตนที่เรา ก็เทากับคนอื่นไดเริ่มตน ถาไมเริ่มที่เรา
แลวจะเริ่มที่ใคร” ขอความนี้ผูเขียนจึงมีเจตนาโนมนาวผูรับสารใหตระหนักตอสวนรวม
9. ตอบ ขอ 2. จุดมุงหมายสําคัญของขอความนี้ คือ การโนมนาวใหผูรับสารตระหนักตอ “สวนรวม” ขอความที่เปน
ขอสนับสนุน คือ “ถาสังคมเสื่อมมนุษยซึ่งเปนสวนหนึ่งของสังคมก็ดํารงชีวิตอยูไมได” สวนขอความอื่นๆ
ในตัวเลือกไมมีความสัมพันธกับคําวา “สวนรวม”
10. ตอบ ขอ 1. “เริ่มที่…เรา” ผูเขียนใชภาษากึ่งทางการสื่อสารกับผูอาน มีเจตนาการเขียนเพื่อโนมนาว ลําดับความงาย

แบบทดสอบ
ตอการทําความเขาใจ เพราะกลาวถึงสาเหตุ ตามดวยสถานการณที่กําลังเกิดขึ้น และแนวทางแกไข
11. ตอบ ขอ 1. จุดมุงหมายสําคัญของขอความ คือ โนมนาวใหผูรับสารตระหนักตอ “สวนรวม” จึงควรใชชุดขอมูลที่จะชวย
ใหผูรับสารเชื่อและเห็นจริงวา การทําเพื่อสวนรวมนั้นเกิดประโยชนอยางไร ความสําเร็จของชุมชนตนแบบ
สามารถอนุมานไดวา ทุกคนในชุมชนรวมมือกันลดอัตตาและตระหนักตอสวนรวม
12. ตอบ ขอ 4. การเขียนแผนผังความคิดมีรูปแบบการเขียนที่เปนเอกลักษณเฉพาะ โดยใชเสน สี ภาพ และขอความสั้นๆ

โครงการบูรณาการ
เพื่อชวยใหผูอานใชจดจําสาระที่ไดจากการอานงายขึ้น
13. ตอบ ขอ 1. การแตกประเด็นความคิดเพื่อเขียนแผนผังความคิด ผูเขียนตองมีประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะวางไว
ตรงกลางหนากระดาษในแนวนอน จากนั้นจึงใชเสนโยงนําความคิด ลากออกไปจากประเด็นความคิดหลัก
เพื่อแตกประเด็นความคิดรอง และทําเชนเดียวกันนี้กับการแตกประเด็นความคิดยอย ประเด็นความคิดรอง
แตละประเด็นจะตองมีเอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตถภาพเดียวกัน จากตัวเลือกประเด็นความคิดรอง
ทุกขอลวนมีความสัมพันธกบั ประเด็นหลัก แตมเี พียง “ความเหมาะสมกับสภาพอากาศ” ทีม่ คี วามสอดคลอง
กับประเด็นรองอื่นๆ ที่กําหนดเปนเงื่อนไข
14. ตอบ ขอ 4. มารยาทเปนกรอบกําหนดพฤติกรรมอันพึงประสงคของมนุษยเมือ่ ตองใชสาธารณสมบัตริ ว มกับผูอ นื่ มารยาท
การใชหอ งสมุดทีค่ วรปฏิบตั ิ เชน ไมสง เสียงดังรบกวนผูอ นื่ เปนตน ออด จึงมีพฤติกรรมทีเ่ หมาะสมเมือ่ ตอง
ใชหองสมุดรวมกับผูอื่น
15. ตอบ ขอ 4. คําขวัญ คือ ถอยคําสัน้ ๆ ทีร่ อ ยเรียงใหมสี มั ผัสคลองจอง จดจําไดงา ย จูงใจใหผรู บั สารปฏิบตั ติ ามจุดมุง หมาย
ของคําขวัญ ดังนั้น คําขวัญที่ดีจึงตองมีใจความสําคัญเพียงประการเดียว มีจุดมุงหมายชัดเจน ขอความ
ที่วา “สถานที่ทองเที่ยวไทย ลือไกลไปตางแดน” จึงไมเหมาะสมที่จะใชเปนคําขวัญ เพราะไมมีจุดมุงหมาย
ชัดเจนที่ตองการใหผูรับสารปฏิบัติ
16. ตอบ ขอ 1. แนวทางตัดสินการประกวดคัดลายมือมีหลายประการ เชน ใชตัวอักษรรูปแบบเดียวกัน ชองไฟเหมาะสม
หัวตัวอักษรไมบอด เสนตั้งตรง การวางตําแหนงสระ วรรณยุกต เครื่องหมายถูกตอง ฐานของตัวอักษร
ความสะอาด เปนตน ขอบกพรองที่ชัดเจนของลายมือนี้ คือ ฐานของตัวอักษรทับเสนบรรทัด หรือเรียกวา
การเขียนตัวอักษรแบบนั่งเสน ซึ่งที่ถูกตองฐานของตัวอักษรควรอยูบนเสนบรรทัดพอดี

(25) โครงการวัดและประเมินผล
17. ตอบ ขอ 1. รูปแบบงานเขียนที่ตองการใหวิเคราะห คือ “โฆษณา” แนวทางการเขียนโฆษณาใหประสบผลสําเร็จ
สามารถดึงดูดความสนใจ ความประทับใจ ความพึงพอใจ และทําใหผูรับสารเกิดความตองการในสินคา
ไดนั้นควรใหความสําคัญกับถอยคํา ภาษาที่ใช กลาวคือ ควรใชถอยคําที่กะทัดรัด ชัดเจน คลองจอง
คําแปลกใหม ระดับภาษาที่ใชเขียนโฆษณาจึงไมเครงครัดในไวยากรณ สามารถใชภาษาระดับกึ่งทางการ
หรือไมเปนทางการได “รองเทากีฬายูเซน เสนชัยที่ปลายเทา” จึงใชระดับภาษาเหมาะสมกับรูปแบบ
งานเขียนมากที่สุด เพราะทําใหผูรับสารจดจําชื่อและเราใหเกิดความตองการในสินคา สวนขอ 2. ถอยคํา
ที่ใชไมเราใหเกิดความตองการ ขอ 3. ใชถอยคํายืดเยื้อ (รองเทาสําหรับเลนกีฬา อาจใชคําวา รองเทากีฬา
แทนไดในงานโฆษณา) และขอ 4. ใชภาษาระดับทางการไมเราใหเกิดความรูสึกสนใจ
18. ตอบ ขอ 3. การเขียนชีวประวัติบุคคล ผูเขียนตองมีจุดมุงหมายที่ชัดเจน เพราะจะเปนกรอบสําคัญที่ชวยคัดเลือก
ประวัตขิ องบุคคลทีน่ า สนใจและจะเปนประโยชนภายใตหวั ขอ “มองโลกใหตา ง เห็นชองวางธุรกิจ” คือ สุพจน
เพราะความคิดสรางสรรคของเขา สามารถสรางประโยชนทางธุรกิจใหแกตนเอง เปนแรงบันดาลใจใหผูอื่น
มองโลกในมุมมองใหม มุมมองที่กวางขึ้น มุมมองที่เกิดประโยชน
19. ตอบ ขอ 1. การเขียนจดหมายกิจธุระเชิญบุคคลธรรมดาที่มิไดดํารงตําแหนงเปนประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผูแทนราษฎร ประธานศาลฎีกา และรัฐบุรุษ ใหใชคําขึ้นตน
จดหมายวา “เรียน…ตามดวยนามหรือตําแหนง…” สวนคําขึ้นตนจดหมาย หากเปนจดหมายที่เขียนถึงกัน
แบบทดสอบ

ฉบับแรก และมีเจตนาเพื่อขอความอนุเคราะหใหใชวา “เนื่องจาก” จึงจะเหมาะสม


20. ตอบ ขอ 4. การอานขั้นตอนประดิษฐ โคมไฟจากกระดาษเหลือใช ไมสามารถใชหลักการยอความได เพราะผูยอ
ไมสามารถสรุปขั้นตอนตางๆ ดวยประโยคเพียงไมกี่ประโยค ขั้นตอนการประดิษฐนั้นผูประดิษฐจะตอง
ปฏิบัติตามทุกขั้นตอนโดยละเอียดไมสามารถขามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งได
21. ตอบ ขอ 2. การยอความ คือ การสรุปสาระสําคัญของสิ่งที่อานดวยความเขาใจและสํานวนภาษาของผูยอ การอาน
โครงการบูรณาการ

เพื่อใหสามารถยอความไดอยางมีประสิทธิภาพ ผูอานจะตองอานใหจบอยางนอย 2 รอบ การอานรอบแรก


เปนการอานผานๆ เพื่อสํารวจเกี่ยวกับชื่อเรื่อง เนื้อหาโดยภาพรวม จากนั้นจึงอานอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้
เปนการอานเพื่อทําความเขาใจเนื้อหา “ตอม” จึงเปนผูที่มีแนวทางการอานสอดคลองกับการยอความ
มากที่สุด เพราะจะทําใหไดสาระสําคัญจากความเขาใจของตนเองรอยเรียงตอเนื่องกัน
22. ตอบ ขอ 1. ถามีการเขียนจดหมายระหวางหนวยงานราชการถึงบุคคลที่ ไม ใชประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาผูแทนราษฎร ประธานศาลฎีกา และรัฐบุรุษ ใหใชคําขึ้นตน
จดหมายวา “เรียน…ตามดวยนามหรือตําแหนง…” คําลงทายจดหมายใหใชวา “ขอแสดงความนับถือ”
23. ตอบ ขอ 2. ความคิดเห็นทีด่ ี ควรเปนความคิดเห็นทีส่ ามารถแกปญ หาไดจริง ไมกอ ใหเกิดความเขาใจผิด การเปรียบเทียบ
การแบงฝาย ผูที่มีความคิดเห็น หรือวิธีการแสดงออกแตกตางจากบุคคลอื่นไมใชสิ่งผิดรายแรง ตราบใด
ที่ความคิดเห็นและวิธีการแสดงออกไมลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือขัดตอกฎ ระเบียบของสังคม
แตพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นของสุธีมุงทําลายผูอื่นเพื่อประโยชนของตน
24. ตอบ ขอ 4. การประเมินคาผลงาน หมายถึง การตัดสินวาผลงานนั้นๆ ปรากฏคุณคาอยางไร โดยมีหลักเกณฑวา
ผูประเมินจะตองมีความรู ความเขาใจในสิ่งที่ประเมิน แยกแยะองคประกอบไดวา แตละสวนมีลักษณะ
สัมพันธ และสําคัญอยางไร บุคคลที่มีแนวทางการแสดงความคิดเห็นตอภาพยนตรที่ชมสอดคลองกับ
หลักเกณฑการประเมินมากที่สุด คือ มะลิ เพราะสามารถวิเคราะหเบื้องตนเกี่ยวกับองคประกอบของ
ภาพยนตรได
25. ตอบ ขอ 3. ไมสามารถระบุความนาเชือ่ ถือได เพราะขอมูลที่ใชประกอบคําโฆษณาไมสามารถยืนยันแหลงทีม่ าไดชดั เจน
เชน สถาบันวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่อางถึงอาจไมมีอยูจริง รวมถึงผลการวิจัยโดยละเอียด เปนตน

โครงการวัดและประเมินผล (26)
26. ตอบ ขอ 4. การโตวาที คือ การพูดที่มีฝายเสนอความคิดเห็นกับอีกฝายหนึ่งกลาวคานความคิดเห็นในเรื่องเดียวกัน
หรือเรียกวา “ญัตติ” ทั้งสองฝายจะใชวาทศิลปกลาวคานความคิดเห็นของกันและกันอยางมีระเบียบ โดยใช
เหตุผล ขอเท็จจริง และหลักวิชา มีกําหนดเวลาชัดเจน และมีการตัดสินผล สวนการอภิปราย คือ การพูด
แลกเปลี่ยนความรู ความคิด เพื่อประโยชนในการปฏิบัติงาน ทําใหเกิดการยอมรับความคิดเห็น ปรับตัว
เขาหากัน จากคํานิยาม การโตวาทีจงึ มีความแตกตางจากการอภิปรายทีก่ ารหักลางความคิด เพือ่ ใหมชี ยั ชนะ
เหนือฝายตรงขาม
27. ตอบ ขอ 2. คุณสมบัติของผูโตวาทีมีหลายประการ เชน ทักษะการพูดสื่อสาร กลาแสดงออก ความรูที่กวางขวาง
สามารถนํามาใชไดเหมาะสมกับชวงเวลา หรือเรียกวามีปฏิภาณไหวพริบ นอกจากนี้ยังควรมีบุคลิกภาพดี
ยิ้มแยมแจมใส มีนํ้าใจนักกีฬา ลักษณะโดดเดนของ “ออม” จึงเหมาะสมที่จะเปนหนึ่งในตัวแทนการแขงขัน
โตวาที เพราะการโตวาที เปนการพูดโตแยงของบุคคลสองฝายในเรื่องเดียวกัน หรือเรียกวา ญัตติ โดยมี
กําหนดเวลาไวชัดเจน ตางฝายจะตองหาชุดขอมูล เหตุการณ มาลางประเด็นความคิดใหเหมาะสมพอดี
กับชวงเวลา ดังนั้น ปฏิภาณไหวพริบจึงสําคัญมากกวาการมีความรูที่กวางขวาง แตไมสามารถนํามาใชได
ทันเวลา หรือไมสามารถแกไขปญหาเฉพาะหนาได
28. ตอบ ขอ 1. บุคคลที่มีมารยาทในการฟง ดู และพูดมากที่สุด คือ “สมภพ” เพราะเขาสามารถฟงสมชายชี้แจงไดจนจบ
ทั้งๆ ที่เขาไมเห็นดวยตั้งแตตน ขณะที่มาโนชไมใหเกียรติผูพูดบนเวที ชานนท ใชคําพูดเสียดสีวากลาว

แบบทดสอบ
ผูรวมประชุม และอมรชัยไมใหเกียรติผูฟง ไมสามารถสงบสติอารมณของตนเองได
29. ตอบ ขอ 2. เพื่อใหการพูดอภิปรายประสบผลสําเร็จ จําเปนอยางยิ่งที่ผูมีสวนเกี่ยวของจะตองเตรียมความพรอมใหแก
ตนเองกอนวันงาน ดังนี้
ผูดําเนินการอภิปราย กอนการอภิปรายควรศึกษาหัวขอการอภิปรายใหเขาใจ เพื่อวางแนวทางการอภิปราย
ศึกษาหาขอมูลเกี่ยวกับคณะผูรวมอภิปรายในทุกๆ ดาน เชน อายุ หนาที่การงาน อุปนิสัยสวนตัว ความรู

โครงการบูรณาการ
ความสามารถ เปนตน เพื่อใหกลาวแนะนําตอสาธารณชนไดถูกตอง รวมถึงนัดหมายคณะผูรวมอภิปราย
พบกันลวงหนาเพื่อวางแผนการอภิปรายรวมกัน
ผูรวมอภิปราย หากเปนการอภิปรายในหัวขอหนึ่งๆ ซึ่งมีผูรวมอภิปรายหลายทาน โดยมากคณะผูจัดงาน
จะแบงหัวขอการบรรยายใหแกวิทยากรแตละทานตามความรู ความสามารถ ดังนั้น ผูอภิปรายจึงควร
เตรียมเนื้อหาสาระในสวนของตนเองเปนอยางดี โดยอาจมีการนัดหมายกันกอนลวงหนาเพื่อวางแผน
ผูอภิปรายคนที่ 1 อาจเริ่มตนดวยการเกริ่นนําเกี่ยวกับหัวขอทั้งหมดของการอภิปราย จากนั้นจึงเขาสู
เนื้อหาของตน เพราะการเตรียมเนื้อหาที่ซํ้าซอนกับผูอภิปรายคนกอนหนา อาจสรางความไมนาสนใจได
ผูดําเนินรายการ ควรประสานงานกับคณะผูจัดงานเกี่ยวกับกําหนดการของงาน ซึ่งอาจประกอบดวย
กิจกรรมยอยตางๆ นอกจากนี้ควรมีขอมูลเกี่ยวกับชื่อ-นามสกุล คําอานที่ถูกตอง ยศตําแหนงของผูที่มีสวน
เกี่ยวของบนเวที เพื่อใหกลาวเชิญไดถูกตอง
ผูฟง ควรศึกษาหัวขอของการอภิปรายมาลวงหนา เพื่อใหตนเองลําดับความเขาใจตามไดทัน หรืออาจ
เตรียมประเด็นคําถาม ขอสงสัย เพื่อสอบถามผูบรรยายเมื่อถึงชวงเวลาที่กําหนด
บุคคลที่ปฏิบัติตนไมสอดคลองกับสถานภาพของตน คือ “สมบัติ” เพราะเขาเปนผูอภิปรายลําดับที่ 5 ซึ่ง
เปนลําดับสุดทาย เขาควรเตรียมเนื้อหาการอภิปรายเฉพาะในสวนของตน การเตรียมเนื้อหาทั้งหมด
อาจซํ้าซอนกับสวนที่ผูบรรยายทานอื่นๆ ไดกลาวไปแลว
30. ตอบ ขอ 3. สิกขา เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี โดยสังเกตจากการใชตัวสะกดตัวตาม ดังนี้
ถาพยัญชนะแถวที่ 1 สะกด พยัญชนะแถวที่ 1 หรือ 2 จะเปนตัวตาม
ถาพยัญชนะแถวที่ 3 สะกด พยัญชนะแถวที่ 3 หรือ 4 จะเปนตัวตาม
ถาพยัญชนะแถวที่ 5 สะกด พยัญชนะแถวที่ 1, 2, 3, 4 หรือ 5 จะเปนตัวตาม

(27) โครงการวัดและประเมินผล
ถาเศษวรรคสะกด เศษวรรคตัวเดิมตาม
ภัตตาหาร สักกะ เมตตา มีพยัญชนะแถวที่ 1 เปนตัวสะกด และพยัญชนะแถวที่ 1 เปนตัวตาม
จักขุ อุเบกขา มิจฉาชีพ มีพยัญชนะแถวที่ 1 เปนตัวสะกด และพยัญชนะแถวที่ 2 เปนตัวตาม
สามัคคี มีพยัญชนะแถวที่ 3 เปนตัวสะกด และพยัญชนะแถวที่ 3 เปนตัวตาม
วิญู มีพยัญชนะแถวที่ 5 เปนตัวสะกด และพยัญชนะแถวที่ 5 เปนตัวตาม
ดังนั้น จักขุ อุเบกขา มิจฉาชีพ จึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
31. ตอบ ขอ 2. หนึ่งในวิธีสังเกตวาคําใดเปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี คือ การสังเกตตัวสะกดตัวตาม พยัญชนะในภาษา
บาลีมี 33 ตัว แบงเปนพยัญชนะวรรค 25 ตัว เศษวรรค 8 ตัว ไดแก ย ร ล ว ส ห ฬ อํ คําที่
กําหนดทุกคําสะกดดวยพยัญชนะที่เปนเศษวรรค และมีพยัญชนะที่เปนเศษวรรคตัวเดิมตาม
32. ตอบ ขอ 1. หรรษา เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต โดยมีหลักสังเกตที่การใชรูป รร (ร หัน) จากตัวเลือกที่กําหนด
ทุกคําแมจะปรากฏรูป รร เชนเดียวกัน แตพบขอแตกตาง คือ บรรทัด กรรไกร สรรเสริญ เปนคําที่ยืม
มาจากภาษาเขมร สวน บรรพต ครรภ ภรรยา พรรณนา เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต
33. ตอบ ขอ 3. หนึ่งในวิธีสังเกตวาคําใดเปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต คือ การใช -ร ตามหลัง ท- แลวออกเสียง
เปน /ซ-/ คําในกลุมที่ 1 ทุกคําเปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต สวนคําในกลุมที่ 2 แมจะอานออกเสียง
แบบทดสอบ

เปน /ซ-/ ทุกคํา แตทุกคํามีตัวสะกดตรงตามมาตรา ซึ่งเปนลักษณะหนึ่งของคําไทยแท


34. ตอบ ขอ 1. บรรทม เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร ไทยรับเขามาใชเปนคํากริยาราชาศัพท หมายถึง นอน เมื่อวิเคราะห
คําในตัวเลือก
หรรษา (น.) ภรรยา (น.) บรรพต (น.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต ไมไดกําหนดใชเปนคําราชาศัพท
บรรจถรณ (น.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี ไมไดกําหนดใชเปนคําราชาศัพท
บรรทัด (น.) กรรเจียก (น.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร ไมไดกําหนดใชเปนคําราชาศัพท
โครงการบูรณาการ

ตรัส (ก.) เสด็จ (ก.) เสวย (ก.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาเขมร ไทยรับเขามาใชเปนคํากริยาราชาศัพท


35. ตอบ ขอ 3. คําที่ยืมมาจากภาษาชวา มลายู มักเปนคํา 2 พยางค ไมปรากฏพยัญชนะควบกลํ้า และรูปวรรณยุกต
ยกเวนในบางคําที่ปรากฏรูปวรรณยุกต ทั้งนี้เพื่อใหสอดคลองกับระบบเสียงในภาษาไทย
36. ตอบ ขอ 1. แชมป/champion (n.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ ดวยวิธีการทับศัพท แลวตัดคําใหพยางคสั้นลง
เพื่อสะดวกในการออกเสียง สวนคําวา เบอร/number (n.), กิโล/kilometer, kilogramme (n.) และ ติว/
tutor (n.) เปนคําที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ ดวยวิธีการทับศัพท แลวตัดสวนใดสวนหนึ่งของคําใหพยางค
สั้นลง เพื่อสะดวกในการออกเสียง คําวา โบนัส/bonus (n.) และ เบียร/bear (n.) เปนคําที่ยืมมาจาก
ภาษาอังกฤษ ดวยวิธีการทับศัพท ไมไดตัดสวนใดของคําเพื่อใหพยางคสั้นลง และคําวา สงฆ องค วิรุฬห
เปนคําที่ยืมมาจากภาษาบาลี ดังนั้น เบอร กิโล ติว จึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
37. ตอบ ขอ 2. การแบงระดับภาษา แบงไดหลายระดับ โดยอาจแบงเปน 3 ระดับ ไดแก ทางการ กึ่งทางการ และไมเปน
ทางการ หรือแบงเปน 5 ระดับ ไดแก พิธีการ ทางการ กึ่งทางการ สนทนา และกันเอง วิธีการสังเกตวา
ผูสื่อสารใชภาษาระดับใดสื่อความ อาจสังเกตได ดังนี้
• คําศัพทที่เลือกใช คําคําเดียวกันอาจเลือกใชไดหลายระดับ เชน บัตรชมภาพยนตร ตั๋วหนัง เปนตน
• ไวยากรณ หรือความเครงครัดในไวยากรณ เชน การใชคําใหตรงความหมาย การลําดับคํา เปนตน
• อนุภาคทายคํา หรือคําลงทาย ซึ่งปรากฏในกรณีสื่อสารดวยวิธีการพูด เชน จะ/คะ/เพคะ เปนตน
• คําเรียกขานบุคคล การใชคําเรียกขานที่สุภาพยอมบอกลักษณะการสื่อสารที่เปนแบบแผนทางการ
ขณะที่การใชคําเรียกขานที่เปนกันเองยอมบอกลักษณะการสื่อสารที่ไมเปนทางการ
• ลีลาการเขียน ภาษาระดับแบบแผนยอมมีลีลาการเขียนที่เครงขรึมกวาภาษาระดับไมเปนทางการ

