Professional Documents
Culture Documents
การตีความเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส
การตีความเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส
การตีความเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส
การอภิปรายในงานเสวนาหนังสือ
“วิวัฒนาการรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ในกระแสเศรษฐกิจโลก จากระบบฟิวดัลถึงการปฏิวัติ”
ของ รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด
5 ตุลาคม 2561
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล
ซิสต์เข้าไปวิเคราะห์เหตุปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมจนเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งงานของเขาถูกวิจารณ์
โดยปัญญาชนฝ่ายขวาเป็นจานวนมาก
ส่วนครั้งที่สอง คือ ช่วงครบรอบ ๒๐๐ ปีปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ๑๙๘๙ François Furet และสานุศิษย์ ได้
ผลิตงานเพื่อเสนอว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่ผลพวงของการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นกระฎุมพีเสรีนิยมกับ
ชนชั้นนาดั้งเดิมอนุรักษ์นิยม ปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่เหตุการณ์อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ใช่เหตุการณ์จาเป็น และ
ปฏิวัติฝรั่งเศสได้สิ้นสุดลงแล้ว เหตุการณ์ปฏิวัติใ นศตวรรษที่ ๒๐ ในหลายที่ เช่น ปฏิวัติรัสเซีย ปฏิวัติจีน ไม่ได้
สัมพันธ์เชื่อมโยงใดๆกับปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งทาให้ปัญญาชนฝ่ายซ้ายวิจารณ์ความคิดของ Furet อย่างกว้างขวาง
ท่ามกลางการตีความเหตุการณ์ป ฏิวัติฝ รั่งเศสของนักประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันนี้ เราอาจสรุป
ประเด็นสาคัญที่ถกเถียงกันได้ ๓ ประเด็น ได้แก่
๑.) การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติที่มีลักษณะเด่นแยกเป็นเอกเทศออกจากการปฏิวัติอื่นๆหรือไม่?
๒.) การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติกระฎุมพีหรือการปฏิวัติประชาชน?
๓.) การปฏิวัติฝรั่งเศสคือความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์หรือการตัดตอนแตกหักทางประวัติศาสตร์?
๑. การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติที่มีลักษณะเด่นแยกเป็นเอกเทศออกจากการปฏิวัติอื่นๆหรือไม่?
ประเด็นนี้เป็นการถกเถียงกันระหว่าสองแนวคิด ฝ่ายหนึ่ง เห็นว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส คือ การปฏิวัติที่
เกิดจากบริบทเฉพาะของประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส อันได้แก่ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ฝรั่งเศส และปรัชญา
ในยุ ค แสงสว่ า ง (Enlightenment) ส่ ว นอี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง เห็ น ว่ า การปฏิ วั ติ ฝ รั่ ง เศสเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของคลื่ น
ประวัติศาสตร์ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งชนชั้นกระฎุมพีในยุโรปต้องการออกจากระบบฟิวดัล
