Professional Documents
Culture Documents
อาตมาต้องการกลับไปเป็นฆราวาส 101-150
อาตมาต้องการกลับไปเป็นฆราวาส 101-150
ระบบตอบ 【ไม่มี】
“แป๊บเดียวเสร็จ?” ฟางเจิ้งถามต่อ
【รวดเร็วยิ่ง】ระบบตอบ
“งั้นจะรอทำเพื่อ? เลื่อนระดับโลด!” ฟางเจิ้งร้องบอก
【ออกจะเป็นปัญหาอยู่บ้าง】
“ปัญหาร้ายแรงสุด ๆ ต่างหากเฟ้ย!” ฟางเจิ้งว่า
【นั่นเป็นสิ่งที่ท่านต้องพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน มิเช่นนั้นคงต้องหิว
โหย อย่างไรเสียขาดอาหารสามวันนั้นไม่ถึงตายสำหรับมนุษย์
โปรดดื่มน้ำให้เยอะ ๆ】 พูดจบระบบก็เงียบหายไปทันที
ฟางเจิ ้ ง ตกตะลึ ง พอได้ ส ติ ก ็ ต ะโกนอย่ า งโมโห “นั ่ น เหรอ
คำแนะนำ?! นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?! อ๊ะ นายไม่ใช่ใช่มนุษย์
นี”่
เปรี้ยง!
“ฉันไม่ได้กำลังสบถสักหน่อย! มันเป็นข้อเท็จจริงต่างหาก! อย่า
บอกนะว่านายเป็นมนุษย์น่ะ?” ฟางเจิ้งเกิดคำถามขึ้นมาในใจ
เงยหน้ามองท้องฟ้าทันที
ไม่มีสายอสุนีบาตฟาดจากท้องฟ้า ฟางเจิ้งได้แต่เกาคางหยีตา
ครุ่นคิด น่าเสียดาย ที่เขามองเห็นมีแค่ความมืดมิดเท่านั้น อื่น ๆ
ล้วนมองไม่เห็น
เอาเหอะ มองไม่เห็นแล้วไง? ยังไงวัดก็ไม่ได้ใหญ่สักหน่อย ฉันคง
ไม่หลงทางในวัดตัวเองหรอกมั้ง?
โป๊ก!
...ไอหยา ทำไมประตูอยู่ใกล้จัง?
ตึ้ง! “อะไรเนี่ย? ...อา เหมือนหมาเลย... เอ๋ ? หมาป่าไร้ฝูง มานี่
สิ”
ไม่กี่นาทีต่อมา ก็เห็นเป็นหมาป่าขนเงินเดินคอตก หางถูกภิกษุ
หัวโล้นกุมไว้จากด้านหลัง ทั้งมนุษย์ทั้ งหมาป่ากำลังไปห้องครัว
เพื่อหาอะไรกินตามปกติ เจ้าหมาป่าได้แต่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดิน
ต่อไปอย่างไม่เต็มใจ
เจ้ากระรอกก็ไม่อยู่เฉย ถึงจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ขนข้าวตักข้าว
สักถ้วยยังพอทำได้อยู่
เลยเป็นฟางเจิ้งเปิดฝาหม้อออก และให้เจ้ากระรอกเทข้าวลงไป
จากนั้นฟางเจิ้งเอาน้ำเทใส่ เสร็จแล้วค่อยเอานิ้ววัดระดับน้ำ ส่วน
เจ้าหมาป่าก็เอาฟืนมาใส่ แล้วให้ฟางเจิ้งจุดไฟ
มนุษย์ หมาป่า กระรอก ล้วนทำงานสอดประสานได้อย่างราบรื่น
พอทำทุกอย่างเสร็จ ทั้งสามก็ตบมือใส่กันอย่างยินดียิ่ง!
......หลังจากนั้นข้าวก็ไหม้
“กูลูลู!”
“วู วู!”
“เงียบนะ! กล้าบ่นเรื่องท้องว่างงั้นเหรอ? เจ้าเป็นผู้ใส่ฟืนไม่ใช่
เหรอไง? บอกให้เอาหญ้าแห้งใส่เข้าไปไง นี่เอาท่อนฟืนยัดเข้าไป
หมดเลยเนี่ยนะ! ทนหิวไปซะ!” ฟางเจิ้งคำราม
“จี๊ด!” เจ้ากระรอกก็กระโดดเย้ยหยันเจ้าหมาป่า จากนั้นก็ถูท้อง
ตัวเอง พลางลอบเอาลูกโอ๊กออกมาแทะลดทอนความหิวโหย
โครกคราก......
ฟางเจิ้งจับท้องตัวเอง ก่อนจะกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่ แล้วเข้านอน
รุ่งสางวันต่อมา ฟางเจิ้งที่ไม่อาจรับรู้ความสว่างได้เพราะอยู่
ในช่วงตาบอด อาศัยเจ้ากระรอกให้มาลูบหน้าเขาเป็นการปลุก
แทน พอตื่นมาเสียงเรียกที่ได้ยินคือเสียงคำรามลั่นของกระเพาะ
เขาถอนหายใจยาว “เจ้าหมาป่า เมื่อวานเผาฟืนไปหมดเลย
วันนี้ไปเก็บมาใหม่ด้วย ถ้าเอามาไม่พอ ก็ทนหิวต่อไปเสีย”
พอหมาป่าไร้ฝูงได้ยินแบบนั้นก็วิ่งแจ้นออกไป สำหรับเจ้าหมาป่า
แล้ ว ในอดี ต ล้ ว นต้ อ งทนหิ ว มาตลอด ถึ ง เผ่ า พั น ธุ ์ ห มาป่ า จะ
ต้านทานความอดอยากได้มาก แต่เมื่อได้ กินอิ่มมานานขนาดนี้
พอไม่ได้กินย่อมทนไม่ไหวแล้ว
ขณะฟางเจิ้งกำลังเดินกระสับกระส่ายด้วยอาการหิวโหยอยู่นั้น
ได้มีคนมาที่วัด
“มีใครอยู่ไหมครับ ?” เสียงผู้ชายดังขึ้นมา ฟางเจิ้งจึงสะกิดให้
เจ้ากระรอกนำทาง
ถึงเขาจะคุ้นเคยกับวัดนี้เพราะต้องทำความสะอาดอยู่ทุกวี่วัน แต่
ว่าอาการตาบอดเช่นนี้ ก็ทำฟางเจิ้งหมดความมั่นใจได้เป็นครั้ ง
แรก เจ้ากระรอกเกาะอยู่บนบ่าของฟางเจิ้ง คอยดึงหูเขาไปตาม
ทิศทาง ดึงหูไปข้างหน้าหรื อข้างหลัง ก็คือเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
นั่นเอง
ฟางเจิ้งหลุดออกไปจากหอหลัง แล้วเข้ามาในลานวัดได้ในที่สุด
เขาพนมมือแล้วพูด “อามิตตาพุทธ ประสก มีอะไรหรือไม่?”
“พระอาจารย์ ท่าน......” ผู้ที่มาเป็นชายที่สัตย์ซื่อยิ่ง พอเห็น
สายตาฟางเจิ้งที่ไร้ซึ่งประกายใด ๆ แถมยังจ้องแล้วก็ค้อมตัวไป
ตรงความวางเปล่าอีก ทำเอาเขารู้สึกว่าฟางเจิ้งไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ไม่รู้
ฟางเจิ้งรู้ทันทีว่าตนเองทักทายผิดทาง จึงหันไปหาทิศของเสียง
ชายคนนั้นทันที แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้วิตกอะไร “อาตมาตาบอด
ชั่วคราวเพียงสองวัน ประสก มีอะไรหรือไม่?”
“ตาบอดสองวัน? คนเราเลือกวันจะตาบอดได้ด้วยเหรอ?” ชาย
คนนั้นถึงกับมึนงงไปเลย พระรูปนี้กำลังหยอกเขาเล่นอยู่หรือ
เปล่าเนี่ย?
แต่ชายคนนั้นก็ได้แต่ทน ๆ ไป ก่อ นจะเกาหัวแล้วบอก “พระ
อาจารย์ หม่าจวนเป็นคนแนะนำวัดนี้ให้ ผม เธอบอกว่าท่า น
เก่งกาจมาก ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะจากท่านหน่อยได้ไหม
ครับ?”
ฟางเจิ้งหยักหน้า “ประสก เชิญกล่าวเถิด ถ้าอาตมาช่วยได้
อาตมาย่อมช่วยอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ ประสกก็ สามารถจากไปได้
ตามแต่ใจ”
พอเห็นฟางเจิ้งไม่วางท่าอะไรมากนัก เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ
พอเดินไปรอบ ๆ ก็ยังไม่เจอที่ให้นั่งได้เลย “พระอาจารย์ พวก
เราควรจะนั่งคุยกันไหม?”
ฟางเจิ้งจึงนั่งลงบนพื้นตรงนั้นเลย “ประสก เชิญ”
ฟางเจิ้งไม่อยากเดินต่อแล้ว เพราะหูโดนเจ้ากระรอกฉุดกระชาก
ลากดึงจนปวดไปหมด!
ชายคนนั้นชะงักงัน ก่อนจะยิ้มกระอักกระอ่วน แล้วนั่งตาม ถึงจะ
หนาวสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทนไม่ได้
ผู้ชายคนนั้นพูด “ผมชื่อหม่าขุย มาจากเมืองชุน เป็นคนขับรถ
แท็กซี่ แต่ตอนนี้ชีวิตไม่มีอะไรเลย รายได้ก็น้อย ภรรยาก็ไม่มี ผม
รู้สึกว่าชีวิตตนเองช่างไร้ค่า ความมั่นใจก็ไม่มี เฮ้อ......”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ประสกคือผู้ที่มีความสุขอยู่รอบกาย
แต่ไม่รู้ว่านั่นคือความสุข”
หม่าขุยไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งถาม “ประสกอายุเท่าไหร่?”
“สามสิบสองครับ” หม่าขุยตอบ
“ยังเยาว์นัก ชีวิตนี้ยังเผชิญอุปสรรคได้อีกมาก ยังมีคนอื่นอีกมาก
ที่อายุเท่าประสก แต่ต้องอาศัยอยู่ในภูเขาอัน ‘ว่างเปล่า’ ประสก
คิดว่าคนเช่นนี้มีความสุขมากกว่าหรือเปล่า?”
ดวงตาหม่าขุยลุกวาบ ก่อนจะพูด “พระอาจารย์ ท่านกำลังพูด
ถึงคนในเรือนจำสินะ นั่นมันเทียบกันไม่ได้มั้งครับ”
ฟางเจิ้งอยากจะต่อยหน้าเข้ าให้ เจ้าโง่นี่ไม่รู้เหรอไงว่าเขากำลัง
ล้อเลียนตัวเองอยู่น่ะ!
ฟางเจิ้งสูดหายใจลึกสงบอารมณ์ “ถ้าอาตมาให้เงินหนึ่งล้านเพื่อ
ซื้อสุขภาพของประสก ให้เงินหนึ่งล้านเพื่อซื้อวัยเยาว์ของประสก
ให้เงินหนึ่งล้านเพื่อซื้อสติ ปัญญาของประสก เป็นเช่นนี้ ประสก
ต้องการขายให้กับอาตมาหรือไม่?”
ฟางเจิ้งเยาะในใจ ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะยอมขาย’
ทว่า......
“ผมอยากขาย!” หม่าขุยโพล่งขึ้นมาทันควัน
ฟางเจิ้งนิ่งไปทันที คนผู้นี้โง่จริง ๆ ด้วย!
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้โมโหอะไร เพียงคลี่ยิ้ม “ประสกแน่ใจใช่ไหม?”
“ใช่ครับ!” หม่าขุยจ้องไปที่ ฟางเจิ้งอย่างจริงจัง ถึงจะรู้ ว่าฟาง
เจิ้งกำลังพูดไร้สาระ แต่เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าฟางเจิ้งจะทำยังไง
ต่อ! ก่อนหน้านี้เขาเชื่อว่าที่เจอนั้นคงเป็นพระอาจารย์ที่แท้จริง
แต่กลับพบว่าคน ๆ นี้มัวพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้ เขาไม่ชอบใจ
อย่างยิ่ง! ดังนั้นจึงกะจะทำให้ฟางเจิ้งลำบากนิดหน่อย
ฟางเจิ้งพนมมือ แล้วว่า “ตามที่ประสกหวังไว้ อามิตตาพุทธ!”
หม่าขุยพลันตกตะลึง จู่ ๆ เขาก็เห็นฟางเจิ้ง หยิบกล่องมาจากใน
วัด ข้างในเต็มไปด้วยเงิน!
ตอนที่ 102 : อาตมาดูเหมือนผู้ขาดแคลนเงินหรือ?
ฟางเจิ้ง “นี่คือเงินสามล้าน เชิญนำไปได้ แต่จงจำไว้ เมื่อนำหนึ่ง
ล้านหยวนไป อาตมาก็จะนำอายุขัย สุขภาพ และสติปัญญาของ
ประสกมาเช่นกัน”
หม่าขุยไม่คิดเลยว่าพระตรงหน้าจะรวยได้ขนาดนี้ ถึงกับเอาเงิน
มาซื้อของพวกนั้นจากเขาจริง ๆ! หม่าขุยลอบหัวเราะในใจทันที
‘ฉันเจอพวกคนโง่เข้าให้แล้วโว้ย! เงินเป็นของรูปธรรม แต่พวก
สุขภาพ อายุขัยแล้วก็สติปัญญาเป็นนามธรรมไม่ใช่เหรอ? เงิน
เอาไปได้ แต่พระนี่จะของนามธรรมพวกนั้นไปจากฉันได้ยังไง?’
ดังนั้นหม่าขุยจึงไม่รีรอ รีบรับเงินปึกใหญ่จากฟางเจิ้งทัน ที เขา
ก้มมองสังเกต ก่อนจะเห็นว่าเป็นเงินจริง หรือจะให้เจาะจง
กว่าเดิมก็คือเงินหยวนอย่างแท้จริ ง! เมื่อมีเงินอยู่ในมือช่างให้
ความรู้สึกยอดเยี่ยมสุด ๆ เงินหนึ่งปึกมีหนึ่งหมื่นหยวน หม่าขุย
ตื่นเต้นจนตัวสั่น รีบกอบโกยอย่างไว
ทว่าพอหยิบเงินขึ้นมาหนึ่งปึก เขากลั บต้องตกตะลึง เนื่องจาก
เห็นริ้วรอยบนมือตัวเอง ผิวอันเต่งตึงก่อนหน้านี้พลันเหี่ยวย่น!
“เกิดอะไรขึ้น?” หม่าขุยรีบสำรวจดูมือตัวเอง มือทั้งสองข้างดู
เหมือนคนแก่อย่างยิ่ง!
หม่าขุยเหมือนเห็นผี อุทานลั่น “พระอาจารย์ กะ เกิดอะไร
ขึ้น!?”
ฟางเจิ้งร่ายพระพุทธมนต์ ก่อนจะพูดต่อ “ประสก อาตมากล่าว
ไปแล้ว หนึ่งล้านเพื่ออายุขัย หนึ่งล้านเพื่อสุขภาพ หนึ่งล้านเพื่อ
สติปัญญา โดยหนึ่งล้านแรกย่อมเป็นอายุขัย! ประสกนำไป สาม
แสนหยวนแล้ ว หนึ ่ ง หมื ่น หยวนเท่ ากับ หนึ ่ งปี ดั ง นั ้ น ตอนนี้
ประสกย่อมมีอายุเท่ากับหกสิบสอง ประสกยังต้องการเงิ นอีก
หรือไม่?”
“ฉันไม่เชื่อหรอก! บนโลกนี้จะมีคนดูดพลังชีวิตคนอื่นไปได้ยังไง?
โกหกชัด ๆ!” หม่าขุยไม่อ าจยอมรับ ทว่าเหตุการณ์ตอนนี้กลับ
น่ากลัวอย่างยิ่ง! ดูสมจริงจนไม่เหมือนฝันร้าย!!!
ฟางเจิ้งพลิกมือ ปรากฏเป็นกระจกใบหนึ่ง เขาส่งไปให้หม่าขุย
“อาตมามิได้พูดปดฉันใด กระจกนี้ย่อมมิอาจโกหกได้ฉันนั้น เชิญ
ประสกดูเองเถิด”
หม่าขุยหยิบกระจกขึ้นมาก่อนจะตะลึงลาน ใบหน้าในกระจกเต็ม
ไปด้วยริ้วรอย ร่องรอยความชราสถิตทั่วทุกแห่งหน! หม่าขุยลอง
เปลี่ยนสีหน้า แต่ทุกสีหน้านั้นล้วนเป็นอันเดียวกับที่ปรากฏใน
กระจกทั้งสิ้น!
หม่าขุยทดลองหยิบไปอีกหนึ่งหมื่นหยวน จากนั้นใบหน้าเขาดูแก่
ลงเล็กน้อยทันที!
หม่าขุยสะดุ้งโหยงหวาดกลัวจนโยนเงินกลับไป “ฉันไม่เอาแล้ว!
ไม่เอาแล้ว! เอาคืนไป! เอาอายุขัยฉันกลับมานะ!!!”
แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าตนเองไม่อาจขยับหรือแม้แต่จะโยนเงินคืนไป
ได้เลย!
ฟางเจิ้งพูด “ประสก โหยหาในเงินตรามิใช่หรือ? ประสกยินยอม
จะแลกเปลี่ยนกับวัยเยาว์มิใช่หรือ ? ประสกคิดว่าเงินตราคือ
ความสุขมิใช่หรือ? เช่นนั้น...ทำไมประสกจึงแลกเปลี่ยนคืนเสีย
ล่ะ?”
“กะ แก ไอ้พระชั่ ว! ไม่สิ ไอ้ปีศาจ! คืนอายุขัยฉันมานะ! เอา
กลับมา!! เงินอาจจะดีก็จริง แต่มันเทียบกับอายุขัยฉันไม่ ได้
หรอก! เงินไม่มีก็แค่หาเพิ่ม! แต่จะมีเงินไปทำไมถ้าไม่มีชีวิตวะ!!”
ฟางเจิ้งหัวเราะ “ประสกไม่คิดจะแลกเปลี่ยนเพิ่มแล้วใช่ไหม?”
หม่าขุยรีบตอบกลับทันควัน “ไม่เอา ไม่เอาแล้ว!”
ฟางเจิ ้ ง พนมมื อ ก่ อ นจะพู ด ต่ อ “อามิ ต ตาพุ ท ธ เช่ น นั ้ น ไม่
แลกเปลี่ยนเพิ่ม!”
หม่าขุยเห็นธนบัตรบินว่อนกลับลงไปในกล่องที่วางอยู่เบื้องหน้า
ฟางเจิ้ง พอเงินเข้ามาหมดฝากล่องก็ปิดดังขวับ พอฟางเจิ้งโยน
ไปข้างหลัง กล่องก็หายวับไป
ลมหนาวยะเยือกพัดผ่าน ทำให้หม่าขุยที่นั่งอยู่เย็นวูบ ได้สติลุก
ยืนทันที ก่อนจะนึกได้ว่าตนเองยังนั่งอยู่บนพื้นมาตลอด ดูสิ
บั้นท้ายแข็งไปหมดแล้ว ดูเหมือนจะนั่งมาได้สักพักใหญ่ทีเดียว
พอหม่าขุยเห็นพระหนุ่ม สีหน้าของเขาพลัน แปรเปลี่ยนเป็ น
ซับซ้อน
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ประสก คิดดีแล้วหรือยัง?”
หม่าขุยถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืนให้เรียบร้อย จากนั้นก็โค้งตัว
“ผู้คนไม่อาจตัดสินจากภายนอกจริง ๆ พระอาจารย์ ท่านเยี่ยม
มาก! ผมทราบความผิดพลาดตนเองแล้ว ต่อไปจะไม่ผิดเช่นเดิม
อีก ขอบคุณพระอาจารย์ที่ชี้แนะ!”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ
หม่าขุยกล่าวลา และทิ้งเงินถวายปึกใหญ่ไว้ในห้องโถง
หมาป่าไร้ฝูงคาบเงินมาให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหัวเราะ “หนึ่ง หมื่นเชียว? ดูเหมือนเขาจะรวยไม่น้อย
นะเนี่ย”
พูดจบฟางเจิ้งก็ลุกขึ้นยืน ส่วนเจ้ากระรอกก็ทำการ ‘ขับ’ พาฟาง
เจิ้งกลับไปหอหลั งอีกครา จากนั้นก็ถึงเวลาที่มนุษย์ หมาป่า
กระรอก รวมกลุ่มร่วมมือกันทำอาหารอีกครั้ง!
อีกด้านหนึ่ง หม่าขุยลงเขามาแล้ว ก็เดินไปขึ้นรถยนต์สุดหรูที่
ผลิตในประเทศคันหนึ่ง
“พระที่นั่นเป็นไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนในรถถามขึ้นนิ่ง ๆ
หม่าขุยตอบ “ประดุจเทพยาดา! แต่น่าเสียดายที่เขาตาบอด”
“ขนาดนั้นเลย?” ชายวัยกลางคนถาม
“ใช่ ค รั บ ผม หม่ า ขุ ย มี ช ี ว ิ ต มาถึ ง ตอนนี ้ ยั ง ไม่ เ คยเห็ น พระ
อาจารย์ที่ยอดเยี่ยมแบบนั้นเลย! พี่ใหญ่ ผมคิดว่าผมรักเงินที่สุด
มาตลอด แต่ ต อนนี ้ ร ู ้ แ ล้ ว แหละว่ า เหลวไหลทั ้ ง เพ! พี ่ ใ หญ่
หลังจากลับไปแล้ว จ้างคนขับรถใหม่สัก คนเถอะครับ ผมอยาก
กลั บ บ้ า น ผมคิ ด ถึ ง ภรรยากับ ลู ก ” หม่ า ขุ ย พู ด ไปพลางถอน
หายใจไปด้วย
“ทำให้นายคิดได้แบบนี้ เขาคงมีความสามารถจริง ๆ ส่วนเรื่อง
คนขับรถ คิดว่าฉันขับรถเองไม่ได้เหรอ? ที่ฉันรับนายมาขับรถให้
เพราะนายมัวแต่ทำตัวเหลวไหลอยู่นั่นแหละ ฉันอยากจะช่วย
น้องสะใภ้จับตาดูนายไม่ให้โดนผู้หญิงหลอกเฉย ๆ”
หม่าขุยยิ้ม ก่อนจะเหยียบคันเร่งจากไป
ทางด้านฟางเจิ้ง
“แค่ก แค่ก!”
“จี๊ด!”
“วู!”
เกิดควันหนาแน่นฟุ้งจนฟางเจิ้งต้องไอออกมา กระรอกที่เกาะ
ตรงหัวเขากลายเป็นหนูไปเสียแล้ว ดำเป็นถ่านเลย.......
ส่วนเจ้าหมาป่าก็มีฝุ่นควันเกาะเต็ม ไปหมด มันเอาหัวจุ่มลงกอง
หิมะแล้วสะบัดไปมา เหมือนจะมีอะไรติดอยู่ในตานะ
‘ระบบ นี่ตั้งใจจะทำให้ฉันหิวตายใช่ไหม!?’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ
รอบนี้ฟืนที่เจ้าหมาป่าหามาชื้นเกินไป พอฟางเจิ้งจุดไฟ ควันก็
โขมงโฉงเฉงทันที มนุษย์ หมาป่า และกระรอกได้แต่ยกธงขาว
แล้วจริง ๆ
【ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอดอาหารสามวันไม่ถึงตาย คิดซะว่าลด
น้ำหนักก็แล้วกัน】
ฟางเจิ้งกลอกตา อยากด่าจริง ๆ เลยเว้ย! โกหกคำโต สามวันไม่
ถึงตาย? ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนพูด ? ออกมาเดี๋ยวนะ สาบานว่าจะไม่
ฆ่าทิ้ง!
ตอนนั้นเองมือถือของฟางเจิ้งก็ดังขึ้นมา
“เอ๋? มีคนโทรมาเหรอ? มหัศจรรย์วุ้ย” ฟางเจิ้งหยิบโทรศัพท์
ขึ้นมาอย่างสงสัย แต่เพราะมองไม่เห็น เลยได้แต่ต้องกดรับสาย
ไปก่อน
สายติดแล้ว!
“ถึงคุณลูกค้า สวัสดีค่ะ นี่เป็นข้อเสนอรถปอร์เช่สุดพิเศษจาก
เมืองเฮยซาน ดิฉันเสี่ยวหรง เป็นตัวแทนการขาย ร้านของเราเพิ่ง
นำเข้าปอร์เช่รุ่น 911 ราคาตลาดอยู่ ที่ 2.45 ล้านหยวน แต่ถ้า
ท่านสั่งจองตอนนี้ ก็จะได้รับรถปอร์เช่สุดรักไปขับได้เลยทันทีใน
ราคา 2.4 ล้านหยวน”
“อะแฮ่ม ขอโทษนะ ไม่ทราบว่ารู้เบอร์อาตมามาจากไหนเหรอ?”
พอฟางเจิ้งได้ยินว่าเป็นตัวแทนการขายรถยนต์ ก็ตกตะลึงนิด
หน่อย เขาเป็นพระ วัน ๆ ก็อยู่แต่บนเขา จะให้ ขับรถลงเขาเหรอ
ไง? ตลกแล้ว อีกอย่าง เขาสงสัยมาก เพราะมีไม่กี่คนที่รู้จักเบอร์
ของเขา ขนาดฟางอวิ๋นจิ้งกับพรรคพวกยังไม่รู้เลย สวนใหญ่คุย
กันบนวีแชทเท่านั้นเอง
“เอ่อ...ลูกค้าเก่าเป็นผู้แนะนำค่ะ” อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนจะ
ตอบ
ฟางเจิ้งกลอกตา เจ้าเด็กนี่การแสดงห่ วยแตกมาก ลูกค้าเก่า
แนะนำมา? ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาจนขนาดจักรยานยังต้องผ่อนจ่าย
เลย จะให้ไปซื้อปอร์เช่เนี่ยนะ? ฟางเจิ้งคิดว่าเป็นเพราะเรื่องที่
ตนเองมีเงินอยู่ห้าแสนหลุดแน่ ๆ แต่ข่าวหลุดออกไปได้เช่นไรก็
ไม่ทราบ แถมเขาก็จัดการอะไรไม่ได้ด้วย ดังนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ
แล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงโทสะ “คิดจะดูถูกอาตมาหรือ ?
อาตมาดูเหมือนผู้ขาดแคลนเงินเพียงห้าหมื่นหยวนหรือ? อาตมา
คงไม่ต้องอธิบายว่าทำไมถึงต้องขึ้นบัญชีดำเบอร์นี้กระมัง ลา
ก่อน!”
หลังจากพูดจบ ฟางเจิ้งก็วางสายทันที ตลกเหรอ! ที่เขาขาด
แคลนคือเงิน 2.4 ล้านหยวนนั่นต่างหาก
ส่วนด้านตัวแทนการขาย เธอก็กำลังอึ้งงันเช่นกัน เธอมองข้อมูล
ในมือ ก่อนจะหันไปดูโทรศัพท์ พลางพึมพำเหมือนตัวเองเพิ่งเห็น
ผี “พะ...พระเดี๋ยวนี้รวยขนาดนี้เชียว?”
ตอนที่ 103 : เณรน้อยต้องการจัดพิธีสรงน้ำพระ
ฟางเจิ้งไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไร แต่ ขึ้นบัญชีดำเบอร์มือถือ
นั้นไว้สำคัญสุด พระเช่นเขาจะไปขับรถได้ยังไงล่ะจริงไหม? เป็น
เฮลิคอปเตอร์ยังดีซะกว่า
สองวันผ่านไปอย่างสงบสุข พอวันที่สาม ฟางเจิ้งค่อยกลับมา
มองเห็นได้อีกครั้ง แถมเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เยี่ยมชะมัด!
อย่างกับเลื่อนจากโทรทัศน์ขาวดำเป็นโทรทัศน์ 4k อย่างไรอย่าง
นัน้ !
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เป็นเพราะงานประลองลิปิศิลป์
หรือการสมหวังของบรรดาคู่รักที่มาขอบุตรถึงที่วัดกันแน่ ทำให้
ชื่อเสียงของวัดนิ้วเดียวเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อย ๆ
เพียงไม่นาน วัดเล็กจิ๊บจ้อยของฟางเจิ้งก็มีคนมาไม่ขาดสาย ถึง
ญาติโยมส่วนใหญ่จะมาจากหมู่บ้านข้างเคียงก็ตาม ทั้งที่เป็นหน้า
หนาวมีหิมะตกจนขึ้นเขาลำบากเข้าไปอีก ทว่าการได้เห็นผลตอบ
รับเช่นนี้ฟางเจิ้งก็พอใจอย่างยิ่ง
กลายเป็นว่าทุกวันนี้ ฟางเจิ้งจะปัดกวาดเช็ดถู และได้พูดคุย
สัพเพเหระกับเหล่าญาติโยมที่มาจุดธูปไหว้พระขอพรด้วย
ฟางเจิ้งมองดูบรรดาโยมทั้งหลายจากไปอย่างสุขใจ ก่อนจะปิด
ประตูวัด จากนั้นค่อยไปพลิกดูใต้เบาะ ลามไปค้นจนทั่วเผื่อจะมี
อะไรหลงเหลือไว้บ้าง
ทว่าฟางเจิ้งก็ได้แต่ผิดหวังอยู่ดี ไม่มีเงินถวายเลย! สักหยวนเดียว
ก็ไม่มี!
ยิ่งไปกว่านั้นธูปยักษ์ก็ยังไม่เคยโดนจุดเลย ผู้คนล้วนใช้แต่ธูป
ธรรมดาไหว้กันทั้งนั้น พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ฟางเจิ้งได้แต่ส่าย
ศีรษะ ใช่ว่าเขาจะไปบังคับคนอื่นให้จุดธูปยักษ์ได้เสียหน่อย
นอกจากส่ายหัวก็ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
อีกหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนนี้มีคนมาจุดธูปเยอะถึง
ยี่สิบดอกแน่ะ ฟางเจิ้ง เห็นจำนวนธูปขนาดนี้ก็หัวเราะจนกราม
ค้างไปเลย นี่มันเยอะกว่าที่วัดนิ้วเดียวได้ทั้งปีอีก! ตอนนี้แค่
เดือนเดียวก็ได้ขนาดนี้แล้ว ดูท่าภารกิจธูปหนึ่งร้อยดอกคงไม่ยาก
อย่างที่คิด
เขาพาเจ้าหมาป่าไปเดินเล่น และหยอกล้อกับเจ้ากระรอกทุกวัน
กาลเวลาหมุนผ่านอย่างสงบสุขสันต์
กระทั่งเข้าสู่เดือนธันวาคม ในหมู่บ้านมีเทศกาลที่เรียกว่า ‘วัน
ไหว้พระจันทร์เดือนสิบสอง’
เดือนนี้วัดฟางเจิ้งได้รับการจุดธูปเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มีคนมา
แทบทุกวันแน่ะ! เป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งรู้สึกเหมือนตนเองเป็น
เจ้าอาวาสจริง ๆ ทุกวันยืนหน้าประตูวัด คอยทักทายเหล่าญาติ
โยม รู้สึกดีชะมัด!