โครงการวัดและประเมินผล (28)
สิ่งบงชี้ความแตกตางของประโยคทั้งสอง คือ ไวยากรณ เพราะประโยคที่ 1 เครงครัดไวยากรณ เลือกใช
ศัพทบัญญัติแทนการใชคําทับศัพท (เครื่องปรับอากาศ เปนศัพทบัญญัติเพื่อใชแทนคําวา air conditioner)
ใชภาษาระดับทางการสื่อความ แตประโยคที่ 2 ไมเครงครัดในไวยากรณ เลือกใชคําทับศัพทและภาษาปาก
38. ตอบ ขอ 3. โคลงสี่สุภาพหนึ่งบท มี 4 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคหนามี 5 คํา วรรคหลังมี 2 คํา ยกเวนบาทที่ 4
วรรคหลังมี 4 คํา โดยวรรคหลังของบาทที่ 1 และ 3 อาจเพิ่มคําสรอยไดบาทละ 2 คํา โคลงสี่สุภาพ
กําหนดสัมผัสสระ โดยคําที่ 7 ของบาทที่ 1 ตองสงสัมผัสไปยังคําที่ 5 ของบาทที่ 2 และ 3 คําที่ 7 ของ
บาทที่ 2 ตองสงสัมผัสไปยังคําที่ 5 ของบาทที่ 4 บังคับคําเอก 7 แหง และคําโท 4 แหง ซึ่งตําแหนง
คําเอกสามารถใชคําตายแทนได ดังฉันทลักษณ
( )
o o o o่ ้ o่้ o o (o o)
o o่ o o o o่ o้
o o o่ o o o o่ (o o)
o o่ o o o้ o่ o้ o o
จากโคลงสี่สุภาพที่กําหนดปรากฏการใชคําตายแทนตําแหนงคําเอกในบาทที่ 3 วรรคหลัง คือ คําวา “โสต”

แบบทดสอบ
(คําตาย คือ คําที่ประสมดวยสระเสียงสั้น ไมมีตัวสะกด หรือคําที่ประสมดวยสระเสียงสั้น เสียงยาว สะกด
ดวยพยัญชนะในมาตรา /ก/ /บ/ /ด/)
39. ตอบ ขอ 3. โคลงสีส่ ภุ าพไมไดกาํ หนดสัมผัสบังคับภายในวรรค แตโดยมากผูแ ตงมักทําใหเกิดสัมผัสคลองจองภายในวรรค
ซึ่งอาจเปนสัมผัสพยัญชนะหรือสระ ทั้งนี้เพื่อความไพเราะ โคลงสี่สุภาพบทนี้ปรากฏคุณคาดานวรรณศิลป
ที่โดดเดน คือ การเลนเสียงพยัญชนะในทุกบาท ดังนี้

โครงการบูรณาการ
บาทที่ 1 เลนเสียงพยัญชนะ /จ/
บาทที่ 2 เลนเสียงคําที่ออกเสียง /ร/
บาทที่ 3 เลนเสียงคําที่ออกเสียง /ซ/
บาทที่ 4 เลนเสียงคําที่ออกเสียง /น/
40. ตอบ ขอ 3. สิ่งที่ตองวิเคราะห คือ “ระดับภาษา” ขอ 1., 2. และ 4. ใชภาษาระดับไมเปนทางการสื่อความ ดังนั้น ขอ 3.
จึงใชระดับภาษาสื่อความแตกตางจากขออื่น

(29) โครงการวัดและประเมินผล
ตอนที่ 2
1. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่แสดงความคิดเห็นของตน โดยใหเหตุผลประกอบตามแนวทางการประเมินที่ถูกตอง
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่แสดงความคิดเห็นของตน โดยใหเหตุผลประกอบที่เหมาะสม
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใหคําตอบที่ไมพอเพียง หรือคลุมเครือเกินไป เชน “การลําดับความนาสนใจ” “ทุกขอความที่ผูเขียนยกมาสื่อสาร
มีความเปนไปได” “รูสึกชื่นชอบเพราะมีประโยชน” เปนตน
2. ตอบ คําโฆษณาของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชระดับภาษาเหมาะสมกับรูปแบบงานเขียน
แบบทดสอบ

2. เรียบเรียงถอยคําไดกระชับ ชัดเจน มีสัมผัสคลองจองเพื่อใหผูรับสารจดจําชื่อผลิตภัณฑ ไดในทันที


3. สื่อสารกับผูรับสารเกี่ยวกับลักษณะที่โดดเดนของผลิตภัณฑดวยถอยคําที่กระชับ ชัดเจน
4. คําโฆษณาสามารถสรางภาพลักษณที่ดีใหแกเจาของผลิตภัณฑ ได
คําโฆษณาของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชระดับภาษาเหมาะสมกับรูปแบบงานเขียน
โครงการบูรณาการ

2. เรียบเรียงถอยคําเพื่อสื่อสารกับผูรับสารเกี่ยวกับชื่อของผลิตภัณฑ ได
คําโฆษณาของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
คําโฆษณาไมสื่อสารกับผูรับสารเกี่ยวกับชื่อของผลิตภัณฑ หรือใชระดับภาษาที่เปนทางการสื่อความ
3. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• แสดงความสืบเนื่องของจดหมายฉบับกอนหนา หรือจดหมายที่เคยเขียนเพื่อขอความอนุเคราะห
• บอกผลสําเร็จที่เกิดขึ้นของกิจกรรม
• แสดงความขอบคุณ และรักษาสัมพันธภาพระหวางกัน
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• แสดงความสืบเนื่องของจดหมายฉบับกอนหนา หรือจดหมายที่เคยเขียนเพื่อขอความอนุเคราะห
• แสดงความขอบคุณในความอนุเคราะหของวิทยากร
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใชรูปแบบและภาษาไมเหมาะสมกับสถานภาพของผูรับจดหมาย ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตน
เนื้อความ และคําลงทายจดหมายไมถูกตอง

โครงการวัดและประเมินผล (30)
ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ภาคเรียนที่ 2
ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด
ระดับ ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับ
ชุดที่ มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัด พฤติกรรม ระดับพฤติกรรมการคิด รวม
การคิด
1 1 A ความรู ความจํา 24, 38, 40 3
2 2, 5 B ความเขาใจ 29, 32, 39 3
3 3-4 C การนําไปใช 2, 5, 8, 11, 13, 15 - 17, 19, 23, 27 11
4 6 D การวิเคราะห 1, 3, 9, 12, 18, 20 - 22, 25, 28, 30 - 31, 17
ท 1.1 5 7 33 - 37
6 9 E การสังเคราะห 4, 6, 14 3
7*, 8* - F การประเมินคา 7, 10, 26 3
9 10
10 8
1 11
2 12
4 13
5 16
1 ท 2.1 6*, 7* -

แบบทดสอบ
8 17, 19
9 14 - 15
10 18
1 20
2 22
3 23, 27
ท 3.1 4 21, 24 - 26

โครงการบูรณาการ
5 28
6 29
2 30 - 31, 33 - 35
4 32, 36 - 38
ท 4.1 5 39
6 40
1 1, 4 A ความรู ความจํา 1, 16, 31, 35, 40 5
2 5 B ความเขาใจ 8, 11, 14 - 15, 22 - 24, 26 - 28, 30 11
3 2, 3 C การนําไปใช 4, 10, 13, 18 - 20 6
4 8 D การวิเคราะห 2 - 3, 5 - 6, 12, 17, 25, 32 - 34, 36 - 39 14
ท 1.1 5 7 E การสังเคราะห 21 1
6 6 F การประเมินคา 7, 9, 29 3
7*, 8* -
9 9
2 10
1
10
11
2 12
4 13
5 16
ท 2.1 6*, 7*, -
8 18 - 20
9 14 - 15
10 17
*หมายเหตุ ตัวชี้วัดบางตัวปรากฏอยูในขอสอบที่เปนอัตนัย

(31) โครงการวัดและประเมินผล
ตารางวิเคราะหแบบทดสอบ ภาคเรียนที่ 2
ตารางวิเคราะหมาตรฐานตัวชี้วัด ตารางวิเคราะหระดับพฤติกรรมการคิด
ระดับ ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับ
ชุดที่ มาตรฐาน ตัวชี้วัด ขอของแบบทดสอบที่สัมพันธกับตัวชี้วัด พฤติกรรม ระดับพฤติกรรมการคิด รวม
การคิด
1 22
2 21
3 26 - 27
ท 3.1 4 23 - 25, 28
2 5 29
(ตอ) 6
2
30
32 - 34, 36 - 38
4 35, 40
ท 4.1 5 31
6 39
แบบทดสอบ
โครงการบูรณาการ

โครงการวัดและประเมินผล (32)
แบบทดสอบว�ชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ภาคเร�ยนที่ 2 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

ชุดที่ 1
¤Ðá¹¹ÃÇÁ
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 50

ชื่อ …………………………………………………………………………………………………….. นามสกุล ……………………………………………………………………………………………..


เลขประจําตัวสอบ ……………………………………………………………………. โรงเรียน …………………………………………………………………………………………….
สอบวันที่ …………………….. เดือน ………………………………………………… พ.ศ. ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

ตอนที่ 1 1. แบบทดสอบฉบับน�้มีทั้งหมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ


¤Ðá¹¹àµçÁ
2. ใหนักเรียนเลือกคําตอบที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 40

พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 1. อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 3. - 4.


เพื่อนแตละคนมีแนวทางการเตรียมตัวลวงหนา การอานเปนดุจประตูบานแรกที่จะเปดออกสูโลก

แบบทดสอบ
สําหรับการอานออกเสียง ดังนี้ ของการศึกษาเลาเรียน ถาการสอนอานในชวงแรก
แกว ศึกษาและวิเคราะหบทอาน ของระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนเปนไปอยาง
กลา ซักรีดชุดนักเรียนใหสะอาดเรียบรอย มีประสิทธิภาพ สามารถปลูกฝงใหผูเรียนอานได
กอง เลียนแบบการวางบุคลิกภาพทาทางจากพิธีกร อยางแตกฉาน เกิดความประทับใจในการอาน และ
ภาคสนามรายการบันเทิง ปลูกฝงจนเปนนิสยั ใหรกั การอาน ผลทีเ่ กิดขึน้ ตามมา

โครงการบูรณาการ
กุก ศึกษาวิธีการเอื้อนเสียงดวยการฟงเพลงลูกทุง คือ ความเจริญกาวหนาทางการศึกษาในศาสตรตา งๆ
1. เพื่อนคนใดมีแนวทางการเตรียมตัวที่จะทําใหประสบ- และหากเจาะลึกลงเฉพาะการอานออกเสียง ผูที่ฝก
D ผลสําเร็จในการอานออกเสียงมากที่สุด ทักษะในดานนี้ไดเปนอยางดีแลว ก็จะไดประโยชน
1. แกว เพราะการศึกษาบทอานลวงหนาชวยใหมีเวลา ยิ่งขึ้น เพราะจะเปนผูที่สามารถใชเสียงไดอยางมี
ในการแบงวรรคตอน ประสิทธิภาพ ไมวาจะในการพูด การอาน หรือการ
2. กลา เพราะการแตงกายทีส่ ะอาดเรียบรอยจะชวยดึงดูด ขับรองเพลง ทั้งยังจะเปนสิ่งที่เสริมสรางบุคลิกภาพ
ความสนใจของผูฟง ที่ดี ชวยใหเกิดความเชื่อมั่นในตนเองเปนอยางยิ่ง
3. กอง เพราะบุคลิกภาพจะชวยใหบทอานมีความนาสนใจ
4. กุก เพราะเพลงลูกทุงมีลักษณะการออกเสียง 3. สาระสําคัญของขอความนี้ตรงกับขอใด
ที่หลากหลาย D 1. การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพคือการปลูกฝง
2. “ดัสกร พรุง นีป้ ด ปากเขาซะ !” คําทีข่ ดี เสนใตสอดคลองกับ ใหผูเรียนมีความแตกฉานในการอาน
C คําในขอใด 2. ผูเรียนควรมีความแตกฉานในการอาน จนเกิดความ
1. ดอกฟา หนาออน ตีนผี ประทับใจ
2. ซื้อเสียง ยกเมฆ ขายเสียง 3. การอานเปนประตูบานแรกที่เปดสูกระบวนการเรียนรู
3. หมาวัด ยกเมฆ หนาออน 4. การอานเปนสิ่งที่เสริมสรางบุคลิกภาพ
4. ดอกฟา ขายเสียง หมาวัด
ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา
A B C D E F

(33) โครงการวัดและประเมินผล
4. ขอใดเปนขอสนับสนุนหลักขของขอความ “ผูที่ฝกฝนทักษะ อานนิทานที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 7.
E การอานออกเสียงจะไดรับประโยชน”
1. ความเจริญกาวหนาทางการศึกษาในดานตางๆ นิทานอีสปเรื่อง มดกับตั๊กแตน
2. เสริมสรางบุคลิกภาพที่ดีชวยใหเกิดความมั่นใจ ตั๊ ก แตนเจ า สํ า ราญตั ว หนึ่ ง มี นิ สั ย เกี ย จคร า น
3. เกิดความประทับใจและนิสัยรักการอาน ชอบความสะดวกสบาย ตลอดชวงฤดูรอ นทีส่ ตั วอนื่ ๆ
4. ใชเสียงสื่อสารไดอยางมีประสิทธิภาพ พากันหาอาหารไปเก็บสะสมไวในรัง มันมัวแตรอ งรํา
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 5. ทําเพลง สนุกสนานไปวันๆ ครั้นถึงฤดูหนาวหิมะ
ตกหนัก ตัก๊ แตนไมสามารถหาอาหารกินได อดอยาก
Black Mamba เปนงูพิษรายแรงพบกระจาย อยูหลายวัน จนในที่สุดตองซมซานมาเคาะประตูรัง
ในแอฟริกาตอนใตและตอนกลาง ของมดซึ่งเคยรูจักกัน
“ไดโปรดเถิดเพื่อน ขออาหารใหฉันประทังชีวิต
5. คําที่ขีดเสนใตในขอความใดสอดคลองกับคําที่ขีดเสนใต
สั ก หน อ ย เมื่ อ พ น ฤดู ห นาวอั น แสนทารุ ณ นี้ แ ล ว
C ในขอความที่กําหนด
ฉันสัญญาวาจะหามาใชคืนเปนเทาตัว” ตั๊กแตน
1. สมชายถูกหมาบากัดที่โคนขาซายขณะวิ่ง
ออกกําลังกายในหมูบาน พยายามวิงวอน
“อาว ! ก็เมื่อฤดูรอนที่ใครๆ เขาพากันทํามา
แบบทดสอบ

2. หลังจากนําเสนองานกับอาจารยที่ปรึกษา
จารุณีรูสึกเบาใจเปนอยางมาก หากินตัวเปนเกลียว เจามัวทําอะไรอยู” มดยอนถาม
3. ชาวบานมักเรียกเสี่ยสมชายลับหลังวา สมชายเขี้ยว “ฉันไมไดอยูเปลาๆ นะ แตไดรองรําทําเพลง
ลากดิน ตลอดเวลา เมื่อตอนที่เธอและเพื่อนๆ ขนอาหาร
4. เกือบทุกวันบนหนาหนังสือพิมพตองเสนอขาวเหยื่อ ผานมาก็ไดยินมิใชหรือ”
ตีนผี “ไดยนิ ซิ ในเมือ่ เจามัวแตรอ งเพลงตลอดฤดูรอ น
โครงการบูรณาการ

อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 6. เมื่อถึงฤดูหนาวก็จงเตนรําใหสนุกเถิด” กลาวจบ


มดก็ปดประตูทันที
สิ่งที่เราจะตองอานในทุกวันนี้มีมากขึ้นกวาแต
กอนมากนัก หนังสือพิมพรายวันบาง หนังสือพิมพ 7. เมื่อนํานิทานอีสปเรื่อง มดกับตั๊กแตน มาเปรียบเทียบกับ
รายสัปดาหบา ง นิตยสาร วารสารจากสมาคมวิชาชีพ F นิทานอีสปเรือ่ ง กระตายกับเตา ในดานเนือ้ หาขอใดถูกตอง
ตางๆ บาง หนังสือปกออนราคาถูกบาง หนังสือเลม 1. กลวิธีการตั้งชื่อเรื่องดึงดูดความสนใจ
ขนาดใหญบาง ขนาดเฉพาะในสวนที่เปนภาษาไทย 2. จํานวนของตัวละครมีผลตอการดําเนินเรื่อง
ก็มีอยูมาก ขนาดที่คนธรรมดาจะใชเวลาตลอดเวลา 3. นําเสนอแนวคิดเกี่ยวกับผลแหงความประมาท
อานอยางเดียวก็ไมอาจจะอานหนังสือที่พิมพขึ้นใน 4. ตอนจบเสนอแนวคิดทีช่ ว ยคลีค่ ลายปมปญหาของเรือ่ ง
วันนัน้ ไดหมด ทัง้ นีย้ งั ไมตอ งนับหนังสือภาษาอังกฤษ อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 8.
และภาษาอืน่ ๆ ซึง่ พิมพมากกวาภาษาไทยดวยซํา้ ไป
(ศิลปะการอานหนังสือ : ครรชิต มาลัยวงศ) ตอ สรุปวา มารยาทการใชหองสมุดคือขอบังคับ
แตน สรุปวา มารยาทการใชหองสมุดทําใหอานได
6. ขอใดเหมาะสมที่จะใชเปนประเด็นหลัก ถาตองเขียน อยางมีประสิทธิภาพ
E แผนผังความคิดที่ไดจากการอานขอความนี้ ผึ้ง สรุปวา มารยาทการใชหองสมุดลิดรอน
1. ภาษาในสื่อสิ่งพิมพ เสรีภาพการอาน
2. ราคาของสื่อสิ่งพิมพ มิ้ม สรุปวา มารยาทการใชหองสมุดคือกรอบ
3. ขนาดของสื่อสิ่งพิมพ กําหนดพฤติกรรมอันพึงประสงค
4. สื่อสิ่งพิมพในชีวิตประจําวัน

โครงการวัดและประเมินผล (34)
8. นักเรียนเห็นดวยกับขอสรุปของเพื่อนคนใด เพราะเหตุใด อานพระบรมราโชวาทที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 10.
C 1. ตอ เพราะมารยาทการใชหองสมุดมีลักษณะบังคับ
…ในการที่ ทุ ก คนจะออกปฏิ บั ติ ง านให ไ ด ผ ล
2. แตน เพราะความเงียบทําใหเกิดสมาธิขณะอานหนังสือ
สมบูรณ และใหเปนประโยชนแกชาติบานเมือง
3. ผึ้ง เพราะไมสามารถหยิบหนังสือพิมพมาอาน โดยส ว นรวมนั้ น มี สิ่ ง สํ า คั ญ ที่ ควรจะต อ งศึ ก ษา
ครั้งละหลายๆ ฉบับได ใหทราบแจงชัดตั้งแตตนวา บานเมืองของเรามี
4. มิ้ม เพราะทําใหทุกคนใชสาธารณสมบัติรวมกันได โครงสรางอันกอตั้งขึ้นดวย สวนประกอบที่สําคัญ
อยางไมมีขอขัดแยง มากมายหลายสวน เชน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 9. วนกรรม ชลประทาน รวมตลอดถึ ง เศรษฐกิ จ
การศึกษา และสังคมดวย ดังนั้น การใชเทคโนโลยี
ขุมทรัพยของคนเก็บขยะ สรางสรรคความเจริญตางๆ ในบานเมืองจึงจําเปน
คนเก็บขยะตางคุย หาวัสดุรไี ซเคิลทีอ่ ยูในสิง่ ของ จะตองใชใหพอดีและสอดคลองกับโครงสรางของ
ตางๆ ที่กองขยะนามเซิน (Nam Son) ซึ่งอยูทาง ประเทศทุกๆ ดาน เพื่อใหผลหรือประโยชนอันจะ
ตอนเหนือของฮานอย เพื่อนําไปขายใหกับศูนย เกิดขึ้นนั้น บังเกิดขึ้นพรอมทุกดานโดยสมบูรณ
และได ส มดุ ล ทั่ ว ถึ ง กั น อั น จะเป น เหตุ สํ า คั ญ ที่ สุ ด
รีไซเคิล ในแตละวันคนเก็บขยะเกือบ 800 คน จะมา

แบบทดสอบ
ซึง่ จะบันดาลใหบา นเมืองของเราเจริญกาวหนาอยาง
ยังกองขยะแหงนี้ ตั้งแตชวงตีสามจนถึงเจ็ดโมงเชา รวดเร็วและมั่นคง
เพื่อมองหาวัสดุรีไซเคิล ชวงเวลาดังกลาวเปนชวง พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 9
เวลาทีเ่ หมาะสม เพราะเปนชวงเวลาหลังจากทีร่ ถขยะ
นําขยะที่เก็บจากตัวเมืองมาทิ้ง ขยะที่คนเหลานี้นํา 10. ขอคิดสําคัญของพระบ
ของพระบรมราโชวาทตรงกับขอใด
F 1. เทคโนโลยีคือสิ่งจําเปนสําหรับการพัฒนาบานเมือง

โครงการบูรณาการ
ไปขายใหกบั ศูนยรไี ซเคิลมีจาํ นวนมากกวา 10 ตัน/วัน
2. บานเมืองของเรามีโครงสรางทางสังคมที่ซับซอน
และจะไดรายไดประมาณ 120-145 บาท/วัน/คน
และหลากหลาย
กองขยะแหงนีต้ งั้ ขึน้ มาตัง้ แตป 1999 มีพน้ื ทีท่ งั้ หมด 3. เทคโนโลยีจะชวยใหบานเมืองเจริญกาวหนา
ประมาณ 830,000 ตารางเมตร รองรับขยะเกือบ อยางรวดเร็วและมั่นคง
4,200 ตัน/วัน ปจจุบันกองขยะนี้มีปริมาณขยะมาก 4. ควรเลือกใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมและพอดี
ถึงรอยละ 90 ของความสามารถในการรองรับขยะ พิจารณาลายมือที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 11.
ทั้งหมด หากไมมีการขยายพื้นที่กองขยะแหงนี้จะ
ปดตัวลงในป 2014
9. ขอใดกลาวถูกตอง
D 1. ตีสามเปนเวลาที่เหมาะสมที่สุดสําหรับการคุยหา
วัสดุรีไซเคิล
2. กองขยะแหงนีส้ ามารถรองรับปริมาณขยะของประเทศ 11. ลายมือนี้มีขอบกพรองตรง
งตรงกับขอใดชัดเจนที่สุด
C 1. เสนหลังของพยัญชนะไมตั้งตรง
ไดทั้งหมด 2. การเวนวรรคระหวางคําที่เปนรายการไมเทากัน
3. อาชีพเก็บขยะเปนอาชีพที่กําลังไดรับความสนใจ 3. สระที่อยูหนาพยัญชนะมีขนาดไมเทากับความสูง
จากประชากรในฮานอย ของพยัญชนะ
4. การขยายพื้นที่เปนแนวทางหนึ่งที่จะทําใหกองขยะ 4. สระที่อยูบนพยัญชนะมีขนาดความกวางไมเทากับ
แหงนี้รองรับปริมาณขยะไดตอไป ขนาดความกวางของพยัญชนะขนาดกลาง

(35) โครงการวัดและประเมินผล
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 12. พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 14.
NEW ! GATSBY นวัตกรรมของการแตงผม ก) ประเภทของยาเสพติด
สุดฮิป ! พลังจัดทรงสูง เปลี่ยนสไตลไดบอยครั้ง ข) สาเหตุของการติดยาเสพติด
12. ขอใดระบุแนวทางการใชภาษาของงานเขียนที่กําหนดให ค) ยาเสพติดใหโทษอยางไร
D ไดเหมาะสม ง) แนวทางปองกันการติดยาเสพติด
1. ใชถอยคําภาษาที่ทําใหผูรับสารเกิดความประทับใจ
2. ใชคําทับศัพทภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มความนาเชื่อถือ 14. ถาตองเขียนรายงานเชิงวิชาการเรื่อง “พิษภัยจาก
E ยาเสพติด” ควรวางโครงเรื่องตามขอใด
ใหแกผลิตภัณฑ
3. ใชถอยคําเพื่อใหผูฟงเกิดความรูสึกสนใจในผลิตภัณฑ 1. ค), ก), ข), ง)
4. ใชถอยคําที่ดึงดูดความสนใจเพื่อเสนอขอดี 2. ง), ข), ก), ค)
ของผลิตภัณฑ 3. ก), ข), ค), ง)
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 13. 4. ก), ค), ข), ง)
15. ขอใดถูกตองเมื่อกําหนดใหเขียนบรรณานุกรมหนังสือเลม
เรื่องเดียวกัน
แบบทดสอบ