ฝ่ายแรก การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นประวัติศาสตร์ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งชนชั้น
กระฎุมพีในยุโรปต้องการออกจากระบบฟิวดัล
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและชาวอเมริกันได้เสนอสมมุติฐานว่า การ
ปฏิวัติฝรั่งเศส คือ เหตุการณ์ที่สืบเนื่องจากความตึงเครียดและความขัดแย้งที่สะสมต่อเนื่องมาในสังคมยุโรป
จนในท้ายที่สุดกลายเป็นการปฏิวัติ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปฏิวัติอังกฤษในศตวรรษที่ ๑๗ สองครั้ง ได้แก่ ปฏิวัติช่วง
๑๖๔๒-๑๖๔๙ และปฏิวัติช่วง ๑๖๘๘-๑๖๘๙ และโหมกระพือลุกลามต่อเนื่องในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๘ เกิด
เหตุการณ์ลุ กขึ้น สู้ในดินแดนอเมริกาซึ่งเป็ นอาณานิคมของอังกฤษ นามาซึ่งการประกาศอิส รภาพและตั้ง
ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกกันว่า “ปฏิวัติอเมริกา” จากนั้นก็เกิดปฏิวัติในสวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์
ไอร์แลนด์ ก่อนที่คลื่นปฏิวัติจะระเบิดขึ้นในฝรั่งเศสช่วงปี ๑๗๘๗-๑๗๘๙
ความคิ ด ของนั ก ประวั ติศ าสตร์ ก ลุ่ ม นี้ไ ม่ ไ ด้ จั ดวางให้ ป ฏิวั ติฝ รั่ง เศสเป็น เหตุ ก ารณ์ โ ดดเด่ นหรือมี
เอกลักษณ์พิเศษแยกจากเหตุการณ์ปฏิวัติในที่อื่นๆ ตรงกันข้าม มันต่างก็มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน
ข้อเสนอดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาถึงสภาพสังคมเศรษฐกิจของยุโรปในยุคสมัยนั้น
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗ พัฒนาการของระบบทุนนิยมได้สร้างชนชั้นใหม่ในทางเศรษฐกิจขึ้น คือ บรรดาสามัญ
ชนที่ไม่ได้มีเชื้อสายกษัตริย์ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง ไม่ได้เป็นนักบวชในศาสนจักร แต่เป็นคนทั่วไปที่
3
๒. การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติกระฎุมพีหรือการปฏิวัติประชาชน?
การถกเถียงในประเด็นดังกล่าวมุ่งวิเคราะห์ถึงกลุ่มคนที่มีบทบาทในการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นคนกลุ่มใด
ฝ่ายหนึ่ง ยืนยันว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส ริเริ่มและนาพาโดยชนชั้นกระฎุมพี ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่าปฏิวัติฝรั่งเศส
คือ ปฏิวัติประชาชน เพราะ ชนชั้นล่างมีบทบาทสาคัญ
ฝ่ายแรก การปฏิวัติฝรั่งเศส คือ สายธารแห่งการปฏิวัติประชาชน
7
โดยปราศจากการจัดตั้งเตรียมการ ขบวนการในชนบทนี้เองมีคุณูปการสาคัญในการทาลายการกดขี่ของพวก
พระ และการกระจายทรัพย์สิน
การศึกษาบทบาทของชนชั้น ล่ างในการปฏิวัติฝ รั่งเศสตามแนวทางนี้ นาไปสู่ ข้อสรุปที่ว่า ชนชั้น
กระฎุมพีมีพลังในการก่อการปฏิวัติเพื่อโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พวกเขาไม่มีศักยภาพเพียงพอ
ในการรักษาและจัดการการปฏิวัติได้ ชนชั้นล่างและพวก “sans-culottes” ต่างหาก ที่เข้ามาเติมเต็มทาให้
การปฏิวัติฝรั่งเศสยังเดินหน้าไปต่อ ไม่ต้องย้อนกลับไปสู่ระบอบเก่าหรือการประนีประนอม ดังนั้น การปฏิวัติ
ฝรั่งเศสจึงไม่ใช่การปฏิวัติกระฎุมพี แต่มันคือ “ปฏิวัติประชาชน”
ประวัติศาสตร์นิพนธ์สานัก jacobino-marxiste ครอบงาวงวิชาการประวัติศาสตร์ในฝรั่งเศสอย่าง
