You are on page 1of 414

ตอนที่ 101 : ใช้เงินตราซื้อวัยเยาว์

“เฮ้ พี่ชาย เรารู้จักกันมาก็นาน ทำไมต้องกลั่นแกล้งกันด้วยล่ะ ?


บอกมาเลย มันจะเจ็บปวดหรือว่ายังไง?” ฟางเจิ้งถาม

ระบบตอบ 【ไม่มี】
“แป๊บเดียวเสร็จ?” ฟางเจิ้งถามต่อ

【รวดเร็วยิ่ง】ระบบตอบ
“งั้นจะรอทำเพื่อ? เลื่อนระดับโลด!” ฟางเจิ้งร้องบอก

【ติ้ง! ยินดีด้วย เนตรสวรรค์ได้เลื่อนเป็นระดับ 2 โดยเนตร


สวรรค์ระดับ 2 สามารถมองเห็นโชคดีและโชคร้ายได้ล่วงหน้า
หนึ่งสัปดาห์!】
“เดี๋ยว! แป๊บนะ! รอก่อน อย่าเพิ่งพูด...ทำไมฉันถึงมองไม่เห็น
อะไรเลยล่ะ!?” ฟางเจิ้งโอดครวญ

【กายหยาบของท่านรับเนตรสวรรค์ง่ ายนัก แต่จะให้ผสานกัน


อย่างบริบูรณ์จำเป็นต้องใช้เวลาสามวัน ในห้วงสามวันนี้ ท่านไม่
อาจมองเห็นสิ่งใด!】ระบบพูดอย่างสบายอารมณ์
“แม่*......” ฟางเจิ้งอยากจะด่า แต่ก็ได้แต่เก็บไว้ก่อน รู้จักระบบ
มาก็นาน อารมณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ฟางเจิ้งชี้ไปที่
ท้องฟ้า แล้วบ่นอย่างโมโห “สามวันนี้ฉันจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง?
ไหนจะหุงหาอาหาร?! ไหนจะทำความสะอาดห้องโถงอีก?!”

【ออกจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง】
“ปัญหาร้ายแรงสุด ๆ ต่างหากเฟ้ย!” ฟางเจิ้งว่า

【นั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน มิเช่นนั้นคงต้องหิว
โหย อย่างไรเสียขาดอาหารสามวันนั้นไม่ถึงตายสำหรับมนุษย์
โปรดดื่มน้ำให้เยอะ ๆ】 พูดจบระบบก็เงียบหายไปทันที
ฟางเจิ ้ ง ตกตะลึ ง พอได้ ส ติ ก ็ ต ะโกนอย่ า งโมโห “นั ่ น เหรอ
คำแนะนำ?! นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?! อ๊ะ นายไม่ใช่ใช่มนุษย์
นี”่
เปรี้ยง!
“ฉันไม่ได้กำลังสบถสักหน่อย! มันเป็นข้อเท็จจริงต่างหาก! อย่า
บอกนะว่านายเป็นมนุษย์น่ะ?” ฟางเจิ้งเกิดคำถามขึ้นมาในใจ
เงยหน้ามองท้องฟ้าทันที
ไม่มีสายอสุนีบาตฟาดจากท้องฟ้า ฟางเจิ้งได้แต่เกาคางหยีตา
ครุ่นคิด น่าเสียดาย ที่เขามองเห็นมีแค่ความมืดมิดเท่านั้น อื่น ๆ
ล้วนมองไม่เห็น
เอาเหอะ มองไม่เห็นแล้วไง? ยังไงวัดก็ไม่ได้ใหญ่สักหน่อย ฉันคง
ไม่หลงทางในวัดตัวเองหรอกมั้ง?
โป๊ก!
...ไอหยา ทำไมประตูอยู่ใกล้จัง?
ตึ้ง! “อะไรเนี่ย? ...อา เหมือนหมาเลย... เอ๋ ? หมาป่าไร้ฝูง มานี่
สิ”
ไม่กี่นาทีต่อมา ก็เห็นเป็นหมาป่าขนเงินเดินคอตก หางถูกภิกษุ
หัวโล้นกุมไว้จากด้านหลัง ทั้งมนุษย์ทั้ งหมาป่ากำลังไปห้องครัว
เพื่อหาอะไรกินตามปกติ เจ้าหมาป่าได้แต่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดิน
ต่อไปอย่างไม่เต็มใจ
เจ้ากระรอกก็ไม่อยู่เฉย ถึงจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ขนข้าวตักข้าว
สักถ้วยยังพอทำได้อยู่
เลยเป็นฟางเจิ้งเปิดฝาหม้อออก และให้เจ้ากระรอกเทข้าวลงไป
จากนั้นฟางเจิ้งเอาน้ำเทใส่ เสร็จแล้วค่อยเอานิ้ววัดระดับน้ำ ส่วน
เจ้าหมาป่าก็เอาฟืนมาใส่ แล้วให้ฟางเจิ้งจุดไฟ
มนุษย์ หมาป่า กระรอก ล้วนทำงานสอดประสานได้อย่างราบรื่น
พอทำทุกอย่างเสร็จ ทั้งสามก็ตบมือใส่กันอย่างยินดียิ่ง!
......หลังจากนั้นข้าวก็ไหม้
“กูลูลู!”
“วู วู!”
“เงียบนะ! กล้าบ่นเรื่องท้องว่างงั้นเหรอ? เจ้าเป็นผู้ใส่ฟืนไม่ใช่
เหรอไง? บอกให้เอาหญ้าแห้งใส่เข้าไปไง นี่เอาท่อนฟืนยัดเข้าไป
หมดเลยเนี่ยนะ! ทนหิวไปซะ!” ฟางเจิ้งคำราม
“จี๊ด!” เจ้ากระรอกก็กระโดดเย้ยหยันเจ้าหมาป่า จากนั้นก็ถูท้อง
ตัวเอง พลางลอบเอาลูกโอ๊กออกมาแทะลดทอนความหิวโหย
โครกคราก......
ฟางเจิ้งจับท้องตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แล้วเข้านอน
รุ่งสางวันต่อมา ฟางเจิ้งที่ไม่อาจรับรู้ความสว่างได้เพราะอยู่
ในช่วงตาบอด อาศัยเจ้ากระรอกให้มาลูบหน้าเขาเป็นการปลุก
แทน พอตื่นมาเสียงเรียกที่ได้ยินคือเสียงคำรามลั่นของกระเพาะ
เขาถอนหายใจยาว “เจ้าหมาป่า เมื่อวานเผาฟืนไปหมดเลย
วันนี้ไปเก็บมาใหม่ด้วย ถ้าเอามาไม่พอ ก็ทนหิวต่อไปเสีย”
พอหมาป่าไร้ฝูงได้ยินแบบนั้นก็วิ่งแจ้นออกไป สำหรับเจ้าหมาป่า
แล้ ว ในอดี ต ล้ ว นต้ อ งทนหิ ว มาตลอด ถึ ง เผ่ า พั น ธุ ์ ห มาป่ า จะ
ต้านทานความอดอยากได้มาก แต่เมื่อได้ กินอิ่มมานานขนาดนี้
พอไม่ได้กินย่อมทนไม่ไหวแล้ว
ขณะฟางเจิ้งกำลังเดินกระสับกระส่ายด้วยอาการหิวโหยอยู่นั้น
ได้มีคนมาที่วัด
“มีใครอยู่ไหมครับ ?” เสียงผู้ชายดังขึ้นมา ฟางเจิ้งจึงสะกิดให้
เจ้ากระรอกนำทาง
ถึงเขาจะคุ้นเคยกับวัดนี้เพราะต้องทำความสะอาดอยู่ทุกวี่วัน แต่
ว่าอาการตาบอดเช่นนี้ ก็ทำฟางเจิ้งหมดความมั่นใจได้เป็นครั้ ง
แรก เจ้ากระรอกเกาะอยู่บนบ่าของฟางเจิ้ง คอยดึงหูเขาไปตาม
ทิศทาง ดึงหูไปข้างหน้าหรื อข้างหลัง ก็คือเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
นั่นเอง
ฟางเจิ้งหลุดออกไปจากหอหลัง แล้วเข้ามาในลานวัดได้ในที่สุด
เขาพนมมือแล้วพูด “อามิตตาพุทธ ประสก มีอะไรหรือไม่?”
“พระอาจารย์ ท่าน......” ผู้ที่มาเป็นชายที่สัตย์ซื่อยิ่ง พอเห็น
สายตาฟางเจิ้งที่ไร้ซึ่งประกายใด ๆ แถมยังจ้องแล้วก็ค้อมตัวไป
ตรงความวางเปล่าอีก ทำเอาเขารู้สึกว่าฟางเจิ้งไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ไม่รู้
ฟางเจิ้งรู้ทันทีว่าตนเองทักทายผิดทาง จึงหันไปหาทิศของเสียง
ชายคนนั้นทันที แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้วิตกอะไร “อาตมาตาบอด
ชั่วคราวเพียงสองวัน ประสก มีอะไรหรือไม่?”
“ตาบอดสองวัน? คนเราเลือกวันจะตาบอดได้ด้วยเหรอ?” ชาย
คนนั้นถึงกับมึนงงไปเลย พระรูปนี้กำลังหยอกเขาเล่นอยู่หรือ
เปล่าเนี่ย?
แต่ชายคนนั้นก็ได้แต่ทน ๆ ไป ก่อ นจะเกาหัวแล้วบอก “พระ
อาจารย์ หม่าจวนเป็นคนแนะนำวัดนี้ให้ ผม เธอบอกว่าท่า น
เก่งกาจมาก ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะจากท่านหน่อยได้ไหม
ครับ?”
ฟางเจิ้งหยักหน้า “ประสก เชิญกล่าวเถิด ถ้าอาตมาช่วยได้
อาตมาย่อมช่วยอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ ประสกก็ สามารถจากไปได้
ตามแต่ใจ”
พอเห็นฟางเจิ้งไม่วางท่าอะไรมากนัก เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
พอเดินไปรอบ ๆ ก็ยังไม่เจอที่ให้นั่งได้เลย “พระอาจารย์ พวก
เราควรจะนั่งคุยกันไหม?”
ฟางเจิ้งจึงนั่งลงบนพื้นตรงนั้นเลย “ประสก เชิญ”
ฟางเจิ้งไม่อยากเดินต่อแล้ว เพราะหูโดนเจ้ากระรอกฉุดกระชาก
ลากดึงจนปวดไปหมด!
ชายคนนั้นชะงักงัน ก่อนจะยิ้มกระอักกระอ่วน แล้วนั่งตาม ถึงจะ
หนาวสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทนไม่ได้
ผู้ชายคนนั้นพูด “ผมชื่อหม่าขุย มาจากเมืองชุน เป็นคนขับรถ
แท็กซี่ แต่ตอนนี้ชีวิตไม่มีอะไรเลย รายได้ก็น้อย ภรรยาก็ไม่มี ผม
รู้สึกว่าชีวิตตนเองช่างไร้ค่า ความมั่นใจก็ไม่มี เฮ้อ......”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ประสกคือผู้ที่มีความสุขอยู่รอบกาย
แต่ไม่รู้ว่านั่นคือความสุข”
หม่าขุยไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งถาม “ประสกอายุเท่าไหร่?”
“สามสิบสองครับ” หม่าขุยตอบ
“ยังเยาว์นัก ชีวิตนี้ยังเผชิญอุปสรรคได้อีกมาก ยังมีคนอื่นอีกมาก
ที่อายุเท่าประสก แต่ต้องอาศัยอยู่ในภูเขาอัน ‘ว่างเปล่า’ ประสก
คิดว่าคนเช่นนี้มีความสุขมากกว่าหรือเปล่า?”
ดวงตาหม่าขุยลุกวาบ ก่อนจะพูด “พระอาจารย์ ท่านกำลังพูด
ถึงคนในเรือนจำสินะ นั่นมันเทียบกันไม่ได้มั้งครับ”
ฟางเจิ้งอยากจะต่อยหน้าเข้ าให้ เจ้าโง่นี่ไม่รู้เหรอไงว่าเขากำลัง
ล้อเลียนตัวเองอยู่น่ะ!
ฟางเจิ้งสูดหายใจลึกสงบอารมณ์ “ถ้าอาตมาให้เงินหนึ่งล้านเพื่อ
ซื้อสุขภาพของประสก ให้เงินหนึ่งล้านเพื่อซื้อวัยเยาว์ของประสก
ให้เงินหนึ่งล้านเพื่อซื้อสติ ปัญญาของประสก เป็นเช่นนี้ ประสก
ต้องการขายให้กับอาตมาหรือไม่?”
ฟางเจิ้งเยาะในใจ ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะยอมขาย’
ทว่า......
“ผมอยากขาย!” หม่าขุยโพล่งขึ้นมาทันควัน
ฟางเจิ้งนิ่งไปทันที คนผู้นี้โง่จริง ๆ ด้วย!
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้โมโหอะไร เพียงคลี่ยิ้ม “ประสกแน่ใจใช่ไหม?”
“ใช่ครับ!” หม่าขุยจ้องไปที่ ฟางเจิ้งอย่างจริงจัง ถึงจะรู้ ว่าฟาง
เจิ้งกำลังพูดไร้สาระ แต่เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าฟางเจิ้งจะทำยังไง
ต่อ! ก่อนหน้านี้เขาเชื่อว่าที่เจอนั้นคงเป็นพระอาจารย์ที่แท้จริง
แต่กลับพบว่าคน ๆ นี้มัวพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้ เขาไม่ชอบใจ
อย่างยิ่ง! ดังนั้นจึงกะจะทำให้ฟางเจิ้งลำบากนิดหน่อย
ฟางเจิ้งพนมมือ แล้วว่า “ตามที่ประสกหวังไว้ อามิตตาพุทธ!”
หม่าขุยพลันตกตะลึง จู่ ๆ เขาก็เห็นฟางเจิ้ง หยิบกล่องมาจากใน
วัด ข้างในเต็มไปด้วยเงิน!
ตอนที่ 102 : อาตมาดูเหมือนผู้ขาดแคลนเงินหรือ?
ฟางเจิ้ง “นี่คือเงินสามล้าน เชิญนำไปได้ แต่จงจำไว้ เมื่อนำหนึ่ง
ล้านหยวนไป อาตมาก็จะนำอายุขัย สุขภาพ และสติปัญญาของ
ประสกมาเช่นกัน”
หม่าขุยไม่คิดเลยว่าพระตรงหน้าจะรวยได้ขนาดนี้ ถึงกับเอาเงิน
มาซื้อของพวกนั้นจากเขาจริง ๆ! หม่าขุยลอบหัวเราะในใจทันที
‘ฉันเจอพวกคนโง่เข้าให้แล้วโว้ย! เงินเป็นของรูปธรรม แต่พวก
สุขภาพ อายุขัยแล้วก็สติปัญญาเป็นนามธรรมไม่ใช่เหรอ? เงิน
เอาไปได้ แต่พระนี่จะของนามธรรมพวกนั้นไปจากฉันได้ยังไง?’
ดังนั้นหม่าขุยจึงไม่รีรอ รีบรับเงินปึกใหญ่จากฟางเจิ้งทัน ที เขา
ก้มมองสังเกต ก่อนจะเห็นว่าเป็นเงินจริง หรือจะให้เจาะจง
กว่าเดิมก็คือเงินหยวนอย่างแท้จริ ง! เมื่อมีเงินอยู่ในมือช่างให้
ความรู้สึกยอดเยี่ยมสุด ๆ เงินหนึ่งปึกมีหนึ่งหมื่นหยวน หม่าขุย
ตื่นเต้นจนตัวสั่น รีบกอบโกยอย่างไว
ทว่าพอหยิบเงินขึ้นมาหนึ่งปึก เขากลั บต้องตกตะลึง เนื่องจาก
เห็นริ้วรอยบนมือตัวเอง ผิวอันเต่งตึงก่อนหน้านี้พลันเหี่ยวย่น!
“เกิดอะไรขึ้น?” หม่าขุยรีบสำรวจดูมือตัวเอง มือทั้งสองข้างดู
เหมือนคนแก่อย่างยิ่ง!
หม่าขุยเหมือนเห็นผี อุทานลั่น “พระอาจารย์ กะ เกิดอะไร
ขึ้น!?”
ฟางเจิ้งร่ายพระพุทธมนต์ ก่อนจะพูดต่อ “ประสก อาตมากล่าว
ไปแล้ว หนึ่งล้านเพื่ออายุขัย หนึ่งล้านเพื่อสุขภาพ หนึ่งล้านเพื่อ
สติปัญญา โดยหนึ่งล้านแรกย่อมเป็นอายุขัย! ประสกนำไป สาม
แสนหยวนแล้ ว หนึ ่ ง หมื ่น หยวนเท่ ากับ หนึ ่ งปี ดั ง นั ้ น ตอนนี้
ประสกย่อมมีอายุเท่ากับหกสิบสอง ประสกยังต้องการเงิ นอีก
หรือไม่?”
“ฉันไม่เชื่อหรอก! บนโลกนี้จะมีคนดูดพลังชีวิตคนอื่นไปได้ยังไง?
โกหกชัด ๆ!” หม่าขุยไม่อ าจยอมรับ ทว่าเหตุการณ์ตอนนี้กลับ
น่ากลัวอย่างยิ่ง! ดูสมจริงจนไม่เหมือนฝันร้าย!!!
ฟางเจิ้งพลิกมือ ปรากฏเป็นกระจกใบหนึ่ง เขาส่งไปให้หม่าขุย
“อาตมามิได้พูดปดฉันใด กระจกนี้ย่อมมิอาจโกหกได้ฉันนั้น เชิญ
ประสกดูเองเถิด”
หม่าขุยหยิบกระจกขึ้นมาก่อนจะตะลึงลาน ใบหน้าในกระจกเต็ม
ไปด้วยริ้วรอย ร่องรอยความชราสถิตทั่วทุกแห่งหน! หม่าขุยลอง
เปลี่ยนสีหน้า แต่ทุกสีหน้านั้นล้วนเป็นอันเดียวกับที่ปรากฏใน
กระจกทั้งสิ้น!
หม่าขุยทดลองหยิบไปอีกหนึ่งหมื่นหยวน จากนั้นใบหน้าเขาดูแก่
ลงเล็กน้อยทันที!
หม่าขุยสะดุ้งโหยงหวาดกลัวจนโยนเงินกลับไป “ฉันไม่เอาแล้ว!
ไม่เอาแล้ว! เอาคืนไป! เอาอายุขัยฉันกลับมานะ!!!”
แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าตนเองไม่อาจขยับหรือแม้แต่จะโยนเงินคืนไป
ได้เลย!
ฟางเจิ้งพูด “ประสก โหยหาในเงินตรามิใช่หรือ? ประสกยินยอม
จะแลกเปลี่ยนกับวัยเยาว์มิใช่หรือ ? ประสกคิดว่าเงินตราคือ
ความสุขมิใช่หรือ? เช่นนั้น...ทำไมประสกจึงแลกเปลี่ยนคืนเสีย
ล่ะ?”
“กะ แก ไอ้พระชั่ ว! ไม่สิ ไอ้ปีศาจ! คืนอายุขัยฉันมานะ! เอา
กลับมา!! เงินอาจจะดีก็จริง แต่มันเทียบกับอายุขัยฉันไม่ ได้
หรอก! เงินไม่มีก็แค่หาเพิ่ม! แต่จะมีเงินไปทำไมถ้าไม่มีชีวิตวะ!!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “ประสกไม่คิดจะแลกเปลี่ยนเพิ่มแล้วใช่ไหม?”
หม่าขุยรีบตอบกลับทันควัน “ไม่เอา ไม่เอาแล้ว!”
ฟางเจิ ้ ง พนมมื อ ก่ อ นจะพู ด ต่ อ “อามิ ต ตาพุ ท ธ เช่ น นั ้ น ไม่
แลกเปลี่ยนเพิ่ม!”
หม่าขุยเห็นธนบัตรบินว่อนกลับลงไปในกล่องที่วางอยู่เบื้องหน้า
ฟางเจิ้ง พอเงินเข้ามาหมดฝากล่องก็ปิดดังขวับ พอฟางเจิ้งโยน
ไปข้างหลัง กล่องก็หายวับไป
ลมหนาวยะเยือกพัดผ่าน ทำให้หม่าขุยที่นั่งอยู่เย็นวูบ ได้สติลุก
ยืนทันที ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองยังนั่งอยู่บนพื้นมาตลอด ดูสิ
บั้นท้ายแข็งไปหมดแล้ว ดูเหมือนจะนั่งมาได้สักพักใหญ่ทีเดียว
พอหม่าขุยเห็นพระหนุ่ม สีหน้าของเขาพลัน แปรเปลี่ยนเป็ น
ซับซ้อน
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ประสก คิดดีแล้วหรือยัง?”
หม่าขุยถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนให้เรียบร้อย จากนั้นก็โค้งตัว
“ผู้คนไม่อาจตัดสินจากภายนอกจริง ๆ พระอาจารย์ ท่านเยี่ยม
มาก! ผมทราบความผิดพลาดตนเองแล้ว ต่อไปจะไม่ผิดเช่นเดิม
อีก ขอบคุณพระอาจารย์ที่ชี้แนะ!”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ
หม่าขุยกล่าวลา และทิ้งเงินถวายปึกใหญ่ไว้ในห้องโถง
หมาป่าไร้ฝูงคาบเงินมาให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหัวเราะ “หนึ่ง หมื่นเชียว? ดูเหมือนเขาจะรวยไม่น้อย
นะเนี่ย”
พูดจบฟางเจิ้งก็ลุกขึ้นยืน ส่วนเจ้ากระรอกก็ทำการ ‘ขับ’ พาฟาง
เจิ้งกลับไปหอหลั งอีกครา จากนั้นก็ถึงเวลาที่มนุษย์ หมาป่า
กระรอก รวมกลุ่มร่วมมือกันทำอาหารอีกครั้ง!
อีกด้านหนึ่ง หม่าขุยลงเขามาแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถยนต์สุดหรูที่
ผลิตในประเทศคันหนึ่ง
“พระที่นั่นเป็นไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนในรถถามขึ้นนิ่ง ๆ
หม่าขุยตอบ “ประดุจเทพยาดา! แต่น่าเสียดายที่เขาตาบอด”
“ขนาดนั้นเลย?” ชายวัยกลางคนถาม
“ใช่ ค รั บ ผม หม่ า ขุ ย มี ช ี ว ิ ต มาถึ ง ตอนนี ้ ยั ง ไม่ เ คยเห็ น พระ
อาจารย์ที่ยอดเยี่ยมแบบนั้นเลย! พี่ใหญ่ ผมคิดว่าผมรักเงินที่สุด
มาตลอด แต่ ต อนนี ้ ร ู ้ แ ล้ ว แหละว่ า เหลวไหลทั ้ ง เพ! พี ่ ใ หญ่
หลังจากลับไปแล้ว จ้างคนขับรถใหม่สัก คนเถอะครับ ผมอยาก
กลั บ บ้ า น ผมคิ ด ถึ ง ภรรยากับ ลู ก ” หม่ า ขุ ย พู ด ไปพลางถอน
หายใจไปด้วย
“ทำให้นายคิดได้แบบนี้ เขาคงมีความสามารถจริง ๆ ส่วนเรื่อง
คนขับรถ คิดว่าฉันขับรถเองไม่ได้เหรอ? ที่ฉันรับนายมาขับรถให้
เพราะนายมัวแต่ทำตัวเหลวไหลอยู่นั่นแหละ ฉันอยากจะช่วย
น้องสะใภ้จับตาดูนายไม่ให้โดนผู้หญิงหลอกเฉย ๆ”
หม่าขุยยิ้ม ก่อนจะเหยียบคันเร่งจากไป
ทางด้านฟางเจิ้ง
“แค่ก แค่ก!”
“จี๊ด!”
“วู!”
เกิดควันหนาแน่นฟุ้งจนฟางเจิ้งต้องไอออกมา กระรอกที่เกาะ
ตรงหัวเขากลายเป็นหนูไปเสียแล้ว ดำเป็นถ่านเลย.......
ส่วนเจ้าหมาป่าก็มีฝุ่นควันเกาะเต็ม ไปหมด มันเอาหัวจุ่มลงกอง
หิมะแล้วสะบัดไปมา เหมือนจะมีอะไรติดอยู่ในตานะ
‘ระบบ นี่ตั้งใจจะทำให้ฉันหิวตายใช่ไหม!?’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ
รอบนี้ฟืนที่เจ้าหมาป่าหามาชื้นเกินไป พอฟางเจิ้งจุดไฟ ควันก็
โขมงโฉงเฉงทันที มนุษย์ หมาป่า และกระรอกได้แต่ยกธงขาว
แล้วจริง ๆ

【ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอดอาหารสามวันไม่ถึงตาย คิดซะว่าลด
น้ำหนักก็แล้วกัน】
ฟางเจิ้งกลอกตา อยากด่าจริง ๆ เลยเว้ย! โกหกคำโต สามวันไม่
ถึงตาย? ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนพูด ? ออกมาเดี๋ยวนะ สาบานว่าจะไม่
ฆ่าทิ้ง!
ตอนนั้นเองมือถือของฟางเจิ้งก็ดังขึ้นมา
“เอ๋? มีคนโทรมาเหรอ? มหัศจรรย์วุ้ย” ฟางเจิ้งหยิบโทรศัพท์
ขึ้นมาอย่างสงสัย แต่เพราะมองไม่เห็น เลยได้แต่ต้องกดรับสาย
ไปก่อน
สายติดแล้ว!
“ถึงคุณลูกค้า สวัสดีค่ะ นี่เป็นข้อเสนอรถปอร์เช่สุดพิเศษจาก
เมืองเฮยซาน ดิฉันเสี่ยวหรง เป็นตัวแทนการขาย ร้านของเราเพิ่ง
นำเข้าปอร์เช่รุ่น 911 ราคาตลาดอยู่ ที่ 2.45 ล้านหยวน แต่ถ้า
ท่านสั่งจองตอนนี้ ก็จะได้รับรถปอร์เช่สุดรักไปขับได้เลยทันทีใน
ราคา 2.4 ล้านหยวน”
“อะแฮ่ม ขอโทษนะ ไม่ทราบว่ารู้เบอร์อาตมามาจากไหนเหรอ?”
พอฟางเจิ้งได้ยินว่าเป็นตัวแทนการขายรถยนต์ ก็ตกตะลึงนิด
หน่อย เขาเป็นพระ วัน ๆ ก็อยู่แต่บนเขา จะให้ ขับรถลงเขาเหรอ
ไง? ตลกแล้ว อีกอย่าง เขาสงสัยมาก เพราะมีไม่กี่คนที่รู้จักเบอร์
ของเขา ขนาดฟางอวิ๋นจิ้งกับพรรคพวกยังไม่รู้เลย สวนใหญ่คุย
กันบนวีแชทเท่านั้นเอง
“เอ่อ...ลูกค้าเก่าเป็นผู้แนะนำค่ะ” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะ
ตอบ
ฟางเจิ้งกลอกตา เจ้าเด็กนี่การแสดงห่ วยแตกมาก ลูกค้าเก่า
แนะนำมา? ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาจนขนาดจักรยานยังต้องผ่อนจ่าย
เลย จะให้ไปซื้อปอร์เช่เนี่ยนะ? ฟางเจิ้งคิดว่าเป็นเพราะเรื่องที่
ตนเองมีเงินอยู่ห้าแสนหลุดแน่ ๆ แต่ข่าวหลุดออกไปได้เช่นไรก็
ไม่ทราบ แถมเขาก็จัดการอะไรไม่ได้ด้วย ดังนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ
แล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงโทสะ “คิดจะดูถูกอาตมาหรือ ?
อาตมาดูเหมือนผู้ขาดแคลนเงินเพียงห้าหมื่นหยวนหรือ? อาตมา
คงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมถึงต้องขึ้นบัญชีดำเบอร์นี้กระมัง ลา
ก่อน!”
หลังจากพูดจบ ฟางเจิ้งก็วางสายทันที ตลกเหรอ! ที่เขาขาด
แคลนคือเงิน 2.4 ล้านหยวนนั่นต่างหาก
ส่วนด้านตัวแทนการขาย เธอก็กำลังอึ้งงันเช่นกัน เธอมองข้อมูล
ในมือ ก่อนจะหันไปดูโทรศัพท์ พลางพึมพำเหมือนตัวเองเพิ่งเห็น
ผี “พะ...พระเดี๋ยวนี้รวยขนาดนี้เชียว?”
ตอนที่ 103 : เณรน้อยต้องการจัดพิธีสรงน้ำพระ
ฟางเจิ้งไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไร แต่ ขึ้นบัญชีดำเบอร์มือถือ
นั้นไว้สำคัญสุด พระเช่นเขาจะไปขับรถได้ยังไงล่ะจริงไหม? เป็น
เฮลิคอปเตอร์ยังดีซะกว่า
สองวันผ่านไปอย่างสงบสุข พอวันที่สาม ฟางเจิ้งค่อยกลับมา
มองเห็นได้อีกครั้ง แถมเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เยี่ยมชะมัด!
อย่างกับเลื่อนจากโทรทัศน์ขาวดำเป็นโทรทัศน์ 4k อย่างไรอย่าง
นัน้ !
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เป็นเพราะงานประลองลิปิศิลป์
หรือการสมหวังของบรรดาคู่รักที่มาขอบุตรถึงที่วัดกันแน่ ทำให้
ชื่อเสียงของวัดนิ้วเดียวเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงไม่นาน วัดเล็กจิ๊บจ้อยของฟางเจิ้งก็มีคนมาไม่ขาดสาย ถึง
ญาติโยมส่วนใหญ่จะมาจากหมู่บ้านข้างเคียงก็ตาม ทั้งที่เป็นหน้า
หนาวมีหิมะตกจนขึ้นเขาลำบากเข้าไปอีก ทว่าการได้เห็นผลตอบ
รับเช่นนี้ฟางเจิ้งก็พอใจอย่างยิ่ง
กลายเป็นว่าทุกวันนี้ ฟางเจิ้งจะปัดกวาดเช็ดถู และได้พูดคุย
สัพเพเหระกับเหล่าญาติโยมที่มาจุดธูปไหว้พระขอพรด้วย
ฟางเจิ้งมองดูบรรดาโยมทั้งหลายจากไปอย่างสุขใจ ก่อนจะปิด
ประตูวัด จากนั้นค่อยไปพลิกดูใต้เบาะ ลามไปค้นจนทั่วเผื่อจะมี
อะไรหลงเหลือไว้บ้าง
ทว่าฟางเจิ้งก็ได้แต่ผิดหวังอยู่ดี ไม่มีเงินถวายเลย! สักหยวนเดียว
ก็ไม่มี!
ยิ่งไปกว่านั้นธูปยักษ์ก็ยังไม่เคยโดนจุดเลย ผู้คนล้วนใช้แต่ธูป
ธรรมดาไหว้กันทั้งนั้น พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฟางเจิ้งได้แต่ส่าย
ศีรษะ ใช่ว่าเขาจะไปบังคับคนอื่นให้จุดธูปยักษ์ได้เสียหน่อย
นอกจากส่ายหัวก็ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
อีกหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนนี้มีคนมาจุดธูปเยอะถึง
ยี่สิบดอกแน่ะ ฟางเจิ้ง เห็นจำนวนธูปขนาดนี้ก็หัวเราะจนกราม
ค้างไปเลย นี่มันเยอะกว่าที่วัดนิ้วเดียวได้ทั้งปีอีก! ตอนนี้แค่
เดือนเดียวก็ได้ขนาดนี้แล้ว ดูท่าภารกิจธูปหนึ่งร้อยดอกคงไม่ยาก
อย่างที่คิด
เขาพาเจ้าหมาป่าไปเดินเล่น และหยอกล้อกับเจ้ากระรอกทุกวัน
กาลเวลาหมุนผ่านอย่างสงบสุขสันต์
กระทั่งเข้าสู่เดือนธันวาคม ในหมู่บ้านมีเทศกาลที่เรียกว่า ‘วัน
ไหว้พระจันทร์เดือนสิบสอง’
เดือนนี้วัดฟางเจิ้งได้รับการจุดธูปเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มีคนมา
แทบทุกวันแน่ะ! เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งรู้สึกเหมือนตนเองเป็น
เจ้าอาวาสจริง ๆ ทุกวันยืนหน้าประตูวัด คอยทักทายเหล่าญาติ
โยม รู้สึกดีชะมัด!
วันหนึ่งหยางหัวขึ้นเขามาหา พอเห็นฟางเจิ้งเป็นเช่นนี้ก็หัวเราะ
เสียงดัง “ฟาง—เจ้าอาวาส! อา ต้องเรียกแบบนี้สินะ”
ฟางเจิ้งยิ้มแหย ๆ “โยมหยาง จะเรียกอาตมาเช่นไรก็ตามใจเถิด
ทำไมพอเรียกอาตมาว่าเจ้าอาวาสแล้วถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ล่ะ?”
หยางหัวหัวเราะอย่างโง่งม “คือภรรยาของฉันท้องมาสามเดือน
แล้ว เลยขึ้นมาไม่ได้น่ะนะ เธอเลยฝากมาถามว่า จะถึงเทศกาล
ล่าปา[1]แล้ว วัดหงเหยียนจากหมู่ บ้านข้าง ๆ ประกาศว่าจะมี
การจัดพิธีสรงน้ำพระ แล้วก็มีการแจกล่าปาโจว[2]ด้วย วัดนิ้ว
เดียวก็น่าจะจัดบ้างไหม? แต่ถ้าจะจัด ภรรยาฉันกลัวว่าเธอจะ
ขาดคนช่วย เลยให้ฉันขึ้นมาเผื่อต้องการจะให้ช่วยอะไร”
ฟางเจิ้งฟังปุ๊บก็แข็งค้างไปเลย!
...เทศกาลล่าปา? ...พิธีสรงน้ำพระ?
เขาพลันรู้แจ้งในบันดล! เขามัวแต่สนใจตัวเลขธูปจนเกือบลืม
เรื่องนี้ไปเสียฉิบ!
การสรงน้ำพระเป็นพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยจัดในวัน
ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ทุกคนรู้จักเทศกาลนี้ในนาม ‘เทศกาลล่าป่า’
ซึ่งพระพุทธศาสนิกชนเชื่อว่าเป็นวันที่พระโคตมพุทธเจ้า หรือ
รู้จักกันในชื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้สำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ดังนั้น จึงเป็ น
วันที่ชาวพุทธจะทำการเฉลิมฉลองเช่นกัน!
นอกจากจะสรงน้ำเพื่อระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ยัง
เป็นวันที่จะเชิญชวนทุกคนมากิน โจ๊กล่าปาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ด้วย ผู้คนมักเรียกว่า ‘โจ๊กล่าปา’ แต่ชาวพุทธจะเรียกว่า ‘โจ๊ก
เจ็ดรัตนะห้ารสชาติ’
หลังจากนั้น ด้วยอิ ทธิพลของพุทธศาสนา การกินโจ๊กล่าปาใน
เทศกาลล่าปาจึงกลายเป็นวัฒนธรรมไปในที่สุด
ทว่าวัดนิ้วเดียวเล็กนัก ในอดีต แค่หาอาหารประทังชีวิตก็ลำบาก
แล้ว ย่อมไม่มีหนทางจะจัดพิธีสรงน้ำพระได้ กลายเป็นว่า ตลอด
หลายปีที่ผ่านมา...พระอี่จื่อไม่เคยจัดพิธีสรงน้ำพระแม้แต่ครั้ง
เดียว ทุก ๆ ปี ท่านมักจะพึมพำเสมอว่า “วันหนึ่งถ้าวัดนิ้วเดียว
จัดพิธีสรงน้ำพระได้จะได้ขนาดไหนกันนะ......เฮ้อ”
พอคิดถึงเสียงถอนหายใจทอดยาวต่อเนื่องของพระอี่จื่อ ฟางเจิ้ง
ก็ ไ ม่ ค ิ ด ซ้ ำ สอง “งานเทศกาลล่ า ปาปี น ี ้ ไม่ เ พี ย งอาตมาจะ
แจกจ่ายโจ๊กล่าปาแล้ว อาตมายังจะจัดพิธีส รงน้ำพระด้วย หวัง
ว่าจะเป็นการชำระจิตใจผู้คน รวมทั้งเป็นการชำระจิตใจของ
อาตมาด้วย!”
“อะไรนะ? เธออยากจัดพิธีสรงน้ำพระ? ว่าแต่...เคยจัดมาก่อน
เหรอไง?” หยางหัวถามขณะจ้องมองฟางเจิ้งตาปริบ ๆ
ฟางเจิ้งหัวเราะ “อาตมาย่อมไม่เคย แค่คนผู้หนึ่ง แม้ไม่เคย
รับประทานเนื้อหมู ยังเคยเห็นหมูเดินเลย พิธีสรงน้ำพระย่อม
มิใช่เรื่องยาก”
“ฟาง...ฟางเจิ้ง เธอรู้หรือเปล่าว่าราคาค่าโจ๊กล่าปามันเท่าไหร่ ?”
หยางหัวถาม
พอฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็นิ่งค้างไปทันที เกือบลืมไปเลยว่าจะ
จัดงานต้องใช้เงิน แจกโจ๊กล่าปาให้สองสามคนน่ะไม่เป็นอะไร
หรอก แต่ถ้ามีคนมาเป็นร้อยล่ะก็ ลำพังเงินตัวเองตอนนี้ไม่พอ
แหง!
ขณะฟางเจิ้งกำลังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นั้น
【ติ้ง! ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ระบบจะเป็นผู้นำวัตถุดิบ
ทั้งหมดมาให้ อีกทั้งยังให้สูตรโจ๊กเจ็ดรัตนะห้ารสชาติอีกด้วย ทุก
วัตถุดิบนั้นถูกปลูกโดยอรหันต์ที่ตีนเขาหลิงซาน! ดั งนั้นเรื่องโจ๊ก
ไม่ต้องเป็นกังวลไปที่น่ากังวลคือจะมีคนมาหรือเปล่าต่างหาก】
ฟางเจิ้งฟังปุ๊บ ในใจน้ำตาแทบไหล ‘ระบบ เจ๋งมาก! พอกลับไป
เป็นฆราวาสได้เมื่อไหร่ จะเซ่นไหว้ผู้หญิงไปให้!’

ระบบ 【2#¥@】
มีระบบหนุนหลังแบบนี้ ฟางเจิ้งก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว แถมเงินก็
ไม่เสีย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าออกหน้าออกตาเกินไป
นัก เขายิ้มด้วยท่าทางลึกล้ำ “ประสกไม่ต้องเป็นห่วง อาตมา
ย่อมมีหนทาง”
“เอ๋? จริง ๆ นะ? ได้! ฉันจะช่วยเอง! แต่ว่าแค่ฉันคงไม่พอหรอก
ไว้กลับไปจะให้หยางผิงกับภรรยาเขามาช่วยนะ แล้วก็จะเกนคน
ว่าง ๆ มาช่วยด้วยอีกแรง!” หยางหัวพูดอย่างตื่นเต้น พอได้ยิน
ฟางเจิ้งพูดอย่างจริงจังแบบนี้ ก็ทำเอาไฟเขาลุกโชนขึ้นมาเลย
ฟางเจิ้งได้ยินได้เช่นนั้นก็ซาบซึ้งอย่างยิ่ง วัตถุดิบก็มีให้ ถ้าเขา
สอนวิธีการทำอาหารให้พวกชาวบ้าน อย่างนี้ก็หมายความว่า เขา
มีทั้งวัตถุดิบฟรี แรงงานฟรีเลยน่ะสิ ? ฟางเจิ้งผู้ขี้เกียจตัวเป็นขน
ย่อมพยักหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
ผลคือ......

【ติ้ง! หากท่านต้องการจัดพิธีสรงน้ำพระ และมีการแจกจ่าย


โจ๊ ก ล่ า ปานั ้ น โจ๊ ก ล่ า ปาจำเป็ น ต้ อ งจั ด ทำโดยท่ า นจึ ง จะมี
ความหมาย】ระบบพูดดับฝันฉับ
ฟางเจิ้งกลอกตา ‘พี่ชาย นายรู้ไหมว่าวันนั้นจะมีกี่คนน่ะ ? ถึงจะ
แค่ไม่กี่ร้อย นายมั่นใจได้เลยว่าคงเป็นฉันเองนี่แหละที่ถูกต้มเป็น
โจ๊ก! ถ้าเกิดฉันเหนื่อยตายขึ้นมา นายก็แค่สะบัดตูดจากไป แล้ว
ฉันล่ะเฟ้ย?!’

ระบบ 【นี่เป็นเพียงคำเตือน ท่านสามารถให้คนมาช่วย แค่


ระบบต้องแจ้งเตือนว่า โจ๊กล่าปาที่ระบบนำมาให้นั้นมิได้ไว้เพียง
แค่รับประทาน แต่โจ๊กล่าปานี้สามารถชำระจิตวิญญาณ ฟื้นฟูทุก
อณูของกายหยาบ ผู้ที่รับประทาน โรคร้ายที่หลบซ่อนล้วนมลาย
หาย! ความเจ็บป่วยล้วนสิ้นสูญ ผู้ที่ไร้ซึ่งโรคยา ก็จะได้รับการ
ปกป้องจากโรคทั้งหลาย! ทว่าหากโจ๊กล่าปาถูกปรุงโดยผู้อื่นแล้ว
ความวิเศษเหล่านี้จะหายไป ไม่ใช่ว่าระบบต้องการดูถูกท่ าน
เพียงแต่ต้องการให้ท่านใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริง ดูจากอิทธิพล
ของวัดนิ้วเดียวในปัจจุบันนี้แล้ว คนที่มาวัด คงไม่ต้องพูดถึง
หรอกกระมัง】
ฟางเจิ้งได้แต่เห็นด้วยกับคำของระบบ อีกอย่าง คนส่วนใหญ่ที่มา
ก็น่าจะเป็นชาวบ้านที่ตีนเขา และเขาก็ติดหนี้บุญคุณคนเหล่านั้น
ไว้มาก ชัดเจนว่าแค่แจกโจ๊กล่าปาธรรมดาคงไม่ได้หรอก!

[1] เทศกาลล่าปา (腊八节- ล่าปาเจี๋ย) โบราณเรียกว่า“腊


日” (ล่า ยื่อ) ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน
12 ในสมัยดึกดำบรรพ์ คำว่า “腊” (ล่า) เป็นชื่อของพิธีกรรม
เซ่นไหว้ ซึ่งพัฒนามาจากคำว่า“猎” (เลี่ย) หมายถึงการล่าสัตว์
เพราะช่วงท้ายปี พืชผลถูกเก็บเกี่ยวตากแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้คนจึงเข้าป่าล่าสัตว์ส ำหรับบูชาบรรพบุรุษและเทพเจ้า เพื่อ
ขอให้มีโชคมีลาภและมีชีวิตยืนยาว

[2] ล่าปาโจว (腊八粥) หรือโจ๊กล่าปา เป็นโจ๊กที่รับประทาน


ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ซึ่งมีส่วนผสมหลากหลายชนิด เช่น ข้าว
ขาว ข้าวเหนียวดำ ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง เม็ดบัว พุทราจีน
เนื้อลำไยแห้ง มันเทศและเก๋ากี้ เป็นต้น หลังจากที่โจ๊กปรุงสุก
ต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษก่อน หลังจากนั้นจึงจะแบ่งให้ญาติมิตร
และสุดท้ายทั้งครอบครัวจะรับประทานล่าปาโจวร่วมกัน
ตอนที่ 104 : โจ๊กล่าปาจากเขาหลิงซาน
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงกล่าวกับหยางหัวอย่างนอบน้อม “ประสก โจ๊ก
ล่าปามีความหมายมากกว่าถ้าให้พระเป็นคนทำ คงไม่อาจให้ผู้อื่น
มาช่วยได้”
หยางหัวพูด “เป็นอย่างนั้นเหรอ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า หยางหัวจึงยกธงขาว “ก็ได้ ไหน ๆ เธอก็จะจัด
พิธีสรงน้ำ เดี๋ยวพอฉันกลับหมู่แล้ว จะช่วยประกาศให้นะ พวก
เราควรจะมีแขกให้มากหน่อย อืม...อย่างน้อยทั้งครอบครัวของ
ฉันก็มาแน่นอน!”
ฟางเจิ้งกล่าวขอบคุณ ก่อนจะส่งเขาลงภูเขาไป
“ปัดโธ่ ฟังแล้วเหมือนพิธีนี้จะมีคนเข้าร่วมน้อยแน่เลย” ฟางเจิ้ง
ส่ายศีรษะขณะที่เดินกลับไปห้องครัว การทำโจ๊กล่าปาไม่ใช่ง่ายๆ
เลย ไหนจะต้องดูไฟ ไหนจะต้องดูหม้อข้าว
ฟางเจิ้งต้องวุ่นวายยกใหญ่......
ณ ตีนเขา พอหยางหัวลงมาถึงทุกอย่างพลันแปรเปลี่ยนเป็น
วุ่นวาย
“อะไรนะ? ฟางเจิ้งจะจัดพิธีสรงน้ำพระเหรอ? ฮี่ฮี่ เด็กนั่นยอด
เยี่ยมมาก! ฉันจะช่วยให้ถึงที่สุด!”
“เหล่าหลี่ ไม่ใช่ว่านายจะไปวัดหงเหยียนเหรอ?”
“ฉั น จะไปถึ ง นั ่ น ทำไม? ฉั น จะไปสนั บ สนุ น คนอื ่ น แทนที ่ จ ะ
สนับสนุนคนของตัวเองได้ยังไง?! อีกอย่าง พระอาจารย์หงเห
ยียนจากวัดหงเหยียนก็บอกเองว่า ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ความ
เคารพน่ะ อยู่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก”
และแล้วพวกเขาเหล่านี้ก็ไปป่าวประกาศถึงในหมู่บ้านต่ออีกทอด
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็แพร่ข่าวไปอย่างรวดเร็ว ทว่ายังมีหลายคนที่
ไม่รู้จะขึ้นเขาไปหรือไม่ขึ้นเขาไปดี
ตอนนั้นเองก็มีเสียงแตรดังไปทั่วหมู่บ้าน!
“ประกาศจ้า! ประกาศ! วันล่าปานี้ วัดนิ้วเดียวจะจัดพิ ธีสรงน้ำ
พระ เราชาวบ้านย่อมต้องสนับสนุนวัดนิ้วเดียวกันสิ จะได้เป็น
การพัฒนาวัดของหมู่บ้านเราด้วย ดังนั้น ฉันหวังว่าทุกคนจะขึ้น
ไปร่วมพิธีสรงน้ำที่วัดนิ้วเดียวนะ แน่น่อนว่าไม่บังคั บ! สำหรับ
คนที่ไปให้มาลงชื่อที่บ้านฉันไว้นะ จะได้จัดขบวนไปพร้อมกัน
หมดนี่แหละ อ้อ อย่าลืมเอาถ้วยชามตัวเองมาด้วยล่ะ คงไม่ต้อง
บอกหรอกใช่ไหมว่าเจ้าหนูฟางเจิ้งยากจนขนาดไหน”
เสียงหวังโย่วกุ้ยดังสนั่นหวั่นไหวใช่ย่อย
พอทุกคนได้ยิน ต่างหัวเราะออกมายกใหญ่
ตอนนั้นเอง มีเสียงตะโกนลั่นขึ้นมาอีกครั้ง “อ๊ะ ทุกคนก็คอยดู
เจ้าเด็กฟางเจิ้งนั่นเติบโตขึ้ นมากันนี่นา นี่เป็นครั้งแรกที่วัดนิ้ว
เดียวจะจัดพิธีสรงน้ำพระ ฉันว่าเราทุกคนควรไปทำให้งานมันรื่น
เริงนะ!”
เป็นเสียงของคนเฒ่าคนแก่อย่างเลนานุการหมู่บ้าน เถียนจู่กั๋ว
นั่นเอง
กลุ่มคนที่กำลังคุยกันอยู่ว่าจะไปดีไม่ไปดีนั้น พอเห็นถึงความ
ตั ้ ง ใจของหั ว หน้ า หมู ่ บ ้ า นกั บ ท่ า นเลนานุ ก ารหมู ่ บ ้ า นแล้ ว ก็
ตัดสินใจจะขึ้นไปกันทั้งหมดนี่แหละ อย่างไรเสียฟางเจิ้งก็เ ป็น
เด็กนิสัยดีทีเดียว
หวังโย่วกุ้ยกู่ร้องตะโกนโดยไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ไม่คิดเลยว่า
ชาวบ้านจะสนับสนุนกันถึงขนาดนี้ เวลาผ่านไป พอเขาคำนวณ
ในหัวเสร็จ ก็ตบหน้าขาตัวเองอย่างแรง เขาอุทานลั่น “ไม่นะ!
แย่แล้ว!”
“อะไร? มีปัญหาอะไร?” หยางผิงถามอย่างตกอกตกใจ
หวังโย่วกุ้ยยิ้มกระอักกระอ่วน “ตอนแรกก็กะแค่จะช่วยฟางเจิ้ง
หาคนไปร่วมงานอยู่หรอก เยี่ยมมาก! ตอนนี้มีตั้ง 336 คน!”
หยางผิ ง ฟั ง จบก็ ต กตะลึ ง ไปเช่ น กั น “นั ่ น ...เกื อ บจะเป็ น ทั้ ง
หมู่บ้านเลยนี่?”
“เพราะใกล้ปีใหม่แล้ว สมาชิกรุ่นเยาว์ในครอบครัวต่างกลับมา
เยี่ยม ทั้งภรรยา สามี แล้วก็ลูกหลานอยู่นี่กันหมด ไม่แปลกใจ
เลยว่าทำไมถึงมีคนเยอะขนาดนี้ ยั งไงชาวบ้านก็อยากสนับสนุน
ฟางจิ้งอยู่แล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ก็มาร่วมวงไพบูลย์อีกแรง เฮ้อ คน
เยอะขนาดนี ้ ฟางเจิ้ ง จะเตรี ย มโจ๊ ก ล่ า ปาไหวเหรอ ?”
หวังโย่วกุ้ยถามอย่างเริ่มกังวล
หยางผิงตาเป็นประกายแล้วหัวเราะ “ถ้าเขาเตรียมไม่ไหว ก็เอา
น้ำมาให้ดื่มแทนไง! ฮี่ฮี่ ยังไงน้ำของเขาก็ดีเลิศที่สุด!”
หวังโย่วกุ้ยผงะ ก่อนจะหัวเราะออกมาเช่นกัน “จริงด้วย เดี๋ยว
ฉันจะโทรไปบอกเขาหน่อยแล้วกัน จะได้เตรียมตัวไว้ก่อน กลัวว่า
พอเขาเตรียมโจ๊กไม่ทันแล้วจะพาลให้มีน้ำไม่พอดื่มด้วย ถ้าเป็น
งั้นคงแย่แน่”
พูดจบ หวังโย่วกุ้ยก็โทรหาฟางเจิ้งแล้วบอกเขาเรื่องจำนวนคนที่
จะไปร่วมพิธี และไม่ลืมที่จะถามฟางเจิ้งเรื่องวัตถุดิบพิเศษไว้ทำ
โจ๊กล่าปาด้วย เพราะถ้ามีไม่พอ เขาจะได้หาทางช่วยเหลือ
ตอนแรกฟางเจิ้งคิดว่าคงมีคนมาสักโหลสองโหล ก็ดีแล้ว แต่พอ
ได้ยินว่าจะมีมาถึงสามร้อยกว่าคน ฟางเจิ้งก็ตาเหลือกทันที——
ลมจะจับ! ต้องทำโจ๊กล่าปากี่ชามเนี่ย!?
ฟางเจิ้งเริ่มเสียใจแล้วที่ปล่อยให้หยางหัวจัดการ เขาจะทำเยอะ
ขนาดนั้นคนเดียวได้ยังไง?
ทว่าพอคิดให้ลึกซึ้งขึ้น ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของชาวบ้าน
นั่นเอง ถึงยอมที่จะไม่ไปวัดใหญ่ ๆ แล้วมาวัดเล็ก ๆ ของเขาแทน
มีทั้งความศรัทธาและความรักขนาดนี้ เขาจะทำตัวอกตัญญูไร้
หัวใจได้อย่างไร? ไม่เพียงเขาจะทำโจ๊กล่าปาด้วยตนเอง เขาจะ
ใช้วัตถุดิบอย่างดีที่สุด และจะทำให้สุดฝีมือเลย!!!
พอตั้งใจไว้เช่นนี้แล้ว ฟางเจิ้งก็กล่าวกับหวังโย่วกุ้ย “ประสกหวัง
อาตมาไม่มีสิ่งใดให้ช่วยนอกจากขอหม้อสักสองใบ แล้วก็โปรด
เตรียมถ้วยชามของตนเองมาด้วย”
หวังโย่วกุ้ยหัวเราะ ก่อนเอ่ยปากรับคำ แล้วบอกฟางเจิ้งว่ าจะ
จัดการให้เอง
วันต่อมา หวังโย่วกุ้ยก็นำคนแบกหม้อเหล็กขนาดมหึมามาห้าใบ
ขณะเดียวกันก็ยังมาช่วยสร้างเตาอย่างง่าย ๆ ให้อีกด้ วย ส่วนห
ยางหัวก็นำคนแบกฟืนมาให้ จากนั้นเป็นฟางเจิ้งกับเจ้าหมาป่าที่
ช่วยหามาเพิ่มอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็มีฟืนเพียงพอแล้ว
พอทุกคนลงเขาไป ฟางเจิ้งก็มองหม้อใบเบ้อเริ่มเทิ่มเรียงเป็นแถว
ยาวเงียบ ๆ บ่นพึมพำด้วยเสียงละห้อย “จะทำอาหารจนตาย
หรือเปล่าเนี่ย?”
เคร้ง......
ตอนนั้นเองฝาหม้อใบหนึ่งก็ขยับ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “มีอะไรวิ่งอยู่ในหม้อหว่า?”
พอเปิดออกดู ฟางเจิ้งก็หัวเราะออกมาฉาดใหญ่ เขาเห็นเจ้า
กระรอกกำลังซ่อนตัวอยู่ในกองลูกสน!
“เจ้าตัวน้อย ทำไมต้องเอาลูกสนมาซ่อนเช่นนี้ด้วย? ออกจะเห็น
แก่ตัวไปหน่อยรึเปล่า ? เอาเช่นนี้ ถือว่าลูกสนพวกนี้เป็นค่าข้าว
ของเจ้าก็แล้วกัน” ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง ดูเหมื อนความหน้า
หนาของเขาจะทำให้เจ้าตัวน้อยนี่โกรธเข้าเสียแล้ว เจ้ากระรอก
จึงกางกงเล็บ พองแก้มขู่ฟางเจิ้งจี๊ด ๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาหาร
ที่มันเก็บไว้ก็ต้องถูกยึดไปอยู่ดี…...
ส่วนเรื่องรสชาติ รสชาติของลูกสนไม่อร่อยเท่าข้าวจิงหมี่ก็จริง
แต่พอกินแทบทุกวันก็ไม่ต่างจากกินขนม มันจึงกลายเป็นของล้ำ
ค่าไปโดยปริยาย ยิ่งอย่างเจ้ากระรอกที่หวั แหลม มันย่อมไม่สนใจ
ลูกสนธรรมดาแน่นอน ทุกเมล็ดที่เก็บมาล้วนแต่ขนาดใหญ่โตเต็ม
อิ่มไปด้วยน้ำมัน อร่อยสุด ๆ! สุดท้ายก็กลายเป็นขนมขบเคี้ยวที่
ฟางเจิ้งชอบที่สุดไปด้วย ทำเอาเจ้ากระรอกต้องคอยระวัง ตัวแจ
เอาลูกสนไปซ่อนตรงนู้นตรงนี้เต็มไปหมด
นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฟางเจิ้งต้องทำความสะอาดวัดทุกวัน—
—หาขนมกิน!
พอโดนฟางเจิ ้งขโมยอาหารที่ ต ุน ไว้ ไป เจ้ า กระรอกก็กระฟัด
กระเฟียด เข้าไปดึงหูฟางเจิ้งยกใหญ่ แต่ฟางเจิ้งไม่รู้สึกถึงความ
เจ็บปวดแม้แต่น้อย
“ระบบ หม้อก็เตรียมแล้ว ไหนล่ะวัตถุดิบ ? สูตรอาหารด้วย?”
ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงหน้าห้องครัว พลางลูบ ๆ ถู ๆ ท้องตัวเองด้วย
ความหิวโหยแกมสงสัย ตอนนี้เขามีความรู้สึกเห็นแก่ตัวขึ้นมา
บ้างแล้ว วัตถุดิบที่ระบบให้มาย่อมเป็นของเลอค่า ไม่มีทางที่เขา
จะไม่เป็นคนแรกที่ได้กินโจ๊กล่าปา!

【ยังไม่ให้ชั่วคราว ทว่าท่านสามารถลองทำเป็นชามเล็กๆ
เป็นตัวทดลองก่อนได้ ท่านจะได้ชิมด้วย】
หลังจากนั้นพลันปรากฏชามขนาดจิ๋วขึ้นมาตรงหน้าฟางเจิ้ง เป็น
ชามที่เล็กมาชะมัด ขนาดเท่าฝ่ามือได้ ซึ่งหมายความว่าใส่โจ๊กได้
น้อยนิดเช่นกัน!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็บ่นทันที “ระบบ ทำไมนายขี้เหนียวแบบ
นี้!”
พอเสียงเขาหายไป ลำแสงสีทองส่ องประกายจากโจ๊กล่าปาก็
หายไป ฟางเจิ้งก้มหน้ามองลงไปทันที!
ภายในชามนั้นจุด้วยข้าวสีเหลืองแกมสีขาว มีเม็ดบัวดุจอัญมณี มี
พุทราแดงฉานอันงดงาม และอื่น ๆ นอกจากวัตถุดิบต่ าง ๆ ที่
รวมกันอย่างลงตัวแล้ว พวกมันก็ยังแบ่งเขตกระจัดกระจายกันไป
อย่างสวยงามมากทีเดียว ส่วนที่ แดงก็แดงลุกโชน ส่วนที่ข าวก็
แวววาวดุจอัญมณี มีสีเหลืองอันสุกสกาว และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุกองค์ประกอบรวมกันแล้วไม่เหมือนเป็นโจ๊กชามหนึ่ง แต่เป็น
งานศิลป์อันเลอค่าต่างหาก! แถมวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ดูไม่เหมือนกับ
เอาไว้รับประทาน มันดูราวกับไข่มุกสดใส หยกล้ำค่า และทองคำ
สุก สวยงามจนฟางเจิ้งไม่กล้ากิน!!!
ตอนที่ 105 : ราคาค่าผูกขาดอาหาร
รูปลักษณ์อาหารดูน่าหลงใหลสุด ๆ ที่แท้รสชาติก็โอชาไม่ต่างกัน!
กลิ ่ น หอมข้ า ว กลิ ่ น ละมุ น ของเม็ ด บั ว ความหวานของพุ ท รา
ประสานกับวัตถุดิบอื่น ๆ อีกสิบแปดชนิด ก่อเกิดเป็นกลิ่นเลอค่า
อันน่าประหลาด เพราะฟางเจิ้งสามารถสัมผัสถึงกลิ่นได้ทุกชนิด!
พอคลุกเคล้ากันแล้ว กลิ่นก็หอมฉุยขึ้นมา สูดเพียงฟืดเดียว จิตใจ
พลันปลอดโปร่ง รู้สึกดียิ่ง!
“เจ๋ง!” ดูแค่รูปลักษณ์กับดมกลิ่น ฟางเจิ้งก็รู้แล้วว่าโจ๊กชามนี้
เป็นของดี!
ทันใดนั้นฟางเจิ้งรู้สึกว่าไหล่ตัวเองเบาวูบ เป็นเจ้าตัวเล็กกระโจน
ไปหาโจ๊กล่าปานั่นเอง เจ้ากระรอกตัวดี! ฟางเจิ้งรีบเงื้อมมือคว้า
หมับ
พอโดนจับตัวไว้ได้ เจ้าตัวน้อยก็กระฟัดกระเฟียดยกใหญ่ เหวี่ยง
หมัด แกว่งเท้าไปทั่วเหมือนต้องการจะสื่อว่า “ปล่อยให้ข้าลงไป
กินนะ ไม่งั้นมาสู้กัน!”
ฟางเจิ้งกลอกตาใส่เจ้าตัวน้อยก่ อนจะพูด “เฮ้ เจ้ากล้าสู้ กับ
อาตมาผู้เป็นเจ้าอาวาสงั้นหรือ? ไม่เชื่อว่าอาตมาจะขังลืมเจ้ารึ?”
เจ้าตัวน้อยส่งเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ
ฟางเจิ้งลูบหัวตัวเองก่อนจะพูด “อาตมากินลูกสนของเจ้าไปแค่
สองลูก แต่เจ้าคิดจะกินโจ๊กล่าปาของอาตมาหรือ ? เป็นแผนที่
ฉลาดไม่เลว เหอะ เจ้าจะสามารถกินได้ก็ต่อ เมื่ออาตมาชิมก่อน
เท่านั้น”
“จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด!”
“ไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ? งั้นก็โดนขังไปแล้วกัน!” พูดจบฟางเจิ้ งก็
เอาเจ้ากระรอกวางบนเตาแล้วเอาชามขนาดมหึมาคว่ำใส่! พูดตบ
ท้ายว่า “ริอาจมาขโมยอาหารอาตมา รับผลกรรมเสีย!”
หลังจากรับมือเจ้ากระรอกตัว น้อยเสร็จ เขาก็กะจะก้มลงไปกิน
โจ๊กล่าปา แต่พอก้มหน้าลงไปเท่านั้นแหละ สีหน้าก็ดำคล้ำทันที!
โจ๊กไปไหนแล้ว? โจ๊กล่ะ? หายไปไหน!?
ฟางเจิ ้ ง หั น หน้ า มองไปรอบ ๆ ก็ ท ั น เห็ น หางหมาป่ า กำลั ง วิ่ ง
ออกไปจากห้องครัว!
“แม่*เอ้ย กลับมานะ! คืนนี้อาตมาต้องได้กินเนื้อสุนัข!” ฟางเจิ้ ง
เดือดขั้นสุด ช่วงเวลาที่หนักที่สุดไม่ใช่การปกป้องตนเองจาก
ข้าศึกศัตรู แต่เป็นพวกมิตรใกล้ตัวนี่แหละ จับโจรตัวน้อยได้แ ล้ว
ก็โดนเจ้าหมาป่าไร้ฝูงมาแย่งชิงผลประโยชน์ไปเสียฉิบ! เท่านั้น
แหละอัสนีก็ฟาดลงมาที่ข้างหลังของฟางเจิ้ง แต่เขาชินเสียแล้ว
ไม่สนใจเฟ้ย
ฟางเจิ้งคว้าไม้กวาดวิ่งไล่ต ามไปทันที ส่วนเจ้าหมาป่า พอเห็น
แบบนี้ก็วิ่งปรู๊ดสุดชีวิต มันรู้ว่าวันนี้ต้องโดนตีแน่ ๆ แต่พอนึ กถึง
กลิ่นของโจ๊กล่าปาแล้ว ก็ไม่คิดจะสำนึกแม้แต่น้อย นี่น่ะเป็นกลิ่น
ที่หอมสุด ๆ ไปเลย! หอมยิ่งกว่าเนื้ออีก! หอมยิ่งกว่าข้าวจิงหมี่!
หอมยิ่งกว่าอะไรในโลก!
“หยุ ด ให้ อ าตมา! ถ้ า ไม่ ห ยุ ด อย่ า คิ ด ว่ า จะได้ ก ิ น ข้ า วเย็ น !”
หลังจากฟางเจิ้งวิ่งอย่างไรก็ตามเจ้าหมาป่าไม่ทัน จึงเริ่มข่มขู่
หมาป่าไร้ฝูงร้องครางหงิง ๆ
“เฮ้! คิดว่าตนเองกำลังจะขึ้นสวรรค์งั้นเหรอ? กินไปมื้อเดียวก็อด
อาหารได้สามวันงั้นสิ? ได้! งั้นอาตมาจะงดข้าวเจ้าเป็นเวลาสาม
วัน! พรุ่งนี้อาตมาจะทำโจ๊กล่าปาเพิ่มชุดใหญ่ อย่าคิดว่าจะได้
แอ้มเชียว!” ฟางเจิ้งตะโกน
พอเจ้าหมาป่าได้ยินแบบนั้น ก็หวนนึกไปถึงกลิ่นหอมก่อนหน้านี้
แข้งขาพลันอ่อนแรง หยุดร่างลงทันควัน หางส่ายไปมา แลบลิ้น
แหะ ๆ ทำท่าลุกลี้ลุกลน ส่งสายตาละห้อย ร้องคร่ำครวญ
พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ! ฟางเจิ้งรัวไม้กวาดไม่ยั้ง แต่เพราะผิวเจ้าหมา
ป่าหนามาก แถมกล้ามเนื้อก็แน่น และฟางเจิ้งก็ไม่ได้ออกแรง
เต็มที่ เจ้าหมาป่าเลยไม่กลัวเจ็บแม้แต่น้อย มันแสร้งกระโดดห
ยองแหยง เหมือนกระต่าย ขณะเดียวกันก็ร้องครวญอธิบ าย
ตัวเองด้วย
“ฮึ่ม! แค่อยากจะชิมให้? ชิม?! ชิมคือกินโจ๊กของอาตมาไปทั้งชาม
งั้นสิ? อดใจไม่ไหว? ถ้าอดใจไม่ได้ แล้วจะริอาจมากินทำไม? รับ
ไม้กวาดนี้ไปซะ! งดข้าวเย็นด้วย!”
สุดท้ายฟางเจิ้งตระหนักได้ว่าถ้าไม่ใช้แรงเสียหน่อย เจ้าหมาป่า
คงไม่มีทางเจ็บปวดได้หรอก แต่ว่าไม้กวาดของเขาใกล้จะพังอยู่
แล้ว ทำเอาฟางเจิ้งใจหายวูบ วั ดนี้มีไม้กวาดไม่มากนัก หักไป
หนึ่งก็มีใช้น้อยไปหนึ่ง
ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่ายหางเดินตามฟาง
เจิ้งแกมเสียงหัวเราะ กินก็กินไปแล้ว แถมสู้ก็ไม่แพ้อีก
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงเคร้งดังขึ้น เป็น เจ้ากระรอกที่หลบหนี
ออกมาได้สำเร็จจากชามใบโตนั่น พอวิ่งออกมา ก็เห็นชามจิ๋วที่
เจ้าหมาป่ากินไปหมดแล้ว มันหัวร้อนทันที รีบกระโจนไปยังชาม
อย่างสิ้นหวัง ก่ อนจะตกตะลึงที่เห็นเม็ดบัวเหลืออยู่หนึ่งเม็ด!
สายตาเจ้ากระรอกเป็นประกาย วิ่งรอบชามสามรอบด้วยความ
ยินดี ร้องจี๊ด ๆ ยกใหญ่เหมือนกำลังเฉลิมฉลองอะไรบางอย่างอยู่
แต่ทันทีที่มันเตรียมจะสวาปามนั้น!
เจ้าตัวน้อยกระโดดทะยานเข้าไป
ทว่า!
วิ้ง!
มีสำแสงสีเหลืองส่องออกมา ชามพลันหายวับ!
“จี๊ด!” ใบหน้าเจ้าตัวน้อยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ป้าบ!
หัวของมันกระแทกเตาดังป้าบ มันเอามือกุมหัว ก่อนจะแผดเสียง
ด้วยความโมโห! แล้วกระโจนลงบนพื้ นไปเก็บก้อนกรวดมาก้อน
หนึ่ง ประดุจต้องการประหัตประหารล้างแค้น!
พอมันกระโจนมาถึงประตู ก็เห็นฟางเจิ้งเดินมาพร้อมเจ้าหมาป่า
“เฮ้ เจ้าตัวน้อย ทำไมดูเหมือนจะเลือดขึ้นหน้าล่ะ? ไหงถึงมีอาวุธ
ในมือได้? หืม? คิดจะแข็งข้อก่อกบฏเช่นนั้นหรือ?” ฟางเจิ้งเห็น
เจ้ากระรอกเป็นเช่นนั้นก็หลุดขำออกมา ยืดอก ยกคอ เหมือน
ต้องการเอาก้อนกรวดในมือไปฆ่าคนเสียอย่างไรอย่างนั้น
พอเจ้ากระรอกได้ยนิ แบบนั้น มันก็โมโหฟึดฟัด กระโดดขึ้นๆ ลงๆ
แลดูใกล้คลั่งเต็มที
“ก็ได้ อย่าโมโหใส่อาตมาเลย เพราะอาตมาก็ไม่ได้กินโจ๊กชามนั้น
เช่นกัน เป็นเจ้านี่ที่เอาไปหมด ถ้าเจ้าไม่พอใจ ก็อัดเขาได้ตามใจ
หากเขากล้าสู้เจ้ากลับ อาตมาจะเป็นผู้ช่วยสะกดข่มเอง” ฟาง
เจิ้งพูดจบ เจ้ากระรอกก็หันไปจ้องเขม็งที่หมาป่าไร้ฝูงแทนทันที
เจ้าหมาป่าทำเป็นมองท้องฟ้า เมินไปเสียฉิบ
“จี๊ด! จี๊ด! จี๊ด!” พอเจ้ากระรอกมั่นใจว่ามีฟางเจิ้งหนุนหลัง ก็ทุ่ม
ความโกรธเกรี้ยวใส่เจ้าหมาป่าทันที มันกระโจนจู่โจม ฟาดกรวด
ในมือใส่......เจ้าหมาป่าก็นอนเกาคออย่างสบายอารมณ์ ส่วนพลัง
สังหารของเจ้ากระรอกน่ะเหรอ? เจ้าหมาป่าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย
ทว่า...หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหมาป่าก็เริ่มอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
พอถึงเวลาอาหาร ฟางเจิ้งก็ยกโต๊ะที่ไว้เขียนอักษรก่อนหน้านี้
ออกมา เป็นโต๊ะที่ชาวบ้านนำขึ้นมาแล้วทิ้งไว้ให้ฟางเจิ้ง ฟางเจิ้ง
นั่งฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ส่วนเจ้ากระรอกก็มีข้าวปั้นในมือ ฟางเจิ้งสวา
ปามข้าวจิงหมี่พร้อมน้ำทิพย์ ดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
เจ้ากระรอกเลียบแบบท่าทาง พร้อมเลียริมฝีปาก
ส่วนอีกฝั่งของโต๊ะ เจ้าหมาป่ายืนขึ้น เอาอุ้งมือวางไว้บนโต๊ะแล้ว
แลบลิ้น สายตาเว้าวอน แต่ฟางเจิ้งกับเจ้ากระรอกทำเป็นเมินไม่
สนใจ
“วู วู...”
“เจ้าก็รับประทานโจ๊กล่าปาไปแล้วไง ทำไมยั งต้องการข้าวอีก
ล่ะหืม? วันนี้ สมควรได้ทราบกฎระเบี ยบของวัด! ขโมยอาหาร
เป็นเรื่องน่าละอาย!” ฟางเจิ้งว่า
เจ้ากระรอกพูดตาม ถึงหมาป่าไร้ฝูงจะฟังไม่ออก แต่ดูจากท่าทาง
ก็พอเข้าใจ เจ้าหมาป่าทนมองไม่ไหว เมินหน้าหนี ไปนั่งหลบมุม
ทว่า.......
“อืม......”
ฟางเจิ้งเลียริมฝีปาก บางครั้งก็จะตะโกน “หอมสุด ๆ! อร่อยจัง
เลย!”
เจ้ากระรอกหนักกว่าอีก มันถือก้อนข้าวปั้นไปทางเจ้าหมาป่า แต่
แทนที่จะกินลงไป มันกลับเป่ากลิ่นข้าวไปทางเจ้าหมาป่าแทน!
พอกลิ่นของข้าวจิงหมี่โชยถึงจมูกเจ้าหมาป่า มันก็หันหัวมามอง
อย่างโมโหใส่ จากนั้นเจ้ากระรอกก็ทะยานไปอีกฝั่ง แล้วเริ่ม เป่า
ต่อ......
เห็นสองตัวนั้นแกล้งกันไปมา ฟางเจิ้งก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
พอกินข้าวกันเสร็จ ก็ถือเป็นการลงโทษความตะกละเจ้าหมาป่า
เรียบร้อย ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเคาะโต๊ะแล้วทำเป็นถามว่า “เจ้าจะ
ไม่กินสินะ?”
หมาป่าไร้ฝูงเงยหน้าขวับ ก่อนจะเห็นว่ามีข้าวอยู่ในชามกระถาง
ต้นไม้ของตน! มันรีบตะกุยเข้าไปสวาปามอย่างเผ็ดร้อนทันที การ
โดนกลั่นแกล้งอันน่าขมขื่นเช่นนี้ มันจะไม่ลืมเด็ดขาด!
ตอนเที่ยงคืน ฟางเจิ้งก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ
ตอนที่ 106 : ล่าปามาแล้ววววว

【ติ้ง! วัตถุดิบทั้งหมดได้นำมาส่งแล้ว! ต้องการรับสินค้าตอนนี้


เลยหรือไม่?】
“รับเ—อย่าเพิ่ง!” ฟางเจิ้งเกือบโพล่งตอบรับ แต่พอมองห้อง
เล็ก ๆ ของตน ก็เกิดเปลี่ยนใจทันควัน เกิดรับวัตถุมาเลย ที่เก็บ
ไม่พอแน่ ๆ หลังจากตะเกียกตะกายออกจากเตียงได้ ก็วิ่งไปที่
ลานวัดข้างนอกทันที “รับเลย!”
ฟุบ! ถุงกระสอบเล็ก ๆ มัดรวมกันถูกส่งลงมาตรงหน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งนั่งยอง ๆ พินิจดู เขาเห็นเป็นถุงขนาดเท่าฝ่ามือถูกมัด
รวมกันด้วยเชือก นับ ๆ แล้วได้สิบแปดถุงพอดี!
“จำนวนไม่ผิดหรอกนะระบบ แต่เอามาให้ผิดถุงหรือเปล่า ? ถุง
พวกนี้จะเก็บของได้แค่ไหนกันเชียว? มีคนตั้งสามร้อยนะ หรือ
นายว่าสามร้อยนั่นเป็นกระรอกเหรอไง?” ฟางเจิ้งทักท้วงด้วย
อาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

【จงลองดู ถ้าใช้ได้หมด ก็คิดเสียว่าเป็นความผิดพลาดของ


ระบบ】
“มหัศจรรย์ขนาดนั้นเลย?” ฟางเจิ้งข้องใจสุด ๆ

【นี่คือกระเป๋ามิติ พื้นที่ข้างในสามารถบรรจุวัตถุดิบได้ถึงห้อง
หนึ่ง ไม่เน่า ไม่เสีย มีสิบแปดถุงกระสอบ ย่อมหมายความว่า
ทั้งหมดมีวัตถุดิบสิบแปดห้อง ท่านยังคิดว่าแค่นี้ไม่เพียงพออยู่อีก
หรือ?】
ฟางเจิ้งรีบตอบ “พอ! เยอะพอเลี้ยงหมูได้เลย” ขณะในใจกำลัง
คิดว่าสมควรยักยอกไว้หน่อยไหมนะ

แต่ระบบดันเสริมเสียก่อน 【แจ้งเตือน นี่เป็นของขวัญประจำ


เทศกาล เมื่อเทศกาลเสร็จสิ้ นแล้ว วัตถุดิบทั้งหมด จะถูกระบบ
เก็บคืนไปโดยอัต โนมัติ แน่นอนว่า ถ้าหากวัตถุดิบไม่พอ ทาง
ระบบสามารถให้เพิ่มได้】
พอฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้น เขาพลันหน้าดำคล้ำ ยักยอกก็ไม่ได้
แถมใช้ได้แค่วันงาน จบสิ้นสิ! ฟางเจิ้งถอนหายใจ ก่อนจะถือถุง
สิบแปดใบนั่นกลับเข้าไปข้างใน
“ระบบ วัตถุดิบมาแล้ว แล้ววิธีทำโจ๊กล่ะ?” ฟางเจิ้งถาม
สิ้นเสียงของฟางเจิ้ง ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งลอยมาตรงหน้าฟางเจิง้
พอเขาหยิบขึ้นมาหน้าก็เขียวคล้ำอีกครา
“ระบบ นี่เหรอสูตรอาหารที่พูดถึง?”

【มี ป ั ญ หาเช่ น นั ้ น หรื อ ?】 ระบบถามเหมื อ นไม่ ไ ด้ ม ี เ รื ่ อ ง


ร้ายแรงเกิดขึ้น
ฟางเจิ้งกัดฟันพูด “เหอ ๆ ไม่ ไม่มี ไม่—ไม่มีปู่เอ็งสิ! เขียนอยู่
แค่สามคำเนี่ยนะ ‘โยนใส่หม้อ ใส่น้ำ’! นี่เหรอสูตรอาหาร? นาย
บอกฉันเองก็ได้ไหม? จะทำให้ดูลึกลับทำมะเขืออะไรมิทราบ?”

【โจ๊กล่าปา เดิมทีเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์จำเพาะ โดยทำมา


จากวัตถุดิบเหลือ ๆ ที่เหล่าพระภิกษุใช้นมัสการพระพุทธองค์ ซึ่ง
ถ้าทิ้งไปก็คงน่าเสียดายเป็นแน่แท้ ท่านคิ ดว่าจะมีวิธีการทำที่
พิเศษอะไรเช่นนั้นหรือ ? ถ้ามีวิธีการพิเศษอะไร เช่นนั้นก็ ไ ม่
เรียกว่าเป็นโจ๊กล่าปาแล้ว ส่วนสูตรลับ เพียงแค่วัตถุดิบจากเขาห
ลิงซาน ก็เป็นสูตรลับแล้ว! จงคิดถึงยามที่ท่ านรับประทานข้าวจิง
หมี่เสียเถิด】
ฟางเจิ้งพิเคราะห์ดูแล้ว เป็นคำพูดที่ดูดีมีเหตุผลไม่เลวทีเดียว
ข้าวจิงหมี่แค่หุงง่าย ๆ ก็หอมกรุ่นแบบขั้นสุด แถมรอบนี้เป็น
วัตถุดิบคุณภาพดีกว่าเดิมซะด้วย ย่อมไม่ธรรมดาแน่ แต่ฟางเจิ้ง
ยังคงไม่เชื่อในระบบอย่างสนิทใจ เพราะบางที เจ้าระบบก็ทำตัว
กวนบาทาไร้ความน่าเชื่อถือจริง ๆ ฟางเจิ้งเปิดปากถุงแล้วลอง
มองเข้าไปข้างใน ก่อนจะตะลึงพรึงเพริด อุทานลั่น “ระบบ นาย
ไม่ได้ขัดข้องหรอกใช่ไหม!? นี่มันไม่ใช่วัตถุดิบทำอาหารแล้ว งาน
ศิลป์ชัด ๆ!!!”
ฟางเจิ้งผงะ ถุงแรกที่เขาเปิด ปรากฏเป็นถั่วเขียวผิวดุจมรกต ไม่
เพียงแค่มีผิวดุจมรกตเท่านั้น ยังมีรูปพระพุทธองค์สลักบนเม็ดถั่ว
อีกด้วย! ดูสมจริงอย่างยิ่ง! ทุกเม็ดล้วนมีพระพุทธองค์สลักอยู่
เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อชะมัด!

【เด็กน้อยผู้โง่เขลาเอ๋ย โจ๊กล่าปาแห่งพุทธะ หาใช่เฉกเช่นโจ๊ก


ล่าปาของปุถุชนไม่ มันเป็นสิ่งสุดพิเศษ ถั่วเขียวเหล่านี้ล้วนถู ก
สลักด้วยหัตถาขององค์อรหันต์ทั้งแปดร้อยรูป พุทราที่ท่านจะ
เห็นถัดไป จะสลักเป็นรูปราชสีห์ วอลนัทก็จะสลักเป็นลักษณ์
มังกร พุทราจีนก็จะสลักเป็นสิบแปดอรหันต์ บลา ๆๆๆ】ระบบ
ร่ายยาว
ฟางเจิ้งเปิดปากถุงออกดูไปเรื่อย ๆ ก็เห็นเป็นตามนั้นจริง ๆ ถึ ง
จะมีเพียงสิบแปดถุง แต่เ รียกว่าวัตถุดิบอาหารทั้งสิบแปดคงไม่
ถูก ต้องเรียกว่าวัตถุดิบอาหารที่มีรูปลักษณ์ต่างออกไปสิบแปด
แบบคงจะเข้าเค้ากว่า! วัตถุดิบบางอย่างยังมีรูปลักษณ์ผสมผสาน
บ้างเป็นเพียงวัตถุดิบที่สลักด้วยรูปเดียวโดด ๆ บ้างถูกสลักด้วยสี
บ๊วยหรืออื่น ๆ
ฟางเจิ้งลอบถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ระบบ อย่างนี้........
คงไม่เรียกว่ากินพระพุทธองค์เข้าไปหรอกใช่ไหม? ออกจะหยาบ
คายอยู่บ้างปะเนี่ย?”

ระบบตอบกลับเพียงคำเดียว 【โง่】
ฟางเจิ้งกลอกตา ทำเมินเจ้าระบบ ฟางเจิ้งบอกให้เจ้าหมาป่าช่วย
เติ ม น้ ำ ใส่ ห ม้ อ ทั ้ ง ห้ า จากนั ้ น เขาค่ อ ยจุ ด ไฟ และทำการโยน
บรรดาผลไม้ ต ากแห้ ง พร้ อ มด้ ว ยวั ต ถุ ด ิ บ ที ่ ส ุ ก ยากลงไปก่ อ น
พอใช้ไฟสูงไปสักพักค่อยลดไฟลง พอพวกผลไม้ตากแห้งสุกแล้ว
ก็จัดการโยนของที่ไหม้ยากรองลงมาต่อ......
สุดท้าย หรี่ไฟเบาลงค่อย ๆ ตุ๋นไปเรื่อย ๆ
ส่วนเจ้าหมาป่า ก็กำลังหาบน้ำอย่างขะมักเขม้น เจ้ากระรอกก็วิ่ง
ไปทั่วอย่างตื่นเต้น บางครั้งยังนำกิ่งไม้แห้งมาให้ด้วย
พักเรื่องฝั่งฟางเจิ้งที่กำลังทำอาหารอยู่บนเขาไว้ก่อนแล้วกัน......
เสียงไก่ขันดังขึ้น ชาวบ้านต่างลุกออกจากที่นอน ควันลอยเหนือ
หลังคาเรือน พร้อมด้วยเสียงประทัดที่ดังขึ้น เสียงดังเปอะแปะดู
มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เป็นสัญญาณว่าปีใหม่มาเยือนแล้ว!
หมู่บ้านอันเงียบสงบเริ่มคึกคัก เหล่าสมาชิกในครอบครัวทยอย
ลุกจากเตียงเตรียมรับประทานข้ าวเช้าร่วมกัน เป็นฉากอันแสน
รื่นเริงน่ายินดีทีเดียว
หวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋ว หยางผิง และคนอื่น ๆ ตื่นมาแต่เช้าตรู่
รวมกลุ่มกันขึ้นเขา เส้นทางบนเขานิ้วเดียวนั้นแสนลำบาก มีทั้ง
ความสูงชัน ไหนจะมีผาอยู่ข้าง ๆ อีก ถ้าไม่มีการร่วมมือบวกกับ
วินัยที่เคร่งครัด คงต้ องบอกลาเงาศีรษะตัวเองแล้ว โดยเฉพาะ
ผู้สูงอายุกับเหล่าเด็ก ๆ ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ช่างเป็นกลุ่มคนที่เปี่ยมชีวิตชีวา ยามปีนขึ้ นเขา ก็คุยกันโขมง
โฉงเฉง จากภูเขานิ้วเดียวอันหนาวเย็นและเงียบสงบ พลันดู
คึกคักขึ้นมาขนานใหญ่
“นายจะไม่ไปจริง ๆ เหรอ?” ในบ้านหลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคน
ที่เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถามชายที่นอนอยู่บนเตียง
“ไม่ไป ทำไมต้องไปด้วย? พวกนั้นทำตัวอย่างกับผีหิว โซอย่างงั้น
แหละ ทำไม? ไม่เคยกินข้าวเหรอไง? อีกอย่างนะ ฟางเจิ้งน่ะ
เหรอที่เหมาะจะจัดพิธีสรงน้ำพระ? เจ้าเด็กนั่นคิดว่าตัวเองเป็น
เจ้าอาวาสไปแล้วหลังจากที่เป็นเจ้าอาวาสไม่กี่วันเนี่ยนะ? ฉัน—
ไม่—ไป!” ชายคนนั้นพูดอย่างก้าวร้าว
“เหอะ ทำไมต้องพูดถึงขนาดนั้นด้วย? ฟางเจิ้งไม่เคยมีปัญหากับ
นายเลยไม่ใช่เหรอไง? ก็ได้ ช่างมันเหอะถ้านายไม่ไป แต่ฉันจะ
ไป!” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็หันหลังเดินจ้ำ ๆ ออกไป
ชายคนนั้นไม่พอใจจนผุดตัวลุกออกจากเตียง “หมายความว่า
ยั ง ไงที ่ เ ธอจะไป? ฉั น เตื อ นไว้ ก ่ อ นเลยนะ ว่ า ห้ า มเธอขึ ้ น ไป
เด็ดขาด! สมาชิกในครอบครัวเราห้ามไปสักคนเดียว!”
“เฉินจิน!” หญิงวัยกลางคนโมโหขึ้นมาทันที หันไปมองตาขวาง
ใส่เฉินจิน “นายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า? ทำไม? แค่ชวน
คนไปเข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระที่วัดหงเหยียนไม่ได้ ครอบครัวเราก็
เลยโดนห้ า มไม่ ใ ห้ ไ ปวั ด นิ ้ ว เดี ย วเหรอไง? ทุ ก คนต่ า งขึ ้ น ไป
สนับสนุนฟางเจิ้งกันทั้งนั้ นแหละ! อีกอย่าง ทำไมทุก คนต้องไป
วัดหงเหยียนด้วย? พิธีสรงน้ำพระก็คือพิธีสรงน้ำพระไม่ใช่เหรอ?
กินก็กินโจ๊กล่าปาเหมือนกัน สนุกก็สนุกเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง?
อีกทั้งหัวหน้าหมู่บ้านก็บอกแล้วไงว่าปีหน้าทุกคนค่อยไปกับนาย
น่ะ”
เฉินจินตอบกลับด้วยโทสะ “ผู้หญิงอย่างเธอจะไปรู้อะไร! พระ
อาจารย์ อู้หมิงให้งานสำคัญมาแบบนี้ เพราะยกย่องในตัวฉัน
ต่างหาก! ฉันรับปากกับท่านไว้แล้วว่าจะพาทุกคนไปหา แล้วดู
ตอนนี้สิ? ดีมาก! ไม่มีใครไปสักคน! ใคร ๆ ก็กระโดดโลดเต้นไป
เข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระของฟางเจิ้งกั นหมด! เธอคิดถึ งหน้าฉัน
บ้างไหมล่ะ? ต่อไปฉันจะไปเผชิญหน้าพระอาจารย์อู้หมิงได้ยังไง?
คนมีหน้า ต้นไม้มีเปลือก[1] เข้าใจไหม?”