C ที่มีผูแตง 3 คนขึ้นไป
บอยครั้งเมื่อฉันคุยกับเพื่อน
เราแลกเปลี่ยนมุมมองชีวิตตอกัน 1. ฉัตรา บุนนาค และคณะ. (2525). ศิลปะการใชภาษาไทย
ประสบการณ ในเรื่องเดียวกัน ในชีวิตประจําวันและทางธุรกิจ (พิมพครั้งที่ 1).
แตในรายละเอียดนั้น กรุงเทพมหานคร : ประกายพรึก.
บางครั้งมีเรื่องราวที่เหมือนกัน 2. ฉัตรา บุนนาค, สุวรรณี อุดมผล, และวรรณี
โครงการบูรณาการ

บางครั้งก็ตางกันมากมาย พุทธเจริญทอง. (2525). ศิลปะการใชภาษาไทย


เธอเรียนรูบางสิ่ง ฉันเรียนรูบางสิ่ง ในชีวิตประจําวันและทางธุรกิจ. กรุงเทพมหานคร :
เราเรียนรูมันผานประสบการณของเรา ประกายพรึก.
ประสบการณสอนใหเราสรุปบทเรียนบางอยาง 3. ฉัตรา บุนนาค และคณะ. (2525). ศิลปะการใชภาษาไทย
บทสรุปของเธอกับฉัน ในชีวิตประจําวันและทางธุรกิจ. กรุงเทพมหานคร :
เหมือนกันบาง ไมเหมือนกันบาง
ประสบการณของเธอ จริงสําหรับเธอ ประกายพรึก.
ประสบการณของฉัน จริงสําหรับฉัน 4. ฉัตรา บุนนาค, สุวรรณี อุดมผล, และวรรณี
เราแลกเปลี่ยนประสบการณของเรา พุทธเจริญทอง. (2525). ศิลปะการใชภาษาไทย
มันทําใหฉันรูวาโลกนี้มีความจริงหลากหลาย ในชีวิตประจําวันและทางธุรกิจ. 240 หนา.
ขึ้นอยูกับวามันเปนความจริงของใคร กรุงเทพมหานคร : ประกายพรึก.
นักคิดจิปาถะ : ชิงชิง กฤชเทียมเมฆ 16. ขอใดคือคําขึ้นตนและลงทายเนือ้ ความจดหมายกิจธุระ
C เพื่อขอบคุณในความอนุเคราะห
13. ขอใดคือสาระสําคัญเมื่อกําหนดใหเขียนยอความ
C 1. มนุษยบางคนมีประสบการณ บางคนไมมปี ระสบการณ 1. ตามที่ จึงเรียนมาเพื่อทราบ
2. มนุษยมีประสบการณแตกตางกัน 2. เนื่องดวย จึงเรียนมาเพื่ออนุมัติ
3. มนุษยมักเลาประสบการณสูกันฟง 3. ตามที่ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
4. บทสรุปของชีวิตคือประสบการณ 4. เนื่องจาก จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

โครงการวัดและประเมินผล (36)
อานประกาศที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 17.
รับสมัครดวน
บริษัทฯ ดําเนินกิจการเกี่ยวกับภัตตาคารอาหารญี่ปุน มาเปนระยะเวลากวา 10 ป ตองการรับบุคลากรเพื่อรองรับ
การเจริญเติบโตของบริษัทเปนจํานวนมาก ดังนี้
1. กุก และผูชวยกุก (ชาย)
2. แคชเชียร (หญิง) วุฒิการศึกษา ปวช. ขึ้นไป (มีบุคคลคํ้าประกัน)
3. พนักงานเสิรฟ (หญิง/Full time) วุฒิการศึกษา ม.3 ขึ้นไป
4. พนักงานเสิรฟ (หญิง/Part time) วุฒิการศึกษา ม.3 ขึ้นไป
5. พนักงานลางจาน (Full time)
* หมายเหตุ ถามีประสบการณจะพิจารณาเปนพิเศษ ทุกตําแหนงอายุ 18-30 ป (สัมภาษณแลวทราบผลทันที)
สวัสดิการ : ชุดยูนิฟอรม, ประกันสังคม, คาอาหาร, โบนัสประจําป และสวัสดิการอื่นๆ ตามที่กฎหมายแรงงานกําหนด
ทั้งนี้บริษัทสนับสนุนดานการศึกษาสําหรับพนักงานที่กําลังศึกษาอยู
ผูที่สนใจกรุณาติดตอ ฝายบุคคล โทร. 02-235-7498

แบบทดสอบ
บริษัท อูมาโอ จํากัด 132/101-102 สีลมซอย 6
ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
www.aumao-bkk.com
e-mail : gold_auma@hotmail.com

โครงการบูรณาการ
17. จากใบประกาศรับสมัครงาน บุคคลใดสามารถติดตอกับ 18. ถาตองการเขียนแ
นแสดงความคิดเห็น บุคคลใดมีแนวทาง
C ฝายบุคคลของบริษัทได D การใชภาษาเหมาะสมมากที่สุด เพราะเหตุใด
1. อนุพงษ เพศชาย อายุ 15 ป จบการศึกษาชั้น ป.6 1. อรอุมา เพราะทําใหผูรับสารลําดับความเขาใจได
ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานเสิรฟ 2. ปราณี เพราะทําใหผูรับสารติดตามเนื้อหาโดยตลอด
2. เกียรติศักดิ์ เพศชาย อายุ 18 ป จบการศึกษาชั้น ม.3 3. นุศรา เพราะทําใหผูรับสารตีความไดไมคลาดเคลื่อน
ตองการสมัครงานในตําแหนงแคชเชียร 4. พิมพา เพราะทําใหผูรับสารผอนคลายในขณะรับสาร
3. นารี เพศหญิง อายุ 15 ป กําลังศึกษาอยูชั้น ม.3 19. ถาชอทิพยตองการสมัครงานในตําแหนงแคชเชียรของ
ตองการสมัครงานในตําแหนงลางจาน C บริษัทอูมาโอ นอกจากความสามารถดานการใช
4. วรางคณา เพศหญิง อายุ 18 ป จบการศึกษาชั้น ม.3 คอมพิวเตอรแลว ชอทิพยควรเติมขอความใดลงในชอง
ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานเสิรฟแบบเต็ม “บันทึกเพิ่มเติมซึ่งทานคิดวาเปนประโยชนตอการ
เวลา สมัครงาน”
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 18. 1. สนใจการถายรูปและวาดภาพสีนํ้ามัน
2. มีมนุษยสัมพันธดี ปฏิบัติหนาที่ดวยความรอบคอบ
อรอุมา ใชภาษาเหมาะสมกับยุคสมัย 3. ใชเวลาวางใหเกิดประโยชนดวยการอานวรรณกรรม
ปราณี ใชภาษากระตุนความสนใจของผูรับสาร 4. ผานการอบรมหัวขอภาวะผูนําจากสถาบันการศึกษา
นุศรา ใชภาษาชัดเจน ไมกํากวม
พิมพา ใชภาษาที่มีความไพเราะ สละสลวย

(37) โครงการวัดและประเมินผล
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 20. 22. หากบุคคลตอไปนี้ไดฟงนนิทานอีสปเรื่อง “มดกับตั๊กแตน”
D ใครมีแนวทางการพูดแสดงความคิดเห็นตอเรื่องที่ฟงได
เพื่อนแตละคนมีพฤติกรรม ดังนี้ สอดคลองกับหลักเกณฑการประเมิน
ปฐมพร เลือกรับสารเฉพาะที่ตนเองสนใจ 1. ปลากลาววา บทสนทนาในนิทานเรื่องมดกับตั๊กแตน
วราภรณ หลังฟงการอภิปรายไดสืบคนประวัติ สงผลตอการดําเนินเรือ่ งและสะทอนบุคลิกของตัวละคร
ของวิทยากรพบวาเปนผูมีชื่อเสียง 2. ปอมกลาววา นิทานเรื่องมดกับตั๊กแตนสรางความ
ในวงสังคมจึงตัดสินใจเชื่อ สนุกสนานและความบันเทิงใหแกผูรับสาร
สมใจ หลังจากดูภาพยนตรแลวคิดทบทวน
เกี่ยวกับองคประกอบและความสมเหตุ 3. ปอมกลาววา ทุกคนควรไดรับฟงนิทานเรื่องนี้
สมผลของแนวคิดที่นําเสนอ เพราะเปนนิทานที่มีความสนุกสนาน
อมรชัย ดูสารคดีรายการหนึ่งแลวตัดสินใจเชื่อ 4. แปงกลาววา ทุกคนที่ไดฟงนิทานเรื่องนี้ควรนําไป
ในทันที เพราะนําเสนอไดสอดคลองกับ เลาตอจึงจะเกิดประโยชน
ความคิดของตน อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 23.
20. พฤติกรรมของบุคคลใดเปนลักษณะของ “ผูม วี จิ ารณญาณ” โสภา หลังจากแนะนําตนเอง จึงกลาวสรุป
D ในการรับสาร เพราะเหตุใด เกี่ยวกับเนื้อหาของรายงาน
ดวงกมล แนะนําตนเอง แลวใชอวัจนภาษา
แบบทดสอบ

1. ปฐมพร เพราะทําใหรับสารไดอยางมีประสิทธิภาพ
2. วราภรณ เพราะไดสืบคนเกี่ยวกับความนาเชื่อถือ ประกอบการรายงาน ดวยการโบกมือ
ของผูพูดกอนตัดสินใจเชื่อ ทักทายครูและเพื่อนๆ
3. สมใจ เพราะไดแยกแยะองคประกอบของสิ่งที่ไดฟง นารี แนะนําตนเอง เพื่อนสมาชิกในกลุม
และดูกอนตัดสินใจเชื่อ และพูดรายงานไปตามบทพูดที่รางไว
4. อมรชัย เพราะไดประมวลแนวคิดที่สื่อนําเสนอ วารี กลาวสรุปเกี่ยวกับประโยชนที่ไดรับจาก
โครงการบูรณาการ

เขากับความคิดของตน การทํารายงาน
พิจารณาโครงเรื่องที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 21.
23. เมื่อตองรายงานผลการศึกษาคนควาหนาชั้นเรียน
ก) กลาวทักทายผูฟงและแนะนําตนเอง C พฤติกรรมของบุคคลใดเหมาะสมมากที่สุด เพราะเหตุใด
ข) แสดงความรูสึกยินดีที่ไดมากลาวสุนทรพจน 1. โสภา เพราะหลังจากแนะนําตนเองแลวควรใชเวลา
ค) ระบุถึงสาเหตุการเลือกหัวขอสุนทรพจน สั้นๆ สรุปเนื้อหาของรายงาน
ง) เกริ่นนําดวยการยกประเด็น เหตุการณ เพื่อให 2. ดวงกมล เพราะการใชอวัจนภาษาประกอบการพูด
ผูฟงเห็นความสําคัญของความสามัคคี จะชวยดึงดูดความสนใจของผูฟง
จ) แยกประเด็นใหเห็นคุณคาดานตางๆ ของความ 3. นารี เพราะนอกจากแนะนําตนเองแลว ควรแนะนํา
สามัคคี ดวยวาสมาชิกในกลุมมีใครบาง
ฉ) เสนอแนวทางปฏิบัติที่จะทําใหเกิดความสามัคคี 4. วารี เพราะเปนลักษณะที่เรียกวา “พูดนอยแตได
ในทุกหมูเหลา ความมาก”
ช) เนนยํ้าแนวคิดหลักดวยการยกวาทะ คําคม 24. พฤติกรรมในขอใดที่ผูดําเนินการอภิปรายควรปฏิบัติ
และสรางความประทับใจแกผูฟง A 1. ชี้แจงตอที่ประชุมเกี่ยวกับวิธีการอภิปราย
21. ขอใดคือโครงเรื่องที่เหมาะสมของบทพูดสุนทรพจน 2. ประสานงานกับคณะผูจัดงานเกี่ยวกับกิจกรรมยอย
D เรือ่ ง “คุณคาของความสมัครสมานสามัคคี” อื่นๆ ภายในงาน
1. ก), ค), ง), ฉ), ช) 3. เตรียมเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการอภิปรายในหัวขอ
2. ก), ข), ง), จ), ฉ), ช) ที่ตนไดรับมอบหมาย
3. ก), ข), ค), ง), จ), ฉ), ช) 4. กลาวสนับสนุนความคิดเห็นของผูรวมอภิปราย
4. ก), ข), ค), ง), ฉ), จ), ช) ที่สอดคลองกับความคิดเห็นของตน

โครงการวัดและประเมินผล (38)
พิจารณาขอมูลที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 25. 26. ขอความใดสะทอนใหเห็นวาผูพูดมีวาทศิลปมากที่สุด
F ในการโตวาทีภายใตญัตติ “โลกออนไลนดีกวา
เพื่อนแตละคนมีทักษะการพูดและลักษณะโดดเดน โลกแหงความเปนจริง”
ดังนี้
แตว พูดดี เปนนักฟงที่ดี และมีปฏิภาณไหวพริบ 1. “สวัสดีทานกรรมการ ผูฟงทุกทานคะ วันนี้เราจะ
ตั้ม พูดได และมีบุคลิกลักษณะที่สื่อสะทอนความ พูดคุยกันในเรื่องที่วา โลกออนไลนดีกวาโลกแหง
เปนมิตร ความเปนจริง ขอขยายความคําวา โลกออนไลน”
ติ๋ว พูดเกง และมีมุมมองในเรื่องตางๆ แตกตาง (หัวหนาฝายเสนอ)
จากผูอื่นเสมอ 2. “…โลกออนไลนจะเปนสิ่งที่ทําใหคุณกาวไปถึง
แตม พูดดี มีความรูในเรื่องตางๆ อยางกวางขวาง อีกจุดหนึ่งของชีวิต” (หัวหนาฝายเสนอ)
และทันสมัย 3. “…ผลการวิจัยของ Eastern Illinois University
25. เมื่อไดรับมอบหมายใหทําหนาที่เปนประธานฝายคาน ระบุวาสังคมออนไลนทําใหเกิดความแปลกแยก
D เพือ่ แขงขันโตวาทีภายในชัน้ เรียน ขณะนีฝ้ า ยของนักเรียน แยกตัวออกจากสังคม…” (หัวหนาฝายคาน)
ยังขาดสมาชิกอีก 1 คน นักเรียนจะเลือกบุคคลใด 4. “…โลกออนไลน ไมมีที่สิ้นสุด เปนที่จุดประกาย
มาเปนสมาชิก เพราะเหตุใด ความสรางสรรค…” (ผูสนับสนุนฝายเสนอคนที่ 2)
1. แตว เพราะมีทักษะการพูด และปฏิภาณไหวพริบ

แบบทดสอบ
27. ถาครูมอบหมายใหนักเรียนจับกลุม เพื่อทํารายงาน
จําเปนสําหรับการโตวาที C เชิงวิชาการเรื่อง “ภูมิปญญาทองถิ่น” พฤติกรรมในขอใด
2. ตัม้ เพราะมีทกั ษะการพูด และบุคลิกลักษณะทีเ่ ปนมิตร ควรทําเปนลําดับแรก
ยอมโนมนาวใหผูฟงเกิดความเชื่อถือ
3. ติ๋ว เพราะมีทักษะการพูด และยอมสามารถพูดโตแยง 1. ระดมความคิด เพื่อเลือกหัวขอที่ชัดเจน
ฝายตรงขามไดครบทุกประเด็น 2. เลือกตัวแทนที่จะออกไปรายงานหนาชั้นเรียน

โครงการบูรณาการ
4. แตม เพราะมีทักษะการพูด และความรูจําเปนสําหรับ 3. เลือกหัวหนากลุม เพื่อใหกลุมมีผูรับผิดชอบหลัก
การโตวาที 4. วางแผนสืบคนขอมูล เพือ่ ใหสมาชิกมีเปาหมายรวมกัน

อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 28.


เปนไขหวัดงดใชยาชุด
“เมื่อเร็วๆ นี้ เราคงไดอานขาวอันตรายของยาแกไขและระงับปวดยี่หอหนึ่ง จากหนังสือพิมพหลายๆ ฉบับแลว
ประเด็นสําคัญของขาวนีก้ ค็ อื ประชาชนสวนมากรับประทานยาจนเสพติดดวยความไมรู และยานัน้ ทําอันตรายตอสุขภาพ
พลานามัยของผูบริโภค นอกจากยาแกไขและระงับปวดที่เปนขาวกันเกรียวกราวนี้แลว ยังมียาอันตรายอีกประเภทหนึ่ง
ที่คนทั่วไปมักหาซื้อจากรานขายยามารับประทานเอง และเกิดอันตรายโดยไมรู นั่นคือ ยาชุดรักษาโรคหวัด
การรับประทานยาคราวละหลายชนิดเปนชุด โดยหวังวายาจะชวยรักษาโรคไขหวัดใหหายได นับวาเปนการใช
จายยามากเกินกวาเหตุ เพราะโรคไขหวัดโดยทั่วไปอาจเกิดจากการแพอากาศ หรือเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งไมมียาอะไร
รักษาใหหายได หรือบางคนเปนโรคหวัดที่เกิดจากแบคทีเรีย ก็ควรใชยาปฏิชีวนะ ซึ่งตองใชตามคําแนะนําของแพทย
เทานัน้ การซือ้ ยาชุดมารับประทานเองนอกจากจะเสียเงินมากๆ แลว ยาชุดเปนอันตรายตอสุขภาพทีอ่ าจทําใหผบู ริโภค
เสียชีวิต เพราะรับประทานยาเกินขนาดและไมถูกกับโรค
จะเห็นไดวารานขายยารักษาไขหวัดแบบครอบจักรวาล ยาชุดไมไดรักษาโรคตามอาการของคนไข แตกลับเพิ่ม
โรคภัยไขเจ็บใหแกคนไข ดังนั้น เมื่อเปนไขหวัด จงรักษาไขหวัดโดยไปหาแพทย ไมควรซื้อรับประทานเอง ขอใหเลิกซื้อ
ยาชุดมารักษาไขหวัด โดยไมหลงเชื่อคําบอกเลาของคนขายยาที่มุงหากําไรแตฝายเดียว อยาลืมวา ยามีคุณอนันต
มีโทษมหันต ทุกคนควรจดจํา และเตือนใจตัวเองทุกๆ ครั้งที่คิดจะไปซื้อยาชุดมารับประทาน”

(39) โครงการวัดและประเมินผล
28. ผูพูดมีเจตนาและใช
จตนาแ แนวทางใดในการพูด 33. ประโยคในขอใดมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข
D 1. โนมนาวใหกระทํา โดยแสดงใหเห็นความนาเชื่อถือ D “ติ่งเอาหนังสือที่แมใหวางไวบนโตะ”
ของผูพูด 1. เราตองยกเกาอี้วางไวบนโตะ
2. โนมนาวใหเลิกกระทํา โดยแสดงใหเห็นความนาเชือ่ ถือ 2. ผมรูจักเขามาตั้งแตกอนเขาทํางาน
3. เขาสงสารและเห็นใจผูประสบภัยนํ้าทวมซึ่งเปน
ของผูพูด
คนที่ยังไมไดรับการชวยเหลือ
3. โนมนาวใหเลิกกระทํา โดยแสดงใหเห็นความจริง 4. หลังจากที่ถูกขโมยขึ้นบาน เราก็ซื้อสุนัขมาเลี้ยง
4. โนมนาวใหกระทํา โดยแสดงใหเห็นความจริง 34. ประโยคในขอใดมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข
29. มารยาทที่สําคัญของการพูดโนมนาวใจตรงกับขอใด D “แมตีนองรองไห”
B 1. ผูพูดตองไมบิดเบือนขอมูลหรือใชถอยคําเพื่อให 1. เขารินนํ้าดื่ม
ผูรับสารตีความไดหลายนัย 2. หนูกัดเสื้อขาด
2. ผูพูดตองเปนนักฟงที่ดีเก็บขอมูลจากผูฟงมาใช 3. แมกอดนองรองไห
ประกอบการพูด 4. นองสะดุดกอนหินหกลม
3. ผูพูดตองสรางความประทับใจใหแกผูฟงดวยใบหนา 35. ประโยคซับซอนในขอใดมีประโยคขยายในหนวยนาม
D 1. พอมีเรื่องที่ไมไดเลาใหแมฟงเพราะกลัววาแม
ที่ยิ้มแยมแจมใส
แบบทดสอบ

จะไมสบายใจไปดวย
4. ผูพูดควรพูดใหผูฟงรูสึกวาตนเองเปนคนสําคัญ 2. เราตัดสินไดยากวาเรื่องใดดีหรือเลวเพราะเปนเรื่อง
30. ขอใดมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข เกี่ยวกับความรูสึกและรสนิยม
D “คนทําสวน” ทุกคํา 3. แมผมโกรธมากหาวาผมไมตั้งใจเรียน
1. นกบิน ถังใสนํ้ามัน 4. เด็กสาวที่ยืนอยูเปนลูกศิษยของฉันเอง
โครงการบูรณาการ

2. บอบําบัดนํ้าเสีย ถังใสนํ้ามัน 36. คําทับศัพทในขอใดมีลักษณะตรงกับคําทับศัพท


3. พนักงานทําความสะอาดหอง บอบําบัดนํ้าเสีย D ที่กําหนดให “ไนโตรเจน”
4. เจาหนาที่รักษาความปลอดภัย พนักงานตรวจสอบ 1. แกรนิต ครีม
2. ไอศกรีม ไทเทเนียม
บัญชี
3. ออกซิเจน ไทเทเนียม
31. ประโยคในขอใดมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข 4. ช็อกโกแลต แฮมเบอรเกอร
D “สุนทรภูมหากวี 4 แผนดิน เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1” 37. คําทับศัพทในขอใดมีลักษณะตรงกับเงื่อนไขที่วา
1. นิราศถลางไมใชผลงานของสุนทรภู D “ใชคําภาษาสันสกฤตที่มีความหมายตรงกับคําที่ตองการ
2. สุนทรภูรักแมจันภรรยาคนแรกมาก บัญญัติมาเปนศัพทบัญญัติ”
3. สุนทรภูเปนอาลักษณในสมัยรัชกาลที่ 2 1. ปรัชญา ธัญพืช
4. นิราศที่ไพเราะที่สุดของสุนทรภูคือนิราศภูเขาทอง 2. ธัญพืช อุกกาบาต
32. คําทับศัพทในขอใดทําใหภาษาไทยมีคําใชเพิ่มมากขึ้น 3. ปรัชญา อุกกาบาต
B 1. เขาจับสลากไดเบอรหนึ่งจึงตองพูดเปนคนแรก 4. จิตรกรรม ไวยากรณ
38. ขอใดคือศัพทบัญญัติของคําที่กําหนดใหตามลําดับ
2. นักเรียนโรงเรียนนี้มีระเบียบวินัยเขาคิวซื้ออาหาร A barcode, broker, amnesty
3. กระบวนการพาสเจอรไรซคือกระบวนการทําลาย 1. แถบบันทึก ผูขายประกันภัย ดุลอํานาจ
เชื้อแบคทีเรียที่คิดคนโดยหลุยส ปาสเตอร 2. รหัสแทง ผูขายประกันภัย ดุลอํานาจ
4. เขาเปนคนมีความรับผิดชอบ เพื่อนๆ จึงโหวตใหเขา 3. รหัสแทง นายหนา นิรโทษกรรม
เปนหัวหนาชั้นเรียน 4. แถบบันทึก นายหนา สัมปทาน

โครงการวัดและประเมินผล (40)
39. คําศัพททางวิชาการขอใดอยูในกลุมเดียวกัน 40. การแตงโคลงสี่สุภาพอนุโลมใหใชคําสรอยในตําแหนงใด
B 1. อุปลักษณ บุคลาธิษฐาน สินทรัพย A 1. ทายบาทที่ 1 และ 4
2. ดุลอํานาจ ตลาดมืด ไปรษณียเสียง 2. ทายบาทที่ 1 และ 3
3. งบประมาณ ตลาดมืด สัญญาณภาพ 3. ทายบาทที่ 3 และ 4
4. อุปลักษณ บุคลาธิษฐาน การกลาวซํ้า 4. ทายบาทที่ 2 และ 3

ตอนที่ 2 ตอบคําถามใหถูกตอง จํานวน 3 ขอ 10 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ


¤Ðá¹¹àµçÁ
10

1. ใหนักเรียนเขียนวิเคราะห วิจารณความสมเหตุสมผล ความเปนไปได และการลําดับความเรื่อง “เรื่องเดียวกัน” พรอมแสดง


ความคิดเห็นของตนที่มีตอเรื่อง (3 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

แบบทดสอบ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

โครงการบูรณาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. บริษัท สินรุงเรือง เปดรับสมัครงานในตําแหนงพนักงานเดินเอกสาร ระบุคุณสมบัติไววา ไมจํากัดเพศ อายุ 18 ปขึ้นไป
วุฒิการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเทา หากสนใจใหเดินทางไปกรอกใบสมัครไดที่ฝายบุคคลของบริษัท นักเรียนจะมีแนวทาง
การกรอกแบบสมัครงานและบรรยายคุณสมบัติของตนเองใหเหมาะสมกับตําแหนงงานที่จะสมัครอยางไร (2 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ใหนักเรียนสมมติบทบาทตนเอง เปนประธานคณะกรรมการนักเรียนรางจดหมายกิจธุระเรียนเชิญนายบัณฑิต โชคชัยสกุล
ศิษยเกาของโรงเรียนที่ประสบผลสําเร็จในวงการสื่อสารมวลชน (วิทยุ โทรทัศน) เปนวิทยากรบรรยายในหัวขอ “นอกกรอบ
อยางไร ใหประสบผลสําเร็จ” ใหนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 จํานวน 150 คน ฟงในวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ระหวาง
เวลา 10.00-12.00 น. ณ หอประชุมของโรงเรียน โดยจดหมายฉบับนี้ออกในนามฝายกิจกรรมนักเรียน มีอาจารยอมรเทพ
รุงไกรฤกษ เปนที่ปรึกษา ใชกระดาษขนาด A4 เขียนจดหมายฉบับนี้ดวยรูปแบบและสํานวนภาษาที่ถูกตอง เหมาะสม
(5 คะแนน)
(41) โครงการวัดและประเมินผล
แบบทดสอบว�ชา ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา ภาคเร�ยนที่ 2 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

ชุดที่ 2
¤Ðá¹¹ÃÇÁ
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 50

ชื่อ …………………………………………………………………………………………………….. นามสกุล ……………………………………………………………………………………………..