วันหนึ่งหยางหัวขึ้นเขามาหา พอเห็นฟางเจิ้งเป็นเช่นนี้ก็หัวเราะ
เสียงดัง “ฟาง—เจ้าอาวาส! อา ต้องเรียกแบบนี้สินะ”
ฟางเจิ้งยิ้มแหย ๆ “โยมหยาง จะเรียกอาตมาเช่นไรก็ตามใจเถิด
ทำไมพอเรียกอาตมาว่าเจ้าอาวาสแล้วถึงได้รู้สึกแปลก ๆ ล่ะ?”
หยางหัวหัวเราะอย่างโง่งม “คือภรรยาของฉันท้องมาสามเดือน
แล้ว เลยขึ้นมาไม่ได้น่ะนะ เธอเลยฝากมาถามว่า จะถึงเทศกาล
ล่าปา[1]แล้ว วัดหงเหยียนจากหมู่ บ้านข้าง ๆ ประกาศว่าจะมี
การจัดพิธีสรงน้ำพระ แล้วก็มีการแจกล่าปาโจว[2]ด้วย วัดนิ้ว
เดียวก็น่าจะจัดบ้างไหม? แต่ถ้าจะจัด ภรรยาฉันกลัวว่าเธอจะ
ขาดคนช่วย เลยให้ฉันขึ้นมาเผื่อต้องการจะให้ช่วยอะไร”
ฟางเจิ้งฟังปุ๊บก็แข็งค้างไปเลย!
...เทศกาลล่าปา? ...พิธีสรงน้ำพระ?
เขาพลันรู้แจ้งในบันดล! เขามัวแต่สนใจตัวเลขธูปจนเกือบลืม
เรื่องนี้ไปเสียฉิบ!
การสรงน้ำพระเป็นพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยจัดในวัน
ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ทุกคนรู้จักเทศกาลนี้ในนาม ‘เทศกาลล่าป่า’
ซึ่งพระพุทธศาสนิกชนเชื่อว่าเป็นวันที่พระโคตมพุทธเจ้า หรือ
รู้จักกันในชื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้สำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ดังนั้น จึงเป็ น
วันที่ชาวพุทธจะทำการเฉลิมฉลองเช่นกัน!
นอกจากจะสรงน้ำเพื่อระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ยัง
เป็นวันที่จะเชิญชวนทุกคนมากิน โจ๊กล่าปาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ด้วย ผู้คนมักเรียกว่า ‘โจ๊กล่าปา’ แต่ชาวพุทธจะเรียกว่า ‘โจ๊ก
เจ็ดรัตนะห้ารสชาติ’
หลังจากนั้น ด้วยอิ ทธิพลของพุทธศาสนา การกินโจ๊กล่าปาใน
เทศกาลล่าปาจึงกลายเป็นวัฒนธรรมไปในที่สุด
ทว่าวัดนิ้วเดียวเล็กนัก ในอดีต แค่หาอาหารประทังชีวิตก็ลำบาก
แล้ว ย่อมไม่มีหนทางจะจัดพิธีสรงน้ำพระได้ กลายเป็นว่า ตลอด
หลายปีที่ผ่านมา...พระอี่จื่อไม่เคยจัดพิธีสรงน้ำพระแม้แต่ครั้ง
เดียว ทุก ๆ ปี ท่านมักจะพึมพำเสมอว่า “วันหนึ่งถ้าวัดนิ้วเดียว
จัดพิธีสรงน้ำพระได้จะได้ขนาดไหนกันนะ......เฮ้อ”
พอคิดถึงเสียงถอนหายใจทอดยาวต่อเนื่องของพระอี่จื่อ ฟางเจิ้ง
ก็ ไ ม่ ค ิ ด ซ้ ำ สอง “งานเทศกาลล่ า ปาปี น ี ้ ไม่ เ พี ย งอาตมาจะ
แจกจ่ายโจ๊กล่าปาแล้ว อาตมายังจะจัดพิธีส รงน้ำพระด้วย หวัง
ว่าจะเป็นการชำระจิตใจผู้คน รวมทั้งเป็นการชำระจิตใจของ
อาตมาด้วย!”
“อะไรนะ? เธออยากจัดพิธีสรงน้ำพระ? ว่าแต่...เคยจัดมาก่อน
เหรอไง?” หยางหัวถามขณะจ้องมองฟางเจิ้งตาปริบ ๆ
ฟางเจิ้งหัวเราะ “อาตมาย่อมไม่เคย แค่คนผู้หนึ่ง แม้ไม่เคย
รับประทานเนื้อหมู ยังเคยเห็นหมูเดินเลย พิธีสรงน้ำพระย่อม
มิใช่เรื่องยาก”
“ฟาง...ฟางเจิ้ง เธอรู้หรือเปล่าว่าราคาค่าโจ๊กล่าปามันเท่าไหร่ ?”
หยางหัวถาม
พอฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็นิ่งค้างไปทันที เกือบลืมไปเลยว่าจะ
จัดงานต้องใช้เงิน แจกโจ๊กล่าปาให้สองสามคนน่ะไม่เป็นอะไร
หรอก แต่ถ้ามีคนมาเป็นร้อยล่ะก็ ลำพังเงินตัวเองตอนนี้ไม่พอ
แหง!
ขณะฟางเจิ้งกำลังอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นั้น
【ติ้ง! ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ระบบจะเป็นผู้นำวัตถุดิบ
ทั้งหมดมาให้ อีกทั้งยังให้สูตรโจ๊กเจ็ดรัตนะห้ารสชาติอีกด้วย ทุก
วัตถุดิบนั้นถูกปลูกโดยอรหันต์ที่ตีนเขาหลิงซาน! ดั งนั้นเรื่องโจ๊ก
ไม่ต้องเป็นกังวลไปที่น่ากังวลคือจะมีคนมาหรือเปล่าต่างหาก】
ฟางเจิ้งฟังปุ๊บ ในใจน้ำตาแทบไหล ‘ระบบ เจ๋งมาก! พอกลับไป
เป็นฆราวาสได้เมื่อไหร่ จะเซ่นไหว้ผู้หญิงไปให้!’
ระบบ 【2#¥@】
มีระบบหนุนหลังแบบนี้ ฟางเจิ้งก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว แถมเงินก็
ไม่เสีย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าออกหน้าออกตาเกินไป
นัก เขายิ้มด้วยท่าทางลึกล้ำ “ประสกไม่ต้องเป็นห่วง อาตมา
ย่อมมีหนทาง”
“เอ๋? จริง ๆ นะ? ได้! ฉันจะช่วยเอง! แต่ว่าแค่ฉันคงไม่พอหรอก
ไว้กลับไปจะให้หยางผิงกับภรรยาเขามาช่วยนะ แล้วก็จะเกนคน
ว่าง ๆ มาช่วยด้วยอีกแรง!” หยางหัวพูดอย่างตื่นเต้น พอได้ยิน
ฟางเจิ้งพูดอย่างจริงจังแบบนี้ ก็ทำเอาไฟเขาลุกโชนขึ้นมาเลย
ฟางเจิ้งได้ยินได้เช่นนั้นก็ซาบซึ้งอย่างยิ่ง วัตถุดิบก็มีให้ ถ้าเขา
สอนวิธีการทำอาหารให้พวกชาวบ้าน อย่างนี้ก็หมายความว่า เขา
มีทั้งวัตถุดิบฟรี แรงงานฟรีเลยน่ะสิ ? ฟางเจิ้งผู้ขี้เกียจตัวเป็นขน
ย่อมพยักหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
ผลคือ......
【ยังไม่ให้ชั่วคราว ทว่าท่านสามารถลองทำเป็นชามเล็กๆ
เป็นตัวทดลองก่อนได้ ท่านจะได้ชิมด้วย】
หลังจากนั้นพลันปรากฏชามขนาดจิ๋วขึ้นมาตรงหน้าฟางเจิ้ง เป็น
ชามที่เล็กมาชะมัด ขนาดเท่าฝ่ามือได้ ซึ่งหมายความว่าใส่โจ๊กได้
น้อยนิดเช่นกัน!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็บ่นทันที “ระบบ ทำไมนายขี้เหนียวแบบ
นี้!”
พอเสียงเขาหายไป ลำแสงสีทองส่ องประกายจากโจ๊กล่าปาก็
หายไป ฟางเจิ้งก้มหน้ามองลงไปทันที!
ภายในชามนั้นจุด้วยข้าวสีเหลืองแกมสีขาว มีเม็ดบัวดุจอัญมณี มี
พุทราแดงฉานอันงดงาม และอื่น ๆ นอกจากวัตถุดิบต่ าง ๆ ที่
รวมกันอย่างลงตัวแล้ว พวกมันก็ยังแบ่งเขตกระจัดกระจายกันไป
อย่างสวยงามมากทีเดียว ส่วนที่ แดงก็แดงลุกโชน ส่วนที่ข าวก็
แวววาวดุจอัญมณี มีสีเหลืองอันสุกสกาว และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุกองค์ประกอบรวมกันแล้วไม่เหมือนเป็นโจ๊กชามหนึ่ง แต่เป็น
งานศิลป์อันเลอค่าต่างหาก! แถมวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ดูไม่เหมือนกับ
เอาไว้รับประทาน มันดูราวกับไข่มุกสดใส หยกล้ำค่า และทองคำ
สุก สวยงามจนฟางเจิ้งไม่กล้ากิน!!!
ตอนที่ 105 : ราคาค่าผูกขาดอาหาร
รูปลักษณ์อาหารดูน่าหลงใหลสุด ๆ ที่แท้รสชาติก็โอชาไม่ต่างกัน!
กลิ ่ น หอมข้ า ว กลิ ่ น ละมุ น ของเม็ ด บั ว ความหวานของพุ ท รา
ประสานกับวัตถุดิบอื่น ๆ อีกสิบแปดชนิด ก่อเกิดเป็นกลิ่นเลอค่า
อันน่าประหลาด เพราะฟางเจิ้งสามารถสัมผัสถึงกลิ่นได้ทุกชนิด!
พอคลุกเคล้ากันแล้ว กลิ่นก็หอมฉุยขึ้นมา สูดเพียงฟืดเดียว จิตใจ
พลันปลอดโปร่ง รู้สึกดียิ่ง!
“เจ๋ง!” ดูแค่รูปลักษณ์กับดมกลิ่น ฟางเจิ้งก็รู้แล้วว่าโจ๊กชามนี้
เป็นของดี!
ทันใดนั้นฟางเจิ้งรู้สึกว่าไหล่ตัวเองเบาวูบ เป็นเจ้าตัวเล็กกระโจน
ไปหาโจ๊กล่าปานั่นเอง เจ้ากระรอกตัวดี! ฟางเจิ้งรีบเงื้อมมือคว้า
หมับ
พอโดนจับตัวไว้ได้ เจ้าตัวน้อยก็กระฟัดกระเฟียดยกใหญ่ เหวี่ยง
หมัด แกว่งเท้าไปทั่วเหมือนต้องการจะสื่อว่า “ปล่อยให้ข้าลงไป
กินนะ ไม่งั้นมาสู้กัน!”
ฟางเจิ้งกลอกตาใส่เจ้าตัวน้อยก่ อนจะพูด “เฮ้ เจ้ากล้าสู้ กับ
อาตมาผู้เป็นเจ้าอาวาสงั้นหรือ? ไม่เชื่อว่าอาตมาจะขังลืมเจ้ารึ?”
เจ้าตัวน้อยส่งเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ
ฟางเจิ้งลูบหัวตัวเองก่อนจะพูด “อาตมากินลูกสนของเจ้าไปแค่
สองลูก แต่เจ้าคิดจะกินโจ๊กล่าปาของอาตมาหรือ ? เป็นแผนที่
ฉลาดไม่เลว เหอะ เจ้าจะสามารถกินได้ก็ต่อ เมื่ออาตมาชิมก่อน
เท่านั้น”
“จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด!”
“ไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ? งั้นก็โดนขังไปแล้วกัน!” พูดจบฟางเจิ้ งก็
เอาเจ้ากระรอกวางบนเตาแล้วเอาชามขนาดมหึมาคว่ำใส่! พูดตบ
ท้ายว่า “ริอาจมาขโมยอาหารอาตมา รับผลกรรมเสีย!”
หลังจากรับมือเจ้ากระรอกตัว น้อยเสร็จ เขาก็กะจะก้มลงไปกิน
โจ๊กล่าปา แต่พอก้มหน้าลงไปเท่านั้นแหละ สีหน้าก็ดำคล้ำทันที!
โจ๊กไปไหนแล้ว? โจ๊กล่ะ? หายไปไหน!?
ฟางเจิ ้ ง หั น หน้ า มองไปรอบ ๆ ก็ ท ั น เห็ น หางหมาป่ า กำลั ง วิ่ ง
ออกไปจากห้องครัว!
“แม่*เอ้ย กลับมานะ! คืนนี้อาตมาต้องได้กินเนื้อสุนัข!” ฟางเจิ้ ง
เดือดขั้นสุด ช่วงเวลาที่หนักที่สุดไม่ใช่การปกป้องตนเองจาก
ข้าศึกศัตรู แต่เป็นพวกมิตรใกล้ตัวนี่แหละ จับโจรตัวน้อยได้แ ล้ว
ก็โดนเจ้าหมาป่าไร้ฝูงมาแย่งชิงผลประโยชน์ไปเสียฉิบ! เท่านั้น
แหละอัสนีก็ฟาดลงมาที่ข้างหลังของฟางเจิ้ง แต่เขาชินเสียแล้ว
ไม่สนใจเฟ้ย
ฟางเจิ้งคว้าไม้กวาดวิ่งไล่ต ามไปทันที ส่วนเจ้าหมาป่า พอเห็น
แบบนี้ก็วิ่งปรู๊ดสุดชีวิต มันรู้ว่าวันนี้ต้องโดนตีแน่ ๆ แต่พอนึ กถึง
กลิ่นของโจ๊กล่าปาแล้ว ก็ไม่คิดจะสำนึกแม้แต่น้อย นี่น่ะเป็นกลิ่น
ที่หอมสุด ๆ ไปเลย! หอมยิ่งกว่าเนื้ออีก! หอมยิ่งกว่าข้าวจิงหมี่!
หอมยิ่งกว่าอะไรในโลก!
“หยุ ด ให้ อ าตมา! ถ้ า ไม่ ห ยุ ด อย่ า คิ ด ว่ า จะได้ ก ิ น ข้ า วเย็ น !”
หลังจากฟางเจิ้งวิ่งอย่างไรก็ตามเจ้าหมาป่าไม่ทัน จึงเริ่มข่มขู่
หมาป่าไร้ฝูงร้องครางหงิง ๆ
“เฮ้! คิดว่าตนเองกำลังจะขึ้นสวรรค์งั้นเหรอ? กินไปมื้อเดียวก็อด
อาหารได้สามวันงั้นสิ? ได้! งั้นอาตมาจะงดข้าวเจ้าเป็นเวลาสาม
วัน! พรุ่งนี้อาตมาจะทำโจ๊กล่าปาเพิ่มชุดใหญ่ อย่าคิดว่าจะได้
แอ้มเชียว!” ฟางเจิ้งตะโกน
พอเจ้าหมาป่าได้ยินแบบนั้น ก็หวนนึกไปถึงกลิ่นหอมก่อนหน้านี้
แข้งขาพลันอ่อนแรง หยุดร่างลงทันควัน หางส่ายไปมา แลบลิ้น
แหะ ๆ ทำท่าลุกลี้ลุกลน ส่งสายตาละห้อย ร้องคร่ำครวญ
พั่บ! พั่บ! พั่บ! พั่บ! ฟางเจิ้งรัวไม้กวาดไม่ยั้ง แต่เพราะผิวเจ้าหมา
ป่าหนามาก แถมกล้ามเนื้อก็แน่น และฟางเจิ้งก็ไม่ได้ออกแรง
เต็มที่ เจ้าหมาป่าเลยไม่กลัวเจ็บแม้แต่น้อย มันแสร้งกระโดดห
ยองแหยง เหมือนกระต่าย ขณะเดียวกันก็ร้องครวญอธิบ าย
ตัวเองด้วย
“ฮึ่ม! แค่อยากจะชิมให้? ชิม?! ชิมคือกินโจ๊กของอาตมาไปทั้งชาม
งั้นสิ? อดใจไม่ไหว? ถ้าอดใจไม่ได้ แล้วจะริอาจมากินทำไม? รับ
ไม้กวาดนี้ไปซะ! งดข้าวเย็นด้วย!”
สุดท้ายฟางเจิ้งตระหนักได้ว่าถ้าไม่ใช้แรงเสียหน่อย เจ้าหมาป่า
คงไม่มีทางเจ็บปวดได้หรอก แต่ว่าไม้กวาดของเขาใกล้จะพังอยู่
แล้ว ทำเอาฟางเจิ้งใจหายวูบ วั ดนี้มีไม้กวาดไม่มากนัก หักไป
หนึ่งก็มีใช้น้อยไปหนึ่ง
ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ส่ายหางเดินตามฟาง
เจิ้งแกมเสียงหัวเราะ กินก็กินไปแล้ว แถมสู้ก็ไม่แพ้อีก
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงเคร้งดังขึ้น เป็น เจ้ากระรอกที่หลบหนี
ออกมาได้สำเร็จจากชามใบโตนั่น พอวิ่งออกมา ก็เห็นชามจิ๋วที่
เจ้าหมาป่ากินไปหมดแล้ว มันหัวร้อนทันที รีบกระโจนไปยังชาม
อย่างสิ้นหวัง ก่ อนจะตกตะลึงที่เห็นเม็ดบัวเหลืออยู่หนึ่งเม็ด!
สายตาเจ้ากระรอกเป็นประกาย วิ่งรอบชามสามรอบด้วยความ
ยินดี ร้องจี๊ด ๆ ยกใหญ่เหมือนกำลังเฉลิมฉลองอะไรบางอย่างอยู่
แต่ทันทีที่มันเตรียมจะสวาปามนั้น!
เจ้าตัวน้อยกระโดดทะยานเข้าไป
ทว่า!
วิ้ง!
มีสำแสงสีเหลืองส่องออกมา ชามพลันหายวับ!
“จี๊ด!” ใบหน้าเจ้าตัวน้อยเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ป้าบ!
หัวของมันกระแทกเตาดังป้าบ มันเอามือกุมหัว ก่อนจะแผดเสียง
ด้วยความโมโห! แล้วกระโจนลงบนพื้ นไปเก็บก้อนกรวดมาก้อน
หนึ่ง ประดุจต้องการประหัตประหารล้างแค้น!
พอมันกระโจนมาถึงประตู ก็เห็นฟางเจิ้งเดินมาพร้อมเจ้าหมาป่า
“เฮ้ เจ้าตัวน้อย ทำไมดูเหมือนจะเลือดขึ้นหน้าล่ะ? ไหงถึงมีอาวุธ
ในมือได้? หืม? คิดจะแข็งข้อก่อกบฏเช่นนั้นหรือ?” ฟางเจิ้งเห็น
เจ้ากระรอกเป็นเช่นนั้นก็หลุดขำออกมา ยืดอก ยกคอ เหมือน
ต้องการเอาก้อนกรวดในมือไปฆ่าคนเสียอย่างไรอย่างนั้น
พอเจ้ากระรอกได้ยนิ แบบนั้น มันก็โมโหฟึดฟัด กระโดดขึ้นๆ ลงๆ
แลดูใกล้คลั่งเต็มที
“ก็ได้ อย่าโมโหใส่อาตมาเลย เพราะอาตมาก็ไม่ได้กินโจ๊กชามนั้น
เช่นกัน เป็นเจ้านี่ที่เอาไปหมด ถ้าเจ้าไม่พอใจ ก็อัดเขาได้ตามใจ
หากเขากล้าสู้เจ้ากลับ อาตมาจะเป็นผู้ช่วยสะกดข่มเอง” ฟาง
เจิ้งพูดจบ เจ้ากระรอกก็หันไปจ้องเขม็งที่หมาป่าไร้ฝูงแทนทันที
เจ้าหมาป่าทำเป็นมองท้องฟ้า เมินไปเสียฉิบ
“จี๊ด! จี๊ด! จี๊ด!” พอเจ้ากระรอกมั่นใจว่ามีฟางเจิ้งหนุนหลัง ก็ทุ่ม
ความโกรธเกรี้ยวใส่เจ้าหมาป่าทันที มันกระโจนจู่โจม ฟาดกรวด
ในมือใส่......เจ้าหมาป่าก็นอนเกาคออย่างสบายอารมณ์ ส่วนพลัง
สังหารของเจ้ากระรอกน่ะเหรอ? เจ้าหมาป่าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย
ทว่า...หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหมาป่าก็เริ่มอยู่เฉยไม่ได้แล้ว
พอถึงเวลาอาหาร ฟางเจิ้งก็ยกโต๊ะที่ไว้เขียนอักษรก่อนหน้านี้
ออกมา เป็นโต๊ะที่ชาวบ้านนำขึ้นมาแล้วทิ้งไว้ให้ฟางเจิ้ง ฟางเจิ้ง
นั่งฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ส่วนเจ้ากระรอกก็มีข้าวปั้นในมือ ฟางเจิ้งสวา
ปามข้าวจิงหมี่พร้อมน้ำทิพย์ ดูอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
เจ้ากระรอกเลียบแบบท่าทาง พร้อมเลียริมฝีปาก
ส่วนอีกฝั่งของโต๊ะ เจ้าหมาป่ายืนขึ้น เอาอุ้งมือวางไว้บนโต๊ะแล้ว
แลบลิ้น สายตาเว้าวอน แต่ฟางเจิ้งกับเจ้ากระรอกทำเป็นเมินไม่
สนใจ
“วู วู...”
“เจ้าก็รับประทานโจ๊กล่าปาไปแล้วไง ทำไมยั งต้องการข้าวอีก
ล่ะหืม? วันนี้ สมควรได้ทราบกฎระเบี ยบของวัด! ขโมยอาหาร
เป็นเรื่องน่าละอาย!” ฟางเจิ้งว่า
เจ้ากระรอกพูดตาม ถึงหมาป่าไร้ฝูงจะฟังไม่ออก แต่ดูจากท่าทาง
ก็พอเข้าใจ เจ้าหมาป่าทนมองไม่ไหว เมินหน้าหนี ไปนั่งหลบมุม
ทว่า.......
“อืม......”
ฟางเจิ้งเลียริมฝีปาก บางครั้งก็จะตะโกน “หอมสุด ๆ! อร่อยจัง
เลย!”
เจ้ากระรอกหนักกว่าอีก มันถือก้อนข้าวปั้นไปทางเจ้าหมาป่า แต่
แทนที่จะกินลงไป มันกลับเป่ากลิ่นข้าวไปทางเจ้าหมาป่าแทน!
พอกลิ่นของข้าวจิงหมี่โชยถึงจมูกเจ้าหมาป่า มันก็หันหัวมามอง
อย่างโมโหใส่ จากนั้นเจ้ากระรอกก็ทะยานไปอีกฝั่ง แล้วเริ่ม เป่า
ต่อ......
เห็นสองตัวนั้นแกล้งกันไปมา ฟางเจิ้งก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
พอกินข้าวกันเสร็จ ก็ถือเป็นการลงโทษความตะกละเจ้าหมาป่า
เรียบร้อย ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเคาะโต๊ะแล้วทำเป็นถามว่า “เจ้าจะ
ไม่กินสินะ?”
หมาป่าไร้ฝูงเงยหน้าขวับ ก่อนจะเห็นว่ามีข้าวอยู่ในชามกระถาง
ต้นไม้ของตน! มันรีบตะกุยเข้าไปสวาปามอย่างเผ็ดร้อนทันที การ
โดนกลั่นแกล้งอันน่าขมขื่นเช่นนี้ มันจะไม่ลืมเด็ดขาด!
ตอนเที่ยงคืน ฟางเจิ้งก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ
ตอนที่ 106 : ล่าปามาแล้ววววว
【นี่คือกระเป๋ามิติ พื้นที่ข้างในสามารถบรรจุวัตถุดิบได้ถึงห้อง
หนึ่ง ไม่เน่า ไม่เสีย มีสิบแปดถุงกระสอบ ย่อมหมายความว่า
ทั้งหมดมีวัตถุดิบสิบแปดห้อง ท่านยังคิดว่าแค่นี้ไม่เพียงพออยู่อีก
หรือ?】
ฟางเจิ้งรีบตอบ “พอ! เยอะพอเลี้ยงหมูได้เลย” ขณะในใจกำลัง
คิดว่าสมควรยักยอกไว้หน่อยไหมนะ
ระบบตอบกลับเพียงคำเดียว 【โง่】
ฟางเจิ้งกลอกตา ทำเมินเจ้าระบบ ฟางเจิ้งบอกให้เจ้าหมาป่าช่วย
เติ ม น้ ำ ใส่ ห ม้ อ ทั ้ ง ห้ า จากนั ้ น เขาค่ อ ยจุ ด ไฟ และทำการโยน
บรรดาผลไม้ ต ากแห้ ง พร้ อ มด้ ว ยวั ต ถุ ด ิ บ ที ่ ส ุ ก ยากลงไปก่ อ น
พอใช้ไฟสูงไปสักพักค่อยลดไฟลง พอพวกผลไม้ตากแห้งสุกแล้ว
ก็จัดการโยนของที่ไหม้ยากรองลงมาต่อ......
สุดท้าย หรี่ไฟเบาลงค่อย ๆ ตุ๋นไปเรื่อย ๆ
ส่วนเจ้าหมาป่า ก็กำลังหาบน้ำอย่างขะมักเขม้น เจ้ากระรอกก็วิ่ง
ไปทั่วอย่างตื่นเต้น บางครั้งยังนำกิ่งไม้แห้งมาให้ด้วย
พักเรื่องฝั่งฟางเจิ้งที่กำลังทำอาหารอยู่บนเขาไว้ก่อนแล้วกัน......
เสียงไก่ขันดังขึ้น ชาวบ้านต่างลุกออกจากที่นอน ควันลอยเหนือ
หลังคาเรือน พร้อมด้วยเสียงประทัดที่ดังขึ้น เสียงดังเปอะแปะดู
มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง เป็นสัญญาณว่าปีใหม่มาเยือนแล้ว!
หมู่บ้านอันเงียบสงบเริ่มคึกคัก เหล่าสมาชิกในครอบครัวทยอย
ลุกจากเตียงเตรียมรับประทานข้ าวเช้าร่วมกัน เป็นฉากอันแสน
รื่นเริงน่ายินดีทีเดียว
หวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋ว หยางผิง และคนอื่น ๆ ตื่นมาแต่เช้าตรู่
รวมกลุ่มกันขึ้นเขา เส้นทางบนเขานิ้วเดียวนั้นแสนลำบาก มีทั้ง
ความสูงชัน ไหนจะมีผาอยู่ข้าง ๆ อีก ถ้าไม่มีการร่วมมือบวกกับ
วินัยที่เคร่งครัด คงต้ องบอกลาเงาศีรษะตัวเองแล้ว โดยเฉพาะ
ผู้สูงอายุกับเหล่าเด็ก ๆ ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ช่างเป็นกลุ่มคนที่เปี่ยมชีวิตชีวา ยามปีนขึ้ นเขา ก็คุยกันโขมง
โฉงเฉง จากภูเขานิ้วเดียวอันหนาวเย็นและเงียบสงบ พลันดู
คึกคักขึ้นมาขนานใหญ่
“นายจะไม่ไปจริง ๆ เหรอ?” ในบ้านหลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคน
ที่เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถามชายที่นอนอยู่บนเตียง
“ไม่ไป ทำไมต้องไปด้วย? พวกนั้นทำตัวอย่างกับผีหิว โซอย่างงั้น
แหละ ทำไม? ไม่เคยกินข้าวเหรอไง? อีกอย่างนะ ฟางเจิ้งน่ะ
เหรอที่เหมาะจะจัดพิธีสรงน้ำพระ? เจ้าเด็กนั่นคิดว่าตัวเองเป็น
เจ้าอาวาสไปแล้วหลังจากที่เป็นเจ้าอาวาสไม่กี่วันเนี่ยนะ? ฉัน—
ไม่—ไป!” ชายคนนั้นพูดอย่างก้าวร้าว
“เหอะ ทำไมต้องพูดถึงขนาดนั้นด้วย? ฟางเจิ้งไม่เคยมีปัญหากับ
นายเลยไม่ใช่เหรอไง? ก็ได้ ช่างมันเหอะถ้านายไม่ไป แต่ฉันจะ
ไป!” พูดจบ หญิงวัยกลางคนก็หันหลังเดินจ้ำ ๆ ออกไป
ชายคนนั้นไม่พอใจจนผุดตัวลุกออกจากเตียง “หมายความว่า
ยั ง ไงที ่ เ ธอจะไป? ฉั น เตื อ นไว้ ก ่ อ นเลยนะ ว่ า ห้ า มเธอขึ ้ น ไป
เด็ดขาด! สมาชิกในครอบครัวเราห้ามไปสักคนเดียว!”
“เฉินจิน!” หญิงวัยกลางคนโมโหขึ้นมาทันที หันไปมองตาขวาง
ใส่เฉินจิน “นายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือเปล่า? ทำไม? แค่ชวน
คนไปเข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระที่วัดหงเหยียนไม่ได้ ครอบครัวเราก็
เลยโดนห้ า มไม่ ใ ห้ ไ ปวั ด นิ ้ ว เดี ย วเหรอไง? ทุ ก คนต่ า งขึ ้ น ไป
สนับสนุนฟางเจิ้งกันทั้งนั้ นแหละ! อีกอย่าง ทำไมทุก คนต้องไป
วัดหงเหยียนด้วย? พิธีสรงน้ำพระก็คือพิธีสรงน้ำพระไม่ใช่เหรอ?
กินก็กินโจ๊กล่าปาเหมือนกัน สนุกก็สนุกเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง?