ยาวนาน จนกระทั่งถูกตอบโต้โดยคลื่นลูกหลังอย่าง François Furet นักประวัติศาสตร์ผู้โด่งดัง งานของ Furet
และสานุศิษย์ ประกอบกับลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายลงในหลายประเทศ มีส่วนสาคัญที่ทาให้ประวัติศาสตร์
นิพนธ์สานัก jacobino-marxiste เริ่มเสื่อมถอยลงในปี ๑๙๖๐
ประวั ติ ศ าสตร์ นิ พ นธ์ ส านั ก เสรี นิ ย มรั บ อิ ท ธิ พ ลทางความคิ ด มาจาก Fernand Braudel นั ก
ประวั ติ ศ าสตร์ ต้ น ต ารั บ วิ ธี วิ ท ยาแบบ “La longue durée” ที่ เ น้ น ศึ ก ษาประวั ติ ศ าสตร์ ใ นลั ก ษณะช่ ว ง
ระยะเวลายาวนานหลายศตวรรษ โดยไม่พิจารณาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อแสดงให้
เห็นถึงปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และภูมิศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ Braudel มีบทบาทสาคัญในวง
วิชาการประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส และมีอิทธิพลต่อนักวิชาการรุ่นหลัง โดยมี École des hautes études en
sciences sociales (EHESS) และวารสาร Annales. Économies, Sociétés, Civilisations (Annales ESC)
เป็นฐานที่มั่นสาคัญ เราจึงเรียกกันว่าประวัติศาสตร์สานัก Annales
ประวัติศาสตร์นิพนธ์สานักเสรีนิยมที่นาโดย François Furet ขึ้นมาครอบงาวงวิชาการประวัติศาสตร์
อย่างสูงสุดเมื่อปี 1989 ซึ่งเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีปฏิวัติฝรั่งเศส การถกเถียงเรื่องการ
ตีความปฏิวัติฝรั่งเศสในช่วงนั้น ไม่ใช่การถกเถียงระหว่างนักประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาหรือฝ่ายขวาจัด
หรือฝ่ายต่อต้านปฏิวัติ แต่กลับกลายเป็นการถกเถียงระหว่างฝ่ายซ้ายด้วยกัน ฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายซ้ายดั้งเดิมแบบ
อีกฝ่ายหนึ่ง คือ ฝ่ายซ้ายใหม่ค่อนไปทางเสรีนิยมที่ผิดหวังกับลัทธิคอมมิวนิสต์
นอกจากการเฉลิมฉลอง 200 ปีปฏิวัติฝรั่งเศสแล้ว ในช่วงปี 1989 ยังเกิดเหตุการณ์ทางการเมื อง
สาคัญที่เกื้อหนุนคาอธิบายของประวัติศาสตร์นิพนธ์สานักเสรีนิยมและลดทอนความน่าเชื่อถือของคาอธิบาย
ตามแนวทางประวัติศาสตร์นิพนธ์สานัก Jacobino-Marxist ไม่ว่าจะเป็นการทลายกาแพงเบอร์ลิน ประเทศ
คอมมิวนิสต์เริ่มเปลี่ยนผ่าน เหตุการณ์เทียนอันเหมิ น และแนวนโยบายของพรรคสังคมนิยมที่ขยับออกไปใน
แนวทางเสรีนิยมมากขึ้นภายใต้รัฐบาลของ Michel Rocard กล่าวกันว่า ความตกต่าของลัทธิคอมมิวนิสต์และ
ความโหดร้ายทารุณของเผด็จการเบ็ดเสร็จในรัสเซียและนาซี ได้กลายเป็น “ชนวน” สาคัญของการปฏิเสธ
คาอธิบายแบบดั้งเดิม
จากชัยชนะดังกล่าวนี้เอง ทาให้ประวัติศาสตร์นิพนธ์สานักเสรีนิยม ซึ่งมี École des hautes études
en sciences sociales (EHESS) หรือวิทยาลัยการศึกษาชั้นสูงในทางสังคมศาสตร์เป็นฐานที่มั่น ได้กลายเป็น
ศูนย์กลางทางความคิดและวิชาการแหล่งใหม่ขึ้นเคียงคู่ (หรืออาจแทนที่) ไปกับ Institut d’Histoire de la
Révolution française (IHRF) หรือสถาบันประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศส มหาวิทยาลัย Paris I Sorbonne
ของประวัติศาสตร์นิพนธ์สานัก Jacobino-Marxist