[1] คนมีหน้า ต้นไม้มีเปลือก (人要脸 树要皮) ชาวจีน


รักหน้าตา อยากมีศักดิ์ศรี ยิ่งได้รับการศึกษาจากลัทธิ "ขงจื๊อ" ซึ่ง
มีคติสอนว่า การไปมาหาสู่กัน ก่อเกิดความสนิทสนมกลมเกลียว
ที่สำคัญสุด ดังนั้น ถ้าอยากจะคบเพื่อนอย่างสนิท ก็ควรไว้หน้า
กัน ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
ตอนที่ 107 : เชื่อแต่เงิน
“เข้าใจผายลมแม่*สิ! ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินว่ามีวัดวาอารามที่
ไหนที่เขาจะหว่านล้อมให้ฝูงชนขึน้ เขาไปเลย ถ้าฉันได้คุยกับพระ
อาจารย์หงเหยียนเองนะ ฮึ่ ม!......นายจะได้รู้จักการเสียหน้าที่
แท้จริง!!!” เสียงผู้หญิงแว้ดใส่
“ซูหง!” เฉินจินเดือด “ระวังปากด้วย พระอาจารย์ไม่ใช่พวก
คนชั่วนะ!”
“เหอ ๆ” ซูหงหัวเราะอย่างหน่ายใจสองที พอเห็นสีหน้าของ
เฉินจินกลายเป็นน่าเกลียดกว่าเดิมก็ถอนหายใจใส่ “ก็ได้ ก็ได้
ฉันไม่ไปแล้วก็ได้ โอเคไหม? เฮ้อ ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าฟางเจิ้ง
จัดพิธีสรงน้ำแล้วจะเป็นยังไง?”
พอซูหงประนีประนอมเช่นนี้ ความโกรธของเฉินจินค่อยหดหาย
เขาพูดเสียงเย็น “ฉันสงสัยมากกว่าว่าจะมีข้าวหรือเปล่า ซุปสัก
ถ้วยยังไม่มีเลยมั้ง กินข้าวลำบากแหง”
ระว่างทางบนเขาที่หวังโย่วกุ้ยนำชาวบ้านขึ้นมา เหล่าเด็ก ๆ พา
กันวิ่งเร็วจี๋นำหน้าไป ส่วนหวังโย่วกุ้ยไม่ยอมน้อยหน้า รีบตามไป
อย่างเร็วรี่
ส่วนคนที่ดูต่างออกไปจากคนในกลุ่มก็คงเป็นพวกหนุ่มสาวที่ใส่
เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด ยามเดินก็เล่นมือถือไปด้วย มีโอกาสเมื่อไรก็
ถ่ายรูปตัวเอง พอไม่มีเรื่องคุยข้างนอก ก็ไปคุยวีแชทต่อ
“หม่าหยวน ได้ยินว่านายได้ลูกเพราะมาขอพรที่วัดนี้เหรอ?”
ชายหนุ่มเครางามคนหนึ่งในเสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ดสีดำถาม พลาง
ดันแว่นกรอบสีดำของตัวเอง
“ถูกต้อง เถียนหมิง ฉันบอกนายไปแล้วไงว่าวัดนิ้วเดียวศักดิ์สิทธิ์
จริง ๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนที่ มาขอพรไม่เคยกลับไปมือเปล่าเลย
หมู่บ้านแถวนี้รู้กันทั้งนั้น” หม่าหยวนหัวเราะอย่างเบิกบาน
“หึหึ จะจริงหรือ?” เถียนหมิงหัวเราะอย่างประหลาดใจ
“แหงสิ นายรู้เรื่องบ้านของลุงหยางใช่เปล่า? ที่โรงพยาบาลไหนๆ
ก็บอกว่ามีลูกไม่ได้น่ะ แต่พอมาขอพรที่วัดนะ ได้ฝาแฝดชายหญิง
เฉยเลย!” หม่าหยวน
เถียนหมิง “เป็นไปไม่ได้! หมอวินิจฉัยผิดแต่แรกหรือเปล่า?”
ข้าง ๆ เถียนหมิงเป็นผู้หญิงในชุดโค้ทลายเสือดาว เธอกุมมือ
เถียนหมิงไว้ หัวเราะเบา ๆ “ฉันก็คิดงั้นเหมือนกันนะ ผู้เชี่ยวชาญ
เขาพูดแบบชี้ขาดเลยหรือเปล่า? ปกติทุกคนก็ตั้งครรภ์ได้อยู่แล้ว
ส่วนพวกที่มีไม่ได้คือพวกที่มีอาการผิดปกตินี่นา พอมาขอพรไหว้
พระบนเขาแล้วตั้งครรภ์เนี่ยดูอธิบายอะไร ๆ ไม่ค่อยได้เท่าไหร่
แฮะ แต่ยังไงทุกคนก็สามารถตั้งครรภ์ได้อยู่แล้ว แต่ว่านะ เรื่อง
ของลุงหยางก็ดูน่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ”
หม่าหยวนหัวเราะ “ที่เธอพูดก็ดูเข้าเค้านะ แต่ในหมู่บ้านเกษตร
แบบนี้ ใคร ๆ ก็เชื่อเรื่องพวกนี้กันทั้งนั้นแหละ อีกอย่าง พวกเรา
มาขอพรแล้วก็ได้ลูกจริง ๆ ทำไมจะต้องไม่เชื่อด้วยล่ะ แล้วการ
ขอบคุณพระพุทธองค์ก็ใช่ว่าจะทำให้พระองค์ท่านหันไปโมโหใส่
สักกะหน่อยไม่ใช่เหรอ? ไม่เชื่ออย่าลบหลู่สิ”
เถียนหมิงส่ายศีรษะ “มีแต่พวกชาวบ้านเท่านั้นแหละที่เชื่อ ฉัน
จะบอกให้นะ ในตัวเมืองใหญ่ ๆ น่ะ มีคนจุดธูปไหว้พระเต็มไป
หมด แต่มีคนเชื่อจริง ๆ ไม่กี่คนเอง โลกใบนี้น่ะมีอย่างเดียวที่
น่าเชื่อถือได้—เงิน! ขอแค่มีเงิน ก็มีทุกอย่าง!”
“พอ พอเลย เลิกคุยเรื่องปรัชญาของนายได้แล้ว ถ้าชาวบ้านเกิด
โดนนายชักจูงให้หลงผิดจะเป็นบาปไปเปล่า ๆ” ภรรยาของ
เถียนหมิง เหลียงอวี่เตือนให้เขาหยุดพูด
เถียนหมิงท้วงหน้ามุ่ย “พวกเรายังไม่ได้เข้าไปใกล้ตัววัดเลย ฉัน
พูดเรื่องจริงไม่ได้เหรอ? อีกอย่างนะ ฉันจะชักจูงคนอื่นได้ไงเล่า?
ฉันแค่จะแจ้งให้ทราบถึงสั จธรรมในคุณค่า ของมนุษย์ต่างหาก
สมัยนี้น่ะ ถ้าไม่มีเงิน ก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”
เหลียงอวี่บ่น “เงิน เงิน เงิน อะไรที่นายเห็นก็เป็นเงินไปหมดเลย
เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะน่า หม่าหยวน ได้ยินว่าวัดนิ้วเดียวบูรณะ
ใหม่แล้วเหรอ? ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนวัดนี้มันยากจนข้นแค้นสุด ๆ
ไปเลยนี่นา แล้วก็ตามที่พวกป้า ๆ พูดกัน ดูเหมือนวัดจะมีเจ้า
อาวาสแค่รูปเดียวเอง เขาจะจัดพิธีสรงน้ำพระรูปเดียวเหรอ? เขา
จะไหวเหรอ?”
หม่าหยวนที่พอเข้าใจเรื่องวัดนิ้วเดียวอยู่จึงยิ้มกระอักกระอ่วน
“บอกตามตรงนะ คิดว่าไม่ไหวหรอก วัดนิ้วเดียวก็ยากแค้นมาก
ยากแค้นซะจนชาวบ้านต้องขนอาหารขึ้นมาให้ ส่วนเรื่องพิธีสรง
น้ำพระ......ฉันว่าพวกเราลืมเรื่องโจ๊กล่าปากันเถอะ ทุกคนมาก็
เพราะหาเรื่องสนุก ๆ ทำเท่านั้นแหละ อีกอย่าง หัวหน้าหมู่บ้าน
ก็บอกเอง ว่าที่พวกเรามาก็เพราะต้องการสนับสนุนวัดนิ้วเดีย ว
ไม่ได้มากินโจ๊กล่าปาสักหน่อยนี่?”
“นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ได้เอาชามตัวเองมาให้เป็นภาระ พอขึ้นเขา
ไปเสร็จก็กะจะจุดธูปไหว้พระพุทธองค์ตามสมควรเสียหน่อย
ประเด็นหลักที่ขึ้นเขามาคือร่วมวงหาเรื่องสนุกทำเนี่ยแหละ”
เถียนหมิงบอกตามตรง
เหลียงอวี่ถาม “งั้น......ถ้าเกิดมีโจ๊กจริง ๆ จะทำไงล่ะ? ได้ยินว่า
ฟางเจิ้งเอาชนะพวกลิปิกรจากตัวเมืองในงานประลองได้ด้วยนะ
บางทีอาจจะมีเศรษฐีใจป้ำให้เงินเขาจัดพิธีสรงน้ำพระก็ได้”
“มีแล้วไง อย่างกับฉันไม่เคยกินโจ๊กล่าปางั้นแหละ หม่าหยวน
บอกไว้เลยนะ ถ้าพูดถึงโจ๊กล่าปาล่ะก็ ต้องเป็นของวัดป๋ ายอวิ๋นนี่
แหละที่อร่อยสุ ด ๆ! หึหึ โจ๊กกล่าปาทำจากวัตถุดิบชั้นเลิศสิบ
แปดชนิด! พวกชาวพุทธเรียกว่าอะไรนะ? อ้อ โจ๊กเจ็ดรัตนะห้า
รสชาติ หึหึ รสชาติแบบโคตรสุดยอดเลยเว้ย! ถ้าไม่ใช่ว่าพ่อฉัน
ยังไงก็ยืนกรานจะให้ฉันกลับมาวันนี้ให้ได้นะ ป่านนี้คงไปอยู่ที่
วัดป๋ายอวิ๋นแล้วล่ะ” เถียนหมิงดึงหม่าหยวนเดินขึ้นเขาต่อ
หม่าหยวนพูด “วัดป๋ายอวิ๋นเหรอ? ฉันยังไม่เคยไปเลยเพราะอยู่
ไกลเกินไป ฟังจากที่นายพูด ถ้ามีโอกาสต้องไปลองหน่อยแล้ว
แฮะ แต่ถ้าพูดถึงโจ๊กล่าปาแล้ว ของวัดหงเหยียนก็ไม่เลวนะ ติ
ตรงน้ำเยอะไปหน่อย แต่ก็อร่อยอยู่ ปีหนึ่ งมีคนไปกินโจ๊กล่าปา
เป็นพันแน่ะ เพราะวัดมีเงินไม่เยอะ คงทำให้ทุกคนพอใจได้ยาก”
เถียนหมิงหัวเราะ “นี่แหละความโชคร้ายของการเป็นวัดเล็ก ๆ
ส่วนวัดป๋ายอวิ๋นน่ะเป็นวัดขนาดใหญ่! แค่พันคนไปร่วมพิธีสรงน้ำ
พระจะไปมีปัญหาได้ยังไง? ต้องมีคนมากกว่าสิ! นั่นแหละคือพิธีที่
แท้จริง!”
หม่าหยวนได้ยินแบบนั้นก็เริ่มจินตนาการตาม
เหลียงอวี่ที่อยู่ข้าง ๆ ลอบส่ายหน้า เธอทนเถียนหมิงพล่ามไม่ไหว
แล้ว เลยเดินไปคุยกับญาติ ๆ แทน
เวลาเดียวกัน ฟางเจิ้งกำลังดูถาดที่มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าอย่าง
สับสน ตรงกลางถาดเป็นพระพุทธรูป เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ตัวพระพุทธรูปทำจากอะไร แต่ภายใต้แสงอาทิตย์นั้นกลั บเปล่ง
ประกายเฉิดฉายสุด ๆ รอบ ๆ พระพุทธรูปเหมือนจะเป็นดอกบัว
แกะสลัก ข้างถาดมีขันน้ำอันวิจิตรตระการตาวางไว้อยู่ แล้วข้างๆ
ก็ เ ป็ น อ่ า งเล็ ก ๆ ใบหนึ ่ ง ในอ่ า งนั ้ น ส่ ง กลิ ่ น หอมหวนของ
พฤกษชาติเบาบาง เป็นกลิ่นที่ซึมซาบกำจายเข้าไปในจิตใจ ทำให้
ผูส้ ูดดมรู้สึกดีอย่างยิ่ง
“ระบบ ของพวกนี้ต้องใช้ด้วยเหรอ?” ฟางเจิ้งถามขณะมองไปที่
ของพวกนั้น

【พิธีสรงน้ำพระ ย่อมต้องสรงน้ำให้องค์พุทธะ การใช้น้ำหอม


สรง หนึ่งเป็นการแสดงความเคารพ สองเพื่อเป็นการชำระตนเอง

ฟางเจิ้งพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ว่าเข้าใจไม่ได้หมายความว่า
เขาจะรู้วิธีสรงน้ำอยู่ดี เพราะไม่เคยจัดพิธีนี้และก็ไม่เคยเห็นพิธีนี้
มาก่อน ตอนนี้ต้องมาทำจริง ๆ ฟางเจิ้งเลยรู้สึกเคว้งนิดหน่อย
แต่คิด ๆ ไป คนที่มา ก็มาจากหมู่บ้าน เลยพอโล่งอกได้
เขาจัดวางพระพุทธรูปให้เรียบร้อย ก่อนจะวางเจ้ากระรอกไว้
ข้างๆ ตาม “เฝ้าของพวกนี้ไว้ให้ดี ถ้าโจ๊กเสร็จเมื่อไหร่ จะให้กิน
ชามใหญ่เลย! กินเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าไม่ทำงาน ก็ไม่ต้องกิน!”
เจ้ากระรอกถือกระบวยเล็ก ๆ ไว้พลางทำท่าทางประดุจทหาร
รักษาการณ์ มันตบลงที่อกตัวเองปุ ๆ ก่อนจะร้องจิ๊ก ๆ ส่งเสียง
คล้ายกับทหารรับคำสั่งจากผู้บัญชาการ
ฟางเจิ้งหลุดหัวเราะ พลางลูบหัวเจ้ากระรอก เขาให้เจ้าหมาป่า
ไปคาบฟืนมาเพิ่ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปตัวเองเก็บ
ไว้เป็นความทรงจำ
ตอนนั้นเองฟางเจิ้งแว่วยินเสียงดังมาจากไกล ๆ จากนั้นก็เป็น
กลุ่มคนปรากฏตัวขึ้น พอฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ เขาก็หายใจเข้าเฮือก
ใหญ่เพื่อลดทอนความตื่นเต้น จากนั้นค่อยพนมมือแล้ วกระซิบ
“บิดาผู้เฒ่าอีจื่อ ความฝันของท่านเป็นจริงแล้ว แต่ว่านี่เพิ่ง
เริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคต ผมจะต้องจัดพิธีสรงน้ำพระที่แท้จริง
และยิ่งใหญ่กว่านี้ให้ได้! ผมต้องทำให้ท่านเชิดหน้าชูตาอย่าง
ภาคภูมใิ จ!”
ตอนที่ 108 : นำอ่างขึ้นเขามา...
หวั ง โย่ วกุ ้ยเดิ นนำหน้า มาโดยมีครอบครัว และเถี ยนจู่กั๋ วเดิน
ตามหลัง หยางผิงกับครอบครัวก็มาด้วยเช่นกัน
เถียนจู่กั๋วเดินได้คล่องแคล่วไม่เหมือนผู้สูงอายุแม้แต่น้อย
“คุณปู่ ทำไมเดินไวจังเลยอะ? หนูตามไม่ทันแล้วเนี่ย!” เด็กหญิง
ร่างท้วมกระเง้ากระงอดอย่างแง่งอน
เถียนจู่กั๋วหัวเราะลั่น “เป็นเพราะพวกเธอขาดแรงบันดาลใจ! ดู
เจ้าพวกเด็กเวรนั่นสิ หวังโย่วกุ้ย แล้วก็หยางผิงอีก พวกนั้นเดิน
อย่างกับกำลังบินทะยานงั้นแหละ ขืนพวกเราไม่รีบล่ะก็ แม้แต่
น้ำซุปก็คงไม่ได้เข้าปากนะ”
“คุ ณ พ่ อ ทำไม...แค่ โ จ๊ ก ล่ า ปาถ้ ว ยเดี ย วเอง ต้ อ งขนาดนี้ เ ลย
เหรอ?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ
ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดตาม “ใช่ ถึงคุณพ่อจะแข็งแรงในวัยแบบ
นี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่ควรจะแข่งกับพวกหนุ่ม ๆ นะคะ เถียนหย่ง
เอางี้สิ ในเมื่อคุณพ่ออยากกินโจ๊กล่าปา ทำไมคุณไม่รีบเดินแล้ว
ไปหยิบมาให้ท่านล่ะ?”
เถียนหย่งคิดสักครู่ ก่อนจะยิ้มแหย ๆ “ก็ได้ ก็ได้ พวกคุณรอแป๊บ
นะ เดี๋ยวผมรีบเดินไปเอง”
พูดจบเถียนหย่งก็วิ่งตามพวกหวังโย่วกุ้ยไปทันที
หวังโย่วกุ้ยหัวเราะแซวยกใหญ่ “เถียนหย่ง พ่อนายบอกให้รีบ
เดินเหรอไง?”
เถียนหย่งยิ้มกระอักกระอ่วน “พี่หวัง เกิดอะไรกับพวกนายกัน
แน่เนี่ย? ทำไมทุกคนถึงวิ่งอย่างกับมีลมใต้เท้างั้นแหละ วิ่งไวกัน
เกินไปแล้วนะ”
หวังโย่วกุ้ยยิ้มอย่างลึกลับ “ไม่ต้องถามแล้ว วัดอยู่ตรงหน้า พอ
ไปถึง ก็ดูเองเถอะ”
พอเสียงเลือนหายไป เถียนหย่งพลันได้กลิ่นหอมอันเข้มข้นลอย
มาจากไกล ๆ ดวงตาเขาเป็นประกายทันที “กลิ่นอะไรเนี่ ย?
หอมมาก!?”
“หึ ! เจ้ า เด็ ก นี ่ ม ี ค วามสามารถจริ ง ๆ หอมสุ ด ๆ!” พู ด จบ
หวังโย่วกุ้ยก็แบกลูกตัวเอง ดึงมือภรรยา แล้วเร่งความเร็วทันที!
เถียนหย่งก็ไม่โง่งม รีบตามไปอย่างด่วนจี๋
จากไกล ๆ หวังโย่วกุ้ยตะโกนลั่น “เจ้าห— เจ้าอาวาส! พวกเรา
มาแล้ว กำลังทำอะไรอยู่น่ะ? ทำไมหอมขนาดนี้?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไม่มีอะไรมาก ก็แค่โจ๊กล่าปา”
“หอมจริงแท้ เร็ว ๆ เลย ขอชามหนึ่ง” หวังโย่วกุ้ยวางลูกตัวเอง
ลง ก่อนจะหยิบชามสามใบมาวางเรียงตรงหน้าฟางเจิ้ง
พอเถียนหย่งเห็นก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “ลุงหวัง เอาอ่างล้าง
หน้ า ออกมาทำไมน่ ะ ? เดี ๋ ย วนะ......นี่ ม ั น ...อ่ า งอาบน้ ำ ไม่ ใ ช่
เหรอ?”
“ถุ้ย! อ่างอาบน้ำบ้านนายเล็กแค่นี้เหรอ?! เอาไว้ให้ตัวเองอาบน้ำ
เหรอไง?!” หวังโย่งกุ้ยหน้าแดง เล่นตลกดับความเขินตัวเองแทบ
ไม่ทัน
เถียนหย่งหัวเราะให้กับมุกนั้น
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็พูดอะไรไม่ออก หวังโย่วกุ้ยฉลาดจริง ๆ เขารู้
ดีว่าข้าวจิงหมี่อร่อยเลิศสุด ๆ โจ๊กล่าปาย่อมไม่น้อยหน้ากว่ าแน่
เลยเอาชามที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่าปลายแขนมนุษย์มา! ฟางเจิ้ง
ยิ้มกระอักกระอ่วน “ประสกหวัง นะ นี่มันหม้อใส่ซุปมิใช่หรือ?”
หวังโย่วกุ้ยหัวเราะอย่างเขินอายขณะแก้ตัว “คือแบบ......คือใคร
จะไปรู้ว่าเธอจะมีกฎแปลก ๆ หรือเปล่า เลยเลือกเอาชามใหญ่ ๆ
มาตัดปัญหาน่ะ”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเลย ได้แต่ถามระบบว่า ‘ระบบ โจ๊กล่าปานี่
เติมได้หรือเปล่า?’

【หนึ่งคนต่อชาม ไม่มากไปกว่านั้น ถึงโจ๊กล่าปานี้จะเป็นการให้


เปล่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้แบบเสียเปล่าได้】
ฟางเจิ้งมองไปที่หวังโย่วกุ้ย ก่อนจะคิดว่าคนผู้นี้เหมาะที่จะเป็น
หัวหน้าหมู่บ้านจริง ๆ เขาฉลาดสุด ๆ ไปเลย! ถึงกับคาดเดา
กฎระเบียบของระบบได้ โครตเจ๋งอะบอกเลย!
ฟางเจิ้งถามต่อ ‘แล้วถ้าเป็นชามใหญ่ล่ะ นับหรือเปล่า?’

【โอกาสนั้นผู้อื่นเป็นคนสร้าง คำกล่าวที่ว่าเท่าเทียมหมายถึง
โอกาสที่ให้นั้นทุกคนย่อมได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์จะ
ออกมาเท่ากัน ผู้ขยันย่อมได้มาก คนขี้เกียจย่อมได้น้อย】
ฟางเจิ้งบรรลุในบันดล ดังนั้นเขาจึงตักโจ๊กล่า ปาใส่ช ามของ
หวังโย่วกุ้ยจนล้นถ้วย จากนั้นก็ยิ้ม “ประสกหวัง เชิญสรงน้ำ
พระได้ที่ทางเข้า ทุกอย่างแล้วแต่ประสกเถิด วัดนี้เล็กนัก คงมี
รายการพิธีไม่มาก”
หวังโย่วกุ้ยมองชามโจ๊กล่าปาทั้งสาม ขณะกำลังจะพูดขอบคุณ
เขาก็เห็นอะไรในชามเสียก่อน เขาอุทานอย่างตกใจ “มะ มีอะไร
อยู่ในนี้ด้วย!!!?”
เถียนหย่งก็เห็น จึงอุทานออกมาเช่นกัน “มีรูปสลักบนถั่วเขียว
ด้วย? พุทรานั่นเหมือนจะพระพุทธองค์เลยไม่ใช่เหรอ?...สวรรค์
ฟางเจิ้ง เธอเป็นคนสลักเหรอ!!!?”
ฟางเจิ้งพนมมือ คลี่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะเรื่อง
นี้อธิบายยากนัก จึงตัดสินใจทำให้มันดูคลุมเครือไว้ดีกว่า
หวั ง โย่ วกุ ้ ยดูพ ระพุ ทธองค์ วชิ ร ะ พระอรหั นต์ ดอกบั ว และ
บรรดาสัตว์วิเศษที่เหมือนมีชีวิตในโจ๊กอย่างอัศจรรย์ใจ “ชีวิตนี้
ฉันเคยกินโจ๊กล่าปามาหลายวัด แต่ นี่เป็นที่แรกเลยที่เห็นการ
ทำอาหารที่ดูยุ่งยากแบบนี้! เจ้าอาวาส แค่ดูจากกลิ่นแล้วก็ฝีมือ
แกะสลักก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว!”
ภรรยาของหวังโย่วกุ้ยก็ชื่นชมสุด ๆ “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่าเธอ
เก่ ง ขนาดนี ้น ะ มี ค วามสามารถเช่ น นี ้แต่ กลั บมาเป็ นพระ น่ า
เสียดายจริง ๆ ถ้าลงไปเปิดร้านอาหาร คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
รวยไปแล้ว”
หวังโย่วกุ้ยมองไปที่ภรรยาตัวเอง “พูดอะไรไร้สาระน่า”
ภรรยาของเขาพลันหน้าแดง แล้วไม่พูดอะไรต่อ
ฟางเจิ้งพนมมือ หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร”
พอภรรยาของหวังโย่วกุ้ยเห็นแบบนี้ เธอก็จ้องสามีกลับแล้วพูด
“ดูเขาสิ แล้วดูตัวเอง ดูว่าตัวเองหน้าไม่อายขนาดไหน! ปะ ไปกิน
โจ๊กได้แล้ว โจ๊กหอมมากเลยนะเนี่ย”
หวังโย่วกุ้ยโดนภรรยาค่อย ๆ ผลักออกไป ส่วนเถียนหย่งที่ทนไม่
ไหวแล้ว ก็รีบเร่งส่งชามให้ฟางเจิ้งทันที “ฟางเจิ้ง ขอให้ฉัน
ด่วนๆ ชามหนึ่ง!”
ฟางเจิ้งยิ้ม ก่อนจะตักให้เขาจนเต็ม เถียนหย่งรีบก้มลงชิมทันที
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นสวาปามลงกระเพาะ เห็นภาพตัวเอง
ประดุจหมาป่าตะกุยตะกายกินอาหาร จนชามเกลี้ยงเกลา!
ตึ้ง! เขารีบวางชามใหญ่ของตนเองลง ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกาย
ตนเองอุ่นวาบ เป็นความรู้สึกอันปิติยิ่ง ในปากอบอวลไปด้วย
กลิ่นหอม รสชาติก็แสนโอชา!
เถียนหย่งรีบพูดทันที “ขออีกชาม!”
แต่ว่าฟางเจิ้งกลับส่ายศีรษะ “หนึ่งคนหนึ่งชาม ประสก นี่เป็น
กฎ”
“มีกฎอย่างนี้จริง ๆ เหรอ?” เถียนหย่งผงะ ตอนแรกเขาคิดว่า
หวังโย่วกุ้ยแค่ล้อเล่น แต่ไม่คิดว่าอาหารที่มีจะจำกัดการให้จริง ๆ
ทว่าเถียนหย่งยังไม่ยอมแพ้ เขารีบเข้ามาโอบฟางเจิ้งทันที “ฟาง
เจิ้ง เธอไม่พูดก่อนหน้านี้นี่นา อีกอย่างเราก็โตมาในหมู่บ้าน
เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เธอยังเคยมากินอาหารที่บ้านฉันอยู่เลยนี่
ขออีกชามไม่ได้เหรอ?”
“อามิตตาพุทธ ประสก นี่เป็นกฎ ย่อมไม่อาจละเมิด หนึ่งชามต่อ
คน ไม่น้อยไม่มากไปกว่านี้” ฟางเจิ้งยังคงยืนกรานส่ายศีรษะ
เถียนหย่งหน้าหม่นหมองไปถนัดตา “ฟางเจิ้ง เธอโหดร้ายมาก”
“เถียนหย่ง คุณมาเอาโจ๊กให้คุณพ่อไม่ใช่เหรอไง ทำไมถึงกินหมด
เองแล้วล่ะ?” ภรรยาของเถียนหย่งมาถึงก็ถามแกมตำหนิ
ทันใดนั้นเถียนหย่งก็นึกได้ว่าที่มานั้น ไม่ได้มาเพราะเรื่องตนเอง
เขาจึงพูด “อีกชามฉันไม่ ได้กิน แต่เป็นของพ่อฉัน แบบนี้ได้ใช่
ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วตักโจ๊กให้ เถียนหย่งดูบรรดาผลไม้ในชาม
พลางเลียริมฝีปากไปมา อยากกินจริง ๆ เลยเว้ย! แต่ว่าเถียนจู่กั๋ว
กำลังรออยู่ ถ้าเกิดเขาได้กิน แต่คุณพ่อไม่ได้ขึ้นมาล่ะก็...มีหวัง
เจอปังตอแน่นอน!
เถียนหย่งหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะอั้นไว้ ไม่ดม ไม่มอง ทีนี้ก็น่าจะ
ทนไหว......ใช่ไหม?
เถียนหย่งส่งชามไปให้ภรรยาของเขา พอหลิวหยวนรับไป เธอก็
เป่าลงไป เนื่องด้วยกลัวจะลวกเถียนจู่กั๋วเข้า พอเถีย นหย่งเห็น
แบบนี้ ก็แทบหยุดหายใจไปเลย ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
กลิ่นหอมก็ตีตลบเข้ามาในโพรงจมูกจนได้!
เถียนหย่งกลืนน้ำลายลงคอดังอึ๊ก แล้วหันหน้าหนีเดินไปอีกทาง
ทันที ทนดูไม่ไหวแล้ว! ขืนดูต่อไป มีหวังน้ำตาแตกแหง!
ตอนที่ 109 : สรงน้ำพระ
พอหลิวหยวนเป่าโจ๊กเสร็จ เธอพลันได้กลิ่นหอมฉุยของโจ๊กล่าปา
พอก้มหน้าลงไปเห็นเป็นเม็ดบัวอันสวยงาม กับบรรดาพุทธะและ
เหล่าอรหันต์ ดวงตาเธอพลันเต็มไปด้วยความตะลึงพรืด! ตั้งแต่
เกิดมายังไม่เคยเห็นโจ๊กที่วิจิตรงดงามขนาดนี้มาก่อนเลย! แถม
กลิ่นหอมนั่นก็ทำท้องเธอร้องโครกครากยกใหญ่ ถ้าเธอชิมสักคำ
จะเป็นอะไรไหมนะ?
ตอนนั้นเองเถียนจู่กั๋วก็หัวเราะลั่น “นี่ เลิกมองได้แล้ว กินเข้าไป
เถอะ พวกเราเอาชามมาเยอะแยะ อย่ามัวแต่ดูน่า ไม่คิดเลยว่า
เจ้าเด็กฟางเจิ้งจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ฮี่ฮี่ฮี่”
พอหลิวหยวนได้ฟังคำก็หน้าขึ้นสี ถึงเธอจะอยากกินก็จริง แต่เธอ
ยังมียางอายอยู่ เธอรีบส่งชามให้เถียนจู่กั๋ว ก่อนจะวิ่งไปเอาโจ๊ก
ล่าปาด้วยอีกชาม
ตอนนั้นเองคนที่เหลือพากันขึ้นมาถึงได้โดยสวัสดิภาพ พอทุกคน
ได้กลิ่นอันหอมกำจายนั้น กระเพาะต่างไม่รีรอร้องร่ำคร่ำครวญ
พวกเขารีบไปขอโจ๊กล่าปาทันที พอกลื นลงไป เสียงสรรเสริญก็
ดังออกมาให้ได้ยินไม่หยุดปาก บ้างมีเสียงด่าทอด้วยเมื่อได้ยินคำ
ว่า หนึ่งคนหนึ่งชาม
และมีหลายคนที่กำลังรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ด้วย
“ไอหยา ถ้ารู้แบบนี้น่าจะกินช้า ๆ หน่อย ดีจริง ๆ ตอนนี้กินเสร็จ
ก็ได้แต่นั่งดมกลิ่น!” เจ้าลูกหมาซ่ งบ่น เขาวางแผนชั่วร้ายไว้ กะ
จะรีบกินชามแรกให้หมด แล้วไปขอชามใหม่ด้วยความคิดที่ว่า
‘กินเยอะหน่อย ไม่เสียหลาย!’
ยามเขากินเสร็จ หลายคนรอบ ๆ ยังไม่ได้เริ่ม ตอนนี้เลยมีแต่
กลิ ่ น หอมลอยตลบอบอวล ทำเอากระเพาะเขาหิ ว โหยหนั ก
กว่าเดิม เขาได้แต่กลืนน้ำลายอยู่อย่างนั้น ส่วนการหันหน้า
หนีน่ะเหรอ? ทั่วทุกบริเวณล้วนมีคนกำลังสวาปามโจ๊กล่าปาอยู่
หันไปทางนู้นก็เจอ หันไปทางนี้ก็เจอ เขาเลยได้แต่เงยหน้ามอง
ฟ้า แต่ยังคงมีกลิ่นลอยเข้าจมูกมาอยู่ดี......
“ทำไมเหมือนพาตัวเองมาทรมาณเลยวะเนี่ย ?” เถียนหย่งเดิน
มาข้าง ๆ เจ้าลูกหมาซ่ง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เจ้าลูกหมาซ่งพูด “อย่ามาคุยกับฉั น กำลังกลั้นลมหายใจอยู่
เฟ้ย!”

เถียนหย่ง “#@¥#……”
ขณะเดียวกันอีกฝั่งหนึ่งก็กำลังมีคนสีหน้ามืดครึ้ม
“เถียนหมิง ไหนนายบอกว่าบนเขานี้ไม่มีอะไรดี ๆ ไง? เมื่อเช้า
นายเป็นคนบอกว่าให้กินเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องหาอะไรกินบนเขา
ไม่ใช่เหรอ? ไหนล่ะชาม? ไหนล่ะชามสำหรับครอบครัวเรา?” เห
ลียงอวี่มองเถียนหมิงตาขวาง
เถียนหมิงที่เพิ่งพูดโม้ใส่หม่าหยวนก่อนหน้านี้พลันละอายใจ
“โจ๊กล่าปา......คือ ใครจะไปรู้ล่ะว่าวัดเล็ก ๆ แบบนี้ จะทำโจ๊กออ
มาได้หอมขนาดนี้ แต่ว่านะ อาจจะกลิ่นหอมแต่ไม่อร่อยก็ได้”
“เถียนหมิง นายโง่หรือเปล่า! ได้ นายบอกว่าไม่อร่อยใช่ไหม? งั้น
รอดูอยู่ตรงนี้นี่แหละ!” พูดจบเหลียงอวี่ก็เดินจ้ำ ๆ จากไป ไม่
นาน เธอก็ยืมชามจากครอบครัวของหม่า หยวน แล้วไปขอโจ๊ก
จากนั้นถึงกลับมาหาเถียนหมิง เธอเป่าดับร้อนพลางสูดกลิ่นอัน
หอมหวานไปด้วย เธอเอาตะเกี ยบคีบถั่วเขียวเม็ดงามดุจมรกต
ขึ้นมา ก่อนจะอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ “สวยสุด ๆ ไปเลย!
เถียนหมิง นายดูสิ มีรูปพระพุทธองค์สลักไว้ด้วยแน่ะ ดูสิว่าสลัก
สวยแค่ไหน”
เถียนหมิงเหลือบมองชามของเหลียงอวี่ แต่พอกวาดตาไปเห็น
เม็ดบัว เขาก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันที เขากลั้ นหายใจก่อน
หัวเราะหึหึ “อาจจะกลิ่นหอม รูปสวย แต่ไม่อร่อยแน่นอน”
โครกคราก!
“ไม่อร่อย? หืม? เหอ ๆ ดูสิ กระเพาะใครนะกำลังร้อง” เหลี
ยงอวี่สัพยอก
เถียนหมิงหันหน้าหนี คิดเสียว่าเสียงของเหลียงอวี่เป็นเสียงนก
เสียงกา ไม่สนใจแม้แต่น้อย
เหลียงอวี่รีบย้ายชามตาม ก่อนจะโบกเม็ดบัวให้เถียนหมิงดู “ไม่
กินจริง ๆ เหรอ? ไม่กินจริง ๆ แน่นะ? ได้ งั้นฉันกินเอง!”
พูดจบปุ๊บ เหลียงอวี่ก็เอาเข้าปากปั๊บ เม็ดบัวนี้ไม่ใช่เม็ดบัวธรรม
แต่มาจากดอกบัวที่ปลูก ณ ตีนเขาหลิงซาน รสชาติแฝงด้วยกลิ่น
หอมและความสดชื่น ยามกัดลงคำหนึ่ง ก็จะบังเกิดเสีย งดังเปาะ
กำจายรสชาติออกมายั งลิ้น ช่างเป็นรสสัมผัสอัน เลิศล้ำจนเธอ
ต้องหลับตาแล้วอุทานเคลิ้ม ๆ “เถียนหมิง สาบานเลย ว่านี่คือ
เม็ดบัวที่อร่อยที่สุดในชีวิต! และก็ต้องขอบคุณนายมากจริง ๆ!”
“ขอบคุณฉันทำไม?” เถียนหมิงรู้สึกสับสน ภรรยาเขาคลั่งไป
แล้วเหรอ? แต่พอเห็นสีหน้าอันสุขสมของเหลียงอวี่แล้ว เขาก็อด
กลืนน้ำลายตามไม่ ได้ ปัญหาคือเขาโม้ไว้เยอะเกิน เขาจะย้อน
คำพูดตัวเองได้ยังไง? เถียนหมิงยังคงไม่ยอมเสียเกียรติ ไม่ยอม
กินอย่างดื้อดึงอยู่อย่างนั้น
เหลียงอวี่ไม่คิดจะอธิบายอะไร ก็ตักโจ๊กเข้าปากต่อทันที รสชาติ
ของวัตถุดิบทั้งสิบแปดคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เกิดเป็นรสสัมผัสอัน
โอชามากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าเม็ดบัวเพียงเม็ดเดียว ทั้งกลิ่นอันรัญจวน
ทั้งรสอันหวานล้ำ ทำให้เธอหยุดไม่อยู่ เหลียงอวี่ผู้แต่เดิมรักษา
มารยาทบนโต๊ ะ อาหารอย่ า งดี เ ยี ่ ย ม ได้ สลั ด ภาพลั ก ษณ์ ข อง
ตนเองสิ้น แล้วสวาปามอย่างมูมมาม!
ทันใดนั้นเธอก็เลียริมฝีปากและเป่าลมใส่หน้าเถียนหมิง เธอ
หัวเราะใส่แล้วพูด “ฮี่ฮี่ สุดยอด! นั่งนิ่งไปเลยนะ!”
พูดจบเหลียงอวี่ก็จากไป
เธอทิ้งเถียนหมิงไว้ข้างหลัง เขาได้แต่เอามือถูท้องตัวเองป้อย ๆ
พอจินตนาการรสชาติของโจ๊กล่าปาแล้ว ทำเอาน้ำลายสอท่วม
ปากไปหมด
ตอนนั้นเอง เหลียงอวี่ได้เดินกลับมาพร้อมกับอีกชาม เธอนั่ งลง
ข้าง ๆ เถียนหมิงแล้วหัวเราะ “เถียนหมิง นายดูสิ นี่อะไรเอ่ย ?
ถั่วเขียวไง! สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายเลยน๊า ~~ สวยสุด
ๆ!”
“เป็นถั่วตัดต่อพันธุกรรมแน่ ๆ” เถียนหมิงโดนเหลียงอวี่สัพยอก
จนจะหิวตายอยู่แล้ว แถมเขายังเห็นท่าท่างของพวกชาวบ้านที่
สรรเสริญโจ๊กล่าปาเสียยกใหญ่ คำเรียกร้องขอชามที่สองท่วมท้น
ใส่ฟางเจิ้ง! ฉากพวกนี้ย่อมไม่ใช่การสร้างภาพแน่นอน ขนาดคน
โง่ยังรู้เลยว่าโจ๊กล่าปาต้องอร่อย! ....อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็น
อะไรแบบนี้ที่วัดป๋ายอวิ๋น
แต่ว่าศักดิ์ศรีของข้ า! ศักดิ์ศรีของข้า! เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรี
เถียนหมิงต้องทน!
ทว่าเหลียงอวี่รู้จักเถียนหมิงดีเกินไป เธอขยับมาข้าง ๆ เขาแล้ว
หัวเราะหึหึ “ตัดต่อพันธุกรรม? จะบอกอะไรให้นะ คุณ พ่อกับ
คุณแม่บอกว่าฟางเจิ้งไม่เคยลงเขามาก่อน อาหารบนนี้ก็เป็นพวก
ชาวบ้านนำมาให้ทั้งนั้น แถมพื้นที่ทำไร่บนนี้ก็เล็ กนิดเดียว ถ้า
พูดถึงพวกพืชผักตัดต่อพันธุกรรมล่ะก็ ก็ต้องเป็นพวกที่ขายไปทั่ว
ประเทศนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ที่นี่แน่นอน อีกอย่างนะ นี่มันอร่อย
จริง ๆ! ถ้าตัดต่อพันธุกรรมแล้วอร่อยขนาดนี้ได้ ฉันยอมกิน—”
“โอเค! อยากกินอะไรก็กินไป เลิกพล่ามใส่หูฉันได้ไหม?” เถียนห
มิงฉุนเฉียวนิดหน่อย
เหลียงอวี่ไม่กลัวแม้แต่น้อย คะยั้นคะยอเขาต่อ เธอคีบพุทรา
ขึ้นมาโบกตรงหน้าเถียนหมิง “ดมดูสิ กลิ่นดีใช่ไหมล่ะ?”
เถียงหมิงได้กลิ่นหอมตลบขึ้นมาในจมูก ทันใดนั้นกระเพาะของ
เขาก็ร้องโครกคราก ดวงตาของเขาแดงฉาน กัดฟันแน่นแล้วพูด
“เหลียงอวี่ เธอกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ!”
“อิอิ อยากกัดฉันก็เอาเลย!” เหลียงอวี่แหย่
“คุณพ่อทางนี้!” จู่ ๆ เถียนหมิงก็ตะโกน
พอเหลียงอวี่หันไปดู เธอพลันรู้สึ กว่ามือตัวเองเบาวูบ พอหันไป
ก็เห็นเถียนหมิงลุกขึ้นแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “น่า
เบื่อจริง ๆ ฉันไปหาอย่างอื่นดูนะ”
เหลียงอวี่สังเกตว่าพุทราของเธอหายไปแล้ว เลยรีบล้อทันทีว่า
“รักศักดิ์ศรีมากจนเป็นทุกข์ ก่อนหน้านี้ก็โม้เรื่องวัดป๋ายอวิ๋นไว้
มาก ตอนนี้ พอจะกินโจ๊กล่าปาของที่นี่เลยรู้สึกเสียหน้างั้นสิ ?
เถียนหมิงปล่อยวางเรื่องศักดิ์ศรีกับเงินเถอะ นี่ เป็นบ้านเกิดเมือง
นอนนายนะ มีคนที่คอยดูนายตอบโตขึ้นมาอยู่นะ สวมหน้ากาก
ไปก็เท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไม่ดีกว่าเหรอ?”
ร่างของเถียนหมิงสั่นเล็กน้อย เขาโบกมือตัดบทไป “ฉันเป็น
อย่างนี้ไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ฉันจะดูตัววัดหน่อย”
พูดจบเถียนหมิงก็เดินเข้าวัดไป แล้วเขาก็เห็นถาดวางไว้บนโต๊ะ มี
พระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยดอกบัว มีชาวบ้านที่กิน
โจ๊กล่าปาเสร็จแล้วมาตักน้ำสรงลงบนพระพุทธรูปเป็นพัก ๆ
สิ ่ ง ที ่ น ่ า ประหลาดใจสำหรั บ เถี ย งหมิ ง คื อ ไม่ ว ่ า ข้ า งนอกจะ
โหวกเหวกแค่ไหน แต่คนที่คิดจะมาสรงน้ำพระนั้น ทันทีที่เดิน
เข้ามาภายในวัด เพียงพริบตาท่ าทีพลันแปรเปลี ่ยนเป็ น สงบ
เสงี่ยม สีหน้าทั้งสงบทั้งเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววบรรลุสัจธรรม
บางสิ่ง หรืออย่างน้อยสิ่งที่สงสัยอยู่ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ใบหน้า
แต่ละคนปรากฏเพียงความผ่อนคลายผ่องใสอิ่มเอิบใจ
ตอนที่ 110 : ภารกิจธูปร้อยดอกเสร็จสิ้น
“แปลกแฮะ ตอนที่ไปวัดป๋ายอวิ๋น คนที่มาวัดยังไม่เป็นแบบนี้เลย
หรือวัดนิ้วเดียวกลายเป็นรังปีศาจไปแล้วหว่า ?” เถียนหมิงลอบ
พึมพำกับตัวเอง ขณะที่เดินไปตักน้ำปรุงหอม ฉับพลันก็มีกลิ่น
หอมสดชื่นตลบขึ้นมา ทำให้จิตใจปลอดโปร่งยิ่ง
‘กลิ่นสุดยอดเลย ทำเอาสดชื่น เลยแฮะ เดี๋ยวคงต้องขอฟางเจิ้ ง
เอากลั บ บ้ า นบ้ า งแล้ ว แหละ’ ยามคิ ด เขาก็ ส รงน้ ำ ปรุ ง ใส่
พระพุทธรูปไปด้วย ตอนนั้นเอง!
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว! “นะโม อมิตตาพุทธ!” เสียงพุทธ
องค์ดังกึกก้องในหู ทำเอาดวงจิตสั่นไหว ประดุจสดับเสียงแว่ว
อสุ น ี บ าต! จากนั ้ น ก็ ม ี ภ าพความทรงจำในอดี ต ฉายแล่ น ใน
นัยน์ตา เขาเห็นภาพยามโดนกลั่นแกล้งเพราะตัวเองยากจน เขา
เห็นภาพมารดาตัวเองอ้อนวอนขอจ่ายเงินค่าเทอมทีหลัง เขาเห็น
ภาพยามตัวเองกินหมั่นโถวตอนอ่านหนังสือจนดึกที่มหาวิทยาลัย
เห็นภาพยามตนเองลุยฝนไปส่งเอกสารให้ลูกค้า......ภาพเหล่านั้น
ล้วนฉายชัด ก่อนจะสลายตามเสียงองค์พุทธะที่มลายหายไปตาม
สายลม!
สิ่งที่เขากลบซ่อนเอาไว้ในจิตใจชั้นแล้วชั้นเล่าล้วนถูกขุดคุ้ย
ออกมา!
เขาเห็นตัวเองตอนเด็ก พ่อของเขาถือไม้ฟาดใส่ ปากก็สั่งสอนไป
ด้วย “เกิดเป็นมนุษย์ เท้าต้องติดดิน[1] ริอาจไปขโมยของได้
ยังไง? ไปขโมยเงินคนอื่นแล้วจะกล้าพูดว่าตัวเองมีจิตสำนึกอยู่อีก
เหรอ? ถึงพวกเราจะจน แต่จิตใจต้องไม่จน!”
เถียนหมิงเห็นภาพครูของตัวเองนำเงินส่วนตัวมาจ่ายค่าเทอมให้
เขา “ฉันจะไม่ให้ครอบครัวเธอจ่ายหรอก ฉันอยากให้เธอตั้งใจ
เรียนก็พอ”
เขาเห็นภาพตัวเองได้รับผ้าขนหนูมาเช็ดหัว รวมไปถึงน้ำอุ่น ๆ
หลังจากรีบเร่งไปที่บ้านลูกค้า
เขาเห็นภาพภรรยาตนเองช่วยล้างเท้าและเช็ดตัวให้หลังจาก
กลับมาบ้าน
เขาเห็นภาพตัวเองกลับมาบ้านเกิดแล้วเห็นบิดามารดามีผมสี
ดอกเลา!
และ...คำสอนสุดท้ายที่ครูของเขาบอกก่อนจะจากไปเพราะโรค
ชรา “เจ้าหนู เงินตราไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด คนต่างหากจึงจะ
สำคัญ ดังนั้นชีวิตคนเรา จึงไม่ควรเอาเงินมาเป็นภาระ......”
ฟุบ!
เถียนหมิงคุกเข่าลงตรงประตูวัด ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา!
พอเหลียงอวี่เห็นแบบนี้ก็ตกใจกลัว รีบถลาเข้าไปกอดเขาไว้ “ที่
รัก ที่รัก เกิดอะไรขึ้น!? อย่าทำให้ฉันกลัวสิ ฉันผิดเอง จะไม่ทำ
แบบนั้นอีกแล้ว!”
พวกชาวบ้านต่างชะงักไปนิดหน่อย พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไร
ขึ้นกันแน่
ส่วนฟางเจิ้งที่เห็นเป็นแบบนี้ คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามา
เขาพนมมือขณะที่พูดด้วยเสียงดังก้อง “อามิตตาพุทธ ประสกได้
สำนึกความผิดพลาดของตนเอง และหวนกลับเข้าหาหนทางที่
ถูกต้องแล้วจริง ๆ”
เสียงฟางเจิ้งดุจทะลุทะลวงเข้ากลางใจ
เสียงดังสนั่น ปลุกให้เถียนหมิงตื่นจากภวังค์!
พ่อกับแม่ของเถียนหมิงต่างรีบรุดมาหา ก่อนที่พวกเขาจะได้พูด
อะไร เถียนหมิงก็ผละออกจากเหลียงอวี่ มาคุกเข่าคำนับเบื้อง
หน้าบิดามารดาตนสามครั้งทันที “พ่อ แม่ ผมผิดไปแล้ว! ต่อไป
ไม่ว่าผมจะยุ่งแค่ไหน ก็ จะกลับมาเยี่ยมพวกท่านทุกปี ให้ได้! เงิน
ไม่ใช่ทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว!!!”
จากนั้นเถียนหมิงก็กุมมือเหลียงอวี่ไว้แน่น “เสียวอวี่ ฉันผิดเอง!”
พอเหลียงอวี่ฟังคำพูดจบ เธอก็สะอึกสะอื้นโผเข้ากอดเถียนหมิง
แน่น “ฉันก็ผิดเหมือนกันแหละ!”
พอเถียนจู่กั๋วเห็นแบบนี้ ก็สับสนงุนงงสุด ๆ เขารีบเข้ามาถามฟาง
เจิ้ง “เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “สรงน้ำพระ มิใช่เรื่องเกี่ยวกับการสรงน้ำพระพุทธ
องค์เท่านั้น สรงน้ำองค์พุทธะฉันใด ย่อมสรงน้ำใส่ตัวเองฉันนั้น
เป็นสรงน้ำพระเพื่อชำระจิตใจตนเอง ดูเหมือนโยมท่านนี้จะรับรู้
ได้ถึงอะไรบางอย่าง ผลจึงเป็นเช่นนั้นแล”
เถียนจู่กั๋วมองฟางเจิ้งอย่างประหลาดใจ “จะ จะ......จริงเหรอ?”
เถียนหมิง “คุณปู่ จริงครับ ตอนที่ผมตักน้ำปรุงใส่พระพุทธรูป
กลิ่นหอมก็ลอยอบอวลท่วมท้นในจิตใจ ทำให้ผมนึกได้ว่าเรื่องที่
ทำเมื่อก่อนมันช่างเป็นบาปจริง ๆ ฟาง.....ท่านเจ้าอาวาส วัดท่าน
เจ๋งมาก! เยี่ยมกว่าวัดไหน ๆ ที่เคยไปมาเลย ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มา
ก่อน ผมขอเคารพจากใจจริงครับ!”
เถียนหมิงกุมมือเหลียงอวี่พลางหันมาชักชวน “ไปกันเถอะเสีย
วอวี่ ไปไหว้พระกัน”
เหลี ย งอวี ่ ต ะลึ ง “ไหว้ พ ระ? แต่ ข ้ า งในมี แ ต่ พ ระแม่ ก วนอิ ม
ประทานบุตรนะ นายไม่อยากมีลู—”
“ใครบอกกันว่าฉันไม่อยากมีลูก ? ฉันอยากมีหนึ่งคน! ไม่สิ สอง
คนเลย!” เถียนหมิงโพล่ง
“นะ...แน่นะ?” เหลี่ยงอวี่เอามือปิดปาก ถามอย่างตื่นเต้น
เถียนหมิงยิ้มกระอักกระอ่วน “ก่อนหน้านี้ฉันบ้างานเกินไป คิด
แต่ว่ามีลูกแล้วจะเป็นภาระ แค่เวลาจะพัก ผ่อนยังไม่มี ฉันจะไป
อยากมีลูกได้ไงเล่า? แต่ตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าชีวิตมนุษย์นั้น
ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อหมกหมุ่นของนอกกายอะไรพวกนั้น เพื่อเธอ
เพื่อพ่อกับแม่ แล้วก็เพื่อวงศ์ตระกูล อย่างน้อยบุรุษชาติก็ควร
เสียสละอะไรสักหน่อย”
พูดจบ เถียนหมิงก็พยายามดึงเหลียงอวี่ไป แต่ว่าเหลียงอวี่กลับ
ผละออกจากเถียนหมิงก่อน จากนั้นก็ไปพนมมือไว้พระพุทธรูป
ตรงประตูวัดเองทันที เสร็จแล้วก็โค้งเคารพ ตามด้วยสรงน้ำพระ
หลังจากสรงน้ำพระเสร็จสรรพ เหลียงอวี่สัมผัสได้ว่าหลายปมใน
ใจถูกคลี่คลาย สายตาของเธอที่มองเถียนหมิงพลันเปี่ยมไปด้วย
ความรักมากใคร่ยิ่งขึ้ น ทั้งคู่เดิ นกุมมืออย่า งแช่มชื่นเข้าวัดไป
ด้วยกัน
พอพวกชาวบ้านเห็นเป็นแบบนั้น ก็ตะโกนโหวกเหวกทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าเด็กเสี่ยวหมิงก็คิดได้แล้วเว้ย เหล่าเถียน เหมือน
นายจะโชคดีแล้วนะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ใบหน้าของพ่อเถียนหมิงอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความ
ยินดี เขาเฝ้ารอวันนี้มานานจริ ง ๆ ในที่สุดบุตรชายของเขาก็
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง สำคัญสุดคือเขาจะมีหลานให้อุ้มแล้ว!!!

【ติ้ง! ยินดีด้วย เถียนหมิงได้กลับตัวกลับใจแล้ว ทำให้วงศ์


ตระกูลสามารถสืบต่อไปได้】
ฟางเจิ้งหัวเราะหึหึ ‘มีรางวัลหมุนเสี่ยงโชคมะ?’

【ท่านคิดมากไปแล้วตักโจ๊กล่าปาต่อไปแล้วเลิกคิดเพ้อเจ้อ】
ฟางเจิ้งส่ายหัว ก่อนหันไปตักโจ๊กล่าปาให้คนที่มาขอต่อ หนึ่งคน
หนึ่งชาม เป็นสัดส่วนที่ดียิ่ง
ส่วนหวังโย่วกุ้ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้น กำลังเจอปัญหาใหญ่ ทุกคน
ต่างคิดว่าวันนี้เป็นเช่นวันธรรมดา ๆ เลยไม่ได้เอาอะไรดี ๆ ขึ้น
เขามา และส่วนใหญ่ก็เอาแต่ถ้วยชามเล็ก ๆ มากันทั้ง นั้น ถ้า
ไม่ได้กินโจ๊กเข้าไปคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอกินปุ๊ บ ก็อับจน
หนทางกันสุด ๆ!—ฟางเจิ้งไม่ให้ชามที่สอง!
ดังนั้นในฐานะเจ้าของอ่าง เขาเลยกลายเป็นผู้ถูกแบ่งข้าวทันที
กลุ่มคนมาประจบประแจงกันยกใหญ่ บ้างขอแลกเปลี่ยนบุหรี่กับ
โจ๊กในอ่าง
ทว่าหวังโย่วกุ้ยกลับรักษาอ่างนั้นเท่าชีวิต ตอบปัดทุกคนไปหมด
ทำเอาทุกคนบ่นกันระงม
หลังจากนั้นสักพักทางเถียนหมิงกับเหลียงอวี่ เธอก็นำโจ๊กที่
เหลืองครึ่งชามให้เถียนหมิง “เอาไหม?”
“อืม!” เถียนหมิงยิ้มรับ ก่อนจะตักเข้าปาก จากนั้นก็ชมรสชาติ
เสียยกใหญ่ ถึงกับยกชามกินจนหมดในคำเดียว เขากล่า วชื่นชม
ไม่หยุด น่าเสียดาย ถึงอยากจะกินอีก ก็คงไปขอเพิ่มไม่ได้แล้ว
ฟางเจิ้งมีแผนจะนำสวดมนต์ แต่พอคิดถึงทักษะตัวเองแล้ว ก็ได้
แต่ล้มเลิกความคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจัดพิธีสรงน้ำพระ จึงไม่ได้
เตรียมอะไรไว้เลย คงต้องปล่อยไว้เป็นคราวหน้า
ทุกคนต่างมาหาเรื่องสนุก ๆ ทำ หลังจากกินโจ๊กล่าปา ร่างกาย
พลันอบอุ่นกันถ้วนหน้า จึงพากันเข้ าไปจุดธูปไหว้พระ แม้ไม่มี
ความคิดจะขอบุตรก็ตามที และถึงส่วนใหญ่ที่ถูกจุดจะเป็นธูป
ธรรมดา แต่ฟางเจิ้งยินดีได้ไม่ต่างกัน!
เพราะว่า......

【ติ้ง! ภารกิจธูปร้อยดอกสำเร็จเสร็จสิ้น ท่านสามารถรับกล่อง


ทำบุญ ต้องการรับเลยหรือไม่?】
“ไม่ใช่ตอนนี้เฟ้ย” ฟางเจิ้งรี บตอบปฏิเสธทันควัน ตลกเหรอ
เกิดตอบตกลง แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีกล่องทำบุญโผล่มาในห้องโถงวัด
ต่อให้มีสิบปากก็อธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้แหง
ฟางเจิ้งกินโจ๊กที่เหลืออีกสองชาม จากนั้นตักแบ่งให้เจ้าหมาป่า
กับเจ้ากระรอก ก่อนหันไปหยิบไม้กวาดแล้วพาเจ้าสองตัวนั้นไป
จัดการทำความสะอาดกัน
คนมาก็มาก อีกทั้งฟางเจิ้งยังคิดว่าทุกคนจะทำตามกฎวัดที่ว่า
ห้ามทิ้งขยะตามใจ ถึงอย่างนั้น การทำความสะอาดก็ขาดไม่ได้
อยู่ดี

[1] เท้าติดดิน (脚踏实地) หมายถึง ทำอะไรมีหลักการ เถร


ตรง มีคุณธรรม ไม่เฉไฉสับปลับ
ตอนที่ 111 : จิตพะวงทางโลกไม่เลือนหาย
สิ่งที่ทำให้ฟางเจิ้งยินดีคื อ จิตใจทุกคนหลังสรงน้ำพระพุทธรูป
ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยามเข้าวัดมาก็เปี่ยมไป
ด้วยความเคารพยำเกรง ดังนั้นจึงไม่มีใครทิ้ งขยะแม้แต่น้อย วัด
ยังคงสะอาดเอี่ยมเฉกเช่นเดิม
หลังจากทำความสะอาดเสร็จ ฟางเจิ้งก็ไปหาบน้ำมาเติมลงในโอ่ง
แค่นั้นก็หมดวันเสียแล้ว เขาเฝ้าดูพระอาทิตย์ตกลับไปพลางกิน
โจ๊กล่าปาคำสุดท้าย แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ฟางเจิ้งเดินเข้ามาที่ห้องโถงวัดอย่างยินดี แล้วพูด “ระบบ ขอรับ
กล่องทำบุญ!”
วิ้ง! ลำแสงสีเหลืองกะพริบวาบ ก่อนกล่องทำบุญจะปรากฏขึ้นมา
เบื้องหน้าเบาะรองนั่งในห้องโถงวัด บนกล่องเขียนคำว่า ‘บุญ’
ไว้
กล่องทำบุญนี้เหมือนจะทำมาจากไม้ แต่พอฟางเจิ้งเอามือไป
ลูบๆ กลับให้ความรู้สึกเหมือนจับน้ำแข็ง ทว่าไม่ได้ให้ความรู้ สึก
หนาวเย็นเลย อีกทั้งค่อ นข้างจะเป็นการสัมผัสที่ดีทีเดียว ส่วน
ข้างบนกล่องมีช่องเล็ก ๆ ไว้สำหรับหยอดเงินบริจาค
“ในที่สุดฉันก็มีกล่องทำบุญสักที ไม่ต้องไปนั่งไล่หาตามพื้นอีก
แล้ว อ๊ะ เกือบลืม! วันนี้ต้องมีเงินบริจาคบ้างสิเนอะ” ฟางเจิ้งรีบ
ค้นไปทั่วทันที ก่อนเขาจะเห็น...กองเงินบนโต๊ะไหว้ที่ค่อนข้าง
เยอะ! มีทั้งหยวนเดียว มีเหมา มีเงินสิบหยวน แล้วยังมีธนบัตร
ร้อยหยวนอีกด้วย[1]! แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาสุด ๆ คือปึกเงินที่อยู่
บนโต๊ะต่างหาก!
ฟางเจิ้งรีบหยิบขึ้นมานับทันที เบ็ดเสร็จแล้วเป็นเงินทั้งหมดสอง
พันหยวน! แถมยังมีใบเสร็จปะปนมาด้วย ดูท่าแล้ว คนผู้นี้คงเอา
เงินออกมาหมดกระเป๋าเป็นแน่แท้!
ฟางเจิ้งถูจมูก คิดว่าคนผู้นี้คงเป็นใครไม่ได้นอกจากเถียนหมิง
“คนดีควรได้รับสิ่งดี ๆ จริงด้วย ใช่ล่ะ อาตมาก็เป็นคนดีเช่นกัน
อามิตตาพุทธ” หลังจากร่ายพระพุทธมนต์เสร็จ ฟางเจิ้งก็เดิน
ออกมาจากห้องโถงวัด ก่อนจะกวั กมือเรียกเจ้าหมาป่ากับเจ้า
กระรอก “ไปเล่นกัน!”
ขณะเดียวกัน ที่หมู่บ้านหงเหยียนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนิ้ว
เดียวนัก บนเขาเล็ก ๆ ที่ไม่สูงมาก ฝั่งหนึ่งเป็นเขาฝั่งหนึ่งเป็น
แม่น้ำ ก่อเกิดเป็นทิวทัศน์อันสวยงาม มีถนนลูกรังเส้นหนึ่งตัด
ตรงไปถึงยอดเขา โดยบนยอดมีวัดขนาดเล็กที่มีนามว่า ‘วัดหงเห
ยียน’
“เป็นไปได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง? ศิษยานุศิษย์ของวัดหงเหยียน
โดนวัดเล็ก ๆ นั้นขโมยไปได้ยังไง?! เฉินจิน ฉันบอกไว้เลยนะว่า
ฉันจะเป็นเจ้าอาวาสคนต่อไปได้หรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ แต่
นายกลั บ ทำภารกิ จ ไม่ ส ำเร็ จ เสี ย ได้ ช่ า งเถอะ เลิ ก พู ด แล้ ว
มิตรภาพของเราจบแค่นี้แหละ!” พระหัวล้านรูปหนึ่งตะโกนลั่น
อย่างหัวเสียก่อนจะวางสายไป
ตอนนั้นเอง มีพระวัยกลางคนรูปหนึ่งเดินเข้ามา “อามิตตาพุทธ
ศิษย์น้องอู้หมิง ท่านเจ้าอาวาสเรียกให้ไปรวมตัว”
“ทราบแล้วศิษย์พี่ อาตมาจะไปเดี๋ยวนี้” ใบหน้าอันดุร้ายของอู้ห
มิงแปรเปลี่ยนเป็นสงบเมตตาทันที
“ศิษย์พี่ ท่านทราบหรือเปล่าว่าท่านเจ้าอาวาสเรียกพวกเราไป
ทำไม?” อู้หมิงถามระหว่างทาง
อู้ซินถอนหายใจ “หลายปีมานี้ ถึงพิธีสรงน้ำพระของเราจะเทียบ
กับวัดใหญ่ ๆ ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีคนมาไม่ต่ำกว่า พัน แต่ปีนี้
คนกลับลดลงไปมาก เงินบริจาคที่ได้รับเทียบกับปีก่อน ๆ ไม่ได้
เลย เจ้าอาวาสจึงต้องการถามไถ่น่ะ”
พออู้หมิงได้ยินแบบนั้นพลันหน้าซีด เขาเป็นคนอาสาจัดการพิธี
สรงน้ำพระเอง แต่เรื่องกลับเป็นเช่นนี้เสียได้ หัวใจของเขาถึงกับ
หยุดเต้นไปชั่วขณะ—เขาต้องเจอปัญหาใหญ่แล้วแน่ ๆ!
หลังจากเดินผ่านบรรดาห้องหับและหอต่าง ๆ พวกเขาก็มาถึง
ลานโล่ง ๆ ในที่สุด ที่แห่งนั้นมีพระกว่ายี่สิบรูปกำลังนั่งอยู่บนพื้น
โดยมี พ ระชราในกาสายะสี แ ดงนั ่ ง อยู ่ เ บื ้ อ งหน้ า ในมื อ ถื อ
ลูกประคำไว้ ดูเหมือนกำลังนั่งสมาธิอยู่
พออู้หมิงกับอู้ซินนั่งได้สักพัก พระชรารูปนั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ตอนนี้เองที่พระรูปหนึ่งยืนขึ้น “ท่านเจ้าอาวาส คนที่มาเข้าร่วม
พิธีสรงน้ำพระของปีนี้ลดลงเยอะมาก เงินบริจาคก็เทียบกับปี
ก่อน ๆ ไม่ได้เลย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ”
“พิธีนี้ ในอดีตศิษย์พี่อู้ซินล้วนเป็นผู้จัดการ แต่ปีนี้กลับเป็นอู้หมิง
ที่มั่นใจในความสามารถตนเองมากจนยืนกรานจะเป็นผู้จัดเอง
และตอนนี้...ก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว” พระอีกรูปแค่นเสียงเย้ยหยัน
อู้หมิงหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก
ทว่าอู้หมิงก็ไม่ยอมอยู่เฉย เขารีบยืนขึ้นแล้วพูด “ท่านเจ้าอาวาส
เรื่องพวกนี้เป็นความผิดของอาตมาเอง แต่ว่าก็ไม่ใช่ความผิดของ
อาตมาเสียหมด ปีนี้วัดนิ้ วเดียวที่น่าจะล่มไปนานแล้วอยู่ดี ๆ
กลับฟื้นตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยมีเณรรูปหนึ่งสืบทอดบาตร
และจีวรจากพระอีจื่อ แล้วเป็นผู้จัดการวัดต่อ เณรรูปนั้นเป็นคน
จากหมู่บ้านนิ้วเดียว และเป็นเด็กที่โตจากในหมู่บ้าน พอปีนี้เขา
คิ ด จะจั ด พิ ธ ี ส รงน้ ำ พระ พวกชาวบ้ า นที ่ เ ป็ น ทั้ ง คนสนิ ท สนม
ใกล้ชิดและเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ย่อมต้องเข้าร่วมเพื่อสนับสนุนเขา
อยู่แล้ว อีกทั้งหัวหน้าหมู่บ้านยังเป็นตัวตั้งตัวตีอีกด้วย”
ศิษยานุศิษย์ของวัดหงเหยียนส่วนใหญ่เป็นคนจากหมู่บ้านหงเห
ยียน หมู่บ้านนิ้วเดียว แล้วก็หมู่บ้านหงอิง พอหายไปหมู่บ้านหนึ่ง
คนย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา
“นั่นคงไม่ใช่เหตุผลกระมัง พวกเรารู้สถานการณ์วัดนิ้วเดียวดี
ตอนพระอีจื่อยังอยู่ คงเรียกว่าวัดได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ ก็ล่ม
สลายไปแล้ว ที่แห่งนั้นจะจัดพิธีสรงน้ำพระได้เช่นไร? แค่โจ๊กล่า
ปาก็คงจ่ายไม่ไหวแล้วมิใช่หรือ?” มีผู้พูดขึ้นมา
อู้หมิงก็สงสัยอยู่เช่นกัน วัดจน ๆ แบบนั้นจะจัดพิธีสรงน้ำพระได้
ยังไงกัน? ตอนที่เขาอาสาจะจัดพิธีสรงน้ำพระ ก็คิดถึงวัดนิ้วเดียว
อยู่หรอก แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะทั้งเล็ก ทั้งอยู่ช่วงขา
ลง อัตคัดยิ่ง ขอยอมตายดีกว่าจะยอมรับว่าวัดนิ้วเดียวจะสร้า ง
ปัญหาได้ ทว่าท้ายที่สุด กลับเป็นวัดนิ้วเดียวจริง ๆ นี่แหละที่เป็น
ตัวปัญหา ทำเอาเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“อามิตตาพุทธ” ตอนนั้นเองพระชรารูปนั้นก็เอ่ยปาก ทุกคน
พลันเงียบสงบลง
พระอาจารย์หงเหยียนมองไปที่อู้หมิงแล้วถาม “วัดนิ้วเดี ยวมีผู้
สืบทอดแล้วเช่นนั้นหรือ?”
อู้หมิงไม่เข้าใจว่าพระอาจารย์หงเหยียนต้องการสื่ออะไร จึงพยัก
หน้า “ใช่ครับ เป็นเณรน้อยผู้หนึ่ง นามว่าฟางเจิ้ง”
“อามิตตาพุทธ ดีแล้ว ดีแล้ว ธรรมปฏิบัติของพระอาจารย์อีจื่อ
สูงส่งยิ่ง ฝึกที่ใจใช่ที่กาย ตอนนี้มีผู้สืบทอด ย่อมเป็ นเรื่องดียิ่ง ใย
พวกเจ้าต้องมีจิตขุ่นมั่วด้วย? ฟางเจิ้ง......หลายปีที่แล้ว เด็กผู้นั้น
เคยมาที่วัดหงเหยียน อาตมาก็เคยพบเช่นกัน เป็นเด็กที่ฉลาดไม่
เลว”
บรรดาพระทุกรูปต่างคิดว่ าพระอาจารย์หงเหยียนจะมีโทสะเสีย
อีก แต่กลับหัวเราะออกมาแทนเสียนี่ ทำเอาพวกเขามองหน้า
กันเองด้วยความสับสน เงินบริ จาคน้อยลง จะเป็นเรื่องดีได้ ยังไง
กัน?
ตอนนั้นเองอู้ซินก็ถามขึ้นมา “ดูเหมือนท่านเจ้าอาวาสจะเคยพบ
เขาครั้งหนึ่ง คงต้องเรียกว่าโชคชะตาสินะครับ”
เจ้าอาวาสวัดหงเหยียนพยักหน้า ก่อนจะหัวเราะ
“หลายปีมาแล้ว อาตมาได้เคยพิจารณาฟางเจิ้ง ดวงตาของเด็ก
คนนั้นเปี่ยมไปด้วยความดื้อดึงดุจลิงน้อยแสนซุ กซน อาตมา
กล่าวกับพระอาจารย์อีจื่อว่า ‘ฟางเจิ้งไม่เหมาะกับการออกบวช
ไม่มีชะตาในทางธรรม’ แต่พระอาจารย์อีจื่อกลับกล่าวว่าเขามี
ชะตาในทางธรรมอย่างยิ่ง ดูท่า อาตมาจะคิดผิดไปเสียแล้ว เจ้า
หนูนั่นได้ฟื้นฟูวัดนิ้วเดียวแล้ว ถือเป็นเรื่องน่าสรรเสริญยิ่ง”
“ท่านเจ้าอาวาสครับ แต่เขาดึงศิษยานุศิษย์กับเงินบริจาคเราไป
นะครับ” อู้หมิงท้วง
เจ้าอาวาสหงเหยียนส่ายศีรษะ “เงินบริจาคล้วนเพื่ อพระพุทธ
องค์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ ? พิธีสรงน้ำพระจัดขึ้น มิใช่
เพื่อทำให้คนผู้หนึ่งดูดี แต่เป็นการชำระจิตและใจของตนเอง การ
สรงน้ ำ พระที่ ว ั ด นิ ้ ว เดี ย วหรื อ สรงน้ ำ พระที ่ ว ั ด หงเหยี ย นจะ
แตกต่างกันเช่นไร? อู้หมิง เจ้ากระหายอยากจะโดดเด่นกว่าผู้อื่น
เกินไป ต่อไปจง—ลด—ละ—เลิก จิตใจอันโลภโมโทสันเสีย!”
พูดจบ พระอาจารย์หงเหยียนก็ยืนขึ้น “เช่นนั้น เรื่ องก็จบแล้ว
วันนี้ ที่อาตมาเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกัน ก็เพื่อคุยเรื่องพิธีต่าง ๆ
หลังปีใหม่......”
อู้หมิงฟังที่พระอาจารย์หงเหยียนพูดต่อไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
ใบหน้ า ของเขาร้ อ นฉ่ า ทั ้ ง อั บ อายทั ้ ง โมโห! เขาเป็ น ศิ ษ ย์ ค น
สุดท้ายในรุ่น ‘อู้’ ของวัดหงเหยียน ถ้าเขาทำได้ดี ล่ะก็ โอกาสที่
จะได้รับสืบทอดวัดต่อจากพระอาจารย์หงเหยียนนั้นสูงยิ่ง! วัด
หงเหยียนคืออะไรน่ะเหรอ? ถึงจะเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ แต่แค่คิดถึง
เงินบริจาคเงินสนับสนุนจากรั ฐบาล แล้วก็ของบริจาคอื่น ๆ แค่
นั้นก็ทำเอาอู้หมิงตาแดงฉานแล้ว!

[1] 1 หยวน(元)เท่ากับ 10 เจี่ยว/เหมา(角/毛)

1 เจี่ยว/เหมา (角/毛) เท่ากับ 10 เฟิน (分)


*เงินในรูปแบบของเหรียญ จะมี 1 หยวน , 1, 2, 5 เจี่ยว/เหมา ,
1, 2, 5 เฟิน
*เงินในรูปแบบของธนบัตร จะมี 1, 2, 5 เจี่ยว/เหมา และหยวน
10, 20, 50 และ100 หยวน
ตอนที่ 112 : ปาฏิหาริย์แห่งโจ๊ก
น่ า เสี ยดายเงิน ที่ ไ ด้ม านั้ น กลั บแทบไม่เ หลือหลอ เพราะพระ
อาจารย์หงเหยียนจะเก็บเงินสวนหนึ่งเป็นค่าทะนุบำรุงวัด ส่วนที่
เหลื อ ก็ จ ะส่ ง ไปให้ ค นในหมู ่ บ ้า นไว้ ใช้ เ ป็ น ส่ วนรวม หรื อ ไม่ก็
บริจาคไปที่อื่น จึงทำให้วัดหงเหยียนไม่อาจขยับขยายต่อได้
เรื่องพวกนี้ อู้หมิงก็ไม่เข้าใจเจ้าอาวาสวัดหงเหยียนเช่นกัน! จาก
มุ ม มองของเขา เงิ น ส่ ว นนั ้ น สามารถเอามาขยายวั ด ได้ อ ย่ า ง
ง่ายดาย กระทั่งย้ายไปยังภูเขาที่ใหญ่กว่า สูงกว่า มีทิวทัศน์
สวยงามกว่าก็ไม่ใช่เรื่องยาก! หากมีเงินนั่นล่ะก็ ในไม่กี่ปี เขา
มั่นใจว่าจะพัฒนาวัดหงเหยียนเป็นวัดขนาดใหญ่ได้ เพี ยงแค่สิบปี
เขาก็จะไล่ตามวัดป๋ายอวิ๋นทัน!
อู้หมิงไม่เห็นด้วยกับวิถีทางอันยากจนของบรรพชิตที่พระอาจารย์
หงเหยียนปฏิบัติอยู่ ในมุมมองของเขา ชื่อเสียงของวัดนั้นต่างไป
จากชื่อเสียงทางศาสนา เขาอยากทิ้งเรื่องราวของตัวเองไว้ใน
ประวัติศาสตร์ เขาอยากเป็นเฉกเช่นพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น ที่ไม่
ว่าใคร ๆ ก็รู้จัก!
พระอาจารย์เชื่อว่า มีธรรมปฏิบัติ ผลสำเร็จย่อมนำพา
ทว่าอู้หมิงเชื่อว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับเงินตรา ขอเพียงมีเงิน
วัดก็ใหญ่ขึ้นได้ พอวัดใหญ่ขึ้นแล้ว ธรรมปฏิบัติก็ล้วนไม่สำคัญ
เขาจะปวารณาตั ว เองเป็ น เจ้ า อาวาส และทิ ้ ง ชื ่ อ ตั ว เองไว้ ใ น
ประวัติศาสตร์ให้ได้!
ดังนั้นถึงอู้หมิงจะนับถือพระอาจารย์หงเหยียนมาก แต่เขาก็ไม่
พอใจอย่างยิ่งเช่นกัน เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่ง การ
ถูกตำหนิต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ย่อมทำให้เขาไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่
กล้าจะไปถกเถียงอะไรพระอาจารย์หงเหยี ยน ตอนนี้จึงได้เท
ความโกรธเกรี้ยวไปยังฟางเจิ้งที่ทำให้เขาขายหน้า!
“เณรน้อย คอยดูเถอะ อีกไม่นานฉันจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้
แก!” อู้หมิงเกิดความคิดชั่วร้ายในใจ แต่ใบหน้ากลับยังคงเปี่ยม
ไปด้วยความสงบนิ่ง

【ติ้ง! ส่งภารกิจที่สี่ มีชื่อเสียงเล็กน้อย : จงได้รับ และดำรง


ชื่อเสียงในพื้นที่มากว่า 50% ผลสำเร็จปัจจุบันคือ 20% หลังจาก
ภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลแบบสุ่ม】
“เอ๋? ระบบ ไม่ใช่ว่าฉันมีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้วเหรอ? ทำไมถึงมี
ภารกิ จ โผล่ ม าอี ก แล้ ว ล่ ะ ?” ถ้ า ฟางเจิ ้ ง จำไม่ ผ ิ ด เพราะการ
ประลองลิปิศิลป์ เขาเลยมีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้ว
【ยามนั้นผลสำเร็จเพียงชั่วครู่ ชั่วคราว ในเมื่อเวลาผ่านมาเนิ่น
นาน ชื่อของวัดนิ้วเดียวย่อมถูกลืมเลือนไปจากใจผู้คน ถ้าท่านยัง
ไม่คิดหาหนทาง แม้กระทั่ง 20% นี้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ไปให้ถึง
50% นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ส่วนที่ยากที่สุดคือการดำรง 50%
นั้นไว้ต่างหาก สู้ ๆ ระบบหวังกับท่านอยู่】
“เหอ ๆ หวังกับฉันเหรอ? ขนาดฉันยังไม่หวังกับตัวเองเลย นาย
อยากให้ฉันไปหาเรื่องประลองกับคนอื่นอีกเหรอไง? ช่างเถอะ
ปัญหาเยอะเกิน! ปล่อยไปตามโชคชะตาล่ะกัน” ฟางเจิ้งส่ายหัว
ขี้เกียจคิดแล้วเฟ้ย
พูดจบก็พาเจ้าหมาป่าไปเดินเล่น พอกลั บมาถึงวัด ก็อาบน้ำเข้า
นอน
แต่ยังมีคนผู้หนึ่งที่นอนไม่หลับ เฉินจินนั่นเอง!
“ฮ่าฮ่า......”
“ทำไมร้อนจังเลย!?”
“ฉันก็รู้สึกร้อน ๆ เหมือนกัน! แต่ว่ารู้สึกดีมากเลยล่ะ สมองก็
ปลอดโปร่งสุด ๆ ......แต่ว่านอนไม่หลับเลยแฮะ!”
“ข้อฉันอุ่นจังเลย”
“หลังฉันอุ่นจังเลย”
“หัวใจฉันอุ่นจังเลย”
“ปอดฉันอุ่นจังเลย”
เฉินจินนอนกลิ้งไปกลิ้งมา เพราะเสียงข้างนอกทำให้นอนไม่หลับ
ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาตะโกนลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว
“ทำไมพวกนายนอนดึกแบบนี้เนี่ย ?!!! อะไร? กินโจ๊กไปสองชาม
จนอิ่มเกินไปหรือไง?”
“เฉินจิน ถ้านายนอนไม่หลับ ก็มาคุยกับพวกเราข้างนอกนี่มา จะ
ไปหลบอยู่ในบ้านทำไม? บอกเลยนะว่า โจ๊กล่าปานั่น......อื้มม
หอมแบบโคตร ๆ!” เสียงเจ้าลูกหมาซ่งดังขึ้นมา
“เลิกตอแห*เหอะ แค่โจ๊กล่าปา มันจะอร่อยแค่ไหนกันเชียว?!”
เฉินจินร้องตะโกน
“ฮี่ฮี่ ไม่เชื่อฉันเหรอ? งั้นไปถามคนอื่นสิ คนที่ไปกิน ไม่มีใครกล้า
บอกว่าไม่อร่อย!” เจ้าลูกหมาซ่งตะโกนกลับไป
“เป็นเรื่องจริง! เจ้าลูกหมาซ่งไม่ได้โกหกนะเฉินจิน! รสชาติมัน
แบบว่า อร่อยเลิศสุด ๆ ไปเลย! ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยกินโจ๊ก
ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน! ไม่สิ ไม่มีอาหารไหนอร่อยเท่าโจ๊กนั่น
เลย!” มีชาวบ้านอีกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา
เฉินจินพูด “ไม่เชื่อเฟ้ย! นายเคยกินอาหารอร่อย ๆ มาเยอะแค่
ไหนกันเชียวฟะ? ปลาไม่กี่ตัวที่นายตกมาจากแม่น้ำก็อยู่ได้จนถึง
ปีใหม่แล้ว! แต่ฟางเจิ้งแค่จะกินของตัวเองยังแทบไม่มี ยังจะอุตริ
มาแจกโจ๊กล่าปาได้อีกเหรอ? พูดมั่วซั่วฉิบ!”
“เฮ้! นายยังไม่เชื่ออีกเหรอ? ช่างเหอะ! ยังไงแค่พวกเราก็กินกัน
จนอิ่มหนำสำราญก็พอใจแล้ว ไปนอนแล้ว คิดถึงปลาที่ตกมา
ต่อไปเหอะ!” เสียงจากอีกฝั่งตะโกนมา
จากนั้นชาวบ้านก็ไม่ตะโกนตอบโต้เฉินจินอีก แต่มาจับเข่าคุย
เรื่องที่ว่าทำไมตัวเองถึงร้อนวูบวาบเช่นนี้แทน
เฉินจินนอนกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ว่าอย่างไรก็หลับไม่ลงสั กที กว่าจะ
ข่มตาหลับได้ก็ปาไปดึกดื่นค่อนคืนแล้ว...
วันต่อมา ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้น ณ ขอบฟ้า
“เฮ้? ตาแก่! ตาแก่! เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?! หลับไปคืนเดียวทำไม
ร่างกายฉันเบาขนาดนี้เนี่ย?”
หลู่เสียน ภรรยาของเถียนจู่กั๋ว ที่ตื่นมาตอนเช้ากำลังยืนอยู่บน
พื้นอย่างตกตะลึงอุทานขึ้นมา
เถียนจู่กั๋วที่ได้ยินก็เปิดตาเหลือบมองหลู่เสียนก่อนจะยิ้ม “ก็ได้ๆ
ป่วนอะไรแต่เช้ากัน บอกว่าร่างกายตัวเองบะ- เอ๋? เฮ้ย!!?”
เถียนจู่กั๋วตาเบิกโพลงเพราะรู้สึกได้ถึงอะไรแปลก ๆ ปกติถ้าตื่น
มาเวลานี้เขาจะต้องสะลืมสะลือแล้ว แต่วันนี้เขากลับสมองปลอด
โปร่งสุด ๆ! เขาเด้งตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะเหวี่ยงแขนไปมา ร่างกาย
ทั้งเบาทั้งผ่อนคลาย! เถียนจู่กั๋วอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ “เฮ้ จริง
ด้วย! สบายสุด ๆ เลย! อย่างกับเอาน้ำมันใส่เครื่องยนต์ฝืด ๆ ทั้ง
ลื่นทั้งสบายแน่ะ!”
“ตาแก่ คุณคิดว่าไง? พวกเราไม่ได้ไปทำอะไรสักหน่อยนี่ ทำไม
ถึงสภาพดีขนาดนี้กัน?” หลูเ่ สียนสับสนงุนงง
เถียนจู่กั๋วขมวดคิ้ว แล้วพูด “สองสามวันมานี้พวกเราก็ใช้ชีวิตไป
ตามปกติ ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากตอนที่ขึ้นเขาไปกินโจ๊ก
ล่าปา แล้วก็สรงน้ำพระด้วย ถ้าจะมีเหตุผลอะไร...ก็คงเป็นเรื่อง
พวกนั้นแหละ!”
“จะเป็นไรได้ด้วยเหรอ? แค่โจ๊กชามเดียว แล้วก็สรงน้ำพระจะทำ
ได้ขนาดนี้เชียว? แต่หลายปีมานี้พวกเราก็ขึ้นเขาไปกินโจ๊กล่าปา
กับสรงน้ำพระที่วัดหงเหยียนเหมือนกันนะ” หลู่เสียนว่า
เถียนจู่กั๋วส่ายหน้าก่อนจะพูด “อธิบายยากจริง ๆ เลยแฮะ เอา
เถอะ ไหน ๆ ก็รู้สึกดีก็ดีแล้ว ไปทำอาหารเช้าเถอะ ฉันจะออกไป
ดูพวกเพื่อนบ้านสักหน่อย อ่อ แล้วก็เรื่ องสภาพร่ายกายของคุณ
อย่าเพิ่งไปบอกคนอื่นนะ รอฉันดูอะไร ๆ ให้ดีก่อน”
เถียนจู่กั๋วแนะนำหลู่เสียน พลางรีบแต่งตัวเตรียมออกบ้าน
หลู่เสียนยิ้ม “ได้ เลิกพูดก็เลิกพูด คุณพูดอะไรฉันก็เชื่อหมด
แหละ โอเคเนอะ?”
เถียนจู่กั๋วหัวเราะก่อนจะเดินออกจากประตูไป
อีกห้องหนึ่ง
“ที่รัก ผม...ผมรู้สึกแปลก ๆ” เถียนหย่งสะกิดภรรยาก่อนจะบอก
“หืม? ฝันอยู่เหรอไง? ฝันว่ากำลังกินโจ๊กล่าปาอีกแล้วเหรอ?”
ภรรยาของเถียนหย่งหันมาถามแบบขวานผ่าซาก
เถียนหย่งพูด “ไม่ มันมะ เหมือนกั บว่า......ริดสีดวงฉันจะหาย
แล้วนะ”
“ฮะ? พูดว่าอะไรนะ?” ภรรยาของเถียนหย่งผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อน
จะแหวแกมขำ “ฝันอยู่เหรอ? ฝันเฟื่องจริง ๆ เลย” พูดถึงตรง
นี้สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป “เหมือนของฉันก็หายเหมือนกัน......”
ครอบครัวของหยางผิง......
“ที่รัก โรคน้ำกัดเท้าของฉันเหมือนจะหายไปแล้ว”
“เป็นไปได้ยังไง? เอ๋? จริงด้วย!”
เรื่องเช่นนี้ต่างเกิดขึ้นไปทั่ว ทำให้ทุกคนไม่อาจทนหลับได้ต่อไป
ต่างลุกออกมาจากเตียงกันทั้งนั้น
ผู้คนตื่นขึ้นแม้ไก่ยังไม่ขัน แต่กลับเป็นพวกมันที่ถูกมนุษย์ปลุกเสีย
ได้ จากนั้นพวกไก่ก็ขันด้วยอารมณ์ไม่พอใจจนสุดเสียง เป็นผลให้
พวกสุนัขทั้งหลายเห่าหอนตามเป็นทอด ๆ เหล่าทารกก็ต กใจ
กลัวจนร้องไห้โยเย ฉับพลันหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ก็กลับกลายเป็น
คึกคักวุ่นวาย
ตอนที่ 113 : เสียใจจนลำไส้เขียวคล้ำ[1]
“เจ้าพวกบ้านี่มันอะไรอีกแล้วเนี่ย ? ขอนอนแบบสงบ ๆ ไม่ได้
เรอะ?!” เฉินจินตวัดผ้าห่มออกแล้วผุดนั่ง ร้องโวยวายด้วยตา
แดงฉาน กว่าจะนอนหลับก็ลำบากมากแล้ว จะกลับไปหลับอีกก็
ยากเสียกว่า ไหนจะมีเสียงสิงสาราสัตว์ ไหนจะเสียงเด็กทารก
ร้องไห้โยเย ไหนจะเสียงหัวเราะของพวกผู้ใหญ่อีก แม่งจะหลับ
ลงได้ยังไงวะ?!!!
เฉินจินสัมผัสไปข้างกาย ก่อนจะรับรู้ถึงความว่างเปล่า พอหันไป
ดูก็ไม่เห็นภรรยาตัวเองนอนอยู่แล้ว จากนั้น เขาแว่วยินเสียง
ภรรยาดังมาจากข้างนอก
‘ไหงเธอตื่นไปหาเรื่องคุยแต่เช้าขนาดนี้เนี่ย?’ เฉินจินคิดอย่างไม่
สบอารมณ์
สุดท้ายเฉินจินที่ได้ยินเสียงเฮฮาข้างนอกก็ทนความสงสัยไม่ไหว
รีบร้อนใส่รองเท้าออกไปดู
ลานบ้านของหมู่บ้านเกษตรกรในแถบตะวันออกเฉียงเหนือนั้น
กว้างขวางมากและกำแพงไม่ได้สูงมากนัก อาจจะสั กหนึ่งเมตร
หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย ดังนั้นเฉินจินจึงเห็นทุกอย่าง เห็นผู้คน
กำลังตื่นเต้นยินดีราวกับเพิ่งถูกหวยมาอย่างไรอย่างนั้น
“เฉินจิน นายพลาดแบบสุด ๆ แล้วที่ไม่ยอมขึ้นเขาไปเมื่อวาน ฮ่า
ฮ่าฮ่า!” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งว่าพร้อมหัวเราะใส่
“ก็แค่โจ๊กล่าปาสองสามคำเองไม่ใช่เหรอไง? อร่อยมากแล้วไง
ล่ะ? กลิ่นหอมแค่ไหนก็กลายเป็นลมตดเหม็น ๆ เหมือนกันแหละ
น่า! จะน่าประทับใจแค่ไหนกันเชียว?” ถึงเฉินจินจะพูดแบบนั้น
แต่เขาก็รู้สึกเจ็บปวดเพราะความอิจฉาไม่น้อย สองสามคนพูด
เขายังไม่เชื่อหรอก แต่นี่ เล่นพูดกันทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ไม่เชื่อคง
ไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามยืนกรานไม่ยอมรับอย่างถือดี
“ฮี่ฮี่ มันไม่ใช่แค่โจ๊กหอม ๆ แค่นั้นน่ะสิ ฉันจะบอกอะไรให้นะ
โรคข้อเข่าฉันหายแล้วแน่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นเตะเท้าออกให้ดูอย่าง
ตื่นเต้น
“ไม่เชื่อหรอกโว้ย! แค่กินโจ๊กจะไปรักษาโรคได้ยังไง?!” เฉินจิน
ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด พอเขาเดินออกมาจากลานบ้านตัวเอง ก็
เห็นเถียนหย่งกับพรรคพวกกำลังเดินมาพอดี
เถียนหย่งถามทันที “วันนี้ทุกคนรู้สึกแปลก ๆ หรือเปล่า?”
“ใช่ ๆ โรคข้อเข่าฉันหายแล้ว!”
“โรคเอ็นอักเสบที่ไหล่ฉันหายไปแล้ว!”
“ปอดฉันรู้สึกโล่งสุด ๆ ไม่ไอแล้วด้วย!”
“ฉันก็ไม่ปวดหลังแล้ว ขาก็ไม่เจ็บแล้วด้วย มีแรงจนอุ้มหลานสาว
ตั ว เองได้ เ ชี ย วนะ!” ยายสู ง วั ย ท่ า นหนึ ่ ง ที ่ ผ มขาวโพลนไป
หมดแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
ทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่ ตอนนั้นเองที่เจ้าลูกหมาซ่งโผล่หน้ามา
เขาร้องตะโกนมาแต่ไกล “เฮ้! ตอนแรกคิดว่าฉันเป็นคนเดียว
เสียอีก ที่ไหนได้ทุกคนเป็นหมดเลย ฮี่ฮี่ มหัศจรรย์มาก โจ๊กล่าปา
สุดยอด ฮ่าฮ่า! เถียนหย่งเป็นไง? เกิดอะไรขึ้นกับนาย?”
เถียนหย่งหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันมีเรื่องดี ๆ เหมือนกัน
แหละ ไม่ต้องถามน่า”
“อย่าบอกนะ...ว่ามีปัญหาเรื่องนั้นน่ะ?” เจ้าลูกหมาซ่งส่งสายตา
กรุ้มกริ่มที่ทุกคนเข้าใจได้
เถียนหย่งรีบร้อนพูด “อะไร? มีอะไร?! โอเค ฉันไม่มีริดสีดวง
แล้ว โอเคไหม?! ถามจริง ๆ เถอะ เก้าในสิบก็มีปัญหานี้ทั้งนั้น
แหละ อย่าบอกนะว่านายไม่มี?”
“ฮี่ฮี่ ของฉันก็หายไปแล้วเหมือนกัน......” เจ้าลูกหมาซ่งหัวเราะ
คนที่เหลือล้วนหัวเราะไปตาม ๆ กัน ทุกคนเหมือนจะได้รับการ
รักษาอะไรบางอย่างกันหมด!
เห็นเป็นแบบนี้ เฉินจินพลันรู้สึกเหมือนตัวเองพลาดอะไรไปเสีย
แล้ว
ตอนนั้นเอง เถียนจู่กั๋วกับหวังโย่วกุ้ยต่างมาร่วมวงด้วย
เฉินจินรีบตะโกนฟ้อง “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเลขานุการ ในที่สุด
ก็มาสักที คนพวกนี้หาเรื่องผมแต่เช้าเลย! พูดอยู่ได้ว่ากินโจ๊ก
แล้วรักษาโรค รวมหัวกันกลั่นแกล้งผมชัด ๆ! ท่านต้องให้ความ
เป็นธรรมกับผมนะ!”
หวังโย่วกุ้ยหัวเราะลั่น “เฉินจิน เรื่องนี้ฉั นคงพูดอะไรมากไม่ได้
หรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะโจ๊กจริง หรือบางทีอาจจะไม่ได้
เป็นผลจากโจ๊กก็ได้ ทว่าเรื่องที่มีคนหายจากอาการเจ็บป่วยนี่
เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน คนไหนมีโรคก็หาย คนไหนไม่มีโรคก็
สบายดียิ่งขึ้น ดูลุงเถียนของนายสิ เดินเร็วกว่าฉันอีกแน่ะ”
เถียนจู่กั๋วหัวเราะยกใหญ่ “เฉินจิน ฉั นบอกแล้วว่าให้นายตาม
พวกเราขึ้นเขาไป เฮ้อ พลาดแล้วไง”
เฉินจินอาจจะไม่เชื่อคนอื่น ทว่ากับเถียนจู่กั๋วนั้นเขาไม่เชื่อไม่ได้
เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านไม่เคยโกหก! พอได้ยินแบบนี้เฉินจินก็ตก
ตะลึงไป โจ๊กล่าปามีฤทธิ์มหัศจรรย์ขนาดนี้เลยหรือ ? ปะ......
เป็นไปได้ยังไง?
ก่อนเฉินจินจะได้พูดอะไรต่อ ซูหง ภรรยาของเขาก็เข้ามาตบหัว
อย่างโมโห “ดูนายสิ! ดูความคิดต่ำ ๆ ของนาย! ฉันบอกแล้วว่า
อยากจะขึ้นเขาไป แต่นายก็ไม่ยอม ฉันอยากขึ้นไป นายก็ห้ามอยู่
ได้ ดูนายสิ.......เหอะ!!!”
พูดจบซูหงก็ฮึดฮัดจากไปทันที
เฉินจินวิ่งตามเธอไป “คุณจะไปไหนน่ะ?”
“ขึ้นเขา! ฉันจะไปดูว่าฟางเจิ้งมีโจ๊กเหลืออยู่หรือเปล่า ไม่สิ ฉัน
ต้องได้กิน! ไม่งั้นไม่ลงเขา!” ตอนซูหงพูด เธอก็เดินเร็วขึ้นไปอีก
เฉินจินเห็นแบบนั้นก็ตะโกนลั่น “กลับมานะ! จะขึ้นเขาไปคือ
อะไร? เมื่อวานพวกเราไม่ได้ไป แล้วจะไปวันนี้แทนให้ขายขี้หน้า
เนี่ยนะ?!”
“เฉินจิน ที่นายเป็นทุกข์ก็เพราะรักศักดิ์ศรีตัวเองมากไปนั่น
แหละ แต่ยังไงก็เถอะ ขึ้นเขาไปก็เท่านั้นแหละ ฟางเจิ้งบอกว่า
โจ๊กล่าปาจะแจกแค่วันเดียวเท่านั้น ไม่มีวันที่สองเด็ดขาด เจ้า
เด็กนั่นพระธรรมคัมภีร์เรียนไม่เยอะก็จริง แต่ กับเรื่องความ
หัวแข็งของพระอาจารย์อีจื่อล่ะก็ รับมาหมดเชียวแหละ ถ้าเขาไม่
ก็คือไม่ กฎก็คือกฎ ขึ้นไปก็เท่านั้น” หวังโย่วกุ้ยว่า
เฉินจินยิ้มกระอักกระอ่วน “ผมรู้ แต่ยังไงผมก็ต้องตามซูหง
กลับมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ว่าแล้วเฉินจินก็รีบวิ่งไล่ตามเธอไป
เวลานั้นฟางเจิ้งเพิ่งปัดกวาดเช็ดถูวัดเสร็จสิ้น กำลังพักผ่อนอย่าง
สบาย ๆ อยู่บนยอดเขา ในใจคิดคำนวณแผนในอนาคตไปด้วย
แม้เขานิ้วเดียวจะค่อนข้างสูงชัน แต่ยอดเขากลับมีพื้นที่ไม่น้อย
เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะกว้างแค่ไหน แต่เขารู้ว่าต้องกว้าง
แน่ น อน! เพราะครึ ่ ง หนึ ่ ง ของเขานิ ้ ว เดี ย วเป็ น พื ้ น ราบ
ประกอบด้วยทุ่งหญ้า ต้นไม้ แล้วก็วัด
ส่วนหลังเขาที่ยื่นออกมานั้นมีลักษณะคล้ายเล็บมือ ที่นั่นมีต้นไม้
ทั้งสูงชันทั้งหนาแน่น ต้นสนสูงชะลูดดุจหอกทวน หลังจากหิมะ
ตกก็จะขาวโพลนไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ว่าต้นไม้ดูมืดครึ้ม นอกจาก
ไปเก็บฟืนแล้ว ฟางเจิ้งก็ไม่ค่อยได้เข้าไปมากนัก
ดู จ ากพื้ น ที ่ แ บบนี ้ แ ล้ ว ฟางเจิ ้ ง เอามื อ ลู บ คางอย่ า งครุ ่ น คิ ด
“อยากรู้จังว่าวัดป๋ายอวิ๋นใหญ่แค่ไหนนะ? หากทำตัวอาราม
ใหญ่ๆ บนยอดเขาคงไม่มีปัญหาใช่ไหมนะ? อืม...ตอนนี้ปัญหาคือ
เงินเนี่ยแหละ ถ้ามีเงิน บวกกับลงแรงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ได้แล้ว
แต่ฉันเพิ่งเก็บเงินได้นิดเดียวเอง ไม่พอใช้จ่ายอยู่ดีแฮะ”
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ ก่อนจะพาเจ้าหมาป่ากับเจ้ากระรอกเดินไป
สำรวจพื้นที่รอบหนึ่ง จากนั้นค่อยกลับวัด
ตรงประตูวัด เขาเห็นคนผู้หนึ่งกำลังเฝ้ารออยู่ พอฟางเจิ้งไปถึงก็
ยิ้มให้ “อามิตตาพุทธ โยม เหตุไฉนจึงนั่งตรงประตูเล่ า? ถ้า
อยากจะจุดธูปไหว้พระ ก็เชิญเข้าไปข้างในเถิด”
“ฟางเจิ้ง เธอกลับมาแล้ว! ฉันขอถามหน่อย เธอยังมีโจ๊กล่าปา
เหลืออยู่ไหม?” พอซูหงเห็นฟางเจิ้งก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
รีบถามโดยไม่สนใจเฉินจินที่พยายามรั้งเธอไว้
ฟางเจิ้งมองซูหงอย่างประหลาดใจ จากนั้นหันไปมองเฉินจินที่
ไม่ได้พูดอะไร แต่ กำลังคอตก หน้าแดงก่ำ ฟางเจิ้งจึงยิ้มแบบ
กระอักกระอ่วน “โยม โจ๊กล่าปาของอาตมาแจกจ่ายไปหมดแล้ว
เมื่อวาน”
“คำเดียวก็ไม่เหลือเลยเหรอ?” ซูหงไม่ยอมแพ้
ฟางเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เหลือเหรอ? เขาก็อยากให้เหลือ
เหมือนกัน แต่ประเด็นคือระบบเอาไปหมดไม่เหลือแม้แต่ข้าวสัก
เม็ด! ดังนั้นฟางเจิ้งจึ งได้แต่พูด “ไม่มีแล้วจริง ๆ ถ้าพวกโยมทั้ง
สองต้องการรับประทาน ก็เชิญมาปีหน้าเถิด ว่าแต่เหตุไฉนเมื่อ
วานพวกโยมจึงไม่มาเล่า?”
ซูหงกำลังจะพูดอะไรต่อ เฉินจินกลั บลุกขึ้นมารั้งเธอไว้เสียก่อน
“ไปเถอะ ไปกัน! เขาไม่ให้เราหรอก จะอยู่ไปอีกทำไม? ขาย
ขี้หน้าที่สุด! กลับกันเถอะ!”