อีกทั้งหัวหน้าหมู่บ้านก็บอกแล้วไงว่าปีหน้าทุกคนค่อยไปกับนาย
น่ะ”
เฉินจินตอบกลับด้วยโทสะ “ผู้หญิงอย่างเธอจะไปรู้อะไร! พระ
อาจารย์ อู้หมิงให้งานสำคัญมาแบบนี้ เพราะยกย่องในตัวฉัน
ต่างหาก! ฉันรับปากกับท่านไว้แล้วว่าจะพาทุกคนไปหา แล้วดู
ตอนนี้สิ? ดีมาก! ไม่มีใครไปสักคน! ใคร ๆ ก็กระโดดโลดเต้นไป
เข้าร่วมพิธีสรงน้ำพระของฟางเจิ้งกั นหมด! เธอคิดถึ งหน้าฉัน
บ้างไหมล่ะ? ต่อไปฉันจะไปเผชิญหน้าพระอาจารย์อู้หมิงได้ยังไง?
คนมีหน้า ต้นไม้มีเปลือก[1] เข้าใจไหม?”
【โอกาสนั้นผู้อื่นเป็นคนสร้าง คำกล่าวที่ว่าเท่าเทียมหมายถึง
โอกาสที่ให้นั้นทุกคนย่อมได้รับ แต่ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์จะ
ออกมาเท่ากัน ผู้ขยันย่อมได้มาก คนขี้เกียจย่อมได้น้อย】
ฟางเจิ้งบรรลุในบันดล ดังนั้นเขาจึงตักโจ๊กล่า ปาใส่ช ามของ
หวังโย่วกุ้ยจนล้นถ้วย จากนั้นก็ยิ้ม “ประสกหวัง เชิญสรงน้ำ
พระได้ที่ทางเข้า ทุกอย่างแล้วแต่ประสกเถิด วัดนี้เล็กนัก คงมี
รายการพิธีไม่มาก”
หวังโย่วกุ้ยมองชามโจ๊กล่าปาทั้งสาม ขณะกำลังจะพูดขอบคุณ
เขาก็เห็นอะไรในชามเสียก่อน เขาอุทานอย่างตกใจ “มะ มีอะไร
อยู่ในนี้ด้วย!!!?”
เถียนหย่งก็เห็น จึงอุทานออกมาเช่นกัน “มีรูปสลักบนถั่วเขียว
ด้วย? พุทรานั่นเหมือนจะพระพุทธองค์เลยไม่ใช่เหรอ?...สวรรค์
ฟางเจิ้ง เธอเป็นคนสลักเหรอ!!!?”
ฟางเจิ้งพนมมือ คลี่ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะเรื่อง
นี้อธิบายยากนัก จึงตัดสินใจทำให้มันดูคลุมเครือไว้ดีกว่า
หวั ง โย่ วกุ ้ ยดูพ ระพุ ทธองค์ วชิ ร ะ พระอรหั นต์ ดอกบั ว และ
บรรดาสัตว์วิเศษที่เหมือนมีชีวิตในโจ๊กอย่างอัศจรรย์ใจ “ชีวิตนี้
ฉันเคยกินโจ๊กล่าปามาหลายวัด แต่ นี่เป็นที่แรกเลยที่เห็นการ
ทำอาหารที่ดูยุ่งยากแบบนี้! เจ้าอาวาส แค่ดูจากกลิ่นแล้วก็ฝีมือ
แกะสลักก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว!”
ภรรยาของหวังโย่วกุ้ยก็ชื่นชมสุด ๆ “ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่าเธอ
เก่ ง ขนาดนี ้น ะ มี ค วามสามารถเช่ น นี ้แต่ กลั บมาเป็ นพระ น่ า
เสียดายจริง ๆ ถ้าลงไปเปิดร้านอาหาร คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
รวยไปแล้ว”
หวังโย่วกุ้ยมองไปที่ภรรยาตัวเอง “พูดอะไรไร้สาระน่า”
ภรรยาของเขาพลันหน้าแดง แล้วไม่พูดอะไรต่อ
ฟางเจิ้งพนมมือ หัวเราะออกมา “ไม่เป็นไร”
พอภรรยาของหวังโย่วกุ้ยเห็นแบบนี้ เธอก็จ้องสามีกลับแล้วพูด
“ดูเขาสิ แล้วดูตัวเอง ดูว่าตัวเองหน้าไม่อายขนาดไหน! ปะ ไปกิน
โจ๊กได้แล้ว โจ๊กหอมมากเลยนะเนี่ย”
หวังโย่วกุ้ยโดนภรรยาค่อย ๆ ผลักออกไป ส่วนเถียนหย่งที่ทนไม่
ไหวแล้ว ก็รีบเร่งส่งชามให้ฟางเจิ้งทันที “ฟางเจิ้ง ขอให้ฉัน
ด่วนๆ ชามหนึ่ง!”
ฟางเจิ้งยิ้ม ก่อนจะตักให้เขาจนเต็ม เถียนหย่งรีบก้มลงชิมทันที
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นสวาปามลงกระเพาะ เห็นภาพตัวเอง
ประดุจหมาป่าตะกุยตะกายกินอาหาร จนชามเกลี้ยงเกลา!
ตึ้ง! เขารีบวางชามใหญ่ของตนเองลง ก่อนจะรู้สึกว่าร่างกาย
ตนเองอุ่นวาบ เป็นความรู้สึกอันปิติยิ่ง ในปากอบอวลไปด้วย
กลิ่นหอม รสชาติก็แสนโอชา!
เถียนหย่งรีบพูดทันที “ขออีกชาม!”
แต่ว่าฟางเจิ้งกลับส่ายศีรษะ “หนึ่งคนหนึ่งชาม ประสก นี่เป็น
กฎ”
“มีกฎอย่างนี้จริง ๆ เหรอ?” เถียนหย่งผงะ ตอนแรกเขาคิดว่า
หวังโย่วกุ้ยแค่ล้อเล่น แต่ไม่คิดว่าอาหารที่มีจะจำกัดการให้จริง ๆ
ทว่าเถียนหย่งยังไม่ยอมแพ้ เขารีบเข้ามาโอบฟางเจิ้งทันที “ฟาง
เจิ้ง เธอไม่พูดก่อนหน้านี้นี่นา อีกอย่างเราก็โตมาในหมู่บ้าน
เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เธอยังเคยมากินอาหารที่บ้านฉันอยู่เลยนี่
ขออีกชามไม่ได้เหรอ?”
“อามิตตาพุทธ ประสก นี่เป็นกฎ ย่อมไม่อาจละเมิด หนึ่งชามต่อ
คน ไม่น้อยไม่มากไปกว่านี้” ฟางเจิ้งยังคงยืนกรานส่ายศีรษะ
เถียนหย่งหน้าหม่นหมองไปถนัดตา “ฟางเจิ้ง เธอโหดร้ายมาก”
“เถียนหย่ง คุณมาเอาโจ๊กให้คุณพ่อไม่ใช่เหรอไง ทำไมถึงกินหมด
เองแล้วล่ะ?” ภรรยาของเถียนหย่งมาถึงก็ถามแกมตำหนิ
ทันใดนั้นเถียนหย่งก็นึกได้ว่าที่มานั้น ไม่ได้มาเพราะเรื่องตนเอง
เขาจึงพูด “อีกชามฉันไม่ ได้กิน แต่เป็นของพ่อฉัน แบบนี้ได้ใช่
ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วตักโจ๊กให้ เถียนหย่งดูบรรดาผลไม้ในชาม
พลางเลียริมฝีปากไปมา อยากกินจริง ๆ เลยเว้ย! แต่ว่าเถียนจู่กั๋ว
กำลังรออยู่ ถ้าเกิดเขาได้กิน แต่คุณพ่อไม่ได้ขึ้นมาล่ะก็...มีหวัง
เจอปังตอแน่นอน!
เถียนหย่งหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะอั้นไว้ ไม่ดม ไม่มอง ทีนี้ก็น่าจะ
ทนไหว......ใช่ไหม?
เถียนหย่งส่งชามไปให้ภรรยาของเขา พอหลิวหยวนรับไป เธอก็
เป่าลงไป เนื่องด้วยกลัวจะลวกเถียนจู่กั๋วเข้า พอเถีย นหย่งเห็น
แบบนี้ ก็แทบหยุดหายใจไปเลย ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
กลิ่นหอมก็ตีตลบเข้ามาในโพรงจมูกจนได้!
เถียนหย่งกลืนน้ำลายลงคอดังอึ๊ก แล้วหันหน้าหนีเดินไปอีกทาง
ทันที ทนดูไม่ไหวแล้ว! ขืนดูต่อไป มีหวังน้ำตาแตกแหง!
ตอนที่ 109 : สรงน้ำพระ
พอหลิวหยวนเป่าโจ๊กเสร็จ เธอพลันได้กลิ่นหอมฉุยของโจ๊กล่าปา
พอก้มหน้าลงไปเห็นเป็นเม็ดบัวอันสวยงาม กับบรรดาพุทธะและ
เหล่าอรหันต์ ดวงตาเธอพลันเต็มไปด้วยความตะลึงพรืด! ตั้งแต่
เกิดมายังไม่เคยเห็นโจ๊กที่วิจิตรงดงามขนาดนี้มาก่อนเลย! แถม
กลิ่นหอมนั่นก็ทำท้องเธอร้องโครกครากยกใหญ่ ถ้าเธอชิมสักคำ
จะเป็นอะไรไหมนะ?
ตอนนั้นเองเถียนจู่กั๋วก็หัวเราะลั่น “นี่ เลิกมองได้แล้ว กินเข้าไป
เถอะ พวกเราเอาชามมาเยอะแยะ อย่ามัวแต่ดูน่า ไม่คิดเลยว่า
เจ้าเด็กฟางเจิ้งจะมีความสามารถมากขนาดนี้ ฮี่ฮี่ฮี่”
พอหลิวหยวนได้ฟังคำก็หน้าขึ้นสี ถึงเธอจะอยากกินก็จริง แต่เธอ
ยังมียางอายอยู่ เธอรีบส่งชามให้เถียนจู่กั๋ว ก่อนจะวิ่งไปเอาโจ๊ก
ล่าปาด้วยอีกชาม
ตอนนั้นเองคนที่เหลือพากันขึ้นมาถึงได้โดยสวัสดิภาพ พอทุกคน
ได้กลิ่นอันหอมกำจายนั้น กระเพาะต่างไม่รีรอร้องร่ำคร่ำครวญ
พวกเขารีบไปขอโจ๊กล่าปาทันที พอกลื นลงไป เสียงสรรเสริญก็
ดังออกมาให้ได้ยินไม่หยุดปาก บ้างมีเสียงด่าทอด้วยเมื่อได้ยินคำ
ว่า หนึ่งคนหนึ่งชาม
และมีหลายคนที่กำลังรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งอยู่ด้วย
“ไอหยา ถ้ารู้แบบนี้น่าจะกินช้า ๆ หน่อย ดีจริง ๆ ตอนนี้กินเสร็จ
ก็ได้แต่นั่งดมกลิ่น!” เจ้าลูกหมาซ่ งบ่น เขาวางแผนชั่วร้ายไว้ กะ
จะรีบกินชามแรกให้หมด แล้วไปขอชามใหม่ด้วยความคิดที่ว่า
‘กินเยอะหน่อย ไม่เสียหลาย!’
ยามเขากินเสร็จ หลายคนรอบ ๆ ยังไม่ได้เริ่ม ตอนนี้เลยมีแต่
กลิ ่ น หอมลอยตลบอบอวล ทำเอากระเพาะเขาหิ ว โหยหนั ก
กว่าเดิม เขาได้แต่กลืนน้ำลายอยู่อย่างนั้น ส่วนการหันหน้า
หนีน่ะเหรอ? ทั่วทุกบริเวณล้วนมีคนกำลังสวาปามโจ๊กล่าปาอยู่
หันไปทางนู้นก็เจอ หันไปทางนี้ก็เจอ เขาเลยได้แต่เงยหน้ามอง
ฟ้า แต่ยังคงมีกลิ่นลอยเข้าจมูกมาอยู่ดี......
“ทำไมเหมือนพาตัวเองมาทรมาณเลยวะเนี่ย ?” เถียนหย่งเดิน
มาข้าง ๆ เจ้าลูกหมาซ่ง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เจ้าลูกหมาซ่งพูด “อย่ามาคุยกับฉั น กำลังกลั้นลมหายใจอยู่
เฟ้ย!”
เถียนหย่ง “#@¥#……”
ขณะเดียวกันอีกฝั่งหนึ่งก็กำลังมีคนสีหน้ามืดครึ้ม
“เถียนหมิง ไหนนายบอกว่าบนเขานี้ไม่มีอะไรดี ๆ ไง? เมื่อเช้า
นายเป็นคนบอกว่าให้กินเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องหาอะไรกินบนเขา
ไม่ใช่เหรอ? ไหนล่ะชาม? ไหนล่ะชามสำหรับครอบครัวเรา?” เห
ลียงอวี่มองเถียนหมิงตาขวาง
เถียนหมิงที่เพิ่งพูดโม้ใส่หม่าหยวนก่อนหน้านี้พลันละอายใจ
“โจ๊กล่าปา......คือ ใครจะไปรู้ล่ะว่าวัดเล็ก ๆ แบบนี้ จะทำโจ๊กออ
มาได้หอมขนาดนี้ แต่ว่านะ อาจจะกลิ่นหอมแต่ไม่อร่อยก็ได้”
“เถียนหมิง นายโง่หรือเปล่า! ได้ นายบอกว่าไม่อร่อยใช่ไหม? งั้น
รอดูอยู่ตรงนี้นี่แหละ!” พูดจบเหลียงอวี่ก็เดินจ้ำ ๆ จากไป ไม่
นาน เธอก็ยืมชามจากครอบครัวของหม่า หยวน แล้วไปขอโจ๊ก
จากนั้นถึงกลับมาหาเถียนหมิง เธอเป่าดับร้อนพลางสูดกลิ่นอัน
หอมหวานไปด้วย เธอเอาตะเกี ยบคีบถั่วเขียวเม็ดงามดุจมรกต
ขึ้นมา ก่อนจะอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ “สวยสุด ๆ ไปเลย!
เถียนหมิง นายดูสิ มีรูปพระพุทธองค์สลักไว้ด้วยแน่ะ ดูสิว่าสลัก
สวยแค่ไหน”
เถียนหมิงเหลือบมองชามของเหลียงอวี่ แต่พอกวาดตาไปเห็น
เม็ดบัว เขาก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันที เขากลั้ นหายใจก่อน
หัวเราะหึหึ “อาจจะกลิ่นหอม รูปสวย แต่ไม่อร่อยแน่นอน”
โครกคราก!
“ไม่อร่อย? หืม? เหอ ๆ ดูสิ กระเพาะใครนะกำลังร้อง” เหลี
ยงอวี่สัพยอก
เถียนหมิงหันหน้าหนี คิดเสียว่าเสียงของเหลียงอวี่เป็นเสียงนก
เสียงกา ไม่สนใจแม้แต่น้อย
เหลียงอวี่รีบย้ายชามตาม ก่อนจะโบกเม็ดบัวให้เถียนหมิงดู “ไม่
กินจริง ๆ เหรอ? ไม่กินจริง ๆ แน่นะ? ได้ งั้นฉันกินเอง!”
พูดจบปุ๊บ เหลียงอวี่ก็เอาเข้าปากปั๊บ เม็ดบัวนี้ไม่ใช่เม็ดบัวธรรม
แต่มาจากดอกบัวที่ปลูก ณ ตีนเขาหลิงซาน รสชาติแฝงด้วยกลิ่น
หอมและความสดชื่น ยามกัดลงคำหนึ่ง ก็จะบังเกิดเสีย งดังเปาะ
กำจายรสชาติออกมายั งลิ้น ช่างเป็นรสสัมผัสอัน เลิศล้ำจนเธอ
ต้องหลับตาแล้วอุทานเคลิ้ม ๆ “เถียนหมิง สาบานเลย ว่านี่คือ
เม็ดบัวที่อร่อยที่สุดในชีวิต! และก็ต้องขอบคุณนายมากจริง ๆ!”
“ขอบคุณฉันทำไม?” เถียนหมิงรู้สึกสับสน ภรรยาเขาคลั่งไป
แล้วเหรอ? แต่พอเห็นสีหน้าอันสุขสมของเหลียงอวี่แล้ว เขาก็อด
กลืนน้ำลายตามไม่ ได้ ปัญหาคือเขาโม้ไว้เยอะเกิน เขาจะย้อน
คำพูดตัวเองได้ยังไง? เถียนหมิงยังคงไม่ยอมเสียเกียรติ ไม่ยอม
กินอย่างดื้อดึงอยู่อย่างนั้น
เหลียงอวี่ไม่คิดจะอธิบายอะไร ก็ตักโจ๊กเข้าปากต่อทันที รสชาติ
ของวัตถุดิบทั้งสิบแปดคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เกิดเป็นรสสัมผัสอัน
โอชามากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าเม็ดบัวเพียงเม็ดเดียว ทั้งกลิ่นอันรัญจวน
ทั้งรสอันหวานล้ำ ทำให้เธอหยุดไม่อยู่ เหลียงอวี่ผู้แต่เดิมรักษา
มารยาทบนโต๊ ะ อาหารอย่ า งดี เ ยี ่ ย ม ได้ สลั ด ภาพลั ก ษณ์ ข อง
ตนเองสิ้น แล้วสวาปามอย่างมูมมาม!
ทันใดนั้นเธอก็เลียริมฝีปากและเป่าลมใส่หน้าเถียนหมิง เธอ
หัวเราะใส่แล้วพูด “ฮี่ฮี่ สุดยอด! นั่งนิ่งไปเลยนะ!”
พูดจบเหลียงอวี่ก็จากไป
เธอทิ้งเถียนหมิงไว้ข้างหลัง เขาได้แต่เอามือถูท้องตัวเองป้อย ๆ
พอจินตนาการรสชาติของโจ๊กล่าปาแล้ว ทำเอาน้ำลายสอท่วม
ปากไปหมด
ตอนนั้นเอง เหลียงอวี่ได้เดินกลับมาพร้อมกับอีกชาม เธอนั่ งลง
ข้าง ๆ เถียนหมิงแล้วหัวเราะ “เถียนหมิง นายดูสิ นี่อะไรเอ่ย ?
ถั่วเขียวไง! สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายเลยน๊า ~~ สวยสุด
ๆ!”
“เป็นถั่วตัดต่อพันธุกรรมแน่ ๆ” เถียนหมิงโดนเหลียงอวี่สัพยอก
จนจะหิวตายอยู่แล้ว แถมเขายังเห็นท่าท่างของพวกชาวบ้านที่
สรรเสริญโจ๊กล่าปาเสียยกใหญ่ คำเรียกร้องขอชามที่สองท่วมท้น
ใส่ฟางเจิ้ง! ฉากพวกนี้ย่อมไม่ใช่การสร้างภาพแน่นอน ขนาดคน
โง่ยังรู้เลยว่าโจ๊กล่าปาต้องอร่อย! ....อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็น
อะไรแบบนี้ที่วัดป๋ายอวิ๋น
แต่ว่าศักดิ์ศรีของข้ า! ศักดิ์ศรีของข้า! เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรี
เถียนหมิงต้องทน!
ทว่าเหลียงอวี่รู้จักเถียนหมิงดีเกินไป เธอขยับมาข้าง ๆ เขาแล้ว
หัวเราะหึหึ “ตัดต่อพันธุกรรม? จะบอกอะไรให้นะ คุณ พ่อกับ
คุณแม่บอกว่าฟางเจิ้งไม่เคยลงเขามาก่อน อาหารบนนี้ก็เป็นพวก
ชาวบ้านนำมาให้ทั้งนั้น แถมพื้นที่ทำไร่บนนี้ก็เล็ กนิดเดียว ถ้า
พูดถึงพวกพืชผักตัดต่อพันธุกรรมล่ะก็ ก็ต้องเป็นพวกที่ขายไปทั่ว
ประเทศนั่นแหละ แต่ไม่ใช่ที่นี่แน่นอน อีกอย่างนะ นี่มันอร่อย
จริง ๆ! ถ้าตัดต่อพันธุกรรมแล้วอร่อยขนาดนี้ได้ ฉันยอมกิน—”
“โอเค! อยากกินอะไรก็กินไป เลิกพล่ามใส่หูฉันได้ไหม?” เถียนห
มิงฉุนเฉียวนิดหน่อย
เหลียงอวี่ไม่กลัวแม้แต่น้อย คะยั้นคะยอเขาต่อ เธอคีบพุทรา
ขึ้นมาโบกตรงหน้าเถียนหมิง “ดมดูสิ กลิ่นดีใช่ไหมล่ะ?”
เถียงหมิงได้กลิ่นหอมตลบขึ้นมาในจมูก ทันใดนั้นกระเพาะของ
เขาก็ร้องโครกคราก ดวงตาของเขาแดงฉาน กัดฟันแน่นแล้วพูด
“เหลียงอวี่ เธอกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ!”
“อิอิ อยากกัดฉันก็เอาเลย!” เหลียงอวี่แหย่
“คุณพ่อทางนี้!” จู่ ๆ เถียนหมิงก็ตะโกน
พอเหลียงอวี่หันไปดู เธอพลันรู้สึ กว่ามือตัวเองเบาวูบ พอหันไป
ก็เห็นเถียนหมิงลุกขึ้นแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “น่า
เบื่อจริง ๆ ฉันไปหาอย่างอื่นดูนะ”
เหลียงอวี่สังเกตว่าพุทราของเธอหายไปแล้ว เลยรีบล้อทันทีว่า
“รักศักดิ์ศรีมากจนเป็นทุกข์ ก่อนหน้านี้ก็โม้เรื่องวัดป๋ายอวิ๋นไว้
มาก ตอนนี้ พอจะกินโจ๊กล่าปาของที่นี่เลยรู้สึกเสียหน้างั้นสิ ?
เถียนหมิงปล่อยวางเรื่องศักดิ์ศรีกับเงินเถอะ นี่ เป็นบ้านเกิดเมือง
นอนนายนะ มีคนที่คอยดูนายตอบโตขึ้นมาอยู่นะ สวมหน้ากาก
ไปก็เท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไม่ดีกว่าเหรอ?”
ร่างของเถียนหมิงสั่นเล็กน้อย เขาโบกมือตัดบทไป “ฉันเป็น
อย่างนี้ไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ฉันจะดูตัววัดหน่อย”
พูดจบเถียนหมิงก็เดินเข้าวัดไป แล้วเขาก็เห็นถาดวางไว้บนโต๊ะ มี
พระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยดอกบัว มีชาวบ้านที่กิน
โจ๊กล่าปาเสร็จแล้วมาตักน้ำสรงลงบนพระพุทธรูปเป็นพัก ๆ
สิ ่ ง ที ่ น ่ า ประหลาดใจสำหรั บ เถี ย งหมิ ง คื อ ไม่ ว ่ า ข้ า งนอกจะ
โหวกเหวกแค่ไหน แต่คนที่คิดจะมาสรงน้ำพระนั้น ทันทีที่เดิน
เข้ามาภายในวัด เพียงพริบตาท่ าทีพลันแปรเปลี ่ยนเป็ น สงบ
เสงี่ยม สีหน้าทั้งสงบทั้งเคร่งขรึม ดวงตาฉายแววบรรลุสัจธรรม
บางสิ่ง หรืออย่างน้อยสิ่งที่สงสัยอยู่ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ใบหน้า
แต่ละคนปรากฏเพียงความผ่อนคลายผ่องใสอิ่มเอิบใจ
ตอนที่ 110 : ภารกิจธูปร้อยดอกเสร็จสิ้น
“แปลกแฮะ ตอนที่ไปวัดป๋ายอวิ๋น คนที่มาวัดยังไม่เป็นแบบนี้เลย
หรือวัดนิ้วเดียวกลายเป็นรังปีศาจไปแล้วหว่า ?” เถียนหมิงลอบ
พึมพำกับตัวเอง ขณะที่เดินไปตักน้ำปรุงหอม ฉับพลันก็มีกลิ่น
หอมสดชื่นตลบขึ้นมา ทำให้จิตใจปลอดโปร่งยิ่ง
‘กลิ่นสุดยอดเลย ทำเอาสดชื่น เลยแฮะ เดี๋ยวคงต้องขอฟางเจิ้ ง
เอากลั บ บ้ า นบ้ า งแล้ ว แหละ’ ยามคิ ด เขาก็ ส รงน้ ำ ปรุ ง ใส่
พระพุทธรูปไปด้วย ตอนนั้นเอง!
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว! “นะโม อมิตตาพุทธ!” เสียงพุทธ
องค์ดังกึกก้องในหู ทำเอาดวงจิตสั่นไหว ประดุจสดับเสียงแว่ว
อสุ น ี บ าต! จากนั ้ น ก็ ม ี ภ าพความทรงจำในอดี ต ฉายแล่ น ใน
นัยน์ตา เขาเห็นภาพยามโดนกลั่นแกล้งเพราะตัวเองยากจน เขา
เห็นภาพมารดาตัวเองอ้อนวอนขอจ่ายเงินค่าเทอมทีหลัง เขาเห็น
ภาพยามตัวเองกินหมั่นโถวตอนอ่านหนังสือจนดึกที่มหาวิทยาลัย
เห็นภาพยามตนเองลุยฝนไปส่งเอกสารให้ลูกค้า......ภาพเหล่านั้น
ล้วนฉายชัด ก่อนจะสลายตามเสียงองค์พุทธะที่มลายหายไปตาม
สายลม!
สิ่งที่เขากลบซ่อนเอาไว้ในจิตใจชั้นแล้วชั้นเล่าล้วนถูกขุดคุ้ย
ออกมา!
เขาเห็นตัวเองตอนเด็ก พ่อของเขาถือไม้ฟาดใส่ ปากก็สั่งสอนไป
ด้วย “เกิดเป็นมนุษย์ เท้าต้องติดดิน[1] ริอาจไปขโมยของได้
ยังไง? ไปขโมยเงินคนอื่นแล้วจะกล้าพูดว่าตัวเองมีจิตสำนึกอยู่อีก
เหรอ? ถึงพวกเราจะจน แต่จิตใจต้องไม่จน!”
เถียนหมิงเห็นภาพครูของตัวเองนำเงินส่วนตัวมาจ่ายค่าเทอมให้
เขา “ฉันจะไม่ให้ครอบครัวเธอจ่ายหรอก ฉันอยากให้เธอตั้งใจ
เรียนก็พอ”
เขาเห็นภาพตัวเองได้รับผ้าขนหนูมาเช็ดหัว รวมไปถึงน้ำอุ่น ๆ
หลังจากรีบเร่งไปที่บ้านลูกค้า
เขาเห็นภาพภรรยาตนเองช่วยล้างเท้าและเช็ดตัวให้หลังจาก
กลับมาบ้าน
เขาเห็นภาพตัวเองกลับมาบ้านเกิดแล้วเห็นบิดามารดามีผมสี
ดอกเลา!
และ...คำสอนสุดท้ายที่ครูของเขาบอกก่อนจะจากไปเพราะโรค
ชรา “เจ้าหนู เงินตราไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด คนต่างหากจึงจะ
สำคัญ ดังนั้นชีวิตคนเรา จึงไม่ควรเอาเงินมาเป็นภาระ......”
ฟุบ!
เถียนหมิงคุกเข่าลงตรงประตูวัด ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา!
พอเหลียงอวี่เห็นแบบนี้ก็ตกใจกลัว รีบถลาเข้าไปกอดเขาไว้ “ที่
รัก ที่รัก เกิดอะไรขึ้น!? อย่าทำให้ฉันกลัวสิ ฉันผิดเอง จะไม่ทำ
แบบนั้นอีกแล้ว!”
พวกชาวบ้านต่างชะงักไปนิดหน่อย พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไร
ขึ้นกันแน่
ส่วนฟางเจิ้งที่เห็นเป็นแบบนี้ คลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามา
เขาพนมมือขณะที่พูดด้วยเสียงดังก้อง “อามิตตาพุทธ ประสกได้
สำนึกความผิดพลาดของตนเอง และหวนกลับเข้าหาหนทางที่
ถูกต้องแล้วจริง ๆ”
เสียงฟางเจิ้งดุจทะลุทะลวงเข้ากลางใจ
เสียงดังสนั่น ปลุกให้เถียนหมิงตื่นจากภวังค์!
พ่อกับแม่ของเถียนหมิงต่างรีบรุดมาหา ก่อนที่พวกเขาจะได้พูด
อะไร เถียนหมิงก็ผละออกจากเหลียงอวี่ มาคุกเข่าคำนับเบื้อง
หน้าบิดามารดาตนสามครั้งทันที “พ่อ แม่ ผมผิดไปแล้ว! ต่อไป
ไม่ว่าผมจะยุ่งแค่ไหน ก็ จะกลับมาเยี่ยมพวกท่านทุกปี ให้ได้! เงิน
ไม่ใช่ทุกอย่างอีกต่อไปแล้ว!!!”
จากนั้นเถียนหมิงก็กุมมือเหลียงอวี่ไว้แน่น “เสียวอวี่ ฉันผิดเอง!”
พอเหลียงอวี่ฟังคำพูดจบ เธอก็สะอึกสะอื้นโผเข้ากอดเถียนหมิง
แน่น “ฉันก็ผิดเหมือนกันแหละ!”
พอเถียนจู่กั๋วเห็นแบบนี้ ก็สับสนงุนงงสุด ๆ เขารีบเข้ามาถามฟาง
เจิ้ง “เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “สรงน้ำพระ มิใช่เรื่องเกี่ยวกับการสรงน้ำพระพุทธ
องค์เท่านั้น สรงน้ำองค์พุทธะฉันใด ย่อมสรงน้ำใส่ตัวเองฉันนั้น
เป็นสรงน้ำพระเพื่อชำระจิตใจตนเอง ดูเหมือนโยมท่านนี้จะรับรู้
ได้ถึงอะไรบางอย่าง ผลจึงเป็นเช่นนั้นแล”
เถียนจู่กั๋วมองฟางเจิ้งอย่างประหลาดใจ “จะ จะ......จริงเหรอ?”
เถียนหมิง “คุณปู่ จริงครับ ตอนที่ผมตักน้ำปรุงใส่พระพุทธรูป
กลิ่นหอมก็ลอยอบอวลท่วมท้นในจิตใจ ทำให้ผมนึกได้ว่าเรื่องที่
ทำเมื่อก่อนมันช่างเป็นบาปจริง ๆ ฟาง.....ท่านเจ้าอาวาส วัดท่าน
เจ๋งมาก! เยี่ยมกว่าวัดไหน ๆ ที่เคยไปมาเลย ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มา
ก่อน ผมขอเคารพจากใจจริงครับ!”