เราอาจสรุปความคิดของสานักเสรีนิยมของ François Furet ที่มีต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส ได้ดังนี้
1. การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่ผลพวงของการต่อสู้ กันระหว่างชนชั้นกระฎุมพีเสรีนิยมกับพวกขุนนาง
อนุรักษ์นิยม การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หรือเป็นสิ่งจาเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนตาม
กงล้อประวัติศาสตร์ เพราะ เอาเข้าจริงแล้ว ระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญที่ออกแบบในปี 1790-1791 ก็คือ
ผลแห่งการประนี ประนอมระหว่างกระฎุมพีกับพวกเจ้าและขุนนาง ข้อเท็จจริงนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า เรา
สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิวัติได้
11
ความคิ ด นี้ คื อ การตอบโต้ กั บ ส านัก Jacobino-Marxist ที่ ยื น ยั น ว่ า การปฏิ วั ติ คื อ การต่ อ สู้ กัน
ระหว่างชนชั้น กรณีปฏิวัติฝรั่งเศส เริ่มต้นจากการต่อสู้ระหว่างกระฎุมพีกับขุนนาง จากนั้นชนชั้นล่าง ชาวนา
คนชนบท ได้ผลักดันให้การปฏิวัติรุดหน้ามากขึ้นและไปทางซ้ายมากขึ้น แต่สุดท้ายพวกขวาและเสรีนิยมก็เอา
กลับไป ดังนั้น การปฏิวัติจึงยังไม่ยุติ
2. การปฏิวัติฝรั่งเศสที่รุนแรงมากขึ้นในช่วงปี 1791-1793 จนไปสู่การประหารชีวิต Louis XVI เข้าสู่
สาธารณรัฐ และยุค La Terreur นั้น เป็น “การลื่นไถล” (dérapage) ที่ไม่ได้คาดคิด Furet อธิบายไว้ใน La
Révolution française (1965) เพื่อตอบโต้ความคิดดั้งเดิมที่อธิบายว่ า La Terreur นั้น เป็นความจาเป็นของ
สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นที่การปฏิวัติฝรั่งเศสถูกคุกคามจากเหตุภายในและภายนอกประเทศ และการปฏิวัติ
ฝรั่งเศสตั้งแต่ 1789-1793 เป็น “mouvement ascendant” หรือกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นและก้าวหน้าขึ้น
ไปตามลาดับ
3. ในงานชิ้นหลัง คือ Penser la Révolution (1978) Furet ได้เปลี่ยนความคิดใหม่ เขายืนยันว่า La
Terreur เป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ปฏิวัติ เพราะ ขึ้นชื่อว่าการปฏิวัติแล้ว ย่อมไม่มีแนวทางประนีประนอม
หรือ moderate ได้ ดังนั้น มาตรการในยุค La Terreur คือ กระบวนการนาพาปฏิวัติไปให้สุดทางและ radical
ในนัยนี้เอง มันจึงไม่ใช่ “การลื่นไถล” ที่ไม่ได้คาดคิดและควบคุมไม่อยู่ และมันก็ไม่ใช่ “ความจาเป็น” ที่ต้อง
เกิดขึ้นเพื่อตอบโต้กับภัยคุกคามสาธารณรัฐ
แม้ Furet ไม่ได้นายุค La Terreur การปฏิวัติฝรั่งเศสไปเปรียบเทียบกับเผด็จการเบ็ดเสร็จของฮิต
เลอร์และสตาลิน แต่ด้วยบริบททางการเมืองในเวลานั้น ทาให้คนจานวนมากที่ได้อ่านงานชิ้นนี้ ต่างพากัน
จินตนาการเปรียบเทียบความโหดร้ายทารุณของเผด็จการเบ็ดเสร็จเข้ากับมาตรการในยุค La Terreur คน
ฝรั่งเศสที่เคยภาคภูมิใจกับปฏิวัติฝรั่งเศส เปลี่ยนเป็นละอายใจ และสนับสนุนว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสสิ้นสุดลงแล้ว
ความรุนแรงใดๆที่เกิดขึ้นในปฏิวัติสังคมนิยมในที่อื่นๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปฏิวัติฝรั่งเศส