เลขประจําตัวสอบ ……………………………………………………………………. โรงเรียน …………………………………………………………………………………………….
สอบวันที่ …………………….. เดือน ………………………………………………… พ.ศ. ………………………………………..
โครงการวัดและประเมินผล บริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด

ตอนที่ 1 1. แบบทดสอบฉบับน�้มีทั้งหมด 40 ขอ 40 คะแนน ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ


¤Ðá¹¹àµçÁ
2. ใหนักเรียนเลือกคําตอบที่ถูกที่สุดเพียงขอเดียว 40

พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 1. 2. ใจความสําคัญขอ ของพระบรมราโชวาทตรงกับขอใด


D 1. ความสุขความเจริญเปนสิ่งอันสรางสรรค
โอเลี้ยงมาแลวครับๆ
แบบทดสอบ

2. ความสุขความเจริญจะใหประโยชนตอผูกระทํา
1. ขอใดระบุคําอานของขอความที่กําหนดไดถูกตอง 3. ความสุขความเจริญที่แทจริงตองไดมาดวย
A 1. โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ-ครับ ความเปนธรรม
2. โอ-เลี้ยง-มา-แลว-มา-แลว-ครับ 4. ความสุขความเจริญจะทําใหประเทศชาติมีความ
3. โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ-แลว-ครับ เจริญกาวหนา
โครงการบูรณาการ

4. โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ-โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ 3. ที่สุดแลวความเจริญที่เท็จเทียมจะกลับมาทําลายตน
อานพระบรมราโชวาททีก่ าํ หนด แลวตอบคําถามขอ 2. - 3. D ดวยเหตุใด
1. เพราะไดมาดวยความไมซื่อสัตยสุจริต
…ความสุขความเจริญอันแทจริงนั้น หมายถึง 2. เพราะความเจริญที่เท็จเทียมจะทําใหผูนั้นลมจม
ความสุข ความเจริญที่บุคคลแสวงหามาไดดวย 3. เพราะไดมาดวยการแกงแยงเบียดบังมาจากผูอื่น
ความเปนธรรม ทัง้ ในเจตนาและการกระทํา ไมใชได 4. เพราะความเจริญที่เท็จเทียมจะบอนเบียนทําลาย
มาดวยความบังเอิญ หรือดวยการแกงแยงเบียดบัง
สวนรวม
มาจากผูอื่น ความเจริญที่แทนี้มีลักษณะเปนการ
สรางสรรค เพราะอํานวยประโยชนถงึ ผูอ นื่ และสวนรวม 4. นักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 หองหนึง่ ลงคะแนนเสียง
ดวย ตรงกันขามกับความเจริญอยางเท็จเทียมที่
C ใหกิติยาเปนตัวแทนของหองไปประกวดอานออกเสียง
เกิดขึน้ มาดวยความประพฤติไมเปนธรรมของบุคคล ภายในระดับชั้น นักเรียนคิดวาเหตุผลในขอใดที่ทําให
ซึ่ ง มี ลั ก ษณะเป น การทํ า ลายล า ง เพราะให โ ทษ กิติยาไดรับคะแนนเสียงจากเพื่อนๆ
บอนเบียนทําลายผูอื่นและสวนรวม การบอนเบียน 1. เพราะมีแกวเสียงที่แจมใส
ทําลายนั้น ที่สุดก็จะตองกลับมาทําลายตน ดวยเหตุ 2. เพราะเปนบุคคลที่มีบุคลิกภาพดี
ที่เมื่อสวนรวมถูกทําลายเสียแลว ตนเองก็จะยืนตัว 3. เพราะเปนบุคคลที่เพื่อนๆ ใหความไววางใจ
อยูไมได จะตองลมจมลงไปเหมือนกัน… 4. เพราะเปนตัวแทนของหองทํากิจกรรมทุกครั้ง
พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 9

ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช การวิเคราะห การสังเคราะห การประเมินคา


A B C D E F

โครงการวัดและประเมินผล (42)
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 5. 6. จากขอความที่กําหนดใหอานขอใดถูกตอง
D 1. กระบวนการขุดคนเมืองโบราณแหงนี้ไดสิ้นสุดลงแลว
“ปลอยอมรฉัตรไป แลวเธอจะรูวาเขาคืองูพิษ” 2. แรเกลือเปนทรัพยากรสําคัญของเมืองโบราณนี้
5. คําที่ขีดเสนใตในขอใดสอดคลองกับคําที่ขีดเสนใต 3. เมืองโบราณแหงนี้ยังไมมีวิธีจัดการกับศพ
D ในขอความที่กําหนด 4. เมืองโบราณนี้ตั้งอยูบนคาบสมุทรจึงตองสราง
1. อนันตถูกงูพิษกัดที่ขอเทาขณะซอมรั้วที่สวนหลังบาน กําแพงหิน เพื่อปองกันนํ้าทวมแหลงแรเกลือ
2. อนุชติ ถูกหมาบากัดทีโ่ คนขาขณะเดินซือ้ ของทีต่ ลาดสด อานนิทานที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 7.
3. หมาวัดพวกนี้สรางความรําคาญใหแกชาวบาน
นิทานอีสปเรื่อง มดกับตั๊กแตน
เปนอยางมาก
ตั๊ ก แตนเจ า สํ า ราญตั ว หนึ่ ง มี นิ สั ย เกี ย จคร า น
4. สาเหตุที่ทําใหตีนผีพวกนี้เปนขาวไดทุกวัน
ชอบความสะดวกสบาย ตลอดชวงฤดูรอ นทีส่ ตั วอนื่ ๆ
คือความประมาท
พากันหาอาหารไปเก็บสะสมไวในรัง มันมัวแตรอ งรํา
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 6.
ทําเพลง สนุกสนานไปวันๆ ครั้นถึงฤดูหนาวหิมะ
เมืองที่เกาแกที่สุดของยุโรปตั้งอยูขางๆ เหมืองเกลือ ตกหนัก ตัก๊ แตนไมสามารถหาอาหารกินได อดอยาก

แบบทดสอบ
คณะนักโบราณคดีชาวบัลแกเรียขุดพบซากเมือง อยูหลายวัน จนในที่สุดตองซมซานมาเคาะประตูรัง
ที่เกาแกที่สุดของยุโรปในเขตพื้นที่สํารวจใกลเมือง ของมดซึ่งเคยรูจักกัน
โปรวาเดี ย การวั ด อายุ วั ต ถุ ห ลายชิ้ น ที่ ค  น พบใน “ไดโปรดเถิดเพื่อน ขออาหารใหฉันประทังชีวิต
ซากเมืองดวยวิธไี อโซโทปคารบอน-14 แสดงใหเห็นวา สั ก หน อ ย เมื่ อ พ น ฤดู ห นาวอั น แสนทารุ ณ นี้ แ ล ว
เมืองโบราณนีถ้ กู สรางขึน้ เมือ่ 6,200-6,700 ปทแี่ ลว ฉันสัญญาวาจะหามาใชคืนเปนเทาตัว” ตั๊กแตน

โครงการบูรณาการ
หรือประมาณ 4,000 ปกอ นยุคอารยธรรมกรีกโบราณ พยายามวิงวอน
การขุ ด สํ า รวจเผยให เ ห็ น ถึ ง โครงสร า งของถนน “อาว ! ก็เมื่อฤดูรอนที่ใครๆ เขาพากันทํามา
บานสองชั้น อาราม หลุมฝงศพ นอกจากนี้ยัง หากินตัวเปนเกลียว เจามัวทําอะไรอยู” มดยอนถาม
พบหลั ก ฐานร อ งรอยการผลิ ต เกลื อ อยู  ม ากมาย “ฉันไมไดอยูเปลาๆ นะ แตไดรองรําทําเพลง
นักวิทยาศาสตรจงึ สันนิษฐานวาประชากรราว 350 คน ตลอดเวลา เมื่อตอนที่เธอและเพื่อนๆ ขนอาหาร
ของเมืองนี้นาจะกุมอํานาจทางเศรษฐกิจอยูไมนอย ผานมาก็ไดยินมิใชหรือ”
เพราะที่ ตั้ ง ของเมื อ งอยู  ใ กล กั บ แหล ง แร เ กลื อ “ไดยนิ ซิ ในเมือ่ เจามัวแตรอ งเพลงตลอดฤดูรอ น
ธรรมชาติ ที่ ใ หญ ที่ สุ ด ในคาบสมุ ท รบอลข า น ใน เมื่อถึงฤดูหนาวก็จงเตนรําใหสนุกเถิด” กลาวจบ
สมัยกอนเกลือถือเปนสินคาหลักที่มีความสําคัญ มดก็ปดประตูทันที
ทางเศรษฐกิจอยางยิ่ง โครงการขุดสํารวจเริ่มขึ้น
7. เมือ่ นํานิทานอีสปเรือ่ ง “มดกับตัก๊ แตน” มาเปรียบเทียบกับ
ตั้งแตป 2005 โครงสรางแรกของเมืองที่ปรากฏ
F นิทานอีสปเรือ่ ง “กระตายกับเตา” ในดานเนือ้ หาขอใดถูกตอง
ตอหนานักสํารวจคือ กําแพงหินหนาหลายเมตรที่
1. จํานวนของตัวละครสงผลใหเรื่องนาสนใจ
คาดวาสรางขึ้นเพื่อปกปองเมืองจากศัตรูผูรุกราน
2. ฉากในนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตนสงผลตอ
นั กวิ จั ย กล า วว า นี่ เ ป น หลั ก ฐานของการสร า ง
การดําเนินเรื่อง
ปอมปราการที่เกาแกที่สุดในทวีปยุโรป ภายนอก
3. การลําดับเหตุการณภายในนิทานอีสป
กําแพงเมือง นักวิจยั ยังคนพบสถานทีท่ าํ พิธสี กั การะ
เรื่องมดกับตั๊กแตนซับซอนมากกวา
บูชาอีก 2 แหง และอารามอีกแหงหนึ่ง ซึ่งขณะนี้
4. กลวิธีการเลาเรื่องของนิทานอีสปเรื่องมดกับตั๊กแตน
กําลังอยูในระหวางการสํารวจอีกเชนกัน
มีความนาสนใจมากกวา

(43) โครงการวัดและประเมินผล
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 8. 9. ขอคิดที่ไดจากนิทานเรื่องนี้สอดคลองกับขอใด
F 1. ทุกปญหามีทางแก จงรูจักพลิกวิกฤตใหเปนโอกาส
หลักการทํา Mind Map ดวย 4 ย 2. เสร็จนาฆาควายถึก เสร็จศึกฆาขุนพล
ใหญ : เริ่มจากภาพรวม
3. บุญคุณตองทดแทน แคนตองชําระ
แยก : แตกประเด็น
4. ทําคุณบูชาโทษ โปรดสัตว ไดบาป
ยอย : …………………………..
โยง : เปรียบเทียบ เชื่อมโยง สรางสรรคสิ่งใหม 10. “มารยาทการใชหองสมุด คือกรอบกําหนดพฤติกรรม
C อันพึงประสงค” นักเรียนเห็นดวยกับขอความนี้หรือไม
8. ขอความใดใชขยายความคําสําคัญ “ยอย” ไดถูกตอง เพราะเหตุใด
B 1. ลงในรายละเอียด 1. เห็นดวย เพราะทําใหผูใชหองสมุดทุกคนอานได
2. สรางขอความใหกระชับ อยางมีประสิทธิภาพ
3. ยอยความคิดใหสมบูรณ 2. ไมเห็นดวย เพราะทําใหผูอานขาดสิทธิเสรีภาพ
4. ยอยขอมูลใหมีความนาสนใจ ในการอาน
อานนิทานที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 9. 3. เห็นดวย เพราะทําใหผูใชหองสมุดใชสาธารณสมบัติ
รวมกันไดอยางไมมีขอขัดแยง
แบบทดสอบ

นิทานเรื่อง ลาตกหลุม
4. ไมเห็นดวย เพราะผูใชหองสมุดบางคนอาจไมให
มี ลาตั ว หนึ่ ง ทํ า งานรั บ ใช เ จ า นายด ว ยความ
ซื่อสัตยจนแก หูตาฝาฟางหมดแรง ทํางานไมได ความรวมมือ
อีกตอไป เจาของจึงปลดเกษียณและปลอยใหมัน อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 11.
เดิ น เล น วั น หนึ่ ง มั น เผลอพลั ด ตกหลุ ม ที่ ทั้ ง ลึ ก
ณัฐพล อานปายประกาศของโรงเรียนซึ่งระบุ
และแคบ มันพยายามตะเกียกตะกายปนขึน้ จากหลุม
โครงการบูรณาการ

แตก็ ไมสําเร็จ จึงรองโหยหวนขอความชวยเหลือ ไววา นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที่ 3 ทีม่ คี วามสามารถ


เจาของไดยนิ เดินมาพบก็รบี พยายามหาทางชวยมัน ดานการคัดลายมือ สามารถสงผลงานของตนเอง
อยางเต็มที่ แตก็ไมสําเร็จจนเริ่มจนปญญา จึงคิด เขาประกวดในงานสัปดาหวิชาการที่ทางโรงเรียนจะ
ขึ้นวา ลาตัวนี้มันแกหมดสภาพแลวอีกไมนานมัน จัดขึ้น โดยผลงานนั้นจะตองเปนลายมือของตนเอง
ก็จะตาย เวลามันตายเราก็ตองขุดหลุมฝงมันแบบนี้ และคัดดวยรูปแบบตัวอักษรอาลักษณ ผูที่ ไดรับ
ตอนนี้ลากับหลุมมาอยูดวยกันแลว คิดไดดังนั้น รางวัลชนะเลิศจะไดรับรางวัลทุนการศึกษาจํานวน
จึงบอกคนทั้งบานใหมาชวยกัน ทุกคนก็ ใจดีตาง 3,000 บาท และเปนตัวแทนไปประกวดคัดลายมือ
ถื อ พลั่ ว เดิ นมาที่ ห ลุ ม ดิ นมากมายที่ เ จ า ของลา ระดับจังหวัดตอไป ทัง้ นีผ้ สู นใจสามารถขอรับขอความ
และคนในบานตักใสหลุมทําใหลาเฒารูชะตากรรม ที่จะตองคัดไดที่ฝายวิชาการของโรงเรียน ปดรับ
ของตัวมันเอง มันรองโหยหวนดวยความเศราเสียใจ ผลงานภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2556
อีกครั้ง กอนที่จะเงียบหายไป เจาของสงสัยวาทําไม
เจาลาเงียบไปจึงกมลงไปดู ภาพที่เห็นทําใหเจาของ 11. ปจจัยใดสําคัญที่สุดที่จะทําใหณัฐพลไดรับรางวัลชนะเลิศ
ลาตองแปลกใจเพราะลาเฒาที่อยู ในหลุมพยายาม B การประกวดคัดลายมือ
สลัดดินบนหลังแลวเหยียบดินไว สลัดแลวเหยียบ 1. สงผลงานกอนวันปดรับผลงาน 1 วัน
สลัดแลวเหยียบ มันไมยอมใหดนิ แมแตกอ นเดียวอยู 2. ศึกษาวิธีการเขียนตัวอักษรรูปแบบอาลักษณ
บนหลังมัน ในที่สุดผูอานคิดวาจะเปนอยางไร… 3. ใหความสําคัญกับการเวนชองไฟของตัวอักษร
นิทานธรรมะกลับตาลปตร : พระอาจารยประสงค ปริปุณฺโณ 4. คํานึงถึงคุณภาพของกระดาษและความสะอาด

โครงการวัดและประเมินผล (44)
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 12. 14. ขอใดถูกตองเงเมือ่ เขียนบรรณานุกรมหนังสือทีม่ ผี แู ตง 2 คน
B 1. ศรีสุรางค พูลทรัพย, สุมาลย บานกลวย. (2545).
มาเร็ว เคลมเร็ว ซอมเร็ว เสถียรประกันภัย ตัวละครในรามเกียรติ์ (พิมพครั้งที่ 3).
โทร. 1748
กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพธเนศวรการพิมพ.
12. ขอใดระบุแนวทางการใชภาษาของงานเขียนที่กําหนดให 2. ศรีสุรางค พูลทรัพย, และสุมาลย บานกลวย.
D ไดถูกตอง (2545). ตัวละครในรามเกียรติ์ (พิมพครั้งที่ 3).
1. ใชถอ ยคําเพือ่ สือ่ ภาพลักษณดงี ามของสินคาและบริการ กรุงเทพมหานคร : ธเนศวรการพิมพ.
2. ใชถอ ยคําเพือ่ สรางความประทับใจใหแกกลุม เปาหมาย 3. ศรีสุรางค พูลทรัพย, และสุมาลย บานกลวย.
3. ใชถอยคําที่โนมนาวใหเกิดความตองการในสินคา (2545). ตัวละครในรามเกียรติ์ (พิมพครั้งที่ 3).
และบริการ 208 หนา. กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพธเนศวร
4. ใชถอยคําเราการตัดสินใจของกลุมเปาหมาย การพิมพ.
อานขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 13. 4. ศรีสุรางค พูลทรัพย, และสุมาลย บานกลวย.
การละเลนในงานทําบุญตามประเพณี (2545). ตัวละครในรามเกียรติ์ (พิมพครั้งที่ 3).
ประเพณีเกี่ยวกับชีวิตของคนไทยผูกพันกับการ 208 หนา. (จํานวน 500 เลม). กรุงเทพมหานคร :

แบบทดสอบ
ทําบุญ เมื่อมีเหตุการณตางๆ เกิดขึ้นแกครอบครัว สํานักพิมพธเนศวรการพิมพ.
ทั้งการเกิด การตาย การบวช การขึ้นบานใหม 15. นักเรียนคิดวาเพื่อนกลุมใดมีแนวทางการเลือกหัวขอ
การแตงงาน หรืองานพิธีการตางๆ ตามประเพณี B เพื่อทํารายงานการศึกษาคนควาเชิงวิชาการ รายวิชา
เทศกาล พิธีทางศาสนา โดยมีผูคนมารวมงาน ภาษาไทยเหมาะสมมากที่สุด เพราะเหตุใด
จํานวนมาก จึงนิยมจัดใหมีการละเลนเปนการฉลอง 1. กลุมที่ 1 เลือกหัวขอตามที่หัวหนากลุมสนใจ

โครงการบูรณาการ
และสรางบรรยากาศของงานใหสนุกสนาน ครึกครื้น 2. กลุมที่ 2 เลือกหัวขอที่มีแหลงขอมูลหลากหลาย
ดึงดูดผูมารวมงานใหอยู ในงาน ไมรีบกลับบาน 3. กลุมที่ 3 เลือกหัวขอที่ยังไมเคยมีผูศึกษาคนควา
ในงานจึงมีการละเลนตางๆ ทั้งการประโคมดนตรี
4. กลุมที่ 4 เลือกหัวขอที่มีความเกี่ยวของกับเนื้อหา
ปพาทย การรองรํา การแสดงบันเทิง มหรสพ
สิ่งเหลานี้จะชวยสรางความสมัครสมานสามัคคีให รายวิชา
เกิดภายในหมูบ า นหรือบานใกลเรือนเคียง กอใหเกิด 16. คําขึ้นตนและลงทายขอใดถูกตองเมื่อตองเขียนจดหมาย
ความผู ก พั น ใกล ชิ ด เอื้ อ เฟ  อ เกื้ อ กู ล ต อ กั น ฉั น A เรียนเชิญพระสงฆมาเปนวิทยากร
ญาติมิตร และสรางสันติสุขขึ้นในสังคมไทย 1. กราบเรียน - นมัสการดวยความเคารพ
2. นมัสการ - ขอนมัสการดวยความเคารพ
13. ขอใดคือสาระสําคัญของขอความเมื่อกําหนดใหเขียน 3. กราบนมัสการ - ขอนมัสการดวยนับถือ
C ยอความ 4. นมัสการ - ขอนมัสการ
1. ประเพณีงานบุญชวยสรางความครื้นเครง 17. ขอใดสอดคลองกับ “มารยาทการเขียนแสดงความคิดเห็น”
ใหแกสมาชิกในชุมชน D 1. ทําใหผูรับสารเกิดความชัดเจนในเนื้อหา
2. ประเพณีงานบุญมีไวเพื่อสรางความสนุกสนาน
ครื้นเครงใหแกสมาชิกชุมชน 2. ทําใหผูรับสารเกิดมุมมองความคิดที่แตกตาง
3. การสรางความสามัคคีใหเกิดขึ้นภายในชุมชน ไปจากเดิม
จะทําใหสังคมเกิดความสงบสุข 3. ทําใหผูรับสารเขาใจในประเด็นที่ผูเขียนตองการ
4. ในประเพณีงานบุญคนไทยนิยมจัดใหมีการละเลน นําเสนอ
รวมอยูดวย เพื่อความสนุกสนานและใกลชิดของคน 4. ทําใหผูรับสารเขาใจประเด็นไดไมคลาดเคลื่อน
ในชุมชน จากความเปนจริง