เถียนหมิงกุมมือเหลียงอวี่พลางหันมาชักชวน “ไปกันเถอะเสีย
วอวี่ ไปไหว้พระกัน”
เหลี ย งอวี ่ ต ะลึ ง “ไหว้ พ ระ? แต่ ข ้ า งในมี แ ต่ พ ระแม่ ก วนอิ ม
ประทานบุตรนะ นายไม่อยากมีลู—”
“ใครบอกกันว่าฉันไม่อยากมีลูก ? ฉันอยากมีหนึ่งคน! ไม่สิ สอง
คนเลย!” เถียนหมิงโพล่ง
“นะ...แน่นะ?” เหลี่ยงอวี่เอามือปิดปาก ถามอย่างตื่นเต้น
เถียนหมิงยิ้มกระอักกระอ่วน “ก่อนหน้านี้ฉันบ้างานเกินไป คิด
แต่ว่ามีลูกแล้วจะเป็นภาระ แค่เวลาจะพัก ผ่อนยังไม่มี ฉันจะไป
อยากมีลูกได้ไงเล่า? แต่ตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้วว่าชีวิตมนุษย์นั้น
ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อหมกหมุ่นของนอกกายอะไรพวกนั้น เพื่อเธอ
เพื่อพ่อกับแม่ แล้วก็เพื่อวงศ์ตระกูล อย่างน้อยบุรุษชาติก็ควร
เสียสละอะไรสักหน่อย”
พูดจบ เถียนหมิงก็พยายามดึงเหลียงอวี่ไป แต่ว่าเหลียงอวี่กลับ
ผละออกจากเถียนหมิงก่อน จากนั้นก็ไปพนมมือไว้พระพุทธรูป
ตรงประตูวัดเองทันที เสร็จแล้วก็โค้งเคารพ ตามด้วยสรงน้ำพระ
หลังจากสรงน้ำพระเสร็จสรรพ เหลียงอวี่สัมผัสได้ว่าหลายปมใน
ใจถูกคลี่คลาย สายตาของเธอที่มองเถียนหมิงพลันเปี่ยมไปด้วย
ความรักมากใคร่ยิ่งขึ้ น ทั้งคู่เดิ นกุมมืออย่า งแช่มชื่นเข้าวัดไป
ด้วยกัน
พอพวกชาวบ้านเห็นเป็นแบบนั้น ก็ตะโกนโหวกเหวกทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าเด็กเสี่ยวหมิงก็คิดได้แล้วเว้ย เหล่าเถียน เหมือน
นายจะโชคดีแล้วนะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ใบหน้าของพ่อเถียนหมิงอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความ
ยินดี เขาเฝ้ารอวันนี้มานานจริ ง ๆ ในที่สุดบุตรชายของเขาก็
เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง สำคัญสุดคือเขาจะมีหลานให้อุ้มแล้ว!!!
【ท่านคิดมากไปแล้วตักโจ๊กล่าปาต่อไปแล้วเลิกคิดเพ้อเจ้อ】
ฟางเจิ้งส่ายหัว ก่อนหันไปตักโจ๊กล่าปาให้คนที่มาขอต่อ หนึ่งคน
หนึ่งชาม เป็นสัดส่วนที่ดียิ่ง
ส่วนหวังโย่วกุ้ยที่อยู่อีกด้านหนึ่งนั้น กำลังเจอปัญหาใหญ่ ทุกคน
ต่างคิดว่าวันนี้เป็นเช่นวันธรรมดา ๆ เลยไม่ได้เอาอะไรดี ๆ ขึ้น
เขามา และส่วนใหญ่ก็เอาแต่ถ้วยชามเล็ก ๆ มากันทั้ง นั้น ถ้า
ไม่ได้กินโจ๊กเข้าไปคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอกินปุ๊ บ ก็อับจน
หนทางกันสุด ๆ!—ฟางเจิ้งไม่ให้ชามที่สอง!
ดังนั้นในฐานะเจ้าของอ่าง เขาเลยกลายเป็นผู้ถูกแบ่งข้าวทันที
กลุ่มคนมาประจบประแจงกันยกใหญ่ บ้างขอแลกเปลี่ยนบุหรี่กับ
โจ๊กในอ่าง
ทว่าหวังโย่วกุ้ยกลับรักษาอ่างนั้นเท่าชีวิต ตอบปัดทุกคนไปหมด
ทำเอาทุกคนบ่นกันระงม
หลังจากนั้นสักพักทางเถียนหมิงกับเหลียงอวี่ เธอก็นำโจ๊กที่
เหลืองครึ่งชามให้เถียนหมิง “เอาไหม?”
“อืม!” เถียนหมิงยิ้มรับ ก่อนจะตักเข้าปาก จากนั้นก็ชมรสชาติ
เสียยกใหญ่ ถึงกับยกชามกินจนหมดในคำเดียว เขากล่า วชื่นชม
ไม่หยุด น่าเสียดาย ถึงอยากจะกินอีก ก็คงไปขอเพิ่มไม่ได้แล้ว
ฟางเจิ้งมีแผนจะนำสวดมนต์ แต่พอคิดถึงทักษะตัวเองแล้ว ก็ได้
แต่ล้มเลิกความคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจัดพิธีสรงน้ำพระ จึงไม่ได้
เตรียมอะไรไว้เลย คงต้องปล่อยไว้เป็นคราวหน้า
ทุกคนต่างมาหาเรื่องสนุก ๆ ทำ หลังจากกินโจ๊กล่าปา ร่างกาย
พลันอบอุ่นกันถ้วนหน้า จึงพากันเข้ าไปจุดธูปไหว้พระ แม้ไม่มี
ความคิดจะขอบุตรก็ตามที และถึงส่วนใหญ่ที่ถูกจุดจะเป็นธูป
ธรรมดา แต่ฟางเจิ้งยินดีได้ไม่ต่างกัน!
เพราะว่า......
【เป็นเพียงปีใหม่ แต่อย่างไรพุทธะเข้าเมืองตาหลิ่วย่อมต้อง
หลิ่วตาตามวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่แล้ว】 ระบบตอบเหมือนมันก็
เป็นอย่างงี้แหละ
ฟางเจิ้งหัวเราะ คิดว่าตัวเองไม่เข้าใจระบบกว่าเดิมอีก ตอน
นั้นเองก็มีลำแสงพุ่งลงมาตรงหน้า เผยให้เห็นสิ่งของต่าง ๆ มี
หมึก มีพู่กัน และกระดาษสีแดงไว้เขียนกลอนคู่...จากนั้นก็ไม่มี
อะไรอีกเลยเว้ย!
“ระบบ นายอย่าตระหนี่เกินไปได้ปะ?” ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเลย
【พู่กันกับหมึกให้ยืมเฉย ๆ ใช้เสร็จแล้วคืนด้วย】ระบบตอบ
เหมือนเอามีดมาแทงอย่างไรอย่างนั้น!
ฟางเจิ้งแทบจะหลุดสบถ! ขี้งกเกินไปแล้วโว้ย! จะมีระบบไหนใน
โลกที่ขี้งกกว่าระบบนี้ไหมเนี่ย?! ดีนะเขายังมีหมึกกับพู่กันที่อู๋ฉาง
สี่ให้อีกชุด แต่ว่าเขาไม่มีกระดาษแดง ดังนั้นเลยไม่ได้เอาออกมา
ใช้สักเท่าไร
เอาเถอะ ถึงจะแค่ให้ยืม แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นของขวัญแหละนะ
ได้อะไรมาบ้างก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ได้ของขวัญวันปีใหม่มาทั้งที
ทำเอาฟางเจิ้งตื้นตันนิด ๆ แฮะ
พอใจกับของขวัญได้แล้ว ฟางเจิ้งก็เฝ้ารอปีใหม่อย่างใจจดใจจ่อ
ในใจกำลังคิดว่าสิ้นปีนี้ควรทำอะไรดีไปเรื่อย
อย่างแรกคือต้องเขียนกลอนคู่ ฟางเจิ้งจึงไปค้นหากลอนสวย ๆ
บนอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเจอกลอนคู่ค่อนข้ างดีบทหนึ่ง จากนั้นก็
ตวัดพู่กัน ใช้วิชาคัมภีร์ทัศนามังกรเขียนลงไป!
ฟางเจิ้ง “@#¥……”
ทั้งสี่คนกดแชร์รูปของฟางเจิ้ง ทำเอาคนที่มาเห็นตกตะลึงไปเลย
พอคนพวกนั้นเห็นว่าเป็นรูปเขานิ้วเดียว ก็รีบเปิดแผนที่ดูทันที
หลังจากเสิร์ชหาอย่างยากลำบากก็เจอในที่สุด แต่พอเห็นว่าอยู่
ไหนก็ได้แต่ยกธงขาว
ทว่าก็ถือเป็นการโฆษณาวัดนิ้วเดียวที่ไม่เลว
หลังจากฟางเจิ้งสนุกจนพอแล้ว ก็ออฟไลน์ ตัววัดก็ต้องพาดผ่าน
ปีใหม่เหมือนกัน แค่กลอนคู่กับโคมน้ำแข็งไม่เพียงพอหรอก
ฟางเจิ้งมาที่ห้องโถง เพื่อปีนไปจุดตะเกียงน้ำมันบนยอด ตะเกียง
นี้จะจุดในพิธีสำคัญเท่านั้น ปกติแล้วฟางเจิ้งไม่คิดจะจุดเด็ดขาด
เพราะตะเกียงน้ำมันนั้นราคาไม่ใช่น้อย ๆ!
จากนั้นฟางเจิ้งเดินไปที่ลานหลังวัด ก่อนจะหยิบตะเกียงดอกบัว
ทองเหลืองออกมา แล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะสวดมนต์ ใส่เทียนไข
แล้วจุดไฟ
เขาใช้เทียนไขแทนตะเกียงน้ำมันนั้นมีเหตุผลอยู่ หนึ่ง เป็นการ
ระลึกถึงการจุดไฟเผาตัวเองเพื่อส่งต่อดวงไฟให้ผู้อื่น ให้ผู้ปฏิบัติ
ตนรู้จักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และฝึกฝนตน ไม่ให้เสื่อมทราม
ลงไปในทางต่ ำ สอง โคมตะเกี ย งทำลายความมื ด ได้ ฉ ั น ใด
ปัญญาแห่งพุทธะโพธิสั ตว์ย่อมทำลายอาสวกิเลส[1] ได้ฉันนั้น
อีกทั้งผู้ปฏิบัติตนต้องรู้จักศึกษาพระธรรมให้ถึงแก่นแท้ และรู้จัก
ที่จะแผยแพร่ไปสู่สรรพชีวิตทั้งปวง
หลังจากฟางเจิ้งนั่งขัดสมาธิหน้าตะเกียงเรียบร้อยถึงค่อยเริ่มสวด
มนต์
ก่อนที่เขาจะสวดจนจบบท เสียงหอนของหมาป่าไร้ฝูงก็ดังมาจาก
ข้างนอก แต่ฟางเจิ้งไม่ได้สนใจ วัดทั้งเล็กทั้งจน จะไปมีโจรที่ไหน
ปีนเขาขึ้นมาปล้นกัน แถมถึงจะมีโจรมาจริง ก็ใช่ว่าจะผ่านด่าน
เจ้าหมาป่าได้
เจ้าหมาป่าอยู่ที่วัดนี้มานานแล้ว ได้กินข้าวจิงหมี่และดื่มน้ำทิพย์
ทุกวี่วัน ร่างกายย่อมพัฒนาขึ้นมากทีเดียว ถ้ากลับเข้าไปในป่า
คงไปประลองแล้วกลับขึ้นเป็นจ่าฝูงได้ง่าย ๆ แหง คนธรรมดาจะ
ไปสู้หมาป่าจ่าฝูงได้เช่นไร แถมยังฉลาดเสียขนาดนั้นด้วย
เจ้าหมาป่าก็ไม่ได้จะลงไม้ลงมือออกง่ายนัก ดังนั้นฟางเจิ้งจึงไม่
หนักใจอะไร สวดมนต์ต่อด้วยความสงบนิ่ง!
ฟางเจิ้งกำลังสบายใจ แต่มีคนกำลังไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด!
“เฉินจิน ที่นายพูดเป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?” อู้หมิงที่ได้ยินอีกฝ่าย
พูดแบบนั้นก็เกือบตะโกนแล้ว
“เป็นเรื่องจริงแน่นอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคนพวกนั้น แต่ว่าพวก
เขากำลังรวมกลุ่มขึ้นไปจุดธูปบริจาคเงินแรกของปี พระอาจารย์
อู้หมิง ท่าน......ท่านจะทำอย่างไรครับ ?” เฉินจินที่ไม่พอใจฟาง
เจิ้งเป็นทุนเดิม พอเห็นพวกชาวบ้านกำลังปีนเขาไปจุดธูปแรก
ของปี เลยยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก
อู้หมิงได้ยินแบบนั้นก็มีโทสะขึ้นมาทันที! เขาลืมเรื่องวัดหงเหยียน
ช่วงเทศกาลล่าปาได้ แต่ตอนนี้วัดนิ้วเดียวจะมีคนไปจุปธูปแรก
งั้นเหรอ? วัดนิ้วเดียวเป็นศัตรูกับวัดหงเหยียนอย่างแท้จริงแล้ว!
แต่อู้หมิงมีโทสะไปก็เท่านั้น เขาจะไปบังคับคนให้ไปไหนมาไหน
ได้ยังไง?
ฉับพลันเขาก็เกิดความคิดแวบขึ้นมา พระเยาว์วัย แบบนั้นจะ
ได้รับความเคารพนับถือจากคนอื่น ๆ ได้ยังไง? เรื่องพวกนี้มีกลิ่น
แปลก ๆ! ตั ้ ง แต่ ค วามล้ ม เหลวในเทศกาลล่ า ปา อู ้ ห มิ ง ก็ ยั ง
เจ็บปวดไม่รู้ลืม อีกทั้งพระอาจารย์หงเหยียนก็ไม่เรียกหาเขาเลย
ช่วงนี้ เขายิ่งต้องรีบสร้างผลงานให้มากยิ่งขึ้น!
ดั ง นั ้ น อู ้ ห มิ ง จึ ง ไม่ ไ ด้ พู ด อะไรอี ก ก็ ว ิ ่ ง ออกจากวั ด รี บ เร่ ง ขี่
จักรยานยนต์ไปที่เขานิ้วเดียว!
เฉินจินรอเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
อู้หมิงมาที่ด้านข้างแล้วถาม “เหตุการณ์ไปถึงไหนแล้ว?”
“พวกเขากำลังเริ่มขึ้นเขาแล้ว พวกเรายังตามทันอยู่” เฉินจิน
ตอบ
อู้หมิงพยักหน้า แล้วพากันรีบไล่ตามบรรดาชาวบ้านไป
หลังจากอู้หมิงไล่ตามพวกชาวบ้านจนทันแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เขา
แค่มองไปเรื่อย ๆ ด้วยท่าทางสำรวมกายใจ แต่ความจริงแล้ว
เขาไม่คิดจะให้ฟางเจิ้งมีปีใหม่ดี ๆ หรอก! ถ้าเขาไม่ได้ ฟางเจิ้งก็
ต้องไม่ได้!
อู ้ ห มิ งฝึ กร่ างกายเป็ นกิ จวัต รอยู ่ แล้ ว ดั ง นั ้ นการปี น เขาจึงไม่
ยากเย็นเท่าไร ส่วนชาวบ้านที่มีทั้งเด็กและคนแก่ ย่อมต้องขึ้นเขา
อย่างระมัดระวัง ความเร็วจึงไม่มากนัก ไม่นานอู้หมิงก็ไล่ตาม
พวกเขาทัน
“พระอู้หมิง ทำไมอยู่นี่ล่ะ ?” หยางผิงที่เดินรั้งท้ายถามอย่าง
ประหลาดใจ
อู้หมิงปาดเหงื่อพลางพนมมือ ร่ายพระพุทธมนต์ สีหน้าฉายแวว
รำพึงฟ้า เวทนาคน แล้วพูดอย่างนอบน้อมสำรวม “นมัสการ
ประสกหยาง ไม่เจอกันนาน”
“ไม่เจอกันนานจริง ๆ ด้วย พระอู้หมิง ทำไมถึงมาที่นี่ล่ ะ ?”
หยางผิงเป็นนักบัญชี ย่อมรู้จักความเป็นไปของโลก แค่เห็นอู้หมิง
กับเฉินจินมาด้วยกันก็คาดเดาได้เลยว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว
ต้องมีเรื่องแน่นอน! จึงรีบเร่งเสาะถามเจตนารมณ์ของอู้หมิง
อู้หมิงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูด “ไม่มีอะไรมากหรอก อาตมา
ได้ยินข่าวเกี่ยวกับวัดนิ้วเดียวมามาก เมื่อก่อนพระอาจารย์อีจื่อ
กับพระอาจารย์ของอาตมาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อาตมา
จึงคิดมาเยี่ยมชม” ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่ ในใจกลับไม่พอใจ
สุด ๆ เมื่อก่อนหยางผิงเรียกเขาว่า ‘พระอาจารย์อู้ หมิง’! แต่มา
วันนี้กลับเรียกเขาเป็นแค่ ‘พระ’! ทำเอารู้สึกตกต่ำจนไม่พอใจ
อย่างยิ่ง!
ถึงแม้อู้หมิงจะรู้ว่าคำเรียก ‘พระอาจารย์’ ใช่ว่าจะเหมาะกับทุก
คน แต่เขาเป็นคนถือดี ย่อมอยากให้คนโง่เขลาพวกนี้เรี ยกตนว่า
พระอาจารย์
“เป็นอย่างนั้นนี่เอง พระอู้หมิง หัวหน้าหมู่ บ้านนำอยู่ข้างหน้า
แน่ะ ให้พาไปหาเขาไหม?”
อู้หมิงพยักหน้า “ได้ ขอบคุณประสกมาก”
หยางผิงบอกให้ครอบครัวตัวเองเดินช้าลง ก่อนจะนำอู้หมิงไป
ข้างหน้า ส่วนเฉินจินคอยตามมาอย่างเงียบ ๆ
“พระอู้หมิง ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” หวังโย่วกุ้ยเห็นอู้หมิงก็ขมวด
คิ้วทันที อู้หมิงนั้นแปลกประหลาดมาก พระอาจารย์หงเหยียน
กับพระรูปอื่นมักไม่ออกจากวัด ทว่ามีเพียงอู้หมิงที่มักจะออก
จากวัดมาพบหัวหน้าหมู่บ้านกับเลขานุการหมู่บ้านต่าง ๆ อยู่
บ่อย ๆ ทุกครั้งที่วัดจะจัดพิธีอะไร ก็จะรีบเร่ งมาแจ้งทันที แถม
มักจะหาหนทางชักชวนคนไปวัดให้เข้าร่วมงานได้เสมอ!
สำหรั บ หวั ง โย่ ว กุ ้ ย แล้ ว อู ้ ห มิ ง ไม่ เ หมาะกั บ การเป็ น พระเลย
สมควรไปเป็นนักธุรกิจต่างหาก! แต่เรื่องพวกนี้เขาก็ไม่ได้เล่าให้
ใครฟัง เพราะอย่างไรเสีย อู้หมิงก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย ช่วย
โฆษณาวัดตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดเสียหน่อย
“ประสกหวัง ดึกขนาดนี้จะไปไหนกันหรือ?” อู้หมิงไม่ตอบ แต่
ถามกลับไป ถึงแม้ตัวเองจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
“นี่จะปีใหม่แล้ว ทุกคนเลยพยายามแสวงหาโชคจากธูปดอกแรก
กันน่ะ พวกเขาหวังว่าปีหน้าจะมีแต่เรื่องดี ๆ เลยขึ้นมาด้วย
หมด” หวังโย่วกุ้ยอธิบาย
“นั่นสินะ แต่ว่าทางบนเขาสูงชันขรุขระ มีทั้งโยมเด็กและโยมผู้
เฒ่า แสงไฟก็ไม่มี เช่นนี้...ไม่อันตรายเกินไปหรอกหรือ ?” อู้หมิง
ถามทันที
หวังโย่วกุ้ยยิ้ม “พระอู้หมิง ท่านจะแนะนำอะไรพวกเราหรือ?”
อู้หมิงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร เฉินจินที่อยู่ข้างหลังเขาเป็นคนพู ด
แทน “ฉันบอกแล้วว่าทางบนเขานิ้วเดียวชันจะตาย ทำไมพวก
เราไม่กลับกันล่ะ ? ยังมีเวลาไปวัดหงเหยียนอยู่นะ ถนนเส้นนั้น
เรียบกว่า เดินง่ายกว่าเยอะ แต่รถอาจจะติดนิดหน่อย”
หวังโย่วกุ้ยจ้องไปที่เฉินจิน ที่ความสนใจไม่ไปทางเดียวกับคนใน
หมู่บ้านเลย แล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าพวกเราขอผ่านดีกว่า ใน
หมู ่ บ ้ า นไม่ ม ี ร ถตู ้ หรื อรถบรรทุ ก จะไปวั ด หงเหยี ยนก็ ต ้องนั่ง
จักรยานยนต์ไปกัน อากาศหนาวแบบนี้ไม่เหมาะเท่ าไหร่ อีก
อย่างวัดหงเหยียนก็อยู่ไกล พวกเรามีทั้งเด็กทั้งคนแก่ ไปถึงนั่นไม่
สะดวกหรอก”
หยางผิงเสริม “ถูกที่สุด นี่พวกเราก็มาครึ่งทางแล้ว หั นหลังกลับ
ก็ไม่ทันแล้วแหละ เฉินจิน ถ้านายคิดว่าวัดหงเหยียนนั้นดีกว่า ก็
ไม่มีใครห้ามหรอกนะ บ้านนายมีรถไม่ใช่เหรอ? ก็ขับไปสิ”
[1] อาสวกิเลส แปลว่า กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิต
อาสวกิเลส คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนือยทับถมอยู่ในจิต ชุบ
ย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เรียกย่อว่า อาสวะ
ก็ได้ มี ๔ อย่าง คือ
กาม ได้แก่ ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ
ภพ ได้แก่ ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่
ทิฐิ ได้แก่ ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น
อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา
ตอนที่ 121 : แย่งกัน
เฉินจินหน้าขึ้นสี อับอายจนต้องเงียบปากไป
อู้หมิงยิ้ม “เฉินจินพูดถูก แต่ประสกก็พูดถูก กลับหลังหันลงเขา
ตอนนี้คงเสียเวลาเปล่า ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว ขึ้นไปเขานิ้ว
เดียวกันเถอะ”
พูดจบหวังโย่วกุ้ย หยางผิง และเฉินจินก็ผงะทันที ทั้งสามกำลัง
สงสัยว่าอู้หมิงกำลังวางแผนอะไรอยู่
อู ้ ห มิ ง พู ด “ประสกหวั ง ประสกหยาง อย่ า เข้ า ใจผิ ด ไปเลย
เพราะเป็นห่วงเด็กและคนชรา อาตมาจึงรีบมาช่วยเหลือ ส่วน
เรื่องธูปดอกแรก ไปปักที่ไหนก็เหมือนกัน พวกเราต่างเคารพพระ
พุทธองค์ ไม่ใช่ตัววัดหรือตัวพระ เพียงใจเคารพ ที่ไหนย่อมไม่
สำคัญ”
หวังโย่วกุ้ยกับหยางผิงได้ยินแบบนั้นค่อยคลายใจ บรรยากาศ
กระอักกระอ่วนลดน้อยลงไปด้วย ยามทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขา ก็รู้สึก
อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
ขณะเดียวกันคำพูดของอู้หมิงก็แพร่ไปในหมู่ชาวบ้าน พวกเขา
ประทับใจตัวอู้หมิงอยู่แล้ว เพราะเดิมทีก็เป็นพระรูปเดียวที่รู้จัก
มักคุ้นอยู่ พอได้ยินคำพูดของเขา ก็ยิ่งรู้สึกประทับใจเข้าไปอีก
เขาเหมาะกับการเป็นพระจริง ๆ
ทั้งกลุ่มขึ้นเขาไปพร้อมกับอู้หมิงที่เดินไปทั่ว บางครั้งเข้าไปช่วย
พยุงผู้เฒ่าผู้แก่ บางคราวก็ไปช่วยดูแลเด็ก ๆ หวังโย่วกุ้ยพูด
“หัวใจอู้หมิงอยู่ในที่อันสมควรแล้ว”
ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าทุกครั้งที่อู้หมิงเดินอยู่ในฝูงชนนั้น เขาจะคอย
กระซิบกรอกหูชาวบ้าน
“ประสกมาเพราะอยากจุดธูปดอกแรกหรือ?”
“ดู ฉ ั น สิ จะเป็ น ไปได้ ย ั งไง? แค่ ม าหาเรื ่ อ งสนุ ก ๆ ทำเท่ า นั้น
แหละ”
“ไม่ได้สิ ธูปดอกแรกสำคัญนัก ถ้าได้ปัก โชคย่อมเพิ่มพูน ปีหน้า
ต้องราบรื่น ลูกหลานสงบสุขเจริญรุ่งเรือง”
“จริงเหรอ?”
“แน่นอน! อาตมาเป็นพระจากวัดหงเหยียน ภิกษุย่อมไม่มุสา จะ
โกหกได้เช่นไร?”
“งั้นฉันก็ควรไปปักธูปดอกแรกให้ได้สินะ ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็น
ยังไงนะ?”
“สีกา วันนี้มาจุดธูปดอกแรกหรือ?”
“เอ๋? ใช่แล้ว! แต่ว่าออกจะเป็นเรื่องยากลำบากอยู่นะ”
“พาลูกไปหยิบมาด้วยสิ จากนั้นก็อุ้มลูกตัวเองสูง ๆ ตอนที่ทุกคน
จะปั ก ก็ ห าโอกาสดั น ลู ก เข้ า ไปปั ก ให้ แค่ น ี ้ ก ็ ไ ด้ แล้ ว ชู ่ ว เป็ น
ประสบการณ์หลายปีของอาตมาที่ได้รับมาจากการจุดธูปดอก
แรกในวัดหงเหยียนน่ะ อย่าไปบอกใครเขาล่ะ แล้วก็อย่าบอกคน
อื่นด้วยว่าอาตมาเป็นคนบอก”
หวั ง โย่ ว กุ ้ ย ที ่ ก ำลั ง คุ ย กั บ เถี ย นจู ่ ก ั ๋ ว ไม่ ร ู ้ แม้ แต่ น ้ อ ยว่ า อู ้ ห มิ ง
กำลังแผยแพร่ความสำคัญของธูปดอกแรกอยู่ เขาพยายามยืน
กรานว่าจุดธูปดอกแรกให้ได้นั้นสำคัญเอามาก ๆ
ตอนนั้นเอง......
“ระวัง! มีหมาป่า!”
“โบร๋ว!” เสียงดุดันของอู้หมิงและเสียงหอนเศร้าสร้อยของหมา
ป่าดังออกมาจากข้างหน้า
พอหวังโย่วกุ้ยกับคนอื่น ๆ พลันวิ่งเข้าไปดู ก็เห็นอู้หมิงกำลังอุ้ม
เด็กไว้อยู่ ไม่ไกลออกไปเป็นหมาป่าไร้ฝูงที่ก้มหัวลงต่ำและจ้องไป
ที่อู้หมิง บนขนมีผงดินเปอะเปื้อน ดูเหมือนจะโดนอู้หมิงขว้างดิน
ใส่......
หลังจากเจ้าหมาป่าเห็นว่าตัวเองไม่คุ้นหน้าอู้หมิง มันก็หอนใส่อีก
รอบ
ฟางเจิ้งได้ยิน แต่ไม่ได้สนใจ
หวังโย่วกุ้ยขมวดคิ้ว ก่อนจะดึงอู้หมิงไว้ “เป็นหมาป่าบนภูเขา
ไม่ดุร้ายหรอก แถมเป็นมิตรมากด้วย”
อู้หมิงกระจ่าง “ทราบแล้ว อาตมารีบร้อนเกินไป ขออภัยด้วย”
เหมือนที่คำโบราณกล่าวไว้ ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด ในเมื่ออู้หมิงพูดแบบ
นั้นแล้ว หวังโย่วกุ้ยจะพูดอะไรได้อีก? ได้แต่ต้องปล่อยไป อย่างไร
เสียที่อู้หมิงทำไปแบบนั้นก็เพราะต้องการปกป้องเด็กเท่านั้นเอง
ทว่าเถียนจู่กั๋วที่เห็นกลับขมวดคิ้วแน่น สายตาฉายแววลึกล้ำที่ไม่
อาจอ่านออก
ขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งก็สวดมนต์เสร็จแล้วในที่สุด จึงออกมาดูว่า
เกิดอะไรขึ้น พอเห็นคนกลุ่มใหญ่มาอยู่หน้าประตู ก็ผงะถอยหลัง
ทันที เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? พุทธองค์สำแดงเดชกลั่นแกล้งเขาให้
ตกใจด้วยการส่งคนมาวัดเหรอไง?
พอฟางเจิ้งมองดูดี ๆ ก็พบว่าเป็นชาวบ้านจากตีนเขา! ครอบครัว
ของหวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋ว หยางผิง หยางหัว เถีย นหย่ง เถียน
หมิง แล้วก็เจ้าลูกหมาซ่ง พวกเขาอยู่กันหมดเลย! รอบ ๆ มีเด็ก
เล็กวิ่งไปทั่ว เกิดเป็นทิวทัศน์อันอึกทึกคึกคัก ว่าแต่เจ้าลาหัวโล้น
ที่อยู่ข้างหวังโย่วกุ้ยเป็นใครกัน? ท่วงท่าดูมีเมตตา แต่ดวงตานี่ไม่
มีความเมตตาแม้แต่น้อย
‘ถุ้ย ๆๆ! ยังไงพวกเราก็ชาวหัวล้าน จะไปส่อเสียดนินทากันทำไม
ปากพล่อยจริง ๆ เลย ปล่อยไป ๆ’ ฟางเจิ้งรีบพยายามรวบรวม
สติ
ก่อนที่ฟางเจิ้งจะได้จัดจิตใจตนเองเสร็จ เพื่อจะได้ถามว่าผู้อื่นมา
ทำอะไรกัน ก็มีคนตะโกนสวนขึ้นมาก่อน “จู่โจม! เอาธูปดอก
แรกมาให้ได้!”