4. Furet นางานของ Augustin Cochin (1876-1916) นักประวัติศาสตร์อนุรักษ์นิยม-กษัตริย์นิยม
กลับมาตีความใหม่ เขาให้เครดิตว่า Cochin เป็นนักประวัติศาสตร์ปฏิวัติฝรั่งเศสที่คนรู้จักน้อยที่สุด เพราะ
เสียชีวิตไปเมื่ออายุได้ 40 ปีเท่านั้น ทั้งๆที่งานของเขาเป็นงานที่จัดระบบความคิดของการปฏิวัติฝรั่งเศสได้
อย่างดี
Furet อธิบ ายผ่ านงานของ Cochin ถึงบทบาทของพวก Franc maçonnerie ในฐานะเป็นกาลั ง
สาคัญในการทางานทางความคิดและบ่มเพาะจนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส
5. ด้วยอิทธิพลของวิธีการแบบ “La longue durée” ทาให้ Furet อธิบายว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้
เป็นเหตุการณ์ที่ “โดด” ออกมาจากเหตุการณ์อื่นๆ แต่มันเป็นเหตุการณ์หนึ่งตามสายธารประวัติศาสตร์อัน
ยาวนาน การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่ “หมุดหมาย” สาคัญมากถึงขนาดที่อะไรๆก็ต้องเริ่มต้นที่การปฏิวัติฝรั่งเศส
ซึ่งกลายเป็ น มายาคติที่ฝั งอยู่ ในสั งคมฝรั่ งเศส และเราควรพิจารณาเรื่องราวต่างๆอย่างรอบด้าน โดยไม่
จาเป็นต้องยึดติดกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในทุกเรื่อง
Furet กาหนดช่วงเวลาการศึกษาปฏิวัติฝ รั่งเศสโดยย้อนกลั บไปตั้งแต่ส มัยระบอบเก่า (l’Ancien
Régime) ในปี 1770 ไปจนถึงปี 1880 ซึ่งเป็นสมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์สืบเนื่องกัน
12
๓. การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นความสืบเนื่องทางประวัติศาสตร์หรือการตัดตอนแตกหักทางประวัติศาสตร์?
ต่อประเด็นปัญหานี้ นักประวัติศาสตร์มีความเห็นแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรก เห็นว่า การปฏิวัติ
ฝรั่งเศสไม่ใช่เหตุการณ์ที่ตัดขาดประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสออกเป็นสองท่อนอย่างเห็นได้ชัด ตรงกันข้าม มันเป็นผล
สืบเนื่องในสายธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้าปฏิวัติฝรั่งเศสได้พัฒนาและ
คลี่คลายไปตามจังหวะเวลาจนมาระเบิดเกิ ดขึ้นเอาเมื่อตอนปฏิวัติฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายที่สอง เห็นว่า การปฏิวัติ
ฝรั่งเศส คือ หมุดหมายสาคัญในทางประวัติศาสตร์ ตัดตอนประวัติศาสตร์ให้แตกหักจากกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในการ
ปฏิวัติฝรั่งเศสได้เปลี่ ยนกระบวนทัศน์ และโครงสร้างอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากปราศจากการปฏิ วัติ
ฝรั่งเศสแล้ว ความเปลี่ยนแปลงต่างๆก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้
ฝ่ายแรก การปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ใช่เหตุการณ์ที่ตัดขาดประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ความเห็นของฝ่ายแรก นาโดย Alexis de Tocqueville เขาอธิบายไว้ใน L’Ancien Régime et la
Révolution (1856) ว่า ข้อเท็จจริงเหตุการณ์มากมายและมีอยู่ทั่วไปในระบอบเก่าได้ตระเตรียมให้เกิดการ
ปฏิวัติฝรั่งเศส ในความเห็นของเขานั้น ปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นผลลัพธ์ของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในสองด้าน