(45) โครงการวัดและประเมินผล
อานประกาศที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 18. - 19.
รับสมัครดวน
บริษัท โชควัฒนา เทรดดิ้ง ผูใหบริการเกี่ยวกับการขนถายสินคาทั้งทางบก ทางนํ้า และทางอากาศ ภายในประเทศ
และภายนอกประเทศ ยินดีรับสมัครบุคลากรจํานวนมาก เพื่อรวมเปนสวนหนึ่งของโครงสรางเศรษฐกิจไทย ในตําแหนง
ดังนี้
1. พนักงานธุรการฝายคลังสินคา เพศชาย/หญิง วุฒิการศึกษาขั้นตํ่า ปวช. หรือเทียบเทา อายุ 20 ปขึ้นไป
2. พนักงานเดินเอกสาร เพศชาย/หญิง วุฒิการศึกษาขั้นตํ่ามัธยมศึกษาปที่ 3 หรือเทียบเทา (Full time/Part time)
อายุ 18 ปขึ้นไป
3. พนักงานฝายคลังสินคา เพศชาย สามารถขับรถ Forklift ได วุฒกิ ารศึกษาขัน้ ตํา่ มัธยมศึกษาปที่ 3 หรือเทียบเทา
(Full time/Part time) อายุ 18 ปขึ้นไป
ผูที่สนใจกรุณาติดตอ ฝายบุคคล โทร 02-238-7963 ตอ 2131
บริษัท โชควัฒนา เทรดดิ้ง จํากัด 132/106-108 สุวินทวงศ 32
ถนนสุวินทวงศ แขวงสุริวงศ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 11100
แบบทดสอบ

www.cwt-bkk.com
e-mail : tread_cwt@hotmail.com

18. จากประกาศรับสมัครงานของบริษัท โชควัฒนา เทรดดิ้ง 20. ถาประพจนตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงาน


C บุคคลใดสามารถติดตอกับฝายบุคคลของบริษัทได C ฝายคลังสินคา ควรเติมขอความใดลงในชอง “บันทึก
โครงการบูรณาการ

1. กนก เพศชาย อายุ 20 ป จบการศึกษาชั้น ป.6 เพิ่มเติมที่จะเปนประโยชนตอการสมัครงาน”


ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานฝายคลังสินคา 1. สามารถขับรถยนต ไดคลองแคลว
2. กรกฎ เพศชาย อายุ 15 ป จบการศึกษาชั้น ม.3 2. สามารถขับและซอมบํารุงรถ Forklift ได
ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานเดินเอกสาร 3. มีมนุษยสัมพันธดี มีความสามารถในการติดตอ
3. กุลพงษ เพศชาย อายุ 21 ป จบการศึกษาระดับ ปวส. ประสานงาน
ตองการสมัครในตําแหนงพนักงานธุรการ 4. เคยผานการอบรมในหัวขอภาวะผูนําจากสถาบัน
4. กําพล เพศชาย อายุ 20 ป จบการศึกษาชั้น ม.6 การศึกษา
ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานธุรการ 21. เพื่อนคนใดนําเสนอแนวทางการนําขอคิดจากนิทาน
Part time E เรื่อง “ลาตกหลุม” มาใชในชีวิตประจําวันไดเหมาะสม
19. จากขอมูลในใบประกาศรับสมัครงานขอใดกลาวถูกตอง 1. วิญู กลาววา เพือ่ นๆ ควรใหความสําคัญกับการศึกษา
C 1. บริษัทไมมีตําแหนงงานวางสําหรับผูที่กําลังศึกษาอยู เลาเรียน
2. ผูสมัครไมจําเปนตองมีคุณสมบัติครบถวน 2. พิชญะ กลาววา เพื่อนๆ ควรมีสติ เพราะความแนนอน
เพราะบริษัทอนุโลมใหได ของชีวิตคือความไมแนนอน
3. ผูสมัครงานตองมีทักษะที่จําเปนตอตําแหนง 3. ณัฐพร กลาววา เพื่อนๆ ควรขวนขวายหาความรู
ที่ตองการสมัคร เพราะจําเปนสําหรับการแกปญหา
4. อายุของผูสมัครงานไมสงผลตอตําแหนง 4. อภิญญา กลาววา เพื่อนๆ ไมควรยอทอตออุปสรรค
ที่ตองการสมัคร แตควรใชความเพียรพยายามในการแกไข

โครงการวัดและประเมินผล (46)
22. หากนักเรียนตองกางการเปนผูที่มีวิจารณญาณในการรับสาร 26. ขอใดเรียงลําดับขัน้ ตอนวิธกี ารทํารายงานการศึกษาคนควา
B ควรปฏิบัติตนตามแนวทางในขอใด B ไดถูกตอง
1. ตั้งจุดมุงหมายที่ชัดเจนกอนตัดสินใจเลือกรับสาร 1. ข), ก), ง), ค), ฉ), จ)
2. เลือกรับสารที่เปนประโยชนสอดคลองกับเวลา อายุ 2. ข), ก), ค), ง), ฉ), จ)
และความจําเปนของตน 3. ก), ข), ค), ง), ฉ), จ)
3. คาดคะเนเกี่ยวกับความสมเหตุสมผล และความ 4. ก), ข), ง), ค), ฉ), จ)
เปนไปไดของสารที่เลือกรับ 27. พิชาญ ไดรับการลงมติจากเพื่อนๆ ใหเปนตัวแทน
4. พิจารณาจุดมุงหมายของสารวาสอดคลองกับตน B ของกลุมออกไปรายงานผลการศึกษาคนควาหนาชั้นเรียน
แลวจึงตัดสินใจเชื่อ ถาเขาไมตองการใหตนเองนําเสนอขอมูลสับสน
23. การโตวาทีถาผูพูดตองการเสนอแนวคิดและใหแนวคิดนั้น หรือทําใหผูฟงลําดับความเขาใจตามไดยาก เขาควรมี
B ไดรับการยอมรับควรมีแนวทางการพูดอยางไร แนวทางการเตรียมความพรอมใหแกตนเองอยางไร
จึงจะเหมาะสมที่สุด
1. เสนอหรือใหคํานิยามตอคณะกรรมการและผูฟง
1. รางบทพูดโดยแบงเนื้อหาเปน 3 สวน ไดแก สวนนํา
2. ยกเหตุผล หลักฐาน ขอมูลที่ถูกตองมาสนับสนุน สวนเนื้อหา และสวนสรุป
3. ยกเหตุผล หลักฐาน ขอมูลที่ถูกตองมาสนับสนุน 2. ออกแบบการวางบุคลิกภาพของตนเองที่หนากระจก

แบบทดสอบ
แลวกลาวคานประเด็นของฝายตรงขาม 3. ใหเพื่อนในกลุมที่มีความเขาใจในเนื้อหาของรายงาน
4. ใชวาทศิลปเรียบเรียงขอมูลสนับสนุนเพื่อโนมนาว เปนผูรางบทพูดให
ใหคณะกรรมการและผูฟงคลอยตาม 4. เตรียมเอกสาร หรือโสตทัศนูปกรณเพื่อชวยลําดับ
24. เพราะเหตุใดขณะโตวาทีผโู ตควรควบคุมอารมณของตนเอง ความเขาใจของผูฟง
B ที่อาจเกิดจากการถูกยั่วยุจากฝายตรงขาม 28. ผูดําเนินการอภิปรายควรปฏิบัติตามแนวทางใด

โครงการบูรณาการ
1. เพราะทําใหคณะกรรมการเล็งเห็นและจะถูกหักคะแนน B เพื่อแจกคําถามใหเหมาะสมกับคณะผูรวมอภิปราย
2. เพราะทําใหขาดความนาเชื่อถือในสายตาของผูฟง ในกรณีที่เปนการอภิปรายแบบแลกเปลี่ยนความรู
3. เพราะทําใหคิดหาเหตุผลมาโตแยงไดไมรอบคอบ 1. ใหผูรวมอภิปรายลําดับแรกเปนตัวแทนตอบคําถาม
4. เพราะเปนมารยาทที่สําคัญของการโตวาที 2. พิจารณาคําถามวามีความเกี่ยวของกับหัวขอของผูรวม
25. วาทศิลปมคี วามจําเปนสําหรับผูด าํ เนินการอภิปรายอยางไร อภิปรายคนใดแลวใหผูนั้นเปนผูตอบ
D 1. ผูฟ ง เกิดความรูส กึ ประทับใจและผอนคลายขณะรับสาร 3. พิจารณาเลือกคําถามที่เปนประโยชนแลวใหผูรวม
2. คลีค่ ลายบรรยากาศในกรณีทมี่ กี ารขัดแยงทางความคิด อภิปรายลําดับสุดทายเปนผูตอบ
3. สามารถวางตัวเปนกลางทั้งตอหัวขอการอภิปราย 4. ใหผูทรงคุณวุฒิของคณะผูรวมอภิปรายเปนตัวแทน
และผูรวมอภิปราย ตอบคําถาม
4. กระตุนความสนใจใครรูของผูฟง 29. หากผูพูดมีจุดมุงหมายเพื่อโนมนาวใหผูฟงเลิกกระทํา
F พฤติกรรมที่ผูพูดคิดวาไมถูกตอง หรือผิดตอศีลธรรม
พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 26.
พฤติกรรมการพูดของบุคคลใดมีแนวโนมที่จะประสบผล
ก) กําหนดวัตถุประสงค สําเร็จมากที่สุด เพราะเหตุใด
ข) เลือกกําหนดหัวขอเรื่อง 1. สุพจน สรางบรรยากาศการฟงแบบ “พวกมากลากไป”
ค) สํารวจ รวบรวม และบันทึกขอมูล 2. วจนา แยกประเด็นปญหา แลวแสดงขอเท็จจริง
ง) วางโครงเรื่อง ตอผูรับสาร
จ) อางอิง 3. วจี ใชคําขวัญ คําพังเพยประกอบเพื่อใหการพูด
คมคาย
ฉ) เรียบเรียงรายงาน
4. พจนีย เลือกแสดงขอเท็จจริงบางสวน

(47) โครงการวัดและประเมินผล
30. บุคคลใดควรไดรบั การ
การชมเชยวาเปนผูม คี ณ
ุ ธรรมในการพูด พิจารณาประโยคที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 34.
B 1. อิ๋ว นําเสนอขอเท็จบางสวนเพื่อใหสอดคลองกับ
จุดมุงหมายของตน ประโยคที่ 1 ลูกสะใภคนนี้ คุณแมผมชอบมาก
เพราะตระกูลดี
2. ออง นําขอมูลสวนตัวของฝายตรงขามมาตั้ง ประโยคที่ 2 คุณแมไมคอยสบาย พรุงนี้จะพา
เปนประเด็นการพูด ไปพบแพทย
3. เอม โตแยงประเด็นความคิดของฝายตรงขามดวย ประโยคที่ 3 พี่จะไมใหเธอยืมดินสออีกแลว
ขอเท็จจริงที่สืบคนได เธอทําหายบอย
4. โอ เรียบเรียงบทพูดโดยใชถอยคําที่สื่อความได ประโยคที่ 4 เขาทําเรือดวยกาบกลวยและตกแตง
หลายนัย เพื่อใหผูฟงเขาใจเนื้อหาตามความสามารถ ใหสวยงาม เอาไปลอยในทะเล
31. ขอความใดปรากฏการใชคําศัพทเฉพาะวิชาชีพ
A 1. …แตประกอบสรางขึ้นดวยโวหารทางภาษา 34. ประโยคในหมายเลขใดแตกตางจากประโยคอื่น
D เพราะเหตุใด
และขนบงานวรรณกรรม
1. ประโยคที่ 1 เพราะละนามวลีในประโยค
2. …ผมอยากใหทุกคนเตรียมพรีเซนตเซลลที่ได 2. ประโยคที่ 2 เพราะละกริยาวลีในประโยค
ในแตละควอเตอร เซมิแอนนวล และเยียรลี 3. ประโยคที่ 3 เพราะละนามวลีในประโยค
แบบทดสอบ

3. โรคพิษสุราเรื้อรัง หมายถึง โรคที่เกิดจากการดื่ม 4. ประโยคที่ 4 เพราะละนามวลีในประโยค


สุรามากเปนเวลานาน มีอาการทางสมอง 35. คําในขอใดเปนศัพทบัญญัติทุกคํา
และประสาทเสื่อม มือสั่น เดินเซ สติปญญาเสื่อม A 1. ทุนนิยม ญัตติ คํารอง
4. ศิลปะรูปแบบหนึง่ ซึง่ มุง ใหความงามอันเกิดจากความ 2. หุนยนต นักโทษ ไรสาย
เคลื่อนไหวเปนหลัก เกิดขึ้นในระยะตนๆ ของศิลปะ 3. แกนสาร กูยืม ทรวงอก
โครงการบูรณาการ

นามธรรม 4. โนมนาว ภาพพจน โยงใย


พิจารณาขอความที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 32. 36. ประโยคในขอใดเปนประโยคความรวมที่ไมมีหนวยเชื่อม
D มีหนวยนาม 1 หนวย หนวยกริยา 2 หนวย โดยหนวยนาม
กลุมที่ 1 รถชนเสาไฟฟา, มีกระทิงหลายฝูงในปา เปนประธานของทั้งสองกริยา
กลุมที่ 2 บอบําบัดนํ้าเสีย, สุนัข แมว และปลา 1. สุนทรภูแตงกลอนไดไพเราะ
2. คุณแมไมสบาย
32. ขอใดอธิบายเกี่ยวกับขอแตกตางของขอความในกลุมที่ 1 3. นิดนั่งเลน
D และ 2 ไดถูกตอง 4. นิดนั่งยิ้ม
1. กลุมที่ 1 เปนประโยค กลุมที่ 2 เปนนามวลี 37. ประโยคในขอใดมีลกั ษณะตรงกับประโยคเงือ่ นไขทีก่ าํ หนด
2. กลุมที่ 1 เปนนามวลี กลุมที่ 2 เปนประโยค D “พอใชปากกาเขียนจดหมาย”
3. กลุมที่ 1 เปนประโยคกรรตุ กลุม ที่ 2 เปนประโยคกรรม 1. แมปอกกระเทียมหั่นรากผักชี
2. พิชิตคุมคนงานขุดเหมือง
4. กลุมที่ 1 เปนประโยคกรรม กลุม ที่ 2 เปนประโยคกรรตุ
3. เขาเทนํ้าใสขวด
33. “สุนทรภูแตงเพลงยาวจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว” 4. แมใชมีดสับหมู
D เปนประโยคชนิดใด 38. ประโยคในขอใดเปนประโยคความซอน
1. ประโยคความรวม D 1. นิดนั่งยิ้ม
2. ประโยคความซอน 2. เขาหิวแตไมกินอะไรเลย
3. ประโยคความเดียว 3. บานเมืองกําลังอยูในภาวะวิกฤต
4. ประโยคความเดียวที่ซับซอน 4. เขาโกรธเกรี้ยวทุกสิ่งทุกอยางที่ขวางหนา

โครงการวัดและประเมินผล (48)
อานบทรอยกรองที่กําหนด แลวตอบคําถามขอ 39. 40. คํายืมภาษาอังกฤษในขอใดมีศัพทบัญญัติกําหนดใชทุกคํา
A 1. มอเตอรไซค กีตาร อีเมล
โกสุมชุมชอชอย อรชร 2. แอรคอนดิชัน เปยโน โซฟา
เผยผกาเกสร ยั่วแยม 3. อิมเมจ เปยโน คอมพิวเตอร
รวยรื่นรสคนธขจร จังหวัด ไพรนา 4. อีเมล มอเตอร ไซค คอมพิวเตอร
กลิ่นตระการกลแกม เกศแกวดูสงวน
ลิลิตตะเลงพาย : กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

39. โคลงสีส่ ภุ าพบทนีม้ ลี กั ษณะวรรณศิลปโดดเดนตรงกับขอใด


D 1. ใชคาํ เลียนเสียงธรรมชาติ
2. เพิ่มคําสรอยในทายวรรคหลังบาทที่ 3
3. แสดงความแตกตางของเสียงวรรณยุกต
4. ปรากฏสัมผัสภายในวรรคทั้งสระและพยัญชนะ

2 ¤Ðá¹¹·Õè ä´Œ

แบบทดสอบ
ตอนที่ ตอบคําถามใหถูกตอง จํานวน 3 ขอ 10 คะแนน
¤Ðá¹¹àµçÁ
10

1. ใหนักเรียนเขียนวิเคราะห วิจารณความสมเหตุสมผล ความเปนไปได และการลําดับความของนิทานเรื่อง “ลาตกหลุม”


พรอมแสดงความคิดเห็นของตนที่มีตอนิทาน (3 คะแนน)

โครงการบูรณาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. บริษัท โชควัฒนา เทรดดิ้ง เปดรับสมัครงานในตําแหนงพนักงานฝายคลังสินคา ระบุคุณสมบัติไววา ไมจํากัดเพศ อายุ 20 ป
ขึ้นไป วุฒิการศึกษาชั้น ม.3 หรือเทียบเทา หากสนใจใหเดินทางไปกรอกใบสมัครไดที่ฝายบุคคลของบริษัท นักเรียนจะมี
แนวทางการกรอกแบบสมัครงานและบรรยายคุณสมบัตขิ องตนเองใหเหมาะสมกับตําแหนงงานทีจ่ ะสมัครอยางไร (2 คะแนน)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ใหนักเรียนสมมติบทบาทตนเอง เปนประธานคณะกรรมการนักเรียนรางจดหมายกิจธุระขอบคุณนายบัณฑิต โชคชัยสกุล
ศิษยเกาของโรงเรียนที่สละเวลามาเปนวิทยากรบรรยายในหัวขอ “นอกกรอบอยางไร ใหประสบผลสําเร็จ” ใหนักเรียนระดับ
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 จํานวน 150 คน ฟงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 โดยจดหมายฉบับนี้ออกในนามฝายกิจกรรมนักเรียน
มีอาจารยอมรเทพ รุง ไกรฤกษ เปนทีป่ รึกษา ใชกระดาษขนาด A4 เขียนจดหมายฉบับนีด้ ว ยรูปแบบและสํานวนภาษาทีถ่ กู ตอง
เหมาะสม (5 คะแนน)

(49) โครงการวัดและประเมินผล
เฉลยแบบทดสอบ ภาคเร�ยนที่ 2
ชุดที่ 1
ตอนที่ 1
1. ตอบ ขอ 1. การเตรียมตัวลวงหนา เปนสิง่ ทีส่ าํ คัญตอการอานออกเสียง ผูอ า นจะตองเตรียมตัวโดยศึกษาบทอานลวงหนา
ดวยการจัดแบงวรรคตอน ฝกออกเสียงใหถูกตองวาตอนใดควรใชนํ้าเสียงอยางไร รวมถึงการวางทาทาง
บุคลิกภาพใหสอดคลองกับอารมณของบทอาน
2. ตอบ ขอ 2. ปดปาก เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํากริยาและนาม เมื่อประสมแลวทําใหไดคํากริยา มีความหมายวา
ไมพูด, ทําใหพูดไมได เมื่อนํามาประกอบในรูปประโยค “ดัสกร พรุงนี้ปดปากเขาซะ!” จึงมีความหมาย
นัยประวัติวา ทําใหบุคคลนั้นพูดความจริงไมได หรือไมมีโอกาสพูด
ดอกฟา เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํานามทั้งสองคํา เมื่อประสมแลวทําใหไดคํานาม มีความหมาย
นัยประวัติ หมายถึง หญิงที่สูงศักดิ์
หนาออน เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํานามและกริยา เมื่อประสมแลวทําใหไดคํากริยา มีความหมาย
นัยประวัติ หมายถึง ดูอายุนอยกวาอายุจริง
แบบทดสอบ

ตีนผี เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํานามทั้งสองคํา เมื่อประสมแลวทําใหไดคํานาม มีความหมาย


นัยประวัติ หมายถึง ผูที่ขับรถเร็วจนกอใหเกิดอุบัติเหตุ
ซื้อเสียง เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํากริยาและนาม เมื่อประสมแลวทําใหไดคํากริยา มีความหมาย
นัยประวัติ หมายถึง จายเงินหรือใหสิ่งของเพื่อแลกกับคะแนนเสียง
ยกเมฆ เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํากริยาและนาม เมื่อประสมแลวทําใหไดคํากริยา มีความหมาย
นัยประวัติ หมายถึง พูดใหนาเชื่อถือโดยคิดสรางหลักฐานประกอบขึ้นมาเอง
โครงการบูรณาการ

ขายเสียง เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํากริยาและนาม เมื่อประสมแลวทําใหไดคํากริยา มีความหมาย


นัยประวัติ หมายถึง ยินยอมลงคะแนนเสียงใหบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพื่อแลกกับสิ่งของและเงิน หรือ
หมายถึง มีอาชีพเปนนักรอง
หมาวัด เปนคําประสม ประกอบขึ้นจากคํานามทั้งสองคํา เมื่อประสมแลวทําใหไดคํานาม มีความหมาย
นัยประวัติ หมายถึง ผูชายที่มีศักดิ์ตํ่ากวาผูหญิงที่ตนหมายปอง
ดังนั้น ไดแก ซื้อเสียง ยกเมฆ ขายเสียง จึงมีลักษณะตรงกับคําเงื่อนไข
3. ตอบ ขอ 3. ขอความมีสาระหรือใจความสําคัญอยูในตอนตน คือ การอานเปนประตูบานแรกที่เปดสูกระบวนการเรียนรู
4. ตอบ ขอ 4. ขอสนับสนุนหลักของขอความ “ผูที่ฝกฝนทักษะการอานออกเสียงจะไดรับประโยชน” ปรากฏในสวนทาย
ของขอความ คือ “เพราะจะเปนผูที่สามารถใชเสียงไดอยางมีประสิทธิภาพ”
5. ตอบ ขอ 1. งูพิษ เปนคําประสม มีความหมายนัยตรง หมายถึง งูประเภทหนึ่งที่มีพิษ ความหมายนัยประวัติ หมายถึง
คนที่มีพิษสงสามารถทํารายผูอื่นไดเชนเดียวกับงูพิษ เมื่อนํามาประกอบรูปประโยค งูพิษ ในประโยคนี้จึงมี
ความหมายนัยตรง พิจารณาคําที่กําหนดใหในตัวเลือก
หมาบา เปนคําประสม มีความหมายนัยตรง หมายถึง หมาที่เปนโรคพิษสุนัขบา ความหมายนัยประวัติ
หมายถึง คนที่มีอาการไรสติคลายหมาบา
เบาใจ เปนคําประสม มีความหมายนัยประวัติ หมายถึง ไมหนักใจ โลงใจ
เขี้ยวลากดิน เปนคําประสม มีความหมายนัยประวัติ หมายถึง มีเลหเหลี่ยมมาก
ตีนผี เปนคําประสม มีความนัยประวัติ หมายถึง ผูที่ขับรถเร็วจนกอใหเกิดอุบัติเหตุ
เมื่อนําทุกคํามาประกอบในประโยค พบวาประโยคที่ 2., 3. และ 4. คําที่ขีดเสนใตใหความหมายนัยประวัติ
ขณะที่ประโยคในขอ 1. ใหความหมายนัยตรง มีลักษณะสอดคลองกับคําวา งูพิษ

โครงการวัดและประเมินผล (50)
6. ตอบ ขอ 4. ขอความที่เหมาะสมจะใชเปนประเด็นหลักหากตองเขียนแผนผังความคิดที่ไดจากการอานขอเขียนนี้ คือ
สื่อสิ่งพิมพในชีวิตประจําวัน เพราะมีขอมูลที่สามารถแตกประเด็นความคิดรองได
7. ตอบ ขอ 3. นิทานทั้งสองเรื่องนี้จํานวนของตัวละครไมสงผลตอการดําเนินเรื่อง การพิจารณาชื่อเรื่องไมใชการวิเคราะห
ในสวนเนื้อเรื่อง และตอนจบของเรื่องก็ไมไดเสนอแนวคิดที่ชวยคลายปมปญหา เพราะสุดทายตัวละครหลัก
ของเรื่องไดรับผลแหงความประมาทของตน
8. ตอบ ขอ 4. มารยาทการใชหองสมุด เปนเสมือนกรอบที่ทําใหแตละคนใชหองสมุดซึ่งเปนสาธารณสมบัติรวมกันได
โดยไมเกิดขอขัดแยง มารยาทการใชหองสมุดเปนเพียงปจจัยเอื้อใหเกิดสมาธิ แตไมสามารถทําให
การอานของบุคคลมีประสิทธิภาพได เพราะการอานที่มีประสิทธิภาพนอกจากสมาธิแลว ยังหมายรวมถึง
ผูอานตองมีวัตถุประสงคการอานชัดเจน มีความสามารถในการวิเคราะหแยกแยะขอมูล กอนตัดสินใจเชื่อ
หรือนําไปปรับใชในชีวิตประจําวัน
9. ตอบ ขอ 4. การขยายพื้นที่เปนแนวทางหนึ่งที่จะทําใหกองขยะแหงนี้รองรับปริมาณขยะไดตอไป เพราะมีขอความ
ยืนยันวา “หากไมมีการขยายพื้นที่กองขยะแหงนี้จะปดตัวลงในป 2014”
10. ตอบ ขอ 4. ขอคิดสําคัญของพระบรมราโชวาทนี้ คือ ควรเลือกใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมและพอดี แมวาเทคโนโลยี
จะมีความสําคัญตอการพัฒนาบานเมือง ชวยใหเจริญกาวหนา แตสิ่งเหลานี้จะเกิดขึ้นไดก็ตองเริ่มจาก
การใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมและพอดีตอโครงสรางทางสังคมที่ซับซอนและหลากหลาย