ฟางเจิ้งเห็นคนนับร้อยพุ่งมาหา ถ้าไม่ใช่ เพราะใบหน้าเปี่ยมด้วย
รอยยิ้ม ฟางเจิ้งคงนึกว่าตัวเองโดนปล้นแล้ว! ฟางเจิ้งไม่กล้า
ขวางกั้น ได้แต่รีบฉากหลบออกด้านข้าง กลัวว่าตัวเองจะโดน
เหยียบเละ!
ฝูงชนทะยานเข้าวัดไป ก่อนจะมุ่งไปทางห้องโถงวัด!
พอหวังโย่วกุ้ยเห็นเป็นแบบนี้ ก็กระวนกระวายขึ้นมา วัดนิ้วเดียว
ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ถ้ามีคนดันทุรังเข้าไปทีเดียวแบบนี้ต้องมี
ปัญหาแน่นอน! หวังโย่วกุ้ ยรีบร้องตะโกนเตือน “พวกนายหยุด
นะ! หยุดเดี๋ยวนี้! ยังไม่เที่ยงคืนเลย จะรีบทำไม?!”
หัวหน้าหมู่บ้านพยายามทำให้ทุกคนสงบลง แต่ว่าทุกคนยังคงดู
มุ่งมั่นจะพุ่งเข้าไปเหมือนเดิม ทุกคนคุยกันจอแจดูวุ่นวายอย่างยิ่ง
บางคนตะโกน บ้างพยายามตะเกียกตะกายจะเข้าไปจุดธูปคน
แรกให้ได้
ไม่ช้า หวังโย่วกุ้ยก็ไม่อาจรั้งเหล่าชาวบ้านที่กำลังไฟลุกโชนได้
“อามิตตาพุทธ!” ตอนนั้นเอง เสียงร่ายพระพุทธมนต์อันหนัก
แน่นก็ดังขึ้นมา เสียงนี้ดังกระหึ่มจนกลบเสียงอื่น ๆ ได้ อย่าง
สิ้นเชิง!
จากนั้นฟางเจิ้งก็กวาดมือ ใช้พละกำลังของตนแหวกฝูงชนจนเข้า
มาในวัดได้ในที่สุด เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงมาที่วัดกัน แต่
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อ ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องรีบ
รุดหน้าขึ้นไปหลังจากตะโกนเสร็จ!
ฟางเจิ้งมาถึงห้องโถง จี วรจันทรากระจ่างใต้แสงจันทร์เช่นนี้
ดึงดูดสายตาคนได้อย่างยิ่ง ศีรษะโล้น เกลี้ยงส่องประกายวิ้ง ๆ!
ท่วงท่าดุดันทรงพลังแม้ไม่ได้ระเบิดโทสะ!
เรื ่ อ งก่ อ นหน้ า นี ้ ท ำให้ ท ุ ก คนเห็ น ฟางเจิ ้ ง เฉกเช่ น เจ้ า อาวาส
หมดแล้ว พอฟางเจิ้งมาอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้ทุกคนสงบลงได้ไม่ยาก
หลังจากนั้นเถียนจู่กั๋วก็รีบมารับช่วงต่อ เขายืนอยู่ ณ เบื้องหน้า
ทุกคน ด้วยศักดิ์ของการเป็นเลขานุการอาวุโสของหมู่บ้านก็ทำให้
เรื่องวุ่นวายจบลงในทันที
พอฟางเจิ้งเห็นเรื่องเป็นแบบนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โยม
ทั้งหลาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ฟางเจิ้งชะงักไปนิดหนึ่ ง นี่เป็น
ครั้งแรกเลยที่เขาเห็นชาวบ้านรีบขึ้นเขาในช่วงปีใหม่! ส่วนปี
ก่อนๆ ที่ผ่านมาก็มีแต่ฟางเจิ้งกับพระอาจารย์อีจื่อ เงียบเหงา
สุดๆ
“พระฟางเจิ้ง เรื่องมันเป็นงี้ นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว ทุกคนเลยอยาก
มาไหว้พระขอพรเสริมดวงชะตาให้ปีที่จะถึงนี้ ด้วยการเป็นผู้จุ ด
ธูปดอกแรกน่ะ พวกเราคุยกันแล้วว่าจะเข้าแถวกัน ห้ามรีบเร่ง
เด็ดขาด แต่สุดท้าย..... เฮ้อ น่าผิดหวังจริง ๆ” หวังโย่วกุ้ยยิ้ม
แกมตำหนิ
ฟางเจิ้งตกตะลึง ธูปดอกแรก? ถ้าหวังโย่วกุ้ยไม่พูดเขาคงลืมไป
แล้วนะเนี่ย ! ไม่ใช่แค่วัด นิ ้วเดีย วเท่ านั้ นที ่ม ีความเชื่ อ แบบนี้
หลายๆ วัดก็มีความเชื่อเรื่องธูปดอกแรกเช่นกัน โดยเฉพาะวัด
ใหญ่ ๆ นี่ยิ่งชัดเจน ในช่วงปีใหม่ คนจะแห่กันไปจุดธูปดอกแรก
บางคนถึงกับทำธุรกิจขายจุดยืนในแถวเพื่อหาเงินกันเลยทีเดียว
ทว่าฟางเจิ้งไม่คิดเลยว่าจะมีคนขึ้นมาจุดธูปดอกแรกที่วัดนิ้ว
เดี ย ว! นี ่ เ ป็ น เรื่ อ งที่ ไ ม่ เคยเกิ ด ขึ้ น มาก่ อ น แต่ ก ็ ท ำให้ ฟางเจิ้ง
ตื่นเต้นแกมดีใจเช่นกัน วัดนิ้วเดียวได้กลายเป็นวัดจริง ๆ แล้ว!
ฟางเจิ้งไม่รู้เลยว่าปกติแล้วชาวบ้านคงไม่กระเหี้ยนกระหือรือ
เช่นนี้หรอก แต่ว่าสิ่งที่หยางหัวกับคนอื่น ๆ ขอพรไว้นั้นพวกเขา
ได้สุขสมหวังทุกประการ! อย่างเช่น โจ๊กล่าปารักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ทั ้ ง หลายแหล่ สรงน้ ำพระชำระจิ ตใจให้ผุ ดผ่ อง ทำให้ทุกคน
เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าวัดนิ้วเดียวนั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด เลยทำให้
เกิดวิกฤตการณ์เช่นนี้นั่นเอง!
ตอนที่ 122 : กำเนิดเจ้าอาวาส!
ตามความคิดของทุกคนแล้ว การได้จุดธูปดอกแรกก็ดีอยู่หรอก
แต่ไม่ถึงกับจำเป็นต้องแย่งชิงอะไรขนาดนั้น อย่างไรเสีย ไม่กี่ปี
มานี้ ก็มีคนไปจุดธูปดอกแรกที่วัดหงเหยียนไม่มากอยู่แล้ว ส่วน
ใหญ่มักจะอยู่บ้าน ผิงไฟ กินเกี๊ยว แล้วก็ดูรายการคืนส่งปีกัน
ทั้งนั้นแหละ
แต่ในตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังเป็นที่สนใจของทุกคน เขารู้วิธีรับมือดี
จึ ง รี บ พนมมื อ แล้ ว บอก “อามิ ต ตาพุ ท ธ โยมทั ้ ง หลาย ไม่
จำเป็นต้องแย่งกันหรอก ความจริงแล้วความเชื่อเรื่องธูปดอก
แรกนั้นไม่เป็นความจริงเลย ไม่มีวัดไหนเทศนาเรื่องนี้ แต่หลายปี
มานี้กลับเป็นบุคคลทางโลกที่เ ผยแพร่ความเชื่อกันเอาเอง ซึ่ง
แท้จริงกลับมีความหมายเล็กน้อยนัก หากต้องการพูดถึงธูปดอก
แรก อาตมาเชื่อว่า ย่อมเป็นธูปดอกแรกของคนผู้นั้นในปีใหม่ ธูป
นี้จะไม่เปลี่ยนไปตามกาลลำดับ ไม่ว่าท่านจะมาเป็นที่สอง ที่สาม
หรือที่สุดท้าย มันก็ยังเป็นธูปดอกแรกสำหรับท่านอยู่ดี พร
ประสิทธิ์อยู่ในใจที่เคารพ ต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้เป็นอันดับหนึ่งนั้น
ไร้ค่านัก ตราบใดที่ท่านมีจิตศรัทธา พุทธองค์ย่อมเฝ้าดูและอวย
พรให้อย่างแน่นอน”
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากันเอง จะมีคำอธิบายอื่นได้อีก
ไหม?
ตอนนั้นเองก็มีชาวคนบ้านหนึ่งร้องขึ้นมา “พระฟางเจิ้ง มันออก
จะไม่ถูกมั้ง พระอู้หมิงเป็นคนพูดเองว่าธูปดอกแรกนั้นสำคัญ
มาก”
“ใช่ พระอู้หมิงบอกว่าถ้าเป็นคนแรกที่ได้จุดธูปจะได้บุญกุศลมาก
อวยพรให้พวกเราทั้งสงบสุขทั้งร่ำรวย!”
“พระอู้หมิงก็พูดแบบนั้นกับฉันเหมือนกัน พูดเรื่องบุญจากการ
จุดธุปดอกแรกเนี่ยแหละ”
หลังจากได้ยินแบบนั้น คนมากหน้าหลายตาก็เหลือบมองอู้หมิง
ผู้ซึ่งกำลังครุ่นคิดในใจ ไม่คิดเลยว่าพวกชาวบ้านจะทรยศเขาได้
เร็วขนาดนี้ เขารู้ความหมายที่ฟางเจิ้งต้องการจะสื่อดี เพราะเป็น
เรื่องที่พระอาจารย์หงเหยียนท่านเทศนามาหลายรอบ แถมยัง
ห้ามไม่ให้พระลูกศิษย์ทั้งหลายแผยแพร่ความเชื่อเรื่องธูปดอก
แรกนี้ด้วย ทว่าพระอาจารย์หงเหยียนมีอายุมากแล้ว น้อยนักที่
จะยุ่งกับโลกภายนอก แถมเรื่องพวกนี้ก็กลายเป็นความเชื่อทั่วไป
ในหมู่คนธรรมดาไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาคิดจะมาจุดธูปไหว้พระ
จะให้ไปไล่ก็ไม่ใช่เรื่อง ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง...
ตอนนี้ที่ฟางเจิ้งให้คำสอนเหล่าชาวบ้านก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะ
อย่างไรเสียก็เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันทั้งนั้น แถมยังเป็นครั้งแรกที่
ความเชื่อเรื่องธูปดอกแรกก่อปัญหาด้วย
ถึงอย่างนั้น อู้หมิงกลับรู้สึกทั้งยินดีทั้งฉุนเฉียวในเวลาเดียวกัน
ฉุนเฉียวที่โดนชาวบ้านทรยศ แต่ก็ยินดีที่เจ้าเณรนี่ไม่รู้จักวิชา
จัดการเอาเสียเลย ธูปดอกแรกเป็นอะไรที่เหมาะกับการดูดเงิน
บริจาคเชียวนะ ตอนนี้เขากลับปฏิเสธไปเสียฉิบ โง่เปล่าเนี่ย ? มี
คนโง่เขลาเป็นคู่แข่งนี่ช่างน่ายินดีเสียจริง!
สมองอู้หมิงแล่นฉิว รู้ดีว่าตนเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงได้แต่สืบ
เท้าก้าวออกมาก่อนจะพนมมือ “อามิตตาพุทธ อาตมากล่าว
เช่นนั้นจริง ๆ”
พูดจบชาวบ้านก็มองไปที่ฟางเจิ้งกับอู้หมิงด้วยความเงียบสงบ
พวกชาวบ้านไม่รู้เรื่องบาปบุญของธูปดอกแรกหรอก แต่ว่าทั้งอู้ห
มิงทั้งฟางเจิ้งต่างเป็นพระทั้งคู่ แต่ละคนก็มีคำอธิบายเป็นของตน
ถ้าใครเป็นผู้ถูกก็ชนะ ชาวบ้านก็พร้อมทำตามคนผู้นั้นนั่นแหละ
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ธูปดอกแรกหมายถึงธูปดอกแรกของคน ๆ นั้น
ทำไมถึงกลายเป็นการแย่งชิงของผู้คนไปได้ ? อย่างนี้ก็กลายเป็น
การสร้างเรื่องโกหกมาปลุกปั่นไม่ใช่หรือ ? นี่มันเรื่องหลอกลวง
ชัดๆ ถึงจะมีความรู้สึกไม่พอใจ ฟางเจิ้งก็ยังพนมมือและค้อม
ศีรษะให้ “สวัสดีพระท่าน ขออาตมาทราบได้หรือ ไม่ว่าท่านมา
จากวัดไหน?”
อู้หมิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางยิ้ม “อาตมามาจากวัดหงเหยียน
อยู่ที่นั่นมากว่าสิบปีแล้ว พระฟางเจิ้ง วัยวุฒิพวกเราอาจจะ
เท่ากัน แต่อาตมาเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ก่อนท่าน ท่านสามารถ
เรียกอาตมาว่า ‘ศิษย์พี่’ ”
ฟางเจิ้งกลอกตา ลอบก่นด่าในใจ ‘ไอ้แก่นี่พยายามกดขี่ข่มเหง
ฉัน! ได้ งั้นฉันจะเล่นด้วยก็แล้วกัน!’
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงยิ้มเจิดจ้า พูดแกมขบขันเล็กน้อย “พระอู้หมิง
ตำแหน่งของท่านในวัดหงเหยียนคืออะไรหรือ ? ตอนนี้อาตมา
เป็น ‘เจ้าอาวาสวัดนิ้วเดียว’ แล้ว”
รอยยิ้มอู้หมิงค้างแข็งไปทันที ตำแหน่งในวัดหงเหยียนเขาต่ำนัก
วัดหงเหยียนก็เป็นวัดขนาดกลางค่อนเล็ก ถ้าบอกตำแหน่งตัวเอง
ไปคงได้แต่อับอายขายขี้หน้าน่ะสิ ถึงวัดนิ้วเดียวของฟางเจิ้งจะ
เล็กมาก แต่อีกฝ่ายก็เป็นถึงเจ้าอาวาส! ถ้าไปเทียบกับวัดหงเห
ยียนแล้ว ถือได้ว่าฟางเจิ้งมีสมณศักดิ์เท่ากับพระอาจารย์หงเห
ยียนเลยทีเดียว! เปรียบเทียบได้เช่นนี้ก็ทำอู้หมิงขวัญผวา!
อู้หมิงพูดด้วยรอยยิ้มซีดเซียว
“ในฐานะที่เป็นผู้ละทางโลก เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ พระฟาง
เจิ ้ ง ธู ป ดอกแรกนั ้ น สำคั ญ อย่ า งยิ ่ ง ทำไมท่ า นจึ ง ว่ า มั น มี
ความหมายเพียงน้อยนิดกัน ? หรือว่าท่านวางแผนจะให้ธูปดอก
แรกกับผู้อื่นไว้แล้ว?”
ฟางเจิ้งเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น อู้หมิงมาหาเรื่องเขานี่เอง!
เห็นเป็นแบบนี้ฟางเจิ้งก็ไม่คิดจะรอมชอมอะไรอีก ยืดตัวหลังตรง
สะบัดแขนไปด้านข้าง ดวงตาลุกโชน ด้วยพรจากตัววัด แถมด้วย
อำนาจพลังธรรม รวมไปถึงความดุดันน่าเกรงขามจากคัมภีร์พุทธ
องค์ทัศนามังกร แถมยังมีพลังวิเศษจากจีวรจันทรากระจ่างหนุน
เสริม! ฉับพลันฟางเจิ้งอุปทานกลายเป็นร่างสูงใหญ่ เปล่งแสง
รัศมีพุทธธรรม ยามทุกคนจ้องก็บังเกิดความปิติและความเคารพ
นับถือในใจทันที!
อู้หมิงโดนผลเช่นนี้รุนแรงกว่าใครเพื่อน ฟางเจิ้งส่งรัศมีตรงไปที่
เขา ทำเอาอู้หมิงเกิดความรู้สึกละอายจนเหงื่อแตกพลั่กในทันใด!
ฟางเจิ้งแค่นเสียงเย็น “พระอู้หมิง ไม่พูดไม่เป็นอะไรหรอก แต่
ในเมื่อกล่าวออกมาแล้ว อาตมาคงต้องปุจฉาใส่ท่านแล้ว”
“เชิญท่านปุจฉา” อู้หมิงเชื่อว่าความรู้ในธรรมของเขาไม่ด้อย
กว่าพระเยาว์วัยโง่เขลาผู้นี้แน่นอน ไม่กลัวหรอก!
ฟางเจิ้งไม่อ่อนข้อ “อาจารย์ของท่านเป็นผู้สอนพระธรรมแก่
ท่ า นใช่ ห รื อ ไม่ ? บิ ด เบื อ นธรรมขององค์ พ ุ ท ธะ ท่ า นยอมรั บ
ความผิดนี้หรือไม่ ?!” เสียงฟางเจิ้งดังกึกก้ อง ตั้งแต่ต้นจนจบ
เสียงของฟางเจิ้งไม่ต่างไปจากพุทธะปางโทสะคำราม ดวงตาจ้อง
เขม็งไปที่อู้หมิง แผ่รัศมีกดดันยิ่งกว่าเดิม!
รัศมีอำนาจดุจทะเลโถมใส่ อู้หมิงแข้งขาสั่นพั่บ ๆ ขวัญผวาจนไม่
อาจพูดบทที่เตรียมไว้!
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ต่อหน้าพระพุทธองค์ ต่อหน้าวัด ท่านริอาจ
พูดจาไร้สาระ บิดกฎวัดแห่งนี้ เบือนคำสอนพระพุทธองค์ ล่อลวง
ให้ผู้คนแย่งชิงธูปดอกแรก ท่านรู้บาปของตัวเองหรือไม่?!!”
ความผิดถูกจำแนกออกมาทีละข้อ ทีละข้อ ยิ่งพูด เสียงยิ่งดังขึ้น
เรื่อย ๆ ยิ่งพูด อำนาจรัศมีก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาอู้หมิงแข้งขา
อ่อนแรง จนต้องคว้าหยางผิงที่อยู่ข้างกายเพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม
พอหยางผิงเห็นแบบนี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดชักสีหน้า ท่าทางของอู้ห
มิงชัดขนาดนี้ ทำเอาเขารู้สึกรังเกียจฉิบ!
ฟางเจิ้งยังคงสาธยายต่อไป “ทางบนเขาคับแคบ ตัววัดก็เล็กนัก
มีห้องโถงก็มีแค่โถงเดียวเท่านั้น! แต่ท่านกลับ ล่อลวงให้โยม
ทั้งหลายเข้ามาแย่งชิงจุดธูป ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น เช่นการเหยียบกัน
ขึ้นมา ท่านจะทำเช่นไร? พุทธองค์ต้องการการจุดธูปถวาย ไม่ใช่
ถวายชีวิตมนุษย์! ชีวิตมนุษย์ประเสริฐนัก แต่ท่านกลับไม่นำพา
คิดอะไรอยู่กันแน่?!!!”
ฟางเจิ้งถามคำถามแล้วคำถามเล่า ทำเอาขาอู้หมิงสั่นยิ่งกว่าเดิม
ไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย
พอชาวบ้านได้ยินคำถามเหล่านี้ ก็กระจ่างแจ้งเรื่องราวในทันใด
มีเสียงผู้หญิงร้ อง “ไอ้เวรนี่บอกให้ฉันอุ้มลูกไปคว้าธูป ถ้าเกิด
เรื่องชุลมุนขึ้นมาลูกของฉันจะไม่เป็นอันตรายเหรอไง?!”
“ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว แต่เขายังจะให้ฉันเบียดเข้าไป เขาบอกว่าถ้า
ได้จุดธูปดอกแรกล่ะก็ มันจะอวยพรให้ฉันสงบสุข ไอ้เวรนี่มันเลว
มาก!”
“หลงคิดว่าเป็นพระที่ดี ที่ไหนได้ หมาป่าชั่วช้าชัด ๆ!”
“ไม่ใช่มนุษย์แล้ว!”
ผู้คนต่างอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว ต่างรุมประณามอู้หมิงกันยกใหญ่
ทำเอาสีหน้าเขาบิดเบี้ยว แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่อาจถอยหลังได้
แล้ว ไม่งั้นชื่อเสียงที่สะสมมาต้องถูกทำลายหมดแน่! เกิ ดวัดของ
เขาทราบ คงต้งอับอายขายขี้หน้าอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะโอกาส
ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสคงปลิดปลิวไปตลอดกาล!
ดังนั้นอู้หมิงจึงทำเป็นใจกล้าแล้วตะโกนสวน “ฟางเจิ้ง อย่ามา
ใส่ร้ายฉันนะ! เรื่องความสำคัญของธูปดอกแรก ใคร ๆ ก็รู้! นาย
ไม่รู้เหรอไง? อีกอย่าง ตราบใดที่มีการจุดธูป ต้องมีคนมาก่อนมา
หลัง นายบอกว่าธูปดอกแรกนั้นไม่สำคัญ งั้นใครกันจะมาจุดธูป
ไหว้พระ? อย่าบอกนะว่านายจัดการหาคนมาจุดธูปดอกแรกได้
แล้วน่ะ? จากที่ฉันรู้ วัดไร้ยางอายบางที่จะลอบขายธูปดอกแรก
กันซะด้วยสิ เหอ ๆ”
ตอนที่ 123 : ไฟไหม้!
พูดจบ พวกชาวบ้านต่างสะดุ้งตกใจกันหมด
พอเห็นว่าคนที่เหลือเงียบงันไป อู้หมิงก็ได้ใจ ตอนนี้รอแค่ฟางเจิ้ง
ตอบโต้กลับมา เขาจะได้ตอบโต้กลับไป!
ผลก็คือ——
“อู้หมิง นายเป็นใคร? ริอาจกล้าพูดอะไรอย่างนั้นได้ยังไง?!”
“พวกเราเฝ้าดูฟางเจิ้งเติบโตมา คิดเหรอว่าพวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็น
เด็กยังไงน่ะ?!”
“ไอ้ล้านโง่! ฉันทนมองหน้าแกไม่ไหวแล้ว สถุลเอ๊ย!”
“อู้หมิง จะไปไหนก็ไปเลยนะ ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ในวัด ฉันแม่*อัดแก
จนต้องร้องขอชีวิตแน่!” เจ้าลูกหมาซ่งพูด
เถียนหย่งตะโกน “ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงไม่รู้หรอกว่าจะเข้าข้าง
ใครดี แต่ถ้าเป็นแกล่ะก็ ฉันขออยู่ฝั่งฟางเจิ้ง!”
เถียนหมิงเสริม “ใช่แล้ว ฉั นเห็นพระปลอมมาก็มาก ฉันว่าแกก็
ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าพวกนั้นหรอก คิดจะมาหาเรื่องฟางเจิ้งสินะ ไม่
ส่องกระจกชะโงกดูเงาตัวเองก่อนล่ะ!”
อู้หมิงนิ่งงันไปทันที เขาคำนวณทุกอย่าง...ยกเว้นสายสัมพันธ์ที่
ฟางเจิ้งมีต่อคนในหมู่บ้าน! พวกเขาไม่ใช่ โยมธรรมดา แต่เป็นถึง
ญาติสนิทมิตรสหายของฟางเจิ้ง!
พอเห็นว่าตนเองได้จุดโทสะขึ้นเสียแล้ว อู้หมิงพลันรู้สึกเสียใจ แต่
ว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจเก็บคำพูดของตนเองคืน จึงได้แต่พยายาม
เป็นครั้งสุดท้าย “พวกโง่เขลา! แล้วพวกแกจะต้องเสียใจ!!”
ขณะทุกคนกำลังเอ่ยปากด่าทอ ฟางเจิ้งก็พนมมือแล้วพูดว่า “อา
มิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย โปรดสงบลงก่อน หากพระอู้หมิงกล่าว
ว่าธูปดอกแรกนั้นสำคัญนัก ส่วนอาตมากล่าวว่าไม่ใช่ แต่ความ
จริงแล้ว เรื่องพวกนั้นปุจฉาวิสัชนาง่ายนัก เพียงไปถามพระ
อาจารย์ของอู้หมิงก็เป็นอันทราบกันโดยทั่วแล้ว! อาตมาได้ยิ น
ชื่อเสียงของพระอาจารย์หงเหยียนมานาน ท่านเป็นผู้มีปริยัติ
สูงส่งอย่างแท้จริง อาตมาเชื่อว่าท่านย่อมสามารถให้คำตอบที่ทุก
คนยอมรับได้แน่นอน”
“พระอาจารย์อายุมากแล้ว จะให้ท่านมาปีนเขาถึงนี่ก็คงไม่ใช่ ถ้า
ไม่เชื่อ ก็ช่างเถอะ! อาตมาเพียงแค่อยากสร้างบุญกุศล แต่ในเมื่อ
ไม่มีใครเชื่อ ก็ช่างมัน!” พูดจบอู้หมิงก็ดันคนรอบ ๆ ออกไป แล้ว
ลงเขาไปอย่างรวดเร็ว
“ชิ!” พวกเขาไม่โง่ เห็นอู้หมิงวิ่งหางจุกตูดไปแบบนั้น คำโกหก
คงโดนเปิดโปงหมดแล้วแหง ทุกคนต่างชูนิ้วกลางไล่หลังทันที!
อู้หมิงรู้สึกเหมือนหลังโดนธนูทิ่มแทง จึงเผลอก้าวเป๋ไปบนน้ำแข็ง
แล้วลื่นลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น ทุกคนเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะใส่
ทันที!
เฉินจินที่อยู่ท่ามกลางฝูงคนเห็นเรื่องเป็นแบบนี้ก็ลอบถอนหายใจ
อู้หมิงคงถึงคราวจบสิ้นแหง อย่างน้อยก็ไม่มีที่ยืนในหมู่บ้านนิ้ว
เดียวอีกต่อไป สำหรับเฉินจิน เขารู้ดีว่าอู้หมิงไม่ใช่คนดีเด่อะไร
หรอก แต่ถ้าไม่ใช่เขา เฉินจินจะไปหาเงินพิเศษมาจากไหนกัน ?
ต้นตอเงินตราหายไปแบบนี้ ทำเอาเฉินจินเกลียดฟางเจิ้งสุด ๆ!
ยิ่งนึกไปถึงตอนที่ฟางเจิ้งปฏิเสธที่จะให้โจ๊กล่าปากับพวกเขา ผล
ก็คือเป็นแบบที่อู้หมิงโดน——ความอับอาย!
ถึงเฉินจินจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าเคลื่อนไหวอะไรไปตอนนี้คงไม่ได้
ส่วนจะให้ลงเขาไปน่ะเหรอ? แบบนั้นก็เป็นการบอกทุกคนว่าเขา
กำลังร่วมมือกับอู้หมิงน่ะสิ! เขาไม่อยากทำให้ตัวเองขายขี้หน้า
ด้วยหรอก ดังนั้นเลยตามขบวนชาวบ้านไปอย่างเงียบ ๆ ดีกว่า
รีบไปจุดธูปไหว้พระแล้วกลับหมู่บ้านให้เสร็จ ๆ ก็แล้วกัน ส่วนซู
หงภรรยาของเขานั้นอยู่ที่บ้านอยู่แล้ ว ตอนนี้ยังมีลูกชายกับ
หลานชายที่รีบกลับมาอวยพรปีใหม่ด้วย แค่คิดถึงพวกเขา จิตใจ
พลันอบอุ่นวาบ
พออู้หมิงจากไป ฟางเจิ้งก็กลายเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึง
พุทธศาสตร์จะสอนว่าธูปดอกแรกนั้นอยู่ที่ใจตน แต่ยังคงปฏิเสธ
ไม่ได้อยู่ดีว่าความเชื่อนี้แพร่หลายอยู่ในหมู่ชาวโลก โดยเฉพาะใน
ประเทศจี น ที ่ ม ี ค วามเชื่ อ เรื ่ อ งอั น ดั บ แรก เป็ น อะไรที ่ ร ั บ มื อ
ค่อนข้างยากทีเดียว
ตอนนั้นเองก็มีเสียงประทัดดังมาจากตีนเขา เสียงฮือฮาดังไปทั่ว
ดอกไม้ไฟถูกจุดกระจายทั่วท้องฟ้า——ปีใหม่มาเยือนแล้ว!
แน่นอนว่าถึงฟางเจิ้งจะเทศนาไปแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังกระเหี้ ยน
กระหือรืออยู่ดี
ฟางเจิ้งเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา จึงหันหลังก่อนจะโค้งไปทางห้อง
โถงวัด “ในฐานะสมาชิกผู้หนึ่งของหมู่บ้านนิ้วเดียว ศิษย์ฟางเจิ้ง
ขอคารวะแทนหมู่บ้านแก่องค์โพธิสัตว์!”
กึก! จากนั้นฟางเจิ้งก็เดินเข้าไป หยิบธูปธรรมดาดอกหนึ่งมาจุด
แล้วปักลงกระถางเสร็จสรรพ!
พอทุ ก คนเห็ น ว่ า ธู ป ดอกแรกถู ก จุ ด ไปแล้ ว แถมฟางเจิ ้ ง ก็ จุ ด
สำหรับหมู่บ้านด้วย พวกเขามองหน้ากันเองก่อนจะรู้สึกว่า แบบ
นี้ก็ไม่เลว ฟางเจิ้งเป็นเจ้าอาวาส ได้จุดธูปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร......
พอไม่มีแรงกดดันจากธูปดอกแรกแล้ว ทุกคนค่อยผ่อนคลายได้
เสียที แต่ละคนต่างเข้าแถวเรียงคิวจุดธูปไหว้พระขอพรกันอย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย
ฟางเจิ้งมองควันธูปลอยล่องอย่างภาคภูมิใจ ทว่ากลับมีเรื่องที่เขา
ตะหงิดใจ ‘ระบบ พระแม่กวนอิมประทานบุตรไม่เห็น ศักดิ์สิทธิ์
เลย! วัดยังไม่เติบโตเลยเนี่ย!’
【ติ้ง! นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมท่านต้องขยันยังไงล่ะ】
‘ขอคำแนะนำที่ใช้ได้จริงได้ไหมหา?’ ฟางเจิ้งถาม
【ได้!】
‘บอกมาสิเฟ้ย!’