ได้แก่ การเปลี่ยนรูปของโครงสร้างทางการเมือง และการเปลี่ยนแปลงความคิด
ในด้านการเปลี่ยนรูปของโครงสร้างทางการเมือง การปฏิวัติฝรั่งเศสรับมรดกตกทอดมาจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพยายามจัดโครงสร้างการปกครองประเทศแบบรวมศูนย์อานาจเข้าสู่ส่วนกลาง สร้าง
เอกภาพในอาณาเขต เพิ่มอานาจให้ราชการส่วนกลาง ลดอานาจของจังหวัดต่างๆ ลดทอนเอกสิทธิ์ตามระบบ
ศักดินา บั่นทอนอานาจของขุนนาง ตลอดจนยกระดับให้พวกชนชั้นกระฎุมพีขึ้นมาทัดเทียมเสมอกับชนชั้นขุน
นาง ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผู้ก่อการปฏิวัติฝรั่งเศสได้รับมาทาต่อจนสาเร็จ
ในด้านการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ความคิดทางการเมืองของชนชั้นกระฎุมพีที่กลายเป็นปัจจัย
สาคัญในการก่อปฏิวัติ เริ่มสะสมและพัฒนาต่อเนื่องมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗ รากเหง้าของภูมิปัญญาเหล่านี้
ไม่ได้เกิด ขึ้ น ในชั่ว ข้ ามคื น เมื่ อเกิ ดปฏิวัติ แต่มันค่อยๆบ่ม เพาะก่ อรูป ขึ้ น มาตามล าดับ จนอาจกล่ าวได้ ว่ า
ความคิดในการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองตามแบบปฏิวัติฝรั่งเศสนั้น เป็น แรงปรารถนาที่ซ่อนอยู่ใน
ความคิดของคนฝรั่งเศสจานวนมากตั้งแต่สมัยระบอบเก่าแล้ว
ความต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านโครงสร้างการปกครองและในด้านความคิดซึ่งบ่มเพาะมา
ตั้งแต่สมับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจไม่ส่งผลลุกลามบานปลายจนเกิดปฏิวัติฝรั่งเศส ๑๗๘๙ ก็ได้ หาก
ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีความสามารถในการตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้อย่างดี เมื่อระบอบ
สมบู ร ณาญาสิ ทธิร าชย์ ป รั บ ตัว ได้ช้าจนไม่ทันกับการเปลี่ ยนแปลง การปฏิวัติ ๑๗๘๙ จึงเป็นเหตุการณ์ที่
หลีกเลี่ยงไม่พ้น
13
จากความสื บ เนื่ อ งในทางประวั ติ ศ าสตร์ จ ากระบอบเก่ า ไปสู่ ก ารป ฏิ วั ติ ฝ รั่ ง เศสนี้ เ อง ท าให้
Tocqueville สรุปว่า เอาเข้าจริงแล้ว การปฏิวัติฝรั่งเศสได้นาพาฝรั่งเศสออกจากสิ่งที่การปฏิวัติฝรั่งเศสกาลัง
เดินตาม
นอกจากโครงสร้างทางการปกครองและความคิดของผู้คนแล้ว นักประวัติศาสตร์ยังได้วิเคราะห์เหตุ
ปัจจัยในทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย ดังที่เราทราบกันดีว่า ชนชั้นกระฎุมพีเป็นกาลัง
สาคัญใน “การเปิดฉาก” ปฏิวัติ ซึ่งหากพิจารณาสายธารทางประวัติศาสตร์แล้ว พบว่าชนชั้นกระฎุมพี คือ ชน
ชั้นที่เกิดขึ้นใหม่โดยเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายตัวของการแลกเปลี่ยนสินค้ าและ
พาณิชยกรรม เมื่อการผลิตเพิ่มขึ้น การค้าขายแลกเปลี่ยนก็เพิ่มขึ้นตาม ระบบการผลิตไม่ได้รับใช้ความต้องการ
พื้นฐานของมนุษย์ในชีวิตประจาวันเท่านั้น แต่ยังเป็นการผลิตที่มุ่งต่อการค้าขายด้วย
ระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปเช่นนี้เอง ได้สร้างชนชั้นกระฎุมพีขึ้นมา พวกเขามีอานาจทางเศรษฐกิจ
สะสมความมั่งคั่งและทรัพย์สิน มีความรู้และศิลปะวิทยาการต่างๆ และขึ้นมามีบทบาทแข่งขันกับชนชั้นขุนนาง
พระ และพวก aristocrat ดั้งเดิมที่ครอบครองที่ดินและอานาจทางการเมืองบางส่วนเอาไว้