แบบทดสอบ
11. ตอบ ขอ 2. ลายมือที่นํามาพิจารณาเสนทั้งหนาและหลังของพยัญชนะมีลักษณะตั้งตรง การเขียนและวางตําแหนง
ของสระมีความถูกตอง กลาวคือ สระที่อยูบนพยัญชนะ เชน สระอี มีสวนทายตรงกับเสนหลังของ
พยัญชนะ และมีขนาดกวางเทากับขนาดความกวางของพยัญชนะขนาดกลาง เชน ก ส หรือแคบกวา
เล็กนอย สระที่อยูหนาพยัญชนะ เชน สระเอ มีขนาดความสูงเทากับพยัญชนะ ลายมือนี้จึงมีขอบกพรอง
ที่การเวนวรรคระหวางคําที่เปนรายการมีขนาดไมเทากัน

โครงการบูรณาการ
12. ตอบ ขอ 4. แนวทางการใชถอยคําภาษาในงานโฆษณา ควรเปนถอยคําที่ดึงดูดความสนใจของผูรับสาร ขณะเดียวกับที่
นําเสนอชื่อ ลักษณะโดดเดน ขอดีของสินคาเมื่อเทียบกับสินคายี่หออื่น จากขอความโฆษณาที่กําหนดให
แนวทางการใชภาษาที่โดดเดนที่สุด คือ ใชถอยคําที่ดึงดูดความสนใจเพื่อเสนอขอดีของผลิตภัณฑ
13. ตอบ ขอ 2. สาระสําคัญที่สรุปได คือ “มนุษยมีประสบการณแตกตางกัน” สวนขออื่นๆ เมื่อยอแลวทําใหสาระสําคัญ
เปลี่ยนไป ซึ่งไมใชแนวทางที่ถูกตองของการยอความ
14. ตอบ ขอ 4. การวางโครงเรือ่ งสําหรับการเขียนเรียบเรียงรายงานเชิงวิชาการควรมีความสัมพันธ ชวยใหเนือ้ หาสาระของ
รายงานมีความเปนเหตุเปนผลซึ่งกันและกัน ทําใหผูอานลําดับความเขาใจตามได ดังนั้น โครงเรื่องที่มี
ความเหมาะสมสําหรับการเรียบเรียงรายงานเชิงวิชาการในหัวขอ “พิษภัยจากยาเสพติด” ควรเริ่มตนดวย
ประเภทของยาเสพติด เพื่อใหผูอานมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับประเภทของยาเสพติด เพราะยาเสพติด
แตละประเภทใหโทษตอรางกาย และมีบทลงโทษทางกฎหมายตางกัน จากนัน้ จึงเปนหัวขอยาเสพติดใหโทษ
อยางไร เพื่อใหรายละเอียด ขยายความเกี่ยวกับโทษของยาเสพติด หัวขอสาเหตุของการติดยาเสพติด ซึ่งมี
ความสัมพันธ เปนเหตุเปนผลกับหัวขอแนวทางปองกันการติดยาเสพติด
15. ตอบ ขอ 2. รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม สําหรับหนังสือเลม กําหนดการเขียนไว ดังนี้
ชื่อผูแตง. (ปที่พิมพ). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ). เมืองที่พิมพ : สถานที่พิมพ.
* โดยหากเปนการพิมพครัง้ แรกไมตอ งระบุครัง้ ทีพ่ มิ พ ขอมูลที่ไมจาํ เปนสําหรับการเขียนบรรณานุกรม ไดแก
จํานวนหนา จํานวนเลมที่พิมพ
16. ตอบ ขอ 1. การเขียนจดหมายกิจธุระเพือ่ ขอบคุณในความอนุเคราะหของบุคคลทีส่ ละเวลามาเปนวิทยากร เปนจดหมาย
ที่มีความตอเนื่องจากจดหมายฉบับกอนหนาที่เขียนไปเพื่อขอความอนุเคราะห ดังนั้น คําขึ้นตนเนื้อความ

(51) โครงการวัดและประเมินผล
จึงตองมีลักษณะการอางถึง จากตัวเลือกคือคําวา “ตามที่” สวนคําลงทายจดหมายที่เหมาะสมควรใชวา
“จึงเรียนมาเพือ่ ทราบ” เพราะวัตถุประสงคของจดหมายขอบคุณตองการเพียงใหผรู บั จดหมายทราบเกีย่ วกับ
ความสําเร็จของกิจกรรมและความรูสึกขอบคุณที่ผูเขียนมีตอผูรับจดหมาย
17. ตอบ ขอ 4. จากใบประกาศรับสมัครงานบุคคลที่สามารถติดตอกับฝายบุคคลของบริษัทได คือ บุคคลที่มีคุณสมบัติ
ครบถวนในตําแหนงที่ตองการสมัคร คือ วรางคณา เพราะอนุพงษ อายุ 15 ป จบชั้น ป.6 ในขณะที่
ตองการสมัครงานในตําแหนงพนักงานเสิรฟ ซึ่งกําหนดวุฒิไวที่ ม.3 และมีอายุ 18 ปขึ้นไป เกียรติศักดิ์
คุณสมบัติดานอายุ และวุฒิการศึกษาครบถวน แตเปนเพศชาย ไมสามารถสมัครในตําแหนงแคชเชียร ได
นารี ไมผานคุณสมบัติเพราะมีอายุไมถึงเกณฑที่กําหนดรับสมัคร
18. ตอบ ขอ 3. การเขียนแสดงความคิดเห็น คือ การเขียนเพื่อแนะนําหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หรือการเขียนเพื่อวิเคราะห วิจารณ โดยผูเขียนตองอยูบนหลักฐาน ขอเท็จจริง กฎเกณฑ และเหตุผล
การใชภาษาเพือ่ แสดงความคิดเห็น ควรเขียนดวยภาษาทีก่ ระจางชัดเจน ไมคลุมเครือ เพราะความคลุมเครือ
จะทําใหผูรับสารตีความตามความเขาใจของตนและอาจคลาดเคลื่อนไปจากเจตนาของผูเขียน
19. ตอบ ขอ 2. หากชอทิพยตอ งการสมัครงานในตําแหนงแคชเชียร คุณสมบัตพิ เิ ศษทีช่ อ ทิพยควรระบุ คือ “มีมนุษยสัมพันธดี
ปฏิบัติหนาที่ดวยความรอบคอบ” เพราะมีความสําคัญตอการปฏิบัติงานในตําแหนงแคชเชียร
20. ตอบ ขอ 3.
แบบทดสอบ

การฟงและดูอยางมีวจิ ารณญาณ ผูร บั สารจะตองสามารถวิเคราะหไดวา สิง่ ที่ไดฟง และดู มีองคประกอบใดบาง


แตละสวนมีลักษณะอยางไร พิจารณาความนาเชื่อถือ ความสมเหตุสมผล และความเปนไปไดของขอมูล
กอนตัดสินใจเชื่อ ไมใชเชื่อเพราะตรงกับความคิดของตนเอง หรือผูพูดมีความนาเชื่อถือ
21. ตอบ ขอ 2. การรางบทพูด ผูพูดจะตองเรียบเรียงเนื้อหาแตละสวนใหมีความสัมพันธกัน โดยผูพูดอาจแบงโครงเรื่อง
ออกเปน 3 สวน ไดแก สวนเกริ่นนํา สวนเนื้อหา และสวนทาย ดังนั้น หากตองพูดสุนทรพจนภายใตหัวขอ
“คุณคาของความสมัครสมานสามัคคี” บทพูดที่เหมาะสมและจําเปน ไดแก
โครงการบูรณาการ

สวนนํา : กลาวทักทายผูฟงและแนะนําตนเอง
แสดงความรูสึกยินดีที่ไดมากลาวสุนทรพจน
เกริ่นนําดวยการยกประเด็น เหตุการณ เพื่อใหผูฟงเห็นความสําคัญของความสามัคคี
สวนเนื้อหา : แยกประเด็นใหผูฟงเห็นคุณคาดานตางๆ ของความสามัคคี
เสนอแนวทางปฏิบัติที่จะทําใหเกิดความสามัคคีในทุกหมูเหลา
สวนทาย : เนนยํ้าความคิดหลักของสุนทรพจนดวยการยกวาทะ คําคม สรางความประทับใจแกผูรับสาร
การระบุถึงสาเหตุการเลือกหัวขอสุนทรพจน มีความจําเปนนอยที่สุด และหากรวมอยูในโครงเรื่องก็อาจเกิด
ความซํ้าซอนของเนื้อหาในชวงเกริ่นนํา
22. ตอบ ขอ 1. การประเมินคาสารที่ไดรับจากวิธีการอาน การฟง หรือดู คือ การตัดสินวาสารที่ไดรับนั้นปรากฏคุณคาใน
ดานใดบาง และอยางไร โดยพิจารณาคุณคาของสาร 2 ดาน ไดแก ดานเนื้อหาหรือดานแนวคิด และ
ดานศิลปะการสรางสรรคงาน กระบวนการที่ทําใหตัดสินประเมินคุณคาของสาร เริ่มตนที่การรับสารจาก
วิธีการอาน การฟง หรือดู พิจารณา แยกแยะ เพื่อวิเคราะหองคประกอบ ผลของการวิเคราะห จะทําให
ผูรับสารแสดงความคิดเห็นตอสาร หรือเรียกวาวิจารณ ไดอยางมีเหตุผล โดยไมใชอคติ อารมณ หรือ
ความชอบสวนตัว ดังนั้น บุคคลที่มีแนวทางการแสดงความคิดเห็นที่สอดคลองกับหลักเกณฑการประเมิน
มากที่สุด คือ ปลา เพราะสามารถแยกแยะ ระบุสวนประกอบของสารที่รับฟงได
23. ตอบ ขอ 3. แนวทางการพูดรายงานผลการศึกษาคนควาหนาชั้นเรียน มีขั้นตอน ดังนี้
1. กลาวคําทักทายผูฟงใหเหมาะสมกับกาลเทศะ อวัจนภาษาที่เหมาะสมสําหรับใชประกอบการทักทาย คือ
ยกมือไหว
2. หากเปนรายงานกลุม ผูรายงานปฏิบัติหนาที่ในฐานะตัวแทนกลุม ควรเริ่มแนะนําตนเองกอน แลวระบุ
วาเปนตัวแทนของกลุม ใด จากนัน้ จึงไลเรียงรายชือ่ สมาชิกในกลุม ตามลําดับเลขที่ เพือ่ เปนการใหเกียรติ
โครงการวัดและประเมินผล (52)
3. พูดรายงานไปตามลําดับเหตุการณ เชน กลุมศึกษาหัวขออะไร ทําไมจึงศึกษา ศึกษาอยางไร ผลเปน
อยางไร ไดอะไรจากการศึกษา ขอเสนอแนะเพิ่มเติม โดยทั้งหมดนี้ผูพูดอาจเรียบเรียงไวลวงหนา
ดวยภาษาที่เหมาะสมกับผูฟง กระชับ ไดใจความ เหมาะสมกับเวลาที่กําหนด
4. กลาวคําอําลา โดยกลาวสวัสดี และใชอวัจนภาษา (ยกมือไหว) ที่เหมาะสมประกอบ
ดังนั้น นารี จึงเปนผูที่มีพฤติกรรมการรายงานผลการศึกษาคนควาหนาชั้นเรียนเหมาะสมมากที่สุด
24. ตอบ ขอ 1. ผูดําเนินการอภิปราย กอนการอภิปรายควรศึกษาหัวขอการอภิปรายใหเขาใจ เพื่อวางแนวทางการอภิปราย
ศึกษาหาขอมูลเกี่ยวกับคณะผูรวมอภิปรายในทุกๆ ดาน เพื่อใหกลาวแนะนําตอสาธารณชนไดถูกตอง
โดยอาจรวบรวมขอมูลเหลานี้ไดจากคณะผูจัดงาน รวมถึงการนัดหมายคณะผูรวมอภิปรายมาพบกัน
ลวงหนาเพื่อวางแผนการอภิปราย เมื่อเริ่มตนอภิปราย ควรทักทายผูฟง แนะนําตนเอง แนะนําผูรวม
อภิปรายแตละทาน กลาวถึงวิธีการอภิปราย เวลาที่กําหนด ชวงเวลาตอบคําถาม ผูดําเนินการอภิปราย
ควรเปนกลาง ไมกลาวสนับสนุนความคิดเห็นของใคร แตควรทําหนาที่พูดกระตุน หรือเกริ่นนําเกี่ยวกับ
หัวขอการอภิปราย ดังนั้น การเตรียมเนื้อหาตามที่ ไดรับมอบหมายเปนบทบาทของผูรวมอภิปราย
การประสานกับผูจัดงานเกี่ยวกับกิจกรรมยอยอื่นๆ เปนหนาที่ของผูดําเนินรายการ
25. ตอบ ขอ 1. คุณสมบัติที่จําเปนสําหรับผูโตวาทีไมวาจะอยูฝายใด ประการแรกควรมีทักษะการสื่อสาร หรือทักษะการพูด
ซึ่งสามารถแบงระดับการพูดของมนุษย ได 3 ระดับ ดังนี้ พูดได เปนการพูดในระดับพื้นฐานของมนุษย

แบบทดสอบ
ทุกคนที่มีอวัยวะในการออกเสียงครบถวนจะสามารถพูดไดเมื่ออายุครบ 3 ขวบ ลําดับตอไป คือ พูดเปน
เปนการพูดในขั้นที่วานอกจากสื่อความไดตรงตามวัตถุประสงคแลว ยังรูวาอะไรควรพูด อะไรไมควรพูด
ลําดับสุดทาย ซึ่งเปนขั้นสูงสุด คือ พูดดี เปนการพูดที่นอกจากสื่อสารไดตรงตามเจตนา รูกาลเทศะยัง
เปนการพูดที่ชวยสรางมิตรไมตรี ไมกอใหเกิดความขัดแยง ความเขาใจผิด นอกจากนี้ผูโตวาทีควรมี
ความกลาแสดงออก มีความรูที่กวางขวางและทันสมัย แตสิ่งสําคัญที่สุด ผูโตวาทีตองสามารถหยิบยก
ความรูนั้นมาใชตอบโต หักลางประเด็นความคิดของฝายตรงขามไดทันเวลา หรือเรียกวา มีปฏิภาณ

โครงการบูรณาการ
ไหวพริบ เพราะการโตวาทีมีกําหนดเวลา และสงผลตอการตัดสิน ผูที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด คือ “แตว”
เพราะผูฟงที่ดียอมเปนผูรู เมื่อมีความรู และปฏิภาณไหวพริบยอมสามารถหยิบความรูที่มีอยูมาหักลาง
ประเด็นของฝายตรงขามได
26. ตอบ ขอ 4. การโตวาที ผูโ ตวาทีแตละฝายจะตองแสดงความคิดเห็นทีห่ กั ลางกัน โดยใชวาทศิลป หรือศิลปะการใชถอ ยคํา
สํานวนโวหารใหประทับใจ เรียบเรียงขอเท็จจริง เหตุผล ใหผูฟงเกิดความรูสึกคลอยตาม ขอความที่แสดง
ใหเห็นวาผูพูดสามารถใชวาทศิลปเพื่อแสดงความคิดเห็นของฝายตน ขณะเดียวกับที่หักลางประเด็นฝาย
ตรงขามไดดวยนั้น คือ “…โลกออนไลน ไมมีที่สิ้นสุด เปนที่จุดประกายความสรางสรรค”
27. ตอบ ขอ 1. สิ่งแรกที่กลุมควรปฏิบัติ คือ การระดมความคิดเพื่อลงมติเลือกหัวเรื่อง แมโจทยจะบอกวาครูไดมอบหมาย
ใหทํารายงานในหัวขอ “ภูมิปญญาทองถิ่น” แตอยางไรก็ตามสมาชิกในกลุมจะตองรวมกันระดมความคิด
เพื่อลงมติวาจะเลือกศึกษาภูมิปญญาทองถิ่นในดานใด จากนั้นจึงลงมติคัดเลือกหัวหนากลุม แตเหตุผลมิใช
เพื่อใหกลุมมีผูรับผิดชอบหลัก แตเปนไปเพื่อใหกลุมมีผูประสานงาน มีบุคคลที่เปนกลางในการแบงหนาที่
ความรับผิดชอบ เมื่อไดหัวเรื่องที่ชัดเจน มีหัวหนากลุม สมาชิกทุกคนควรรวมกันวางโครงเรื่องของรายงาน
วางแผนการทํารายงาน เชน ชวงเวลาคนขอมูล ชวงเวลาเรียบเรียง เปนตน สวนการเลือกตัวแทนเพื่อไป
รายงานหนาชั้นเรียน อาจทําเปนลําดับสุดทาย
28. ตอบ ขอ 3. การพูดโนมนาวใจ เปนการพูดที่ผูพูดตองการใหผูฟงเต็มใจที่จะกระทําตามที่ผูพูดตองการ โดยมีวิธีการ
ตางๆ ที่จะใชชักจูง โนมนาว เชน การแสดงใหเห็นความนาเชื่อถือของผูพูด การทําใหผูฟงประจักษ
ในความจริงดวยตนเอง บทพูดโนมนาวใจที่กําหนดใหผูพูดมีจุดมุงหมายโนมนาวใหผูอานเลิกกระทํา ในที่นี้
คือ เลิกซื้อยาชุดมารับประทานแกไขหวัด โดยผูพูดมีวิธีการที่จะทําใหผูฟงเชื่อ “ดวยการแสดงใหเห็น
ความจริง” ยกเหตุผลมาสนับสนุน

(53) โครงการวัดและประเมินผล
29. ตอบ ขอ 1. มารยาทที่สําคัญของการพูดโนมนาวใจ คือ ผูพูดจะตองไมใชคําพูดเพื่อบิดเบือนขอเท็จจริง สรางหลักฐาน
ขอความเท็จ หรือกลาวเกินจริงเพื่อใหผูรับสารหลงเชื่อ และตีความไดหลายนัย
30. ตอบ ขอ 4. คนทําสวนเปนไดทั้งกลุมคําและประโยค
กลุมคํา หมายถึง ขอความที่เกิดจากการนําคําตั้งแตสองคําขึ้นไปมาเรียงติดตอกัน ทําใหเกิดความหมาย
เพิ่มขึ้น แตเปนความหมายพอที่เขาใจได ยังไมสมบูรณเปนประโยค สวนประโยค หมายถึง ถอยคําที่
เรียบเรียงขึ้นเพื่อแสดงความคิดหรือเรื่องราวที่สมบูรณ ขอความที่เปนเพียงกลุมคํา ไดแก ถังใสนํ้ามัน และ
บอบําบัดนํ้าเสีย ขอความที่เปนประโยค ไดแก นกบิน สวนขอความที่เปนไดทั้งกลุมคําและประโยค ไดแก
เจาหนาที่รักษาความปลอดภัย พนักงานตรวจสอบบัญชี และพนักงานทําความสะอาดหอง
31. ตอบ ขอ 4. ประโยคเงือ่ นไขทีก่ าํ หนดให เปนประโยคความเดียว มีสว นขยายในภาคประธาน คือ คําวา มหากวี 4 แผนดิน
ขยายคําวา สุนทรภู ซึ่งเปนประธานของประโยค เมื่อวิเคราะหประโยคในแตละขอ
ขอ 1. เปนประโยคความเดียว ไมมีสวนขยายภาคประธาน และภาคแสดงของประโยค
ขอ 2. เปนประโยคความเดียว มีสวนขยายบทกรรม คือ “ภรรยาคนแรก” ขยาย “แมจัน”
ขอ 3. เปนประโยคความเดียว มีสวนขยายบทกริยา คือ “อาลักษณในสมัยรัชกาลที่ 2” ขยาย “เปน”
ขอ 4. เปนประโยคความเดียว มีสวนขยายในภาคประธานของประโยค คือ คําวา “ที่ไพเราะที่สุดของ
สุนทรภู” ขยาย “นิราศ” ดังนั้น ประโยคในขอ 4. จึงมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข
32. ตอบ ขอ 3. เมื่อพิจารณาคําทับศัพทที่ปรากฏในตัวเลือกพบวา บางคํามีการบัญญัติศัพท ใชแทนคําภาษาอังกฤษแลว
แบบทดสอบ

ไมจําเปนตองใชในรูปแบบคําทับศัพท ขอ 1. เบอร ศัพทบัญญัติที่กําหนดใชแทน คือ หมายเลข ขอ 2.