【ขยัน ๆ】
ฟางเจิ้ง ‘2#¥#@%¥’
ห้องโถงวัดยังคงครึกครื้นจนท้องฟ้าเริ่มมีแสง ทุกคนกำลังจุดธูป
ขณะที่เหล่าเด็ก ๆ วิ่งไปทั่วพร้อมกับเสียงหัวเราะของผู้เฒ่าผู้แก่
เสียงพูดคุยดังโฉงเฉงไปทั่วทุกที่ ส่วนฟางเจิ้งยืนยิ้มตาหยี เขา
บอกได้เลยว่าทุกคนนั้นใจกว้างสุด ๆ บางทีอาจเพราะเทศกาลปี
ใหม่ล่ะมั้ง ทุก คนจึงจุดธูปยักษ์! ถึงระบบจะเอาเงินไปครึ่งหนึ่ง
แต่เงินที่เหลือก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว!
วันที่จะได้พัฒนาวัดอยู่ไม่ไกลแล้ว! ฟางเจิ้งลอบยิ้มหวาน......
“ทำไมตีนเขาเป็นสีแดงขนาดนั้นหว่า?” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยปากถาม
ขึ้นมา
ทุกคนรีบเดินไปดูที่หน้าผา จากนั้น ก็มีคนตะโกนร้องลั่น “แย่
แล้ว! หมู่บ้านไฟไหม้! พวกเราต้องรีบลงไปแล้ว!”
หวังโย่วกุ้ย เถียนจู่กั๋วและคนอื่น ๆ พลันตื่นตระหนก ต่างรีบเร่ง
วิ่งไปดูที่หน้าผา ไฟกำลังไหม้หมู่บ้านอยู่จริง ๆ ด้วย! หวังโย่วกุ้ย
รี บ ให้ ห ยางผิ ง โทรหารถดั บ เพลิ ง ทั น ที จากนั ้ น ก็ เ รี ย กทุ ก คน
“ผู้ชายทุกคนตามฉันลงเขาไปเดี๋ยวนี้! พวกเราต้องรีบไปดับไฟ!!”
ผู้ใหญ่ทั้งหญิงชายต่างรีบลงเขาตามเขาไปทันที!
พอฟางเจิ ้ ง ได้ ย ิ น ว่ า มี เ รื ่ อ งโกลาหลข้ า งนอก จึ ง รี บ เร่ ง ไปดู
สถานการณ์ไฟไหม้ที่หน้าผา มีกองฟางของใครก็ไม่รู้ถูกจุดไฟ!
ถึงหน้าหนาวจะมีหิมะตก แต่หิมะไม่ใช่ฝน อากาศก็แห้งและลม
แรง ไฟเลยลุ ก ลามอย่ า งรวดเร็ ว ! มี บ ้ า นหนึ ่ ง ถู ก ไฟท่ ว มไป
หมดแล้ว ส่วนบ้านหลังอื่น ๆ ไฟกำลังลุกลามไปหา
เฉินจินที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดเยาะ “เหอ ๆ จะโทษใครก็ต้องโทษ
ตัวเองเถอะที่ปีใหม่ไม่ยอมอยู่บ้าน ดูสิไฟไหมอยู่ไม่ใช่เหรอ? พวก
เราอยู่ยอดเขาสูงชัน จะลงไปก็คงไม่ทันแล้ว—”
ตอนนั้นโทรศัพท์ของเฉินจินก็ดังขึ้น
พอเฉินจินเห็นว่าเป็นภรรยาตัวเองโทรมาก็กดรับสาย ก่อนที่เธอ
จะทันพูดอะไรเขาก็โพล่งไปก่อน “เหมือนไฟจะไหม้หมู่บ้านแน่ะ
หมอกหนาขนาดนี้ฉันมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย คุณต้องระวังตัว
นะ”
เสียงของซูหงตะโกนมาจากอีกฝั่ง “ช่วยด้วย! บ้านเราไฟไหม้!
ฉันออกไปไม่ได้!!!”
เฉินจินชะงักงัน ก่อนจะร้องลั่น “บ้านของฉัน! บ้านฉัน! บ้าน!!!”
เฉินจินพุ่งถลาลงเขาไปทันควัน ไม่มีกะจิตกะใจจะไปส่อเสียดคน
อื่นอีก รีบเร่งย่ำฝีเท้าสุดชีวิต แต่ฝ่าเท้ากลับไม่เป็นใจ กระทั่ง
โทรศัพท์ตัวเองยังหลุดมือไป!
ฟางเจิ้งเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะได้ยินเสียงกรีดร้องจาก
อีกฝั่ง มีทั้งเสียงไฟระเบิดลุกไหม้ เสียงเด็กร้องไห้จ้า เสียงผู้หญิง
กรีดร้อง ฟางเจิ้งรู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว อาจจะมีคนตาย
ก็เป็นไปได้!
ตอนแรกฟางเจิ้งยังไม่กังวลเท่าไร เพราะชาวบ้านขึ้นเขามากัน
หมด แต่เหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิด! มีคนติดอยู่ในบ้านตัวเอง!
พอเป็นแบบนี้ฟางเจิ้งก็เริ่มตื่นตระหนก แต่เขาไม่อาจลงเขาไปได้
เนี่ยสิ!!!
ตอนที่ 124 : เจ้าอาวาสลงเขา
“ระบบ จีวรจันทรากระจ่างปกป้องชีวิตฉันได้ใช่ไหม?” จู่ ๆ ฟาง
เจิ้งก็ถามระบบขึ้นมา
【ท่านก็ลองดู!】เสียงระบบเย็นยะเยือก ดูโหดเหี้ยมจนฟาง
เจิ้งใจกระตุก!
“แม่ ช่วยผมด้วย ผมเจ็บ!” เสียงเด็กดังออกมาจากโทรศัพท์
พอฟางเจิ้งได้ยิน ดวงตาก็แดงฉาน! ไฟไหม้ไม่ใช่อะไรที่เขาไม่คุ้น
ชิน ตอนเด็ก สมัยที่ยังอยู่บ้านเถียนจู่กั๋ วก็มีเหตุไฟไหม้เช่นกัน
เหล่าเพื่อนบ้านต่างบุกไฟเข้ามาช่วยเหลือเขา หลายคนต่างถูก
หามส่งโรงพยาบาลเพราะแผลไฟไหม้...หากไม่มีพวกเขา ฟางเจิ้ง
คงไม่สามารถชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้!
ตอนนี้สถานการณ์กลับกัน ฟางเจิ้งไม่สนหรอกว่าใครจะติดอยู่ใน
บ้านนัน่ เขาจะต้องช่วยชีวิตคนออกมาให้ได้!!!
ฟางเจิ้งหายใจเข้าเฮือกใหญ่แ ล้วประกาศเสียงกร้าว “ช่างแม่*ดิ
ฉันจะลงไปช่วยคน!” พูดจบฟางเจิ้งก็กระโดดพุ่งลงจากผาไป
เลย!
ทันทีที่ฟางเจิ้งกระโดด——
【ตามกฎระเบียบของระบบ ถ้าท่านเกิดสติแตกละเมิดกฎศีล
ของพระภิกษุเพื่อลงเขาไป ทางระบบจะทำการคัดเลือกร่างต้น
ใหม่ ทว่ายังมีกฎลับอยู่ ซึ่งทางระบบไม่อาจบอกได้ทั้งทางตรง
และทางอ้อม】
“ระบบ ฉันอยากด่าคน!” ฟางเจิ้งเกือบจะสบถออกมาอยู่แ ล้ว
ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นเขาคงก้าวเท้าออกไปแล้วเว้ย! ถ้าเป็นแบบ
นั้นเขาคงกลายเป็นฆราวาสตามใจหมาย! แต่กลับโดนระบบ
หลอกเสียนี่!
【ทางระบบบอกแล้วว่าเจ็บ】 ระบบพูดอย่างเฉยชา
ฟางเจิ้งไม่คิดจะเสียเวลากับระบบอีก ปากก็ร้องเจ็บ ๆ ไป แต่เท้า
ยังคงวิ่งเต็มกำลังไปตามจุดประสงค์เดิม ขืนไม่ร้องออกมาก็เจ็บ
เกินไปสิฟะ!
ที่บ้านของเฉินจิน ซูหงกำลั งใกล้สติแตกเต็มทน รอบกายมีแต่
กองไฟ ไม่มีทางออกเลย! สมาชิกในครอบครัวที่ติดอยู่มีตัวซูหง
เอง ลูกชายของเฉินจิน ลูกสะใภ้ แล้วก็หลานชายอายุสามขวบ
พวกเขาล้วนติดอยู่ในบ้าน ตัวเด็กเองก็ร้องไห้จ้าไม่หยุด ขณะที่
ลูกชายของเฉินจินพยายามพุ่งตัวออกไป แต่ไฟลุกไหม้แรงเกิ น
กว่าจะฝ่าไปได้ ขนาดประตูเหล็กยังถูกหลอมแทบไม่ต่างจาก
ของเหลว ขื่อคานก็พังหล่นลงมาปิดประตูทางออกไว้ หน้าต่างก็มี
ของบังอยู่——ไม่มีทางหลบหนีเลย! แถมบริเวณนอกหน้าต่างก็
เต็มไปด้วยเปลวไฟถาโถม ทั้งครอบครัวต่างตื่นตระหนกและอับ
จนหนทาง!
“แม่ เหมือนจะมีเรื่องแปลก ๆ ไฟลามเร็วขนาดนี้ ปกติมันต้อง
ไหม้มาถึงข้างในแล้วสิ! ?” ลูกชายของเฉินจินร้องทักพอเห็น
สถานการณ์แปลก ๆ ที่ว่านี้
“คิดว่ายังแรงไม่พออีกเหรอ? อยากให้ไฟมาคลอกพวกเราจนตาย
เหรอไง?!” ภรรยาของเขากอดลูกชายแน่น ก่อนจะกรีดร้อง
ออกมาตอนที่เศษไม้ตกลงมา
ตอนนั้นเองซูหงก็ตื่นจากภวังค์ จริง ๆ ด้วย! ทำไมไฟถึงไม่ลาม
เข้ า มาข้ า งในนะ? เธอเลยลองมองไปรอบ ๆ ก่ อ นจะเห็ น สิ่ง
ประหลาด!? ในวันเสี่ยวเหนียน เฉินจินนำกลอนคู่ที่ได้รับจาก
ฟางเจิ้งมาให้ด้วย อย่างไรเสียงานลิปิศิลป์นี่ก็สวยงามมาก แถม
เหล่าลิปิกรมีชื่อเสียงก็ต่างขวนขวายเสาะหาถึงที่ พอรู้ว่ากลอนคู่
ล้ำค่าเช่นนี้ พวกเขาจึงนำมาเก็บไว้ในบ้าน กลัวว่าเอาไปไว้ข้าง
นอกจะโดนลมฝนจนหมองหมด
ตอนนี้ เ ปลวไฟลุ ก ลาม กลอนคู ่ เ สมื อ นกระจกสะท้ อ นแสง!
ตัวอักษรสีดำเปล่งประกายเป็นสีทอง! แถมยังไม่ถูกไฟไหม้จาก
ข้างนอกไหม้แม้แต่น้อย! และที่แปลกกว่านั้นคือ ตัวกลอนคู่กำลัง
กลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่ถูกเผาไหม้!
“...เป็นเพราะกลอนคู่ กลอนคู่ที่ฟางเจิ้งเขียนไว้ให้พวกเรา!” ซู
หงชี้ไปที่กลอนคู่แล้วตะโกนลั่น
เฉินหลง ลูกชายของเฉินจินมองตาม จริง ๆ ด้วย! กลอนคู่นั้น
ประหลาดมาก! จากนั้นเขาพลันเกิดความคิดแวบหนึ่ง “ไม่รู้ว่า
จะจริงรึเปล่า แต่ยังไงก็ต้องลอง!”
ดังนั้นเฉินหลงจึงออกตัววิ่ง ขณะกำลังจะฉีกกลอนคู่ออกเขาก็
ตะโกน “พวกเราอาจจะรอดถ้าถือกลอนคู่นี่แล้ววิ่งหนีออกไป!”
ทว่าทันทีที่เขาแตะต้องกลอนคู่ มันก็สลายกลายเป็นเถ้า เร็ ว
ขึ้น!——กองไฟพลันลูกโชนถาโถม!!
เฉินหลงผงะล้มตอนที่เกือบโดนไฟคลอกใส่ ซูหงกับภรรยาของ
เขารีบเร่งเข้ามาช่วยกันจ้าละหวั่น ซูหงตะโกน “อย่าไปแตะ
กลอนคู่! พวกเราแตะมันไม่ได้!!”
ขณะนี้...กลอนคู่เหลือเพียงส่วนสุดท้าย และมันก็กำลังกลายเป็น
เถ้าเร็วขึ้น พวกเขาได้แต่มองอย่างสิ้นหวัง!
ซูหงด่ากราด “เพราะพ่ อหัวดื้อของพวกลูกนั่นแหละ! ดูสิ ถ้า
พวกเราขึ้นเขาไปด้วยกัน ก็คงไม่ติดอยู่ในกองไฟแบบนี้หรอก!
ถ้าเขาฟังคำแนะนำสักนิด พวกเราคงไม่โดนพระพุ ทธองค์ลงโทษ
เพราะไปช่วยอู้หมิงหาเรื่องวัดนิ้วเดียวหรอก บาปกรรมแท้ ๆ!!”
“พวกเราตายแน่ ๆ ตายแน่ ๆ!” ใบหน้าของเฉินหลงฉายแววสิ้น
หวัง
ขณะที่กลอนคู่จวนจะสลายกลายเป็นเถ้าจนหมดนั้น พลันมีเสียง
หนึ่งดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง “มีใครอยู่ไหม!?”
“มี! มีคนอยู่! ช่วยด้วย!!” เฉินหลง ซูหง และภรรยาของเขารีบ
ร้องตะโกนบอก
จากนั้นเสียงคนข้างนอกก็ดังขึ้นมาอีกว่า “ถอยไปให้ห่างจาก
ประตู!”
ตอนที่ 125 : เฉินจินผู้ขมขื่น
“พวกเราอยู่ห่างแล้ว!” เฉินหลงร้องตะโกนกลับไป
ตู้ม!! ตอนนั้นเองที่ประตูระเบิดออกอย่างรุนแรง ลมตีกระจาย
ไฟลุกโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม!
คนที่อยู่ข้างนอกคงไม่ได้เข้ามาพร้อมกับไฟกองใหญ่หรอกนะ?
——พวกเราจบสิ้นแล้ว!
นี่คือความคิดแวบแรกของครอบครัวซูหง
และแล้วก็มีคนปรากฏร่างบนกองเพลิงจริง ๆ! คนผู้นั้นก้าวย่างใน
ทะเลเพลิง เตะออกต่อยหมัดทำลายข้าวของโดนไฟไหม้ที่เกะกะ
ขวางประตูออกจนหมด แม้กระทั่งคานที่หล่นลงมายังถูกเขายก
แล้วโยนออกไป!
“ซูเปอร์แมนเหรอ? คานไม้นั่นขนาดคนสามสี่คนยังยกไม่ไหวเลย
นะ!?” เฉินจิงตกตะลึง
ซูหงตื่นจากภวังค์ตอนที่จำฟางเจิ้งได้ เธอร้องตะโกนออกไป
“ฟางเจิ้ง? นั่นเธอเหรอ?”
“อามิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย เป็นอาตมาเอง ไม่ต้องพูดแล้ว รีบ
ออกไปเถอะ บ้านหลังนี้ใกล้จะถล่มแล้ว” พอฟางเจิ้งเข้ามาได้ก็
พูดเข้าประเด็น เขาจัดการเก็บกวาดทางออกไว้ให้แล้ว จากนั้ น
ค่อยนำอ่างน้ำเข้ามาแล้วราดใส่ผ้า ก่อนจะนำไปห่มพวกเขา
เอาไว้
ทั้งกลุ่มถูกคลุมด้วยผ้าเปียกน้ำนั้น แต่ละคนก้มตัวลงต่ำแล้วพุ่ง
ออกไปทันที
พอพวกเขาวิ่งออกจากประตูไปแล้ว ฟางเจิ้งก็เพิ่งวางอ่างน้ำลง
ขณะเดียวกับที่ตัวอักษรสุดท้ายของกลอนคู่สลายกลายเป็นเถ้า
พอดี จากนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น แล้วบ้านทั้งหลังก็พังถล่มลง
มา!!!
ซูหงหันขวับไปมอง ฟางเจิ้งยังไม่ออกมา! เธอหวีดร้องอย่างตกใจ
“ฟางเจิ้ง? ฟางเจิ้ง!! เธอเป็นอะไรหรือเปล่า!!? ฮือ ๆ ฉันทำร้าย
เธอแล้ว! ไม่นะ! ฮือ ๆ......”
ดวงตาของเฉิ น หลงกั บ ภรรยาแดงก่ ำ ถ้ า ไม่ ใ ช่ เ พราะฟางเจิ้ง
ปรากฏตัว คงเป็นพวกเขาเองที่ถูกฝังอยู่ในนั้น! พวกเขาสมควร
เป็นคนที่ตาย! ที่ทำให้ผู้ช่วยเหลือประสบเคราะห์ น้ำตาพวกเขา
ล้วนไหลอาบแก้ม
ทันใดนั้นเอง ก็มีร่างคนทะยานออกไปทางหลังบ้าน!!!
ถึงบ้านถล่มจะดูน่ากลัว แต่ฟางเจิ้งค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ไหน
จะมีจีวรจันทรากระจ่างคุ้มกายอยู่ เขาจะตายได้อย่างไรกัน? พอ
เห็นว่าซูหงกับครอบครัวปลอดภัยแล้วก็ได้เวลาจรลี ถึงแม้การได้
ช่ ว ยชี ว ิ ต พวกเขาไว้ เ ป็ น เรื่ อ งดี แต่ ก ็ ม ี เ รื ่ อ งมหั ศจรรย์ พ ั น ลึ ก
มากมายที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
ฟางเจิ้งตัดสินแล้ว ไม่ว่าใครจะมาถาม เขาก็จะไม่ปริปากบอก
เด็ดขาด เชิญจินตนาการไปตามใจเถอะ!
พอฟางเจิ้งหลบออกมาจากบ้านสกุลเฉินได้แล้ว รถดับเพลิงก็เข้า
มาจัดการดับไฟ เรื่องไฟนั้นฟางเจิ้งไม่อาจช่วยอะไรได้ จึงได้แต่
เวียนไปตามบ้านที่คุ้นเคยเพื่อดูว่าพวกเขาปลอดภัยหรือไม่
จากนั้นฟางเจิ้งก็มุ่งไปทางเขานิ้วเดียว พลางซ่อนตัวในกองหิมะ
ตรงทางขึ้น หลังจากทุกคนจากไปหมดแล้ว ก็ลอบกลับไปที่วัด
อย่างเงียบงัน
หลังจากกลับขึ้นเขาไปได้แล้ว ฟางเจิ้งก็ปิดประตู จากนั้นเดินไปที่
ห้องโถงที่เทียนไขยังไม่มอดดับ แล้วนั่งลงขัดสมาธิพร้อมเริ่ มสวด
มนต์ ขอพรปีใหม่ให้แก่เหล่าชาวบ้าน หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย
และเจริญรุ่งเรือง
ขณะเดียวกันที่ตีนเขาก็กำลังโกลาหลกันไม่น้อย พอนักดับเพลิง
มาถึง ก็ได้ยินว่ามีคนถูกฝังอยู่ในซากบ้าน! กลุ่มนักดับเพลิงรี บ
พุ่งเข้าไปในกองเพลิง หลังจากต่อสู้กับเปลวไฟอย่างหนักหน่ว ง
ในที่สุดไฟก็ดับลงได้เสียที ทว่าถึงจะขุดดินไปสามฟุต ก็ไม่เจอร่าง
มนุษย์แม้แต่น้อย!
“หรือร่างถูกเผากลายเป็นเถ้าแล้ว?” ซูหงร้องไห้น้ำตานอง
“พี่สาว อย่าร้องเลย ไม่มีพระ ไม่มีใครเลย ดูสิ นอกจากเครื่อง
เรือนแล้ว กระดูกสักท่อนยังไม่มีเลย” นักดับเพลิงที่ค้นไปทั่ว
ซากปรักหักพังบอก
ซูหงเลยไปดู ก่อนจะเห็นว่าไม่มีศพหรือกระดูกอะไรจริง ๆ พอ
เห็นแบบนี้ซูหงก็สับสน เธอจำได้ว่าไม่เห็นฟางเจิ้งหลบออกมา
ก่อนบ้านจะถล่มนี่นา?
นักดับเพลิงตบไหล่เธอเบา ๆ “พี่สาวอาจจะตกใจจนเห็น ภาพ
หลอนก็ได้นะ”
“แต่พวกเราเห็นกันหมดนะ!” ภรรยาของเฉินหลงร้อง
“งั้นก็คงอุปทานหมู่” นักดับเพลิงว่า
ขณะซูหงกำลังจะพูดอะไรต่อ เฉินหลงก็เข้ามาปรามไว้ พลาง
กระซิบว่า “แม่ แสร้งเป็นว่าเราอุปทานไปเองเถอะ เรื่องนี้มัน
แปลกมาก นึกถึงกลอนคู่ นึกถึงตอนที่ท่านมายกคานออกด้วยมือ
เปล่ า ไหนจะเดิ นผ่ านทะเลเพลิ งอี ก มนุ ษ ย์ จะทำแบบนั้นได้
เหรอ? เรื่องลึกลับอธิบายยากแบบนี้ ขืน ยังยืนกรานอยู่อาจจะ
เป็นปัญหาก็ได้ ผมคิดว่าพระอาจารย์ท่านกลัวมีปัญหา จึงจากไป
โดยไม่ ล ่ ำ ลา ถึ ง ไฟจะไหม้ ร ุ น แรง แต่ พ ระอาจารย์ ไ ม่ ใ ช่ ค น
ธรรมดา ต้องสบายหายห่วงแน่ ไว้พอรุ่งสาง พวกเราค่อยขึ้นเขา
ไปดูด้วยกันก็ได้ เดี๋ยวก็รู้เองว่าเกิดอะไรขึ้นนะแม่”
พอซูหงได้ยินแบบนั้น แววตาพลันสว่างวาบ รีบพยักหน้ารับ แล้ว
ไม่ยืนกรานจะให้ช่วยเหลือฟางเจิ้งอีก ได้แต่เอ่ยปากว่าตนคงเห็น
ภาพหลอนไปเอง แถมจำไม่ได้แล้วว่าเห็นอะไรซะด้วยสิ
พอซูหงจัดการอะไร ๆ เสร็จ เรื่องราวค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
ตอนนั้นชาวบ้านก็เพิ่งมาถึง พอเฉินจินเห็นซูหง เฉิ นหลงและ
ภรรยา รวมไปถึงหลานชายตัวน้อยปลอดภัยกันดีก็พุ่งเข้ามากอด
พวกเขาทั้งน้ำตา ขามาเขากังวลแทบตาย ใจหายใจคว่ำหมด!
เดิมทีซูหงนั้นไม่พอใจสามีตัวเองมาก แต่พอเห็นเขาอยู่ในสภาพดู
ไม่ได้เพราะเป็นห่วงพวกตนขนาดนี้ ความโกรธก็มลายหายไป
หมด ทั้งครอบครัวยังคงมีชีวิตอยู่ และได้กลับมาอยู่แบบพร้อม
หน้ า พร้ อ มตากั น ส่ ว นเรื ่ อ งบ้ า น ถู ก ไหม้ จ นพั ง แล้ ว อย่ างไร?
สร้างใหม่ก็ได้! ——ตราบใดที่คนอยู่ อะไร ๆ ก็กลับมาใหม่ได้!
พอนักดับเพลิงจัดการอัคคีภัยได้แล้ว ก็จากไป
หวังโย่วกุ้ยเรียกคนให้มาช่วยเก็บกวาดซากบ้านตระกูลเฉิน และ
ช่วยมองหาของที่น่าจะกลับมาใช้ได้ ครอบครัวสกุลเฉินก็เข้ามา
ช่ ว ยด้ ว ยร่ ว มกั น ยุ ่ ง วุ ่ น วายกั น จนตกบ่ า ย ก็ ก ล่ า วส่ ง บรรดา
ชาวบ้านผู้มีจิตเมตตาทั้งหลายอย่างซาบซึ้งใจ
เฉิ น จิ น เหม่ อ มองซากบ้ า นตั ว เองพลางถอนหายใจ แล้ ว สบถ
“เป็นความผิดฟางเจิ้งคนเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะธูปดอกแรกบ้า
บอ—”
เพี๊ยะ! เฉินจินโดนตบ!
เฉินจินร้องอย่างโกรธเคือง “ซูหง เธอทำอะไรเนี่ย?!”
“ทำอะไรน่ะเหรอ? จะอัดแกให้ตายไง! ฉันตบแกอยู่! ไม่เข้าใจ
เหรอ? ทำไมยังไปด่าฟางเจิ้งอยู่อีก ? เฉินจิน ฉันบอกไว้เลยนะ
ตั้งแต่วันนี้ไป ถ้าฉันได้ยินว่านายด่าฟางเจิ้งอีก คราวนี้จะไม่ใช่แค่
ตบ แต่จะเอารองเท้าฟาด!” ซูหงเอามือเท้าสะเอวด้วยท่าทางดุ
ร้าย
เฉินจินชะงักไปทันทีที่เห็นเธอทำท่าอย่างนั้น พวกเขาอยู่ด้วยกัน
มาหลายสิบปี แต่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเธอน่ากลัวขนาดนี้! นี่คือ
ภรรยาของเขาจริงหรือเปล่าเนี่ย ? ไม่ใช่ว่าคำพูดของเขาเป็นดุจ
ดั่งประกาศิตหรอกเหรอ?...ไหงวันนี้ถึงต่อต้านขึ้นมาล่ะ?
เฉินจินมองไปที่ลูกชาย “ลูกชาย ช่วยคุยหน่อยสิ แม่ของลูก
กำลังเข้าข้างคนนอกนะ!”
เฉินหลงตบไหล่พ่อตัวเองเบา ๆ “พ่ออย่าโมโหเลย”
เฉินจินได้ยินแบบนั้นค่อยโล่งอก ในใจคิด ‘ต้องงี้สิ ลูกของฉันทั้ง
เข้าใจทั้งเป็นห่วงฉั—’
“ที่แม่พูดน่ะถูกแล้ว! แม่ ถ้าแม่มีรองเท้าไม่พอนะ เดี๋ยวผมซื้อ
ให้!” เฉินหลงพูดขณะไปยืนอยู่ข้างซูหง
เฉินจินตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? ทำไมไฟไหม้ถึงทำให้เกิดการ
ปฏิวัติได้?
คราวนี้เฉินจินหันมามองลูกสะใภ้บ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่
อยู่ข้างซูหงอยู่แล้ว ทว่าเธอกลับพูดอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ว่า “พ่อ แม่
พูดถูกแล้วค่ะ”
“พวกเธอ...พวกเธอกำลังก่อกบฎกันอยู่สินะ? ไอหยา ฉันไม่อาจมี
ชีวิตต่อไปได้แล้ว!” เฉินจินกระทืบเท้า ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่าขา
กางเกงถูกกระตุก พอก้มลงมองดู ก็เห็นเป็นหลานชายกำลังดึงรั้ง
เขาไว้
หลานชายพูด “คุณปู่ อย่าโมโหไปเลยนะ......”
เฉิ น จิ น อุ ้ ม หลานตั ว น้ อ ยขึ ้ น มาก่ อ นจะพู ด อย่ า งพอใจว่ า
“หลานชายของปู่ดีที่สุดเลย รู้จักเป็นห่วงปู่ด้วย......”
ตอนที่ 126 : แพ้หรือชนะ?
“คุณปู่อย่าโมโหเลย ที่คุณย่าพูดน่ะถูกแล้วครับ!”
อึก! เฉินจินเกือบจะกระอักเลือด!
“พ่อ เถียงไปก็ไม่ชนะหรอก เรื่องนี้พวกเราไม่ยอมเด็ดขาด” เฉิน
หลงบอก
เฉินจินจ้องไปที่ลูกชายตาเขม็ง “ฉันจะไม่ยอมเหมือนกันจนกว่า
จะอธิบายมา! คิดดูสิ ฉันรีบลงเขามาแทบตาย ระหว่างทางก็ล้ม
ด้วย สุดท้ายพวกลูกกลับมาทำกับพ่อแบบนี้เหรอ?”
ซูหงกับคนที่เหลือยิ้มกระอั กกระอ่วน ก่อนพากันดึงเฉินจินมา
ด้านข้างแล้วเล่าสิ่งที่เจอ
พอเฉินจินฟังจบก็นิ่งเงียบไปทันที
“ตาแก่ ฉันรู้ว่านายน่ะดื้อด้านสุด ๆ แต่ว่าเรื่องฟางเจิ้ง ถ้านายยัง
หัวแข็งอยู่แบบนี้ พวกเราคงอยู่ด้วยกั นไม่ได้แล้วจริง ๆ แค่ดื้อ
ด้านไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่เป็นพวกเนรคุณฉันรับไม่ได้! ถ้า
ไม่ใช่เพราะฟางเจิ้ง...บ้านเราคงไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกอง
ขี้เถ้า” ซูหงว่า
เฉินจินแยกไปจุดบุหรี่สูบอัดควันเข้าเต็มปอดอยู่เงียบ ๆ หลังจาก
จัดไปสองเฮือกก็ถาม “พวกเธอ...ไม่ได้มองผิดใช่ไหม?”
“มองผิด? พ่อดูคานตรงประตูสิ! เรื่องอื่นอาจจะมองผิด แต่ดูนี่
สิ!” เฉินหลงท้วง
เฉินจินสับสน “แต่ยังแปลกอยู่ดี ตอนที่พ่อเพิ่งลงเขา ฟางเจิ้งยัง
อยู่บนยอดเขาอยู่เลย แถมทางลงเขาก็มีแค่ทางเดียวด้วย ไม่มี
ทางที่พ่อจะไม่เห็นตอนเขาลงมาแน่ ๆ แต่ตลอดทางพ่อไม่เห็น
ใครเลยจริง ๆ นะ! แถมกลอนคู่ที่ลูกพูดนั่นน่ะ ฟังอย่างกับเวท
มนตร์ จะให้พ่อเชื่อได้ยังไง?”