ความตึงเครียดระหว่างชนชั้นกระฎุมพีกับชนชั้นขุนนางนี้เอง เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการปฏิวัติ
ฝรั่งเศส ๑๗๘๙ ขึ้น จากคาอธิบายเช่นนี้เอง ทาให้ไปสู่ข้อสรุปที่ว่า พัฒนาการของระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ในสมัย
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีส่วนสร้างการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้นมา
ในด้านวัฒนธรรมความคิดก็เช่นเดียวกัน เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ า ความคิดหรือปรัชญาการเมืองที่มีผล
ต่อการเมืองในศตวรรษที่ ๑๘ สืบเนื่องมาจากความคิดหรือปรัชญาในยุคตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๕ ที่เริ่มต้นความคิด
รัฐสมัยใหม่ ต่อเนื่องมาจนถึงยุคปรัชญาแสงสว่าง
ความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ความเสมอภาค ความมีเหตุมีผลของมนุษย์ การปลดปล่อย
ตนเองออกจากการครอบงากดขี่ ความคิดทั้งหลายเหล่านี้ที่มุ่งสร้าง “มนุษย์แบบใหม่” (l’homme nouveau)
ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ต่างก็สืบทอดมาจากความคิดที่ฟูมฟักบ่มเพาะมาตั้งแต่สมัยระบอบเก่าแล้ว
หากพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองฝรั่งเศสแล้ว พบว่า ความเปลี่ยนแปลงหลายกรณีที่
ผู้ ก่อการปฏิวัติฝ รั่ งเศศได้น าพามานั้ น ไม่ใช่เรื่องใหม่เอี่ยมอย่างแท้จริง ในหลายเรื่อง กษัตริย์ในระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้พยายามริเริ่มมาแล้ว แต่ไม่ประสบความสาเร็จ เพราะถูกขัดขวางจากพวกขุนนางบ้าง
พวกพระบ้าง เมื่อปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้น คณะปฏิวัติก็มีความคิดกุศโลบายไม่แตกต่างจากกษัตริย์สมัยระบอบ
เก่า จึงได้นาแนวทางเหล่านั้นกลับมาปัดฝุ่นทาใหม่ เช่น การสร้างรัฐฝรั่งเศสให้เป็นปึกแผ่นรวมศูนย์ การสร้าง
ระบบกฎหมายและระบบศาลแบบเดียวกันทั่วประเทศ การทาประเทศให้เป็นเอกภาพผ่านการใช้ภาษาเดียวกัน
เป็นต้น
ภายหลังใช้เวลานานเกือบ ๒๐๐ ปี รัฐฝรั่งเศสก็กลายเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์ในรัช
สมัยของกษัตริย์หลุยส์ XIV กษัตริย์สามารถบั่นทอนอานาจของศาสนจักรและระบบฟิวดัลได้ อย่างไรก็ตาม แม้
กษัตริย์รวมศูนย์อานาจทางการเมืองได้สาเร็จ แต่กลับไม่สามารถสร้างความเป็นเอกภาพในเรื่องการศาลและ
ระบบกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์ไม่อาจกาจัดบทบาทของศาลปาร์เลอมองต์ได้
14
ศาลปาร์ เ ลอมองต์ มี อ านาจหน้ า ที่ วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ข าดข้ อ พิ พ าทในฐานะเป็ น ศาลอุ ท ธรณ์ แ ละศาลสู ง
นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นศาลสุดท้าย ศาลปาร์เลอมองต์จึงมีบทบาทในการจั ดกลุ่มคาพิพากษาให้เป็นระบบ
และควบคุมความชอบด้วยกฎหมายและความสอดคล้องกันตามลาดับชั้นของกฎหมายระหว่างพระบรมราช
โองการ พระราชกาหนด พระราชบัญญัติ กฎหมายประเพณี และกฎเกณฑ์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ ยังมีอานาจไม่เห็นด้วยกับศาลปาร์เลอมองต์ได้ ด้วยการดึง