[1] เสียใจจนลำไส้เขียวคล้ำ (肠子都悔青了) หมายถึง


เสียใจหรือเสียดายอย่างสุดซึ้ง มาจากแนวคิดที่ว่าลำไล้เมื่อเน่า
เปื่อยจะกลายเป็นสีเขียว เป็นการสื่อถึงความ ‘เสียใจ/เสียดาย
จนตาย’ นั่นเอง
ตอนที่ 114 : เดียวดายในคืนเสี่ยวเหนียน[1]
เฉินจินพยายามดึงซูหงไป เธอได้แต่ยิ้มอย่างอับจนหนทนทาง
พลางพูดกับฟางเจิ้ง “ก็ได้ งั้นปีหน้ าฉันจะเข้าร่วมแน่! ถึงตอน
นั้นเหลือไว้ให้ฉันสักชามด้วยนะ!”
ฟางเจิ้งพนมมือ “สีกาวางใจได้”
พอเฉินจินลากซูหงจากไป ฟางเจิ้งก็งงงวยไปเลย เขาเผลอไปหา
เรื่องใครอีกแล้วเหรอ? ทำไมถึงรู้สึกว่าเฉินจินมองเขาตาขวาง
หว่า? แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จึงกลับเข้าวัดไปเตรียม
อาหารเย็น
ส่วนเฉินจินกับซูหง ตอนเด็ก ๆ ฟางเจิ้งก็คุยด้วยไม่มากนัก เขารู้
เพียงแต่ว่าเฉินจินเป็นคนคิดเยอะแล้วก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ส่ว นซูหงก็
คล้อยตามเฉินจินตลอด อีกทั้งพวกเขาเพิ่งมาอาศัย อยู่ที่หมู่บ้าน
ได้ไม่นานนัก
ดังนั้นจิตสำนึกของฟางเจิ้งจึงไม่ได้อะไรมากกับการที่พวกเขา
ไม่ได้กินโจ๊กล่าปา อีกอย่าง ถึงเขาจะรู้สึกผิดไปก็เท่านั้น ก็เขาไม่
มีโจ๊กเหลือแล้วนี่นา
หลังจากกลับมาที่หมู่บ้าน เฉินจินก็รู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน
ก็มักได้ยินคนพูดถึงโจ๊กล่าปาเสมอ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กต่างคึกคักกัน
ไม่หยุด ยิ่งผ่านไปเขายิ่งไม่พอใจ! ความอิจฉาริษยาตีกันวุ่นไป
หมด จนกลายเป็นความเกลียดชังไปในที่สุด!
“ไอ้เด็กฟางเจิ้งน่าตาย มากไปแล้วนะ! ล่อลวงคนไปไม่พอ ยังทำ
ให้ฉันขายขี้หน้าอีก!!!” เฉิ นจินกำลังเดือดปุด ๆ หลังจากกลับ
มาถึงบ้านก็ปิดประตูแน่น เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่เห็นหน้าค่า
ตา’
คืนนั้นท้องฟ้ามืดสนิท หิมะตกลงมาอีกครา…...
หิมะรอบนี้ตกนานถึงหนึ่งสัปดาห์ กองหิ มะท่วมสูงกว่าหนึ่งเมตร
เป็นพายุหิมะที่ยากจะพบเจอในรอบยี่สิบปีก็ว่าได้
เพราะพายุหิมะ ทำให้ฟางเจิ้งต้องออกไปกวาดหิมะอีกแล้ว แต่
คราวนี้แทนที่จะดีใจ เขากลับรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง!
ฤดูหนาวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสะอาดนัก ฝุ่นไม่มี เศษ
ใบไม้แห้งไม่มาก ขี้นกนี่น้อยกว่าอีก มีอย่างเดียวที่ต้องทำความ
สะอาดคือหิมะ! หิมะอันไร้ขีดจำกัดที่กวาดแค่ไหนก็กวาดไม่หมด!
หิมะตกมาจากท้องฟ้า ลมยิ่งแรงหิมะยิ่งมาก กำแพงวัดอาจจะ
ป้องกันหิมะได้ แต่หิมะก็กลายเป็นกองพูนสูงง่ายมากอยู่ดี เวลา
ยิ่งผ่าน ยิ่งทำความสะอาดยากมากขึ้นเท่านั้น
เพื่อที่จะจัดการหิมะกองมหึมาพวกนั้น ฟางเจิ้งได้ทำทุกวิถีทาง
แล้ว ทั้งไม้กวาด ทั้งจอบเหล็ก หรือแม้แต่ให้เจ้าหมาป่าคาบไม้มา
ช่วยตักหิมะ ทุกวันจะใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงเพื่อจัดการหิมะ
เจ้ากระรอกก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน คอยไปปัดหิมะตรงหลังคาให้อยู่
เรื่อย ๆ อย่างเช่น ไม่ว่าหมาป่าไร้ฝูงไปทางไหน ก็จะมีหิมะถูก
ถล่มลงมาใส่เสมอ…...
ด้วยหิมะที่ตกหนัก จึงไม่มีใครขึ้นเขามาจุดธูปไหว้พระ
——หลายวันผ่านพ้น
ฟางเจิ้งกำลังยืนอยู่บนยอดเขา สายตาเหม่อมองอาณาเขตแดนภู
ผา ร่างสัมผัสสายลมหวน มือหนึ่งไขว้หลัง ใบหน้าฉายแววรำพึง
ฟ้าเวทนาคน ท่วงท่าอันลึกล้ำดุจพระอาวุโสผู้ทรงอภิญญา......
แช๊ ะ ! สี ห น้ า ฟางเจิ้ ง แปรเปลี ่ ย นไปอย่ า งรวดเร็ ว ยามก้ ม ดู
โทรศัพท์ของตัวเอง พอดูเสร็จก็หัวเราะยกใหญ่ไม่เหลือท่าทีก่อน
หน้า “ไม่เลว ไม่เลว!”
ใช่แล้ว เจ้านี่ไม่ได้กำลังพิจารณาฟ้าดินอะไรอยู่หรอก...กำลังถ่าย
เซลฟี่ต่างหากล่ะ!
ฟางเจิ้งกดเผยแพร่รูปตัวเองบนโซเชี่ยล ตั้งแต่ฟางอวิ๋นจิ้งอยาก
ได้รูปเขา ฟางเจิ้งก็เริ่มหามุมที่ตัวเองดูดี ถ่ายออกมาอยู่เรื่อย ๆ
ตอนมีเวลาว่าง
ขณะที่ฟางเจิ้งเตรียมจะกลับเข้าวัดไปนั่นเอง พลันมีเสียงประทัด
ดังขึ้นมาจากตีนเขา ตามด้วยเสียงประทัดดังรัว ๆ ออกมาไม่
หยุด!
ฟางเจิ้งเหลือบมองลงไป จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นหมู่บ้านนิว้
เดียวได้ วันนี้นอกจากลมแรงนิดหน่อยแล้ว หิมะก็ไม่ ได้ตกอีก
เขาจึงพอเห็นทุกอย่างได้
เขาสังเกตดู พบว่าข้างล่างนั้นมีการจุดประทัดกัน มีคนออกมา
เดินกันขวักไขว่ข้างนอก ควันลอยล่องออกมาจากปล่องไฟ ทำให้
เขาอันเงียบสงบหนาวเย็นนี้ดูอบอุ่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย ทว่า
พอมองกลับไปดูวัดหนาวเย็ นเงียบเหงาแล้ว ความแตกต่างนี้ทำ
ให้ฟางเจิ้งอดส่ายศีร ษะไม่ได้ เขาถอนหายใจโดยไม่ได้พูดอะไร
ออกมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นปลดล็อค ภาพหน้าจอเขาเปลี่ยนไป
แล้ว!
ภาพเป็นสีแดง เห็นเป็นฝูหวา[2] กำลังถือประทัดที่แตกกระจาย
ดุจดอกไม้ไฟ ข้างบนตัวละครเขียนว่า
‘เสี่ยวเหนียนมาแล้ว ปีใหม่เมื่อไหร่จะมา?’
ฟางเจิ้งประหลาดใจ “ที่ แท้ก็เป็นวันเสี่ยวเหนียนนี่เอง ถึงว่า
ทำไมทุกคนจึงจุดประทัดกัน จะปีใหม่แล้วสิ...”
เป็นพิธีของชาวภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะจุดประทัดคู่ ก่อน
จะรั บ ประทานอาหารร่ว มกัน ในวั น เสี ่ ยวเหนี ย น ซึ ่ ง มั ก จะใช้
เฉพาะในงานเทศกาลเท่านั้น เป็นการจำลองส่งเทพเจ้ าเตาไฟสู่
สวรรค์ และเพื่อเป็นการเตรียมตัวต้อนรับปีใหม่ แต่ละสถานที่มี
คำอธิบายต่างกันไป อย่างไรเสีย ฟางเจิ้งคิดว่า การทำให้สถานที่
อยู่อาศัยได้คึกคักรื่นเริงขึ้นมานั่นแหละคือเหตุผลที่สำคัญสุด
ทว่าฟางเจิ้งกลับไม่มีอารมณ์ร่วมยินดีอะไรนัก เขาเห็นแต่ภาพปี
ที่แล้วที่ฉลองกับพระอาจารย์อีจื่อ ถึงมีคนเพิ่มมาเพียงคนเดียว ก็
เรียกวัดเล็ก ๆ แห่งนี้ว่าเปล่าเปลี่ยวไม่ได้แล้ว ส่วนตอนนี้เขาอยู่
เพียงคนเดียว เลยรู้สึกว่าเหมือนบรรยากาศโดยรอบหม่นหมอง
ลงถนัดตา ลมก็แรงยิ่ง... อากาศก็หนาวเย็นยิ่ง...
พอเขาเดินมาถึงประตูวัด ก็เห็นหมาป่าไร้ฝูงตะเกียกตะกายไปทั่ว
มันเอาหิมะมากองตรงหน้าทางเข้าวัด และยังมีเจ้ากระรอกกลิ้ง
ไปกลิ้งมาอยู่บนนั้น ดูสนุกสนานไม่เลว
เห็นเจ้าสัตว์ขี้เล่นสองตัวนี้ หัวใจของฟางเจิ้งพลันอบอุ่นวาบ เขา
ถอนหายใจยาว ก่อเกิดไอเป็นสายไปในอากาศ คิดกับตนเองว่า
‘เรียกตัวเองว่าโดดเดี่ยวคงไม่ได้แล้วสิ อย่างน้อยก็มีเพื่อนตั้งสอง
ตัวฉลองปีใหม่ด้วยกัน นับ ๆ แล้ว มีมากกว่าเดิมตั้งหัวหนึ่งแน่ะ
ฮ่า ๆ’
ฟางเจิ้งทะยานเข้าไปพร้อมบอลหิมะในมือ จากนั้นก็โยนใส่หัว
เจ้าหมาป่าจนเกิดเสียงดังปุ จากนั้ นเขาก็ดันเจ้ากระรอกให้ฝังลง
ไปใต้หิมะซะเลย
หมาป่าไร้ฝูงเห่าเสียงดัง แล้วพยายามผลักให้ฟางเจิ้งลงกองกับ
พื้น ส่วนเจ้ากระรอกก็พยายามยัดหิมะลงไปในจีวรของฟางเจิ้ง
เย็นจนฟางเจิ้งต้องอุทานลั่น เป็นฉากที่โหวกเหวกกันไม่น้อย
หลั ง จากหั ว เราะไม่ ห ยุ ด ความรู ้ สึ ก หม่ น หมองของฟางเจิ ้ ง ก็
หายไปหมด
วันเสี่ยวเหนียนในประเทศจีนนั้นสำคัญมาก อย่างน้อยก็มีเรื่องให้
ทำไม่น้อยทีเดียว

ไหนจะต้องเขียนกลอนคู่ ไหนจะต้องไปติดตัวอักษร ‘ฝู (福)’


ตามกำแพง จากวันนี้จนถึงวันขึ้นปีใหม่ คือช่วงเวลาแห่งเทศกาล
อย่ า งแท้ จ ริ ง ! ไม่ ว ่ า จะตี น เขา บนเขา ต่ า งเต็ ม ไปด้ ว ยความ
สนุกสนานรื่นเริง!
อีกทั้งฟางเจิ้งก็ได้รับของขวัญจากระบบด้วย!

【ติ้ง! ร่างต้น ปีใหม่เข้ามาแล้วระบบจะให้ของตกแต่งวันปีใหม่


ต้องการรับเลยหรือไม่?】
“เฮ้ มีของขวัญให้ฉันต้อนรับปีใหม่ด้วย? ดีเลย ฮิฮิ ว่าแต่พระ
พุทธองค์ก็ฉลองเสี่ยวเหนียนกับปีใหม่เหมือนกันเหรอ?” ฟางเจิง้
ถามอย่างสงสัยก่อนจะรับของขวัญมา

【เป็นเพียงปีใหม่ แต่อย่างไรพุทธะเข้าเมืองตาหลิ่วย่อมต้อง
หลิ่วตาตามวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่แล้ว】 ระบบตอบเหมือนมันก็
เป็นอย่างงี้แหละ
ฟางเจิ้งหัวเราะ คิดว่าตัวเองไม่เข้าใจระบบกว่าเดิมอีก ตอน
นั้นเองก็มีลำแสงพุ่งลงมาตรงหน้า เผยให้เห็นสิ่งของต่าง ๆ มี
หมึก มีพู่กัน และกระดาษสีแดงไว้เขียนกลอนคู่...จากนั้นก็ไม่มี
อะไรอีกเลยเว้ย!
“ระบบ นายอย่าตระหนี่เกินไปได้ปะ?” ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเลย

【พู่กันกับหมึกให้ยืมเฉย ๆ ใช้เสร็จแล้วคืนด้วย】ระบบตอบ
เหมือนเอามีดมาแทงอย่างไรอย่างนั้น!
ฟางเจิ้งแทบจะหลุดสบถ! ขี้งกเกินไปแล้วโว้ย! จะมีระบบไหนใน
โลกที่ขี้งกกว่าระบบนี้ไหมเนี่ย?! ดีนะเขายังมีหมึกกับพู่กันที่อู๋ฉาง
สี่ให้อีกชุด แต่ว่าเขาไม่มีกระดาษแดง ดังนั้นเลยไม่ได้เอาออกมา
ใช้สักเท่าไร
เอาเถอะ ถึงจะแค่ให้ยืม แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นของขวัญแหละนะ
ได้อะไรมาบ้างก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ได้ของขวัญวันปีใหม่มาทั้งที
ทำเอาฟางเจิ้งตื้นตันนิด ๆ แฮะ
พอใจกับของขวัญได้แล้ว ฟางเจิ้งก็เฝ้ารอปีใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
ในใจกำลังคิดว่าสิ้นปีนี้ควรทำอะไรดีไปเรื่อย
อย่างแรกคือต้องเขียนกลอนคู่ ฟางเจิ้งจึงไปค้นหากลอนสวย ๆ
บนอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเจอกลอนคู่ค่อนข้ างดีบทหนึ่ง จากนั้นก็
ตวัดพู่กัน ใช้วิชาคัมภีร์ทัศนามังกรเขียนลงไป!

[1] วันเสี่ยวเหนียน (小年) ตรงกับวันที่ 23 เดือน 12 ตาม


ปฏิทินจันทรคติจีน คนจีนจะเริ่มรับตรุษจีนตั้งแต่วันนี้ โดยมี
กิจกรรมได้แก่ ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน ติดคำว่า ‘ฝู (福)’ ที่ประตู
บ้าน การไหว้ส่งเทพเจ้าขึ้นสู่สวรรค์ และการไหว้เทพเจ้าเตาไฟ
[2] ฝูหวา (福娃) มาสคอต หรือตุ๊กตานำโชคประจำมหกรรม
กี ฬ าโอลิ ม ปิ ก ฤดู ร ้ อ นปี 2008 ประกอบด้ ว ยตั ว หมี แ พนด้ า ที่
แต่งตัวเป็นปลาชื่อเป้ยเป่ยมีสีฟ้า แพนด้าชื่อจิงจิงมีสีดำ หนูน้อย
ลูกไฟชื่อฮวานฮวานมีสีแดง ละมั่งทิเบตชื่ออิ่งอิ๋งมีสี ส้ม และนก
นางแอ่นชื่อหนีหนี่มีสีเขียว
ตอนที่ 115 : โคมน้ำแข็ง
ตรงประตู ฟางเจิ้งบดเม็ดข้าวเป็ นแป้ง เปียกเพื่อใช้ แทนกาว
จากนั้นส่งไปให้เจ้ากระรอกที่กำลังนั่งบนหัวเจ้าหมาป่าถือไว้ ฟาง
เจิ้งถือกลอนคู่ไว้ก่อนจะถาม “สูงแบบนี้โอเคไหม? เบี้ยวหรือ
เปล่า?”
เจ้ากระรอกร้องจี๊ด ๆ แนะนำ “ซ้ายนิดหนึ่ง ขวาหน่อย นั่น
แหละ! ได้แล้ว!”
ฟางเจิ ้ งหยิบ แป้งเปี ย กมาแต้ม บนประตู เ ป็ น กาว ก่ อ นจะเอา
กลอนคู่[1]แปะลงไป
บาทต้น : จิตอาทรถือเป็นฌาน
บาทหลัง : จิตเมตตาถือเป็นวิถีทาง
บาทแนวนอน : มิใช่พระ!
กลอนคู่แรกเป็นของคนอื่น แต่บทสรุ ปเป็นเขาที่คิดเอาเอง ชีวิต
บนเขาน่าเบื่อมาก แถมคนอายุเช่นเขา จะให้สงบอารมณ์ไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย เขาอยากลงภูเขา ไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในโลกีย
วิสัย ไม่อยากเป็นพระที่ถูกขังอยู่ในวัด ดังนั้นประโยคสุดท้ายนั้น
จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของตัวเองออกมา
พอมองกลอนคู่นั้ นแล้ว ฟางเจิ้งก็ รู้สึกรื่นเริงขึ้นมาทันที เขา
หัวเราะก่อนจะพูด “ไม่เลวเลยแฮะ”
ตอนนั้นเองเจ้ากระรอกก็ร้องออกมา
ฟางเจิ้งถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าก็อยากได้กลอนคู่เหมือนกัน
หรือ? แต่อาตมาไม่รู้ว่าบ้านเจ้าอยู่ไหนนี่ จะไปติดกลอนคู่ให้ได้
อย่างไร?”
เจ้ากระรอกร้องจี๊ด ๆ ต่อ
“ฮะ? เจ้าย้ายมาอาศัยที่นี่แล้วหรือ ? แถมเลือกที่วางรังแล้วด้วย?
อะไรนะ? อยากอยู่บนต้นโพธิ์? อืมมมมม แต่อาตมาคิดว่าบนต้น
ไม่มีโพรงนะ ไม่ใช่เหรอ? ทำไมอาตมาต้องสร้างบ้านให้เจ้าด้วย?”
ฟางเจิ้งพูดอย่างไม่ยินดีนัก
ถึงจะบอกว่าไม่ทำให้ แต่ฟางเจิ้งก็เอากระถางต้นไม้ไปผูกไว้กับกิ่ง
ต้นโพธิ์ให้อยู่ดี
ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาไม่มีค้อน ตะปูก็ไม่มี แผ่น
ไม้ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่ ไม่มีทางจะไปสร้างบ้านสวย ๆ ให้กระรอก
ได้แน่นอน แต่ในเมื่อเจ้าตัวน้อยนี่อาศัยอยู่ในโพรงไม้ แบบนี้ก็คง
ได้เหมือนกันแหละ
แต่ทำไมเจ้าตัวน้อยนี่พอเห็นบ้านใหม่ถึงมองเขาตาขวางแบบนั้น
ล่ะ? ไอหยา ฟางเจิ้งพลันรู้ได้ เหมือนเขาจะเห็นกระโถนปัสสาวะ
อันเก่าของตัวเองเป็นกระถางดอกไม้ไปเสียแล้ว......นี่ก็หลายปี
มาแล้ว ทำเอาลืมไปเสียสนิท เห็นมันคล้าย ๆ กันก็นึกว่าเป็น
กระถางต้นไม้ไปเสียฉิบ
แต่ไม่มีทางที่ฟางเจิ้งจะยอมรับเด็ดขาด ไม่งั้นหัวล้านของเขาคงมี
รอยกรงเล็บกระรอกแน่ ฟางเจิ้งจึงเปลี่ยนกระโถนปัสสาวะเป็น
กระถางต้ น ไม้ ท ี ่ ส วยกว่ า เดิ ม คราวนี ้ เ จ้ า ตั ว น้ อ ยก็ ร ะริ ก ระรี้
กระโดดโลดเต้นบนไหล่ฟางเจิ้งทันที......ที่มันยังไม่ไปกระโดดบน
หัวของเขา ก็เพราะมันกลัวลื่นนี่แหละ ไม่ใช่อะไรหรอก!
เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่หัวล้าน
เอาล่ะ เจ้ากระรอกมีบ้านแล้ว คราวนี้ก็เขียนกลอนคู่!
ฟางเจิ้งฉีกกระดาษออกมาสองแผ่น ขนาดประมาณหนึ่งนิ้วได้
ก่อนจะหยิบพู่กันเตรียมเขียนลงไป ถึงกระดาษจะชิ้นเล็กมาก แต่
ลายมือของเขายังคงสวยสะอาดตาชัดเจนจากผลของคัมภีร์พุทธ
องค์ทัศนามังกร
บาทต้น : ผู้คนเจริญรุ่งเรือง
บาทหลัง : มุสิกอาหารเต็มรัง
บาทแนวนอน : กระรอกอยู่บ้านแล้ว
ถึงเจ้าตัวน้อยจะไม่เข้าใจ แต่มันก็รู้สึกยินดีอยู่ดี
พอหมาป่าไร้ฝูงเห็นแบบนี้ก็ร้องขอด้วย
เจ้าหมาป่าอยู่ กับฟางเจิ้งตั้งแต่ก่อนเจ้ ากระรอกจะมาเสียอีก
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงสร้างบ้านสุนัขที่ทำจากไม้ไว้ให้อยู่แล้ว เขาเลยไม่
ต้องไปสร้างบ้านให้มันใหม่อีก
ฟางเจิ้งแค่ต้องคิดกลอนคู่อีกสักบทแค่นั้น
แต่ พ อเสิ ร ์ ช ไปเสิ ร ์ ช มาก็ เ หมื อ นจะเจอปั ญ หาเสี ย แล้ ว ! บน
อินเทอร์เน็ต ที่ไหน ๆ ก็ให้หมาป่าเป็นตัวแทนสิ่งชั่วร้าย เลยไม่มี
อะไรดี ๆ จะทำยังไงดีนะ?
เขามองหมาป่ า ไร้ ฝ ู ง ขนฟู ผู ้ น ่ า รั กตั ว นี ้ อดไม่ ไ ด้ ท ี ่ จ ะหั ว เราะ
ออกมา “เจ้ารู้จักตัวอักษรพวกนี้หรือไม่?”
หมาป่าไร้ฝูงส่ายหัว
ฟางเจิ้งดีดนิ้ว ง่ายเลยทีนี้! จากนั้นเขาก็ลงมือเขียนกลอนตัวหนา
บาทต้น : มีโคมแขวนหน้าวัด
บาทหลัง : มีสุนัขหยกเฝ้าลาน
บาทแนวนอน : มีหมากัดโจร
หลังจากแปะกลอนคู่เรียบร้อย กระดาษแดงก็หมดพอดี
ขณะเดียวกันพู่กันกับหมึกก็สลายกลายเป็นลำแสงสีทองหายวับ
ไป
ฟางเจิ้งกลอกตา “ต้องรีบขนาดนั้นด้วยเหรอ? ขี้เหนียวชะมัด!”
พอด่าเสร็จก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเยอะเลย แต่ว่าแค่กลอนคู่เฉย ๆ คง
ไม่พอกับปีใหม่หรอก เขาอยากได้โคมไฟด้วย! แต่จะไปหาจาก
ไหนเนี่ยสิ?
ฉับพลันเขาก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา ในใจคิดไปถึงโคมน้ำแข็ง
ของบิดาผู้เฒ่า! พอมีแรงบรรดาลใจแล้วฟางเจิ้งก็รีบวิ่งไปตักน้ำ
มาสองถังจากหลังวัดทันที
เขาตักน้ำใส่แก้วไว้อีกด้วย ก่อนจะวางไว้ในลาน
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา น้ำในถังก็กลายเป็นน้ำแข็ง ฟางเจิ้งเคาะไปที่ถัง
ใบหนึ่ง พอเห็นว่าแข็งพอก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
จากนั้นฟางเจิ้งก็แบกถังเข้าไปที่ห้องครัว เอาถังไปอังไฟพลาง
หมุนไปรอบ ๆ พอขอบละลายแล้ว ก็จะสามารถแคะก้ อนน้ำแข็ง
ออกจากถังได้
ฟางเจิ้งเอาถังกลับไปเก็บที่ลานวัด เขาเจาะตรงกลางก้อนน้ำแข็ง
ให้เป็นรู เติมน้ำเปล่าลงไป จากนั้นคว่ำถังลง แล้วค่อย ๆ ยก
พอยกตัวถังออกไป โคมน้ำแข็งรูปร่างเหมือนถังน้ำก็ปรากฏร่าง
ออกมา! น้ำทิพย์สะอาดจัดจนแม้เป็นน้ำแข็ง ก็ยังไม่เห็นฝุ่น ผง
คลีแม้แต่น้อย ดูเหมือนคริสตัลสดใส สวยงามสุด ๆ! น่าเสียดายที่
ไม่ได้แกะสลักขอบ ถ้าเขาสามารถสลักเป็นรูปทรงแบบเพชรได้
ล่ ะ ก็ ฟางเจิ ้ ง เชื ่ อ ว่ า มั น คงสวยงามไม่ ด ้ อ ยไปกว่ า เพชรล้ ำ ค่ า
แน่นอน!
ฟางเจิ้งเจาะรูเล็ก ๆ บนโคมน้ำแข็ง เพื่อสร้างเป็นช่องระบาย
อากาศ จากนั้นเขาก็ แบกน้ำแข็งมาวางบนกำแพง จุดเทียนไข
แล้วเอาไปวางไว้ข้างในโคมน้ำแข็ง เพราะมีระบายอากาศ จึงไม่
ต้องกลัวว่าไฟจะดับเพราะขาดออกซิเจน ขณะเดียวกันก้อน
น้ำแข็งรอบ ๆ ก็จะคอยกันลมไว้ไม่ให้มาพัดไฟจนดับ
ถึงไฟจากเทียนไขจะไม่สวยนัก แต่พอสะท้อนผ่านน้ำแข็งอัญมณี
นั่นแล้วก็ดูเลอค่าไม่เลวทีเดียว บางครั้งบางคราวจะมีลมผ่านเข้า
มา ทำให้ไฟกะพริบวูบวาบ และการกะพริบวูบวาบนั้นเอง ที่ทำ
ให้แสงส่องมาดูแวววาว สวยไม่ต่างกับไฟนีออนเลย!
ไม่สงสัยเลยว่า พอเจ้ากระรอกกับเจ้าหมาป่าเห็นโคมน้ำแข็งแล้ว
ก็ร้องขอของตัวเองยกใหญ่
ฟางเจิ้งสัพยอก “พวกเจ้าก็อยากได้เหมือนกันหรือ? ได้ งั้นไปตัก
น้ำมาซะ!”
พวกมันวิ่งแจ้นไปตักน้ำทันที ไม่นานเจ้ากระรอกก็มีโคมน้ำแข็งที่
ทำจากแก้วน้ำประดับในรัง ส่วนเจ้าหมาป่าก็มีโคมอันใหญ่วางอยู่
หน้าบ้านหมาของตนเอง แต่ฟางเจิ้งไม่ได้จุดเทียนไขให้ เพราะ
อย่างไรเสีย ฟางเจิ้งก็ไม่ได้มีเทียนมากนัก เอามาใช้แบบเสี ยเปล่า
คงไม่ได้
ถึงอย่างนั้นทั้งเจ้าหมาป่ากับเจ้ากระรอกก็ยังยินดีอย่างยิ่งอยู่ดี
จู่ๆ จิตใจแบบเด็กๆ ของฟางเจิ้งก็ออกมาอีกแล้ว เขาเลยตัดสินใจ
ทำโคมน้ำแข็งตกแต่งเขาสักหน่อย อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งแว่วยินเสียงฝีเท้ามาจากข้างนอก ฟางเจิ้ ง
ฟังแล้วก็ดูจะมีคนไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟางเจิ ้ ง สะบั ด จี ว ร ก่ อ นจะเดิ น ออกไปดู ข ้ า งนอก เขาเห็ น
หวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋ว หยางผิง หยางหัว และเจ้าลูกหมาซ่ง
ฟางเจิ้งผงะ พวกเขาขึ้นมาทำอะไรกัน?
กลับไปช่วงเช้าของวันนี้........
“พวกนายทำอะไรกันน่ะ ?” เจ้าลูกหมาซ่งวางไม้ กวาด พลาง
ปาดเหงื ่ อแล้ วเดิ น ไปหาพวกชาวบ้ า นที่ กำลั งจั ดโต๊ ะตรงหน้า
ทางเข้าหมู่บ้านกันแข็งขัน
“คุณลุง คือว่าอย่างนี้ครับ ทางรัฐบาลกำลังส่งเสริมวัฒนธรรมสู่
ชนบท ตอนนี้เป็นวันเสี่ยวเหนียนใช่ไหมล่ะครับ ? ดังนั้นทุกคน
ต้องเขียนกลอนคู่บทหนึ่ง เมื่อก่อนแค่ไปซื้อแบบสำเร็ จรูปมาก็
พอแล้ว แต่ขืนทำแบบนั้น กลิ่นอายวัฒนธรรมอันดีจะพลอย
หายไปหมดเนี่ยสิ พวกเราเป็นอาสาสมัครจากสมาคมลิปิศิลป์
ประจำอำเภอน่ะครับ วันนี้มาช่วยทุกท่านเขียนกลอนคู่ เป็น
กำลังส่งเสริมวัฒนธรรมสู่ชนบท แถมเป็นสิริมงคลด้วยนะ” ชาย
หนุ่มคนหนึ่งบอก
[1] กลอนคู่หรือตุ้ย เหลียน (对联) ในช่วงตรุษจีน คนจีนทุก
บ้ า นจะเอาตุ ้ ย เหลี ย นติ ด ไว้ ท ี ่ ห น้ า บ้ า น ตุ ้ ย เหลี ย นที ่ ใ ช้ ใ นวัน
ตรุษจีนมักใช้พื้นสีแดงตัวหนังสือสีทอง ในขณะที่งานอวมงคล จะ
เป็นตัวหนังสือสีดำบนพื้นขาว แต่สำหรับในประเทศจีนตั้งแต่
สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคลก็ตาม ตัวหนังสือ
ที่ใช้จะเป็นสีดำเสมอ เป็นความนิยมในพื้นที่นอกจีนแผ่นดินใหญ่
อย่างไทย มาเลย์ มากกว่าที่นิยมตัวหนังสือสีทอง เพื่อความเป็น
สิริมงคล
ตอนที่ 116 : กองทัพล่ากลอนคู่
เจ้าลูกหมาซ่งมองชายหนุ่มกับบรรดาพรรคพวกที่กำลังยุ่ง ๆ อยู่
ด้านข้าง แล้วต้องส่ายหัวอย่างแรง “เป็นเรื่องดีก็จริง แต่หมู่บ้าน
พวกเราไม่ต้องหรอก เอากลับไปเถอะ ฉันขอไปกวาดถนนต่อล่ะ”
พูดจบ เจ้าลูกหมาซ่งก็จากไป
ชายหนุ ่ ม คนนั ้ น รี บ ถามด้ ว ยความฉงน “คุ ณ ผู ้ ช าย[1] คุ ณ
หมายความว่ายังไงน่ะครับ? ทำไมถึงไม่ต้องมีกลอนคู่ล่ะ? ทุกคน
มีกันหมดแล้วเหรอครับ? ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ พวกเราทำฟรี
ไม่คิดเงินจริง ๆ”
เจ้าลูกหมาซ่งมองหนุ่มคนนั้น “เจ้าหนู ช่วงนี้ไม่ได้อ่านข่าว
เหรอ? พวกเรามีปรมาจารย์ลิปิศิลป์อาศัยอยู่ที่นี่น่ะ วันนี้ทุกคน
กะจะขึ้นเขาไปขอกลอนคู่เขาอยู่เนี่ย วั นนี้พวกนายคงต้องมาเสีย
เปล่าแล้ว ถ้าจะถามอะไรฉันล่ะก็ ขอแนะนำว่าให้กลับไปเถอะ
ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ”
“ปรมาจารย์ลิปิศิลป์? ที่นี่น่ะเหรอ?” ชายหนุ่มผงะ
ชายหนุ่มอีกคนยิ้มหวานก่อนจะเข้ามาคุยด้วย “คุณผู้ชาย พวก
เราเป็นนักศึกษาที่อยู่ในช่วงปิดเทอมน่ะครับ ว่าแต่ที่คุณพูดเป็น
เรื่องจริงเหรอครับ?”
เจ้าลูกหมาซ่งตอบ “ถึงว่าทำไมพวกเธอถึงไม่รู้ เรื่ องนั้น คนจาก
สมาคมลิปิศิลป์เข้าร่วมงานประลองน่ะ แต่แพ้”
“เป็นความจริง?” ชายหนุ่มสองคนนั้นไม่ได้โมโหอะไร แต่กลับ
ถามด้วยความใคร่รู้
“จริ ง แท้ แ น่ น อน แล้ ว แต่ จ ะเชื ่ อ เถอะ เฮ้ อ ดู ก ็ ร ู ้ ว ่ า เป็ น พวก
ลูกเจี๊ยบ คงโดนหลอกให้มาที่นี่น่ะสิ คนลิปิก รจากในเมืองนี่
มัน…….เหอ ๆ คงไม่มีใครกล้ามาที่หมู่บ้า นล่ะสิ” เจ้าลูกหมาซ่ง
เชิดหน้าพูด เหมือนกับตัวเองเป็นผู้ชนะในงานประลองเสียแทน
ชายหนุ่มที่เหลือได้ยินก็ประหลาดใจ มีปรมาจารย์เร้นกายใน
หมู่บ้านจริง ๆ?
ขณะที่พวกเขากำลังอยู่ในห้วงสับสน ก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเดิ นมา
ข้าง ๆ พอเจ้าลูกหมาซ่งเห็นคนผู้นี้ก็อดแบะปากไม่ได้
คนที่มาก็คือประธานสมาคมลิปิศิลป์ซ่งอู๋ ซุนก้วนอิง ข้างหลังของ
เขาก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนหรอก แต่เป็นลูกสาวโอวหยางหัว
จาย——โอวหยางเฟิงหัว
หลังจากเห็นซุนก้วนอิง บรรดาชายหนุ่มต่างวิ่งเข้าไปหา ก่อนจะ
นึกถึงคำที่เจ้าลูกหมาซ่งพูดขึ้นมาได้ นักศึกษาที่มีกระบนหน้าคน
หนึ่งยิ้มถาม “ผู้อาวุโสซุน มีปรมาจารย์อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจริงๆ
เหรอครับ? หมู่บ้านโทรม ๆ แบบนี้ไหงถึงมีปรมาจารย์ได้กัน?”
พอซุนก้วนอิงได้ยินแบบนั้นจ้องเขม็งและเอ่ยปากตำหนิทันที
“อย่าริอาจพูดแบบนั้นอีกนะ! ไม่ใช่เรื่องของพวกคุณที่จ ะมาพูด
ว่าปรมาจารย์จะอยู่ที่ไหน อะไร ยังไง”
“หืม? ผู้อาวุโสซุน ที่นี่มีปรมาจารย์จริง ?” นักศึกษาหน้าตก
กระคนนั้นถามย้ำ
“ใช่ แถมท่านยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากด้วย! เอาล่ะ ในเมื่อ
ชาวบ้านมีนัดแล้ว ก็ไปเก็บของเสีย ถ้ามีธุระก็กลับไปก่อนได้ เลย
หรือถ้าอยากทำงานต่อก็ไปหมู่บ้านอื่นเถอะ” ซุนก้วนอิงพูด
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที ถึงงานอาสาสมัครจะดี
ก็เถอะ แต่นี่มันหน้าหนาวนะ ไม่มีใครอยากออกมาเผชิญความ
หนาวเย็นหรอก พวกเขาจึงรีบเร่งเก็บของอย่างไวว่อง
มีคนที่หน้าตาดูฉลาดเฉลียวรุดหน้าขึ้นมาถาม “แล้วท่านล่ะครับ
ผู้อาวุโสซุน?”
“แน่นอนว่าพวกเราต้องขึ้นไปนมัสการพระอาจารย์ พวกคุณไม่
เข้าใจหรอก งานของพระอาจารย์นั้น......อืมมม จะอธิบายยังไงดี
นะ? ถ้าจะให้พูด คงต้องเรียกว่าน่าตกตะลึง! เห็นรอบเดียวไม่
อาจพอ!” โอวหยางเฟิงหัวพูด
ทั้งกลุ่มนั้นยิ่งประหลาดใจเข้าไปอีก ใครคือโอวหยางเฟิงหัว? ลูก
สาวหัวแก้วหั วแหวนของอาจารย์ลิปิศิลป์โอวหยางหัวจายไง!
การที่เธอชื่นชมพระอาจารย์เช่นนั้น ทำเอาทุกคนเกิดความสงสัย
กันสุด ๆ!
ขณะเดียวกัน ก็มีขบวนรถขับเข้ามาจอดแล้วก้าวลงจากรถ
พอมาถึง กลุ่มอาสาสมัครต่างนิ่งงันไปทันที ลิปิกรมากหน้าหลาย
ตาทั้งมีชื่อทั้งไร้ชื่อจากอำเภอซ่งอู๋ ต่างมาที่นี่กันหมด!
...ยกพลมาถล่มหมู่บ้านเหรอ?
ซุนก้วนอิงก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน เขาหันไปถาม “พวกคุณมา
ทำอะไรที่นี่? อย่าบอกนะว่ายังข้องใจเรื่องงานประลองอยู่น่ะ ?!
ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันขอให้พวกคุณจากไปเสี ยเถอะ! ห้ามรบกวน
พระอาจารย์ท่านเด็ดขาด!”
“...เอ่อ ผู้อาวุโสซุน อย่าพูดเช่นนั้นสิครับ พวกเราไม่ต่างไปจาก
กบในบ่อ แถมยังริอาจไปดูหมิ่นท่านอีก วันนี้พวกเรามาขอกลอน
คู่จากพระอาจารย์ด้วยความเคารพน่ะครับ” ชายหน้าเหลี่ยมคน
หนึ่งพูดพลางยิ้มกระอักกระอ่วน
“วันนี้พวกคุณก็มาของานลิปิศิลป์จากพระอาจารย์เหมือนกัน
เหรอ?” โอวหยางเฟิงหัวถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“อะไรนะ? พวกคุณก็เหมือนกันเหรอ?” ทั้งกลุ่มนั้นชะงักงันไป
ทันที โอวหยาวเฟิงหัวมีอาจารย์ลิปิศิลป์เป็นบิดา แต่ตอนนี้กลับ
คิดจะมาขอลิปิศิลป์จากคนอื่นอีก?
โอวหยางเฟิงหัวพยักหน้ ารับตามตรง ทำเอาทุกคนพูดอะไรไม่
ออกเลยคราวนี้
หลิ ว ซู ช ิ ง เป็ น สมาชิ ก คนหนึ ่ ง ของสมาคมลิ ปิ ศ ิ ล ป์ ซ ่ ง อู ๋ แต่ ว่ า
ปัจจุบันอาศัยอยู่ต่างประเทศ และเพิ่งกลับมาในประเทศเพื่อ
ฉลองปีใหม่ เขาถูกคนอื่นชักชวนให้มางานลิปิศิลป์ของพระ
อาจารย์เช่นกัน ตอนแรกเขาเองก็ทั้งสับสนทั้งสงสัย ว่าไหงถึง
ต้องอุตริไปปีนเขาด้วย? พระเยาว์วัยแบบนั้นจะผลิตผลงานชั้น
เลิศประดุจเหยียนเจินชิง[2] ได้จริง ๆ เหรอ? ทำเรื่องเล็กให้
กลายเป็นเรื่องใหญ่ ดูน่าสงสัยสุด ๆ!
ถึงเขาจะเห็นโอวหยางเฟิงหัวกับซุนก้วนอิง แต่หลิวซูชิงก็ยังเชื่อ
ว่าเป็นแผนที่วางไว้ เขาเชื่อว่าอำเภอซ่งอู๋คิดจะสร้างข่าวว่ามียอด
ปรมาจารย์เร้นกายบนยอดเขา เขาน่ะเคยเห็นอะไรแบบนี้มา
ก่อนแล้ว!
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คิดซะว่าวันนี้ออกมาเที่ยว
ข้างนอกกับพวกเพื่อนเฉย ๆ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถอะ แต่จงจำไว้ ไปถึงแล้วต้อง
รู ้ จ ั ก สำรวม! อย่ า ทำแบบเดิ ม อี ก เคารพกฎและก็ ต ามพวก
ชาวบ้านไป พวกเราต้องได้เข้าร่วมแน่นอน!” ซุนก้วนอิงว่า
ทุกคนเห็นด้วย
พอซุนก้วนอิงไปพบหวังโย่วกุ้ย ที่ตอนแรกคิดว่าคนพวกนี้คงจะ
มาสร้างปัญหาอีกครั้งแหง แต่ก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลังจากได้ยินคำอธิบายจากซุนก้วนอิง ดังนั้นทุกคนจึง ร่วมกลุ่ม
กับชาวบ้านปีนเขาขึ้นไป
หลิวซูชิงเห็นเป็นแบบนี้ ก็ได้แต่เดินตามไป
ตอนแรกฟางเจิ้งชนะในงานประลองลิปิศิลป์ ต่อมาก็โจ๊กล่าปา
พระโพธิสัตว์ในวัดก็ศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว ดังนั้นในมุมมองของ
ชาวบ้านนั้นจึงถือว่าไม่ธรรมดาเลย แถมเถียนจู่กั๋วกับหวังโย่วกุ้ย
ก็คอยล้างสมองชาวบ้านไม่หยุดหย่ อน ทำให้ทุกคนต่างมองฟาง
เจิ้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างแท้จริง คนที่เคยสนิทชิดเชื้อก็ค ิ ด ว่ า
ตนเองเป็นญาติโยมกันไปแล้ว
หวังโย่วกุ้ยยิ้ม “ฟาง—” หวังโย่วกุ้ยหลุดบทอีกครา
หวังโย่วกุ้ยคิดมาตลอดว่าเรียกฟางเจิ้งให้ถูกนี่มันยากเย็นแสน
เข็ญฉิบ! เขารู้ว่าถึงตัวเองจะเรียกฟางเจิ้งว่าเจ้าอาวาสก็ไม่
เสียหายอะไรหรอก แต่ในใจลึก ๆ ยังคงเชื่อว่า ‘เจ้าอาวาส’ นั้น
ไว้ใช้กับพระอาวุโสสูงอายุ ไม่ใช่พระหนุ่มรูปหนึ่งเนี่ยสิ
ส่วนจะให้เรียกฟางเจิ้งด้วยชื่อ? นั่นเป็นชื่อในทางธรรม จะเรียก
ไปก็คงไม่ผิดหรอก แต่ทุกคนต่างคิดว่าเรียกห้วน ๆ แบบนั้นออก
จะดูหยาบคายไปหน่อย โดยเฉพาะยิ่งถ้ามีบุคคลภายนอกอยู่แถว
นี้
หลังจากคิดไปสักพัก หวังโย่วกุ้ยก็แก้เป็น “พระอาจารย์ฟางเจิ้ง
พวกเรา—”
“อามิตตาพุทธ ประสก อาตมาไม่อาจรับคำว่าพระอาจารย์ได้
หรอก อย่าเรียกอาตมาเช่นนั้นเลย” ฟางเจิ้งหมายถึงแบบนั้น
จริง ๆ ใช่ว่าใคร ๆ ก็ถูกเรียกว่า ‘พระอาจารย์’ ได้ เขามักจะเกิด
ความรู้สึกเหยเกตลอดเลยเวลาถูกเรียกแบบนั้น คนธรรมดา ๆ
ไม่ ส มควรได้ ร ั บ การขนานนามว่ า ‘พระอาจารย์ ’ เลย พระ
อาจารย์อีจื่อเคยให้โอวาทไว้ว่า “ ‘พระอาจารย์’ นั้นหนักนัก ไม่
ปฏิบัติมาดี ย่อมไม่อาจรับ”
เมื่อก่อนฟางเจิ้งก็ไม่ได้ คิดมากอะไรหรอก แต่เร็ว ๆ นี้เพิ่งได้
เรียนรู้ธรรมเนียมทางพุทธเพิ่มเติม ย่อมได้รับอะไรมาบ้าง เขาจึง
เริ่มรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นเวลาที่โดนเรียก ‘พระอาจารย์’
หวังโย่วกุ้ยเข้าใจเล็กน้อย “ไม่ถูก ไม่ถูก งั้นจะให้เรียกว่าอะไร?”
ฟางเจิ้งบอกเสียงนุ่ม “ประสกสามารถเรียกอาตมาว่า ‘พระฟาง
เจิ้ง[3]’ และอย่าปฏิบัติกับอาตมาเฉกเช่นพระอาจารย์เลย”

[1] ในต้นฉบับภาษาจีนใช้คำว่า 老乡 (เหล่าเซียง) ซึ่งแปลว่า


คนบ้านเดียวกัน หรือเป็นคำที่ใช้เรียกชาวนาที่ไม่รู้จักมักคุ้น จะ
ใช้คำว่าคุณชาวบ้านก็ออกจะแปลก ๆ รวมกับทางผู้แปลนึกคำที่
สละสลายและตรงกับที่ใช้ในไทยไม่ออก จึงขออนุญาตใช้คำแปล
เดียวกันกับ 先生 (เซียนเซิง) คุณผู้ชาย/ Mr. นะครับ

[2] เหยียนเจินชิง (颜真卿) ชื่อรองว่าชิงเฉิน (清臣) เป็น


ขุนนางเลื่องชื่อสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งยังเป็นอาลักษณ์ผู้มีชื่อเสียง
โด่งดังอีกด้วย เหยียนเจิ นชิงได้รับการยกย่องเป็นผู้ ที่มีลายมือ
สวยงาม ผู้ที่หัดคัดลายมือมักใช้แบบลายมือของเหยียนเจินชิง
เป็นแบบอย่างในการคัดอักษรจีน

[3] 法师 (ฝ่ า ซื อ ) เป็ น คำเรี ย กพระสงฆ์ ด ้ ว ยความเคารพ


อาจจะอุปมาได้ว่า หลวงพี่ หลวงน้อง หรือพระ ส่วนพระอาจารย์
จะใช้คำว่า大师 (ต้าซือ/ไต้ซือ)
ตอนที่ 117 : เขียนจนติด
หวังโย่วกุ้ยชะงักก่อนจะยิ้ม “ดี เลย พระฟางเจิ้ง พูดตรง ๆ เลย
นะ อย่างที่รู้ นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกบ้านต่างอยากได้กลอนคู่ไว้ ปี
ก่ อ น ๆ พวกเรามั กจะซื ้อ แบบสำเร็ จรู ปมา แต่ ว ่ า ไหน ๆ ก็ มี
ปรมาจารย์ลิปิกรอยู่ในหมู่บ้านทั้งคน ทุกคนย่อมไม่คิดจะซื้อแบบ
สำเร็จรูปมาติด เลยอยากให้ท่านเขียนกลอนให้พวกเราสักหน่อย
คิดว่า.....” หวังโย่วกุ้ยยักไหล่ เหมือนกับว่าแล้วแต่ตามฟางเจิ้ง
ต้องการเลย
ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้อีก ? คนเหล่านี้ต่างเป็นมิตรสหายจากใน
หมู่บ้าน แถมหวังโย่วกุ้ยก็อธิบายอะไรเสร็จสรรพเสียขนาดนี้ อีก
ทั้งก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ดังนั้นเขาเลยตอบตกลง
พอชาวบ้านเห็นฟางเจิ้งตอบตกลงก็โล่งอก เพราะตอนแรกพวก
เขากลัวว่าฟางเจิ้งจะมีกฎแปลก ๆ อะไรอีก
ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังอยู่ในอารมณ์ยินดี ซุนก้วนอิงกับโอวห
ยางเฟิงหัวก็เห็นแววความหวัง พวกเขาเดินเข้าไปทักทายฟางเจิ้ ง
พร้อมกับสมาชิกสมาคมลิปิศิลป์ที่เหลือ
ฟางเจิ้งยังจำซุนก้วนอิงได้ เขาพลันสะดุ้งตกใจ รีบเร่งพูด
“อามิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย หากจะมาประลองกับอาตมาอีก ก็
ขอเชิญกลับไปเถิด อาตมาไม่ขอเข้าร่วมงานประลองอีก”
“พระอาจะ—อะแฮ่ม พระฟางเจิ้งครับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว พวก
เราไม่ได้มาประลองกับท่าน แต่มาขอกลอนคู่เหมือนกันต่างหาก
ล่ะครับ”
ประลองลิปิศิลป์? พอเห็นคัมภีร์พุทธองค์ทัศนามังกรของฟางเจิ้ง
แล้ว ซุนก้วนอิงย่อมไม่กล้าปะมือกับฟางเจิ้งแน่นอน! กล้าทำ
แบบนั้นก็บ้ากันพอดี!
ฟางเจิ้งประหลาดใจขั้นสุด พวกชาวบ้านมาขอกลอนเขายังพอ
เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ทำไมลิปิกรพวกนี้ก็ยังมาขอด้วยล่ะ ? ไม่
เข้าใจเลยแฮะ ก็แค่กลอนคู่ไม่ใช่เหรอ? เขียนเองไม่ได้เหรอไง?
พอเห็นฟางเจิ้งยังเงียบอยู่ ซุนก้วนอิงกับพรรคพวกก็เริ่มกระวน
กระวาย หรือว่าพวกเขาจะไม่ได้ ? ถ้าฟางเจิ้งตอบปฏิเสธขึ้นมา
พวกเขาจะทำยังไงดี? คิดถึงตรงนี้ สีหน้าทุกคนพลันย่ำแย่
โอวหยางเฟิงหัวรุดหน้าขึ้นพูดอย่างระมัดระวัง “พระคะ ท่านยัง
โกรธพวกเราอยู่เหรอ? ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องขออภัย ณ ตอนนี้
ด้วยค่ะ”
“ใช่ พวกเราติดค้างคำขอโทษท่าน ล่าสุดพวกเราทำผิดไปแล้ว
พวกเราละเมิดกฎ” มีคนโพล่งต่อทันที
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะอย่างรีบร้อน “อามิตตาพุทธ พวกโยมเข้าใจ
ผิดแล้ว อาตมาเพียงไม่คิดว่าพวกโยมจะมา แต่ในเมื่อมาแล้ว
อาตมาก็จะเขียนให้แล้วกัน” ฟางเจิ้งคิดว่า ไหน ๆ ก็เขียนให้
ชาวบ้านแล้ว เขียนเพิ่มอีกนิดหน่อยให้ลิปิกรพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง
ใหญ่ อ ะไรหรอก นี ่ ก ็ ใกล้ ปี ใหม่ แล้ ว ทำให้ คนอื ่น ผิ ด หวัง เสีย
บรรยากาศรื่นเริง คงไม่ดีแน่
ทุกคนได้ยินเขาตกปากรับคำก็มีความสุขอย่างยิ่ง!
ฟางเจิ้งไม่รู้หรอกว่าผลงานของตัวเองมีค่าแค่ไหน ทว่าคนอื่นรู้!
ถึงไม่ล้ำค่าดุจทองคำ แต่ก็ล้ำค่าไม่ต่างกับเงินหลายพัน! ยิ่งถ้า
เอากลอนคู่แบบนี้ไปแขวนไว้ในบ้านก็จะดูโก้หรูสุด ๆ ถ้าวันหนึ่ง
ฟางเจิ้งเกิดชื่อเสียงโด่งดังขึ้น มา กลอนคู่นี้ต้องประเมินค่าไม่ได้
แน่นอน! ที่สำคัญสุดคือได้เห็นผลงานลิปิกรชั้นยอดนั้นช่างชื่นใจ
อย่างยิ่ง ถ้าสามารถบรรลุอะไรบางอย่างจากลิปิศิลป์ของฟางเจิ้ง
จะต้องเป็นผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแน่
หลิวซูชิงที่เดินตามอยู่ข้างหลังกำลังถ่ายรูปทิวทัศน์บนเขานิ้ว
เดียว เขารู้สึกว่าถ้าได้วาดรูปแล้วใส่กลอนคู่เข้าไปคงเป็นอะไรที่
ไม่เลวทีเดียว เรื่องที่คนคุยกันอยู่ข้างหน้า เขาไม่ได้สนใจอย่าง
สิ้นเชิง
หลิวซูชิงเพียงมองไปที่ฟางเจิ้งตาขวางรอบหนึ่งตอนเจอหน้า
จากนั้นก็ส่ายหัวแล้ว แล้วก็เกิดข้องใจยิ่งกว่าเดิม “พระเด็กแบบ
นี้จะผลิตผลงานชั้นยอดได้ยังไง? ถ้าฝึกมาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
ประสบการณ์ก็ยังไม่ถึงยี่สิบปี แบบนี้จะเก่งกว่าผู้อาวุโสซุนได้อีก
เหรอ?”
เฮ้อ ไม่รู้แล้วว่าทุกคนจะสร้างเบื้องหลังเบื้องลับพระรูปนี้อย่างไร
จนทำให้กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา
หลิงซูชิงครุ่นคิด จากนั้นก็เดินไปรอบ ๆ ไม่สนใจที่คนอื่นพูด
แม้แต่น้อย สนใจอย่างเดียวคือตนเอง
พอมาถึงตรงประตูวัด ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป แต่ทันใดนั้น
ก็ต้องตกตะลึง!
เขารีบลดโทรศัพท์ลง ก่อนจะมองไปยังกลอนคู่ที่แปะไว้ ต รง
ประตูประดุจเห็นผี! เพียงแค่มอง ก็เห็นภาพเป็นพุทธองค์ทิ้ง
ร่องรอยไว้ยามเดินทางโดยมีมังกรเทพเจ้าเป็นพาหนะ!
ทั้งแกร่งกล้าทั้งดุดัน เพียงมองเลือดก็เดือดพล่าน ทั้งยังสัมผัสได้
ถึ ง กลิ ่ น อายสวรรค์ เ ลื อ นราง เป็ น กลิ ่ น อายที ่ ป ั ด เป่ า ปั ญ หา
ทั้งหลายของเขาให้สิ้นไป! ทำให้เขารู้สึกสงบยิ่ง!
“นะ นี่มันอะไร?” หลิงซูชิงจ้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ลุงหลิว นี่คือฝีมือพระอาจารย์ เป็นไงคะ? ตะลึงไปเลยใช่ไหม
ล่ะ?” หลิวซูชิงไม่รู้ว่าโอวหยางเฟิงหัวมาด้านข้างตอนไหน แต่
พอเธอเห็นอาการของหลิวซูชิง ก็พูดอย่างพึงพอใจ
หลิวซูชิงพยักหน้า “น่าตกตะลึงจริง ๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพวก
เธอถึงชื่นชมเขาขนาดนี้ ลิปิศิลป์นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
“ลุงหลิว คุณคิดมาไปแล้วค่ะ พวกเราไม่มีทางยกย่องท่านเปล่า ๆ
ปลี้ ๆ อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะว่าท่านมีความสามารถมากจริง ๆ!
แล้วท่านก็ดูถ่อมตัวมากด้วย” โอวหยางเฟิงหัวมองไปที่แผ่นหลัง
ของฟางเจิ้ง สายตาแฝงทั้งยกย่องทั้งสับสน เธอเติบโตมาใน
ตระกูลลิปิกร ด้วยอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมตั้งแต่ยังน้อย ความ
หลงใหลในงานลิปิศิลป์ ไม่ใช่อะไรที่ผู้อื่นจะมาเทียบได้เลย
ตั้งแต่เยาว์วัย เธอเป็นนักคัดอักษรที่ดีที่สุดในห้องเรียน หรือ
แม้ ก ระทั ่ ง ดี ท ี ่ ส ุ ด ในโรงเรี ย น ได้ ร ั บ ถ้ ว ยรางวั ล มาเยอะแยะ
มากมาย กล่าวได้ว่าถูกกำหนดให้กลายเป็นดาราในวงการลิปิกร!
เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเช่นนี้มาตลอด เธอจะต้องได้เป็นปรมาจารย์
ลิปิกรในระดับนานาชาติ!
เพราะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ดังนั้นเวลาเธอมาเทียบลิปิศิลป์
ตัวเองกับเพื่อนคนอื่น เธอก็มักจะจุกจิกเรื่องมากเสมอ เธอไม่เชื่อ
ว่าใครจะเป็นคู่มือเธอได้ ทว่าหลังจากเห็นงานลิปิศิลป์ของฟาง
เจิ้ง ก็รู้ทันทีว่างานของเธอมันไม่ต่างไปจากของเด็กเล่น!
ทั้งที่เราอายุเท่ากัน แต่ทำไมฝีมือถึงต่างกันขนาดนี้? ทั้งที่เป็นเณร
รูปหนึ่ง เหตุไฉนจึงยิ้มได้ผ่องใสเช่นนั้น ? แถมทุกการเคลื่อนไหว
ของเขาทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก……
ปกติแล้วถ้าเจอคนที่เก่งกว่าเธอในทุกด้านแบบนี้ เธอคงมองด้วย
ความเป็นปรปักษ์ไปนานแล้ว แต่สำหรับฟางเจิ้ง เธอกลับยกย่อง
เขาอย่างยิ่ง......เขาทิ้งความน่าประทับใจไม่รู้เลือนไว้! ปกติเธอจะ
รู้สึกแบบนี้กับบิดาเท่านั้น
“เป็นอัจฉริยะบุคคลที่หายากจริง ๆ แต่ยังไงฉันห็ต้องเห็นเขาลง
พู่กันด้วยตาตัวเองก่อน ไม่งั้นไม่เชื่อเด็ดขาด! ไปดูกันเถอะ!”
หลิวซูชิงกำลังฉงนใจ พระหนุ่มแบบนี้จะเขียนงานลิปิศิลป์ได้จริง
เหรอ?
ตอนนั้นเองทุกคนก็ช่วยกันจัดเตรียมโต๊ะเสร็จเรียบร้อย บนโต๊ะมี
กระดาษแดงสำหรับเขียนกลอนคู่วางไว้อยู่ โดยมีซุนก้วนอิงกำลัง
ฝนหมึกให้ฟางเจิ้ง
หวังโย่วกุ้ยวางหนังสือเล่มเล็กลงตรงหน้าฟางเจิ้ง “กลอนคู่ที่
พวกเขาอยากได้เขียนอยู่ในนี้หมดแล้ว ทำตามเห็นสมควรเถอะ
อีกเดี๋ยวจะมีคนมาขอของตัวเองเอง”
ฟางเจิ้งพยักหน้าก่อนจะเริ่มตวัดพู่กัน ก่อเกิดเป็นตัวอักษรหนา
หนักพาดผ่านกระดาษดุจมีชีวิต!
ทุกเส้นเหมือนดั่งสายอสุนีฟาดมังกรคำรณ ทว่าเป็นเพียงภาพ
มายา ไม่มีผลกับความเป็นจริง
หลังจากเห็นฟางเจิ้งเขียนไปไม่กี่ตัว หลิวซูชิงก็เชื่อเรื่องที่คนอื่น
กล่าวอย่างสนิทใจ เขาจ้องเขม็งไม่อย่างกล้าเกิดความคิดแคลงใจ
แม้แต่น้อย! ——ไม่พบลิปิกรชั้นยอดเป็นความเสียหายขั้นสุด!
ถ้าฟางเจิ้งยังไม่เริ่มก็คงไม่มีอะไรหรอก แต่พอเริ่มเท่านั้น ก็
เหมือนเขาไม่อาจหยุดยั้งตนเอง! ตั้งแต่ได้เรียนรู้คัมภีร์พุทธองค์
ทัศนามังกร เขาก็ขาดทั้งหมึกขาดทั้งกระดาษไว้ฝึกฝนวิชามา
ตลอด พอตอนนี้มีวัตถุดิบไม่จำกัด ในที่สุดเขาก็สามารถฝึกฝนได้
ตามใจ!
อีกทั้งนี่ก็เป็นปีใหม่แล้ว มีเรื่องอึกทึกบนยอดเขาย่อมทำให้รู้สึกดี
ไม่น้อย เขาตวัดพู่กันเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ตัวอักษรก็งามตาและสง่า
งามขึ้นเรื่อย ๆ!
ฟางเจิ้งแผ่กำจายรัศมีพุทธะแลมังกร น่าเกรงขามทว่าสงบเคร่ง
ขรึม ยามคนจ้องมองล้วนสัมผัสได้ถึ งกลิ่นอายนี้ มิอาจหาญกล้า
เกิดความคิดชั่วร้ายได้แม้แต่น้อย!
ตอนที่ 118 : ปีใหม่แล้ว
ถึงจะมีคนขึ้นเขามากว่าสามร้อยคน แต่ก็มากันเป็นครอบครัว
ดังนั้นฟางจึงต้องเขียนกลอนเพียงร้อยกว่าแผ่นเท่านั้น
ขณะที่ฟางเจิ้งเป็นผู้คัดอักษรลงไป หวังโย่วกุ้ยก็ทำหน้าที่ พลิก
กระดาษ แต่ไม่นานหวังโย่วกุ้ยก็รู้สึกว่าไม่อาจตามทันความเร็ว
ของฟางเจิ้ง! โอวหยางเฟิงหัวรีบเข้ามาช่วยทันที คนหนึ่งพลิก
กระดาษ คนหนึ่งเตรียมกระดาษแดงไปที่ ๆ ฟางเจิ้งสามารถ
เขียนได้อย่างสะดวก
ไม่นาน ก็เขียนไปกว้าร้อยแผ่น!
ชาวบ้านกับคนจากสมาคมลิปิศิลป์มองกลอนคู่ในมือด้วยดวงตา
เป็นประกายระยับ งานลิปิศิลป์ชั้นยอดสุดหายาก ในที่สุดก็ได้มา
ครอบครองแล้วโว้ย!
หลังจากเขียนทุกอย่างเสร็จฟางเจิ้งค่อยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งกาย
สบายสุด ๆ เขาลอบถอนหายใจ ‘งานลิปิศิลป์ต้องการพู่กัน
หมึก ที่ฝนหมึก กระดาษจริง ๆ ด้วย ไปเขียนบนหิมะนี่ โครต
อัตคัด’
หลังจากทุกคนได้กลอนคู่หมดแล้ว ก็กล่าวลาด้วยจิตวิญญาณอัน
ลุกโชน นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว จึงต่างกลับไปจัดเตรียมมื้ออาหารกัน
ฟางเจิ้งส่งพวกเขากลับไป แต่พอหันกลับมา ก็ยังเจอคนอยู่เสีย
ฉิบ! ตรงประตูวัด โอวหยาวเฟิงหัวกำลังมองมาที่เขา
ฟางเจิ้งรุดหน้าไปถาม “อามิตตาพุทธ สีกามีอะไรกับอาตมา
หรือไม่?”
“พระฟางเจิ ้ ง พ่ อ ของฉั น ฝากมาบอกว่ า ถ้ า วั ด ต้ อ งการ
บูรณปฏิสังขรณ์อะไรล่ะก็ ครอบครอบของเราก็พร้อมช่วยนะ
คะ” โอวหยางเฟิงหัวบอก
ฟางเจิ้งผงะ ยินดีอย่างที่สุดเลย! ทว่าฟางเจิ้งยังคงหน้ายิ้มของ
ตนเอง ก่อนจะพนมมือ “ขอบคุณสีกา”
“เอาล่ะ ยังไงฉันก็บอกข้อความของคุณพ่อแล้ว ตอนนี้ขอพูด
เรื่องของตัวเองบ้างนะคะ” โอวหยางเฟิงหัวยิ้ม ในแววตาฉาย
แสงวิบวับ
ฟางเจิ้งสงสัย ยัยหนูนี่มีอะไรกับเขากัน?
โอวหยางเฟิงหัวพูด “พระฟางเจิ้ง เป็นไปได้ไหม ที่ฉัน.....จะขอ
เรียนวิชาลิปิศิลป์จากท่าน?”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกไปเลย โลกนี้ไม่มีอาหารฟรีจริง ๆ หรอกโว้ย!
บูรณะวัดโดยมีเงื่อนไขงั้นเหรอ? แถมไม่ใช่เรื่องยากด้วย?
แต่ว่าฟางเจิ้งก็ต้องตอบปัดไป “สีกา อาตมาเป็ นพระ จะไปสอน
สี ก าได้ อ ย่ า งไร? อี ก ทั ้ ง ในพุ ท ธสถาน บุ ร ุ ษ สตรี ย ่ อ มมิ อ าจมี
ปฏิสัมพันธ์ ถ้าสีกาไม่มีอะไรอีก ก็ขอเชิญ”
ถ้าถามว่าโอวหยางเฟิงหัวสวยไหม? ฟางเจิ้งคงตอบว่า ‘โครต ๆ!’
ทั้งฉลาด ทั้งมีชีวิตชีวา แถมยังสวยอีก แต่ว่ายิ่งสวยเท่าไร ฟาง
เจิ้งยิ่งต้องปฏิเสธให้หนั กมากเท่านั้น! ได้แต่มองไม่อาจแตะต้อง
เป็นอะไรที่ทรมานสุด ๆ! แถมเขาไม่คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ
ตัว แล้วก็วัดไม่เหมาะจะให้สตรีเพศมาอยู่จริง ๆ ทั้งวัดมีแต่เขา
อยู่คนเดียว ให้บุรุษสตรีมาอยู่ด้วยกันมีปัญหาแน่นอน
โอวหยางเฟิงหัวไม่คิดเลยว่าฟางเจิ้งจะตอบปฏิเสธเธออย่างหนัก
แน่นเช่นนี้ เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธอแม้แต่น้อย
ทำเอาตระหนกจนตะโกนว่า “พระฟางเจิ้ง ฉันไปอยู่ที่ ตีนเขาก็
ได้! ทุกวันจะปีนเขาขึ้นมาเรียนจากท่าน แบบนี้เป็นไงคะ? ฉัน
สาบานว่าจะไม่รบกวนท่านทำสมาธิเด็ดขาดค่ะ!”
ฟางเจิ้งโบกมือ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรต่อ ตลกเหรอ? คำอธิบายใช้
ไม่ได้ ไม่ยอมรับเฟ้ย!
ประตูปิดใส่โอวหยางเฟิงหัวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าวัด หลังจากรอมาทั้ง
วัน เธอก็มั่นใจแล้วว่าจิตใจฟางเจิ้งมั่นคงดุจเหล็กกล้า และไม่คิด
จะรับเธอเป็นศิษย์แม้แต่น้อย เธอได้แต่กระทืบเท้าลงเขาไป
แต่เธอไม่รู้เลยว่าฟางเจิ้งไม่ได้ไปไหนไกลแม้แต่น้อย เขากำลังนั่ง
ยอง ๆ ฟังเรื่องราวข้างนอกอยู่
หลังจากเสียงฝีเท้าจากไปแล้ว ฟางเจิ้งก็ปีนกำแพง แล้วชะโงก
หัวโล้นเกลี้ยงออกไปดู เขามองไปที่หลังบางของโอวหยางเฟิงหัว
ก่อนจะส่ายศีรษะ “อามิ ตตาพุทธ สาธุ ๆ พลังใจอาตมาไม่เลว
เลย”
จากนั้นฟางเจิ้งก็หัวเราะคิกคักก่อนจะไปทำกิจวัตรอื่น ๆ ต่อ
ส่วนเรื่องโอวหยางเฟิงหัว ฟางเจิ้งไม่แยแสแม้แต่น้อย มีสาย
สัมพันธ์? ฟางเจิ้งยังไม่อยากไปคิด
อำเภอซ่งอู๋ เหล่าลิปิกรไม่ได้กลับบ้านทันที แต่ไปหาร้านมาใส่
กรอบให้กลอนของฟางเจิ้งก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปแขวนไว้ที่
บ้าน
“ตาแก่ คุณไปเอาของโบราณนั่นมากจากไหนน่ะ? ไม่ได้ถูกหลอก
มาใช่ไหม?” หลัวผิง ภรรยาของซุนก้วนอิงที่เห็นสามีของตน
กำลังวุ่นวายแขวนกลอนคู่ก็ถามสัพยอก
“ของโบราณที่ไหนกัน เป็นงานลิปิศิลป์ที่ขอมาวันนี้ต่างหาก เป็น
ผลงานชั้นเยี่ยม มองได้ไม่เบื่อเลย” ซุนก้วนอิงชื่นชมกลอนคู่ที่
ประตูอย่างอัศจรรย์ใจ
“ขอมาวันนี้? อย่างคุณต้องไปขอกับเขาด้วยเหรอ? หืม หายาก
นะเนี่ย ไม่ว่าทำตัวหัวสูงเชื่อว่างานตัวเองดีที่สุดเหรอไงกัน? ว่า
ไง? ไปเปลี่ยนนามสกุลหรืออะไรเทือก ๆ นั้นมาเหรอ?” หลังจาก
หลัวผิงพูดจบ เธอก็เดินมาชมงานลิปิศิลป์ด้วย
“คุ ณ พระ! ตาแก่ ทำไมลิ ป ิ ศ ิ ลป์ ถ ึ ง สวยขนาดนี ้ ล ่ ะ !? แค่ ม อง
ความคิดสับสนวุ่นวายก็หายไปหมดเลย อย่างกับเห็นพระพุทธ
องค์ไงงั้น ไปขอมาจากวัดงั้นเหรอ?”
ซุนก้วนอิงหัวเราะ “ไม่เลว! แค่มองก็รู้ว่าขอมาจากพระท่าน เธอ
เริ ่ ม รู ้ อ ะไร ๆ แล้ ว สิ น ะ ฮี ่ ฮ ี ่ ! ” ซุ น ก้ ว นอิ ง หั ว เราะ แต่ ล อบ
ประหลาดใจ รู ้ จ ั ก ข้ อ มู ลลิ ป ิ กรจากงานลิป ิ ศิ ลป์น ั ้ นเป็ นเรื่อง
ธรรมดา แต่ว่าให้คนนอกวงการมาเข้าใจในงานนั้นนั่นแหละไม่
ง่ายเลย!
หลังจากคิดอะไรบางอย่าง ซุนก้วนอิงก็วางแผนว่าบางทีปีหน้า
ตนเองอาจจะ......
ฉากคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นตามบรรดาบ้านของลิปิกร ทุกคนต่าง
แขวนกลอนคู่เหมือนสมบัติล้ำค่า เป็นกลอนคู่ที่ดึงดูดสายตายิ่ง
ถ้ามีแขกมาหา ไม่ว่าจะเป็นมิตรสหายหรือวงศาคณาญาติ ก็ต่าง
ชื ่ น ชมกลอนนี ้ ไ ม่ ห ยุ ด ทำเอาพวกเขารู ้ สึ ก ภาคภู ม ิ ใ จไม่ น ้อย
ขณะเดียวกันก็รู้สึกเคารพฟางเจิ้งยิ่งกว่าเดิม อายุยังไม่ยี่สิบดี ก็มี
ความสามารถเช่นนี้ ถ้าเวลารุ่งโรจน์มาถึง......
‘อำเภอซ่งอู๋ของเราได้ม ีบรมครู ชั ้นยอดบังเกิด แล้ว!’ นี่เป็ น
บทสรุปที่ทุกคนคิด! ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจที่ก่อ นหน้านี้ไป
เสียมารยาท
ทุกคนพูดจาโอ้อวดกลอนคู่ตัวเองกันยกใหญ่ ทำเอาวีแชทหลาย
แห่งปั่นป่วน คนไม่น้อยต่างวิพากษ์วิจารณ์กลอนคู่ของฟางเจิ้ง
ทว่าไม่มีใครสนใจเนื้อหาบทกลอนเลย สนใจแต่ตัวอักษรล้วน ๆ!
เหล่าลิปิกรก็ไม่คิดปกปิด รีบเล่าเรื่องฟางเจิ้งกับวัดนิ้วเดียวสู่
สาธารณะชน ฉับพลันชื่อเสียงวัดนิ้วเดียวก็โด่งดังขึ้นมาทันที
วันต่อมา ถึงกับมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตีพิมพ์ข่าวเรื่องนี้! น่า
เสียดายที่ข่าวท้องถิ่นมีคนอ่านน้อยนัก ไม่งั้นชื่อเสียงของวัดคงพุง่
ทะลุปล้องไปแล้ว
ขณะเดียวกันนั้นฟางเจิ้งกำลังนั่งยองบนพื้น ทำโคมหิมะอย่าง
ขมั ก เขม้ น เพราะไม่ ม ี อ ะไรจะทำแล้ ว ก็ เ ลยมาทำโคมหิ ม ะ
เสียเลย กำหนดให้การประดับโคมรอบวัดเป็นภารกิจอันดับหนึ่ง
ของตัวเอง
วันต่อ ๆ มา ฟางเจิ้งก็จัดทำโคมหิมะได้หลายชุด ไม่กี่วันก็ติดตั้ง
แถวประตูวัดเสร็จสิ้น แถมยังปั้นตุ๊กตาหิมะไว้ไกล ๆ อีกด้วย วาง
โคมหิมะไว้บนหัวตุ๊กตาหิมะ แล้วก็ติดตามทางลงเขา เขากะจะใช้
โคมแทนไฟถนนสักหน่อย
ปีใหม่มาเยือน หัวหน้าหมู่บ้านหวังโย่วกุ้ยก็มาเยี่ยม พอเห็นว่า
ฟางเจิ้งทำโคมหิมะเยอะเสียขนาดนี้ จึงให้หยางผิงนำเทียนไข
ขึ้นมาให้ ถือว่าใช้จนเกินพอ
นี่ทำให้ฟางเจิ้งยินดีอย่างยิ่งยวด เขาทำโคมหิมะเยอะกว่ าเดิม
แล้วก็นำไปวางบนพื้นว่าง ๆ ข้างนอก
ปีใหม่มาถึงแล้ว เสียงประทัดดังออกมาให้ได้ยินอีกครา ฟางเจิ้ง
จุดไฟใส่โคมหิมะ จนก่อเกิดเป็นแสงคลุมทั่วขุนเขา เหมือนกับเขา
นิ้วเดียวได้รับประทานพรจากรัศมีองค์ยูไล เป็ นภาพงดงามจับตา
อย่างยิ่ง
ฟิ้ว! เสียงบางอย่างลอยขึ้นไปในอากาศ
เปรี้ยง! พลุระเบิดบนท้องนภา เที่ยงคืนแล้ว
ฟางเจิ้งมองพลุที่ระเบิดบนท้องฟ้า ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์
ตนเองขึ้นมาถ่ายเซลฟี่! ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหลังหนักขึ้นมา เป็นเจ้า
กระรอกตัวน้อยที่ปีนขึ้นเกาะหลังของเขานั่นเอง มันพยายามยิ้ม
ออกมาทำทีท่าดุร้ายใส่กล้อง
ตอนที่ 119 : พระอาจารย์กแ็ อ๊บแบ๊วเป็นเหมือนกันนะ
ฟางเจิ้งหัวเราะพรืด รีบกด พ่าม! ถ่ายรูปแล้ว
ฟางเจิ้งเห็นว่ารูปที่ถ่ายออกมาไม่เลวก็หัวเราะอีกที! รีบกดชัต
เตอร์รัว ๆ
เจ้ากระรอกเหมือนรู้ว่าฟางเจิ้งกำลังทำอะไร รอบนี้มันดึงหูฟาง
เจิ้ง ทำท่าเป็นจะกัดหูเขา สีหน้าดูดุร้ายกว่าเดิม
ฟางเจิ้งเผยแพร่ลงบนโซเชี่ยล พร้อมใส่ข้อความไว้ว่า “ไอหยา
อาตมาโดนเจ้ากระรอกแสนดุร้ายรังแกเสียแล้ว หูของอาตมาอยู่
ในอันตราย ช่วยด้วย!”
เขากดส่งไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก และไม่คิดว่าจะมีคน
ตอบกลับด้วย อีกอย่างเขาก็มีเพื่อนในวีแชทแค่สี่คนคือ จ้าวต้าถง
หูหาน ฟางอวิ๋นจิ้ง แล้วก็หม่าจวนเท่านั้น
หม่ า จวนหั ว เราะยกใหญ่ ไม่ คิ ด เลยว่ า พระอาจารย์ จ ะมี ด ้ า น
น่ารักๆ เช่นนี้ ส่วนเรื่องเจ้ากระรอก เธอไม่คิดจะกังวลแม้แต่น้อย
ฟางเจิ้งผู้จัดการหมาป่าได้ด้วยมือเปล่า จะไปโดนกระรอกตัวกะ
จ้อยร่อยทำร้ายได้ยังไง? หม่าจวนรีบคอมเมนต์ “พระอาจารย์
ขอแสดงความเสียใจกับหูของท่านด้วยนะคะ แล้วฉันจะส่งยา
รักษาเป็นของขวัญปีใหม่ให้นะ ฮ่าฮ่า”
ฟางเจิ้งก็ขำเช่นกัน เขาถ่ายรูประยะประชิดของเจ้าตัวน้อยที่
กำลังนอนหมอบบนศีรษะหมาป่าไร้ฝูง มันดูอบอุ่นน่าดูในขนหนา
นุ่มสีเงินนั่นไม่น้อย
พอหม่ า จวนเห็ น รู ป ก็ ห ั ว เราะออกมาฉาดใหญ่ รี บ ตอบกลั บ
“เจ้าตัวน้อยนี่น่ารักมากเลยค่ ะ! เจ้าหมาป่ าก็เท่ไม่เบา พระ
อาจารย์ มีรูปอีกไหมคะ? ขออีก!”
ตอนนั้นเองที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หูหาน
กำลึงถือโคมเดินนำเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน บางครั้งจะโยนประทัดใส่
บ้านคนอื่นให้ตกใจเล่น ก่อนจะพากันวิ่งหนีออกมา ดูสนุกสนาน
ไม่น้อย บางคราวก็จะเหลือบมองโทรศัพท์ตัวเอง ทันใดนั้นก็ไป
เห็นสองรูปที่ฟางเจิ้งเพิ่งโพสต์เข้า พอเห็นความฉลาดเฉลียวของ
เจ้ า กระรอกก็ ห ลุ ด ขำ รี บ ตอบ “พระอาจารย์ ขออี ก ๆ เจ้ า
กระรอกนี่ฉลาดสุด ๆ ไปเลย น่ารักจัง!”
จากนั้นหูหานก็ @ ฟางอวิ๋นจิ้งกับจ้าวต้าถง “อวิ๋นจิ้ง ต้าถง มาดู
พระอาจารย์สิ เขาน่ารักเวอร์!”
เมืองจี้หลิน อำเภอหลิงเจียง เขตหลงสุ่ย จ้าวต้าถงกำลังอยู่ตรง
โต๊ะอาหาร มือหนึ่งถือชามข้าว มือหนึ่งถือตะเกียบ ถึงจะอิ่มแปล้
แต่ก็ยังยัดเกี๊ยวลงกระเพาะต่อไป
เด็กหลายคนที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงต่างสวาปามเกี๊ยวอยู่เช่นกัน
อย่างกับไม่เคยรับประทานเกี๊ยวกันมาก่อน…...
ตอนนั้นเองที่มีเสียงเด็กสาวคนหนึ่งหัวเราะลั่น เธอหยิบเหรียญ 5
เหมาออกมาจากปาก “ฮ่าฮ่า เสร็จฉัน รวยแล้ว!”
“เด็กน้อย อายุแค่นี้ก็จะร่ำรวยแล้วหรือ ? ช่างเป็นเหรียญที่เสีย
เปล่ า รอแป๊ บ เหลื อ อี ก เหรี ย ญ ฉั น แค่ ต ้ อ งพยายามให้ ม าก
กว่าเดิมหรอกน่า!” จ้าวต้าถงตำหนิเธอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน
ต่อ
เด็กที่เหลือต่างเร่งความเร็ว ขณะจ้าวต้าถงกำลังกิน ในใจก็คิด
‘ไม่เชื่อหรอกโว้ย ฉันเป็นเด็กมหาวิทยาลัยแล้วนะ โชคจะสู้เจ้า
เด็กพวกนี้ไม่ได้ได้ยังไงฟะ?!’
ทันใดนั้น เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าจ้าวต้าถงไม่มาก ก็ร้องอุทาน
ออกมา ทุกคนได้ยินเสียงฟันของเขาบดเข้ากับเหล็ก หลังจาก
นั้น เด็กผู้ชายคนนั้นก็ร้องอย่างยินดี แม้ว่าจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม
เขาเอาเหรียญ 5 เหมาออกจากปาก
จากนั้นจ้าวต้าถงกับเด็กคนนั้นก็โยนตะเกียบทิ้งทันที พวกเขานั่ง
นิ่ง ได้แต่เอามือถูท้อง ขณะเดียวกันก็มีเสียงซุบซิบไม่หยุด มี
รอยยิ้มจากผู้ใหญ่ มีเสียงหัวเราะอย่ างรื่นเริงในเทศกาลคืนส่งปี
จากโทรทัศน์ โหวกเหวกรื่นเริงกันไม่น้อย
ในที่สุดจ้าวต้าถงก็หาเวลาว่างได้ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะ
เห็น หูหาน @ เขามา พอมองเห็นรูปฟางเจิ้ง เขาหลุดขำออกมา
ทันที แล้วรีบตอบ “พระอาจารย์ โพสต์อีกสักสองรูปสิครับ
อยากเห็นรูปน่ารัก ๆ อีก!”
ฟางอวิ๋นจิ้งไม่ได้ทำอะไรบ้าบอเฉกเช่นจ้าวต้าถง เธอกำลังดู
เทศกาลคืนส่งปีอย่างเงียบ ๆ กับครอบครัว ร่วมกับญาติคนอื่น ๆ
โดยมีเด็กเล็กวิ่ งอยู่รอบ ๆ ฟางอวิ๋นจิ้งจะหันไปเล่นด้วยบ้า ง
บางครั้ง ในใจคิดว่าอย่างนี้ก็สนุกไม่เลว จากนั้นส่วนใหญ่เธอก็
เล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลาไปเรื่อย เพราะรู้สึกว่าเทศกาลคืนส่งปีใน
โทรทัศน์ช่วงนี้ของรายการนัน้ ไม่สนุกเท่าไร
พอเธอเห็นรูปของฟางเจิ้ง ดวงตาพลันเป็นประกายวิ้งวับ รีบกด
แชร์แล้วพิมพ์ว่า “พระอาจารย์ มีรูปตลก ๆ แบบนี้อีกไหมคะ?
ฉันง่วงมากเลย แต่ต้องถ่างตาไว้ อยากหาอะไรให้มันตื่น ๆ หน่อย
ค่ะ”
พอฟางเจิ้งเห็นทั้งสี่คนกดดันให้เขาถ่ายรูปเพิ่มขนาดนี้ ก็ รู้สึกว่า
ความโดดเดี่ยวที่มีอยู่นั้นมลายหายไป เขาหัวเราะออกมาก่อนจะ
โพสต์รูปใหม่ หนึ่งในนั้นเป็นรังของเจ้ากระรอกที่แปะกลอนคู่ของ
เขา
พอจ้าวต้าถงเห็นรังกระรอก ก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “พระ
อาจารย์ นี่เป็นรังกระรอกจริงเหรอ? กระถางต้นไม้ชัด ๆ ฮ่าฮ่า
ฮ่า! สร้างง่ายจริง ๆ”
หม่าจวนผู้ร่ำรวยแสดงความคิดเห็นต่อ “น่าสงสารจังเลย พระ
อาจารย์ นี่มันรังแกสัตว์ชัด ๆ เดี๋ยวฉันจะส่งบ้านดี ๆ ไปให้ค่ะ!”
ฟางเจิ้งขวยเขิน พิมพ์ตอบไปว่า “อาตมาไม่มีขวานบนนี้ จะทำ
อะไรยาก ๆ คงไม่ได้ กระถางต้นไม้นี่แหละที่อาตมาทำได้ดีที่สุด
แล้ว อย่างน้อยเจ้าเพื่อนตัวน้อยก็ดูชอบนะ”
ทั้งกลุ่มหัวเราะเฮฮา
ฟางอวิ๋นจิ้งกับหูหานสังเกตเห็นกลอนคู่ ฟางอวิ๋นจิ้งถามอย่าง
สงสัย “พระอาจารย์ ท่านซื้อกลอนพวกนั้นมาจากไหนกันค่ะ?”
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาเขียนเอง ทำไมหรือ?”
ฟางอวิ๋นจิ้งตอบกลับอย่างประหลาดใจ “พระอาจารย์เป็นคน
เขียนเองจริงเหรอคะ?”
“อวิ๋นจิ้ง ทำอะไรอยู่น่ะ?” แม่ที่อยู่ข้างๆ เธอ เอ่ยปากเอ็ดเบาๆ
ฟางอวิ๋นจิ้งแลบลิ้น แล้วเอาภาพกลอนคู่ของฟางเจิ้งให้ดู “แม่
คะ ดูสิ คิดว่ากลอนคู่นี้เป็นไง?”
ฟางชิวขมวดคิ้ว “อะไรอีกหืม? คงไม่ได้เขียนเองใช่ไหม? หวังว่า
คงไม่แย่มากนะ......”
“โธ่แม่! หนูรู้ว่าแม่เป็นลิปิกรผู้เก่งกาจ ช่วยหนูดูหน่อยนะคะ ๆ”
ฟางอวิ๋นจิ้งฉอเลาะ
ฟางชิวยอมแพ้ ก่อนจะรับโทรศัพท์ไป พอเห็นกลอนคู่นั้น รอยยิ้ม
พลันแข็งค้างไปทันที ฟางอวิ๋นจิ้งที่เห็นแม่ตนเองเป็นเช่นนี้ก็ไม่
กล้ารบกวน
ตอนนั้นเองฟางชิวก็พูดตะกุกตะกัก “คะ ใคร ใครเป็นคนเขียน?
อาจารย์ท่านไหนเป็นคนเขียนกลอนคู่บทนี้!?”
“แม่ทำหนูกลัวแล้วนะ กลอนคู่นี้มันทำไมเหรอคะ?” ฟางอวิ๋นจิ้ง
ถามอย่างหวาด ๆ
“เขียนได้ดีมาก! แม่เห็นงานลิปิศิลป์มาไม่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลย
ว่าผลงานนี้ดีที่สุดแล้ว!” ฟางชิวชื่นชม
“น่าประทับใจขนาดนั้นเชียว?” ฟางอวิ๋นจิ้งเบ้ปากอย่างไม่เชื่อ
“ใช่แน่นอน อย่าลืมว่าแม่เป็นนักวิจารณ์ลิ ปิศิลป์ เป็นกรรมการ
ในงานแข่งระดับภูมิภาคมาก็ไม่น้อยนะ” ฟางชิวพยายามเกลี้ย
กล่อมลูกสาวตัวเอง “นี่ อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ปรมาจารย์ท่านไหน
เป็นคนเขียนกันหืม?”
ฟางอวิ๋นจิ้งตอบ “ก็ได้ค่ะ ท่านอยู่ที่หมู่บ้านนิ้วเดียว เป็น พระ
อาจารย์ฟางเจิ้งที่ประจำอยู่ในวัดนิ้วเดี ยวบนเขานิ้วเดียวเป็นคน
เขียนเองค่ะ”
“พระอาจารย์ฟางเจิ้ง? เขานิ้วเดียว?” ฟางชิวพยายามนึกย้อน
ความทรงจำ แต่กลับนึกไม่ออกแม้แต่น้อย เธอจึงพูด “ช่างเถอะ
ไว้หลังจากปีใหม่ค่อยไปหาก็แล้วกัน จะได้ไปเยี่ยมปรมาจารย์
ลิปิกรท่านด้วย”
ฟางอวิ ๋ น จิ ้ง ได้ ยิ น ก็ ป ระหลาดใจ งานลิ ป ิ ศิ ลป์ ข องฟางเจิ ้งน่า
ประทับใจขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอรู้ว่างานของฟางเจิ้งนั้นสวย
มาก แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี
ตอนที่ 120 : วิกฤตการณ์ธูปดอกแรก!
ฟางอวิ ๋ น จิ ้ ง แสดงความคิ ด เห็ น ในโพสต์ ข องฟางเจิ ้ ง “พระ
อาจารย์ งานลิปิศิลป์ท่านสวยมาก แต่ว่า......ฉันอยากได้ รู ป
น่ารักๆ อีกค่ะ!”
หลังจากฟางเจิ้งอ่านคอมเมนต์พวกนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเลย เขา
ออกจะเป็นพระหล่อเหลาเอาการ ทำไมถึงให้ถ่ายรูปน่ารัก ๆ
กันเนี่ย? ทำไมไม่เห็นมีใครขอรูปเท่ ๆ ของเขาบ้างเลยล่ ะ? พวก
ไร้รสนิยม!
จากนั้นฟางเจิ้งก็กางนิ้วเป็นรูปตัว ‘V’ หลับตาข้างหนึ่งแล้วกด
ถ่ายรูป พอแชร์รูปนี้ออกไปก็ได้เสียงหัวเราะกลับมาทันที
ฟางเจิ้งส่งรูปโคมน้ำแข็งที่วางบนเขาให้......
“ว้าว! อย่างสวยเลย!”
“สวรรค์! พระอาจารย์ทำเองหมดเลยเหรอ? นี่มันพระราชวัง
คริสตัลหรือเปล่าเนี่ย? ท่านซ่อนนางสนมไว้ใช่หรือไม่?”