“แต่เรื่องอื่นนอกจากกลอนคู่ก็เป็นเรื่องจริงแน่นอน พวกเราเห็น
กันหมด ตาแก่ นายไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว และบ้านก็เก่ามาก
แล้วด้วย แถมบ้านในหมู่บ้านยังทำเป็นกระเบื้องหินกันทั้งนั้น แต่
นายบอกเองว่ า อยากได้ บ ้ า นแบบเก่ า ก็ เ ลยเปลี ่ ย นประตู กั บ
หน้าต่าง บ้านอิฐดินที่ทำจากไม้ แบบนี้จะไปทนไฟขนาดนั้นไหว
ได้ยังไง? อย่างเร็วสุดที่จะลงเขามาได้ก็ปาไปชั่วโมงหนึ่งแล้วไม่ใช่
เหรอไง? แต่บ้านพวกเรากลับไหม้แค่ข้างนอก ไม่มีไฟกับควันเข้า
มาในบ้านเลย แบบนี้มันปกติตรงไหนกัน ? เชิญนายพูดไปเถอะ
ว่าเห็นภาพหลอน แต่ถ้าควันไฟเข้ามาในบ้าน พวกเรายังจะรอด
ได้ไง?” ซูหงถามต่อ
เฉินหลงพูดสนับสนุน “ใช่แล้วพ่อ พ่อมีสติหน่อยสิ พ่อน่ะเอาแต่
ว่าตามอู้หมิงตลอดเลยนะ ทั้งที่ฟางเจิ้งนั้นเก่งกาจดุจเทพยาดา
แต่ พ ่ อ ก็ยั งพยายามไปทำลายชื่ อเสี ยงเขาอี ก พ่ อ คิ ดอะไรอยู่
เนี่ย?”
ผั๊วะ! เฉินจินยกมือขึ้นตบหัวลูกชายแล้วดุด่า “พูดกับพ่อตัวเอง
แบบนี้เหรอ? ฉันจะทำอะไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะให้ลูกชายอย่างแก
มาสอน!”
“จะดื้อด้านทำบ้าอะไรอยู่! พวกเราเห็นกันกับตา พูดมา จะเอา
ยังไง!!” ซูหงคำราม
เฉินจินโยนบุหรี่ออกไปแล้วยืดตัวตรง “ฉัน เฉินจินไม่ใช่คนชั่ว!
ฉั น จะกลายเป็ น คนเนรคุ ณ ได้ ย ั ง ไง? แต่ ว ่ า เรื ่ อ งดี ม ั น ออกจะ
ประหลาดพิลึกเกินไปหน่อย อยากจะขึ้นเขาไปดูก่อน อยากรู้ว่า
ฟางเจิ้งจะพูดอะไรหรือเปล่า ไม่งั้นฉันไม่ยอมปล่อยไปแน่ ๆ แต่
อย่าเป็นห่วงไป เรื่องที่เกิดขึ้น วันนี้ ฉันจะไปจัดการกับอู้หมิงเอง!
พอใจหรือยัง? เอาล่ะ ไม่มีบ้านให้อยู่แล้ว พวกเราจะไปอยู่ไหน
ดี?”
“พวกเราจะไปไหน? ไปบ้านผมนี่! ในเมืองมีบ้านหลังออกใหญ่โต
แค่ให้พ่อแม่ไปอยู่ด้วยจะเป็นอะไรไป” เฉินหลงพูด
“ไปไหนก็ไป! ใครจะอยากไปอยู่กับแก ฉันชอบหมู่บ้านนิ้วเดียว
โว้ย!” เฉินจินว่า
“งั้นผมจะสร้างบ้านใหม่ให้ แบบนั้นโอเคยัง?” เฉินหลงถามยิ้ม ๆ
“เอาแบบนั้นแหละ ปะ ไปกัน!” สีหน้าเฉินจินอ่อนลง
“ไปไหน?” ซูหงถาม
“ไปตลาด” เฉินจินโบกไม้โบกมือ
“พวกเราจะไปทำไม?” เฉินหลงถามอย่างฉงน
เฉินจินเหลือบมองเขา “ใจคอจะไปเยี่ยมผู้มีพระคุณด้ วยมือ
เปล่าเหรอ? มียางอายหรือเปล่า? แกอาจจะไม่มี แต่ฉันมี!”
เฉินหลง ซูหงและคนที่เหลือล้วนหัวเราะออกสักที ลูกของเฉินจิ
นรีบวิ่งมาหาแล้วร้องเสียงใสแจ๋ว “ผมอยากได้ของหวานฮัฟ!”
ฟางเจิ้งที่อยู่บนเขากำลังไม่พอใจสุด ๆ ไม่พอใจเอามาก ๆ!
“ระบบ นายพูดอีกทีสิ! ฉันได้หมุนเสี่ยงโชคกี่ครั้งนะ?” ฟางเจิ้ง
ร่ำร้องอย่างโมโห
【ครั้งเดียว! ท่านถามมายี่สิบกว่าครั้งแล้ว ถึงถามไปร้อยแปด
รอบ คำตอบก็คงเดิม! หนึ่งก็คือหนึ่ง!】 ระบบพูด
“แม—” ฟางเจิ้งเกือบจะสบถออกมา แต่ก็ต้องอดทนไว้ เขาด่า
ได้แค่วันละครั้ง ต้องใช้อย่างมี กลยุทธ์ ไม่อาจเสียเปล่าได้อย่าง
เด็ ด ขาด ว่ า แล้ ว ก็ ช ี ้ น ิ ้ ว ขึ ้ น ฟ้ า “ถ้ า นายมี ร ่ า งกาย ฉั น คงให้
บทเรียนสักป้าบ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ ในประวัติศาสตร์มีบุรุษ
ผู้แข็งแกร่ง และคนผู้นั้นก็คือฉัน——ผู้ปราบระบบ!”
โบราณกาลมีหลู่จื้อเซินถอนต้นหลิว[1] ตอนนี้จะเป็นฟางเจิ้งถอน
หงอกระบบ!
【จะหมุนได้หรือยัง?】
“หมุน ๆ! เอาเลย ๆ! เอ๋...ว่าแต่ตอนที่ลงเขาไป นายบอกว่าฉันได้
รางวัลนี่นา? หมุนเลยได้เปล่า?” ฟางเจิ้งเพิ่งนึกออก จึงถามทัน
ควัน
【ท่านสามารถเลือกหมุนสองรอบ】 ระบบพูดหน้าตาเฉย
“นายพูดถึงขนาดนี้แล้ว ขืนฉันยังเลือกที่จะหมุนสองรอบก็โง่แล้ว
เปล่า? หนึ่งรอบ! เอาเลย! เลิกพูดเรื่องตัวเลขสักที! ทนไม่ไหว
แล้ว!” ฟางเจิ้งร้องเร่งอย่างใจร้อน
【ท่านยืนยันที่จะเริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดเลยหรือไม่ ?】 ระบบ
ถามอีกครั้ง
ฟางเจิ้งครุ่นคิดครู่หนึ่ง รอบที่แล้วของโดนทิ้งไปเยอะไม่น้อยเลย
ฟางเจิ้งจึงรีบเข้าไปยกโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งออกมาก่อน อย่าง
กลัวระบบจะเอาไปทิ้งหมด
หลังจากเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จสรรพ ฟางเจิ้งก็พูด “เริ่ม
เลย!”
ฟางเจิ้งพนมมือ อารมณ์ปั่นป่วนตื่นเต้นตีตื้นขึ้นมา จนจ้องมอง
ตาเขม็งอย่างกังวล อยากรู้จริง ๆ ว่าวัดจะกลายเป็นแบบไหน
หลังการบูรณะ
ถึงฟางเจิ้งกำลังกังวลแทบตาย ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
หลังจากรอไปสิบนาที ฟางเจิ้งก็ถามอย่างตระหนก “ระบบ
ทำไมนายไม่เริ่มสักทีล่ะ?”
【เริ่มอะไร?】 ระบบถามกลับ
“เริ่มบูรณปฏิสังขรณ์วัดไง!” ฟางเจิ้งครวญ
【การเปลี่ยนแปลงเช่นไรที่ท่านคาดหวังไว้ ? นี่เป็นเพียงการ
บู ร ณะ ท่ า นคาดว่ า วั ด จะขยั บ ขยายใหญ่ โ ตหรื อ ? วั ด ท่ า น
บูรณปฏิสังขรณ์ไปแล้วตั้งแต่ยามนั้น คราวนี้เพียงเพิ่มของเข้าไป
หน่อยเท่านั้น ของถูกเปลี่ยนไปไม่เยอะ อาทิ พุทธรูปองค์ใหม่ได้
ประดิษฐานที่ห้องโถงหลักแล้ว อีกอย่าง ระบบจะไม่ช่ วยท่าน
ขยับขยายหรือพัฒนาวัดเด็ดขาด มีอาคารใหม่มา ก็มีปัญหาใหม่
ตามมาด้วย ดังนั้น จงหาวิธีที่จะขยับขยายและพัฒนาวัดเองเถิด
】ระบบพูดอย่างเนิบช้า
【เป็นของรางวัลเสริมจากการบูรณะวัด ป้ายนี้พุทธองค์ท่าน
เป็นผู้เขียนโดยคัมภีร์พุทธองค์ทัศนามังกรด้วยพระองค์เอง ทำให้
จิตใจสงบ และยังสามารถสะกดข่ม ภูตผีปีศาจ ไม่อาจเสียหาย
กันไฟ กันน้ำ เป็นไง?】 ระบบพูดอย่างสำราญใจ
ฟางเจิ้งกลอกตา “โม้อะไรเยอะแยะ? นายไม่ได้เป็นคนเขียนเอง
สักหน่อย!”
ทว่าฟางเจิ้งก็พอใจไม่น้อยจริง ๆ นั่นแหละ สมัยก่อนนู้น ยามวัด
นิ้วเดียวยังไม่ได้ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่นับถือภูติผี!
สมัยนั้น การนับถือภูตผีล้วนแพร่ห ลายในหมู่ช าวพุทธ! ทว่า
ภายหลังมี ‘พิฆาตสี่เก่า[3]’ วัดนิ้วเดียวจึงถูกทำลายสิ้น!
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์นิ้วเดียวได้ธุดงค์มา ก่อนจะทำ
การขับไล่ภูตผีนอกรีตออกไปหมด จากนั้นก็อัญเชิญพระโพธิสัตว์
กวนอิมมาประดิษฐาน จนกลายเป็ นวัดนิ้วเดียวอย่างในปัจจุบัน
แต่ ก ็ เ ป็ น เพี ย งเรื ่ อ งคุ ย ตลก ๆ กั น เท่ า นั ้ น ฟางเจิ ้ ง ก็ ไ ม่ ท ราบ
ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียเรื่องพวกนี้ก็
ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องในยุคนั้น
หรอก ฟางเจิ ้ ง เคยถามพระอาจารย์ ห ลายรอบ แต่ ก ็ ไ ม่ ไ ด้ รั บ
คำตอบ ฟางเจิ้งจึงเลิกถามไปในที่สุด
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ฟางเจิ้งรู้ดี สถานที่ที่ประดิษฐานพุทธองค์และพระ
โพธิสัตว์ จะถูกเรียกว่า ‘วัดพุทธ’ ส่วนสถานที่สักการะภูผีเทพ
ยาดาจะเรียกว่า ‘ศาลเจ้า’ แต่ฟางเจิ้งก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไม
พระอาจารย์อีจื่อถึงแขวนป้าย ‘ศาลเจ้านิ้ วเดียว’ ไว้ไม่ยอม
เปลี่ยน บางทีอาจจะเป็นเพราะท่านยากจนเกินไป ขืนเอาป้ายลง
ก็คงหาป้ายอื่นมาแขวนไม่ได้อยู่ดี......
แต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ถึงจะดูเข้ารูปเข้ารอย
กว่าเดิม แต่ฟางเจิ้งยังอดรู้สึกแปลก ๆ อยู่นิดหน่อยไม่ได้ อย่างไร
เสียป้ายวัดอันเดิมก็เปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันงดงามอยู่ดี
ฟางเจิ้งโคลงศีรษะ จากนั้นก็เข้าวัด แล้วเดินไปที่ห้องโถง เหนือ
ห้องโถงวัด มีป้ายอักขระวิถีดุจมังกรขนดของคัมภีร์พุทธองค์
ทัศนามังกรเช่นกัน เขียนว่า—หอหมื่นพุทธ!
“หอหมื่นพุทธ? เจ๋ง! ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการชะมัด แต่อารามเล็ก ๆ
แบบนี้ จะไปยัดพระพุทธรูปหมื่นองค์ไหวเหรอ? เหอ ๆ มีพุทธะ
หมื่นรูปเบียดกัน คงดูไม่จืดแหง” ฟางเจิ้งหัวเราะกับความคิด
ซุกซนของตน
แต่พอฟางเจิ้งเดินเข้ามาในห้องโถง ก็ต้องตกตะลึงจนร้อนลั่น
ขึ้นมา!
“ระบบ! ออกมานะ! พุทธรูปฉันหายไปไหนหมด!? กินไปแล้ว
เหรอ!!?” ฟางเจิ้งร้องคร่ำครวญ
【ป้ายนี้ได้ทำกุศลยิ่งใหญ่แล้ว อีกทั้งยังผูกพันธ์กับโลกียวิสัย
ดังนั้นทางระบบจึงเก็บไว้ให้ หากท่านทำภารกิจล้มเหลว ทาง
ระบบจะคืนป้ายให้ อีกทั้งท่านจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิม ส่วนถ้า
ท่านสามารถบรรลุภารกิจอารมณ์ทางระบบก็จะคืนให้เช่นกัน】
“ขอบคุ ณ นะ!” นี ่ เ ป็ น ครั ้ ง แรกเลยที ่ ฟ างเจิ ้ ง ขอบคุ ณ ระบบ
หลังจากร่ายพระพุทธมนต์ ฟางเจิ้งก็เข้าไปกอดป้ายวั ดที่อยู่ตรง
ผนังห้อง ป้ายนี้ พระอาจารย์นิ้วเดียวเป็นผู้เขียนเอง เวลายิ่งผ่าน
พ้น ฟางเจิ้งยิ่งคิดถึงท่านขึ้นเรื่อย ๆ หลายสิ่งเก่า ๆ ล้วนหายไป
จากการบูรณะวัด ทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจเลย
ตอนนี้มีป้ายวัดมาแขวนอยู่ในห้องตัวเอง ฟางเจิ้งค่อยรู้สึกว่าพระ
อาจารย์อีจื่อกำลังอยู่เป็นเพื่อน รู้สึกดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ตอนนั้นเองเขาพลันได้ยินเสียงตะโกนมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งรีบออกไปดู พอมาถึงลานวัด ก็ตกตะลึงไปทันที เขาเห็น
เฉินจิน เฉินหลง ซูหง และคนอื่น ๆ กำลังแบกกระสอบมาอยู่ตรง
ประดูวัด พอพวกเขาเห็นฟางเจิ้ง ตาก็เป็นประกาย รีบพูดทันที
“พระฟางเจิ้ง ขอบคุณนะ!” พอซูหงเห็นฟางเจิ้งก็น้ำตาแตก รีบ
วิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าฟางเจิ้งทันที เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงแม้
จะไม่ ไ ด้ เ รี ย นหนั ง สื อ แต่ ก ็ ร ู ้ จ ั ก ความกตั ญ ญู ฟางเจิ ้ ง เป็ น ผู้
ช่วยเหลือครอบครัวเธอไว้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ค่อยมั่นใจเช่นกัน
ว่าควรจะทำเช่นไรเพื่อแสดงความขอบคุณ จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้
คุกเข่าลงด้วยสำนึกในบุญคุณ
เฉินหลงกับภรรยาเป็นคนเมือง เลยไม่ได้คุกเข่า แต่นำบุตรของ
ตัวเองมาขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
เฉินจินที่อยู่ตรงนั้นยังคงเงียบกริบ ดวงตาเลิ่กลักหน้าแดงฉาน ดู
ก็รู้ว่ากำลังต่อสู้กับความดื้นด้านของตัวเองอยู่ ควรรักษาหน้าดี ?
หรือควรจะพูดขอบคุณดี? ไหนจะต้องขอโทษอีก!
ฟางเจิ้งที่เห็นซูหงคุกเข่า ก็สะดุ้งโหยง เกือบจะกระโดดหลบแล้ว
ทว่า——
【ติ้ง! ช่วยชีวิตมนุษย์ได้บุญกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ใน
เมื่อท่านช่วยชีวิตคนไว้ การได้รับการคุกเข่าย่อมไม่เป็นไร การทำ
ดีสำคัญนั้นจริงแท้ แค่ทุกการทำดีย่อมมีอะไรตอบแทนกลับมา
เช่นกัน นี่แหละกรรม การให้โดยไร้ความหมาย ไม่ต่างกับการ
ท่องพระสูตรโดยไม่เข้าหัว สุดท้ายก็ได้เป็นบาปกรรม】
พอฟางเจิ้งได้ยินแบบนี้ ก็เข้าใจว่าระบบต้องการสื่ออะไร จึงไม่
หลบออก แต่พนมมือรับแทน “อามิตตาพุทธ โยมทั้งหลาย ไม่
ต้องทำเช่นนี้หรอก อะไรที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว
ปล่อยวางเถิด” จากนั้นฟางเจิ้งก้มลงช่วยพยุงซูหงขึ้นมา
“พระอาจารย์ เป็นท่านจริง ๆ ใช่ไหม?” เฉินหลงมองฟางเจิ้ง
อย่างประหลาดใจ ถึงเขาจะเห็นฟางเจิ้งเช่นกัน แต่เพราะฟางเจิ้ง
ยังไม่ยืนยัน เขาเลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร อาจจะเป็นภาพหลอนก็
ได้......แต่ว่าความเป็นได้ที่จะเป็นภาพหลอนมันน้อยจริง ๆ เนี่ยสิ!
ฟางเจิ้งส่ายศี รษะ “อาตมามิใช่พระอาจารย์ เป็นเพียงพระผู้
ปฏิบัติธรรม เรื่องเมื่อวานล้วนเป็นพรที่ประสกควรได้”
ฟางเจิ้งตอบปัดเรื่องเมื่อวาน ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ นี่เป็นเรื่องที่
เขาไม่อยากจะพูดถึง ทั้งไม่อาจจะพูดได้ด้วย ถึงจะพูดอธิบายจน
แจ่มแจ้ง ก็มีแต่ปัญหาอยู่ดี
ภรรยาของเฉินหลงเริ่มกลัว ถ้าเฉินจินวิเคราะห์ถูก ฟางเจิ้งลงเขา
ไปได้ยังไง? บินลงไปเหรอ? ขณะกำลังจะถาม เฉินจินก็เอ็ด
ออกมาเสียก่อน “จะถามอะไรเยอะแยะ?!”
ภรรยาของเฉินหลงกลืนคำพูดตัวเองลงไปทันที เฉินจินรุดหน้า
ขึ้นไปจ้องฟางเจิ้งตาเขม็ง ดูเคร่งเครียดยิ่ง
ฟางเจิ้งก็จ้องกลับไปอย่างใจเย็น ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
เขาพนมมือพร้อมคลี่ยิ้มสว่างไสวดุจดวงอาทิตย์
ไม่กี่นาทีต่อมา เฉินจินก็ถอนหายใจ “ฟางเจิ้ง ขอโทษ เมื่อก่อน
ฉั น เป็ น พวกโง่ เ ขลาคร่ ำ ครึ เ กิ น ไป เงิ น นิ ด ชื ่ อ เสี ย งหน่ อ ย ก็
กลายเป็นคนหน้าไม่อาย วิ่งพล่านไปทั่วช่วยพระชั่วอย่างอู้หมิง
ฉันพยายามทำลายชื่อเสียงเธอ และเกือบจะไปสร้างปัญหาอีก
ฉันยอมรับผิด ถ้าไม่พอใจ เชิญอัดฉันได้เลย!”
ฟางเจิ้งมองผู้สูงวัยหัวแข็งตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา ถึงเขา
จะไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับเฉินจินนัก แต่รู้กิตติศักดิ์เรื่องความ
หัวแข็งของเขาดี เขาไม่ใช่แค่หัวแข็งดื้อด้าน แต่ยังโลภเงินทอง
หลงชื่อเสียงนิดหน่อยด้วย ไม่งั้นคงไม่เลิกทำนา แล้วออกทะเลไป
อย่างบ้าคลั่ง หลังจากลงทุนล้มเหลว ก็ไม่ยอมกลับหมู่บ้าน พอ
ประสบความสำเร็จและอายุปูนนี้แล้ว จึงยอมกลับมาถิ่นเดิมของ
ตัวเองได้สักที
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินจินยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องไม่ยอมรับความผิดตัวเอง
ทุกอย่างผิดได้แต่เขาผิดไม่ได้ ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งกับคนรอบ
ข้างไม่น้อย
ฟางเจิ ้ ง ไม่ ค ิ ด เลยว่ า เฉิ น จิ น จะเริ ่ ม สำนึ ก ตั ว เองแล้ ว นั บ เป็ น
ประวัติการณ์เลยนะเนี่ย! ฟางเจิ้งพนมมือ “ประสก ไม่ต้องทำ
เช่นนั้นหรอก โลกอุดมไปด้วยทุกขัง โลกียวิสัยบดบังสายตาผู้คน
แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน”
เฉินจินพยักหน้า “เจ้าหนู เธอเป็นคนดีจริง ๆ ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่
คนดีเด่อะไร แต่เธอยังจะช่วยครอบครัวฉันไว้อีก ชีวิตนี้ฉันไม่
เคยติดค้างใครมาก่อน แต่รอบนี้ ถึงจะใช้ทั้งชีวิต ก็คงไม่อาจตอบ
แทนบุญคุณได้”
ซูหงสัพยอก “นาน ๆ ทีจะพูดอะไรแบบนี้นะเนี่ย ฮี่ฮี่”
เฉินจินเบ้ปาก “เป็นเพราะคนอื่นไม่ชอบฉันต่างหากล่ะ!”
เฉินหลงรีบพูด “ใช่ ใช่ ใช่ พ่อของผมดีที่สุดแล้ว ว่าแต่พระฟาง
เจิ้ง ขอถามหน่อยได้ไหมครับ ว่าท่านลงเขาไปยังไงถึงได้เร็ว
ขนาดนั้—”
“บลา ๆๆๆ? พล่ามอะไรเยอะแยะ? ถามแต่เรื่องควรถามสิ เรื่อง
ไหนไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม!” เฉินจินเอ่ยปากตำหนิทันที
เฉินหลงหัวเราะรับ เข้าใจที่พ่อตัวเองต้องการจะบอกดี
ฟางเจิ้งย่อมไม่คิดจะตอบ ถึงถามไปก็เท่านั้น คำถามจำพวกทำไม
ฟางเจิ้งไม่กลัวไฟ หรือยกคานด้วยมือเปล่าได้ยังไง......ถามไปก็
เป็นปัญหาเสียเปล่า ๆ นั่นแหละ
ส่วนเฉินจินนอกจากยืนกรานว่าต้องขึ้นเขามาถามเรื่องอุบัติเหตุ
แล้ว ความจริงก็คือเขาแค่ต้ องการมาพูดอะไรบางอย่าง คนอื่น
เขาไม่เชื่อได้ แต่จะไม่เชื่อภรรยากับลูกชายได้ยังไง? ฟางเจิ้งไม่
โดนไฟคลอกตาย งานลิปิศิลป์คุ้มครองผู้คน แค่นี้ก็ไม่ธรรมดา
แล้ว! คิด ๆ ไป ทำเรื่อ งพวกนี้ได้ แค่บินลงไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หรอก!
เขาครุ ่ น คิ ด มาตลอดทาง คิ ด ไปคิ ด มา ฟางเจิ ้ ง เป็ น ผู ้ มี
ความสามารถอย่างแท้จริง เป็นผู้มีพระคุณที่ปกป้องพวกเขาไว้
เขาจะไปสร้างปัญหาเพิ่มให้อีกได้ยังไง? ไม่งั้นเขาคงเป็นไอ้แก่ผู้
ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ทัศนคติบนเขากับตีนเขาต่างกันขนาดนี้ เฉิน
หลงก็ไม่คิดจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร ยิ่งเห็นพ่ อตัวเองแสดง
ความคิดออกมาตรง ๆ แบบนี้ ก็ทำเขายินดีแทบตายแล้ว
ซูหงพูด “เอาล่ะ ๆ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว พระฟางเจิ้ง
มีเรื่องหนึ่ง คือว่าของมีค่าพวกเราโดนเผาไปหมดแล้ว เลยได้แต่
รีบ ๆ นำของมาให้ ถือเป็นสินน้ำใจจากพวกเรา รับไว้นะคะ”
พูดจบ เฉินหลงก็ยื่นกระสอบผัก ฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือ[1] ให้ฟาง
เจิ้งทันที
【ใช่ แต่ท่านมั่นใจหรือว่าจะไม่เฝ้าวัดเสียหน่อย?】ระบบถาม
ฟางเจิ้งถามกลับ “นายไม่อยู่แถวนี้เหรอ?”
【ทางระบบย่อมดูแลอยู่แล้ว ทว่าหากตัววัดโดนบุกรุกหรือ
เสียหาย ผลบุญที่มีย่อมลดลงไปด้วย อีกทั้งภารกิจต่าง ๆ ก็จะมี
ผลประเมินลดลง ดังนั้น ก่อนลงเขาไปจงตรองให้ดี】
ฟางเจิ้งพูดหน้าตาย “ถึงในวัดจะมีของมีค่าหลายอย่าง แต่ของ
พวกนั้นก็มาจากหมู่บ้านทั้งนั้นแหละ ใครเขาจะมาขโมยเล่า ?
แถมยังมีผู้พิทักษ์วัดอีกด้วยนะ”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่หมาป่าไร้ฝูงก็ดูเป็นมิตรสหายที่ดูไม่
น่าเชื่อถือเท่าไร ก็เล่นวิ่งพล่านไปไหนบ้างไม่รู้ทั้งวัน บ้านช่องก็ไม่
ค่อยจะอยู่ ฟางเจิ้งจะหวังพึ่งได้อย่างไรกัน ? ฟางเจิ้งอดคิดไม่ได้
จริง ๆ ว่าเจ้าหมาป่านี่พึ่งไม่ได้เสียยิ่งกว่าเจ้ากระรอกอีก ทว่าพอ
เขาเงยหน้า ก็เห็นว่าเจ้ากระรอกเองก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน ไม่รู้
ไปไหนแล้ว
คราวนี้ฟางเจิ้งรีบกลืนคำพูดตัวเองทัน ที ตัวเองนี่แหละน่าเชื่อถือ
สุดแล้ว!
ที่ตีนเขา เฉินจินกลับมาถึงซากบ้านตัวเองแล้ว เขาได้แต่ขมวดคิ้ว
มอง
เฉินหลงพูด “พ่อ ไม่ต้องเศร้าไปหรอก อะไรที่พังก็พัง ไปแล้ว
เดี๋ยวผมสร้างบ้านที่ดีกว่าเดิมให้เอง!”
“แกจะไปรู้อะไร? บ้านนี้ปู่กับย่าแกเป็นคนปลูก ความทรงจำ
มากมายล้วนแฝงอยู่ในนั้น ฉันถึงไม่ยอมทุบทิ้งสร้างใหม่สักทีไง
แต่ตอนนี้กลับพังหมดแล้วเนี่ย! เฮ้อ……” เฉินจินทอดถอนใจยาว
ใบหน้าดูชราขึ้นไม่น้อยทีเดียว
ซูหงคว้ามือเฉินจินไว้ “อะไรที่ถูกเผาไปแล้ว ก็อย่าไปคิดถึงมัน
เลย”
“ฉันจะไม่คิดมากได้ยังไง? ไฟนี่ไม่ดูแปลก ๆ เหรอ? ชาวบ้านก็อยู่
บนเขากันหมด ใครจะมาจุดไฟได้?” เฉินจินแค่นเสียง
เฉินหลงอุทาน “พ่อจะบอกว่ามีคนทำงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในอดีต เหตุไฟไหม้
ล้วนเป็นผลมาจากพวกเด็กเหลือขอจุดประทัดแบบโง่ ๆ แต่พ่อ
คิดว่ารอบนี้มันไม่ธรรมดาแบบนั้นแน่ รอนี่ก่อนนะ ขอพ่อไปคุย
กับท่านเลขานุการกับหัวหน้าหมู่บ้านก่อน ฉันแม่*ไม่ยอมปล่อย
วางเรื่องนี้แน่! ต้องมีคนรับผิดชอบ!!” ว่าแล้ว เฉินจินก็จ้ำพรวดๆ
จากไป
ซูหงกับคนที่เหลือมองหน้ากันด้วยสีหน้าหดหู่ ถ้าเป็นฝีมือมนุษย์
ก็คงเป็น......
ส่วนฟางเจิ้งไม่รู้แม้แต่น้อยว่าที่ตีนเขาเกิดอะไรขึ้น ตอนบ่าย เขา
หยิบผักใบเขียวออกมาล้างให้สะอาด จากนั้นเอาไปต้มเป็นซุปผัก
พอมี ผ ั ก ต้ ม ในน้ ำ ทิ พ ย์ ก ็ ท ำเอาฟางเจิ ้ ง เจ้ า หมาป่ า และเจ้ า
กระรอกอิ่มหนำสำราญกันมาก ตบท้ายด้วยพากันไปนอนแผ่หลา
บนหิมะ ค่ำคืนแสนสงบสุขผ่านพ้นเช่นนี้เอง
ฟางเจิ้งตื่นในรุ่งสางวันต่อมา ทำความสะอาดวัดเสร็จสรรพ ก็มา
ขบคิดเรื่องในอนาคตต่อ ตอนนี้สามารถลงจากภูเขาได้แล้ว เขา
อยากตะลอนไปทั่วสักหน่อย——กรงเปิดออก นกย่อมอยากโบย
บิน!
ตอนนั้นเอง…...