เรื่องที่อยู่ในอานาจของศาลปาร์เลอมองต์มาพิจารณาเอง กรณีดังกล่าวศาลปาร์เลอมองต์ อาจใช้สิทธิคัดค้าน
(Droit de remontrance) ด้วยการตรวจสอบว่าพระบรมราชโองการหรือพระบรมราชวินิจฉัยของกษัตริย์มี
ความสอดคล้องกันกับคาพิพากษาบรรทัดฐาน กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไปหรือไม่
เมื่อศาลปาร์เลอมองต์ได้ดาเนินการอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ความเข้มแข็งและความเป็นอิสระของ
องค์กรก็เริ่มมีมากขึ้น มีกฎหมายรับรองความเป็นอิสระแก่ผู้พิพากษาศาลปาร์เลอมองต์ เช่น ห้ามโยกย้ายผู้
พิพากษา เป็นต้น ในบางรัชสมัยที่กษัตริย์ไม่เข้ มแข็ง ศาลปาร์เลอมองต์เริ่มแยกตัวเป็นเอกเทศออกจากราช
สานัก และขัดขวางการดาเนินนโยบายของราชสานัก ด้วยเหตุนี้ราชสานักจึงหาทางตอบโต้ด้วยการจัดตั้งศาล
พิเศษเฉพาะเรื่องเฉพาะราวขึ้นเป็นจานวนมากเพื่อดึงอานาจจากศาลปาร์เลอม็องต์
ในปลายรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ ต่อต้นรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กษัตริย์เริ่มมีพระราชอานาจ
และบารมีมาก จึงกล้าสั่งห้ามมิให้ศาลปาร์เลอมองต์ใช้สิทธิคัดค้าน (Droit de remontrance) พระบรมราช
โองการหรือพระบรมราชวินิจฉัยก่อนมีผลใช้บังคับ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ โดยคาแนะนาของ Richelieu ขุนนาง
ผู้มากอานาจและบารมี ได้ทรงประกาศพระบรมราชโองการ Saint-germain ลงวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๑๖๔๑
ความว่า “ห้ามมิให้ศาลปาร์เลอมองต์มีเขตอานาจในคดีที่อาจเกี่ยวกับรัฐ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือ
รัฐบาล ซึ่งเราสงวนไว้ให้กับคนของเราเท่านั้น เพราะศาลต่างๆจัดตั้งขึ้นเพื่ออานวยความยุ ติธรรมแก่พสกนิกร
ของเราเท่านั้น ไม่ใช่เรา”
ในรัชสมัยหลุยส์ที่ ๑๔ ก็ยังคงดาเนินการตามพระบรมราชโองการ Saint-germain การฟ้องโต้แย้ง
ส่วนราชการและบรรดาข้าราชการทั้งหลายจึงต้องกระทาภายในส่วนราชการด้วยกัน โดยสภาที่ปรึกษาราชการ
แผ่ น ดิน ของกษัตริ ย์ (Conseil du Roi) มีอานาจหน้าที่ในการพิจารณาข้อพิพาทเหล่ านั้น การดาเนินการ
ดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจพอสมควรเพราะมีการตรากฎเกณฑ์วิธีพิจารณาไว้โดยพระราชกาหนดลงวันที่ ๒๘
มิถุนายน ๑๗๓๘ ซึ่งยกร่างโดยมหาเสนาบดี Aguessau
ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ ศาลปาร์เลอมองต์เริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ปี
๑๗๕๐ ราชสานักมีนโยบายปฏิรูปในหลายๆเรื่องเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม แต่ศาลปาร์เลอมองต์ก็
ขัดขวางนโยบายดังกล่าวเสมอมา โดยเฉพาะนโยบายปฏิรูประบบภาษีให้มีความเสมอภาคและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ เล็งเห็นอุปสรรคเหล่านี้ พระองค์จึงพยายามจากัดอานาจของศาลปาร์เลอมองต์
ในปี ๑๗๗๑ มีความพยายามปฏิรูปศาลอีกครั้ง ภายใต้การนาของ Maupeou เขาต้องการยุบเลิกศาล
ที่มีจานวนมากและซ้าซ้อนกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการยุบเลิกศาลปาเลอมองต์ ที่กีดขวางการบริหาร
ราชการแผ่นดินของรัฐบาลและราชสานัก แต่ในท้ายที่สุดความพยายามนี้ก็ถูกต่อต้านจากกลุ่มขุนนางและผู้
15