ฟางเจิ้ง “@#¥……”
ทั้งสี่คนกดแชร์รูปของฟางเจิ้ง ทำเอาคนที่มาเห็นตกตะลึงไปเลย
พอคนพวกนั้นเห็นว่าเป็นรูปเขานิ้วเดียว ก็รีบเปิดแผนที่ดูทันที
หลังจากเสิร์ชหาอย่างยากลำบากก็เจอในที่สุด แต่พอเห็นว่าอยู่
ไหนก็ได้แต่ยกธงขาว
ทว่าก็ถือเป็นการโฆษณาวัดนิ้วเดียวที่ไม่เลว
หลังจากฟางเจิ้งสนุกจนพอแล้ว ก็ออฟไลน์ ตัววัดก็ต้องพาดผ่าน
ปีใหม่เหมือนกัน แค่กลอนคู่กับโคมน้ำแข็งไม่เพียงพอหรอก
ฟางเจิ้งมาที่ห้องโถง เพื่อปีนไปจุดตะเกียงน้ำมันบนยอด ตะเกียง
นี้จะจุดในพิธีสำคัญเท่านั้น ปกติแล้วฟางเจิ้งไม่คิดจะจุดเด็ดขาด
เพราะตะเกียงน้ำมันนั้นราคาไม่ใช่น้อย ๆ!
จากนั้นฟางเจิ้งเดินไปที่ลานหลังวัด ก่อนจะหยิบตะเกียงดอกบัว
ทองเหลืองออกมา แล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะสวดมนต์ ใส่เทียนไข
แล้วจุดไฟ
เขาใช้เทียนไขแทนตะเกียงน้ำมันนั้นมีเหตุผลอยู่ หนึ่ง เป็นการ
ระลึกถึงการจุดไฟเผาตัวเองเพื่อส่งต่อดวงไฟให้ผู้อื่น ให้ผู้ปฏิบัติ
ตนรู้จักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และฝึกฝนตน ไม่ให้เสื่อมทราม
ลงไปในทางต่ ำ สอง โคมตะเกี ย งทำลายความมื ด ได้ ฉ ั น ใด
ปัญญาแห่งพุทธะโพธิสั ตว์ย่อมทำลายอาสวกิเลส[1] ได้ฉันนั้น
อีกทั้งผู้ปฏิบัติตนต้องรู้จักศึกษาพระธรรมให้ถึงแก่นแท้ และรู้จัก
ที่จะแผยแพร่ไปสู่สรรพชีวิตทั้งปวง
หลังจากฟางเจิ้งนั่งขัดสมาธิหน้าตะเกียงเรียบร้อยถึงค่อยเริ่มสวด
มนต์
ก่อนที่เขาจะสวดจนจบบท เสียงหอนของหมาป่าไร้ฝูงก็ดังมาจาก
ข้างนอก แต่ฟางเจิ้งไม่ได้สนใจ วัดทั้งเล็กทั้งจน จะไปมีโจรที่ไหน
ปีนเขาขึ้นมาปล้นกัน แถมถึงจะมีโจรมาจริง ก็ใช่ว่าจะผ่านด่าน
เจ้าหมาป่าได้
เจ้าหมาป่าอยู่ที่วัดนี้มานานแล้ว ได้กินข้าวจิงหมี่และดื่มน้ำทิพย์
ทุกวี่วัน ร่างกายย่อมพัฒนาขึ้นมากทีเดียว ถ้ากลับเข้าไปในป่า
คงไปประลองแล้วกลับขึ้นเป็นจ่าฝูงได้ง่าย ๆ แหง คนธรรมดาจะ
ไปสู้หมาป่าจ่าฝูงได้เช่นไร แถมยังฉลาดเสียขนาดนั้นด้วย
เจ้าหมาป่าก็ไม่ได้จะลงไม้ลงมือออกง่ายนัก ดังนั้นฟางเจิ้งจึงไม่
หนักใจอะไร สวดมนต์ต่อด้วยความสงบนิ่ง!
ฟางเจิ้งกำลังสบายใจ แต่มีคนกำลังไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด!
“เฉินจิน ที่นายพูดเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?” อู้หมิงที่ได้ยินอีกฝ่าย
พูดแบบนั้นก็เกือบตะโกนแล้ว
“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคนพวกนั้น แต่ว่าพวก
เขากำลังรวมกลุ่มขึ้นไปจุดธูปบริจาคเงินแรกของปี พระอาจารย์
อู้หมิง ท่าน......ท่านจะทำอย่างไรครับ ?” เฉินจินที่ไม่พอใจฟาง
เจิ้งเป็นทุนเดิม พอเห็นพวกชาวบ้านกำลังปีนเขาไปจุดธูปแรก
ของปี เลยยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก
อู้หมิงได้ยินแบบนั้นก็มีโทสะขึ้นมาทันที! เขาลืมเรื่องวัดหงเหยียน
ช่วงเทศกาลล่าปาได้ แต่ตอนนี้วัดนิ้วเดียวจะมีคนไปจุปธูปแรก
งั้นเหรอ? วัดนิ้วเดียวเป็นศัตรูกับวัดหงเหยียนอย่างแท้จริงแล้ว!
แต่อู้หมิงมีโทสะไปก็เท่านั้น เขาจะไปบังคับคนให้ไปไหนมาไหน
ได้ยังไง?
ฉับพลันเขาก็เกิดความคิดแวบขึ้นมา พระเยาว์วัย แบบนั้นจะ
ได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่น ๆ ได้ยังไง? เรื่องพวกนี้มีกลิ่น
แปลก ๆ! ตั ้ ง แต่ ค วามล้ ม เหลวในเทศกาลล่ า ปา อู ้ ห มิ ง ก็ ยั ง
เจ็บปวดไม่รู้ลืม อีกทั้งพระอาจารย์หงเหยียนก็ไม่เรียกหาเขาเลย
ช่วงนี้ เขายิ่งต้องรีบสร้างผลงานให้มากยิ่งขึ้น!
ดั ง นั ้ น อู ้ ห มิ ง จึ ง ไม่ ไ ด้ พู ด อะไรอี ก ก็ ว ิ ่ ง ออกจากวั ด รี บ เร่ ง ขี่
จักรยานยนต์ไปที่เขานิ้วเดียว!
เฉินจินรอเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
อู้หมิงมาที่ด้านข้างแล้วถาม “เหตุการณ์ไปถึงไหนแล้ว?”
“พวกเขากำลังเริ่มขึ้นเขาแล้ว พวกเรายังตามทันอยู่” เฉินจิน
ตอบ
อู้หมิงพยักหน้า แล้วพากันรีบไล่ตามบรรดาชาวบ้านไป
หลังจากอู้หมิงไล่ตามพวกชาวบ้านจนทันแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขา
แค่มองไปเรื่อย ๆ ด้วยท่าทางสำรวมกายใจ แต่ความจริงแล้ว
เขาไม่คิดจะให้ฟางเจิ้งมีปีใหม่ดี ๆ หรอก! ถ้าเขาไม่ได้ ฟางเจิ้งก็
ต้องไม่ได้!
อู ้ ห มิ งฝึ กร่ างกายเป็ นกิ จวัต รอยู ่ แล้ ว ดั ง นั ้ นการปี น เขาจึงไม่
ยากเย็นเท่าไร ส่วนชาวบ้านที่มีทั้งเด็กและคนแก่ ย่อมต้องขึ้นเขา
อย่างระมัดระวัง ความเร็วจึงไม่มากนัก ไม่นานอู้หมิงก็ไล่ตาม
พวกเขาทัน
“พระอู้หมิง ทำไมอยู่นี่ล่ะ ?” หยางผิงที่เดินรั้งท้ายถามอย่าง
ประหลาดใจ
อู้หมิงปาดเหงื่อพลางพนมมือ ร่ายพระพุทธมนต์ สีหน้าฉายแวว
รำพึงฟ้า เวทนาคน แล้วพูดอย่างนอบน้อมสำรวม “นมัสการ
ประสกหยาง ไม่เจอกันนาน”
“ไม่เจอกันนานจริง ๆ ด้วย พระอู้หมิง ทำไมถึงมาที่นี่ล่ ะ ?”
หยางผิงเป็นนักบัญชี ย่อมรู้จักความเป็นไปของโลก แค่เห็นอู้หมิง
กับเฉินจินมาด้วยกันก็คาดเดาได้เลยว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
ต้องมีเรื่องแน่นอน! จึงรีบเร่งเสาะถามเจตนารมณ์ของอู้หมิง
อู้หมิงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด “ไม่มีอะไรมากหรอก อาตมา
ได้ยินข่าวเกี่ยวกับวัดนิ้วเดียวมามาก เมื่อก่อนพระอาจารย์อีจื่อ
กับพระอาจารย์ของอาตมาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อาตมา
จึงคิดมาเยี่ยมชม” ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่ ในใจกลับไม่พอใจ
สุด ๆ เมื่อก่อนหยางผิงเรียกเขาว่า ‘พระอาจารย์อู้ หมิง’! แต่มา
วันนี้กลับเรียกเขาเป็นแค่ ‘พระ’! ทำเอารู้สึกตกต่ำจนไม่พอใจ
อย่างยิ่ง!
ถึงแม้อู้หมิงจะรู้ว่าคำเรียก ‘พระอาจารย์’ ใช่ว่าจะเหมาะกับทุก
คน แต่เขาเป็นคนถือดี ย่อมอยากให้คนโง่เขลาพวกนี้เรี ยกตนว่า
พระอาจารย์
“เป็นอย่างนั้นนี่เอง พระอู้หมิง หัวหน้าหมู่ บ้านนำอยู่ข้างหน้า
แน่ะ ให้พาไปหาเขาไหม?”
อู้หมิงพยักหน้า “ได้ ขอบคุณประสกมาก”
หยางผิงบอกให้ครอบครัวตัวเองเดินช้าลง ก่อนจะนำอู้หมิงไป
ข้างหน้า ส่วนเฉินจินคอยตามมาอย่างเงียบ ๆ
“พระอู้หมิง ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” หวังโย่วกุ้ยเห็นอู้หมิงก็ขมวด
คิ้วทันที อู้หมิงนั้นแปลกประหลาดมาก พระอาจารย์หงเหยียน
กับพระรูปอื่นมักไม่ออกจากวัด ทว่ามีเพียงอู้หมิงที่มักจะออก
จากวัดมาพบหัวหน้าหมู่บ้านกับเลขานุการหมู่บ้านต่าง ๆ อยู่
บ่อย ๆ ทุกครั้งที่วัดจะจัดพิธีอะไร ก็จะรีบเร่ งมาแจ้งทันที แถม
มักจะหาหนทางชักชวนคนไปวัดให้เข้าร่วมงานได้เสมอ!
สำหรั บ หวั ง โย่ ว กุ ้ ย แล้ ว อู ้ ห มิ ง ไม่ เ หมาะกั บ การเป็ น พระเลย
สมควรไปเป็นนักธุรกิจต่างหาก! แต่เรื่องพวกนี้เขาก็ไม่ได้เล่าให้
ใครฟัง เพราะอย่างไรเสีย อู้หมิงก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย ช่วย
โฆษณาวัดตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดเสียหน่อย
“ประสกหวัง ดึกขนาดนี้จะไปไหนกันหรือ?” อู้หมิงไม่ตอบ แต่
ถามกลับไป ถึงแม้ตัวเองจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
“นี่จะปีใหม่แล้ว ทุกคนเลยพยายามแสวงหาโชคจากธูปดอกแรก
กันน่ะ พวกเขาหวังว่าปีหน้าจะมีแต่เรื่องดี ๆ เลยขึ้นมาด้วย
หมด” หวังโย่วกุ้ยอธิบาย
“นั่นสินะ แต่ว่าทางบนเขาสูงชันขรุขระ มีทั้งโยมเด็กและโยมผู้
เฒ่า แสงไฟก็ไม่มี เช่นนี้...ไม่อันตรายเกินไปหรอกหรือ ?” อู้หมิง
ถามทันที
หวังโย่วกุ้ยยิ้ม “พระอู้หมิง ท่านจะแนะนำอะไรพวกเราหรือ?”
อู้หมิงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร เฉินจินที่อยู่ข้างหลังเขาเป็นคนพู ด
แทน “ฉันบอกแล้วว่าทางบนเขานิ้วเดียวชันจะตาย ทำไมพวก
เราไม่กลับกันล่ะ ? ยังมีเวลาไปวัดหงเหยียนอยู่นะ ถนนเส้นนั้น
เรียบกว่า เดินง่ายกว่าเยอะ แต่รถอาจจะติดนิดหน่อย”
หวังโย่วกุ้ยจ้องไปที่เฉินจิน ที่ความสนใจไม่ไปทางเดียวกับคนใน
หมู่บ้านเลย แล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าพวกเราขอผ่านดีกว่า ใน
หมู ่ บ ้ า นไม่ ม ี ร ถตู ้ หรื อรถบรรทุ ก จะไปวั ด หงเหยี ยนก็ ต ้องนั่ง
จักรยานยนต์ไปกัน อากาศหนาวแบบนี้ไม่เหมาะเท่ าไหร่ อีก
อย่างวัดหงเหยียนก็อยู่ไกล พวกเรามีทั้งเด็กทั้งคนแก่ ไปถึงนั่นไม่
สะดวกหรอก”
หยางผิงเสริม “ถูกที่สุด นี่พวกเราก็มาครึ่งทางแล้ว หั นหลังกลับ
ก็ไม่ทันแล้วแหละ เฉินจิน ถ้านายคิดว่าวัดหงเหยียนนั้นดีกว่า ก็
ไม่มีใครห้ามหรอกนะ บ้านนายมีรถไม่ใช่เหรอ? ก็ขับไปสิ”
[1] อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต
อาสวกิเลส คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนือยทับถมอยู่ในจิต ชุบ
ย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เรียกย่อว่า อาสวะ
ก็ได้ มี ๔ อย่าง คือ
กาม ได้แก่ ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ
ภพ ได้แก่ ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่
ทิฐิ ได้แก่ ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น
อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา
ตอนที่ 121 : แย่งกัน
เฉินจินหน้าขึ้นสี อับอายจนต้องเงียบปากไป
อู้หมิงยิ้ม “เฉินจินพูดถูก แต่ประสกก็พูดถูก กลับหลังหันลงเขา
ตอนนี้คงเสียเวลาเปล่า ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ขึ้นไปเขานิ้ว
เดียวกันเถอะ”
พูดจบหวังโย่วกุ้ย หยางผิง และเฉินจินก็ผงะทันที ทั้งสามกำลัง
สงสัยว่าอู้หมิงกำลังวางแผนอะไรอยู่
อู ้ ห มิ ง พู ด “ประสกหวั ง ประสกหยาง อย่ า เข้ า ใจผิ ด ไปเลย
เพราะเป็นห่วงเด็กและคนชรา อาตมาจึงรีบมาช่วยเหลือ ส่วน
เรื่องธูปดอกแรก ไปปักที่ไหนก็เหมือนกัน พวกเราต่างเคารพพระ
พุทธองค์ ไม่ใช่ตัววัดหรือตัวพระ เพียงใจเคารพ ที่ไหนย่อมไม่
สำคัญ”
หวังโย่วกุ้ยกับหยางผิงได้ยินแบบนั้นค่อยคลายใจ บรรยากาศ
กระอักกระอ่วนลดน้อยลงไปด้วย ยามทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขา ก็รู้สึก
อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
ขณะเดียวกันคำพูดของอู้หมิงก็แพร่ไปในหมู่ชาวบ้าน พวกเขา
ประทับใจตัวอู้หมิงอยู่แล้ว เพราะเดิมทีก็เป็นพระรูปเดียวที่รู้จัก
มักคุ้นอยู่ พอได้ยินคำพูดของเขา ก็ยิ่งรู้สึกประทับใจเข้าไปอีก
เขาเหมาะกับการเป็นพระจริง ๆ
ทั้งกลุ่มขึ้นเขาไปพร้อมกับอู้หมิงที่เดินไปทั่ว บางครั้งเข้าไปช่วย
พยุงผู้เฒ่าผู้แก่ บางคราวก็ไปช่วยดูแลเด็ก ๆ หวังโย่วกุ้ยพูด
“หัวใจอู้หมิงอยู่ในที่อันสมควรแล้ว”
ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าทุกครั้งที่อู้หมิงเดินอยู่ในฝูงชนนั้น เขาจะคอย
กระซิบกรอกหูชาวบ้าน
“ประสกมาเพราะอยากจุดธูปดอกแรกหรือ?”
“ดู ฉ ั น สิ จะเป็ น ไปได้ ย ั งไง? แค่ ม าหาเรื ่ อ งสนุ ก ๆ ทำเท่ า นั้น
แหละ”
“ไม่ได้สิ ธูปดอกแรกสำคัญนัก ถ้าได้ปัก โชคย่อมเพิ่มพูน ปีหน้า
ต้องราบรื่น ลูกหลานสงบสุขเจริญรุ่งเรือง”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน! อาตมาเป็นพระจากวัดหงเหยียน ภิกษุย่อมไม่มุสา จะ
โกหกได้เช่นไร?”
“งั้นฉันก็ควรไปปักธูปดอกแรกให้ได้สินะ ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็น
ยังไงนะ?”
“สีกา วันนี้มาจุดธูปดอกแรกหรือ?”
“เอ๋? ใช่แล้ว! แต่ว่าออกจะเป็นเรื่องยากลำบากอยู่นะ”
“พาลูกไปหยิบมาด้วยสิ จากนั้นก็อุ้มลูกตัวเองสูง ๆ ตอนที่ทุกคน
จะปั ก ก็ ห าโอกาสดั น ลู ก เข้ า ไปปั ก ให้ แค่ น ี ้ ก ็ ไ ด้ แล้ ว ชู ่ ว เป็ น
ประสบการณ์หลายปีของอาตมาที่ได้รับมาจากการจุดธูปดอก
แรกในวัดหงเหยียนน่ะ อย่าไปบอกใครเขาล่ะ แล้วก็อย่าบอกคน
อื่นด้วยว่าอาตมาเป็นคนบอก”
หวั ง โย่ ว กุ ้ ย ที ่ ก ำลั ง คุ ย กั บ เถี ย นจู ่ ก ั ๋ ว ไม่ ร ู ้ แม้ แต่ น ้ อ ยว่ า อู ้ ห มิ ง
กำลังแผยแพร่ความสำคัญของธูปดอกแรกอยู่ เขาพยายามยืน
กรานว่าจุดธูปดอกแรกให้ได้นั้นสำคัญเอามาก ๆ
ตอนนั้นเอง......
“ระวัง! มีหมาป่า!”
“โบร๋ว!” เสียงดุดันของอู้หมิงและเสียงหอนเศร้าสร้อยของหมา
ป่าดังออกมาจากข้างหน้า
พอหวังโย่วกุ้ยกับคนอื่น ๆ พลันวิ่งเข้าไปดู ก็เห็นอู้หมิงกำลังอุ้ม
เด็กไว้อยู่ ไม่ไกลออกไปเป็นหมาป่าไร้ฝูงที่ก้มหัวลงต่ำและจ้องไป
ที่อู้หมิง บนขนมีผงดินเปอะเปื้อน ดูเหมือนจะโดนอู้หมิงขว้างดิน
ใส่......
หลังจากเจ้าหมาป่าเห็นว่าตัวเองไม่คุ้นหน้าอู้หมิง มันก็หอนใส่อีก
รอบ
ฟางเจิ้งได้ยิน แต่ไม่ได้สนใจ
หวังโย่วกุ้ยขมวดคิ้ว ก่อนจะดึงอู้หมิงไว้ “เป็นหมาป่าบนภูเขา
ไม่ดุร้ายหรอก แถมเป็นมิตรมากด้วย”
อู้หมิงกระจ่าง “ทราบแล้ว อาตมารีบร้อนเกินไป ขออภัยด้วย”
เหมือนที่คำโบราณกล่าวไว้ ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด ในเมื่ออู้หมิงพูดแบบ
นั้นแล้ว หวังโย่วกุ้ยจะพูดอะไรได้อีก? ได้แต่ต้องปล่อยไป อย่างไร
เสียที่อู้หมิงทำไปแบบนั้นก็เพราะต้องการปกป้องเด็กเท่านั้นเอง
ทว่าเถียนจู่กั๋วที่เห็นกลับขมวดคิ้วแน่น สายตาฉายแววลึกล้ำที่ไม่
อาจอ่านออก
ขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งก็สวดมนต์เสร็จแล้วในที่สุด จึงออกมาดูว่า
เกิดอะไรขึ้น พอเห็นคนกลุ่มใหญ่มาอยู่หน้าประตู ก็ผงะถอยหลัง
ทันที เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? พุทธองค์สำแดงเดชกลั่นแกล้งเขาให้
ตกใจด้วยการส่งคนมาวัดเหรอไง?
พอฟางเจิ้งมองดูดี ๆ ก็พบว่าเป็นชาวบ้านจากตีนเขา! ครอบครัว
ของหวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋ว หยางผิง หยางหัว เถีย นหย่ง เถียน
หมิง แล้วก็เจ้าลูกหมาซ่ง พวกเขาอยู่กันหมดเลย! รอบ ๆ มีเด็ก
เล็กวิ่งไปทั่ว เกิดเป็นทิวทัศน์อันอึกทึกคึกคัก ว่าแต่เจ้าลาหัวโล้น
ที่อยู่ข้างหวังโย่วกุ้ยเป็นใครกัน? ท่วงท่าดูมีเมตตา แต่ดวงตานี่ไม่
มีความเมตตาแม้แต่น้อย
‘ถุ้ย ๆๆ! ยังไงพวกเราก็ชาวหัวล้าน จะไปส่อเสียดนินทากันทำไม
ปากพล่อยจริง ๆ เลย ปล่อยไป ๆ’ ฟางเจิ้งรีบพยายามรวบรวม
สติ
ก่อนที่ฟางเจิ้งจะได้จัดจิตใจตนเองเสร็จ เพื่อจะได้ถามว่าผู้อื่นมา
ทำอะไรกัน ก็มีคนตะโกนสวนขึ้นมาก่อน “จู่โจม! เอาธูปดอก
แรกมาให้ได้!”
ฟางเจิ้งเห็นคนนับร้อยพุ่งมาหา ถ้าไม่ใช่ เพราะใบหน้าเปี่ยมด้วย
รอยยิ้ม ฟางเจิ้งคงนึกว่าตัวเองโดนปล้นแล้ว! ฟางเจิ้งไม่กล้า
ขวางกั้น ได้แต่รีบฉากหลบออกด้านข้าง กลัวว่าตัวเองจะโดน
เหยียบเละ!
ฝูงชนทะยานเข้าวัดไป ก่อนจะมุ่งไปทางห้องโถงวัด!
พอหวังโย่วกุ้ยเห็นเป็นแบบนี้ ก็กระวนกระวายขึ้นมา วัดนิ้วเดียว
ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามีคนดันทุรังเข้าไปทีเดียวแบบนี้ต้องมี
ปัญหาแน่นอน! หวังโย่วกุ้ ยรีบร้องตะโกนเตือน “พวกนายหยุด
นะ! หยุดเดี๋ยวนี้! ยังไม่เที่ยงคืนเลย จะรีบทำไม?!”
หัวหน้าหมู่บ้านพยายามทำให้ทุกคนสงบลง แต่ว่าทุกคนยังคงดู
มุ่งมั่นจะพุ่งเข้าไปเหมือนเดิม ทุกคนคุยกันจอแจดูวุ่นวายอย่างยิ่ง
บางคนตะโกน บ้างพยายามตะเกียกตะกายจะเข้าไปจุดธูปคน
แรกให้ได้
ไม่ช้า หวังโย่วกุ้ยก็ไม่อาจรั้งเหล่าชาวบ้านที่กำลังไฟลุกโชนได้
“อามิตตาพุทธ!” ตอนนั้นเอง เสียงร่ายพระพุทธมนต์อันหนัก
แน่นก็ดังขึ้นมา เสียงนี้ดังกระหึ่มจนกลบเสียงอื่น ๆ ได้ อย่าง
สิ้นเชิง!
จากนั้นฟางเจิ้งก็กวาดมือ ใช้พละกำลังของตนแหวกฝูงชนจนเข้า
มาในวัดได้ในที่สุด เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงมาที่วัดกัน แต่
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อ ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบ
รุดหน้าขึ้นไปหลังจากตะโกนเสร็จ!
ฟางเจิ้งมาถึงห้องโถง จี วรจันทรากระจ่างใต้แสงจันทร์เช่นนี้
ดึงดูดสายตาคนได้อย่างยิ่ง ศีรษะโล้น เกลี้ยงส่องประกายวิ้ง ๆ!
ท่วงท่าดุดันทรงพลังแม้ไม่ได้ระเบิดโทสะ!
เรื ่ อ งก่ อ นหน้ า นี ้ ท ำให้ ท ุ ก คนเห็ น ฟางเจิ ้ ง เฉกเช่ น เจ้ า อาวาส
หมดแล้ว พอฟางเจิ้งมาอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้ทุกคนสงบลงได้ไม่ยาก
หลังจากนั้นเถียนจู่กั๋วก็รีบมารับช่วงต่อ เขายืนอยู่ ณ เบื้องหน้า
ทุกคน ด้วยศักดิ์ของการเป็นเลขานุการอาวุโสของหมู่บ้านก็ทำให้
เรื่องวุ่นวายจบลงในทันที
พอฟางเจิ้งเห็นเรื่องเป็นแบบนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โยม
ทั้งหลาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ฟางเจิ้งชะงักไปนิดหนึ่ ง นี่เป็น
ครั้งแรกเลยที่เขาเห็นชาวบ้านรีบขึ้นเขาในช่วงปีใหม่! ส่วนปี
ก่อนๆ ที่ผ่านมาก็มีแต่ฟางเจิ้งกับพระอาจารย์อีจื่อ เงียบเหงา
สุดๆ
“พระฟางเจิ้ง เรื่องมันเป็นงี้ นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกคนเลยอยาก
มาไหว้พระขอพรเสริมดวงชะตาให้ปีที่จะถึงนี้ ด้วยการเป็นผู้จุ ด
ธูปดอกแรกน่ะ พวกเราคุยกันแล้วว่าจะเข้าแถวกัน ห้ามรีบเร่ง
เด็ดขาด แต่สุดท้าย..... เฮ้อ น่าผิดหวังจริง ๆ” หวังโย่วกุ้ยยิ้ม
แกมตำหนิ
ฟางเจิ้งตกตะลึง ธูปดอกแรก? ถ้าหวังโย่วกุ้ยไม่พูดเขาคงลืมไป
แล้วนะเนี่ย ! ไม่ใช่แค่วัด นิ ้วเดีย วเท่ านั้ นที ่ม ีความเชื่ อ แบบนี้
หลายๆ วัดก็มีความเชื่อเรื่องธูปดอกแรกเช่นกัน โดยเฉพาะวัด
ใหญ่ ๆ นี่ยิ่งชัดเจน ในช่วงปีใหม่ คนจะแห่กันไปจุดธูปดอกแรก
บางคนถึงกับทำธุรกิจขายจุดยืนในแถวเพื่อหาเงินกันเลยทีเดียว
ทว่าฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าจะมีคนขึ้นมาจุดธูปดอกแรกที่วัดนิ้ว
เดี ย ว! นี ่ เ ป็ น เรื่ อ งที่ ไ ม่ เคยเกิ ด ขึ้ น มาก่ อ น แต่ ก ็ ท ำให้ ฟางเจิ้ง
ตื่นเต้นแกมดีใจเช่นกัน วัดนิ้วเดียวได้กลายเป็นวัดจริง ๆ แล้ว!
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่าปกติแล้วชาวบ้านคงไม่กระเหี้ยนกระหือรือ
เช่นนี้หรอก แต่ว่าสิ่งที่หยางหัวกับคนอื่น ๆ ขอพรไว้นั้นพวกเขา
ได้สุขสมหวังทุกประการ! อย่างเช่น โจ๊กล่าปารักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ทั ้ ง หลายแหล่ สรงน้ ำพระชำระจิ ตใจให้ผุ ดผ่ อง ทำให้ทุกคน
เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าวัดนิ้วเดียวนั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด เลยทำให้
เกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้นั่นเอง!
ตอนที่ 122 : กำเนิดเจ้าอาวาส!
ตามความคิดของทุกคนแล้ว การได้จุดธูปดอกแรกก็ดีอยู่หรอก
แต่ไม่ถึงกับจำเป็นต้องแย่งชิงอะไรขนาดนั้น อย่างไรเสีย ไม่กี่ปี
มานี้ ก็มีคนไปจุดธูปดอกแรกที่วัดหงเหยียนไม่มากอยู่แล้ว ส่วน
ใหญ่มักจะอยู่บ้าน ผิงไฟ กินเกี๊ยว แล้วก็ดูรายการคืนส่งปีกัน
ทั้งนั้นแหละ
แต่ในตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังเป็นที่สนใจของทุกคน เขารู้วิธีรับมือดี
จึ ง รี บ พนมมื อ แล้ ว บอก “อามิ ต ตาพุ ท ธ โยมทั ้ ง หลาย ไม่
จำเป็นต้องแย่งกันหรอก ความจริงแล้วความเชื่อเรื่องธูปดอก
แรกนั้นไม่เป็นความจริงเลย ไม่มีวัดไหนเทศนาเรื่องนี้ แต่หลายปี
มานี้กลับเป็นบุคคลทางโลกที่เ ผยแพร่ความเชื่อกันเอาเอง ซึ่ง
แท้จริงกลับมีความหมายเล็กน้อยนัก หากต้องการพูดถึงธูปดอก
แรก อาตมาเชื่อว่า ย่อมเป็นธูปดอกแรกของคนผู้นั้นในปีใหม่ ธูป
นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามกาลลำดับ ไม่ว่าท่านจะมาเป็นที่สอง ที่สาม
หรือที่สุดท้าย มันก็ยังเป็นธูปดอกแรกสำหรับท่านอยู่ดี พร
ประสิทธิ์อยู่ในใจที่เคารพ ต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้เป็นอันดับหนึ่งนั้น
ไร้ค่านัก ตราบใดที่ท่านมีจิตศรัทธา พุทธองค์ย่อมเฝ้าดูและอวย
พรให้อย่างแน่นอน”
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากันเอง จะมีคำอธิบายอื่นได้อีก
ไหม?
ตอนนั้นเองก็มีชาวคนบ้านหนึ่งร้องขึ้นมา “พระฟางเจิ้ง มันออก
จะไม่ถูกมั้ง พระอู้หมิงเป็นคนพูดเองว่าธูปดอกแรกนั้นสำคัญ
มาก”
“ใช่ พระอู้หมิงบอกว่าถ้าเป็นคนแรกที่ได้จุดธูปจะได้บุญกุศลมาก
อวยพรให้พวกเราทั้งสงบสุขทั้งร่ำรวย!”
“พระอู้หมิงก็พูดแบบนั้นกับฉันเหมือนกัน พูดเรื่องบุญจากการ
จุดธุปดอกแรกเนี่ยแหละ”
หลังจากได้ยินแบบนั้น คนมากหน้าหลายตาก็เหลือบมองอู้หมิง
ผู้ซึ่งกำลังครุ่นคิดในใจ ไม่คิดเลยว่าพวกชาวบ้านจะทรยศเขาได้
เร็วขนาดนี้ เขารู้ความหมายที่ฟางเจิ้งต้องการจะสื่อดี เพราะเป็น
เรื่องที่พระอาจารย์หงเหยียนท่านเทศนามาหลายรอบ แถมยัง
ห้ามไม่ให้พระลูกศิษย์ทั้งหลายแผยแพร่ความเชื่อเรื่องธูปดอก
แรกนี้ด้วย ทว่าพระอาจารย์หงเหยียนมีอายุมากแล้ว น้อยนักที่
จะยุ่งกับโลกภายนอก แถมเรื่องพวกนี้ก็กลายเป็นความเชื่อทั่วไป
ในหมู่คนธรรมดาไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาคิดจะมาจุดธูปไหว้พระ
จะให้ไปไล่ก็ไม่ใช่เรื่อง ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง...
ตอนนี้ที่ฟางเจิ้งให้คำสอนเหล่าชาวบ้านก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะ
อย่างไรเสียก็เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันทั้งนั้น แถมยังเป็นครั้งแรกที่
ความเชื่อเรื่องธูปดอกแรกก่อปัญหาด้วย
ถึงอย่างนั้น อู้หมิงกลับรู้สึกทั้งยินดีทั้งฉุนเฉียวในเวลาเดียวกัน
ฉุนเฉียวที่โดนชาวบ้านทรยศ แต่ก็ยินดีที่เจ้าเณรนี่ไม่รู้จักวิชา
จัดการเอาเสียเลย ธูปดอกแรกเป็นอะไรที่เหมาะกับการดูดเงิน
บริจาคเชียวนะ ตอนนี้เขากลับปฏิเสธไปเสียฉิบ โง่เปล่าเนี่ย ? มี
คนโง่เขลาเป็นคู่แข่งนี่ช่างน่ายินดีเสียจริง!
สมองอู้หมิงแล่นฉิว รู้ดีว่าตนเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้แต่สืบ
เท้าก้าวออกมาก่อนจะพนมมือ “อามิตตาพุทธ อาตมากล่าว
เช่นนั้นจริง ๆ”
พูดจบชาวบ้านก็มองไปที่ฟางเจิ้งกับอู้หมิงด้วยความเงียบสงบ
พวกชาวบ้านไม่รู้เรื่องบาปบุญของธูปดอกแรกหรอก แต่ว่าทั้งอู้ห
มิงทั้งฟางเจิ้งต่างเป็นพระทั้งคู่ แต่ละคนก็มีคำอธิบายเป็นของตน
ถ้าใครเป็นผู้ถูกก็ชนะ ชาวบ้านก็พร้อมทำตามคนผู้นั้นนั่นแหละ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ธูปดอกแรกหมายถึงธูปดอกแรกของคน ๆ นั้น
ทำไมถึงกลายเป็นการแย่งชิงของผู้คนไปได้ ? อย่างนี้ก็กลายเป็น
การสร้างเรื่องโกหกมาปลุกปั่นไม่ใช่หรือ ? นี่มันเรื่องหลอกลวง
ชัดๆ ถึงจะมีความรู้สึกไม่พอใจ ฟางเจิ้งก็ยังพนมมือและค้อม
ศีรษะให้ “สวัสดีพระท่าน ขออาตมาทราบได้หรือ ไม่ว่าท่านมา
จากวัดไหน?”
อู้หมิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางยิ้ม “อาตมามาจากวัดหงเหยียน
อยู่ที่นั่นมากว่าสิบปีแล้ว พระฟางเจิ้ง วัยวุฒิพวกเราอาจจะ
เท่ากัน แต่อาตมาเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ก่อนท่าน ท่านสามารถ
เรียกอาตมาว่า ‘ศิษย์พี่’ ”
ฟางเจิ้งกลอกตา ลอบก่นด่าในใจ ‘ไอ้แก่นี่พยายามกดขี่ข่มเหง
ฉัน! ได้ งั้นฉันจะเล่นด้วยก็แล้วกัน!’
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงยิ้มเจิดจ้า พูดแกมขบขันเล็กน้อย “พระอู้หมิง
ตำแหน่งของท่านในวัดหงเหยียนคืออะไรหรือ ? ตอนนี้อาตมา
เป็น ‘เจ้าอาวาสวัดนิ้วเดียว’ แล้ว”
รอยยิ้มอู้หมิงค้างแข็งไปทันที ตำแหน่งในวัดหงเหยียนเขาต่ำนัก
วัดหงเหยียนก็เป็นวัดขนาดกลางค่อนเล็ก ถ้าบอกตำแหน่งตัวเอง
ไปคงได้แต่อับอายขายขี้หน้าน่ะสิ ถึงวัดนิ้วเดียวของฟางเจิ้งจะ
เล็กมาก แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงเจ้าอาวาส! ถ้าไปเทียบกับวัดหงเห
ยียนแล้ว ถือได้ว่าฟางเจิ้งมีสมณศักดิ์เท่ากับพระอาจารย์หงเห
ยียนเลยทีเดียว! เปรียบเทียบได้เช่นนี้ก็ทำอู้หมิงขวัญผวา!
อู้หมิงพูดด้วยรอยยิ้มซีดเซียว
“ในฐานะที่เป็นผู้ละทางโลก เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ พระฟาง
เจิ ้ ง ธู ป ดอกแรกนั ้ น สำคั ญ อย่ า งยิ ่ ง ทำไมท่ า นจึ ง ว่ า มั น มี
ความหมายเพียงน้อยนิดกัน ? หรือว่าท่านวางแผนจะให้ธูปดอก
แรกกับผู้อื่นไว้แล้ว?”
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น อู้หมิงมาหาเรื่องเขานี่เอง!
เห็นเป็นแบบนี้ฟางเจิ้งก็ไม่คิดจะรอมชอมอะไรอีก ยืดตัวหลังตรง
สะบัดแขนไปด้านข้าง ดวงตาลุกโชน ด้วยพรจากตัววัด แถมด้วย
อำนาจพลังธรรม รวมไปถึงความดุดันน่าเกรงขามจากคัมภีร์พุทธ
องค์ทัศนามังกร แถมยังมีพลังวิเศษจากจีวรจันทรากระจ่างหนุน
เสริม! ฉับพลันฟางเจิ้งอุปทานกลายเป็นร่างสูงใหญ่ เปล่งแสง
รัศมีพุทธธรรม ยามทุกคนจ้องก็บังเกิดความปิติและความเคารพ
นับถือในใจทันที!
อู้หมิงโดนผลเช่นนี้รุนแรงกว่าใครเพื่อน ฟางเจิ้งส่งรัศมีตรงไปที่
เขา ทำเอาอู้หมิงเกิดความรู้สึกละอายจนเหงื่อแตกพลั่กในทันใด!
ฟางเจิ้งแค่นเสียงเย็น “พระอู้หมิง ไม่พูดไม่เป็นอะไรหรอก แต่
ในเมื่อกล่าวออกมาแล้ว อาตมาคงต้องปุจฉาใส่ท่านแล้ว”
“เชิญท่านปุจฉา” อู้หมิงเชื่อว่าความรู้ในธรรมของเขาไม่ด้อย
กว่าพระเยาว์วัยโง่เขลาผู้นี้แน่นอน ไม่กลัวหรอก!
ฟางเจิ้งไม่อ่อนข้อ “อาจารย์ของท่านเป็นผู้สอนพระธรรมแก่
ท่ า นใช่ ห รื อ ไม่ ? บิ ด เบื อ นธรรมขององค์ พ ุ ท ธะ ท่ า นยอมรั บ
ความผิดนี้หรือไม่ ?!” เสียงฟางเจิ้งดังกึกก้ อง ตั้งแต่ต้นจนจบ
เสียงของฟางเจิ้งไม่ต่างไปจากพุทธะปางโทสะคำราม ดวงตาจ้อง
เขม็งไปที่อู้หมิง แผ่รัศมีกดดันยิ่งกว่าเดิม!
รัศมีอำนาจดุจทะเลโถมใส่ อู้หมิงแข้งขาสั่นพั่บ ๆ ขวัญผวาจนไม่
อาจพูดบทที่เตรียมไว้!
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ต่อหน้าพระพุทธองค์ ต่อหน้าวัด ท่านริอาจ
พูดจาไร้สาระ บิดกฎวัดแห่งนี้ เบือนคำสอนพระพุทธองค์ ล่อลวง
ให้ผู้คนแย่งชิงธูปดอกแรก ท่านรู้บาปของตัวเองหรือไม่?!!”
ความผิดถูกจำแนกออกมาทีละข้อ ทีละข้อ ยิ่งพูด เสียงยิ่งดังขึ้น
เรื่อย ๆ ยิ่งพูด อำนาจรัศมีก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาอู้หมิงแข้งขา
อ่อนแรง จนต้องคว้าหยางผิงที่อยู่ข้างกายเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม
พอหยางผิงเห็นแบบนี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดชักสีหน้า ท่าทางของอู้ห
มิงชัดขนาดนี้ ทำเอาเขารู้สึกรังเกียจฉิบ!
ฟางเจิ้งยังคงสาธยายต่อไป “ทางบนเขาคับแคบ ตัววัดก็เล็กนัก
มีห้องโถงก็มีแค่โถงเดียวเท่านั้น! แต่ท่านกลับ ล่อลวงให้โยม
ทั้งหลายเข้ามาแย่งชิงจุดธูป ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น เช่นการเหยียบกัน
ขึ้นมา ท่านจะทำเช่นไร? พุทธองค์ต้องการการจุดธูปถวาย ไม่ใช่
ถวายชีวิตมนุษย์! ชีวิตมนุษย์ประเสริฐนัก แต่ท่านกลับไม่นำพา
คิดอะไรอยู่กันแน่?!!!”
ฟางเจิ้งถามคำถามแล้วคำถามเล่า ทำเอาขาอู้หมิงสั่นยิ่งกว่าเดิม
ไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย
พอชาวบ้านได้ยินคำถามเหล่านี้ ก็กระจ่างแจ้งเรื่องราวในทันใด
มีเสียงผู้หญิงร้ อง “ไอ้เวรนี่บอกให้ฉันอุ้มลูกไปคว้าธูป ถ้าเกิด
เรื่องชุลมุนขึ้นมาลูกของฉันจะไม่เป็นอันตรายเหรอไง?!”
“ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว แต่เขายังจะให้ฉันเบียดเข้าไป เขาบอกว่าถ้า
ได้จุดธูปดอกแรกล่ะก็ มันจะอวยพรให้ฉันสงบสุข ไอ้เวรนี่มันเลว
มาก!”
“หลงคิดว่าเป็นพระที่ดี ที่ไหนได้ หมาป่าชั่วช้าชัด ๆ!”
“ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!”
ผู้คนต่างอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว ต่างรุมประณามอู้หมิงกันยกใหญ่
ทำเอาสีหน้าเขาบิดเบี้ยว แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจถอยหลังได้
แล้ว ไม่งั้นชื่อเสียงที่สะสมมาต้องถูกทำลายหมดแน่! เกิ ดวัดของ
เขาทราบ คงต้งอับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะโอกาส
ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสคงปลิดปลิวไปตลอดกาล!
ดังนั้นอู้หมิงจึงทำเป็นใจกล้าแล้วตะโกนสวน “ฟางเจิ้ง อย่ามา
ใส่ร้ายฉันนะ! เรื่องความสำคัญของธูปดอกแรก ใคร ๆ ก็รู้! นาย
ไม่รู้เหรอไง? อีกอย่าง ตราบใดที่มีการจุดธูป ต้องมีคนมาก่อนมา
หลัง นายบอกว่าธูปดอกแรกนั้นไม่สำคัญ งั้นใครกันจะมาจุดธูป
ไหว้พระ? อย่าบอกนะว่านายจัดการหาคนมาจุดธูปดอกแรกได้
แล้วน่ะ? จากที่ฉันรู้ วัดไร้ยางอายบางที่จะลอบขายธูปดอกแรก
กันซะด้วยสิ เหอ ๆ”
ตอนที่ 123 : ไฟไหม้!
พูดจบ พวกชาวบ้านต่างสะดุ้งตกใจกันหมด
พอเห็นว่าคนที่เหลือเงียบงันไป อู้หมิงก็ได้ใจ ตอนนี้รอแค่ฟางเจิ้ง
ตอบโต้กลับมา เขาจะได้ตอบโต้กลับไป!
ผลก็คือ——
“อู้หมิง นายเป็นใคร? ริอาจกล้าพูดอะไรอย่างนั้นได้ยังไง?!”
“พวกเราเฝ้าดูฟางเจิ้งเติบโตมา คิดเหรอว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็น
เด็กยังไงน่ะ?!”
“ไอ้ล้านโง่! ฉันทนมองหน้าแกไม่ไหวแล้ว สถุลเอ๊ย!”
“อู้หมิง จะไปไหนก็ไปเลยนะ ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ในวัด ฉันแม่*อัดแก
จนต้องร้องขอชีวิตแน่!” เจ้าลูกหมาซ่งพูด
เถียนหย่งตะโกน “ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงไม่รู้หรอกว่าจะเข้าข้าง
ใครดี แต่ถ้าเป็นแกล่ะก็ ฉันขออยู่ฝั่งฟางเจิ้ง!”
เถียนหมิงเสริม “ใช่แล้ว ฉั นเห็นพระปลอมมาก็มาก ฉันว่าแกก็
ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าพวกนั้นหรอก คิดจะมาหาเรื่องฟางเจิ้งสินะ ไม่
ส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองก่อนล่ะ!”
อู้หมิงนิ่งงันไปทันที เขาคำนวณทุกอย่าง...ยกเว้นสายสัมพันธ์ที่
ฟางเจิ้งมีต่อคนในหมู่บ้าน! พวกเขาไม่ใช่ โยมธรรมดา แต่เป็นถึง
ญาติสนิทมิตรสหายของฟางเจิ้ง!
พอเห็นว่าตนเองได้จุดโทสะขึ้นเสียแล้ว อู้หมิงพลันรู้สึกเสียใจ แต่
ว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจเก็บคำพูดของตนเองคืน จึงได้แต่พยายาม
เป็นครั้งสุดท้าย “พวกโง่เขลา! แล้วพวกแกจะต้องเสียใจ!!”
ขณะทุกคนกำลังเอ่ยปากด่าทอ ฟางเจิ้งก็พนมมือแล้วพูดว่า “อา
มิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย โปรดสงบลงก่อน หากพระอู้หมิงกล่าว
ว่าธูปดอกแรกนั้นสำคัญนัก ส่วนอาตมากล่าวว่าไม่ใช่ แต่ความ
จริงแล้ว เรื่องพวกนั้นปุจฉาวิสัชนาง่ายนัก เพียงไปถามพระ
อาจารย์ของอู้หมิงก็เป็นอันทราบกันโดยทั่วแล้ว! อาตมาได้ยิ น
ชื่อเสียงของพระอาจารย์หงเหยียนมานาน ท่านเป็นผู้มีปริยัติ
สูงส่งอย่างแท้จริง อาตมาเชื่อว่าท่านย่อมสามารถให้คำตอบที่ทุก
คนยอมรับได้แน่นอน”
“พระอาจารย์อายุมากแล้ว จะให้ท่านมาปีนเขาถึงนี่ก็คงไม่ใช่ ถ้า
ไม่เชื่อ ก็ช่างเถอะ! อาตมาเพียงแค่อยากสร้างบุญกุศล แต่ในเมื่อ
ไม่มีใครเชื่อ ก็ช่างมัน!” พูดจบอู้หมิงก็ดันคนรอบ ๆ ออกไป แล้ว
ลงเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ชิ!” พวกเขาไม่โง่ เห็นอู้หมิงวิ่งหางจุกตูดไปแบบนั้น คำโกหก
คงโดนเปิดโปงหมดแล้วแหง ทุกคนต่างชูนิ้วกลางไล่หลังทันที!
อู้หมิงรู้สึกเหมือนหลังโดนธนูทิ่มแทง จึงเผลอก้าวเป๋ไปบนน้ำแข็ง
แล้วลื่นลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น ทุกคนเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะใส่
ทันที!
เฉินจินที่อยู่ท่ามกลางฝูงคนเห็นเรื่องเป็นแบบนี้ก็ลอบถอนหายใจ
อู้หมิงคงถึงคราวจบสิ้นแหง อย่างน้อยก็ไม่มีที่ยืนในหมู่บ้านนิ้ว
เดียวอีกต่อไป สำหรับเฉินจิน เขารู้ดีว่าอู้หมิงไม่ใช่คนดีเด่อะไร
หรอก แต่ถ้าไม่ใช่เขา เฉินจินจะไปหาเงินพิเศษมาจากไหนกัน ?
ต้นตอเงินตราหายไปแบบนี้ ทำเอาเฉินจินเกลียดฟางเจิ้งสุด ๆ!
ยิ่งนึกไปถึงตอนที่ฟางเจิ้งปฏิเสธที่จะให้โจ๊กล่าปากับพวกเขา ผล
ก็คือเป็นแบบที่อู้หมิงโดน——ความอับอาย!
ถึงเฉินจินจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าเคลื่อนไหวอะไรไปตอนนี้คงไม่ได้
ส่วนจะให้ลงเขาไปน่ะเหรอ? แบบนั้นก็เป็นการบอกทุกคนว่าเขา
กำลังร่วมมือกับอู้หมิงน่ะสิ! เขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายขี้หน้า
ด้วยหรอก ดังนั้นเลยตามขบวนชาวบ้านไปอย่างเงียบ ๆ ดีกว่า
รีบไปจุดธูปไหว้พระแล้วกลับหมู่บ้านให้เสร็จ ๆ ก็แล้วกัน ส่วนซู
หงภรรยาของเขานั้นอยู่ที่บ้านอยู่แล้ ว ตอนนี้ยังมีลูกชายกับ
หลานชายที่รีบกลับมาอวยพรปีใหม่ด้วย แค่คิดถึงพวกเขา จิตใจ
พลันอบอุ่นวาบ
พออู้หมิงจากไป ฟางเจิ้งก็กลายเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึง
พุทธศาสตร์จะสอนว่าธูปดอกแรกนั้นอยู่ที่ใจตน แต่ยังคงปฏิเสธ
ไม่ได้อยู่ดีว่าความเชื่อนี้แพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวโลก โดยเฉพาะใน
ประเทศจี น ที ่ ม ี ค วามเชื่ อ เรื ่ อ งอั น ดั บ แรก เป็ น อะไรที ่ ร ั บ มื อ
ค่อนข้างยากทีเดียว
ตอนนั้นเองก็มีเสียงประทัดดังมาจากตีนเขา เสียงฮือฮาดังไปทั่ว
ดอกไม้ไฟถูกจุดกระจายทั่วท้องฟ้า——ปีใหม่มาเยือนแล้ว!
แน่นอนว่าถึงฟางเจิ้งจะเทศนาไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังกระเหี้ ยน
กระหือรืออยู่ดี
ฟางเจิ้งเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา จึงหันหลังก่อนจะโค้งไปทางห้อง
โถงวัด “ในฐานะสมาชิกผู้หนึ่งของหมู่บ้านนิ้วเดียว ศิษย์ฟางเจิ้ง
ขอคารวะแทนหมู่บ้านแก่องค์โพธิสัตว์!”
กึก! จากนั้นฟางเจิ้งก็เดินเข้าไป หยิบธูปธรรมดาดอกหนึ่งมาจุด
แล้วปักลงกระถางเสร็จสรรพ!
พอทุ ก คนเห็ น ว่ า ธู ป ดอกแรกถู ก จุ ด ไปแล้ ว แถมฟางเจิ ้ ง ก็ จุ ด
สำหรับหมู่บ้านด้วย พวกเขามองหน้ากันเองก่อนจะรู้สึกว่า แบบ
นี้ก็ไม่เลว ฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาส ได้จุดธูปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร......
พอไม่มีแรงกดดันจากธูปดอกแรกแล้ว ทุกคนค่อยผ่อนคลายได้
เสียที แต่ละคนต่างเข้าแถวเรียงคิวจุดธูปไหว้พระขอพรกันอย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย
ฟางเจิ้งมองควันธูปลอยล่องอย่างภาคภูมิใจ ทว่ากลับมีเรื่องที่เขา
ตะหงิดใจ ‘ระบบ พระแม่กวนอิมประทานบุตรไม่เห็น ศักดิ์สิทธิ์
เลย! วัดยังไม่เติบโตเลยเนี่ย!’

【ติ้ง! นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมท่านต้องขยันยังไงล่ะ】
‘ขอคำแนะนำที่ใช้ได้จริงได้ไหมหา?’ ฟางเจิ้งถาม

【ได้!】
‘บอกมาสิเฟ้ย!’

【ขยัน ๆ】

ฟางเจิ้ง ‘2#¥#@%¥’
ห้องโถงวัดยังคงครึกครื้นจนท้องฟ้าเริ่มมีแสง ทุกคนกำลังจุดธูป
ขณะที่เหล่าเด็ก ๆ วิ่งไปทั่วพร้อมกับเสียงหัวเราะของผู้เฒ่าผู้แก่
เสียงพูดคุยดังโฉงเฉงไปทั่วทุกที่ ส่วนฟางเจิ้งยืนยิ้มตาหยี เขา
บอกได้เลยว่าทุกคนนั้นใจกว้างสุด ๆ บางทีอาจเพราะเทศกาลปี
ใหม่ล่ะมั้ง ทุก คนจึงจุดธูปยักษ์! ถึงระบบจะเอาเงินไปครึ่งหนึ่ง
แต่เงินที่เหลือก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว!
วันที่จะได้พัฒนาวัดอยู่ไม่ไกลแล้ว! ฟางเจิ้งลอบยิ้มหวาน......
“ทำไมตีนเขาเป็นสีแดงขนาดนั้นหว่า?” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยปากถาม
ขึ้นมา
ทุกคนรีบเดินไปดูที่หน้าผา จากนั้น ก็มีคนตะโกนร้องลั่น “แย่
แล้ว! หมู่บ้านไฟไหม้! พวกเราต้องรีบลงไปแล้ว!”
หวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋วและคนอื่น ๆ พลันตื่นตระหนก ต่างรีบเร่ง
วิ่งไปดูที่หน้าผา ไฟกำลังไหม้หมู่บ้านอยู่จริง ๆ ด้วย! หวังโย่วกุ้ย
รี บ ให้ ห ยางผิ ง โทรหารถดั บ เพลิ ง ทั น ที จากนั ้ น ก็ เ รี ย กทุ ก คน
“ผู้ชายทุกคนตามฉันลงเขาไปเดี๋ยวนี้! พวกเราต้องรีบไปดับไฟ!!”
ผู้ใหญ่ทั้งหญิงชายต่างรีบลงเขาตามเขาไปทันที!
พอฟางเจิ ้ ง ได้ ย ิ น ว่ า มี เ รื ่ อ งโกลาหลข้ า งนอก จึ ง รี บ เร่ ง ไปดู
สถานการณ์ไฟไหม้ที่หน้าผา มีกองฟางของใครก็ไม่รู้ถูกจุดไฟ!
ถึงหน้าหนาวจะมีหิมะตก แต่หิมะไม่ใช่ฝน อากาศก็แห้งและลม
แรง ไฟเลยลุ ก ลามอย่ า งรวดเร็ ว ! มี บ ้ า นหนึ ่ ง ถู ก ไฟท่ ว มไป
หมดแล้ว ส่วนบ้านหลังอื่น ๆ ไฟกำลังลุกลามไปหา
เฉินจินที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดเยาะ “เหอ ๆ จะโทษใครก็ต้องโทษ
ตัวเองเถอะที่ปีใหม่ไม่ยอมอยู่บ้าน ดูสิไฟไหมอยู่ไม่ใช่เหรอ? พวก
เราอยู่ยอดเขาสูงชัน จะลงไปก็คงไม่ทันแล้ว—”
ตอนนั้นโทรศัพท์ของเฉินจินก็ดังขึ้น
พอเฉินจินเห็นว่าเป็นภรรยาตัวเองโทรมาก็กดรับสาย ก่อนที่เธอ
จะทันพูดอะไรเขาก็โพล่งไปก่อน “เหมือนไฟจะไหม้หมู่บ้านแน่ะ
หมอกหนาขนาดนี้ฉันมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย คุณต้องระวังตัว
นะ”
เสียงของซูหงตะโกนมาจากอีกฝั่ง “ช่วยด้วย! บ้านเราไฟไหม้!
ฉันออกไปไม่ได้!!!”
เฉินจินชะงักงัน ก่อนจะร้องลั่น “บ้านของฉัน! บ้านฉัน! บ้าน!!!”
เฉินจินพุ่งถลาลงเขาไปทันควัน ไม่มีกะจิตกะใจจะไปส่อเสียดคน
อื่นอีก รีบเร่งย่ำฝีเท้าสุดชีวิต แต่ฝ่าเท้ากลับไม่เป็นใจ กระทั่ง
โทรศัพท์ตัวเองยังหลุดมือไป!
ฟางเจิ้งเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะได้ยินเสียงกรีดร้องจาก
อีกฝั่ง มีทั้งเสียงไฟระเบิดลุกไหม้ เสียงเด็กร้องไห้จ้า เสียงผู้หญิง
กรีดร้อง ฟางเจิ้งรู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว อาจจะมีคนตาย
ก็เป็นไปได้!
ตอนแรกฟางเจิ้งยังไม่กังวลเท่าไร เพราะชาวบ้านขึ้นเขามากัน
หมด แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิด! มีคนติดอยู่ในบ้านตัวเอง!
พอเป็นแบบนี้ฟางเจิ้งก็เริ่มตื่นตระหนก แต่เขาไม่อาจลงเขาไปได้
เนี่ยสิ!!!
ตอนที่ 124 : เจ้าอาวาสลงเขา
“ระบบ จีวรจันทรากระจ่างปกป้องชีวิตฉันได้ใช่ไหม?” จู่ ๆ ฟาง
เจิ้งก็ถามระบบขึ้นมา

ระบบตอบ 【แน่นอนว่าสามารถป้องกันการโจมตี กันน้ำ กันไฟ


ตราบใดที่สวมจีวรอยู่ ตามทฤษฎีไม่มีสิ่งใดในโลกนี ้สามารถ
สังหารท่านได้】
“แล้ ว ถ้ า ฉัน กระโดดลงไปล่ ะ ?” ฟางเจิ ้งมองกลุ่ ม หมอกควัน
หนาแน่นนั้น เอ่ยปากถามต่อ

【ท่านจะไม่เป็นอะไร แต่คงเจ็บปวดยิ่ง อีกทั้งท่านไม่อาจลง


เขาได้!】ระบบเตือน
“ช่างแม่*สิ ฉันจะลงไป! ไปช่วยชีวิตคน! ยังไงฉันก็จะลงไปช่วย
คนโว้ย!” ฟางเจิ้งได้ยินเสียงตะโกนมาตามสายนั้ นด้วย ตอนที่ได้
ยินเสียงเด็กทารกร้อง ความตื่นตระหนกตีตื้นขึ้นมาในใจอย่าง
ท่ ว มท้ น เขาตะโกนลั ่ น ท่ า มกลางความว่ า งเปล่ า ซึ ่ ง ขณะนี้
ชาวบ้านชายหญิงลงเขาไปกันหมดแล้ว
พอฟางเจิ้งพูดคำหยาบ สายฟ้าก็ฟาดลงมาเบื้องหน้าฟางเจิ้งทันที
แต่ฟางเจิ้งไม่สนใจแล้วพูดต่อ “ฉันจะถามคำเดียว จะให้ฉันลง
ไปไหม?!”

【ท่านก็ลองดู!】เสียงระบบเย็นยะเยือก ดูโหดเหี้ยมจนฟาง
เจิ้งใจกระตุก!
“แม่ ช่วยผมด้วย ผมเจ็บ!” เสียงเด็กดังออกมาจากโทรศัพท์
พอฟางเจิ้งได้ยิน ดวงตาก็แดงฉาน! ไฟไหม้ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่คุ้น
ชิน ตอนเด็ก สมัยที่ยังอยู่บ้านเถียนจู่กั๋ วก็มีเหตุไฟไหม้เช่นกัน
เหล่าเพื่อนบ้านต่างบุกไฟเข้ามาช่วยเหลือเขา หลายคนต่างถูก
หามส่งโรงพยาบาลเพราะแผลไฟไหม้...หากไม่มีพวกเขา ฟางเจิ้ง
คงไม่สามารถชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้!
ตอนนี้สถานการณ์กลับกัน ฟางเจิ้งไม่สนหรอกว่าใครจะติดอยู่ใน
บ้านนัน่ เขาจะต้องช่วยชีวิตคนออกมาให้ได้!!!
ฟางเจิ้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่แ ล้วประกาศเสียงกร้าว “ช่างแม่*ดิ
ฉันจะลงไปช่วยคน!” พูดจบฟางเจิ้งก็กระโดดพุ่งลงจากผาไป
เลย!
ทันทีที่ฟางเจิ้งกระโดด——

【ติ้ง! ท่านบรรลุภารกิจบททดสอบอารมณ์! ยินดีด้วยท่านได้


กลายเป็นร่างต้นของระบบพุทธะอย่างสมบูรณ์!】
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งได้ยินก็ตกตะลึงไปเลย “ระบบบอกอีกทีสิ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”

【ตามกฎระเบียบของระบบ ถ้าท่านเกิดสติแตกละเมิดกฎศีล
ของพระภิกษุเพื่อลงเขาไป ทางระบบจะทำการคัดเลือกร่างต้น
ใหม่ ทว่ายังมีกฎลับอยู่ ซึ่งทางระบบไม่อาจบอกได้ทั้งทางตรง
และทางอ้อม】
“ระบบ ฉันอยากด่าคน!” ฟางเจิ้งเกือบจะสบถออกมาอยู่แ ล้ว
ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นเขาคงก้าวเท้าออกไปแล้วเว้ย! ถ้าเป็นแบบ
นั้นเขาคงกลายเป็นฆราวาสตามใจหมาย! แต่กลับโดนระบบ
หลอกเสียนี่!

【ท่านสามารถเอ่ยปากด่าคน แต่นี่คือคำเตือน ตอนนี้ท่านดำรง


เป็นสมณเพศแล้ว เป็นพระที่แท้จริง ทางระบบอนุญาตให้ท่าน
สบถจากวันละสามครั้ง เหลือเพียงวันละครั้งเท่านั้น】ระบบพูด
ด้วยสำเนียง ‘ก็เรื่องมันเป็นแบบนั้นแหละ’
ฟางเจิ้งรีบกลืนคำหยาบที่จะโพล่งออกไปทันที ในใจลอบด่า
‘แม่*เอ้ย! เดี๋ยวพอช่วยคนเสร็จ ต้องจัดการแกหน่อยแล้ว!’
【ก้มมอง】 ระบบพูด
ฟางเจิ้มก้มดู เขากำลังลอยตัวลงจากหน้าผา คราวนี้แข้งขาพลั น
อ่อนแรง ตาเหลือกขึ้น——เขากลัวความสูงโว้ย!!
“อ๊ากกกกกกก!!!” ก่อนหน้านี้พุ่งลงมาด้วยความมุ่งมั่น ส่วน
ตอนนี้ได้แต่กรีดร้องโหยหวนออกจากจิตใต้สำนึก........
ระหว่างทางลงเขา หวังโย่วกุ้ย หยางผิง และคนอื่น ๆ กำลังเร่ง
ฝีเท้ากันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนขึ้นมา
หยางผิงถาม “หัวหน้าหมู่บ้าน มีคนกำลังมีปัญหา?”
หวังโย่วกุ้ยใจกระตุกวูบ รีบบอกให้หยางผิงวิ่งกลับไปดู เผื่อมี
อะไรเกิดขึ้น
ตอนนั้นเองเฉินจินก็วิ่งตามพวกเขาทัน ดวงตาแดงฉาน กัดฟัน
กรอด ๆ ท่าทางวิ่งลงเขาอย่างหมดสภาพสุด ๆ บนศีรษะมีแผล
เลือดไหลซิบ เสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง ดูเหมือนตอนวิ่งลงเขาจะลื่นล้ม
ลงมาด้วย
หวังโย่วกุ้ยรีบถาม “เฉินจิน เกิดอะไรขึ้น?”
“บ้านฉันกำลังไฟไหม้! ช่วยพวกเขาด้วย!” เฉินจินร้องตอบขณะ
วิ่งต่อไป ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขาแม่*ไม่ควร
ห้ามซูหงกับคนอื่น ๆ ว่าอย่าขึ้นเขาเลย! ถ้าเป็นแบบนั้น ถึงไฟจะ
ไหม้บ้าน แต่ครอบครัวเขาจะยังคงปลอดภัย!
ตู้ม! บริเวณนอกหมู่บ้าน ณ ตีนเขาบังเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นควัน
คละคลุ้งฟุ้งกระจายทั่ว
ในกลุ่มควันนั้นมีคนวิ่งออกมา! “เจ็บโว้ย! เจ็บโคตร ๆ! ระบบ
ทำไมนายบอกไม่ชัดเจนเลยห๊ะ เจ็บแทบตายแล้ว!”
ตอนแรกฟางเจิ้งกะจะลงแบบซูเปอร์ฮีโร่ แต่ก่อนที่เขาจะหาที่
หยั่งเท้าเจอ ก้นของเขาก็กระแทกพื้นเสียแล้ว ไม่พอ ยังมีก้อน
หินบนพื้นอีก ตอนที่ก้นกระแทกพื้นทำเอาเจ็บจนบ่อน้ำตาแตก
เขาได้แต่รีบเอามือกุมก้นแล้วออกวิ่งต่อทั้งอย่างนั้น

【ทางระบบบอกแล้วว่าเจ็บ】 ระบบพูดอย่างเฉยชา
ฟางเจิ้งไม่คิดจะเสียเวลากับระบบอีก ปากก็ร้องเจ็บ ๆ ไป แต่เท้า
ยังคงวิ่งเต็มกำลังไปตามจุดประสงค์เดิม ขืนไม่ร้องออกมาก็เจ็บ
เกินไปสิฟะ!
ที่บ้านของเฉินจิน ซูหงกำลั งใกล้สติแตกเต็มทน รอบกายมีแต่
กองไฟ ไม่มีทางออกเลย! สมาชิกในครอบครัวที่ติดอยู่มีตัวซูหง
เอง ลูกชายของเฉินจิน ลูกสะใภ้ แล้วก็หลานชายอายุสามขวบ
พวกเขาล้วนติดอยู่ในบ้าน ตัวเด็กเองก็ร้องไห้จ้าไม่หยุด ขณะที่
ลูกชายของเฉินจินพยายามพุ่งตัวออกไป แต่ไฟลุกไหม้แรงเกิ น
กว่าจะฝ่าไปได้ ขนาดประตูเหล็กยังถูกหลอมแทบไม่ต่างจาก
ของเหลว ขื่อคานก็พังหล่นลงมาปิดประตูทางออกไว้ หน้าต่างก็มี
ของบังอยู่——ไม่มีทางหลบหนีเลย! แถมบริเวณนอกหน้าต่างก็
เต็มไปด้วยเปลวไฟถาโถม ทั้งครอบครัวต่างตื่นตระหนกและอับ
จนหนทาง!
“แม่ เหมือนจะมีเรื่องแปลก ๆ ไฟลามเร็วขนาดนี้ ปกติมันต้อง
ไหม้มาถึงข้างในแล้วสิ! ?” ลูกชายของเฉินจินร้องทักพอเห็น
สถานการณ์แปลก ๆ ที่ว่านี้
“คิดว่ายังแรงไม่พออีกเหรอ? อยากให้ไฟมาคลอกพวกเราจนตาย
เหรอไง?!” ภรรยาของเขากอดลูกชายแน่น ก่อนจะกรีดร้อง
ออกมาตอนที่เศษไม้ตกลงมา
ตอนนั้นเองซูหงก็ตื่นจากภวังค์ จริง ๆ ด้วย! ทำไมไฟถึงไม่ลาม
เข้ า มาข้ า งในนะ? เธอเลยลองมองไปรอบ ๆ ก่ อ นจะเห็ น สิ่ง
ประหลาด!? ในวันเสี่ยวเหนียน เฉินจินนำกลอนคู่ที่ได้รับจาก
ฟางเจิ้งมาให้ด้วย อย่างไรเสียงานลิปิศิลป์นี่ก็สวยงามมาก แถม
เหล่าลิปิกรมีชื่อเสียงก็ต่างขวนขวายเสาะหาถึงที่ พอรู้ว่ากลอนคู่
ล้ำค่าเช่นนี้ พวกเขาจึงนำมาเก็บไว้ในบ้าน กลัวว่าเอาไปไว้ข้าง
นอกจะโดนลมฝนจนหมองหมด
ตอนนี้ เ ปลวไฟลุ ก ลาม กลอนคู ่ เ สมื อ นกระจกสะท้ อ นแสง!
ตัวอักษรสีดำเปล่งประกายเป็นสีทอง! แถมยังไม่ถูกไฟไหม้จาก
ข้างนอกไหม้แม้แต่น้อย! และที่แปลกกว่านั้นคือ ตัวกลอนคู่กำลัง
กลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่ถูกเผาไหม้!
“...เป็นเพราะกลอนคู่ กลอนคู่ที่ฟางเจิ้งเขียนไว้ให้พวกเรา!” ซู
หงชี้ไปที่กลอนคู่แล้วตะโกนลั่น
เฉินหลง ลูกชายของเฉินจินมองตาม จริง ๆ ด้วย! กลอนคู่นั้น
ประหลาดมาก! จากนั้นเขาพลันเกิดความคิดแวบหนึ่ง “ไม่รู้ว่า
จะจริงรึเปล่า แต่ยังไงก็ต้องลอง!”
ดังนั้นเฉินหลงจึงออกตัววิ่ง ขณะกำลังจะฉีกกลอนคู่ออกเขาก็
ตะโกน “พวกเราอาจจะรอดถ้าถือกลอนคู่นี่แล้ววิ่งหนีออกไป!”
ทว่าทันทีที่เขาแตะต้องกลอนคู่ มันก็สลายกลายเป็นเถ้า เร็ ว
ขึ้น!——กองไฟพลันลูกโชนถาโถม!!
เฉินหลงผงะล้มตอนที่เกือบโดนไฟคลอกใส่ ซูหงกับภรรยาของ
เขารีบเร่งเข้ามาช่วยกันจ้าละหวั่น ซูหงตะโกน “อย่าไปแตะ
กลอนคู่! พวกเราแตะมันไม่ได้!!”
ขณะนี้...กลอนคู่เหลือเพียงส่วนสุดท้าย และมันก็กำลังกลายเป็น
เถ้าเร็วขึ้น พวกเขาได้แต่มองอย่างสิ้นหวัง!
ซูหงด่ากราด “เพราะพ่ อหัวดื้อของพวกลูกนั่นแหละ! ดูสิ ถ้า
พวกเราขึ้นเขาไปด้วยกัน ก็คงไม่ติดอยู่ในกองไฟแบบนี้หรอก!
ถ้าเขาฟังคำแนะนำสักนิด พวกเราคงไม่โดนพระพุ ทธองค์ลงโทษ
เพราะไปช่วยอู้หมิงหาเรื่องวัดนิ้วเดียวหรอก บาปกรรมแท้ ๆ!!”
“พวกเราตายแน่ ๆ ตายแน่ ๆ!” ใบหน้าของเฉินหลงฉายแววสิ้น
หวัง
ขณะที่กลอนคู่จวนจะสลายกลายเป็นเถ้าจนหมดนั้น พลันมีเสียง
หนึ่งดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง “มีใครอยู่ไหม!?”
“มี! มีคนอยู่! ช่วยด้วย!!” เฉินหลง ซูหง และภรรยาของเขารีบ
ร้องตะโกนบอก
จากนั้นเสียงคนข้างนอกก็ดังขึ้นมาอีกว่า “ถอยไปให้ห่างจาก
ประตู!”
ตอนที่ 125 : เฉินจินผู้ขมขื่น
“พวกเราอยู่ห่างแล้ว!” เฉินหลงร้องตะโกนกลับไป
ตู้ม!! ตอนนั้นเองที่ประตูระเบิดออกอย่างรุนแรง ลมตีกระจาย
ไฟลุกโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม!
คนที่อยู่ข้างนอกคงไม่ได้เข้ามาพร้อมกับไฟกองใหญ่หรอกนะ?
——พวกเราจบสิ้นแล้ว!
นี่คือความคิดแวบแรกของครอบครัวซูหง
และแล้วก็มีคนปรากฏร่างบนกองเพลิงจริง ๆ! คนผู้นั้นก้าวย่างใน
ทะเลเพลิง เตะออกต่อยหมัดทำลายข้าวของโดนไฟไหม้ที่เกะกะ
ขวางประตูออกจนหมด แม้กระทั่งคานที่หล่นลงมายังถูกเขายก
แล้วโยนออกไป!
“ซูเปอร์แมนเหรอ? คานไม้นั่นขนาดคนสามสี่คนยังยกไม่ไหวเลย
นะ!?” เฉินจิงตกตะลึง
ซูหงตื่นจากภวังค์ตอนที่จำฟางเจิ้งได้ เธอร้องตะโกนออกไป
“ฟางเจิ้ง? นั่นเธอเหรอ?”
“อามิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย เป็นอาตมาเอง ไม่ต้องพูดแล้ว รีบ
ออกไปเถอะ บ้านหลังนี้ใกล้จะถล่มแล้ว” พอฟางเจิ้งเข้ามาได้ก็
พูดเข้าประเด็น เขาจัดการเก็บกวาดทางออกไว้ให้แล้ว จากนั้ น
ค่อยนำอ่างน้ำเข้ามาแล้วราดใส่ผ้า ก่อนจะนำไปห่มพวกเขา
เอาไว้
ทั้งกลุ่มถูกคลุมด้วยผ้าเปียกน้ำนั้น แต่ละคนก้มตัวลงต่ำแล้วพุ่ง
ออกไปทันที
พอพวกเขาวิ่งออกจากประตูไปแล้ว ฟางเจิ้งก็เพิ่งวางอ่างน้ำลง
ขณะเดียวกับที่ตัวอักษรสุดท้ายของกลอนคู่สลายกลายเป็นเถ้า
พอดี จากนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น แล้วบ้านทั้งหลังก็พังถล่มลง
มา!!!
ซูหงหันขวับไปมอง ฟางเจิ้งยังไม่ออกมา! เธอหวีดร้องอย่างตกใจ
“ฟางเจิ้ง? ฟางเจิ้ง!! เธอเป็นอะไรหรือเปล่า!!? ฮือ ๆ ฉันทำร้าย
เธอแล้ว! ไม่นะ! ฮือ ๆ......”
ดวงตาของเฉิ น หลงกั บ ภรรยาแดงก่ ำ ถ้ า ไม่ ใ ช่ เ พราะฟางเจิ้ง
ปรากฏตัว คงเป็นพวกเขาเองที่ถูกฝังอยู่ในนั้น! พวกเขาสมควร
เป็นคนที่ตาย! ที่ทำให้ผู้ช่วยเหลือประสบเคราะห์ น้ำตาพวกเขา
ล้วนไหลอาบแก้ม
ทันใดนั้นเอง ก็มีร่างคนทะยานออกไปทางหลังบ้าน!!!
ถึงบ้านถล่มจะดูน่ากลัว แต่ฟางเจิ้งค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ไหน
จะมีจีวรจันทรากระจ่างคุ้มกายอยู่ เขาจะตายได้อย่างไรกัน? พอ
เห็นว่าซูหงกับครอบครัวปลอดภัยแล้วก็ได้เวลาจรลี ถึงแม้การได้
ช่ ว ยชี ว ิ ต พวกเขาไว้ เ ป็ น เรื่ อ งดี แต่ ก ็ ม ี เ รื ่ อ งมหั ศจรรย์ พ ั น ลึ ก
มากมายที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
ฟางเจิ้งตัดสินแล้ว ไม่ว่าใครจะมาถาม เขาก็จะไม่ปริปากบอก
เด็ดขาด เชิญจินตนาการไปตามใจเถอะ!
พอฟางเจิ้งหลบออกมาจากบ้านสกุลเฉินได้แล้ว รถดับเพลิงก็เข้า
มาจัดการดับไฟ เรื่องไฟนั้นฟางเจิ้งไม่อาจช่วยอะไรได้ จึงได้แต่
เวียนไปตามบ้านที่คุ้นเคยเพื่อดูว่าพวกเขาปลอดภัยหรือไม่
จากนั้นฟางเจิ้งก็มุ่งไปทางเขานิ้วเดียว พลางซ่อนตัวในกองหิมะ
ตรงทางขึ้น หลังจากทุกคนจากไปหมดแล้ว ก็ลอบกลับไปที่วัด
อย่างเงียบงัน
หลังจากกลับขึ้นเขาไปได้แล้ว ฟางเจิ้งก็ปิดประตู จากนั้นเดินไปที่
ห้องโถงที่เทียนไขยังไม่มอดดับ แล้วนั่งลงขัดสมาธิพร้อมเริ่ มสวด
มนต์ ขอพรปีใหม่ให้แก่เหล่าชาวบ้าน หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย
และเจริญรุ่งเรือง
ขณะเดียวกันที่ตีนเขาก็กำลังโกลาหลกันไม่น้อย พอนักดับเพลิง
มาถึง ก็ได้ยินว่ามีคนถูกฝังอยู่ในซากบ้าน! กลุ่มนักดับเพลิงรี บ
พุ่งเข้าไปในกองเพลิง หลังจากต่อสู้กับเปลวไฟอย่างหนักหน่ว ง
ในที่สุดไฟก็ดับลงได้เสียที ทว่าถึงจะขุดดินไปสามฟุต ก็ไม่เจอร่าง
มนุษย์แม้แต่น้อย!
“หรือร่างถูกเผากลายเป็นเถ้าแล้ว?” ซูหงร้องไห้น้ำตานอง
“พี่สาว อย่าร้องเลย ไม่มีพระ ไม่มีใครเลย ดูสิ นอกจากเครื่อง
เรือนแล้ว กระดูกสักท่อนยังไม่มีเลย” นักดับเพลิงที่ค้นไปทั่ว
ซากปรักหักพังบอก
ซูหงเลยไปดู ก่อนจะเห็นว่าไม่มีศพหรือกระดูกอะไรจริง ๆ พอ
เห็นแบบนี้ซูหงก็สับสน เธอจำได้ว่าไม่เห็นฟางเจิ้งหลบออกมา
ก่อนบ้านจะถล่มนี่นา?
นักดับเพลิงตบไหล่เธอเบา ๆ “พี่สาวอาจจะตกใจจนเห็น ภาพ
หลอนก็ได้นะ”
“แต่พวกเราเห็นกันหมดนะ!” ภรรยาของเฉินหลงร้อง
“งั้นก็คงอุปทานหมู่” นักดับเพลิงว่า
ขณะซูหงกำลังจะพูดอะไรต่อ เฉินหลงก็เข้ามาปรามไว้ พลาง
กระซิบว่า “แม่ แสร้งเป็นว่าเราอุปทานไปเองเถอะ เรื่องนี้มัน
แปลกมาก นึกถึงกลอนคู่ นึกถึงตอนที่ท่านมายกคานออกด้วยมือ
เปล่ า ไหนจะเดิ นผ่ านทะเลเพลิ งอี ก มนุ ษ ย์ จะทำแบบนั้นได้
เหรอ? เรื่องลึกลับอธิบายยากแบบนี้ ขืน ยังยืนกรานอยู่อาจจะ
เป็นปัญหาก็ได้ ผมคิดว่าพระอาจารย์ท่านกลัวมีปัญหา จึงจากไป
โดยไม่ ล ่ ำ ลา ถึ ง ไฟจะไหม้ ร ุ น แรง แต่ พ ระอาจารย์ ไ ม่ ใ ช่ ค น
ธรรมดา ต้องสบายหายห่วงแน่ ไว้พอรุ่งสาง พวกเราค่อยขึ้นเขา
ไปดูด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวก็รู้เองว่าเกิดอะไรขึ้นนะแม่”
พอซูหงได้ยินแบบนั้น แววตาพลันสว่างวาบ รีบพยักหน้ารับ แล้ว
ไม่ยืนกรานจะให้ช่วยเหลือฟางเจิ้งอีก ได้แต่เอ่ยปากว่าตนคงเห็น
ภาพหลอนไปเอง แถมจำไม่ได้แล้วว่าเห็นอะไรซะด้วยสิ
พอซูหงจัดการอะไร ๆ เสร็จ เรื่องราวค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
ตอนนั้นชาวบ้านก็เพิ่งมาถึง พอเฉินจินเห็นซูหง เฉิ นหลงและ
ภรรยา รวมไปถึงหลานชายตัวน้อยปลอดภัยกันดีก็พุ่งเข้ามากอด
พวกเขาทั้งน้ำตา ขามาเขากังวลแทบตาย ใจหายใจคว่ำหมด!
เดิมทีซูหงนั้นไม่พอใจสามีตัวเองมาก แต่พอเห็นเขาอยู่ในสภาพดู
ไม่ได้เพราะเป็นห่วงพวกตนขนาดนี้ ความโกรธก็มลายหายไป
หมด ทั้งครอบครัวยังคงมีชีวิตอยู่ และได้กลับมาอยู่แบบพร้อม
หน้ า พร้ อ มตากั น ส่ ว นเรื ่ อ งบ้ า น ถู ก ไหม้ จ นพั ง แล้ ว อย่ างไร?
สร้างใหม่ก็ได้! ——ตราบใดที่คนอยู่ อะไร ๆ ก็กลับมาใหม่ได้!
พอนักดับเพลิงจัดการอัคคีภัยได้แล้ว ก็จากไป
หวังโย่วกุ้ยเรียกคนให้มาช่วยเก็บกวาดซากบ้านตระกูลเฉิน และ
ช่วยมองหาของที่น่าจะกลับมาใช้ได้ ครอบครัวสกุลเฉินก็เข้ามา
ช่ ว ยด้ ว ยร่ ว มกั น ยุ ่ ง วุ ่ น วายกั น จนตกบ่ า ย ก็ ก ล่ า วส่ ง บรรดา
ชาวบ้านผู้มีจิตเมตตาทั้งหลายอย่างซาบซึ้งใจ
เฉิ น จิ น เหม่ อ มองซากบ้ า นตั ว เองพลางถอนหายใจ แล้ ว สบถ
“เป็นความผิดฟางเจิ้งคนเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะธูปดอกแรกบ้า
บอ—”
เพี๊ยะ! เฉินจินโดนตบ!
เฉินจินร้องอย่างโกรธเคือง “ซูหง เธอทำอะไรเนี่ย?!”
“ทำอะไรน่ะเหรอ? จะอัดแกให้ตายไง! ฉันตบแกอยู่! ไม่เข้าใจ
เหรอ? ทำไมยังไปด่าฟางเจิ้งอยู่อีก ? เฉินจิน ฉันบอกไว้เลยนะ
ตั้งแต่วันนี้ไป ถ้าฉันได้ยินว่านายด่าฟางเจิ้งอีก คราวนี้จะไม่ใช่แค่
ตบ แต่จะเอารองเท้าฟาด!” ซูหงเอามือเท้าสะเอวด้วยท่าทางดุ
ร้าย
เฉินจินชะงักไปทันทีที่เห็นเธอทำท่าอย่างนั้น พวกเขาอยู่ด้วยกัน
มาหลายสิบปี แต่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเธอน่ากลัวขนาดนี้! นี่คือ
ภรรยาของเขาจริงหรือเปล่าเนี่ย ? ไม่ใช่ว่าคำพูดของเขาเป็นดุจ
ดั่งประกาศิตหรอกเหรอ?...ไหงวันนี้ถึงต่อต้านขึ้นมาล่ะ?
เฉินจินมองไปที่ลูกชาย “ลูกชาย ช่วยคุยหน่อยสิ แม่ของลูก
กำลังเข้าข้างคนนอกนะ!”
เฉินหลงตบไหล่พ่อตัวเองเบา ๆ “พ่ออย่าโมโหเลย”
เฉินจินได้ยินแบบนั้นค่อยโล่งอก ในใจคิด ‘ต้องงี้สิ ลูกของฉันทั้ง
เข้าใจทั้งเป็นห่วงฉั—’
“ที่แม่พูดน่ะถูกแล้ว! แม่ ถ้าแม่มีรองเท้าไม่พอนะ เดี๋ยวผมซื้อ
ให้!” เฉินหลงพูดขณะไปยืนอยู่ข้างซูหง
เฉินจินตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? ทำไมไฟไหม้ถึงทำให้เกิดการ
ปฏิวัติได้?
คราวนี้เฉินจินหันมามองลูกสะใภ้บ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่
อยู่ข้างซูหงอยู่แล้ว ทว่าเธอกลับพูดอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ว่า “พ่อ แม่
พูดถูกแล้วค่ะ”
“พวกเธอ...พวกเธอกำลังก่อกบฎกันอยู่สินะ? ไอหยา ฉันไม่อาจมี
ชีวิตต่อไปได้แล้ว!” เฉินจินกระทืบเท้า ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่าขา
กางเกงถูกกระตุก พอก้มลงมองดู ก็เห็นเป็นหลานชายกำลังดึงรั้ง
เขาไว้
หลานชายพูด “คุณปู่ อย่าโมโหไปเลยนะ......”
เฉิ น จิ น อุ ้ ม หลานตั ว น้ อ ยขึ ้ น มาก่ อ นจะพู ด อย่ า งพอใจว่ า
“หลานชายของปู่ดีที่สุดเลย รู้จักเป็นห่วงปู่ด้วย......”
ตอนที่ 126 : แพ้หรือชนะ?
“คุณปู่อย่าโมโหเลย ที่คุณย่าพูดน่ะถูกแล้วครับ!”
อึก! เฉินจินเกือบจะกระอักเลือด!
“พ่อ เถียงไปก็ไม่ชนะหรอก เรื่องนี้พวกเราไม่ยอมเด็ดขาด” เฉิน
หลงบอก
เฉินจินจ้องไปที่ลูกชายตาเขม็ง “ฉันจะไม่ยอมเหมือนกันจนกว่า
จะอธิบายมา! คิดดูสิ ฉันรีบลงเขามาแทบตาย ระหว่างทางก็ล้ม
ด้วย สุดท้ายพวกลูกกลับมาทำกับพ่อแบบนี้เหรอ?”
ซูหงกับคนที่เหลือยิ้มกระอั กกระอ่วน ก่อนพากันดึงเฉินจินมา
ด้านข้างแล้วเล่าสิ่งที่เจอ
พอเฉินจินฟังจบก็นิ่งเงียบไปทันที
“ตาแก่ ฉันรู้ว่านายน่ะดื้อด้านสุด ๆ แต่ว่าเรื่องฟางเจิ้ง ถ้านายยัง
หัวแข็งอยู่แบบนี้ พวกเราคงอยู่ด้วยกั นไม่ได้แล้วจริง ๆ แค่ดื้อ
ด้านไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่เป็นพวกเนรคุณฉันรับไม่ได้! ถ้า
ไม่ใช่เพราะฟางเจิ้ง...บ้านเราคงไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกอง
ขี้เถ้า” ซูหงว่า
เฉินจินแยกไปจุดบุหรี่สูบอัดควันเข้าเต็มปอดอยู่เงียบ ๆ หลังจาก
จัดไปสองเฮือกก็ถาม “พวกเธอ...ไม่ได้มองผิดใช่ไหม?”
“มองผิด? พ่อดูคานตรงประตูสิ! เรื่องอื่นอาจจะมองผิด แต่ดูนี่
สิ!” เฉินหลงท้วง
เฉินจินสับสน “แต่ยังแปลกอยู่ดี ตอนที่พ่อเพิ่งลงเขา ฟางเจิ้งยัง
อยู่บนยอดเขาอยู่เลย แถมทางลงเขาก็มีแค่ทางเดียวด้วย ไม่มี
ทางที่พ่อจะไม่เห็นตอนเขาลงมาแน่ ๆ แต่ตลอดทางพ่อไม่เห็น
ใครเลยจริง ๆ นะ! แถมกลอนคู่ที่ลูกพูดนั่นน่ะ ฟังอย่างกับเวท
มนตร์ จะให้พ่อเชื่อได้ยังไง?”
“แต่เรื่องอื่นนอกจากกลอนคู่ก็เป็นเรื่องจริงแน่นอน พวกเราเห็น
กันหมด ตาแก่ นายไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว และบ้านก็เก่ามาก
แล้วด้วย แถมบ้านในหมู่บ้านยังทำเป็นกระเบื้องหินกันทั้งนั้น แต่
นายบอกเองว่ า อยากได้ บ ้ า นแบบเก่ า ก็ เ ลยเปลี ่ ย นประตู กั บ
หน้าต่าง บ้านอิฐดินที่ทำจากไม้ แบบนี้จะไปทนไฟขนาดนั้นไหว
ได้ยังไง? อย่างเร็วสุดที่จะลงเขามาได้ก็ปาไปชั่วโมงหนึ่งแล้วไม่ใช่
เหรอไง? แต่บ้านพวกเรากลับไหม้แค่ข้างนอก ไม่มีไฟกับควันเข้า
มาในบ้านเลย แบบนี้มันปกติตรงไหนกัน ? เชิญนายพูดไปเถอะ
ว่าเห็นภาพหลอน แต่ถ้าควันไฟเข้ามาในบ้าน พวกเรายังจะรอด
ได้ไง?” ซูหงถามต่อ
เฉินหลงพูดสนับสนุน “ใช่แล้วพ่อ พ่อมีสติหน่อยสิ พ่อน่ะเอาแต่
ว่าตามอู้หมิงตลอดเลยนะ ทั้งที่ฟางเจิ้งนั้นเก่งกาจดุจเทพยาดา
แต่ พ ่ อ ก็ยั งพยายามไปทำลายชื่ อเสี ยงเขาอี ก พ่ อ คิ ดอะไรอยู่
เนี่ย?”
ผั๊วะ! เฉินจินยกมือขึ้นตบหัวลูกชายแล้วดุด่า “พูดกับพ่อตัวเอง
แบบนี้เหรอ? ฉันจะทำอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้ลูกชายอย่างแก
มาสอน!”
“จะดื้อด้านทำบ้าอะไรอยู่! พวกเราเห็นกันกับตา พูดมา จะเอา
ยังไง!!” ซูหงคำราม
เฉินจินโยนบุหรี่ออกไปแล้วยืดตัวตรง “ฉัน เฉินจินไม่ใช่คนชั่ว!
ฉั น จะกลายเป็ น คนเนรคุ ณ ได้ ย ั ง ไง? แต่ ว ่ า เรื ่ อ งดี ม ั น ออกจะ
ประหลาดพิลึกเกินไปหน่อย อยากจะขึ้นเขาไปดูก่อน อยากรู้ว่า
ฟางเจิ้งจะพูดอะไรหรือเปล่า ไม่งั้นฉันไม่ยอมปล่อยไปแน่ ๆ แต่
อย่าเป็นห่วงไป เรื่องที่เกิดขึ้น วันนี้ ฉันจะไปจัดการกับอู้หมิงเอง!
พอใจหรือยัง? เอาล่ะ ไม่มีบ้านให้อยู่แล้ว พวกเราจะไปอยู่ไหน
ดี?”
“พวกเราจะไปไหน? ไปบ้านผมนี่! ในเมืองมีบ้านหลังออกใหญ่โต
แค่ให้พ่อแม่ไปอยู่ด้วยจะเป็นอะไรไป” เฉินหลงพูด
“ไปไหนก็ไป! ใครจะอยากไปอยู่กับแก ฉันชอบหมู่บ้านนิ้วเดียว
โว้ย!” เฉินจินว่า
“งั้นผมจะสร้างบ้านใหม่ให้ แบบนั้นโอเคยัง?” เฉินหลงถามยิ้ม ๆ
“เอาแบบนั้นแหละ ปะ ไปกัน!” สีหน้าเฉินจินอ่อนลง
“ไปไหน?” ซูหงถาม
“ไปตลาด” เฉินจินโบกไม้โบกมือ
“พวกเราจะไปทำไม?” เฉินหลงถามอย่างฉงน
เฉินจินเหลือบมองเขา “ใจคอจะไปเยี่ยมผู้มีพระคุณด้ วยมือ
เปล่าเหรอ? มียางอายหรือเปล่า? แกอาจจะไม่มี แต่ฉันมี!”
เฉินหลง ซูหงและคนที่เหลือล้วนหัวเราะออกสักที ลูกของเฉินจิ
นรีบวิ่งมาหาแล้วร้องเสียงใสแจ๋ว “ผมอยากได้ของหวานฮัฟ!”
ฟางเจิ้งที่อยู่บนเขากำลังไม่พอใจสุด ๆ ไม่พอใจเอามาก ๆ!
“ระบบ นายพูดอีกทีสิ! ฉันได้หมุนเสี่ยงโชคกี่ครั้งนะ?” ฟางเจิ้ง
ร่ำร้องอย่างโมโห
【ครั้งเดียว! ท่านถามมายี่สิบกว่าครั้งแล้ว ถึงถามไปร้อยแปด
รอบ คำตอบก็คงเดิม! หนึ่งก็คือหนึ่ง!】 ระบบพูด
“แม—” ฟางเจิ้งเกือบจะสบถออกมา แต่ก็ต้องอดทนไว้ เขาด่า
ได้แค่วันละครั้ง ต้องใช้อย่างมี กลยุทธ์ ไม่อาจเสียเปล่าได้อย่าง
เด็ ด ขาด ว่ า แล้ ว ก็ ช ี ้ น ิ ้ ว ขึ ้ น ฟ้ า “ถ้ า นายมี ร ่ า งกาย ฉั น คงให้
บทเรียนสักป้าบ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ในประวัติศาสตร์มีบุรุษ
ผู้แข็งแกร่ง และคนผู้นั้นก็คือฉัน——ผู้ปราบระบบ!”
โบราณกาลมีหลู่จื้อเซินถอนต้นหลิว[1] ตอนนี้จะเป็นฟางเจิ้งถอน
หงอกระบบ!