(เขา) คิว สามารถใชคําในภาษาไทยแทนไดวา (เขา) แถว ขอ 3. คําวา พาสเจอร ไรซ และแบคทีเรีย
ยังไมมีการกําหนดศัพทบัญญัติขึ้นใช และเปนศัพททางวิชาการ จึงใชในรูปแบบคําทับศัพท ทําใหภาษาไทย
มีคําใชเพิ่มมากขึ้น ขอ 4. โหวต ศัพทบัญญัติที่กําหนดใชแทน คือ ลงคะแนนเสียง
33. ตอบ ขอ 3. ประโยคเงื่อนไขที่กําหนดให คือ ติ่งเอาหนังสือที่แมใหวางไวบนโตะ เปนประโยคซับซอนที่มีสวนขยายนาม
โครงการบูรณาการ

ซึ่งทําหนาที่เปนกรรมของประโยค คําวา “ที่แมให” ขยาย “หนังสือ” เมื่อวิเคราะหประโยคในแตละขอ


ขอ 1. เปนประโยคความรวม ไมมีสวนขยายประโยค ขอ 2. เปนประโยคความรวม ไมมีสวนขยายประโยค
ขอ 3. เปนประโยคซับซอน ที่มีสวนขยายนาม ซึ่งทําหนาที่เปนกรรมของประโยค คําวา “คนที่ยังไมไดรับ
การชวยเหลือ” ขยาย “ผูประสบภัยนํ้าทวม” ขอ 4. เปนประโยคความรวม ไมมีสวนขยายประโยค
ดังนั้น ประโยคในขอ 3. จึงมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข
34. ตอบ ขอ 2. ประโยคเงื่อนไขที่กําหนดให คือ แมตีนองรองไห เปนประโยคความรวม ที่มีหนวยกริยา 2 หนวย โดย
หนวยนามแรกเปนประธานของหนวยกริยาแรก หนวยนามหลังเปนกรรมตรงของหนวยกริยาแรก และเปน
ประธานของหนวยกริยาหลัง
แม ตี นอง รองไห
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กริยา
เมื่อวิเคราะหประโยคในแตละขอ
ขอ 1. เขา ริน นํ้า ดื่ม
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กรรมตรง กริยา
ขอ 2. หนู กัด เสื้อ ขาด
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กริยา

โครงการวัดและประเมินผล (54)
ขอ 3. แม กอด นอง รองไห
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กริยา
ขอ 4. นอง สะดุด กอนหิน หกลม
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กริยา
ดังนั้น ประโยคในขอ 2. จึงมีลักษณะตรงกับประโยคเงื่อนไข
35. ตอบ ขอ 4. เมื่อวิเคราะหประโยคใน ขอ 1. เปนประโยคซับซอนที่มีประโยคขยายในหนวยนาม คือ มีอนุประโยค
“ที่ไมไดเลาใหแมฟง” ขยายคํานาม “เรื่อง” ในมุขยประโยค “พอกลัววาแมจะไมสบายใจไปดวย”
36. ตอบ ขอ 3. คําเงื่อนไขที่กําหนด คือ ไนโตรเจน เปนคําทับศัพทในวงวิชาการ เมื่อพิจารณาคําในตัวเลือกพบวา แกรนิต
ออกซิเจน ไทเทเนียม เปนคําทับศัพทที่ใชในวงวิชาการ สวนคําวา ครีม ไอศกรีม ช็อกโกแลต แฮมเบอรเกอร
เปนคําทับศัพทที่เกี่ยวกับอาหาร
37. ตอบ ขอ 4. จิตรกรรม เปนศัพทบัญญัติที่ใชคําในภาษาสันสกฤตวา จิตฺรกรฺมนฺ มีความหมายวา การวาดภาพ ภาพวาด

แบบทดสอบ
ใชเปนศัพทบัญญัติแทนคําในภาษาอังกฤษ painting มีความหมายวา ภาพวาด การวาดภาพ ศิลปะการ
วาดภาพ
ไวยากรณ เปนศัพทบัญญัติที่ใชคําในภาษาสันสกฤตวา วฺยากรณ มีความหมายวา วิชาไวยากรณ ใชเปน
ศัพทบัญญัติแทนคําในภาษาอังกฤษ grammar
ปรัชญา เปนศัพทบัญญัติที่ใชคําในภาษาสันสกฤตวา ปฺรชฺญ มีความหมายวา ความรอบรู ภูมิปญญา
ความรู ความเขาใจ ซึ่งเปนความหมายที่ใกลเคียงใชเปนศัพทบัญญัติแทนคําในภาษาอังกฤษ philosophy

โครงการบูรณาการ
อุกกาบาต เปนศัพทบัญญัติที่ใชคําในภาษาบาลีวา อุกฺกาปาต การตกลงของลูกไฟ ดาวตก ซึ่งเปน
ความหมายที่ ใกลเคียงใชเปนศัพทบัญญัติแทนคําในภาษาอังกฤษ meteorite ดาวตกที่เผาไหมกับ
บรรยากาศของโลกไมหมด เหลือเปนชิ้นสวนตกถึงโลก
ธัญพืช เปนศัพทบัญญัติที่ใชคํายืมภาษาบาลีสันสกฤตมาสรางเปนศัพทบัญญัติ คือคําวา ธฺญ (บ.)
หมายถึง เมล็ดพืชที่ใชเปนอาหาร และคําวา พืช (บ., ส.) หมายถึง เมล็ดพืช ใชเปนศัพทบัญญัติแทนคํา
ในภาษาอังกฤษ cereal แตศัพทบัญญัติไทยเพิ่มคําวา พืช ที่ทายคําเปนธัญพืช
38. ตอบ ขอ 3. ศัพทบัญญัติของคําภาษาอังกฤษที่กําหนดให ไดแก รหัสแทง นายหนา และนิรโทษกรรม ตามลําดับ
39. ตอบ ขอ 4. เมือ่ วิเคราะหคาํ ในตัวเลือก มีศพั ทบญั ญัตใิ นสาขาวิชาตางๆ ไดแก ศัพทกฎหมาย คือ สินทรัพย ศัพทนติ ศิ าสตร
คือ งบประมาณ ศัพทรัฐศาสตร ไดแก ตลาดมืด และดุลอํานาจ ศัพทคอมพิวเตอร ไดแก สัญญาณภาพ
และไปรษณียเสียง ศัพทวรรณคดี ไดแก อุปลักษณ บุคลาธิษฐาน และการกลาวซํ้า
40. ตอบ ขอ 2. โคลงสี่สุภาพหนึ่งบท มี 4 บาท บาทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคหนามี 5 คํา วรรคหลังมี 2 คํา ยกเวนบาทที่ 4
วรรคหลังมี 4 คํา โดยวรรคหลังของบาทที่ 1 และ 3 อาจเพิ่มคําสรอยไดบาทละ 2 คํา โคลงสี่สุภาพ
กําหนดสัมผัสสระ โดยคําที่ 7 ของบาทที่ 1 ตองสงสัมผัสไปยังคําที่ 5 ของบาทที่ 2 และ 3 คําที่ 7
ของบาทที่ 2 ตองสงสัมผัสไปยังคําที่ 5 ของบาทที่ 4 บังคับคําเอก 7 แหง และคําโท 4 แหง ตําแหนง
คําเอกสามารถใชคําตายแทนได

(55) โครงการวัดและประเมินผล
ตอนที่ 2
1. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่สื่อแสดงใหเห็นความคิดของตนเองที่มีตอขอเขียน โดยอาจเปนไปในเชิงเห็นดวยหรือโตแยง โดยใหเหตุผล
ประกอบตามแนวทางการประเมินที่ถูกตอง
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่สื่อแสดงใหเห็นความคิดของตนเองที่มีตอขอเขียน โดยอาจเปนไปในเชิงเห็นดวยหรือโตแยง โดยใหเหตุผล
ประกอบที่เหมาะสม
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใหคําตอบไมเพียงพอ หรือคลุมเครือเกินไป
2. ตอบ 1. เขียนดวยลายมือที่สะอาด เรียบรอย
แบบทดสอบ

2. ระบุขอมูลสวนตัว ประวัติการศึกษา ความสามารถพิเศษ และชองทางการติดตอซึ่งสะดวกที่สุดใหครบถวน


ชัดเจน
3. ระบุคุณสมบัติที่จําเปนสําหรับตําแหนงธุรการ เชน เปนคนมีความละเอียดรอบคอบ ทํางานเปนระบบและมนุษย-
สัมพันธดี
3. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
โครงการบูรณาการ

1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• ระบุสาเหตุของการเขียนจดหมายไดสมเหตุสมผล
• ระบุขอความที่เปนการยกยอง ใหความสําคัญ ใหเกียรติผูรับจดหมายสื่อแสดงถึงมิตรภาพและความจริงใจ
• ระบุวัตถุประสงคของจดหมาย หรือสิ่งที่ตองการใหผูรับจดหมายสนองตอบ ดวยภาษาที่สุภาพ เหมาะสม
พรอมรายละเอียดที่จําเปนสําหรับการเตรียมความพรอมของผูรับจดหมาย
• สรุปวัตถุประสงคใหผูรับทราบอีกครั้ง พรอมรูปประโยคที่แสดงความขอบคุณลวงหนา
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย มีความสมเหตุสมผล เปนไปได ผูรับจดหมายทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงคของจดหมาย ระบุ
ขอมูลที่เอื้อตอการเตรียมความพรอมของผูรับจดหมาย
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใชรูปแบบและภาษาไมเหมาะสมกับสถานภาพของผูรับจดหมาย ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตน
เนื้อความ และคําลงทายจดหมายไมถูกตอง เนื้อความในจดหมายไมไดสื่อแสดงถึงวัตถุประสงค รวมถึงขอมูลที่ให
ไมเอื้อตอการเตรียมความพรอมของผูรับ

โครงการวัดและประเมินผล (56)
เฉลยแบบทดสอบ ภาคเร�ยนที่ 2
ชุดที่ 2
ตอนที่ 1
1. ตอบ ขอ 4. เครื่องหมายที่ปรากฏในประโยคนี้ คือ ๆ เรียกวา ไมยมก มีวิธีการอาน 3 แบบ ไดแก อานซํ้าคํา เชน
ของดีๆ อานวา ของ-ดี-ดี อานซํ้ากลุมคํา เชน วันละคนๆ อานวา วัน-ละ-คน-วัน-ละ-คน และอานซํ้า
ทั้งประโยค ดังนั้น ขอความที่กําหนดใหตองอานวา โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ-โอ-เลี้ยง-มา-แลว-ครับ
2. ตอบ ขอ 3. พระบรมราโชวาทที่กําหนดใหอานใจความสําคัญ คือ ความสุขความเจริญที่แทจริงตองไดมาดวยความ
เปนธรรม อยูในตําแหนงตอนตนของบทอาน
3. ตอบ ขอ 4. สาเหตุทที่ าํ ใหความเจริญทีเ่ ท็จเทียมกลับมาทําลายตน เปนเพราะความเจริญทีเ่ ท็จเทียมนัน้ จะทําลายสังคม
เมื่อสวนรวมถูกทําลาย ผูนั้นก็จะตั้งตนอยูไมได
4. ตอบ ขอ 1. ปจจัยพื้นฐานของการอานออกเสียงประกอบดวย สายตา เสียง และอารมณในการอาน ดังนั้น เหตุผลที่
ทําใหเพื่อนๆ ลงคะแนนเสียงใหกิติยา เพราะเธอมีแกวเสียงที่แจมใส จะทําใหเสียงที่เปลงออกมามีกระแส

แบบทดสอบ
เสียงเดียว ไมแตกพรา ทําใหออกเสียงบทอานไดไพเราะ
5. ตอบ ขอ 4. คําวา งูพิษ ในประโยคที่กําหนดให มีความนัยประวัติ หมายถึง บุคคลที่มีพิษสงสามารถทํารายผูอื่นได
เชนเดียวกับงูพิษ เมื่อพิจารณาคําที่ขีดเสนใตในแตละขอ พบวา งูพิษ ในประโยคแรก มีความหมายนัยตรง
หมาบา ในประโยคทีส่ อง มีความนัยตรง หมาวัด ในประโยคทีส่ าม มีความหมายนัยตรง และตีนผี ในประโยค
ที่สี่ มีความหมายนัยประวัติ

โครงการบูรณาการ
6. ตอบ ขอ 2. จากการสํารวจของนักโบราณคดี พบหลุมฝงศพ ซึง่ อาจเปนขอพิสจู นไดวา เมืองโบราณแหงนีม้ วี ธิ กี ารจัดการ
กับศพ โดยขณะนี้โครงการสํารวจเมืองโบราณยังคงดําเนินตอไป และการสรางกําแพงหินก็เพื่อปองกัน
การรุกรานจากศัตรู ดังนั้น ขอความที่ถูกตองคือ แรเกลือเปนทรัพยากรสําคัญของเมืองโบราณนี้
7. ตอบ ขอ 2. นิทานอีสปทัง้ สองเรือ่ ง จํานวนของตัวละครไมสง ผลตอการดําเนินเรือ่ ง กลวิธกี ารเลาเรือ่ งไมมคี วามแตกตาง
เพราะผูเขียนมีสถานะเปนผูเลา ลําดับเหตุการณภายในเรื่องเชนเดียวกัน คือ เรียงลําดับเหตุการณตาม
ปฏิทิน คือ อะไรเกิดขึ้นกอน-หลัง แตฉากในนิทานเรื่องมดกับตั๊กแตนมีผลตอการดําเนินเรื่อง ทําใหเรื่อง
ดําเนินไป ฤดูรอนตั๊กแตนขี้เกียจ ฤดูหนาวหาอาหารไมได ตั๊กแตนจึงตองรับผลแหงความประมาทของตน
8. ตอบ ขอ 1. การเขียนแผนผังความคิด ใหเริ่มจากภาพรวมโดยการเขียนประเด็นความคิดหลักไวกลางกระดาษที่วาง
ในแนวนอน แยกประเด็นความคิดรอง แตกประเด็นความคิดยอย หรือลงรายละเอียด และเปรียบเทียบ
เชื่อมโยง ดังนั้น ขอความที่ใชขยายคําสําคัญ “ยอย” ไดเหมาะสมคือ ลงในรายละเอียด
9. ตอบ ขอ 1. ดินทีเ่ จาของขุดลงไปในหลุม เปนสัญลักษณเปรียบไดกับความทุกข ปญหา หรืออุปสรรคตางๆ การที่ลาเฒา
สลัดดินที่อยูบนหลัง จึงเทากับสลัดทุกข การเหยียบดิน ก็คือการอยูเหนือปญหา รูเทาทันทุกข สลัดแลว
เหยียบ สลัดแลวเหยียบ ก็คือการใชความเพียรพยายามในการแกไขปญหา ซึ่งในที่สุดก็จะผานพนไปได
10. ตอบ ขอ 3. มารยาทการใชหองสมุดเปนเสมือนกรอบที่ชวยกําหนดใหบุคคลปฏิบัติพฤติกรรมอันพึงประสงค ระมัดระวัง
พฤติกรรมของตนเองไมใหสรางความเดือดรอนรําคาญแกผูอื่น ลดขอขัดแยงระหวางกัน
11. ตอบ ขอ 2. การประกวดคัดลายมือในกรณีที่ผูสงผลงานตองคัดลายมือดวยรูปแบบตัวอักษรที่กําหนด ผูคัดจะตองมี
ความรู ความเขาใจในรูปแบบของตัวอักษรนั้นเปนอยางดี ฝกฝนจนชํานาญ ดังนั้น ปจจัยสําคัญที่จะทําให
ณัฐพลไดรับรางวัลคือ ศึกษาวิธีการเขียนตัวอักษรรูปแบบอาลักษณและฝกฝนจนชํานาญ

(57) โครงการวัดและประเมินผล
12. ตอบ ขอ 1. งานเขียนประเภทโฆษณา มีจุดมุงหมายโนมนาวใหผูรับสารเกิดความตองการในสินคาและบริการ
จากขอความโฆษณานี้ปรากฏแนวทางการใชภาษาโดดเดนที่สุด คือ ใชถอยคําเพื่อสื่อภาพลักษณดีงาม
ของสินคาและบริการ
13. ตอบ ขอ 4. จากขอความทีก่ าํ หนดเมือ่ ยอความแลวจะไดวา “ในประเพณีงานบุญคนไทยนิยมจัดใหมกี ารละเลนรวมอยูด ว ย
เพื่อความสนุกสนานและใกลชิดของคนในชุมชน” สวนขอความในตัวเลือกอื่นๆ เมื่อยอแลวสาระสําคัญ
เปลี่ยนไป รวมถึงสื่อความไมครบถวน
14. ตอบ ขอ 2. รูปแบบการเขียนบรรณานุกรมสําหรับหนังสือเลม กําหนดการเขียนไว ดังนี้
ชื่อผูแตง. (ปที่พิมพ). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ). เมืองที่พิมพ : สถานที่พิมพ
ขอมูลที่ไมจําเปนในการเขียนบรรณานุกรม ไดแก จํานวนหนา จํานวนที่พิมพ และหากสถานที่พิมพ
เปนสํานักพิมพไมตองระบุคําวาสํานักพิมพหนาชื่อ แตถาเปนโรงพิมพตองระบุไว
15. ตอบ ขอ 4. กลุมที่มีแนวทางการเลือกหัวขอไดเหมาะสมมากที่สุด คือ กลุมที่ 4 เพราะสอดคลองกับขอบเขตการศึกษา
ทีค่ รูกาํ หนดไว หากเลือกหัวขอทีย่ งั ไมมผี ศู กึ ษา หรือเลือกหัวขอทีม่ ขี อ มูลหลากหลายแตไมมคี วามเกีย่ วของ
กับรายวิชาภาษาไทย นับเปนแนวทางที่ไมเหมาะสม
16. ตอบ ขอ 2. การเขียนจดหมายถึงผูรับที่เปนพระสงฆที่มิใช สมเด็จพระสังฆราชเจา, สมเด็จพระสังฆราช, สมเด็จ
แบบทดสอบ

พระราชาคณะ, พระราชาคณะ, เจาคณะรอง, พระราชาคณะ ใหใชคาํ ขึน้ ตนจดหมายวา “นมัสการ” คําลงทาย


จดหมายวา “ขอนมัสการดวยความเคารพ”
17. ตอบ ขอ 4. การเขียนแสดงความคิดเห็น คือ การเขียนเพื่อแนะนําหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หรือการเขียนเพื่อวิเคราะห วิจารณ โดยอยูบนหลักฐาน ขอเท็จจริง กฎเกณฑ และเหตุผล สําคัญที่สุดคือ
ตองเรียบเรียงดวยถอยคําที่ไมกอใหเกิดการตีความไดหลากหลาย
โครงการบูรณาการ

18. ตอบ ขอ 3. กุลพงษ มีคุณสมบัติครบถวน สอดคลองกับตําแหนงที่ตองการสมัคร สวน กรกฎ ไมผานในเกณฑของอายุ


กําพล ตองการทํางานแบบ Part time แตตําแหนงพนักงานธุรการฝายคลังสินคา รับพนักงานประจํา กนก
ไมผานในเกณฑของวุฒิการศึกษา
19. ตอบ ขอ 3. บริษัทไมอาจอนุโลมคุณสมบัติใหได เพราะจําเปนตองเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถวนที่สุดเขาทํางาน
มีเพียงสิ่งหนึ่งที่บริษัทนี้อนุโลมคือ มีตําแหนงงานวางสําหรับผูที่กําลังศึกษาอยู คือ เปดรับแบบ part time
20. ตอบ ขอ 2. พนักงานฝายคลังสินคา มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ตองขับรถ Forklift ได หากประพจนมีทักษะดานนี้จริง ก็ควร
กรอกรายละเอียดในสวนนี้ และประพจนยังสามารถซอมบํารุงรถได ซึ่งเปนคุณสมบัติเกินกวาที่บริษัท
ตองการจึงเอื้อประโยชนมากขึ้น
21. ตอบ ขอ 4. ขอคิดที่ไดรับจากนิทานเรื่อง ลาตกหลุม ชี้ใหเห็นวาทุกชีวิตไมวามนุษยหรือสัตวตองพบกับความทุกข
ปญหา อุปสรรค แตจะสามารถผานไปไดดว ยการรูเ ทาทัน อยูเ หนือปญหา และพยายามแกไขดวยความเพียร
22. ตอบ ขอ 3. ผูท มี่ วี จิ ารณญาณในการฟงและดูจะตองสามารถวิเคราะหสงิ่ ทีไ่ ดฟง และดูไดวา มีองคประกอบใดบาง แตละสวน
มีลักษณะอยางไร พิจารณาความนาเชื่อถือ ความสมเหตุสมผล และความเปนไปไดของขอมูลกอน
ตัดสินใจเชื่อ ไมใชเชื่อเพราะตรงกับความคิดของตนเอง สวนการตั้งจุดมุงหมายที่ชัดเจนกอนเลือกรับสาร
การรับสารที่เปนประโยชน สอดคลองกับเวลา อายุ และความจําเปน นั่นเปนแนวทางการเลือกรับสารอยาง
มีประสิทธิภาพ
23. ตอบ ขอ 3. การโตวาทีหากผูโตวาทีฝายใดฝายหนึ่งตองการเสนอแนวคิดและทําใหแนวคิดที่เสนอไดรับการยอมรับ
จะตองยกเหตุผล หลักฐาน ขอเท็จจริงที่ถูกตองมาสนับสนุน ขณะเดียวกับที่จะตองกลาวคานประเด็น หรือ
ภาษาปากวา ตีประเด็นของฝายตรงขามใหตกไป

โครงการวัดและประเมินผล (58)
24. ตอบ ขอ 3. การโตวาที เปนการพูดโตแยงกันดวยเหตุผล ขอมูล ขอเท็จจริง บางครั้งการถูกโตแยง ถูกทําประเด็น
ที่เสนอใหตกไป หรือถูกยั่วยุอาจทําใหเกิดอารมณโกรธ เมื่อโกรธก็จะขาดสติ เมื่อขาดสติก็จะทําใหคิดหา
เหตุผล ขอมูล ขอเท็จจริง มาโตแยงฝายตรงขามไดไมรอบคอบ
25. ตอบ ขอ 2. หากการอภิปรายมีการโตแยงทางความคิดที่รุนแรง และไมมีทีทาวาฝายใดฝายหนึ่งจะยอม ผูอภิปรายตอง
ทําใหการอภิปรายดําเนินตอไป โดยการใชวาทศิลปพูดคลี่คลายบรรยากาศใหผอนคลายลง
26. ตอบ ขอ 1. การทํารายงานการศึกษาคนควาเชิงวิชาการ มีลําดับขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน เริ่มจากเลือกหรือกําหนด
หัวเรื่องของรายงานที่เหมาะสม สอดคลอง กําหนดวัตถุประสงคการศึกษา ซึ่งจะนําไปสูการวางโครงเรื่อง
โครงเรื่องที่ครอบคลุม จะเปนประโยชน และชวยกําหนดขอบเขตการสํารวจ รวบรวม และบันทึกขอมูล
จากนั้นจึงนําขอมูลมาศึกษา ทําความเขาใจ เรียบเรียงเปนรูปเลมรายงาน พรอมอางอิง
27. ตอบ ขอ 1. ผูพูดตองรางบทพูดโดยแบงเปน 3 สวน ไดแก สวนนํา สวนเนื้อหา และสวนสรุป เพื่อทบทวนวา
สวนใดขาด เกิน และถายทอดไดครบถวนหรือไม การออกแบบทาทางนั้นเกิดขึ้นภายหลังการรางบทพูด
การใหผูอื่นรางบทพูดใหเปนสิ่งที่ไมถูกตอง และการใชโสตทัศนูปกรณผูพูดตองพิจารณาวา จําเปนมากนอย
เพียงใด และทําหนาที่อธิบายไดดีกวาตนเองหรือไม
28. ตอบ ขอ 2. หากเปนการอภิปรายรูปแบบนี้ ผูดําเนินการอภิปรายจะตองพิจารณาคําถามของผูฟง วามีความเกี่ยวของ

แบบทดสอบ
หรือสอดคลองกับหัวขอของผูรวมอภิปรายทานใดควรใหทานนั้นเปนผูตอบ
29. ตอบ ขอ 2. หากมีจุดมุงหมายเพื่อโนมนาวใหผูรับสาร งด เวน หรือเลิกกระทําบางสิ่งบางอยาง บุคคลที่มีแนวโนมวา
จะประสบผลสําเร็จมากที่สุด คือ “วจนา” เพราะแสดงขอเท็จจริงใหผูฟงประจักษ หรือเห็นจริงดวยตนเอง
กระทั่งยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามความมุงหมายของผูพูด

โครงการบูรณาการ
30. ตอบ ขอ 3. การนําเสนอขอเท็จจริงบางสวน การนําเรื่องสวนตัวของฝายตรงขามมาเปดเผย การใชถอยคําที่คลุมเครือ
ลอลวงใหตีความคลาดเคลื่อนเพื่อผลประโยชนของตน ลวนเปนพฤติกรรมการพูดที่ไมเหมาะสม
31. ตอบ ขอ 2. ขอความในขอ 2. ปรากฏการใชคําศัพทเฉพาะวิชาชีพ คือ วงการธุรกิจการขาย
32. ตอบ ขอ 1. กลุมคํา หมายถึง ขอความที่เกิดจากการนําคําตั้งแตสองคําขึ้นไปมาเรียงตอกัน ทําใหเกิดความหมาย
เพิม่ ขึน้ เปนความหมายทีพ่ อเขาใจได ยังไมสมบูรณเปนประโยค สวนประโยค หมายถึง ถอยคําทีเ่ รียบเรียงขึน้
เพื่อแสดงความคิดหรือเรื่องราวที่สมบูรณ ดังนั้น ขอความในกลุมที่ 1 จึงเปนประโยค ขอความในกลุมที่ 2
เปนกลุมคํา หรือเรียกวา วลี ซึ่งเปนนามวลีทั้งสองขอความ
33. ตอบ ขอ 1. สุนทรภูแตงเพลงยาวจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว เปนประโยคความรวมที่มีเนื้อความเปนเหตุเปนผลกัน
โดยประกอบดวยประโยคความเดียว 2 ประโยค คือ “สุนทรภูแตงเพลงยาว” “สุนทรภูมีชื่อเสียงเลื่องลือ
ไปทั่ว” มีคําสันธาน หรือคําเชื่อมคือคําวา “จน”
34. ตอบ ขอ 1. ในประโยคหนึ่งๆ ที่ใชสําหรับการสื่อสาร อาจจะสั้นหรือยาวตางกันขึ้นอยูกับวาผูสื่อสารจะใชคําเรียงรอย
อยางไร ในบางครั้งผูสื่อสารอาจละคําในประโยค แตผูรับสารจะสามารถเขาใจไดจากบริบท ประโยคที่ 1 คํา
ที่ละไป คือ “ลูกสะใภคนนี้” ซึ่งเปนนามวลี ประโยคที่ไมมีการละ คือ ลูกสะใภคนนี้ คุณแมผมชอบมาก
เพราะ (ลูกสะใภคนนี้) ตระกูลดี ประโยคที่ 2 คําที่ละไป คือ “คุณแม” ซึ่งเปนคํานาม ประโยคที่ไมมีการละ
คือ คุณแมไมคอยสบาย พรุงนี้จะพา (คุณแม) ไปพบแพทย ประโยคที่ 3 คําที่ละไป คือ “ดินสอ” ซึ่งเปน
คํานาม ประโยคที่ไมมีการละ คือ พี่จะไมใหเธอยืมดินสออีกแลว เธอทํา (ดินสอ) หายบอย ประโยคที่ 4
คําที่ละไปคือ “เรือ” ซึ่งเปนคํานาม ประโยคที่ไมมีการละ คือ เขาทําเรือดวยกาบกลวยและตกแตงให
สวยงาม เอา (เรือ) ไปลอยในทะเล ดังนั้น ประโยคที่ 1 จึงมีการละคําในประโยคแตกตางจากขออื่น