“นมัสการพระอาจารย์” เสียงอันหม่นหมองดังมาจากประตูวัด
ฟางเจิ้งมองออกไปก่อนจะตกตะลึง เป็นคนรู้จักมักคุ้น! สตรีผู้
เศร้าสลดกำลังอุ้มเด็กผู้หญิงผมสั้นไว้ ใบหน้าเด็กน้อยเองก็เศร้า
สร้อยไม่ต่างกัน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็ทอดถอนใจ รุดหน้ าขึ้นพนมมือ “อามิตตา
พุทธ โยมทั้งสอง”
“พระอาจารย์ ขออภัยที่มารบกวนนะคะ” หลู่ชวงชวงตาแดงช้ำ
ฟางเจิ้งส่ายศีรษะ “โยมทั้งสองเข้ามาก่อนเถิด”
หลู่ชวงชวงอุ้มลูกสาวตนเอง—หมี่ลี่เข้ามา ตอนนี้ฟางเจิ้งมีม้านั่ง
แล้ว ย่อมไม่อาจให้แขกไปนั่งบนก้อนหินหรือบนพื้นได้อีก เขา
หยิบเตาไฟมาด้วยตอนที่นั่งกัน
หลู่ชวงชวงยื่นจดหมายให้ฟางเจิ้ง เธอพูด “เซี่ยวกั๋วบอกให้ฉัน
เอาจดหมายให้ท่านก่อนจะจากไป เขาอยากให้พระอาจารย์รับไว้
ค่ะ”
เป็นซองจดหมายที่ไม่มีไปรษณียากร มีเพียงสามคำจ่าหน้าซอง
‘ถึง พระอาจารย์ฟางเจิ้ง’
ฟางเจิ้งเปิดจดหมายออกอ่าน พอเห็นกระดาษอันว่ างเปล่า ฟาง
เจิ้งพลันกระจ่างแจ้ง จากนั้นพนมมือร่ายพระพุทธมนต์ “อามิต
ตาพุทธ”
ไม่ได้พูดอะไร หมายความว่าไม่มีอะไรจะพู ด การไม่มีอะไรจะพูด
หมายความว่าไม่มีอะไรที่คิดเสียดายอีกแล้ว...
แต่หลู่ชวงชวงได้พาหมี่ลี่มาด้วย ย่อมหมายความว่าหานเซี่ยวกั๋ว
ไม่ได้จากไปโดยปล่อยวางได้ทุกสิ่ง อย่างน้อยเขาก็จากโลกนี้ไป
ด้วยใจที่เป็นห่วงครอบครัว
“พระอาจารย์ เซี่ยวกั๋วก็จากไปแล้ว และฉันเองก็ปั่นป่วนไปหมด
ขออนุญาตอยู่บนเขาเพื่อสงบใจสักสองสามวันได้ไหมคะ?” หลู่
ชวงชวงถาม
ฟางเจิ้งผงะ ก่อนจะส่ายศีรษะ “ขอโทษด้วยนะสีกา วัดของ
อาตมาเล็กนัก แถมมีเพียงอาตมาที่อยู่ที่นี่ จึงไม่เหมาะจะให้สี
กามาเป็นแขก”
“เป็นแบบนั้นเอง” ดวงตาของหลู่ชวงชวงหมองลง ดูแล้ว
หลังจากหานเซี่ยวกั๋วถูกประหาร สภาพของเธอก็ย่ำแย่มาก
ฟางเจิ้งถอนหายใจยาว “ถ้าสีกาต้องการ อาตมาสามารถไป
ขอให้สีกาพักอยู่ในหมู่บ้านนิ้วเดียวได้ ถ้า อยากจะไหว้พุทธองค์
สีกาก็สามารถขึ้นมาได้ระหว่างวัน”
“ขอบคุณค่ะพระอาจารย์” ได้ยินแบบนั้น ดวงตาหลู่ชวงชวงเริ่ม
ทอประกายขึ้นมาบ้าง ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกนิด
คราวนี้เป็นเสียงหมี่ลี่ดังเสริมขึ้นมา “ขอบคุณค่ะ พี่โล้นใหญ่”
ตอนที่ 130 : หลอกเด็ก
ฟางเจิ้งหลุดหัวเราะ เพราะกริยาน่ารักเมื่อครู่ ทว่าใบหน้าของ
เด็กหญิงกลับไม่ยิ้มแย้มเช่นเคย มีแต่ความหม่นหมองเศร้าใจ ดู
แล้ว เธอคงทราบเรื่องที่พ่อของตนถูกประหารดี
ฟางเจิ้งลูบหัวหมี่ลี่เบา ๆ อย่างอาทร “ยินดีเสมอ โยมทั้งหลาย
ถ้ารู้สึกว่ากำลังเผชิญปัญหา พวกโยมสามารถเข้าไปที่ห้องโถง
และเล่าเรื่องราวแก่องค์พระโพธิสัตว์ได้ พระองค์ท่านอาจจะไม่
สามารถช่วยเหลือ แต่อย่างน้อย พระโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ฟังที่ดี”
หลู่ชวงชวงพยักหน้า “พระอาจารย์ รบกวนฝากหมี่ลี่หน่อยนะ
คะ”
ฟางเจิ้งมองหมี่ลี่ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักผู้มีดวงตากลมโต ก่อนจะ
พยักหน้าเล็กน้อย “สีกา ให้อาตมาดูแลเถอะ”
“ค่ะ” หลู่ชวงชวงพยักหน้า ยืนขึ้น ก่อนจะมุ่งไปที่ห้องโถงวัด
แต่ว่าหลู่ชวงชวงไม่ได้คิดไปเพราะทำตามฟางเจิ้งบอก เธอไม่มี
ศาสนา แถมเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในมุมมองของ
เธอ พระเจ้าหรือพระพุทธองค์ ก็เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้นมา
จะดำรงอยู่ได้ก็เพราะคนเชื่อ แต่ว่า การดำรงอยู่เช่นนั้นเป็นการ
ดำรงอยู่จอมปลอม ประโยชน์หนึ่งเดียวคือให้คนเล่าความลับ
หรือบาปกรรมของตนเพื่อให้ได้รับการอภัยโทษจากสิ่งสมมุติ
เพื่อที่จิตใจของตนเองจะได้รู้สึกผิดบาปน้อยลง และยกโทษให้
ตัวเองได้
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดจะไปไหว้พระขอพรหรืออะไรจำพวกนั้น เธอ
เข้ามาที่ห้องโถงโดยไม่คิดว่าองค์พุทธะจะช่วยอะไรเธอได้ สิ่งที่
เธอต้องการ คือสถานที่เงียบ ๆ ให้ได้ร้องไห้ต่างหาก
ต่อจากนี้...ไม่มีไหล่อันดุดันแข็งแกร่งให้พึ่งพาแล้ว เธอจำเป็นต้อง
ใช้ไหล่อันอ่อนแอแบกรับความรับผิดชอบลูกสาวแต่เพียงผู้เดียว
ทั้งกดดัน ทั้งเหนื่อยอ่อน กระทั่งรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าในอนาคต
เบื้องหน้าจะมีอะไรรอเธออยู่ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังเดินหน้า
ต่อไป คือความคิดที่จะเลี้ยงดูลูกสาวตนเองจนกว่าจะเติบใหญ่
นอกจากเรื่องนี้ ก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว…...
เธออยากร้องไห้! แต่ในฐานะที่ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว
เธอไม่อาจร้องไห้ต่อหน้าลูกสาวได้ ได้แต่จำต้องกลั้นมันไว้เท่านั้น
อาชญากรรมของหานเซี่ยวกั๋วรุนแรงเกินไป กระทั่งครอบครัว
ของเขาเองยังยากที่จะให้อภัย จนขีดเส้นกั้นระหว่างพวกเขากับ
พวกเธอสองแม่ลูก โลกนี้ไม่มีที่ให้ระบายความทุกข์ ไม่มีที่ให้อยู่
เงียบ ๆ ไม่มีที่ให้ร้องไห้อีกแล้ว!
ท้ายที่สุดเธอก็พาตัวเองมาที่นี่ แม้จะไม่เข้าใจตัวเองว่ามาทำไมก็
ตาม
บางทีที่เธอมา อาจจะเป็นเหตุผลง่าย ๆ——หาที่ร้องไห้ เธอ
ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ แม้ว่าวันข้างหน้าจะมืดหม่นก็ตาม!
แต่ว่าหลังจากที่หลู่ชวงชวงก้าวเข้ามาในห้องโถง อารมณ์ก็ผ่อน
คลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกอันหมองเศร้าแทบมลาย
สิ้น ดุจดั่งลูกโป่งถูกเจาะ ความเศร้าโศกค่อย ๆ ถูกระบายออกไป
ก่อนที่หลู่ชวงชวงจะไปคุกเข่าตรงเบาะพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม
ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงประตูกั บหานเสียวหมี่ เพราะหลู่ชวงชวงหัน
หลังให้ หานเสียวหมี่จึงไม่ทราบว่าแม่ของตนกำลังร้องไห้อยู่ แต่
ฟางเจิ้งนั้นรู้ดี ไหล่อันสั่นเทานั้นได้บอกถึงทุกอย่างแล้ว...
“พี่โล้นใหญ่ คุณแม่ทำอะไรอยู่เหรอคะ?” หานเสียวหมี่ถาม
ฟางเจิ้งยิ้ม ก่อนจะขยี้หัวเธอ “คุณแม่ของหนูกำลังคิดอะไรสัก
อย่างอยู่น่ะ เป็นเรื่องสำคัญ โล้นน้อยมีผมแล้ว ต่อไปนี้พี่จะเรียก
เธอว่าหมี่ลี่ละกันนะ หมี่ลี่ชอบสัตว์ตัวเล็ก ๆ หรือเปล่าเอ่ย?”
“ชอบค่ะ ตอนคุณพ่อยังอยู่ พ่อชอบพาหนูไปสวนสัตว์ แต่สวน
สัตว์ประจำอำเภอซ่งอู๋เล็กม๊ากมาก มีแต่กิ้งก่าที่ไม่ยอมขยับไป
ไหนเลย กับหมาป่าสองตัวที่อย่า งกับสุนัขธรรมดา ๆ อ้อใช่ มี
แพะด้วยค่ะ” หมี่ลี่ทำหน้าครุ่นคิด
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเลย สวนสัตว์นั้นตอนที่ฟางเจิ้งยั งเด็กก็เคยไป
เหมือนกัน แต่ไม่คิดเลยว่าผ่านไปหลายปีดีดัก ทุกอย่างยังคง
เหมือนเดิมเปี๊ยบ.......มีสัตว์แค่สามชนิด โดยเฉพาะกิ้งก่าตัวนั้น ที่
ออกจะน่าขบขันนิดหน่อย ตอนเด็ก เขาก็คิดว่ามันคงขี้เกียจจน
ไม่ยอมขยับนั่นแหละ แต่ภายหลังได้เรียนรู้เรื่องการสตัฟฟ์สัตว์
เลยรู้ว่าชีวิตนี้คงไม่มีหวังจะได้เห็นมันเคลื่อนไหวแล้วแหละ
แต่ฟางเจิ้งก็ไม่คิดจะบอกหมี่ลี่เรื่องพวกนี้ เพียงพาหมี่ลี่มาที่ต้น
โพธิ์ ก่อนจะเคาะลำต้นไม้
ครู่เดียว เจ้ากระรอกก็โผล่หน้าออกมาร้องจี๊ด ๆ “หยุดเคาะนะ
วันนี้ไม่มีลูกสนเหลือแล้ว!”
ฟางเจิ้งอับอายขึ้นมาทันที ดีนะที่หมี่ลี่ฟังภาษากระรอกไม่ออก
เขาเลยหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนได้
ฟางเจิ้งกวักมือเรียกเจ้ากระรอกมาหา “อามิตตาพุทธ เจ้าตัว
น้อย ลงมาเล่นกับโยมน้องผู้นี้หน่อย”
“ไม่! อย่ามาหลอกฉันนะ นายคิดจะมาขโมยลูกสนฉันชัด ๆ!”
เจ้ากระรอกพูด ทำท่าเหมือนอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ของฟางเจิ้ง
ดวงตาฟางเจิ้งพลันเป็นประกายวาบ——เจ้านี่แอบซ่อนเร้น
อาหารตัวเองไว้จริง ๆ ด้วย!
เจ้ากระรอกรู้ทันทีว่าตัวเองหลุดปากออกไปแล้ว จึงมองฟางเจิ้ง
อย่างตระหนก
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ลงมาเถิด อาตมามีอะไรจะบอกเจ้า ถ้าไม่งั้น
วันนี้งดข้าว!”
ตอนแรกเจ้ากระรอกส่ายหัวไม่หยุด แต่พอโดนบอกว่าจะโดนงด
ข้าวเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันควัน ไม่ได้ได้นะ! ข้าว
จิงหมี่เลิศที่สุดแล้ว จะพลาดไม่ได้เ ด็ดขาด! ท้ายที่สุดเจ้ากระรอก
ก็โดนฟางเจิ้งข่มขู่จนต้องตะเกียกตะกายลงมา
ฟางเจิ้งลอบกระซิบเรื่องราวของเสียวหมี่ให้เจ้ากระรอกฟัง มัน
เกาหัวพลางมองฟางเจิ้งอย่างเป็นกังวล “ฉันจะเล่นกับเธอก็ได้
แต่นายห้ามขโมยลูกสนฉันเด็ดขาด!”
“น่ารักจริง ๆ เลย แต่ใจกว้างกว่านี้หน่ อยไม่ได้เหรอ? อย่างน้อย
ก็เอาออกมาสักสองลูกเพื่อรับแขกสิ คิดซะว่าอาตมาขอยืมก็แล้ว
กัน แล้ววันหลังอาตมาจะออกไปช่วยเจ้าเก็บ เป็นไง?” ฟางเจิ้ง
แทบพูดไม่ออกเลย เจ้านักเก็บของนี่ทำเอาเขาพูดไม่ออกตลอด
เลยสิน่า!
เจ้ากระรอกโคลงศีรษะพลางขบคิดอะไรบางอย่าง ไม่รู้ในหัวเจ้า
ตัวน้อยนี่คิดอะไรอยู่ แต่ท้ายที่สุดมันก็มองไปที่ฟางเจิ้งด้วย
สายตาหยามเหยียด “นายโง่ไป ไม่รู้หรอกว่าลูกสนไหนดี ลูกสน
ไหนแย่”
จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็วิ่งปร๋อขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเอาลูกสนลงมา
ด้วย ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็พูดไม่ออกอีกรอบ——เจ้านี่เอาออกมา
แค่สองลูกจริง ๆ ด้วย!
ส่วนหมี่ลี่ ก็สังเกตฟางเจิ้งกับเจ้ากระรอกตัวน้อยตลอดเวลา หรือ
จะพูดให้ชัด เธอกำลังจ้องไปที่เจ้ากระรอกตัวน้อยต่างหาก!
การที่ฟางเจิ้งคุยกับเจ้ากระรอกน้อย ทำให้ดวงตากลมโตของเธอ
สดใสขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เห็นความฉลาดเฉลียวของเจ้ากระรอก
เธอยิ่งชอบมันเข้าไปอีก
แต่เด็กหญิงเช่นเธอ ขี้อายเกินกว่าจะไปร้องเรียกเจ้ากระรอก จึง
ได้แต่ดูมันด้วยดวงตากลมโตแสนชุ่มฉ่ำเปี่ยมความปรารถนา
พอฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ ก็ตำหนิเจ้ากระรอก
“เจ้าจะจ้องอาตมาทำไม จะให้ของขวัญไม่ใช่เหรอ? จะให้ก็ให้สิ”
เจ้ากระรอกปีนไปตามจีวรของฟางเจิ้ง พอถึงความสูงเดียวกับหมี่
ลี่ มันก็ยื่นลูกสนให้เธอ
หมี่ลี่อุทานอย่างตื่นเต้น “ให้หนูเหรอ?”
เจ้ากระรอกเหลือบมองฟางเจิ้งที่ขู่ว่าถ้าไม่ให้จะงดข้าวเย็น ก่อน
มันจะทำใจแข็ง นำลูกสนไปวางบนมือของหมี่ลี่
หมี่ลี่รับไปด้วยความยินดี รีบกุมไว้ดุจดั่งได้รับสมบัติล้ำค่า เธอพูด
กับเจ้ากระรอกด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้น “ขอบคุณนะ!”
จากนั้นเธอก็ชูลูกสนให้ฟางเจิ้งดู “พี่โล้นใหญ่ดูสิ! เจ้ากระให้อัน
นี้กับหนูด้วย! น่ารักม๊ากมากเลยค่ะ เป็นครั้งแรกเลยที่หนูได้รับ
ของขวัญจากสัตว์”
ฟางเจิ้งคลี่ยิ้ม “หมี่ลี่ ที่เจ้ากระรอกนี่ให้ เพราะเป็นของที่แสดง
ถึงมิตรภาพของทั้งคู่ ใช่ไหมเจ้าตัวน้อย?”
ฟางเจิ้งจิ้มไปที่พุงของเจ้ากระรอก ตั้งแต่มันมาอยู่วัด ก็อ้วนวัน
อ้วนคืนไม่น้อย
เจ้ากระรอกสะบัดหางฟูฟาดฟางเจิ้ง ก่อนจะกระโดดไปที่ไหล่
ของหมี่ลี่ จากนั้นก็ร้องจี๊ด ๆ พูดวิจารณ์ว่าฟางเจิ้งช่างชั่วร้ายที่
เอามื้อเย็นมันมาข่มขู่!
ตอนที่ 131 : พระพุทธรูปประทานพร
แต่หมี่ลี่ไม่เข้าใจที่เจ้ากระรอกพูด และคิดว่ามันกำลังเล่นกับเธอ
หมี่ลี่จึงยิ้มไม่หุบ
ตอนนั้นเองที่เจ้าหมาป่าเดินแกร่วคอตกกลับมา ดวงตาหมี่ลี่พลัน
ลุกโชน ชี้มือไปที่หมาป่าไร้ฝูง แล้วถามฟางเจิ้ง “พี่โล้นใหญ่คะ
นั่นคือสุนัขเหรอ!?”
“เอ...เรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของสุนัขก็ได้ อย่าโดนขนาดของเขา
หลอกเชียวล่ะ เขาสุภาพมากเลยนะ” ฟางเจิ้งหัวเราะ
เจ้าหมาป่าไร้ฝูงได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้ามอง พอเห็นหมี่ลี่กำลังถือ
ลูกสนอยู่ในมือ มีกระรอกอยู่บนไหล่ มันก็ได้กลิ่นตุ ๆ ทันที ลูก
สนของเจ้าจอมงกนั่ นอยู่ใ นมือเด็กผู้ห ญิง! เธอเป็นตัวปั ญ หา
แน่นอน! ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงรีบกลับหลังหันเตรียมหนี!
ทว่า——
ฟางเจิ้งลากมันกลับมาทัน ต่อด้วยอุ้มหมี่ลี่ขึ้นไปขี่บนหลังเจ้าหมา
ป่าหลังจากข่มขู่แกมสัญญาอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อย จากนั้น
เจ้าหมาป่าไร้ฝูงก็กลายเป็นเพื่อนเล่นตัวที่สองของหมี่ลี่อย่างขม
ขื่น แล้วก็พาหมี่ลี่วิ่งเล่นไปทั่ว
ฟางเจิ้งที่ปล่อยหมี่ลี่ให้เจ้ากระรอกกับเจ้าหมาป่าดูแลนั้น ไม่
กังวลใจแม้แต่น้อย เจ้าสองตัวนั้น นับวันยิ่งฉลาด เขาคิดว่าอีกไม่
นานคงได้กลายเป็นภูตผีปีศาจแหง
ขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้
ฟางเจิ้งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องโถง ก่อนจะกวาดตามอง หลู่ช
วงชวงกำลังนั่งคุกเข่าบนพื้น ระเบิดเสียงร่ำไห้ระทมทุกข์ออกมา
ไม่ขาดสาย
ฟางเจิ้งหันรีหันขวาง พระสูตรที่อ่านไม่เคยสอนวิธีปลอบหญิง
เขาควรเข้าไปไหมเนี่ย!?
ฟางเจิ้งเอามือลูบหัว สับสนสุด ๆ
【ไม่ใช่ขอคำแนะนำจากองค์โพธิสัตว์โดยตรง แต่เป็นพลังวิเศษ
ของเจ้าแม่กวนอิมพันเนตรพันกรที่ส่งผ่านป้ายหมื่นพุทธ เหมือน
อย่ า งเช่ น เจ้ า แม่ ก วนอิ มประทานบุ ตร ที ่ ป ระทานพรให้ ผู ้คน
ตั้งครรภ์อย่างไรเล่า พลังของพระองค์ท่านนั้นเกี่ยวกับการชี้แนะ
】ระบบอธิบาย
ฟางเจิ้ง “#¥%¥#&……*&”
ฟางเจิ้งจ้องเขม็งไปที่เจ้าปลา เขาสาบานเลยว่า ถ้าตัวเองไม่ได้ถือ
ครองสมณเพศอยู่ ต้องได้จับปลาพวกนี้ไปทอดลงในน้ำมันแน่!
เจ้าพวกนี้กำลังแกล้งเขาอยู่!
ตอนนั้นเอง ก็มีปลาตัวจ้อยว่ายเข้ามาถาม “แม่ พูดเรื่องอะไร
อยู่น่ะ?”
“ฉันพูดอะไรด้วยเหรอ? เปล่านะ” เจ้าปลาตอบ
“งั้นเองเหรอ......” เจ้าปลาตัวจ้อยพูดเสียงคิกขุ
พอฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้...ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า
พวกปลามีความจำอยู่แค่เจ็ดวินี่หว่า!
‘เจ็ดวิ? เจ็ดวิแม่*สิ! ปลาตัวนี้มีความจำยังไม่ถึงสามวิเลยไม่ใช่
เหรอ?!’ ฟางเจิ้งบ่นในใจ เพราะพวกปลามี ความจำสั้นเกินไป
ฟางเจิ้งเลยล้มเลิกความคิดที่จะให้พวกปลาต่อตัวเป็นแพพาเขา
ข้ามแม่น้ำ ไม่งั้นเกิดเจ้าพวกตัวจ้อยนี่รับคำแล้วลืมจนแตกฝูง
ขึ้นมากลางทาง เขาได้เจอปัญหาใหญ่แหง!
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงโบกมือ “ไม่เป็นไรแล้ว เชิญพวกโยมไปไหนก็ไป
เถอะ”
“เจ้ามนุษย์นี่คุยกับใครอยู่น่ะ?” ปลาตัวแม่พูดกับปลาตัวจ้อย
เจ้าปลาตัวน้อยส่ายหัว “เขาคงเป็นโรคประสาทน่ะ ไปกันเถอะ”
จากนั้น ฝูงปลาก็จากไปอย่างรวดเร็ว...
ฟางเจิ้งเห็นแบบนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น...เป็นโรคประสาท? ถ้าไม่ใช่
ว่าตัวเองเป็นพระ เขาแม่*ได้พุ่งทะยานไปต่อยกับปลาในน้ำแน่!
พึ่งพาปลาไม่ได้แล้ว จึงได้แต่กวาดสายตาไปมาหาวิธีอื่น ——
ปัญหาเยอะจริง ๆ
อีกฝั่งของแม่น้ำ ผู้อาวุโสตู้ที่เห็นฝูงปลาแตกกระจายไปหลังจาก
ฟางเจิ้งยืนขึ้น ก็ขมวดคิ้วแน่น พอฟางเจิ้งนั่งลง พูดไม่กี่คำ ฝูง
ปลาก็เข้ามารวมตัว พอยืนขึ้น ฝูงปลาก็จากไป ถ้าเป็นปลาบ่อ
เขายังพอเข้าใจ แต่นี่...ปลาในแม่น้ำป๋ายล้วนเป็นปลาธรรมชาติ
ทั้งหมด เขาไม่เคยเห็นใครมีความสามารถเช่นนี้มาก่อนเลย!
‘เรื่องบังเอิญแหละ’ ผู้อาวูโสตู้พึมพำในใจ
อู้หมิงที่ยืนอยู่ตรงผานั้นไม่ได้มองเห็นฝูงปลา เพราะอยู่ไกล
เกินไป ที่เห็นก็มีแต่ฟางเจิ้งผุดลุกผุดนั่งพลางบ่นงึมงำไปด้วย พอ
เห็นว่าฟางเจิ้งหมดแล้วซึ่งความหวัง เขาก็หันไปนั่งรวมกลุ่มกับ
บรรดาพระจากที่ต่าง ๆ อย่างยินดี ตราบใดที่ฟางเจิ้งข้ ามแม่น้ำ
มาไม่ได้ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลแล้ว
【ทำไมระบบต้องแจ้งเตือนเรื่องที่ท่านลืมเองด้วย?】 ระบบ
ถามหน้าตาย
ฟางเจิ้งน้ำท่วมปาก ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของระบบก็เถอะ แต่ยังไงก็
ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร พึ่งไม่ได้แหง ก็ระบบเล่นเอาแต่กลั่นแกล้ง
เขานี่หว่า พึ่งตัวเองนี่แหละ ดีสุด!
ดังนั้นฟางเจิ้งเลยพูด “ช่างมัน ๆ หมุนให้ฉันหนึ่งครั้ง หวังว่าจะ
ได้ของที่ใช้งานได้ดี ๆ นะ ไม่งั้น ต้องว่ายน้ำข้ามจริง ๆ แล้วล่ะ
เหอ ๆ ถ้าได้ว่ายน้ำจริงนี่ ออกจะน่าสมเพชไปหน่อยไหมนะ?”
ฟางเจิ้งมีจีวรจันทรากระจ่างอยู่ ดังนั้นถึงน้ำในฤดูหนาวจะเย็น
มาก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นหน่อย ๆ เท่ านั้น ถ้าจะให้ว่ายน้ำจริง
มั น ก็ ไ ด้ แ หละ เพราะปั ญ หาคื อ เรื ่ อ งน่ า สมเพชกั บ น่ า อั บ อาย
ต่างหาก
ตอนนี้ฟางเจิ้งรู้แล้วแหละว่ากำลังมีคนสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้น
ฟางเจิ้งจึงไม่อยากอยู่ในอาการน่าเพช
【ต้องการหมุนเลยหรือไม่?】
“หมุนโลด!” ฟางเจิ้งตอบรับ
【ติ้ง! ท่านได้รับรองเท้าพุทธะ—โปรดสัตว์[1] !】
“อะไรนะ? รองเท้า?” ฟางเจิ้งถามย้ำ
พ่าม! รองเท้าคู่หนึ่งตกลงมาบนมือของฟางเจิ้ง เป็นรองเท้าสาน
ดูธรรมดา ๆ อย่างยิ่ง ดูเรียบง่ายทั้งภายในทั้งภายนอก——ดูไร้
ราคามาก!
ไม่ว่าฟางเจิ้งจะมองจากมุมไหน รองเท้าคู่นี้ก็เหมือนกับพร้อมจะ
โยนให้ช่างปะรองเท้าหน้าตลาดของหมู่บ้านเล็ก ๆ ราคาน้อยกว่า
สิบหยวนอีก ถ้าผู้ซื้ออารมณ์ดีหน่อย ก็น่าจะขายได้สักสองหยวน
แถมหาความพิเศษยังไม่ได้เลย
【ผลิตภัณฑ์ของทางระบบน่าเชื่อถือ และรับรองว่าเป็นของแท้
แน่นอน】ระบบตอบกลับ
“ถ้าสะอาดไร้ที่ติอยู่เสมอ หมายความว่าฉันไม่ต้องคอยล้างสินะ?
เหมาะสำหรับคนโดนน้ำกัดเท้าเพราะไม่ต้องโดนน้ำจริง ๆ” ฟาง
เจิ้งเล่นสำบัดสำนวน
【ใช่แล้ว】
“รองเท้าโคตรเจ๋ง!” ฟางเจิ้งรีบประเมินรองเท้าคู่นี้ใหม่ทันที เขา
มองที่แม่น้ำป๋ายแล้วยิ้มหวาน แม่น้ำแค่นี้จะมาเป็นอุปสรรคขวาง
กั้นพระฟางเจิ้งผู้ยิ่งใหญ่ได้เช่นไร? เขานี่มันเจ๋งจริง!
ฟางเจิ้งหัวเราะออกมาอย่างยินดี ยินดีจนเงยหน้าและคำราม
เสียงหัวเราะออกมา
ผู้อาวุโสตู้กับกับหงเสียงมองหน้ากันนิ่ง ๆ ก่อนจะส่ายหัวลงความ
คิดเห็นว่า “พระนี่บ้าไปแล้วแน่นอน”
ขณะเดียวกัน บนยอดเขา
พระรูปหนึ่งในกาสายะสีแดงเดินมาที่หน้าผาพร้อมคณะ เขาถาม
ด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “ทุกรูปอยู่ที่นี่หรือยัง?”
“ท่านเจ้าอาวาส ทุกรูปอยู่ที่นี่ หมดแล้วครับ ยกเว้นเจ้าอาวาส
ฟางเจิ้งจากวัดนิ้วเดียว ไม่ทราบว่าท่านกำลังขึ้นเขามา หรือจะไม่
มากันแน่เนี่ยสิ” พระน้อยพรรษารูปหนึ่งกระซิบบอก
“ฟางเจิ ้ ง จากวั ด นิ ้ ว เดี ย ว?” พระอาจารย์ ป ๋ า ยอวิ ๋ น ขมวดคิ้ ว
เหมือนพยามนึกเรื่องวัดนิ้วเดียวอยู่
“ศิษย์พี่ วัดนิ้วเดียวเพิ่งเป็นข่าวในเมืองเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ลิปิศิลป์
ของฟางเจิ้งเยี่ยมมาก ได้ข่าวว่าชนะลิปิกรบางคนด้วย แถมวัดก็มี
คนไปกราบไว้เยอะขึ้นมากช่วงนี้ พวกเราเลยส่งจดหมายเชิญให้
เขา” พระชรารูปหนึ่งกระซิบบอก
“อาตมาจำได้แล้ว เจ้าอาวาสวัดนั้นยังเยาว์นัก คงลำบากมาก
ทีเดียว ในเมื่อเขายังไม่มา พวกเราก็รอกันเถอะ” พระอาจารย์
ป๋ายอวิ๋ยพูดเสียงนุ่ม จากนั้นทุกคนก็นั่งลง
พออู้หมิงเห็นพระอาจารย์ป๋ายวิ๋น ก็รุดหน้าขึ้นไปทันที อู้หมิงไม่
เพียงโกรธเพราะคนกำลังพูดถึงฟางเจิ้งเท่านั้น แต่เพราะพวกเขา
กำลังรอฟางเจิ้ง! เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง! วัดหงเหยียนไม่เคยได้รับ
อะไรแบบนี้มาก่อน! แต่อู้หมิงลืมไปแล้วว่า พระอาจารย์หงเห
ยียนมักจะมาเป็นรูปแรก ๆ เสมอ เขาจะเคยมาสายที่ไหนกัน ?
แถมไม่มีใครคิดจะหาเรื่องพวกเขาด้วย!
ฟางเจิ้ง “@#¥@%……เจ้าลิงนี่เห็นความเมตตาของผู้อื่นเป็น
เรื่องโง่เขลาไปเสียฉิบ!”