【สรุปท่านจะหมุนเสี่ยงโชคหรือไม่? ถ้าไม่ ระบบขอตัว】


“หมุน! ทำไมฉันจะไม่หมุน? แต่นายติดค้างคำอธิบายอย่างแจ่ม
แจ้งอยู่นะ! ถ้าไม่พูดมาฉันไม่ยอมแน่! ฉันช่วยไปสี่ชีวิต แต่ทำไม
ถึงได้หมุนเสี่ยงโชคแค่ครั้งเดียวล่ะ ? ไม่ใช่หนึ่งชีวิตต่อหนึ่งโอกาส
เสี ่ ย งโชคหรอกเหรอ? ถามจริ ง อี ก สามคนนี ่ น ายคิ ด เป็ น
ค่าธรรมเนียมเหรอไง? ฉันเป็นคนเสี่ยงชีวิตนะ แต่นายจะมา
ขโมยไปหน้าด้าน ๆ เนี่ยนะ? ก้นฉันยังเจ็บอยู่เลยเนี่ย!” ฟางเจิ้ง
คำรามลั่น
【คำอธิบายอันแจ่มแจ้ง? ได้ ท่านช่วยสี่ชีวิตด้วยการกระทำใน
ครั้งเดียว เป็นการทำบุญกุศลยิ่งใหญ่อ ย่างแท้จริง ถ้าครอบครัว
ของเฉินจินโดนไฟคลอกตาย เฉินจินคงไม่อ าจใช้ชีวิตได้ต่อไป
บิดามารดาของภรรยาเฉินหลงก็คงโดดเดี่ยว และใช้ชีวิตที่เหลือ
ด้วยความเจ็บ】
“ใช่ ดูดิว่าได้บุญแค่ไหน! แต่นายกลับให้โอกาสเสี่ยงโชคแค่ครั้ง
เดียวเนี่ยนะ?! ขี้เหนียวชะมัด!” ฟางเจิ้งบ่นฮึ่มฮั่ม

ระบบเมินไปเสียฉิบ ก่อนจะพูดต่อ 【แต่เป็นการกระทำในครั้ง


เดียวที่ช่วยได้สี่ชีวิต บุญที่ได้นั้นไม่ลดลง แต่โอกาสเสี่ยงโชคที่ได้
นั้น คือแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หนึ่งการกระทำ หนึ่งโอกาสเสี่ยงโชค!
อยากได้มากกว่านี้ก็ไม่มีให้อยู่ดี ถ้าอยากได้เพิ่ม ท่านก็ลองฝึกอด
อาหารเป็นการอดกลั้นเอาแล้วกัน ทว่าการหมุนในครั้งนี้ไม่ ใช่
การเสี่ยงโชคธรรมดา บุญกุศลในครั้งนี้ทำให้ท่านสามารถหมุน
แล้วได้รับของชั้นดี หรือก็คือเป็นการหมุนที่มีค่าเท่ากับการหมุนสี่
รอบ! เดิมทีอาจจะหมุนได้ลูกแก้วสี่ลูก แต่ตอนนี้จะหมุนได้มุก
ทองคำ ท่านต้องการอันไหนกัน ? ถ้ายังจะทำตัวเหลวไหลอีก
ระบบจะถือว่าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น】
ดวงตาฟางเจิ้งพลันสาดประกายระยับ เขาไม่โง่นะ! ลูกแก้วจะดี
แค่ไหน ก็ทำจากแก้ว แต่มุกทองคำเป็นของมีค่ากว่าเยอะ! ดังนั้น
ฟางเจิ้งจึงพูด “อธิบายได้แจ่มแจ้งสุด ๆ แล้ว อาตมายอมรับ!”

【จะหมุนได้หรือยัง?】
“หมุน ๆ! เอาเลย ๆ! เอ๋...ว่าแต่ตอนที่ลงเขาไป นายบอกว่าฉันได้
รางวัลนี่นา? หมุนเลยได้เปล่า?” ฟางเจิ้งเพิ่งนึกออก จึงถามทัน
ควัน

【แน่นอน ท่านต้องการหมุนแยกหรือไม่ ? หรือจะรวมสองการ


กระทำอันเป็นกุศลบุญเข้าด้วยกัน?】ระบบถาม
ฟางเจิ้งตะลึง “ฉันรวมบุญกุศลได้ด้วยเหรอ?”

【แน่นอน ถึงกุศลบุญจะเป็นสิ่งนามธรรม แต่ทุกบุญใหม่ที่


ได้รับ จะสามารถนำไปรวมกับบุญเก่าที่ยังไม่หมุนเสี่ยงโชคได้
และจะถูกคำนวณอีกแบบ! เมื่อไหร่ที่ต้องการหมุนเสี่ยงโชค บุญ
ที่มีก็จะเป็นตัวชี้วัดระดับของรางวัล ยิ่งบุญมาก โอกาสได้ของดี
ยิ่งมากตาม นี่เป็นเกณฑ์ที่ทางระบบกำหนดไว้แบบชี้ชัดแล้ว เอา
ล่ะ ท่านอยากได้ลูกแก้วสองลูก หรือมุกทองหนึ่งลูก?】
ฟางเจิ้งกลอกตา “ระบบ ฉันได้รับทราบถึงความชั่วร้ายของนาย
แล้ว! ตอนแรกให้รวมสี่เป็นหนึ่ง แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นรวมสองให้
เป็นหนึ่งอีก”

【ท่านสามารถเลือกหมุนสองรอบ】 ระบบพูดหน้าตาเฉย
“นายพูดถึงขนาดนี้แล้ว ขืนฉันยังเลือกที่จะหมุนสองรอบก็โง่แล้ว
เปล่า? หนึ่งรอบ! เอาเลย! เลิกพูดเรื่องตัวเลขสักที! ทนไม่ไหว
แล้ว!” ฟางเจิ้งร้องเร่งอย่างใจร้อน

[1] มาจากวรรณกรรมสุยหู่จ้วน(ซ้องกั๋ง) หรือชื่อไทย 108 ผู้กล้า


หาญเขาเหลียงซาน
ตอนที่ 127 : พระพุทธรูปฉันหายไปไหนหมด!?

【ติ ้ ง ! ท่ า นได้ ร ั บ ของขวั ญ วั ด ชิ ้ น ใหญ่ ! วั ด จะได้ ร ั บ การ


บูรณปฏิสังขรณ์ เพิ่มจุดกราบไว้พระพุทธองค์ และยังได้รับการ
สุ่มพระพุทธรูปหนึ่งองค์!】
“บูรณปฏิสังขรณ์? รูปปั้นโพธิสัตว์?” พอได้ยินแบบนั้น ดวงตา
ฟางเจิ้งพลันเปล่งประกายวาบ! ตอนแรกยังกั งวลอยู่เลยว่าจะ
ขยับขยายวัดยังไงดี แต่ตอนนี้ระบบจะเป็นคนจัดการให้แล้ว!
แถมยังมีรูปเคารพเพิ่มอีก ทั้งวัดมีแค่พระแม่กวนอิมประทาน
บุตร เป็นอะไรที่อัตคัดสุด ๆ! ในที่สุดก็มีพระพุทธรูปใหม่แล้ว! ทุก
เรื่องที่ไม่พอใจล้วนมลายสิ้น ตอนนี้มีความสุขสุดขีดเลย!
“ระบบ ฉันจะได้พระพุทธรูปองค์ไหนเหรอ?” ฟางเจิ้มถามอย่าง
ตื่นเต้น

【ทางระบบไม่ทราบ เมื่อวัดบูรณะเสร็จสิ้น พุทธองค์จะอวตาร


ลงมาเอง หากถามว่าเป็นใครนั้น คำตอบล้วนไม่แน่ น อน】
ระบบอธิบาย
“งั้นรออะไรเล่า เริ่มบูรณะวัดโล้ด!” ฟางเจิ้งหัวเราะเฮฮาวิ่งออก
จากวัดไป เขายังจำภาพตอนที่วัดโดนบูรณะครั้งแรกได้อยู่
อลังการยิ่งกว่าหนังจอเงินอีก!

【ท่านยืนยันที่จะเริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดเลยหรือไม่ ?】 ระบบ
ถามอีกครั้ง
ฟางเจิ้งครุ่นคิดครู่หนึ่ง รอบที่แล้วของโดนทิ้งไปเยอะไม่น้อยเลย
ฟางเจิ้งจึงรีบเข้าไปยกโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งออกมาก่อน อย่าง
กลัวระบบจะเอาไปทิ้งหมด
หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จสรรพ ฟางเจิ้งก็พูด “เริ่ม
เลย!”
ฟางเจิ้งพนมมือ อารมณ์ปั่นป่วนตื่นเต้นตีตื้นขึ้นมา จนจ้องมอง
ตาเขม็งอย่างกังวล อยากรู้จริง ๆ ว่าวัดจะกลายเป็นแบบไหน
หลังการบูรณะ
ถึงฟางเจิ้งกำลังกังวลแทบตาย ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
หลังจากรอไปสิบนาที ฟางเจิ้งก็ถามอย่างตระหนก “ระบบ
ทำไมนายไม่เริ่มสักทีล่ะ?”

【เริ่มอะไร?】 ระบบถามกลับ
“เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดไง!” ฟางเจิ้งครวญ

【บูรณะเสร็จสิ้นแล้ว จะบูรณะอะไรเพิ่มอีก ?】ระบบพูดหน้า


ตาย
“อัก!” ฟางเจิ้งแทบจะกระอักเลือด ก่อนจะแผดเสียงอย่างโมโห
“แค่นี้อะนะ?! การก่อสร้างไม่สุกเอาเผากินทำแบบลวก ๆ ไป
หน่อยเหรอไง? คิดว่าฉันโง่เหรอ? ฉันทำความสะอาดอยู่ทุกวัน
จะไม่รู้ได้ยังไงว่าวัดเหมือนเดิมเปี๊ยบ? ไม่เห็นเปลี่ยนสักกะนิด!”

【การเปลี่ยนแปลงเช่นไรที่ท่านคาดหวังไว้ ? นี่เป็นเพียงการ
บู ร ณะ ท่ า นคาดว่ า วั ด จะขยั บ ขยายใหญ่ โ ตหรื อ ? วั ด ท่ า น
บูรณปฏิสังขรณ์ไปแล้วตั้งแต่ยามนั้น คราวนี้เพียงเพิ่มของเข้าไป
หน่อยเท่านั้น ของถูกเปลี่ยนไปไม่เยอะ อาทิ พุทธรูปองค์ใหม่ได้
ประดิษฐานที่ห้องโถงหลักแล้ว อีกอย่าง ระบบจะไม่ช่ วยท่าน
ขยับขยายหรือพัฒนาวัดเด็ดขาด มีอาคารใหม่มา ก็มีปัญหาใหม่
ตามมาด้วย ดังนั้น จงหาวิธีที่จะขยับขยายและพัฒนาวัดเองเถิด
】ระบบพูดอย่างเนิบช้า

ฟางเจิ้ง “@#¥@……” ฟางเจิ้งอยากจะด่าออกมาจริง ๆ แต่


ระบบดันพูดถูก ถ้าเกิดระบบให้ต้าสยงเป่าเตี้ยน(พระอุโบสถ)[1]
เขาคงไม่มีทางจะไปอธิบายกับคนอื่นได้แน่ ๆ บอกว่าสวรรค์
ประทาน? ถึงทางประเทศอาจจะไม่สนใจ แต่ต้องมีปัญหาไม่จบ
สิ้นแน่นอน
คิดได้แบบนี้ฟางเจิ้งพลันรู้สึกขมขื่นนิดหน่อย พอเขาเงยหน้าก็
พบว่ามีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิม! สามอักษร ‘อีจื่อเมี่ยว’ ได้
เปลี่ยนเป็น ‘อีจื่อซื่อ’[2]! แถมอักษรชุดใหม่ยังดูงดงามน่าเกรง
ขามว่ า เดิ ม ด้ วย! เพี ย งเหลื อบมอง ก็ เ ห็ น ภาพมังกรขนดรอบ
อักขระ! ฟางเจิ้งรีบพินิจ เป็นคัมภีร์พุทธองค์ทัศนามังกร! คัมภีร์
พุทธองค์ทัศนามังกรที่แท้จริง!

【เป็นของรางวัลเสริมจากการบูรณะวัด ป้ายนี้พุทธองค์ท่าน
เป็นผู้เขียนโดยคัมภีร์พุทธองค์ทัศนามังกรด้วยพระองค์เอง ทำให้
จิตใจสงบ และยังสามารถสะกดข่ม ภูตผีปีศาจ ไม่อาจเสียหาย
กันไฟ กันน้ำ เป็นไง?】 ระบบพูดอย่างสำราญใจ
ฟางเจิ้งกลอกตา “โม้อะไรเยอะแยะ? นายไม่ได้เป็นคนเขียนเอง
สักหน่อย!”
ทว่าฟางเจิ้งก็พอใจไม่น้อยจริง ๆ นั่นแหละ สมัยก่อนนู้น ยามวัด
นิ้วเดียวยังไม่ได้ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่นับถือภูติผี!
สมัยนั้น การนับถือภูตผีล้วนแพร่ห ลายในหมู่ช าวพุทธ! ทว่า
ภายหลังมี ‘พิฆาตสี่เก่า[3]’ วัดนิ้วเดียวจึงถูกทำลายสิ้น!
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์นิ้วเดียวได้ธุดงค์มา ก่อนจะทำ
การขับไล่ภูตผีนอกรีตออกไปหมด จากนั้นก็อัญเชิญพระโพธิสัตว์
กวนอิมมาประดิษฐาน จนกลายเป็ นวัดนิ้วเดียวอย่างในปัจจุบัน
แต่ ก ็ เ ป็ น เพี ย งเรื ่ อ งคุ ย ตลก ๆ กั น เท่ า นั ้ น ฟางเจิ ้ ง ก็ ไ ม่ ท ราบ
ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียเรื่องพวกนี้ก็
ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องในยุคนั้น
หรอก ฟางเจิ ้ ง เคยถามพระอาจารย์ ห ลายรอบ แต่ ก ็ ไ ม่ ไ ด้ รั บ
คำตอบ ฟางเจิ้งจึงเลิกถามไปในที่สุด
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางเจิ้งรู้ดี สถานที่ที่ประดิษฐานพุทธองค์และพระ
โพธิสัตว์ จะถูกเรียกว่า ‘วัดพุทธ’ ส่วนสถานที่สักการะภูผีเทพ
ยาดาจะเรียกว่า ‘ศาลเจ้า’ แต่ฟางเจิ้งก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไม
พระอาจารย์อีจื่อถึงแขวนป้าย ‘ศาลเจ้านิ้ วเดียว’ ไว้ไม่ยอม
เปลี่ยน บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านยากจนเกินไป ขืนเอาป้ายลง
ก็คงหาป้ายอื่นมาแขวนไม่ได้อยู่ดี......
แต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ถึงจะดูเข้ารูปเข้ารอย
กว่าเดิม แต่ฟางเจิ้งยังอดรู้สึกแปลก ๆ อยู่นิดหน่อยไม่ได้ อย่างไร
เสียป้ายวัดอันเดิมก็เปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันงดงามอยู่ดี
ฟางเจิ้งโคลงศีรษะ จากนั้นก็เข้าวัด แล้วเดินไปที่ห้องโถง เหนือ
ห้องโถงวัด มีป้ายอักขระวิถีดุจมังกรขนดของคัมภีร์พุทธองค์
ทัศนามังกรเช่นกัน เขียนว่า—หอหมื่นพุทธ!
“หอหมื่นพุทธ? เจ๋ง! ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการชะมัด แต่อารามเล็ก ๆ
แบบนี้ จะไปยัดพระพุทธรูปหมื่นองค์ไหวเหรอ? เหอ ๆ มีพุทธะ
หมื่นรูปเบียดกัน คงดูไม่จืดแหง” ฟางเจิ้งหัวเราะกับความคิด
ซุกซนของตน
แต่พอฟางเจิ้งเดินเข้ามาในห้องโถง ก็ต้องตกตะลึงจนร้อนลั่น
ขึ้นมา!
“ระบบ! ออกมานะ! พุทธรูปฉันหายไปไหนหมด!? กินไปแล้ว
เหรอ!!?” ฟางเจิ้งร้องคร่ำครวญ

【ตระหนกไปใย? ห้องโถงนี้เล็กเกินไป พระพุทธรูปจึงถูกนำ


ออก และนำป้ายหมื่นพุทธเข้ามาแทน】
ฟางเจิ้งกวาดสายตา ก่อนจะไปเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนกำแพง
ซึ่งอยู่หลังโต๊ะไหว้อีกที ตรงนั้น มีผ้าสีทองแขวนไว้! ผ้าผืนหนึ่งมี
สามรูปภาพปักไว้อยู่ ส่วนตรงกลางเป็นรู ปคนในชุดขาวเปี่ยม
เมตตาคุณ ที่ในมือข้างหนึ่งอุ้มเด็กทารก เป็นเจ้าแม่ก วนอิ ม
ประทานบุตรนั่นเอง! ข้างกายพระองค์ท่านเป็นชายหญิงผิวแดง
ก่ำดุจมีชีวิต หนุ่มหล่อ สาวสวย เป็นอัครสาวกแห่งเจ้าแม่กวนอิม!
ข้าง ๆ โพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตร ยังมีรูป ๆ หนึ่งเป็นโพธิสัตว์
ที่มีหนึ่งพันเนตรหนึ่งพันกร รอบกายเปล่งฉัพพรรณรังสี ใบหน้า
เปี่ยมเมตตาธรรม ดุจต้องการปกป้องผู้คนนับหมื่นแสน! ฟางเจิ้ง
จำรูปโพธิสัตว์นี้ได้ทันที—เจ้าแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร!
“ระบบ ฉันว่าชื่อห้องโถงควรเปลี่ยนเป็น หอกวนอิม......” ฟาง
เจิ้งยิ้มกระอักกระอ่วน ไม่คิด เลยว่าตัวเองยังจะสุ่มได้เจ้ าแม่
กวนอิมอีกปาง องค์กวนอิมมีทั้งหมด 33 ปาง[4] ดูจากสิ่งที่
เกิดขึ้นแล้ว ฟางเจิ้งคิดว่าพอรวบรวมพระโพธิสัตว์กวนอิมครบ
ทุกปาง ก็คงสามารถอัญเชิญพุทธองค์ได้......
แต่นั่นเป็นแค่ความคิดเล่น ๆ เท่านั้น ฟางเจิ้งมีความประทับใจใน
กวนอิมปางต่าง ๆ ไม่น้อยเลย อย่างไรเสีย พระโพธิสัตว์กวนอิม
ก็เป็นหนึ่งในโพธิสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะปางไหน ๆ
หรือแทนสิ่งใด ๆ ก็ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น
เจ้าแม่กวนอิมปางพันเนตรพั นกร ก็นับว่าเป็นโพธิสัตว์กวนอิม
เช่ น กั น แต่ ถ ้ า เที ย บกั บ ปางประทานบุ ต รที ่ ม ี ค วามสามารถ
ประการเดี ย วคื อ ประทานบุ ต รแล้ ว ปางพั น เนตรพั น กรจะมี
ความสามารถเยอะกว่ า มาก ขอพรอะไรก็ ไ ด้ ! เพราะ
ความสามารถหลักคือการปกป้องสรรพสัตว์ เฝ้าดูทุกชีวิต!
ฟางเจิ้งพนมมือ เอ่ยคำอมิตตาพุทธ จากนั้นก็หันไปมองรอบ ๆ
อีกครา เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอีกแล้วก็เดินออกมาจาก
หอหมื่นพุทธอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ก่อนหน้านี้วัดนิ้วเดียวมีแต่เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร พรหลาย
ประการจึงไม่อาจขอได้ตามหวัง แต่ตอนนี้มีปางพันเนตรพันกร
ความตะขิดตะขวงนี้ก็จะหายไป!
จากนั้นเขาก็กลับไปที่หลังวัด ก่อนจะประหลาดใจว่าบนเตียง
นอนตัวเองมีป้ายวาดอยู่ พอไปดู ก็เห็นตัวอักษรสามคำ—ศาจ
เจ้านิ้วเดียว!

[1] ต้าสยงเป่าเตี้ยน (大雄宝殿) หมายถึง พระอุโบสถ

[2] อีจื่อเมี่ยว (一指庙- ศาลเจ้านิ้วเดียว) เปลี่ยนเป็น อีจื่


อซื่อ (一指寺 – วัดนิ้วเดียว) เป็นการแปลผิดพลาดของผม
เองครับ

[3] พิฆาตสี่เก่า (破四旧) เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1958


รัฐบาลจีนออกคำสั่งเป็นสโลแกนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมที่ปลุกเร้า
ให้บรรดายุวชนเรดการ์ดลุกฮือขึ้นมาพิฆาตสี่เก่า ได้แก่ ประเพณี
เก่ า 旧风俗 วั ฒ นธรรมเก่ า 旧文化 นิ สั ย เก่ า 旧习
惯 และความคิดเก่า 旧思想

[4] บ้างว่ามี 84 ปาง ส่วนข้อมูลทั้ง 33 ปาง


[5] พระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรนี้ เป็นปางที่เจ้าแม่กวนอิม
แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ช่วยชีวิตคน ให้รอดตายจากน้ำท่วมครั้งใหญ่
เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อน ขณะนั้นเมืองจีนเกิดอุทกภัยครั้ง
ใหญ่ ฝนตกหนักน้ำท่วมเอ่อล้นสองฝั่งของแม่น้ำฮวงโห หรือ
แม่น้ำวิปโยค ผู้คนจำนวนมากถูกกระแสน้ำพัดพาไป จนมีเสียง
แห่งการอ้อนวอนสวดมนต์ถึงพระแม่กวนอิม ทำให้พระองค์ต้อง
เสด็จลงมาช่วยผู้ที่ถูกน้ำท่วม แต่การที่มีเพียง ๒ มือ นั้นย่อมช่วย
ได้ไม่ทันการณ์ พระองค์จึงตั้งสัจบารมีอธิฐาน ขอให้มีพันเนตร
พันกรจะได้ช่วยคนได้ครั้งละพันคน นี่คือประวัติโดยสังเขปการ
เกิดพระแม่กวนอิมปางพันมือ หรือ ปางพันเนตรพันกร
ตอนที่ 128 : เฉินจินขออภัย
เป็นป้ายคนละอันกับที่โดนโละทิ้งไป......แต่เป็นอันดั้งเดิมก่อน
หน้านู้น!
“ระบบ ฉันคิดว่านายโยนทิ้งไปแล้วนะเนี่ย” ฟางเจิ้งพูดอย่าง
ตื่นเต้น

【ป้ายนี้ได้ทำกุศลยิ่งใหญ่แล้ว อีกทั้งยังผูกพันธ์กับโลกียวิสัย
ดังนั้นทางระบบจึงเก็บไว้ให้ หากท่านทำภารกิจล้มเหลว ทาง
ระบบจะคืนป้ายให้ อีกทั้งท่านจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิม ส่วนถ้า
ท่านสามารถบรรลุภารกิจอารมณ์ทางระบบก็จะคืนให้เช่นกัน】
“ขอบคุ ณ นะ!” นี ่ เ ป็ น ครั ้ ง แรกเลยที ่ ฟ างเจิ ้ ง ขอบคุ ณ ระบบ
หลังจากร่ายพระพุทธมนต์ ฟางเจิ้งก็เข้าไปกอดป้ายวั ดที่อยู่ตรง
ผนังห้อง ป้ายนี้ พระอาจารย์นิ้วเดียวเป็นผู้เขียนเอง เวลายิ่งผ่าน
พ้น ฟางเจิ้งยิ่งคิดถึงท่านขึ้นเรื่อย ๆ หลายสิ่งเก่า ๆ ล้วนหายไป
จากการบูรณะวัด ทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจเลย
ตอนนี้มีป้ายวัดมาแขวนอยู่ในห้องตัวเอง ฟางเจิ้งค่อยรู้สึกว่าพระ
อาจารย์อีจื่อกำลังอยู่เป็นเพื่อน รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ตอนนั้นเองเขาพลันได้ยินเสียงตะโกนมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งรีบออกไปดู พอมาถึงลานวัด ก็ตกตะลึงไปทันที เขาเห็น
เฉินจิน เฉินหลง ซูหง และคนอื่น ๆ กำลังแบกกระสอบมาอยู่ตรง
ประดูวัด พอพวกเขาเห็นฟางเจิ้ง ตาก็เป็นประกาย รีบพูดทันที
“พระฟางเจิ้ง ขอบคุณนะ!” พอซูหงเห็นฟางเจิ้งก็น้ำตาแตก รีบ
วิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าฟางเจิ้งทันที เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงแม้
จะไม่ ไ ด้ เ รี ย นหนั ง สื อ แต่ ก ็ ร ู ้ จ ั ก ความกตั ญ ญู ฟางเจิ ้ ง เป็ น ผู้
ช่วยเหลือครอบครัวเธอไว้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน
ว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อแสดงความขอบคุณ จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้
คุกเข่าลงด้วยสำนึกในบุญคุณ
เฉินหลงกับภรรยาเป็นคนเมือง เลยไม่ได้คุกเข่า แต่นำบุตรของ
ตัวเองมาขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
เฉินจินที่อยู่ตรงนั้นยังคงเงียบกริบ ดวงตาเลิ่กลักหน้าแดงฉาน ดู
ก็รู้ว่ากำลังต่อสู้กับความดื้นด้านของตัวเองอยู่ ควรรักษาหน้าดี ?
หรือควรจะพูดขอบคุณดี? ไหนจะต้องขอโทษอีก!
ฟางเจิ้งที่เห็นซูหงคุกเข่า ก็สะดุ้งโหยง เกือบจะกระโดดหลบแล้ว
ทว่า——

【ติ้ง! ช่วยชีวิตมนุษย์ได้บุญกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ใน
เมื่อท่านช่วยชีวิตคนไว้ การได้รับการคุกเข่าย่อมไม่เป็นไร การทำ
ดีสำคัญนั้นจริงแท้ แค่ทุกการทำดีย่อมมีอะไรตอบแทนกลับมา
เช่นกัน นี่แหละกรรม การให้โดยไร้ความหมาย ไม่ต่างกับการ
ท่องพระสูตรโดยไม่เข้าหัว สุดท้ายก็ได้เป็นบาปกรรม】
พอฟางเจิ้งได้ยินแบบนี้ ก็เข้าใจว่าระบบต้องการสื่ออะไร จึงไม่
หลบออก แต่พนมมือรับแทน “อามิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย ไม่
ต้องทำเช่นนี้หรอก อะไรที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว
ปล่อยวางเถิด” จากนั้นฟางเจิ้งก้มลงช่วยพยุงซูหงขึ้นมา
“พระอาจารย์ เป็นท่านจริง ๆ ใช่ไหม?” เฉินหลงมองฟางเจิ้ง
อย่างประหลาดใจ ถึงเขาจะเห็นฟางเจิ้งเช่นกัน แต่เพราะฟางเจิ้ง
ยังไม่ยืนยัน เขาเลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร อาจจะเป็นภาพหลอนก็
ได้......แต่ว่าความเป็นได้ที่จะเป็นภาพหลอนมันน้อยจริง ๆ เนี่ยสิ!
ฟางเจิ้งส่ายศี รษะ “อาตมามิใช่พระอาจารย์ เป็นเพียงพระผู้
ปฏิบัติธรรม เรื่องเมื่อวานล้วนเป็นพรที่ประสกควรได้”
ฟางเจิ้งตอบปัดเรื่องเมื่อวาน ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ นี่เป็นเรื่องที่
เขาไม่อยากจะพูดถึง ทั้งไม่อาจจะพูดได้ด้วย ถึงจะพูดอธิบายจน
แจ่มแจ้ง ก็มีแต่ปัญหาอยู่ดี
ภรรยาของเฉินหลงเริ่มกลัว ถ้าเฉินจินวิเคราะห์ถูก ฟางเจิ้งลงเขา
ไปได้ยังไง? บินลงไปเหรอ? ขณะกำลังจะถาม เฉินจินก็เอ็ด
ออกมาเสียก่อน “จะถามอะไรเยอะแยะ?!”
ภรรยาของเฉินหลงกลืนคำพูดตัวเองลงไปทันที เฉินจินรุดหน้า
ขึ้นไปจ้องฟางเจิ้งตาเขม็ง ดูเคร่งเครียดยิ่ง
ฟางเจิ้งก็จ้องกลับไปอย่างใจเย็น ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เขาพนมมือพร้อมคลี่ยิ้มสว่างไสวดุจดวงอาทิตย์
ไม่กี่นาทีต่อมา เฉินจินก็ถอนหายใจ “ฟางเจิ้ง ขอโทษ เมื่อก่อน
ฉั น เป็ น พวกโง่ เ ขลาคร่ ำ ครึ เ กิ น ไป เงิ น นิ ด ชื ่ อ เสี ย งหน่ อ ย ก็
กลายเป็นคนหน้าไม่อาย วิ่งพล่านไปทั่วช่วยพระชั่วอย่างอู้หมิง
ฉันพยายามทำลายชื่อเสียงเธอ และเกือบจะไปสร้างปัญหาอีก
ฉันยอมรับผิด ถ้าไม่พอใจ เชิญอัดฉันได้เลย!”
ฟางเจิ้งมองผู้สูงวัยหัวแข็งตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา ถึงเขา
จะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเฉินจินนัก แต่รู้กิตติศักดิ์เรื่องความ
หัวแข็งของเขาดี เขาไม่ใช่แค่หัวแข็งดื้อด้าน แต่ยังโลภเงินทอง
หลงชื่อเสียงนิดหน่อยด้วย ไม่งั้นคงไม่เลิกทำนา แล้วออกทะเลไป
อย่างบ้าคลั่ง หลังจากลงทุนล้มเหลว ก็ไม่ยอมกลับหมู่บ้าน พอ
ประสบความสำเร็จและอายุปูนนี้แล้ว จึงยอมกลับมาถิ่นเดิมของ
ตัวเองได้สักที
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินจินยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องไม่ยอมรับความผิดตัวเอง
ทุกอย่างผิดได้แต่เขาผิดไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งกับคนรอบ
ข้างไม่น้อย
ฟางเจิ ้ ง ไม่ ค ิ ด เลยว่ า เฉิ น จิ น จะเริ ่ ม สำนึ ก ตั ว เองแล้ ว นั บ เป็ น
ประวัติการณ์เลยนะเนี่ย! ฟางเจิ้งพนมมือ “ประสก ไม่ต้องทำ
เช่นนั้นหรอก โลกอุดมไปด้วยทุกขัง โลกียวิสัยบดบังสายตาผู้คน
แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน”
เฉินจินพยักหน้า “เจ้าหนู เธอเป็นคนดีจริง ๆ ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่
คนดีเด่อะไร แต่เธอยังจะช่วยครอบครัวฉันไว้อีก ชีวิตนี้ฉันไม่
เคยติดค้างใครมาก่อน แต่รอบนี้ ถึงจะใช้ทั้งชีวิต ก็คงไม่อาจตอบ
แทนบุญคุณได้”
ซูหงสัพยอก “นาน ๆ ทีจะพูดอะไรแบบนี้นะเนี่ย ฮี่ฮี่”
เฉินจินเบ้ปาก “เป็นเพราะคนอื่นไม่ชอบฉันต่างหากล่ะ!”
เฉินหลงรีบพูด “ใช่ ใช่ ใช่ พ่อของผมดีที่สุดแล้ว ว่าแต่พระฟาง
เจิ้ง ขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าท่านลงเขาไปยังไงถึงได้เร็ว
ขนาดนั้—”
“บลา ๆๆๆ? พล่ามอะไรเยอะแยะ? ถามแต่เรื่องควรถามสิ เรื่อง
ไหนไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม!” เฉินจินเอ่ยปากตำหนิทันที
เฉินหลงหัวเราะรับ เข้าใจที่พ่อตัวเองต้องการจะบอกดี
ฟางเจิ้งย่อมไม่คิดจะตอบ ถึงถามไปก็เท่านั้น คำถามจำพวกทำไม
ฟางเจิ้งไม่กลัวไฟ หรือยกคานด้วยมือเปล่าได้ยังไง......ถามไปก็
เป็นปัญหาเสียเปล่า ๆ นั่นแหละ
ส่วนเฉินจินนอกจากยืนกรานว่าต้องขึ้นเขามาถามเรื่องอุบัติเหตุ
แล้ว ความจริงก็คือเขาแค่ต้ องการมาพูดอะไรบางอย่าง คนอื่น
เขาไม่เชื่อได้ แต่จะไม่เชื่อภรรยากับลูกชายได้ยังไง? ฟางเจิ้งไม่
โดนไฟคลอกตาย งานลิปิศิลป์คุ้มครองผู้คน แค่นี้ก็ไม่ธรรมดา
แล้ว! คิด ๆ ไป ทำเรื่อ งพวกนี้ได้ แค่บินลงไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หรอก!
เขาครุ ่ น คิ ด มาตลอดทาง คิ ด ไปคิ ด มา ฟางเจิ ้ ง เป็ น ผู ้ มี
ความสามารถอย่างแท้จริง เป็นผู้มีพระคุณที่ปกป้องพวกเขาไว้
เขาจะไปสร้างปัญหาเพิ่มให้อีกได้ยังไง? ไม่งั้นเขาคงเป็นไอ้แก่ผู้
ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ทัศนคติบนเขากับตีนเขาต่างกันขนาดนี้ เฉิน
หลงก็ไม่คิดจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร ยิ่งเห็นพ่ อตัวเองแสดง
ความคิดออกมาตรง ๆ แบบนี้ ก็ทำเขายินดีแทบตายแล้ว
ซูหงพูด “เอาล่ะ ๆ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว พระฟางเจิ้ง
มีเรื่องหนึ่ง คือว่าของมีค่าพวกเราโดนเผาไปหมดแล้ว เลยได้แต่
รีบ ๆ นำของมาให้ ถือเป็นสินน้ำใจจากพวกเรา รับไว้นะคะ”
พูดจบ เฉินหลงก็ยื่นกระสอบผัก ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ[1] ให้ฟาง
เจิ้งทันที

[1] ไม้ขีด ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ (柴米油盐) ความหมาย


ตรงตัวคือ "ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ" แต่มีความหมายโดยนัยถือเป็น
สิ่งจำเป็น 7 อย่างในชีวิตของชาวจีนตั้งแต่โบราณมาต้องมีกันทุก
บ้าน (柴米油盐酱醋茶- ไม้ขีด ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ
ซอส น้ำส้มสายชู ชา)
ตอนที่ 129 : ประหาร
ฟางเจิ้งเห็นเป็นแบบนั้น ก็รับไว้อย่างยินดี เขาเปิดกระสอบ
ดูก่อนจะหัวเราะ “หึหึ! มีผักหลายอย่างเลยเชียว น่าเอามาทำ
เกี๊ยวมาก! ฮี่ฮี่”
เห็นฟางเจิ้งหัวเราะอย่างกับเด็กน้อยแบบนั้น ซูหงกับคนที่เหลือก็
หัวเราะตาม ช่ องว่างระหว่างพระอาจารย์กับคนธรรมดาพลัน
หายวับ เหมือนกับพวกเขาย้อนกลับไปเป็นเมื่อก่อนอีกครั้ง ฟาง
เจิ้งก็คือฟางเจิ้ง พวกเขาก็คือพวกเขา บรรยากาศอบอุ่นยิ่ง
“อยากกินเกี๊ยวงั้นเหรอ? ฉันเอาแป้งมาให้ได้นะ ไว้จะห่อเกี๊ยวสัก
พันก้อนเอาไว้แช่เย็นให้ด้วย! ทีนี้จะกินตอนไหนที่อยากกินก็ได้!”
ซูหงโพล่งออกมาทันที
ฟางเจิ้งพูดอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณสีกามาก แต่ไม่ต้องรีบ
หรอก โยมทั้งหลายยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการหลังไฟไหม้ใช่ไหม?
ถ้ามีอะไรให้อาตมาช่วย อาตมาก็ยินดี”
เฉินจิน “ไม่ต้องมายุ่งหรอกน่า ปัญหาเรื่องบ้านช่อง เดี๋ยวไอ้ลูก
เวรคนนี้ของฉันจะจัดการเอง”
เฉินจินเตะ ๆ เฉินหลง
เฉินหลงหัวเราะคิกคัก “โชคดีจริง ๆ ที่มีพ่อแบบนี้——”
คราวนี้เฉินหลงโดนตบอีกป้าบใหญ่
หลังจากหยอกเล่นกันเสร็จ ทั้งครอบครัวก็พากันเข้าไปจุดธูปไหว้
พระ ทว่าพอมองไป กลับเห็นว่ารูปปั้นโพธิสัตว์กวนอิมหายไป
แล้ ว และถู ก แทนที ่ ด ้ ว ยภาพเจ้ า แม่ ก วนอิ ม ประทานบุ ต รกั บ
โพธิ ส ั ต ว์ ก วนอิ ม ปางพั น เนตรพั น กร ทุ ก คนพลั น ชะงั ก อย่ า ง
ประหลาดใจ ด้วยความที่แผนเดิมกะจะจุดธูปไหว้พ ระเพื่อที่จะ
บริจาคเงินให้ฟางเจิ้ง ยังไงลูกเต้าก็มีกันหมดแล้ว เลยไม่คิดจะขอ
อะไรอีก
แต่การมีโพธิสัตว์กวนอิมพันกรนั้นต่างออกไป เพราะมีพรหลาย
ประการที่สามารถขอได้!
เฉินจินกับซูหงขอให้ครอบครัวมีแต่ความสงบสุข เฉินหลงขอให้
อาชีพล่องเรือของตนราบรื่น ภรรยาของเฉิน หลงขอให้บุตรของ
ตนเติบโตอย่างไร้โรคภัยไข้เจ็บ ส่วนเด็กก็ขอให้ได้ขนมเยอะ
ๆ......
ทุกคนจุดธูปคนละดอก หลังจากเสร็จเรียบร้อยค่อยกล่าวลาและ
ลงจากเขาไป เมื่อบ้านที่อยู่อาศัยโดนไฟไหม้เหลือแต่ซาก จึงมี
เรื่องไม่น้อยให้จัดการด้วยตนเอง ไม่อาจรั้งอยู่บนเขาได้นานนัก
หลังจากส่งตระกูลเฉินลงไปแล้ว ฟางเจิ้งที่เหลือบไปเห็นกระสอบ
แครอท กะหล่ำปลี ผักชี ก็หัวเราะอย่างพอใจยกใหญ่ “ฮี่ฮี่ ใน
ที่สุดก็ได้กินอะไรเขียว ๆ สักที ขืนไม่ได้กินผักเร็ว ๆ นี้นะ ต้องลืม
รสชาติผักแหง ระบบ ตอนนี้ฉันลงเขาไปตอนไหนก็ได้แล้วใช่
เปล่า?”

【ใช่ แต่ท่านมั่นใจหรือว่าจะไม่เฝ้าวัดเสียหน่อย?】ระบบถาม
ฟางเจิ้งถามกลับ “นายไม่อยู่แถวนี้เหรอ?”

【ทางระบบย่อมดูแลอยู่แล้ว ทว่าหากตัววัดโดนบุกรุกหรือ
เสียหาย ผลบุญที่มีย่อมลดลงไปด้วย อีกทั้งภารกิจต่าง ๆ ก็จะมี
ผลประเมินลดลง ดังนั้น ก่อนลงเขาไปจงตรองให้ดี】
ฟางเจิ้งพูดหน้าตาย “ถึงในวัดจะมีของมีค่าหลายอย่าง แต่ของ
พวกนั้นก็มาจากหมู่บ้านทั้งนั้นแหละ ใครเขาจะมาขโมยเล่า ?
แถมยังมีผู้พิทักษ์วัดอีกด้วยนะ”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่หมาป่าไร้ฝูงก็ดูเป็นมิตรสหายที่ดูไม่
น่าเชื่อถือเท่าไร ก็เล่นวิ่งพล่านไปไหนบ้างไม่รู้ทั้งวัน บ้านช่องก็ไม่
ค่อยจะอยู่ ฟางเจิ้งจะหวังพึ่งได้อย่างไรกัน ? ฟางเจิ้งอดคิดไม่ได้
จริง ๆ ว่าเจ้าหมาป่านี่พึ่งไม่ได้เสียยิ่งกว่าเจ้ากระรอกอีก ทว่าพอ
เขาเงยหน้า ก็เห็นว่าเจ้ากระรอกเองก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน ไม่รู้
ไปไหนแล้ว
คราวนี้ฟางเจิ้งรีบกลืนคำพูดตัวเองทัน ที ตัวเองนี่แหละน่าเชื่อถือ
สุดแล้ว!
ที่ตีนเขา เฉินจินกลับมาถึงซากบ้านตัวเองแล้ว เขาได้แต่ขมวดคิ้ว
มอง
เฉินหลงพูด “พ่อ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก อะไรที่พังก็พัง ไปแล้ว
เดี๋ยวผมสร้างบ้านที่ดีกว่าเดิมให้เอง!”
“แกจะไปรู้อะไร? บ้านนี้ปู่กับย่าแกเป็นคนปลูก ความทรงจำ
มากมายล้วนแฝงอยู่ในนั้น ฉันถึงไม่ยอมทุบทิ้งสร้างใหม่สักทีไง
แต่ตอนนี้กลับพังหมดแล้วเนี่ย! เฮ้อ……” เฉินจินทอดถอนใจยาว
ใบหน้าดูชราขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ซูหงคว้ามือเฉินจินไว้ “อะไรที่ถูกเผาไปแล้ว ก็อย่าไปคิดถึงมัน
เลย”
“ฉันจะไม่คิดมากได้ยังไง? ไฟนี่ไม่ดูแปลก ๆ เหรอ? ชาวบ้านก็อยู่
บนเขากันหมด ใครจะมาจุดไฟได้?” เฉินจินแค่นเสียง
เฉินหลงอุทาน “พ่อจะบอกว่ามีคนทำงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในอดีต เหตุไฟไหม้
ล้วนเป็นผลมาจากพวกเด็กเหลือขอจุดประทัดแบบโง่ ๆ แต่พ่อ
คิดว่ารอบนี้มันไม่ธรรมดาแบบนั้นแน่ รอนี่ก่อนนะ ขอพ่อไปคุย
กับท่านเลขานุการกับหัวหน้าหมู่บ้านก่อน ฉันแม่*ไม่ยอมปล่อย
วางเรื่องนี้แน่! ต้องมีคนรับผิดชอบ!!” ว่าแล้ว เฉินจินก็จ้ำพรวดๆ
จากไป
ซูหงกับคนที่เหลือมองหน้ากันด้วยสีหน้าหดหู่ ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์
ก็คงเป็น......
ส่วนฟางเจิ้งไม่รู้แม้แต่น้อยว่าที่ตีนเขาเกิดอะไรขึ้น ตอนบ่าย เขา
หยิบผักใบเขียวออกมาล้างให้สะอาด จากนั้นเอาไปต้มเป็นซุปผัก
พอมี ผ ั ก ต้ ม ในน้ ำ ทิ พ ย์ ก ็ ท ำเอาฟางเจิ ้ ง เจ้ า หมาป่ า และเจ้ า
กระรอกอิ่มหนำสำราญกันมาก ตบท้ายด้วยพากันไปนอนแผ่หลา
บนหิมะ ค่ำคืนแสนสงบสุขผ่านพ้นเช่นนี้เอง
ฟางเจิ้งตื่นในรุ่งสางวันต่อมา ทำความสะอาดวัดเสร็จสรรพ ก็มา
ขบคิดเรื่องในอนาคตต่อ ตอนนี้สามารถลงจากภูเขาได้แล้ว เขา
อยากตะลอนไปทั่วสักหน่อย——กรงเปิดออก นกย่อมอยากโบย
บิน!
ตอนนั้นเอง…...
“นมัสการพระอาจารย์” เสียงอันหม่นหมองดังมาจากประตูวัด
ฟางเจิ้งมองออกไปก่อนจะตกตะลึง เป็นคนรู้จักมักคุ้น! สตรีผู้
เศร้าสลดกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงผมสั้นไว้ ใบหน้าเด็กน้อยเองก็เศร้า
สร้อยไม่ต่างกัน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็ทอดถอนใจ รุดหน้ าขึ้นพนมมือ “อามิตตา
พุทธ โยมทั้งสอง”
“พระอาจารย์ ขออภัยที่มารบกวนนะคะ” หลู่ชวงชวงตาแดงช้ำ
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ “โยมทั้งสองเข้ามาก่อนเถิด”
หลู่ชวงชวงอุ้มลูกสาวตนเอง—หมี่ลี่เข้ามา ตอนนี้ฟางเจิ้งมีม้านั่ง
แล้ว ย่อมไม่อาจให้แขกไปนั่งบนก้อนหินหรือบนพื้นได้อีก เขา
หยิบเตาไฟมาด้วยตอนที่นั่งกัน
หลู่ชวงชวงยื่นจดหมายให้ฟางเจิ้ง เธอพูด “เซี่ยวกั๋วบอกให้ฉัน
เอาจดหมายให้ท่านก่อนจะจากไป เขาอยากให้พระอาจารย์รับไว้
ค่ะ”
เป็นซองจดหมายที่ไม่มีไปรษณียากร มีเพียงสามคำจ่าหน้าซอง
‘ถึง พระอาจารย์ฟางเจิ้ง’
ฟางเจิ้งเปิดจดหมายออกอ่าน พอเห็นกระดาษอันว่ างเปล่า ฟาง
เจิ้งพลันกระจ่างแจ้ง จากนั้นพนมมือร่ายพระพุทธมนต์ “อามิต
ตาพุทธ”
ไม่ได้พูดอะไร หมายความว่าไม่มีอะไรจะพู ด การไม่มีอะไรจะพูด
หมายความว่าไม่มีอะไรที่คิดเสียดายอีกแล้ว...
แต่หลู่ชวงชวงได้พาหมี่ลี่มาด้วย ย่อมหมายความว่าหานเซี่ยวกั๋ว
ไม่ได้จากไปโดยปล่อยวางได้ทุกสิ่ง อย่างน้อยเขาก็จากโลกนี้ไป
ด้วยใจที่เป็นห่วงครอบครัว
“พระอาจารย์ เซี่ยวกั๋วก็จากไปแล้ว และฉันเองก็ปั่นป่วนไปหมด
ขออนุญาตอยู่บนเขาเพื่อสงบใจสักสองสามวันได้ไหมคะ?” หลู่
ชวงชวงถาม
ฟางเจิ้งผงะ ก่อนจะส่ายศีรษะ “ขอโทษด้วยนะสีกา วัดของ
อาตมาเล็กนัก แถมมีเพียงอาตมาที่อยู่ที่นี่ จึงไม่เหมาะจะให้สี
กามาเป็นแขก”
“เป็นแบบนั้นเอง” ดวงตาของหลู่ชวงชวงหมองลง ดูแล้ว
หลังจากหานเซี่ยวกั๋วถูกประหาร สภาพของเธอก็ย่ำแย่มาก
ฟางเจิ้งถอนหายใจยาว “ถ้าสีกาต้องการ อาตมาสามารถไป
ขอให้สีกาพักอยู่ในหมู่บ้านนิ้วเดียวได้ ถ้า อยากจะไหว้พุทธองค์
สีกาก็สามารถขึ้นมาได้ระหว่างวัน”
“ขอบคุณค่ะพระอาจารย์” ได้ยินแบบนั้น ดวงตาหลู่ชวงชวงเริ่ม
ทอประกายขึ้นมาบ้าง ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกนิด
คราวนี้เป็นเสียงหมี่ลี่ดังเสริมขึ้นมา “ขอบคุณค่ะ พี่โล้นใหญ่”
ตอนที่ 130 : หลอกเด็ก
ฟางเจิ้งหลุดหัวเราะ เพราะกริยาน่ารักเมื่อครู่ ทว่าใบหน้าของ
เด็กหญิงกลับไม่ยิ้มแย้มเช่นเคย มีแต่ความหม่นหมองเศร้าใจ ดู
แล้ว เธอคงทราบเรื่องที่พ่อของตนถูกประหารดี
ฟางเจิ้งลูบหัวหมี่ลี่เบา ๆ อย่างอาทร “ยินดีเสมอ โยมทั้งหลาย
ถ้ารู้สึกว่ากำลังเผชิญปัญหา พวกโยมสามารถเข้าไปที่ห้องโถง
และเล่าเรื่องราวแก่องค์พระโพธิสัตว์ได้ พระองค์ท่านอาจจะไม่
สามารถช่วยเหลือ แต่อย่างน้อย พระโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ฟังที่ดี”
หลู่ชวงชวงพยักหน้า “พระอาจารย์ รบกวนฝากหมี่ลี่หน่อยนะ
คะ”
ฟางเจิ้งมองหมี่ลี่ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักผู้มีดวงตากลมโต ก่อนจะ
พยักหน้าเล็กน้อย “สีกา ให้อาตมาดูแลเถอะ”
“ค่ะ” หลู่ชวงชวงพยักหน้า ยืนขึ้น ก่อนจะมุ่งไปที่ห้องโถงวัด
แต่ว่าหลู่ชวงชวงไม่ได้คิดไปเพราะทำตามฟางเจิ้งบอก เธอไม่มี
ศาสนา แถมเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในมุมมองของ
เธอ พระเจ้าหรือพระพุทธองค์ ก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมา
จะดำรงอยู่ได้ก็เพราะคนเชื่อ แต่ว่า การดำรงอยู่เช่นนั้นเป็นการ
ดำรงอยู่จอมปลอม ประโยชน์หนึ่งเดียวคือให้คนเล่าความลับ
หรือบาปกรรมของตนเพื่อให้ได้รับการอภัยโทษจากสิ่งสมมุติ
เพื่อที่จิตใจของตนเองจะได้รู้สึกผิดบาปน้อยลง และยกโทษให้
ตัวเองได้
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดจะไปไหว้พระขอพรหรืออะไรจำพวกนั้น เธอ
เข้ามาที่ห้องโถงโดยไม่คิดว่าองค์พุทธะจะช่วยอะไรเธอได้ สิ่งที่
เธอต้องการ คือสถานที่เงียบ ๆ ให้ได้ร้องไห้ต่างหาก
ต่อจากนี้...ไม่มีไหล่อันดุดันแข็งแกร่งให้พึ่งพาแล้ว เธอจำเป็นต้อง
ใช้ไหล่อันอ่อนแอแบกรับความรับผิดชอบลูกสาวแต่เพียงผู้เดียว
ทั้งกดดัน ทั้งเหนื่อยอ่อน กระทั่งรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าในอนาคต
เบื้องหน้าจะมีอะไรรอเธออยู่ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังเดินหน้า
ต่อไป คือความคิดที่จะเลี้ยงดูลูกสาวตนเองจนกว่าจะเติบใหญ่
นอกจากเรื่องนี้ ก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว…...
เธออยากร้องไห้! แต่ในฐานะที่ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว
เธอไม่อาจร้องไห้ต่อหน้าลูกสาวได้ ได้แต่จำต้องกลั้นมันไว้เท่านั้น
อาชญากรรมของหานเซี่ยวกั๋วรุนแรงเกินไป กระทั่งครอบครัว
ของเขาเองยังยากที่จะให้อภัย จนขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเขากับ
พวกเธอสองแม่ลูก โลกนี้ไม่มีที่ให้ระบายความทุกข์ ไม่มีที่ให้อยู่
เงียบ ๆ ไม่มีที่ให้ร้องไห้อีกแล้ว!
ท้ายที่สุดเธอก็พาตัวเองมาที่นี่ แม้จะไม่เข้าใจตัวเองว่ามาทำไมก็
ตาม
บางทีที่เธอมา อาจจะเป็นเหตุผลง่าย ๆ——หาที่ร้องไห้ เธอ
ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ แม้ว่าวันข้างหน้าจะมืดหม่นก็ตาม!
แต่ว่าหลังจากที่หลู่ชวงชวงก้าวเข้ามาในห้องโถง อารมณ์ก็ผ่อน
คลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกอันหมองเศร้าแทบมลาย
สิ้น ดุจดั่งลูกโป่งถูกเจาะ ความเศร้าโศกค่อย ๆ ถูกระบายออกไป
ก่อนที่หลู่ชวงชวงจะไปคุกเข่าตรงเบาะพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม
ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงประตูกั บหานเสียวหมี่ เพราะหลู่ชวงชวงหัน
หลังให้ หานเสียวหมี่จึงไม่ทราบว่าแม่ของตนกำลังร้องไห้อยู่ แต่
ฟางเจิ้งนั้นรู้ดี ไหล่อันสั่นเทานั้นได้บอกถึงทุกอย่างแล้ว...
“พี่โล้นใหญ่ คุณแม่ทำอะไรอยู่เหรอคะ?” หานเสียวหมี่ถาม
ฟางเจิ้งยิ้ม ก่อนจะขยี้หัวเธอ “คุณแม่ของหนูกำลังคิดอะไรสัก
อย่างอยู่น่ะ เป็นเรื่องสำคัญ โล้นน้อยมีผมแล้ว ต่อไปนี้พี่จะเรียก
เธอว่าหมี่ลี่ละกันนะ หมี่ลี่ชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าเอ่ย?”
“ชอบค่ะ ตอนคุณพ่อยังอยู่ พ่อชอบพาหนูไปสวนสัตว์ แต่สวน
สัตว์ประจำอำเภอซ่งอู๋เล็กม๊ากมาก มีแต่กิ้งก่าที่ไม่ยอมขยับไป
ไหนเลย กับหมาป่าสองตัวที่อย่า งกับสุนัขธรรมดา ๆ อ้อใช่ มี
แพะด้วยค่ะ” หมี่ลี่ทำหน้าครุ่นคิด
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเลย สวนสัตว์นั้นตอนที่ฟางเจิ้งยั งเด็กก็เคยไป
เหมือนกัน แต่ไม่คิดเลยว่าผ่านไปหลายปีดีดัก ทุกอย่างยังคง
เหมือนเดิมเปี๊ยบ.......มีสัตว์แค่สามชนิด โดยเฉพาะกิ้งก่าตัวนั้น ที่
ออกจะน่าขบขันนิดหน่อย ตอนเด็ก เขาก็คิดว่ามันคงขี้เกียจจน
ไม่ยอมขยับนั่นแหละ แต่ภายหลังได้เรียนรู้เรื่องการสตัฟฟ์สัตว์
เลยรู้ว่าชีวิตนี้คงไม่มีหวังจะได้เห็นมันเคลื่อนไหวแล้วแหละ
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่คิดจะบอกหมี่ลี่เรื่องพวกนี้ เพียงพาหมี่ลี่มาที่ต้น
โพธิ์ ก่อนจะเคาะลำต้นไม้
ครู่เดียว เจ้ากระรอกก็โผล่หน้าออกมาร้องจี๊ด ๆ “หยุดเคาะนะ
วันนี้ไม่มีลูกสนเหลือแล้ว!”
ฟางเจิ้งอับอายขึ้นมาทันที ดีนะที่หมี่ลี่ฟังภาษากระรอกไม่ออก
เขาเลยหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนได้
ฟางเจิ้งกวักมือเรียกเจ้ากระรอกมาหา “อามิตตาพุทธ เจ้าตัว
น้อย ลงมาเล่นกับโยมน้องผู้นี้หน่อย”
“ไม่! อย่ามาหลอกฉันนะ นายคิดจะมาขโมยลูกสนฉันชัด ๆ!”
เจ้ากระรอกพูด ทำท่าเหมือนอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ของฟางเจิ้ง
ดวงตาฟางเจิ้งพลันเป็นประกายวาบ——เจ้านี่แอบซ่อนเร้น
อาหารตัวเองไว้จริง ๆ ด้วย!
เจ้ากระรอกรู้ทันทีว่าตัวเองหลุดปากออกไปแล้ว จึงมองฟางเจิ้ง
อย่างตระหนก
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ลงมาเถิด อาตมามีอะไรจะบอกเจ้า ถ้าไม่งั้น
วันนี้งดข้าว!”
ตอนแรกเจ้ากระรอกส่ายหัวไม่หยุด แต่พอโดนบอกว่าจะโดนงด
ข้าวเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันควัน ไม่ได้ได้นะ! ข้าว
จิงหมี่เลิศที่สุดแล้ว จะพลาดไม่ได้เ ด็ดขาด! ท้ายที่สุดเจ้ากระรอก
ก็โดนฟางเจิ้งข่มขู่จนต้องตะเกียกตะกายลงมา
ฟางเจิ้งลอบกระซิบเรื่องราวของเสียวหมี่ให้เจ้ากระรอกฟัง มัน
เกาหัวพลางมองฟางเจิ้งอย่างเป็นกังวล “ฉันจะเล่นกับเธอก็ได้
แต่นายห้ามขโมยลูกสนฉันเด็ดขาด!”
“น่ารักจริง ๆ เลย แต่ใจกว้างกว่านี้หน่ อยไม่ได้เหรอ? อย่างน้อย
ก็เอาออกมาสักสองลูกเพื่อรับแขกสิ คิดซะว่าอาตมาขอยืมก็แล้ว
กัน แล้ววันหลังอาตมาจะออกไปช่วยเจ้าเก็บ เป็นไง?” ฟางเจิ้ง
แทบพูดไม่ออกเลย เจ้านักเก็บของนี่ทำเอาเขาพูดไม่ออกตลอด
เลยสิน่า!
เจ้ากระรอกโคลงศีรษะพลางขบคิดอะไรบางอย่าง ไม่รู้ในหัวเจ้า
ตัวน้อยนี่คิดอะไรอยู่ แต่ท้ายที่สุดมันก็มองไปที่ฟางเจิ้งด้วย
สายตาหยามเหยียด “นายโง่ไป ไม่รู้หรอกว่าลูกสนไหนดี ลูกสน
ไหนแย่”
จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็วิ่งปร๋อขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเอาลูกสนลงมา
ด้วย ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็พูดไม่ออกอีกรอบ——เจ้านี่เอาออกมา
แค่สองลูกจริง ๆ ด้วย!
ส่วนหมี่ลี่ ก็สังเกตฟางเจิ้งกับเจ้ากระรอกตัวน้อยตลอดเวลา หรือ
จะพูดให้ชัด เธอกำลังจ้องไปที่เจ้ากระรอกตัวน้อยต่างหาก!
การที่ฟางเจิ้งคุยกับเจ้ากระรอกน้อย ทำให้ดวงตากลมโตของเธอ
สดใสขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นความฉลาดเฉลียวของเจ้ากระรอก
เธอยิ่งชอบมันเข้าไปอีก
แต่เด็กหญิงเช่นเธอ ขี้อายเกินกว่าจะไปร้องเรียกเจ้ากระรอก จึง
ได้แต่ดูมันด้วยดวงตากลมโตแสนชุ่มฉ่ำเปี่ยมความปรารถนา
พอฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ ก็ตำหนิเจ้ากระรอก
“เจ้าจะจ้องอาตมาทำไม จะให้ของขวัญไม่ใช่เหรอ? จะให้ก็ให้สิ”
เจ้ากระรอกปีนไปตามจีวรของฟางเจิ้ง พอถึงความสูงเดียวกับหมี่
ลี่ มันก็ยื่นลูกสนให้เธอ
หมี่ลี่อุทานอย่างตื่นเต้น “ให้หนูเหรอ?”
เจ้ากระรอกเหลือบมองฟางเจิ้งที่ขู่ว่าถ้าไม่ให้จะงดข้าวเย็น ก่อน
มันจะทำใจแข็ง นำลูกสนไปวางบนมือของหมี่ลี่
หมี่ลี่รับไปด้วยความยินดี รีบกุมไว้ดุจดั่งได้รับสมบัติล้ำค่า เธอพูด
กับเจ้ากระรอกด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้น “ขอบคุณนะ!”
จากนั้นเธอก็ชูลูกสนให้ฟางเจิ้งดู “พี่โล้นใหญ่ดูสิ! เจ้ากระให้อัน
นี้กับหนูด้วย! น่ารักม๊ากมากเลยค่ะ เป็นครั้งแรกเลยที่หนูได้รับ
ของขวัญจากสัตว์”
ฟางเจิ้งคลี่ยิ้ม “หมี่ลี่ ที่เจ้ากระรอกนี่ให้ เพราะเป็นของที่แสดง
ถึงมิตรภาพของทั้งคู่ ใช่ไหมเจ้าตัวน้อย?”
ฟางเจิ้งจิ้มไปที่พุงของเจ้ากระรอก ตั้งแต่มันมาอยู่วัด ก็อ้วนวัน
อ้วนคืนไม่น้อย
เจ้ากระรอกสะบัดหางฟูฟาดฟางเจิ้ง ก่อนจะกระโดดไปที่ไหล่
ของหมี่ลี่ จากนั้นก็ร้องจี๊ด ๆ พูดวิจารณ์ว่าฟางเจิ้งช่างชั่วร้ายที่
เอามื้อเย็นมันมาข่มขู่!
ตอนที่ 131 : พระพุทธรูปประทานพร
แต่หมี่ลี่ไม่เข้าใจที่เจ้ากระรอกพูด และคิดว่ามันกำลังเล่นกับเธอ
หมี่ลี่จึงยิ้มไม่หุบ
ตอนนั้นเองที่เจ้าหมาป่าเดินแกร่วคอตกกลับมา ดวงตาหมี่ลี่พลัน
ลุกโชน ชี้มือไปที่หมาป่าไร้ฝูง แล้วถามฟางเจิ้ง “พี่โล้นใหญ่คะ
นั่นคือสุนัขเหรอ!?”
“เอ...เรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของสุนัขก็ได้ อย่าโดนขนาดของเขา
หลอกเชียวล่ะ เขาสุภาพมากเลยนะ” ฟางเจิ้งหัวเราะ
เจ้าหมาป่าไร้ฝูงได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้ามอง พอเห็นหมี่ลี่กำลังถือ
ลูกสนอยู่ในมือ มีกระรอกอยู่บนไหล่ มันก็ได้กลิ่นตุ ๆ ทันที ลูก
สนของเจ้าจอมงกนั่ นอยู่ใ นมือเด็กผู้ห ญิง! เธอเป็นตัวปั ญ หา
แน่นอน! ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบกลับหลังหันเตรียมหนี!
ทว่า——
ฟางเจิ้งลากมันกลับมาทัน ต่อด้วยอุ้มหมี่ลี่ขึ้นไปขี่บนหลังเจ้าหมา
ป่าหลังจากข่มขู่แกมสัญญาอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อย จากนั้น
เจ้าหมาป่าไร้ฝูงก็กลายเป็นเพื่อนเล่นตัวที่สองของหมี่ลี่อย่างขม
ขื่น แล้วก็พาหมี่ลี่วิ่งเล่นไปทั่ว
ฟางเจิ้งที่ปล่อยหมี่ลี่ให้เจ้ากระรอกกับเจ้าหมาป่าดูแลนั้น ไม่
กังวลใจแม้แต่น้อย เจ้าสองตัวนั้น นับวันยิ่งฉลาด เขาคิดว่าอีกไม่
นานคงได้กลายเป็นภูตผีปีศาจแหง
ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้
ฟางเจิ้งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องโถง ก่อนจะกวาดตามอง หลู่ช
วงชวงกำลังนั่งคุกเข่าบนพื้น ระเบิดเสียงร่ำไห้ระทมทุกข์ออกมา
ไม่ขาดสาย
ฟางเจิ้งหันรีหันขวาง พระสูตรที่อ่านไม่เคยสอนวิธีปลอบหญิง
เขาควรเข้าไปไหมเนี่ย!?
ฟางเจิ้งเอามือลูบหัว สับสนสุด ๆ

【ติ้ง! ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ?】ระบบถามออกมา


ทันที
“นายคิดว่าไงล่ะ ? ถ้าฉันมีผม ป่านนี้คงดึงทึ้งแล้ว เสียงผู้หญิง
ร้องไห้น่ากลัวชะมัดยาด แต่เธอก็เศร้าจริง ๆ น่าสงสารมาก......
ฉันเอง ตอนที่พระอี่จื่อละสังขารไป หัวใจสัมผัสได้ถึงความเจ็บ
ปวดร้าวราน แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะไปปลอบเธอยังไง”
【เจ้าแม่กวนอิมพันเนตรพันกรล้วนปกปักษ์สรรพชีวิต สำหรับ
ท่ า นแล้ ว พระองค์ เ ป็ น ครู ท ี ่ ด ี ท ี ่ ส ุ ด บางที ท ่ า นควรขอความ
ช่วยเหลือจากพระองค์ท่าน】
ฟางเจิ้งตะลึง “ขอความช่วยเหลือจากพระโพธิสัตว์ ? ทำได้...
ด้วยเหรอ?”
ถึ ง ระบบจะมหั ศ จรรย์ ม าก ฟางเจิ ้ ง ก็ ย ั ง ผงะอยู ่ ด ี ท ี ่ จ ะไปขอ
คำแนะนำจากพระโพธิสัตว์ มันทำได้จริงแน่นะ?

【ไม่ใช่ขอคำแนะนำจากองค์โพธิสัตว์โดยตรง แต่เป็นพลังวิเศษ
ของเจ้าแม่กวนอิมพันเนตรพันกรที่ส่งผ่านป้ายหมื่นพุทธ เหมือน
อย่ า งเช่ น เจ้ า แม่ ก วนอิ มประทานบุ ตร ที ่ ป ระทานพรให้ ผู ้คน
ตั้งครรภ์อย่างไรเล่า พลังของพระองค์ท่านนั้นเกี่ยวกับการชี้แนะ
】ระบบอธิบาย

【ตราบใดที ่ ท ่ า นอยู ่ ใ นเขตวั ด ย่ อ มสามารถขอยื ม พลั ง จาก


พระพุทธรูป เพื่อทำในสิ่งที่ ท่านไม่สามารถทำได้เสมอ อีกทั้งยัง
ช่ ว ยหนุน เสริ มพลังเดิ มที ่ม ี อยู ่ อาทิ การประทานบุ ตร เนตร
สวรรค์ และอื่น ๆ แต่อย่างไรเสีย ท่านก็ต้องเป็นคนนำอยู่ดี
พระพุทธรูปเพียงช่วยเหลือท่านเท่านั้น ลองใช้พลังความฝันยาม
ต้มข้าวฟ่างดู ก็จะเข้าใจเอง】ระบบพูดต่อ
ฟางเจิ้งพยักหน้า ก่อนจะมองหลู่ชวงชวง จากนั้นก็หายใจเข้าลึก
พนมมือ แล้วพูด “อามิตตาพุทธ!”
ตั้งแต่หลู่ชวงชวงเข้าวัดมา ก็คุกเข่าอยู่เช่นนี้โดยไม่ได้ขยับไปไหน
เลย เธอเชื่อว่าตราบใดทีเ่ ธอทำให้ตัวเองเจ็บปวด หรือหาที่เงียบๆ
ร้องไห้ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
ขณะที่เธอกำลังคุกเข่าบนเบาะ ปากระบายปัญหา กล้ามเนื้อปวด
หนึบอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ป้ายหมื่นพุทธตรงหน้าเธอก็เปล่งประกาย
แสงสีทองวูบหนึ่งแล้วหายวับไปในพริบตา ดุจเป็นเพี ยงภาพ
มายา! หลู่ชวงชวงคิดว่าตนเองคงตาฝาด หางตาเธอเหลือบดู
ป้ายหมื่นพุทธอีกครั้ง......ดูเหมือนตาโพธิสัตว์กวนอิมพันเนตรพัน
กรจะขยับหรือเปล่านะ? และด้วยการจ้องมองอันแสนเมตตา
กรุณาทำให้จิตใจเธอสั่นรัว! เธอรีบเงยหน้าขึ้นดูให้ชัด ๆ ทันที
ก่อนจะเห็นว่าโพธิสัตว์กวนอิมพันเนตรพันกรนั้นเป็นเช่นเดิมไม่
แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย!
“ตาฝาดแน่ ๆ” หลู่ชวงชวงถอนหายใจโล่งอก ตอนนั้นเอง พลัน
มีเสียงดังก้องกังวานว่า “อามิตตาพุทธ!”
จิตสำนึกของหลู่ชวงชวงบอกให้หันไปดู แต่ก็เห็นว่าฟางเจิ้งกับ
หมี่ลี่นั้นไม่อยู่แถวนี้แล้ว แถมที่แปลกไปกว่านั้ นคือ ต้นโพธิ์ใน
สวนกำลังผลิดอกออกผล หิมะหลอมละลาย ปัทมชาติเบ่งบานไป
ทั่ววัด ไม่ว่าจะเป็นกำแพง หรือที่ไหน ๆ ก็มีแต่ดอกบัวเต็มไป
หมด!
“นี่มัน!?” ใบหน้าของหลู่ชวงชวงมีแต่ความประหลาดใจสุด ๆ
เธอรีบวิ่งออกมาจากห้องโถง ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำซัดสาด
พอเธอก้มหน้ามอง ก็เห็นว่าพื้นดินใต้เท้าได้กลายเป็นแอ่งน้ำไป
แล้ว! พอเงยหน้าอีกครั้ง วัดก็หายไป เหลือเพียงแต่ต้นโพธิ์เด่น
สง่า!
พอหันหลังไปดู หอวัดก็หายไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแต่กอบัว
ยาวเหยียดออกไปสุดลูกหูลูกตา!
“ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย!!?” หลู่ชวงชวงกวาดตามองรอบตัวด้วยความ
มึนงงสับสน ถามออกด้วยความวิตกแกมหวาดกลัว
ทว่ารอบกายเธอกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครตอบคำถาม
แม้แต่น้อย หลู่ชวงชวงสับสนยิ่งกว่าเดิม
ตอนนั้นเองที่มีเสียงน้ำไหล บังเกิดทางเดินใต้เท้าเธอ เส้นทางลึ ก
ลงไปในน้ำ ไหนจะมีกอบัวบดบังอยู่อีก เธอจึงไม่เห็นว่าข้างในมี
อะไร
หลู่ชวงชวงรวบรวมความกล้า รุดหน้าเดินออก ผลักกอบัวออกไป
ทันทีที่ก้าวเท้า สภาพแวดล้อมรอบกายพลันเปลี่ยนไป ดอกบัว
ลอยละล่องกระจัดกระจาย เบื้องหน้ามีเสียงคนดังแว่วมา
“มีคน!” หลู่ชวงชวงเกือบจะวิ่งไปแล้ว แต่พระหนุ่มหัวโล้น
เกลี้ยงรูปหนึ่งได้มาปรากฏกายตรงหน้าเธอเสียก่ อน เขาสวมจีวร
ขาวสะอาดตา เพียงเหลือมอบ จิตใจก็สงบลง
“พระอาจารย์ฟางเจิ้ง?” หลู่ชวงชวง
ฟางเจิ้งเงยหน้าเล็กน้อย พยักหน้าแล้วก็ส่ายหัว จากนั้นแหงน
มองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง
หลู่ชวงชวงมองตามสายตานั้นไป แล้วก็ต้องตกตะลึง!
เธอเห็นสมณเพศรูปหนึ่งในชุดสีขาวสกาว นั่งอยู่บนดอกบัวสีทอง
กลางท้องนภา รอบกายมีพันหัตถา แต่ละมือทำท่ามุทราแตกต่าง
กันไป บางพระหัตถ์ก็ถือสมบัติต่าง ๆ รัศมีธรรมเปล่งประกายน่า
เกรงขาม แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเมตตากรุณา รูปร่างใหญ่คับฟ้า!
“พระโพธิสัตว์กวนอิม!!?” หลู่ชวงชวงอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อามิตตาพุทธ เป็นอาตมาเอง สีกาก้าวเท้าสู่วัดนิ้วเดียว และได้
จุดธูปแสดงความเคารพแก่อาตมา อาตมาย่อมมาโปรดสีกาเป็น
ธรรมดา ทว่าเงื่อนที่ผูกไว้ในใจ ตนย่อมต้องเป็นผู้แก้ปมนั้น”
พระโพธิสัตว์กวนอิมพูดขึ้น
หลู่ชวงชวงเงยหน้ามองท้อ งฟ้า ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าฟางเจิ้งที่อยู่
เบื้องล่าง หัวกำลังปั่นขนาดไหน เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ทุ ก อย่ า งย่ อ มเป็ น ฟางเจิ ้ ง ที ่ เ ป็ น คนบงการ พร้ อ มด้ ว ยความ
ช่วยเหลือจากพลังพระพุทธรูป เขาสัมผัสสิ่งที่ต้องการได้เลือน
ราง แต่การชี้นำจากพระพุทธรูปดุจหมอกควัน หลายอย่างต้ อง
พิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน ก่อนจะกล่าวเทศนาออกมาได้
ส่วนรูปลักษณ์บนท้องฟ้านั้นไม่ใช่ภาพสมมุติ แต่เป็นกายธรรม
ของโพธิ ส ั ต ว์ ก วนอิ ม ที ่ อ วตารลงมา รู ป กายนั ้ น ว่ า งเปล่ า ไร้
จิตสำนึก ที่ปล่อยให้เป็นไปตามฟางเจิ้งชี้นำ ทว่าธรรมกายนี้ไม่
เพียงชี้น้ำโปรดสัตว์ แต่ยังแฝงไว้ซึ่ง รัศมีของโพธิสัตว์ ทำให้จิตใจ
ผู้คนสงบสดชื่น
หลู่ชวงชวงเงยหน้ามองโพธิสัตว์กวนอิมบนท้องฟ้า แล้วพลัน
สัมผัสได้ถึงรัศมีความสงบสุขที่แผ่กำจายมา และเธอยังสัมผัสได้
ถึงอ้อมกอดของหานเซี่ยวกั๋วอย่างเลือนราง มันทั้งอบอุ่น ทั้ง
แข็งแกร่ง เหมือนเจอที่พักพิงหลบมุมกลางพายุโหมกระหน่ำ
หลู่ชวงชวงพนมมือโค้งคารวะ “องค์โพธิสัตว์ โปรดช่วยลูกด้วย
ค่ะ”
“คนที่สีกาต้องการพบ กำลังรออยู่ เชิญ” พระโพธิสัตว์กวนอิมชี้
นิ้วออก
หลู่ชวงชวงพยักหน้าแล้วเดินออกไป หลังจากผ่านกอบัวหนาทึบ
เธอก็ต้องตกตะลึง บ่อบัวล้วนมลายหายสิ้น กลับกลายเป็ นเมือง
อันวุ่นวายเสียแทน!
ตอนที่ 132 : นวนิยายจากพระ
ประตูมหาวิทยาลัยเดิม ๆ ถนนเดิม ๆ ตึกรามบ้านช่องเดิม ๆ
แถมยิ่งกว่านั้นคือบุคคลที่คุ้นเคย!
“นี ่ ม ั น อะไรกั น ?” หลู ่ ช วงชวงหั น ไปรอบ ๆ ก่ อ นจะเห็ น ว่ า
ดอกบัวเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว ตอนนี้กลับกลายมาเป็นอยู่ใน
เมืองแทน
“ชวงชวง มาแล้วเหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วเดินมาหาหลู่ชวงชวงด้วย
สายตารักใคร่
พอหลู่ชวงชวงเห็น น้ำตาก็ไหลอาบแก้มทันที “เซี่ยวกั๋ว...นี่เป็น
เรื่องจริงหรือเปล่า?”
“แล้วยังไง? ที่สำคัญคือเราได้เจอกันอีกแล้วต่างหาก ไม่คิดงั้น
เหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วถามยิ้ม ๆ
หลู่ชวงชวงพยักหน้าขณะซบลงบนอกของหานเซี่ยวกั๋ว พูดราว
กระซิบ “เซี่ยวกั๋ว หลังจากนายจากไปฉันก็เหงามากเลย ภาระที่
ต้ อ งแบกรั บ มั น หนั ก หนาสาหั ส มากจริ ง ๆ นะ ฉั น ...ฉั น กลัว
เหลือเกิน เหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มใส่ เหนื่อยจนทนไม่ไหว
แล้ว”
“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันเห็นทุกความทุกข์ทรมานที่เธอต้องเผชิญหมดแล้ว
แต่ชวงชวง เธอสัญญากับฉั นแล้วนี่ว่าจะดูแลหมี่ลี่ให้ดี เธอต้อง
เลี้ยงลูกสาวของเราให้โตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง เธอสัญญา
แล้วว่า จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ใช่เหรอ?” หานเซี่ยวกั๋วถาม
ต่อ
หลู่ชวงชวงตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ฉันก็อยากทำแบบนั้น
เหมือนกัน แต่ฉันทำไม่ไหว ฮือฮือ! พอไม่มีนายอยู่มันแย่มากเลย
......”
“นี่” หานเซี่ยวกั๋วจูงมือหลู่ชวงชวงมานั่งตรงใต้ต้นไม้ จากนั้นก็
ลดเสียงราวกระซิบ “รู้หรือเปล่า? ฉันไม่เคยออกห่างจากเธอเลย
แม้แต่ครั้งเดียว ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลานะ ถ้าเธอลองคิดดูให้ดี
เธอจะสัมผัสถึงฉันได้เสมอ ฉันเป็นดวงดาราบนท้องฟ้าที่คอยเฝ้า
มองและปกป้องเธออยู่เสมอ เธอจะไม่มีวัน และไม่มีทางที่จะอยู่
คนเดียวอย่างเด็ดขาด”
หลู่ชวงชวง “จริงเหรอ?”
หานเซี่ยวกั๋วหัวเราะ “ฉันรู้ว่าเธอไม่เชื่ อพระเชื่อเจ้า แต่เธอก็
น่าจะรู้ว่าพลังจิตมนุษย์นั้นมีพลังอันมหาศาล ถ้าเธอระลึกถึงฉัน
ไว้ในใจ ฉันก็จะอยู่ในนั้นตลอดกาล แต่ถ้าเอาแต่เจ็บปวดอยู่
อย่างนี้ ก็ไม่ต่างไปจากไล่ฉันออกไปนะ ทำแบบนั้น ฉันจะไปอยู่
ข้ า งเธอได้ ย ั ง ไง? ฉั น จะเจ็ บ ปวดไปกั บ เธอด้ ว ย ฉั น จะแบก
รับภาระอันหนักหน่วงนั่นกับเธอ! ชวงชวง เพื่อตัวเธอเอง เพื่อ
ตัวฉันเอง เพื่อหมี่ลี่ และเพื่อครอบครัวนี้ เธอต้องมีความสุขนะ
เข้าใจหรือเปล่า?”
“ทะ ที่นายพูดนี่เรื่องจริงใช่ไหม?” หลู่ชวงชวงมองไปที่หาน
เซี่ยวกั๋วด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ดวงตาหานเซี่ยวกั๋วฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยม “แน่นอน! จริงอย่าง
กับทองแท้!”
“ฮ่าฮ่า ฉันเชื่อก็ได้ คำโกโหที่ว่านายจะอยู่กับฉันไปชั่วชีวิต...”
หลู่ชวงชวงโผเข้าหาหานเซี่ยวกั๋ว บางครั้งก็ร้องไห้บางครั้งก็
หัวเราะในอ้อมกอดอุ่นนั้น
ขณะเดียวกัน หลู่ชวงชวงก็ไม่รู้เลยว่า...ฟางเจิ้งกำลังจะคลั่งตาย
แล้ว!!!
“เพิ่งจะเสียดายนี่แหละที่ไม่รู้จักเล่าเรียนเขียนอ่าน พอถึงเวลา
กลับไม่มีความรู้มาใช้! ทำไมฉันถึงไม่ดูละครน้ำเน่า ๆ กับอ่า น
นิยายรักเยอะ ๆ นะ....... ” ฟางเจิ้งบ่นอย่างเสียดาย ขณะกำลัง
ใช้พลังวิเศษความฝันยามต้มข้าวฟ่าง มือก็ไถโทรศัพท์หาหนัง
ฉากรัก ๆ ดราม่า ๆ แบบที่หลู่ชวงชวงเจอ จากนั้นก็เอามาใช้กับ
เธอซะ!
การทำหลาย ๆ อย่างทีเดียวกันนั้น ช่างดูดพลังสุด ๆ ไปเลย ทำ
เอาฟางเจิ้งเหงื่อแตกพลั่ก ๆ แย่ที่สุด เหนื่อยจะตายแล้วโว้ย!
ดีที่ยังมีโพธิสัตว์คอยชี้แนะ นำทางไปถึงความทรงจำที่หลู่ชวงชวง
มีกับหานเซี่ยวกั๋ว จากนั้นฟางเจิ้งก็จัดการจัดบทพูดจากหนังที่
เพิ่งดูมาหมาด ๆ นับว่าพรจากพระพุทธรูปบวกกับความฝันยาม
ต้มข้าวฟ่างนี่แหละ ที่ทำให้เรื่องราวประสบความสำเร็จไม่น้อย!
ในที่สุด หลู่ชวงชวงก็เหมือนจะคิดอะไรได้แล้ว นับว่าไม่ได้ลำบาก
เพื่อเสียเปล่าแล้ว!
ไม่กี่นาทีต่อมา หลู่ชวงชวงหยุดร้องไห้ แต่ดวงตาของฟางเจิ้งกลับ
แดงฉาน พลังจิตพลังใจจะหมดแล้ว! จะตายแล้วโว้ย! ได้แต่
ภาวนาว่า “คุณผู้หญิงเอ้ย สวรรค์เถอะ รีบ ๆ แก้เงื่อนในใจได้
แล้ว ไม่งั้นฉันได้ตายก่อนแน่! ละครรักน้ำเน่าโคตร ๆ!”
หลังจากโดนหานเซี่ยวกั๋วหยอกล้อ หลู่ชวงชวงก็คิดตกในที่สุด
เหมือนมีพลังงานกำลังท่วมท้นขึ้นมาในใจอย่างไรอย่างนั้น เธอ
พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันจะใช้ชีวิตอย่างมี
ความสุขแทนนายเอง! นายจะคอยอยู่ในใจฉันเสมอ! ฉั นไม่สน
หรอกว่าเรื่องนี้จะเป็นความฝันหรือเรื่องจริง แต่ฉันจะเชื่อว่านาย
จะอยู่ในใจฉันตลอดไป!” หานเซี่ยวกั๋วผงะ
ฟางเจิ้งก็ผงะเช่นกัน จากนั้นเขาก็รู้แจ้งอะไรบางอย่าง จึงหัวเราะ
ออกมาทันที
หานเซี่ยวกั๋วก็หัวเราะเช่นกัน
จากนั้นภาพรอบกายก็สั่นสะเทือน เสียงฟางเจิ้งดังแว่วมา “อา
มิตตาพุทธ ยินดีกับสีกาด้วย!”
หลู่ชวงชวงเห็นภาพเบื้องหน้าหายวับไป พอกะพริบตา ทุกอย่าง
ก็เปลี่ยนไปแล้ว! ทิวทัศน์ตัวเมืองหายไป กลายเป็นตัวเธอกำลัง
คุกเข่าอยู่ในห้องโถงวัด และรอบกายล้วนเงียบสงัด มีเพียงสาย
ลมดังแผ่ วเบากับควันธูปลอยล่องชวนให้จิตใจสงบสุขเกินจะ
กล่าว
พอหลู่ชวงชวงได้ยินฟางเจิ้งกล่าวอามิตตาพุทธ เธอก็ยืนขึ้น ก่อน
จะหั น ไปมองฟางเจิ ้ ง แล้ ว พู ด อย่ า งสุ ภ าพ “พระอาจารย์
ขอบคุณที่ชี้ทางให้ฉันนะคะ!”
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ “เป็นสีกาที่มีปัญญามาก อาตมาแค่สะกิด
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“พระอาจารย์ ท่านจะว่าอะไรหรือเปล่า ถ้าฉันไม่นับถือพระพุทธ
ศาสนา” หลู่ชวงชวงถามพร้อมรอยยิ้ม ท้ายที่สุดเธอก็มองทะลุ
ผ่านละครทั้งหลายออก เธอลองพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถึงกับรู้ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพมายา แต่ยังไงเธอก็ตั้งมั่นในความตั้งใจ
ของตนเองอยู่แล้ว ตราบใดที่หานเซี่ยวกั๋วยังคงมีชีวิต อยู่ในใจ สิ่ง
อื่นล้วนไม่สำคัญ! หานเซี่ยวกั๋วจะอยู่เป็นเพื่อนเธอจนวาระ
สุดท้ายของชีวิต แค่นี้ก็เพียงพอแล้วแหละนะ!
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “พุทธองค์เพียงนำทางผู้คนให้ทำดี จะศรัทธา
ในตัวท่านหรือเปล่าไม่สำคัญเลย ถ้าสีกาวางของในอกลงได้แล้ว
อาตมาก็ได้บุญกุศลเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้น ควรเป็นอาตมาที่
กล่าวขอบคุณสีกามากกว่า”
“ฮี่ฮี่ พระอาจารย์ล้อเล่นแล้ว ท่านเป็นพระอาจารย์ที่น่าเคารพ
นับถือนะ!” หลู่ชวงชวงพูดอย่างเคารพนอบน้อม
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะอีกครั้ง “อาตมาไม่กล้ารับคำว่าพระอาจารย์
เรียกอาตมาว่าพระฟางเจิ้งเถิด”
“พระอา—พระฟางเจิ้ง ท่านถ่อมตัวจริง ๆ” สิ้นเสียงของเธอ
เสียงหัวเราะสนุกสนานของหมี่ลี่ก็ดังมาจากข้างนอก ดวงตาเธอ
สว่างวาบแล้วถามว่า “ใครเล่นอยู่กับหมี่ลี่เหรอคะ?”
“เป็นสองโยมพิเศษของวัดนี้” ฟางเจิ้งตอบ
หลู่ชวงชวงชะงักกึก ฟางเจิ้งปล่อยลูกสาวของเธอให้คนอื่นดู แล
เหรอ? เขาทำได้ยังไงกัน? ถ้าเกิดเธอถูกลักพาตัวขึ้นมาล่ะ!? หลู่ช
วงชวงพลันตระหนกจนเกือบจะวิ่งออกไปดู แต่กลับมีหมาป่าขน
เงินตัวเบ้อเริ่มเดินเข้ามาเสียก่อน! มันตัวใหญ่เท่าลูกวัว ตาเรียว
คม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นหมาป่า ไม่ใช่สุนัขบ้านธรรมดา!!
“หมาป่า!?” หลู่ชวงชวงเกิดความกลัวขึ้นมาทันที กังวลเรื่องลูก
สาวหนักยิ่งกว่าเดิม แต่หลู่ชวงชวงกลับต้องสับสนที่เจ้าหมาป่าดู
จะหม่นหมองเสียจนหูลู่หางตก...เกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?
พอหลู่ชวงชวงมองเลยไปข้างหลัง ก็เห็นเป็นหมี่ลี่กำลังยืนอยู่บน
แผ่นไม้ มือดึงหางเจ้าหมาป่าไว้ เหมือนกับกำลังเล่นสกี! บนไหล่
ของเธอมีเจ้ากระรอกตัวน้อยที่ร้องจี๊ด ๆ ไม่หยุด เหมือนกับกำลัง
บอกให้เจ้าหมาป่าเดินไว ๆ อย่างไรอย่างนั้น......
เห็นแบบนี้ หลู่ชวงชวงก็ตะลึงลานไปเลย ...พวกนี้ยังเป็นสัตว์อยู่
หรือเปล่าเนี่ย ? ทำไมอารมณ์ถึงเหมือนกับมนุษย์ แบบนี้!? เป็น
ภูตผีปีศาจงั้นเหรอ!!?
“อามิตตาพุทธ นั่นเป็นโยมสุดพิเศษทั้งสองที่อาตมาพูดถึง และก็
เป็นเช่นสีกา พวกเขาเป็นศิษยานุศิษย์ของวัดนี้ หนึ่งหมาป่าหนึ่ง
กระรอก และอย่ากังวลไป พวกเขาใจดีมาก” ฟางเจิ้งเดินมา
หยุดอยู่ข้าง ๆ หลู่ชวงชวงแล้วเอ่ยปากบอก
หลู่ชวงชวงพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว สมองว่างเปล่าไปหมดแล้ว!
เรื่องที่เจอบนเขาวันนี้มันน่ามหัศจรรย์ใจกว่าที่อื่นจริง ๆ ทุก
อย่างกำลังท้าทายมุมมองของเธอต่อโลกใบนี้........และเรื่องทุก
อย่างก็เป็นเรื่องจริง!!!
ตอนที่ 133 : พลุในวันที่ 15 ของปีใหม่
หลู่ชวงชวงยังสับสนไม่หายขณะอุ้มหมี่ลี่ลงเขา
เธอหั น ไปมองวั ดที่ ต ั ้ งอยู ่ ท ่า มกลางหิม ะขาวโพลน ทอดถอน
หายใจด้วยความปลิดปลง “ใครจะไปคิดว่าวัดเล็ก ๆ แบบนี้จะ
ผลิตคนเก่งกาจอย่างพระฟางเจิ้งได้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเซี่ยวกั๋ว
ถึงอยากให้ฉันมาหาเขา และก็ ไม่สงสัยเลยว่าเซี่ยวกั๋ วต้องเจอ
ประสบการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตตอนอยู่ที่นี่แน่ ๆ โลกกว้าง
ใหญ่ไพศาล ไม่มีเรื่องใดเป็นไปไม่ได้ ฉันสายตาคับแคบเกินไป
แล้วจริง ๆ”
“แม่ขา หนูขอมาเล่นกับต้าป๋าย(ขาวใหญ่)กับเสี่ยวฮุยฮุย(เทา
น้อย)อีกได้ไหมคะ?” หมี่ลี่หันกลับไปทางวัดขณะถามขึ้นมา
“ได้ค่ะ ถ้าว่างเมื่อไหร่แม่จะพามานะคะ โอเคไหมเอ่ย ?” หลู่ช
วงชวงตอบรับ หมี่ลี่ตาเป็นประกายทันที “แม่หนูดีที่สุดเลย! แม่
ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูโตเมื่อไหร่ หนูจะปกป้องแม่เหมือนที่
พ่อทำ!”
“โอ้โห หมี่ลี่ตัวน้อยน่ารักที่สุด!” หลู่ชวงชวงยิ้มพลางกระชับ
อ้อมกอดยามอุ้มหมี่ลี่ลงเขา
“ต้าป๋าย? เสี่ยวฮุยฮุย? วะฮ่าฮ่า!” ฟางเจิ้งกุ้มท้องหัวเราะยก
ใหญ่
เจ้าหมาป่าหูลู่หางตกหมอบอยู่บนพื้น ขนของมันสีเงิน ทำไมถึง
กลายเป็นต้าป๋าย(ขาวใหญ่)ไปได้?
ส่วนเจ้ากระรอกหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าเจ้าหมาป่าอีก บนหลังของมัน
มีลายอยู่นะ ทำไมถึงกลายเป็นเสี่ยวฮุ ยฮุย(เทาน้อย)ล่ะ? ชื่อไม่ดี
เลย รับไม่ได้!
เดิมทีเข้าใจว่าหมี่ลี่เอาไว้เรียกพวกมันเฉย ๆ แต่พอฟางเจิ้งบอก
ว่ า เป็ น ชื ่อ เล่น ที ่เ ธอตั้ งให้ และแปลความหมายของชื ่อให้ฟัง
เท่านั้นแหละ ก็ทำเอาจิตใจพวกมันห่อเหี่ยวไปตาม ๆ กัน
ฟางเจิ้งก็ไม่ได้ สนใจอะไรมาก หลังจากช่วยหลู่ช วงชวงเสร็ จ
จิตใจก็อ่อนล้าจนสมองเบลอไปหมด เขาลูบหัวสัตว์สองตัวนี้
เบาๆ ก่อนจะกลับไปที่ห้อง อยากจะพักผ่อนเสียหน่อย
พอตื่นมาอีกครั้งก็เห็นว่ามืดค่ำแล้ว วันนี้เกือบหลับทั้งวันแน่ะ!
“ระบบ ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้ ? เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นเลย” ฟาง
เจิ้งทักท้วง
【ปมในใจของหลู่ชวงชวง มัดแน่นยิ่งกว่าผู้ใดที่เคยเจอ ความ
เจ็บปวดจากการสูญเสียสามีจะรักษาอย่างง่ายดายได้เช่นไร?
และเพราะความยากเช่นนี้.......】ระบบลากเสียง
แววตาฟางเจิ้งเป็นประกายวาบ ถามอย่างคาดหวัง “ฉันได้
โอกาสเสี่ยงโชคอีกรอบใช่เปล่า?”