(59) โครงการวัดและประเมินผล
35. ตอบ ขอ 1. เมื่อวิเคราะหคําที่กําหนดใหในตัวเลือก “โยงใย นักโทษ” ทั้งสองคํานี้เปนคําประสม “โนมนาว แกนสาร
กูยืม ทรวงอก” เปนคําซอน สวนคําวา “ภาพพจน” เปนศัพทบัญญัติของคําวา “figure of speech”
“หุนยนต” เปนศัพทบัญญัติของคําวา “robot” “ไรสาย” เปนศัพทบัญญัติของคําวา “wireless” “ทุนนิยม”
เปนศัพทบัญญัติของคําวา “capitalism” “ญัตติ” เปนศัพทบัญญัติของคําวา “motion” “คํารอง” เปน
ศัพทบัญญัติของคําวา “request”
36. ตอบ ขอ 4. นิดนั่งยิ้ม เปนประโยคความรวมที่ไมมีหนวยเชื่อม มีหนวยนาม 1 หนวย หนวยกริยา 2 หนวย โดยสามารถ
แยกประโยคไดเปน “นิดนั่ง” “นิดยิ้ม” สุนทรภูแตงกลอนไดไพเราะเปนประโยคความเดียว คุณแมไมสบาย
เปนประโยคความเดียว นิดนั่งเลนเปนประโยคความเดียว (ถาแยกประโยคนี้ “นิดนั่ง” กับ “นิดเลน” ขอความ
หลังไมใชประโยค เพราะไมมีใจความสมบูรณ)
37. ตอบ ขอ 4. ประโยคที่กําหนดให คือ พอใชปากกาเขียนจดหมาย เปนประโยคความรวม ที่หนวยนามแรกเปนประธาน
ของหนวยกริยาแรกและหนวยกริยาที่ 2 หนวยนามที่ 2 เปนกรรมตรงของหนวยกริยาแรก และเปน
กรรมรองของหนวยกริยาที่ 2 สวนหนวยนามที่ 3 เปนกรรมตรงของหนวยกริยาที่ 2
พอ ใช ปากกา เขียน จดหมาย
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กรรมรอง กริยา กรรมตรง
แบบทดสอบ

เมื่อวิเคราะหประโยคในแตละขอ
ขอ 1. แม ปอก กระเทียม หั่น รากผักชี
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กริยา กรรมตรง
ขอ 2. พิชิต คุม คนงาน ขุด เหมือง
โครงการบูรณาการ

ประธาน กริยา กรรมตรง


ประธาน กริยา กรรมตรง
ขอ 3. เขา เท นํ้า ใส ขวด
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กรรมตรง กริยา กรรมรอง
ขอ 4. แม ใช มีด สับ หมู
ประธาน กริยา กรรมตรง
ประธาน กรรมรอง กริยา กรรมตรง
38. ตอบ ขอ 4. “เขาโกรธเกรี้ยวทุกสิ่งทุกอยางที่ขวางหนา” เปนประโยคความซอน ที่มีคุณานุประโยค หรืออนุประโยค
ทําหนาที่ขยายคํานามที่นํามาขางหนา “นิดนั่งยิ้ม” เปนประโยคความรวมที่ ไมมีหนวยเชื่อมประโยค
โดยสามารถแยกประโยคไดเปน “นิดนั่ง” “นิดยิ้ม” สวน “เขาหิวแตไมกินอะไรเลย” เปนประโยคความรวมที่มี
เนื้อความขัดแยงกัน “บานเมืองกําลังอยูในภาวะวิกฤต” เปนประโยคความเดียว
39. ตอบ ขอ 4. โคลงสี่สุภาพที่กําหนดไมปรากฏการใชคําเลียนเสียงธรรมชาติ การเพิ่มคําสรอยในทายบาทที่ 3 ไมใช
ลักษณะโดดเดนดานวรรณศิลป แตเปนขออนุโลมทางฉันทลักษณ รวมทั้งไมปรากฏความแตกตางของเสียง
วรรณยุกต ดังนั้น ลักษณะวรรณศิลปที่โดดเดน จึงเปนสัมผัสภายในวรรคทั้งสระและพยัญชนะ
40. ตอบ ขอ 4. คําวา เปยโน โซฟา กีตาร ยังไมมีการบัญญัติศัพทขึ้นใช แตใหใชในรูปแบบคําทับศัพท สวนคําวา แอร-
คอนดิชัน บัญญัติศัพทวา เครื่องปรับอากาศ มอเตอร ไซค บัญญัติศัพทวา จักรยานยนต อีเมล บัญญัติ
ศัพทวา ไปรษณียอิเล็กทรอนิกส อิมเมจ บัญญัติศัพทวา ภาพลักษณ และคอมพิวเตอร บัญญัติศัพทวา
คณิตกรณ
โครงการวัดและประเมินผล (60)
ตอนที่ 2
1. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่สื่อแสดงใหเห็นความคิดของตนเองที่มีตอขอเขียน โดยอาจเปนไปในเชิงเห็นดวยหรือโตแยง โดยใหเหตุผล
ประกอบตามแนวทางการประเมินที่ถูกตอง
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. อธิบายลักษณะการลําดับความของขอเขียนได
2. ระบุขอความที่คิดวามีความสมเหตุสมผล ความเปนไปได ที่ชวยสนับสนุนจุดมุงหมายของขอเขียน
3. ใชคําที่สื่อแสดงใหเห็นความคิดของตนเองที่มีตอขอเขียน โดยอาจเปนไปในเชิงเห็นดวยหรือโตแยง โดยใหเหตุผล
ประกอบที่เหมาะสม
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใหคําตอบไมเพียงพอ หรือคลุมเครือเกินไป
2. ตอบ 1. เขียนดวยลายมือที่สะอาด เรียบรอย

แบบทดสอบ
2. ระบุขอมูลสวนตัว ประวัติการศึกษา ความสามารถพิเศษ และชองทางการติดตอซึ่งสะดวกที่สุดใหครบถวน ชัดเจน
3. ระบุคุณสมบัติที่จําเปนสําหรับตําแหนงพนักงานฝายคลังสินคา เชน ทํางานดวยความละเอียดรอบคอบ ติดตอ
ประสานกับบุคคลอื่นไดดี
3. ตอบ คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนเต็มใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย

โครงการบูรณาการ
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• แสดงความสืบเนื่องของจดหมายฉบับกอนหนา หรือจดหมายที่เคยเขียนเพื่อขอความอนุเคราะห
• บอกผลสําเร็จที่เกิดขึ้นของกิจกรรม
• แสดงความขอบคุณ และรักษาสัมพันธภาพระหวางกัน
คําตอบของนักเรียนที่ไดคะแนนบางสวนใหพิจารณา ดังนี้
1. ใชรูปแบบและภาษาที่ถูกตองโดยคํานึงถึงสถานภาพของผูรับจดหมาย
2. ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตนเนื้อความ และคําลงทายจดหมายไดถูกตอง
3. เนื้อความในจดหมาย ปรากฏรูปประโยคที่สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งตอไปนี้
• แสดงความสืบเนื่องของจดหมายฉบับกอนหนา หรือจดหมายที่เคยเขียนเพื่อขอความอนุเคราะห
• แสดงความขอบคุณในความอนุเคราะหของวิทยากร
คําตอบของนักเรียนที่ไมไดคะแนนใหพิจารณา ดังนี้
ใชรูปแบบและภาษาไมเหมาะสมกับสถานภาพของผูรับจดหมาย ระบุวันที่ หัวเรื่อง คําขึ้นตนจดหมาย คําขึ้นตน
เนื้อความ และคําลงทายจดหมายไมถูกตอง เนื้อความในจดหมายไมไดสื่อแสดงถึงวัตถุประสงค รวมถึงขอมูลที่ให
ไมไดเอื้อตอการเตรียมความพรอมของผูรับ

(61) โครงการวัดและประเมินผล
โครงการบูรณาการ
การเร�ยนรูสูบันได 5 ขั้น
1. ชื่อโครงการ สรางนิทานสานแนวคิด
2. หลักการและเหตุผล
การเลานิทานเกิดขึ้นมานานและในทุกสังคมทุกชาติพันธุ ทั้งที่มีและไมมีตัวอักษรใชแทนเสียงพูด แตปจจุบันมนุษยสามารถหาความ
บันเทิงไดจากสื่ออื่น พฤติกรรมการเลานิทานสูกันฟงจึงเลือนหายไป ดังนั้น เพื่อไมใหการเลานิทาน เรื่องเลาเรื่องแรกๆ ในชีวิต เรื่องเลา
ที่ชวยกระชับความสัมพันธครอบครัว เรื่องเลาที่ชวยสรางจินตนาการ สานแนวคิด ทัศนคติที่ดีตอการใชชีวิตเลือนหายไป นักเรียนจึงควร
เรียนรูเกี่ยวกับนิทาน สามารถสรางสรรคนิทานได เพื่อสืบทอดพฤติกรรมการเลานิทาน สงตอแนวคิดที่ดีในนิทานใหผูอื่นตอไป

3. วัตถุประสงคของโครงการ
1. เพือ่ ศึกษาความหมายของนิทาน ประวัตคิ วามเปนมา ประเภท จุดประสงค คุณคาของนิทาน และรูปแบบการเลานิทานทีช่ ว ยกระชับ
ความสัมพันธ เสริมสรางจินตนาการ และสานแนวคิดในนิทานใหแกผูฟง
2. เพื่อใหมีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับนิทาน และสามารถสรางสรรคนิทานเรื่องใหมที่ใหทั้งความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด
แบบทดสอบ

3. เพื่อเสริมสรางทักษะการอานออกเสียง การสรางสรรคงานเขียน และทักษะการคิดวิเคราะห

4. เปาหมาย
ผูเ ขารวมโครงการตระหนักในคุณคา ความสําคัญของนิทาน และสามารถสรางสรรคนทิ านเรือ่ งใหมทสี่ รางความสัมพันธ ใหจนิ ตนาการ
โครงการบูรณาการ

และแนวคิดเลาสูผูอื่นได

5. ขั้นตอนการจัดกิจกรรม
คําชี้แจง ใหนักเรียนแบงกลุมเทาๆ กัน แตละกลุมปฏิบัติโครงการ “สรางนิทานสานแนวคิด” ตามขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ตั้งประเด็นคําถาม
นักเรียนแตละกลุมรวมกันวิเคราะหวาจะมีแนวทางอยางไร ที่จะสรางสรรคนิทานเรื่องใหมโดยวิวัฒนจากนิทานเรื่อง
ที่สมาชิกของกลุมเคยไดฟง แตตองเปนนิทานที่ใหทั้งความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด
ขั้นที่ 2 สืบคนความรู
นักเรียนแตละกลุม ศึกษาขอมูลเกีย่ วกับนิทานในดานตางๆ โดยมุง เนนไปทีว่ ธิ กี ารสรางสรรค อาจใหเพือ่ นสมาชิกเลานิทาน
เรื่องที่ตนเองประทับใจ เพื่อคนหาแนวทางที่หลากหลาย
ขั้นที่ 3 สรุปองคความรู
นักเรียนแตละกลุมนําขอมูลเกี่ยวกับวิธีการสรางสรรคนิทาน รวมถึงนิทานเรื่องที่สมาชิกแตละคนประทับใจ วิเคราะห
สังเคราะห สรุปเปนแนวทางการสรางสรรคนิทานของกลุม
ขั้นที่ 4 การสื่อสารและนําเสนอ
นักเรียนแตละกลุม รวมกันสรางสรรคนทิ านเรือ่ งใหมที่ใหทงั้ ความสัมพันธ จินตนาการ และความคิด ตรวจสอบความถูกตอง
นําเสนอเปนรูปเลม พรอมสรางสรรคภาพประกอบ
ขั้นที่ 5 บริการสังคมและสาธารณะ
นักเรียนทุกกลุมประชุมรวมกัน กําหนดวันที่จะเผยแพรนิทานที่สรางสรรคขึ้นใหมนี้ผานรายการเสียงตามสายของโรงเรียน
โดยเผยแพรดวยวิธีการเลาสัปดาหละหนึ่งเรื่อง เพื่อใหเพื่อนๆ พี่ๆ นองๆ ในโรงเรียนไดฟงนิทานที่ใหทั้งจินตนาการ
และแนวคิด

โครงการวัดและประเมินผล (62)
แบบประเมินคุณภาพการจัดทําโครงการ

ประเด็น ระดับคุณภาพ
การประเมิน ดีเยี่ยม (4) ดี (3) พอใช (2) ปรับปรุง (1)
ตั้งประเด็นคําถามในเรื่อง ตั้งประเด็นคําถามในเรื่อง ตั้งประเด็นคําถามในเรื่อง ใชคําถามที่ครูชี้แนะ
ที่สนใจไดดวยตนเอง ที่สนใจ โดยมีครูคอยชี้แนะ ที่สนใจ โดยมีีครูคอยชี้แนะ มากําหนดประเด็นคําถาม
ขอบขายประเด็นคําถาม ขอบขายประเด็นคําถาม ขอบขายประเด็นคําถาม
1. ชัดเจน ครอบคลุมขอมูล ชัดเจน ครอบคลุมขอมูล ชัดเจน แตยังไมครอบคลุม
การตั้งประเด็น ที่เกี่ยวของกับตนเอง ที่เกี่ยวของกับตนเอง ขอมูลที่เกี่ยวของกับตนเอง
คําถาม เชื่อมโยงกับชุมชน เชื่อมโยงกับชุมชน มีความ เชื่อมโยงกับชุมชน
มีความแปลกใหมและ เปนไปไดในการแสวงหา
สรางสรรค มีความเปน คําตอบ
ไปไดในการแสวงหาคําตอบ
วางแผนสืบคนขอมูล วางแผนสืบคนขอมูล วางแผนสืบคนขอมูล ไมมีการวางแผนหรือมีการ
ชัดเจน และปฏิบัติได ชัดเจน และปฏิบัติได ชัดเจน และปฏิบัติได วางแผน แตไมสามารถ

แบบทดสอบ
2. ศึกษาคนควาความรูจาก ศึกษาคนควาหาความรู ศึกษาคนควาหาความรู นําไปปฏิบัติจริงได
การสืบคนความรู แหลงเรียนรูหลากหลาย จากแหลงเรียนรู จากแหลงเรียนรู ศึกษาคนควาหาความรู
มีการบันทึกขอมูลที่ หลากหลาย ไมหลากหลาย จากแหลงเรียนรู
เหมาะสม ไมหลากหลาย
วิเคราะหขอมูลโดยใช วิเคราะหขอมูลโดยใช วิเคราะหขอมูลโดยใช ไมมีการวิเคราะหขอมูล

โครงการบูรณาการ
วิธีการที่เหมาะสม วิธีการที่เหมาะสม วิธีการที่เหมาะสม หรือวิเคราะหขอมูล
สังเคราะหและสรุป สังเคราะหและสรุป สังเคราะหและสรุป ไมถูกตอง สังเคราะหและ
3. องคความรูไดอยางชัดเจน องคความรูไดอยางชัดเจน องคความรูไดอยางชัดเจน สรุปองคความรูไดไมชัดเจน
การสรุป มีการอภิปรายผลเชื่อมโยง มีการอภิปรายผลเชื่อมโยง มีการอภิปรายผลเชื่อมโยง ไมมีการนําองคความรู
องคความรู ความรูอยางสมเหตุสมผล ความรู นําองคความรูที่ได ความรูยังไมชัดเจน ไปเสนอแนวคิด วิธีการ
และนําองคความรูที่ไดไป ไปเสนอแนวคิดวิธีการ นําองคความรูที่ไดไปเสนอ แกปญหา
เสนอแนวคิดวิธีการ แกปญหาได แตยังไมเปน วิธีการแกปญหาได
แกปญหาอยางเปนระบบ ระบบ แตยังไมเปนระบบ
เรียบเรียงและถายทอด เรียบเรียงและถายทอด เรียบเรียงและถายทอด เรียบเรียงและถายทอด
ความคิดจากการศึกษา ความคิดจากการศึกษา ความคิดจากการศึกษาได ความคิดจากการศึกษาได
4. คนควาไดอยางชัดเจน คนควาไดอยางชัดเจน ไมคอยเปนระบบ นําเสนอ ไมเปนระบบ นําเสนอ
การสื่อสาร เปนระบบ นําเสนอผลงาน เปนระบบ นําเสนอผลงาน ผลงานโดยใชสื่อประกอบ ผลงานโดยไมใชสื่อ
และการนําเสนอ โดยใชสื่อที่หลากหลาย โดยใชสื่อประกอบรูปแบบ รูปแบบ ประกอบ
อยางเหมาะสม
นําความรูจากการศึกษา นําความรูจากการศึกษา นําความรูจากการศึกษา ไมไดนําความรูจากการ
คนควาไปประยุกตใช คนควาไปประยุกตใชใน คนควาไปประยุกตใชใน ศึกษาคนควาไปประยุกต
5. ในกิจกรรมที่สรางสรรค กิจกรรมที่สรางสรรคเปน กิจกรรมที่สรางสรรค ใชในกิจกรรมที่สรางสรรค
การนําความรูไปใช เปนประโยชนตอโรงเรียน ประโยชนตอโรงเรียน ที่เปนประโยชนตอโรงเรียน ที่เปนประโยชน
และบริการ และชุมชน เผยแพรความรู และชุมชน เผยแพรความรู และเผยแพรความรู
สาธารณะ และประสบการณจากการ และประสบการณจากการ และประสบการณจากการ
ปฏิบัติผานสื่อหลากหลาย ปฏิบัติผานสื่อรูปแบบใด ปฏิบัติผานสื่อรูปแบบใด
รูปแบบ รูปแบบหนึ�ง รูปแบบหนึ�ง

(63) โครงการวัดและประเมินผล
แบบประเมินทักษะแหงศตวรรษที่ 21
คําชี้แจง : ใหผูสอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวางการปฏิบัติกิจกรรม แลวขีด ✓ลงในชองวางที่ตรงกับระดับคะแนน
ทักษะแหง รายการประเมิน ระดับคะแนน
ศตวรรษที่ 21 3 2 1
1.1 ความสามารถในการอาน
• สรุปจับใจความสําคัญของขอมูลที่อานไดครบถวน ตรงประเด็น
1. 1.2 ความสามารถในการคิดวิเคราะห
ทักษะการเรียนรู • คิดอยางมีระบบ โดยใชแหลงขอมูลและสรุปประเด็นสําคัญได
และพัฒนา • วิเคราะหขอมูล จําแนกขอมูล และแสดงการคิดเพื่อคนหาคําตอบ
ตนเอง 1.3 ความสามารถในการเขียน
• เขียนสื่อความหมายไดชัดเจน ถูกตอง
• เขียนถูกตองตามรูปแบบการเขียน และสรุปองคความรูอยางมีขั้นตอน
2.1 ความยืดหยุน และการปรับตัว
• ปรับตัวเขากับบทบาทที่แตกตาง งานที่ไดรับมอบหมาย กําหนดการที่เปลี่ยนไป
• นําผลลัพธที่เกิดขึ้น มาใชประโยชนไดอยางไดผล
2.2 การริเริ่ม และเปนตัวของตัวเอง
• กําหนดเปาหมายโดยมีเกณฑความสําเร็จที่จับตองได และที่จับตองไมได
แบบทดสอบ

• ใชเวลา และจัดการภาระงานอยางมีประสิทธิภาพ
2. • ทํางานสําเร็จไดดวยตนเอง โดยกําหนดงาน ติดตามผลงาน และลําดับความสําคัญของงาน
ทักษะชีวิต 2.3 ทักษะทางสังคม และความเขาใจความตางทางวัฒนธรรม
และการทํางาน • เคารพความแตกตางทางวัฒนธรรม และการทํางานรวมกับคนที่มีพื้นฐานแตกตางกันได
2.4 เปนผูผลิตและผูรับผิดชอบตอผลงาน
โครงการบูรณาการ

• กําหนดเปาหมาย ลําดับความสําคัญ และทําใหบรรลุเปาหมายนั้น แมจะมีอุปสรรค


• ทํางานอยางมีจริยธรรมและดวยทาทีเชิงบวก รวมถึงเคารพและเห็นคุณคาของความแตกตาง
2.5 ภาวะผูนําและความรับผิดชอบ
• ใชทักษะมนุษยสัมพันธและทักษะแกปญหาในการชักนําผูอื่นไปสูเปาหมาย
• ดําเนินการอยางมีความรับผิดชอบโดยถือประโยชนสวนรวมเปนที่ตั้ง
3.1 ความคิดสรางสรรคและนวัตกรรม
• คิดอยางเปนเหตุเปนผลหลายแบบ รวมถึงวิเคราะหเปรียบเทียบและประเมินความเห็นหลักๆ
• สังเคราะหและเชื่อมโยงระหวางสารสนเทศกับขอโตแยง
3.2 การคิดอยางมีวิจารณญาณและการแกปญหา
3. • เรียบเรียงความคิดและมุมมองไดเปนอยางดี สื่อสารออกมาใหเขาใจงายและหลายแบบ
ทักษะการเรียนรู • แสดงความรับผิดชอบในงานที่ตองทํางานเปนทีมและเห็นคุณคาของบทบาทของผูรวมทีม
และนวัตกรรม 3.3 การสื่อสารและความรวมมือ
• สรางมุมมองแปลกใหม ทั้งที่เปนการปรับปรุงเล็กนอยจากของเดิม หรือที่แหวกแนวโดยสิ้นเชิง
• เปดใจรับและตอบสนองตอมุมมองใหมๆ รวมทัง้ การประเมินผลงานจากกลุม เพือ่ นําไปปรับปรุง
• ลงมือปฏิบัติตามความคิดสรางสรรคเพื่อนําไปสูผลสําเร็จที่เปนรูปธรรม
4.1 ดานสารสนเทศ
4. • เขาถึง ใช และประเมินสารสนเทศอยางมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ครบถวน และรูเทาทัน
ทักษะดาน 4.2 ดานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
สารสนเทศ สื่อ • ใชเทคโนโลยีเพื่อวิจัย จัดระบบ ประเมิน และสื่อสารสนเทศ
และเทคโนโลยี • ใชเครื่องมือสื่อสารอยางถูกตองเหมาะสม เพื่อทําหนาที่ในฐานความรู
เกณฑการพิจารณาใหคะแนน
พฤติกรรม คะแนน ลงชื่อ……………………………………….ผูประเมิน
พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสมํ่าเสมอ 3 คะแนน
……………/……………/……………
พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและบอยครั้ง 2 คะแนน
พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง 1 คะแนน

โครงการวัดและประเมินผล (64)

You might also like