【เปล่า ได้แค่คำชมเฉย ๆ ตั้งใจทำแบบนี้ต่อไปล่ะ ทำดีมาก】


ระบบพูดเรียบ ๆ
ฟางเจิ้งโวยทันที “นายต้องเป็นระบบปลอมแน่ ๆ ทำไมถึงไม่
จริงจังเลยฟะ?!”

【การได้รับคำชม จะเพิ่มคะแนนภารกิจ หากได้รับคำชมสอง


ครั้ง ก็จะได้โอกาสหมุนเสี่ยงโชคหนึ่งรอบ ท่านจะไม่เอาใช่ไหม?
】ระบบถาม
“นายนี่จริงจังเหมือนกันนะเนี่ย” ฟางเจิ้งกลับคำทันควันชนิดตา
ไม่กะพริบแม้แต่น้อย
เขากินข้าวจิงหมี่กับผักต้มแครอทต้มไปชาม พอได้กินอาหารแล้ว
สดชื่นขึ้นไม่น้อยทีเดียว ก่อนไปอ่านพระธรรมคัมภีร์ ดูจันทร์เฝ้า
หิมะ จากนั้นก็ผ่านไปวันหนึ่งแล้ว
เช้าวันต่อมาพายุหิมะเข้า ต่อด้วยตกลงมาไม่หยุดอีกหลายวัน ปิด
กั้นถนนหนทางขึ้นเขาเอาไว้ วัดนิ้วเดียวกลับเข้าสู่สภาวะอันสงบ
เงียบอีกครั้ง
ฟางเจิ้งใช้วันเวลาเหล่านี้อ่านพระสูตรแล้วก็ไปเล่นปาหิมะ ถือว่า
เป็นเวลาผ่านพ้นที่สนุกสนานไม่เลว
ตกเย็นย่ำยามดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ฟางเจิ้งที่ไม่มีอะไรจะทำ
เลยจัดการทุบเปลือกลูกสนกินขณะพาเจ้าหมาป่ากับเจ้ากระรอก
ที่กำลังโมโหไปเดินเล่นด้วยกัน
เจ้ากระรอกยืนบนไหล่ฟางเจิ้งอย่างฉุนเฉียว พอฟางเจิ้งทุบลูกสน
หนึ่งที มันก็จะดึงหูฟางเจิ้งระบายความโกรธหนึ่งที
“ถึงบนเขาจะเงียบสงบจริง แต่น่าเบื่อมากเลย...” ฟางเจิ้งยืนบน
ผา สายตาทอดมองไกลออกไป หิ ม ะหยุ ด แล้ ว ถื อ เป็ น วั น ที่
อากาศดีอันหาได้ยาก ไม่มีลม ไม่มีหิมะ แถมบนท้องฟ้าก็มีเมฆไม่
มาก
ดวงอาทิตย์สิ้นแสงสุดท้ายลาลับเข้าขอบฟ้าไกล ดวงจันทร์ลอย
ล่องทางตะวันออก แสงจันทร์สีเงินยวงอาบไล้ทั่วบริเวณ ทำให้
เขาแห่งนี้ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม ฟางเจิ้งที่ยืนอยู่บนผา เห็ นไฟ
จากหมู่บ้านที่ตีนเขา ทั้งยังเห็นชาวบ้านเดินไปมาได้ร าง ๆ แต่ไม่
นานก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจนอีก
“กลางคืนอีกแล้วสิ แต่ละวันผ่านไปไวชะมัด วันหนึ่งคงไม่ตื่น
มาแล้วพบว่าตัวเองแก่หงำเหงือกแล้วหรอกนะ?” ฟางเจิ้งพึมพำ
อย่างชืดชา
เจ้ากระรอกแค่นเสียง “ดีที่สุดคื อนายขยับตัวไม่ได้ จะได้ไม่ต้อง
มาขโมยลูกสนฉันอีก นายมันไอ้โล้นรู้จักแต่กิน ไม่รู้จักทำงาน”
หมาป่าไร้ฝูงครางหงิง ๆ ถาม “งั้นผมจะได้กินข้าวอยู่ไหม?”
ฟางเจิ้งมองเจ้าโง่สองตัวนี่ตอบกลับมาแบบงง ๆ ก็พูดอะไรไม่
ออก การสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสัตว์นี่มีปัญหาจริง ๆ
ฟิ้ว! ปั้ง!
ตอนนั้นเองที่เกิดเสียงปั้งดังขึ้น! จากนั้นมวลดอกไม้ไฟตระการตา
ก็ระเบิดจ้าตรงหน้าฟางเจิ้ง! ท้องฟ้าสว่างวาบทันใด!!
“โบร๋วววว!” หมาป่าไร้ฝูงหอนยาว ก่อนจะกระโดดหนีด้วย
ความตื่นกลัว
เจ้ากระรอกตะกายเข้าไปในจีวรของฟางเจิ้ง ทำเอาเขาร้องลั่น
“เฮ้ เฮ้ เฮ้! ออกมานะ! ไปไหนน่ะ!? กางเกง—กาเกง—ไข่!!!”
หลังจากใช้พลังทั้งร่างไปหลายชั่วโมง ฟางเจิ้งก็ดึงเจ้ากระรอก
ออกมาจากจีวรได้ในที่สุด แต่ราคาที่ต้องจ่ายออกไปหนักหนา
นัก——ไข่เขาเจ็บมาก........
ฟิ้ววว! เสียงบาดหูดังขึ้นอีกครั้ง!
คราวนี้ฟางเจิ้งรีบคว้าเจ้ากระรอกไว้ไม่ ให้ทำเรื่องเดิมอีกครั้งทัน
จากนั้นเขาก็ก้าวถอยหลังแล้วหันไปมองเจ้าหมาป่าที่ซ่อนตัวใน
กองหิมะ มันเอาหัวมุดเข้าไปแต่กลับปล่อยบั้นท้ายให้ลอยโด่ง
แล้วใช้กำลังทั้งหมดหดหางตัวเองเข้าหาตัว ถ้ามันยัดลงรูก้นได้คง
ทำไปแล้ว...
ปั้ง! ดอกไม้ไฟอีกดอกระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า ทำเอาเจ้ากระรอก
กลัวจนขดเป็นก้อนกลมในมือของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งส่ายหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็เตะไปที่ก้นของเจ้าหมาป่าแล้ว
พู ด “เจ้ า หมาโง่ จะกลั ว อะไรนั ก หนา? ที ่ ป ล่ อ ยบนท้ อ งฟ้ า
เรียกว่าดอกไม้ไฟ ไม่มีอะไรอันตรายแม้แต่น้อย แถมยังสวยมาก
ด้วย อีกอย่างนะ ขี้ขลาดขนาดนี้ จะมาเป็นผู้พิทักษ์วัดของ
อาตมาได้ยังไง? อาตมาคิดว่าควรจะย่างเจ้า........”
พูดถึงตรงนี้ เจ้าหมาป่าก็รีบดึงหัวตัวเองออกมาจากกองหิมะ
จากนั้นก็เชิดอกตัวเองขึ้น ท่วงท่าดูดุร้ายทันตาเห็น
ฟิ้ววว! พอได้ยินเสียงลมบาดหูเท่านั้นแหละ ขาเจ้าหมาป่าก็สั่น
พั่บ ๆ ทันที มันก็อยากหนีอยู่หรอก แต่ฟางเจิ้งเอาแต่ขู่ว่าถ้ามัน
หนีจะงดข้าวเนี่ยสิ จึงได้แต่ต้องทนเท่านั้น!
ปั้ง! ดอกไม้ไฟสวยสดอีกลูกระเบิดตรงข้างหน้าผา ทันใดนั้น
ดวงตาเจ้าหมาป่าก็จ้องเขม็ง......ตาของมันเบิกโพลง อ้าปากกว้าง
จนลิ้นหอย ดูก็รู้ว่ามันหลงสเหน่ห์ดอกไม้ไฟเข้าเต็มเปา
ตอนนั้นเองเจ้ากระรอกก็แอบมองดูด้วยเช่นกัน พอเห็นว่าไม่มี
อันตราย แถมยังสวยสุด ๆ เจ้าตัวน้อยก็ลุกยืนบนฝ่ามือของฟาง
เจิ้ง ส่วนลูกสนที่เคยอยู่ในกรงเล็บจะหล่นไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ปาก
น้อย ๆ ของมันอ้ากว้างขึ้น แถมตายังเบิกโตเท่าไข่ห่านอีกด้วย ดู
น่ารักน่าชังยิ่ง
แช๊ะ! ฟางเจิ้งรีบถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นความทรงจำทันที มันเป็นสี
หน้าที่เห็นดอกไม้ไฟครั้งแรก แถมยังสวยไม่เลวเลยด้วย ฟางเจิ้ง
คิดว่าจะอวดรูปสัตว์ของตัวเองลงอินเทอร์เน็ตสักหน่อย
“อ้อใช่ เกือบลืมเลย วันนี้เป็นวันที่ 15 นี่นา” ฟางเจิ้งทำสีหน้า
เข้าใจขณะมองไปที่ดอกไม้ไฟ
หมู่บ้านนิ้วเดียวจะจุดประทัดกันในวันปีใหม่ แล้วก็จะจุดพลุวันที่
15 ถ้าเทียบกันแล้ว วันนี้ถือเป็นวันที่หมู่บ้านนิ้วเดียวคึกคักที่สุด
ทุกบ้านจะจุดโคมตะเกียงแล้วปล่อยดอกไม้ไฟขึ้นท้องฟ้า แต่ที่น่า
สนุกที่สุดคือเทศกาลไฟถนนนั่นแหละ!
พอนึกถึงเรื่องนี้ได้ ฟางเจิ้งก็รีบไปที่หน้าผาเพื่อชมดูทันที
ดอกไม้ไฟจุดไปหมดแล้ว หมู่บ้านนิ้วเดียวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก
มีไม่กี่คนหรอกที่มีสตางค์พอจะจุดพลุ แถมน้อยกว่านั้นคือพลุที่
จะมาถึงบนยอดเขาได้ ฟางเจิ้งเดาว่าคนที่ทำเช่นนี้ได้ต้องเป็น
ครอบครัวที่ร่ำรวยไม่น้อย ไม่งั้นคงซื้อดอกไม้ไฟคุณภาพสูงไม่ได้
ถ้าอยากเห็นอีกก็ต้องมองไปที่หมู่บ้านไกล ๆ นู่น ทุกหมู่บ้านต่าง
มีแผนที่จะปล่อยพลุกันอยู่ แต่เวลานั้นจะไม่ตรงกัน
เจ้าหมาป่ากับเจ้ากระรอกเฝ้ารอคอยดูพลุอย่างใจจดใจจ่อ พลุ
ไม่ ไ ด้ จ ุ ด รวมกั น แค่ จ ุ ด เดี ย ว แต่ ย ั ง มี จ ากบรรดาหมู ่ บ ้ า นรอบ
บริเวณเขานิ้วเดียวด้วย พ้นจากนั้นก็จะเป็นเทือกเขาฉางป๋าย ที่
รายล้อมไปด้วยผืนป่าขนาดใหญ่ ซึ่งไม่มีผู้อยู่อาศัย
ตอนที่ 134 : โลลิอาวุธครบมือ
พอเป็นอย่างนั้น เวลาที่มีพลุถูกจุด เจ้าหมาป่าก็จะวิ่งแจ้นไปหาที่
นั่งดูทันที ส่วนเจ้ากระรอกนั้นก็อยู่บนหลังเจ้าหมาป่าตั้งแต่ ต้น
จนจบ มือกำขนหมาป่าไร้ฝูงแน่นถือโอกาสขี่แบบฟรี ๆ เรียกได้
ว่าพวกมันทั้งคู่กำลังมีความสุขอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
ฟางเจิ้งนั้นคุ้นเคยกับพลุไฟอยู่แล้ว ถ้าเทียบกัน เขาอยากไปเห็น
เทศกาลไฟถนนมากกว่า
ขณะฟางเจิ้งกำลังเฝ้าดูจากบนยอดเขาอยู่นั้น เขาก็เห็นคนกำลั ง
เข็นรถขนไฟออกมาพอดี
ฟางเจิ้งร่าเริงขึ้นมาทันควัน จนกระโดดโลดเต้นแล้วตะโกนว่า
“อาตมาจะลงเขา จะตามมาไหม?”
เจ้าหมาป่ากับเจ้ากระรอกที่กำลังดูพลุอยู่จากไกล ๆ หันมามอง
พอพลุถูกจุดอีกสองสามดอกก็หมดแล้ว พวกมันจึงวิ่งมาร่วม
ขบวนกับฟางเจิ้งทันที แล้วฟางเจิ้งก็พาสัตว์ทั้งสองลงเขาไป
ด้วยกัน
เทศกาลไฟถนน เป็ น ประเพณี ป ระจำของหมู ่ บ ้ า นนิ ้ ว เดี ย ว
เมื่อก่อนแต่ละบ้านจะเตรียมสำลีผสมแกลบข้าว แล้วปั้นเป็นก้อน
กลม จากนั้นนำไปจุ่มในน้ำมันดีเซล แล้วก็จุดก่อนเอาไปโยนลง
บนท้องถนน
ในอดีตจะใช้น้ำมันถั่วเหลืองกัน แล้วเอาไปโยนรอบ ๆ บ้าน ด้วย
หวังว่าปีใหม่ที่จะถึงนั้นจะรุ่งเรืองโชติช่วงเหมือนลูกไฟนั่นเอง
ทว่าทำแบบนั้นเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัยเกินไป
แถมคนรุ่นเยาว์ก็ไปทำงานในตัวเมืองมากขึ้น จึงละทิ้งบรรดา
ประเพณีปีใหม่ท้องถิ่นไปมาก ดังนั้นชาวบ้านจึงเลิกทำไฟถนน
แต่เลือกบ้านตัวแทนมาหลังหนึ่ง แล้วทำการจุดลูกเพลิง
อย่างไรเสียตอนนี้เทศกาลไฟถนนนั้นค่อนข้างไม่เหมือนต้นฉบับ
เท่าไรนัก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือปลูกข้าวโพดกันมาก ดังนั้น
ทุกครอบครัวจึงมีเม็ดข้าวโพดไม่น้อย พอนำไปตากแห้งแล้วจุ่ม
ลงในน้ำมันดีเซล หลังจากจุดไฟก็จะอยู่ได้นานขึ้น
ตอนที่ฟางเจิ้งลงเขามา ก็เห็นเจ้าลูกหมาซ่งกำลังเข็นรถเข็นเหล็ก
พอดี ภายในรถมีเสียงไฟปะทุอยู่เรื่อย ๆ ในกองไฟจะเห็นเป็น
บรรดาเม็ดข้าวโพดตากแห้งจุ่มน้ำมันดีเซล โดยเจ้าลูกหมาซ่งจะ
ใช้พลั่วตักกองไฟเล็ก ๆ มาวางตรงกลางถนน พอกองไฟโดนลม
พัดก็จะสั่นไหววูบวาบ สว่างไสวสวยงามสุด ๆ
ฟางเจิ ้ ง ยิ ้ ม “ประสกซ่ ง ปี น ี ้ บ ้ า นของท่ า นเป็ น ตั ว แทนของ
เทศกาลถนนไฟงั้นหรือ?”
เจ้าลูกหมาซ่งหันมามอง พอเห็นเป็นฟางเจิ้งก็ตาเป็นกระกาย
ทันที “ใช่แล้ว! เมื่อก่อนฉันทำตัวแย่มาก แต่พอปีนี้ฉันทำตัวดี
ขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านจึงเห็นว่าฉันพึ่งพาได้ เลยให้งานนี้กับฉันน่ะ
ว่าแต่เจ้าอาวาส ทำไมท่านลงเขามาล่ะ?”
ฟางเจิ้งมองเจ้าลูกหมาซ่งที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขา
พูดอย่างยิ้มแย้ม “วันนี้เป็นวันที่สิบห้า อาตมาเลยลงมาร่วมงาน
เทศกาลด้วย”
“ถ้าฉันชวนได้ ก็คงชวนท่านลงเขามาตั้งนานแล้ว บนนั้นดูน่าเบื่อ
ชะมัดยาด” ขณะเจ้าลูกหมาซ่งกำลังพูด เขาก็ตัก ไฟอีกกองวาง
ไว้บนถนนไปด้วย พอตักเสร็จก็ยิ้มออกมา “หึหึ ตอนเห็นหัวหน้า
หมู่บ้านทำก็คิดว่าไม่เยอะหรอก แต่พอปีนี้มาทำเอง บอกเลยงาน
หนักไม่น้อยนะเนี่ย ไฟก็อย่างร้อน”
จิตใจฟางเจิ้งเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง “งั้นขออาตมาทำ
หน่อยได้หรือไม่?”
“ท่านเหรอ?” เจ้าลูกหมาซ่งผงะ
ฟางเจิ้งยิ้ม “มีปัญหาอะไรหรือ?”
“รถเข็นนี่ค่อนข้างหนักเอาการ ถ้าท่าน......เอิ่ม คิดว่าฉันไม่ได้พูด
อะไรก็แล้วกันเนอะ” ก่อนที่เจ้าลูกหมาซ่งจะพูดจบ ก็เห็นฟาง
เจิ้งเข็นรถไปแล้ว แถมท่าเดินยังดูเบาตัวสุด ๆ เทียบกับเจ้าลูก
หมาซ่งที่คอยหลบไฟอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้ว ท่าทางของฟาง
เจิ้งเยี่ยมยอดเยอะกว่าอีก
เจ้าลูกหมาซ่งเห็ น แบบนี้ก็ วิ ่งตามพลางหัวเราะ “เจ๋ง! ท่าน
แข็งแรงมาก”
ฟางเจิ้งยิ้ม “บนเขาไม่มีอะไรให้ทำนอกจากฝึกร่างกาย ปล่อย
รถเข็นนี่ให้อาตมาจัดการเถอะ เดี๋ยวอาตมาทำที่เหลือให้เอง”
เจ้าลูกหมาซ่งพยักหน้า หลังจากเตือนให้ฟางเจิ้งระวังนู่นนี่นั่น
เสร็จ เขาก็จากไปเพราะมีคนเรียกหา
ฟางเจิ้งไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงผลักรถเข็นแล้วตักไฟลงถนน
ไปเรื่อย ๆ หมาป่าไร้ฝูงที่ค่อนข้างกลัวไฟ ก็คอยตามหลังอยู่ห่างๆ
ส่วนเจ้ากระรอกเห็นเจ้าหมาป่าขี้ กลัวขนาดนี้ก็ไม่พอใจ เลย
กระโดดลงจากหลั ง มั น แล้ ว ปี น มาที ่ ไ หล่ ข องฟางเจิ ้ ง ถึ ง เจ้ า
กระรอกจะกลัวไฟที่แดงฉานนี่ไม่น้อย แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วย
ความตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน มันกุมมือแน่นขณะมองลูกไฟ
ด้วยดวงตาลุกโต
ตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างถูกโยนลงมาในรถเข็น!
ปั้ง! เกิดเสียงระเบิดขึ้น! เมื่อก่อนจะเป็นฟางเจิ้งที่แกล้งคนอื่น
ดังนั้นเขาจึงไม่ตกใจกลัวแม้แต่น้อย แต่เป็นกระรอกที่สะดุ้งตกใจ
จนเกือบตกจากไหล่ของฟางเจิ้ง
จากนั้นก็เป็นเสียงหัวเราะดังมาจากไกล ๆ เป็นเหล่าเด็กน้อยที่
ถือโคมไฟเดินเข้ามา บางคนกำลังเล่นหูเล่นตาใส่ฟางเจิ้ง พวกเขา
ตะโกน “พี่ฟางเจิ้ง ตกใจเปล่า?”
ฟางเจิ้งกลอกตา “หลิวรุ่ย อยากโดนส่งไปสวรรค์งั้นรึ ? หลายปี
นู้น อาตมาต่างหากที่เป็นหัวโจกกลั่นแกล้งคน และก็เป็นอาตมา
นี่แหละที่รับผิดแทนประสก วันนี้ริอาจมาแกล้งอาตมา? เชื่อ
หรือไม่ว่าเป็นตัวประสกเองนั่นแหละที่จะร้องไห้ขี้มูกโป่ง?”
“พี่ฟางเจิ้งอย่าขู่ผมเลยน่า แม่ผมบอกว่าพี่กลายเป็นพระแล้ว
ย่อมไม่อาจทำอะไรพวกเราได้ แม่ยังบอกให้มาเรียนรู้กับพี่อยู่
เลย” ดวงตาของหลิวรุ่ยสุกสดใส แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็ก
ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แต่ก็เป็นตัวปัญหาเช่นกัน
ฟางเจิ ้ ง ครุ ่ น คิ ด ไม่ ค ิ ด เลยว่ า เด็ ก เกเรแบบเขาจะกลายเป็ น
ต้นแบบคนดีไปได้ ไม่แน่ใจว่าตนเองควรจะภูมิใจดีหรือเปล่านะ?
บางทีเขาควรได้รับรางวัลดอกไม้แดงจากหวังโย่วกุ้ยนะเนี่ย
จากนั้นก็มีประทัดโยนเข้ามาอีกครั้ง ซึ่งเป็นแบบขนาดเล็ก โดน
ไฟแป๊บเดียวก็ระเบิดแล้ว เป็นของแกล้งคนชั้นดีทีเดียว
ฟางเจิ้งไม่ได้เป็นเด็กเกเรเหมือนเดิมแล้ว พอเห็นประทัดขนาด
เล็กนั้นโยนเข้ามา ก็ยกขาขึ้นแตะกลับไปทันที ทำเอาหลิวรุ่ย
ตกใจจนต้องกระโดนหลบเสียเอง!
แต่หลิวรุ่ยยังไม่ยอมแพ้ เขารีบตะโกน “นาน ๆ ทีพี่ฟางเจิ้งจะลง
จากเขา พี่น้องทั้งหลาย ต้อนรับเขาหน่อยเร็ว!”
จากนั้นกลุ่มเด็กเหลือขอกว่าสิบคนก็จุดประทัดแล้วโยนมาทาง
ฟางเจิ้งที่กำลังสับสนงงงวย——พวกกบฏ! ฟางเจิ้งกวาดมือวูบ
หนึ่งก็รวบประทัดได้ส่วนหนึ่ง จากนั้นก็โยนกลับไป ฉับพลัน
ประทัดก็ระเบิดออก ทำเอาพวกเด็ก ๆ กรีดร้องลั่น แถมส่วน
ใหญ่ยังหัวเราะอย่างสนุกสนานกันอีก
แต่ไม่มีทางที่ฟางเจิ้งจะรับไว้ได้หมด ส่วนหนึ่งหล่นลงไปในรถเข็น
พอระเบิดก็ส่งประกายไฟออกมา มีสองดวงที่อันหนึ่งถูกลมพัด
ตกใส่หัวเจ้ากระรอก ส่วนอีกอันก็ถูกลมพัดไปโดนเจ้าหมาป่า
กลิ่นขนไหม้ของพวกมันลอยคลุ้งทันควัน
ฟางเจิ้งสูดดม “กลิ่นไม่เลวเลย อาตมาควรโกนขนให้พวกเจ้า
หน่อยนะเนี่ย”
แล้ ว ฟางเจิ ้ ง ก็ โ ดนเจ้ า กระรอกกั บ เจ้ า หมาป่ า ค้ อ นขวั บ รู ้ สึก
หงุดหงิดนิดหน่อย พวกมันไปทำอะไรใครเข้า ถึงต้องโดนเด็กเวร
พวกนี้กลั่นแกล้งเนี่ย?!
พอเด็ก ๆ เห็นความหาญกล้าของฟางเจิ้ง ก็รีบแตกกระจายไป
ทันที เสียงหัวเราะกับเสียงประทัดค่อย ๆ เลือนหาย
ตอนนั้นเองก็มีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งมาหา เงยหน้ามองฟางเจิ้งแล้ว
พูดว่า “พี่ฟางเจิ้ง อันนี้หนูให้ หลิวรุ่ยขี้แกล้งมาก เอานี่ไป
จัดการเขาเลยค่ะ!”
ฟางเจิ้งมอง ยัยเด็กนี่เอาประทัดลอยฟ้ามาให้เขา! เขารีบรับมา
อย่างไว บนนั้นเขียนสามคำ ‘สนั่นลั่นสวรรค์’! ฟางเจิ้งไม่ รู้จะ
หัวเราะหรือร้องไห้ดี เอาอันนี้ไปตอบโต้กลับเนี่ยนะ? ทำเอาฟาง
เจิ้งนึกถึงคำพูดของนายทหารในละครโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง ‘ดาบ
สะท้าน[1]’ ได้เลย “กองพันที่สอง เอาปืนใหญ่ออกมายิงแม่*!”
ขืนเอาเจ้านี่ไปใช้จริง ๆ พ่อแม่ของหลิวรุ่ยได้คลั่งตายแหง!
“อาตมาขอเก็บไว้ก่อนแล้วกัน สีกามีอะไรเล็ก ๆ หรือไม่ ? อันนี้
มันแรงไป” ฟางเจิ้งยิ้ม
คราวนี ้ เ ด็ ก สาวหยิ บ ประทั ด เล็ ก ขึ ้ น มากล่ อ งใหญ่ แล้ ว ก็ เ ม็ ด
กระเทียมอีกกล่องหนึ่ง
ฟางเจิ้งเห็นปุ๊บก็พูดอะไรไม่ออก เป็นประทัดเล็กแบบขนาดแรง
เป็นพิเศษ! แค่แท่งเดียวก็แรงกว่าที่หลิวรุ่ยใช้ ไปสามสี่เท่าแล้ว
เฟ้ย! เม็ดกระเทียมก็ไม่ต่างกัน ใหญ่เกือบเท่าขวดน้ำยาทาเล็บ
แน่ะ! ถ้าโยนลงไปบนพื้น เสียงดังสนั่นอย่างกับฟ้าผ่าแน่! ดีที่โยน
ได้แต่บนพื้นแข็ง ๆ ยังดีที่เปลือกทำจากกระดาษ ไม่มีวัสดุชนิด
หยาบแข็งห่อหุ้ม เลยยากที่จะทำให้คนบาดเจ็บ

[1] ดาบสะท้ า น (亮剑) หนึ ่ ง ในละครโทรทั ศ น์ อ ิ ง ประวั ติ


ศาสตร์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศจีน ฉายเมื่อปี
ค.ศ. 2005 มีเค้าโครงเรื่องมาจากนวนิยายชื่อเดียวกัน
ตอนที่ 135 : คำเชิญจากวัดป๋ายอวิ๋น
ฟางเจิ้งสงสัยตัวพ่อแม่ ของเด็กสาวคนนี้สุด ๆ พวกเขาต้องกลัว
คนมารังแกลูกสาวตัวเองขนาดไหนกันเนี่ย? เรียกได้ว่าแบกอาวุธ
สงครามไปไหนมาไหนได้เลยนะ!
พวกเด็ก ๆ โยนประทัดใส่กันเป็นเรื่องธรรมดามากในหมู่บ้าน
แต่ยัยหนูนี่แบกอาวุธทำลายล้างไปมาก็เกินไปหน่อยไหม!
“เหมิงเมิ่งขอบคุณนะ งั้นอาตมาขอสองกล่องนี่เลยแล้วกัน อะ
เอาไป อาตมาให้หนึ่งร้อยหยวน ไปซื้อขนมกินเถอะ แล้วก็ซื้อเม็ด
กระเทียมมาให้อาตมาด้วย” ฟางเจิ้งไม่คิดจะเอาของจากเด็ก
สาวมาเปล่า ๆ หรอก ฟางเจิ้งลูบหัวที่ทักเปียของเหมิงเมิ่ง ก่อน
จะยื่นเงินร้อยหยวนให้

หลังจากนั้นฟางเจิ้งก็ได้ยินเสีย งระบบแจ้งว่า 【ติ้ง! แจ้งเตือน


เงินที่ท่านได้รับส่วนมากเป็นเงินถวายทาน และเงินส่วนนั้นไม่
อาจใช้ซื้อของในทางโลก รวมไปถึงให้ผู้อื่นซื้อของแทน ทว่าท่าน
ยังมีเงินเก็บเหลืออยู่บ้าง เหลือเงินทั้งหมด สองร้อยสามสิบหก
หยวนกับอีกห้าสิบเจียว! ตอนนี้ท่านให้เงินเหมิงเมิ่ง ไปแล้วหนึ่ง
ร้อย เงินคงเหลือในบัญชีสำหรับใช้จ่ายของในทางโลกจึงเท่ากับ
หนึ่งร้อยสามสิบหกหยวน กับอีกห้าสิบเจียว!】
พอฟางเจิ้งฟังจบก็นิ่งไปทันที ได้แต่เหลือบมองธนบัตรร้อยหยวน
ในมือเหมิงเมิ่งอย่างเจ็บปวด! รู้สึกสนุกจัดจนลืมกฎของระบบไป
เลย ดีมาก ตอนนี้เงินแทบหมดตัวแล้วเนี่ย!
แต่ให้ ก็ให้ไปแล้ว จะพูดอะไรได้? อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีค่าใช้จ่าย
อื่น ๆ งั้นก็ช่างมันเถอะ ใช่ว่าเขาจะขอเงินคืนได้สักหน่อย ขืนทำ
ก็ได้ขายชี้หน้าตายชัก
ดวงตาเหมิงเมิ่งเป็นประกายวิ้งวับ “ขอบคุณค่ะพี่ฟางเจิ้ง รอ
แป๊บหนึ่งนะคะ” จากนั้นเหมิงเมิ่งก็วิ่งจากไป
ฟางเจิ้งมองตามหลังอันร่าเริงสดใสของเด็กสาวก็ลอบยิ้มในใจ นี่
แหละคือความรู้สึกรื่นเริงของเทศกาลปีใหม่ในหมู่บ้าน!
ฟางเจิ้งทำไฟถนนต่อไป ไม่นานเหมิงเมิ่งก็ กลับมาพร้อมกล่องสี
แดงในมือ “พี่ฟางเจิ้งดูสิ หนูซื้อมาเยอะเลย! แค่นี้พอไหมคะ?”
ฟางเจิ้งมองตาค้างไปวูบ——เชี่ย! มีเป็นถุงเลยเว้ย! ถึงหัวใจจะ
ร้องครวญด้วยความเจ็บปวด แต่ฟางเจิ้งก็ยังทำสีหน้าปกติต่อไป
ต้องทนไว้ น้ำตาห้ามไหลนะ! ยอมตายดีกว่ายอมแสดงความ
เจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจ! ดังนั้นเขาจึงยิ้ม “พอแล้วล่ะ พอแล้ว
ขอบคุณนะเหมิงเมิ่ง เงินที่เหลืออาตมาให้”
“ขอบคุณค่ะพี่ฟางเจิ้ง!” เหมิงเมิ่งโบกเงินห้าสิบหยวนในมือ
อย่างมีความสุขขณะวิ่งกระโดดโลดเต้นจากไป ฟางเจิ้งมองเด็ก
สาวในชุดเขียวคนนี้ด้วยอารมณ์อันยากจะอธิบาย...
เจ้ากระรอกชะโงกหน้ามอง ก่อนจะหันมาดูฟางเจิ้งอย่างสงสัย
ใคร่รู้
ฟางเจิ ้ ง หยิ บ เม็ ด กระเที ย บโยนลงบนพื ้ น จนเกิ ด เสี ย งดั ง ปั้ ง
จากนั้นก็บอก “เห็นไหม? ถ้าเอาเจ้านี่โยนลงบนพื้นก็จะเกิด
เสียงดัง ปั้ง! ไว้ใช้.......#¥%¥#&”
ฉับพลันฟางเจิ้งก็กลายร่างจากพระภิกษุสงฆ์เป็นจอมมาร...
ส่วนมารตัวน้อยที่อยู่ตรงไกล ๆ โน้น ไม่รู้เลยว่ากำลังจะโดนจอม
มารตัวจริงเขมือบลงท้อง!
“เจ้าพวกเด็กเวร หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” หวังโย่วกุ้ยด่าฉอด ๆ ไม่หยุด
มาจากไกล ๆ พวกเด็ก ๆ ร้องกรี๊ดกร๊าดวิง่ หนีกระเจิดกระเจิง......
สีหน้าหวังโย่วกุ้ยดูสิ้นหวังเต็มทน พอเห็นถนนไฟก็พยายาม
ระมัดระวังมากขึ้น ยังไม่ทันจะได้จัดการอะไรต่อ พวกเด็กเกเร
ทั้งหลายนั่นก็วิ่งแจ้นกลับมาเสียก่อน!
“ลุงหวังช่วยด้วยยยย! มีกระรอกไล่ตามพวกเรา! มันดุมากเลย!”
หลิวรุ่ยกรีดร้องขณะวิ่งหนีนำขบวนมา ส่วนเด็กคนที่เหลือก็ไม่
ต่างกัน
หวังโย่วกุ้ยฉายสีหน้างุนงง “มีกระรอกไล่ตาม? แถมดุมากด้วย?
เจ้าเด็กเวรนี่! พูดอะไรที่มันน่าเชื่อถือหน่อยไม่ได้เรอะ?!”
——ปั้ง ปั้ง ปั้ง!
ขณะเขากำลังพูด เสียงเม็ดกระเทียมระเบิดก็ดังสนั่นตามมาติดๆ!
ทำเอาหวังโย่วกุ้ยสะดุ้งตกใจไปด้วยอีกคน ก่อนที่เขาจะได้เอ่ย
ปากด่า ก็ชะงักไปในทันใด!
เขาเห็นหมาป่าขนสีเงินกำลังไล่ตามพวกเด็ก ๆ บนหลังของมันมี
กระเป๋าพาดไว้อยู่ โดยมีกระรอกยืนอยู่ตรงคอ เจ้ากระรอกจะ
ล้วงเม็ดกระเทียมออกจากกระเป๋าแล้วก็โ ยนออกมาอยู่เรื่อย ๆ
ใส่เจ้าพวกเด็กเหลือขอนั่นให้วิ่งแจ้นหนีเตลิดกรีดร้องไปทั่ว…...
“นั่นมัน...หมาป่ากับกระรอกของฟางเจิ้งนี่นา กลายร่างเป็น
ปีศาจไปแล้วเหรอ?” หวังโย่วกุ้ยรู้ว่าเจ้าหมาป่าแสนรู้มาก แต่ไม่
คิดเลยว่าเจ้ากระรอกก็ฉลาดไม่ต่างกัน ถึงกับขี่หมาป่าออกมา
โยนระเบิดใส่พวกเด็ก ๆ......
ดีที่เจ้ากระรอกไม่ได้โยนเม็ดกระเทียมใส่ระเบิดโดยตรง แต่จะ
โยนใส่พื้นแทน เลยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อแค่ออกมาหยอก
พวกเด็กเล่น ๆ หวังโย่วกุ้ยเลยไม่ได้สนใจอะไรอีก
ตอนนั้นเองฟางเจิ้งก็เข็นรถเข้ามาใกล้ ข้างหลังเขาเห็นลูกไฟเรียง
ตัวเป็นแนวยาว ทำให้หมู่บ้านดูสุกสว่างขึ้นมากทีเดียว
“ประสกหวังสบายดีไหม?” ฟางเจิ้งถามกลั้วหัวเราะ พอไม่มี
พวกเด็กเกเรมาสร้างปัญหา จะสร้างไฟถนนก็ง่ายนิดเดียว
“สบายดี ๆ เพิ่งออกมาเดินเล่นนี่ แหละ ว่าแต่ฟางเจิ้ง ทำไมเธอ
ถึงมาทำถนนไฟได้ละ? ไม่ใช่ว่าเป็นงานของเจ้าลูกหมาซ่งเหรอ
ไง?” หวังโย่วกุ้ยสงสัย
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “อาตมาเห็นว่าน่าสนุก เลยขอทำเองน่ะ”
หวังโย่วกุ้ยพยักหน้า “งั้นเธอควรรีบ ๆ ได้แล้วนะ พวกเราจะจุด
กองไฟกันแล้วล่ะ ปีนี้พวกเราจะยอมหมู่บ้านอื่นไม่ได้ ขืนให้พวก
เขาจุดถนนไฟมาจนถึงหมู่บ้านเราได้ล่ะก็ ได้ขายขี้หน้าแหง”
ฟางเจิ้งจึงนึกขึ้นได้ว่า เทศกาลถนนไฟไม่ใช่แค่จะจุดไฟหมู่บ้าน
ตนเองเท่านั้น แต่ยังมีการแข่งขันระหว่างหมู่บ้านด้วย พวกเขา
จะร่วมใจกันจุดถนนไฟให้มันเชื่อมต่อกัน
ถ้าหมู่บ้านไหนทำตัวชักช้าล่ะก็ จะโดนหมู่บ้านอื่นจุดถนนไฟ
มาถึง มีความเชื่อว่าจะเป็นการโอนถ่ายโชคดีเข้าไปสู่หมู่บ้านที่ทำ
ถนนไฟไปถึงหมู่บ้านอื่น ถึงจะดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่
จริงๆ แล้วประเด็นหลักก็แค่กระตุ้นให้ชาวบ้านตื่นเต้นกันเล่น ๆ
เท่านั้นเอง ไป ๆ มา ๆ เลยกลายเป็นการแข่งขันไปโดยปริยาย
แน่นอนว่าสมาชิกที่เข้าร่วมนั้นจำกัดไว้อยู่ เพราะถ้าคนมาก ก็
ปัญหามาก แถมยังมีเรื่องความปลอดภัยเข้ามาเอี่ยวอีก หนึ่ง
หมู่บ้านเลยจุดถนนไฟได้แค่เส้นเดียวเท่านั้น
ฟางเจิ้งพูดทันที “ประสกไม่ต้องเป็นห่วงไป เดี๋ยวอาตมาก็ทำ
เสร็จแล้ว”
ฟางเจิ้งหัวเราะหึหึแล้วเข็นรถจากไป ฟางเจิ้งเชี่ยวชาญกังฟู
พละกำลังก็ล้นเหลือ มือก็นิ่งอย่างยิ่ง กลายเป็นว่าเข็นรถไปด้วย
กับทำถนนไฟไปด้วยในความเร็วดุจปีศาจ! ไม่นานทั้งหมู่บ้านก็
พร้อมที่จะ ‘โจมตี’ ใส่หมู่บ้านอื่น ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นเส้น
ถนนไฟจากไกล ๆ กำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูหมู่บ้านอื่นแล้ว
สิ
ฟางเจิ้งรีบเร่งมือ พออีกหมู่บ้านหนึ่งทำเส้นถนนไฟมาถึงหมู่บ้าน
นิ้วเดียว ฟางเจิ้งก็ออกไปได้ครึ่งทางแล้ว ยิ่งเห็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็
บ่นพึมพำทันที
ฟางเจิ้งกลับหลังหันแล้วหัวเราะหึหึ กิจกรรมนี้จัดเอาสนุก ๆ
โจมตีจริงจังไปก็เท่านั้น
คราวนี้พออีกฝ่ายเห็นฟางเจิ้งหันกลับมา ก็ตะโกนอะไรบางอย่าง
เหมือนกำลังจะเมาอยู่หรืออะไรประมาณนั้น......
ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เหลือก็กำลังยุ่งวุ่นวาย ถนนไฟก็เชื่อมกัน
แล้ว นำพาความอบอุ่นตลบอบอวลไปทั่วอาณาเขตในช่วงหน้า
หนาว พวกเขาจะจุดกองไฟตรงทางแยกถนน แล้วผิงไฟพูดคุย
กันอย่างสนุกสนาน บ้างจุดพลุ จากนั้นความคึกคักของวันที่ 15
ของปีใหม่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นลงเช่นนั้นแล
วันต่อมาฟางเจิ้งตื่นขึ้นในวัดอันเงียบสงบ เหมือนฉากอันรื่นเริง
เมื่อคืนวานเป็นเพียงภาพฝัน
เขาส่ายหัวเบา ๆ ล้างหน้า เช็ดกวาดถูห้องโถง ฉันอาหารเช้า —
—วันที่สงบสุขอีกวัน
ตอนนั้นเองที่ฟางเจิ้งได้ยินเสียงอันคุ้นเคย “พระอาจารย์ อยู่
หรือเปล่าครับ?”
ฟางเจิ้งเดินออกมาดูแล้วเผยยิ้ม เขาพนมมือก่อนจะพูด “อามิต
ตาพุทธ เป็นประสกนั่นเอง มีของมาส่งอาตมางั้นหรือ?”
ฟางเจิ้งสับสนนิดหน่อย มีใครส่งของให้เราอีกแล้วหรือไง? พวก
จ้าวต้าถงเหรอ? ไม่น่ามั้ง?
คนที่มาก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจาก——หูทั่นจากบริษัทส่งของ
ด่วนจี๋ วัดนิ้วเดียวบ้านนอกเกินไปไม่มีใครในบริษัทส่งของด่วนจี๋
อยากมาหรอก แต่หูทั่นนั้นต่างออกไป เขาทราบดีว่าฟางเจิ้ง
ยอดเยี่ยมแค่ไหน ท่านสามารถแนะให้เขาพ้นเคราะห์ได้ ดังนั้น
เขาจึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะมาส่งของให้ที่วัดนิ้วเดียว
ทว่ารอมาเนิ่นนาน ก็ไม่มีใครคิดจะส่งของมาถึงที่นี่เลย กว่าจะมีก็
ปาไปสิ้นปีแล้ว พอเห็นว่ามีจดหมายมา เขาเลยรีบขึ้นเขามาส่ง
ทันที
ฟางเจิ้งพอก้มดูก็ชะงักไปทันที “วัดป๋ายอวิ๋น ? วัดป๋ายอวิ๋นส่ง
จดหมายมาให้อาตมา?”
“อ่า ใช่ครับ ที่อยู่ชัดขนาดนี้ ไม่น่าพลาดหรอกครับ” หูทั่นตอบ
ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วเซ็นรับ “ขอบคุณประสก”
ตอนที่ 136 : เล่ห์กล
“ด้วยความยินดีครับ ยังไงก็เป็นงานผมอยู่แล้ว งั้นขอผมไปจุดธูป
ไหว้ พ ระหน่ อ ยนะครั บ เดี ๋ ย วผมต้ อ งรี บ ลงเขาซะด้ ว ย พระ
อาจารย์ ถ้าท่านยุ่งอยู่ ไม่ต้องมาดูแลผมก็ได้นะครับ” จากนั้ น
หูทั่นก็เดินไปที่ห้องโถงวัด พอเงยหน้าก็เห็นว่าพุทธรูปโพธิสัตว์
หายไปแล้ว ในป้ายทองคำ เป็นรูปโพธิสัตว์สององค์แทน ซึ่งเป็น
ปางของเจ้าแม่กวนอิมทั้งสิ้น
หลังจากเรื่องคราวนั้น หูทั่นก็อ่านเกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น จึง
ทราบว่าหนึ่งในนั้นเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันเนตรพันกรที่ศักดิ์สิทธิ์
มาก สามารถขอพรได้ ค รอบคลุ ม ยิ ่ ง กว่ า เจ้ า แม่ ก วนอิ ม ปาง
ประทานบุตร แต่หูทั่นไม่ได้เป็นคนโลภมาก จึงขอให้ครอบครัว
เขากับตัวเองพบเจอแต่ความสงบสุข จากนั้นก็จุดธูปธรรมดาแล้ว
กล่าวลา
หลังจากส่งหูทั่นไปแล้ว ฟางเจิ้งก็เปิดจดหมายดู ที่แท้เป็นใบเชิญ
นั่นเอง พออ่านเสร็จก็ผงะไปทันที
“วัดป๋ายอวิ๋นจะจัดพิธีสรงน้ำพระต้นเดือนหน้าเลยคิดจะชวนเรา
ไปงั้นเหรอ?” ฟางเจิ้งประหลาดใจสุด ๆ!?
วั ด ป๋ า ยอวิ ๋ น ถื อ เป็ น วั น ขนาดกลางค่ อ นไปทางใหญ่ มี พ ื ้ น ที่
กว้างขวางคลุมไปทั่วยอดเขาป๋ายอวิ๋น ตลอดปีจะจัดพิธีสรงน้ำ
พระหลายรอบ เกื อ บเดื อ นละครั ้ ง ได้ แต่ พ ิ ธ ี สรงน้ ำ พระหลั ง
เทศกาลปีใหม่จะใหญ่สุด เรียกได้ว่าเป็นพิธีสรงน้ำพระต้อนรับปี
ใหม่ก็ว่าได้
พิธีนี้ต้องการอวยพรแก่ทุกคนในโลก ดังนั้นเพียงแค่วัดเดียวจัดคง
เป็นเรื่องยากเกินไป จึงมีการเชิญชวนวัดอื่น ๆ ให้มาร่วมด้วย
ช่วยกัน ทุกวัดที่เข้าร่วมก็จะมีการลงชื่อในใบประกาศ แล้วถูก
ปรินต์ใส่โปสเตอร์ที่แขวนอยู่ข้างนอกวัดด้วย พอเป็นแบบนั้น
พวกผู้สื่อข่าว ศิษยานุศิษย์ และพวกที่มาร่วมเทศกาลก็จะเห็น
โปสเตอร์พวกนั้น เรียกได้ว่าเป็นการโฆษณาวัดอื่น ๆ ไปในตัว
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่วัดต่าง ๆ รับรู้กันว่า ถ้าถูกวัดป๋ายอวิ๋น
เชิญไปร่วมงานสรงน้ำต้อนรับปีใหม่ ก็เท่ากับว่าวัดตนเองได้รับ
การรับรองว่าเป็นวัดโดยแท้จริง ส่วนพวกที่ไม่ได้รับการรับรอง
ก็ไม่ต่างไปจากวัดนอกรีต ถึงแม้การทำแบบนี้จะไม่ได้รับการ
ยอมรับอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปก็เชื่อ
กันแบบนี้อยู่ดี ——ถ้าวัดป๋ายอวิ๋นไม่เชิญท่าน เช่นนั้นท่านจะ
เรียกตัวเองว่าเป็นวัดได้อย่างไร? วัดปลอม? พวกหลอกลวง?
นี่แหละคืออิทธิพลของวัดป๋ายอวิ๋น!
เพราะได้ผลประโยชน์เช่นนี้ วัดจำนวนนับไม่ถ้วนจึงกระโดดเข้า
ร่ ว มงานสรงน้ ำ พระต้ อ นรั บ ปี ใ หม่ ข องวั ด ป๋ า ยอวิ ๋ น แต่ พ ระ
อาจารย์ป๋ายอวิ๋นของวัดป๋ายอวิ๋นไม่ใช่คนที่ถือแก่ผลประโยชน์
ดังนั้นท่านจะส่งจดหมายเชิญไปทุกวัดที่รู้จัก โดยไม่สนใจขนาด
ของวัดนั้น ๆ เพราะเป็นแบบนี้ ท่านเลยไดรับความนับถือจาก
เมืองเฮยซานมาก ไม่มีใครมองในแง่ร้ายแม้แต่น้อย
อย่างไรเสีย เมื่อก่อนวัดนิ้วเดียวไม่เคยได้รับใบเชิญแม้แต่น้อย
เพราะว่าอยู่ห่างไกลปืนเที่ยงเกินไป แถมพระอาจาย์อี้จื่อก็ทำตัว
ถ่อมตนเสมอ วัดป๋ายอวิ๋นจึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่าแถวนี้มีวัดด้วย ทำ
ให้วัดนิ้วเดียวไม่เคยเข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระของวัดป๋ายอวิ๋นเลย
ตอนนั้นพระอาจารย์อี้จื่อมักจะมองไปทางวัดป๋ายอวิ๋น ก่อนจะ
พึมพำเสียงค่อย สวดมนต์ร่วมกับคนในงานอยู่ทุกปี ฟางเจิ้งยิ้ม
“บิดาผู้เฒ่าอี้จื่อ ท่านไม่เคยได้มีโอกาสเข้าร่วมเลยสินะ วันนี้ผม
ได้รับคำเชิญแล้ว ท่านต้องยินดีมากแน่เลยสินะ? ฮี่ฮี่......”
ฟางเจิ้งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเก็บใบเชิญไป พิธีสรงน้ำจัดตั้งเดือน
หน้า ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งเดือน ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก
วันที่เหลือ ฟางเจิ้งก็ทำความสะอาดวัด อ่านพระสูตร ฝึกคัด
อักษร พาสุนัขเดินเล่น หยอกเจ้ากระรอก และอื่น ๆ ไปตามวิสัย
ถือเป็นวันที่สงบสุขไม่น้อย
ทว่า...มีคนผู้หนึ่งใจไม่สงบสุขเลย
“อะไรนะ? วัดป๋ายอวิ๋นเชิญวัดนิ้วเดียวให้เข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระ
ต้อนรับปีใหม่งั้นเหรอ?” อู้หมิงมองพระตรงหน้าอย่างตกตะลึง
“ศิษย์พี่ อาตมาก็เพิ่งทราบเช่นกัน ข่าวนี้แน่นอนแล้วล่ะ ใบเชิญ
ถูกส่งไปแล้ว อาตมาทราบว่าท่านมีเรื่ องตะขิดตะขวงใจกับวัดนิ้ว
เดียว จึงรีบมาแจ้งท่านไว้ก่อน” หงเสียงพูด
“หงเสียง ทำดีมาก ในอนาคต อาตมาต้องตอบแทนแน่นอน เรื่อง
นี ้ เ ดี ๋ ย วอาตมาจั ด การเอง อย่ า บอกใครอี ก เข้ า ใจหรื อ ไม่ ?
โดยเฉพาะศิษย์พี่อู้ซิน ห้ามให้ท่านทราบเด็ดขาด ศิษย์พี่เขาเถร
ตรงเกินไป มักจะคอยตั ดสินอาตมาเสมอ จะเป็นปัญหาเอาได้”
อู้หมิงสั่ง
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นห่วงไป อาตมาอยู่ฝั่งท่าน ศิษย์พี่อู้ซินหัวแข็ง
เกินไปจริง ๆ” หงเสียง
อู้หมิงพยักหน้า เริ่มคิดหาวิธีจัดการฟางเจิง้ เขาพ่ายแพ้ให้กับฟาง
เจิ้งมาสองครั้งแล้ว โดยเฉพาะครั้งล่าสุด ที่เขาโดนฟางเจิ้งตอก
หน้าต่อหน้าทุกคน ทำเอาเขาสูญเสียที่ยืนในหมู่บ้านไป เขาต้อง
ล้างแค้น!
ตอนนั้นเองหงเสียงก็กระซิบ “ศิษย์พี่อู้หมิง จริง ๆ จะสั่งสอน
ฟางเจิ้งนั้นไม่ยากเลย”
“หืม? มีความคิดอะไรดี ๆ หรือ? บอกอาตมาเร็ว!” ดวงตาอู้หมิง
ลุกโชนขณะถาม
หงเสียงค้อมตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ “วัดป๋ายอวิ๋นตั้งอยู่บน
เขาป๋ายอวิ๋นใช่ไหมล่ะครับ ถึงภูเขาป๋ายอวิ๋นจะเป็นส่วนหนึ่งของ
เทือกเขาฉางป๋าย แต่ว่าเป็นยอดที่ห้อมล้อมด้วยแม่น้ำที่ไม่เคย
แห้งขอด ถ้ามีคนต้องการขึ้นเขาไป ยังไงก็ต้องนั่งเรือ......”
อู้หมิงได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะลั่นทันที “ดี! ดีมาก! ฮึ่มมม ทีนี้
แหละฟางเจิ้งต้องเสียจุดยืนในสังคมแน่ ดูสิ ยังจะมีหน้าเข้า
ร่วมงานพิธีสรงน้ำพระอยู่อีกหรือเปล่า! ใครจะไปรู้ บางทีเขา
อาจจะลาสิกขากลับไปเป็นฆราวาสด้วยใจที่ชอกช้ำก็ได้ ฮะฮ่า
ฮ่า!”
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังวางแผนจะจัดการเขาอยู่ ขณะที่เขา
ใช้ชีวิตสงบสุขไปตามประสา
บางครั้งบางคราวก็จะมีญาติโยมขึ้นมาไหว้พระขอพรอยู่บ้าง
เวลาบนยอดเขาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานครึ่งเดือนก็ผ่าน
ไป พอเห็นว่าพิธีสรงน้ำพระใกล้จะเริ่มแล้ว ฟางเจิ้งจึงลงเขาไป
เขาต้องการไปขอความช่วยเหลือจากหวังโย่วกุ้ย
“อะไรนะ? วัดป๋ายอวิ๋นเชิญเธอให้ไปงานพิธีสรงน้ำพระต้อนรับปี
ใหม่งั้นเหรอ?” หวังโย่วกุ้ยได้ยินข่าวก็ตื่นเต้นทันที
ฟางเจิ้งคิด ทำไมหวังโย่วกุ้ยถึงดูดีใจกว่าเขาอีกล่ะ? ใครกันแน่ที่
เป็นเจ้าอาวาสกันน่ะ?
หวังโย่วกุ้ยที่เห็นฟางเจิ้งพยักหน้านิ่ง ๆ ก็หัวเราะลั่นทันที “ดี
มาก! ข่ า วดี ส ุ ด ๆ! วั ด นิ ้ ว เดี ย วของเธอกำลั ง จะดั ง แล้ ว ! ถ้ า
กลายเป็นจุดท่องเที่ยวหรืออะไรพวกนั้นล่ะก็ ทางตัวเมืองก็จะส่ง
งบมาสนับสนุนมากขึ้น! หมู่บ้านเราก็จะได้ผลประโยชน์ใหญ่โต!
ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกไปเลย เขาช่างสมกับที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
จริงๆ หวังโย่วกุ้ยมีความคิดแตกต่างกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิงเลย
ทีเดียวเชียว
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าถึงเวลาเดินทางเมื่อไหร่ ฉันจะส่ง
คนไปเฝ้าวัดให้ มั่นใจได้เลยว่าพอเธอกลับมา วัดยังคงไร้ที่ติ
เช่นเดิม ไม่มีอะไรหายแน่นอน” หวังโย่วกุ้ยเอ่ยปากรับคำ เอา
มือตบอกตัวเองยกใหญ่
ฟางเจิ้งได้ยินคำการันตีจากหวังโย่วกุ้ยก็รู้สึกโล่งใจ หวังโย่วกุ้ยยัง
ถามเรื่องค่าเดินทาง และพร้อมจะช่วยอีกด้วยถ้าขาดแคลน ถึง
ฟางเจิ้งจะอยากได้เงิน แต่เพราะว่าไม่ใช่เงินบริจาค เขาเลยไม่
อาจรับไว้ได้ จึงได้แต่ต้องตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ฟางเจิ้งถือย่าม ก่อนจะเดินออกจากหมู่บ้านไป ย่ามนี้มีเสบียง
กรังสำหรับเดินทางไปวัดป๋ายอวิ๋น ก็เขาจนเกินกว่าจะไปซื้อ
อาหารกินในร้านนี่นา
พอออกจากหมู่บ้าน ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการเดินทางไปวัดป๋า
ยอวิ๋นสักที ส่วนเจ้ากระรอกกับเจ้าหมาป่า ฟางเจิ้งทิ้งไว้ให้เฝ้าวัด
เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งเดินทางไกลเช่นนี้ด้วยตัวคนเดียว ทำเอา
เขารู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย แต่พอจินตนาการภาพสถานที่ที่จะไป
ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นไม่น้อยด้วยเช่นกัน เรื่องเดียวที่เป็นกังวลก็คือ
เรื่องเงิน
หมู่บา้ นนิว้ เดียวมีรถบัสอยู่ แต่วา่ เป็นของหมูบ่ า้ นข้างเคียง มักจะ
ขับวนไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ก่อนจะมุ่งตรงเข้าตัวอำเภอซ่งอู๋
จากนั้นก็ส่งทุกคนกลับมาตอนบ่าย ๆ เรียกได้ว่าวันหนึ่งไป—
กลับรอบเดียวเท่านั้น ถ้าจะขึ้นรถก็ต้องตื่นแต่เช้า ถ้าเกิดตื่นสาย
แม้แต่นิดเดียว ก็ต้องรอให้พรุ่งนี้มาถึงแล้วล่ะ
ฟางเจิ้งขึ้นรถบัสไป ก็เห็นว่าคนบนรถล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา
ไม่มีคนแปลกหน้าแม้แต่คนเดียว จึงทำให้มีบทสนทนาบนรถที่
คึกคักไม่เลวทีเดียว
หลังจากถึงอำเถอซ่งอู๋ ฟางเจิ้งก็ซื้อตั๋วรถบัสต่อ พอเห็นที่นั่ง
ตนเอง ก็ต้องหน้าขึ้นสี!
ตอนที่ 137 : ราชินีระริกระรี้
ฟางเจิ ้ ง มองรถบั ส ข้ า งนอกที ่ โ ดนหิ ม ะทั บ ถมเป็ น กองพู น สู ง
จากนั้นเบนสายตามาดูที่ขาเรียวยาวคู่หนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้าง
เขา
ฟางเจิ้งรู้สึกโลกนี้ช่างซับซ้อนเข้าใจยากยิ่งนัก! หญิงผู้นี้ไม่กลัว
หนาวตายเหรอไง?!
วันนี้จูหลินรู้สึกไม่เลวเลย เธอค่อนข้างเป็นสตรีมเมอร์ที่ประสบ
ความสำเร็จไม่เลวหลังจากทำงานมาหลายปีบนอินเทอร์เน็ต ไม่
นานเธอก็กดเปิดไลฟ์อย่างอารมณ์ดี ปกติอยากจะถ่ายทอดสด
ตอนไหนก็ ท ำอยู ่ แ ล้ ว ด้ ว ยหน้ า ตาอั น หวานแหว๋ น กั บ บุ ค ลิ ก
ส่วนตัว ทำให้มีผู้ติดตามไม่น้อย จนได้รับฉายาว่าเป็น ‘ราชินี
ระริกระรี้’ และตอนนี้มีผู้ติดตามกว่าสามหมื่นคนแล้ว ถือว่าเป็น
อะไรที่ไม่แย่
วันนี้จูหลินว่าจะกลับบ้านสักหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็กะจะท้า
ทายตัวเองด้วยการใส่กางเกงขาสั้นในหน้าหนาวนี้ด้วย ผลก็คือ....
“ซูด ซูด สาบานเลยว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก! ขาของฉันใกล้จะแข็ง
ไม่ต่างกับน้องชายพวกนายเลย แข็งอย่างกับหินแน่ะ” จูหลิน
พยายามนวดสลับถูขาตัวเองไปด้วย เพื่อเพิ่มความอบอุ่น
“อุปส์!? แข็งอย่างกับน้องชาย? ตามที่คาดไว้เป๊ะ ราชินีระริกระ
รี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยนะครับ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ราชินีระริกระรี้ เดี๋ยวให้รางวัลเป็นรถเฟอรารี่นะ มันก็จะอุ่น ๆ
หน่อย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“จรวดพุ่งไปแล้ว หลบทางหน่อย.......”
จูหลินเห็นเป็นแบบนี้ก็หัวเราะเฮฮา “ขอบคุณรางวัลจากทุกคน
ตอนนี้รู้สึกอบอุ่นมากขึ้นแล้วล่ะ ทุกคนดูสิ! อีกนานเลยกว่าจะ
ถึ ง บ้ า น เป็ น ยั ง ไงน่ ะ เหรอ ? รถบั ส ที ่ ฉ ั น ขึ ้ น อยู ่ ใ นภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ค่อนข้างใหม่เชียวนะ เอางี้ไหม?
พวกเรามาเล่นเกมคาดเดากันดีกว่า! ใครนะจะได้มานั่งข้างฉัน ?
เด็กผู้หญิง? คนแก่? พวกคุณปู่? หรือพวกคุณย่ากันนะ? หรือจะ
เป็นเด็กน่ารัก ๆ กันเอ่ย? ใครเดาถูกเอารางวัลไปเลย! ถ้าเล่นมุก
ได้ตลกก็ได้รางวัลด้วยนะเออ!”
“ต้องเป็นเด็กสาวน่ารัก ๆ!”
“ต้องเป็นเด็กน่ารัก ๆ แน่นอน!”
“ฉันคิดว่าราชินีระริกระรี้คิดเยอะไปแล้ว ไม่มีทางเป็นคนหล่อ ๆ
หรือดาราหรอก แต่อาจจะเป็นพระต่างหาก!”
“เฮ้ย! หุบปากไปเลยนะไอ้ปากเสีย! ถ้าเป็นพระ ก็ต้องเป็นพระ
หล่อ ๆ แน่นอน! เหมือนกับ...เอ๋ ? เหมือนคนนั้นไง! ทุกคนดูสิ!
ฉันเจอคนหนึ่งแล้วล่ะ เป็นพระที่ดูทั้งหล่อทั้งดูสะอาดตามากเลย
สดสุด ๆ!” จากนั้นจูหลินก็หันกล้องออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะ
เห็นเป็นฟางเจิ้งผู้มีสีหน้ากำลังตกอยู่ในภวังค์
“เชี่ย! พระอย่างหล่ออะ!”
“พระจริงหรือพระปลอมหว่า? พวกนักแสดงหรือเปล่า?”
“ขายาว ปากบาง หุ่นแซ่บ… ฮี่ฮี่ ท่านราชินี จัดการเลย! ฉีก
กระชากเนื้อเขาออกมา พวกเราอยากเห็นเลือด!”
“พวกสมองกล้า ม พู ด อะไรดี ๆ กว่ า นี ้ไ ม่ ไ ด้ เหรอไง?! โอ้ ......
เหมือนเขากำลังมาหาฉันนะ เขากำลังขึ้นมาแล้ว!” จูหลินพูด
อย่างตกตะลึง ในใจคิดว่า ‘บังเอิญเกินไปแล้ว เพิ่งพูดไปเอง...’
“ราชินีระริกระรี้ เหมือนเขากำลังมองท่านอยู่นะ...”
“รู้แล้วย่ะ ทุกคนบนรถมองฉันอย่างกับเป็นคนบ้าอยู่แล้วเนี่ย”
จูหลินพูดสัพยอกตัวเอง
“ราชินีระริกระรี้ เขามาแล้ว อย่าบอกนะ ว่าที่นั่งเขาอยู่ข้าง
เธอน่ะ?”
“ถ้าเขานั่งข้างเธอจริง ๆ เอาจรวดไปเลยหนึ่งลำ! แต่ นี้ไปเธอ
ไม่ใช่แค่ราชินีระริกระรี้แล้ว แต่จะเป็นราชินีหมอดูระริกระรี้!”
“อามิตตาพุทธ สีกา ขออาตมาผ่านทางหน่อยได้หรือไม่ ? ตรงนั้น
เป็นที่นั่งของอาตมา” ฟางเจิ้งมาตรงหน้าจูหลินก่อนจะผงะไป
เล็กน้อย ขายาวแบบนี้เธอไม่กลัวความหนาวเย็นจริง ๆ เหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็นานแล้วที่ฟางเจิ้งไม่เห็นผู้หญิงสวย ๆ จึงรู้สึก
ตื่นเต้นเล็กน้อย ส่วนความเขินนี่ไม่น้อยเลย!
“เอ๋? อ๊ะ! โอ้—” จูหลินก็ผงะเช่นกัน ไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งหล่อ
มาก แต่เป็นเพราะบังเอิญเกินไปต่างหาก!
จูหลินขยับตัวหลบเว้นช่องให้ฟางเจิ้งเดินผ่าน
แต่ฟางเจิ้งกลับไม่ขยับ ถึงสาวสวยผู้นี้จะเบียดตัวหลบไปข้างหนึ่ง
ก็จริง แต่ก็ยังค่อนข้างแคบอยู่ดี ถ้าเขาเดินผ่านแล้วตัวเองโดน
ลวนลามก็ไม่อะไรหรอก แต่ขืนโดนเรียกว่ากลายเป็นพวกหื่นกาม
นี่แย่แน่!
“ไม่พอเหรอ?” จูหลินถาม
ฟางเจิ้งตอบ “อามิตตาพุทธ สีกา มันค่อนข้างแคบไปหน่อย”
“อุปส์! ฮ่าฮ่าฮ่า ราชินีระริกระรี้ พระนี่ดูถูกว่าเธอแคบไปหน่อย
แน่ะ!”
“ฮี่ฮี่ ราชินีระริกระรี้ ดูเหมือนพระรูปนี้จะระริกระรี้กว่าเธออีก
นะ”
“พวกนายเงียบไปเลยนะ” จูหลินที่เห็นข้อความที่บรรดาคนโง่
ส่งมา ก็คำรามกลับไปทันที
ทำเอาทุ ก คนที ่ อ ยู ่ บ นรถหั น มามองขวั บ จู ห ลิ น รี บ พู ด พร้ อ ม
รอยยิ ้ ม “ทุ ก ท่ า น โปรดอย่ า เข้ า ใจผิ ด นะคะ พอดี ฉ ั น กำลั ง
ถ่ายทอดสดอยู่น่ะ แล้วในหมู่ผู ้ช มดั นมีพวกกิ นหญ้าเยอะไป
หน่อย”
ทุกคนบนรถพูดไม่ออกไปเลย แต่เพราะเห็นเธอเป็นหญิงสาว
หน้าตางดงาม แถมยังดูเคารพนอบน้อม ทั้งยังขอโทษแบบจริงใจ
อีก เลยไม่มีใครว่าอะไร
จู่ๆฟางเจิ้งก็รู้สึกขึ้นมาว่าการเดินทางของเขาดูไม่ราบรื่นเสียแล้ว
พอจู ห ลิ น เห็ น ว่ า ฟางเจิ ้ ง ไม่ ย อมเข้ า ไปนั ่ ง สั ก ที เธอจึ ง ยื น ขึ้ น
“อย่างนี้ได้ไหม?” เธอพยายามลากเสียงคำว่า ‘ได้ไหม’ เพื่อให้ดู
เศร้า ๆ
ปกติแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงต้องเบียดเข้ามาอย่างยินดี แต่นี่
...ดีมาก! เขากลับเป็นพวกที่ไม่ยอมนั่งจนกว่าเธอจะยอมแพ้ไป
เอง จูหลินพูดพึมพำอย่างไม่พอใจ “เจ้าพระนี่เรื่องมากไปแล้ว
วุ้ย เหมือนเขาจะเป็นพระที่มีจริยะสูงนะ แต่ดูสิ จะเป็นพวกจริ
ยะสูงจริง ๆ หรือเปล่าเถอะ!”
หลังจากฟางเจิ้งนั่งลงเรียบร้อย จูหลินก็กลับมานั่งตามเดิม คราว
นี ้ เ ธอค่ อ ย ๆ หั น กล้ อ งไปทางฟางเจิ ้ ง ก่ อ นจะเกิ ด ความคิ ด
บรรเจิด เธอกระซิบ “ทุกคน เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง”
“ราชินีระริกระรี้ทุ่มสุดตัวแล้ว ทุกคนจงรออย่างกระตือรือร้น
เสีย!”
“อะไรเอ่ย...จะสั้นก็ได้ จะยาวก็ได้ คนจากตะวันออกมีมันแบบ
สั้น คนจากตะวันตกจะมีมันแบบยาว หลังจากแต่งงาน ผู้หญิงก็
จะใช้ของสิ่งนี้ของผู้ชาย แต่พระจะไม่ใช้สิ่งนี้ เดาสิ...มัน คือ
อะไร?” จากนั้นจูหลินก็เหลือบมองฟางเจิ้งยิ้ม ๆ
พอฟางเจิ้งได้ยินก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เธอพูดต่อหน้าต่อตา
เขาแบบนี้เนี่ยนะ? ผู้หญิงคนนี้นี่......ช่างน่าสนใจจริง ๆ!
ถึงฟางเจิ้งจะเป็นพระ แต่เขาก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเช่นกัน เวลา
ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็ท่องอินเทอร์เน็ต แถมในใจลึก ๆ แล้วก็ไม่
คิดจะเป็นพระไปจนวันตาย ในอดีตเคยพบผู้หญิงมาหลายคน
เจอทีไรก็รู้สึกชื่นใจได้ไม่น้อย ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหันมามองจูหลิน
แล้วหัวเราะหึหึ
จูหลินเห็นแบบนี้ก็พูดอะไรไม่ออก ...เจ้าพระนี่ไม่เข้าใจที่เธอพูด
เหรอไงนะ? หรือว่าจริง ๆ แล้วเจ้านี่เป็นพวกหื่ นกามกัน พระ
ปลอมงั้นเหรอ?
จูหลินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในช่องของเธอพลันกลายเป็นโกลาหล
ไปแล้ว
“ไม่ ส นเว้ ย ไม่ ม ี ใ ครจะหยุ ด ยั ้ ง ฉั น ได้ ขอเดาว่ า เป็ น ‘เจ้ า
น้องชาย’!”
“ว่าแล้วว่าต้องมีพวกโง่ ๆ แบบคอมเมนต์ข้างบน! แต่ก็นั่นแหละ
เว้ย!”
“ถ้าไม่เรียกน้องชายมา ก็ไม่เ หมาะจะอยู่กับราชินีระริกระรี้
แล้ว!”
“ฉันขอเสริมอะไรหน่อยได้เปล่า ? ขอเห็นพระอีกทีสิ เขาดูหล่อ
มากเลย.......”
จูหลินมองเพศของคนมาคอมเมนต์…...เป็นผู้ชาย
พอเห็นฟางเจิ้งไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดของเธอ จูหลินก็เกิดความคิด
อะไรบางอย่าง จึงไปสะกิดฟางเจิ้งแล้วถาม “พระอาจารย์ ต้อง
เรียกท่านว่าไงเหรอ?”
ฟางเจิ้งพนมมือ “อาตมามีนามว่าฟางเจิ้ง”
“โอ้ งั้นพระอาจารย์ฟางเจิ้งรู้คำตอบของคำถามที่ฉันถามไปหรือ
เปล่า?” จูหลินยิ้มทะลึ่งตึงตัง
ฟางเจิ้งตะลึง มาถามเขาทำไมเนี่ย? เขาจะไปรู้ได้ไงล่ะฟะ! ต่อให้
เขาจะรู้ เขาจะพูดออกมาได้เหรอไง? ยอมตายดีกว่ายอมพูดเฟ้ย!
ฟางเจิ้งจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “อาตมาไม่ทราบเช่นกัน”
“เดาดูสิ ลองคิดดู ๆ” จูหลินเบิกตาโต โปรยเสน่ห์เย้ายวนใส่
น่าเสียดายที่ฟางเจิ้งมีภูมิคุ้มกันของผู้หญิงสวย ๆ สูงมาก จึงพูด
อย่างสงบนิ่ง “อาตมาไม่ทราบจริง ๆ”
“ฮ่าฮ่า ราชินีไม่อาจใช้สายตาเสน่ห์พิฆาตเย้ายวนเขาได้!”
“พระรูปนี้ด้านชานัก ราชินีระริกระรี้ต้องพ่ายแพ้เสียแล้วสิ!”
“ท่านราชินี เลิกเบิกตาได้แล้วน่า!”
ตอนที่ 138 : ช่วยปรับรูปร่างของมีด
จูหลินพิมพ์กลับไปทันที “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!”
เธอไม่อาจหลอกล่อให้ฟางเจิ้งเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนหรือเผย
ตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สักนิด!!!
เรื่องนี้ทำเอาเธอรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยินอย่างถึงที่สุด แต่เพราะไม่
อาจยอมแพ้ เธอจึงสะกิดฟางเจิ้งอีกครั้ง ทำเอาเขาไม่ค่อยสบาย
ขึ้นมาอีกรอบ ทำไมสีกาท่านนี้ต้องแตะต้องตัวอาตมาบ่อยขนาด
นี้ด้วย? พยายามลวนลามอาตมาเช่นนั้นรึ!!?
ทว่าเขาไม่ได้พูดออกมาแบบโจ่งแจ้ง จึ งได้แต่จ้องเขม่นไปที่จู
หลิน
จูหลินพูด “พระอาจารย์ ขอฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
ฟางเจิ้งได้แต่พูดว่า “สีกา เชิญ ถ้าอาตมาตอบได้ อาตย่อมตอบ
ทว่าอาตมาความรู้ตื้นเขินนัก มีหลายสิ่งที่อาตมาไม่ทราบ”
จูหลินเมินประโยคหลังของฟางเจิงไปเสียฉิบ แล้วคลี่ยิ้มหวาน
“บอกฉันหน่อยสิคะ พระถังซัมจั๋งได้เผชิญ 81 ทุกขภัยเพื่อสำเร็จ
เป็นอรหันต์ ราชาปีศาจกระทิงก็ต้องการสำเร็จเป็นอรหันต์จึงวาง
ดาบ[1]ของตนเองลงเช่นกัน ทำไมคนดีต้องการสำเร็จมรรคจึงได้
ยากเย็นยิ่งนัก ส่วนคนชั่วคิดจะสำเร็จมรรคจึงง่ายดายยิ่ง?”
ฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าจูหลินจะถามคำถามแบบนี้ออกมาได้ เขาคิด
ว่าเธอจะถามอะไร ๆ ที่มันดูสองแง่สามง่ามเสียอีก
แต่ก่อนที่ฟางเจิ้งจะตอบอะไร ก็มีเสียงคนพูดมาจากข้างหลัง
“คือ เขาเล่นถือดาบอยู่แบบนั้น ใครจะกล้าคุยด้วย? วางดาบ
ก่อนที่จะคุยกันสิ”
ฟางเจิ้ง “$!@#$!”
ตอนนั้นเอง ก็มีคนเสริม “ราชาปีศาจกระทิงพบองค์ยูไล จึง
ปุจฉาว่า ‘อันตัวเราจะสามารถสำเร็จเป็นอรหันต์ได้ หรือไม่’ องค์
ยูไลวิสัชนาว่า ‘วางดาบก่อนแล้ว แล้วค่อยคุยกัน......’”
เพราะมีเสียงคนสองคนนี้ขัดขึ้นมา บทสนทนาจึงออกทะเล และ
แล้ว...ทุกคนบนรถบัสก็พากันสมองแล่นฉิว
“ถ้าไม่อยากโดนแทงไส้ไหล ก็ต้องให้เขาวางดาบก่อนอยู่แล้ว!”
“ถือดาบอยู่แบบนั้น ใครไม่กล้าให้เขาไม่เป็นอรหันต์กัน?”
ฟางเจิ้งกับจูหลินมองหน้ากัน ก่อนจะชะงักไปตาม ๆ กัน เชี่ย!
บนรถบัสนี้มีแต่พวกนักแสดงตลกประจำท้องถิ่นหรืออะไรพวก
นั้นเหรอ!?
หลังจากโดนขัดจังหวะ ทั้งสองคนเลยคุยอะไรกันต่อไม่ได้ แถม
รถบัสก็เข้ามาในอุโมงค์แล้ว อินเทอร์เน็ตเลยโดนตัดไปด้วย ไม่ว่า
เธอจะพยายามรบเล้าฟางเจิ้งแค่ไหน เขาก็แค่หัวเราะกลับไป
เท่านั้น ทั้งสุภาพทั้งถ่อมตน และรักษาระยะห่างเสมอ ทำเอาจู
หลินหมดอารมณ์จะไปหยอกล้อฟางเจิ้ง เลยตัดสินใจนอนดีกว่า
หลังจากรถบัสออกจากอำเภอ คนก็เข้ามาในรถมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฟางเจิ้งพิงไปทางกระจก กำลังคิดภาพว่าตนเองจะเจออะไรพอ
ไปถึงวัดป๋ายอวิ๋น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน จึงได้
แต่จินตนาการเอามั่ว ๆ
ตอนนั้นเอง ก็มีมือหนึ่งกำลังเอื้อมเข้ามาที่กระเป๋าถือของจูหลิน!
ฟางเจิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปดู เขาเห็นชายร่างกำยำผู้
หนึ่งกำลังจ้องมาด้วยสายตาดุดัน มุมปากยกยิ้มเยาะดูชั่วร้าย
ชายคนนั้นพูดเสียงต่ำว่า “ดูทางต่อไป!”
ฟางเจิ้งเข้าใจทันทีว่าเขากำลังโดนปล้น แถมยังเป็นโจรชนิดดุร้าย
เสียด้วย! ฟางเจิ้งรีบกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นคนหลับ
อยู่หลายคน และบางคนก็พยายามบังอีกฝั่งของชายร่างกำยำคน
นั้นเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นเห็นสิ่งที่เกิดขึน้ ดูแล้ว ชายคนนี้มีเพื่อนร่วม
ลงมือ!
“ดูทางไปซะ!” ชายร่างกำยำพูดอีกครั้ง
ฟางเจิ้งมองจูหลินที่กำลังนอนหลั บสนิท เขาจึงได้แต่ถอนหายใจ
จากนั้นก็พนมมือแล้วพูด “อามิตตาพุทธ ประสก โปรดเบาเสียง
อย่าปลุกเธอจากฝันอันรื่นรมย์เลย”
“ไม่เข้าใจที่ฉันพูดเหรอไงวะ? จะหันหัวออกไปดูเส้นทาง หรือ
อยากจะโดนฉั น แทง!” ชายร่ า งกำยำดู ด ุ ร ้ า ยยิ ่ ง กว่ า เดิ ม
ขณะเดียวกันก็โบกมีดในมือตรงหน้าฟางเจิ้ง
ในความคิดของชายร่างกำยำ ไม่ว่าใครคนนั้นจะกล้าหาญแค่ไหน
ก็คงต้องหันหัวตามอย่างเชื่อฟังแน่นอน แถมนี่ยังเป็นเพียงแค่
พระหนุ่มดูอ้อนแอ้นรูปหนึ่ง ไม่มีทางที่จะแส่หาเรื่องใส่ตัวหรอก
ทว่า มืออันบอบบางข้างนั้นกลับพุ่งคว้าจับคมมีดภายใต้สายตา
อันตกตะลึงของชายร่างกำยำ!
“จะทำอะไร?!” ชายร่างกำยำถามออกมาตามจิตสำนึก
“อามิตตาพุทธ ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่รูปร่างของมีดดูไม่ดีนัก
อาตมาเพียงจะช่วยปรับให้เท่านั้นเอง” จบคำ ฟางเจิ้งก็ค่อย ๆ
ออกแรง
“ปล่อยนะ! ปล่อยนะเว้ย! ไม่งั้นฉันแทงแกแน่ ?!” ชายผู้นั้นขู่
เสียงต่ำ ขึงตาจ้องเขม็งไปที่ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งคลี่ยิ้ม “อามิตตาพุทธ”
ทันทีที่ฟางเจิ้งปล่อยมีด ก็ทำเอาชายร่างกำยำตกตะลึง! เขาซื้อ
มีดเล่มนี้มาจากร้านค้าออนไลน์ ราคาสูงถึงแปดสิบเอ็ดหยวน ตี
มาจากช่างฝีมือชำนาญการ ซึ่งใช้ไปกว่ายี่สิบห้าเทคนิค แถมผ่าน
การหลอมด้วยวิธีการแบบดั้ง เดิม แต่แม่*กลับโดนบิดไม่ต่างไป
จากหมาฮวา[2]เลยเว้ย!!!
“นะ...นี่มัน...” ชายคนนั้นมองไปยังพระที่กำลังยิ้มแย้มให้ เขา
ถึงกับพูดติดอ่าง ริมฝีปากสั่นเทาไปเลย!
“เจ้าเครา ทำอะไรอยู่ ? รีบ ๆ หน่อยดิ” ชายตัวสูงโย่งผู้หนึ่ง
กระซิบใส่โดยไม่หันหัวมามองแม้แต่น้อย
เจ้าเคราพูดกระอึกกระอัก “อะ...เอา เอามีดแกมาใช้หน่อยดิ!”
“อะไรนะ? ของแกเองไม่มีเหรอไง? อีกอย่าง พวกเราเป็นโจร
นะเฟ้ย แค่ขู่ก็พอแล้วมั้ง ต้องแทงคนจริง ๆ ด้วยเหรอ?” ชาย
ร่างโย่งกระซิบใส่หูเจ้าเครา
“ฉันก็ซื้อของตัวเองมาแล้ว แต่กลัวว่าจะเป็นมีดปลอมน่ะสิ แม่*
พวกพ่อค้าเวร เอามีดหั่นแตงโมแกมาใช้หน่อยเร็ว” จากนั้นก็ส่ ง
มีดรูปร่างหมาฮวาให้เจ้าโย่งซะเลย
พอเจ้าโย่งรับไปก็แทบกระโดดหนี แต่ดีที่ระงับอารมณ์ไว้ทัน แล้ว
ตะโกนลั่นในใจแทน ‘เชี่ยยย แม่*เอ๊ย ห่าไรเนี่ย!!!?’
เจ้าโย่งส่งมีดหั่นแตงโมให้เจ้าเคราทันควัน จากนั้นมีดก็ชี้ไปที่ฟาง
เจิ้งอีกครั้ง เขาพูดอย่างดุร้าย “ถ้าแกกล้า ก็บิดมีดเล่มนี้ให้
กลายเป็นหมาฮวาอีกสิวะ!”
พอพูดจบ เขาพลันรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพล่าเลือน แล้วมีดก็ไป
อยู่ในมือพระนั่นแทน จากนั้นพระนั่นก็ยิ้มแล้วบิดมีด!!!
เสียงเหล็กเอี๊ยดอ๊าดดังออกมาให้ได้ยิน มีดหั่นแตงโมถูบิดไปแล้ว!
จากนั้นเจ้าพระก็ยื่นมีดคืนให้เจ้ าเครา เขายิ้มแล้วพูด “ประสก
ต้องการให้อาตมาทำอะไรอีกหรือไม่ ? หรือต้องการให้เป็นเงื่อน
ผีเสื้อ?”
“คนขับโว้ย! หยุดรถ! ฉันจะลง!”
“หยุดตะโกนได้แล้ว! ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงจะลงกลางทางที่ไหนก็ไม่รู้
แบบนี้ล่ะ?!”
“หยุดรถ! หยุดเดี๋ยวนี้! ฉันจะลงเดี๋ยวนี้เลย! ถ้า ไม่หยุด ฉันจะ
แทงด้วยมีดหมาฮวาแม่*เลย!”
เอี๊ยดดด——!
รถบัสหยุดที่ข้างทาง จากนั้นก็มีชายสามคนวิ่งถลาลงจากรถ แล้ว
พากันหายไปในนาข้าวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมือนเล่นกันสมัย
เป็นเด็ก ๆ อีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น....
จากนั้นคนขับก็คิด มีดหมาฮวาฆ่าคนได้ด้วยเหรอ? เจ้าพวกนี้เป็น
นักแสดงตลกเหรอไง?
พอฟางเจิ้งเห็นเรื่องราวเป็นแบบนี้ ก็ยิ้ม ก่อนจะกลับไปนอน
หลับตาพิงกระจกอีกครั้ง ส่วนเรื่องไปเทศนาพวกโจรให้กลับใจ?
ฟางเจิ้งไม่คิดจะทำหรอก สถานการณ์ตอนนี้ไม่สะดวกจะไปทำ
อะไรแบบนั้น แถมเขาก็ไม่รู้อีกว่า ถ้าให้คนทั้งคันรถเข้าสู่ห้วงฝัน
จะเกิดอะไรขึ้น......ดังนั้นที่ทำได้ ก็ทำลงไปแล้ว
ทว่ า เขากลั บ ไม่ ท ราบเลยว่ า หญิ ง สาวข้ า งกายหรี ่ ต าขึ ้ น มาดู
เล็กน้อย! เธอถอนหายใจยาวเหยียด กลายเป็นว่าจูหลินไม่ได้
หลับสักนิด แต่กลัวจนไม่กล้าขยับต่างหาก! เธอได้แต่ภาวนาหวัง
ว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย และเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
เธอจึงต้องแสร้งเป็นหลับน่ะสิยะ!
ท้ายที่สุด เธอไม่คิดเลยว่าจะเห็นสถานการณ์ที่แทบจะทำให้
ขากรรไกรอ้าค้าง! ฟางเจิ้งบิดมีดด้วยมือเปล่า!? นี่มัน......น่า
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ!!?
ตอนนั ้ น เอง เสี ย งคนขับ ก็ ดั งขึ้ นมา “ทุ ก ท่า น รี บ ตรวจสอบ
ทรัพย์สินเร็ว! ถ้ามีสูญหายก็รีบแจ้งตำรวจ พวกเขายังไปไม่ไกล”
“แม่* คนขับ ถ้ารู้ว่าเป็นโจร ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ?!” มีคน
ตะโกนออกมาทันที จากนั้นทุกคนก็เริ่มตรวจทรัพย์สินของตัวเอง
กันจ้าละหวั่น
“บอกก่อนหน้านี้? ฉันวิ่งเส้นนี้ทุกวัน เจ้าพวกเวรนั่นก็เข้า ๆ ออก
ๆ คุกเป็นว่าเล่น ทุกครั้งที่ออกมาก็มักจะปล้นถนนเส้นนี้อีกอยู่ดี!
ถ้าฉันพูดอะไรออกไป ฉันจะได้ขับถนนเส้นนี้ต่อเหรอ? อีกอย่าง
ตั้งแต่เห็นพวกนั้นมา ฉันก็ส่งสัญญาณเตือนไปแล้วไง!” คนขับก็
ไม่พอใจเช่นกัน
——ทว่าขณะเดียวกันกลับมีคนกำลังพอใจอย่างยิ่งอยู่
“ศิษย์พี่ เรียบร้อยแล้ว! ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ตราบ
ใดที่ฟางเจิ้งขึ้นเรือไปที่วัดป๋ายอวิ๋น......ฮี่ฮี่ เขาจะรู้จัก ‘แหงน
หน้ามองฟ้า ทอดถอนใจ[3]’ แน่นอน!” หงเสียงพูดผ่านโทรศัพท์
อู้หมิงพยักหน้าอย่างพอใจ “ทำดีมาก อืมมม ถึงเวลาสั่งสอน
บทเรียนแล้วสินะ…...”

[1] ในจี น มี ส ุ ภ าษิ ต ที ่ ว ่ า 放下屠刀,立地成佛


[fàngxiàtúdāo lìdìchéngfó] วางดาบ สำเร็จเป็นพระอรหันต์

[2] หมาฮวา (麻花) ขนมของจีน คือแป้งที่นำมาบิดผสานกัน


แล้วไปทอด มีความกรุบกรอบมาก รูปร่างคล้ายการทักเปีย

[3] แหงนมองฟ้ า ทอดถอนใจ (望洋兴叹) เดิ ม ใช้ ใ น


ความหมายว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่จึงรู้สึกสะท้อนใจใน
ความเล็กกะจ้อยร่อยของตนเอง ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบกับการ
ทำสิ่งที่มีกำลังไม่พอหรือขาดปัจจัยที่ จะทำให้สิ่งนั้นสำเร็จ และ
ทำให้รู้สึกอับจนปัญญา หรือรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
ตอนที่ 139 : บนโลกนี้ หาคนดี เป็นไม่ได้
ทุกคนได้ยินปุ๊บก็พูดอะไรไม่ออกไปเลย แค่ไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดี
ถมเถแล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ได้บ่นอะไรกันต่อ
ดีที่ไม่มีใครมีของหาย ทุกคนเลยพากันโล่งใจ จากนั้นก็คุยกัน
โฉงเฉง หาเหตุผลว่าทำไมอยู่ดี ๆ เจ้าพวกโจรถึงถอยทัพกลับไป
มือเปล่าแบบนั้น คาดเดากันไปหลายทาง แต่ ไม่มีใครหาต้นสาย
ปลายเหตุคำว่า ‘มีดหมาฮวา’ ได้เลย!
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทุกคนจึงไม่กล้ากลับไปหลับอีก ได้แต่เปิด
ตาเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น แต่พอไม่มีอะไรจะทำ เลยได้แต่คุย
กันเองนี่แหละ
เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่คึกคักไม่เบา
รถบัสมาถึงอำเภอเมืองป๋ายอวิ๋นในตอนเย็น การเดินทางของฟาง
เจิ้งต่อไปนี้นับว่าไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะมีรถบัสไปส่งถึงท่าเรือ
ข้ามฟากป๋ายอวิ๋น แต่พอฟางเจิ้งลงจากรถบัสมา ก็รู้สึกสับสนนิด
หน่อยด้วยไม่รู้จะไปทางไหนอะไรยังไงต่อ
ตอนนั้นเอง เสียงอันคุ้นเคยก็ดังออกมาให้ได้ยนิ “พระอาจารย์จะ
ไปไหนเหรอคะ? วัดป๋ายอวิ๋นเหรอ?”
ฟางเจิ้งหันไปมอง ก่อนจะเห็นเป็นจูหลินที่สะพายกระเป๋าใบน้อย
ของตัวเองอยู่ ที่เพิ่มขึ้นมาคือผ้าพันคอสีชมพู กำลังส่งยิ้มให้เขา
แถมตอนนี้เธอยังเปลี่ยนมาสวมกางเกงขายาวเรียบร้อยแล้วด้วย
สีหน้าดูไม่หนาวเย็นเหมือนที่ผ่านมาตลอดทางอีก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็ลอบยิ้มในใจ ‘เหอ ๆ รู้จักกลัวความหนาว
เย็นด้วย’ แต่ปากกลับพูดว่า “อามิตตาพุทธ อาตมากำลังมุ่ง
หน้าไปวัดป๋ายอวิ๋น สีกามีอะไรหรือไม่?”
“บังเอิญจังเลย! ฉันก็กำลังจะไปท่าเรือข้ามฟากป๋ายอวิ๋นเพื่อไป
วัดป๋ายอวิ๋นเหมือนกัน บ้านฉันอยู่แถวนั้นน่ะ กำลังจะกลับไป
พอดี สนใจจะไปด้วยกันไหมคะ?” จูหลินชักชวน
“อ่า ขอบคุณสีกามาก แต่อาตมาไปคนเดียวจะดีกว่า” ฟางเจิ้งมี
ความรู้สึกว่าจูหลินดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจชอบกล วัน ๆ มัวแต่เล่น
มุกสัปดน แถมมองเขาทีไร ก็เหมือนวางแผนอะไรไว้ตลอดเวลา
ดูน่าสยดสยองสุด ๆ อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีกว่า!
“ทำไมพระอาจารย์ไม่อยากไปกับฉันล่ะคะ? อำเภอป๋ายอวิ๋นของ
เราเป็นมิตรมากเลยนะ อ๊ะ ท่านเห็นแถวแท็กซี่เปล่า ?” จูหลินชี้
ไปที่แท็กซี่
ฟางเจิ้งพยักหน้า ทำไมเขาจะไม่เห็น น่าเสียดายที่ตัวเองแสน
ยากจน ไม่งั้นคงโบกแท็กซี่ไปนานแล้ว
จูหลินพูด “ถ้าพระอาจารย์ไม่มีเงินสักหนึ่งพั นหยวน ก็อย่าคิด
จะไปขึ้นเชียว ไม่อยากพูดหรอกว่าพวกเขาเป็นพวกคดโกงแค่
ไหน แต่ถ้าอยากไปที่ไหนใกล้ ๆ พวกเขาจะพาอ้อมเมืองไปสาม
รอบเลยขอบอก แล้วก็จะพูดว่าแค่พาชมรอบ ๆ เองน่า แถมยัง
จะไม่ปล่อยให้ผู้โดยสารลงจนกว่าจะยอมจ่ายสักหลาย ๆ ร้อย
หยวนด้วยนะ”
ถึงฟางเจิ้งจะไม่เคยไปที่ไหนไกล ๆ แต่เขาก็มีมือถือ เรื่องแบบนี้
เห็นในข่าวอยู่ได้ทุกวี่วัน ย่อมเข้าใจที่จูหลินต้องการจะสื่อดี คุณ
พระ นี่มันพวกขบวนการแท็กซี่หลอกนักท่องเที่ยวนี่หว่า!
จูหลินเสริม “ส่วนพวกโรงแรม ถ้าไม่รู้จักคนในพื้นที่ ท่านต้อง
จ่ายห้าร้อยหยวน ถึงแม้ห้องจะราคาแค่ร้อยเดียวก็ตาม! แล้วก็
นะ ถ้าท่านกำลังจะไปวัดป๋ายอวิ๋นที่มีคนอีกไม่น้อยกำลังแห่ไป
ร่วมพิธีสรงน้ำต้อนรับปีใหม่ล่ะก็......เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่คน
พลุกพล่านที่สุดน่ะ คนมาเที่ยวก็แยะ ราคาทุกอย่างนี่เด้งเอา ๆ
โดยเฉพาะที่พักนะ ฮี่ฮี่ ต้องขอบคุณพระพุทธองค์แล้วล่ะที่ได้พัก
ห้องราคาห้าร้อยหยวน”
ฟางเจิ้งยิ่งฟังยิ่งสงสัย ทำไมจูหลินต้องพูดเหมือนที่นี่ไม่มีคนดี
เลยล่ะ?
จูหลินเห็นฟางเจิ้งมองเธอด้วยสายตาหวาด ๆ ก็รู้เลยว่าคำโกหก
ของเธอต้องได้ผลสุด ๆ ทำเอารู้สึกภาคภูมิใจชะมัด คิดกับตัวเอง
ว่า ‘ฉันนี่ฉลาดจริง ๆ! ช่างน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นนักแสดง เลย
ชวดรางวัลออสการ์ไปหลายถ้วย.......’
“พระอาจารย์ อะไรที่ฉันต้องพูดก็พูดไปหมดแล้ ว งั้นอย่าคิดว่า
ฉันจะหลอกอะไรเลยนะคะ ฉันเห็นที่ท่านทำบนรถบัสแล้ว และ
ก็รู้สึกขอบคุณมาก ฉันเลยอยากเป็นไกด์ให้จริง ๆ คิดดูสิ สตรีม
เมอร์ที่หาเงินได้วินาทีละหลายร้อยหยวนอย่างฉัน แต่กลับมาคุย
กับพระโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ไม่สู้ไปไลฟ์สดหาเงินดีกว่าเหรอ?”
จูหลินโน้มน้าว
ฟางเจิ ้ ง ผู ้ เ ข้ า สั ง คมไม่ เ ก่ ง บวกกั บ ข่ า วแย่ ๆ ที ่ อ ่ า นเจอใน
อินเทอร์เน็ต ก็ได้โดนคำของจูหลินหลอกล่อสำเร็จไปในที่สุด
แถมที่สำคัญสุดคือ ถึงเขาจะรวยมาก แต่ก็รวยเงินทานบริจาค!
จากกฎของระบบ เงินนั่นเอามาใช้ในเรื่องทางโลกไม่ได้!
ดังนั้นเขาจึงมีเงินเหลือไม่มากนัก แค่ซื้อตั๋วรถบัสได้ก็หมดตัว
แล้ว! กำลังคิดอยู่เลยว่า ขากลับต้องได้เดินกลับด้วยเท้าเปล่า
แหง ๆ
“พระอาจารย์ ในเมื่อท่านแข็งแกร่งมาก จะกลัวอะไรล่ะ ? อย่า
บอกนะ...ว่ากลัวฉันกินน่ะ ? ไม่ต้องกังวลไปนะคะ พ่อแม่ฉันอยู่
บ้าน ถ้าฉันอยากจะกินท่านจริง ๆ อย่างน้อยต้องมีรังแมงมุมหรือ
อะไรเทือก ๆ นั้นก่อน” จูหลินก็ชักพูดไม่ออกเหมือนกัน เป็น
ครั้งแรกที่เธอพยายามชักชวนเพศตรงข้ามขนาดนี้ แต่ดูสิ ตะล่อม
ยากเหลือเกิน เธอสาบานเลยว่า วันหลังจะไม่ชวนเพศตรงข้าม
ทำนู่นทำนี่อีก! ไม่ทำแล้ววุ้ย!
ฟางเจิ้ งได้ ยิ นแบบนั้ น ก็ห ัว เราะ ก่ อ นจะยิ ้ ม “อามิตตาพุทธ
เช่นนั้นอาตมาก็ขออภัยที่ต้องรบกวนสีกาแล้ว”
มีพระออกมาขอที่พักอาหารข้างนอกไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ฟางเจิ้ง
กลัวแต่ว่าตนเองจะโดนจูหลินจับกินเท่านั้นแหละ! ถ้าเธอจะทำ
จริง ๆ ฟางเจิ้งคงต้องตะโกนว่า ‘นางมาร ตายซะ!’ จากนั้นก็ฟาด
เธอให้แดดับดิ้น ...หรือสมควรนอนนิ่ง ๆ สวดมนต์แผ่เมตตาขณะ
กำลังโดนกินกัน? ถ้าเป็นงั้นจริงก็แย่สิ!?
จูหลินได้ยินคำของฟางเจิ้งก็เผยสีหน้ายินดี จากนั้นก็เดินนำฟาง
เจิ้งลงรถบัส ก่อนจะโบกเรียกแท็กซี่
ฟางเจิ้งชะงักงัน “สีกา นี่มัน......”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันเป็นคนท้องถิ่นนะ” จูหลินทำตาปิ๊ง ๆ ให้
อารมณ์เหมือนปีศาจที่หลอกพระถังซัมจั๋งเข้าถ้ำของตนสำเร็จ
ฟางเจิ้งยิ้มแหย ๆ คิดในใจว่า ‘ขนาดผู้หญิงยังไม่กลัวเลย แล้ว
ฉันจะกลัวอะไรเนี่ย ? ถ้าสถานการณ์ไม่ถูกต้องก็แค่หลบออกมา
แค่นั้นเอง’
คิดได้แบบนี้ ฟางเจิ้งก็ขึ้นแท็กซี่ไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นรถ
แบบนี้ สิ่งที่สัมผัสได้คือความนุ่มนิ่มของเบาะนั่ง พอเอนหลังไปก็
สบายสุด ๆ เรื่องแย่อย่างเดียวคงเป็นอากาศที่ไม่ดีนัก...
แท็กซี่มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือป๋ายอวิ๋น หลังจากเลยประตูหมู่บ้านไป
ได้สักพักก็มาถึ งเขตของท่าเรือแล้ว ฉับพลันจูหลินก็ตะโกนขึ้น
“หยุด! หยุด! หยุดรถ!!”
รถหยุดกึกทันที จูหลินรีบจ่ายเงิน แล้วพุ่งออกจากรถไปเลย!
ฟางเจิ้งก็ลงจากรถด้วยสีหน้างุนงง แต่เขามองเห็นธนบัตรสีแดง
ในมือคนขับอยู่แวบ ๆ เชี่ย ใกล้แค่นี้ก็ปาไปสองร้อยหยวนเชียว
เรอะ!? ฟางเจิ้งพูดกับตัวเอง ฉันสาบานเลยว่าจะไม่ขึ้นแท็กซี่อีก
เด็ดขาด ยกเว้นแต่จะมีคนจ่ายให้! แพงเกินไปแล้วเฟ้ย!
“แม่! แม่มาทำอะไรตรงนี้คะ!?” จูหลินที่ลงมาก็เห็นหญิงผู้คน
หนึ่งอยู่ตรงทางเข้าเขตพอดี เธอรีบตะโกนแล้ววิ่งไปหาทันที
ฟางเจิ้งช่วยแบกกระเป๋าของจูหลินตามไป
“สัญชาตญาณของฉัน บอกว่าลูกสาวกำลังกลับมาน่ะสิ เลยมาร
ออยู่ตรงทางเข้านี่ไง แหม ไม่คิดเลยว่าสัญชาตญาณของฉันจะ
แม่นขนาดนี้! ฮ่าฮ่า ดีแล้วที่กลับมาบ้าน ว่าแต่นี่ใครกัน?” หญิง
คนนี้ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ผมมีสีขาวแซมเล็กน้อย ดวงตาดูขุ่นมัวนิด
หน่อย สายตาคงไม่ดีนัก จึงไม่อาจมองเห็นฟางเจิ้งผู้มีศีรษะโล้น
เกลี้ยง และสวมจีวรได้ชัดนักจากไกล ๆ แบบนี้
“เป็นพระอาจารย์ที่หนูเจอระหว่างทางน่ะ ท่านกำลังไปเข้าร่วม
พิธีสรงน้ำพระต้อนรับปีใหม่ของวัดป๋ายอวิ๋น หนูเลยชวนท่านเป็น
แขกบ้านเราเสียเลย แม่นับถือพุทธไม่ใช่เหรอ? หนูอุตส่าห์เชิญ
พระอาจารย์มาได้เชียวนะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูก็
ได้นะ อ๊ะ เลิกพล่ามดีกว่า กลับบ้านกันเถอะ หนูหิวแล้ว! ว่าแต่
แม่ทำอะไรอร่อย ๆ ให้หนูกินเหรอ?” จูหลินพูดเสียยาวยืดเสร็จ
ก็รีบวิ่งแจ้นไปที่บ้านของตนเองทันที
ฟางเจิ้งที่เดินมาถึง ก็โค้งตัวทักทาย “อามิตตาพุทธ อาตมามี
นามว่าฟางเจิ้ง สวัสดีสีกา”
ตอนที่ 140 : มารดาผู้เห็นอนาคต
“พระฟางเจิ้ง ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มารับประทานอาหารด้วยกันสิ”
แม่ของจูหลินมีใบหน้าอ่อนโยน เธอทักทายฟางเจิ้งด้วยรอยยิ้ม
ไมตรีจิต
ฟางเจิ้งตามเธอเข้าเขตหมู่บ้านไป
เพราะวั ด ป๋ า ยอวิ ๋ น หมู ่ บ ้ า นป๋ า ยอวิ ๋ น เลยกลายเป็ น เขต
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไปโดยปริยาย ชาวบ้านล้วนร่ำรวยกันไม่
เลว อย่างน้อยทุกบ้านก็มีรถเล็ก ๆ สักคัน และสีหน้าก็มี แต่
ความสุขใจ แถมทุกบ้านยังค่อนข้างผูกพันกับพระพุทธศาสนา จึง
ปรากฏสิ่งของทางวัฒนธรรมไม่น้อย
เทศกาลปีใหม่เพิ่งผ่านพ้น กลอนคู่กับบรรดาโคมตะเกียงเลยยัง
ไม่ได้เอาออก พอกวาดตาไปทางไหน ก็เห็นแต่สีแดง
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่าทำไมหวังโย่วกุ้ยถึงยินดีนักที่เขาได้รับคำเชิญ
จากวัดป๋ายอวิ๋น ถ้าวัดเติบโต หมู่บ้านก็เติบโตไปด้วย ถือว่าเป็น
สิ่งที่ดีสำหรับหมู่บ้านจน ๆ อย่างหมู่บ้านนิ้วเดียว
บ้านของจูหลินทำนาข้าวขนาดใหญ่ มีทั้งสวนอยู่หน้ าบ้านและ
หลังบ้าน ตรงกลางปลูกบ้านสามหลังคาไว้ บ้านสะอาดมีอากาศ
ถ่ายเทสะดวก ทำให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาได้ไม่ยาก
จูหลินวิ่งอย่างไว ขณะที่แม่ของเธอเดินตามหลังไปติด ๆ ส่วนฟาง
เจิ้งเดินปิดท้ายพร้อมบรรดาสัมภาระ หูได้ยินเสียงแว่วมาอยู่
เรื่อยๆ จากโดยรอบ “แม่ของจูหลินนี่แกร่งจริง ๆ เธออยู่ตรง
ทางเข้าหมู่บ้านทุกวัน คอยมองรถทุกคันที่ผ่าน หวังว่าจะเห็น
หน้าลูกสาว จนในที่สุด ลูกสาวสุดที่รักก็กลับมาสักทีเนอะ”
พอฟางเจิ้งได้ยิน หัวใจก็รู้สึกปวดหนึบ แต่พอมองไปยังมารดา
ของจูหลินที่เดินอย่างไม่รีบร้อนตรงหน้า จู่ ๆ หัวใจกลับรู้สึกอุ่น
วาบขึ้นมาแทน นี่หรือคือความรักของคนเป็นแม่?
ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้า ก่อนนึกถึงภาพขณะตนเองกลับขึ้นเขา
ไปหลังวันหยุดของโรงเรียน พระอาจารย์ อี้จื่อเหมือนจะรู้ว่าเขา
กำลังกลับ เลยมารออยู่ที่ตีนเขา ตอนนั้น ฟางเจิ้งคิดว่าพระ
อาจารย์อี้จื่อคงรู้อนาคตจากการที่พุทธองค์บอก แต่ตอนนี้ ฟาง
เจิ้งทราบแล้ว ว่าที่จริงพระอาจารย์อี้จื่อเพียงรอเขาอยู่ที่ตีนเขา
ทุกวันต่างหาก.......
“พระอาจารย์ เร็วเข้า! มีอาหารอร่อย ๆ ด้วยนะ!” จูหลินตะโกน
มาจากไกล ๆ ฟางเจิ้งยิ้มรับ ก่อนจะรีบก้าวไปคว้าแม่ของจูหลิน
ที่เกือบล้มเพราะเหยียบกิ่งไม้
“ขอบคุณค่ะ” แม่ของจูหลินพูด
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ “เป็นอาตมาที่ควรเป็นผู้พูดขอบคุณ ท่านทำ
ให้อาตมาเข้าใจอะไรบางอย่างที่ไม่เคยเข้าใจเลยในอดีต”
แม่ของจูหลินมองฟางเจิ้งอย่างสงสัย ก่อนจะยิ้มให้ จากนั้นเสียง
เร่งของจูหลินก็ดังเข้าหูมาอีกครั้ง ทั้งคู่เลยไม่ได้คุยอะไรกันอีก ได้
แต่ไล่ตามเธอไป
พ่อแม่ของจูหลินล้วนเป็นชาวบ้านผู้ซื่อสัตย์ ไม่ใช่พวกหน้าเลือด
แบบที่จูหลินเคยพูดถึง หลังจากพูดคุยได้นิดหน่อย พวกเขาก็เชื้อ
เชิญให้ฟางเจิ้งนอนในห้องรับแขก
ค่ำคืนผ่านไปโดยสงบสุข ฟางเจิ้งตื่นมาตอนรุ่งสาง ก่อนที่ไก่จะ
ขันเสียอีก
ฟางเจิ้งที่มักจะตื่นเช้าเป็นประจำ พอเห็นว่าไม่มีห้องโถงวัดให้ทำ
ความสะอาด ก็ไม่รู้จะทำอะไร คิดไปสักพัก ก็ตัดสินใจขัดสมาธิ
บนเตียง ท่องบทสวดมนต์ไปพลาง ๆ
ตอนนั้นเอง จูหลินก็เดินเข้ามาถามอย่างสงสัย “พระอาจารย์
รองเท้าท่านอยู่ไหนน่ะ?”
เพราะจีวรจันทรากระจ่างยาวคร่อมเท้า จูหลินเลยไม่ทราบว่า
ฟางเจิ้งเดินเท้าเปล่ามาตลอด
ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาไม่เคยสวมรองเท้า มักจะเดินเท้าเปล่าเป็น
ประจำ”
“เท้าเปล่า?” ดวงตาจูหลินเบิกโพลง มองไปที่ฟางเจิ้งอย่างไม่
อยากจะเชื่อ
ฟางเจิ้งยิ้ม “แปลกหรือ? ก่อนหน้านี้ สีกาก็——”
“ชู่!” จูหลินชูนิ้วส่งสัญญาณออกมาให้เงียบทันที แล้วพูดเสียง
ต่ำ “อย่าพูดเรื่องนั้นนะ ขืนแม่รู้ล่ะก็ ฉันตายแหงแก๋ ว่าแต่ พระ
อาจารย์จะขึ้นไปวัดป๋ายอวิ๋นวันนี้ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว มีอะไรหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่น่าเสียดายที่ฉันขึ้นไปด้วยไม่ได้ เลยได้แต่ส่ง
ถึงแค่ท่าเรือข้ามฟากเท่านั้นเอง พอเรือมาแล้วท่านก็ขึ้นไปได้เลย
ค่ะ” จูหลินพูด
“โอ้? ต้องซื้อตั๋วด้วยหรือไม่?” ฟางเจิ้งกังวลนิดหน่อย ก็เขาน่ะ
เงินขาดมือสุด ๆ
“เป็นเรือจากทางวัดป๋ายอวิ๋นเองค่ะ พวกเขาจะรับเงินได้ยังไง?
แล้วก็ตรงท่าเรือมีกล่องถวายทานด้วย ส่วนใหญ่คนเค้าก็หยอด
เงินกันตรงนั้นแหละ ถ้าอยากบริจาคน่ะนะ ส่วนใครไม่คิดบริจาค
ก็ขึ้นเรือไปเลยทันที” จูหลินอธิบาย ก่อนเธอจะจ้องไปที่ฟางเจิ้ง
“พระอาจารย์ ท่านจะไม่ใส่รองเท้าจริง ๆ เหรอ?”
ฟางเจิ้งก้าวลงจากเตียง “อาตมาไม่ได้ใส่รองเท้าจริง ๆ”
“อึก—เจ๋ง! โครตเจ๋งเลยวุ้ย!” จูหลินยกนิ้วโป้งให้ฟางเจิ้งอย่าง
โดนใจ
ก่อนที่ฟางเจิ้งจะพูดอะไรต่อ สีหน้าเขาก็กลับกลาย!
ทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยนไป......
ในสถานที่ไม่คุ้นเคย จูหลินรับโทรศัพท์ ก่อนจะเดินไป คุยสายไป
“จริงเหรอ? ฉันจะได้แสดงหนังจริง ๆ เหรอ? ดีเลยค่ะ! ไม่ทราบ
ว่าสัมภาษณ์ที่ไหนเหรอคะ?”
ภาพเปลี่ยน ก่อนจะเห็นเป็นจูหลินกำลังเดินเข้าตึกไปในเขต
เล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ เสียง
ของกระแทกแตก จากนั้นจูหลินก็ กระเด็นออกมาจากหน้าต่าง
......
ทิวทัศน์ทั้งหลายกลายเป็นพร่ามัว......
“พระอาจารย์? พระอาจารย์?” จูหลินที่เห็นว่า จู่ ๆ ฟางเจิ้งก็
เหม่อลอยไป จึงเรียกอย่างสงสัย
ฟางเจิ้งตื่นออกจากภวังค์ หัวใจพลันสัมผัสได้ถึงความหนาว
เหน็บ! ถึงเขาจะสามารถเปิดปิดเนตรสวรรค์ได้ตามใจ แต่ตอน
อยู ่ บ นเขาฟางเจิ ้ ง ก็ ม ั ก จะเปิ ด มั น ไว้ ต ลอด อี ก ทั ้ ง ตลอดการ
เดินทาง ฟางเจิ้งก็เห็นคนมากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่เจอลางร้าย
ของใครสักคน ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เห็นเภทภัยของจูหลินเข้า!
ฟางเจิ้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วส่ายหัว “ไม่มีอะไร อาตมาแค่
กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ สีกา ช่วงนี้มีข่าวดีหรือเปล่า?”
จูหลินส่ายหัวแล้วพูด “ไม่นะ มีแต่ปัญหารุมเร้า ทำไมเหรอคะ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ไม่มีอะไรหรอก สีกา ถ้าอาทิตย์หน้าได้รับข่าวดี
สีกาต้องระมัดระวังให้มาก ๆ ก่อนรับมัน! จำไว้ให้ดี! อย่าลืม
เด็ดขาด!”
“...พระอาจารย์หมายถึงอะไรกันแน่คะ? บอกให้ชัดกว่านี้ได้
ไหม?” จูหลินที่เห็นท่าทีเคร่งขรึมของฟางเจิ้งก็รู้สึกกดดันไม่
น้อย
ฟางเจิ ้ ง ก็ อ ยากจะอธิ บ ายให้ ช ั ด กว่ า นี ้ แต่ เ ขาไม่ อ าจเปิ ด เผย
ความลับสวรรค์ ได้แต่บอกใบ้นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น ไม่งั้นได้
กลายเป็นปัญหาใหญ่แน่
ฟางเจิ้งคิดทบทวนไปมา ก่อนจะส่ายศีรษะ ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตอนนั้น แม่ของจูหลินก็ทำข้าวเช้าเสร็จพอดี จูหลินเลยไม่ได้
เซ้าซี้ฟางเจิ้งต่อ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเท่านั้น ฟางเจิ้งเป็น
พระธรรมดางั้นเหรอ? เธอไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่นอน! ก็เธอน่ะ
เห็นความสามารถของเขาด้วยตาตัวเองมาแล้ว ผู้ที่สามารถบิดมีด
ได้ด้วยมือเปล่า ต้องเป็นยอดมนุษย์อย่างแน่นอน! จูหลินที่ได้รับ
อิทธิพลจากอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มข้น เลยมองว่าฟางเจิ้งต้องเป็น
พวกฮีโร่อย่างซูเปอร์แมนแน่ ๆ!
ดังนั้นจึงเก็บคำของฟางเจิ้งไว้ในใจเป็นอย่างดี
หลังมื้อเช้า จูหลินก็ส่งฟางเจิ้งที่ท่าเรือ แล้วพูดว่า “พระอาจารย์
ท่าเรืออยู่ตรงหน้านะคะ ที่ทำก็แค่ขึ้นเรือไปกับทุกคน พิธีสรงน้ำ
พระฉลองปีใหม่จะจัดขึ้นในอีกสองวัน ฉันก็จะไปเหมือนกัน ว่า
จะไปถ่ายทอดสดที่นั่น เดี๋ยวจะให้ท่านเข้ากล้องด้วยนะคะ!”
ฟางเจิ้งยิ้ม “อามิตตาพุทธ แล้วเจอกันสีกา ก่อนจากกัน อาตมา
ต้ อ งการแสดงอะไรบางอย่ า งให้ ด ู ถ้ า เจอแบบนี ้ ท่ า นต้ อ ง
ระมัดระวัง”
“แสดงอะไรบางอย่างให้ดู? อะไรเหรอ?” จูหลินมองฟางเจิ้อย่าง
ประหลาดใจ
ใบหน้าฟางเจิ้งฉาบด้วยแสงพระอาทิตย์ เผยรัศมีพุทธะน่าเกรง
ขาม ทว่าตอนนั้นเอง——
โลกเบื้องหน้าจูหลินพลันสั่นสะท้านวาบ จากนั้นเธอสัมผัสได้ว่า
ตัวเองมาปรากฏตัวที่เมืองเฮยซาน! จูหลินมองไปรอบ ๆ ก่อน
อุทานว่า “อะไรเนี่ย? ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมาโผล่นี่กัน!?”
สถานที่แห่งนี้สำหรับจูหลินแล้ว จะว่าคุ้นเคยก็คุ้นเคย จะว่าไม่
คุ้นเคยก็ไม่คุ้นเคย ที่ว่าไม่คุ้นเคยก็เพราะว่าเธอไม่เคยมาที่นี่มา
ก่อน และที่คุ้นเคย ก็เพราะว่าเธอเห็นสถานที่แห่งนี้บนโทรทัศน์
กับในอินเทอร์เน็ตบ่อยมาก นี่เป็นเขตสำหรับชนชั้นสูงนั่นเอง!
ตอนที่ 141 : คนบ้าที่ไหนมัน......?
ตอนนั้นเองจูหลินก็เห็นตัวเองกำลังเดินมาจากไกล ๆ ข้าง ๆ เธอ
ยังมีคนเดินมาด้วยอีกสองคน แต่จูหลินไม่รู้ว่าคือใคร พวกเขากับ
เธอเดินคุยกันไปเรื่อย ๆ แถมเธอเองก็ดูมีความสุขมากทีเดียว
อีกสองคนข้างกายเป็นภาพเบลอ จูหลินเลยไม่รู้ว่าคือใครกันแน่
แต่ ว ่ า เธอเรี ย นจบด้ า นศิ ลปะมา เลยค่ อ นข้ า งมี สั ม ผั สที ่ ด ี ต่ อ
องค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากสังเกตอยู่หลายรอบ ก็พอจะ
ร่างภาพโดยคร่าว ๆ ของทั้งคู่ได้
ขณะกำลังจ้องเขม็ง ภาพพลันสะท้านวาบอีกครั้ง!
คราวนี้จูหลินโดนแสงอาทิตย์แยงตา จนต้องยกมือขึ้นมาป้อง พอ
ปรับสายตาได้แล้ว จูหลินค่อยพบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว พระผู้
น่าพิศวงซึ่งหันหลังให้ดวงอาทิตย์ พระผู้มีกลิ่นอายดุจพุทธะ ได้
หายตัวไปแล้ว!
จูหลินมองไปที่ท่าเรือแล้วทอดถอนหายใจ “เขาเป็นคนที่ยอด
เยี่ยมจริง ๆ ภาพที่เห็นเหมือนจะเป็นความฝันไม่ก็ภาพมายา แต่
ฉันรู้สึกว่าต้องเกิดขึ้นจริงชัวร์”
จูหลินพนมมือไปที่ความว่างเปล่า
“พระอาจารย์ ขอบคุณที่ชี้แนะนะคะ ถ้าฉันเจออะไรแบบนี้ใน
อนาคต ฉันจะระมัดระวังให้มากค่ะ”
จากนั้นจูหลินก็หันหลังเดินจากไป
ส่วนฟางเจิ้ง ตอนนี้อยู่ไหนน่ะเหรอ? เขาหายตัวประดุจยอดคนผู้
เร้นกายงั้นเหรอ? แหงล่ะ——ไม่ใช่เฟ้ย!
“คนบ้าที่ไหนมัน......?! ฝาท่อหายไปไหนฟะ?!!” ฟางเจิ้งแหงน
หน้ารำพึงฟ้า ใช่แล้ว เขาพยายามแอบย่องหนี หลังจากใช้ความ
ฝันยามต้มข้าวฟ่าง จะได้ไม่ต้องอยู่อธิบายให้เป็นปัญหาเปล่า ๆ
แต่ด้วยความรีบร้อน เขาจึงตกลงมาในท่อน้ำเสียฉิบ!
ดีที่ท่อนี้แห้งมาก ดูแล้วคงเลิกใช้งานมานาน แถมเขายังมีจีวรจัน
ทรากระจ่างอีก เนื้อตัวเลยไม่ได้สกปรกหรือมีกลิ่นติด
กว่าเขาจะปีนขึ้นมาได้ ก็พบว่าจูหลิ นเดินจากไปไกลแล้ว เขา
โคลงศีรษะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือ
“ขออภัยด้วย ที่นั่งเต็มหมดแล้ว โปรดรอลำหน้า” ชายร่างกำยำ
ผู้หนึ่งรั้งฟางเจิ้งไว้
ฟางเจิ้งมองไปยังที่นั่งในเรือที่ไม่ยักกะเต็มเลย แล้วถามว่า
“อามิตตาพุทธ เรือประสกไม่มีที่นั่งเหลือแล้วหรือ?”
“ขออภัยจริง ๆ เรือของเราเต็มแล้ว จะดีกว่าถ้ารอลำหน้า” พูด
จบ เจ้าตัวก็กระโดดขึ้นเรือแล้วแล่นออกไปทันที
ฟางเจิ้งยืนทึ่มทื่ออย่างสับสน ...เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? ฉับพลันฟาง
เจิ้งก็ได้กลิ่นตุ ๆ!
หลังจากฟางเจิ้งรอไปสักพัก เรือลำต่อไปก็มาถึง และเป็นอีกครั้ง
ที่คนขับเรือรั้งฟางเจิ้งไม่ให้ขึ้นเรือ จนกระทั่งมาถึงชายคนสุดท้าย
ที่ขึ้นเรือไปก็หันมาหาฟางเจิ้ง “พระหนุ่มเอ้ย อย่าพยายามเลย
ฉันจะบอกอะไรให้ เธอน่ะคงไปมีเรื่องกับใครบางคนเข้า เรือเลย
ไม่ยอมรับเธอขึ้น ถ้าต้องการไปจริง ๆ ก็คงต้องว่ายน้ำไปแล้วล่ะ
ไม่งั้นก็หาทางเองเถอะนะ”
ฟางเจิ้งงุนงงยิ่งกว่าเดิม เขาไม่เคยไปหาเรื่องใครตลอดการ
เดินทางเลยนะ——ยกเว้นพวกโจร!
คิดไปคิดมา ฟางเจิ้งก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าตัวเองไปหาเรื่องใครเขา
เข้า หลังจากเห็นเรือเทียบท่าออกท่าไปหลายลำ ฟางเจิ้งก็ไม่
อาจขึ้นไปได้เลย ทำเอาเขาเริ่มกังวลขึ้นมา
ถึงพิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่จะจัดขึ้นในวันมะรืน แต่วันนี้พระ
จากหลาย ๆ วัดจะไปรวมตัวกันก่อน เพราะอย่างไรเสี ย นี่ก็เป็น
งานใหญ่ ต้องมีการจัดระเบียบให้พระมากหน้าหลายตาสักก่อน
ตามกฎ ใครที่ไปไม่ทัน จดหมายเชิญจากวัดป๋ายอวิ๋นก็จะถูกเก็บ
คืน แต่ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือ ถ้าไม่ไปทั้งที่ได้ใบเชิญ
นั้น ก็ไม่ต่างไปจากหักหน้าวัดป๋ายอวิ๋น! แบบนี้นี่แหละคือการหา
เรื่องคนอื่นอย่างแท้จริง แถมในอนาคตก็อย่าหวังที่จะได้จดหมาย
เชิญให้เข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระอีกเลย!
นอกจากนี้วัดวาอารามอื่น ๆ ก็จะไม่เชิญจอมหักหน้าผู้นี้ไปไหน
มาไหนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้วย!
ถ้าฟางเจิ้งไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี ปัญหาต้องประดังประเดมา
แน่นอน!
ฟางเจิ้งกระวนกระวาย เขาเดินไปตามริมแม่น้ำ พยายามหาวิธี
ข้ามไปให้ได้
ริมแม่น้ำอีกฟากหนึ่ง มีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังสูบไปป์อย่างสบาย
อารมณ์บนเก้าอี้ไม้ โดยที่ข้าง ๆ เขามีพระรูปหนึ่งยืนยิ้มแป้นอยู่
“ขอบคุณผู้อาวุโสตู้มาก สำหรับความช่วยเหลือ”
“หึ พระปลอมริอาจมาเข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่ งั้ น
เหรอ? อู้หมิง ไม่ต้องเป็นห่วงไป เขาได้แต่ต้องว่ายน้ำข้ามไป ไม่
งั้นคงได้แต่ดูพิธีจากอีกฟากแม่น้ำเท่านั้นแหละ อีกทั้งเรือทุกลำ
ต้องเห็นแก่หน้าฉัน ไม่มีใครรับเขาขึ้นเรือแน่ ยกเว้นจะได้รับ
อนุญาตจากฉันเท่านั้น!” ผู้อาวุโสตู้เคาะไปป์พลางแค่นเสียงเย็น
อู้หมิงยิ้ม “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสตู้เป็นผู้ที่ไม่ว่าใครแถวนี้ก็นับถือ ส่วน
ฟางเจิ้ง......เฮ้อ อย่าไปพูดถึงเขาเลย พูดไปก็มีโทสะเสียเปล่า ๆ
เป็นเด็กเป็นเล็ก แต่ไม่รู้จักรักษาศีล หลอกลวงผู้อื่นไปทั่ว เฮ้อ
......”
“อู้หมิง เธอบอกว่าเขาไปสร้างสถานการณ์ไฟไหม้โกหกสีกาคน
หนึ่ง เพื่อช่วยเธอใช่ไหม? เรื่องจริงหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสตู้คาใจ
อู้หมิงตอบ “ผู้อาวุโสตู้ เรื่องจริงหรือเปล่า อาตมาก็ไม่อาจชี้ชัด
ได้ แต่ว่าข่าวลือนี้ใคร ๆ ก็พูดกัน ชื่อเสียงบ่งบอกตัวตน เรื่องจริง
ก็คงไม่ไกลไปจากนี้หรอก”
ผู้อาวุโสตู้พยักหน้า “ก็ใช่ พระรูปนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนยังไง
แต่ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนดีคนหนึ่ง”
อู้หมิงพูด “แน่นอน อาตมาคงต้องขอตัวขึ้นเขาไปก่อน ที่เหลือ
แล้วแต่ท่าน”
“ไปเถอะ ที่จัดพิธีสรงน้ำพระอยู่ตรงผาพอดี เธอน่าจะเห็นอะไรๆ
จากตรงนั้นได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะส่งคนไปเรียกเอง” ผู้
อาวุโสตู้พูด
อู้หมิงตอบรับอย่างยินดี ก่อนจะกล่าวลาอย่างเร่งรีบ
“ใช่แล้ว ที่หน้าผา อะฮ่า! เยี่ยม ตอนที่งานพิธีสรงน้ำเริ่มขึ้น ฉัน
ก็จะได้ดูไอ้เจ้าเด็กเวรนั่นมองจากอีกฝั่งของแม่น้ำตาละห้อย ฮ่า
ฮ่า ต้องงี้สิ! ต้องงี้สิ!” อู้หมิงพูดอย่างย่ามใจขณะเดินขึ้นเขา
เหมือนกับว่าตัวเองเห็นฟางเจิ้งวิ่งหนีกลับวัดนิ้วเดียวหางจุดตูด
และปิดประตูวัดตัวเองดังปั้งแล้วเสียอย่างนั้น
พออู้หมิงมาถึงยอดเขา เขาก็เห็นพระจากวัดใหญ่ ๆ ทั้งหลาย
มาถึงแล้ว อู้หมิงกระซิบใส่หูหงเสียง “ไปดูสถานการณ์ที่ตีนเขา
อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเรื่องฟางเจิ้ง”
“ศิษย์พี่อู้หมิงไม่ต้องเป็นห่วงไป ผู้อาวุโสตู้เป็นลุงอาตมาเอง เรื่อง
พวกนี้ย่อมไม่มีปัญหา” จากนั้นหงเสียงก็ลงเขาไป
หงเสียงลงมานั่งข้างผู้อาวุโสตู้ที่ตีนเขา ขณะมองฟางเจิ้งเดินไป
เดินมาอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำ โดยไม่มีความคิดจะยกธงขาวแม้แต่น้อย
หงเสียงยิ้มเยาะ เยาะเย้ยในใจว่า ‘เจ้าโง่! บังอาจมาลดเงิน
บริจาคของพวกเรา งั้นพวกเราจะปิดวัดแกซะ! ฮึ่ม!’
ฟางเจิ้งกำลังมีสีหน้าหม่นหมอง ไม่มีเรือลำไหนรับเขาเลย แล้ว
แบบนี้เขาจะข้ามแม่น้ำได้ยังไง?
ขณะฟางเจิ้งกำลังสิ้นไร้ไม้ตอก พลันได้ยินเสียงผิวน้ำซัดสาด
ขึ้นมา ฟางเจิ้งจึงมีความคิดแวบขึ้นมาจึงยิ้มทันที “รู้แล้ว”
ฟางเจิ้งนั่งยอง ๆ ที่ริมแม่น้ำ “มีปลาไหมนะ?”
อีกฝั่ง หงเสียงที่เห็นฟางเจิ้งอยู่ดี ๆ ก็นั่งยอง ๆ แล้วพึมพำกับ
ตัวเอง ก็ได้แต่เกาหัวแล้วเอ่ยถาม “คุณลุง เจ้านั่นกำลังทำอะไร
อยู่น่ะ?”
“คุณลุงอะไร? ถึงว่า ทำไมวัดป๋ายอวิ๋นถึงไม่อยากรับเธอไว้ ต่อไป
เรียกฉันว่าประสก! เธอเป็นพระแล้ว เข้าใจไหม?” ผู้อาวุโสตู้
ตำหนิ
หงเสียงรีบเปลี่ยนคำทันที “อามิตตาพุทธ อาตมาทราบแล้ว
ประสกคิดว่าฟางเจิ้งทำอะไรอยู่หรือ?”
“ใครจะไปรู้ว่าเขากำลังพึมพำอะไรอยู่ริมแม่น้ำ สงสัยจะบ้าไป
แล้วมัง้ ” ผู้อาวุโสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสตู้ก็ขมวดคิ้ว เขาเป็นนักตกปลามาก
ประสบการณ์ เรื่องอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปลา เรื่องเรือ
และเรื่องน้ำ เขาเชี่ยวชาญมาก! ตอนนี้เขารู้สึกว่าพวกปลากำลัง
ไปรวมตัวกันอยู่แถวฟางเจิ้ง!
“ทำไมพวกปลาถึงมารวมอยู่ที่ท่าเรือกัน ? ปกติไม่มีนี่หว่า?” ผู้
อาวุโสตู้เผยสีหน้างุนงง ใครมาวางเหยื่อไว้หรือไง? แต่ว่าเขต
แม่น้ำวัดป๋ายอวิ๋นห้ามตกปลา ดังนั้นปลาเลยเป็นปกติสุขสงบ
เสมอมา
หงเสียงก็ไม่รู้เช่นกัน ยิ่งมองผิวน้ำเกิดละลอกคลื่น ก็ยิ่งสับสน
งงงวยมากกว่าเดิม
ตอนที่ 142 : โปรดสัตว์
“มีปลาจริง ๆ ด้วย!” พอฟางเจิ้งเห็นปลาฝูงใหญ่กำลังว่ายมาก็
หน้าระรื่นขึ้นทันควัน
“ใครเรียกพวกเราน่ะ?” ปลาตัวหนึ่งผุดขึ้นเหนือผิวน้ำมาถาม
ฟางเจิ้งรีบตอบ “อามิตตาพุทธ เป็นอาตมาเอง”
“เรียกพวกเรามาทำไม?” เจ้าปลาถามต่อ
ฟางเจิ้งยิ้มรับ “อาตมาอยากจะข้ามแม่น้ำน่ะ พวกโยมช่วย
อาตมาได้หรือไม่?”
“พูดกับพวกเราเหรอ?” เจ้าปลาถามอย่างสับสน
ฟางเจิ้งตอบ “ใช่แล้ว อาตมากำลังพูดกับพวกโยมนั่นแหละ”
“ต้องการอะไร?” เจ้าปลาถาม
“อาตมาต้องการข้ามแม่น้ำ เลยหวังว่าพวกโยมจะช่วยอาตมา
ได้” ฟางเจิ้งพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“นายกำลังคุยอยู่กับใครน่ะ” เจ้าปลาถามด้วยความใจเย็นยิ่งกว่า
“พวกโยมอย่างไรเล่า” ฟางเจิ้งตอบ
“เรียกพวกเรามาทำไม? บอกมาตรง ๆ นะ!” เจ้าปลาถามด้วย
น้ำเสียงจริงจัง
“อาตมาต้องการข้ามแม่น้ำ เลยหวังว่าพวกโยมจะช่วยอาตมา
ได้” ฟางเจิ้งอธิบาย
“นายกำลังคุยอยู่กับใครน่ะ?” เจ้าปลาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังยิง่
กว่าเดิม

ฟางเจิ้ง “#¥%¥#&……*&”
ฟางเจิ้งจ้องเขม็งไปที่เจ้าปลา เขาสาบานเลยว่า ถ้าตัวเองไม่ได้ถือ
ครองสมณเพศอยู่ ต้องได้จับปลาพวกนี้ไปทอดลงในน้ำมันแน่!
เจ้าพวกนี้กำลังแกล้งเขาอยู่!
ตอนนั้นเอง ก็มีปลาตัวจ้อยว่ายเข้ามาถาม “แม่ พูดเรื่องอะไร
อยู่น่ะ?”
“ฉันพูดอะไรด้วยเหรอ? เปล่านะ” เจ้าปลาตอบ
“งั้นเองเหรอ......” เจ้าปลาตัวจ้อยพูดเสียงคิกขุ
พอฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้...ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า
พวกปลามีความจำอยู่แค่เจ็ดวินี่หว่า!
‘เจ็ดวิ? เจ็ดวิแม่*สิ! ปลาตัวนี้มีความจำยังไม่ถึงสามวิเลยไม่ใช่
เหรอ?!’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ เพราะพวกปลามี ความจำสั้นเกินไป
ฟางเจิ้งเลยล้มเลิกความคิดที่จะให้พวกปลาต่อตัวเป็นแพพาเขา
ข้ามแม่น้ำ ไม่งั้นเกิดเจ้าพวกตัวจ้อยนี่รับคำแล้วลืมจนแตกฝูง
ขึ้นมากลางทาง เขาได้เจอปัญหาใหญ่แหง!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงโบกมือ “ไม่เป็นไรแล้ว เชิญพวกโยมไปไหนก็ไป
เถอะ”
“เจ้ามนุษย์นี่คุยกับใครอยู่น่ะ?” ปลาตัวแม่พูดกับปลาตัวจ้อย
เจ้าปลาตัวน้อยส่ายหัว “เขาคงเป็นโรคประสาทน่ะ ไปกันเถอะ”
จากนั้น ฝูงปลาก็จากไปอย่างรวดเร็ว...
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น...เป็นโรคประสาท? ถ้าไม่ใช่
ว่าตัวเองเป็นพระ เขาแม่*ได้พุ่งทะยานไปต่อยกับปลาในน้ำแน่!
พึ่งพาปลาไม่ได้แล้ว จึงได้แต่กวาดสายตาไปมาหาวิธีอื่น ——
ปัญหาเยอะจริง ๆ
อีกฝั่งของแม่น้ำ ผู้อาวุโสตู้ที่เห็นฝูงปลาแตกกระจายไปหลังจาก
ฟางเจิ้งยืนขึ้น ก็ขมวดคิ้วแน่น พอฟางเจิ้งนั่งลง พูดไม่กี่คำ ฝูง
ปลาก็เข้ามารวมตัว พอยืนขึ้น ฝูงปลาก็จากไป ถ้าเป็นปลาบ่อ
เขายังพอเข้าใจ แต่นี่...ปลาในแม่น้ำป๋ายล้วนเป็นปลาธรรมชาติ
ทั้งหมด เขาไม่เคยเห็นใครมีความสามารถเช่นนี้มาก่อนเลย!
‘เรื่องบังเอิญแหละ’ ผู้อาวูโสตู้พึมพำในใจ
อู้หมิงที่ยืนอยู่ตรงผานั้นไม่ได้มองเห็นฝูงปลา เพราะอยู่ไกล
เกินไป ที่เห็นก็มีแต่ฟางเจิ้งผุดลุกผุดนั่งพลางบ่นงึมงำไปด้วย พอ
เห็นว่าฟางเจิ้งหมดแล้วซึ่งความหวัง เขาก็หันไปนั่งรวมกลุ่มกับ
บรรดาพระจากที่ต่าง ๆ อย่างยินดี ตราบใดที่ฟางเจิ้งข้ ามแม่น้ำ
มาไม่ได้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลแล้ว

ขณะฟางเจิ้งกำลังหลังชนฝา ระบบก็พูดขึ้นมาว่า 【แจ้งเตือน


ท่านได้รับคำชมจากระบบ เนื่องจากได้ทำการไล่พวกโจร และได้
รับคำชม จากการหาหนทางให้หลู่ชวงชวงสามารถใช้ชีวิตต่อไป
ตอนนี้ท่านมีทั้งสิ้น สองคำชม】
“คำชม? เดี๋ยวนะ...ถ้าจำไม่ผิด สองคำชม เท่ากับหนึ่งโอกาสเสีย่ ง
โชคใช่เปล่า?” ฟางเจิ้งจำได้แล้ว!
【ติ้ง! ยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็จำได้ ถูกต้อง ท่านมีโอกาสเสี่ยง
โชคหนึ่งรอบ】 ระบบพูด
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ได้แต่บ่น “ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเตือน?!”

【ทำไมระบบต้องแจ้งเตือนเรื่องที่ท่านลืมเองด้วย?】 ระบบ
ถามหน้าตาย
ฟางเจิ้งน้ำท่วมปาก ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของระบบก็เถอะ แต่ยังไงก็
ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร พึ่งไม่ได้แหง ก็ระบบเล่นเอาแต่กลั่นแกล้ง
เขานี่หว่า พึ่งตัวเองนี่แหละ ดีสุด!
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยพูด “ช่างมัน ๆ หมุนให้ฉันหนึ่งครั้ง หวังว่าจะ
ได้ของที่ใช้งานได้ดี ๆ นะ ไม่งั้น ต้องว่ายน้ำข้ามจริง ๆ แล้วล่ะ
เหอ ๆ ถ้าได้ว่ายน้ำจริงนี่ ออกจะน่าสมเพชไปหน่อยไหมนะ?”
ฟางเจิ้งมีจีวรจันทรากระจ่างอยู่ ดังนั้นถึงน้ำในฤดูหนาวจะเย็น
มาก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นหน่อย ๆ เท่ านั้น ถ้าจะให้ว่ายน้ำจริง
มั น ก็ ไ ด้ แ หละ เพราะปั ญ หาคื อ เรื ่ อ งน่ า สมเพชกั บ น่ า อั บ อาย
ต่างหาก
ตอนนี้ฟางเจิ้งรู้แล้วแหละว่ากำลังมีคนสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้น
ฟางเจิ้งจึงไม่อยากอยู่ในอาการน่าเพช
【ต้องการหมุนเลยหรือไม่?】
“หมุนโลด!” ฟางเจิ้งตอบรับ

【ติ้ง! ท่านได้รับรองเท้าพุทธะ—โปรดสัตว์[1] !】
“อะไรนะ? รองเท้า?” ฟางเจิ้งถามย้ำ
พ่าม! รองเท้าคู่หนึ่งตกลงมาบนมือของฟางเจิ้ง เป็นรองเท้าสาน
ดูธรรมดา ๆ อย่างยิ่ง ดูเรียบง่ายทั้งภายในทั้งภายนอก——ดูไร้
ราคามาก!
ไม่ว่าฟางเจิ้งจะมองจากมุมไหน รองเท้าคู่นี้ก็เหมือนกับพร้อมจะ
โยนให้ช่างปะรองเท้าหน้าตลาดของหมู่บ้านเล็ก ๆ ราคาน้อยกว่า
สิบหยวนอีก ถ้าผู้ซื้ออารมณ์ดีหน่อย ก็น่าจะขายได้สักสองหยวน
แถมหาความพิเศษยังไม่ได้เลย

【ติ้ง! รองเท้าพุทธะคู่นี้เรียกว่า‘โปรดสัตว์’ถ้าสวมใส่ ท่านจะไม่


จมน้ำ ไฟไม่อาจกล้ำกราย ยืนบนโคลนตมไม่จม และสิ่งอาจมไม่
อาจเปรอะเปื้อนสะอาดไร้ที่ติไม่มีกลิ่นตกค้างอยู่ตลอดเวลา】
“งั้นชีวิตของผู้เป็นโรคน้ำกัดเท้าก็หลีกเลี่ยงได้แล้วสินะ? เอ๋ ไม่
จมน้ำเหรอ?” ฟางเจิ้งรู้ซึ้งถึงความพิเศษของรองเท้าคู่นี้แล้ว —
—ปัญหาคลี่คลาย!
ฟางเจิ้งถาม “ระบบ นายมั่นใจแน่นะ ว่าใส่แล้วไม่จมน้ำ?”

【ผลิตภัณฑ์ของทางระบบน่าเชื่อถือ และรับรองว่าเป็นของแท้
แน่นอน】ระบบตอบกลับ
“ถ้าสะอาดไร้ที่ติอยู่เสมอ หมายความว่าฉันไม่ต้องคอยล้างสินะ?
เหมาะสำหรับคนโดนน้ำกัดเท้าเพราะไม่ต้องโดนน้ำจริง ๆ” ฟาง
เจิ้งเล่นสำบัดสำนวน

【ใช่แล้ว】
“รองเท้าโคตรเจ๋ง!” ฟางเจิ้งรีบประเมินรองเท้าคู่นี้ใหม่ทันที เขา
มองที่แม่น้ำป๋ายแล้วยิ้มหวาน แม่น้ำแค่นี้จะมาเป็นอุปสรรคขวาง
กั้นพระฟางเจิ้งผู้ยิ่งใหญ่ได้เช่นไร? เขานี่มันเจ๋งจริง!
ฟางเจิ้งหัวเราะออกมาอย่างยินดี ยินดีจนเงยหน้าและคำราม
เสียงหัวเราะออกมา
ผู้อาวุโสตู้กับกับหงเสียงมองหน้ากันนิ่ง ๆ ก่อนจะส่ายหัวลงความ
คิดเห็นว่า “พระนี่บ้าไปแล้วแน่นอน”
ขณะเดียวกัน บนยอดเขา
พระรูปหนึ่งในกาสายะสีแดงเดินมาที่หน้าผาพร้อมคณะ เขาถาม
ด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “ทุกรูปอยู่ที่นี่หรือยัง?”
“ท่านเจ้าอาวาส ทุกรูปอยู่ที่นี่ หมดแล้วครับ ยกเว้นเจ้าอาวาส
ฟางเจิ้งจากวัดนิ้วเดียว ไม่ทราบว่าท่านกำลังขึ้นเขามา หรือจะไม่
มากันแน่เนี่ยสิ” พระน้อยพรรษารูปหนึ่งกระซิบบอก
“ฟางเจิ ้ ง จากวั ด นิ ้ ว เดี ย ว?” พระอาจารย์ ป ๋ า ยอวิ ๋ น ขมวดคิ้ ว
เหมือนพยามนึกเรื่องวัดนิ้วเดียวอยู่
“ศิษย์พี่ วัดนิ้วเดียวเพิ่งเป็นข่าวในเมืองเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ลิปิศิลป์
ของฟางเจิ้งเยี่ยมมาก ได้ข่าวว่าชนะลิปิกรบางคนด้วย แถมวัดก็มี
คนไปกราบไว้เยอะขึ้นมากช่วงนี้ พวกเราเลยส่งจดหมายเชิญให้
เขา” พระชรารูปหนึ่งกระซิบบอก
“อาตมาจำได้แล้ว เจ้าอาวาสวัดนั้นยังเยาว์นัก คงลำบากมาก
ทีเดียว ในเมื่อเขายังไม่มา พวกเราก็รอกันเถอะ” พระอาจารย์
ป๋ายอวิ๋ยพูดเสียงนุ่ม จากนั้นทุกคนก็นั่งลง
พออู้หมิงเห็นพระอาจารย์ป๋ายวิ๋น ก็รุดหน้าขึ้นไปทันที อู้หมิงไม่
เพียงโกรธเพราะคนกำลังพูดถึงฟางเจิ้งเท่านั้น แต่เพราะพวกเขา
กำลังรอฟางเจิ้ง! เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง! วัดหงเหยียนไม่เคยได้รับ
อะไรแบบนี้มาก่อน! แต่อู้หมิงลืมไปแล้วว่า พระอาจารย์หงเห
ยียนมักจะมาเป็นรูปแรก ๆ เสมอ เขาจะเคยมาสายที่ไหนกัน ?
แถมไม่มีใครคิดจะหาเรื่องพวกเขาด้วย!

[1] ต้นฉบับใช้คำว่า 普渡 (ผู่ตู้) โดย 普 หมายถึงกว้างไกล


ทั่วไป หรือโดยสากล 渡คือการก้าวข้าม ข้ามผ่าน 'จากฟากฝั่ง
หนึ่งไปอีกฟากฝั่งหนึ่ง' (ลำนำ แม่น้ำ ทะเล)
ตอนที่ 143 : อย่าคิดสั้น
ดังนั้นอู้หมิงจึงรุดหน้าขึ้นไปพูด “ท่านพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น
จากที่ทราบ ฟางเจิ้งเป็นคนหยิ่งยะโสมาก ตอนที่พวกลิปิกรขึ้น
เขา ก็ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าวัด แถมยังปล่อยสุนัขมาไล่กัดคนอื่น
อีก แล้วก็ไม่นานมานี้ อาตมาได้ยินว่าเขาไม่คิดจะมาเข้าร่วมพิธี
สรงน้ำฉลองปีใหม่ด้วย เขาคิดว่าพวกเราเป็นพระปลอม คอย
หลอกลวงประชาชน”
“ท่านคือ?” พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นไม่มีโทสะแม้แต่น้อย เพียงหัน
มองอู้หมิงด้วยสายตาเมตตาธรรม
อู้หมิงรีบโค้งตัว “อาตมามีนามว่าอู้หมิง เป็นลูกศิษย์ของพระ
อาจารย์หงเหยียนแห่งวัดหงเหยียน นมัสการพระอาจารย์ป๋า
ยอวิ๋น”
“อา...ท่านคือลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของท่านเจ้าอาวาสหงเหยียน
นั่นเอง อภัยให้อาตมาด้วย” พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น
ก่อนที่อู้หมิงจะได้พูดอะไรต่อ คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ผู้ที่เดินนำ
คือเจ้าอาวาสหงเหยียน เนื่องจากพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นเป็นจิต
วิญญาณของวัดแห่งนี้ เวลาท่านไปไหนย่อมเป็นจุดสนใจ พระ
อาจารย์หงเหยียน จะไม่เห็นอู้หมิงที่เข้าไปคุยกับพระอาจารย์ป๋า
ยอวิ๋นได้ยังไง? อีกทั้งพระอาจารย์หงเหยียนก็กลัวอู้หมิงจะสร้าง
ปัญหาเพิ่ม เลยเข้ามาแทรก และเขาก็ได้ยินคำพูดแย่ ๆ จริง ๆ
เสียด้วย!
พระอาจารย์หงเหยียนขมวดคิ้ว “อู้หมิง พระไม่เอ่ยมุสาวาจา ที่
เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”
พออู้หมิงเห็นพระอาจารย์หงเหยียนเข้ามาถามเหมือนไม่เชื่อใจ
ทำเอาอู้หมิงรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ในใจร่ำร้องว่า ‘ฉันติดตาม
ท่านมาหลายปี แต่ท่านก็ยังไม่คิดจะเชื่อใจฉันอีกเหรอ? สำหรับ
ท่านแล้ว ฉันเป็นตัวอะไรกันแน่ ?! คิดดู ฉันทุ่มเทพยายามสร้าง
ชื่อเสียงให้กับวัดหงเหยียนแค่ไหน แต่เขากลับชราจนสติเลอะ
เลือนไปหมดแล้ว!’
อู้หมิงโต้กลับอย่างโมโห “ย่อมเป็นเรื่องจริง อาตมาเป็นพระมาก
ว่าทศวรรษ อาตมาจะมุสาได้เช่นไร?”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ให้พวกเรารอกันคงไม่เหมาะนัก แต่ว่าทุกอย่าง
ต้องมีคำยืนยันเสียก่อน ในที่นี้มีใครติดต่อเจ้าอาวาสฟางเจิ้งได้
หรือไม่?” พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋ยเอ่ยปากถามเสียงดัง
ฟางเจิ้ง? ใครกัน? คำถามนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของทุกคน
วัดนิ้วเดียว? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
พอพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นเห็นทุกคนส่ายศีรษะ เขาเลยไม่รู้เช่นกัน
ว่าตนเองควรรอหรือไม่ควรกันแน่?
ทว่าตอนนั้นเอง พระรูปหนึ่งซึ่งมีผิวดำคล้ำที่ยืนอยู่ข้างหลังพระ
อาจารย์ป๋ายอวิ๋นก็เอ่ยเสียงค่อยขึ้นมา “ศิษย์พี่เจ้าอาวาส ใน
จดหมายเชิญที่พวกเราส่งไป ระบุวันเวลาไว้อย่างชัดเจน ถ้าเขา
มาไม่ทัน ย่อมไม่ใช่ความผิดของเรา ทุกอย่างย่อมเป็นไปตาม
กรรม บางทีเขาอาจกำลังขึ้นเขามา แต่นั่นก็เป็นกรรมของเขา
พวกเราจะให้ทุกคนรอไม่ได้หรอก มิใช่หรือ?”
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็
พูด “เช่นนั้น——”
“สวรรค์! มีคนกำลังข้ามแม่น้ำ!” พระรูปหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงผาพอดี
อุทานลั่น
จากนั้นก็มีเสียงตำหนิตามมา “เหลี่ยวคง! จะตะโกนทำไม?!
พระยังสงบนิ่ง แม้ไท่ซานจะถล่ม ไหน ให้อาตมาดูหน่อย คนข้าม
แม่น้ำจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว? .......พุทธองค์ช่วยด้วย! มี
คนกำลังข้ามแม่น้ำ!!”
ทุกคนมองหน้ากันเอง เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
บรรดาพระเลยเริ่มรวมตัวกันตรงริมผาเพื่อมองลงไป จากนั้น ก็มี
เสียงอุทานเกิดขึ้นตามมาติด ๆ! ผู้ที่มารวมตัวกัน ส่วนใหญ่เป็น
พระเยาว์วัย เลยไม่อาจรักษากริยาเพราะปฏิบัติมาไม่พอ ยังคง
ติดนิสัยทางโลกเดิม ๆ ก็เลย........
“เชี่ย! อะไรวะนั่น!?”
“แม่*เอ้ย ท่านเจ้าอาวาส มาดูสิครับ!”
“ฉันฝันอยู่เปล่าเนี่ย ? ขอตบตัวเองสักทีว่าฝันอยู่หรือเปล่า...ไม่
เจ็บแฮะ”
“นายตบฉันทำไมเนี่ย?!”
“อ้าว? ตบผิดเหรอ? ถึงว่าทำไมไม่เจ็บ”
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นกับพระอาจารย์หงเหยียนมองหน้ากัน ใน
ดวงตาปรากฏความงุนงง แค่คนข้ามแม่น้ำ เหตุไฉนจึงก่อนความ
วุ่นวายเช่นนี้ได้? ดังนั้นทั้งสองเลยเดินไปที่หน้าผา
แต่ว่ามีคนที่เร็วกว่า —อู้หมิง! พออู้หมิงได้ยินว่ากำลังมีคนข้าม
แม่น้ำ ก็พลันสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีมาเยือน เลยรีบวิ่งไปดูที่หน้าผา
ทันที เขาจ้องเขม็งจนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า ——ตกตะลึง
ถึงขีดสุด!!!
ที่ตีนเขา ผู้อาวุโสตู้กำลังสูบไปป์อย่างสบายอารมณ์ บางครั้งก็จะ
ดุด่าหงเสียงแก้เบื่อ ส่วนหงเสียงได้แต่พยักหน้ารับคำดุด่าว่า
กล่าวอย่างอดทน
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสตู้ก็ผุดลุกขึ้นยืน ไปป์ในปากเกือบหล่นตอน
เขาอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง!!? นี่มัน....นี่มัน
......”
หงเสียงเงยหน้ามองตามสายตาผู้อาวุโสตู้ไป ก่อนจะชะงักงันด้วย
อี ก คน เขาอุ ท านเสี ย งหลง “เขายั ง เป็ น มนุ ษย์ อ ยู ่ ห รื อ เปล่า
เนี่ยยยย!!?”
——ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
พวกคนเรือกำลังรับส่งผู้โดยสารอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะได้ยิน
เสียงผู้โดยสารแต่ละคนอุทานอย่างประหลาดใจ
“พระรูปนั้นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ!?”
“นั่นสิ ดูเหมือนกำลังฆ่าตัวตายอยู่เลยแฮะ?”
“ชีวิตล้มเหลวจนต้องจบชีวิตตัวเองลงงั้นสิ?”
พอพวกคนเรือได้ยินต่างเงยหน้ามอง แล้วก็นิ่งงันกันไป ชายชุด
ดำก่อนหน้านี้สบถออกมาทันที “นั่นมันพระหนุ่มรูปนั้นนี่! ฟาง
เจิ้งสินะ? เจ้านี่เป็นตัวปัญหาจริง ๆ ด้วย เขาคงพยายามจะว่าย
น้ำไปเอง เพราะพวกเราห้ามขึ้นเรืองั้นสิ?”
“ช่างมัน แม่น้ำป๋ายในหน้าหนาวแบบนี้เย็นเสียดกระดูกจะตาย
ชัก ขนาดนักว่ายน้ำฤดูหนาวยังไม่กล้าลงมาว่ายในแม่น้ำป๋าย
เชียวนะ พนันเลยว่า ถ้าเขากล้าลงน้ำไปจริง ฉันจะเลี้ยงมื้อเย็น
เว้ย!” คนเรือผู้หนึ่งพูดเหยียด ๆ
หัวหน้าคนเรือหัวเราะ “ใช่ ถ้าเขากล้าว่ายน้ำไปจริง ๆ ฉันจะนับ
ถือเขาเลย แล้วขากลับฉันจะเอาเรือไปรับเขาด้วยตนเองเลยเอ้า!
แต่ดู ๆ ไป เขาคงกลายเป็นอาหารปลาก่อนแหละมั้ง ฮ่าฮ่า เฮ้!
ใครก็ได้ เตรียมเสื้อชูชีพให้หน่อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง พวกเราดู
เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือไม่ได้หรอกนะ”
“ใช่ ถ้ามีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขาล่ะก็ มันก็จะเป็นความผิดของ
พวกเราเหมือนกัน คิดเสียว่าทำบุญทำทานเถอะ เฮ้อ ผู้อาวุโสตู้
พูดถูก พระรูปนี้เป็นตัวปัญหาของแท้! พระแบบนี้น่ะเหรอคิดจะ
ไปวัดป๋ายอวิ๋น? อืม........”
“เอาล่ะ ๆ เลิกพล่ามได้แล้วน่า ฉันเริ่มจะเชื่อแล้วล่ะว่าเขาคิดจะ
ฆ่าตัวตายจริง ๆ วัดป๋ายอวิ๋นเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฮยซาน
พิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่ของทุกปี ล้วนเป็นเทศกาลใหญ่ของ
เมืองเฮยซานเรา พระรูปไหนจะไม่อยากเข้าร่วมกัน ? แถมถ้า
ได้รับจดหมายเชิญ แต่ดันไม่คิดจะเข้าร่วม ก็คง.....คงคิดเองได้
เนอะ? บางทีอาจจะโดนคนทั้งเมืองเฮยซานแบนเอาได้เชียวนะ
เลิกคิดเรื่องอนาคตได้เลย ฉันว่าเจ้าพระหนุ่มนี่คงคิดเรื่องนี้ได้น่ะ
ขืนเขาฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ พวกเราคงไม่อาจหลุดพ้นความผิด
ได้หรอกนะ ถึงในแง่กฎหมายอาจจะไม่ผิด แต่ด้านความรู้สึกนี่...
คงผิดเข้าเต็มเปา!” หัวหน้าคนเรือพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“พี่เฮย งั้นพวกเราจะทำยังไงดี ? ไปรับเขาข้ามฟากเลยดีไหม?”
คนเรือผู้หนึ่งถาม
“ตลกดิ! พวกเราจะไม่ฟังคำของผู้อาวุโสตู้งั้นเหรอ? ถ้าไม่มีท่าน
พวกเราจะมีเรือมาทำธุรกิจแบบนี้ได้ยังไง? แค่เฝ้าดูเขาให้ดี ๆ ก็
พอ ถ้าเขาจะคิดสั้นจริง ๆ ค่อยเข้าไปช่วย ตราบใดที่ไม่ตาย ก็ไม่
เป็นไร” พี่เฮยผู้เป็นหัวหน้าคนเรือพูดรวบรัด
พวกคนเรือล้วนเฝ้าคอยสัญญาณให้ไปช่วยเหลือถ้าพระจะคิดสั้น
ส่วนผู้โดยสารที่เห็นว่าพวกคนเรือกำลังรอคอยที่จะช่วยชีวิตคน
ก็ไม่มีใครคิดจะดึงดันให้เดินเรือต่อ พวกเขาต่างพูดให้เหล่าคน
เรือระมัดระวังกันมาก ๆ
ขณะเดียวกันก็มีคนตะโกนไปที่ฟางเจิ้ง
“เณรน้อยอย่าคิดสั้นเลยนะ! ไม่มีปัญหาใดในโลกนี้ไม่อาจแก้ไข!
ทนไว้นะ!”
“เณรน้อย ชีวิตก็เหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ถ้าสู้ไม่ไหว ก็ต้องทน!”
ตอนที่ 144 : ปาฏิหาริย์ข้ามแม่น้ำ
“พระหนุ่ม! ฉันรู้นะว่าเป็นพระมันไม่ง่าย ทำไมถึงไม่คิดจะลา
สิกขาหน่อยล่ะ? ฉันจะแนะนำผู้หญิงให้เอง! เธอน่ารักมากเลย
นะ!”
พอฟางเจิ้งได้ยินพลันหน้าดำคล้ำ!
ทำไมเขาต้องคิดสั้นด้วย? ถุ้ย! ถึงจะโดนระบบหลอกมาก็เถอะ
แต่ชีวิตตอนนี้ก็ดีมาก และฟางเจิ้งยังเชื่อว่า สักวันหนึ่งเขาต้องได้
กลั บ ไปเป็ น ฆราวาส และมี อ นาคตอั น สดใสแน่ น อน ถึ ง ชี วิ ต
ปัจจุบันจะไม่ค่อยสดใสเท่าไรก็เถอะ!
กับโลกอันน่ารื่นรมย์ ทำไมฟางเจิ้งจะต้องคิดจากไปด้วย? อีก
อย่างนะ คนที่ไหนเขาจะถือต้นกกไปฆ่าตัวตาย? แถมมีแค่ต้น
เดียวด้วย.....
ใช่แล้ว ฟางเจิ้งกำลังลอกเลียนแบบพระโพธิธรรมใช้ต้นหญ้าข้าม
แม่น้ำ[1]! อันที่จริง แค่รองเท้าโปรดสัตว์ ก็ทำให้ฟางเจิ้งเดินบน
น้ำเหมือนเดินบนดินได้แล้ว แต่ว่า ถ้าทำแบบนี้มันเจ๋งกว่านี่นา!
——โลกใบนี้จะสุกสว่างด้วยรัศมีของเขา!
อย่างไรเสียฟางเจิ้งรู้ดีว่า พระโพธิธรรมใช้ต้นกกข้ามแม่น้ำ ส่วน
เขาไม่ได้ใช้อะไรช่วยเลย อย่างนี้หมายความว่าเขาเก่งกว่าน่ะสิ ?
ตัวท่านพระโพธิธรรมเองอาจไม่ว่าอะไร แต่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา
นั้นไม่แน่ อีกทั้งคนพวกนั้นก็ถือตัวเองเป็นผู้สืบทอดของท่าน ถ้า
เกิดมีคนเกินหน้าเกินตา ต้องเกิดความไม่พอใจวงกว้างแหง
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ฟางเจิ้งต้องการแสดงความเคารพแก่ท่าน
พระอาจารย์โพธิธรรม
ถึงเรื่องพระโพธิธรรมใช้ต้นกกข้ามแม่น้ำนั้น จะดูเหมือนเป็นแค่
เรื่องเล่า แต่ก็เป็นอะไรที่ไม่ควรไปลบหลู่อยู่ดี ดังนั้นฟางเจิ้งเลย
พยายามลอกเลียนแบบ ถ้าเกิดข้ามแม่น้ำโดยไม่มีอะไรมาช่วยล่ะ
ก็...ชีวิตคงได้ประสบปัญหาแน่ จะอธิบายให้ใครเขาฟังก็ยากเกิน
ว่าแล้วฟางเจิ้งก็ปฏิบัติการตามแผน
พอเขาเห็ น ผู ้ ค นตะโกนมาด้ ว ยความเป็ น ห่ ว งจนสุ ด เสี ย ง
โดยเฉพาะคนที่บอกให้เขากลับไปเป็นฆราวาส แล้วก็จะแนะนำ
ผู้หญิงให้คนนั้น ฟางเจิ้งนี่อยากจะกดเพิ่มเพื่อนในวีแชททันทีเลย!
พอเขาลาสิกขาแล้วจะได้ทักไป......
แต่เขาไม่อาจทำได้ภายใต้สายตาจับจ้องของคนหมู่มาก เลยได้แต่
อดทนไว้เท่านั้น
ฟางเจิ้งโบกมือให้ทุกคน จากนั้นก็พนมมือ เขาพูดเสียงดัง ฟังชัด
ว่า “โยมทั้งหลายเข้าใจผิดแล้ว อาตมาไม่ได้กำลังฆ่าตัวตาย
โลกใบนี ้ ก็ เหมื อนบึงโคลนอั น มี สรรพชี วิ ตติ ดอยู่ และอาตมา
ต้องการช่วยสรรพชีวิตเหล่านี้ อาตมาจะยอมจบชีวิตตัวเองลงได้
เช่นไร?”
“เอ๋? งั้นเธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ?” บรรดาฝูงชนที่กำลังสับสน
ตะโกนถามกลับมา
ฟางเจิ้งชี้ไปข้างหน้าแล้วพูด “อาตมามีนามว่าฟางเจิ้ง เป็นเจ้า
อาวาสวัดนิ้วเดียว อาตมามาเข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่
จากคำเชิญของพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นแห่งวัดป๋ายอวิ๋น ทว่าช่าง
โชคร้าย เหมือนอาตมาจะประสบเคราะห์กรรมเสียแล้ว อาตไม่
อาจข้ามแม่น้ำไปได้ เลยได้แต่ ต้องเลียนแบบท่านพระโพธิธรรม
ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก!”
“ฟู่ว!” มีบางคนพ่นน้ำลายออกมาเป็นสาย...
“ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก? ฮ่าฮ่าฮ่า! พระหนุ่มนี่ตลกไม่เลว ล้อเล่น
แบบนี้ทำเอาน่าอับอายจนไม่กล้าแหงนหน้ามองฟ้าเลยวุ้ย!”
“ฟ้าดินช่างกว้างใหญ่ไพศาล มีพวกบ้าบอเต็มไปหมด!”
“ดูเขาสิ หน้าตาสะอาดสะอ้าน แถมยังหล่อเหลาอีกด้วย จิ๊ ๆ
เสียดายที่เสียสติไปแล้ว......”
หัวหน้าคนเรือหัวเราะเยาะยกใหญ่ “เจ้านี่ต้องเป็นนักแสดงตลก
ที่มีเจ้าบ้าสักคนจ้างมาแหง ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก? ฉันแม่*จะให้
ต้นกกทั้งแม่น้ำไปข้าม...ข้าม...สวรรค์!!”
ก่อนที่หัวหน้าคนเรือจะพูดจบประโยค ฟางเจิ้งก็โยนต้นกกในมือ
ลงแม่น้ำ จากนั้นก็ก้าวไปบนนั้น!
ทุกคนมองฟางเจิ้งด้วยดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน! ไม่ว่าฟางเจิ้งจะ
สำเร็จหรือไม่ แต่ไม่มีดวงตาคู่ไหนคิดหันหนีจากภาพนั้น บางคน
อาจกำลังรอเรื่องตลก บางคนอาจกำลังรอคอยปาฏิหาริย์ แต่ไม่
ว่าจะยังไง สายตาทุกคู่ล้วนกำลังจับจ้องไปที่ฟางเจิ้ง!
ฟางเจิ้งเหยียบบนต้นกก พลางพยุงตัวบนผิวน้ำได้อย่างมั่นคงใน
ที่สุด โดยไม่สนใจเสียงตะโกนว่าจะจมเข้าหูแม้แต่น้อย
ใต้เท้าของเขาเป็นต้นกกเส้นหนึ่ง! จากนั้นเขาก็ฟาดฝ่ามือออก!
ก่อเกิดเสียงลมวูบใหญ่ดังปั้ง!——ทั้งร่างของฟางเจิ้งพลันเคลื่อน
ไปข้างหน้าโดยทิ้งรอยน้ำสาดกระจายสีขาวไว้เป็นแนวยาว!
“สวรรค์! ปาฏิหาริย์!”
“เชี่ย! เชี่ยแล้ววววววว!!!?”
“...เวทมนตร์เหรอ? เทพไปแล้วมั้ง? พระนี่เป็นใครกัน?”
พี่เฮยกับนายเรือคนอื่น ๆ ต่างตะลึงจนนิ่งไปเลย พวกเขารีบขยี้
ตาอย่างเร่งด่วน ปากพึมพำว่า “ตาฝาดแน่ ๆ...แต่ เรื่องจริง
เหรอเนี่ย!?”
บนผิวน้ำ ยามที่มีลมพัดพาจะก่อเกิดเป็นละอองหิมะจากที่ไกล ๆ
มากระทบกับแสงอาทิตย์จนเป็นประกายระยิบระยับ ดวงอาทิตย์
ในหน้าหนาวตอนนี้ดูเย็นตาสักหน่อย แต่แสงที่ส่องลงกระทบผิว
น้ำนัน้ สวยงามจับตายิง่
บนผิวน้ำมีพระรูปหนึ่งในจีวรขาวปลอด กำลังยิ้มอย่างสว่างไสว
ขณะตนเองกำลังเคลื่อนตัวบนผิวน้ำด้วยการโบกมือ! จีวรสีขาว
นั่นยามโดนลมโบกสะบัดดูไม่ต่างไปจากเทพเซียน——ราวกับ
พุทธะผู้มีชีวิต!
ผู้อาวุโสตู้กับพระที่อยู่บนหน้าผาก็เห็นสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขานิ่ง
จังงัง ใบหน้าปรากฏแต่ความประหลาดใจและความไม่อยากจะ
เชื่อสุดขีด!
ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ตะโกนขึ้นคนแรก “ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก!
มันคือการข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก!!”
“มันมิใช่มนตราฤาคาถา แต่เป็นปาฏิหาริย์อย่ างแท้จริง! หลาย
ศตวรรษที่แล้ว พระโพธิธรรมข้ามแม่น้ำแยงซีด้วยต้นกก ใคร ๆ
ก็คิดว่าเป็นเพียงตำนานบทหนึ่ง ใครกันจะสามารถข้ามแม่น้ำโดย
ใช้เพียงแค่ต้นกก? อามิตตาพุทธ! เรื่องนี้ต้องทำให้หลายคนใน
โลกต้องตกตะลึงเป็นแน่แท้!” พระอาจารย์หงเหยียนถอนหายใจ
ยาว
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นถาม “คนผู้นั้นคือใครหรือ ? เหตุไฉนจึงมี
พลังวิเศษเช่นนี้ได้?”
ทุกคนมองหน้ากันเอง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ ไม่มีใครรู้จักคนที่
กำลังข้ามแม่น้ำเลยแม้แต่คนเดียว! จากนั้นทุกคนก็รู้สึกละอายใจ
กันขึ้นมา
ตอนนั้นเองก็มีคนแนะ “หรือเป็นพระต่างถิ่น ? พวกเราไม่เคย
เห็นพระรูปนี้แถวนี้มาก่อนนะ”
“เป็นไปได้ อาจจะเป็นลูกศิษย์มากความสามารถจากวัดใหญ่”
“ไม่ก็เป็นพระผู้บรรลุฌานสมาบัติ”
“ข้ามแม่น้ำต้องเป็นวิชาอะไรสักอย่างแน่ แต่วิชาพวกนั้นไม่ใช่
ธรรมวิถี พระบรรลุฌานด้วยการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ฝึกกังฝู อายุ
น้อยเพียงนั้น อาจไม่บรรลุธรรมสูงนัก”
“จริงแท้ ธรรมะ ทั้งลึกซึ้งทั้งมหัศจรรย์ ถึงเขาจะฝึกฝนตั้งแต่อยู่
ในครรภ์มารดา ก็ยังน้อยกว่ายี่สิบปี ยี่สิบปีช่างน้อยนัก”
จากนั้นก็มีเสียงดังโขมงโฉงเฉง
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นพูดโพล่งขึ้นมาว่า “พุทธนั้นย่อมเกี่ยวกับ
พุทธจิต ยามใดบรรลุสัจธรรม ยามนั้นย่อมเป็นพระผู้บรรลุแล้ว
ทุกท่าน สนใจจะตามอาตมาลงไปดูหรือไม่ ? ไปตรงนั้นที่พระ
อาจารย์ผู้นั้นกำลังข้ามแม่น้ำมากันเถอะ”
พูดจบ พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นก็ลงจากผาไป พอทุกคนเห็นเขาไป
แล้ว ใครจะกล้าไม่ตามไปกัน? จึงรีบเร่งรุดลงเขาไปด้วย
คนเดียวที่ยังนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ก็ไม่ใช่ใครเลยนอกจาก—อู้หมิง!
อู้หมิงยืนทึ่มทื่ออยู่บนหน้าผา สายตาเหม่อมองฟางเจิ้งอย่างวิตก
กังวล อารมณ์ของเขาปั่นป่วนไปหมด ในใจเต็มไปด้วยความ
หวาดหวั่น “ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก? เป็น...เป็นไปได้ยังไงกัน ?
เขามันก็แค่เณรน้อยคนหนึ่ง เขาสมควรมีความสามารถอย่างข้าม
แม่น้ำด้วยต้นกกได้ยังไง? ฉันจบสิ้นแล้ว! พอทุกคนถามถึงฐานะ
ของเขา หรือถามว่าทำไมถึงข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก ผู้อาวุโสตู้ต้อง
พูดความจริงแน่นอน พอถึงเวลา ฉัน....ฉัน.....!”
อู้หมิงรู้สึกเหมือนศีรษะกำลังจะระเบิด! ในใจว้าวุ่นสับสนคิด
หาทางออกไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ว่าจะคิดถึงหนทางไหน ก็ไม่
อาจจะหยุดยั้งภัยพิบัตินี้ของตนได้ สุดท้ายอู้หมิงก็ได้แต่หดหัว
อยู่บนยอดเขา โดยไม่กล้าลงเขาไป เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยทั้งนั้น
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่เกี่ยวกับเขา!!
ขณะทุกคนกำลังเร่งลงเขาไปดูพระที่ใช้ ต้นกกข้ามแม่น้ำ อู้หมิง
ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นเขาแม้แต่
น้อยเสียด้วย

[1] พระโพธิธรรม หรือรู้จักกันในนามว่าว่าตั๊กม้อ (达摩) เป็น


พระภิ ก ษุ ใ นศาสนาพุ ทธฝ่ า ยมหายานนิก ายเซน มี ป ระวั ต ิ ไ ม่
ชัดเจนนัก แต่เชื่อกันว่ามีตัวตนอยู่จริง และเป็นผู้สถาปนาวัดเส้า
หลินในจีน ทั้งยังได้เผยแพร่วิชามวยจีนในหมู่พระเณรของวัดเส้า
หลิน จนมีชื่อเสียงจวบจนทุกวันนี้
ตอนที่ 145 : ความจริง
พระอาจารย์หงเหยียนเหลือบตามองอู้หมิง ก่อนจะหันไปดูฟาง
เจิ้งที่กำลังข้ามแม่น้ำ ดวงตาเขาพลันปรากฏแววเข้าใจวาบขึ้นมา
ทว่ า พอหั น กลั บ ไปดู ข ้ า งหลั ง อี ก ครั ้ ง สายตาก็ ม ี แ ต่ ค วาม
หม่นหมองของความผิดหวัง พระอาจารย์หงเหยียนส่งสัญญาณ
ห้ามอู้ซินที่กำลังจะพูดจาไกล่เกลี่ย จากนั้ นเขาก็เดินนำอู้ซินล
งจากเขา ระหว่างทางพระอาจารย์หงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงทอด
ถอนหายใจ “นี่แลคือผลกระทบของกรรม ดูเหมือนอีกไม่นาน
อู้หมิงคงต้องออกจากร่มกาสาวพัสตร์......”
อู้ซินพยายามพูดแก้ตัวให้ “พระอาจารย์ อู้หมิงไม่ใช่คนเลวร้าย
นะครับ”
“เขามีจิตใจที่บิดเบี้ยวเช่นนั้น จะเข้าสู่ทางธรรมได้อย่างไร?
อาตมาพยายามสั่งสอนให้เขากลับเข้าหาหนทางที่ถูกต้องมา
หลายปี แต่สิ่งที่เขาได้รับคือการฝึกฝนทางกาย ไม่ใช่ทางใจ......”
พระอาจารย์หงเหยียนส่ายศีรษะ เรื่องนี้ดูท่าจะทำให้เขาชราภาพ
ขึ้นมาอีกหลายปี ริ้วรอยบนใบหน้าพลันหยั่ง ลึกยิ่งกว่าเดิม อู้ซิน
ได้แต่ขมวดคิ้วและถอนหายใจตาม ขณะมองพระอาจารย์ของตน
ณ ตีนเขา ในที่สุดผู้อาวุโสตู้ก็ตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็หันไปคว้า
ปกจีวรของหงเสียง ตวาดถาม “นี่น่ะเหรอพระที่แกบอกว่าเป็น
พวกลวงโลก? ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกเนี่ยนะ! นี่มันพลังวิเศษของ
ท่านโพธิธรรม! แกยังจะบอกว่าพระแบบนี้เป็นพวกมิจฉาชีพ ?
พวกอันธพาล? หา?!”
หงเสียงที่กำลังเหม่อลอยค่อยได้สติตาม แย้งเสียงสั่นขวัญผวา
“คุณลุง ไม่ใช่ผมนะ แต่เป็นอู้หมิงต่างหาก อู้หมิงให้ผมบอกท่าน
แบบนั้น...!” พูดจบหงเสียงพลันรู้สึกเสียใจสุด ๆ เขาแม่*เผลอ
หลุดคำสารภาพออกไป! เขาจึงพยายามแก้คำพูด “ไม่ คือ คือว่า
......”
เพี๊ยะ! ผู้อาวุโสตู้ตบหน้าหงเสียงอย่างแรงจนกระเด็นไปกองกับ
พื้น เขากัดฟันกรอด จ้องเขม็งไปที่หงเสียง “ในที่สุดฉันก็รู้แล้ว
ว่าเกิดอะไรขึ้น! แกร่วมมือกับไอ้ชั่วอู้หมิง เพื่อพยายามทำร้าย
พระรูปนี้สินะ? พวกแกสองคนนี่มัน......พวกแกมันสันดานทราม!
โดยเฉพาะแก! แกทำให้ฉันผิดหวังอีกแล้ว! ฉันจะให้โอกาสแกอีก
ครั้ง บอกความจริงออกมาให้หมดซะ!!”
หงเสียงกลัวผู้อาวุโสตู้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เพราะความหวาดกลัว
เลยโพล่งทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก
พอผู้อาวุโสตู้ได้ยินจนจบ ก็โมโหทะลุปรอทจนต้องกระแอมเพื่อ
ดับไฟโทสะ เขามองไปที่หงเสียงด้วยสีหน้าผิดหวัง ในใจกำลังคิด
เรื่องที่จะตบตีผู้คนไม่หยุด หมดแล้ว ชื่อเสียงอันดีงามชั่วชีวิต
ของเขาต้องโดนไอ้เจ้านี่ทำลายเอาเสียแล้ว น่าจะเอาขี้เถ้ายัดปาก
ตั้งแต่ยังเด็กเสียให้จบ ๆ!
ส่วนฟางเจิ้งนั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดกับเขาเลย แต่
ถึงเขาจะรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เขาอยากข้ามแม่น้ำไปให้ได้
เท่านั้น และเขาก็ไม่อยากมีปัญหากับวัดป๋ายอวิ๋นด้วย หรือก็คือ
เป็นกรรมที่ไม่อยากไปข้องแวะด้วยนั่นเอง อย่างไรเสีย สิ่งที่
สำคัญสุดคือ พระอาจารย์อี้จื่ออยากให้วัดนิ้วเดียวได้เข้าร่วมพิธี
ของวัดใหญ่ ๆ มาตลอด มันเลยเหมือนเป็นการทำให้วัดเล็ก ๆ
ของเขาได้เข้าไปสู่ขอบเขตที่ไม่รู้จักมาก่อน
พอเห็นว่าตนเองกำลังจะถึงริมแม่น้ำของอีกฝั่ง ฟางเจิ้งก็กระโดด
ออกไป แล้วเหยียบลงบนพื้นดินอย่างแผ่วเบา ทว่าก่อนที่ฟาง
เจิ้งจะได้ทำอะไรต่อ ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็เดินมาหา จากนั้นอีกฝ่ายก็
โค้งศีรษะแสดงความเคารพแก่ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งสะดุ้งจนเกือบกระโดดออกไปแล้ว เขารีบพนมมือ “อา
มิตตาพุทธ อาตมาขอถามได้หรือไม่ว่าประสกกำลังทำอะไรอยู่?”
“พระภิกษุ ผมขออภัยด้วยจริ ง ๆ ที่โดนคำปดมาหลอกลวง จน
สั่งเรือทุกลำห้ามไม่ให้ท่านขึ้น แต่ตอนนี้ผมได้รู้ความจริงทั้งหมด
แล้ว บาปกรรมของผมจริง ๆ!” ผู้อาวุโสตู้ยังคงโค้งตัวอยู่อย่าง
นั้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสำนึกผิด เขาเป็นผู้พิพากษาผู้เที่ยง
ธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครมาทั้งชีวิตของบรรดาหมู่บ้านแถวนี้ ไม่ว่า
เรื่องใดที่ผู้คนไม่อยากให้ทางการเข้ามายุ่งเกี่ยว เขามักจะเป็น
ผู้จัดการให้เสมอมา
แต่ตอนนี้ ผู้อาวุโสตู้กลับโดนอู้หมิงกับหงเสียงหลอกเอาเสียได้!
แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นหลานชายที่ไม่เคยทำความผิดอะไรใหญ่โต
มาก่อน ส่วนอีกหนึ่งก็คืออู้หมิง ลูก ศิษย์ของพระอาจารย์หงเห
ยียน ที่ดูเหมือนจะได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสของวัดหงเหยียนคนต่อไป
ซะด้ ว ย อั น ที ่ จ ริ งผู ้ อ าวุ โสตู ้ ไ ม่ รู ้ จั กอู ้ห มิ งหรอก แต่ เ ขารู้จัก
ชื่อเสียงเรียงนามของพระอาจารย์หงเหยียนดี อีกอย่างอู้หมิงก็
แสดงได้สมบทบาทยิ่ง จนผู้อาวุโสตู้หลงเชื่อว่าฟางเจิ้งเป็ นพระ
ลวงโลก ที่คอยหลอกชาวบ้านไม่รู้ประสีประสาจริง ๆ จนเขาขึ้น
บัญชีดำ ไม่ให้ฟางเจิ้งขึ้นเรือข้ามแม่น้ำอย่างเด็ดขาด
ตอนนี้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว —ฟางเจิ้งเป็นเหยื่อต่างหากเล่า!
แถมการที่เขาสามารถข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก ก็ทำให้คนอื่น ๆ ตา
สว่างไปด้วย โดยเฉพาะพวกคนที่โดนเขาสั่งก็จะยิ่งตาสว่างเข้าไป
อีก ถ้าเกิดผู้คนตั้งคำถามว่าทำไมเขาต้องขึ้นบัญชีดำฟางเจิ้ง
ขึ้นมาล่ำก็ ผู้อาวุโสตู้ต้องเจอแต่ปัญหาแน่นอน—ความผิดพลาด
นี้กำลังจะทำลายตัวเขาเอง!
ฟางเจิ้งงุนงงอย่างยิ่ง ทำไมคนผู้นี้อยู่ดี ๆ ต้องมาแบนเขาไม่ให้ขึ้น
เรือด้วยล่ะ? เขาไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะเป็นฝีมือชายชราที่ดูหัว
ร้อนง่ายผู้นี้
ถึงเรื่องที่ว่าจะผ่านไปแล้ว แต่ผู้เฒ่าก็ยังเข้ามาโค้งขอขมาด้วย
ความเคารพ ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้อีก? ตบตี? ด่าทอ?
ขณะฟางเจิ้งกำลังรู้สึกสับสน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกเขา
เสียงดังโหวกเหวกโวยวายไม่น้อย
คนที่นำมาคือพี่เฮย หนึ่งในหัวหน้าคนเรือ ตามมาด้วยบรรดาคน
เรือกับหัวหน้าคนเรือลำอื่น ๆ พร้อมพรรคด้วยบรรดาศิษยานุ
ศิษย์ที่กำลังใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปลงวีแชทกันยกใหญ่ พวกเขาล้วน
มองฟางเจิ้งดุจอรหันต์ผู้เสด็จมาอย่างไรอย่างนั้น
พี่เฮยตะโกนมาแต่ไกล “พระฟางเจิ้ง ผมเป็นคนที่ไม่ยอมให้ท่าน
ขึ้นเรือเอง ถ้าจะกล่าวโทษ ก็โทษผมเถอะ! อย่าไปว่ากล่าวผู้
อาวุโสตู้เลย!”
“ผมก็เป็นคนไม่ยอมให้ท่านขึ้นเรือเอง ถ้ามีปัญหาอะไร ก็โทษผม
เถอะ!” อีกหนึ่งเสียงตะโกนขึ้น
จากนั้นบรรดาคนเรือก็พู ดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ต ่ า ง
ยอมรับโทษแทนผู้อาวุโสตู้กันทั้งนั้น การที่พวกเขาพูดออกมา
แบบนั้น เพราะหวังจะปกป้องผู้อาวุโสตู้นั่นเอง
ผู้อาวุโสตู้คำรามกลับอย่างโมโห “เงียบไปให้หมด! ฉันเป็นคน
ตัดสินใจเอง ใครสั่งให้มารับผิดหา?!”
“ผู้อาวุโสตู้ ท่านอายุมากแล้ว อย่ารับโทษเลยครับ” พี่เฮยแย้ง
“พูดมาก! อายุไปเกี่ยวกับการทำผิดตรงไหน? ที่ไหนกันบอกว่า
ถ้าแก่แล้ว เกิดไปก่ออาชญากรรมแล้วจะไม่ต้องเข้าคุก ? ฉันจะ
บอกอะไรให้นะ ผิดก็คือผิด เมื่อผิดก็ต้องถูกลงโทษ! คำพูดนี้ฉัน
เคยพูดมาก่อน และก็จะพูดอีกตอนนี้!” จากนั้นหันไปหาฟางเจิ้ง
“พระฟางเจิ้ง ผมขอรับโทษทัณฑ์ด้วยความยินดียิ่ง!”
ฟางเจิ้งมองผู้เฒ่าหัวแข็งคนนี้อย่างหมดอารมณ์ จริงอยู่ที่ว่าอีก
ฝ่ายทำเรื่องผิดพลาด ทว่าโลกนี้ใครบ้างไร้ซึ่งบาปกรรม? แค่
สารภาพบาปก็ถือว่าบรรเทาไปกว่าครึ่งแล้วล่ะนะ แต่ในเมื่อ
อยากรับโทษ งั้นก็อย่ามาเสียใจเอาทีหลังแล้วกัน ในเมื่อชายชรา
ผู้เถรตรงผู้นี้ยินยอมพร้อมรับความผิดตัวเอง......ยากจังแฮะ
ฟางเจิ ้ ง พนมมื อ “อามิ ต ตาพุ ท ธ ในเมื ่ อ ประสกพู ด เช่ น นั้ น
อาตมาก็จะลงโทษ”
พูดจบ ทุกคนพลันฮือฮากันขึ้นมา!
“พระฟางเจิ้งจะลงโทษเขาจริงดิ?”
“ไม่เกินไปหน่อยเหรอ? คนเยอะขนาดนี้เลยนะ แถมเขายังแก่
มากแล้วด้วย ขืนโดนลงโทษขึ้นมาต้องอับอายไปถึงไหนต่อไหน
แหง”
“มันมากเกินไปหรือเปล่านะ? ถึงเขาจะทำผิดจริง แต่ก็ขอโทษ
แล้วนี?่ ”
พี่เฮยกับคนอื่น ๆ รู้สึกข้องใจอย่างยิ่งยวด ขณะที่พวกเขาจะพูด
อะไรนั้น ผู้อาวุโสตู้ก็ส่งสายตาห้ามปรามมาเสียก่อน เขาเงยหน้า
พูดอย่างมุ่งมั่น “พระฟางเจิ้ง! ผมยอมรับบาปของตัวเอง!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ ก่อนจะเอาย่ามที่สะพายอยู่ข้างหลังออก จากนั้น
ส่งไปให้ผู้อาวุโสตู้ “ในเมื่อประสกยอมรับความผิดตัวเอง ก็ช่วย
อาตมาแบกย่ามพวกนี้เถอะ ที่ต้องทำก็แ ค่พาขึ้นไปถึงยอดเขา
ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว”
ฟางเจิ้งส่งย่ามที่ในนั้นมีเกี๊ยวข้าวอยู่สองก้อน ซึ่งหนักยังไม่ถึงครึ่ง
จินเลย (1 จิน = 500 กรัม) พอผู้อาวุโสรับไปก็ผงะทันที อย่างนี้
นับเป็นบทลงโทษได้ด้วยเหรอ?
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไปกันเถอะ”
จากนั้นฟางเจิ้งค่อยเดินนำขึ้นยอดเขาไป ผู้อาวุโสตู้ที่กำลังเหม่อ
ลอย ก็รีบตื่นออกจากภวังค์ จากนั้นโค้งทำความเคารพฟางเจิ้ง
แล้วเดินตามไป
พอพี่เฮยเห็น ก็รีบวิ่งเข้ามาหา “ผู้อาวุโสตู้ ให้ผมถือให้ไหมครับ?
พระฟางเจิ้งบอกเองว่ามันหนักมาก อายุอานามท่าน......”
“อายงอายุอะไร? คิดว่าฉันแก่หงั่กจนถือของหนักไม่ถึงครึ่งจินนี่
ไม่ไหวเหรอไง? พอ ๆ เลิกวุ่นวาย พระฟางเจิ้ง เป็นพระผู้น่า
เคารพโดยแท้จริงนะ!” จากนั้นผู้อาวุโสตู้ก็เดินไปข้างกายฟาง
เจิ้ง เขาทราบดีว่าบทลงโทษแบบนี้เรียกว่าบทลงโทษยังไม่ได้เลย
ด้วยซ้ำ ทั้งทำให้เขายังรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองเอาไว้ได้อยู่ เดิมที
เขาเป็นผู้พิพากษาที่เที่ยงตรงไม่ยอมใคร ขืนเขาทำผิดเองแต่กลับ
ไม่ถูกลงโทษ อย่างนั้น เขาจะมีหน้าไปจัดการปัญหาของผู้อื่นได้
อยู่อีกหรือ?
ตอนที่ 146 : สงสัย
——บทลงโทษจำเป็นอย่างยิ่ง!
ส่วนเรื่องหงเสียง ผู้อาวุโสตู้กลับเมินเฉยไปโดยไม่คิดจะพูดอะไร
แม้แต่นิด เขารู้ว่า ถ้ามีชื่อหงเสียงมาเกี่ยวข้อง ชีวิตหลานชายเขา
คงจบเห่แน่ ๆ แต่โดนไล่ออกจากวัด ก็ถือเป็นโทษที่เบาที่สุดแล้ว
ล่ะ
พอสังเกตเห็นฟางเจิ้งไม่ได้พูดถึงหงเสียง เขาเลยยิ่งไม่คิดจะไป
เอ่ยถึง ผู้อาวุโสตู้ได้แต่บ่นในใจ ‘เจ้าลูกหมาไร้สมอง พระเยาว์วัย
เช่นนี้กลับบรรลุได้ถึงขั้นนี้แล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งสองคนนี่ ช่าง
ใหญ่ยิ่งนัก’
คิดได้เช่นนั้น ในใจของผู้อาวุโสตู้ก็มีแต่ความซาบซึ้ งใจ ไม่กล้ามี
ความรู้สึกไม่พอใจตกค้างหลงเหลือ
ส่วนคนที่เหลือไม่ทราบจุดประสงค์ของฟางเจิ้ง แต่พอเห็นผู้
อาวุโสตู้เดินตามไปด้วยความเคารพและไม่อิดออดแม้แต่น้อย
พวกเขาเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ ซึ่งส่วนใหญ่หันไปจับกลุ่มคุยเรื่อง
การข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกเสียมากกว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ง่าย ๆ
เชียวนะ
ฝู ง ชนที ่ เ ดิ น ตามฟางเจิ ้ ง ไปหนาแน่ น ยิ ่ ง คุ ย กั น โขมงโฉงเฉง
ถ่ายรูป พูดโม้ หรือแม้กระทั่งหาวหวอด ๆ... เรียกได้ว่าคึกคักไม่
เลว!
ส่วนหงเสียงนั้นกำลังยอมรับกรรมว่าตัวเองต้องถูกชาวบ้านรุม
ประณามไปแล้ว ชื่อเสียงเละป่นปี้ เผลอ ๆ เขาคงต้องออกจาก
การเป็นพระไปในที่สุด แต่หลังจากรอไปค่อนวัน เขาก็เห็นว่าทุก
คนจากไปหมดแล้ว——เขาปลอดภัยดี!
หงเสียงผงะ รีบหันไปมองฝูงชนกลุ่มนั้นด้วยความสับสน เขาได้
แต่เกาหัวแกร็ก ๆ พลางเดินตามไป ในใจของเขายังคงเต็มไป
ด้วยความปั่นป่วน มีหลายอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
ขณะเดียวกันบรรดาพระก็กำลังใกล้เข้ามา ซึ่งผู้นำเป็นใครไป
ไม่ได้นอกจากพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น ข้างหลังเขามีพระมากหน้า
หลายตาจากวัดต่าง ๆ เดินตามกว่าร้อยรูป!
ฝูงชนทั้งสองเจอกันระหว่างทางด้วยความตกตะลึง
ตอนนั้นเองพี่เฮยรีบรุดหน้าขึ้นมา “พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น โปรด
ตัดสินเรื่องนี้ด้วย พวกเราต่างเป็นคนเดินเรือ แต่กลับห้ามคน
เดินเรือรับพระรูปนี้ แถมตอนนี้พระรูปนี้กำลังลงโทษผู้อาวุโสตู้
อยู่ ทั้งที่ท่านก็ชรามากแล——”
“หลิวเฮยจื่อ หุบปาก!” ผู้อาวุโสตู้พุ่งตัวไปปิดปากหลิวเฮยจื่อ
ทันที!
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นมองไปที่หลิวเฮยจื่อที่กำลังไม่พอใจอยู่
ก่ อ นจะหั น ไปมองฟางเจิ ้ ง และผู ้ อ าวุ โ สตู ้ ผู ้ อ าวุ โสตู ้ ด ู ก ำลัง
ฉุนเฉียวและอับอาย ส่วนฟางเจิ้งนั้นสงบนิ่ง เปี่ยมด้วยรอยยิ้มทั้ง
อบอุ่นทั้งสุภาพนอบน้อม กลิ่นอายอบอุ่นไม่เหมือนกับพระ บาง
ทีถ้าไม่มองสถานะกับเครื่องแต่งกาย คงนึกว่าเป็นบุรุษแห่งพระ
อาทิตย์
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋ยพยักหน้าอย่างสุภาพให้ฟางเจิ้ง ก่อนพนม
มือ “อามิตตาพุทธ อาตมามีนามว่าป๋ายอวิ๋น เป็นเจ้าอาวาส
วัดป๋ายอวิ๋น พระอาจารย์ท่านนี้ ดูไม่คุ้นหน้า ไม่ทราบว่าอาตมา
ขอทราบได้หรือไม่ ว่าท่านมาจากวัดใด?”
ฟางเจิ้งมองพระอาวุโสผู้มีอัธยาศัยดีเบื้องหน้า ทำเอาอดนึกถึง
พระอาจารย์อี้จื่อขึ้นมาไม่ได้ พวกเขาต่างมีรูปลักษณ์อ่อนโยน
ดวงตาสุกสกาวดุจน้ำพุ พระอาจารย์อี้จื่อเคยกล่าวว่า ดวงตาคือ
หน้าต่างของจิตวิญญาณ ยิ่งดวงตาสุกสดใสเท่าใด หัวใจก็จะสุก
สดใสเท่านั้น พุทธศาสนิกชนต้องรู้จักทำความสะอาดจิตใจของ
ตนเองเสมอ
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นมีดวงตาประดุจผู้บรรลุธรรมแล้ว ฟางเจิ้ง
จึงพนมมือด้วยความเคารพนับถือ “อามิตตาพุทธ อาตมามีนาม
ว่าฟางเจิ้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดนิ้วเดียว ขอนมัสการพระอาจารย์
ป๋ายอวิ๋น”
“โอ้? ท่านคือฟางเจิ้งหรือ!?” บรรดาพระอุทานออกมาไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ ตอนพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นถาม ล้วนไม่มีใครรู้จักฟาง
เจิ้งเลย ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะเป็นพระเยาว์วัยที่ใช้ต้นกกข้าม
แม่น้ำผู้นั้น ซึ่งก็คือฟางเจิ้งนั่นเอง!
ขณะมองรูปกายอันเยาว์วัยของฟางเจิ้ง รวมกับที่เขาเพิ่งใช้ต้นกก
ข้ามแม่น้ำ ความคิดของทุกคนจึงตีรวนกันให้วุ่นขึ้นมา
จากนั้นมีพระร่างท้วมเล็กน้อยเดินออกมา “พระฟางเจิ้ง ทำไม
ท่านถึงไม่นั่งเรือ แต่กลับใช้ต้นกกข้ามแม่น้ำมาแทนเล่า ? คิดจะ
อวดอภิญญาเช่นนั้นหรือ? ถ้าท่านอยากจะมีชื่อเสียง ก็ไม่ควรจะ
ทำที่ตีนเขาป๋ายอวิ๋น และไม่ควรมาอวดอุตริ[1]ที่พิธีสรงน้ำพระ
ฉลองปีใหม่ด้วย”
จากนั้นกลุ่มชาวบ้านก็เริ่มส่งเสียงคุยโขมงขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขา
กำลังตื่นตะลึงกับพลังวิเศษข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกของฟางเจิ้ง จน
ลืมคิดไปว่าทำไมเขาถึงไม่นั่ งเรือมา? ทำไมไปข้ามแม่น้ำด้วยต้น
กกแทนล่ะ? และการที่มาข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกต่อหน้าคนหมู่มาก
เช่นนี้ ก็คงมีจุดประสงค์ข้อเดียว นั่นคืออยากเป็นข่าวสินะ? ลุ่ม
หลงในลาภยศสรรเสริญไม่ใช่เรื่องที่ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์เขาทำกัน
หรอกนะ คนเช่นนี้ไม่เหมาะจะเรียกว่าเจ้าอาวาส!
ฉับพลับ สายตาเหล่านั้นก็กลับกลายเป็นพิกล สายตาสงสัยยาม
ก่อนได้แปรเปลี่ยนเป็นการเย้ยหยัน
พอได้ ย ิ น แบบนั ้ น ฟางเจิ ้ ง ก็ ข มวดคิ ้ ว เขาเองก็ อ ยากขึ ้ น เรื อ
เหมือนกันนั่นแหละ แต่ไม่มีใครให้เขาขึ้นสักลำเดียว! ก่อนที่ฟาง
เจิ้งจะได้พูดอะไร ผู้อาวุโสตู้ก็พุ่งทะยานออกไปโค้งศีรษะให้
บรรดาพระภิกษุทั้งหลาย “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพระฟางเจิ้ง
แต่เป็นความผิดผมเอง! ผมแก่จนสติเลอะเลือนไปหมด จนไป
หลงเชื ่ อ คำโกหกหลอกลวง ที ่ บ อกว่ า พระฟางเจิ ้ ง เป็ น พวก
มิจฉาชีพและหลอกชาวบ้านไปหลายราย ผมจึงกลัวว่าถ้าท่านไป
ที่วัดป๋ายอวิ๋น จะทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องแปดเปื้อน ดังนั้นเลย
สั่งพวกคนเดินเรือ ว่าห้ามรับพระฟางเจิ้งขึ้นเรือเด็ดขาด ท่านเลย
ได้แต่ต้องข้ามแม่น้ำด้วยต้นกก”
พูดจบทุกคนก็ตาสว่างทันที พระร่างท้วมมีสีหน้าไม่ยอมรับ อย่าง
นี้เขาก็หน้าแตกสิ! ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำ ขณะพูดกัดไม่ปล่อย
“ถ้าพวกโยมทุกคนคิดไม่รับเขาขึ้นเรือ งั้นก็ให้เขาโทรมาหาพวก
เราก็ได้นี่ เดี๋ยวพวกเราก็ช่วยเอง ทำแบบนี้ เป็นการสร้างข่าวให้
ตัวเองชัด ๆ”
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนี้ก็เลิกคิ้ว คิดในใจว่า ‘เจ้าอ้วนนี่สมองกลับไป
แล้วเหรอ? ตั้งแต่มาฉันก็สนใจแต่เรื่องตัวเอง และไม่เคยไปหา
เรื่องเขาเลยนะ ทำไมต้องมารังแกกันด้วยฟะ?! อีกอย่างนะ ใคร
จะรู้เบอร์วัดป๋ายอวิ๋นก็รู้ไปเหอะ แต่ฉันไม่รู้เฟ้ย!’
ขณะฟางเจิ ้ ง จะพู ด อะไร พระอาจารย์ ห งเหยี ย นก็ พ ู ด ขึ ้ น มา
“พระหงจิง ท่านพูดผิดแล้ว เบอร์โทรศัพท์ของวัดป๋ายอวิ๋นนั้น
ไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ อีกอย่าง ถึงพวกเราจะอยู่เหนือโลกีย
วิสัย แต่ก็มีเรื่องทางโลกที่พวกเราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่ดี การที่
วัดป๋ายอวิ๋นจัดพิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่ และทำการส่งจดหมาย
เชิญไปหาวัดต่าง ๆ หากมีวัดหนึ่งไม่อาจมาได้ ถึงแม้พระอาจารย์
ป๋ายอวิ๋นจะไม่ว่าอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งทุกคนย่อมทราบถึงผลกระทบกันดีอยู่แล้ว เช่นนี้ ใครเล่าจะไม่
เกิดความวิตกกังวล?”
“พระอาจารย์หงเหยียนพูดถูก แต่อย่างไรเสีย อาตมาก็มีเรื่องที่
คิดไม่ออกอยู่ ขออาตมาถามท่าน วันนี้มีพระมาวัดป๋า ยอวิ๋ น
มากมายนัก ทำไมต้องมีผู้คิดหาเรื่องท่านด้วย พระฟางเจิ้ง ?
อย่างคำโบราณว่า มีไฟย่อมมีควัน เรื่องพวกนี้ต้องมีเบื้องหน้า
เบื้องหลัง ใช่หรือไม่ ?” พระหงจิ งไม่กล้าโต้เถียงกับพระมาก
อาวุโสอย่างพระอาจารย์หงเหยียน จึงพยายามเบนมาที่ฟางเจิ้ง
อีกครั้ง
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว “ความจริง นั่นก็เป็นสิ่งที่อาตมาสงสัยเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่อาตมาลงจากเขาหลังจากอาตมาได้รับสืบทอด
วัดนิ้วเดียว จริง ๆ ก็ไม่สมควรมีปัญหากับใครได้”
“แปลกจริง ถ้าท่านไม่ได้มีปัญหากับใคร งั้นขอถาม ทำไมต้องมี
คนพยายามหาเรื่องท่านด้วย? ทำไมคนผู้นั้นต้องพยายามหาเรื่อง
พระเช่นท่าน? อาตมาเชื่อว่าท่านสามารถใคร่ครวญหาคำตอบได้
อาจจะมีเรื่องที่ท่านทำผิดโดยไม่ทราบก็ได้” พูดเสร็จ พระหงจิง
ก็เผยรอยยิ้มผู้ชนะ เขารู้สึกว่าฟางเจิ้งกำลังลิ้นจุกปาก!
ฟางเจิ ้ ง รู ้ ส ึ ก ขมขื ่ น นั ก เขาเองก็ ไ ม่ ร ู ้ เ หมื อ นกั น แหละว่ า ใคร
พยายามหาเรื่องน่ะ เขาจะไปอธิบายอะไรได้?!
ขณะฟางเจิ้งกำลังกังวล ผู้อาวุโสตู้ก็ถอนหายใจออกมา เรื่องพวก
นี้ไม่อาจจบลงอย่างง่ายดายได้โดยไม่ทิ้งรอยแผลสินะ? ก่อนที่
เขาจะสารภาพทุ กอย่ า งออกมา เสี ย งหนึ ่ ง พลั น ตะโกนแทรก
ขึ้นมาก่อน “ขอให้ผมอธิบายเอง!”
[1] อวดอุตริ โดย ‘อุตริ’ มาจากคำว่า ‘อุตริมนุสธรรม’ แปลว่า
ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง ได้แก่
คุณวิเศษซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีหรือเป็นได้ มิใช่วิสัยของ
มนุษย์ทั่วไป แต่เป็นวิสัยของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ดังนั้นอวด
อุตริจึงหมายถึงการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั่นเอง
ซึ่งคำนี้ทางผู้แปลเป็นคนเพิ่มเอง ทางภาษาจีนใช้เพียงแค่คำว่า
哗众取宠 ที่หมายถึงการสร้างเรื่องฮือฮา หรือการเรียกร้อง
ให้คนหมู่มากสนใจ
ตอนที่ 147 : คำชม+1
จากนั้นมีพระรูปหนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังฟางเจิ้ง เขาก็คือหง
เสียงนั่นเอง!
“หงเสียง!?” พออู้ซินเห็นเขาก็ร้องเสียงหลง
พระอาจารย์หงเหยียนผงะไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าลูกศิษย์ของ
เขาอีกคนหนึ่งก็เป็นผู้เกี่ยวข้องด้วย!
“อามิตตาพุทธ สาธุ ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับหาฝั่งก่อนสาย
เกินไป ยินดีด้วย ท่านพระภิกษุ!” ตอนนั้นเอง ฟางเจิ้งก็พนมมือ
พูดขึ้น พร้อมส่งยิ้มให้หงเสียง
หงเสียงกับบรรดาพระถึงกับผงะถอยหลังไป
ก่อนที่ทุกคนจะทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น
กับพระอาจารย์หงเหยียนต่างพนมมือพูดพร้อมกันว่า “ยินดีด้วย
ท่านพระภิกษุ!”
มีพระมากอาวุโสผู้มีจริยะและบารมีสูงส่งสองรูปทำเช่นนี้แล้ว
พระที่เหลือก็ได้แต่ปฏิบัติตาม ถึงแม้จะด้วยท่วงท่าแปลก ๆ
ตะหงิด ๆ ใจก็ตามที...
ส่วนผู้อาวุโสตู้นั้นตะลึงหนักกว่าใครเพื่อน เขารู้ดีว่าหงเสียงเป็น
คนประเภทไหน คนเช่นเขาทำไมถึงได้รับการเคารพจากพระ
ชั้นสูงมากเช่นนี้กัน!?
ใบหน้าของหงเสียงแดงก่ำ ขณะมองไปยังบุคคลดุจเทพเซียน
เบื้องหน้าตน จู่ ๆ จิตใจของเขาพลันลุกโชน เลือดพลุ่งพล่าน เขา
อยากพูดความจริงออกมา! เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว เขายังคิดอยู่เลย
ว่าตัวเองต้องหมดอนาคตแน่นอน ทว่าฟางเจิ้งยังคงไม่เปิดเผย
เรื่องของเขาจนถึงป่านนี้ ทำให้หงเสียงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
ดังนั้น ไม่ว่ายังไง เขาจะต้องใช้โอกาสสุดท้ายนี้ เพื่อชำระร้าง
ชื่อเสียงของฟางเจิ้งให้ได้! และเพื่อตอบแทนความเมตตาของฟาง
เจิ้ง! จะว่าไปแล้ว วิถีแห่งสมณเพศคงไม่เหมาะกับเขาจริง ๆ นั่น
แหละ จะดีกว่าถ้ากลับบ้านไปช่วยทำงานในห้างร้านของบิดาสัก
ที
ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ไปได้!?
ชั่วพริบตา ความรู้สึกอันสับสนวุ่น วายในใจของหงเสียงพลันหาย
วับไป หลงเหลือเพียงความรู้ สึกอั นสะอาดกลมเกลี้ยง มัน...
เหมือนกับเขาได้เห็นแสงสุริยันท่ามกลางเมฆขะมุกขะมัว ...
เหมื อ นกั บ เขาเห็ น ทางเส้ น หนึ ่ ง ที ่ ไ ม่ ใ ช่ ห นทางเห็ น เงิ น ตรา
หากแต่เห็นถึงวิถีจักรวาลอันกระจ่างแจ้งสดใส
—หงเสียงได้บรรลุธรรมในฉับพลัน!
ขณะเดียวกัน เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาในหูของฟางเจิ้ง

【ติ้ง! ยินดีด้วย ท่านได้ทำให้หงเสียงมีดวงตาเห็นธรรม ได้


รับคำชม+1 จงพยายามต่อไป】
พอฟางเจิ้งได้ยิน ปากก็ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม.......
ส่วนพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นเห็นเช่นนี้ ก็ลอบพยักหน้า “ยังสงบได้
แม้ฟ้าจะถล่ม เป็นเมล็ดพันธุ์อันดีนัก”
พระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นยิ้มโดยไม่สนใจสีหน้าสับสนงุนงงของผู้อื่น
“อามิตตาพุทธ พระฟางเจิ้ง ยินดีต้อนรับ” จากนั้นเขาก็เดินนำ
ขึ้นเขาไปโดยไม่คิดจะกล่าวอะไรอีก
พระหงจิงขมวดคิ้วมุ่น ในเมื่อพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นเชิญฟางเจิ้ง
เข้าวัดด้วยตนเอง ฐานะอย่างเขาจึงไม่มีสิทธิ์รั้งฟางเจิ้งอีก ตอนนี้
ได้แต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไว้เท่านั้น เขายังคงอารมณ์เสียและข้อง
ใจไม่สร่าง เชื่อว่าที่เรื่องเป็นแบบนี้ ก็เพราะพลังเร้นลับของฟาง
เจิ้งแน่ ๆ
ทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน ระหว่างทางมีการถกธรรมกันอย่าง
เบิกบาน ซึ่งฟางเจิ้งก็ฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบสงบ ก็เขาทำ
ได้แค่นี้นี่นา จะให้มีหน้าไปสู้กับบรรดาพระทั้งหลายที่ศึกษาพระ
ธรรมคัมภีร์มาหลายปีสิบปีได้ยังไงล่ะจริงไหม? เขาได้แต่ยิ้มและ
นิ่งเงียบยามที่มีพระมาปุจฉาพระธรรมกับเขา นี่เลยทำให้ทุกคน
รู้สึกว่าฟางเจิ้งเป็นพระที่ลึกล้ำยิ่ง! คิดดูสิ พระที่ใช้ต้นกกข้าม
แม่น้ำมาได้ จะไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดได้อย่างไร? ดังนั้นจึงคิดว่า
ฟางเจิ้งตอบด้วยการอุปมาปริศนาธรรม เลยพากันในหัวปั่นสุด
ชีวิต ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าฟางเจิ้งยิ้มเรื่องอะไรกันแน่
พระรูปแล้วรูปเล่า ได้แต่ต้องถอยทัพด้วยความข้องใจ
ซึ่งเป็นอะไรที่ฟางเจิ้งไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหน้าผา ฟางเจิ้งสามารถสังเกตเห็นคนหน้า
คุ้น ๆ ได้จากไกล ๆ—อู้หมิงนั่นเอง
พอเห็นอู้หมิง ฟางเจิ้งก็ตาสว่างโรจน์ วิบากกรรมที่เขาต้องเจอคง
เป็นฝีมืออู้หมิง......
พออู้หมิงเห็นฟางเจิ้งเดินมาพร้อมกับพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋น พระ
อาจารย์หงเหยียน หงเสียง แล้วก็ผู้อาวุโสตู้ที่ตามหลังมา ใจเขาก็
ตกไปตาตุ่มทันที “ดูท่าทางทุกคนต้องรู้เรื่องหมดแล้วแน่เลย!?
...ฉันจบสิ้นแล้ว ชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว แต่ฟ้าดินยิ่งใหญ่
ไพศาล มันต้องมีที่ให้ฉันอยู่สิ? ทำไมฉันถึง......”
คิดถึงตรงนี้ อู้หมิงก็จ้องไปที่ฟางเจิ้งตาเขม็ง โลหิตเดือดพล่าน
“เป็นความผิดของแก! ตั้งแต่ฉันเจอหน้ามัน ฉันก็ไม่เคยเจออะไร
ดี ๆ เลย! ไอ้เวร! ไอ้จัญไร! แกทำลายชีวิตฉัน ต่อให้ฉันจะจบสิ้น
แล้ว ฉันก็จะพาแกไปด้วย แม้ต้องตายก็ตาม!”
ดวงตาอู้หมิงฉายแววอำมหิต ขณะเห็นฟางเจิ้งเดินเข้ามา เขาก็
ก้มลงไปหยิบหินมาก้อนหนึ่งแล้วคำราม “มึ* ตาย!!!”
อู้หมิงเหวียงแขน พุ่งทะยานเข้าใส่ฟางเจิ้ง!
“พระฟางเจิ้ง ระวัง!!!” หงเสียงกับผู้อาวุโสตู้ร้องลั่น
พระอาจารย์หงเหยียนคำราม “หยุดนะ!!!”
ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคิดเลยว่า อู้หมิงคิดจะฆ่าคนแบบฉับพลัน
อย่างนี้!!!
ฟางเจิ้งที่เห็นเป็นแบบนี้ก็ถอนหายใจ ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ถึ ง ทุ ก คนจะคิ ด ว่ า ฟางเจิ ้ ง กำลั ง กลั ว จนขาแข็ ง แต่ ก ็ ไ ม่ ม ี ใ คร
ช่วยเหลือฟางเจิ้งทัน!—ขณะเดียวกัน อู้หมิงก็ทุบหินลงบนศีรษะ
ฟางเจิ้งสุดแรงไปแล้ว!
แคร้ง! พอเกิดเป็นเสียงประดุจกระทบเหล็กกล้า ทุกคนก็เหมือน
เห็นผี! บนหัวฟางเจิ้งเกิดประกายไฟแตกกระจาย ไร้รอยขีดข่วน
แม้แต่น้อย! ส่วนก้อนหินในมืออู้หมิง ก็กระดอนกลับไปโดน
ศีรษะของตัวเอง ทำเอาเขาร้องเสียงหลง หน้าผากแตกเลือดสาด
เขาถอยหลังพลางเอามือกุมหัวไปด้วย แต่เพราะกำลังยืนอยู่บน
หน้าผา อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกว่าพื้นดินใต้เท้าหายไป
ฟางเจิ้งไม่คิดช่วยเขา เพียงมองอย่างเฉยชา
อู้หมิงรู้สึกเหมือนความตายกำลังใกล้เข้ามา! ตอนที่อยู่กลาง
อากาศ เสียงลมกรีดร้องบาดหู เขาเงื้อมมือออกตะเกียกตะกาย
ทว่าไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้เลย!
ความตาย! เขาได้กลิ่นอายของความตาย! ความรู้สึกอันสิ้นหวัง
เอ่อล้นขึ้นมาจากเบื้องลึกของจิตใจ!
ตอนนั้นเอง ภาพความทรงจำก็วูบวาบขึ้นมาในดวงตา——เขา
ทิ้งภรรยาตัวเองเพื่อเข้ามาอาศัยอยู่ในวัด ทำไมเขาต้องทำแบบ
นั้นน่ะเหรอ? ผู้อื่นอาจจะบอกว่าเพื่อมาฝึกวิปัสสนากรรมฐาน
บ้างก็เพื่อบรรลุอรหันต์ บ้างก็ว่าเพื่อโปรดสัตว์ แต่ความจริง คือ
เขาทำธุรกิจผิดพลาดจนเป็นหนี้หัวโต เขาจนมุมจนต้องเข้ามา
บวชเพื่อหาเงิน!
วัดต่าง ๆ ล้วนได้รับเงินสนันสนุนจากรัฐบาล ไหนจะมีเงินบริจาค
ค่าธูปเทียนอีก แถมเงินส่วนนี้ก็ไม่โดนตรวจสอบ และเงินจำนวน
นี้นี้แหละที่ทำให้พวกพระสามารถมีชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อได้ ถ้ารู้จัก
บริหารวัดดี ๆ เงินก็จะไหลมาเทมา...
ทว่าเขาไม่มีทางจะเข้าไปในวัดใหญ่ ๆ ได้! หลังจากสำรวจมา
หลายวัด ก็มีเพียงแค่วัดหงเหยียนเท่านั้นที่พร้อมยอมรับเขา ...
น่าเสียดาย ที่ถึงแม้พระอาจารย์หงเหยียนจะได้ รับเงินบริจาคมา
ไม่น้อย ทว่านอกจากเงินที่ต้องใช้บำรุงรักษาวัด แล้วก็ซื้อของ
จำเป็น เขากลับใช้เพื่อการกุศลเสียหมด ไม่เหลือไว้แม้แต่หยวน
เดียว! พวกเขาต่างยากจน ขาดแค่ไม่ยากจนจนหิวตายก็เท่านั้น!
ชีวิตแบบนี้มันช่างน่าคับข้องใจฉิบหาย แต่เขาจำต้องทน! เพื่อที่
ยามใดที่เขาได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส เขาจะทำการขยับขยายวัด เพื่อ
สร้างชื่อเสียงให้วัด มาใช้ดึงดูดผู้ศรัทธาให้มากยิ่งขึ้น และเขาก็จะ
ทำเงินได้มากขึ้นด้วย แถมยังได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลก้อนโต
อีก ซึ่งเมื่อใดที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง เขาก็จะเป็นผู้ควบคุมกระแส
เงินตราเองทั้งหมด!
พอได้เงินมามากพอ เขาก็จะกลับไปเป็นฆราวาส กลับบ้านไปใช้
ชีวิตเกษียณอย่างสุขสบาย
ทว่าตอนนี้...ทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ชีวิตคนก็เหมือนไฟใน
ตะเกียงที่ดับลง และความตายหมายถึงการจบสิ้นนั้นแล
อู้หมิงร้องไห้ยามคิดถึงบ้านของตน เขาหวนนึกถึงครอบครัว ไม่รู้
ว่าตอนนี้ภรรยาเขายังงดงามอยู่เช่นเดิมหรือไม่ และไม่รู้ว่าลูก
ของตนนั้นเติบโตไปแค่ไหนแล้ว…...
“อามิ ต ตาพุ ท ธ อู ้ ห มิ ง ท่ า นระลึ ก ถึ ง บาปกรรมที ่ กระทำแล้ว
หรือไม่ ?” ตอนนั้นเอง บนอากาศเหนือศีรษะพลัน มีเ สี ย งดั ง
กังวาน ขณะเดียวกัน อู้หมิงก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงหล่นอีก
ต่อไป
เขาเงยหน้าขวับ ก่อนจะเห็นว่าคนที่คุยกับเขา ก็คือคนที่คุ้นหน้า
คุ้นตาที่สุด—ฟางเจิ้ง!
“...ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ?” อู้หมิงพึมพำก่อนจะก้มลงดู เขาอยู่
บนพื้นแล้ว! แต่ทำไมเขาถึงไม่ตายล่ะ ? เขารีบลุกขึ้นแล้วหันมอง
ไปรอบ ๆ จากนั้นก็ต้องตกตะลึง หลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา——
บนพื้นมีศพอยู่ร่างหนึ่ง! เขามองตัวเอง แล้วก็หันกลับไปมองศพ
ร่างนั้น......ซึ่งเป็นร่างของเขาเอง!!!?
ตอนที่ 148 : โปรดสัตว์แก่อู้หมิง
อู้หมิงหยิกตัวเอง เจ็บ...แสดงว่าเขาไม่ได้กำลังฝัน!
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะจ้องไปที่ฟางเจิ้ง อดไม่ได้ที่จะขาสั่น
พั่บ ๆ จนผงะถอยหลัง “ฟะ...ฟางเจิ้ง ? นายเป็นผีหรือเป็นคน
กันแน่!?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไม่สำคัญว่าอาตมาเป็นผีหรือเป็นคน ที่สำคัญคือ
ท่านกลายเป็นผีแล้วต่างหาก ท่านเสียชีวิตแล้ว มีอะไรจะสั่งเสีย
หรือไม่?”
พอได้ยินว่าตัวเองตายไปแล้ว อู้หมิงก็นึกไปถึงอดีตกับครอบครัว
ของตนเอง เขาแข้งขาอ่อนลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้นทันที พูดครวญ
ว่า “ฉันตายแล้ว?...ฉันตายแล้วจริง ๆ? จะเป็นไปได้ยังไง! ฉันไม่
ยอม!!”
“ท่านทราบความผิดของตัวเองหรือยัง?”
“ฉันรู้ แต่ว่าฉันไม่มีทางเลื อกนี่! ฉันแค่อยากมีชีวิตที่ดี อยากให้
ภรรยากับลูกมีชีวิตอย่างมีความสุข ฉันคิดแบบนี้มันผิดตรงไหน?
เงินวัดเอาไปให้คนยากจนได้ แต่เอาให้ฉันไม่ได้เหรอไง? พวกนั้น
ได้รับความช่วยเหลือได้ แต่ฉันไม่ได้งั้นสิ? ฉันไม่ยอมหรอก!”
อู้หมิงคำรามกร้าว
“ทำไมท่านต้องการเงินไปมากมาย?”
“ฉันทนทุกข์มาทั้งชีวิต ฉันอยากมีชีวิตที่ดีกับเขาบ้างน่ะสิ แล้วลูก
ของฉันกำลังโต ยังไงก็ต้องเตรียมเงินสินสอดกับเงินไว้ตั้งตัว นี่
เป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อต้องทำไม่ใช่เหรอไง?” เขาพูดด้วยความ
เชื่อมั่น
“ท่านบวชเป็นพระ แม้จะมีครอบครัวอยู่แล้ว ?” ฟางเจิ้งกะพริบ
ตาปริบ ๆ ไม่คิดเลยว่าอู้หมิงจะมีครอบครัวแล้ว
“คิดว่าฉันอยากทำเหรอไง? แต่ฉันหมดทางเลือกแล้วต่างหาก
หนี้ท่วมหัวไปหมด หนีไปไหนไม่ได้ จนต้องบวชตัวเองกลายเป็น
พระนี่แหละ ยังไงเดี๋ยวนี้มีพระตั้งหลายคนที่มีเงินเยอะแยะ แค่
นิดเดียวเอง คนปกติก็อยู่ได้หลายวันแล้ว น่าเสียดายที่เจ้าโง่หง
เหยียนดันดื้อด้านเกินไป ไม่ยอมเก็บเงินไว้แม้แต่น้อย ดันเอาไป
บริจาคจนเกลี้ยง เขามันโง่ โง่เง่าที่สุด! ถ้าฉันเป็นเช่นเขา ยังไงก็
ต้องเก็บไว้ขยับขยายวัด จะได้มีลูกศิษย์ลูกหาเพิ่ม และก็จะได้เงิน
บริจาคทานเยอะขึ้นไปอีก ใช้เงินเป็นการลงทุน เพื่อให้ได้เงินมาก
กว่าเดิม จากนั้นชื่อเสียงของวัดก็จะเพิ่มขึ้น เงินก็จะเข้ามาอีก
ส่วนฉันเองก็ได้เงิน ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแท้ ๆ!”
ฟางเจิ้งยิ้ม “เงินตราสำคัญเช่นนั้นเลยหรือ ? ท่านไม่ได้กลับบ้า
มานานเพราะมัวแต่หาเงินสินะ?”
“สิบปีแล้ว ตั้งแต่ฉันจากมา ก็ไม่มีหน้ากลับไปอีกแล้ว......ฉันจะ
ไม่กลับไปจนกว่าจะหาเงินได้มาก ฉันต้องการเงิน! ฉันต้องการ
เงิน! ฉันไม่มีทางเลือก!” อู้หมิงกำหมัดแน่น
“ถ้ายังยึดติดเรื่องพวกนี้ ท่านจะบรรลุอรหันต์ได้อย่างไร?” ฟาง
เจิ้งส่ายหัวเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าอู้หมิงจะยึดมั่นถือมั่นแรงกล้า
แบบนี้ ออกจากบ้านถึงสิบปีแล้วมาหลบในวัดเพื่อหนีเจ้าหนี้ ถ้า
อยากจะกลับบ้านไป ยังไงก็ต้องหาเงินให้ได้......ไม่สงสัยเลยว่า
ทำไมพระอาจารย์หงเหยียนไม่อาจสั่งสอนคนที่ลุ่มหลงมัวเมา
เช่นนี้ได้
“ได้เป็นอรหันต์แล้วยังไง? พอเป็นอรหันต์แล้วฉันจะหลุดพ้นงั้น
เหรอ? ฉันแค่ต้องการเงิน แต่ตอนนี้ทุกอย่างที่ฉันสร้างมาโดนแก
ทำลายไปหมดแล้ว! ถึงฉันจะตายแล้ว ฉันก็ขอสาปให้แกต้องตก
ตายเหมือนกัน!!!” อู้หมิงคำราม ดวงตาฉายแววดุร้าย
ฟางเจิ้งไม่สะทกสะท้าน หัวเราะหึหึ “ท่านตายแล้ว ท่านจะทำ
อะไรได้ ? อาตมาจะให้โอกาสสุดท้ายในการนำท่านกลับ บ้ า น
อยากไปหรือไม่?”
“ไป อยากไป!” อู้หมิงตะโกนตอบทันที สิบปีแล้ว กระทั่งฝัน
เขายังฝันถึงบ้าน! ตอนนี้พอมีโอกาสแล้ว เขาย่อมอยากกลับบ้าน
แน่นอน!
ฟางเจิ้งพยักหน้าก่อนจะโบกมือ อู้หมิงพลันรู้สึกโลกหมุนวน พอ
เปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็อยู่หน้าบ้านตัวเองแล้ว!?
ความรู้สึกระลึกถึงความหลังท่วมท้น ตอนนี้เขาตายแล้ว อารมณ์
ยิ่งกระจ่างชัดกว่าเดิม เขากลัวว่าพอเปิดประตูเข้าไป จะทำให้
อารมณ์เขาปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิมเพราะเขาตายไปแล้ว และเขายิ่ง
กลัวอีกว่า...ยามที่เปิดประตูเข้าไป ทุกอย่างจะเปลี่ ยนไปในทางที่
เขาไม่อาจรับไหว ภรรยาของเขา? ลูกของเขา? ถึงเขาจะร้อง
ขอให้คนมาช่วยดูแลให้ทุกปี แต่ข่าวคราวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็น
ข่าวร้าย ทว่าอู้หมิงเชื่อว่าต้นตอทั้งหมดมาจากเงิน พอมีเงิน
เมื่อใด ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเอง ดังนั้น เขาจึงทำงานอย่าง
ขะมักเขม้นมาโดยตลอด
อู้หมิงยกมือขึ้นเตรียมเคาะประตู ทว่าเขากลับได้ยินเสียงโครมดัง
ออกมาจากในบ้านเสียก่อน อู้หมิงใจกระตุกวูบ โจรเข้าบ้านงั้น
หรือ? ดวงจิตวิญญาณของเขาพุ่งทะลุบานประตูเข้าไปทันที
เขาเห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้น มีเส้นผมสีดอก
เลา ดวงตาอาบไปด้วยน้ำตา
ชายสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ โทรทัศน์พังไปแล้ว โซฟาก็พลิก
กลับด้าน——บ้านวุ่นวายไปหมด!
“ที่รัก! ที่รัก! เกิดอะไรขึ้น!?” อู้หมิงเร่งรุดมาข้างกายหญิงวัย
กลางคน
น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนั้นไม่อาจมองเห็นหรือได้ยินอู้หมิง เธอ
มองไปที่ชายสองคนที่ต่อสู้กันอยู่ เธอตะโกนด้วยเสียงร้องร่ำไห้
“หยุดนะ! หยุดทะเลาะกันได้แล้ว......หยุดให้หมด! พวกลูกเป็น
อย่างนี้หลังจากพ่อของลูกเสียได้ยังไง?!!”
“ผมไม่สน! พวกแม่ลำเอียงมาก ทำไมพี่ถึงได้เงินประกันมากกว่า
ผมล่ะ? ถึงเขากำลังจะแต่งงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องได้
เงินน้อยลงนี่? แล้วถ้าผมแต่งงานบ้างล่ะ? ผมต้องได้เงินประกัน
ครึ่งหนึ่ง! ต้องไม่น้อยไปกว่านี้แม้แต่เหมาเดียว!” ชายคนหนึ่ง
ร้องสวนมา
ชายอีกคนที่ดูอายุเยอะกว่าเล็กน้อยผลักเขา “แฟนยังไม่มีเลย
จะเอาเงินไปทำอะไร? ไปเล่นพนันงั้นสิ?”
“เล่นพนันแล้วไง? ฉันเล่นแล้วได้เงินก็แล้วกัน แล้วพี่ล่ะ ? รู้
อะไรบ้างนอกจากว่างงานไปวัน ๆ น่ะ? ไอ้แผงลอยของพี่ได้เงินปี
ละเท่าไหร่กันเชียวหา?!” ผู้เป็นน้องตะโกนกลับ
“พะ......พวกแกอยากให้แม่ต ายใช่ไ หม!?” หญิ ง วั ยกลางคน
ครวญร่ำไห้
“เป็นพวกแม่สองคนเอาแต่ทำให้ผมโมโหนั่นแหละ! บอกอะไรไว้
เลยนะ ถ้ า ผมได้ น ้ อ ยไปกว่ า นั ้ น แม้ แ ต่ เ หมาเดี ย ว พวกเรา
ขาดกัน!” ผู้เป็นน้องปิดประตูดังปั้งแล้วเดินจากไป
คนเป็นพี่เดินเข้ามาปลอบมารดา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
“...แม่ พวกเราควรให้เงินน้องไหม?”
“ไม่ได้! ลูกก็รู้ว่าน้องเป็นคนยังไง ให้เงิน ? ให้ไปเท่าไหร่ก็หมดไป
เท่ า นั ้ นแหละ” หญิ ง วั ยกลายคนส่า ยศี รษะอย่า งทุกข์ระทม
จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้อง ขังตัวเองไว้ข้างใน
หลังจากประตูปิดลง เธอก็เข้าไปกอดรูปอู้หมิงเอาไว้แน่น และ
ร้องไห้ออกมาอยากเศร้าระทม “ซุนอู้เปิ่น! นี่เหรอที่นายบอกว่า
เงินจะแก้ไขได้ทุกอย่าง? พวกเราได้เงินมามากมายเพราะนาย
ตายไป แต่ลูกพวกเรา......นายล้างมือละทิ้งทุกอย่างเพื่อไปบวช
เป็นพระ แล้วนายได้คิดถึงพวกเราบ้างไหม? ฉันต้องเลี้ยงลูกด้วย
ตัวคนเดียวถึงสองคน ลูกที่เติบโตมาโดยไม่มีพ่อน่ะ! คนโตก็โดน
เพื่อนล้อเลียน คนเล็กก็คบแต่เพื่อนชั่ว ๆ ตอนนี้พวกเราได้เงิน
ประกันจากนายหลายแสนหยวน แต่ครอบครัวของเราจบสิ้น
แล้ว! พวกเราไม่อาจกลับไปมีความสุขแบบอดีตได้อีก......”
“ถึงหลายปีก่อนพวกเราจะอัตคัดมาก...ถึงหลายปีก่อนธุรกิจนาย
จะล้มเหลว...แต่พวกเราก็ยังเป็นครอบครัวกันอยู่ แต่ตอนนี้ล่ะ ?
พวกเรายังเป็นครอบครัวอยู่อีกหรือ ? จบสิ้นแล้ว! ทุกอย่างจบ
แล้ว......”
หลังจากพูดได้ไม่กี่คำ เธอก็หยิบมีดขึ้นมากรีดข้อมือตัวเอง!
“ไม่นะ! ไม่! ไม่!!!!!!” อู้หมิงกรีดร้องขณะมองไปที่ภรรยาของตน
ทว่าไม่มีใครได้ยินเสียงอันหวั่นผวาของเขาแม้แต่น้อย.......
เขาเห็ น เลื อ ดกำลั ง ไหลทะลั ก ออกมาจากข้ อ มื อ ของภรรยา
ใบหน้าของเธอซีดลงเรื่อย ๆ อู้หมิงก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา
เขาคุกเข่าข้างร่างเธอ แล้วเอามือตบใบหน้าตัวเองเต็มแรงไม่หยุด
เขาร้องด้วยเสียงแหบเครือรวดร้าว “ที่รัก ผมผิดไปแล้ว! ผมมัน
เลว! ช่ า งเงิ น แม่ * ! ผมต้ อ งการแค่ คุ ณ เท่ า นั ้ น ! ผมทำไปเพื่ อ
ครอบครัวของเรา...ฮือ ๆ ผมผิดไปแล้ว...ที่รัก ผมกลับมาแล้ว!
ผมกลับมาแล้ว!!! ฟางเจิ้ง ฉันรู้ว่านายอยู่แถวนี้ ได้โปรด! ช่ว ย
ภรรยาฉันด้วย! ช่วยเธอด้วย! ฉันขอร้องล่ะ! นายจะให้ฉันทำอะไร
ก็ได้…..ได้โปรดช่วยเธอด้วย!!!”
“อามิตตาพุทธ อู้หมิง ท่านตายไปแล้ว เงินก็จ่ายออกไปแล้ว เหตุ
ไฉนจึงยังไม่พอใจอีกเล่า? เงินพวกนั้นก็มาจากผลการกระทำของ
ท่านไม่ใช่หรือ?” เสียงฟางเจิ้งดังสั่นสะท้านเข้ากลางใจ ขณะเขา
ปรากฏตัวในอากาศอันว่างเปล่า จีวรปล่อยตามสบาย เปี่ยมด้วย
ความศักดิ์สิทธิ์และมากบารมี
“มีเงินเยอะแยะไปทำไมถ้าภรรยาต้องเจ็บปวดจากการจากไป
ของสามี? ถ้าบุตรชายต้องเจ็บปวดจากการไร้บิดา? ฉันไม่อยาก
ให้พวกเราเดินในเส้นทางของฉัน......บางที ฉันอาจจะผิดพลาด
ฉันคิดมาตลอดว่า ถ้าหาเงินได้มาก ๆ ก็จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างมี
ความสุขได้ แต่ฉันผิดแล้ว.....นี่ไม่ใช่อะไรที่ฉันต้องการเลย ไม่ใช่
เลย!” อู้หมิงหันไปมองครอบครัวที่แตกสาแหรกขาด ภรรยาของ
ตนก็นอนนิ่งบนเตียงขณะเลือดไหลออกมาไม่หยุด เปลี่ยนเตียงสี
ขาวสะอาดให้กลายเป็น สีโลหิต หัวใจของอู้หมิงบีบรัด ร่ำไห้ไม่
หยุด
ตอนที่ 149 : จิตเมตตาเกินไป
“อามิตพุทธ ถ้าท่านได้รับโอกาสที่สอง ท่านจะทำเช่นไร?”
“ทำอะไรน่ะเหรอ? ถ้าฉันคืนชีพ ฉันจะไม่กลับไปเป็นพระอีกแล้ว
ฉั น จะกลั บ บ้ า น คอยอยู ่ ด ู แ ลภรรยา คอยสั ่ ง สอนบุ ต ร หาก
ท้องฟ้าจะถล่ม ฉันก็จะเป็นเสาค้ำฟ้าคอยปกป้องพวกเขาเอง!”
อู้หมิงมองไปที่ร่างภรรยา ใบหน้ามีแต่ความเจ็บปวดรวดร้าว
“อามิตตาพุทธ” ฟางเจิ้งพนมมือ ร่ายพระพุทธมนต์
นาทีต่อมา อู้หมิงพลันรู้สึกว่าภาพที่มองเห็นเลือนราง รัศมีพุทธ
ธรรมเปล่งประกายเจิดจ้าจนเขาไม่อาจลืมตาได้ พอกลับมามีสติ
รู้ตัวอีกครั้ง เขาก็ต้องสะดุ้งที่ตนเองกำลังยืนอยู่ตรงขอบหน้าผา!!!
ส่วนฟางเจิ้งกับบรรดาพระรูปอื่น ๆ เพิ่งมาถึงตรงยอดหน้าผา
เท่านั้น แถมอู้หมิงยังมองเห็นฟางเจิ้งพนมมือ ส่งยิ้มมาให้เขาจาก
ไกล ๆ ด้วย
อู้หมิงหวนนึกถึงภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ด้วยไม่เข้าใจว่ามั นคือ
ความจริงหรือภาพมายากันแน่ แต่ถ้าเป็นความจริง มัน...เกิด
อะไรขึ้นกันแน่? ย้อนเวลางั้นเหรอ? แล้วถ้าเป็นเพียงภาพมายาก็
คือเขาฝันไปงั้นสิ? แต่อย่างไร อู้หมิงก็รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนเป็น
น้ำมือของฟางเจิ้ง! พระหนุ่มวัยเยาว์ที่ดูไร้พิษภัยผู้นี้เอง!
ทั้งการข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกและความฝันยามต้มข้าวฟ่าง ทำให้
อู้หมิงได้ทราบอย่างหนึ่ง พระหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ถึงจะ
ไม่ใช่อรหันต์ที่แท้จริง แต่ ก็ใกล้เคียงมากทีเดียว! ไม่อาจยุ่งย่าม
ด้วยได้!
ในเมื่อเขาไม่อาจหาเรื่องฟางเจิ้งได้ จิตใจของอู้หมิงก็หวนนึกไป
ถึงเรื่องที่บ้าน พอคิดถึงครอบครัวและเรื่องต่าง ๆ ที่ปรากฏใน
ความฝัน ดวงตาอู้หมิงก็แดงก่ำ จากประสบการณ์ส่วนตัว เขารู้ดี
ว่าฟางเจิ้งได้แสดงความกังวลที่ ฝังลึกอยู่ในใจของเขาออกมาจน
หมดสิ้น และตอนนี้เขาไม่ได้หลงทางอีกแล้ว ——เขาติด ค้าง
บุ ญ คุ ณ ฟางเจิ ้ ง ก้ อ นใหญ่ ! พอตระหนั ก ได้ เ ช่ น นี ้ อู ้ ห มิ ง ก็ เ ริ่ม
สาวเท้าเข้าไปหาฟางเจิ้ง
“อู้หมิง คิดจะทำอะไร? เธอยังไม่ทราบว่าตนเองเขลาแค่ไหนอยู่
อีกหรือ?” พระอาจารย์หงเหยียนมีโทสะอย่างยิ่งหลังจากเห็น
อู้หมิงเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหางฟางเจิ้ง เขาจึงตวาดออกมา ถึงคนอื่น
จะไม่ทราบว่าอู้หมิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่พระอาจารย์หง
เหยียนรู้ดี อู้หมิงเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง!
อู้หมิงไม่คิดจะหยุดแม้แต่น้อย ดวงตายังคงแดงก่ำ ใบหน้าเปี่ยม
ไปด้วยความกังวลลึกล้ำ เหมือนกำลังคิดใคร่ครวญเรื่องอะไร
บางอย่างอยู่
ขณะทุกคนมองอู้หมิงเดินเข้ามา หลายคนก็สังหรณ์ได้ถึงอะไร
บางอย่าง ในใจเกิดความคิดว่า ‘อู้หมิงเกิดโทสะจนจะตบตีคน
งั้นรึ!?’
ทุกคนมองไปที่ฟางเจิ้งด้วยสายตาวิตก ผู้อาวุโสตู้กับหงเสียงก้าว
เดินขึ้นมาข้างหน้า เตรียมห้ามอู้หมิง
ฟางเจิ้งรั้งพวกเขาไว้ ก่อนจะพนมมือ แล้วส่งรอยยิ้มไปให้อู้หมิง
“ประสกคิดหรือยังว่าจะไปที่ไหนต่อ?”
อู้หมิงสะดุ้งวาบ จากนั้นก็ลงไปคุกเข่าต่อหน้าฟางเจิ้ง แล้วโค้ง
คำนับสามครั้ง สายตาทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจทันที
มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!? แทนที่จะดุด่าว่าฟางเจิ้งสร้างปัญหา อู้หมิ
งกลับลงไปคุกเข่าคำนับแทนเนี่ยนะ!?
แถมอู้หมิงยังเป็นพระนะ ทำไมฟางเจิ้งถึงเรียกเขาว่าประสกล่ะ ?
ทุกอย่างดูแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“ขอบคุณพระฟางเจิ้ง ที่ชี้นำหนทางที่ถูกต้องให้ ผมรู้แล้วว่า
ตัวเองต้องการอะไร......ผมคิดดีแล้ว ผมจะกลับไปเป็นฆราวาส
ผมจะกลับบ้านไปหาครอบครัว!”
จบคำ ทุกคนก็ปรากฏสีหน้าตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกัน
แน่เนี่ย!? ทำไมอู้หมิงที่ก่อนหน้านี้ยังถกพระธรรมกันอยู่ก็จะลา
สิกขาแบบปุบปับล่ะ? แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับฟางเจิ้ง ? ฟางเจิ้ง
ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นา?
ทุกคนมึนงงสับสน กระทั่งพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นและพระอาจารย์
หงเหยียนยังสับสนไม่ต่างกัน ได้แต่หันรีหันขวางไปทางฟางเจิ้งที
ไปทางอู้หมิงที พระอาจารย์เช่นพวกเขาดูจะศึกษามาไม่พอเสีย
แล้ว!
เรื่องที่อู้หมิงจะทำ อยู่ในการคาดเดาของฟางเจิ้งอยู่แล้ว เขาจึง
พูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จงกลับไปยังสถานที่ ๆ
จากมาเถิด”
อู้หมิงพยักหน้า ก่อนจะคำนับลงไปอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินไปหา
พระอาจารย์หงเหยียน แล้วคุกเข่าโค้งศีรษะจรดพื้น
พระอาจารย์หงเหยียนโพล่งถาม “อู้หมิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“พระอาจารย์ ผมเป็นเพียงคนบาป เมื่อหลายปีก่อน ผมเป็นหนี้
ก้อนโต สุดท้ายเพื่อหนีเจ้าหนี้ จึงคิดจะออกบวช แต่ว่าหลังจาก
เวียนไปหลายที่ ก็ไม่มีวัดไหนคิดจะรับผม มีเพียงท่านเท่านั้นที่รับ
ผมเข้าสู่วัดหงเหยียน และการที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่าน ผม
ซาบซึ้งอย่างยิ่ง! ทว่าหลายปีมานี้ แทนที่จะแสดงความกตัญญูที่
ท่านสั่งสอนมา ผมกลับไปทำอะไรที่เห็นแก่ตัวแทน......” อู้หมิง
เผยความจริงทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องที่มีปัญหา
กับฟางเจิ้ง หรือแม้แต่เรื่องที่คิดกลั่นแกล้งฟางเจิ้ง จากนั้นก็
สารภาพเรื่องครอบครัวของตนเอง และไม่คิ ดจะเป็นพระอี ก
ต่อไป เขาอยากจะกลับไปรับผิดชอบครอบครัวของตนเอง ดังนั้น
เขาต้องกลับไปเป็นฆราวาส!
ขณะพูดใกล้จบ ในทุก ๆ ประโยคนั้น อู้หมิงก็จะคำนับลงหนึ่ง
ครั้ง หน้าผากของเขาอาบไปด้วยโลหิตแดงฉานจากการคำนับ
หลังจากอธิบายจบ ก็หยุดรอคำตัดสินของพระอาจารย์หงเหยียน
พอทุกคนได้ยินคำสารภาพ พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า คนที่บังคับให้
ฟางเจิ้งต้องข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกก็คืออู้หมิงนั่นเอง! จุดประสงค์ก็
เพื่อแก้แค้นฟางเจิ้งที่แย่งชิงเงินบริจาคไป.....
ทุกคนมองไปที่อู้หมิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว บางคนถึงกับลอบ
ด่า “ทำไมในพุทธ ถึงมีพวกชั้นต่ำแบบนี้ได้นะ!”
“อามิตตาพุทธ......”
พอหงจิงได้ยินคำสารภาพของอู้หมิง ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นมา
เรื่องที่เขาสงสัยทุกอย่างได้รับคำตอบหมดแล้ว หากเรื่องนี้ไม่มี
คนพู ด ก็ ไ ม่ เ ป็ น อะไรหรอก แต่ พ อมี คนพู ด ขึ ้ น มา เขาจึ ง รู ้ สึก
ละอายใจไม่น้อย ดีที่ทุกคนกำลังเพ่งเล็งไปที่อู้หมิง........
พระอาจารย์ ห งเหยี ย นถอนหายใจ “อาตมาจะไม่ ท ราบ
สถานการณ์ของเธอได้อย่างไร? นี่จึงเป็นเหตุให้อาตมาสั่งเธอให้
ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ทุกวี่วัน อาตมาเพียงหวังว่า วันหนึ่ง เธอจะ
บรรลุธรรม ฟื้นฟูจิตตัวเอง ทว่า......เฮ้อ! ให้เป็นไปตามนั้นเถอะ
ในเมื่อเธอรู้จิตตัวเองแล้ว เธอก็ลงเขาไปเถอะ!”
“ขอบคุณครับ!” อู้หมิงคำนับอีกครั้ง จากนั้นก็ยืนขึ้น ถอดกาสา
ยะออก และลงเขาไปด้วยหลังเปลือยเปล่าโดยไม่สนใจสภาพ
อากาศหนาวเย็นแม้แต่น้อย เขาเดินด้วยฝีเท้าที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ตามที่ใจเรียกร้อง ดวงตาไม่มีประกายเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกแล้ว
ทว่าเปี่ยมไปด้วยความปล่อยวาง!
ฟางเจิ้งพนมมือ แล้วพูดไล่หลังให้อู้หมิง “อามิตตาพุทธ!”
ฟางเจิ้งเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของอู้หมิงดี เรื่องที่อู้หมิงเพิ่งทำไป ต้อง
ใช้ความกล้าหาญมากทีเดียว คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจปฏิบัติได้
เลย
และนั่นก็เป็นวิถีทางที่ฟางเจิ้งอิจฉายิ่ง.......
แต่ว่า ถึงอู้หมิงจะจากไปแล้ว ทุกคนยังมีข้อข้องใจอยู่ว่าฟางเจิ้ง
ไปชี้แนะอะไรอู้หมิงตอนไหน? ทั้งคู่ไม่เห็นจะได้คุยอะไรกันเลย
หรือทุกอย่างเป็นแค่บทละครที่ทุกคนเตรียมไว้หมดแล้ว ? แต่ว่ามี
พระอาจารย์หงเหยียนมาร่วมด้วยเนี่ยนะ? ไม่น่าเป็นไปได้หรอก
มั้ง?
ถึงทุกคนจะสงสัยกันแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะไปออกหน้าออก
ตาถามอยู่ดี จึงได้แต่เกาหูเกาคางมองไปทางฟางเจิ้งอยู่เป็นพัก ๆ
พวกเขาไม่รู้หรอกว่าฟางเจิ้งก็กำลังทุกข์ใจไม่ต่างกัน!
ตอนที่ฟางเจิ้งขึ้นเขามาแล้วเห็นอู้หมิงมองมาด้วยสายตาอำมหิต
นั้น ฟางเจิ้งที่กลัวว่าอู้หมิงจะทำอะไรโง่เขลาลงไป จึงรีบใช้ความ
ฝันยามต้มข้าวฟ่างเพื่อนำอู้หมิงเข้าสู่ภาพมายาทันที เพื่อจะได้
ทราบว่ า เขาคิ ด จะทำอะไรต่ อ จะได้ ร ั บ มื อ ทั น แต่ ท ้ า ยที ่ สุ ด
สถานการณ์กลับกลายเป็นว่าฟางเจิ้งเห็นความคิดและความ
กังวลใจทุกอย่างที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของอู้หมิง ณ ตอนนั้น
ฟางเจิ้งไม่ได้คิดอะไรมากมาย ก็ชี้แนะหนทางให้เขา แต่ตอนนี้
กลับเป็นปัญหาเสียแล้ว——เขาควรจะอธิบายให้คนอื่นฟังยังไง
ดี?!!
ดีที่การประชุมจะเริ่มแล้ว ทุกคนเลยไม่คิดจะถามเรื่องนี้ต่อ งาน
ประชุมนี้เรียบง่ายมากทีเดียว แค่แจกจ่ายงานไปยังวัดต่าง ๆ ให้
พวกเขารับผิดชอบพิธีสรงน้ำในส่วนนู้นส่วนนี้แยก ๆ กันไป ได้แก่
จำพวก สวดมนต์ และอื่น ๆ ......แลดูน่าเบื่อยิ่ง ทำเอาฟางเจิ้งนั่ง
ด้วยสายตาเหม่อลอย
เขาเป็นพระรูปเดียวจากวัดนิ้วเดียว แถมยังไม่รู้เรื่องพิธีอีก พระ
อาจารย์ป๋ายอวิ๋นก็ดูแลเขาเป็นพิเศษ จึงได้รับหน้าที่สวดมนต์
เพียงเท่านั้น
ยามบ่ายผ่านพ้นไปเช่นนั้น
ยามเย็นมาเยือน วัดป๋ายอวิ๋นจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ก่อนจะเชิญพระ
จากวัดต่าง ๆ ให้เข้าร่วม ฟางเจิ้งผู้โดดเดี่ยวเดียวดายกำลังกังวล
ว่าตนเองควรไปนั่งตรงไหน แต่พอมาถึงตัวงาน......
“พระฟางเจิ้ง ทำไมไม่มานั่งนี่ล่ะ?”
“พระฟางเจิ้ง วัดถงเจินมีสมาชิกเยอะเกินไป ทำไมไม่มานั่งกับ
พวกเราล่ะ? พวกเรามีคนไม่เยอะหรอก”
“อามิตตาพุทธ พระฟางเจิ้ง อาตมาศึกษาธรรมะมากว่าสิบปี
พวกเราขอปุจฉาวิสัชชนากับท่านเพื่อไขข้อข้องใจได้หรือไม่?”
พระชราเคราขาวผู้หนึ่ง
ตอนแรกฟางเจิ้งฟังแล้วรู้สึกไม่เลว จึงกล่าวขอบคุณ แต่พอได้ยิน
คำถามของพระชราผู้นั้นก็ต้องคิดหนักเลยทีเดียว บางทีทุกคนคง
คิดว่าฟางเจิ้งเป็นพระผู้บรรลุธรรมขั้นสูง ไม่ก็คิดจะถกธรรมกัน
เพื่อใช้วัดระดับของตนเอง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มถกธรรมกับฟาง
เจิ้ง บ้างก็พูดถึงวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร บ้างก็คุยเรื่องไภษัชยคุรุ
ไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร[1] และมีอีกหลายพระ
สูตรที่ฟางเจิ้งไม่เคยได้ยินมาก่อน!!!
ฟางเจิ้งไม่ได้ศึกษาพระธรรมคัมภีร์มาดีขนาดนั้นตั้งแต่แรกอยู่
แล้ว พระสูตรที่เคยท่อง นับด้วยนิ้วมือเดียวยังได้เลย! เขาจะ
กล้าไปนั่งกับบรรดาพระที่ศึกษาพระธรรมคัมภีร์อย่างจริงจังได้
ยังไง? เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งยวดน่ะสิ!
ภายนอก ฟางเจิ้งยังคงดูสงบนิ่งไม่สร่างขณะหัวเราะและโค้ง
ศีรษะกลับ แต่ความจริงคือ แผ่นหลังเขาเหงื่อแตกพลั่ก ในหัว
กำลังปั่น หาข้ออ้างเพื่อหลบออกไปจากตรงนี้
ขณะฟางเจิ้งกำลังกระวนกระวาย พระอาจารย์หงเหยียนก็พูดขึ้น
“พระฟางเจิ้ง สนใจจะมานั่งข้างอาตมาหรือไม่ ? อาตมากำลัง
อยากถามเรื่องสถานการณ์ช่วงนี้ของวัดนิ้วเดียวอยู่พอดี”
พอฟางเจิงได้ยินว่าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องปุจฉาวิสัชนา เขาก็
เหมือนเห็นหนทางสว่าง นี่แหละ จะได้คุยเป็นปกติสักที
พอเห็นว่าฟางเจิ้งเลือกจะไปนั่งที่โต๊ะของวัดหงเหยียน พระ
ทั้งหลายก็ลอบคร่ำครวญในใจ จากมุมมองของพวกเขา ฟางเจิ้ง
ไม่ใช่พระวัยเยาว์รูปหนึ่ง แต่เป็นดุจเทพเซียนผู้ข้ามแม่น้ำด้วยต้น
กกต่างหาก! พระอาจารย์หงเหยียนสั่งสอนอู้หมิงมาหลายปี ยัง
ไม่อาจทำให้เขาบรรลุธรรมได้ แต่พออู้หมิงมาเผชิญหน้ากับฟาง
เจิ้ง กลับบรรลุธรรมได้ในฉับพลัน คนเช่นนี้เก่งกาจยิ่งแล้ว! ถึง
ตอนนี้ฟางเจิ้งจะยังอายุน้อย แต่ในอนาคต เขาต้องเป็นพระ
อาจารย์ผู้ทรงจริยะรูปหนึ่งแน่นอน!
ทุกคนย่อมอยากจะรู้จักกับฟางเจิ้งไว้ ไม่ว่าจะคุยด้วยเรื่องอะไรก็
ได้ทั้งนั้น ถ้าวันหนึ่ง ฟางเจิ้งดังเปรี้ยงปร้าง และกลายเป็นพระ
อาจารย์ที่แท้จริงขึ้นมา พวกเขาจะได้คุยโม้โอ้อวดได้ว่ารู้จักกับ
พระอาจารย์ท่านนั้น......
ถึงพระภิกษุจะไม่ควรคิดเรื่องในเรื่องโลกียวิสัยแบบนั้น แต่การ
ติดต่อโลกภายนอกล้วนเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้พวกเขาไม่
คิดโลภมาก แต่ก็ยังต้องพึ่งพาโลกข้างนอกอยู่ดี ไม่มีใครอยู่อย่าง
สันโดษได้หรอก
พอฟางเจิ้งเห็นบรรดาพระมากอาวุโสทั้งหลายถอนสายตาไปแล้ว
เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกบ้าง
และพระอาจารย์หงเหยียนก็คุยเรื่องสัพเหระจริง ๆ! หงเสียงที่
เคารพฟางเจิ้งมากก็ไม่กล้ามารบกวน ส่วนอู้ซินที่เป็นคนถ่อมตน
และเป็ น พวกพู ด น้ อ ยอย่า งยิ ่ ง หลั ง จากอู ้ ห มิ งจากไป อู ้ ซ ิ น ก็
อารมณ์ไม่ค่อนดีนัก ยิ่งพูดน้อยหนักกว่าเดิมอีก
แบบนี้แหละฟางเจิ้งชอบ ถ้าพูดเยอะไป มีหวังได้หลุดพูดอะไร
ผิดๆ ไปแน่ ยิ่งพูดน้อย ปัญหายิ่งน้อย เยี่ยมเลย!
แต่ก็ยังมีคนที่กำลังไม่ได้ยินดีด้วย
“ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงดูฉุนเฉียวเช่นนี้ล่ะ ? ฟางเจิ้งคนนั้น
ข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกดุจท่านพระโพธิธรรม มีลมหนุนใต้เท้าเช่นนี้
ใครเล่าจะไปทัดเทียมเขาได้” พระรูปหนึ่งที่อยู่วัยเดียวกับฟาง
เจิ้ง และนั่งอยู่ข้างหงจิงพูดอย่างขมขื่น

[1] 药师经 หรือ Medicine Buddha Mantra หรือ ไภษัชย


คุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร (คาดว่า ไภษัช=เภสัช)
ตอนที่ 150 : จูจ้ ี้จังเฟ้ย
หงจิงถอนหายใจ “ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย
[1]” หงจิงลูบศีรษะพระหนุ่มรูปนั้น “อี้สิง ดูเหมือนอาจารย์จะ
ไม่อาจทำตามที่สัญญาไว้กับเจ้าได้แล้ว เป็นความผิดของอาจารย์
เอง........”
“ท่านอาจารย์ อย่าพูดเช่นนั้นเลย มีเกิดย่อมมีดับ ทั้งหมดล้วนมี
ตั ว อั ก ษร ‘โชคชะตา(—เยวี ๋ ย น)’ ในเมื ่ อ โชคชะตาไม่ น ำพา
วางแผนมากมายแค่ไหนก็เท่านั้น[2] อี้สิงเข้าใจดี” พระหนุ่มอี้สิง
พูด
หงจิ ง ที ่ไ ด้ ย ิน แบบนั้ น ก็ รู้ สึ กดี ขึ ้น ไม่ น ้อ ย แต่ ก ็ ย ั งถอนหายใจ
“หลังจากพิธีสรงน้ำพระฉลองปีใหม่ ก็จะมีงานถกพระธรรมที่จัด
ขึ้นเป็นการภายใน ทุกปี จะมีผู้ถูกเลือกคนหนึ่งให้มาเป็นผู้เทศนา
ธรรมแก่สาธารณะ นอกจากนี้เจ้าก็ยังจะได้รับการชี้แนะจากพระ
อาจารย์ป๋ายอวิ๋นและพระรูปอื่น ๆ ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้า
แสดงธรรมได้ดี ชื่อเสียงของวัดก็เพิ่มพู น และได้รับความสนใจ
จากทุกคน”
“อาจารย์มีแรงจูงใจส่วนตัว อี้สิงเจ้ามีความกระจ่างแจ้งในธรรม
มาตั้งแต่ยังน้อย เป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง หลายปีก่อน
วัดป๋ายอวิ๋นกับวัดอื่น ๆ ก็ผลิตลูกศิษย์มากความสามารถออกมา
ไม่หยุด จนอาตมากลัวว่าเจ้าจะไม่อาจสู้ชนะกับพวกเขาได้ เลย
คอยเก็บซ่อนเจ้าไว้ตลอด แต่ปีนี้กะจะให้เจ้าเปิดตัว เพราะคงไม่
มีใครจากวัดใหญ่ ๆ จะสู้เจ้าได้แล้ว”
“แต่ใครจะไปคิด ว่าจะมีบุคคลที่ร้ายกาจยิ่งกว่ามารปีศาจปรากฏ
ตั ว ! ฟางเจิ ้ ง ! ข้ า มแม่ น ้ ำ ด้ ว ยต้ น กก......” หงจิ ง ปิ ด ตาแน่ น
เจ็บปวดยิ่ง! แต่การข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกของฟางเจิ้ง ก็ทำให้เขา
กลายเป็นหน้าใหม่ไฟแรงที่สุดของปีนี้ ทำให้เขามีโอกาสได้เป็นผู้
เทศนาธรรม!
อี้สิงไม่คิดเช่นนั้น เขาจึงยังยิ้มอยู่ “อาจารย์ ปีก่อน ๆ ไม่เห็น
ท่านวุ่นวายเกี่ยวกับผลประโยชน์เช่นนี้ ปีนี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้น
หรือครับ? ถึงจะเป็นโอกาสหายาก แต่พระอาจารย์หงเหยียนก็
เป็นพียงเจ้าอาวาสวัดขนาดกลางเองมิใช่หรือ ? เขาเชี่ยวชาญใน
พระธรรมแล้วเช่นไร? หรือกระทั่งพระอาจารย์ป๋ายอวิ๋นยังเห็น
เขาเป็นบุคคลที่เท่าเทียมแล้วเช่นไร? หลายปีมานี้ ท่านอาจารย์
ได้สั่งสอนมาตลอดว่าลาภยศสรรเสริญเป็นเพียงมายา จริงแท้
หนึ่งเดียวคือธรรมะมิใช่หรือครับ? ทำไมวันนี้ท่านถึง......”
หงจิงผงะ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาในที่สุด “เจ้าลูกศิษย์คนนี้นี่
อาตมาโดนเจ้ า สั ่ ง สอนเสี ย แล้ ว สิ ” หงจิ ง ส่ า ยศี ร ษะ “แต่
สถานการณ์นี้ไม่เหมือนกัน ไม่นานมานี้ มีผู้มีจิตศรัทธาคนหนึ่ง
อยากจะช่วยพวกเราขยับขยายวัด พอวัดเราขยายแล้ว พวกเรา
ก็จะกลายเป็นวัดขนาดกลาง มีการพัฒนาที่ดียิ่ง แต่ว่าช่วงนี้ ผู้มี
จิตศรัทธาคนนั้นดูสองจิตสองใจ ไม่รู้ว่าจะบริจาคให้พวกเราหรือ
วัดอื่นดี อาตมาจึงกะจะใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงอารามจินจู๋ของ
เราให้อยู่เหนือวัดเซวียนจู๋เสียที”
อี้สิงดวงตาเบิกกว้าง “เอ๋ ทำไมก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ไม่พูดถึง
เรื่องนี้เลยล่ะครับ?”
หงจิ ง ยิ ้ ม กระอั ก กระอ่ ว น “พู ด ก่ อ นหน้ า ? บอกเจ้ า ? ไม่
จำเป็นต้องพูดหรอก ในฐานะที่เป็นอาจารย์ อาตมาย่อมไม่อาจ
ให้เจ้ามายุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับผลประโยชน์พวกนี้ ถ้าใครจะลงนรก
ก็ต้องเป็นตัวอาจารย์เองเท่านั้น!”
อี้สิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถาม “พระอาจารย์ ท่านจะทำอะไร
ต่อครับ?”
“ตอนนี้? เรื่องวุ่นวายจบแล้ว แถมฟางเจิ้งก็อยู่ตรงนี้ ในเมื่อเจ้ารู้
เรื่องพวกนี้แล้ว อย่าพูดถึงอีกเลย เอาล่ะ ฉันอาหารเถอะ” หง
จิงหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มรับประทานอาหาร
อี้สิงก็เริ่มรับประทานเช่นกัน ดวงตาปรากฏประกายวาววับ.......
ข้ามแม่น้ำโดยต้นกก?
ฟางเจิ้งก็กินอย่างอิ่มหนำ ข้าวกินไปมากนัก แต่ผักนี่จัดชุดใหญ่
ถึ ง ผั ก ของวั ด ป๋ า ยอวิ ๋ น จะเป็ น ผั ก ธรรมดา แต่ ก ็ ด ี ก ว่ า ที ่ เ ขา
ทำอาหารเองที่วัดนิ้วเดียวเยอะเลย
ฟางเจิ้งก็ทำอาหารไม่เก่งนัก ได้แต่เอาผักต้มน้ำ แต่ว่าวัดป๋า
ยอวิ๋นนั้นเตรียมผักไม่เหมือนกัน ด้วยมีกรรมวิธีการปรุงอย่างพวก
การอบ ย่าง นึ่ง ทอด ถึงแม้จะเป็นผักธรรมดา ๆ แต่กลับเป็น
อาหารจานที่ไม่ธรรมดาเลย——อร่อยเลิศ!
ถึงคนอื่นจะรับประทานแบบไม่คิดมากนัก แต่สำหรับฟางเจิ้งที่
วัน ๆ กินแต่ข้าวกับผักต้มแล้ว มื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่หรูหราไม่น้อย
จริง ๆ เขารับประทานอย่างอารมณ์ดี เสียดายที่ข้าวที่นี่สู้ข้าวจิง
หมี่ไม่ได้เลย แต่ฟางเจิ้งก็ต้องทนไป
หลังจากฉันเสร็จทุกคนก็แยกย้ายจากไป โดยมีพระจากวัดป๋า
ยอวิ๋นนำไปหอนอน
พอฟางเจิ้งมองหอนอนที่ถูกสร้างมาอย่างดี ก็อดหวนนึกไปถึง
สภาพเดิมของวัดนิ้วเดียวไม่ได้ ฟางเจิ้งได้แต่ถอนหายใจ “อย่าง
ที่คิดเลย วัดป๋ายอวิ๋นนี่ดีจริง ๆ”
พอฟางเจิ้งหัวถึงหมอนก็หลับไปทันที คืนอันแสนสงบสุขผ่านพ้น
ไปเช่นนี้เอง
วันต่อมา บรรดาพระต่างลองซ้อมพิธีสรงน้ำพระแบบง่าย ๆ ฟาง
เจิ้งก็ตามน้ำไปเรื่อย ๆ นั่งตามที่มีคนบอก สวดมนต์ตามที่มีคนสั่ง
ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ตอนนั้นเองที่มีพระรูปหนึ่งวิ่งมาหา “อามิตตาพุทธ เจ้าอาวาส
ฟางเจิ้ง ท่านมีรูปวัดนิ้วเดียวไหมครับ?”
“มีสิ เอาไปทำไมเหรอ?” ฟางเจิ้งถามงง ๆ
พระรูปนั้นส่งยิ้มซื่อ ๆ ออกมา “เรื่องนั้น...พวกเราหารูปวัดนิ้ว
เดียวของท่านไม่เจอน่ะครับ พวกเราจะใช้รูปพวกนี้ไปติดใน
โปสเตอร์ พอเจ้าอาวาสทราบว่าไม่มีรูปวัดนิ้วเดียวก็โกรธยกใหญ่
แน่ะ ศิษย์ก็โดนดุมารอบหนึ่งด้วย พวกเราถูกสั่งให้หารูปน่ะครับ
แต่......” พระไม่ได้พูดต่อ ขณะที่ผิวดำคล้ำขึ้นสีเล็กน้อย
ฟางเจิ้งหัวเราะ ก่อนจะพนมมือและโค้งศีรษะ “อามิตตาพุทธ
เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดท่านเลย แต่เป็นความผิดอาตมาเอง วัดนิ้ว
เดียวเล็กนัก จนไม่อาจหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้ แต่ว่าอาตมา
มีรูปอยู่ จะส่งให้เดียวนี้แหละ”
ตอนแรกพระรูปนี้เตรียมหูไว้รอโดนเฉ่งแล้ว เพราะเชื่อว่าเดี๋ยว
ฟางเจิ้งต้องโมโหใส่แน่นอน ความจริงแล้วที่เขาต้องมาเป็นคนขอ
รูปก็เพราะแพ้เกมเป่ายิงฉุบ แต่ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าฟางเจิ้งผู้เป็น
เจ้าอาวาสระดับตำนานจะมีอัธยาศัยดีเช่นนี้ พระผิวคล้ำพอได้
รูปมาก็ยิ้มแป้นแล้นแล้ววิ่งจากไปทันที
ฟางเจิ้งมองไล่หลังไป เอามือถูจมูกพลางหัวเราะกับตัวเอง “ไหน
ว่าพระจากวัดป๋ายอวิ๋นหยิ่งมากไง? ดูแล้วพวกเขาก็นิสัยดีไม่เลว
นะ......”
จนถึงตอนนี้ฟางเจิ้งก็ยังไม่เข้าใจสถานะของตนเองดี การข้าม
แม่น้ำด้วยต้นกกเป็นสิ่งตกทอดของพระโพธิธรรม เรื่องราวของ
ท่านล้วนดำรงอยู่มาช้านาน เหมือนกับดาราในหมู่พระภิกษุก็ว่า
ได้ ซึ่งพระส่วนใหญ่ล้วนรู้จักตำนานพระโพธิธรรมกันทั้งนั้น และ
เรื่องข้ามแม่น้ำด้วยต้นกกก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ถึงอย่างนั้น
พวกเขาก็ไม่เคยเจอหน้าพระโพธิธรรม ย่อมเบนทั้งความเคารพ
ทั้งความยำเกรงมาที่ฟางเจิ้งเป็นธรรมดา
พอฟางเจิ้งรู้ว่าวัดนิ้วเดียวของตนเองกำลังขึ้นไปอยู่บนโปสเตอร์
ก็ตื่นเต้นเล็กน้อย ชื่อวัดของเขากำลังเป็นที่รู้จักแล้วสิ!
เพราะไม่รู้จะไปไหน เลยรอดูโปสเตอร์อยู่ตรงทางเข้าวัดป๋ายอวิ๋น
ราวสิบนาทีต่อมา พระผิวคล้ำก็วิ่งมาพร้อมกับพระอีกสองสามรูป
หลังจากโค้งคำนับฟางเจิ้งแล้ว พวกเขาก็แขวนโปสเตอร์ขึ้นไป
พอฟางเจิ้งเห็นรูปวัดนิ้วเดียวที่มีป้ายวัดสีทองอันเบ้อเริ่มแล้ว ก็
อดยิ้มยินดีไม่ได้ “บิดาผู้เฒ่าอี้จื่อ ในที่สุดวัดนิ้วเดียวของเราก็
ได้มาปรากฏบนประตูวัดป๋ายอวิ๋นแล้วนะครับ ท่านเห็นไหม?”
ฟางเจิ้งกลับไปหอสวดมนต์อย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็เอาบทสวด
ขึ้นมาอ่าน เตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้
ตอนนั้นเองที่มีเสียงโหวกเหวกดังออกมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งออกไปดู ก่อนจะเห็นพระหลายรูปตะโกนกันยกใหญ่ ชี้
มือชี้ไม้ไปที่หลังคา พอฟางเจิ้งเงยหน้ามองตาม ก็เห็นก้นลิงสี
ชมพูแวบ ๆ หายเข้าป่าไป
ฟางเจิ้งได้ยินพระรูปหนึ่งบ่นอย่างเซ็ง ๆ “เจ้าลิงนี่เกินไปแล้ว มา
ขโมยของในวัดบ่อยเหลือเกิน ก่อนหน้าก็เพิ่งขโมยเงินบริจ าคไป
วันนี้ยังทำพระพุทธรูปล้มอีก ไอหยา......ถ้าฉันไม่ใช่พระ และเขา
ไม่ใช่สัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองนะ ได้มีสัตว์ถูกอัดแน่นอน!”
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ มันเป็นสัตว์คุ้มครอง ก็เหมือนบรรพบุรุษมีชีวิต
ที่นายแตะต้องไม่ได้นั่นแหละ ไปกัน แค่ไล่เขาไปก็พอน่า เฮ้อ
......” พระอีกรูปบ่นพึมพำอย่างปลง ๆ
ฟางเจิ้งที่เห็นพระรูปร่างกำยำล่ำสันพวกนี้ทำอะไรลิงตัวหนึ่ง
ไม่ได้ก็หลุดขำอย่างอดไม่ไหว ไม่ใช่เขาคนเดียวแล้วที่โดนพวก
สัตว์รังแก! จากนั้นก็นึกไปถึงเจ้ากระรอกจอมวางภูมิในความคิด
ตัวเอง ที่ขโมยอาหารอยู่ทุกวี่วัน ฟางเจิ้งรู้สึกว่าโลกนี้ช่างยุติธรรม
ชะมัด!
ฟางเจิ้งกลับห้องไปนั่งสมาธิต่อ พอตกเย็นก็เริ่มหิว จึงไปค้นย่าม
หาเกี๊ยวข้าวจิงหมี่ที่เก็บไว้ แต่.......
“เกี๊ยวข้าวฉันหายไปไหนเนี่ย ?!” ฟางเจิ้งมองย่ามอันว่างเปล่า
จนเกือบจะหลุดด่าออกมาเพราะมีโทสะ แต่ด้วยความที่เขาแสดง
ละครเป็นพระผู้มีจริยวัตรสูงส่งเป็นปกติ เลยยับยั้งตัวเองไว้ทัน
แต่ในใจนี่สบถลั่นไปไกล ‘ไอ้หลานสารเลวตัวไหนมันมาขโมย
เกี๊ยวข้าวฉัน?! ไม่รู้จักจริยธรรมโจรที่ว่า ขโมยคนรวย ไม่ปล้นคน
จนหรือไงฟะ? ไม่รู้เหรอไงว่าโจรก็มีกฎของโจรน่ะหา?!’
โครก! ท้องฟางเจิ้งร้องออกมาเสียงสนั่ นจนเขาต้องเอามือกุม
ท้องตัวเอง สุดท้ายได้แต่ต้องออกไปข้างนอก เพื่อดูว่ามีอะไรให้
รับประทานหรือไม่
พอออกมา เขาก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบมาจากต้นไม้เหนือศีรษะ
พอฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ บนกิ่ง
ไม้ ยิงฟันใส่เขา...
ฟางเจิ้งตั้งใจมองดี ๆ ก็เห็นว่าเป็นลิงเผือกตัวหนึ่ง!
พอเห็นเจ้าลิง ฟางเจิ้งก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าได้ ฟางเจิ้งจึงตบ
หัวตัวเองดังเพี๊ยะแล้วอุทาน “เจ้าลิง เป็นเจ้าใช่หรื อไม่ที่ขโมย
เกี๊ยวข้าวของอาตมา?”
“เจี๊ยก!!?” เจ้าลิงมองฟางเจิ้งด้วยสายตาหวาดกลัว มันชี้นิ้วอัน
สั่นเทาไปที่ฟางเจิ้งแล้วถาม “เจ้าพูดเป็นด้วย?”
ฟางเจิ้งหน้าดำคล้ำไปเลย! ทำไมสัตว์ทุกตัวที่พอรู้ว่าเขาพูดภาษา
สัตว์ได้ต้องทำท่าทางแบบนั้นด้วย? ——เหมือนฟางเจิ้งจะลืมไป
แล้วว่า ถ้ามนุษย์เห็นว่าสัตว์พูดได้ก็คงแสดงท่าทางไม่ต่างกัน......
ฟางเจิ้งถามต่อ “แน่นอนว่าอาตมาพูดได้ เลิกพล่าม เกี๊ยวข้าว
ของอาตมาอยู่ไหน?”
“เอามาให้อีกก้อนสิ แล้วข้าจะบอก” เจ้าลิงเกาก้นตัวเองขณะ
มองเหยียดไปที่ฟางเจิ้ง ดวงตาจ้องไปที่ห้องของฟางเจิ้งตาเขม็ง
ฟางเจิ้งไม่คิดจะกดดันอะไรมัน หลังจากอยู่กับสัตว์มานาน เขารู้
สันดานพวกนี้ดี แค่มองหน้าก็รู้ทุกอย่างแล้ว! “กินไปก้อนหนึ่ง
แล้วยังคิดจะเอาอีกก้อนเหรอ? บังอาจทำให้อาตมาหิว เจ้าคิดจะ
ทำยังไงสำหรับเรื่องนี้?”
“เกี๊ยวข้าวนั้นเป็นของเจ้าจริงดิ?” เจ้าลิงจ้องเขม่นไปยังฟางเจิ้ง
“หึ! เป็นของอาตมาเอง มีก้อนเดียวด้วย!” ฟางเจิ้งพูดด้วย
ท่าทางมั่นใจ
“พูดจริง ? เจ้าดูไม่น่าต่างไปจากพวกไร้ขนหน้าโง่พวกนั้นเลย
ทำไมเจ้ า ถึ ง มี เ กี ๊ ย วข้ า ว แต่ พ วกเขาไม่ ม ี ล ่ ะ ? อย่ า บอกนะว่ า
โคตรเหง้าของเจ้าโดนถอนต้นท้อหมดแล้วน่ะ ?” เจ้าลิงถามเชิง
เสียดสี
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่า คุยกับเจ้าลิงบ้านนอก
นี่ถึงเรื่องสายพันธุ์ตัวเองออกจะลำบากเกิน...
ฟางเจิ้งพยายามดึงประเด็น “ขนไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่นี่คือที่ ๆ
อาตมาอาศั ย อยู ่ มานำของจากบ้ า นอาตมาออกไป อย่ า งนี้
เรียกว่าเป็นการลักขโมยมิใช่หรือ? @#¥#@……0”
“พอแล้ว เลิกพล่าม! ข้าแค่ขโมยเกี๊ยวข้าวไปสองก้อนเอง จะ
อะไรกั น นั ก กั น หนาเนี ่ ย ? ข้ า กิ น อาหารของเจ้ า พวกไร้ ขนไป
เยอะแยะ ไม่เห็นพวกนั้นจะมาจู้จี้อะไรข้าเลย!” เจ้าลิงโอด
ครวญอย่างทนไม่ไหว
ฟางเจิ้งตะลึง เขาโดนเจ้าลิงเมินใส่! ฟางเจิ้งพยายามระงับไฟ
โทสะ ก่อนจะถามอย่างสนอกสนใจ “แล้วพวกเขาทำเช่นไร
หรือ?”
“พวกเขาจะโยนไม้กวาดใส่ ไม่ก็โยนพวกลูกท้อกับของอื่น ๆ
จากนั้นพวกเขาก็จะกระโดดไปมา ร่ำร้องเสียงดัง คึกคักมากเลย
แหละ ถึ ง พวกเขาออกจะโง่ ไ ปหน่ อ ย แต่ อ ย่ างน้ อ ยก็
ตรงไปตรงมา ปกติจะส่งเสียงก่อนค่อยลงมือ แต่กลับไม่มีใครจู้จี้
จุกจิกเช่นเจ้าเลย” เจ้าลิงพูดส่อเสียดอีกครั้ง

ฟางเจิ้ง “@#¥@%……เจ้าลิงนี่เห็นความเมตตาของผู้อื่นเป็น
เรื่องโง่เขลาไปเสียฉิบ!”

[1] ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย (既生瑜,


何生亮) เป็นเหตุการณ์หนึ่งในวรรณกรรมสามก๊ก จิวยี่ได้
พยายามวางอุบายกำจัดขงเบ้ง ทว่าวางแผนกี่ทีก็ไม่สำเร็จผลแถม
ยังโดนอุบายนั้นย้อนกลับมา ไหนจะโดนวาจาถากถางต่าง ๆ
นานา จิวยี่เสียรู้ให้ขงเบ้งหลายต่อหลายครั้งจนทำให้ความโกรธ
แค้นปะทุออกมา บวกพิษเกาทัณฑ์กำเริบ ทำให้จิวยี่สิ้นชีวิต ก่อน
ตายจิวยี่ได้รำพันว่า "ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนให้ขงเบ้งมาเกิดด้วย"
[2] มีเกิดย่อมมีด ับ ทั้งหมดล้วนมีตัว อักษร ‘โชคชะตา(缘-
เยวี๋ยน)’ ในเมื่อโชคชะตาไม่นำพา วางแผนมากมายแค่ไหนก็
เท่ า นั ้ น (缘起缘灭,都是一个缘字,缘分
没到,算计再多也没用)

You might also like